Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020  (อ่าน 11344 ครั้ง)

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
4 [PART 2/2]


ผมถามภูว่าจะกินอะไร แต่เขาก็ถามย้อนกลับว่าผมล่ะอยากกินอะไร ถามกันซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ตั้งแต่ขึ้นรถจนกระทั่งได้ที่จอด ในที่สุดภูก็บอกว่ากินฟู้ดคอร์ทเถอะ ถึงจะกินอาหารคนละประเภทแต่ยังไงก็ได้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน

“ตกลงคุณจะดูเรื่องอะไรล่ะ?”
“ผมให้คุณสองเลือก”
“ผมไม่มีหนังที่อยากดูเลย คุณเลือกเถอะ ผมอะไรก็ได้”

ภูตอบตกลงและกดจองตั๋วหนังผ่านทางแอปพลิเคชั่นระหว่างเดินไปชั้นห้าเพื่อหาอะไรทาน ฟู้ดคอร์ทที่นี่ราคาไม่แพงเลย ผมค่อนข้างประทับใจเมื่อเงยหน้ามองราคาแล้วเห็นว่ามันน่ารักเสียจนอยากย้ายมาอาศัยอยู่แถวนี้จะได้ฝากท้องบ่อยๆ ผมสั่งบะหมี่หมูต้มยำมากิน ส่วนภูสั่งข้าวขาหมู ในจานของเขามีหนังเด้งดึ๋งฉ่ำน้ำดูน่ากิน ผมเหลือบมองไขมันก้อนโตด้วยความสงสัยจนภูต้องเอ่ยปากชวนให้กินด้วยกัน

“คุณกินเถอะ ผมอายุเยอะแล้ว เนื้อขาวพวกนี้ไม่ดีเท่าไหร่”

ผมตอบตามตรง แต่ภูคิดว่านิดๆหน่อยๆแค่คำสองคำไม่เป็นไรก็เลยแบ่งให้ผมได้กินขาหมูด้วย ระหว่างทานข้าวเราคุยกันนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป ภูเล่าให้ฟังว่าทำไมวันนี้ถึงต้องเลิกงานดึกแล้วก็ถามต่อว่าผมล่ะเป็นยังไงบ้าง ทำงานเหนื่อยไหม เมื่อเช้าแฮงก์หรือเปล่าเพราะภูตื่นมาก็ปวดหัวนิดหน่อย ผมจึงไล่ตอบแต่ละคำถามด้วยคำสั้นๆว่า ก็เรื่อยๆ ไม่ และไม่

“เมื่อคืนคุณสองร้องไห้เยอะ --”
“รู้แล้ว ไม่ต้องพูดมาก” ผมใช้ช้อนตักน้ำซุปเข้าปาก “อันนี้ก็อร่อยนะ คุณลองชิมดูสิ”
“ผมไม่กินเผ็ดอ่ะ”
“พูดจริง?”
“จริงครับ” ภูบอกจ๋อยๆพลางเหลือบมองน้ำซุปสีแดงเข้มเพราะพริกเผา “แค่ดูคุณสองกินก็รู้แล้วครับว่าอร่อย คุณสองกินเยอะๆนะ ไม่ต้องแบ่งผม อ่ะ – ขาหมูอีกชิ้น”
“เฮ้ย คุณกินไปเถอะ เด็กกำลังโตมาแบ่งให้คนแก่ๆกินทำไม”
“ผมไม่เด็กแล้วนะ” ภูส่งยิ้มให้อีกครั้ง “คุณสองเองก็ยังไม่แก่ ถ้าอายุสามสิบคือแก่แล้วแม่ผมเรียกว่าอะไรดีล่ะ”

ผมหัวเราะให้กับคำพูดคำจาของเจ้าเด็กนี่ ภูเป็นคนช่างพูด เขาพูดไปเรื่อย พูดเก่ง และไม่พูดเรื่องน่าเบื่อหรือถามคำถามที่คู่สนทนาไม่อยากตอบ ดังนั้นตอนกินข้าวเราจึงไม่รู้สึกอึดอัดเลย มีเรื่องมากมายให้คุยให้ถามไถ่เยอะแยะไปหมดอย่างเรื่องตัดไข่แมว เรื่องมหาวิทยาลัยที่ภูเรียนจบมา เรื่องส่วนตัวอย่างแฟนคนแรก – ภูเล่าให้ผมฟังว่าเขาเคยมีช่วงเวลาที่น่าสับสนและกดดันมากๆด้วย

“ผมคิดว่าตัวเองเป็นชายแท้มาตลอด แต่คบกับผู้หญิงกี่คนๆก็ไม่ค่อยเต็มที่เลย”

ภูแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้ฟัง เขาเล่าว่าก่อนหน้านี้ก็เคยคบกับผู้หญิงจริงจังประมาณสองสามคน เคยมีเซ็กส์กับผู้หญิงด้วยแต่กลับไม่เคยถูกเติมเต็ม ถามว่ารักไหมก็รัก แต่มันไม่ใช่ความรักในแบบที่พ่อรักแม่ มันเป็นความรักแปลกๆที่ภูเองก็ไม่เข้าใจ เขาคิดว่าคงเป็นความผิดของตัวเองที่รักใครได้ไม่นาน ทว่าตอนเรียนปีสาม – ภูมีโอกาสคุยกับรุ่นพี่ที่จบไปหลายปีแล้วรู้สึกดีมากจนสับสนอยู่พักใหญ่ แต่เขาก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้เพราะรุ่นพี่คอยเป็นกำลังใจให้ น่าเศร้าที่พวกเขาคบกันได้ไม่นานก็เลิกเพราะยังมีหลายๆอย่างที่เข้ากันไม่ได้ หลังจากนั้นภูก็เจอเนเน่

“ผมเกือบคิดว่าตัวเองเป็นชายแท้อีกครั้งเพราะเนเน่เลยนะ” ภูบอก “แต่ลึกๆผมก็รู้ตัวเองว่าเป็นยังไง สุดท้ายมันก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี”

ภูเล่าอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ผมนึกอยากรู้จริงๆว่ารุ่นพี่ที่ช่วยให้ภูผ่านช่วงเวลาสับสนไปได้นั้นเลิกกันด้วยเหตุผลอะไร ผมหมายความว่า – ภูก็โอเคใช้ได้ เขาคุยสนุก เขาเฟรนด์ลี่และขี้เล่น เขาเป็นคนตลกและยิ้มเก่ง ใครบ้างล่ะจะไม่ชอบภู เขาเป็นเด็กน่ารักขนาดนี้

“คุณเคยมีอะไรกับผู้ชายไหมล่ะ?”
“เคยครับ” ภูดูเหนียมอายนิดหน่อย “คุณสองก็ --”
“จะเหลือเหรอ?” ผมแค่นหัวเราะเมื่อเห็นเด็กเขินจนหน้าแดง “แล้วแฟนคนล่าสุดของคุณคือเมื่อไหร่ล่ะ?”
“เนเน่ครับ”
“อ้าว หลังจากเนเน่ก็ไม่มีใครอีกเลยเหรอ?” ผมถามด้วยความประหลาดใจ นึกสงสัยจริงๆว่าคนแบบภูน่ะเหรอจะว่างนาน
“ผมไม่ค่อยได้เจอใครเลย ถึงเจอก็คุยแล้วไม่ถูกคอเหมือนคุยกับคุณสอง”
“เราเคยคุยกันถูกคอด้วยหรือไง?”
“ก็ตอนนี้ไงครับ” ภูฉีกยิ้มอีกครั้ง “เห็นไหมว่ากินข้าวกับผมไม่อึดอัดหรอกนะ ทีหลังคุณสองต้องมาเที่ยวกับผมบ่อยๆนะครับ เราจะได้มีช่วงเวลาคุณภาพด้วยกัน”

ผมหลุดหัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยินภูพูดแบบนี้ ไอ้เด็กนี่มันร้ายกว่าที่คิด เจ้าหมาโกลเด้นที่ชอบกระดิกหางดีใจเวลาเจอหน้ากันมันไม่อยู่เฉยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมบอกภูว่าถ้าคิดว่าลากคนอย่างผมออกจากบ้านได้ก็เอาสิ พอเปิดทางให้แบบนี้ก็ยิ่งได้ใจ ภูเอาแต่บอกว่าอยากจะพาสิปปกรไปลองเที่ยวที่นั่นที่นี่เพราะรู้ว่าผมไม่ค่อยไปไหน วันๆอยู่แต่ที่ร้าน แปลงาน ขายหนังสือ แม้แต่เอเชียทีคที่เคยฮิตมากๆยังไม่เคยไปเหยียบเลย

หลังกินทุกอย่างจนเกลี้ยงแม้กระทั่งผักดองในข้าวขาหมู เราก็เดินไปโรงหนังด้วยกัน ผมเสนอตัวจ่ายค่าตั๋วเพื่อไถ่โทษอีกครั้งที่ทำให้เขาขายหน้าแต่ภูปฏิเสธ ดังนั้นเราจึงหารครึ่งทั้งค่าตั๋วและค่าป็อปคอร์น ระหว่างยืนรอน้ำอัดลม ผมก็ถามภูว่าคนที่ทำงานรู้เรื่องนี้ไหม เขายิ้มและพยักหน้า พวกหมอด้วยกันรู้ ผู้ช่วยคนนั้นก็รู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ลุงยามกับลูกค้าไม่รู้

“ถ้ามีคนถามผมก็คงบอกตรงๆแหละครับว่าชอบผู้ชาย”

ภูยิ้ม (อีกแล้ว) วันๆนึงเขายิ้มกี่ครั้งกันนะ มีแค่ช่วงที่เราบึ้งตึงใส่กันเท่านั้นล่ะมั้งที่เจ้าโกลเด้นภูไม่สดใสร่าเริงเหมือนเคย พอเห็นเขากลับมายิ้มได้อีกครั้งก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ภูเป็นคนประเภทที่ผมไม่อยากทำให้เขาต้องรู้สึกแย่เลย เขาควรยิ้มกว้างๆ ยิ้มจนตาหยี ยิ้มและหยอกล้อเหมือนเด็กแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะคนอย่างภูคือพลังงานบวกที่ควรมีไว้ติดตัว เขาไม่ควรพบเจอเรื่องเศร้าๆหรือเรื่องเฮงซวยเหมือนนายสิปปกรเลยซักนิด

เรายืนรอจนกระทั่งแน่ใจว่าโฆษณาหมดแล้วจึงเดินเข้าโรงหนัง ที่นั่งแถวดีไม่มีใครนอกจากเราสองคน ผมทิ้งตัวนั่งทางฝั่งขวาของภูและเริ่มกินป็อปคอร์น หนังที่กำลังจะดูคือเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความยาวกี่นาที ก็แค่ตามมาดูเป็นเพื่อน ทั้งหมดที่ทำไม่ใช่เพราะรู้สึกอะไรด้วยหรอกนะ ผมก็แค่อยากไถ่บาป ไม่อยากติดค้างภูอีกก็เท่านั้นเอง

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป นายสิปปกรที่ไม่เคยเอนจอยกับสิ่งใดๆนอกจากหนังสือก็เริ่มม่อยหลับ ผมนั่งสัปหงกอยู่สองสามครั้งระหว่างจอภาพยนตร์ฉายภาพเคลื่อนไหวเป็นแสงวูบวาบสว่างตา ภูเองก็คงสัมผัสได้ว่าผมกู่ไม่กลับแล้ว เขาเอนตัวมาทางขวานิดหน่อยเพื่อให้ผมได้ซบไหล่ แต่ขอโทษเถอะ ผมจะเอนไปซบภูให้เมื่อยคอทำไม ผมบอกเขาว่าไม่ต้องหรอก ดูหนังไปเถอะ แล้วก็เอนตัวนอนต่อหน้าตาเฉย

“ไม่โรแมนติคเลยอ่ะ” ภูตัดพ้อ “คุณสองต้องเอนซบผมสิ”
“ไร้สาระ”

ผมงึมงำและหลับจนกระทั่งหนังจบ ภูเป็นคนปลุกก่อนจะบอกว่ามันดึกมากแล้ว เดี๋ยวเขาจะขับรถไปส่งนายสิปปกรขี้เซาที่ร้าน ผมถามย้ำอีกครั้งว่าส่งตรงไหนนะ

“ที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้งไงครับ”
“แต่มันไกลนะภู ส่งตรงรถไฟฟ้าก็ได้ ผมนั่งวินหน่อยเดียวก็ถึงร้านแล้ว”
“ได้ไง มันอันตราย ถ้าปล่อยให้คุณสองกลับเองผมคงนอนไม่หลับอ่ะ ไปด้วยกันนี่แหละครับ เดี๋ยวผมไปส่งนะ”

ภูบอกและเดินนำไปที่รถ ผมไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเอาจริงๆก็ไม่ค่อยอยากเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเท่าไหร่ หนึ่งเพราะมันแพง สองเพราะผมรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากก้าวขาเดินไกลๆอีกแล้ว ดังนั้นผมจึงตอบตกลงเมื่อภูบอกว่าจะไปส่งถึงร้านกู้ด รี้ดดิ้ง

“เดี๋ยวถึงร้านแล้วอย่าเพิ่งกลับนะ ผมมีของจะให้”

ผมบอกภู เขายิ้มกว้างและกระดิกหางแรงกว่าเดิมอีกเมื่อได้รับคำเชื้อเชิญให้เข้าไปในพื้นที่ส่วนตัว ช้าก่อนไอ้หนู – คำเชิญนี้ใช้ได้เฉพาะชั้นหนึ่งของร้านหนังสือเท่านั้นแหละ เพราะพื้นที่ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปเป็นพื้นที่ลับ นอกจากผม ติณณภพ และเด็กทำความสะอาดแล้วก็ไม่มีใครสามารถขึ้นไปได้ทั้งนั้น ยกเว้นครอบครัวของผมและคนที่ติณไว้ใจเท่านั้น

ตลอดทางนั่งรถกลับบ้าน เรามีบทสนทนาดีๆร่วมกันเหมือนเคย คราวนี้ภูไม่เล่าเรื่องตัวเองแต่ปล่อยให้ผมได้ระบายความหงุดหงิดโมโหจากไลน์ของชวินทร์บ้าง ผมเล่าให้ภูฟังอย่างละเอียดอีกครั้งว่าเมื่อวานเราคุยอะไรกัน วินพูดว่ายังไง และล่าสุดที่มันไลน์มาด่ามีใจความว่ายังไงบ้าง ผมอ่านให้ภูฟังว่าชวินทร์พูดว่า ‘เพราะสองเป็นแบบนี้ไง เราถึงไม่อยากชัดเจนกับสอง’ ภูดูหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกว่าคนที่ส้นตีนที่สุดในความสัมพันธ์เฮงซวยนี้มันมีอยู่คนเดียวแหละ นั่นก็คือไอ้เหี้ยพี่วิน

“คุณสองบล็อกๆมันไปเถอะครับ คนอุบาทว์แบบนั้นอย่าไปให้ราคามันอีกเลย”

ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแต่ยังไม่อยากบล็อกเพราะรอโอกาสด่ากลับไม่ให้มันพล่ามอยู่ฝ่ายเดียว ผมเล่าให้ภูฟังอีกนิดหน่อยก่อนเขาจะถามว่าขออีกซักเรื่องได้ไหม ถือว่าเป็นการไถ่โทษครั้งสุดท้ายที่ผมต้องทำให้เขา

“ได้คืบแล้วจะเอาศอกจริงๆนะคุณเนี่ย”

ผมบ่นและเริ่มรำคาญเพราะไถ่โทษมาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว นึกสงสัยว่าทำไมการไถ่โทษนี้ถึงไม่จบไม่สิ้นเสียที ภูเห็นสีหน้าของผมจึงให้สัญญาว่าครั้งสุดท้ายจริงๆ หลังจากนี้เขาจะไม่หยิบเรื่องนี้มาต่อรองอะไรอีก

“คุณจะให้ผมทำอะไรล่ะ?”
“พิมพ์ด่าไอ้เหี้ยพี่วินว่า คxx แล้วบล็อกไลน์มันครับ”

ผมอ้าปากเหวอ ช็อคนิดหน่อยที่ภูก็ไม่ได้หน่อมแน้มแสนนุ่มนวลอะไรขนาดนั้น ผมถามย้ำอีกครั้งว่าจะให้พิมพ์คำที่ขึ้นต้นด้วยค.ควายจริงๆเหรอ ภูบอกว่าใช่ ผมควรด่าชวินทร์แรงๆเป็นครั้งสุดท้าย ปิดด้วยคำว่า คxx แล้วบล็อกเลย

ผมลังเลนิดหน่อย แต่ก็ทำตามภูเพราะรำคาญกับแฟนเก่าที่คอยรังควาญเหมือนผีขอส่วนบุญ ผมอาจไม่ได้ใช้คำพูดรุนแรงเหมือนที่ภูแนะนำ แต่ปิดท้ายด้วยคำว่า คxx ตามที่เขาบอกไว้เป๊ะๆ หลังบล็อกชวินทร์ไปก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะ ป่านนี้ไอ้เหี้ยวินคงเต้นเป็นเจ้าเข้าแล้วเพราะผมไม่มีวันเห็นข้อความหรือคำด่าจากมันอีก พอคิดแบบนี้ผมก็หันหน้าไปหาภูและเริ่มหัวเราะ เราสะใจกับการร่วมด่าคนเฮงซวยที่อยากกลับมาเอาแฟนเก่าทั้งๆที่เมียกำลังท้องอยู่ บทสนทนาที่เคยคิดว่าน่าเบื่อกลับกลายเป็นมีสีสันโดยไม่รู้ตัว ภูทำให้ผมสบายใจและโล่งใจไปในคราวเดียวกัน ช่วงเวลาแสนสั้นไม่กี่ชั่วโมงของเราทำให้ผมเริ่มมีความคิดว่าบางที –

การมีภูอยู่ในชีวิตก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าเรามาถึงร้านกู้ด รี้ดดิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ เวลาผ่านไปไวจนผมเสียดายที่มันต้องจบลง แต่ภูบอกว่าไม่เป็นไร เขาจะไลน์มาหาและชวนสิปปกรออกไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ผมย้ำเขาอีกครั้งว่าผมไม่ใช่คนไปไหนมาไหนง่ายๆ พยายามหน่อยล่ะ อย่าเพิ่งเบื่อก็แล้วกัน

เราเดินหัวเราะด้วยกันจนถึงทางเข้าหน้าร้าน ไฟสีเหลืองนวลจากบานหน้าต่างชวนให้เอะใจว่ามันมีอะไรแปลกๆ ปกติสองทุ่มครึ่งร้านก็ปิดแล้ว แต่นี่ห้าทุ่มกว่าทำไมไฟยังติดอยู่ จะบอกว่าพนักงานลืมปิดไฟคงเป็นไปไม่ได้ หรือว่าติณยังอยู่ร้าน? ชิบหายละ – ถ้าไอ้ติณอยู่ร้านแล้วเห็นผมเดินควงภูเข้ามาข้างใน มีหวังโดนถลึงตามองแน่ๆ

เมื่อเดินถึงประตูร้าน ผมก็ยิ่งประหลาดใจเพราะมันไม่ได้ล็อค ในร้านมีคนอยู่จริงๆและยังอยู่ชั้นล่างด้วยเพราะผมเห็นเงาของคนสองคนกำลังเดินมาทางนี้ ผมบอกภูว่าให้รอข้างหลังก่อน ผมต้องบอกติณก่อนว่าภูแค่รอข้างล่างเฉยๆเพราะผมมีขนมจะแบ่งให้เขากิน ทว่าเมื่อเห็นเต็มตาว่าสองคนที่อยู่ในร้านคือใครและมีสภาพแบบไหน ผมก็ได้แต่ยืนอ้าปากค้างจนภูต้องเดินมาหา แล้วเราก็ยืนอึ้งด้วยกันทั้งคู่โดยไม่มีคำพูดอะไรหลุดจากปาก

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์วะสอง?”

ติณณภพถามด้วยความไม่พอใจสุดขีด มันเหลือบมองภูแค่เสี้ยววินาทีก่อนจะกลับมาจ้องหน้าอย่างเอาเรื่องเพราะปกติแล้วผมไม่เคยไม่รับโทรศัพท์เลย ไม่เคยปล่อยให้ใครต้องรอหรือปิดเสียงเลยซักครั้ง แต่เมื่อกี๊ผมไปดูหนังกับภูก็เลยเปิดไนต์โหมดเอาไว้ และเรามีเรื่องให้คุยกันเยอะมากจนลืมสนิท ผมไม่ได้อธิบายติณเรื่องนี้เพราะมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือน้ำหนึ่งต่างหาก

น้ำหนึ่งมาหาผมถึงที่นี่พร้อมเปเปอร์ – ในสภาพสะบักสะบอมเหมือนคนถูกซ้อม

“ไอ้เหี้ยปั๊ปทำเหรอ?”

ผมถามแต่พี่สาวไม่ตอบ เธอมองผมสลับกับมองภูอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าผมอ่านแววตาของน้ำหนึ่งพลาดไปหรือไม่ ผมสัมผัสได้ว่าพี่สาวผิดหวังในตัวผมมาก น้ำหนึ่งโกรธและเสียใจเมื่อเห็นว่าผมกลับร้านโดยพาภูมาด้วย

“พี่โทรหาแกเป็นสิบๆสาย แต่แกไม่รับ”
“ขอโทษ พอดีเมื่อกี๊ดูหนังอยู่ก็เลยไม่ได้ยิน”
“อีกแล้วเหรอสอง?” น้ำหนึ่งพูดประโยคนี้ด้วยเสียงสั่นเครือก่อนที่เธอจะร้องไห้ “แกไม่รับสายพี่เพราะติดผู้ชายอีกแล้วเหรอ?”

ผมมองหน้าพี่สาวโดยไม่พูดอะไร นี่คือครั้งที่สองที่น้ำหนึ่งตอกย้ำว่าผมมันเห็นแก่ตัวแค่ไหนที่มัวแต่ไปมีความสุขกับผู้ชายแล้วปล่อยให้พี่ต้องเผชิญเรื่องเฮงซวยอีกครั้งเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อน



TBC

__________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ วันจันทร์หรรษาสัปดาห์นี้มาช้าหน่อยนะคะเพราะเลิกงานตั้งหกโมงแน่ะ

นิยายเรื่องนี้เข้าสู่ตอนที่ห้าแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ ชอบกันมั้ยเอ่ย? ไม่ว่าจะรู้สึกยังไง สามารถติชมได้ตลอดในทุกช่องทางนะคะ ทุกฟี้ดแบคและทุกกำลังใจจะถูกนำมาปรับปรุงและผลักดันเพื่อให้เราเขียนสิ่งที่ดีกว่าเดิมออกมาแน่นอนค่ะ

ขอบคุณนักอ่านผู้น่ารักทุกคนที่ยังคงติดตามกันอย่างเหนียวแน่น ขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่มีให้กันมาเสมอนะคะ การเริ่มใหม่มันยาก แต่พอคิดว่าเอาน่า อย่างน้อยก็มีคนรออยู่ มีคนชอบ เราก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งกัน เราจะตั้งใจเขียนและมีวินัยแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ รักนะคะ ดีใจที่เราได้มีโอกาสรู้จักกันผ่านตัวอักษรจริงๆค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2020 23:15:52 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อ้าว อิยัยพี่ผีบ้านี่ มีปัญหาทีไรน้องก็ต้องเป็นกระโถนรองรับหรือไง
ปวดหัวแทนสองแล้วเนี่ย เรื่องตัวเองก็พึ่งเคลียร์แหม่บ ๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะจบจริงไหม
ครอบครัวตัวดีมาอีกแระ จะให้สองแบกรับคนทั้งบ้านเลยหรือไง
ทุกคนมีสิทธิที่จะเริ่มต้นใหม่และมีความสุขเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
สองเนี่ยเป็นคนใจร้อนจริงๆ ว่าแล้วเชียวคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่
ส่วนน้ำหนึ่งนี่ ปวดกะบาลกับนางจริงๆ :angry2: โตป่านนี้แล้วยังรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้อีก เกิดอะไรขึ้นก็กระทบน้องทุกที

เรามีความรู้สึกว่าเราชอบติณเพื่อนของสอง 55555 เราว่าอย่างน้อยๆเรื่องดีๆในชีวิตสองคือการมีเพื่อนที่ดีอย่างติณ เขาดูมีสติกว่าสอง แบบว่าใจเย็นกว่า เป็นเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้าง ช่วยเหลือหรือคอยเตือนสติสองได้

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ความสัมพันธ์จะว่าก้าวหน้าก็ใช่นะคะ อ่านแล้วหดหู่ที่เรายังต้องทนอยู่ในประเทศที่มีรบ.แบบนี้ ไหนจะผู้คนสลิ่มรอบตัวอีก เป็นท้อค่ะ อยากไปแค่ไหนก็ไปไม่ได้  :ling3:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
5 [PART1/3]


5


เรื่องมันเกิดเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ผมเพิ่งย้ายไปอยู่กับชวินทร์ได้ไม่นาน และเราเริ่มมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนลืมเรื่องรอบตัวไปชั่วขณะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมไม่สนใจอะไรเลยนอกจากวิน ผมไม่คิดจะหางานใกล้บ้าน ไม่คิดถึงพ่อกับแม่และพี่สาวที่เคยอยู่ด้วยกันมาตลอดยี่สิบกว่าปี ผมสนุกกับการปลีกแยกออกไปทดลองใช้ชีวิตของตัวเองจนกระทั่งน้ำหนึ่งโทรมาบอกว่าเธอท้อง

“ท้อง?!” ผมเผลอตะโกนเสียงดังจนวินที่กำลังเขียนวิทยานิพนธ์ต้องเหลียวหลังกลับมามอง “ท้องกับใคร?!”

วินาทีนั้นผมเอาแต่ตำหนิพี่สาวว่าปล่อยให้ท้องได้ยังไง น้ำหนึ่งไม่ยอมเล่านอกจากถามว่าจะทำยังไงดี จะทำยังไงดี เพราะแฟนคนปัจจุบันในตอนนั้นไม่พร้อมมีลูก แต่น้ำหนึ่งก็รักตัวอ่อนในครรภ์ซึ่งมีอายุแค่หกสัปดาห์มากๆจนไม่อยากไปทำแท้ง

“แล้วใครจะเลี้ยงลูก? คิดบ้างไหมว่าเลี้ยงเด็กต้องใช้เงินเยอะ พี่เองก็ไม่มีงานทำ ผัวก็เพิ่งจะผ่านโปร จะเอาเงินจากไหนมาเลี้ยงเด็ก?”

ผมไม่อยากเป็นคนไม่ดีเลย แต่คำแนะนำอย่างเดียวที่มอบให้พี่สาวคือการทำแท้ง อย่างน้อยตอนนี้น้ำหนึ่งควรโฟกัสที่ตัวเองกับแฟนก่อน เพราะถ้าฝืนดันทุรังปล่อยให้เด็กเกิดมา ผมว่าความซวยจะไม่ได้ตกอยู่ที่สองผัวเมีย แต่ผมและพ่อกับแม่อาจจะต้องร่วมรับผิดชอบสิ่งที่น้ำหนึ่งทำด้วย

แน่นอนว่าพี่สาวของผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่ น้ำหนึ่งโกรธถึงขนาดด่าด้วยคำหยาบเมื่อบอกว่าจะหาคลินิกดีๆที่ไว้ใจได้และพาไปทำแท้ง ผมยังจำน้ำเสียงของเธอได้ว่าเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อว่าที่คุณน้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้หลานเกิดมา ก่อนจะปิดท้ายด้วยการพูดว่าน้ำหนึ่งคือแม่ แม่เป็นคนตัดสินใจว่าลูกจะอยู่หรือไป ดังนั้นหากพูดสิ่งดีๆออกมาไม่ได้ก็ควรหุบปาก ไม่ใช่แนะนำให้แม่ฆ่าลูกแบบนี้

“พี่ไม่เข้าใจเหรอว่าการมีเด็กคือภาระ แล้วพี่จะมีปัญญาเลี้ยงลูกเหรอ? ต่อให้บอกว่าเลี้ยงเองก็เถอะ ในเมื่อพ่อแม่มันไม่เอาถ่านขนาดนี้ ยังไงเด็กก็ต้องใช้เงินสองอยู่ดี!”

ยอมรับก็ได้ว่าคำพูดที่พูดไปตอนนั้นค่อนข้างแรงและทำร้ายน้ำใจพี่สาวมากๆ ผมไม่เพียงแค่เหยียดหยามเธอเรื่องการศึกษา หากแต่ตอกย้ำและดูถูกว่าคนอย่างน้ำหนึ่งกับแฟนคงไม่มีปัญญาหาเงินเลี้ยงเด็กให้ได้ดีอีกด้วย ผมไม่อยากใช้คำพูดใจร้ายแบบนั้นกับคนในครอบครัวเลย แต่น้ำหนึ่งเป็นประเภทไม่โดนตำหนิก็ไม่ค่อยจะรู้สำนึก แถมชอบใช้ชีวิตเพ้อฝันเหมือนพวกสก๊อยแว๊นในเฟสอีก

ถึงเปนลูกที่แย่ แต่จะเปนแม่ที่ดี

นี่คือสเตตัสที่น้ำหนึ่งโพสต์หลังวางสายจากน้องชาย ผมอ่านแล้วได้แต่หัวเราะเพราะมั่นใจว่าในอนาคตน้ำหนึ่งคงได้รู้สึกรู้สาแน่ๆว่าการเป็นแม่ไม่ใช่แค่เบ่งคลอดออกมา แต่มันมีภาระ มีหน้าที่ มีความรับผิดชอบต่างๆที่ต้องแบกรับเยอะกว่าที่คิดไว้ ผมได้แต่หวังว่าหลังหลานคลอด น้ำหนึ่งจะสำนึกได้และเลิกทำตัวเลื่อนลอยไม่เอาไหน ทว่าวันนั้นกลับไม่เคยเกิดขึ้น

เพราะน้ำหนึ่งแท้ง – เมื่ออายุครรภ์ประมาณสิบหกสัปดาห์

มันมีสัญญาณเตือนมาก่อนแล้วแต่ผมไม่ได้สนใจพี่สาว น้ำหนึ่งเองก็ยังโกรธที่ผมเสนอให้เธอไปทำแท้งจึงไม่ค่อยอัปเดตเรื่องราวอะไรให้ฟังนอกจากขอร้องไม่ให้บอกพ่อกับแม่

“ช่วงนี้พ่อไปซ่อมเครื่องจักรที่สระบุรีบ่อยมาก แม่ก็ทำโอทุกวัน อย่าเอาเรื่องพี่ไปทำให้พ่อกับแม่ปวดหัวนะ”

น้ำหนึ่งแชทมาหาผมแบบนี้ แต่ผมรู้ดีว่าสิ่งที่น้ำหนึ่งกลัวไม่ใช่พ่อกับแม่จะลำบาก เธอกลัวถูกตำหนิต่อว่าที่ทำอะไรก็ไม่เคยจะประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันต่างหาก แถมยังทำให้พ่อแม่เสียหน้าตลอดทั้งเรียนไม่จบจนกระทั่งท้องก่อนแต่ง ผมว่าพ่อกับแม่น่าจะเดาอนาคตของน้ำหนึ่งออกตั้งแต่สมัยเรียนเพียงแค่ไม่ได้ปรามาสเธอตรงๆ แต่ในเมื่อพี่สาวขอร้อง ผมจึงให้สัญญาว่าจะไม่บอกใคร และผมก็ไม่บอกใครจริงๆจนกระทั่งน้ำหนึ่งแท้ง

วันที่เกิดเรื่องเป็นวันเสาร์ ผมจำได้แม่นว่าวันเสาร์เพราะเป็นวันที่ชวินทร์ชวนไปออกเดตแบบจัดเต็มครั้งแรก เรามีนัดดินเนอร์กันที่ภัตตาคารบนดาดฟ้า เราดื่มไวน์และทานอาหารแพงๆเพื่อฉลองให้กับอะไรซักอย่างที่ผมจำไม่ได้ มันเป็นวันที่ผมมีความสุขมากเพราะได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับชวินทร์ เราดื่มจนเมากรึ่มและจูบกัน เรามีอะไรกันจนห้องนอนเละเทะไปหมดเพราะเซ็กส์ที่ค่อนข้างร้อนแรง หลังจบกิจกรรม ผมจำได้ว่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กว่ามีใครส่งงานมาให้ไหม หรือลูกค้าที่เพิ่งส่งงานให้เมื่อตอนเย็นมีคอมเม้นต์ปรับแก้อะไรหรือเปล่าซึ่งไม่มีข้อความของใครเลยนอกจากน้ำหนึ่งที่พิมพ์มาสั้นๆว่าปวดท้อง

“กินยาสิ”

ผมคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะพลิกตัวตะแคงเพื่อจูบชวินทร์และนัวเนียกันอีกพักใหญ่ น้ำหนึ่งส่งข้อความมาอีก เธอขอให้ไปอยู่เป็นเพื่อนหน่อย

“ผัวไม่อยู่เหรอ?”

ผมพิมพ์ห้วนๆไม่ใส่ใจเพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่ารออยู่

“ไม่ไหวก็ให้ผัวพาไปหาหมอ ตอนนี้สองไม่ว่าง”

คำว่าไม่ว่างของผมไม่ได้หมายถึงเรื่องงาน แต่ผมกำลังไม่ว่างเพราะง่วนอยู่กับการเล้าโลมชวินทร์เพื่อเริ่มเซ็กส์รอบที่สอง ผมจำได้ว่าโทรศัพท์สั่นอยู่หลายครั้งเพราะน้ำหนึ่งโทรมา ผมเห็นแล้วว่าเป็นพี่สาวแต่ไม่ได้สนใจเพราะกำลังใช้ปากปรนเปรอชวินทร์อยู่ คืนนั้นเรามีเซ็กส์ที่ร้อนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ผมมีความสุขมากและสนุกกับมันมากจนเพิกเฉยโทรศัพท์ที่ดังเกือบยี่สิบสายจากพี่สาว เมื่อเราเสร็จรอบที่สามจนแทบหมดแรง ผมถึงคว้าโทรศัพท์มาเปิดดูข้อความอีกครั้งและก็ต้องตกใจเมื่อน้ำหนึ่งถ่ายรูปก้อนเลือดเปื้อนกางเกงในมาให้ดู

“อยู่ไหน?”

ผมถามแต่น้ำหนึ่งไม่ตอบ เธอไม่อ่านอะไรอีกเลยหลังส่งข้อความยาวเหยียดว่าปวดท้องและผิดหวังแค่ไหนที่น้องชายไม่ใส่ใจ คืนนั้นผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบเพียงกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือไปอพาร์ทเม้นต์ของน้ำหนึ่งเพราะกลัวว่าพี่สาวจะเป็นอะไรไปจริงๆ และเมื่อเดินทางมาถึง ผมก็พบว่าทุกอย่างสายไปแล้ว น้ำหนึ่งแท้ง เลือดออกเลอะพื้นห้องน้ำเหมือนคนมีประจำเดือน ตอนที่ผมกับยามพังประตูเข้าไปข้างใน ผมเห็นน้ำหนึ่งนั่งหน้าซีดร้องไห้อยู่คนเดียว ไม่มีวี่แววของพ่อเด็กหรือใครเลย

“สอง”

พี่สาวเรียกผมด้วยน้ำเสียงหัวใจสลาย

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์?” 

ผมไม่รู้จะบอกพี่สาวยังไง รู้แค่ว่าเสียใจจนไม่อาจปั้นหน้าเป็นคนเย็นชาได้อีก ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรเลยนอกจากพาน้ำหนึ่งไปโรงพยาบาล แม้เจ้าหน้าที่มูลนิธิจะบอกว่าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดค่อนข้างแพงก็ไม่สนใจเพราะอยากให้พี่สาวได้รับการรักษาเร็วที่สุด คืนนั้นน้ำหนึ่งต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อรอขูดมดลูกพรุ่งนี้ ผมเพิ่งรู้ตอนหลังว่าน้ำหนึ่งมีปัญหากับแฟนมาซักพักแล้ว เธออยู่คนเดียว ส่วนแฟนไปค้างที่อื่นและไม่กลับห้องเลย พอรู้แบบนี้ผมก็ยิ่งโกรธตัวเองที่พูดกับพี่ไม่ดี ผมเสียใจที่ทิ้งน้ำหนึ่งให้เจอเรื่องหนักๆเพียงลำพัง ทว่าสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมนั้นไม่ใช่ตอนที่หมอเดินมาบอกว่าน้ำหนึ่งแท้ง แต่เป็นตอนที่น้ำหนึ่งนอนร้องไห้บนเตียงพร้อมกับกล่าวโทษว่าเป็นเพราะผม เพราะผมไม่รับโทรศัพท์ ผมใจร้ายใจดำที่ไม่มาอยู่กับเธอ น้ำหนึ่งถึงต้องเสียลูกไป

“ฉันก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่พี่สาวที่ดีเท่าไหร่” น้ำหนึ่งกัดฟันกรอดเหมือนโกรธจัด “แต่แกจะรักจะห่วงฉันในฐานะน้องชายบ้างไม่ได้เหรอ”

ผมพูดไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนั้น น้ำหนึ่งที่กำลังเศร้าเสียใจกับการจากไปของทารกอายุสิบสองสัปดาห์กลับเอาแต่เอ่ยปากโทษว่าเป็นความผิดของผมทั้งหมด แม้กระทั่งตอนที่หมอเดินเข้ามาในห้องเพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำหนึ่งก็ปิดกั้นไม่ยอมรับฟัง เธอท่องฝังหัวว่าถ้าผมไปหาเธอเร็วกว่านั้น ถ้าผมเสนอตัวพาเธอไปโรงพยาบาล น้ำหนึ่งก็คงไม่แท้ง เธอก็คงไม่เสียลูกไป แต่เพราะผมเกลียดลูกของเธอ ผมเกลียดหลาน ไม่อยากให้หลานลืมตาดูโลกตั้งแต่แรกก็เลยทอดทิ้งน้ำหนึ่งให้เจอเรื่องนี้เพียงลำพัง ผมกลายเป็นน้องชายนิสัยไม่ดี น้องชายใจร้ายที่เกลียดชังหลานตัวเองถึงขนาดไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ ผมกลายเป็นคนผิด – โดยที่น้ำหนึ่งไม่สำนึกเลยว่าสิ่งที่ผมช่วยพี่สาวในคืนนั้นมันตีมูลค่าเป็นเงินตั้งเท่าไหร่

ค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนไม่ใช่ถูกๆ ยิ่งน้ำหนึ่งไม่เคยทำประกันชีวิต ไม่เคยทำงานจ่ายค่าประกันสังคมก็เลยไม่มีสวัสดิการช่วยเหลือในส่วนนี้ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งว่าหากไม่สะดวก คุณหมอสามารถเขียนใบส่งตัวให้น้ำหนึ่งไปขูดมดลูกที่โรงพยาบาลรัฐได้ ตอนนั้นผมหนักใจมากเพราะไม่รู้จะทำยังไง สงสารพี่สาวแต่ตัวเองก็ไม่ได้มีเงินมากมายสำหรับจ่ายเงินค่าขูดมดลูกและค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน ผมเครียดจนคิดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้เพื่อทบทวนว่าควรเลือกทางไหน สุดท้ายผมก็ตัดสินใจให้น้ำหนึ่งขูดมดลูกที่นี่ ไหนๆก็มาแล้ว ผมไม่อยากให้พี่สาวเดินทางไปๆมาๆอีกก็เลยเอ่ยปากขอยืมเงินก้อนจากติณเพื่อจ่ายค่ารักษาส่วนนี้ก่อน ซึ่งการเลือกทางนี้ไม่เคยได้รับคำขอบคุณจากน้ำหนึ่งเลย เธอไม่เคยขอบคุณหรือขอโทษที่ทำให้ผมเสียเงินหลายหมื่นเป็นค่ารักษาพยาบาล น้ำหนึ่งจำแค่ว่าผมไม่รับสายเธอ ผมอ่านข้อความแต่ไม่สนใจเพราะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับผู้ชาย

“ทำไมไม่บอกว่าเลิกกันแล้ว ทำไมไม่เล่าให้ฟังว่าต้องอยู่คนเดียว?”

ผมถามน้ำหนึ่งด้วยความเสียใจไม่แพ้กัน อย่างน้อยถ้าน้ำหนึ่งเล่า มีเหรอที่ผมจะใจร้ายใจดำถึงขนาดไล่ให้ไปหายากินเอง ที่พูดไปตอนนั้นก็คิดว่าแฟนของน้ำหนึ่งอยู่ด้วย ผมคิดว่าเขายังคงอยู่ด้วยกันเป็นผัวเมีย คอยช่วยกันดูแลกันตามอย่างที่พี่สาวพูดมาตลอด แต่วันที่พักฟื้นในโรงพยาบาล น้ำหนึ่งถึงเล่าให้ฟังว่ามันจบแล้ว เธออยู่คนเดียวเกือบเดือนและรอคอยว่าเมื่อไหร่ผมจะติดต่อมา แต่ผมก็ไม่เคยไปเยี่ยมเธอ

“ช่วงนี้งานเยอะ ลูกค้าก็เร่งจะเอาให้ได้ สองไม่มีเวลาไปหาพี่จริงๆ”

ผมบอกด้วยความรู้สึกผิด แต่น้ำหนึ่งดูจะไม่พอใจกับคำอธิบายนี้เท่าไหร่ เธอถามกลับว่าเรื่องงานแน่เหรอ เป็นเรื่องงานจริงเหรอ ไม่ใช่ว่ากำลังมีความสุขกับใครหรอกใช่ไหม ผมทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าน้ำหนึ่งจับได้ยังไง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นเฟสบุ๊ก น้ำหนึ่งคงเห็นชวินทร์แท็กผมในเฟสบุ๊กแน่ๆ

“ชีวิตแกนี่ดีจังเลยเนอะ” น้ำหนึ่งพึมพำเหมือนประชดขณะเหม่อออกไปนอกหน้าต่างของโรงพยาบาล “เป็นผู้ชายตัวคนเดียว ไม่เห็นต้องรับผิดชอบอะไรเลย”

ผมพูดไม่ออก มันจุกอกจนพูดไม่ออกเมื่อได้ยินน้ำหนึ่งพูดว่า ‘ไม่เห็นต้องรับผิดชอบอะไรเลย’ ผมนึกอยากตอกหน้าเธอว่าไม่ต้องรับผิดชอบจริงเหรอ งั้นค่ารักษาพยาบาล ค่าขูดมดลูกที่ต้องจ่ายเป็นหมื่นนี่ขอไม่จ่ายได้ไหม ผมสามารถเดินตัวปลิวออกจากห้องนี่โดยไม่ต้องจ่ายค่ายาค่าแท็กซี่ให้พี่ได้ไหมล่ะ มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากพูด ผมอยากจะพูดออกไปเพื่อบอกพี่สาวว่าคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบอย่างผมมีค่าใช้จ่ายของใครที่ต้องแบกรับบ้าง แต่พอเห็นสีหน้าที่ทุกข์ระทมของแม่ที่เพิ่งเสียลูกแล้วมันก็พูดไม่ได้ ผมไม่อยากทำให้น้ำหนึ่งเจ็บช้ำน้ำใจจึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเอง ก้มหน้าก้มตาหาเงินใช้หนี้ที่หยิบยืมมาจากติณณภพ และฝังกลบเรื่องนี้ให้เป็นแค่อดีตแสนเลือนรางที่ไม่เคยถูกพูดถึงอีกเลย


 ❤


ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วจนกระทั่งน้ำหนึ่งหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้งในวันที่เธอมีปัญหากับคนรัก ครั้งแรกที่ได้ยิน ผมแสดงสีหน้าไม่ถูกว่าควรรู้สึกยังไงที่พี่สาวตัดพ้อต่อว่าราวกับผมเป็นน้องชายเฮงซวยที่ไม่เคยเป็นปกป้องดูแลเธอ ไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือโกรธ หรือควรใช้คำพูดแรงๆประชดประชันกลับไปเพื่อเอาคืนให้สาแก่ใจ แต่พอเห็นสภาพน้ำหนึ่งที่ช้ำไปทั้งตัว ใบหน้ามีแต่รอยเขียว ปากแตกจนเลือดซิบ ผมก็พูดอะไรไม่ออกอีกครั้งเพราะสงสารพี่สาวเกินกว่าจะซ้ำเติม

“ไปโรงพยาบาลไหมครับ?”

เป็นภูที่พูดแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วงและท่าทางกระวนกระวาย ผมได้แต่มองภูแล้วรู้สึกแย่กับตัวเองอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์มันซ้ำรอยเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อนไม่มีผิด เพียงแค่เปลี่ยนจากชวินทร์เป็นภู เปลี่ยนจากเซ็กส์เป็นการดูหนังด้วยกัน และเปลี่ยนผมที่เคยตกใจกับเรื่องทำนองนี้เป็นความเคยชิน ผมชินแล้วที่น้ำหนึ่งกลับมาขอความช่วยเหลือในสภาพนี้ ชินแล้วกับคำประชดประชันจากปากพี่สาวราวกับไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากน้องชาย ผมชินกับเหตุการณ์พวกนี้ก็จริง แต่ยังคงห้ามตัวเองไม่ให้คิดมากไม่ได้

“ไม่ต้องหรอก” ผมบอกภูด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าเต็มทน “คุณกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”
“แต่ผมอยากให้พี่น้ำหนึ่งไปหาหมอ --”
“ผมจัดการเองได้ ผมเป็นน้องชายเขา ผมรู้ว่าต้องทำยังไง”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนคนหัวเสีย ภูจ๋อยลงทันตาเมื่อถูกดุ เขามองสลับผมกับน้ำหนึ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะขอตัวกลับโดยไม่ลืมบอกว่าถ้ามีอะไรให้ช่วย ติดต่อเขาได้เสมอ

“ติณก็อยู่ที่นี่ ไม่เป็นไรหรอก”

ผมบอกและโบกมือลาเจ้าโกลเด้นภู เขายกมือไหว้สวัสดีทุกคนก่อนจะค่อยๆเดินถอยหลังออกจากร้านราวกับรอว่าเราคนใดคนหนึ่งจะขอให้เขาอยู่ต่อ ทว่าเราสามคนกลับไม่พูดอะไร ผมเองก็ไม่ได้เอ่ยปากรั้งภูเพราะอยากเคลียร์ปัญหานี้ส่วนตัว จนกระทั่งรถบีเอ็มดับเบิลยูขับออกไป เราสามคนจึงหันมามองหน้ากัน ผมมองติณก่อนจะมองน้ำหนึ่งที่กำลังอุ้มเปเปอร์แนบอกและถามพี่สาวว่าเกิดอะไรขึ้น

“มันมีเมียน้อย”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่เปเปอร์เกิดได้ไม่กี่เดือน”

น้ำหนึ่งเริ่มร้องไห้ ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เราสองคนไม่ใช่พี่น้องที่สนิทกันขนาดจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังอีกแล้ว ยิ่งเมื่อก่อนผมเคยค่อนแขวะชีวิตของพี่สาวว่าเฮงซวย ห่วยแตก และไม่เอาไหน น้ำหนึ่งยิ่งไม่อยากเล่าชีวิตของตัวเองเพื่อให้ผมได้วิจารณ์หรือตำหนิติเตียนอะไรอีก

“แล้วจะเอายังไงต่อไป จะหย่าไหม?”

ผมพยายามทำน้ำเสียงราบเรียบใจเย็นเพราะไม่อยากเป็นไฟสุมอกพี่สาวให้มอดไหม้ ผมรู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะออกมาเป็นยังไง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผิดหวังหรือโดนทำร้ายจากคนรัก น้ำหนึ่งคนโง่ไม่เคยเป็นฝ่ายหักดิบขอเลิกก่อนเลย ทว่าไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้

“พี่จะหย่ากับมัน”
“พูดจริง?”
“จริง” น้ำหนึ่งยืนยันเสียงหนักแน่น “พี่จะหย่ากับมัน แต่จะไม่เซ็นใบหย่าเฉยๆหรอกนะ จะฟ้องให้มันจ่ายค่าเลี้ยงดูเปเปอร์จนกว่าจะเรียนจบปริญญาตรีด้วย”
“คิดว่าคนอย่างไอ้เหี้ยปั๊ปมันมีปัญญาส่งเสียลูกหรือไง?” ผมหยามเหยียดพี่เขย
“ก็ดีกว่าปล่อยให้มันไปสุขสบายกันสองคนไม่ใช่เหรอ?” น้ำหนึ่งถามเสียงแข็ง เพียงเสี้ยววินาทีจริงๆที่พี่สาวของผมเปลี่ยนจากคนอ่อนแอเป็นแข็งกร้าวที่ไม่ขอยอมจำนนอีกต่อไป
“งั้นคิดหรือยังว่าถ้าเลิกกันแล้วจะไปอยู่ที่ไหน?”

ผมถาม น้ำหนึ่งเงียบพักใหญ่เพราะให้คำตอบไม่ได้ เราต่างรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงคนที่ต้องแบกรับภาระของสองแม่ลูกคงต้องเป็นสิปปกรคนเดิม เพียงแค่ตอนนี้ผมมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่สามารถช่วยพี่สาวได้ หนึ่งคือผมไม่ได้เช่าห้องอยู่เอง ที่นี่คือร้านของติณณภพ มีห้องว่างสำหรับแขกเพียงห้องเดียว ส่วนห้องอื่นๆเป็นห้องใช้งานที่ติณเข้าๆออกๆตลอด สอง ผมกำลังเริ่มแปลหนังสือเรื่องใหม่ กว่าจะได้รับเงินก้อนก็คงอีกหกเจ็ดเดือนข้างหน้า นั่นหมายความว่าตอนนี้เราสามคนใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้าย ผมล้มไม่ได้ ผมไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองว่างโดยไม่รับงานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะอดตายกันหมด

“ให้พี่น้ำหนึ่งอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ ห้องมึงก็พอมีที่ไม่ใช่เหรอสอง?”

ติณณภพหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อีกตามเคย ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ติณก็เป็นเพียงคนเดียวที่ช่วยเราสองคนพี่น้องในช่วงตกอับถึงที่สุดเสมอ ผมเกรงใจติณ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอรับความช่วยเหลืออีกครั้ง ผมให้สัญญากับติณว่าจะรีบหาทางออกเรื่องนี้ไวๆ อย่างน้อยหลังน้ำหนึ่งเข้าไปเก็บของที่คอนโดพี่เขย ผมจะเริ่มคิดจริงจังว่าจะส่งพี่สาวไปอยู่ที่ไหน เพราะน้ำหนึ่งและเปเปอร์จะอยู่ที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้งตลอดไปไม่ได้ นี่คือร้านหนังสือไม่ใช่สถานสงเคราะห์ การมากินอยู่ย่อมทำให้ติณมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นผมจะให้การอยู่ร้านเป็นทางออกสุดท้าย ต่อให้ต้องจ่ายเงินก้อนเป็นค่าตั้งตัวให้น้ำหนึ่งก็ยอม

หลังคุยกันว่าจะทำยังไงต่อ ติณณภพก็เป็นธุระพาน้ำหนึ่งไปตรวจร่างกายและขอใบรับรองแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อเก็บเป็นหลักฐาน ผมถ่ายรูปร่องรอยทุกอย่างไว้เยอะมากเพื่อการนี้ จริงๆผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากระบวนการฟ้องหย่าต้องเริ่มต้นจากตรงไหน จำได้แค่ว่าหากมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นควรเก็บหลักฐานเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็เกือบตีสอง เราทุกคนเหนื่อยมากจนไม่มีกะจิตกะใจคิดถึงอะไรนอกจากตรงดิ่งไปห้องนอนของตัวเอง คืนนี้ติณณภพต้องค้างที่ร้านเพราะขับรถกลับบ้านไม่ไหว ส่วนผมปลีกตัวขึ้นห้องก่อนใครเพื่อเตรียมที่นอนให้พี่สาวและหลานที่หลับสนิทในเป้อุ้ม

“โห – นี่สภาพห้องแกเหรอ?”

น้ำหนึ่งบ่นอุบเมื่อเดินเข้ามาในโลกส่วนตัวของสิปปกร ห้องของผมไม่ได้แคบถึงขนาดอยู่กันสองคนแล้วอึดอัด แต่ก็ไม่ได้กว้างเพราะแทบทุกตารางนิ้วมีหนังสือวางกองเต็มไปหมด พวกสายชาร์ตก็พันรุงรังจนแยกไม่ออกว่าสำหรับชาร์ตอะไรบ้าง ส่วนโต๊ะทำงานไม่ต้องพูดถึง มีแต่เอกสารที่ผมปริ๊นท์ออกมาเพื่อแปลและหนังสืออ้างอิงต่างๆที่ใช้ในงานเท่านั้น

“ผ้าปูที่นอนไม่ได้ซักหลายเดือนแล้ว ฝนตก ไม่มีเวลา”
“ทำไมไม่ซื้อสำรองซักสองสามชุดล่ะ?”
“มันแพง ไอ้ที่ขายถูกๆก็นอนไม่ค่อยสบาย” ผมตอบตามตรง “อีกอย่างสองไม่ได้ซีเรียสเรื่องผ้าปูด้วย ตอนไหนซักก็ปล่อยมันโล้นแบบนั้นแหละ”
“แกอย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย สุขอนามัยก็สำคัญนะ”

น้ำหนึ่งบ่นพลางทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นอับจากผ้านวม ผมนึกอยากตอกกลับพี่สาวผู้เคร่งครัดในอนามัยเหลือเกินว่าที่ต้องขี้เหนียวขนาดนี้ก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนพร้อมจะประเคนปัญหาเข้ามาให้ มีเหรอผมจะยอมใช้ผ้าปูที่นอนชุดเดียวไม่เคยซื้อเพิ่มแบบนี้

“เดี๋ยววันไหนกลับไปเอาของที่บ้าน พี่จะให้ผ้าปูที่นอนนะ แกจะได้มีเปลี่ยน”

ผมพยักหน้ารับส่งๆขณะมองน้ำหนึ่งวางเปเปอร์ลงบนเตียง เธอปลีกตัวไปอาบน้ำและขอให้ช่วยดูลูกชายไม่ให้กลิ้งตกจากที่นอน เมื่อพี่สาวหายไปทำธุระส่วนตัว ผมจึงมีโอกาสได้ขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเต็มที่

ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับโลกของผม

โลกที่สิปปกรที่เคยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวกำลังถูกรุกล้ำโดยพี่สาวและหลานชายอย่างเลี่ยงไม่ได้ การขอมาอาศัยด้วยครั้งนี้จะต้องสร้างปัญหาและทำให้เราขัดแย้งกันอีกหลายครั้งแน่นอน ผมกำลังนึกอยู่ว่าหากเตียงถูกทั้งสองคนยึดไป ผมจะย้ายไปนอนส่วนไหนในห้องนี้ดี ผมมีเตียงหลังเดียว มีหมอนใบเดียว หมอนข้างและผ้าห่มผืนเดียว ไม่มีเครื่องนอนสำรองเก็บไว้ในห้องนี้เลย พอเริ่มตระหนักได้ว่าคืนนี้คงต้องลำบากนอนบนพื้นแข็งๆ ผมก็เริ่มหงุดหงิดหัวเสียและโมโห ผมโกรธทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตของตัวเองต้องเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้ ผมโกรธไอ้เหี้ยพี่ปั๊ปที่ทุบตีพี่สาว โกรธน้ำหนึ่งที่โง่งมงายในความรักถึงขนาดไม่ยอมปริปากเล่าจนเรื่องบานปลาย มันน่าโมโหและทำให้อารมณ์เสียจนเริ่มเก็บอาการไม่ได้ เมื่อน้ำหนึ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็บอกแค่ว่าให้เธอพักผ่อน ผมจะลงไปคุยกับติณณภพข้างล่าง

“สอง”

เสียงน้ำหนึ่งเรียกให้กลับไปมอง เราจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะน้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง

“ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่มีแก พี่คงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”

เชื่อไหมว่าแค่คำขอบคุณแสนสั้นและเรียบง่าย ทำให้ความโมโหหายไปหมด ผมโกรธน้ำหนึ่งไม่ลงและเริ่มคิดว่าเราสองคนก็มีกันแค่นี้ เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถนำภาระทุกอย่างไปขอความช่วยเหลือจากพ่อกับแม่ได้ มีแค่เราเท่านั้นที่จะช่วยกันให้ผ่านเรื่องเฮงซวยทั้งหมดไปด้วยกัน ผมมองหน้าพี่สาวที่ร้องไห้ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ไม่ได้เดินเข้าไปสวมกอดหรือบอกเธอว่าไม่เป็นไร ผมบอกน้ำหนึ่งแค่ว่านอนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องตัดสินใจว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน ที่แน่ๆ – พี่จะอยู่ร้านกู้ด รี้ดดิ้งไม่ได้

“แต่ติณก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
“ติณไม่พูด ไม่ได้แปลว่าไม่คิด” ผมบอก “อีกอย่างถ้าพี่มาอยู่ ค่าน้ำค่าไฟก็คงเพิ่มขึ้น”
“พี่จ่ายส่วนต่างให้ก็ได้”
“คนไม่เคยทำงานประจำแบบพี่จะหาเงินจากไหนมาจ่ายเหรอ?” ผมแขวะพี่สาวอีกครั้งอย่างลืมตัว “ยังไงพี่ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ สองมีทางให้พี่เลือกคือยอมจ่ายค่าเช่าหอเองหรือจะกลับไปอยู่บ้านที่บางพลีกับพ่อแม่”
“พี่ไม่อยากอยู่บางพลี”
“ทำไม? บ้านก็ออกจะใหญ่ พ่อสร้างใหญ่ขนาดนั้นเพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่คงไปไหนไม่รอด ต้องซมซานกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่อยู่ดี”

น้ำหนึ่งหน้างอไม่สบอารมณ์ แต่เธอเถียงไม่ออกเพราะนี่คือเรื่องจริง พ่อของผมกู้เงินสร้างบ้านใหม่เกือบสองล้านเพื่อให้เราได้อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ พ่อคงรู้อยู่แล้วว่าลูกชายขวางโลกอย่างสิปปกรคงไม่กลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่แน่ๆ มีแค่ลูกสาวเท่านั้นที่น่าจะกลับไปและคงไม่ได้กลับคนเดียวต้องหอบหิ้วลูกไปอยู่ด้วยแน่นอน ถือว่าพ่อมองการณ์ไกลเก่งกว่าที่คิดไว้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบ้านหลังนั้นที่เคยคิดว่าเกินกำลังครอบครัวไปหน่อยกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การส่งพี่สาวไปอยู่ด้วย

“แกก็รู้ว่าแม่ขี้บ่น”
“ขี้บ่นก็ต้องทน เพราะพี่ไม่มีเงิน” ผมตอบด้วยความเย็นชา “แต่จะกลับไปเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน เคลียร์กับไอ้เหี้ยปั๊ปให้รู้เรื่องก่อน แน่ใจนะว่าจะหย่า?”
“แน่ใจสิ พี่เก็บหลักฐานที่มันคุยกับอีเมียน้อยไว้หมดแล้ว”
“ดีมาก หลังจากนี้เราคงต้องจ้างทนาย”

เมื่อพูดถึงทนาย ผมก็รู้สึกวูบโหวงเพราะคิดได้ว่าค่าใช้จ่ายต้องเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแน่ๆ

“ค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลัง”
“แล้วนี่แกจะออกไปไหนอีก?”
“สูบบุหรี่” ผมสารภาพความจริง น้ำหนึ่งชักสีหน้าไม่พอใจทันที
“เลิกสูบซักทีได้ไหม? แกอยากเป็นมะเร็งปอดตายเหมือนตาเหรอ?”
“ตายได้ก็ดี เหนื่อยชิบหายแล้วกับชีวิตห่าเหวนี่”

ผมบ่นอุบอิบและเดินออกจากห้อง ตรงดิ่งไปหลังร้านเพื่อสูบบุหรี่ซักม้วนจะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น ทว่าคืนนั้นมันไม่ได้หยุดแค่มวนเดียว ต้องใช้บุหรี่มากถึงสองเพื่อดับความกระวนกระวายในใจของผมให้สงบลง


ขอโทษนะคะที่อัปเดตช้ากว่าช่องทางอื่นๆ พอดีไปกินข้าวค่ะเลยลืมเวลา
พาร์ท 2 ต่อด้านล่างเลยคับผม  :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 00:11:29 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
5 [PART2/3]


น้ำหนึ่งบอกว่าจะไม่กลับบ้านเร็วๆนี้เพราะอยากให้แผลบนตัวจางลงหน่อย ไม่งั้นพ่อกับแม่ได้หัวใจวายตายแน่ๆถ้าเห็นลูกสาวกลายเป็นกระสอบทรายให้ผัวซ้อมจนน่วม

การมีอยู่ของน้ำหนึ่งในห้องส่วนตัวของสิปปกรทำให้ผมแทบเสียสติทุกวัน ผมเสียความเป็นส่วนตัว เสียเวลาทำงานเพราะต้องหอบหิ้วเอกสารลงมาทำงานที่คาเฟ่ชั้นหนึ่งแทนที่จะเป็นห้องนอนตัวเอง ผมจำเป็นต้องเคลียร์โต๊ะให้น้ำหนึ่งวางของใช้ของลูก ต้องเบียดเสื้อผ้าในตู้ให้พี่สาวและหลาน ต้องสละเครื่องนอนและเตียงให้เพื่อที่พวกเขาจะได้พักผ่อนสบาย ส่วนตัวเองก็ลำบากลงมานอนบนโซฟา แต่ที่แย่กว่านั้นคือน้ำหนึ่งห้ามผมสูบบุหรี่โดยให้เหตุผลว่าควันอาจเป็นอันตรายกับปอดของเปเปอร์ได้

“เมื่อไหร่แกจะเลิกสูบบุหรี่ซักที บอกแล้วไงว่ามันไม่ดี”
“สองสูบมาตั้งนานแล้ว พี่นั่นแหละย้ายเข้ามาเบียดเบียนสอง แล้วยังจะห้ามไม่ให้สูบบุหรี่อีกเหรอ?”

ผมโพล่งออกไปตามตรงเมื่อรู้สึกอึดอัดเหลือทน ลำพังการเสียสละอื่นๆยังพอข่มใจไม่ให้คิดมากได้ แต่การห้ามสูบบุหรี่เหมือนการฆ่าผมทั้งเป็น ในจังหวะชีวิตที่แสนจะห่าเหวขนาดนี้ ผมไม่มีที่พึ่งอื่นใดที่สร้างความสบายใจได้เร็วและราคาถูกเท่าบุหรี่เลย น้ำหนึ่งคงไม่คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าจะเข้าไปเก็บของแล้วเตรียมตัวกลับบ้านที่บางพลี แต่ผมมีเรื่องมากมายให้กังวลเต็มไปหมด ไหนจะค่าทนาย ไหนจะต้องอธิบายพ่อกับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เผลอๆผมอาจต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูเปเปอร์เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินมากพอสำหรับชีวิตน้อยๆ เมื่อเปเปอร์โตขึ้นก็ต้องเข้าโรงเรียน ผมที่เป็นน้าคงทำใจปล่อยหลานไปเรียนโรงเรียนรัฐปลายแถวไม่ได้ คงต้องส่งเข้าโรงเรียนเอกชนสังคมดีๆเพราะอยากให้หลานเป็นประชากรมีคุณภาพ

เมื่อรวบรวมความคิดทั้งหมดเป็นก้อนเดียวกัน ผมก็นึกสงสัยว่าเปเปอร์มันเป็นลูกใครกันแน่ ทำไมเกย์อายุสามสิบที่แม้แต่คนรักก็ไม่มีถึงต้องนั่งเครียดจนผมหงอกเพราะไม่รู้จะส่งเสียเลี้ยงดูพี่สาวและหลานยังไง พ่อกับแม่ก็ใกล้เกษียณแล้ว เหลือเวลาไม่ถึงสามปีเท่านั้นที่ทั้งสองจะยังได้เงินเดือน แต่เงินเดือนที่ได้หักลบค่าผ่อนบ้านค่าใช้จ่ายต่างๆก็เหลือไม่ถึงหมื่น ทำไมเราต้องกระเบียดกระเสียรขนาดนี้เพื่อยายตัวปัญหาด้วย อย่างน้อยๆถ้าน้ำหนึ่งมีวุฒิการศึกษาติดตัวหรือขยันทำมาหากินกว่านี้ เราก็คงไม่ต้องเดือดร้อนเพราะเธอซ้ำซากไปมา

ผมเหลือบมองน้ำหนึ่งที่กำลังให้นมลูกบนเตียง ความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่คงน่าประทับใจสำหรับเธอมาก แต่สำหรับผม มันเป็นภาพที่น่าสงสารปนเวทนา แม่ที่เจ็บไปทั้งตัวเพราะโดนผัวทุบกำลังปลอบลูกที่ร้องไห้โยเยโดยบอกว่าพ่อไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร แม่จะเลี้ยงลูกเอง ผมกัดฟันโดยไม่รู้ตัว เริ่มโมโหปนอยากตอกกลับว่าเธอน่ะเหรอจะเลี้ยงลูก คนอย่างเธอจะไปเอาเงินจากไหนถ้าไม่ใช่ขอน้องชายและพ่อกับแม่

“พี่คิดหรือยังว่าจะทำอะไรต่อ?”
“กลับบ้านไง”
“หมายถึงจะทำมาหาแดกอะไรเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงลูก”

ผมใช้คำพูดที่รุนแรงขึ้นเพื่อบอกพี่สาวเป็นนัยว่าเรากำลังคุยเรื่องจริงจัง น้ำหนึ่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะสารภาพตรงๆว่าไม่รู้ เธอยังไม่ได้วางแผนเรื่องอนาคต คิดแค่ว่ากลับบ้านยังไงไม่ให้พ่อกับแม่โวยวายหากได้เห็นลูกสาวในสภาพนี้

“พี่รู้ใช่ไหมว่าสองไม่ได้มีเงินขนาดจะส่งเสียเลี้ยงพี่กับเปอร์ตลอดไป”
“รู้” น้ำหนึ่งตอบเสียงจ๋อย “แต่แกตัวคนเดียวไม่ใช่เหรอ? ภาระอะไรก็ไม่มี”
“แล้วสองไม่ต้องกินต้องใช้ ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ติณเหรอ?” ผมกอดอกถามด้วยความไม่พอใจ “ไม่รู้แหละ สองทำได้แค่นี้ ต่อไปเป็นเรื่องของพี่แล้วกัน”
“พี่ก็ไม่ได้พึ่งแกตลอดเวลาไหม? ก็แค่ช่วงนี้ --”
“ยกนิ้วขึ้นมานับเลยนะ ไอ้คำว่า ‘ก็แค่ช่วงนี้’ ของพี่น่ะมันกี่ครั้งแล้ว”

ผมเริ่มไม่สบอารมณ์จนไม่อยากคุยต่อ ทว่าน้ำหนึ่งก็มีเรื่องแก้ตัวให้ตัวเองเยอะเหลือเกิน จังหวะที่เธอกำลังอ้าปากจะเถียง เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงไลน์

“จากภูอีกล่ะสิ”
“แล้วมันสำคัญยังไง?”

ผมถามพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา เป็นภูจริงๆด้วย เขาส่งข้อความมาว่า [ทำไรอยู่คับ]

“ยิ้มทำไม?”
“อะไร? ไม่ได้ยิ้ม”

ผมปฏิเสธก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง น้ำหนึ่งตะโกนไล่หลังสั่งให้เลิกสูบบุหรี่เพราะลูกชายของเธออาจได้รับพิษจากนิโคตินของคุณน้า ผมเมินเฉยคำสั่งนั้นแล้วรีบลงไปชั้นหนึ่งเพื่อทำงานต่อ ในร้านกู้ด รี้ดดิ้งตอนสิบโมงเช้าของวันธรรมดา ลูกค้าไม่เยอะอย่างที่คาด ผมจึงมีอิสระในการเดินไปเดินมาและใช้โต๊ะคาเฟ่ทำงาน ติณณภพยืนอยู่แถวโต๊ะชงเครื่องดื่มกับบาริสต้าคนใหม่ที่เพิ่งจ้างมาด้วยเงินเดือนสองหมื่นกว่า ผมเห็นทั้งสองคนคุยกันเรื่องกาแฟถูกคอจนไม่สนสิ่งรอบข้างจึงกลับมานั่งทำงานของตัวเองต่อ 

“ทำงาน” ผมตอบภู
[วันนี้เลิกงานกี่โมงคับ]
“ไม่มีเวลาเลิกงาน ฟรีแลนซ์มันก็ต้องทำตลอดนั่นแหละ”

ผมตอบและวางโทรศัพท์เพื่อกลับไปจดจ่อกับหนังสือที่กำลังแปลต่อ เมื่อวานพี่ดาวเพิ่งโทรมาขอดูบทที่สี่แต่ผมกลับไม่มีอะไรอัปเดตให้พี่ดาวเลย ผมบอกว่าช่วงนี้ยุ่งๆเพราะเรื่องส่วนตัวเยอะมาก พี่ดาวแสดงความเห็นอกเห็นใจด้วยตอบว่า อ๋อ ค่ะ ถึงจะยุ่งแต่อย่าลืมกำหนดเดิมที่เราวางแผนกันไว้นะคะ หนังสือต้องวางขายปีหน้า ช้าไม่ได้นะสอง

ได้ครับพี่ดาว

ผมตอบแค่นั้นทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปิดเล่มให้ทันยังไง ห้องนอนส่วนตัวที่เคยมีไว้ทำงานก็ต้องยกให้พี่ ตัวเองหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังมาอยู่คาเฟ่ชั้นล่าง วันไหนลูกค้าเยอะต้องเก็บของเคลียร์พื้นที่ให้ลูกค้าใช้ พอร้านปิดก็อยากพักผ่อนขึ้นไปนอนข้างบนแต่หลานดันแหกปากร้องไม่หยุด เปเปอร์ไม่ค่อยน่ารักกับผมเท่าไหร่ ราวกับแกเกลียดที่ได้เห็นน้าใจร้ายอยู่ใกล้ๆจึงร้องโยเยไม่ยอมให้เข้าห้อง น้ำหนึ่งบอกว่าเปเปอร์เหม็นบุหรี่ เพราะฉะนั้นถ้าน้าสองเลิกบุหรี่ไม่ได้ก็อย่าเข้าห้องเลย

แต่นั่นมันห้องกูหรือเปล่าวะ

ผมสบถด้วยความหงุดหงิดถึงขีดสุด ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตในตอนนี้แล้ว ผมเครียดจนเผลอยีหัวตัวเองอยู่นาน ติณณภพจึงเดินเข้ามาหาเพราะเห็นว่าช่วงนี้สิปปกรอารมณ์ไม่ดี หงอกก็เริ่มเยอะ แถมสูบบุหรี่หนักจนกลายเป็นกลิ่นประจำตัวแล้ว

“งานแปลถึงไหนละ?”

ติณแกล้งถาม ผมรู้ว่าติณพยายามช่วยไม่ให้เครียดแต่ทำไงได้ เรื่องที่เจออยู่ตอนนี้มันไม่สามารถปล่อยวางได้หรอก พี่สาวกับผัวก็เคลียร์ไม่ลงตัว ไหนจะเรื่องเงินเลี้ยงดู เรื่องทนาย เรื่องกลับไปอยู่บ้านอีก มันเยอะมากจนอยากเลิกคิดทุกอย่างแล้วออกไปสูบบุหรี่อีกซักซอง

“ได้นอนบ้างหรือเปล่าเนี่ย?”
“ไม่ค่อย” ผมตอบตามตรง “กูจะไปส่งน้ำหนึ่งกลับบ้านวันศุกร์นี้”
“ดีแล้ว ส่งพี่น้ำกลับบ้านเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” ติณบอก เมื่อเห็นสีหน้าเหวอๆของผมมันก็รีบอธิบายต่อ “กูหมายถึงมึงจะได้ห้องนอนส่วนตัวกลับมาไง คิมบอกว่ามึงลงมานอนโซฟาทุกวันเลย ไม่ปวดหลังเหรอ?”
“ปวดสิ” ผมบ่นกระปอดกระแปด จริงอยากบ่นอีกยกใหญ่แต่มันเหนื่อยจนไม่อยากจะเรียบเรียงคำพูดอะไรอีกแล้ว
“ทำไมมึงไม่บอกตั้งแต่แรกว่านอนกับพี่น้ำไม่ได้ กูจะได้ให้กุญแจห้องนอนไว้ มึงเข้าไปนอนได้เลย ไม่ต้องลงมานอนบนโซฟาอีกนะ”
“ไม่เอากูเกรงใจ”

ผมบอกเพื่อนและส่งกุญแจคืน แต่ติณก็ยังยืนยันคำพูดตัวเองด้วยการบอกว่าไม่เป็นไร มันให้ผมนอนเพราะยังไงติณก็ไม่ได้ค่อยค้างที่นี่เท่าไหร่

“ทิ้งไว้ให้ว่างเฉยๆทำไม มึงนอนเถอะ เปิดแอร์นอนก็ได้” ติณย้ำอีกครั้งและยัดกุญแจใส่มือของผม “ตกลงวันศุกร์มึงจะไปส่งพี่น้ำยังไง?”
“แท็กซี่มั้ง”
“โห ตั้งเจ็ดสิบแปดสิบโล ค่าแท็กซี่แพงนะ” ติณขมวดคิ้วด้วยท่าทีเสียดาย “เอางี้ เดี๋ยวกูไปส่ง”
“พอเหอะติณ กูเกรงใจมึงจะแย่ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมามีแต่รบกวนมึงอยู่เรื่อย”
“ก็เพื่อนมีไว้ช่วยกันในเวลาแบบนี้หรือเปล่าวะ?”
“มันบ่อยเกินไปไง” ผมยกนิ้วขึ้นนวดขมับ “ขอโทษนะมึง ถ้ากูดูแลครอบครัวตัวเองดีกว่านี้คงไม่ต้องรบกวนมึงบ่อยๆ”
“เอาน่า สมัยเรียนมึงก็ช่วยกูตั้งเยอะ อย่างร้านตอนนี้ก็คงไม่ดังถ้าไม่มีมึงคิดคอนเท้นต์โปรโมตให้”
“เพราะมึงเก่งหรอกถึงประสบความสำเร็จขนาดนี้”
“กูไม่ได้เก่งอะไรเลย แค่โชคดีที่มีทุนจากบ้านและโชคดีที่มีเพื่อนสนิทเป็นหนอนหนังสือ มึงก็รู้ว่าหน้าร้านไม่ได้ขายดิบขายดี ออนไลน์ต่างหากที่ทำยอดได้มาก แถมส่วนใหญ่ก็ตามมาจากบทความและพอดแคสต์ที่มึงคิดสคริปต์ให้ไง”

ผมยิ้ม รู้สึกดีที่อย่างน้อยในช่วงเวลาเฮงซวยยังมีคำพูดปลอบใจจากติณณภพที่ทำให้มีแรงอยากทำงานต่อไปบ้าง

“เดี๋ยววันศุกร์เราไปเก็บของที่บ้านพี่น้ำด้วยกันแล้วค่อยไปบางพลีนะ”

ติณณภพรับปากให้สัญญา ผมที่ซาบซึ้งกับน้ำใจประเสริฐของเพื่อนจนไม่รู้จะขอบคุณยังไงนอกจากบอกว่าจะตั้งใจเขียนบทความของร้านให้ดีที่สุด ผมจะทำให้กู้ดรี้ดดิ้งเป็นร้านหนังสืออันดับหนึ่งของประเทศเลยคอยดู ติณยิ้มขำแล้วตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะเดินกลับไปดูแลความเรียบร้อยของร้าน ส่วนผมนั่งทำงานแปลต่อโดยมีภูคอยส่งข้อความชวนคุยตลอดช่วงบ่าย





นอกจากติณณภพที่รู้เรื่องราวทั้งหมด ก็มีภูที่รู้ว่าผมกำลังเจอเรื่องเฮงซวยอะไรบ้าง

เราคุยกันทุกวัน ด้วยบทสนทนาแสนเรียบง่ายและธรรมดาที่ไม่มีการปรุงแต่ง หากช่วงไหนไม่มีลูกค้า ภูมักจะทักมาชวนคุยและถ่ายรูปคอร์กี้ของตัวเองมาอวดจนผมเคยชินกับการได้รับข้อความจากเขา แต่เราไม่เคยนัดเจอกันอีกเลยนับจากวันที่ไปดูหนังด้วยกัน ภูเอ่ยปากชวนผมนะ เขาเสนอตัวว่าจะมาหาถึงบางบัวทองแต่ผมปฏิเสธไป ในสถานการณ์ไม่ปกติแบบนี้ผมไม่ค่อยอยากเจอใครเท่าไหร่ ยิ่งน้ำหนึ่งยังอาศัยอยู่ในร้านกับลูก ผมยิ่งไม่อยากออกไปเที่ยวไหนเพราะเบื่อจะต้องฟังคำประชดประชันจากพี่สาว

[ออกไปแค่แป๊ปเดียวก็ไม่ได้เหรอคับ?]
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวน้ำหนึ่งหาว่าผมเห็นแก่ตัวอีก”
[แต่คุณสองก็ต้องมีชีวิตของตัวเองเหมือนกันนะ]

ผมอ่านข้อความของภูแต่ไม่ได้ตอบเพราะรู้สึกว่ามันพูดง่ายทำยาก ความสัมพันธ์ในครอบครัวของเรามันก็ประหลาดมาตั้งแต่แรกโดยที่ผมไม่รู้เลยว่ากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง พ่อกับแม่เลี้ยงลูกพลาดตรงไหน น้ำหนึ่งถึงกลายเป็นคนไม่เอาถ่านที่หนังสือหนังหาก็เรียนไม่จบ แถมหนี้สินยังล้นตัวราวกับเราเป็นชนชั้นกลางผู้ทะเยอทะยานขึ้นเป็นอีลีททั้งๆที่บ้านเราไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ เราไม่เคยไปต่างประเทศ ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ราคาแพงเหมือนคนอื่น แม้แต่ตอนเรียน ผมต้องซื้อหนังสือฉบับก็อปปี้จากร้านถ่ายเอกสารในคณะเพราะไม่มีเงินจ่ายค่านิยายถูกลิขสิทธิ์สำหรับเรียนวิชาวรรณกรรม ชีวิตของเราสี่คนเรียบง่ายและจืดจางเหมือนคนส่วนใหญ่ในสังคม น้ำหนึ่งก็ไม่เคยถูกสปอยล์ด้วยของสวยๆแพงๆ แต่เธอกลายเป็นพวกโหยหาความรักความสนใจตลอดเวลาทั้งๆที่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งเธอ ผมนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเรา มันผิดพลาดตรงไหน เผื่อเราจะยังพอมีหนทางแก้ไขได้บ้าง

[คุณสองอยู่ร้านมั้ยคับ]
“อยู่”
[หลับตาก่อนครับ มีคนกำลังจะไปส่งของขวัญให้คุณสอง]
“ของขวัญอะไร?”

ผมพิมพ์อย่างรวดเร็วแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ตั้งใจโฟกัสงานแปลที่ยังคั่งค้างก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีคนโน้มตัวมากระซิบข้างหูจากด้านหลังว่า “จ๊ะเอ๋!” ผมตอบสนองอัตโนมัติด้วยการเหวี่ยงมือฟาดแก้มของคนแปลกหน้าดังเพี๊ยะ! จนเสียงดังลั่นร้าน ภูร้องโอ๊ยพร้อมกับยกมือกุมแก้ม สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวเพราะโดนผมตบโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ตีผมทำไมอ่ะ!” เจ้าโกลเด้นภูตัดพ้อ
“ใครใช้ให้โผล่มาด้านหลังแบบนี้ล่ะ!”

ผมแหวแต่ก็ลุกขึ้นไปหา ไม่ได้ปลอบภูด้วยการจับแก้มและดูว่าเขาเจ็บตรงไหนหรือเปล่า แค่กอดอกมองและหัวเราะร่วนเท่านั้น ส่วนภูหน้าบึ้งเสียใจ เขาคงเจ็บจริงๆเพราะโดนฟาดเต็มแรง เสียงตบก็ดังเสียจนเด็กในร้านสูดปาก แถมลูกค้ายังเหลียวมองอีก

“วันนี้ไม่ทำงานเหรอ?”
“อ๋อ วันหยุดประจำเดือนครับ ร้านปิด”
“แล้วมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ?”
“อยากเจอคุณสอง”

ผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง นึกขำที่ตัวเองไม่รู้สึกเขินอายกับประโยคชวนคิดของอีกฝ่ายเลย ส่วนเจ้าโกลเด้นภูกระดิกหางด้วยความร่าเริง ตาเป็นประกายวิบวับเพราะคิดว่าสิปปกรคงหวั่นไหวจะแย่กับคำว่า ‘อยากเจอ’

“ภู ผมถามจริงๆ คุณมาทำไม?”
“ผมอยากเจอคุณสองไง”
“เอาดีๆ”
“ผมคิดถึงคุณสอง”

โอเค – ไอ้ประโยคนี้แหละที่ทำให้ผมเริ่มเสียอาการ

“ผมรู้ว่าคุณสองงานยุ่งแล้วก็เครียดจนไม่อยากออกไปไหน ผมเลยมาที่ร้าน อย่างน้อยพี่น้ำหนึ่งคงหาเรื่องว่าคุณสองไม่ได้เพราะผมมาหาเอง ผมซื้อของมาฝากด้วยนะ”

ภูยิ้มกว้างแล้วผายมือไปโต๊ะยาวด้านหลังที่มีไว้สำหรับลูกค้า ตอนนี้เต็มไปด้วยของกินและผลไม้ราวกับมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ผมตำหนิภูเรื่องซื้อของมามากเกินไป เขาเองก็ต้องกินต้องใช้ อย่าเอาเงินมาทิ้งไว้กับคนแปลกหน้าเลย

“คุยกับทุกวันยังแปลกหน้าอีกเหรอ?” ภูบ่นเหมือนน้อยใจ ผมจึงบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก
“ผมแค่อึดอัดที่จะต้องรับความหวังดีจากคุณ คุณก็รู้ว่าผมไม่มีอะไรจะให้คุณหรอกนะ ผมมีแต่ตัวกับภาระ คงให้ประโยชน์คุณไม่ได้หรอก”
“คนเราคบกันใช่ว่าจะต้องมีแต่เรื่องผลประโยชน์เสียหน่อย”
“ถ้าไม่มีผลประโยชน์ คนเราจะคบกันทำไมล่ะ” ผมถามย้อน “อย่างตอนนี้ที่คุณทำดีกับผมก็เพราะหวังผลเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”
“ผมไม่ได้หวังอะไรจากคุณสองหรอก เงินก็มีแล้ว ผมไม่อยากได้”
“หมายถึงความสัมพันธ์ไง”

ผมพูดตรงๆ ภูถึงกับเหวอไปเลยเมื่อโดนจี้ใจดำ แม้ว่าคนอย่างสิปปกรไม่สามารถให้อะไรที่เป็นรูปธรรมแก่ภูได้ แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมให้เขาได้แน่ๆนั่นก็คือความรู้สึกและเซ็กส์

“คุณจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอภู? คิดดูอีกทีดีไหม? ผมไม่มีอะไรเหมาะกับคุณเลยนะ ทั้งหน้าตาการศึกษา ทั้งฐานะและภาระต่างๆ ผมเป็นคนนั้นที่คุณตามหาไม่ได้หรอก”

ตอนที่พูดออกไป ผมสงสารภูเมื่อเห็นสีหน้าของเขาค่อยๆเจื่อนลงจนไม่เหลือรอยยิ้มสดใสราวกับพระอาทิตย์อีก ผมแค่อยากย้ำเตือนภูอีกครั้งว่านายสิปปกรคนที่เขาตามตื๊อมันไม่มีอะไรดีเลย อีกหน่อยถ้าเราเรียนรู้กันไป ภูคงรู้สึกเสียใจและเสียดายที่ทุ่มเทเวลาให้กับคนอย่างผม แต่ดูเหมือนว่าภูจะไม่คิดแบบเดียวกัน

“ผมไม่สนหรอกว่าคุณสองจะรวยหรือจน จะจบจากที่ไหน หน้าที่การงานเป็นยังไง ฐานะที่บ้านรวยหรือเปล่า” ภูตอบโต้เป็นชุด “ผมรู้แค่ว่าผมถูกชะตากับคุณ ผมอยากคุยกับคุณ ผมอยากให้เรามีโอกาสคบกันดูซักครั้งเพราะผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับใครมานานมากแล้ว คุณสองคือคนพิเศษที่ทำให้หัวใจของผมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผมมีความสุขที่ได้รู้จักคุณ หรือคุณสองจะบอกว่าตอนคุยกับผม คุณสองไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน?”
“รู้สึกแบบไหนล่ะ?”
“ก็ – อยากคุยอีกเรื่อยๆ อยากทักไปหา อยากเจอ --”
“ผมไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้นหรอกนะ” ผมพูดตามตรง “ภู ชีวิตผมมันวุ่นวายเกินกว่าจะมีใคร แค่พี่สาวคนเดียวก็ทำผมเวียนหัวจะแย่แล้ว”
“เพราะแบบนั้นคุณยิ่งต้องมีผมไง” ภูกลับมายิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อนายสิปปกรเปิดช่องว่างให้ “ผมไม่ได้มาเพื่อเป็นภาระคุณ ผมมาเพื่อช่วยคุณ”
“ถ้าเรื่องเงินล่ะก็ไม่ต้องนะ ขอบใจมาก ผมไม่ใช่ประเภทยืมเงินคนไปทั่ว”
“ไม่ใช่แบบนั้น ผมมาเพื่อเป็นกำลังใจให้คุณสองต่างหาก”

เจ้าโกลเด้นภูกลับมากระดิกหางด้วยหน้าตาชื่นบาน ส่วนผมยืนมองรอยยิ้มสว่างไสวที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่รู้จะพูดอะไรอีก

“ผมว่าคุณสองน่าจะลองมีความรักดูนะ ก็แค่อยากให้คุณเก็บไปคิดน่ะ – มันไม่ได้แย่อย่างที่คุณกลัวหรอก”

ผมนิ่งเงียบขณะเก็บคำพูดของภูมาคิด มันไม่ได้แย่อย่างที่กลัวก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคู่จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจเสียหน่อย ผมน่ะ – เข็ดขยาดมามากพอแล้วกับสถานะที่เรียกว่าคนรัก ผมรู้สึกว่าตัวเองมีภาระที่ต้องจัดการมากเกินไปจนไม่อยากเปิดใจให้ใครเข้ามาทำให้เสียใจอีก และวันนี้ก็มีเจ้าหมาโกลเด้นตัวหนึ่งเดินบุ่มบ่ามเข้ามา กระดิกหางชวนเล่นและคลอเคลียเพื่อขอให้เปิดใจ ผมได้แต่ยืมมองภูผู้มีดวงตาประกายสิบวับอยู่หลายวินาทีก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง ผมไม่อยากพูดเรื่องความรักอะไรอีกแล้ว มันเหนื่อย

“เรากินข้าวกันดีกว่านะ ผมซื้อบะหมี่มาฝากพี่น้ำหนึ่งด้วย เราจะกินกันตรงไหนดี?”
“ในครัว” ผมปิดแล็ปท็อปและช่วยภูถือถุงกับข้าวไปหลังร้าน “พวกอาหารมีกลิ่นกินหน้าร้านไม่ได้เด็ดขาด กลิ่นมันรบกวนลูกค้า”
“โอเคครับ คุณสองเรียกพี่น้ำหนึ่งมาด้วยสิ จะได้กินพร้อมกัน”
“ไม่รู้ว่าเปเปอร์นอนอยู่หรือเปล่า” ผมบอก “เดี๋ยวขึ้นไปดูก่อนนะ”

โชคดีที่เปเปอร์ยังไม่หลับ น้ำหนึ่งจึงลงมากินมื้อเที่ยงกับเราได้ ผมไม่อธิบายพี่สาวว่าทำไมภูถึงมาอยู่ที่ร้านและหอบหิ้วเอาของกินมากมายมาฝาก เดาเอาว่าน้ำหนึ่งคงจะรู้อยู่แล้วหากไม่ไร้เดียงสาจนเกินไป นับว่ายังดีที่เธอไม่เอ่ยปากแซวให้บรรยากาศระหว่างเราอึดอัดมากกว่านี้ ดังนั้นมื้อเที่ยงของภูกับพี่สาวและหลานชายของผมจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัดอะไร

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวพี่เก็บเอง ภูไปอยู่กับสองเถอะ”

น้ำหนึ่งเอ่ยปากห้ามเมื่อภูตั้งท่าจะช่วยเก็บจาน เจ้าหมาโกลเด้นหันกลับมามองผมราวกับไม่แน่ใจว่าเขาสามารถปล่อยให้น้ำหนึ่งล้างจานคนเดียวหรือไม่ เมื่อเห็นผมพยักหน้า เขาก็เข้าใจและค่อยๆเดินตามผมที่อุ้มเปเปอร์ออกไปหน้าร้าน

“ร้องเก่ง” ผมบ่นเมื่อหลานชายตัวดีเริ่มอ้าปากแผดเสียงลั่น “เดี๋ยวพากลับไปคืนแม่เลยดีไหม”
“ให้ผมลองอุ้มหน่อยได้ไหมครับ?”
“อุ้มเป็นเหรอ?”
“เป็นครับ เห็นอย่างนี้ผมก็เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนนะ”

ภูยิ้มพร้อมกับปรบมือแปะๆเป็นเชิงเรียกให้เปเปอร์ไปหา แต่หลานผมเพิ่งจะอายุได้ไม่ถึงปี เขาคงเดินไปได้หรอกนะถ้าไม่มีคุณน้าคอยประเคนส่งให้ถึงมือ ผมไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อเปเปอร์อยู่ในอ้อมอกของคนแปลกหน้าแล้วจะมีปาฏิหารย์ประหลาดที่ทำให้เด็กอายุไม่กี่เดือนหยุดร้องทันทีราวกับถูกชะตา ดังนั้นเมื่อภูได้อุ้มเปเปอร์เต็มไม้เต็มมือครั้งแรก เจ้าหลานชายก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังด้วยการเบะปากและแผดเสียงร้องลั่นจนทุกคนในร้านหันมอง

“เสียงดีจังเลยครับคนหล่อ เราไปดูรถกันดีกว่า เนอะๆ”

ภูเริ่มใช้เสียงสองคุยกับเปเปอร์ ส่วนผมรีบเดินตามเพราะกลัวว่าเขาจะทำหลานหล่น แต่ภูเลี้ยงเด็กได้ดีกว่าที่คิดไว้ พอได้ยืนริมกระจกร้านและเห็นรถข้างนอกที่วิ่งผ่านไปมา เปเปอร์ก็หยุดร้องและเริ่มใช้สายตามองสิ่งรอบตัวอย่างสนอกสนใจ ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าภูจะรู้วิธีเบี่ยงเบนเด็กให้หยุดร้องไห้ด้วย

“สารภาพมานะว่าคุณเคยมีลูกใช่ไหม?”



ต่อ Part 3 ข้างล่างเลยค่า :katai2-1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 00:13:33 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
5 [PART 3/3]


ผมแกล้งถามแต่ภูไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ เขาบอกแค่ว่าคลุกคลีกับเด็กมานานก็เลยรู้ว่าควรรับมือยังไง

“เปเปอร์คงไม่ได้เจอใครเท่าไหร่ใช่ไหมครับถึงกลัวคน” ภูเริ่มชวนคุยอีกครั้ง “ถ้าพาไปข้างนอกบ่อยๆก็คงเริ่มคุ้นบ้าง แต่ผมว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ พี่น้ำหนึ่งจะได้สบายใจด้วยเพราะเปเปอร์ไม่ไปกับคนแปลกหน้าง่ายๆ”
“เขามีกันสองคนแม่ลูกก็ไม่รู้จะเจอคนอื่นที่ไหน”
“อ้าว – พี่น้ำหนึ่งไม่ได้ย้ายมาอยู่กับคุณสองถาวรเหรอครับ?”
“เปล่าหรอก เดี๋ยวเย็นนี้ผมต้องพาน้ำหนึ่งไปเก็บของที่บ้านผัวแล้วพาไปส่งบ้านของพ่อกับแม่ ผมว่าให้น้ำหนึ่งอยู่ที่นั่นน่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้มีคนที่รักเด็กจริงๆช่วยดูแล”
“คุณสองไม่ชอบเด็กเหรอ?”
“ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่”
“แต่ผมไม่เด็กนะ คุณสองชอบไหม?”

ไอ้บ้า

ผมมุมปากกระตุก ไม่รู้จะยิ้มหรือขำกับคำเต๊าะไปเรื่อยของเจ้าโกลเด้นตัวนี้ดี แต่ผมก็ไม่ได้ตอบสนองประโยคนั้นด้วยการแสดงออกว่าขวยเขินอะไรนอกจากแค่นหัวเราะ

“บ้านพ่อแม่ของคุณสองอยู่ไหนเหรอครับ?”
“บางพลี”
“โห --” ภูทำเสียงอึ้งๆ “ไม่ไกลเลย ผมนึกว่าอยู่ต่างจังหวัดเสียอีก”
“ตอนคุณร้องโห ผมนึกว่าคุณจะบอกว่าไกล” ผมชักจะอยากมะเหงกไอ้เด็กนี่แล้ว
“ก็มันไม่ไกลอย่างที่คิดนี่นา ว่าแต่ใครไปส่งครับ? จะนั่งแท็กซี่ไปเหรอ?”
“เปล่า ติณไปส่งน่ะ”
“แต่พรุ่งนี้ที่ร้านมีงานด้วย ถ้าต้องไปส่งพี่น้ำหนึ่งแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ?”
“คุณรู้ได้ไงว่าพรุ่งนี้ร้านเรามีอีเว้นท์?”
“ก็ผมฟอลแอคเคานท์ของร้านอยู่” ภูพูดด้วยใบหน้าซื่อๆ “นี่ไง – เขียนไว้ว่างานเปิดตัวหนังสือใหม่ของอดีตนักโทษการเมืองที่อยู่ในเรือนจำนานถึงสองปีด้วยเหตุผลส้นตีนของรัฐบาลพลเอก --”
“นี่ ผมไม่ได้เขียนว่าเหตุผลส้นตีนลงในนั้นนะ”
“ล้อเล่นครับ” เจ้าโกลเด้นภูยิ้มหวานแฉ่งเมื่อได้แกล้ง “พรุ่งนี้คนน่าจะเยอะ ผมว่าพี่ติณควรอยู่ร้านเพื่อเตรียมงานนะ อาจจะมีนักข่าวมาด้วย”

ผมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลึกๆก็เห็นด้วยกับภูที่ว่าติณณภพควรอยู่เฝ้าร้านแทนที่จะเป็นธุระขับรถพาพี่สาวของเพื่อนกลับบ้านที่บางพลี แต่พอคิดว่าต้องนั่งแท็กซี่ไปเองมันก็เซ็งนิดหน่อยเพราะค่าแท็กซี่คงหลายร้อยแน่ๆ ภูที่เห็นผมยืนหน้าเครียดอยู่จึงได้โอกาสทำคะแนนครั้งใหญ่ เขารีบเสนอตัวว่าไหนๆพี่ติณก็ไม่สะดวกไปส่งแล้ว ทำไมไม่ให้เขาทำหน้าที่นั้นแทน

“คุณจะบ้าเหรอ? หาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยทำไม?” ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่ “เดี๋ยวผมกับน้ำหนึ่งไปเองก็ได้ บางพลีไม่ได้ไกลขนาดนั้น”
“ไม่ไกลแต่ลำบากนะครับ”
“นั่งแท็กซี่จะลำบากอะไร”
“ไม่ลำบากหรอกแต่ค่าแท็กซี่มันแพงไง”
“เออน่า มันเป็นค่าใช้จ่ายที่เลี่ยงไม่ได้นี่นา” ผมบ่นพลางมองหน้าหลานที่อยู่ในอ้อมกอดของภู “ผมเลือกไม่จ่ายได้ที่ไหน พี่สาวกับหลานตัวเองแท้ๆ”
“งั้นก็ให้ผมขับรถไปส่ง”
“บอกว่าไม่เอาไง”
“ทำไมคุณสองไม่หัดรับน้ำใจจากคนอื่นบ้างล่ะครับ? คนเขาเต็มใจเสนอตัวมอบความช่วยเหลือให้ คุณสองก็แค่ขอบคุณแล้วรับมันไป ไม่เห็นยากเลย”
“ผมไม่อยากติดหนี้คุณ”
“ต่อให้พี่ติณไปส่ง ยังไงคุณก็ติดหนี้เขาเหมือนกัน”
“ก็ติณเป็นเพื่อนสนิทผม อีกอย่างเรามีผลประโยชน์ร่วมกัน ผมช่วยติณทำร้านมานาน”
“ถ้าคุณสองเกรงใจนัก จ่ายค่าน้ำมันรถให้ผมก็ได้ เอางี้ – ผมคิดเรทเดียวกับแท็กซี่เลยเป็นไง แต่ไม่คิดค่าขึ้นสามสิบห้าบาท”
“แบบนั้นผมนั่งแท็กซี่ไปเองดีกว่า”
“แต่ถ้าไปกับผม คุณสองจะแวะที่ไหนก่อนกลับบ้านก็ได้นะ แท็กซี่มันทำให้คุณได้หรือเปล่าล่ะ? นอกจากลงแล้วต้องเรียกคันใหม่ก็ไม่เห็นเหมือนรถส่วนตัวเลย แถมต้องจ่ายเงินสามสิบห้าบาทตั้งสองสามครั้งกว่าจะถึงบ้าน เพราะฉะนั้นไปรถผมเถอะ ค่าน้ำมันผมคิดไม่แพงหรอก เอาเรทในปั๊มน้ำมันตอนนี้เลยก็ได้ ตกลงตามนี้นะ โอเค เปเปอร์ดีใจมั้ยครับจะได้นั่งรถพี่ภูอีกแล้ว เอ๊ะ – เป็นพี่ภูหรือน้าภูดีนะ น้าภูดีกว่า เปเปอร์มีน้าสองแล้วก็ต้องมีน้าภูด้วย ดีใจไหมครับเปเปอร์ หนูมีน้าตั้งสองคนเลยน้า ดีใจมากๆเลยใช่ไหม เย้ๆ”

เย้ – พ่อง

 ผมได้แต่มองภูพูดเองเออเองอยู่คนเดียว เขาสรุปเสร็จสรรพว่าจะทำยังไงเพื่อให้การไปส่งน้ำหนึ่งที่บ้านไม่ถือว่าเราติดหนี้บุญคุณกัน ผมลังเลอยู่นาน ใจหนึ่งก็ไม่อยากรบกวนภูเพราะไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้น แต่อีกใจก็รู้สึกว่าการรับน้ำใจจากคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างที่ภูว่า มันเหมือนการต่อสู้เล็กๆในใจที่ไม่รู้ว่าควรเลือกทางไหน สุดท้ายผมก็ตัดสินใจรบกวนภูให้เป็นธุระพาพี่สาวกับหลานไปส่งที่บ้าน ส่วนติณณภพควรอยู่เฝ้าร้านจริงๆอย่างที่เขาว่าเพราะงานกิจกรรมพรุ่งนี้ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงพอสมควร ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคนของรัฐบาลยังจับตาดูนักเขียนที่มาเปิดตัวหนังสือที่ร้านของเราหรือไม่ เอาเป็นว่าติณควรอยู่ที่นี่ ใช้เวลาติดต่อประสานงานหรือคิดแผนสำรองหากเราโดนรวบคาร้านจริงๆจะได้มีทางออก

น้ำหนึ่งดูโอเคเมื่อรู้ว่าภูจะเป็นคนไปส่ง บ่ายวันนั้นภูจึงต้องรออยู่ที่ร้านซักพักเพื่อให้ผมแปลงานด่วนที่เพิ่งเข้ามาให้เสร็จ เขาเป็นผู้รอที่ดี เป็นลูกค้าผู้น่ารักที่ไม่ยืนอ่านฟรีในร้านแต่ซื้อหนังสือติดไม้ติดมือมาแกะอ่านข้างๆ เล่มที่เขาเลือกอ่านคือหนังสือที่ผมแปลไว้เมื่อสองปีก่อน ผมเหลือบมองและจู่ๆก็เริ่มคิดได้ว่าสิ่งที่น่ากังวลตอนนี้ไม่ใช่เรื่องบุญคุณอย่างที่ภูว่าหรอก

แต่เป็นพ่อกับแม่ที่รออยู่ที่บ้านต่างหาก

ถ้าจู่ๆได้เจอภู พ่อกับแม่จะว่ายังไงนะ ผมควรแนะนำเจ้าโกลเด้นตัวนี้กับพวกเขาว่าอะไรดี เป็นเพื่อนที่รู้จักกัน เป็นรุ่นน้องที่คุ้นเคยกัน หรือควรระบุสถานะไหนเพื่อที่พ่อกับแม่จะได้ไม่ตะขิดตะขวงใจเมื่อเห็นผมมีผู้ชายเข้ามาวนเวียนในชีวิต ตั้งแต่สมัยชวินทร์ พ่อกับแม่ไม่เคยรู้ว่าผมคบกับใครหรือใช้ชีวิตโลดโผนแบบไหน มีแค่น้ำหนึ่งเท่านั้นที่รู้ว่าครั้งหนึ่งน้องชายเคยตกหลุมรักหัวปักหัวปำ เคยไปเดทกับผู้ชาย เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งตามประสาคนมีความรัก ดังนั้นเมื่อคิดว่ากำลังจะพาภูเข้าบ้าน และเจ้าโกลเด้นตัวนี้ต้องหาทางทำคะแนนเอาชนะใจพ่อกับแม่แน่ๆ มันก็อดกังวลใจไม่ได้จนเผลอจ้องหน้าอีกฝ่ายนานไปหน่อย

“คุณสองมองหน้าผมทำไมครับ?”

ผมไม่ตอบนอกจากขมวดคิ้วและกัดปาก ปวดหัวกับเรื่องแบบนี้เป็นบ้า เอาเป็นว่าผมจะโกหกว่าภูเป็นคนขับแกร๊บก็แล้วกัน เดี๋ยวค่อยเตี๊ยมเขาให้สงบปากสงบคำเอาไว้ ห้ามทำแต้มกับพ่อแม่ผมเด็ดขาด ผมไม่อยากให้ทั้งสองคนผิดหวังมากไปกว่านี้อีกแล้ว



TBC

________________________

#แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีวันจันทร์แรกของปี 2020 ค่ะ

เหมือนไม่ได้เจอทุกคนนาน คิดถึงนะคะ ยังคงแอบอ่านกำลังใจน่ารักๆจากพวกคุณเสมอ
หวังว่าทุกคนจะมีช่วงเวลาที่ดีและมีความสุขนะคะ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนจากทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นคอมเม้นต์ แฮชแท็ก โดเนท หรือข้อความบอกรักผ่านทางไดเร็กเมสเซจทวิตเตอร์ ขอบคุณจากใจเลยค่ะ ขอฝากคุณสองและเจ้าโกลเด้นภูไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ เพราะในอนาคต คุณสองต้องเจอเรื่องหนักกว่านี้เยอะเลยค่ะ แฮร่

**ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันจันทร์หรรษา**
เนื่องจากช่วงนี้เรามีงานประจำแล้ว และบางสัปดาห์ บริษัทก็เลิกงานหกโมงและมีวันหยุดแค่วันเดียวทำให้เวลาพักผ่อนของเราน้อยลงมากๆ เราสัญญาว่าจะพยายามรักษาวันจันทร์หรรษานี้เอาไว้ ถ้ามีสัปดาห์ไหนหายไปต้องขออภัยจริงๆนะคะ หมุนงานไม่ทันค่ะ เพราะงานเขียนที่รอต่อคิวมันเยอะมากๆเลย แต่จะพยายามลงไม่ให้ขาดตอนค่ะ ไม่ใช่แค่นักอ่านเท่านั้นที่อยากอ่าน นักเขียนอย่างเราก็รอฟี้ดแบคจากทุกคนเหมือนกันค่ะ กำลังใจอย่างเดียวในชีวิตของเรา ขอบคุณมากๆนะคะที่สนับสนุนกันมาเสมอจนถึงตอนนี้

ด้วยรัก

Ms.Ambiguous
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 00:14:29 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เรื่องครอบครัวของสองน่าปวดหัวจริง แต่เพราะสองเป็นคนที่ปรี๊ดง่ายด้วยแหละ
ถ้าลองหายใจเข้าลึก ๆ แล้วนับหนึ่งถึงร้อยดู ทุกปัญหามีทางออกเสมอ
ค่อย ๆ แก้ไปทีละอย่างสองอย่าง
โลกยังไม่ถล่มในวันนี้พรุ่งนี้ ชีวิตยังเดินหน้าไปได้
วันนี้น้ำหนึ่งอาจเป็นปัญหา เป็นภาระ วันหน้าอาจเป็นที่พึ่งของครอบครัวก็ได้ ใครจะไปรู้
กับภูถึงจะยังไม่คิดอะไร แต่เวลานี้สองลำบาก ภูเสนอความช่วยเหลือ ก็คว้าไว้ก่อนเถอะ
ถ้าหยิ่งแล้วลำบากก็อย่าหยิ่งนักเลย
ป้าล่ะสงสารสองมากเลยนะ อะไรที่เป็นความสุขก็ทำ ๆ ไปเถอะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ปวดกะบาลกับครอบครัวสองจริงๆ แค่อ่านยังเครียดเลย แล้วสองก็ไม่ใช่คนที่ใจเย็นด้วยสิ  :z3: เหนื่อยแทนสองเลย ในอนาคตต้องเจอหนักกว่านี้อีกหรออ ตายๆๆ

น้องภูยังน่าเอ็นดูววเหมือนเดิม
ส่วนเรานั้น...แอบรักติณอยู่นะจ๊ะ  :laugh:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
6

ผมยังคงคิดว่าการให้ภูเป็นคนขับรถพาน้ำหนึ่งกับลูกไปส่งบ้านที่บางพลีไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่ แต่พอลองคิดสิ่งที่เขาพูดแล้ว ผมว่าบางครั้งการรับน้ำใจจากเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายเหมือนกัน

เราออกจากร้านกู้ดรี้ดดิ้งตอนประมาณบ่ายสี่โมง ผมหงุดหงิดนิดหน่อยที่น้ำหนึ่งอืดอาดยืดยาดจนต้องออกจากบ้านเวลานี้ กว่าจะถึงบางนาบ้านของเธอก็คงใกล้ห้าโมงเย็น ช่วงนั้นรถติดบรรลัย ผมไม่อยากจินตนาการเลยว่ากว่าเราจะคลานถึงบางพลีต้องใช้เวลากี่ชั่วโมง เผลอๆผมคงได้กลับมาพักผ่อนที่ร้านเที่ยงคืน ไหนจะภูที่ต้องกลับทองหล่ออีก แค่คิดก็เครียดแล้ว แต่เจ้าโกลเด้นภูกลับบอกว่าไม่เป็นไรอยู่นั่นแหละ เขาเต็มใจช่วยเราสองคนจริงๆ

“ช่วงโปรโมชั่นหรือเปล่าเนี่ย?” ผมแกล้งแซวภูไปแบบนั้น แต่เจ้าตัวกลับยิ้มมุมปากและขยิบตาเหมือนผู้ชายเจ้าชู้
“โปรหรือไม่โปรก็ต้องลองคบกันดูนะครับ”
“โอ๊ย เหม็น!”

น้ำหนึ่งที่นั่งเบาะหลังพูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่จริงจังนัก ยายพี่สาวตัวดีทำสีหน้าเหม็นเบื่อกลิ่นอายความรักทั้งๆที่ระหว่างเรายังไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้น ผมกลอกตาและหันกลับไปมองถนนเหมือนเดิม อีกไม่กี่กิโลก็ถึงคอนโดของน้ำหนึ่งแล้ว ผมหวังว่าเธอจะรีบเคลียร์ของไวๆและรีบไปบางพลี ไม่งั้นเราต้องเสียเวลาบนถนนอีกสองสามชั่วโมงเป็นอย่างต่ำแน่ๆ

“ว่าแต่ทำไมรถภูถึงมีคาร์ซีทล่ะ?”
“อ๋อ --”
“อย่าบอกนะว่ามีลูกแล้ว? ถ้ามีลูกมีเมียแล้วยังคิดจะมาจีบสองพี่ไม่ยอมหรอกนะ”

น้ำหนึ่งพูดติดตลกเหมือนเย้าแหย่ ส่วนผมได้แต่เหลือบมองภูเพราะสงสัยมาพักใหญ่แล้วว่าทักษะการดูแลเด็กของเขามันไม่ธรรมดา อยู่ในชั้นต้องคลุกคลีกับเด็กพอสมควรถึงจะมีคาร์ซีทในรถ และเด็กคนนั้นคงรุ่นเดียวกับเปเปอร์เพราะคาร์ซีทไม่ได้ใหญ่เท่ารุ่นที่ผลิตเพื่อเด็กโต บรรยากาศในรถสะดุดลงครู่หนึ่งเมื่อเราคุยกันเรื่องนี้ ในที่สุดภูก็บอกว่าเป็นของหลาน เขามีหลานสาวอายุขวบกว่า เป็นลูกของน้องสาว

“น้องสาวทำงานอะไรล่ะ?”
“ไม่ได้ทำงานครับ กำลังต่อโทที่อังกฤษ”
“โห ดีจังเลยเนอะ ความฝันสองเหมือนกันนะเนี่ย ไอ้เรียนต่อโทที่เมืองนอกน่ะ ช่วงหนึ่งถึงขนาดเก็บเงินเป็นก้อนๆไม่ยอมกินไม่ยอมใช้ ไม่รู้ตอนนี้ยังอยากเรียนหรือเปล่าถึงไม่ยอมเจียดเงินซื้อผ้าปูที่นอน มีชุดเดียวก็ใช้วนอยู่นั่นแหละ”
“แล้วมันทำไม? ห้องก็ห้องสอง ถ้าสองไม่เดือดร้อนพี่จะยุ่งอะไรด้วย”

ผมปรามน้ำหนึ่งเพราะรู้สึกว่าเธอชักจะพูดมากเกินไปหน่อย ผมประหยัดเพื่อเรียนต่อที่ไหนกัน โดนสูบเลือดเนื้อเรื่อยๆอยู่อย่างนี้ไงถึงมีความคิดว่าผ้าปูที่นอนเป็นของฟุ่มเฟือย

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

น้ำหนึ่งกอดอกและหันมองหน้าต่าง เราเงียบอยู่อย่างนั้นพักใหญ่จนกระทั่งถึงคอนโดของพี่สาวตัวดี เราสี่คนลงจากรถและตรงดิ่งขึ้นห้องทันทีเพื่อรีบทำเวลา ผมคิดว่าไอ้เหี้ยปั๊ปไม่อยู่ห้อง มันน่าจะออกไปทำงานเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปเราก็พบกับห้องรกๆและสามีของน้ำหนึ่งนั่งดูถ่ายทอดสดฟุตบอลสบายใจอยู่หน้าทีวี

“กลับมาแล้วเหรออีตัวดี?”

เป็นบรรยากาศที่โคตรแย่จนบรรยายไม่ได้ น้ำหนึ่งได้แค่มองสามีที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สนใจว่าเธอหอบหิ้วลูกกลับบ้านมาเก็บของย้ายไปอยู่ที่อื่น สามีภรรยาต่างเมินเฉยซึ่งกันและกันราวกับหมดรักต่อกันแล้ว น้ำหนึ่งไม่ตอบโต้นอกจากส่งเปเปอร์ให้ผมอุ้มเพื่อที่เธอจะได้เข้าไปเก็บของ แต่พออยู่ในอ้อมกอดของคุณน้า เจ้าหลานชายตัวดีก็ร้องไห้จนผมต้องส่งต่อให้ภูเพราะจะช่วยน้ำหนึ่งแพ็คกระเป๋าอีกแรง ไอ้เหี้ยปั๊บ – จากตอนแรกที่ไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือโมโหอะไร พอเห็นลูกชายอยู่ในการดูแลของคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัว จู่ๆเลือดรักลูกมันขึ้นหน้าถึงขนาดเดินกระย่องกระแย่งมาแย่งเปเปอร์จากภูไปอุ้มเอง

“อย่ายุ่งกับลูกกู”
 
มันว่าภูด้วยคำหยาบคาย ผมมองพี่เขยแค่ปราดเดียวก็เมินหน้าหนี รู้สึกขยะแขยงผู้ชายใจหมาถึงขนาดทำร้ายตบตีเมียตัวเองเป็นกระสอบทราย ผมจึงดึงแขนภูให้เดินไปด้วยกันในห้องนอนของน้ำหนึ่งแทน เราง่วนอยู่กับการแพ็คกระเป๋าและเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทีแรกไอ้เหี้ยปั๊ปที่นั่งกอดนั่งหอมเปเปอร์บนโซฟายังคงเงียบไม่พูดอะไร พอเริ่มได้ยินเสียงรื้อข้าวของถี่ขึ้น มันก็ตะโกนเสียงดังว่า

“มาก็มาแต่ตัว ไปก็ไปแต่ตัว อย่าเอาของๆกูไปเด็ดขาด”
“พูดอย่างกับกูอยากได้นักแหละ ของจากผู้ชายเหี้ยๆแบบมึงน่ะ เอาไปก็เสนียดบ้าน ของกาลกินี!”
“อีหนึ่ง!”

ไอ้เหี้ยปั๊ปลุกขึ้นปรี่เข้ามาหาเราพวกเราแต่ภูก็รีบเอาตัวมาแทรกไม่ให้มันเข้าใกล้ผมกับน้ำหนึ่งมากกว่านี้ พวกเขาจ้องหน้ากันแต่ยังไม่ลงไม้ลงมือ ภูดูนิ่งและเยือกเย็นว่าที่เคยเป็นมากจนดูเหมือนเป็นคนละคน จากนั้นไอ้เหี้ยปั๊ปก็ค่อยๆถอยกลับไปนั่งบนโซฟาเหมือนเดิม ไม่ได้ลงไม้ลงมือหรือทำอะไรเราทั้งนั้น

โอเค ผมยอมรับว่าวินาทีที่พี่เขยแสดงท่าทีคุกคาม ผมกลัวมากจนทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่การตอบสนองอัตโนมัติของภูก็ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้างนิดหน่อย อย่างน้อยเราก็ไม่ได้มีกันสองคนพี่น้อง เรายังมีภูที่พอจะให้ความช่วยเหลือได้หากไอ้เหี้ยปั๊ปเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ

“เก็บให้ไวแล้วไสหัวไปเลยนะ”

ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้สามีที่เคยบอกว่ารักภรรยานักหนาเป็นได้ถึงขนาดนี้ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขามีปัญหาอะไร น้ำหนึ่งทำให้ปั๊ปไม่พอใจตรงไหนถึงไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา ระหว่างที่กำลังยัดๆเสื้อผ้าลงถุงพลาสติกใส่ของใบใหญ่ ผมก็ใช้ศอกกระทุ้งน้ำหนึ่งให้เงยหน้าขึ้นมาคุย

“ตกลงเรื่องค่าเลี้ยงดูกับมันให้จบๆเถอะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
“พี่ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะเอายังไง”
“อยู่เฉยๆตั้งกี่วันทำไมไม่คิดจะวางแผนชีวิตตัวเองฮะ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงโมโห “ไปตกลงกับมันก่อนเลย คุยกันให้เรียบร้อย สองไม่จ่ายแทนให้หรอกนะ สองเองก็ไม่มีเงินเหมือนกัน”

น้ำหนึ่งถอนหายใจเซ็งๆและฝากให้ผมกับภูช่วยเก็บของให้หน่อย ส่วนเธอมีธุระต้องออกไปสะสางกับผัวเก่าที่นั่งอุ้มลูกบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เมื่อพี่สาวไม่อยู่แล้ว ผมก็หลุดแสดงท่าทีเหนื่อยหนายออกมาให้ภูเห็น

“อย่าเครียดเลยครับ ทุกปัญหามีทางออกนะ”
“คุณก็พูดง่าย ลองเป็นผมดูซักวันไหมล่ะ แล้วจะรู้ว่าไอ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะมันห่าเหวแค่ไหน”
“ทำไมผมจะไม่เข้าใจ น้องสาวผมก็ท้องแล้วต้องเลิกกับแฟนเหมือนกัน”

ผมหันหน้าไปมองภูที่พับเสื้อผ้าเปเปอร์ลงกระเป๋าอย่างตั้งใจ ผิดกับน้าแท้ๆของเขาที่เจออะไรก็ซุกๆยัดๆให้พื้นที่เต็มไว้ก่อน

“น้องผมท้องตอนเทอมสุดท้ายของปีสี่ครับ” ภูเริ่มเล่า “ท้องกับลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นในมหา’ลัย”
“แล้วทำยังไงกันล่ะ?”
“ตอนแรกก็คิดว่าน้องคงเอาตัวรอดได้เพราะแฟนก็ใช่ว่าจะจน ผมคิดมาตลอดว่าคนมีเงินคงไม่มีปัญหาหรือต้องคิดอะไรมากหากมีเด็กเพิ่มขึ้นมาอีกคน แต่นั่นแหละครับ จิตสำนึกของคนเรามันไม่เท่ากัน สุดท้ายก็เลิกกันไป แถมเป็นการเลิกที่ไม่มีความรับผิดชอบด้วย ไอ้เด็กเหี้ยนั่นไม่จ่ายอะไรซักอย่างแม้กระทั่งค่าผ่าคลอด”
“น้องคุณก็เลยต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวใช่ไหม?”
“หึ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอะไรล่ะครับ” ภูแค่นยิ้มเหมือนเยาะเย้ยน้องสาวตัวเองอยู่นิดๆ “แม่เด็กก็อายุยังน้อย เห็นเพื่อนได้ใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นก็อยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง สุดท้ายสอบชิงทุนไปอังกฤษได้ก็ทิ้งลูกไว้ให้ที่บ้านเลี้ยงนี่แหละ”
“หลานคุณชื่ออะไรเหรอ?”

พอถามถึงตรงนี้ ภูก็ยิ้มหวานออกมาทันที เขาส่ายหางไปมาอย่างร่าเริงเมื่อผมให้ความสนใจครอบครัวของเขา

“พีชครับ” เขายิ้มกว้างกว่าเดิมขณะเปิดรูปหลานสาวในโทรศัพท์ให้ดู “ชื่อน้องพีช”
“น่ารักนะเนี่ย”
“ขอบคุณนะครับ จริงๆผมก็รู้ตัวแหละว่าเป็นคนน่ารัก แต่คุณสองชมแบบนี้ก็เขินอ่ะ”

เฮ้อ

ผมส่ายหน้าเอือมระอาแล้วกลับไปจัดของต่อ ในห้องนี้ยังเหลืออะไรอีกบ้างนะที่เป็นทรัพย์สมบัติของน้ำหนึ่ง นอกจากเสื้อผ้าและของใช้ของเปเปอร์ก็คงไม่มีอย่างอื่นเพิ่มเติม ดังนั้นผมกับภูจึงช่วยกันหอบหิ้วถุงพลาสติกใส่ของเหมือนในสำเพ็งใบใหญ่ลงไปเก็บที่รถก่อน ตอนเราเดินผ่านสองคนผัวเมีย ทั้งคู่นั่งคุยที่โต๊ะอาหารด้วยท่าทางเคร่งเครียดไม่ส่อเค้าว่าจะทะเลาะกันรุนแรง แต่เมื่อเรากลับมาอีกครั้ง เสียงด่าทอต่อว่าและเสียงร้องไห้จ้าของเปเปอร์ก็ฟ้องว่าในห้องเกิดอะไรขึ้น ไอ้เหี้ยปั๊ปมันต้องตีน้ำหนึ่งแน่ๆ แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่กังวลด้วยเพราะเมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นพี่เขยใช้มือจิกผมน้ำหนึ่งจนฟูยุ่งและเอาแต่แหกปากด่าเธอเหมือนหมูเหมือนหมา

“มึงปล่อยพี่กูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

ผมปรี่เข้าไปตามสัญชาติญาณ พยายามใช้เล็บจิกมือไอ้เหี้ยปั๊ปเพื่อให้มันปล่อยน้ำหนึ่งจนกลายเป็นความชุลมุนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผละตัวออกมาได้มันผลักอกผมอย่างแรงจนล้มก้นจ้ำเบ้า ผมได้ยินเสียงน้ำหนึ่งกรี๊ดและพยายามเข้าไปทุบตีผัวเฮงซวยโทษฐานทำร้ายน้องชาย มันคือความโกลาหลขนานหนักเหมือนหมากัดกัน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภูเข้ามาจัดการไม่ให้ไอ้เหี้ยปั๊ปทำร้ายเราได้ยังไง รู้ตัวอีกทีผมก็เห็นเจ้าโกลเด้นที่เคยสดใสร่าเริงเหมือนเด็กยืนประจันหน้ากับพี่เขยเฮงซวยแล้ว

“อย่าเสือกเรื่องผัวเมีย! หลบไป!” มันผลักไหล่ภูและเดินปรี่จะเข้ามาหาเรื่องเราอีกรอบ ทว่าภูก็ใช้ร่างกายของตัวเองต้านเอาไว้ “กูบอกให้หลบไป!”
“พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนเหรอว่าอย่าเป็นผู้ชายอย่าตบตีผู้หญิง?”
“มึงไม่เป็นกูมึงไม่รู้หรอกว่าอีนั่นมันร้ายแค่ไหน!” ไอ้เหี้ยปั๊ปขึ้นเสียงพลางตีอกตัวเอง “รู้ไหมมึงทำกูเจ็บแสบแค่ไหนอีน้ำ มึงคิดว่าส่งเรื่องร้องเรียนผู้จัดการแล้วจะทำอะไรกูได้เหรอ?! คิดว่าพักงานแค่นี้จะทำให้กูกลัวหรือไง?!”
“ทำไมจะไม่ได้? กูจะจ้างทนายฟ้องหย่า กูจะทำให้มึงหมดตัวไม่เหลือเงินไปเสพสุขกับอีนั่นอีกเลยมึงคอยดูสิ!”
“น้ำหน้าอย่างมึงน่ะเหรอจะจ้างทนาย” ไอ้เหี้ยปั๊ปเดินปรี่เข้ามาเฉดหัวน้ำหนึ่งอย่างแรงจนหน้าหัน ผมรีบดึงตัวพี่สาวมาไว้ด้านหลังและผลักมัน “ตัวภาระแบบมึงที่ดีแต่สูบเลือดสูบเนื้อพ่อแม่และน้องชายอย่างมึงน่ะเหรอจะฟ้องหย่ากู ถุ้ย! มึงทำไม่ได้หรอก น้ำหน้าอย่างมึงน่ะ มากสุดก็ได้แค่หอบผ้ากลับบ้านไปชุบตัวหาเหยื่อใหม่เท่านั้นแหละ! คนเหี้ยอะไรโตขนาดนี้แล้วยังงอมืองอตีนขอเงินน้องชายอยู่ได้ หน้าไม่อาย!”
“เสือกอะไรกับครอบครัวกูล่ะ? พี่กูจะหาเงินได้หรือไม่ได้แล้วมันทำไม?!” ผมที่เหลืออดเหลือทนกับพี่เขยสันดานเสียพูดขึ้นมาบ้าง “มันเดือดร้อนมึงตรงไหนในเมื่อกูไม่เห็นมึงทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวเลยนอกจากจ่ายค่าเช่าห้อง! คาร์ซีทกูก็เป็นคนซื้อให้หลาน ค่านมค่าแพมเพิร์สบางเดือนเป็นเงินกูด้วยซ้ำ! ตอนลูกป่วยมึงก็ไม่มีความเห็นใจ ต้องให้พี่กูหอบหิ้วไปโรงพยาบาลกันสองคนแม่ลูก! พ่อแบบมึงน่ะทำอะไรบ้างนอกจากควงเมียน้อยในที่ทำงาน กูไม่เห็นมึงจะทำเหี้ยอะไรซักอย่างยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีกเหรอไอ้เหี้ยปั๊ป!”

ปึ้ก!

ผมโดนซัดหน้าจังๆหนึ่งหมัด หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ผมก็ได้ยินเสียง ปึ้ก! เป็นหนที่สอง แต่คราวนี้ผมไม่ได้เจ็บตัวเพิ่มแล้ว เพราะคนที่เจ็บตัวคือไอ้เหี้ยปั๊ป ผมเพิ่งรู้ว่าเสียงปึ้ก!ที่ตามมาด้วยความรุนแรงครั้งใหญ่เกิดจากฝีมือของภู เขาปรี่เข้าไปทุบและกระทืบให้เหี้ยปั๊ปจนหมอบลงกับพื้น สีหน้าของเจ้าโกลเด้นไม่ตลกอีกแล้ว แววตาของเขาแข็งกร้าวและโมโหมากราวกับสามารถฆ่าไอ้เหี้ยปั๊ปให้ตายคาตีนได้ ภูลงแรงอยู่นานเกือบนาทีจนกระทั่งนิติของคอนโดเข้ามาห้าม พวกเขาถึงหลุดจากกัน ยามเข้าไปดูแลพี่เขยที่นอนฟุบอยู่บนพื้น ส่วนภูถูกผมกับนิติคอนโดรั้งตัวเอาไว้ไม่อย่างนั้นวันนี้ต้องมีคนได้เข้าไอซียูแน่ๆ

“กูจะแจ้งตำรวจ!” ไอ้เหี้ยปั๊ปที่เลือดกบปากตวาดกร้าว ลำพังจะยืนยังทำไม่ได้แต่เสือกปากเก่ง “มึงเจอกูแน่อีน้ำ! ต่อให้ทำอะไรมึงไม่ได้ แต่อย่าลืมนะว่ากูสามารถฟ้องศาลเอาไอ้เปอร์มาเลี้ยงได้ถ้าแม่อย่างมึงไม่มีปัญญาแม้กระทั่งจะหาเงิน!!!!”
“รอคุยกันในศาลเดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะได้สิทธิ์ดูแลเปเปอร์ แต่หลังจากถ้านี้มึงทำร้ายพี่น้ำกับสองอีก กูจะยันมึงให้ตายคาตีนเลยคอยดู”

ภูพูดทิ้งท้ายขณะใช้มือรีดเสื้อที่สวมอยู่สองสามที เขาไม่ปรี่เข้าไปยกตีนยันหน้าไอ้เหี้ยปั๊ปอีกซักเปรี้ยงเมื่อได้ยินคำด่าต่อท้ายตามมาอีกเป็นพรวน เราช่วยกันเก็บข้าวของลงไปข้างล่าง น้ำหนึ่งรีบเข้าไปอุ้มเปเปอร์ราวกับกลัวว่าลูกชายจะถูกพรากจากอก ส่วนผมกับภูเดินตามหลังพร้อมกับนิติคอนโดโดยปล่อยให้พี่ยามดูไอ้เหี้ยปั๊ปไม่ให้มันลุกขึ้นตามมาทำร้ายเราอีก

หลังจากผ่านเหตุการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายมาเมื่อครู่ เราสองคนพี่น้องกอดกันแน่นโดยไม่พูดอะไร ผมไม่ร้องไห้แม้จะเจ็บตัวและเจ็บใจที่ต้องเห็นพี่สาวตกอยู่ในสภาพนี้ เมื่อบานประตูลิฟต์เปิดออก นิติคอนโดก็บอกว่าหากต้องการหลักฐานเพิ่มเติมให้ติดต่อมาได้ตลอด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกบ้านร้องเรียนว่าไอ้เหี้ยปั๊ปทุบตีเมียปางตาย ครั้งหนึ่งน้ำหนึ่งก็เคยหอบลูกหนีหน้าลิฟต์ในสภาพเลือดกบปากมาแล้ว โชคดีที่กล้องวงจรปิดเก็บภาพเอาไว้ได้หลายหน หากมีเรื่องต้องฟ้องร้องจริงๆ ไอ้เหี้ยปั๊ปดิ้นไม่หลุดแน่

“เดี๋ยวสอง” จู่ๆน้ำหนึ่งก็หยุดเดินและหันหน้ามาหาเรากะทันหัน “สองกับภูเอาเปเปอร์ไปรอที่รถก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”
“จะไปไหน?” ผมถามเมื่อเห็นพี่สาวเดินกลับเข้าไปในล็อบบี้ด้านหลัง เมื่อรู้ว่าน้ำหนึ่งคิดอะไรผมก็รีบดึงแขนเอาไว้ไม่ให้ไป “อย่าขึ้นไปเลย พอได้แล้ว จบกันแค่นี้เถอะ!”
“พี่ลืมของ”
“ลืมอะไรก็ช่างเถอะ เดี๋ยวสองซื้อใหม่ให้ คาร์ซีทสองก็ซื้อใหม่ได้ ไม่ต้องไปทวงเอาจากไอ้เหี้ยปั๊ปอีก อย่าไปยุ่งกับมัน”
“ไม่ใช่! พี่ลืมผ้าปูที่นอน! ผ้าปูที่นอนที่จะให้สองไง!” คำตอบของน้ำหนึ่งทำเอาผมอึ้งจนพูดไม่ออก “แกจะทนใช้ผ้าปูที่นอนผืนเดียวตลอดไปไม่ได้ แกต้องมีสำรองไว้ใช้”
“เออน่า ช่างมันเถอะ เดี๋ยวสองซื้อเอง”
“แกจะแบ่งเงินจากไหนมาซื้อ? แค่ตอนนี้ก็กรอบจะแย่เพราะพี่กับเปอร์ไม่ใช่เหรอ? รอตรงนี้นี่แหละ พี่ไปแป๊ปเดียวไม่นานหรอก ยามก็อยู่ข้างบน”
“บอกว่าไม่ต้องกลับไปไง!”

ผมเผลอขึ้นเสียงดังใส่พี่สาว เรามองหน้ากันด้วยความรู้สึกเสียใจจนพูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่น้ำหนึ่งจะร้องไห้ออกมา ตั้งแต่เมื่อกี๊แล้วที่ถูกทุบตีเหมือนหมูเหมือนหมา ผมยังไม่เห็นน้ำตาของพี่สาวซักหยด แต่น้ำหนึ่งกลับร้องไห้แค่เพราะโดนผมตวาดเสียงดัง ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่เสียใจ ผมแค่รู้สึกว่าผ้าปูที่นอนหลักพันไม่สำคัญเท่าชีวิตของน้ำหนึ่งหรอก

“ก็แค่ผ้าปูที่นอน”
“มันไม่ใช่แค่ผ้าปูที่นอน แต่มันเป็นของที่พี่ตั้งใจจะให้แก สอง แกเข้าใจไหมว่าชีวิตพี่ให้อะไรแกไม่ได้หรอกนอกจากผ้าปูที่นอนที่ซื้อเก็บเอาไว้ --”
“ซื้อเก็บเอาไว้หรือจับฉลากได้มา?”
“จับฉลากได้” เธอตอบเสียงอ่อย “แต่มันก็เป็นของพี่หรือเปล่า?! ทำไม? ถึงจะฟรีแต่มันก็ยี่ห้อดีนะเว้ย!”
“เออ! พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว ช่างมันเถอะ สองซื้อเองก็ได้”
“แกไม่ซื้อหรอก อย่าคิดว่าพี่สาวแกไม่รู้ทันนะ คนขี้เหนียวอย่างแกน่ะไม่มีวันจ่ายเงินเป็นพันซื้อผ้าปูนิ่มๆดีๆหรอก”
“เดี๋ยวซื้อเอง ไม่ต้องห่วง”
“แต่ยี่ห้อนี้มันไม่เหมือนยี่ห้อทั่วไป มันทอด้วยสามร้อยหกสิบเส้นผสมซิลค์นะเว้ย มันดีมากจริงๆนะ ผืนละตั้งสามสี่พัน พี่ยังไม่เคยแกะออกมาลองใช้เลย”
“จะทอกี่เส้นก็ช่างเถอะ ยังไงก็นอนหลับเหมือนกัน แล้วนี่ไปจับฉลากที่ไหนมาถึงได้ของแพงขนาดนี้ฮะ? ไปตีเนียนเข้าสมาคมคุณหญิงคุณนายอีกล่ะสิ? ทำไมคนพวกนั้นถึงดูไม่ออกนะว่าพี่น่ะไม่มีตังค์”

ผมบ่นพลางโอบไหล่น้ำหนึ่งให้เดินไปที่รถด้วยกัน ก่อนกลับเราไม่ลืมขอบคุณนิติบุคคลก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นรถ น้ำหนึ่งวางเปเปอร์ที่ยังคงร้องไห้ในคาร์ซีท ส่วนผมกับภูนั่งประจำที่ด้านหน้าโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก ผมรออยู่ครู่หนึ่งเพราะอยากรู้ว่าภูคิดยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาสมเพชเวทนาครอบครัวของผมไหมที่ต้องเจอเรื่องประหลาดที่คนอย่างภูไม่น่าจะเคยสัมผัส ทว่าภูกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย เขาไม่ออกความเห็น ไม่ว่าอะไร ไม่บอกว่าคิดยังไงจนกระทั่งขับรถถึงบ้านของพ่อกับแม่ที่บางพลี

TBC

__________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

ไม่เคยอยากมาแบบ % เลย แต่ขอซักครั้งนะคะ อยากเยียวยาตัวเองด้วยนิยายบ้าง ขอโทษที่หายไปนานและมาน้อย แต่จะพยายามมาต่อให้เร็วที่สุดค่ะ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนเหมือนอย่างเคย ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันไปนะคะ ครั้งนี้ต้องขอโทษจริงๆค่ะ ;-;


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คนที่อยู่กับเราแม้ในยามวิกฤตต้องกอดไว้ให้แน่น
หวังว่าน้ำหนึ่งจะเข็ดหลาบนะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
โอ้โห โคตรดี

คือมันดีมากจริง ๆ เขียนดีมาก

จากฟรีแลนซ์ ณ บางใหญ่ (ที่เข้าใจดีว่าค่ารถไฟฟ้ามันแพง ฮือ)

ออฟไลน์ snoopyme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เขียนดีมากเลย แถมรู้สึกอินเพราะเป็นประเด็นที่รีเลทกับชีวิตจริงๆ ไม่ว่าจะประเด็นสังคม ค่านิยม การเมือง ความรักความรู้สึก ความรับผิดชอบต่อครอบครัว โอยย ถูกใจมากๆ

ปล.อยู่แถวบางบัวทองเหมือนกัน เข้าใจอารมณ์เวลาเข้าเมืองที ค่ารถแพ๊งแพง - -

ติดตามน้า สู้ๆจ้า

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
6 PART 2/3

พ่อกับแม่รู้อยู่แล้วว่าเราจะมา แต่ผมไม่นึกว่าทั้งสองคนจะตื่นเต้นขนาดนี้

ตอนที่รถของภูค่อยๆชะลอตัวเมื่อเข้าใกล้เขตรั้วบ้าน ผมเห็นตาลุงคนหนึ่งซึ่งไม่สวมเสื้อยืนเกาะรั้วเหล็กราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง จังหวะที่แสงไฟสีขาวมีออร่าตามประสารถคนรวยค่อยๆอาบไล้ใบหน้า พ่อก็หรี่ตาลงและเพ่งมองมาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นลูกชายหัวแข็งเดินลงจากรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู พ่อถึงกับทำตาโตด้วยท่าทางตื่นเต้น

“รถใครวะน่ะ!” พ่อยิ้มร่าเมื่อเห็นรถยี่ห้อในดวงใจจอดอยู่ตรงหน้า เราต่างรู้ว่าความฝันสูงสุดของพ่อคือการมีบีเอ็มดับเบิ้ลยูซักคัน แต่เพราะมันไกลเกินฝัน พ่อจึงมีแค่อัลติสสีบรอนซ์เงินเท่านั้น “โห – อย่าบอกนะว่ารถสอง?”
“ตลกแล้วพ่อ หน้าอย่างสองเหรอจะมีเงิน” ผมแค่นหัวเราะและช่วยตาลุงเปลือยท่อนบนเข็นรั้วเหล็กเพื่อเปิดทางให้ภูขับเข้าไปจอดด้านใน “แม่ล่ะ?”
“ทำกับข้าวอยู่ในครัวแน่ะ”
“ทำไว้เยอะหรือเปล่า?”
“ก็เยอะนะ” พ่อพูดพลางปิดประตูรั้ว “ว่าแต่ใครมาส่ง? ติณเหรอ? รถใหม่เหรอเนี่ย เถ้าแก่ติณเปลี่ยนรถแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่ติณหรอก”

ผมตอบอ้อมแอ้มก่อนจะถอนหายใจ ยังคิดไม่ออกว่าจะอธิบายยังไงว่าภูคือใคร จะบอกว่าเป็นรุ่นน้องที่คณะก็ไม่ใช่เพราะผมจบอักษร ส่วนเขาจบสัตวแพทย์ จะบอกว่าเป็นคนที่ตามตื๊อก็ไม่ได้เพราะบ้านเราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ดังนั้นผมจึงบอกปัดๆไปว่าเพื่อน ภูเป็นเพื่อนที่มีน้ำใจมาส่งน้ำหนึ่งกับเปเปอร์ที่บ้าน

“งั้นชวนเพื่อนกินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ แม่เตรียมกับข้าวไว้เยอะแยะ แกงส้มของโปรดสองก็มี”
“เพื่อนคนนี้ไม่กินเผ็ด” ผมบอก “ไม่เป็นไร เดี๋ยวสองทอดไข่เจียวให้เขาเอง”
“ยังเด็กอยู่หรือไงฮะถึงไม่กินเผ็ดน่ะ”

พ่อบ่นทีเล่นทีจริง ส่วนผมได้แต่คิดในใจว่า เออ มันเด็ก เจ้าโกลเด้นภูมันเด็กอย่างที่พ่อคิดจริงๆนั่นแหละ ทั้งๆที่อายุเราห่างกันแค่สี่ปีกว่า แต่ความคิดและทัศนคติของภูยังคงสดใสเหมือนเด็กจบใหม่ที่ไม่เคยทำงาน ทุกอย่างรอบตัวเป็นมิตรเหมือนฝูงสัตว์ของสโนว์ไวท์ แม้กระทั่งเวลาพูดคุยก็ยังยิ้มเหมือนเด็กไม่มีพิษมีภัยคิดร้ายกับใคร คงมีแค่เมื่อครู่นี้แหละที่ทำให้ภูดูเป็นผู้ชายที่โตกว่าอายุ ผมยังคงจำใบหน้าโมโหของเขาตอนกระทืบไอ้เหี้ยปั๊ปได้ดี และหวังว่าในอนาคตจะไม่เห็นสีหน้าแบบนี้ของภูอีกไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

“พ่อ --”

เสียงน้ำหนึ่งเรียกให้ตาลุงเปลือยท่อนบนหลุดจากบทสนทนาของผม ทันทีที่เห็นลูกสาวร้องไห้ พ่อก็โผเข้ากอดและปลอบน้ำหนึ่งเหมือนเธอยังเด็ก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นภาพนี้ แต่มันเป็นครั้งที่สิบหรือยี่สิบในความทรงจำ ภาพของน้ำหนึ่งร้องไห้โซซัดโซเซมาขอให้พ่อช่วย เมื่อก่อนก็มีแค่ตัวคนเดียว ส่วนวันนี้เพิ่มลูกชายเข้ามาอีกหนึ่ง ภาพในความทรงจำของผมจึงถูกบันทึกใหม่โดยมีเปเปอร์อยู่ในอ้อมกอดของพ่อด้วย

 “ช่างมันนะ น้ำไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ กลับบ้านมาอยู่กับพ่อกับแม่นี่แหละ ใครไม่รักเราก็ช่างมันเถอะนะ น้ำยังมีพ่อแม่ มีสอง มี --”

บลา บลา บลา

ผมไม่ได้เข้าร่วมอ้อมกอดประโลมจิตใจของพ่อลูกนอกจากเดินผ่านทั้งสองคนไปช่วยภูยกของ สีหน้าของภูยังคงราบเรียบอยู่แต่ไม่ได้บึ้งตึงเหมือนคนโมโหจัดเหมือนก่อนหน้า จังหวะที่เข้าไปช่วยเขายกกระเป๋า ภูก็เงยหน้าจ้องผมอยู่พักใหญ่จนต้องถามว่ามีอะไร

“คุณสองเจ็บไหมครับ?”
“นิดหน่อย ช่างมันเถอะ”

ผมตอบปัดๆขณะลากกระเป๋าใบใหญ่เข้าบ้าน ภูสะพายเป้และหิ้วฟูกนอนของเปเปอร์มาเต็มสองมือ แม่ที่ได้ยินเสียงเอะอะหน้าบ้านจึงรีบเดินออกจากครัว พอเห็นว่าบ้านของเราไม่ได้มีแค่เราสี่คนเหมือนอย่างเคย แม่ก็ชะงักไปพักหนึ่ง

“สวัสดีค้าบ” ภูยิ้มหวานและยกมือไหว้อย่างนอบน้อมจนแม่ถึงกับงง “คุณแม่ของคุณสองเหรอครับ? หน้าเด็กจังเลยอ่ะ ภูนึกว่าพี่สาวอีกคนซะอีก”

ตอแหล!!!!!
แม่กูหน้าเหี่ยวขนาดนี้ยังมองว่าเป็นพี่สาวยายน้ำเน่าได้ยังไง!

 “อุ๊ย” แม่โบกมือปัดๆด้วยท่าทีเขินอาย ส่วนผมได้แต่กลอกตาเดินหนี รำคาญจริงๆเลยไอ้พวกขี้ประจบ “หนูเป็นเพื่อนของน้ำหนึ่งเหรอจ๊ะ?”
“อ๋อเปล่าครับ ผมเป็น --”
“แม่ หวัดดี” ผมรีบพูดแทรก “มีอะไรกินบ้างอ่ะวันนี้?”
“เยอะแยะ มีแกงส้มของโปรดสองด้วยนะ”
“มีกับข้าวที่ไม่เผ็ดบ้างหรือเปล่า?”
“มีแค่ปลาทอด ทำไม? สองจะกินอะไร?”
“เปล่า เพื่อนสองคนนี้เขาไม่กินเผ็ด” ผมบุ้ยปากไปทางเจ้าโกลเด้นภูที่กระดิกหางอย่างร่าเริงเมื่อรู้ว่าผมจำได้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบทานอะไร “เอาไงอ่ะคุณ จะกินอะไร?”
“ผมกินได้ทุกอย่างครับ แกงส้มผมก็กินได้”

ผมแค่นหัวเราะพลางส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าครัวเพื่อเจียวไข่ให้ภูพิเศษคนเดียว เจ้าโกลเด้นภูคงทำตัวไม่ถูกจึงเดินตามมาถึงด้านใน เขาอาสาช่วยตอกไข่และปรุงรสให้ ส่วนผมก็ยืนหน้ามันตั้งกระทะอยู่หน้าเตา พอน้ำมันร้อนได้ที่จึงเทไข่ที่ภูเจียวไว้ลงกระทะ กลิ่นหอมอบอวลทั่วบ้านเมื่อไข่ค่อยๆฟูฟ่องเป็นแผ่นใหญ่จนไม่เห็นน้ำมันด้านล่าง ผมยืนเท้าสะเอวเจียวไข่ด้วยท่าทางซังกะตาย ส่วนภูถือจานด้วยท่าทางระริกระรี้เหมือนหมารอกินข้าวไม่มีผิด

“ดีใจจังเลยอ่ะ”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“คุณสองจำได้ด้วยว่าผมไม่กินเผ็ด” เจ้าภูทำหน้าซาบซึ้งน้ำตาจะไหล ส่วนผมส่ายหน้าเซ็งๆเพราะไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก “แถมวันนี้ผมจะได้กินไข่เจียวฝีมือคุณสองด้วย”
“อย่าเว่อร์” ผมบอกพลางตักไข่ขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน “อยู่กินข้าวซักพักแล้วค่อยกลับนะ คุณไม่ต้องไปส่งถึงบางบัวทองหรอก ส่งที่รถไฟฟ้าก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ วิ่งทางด่วนกาญจนาแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว”
“อย่าทำให้ผมรู้สึกผิดมากไปกว่านี้เลย แค่คุณต้องเห็นสภาพแย่ๆของครอบครัวของผมก็น่าอายจะตายอยู่แล้ว นี่ยังจะให้ไปส่งถึงร้านอีก ไม่เอาหรอก ไม่ต้องดีกับผมขนาดนี้ก็ได้”

ผมพึมพำเหมือนพูดคนเดียวมากกว่าพูดกับภู และประโยคนั้นก็ถูกกลืนหายไปเมื่อไข่เจียวสีเหลืองอมน้ำมันถูกวางบนจาน ผมถามภูว่าปกติแล้วชอบกินไข่เจียวกับซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศทว่าเจ้าหมาโกลเด้นไม่ยอมตอบเสียทีจนต้องหมุนตัวกลับไปมอง แล้วผมก็เห็นภูยืนจ้องกลับมาด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง

“ไหนบอกว่าจะไม่คิดมากไง?”
“มันก็ต้องคิดอยู่แล้ว ผมคิดมากเพราะว่าผมแคร์คุณหรอกนะ ขับรถไปกลับก็ตั้งเป็นร้อยโล ผมอยากให้คุณพักผ่อนสบายๆ ไม่อยากให้คุณเหนื่อยเพราะปัญหาส่วนตัวของผมไง”
เจ้าโกลเด้นภูยิ้มเมื่อได้ยินผมหลุดปากพูดคำที่ไม่น่าพูดที่สุดออกไป “คุณสองแคร์ผมจริงเหรอครับ?”
“จริงสิ” ผมเริ่มเลิกลั่กพลางพยักเพยิดไปทางโต๊ะวางเครื่องปรุง “ตกลงยังไง? จะเอาซอสพริก ซอสมะเขือหรือน้ำจิ้มไก่?”
“ซอสพริกครับ”

ผมขานตอบว่าโอเคและเทซอสพริกใส่ถ้วยใบเล็กให้ภู เราเดินไปที่โต๊ะกินข้าวซึ่งมีแม่กับพ่อกำลังช่วยจัดวางอาหารอยู่บนโต๊ะ ส่วนน้ำหนึ่งนั่งให้นมเปเปอร์อยู่หน้าทีวี ดังนั้นเราจึงคุยเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอหลานชายกินนมจนอิ่ม แน่นอนว่าบทสนทนาคงเป็นเรื่องอื่นไม่ได้นอกจากเรื่องของภู

“เป็นเพื่อนสองเหรอ?”

แม่ถามยิ้มๆพลางส่งจานข้าวให้ภู เจ้าโกลเด้นรีบพยักหน้าและตอบว่า ใช่คับ ใช่คับ ภูเป็นเพื่อนของคุณสองเอง

“แล้วเจอกับน้ำหนึ่งได้ยังไง ไม่เห็นน้ำเล่าให้แม่ฟังเลย”
“เจอกันที่โรงพยาบาลครับ พี่น้ำพาเปเปอร์ไปหาหมอ ผมไปเยี่ยมลูกค้าก็เลยบังเอิญพบกันพอดี”

ฟังถึงตรงนี้แม่ก็ยิ้มและพยักหน้ารับ ส่วนพ่อดูเคร่งเครียดกว่าปกติราวกับไม่ค่อยชอบบทสนทนาตอนนี้เท่าไหร่ ผมเองก็ไม่อยากอธิบายมาก อยากให้พ่อกับแม่คิดว่าภูเป็นแค่เพื่อนธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษจนกระทั่งพ่อกระโดดเข้าร่วมบทสนทนาและเริ่มซักไซ้ถามภูเหมือนฝ่ายบุคคลซักประวัติผู้สัมภาษณ์งาน

อายุเท่าไหร่ จบจากมหาวิทยาลัยไหน ตอนนี้ทำอาชีพอะไรทำไมถึงมีบีเอ็มขับ พอรู้ว่าภูเป็นสัตวแพทย์และมีคลินิกส่วนตัวที่ทองหล่อก็ถามใหญ่เลยว่าคลินิกของใคร มรดกต่อจากพ่อแม่หรือเป็นเศรษฐีใหม่ที่มีเงินซื้อตึกแถวนั้น แล้วคลินิกที่ทำอยู่เนี่ยมีหมอกี่คน ผู้ช่วยกี่คน ลูกค้าเยอะไหม ขาดทุนไหม ใกล้เจ๊งหรือยัง พ่อถามคำถามไร้มารยาทจนต้องรีบเบรกไว้ ผมขมวดคิ้วมองหน้าพ่อด้วยความไม่พอใจ ต่อให้ภูจะดูเหมือนคนเฟรนด์ลี่ไม่คิดอะไรแต่พ่อก็ไม่ควรถามคำถามส่วนตัวแบบนั้น

“ยังไม่เข็ดอีกเหรอ? ที่ผ่านมาเราปล่อยปละละเลยไม่สนใจไง น้ำหนึ่งถึงเจอแต่ผู้ชายห่วยๆ”
“แล้วผัวพี่น้ำมันเกี่ยวอะไรกับภู?” ผมถามด้วยความไม่พอใจ 
“แหม ตอนไอ้ปั๊ปเข้าบ้านใหม่ๆก็แบบนี้แหละ ยิ้มหวานมาแต่ไกล สุดท้ายเป็นไงล่ะ ลูกมันก็ไม่เลี้ยงแถมยังซ้อมเมียอีก”
“นั่นไอ้เหี้ยปั๊ป นี่ภู มันเอามาเทียบกันไม่ได้”

ผมคงชักสีหน้าหงุดหงิดเกินไป ภูถึงรีบวางมือลงบนหน้าขาและส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร เขาพยายามส่งสายตาบอกให้ใจเย็นๆและอย่าถือโทษโกรธพ่อ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่ดี สถานการณ์บนโต๊ะอาหารเริ่มไม่ค่อยดีจนกระทั่งน้ำหนึ่งอุ้มเปเปอร์มาร่วมโต๊ะกับเรา ยายพี่สาวตัวดีอุ้มลูกพาดไหล่ไปพร้อมกับตบหลังเรอพลางมองหน้าเราสี่คนด้วยท่าทางงุนงงว่าทำไมดูกระอักกระอ่วนใจจนผิดสังเกต

“มีอะไรกัน?” น้ำหนึ่งถามพร้อมกับลากจานข้าวเข้ามาใกล้ตัว
“สองมันโกรธพ่อที่พ่อถามภูเยอะไปหน่อย” แม่ตอบ “น้ำ แม่พูดจริงๆนะ แม่ไม่เคยว่า ไม่เคยห้ามน้ำเลยเวลาน้ำจะรักใครชอบใคร แต่หลังจากนี้ก็ดูให้มันดีๆหน่อยแล้วกันว่าผู้ชายมันดีแต่เปลือกเหมือนไอ้ปั๊ปหรือเปล่า จะเลือกผัวก็ดูที่มันดีด้วย อย่าเห็นแก่หน้าตาให้มันมากนัก ผัวหล่อแต่เฮงซวยก็ไม่มีความสุขเท่าผัวรวยหรอก”
“แม่!” ผมปรามแม่ รู้สึกอับอายขายขี้หน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“หรือมันไม่จริง?”
“ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับภูเลย!”
“โอ๊ย! จะทะเลาะกันไปทำไมเนี่ย ภูไม่ได้สนใจน้ำหรอก นู่น – เขาสนใจลูกชายพ่อกับแม่ต่างหาก”

น้ำหนึ่งส่ายหน้าหน่ายๆและเริ่มตักอาหารใส่จาน ยายพี่สาวตัวดีกินแกงส้มชะอมทอดอย่างสบายอกสบายใจในขณะที่เราสี่คนนั่งมองหน้ากันในความเงียบ ผมแกล้งเหลือบมองทางภูเพราะอยากรู้ว่าเขาแสดงสีหน้ายังไงออกมา แล้วก็เห็นเพียงรอยยิ้มกว้างอวดฟันขาวกับใบหน้าไร้เดียงสา เขาดูตื่นเต้นเมื่อกำลังรอคำตอบว่าพ่อกับแม่จะคิดยังไง ส่วนผมได้แต่นั่งช็อคพูดไม่ออกเพราะความปากไวของยายน้ำเน่า

“พูดอะไรของน้ำ?” พ่อถามเสียงขรึม ไม่มีท่าทีตาลุงขี้โม้เหมือนก่อนหน้าเลยซักนิด “ที่บอกว่าสนใจลูกชายน่ะคืออะไร?”
“นั่นสิ สนใจลูกชายหมายความว่ายังไง?” แม่รีบผสมโรง
“น้ำหนึ่ง --” ผมพยายามเบรกยายปากมาก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว
“ภูเขาเป็นแฟนคลับสองน่ะแม่” น้ำหนึ่งพูดทั้งๆที่ข้าวยังเต็มปาก “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแต่เห็นคอยตามป้วนเปี้ยนสองมาพักใหญ่แล้ว ใช่ไหมภู? ตามจีบสองอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”

ทุกสายตาหันกลับไปจับจ้องเจ้าโกลเด้นที่นั่งกระดิกหางรอซีนอยู่นาน ผมรีบหรี่ตา กดดันภูทางอ้อมเป็นนัยไม่ให้เขาพูดเรื่องที่มีแค่เราเท่านั้นที่รู้เพราะพ่อกับแม่ไม่เคยรับรู้ว่าตัวตนของผมเป็นยังไง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยเปิดอกคุยกัน พ่อกับแม่ก็ไม่รู้เรื่องของชวินทร์ ดังนั้นอย่าหวังเลยว่าทั้งสองคนจะพออกพอใจที่มีผู้ชายมาตามตื๊อลูกชาย เผลอๆพ่อคงรับไม่ได้จนต้องตะเพิดไล่ภูกลับบ้านทันทีแน่ๆ แต่ผิดคาดเมื่อภูบอกพ่อกับแม่ของผมว่า

“ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมกับคุณสองเราเป็นเพื่อนกันครับ”
“เพื่อนไม่จริงหรือเปล่า?”
“ยายน้ำเน่า” ผมเรียกพี่สาวเสียงแข็งเพื่อขอให้เธอหยุด อย่างน้อยน้ำหนึ่งควรรู้ว่าบ้านของเรายังไม่พร้อมทำใจยอมรับเรื่องนี้
“เพื่อนจริงเหรอ?”

พ่อถามจริงจัง เมื่อภูพยักหน้ายิ้มและบอกว่าจริงครับ แค่เพื่อนกันครับ เพื่อนที่บังเอิญคุยกันถูกคอ พ่อก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก แต่สีหน้าของพ่อกลับทำให้ผมเสียใจพอสมควรเมื่อรู้ว่าพ่อยังไม่ได้เตรียมใจเพื่อรับรู้เรื่องนี้

“สรุปว่าไม่ได้ตามจีบน้ำใช่ไหม?” แม่ถามเพื่อความชัวร์อีกครั้งจนภูต้องพยักหน้ายืนยันอีกหลายหน “เฮ้อ แล้วไป ก็สงสัยอยู่ว่าภูอายุยังน้อย จะรับแม่หม้ายลูกติดได้จริงๆเหรอ”

แล้วบทสนทนาก็เงียบ การแนะนำตัวครั้งแรกของภูกับพ่อแม่ของผมถือว่าจบลงตรงคำว่าเพื่อน ภูไม่แสดงออกว่าเขากำลังสนใจสิปปกรอย่างที่น้ำหนึ่งพยายามพูดเปิดทาง แต่เขาทำตัวตามปกติราวกับเราเป็นแค่เพื่อนจริงๆ เพื่อนที่หวังดีต่อกันถึงขนาดยอมสละเวลาขับรถมาส่งเราสามคนถึงบางพลี เขาทานข้าวและเอ่ยชมแม่ว่าทำอาหารอร่อย เขากินไข่เจียวกับซอสพริกจนเกลี้ยงจานและทำคะแนนด้วยการขอเติมข้าวอีก เขาฝืนกินแกงส้มชะอมทั้งๆที่ไม่ชอบ และเอาแต่ชวนพ่อคุยเกี่ยวกับเรื่องรถไม่หยุดไม่หย่อนจนบรรยากาศน่าอึดอัดหายไป เขาทำให้พ่อกับแม่เชื่อว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ ส่วนผมน่ะเหรอ?

ผม – ไม่รู้สึกว่าภูคือเพื่อนแม้แต่นิดเดียว

ภูไม่เหมือนชวินทร์ เขาไม่ได้เข้าหาผมด้วยสถานะเพื่อน ไม่ได้ตีซี้หรือชวนคุยในฐานะเพื่อนกันเหมือนความสัมพันธ์อื่นๆที่เริ่มต้นมาจากตรงนั้น แต่เขาเปิดเผยและตรงไปตรงมา เขายอมรับว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือการจีบ คือการเอาชนะใจ คือการพยายามทำให้ผมรู้สึกดีกับเขา ดังนั้นตอนที่บอกทุกคนในครอบครัวว่าภูเป็นเพื่อน ลึกๆในใจของผมกลับมีคำคัดค้านเล็กๆที่บอกตัวเองว่าไม่ใช่ สถานะของเรามันไม่เคยเป็นเพื่อน ซึ่งอาจจะจบลงตรงที่คำว่าเพื่อนหากผมเห็นว่าเราไปต่อด้วยกันไม่ได้จริงๆ

หลังอาหารเย็นจบลง พ่อก็ปิดท้ายด้วยการขายของค้างสต็อกจากธุรกิจหมื่นล้านของตัวเองให้กับภู ผมได้แต่นั่งกุมขมับและอับอายเมื่อพ่อหยิบแผ่นพับรายการสินค้ามาขายภูที่นั่งกระดิกหางยิ้มรับไม่แสดงท่าทีอึดอัดเลย ผมอายจะแย่ อายที่พ่อกับแม่ชอบทำอะไรไม่รู้เวลา บางทีผมกับภูยังคงมีกำแพงต่อกันอยู่ ผมยังไม่สนิทใจถึงขนาดเปิดเปลือยความดิบของครอบครัวตัวเองให้ใครรู้ ดังนั้นตอนที่เจ้าโกลเด้นบอกพ่อว่าสนใจซื้อน้ำยาถูพื้นไปใช้ที่คลินิกสามขวด ผมก็รีบเบรกเขาไว้และบอกว่าอย่าทำแบบนี้แค่เพราะรักษามารยาท อย่ายอมเสียเงินให้คนอื่นแค่เพราะเกรงใจ คุณควรเป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้นะ

“เปล่านะ ก็คลินิกผมต้องถูพื้นบ่อยจริงๆ” เจ้าภูอ้างด้วยสีหน้าซื่อๆ “ไหนๆพ่อก็มีของเหลือเยอะ เก็บไว้ไม่รู้จะขายใคร ยังไงให้ผมลองซื้อไปใช้ดีกว่า ถ้าใช้ดีผมจะได้กลับมาอุดหนุนพ่อเรื่อยๆไง”
“ไปซื้อในห้างก็ได้”
“นี่ๆ ไอ้สอง อย่ามาทำตัวขัดลาภคนจะรวย” พ่อจิ๊ปากและชักสีหน้าไม่พอใจ แต่พอหันไปคุยกับภู พ่อก็ยิ้มหวานและพูดจาไพเราะสมกับเป็นพ่อค้า “งั้นเดี๋ยวพ่อแถมยาสีฟันหนึ่งหลอดนะ ภูลองใช้ดูก่อน ถ้าชอบก็บอกพ่อ”
“ทำไม? พ่อจะยกสต็อกที่ค้างเก็บให้ภูหรือไง?”
“ขายสิ!” พ่อแว้ดเสียงดัง แล้วก็หันไปยิ้มอ่อนโยนให้ภูอีก สรุปแล้วลูกชายบ้านนี้คือใครกันแน่ ผมหรือภู ทำไมพ่อดูสองมาตรฐานจัง “งั้นเดี๋ยวพ่อเอาใส่ถุงให้นะ”

เจ้าภูพยักหน้ารับและเตรียมหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาจ่าย ผมรีบเบรกเขาไว้ด้วยการบอกว่าไม่ต้อง ภูไม่ต้องจ่ายเงินอะไรทั้งนั้นเพราะลำพังขับรถมาส่งถึงบ้านก็รู้สึกขอบคุณมากๆแล้ว แต่ภูกลับไม่ยอม

“คุณสองไม่เห็นหน้าพ่อเหรอครับ? เห็นไหมว่าพ่อดีใจมากเลยนะที่ขายของได้”

ภูพูดให้คิดตาม ขณะเหลือบมองพ่อกับแม่ที่ช่วยกันหาถุงพลาสติกดีๆสวยๆใส่น้ำยาถูพื้นให้ลูกค้าคนล่าสุด ผมก็เพิ่งสังเกตว่าพ่อตื่นเต้นแค่ไหนกับการขายน้ำยาถูพื้นได้สามขวดในราคาไม่ถึงห้าร้อยบาท

“เป็นความสุขของเขา อย่าขัดเขาเลยนะครับ”

ผมเงียบและยอมรับฟังภู ผมมองพ่อที่ร่าเริงผิดปกติด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก มันคือความสุขเล็กๆของพ่อจริงๆอย่างที่ภูว่า ผมเริ่มเข้าใจนิดหน่อยว่าสิ่งที่พ่อทำทั้งหมดไม่ใช่แค่การฝันเพ้อพกอยากรวยเป็นเศรษฐีหมื่นล้านในพริบตา พ่อก็แค่อยากมีเงินเล็กๆน้อยๆเป็นรายได้เสริมเงินเดือน หลังผ่านความล้มเหลวมามากมาย เมื่อสินค้าค้างสต็อกขายออกแม้จะเป็นเพียงน้ำยาถูพื้นแค่สามขวด แต่มันก็สร้างความสุขให้พ่อชนิดที่ผมเองยังสัมผัสได้

ผมทอดสายตามองพ่อทอนเงินให้ภู ฟังเขาพูดถึงสรรพคุณสินค้าของตัวเองอย่างละเอียดด้วยความจริงจังและตั้งใจอยู่นาน หลังจากเก็บเงินของภูเข้ากระเป๋า ผมจึงบอกพ่อว่าผงซักฟอกที่ร้านหมดแล้ว พ่อพอจะมีขายไหม ผมอยากลองใช้ของที่พ่อเป็นตัวแทนจำหน่ายบ้าง

“มีสิ” พ่อยิ้มกว้างกว่าเดิม “ของพ่อมันดีมากเลยนะสอง ซักแล้วไม่เหม็นอับถึงจะตากในที่ร่ม ฝนตกอากาศชื้นก็ไม่อับ สองเอาไปใช้ดูก่อนก็ได้ ถ้าชอบจริงๆค่อยมาเอาไป พ่อให้”
“โอ๊ย ของซื้อของขาย อย่าเล่นตัวเลยพ่อ จะได้มีเงินไว้ใช้”

ผมโบกมือปัดและพยายามตื๊อให้พ่อค้ายอมขายของเสียที แต่พ่อก็ยังยืนยันอยู่นั่นแหละว่าไม่ขาย ไม่ขาย กับสองพ่อจะขายได้ยังไง สองให้ครอบครัวมาตั้งเท่าไหร่ ผงซักฟอกถุงสองถุงพ่อให้ลูกได้อยู่แล้ว

“พ่อให้สองมากกว่าที่สองให้ทุกคนเสียอีก”

ผมพูดและยิ้ม เราพ่อลูกมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่พ่อจะเดินหายไปหลังบ้านและกลับมาพร้อมผงซักฟอกถุงใหญ่สองถุง

“งั้นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งก็แล้วกันนะ ถุงละหนึ่งร้อยห้าสิบบาท ขอเป็นเงินสด งดเชื่อเบื่อทวง ไม่รับบัตรแต่พร้อมเพย์ได้ ว่าไง? จะจ่ายยังไงดีล่ะ?”






ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 17:06:47 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
6 [100%] Part 2/3


ภูนั่งเล่นที่บ้านของผมจนถึงสี่ทุ่ม ก่อนกลับแม่ก็ไปสอยมะม่วงเขียวเสวยหน้าบ้านให้เขาอีกถุงใหญ่เพื่อตอบแทนน้ำใจที่อุตส่าห์ขับรถมาไกลถึงที่นี่ เจ้าโกลเด้นกระดิกหางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อได้รับมะม่วงเป็นของแถม

“ผมชอบมะม่วงมากครับ” ภูบอกแม่ของผมและยิ้มจนตาหยี “ชอบมากครับ”
“ถ้าชอบก็บอกนะ เดี๋ยวแม่ฝากสองไปให้”

แม่บอกขณะเปิดประตูรั้วเตรียมส่งเราสองคนกลับบางบัวทอง ก่อนขึ้นรถ พ่อด้อมๆมองๆบีเอ็มดับเบิ้ลยูของภูด้วยแววตาเป็นประกาย พอเจ้าโกลเด้นเห็นพ่อสนใจก็เอ่ยปากเชื้อเชิญให้เขาลองขับอยู่พักใหญ่ ผมรู้สึกว่าภูทำเกินไปแล้ว เขาใจดีกับคนอย่างพวกเราเกินไปทว่าพ่อกลับไม่คิดแบบนั้น พ่อรีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้ด้วยการลองขึ้นไปนั่งจับพวงมาลัยและเอาแต่ลูบๆคลำๆอยู่นั่นแหละจนผมต้องไล่ลงจากรถ

“มันโก้จริงๆเว้ยเฮ้ย” พ่อยิ้มด้วยท่าทางชอบใจ ส่วนผมเหนื่อยหน่ายที่ครอบครัวของเรายังคงทำตัวประหลาดอยู่เรื่อย
“พ่อจะลองขับดูไหมครับ? ขับไปเซเว่นหน้าปากซอยแล้วกลับก็ได้นะครับ”
“พอ! ไม่ต้องเลย”

ผมห้ามทั้งสองคนก่อนที่จะพากันเตลิดไปไกลกว่านี้ เรายกมือไหว้ลาพ่อกับแม่และขับรถออกจากบางพลีตอนสี่ทุ่มกว่าๆ บนรถที่เหลือแค่เราสองคน ภูไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เลย เขาเปิดเพลงฟังด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ แถมยังขับรถด้วยมือเดียวและฮัมเพลงตลอดทาง

“ดึกขนาดนี้คุณจะถึงบ้านกี่โมงเนี่ย?” ผมชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศในรถเงียบเกินไป เจ้าโกลเด้นเลิกคิ้วและหันมามองหน้า
“ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณสองห่วงตัวเองเถอะ พรุ่งนี้ก็มีอีเว้นท์ที่ร้านไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ แต่พูดกันตามตรงนะ ผมแทบไม่มีประโยชน์เวลาจัดงานเลย” ผมเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้ให้ภูฟัง “ไอ้ติณมันก็เก่งจนคุมทุกอย่างได้แล้ว พักหลังผมไม่ต้องอยู่ร้านก็ไม่เป็นไร เหมือนบทบาทมันค่อยๆจางลงน่ะ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เพราะติณพูดถึงผมในแง่ดีตลอด”
“พี่ติณนี่เป็นเพื่อนที่ดีเนอะ”
“อืม ดีมาก” ผมพึมพำ “วันนี้ขอโทษนะที่ทำให้คุณตกใจ”
“เรื่องอะไรครับ?”
“เรื่องผัวพี่น้ำแล้วก็ครอบครัวของผม” ผมบอกเขา “คุณคงอึ้งน่าดูที่จู่ๆก็โดนขายตรง”
“ไม่หรอก ทำไมต้องตกใจล่ะในเมื่อพ่อกับแม่คุณสองน่ารักจะตาย”
“แหม อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้ว่าคุณพยายามทำแต้มอยู่” ผมหลุดหัวเราะ “แต่ขอบคุณมากนะที่ไม่บอกพ่อกับแม่ตรงๆ”
“เห็นแบบนี้ผมก็อ่านบรรยากาศออกนะครับ”
“เก่งมากเจ้าภู ขอให้วางตัวเก่งแบบนี้ตลอดไป”
“แล้วคุณสองเคยคิดจะบอกพ่อกับแม่บ้างไหมครับ?”

ผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่เพราะจริงๆแล้วไม่เคยคิดเลย

“ผมว่าไม่ต้องบอกก็ได้นะ เอาที่คุณสองสบายใจที่สุดดีกว่า” ภูแสดงความเห็น “อีกอย่างคุณก็ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตลอดเวลา เรื่องของเราเก็บเป็นความลับที่มีแค่เราก็ได้ครับ”
“กล้าพูดนะว่าเรื่องของเรา”
“หรือว่าไม่จริง?” เจ้าโกลเด้นจีบปากจีบคอ “นี่ถ้าไม่ชอบก็ไม่ทำให้ถึงขนาดนี้หรอกนะจะบอกให้”
“ผมต้องเขินไหม?”
“เขินสิ ก็ผมเพิ่งบอกชอบคุณสองอีกครั้งผ่านประโยคนั้นไง” ภูอมยิ้มจนแก้มยกขึ้นเป็นซาลาเปา “งั้นพรุ่งนี้คุณสองไม่ต้องอยู่ร้านก็ได้ใช่ไหม?”
“ใช่”
“งั้น – คืนนี้ --” ภูหันหน้ามาหาและยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไปดูเน็ตฟลิกซ์ที่ห้องของผมไหมครับ?”

ทำไมผมต้องไปห้องของภู ในเมื่อผมเองก็แชร์เน็ตฟลิกซ์กับติณและเพื่อนเอกอิ๊งอีกสองคนอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงปฏิเสธเจ้าโกลเด้นทันทีเมื่ออีกฝ่ายหาเรื่องหลอกให้ผมไปนอนค้างเป็นเพื่อน ภูไม่งอแงถามว่าทำไม ทำไมไม่ไปอย่างที่คิดไว้ เขาขานตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆว่าไม่เป็นไร เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้

“คุณสองชอบหมาไหมครับ?”
“ผมเฉยๆกับสัตว์เลี้ยง ทำไม?”
“ที่บ้านผมมีหมาคอร์กี้ตัวนึงชื่อชานม”

ภูพูดถึงเจ้าคอร์กี้ของตัวเองอีกแล้ว ผมจึงตอบไปว่ารู้แล้ว รู้ว่าคุณมีคอร์กี้ แต่ไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเจ้าชานมหมายักษ์ขึ้นมาทำไม

“ชานมบอกว่าอยากเจอคุณสองอีกอ่ะ”
“ตอแหล”
“เฮ้ย ชานมพูดจริงๆนะ” เจ้าภูยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณสองไม่รู้เหรอว่าหมาผมพูดได้”
“บ้า หมาที่ไหนจะพูดได้”
“แต่ชานมพูดได้จริงๆ”
“อย่ามาโกหก”
“จริง! จริง!” ภูเน้นน้ำเสียงมากกว่าเดิม “ผมท้าให้คุณมาพิสูจน์เลยว่าชานมพูดได้ และมันบ่นคิดถึงคุณสองมาหลายเดือนแล้ว”
“หมาที่ไหนจะพูดได้ ตลก!”
“จริง!”
“ไม่เชื่อ!”
“ไม่เชื่อก็ต้องมาพิสูจน์!” ไอ้หมาโกลเด้นมันท้าผม “ไหนๆพรุ่งนี้คุณสองก็ไม่มีธุระด่วน ทำไมไม่มานอนเล่นที่ห้องผมล่ะ?”
“ใครจะโง่ไปห้องคุณวะ!”
“ทำไม?” ภูเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ แหม ตอแหล เป็นสัตวแพทย์ที่ตอแหลเก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ
“แล้วคุณจะอยากให้ผมไปบ้านคุณทำไม?”
“ผมเหงา”
“เหงาอะไรอีก? วันๆก็อยู่คนเดียวไม่ใช่เรอะ?”
“ก็ได้ ผมพูดความจริงก็ได้ ผมไม่อยากให้คุณสองอยู่คนเดียวต่างหาก” ภูยอมเฉลยข้อสงสัยทั้งหมดเมื่อรถขับถึงทางออกตรงบางแค “ผมว่าวันนี้มันหนักเกินไป ผมกลัวคุณสองอยู่คนเดียวแล้วจะเครียด”
“ผมไม่เครียดหรอก ผมเข้มแข็งกว่าที่คุณคิด”
“ตอนนี้พูดได้ แต่อยู่คนเดียวเมื่อไหร่คุณสองคงคิดมากแน่ๆ” ผมหันมองภูครู่หนึ่ง คิดหนักเหมือนกันว่าควรตอบรับคำเชิญชวนของเขาดีไหมเพราะกลับร้านไปอยู่คนเดียวก็คงเฉาตายเหมือนที่ภูว่า “คืนเดียวเอง ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”
“ผมไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามา”
“ใส่ของผมก็ได้” ภูยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าผมกำลังเปลี่ยนใจ “ว่าไงครับ? ไปไหม? Sleep with me free breakfast”
“no sex”
“sure”
“deal”

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น แต่เมื่อภูรับปากว่าจะเป็นเพียงการค้างคืนตามประสาเพื่อนเท่านั้น ผมก็ตอบตกลงทันที



ภูแนะนำชานมว่าเป็นลูกชายคนเดียวของเขา ชานมคือสุนัขพันธุ์คอร์กี้ที่ตัวใหญ่เท่าควายแต่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นตัวเล็กตัวน้อยของพ่อ ทันทีที่ภูเปิดประตูบ้านเข้าไป ชานมจะวิ่งหมุนวนรอบตัวของเขา กระโดดไปมาอย่างเริงร่าเพื่อขอให้ภูอุ้ม และภูก็บ้าจี้อุ้มสุนัขที่ตัวใหญ่เท่าควายจริงๆ เขาทั้งกอดทั้งหอมชานมเหมือนตุ๊กตา ส่วนผมได้แต่จามฮัดชิ่วอยู่หลายหนเพราะขนที่ปลิวฟุ้งของชานมกระตุ้นภูมิแพ้จนกำเริบ

“คุณสองแพ้ขนหมาเหรอครับ?”
“เปล่าหรอก แต่ขนมันฟุ้งจนเข้าจมูกน่ะ” ผมตอบและจามอีกครั้ง “ช่างเถอะ ปกติชานมไม่ได้นอนบนเตียงกับคุณใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ชานมนอนในคอก” ภูบอกพลางเปิดประตูห้องนอนของตัวเองซึ่งเผยให้เห็นคอกหมาขนาดใหญ่กั้นอยู่ตรงมุมห้อง “จริงๆผมก็อยากให้นมนอนบนเตียงนะ แต่นมขนร่วงอ่ะ บางทีทาครีมเสร็จใหม่ๆ ขนก็ติดเต็มหน้าเลย”

ผมนึกขอบคุณสวรรค์ที่เจ้าหมาตัวเขื่องนี่ไม่มีกรรมสิทธิ์บนเตียง ไม่อย่างนั้นผมคงนอนไม่เป็นสุขแน่ แค่จินตนาการว่าต้องหนุนหมอนที่มีแต่ขนหมาประปรายอยู่เต็มใบก็คันยุบยิบแล้ว เมื่อเดินเข้ามาในห้องพร้อมกันทั้งคนทั้งหมา ภูก็ถามผมว่าอยากทำอะไร

อยากทำอะไรงั้นเหรอ?

“ห้องคุณมีอะไรให้เล่นบ้างล่ะ?”

ผมถามกลับ แล้วเราก็ชวนคุยถึงงานอดิเรกมากมายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่มีจุดสิ้นสุด ภูเปิดสมาร์ททีวีให้ดู เผยรายการโปรดในเน็ตฟลิกซ์ที่เซฟเก็บไว้แต่ยังไม่มีโอกาสดู ผมกดรีโมตไปเรื่อยเพื่อดูว่าในลิสต์ของเขามีหนังเรื่องโปรดของผมบ้างไหม แล้วก็เจอ Modern Family

มันคือซีรี่ส์อเมริกันที่ผมรัก เป็นหนึ่งในซีรี่ส์ที่ดูกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ มันคือเรื่องราวของครอบครัวอเมริกันสามครอบครัว มีพริตเช็ตต์คนพ่อที่แต่งงานใหม่กับแม่หม้ายลูกติดหุ่นบั้นท้ายดินระเบิดชาวเม็กซิโก มีพริตเช็ตต์คนพี่ที่แต่งงานใหม่กับนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ที่มองโลกในแง่ดีอย่างเหลือเชื่อและมีลูกกับเขาสามคน และพริตเช็ตต์คนเล็กซึ่งเป็นเกย์ เขาแต่งงานกับเกย์ซึ่งออกสาวไม่แพ้ตัวเองและอุปการะเด็กชาวเวียดนามหนึ่งคนชื่อลิลลี่

“ผมชอบเรื่องนี้มาก” ผมบอกภู “คุณดูด้วยเหรอ?”
“ดูสิครับ ผมไม่นึกว่าคุณสองจะชอบเรื่องนี้นะเนี่ย”

ภูยิ้มและทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียง เขาหยิบรีโมตเพื่อเลื่อนดูเรื่องอื่นซึ่งคล้ายกับรายการโปรดของผมหลายเรื่อง เราคุยกันเรื่องหนังอยู่พักใหญ่ก่อนจะกระโดดไปเรื่องหนักสือบนชั้นวาง ภูไม่ใช่นักอ่านตัวยง เขามีแค่หนังสือคำคมสั้นๆกับภาพประสอบสี่สีแบบที่ผมไม่ชอบ ถัดจากนั้นก็เป็นหนังสือที่ผมเคยแปลให้สำนักพิมพ์

“ช่วยผมทำมาหากินเหรอ?”

ผมแซวก่อนจะหยิบเล่มหนึ่งที่เคยแปลไว้ออกมาจากตู้ สภาพของหนังสือยังดูใหม่อยู่เลย เดาเอาว่าภูคงเพิ่งซื้อและน่าจะยังไม่เปิดอ่านจริงๆจังๆเหมือนหนังสือคำคมพวกนั้นที่มีรอยยับตรงขอบพับของหน้าปก เจ้าภูก้มหน้ายิ้ม ดูขวยเขินเมื่อถูกจับได้ เขาบอกว่าอยากสนับสนุนทุกอย่างที่ผมทำ ไม่ว่าสิปปกรจะทำอะไร ภูก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่คอยให้กำลังใจตลอดไป

“ให้มันจริงเถอะ” ผมว่าพลางแค่นหัวเราะก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นนินเทนโด้เก่าๆเครื่องหนึ่งวางอยู่บนชั้นวาง “คุณเล่นเกมด้วยเหรอ?”

บทสนทนาจากหนังสือจึงกระโดดไปที่เกม ผมจำไม่ได้ว่าตอนนั้นกี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าชานมเดินกลับไปนอนในคอกของตัวเองโดยไม่ต้องมีใครสั่ง ผมกับภูนั่งสุมหัวกันตรงปลายเตียง เราคุยกันเรื่องตลับเกมเก่าๆที่หาซื้อไม่ได้ คุยกันเรื่องโปเกม่อนภาคต่างๆที่เคยพยายามเล่นแทบตายเพื่อพิชิตด่านสุดท้ายก่อนจะมาจบที่ฮาร์เวสต์มูน เกมที่ผมรักมากที่สุด

เราสองคนมีความสนใจคล้ายกันในหลายเรื่อง แต่ก็ไม่ได้คล้ายถึงขนาดเหมือนเป็นแฝดอีกคน แต่ยอมรับว่ารสนิยมของภูทำให้ผมสนุกเมื่อต้องคุยกับเขา ไม่ว่าจะหนังในเน็ตฟลิกซ์ จะเกม จะหนังสือหรืองานอดิเรกที่เจ้าตัวชอบ เราก็มีหัวข้อมาพูดต่อจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร เมื่อเหลือบมองนาฬิกาและเห็นว่าเที่ยงคืนแล้ว ผมจึงบอกให้ภูไปอาบน้ำเพราะพรุ่งนี้เขาต้องเปิดคลินิกแต่เช้า ไม่งั้นจะเพลียจนตื่นไม่ไหว

“แค่มีคุณสองนอนข้างๆผมก็ไม่อยากตื่นแล้ว”
“พอเถอะ ไปอาบน้ำเลย หยุดพูดอะไรเลี่ยนๆเสียที”

ผมตัดบทก่อนจะสไลด์ตัวลงไปนั่งบนพื้นหน้าทีวี ชานมหมายักษ์ที่เฝ้าจังหวะนี้อยู่นานแล้วก็วิ่งส่ายก้นมาหาและเอาคางเกยขาอย่างออดอ้อน ผมไม่เคยใกล้ชิดกับหมาคอร์กี้ขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยรู้ว่ามันตัวใหญ่และหนักถึงขนาดภูยังอุ้มไม่ค่อยจะไหว ผมเองก็ไม่ใช่คนรักสัตว์เท่าไหร่จึงไม่สนใจสายตาใสซื่อของมัน เจ้าชานมเห็นแบบนั้นจึงพยายามใช้ปากดันแขนผมเพื่อขอให้ลูบตัวมันหน่อย

“เหมือนกันทั้งหมาทั้งเจ้าของ”

ผมบ่นแต่ก็ลูบตัวของมัน ขนชานมนุ่มมาก ภูคงดูแลมันอย่างดีขนถึงได้ฟูนุ่มเหมือนขนมปัง ผมกับชานมมีช่วงเวลาดีๆด้วยกันจนกระทั่งภูอาบน้ำเสร็จ เขาเปิดประตูออกมาในสภาพสวมเพียงแค่กางเกงขายาว ส่วนท่อนบนไม่มีอะไรปกปิดเลย ผมจึงถามเขาว่าที่บ้านไม่มีเสื้อใส่เหรอ

“ผมขี้ร้อนอ่ะ ผมไม่ใส่เสื้อนอนตั้งแต่ประถมแล้ว”

ภูบอกพลางเดินเข้ามาใกล้ ผมไม่อยากเป็นคนโรคจิตที่เอาแต่จ้องรูปร่างของเขาจนตาไม่กระพริบหรอกนะ แต่สงสัยจริงๆว่าไอ้เจ้าหมาโกลเด้นเอาเวลาไหนไปออกกำลังกาย เท่าที่จำได้เขาเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบข้าวขาหมู ชอบกินของทอดและน้ำอัดลมยิ่งกว่าอะไร แล้วทำไมหุ่นเขาถึงลีนเหมือนคนสุขภาพดี โอเค มันอาจจะไม่มีกล้ามขึ้นเป็นมัดๆ แต่นึกออกไหมว่ามันไม่มีส่วนเกินจนดูพลุ้ย มันดูสมส่วนไปหมด ทั้งหน้าอก และหัวไหล่ –

“คุณสองก็ไปอาบน้ำสิครับ เราจะได้นอนดูหนังกัน”

เสียงพูดของภูทำให้หลุดจากการวิจารณ์หุ่นของเขา เรามองหน้ากันไม่กี่วิก่อนที่ผมจะรับผ้าขนหนูผืนใหม่จากภูและเดินเข้าห้องน้ำงงๆ ผมเพิ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่ทำให้ภูดูดีไม่ใช่เพราะกรรมพันธุ์จากพ่อและแม่ของเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะกระปุกสกินแคร์ที่วางเกลื่อนหน้าเคาน์เตอร์ต่างหาก อีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้รู้ในวันนี้คือเจ้าโกลเด้นเป็นผู้ชายเจ้าสำอาง แม้แต่ครีมอาบน้ำเขายังเลือกแบบมีกลิ่นและให้ความชุ่มชื้นกับผิวซึ่งสวนทางกับนายสิปปกรเป็นบ้า ผมไม่แคร์หรอกว่าสบู่ก้อนนั้นหอมไหม ไม่สนด้วยว่ามันทำให้ผิวแห้งหรือเปล่า ขอแค่ราคาถูกและล้างเอาคราบไคลออกได้ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว ดังนั้นตอนที่ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ครีมอาบน้ำของภูยี่ห้อไหนดี ผมจึงเลือกเอาจากสีที่ชอบซึ่งก็คือสีฟ้าซึ่งกลิ่นไม่ได้ใกล้เคียงกับอะไรที่ทำให้นึกถึงสีฟ้าเลย

ผมใช้เวลาในห้องน้ำหรูนานกว่าปกติเพราะมันสบายเหมือนอยู่ในโรงแรม ฝักบัวของเขาไม่เหมือนที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้ง มันใหญ่ชนิดที่ไม่ต้องคอยดึงมารดตัวใกล้ๆ ความแรงของน้ำก็ไม่มากไปจนเจ็บผิว แถมเครื่องทำน้ำอุ่นก็อุณหภูมิคงที่ ไม่สวิงจนร้อนเกินไปหรือเย็นไม่ได้ดั่งใจ ห้องน้ำของภูทำให้ผมมีความสุขกับการอาบน้ำขึ้นมานิดหน่อย และเมื่อถึงขั้นตอนที่ต้องล้างหน้า อาการเจ็บบนแก้มซ้ายก็ทำให้หวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

มันคือความเจ็บปวดจากการถูกฟาด ไม่ใช่แผลสดที่สามารถใส่เบตาดีนหรือทายาฆ่าเชื้อได้ ดังนั้นผมจึงพยายามเบามือกับส่วนนั้นและอาบน้ำจนเสร็จ แต่เมื่อนุ่งผ้าขนหนูเรียบร้อยเตรียมจะออกจากห้องน้ำ จู่ๆผมก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ได้หยิบเสื้อผ้าเข้ามา

“ภู”
“ค้าบ” เจ้าโกลเด้นขานรับทันทีราวกับรออยู่ก่อนแล้ว “คุณสองลืมเอาเสื้อเข้าไป เดี๋ยวผมส่งให้นะ”

ไม่ต้องรอแง้มประตูให้เขาสอดมือเข้ามาลับๆล่อๆ แต่ผมเปิดออกเต็มที่โดยไม่อายรูปร่างไม่สมส่วนของตัวเอง ภูที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำถึงกับผงะไปเลยเพราะไม่คิดว่าผมจะเปิดประตูทันทีทันใด ผมรับเอาเสื้อผ้าจากเขามาถือและปิดประตูใส่ ก่อนจะเดินออกไปเจอเขาในสภาพที่แต่งตัวพร้อมนอน

“เราตัวเท่ากันเลยเนอะ” ผมเปิดบทสนทนาอีกครั้งพลางขยับคอเสื้อยืดและเดินไปตากผ้าเช็ดตัวบนราวไม้ ส่วนเจ้าโกลเด้นกำลังนั่งลูบก้นชานมอยู่หน้าทีวีในสภาพเปลือยท่อนบน “ทำไมยังไม่นอน?”
“รอคุณสองอยู่ครับ” ภูตอบก่อนจะก้มหน้าลงหอมแก้มชานมฟอดใหญ่
“ไหนบอกว่าชานมพูดได้ไง? ไม่เห็นมันจะพูดได้ซักคำ”
“คุณสองนี่ซื่อจัง หมาที่ไหนมันจะพูดได้ โดนหลอกแล้วนะเราน่ะ” เจ้าภูหัวเราะใหญ่ ผมจึงหยิบหมอนข้างที่วางบนเตียงมาฟาดหัวเขาเบาๆ “ไปชานม ไปนอนได้แล้ว”

ภูชี้นิ้วไปที่กรง เจ้าคอร์กี้ตัวเท่าควายทำเป็นอิดออดอยู่พักใหญ่ ไล่ยังไงก็ไม่ยอมเข้านอนง่ายๆจนภูต้องเริ่มทำเสียงแข็ง หลังส่งสายตาดุๆและพูดด้วยน้ำเสียงราบตึงอยู่ไม่กี่วินาที ชานมก็เดินคอตก ส่ายก้นปุยๆของตัวเองกลับเข้าไปในคอกแต่โดยดี ภูจึงรีบลุกขึ้นยืนเพื่อลงกลอนเอาไว้ให้เรียบร้อย ไม่งั้นชานมอาจจะพังประตูคอกกั้นออกมากลางดึกได้

“นอนกันเถอะครับ คุณสองน่าจะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

ภูพูดยิ้มๆก่อนจะเงียบไป ผมจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเขาว่ามีอะไร เจ้าโกลเด้นจึงค่อยๆยกมือขึ้นแตะแก้มขวาที่เริ่มมีรอยแดงช้ำของผมด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

“เจ็บไหมครับ?”
“เจ็บสิ”
“ผมขอโทษนะที่ปกป้องคุณสองไม่ได้”
“พระเอกละครมาก”

ผมหลุดหัวเราะออกมา ไม่โกรธภูเลยซักนิดที่ช่วยผมช้าไปหน่อยนึงถึงโดนฟาดเปรี้ยงใหญ่ เพราะหลังจากนั้นภูก็ปกป้องผมกับพี่สาวเอาไว้ได้ ถ้าไม่มีภู ป่านนี้เราสองคนพี่น้องรวมถึงเปเปอร์น่าจะแย่กว่านี้

“ผมโกรธมากเลยนะตอนเห็นคุณสองโดนต่อย”
“รู้แล้ว ไม่งั้นคุณจะเข้าไปกระทืบไอ้เหี้ยปั๊ปขนาดนั้นเลยเหรอ”

ผมตบต้นแขนนุ่มนิ่มของเขาก่อนจะถือวิสาสะขึ้นบนที่นอน เตียงขนาดใหญ่ที่ผู้ชายสองคนนอนข้างกันได้สบายๆมีหมอนวางเต็มไปหมด ภูช่วยจัดหมอนและสะบัดผ้าห่มให้ เราแชร์ผ้านวมร่วมกันก่อนที่ไฟในห้องจะหรี่ลงโดยที่ภูไม่ต้องเดินไปถึงสวิตช์ไฟ

“โคตรดี” ผมเอ่ยชมจากใจ “ผมชอบเทคโนโลยีอะไรแบบนี้มากเลยนะ เคยคิดจะซื้อหลอดไฟที่ควบคุมผ่านแอปมาใช้แต่ก็ไม่รู้จะซื้อยี่ห้ออะไร”
“ไว้วันหลังเราไปซื้อด้วยกันนะครับ ผมจะแนะนำยี่ห้อดีๆให้”

เจ้าภูพูดก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา เขาเปลี่ยนสีไฟในห้องผ่านแอปพลิเคชั่นจากสีขาวเป็นสีเหลืองนวล และลดความสว่างลงจนเป็นไฟสลัวเหมาะแก่การดูหนังผ่านจอทีวีห้าสิบห้านิ้ว

“ดูอะไรดีนะ”

ภูพึมพำเสียงเบาจนฟังดูเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าคุยกับผม เขาเลื่อนเปิดรายการโปรดในเน็ตฟลิกซ์ไปมาอยู่หลายหนเพื่อเลือกหนังที่เราทั้งคู่อยากดู ภูหันมาถามเพื่อขอความเห็นว่าคืนนี้เราจะดูอะไรกันนี้ แต่ผมไม่มีไอเดียเลย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างวุ่นก็เลยหมดความสนใจดูซีรี่ส์หรือหนังที่ต้องใช้เวลานาน ดังนั้นภูจึงบอกว่าดูการ์ตูนจิบลิกันเถอะ

ผมเคยได้ยินการ์ตูนจิบลิมานาน รู้จักแม้กระทั่งโทโทโร่เพื่อนรักซึ่งเป็นฟิกเกอร์ในตู้กระจกของภูแต่ไม่เคยดูจริงๆจังๆซักครั้ง ดังนั้นวันนี้ภูจึงเปิดโลกของผมด้วยดีวีดีจากค่ายจิบลิหนึ่งเรื่อง ผมถามเขาว่าเราจะดูเรื่องอะไร ใช่เรื่องยอดฮิตที่เคยเป็นกระแสอย่างโทโทโร่หรือไม่ ภูกลับส่ายหน้าและบอกว่าเขาอยากดูแม่มดน้อยกิกิอีกซักรอบ

“แม่มดน้อยกิกิ?”

ผมถามเพราะไม่เคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้มาก่อน เมื่อภูส่งกล่องดีวีดีที่มีหน้าปกเด็กหญิงผมสั้นคาดโบว์สีแดง สวมชุดสีดำกำลังขี่ไม้กวาดก็ได้แต่ส่งเสียงร้องอ๋อทั้งๆที่ไม่รู้จัก ภูบอกว่าปกติก่อนนอนเขาจะไม่ค่อยดูหนังที่ต้องคิดเยอะหรือมีฉากแอคชั่นเร้าใจ เขาชอบดูอะไรที่มันเรียบง่าย ไม่โหวกเหวกโวยวาย และแม่มดน้อยกิกิเป็นหนึ่งในการ์ตูนเรื่องโปรดตลอดกาลสำหรับภู

“ทำไมล่ะ?” ผมถามขณะที่เจ้าโกลเด้นกระโดดกลับขึ้นมานอนข้างๆ เขากดรีโมตเพื่อสั่งให้เล่นวีดีโออัตโนมัติ และเราก็เอนหลังนอนดูอนิเมะด้วยกัน
“เพราะบางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกิกิ” เขาตอบ “เราทุกคนล้วนเคยเป็นกิกิด้วยกันทั้งนั้น”
“คำคมใหม่เหรอ?”

เจ้าภูยิ้มแฉ่งด้วยท่าทีอายๆเมื่อถูกแซว เขาพยายามแก้เก้อด้วยการเชิญชวนดูภาพยนตร์การ์ตูนลายเส้นเด็กๆด้วยกันแทนที่จะถามถึงคำอธิบายของคำคม ผมหัวเราะหึในลำคอเมื่อภูทำตัวไม่ถูก และเมื่อหนังเริ่มเล่นไปได้ซักครู่ ผมก็เข้าใจถึงสิ่งที่ภูพยายามจะสื่อในทันที

กิกิเป็นแม่มดน้อยอายุเพียงสิบสามปี มีธรรมเนียมปฏิบัติมายาวนานว่าหากแม่มดอายุสิบสามปีเมื่อไหร่ จะต้องออกเดินทางไปยังเมืองอื่นเพื่อฝึกฝนตัวเองเป็นเวลาหนึ่งปี วันหนึ่งขณะที่นอนฟังวิทยุของพ่อกลางทุ่งหญ้า จู่ๆกิกิก็ตัดสินใจว่าจะออกเดินทางในคืนนี้ทันทีเมื่อได้ยินพยากรณ์อากาศบอกว่าท้องฟ้าจะแจ่มใส เธอวิ่งไปบอกพ่อกับแม่อย่างร่าเริงว่าเธอจะออกเดินทางแล้ว เธอกับแมวดำที่ชื่อจิจิพร้อมจะออกไปฝึกฝนเป็นแม่มดตามธรรมเนียมแล้ว

กิกิทำให้ผมนึกถึงช่วงแรกที่เรียนปริญญาตรีใหม่ๆ ตอนนั้นผมเหมือนเธอในทุกมิติ ผมตื่นเต้นและกระตือรือร้นเมื่อคิดว่าหลังจากนี้ต้องยืนให้ได้ด้วยสองขาของตัวเอง แต่พอเริ่มออกไปได้ซักพัก กิกิก็เรียนรู้ว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด และคนจากโลกภายนอกก็ไม่ได้ใจดีกับเธอเหมือนคนในครอบครัว เช่นเดียวกับผมที่มีประสบการณ์ด้วยตัวเองจากการทำงานออฟฟิศ ประสบการณ์นั้นทำให้ผมตัดสินใจหันหลังให้กับงานประจำและเลือกทำสิ่งที่สบายใจกว่า มันคือการ์ตูนที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเด็ก แม่มดน้อยกิกิแฝงนัยยะบางอย่างเอาไว้ผ่านการเล่าเรื่องจนผมเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในนั้น

ครั้งหนึ่ง เราทุกคนล้วนเคยเป็นแม่มดน้อยกิกิด้วยกันทั้งนั้น

คำกล่าวของภูดูเป็นจริงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ครั้งหนึ่งเราเคยสดใสและกระตือรือร้นกับการได้ออกไปเริ่มต้นใหม่ ครั้งหนึ่งเราเคยตั้งใจกับงานที่ได้รับมอบหมายมากๆแต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดให้เรียนรู้เช่นเดียวกันกับการส่งของครั้งแรกของกิกิ ผมรู้สึกเข้าถึงภาพยนตร์เรื่องนี้จนนึกขอบคุณภูที่แนะนำโลกใบใหม่ให้รู้จัก ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสนใจการ์ตูนจิบลิเลย หนึ่งเพราะภาพมันไม่คม เส้นไม่สวยเว่อร์วังเหมือนเกมญี่ปุ่นที่เคยเห็น แต่สิ่งที่จับใจของผู้ชมคือเนื้อเรื่องและความหมายแฝงต่างหาก ผมไม่อาจสถาปนาตัวเองเป็นแฟนคลับจิบลิเช่นเดียวกับภูเพียงเพราะแค่ได้ดูแม่มดน้อยกิกิ แต่หากมีโอกาสได้ดูเรื่องอื่นๆของจิบลิ ผมเองก็จะไม่พลาดเช่นกัน

 ผมจำไม่ค่อยได้ว่าเนื้อเรื่องดำเนินถึงตอนไหน เพราะภาพยนตร์จิบลิค่อนข้างเนิบนาบและไม่มีฉากกระตุ้นอะไรให้ชวนตื่นเต้นจนต้องถ่างตาดูตลอดเวลา ดังนั้นจังหวะหนึ่งที่เคลิ้มๆจะหลับ จู่ๆผมก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ค่อยๆล่วงเกินเข้ามา




ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 17:08:23 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
6 [100%] 3/3


เป็นภูนั่นเอง เขากำลังขึ้นคร่อมผมจากข้างบนและก้มมองด้วยสายตาราวกับตัวเองเป็นพระเจ้าของโลกใบนี้ ผมถามเขาว่าจะทำอะไรแต่ภูไม่ตอบ เขาแค่มองอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นลูบหัวผมและเอ่ยปากชมว่าวันนี้ผมเก่งมาก ผมเข้มแข็งและกล้าหาญมากที่ปกป้องน้ำหนึ่งกับหลานเอาไว้ได้

“พูดอะไรน่ะ --”

ผมถามด้วยความงุนงง ในขณะเดียวกันก็เอียงหน้าอิงแอบกับฝ่ามืออุ่นๆของภูที่สัมผัสแก้มของผมอย่างทนุถนอม มันไม่เจ็บอีกแล้ว โหนกแก้มที่เคยปวดตุบเมื่อก่อนหน้ากลับไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ ภูลูบไล้ใบหน้าผมอย่างแผ่วเบาแค่ชั่วครู่ก่อนจะใช้นิ้วแตะริมฝีปากของผมและเริ่มพูดว่าผมดูดีแค่ไหนในเสื้อของเขา

“จริงเหรอ?”

ผมถามด้วยความดีใจปนขวยเขิน เพราะปกติแล้วไม่มีใครเคยชมสไตล์การแต่งตัวของสิปปกรมาก่อนเลย นอกจากคำพูดโกหกเพื่อให้กำลังใจจากติณ คงมีแค่ภูคนเดียวที่บอกว่าผมหล่อ ผมน่ารัก ผมเป็นผู้ชายที่เขาชอบ ภูยังบอกอีกว่าเขาชอบผมตอนใส่แว่น ชอบตาสองชั้นหลบในของผมมากๆ ชอบทุกอย่างที่เป็นสิปปกร ภูไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว หากแต่ปากก็พร่ำเพ้อความในใจที่มีถึงผม ส่วนมือก็พยายามสัมผัสส่วนใต้ร่มผ้าอยู่เรื่อยๆจนผมต้องเป็นฝ่ายถอดออกเอง

มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว ผมจำได้แค่ว่าวินาทีที่ภูเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ความต้องการมากมายที่ไม่เคยปลดปล่อยกับใครก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ผมสัมผัสภูไปทั่วด้วยความหลงใหล ผมเอ่ยปากชมหุ่นของเขา ผมบอกภูว่าชอบเขามานานแล้ว ชอบที่ภูเป็นสุภาพบุรุษและเอาเก่ง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองรู้เรื่องส่วนตัวของเขาได้ยังไง แต่ตอนนั้นผมมั่นใจมากว่าภูต้องเอาเก่งแน่ๆเพราะสัมผัสที่ทั้งร้อนและนุ่มนวลในเวลาเดียวกันกำลังทำให้ผมละลายช้าๆ

จิตสำนึกและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่อยู่ในหัวของเราเลย ผมจูบภู จูบเขาอยู่นานจนกระทั่งเราตื่นตัวด้วยกันทั้งคู่ รู้ตัวอีกทีเราก็เปลือยเปล่าเสียแล้ว ผมถือวิสาสะมองสำรวจร่างกายของภูด้วยความหื่นกระหาย ไม่เคยรู้สึกต้องการมากขนาดนี้มาก่อนเลย ภูดูดีมากเมื่อไม่มีเสื้อผ้า ผมชอบผิวนุ่มนิ่มมีกลิ่นหอมของเขา ชอบหน้าอก ชอบแขนขา ชอบทุกอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของภู ผมจำได้ว่าเราต่างพร่ำบอกกันและกันว่าชอบอีกฝ่ายตรงไหน ภูบอกว่าเขาชอบผมและชื่นชมผมมาก เขาอิจฉาที่ผมเป็นคนเก่งซึ่งดูแลทุกคนในครอบครัวได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เขาพูดชมพร้อมกับพรมจูบไปทั่วใบหน้า ในขณะเดียวกันผมก็ใช้ลิ้นเลียไปตามร่างกายเนียนนุ่มของเขา ผิวขาวเหมือนนม กลิ่นหอมเหมือนขนมเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ผมบอกภูว่าผมรักเขา ผมอยากเอากับเขา ถ้าภูไม่ว่าอะไรเรามามีเซ็กส์กันเถอะ

“ผมโคตรรักสองเลย” ภูบอกโดยไม่เรียกผมว่าคุณอีกแล้ว “เรามาเป็นแฟนกันเถอะ แต่งงานกันเถอะนะ ผมจะอยู่กับสองไปจนแก่ จะรักแค่สองคนเดียว”

เป็นคำพูดที่โคตรบ้าซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับบริบทที่เรากำลังแสดงออก แต่ผมก็ตอบตกลงและเริ่มเล้าโลมภูเรื่อยๆจนเขาอ่อนระทวย ผมจำได้ว่าตัวเองเคยใช้ปากเก่งแค่ไหน และเมื่อออรัลให้เขา ภูก็ร้องเสียงหลงครวญครางจะเป็นจะตายและเอ่ยชมผมอีกครั้งว่าสองเก่ง สองเก่งมาก ไอ้วินมันโง่จริงๆที่ทิ้งสองไป มันโง่มากที่ไม่เลือกสอง

“ใช่” ผมแลบลิ้นเลียส่วนปลายของเขา ภูตัวสั่นเกร็งแต่ยังไม่เสร็จ “คุณรักผมจริงเหรอภู?”
“จริงสิ ภูรักสอง ภูรักสองมากๆเลย”

ผมรู้สึกถูกเติมเต็มโดยไม่ต้องสอดใส่ หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉากลับพองโตอย่างเป็นสุขเพียงแค่ได้ยินคำว่ารักจากใครซักคน ภูบอกรักผมอีกหลายครั้ง เขาถนอมผมอย่างดี สัมผัสด้วยความอ่อนโยนผิดกับที่ชวินทร์เคยทำ เขาเติมเต็มผมทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วยเซ็กส์กับคำว่ารัก น่าแปลกที่ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายผิดกับสมัยที่เคยมีอะไรกับชวินทร์ ผมสามารถขึ้นคร่อมและยัดเอาของภูเข้าไปทั้งแท่งได้ในรวดเดียว ความรู้สึกเสียวก็ไม่ได้น้อยหน้าเมื่อเทียบกับหลายปีก่อนด้วยซ้ำ ผมรู้สึกสนุกและมีความสุขมากจนต้องหลับตาพริ้ม แต่เมื่อเห็นสีหน้ายั่วๆของภู ผมก็ต้องปรือตามองอีกครั้งเพราะไม่อยากละสายตาจากใบหน้าแสนงดงามของเขา

“สองแน่นจัง ภูชอบก้นของสองมากเลย”

ภูพูดด้วยน้ำเสียงติดออกจะแหบเล็กน้อย ผมหัวใจพองโตราวกับโดนบอกรักซ้ำอีกครั้ง มันทั้งเขินและรู้สึกดีเมื่อมีเซ็กส์กับคนที่เรารักและเขาก็เห็นคุณค่าในตัวเราเหมือนๆกัน ผมถามภูซ้ำอีกครั้งว่าเขารักผมไหม รักผมจริงๆใช่ไหม ผมหล่อไหม ภูชอบผมไหม ชอบผมมากๆใช่ไหม แล้วตัวผมเป็นยังไง เอาเก่งไหม เอามันไหม เอาสนุกไหม เอากันแล้วคุณรักผมมากกว่าเดิมไหม คุณจะไม่หลอกฟันแล้วทิ้งผมไปเหมือนชวินทร์ใช่ไหม

“สองเก่งมาก ผมชอบสองที่สุด”
“แม้ว่าผมจะไม่หล่อ?”
“สองหล่อมาก ผมชอบสองมาก”

ผมยิ้มกว้างก่อนจะต้องหลับตาเพราะความเสียวที่วิ่งปราดมาจนถึงหน้าท้อง ความรู้สึกดีมากมายพุ่งทะลักออกจากตัวผมเหมือนเขื่อนแตก ภูเอาแต่พูดว่าชอบ ชอบ ชอบสองมากๆ สองเก่ง สองดีที่สุด ภูรักสองมาก ภูรักสองจริงๆ รักสองตลอดไป

“อย่าหลอกกันนะ” ผมพูดเสียงแผ่วราวกระซิบเมื่อภูเริ่มกระแทกเข้าออกรุนแรงเกินไป “นี่ – สาบานสิว่าคุณจะไม่ทิ้งผม”

ภูไม่ให้สัญญา เขาไม่รับปากตามที่ขอทั้งๆที่ผมเซ้าซี้ถามอย่างนั้นอยู่หลายหน จู่ๆคำว่ารักทั้งหมดก็ถูกกลืนหายไปเมื่อเซ็กส์ดำเนินไปได้ซักระยะ ภูมีความสุขกับร่างกายของผมมาก เขาตีก้นของผม กัดผม ดูดคอผมจนเจ็บ เขาเอาผมด้วยความพึงพอใจอย่างสุขสมโดยไม่พูดอะไรอีกราวกับรำคาญที่ผมถามซ้ำไปมา เมื่อเราสอดประสานกันจนถึงจุดหนึ่ง จู่ๆภูก็เริ่มตัวกระตุกและกอดรัดผมเอาไว้แน่น คราวนี้ผมถามเขาว่าภูรักสองไหม

“รักสิ รักสองมากเลย”

เขาตอบและปลดปล่อยทิ้งเอาไว้ในตัวของผม ในขณะที่ภูเสร็จไปแล้วไม่ต่ำกว่าสองครั้ง ผมยังคงค้างเติ่งไม่ถึงฝั่งฝันเสียที ผมนอนกางขาให้ภูเอาอยู่อย่างนั้นนานมาก นานจนจำไม่ได้ว่าเราพลิกตัวกันกี่ครั้ง สอดใส่กันกี่ท่า ผมรู้แค่ว่าภูมีความสุขและเติมเต็มอะไรบางอย่างในใจของนายสิปปกรได้เยอะมาก ช่วงสุดท้ายที่เขายกขาของผมพาดบ่า และตะบี้ตะบันกระแทกเข้ามาไม่ยั้งจนผมเสียวแทบขาดใจ จู่ๆภูก็พูดขึ้นมาว่า

“สองมีดีแค่นี้แหละ”
“อะไรเหรอ?”
“เอาเฉยๆแก้ขัดคงพอได้ ถ้าให้คบเป็นแฟนก็ไม่ไหวหรอก ไม่เห็นมีอะไรน่ารักเลย ห่วยแตก”

แล้วเขาก็เสร็จอีกครั้งในตัวของผม ส่วนนายสิปปกรหัวใจวูบไหวเหมือนตกจากหน้าผาสูงหลายพันฟุต กลิ้งหล่นกระแทกกับโขดหินจนเนื้อตัวเหวอะหวะไปด้วยแผลก่อนจะตายคาที่เมื่อร่างกระแทกกับพื้นด้านล่าง ตายสนิทโดยมีสายตาเย็นชาของภูมองมาจากหน้าผาด้วยความสมเพช

และผมก็ตื่น




ผมตื่นนอนอีกครั้งในห้องของภู ทีวีและเครื่องเล่นดีวีดีถูกตั้งเวลาให้ปิดไปนานแล้ว ส่วนเจ้าโกลเด้นนอนอ้าปากน้ำลายยืดอยู่ข้างๆ ไม่ได้มีท่าทีเหนื่อยหอบเหมือนคนเพิ่งเสร็จเรื่องอย่างว่าซักนิด ผมยังคงสวมชุดนอนของเขาอยู่ เนื้อตัวปกติดี ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บตรงนั้น แต่เจ็บที่หัวใจนิดหน่อยเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อครู่เพราะมันเหมือนจริงเกินไป ทั้งน้ำเสียงและการกระทำ ทั้งความรู้สึกที่วิ่งปราดในตอนนั้นและหลักฐานเป็นของเหลวตรงเป้ากางเกงที่ฟ้องว่าฝันถึงเรื่องลามกกำลังทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมอับอายที่ตัวเองคิดล่วงเกินกับภู แต่อีกด้านหนึ่งก็เศร้าที่แม้แต่ในความฝัน ภูเองไม่ได้รักผมเหมือนกัน

เป็นการตื่นนอนที่แย่และห่าเหวสำหรับอีกหนึ่งวัน ผมนั่งถอนหายใจเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ดิ่งหนักไปมากกว่านี้เมื่อหวนคิดถึงความฝัน ผมไม่ได้นั่งนึกว่าในนั้นเราเอากันด้วยท่าไหนบ้าง แต่ผมกำลังนึกว่าภูในความฝันพูดอะไรบ้าง ทั้งๆที่มันก็แค่ความฝัน ผมไม่ควรจริงจังทว่าความรู้สึกปวดร้าวจากคำพูดหยามเหยียดนั้นกัดกินจนขาดวิ่น ผมไม่สามารถอดทนรอคุยกับภูตอนเขาตื่นได้จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิม หยิบบ็อกเซอร์ของภูที่เปื้อนน้ำตัวเองใส่กระเป๋าเพื่อนำไปซักที่บ้าน ผมเดินผ่านคอกของชานมที่กำลังส่ายก้นไปมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นเพื่อนของเจ้านายเดินเฉียดเข้ามาใกล้ แต่ผมก็เมินเฉยสายตาวิงวอนของมัน ผมเมินเฉยต่อทุกอย่างและรีบพาตัวเองกลับร้านกู้ด รี้ดดิ้งโดยไม่เอ่ยคำอำลาใดๆกับภู


TBC

_________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 17:08:59 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
สองควรพบจิตแพทย์



ครอบครัวสองควรพบจิตแพทย์



ภูหนูควรถอยออกมาจากสองนะลูก



ถ้าหนูไม่คิดอะไรจิงจังกนุต้องถอยออกมา



สองเอ๋ยตั้งสติหน่อยเถอะ

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
7



7

ผมกลับถึงร้านก่อนหกโมงเช้า ตอนที่เปิดประตูเข้าไป ผมเจอติณนอนหลับลึกอยู่บนโซฟา ร้านกู้ด รี้ดดิ้งถูกปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่สำหรับงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเรียบร้อย โต๊ะไม้โอ๊คตัวใหญ่ราคาเหยียบแสนถูกย้ายไปวางชิดกำแพง เหลือเพียงเก้าอี้ที่จัดวางเป็นแถวรอต้อนรับแขกและสื่อมวลชน แม้จะพยายามเดินให้เบาที่สุดเพราะไม่อยากปลุกเพื่อนแต่ติณก็ประสาทสัมผัสไวอย่างน่าเหลือเชื่อ มันลืมตาทันทีที่ผมไขกุญแจเข้าไป และลุกขึ้นนั่งเมื่อผมเดินเข้ามาในร้านเรียบร้อยแล้ว

คำแรกที่เพื่อนสนิทเอ่ยทักทายไม่ใช่ประโยคคำถามว่าหายหัวไปไหนมา ทำไมไม่อยู่เฝ้าร้านเมื่อคืน แต่ติณถามถึงรอยช้ำบนแก้มที่เริ่มสีเข้มขึ้นด้วยความตกใจปนสงสัย ปกติผมไม่ใช่พวกชอบต่อยตีกับใคร ออกจะขี้ขลาดในบางโอกาสด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อเห็นรอยช้ำใหญ่ตรงโหนกแก้ม ติณจึงชี้นิ้วและถามทันที

“ไอ้เหี้ยปั๊ปต่อยกู”

ผมตอบโดยไม่จำเป็นต้องโกหก พอรู้ถึงที่มาของรอยช้ำ ติณณภพก็ซักไซ้เอาความว่าเรื่องมันเป็นมายังไง เกิดอะไรขึ้น ไปทำยังไงถึงโดนต่อยชนหน้าช้ำขนาดนี้ ผมจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ติณฟัง และแน่นอนว่าคำแนะนำจากมันก็คือไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน เตรียมหาทนายเพื่อฟ้องเอาผิดไอ้เหี้ยปั๊บ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร เพียงแค่ว่ามันติดขัดนิดหน่อย ผมไม่มั่นใจว่าค่าใช้จ่ายของการเอาผิดคนเหี้ยอยู่ที่กี่หมื่นบาท

“ไม่มีจะยืมกูก่อน ยืมได้ ไม่ต้องคิดมาก”

ติณพูดแบบนี้เสมอโดยไม่สนว่าผมลำบากใจขนาดไหน มันไม่ใช่การหยิบยืมกันครั้งแรก แต่มันเป็นครั้งที่สี่หรือห้าที่ผมขอยืมเงินก้อนจากติณเพื่อตามล้างตามเช็ดปัญหาให้คนในครอบครัว ถึงครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แต่ผมไม่อยากเป็นจอมรีดไถเพื่อนจึงปฏิเสธน้ำใจของติณโดยบอกว่าจะลองจัดการด้วยตัวเองก่อน หากไม่ไหวจริงๆ ผมจะบอกติณคนแรกแน่นอน เราจบเรื่องทนายฟ้องหย่าไว้แค่นั้นก่อนจะตามด้วยหัวข้อเมื่อคืนไปไหนมา ผมโกหกมันว่านอนค้างบ้านพ่อ

“ภูไม่ได้มาส่งเหรอ?”
“ไม่ ภูกลับก่อน”
“แล้วนี่มึงมายังไง?”
“แท็กซี่” ผมตอบได้เต็มปากเพราะเมื่อเช้าผมมาแท็กซี่จริงๆ “กูไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ เดี๋ยวลงมาช่วย”

ติณพยักหน้าและเดินกลับไปนอนต่อ ส่วนผมรีบขึ้นบันไดกลับห้องตัวเองโดยมีกางเกงบ็อกเซอร์ของภูอยู่ในกระเป๋า พอได้อยู่ในโลกส่วนตัวอีกครั้ง ผมก็ปลดปล่อยความหนักอึ้งทั้งหลายด้วยการระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตอนนี้ปัญหามันไม่ได้มีแค่เรื่องทนายฟ้องหย่าหรือเอาผิดไอ้เหี้ยปั๊ปข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่มันมีเรื่องของภู เรื่องของสัตวแพทย์ผู้มีรอยยิ้มสดใสเหมือนพระอาทิตย์คนนั้น เรื่องของภูติดในหัวจนหยุดคิดไม่ได้

มีคนบอกว่าความฝันคือจิตใต้สำนึกที่อยู่ในตัวของเรา งั้นฝันเมื่อคืนคือส่วนความคิดหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของผมหรือเปล่านะ?

ผมไม่ได้มีเซ็กส์กับใครมานานหลายปีแล้ว มีบ้างบางครั้งที่คิดถึงเรื่องเก่าๆของตัวเองกับชวินทร์ มีบ้างบางครั้งที่ผมปล่อยให้ตัวเองสนุกกับจินตนาการหมกมุ่นที่ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้ แต่ความฝันเมื่อเช้ามันน่ากลัวเกินไป เพราะในความฝัน ผมเปิดเปลือยความเป็นตัวเองออกมาผ่านทางบทสนทนา ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่านอกจากเซ็กส์แล้ว สิ่งที่คนอย่างสิปปกรต้องการคือการยอมรับ คือความรัก คือสิ่งที่ผมไม่อยากยอมรับว่าโหยหาแต่ลึกๆในใจต้องการสิ่งเหล่านั้นจากใครซักคน

ผมไม่ใช่คนหล่อ ไม่ใช่พิมพ์นิยมของเกย์ในประเทศนี้ ผมจึงไม่เคยเป็นที่สนใจ ไม่เคยมีใครเข้าหาเพราะปราการแรกของความสัมพันธ์ไม่ชวนดึงดูดเอาเสียเลย ผมเป็นเพียงผู้ชายผอมแห้งจืดชืดธรรมดา หน้าตาก็งั้นๆ ฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างขัดสนจนไม่อาจเรียกตัวเองว่าชนชั้นกลาง ผมเชื่อมาตลอดว่าตัวเองไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ยังคงแอบหวังว่าวันหนึ่งจะมีความรักดีๆเข้ามาเช่นเดียวกับที่ฝันเมื่อคืน ผมเอาแต่ถามย้ำซ้ำๆอยู่นั่นว่าภูรักผมไหม แม้ว่าเราจะร่วมรักกันสุดเหวี่ยงแค่ไหน ผมก็ยังคงถามคำถามเดิมว่าเขารักผมจริงๆใช่ไหม เขาจะไม่ทิ้งผมไปใช่ไหม

มันเกือบดีแล้ว จริงๆนะ – ความฝันเมื่อคืนเกือบจะจบอย่างสมบูรณ์แบบจนกระทั่งได้ยินประโยคสุดท้ายที่ภูพูดไว้ก่อนผมตื่น มันคือฝันร้าย คือสิ่งที่ผมกลัว คือความกังวลจนทำให้ไม่อาจฝืนตัวเองรอพูดคุยกับภูตอนตื่นนอนได้ ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดเวลาที่อาบน้ำ แม้แต่ตอนแต่งตัวหน้ากระจก ผมยังคงกลัวความฝันที่เกิดขึ้นราวกับหยิบเอาปมด้อยในใจมาล้อเล่น ผมหมกมุ่นกับความฝันนี้มากเกินไปจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ เป็นภูนั่นเอง เขาคงตกใจที่จู่ๆก็ตื่นมาไม่เจอนายสิปปกร ผมมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียง มองมันสั่นและนิ่งไปอยู่สองสามครั้งก่อนจะหยิบขึ้นมาอ่านข้อความ

[คุณตำรวจคับ มีโจรขโมยบ็อกเซอร์ผม!!!]

เขาพิมพ์ติดตลกและแซวว่าสิปปกรเป็นซินเดอเรลลาที่ต้องรีบกลับบ้านก่อนเที่ยงคืน เมื่อผมเมินเฉยอ่านแต่ไม่ตอบ ภูก็เริ่มเคร่งเครียดเพราะไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร นั่นสิ – ผมเป็นอะไร แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ ผมรู้แค่ว่าจู่ๆก็ขลาดกลัวว่าวันหนึ่งจะเผลอมีความรู้สึกดีๆให้ภู และกลัวว่าปลายทางของมันอาจจะลงเอยเหมือนความรักของคนรอบตัวที่เป็นตัวอย่างให้เห็น

“ติณโทรตามให้กลับมาช่วยร้าน”

ผมตัดสินใจโกหกภูเพราะไม่อยากทำร้ายน้ำใจเจ้าโกลเด้น

“ผมเห็นคุณนอนอยู่ แถมคุณต้องตื่นเช้ามาเฝ้าคลินิกด้วย”
[ไม่เห็นเป็นไร ผมขับรถไปส่งก็ได้]
“ผมอยากให้คุณนอน คุณเหนื่อยมามากแล้ว”
[เหนื่อยอะไร ผมเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง]

ภูส่งสติ๊กเกอร์เจ้าหมาคอร์กี้หน้าบูดมาให้ ผมอมยิ้มเมื่อรู้สึกว่าบทสนทนาของเรามันเป็นไปโดยธรรมชาติ ผมไม่จำเป็นต้องประดิดประดอยคิดคำดีๆมาตอบภู แต่หลายๆครั้งก็ต้องโกหกเพื่อรักษาน้ำใจไม่ให้เขาเจ็บเกินไป ผมคุยกับภูอีกพักใหญ่ก่อนจะโกหกเขาว่าต้องไปแล้ว ถึงเวลาต้องลงไปเปิดร้านแล้ว ภูดูหงอยเหงาเมื่อผมต้องไปจริงๆ เขาขอโทรหาผมหนึ่งนาทีเพื่อฟังเสียง แต่ผมปฏิเสธ

“ติณเร่งแล้ว” ผมโกหกทั้งๆที่รู้สึกแย่ “ไว้คุยกันคืนนี้ได้ไหม?”
[สัญญานะว่าจะโทรมา]
“จ้า”

ผมหลุดหัวเราะเมื่อเห็นสติ๊กเกอร์คอร์กี้ตาแป๋วแสดงสีหน้าคาดหวัง ไม่รู้หรอกว่าคืนนี้จะกล้าโทรหาเขาไหม ได้แต่หวังว่าหลังจบวันนี้ไป เรื่องทุกอย่างที่แบกไว้บนบ่าจะมีทางออกให้พอหายใจได้คล่องคอบ้าง

หลังคุยกับภูเสร็จผมก็ลงไปด้านล่างของร้าน ติณตื่นนอนแล้ว มันอาบน้ำแต่งตัวเสียหล่อพร้อมต้อนรับแขกและผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่กำลังจะเดินทางมาถึงในไม่ช้า เราไม่ได้คุยอะไรมากนักนอกจากแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมแค่ดูแลความเรียบร้อยและเช็กสต็อกหนังสือที่เข้ามาส่ง เมื่อคนเริ่มแน่นขนัดขึ้น ผมก็หอบตัวเองไปนั่งทำงานในห้องครัวด้านหลัง ตอบอีเมลลูกค้าที่สอบถามเกี่ยวกับหนังสือบ้าง ติดต่อสำนักพิมพ์เกี่ยวกับหนังสือที่จะวางขายเดือนถัดไปบ้าง การมีงานทำช่วยให้ผมคิดถึงภูน้อยลงก็จริง แต่พอทำงานได้ซักพัก ร่างกายก็เรียกร้องให้ออกไปอัดนิโคตินเข้าปอดบ้าง ไม่งั้นคงได้เป็นประสาทแดกตาย

ด้านหน้าของร้านยังคงถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเสวนา ส่วนด้านหลังเป็นลานกว้างที่มีแค่สิปปกรยืนสูบบุหรี่คนเดียว ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะสูบมวนเดียวและกลับเข้าไปทำงานต่อ แต่หนึ่งมวนไม่เคยพอสำหรับช่วงเวลาแบบนี้ ผมยืนสูบบุหรี่อยู่นานเกือบสิบนาที อัดเข้าปอดสลับกับพ่นควันขึ้นฟ้าอย่างเหม่อลอยเพราะครุ่นคิดว่าจะทำยังไงต่อไป ระหว่างที่กำลังใช้ปลายเท้าเตะเศษกรวดบนพื้น ชายแปลกหน้าก็ปรากฏตัวขึ้น เขาแต่งตัวภูมิฐานแตกต่างจากลูกค้าในร้านหนังสือ ผมจึงเหลือบมองเขาเป็นเชิงถามว่าต้องการอะไร

“ตรงนี้สูบบุหรี่ได้ใช่ไหมครับ?”

ผมไม่ตอบนอกจากชูบุหรี่ที่คีบอยู่ให้เขาดู ชายแปลกหน้ายิ้มและเอ่ยปากขอไฟแช็ก แน่นอนว่าในวงของผู้ชายสูบบุหรี่ เราสามารถแชร์ให้กันได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ดังนั้นพื้นที่หลังร้านที่เคยมีแค่สิปปกรก็มีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง

ตอนแรกเราต่างคนต่างสูบโดยไม่พูดอะไร หลังจากนั้นเขาจึงชวนผมคุยเกี่ยวกับบุหรี่ที่สูบอยู่ ผมสูบยี่ห้อไหน ของนำเข้าไหม กลิ่นเป็นยังไง เย็นปอดหรือเปล่า ผมตอบคำถามเขาไปเรื่อยโดยไม่คิดอะไร เราจึงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความชื่นชอบของนิโคตินยี่ห้อโปรดกันนานหลายนาที เมื่อบทสนทนาดำเนินถึงจุดหนึ่งผมจึงเอ่ยปากถามว่าเขาชื่ออะไร และมาทำอะไรที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้ง

“ชื่อบูมครับ เป็นทนาย”

ผมร้องอ๋อก่อนจะรู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือทนาย บูมเป็นทนายในสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง วันนี้เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อร่วมงานเสวนาของนักโทษการเมืองซึ่งกำลังพูดบรรยายในร้าน แต่บรรยากาศน่าเบื่อเกินไป มันหดหู่ที่ต้องฟังซ้ำๆว่ารัฐบาลประเทศนี้ปฏิบัติต่อประชาชนได้ทุเรศและไร้มนุษยธรรมแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงถามติณว่ามีที่ไหนที่พอสูบบุหรี่ได้บ้าง และเดินมาหลังร้านจนได้พบกับผม

“ดีใจที่คุณบูมมาร่วมงานที่ร้านนะครับ” ผมพูด ตาเป็นประกายโดยไม่ต้องมองกระจกให้เสียเวลา “คือคุณบูมครับ พอดีผมมีปัญหาอยากปรึกษานิดหน่อย --”
“ได้ครับ นาทีละร้อยนะครับ”

ผมเหวอไปครู่หนึ่งจนกระทั่งบูมหัวเราะ เขาบอกว่าล้อเล่นและยิ้มกว้างเมื่อผมบอกว่าขอปรึกษาเรื่องการฟ้องหย่าและคดีทำร้ายร่างกาย คุณบูมไม่ใช่คนโง่ถึงขนาดเพิกเฉยต่อรอยช้ำบนแก้ม เขาแนะนำว่าควรไปโรงพยาบาลเพื่อขอใบรับรองแพทย์และแจ้งความเพราะคดีทำร้ายร่างกายเป็นคดีอาญา ยอมความไม่ได้

“มันมีแค่รอยช้ำ ผมว่ายังไงก็จบที่ไกล่เกลี่ย อัยการไม่น่าจะสั่งฟ้องแน่นอนเพราะมันเสียเวลา อย่างมากก็รอลงอาญาและเสียค่าปรับแหละครับ” คุณบูมบอก “ส่วนพี่สาวของคุณสองเคยไปหาหมอแล้วใช่ไหม?”
“ครับ ไปมาแล้ว เมื่อเช้าพ่อบอกว่าจะพาพี่ไปแจ้งความ”
“ดีเลยครับ ยิ่งมีหลักฐานมากแค่ไหน เรายิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้น ยิ่งเคสนอกใจและซ้อมเมียด้วยเนี่ยยังไงก็ชนะ ศาลท่านไม่เข้าข้างคนเหี้ยหรอกครับ”
“เหรอครับ” ผมรู้สึกโล่งใจนิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนั้น “เอ้อ คุณบูมครับ ค่าทนายฟ้องหย่านี่ปกติเขาคิดกันกี่บาทเหรอครับ?”
“แล้วแต่ตกลงครับ ขึ้นอยู่กับทนายล้วนๆ ส่วนใหญ่ประมาณสองหมื่นขึ้นไป แต่บางคนก็เรียกห้าหมื่น --”
“โห” ผมเบิกตากว้าง “ห้าหมื่น?”
“มันไม่ใช่เรทราคานี้ทุกคนหรอกนะ หมื่นเดียวก็มี ขึ้นอยู่กับว่าทนายจะเรียกเท่าไหร่ หรือถ้าหาทนายไม่ได้จริงๆลองติดต่อสำนักงานอัยการประจำจังหวัดดูนะครับ ที่นั่นมีทนายอาสาคอยให้คำแนะนำ”

ผมจดสิ่งที่เพิ่งได้รู้จากคุณบูมลงโทรศัพท์และขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เราไม่พูดถึงเรื่องคดีความอีกเลยราวกับเป็นหัวข้อต้องห้าม ผมไม่แปลกใจที่คุณบูมไม่เสนอตัวให้ความช่วยเหลือเพราะนี่คือชีวิตจริง ราคาของความรู้มีมูลค่าจนไม่อาจหยิบยื่นให้คนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันได้ฟรีๆ แค่คำแนะนำว่าผมควรติดต่อใครและสามารถหาทนายที่เรียกค่าว่าความไม่แพงได้จากไหนก็นับว่าน้ำใจประเสริฐมากแล้ว

เราสูบบุหรี่ด้วยกันอีกหน่อยจนหมดมวน เมื่อไม่เหลือเรื่องที่ต้องอุดอู้อยู่หลังร้าน คุณบูมก็จากไปโดยไม่ได้ทิ้งท้ายเป็นพิเศษ ผมนั่งบนเก้าอี้หัวล้านเก่าๆพลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อนึกได้ว่าพ่อควรรู้เรื่องนี้ ผมจึงไลน์บอกพ่อว่าเราต้องทำยังไงกับน้ำหนึ่งต่อไป

[พาไปแจ้งความแล้ว] พ่อบอก [ทนายก็หาได้แล้ว]
“ใคร?”
[ลูกของเพื่อน]
“ค่าว่าความเท่าไหร่?”
[หมื่นเดียว] พ่อพิมพ์เพิ่มเติม [ไม่ต้องห่วง พ่อจ่ายได้]
“หาเงินจากไหนมาจ่าย?”

ผมถามแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ พ่อส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนหัวเราะแหะๆและเกาท้ายทอยมาให้ ผมสงสัยถึงขนาดต้องโทรศัพท์ไปถามว่าหาเงินมาจากไหน พ่อดูอึกอักไม่อยากตอบ แต่สุดท้ายก็สารภาพว่าพ่อแอบขับแกร๊บคาร์ได้สองเดือนกว่าแล้ว

[หลังเลิกงานก็ไปวิ่งรับลูกค้า เงินดีนะสอง พ่อเคยได้วันละเจ็ดร้อยแน่ะ]
“แม่รู้ไหมว่าพ่อขับแกร๊บ?”
[ไม่รู้ ไม่อยากบอก เดี๋ยวก็บ่นอีกว่าขับทำไมให้เหนื่อย]
“ก็ใช่ไง ทำงานกว่าจะเลิกก็ห้าโมงแล้ว พ่อจะออกไปขับรถทำไมเนี่ย? ยิ่งบางพลีคนไม่ค่อยใช้แกร๊บก็ต้องเข้ากรุงเทพ แล้วกลับบ้านเที่ยงคืนตีหนึ่งทุกวันไม่เหนื่อยเหรอ?”
[ไม่เห็นเหนื่อย สนุกจะตาย] พ่อดูจะไม่ใส่ใจกับความเป็นห่วงของผมเลย [สองก็รู้ว่าพ่อชอบขับรถ]
“รู้ แต่สองไม่อยากให้พ่อขับ มันเหนื่อย สองอยากให้พ่อนอนพักอยู่บ้าน จะดูทีวี จะเล่นเน็ตอะไรก็ทำไปเถอะ หาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยทำไม?”
[แต่ถ้าไม่ขับ เราจะหาเงินจากไหน น้ำหนึ่งกลับมาอยู่บ้านแล้ว อีกหน่อยเปเปอร์โตจนเข้าโรงเรียนได้ก็ต้องใช้เงินอีก]
“ก็เรื่องของมัน ให้มันดิ้นรนเอง ลูกมัน ชีวิตมัน”
[เดี๋ยวน้ำหนึ่งมีปัญหา สองก็ใจอ่อนช่วยมันอยู่ดี]
“สองจัดการเอง พ่อไม่ต้องห่วง” ผมเริ่มหงุดหงิดโมโหที่พ่อพูดไม่รู้เรื่อง “เลิกเลยนะ ไม่ต้องขับแกร๊บแล้ว เงินไม่พอใช้ก็บอก เดี๋ยวสองโอนให้”
[เอ๊ะ! ไอ้นี่ ตัวเองยังเอาไม่ค่อยจะรอด ยังมีหน้ามาห้ามคนอื่นทำงานหาเงินอีกเหรอ?]
“ก็พ่อแก่แล้ว”
[แก่แล้วยังไง? แก่แต่ไม่รวยมันก็ต้องดิ้นรนต่อไปจนกว่าจะตายนั่นแหละ ถ้าบ้านเราเป็นข้าราชการก็ว่าไปอย่าง ยังพอมีเงินบำนาญให้กินให้ใช้บ้าง แต่เราไม่มีอะไรเลย ถ้าพ่อไม่เริ่มทำอะไรซักอย่างตอนนี้มันจะหนักที่สองคนเดียว สองว่ามันยุติธรรมเหรอ? พ่อแม่มีลูกสองคนแต่กลับเลี้ยงคนโตให้เป็นผู้เป็นคนไม่ได้ สุดท้ายน้องต้องแบกบ้านอยู่คนเดียว สองไม่น้อยใจจริงๆเหรอ?]

ผมเงียบอยู่พักใหญ่ ไม่รู้จะตอบอะไรจึงได้แต่ปล่อยให้บทสนทนาของเราเว้นช่วงซักระยะ ผมไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับครอบครัวหรอกนะ แต่ยอมรับว่ามีบ้างบางครั้งที่รู้สึกว่าทำไมผมต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นด้วย ลำพังพ่อกับแม่ไม่เท่าไหร่ แต่ทำไม – ทำไมผมถึงต้องดูแลน้ำหนึ่ง ทำไมเงินที่ได้จากการทำงานแทบตายถึงไม่เคยเหลือเก็บ ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันผ่อนบ้านดาวน์รถ ผมกลับไม่มีทรัพย์สินเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง

“ช่างมันเถอะ” ผมบอกพ่อ “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกนะ ไม่พูดยังดีเสียกว่า”

พ่อคงรู้สึกผิดที่สะกิดปมในใจของลูกชาย ดังนั้นเราจึงวางสายด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง จากที่ตั้งใจว่าจะกลับไปตอบเมลลูกค้า ก็เปลี่ยนเป็นหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวน ช่วงนี้ผมสูบบุหรี่หนักมาก ก้นบุหรี่ที่เก็บสะสมไว้เริ่มล้นกล่องเหล็กจนปิดฝาลำบาก ผมว่าความเครียดแปรผันตรงกับจำนวนของมวนบุหรี่ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปผมคงได้เป็นมะเร็งปอดตายแน่ๆ

ผมปลีกวิเวกคนเดียวอยู่หลังร้านนานเกือบสี่สิบนาที ยืนสูบบุหรี่พลางเช็กเรตติ้งทางโทรศัพท์ว่าผู้คนพูดถึงร้านกู้ด รี้ดดิ้งยังไงบ้าง ผมดีใจที่เห็นหลายๆคนเริ่มให้ความสนใจกับคดีที่ไม่เป็นธรรมนี้ ไม่ควรมีใครต้องคิดคุกเพียงเพราะวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ไม่ควรมีใครต้องตายเพียงเพราะต่อต้านเผด็จการเหมือนจิตร ภูมิศักดิ์ ไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่รู้จักเขาไหม บางทีผมน่าจะปรึกษาติณเรื่องเขียนบทความถึงจิตร ภูมิศักดิ์ ผมอยากเล่าเรื่องของผู้ชายคนนี้ให้กลุ่มผู้สนับสนุนเผด็จการฟังและถามพวกเขาว่าเคยรู้บางไหมว่ามีนักกิจกรรมที่กี่คนต้องตายเพียงเพราะเป็นปากเสียงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม แต่ทำได้แค่คิดเท่านั้นเพราะติณคงไม่อนุญาต

“เราก็ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองด้วย” ติณเคยพูดครั้งหนึ่งตอนสูบบุหรี่ด้วยกัน “มันไม่คุ้มหรอก การเผยแพร่บทความแล้วต้องติดคุก ยังไงกูก็มองว่ามันไม่คุ้ม”
“แต่มึงยังจัดอีเว้นต์ให้นักโทษการเมืองมาพูดที่ร้านได้เลย”
“ใช่ไง เพราะเขาเป็นคนพูด กูไม่ได้พูด มันไม่เหมือนกับการเขียนบนความบนเว็ปไซต์ของร้าน ไม่เหมือนกับพอดแคสต์ที่เผยแพร่ในนามกู้ด รี้ดดิ้ง”

ผมขมวดคิ้วไม่พอใจ

“สอง มึงก็รู้ว่ามันไม่คุ้มหรอก แสดงออกเท่าที่เราทำได้เถอะ อย่าทำอะไรสุ่มเสี่ยงให้ตัวเองต้องเข้าคุกต้องตายเลย พ่อแม่พี่มึงจะรู้สึกยังไงถ้ามึงติดคุกเพราะวิจารณ์รัฐบาล”

ก็จริง – ถ้าผมติดคุก ใครจะเลี้ยงยายน้ำเน่ากับเปเปอร์

การมีภาระ มีคนอยู่เบื้องหลังนี่มันลำบากชะมัด ผมเลิกคิดเรื่องเครียดๆก่อนจะเก็บก้นบุหรี่ใส่ตลับและเดินกลับเข้าไปทำงานต่อ




วันนี้ค่อนข้างยุ่งสำหรับเราทุกคนในร้านกู้ด รี้ดดิ้ง หลังจบกิจกรรมเสวนา พนักงานในร้านก็เดินมาบอกด้วยความตื่นเต้นว่าติณกำลังให้สัมภาษณ์กับแอดมินเพจเฟสบุ๊กชื่อดัง ผมพยักหน้าแกนๆแบบขอไปทีเพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยตั้งแต่กู้ด รี้ดดิ้งเริ่มได้รับความนิยม ผมไม่ค่อยสนใจว่าติณให้สัมภาษณ์กับใคร ลำพังแค่เรื่องที่ต้องโฟกัสก็เยอะจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ดังนั้นผมจึงอุดอู้อยู่ในห้องครัวที่ร้อนอบอ้าวถึงบ่ายสามโดยไม่กินหรือดื่มอะไรนอกจากน้ำเปล่า กว่าจะรู้ว่าท้องร้องหิวข้าวก็เป็นตอนที่ติณเดินเข้ามาพร้อมข้าวสองกล่องและนั่งกินด้วยกัน

เราคุยเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับกิจกรรมในวันนี้ซึ่งไม่มีอะไรพิเศษ ตำรวจนอกเครื่องแบบมานั่งฟังด้วยก็จริงแต่ทุกอย่างสงบดี ไม่มีใครถูกจับ และงานก็จบลงอย่างราบรื่นตามที่ติณณภพหวังไว้ ผมพยักหน้าฟังเพื่อนไปเรื่อยระหว่างกินข้าวผัดรวมมิตร น่าแปลกที่สมาธิของผมกลับจดจ่ออยู่ที่โทรศัพท์มากกว่าจะเป็นติณเพราะวันนี้ทั้งวัน -- เจ้าโกลเด้นภูไม่ติดต่อมาหาผมเลย

“เหม่ออะไร?”
“เปล่า” ผมตอบพลางคายหางกุ้งไว้ในถาดโฟม “กำลังคิดเรื่องแอดมินร้าน ตกลงมึงจะจ้างคนใหม่เมื่อไหร่?”
“ลังเลอยู่ว่าจะเอายังไง มึงทำไหวหรือเปล่าล่ะ? ถ้ามึงพอทำได้ กูว่าจ่ายเงินจ้างมึงน่าจะดีกว่าจ้างคนอื่น แต่ตามใจมึงก็แล้วกัน กูรู้ว่างานตอบลูกค้ามันจุกจิก มันต้องเฝ้าจอทั้งวัน”
“นั่นสิ ช่วยเป็นครั้งคราวน่ะได้ แต่ถ้าทำเป็นงานประจำคงไม่ได้จริงๆว่ะ กูต้องแปลงานส่งพี่ดาวด้วย” ผมตอบพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งสติ๊กเกอร์หาเจ้าโกลเด้นภู แต่เขาไม่อ่าน
“ตกลงเรื่องพี่น้ำถึงไหนแล้ว?”
“พ่อหาทนายได้แล้ว” ผมเริ่มตอบแบบขอไปทีเพราะมีเรื่องอื่นให้คิด “วันนี้มึงจะไปไหนต่อไหม?”
“ไม่ไป คงรอจนร้านเลิกก็กลับบ้านเลย หรือมึงอยากไปไหน?”
“ไม่ว่ะ”
“ดีแล้ว อยู่ติดร้านบ้างเถอะมึง พักหลังออกเที่ยวข้างนอกบ่อยนะ”

ผมแกล้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเก็บกล่องข้าวไปทิ้งถังขยะ เรานั่งคุยกันอีกแค่นิดหน่อยก็แยกย้ายเพราะติณต้องไปกำกับพนักงานให้จัดร้านกลับมาเป็นเหมือนเดิม ส่วนผมก็หอบโน้ตบุ๊กขึ้นห้องตัวเองเพื่อแปลหนังสือให้พี่ดาวต่อ ทำงานได้ซักพักก็รู้สึกล้าๆจนต้องปิดโน้ตบุ๊กเพื่อนอนกลางวันซักงีบ แต่ก่อนหลับ ผมยังไม่ลืมส่งข้อความไปหาภูอีกครั้ง แกล้งถามเขาว่าว่างเมื่อไหร่จะโทรไปหาทว่าภูก็ไม่ตอบ ผมคิดว่าเขาคงยุ่งก็เลยเลิกสนใจ แต่พอตื่นอีกทีตอนหกโมงก็ยังไม่มีข้อความจากเขา ผมจึงเริ่มกังวลว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ปกติผมไม่ค่อยโทรหาภู ไม่เคยเลยซักครั้งหากไม่มีธุระจำเป็นหรือเรื่องคอขาดบาดตาย แต่วันนี้มันผิดวิสัยของเจ้าโกลเด้นเกินไป จริงอยู่ที่ภูมีวันยุ่งๆ มีวันต้องผ่าตัด ทำหมัน วันที่จับโทรศัพท์ไม่ได้ แต่หลังสี่โมงเย็นมันไม่ใช่เวรของเขาแล้ว ปกติภูจะตอบผมทันทีที่เพื่อนสัตวแพทย์ของเขามาเปลี่ยนกะ ทำไมวันนี้เขาถึงไม่ตอบข้อความ ผมสงสัยและพยายามหาคำตอบด้วยการโทรไป สามสายแรกไม่มีคนรับ สายที่สี่ถึงเป็นเสียงของผู้ช่วยส่วนตัวของภู

“ครับ หมอภูยุ่งอยู่เหรอครับ?” ผมถาม
“เอ่อ – หมอภูงานเข้านิดหน่อยค่ะ” เธออ้อมแอ้มตอบ ผมได้ยินเสียงโวยวายของใครซักคนเล็ดลอดมาตามสายปนกับเสียงร้องไห้ “หมาลูกค้าตายน่ะค่ะ”
“เหรอครับ?”
“ค่ะ แล้วลูกค้าจะเอาเรื่องหมอภู” เธอพูดเว้นวรรคก่อนจะตามมาด้วยเสียงของตกแตกดังเพล้ง! “แค่นี้ก่อนนะคะ”

เธอตัดสายไป ส่วนผมพูดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าเจ้าโกลเด้นต้องรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่ๆ ผมเป็นห่วงภู พราะเสียงโวยวายที่ได้ยินมันดังและฟังดูรุนแรงจนเป็นห่วงสภาพจิตใจเขา จริงอยู่ที่ภูไม่ใช่เด็กแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่ผมเป็นห่วงความรู้สึกเขามากกว่าว่าเป็นยังไงบ้าง ผมพยายามติดต่อภูอีกหลายครั้งทว่ายังไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย มีแต่ผู้ช่วยที่คอยรับสายและตอบอ้อมๆว่าไม่สะดวกคุยตอนนี้ ผมจึงไลน์ไปหาภูอีกอีกครั้ง แกล้งถามเขาว่าอยากออกไปกินอะไรด้วยกันไหม ภูที่อ่านแล้วไม่ตอบนานหลายชั่วโมงก็พิมพ์กลับมาว่า

[วันนี้ภูไม่ว่าง ไว้วันหลังนะคับ]

และส่งสติ๊กเกอร์คอร์กี้หน้ายิ้มมาให้

ผมไม่รู้หรอกนะว่าการตายของหมาตัวนั้นเป็นเพราะเขาหรือไม่ แต่ผมคิดว่าภูไม่ควรโดนตะคอกใส่หน้าหรือทำลายข้าวของในคลินิกอย่างนั้น เขาดีเกินไป และสุภาพเกินไปที่จะรับมือกับคนที่ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ยิ่งเห็นว่าภูไม่ค่อยร่าเริงแม้จะชวนไปกินข้าว ผมก็ยิ่งร้อนใจ แต่อาการร้อนใจของผมไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของการรัวไลน์ไปเซ้าซี้ ผมเป็นคนตัดสินใจไว ในเมื่อเป็นห่วงเขามากก็แค่หยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์เพื่อออกจากร้าน นั่งรถไฟฟ้าไปหาภูถึงคลินิกที่ทองหล่อทันที







TBC





_______________________________



#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก





สวัสดีค่ะ แฮร่ ตอนแรกว่าจะไม่อัปแต่มันอดใจไม่ไหวเพราะคิดถึงทุกคนมากๆ ขอแวะเวียนนำคุณสองและน้องภูมาเสิร์ฟก่อนนอนนะคะ ฝันดีค่า :3

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 18:00:57 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ MyMine104

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คิดถึงสองกับเจ้าโกลเด้นสุดๆ ดีใจมากๆที่นิยายที่เราอ่านมีการพูดถึงจิตรด้วย ชอบการสอดแทรกเอาเรื่องการเมืองเข้ามาในนิยายมากๆ ฝันของสองก็เรียลมากกกอ่านแล้วทั้งเขินทั้งเศร้า หวังว่าสองจะไม่ต้องเข้าสมาคมกอลิลล่าเหมือนก้องนะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เห็นใจสอง
เราเข้าใจเลย อยากมีคนรัก มีความรักดี ๆ แต่ในชีวิตก็มีหลายสิ่งให้กังวลและรับผิดชอบจนไม่รู้จะหาพื้นที่ไหนให้คนที่จะเข้ามา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
8 [PART 1/2]


8


ผมคาดหวังอะไรจากการไปหาภูกะทันหันเหรอ?
คำตอบคือคาดหวังว่าเขาจะรู้สึกดีขึ้น ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะจูบกันหรืออะไรทำนองนั้น

ไม่เลย – ผมไม่คิดอะไรอย่างนั้น

จนกระทั่งตอนที่เรานอนด้วยกันบนเตียง ภูพลิกตัวตะแคงมาหาผม พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังและเปี่ยมด้วยประกายบางอย่างในแววตา วินาทีที่เรามองหน้ากัน ราวกับว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง ราวกับว่าภูถามผ่านทางสายตาว่าเราควรจะจูบกันหน่อยไหม ในตอนที่บรรยากาศเป็นใจ ตอนที่เรารู้สึกดีต่อกัน เราควรจะจูบกันซักครั้งหรือเปล่า เมื่อภูโน้มหน้าเข้ามาใกล้ และผมไม่ได้ผลักไสหรือขอให้ภูหยุดการกระทำที่อาจทำให้ท้องไส้ของผมปั่นป่วน จูบแรกของเราจึงเกิดขึ้น เนิ่นนานเกือบนาทีและเลยเถิดเป็นเซ็กส์ที่ทำให้ผมต้องนอนเหม่อเพราะไม่รู้ตัวว่าตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ที่มีอะไรกับเขา

ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมออกจากร้านกู้ด รี้ดดิ้งและขึ้นเอ็มอาร์ที ผมใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานกว่าจะถึงร้านของภู ผู้ช่วยของเขาออกกะไปแล้ว เหลือแค่ผู้ช่วยกะดึกที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าเท่าไหร่ ทันทีที่เห็นผมผลักประตูเข้าไปในสภาพเหงื่อชุ่ม เขาก็ถามทันทีว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า เขาอาจจะคิดว่าผมมาปรึกษาเรื่องฉีดยาคุมหมา หรือไม่ก็ถามถึงยาหยอดเห็บหมัดให้สัตว์เลี้ยงแสนรักที่บ้าน ทว่าสิ่งที่ผมถามถึงคือหมอภู เจ้าหมาโกลเด้นของผม

“หมอภูเหรอครับ?” เขาทวนคำพูดก่อนหันไปมองหลังร้าน “หมอภูออกกะแล้ว ตอนนี้เป็นกะของหมอจ๋อมแจ๋ม ปรึกษาหมอจ๋อมแจ๋มได้นะครับ”
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้มาปรึกษาเรื่องสัตว์” ผมหอบหายใจ “ผมมาหาเขา”
“หาหมอภูน่ะเหรอ?”
“ครับ”
“ซักครู่ครับ”

ผู้ช่วยคนนั้นบอกก่อนจะยกหูโทรศัพท์ เมื่อภูรับสาย เขาก็ถามว่าผมชื่ออะไร มาติดต่อเรื่องอะไร

“หมอภูครับ เขาชื่อคุณสองครับ ครับ ใช่ครับ”

ผมยืนกดดันผู้ช่วยทางสายตา ลุ้นใจแทบขาดว่าภูจะว่ายังไงหากรู้ว่าผมมาที่นี่เพื่อเจอเขาโดยเฉพาะ และเมื่อผู้ช่วยวางสาย เขาก็บอกให้รอหน้าคลินิกซักพัก เดี๋ยวหมอภูลงมาครับ

“ขอบคุณครับ”

ผมตอบตามมารยาทและเดินกลับไปนั่งพักเหนื่อยที่โซฟา ผมรออยู่นานเกือบสิบนาทีกว่าภูจะค่อยๆโผล่หน้ามาจากประตูบานเลื่อนด้านหลังและกวักมือเรียกเหมือนเรียกวินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหาเขา นี่คือการพบกันครั้งที่สองของเราในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมง

“ทำไมถึงมาหาผมตอนนี้?” ภูถามขณะเดินขึ้นบันไดไปห้องนอนของเขา ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของชานมเดินย่ำอยู่ไม่ไกล
“ว่าจะชวนไปกินข้าว”
“ที่ไหนครับ?”
“ไม่รู้สิ แล้วแต่คุณเลย”

ผมบอกและเดินตามเขาจนถึงห้องนอน ชานมส่ายก้นดุ๊กดิ๊กไปมาราวกับรออยู่ก่อนแล้ว เจ้าหมายักษ์กระโดดเกาะขาผมแน่นเหมือนตุ๊กแกแสดงท่าทีดีใจมากที่ได้เจอนายสิปปกรอีกแม้ว่าเราจะเพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน มันดีใจออกนอกหน้าจนภูต้องดุเสียงดังเพราะเล็บของชานมข่วนขาผมเป็นรอย

“ผมยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

ภูบอกเมื่อเราเดินเข้ามาในห้องนอน เจ้าชานมยังคงวิ่งวนรอบขาเราอยู่พักใหญ่ก่อนจะคาบบอลมาวางไว้แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าของ พอได้เห็นภูจากตรงนี้ ผมจึงรู้ในทันทีว่าเขายังคงรู้สึกไม่ดี ตาของภูแดงจนช้ำเหมือนคนเพิ่งหยุดร้องไห้ ขนตายังเปียกอยู่ และปลายจมูกก็แดงจัด ภูทำเป็นวุ่นวายกับการพับผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทาง ส่วนผมที่ยืนอยู่หลังเขากำลังครุ่นคิดหาถ้อยคำปลอบใจอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดคำให้กำลังใจอะไรนอกจากแตะหลังของเขาและลูบเบาๆ

“พี่ส้มบอกคุณสองเหรอ?” ภูพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ผมเป็นแบบนี้ไม่นานหรอก วันสองวันเดี๋ยวก็ร่าเริงเหมือนเดิม คุณสองอย่าเพิ่งเบื่อกันนะ”
“ผมไม่เบื่อคุณหรอก ผมเป็นห่วงคุณ” ผมบอกเขา “ภู ผมพูดจริงๆนะ ผมเป็นห่วงคุณ”
“ขอบคุณครับ แต่ผมโอเค”

เจ้าโกลเด้นที่เคยร่าเริงหันมาฝืนยิ้ม น้ำตาที่แห้งไปซักพักกลับมาเอ่อล้นจนไหลอาบแก้มหนึ่งหยด ภูรีบใช้นิ้วปาดมันออกอย่างรวดเร็วราวกับอายที่จะให้ผมเห็นตัวตนของเขาในมุมนี้

“คุณเล่าให้ผมฟังได้นะ”
“ถ้าผมเล่าแล้วคุณสองจะมองว่าผมเป็นหมอที่ไม่ได้เรื่องเหมือนเจ้าของหมาตัวนั้นไหม?”
“ผมไม่ตัดสินใครจากคำพูดคนอื่นหรอก อีกอย่างที่ผมมาถึงนี่ก็เพราะเป็นห่วงคุณ ผมมาเพื่ออยู่เป็นเพื่อน ไม่ได้มาเพื่อบอกว่าคุณเป็นหมอที่ดีหรือหมอที่ไม่ดี”

ริมฝีปากของภูสั่นอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาไหลมากเรื่อยๆจนเปียกชุ่ม คราวนี้ต่อให้ยกนิ้วขึ้นมาปาดก็ยังหลงเหลือร่องรอยอยู่เต็มสองแก้ม ผมช่วยภูที่พยายามปกปิดความอ่อนแอของตัวเองด้วยการเช็ดน้ำตาให้ ผมบอกเขาว่าไม่เป็นไร พูดมาเถอะ ผมไม่ตัดสินเขาเหมือนเจ้าของหมาตัวนั้นหรอก ภูเม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆนั่งบนปลายเตียง ส่วนผมยืนอยู่ตรงหน้าเขาในระดับที่ศีรษะของภูอยู่ตรงท้องของผมพอดี

“จริงๆหมาตัวนั้นจะไม่ตาย ถ้าเจ้าของใส่ใจมันมากกว่านี้”

ภูเริ่มเล่าเป็นครั้งแรกว่าวันนี้ภูต้องผ่ามดลูกหมาพันธุ์คอลลี่อายุประมาณแปดปี ผมนึกภาพไม่ออกว่าคอลลี่หน้าตาเป็นยังไง แต่เดาเอาว่าต้องแพงมากแน่ๆเพราะภูบอกว่าตัวนี้มาจากฟาร์มต่างประเทศ ก่อนผ่าตัด ภูทำตามขั้นตอนทุกอย่าง เขาสั่งเจ้าให้หมางดน้ำงดอาหาร แถมอธิบายกระบวนการและแนะนำให้เจ้าของสุนัขตรวจเลือด ซึ่งเจ้าของปฏิเสธเพราะหมาเคยวางยาสลบตอนขูดหินปูนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เจ้าของมั่นใจว่ามันไม่แพ้ยาสลบแน่ๆจึงบอกภูว่าไม่ต้องตรวจเลือด ให้ตัดมดลูกที่อักเสบทิ้งอย่างเดียว

“แต่เราไม่ได้ตรวจเลือดหมาเพื่อเช็กว่ามันจะแพ้ยาสลบหรือไม่แพ้ เราตรวจเลือดเพื่อดูค่าตับค่าไต ดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ดูว่าหมาแข็งแรงดีไหม มีภาวะเสี่ยงอะไรที่ต้องเฝ้าระวังไหม มันไม่เกี่ยวกับแพ้ไม่แพ้เลย”
“แล้วคุณอธิบายเจ้าของหรือเปล่าว่าทำไมถึงควรตรวจ?”
“บอกแล้ว แต่เขาไม่ฟัง เขามั่นใจว่าหมาเขาแข็งแรงดี ผมก็เลยไม่เซ้าซี้อะไรอีก ไม่ให้ตรวจก็ไม่เป็นไรแต่ต้องเซ็นเอกสารยินยอมด้วยว่าปฏิเสธให้ตรวจเลือด เขาก็เซ็น เขาติ๊กในช่องด้วยว่าได้ฟังคำอธิบายจากสัตวแพทย์แล้วแต่ไม่ให้ตรวจ”
“งั้นปัญหาคืออะไรล่ะ? หมาแพ้ยาสลบเหรอ?”
“เปล่าครับ หมาไม่ได้แพ้ยาสลบ” เล่าถึงตรงนี้ภูก็เริ่มเสียงสั่นและร้องไห้ “มันตายเพราะอาหาร อุดหลอดลม”
“ฮะ?”
“ก็ที่ผมบอกให้อดน้ำอดอาหารก่อนผ่าตัดไง คือแบบนี้นะคุณสอง การวางยาสลบหมา ยามันจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว หลอดอาหารเป็นกล้ามเนื้อเหมือนกันก็เลยคลายตัวด้วย ถ้าหมามีอาหารหรือน้ำอยู่ในท้อง มันอาจจะไหลย้อนไปอุดหลอดลมได้ ซึ่งเคสของตัวนี้ซวยตรงที่เจ้าของไม่ได้อยู่กับหมาตลอดเวลาก็เลยไม่รู้ว่าตอนเช้าก่อนมาผ่าตัด หมามันกินอะไรเข้าไปบ้าง เขาบอกผมว่าอดน้ำอดอาหารมาแล้ว เซ็นในใบยินยอมรับรองด้วยว่าไม่ได้ให้หมากินอะไรมาจริงๆ แต่พอหมาหยุดหายใจ ผมก็เลยลองคีบดูว่าอะไรอุดในหลอดลมหรือเปล่า ปรากฏว่าเป็นไส้กรอก! ไส้กรอกเกือบสิบชิ้น ไอ้เหี้ย!!! มึงให้หมากินไส้กรอกทั้งๆที่กูกำชับไม่ให้แดกอะไรก่อนผ่าตัดเนี่ยนะ?!!!”

ภูตะคอกถามราวกับว่าเจ้าของหมาอยู่ตรงหน้า เขาโมโหและแค้นใจมากถึงขนาดร้องไห้โฮ ผมกดหัวภูที่กำลังสติแตกลงบนหน้าท้องตัวเองและลูบหัวเขา ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นยิ่งเข้าใจความหงุดหงิดโมโหของเขาดี ภูทำตามหน้าที่ถูกต้องทุกอย่าง แต่หมากลับต้องตายด้วยสาเหตุโง่ๆอย่างไส้กรอกอุดหลอดลม

“หมาตัวนี้มันไม่ควรตายเลยคุณสอง มันไม่น่าตายเลยอ่ะ แต่มันก็ตายเพราะความไม่ใส่ใจของเจ้าของห่วยๆ!” ภูกอดเอวของผมเอาไว้แน่นขณะร้องไห้ “ที่เจ็บใจกว่าคือตอนโทรไปแจ้งว่าหมาตาย มันพาพวกมารุมผมถึงร้าน ยืนด่าผมต่อหน้าลูกค้า ด่าเสียๆหายๆ ด่าไปอัดคลิปไปเหมือนผมทำอะไรผิด ผมพยายามอธิบายแล้วว่าหมามึงตายเพราะไส้กรอกไม่ได้ตายเพราะกูแต่ไม่มีใครฟัง จนพี่ส้มต้องเปิดคลิปตอนคีบเศษไส้กรอกออกมานั่นแหละถึงจะหุบปากแล้วโทรศัพท์ไปถามแม่มันว่าเมื่อเช้าให้กินอะไรหรือเปล่า พอรู้ว่าแม่มันให้ไส้กรอกก็รีบอุ้มหมากลับบ้านไม่ขอโทษซักคำ”
“ก่อนไปพวกมันทำอะไรคุณไหม? ผมได้ยินเสียงของหล่นลงมาแตกด้วย”
“ไม่ มันไม่ได้ทำอะไรผมหรอก มันแค่ยกมือชี้หน้าแต่ดันไปโดนแจกัน”
“คุณไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?”
“ไม่” ภูสูดน้ำมูก เขาคงเริ่มหายใจไม่ออก ผมจึงใช้ปลายเสื้อตัวเองเช็ดน้ำมูกให้ “แต่วันนี้เหี้ยมาก ผมโกรธจนต้องแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำ ทั้งโกรธทั้งอายที่โดนด่าตอนลูกค้าอยู่หลายคน ตั้งแต่เรียนจบมาไม่เคยเจอเรื่องเหี้ยอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ทำไมคนพวกนั้นมันพูดดีๆไม่เป็น ลำพังหมาตายก็เฟลแล้ว ยังยกพวกมารุมด่าอีก ผมทำอะไรผิดอ่ะคุณสอง คุณบอกหน่อยสิว่าผมทำอะไรผิด”

ผมมันคนห่วยแตกที่ให้กำลังใจใครไม่เป็นนอกจากกอดอีกฝ่ายไว้แน่นๆ ฟังเสียงร้องไห้อย่างตั้งใจ และแสดงออกให้เจ้าโกลเด้นรู้ว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยวลำพัง แต่ยังมีผมคอยปลอบอยู่ทั้งคน ผมจำไม่ได้ว่าใช้เวลาตรงนั้นกับภูนานแค่ไหน รู้แต่ว่ามันนานมากพอจนสัมผัสได้ถึงความเศร้าเสียใจที่อาจเทียบเท่าอาการหัวใจสลายได้ สิ่งที่ภูเสียใจที่สุดไม่ใช่เพราะโดนเจ้าของหมาเฮงซวยพวกนั้นรุมด่าหรือข่มขู่ให้ตกใจ แต่ภูเสียใจที่หมาตัวนั้นต้องตายเพราะไส้กรอก เขาเสียใจที่สัตว์ตายเพราะความไม่เอาใจใส่ของเจ้าของ เรื่องโดนด่าไม่ใช่ประเด็นเลย ตัวการหลักที่ทำให้ภูร้องไห้อยู่ตอนนี้คือการตายของหมาตัวนั้นต่างหาก

“ภู คุณอย่าโทษตัวเองเลย หมาตัวนั้นไม่ได้ตายเพราะคุณหรอก คุณจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันกินอะไรมา ในเมื่อเจ้าของบอกว่าอดน้ำอดอาหารแล้วคุณก็ต้องเชื่อเขา ฟังผมนะ มันไม่ใช่ความผิดคุณ ไม่ใช่เลย คุณทำดีที่สุดแล้ว”

ผมพูดได้แค่นั้นและเงียบไปพักใหญ่ สมองพยายามรีดเค้นนึกเอาคำปลอบใจที่เคยพบเจอในหนังสือแต่กลับพูดอะไรไม่ออก ผมได้แต่ขอโทษภูในใจที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้ นอกจากเสียสละเสื้อให้เขาสั่งน้ำมูก สิปปกรก็ไม่มีทางอื่นเพื่อช่วยเยียวยาความเสียใจของเขาอีก เวลาล่วงเลยเป็นนาทีที่ภูกอดเอวของผม ซบหน้าลงบนพุงและร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆจนหมดแรง ในที่สุดภูก็เข้มแข็งได้โดยไม่ต้องมีคำพูดดสวยหรูจากผม เขาค่อยๆเงยหน้ามองสิปปกรที่ยังคงอนุญาตให้ใช้เสื้อยืดเป็นผ้าเช็ดน้ำมูก พอสายตาของเราประสานกัน ภูก็บอกว่าเขาร้องไม่ออกเพราะเสียงท้องร้องของผมเลยนะ

“อืม ดีใจนะที่เสียงท้องร้องมันทำให้คุณหายเศร้าได้”

ผมแกล้งเขกหัวเขาหนึ่งทีก่อนจะผละตัวออก พอเห็นคราบน้ำมูกเปื้อนเป็นดวงๆบนเสื้อตัวเองแล้วมันก็รู้สึกแหยงๆนิดนึง ภูคงอ่านสีหน้าออกจึงเอ่ยปากให้ยืมเสื้อผ้าใส่ก่อน ผมนึกในใจว่ายืมอีกแล้ว มาบ้านเขาที่ไรต้องหยิบเอาเสื้อผ้าของเขามาใส่เหมือนเป็นของตัวเองทุกที พอเปลี่ยนเสื้อเสร็จผมก็หันไปหาเจ้าโกลเด้นที่อุ้มชานมขึ้นมากอดแนบอก ภูคลอเคลียเจ้าหมายักษ์อยู่พักใหญ่ก่อนจะเงยหน้ามองผมและพูดว่าไปกินข้าวต้มกันเถอะ




ร้านข้าวต้มที่ภูมาพาไม่ใช่ร้านอาหารริมทาง มันคือร้านข้าวต้มเก่าแก่ซึ่งไม่ได้ขายข้าวต้มหมูปั้น ข้าวต้มไก่ฉีก หรือข้าวโจ๊กธรรมดาทั่วไป แต่มันคือภัตตาคารขนาดย่อมที่ขายข้าวต้มที่กินคู่กับกับข้าวต่างหาก

ตอนเปิดเมนูแล้วเห็นราคา ผมแอบเหงื่อตกเพราะรู้สึกว่ามันแรงเกินไป กุ้งทอดกระเทียมจานละสองร้อย ผัดผักบุ้งจานละแปดสิบ หมูสับปลาเค็มจานละร้อยห้าสิบ ที่ราคาถูกอย่างเดียวคือข้าวต้มหนึ่งถ้วยไม่มีอะไรปรุงแต่ง ผมรู้สึกกังวลแปลกๆหากต้องเห็นราคาและสั่งอาหารพวกนี้ก็เลยผลักหน้าที่ให้เป็นของภู เขาอยากกินอะไรก็กิน บิลมาเมื่อไหร่ค่อยหารกัน

“ร้านนี้พ่อชอบพาผมกับน้องมากินประจำ” ภูพูดเมื่อกุ้งทอดกระเทียมจานแรกถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ เขาตักมันใส่จานตัวเองและเริ่มใช้ช้อนส้อมแกะหางกุ้ง “คุณสองชอบกินข้าวต้มไหมครับ?”
“ผมกินได้ทั้งนั้นแหละ”

ถ้าราคาไม่แรงขนาดนี้ –

“หมูกรอบร้านนี้อร่อยมาก ผมสั่งมาแล้ว เดี๋ยวคุณสองลองชิมนะ” เขาพูดก่อนจะตักกุ้งที่แกะหางออกเรียบร้อยมาวางบนจานของสิปปกร
“ให้ผมทำไม?”
“ผมอยากให้คุณสองกินง่ายๆ”
“นี่ แค่หางกุ้ง ผมแกะเองได้น่า” ผมส่ายหน้าแต่ก็กินกุ้งที่ภูแกะให้ หากถามว่ารสชาติเป็นยังไง ผมก็คงตอบว่ารสชาติเหมือนกุ้ง
“อร่อยไหมครับ?”
“อืม อร่อย” เมื่อผมตอบ เจ้าโกลเด้นที่เคยเศร้าก็ยิ้มร่าด้วยท่าทางดีใจ “คุณก็กินบ้างเถอะ อย่ามัวแต่แกะกุ้งทำคะแนน มันไม่ได้ผลหรอกนะ”
“ผมไม่ได้แกะกุ้งเพื่อเอาใจคุณสอง ผมแกะเพราะอยากให้คุณสองกินง่ายๆ กินอย่างมีความสุขที่สุดต่างหาก”

เจ้าภูย่นจมูกก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ เขาปล่อยให้ผมนั่งหัวเราะหึในลำคอเพราะรู้ทัน ทำไมจะไม่รู้ว่าการแกะหางกุ้งคือการทำคะแนน ครั้งหนึ่งชวินทร์ก็เคยแกะอาหารให้ผมทาน มันแกะแค่ช่วงโปรเท่านั้นแหละ พออยู่กันไปได้ซักเดือนสองเดือนก็เลิกแกะ แถมยังแย่งส่วนของผมไปกินอีกต่างหาก แต่ภูกลับไม่เหมือนชวินทร์ เขาแกะกุ้งให้ผมกินมากกว่าแกะให้ตัวเอง เช่นกุ้งในจานมีทั้งหมดเจ็ดตัว เขาจะให้ผมห้าตัวและกินเองแค่สอง แม้กระทั่งหมูกรอบที่บอกว่าชอบนักชอบหนา เขาจะเลือกส่วนดีๆที่มีทั้งเนื้อทั้งหนังให้ผมทาน ผมบอกภูซ้ำเป็นครั้งที่สองว่าไม่ต้องแบ่งให้ผมกินเยอะ เรามากินด้วยกัน เราหารบิลกัน ภูควรได้กินเท่าๆกับผม

“มันเป็นความสุขของผมที่ได้ตักอาหารให้คนที่ตัวเองชอบ” ภูพูดออกมาหน้าตาเฉย ส่วนผมก็ได้แค่หัวเราะในลำคออีกครั้ง แม้จะหน้าร้อนนิดหน่อยตรงคำว่าชอบ “เดี๋ยวกินเสร็จจะกลับร้านเลยไหมครับ?”
“คงเป็นอย่างนั้นแหละ ถามทำไม?”
“เปล่าครับ” ภูพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ แต่เป็นความเศร้าจอมปลอมที่มองจากดาวอังคารก็ดูออกว่าตอแหล “ผมแค่อยากให้คุณสองค้างกับผมอีกซักคืน”
“จะให้ผมนอนบ้านคุณสองคืนติดเลยเหรอ? ไม่อึดอัดหรือไง?”
“ไม่อ่ะ คุณสองอึดอัดเหรอ?”
“ไม่ได้อึดอัด แค่ไม่สะดวก” ผมตอบตามตรง “ผมยืมเสื้อผ้าคุณมาตั้งกี่ครั้งแล้ว เมื่อเช้าก็ยังไม่ได้ซักคืนเลย”
“อ๋อ บ็อกเซอร์ตัวนั้น ตัวโปรดผมเลยนะ ใส่บ่อยมากจนขอบยุ่ย”

ไม่ได้ถามโว้ย!

“ว่าแต่ทำไมคุณสองถึงเอาบ็อกเซอร์ผมไปซักตัวเดียวอ่ะ?”
“มันแปลกตรงไหน?”
“แปลกที่คุณคืนชุดนอนแต่เอาบ็อกเซอร์ผมไปไง” ภูตอบ “คุณสองทำมันเลอะเหรอ?”

ผมเหวอพักหนึ่งก่อนจะรีบทำสีหน้าให้เป็นปกติ บอกภูเรียบๆว่าไม่ได้เลอะ ผมแค่อยากซักบ็อกเซอร์ให้เพราะมันสัมผัสส่วนนั้นของผมโดยตรง พอได้ยินภูก็หัวเราะดังลั่นและบอกว่าเขาไม่รังเกียจหรอก ไม่อยู่แล้ว มันก็เป็นร่างกายของมนุษย์เหมือนๆกัน อีกอย่างเขาไม่มีวันรังเกียจสิปปกรเด็ดขาด

“ถ้าคุณรู้ว่ามันเลอะอะไรคุณคงไม่พูดแบบนี้”
“มันเลอะอะไรเหรอครับ?”
“เปล่า” ผมเกลียดตัวเองที่ปากไวเป็นบ้า “อย่าถามมากได้ไหม? ถ้าจะให้ผมค้างด้วยอีกคืนก็รีบๆกินรีบๆกลับ ผมง่วงแล้ว!”

ผมแกล้งเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ส่วนเจ้าโกลเด้นแสนซื่อรีบใช้ช้อนตักข้าวต้มเข้าปากแบบไม่คิดชีวิต เขารีบกินเกินไปจนข้าวร้อนๆลวกปากถึงขนาดต้องหยุดกินพักใหญ่ ผมได้แต่นั่งขำให้กับความเด็กของภูในใจและแกะกุ้งให้เขาทานอีกตัว





[PART 2 ต่อด้านล่างเลยคับ]  :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 19:06:05 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
8 [PART 2/2]


“ชานมดีใจใหญ่เลย คืนนี้มีคนมาค้างที่ห้องชานมด้วย!”

ภูเอ่ยเสียงใสขณะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ชานมก้นใหญ่ส่ายตูดดุ๊กดิ๊กด้วยความดีใจที่เห็นว่าเจ้าของกลับมาร่าเริงแจ่มใสเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ส่วนผมที่เดินตามหลังได้แต่แอบกังวลเพราะกลัวว่าคืนนี้จะทำบ็อกเซอร์ของภูเลอะอีกหรือเปล่า โดยปกติผมไม่เคยฝันเปียกติดต่อกันสองคืน หวังว่าทฤษฎีนี้จะยังใช้ได้อยู่ ไม่อยากนั้นผมคงไม่มีหน้ากลับมาเหยียบห้องนอนของเจ้าโกลเด้นอีก

คืนนี้ต่างจากคืนก่อนตรงที่มันมีความพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น ภูเดินไปเปิดตู้เก็บของในห้องน้ำ หยิบเอาที่แขวนแปรงสีฟันตัวการ์ตูนออกมาสองลายเพื่อถามว่าผมชอบแบบไหนมากกว่าระหว่างริลัคคุมะกับตุ๊กตาวัวนม แน่นอนว่าต้องเป็นริลัคคุมะอยู่แล้ว ดังนั้นภูจึงแกะที่แขวนแปรงสีฟันออกจากพลาสติกและแปะตัวดูดสุญญากาศบนกระจกห้องน้ำทันที

“ตัวนี้คือที่แขวนแปรงของคุณสองนะ”

ผมได้แต่เลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อเห็นว่าบนกระจกห้องน้ำมีตุ๊กตาแขวนแปรงสองตัว ตัวหนึ่งเป็นตุ๊กตาหมูซึ่งไว้สำหรับแขวนแปรงของเขา ส่วนริลัคคุมะเป็นที่แขวนแปรงของผม
 
“ไม่ต้องแกะก็ได้ เสียดายของ” ผมบ่น “แปรงผมจะวางตรงไหนก็ได้ ในแก้วน้ำก็ได้ ไม่เห็นต้องแกะตุ๊กตาแพงๆนี่มาแขวนเลย”
“ได้ไง? ต่อไปเวลาคุณสองมา คุณสองจะได้หยิบแปรงสะดวก จะก้มๆเงยๆล้วงหาหน้ากระจกอยู่ทำไม ก็แปะไว้ข้างกันนี่แหละ หมูของผม หมีของคุณสอง”
“คุณนี่นะ --” ผมส่ายหน้า “ต่อไปไม่ต้องยกผ้าเช็ดตัวให้ผมด้วยหรือไง”

ผมพูดโดยไม่คิดอะไร แต่เจ้าโกลเด้นก็เดินออกไปตรงระเบียงและกลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่ผมใช้เมื่อวาน ผมเบิกตากว้างมองเจ้าโกลเด้นเดินถือผ้าเข้ามาใกล้ พอถามว่าทำไมไม่โยนใส่ตะกร้าเตรียมซัก จะเอาไปแขวนตากข้างนอกทำไม ภูก็ตอบหน้าตาเฉยว่า

“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณสองต้องมาอีก”

และยิ้มหวานจนตาหยี

“มาค้างที่นี่บ่อยๆนะครับ ชานมดีใจมากที่คุณสองมา”
“ชานมหรือใครกันแน่ที่ดีใจ?”
“ผมเองแหละที่ดีใจมากเวลาคุณสองมา” ภูยิ้มเขิน “ไปอาบน้ำดีกว่า วันนี้เราจะดูอะไรกันดี?”
“คุณอยากดูอะไรล่ะ?”
“อยากดูจิบลิอีกแต่คราวนี้เป็นเรื่องใหม่ คุณสองเคยได้ยินหนังเรื่อง Spirited Away ไหม?”
 “ไม่”
“งั้นคืนนี้ดูเรื่องนี้นะ สนุกกว่าแม่มดกิกิที่เราดูเมื่อคืนอีก”

 ภูบอกก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ เหลือเพียงผมกับชานมที่นอนกัดลูกบอลเสียงดังปี๊บๆอยู่บนเบาะ เมื่อได้อยู่เพียงลำพังในโลกส่วนตัวของภู ผมถือวิสาสะใช้โอกาสนี้สำรวจความเป็นตัวตนของเขาผ่านทางข้าวของเครื่องใช้ ภูมีตู้กระจกโชว์โมเดลตู้ใหญ่ ในนั้นมีตุ๊กตาอะไรไม่รู้วางอัดแน่นเต็มไปหมด มันไม่ใช่กันดั้ม ไม่ใช่ฟิกเกอร์ผู้หญิงสวยๆ แต่เป็นโมเดลตัวการ์ตูนน่ารักปะปนกันไป มีโตโตโร่มากกว่ายี่สิบตัวในหลายๆอิริยาบถวางอยู่ด้วย ภูดูเป็นคนชอบของกุ๊กกิ๊กน่ารัก เขามีความเป็นเด็กในขณะเดียวกันก็มีมุมผู้ใหญ่อยู่ในตัว ผมถือวิสาสะไล่สายตาเพื่อมองสำรวจฟิกเกอร์ในตู้โชว์ของเขา นับในใจคร่าวๆว่าอย่างต่ำในตู้นี้ต้องเกือบร้อยตัวแน่ๆ

ผมครุ่นคิดก่อนจะหันมองสิ่งต่างๆที่จัดวางอยู่ในห้องนอน ตรงปลายเตียงมีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นวางอยู่ คูณรู้ไหมว่าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยี่ห้อที่เขามีราคาอยู่ที่หลักหมื่น เป็นราคาที่ผมกัดฟันซื้อไม่ได้เพราะมันสูงเกินไป นอกจากนี้ในห้องยังมีเครื่องฟอกอากาศ มีเครื่องพ่นไอน้ำที่ให้กลิ่นหอมวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง นอกจากนี้ยังมีน้ำมันหอมระเหยหลายกลิ่นหลายยี่ห้อวางอยู่ในถาดพลาสติก แล็ปท็อปส่วนตัวของเขาคือแม็คบุ๊ก แถมด้วยไอแพด ไอพอด ไอโฟน เอียร์พอดแยกอีกต่างหาก ผมได้แต่มองของใช้ในห้องของภูแล้วรู้สึกท้อใจยังไงไม่รู้ ความเป็นอยู่ของเรามันคนละชั้น ราวกับเรามาจากคนละโลก คนละสังคมอย่างไรอย่างนั้น ภูไปหาเงินมาจากไหนนะ ในขณะที่เขาเด็กกว่าผมสี่ปีและเพิ่มเริ่มทำงานได้ไม่เท่าไหร่ ทำไมเขาถึงมีของเล่น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพงที่ผมยังไม่มีปัญญาครอบครองเยอะแยะมากมายขนาดนี้

“คุณสองจะอาบน้ำเลยไหมครับ?”

ผมสะดุ้งเมื่อภูออกจากห้องน้ำไม่ให้สุ้มให้เสียง เขาเปลือยท่อนบนเหมือนเดิม สวมกางเกงขายาวตัวเดียวกับเมื่อวาน ผมมองหน้าเขาไม่กี่วินาทีก็ตอบว่าอาบเลย คืนนี้จะได้เข้านอนไวๆเพราะพรุ่งนี้ภูต้องตื่นแต่เช้าเตรียมเฝ้าร้านอีก

“พรุ่งนี้ตื่นมาผมจะเจอคุณสองไหม?” ภูถามแกมหยอกเหมือนไม่คิดอะไร
“เจอสิ ทำไมจะไม่เจอ” ผมตอบเขา แต่ภูก็ไม่ได้แสดงออกว่าโล่งใจเท่าไหร่ “ผมอาบน้ำก่อนนะ”
“นี่เสื้อกับกางเกง และก็บ็อกเซอร์ครับ”
“ขอบคุณ”
“อย่าขโมยบ็อกเซอร์ผมอีกนะ”
“รู้แล้วน่า”

ผมยกมือจะเขกหัวเจ้าโกลเด้นขี้แซวแล้วรีบเข้าไปอาบน้ำ บนเคาน์เตอร์หน้ากระจก มียาสีฟันที่พ่อแถมให้วางอยู่ในแก้วพลาสติก ผมหยิบแปรงของตัวเองจากที่แขวนตุ๊กตาริลัคคุมะ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการทำความสะอาดตัวก็เสร็จเรียบร้อย ผมออกจากห้องน้ำในชุดนอนของภูเป็นคืนที่สอง เปิดประตูออกมาก็เจอภูเกาพุงให้ชานมไปพร้อมกับกดรีโมตทีวี

“หอมมาถึงนี่เลย” ภูพูดขึ้นเมื่อผมเดินผ่านหน้าเขาเพื่อตากผ้าเช็ดตัวนอกระเบียง
“อย่าเว่อร์ ผมก็ใช้สบู่ยี่ห้อเดียวกับคุณนั่นแหละ”

ผมส่ายหน้าเอือมระอาให้ความปากหวานของภูก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นข้างเขา เจ้าชานมเห็นเหยื่อรายใหม่ก็ผละตัวออกจากเจ้าของ เอาหัวมาเกยตักผมอย่างออดอ้อนราวกับขอให้ลูบหัวหน่อย เกาพุงก็ได้ ยังไงก็ได้ แต่ช่วยให้ความสนใจชานมเยอะๆเพราะนมชอบเป็นที่รัก

“คอร์กี้มันอ้วนแบบนี้ทุกตัวเหรอภู?”
“จริงๆก็ประมาณนี้แหละครับ คอร์กี้ไม่ใช่หมาพันธุ์เล็กนะคุณสอง มันแค่เตี้ย”
“น่ารักดี”

ผมยิ้มพลางยีขนฟูนุ่มของชานม ปล่อยภูใช้เวลาไปกับการเลือกสิ่งที่ตัวเองอยากดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองเขาเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบแปลกๆ เมื่อเราสบตากัน ผมถึงรู้ว่าภูจ้องอยู่ก่อนแล้ว เขามองผมราวกับมีเรื่องมากมายให้คิดด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าที่ควร

“แก้มคุณสองช้ำน่ากลัวมาก”
“อืม ช่างมันเถอะ”
“ตกลงคุณสองไปแจ้งความหรือยังครับ?”
“ยัง”

ผมตอบและบอกภูว่าคงไม่แจ้งแล้ว เจ้าโกลเด้นไม่สบายใจที่จู่ๆสิปปกรก็ปล่อยให้ไอ้ปั๊ปต่อยฟรีโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ผมจึงต้องเบรกเขาไว้ด้วยการบอกว่าถ้าแจ้งความให้ไอ้ปั๊ปมาเคลียร์ที่สถานีตำรวจ ภูอาจจะโดนข้อหาหนักกว่าที่มันโดนก็ได้นะ เพราะภูซ้อมไอ้เหี้ยปั๊ปจนเลือดกบปากขนาดนั้น หนักกว่ามันที่ต่อยผมจนแก้มช้ำเป็นไหนๆ

“แล้วยังไงล่ะ ผมทำเพื่อปกป้องคุณสอง ปกป้องพี่น้ำ ปกป้องเปเปอร์ไง” ภูขมวดคิ้วไม่พอใจที่ผมถอดใจง่ายๆ “พรุ่งนี้ไปแจ้งความนะ ต่อให้ผมอาจจะโดนหางเลขก็ช่างมันเถอะ”
“ปล่อยให้เรื่องเงียบไม่ได้เหรอภู?”
“ไม่ได้หรอก มันทำคุณสองเจ็บขนาดนี้จะให้ปล่อยผ่านได้ไง”

ผมซึ้งในน้ำใจของภูยังไงไม่รู้ แต่พูดก็พูดเถอะ ผมขี้เกียจไปเดินเรื่องให้ยุ่งยาก ไหนจะต้องไปโรงพยาบาล ต้องไปสถานีตำรวจ ต้องเจอไอ้เหี้ยปั๊ปวันไกล่เกลี่ยอีก มันเยอะจนผมไม่อยากยุ่งอะไรด้วยแล้ว อยากให้มันจบตรงนี้ ถ้าไม่ติดว่าเราเองก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังสำหรับเลี้ยงเปเปอร์ให้มีอนาคตดีๆ ไอ้เรื่องฟ้องหย่าเรียกค่าเลี้ยงดูก็คงไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน

“ผมพาไปก็ได้นะ ถ้าคุณสองไม่สะดวกเดินทาง”
“อย่าเลยภู คุณทำงานเถอะ เดี๋ยวผมไปเอง” ผมบอกแต่ภูไม่ค่อยเชื่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าโกลเด้นไม่เชื่อถือคำพูดของผม นี่เรารู้จักกันนานขนาดนั้นแล้วเหรอ “โอเค ผมจะไปแจ้งความ เดี๋ยวถ่ายรูปมาให้คุณดูด้วย ตกลงไหม?”
“ผมไปด้วย”
“ว่างมากเหรอ?”
“ครับ ว่างทั้งนั้นแหละ อะไรที่เกี่ยวกับคุณสองน่ะ”

ผมไปต่อไม่ถูกอีกครั้งด้วยคำพูดของเขา เป็นอีกครั้งที่ภูทำให้ผมคิดว่าตัวเองสำคัญ เป็นใครซักคนที่เขาห่วงจนเสนอตัวดูแลและให้ความช่วยเหลือซึ่งผมเองก็เคยได้รับความรู้สึกนี้จากคนใกล้ตัวบ้าง ไม่ว่าจะจากพ่อแม่ น้ำหนึ่ง หรือจากติณ แต่ภูกำลังทำให้มันพิเศษกว่าด้วยการใส่ใจ เขาไม่ได้กังวลแค่เรื่องแก้มช้ำๆของผม แต่ยังถามถึงคดีความของน้ำหนึ่งอีกด้วย

“ผมมีเพื่อนเป็นทนาย ถ้าคุณสองไม่ไหวหรือไม่รู้จะติดต่อใคร บอกผมได้นะ”
“คุณดีกับผมเกินไปแล้วภู”
“ถ้าคุณสองคิดว่าผมดี แล้วเมื่อไหร่คุณสองจะเปิดใจล่ะครับ?” ภูถามยิ้มๆ ส่วนผมยิ้มไม่ออก ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรเพราะไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกัน
“ดูหนังกันเถอะ”

ผมตัดบทเอาดื้อๆและลุกขึ้นไปนอนบนเตียง ภูดูงุนงงแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาต้อนชานมเข้าคอกก่อนจะเดินไปเปิดเครื่องทำความชื้นข้างหัวเตียง กลิ่นพีชหอมอ่อนๆชวนผ่อนคลายทำให้บรรยากาศน่าพักผ่อนเพิ่มขึ้นมาอีกร้อยเท่า ผมไม่เคยรู้สึกสบายขนาดนี้มาก่อนเลย ที่นอนของภูทั้งนุ่มและแน่น แอร์เย็นเฉียบไม่ได้ทำให้หนาวจนตัวสั่นเพราะผ้านวมผืนหน้าให้ความอบอุ่นได้ดีเยี่ยม ผมทิ้งน้ำหนักลงบนหมอน รู้สึกล่องลอยราวกับอยู่ในโรงแรมห้าดาวผิดกับห้องนอนในร้านกู้ด รี้ดดิ้ง มันสบายจนเกือบเคลิ้มหลับ ถ้าไม่ติดว่ารับปากจะดูหนังกับเขา ผมคงหลับคาเตียงโดยไม่สนใจอะไรไปแล้ว

อนิเมะที่ภูเปิดก่อนนอนคืนนี้ชื่อว่า Spirited Away ภูพูดย้ำนักหนาว่าสนุกอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนผมก็ได้แต่ปรือตามองจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ตรงปลายเตียง เรื่องนี้สนุกว่าแม่มดกิกิอย่างที่ภูว่า จากตอนแรกที่ง่วงๆก็ตาสว่างเพราะการผจญภัยของจิฮิโระมันชวนตื่นเต้นมากกว่า ภูบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังรางวัล เป็นหนังที่เขาชอบมากๆถึงขนาดมีฟิกเกอร์ผีไร้หน้าเป็นสิบตัวในตู้โชว์

“ผมเชื่อแล้วว่าคุณชอบ ผมเห็นผีไร้หน้าเยอะพอๆกับโตโตโร่”
“โตโตโร่ผมซื้อเพราะมันน่ารัก แต่เนื้อเรื่องไม่สนุกขนาดนั้นหรอก ออกจะน่าเบื่อนิดหน่อยสำหรับผมนะ” ภูพูดขณะที่ตายังมองโทรทัศน์ “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมาก”
“เรื่องอะไรเหรอ?”
“Howl's Moving Castle” ภูตอบ “เสียดายที่ฉบับแปลหมดเกลี้ยงแล้ว”
“ของสำนักพิมพ์มติชนใช่ไหม?”
“คุณสองรู้จักเหรอครับ? ที่ร้านพี่ติณมีขายไหม?”
“เคยมี แต่ขายหมดไปพักใหญ่แล้วล่ะ” ผมหาวออกมาหวอดใหญ่ “คุณก็ซื้อฉบับอิ๊งมาอ่านสิ ที่คิโนะคูนิยะยังมีขายอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษขนาดจะอ่านนิยายได้น่ะสิครับ”

ผมมองภู มองสีหน้าเสียดายของเขาด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าโกลเด้นยังบ่นต่อไปว่าเขาชอบเรื่องนั้นมาก ชอบมากๆ มีคนรีวิวว่าในหนังสือไม่เหมือนกับอนิเมะ ภูอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง มันสนุกกว่าที่เคยดูไหม ภูอยากจะรู้จริงๆแต่คงไม่มีโอกาสเพราะเขาไม่เก่งภาษาอังกฤษถึงขนาดจะแปลได้ทั้งเล่ม

“เดี๋ยวแปลให้ เอาไหมล่ะ?”
“ได้เหรอครับ?”
“ได้สิ” เจ้าโกลเด้นกระดิกหากดีใจยกใหญ่ แต่ผมก็เบรกความดีใจของเขาด้วยการอธิบายเพิ่มเติมว่า “ผมไม่แปลออกมาเป็นหน้าๆให้คุณหรอกนะ ผมจะอ่านแล้วแปลเลย คุณต้องมีเวลาฟังด้วย ตกลงไหมล่ะ?”
“ตกลงอยู่แล้ว ทำไมจะไม่ตกลงล่ะครับ”
“คุณชอบเรื่องนั้นมากเลยหรือไง?”
“ชอบก็ส่วนนึง แต่ที่ดีใจคือผมจะได้มีโอกาสอยู่กับคุณสองมากกว่านี้ต่างหาก” ภูเฉลยคำตอบที่ผมคาดไม่ถึง “เพราะถ้าคุณสองต้องอ่านและแปลให้ฟัง เท่ากับว่าเราก็จะได้อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น คุณสองจะมาค้างห้องผมถี่ขึ้นใช่ไหมครับ?”
“ไม่รับปากนะ บางวันผมก็ต้องช่วยติณดูร้าน” ผมตอบตามตรง “อีกอย่างนะ ผมสงสัยจริงๆว่าทำไมคุณถึงดีใจนักหนาเวลาผมมาค้างที่นี่ คนส่วนใหญ่เขาไม่ชอบหรอกนะเวลาแขกมานอนเบียดบนเตียง นี่ผมทั้งเอาเสื้อผ้าคุณมาใส่ เอาบ็อกเซอร์กลับไปซัก ผมเอาเปรียบคุณขนาดนี้ คุณยังจะต้อนรับให้ผมมาบ่อยๆอีกเหรอ?”
“ไม่เห็นแปลกเลย มันคือความชอบที่ผมมีให้คุณสองไง”
“ตาบอดนะคุณน่ะ”
“ตาถึงล่ะสิไม่ว่า” ภูย่นจมูกเมื่อผมดูถูกรสนิยมของเขา “คุณสองน่ะมีเสน่ห์มากๆเลยรู้ตัวไหม ยิ่งคุณสองใส่แว่นด้วย ผมยิ่งชอบ”
“ชอบคนใส่แว่นเหรอ?”
“ใช่” เจ้าโกลเด้นพยักหน้ารับ “ผมน่ะ ชอบคุณสองจริงๆนะ”
“ชอบผมแล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
“จะจีบให้ติด แล้วก็คบกัน”
“เราคบกันแล้วได้อะไรเหรอภู คุณจะมีความสุขขึ้นหรือไง?” ผมถามตามตรง
“แน่นอนสิครับ” ภูตอบ “ไม่ใช่แค่ผมนะที่จะมีความสุข คุณสองเองก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกัน”
“แต่ผม --” ผมอ้ำอึ้ง อยากพูดว่าเข็ดขยาดกับความรัก แต่จู่ๆก็กลัวว่าหากพูดแบบนั้นออกไป ภูคงเสียใจน่าดู “แต่ผมไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะ”
“ผมก็ไม่ใช่คนดี”

ภูตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง เขามองมาที่ผมด้วยแววตาหลากหลายความหมาย มันเป็นประกายวิบวับเหมือนเด็กไร้เดียงสาต่อความรัก เด็กที่ไม่คาดหวังสิ่งอื่นใดนอกจากการตอบรับของคนที่ตัวเองชอบ

“ผมไม่เป็นสลิ่มด้วยนะ”

ผมหลุดหัวเราะก๊าก ไอ้หมาบ้า พูดออกมาในบรรยากาศแบบนี้ได้ยังไง มันขัดมู้ดแอนด์โทนของการบอกชอบนะรู้ไหมเนี่ย

“คุณสองให้โอกาสผมนะ ผมจะดูแลคุณอย่างดี ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจเหมือนคนอื่นที่ผ่านมา”

ภูให้สัญญาและปล่อยให้บรรยากาศนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ หัวใจของผมเต้นโครมครามแทบไม่เป็นจังหวะเพราะรู้สึกว่าการบอกชอบครั้งนี้มันจริงจังที่สุดตั้งแต่เราคุยกันมา ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่อยากเชื่อว่าจะมีผู้ชายดีๆแบบภูเข้ามาในชีวิต ไม่อยากเชื่อว่าจะได้พบกับคนที่บอกว่าชอบผม ชอบใบหน้าแป้นๆของผม ชอบที่ผมสวมแว่นหนาเตอะเหมือนเด็กเนิร์ดและเอาแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ทั้งวี่ทั้ง ชอบผม – แม้ว่าครอบครัวผมจะฐานะไม่ค่อยดีและมีแต่เรื่อง ทุกอย่างมันดูเหลือเชื่อเหมือนฝัน เหมือนความฝันเมื่อคืนไม่มีผิด เหมือนตอนที่เขากระซิบบอกว่าชอบผมและหลังจากนั้นก็ค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้ ใช้แววตาแสนหวานในการทำให้ผมหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ริมฝีปากเราจะค่อยๆแตะกัน หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความฝัน

ผมกับภูจูบกันจริงๆ

คนเราถ้าไม่รู้สึกดีต่อกันก็คงไม่จูบกันหรอก ผมเชื่อแบบนี้เสมอจนกระทั่งยอมให้ภูได้ครอบครองริมฝีปากที่ไม่เคยมอบให้ใครนอกจากชวินทร์ จูบของภูทำให้ผมนึกถึงความเป็นเด็กซื่อและไร้เดียงสา เขาจูบไม่เป็น ราวกับห่างเหินการจูบมาเนิ่นนานอย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดเมื่อถึงจุดที่เราต้องผละตัวออก ผมบอกภูว่าการจูบแบบนี้ทำให้ผมเจ็บ เขาต้องดูดริมฝีปากเบาๆ ไม่ใช่ขบเม้ม อย่าออกแรงมากจนเกินไปแต่ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติ

“ผมใช้ลิ้นได้ไหม?”
“ได้สิ” ผมตอบพลางถอดแว่นสายตาออก แม้จะรู้สึกกระดากอายแปลกๆแต่ความต้องการที่จะลิ้มลองภูมีมากกว่า “มานี่สิ เดี๋ยวผมจูบคุณ แล้วคุณลองทำตามนะ”

ผมน่าจะหยุดตัวเองตั้งแต่ตรงนั้น น่าจะคิดได้ว่าการจูบกันสามารถนำพาไปถึงเซ็กส์ที่ไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน เพราะผมมัวแต่ลุ่มหลงในตัวภู มัวแต่รู้สึกดียามที่เราดูดดึงกันอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบากว่าก่อนหน้า ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายขึ้นคร่อมภูก่อน สองมือไล้สัมผัสไปทั่วหน้าอกเขาของด้วยความหลงใหลเหมือนในความฝัน ผมเพิ่งรู้ตัวว่าชอบภูมาก ชอบร่างกายของเขา ชอบหุ่นและผิวของเขาจนหยุดลูบไม่ได้ สิ่งหนึ่งในตัวเราทั้งคู่ได้ถูกจุดขึ้นมาแล้ว และมันจะดำเนินต่อไปไม่หยุดจนกว่าจะเราจะเสร็จสม ดังนั้นหลังใช้ปลายนิ้วหยอกล้อหน้าอกกับภูจนเขาเริ่มเปล่งเสียงแห่งความรู้สึกดี ภูก็พลิกตัวผมกลับมาอยู่ด้านล่างและขออนุญาตถอดเสื้อ

“ไม่ต้องขอหรอก”

ผมพูดพลางถอดทุกอย่างจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ หมดซึ่งความยับยั้งชั่งใจ ชั่วโมงนั้นเราทั้งคู่ไม่มีใครห้ามใจตัวเองซักคน ผมไม่ได้คิดว่ามันจะเลยเถิดจนถึงขนาดสอดใส่เพราะไม่ได้เตรียมตัวมา ภูเองก็ไม่มีเจลหล่อลื่นและถุงยาง ดังนั้นเซ็กส์ครั้งแรกของเราจึงจบลงที่จูบและการใช้มือช่วยเท่านั้น

ผมไม่สามารถบรรยายอะไรได้มากนักเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมือนฝันไปเหล่านั้น ครั้งแรกของเขาเป็นเพียงการสัมผัสภายนอก ผมใช้มือช่วยภู ในขณะที่เขาก็จูบผมไปพร้อมกับล้วงมือเข้ามาในบ็อกเซอร์ เราต่างรูดดึงให้กันและกันตามอารมณ์ที่พุ่งทะยาน ผมพรมจูบไปทั่วลำคอของภู สูดเอากลิ่นหอมของครีมอาบน้ำเข้าเต็มปอดด้วยความหลงใหล ตอนแรกอะไรๆก็ดูเคลิบเคลิ้มชวนฝันจนกระทั่งภูเริ่มใช้ริมฝีปากดูดผิวของผม เริ่มใช้ฟัน เริ่มออกแรงบีบตามเนื้อตัวของผมแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นผมถึงเริ่มสงสัยว่า –

ภูเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงตอนมีเซ็กส์หรือเปล่า?

เพราะการดูดดึงของเขาต่างจากของผมที่แค่พรมจูบอย่างนุ่มนวลสลับกับใช้ลิ้น ภูดูดคอของผมด้วยความรุนแรงเหมือนจูบกันในทีแรก เขาดูดดึงด้วยปลายลิ้นและใช้ฟันขบเม้มจนเป็นรอย มือซ้ายที่เคยปรนเปรอให้ผมถูกยกขึ้นมาบีบข้อมือ ภูบีบแรงจนผมเจ็บ เจ็บเหมือนเนื้อจะแหลกคามือของเขายามที่ภูออกแรงมากขึ้น ผมเริ่มสังเกตว่ายิ่งเขารู้สึกดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งส่งต่อความรู้สึกนั้นเป็นความรุนแรง จุดหนึ่งที่เริ่มทนไม่ไหวกับความเจ็บทางกายภาพ ผมจึงสะบัดหน้าออกจากจูบของเขาและบอกว่า

“ผมเจ็บ!”

ภูชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของผม เขาดูอึ้ง ตกใจปนสับสนราวกับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ภูค่อยๆมองมือของตัวเองที่บีบรัดข้อมือของผมแน่น รอยเจ็บตรงคอยังคงปวดตุบเพราะแรงดูดที่ภูทิ้งเอาไว้ ผมหอบหายใจและมองหน้าเขา มองภูที่สติหลุดไปแล้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆใช้สองมือประคองแก้มของภูเอาไว้

“ทำเบาๆ โอเคไหม?”
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าคุณตื่นเต้น” ผมลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของเขา “ทำเบาๆนะ ผมเจ็บ ผมเจ็บจริงๆ อย่าดูดคอผมเลย”
“ขอโทษครับ” ภูเสียงสั่นดูขลาดกลัว “ผมทำคุณสองเจ็บมากไหม?”
“ไม่” ผมปลอบใจและดึงหน้าภูเข้ามาจูบอีกครั้ง “ทำต่อให้เสร็จเถอะ”

แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ภูก็ยังลังเล ไม่กล้าแตะตัวผมอีก

“มาเถอะ ผมจะเสร็จแล้ว คุณก็จะเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่”
“มาเถอะ เร็วเข้า” ผมเร่งเร้า “ไม่ต้องคิดมาก มันไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก”

ผมเอ่ยปากร้องขอ ภูค่อยๆกลับมามีสติและเราเริ่มมีเซ็กส์กันใหม่อีกครั้ง คราวนี้ภูนุ่มนวลมากขึ้น เขาอ่อนโยน แต่แววตากลับไม่ลุ่มหลงเมื่อช่วงแรกที่ทำให้ผมเจ็บตัว มันเกือบพังแล้ว ตอนแรกภูจะหยุดแล้ว แต่ผมก็โน้มน้าวให้เขากลับมาใหม่ด้วยการใช้ลิ้นหยอกล้อหน้าอกของเขา เราผลัดกันใช้มือจนผมใกล้ถึงฝั่งฝันเต็มที ภูแข็งตัวเต็มที่ เขาเริ่มเบ้หน้า ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนคนเป็นภูมิแพ้ เมื่อถึงจุดหนึ่งของอารมณ์ ภูเสร็จก่อนผมไม่กี่วินาที หลังจากนั้นก็ถึงคราวของผมบ้าง เรานอนกอดกันอยู่บนเตียงโดยที่มือต่างเปื้อนของเหลวจากอีกฝ่าย ภูหอบหนักมากจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาหอบแต่ก็ยังพรมจูบบนหน้าผากของผม

“ภูไม่ได้ตั้งใจทำสองเจ็บ ภูชอบสองจริงๆ” ภูพูดด้วยน้ำเสียงขาดห้วง สรรนามที่เราใช้แทนกันเริ่มเปลี่ยนไป “สองเกลียดภูไหม?”
“ไม่หรอก คิดมาก” ผมตอบทั้งๆที่ยังเหนื่อยไม่แพ้กัน “ผมไม่เกลียดคุณแค่เพราะคุณดูดคอผมหรอกนะ”

เรานอนหอบกันในสภาพที่ภูขึ้นคร่อมผม เขาซบหน้าลงบนซอกคอและไม่พูดอะไรอีกนอกจากหอบอยู่อีกพักใหญ่ ภูใช้เวลานานจึงจะกลับมาหายในเป็นปกติ เขาค่อยๆปล่อยมือจากส่วนนั้นของผมและเอี้ยวตัวเปิดลิ้นชักข้างเตียง หยิบเอาทิชชู่เปียกออกมาเช็ดทำความสะอาดมือของตัวเองและมือของผมที่ยังคงนอนหลับตาอยู่ข้างๆ

“ล้างตัวไหมครับ?”
“คุณล้างก่อนเลย เดี๋ยวผมจัดการเอง”

ผมบอกเหมือนไม่ใส่ใจ ไม่ได้มองตาเขา ไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนกระทั่งภูปิดประตูห้องน้ำ เสียงฝักบัวห่าใหญ่ดังขึ้นเมื่อเจ้าของห้องอาบน้ำใหม่อีกครั้ง แต่นั่นไม่สำคัญเท่าความสับสนและกังวลใจของผมในตอนนี้

เรามีเซ็กส์กันแล้ว
เราต่างเอาตัวเองไปผูกมัดอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว

ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปคือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่เพราะผมไม่ใช่พวกที่แยกแยะเซ็กส์กับความรู้สึกออกจากกันได้ ผมพยายามเรียกมันว่าการเผลอตัวเผลอใจไปกับบรรยากาศแต่ก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่ ผมคงรู้สึกชอบภูเหมือนกัน ผมคงแอบปลื้มเขามากถึงได้ตะกละตะกลามกับร่างกายของเขาขนาดนั้น นี่ไม่ใช่นิสัยผมเลย ผมจะไม่มีอะไรกับคนที่ไม่ใช่แฟน แต่พอเป็นภู ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างง่ายดายและจบอย่างเรียบง่ายจนอดกังวลไม่ได้ว่าหากมีครั้งแรกแล้ว ครั้งที่สองและสามต้องตามมาแน่ๆ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น –

สถานะของเราจะเป็นอะไรกันนะ?

ผมครุ่นคิดกับตัวเองจนกระทั่งภูออกจากห้องน้ำ เขาอาบน้ำใหม่จริงๆด้วย เจ้าโกลเด้นภูที่โคตรเซ็กซี่ยืนเช็ดผมด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก ทันทีที่เปิดประตูออกมาเขาก็ถามว่าจะอาบน้ำใหม่ไหม ผมตอบไปว่าอาบสิ และเดินหนีเขาเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ

ให้ตายเถอะ – อยากต่อยหน้าตัวเองชะมัด

มันคงไม่เป็นไรเลยถ้าไม่เผลอตัวเผลอใจขนาดนั้น อย่างน้อยถ้าเรายังไม่มีอะไรกันก็ยังพอมีเส้นคั่นบางๆไม่ให้เลยเถิดไกลกว่านี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ผมคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับมัน ดังนั้นหลังแสร้งทำเป็นอาบน้ำนานเกือบสิบนาที ผมก็เปิดประตูออกไป ภูยังคงนั่งอยู่ปลายเตียง มองมาที่ผมด้วยแววตารู้สึกผิดมากกว่าจะเคอะเขินดีใจที่เรามีอะไรกัน ผมเดินไปหาเขาและถามว่าทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้น เสียใจที่เรามีอะไรกันเหรอ

“เปล่าหรอกครับ” ภูตอบก่อนจะมองคอของผม “ผมทำสันดานไม่ดีอีกแล้ว”
“คุณหมายถึงนี่เหรอ?” ผมชูข้อมือที่มีรอยแดงของนิ้วภูชัดเจน “ช่างมันเถอะ ไม่เจ็บเท่าไหร่”
“แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี”
“จะคิดมากทำไม? เรามีความสุขด้วยกันทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ?” ผมเชยคางเจ้าโกลเด้นให้สบตากัน ภูยังคงเศร้าแปลกๆ ทำไมเขาถึงจริงจังกับเรื่องนี้มากจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันเป็นปัญหาอะไร “หรือคุณไม่ชอบ?”
“ชอบครับ อยากทำอีก”
“พอ!” ผมเขกหัวเขา “นอนเถอะ คุณต้องทำงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?”

ผมถามพลางเดินกลับไปประจำที่ตัวเอง รู้สึกเพลียชอบกลเมื่อได้ล้มตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆที่มีผ้านวมอุ่นๆคอยโอบกอดอีกชั้น อนิเมชั่นจิบลิคืนนี้ถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย เราทั้งคู่ไม่มีใครสนใจฟังชื่อจริงของฮาคุเลยซักนิด ภูกับผมต่างนอนเงียบกันคนละฝั่งของเตียง ภูเงียบเพราะอะไรไม่รู้ แต่ผมเงียบเพราะกังวล กลัวว่าจะตกหลุมรักภูมากกว่าไปนี้

“พรุ่งนี้ตื่นมาผมจะเจอคุณสองไหม?”
“คุณกังวลเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ?”

ผมหัวเราะขำและหันไปมองหน้าเขา เจ้าโกลเด้นไม่ได้ล้อเล่นเหมือนคราวก่อนอีกแล้ว เขามองผมด้วยสายตาจริงจังราวกับอยากได้คำสัญญาว่าพรุ่งนี้ผมจะตื่นนอนพร้อมเขา จะไม่หนีกลับก่อนเหมือนที่ทำมาตลอดสองครั้ง

“พรุ่งนี้ผมจะอยู่กินข้าวเช้ากับคุณด้วย พอใจหรือยัง?”

ภูยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ เขาบอกว่าจะสั่งนั่นสั่งนี่มาให้กินแต่ผมไม่ค่อยสนใจ ผมปล่อยให้ภูพูดต่อไปจนกระทั่งผล็อยหลับโดยไม่รู้ตัว คืนที่สามของการนอนบ้านภู ผมไม่ได้ฝันถึงเรื่องอย่างว่าอีกแล้ว แต่ผมฝันว่าได้ย้อนกลับไปในงานแต่งงานของชวินทร์ และในความฝันนั้น ผมเห็นภูยืนยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลกๆเหมือนคนโรคจิต แต่มันก็แค่ความฝัน เพราะตื่นขึ้นมา ผมยังเห็นภูเป็นเจ้าโกลเด้นแสนซื่อเหมือนเดิม



TBC

________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะวันจันทร์หรรษา หลังจากเบี้ยวอยู่หลายครั้งในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอกับทุกคนอีกแล้วนะคะ หวังว่าพวกคุณจะมีความสุขและสนุกกับนิยายเรื่องนี้ ขอขอบพระคุณทุกการสนับสนุน กำลังใจ และความรักทุกรูปแบบที่มอบให้นะคะ เงินโดเนททุกบาททุกสตางค์ ถูกนำไปซื้อนมสดบราวน์ชูก้าร์เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามกันเสมอ ขอให้เป็นสัปดาห์ที่ดีของทุกคนเลยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 19:06:43 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
โอ้โห ระแวงค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

สองจะไม่ต้องเจอความบัดซบในรูปของความรุนแรงอีกใช่ไหม

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ฝันแต่ละอย่างของสอง ไม่ต้องเป็นจริงก็ได้นะ

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดราม่าต่อไปมั้ยนิ

ออฟไลน์ kapook743

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบความภูในโหมดแบบรุนแรง(เอะเราคิดแบบนี้นี่โรคจิตหรือเปล่า

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
9 [PART 1/2]

9

ช่วงนี้ผมเจ็บคอ เจ็บและไอแห้งเหมือนมีเสมหะ แต่อาการไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นหวัดหรือป่วยหนักเหมือนช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาด

ผมตื่นนอนบนเตียงของตัวเองในอีกหลายวันถัดมาหลังจากมีอะไรกับภู เชื่อไหมว่าผมไม่เคยลืมเลย ไม่เคยลืมสัมผัส หรือริมฝีปากของเขาที่ได้ลิ้มลองอีกหลายครั้งนับจากวันนั้น ภูเป็นเหมือนของหวานหลังอาหารหลัก เพื่อความปลอดภัยของหัวใจ ผมจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับเขาไม่ให้เราได้ล้ำเส้นไปไกลกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกันผมก็คิดถึงเขา และอยากใช้เวลากับเขาทุกวันทว่าต้องหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ ผมไม่อยากรักภู ไม่อยากให้ชีวิตตัวเองยุ่งเกี่ยวกับสิ่งยึดเหนี่ยวใดๆอีกเพราะครอบครัวของผมก็วุ่นวายชิบหายแล้ว

[สอง ไอ้ปั๊ปมันขอไกล่เกลี่ย] พ่อโทรหาผมตั้งแต่เช้าเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ [แม่กับน้ำหนึ่งคิดว่าไปต่อรองกันก่อน ถ้ามันทุเรศหรือไม่ไหวจริงๆถึงจะจ้างทนาย สองว่ายังไง?]
“สองไม่ให้คุยกับมัน ไปคุยกันที่ศาล อยากคุยดีๆอะไรตอนนี้”
[พ่อก็คิดเหมือนกัน] พ่อตอบด้วยน้ำเสียงดีใจที่เรามีความเห็นตรงกัน [เรื่องเงินน่ะ --]
“เดี๋ยวสองโอนให้”
[ไม่ใช่ พ่อจะบอกว่าเดี๋ยวพ่อจ่ายเอง]
“ไปหาเงินจากไหน? ขับแกร๊บอีกล่ะสิ?” พ่อนิ่งเงียบไปนานจนผมถอนหายใจ “จะขับทำไม? สองพูดกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปให้เหนื่อย ขับรถวนในกรุงเทพทั้งวันสนุกเหรอ?”
[ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ แบมือขอเงินลูกใช้ทุกเดือน]
“สองก็ส่งให้พ่อตั้งแต่เรียนจบอยู่แล้ว ส่งต่อไปเรื่อยๆมันจะเป็นไร ถามจริงเถอะ พ่อเงินเดือนเท่าไหร่กันแน่? แก่จนใกล้จะเกษียณแล้วสองยังไม่รู้เงินเดือนของพ่อเลยนะว่าได้เท่าไหร่?”

คราวนี้พ่อนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ผมนึกสงสัยจริงๆว่าเงินเดือนของพ่อแม่ทำไมถึงเป็นความลับสำหรับลูก มีอยู่เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่ยอมบอกกัน คงกลัวว่าถ้าผมรู้ตัวเลขแล้วจะสงสัยว่าทำไมบ้านเราถึงไม่พอใช้ ทำยังไงๆก็ไม่ค่อยจะมีเงินเหลือสำหรับซื้อของทางใจ แม้แต่เครื่องฟอกอากาศในห้องเปเปอร์ ผมยังต้องเป็นคนซื้อให้หลาน ส่วนตัวเองยังไม่มีใช้เลย

[แล้วจะมาบ้านอีกเมื่อไหร่?]
“คงไม่ไปเร็วๆนี้ สองไม่ว่าง” ผมถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นอีเมลจากพี่ดาว “แค่นี้ก่อนนะพ่อ สองต้องทำงาน”
[ดูแลตัวเองด้วยนะ พ่อดูในแอปเมื่อเช้า นนทบุรีค่าฝุ่นเยอะมาก]

อ้อ – ผมรู้แล้วล่ะว่าทำไมถึงเจ็บคอ

“ไม่ต้องห่วงสอง ห่วงตัวเองเถอะ ทำงานใกล้เครื่องจักรมลพิษเยอะกว่านั่งในร้านหนังสืออีก”
[ซื้อเครื่องฟอกอากาศไว้ในห้องตัวเองบ้าง]
“คำสั่งเหรอ?”
[ใช่] พ่อบอก [รักสุขภาพตัวเองบ้างนะสอง บุหรี่ก็ให้มันน้อยๆหน่อย พ่อปีนี้พ่อสูบไม่ถึงสามร้อยมวนแล้วนะ]
“เก่งครับ เก่งมาก” ผมแกล้งประชดและหัวเราะ จากเมื่อก่อนที่ทำสถิติเล่นๆว่าเราสองคนใครสูบบุหรี่มากกว่า ตอนนี้กลายเป็นว่าพ่อบลัฟผมเรื่องสูบน้อยลงแล้ว “พ่อควรเลิกตั้งนานแล้ว ให้สองสูบคนเดียวพอ”
[เดี๋ยวก็เป็นมะเร็งตายหรอก]
“เออ ตายๆไปเถอะ ถึงไม่ตายเพราะมะเร็งก็ต้องตายเพราะอย่างอื่นอยู่แล้ว เรามันมีเงินสำรองฉุกเฉินกันซะที่ไหน เกิดใครเป็นอะไรขึ้นมาซักคนได้ล้มกันหมดบ้าน”
[เอ๊ะ! ไอ้นี่! คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง กูไม่คุยกับมึงแล้ว เสียสุขภาพจิต]

พ่อตัดสายด้วยความโมโห จบกันบทสนทนาพ่อลูกผูกพันแต่ผมไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ปกติบ้านเราเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ผมเป็นคนปากไม่ดี พูดจาไม่ค่อยเข้าหู คุยได้นิดหน่อยก็ต้องวางสายประจำ ดังนั้นการถูกพ่อตัดสายจึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ผมไม่สนใจว่าพ่อจะโกรธแค่เพราะพูดว่ายังไงเราก็ต้องตายอยู่ดี มันคือสัจธรรมและความจริงบนโลกใบนี้ไม่ใช่หรือไง

หลังวางสายจากพ่อได้ไม่นาน ผมก็ต้องหอบหิ้วตัวเองลงไปทำงานชั้นล่างของกู้ด รี้ดดิ้ง บริเวณโซนขายหนังสือมีเครื่องฟอกอากาศตัวใหญ่ประมาณสองตัว ติณณภพซื้อมาใช้เพื่อคุณภาพชีวิตของลูกค้าและพนักงาน รวมถึงเพื่อนกาฝากที่นับวันไม่ค่อยจะอยู่เฝ้าร้านอย่างผมด้วย ดังนั้นหากอยากมีอากาศดีๆที่พอหายใจหายคอได้เต็มปอดในยุคที่รัฐบาลเมินเฉยกับสุขภาพของประชาชน ผมก็จำเป็นต้องนั่งทำงานข้างล่างทั้งวัน

“ตื่นสายเหรอทำไมเพิ่งลงมา?”

ติณเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเดินกระเซอะกระเซิงหอบแล็ปท็อปเต็มสองแขน พอวางของบนโต๊ะตัวใหญ่เรียบร้อยก็ถอนหายใจ และบ่นให้เพื่อนฟังว่าหายใจไม่ออก

“กลางคืนร้านปิดก็ยกขึ้นไปใช้ซักตัวสิ”
“เครื่องใหญ่เท่าควาย กูจะยกขึ้นยกลงยังไงไหว” ผมบ่นอีกแต่ก็คิดว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปคงได้ทำตามที่ติณว่าแน่ๆ
“ช่วงนี้ไม่เห็นหน้าเลยนะ”
“มีธุระข้างนอก” ผมตอบโดยไม่มองตาเพื่อน “ไปคุยกับพี่ดาวบ้าง เดินเล่นบ้าง มึงก็รู้ว่ากูชอบเดินร้านหนังสือ”
“แล้วที่นั่งอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ร้านหนังสือหรือไง?” ติณถามย้อนก่อนจะวางไอแพดลงบนโต๊ะ “มึงจะไปไหนกูไม่ว่านะ แต่ขอร้องช่วยกลับมาค้างที่ร้านด้วย”
“เออน่า ร้านนี้ก็เหมือนบ้านกูนั่นแหละ ไม่ค้างที่ร้านจะให้ไปค้างที่ไหน”

ผมพูดลอยๆ  แล้วก็คิดถึงภูขึ้นมาอีกครั้ง ผมไม่จำเป็นต้องแบกเครื่องฟอกอากาศขึ้นลงเลยหากไปค้างที่ห้องของเขา ผมแทบไม่ต้องเตรียมอะไรซักอย่างแม้กระทั่งชุดนอนเพราะภูจัดหาไว้ให้เสมอ หรือช่วงนี้ผมจะแอบหนีไปนอนบ้านภูตามคำรบเร้าดีนะ เขาเอาแต่บ่นว่าอยากให้ไปหาบ่อยๆ แต่ก็แอบกลัวว่าหากอยู่กับเขาสองต่อสองจนชินจะยิ่งเป็นอันตรายกับหัวใจตัวเองเหมือนกัน

“สอง”
“หืม?”
“มึงมีความรักเหรอ?”
“ไม่มี” ผมตอบเสียงเรียบก่อนจะมองหน้าเพื่อน แสร้งทำเป็นพิมพ์อะไรยุ่งๆในเวิร์ดนิดหน่อยทั้งๆที่รู้สึกว่าตัวเองเก็บอาการได้ไม่เต็มที่ “ถามทำไม?”
“เด็กในร้านมันลือกันว่ามีคนตามจีบมึง”
“ใครมันจะโง่มาจีบกู”
“หึ” ติณแค่นหัวเราะและจ้องผม “มึงจะรักใครชอบใครกูไม่ว่า แต่รักตัวเองให้มากๆ อย่าทุ่มหมดหน้าตัก อย่ารักใครจนหน้ามืดตามัวอีกนะ”
“เออน่า กูไม่ใช่เด็กไม่ประสีประสาเหมือนตอนนั้นซะหน่อย”
“จะเด็กไม่เด็กมันไม่เกี่ยวหรอก ความรักทำคนเจ็บเจียนตายมาแล้วตั้งกี่คน”
“คมมาก”
“กูพูดจริงๆนะสอง” น้ำเสียงของติณขึงขัง ไม่มีท่าทีล้อเล่นเหมือนก่อนหน้าอีก “จำคำกูไว้นะ ถ้าคนที่คุยอยู่ตอนนี้ทำมึงเสียใจครั้งเดียวจะลองให้อภัยมันก่อนก็ได้ แต่ถ้ามีครั้งที่สอง มึงต้องเริ่มคิดแล้วว่ามึงสมควรเจอเรื่องแบบนี้ไหม แต่ถ้ามีครั้งที่สาม --”
“กูจะเลิกกับมันโดยที่ไม่ต้องให้มึงเป็นห่วงเลย”
“แสดงว่ามีคนคุยอยู่จริงๆด้วย”
“ก็ – อืม” ผมยอมรับอย่างจำนน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกติณอีกต่อไป “สัตวแพทย์คนนั้นที่ชอบมาร้านเราบ่อยๆ”
“อ้อ” ติณพยักหน้า “ดูเด็กกว่ามึงเยอะเลยนะ”
“อายุยี่สิบหกเอง ไม่ได้ห่างกันขนาดนั้น”
“แต่หน้าเด็กมาก”
“ภูเป็นพวกดูแลตัวเอง” ผมหัวเราะพลางนึกถึงสกินแคร์ราคาแพงที่วางแน่นบนเคาน์เตอร์ห้องน้ำบ้านเขา
“ชื่ออะไรนะ? หมอหมาคนนั้น --”
“ภู” ผมตอบ “ชื่อภู ไม่ได้เป็นแค่หมอรักษาหมานะ เม่นแคระก็รักษาได้”
“อวดผัวมาก”
“บ้า ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”
“อีกแล้วเหรอ? คบกันแบบไม่มีสถานะอีกแล้วเหรอ? ไม่รู้จักเข็ดจักจำ” ติณส่ายหน้าเอือมระอาก่อนจะลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวก็เจ็บปางตายเหมือนสมัยไอ้ชวินทร์”
“ถ้าเราไม่มีสถานะก็ไม่เจ็บหรือเปล่าวะ? ก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน อย่ารู้สึกมากไปกว่านี้สิ”
“แสดงว่าไม่เข็ดไม่จำ ชอบเหรอกับอะไรคลุมเครือ?”
“เปล่า” ผมตอบและเงียบไปพักใหญ่ “กูแค่รู้สึกว่ากูไม่พร้อมจะมีใครว่ะ”
“มึงยังรักไอ้วินอยู่เหรอ?”
“ไม่ใช่ กูหมายถึง – มึงดูสภาพกูสิ ที่ซุกหัวนอนของตัวเองยังไม่มี พ่อแม่พี่ก็ขยันสร้างปัญหามาให้ เงินเก็บก้อนใหญ่ยังไม่มีเลย แถมต้องทำงานหัวฟูหาเงินหมุนตัวเป็นเกลียว เอาเงินไปตามล้างตามเช็ดปัญหาที่ไม่ได้ก่อ แล้วแบบนี้กูจะเอาเวลาที่ไหนใส่ใจภูวะ? อีกอย่าง ฐานะเราต่างกันเกินไป กูว่ายังไงก็ไม่รอด เหมือนกูกับวินไง”
“มีเศรษฐีกี่ล้านคนที่บังเอิญได้แฟนจน คนพวกนั้นสถานะห่างกว่ามึงกับหมอหมาอีกไอ้ห่า คิดมาก มึงคุยกับภูก่อนเถอะแล้วค่อยมานั่งถอนหายใจ”
“ไม่เคยคุย ไม่อยากคุย” ผมตอบโดยพยายามทำตัวปกติเพื่อให้ติณคิดว่าผมไม่แคร์ ไม่แคร์จริงๆกับการคบกันแบบไม่มีคำเรียก “แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
“แบบนี้คืออะไร? คุยกัน ชอบกัน อยู่ด้วยกัน เอากัน แต่ไม่มีสถานะ?”

เมื่อผมพยักหน้า ติณก็แค่นหัวเราะและใช้มือโยกหัวของผมเบาๆหนึ่งที

“มึงทำไม่ได้หรอกสอง มึงโหยหาความรักมากกว่าที่มึงคิด”

ติณณภพเดินจากไป เหลือเพียงผมที่นั่งทำงานหน้าคอมพร้อมกับคิดถึงคำพูดของเพื่อน ผมน่ะเหรอโหยหาความรัก? ไม่จริงหรอก ผมไม่ต้องการความรักขนาดนั้น สิ่งที่ผมต้องการคือเงินซักก้อนเพื่อจ่ายเป็นค่าทนายให้ยายพี่สาวตัวดีต่างหาก ผมไม่ต้องการความรักนอกจากงานที่ทำให้มีกินมีใช้ไปจนแก่หรือไม่ก็มากพอที่จะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในบ้านบางแค ผมไม่ต้องการความรัก นอกจากมิตรภาพดีๆที่พอให้หัวใจกระชุ่มกระชวยและมีความสุขเล็กๆบ้างเท่านั้น

ผมไม่ต้องการความรัก

เพราะผม – ไม่อยากเสียใจเพราะการเลิกราอีกแล้ว




ภูบ่นว่าคิดถึงผม เขาพูดออกมาหน้าตาเฉยระหว่างที่เรากำลังคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ เจ้าโกลเด้นเปิดบทสนทนาว่าสวัสดีครับ ยุ่งไหมครับ กินข้าวหรือยังครับ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการพูดว่าคิดถึงสอง ภูคิดถึงสองจังเลย

“คิดถึงอะไร เราก็คุยกันทุกวันอยู่แล้วนี่”

ผมตอบขณะที่ตาจ้องจอแล็ปท็อป รู้สึกปวดหัวตั้งแต่เช้าเพราะไม่รู้จะแปลเนื้อหาตอนที่ยี่สิบหกยังไง ผมแก้แล้วแก้อีก แก้ทั้งวัน แก้จนเหนื่อยแต่ก็ยังไม่ถูกใจเพราะการแปลนิยายต้องใช้ความละเอียดอ่อนมากกว่าแปลบทความทั่วไป ต้องคิดหาคำและเรียบเรียงใหม่โดยที่ใจความต้องครบ ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่มีเพิ่มเติมใส่ไข่ลงไปในต้นฉบับ พอใช้สมองหนักๆมันก็เริ่มล้า จึงตัดสินใจปิดคอมและทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแข็งๆของตัวเองเพื่อหนีความเครียด

[มาหาภูหน่อยได้ไหม? ภูจ่ายค่ารถให้ก็ได้]

เจ้าโกลเด้นถามเสียงอ่อน ผมเหลือบมองนาฬิกา บ่ายสามแล้ว อีกหนึ่งชั่วโมงภูถึงจะเลิกงานซึ่งหลังๆมานี้เขาเลิกไม่ค่อยเป็นเวลา ผมจึงถามภูว่าที่บอกให้ไปหาหมายความว่ายังไง

[ภูอยากให้สองมาค้างที่บ้านอีก]
“อาทิตย์ก่อนก็ไปนอนเป็นเพื่อนแล้วนี่”
[แต่ภูอยากให้มาอีก]
“อะไรนักหนา ไม่หนวกหูเสียงกรนของผมหรือไง?”
[ภูก็กรนเหมือนกัน] เจ้าโกลเด้นงอแงและเริ่มพูดเสียงยานคางเหมือนเด็กขี้อ้อน [มาหาภูหน่อยเรววว]
“ไม่เอา ไม่ไป”
[งั้นเดี๋ยวขับรถไปรับก็ได้]
“อย่ามานะ ไอ้ติณอยู่ร้าน วันก่อนมันเพิ่งบอกว่าจะไปไหนก็ได้แต่ต้องกลับมานอนที่ร้านทุกคืน”
[พี่ติณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามสอง สองจะไปไหนจะนอนที่ไหนก็เรื่องของสองสิ หรือพี่ติณเขาไม่ชอบภู?]
“เกี่ยวสิ ไอ้ติณมันจ้างผมเฝ้าร้าน ถ้าผมไปนอนบ้านคุณทุกคืนก็มาเปิดร้านไม่ทัน ไหนจะต้องเช็กสต็อก เช็กของ บรีฟพนักงาน ต้องสแตนบายเผื่อลูกค้าถามหาหนังสืออีก”
[ร้านพี่ติณเปิดสายจะตาย ออกจากบ้านภูตอนเจ็ดโมงก็ทัน]
“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”

ผมตอบภูพลางนึกถึงปัญหาจริงๆของการเดินทางไปมาระหว่างทองหล่อกับบางบัวทอง การต้องตื่นเช้าหรือพักผ่อนน้อยลงไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถเพราะผมทำบ่อย สิ่งที่ทำให้กังวลและคิดหนักคือค่ารถไฟฟ้าไปกลับต่างหาก

[ถ้าภูไปรับ สองจะยอมมาไหม?]
“จะขับรถไปกลับทำไมให้เปลือง? เสาร์อาทิตย์แถวเวสเกตรถติดนะเผื่อคุณไม่รู้”
[ถ้าข้ออ้างของการไปหาสองไม่ได้คือรถติด ชาตินี้เราก็ไม่ต้องเจอกันแล้วแหละ]

ดูมันประชด

[ตกลงจะมาไหมครับ?]
“ไป”
[แค่นั้นแหละ] ภูตอบด้วยน้ำเสียงสดใสจนผมเดาได้เลยว่าเขาต้องกระดิกหางจนตูดสั่นเพราะดีใจอยู่แน่ๆ [งั้นเดี๋ยวค่ำๆภูไปรับสองนะ ก่อนกลับบ้านเราหาอะไรอร่อยๆกินกัน]
“อืม โอเค”
[เจอกันคับ]
“คับ”

ผมวางสายและถอนหายใจ แพ้ลูกตื๊อของภูอีกจนได้ เขาเป็นเหมือนลูกหมาสำหรับผม ไม่ว่าจะทำอะไร จะพูดจะจาก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหมด ผมนึกสงสัยจริงๆว่าคนอย่างภูหลุดรอดมาเจอคนห่วยๆแบบสิปปกรได้ยัง ผู้ชายแบบเขาน่าจะลงเอยกับคนดีๆซักคน ใครก็ตามที่หน้าที่การงานดีกว่านี้ ดูดีกว่านี้ รสนิยมดีกว่านี้ ใครก็ตามที่มีเงินนั่งรถไฟฟ้าเพื่อไปเจอเขาทุกวัน หรือมีรถขับไปค้างกับเขาโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ผมพยายามนึกหาทางที่เราจะเจอกันบ่อยขึ้นแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นไปได้ ภูไม่สามารถย้ายมาอยู่กับผมเพราะต้องเฝ้าคลินิก ส่วนผม – ก็ไม่สามารถไปค้างกับเขาทุกคืนเหมือนสมัยคบกับชวินทร์เพราะกู้ด รี้ดดิ้ง ติณอุตส่าห์ให้โอกาสผมมีส่วนร่วมในความสำเร็จนี้ด้วยทั้งที ผมเองก็ไม่อยากสละทุกอย่างและทุ่มหมดหน้าตักเพื่อใครอีกเหมือนกัน

ผมนอนกลางวันประมาณครึ่งชั่วโมงก็ลงไปดูหน้าร้าน วันหยุดแบบนี้ลูกค้าจะมากเป็นพิเศษ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ผู้ชายมีบ้างประปรายแต่ไม่เยอะเท่าไหร่ ผมเดินสำรวจทั่วร้าน มองหาเศษขยะหรืออะไรก็ตามที่อาจทำให้กู้ด รี้ดดิ้งดูสกปรกเพื่อนำไปทิ้ง แสงตอนบ่ายที่ลอดผ่านกระจกทำให้บรรยากาศในร้านกลายเป็นโทนสีส้ม มันดูอบอุ่นและเหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือดีๆซักเล่มสมกับคอนเส็ปต์ที่ติณณภพวาดไว้ เมื่อเดินตรวจตราความเรียบร้อยจนทั่วก็กลับมานั่งที่โต๊ะตัวใหญ่ ติณกำลังอ่านอะไรซักอย่างจากแมคบุ๊ค เราจึงมีโอกาสคุยกันสั้นๆเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวอีกเล็กน้อยซึ่งรวมถึงเรื่องที่จะไปค้างบ้านภูคืนนี้ด้วย

“จะกลับเมื่อไหร่? กลับกี่โมง?”
“พรุ่งนี้เจ็ดโมงถึงร้าน”

ติณเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าส่งๆราวกับตัดรำคาญ เมื่อได้รับอนุญาต ผมก็ปลีกตัวไปหยิบแล็ปท็อปลงมาทำงานข้างล่างต่อ ยิ่งใกล้เวลาปิดร้านคนยิ่งน้อยลงเต็มที ผมบอกน้องพนักงานให้เริ่มทำความสะอาด น้องบาริสต้าทยอยล้างแก้วที่ใช้ชงกาแฟ ส่วนติณกับผมยังคงนั่งทำงานข้างกันเหมือนเดิมโดยไม่มีใครพูดอะไร

ประมาณทุ่มครึ่ง ภูมาถึงร้านกู้ดรี้ดดิ้ง เขาผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีเหมือนเคย ไม่อยากยอมรับเลยว่าตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเขา ผมรู้สึกดีใจแปลกๆ ไอ้ความเหนื่อยล้าทั้งวันเพราะนึกคำแปลไม่ออกกลับหายเป็นปลิดทิ้ง ผมอารมณ์ดีขึ้นมากะทันหันเพียงเพราะได้เจอเขา พลังของความชอบนี่มันน่ากลัวจริงๆ

“สอง พรุ่งนี้มึงอย่าลืมจัดอันดับหนังสือขายดีด้วยนะ”
“โอเค” ผมรับปาก “กูไปก่อนนะ”
“อืม บาย”

ผมโบกมือลาติณณภพและหมุนตัวเดินไปที่รถพร้อมภู เราเดินเคียงข้างกันเหมือนเพื่อนสนิทธรรมดา ภูไม่ได้แสดงออกว่าความสัมพันธ์ของเรามีอะไรที่พิเศษมากกว่านั้น หรือพยายามแตะเนื้อต้องตัวผมเพื่อแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทั้งๆที่ไม่มีสถานะ เขายังคงเป็นเจ้าโกลเด้นที่ร่าเริงสดใสเหมือนเคย ส่งยิ้มและพูดคุยหยอกล้อจนกระทั่งถึงรถ เมื่อเปิดประตู ผมก็เห็นชานมนั่งส่ายตูดดุ๊กดิ๊กอยู่เบาะหลัง ส่งเสียงงี๊ดง๊าดดีใจที่ได้พบกับสิปปกรอีกครั้ง

“ทำไมพาชานมมาด้วย?”
“อ๋อ – พอดีภูว่าจะพาสองไปกินข้าว”
“กินที่ไหน?” ผมถามขณะนั่งประจำที่ คาดเข็ดขัดนิรภัยเสร็จเรียบร้อยจึงหันไปมองหน้าภูซึ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “ร้านไหนให้หมาเข้าไปเหรอ?”
“ไม่ใช่ร้านอาหารหรอกครับ”

ภูตอบเสียงอ่อย

“ภูจะพาสองไปกินข้าวที่บ้าน แต่ไม่ใช่คลินิกนะ เป็นบ้านของแม่”




พาร์ท 2 ต่อข้างล่างเลยคับ  :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 19:44:24 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
9 [PART 2/2]


วันนี้ผมแต่งตัวดีไหม?
ไม่ –
ทรงผมดูดีหรือเปล่า?
ก็ไม่ –

“ทำไมต้องเป็นวันนี้?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แม่เพิ่งโทรมาบอก” เจ้าโกลเด้นตอบเรียบๆ “แต่สองไม่ต้องกังวลหรอก แค่กินข้าวแล้วก็กลับไปนอนที่คลินิกเหมือนเดิม”
“คุณไม่ถามผมซักคำเลยเหรอว่าอยากเจอแม่คุณไหม?”

ภูเงียบพักใหญ่ สีหน้าเขาดูตึงๆ เดาอารมณ์ไม่ได้ว่าโกรธหรือเห็นด้วยกับคำค้านของผม แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ภูก็ยืนยันว่าคืนนี้เราต้องไปกินข้าวที่บ้านแม่ของเขา

“ภูนึกว่าสองจะดีใจที่ภูพาสองไปแนะนำให้แม่รู้จัก”
“แล้วคุณจะแนะนำผมในสถานะอะไรล่ะ? เพื่อนงั้นเหรอ?”
“แม่รู้แล้วว่าสองมาค้างกับภูบ่อย แม่น่าจะพอเดาได้”
“คุณเล่าทุกเรื่องให้แม่ฟังหรือไง?”
“เปล่าหรอก” ภูตอบด้วยสีหน้าเซ็งๆ “แม่ก็เห็นทุกอย่างนั่นแหละ”
“จากที่ไหน?”
“กล้องวงจรปิด”

ผมขมวดคิ้วมุ่น ประหลาดใจจริงๆเมื่อรู้ว่าบนโลกนี้มีแม่ที่สอดส่องดูพฤติกรรมของลูกชายผ่านทางกล้องวงจรปิดด้วย

“แม่รู้ไหมว่าคุณเป็นเกย์?”
“รู้ครับ”
“แม่โอเคเหรอถ้าคุณพาผมเข้าบ้าน?”

เป็นคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ ภูไม่พูดอะไรอีกเลยนอกจากขับรถจนกระทั่งถึงหมู่บ้านบนถนนกาญจนาภิเษก หมู่บ้านที่นี่ไม่เหมือนหมู่บ้านทั่วไป เป็นหมู่บ้านของคนมีสตางค์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด หากคุณจะเข้าหมู่บ้าน คุณต้องแลกบัตรประชาชน รวมถึงเอกสารแนบเพื่อให้ลูกบ้านปั๊มตรายางเพื่อยืนยันว่าคุณติดต่อผู้อยู่อาศัยจริงๆ แต่เพราะมีคีย์การ์ด เราจึงสามารถใช้เลนซ้ายเพื่อเข้าหมู่บ้านได้ทันทีโดยไม่ต้องต่อคิวยาวรอแลกบัตร

หมู่บ้านที่นี่ไม่ใช่หมู่บ้านธรรมดา บ้านทุกหลังไม่เหมือนกัน ไม่มีหลังไหนเหมือนกัน ไม่มีบ้านแฝด ราวกับหมู่บ้านนี้ขายแต่ที่ดินผืนใหญ่ ส่วนตัวบ้านจะเป็นยังไงขึ้นอยู่กับความประสงค์ของลูกบ้านล้วนๆ ผมสามารถยืนยันด้วยคำพูดว่านี่คือหมู่บ้านของคนอีกระดับที่อยู่สูงกว่าผม บ้านทุกหลังมีสนามหญ้า มีอาคารจอดรถที่กว้างพออย่างน้อยสองคัน สไตล์บ้านมีทุกแบบตั้งแต่มูจิไปถึงบ้านทรงลิเกที่เห็นตามละครจักรๆวงศ์ๆ ภูพาผมเปิดโลกใบใหม่ด้วยการย่างกรายเข้ามาที่นี่ ตลอดทางมุ่งไปยังบ้านของคุณแม่รายล้อมด้วยต้นไม้สวยๆที่ผ่านการตัดแต่งมาอย่างดี มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ราวกับเป็นทะเลสาปกลางหมู่บ้าน มีพื้นที่ออกกำลังกายส่วนกลาง มีสนามเด็กเล่น มีสวนดอกไม้ ที่สำคัญ ถนนทุกเส้นในหมู่บ้านปูยางมะตอยอย่างดีและตีเส้นเนียนกริบยิ่งกว่าถนนในกรุงเทพมหานครเสียอีก

“ดูบ้านหลังนี้สิ” ผมชวนภูคุยระหว่างรถของเขาจอดเตรียมตัวจะเลี้ยวซ้าย “ใหญ่ขนาดนี้น่าจะอยู่ได้กันเจ็ดแปดคน”
“ไม่เยอะขนาดนั้นหรอกครับ ส่วนใหญ่อยู่กันครอบครัวเดียว แต่บ้านผมเยอะเพราะมีแม่ มีพีช แล้วก็ป้าแก้วที่เป็นแม่บ้าน แอนที่เป็นพี่เลี้ยงของพีช ถ้าแพรเรียนจบก็คงกลับมาอยู่ที่บ้านด้วย”
“พ่อคุณล่ะ?”
“แยกกันอยู่ครับ”

ภูตอบแค่นั้น และผมไม่คิดสงสัยหรืออยากถามอะไรอีกจึงเปลี่ยนบทสนทนา บ้านทุกหลังในหมู่บ้านนี้ต้องราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้านแน่ๆ ทั้งเนื้อที่ ทั้งสไตล์และความใหญ่โตโออ่า เผลอๆบางหลังน่าจะยี่สิบล้านขึ้นไปด้วยซ้ำ ผมชักสงสัยว่าบ้านของภูจะใหญ่เหมือนบ้านที่เราขับรถผ่านหรือไม่ และเมื่อรถจอดหน้ารั้วบ้านหลังหนึ่ง ผมก็หายข้องใจว่าทำไมสัตวแพทย์ที่เพิ่งเรียนจบถึงมีบีเอ็มดับเบิ้ลยูขับ และมีคลินิกตั้งอยู่ใจกลางทองหล่อเป็นของตัวเอง

“พ่อแม่คุณทำอาชีพอะไรเนี่ย?”

ผมแกล้งถามพลางมองประตูรั้วที่ค่อยๆเลื่อนเปิดอัตโนมัติ ภูขับรถเข้าไปจอดในโรงรถด้านในที่มีรถยุโรปจอดอยู่สองคัน เอาล่ะ – ผมไม่อยากก้าวเท้าลงจากรถเลย รู้สึกแปลกแยกยังไงไม่รู้เมื่อเห็นว่าที่นี่ต่างจากพื้นฐานของผมขนาดไหน มันหรูและดูไกลตัวจนกังวลว่าจะสามารถทำตัวกลมกลืนกับครอบครัวของเขาได้หรือไม่ ภูเองคงรู้ว่าผมไม่สบายใจกับระยะห่างของกำพืดเรา เขาเหยียดแขนมาจับมือผม และพูดอย่างจริงจังว่า

“ที่นี่ไม่ใช่ทั้งหมดของภูหรอก คลินิกต่างหากที่เป็นโลกของภูจริงๆ”

ผมมองหน้าเขา จู่ๆก็รู้สึกว่าภูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ เขาดูเข้าใจโลก เข้าใจถึงความกังวลของผมที่มีอยู่ตอนนี้ เขาพูดดักคอล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ผมคิดมากหากได้พบกับครอบครัวที่ดูห่างกันเกินไป เขาบอกให้สบายใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือตอนอยู่คลินิก ดังนั้นหากสิปปกรมีความสุขเมื่อไปที่นั่นก็หมายความว่าเราเข้ากันได้

“กินข้าวเสร็จไปนอนบ้านภูนะ”

เจ้าโกลเด้นพูดทิ้งท้ายก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ อุ้มเอาชานมที่กำลังดีดได้ที่วางลงพื้นหินหน้าบ้าน คอร์กี้ยักษ์กระโดดไปมาอย่างร่าเริงต่างจากเราสิ้นเชิง ชานมวิ่งไปไกลถึงสวนหน้าบ้าน จัดการปล่อยทุกข์กองเบ้อเริ่มไว้เป็นของที่ระลึกว่ามันเคยมาที่นี่ก่อนจะวิ่งกลับมาหาเราและเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน

บ้านของภูหลังใหญ่กว่าของผมหลายเท่า ทุกอย่างจัดเรียงสวยงาม มีแชนเดอเรียตรงโถงทางเข้า กลิ่นในบ้านสะอาดสะอ้านไม่เหม็นอับเหมือนบ้านของสิปปกร การแบ่งพื้นที่ใช้สอยก็เป็นระเบียบ ห้องนั่งเล่นมีไว้เพื่อนั่งเล่น และห้องครัวก็แยกออกจากกันกับห้องทานข้าว ราวกับหลุดเข้าไปในโลกใบใหม่ ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจปนตื่นเต้นเมื่อคิดว่าจะได้พบกับคุณแม่ของเขา

“น้องภู มาแล้วเหรอคะ?”

แม่บ้านที่ชื่อป้าแก้วยิ้มรับ เธอยกมือไหว้สวัสดีตามมารยาทก่อนจะวางสลิปเปอร์ลงบนพื้นเป็นเชิงบอกให้เราเปลี่ยนรองเท้า

“คุณพิมพ์รออยู่ข้างในค่ะ”
“ครับ”

ภูยิ้ม ดูเกร็งๆเมื่อต้องเดินเข้าไปข้างในที่ไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไร ทีแรกเขาเดินเคียงข้างกันโดยมีชานมเดินส่ายตูดตามอยู่ไม่ห่าง พอเดินเข้าไปได้ซักพักก็เจอกับห้องๆหนึ่งที่ไม่มีประตู มีเสียงโทรทัศน์ดังเล็ดลอดมาจากข้างใน ผมเดาเอาว่านี่ต้องเป็นห้องดูหนังหรือห้องอะไรซักอย่างที่มีไว้เพื่อสมาคมแน่ๆ

“สวัสดีครับแม่”

ภูเรียกผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งดูทีวีบนโซฟากำมะหยี่สีเบจ สุภาพสตรีที่แต่งกายดูดีเหมือนคุณหญิงคุณนายในพารากอนรีบหันหน้ามา เมื่อเห็นลูกชาย เธอก็ยิ้มและรับไหว้ด้วยท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวาน บ่งบอกถึงการถูกอบรมบ่มเพาะมาอย่างดีซึ่งต่างจากพ่อกับแม่ของผมลิบลับ

“มาแล้วเหรอ?”

แม่ของภูถามพลางตวัดตามองด้านหลัง เมื่อเห็นนายสิปกรในเสื้อยืดกางเกงขายาวแบบง่ายๆ เธอก็ใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็วโดยพยายามไม่ทำให้รู้สึกแย่ แต่ไม่ว่ายังไง คุณไม่มีทางรู้สึกเฉยๆกับสายตาจากคนข้างบนที่มองเราอย่างดูแคลนหรอก

“สวัสดีครับ” ผมทำใจดีสู้เสือด้วยการยกมือไหว้ “ชื่อสองครับ เป็นเพื่อนภู”
“อ๋อ คนนี้นี่เองที่เดินเข้าเดินออกคลินิก เป็นเพื่อนที่ไปค้างบ้านภูบ่อยเนอะ” เธอหัวเราะและพูดเชือดเฉือนด้วยน้ำเสียงนิ่มๆตามประสาผู้ดี  “มาเถอะ กินข้าวกัน แม่ให้แก้วเตรียมกับข้าวไว้เต็มเลย”

คุณแม่โอบเอวลูกชายให้เดินไปที่ห้องครัว ส่วนผมเดินตามหลังโดยมีชานมวิ่งเล่นไปมาด้วยความตื่นเต้น เจ้าคอร์กี้ยักษ์ดูไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่เท่าไหร่ มันวิ่งไปตรงนั้นทีตรงนี้ทีแถมเอาจมูกเปียกๆดันเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่พบเห็นอีก มันวุ่นวายจนแม่ของภูต้องหันมาดุเสียงแข็งและถามลูกชายว่าเอาหมามาด้วยทำไม ขนมันปลิวฟุ้งติดข้าวของเครื่องใช้ขนาดนี้ แก้วก็ลำบากเช็ดกันเหนื่อยพอดี

“ชานมดื้อจะมา”

ภูตอบเสียงอ่อยก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่งข้างๆ เมนูบนโต๊ะอาหารไม่ได้เว่อร์วังอะไรมากมายอย่างที่คิด ไม่มีปลากะพงทอดตัวใหญ่ กุ้งแม่น้ำ หอยเชลอบชีสหรืออะไรทำนองนั้น ส่วนใหญ่มีแต่กับข้าวจืดๆอย่างแกงจืด ไข่เจียว หมูสามชั้นทอด และไก่นึ่งน้ำปลาที่มีน่องสองชิ้น ปีก และสะโพกอีกสอง

“กินเยอะๆนะ ไก่นึ่งน้ำปลาที่ภูชอบไง”

คนเป็นแม่ยิ้มและมองลูกชายด้วยความเอ็นดู ส่วนผมกลายเป็นธาตุอากาศตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอใช้สายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เรานั่งรอไม่นาน ป้าแก้วที่เป็นแม่บ้านก็เดินออกจากครัว เธอตัวลีบแบนและมือสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องถือโถข้าวใบใหญ่และคอยตักให้ผมกับภู ผมไม่ใช้โอกาสนี้เปิดบทสนทนาเพื่อทำคะแนนใดๆเพราะ First impression ระหว่างเราไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ และผมไม่แคร์ด้วยว่าแม่ของภูจะคิดยังไง ไม่ชอบก็ไม่ต้องชอบ ผมเองก็ไม่ชอบลักษณะการใช้สายตาของเธอเหมือนกัน

“สองกินนี่ดูนะ อร่อยมาก” ภูตักน่องไก่นึ่งน้ำปลาให้ผมและยิ้ม ยังไม่ทันทีน่องไก่จะวางลงบนข้าวสวยร้อนๆ คุณแม่ของเขาก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
“แหม ตัวเองยังไม่ทันจะได้กินก็ยกน่องไก่ให้เขาเลยนะ” เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่ชอบ “สองอาจจะไม่รู้ แต่ภูชอบกินน่องไก่มาก ถ้าไม่ใช่น่องเขาก็ไม่กินหรอก”
“ครับ” ผมยิ้มตอบก่อนจะบอกให้ภูเก็บน่องไว้กินเอง เจ้าโกลเด้นส่ายหน้าพลางพยักเพยิดไปที่จานไก่นึ่งน้ำปลา
“มีตั้งสองน่อง เราแบ่งกันกินก็ได้”
“ถ้าเรากินกันหมด แล้วแม่คุณล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ น้าไม่กินอาหารมื้อดึก” เธอยิ้ม ตั้งแต่มาถึงที่นี่ เราสามคนมีแต่ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม ไม่หยุด แต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากการเสแสร้งแกล้งแสดงทั้งนั้น
“งั้นไม่เกรงใจแล้วนะ”

ผมยิ้ม อีกครั้ง และใช้ช้อนตักน่องไก่ใส่ปาก ภูมองผมด้วยแววตาวิบวับเป็นประกาย เขาคาดหวังว่าสิปปกรจะชอบเมนูโปรดของเขาเหมือนทุกครั้งที่เราไปกินข้าวด้วยกัน เนื้อสัมผัสของไก่ก็ยังคงเป็นไก่อยู่วันยังค่ำ เพิ่มเติมคือรสชาติเค็มๆของน้ำปลาและความหวานเล็กน้อยของน้ำตาลปี๊ป เมื่อกินหมดคำ ผมก็ยิ้มเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้และบอกภูว่าอร่อยมากเลย

“ถ้าสองชอบ วันหลังภูทำให้กินที่คลินิกก็ได้นะ”
“เรียกเขาสองเฉยๆไม่เป็นไรเหรอภู” คุณแม่ของเขาเตือนลูกชาย “ดูๆแล้วสองก็ไม่น่าจะใช่คนรุ่นเดียวกับภูนะ”
“ผมจะสามสิบเอ็ดแล้วครับ”
“อ้อ --”

เธอเว้นวรรคไป แสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจเท่าไหร่ที่อายุเราห่างกันขนาดนี้ อันที่จริงอายุอาจจะไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือหน้าผมต่างหาก ขอโทษนะที่หน้าแก่ ดูโตกว่าลูกชายคุณแม่จนเหมือนอาจารย์ที่ปรึกษามากกว่าเป็นเพื่อน

“ตอนนี้ทำงานอะไรล่ะ?”

และนี่คือจุดเริ่มต้นของพิธีกรรมของการสัมภาษณ์ชีวิตส่วนตัวเหมือนคราวที่ภูไปบ้านของพ่อแม่ผมไม่มีผิด แม่ของภูถามทุกอย่างเท่าที่คนเป็นแม่จะอยากรู้ ทำงานที่ไหน อายุเท่าไหร่ อยู่แถวไหน อ้อ – ร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งเหรอ เป็นร้านของเธอเหรอสอง เมื่อรู้ว่าเป็นร้านของติณณภพ สีหน้าประหลาดใจที่แฝงไปด้วยความชื่นชมก็หายวับ เพราะสิปปกรไม่มีความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากงานแปลที่วางขายในร้านหนังสือ แต่ละเล่มก็ไม่ได้ดังหรือขายดิบขายดีอะไรด้วย แน่นอนเมื่อเริ่มพูดถึงอาชีพการงาน ต้องมีการพูดถึงรายได้ เธอเริ่มถามว่าแปลหนังสือได้เท่าไหร่ แบ่งจ่ายยังไง แล้วงานฟรีแลนซ์ที่บอกว่าทำประจำน่ะ ได้เงินเยอะมากไหม

“ถ้าขยันก็ได้เดือนละสามสี่หมื่นครับ”

ผมพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ถามว่าทำได้ไหม ทำได้ ถ้าคุณขยันจริงๆและมีคอนเนคชั่นมากพอ ถ้าคุณมีงานเข้าสม่ำเสมอและลูกค้าไม่งี่เง่า ไม่งก ไม่มีทัศนคติมองงานแปลเป็นของง่ายๆไม่น่าจะคิดราคาแพง คุณทำได้แน่นอนถ้าสำนักพิมพ์ที่คุณดีลงานอยู่จ่ายเงินตรงเวลาและเขียนสัญญาที่เป็นธรรม ยังไงนักแปลก็ไม่อดตายหรอก ถ้าไม่โดนคนในวงการหั่นราคาตัดหน้าเพื่อแย่งงาน ซึ่งหลังๆเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก นักแปลหน้าใหม่ที่อ้างว่าตัวเองยังไม่ “เก๋า” มากพอที่จะรับเงินในเรตราคานักแปลอาชีพ มักจะคิดราคาถูกกว่าความเป็นจริงเกือบเท่าตัวแล้วก็ได้งานนั้นไป แถมยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้ลูกค้าคิดว่านี่ไง งานแปลไม่เห็นต้องแพงเลย ต่อไปพวกเขาก็จะกดราคาวงการแปลเรื่อยๆ จากที่เคยได้หน้าละห้าร้อยก็เหลือหน้าละร้อยยี่สิบ โดยอ้างเหตุผลว่าเคยจ้างคนอื่นมาแค่นี้ ห้าร้อยน่ะแพงไปไม่มีใครจ้างหรอกนะ

ใช่ครับ แต่คุณภาพของงานแปลก็ตามราคา เพราะฉะนั้นถ้าได้งานคุณภาพระดับ google translate ไปก็อย่าคร่ำครวญนะ

ผมถูกสัมภาษณ์เรื่อยๆเหมือนมาสมัครงานที่นี่ ทั้งหน้าที่การงาน ทั้งชีวิตส่วนตัวเริ่มถูกเค้นให้พูดออกมาโดยไม่เต็มใจ สีหน้าของผมคงดูอึดอัดหรือไม่ก็ขมขื่นจนแทบอ้วกล่ะมั้งภูถึงเบรคแม่ของตัวเองด้วยการบ่นเรื่องคลินิกตอนนี้ ผมเพิ่งรู้ว่าเบื้องหลังของการเปิดคลินิกรักษาสัตว์ไม่ได้สวยหรูเหมือนตัวอาคารเลย ภูกำลังเจอปัญหาบัญชีใกล้ติดลบเพราะค่าใช้จ่ายมากเกินไป คลินิกของเขาเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง รับเคสต่อวันได้เยอะขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นทั้งค่าน้ำค่าไฟ ค่าจ้างสัตวแพทย์และผู้ช่วยกะกลางคืน เมื่อลองเฉลี่ยเคสในแต่ละวัน ภูพบว่าเคสกลางคืนมีน้อยและไม่ค่อยได้กำไรเท่าไหร่ เขาคิดหนักมากว่าควรทำยังไง แม่ของเขาจึงเสนอความคิดเห็นว่า

“ก็เลิกจ้างสิ ”

และยิ้มหวาน

“เราต้องตัดบางอย่างทิ้งเพื่อให้ตัวเองรอดนะภู”

ผมไม่แปลกใจที่คุณแม่ของเขาจะมีความคิดแบบนี้ เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจยังไงก็ต้องลดค่าใช้จ่ายหากกิจการไปไม่รอด แต่สำหรับภู การเลิกจ้างหมอจ๋อมแจ๋มกะกลางคืนคงเป็นปมในใจเขาไปอีกนาน หมอจ๋อมแจ๋มเพิ่งจะเรียนจบ บ้านไม่ได้รวย กำลังอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวและมีภาระต้องส่งเสียเหมือนผม ภูเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังหลายหนว่าไม่รู้จะทำยังไง เพราะหากย้ายหมอจ๋อมแจ๋มมาเป็นกะกลางวัน จำนวนหมอก็ยังมีเยอะกว่าเคสอยู่ดีซึ่งผมมั่นใจว่าภูไม่มีทางเลิกจ้างหมอจ๋อมแจ๋ม เขาคงฝืนดันทุรังต่อไปอีกซักพัก หากบัญชีเริ่มติดลบเมื่อไหร่ เขาคงต้องตัดใจปรับโครงสร้างของคลินิกอย่างจริงจัง

“แล้วนี่ยังร้องไห้เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกหรือเปล่า?”
“ไม่แล้วครับ”
“ดีมาก” คุณแม่ชื่นชมลูกชาย “จำไว้นะว่าเป็นผู้ชายอย่าร้องไห้ให้ใครเห็น โดยเฉพาะเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างหมาตายเนี่ย ไม่ควรร้องนะ มันไร้สาระ เก็บน้ำตาไว้ตอนโดนทิ้งดีกว่า”

ผมรับไม่ได้กับคำพูดของคุณแม่จนต้องเผลอกลอกตา การเป็นคนอ่อนไหวง่ายไม่ใช่เรื่องผิดและไม่ได้สงวนสิทธิ์ไว้สำหรับผู้หญิงเสียหน่อย ทำไมภูจะร้องไห้ไม่ได้ ทำไมเขาจะเสียใจไม่ได้ที่หมาตัวหนึ่งต้องตายเพราะมีเจ้าของโง่ ผมเริ่มรู้สึกว่าระยะห่างของเราเพิ่มขึ้นทีละนิดๆทุกครั้งที่คุณแม่ของภูพูดอะไรออกมา ไม่ว่าจะการแสดงความเห็นเรื่องคลินิกหรือการติลูกชายว่าเหยาะแหยะอ่อนแอจนเกินไป ผมไม่ชอบถึงขั้นรู้สึกว่าไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว

“ไข่เจียวก็อร่อยนะสอง”

ภูตักไข่เจียวฝีมือแม่บ้านให้ผม มันเป็นไข่เจียวหนาๆนุ่มๆอัดแน่นไปด้วยกุ้งสับ แน่นอนเรื่องรสชาติต้องอร่อยสมกับเป็นแม่บ้านของคนรวยอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้อาหารมื้อนี้กร่อยคือบทสนทนาของคุณแม่ต่างหาก

เพราะนี่ไม่ใช่การแนะนำให้แม่รู้จักอย่างที่ภูพูดไว้

มันคือการพาผมมาให้แม่สแกนก่อนว่าสิปปกรเหมาะสมกับลูกชายของเธอหรือไม่ แม้ว่าเราจะอายุเยอะและไม่สามารถแต่งงานจดทะเบียนสมรสได้เหมือนคู่รักชายหญิง แต่แม่ของภู – ก็ยังใช้สายตาและคำถามคอยปอกเปลือกเพื่อเลือกเอาเนื้อแท้ของผมออกมา ซึ่งผมไม่มีอะไรจะให้คุณนายผู้สูงส่งนอกจากการทานข้าวเหมือนคนกล้ำกลืนฝืนทน ภูเองก็ดูฝืนๆ เราทั้งคู่รู้สึกล้มเหลวกับการมาบ้านเพื่อแนะนำให้คุณแม่รู้จักจนผมตั้งปณิธานว่าหลังจากนี้เราจะคุยกันอย่างจริงจัง ถ้าหากภูอยากให้ผมไปค้างที่คลินิก เขาต้องเปลี่ยนรหัสผ่านไม่ให้คุณแม่ของเขาดูกล้องวงจรปิดในร้านอีก

บทสนทนากร่อยๆยังคงดำเนินต่อไป แม่ของภูเป็นฝ่ายพูดกับลูกชายมากกว่าจะคุยกับผม แหงล่ะ คุณสมบัติของสิปปกรไม่ผ่านนี่ เธอก็เหมือนแม่ของชวินทร์ที่โทรมาแว๊ดใส่เมื่อรู้ว่าเราแชร์ห้องอยู่ด้วยกัน บางที – ผมนึกสงสัยจริงๆนะ ต้องดีกว่านี้อีกแค่ไหน ต้องประกอบอาชีพอะไรถึงจะเป็นที่ยอมรับของครอบครัวคนที่ผมรู้สึกดีด้วย จริงอยู่ที่คนเราคบกันมันไม่เกี่ยวกับแม่ไม่ปลื้มหรืออะไรทำนองนั้น แต่ถ้าคนที่คุณชอบดันเป็นเด็กน้อยของแม่เหมือนชวินทร์ เป็นลูกแหง่ที่ไม่กล้าแม้แต่จะยืนหยัดเพื่อคนที่ตัวเองรัก ยังไงความเห็นของแม่ก็ต้องมีอิทธิพลกับความสัมพันธ์แน่นอน เพียงแค่อาจจะไม่เด่นชัดในตอนนี้ แต่ผมมั่นใจว่าถ้าภูเป็นคนประเภทเดียวกับชวินทร์ ยังไงเราก็ต้องเลิกกันแน่นอน

แล้วแบบนี้ – ผมควรจะลองเสี่ยงเพื่อเสียใจในอนาคตอยู่อีกเหรอ?

ผมเริ่มเขี่ยข้าวในจาน ไม่สนุกกับการทำความรู้จักอีกด้านของภูเลยซักนิด เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ เขาไม่ใช่เจ้าโกลเด้นขี้อ้อนแสนร่าเริง หากแต่เป็นลูกชายที่ดูเกรงกลัวกับการโดนตำหนิจนตัวหดเหลือนิดเดียว ผมอึดอัดกับบรรยากาศมากๆจนอยากจะลุกขึ้นและชวนภูกลับคลินิก ผมอยากบอกเขาว่าช่างมันเถอะ ช่างหัวคำพูดคุณแม่ของคุณเถอะ แค่นี้คุณก็เก่งมากแล้ว คุณเก่งมากแล้วภู ผมอยากพูดกับเขาแบบนั้นทว่ายังไม่ทันได้เปล่งเสียงอะไรออกไป ใครบางคนก็เดินเข้ามาด้านหลังและถือวิสาสะตบหัวภูอย่างแรง

“โอ๊ย!”

ภูร้องโอดโอยพร้อมกับกุมหัวตัวเอง เขาดูเจ็บปวดมากจนผมตกใจ ต้องรีบหันไปมองว่าใครมันบังอาจทำร้ายเจ้าโกลเด้นจนหน้าคว่ำ แต่เมื่อเห็นหน้าของคนมารยาททรามที่เพิ่งมาเยือน ผมก็ได้แต่อึ้ง ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเพราะผู้ชายที่ยืนตรงหน้าคล้ายคลึงกับคนที่ผมรู้จักมาก ทั้งส่วนสูงและเค้าโครงรูปหน้า ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ทุกอย่างถอดแบบมาจากเขาเป๊ะๆจนผมขนลุก เมื่อเราสบตากัน เขาก็มองและยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มเหมือนสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ

“ภีม! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ภีม – คือชื่อของเขา

ภีมคือผู้ชายที่หน้าตาเหมือนภูราวกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพี่หรือเป็นน้องของเจ้าโกลเด้น แต่ที่แน่ๆ -- ผมมั่นใจว่าเขาคือแฝด

แฝดอีกคนที่ภูไม่เคยพูดถึงหรือเล่าอะไรให้ฟังเลย




TBC


________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ 21 วันที่หายไป มีใครคิดถึงนิยายเรื่องนี้มั้ยคะ?

ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลย ขอให้ทุกคนดูแลตัวเอง รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ ใครที่กำลังเจอวิกฤตเรื่องงาน ขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ขอให้มีทางออก ถ้าหากอยากได้ความช่วยเหลือให้เราช่วยรีทวีตหรือไม่ว่าอะไรก็ตาม ทักดีเอ็มมาได้เสมอนะคะ เรายินดีช่วยทุกคนเลยค่ะ

ขอให้มีความสุขและมีหัวใจที่ร่าเริงอยู่เสมอ

แล้วพบกันใหม่ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2020 19:45:15 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ที่โผล่มาก็น่าจะตัวปัญหาอีกแล้ว

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
รู้สึกหน่วง อึดอัด คุณสื่ออกมาได้ดีมากเลย

คุณทำให้เราระแวงภู เขาดูดีจนเกินจริง

แต่ก็แพลมอะไรออกมาเรื่อย ๆ ทั้งความรุนแรง ทั้งฝาแฝด/พี่หรือน้อง

ระแวงค่ะ ฮ่าๆ ๆ ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด