ตอนที่6
สูญเสียทุกอย่างเพื่อได้บางอย่าง
ไม่เหลืออะไรอีกแล้วแม้กระทั่งบ้าน ภายในเวลาไม่กี่เดือนผมกลายเป็นผู้ชายอายุ20ที่ไม่เหลืออะไรเลย ล้มเหลวที่สุดในชีวิต ไม่มีเพื่อนที่จริงใจ ไม่มีครอบครัว ไม่มีบ้าน เหลือเพียงงานพี่เลี้ยงเด็กเท่านั้นที่พอจะทำให้ผมมีเงินใช้และมีที่อยู่
ต้องถือว่าเจ้านายของผมใจดีกับผมมากที่เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้และให้ผมไปพักอยู่ที่บ้านของเขาก่อนได้ หากแม่ใจเย็นขึ้นเมื่อไหร่เขาจะพาผมไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง………...บางทีถ้าผมหายไปแม่อาจจะต้องการผมขึ้นมาบ้าง
ส่วนคุณลูฟเขาอาจจะใจดีกับพี่เลี้ยงเด็กทุกคนก็ได้แต่สำหรับผมมันยิ่งใหญ่มาก ผมจึงจะตอบแทนเขาด้วยการทำงานให้หนักเพื่อเป็นประโยชน์มากที่สุด
“น้อง”
ผมเดินออกมาจากตึกเรียนหลังจากเรียนเสร็จและกำลังจะเดินทางกลับบ้านแต่เสียงเรียกของบางคนทำให้ผมหันกลับไป
“หาตัวยากมากแม่ คือต้องดักรอหน้าตึกอะถึงจะเจอตัว”
พี่ผู้หญิงที่หน้าคุ้นมากๆคนหนึ่งเดินเข้ามากับพี่ผู้ชายอีกคน
“ครับ?”
ผมทำหน้างงเมื่อพี่เขาพูดเหมือนอยากจะเจอกับผมมาก แต่ก็อย่างที่พี่เขาพูดแหละว่าผมหายตัวเร็วยิ่งกว่านินจาโคโนฮะ เลิกเรียนแล้วก็กลับบ้านไม่ก็ไปรับคิวปิดที่โรงเรียน ทุกคนจะไม่มีวันได้เจอไอ้ก้านนอกจากในห้องเรียน
“จำพี่ได้ไหม”
ผมส่ายหัวทันทีไม่เสียเวลานึกด้วยซ้ำ ไม่ว่าพี่เขาจะเป็นใครก็ตาม ผมไม่อยากรู้จักและเสวนาด้วย
“เฮ้ยๆ อย่าเดินหนีพวกพี่สิ”
พี่ผู้หญิงวิ่งมาดักหน้าผม
“พี่ชื่อมิวนะส่วนนี่กันต์ศิลปกรรมปี4 เป็นรุ่นน้องพี่ผ้าใบ”
ผมพยักหน้ายังคงไม่ไว้ใจและเว้นระยะห่างอยู่ดี พี่ผ้าใบเป็นคนดีก็จริงแต่ไม่ได้หมายความว่าคนรอบข้างของเขาจะดีด้วย
“โหไรอะ มองแบบนี้ด่าพี่เลยเหอะ”
พี่กันต์พูดแล้วย่นจมูกงอนๆ น่ารักมากครับ…...น่ารักจนอยากเอาไม้กั้นประตูมาฟาดแต่ก็ทำได้แค่คิด
“ขอโทษด้วยครับพอดีผมไม่ไว้ใจคนอื่นเท่าไหร่”
ผมพูดขอโทษไปตรงๆแม้ว่าตัวเองจะไม่เคยได้รับคำขอโทษจากใครนักก็ตาม แต่การโดนกระทำจากสิ่งรอบข้าง ไม่ได้หมายความว่าผมมีสิทธิ์ไปกระทำคนอื่นนี่นา
“พี่เข้าใจ เราไปหาที่นั่งคุยกันเถอะ”
ผมถอยหลังมาโดยอัตโนมัติเมื่อแขนเล็กๆของพี่มิวจะยื่นมาจับแขนของผม เราทั้งสามคนทำสีหน้าไม่ถูก ผมเองก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
“ขอโทษครับ ผมไม่ค่อยชินกับการโดนคนอื่นสัมผัส”
เพราะการได้รับสัมผัสจากคนอื่นคือความเจ็บปวด ทั้งฝ่ามือที่กระทบลงบนแก้มหรือเล็บที่ขีดข่วนลงบนตัวของผม
“พี่รู้ว่าเราโดนมาเยอะแต่เชื่อใจพวกพี่เหอะ เดี๋ยวพี่คอลหาพี่ผ้าเลย”
พูดจบพี่มิวก็หยิบโทรศัพท์ออกมากด
[ว่าไง]
เสียงพี่ผ้าดังออกมาจนทำให้ผมคลายกังวลลงนิดหน่อย
“มิวจะพาน้องไปกินติม แต่น้องไม่ยอมไปอะพี่ผ้า”
พี่มิวพูดแล้วทำเสียงงอแงดูน่ารัก
[ก็มึงมันน่าคบหาที่ไหนล่ะมิว นี่กูยังหลอนที่มึงตามถ่ายรูปกูอยู่เลย ไม่พอยังจะมาถ่ายรูปลูกกูอีก กูจะแจ้ง!]
ผมแอบหลุดขำออกมานิดหน่อยเมื่อเสียงพี่ผ้าคือเล่นใหญ่มาก
“พี่ผ้า มิวโทรมาให้ช่วยพูดไม่ได้ให้บอกข้อเสีย เดี๋ยวน้องกลัวกว่าเดิม”
ถึงพี่มิวจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็คลายกังวลเรื่องจะโดนหลอกไปตบแล้วล่ะ
[เออๆ ขอคุยกับน้องหน่อย]
พี่มิวยื่นโทรศัพท์ที่วิดิโอคอลกับพี่ผ้ามาให้ผม ผมยื่นมือออกไปรับอย่างเสียไม่ได้ พี่ผ้าใบอยู่ในสภาพที่หน้าเปื้อนสีเล็กน้อย เสื้อกล้ามสีขาวเปรอะไปด้วยสีเป็นหย่อมๆ เพิ่งเห็นในลุคนี้เหมือนกันนะเนี้ย ปกติจะดูเรียบร้อยหน่อยแต่แบบนี้ก็เข้ากับหน้าซนๆของพี่ผ้าดี
[น้องก้าน สองคนนี้เป็นรุ่นน้องของพี่สมัยเรียนมหา’ลัย ไว้ใจพวกมันได้ถึงจะดูแปลกๆก็เหอะ]
พี่ผ้าพูดแล้วพยายามป้ายสีออกจากหน้าโดยใช้กล้องที่เปิดอยู่เป็นกระจก แต่มันกลับเปื้อนไปเป็นทางหนักกว่าเดิม ใบหน้าน่ารักเริ่มยุ่งเหยิงด้วยความหงุดหงิด
“ครับๆ ผมไปกินไอติมกับพี่ๆเขาก็ได้ พี่ผ้าไปล้างหน้าเถอะครับ”
ผมรีบตัดบทก่อนที่เจ้าตัวจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้
[โอเคๆ เออพี่อยากจะบอกก้านอย่างนึงนะ]
“ครับ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
[การเงียบบางทีก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด พี่ยังอยากรู้ความจริงของก้านอยู่นะ]
ผมเม้มปากเมื่อพี่ผ้าพูดจบ หันไปมองพี่กันต์กับพี่มิวที่ยืนส่งยิ้มบางๆมาให้ก็พอจะรู้ว่าพี่ผ้าหมายถึงอะไร
“ถ้าทุกคนรู้ เรื่องที่เกิดกับผมจะเปลี่ยนไปไหม”
ผมถามด้วยความอยากรู้จริงๆ เพราะตอนนี้ผมก็เหมือนนักโทษที่ศาลตัดสินว่าเป็นคนผิดจริงไปแล้ว
[ไม่จำเป็นต้องให้เรื่องราวมันเปลี่ยนหรอกเพราะเราเปลี่ยนทัศนคติของใครไม่ได้ แต่เก็บไว้คนเดียวจะดีหรอก้าน]
ไม่มีความคิดว่าจะบอกใครเหมือนกันนะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ยอมพูดออกไป หรือเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะไม่มีใครเชื่อผม
“พี่เป็นประธานอาวุโสในกลุ่มกระจายข่าวที่เร็วที่สุดในมหาลัยนะก้าน”
พี่มิวพูดแล้วยักคิ้วให้ผมเก๋าๆ
“พี่ว่าบอกความจริงให้ทุกคนรู้ดีกว่า คนไม่ผิดไม่จำเป็นต้องยืนรับก้อนหินที่คนอื่นปาใส่หรอก”
พี่กันต์พูดเสริม ผมแปลกใจเล็กน้อยที่พี่ๆเขาเชื่อว่าผมไม่ได้เป็นแบบที่เขาลือกัน ทำไมล่ะ? เพราะผมน่าสงสารหรือเปล่า
[ใช่ ก่อนหน้านี้ก้านไม่มีใครก็จริงแต่ตอนนี้ก้านมีพวกพี่และพี่จะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใครก็ตามที่พี่รู้จัก เข้าใจไหม]
สีหน้าของพี่ผ้าดูจริงจังขึ้นจนแทบจะกลายเป็นคนละคน
“ขอบคุณพี่ๆมากนะครับ ขอบคุณจริงๆ”
[เออๆ ไปกินติมกับพวกนั้นเถอะ พี่จะทำงานต่อแล้ว]
ผมตอบรับนิดหน่อยก่อนสายจะถูกตัดไป
“ทีนี้จะไปกับพวกพี่ได้หรือยัง”
พี่กันต์ถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างหล่อๆ
พวกเราย้ายกลุ่มกันมานั่งที่คาเฟ่เล็กๆหน้ามหา’ลัย พี่กันต์กับพี่มิวคุยสนุกมาก รับส่งมุกกันสนุกสนาน ทำผมหัวเราะจนแทบหมดลมหายใจ……..ไม่ได้รู้สึกสนุกแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ในวันที่ไม่ต้องกังวลว่ากลับบ้านช้าจะโดนแม่ด่าหรือเปล่า ในวันที่ไม่ต้องแคร์ว่าใครจะมองว่าผมเฟคหรือแกล้งทำตัวซื่อบื้อ ในวันที่ผมไม่เหลือทุกสิ่งทุกอย่างนี่อาจจะเป็นสิ่งดีๆที่เข้ามาในชีวิตก็ได้
“อ้าวพี่มิวพี่กันต์ สวัสดีค่ะ”
บทสนทนาที่กำลังสดใสถูกหยุดลงเมื่อมีนักศึกษาสาว3คนเดินผ่านแล้วหยุดทักทายรุ่นพี่ที่ร่วมโต๊ะกับผม
“หวัดดีค่าน้องดาว น้องกิ๊ฟ น้องเช่ เพิ่งมาหรือกำลังจะกลับเนี่ย”
พี่มิวถามกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เป็นคนมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับคนอื่นมากจริงๆ
“กำลังจะกลับค่ะ แล้ว…….”
คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดหยุดพูดแล้วค่อยๆปรายตามามองผมที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับพี่กันต์
“น้องก้านบัญชีปี2 รู้จักไหม”
พี่กันต์เป็นคนตอบแทนเพราะพี่มิวนั่งท้าวคางส่งยิ้มให้พี่ๆเขาอย่างเดียวไม่ได้พูดอะไร
“รู้จักดีเลยค่ะพี่กันต์ แล้ว……..พี่มิวไม่รู้จักหรอคะ ก้านใบบัญชีปี2”
เธอตอบพี่กันต์ก่อนประโยคหลังจะหันมาพูดเน้นกับผม ผมเผลอกัดปากเมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่อึดอัด ผมกลัวว่าจะได้ยินประโยคใจร้ายจากพี่ๆทั้งสองคน
“พี่ก็เพิ่งได้คุยกับก้านนี่แหละ น้องคุยสนุกดี”
พี่มิวยังคงพูดไปยิ้มไปเหมือนเดิม
“ว่าแต่ดาวบอกว่ารู้จักก้านดีหรอ รู้ไหมว่าก้านเกิดวันที่เท่าไหร่”
พี่กันต์พูดต่อจากพี่มิว ทั้งคู่หันมาสบตากันแล้วยักคิ้วส่งซิกบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ
“นั่นสิ รู้หรือเปล่าว่าก้านชอบทานอะไร”
ดูเหมือนว่าสองเพื่อนซี้จะกำลังทำอะไรบางอย่างที่ดูสนุก เพราะยิ้มไม่หุบเลยทั้งคู่
“หนูจะไปรู้ได้ไงพี่ ไม่ได้สนิทขนาดนั้นปะ อีกอย่างข่าวของนางดังจะตายไม่มีใครไม่รู้หรอกว่านางทำวีรกรรมอะไรไว้”
ผมชักจะโมโหขึ้นมาซะแล้วสิ พูดอะไรหัดเกรงใจกันหน่อย ผมไม่ได้ต่อว่าอะไรพวกเธอเลยสักคำทำไมมาทำตัวเสียมารยาทกับผมอย่างงี้ล่ะ
“ดาว ถ้าข่าวนั่นมันไม่ใช่เรื่องจริงขึ้นมา ดาวจะรู้สึกยังไงที่ทำลายชีวิตน้องมันด้วยน้ำลายของตัวเอง”
พี่มิวพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น น้ำเสียงก็ดุขึ้นจนผมต้องหันกลับมามองหน้าพี่เขา ดุจริงๆแฮะ ไม่มีรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าล้อเล่นเลยสักนิด
“แต่ใครๆก็พูดว่าก้านมันมีคนอื่นเลยทิ้งพี่ฟาน”
พี่อีกคนแย้งแทนเพื่อน
“แล้วไหนคนอื่นของก้านล่ะ”
พี่กันต์เองก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ผมเริ่มตื้นตันใจ พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังคลออยู่ตรงกระบอกตา ความรู้สึกที่โดนปกป้องมันดีแบบนี้สินะ….มันดีจริงๆ
“ถ้าน้องมันพูดบ้าง พวกแกจะเชื่อน้องมันไหม”
ทั้งโต๊ะเกิดความเงียบขึ้นเมื่อพี่มิวพูดจบ รู้สึกถึงแรงกดดันที่ลอยอยู่ในอากาศ
“ก้าน พูดมาสิว่ามีคนอื่นจริงไหม”
พี่มิวหันมาถามผมเมื่อเห็นว่าบรรยากาศมันเริ่มจะเงียบและอึดอัดมากเกินไป
“เปล่าครับ”
ผมตอบไม่เต็มเสียงเพราะพยายามจะกลั้นน้ำตา
“พี่ไม่ได้ยินครับ”
พี่กันต์ทำท่าเอียงคอมาฟัง ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ไหลลงมาจนได้ออกจากแก้มลวกๆ
“ผมไม่ได้มีคนอื่นและไม่ได้เป็นคนบอกเลิกพี่ฟานด้วย”
แค่ประโยคเดียวจริงๆที่ไม่สามารถบอกใครได้เลยเพราะผมไม่รู้ว่าผลที่จะตามมาเป็นยังไงและผมจะสามารถรับมันไหวหรือเปล่า
“พวกแกจะไม่เชื่อก็ได้นะ แต่บอกเลยว่าพวกพี่เชื่อก้านว่ะ”
พี่กันต์พูดแล้วก้มลงดูดน้ำปั่นที่เหลืออยู่ครึ่งแก้ว เขาช้อนตาขึ้นมามองผมที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วยักคิ้วให้ตามสไตล์ ทำเอาผมเขินจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหนเลย
“ไม่ต้องมารู้จักก้านดีก็ได้ ไปทำความรู้จักไอ้ฟานให้ดีก่อนแล้วพวกแกจะเข้าใจเรื่องที่มันกำลังเกิดขึ้นตอนนี้”
พี่มิวพูดจบก็ส่งยิ้มไปหนึ่งที
“ไอ้ฟานมันไม่ได้เป็นแบบที่พวกแกเห็นหรอกนะ จำคำพี่เอาไว้”๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘ไอ้ฟานมันไม่ได้เป็นแบบที่พวกแกเห็นหรอกนะ จำคำพี่เอาไว้’ที่พี่กันต์พูดมันหมายถึงอะไรนะ พวกพี่เขารู้งั้นหรอว่าจริงๆแล้วพี่ฟานไม่ใช่คนดีหรือเทพบุตรอย่างที่คนอื่นเข้าใจ
“ก้านใบ”
“ครับ!”
ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆก็มีใครมาเรียกข้างๆหู พอหันไปก็สบตากับเจ้านายอันเป็นที่รักยิ่งของผมเข้าเต็มๆ คุณลูซิเฟอร์นั่นเอง
“ฉันเรียกตั้งนานแล้ว เหม่ออะไร”
คนตัวใหญ่พูดพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกำลังหงุดหงิด ก็แหงล่ะเขาบอกว่าเรียกผมตั้งนานนี่นา ผมเอาแต่คิดเรื่องเมื่อเย็นอยู่ได้
คนขี้หงุดหงิดทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วเริ่มยกมือขึ้นมานวดขมับตัวเองเบาๆ
“ผมแค่ทบทวนงานที่อาจารย์สั่งวันนี้ครับ”
ผมพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้านาย
“ขออนุญาตนะครับ”
พูดจบไม่รอให้เขาอนุญาตด้วยซ้ำก็ยื่นมือไปคลายเนคไทออกให้เขาซะแล้ว
ผมเห็นเขาทำแบบนี้ประจำเวลาที่กลับมาถึงบ้าน
ดวงตาคมเปิดขึ้นอีกครั้งและมองมาที่ผมดุๆ
“ข…..ขอโทษครับ ผมแค่กลัวว่าคุณจะอึดอัด”
ผมพูดแล้วกำลังจะหดมือกลับแต่ก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้
“ไม่เป็นไร รบกวนหน่อยแล้วกัน”
ผมเกือบจะหลุดหัวเราะเมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้น มีอย่างที่ไหนเจ้านายขอรบกวนลูกน้อง
“คุณเป็นคนยังไงกันแน่ครับ”
คิ้วของเขาเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“ก็บางครั้งคุณก็ดุแล้วก็น่ากลัวมาก แต่บางครั้งคุณก็น่ารัก”
“เดี๋ยวนะ นายใช้คำว่าน่ารักกับฉันงั้นหรอ”
เขาจับมือผมให้หยุดการกระทำตรงหน้าลงเพื่อตอบคำถาม ผมเองก็เลิ่กลั่กเพราะไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าเขาน่ารัก ผมหมายความว่าอ่อนโยน ใจดี แต่รวมๆกันแล้วมันได้คำว่าน่ารักเฉยเลย แง
“เอ่อ…...ผมหมายถึง นิสัยของคุณน่ารัก”
ผมแก้ตัวอึกอักเพราะใบหน้าของคุณลูฟยื่นเข้ามาใกล้ผมเหมือนกดดันให้ผมถอนคำพูด
“หึ ยังไงคำว่าน่ารักก็ไม่เหมาะกับฉันหรอก…….”
เขายิ้มอย่างขบขัน ปล่อยข้อมือผมออกแล้วทำท่าชี้ว่าให้นวดไหล่ให้ ผมเดินอ้อมไปยืนด้านหลังแล้วลงมือนวดที่ไหล่กว้าง หุ่นของเขาสมส่วนและเท่มากจริงๆ
“ที่เธอถามว่าฉันเป็นคนยังไง”
บทสนทนาระหว่างเราเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อผมนวดไหล่ให้คุณลูฟไปสักพัก
“ครับ”
ส่งเสียงออกไปเพื่อบอกให้เขารู้ว่าผมฟังอยู่
“ฉันไม่ใช่คนดีหรอกแต่ก็ไม่ใช่คนที่แย่อะไร ฉันแยกออกว่าอันไหนควรหรือไม่ควรทำ”
“คุณใจดี”
ผมพูดยิ้มๆ
“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันใจดี”
“ก็ผมนี่แหละที่บอก คุณอาจจะใจร้ายกับคนอื่นแต่คุณใจดีกับผมนี่นา”
ได้ยินเสียงกระแอมไอในลำคอของคุณลูฟนิดหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ด่าล่ะนะที่ผมพูดมากไป
“คุณลูฟครับ”
ผมเรียกเจ้านายเสียงเบาเมื่อจะเริ่มเข้าเรื่องที่ตั้งใจพูดในวันนี้ ต้องวันนี้เท่านั้น ไอ้ก้านแกทำได้เว้ย
“ไหนใครบอกว่าเธอเป็นคนไม่ค่อยพูด ตอนนี้ทำไมถึงพูดไม่หยุดเลยล่ะ”
ผมย่นจมูกลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้เฟลอะไรเพราะน้ำเสียงเขาไม่ได้ดุ เหมือนเป็นการแหย่เล่นเสียมากกว่า
“คุณรู้ไหมว่าผมรักคิวปิดมากเหมือนผมเป็นพ่อของน้องซะเอง”
ผมพูดติดตลก
“แล้ว? จะมาขอลูกชายของฉันไปเลี้ยงหรือไง”
ผมแอบถอนหายใจเบาๆ ทำหน้าหน่ายๆลับหลังเจ้านายเสียหน่อย
“รู้ไหมว่าฉันมองเห็นนายผ่านเงาสะท้อนของทีวีด้วย”
ผมสะดุ้ง เงยขึ้นมองตรงไปข้างหน้าก็เห็นเงาที่มันสะท้อนจากทีวีจอใหญ่จริงๆอย่างที่คุณลูฟว่า และตอนนี้เจ้านายของผมก็นั่งไขว่ห้างกอดอกจ้องมองมาที่ผมด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ แถมเสื้อเชิ้ตของเขายังปลดกระดุมออกจนเห็นแผงอกล่ำๆนั่นอีก คุณพระ เซ็กซี่จนไอ้ก้านคิดบาปไปแล้วร้อยกว่าเรื่อง
“ก้านใบ”
เสียงทุ้มๆของเขาทำผมหลุดจากจินตนาการอีกครั้ง
“ข…..ขอโทษครับ”
ผมยกมือไหว้ขอโทษเจ้านายไป คุณลูฟไม่ได้พูดอะไรอีกผมจึงก้มหน้าก้มตานวดไหล่ต่อ
“คือพรุ่งนี้ที่โรงเรียนของคิวปิดมีกิจกรรมวิชาการครึ่งวันเช้าแล้วครึ่งวันบ่ายก็กลับบ้านได้เลย ผมอยากให้คุณไป…….”
“ฉันไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอกนะ”
ผมยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ คุณพ่อใจร้ายตอบเร็วมาก
“แต่แค่ครึ่งวัน…..”
“ก้านใบ เธอคิดว่าฉันมีทุกอย่างได้อย่างในทุกวันนี้เพราะอะไร เพราะฉันไปกิจกรรมของโรงเรียนหรอ”
เจอคำนี้เข้าไปไอ้ก้านถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก สมองกำลังประมวลหาวิธีที่มันพอจะเป็นไปได้ที่เขาจะยอมอ่อนให้ผม
ถึงคุณลูฟจะดูใจร้ายแต่มีความเป็นพ่อคนสูงมาก เขาพยายามทำให้คิวปิดมีความสุขแม้จะใช้วิธีกากๆและทำให้น้องเข้าใจผิดว่าพ่อไม่รักก็เถอะ เพราะงั้นสิ่งที่จะทำให้คนปากแข็งใจอ่อนลงคืออะไร
“ถ้าคิวปิดมาขอร้องคุณล่ะครับ”
มือของผมที่วางนิ่งอยู่บนไหล่กว้างค่อยๆขยับเลื่อนลงตามลาดไหล่ กลายเป็นว่าเหมือนผมโอบกอดรอบคอของเขาเอาไว้ ทำลงไปโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเพราะกำลังคิดว่าถ้าเป็นผม ผมจะขอร้องพ่อยังไงดี
“นี่เธออ่อยฉันงั้นหรอ”
น้ำเสียงติดไม่พอใจนั่นไม่สามารถทำให้ผมหลุดจากความคิดของตัวเองได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนดุพูดว่าอะไรแต่แค่รู้ว่าน้ำเสียงเขาดุ เป็นเพราะเรื่องนี้มันเปราะบาง ต้องคิดหาวิธีอย่างรอบคอบ
และผมจะใช้ความเป็นลูกชายที่มีพ่อโคตรเท่นี่แหละในการขอร้องเจ้านายของผม
“คุณพ่อครับ”“.........”
“ไปงานโรงเรียนกับผมนะครับ”
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ย่องมาอัพอย่างสำนึกผิดแล้วจากไปช้าๆ ช่วงนี้รู้สึกร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้นั่งแต่งนิยายนานๆไม่ได้เลยค่ะ รู้สึกผิดที่อาทิตย์ที่แล้วไม่ได้ลงแล้วไม่ได้แจ้งด้วย ขอโทษคร้าบ