#กลิ่นเลมอนในวันวาน (07/01/2020 ประกาศ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #กลิ่นเลมอนในวันวาน (07/01/2020 ประกาศ)  (อ่าน 5210 ครั้ง)

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


====================


กลิ่นเลมอนในวันวาน


ผมยังจำวันที่เราร้องไห้ด้วยกันได้

ผมยังจำวันที่พวกเราหัวเราะด้วยกันได้

ผมยังจำทุกวันที่พวกเรามีให้กันได้...แม้ว่าคุณจะไม่ได้ยืนเคียงข้างแล้ว

ในขณะที่คุณส่งคนใหม่ลงมาอยู่เป็นเพื่อนของผมแทน


ผมก็ไม่มีวันที่จะลืมคุณไปจากความทรงจำได้เลย


====================



สารบัญบท


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-01-2020 18:44:05 โดย ต้นเกลือ »

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทนำ

 

ผมฝัน...

กลิ่นอบอวนของดอกไม้หลากชนิดมันฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ ตัวของผมกำลังเดินไปในเส้นทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุด รอบข้างเต็มไปด้วยกลุ่มผกาและละอองสายฝนที่ตกลงมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองถือร่มตอนไหน แต่เท้าของผมก็ยังคงก้าวเดินต่อไปจนกระทั่งผมเห็นต้นเลมอนใหญ่ยืนต้นโดดเดี่ยวบนเนินเล็กๆ ยิ่งเข้าใกล้ กลิ่นเข้มข้นของเลมอนก็ยิ่งรุนแรง เมื่อสายลมพัดผ่านก็นำพาใบไม้จากต้นไม้นั้นร่วงหล่นลงมาที่มือของผมอย่างแผ่วเบา

ราวกับว่ามีน้ำเสียงของใครสักคนกำลังปลอบโยนผมจากข้างหลัง ผมจับความประโยคไม่ได้ และเมื่อผมหันหลังกลับไป...

ฉึ่ก

ใบมีดที่ปักกลางหัวใจของผมสร้างความเจ็บปวดรวมร้าวไปทั้งตัว ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ สติของผมมันค่อยๆหมดลงไป

แต่ทว่าน้ำเสียงปลอบโยนนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

‘ไม่เป็นอะไรนะครับ...ผมจะอยู่ข้างๆพี่เอง...’

 

อยู่ข้างๆ...ขอบคุณนะ...

แล้วผมก็ล้มลงใต้ต้นเลมอน ท่ามกลางกลิ่นสายฝน ดอกไม้ และความรู้สึกอบอุ่นที่กำลังครอบครองหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมก็เชื่อมั่นว่าตัวตนของเขายังคงอยู่ในหัวใจของผม

ตัวตนของเขา...ยังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของผม


==========


29 กันยายนเป็นวันที่พี่นทีเกิดมาบนโลกใบนี้และเป็นวันที่เราตัดสินใจลงนิยายค่ะ เอ้า ฉลอง!

ช่วงเย็นๆเราจะมาลงบทที่ 1 นะคะ แต่แบ่งพาร์ท 50% เพราะเราเขียนไว้ยาวมาก ยาวจริงๆ ยาวจนไม่รู้ว่าจะแข่งกับอะไร แง้

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ติดตามค่ะ  :yeb:

 :pig4:

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 1

 

กลิ่นสายฝนเป็นกลิ่นที่ทำให้จิตใจของผมสงบและสามารถทำลายความวุ่นวายที่วนเวียนในสมองได้เป็นอย่างดี

ผมกำลังนั่งเล่นกีตาร์คลอเสียงฝนไปเบาๆภายในห้องหอที่ไม่กว้างนักคนเดียว สายตาเหม่อออกไปข้างนอกเพื่อดูเม็ดน้ำที่หยดลงมาจากระเบียงชั้นบนห้องของผม ท้องฟ้าเป็นสีเทา แต่ไม่ได้เทามืดจนน่ากลัวหรือมีเสียงฟ้าร้องกับฟ้าผ่า มันเป็นเพียงแค่ฝนที่ตกลงมาสร้างความชุ่มฉ่ำหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใครหลายคนเท่านั้น ข้างๆตัวของผมมีแก้วมัคลายใบไม้สีขาววางเอาไว้พร้อมกับโกโก้ร้อนที่ชงไว้ดื่มผ่อนคลาย

เพลงใหม่ที่ผมต้องแต่งเพื่อส่งอาจารย์ในคณะ...ยังมีเวลาอีกตั้งนานในการคิด แต่ผมก็อยากให้มันเสร็จไวๆเพื่อลดภาระงาน ดังนั้นแล้วจึงต้องมาหาไอเดียโดยการเล่นคลอเสียงน้ำฝนอย่างนี้ กระถางต้นเลมอนเล็กๆที่ปลูกตรงระเบียงของผมกำลังถูกละอองฝนสาดใส่ แต่มันคงไม่เป็นอะไรมาก นอกจากนี้ผมยังปลูกดอกไม้หลากชนิดไว้เต็มไปหมดจนคนในหอเดียวกันบอกว่าผมกำลังจะยึดที่นี่ด้วยต้นไม้ ผมไม่ได้อยากจะยึด ผมแค่อยากจะปลูกเอาไว้ดูเพลินตา โดยเฉพาะกลิ่นของดอกไม้ที่จะส่งกลิ่นในช่วงกลางคืนนั้นมันทำให้ผมนอนหลับสบายและตื่นมาพร้อมกับความสดชื่นอยู่เสมอ

โต๊ะของเตียงนอนเล็กๆของผมมีกรอบรูปตั้งเอาไว้อยู่ รูปข้างในนั้นเป็นกำลังสำคัญในชีวิตของผมที่ทำให้ผมอยากจะใช้ชีวิตต่อไป แน่นอนว่านั่นคือรูปครอบครัว ต่อให้ชีวิตมันจะยากขนาดไหนผมยังต้องทำเพื่อครอบครัวของผม ผมอยากให้ทุกคนมีความสุข ถ้าผมจำไม่ผิดรูปนั้นน่าจะถ่ายตอนอยู่ชั้นม.ต้นได้

สมัยที่ครอบครัวของผมยังมีสี่คน

มันเศร้าที่ต้องสูญเสีย แต่ผมต้องเดินต่อไปทั้งที่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินวนเวียนเป็นวงกลมอยู่อย่างนั้น ผมเคยมีความฝันที่จะขึ้นไปบนเวทีแล้วร้องเพลงออกมาสุดเสียงพร้อมกับอีกคน ทว่าเมื่อคนคนนั้นไม่ได้อยู่เคียงข้างแล้วผมก็ไม่รู้ว่าผมควรจะทำมันต่อหรือไม่ มันจะกลายเป็นการทรยศหรือไม่ถ้าผมจะก้าวต่อไปโดยไม่มีอีกคนอยู่ในความฝันนั้นด้วย สุดท้ายผมก็เลือกที่จะปลีกตัวออกมาจากความฝันนั้นมาทำในสิ่งที่ผมสบายใจกว่าในมุมเล็กๆของวงการดนตรี ผมยังสามารถอยู่กับสิ่งที่ผมรักได้ แต่ผมเลือกที่จะอยู่กับสิ่งที่ทำให้ผมไม่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้

เคยมีคนบอกว่าทำไมผมถึงไม่ทำกิจกรรมเพื่อมหาลัยเหมือนเดือนมหาลัยรุ่นก่อนๆที่ทำเกือบทุกอย่าง ผมส่ายหน้าปฏิเสธไป เพราะว่าผมไม่อยากให้ตัวเองเด่นก็เท่านั้น เป็นเดือนมหาลัยมันก็หนักหนาผมมากพอแล้ว แถมยังได้เป็นด้วยความไม่ตั้งใจเสียด้วย

ตอนที่ผมอยู่บนเวทีประกวด ผมทำแค่เล่นดนตรีไปอย่างไร้ชีวิต มันไม่มีค่าอะไรถ้าไม่มีคนที่ผมอยากให้ยืนอยู่ข้างๆด้วยมาเล่นด้วยกัน ดังนั้นผมจึงทำแค่เล่นพอให้รู้ว่าเล่น แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเลือกให้ผมเป็นหน้าเป็นตาของที่นี่

มันผ่านไปสองปีแล้ว คนก็น่าจะลืมกันแล้วล่ะว่าที่นี่เคยมีเดือนมหาลัยชื่อว่านที ไมตรีจิตอยู่

ตอนนี้ผมเป็นนักศึกษาเอกประพันธ์ของคณะดุริยางค์ปีที่สาม ใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่ายมาโดยตลอด การเรียนคะแนนก็ไม่ได้ดีเยี่ยมแต่ก็ถือว่าใช้ได้ วันๆผมก็เรียน เข้าห้องซ้อม กลับหอ แต่งเพลงพร้อมกับมองดอกไม้ตรงระเบียง ตกดึกเข้านอน มันวนอยู่เท่านี้โดยที่ผมไม่เคยรูสึกเบื่อเลย นานๆทีถึงจะออกไปกับเพื่อน แต่ก็ไม่ได้ไปกับเพื่อนในคณะบ่อยนัก เพราะผมติดเพื่อนต่างคณะที่เคยเรียนด้วยกันสมัยมัธยมมากกว่า ถึงจะติดเพื่อนแต่ผมเองก็รู้เวลาส่วนตัวของเขากับแฟนที่ต้องใช้ร่วมกัน ดังนั้นแล้วผมจะเป็นคนในวงจรที่สองของเขาก็ไม่แปลก

คนที่ผมคุยด้วยกันบ่อยสุด...ก็คงจะเป็นเด็กปีสองจากคณะอักษรที่อยู่ห้องข้างๆ ห้องของผมเป็นห้องริมสุดระเบียง ส่วนระเบียงห้องข้างๆนั้นไม่มีอะไรมากั้นไว้เพื่อความส่วนตัว บางวันช่วงกลางคืนเหงาๆกันทั้งคู่ก็ออกมานั่งคุยพร้อมกับแบ่งขนมกินด้วยกันนิดๆหน่อยๆ เขาชอบบอกว่าดอกไม้ตรงระเบียงผมมันส่งกลิ่นมาถึงห้องของเขา ผมก็หัวเราะแล้วแบ่งให้ไปต้นหนึ่งบอกว่าเป็นของขวัญวันเกิด

ความจริงผมรู้จักเขาค่อนข้างดีเลย ในเมื่อสมัยมัธยมเขาเองก็เป็นรุ่นน้องในโรงเรียนเดียวกันกับผม แถมยังเป็นน้องชายเพื่อนสนิทอีกด้วย

มีนา สิริกุลคือชื่อของเขา เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะประหลาด เรียกได้ว่าถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวก็คงไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนแบบไหน กุมภ์เพื่อนสนิทของผมบอกว่ามีนาเป็นเด็กขี้หวงแต่ก็ดื้อเงียบ ผมเลยตอบไปว่าไม่ใช่แบบนั้น มีนาในสายตาของผมออกจากเป็นเด็กที่เก็บตัวในห้องเสียมากกว่า ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เวลากลับมาที่หอบางวันผมก็เห็นเขากำลังนั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟ เดินไปไหนมาไหนก็สวมเฮดโฟนสีฟ้าพร้อมกับเสื้อคลุมสีฟ้า เป็นมนุษย์สีฟ้าโดยสมบูรณ์

เขาไม่เคยพาใครมาที่ห้อง ผมเองก็เหมือนกัน อาจจะเพราะมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกันเลยทำให้ผมกับมีนาสนิทกันค่อนข้างเร็ว อย่างแรกก็คงเป็นตรงที่ภายนอก ผมถูกมองว่าเป็นคนร่าเริง สามารถเข้าหาผู้คนได้อย่างง่ายดายในขณะที่จริงๆแล้วผมไม่ชอบทำความรู้จักกับคนหมู่มาก มันเป็นนิสัยของผมที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆจากการย้ายโรงเรียนบ่อยที่ทำให้ผมไม่อยากรู้จักหรือสนิทกับใครมากนักเพราะสุดท้ายผมก็ย้ายหายไปจากชีวิตของพวกเขา ส่วนมีนาจะถูกมองว่าเป็นคนอัธยาศัยดี สามารถปรึกษาได้ทุกอย่างทั้งที่ความจริงแล้วมีนาเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคมวุ่นวาย ไม่อยากสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนเยอะแยะเพราะเขาไม่อยากจำว่าใครเป็นใครหรือมีความสำคัญอย่างไรยกเว้นจำเป็นจริงๆเท่านั้น

อย่างที่สองทั้งผมและมีนาต้องเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมากจนกลายเป็นกำแพงสำหรับใครหลายคน ไม่คนมากมายที่ไม่เข้าใจความคิดของพวกเราว่าต้องการอะไรและยอมแพ้กัน ส่วนผมกับมีนาก็ไม่ได้สนใจ—อ่า ถ้าให้พูดง่ายๆก็คือมีคนจีบเยอะ ของผมแน่นอนว่าผู้หญิงเข้าหาประจำ ส่วนมีนาจะเป็นผู้ชายเข้าหาเยอะเพราะเขาหน้าตาน่ารักตัวเล็ก แต่ด้วยความที่ความคิดของพวกเราไม่เหมือนชาวบ้านเลยทำให้ไม่อยากคุยต่อ ต่อให้คุยต่อพวกเราก็จะต่อกำแพงนั้นให้สูงกว่าเดิมเพราะไม่อยากให้ใครรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวกันง่ายๆ

แต่ถึงอย่างนั้น ผมว่าตัวผมเองเข้าถึงง่ายกว่ามีนาอยู่มาก

ฝนข้างนอกเริ่มซา ผมถอดหูฟังออก วางกีตาร์ลงที่มุมห้องแล้วเปลี่ยนมาเป็นดื่มโกโก้ในแก้วให้หมด มองนาฬิกาพลางคิดถึงเด็กข้างห้องที่ต้องกลับมาในเวลานี้แล้ว เขาคงจะติดฝนอยู่ที่ไหนสักที่ ผมไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับมีนาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทของผม มันเจ็บปวดหัวใจ มันทำให้หัวใจของผมหลุดออกจากร่างครั้งหนึ่งจากความเป็นห่วงเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิต แต่ผมก็ยอมรับว่าจิตใจของเพื่อนผมนั้นมันแข็งแกร่งมากที่สามารถอดทนผ่านมันมาได้ ถ้าเป็นผมคงจะสติแตกไปตั้งแต่ห้านาทีแรกที่เสียนิ้วก้อยข้างซ้ายไปแล้ว

เมื่อดื่มโกโก้ในแก้วหมด ผมก็เอาแก้วนั้นไปล้างที่อ่างเคาน์เตอร์ครัวเล็กๆ เปิดตู้เย็นขนาดพอแช่น้ำว่ามีอะไรให้กินเล่นมั้ยและเห็นว่ามีกล่องสี่เหลี่ยมใส่วุ้นเล็กๆอยู่ มันเป็นวุ้นที่มีนาทำมาฝากจากคอนโดพี่เดือนแฟนของกุมภ์ เขาบอกว่าว่างๆเลยขอไปยืมครัวใหญ่ที่ไม่เคยได้แตะจากสองคนนั้นทำขนมเอามาแบ่งกันกิน ผมยอมรับว่าขนมของมีนาอร่อยมากแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างง่ายๆเช่นวุ้นในกล่องนี้ อาจจะเพราะกลิ่นหอมจางๆของเลมอนที่มีนาชอบใส่ลงไปเลยทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคย

กลิ่นของเลมอน...ที่น้องชายแท้ๆของผมชอบ

มันชวนให้นึกถึงอดีตอันแสนหวานอยู่เสมอ มีนามีหลายส่วนที่คล้ายกับน้องชายของผมเหลือเกิน

แม้กระทั่งตรงริมระเบียงของเขายังชอบวางเลมอนหั่นแห้งเอาไว้ให้ส่งกลิ่น เวลาที่ลมพัดผ่านมามันก็จะมาผสมกับกลิ่นดอกไม้ของผมจนตีกันไปหมด แต่ทว่าผมกลับไม่รู้สึกฉุนเลยสักนิด

แกรก

เสียงประตูดังขึ้นมาแบบนี้แสดงว่าเขากลับมาแล้วสินะ?

สบายใจขึ้นมานิดหน่อยเมื่อรู้ว่ารุ่นน้องคนสนิทกลับมาจากมหาลัยแล้ว ผมหยิบวุ้นเข้าปากทีละชิ้น รสชาติของเลมอนมันหอมกรุ่นในปาก ผมไม่รู้ว่าตัวเองกินเพลินจนหมดกล่อง น่าเสียดายเหมือนกันแต่ถ้าผมไม่กินในวันนี้ วันหลังจะเสียจนต้องโยนทิ้งอยู่ดี มันก็คงคล้ายๆกับความทรงจำแย่ๆที่เก็บเอาไว้ต่อไปมันก็จะมีแต่ส่งผลเสียต่อตัวเรา สุดท้ายเราก็ต้องเลือกที่จะปล่อยให้มันเป็นเรื่องราวที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเท่านั้น

เช่นเดียวกันกับเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้นในสมัยผมยังเด็ก ผมถูกคนอื่นแกล้งเป็นประจำเพราะผมไม่กล้าออกความเห็น ไม่กล้าเล่นกับคนอื่น อ่อนแอและขี้แง แต่ในวันนี้ผมก็เลือกที่จะเดินออกมาจากจุดนั้นเพื่อเข้าหาวันที่ดีกว่า

แม้ว่าจะมีเพียงเรื่องเดียวที่ผมไม่สามารถปล่อยให้มันผ่านพ้นไปได้

วันนั้นมันเป็นวันที่ผมควรจะดีใจที่สุดที่สามารถทำตามความฝันของผมได้ ผมยืนอยู่บนเวที กำลังส่องประกายท่ามกลางแสงไฟของสถานที่แห่งนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับสลายเพราะอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น

บรรดาผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณหลังของงานโอเพ่นเฮาส์ประจำโรงเรียนบาดเจ็บมากมายจากเครนที่ถล่มลงมา และน้องชายของผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ทว่าโชคไม่เข้าข้างนัก

น้องชายผมเสียคาที่


นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่กล้าที่จะขึ้นแสดงอะไรอีกต่อไป เพราะผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่ไม่ดี อย่างตอนประกวดดาวเดือนของมหาลัยก็ทำให้ความทรงจำเลวร้ายของผมมันวนกลับมาอีกครั้ง เหมือนผมเป็นคนพาดวงซวยเข้าหาคนอื่น ในคืนนั้นพี่เดือนประสบอุบัติเหตุจนเข้าโรงพยาบาลเอาชีวิตเกือบไม่รอด กุมภ์ใจเสียมาก ส่วนผมก็พยายามอยู่ในนิ่งมากที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองสติแตกออกมา ไม่มีใครรู้ว่าผมนั้นเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ ถึงจะไม่ได้กินยาเหมือนช่วงที่น้องเสียแรกๆแล้วแต่ผมก็ยังมีโอกาสที่จะกลับไปนึกถึงวันเหล่านั้นได้

ผมอยากเข้มแข็งเหมือนพวกเขา สามารถผ่านวันแย่ๆด้วยกันได้

“ถ้าชาติหน้ามีจริง...พี่อยากให้พวกเราเกิดมาเป็นพี่น้องกันอีกนะ”

ผมกระซิบบอกคนในรูปที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนานหลายปีแล้ว พ่อแม่บอกผมว่าผมเป็นคนเก่งที่สามารถอดทนมาได้ตลอด แต่ความจริงแล้วผมก็แอบร้องไห้ไปหลายครั้งเหมือนกัน ทำไมผมถึงออกมาจากจุดนั้นไม่ได้เสียที ทำไมผมไม่สามารถลืมเรื่องของเขาได้ ซึ่งคำตอบที่ผมให้ได้นั้นก็คือผมไม่อยากลืมเรื่องราวที่พวกเรามีให้กันเลย มันมีทั้งส่วนที่เต็มไปด้วยความสุขและความเศร้า เต็มไปด้วยวันที่สดใสและมืดหม่น เต็มไปด้วยวันที่ฝนตกและแดดออก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็ยังคงอยู่ด้วยกัน

ผมวางกรอบรูปลง ขึ้นไปนอนหงายบนเตียงแล้วมองออกไปยังระเบียงอย่างที่ทำประจำ ไม่มีอารมณ์จะเปิดโทรศัพท์ออกมาเช็คอะไรทั้งสิ้น ผมเป็นคนไม่มีเพื่อนเยอะ แต่ในกลุ่มแชทนั้นก็เต็มไปด้วยข้อความที่ไม่ได้อ่านนับร้อยจากคนในเอก ผมไม่รู้ว่าเขาจะคุยอะไรกันนักหนา พอเปิดอ่านก็เป็นเรื่องของคนนู้นคนนี้ออกไปนั่นนี่ บางครั้งไปร้านเหล้าก็เอามาลงกลุ่มทั้งที่ไม่จำเป็นต้องรายงานขนาดนั้น หรือว่าพวกเขาต้องการหาคนไปเก็บศพก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

พวกเขาบอกว่าผมเป็นมนุษย์ติดบ้าน ผมว่ามันก็เป็นเรื่องจริง ห้องของผมคือสถานที่ที่ทำให้ผมสบายใจที่สุดเมื่อได้อยู่ ไม่อึดอัด สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ และที่สำคัญที่สุดก็คือผมไม่จำเป็นต้องมากลัวว่าจะไปทำให้ใครเป็นอะไรเข้า

มันเป็นเพียงความกลัวของผมที่เกิดจากหลายๆอย่างรวมกันจนผมกลายเป็นที่มองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย

ก๊อก ก๊อก

“พี่นทีครับ ผมเอาของมาคืน”

เสียงดังจากหน้าประตูทำให้ผมนึกได้ว่าเด็กอักษรข้างห้องผมเขายืมเครื่องเล่นแผ่นซีดีเก่าๆของผมไปใช้ ผมจึงเปิดประตูออกมาและเห็นว่ามีนากำลังยืนตัวเปียกน้ำฝนทั้งๆที่ถือของในมืออยู่

“ทำไมไม่ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวก่อนล่ะมีนา เดี๋ยวก็ไม่สบายเอา”

“ผมกลัวลืมคืนของให้พี่ก่อนน่ะครับ ขอบคุณมากนะ” มีนายื่นเครื่องเล่นแผ่นซีดีที่ห่อด้วยถุงผ้าและพลาสติกกันน้ำเอาไว้อย่างดีมาให้ ผมพยักหน้าก่อนที่จะปิดประตู

ทั้งผมและมีนาไม่ค่อยชอบพูดตั้งแต่ขึ้นมหาลัย เจอหน้ากันถ้าไม่ใช่เรื่องที่สำคัญหรืออยากจะระบายอะไรก็จะไม่รั้งอีกฝ่ายเอาไว้นาน ดังนั้นแล้วเมื่อครู่จึงไม่ใช่การเสียมารยาทให้ต่อกันทั้งสิ้น

เครื่องเล่นซีดีเครื่องนี้อยู่กับผมมาตั้งแต่จำความได้ ผมเอาไว้เปิดเพลงฟังเวลาที่เหงาๆและไม่อยากใช้โทรศัพท์ แผ่นเพลงที่ผมชอบตอนนี้ก็แทบจะเปิดไม่ติดแล้วด้วยซ้ำเพราะจากการเปิดบ่อยๆ แผ่นเพลงนั้นนอกจากจะเป็นแผ่นโปรดของผมแล้วยังเป็นแผ่นเพลงโปรดของน้องชายของผมด้วย

“...”

ผมรื้อหาแผ่นเพลงที่เก็บเอาไว้ในกล่องจนกระทั่งเจอตลับซีดีเก่าๆ มันไม่มีหน้าปกอัลบั้มแล้วเพราะขาดไปตั้งแต่ก่อนที่น้องผมจะเสีย เพลงนี้เป็นเพลงที่ทำให้ผมอยากเล่นดนตรีขึ้นมากับเขา เป็นเพลงที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เป็นเพลงที่ทำให้ผมเริ่มจับกีตาร์และน้องผมเริ่มจับคีย์บอร์ด ที่บ้านต่างบอกว่าโตขึ้นมาพวกเราคงจะไปฟอร์มวงดนตรีเป็นนักร้องกัน พวกเราหัวเราะ แล้วก็บอกว่าให้จับตาดูเอาไว้ว่าจะมีชื่อของผมและน้องอยู่บนปกแผ่นซีดี จนมาในวันนี้ถ้าเกิดว่าผมยังคงทำตามสิ่งนั้นต่อ ก็จะมีแค่ชื่อของผมคนเดียวเท่านั้น

ผมอยากเดินเส้นทางนี้ไปพร้อมกับน้องชายสองคน ไม่ใช่แค่คนเดียว

ผมรู้ว่ามันฟังดูเพ้อ แต่ผมยังคงรู้สึกว่าน้องชายของผมยังวนเวียนอยู่รอบๆตัวตลอด ราวกับว่าเขาไม่อยากให้ผมเหงา ไม่อยากให้ผมอยู่ตัวคนเดียวกับอดีตที่ทั้งหวาน เปรี้ยว และขมเหมือนรสชาติของเลมอนแบบนี้

หวาน...ความรู้สึกที่พวกเราได้เล่นดนตรี ร้องเพลงด้วยกัน

เปรี้ยว...ความรู้สึกที่พวกเราได้เผชิญสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกัน

และขม...ความรู้สึกที่สุดท้ายแล้วก็เป็นผมคนเดียวที่ยังคงเดินต่อไป

ผมใส่แผ่นลงไปยังเครื่องเล่นซีดี เสียงขาดๆหายๆบ้างแต่ผมก็ยังคงฟังมันท่ามกลางเสียงฝนอยู่อย่างนี้

ก๊อก ก๊อก

ผมเดินไปเปิดประตูออกอีกครั้ง มีนายังคงตัวเปียกเหมือนเดิม แต่ในมือของเขามีกล่องอะไรส่งกล่นหอมและมีไออุ่นออกมาด้วย

“ฝนตกแบบนี้...ถ้าได้กินอะไรร้อนๆก็คงจะรู้สึกดีกว่าใช่มั้ยครับ? ผมเอาข้าวผัดมาให้พี่เพราะยังไงวันนี้ก็ออกไปไหนไม่ได้แล้ว” ว่าแล้วมีนาก็ส่งยิ้มบางๆให้ “ผมชอบเวลาที่ฝนตกแบบนี้นะครับ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวเก่าๆที่เกิดในอดีต ตอนผมเด็กๆผมชอบออกไปเล่นน้ำฝนจนตัวเองไม่สบาย พี่ต้องเป็นคนดูแลผมทั้งวัน”

ผมหัวเราะ ความใส่ใจเล็กๆน้อยๆของมีนานั้นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยเข้าไปใหญ่ บอกแล้วว่านับวันผมยิ่งมองมีนาเป็นน้องชายแท้ๆอีกคน

“เอามาให้พี่แล้วเราล่ะกินข้าวรึยัง? อย่าลืมไปเช็ดผมเช็ดตัวด้วย ไม่สบายเอาขึ้นมาลำบากนะ”

“ผมจะไปแล้วล่ะครับ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะ”

ผมปิดประตูอีกครั้ง กลับเข้าสู่โลกของตัวเองที่มีเสียงเพลงขับเรื่อยๆ ข้าวผัดที่จะกลายเป็นมื้อเย็นอยู่ในมือของผม เมื่อเปิดฝากล่องออกมาก็ยิ่งส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องเล็กๆ ผมลงมือรีบกินก่อนที่จะเย็นหมดเสียก่อน มีนาใส่แต่ของที่ผมชอบลงไป ผมเคยถามว่าเขารู้ได้ยังไงว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร เขาก็บอกแค่ว่าดูเอาจากตอนที่ผมกินข้าวด้วยกันสมัยเรียนมัธยม

มีนาเองก็เพื่อนไม่เยอะเหมือนผม รู้จักไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็จะอยู่กับพี่ชายตัวเองในโรงเรียนเสียมากกว่า แต่เมื่อเข้ามหาลัย เขาก็ไม่คิดที่จะไปรบกวนพื้นที่ของพี่เดือนและกุมภ์ เลือกที่จะมาอยู่หอห้องข้างๆผม ทีแรกผมเองก็อยากจะให้เขามาอยู่ในห้องเดียวกันเพื่อหารค่าหอ แต่คิดไปคิดมาเขาก็น่าจะเหมือนผมที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากกว่าการประหยัดเงิน

ผมจัดการข้าวในกล่องหมด เอาไปล้างแล้วตั้งใจจะคืนพรุ่งนี้ บางทีผมอาจจะทำอาหารอะไรนิดๆหน่อยๆตอบแทนข้าวในวันนี้ด้วย และเมื่อผมมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าฝนนั้นได้หยุดลงแล้ว แทนที่ด้วยท้องฟ้าสีมืด ไม่มีดาวบนท้องฟ้าให้เห็นเหมือนที่บ้านเกิด มีเพียงแค่แสงไฟนีออนจากตึกใหญ่และบ้านเรือนที่ส่องแสงให้ผมเห็นเท่านั้น

ใกล้ได้เวลานอนแล้ว...ในที่สุดวันนี้ก็ผ่านพ้นไปอีกวัน ผมเองก็หวังว่าในวันพรุ่งนี้กลิ่นหอมของดอกไม้ตรงระเบียงจะทำให้ผมรู้สึกสดชื่นอย่างเช่นเคย

 

“ปีนี้มีแต่คนบอกว่าอยากให้เดือนมหาลัยปีสามออกงาน ตั้งแต่ขึ้นปีสองมาได้ข่าวว่าเงียบเข้าเมฆไปเลยนี่นา?”

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะจำหน้าเดือนมหาลัยได้ ต่อให้หล่อแค่ไหนหรือทำอะไรกูก็ไม่รู้จักหรอกว่าเดือนปีสามนั่นเป็นใคร”

“ไม่เคยเข้าเพจกองประกวดเดือนมหาลัยเหรอ? เลื่อนดูโพสไกลๆหน่อยก็เห็นเองนั่นแหละหน้าเดือนมหาลัยปีสามที่เขาเล่ากันว่าโคตรตำนานมนุษย์ลึกลับ”

ผมนั่งถอนหายใจรดจานข้าวตัวเองในโรงอาหารใต้คณะระหว่างฟังบทสนทนาของคนสองคนจากโต๊ะไม่ห่างกัน เดือนมหาลัยปีสามที่ว่ากันน่ะกำลังนั่งใส่แว่นตาหนาเตอะ มัดผมประบ่ารวบเข้ากันกระเซิงไม่เป็นทรงอยู่นี่ไง ถ้าไม่สังเกตดีๆก็ไม่รู้กันหรอก แต่ผมพอใจที่จะเดินไปไหนมาไหนแบบนี้มากกว่า มีคนจำผมได้เหมือนกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร

กีตาร์ที่แบกมาด้วยก็ตั้งใจว่าจะเอามานั่งดีดเล่นที่สวนหลังตึกคณะ ตึกคณะของผมจะว่าเป็นตึกที่วุ่นวายน้อยที่สุดในมหาลัยก็คงได้ เพราะต่างคนก็ต่างต้องซ้อมหรือเขียนเพลงของตัวเอง เป้าหมายส่วนใหญ่ของคนในคณะนี้ก็คือทำงานในวงการดนตรี อาจารย์ในคณะส่วนใหญ่ก็เป็นนักดนตรีหรือผู้เชี่ยวชาญดนตรีสายนั้นๆมาสอน มีเชิญวิทยากรจากข้างนอกเข้ามาให้ความรู้เพิ่มเติมบ้าง ประวัติศาสตร์ดนตรีไม่ใช่ปัญหาของผม ผมชอบจึงศึกษาและทำความเข้าใจกับมันมาตลอดโดยสามารถจำต้นกำเนิดจนไปถึงข้อมูลยิบย่อยในแต่ละยุคได้ ส่วนเป้าหมายของผมนั้นมันไม่ใช่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เลย คนอื่นยังบอกว่าเสียดายด้วยซ้ำที่ผมตัดสินใจมาทางนี้

แต่ทำยังไงได้...ในเมื่อผมคิดมาดีแล้วว่าหัวใจผมมันต้องการในสิ่งนี้มากกว่า

“ว่าไงครับคุณเดือนมหาลัยปีสาม”

ผมหันไปตามเสียง พี่สองตบบ่าผมเบาๆพร้อมกับพี่ดังโงะที่เดินถือจานข้าวมาด้วยกัน พวกเขาเป็นรุ่นพี่ปีสี่ในคณะของผมแต่คนละเอกกัน พี่สองอยู่เอกเปียโน ส่วนพี่ดังโงะอยู่เอกกีตาร์ สาเหตุที่ทำให้พวกเรามาสนิทกกันได้อาจจะเพราะงานโอเพ่นเฮาส์ของมหาลัยเมื่อปีที่แล้วที่ผมถูกจับพลัดจับพลูให้มาช่วยแต่งเพลงใหม่ใช้สำหรับในงาน ทั้งสองคนเป็นคนที่เอาใจใส่รุ่นน้องในคณะราวกับว่าเป็นคนในครอบครัวจริงๆ พี่สองจะออกแนวพี่ชายคนโต คอยถามไถ่เสมอว่าไหวมั้ย ไม่สบายใจอะไรรึเปล่า เป็นที่ปรึกษาที่ดีในขณะที่พี่ดังโงะจะออกเป็นคุณพ่อที่คอยดูอยู่ห่างๆ พยายามให้พวกเราได้แก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อนที่จะเข้ามายื่นมือช่วยแนะนำทางที่ถูกให้

แต่ถึงอย่างนั้น...สำหรับผมก็ไม่มีใครเป็นเหมือนคนในครอบครัวได้มากกว่ามีนา

“พวกพี่ไม่มีเรียนเช้านี่นา? มาทำไมตอนนี้?”

“พอดีว่าจะมาเทรนเดือนคณะคนใหม่ แล้วบังเอิญว่าพวกกลุ่มที่จะฝึกเด็กมันอยากให้มึงไปดูงานน้องสักนิด” พี่สองยักไหล่ นั่งลงตรงข้ามกับผมแล้วตักข้าวเข้าปาก “พวกมันขอให้มาดึงมึงไปหน่อย”

“ถ้าให้ดูน่ะดูได้นะพี่ แต่ผมไม่ลงช่วยอะไรนอกจากนั้นนะ” ผมส่ายหน้า ทำอะไรไม่เคยถามสักคำตลอดพวกนี้ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนักในเมื่อโยนหน้าที่มาให้ทำแล้วก็ต้องทำ

นิสัย...ที่ว่าเป็นข้อเสียของผมอาจจะเป็นเรื่องที่ปฏิเสธงานที่โดนยัดเยียดมาไม่เก่ง ทำให้กลายเป็นบุคคลสาธารณะในบางครั้ง แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้บ่อยมากจนทำลายแผงผังตารางชีวิตของผมที่ต้องการอยู่เงียบๆแล้วจบออกไปอย่างเงียบๆ

“พวกนั้นสัญญาแล้ว มันก็รู้ดีว่ามึงไม่เอาอะไรเลย”

“ความจริงพี่ไม่ค่อยอยากให้นทีไปยุ่งกับพวกนั้นเท่าไหร่หรอก ถึงจะสัญญาแล้วแต่ก็แค่ลมปาก พี่กลัวว่าพวกมันจะดึงนทีไปทำอย่างอื่นด้วยในวันงาน” พี่ดังโงะนั่งลงข้างผม ในมือมีแก้วนมสดปั่นผสมปีโป้ “ถ้าเกิดว่าพวกมันลากให้ไปคุมคนในกองประกวด มีหวังกองประกวดได้แตกก่อนแน่”

“ไปว่าน้องมันดังโงะ ไม่แตกหรอกน่า อีกอย่างคือถึงวันนั้นมันก็คงหนีกลับหอตัวเองไปแล้ว” พี่สองว่าพลางขำ ผมอมยิ้มไปด้วย พี่สองเป็นคนที่เดาทางผมออกได้เกือบหมด ถึงเขาจะบังคับให้ผมทำ ผมก็จะหนีอยู่ดี

“ก็ไม่แน่นี่นา อาจจะแอบตามนทีไปถึงที่หอก็ได้”

“พี่ดังโงะ ผมมีมอเตอร์ไซค์ ซิ่งนิดหน่อยก็ไปไม่ถูกแล้วล่ะ”

“จ้าๆ มั่นใจเนอะพ่อหนุ่มว่าจะรอดจากความขี้เสือกของคนไทยไปได้ มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่ามึงอยู่หอไหนเองนี่หว่า จะกลัวอะไร พวกนั้นก็ยุ่งๆงานไม่ได้ตามมึงหรอก” พี่สองแกว่งไส้กรอกที่จิ้มขึ้นไปมา “กูจะย้ำพวกมันให้ชัดๆเลยแล้วกันว่านอกจากดูเด็กแล้วมึงไม่เอาอย่างอื่น”

“ขอบคุณครับ”

“เออ แล้วได้ยินมาว่ามึงปลูกดอกไม้ที่ระเบียงหอมึงด้วยใช่มั้ย?”

“ครับ พี่อยากได้เหรอ?”

“อืม ขอสักกิ่งเอาไปปักกระถางต้นไม้ที่เจ้าของห้องคนก่อนทิ้งเอาไว้หน่อย อยู่มาสามปีเพิ่งจะปลูกต้นไม้ คิดอะไรของกูวะ?” เขาตั้งคำถามกับตัวเองไม่จริงจังนัก แล้วพวกเราก็คุยเล่นๆกันอีกสักพักและเป็นฝ่ายผมที่ขอตัวไปเรียนก่อน

หลังจากที่เรียนเสร็จ ผมก็ย้ายร่างตัวเองมาที่สวนหลังอาคารดุริยางค์ เวลานี้คนก็น่าจะอยากกลับบ้านกลับหอกันมากกว่า ทำให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวของผม พื้นหญ้าสีเขียวๆ ดอกไม้ที่บานอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนักกับต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงากับผมมันกำลังสร้างบรรยากาศอยากแต่งเพลงให้กับผม ผมจึงหยิบกระดาษออกมาเขียนเนื้อเพลงที่อยากร้องคร่าวๆลงไป

ผมไม่ถนัดเพลงรักเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่ถนัดเพลงสร้างความเจ็บปวดเพราะผมไม่สามารถกลั่นออกมาให้เป็นตัวอักษรได้ง่ายนัก แต่จะให้เขียนเพลงเพื่อชีวิตมันก็เกินความสามารถตัวผมไปหน่อย สรุปแล้วผมก็ยังคงนั่งกอดอกโดยที่ข้างหน้าผมยังเต็มไปด้วยกระดาษเอสี่ว่างเปล่า

ลมที่พัดมาทำให้ผมเริ่มง่วงนิดๆ ถ้าได้พักสักชั่วโมงก็คงจะดีสินะ...

“อืม...ตรงนี้น่าจะดี...”

ผมได้ยินเสียงดังมาจากไม่ใกล้ไม่ไกลนัก แต่ผมก็ไม่แปลกใจหรอกที่จะมีคนเข้ามานั่งเล่นที่นี่ด้วย

“อ้าว? พี่นที?”

“มีนา?”

มีนายื่นถือเอกสารอะไรไม่รู้เยอะแยะอยู่กับกระเป๋าเป้สีฟ้าและเสื้อฮู้ดสีเดียวกัน เฮดโฟนใหญ่ที่คล้องตรงคอนั้นทำให้เขาดูตัวเล็กลงไปอีกนิดหน่อย ผมตั้งคำถามเขาไปอีกครั้ง “ทำไมถึงได้เดินมาที่นี่กัน?”

“ผมมาหาที่ดีๆเขียนนิยายของผม”

“นิยาย?”

“อ่า...นิยายแนวสืบสวนน่ะครับ เขียนเป็นงานอดิเรก แต่ผมไม่อยากเขียนอยู่ที่หอเพราะคิดอะไรไม่ออก” มีนาเดินมานั่งที่อีกข้างหนึ่งของต้นไม้ “ผมไม่กวนพี่หรอกครับ พี่เองก็คงกำลังยุ่งๆกับงานของพี่อยู่เหมือนกันสินะ”

“อืม แต่งเพลงน่ะ” เสียงหัวเราะเบาๆของมีนาเรียกความสนใจของผม “หัวเราะอะไรเราน่ะ?”

“เปล่าหรอกครับ ผมแค่คิดว่าถ้าพี่นทีแต่งเพลงเพื่อชีวิตนี่ผมก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน”

“นั่นสิ พี่ก็นึกไม่ออก” ผมหัวเราะตาม “ทำงานเถอะ ไม่กวนแล้วล่ะ”

พวกเราต่างคนต่างแยกกันทำงานของตัวเองไป ผมนั่งเขียนคำที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมไปเรื่อยๆจนเผลอหลับไปในที่สุด

 

ในความฝัน...กลิ่นของเลมอนนั้นอบอวลไปทั่วอากาศ

น้องชายของผมกำลังนั่งพิงหลังของผมอยู่

ในขณะที่ผมกำลังซุกหน้าตัวเองกับหัวเข่า ชันมันขึ้นมาเพื่อก้มหน้าร้องไห้ แต่ถึงอย่างนั้นน้องชายของผมก็ยังคงนั่งพิงหลังอยู่อย่างนั้น

แต่เขาก็พูดขึ้นมาเบาๆว่า

‘ผมไม่อยากเห็นพี่ต้องมานั่งติดในอดีตอีกแล้วนะ ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าผมจะอยู่ข้างๆพี่ แต่ผมไม่ได้บอกพี่ว่าห้ามลืมผม’

ผมจะลืมน้องชายแท้ๆตัวเองได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม

ผมยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่เห็นสีหน้าของน้องชายตัวเอง ทว่ากลิ่นของเลมอนนั้นจางลงไปเรื่อยๆกลายเป็นกลิ่นของดอกไม้แทน

กลิ่นดอกไม้...ที่ทำให้ผมหยุดร้องไห้และหันมามองคนที่ถือมันเอาไว้ได้



 
[ต่อด้านล่าง]

 

 

 

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[ต่อ]


“พี่นทีครับ...พี่นที”

ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาตัวเองออกมา ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้ม นกกำลังบินกลับรัง ใบไม้ไหวไปตามแรงลมทำให้เกิดเสียงเสียดสีกัน เด็กตรงหน้ากำลังจับบ่าผมแล้วเขย่าเบาๆเพื่อปลุกผม มีนายิ้มบางให้ ผละตัวออกมา ถือกระดาษและสะพายกระเป๋าเหมือนตอนที่มา

“ห้าโมงเย็นแล้วนะ พี่หลับเพลินเลย”

เขาหัวเราะ ผมมองดูของที่กองอยู่รอบตัวผมแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่านั่งคิดจนหลับ เลยรีบเก็บของลงกระเป๋า ลุกขึ้น “กลับหอกันเถอะ”

“พี่นทีไม่ได้เอารถมาเหรอครับ?”

“ไม่หรอก นานๆทีท้องฟ้าจะโปร่ง เดินบ้างก็ดีเพราะไม่รีบ” ผมตอบเขา พวกเราเดินด้วยกันท่ามกลางเสียงรถจากถนนและเสียงของผู้คนมากมายที่อยู่ตรงทางเท้า ใกล้ๆหอของผมจะมีตลาดนัดกลางคืนอยู่ทำให้ผมมาฝากท้องที่นี่บ้าง อย่างวันนี้ก็ตั้งใจว่าจะเอาของไปเก็บแล้วมาหาอะไรกิน

จะชวนเด็กอักษรคนนี้ไปด้วยดีมั้ยนะ?

“มีนา เดินตลาดนัดกันมั้ย?”

“ที่อยู่ใกล้ๆหอเราใช่มั้ยครับ?” ผมพยักหน้า “ครับ ผมเองก็ว่าจะหาอะไรกินเหมือนกัน”

อันเป็นว่าพวกเราตกลงกันเรียบร้อย เมื่อถึงหอผมก็วางกระเป๋ากีตาร์กับกระเป๋าเรียนไว้ตรงมุมห้อง เปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อยืดสีชมพูสกรีนลายหมีขาวกับกางเกงขายาว ใส่แว่นตากรอบดำหนาเหมือนเดิมแล้วก็ออกมาจากห้องพร้อมกับกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ ในขณะที่มีนาก็เปิดประตูห้องออกมาพร้อมๆกัน

มีนาใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้ากับคาดิแกนสีขาว กางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลที่เกือบจะสั้นโชว์ส่วนขาวๆของต้นขา รองเท้าผ้าใบสีขาว มองภาพรวมแล้วยังไงก็ดูเหมือนเป็นเด็กมัธยมปลายมากกว่าเด็กมหาลัยปีสอง นานๆทีผมจะเห็นมีนาใส่แว่นกรอบสีแดงนอกจากตอนเขาอ่านหนังสือ “ไปกันเถอะครับ”

พวกเราเดินไปที่ตลาดนัด ตั้งใจว่าจะฝากท้องที่ร้านตั้งแผงตรงนั้นเลย มีนาเห็นร้านขนมจีนน้ำยาแล้วอยากกินผมก็ไม่ขัด เอาจริงๆแล้วผมคงจะเป็นคนประเภทตามใจชาวบ้านด้วยถ้าไม่หนักหนาเกินไป

สีหน้าของมีนาเวลาตักเส้นเข้าปากมันเป็นประกาย เขาคงชอบกินร้านนี้เลยสั่งถ้วยที่สอง ส่วนผมกินไม่ค่อยลงเท่าไหร่นักก็เลยสั่งแค่น้ำยาเขียวหวานมานั่งดูเด็กกินน้ำยากะทิกับน้ำยาป่า พอออกมาจากร้าน มีนาก็ลากผมไปร้านขายขนมต่อทันที

เขาเป็นเด็กที่เวลาได้เจอของถูกใจ จะทิ้งความนิ่งนั้นไว้หมด เหลือเพียงแค่ความตื่นเต้น อย่างตอนนี้มีนากำลังเอาขนมที่ไม่เคยกินเข้าปากใหญ่พร้อมกับซื้อมาเต็มไม้เต็มมือ ผมถือแค่แก้วนมสตรอเบอร์รี่ปั่นนมสดเอาไว้

“แก เด็กคนนั้นน่ารักจังเลย มากับพี่ชายเขาแล้วเลือกขนมใหญ่”

“พี่ชายดูดีๆก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ”


ผมได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนที่เดินผ่านพูด ผมโฟกัสแค่คำว่าพี่ชาย นั่นสินะ ตอนนี้หลายคนก็มองผมเป็นพี่ชายของมีนาคนหนึ่ง ผมทั้งห่วงและหวงเด็กคนนี้ราวกับว่าเป็นพี่ชายแท้ๆทั้งที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลยนอกจากเป็นน้องของเพื่อนสนิท หรือบางทีผมมองเขาเป็นน้องชายแท้ๆของผมกันเลยทำให้เอ็นดูมากกว่าคนอื่น?

ผมส่ายหน้า ปัดความคิดนั้นออก มีนาก็คือมีนา น้องผมก็คือน้องผม ไม่มีทางที่จะเป็นคนเดียวกันได้ พวกเขาก็แค่นิสัยคล้ายๆกัน มีอะไรคล้ายๆกันเท่านั้น

“พี่นที ตรงนั้นมีคนมาเปิดหมวกด้วยครับ ไปดูกันเถอะ”

ผมเดินตามมีนาไปตรงลานกว้าง ผมเห็นผู้ชายสองคนกำลังนั่งกับเก้าอี้ คนหนึ่งเล่นกีตาร์ แกคนเล่นคีย์บอร์ด มันทำให้ผมนึกถึงตัวผมกับน้องชายเมื่อสมัยก่อนที่เป็นแบบเดียวกัน

 

“พี่เล่นกีตาร์ ส่วนผมเล่นคีย์บอร์ดเอง!”

“พี่ก็อยากเล่นคีย์บอร์ดนะ”

“ไม่ได้ๆ พี่เก่งกีตาร์มากกว่าผม พี่ต้องเล่นกีตาร์”

“ก็ได้ๆ แต่พวกเราจะเล่นด้วยกันใช่มั้ย?”


ผมยิ้ม ตอนนั้นผมเถียงกับเขาเรื่องที่อยากเล่นคีย์บอร์ดเหมือนกัน สุดท้ายก็จบลงที่ผมเป็นฝ่ายเล่นกีตาร์ ส่วนเรื่องร้องพวกเราก็ร้องด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาเล็กๆที่ทำให้พวกเรามีความสุข ถึงจะเถียงกันด้วยเรื่องเล็กๆแต่มันก็มีความสุข

“พี่นทียิ้ม?”

“เห็นแล้วนึกถึงสมัยเด็กๆน่ะ พี่เคยเถียงกับคนหนึ่งเพื่อให้ได้เล่นคีย์บอร์ดแต่สุดท้ายก็เถียงไม่ชนะ มาคิดถึงแล้วก็ยังอดขำไม่ได้” มีนายื่นถุงขนมครกมาให้ ผมขอบคุณเขาแล้วจิ้มไส้ข้าวโพดมากิน “พี่มีความสุขกับสิ่งที่พี่ทำในตอนนี้ดีนะ ไม่ต้องตีหน้าเศร้าอย่างนั้นสิ”

“คนคนนั้นคือใครเหรอครับ?”

“น้องชายของพี่น่ะ พี่ลืมบอกไปสนิทเลยว่าพี่มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง” ผมเคี้ยวขนม “แต่เสียไปแล้ว”

“...ผมขอโทษ”

“ไม่เป็นไรหรอก นี่มันชีวิตจริงนะไม่ใช่นิยายที่พอพูดถึงคนที่จากไปแล้วจะสร้างบรรยากาศอารมณ์ขุ่นมัวน่ะ” ผมยกมือขึ้นมาลูบหัวมีนาเบาๆ “มันก็ผ่านมานานแล้ว แน่นอนว่าพี่ยังคิดถึงเขา แต่พี่ก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา”

“แล้วความรู้สึกของการที่ได้เป็นพี่ชายมันเป็นยังไงครับ? ผมน่ะเป็นน้องเลยไม่เคยรู้มาก่อน”

“ไม่เคยถามกุมภ์เหรอ?”

“พี่ก็บอกแค่ว่าเป็นพี่ชายหรือน้องชายก็เหมือนกัน เราต้องพึ่งพากันและกันไม่มีใครใหญ่กว่าอยู่แล้ว” มีนามองไปที่กลุ่มนักดนตรี “แต่ผมอยากรู้จากมุมมองของคนอื่นบ้าง”

“สำหรับพี่...พี่ชายก็เป็นเหมือนคนที่ต้องคอยดูแลน้องจากจุดไกลๆ เราไม่สามารถควบคุมเขาได้ทุกอย่าง แต่สามารถคอยบอก คอยสอนว่าอะไรที่ดีหรือไม่ดีได้เพราะเราเคยผ่านมันมาก่อน” ผมอธิบายไป “อารมณ์เหมือนเป็นเทพผู้พิทักษ์ที่สามารถจับต้องได้”

“ฟังดูเป็นคนที่อบอุ่นแต่ก็เข้มแข็งในเวลาเดียวกันเลยนะครับ”

ผมกับมีนาเดินกลับมาที่หอหลังจากบทสนทนานั้น มันอาจจะเป็นเรื่องที่พวกเราได้พูดกันยาวที่สุดในรอบเดือนนี้ก็ได้ พอผมเข้ามาในห้อง ผมก็วางขนมที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะญี่ปุ่น เดินไปอาบน้ำแล้วตั้งใจจะมานั่งแต่งเพลงต่อ ตกกลางคืนมากลิ่นของดอกไม้ก็ยิ่งแรงมากขึ้น สมองของผมมันว่างเปล่าและพร้อมที่จะเขียนสิ่งที่ผุดขึ้นมาลงไปอีกครั้ง

“หืม?”

 

ปัดฝุ่นความทรงจำเก่าๆ เพื่อจดจำและเก็บไว้เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต

 

ข้อความนี้ปรากฏบนกระดาษ มันไม่ใช่ลายมือของผมแน่นอน มันเขียนอยู่ใต้ข้อความทั้งหลายที่ผมจดลงไปอย่างคำว่าความทรงจำ สิ่งสำคัญ ชีวิต

อ่า...ผมพอจะรู้แล้วล่ะว่าใครเป็นคนเขียนลงไป เด็กคนนี้เอาจริงๆแล้วก็คงอยากจะช่วยผมเหมือนกันสินะ

“ขอบคุณที่ทำให้ได้ไอเดียเพิ่มนะมีนา”

ผมมองออกไปนอกระเบียง ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเมื่อวาน ไม่มีดาวบนท้องฟ้า แต่เหมือนว่าจะมีบางอย่างที่จุดประกายให้ผมรู้สึกว่าผมสามารถมองเห็นมันได้ ยื่นมือออกไปทำท่าจะคว้ามันเอาไว้และกุมมือทั้งสองข้างไว้ที่หน้าอกตัวเอง

ผมอยากแต่งเพลงที่สร้างจากความทรงจำดีๆของผมและน้องชาย


 

“ตรงนี้ยังจับไม่ถูกนะ ต้องจับแบบนี้” ผมขยับมือของเดือนคณะให้จับถูกคอร์ด “นิ้วชี้อยู่ตรงนี้ ส่วนนิ้วกลางอยู่ตรงนี้ จำเอาไว้ดีๆด้วยล่ะ ถ้าไปจับผิดบนเวทีเสียงจะเพี้ยนไปเลย”

“ขอบคุณครับ ผมไม่คิดว่าพี่จะมาจริงๆนะเนี่ย” เขาชื่อออมสิน เป็นเด็กเอกกีตาร์ที่เล่นกีตาร์พอได้ ผมไม่สนใจว่าใครจะเล่นอะไรเป็นไม่เป็น ผมขอแค่มีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาเรียนที่นี่และมีความอดทนในการฝึกฝนมากก็เพียงพอแล้ว “รุ่นพี่คนอื่นในเอกเขาว่าผมใหญ่ว่าทำไมเรียนเอกนี้ทั้งๆที่เล่นไม่ค่อยเป็น”

“เราน่ะยังไม่กล้าเล่นต่อหน้าคนเยอะๆตังหาก ไม่ใช่เล่นไม่เป็น ฝึกเอาเดี๋ยวก็ได้ สมัยก่อนพี่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ไม่กล้าเล่นต่อหน้าคนเยอะๆ...” ตอนนี้ก็เป็น แต่ผมสามารถปกปิดส่วนนั้นได้ “ตอนพี่ขึ้นเวทีประกวดพี่เองก็ไม่กล้า แต่เพื่อนพี่ที่อยู่อีกคณะบอกว่าให้มองแต่คนที่รู้จัก อย่าไปมองคนอื่นที่คอยจับผิดเรา เข้าใจนะ?”

“ครับ วันงานพี่มายืนหน้าเวทีได้มั้ย? ผมกลัวว่าตัวเองจะประหม่าจนไม่กล้าทำอะไรเลย”

“ได้สิ” ผมพยักหน้า แล้วก็สอนเด็กจับคอร์ดกีตาร์ต่อ สักพักก็ปล่อยให้ออมสินเล่นเอง

ผมเดินออกมาจากตรงนั้น ยืนพิงกำแพงฟังจังหวะมีอะไรเพี้ยนหรือไม่ ไม่นานนักก็ถึงเวลาพัก ผมเลือกที่จะเดินไปหาอะไรกินคนเดียวตามนิสัยของผม ผมเดินพ้นประตูออกไปได้ไม่ไกลผมก็เพิ่งนึกได้ว่าผมลืมหยิบกระเป๋าออกมาด้วยจึงย้อนกลับไปเอา

“ไอ้นทีมันจะเล่นตัวไปไหนกัน เอะอะๆก็ไปคนเดียวไม่เข้าสังคม คิดว่าหล่อนักรึไงวะ”

กึก

ผมหยุดฟังสิ่งที่คนอื่นพูดในห้องตรงประตู เสียงของออมสินค้านขึ้นมา

“พี่นทีเขาก็มีเหตุผลส่วนตัว พวกพี่อิจฉาเขารึยังไงครับที่เขามีหน้ามีตามากกว่าพวกพี่?”

“ไอ้ออมสิน!”

“ผมพูดความจริงนะครับ พี่นทีมีความสามารถ จากที่ผมได้ยินมาก็มีหลายบริษัทแล้วเหมือนกันที่ทาบทามผ่านอาจารย์ในคณะให้ไปทำงานด้วยกันหลังเรียนจบ พวกพี่แค่อิจฉาเขาเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?”[/i]

ออมสินกำลังพูดปกป้องผมแม้ว่าจะต้องทะเลาะกับคนอื่นๆในเอก ผมยังยืนฟังอยู่ตรงนั้น ถ้าเกิดว่าพวกรุ่นพี่ปีสี่จะทำอะไรออมสินล่ะก็ผมไม่อยู่เฉยแน่

“ชิ”

“พวกพี่เองก็มีความสามารถเหมือนกัน แต่ผมขอร้องล่ะครับว่าอย่าเอาความอิจฉาส่วนตัวไปใส่ร้ายพี่นทีเขาเลย”

“มึงพูดมากเกินไปแล้วนะ!”
[/b]

เสียงเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆจนผมใจไม่ดีว่าพวกเขาจะทำอะไรน้องรึเปล่า ในจังหวะเดียวกันพี่สองกับพี่ดังโงะก็เดินผ่านเข้ามาพอดี

“มีอะไรเหรอวะ?”

“พี่สอง พี่ดังโงะ ออมสินกำลังแย่แล้ว พี่เข้าไปช่วยกับผมหน่อย” จากนั้นเสียงของอะไรแตกก็ดังขึ้น พวกเรารีบวิ่งเข้าไปในห้องแล้วก็เห็นว่ากลุ่มรุ่นพี่ปีสี่อีกกลุ่มฟาดกีตาร์ของออมสินลงกับพื้นจนแตกกระจาย ออมสินหน้าซีด เขาพูดอะไรไม่ออก พี่สองวิ่งเข้าไปห้ามพวกเขาก่อนที่จะทำอะไรมากกว่านี้ ส่วนพี่ดังโงะเป็นฝ่ายเข้าไปดูว่าออมสินเป็นอะไรหรือไม่

ผมหันไปมองรุ่นพี่กลุ่มนั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาไม่พอใจอะไรผมหนักหนากันที่ทำให้ถึงขั้นต้องลงมือแบบนี้ พวกเขาผลักพี่สองให้ล้มลงไปกับพื้น เดินเข้ามาใกล้ผม แม้ว่าพวกเขาจะไม่สูงเท่าผมแต่ผมรู้สึกว่าพวกตัวเล็กลงเหลือเท่าไหล่ของพวกเขาเท่านั้น

“อย่าทำตัวให้เด่นมาก ไม่งั้นเจ็บตัว”

เขาว่าแค่นี้ก่อนที่จะผลักผมไปชนกับกำแพงจนต้องร้องออกมา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องไม่ชอบผมขนาดนั้น ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตามมาจ้องเขม่นกันแบบนี้ตั้งแต่ผมอยู่ปีหนึ่ง

หลังจากที่ผมเป็นเดือนมหาลัยได้ไม่นาน พวกเขาก็เล็งผมเอาไว้ตลอดราวกับว่าไม่ชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น พี่สองบอกว่าอาจจะเป็นเพราะผมเด่น ทำอะไรๆก็มีแต่คนจับตามองแม้ว่าจะพยายามอยู่เงียบๆเท่าใดก็ตาม มีหลายบริษัทที่เสนอให้ผมไปทำงานด้วยแม้ว่าผมจะปฏิเสธไปแล้วก็ตาม ที่ร้ายแรงสุดก็คือมีแมวมองมาชวนผมไปแคสติ้งเป็นนักแสดงต่อหน้าต่อตาพวกเขา เลยทำให้ปรอทความอิจฉาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาที่มีความสามารถสูง มากกว่าผมด้วยซ้ำ

“ออมสินไม่เป็นอะไรนะ?”

“ผมต้องถามพี่มากกว่านะ ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่กีตาร์....”

ออมสินซึมลงไป ผมฟังมาจากเขาว่านั่นคือกีตาร์ที่พ่อของเขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสองปีก่อน พอมาแตกต่อหน้าอย่างนี้ก็อดที่จะเสียใจไม่ได้ “พี่รู้ว่ามันสำคัญต่อจิตใจออมสินนะ แต่ว่ามันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”

“อืม...” ออมสินพยายามยิ้ม “ผมใช้ของมหาลัยก่อนก็ได้ครับ ความจริงผมก็ไม่ได้อาลัยอะไรขนาดนั้นหรอก ยังไงสักวันมันก็ต้องเก่าจนใช้ไม่ได้อยู่แล้ว”

พี่สองกับพี่ดังโงะเก็บซากกีตาร์ที่แตกมารวมๆกัน บอกกับพวกผมว่าจะติดให้เป็นส่วนเดียวกันแล้วเอาไว้โชว์ก็ได้ ออมสินหัวเราะก่อนที่จะก้มหัวขอบคุณผมที่ปลอบใจ แล้วก็เดินออกไปกันสามคน ปล่อยให้ผมยืนอยู่ในห้องซ้อมคนเดียว

ยังไงสักวันมันก็ต้องเก่าจนใช้ไม่ได้...งั้นเหรอ?

 

“คิดยังไงชวนมานั่งกินข้าวด้วยกัน?” ผมมองหม้อไฟที่มีนาเป็นคนทำในคอนโดของพี่เดือน กุมภ์กำลังเช็ดปากให้พี่เดือนที่นั่งข้างๆอย่างน่าหมั่นไส้ ส่วนมีนาก็ตักเนื้อลงจานให้ผม “ขอบคุณนะ”

“ก็เห็นว่าไม่ได้กินอะไรด้วยกันนานแล้วนี่นา หม้อไฟฝีมือมีนานี่อร่อยที่สุดแล้ว”

“ให้กูมาทรมานดูมึงหวานกับพี่เดือนเนี่ยนะ?” กุมภ์หัวเราะเสียงดัง พี่เดือนแค่ยิ้มๆแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม “เออ วันนี้ตอนกูซ้อมให้น้องต่างเอก รุ่นพี่ที่ไม่ชอบกูพังกีตาร์ด้วย”

“เฮ้ย ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ แล้วน้องเขาไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

“น้องบอกว่ายังไงสักวันมันก็ต้องเก่าจนใช้ไม่ได้เลยไม่เสียใจอะไรมาก แต่ก็ซึมอยู่เหมือนกัน” ผมเล่า “กู...ไม่เข้าใจ”

พี่เดือนเงยหน้าขึ้นมาจากจาน เขาถามผม “ไม่เข้าใจ?”

“ยังไงมันก็เป็นของที่สำคัญกับตัวเราไม่ใช่รึยังไง? มันไม่สร้างความเจ็บปวดให้เลยเหรอที่ต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป?”

“...”

“...ขอโทษนะที่ทำให้บรรยากาศมันกร่อยลง กินกันเถอะ ผมไม่อยากกวนพี่เดือนที่นี่นานด้วย”

“พี่นที” มีนาวางลูกชิ้นปลาลงในจานผม เขามองมาที่หน้า จ้องเข้าไปในดวงตาราวกับว่าบังคับให้ผมฟัง “มันก็จริงอยู่ที่ของสำคัญมันจะมีคุณค่ากับจิตใจเรามาก แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องทำใจยอมรับมันอยู่ดี การสูญเสียมันก็เป็นเหมือนกับการก้าวผ่านสิ่งๆหนึ่งที่ทำให้เราเติบโตขึ้น ทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น ทำให้เราได้หัดยอมรับในสิ่งที่ต้องเกิด และมันจะทำให้กลายเป็นความทรงจำอย่างหนึ่ง”

“จริงอย่างที่มีนาพูดนะนที” พี่เดือนตักเนื้อหมูใส่จานผมตาม “นทีเคยสูญเสียเหมือนกัน...และมันทำให้รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

“ผม...”

“ถ้ายังไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งด่วนตอบเลย” คราวนี้เป็นกุมภ์ที่ตักผัดผักใส่จานผม “ไม่มีใครบังคับให้ตอบสักหน่อย มึงคิดให้ดีก่อน แล้วจะได้คำตอบเองว่ามึงได้อะไรมาบ้าง”

ผมมองไปที่จานของตัวเอง คนรอบข้างของผมเอาใจใส่ขนาดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจนิดๆ “จะพยายามแล้วกันนะ...”

“กินข้าวกันดีกว่านะ พรุ่งนี้ยังเป็นวันที่ต้องเรียน เดี๋ยวกลับดึกก็ได้นอนดึกตามตื่นไม่ไหวอีก” พี่เดือนเรียกสติให้ผมกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะอีกครั้ง ผมก้มลงกินต่อ เก็บซ่อนความไม่เข้าใจทั้งหมดเอาไว้ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มที่แสร้งว่าผมไม่ได้คิดมากอะไรแล้ว

 

ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา เขายืนอยู่ตรงนั้น...ยืนอยู่ใกล้ต้นเลมอนที่ส่งกลิ่นไปทั่ว

ผมถามเขาว่าไม่กลัวว่าตัวเองจะเป็นหวัดเหรอ แต่เขาไม่ตอบ ทำเพียงส่ายหน้าเบาๆ ผมจึงสละเสื้อคลุมของตัวเองคลุมให้เขา เขาทำท่าเหมือนจะปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถขัดใจผมได้

ผมกระซิบบอกเขาว่า ‘เป็นห่วง’

เขาดูจะตกใจหน่อยๆ แล้วก็เก็บสีหน้าเอาไว้เหมือนเดิม ผมประหลาดใจที่จู่ๆเขาก็เดินเข้ามาใกล้ผมแล้วคว้าแขนเอาไปกอด ผมหัวเราะ สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่ซื่อตรงต่อหัวใจที่ต้องการความอบอุ่น

ผมยืนอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งลมพายุพัดเข้ามา ร่างของเขาหายไปกับสายลม เหลือเพียงแค่เสื้อคลุมที่ผมสวมให้เขาตกอยู่ตรงนั้นพร้อมกับความอบอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้

ได้โปรด...อย่าทิ้งพี่ไป...

นั่นคือคำพูดที่ผมร้องออกมากลางสายฝนที่กลายเป็นพายุ ดั่งเช่นหัวใจของผมที่กำลังกรีดร้องด้วยความทรมานจากความสุขและความทุกข์ที่ตีกันมั่วไปหมดเพียงคนเดียว


 
 ==========


พี่นทีของน้อง //หอมหัว

ไม่มีดราม่าหรอกค่ะ พี่นทีเขาเป็นโรคซึมเศร้าแต่อาการดีขึ้นเยอะกว่าตอนสมัยละอ่อน แต่พี่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดที่น้องชายเสียไปและคิดว่าเป็นเพราะตัวเอง ก็นะ สองคนพี่น้องย้ายที่เรียนไปมาเลยไม่ได้รู้จักกับใครจนถึงขั้นสนิท เล่นด้วยกันสองคนมาตั้งแต่เด็กแล้วจู่ๆใครคนหนึ่งก็หายไปจากชีวิตนี่นา
 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
โชคดีที่นทียังมีคนดีๆอยู่ข้างๆทั้งมีนา กุมภ์ พี่เดือน พี่สอง พี่ดังโงะต่อไปก็คงมีน้องออมสินเพิ่มมาอีกคน พี่ต้องต่อสู้กับซึมเศร้าได้แน่ๆ

 :pig4:


ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 2

 

ท้องฟ้ามืดครึ้มทำให้ผมไม่มีสมาธิทำอะไรสักอย่างนอกจากการนอนกลิ้งไปมาบนเตียงเล็กๆนี้

ผมว่าตัวเองน่าจะไม่สบายด้วย เพราะเมื่อวันก่อนผมเดินกลับจากมหาลัยได้ครึ่งทาง จู่ๆฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาโดยไม่ไว้หน้ากรมอุตุนิยมวิทยาสักนิด ผมจึงมีสภาพเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่อย่างนั้น พอเช็ดตัวก็กินยาตามแล้วรีบเข้านอน ตื่นขึ้นมายาก็ช่วยอะไรผมไม่ได้แล้ว ถึงจะไม่ได้เป็นหนักมากแต่ก็ทำให้สมองผมมันเบลอไปได้นิดๆเหมือนกัน

สิ่งแรกที่ผมทำก็คือการไลน์ไปบอกคนในเอกว่าผมไม่สบาย ไปเข้าคลาสไม่ได้ แล้วผมก็นอนหลับไปอีกสักหน่อย ตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าท้องฟ้ายังคงมืดจนไม่มีอารมณ์จะลุกไปไหนแม้กระทั่งหาข้าวเที่ยงกิน

ท้องกำลังประท้วงอย่างหนักว่าให้ผมกินข้าว แต่ผมก็ขี้เกียจเกินที่จะฟังท้องของผม จึงขอทรยศมันหนึ่งมื้อไปรวบยอดกินตอนเย็นดีกว่า

นายนทีคนนี้ตัดสินใจที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเกมเล่นนิดๆหน่อยๆ แต่เล่นไปได้สักพักก็เบื่อจนไม่อยากทำอะไร เลยลุกขึ้นไปดูต้นไม้ตรงระเบียงเล่น ดอกไม้ไม่บาน แต่ต้นเลมอนเล็กๆนั่นผมแอบเห็นว่ากำลังพยายามจะออกลูกสีเหลืองๆให้เห็น ผมไม่อยากจะคิดว่ามันโตได้ด้วยในอากาศของประเทศนี้ แต่คงเพราะดวงล่ะมั้งที่ทำให้มันยังคงยืนต้นมาอยู่จนถึงทุกวันนี้ อีกไม่นานผมก็คงจะได้เลมอนจากต้นเอาไปทำอาหาร

ถ้าผมเรียนจบแล้วก็คงจะทำงานอยู่ที่นี่อีกสักพัก พ่อผมบอกว่าให้ผมเช่าห้องคอนโดเอาไว้สักห้อง ดีกว่าการอยู่ห้องพักเป็นไหนๆ เสียเงินเพิ่มมากขึ้นหน่อยแต่ถ้ามันปลอดภัยกว่าก็ดี ผมไม่ขัดเขา รู้สึกดีที่ครอบครัวเป็นห่วงขนาดนี้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะทำงานอยู่นานหรือไม่ อาจจะสักปีสองปีแล้วกลับไปที่บ้านเกิดเป็นฟรีแลนส์ผ่านอินเตอร์เน็ทเอา

ตัดมาที่ตอนนี้ดีกว่า ผมว่าผมต้องพ่ายแพ้ให้แก่กระเพาะที่ส่งเสียงร้องตลอดเวลา ผมเดินไปต้มบะหมี่สำเร็จรูป หวังว่าจะช่วยทำให้อวัยวะส่วนนี้เลิกร้องเสียที พอกินเสร็จก็เอาชามไปล้างแล้วกินยาตาม ผมว่ายาที่ผมกินนั้นฤทธิ์ของมันออกเร็วและแรงไปหน่อยทำให้ผมกลับคาหมอนไปภายในชั่วโมงเดียว

 

ตื่นมาอีกทีก็เที่ยงคืน พอจะนอนก็นอนไม่ลง ข้างนอกฝนตกอีกแล้ว ช่วงนี้ผมว่าฝนตกบ่อยมาก ถ้ามากกว่านี้น้ำก็คงท่วมถนน โชคดีที่ผมไม่ใช่คนต้องพึ่งรถตลอดเวลาทำให้ไม่ต้องไปสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่

เที่ยงคืน...อยากหาอะไรทำฆ่าเวลาจัง พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดอีก ตื่นสายได้สบายอยู่แล้ว

ผมเปิดแอพดูหนัง เลือกหนังตลกเบาสมอง หัวเราะตามมันเบาๆ รู้ตัวอีกทีก็ดูเพลินมาถึงตีสามกว่าๆ พอเห็นนาฬิกาแล้วก็คิดว่าตัวเองควรจะได้พักอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง ช่วงสายๆผมแพลนเอาไว้ว่าจะออกไปเดินที่ห้างเพื่อซื้อของเข้าหอสักหน่อย แชมพูในห้องน้ำหมดแล้ว ครีมทามือก็หมดแล้ว ไหนจะของกินที่ไม่มีติดตู้มากเท่าไหร่นักอีก

ผมลุกไปจดลิสต์ของที่ต้องซื้อลงกระดาษ สายตาเหลือบไปเห็นตุ๊กตาแฮมสเตอร์ตัวเล็กๆที่เด็กข้างห้องของผมให้มา เวลาที่บีบหางเล็กๆมันจะส่งเสียง ‘คุชิ’ เล็กๆแหลมๆเหมือนหนูแฮมทาโร่ในการ์ตูนที่เคยดู ว่าแล้วผมก็หยิบมันขึ้นมาบีบหางเล่นอยู่อย่างนั้นซ้ำๆพลางนึกถึงมีนา

ตอนมัธยมผมเคยแกล้งน้องอยู่เหมือนกัน ท่าทางของเขาเหมือนหนูแฮมสเตอร์ที่ไม่ค่อยสนใจโลกนักแต่พอโวยวายแล้วกลับน่ารักน่าชังเหลือเกิน

รู้สึกว่าตอนนั้นผมจะแกล้งจี้เอวของเขา ผมไม่คิดว่าจะบ้าจี้เหมือนพี่ชายตัวเองเปี๊ยบ แถมยังสะดุ้งแรงกว่าด้วยจนเจ้าตัวร้องจ๊าก พอตั้งสติได้ก็หันมาว่าผมใหญ่ว่าเล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง อารมณ์เหมือนดุผมทั้งที่ใบหน้าของตัวเองขึ้นสีมะเขือเทศเหมือนอายที่โดนจับจุดอ่อนได้ ผมสัญญากับเขาว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครคนอื่น แต่ก็โดนมองตาขวางนานอยู่เหมือนกันเวลาที่ผมยืนอยู่ใกล้ๆจากความระแวง

วันเกิดเขาปีหน้า...ผมให้ตุ๊กตาหนูแฮมสเตอร์ดีกว่า

มีนาเคยบอกว่าผมชอบหมีขาวเอามากๆ หมายถึงหมีขาวแบบการ์ตูน ถ้าเป็นหมีขาวที่เป็นสัตว์ในขั้วโลกนั่นคนละเรื่อง ความจริงผมไม่ได้ชอบหมีขาวตั้งแต่แรก เรียกว่าชอบตามคนอื่นน่าจะถูกกว่า พอเริ่มใช้ข้าวของที่เกี่ยวกับหมีขาวมากๆมันก็พลางติดไปโดยปริยาย ทุกวันนี้สิ่งของในห้องของผมก็เต็มไปด้วยสีขาวและสีชมพูปนๆกันไป

เขาเอาตุ๊กตาหมีตัวสีขาวมาให้เป็นของขวัญวันเกิดผมครั้งหนึ่งตอนเรียนอยู่ม.6 จนเรียนจบก็ให้คุกกี้หมีที่อบเอง ตอนนี้หมีตัวนั้นก็นอนอยู่บนหัวเตียงของผมนั่นแหละ มันเป็นเหมือนเพื่อนคุยของผมเวลาที่อยากจะเพ้ออะไรคนเดียว พอเอาไปเล่าให้มีนาฟังว่าผมชอบบ่นให้หมีไส้นุ่นฟัง เขาก็หัวเราะแล้วบอกว่าระวังคุณเท็ดดี้จะมีชีวิตขึ้นมาจริงๆสักวัน

คุณเท็ดดี้เป็นชื่อหมีตัวนี้ที่มีนาตั้งให้ เป็นชื่อที่เรียบง่ายแต่ก็ทำให้ผมจำได้ ผมไม่สงสัยหรอกว่าทำไมมีนาถึงตั้งชื่อให้ตุ๊กตา เพราะสมัยก่อนผมยังชอบตั้งชื่อให้หุ่นยนต์ตัวเท่าฝ่ามือ

“พรุ่งนี้ชวนมีนาไปดีมั้ยนะ?”

ผมถามหนูแฮมสเตอร์ตัวนั้นเหมือนรอคำตอบจากมันทั้งที่มันตอบได้แค่ ‘คุชิ’ เมื่อผมบีบหางสั้นกุด แต่ผมถือว่ามันตกลงแล้วกัน ถ้ามีนามีงานต้องทำผมก็ไม่กวนเขา แต่ถ้าไม่มีพรุ่งนี้ผมคงต้องเสียเวลาที่ร้านขนมกับเขานานหน่อย

 

“นานๆทีถึงได้ออกมาห้างนะครับ” มีนาคีบเนื้อหมูในหม้อชาบูขึ้นมา “คิดยังไงถึงออกมา?”

“พี่ว่าจะมาซื้อของใช้ส่วนตัวน่ะ เลยชวนออกมาเดินเล่นแก้เซ็งด้วย เมื่อวานหวัดก็กินจนเวียนหัวไปเรียนไม่ไหว”

“อ้าว แล้วพี่ยังเวียนหัวอะไรอยู่มั้ยครับ? ออกมาอย่างนี้จะดีเหรอ?” ผมส่ายหน้า ตักหน้าซุปในหม้อมาใส่ถ้วยไว้แล้วคีบซูชิหน้ายำสาหร่ายในจานขึ้นมากิน มีนาผสมน้ำจิ้มเทมปุระกับหัวไชเท้าบดเข้าด้วยกันแล้วเอากุ้งเทมปุระจิ้มลงไป พวกเราทั้งคู่กินเก่ง บนโต๊ะจึงมีจานของกินเล่นเยอะระหว่างรอให้หมูในหม้อสุก “ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนนะครับ ผมเป็นห่วง”

“อืม มีนากินนี่มั้ย?” ผมคีบกุ้งลงจานของมีนา “กำลังกรุบพอดี”

“ขอบคุณครับ พี่เอานี่ไปกินด้วยสิ” มีนาเป็นฝ่ายคีบเต้าหู้ปลาให้ “ก่อนจะไปซื้อของเราไปดูหนังด้วยกันมั้ยครับ? หนังใหม่เข้ามาพอดีเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยของกระรอกสีน้ำตาลแดง”

“อ๋อ เรื่องนั้น...” แต่ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ดูหนังเท่าไหร่นักเพราะเมื่อคืนก็เพิ่งดูไป

“ไปดูด้วยกันนะครับ”

 

“ไปดูด้วยกันนะครับพี่”

 

เหมือนมีภาพซ้อนของน้องชายผมขึ้นมาตรงหน้า มีนากุมขมับนิดหน่อยแต่มีนาไม่ทันได้สังเกต ผมจึงไม่ต้องตอบคำถามว่ามีอะไร ไม่กี่วันก่อนที่น้องผมจะเสียเขาก็เคยถามอย่างนี้กับผม ผมตอบไปว่าเอาไว้วันหลังเพราะตอนนั้นผมซ้อมหนักเลยตอบแบบส่งๆไป ไม่คิดว่านั่นคือคำขอสุดท้ายของน้องชายตัวเอง

พอคำขอนี้มันกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง มันสร้างความรู้สึกผิด ผมไม่อยากให้มันต้องมาซ้ำรอยอีกรอบจึงตอบมีนากลับไป

“เอาสิ”

มีนาไม่แสดงท่าทีอะไรเพิ่มเติม แต่ตาของเขาเป็นประกาย ท่าทางดีใจที่ผมตอบรับคำชวนของเขา ผมนั่งกินต่อไปโดยที่ในใจยังคงวุ่นวายตีกับความรู้สึก

 

ผมออกมาจากโรงหนัง รู้สึกว่างเปล่า ไม่ใช่เพราะหนังไม่สนุกหรืออะไร แต่ผมดูไม่รู้เรื่องเพราะมัวไปคิดอยู่กับคำพูดของน้องชายตัวเอง มีนาเองก็น่าจะรู้เหมือนกันว่าผมแปลกไป เขาจึงลากผมไปซื้อไอติมคว่ำถ้วยไม่ตกมากินด้วยกันเพื่อหวังว่าผมจะอารมณ์ดีขึ้น

ผมกินไปได้นิดหน่อยก็เอาให้เขาหมด มีนาซึมลงอย่างชัดเจน เขาคงผิดหวังที่ไม่สามารถทำให้ผมกลับมาร่าเริงเหมือนตอนขามาได้

“พี่นที...ผมขอโทษนะ”

“ขอโทษอะไรเหรอ?”

“ที่ผมชวนไปดูหนัง พี่คงไม่อยากดูแต่พี่ไม่ก็ไม่อยากปฏิเสธผมใช่มั้ย?” มีนาส่ายหน้า “วันหลังพี่อยากทำอะไรพี่ก็บอกมาเถอะครับ ไม่ต้องคิดถึงคนอื่นบ้างก็ได้”

“ไม่ใช่หรอก พี่แค่คิดถึงน้องชายพี่ก่อนที่จะเสีย” ผมอธิบาย “น้องพี่เขาอยากให้พี่ไปดูหนังเรื่องหนึ่งด้วยกัน แต่สุดท้ายพี่ก็ปัดบอกว่าวันหลัง ตั้งใจว่าหลังจากที่ขึ้นเวทีแสดงเสร็จจะไปดูด้วยกันทีเดียว สุดท้ายพี่ก็ทำตามคำขอนั่นไม่ได้”

“...”

“ซื้อของกันเถอะนะ จะได้รีบกลับไปพักผ่อน วันหยุดทั้งทีพี่ตังหากที่ต้องขอโทษที่ลากมีนาออกมาด้วย” ผมยกมือขึ้นมาลูบหัวเด็กอักษรข้างห้อง เขาพยักหน้าตอบรับแล้วไม่พูดอะไรต่อ ตลอดเวลาการซื้อของนั้นเต็มไปด้วยความเงียบ มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด แต่มันเป็นความเงียบที่ทำให้ต่างคนต่างคิดในเรื่องที่ตัวเองพูดออกไป

มีหลายอย่างที่ผมยังไม่ได้ทำตามสิ่งที่น้องผมต้องการ แต่ผมนึกไม่ออก ตอนเดินก็พยายามนึกว่าตัวเองนั้นได้ลืมอะไรในอดีตไปบ้าง

เป็นเพราะหลังจากที่น้องชายผมเสีย หัวใจของผมบอบช้ำมาก จึงเลือกที่จะปิดกั้นความรู้สึกและอะไรหลายอย่างของตัวเองเอาไว้ไม่ให้มันเจ็บปวดอีก พยายามลืมทุกอย่างออกไปเพื่อปกป้องจิตใจที่อ่อนแอจนกระทั่งผมสามารถกลับมายืนได้อีกครั้ง ผมกล่อมตัวเองบอกว่ามันจะต้องไม่เป็นอะไรอยู่เสมอโดยไม่รู้ว่าผมจะทำตามสิ่งที่ตัวเองพูดไปได้อีกนานเท่าไหร่ ผมเคยกินยาระงับประสาท มีครั้งหนึ่งที่ผมให้คำแนะนำพี่เดือนไปเพราะผมเคยผ่านเรื่องทำนองนี้มาแล้ว ดังนั้นจึงมีแค่พี่เดือนเท่านั้นที่รู้ว่าผมเคยกินยาแบบเดียวกับที่เขากินอยู่ แต่ผมยอมรับว่าพี่เดือนเก่งจริงๆท่ามารถกลับมามีความสุขกับชีวิตได้ไวขนาดนี้ เขามีกุมภ์ที่เป็นพลังอยู่ข้างๆ เขามีคนที่เข้าใจสิ่งที่หัวใจของเขาเรียกร้องและเขาเองก็เป็นคนที่เปิดระตูรับกุมภ์เข้าไปในชีวิตของเขา ต่างจากผมที่ไม่กล้าเปิดรับใครเพราะกลัวว่าผู้คนเหล่านั้นจะทำร้ายจิตใจเช่นสมัยผมยังเด็ก ผมเป็นคนขี้กลัว กลัวไปซะทุกอย่าง ชอบมาคิดมากหลังจากที่ทำไปแล้ว สุดท้ายผมก็ยังคงอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆที่เป็นกำแพงกันคนออกจากตัวของผม

ผมได้ของใช้ครบแล้ว นั่งรถกลับหอด้วยกันกับมีนาที่มีของใช้ติดตัวด้วยนิดหน่อย จากนั้นก็ต่างคนต่างแยกเข้าห้อง หมดไปกับหนึ่งวันที่ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก

ผมแยกของในถุงออกมาเก็บเอาไว้ที่ลิ้นชักข้างเตียงบ้าง ห้องน้ำบ้าง อันไหนที่หมดแล้วก็โยนทิ้งไปเลย มีเพียงแค่บางส่วนที่เหลือติดก้นขวดผมจึงน้ำผสมลงไป เขย่านิดหน่อยแล้วใช้ต่อให้หมด

จากนั้นก็ย้ายร่างตัวเองมาดูแลดอกไม้ตรงระเบียงด้วยความเบื่อ อากาศช่วงบ่ายสามวันนี้กำลังเย็นสบาย แดดไม่ค่อยมีให้ชวนหงุดหงิด ผมค่อยๆเล็มและดึงหญ้าที่ขึ้นในกระถางออกจนเจอกับหอยทากตัวหนึ่งที่กำลังกินใบไม้สบายใจ ผมไม่อยากโยนมันลงไปชั้นล่างเพราะสงสาร ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนถึงมาพึ่งพาหาของกินที่นี่ แล้วผมก็นึกได้ว่าในห้องมีกล่องพลาสติกใสเจาะรูอยู่จึงไปหยิบมา ปูพื้นกล่องด้วยกระดาษลัง ใส่ใบไม้กับแตงกวาที่เหลือนิดหน่อยในตู้เย็นลงไป แปะดินที่ผมซื้อมาใส่ต้นไม้อีกให้สูงสักสองเซ็นแล้วก็หยิบหอยทากตัวนั้นมาใส่กล่องปิดฝาเปิดรูระบายอากาศกว้างๆเอาไว้ ผมรู้ว่ามันอาจจะทรมานสัตว์โลกตัวจิ๋ว แต่ผมก็ไม่ยอมให้มันมากินดอกไม้ผมจนหมดหรอก

“เอาเป็นว่าจะเลี้ยงเอาไว้แล้วกัน วันหลังจะหาตู้กระจกกับเพื่อนมาให้อยู่ด้วยกันนะ” ผมพูดกับหอยทากตัวนั้น มันไม่สนใจผม กินแตงกวาที่ผมวางเอาไว้ใหญ่ราวกับว่าเจอสมบัติ ผมเริ่มหาข้อมูลของตู้กระจกหรือกล่องฟิกเกอร์ขนาดสิบห้าเซ็น เลือกราคาถูกเอาไว้เพราะผมคิดว่าหอยทากอายุไม่ยืน เลี้ยงไม่นานเดี๋ยวก็ตาย จนผมนึกได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนเห็นเจ้าของหอพักบอกว่ามีคนย้ายออกแล้วทิ้งตู้ปลาเล็กๆไว้ เผื่อใครอยากได้ให้มาติดต่อ ผมเลยลงไปคุยกับเขาแล้วยกตู้ปลาขนาดเล็กขึ้นมา

มีนาที่เดินลงมาสวนกันพอดีเห็นผมยกตู้กระจกก็เลิกคิ้วแล้วถามผม

“พี่เอาไปทำอะไรเหรอครับ?”

“เลี้ยงหอยทาก”

“ครับ?”

“พี่เจอหอยทากในกระถางต้นไม้พี่ แต่ไม่อยากทิ้งมันน่ะ เลยเลี้ยงเอาไว้ เดี๋ยววันไหนฝนตกพี่จะไปดูๆตามต้นไม้หน้าหอว่ามีหอยทากตัวอื่นรึเปล่า พี่จะเอามาอยู่เป็นเพื่อนมัน”

“คนอื่นเขาเลี้ยงนกเลี้ยงหนู พี่มาแปลกเลี้ยงหอยทาก แต่ก็น่ารักดีนะครับพวกมันไม่น่าจะดูแลยาก” มีนาว่า “ว่างๆเอาไว้ผมไปเล่นกับน้องด้วยนะ”

แล้วมีนาก็เดินจากไป เมื่อครู่มีนาเรียกหอยทากว่าน้อง แสดงว่าผมควรจะตั้งชื่อให้มันด้วยสินะ? เอาชื่ออะไรดีล่ะ

หอยทาก...หอยทาก...สเนล?

ชื่อสเนลก็น่ารักดี เขาบอกว่าหอยทากเป็นสัตว์ที่มีสองเพศ ชื่อนี้ก็ได้ทั้งตัวผู้ตัวเมีย ถึงมันจะไม่มีหูทำให้ไม่ได้ยินอะไรแต่ผมก็จะเรียกมันว่าสเนลนี่แหละเผื่อมันจะคลานเข้ามาหา

ผมกลับเข้ามาในห้อง ย้ายสเนลลงตู้กระจกพร้อมกับหยิบฟ็อกกี้มาเติมน้ำฉีดละอองใส่ ศึกษาหาข้อมูลจากเว็บต่างประเทศก็บอกว่ามันสามารถกินธัญพืชได้นิดหน่อย กินผลไม้ได้บางชนิด ถ้าจะดีให้เลี้ยงมันด้วยแตงกวากับแครอทต้มทิ้งเย็นแล้วหั่นฝอย วางจานน้ำแร่เพื่อไว้ให้มันชื้นๆห้ามใช้น้ำประปา ฟังดูเหมือนจะมีข้อแม้เยอะแต่เอาจริงๆมันก็ง่ายนิดเดียว พอจัดการสัตว์เลี้ยงตัวใหม่เสร็จผมก็มานั่งดูสเนลกินแตงกวาจนมืดค่ำ

ผมเองก็เคยเลี้ยงสัตว์ มันเป็นปลาทองที่ผมตักได้จากงานวัดครั้งหนึ่งช่วงผมอยู่ป.6 ผมกับน้องดีใจใหญ่ที่สามารถตักปลาตัวเล็กๆที่ไม่แข็งแรงนี้ได้ พยายามเลี้ยงมันด้วยกันจนกระทั่งมันตายเพราะอายุ ผมร้องไห้ที่มันตายเพราะไม่คิดว่าปลาทองจะอายุสั้นขนาดนี้ แต่น้องผมก็บอกว่าไม่เป็นไร ถือว่าเขามีความสุขในชีวิตนี้ที่เราเลี้ยงเขาด้วยความเอาใจใส่มากกว่าปล่อยทิ้งๆขว้างๆ

ปลาทองที่เลี้ยงผมตั้งชื่อมันว่าโกลฟิช น้องผมบอกว่าเซ้นต์การตั้งชื่อของผมมันห่วยเสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่ว่าอะไรที่ผมเรียกมันอย่างนั้น

  ข้างนอกฝนตกอีกแล้ว แต่ท่ามกลางกลิ่นไอดินจากฝนผมก็ได้กลิ่นจางๆของเลมอนลอยตามมาด้วย หรือว่ามีนาจะเอาเลมอนหั่นแห้งมาวางทิ้งเอาไว้? ผมเปิดประตูระเบียงโผล่หน้าออกไปดูแล้วก็เห็นว่าเป็นอย่างที่ผมคิด จานเล็กๆที่มีเลมอนหั่นแว่นวางเอาไว้นั้นโดนน้ำฝนจะเปียก ผมจึงถือวิสาสะเอื้อมมือย้ายมันไปวางไว้ตรงริมรั้วที่กั้นระเบียงห้องผมและห้องมีนาเอาไว้ อย่างน้อยตรงนี้ก็เปียกน้ำน้อยกว่า

มีนาตากผ้าเช็ดพื้นทิ้งเอาไว้ด้วย เขาไม่อยู่ในห้องเลยไม่ได้เก็บเข้าไป ด้วยความที่ผมแขนขายาวก็เลยจัดการเก็บผ้านั่นเอาไว้ในห้องผมก่อน จากนั้นก็ปิดประตูกระจกบานเลื่อนให้มิดชิด

ผมเปลี่ยนมานั่งหน้าโน้ตบุ๊ก โชคดีที่เครื่องของผมมันแรงมากพอที่จะลงโปรแกรมสร้างเสียงดนตรีระดับกลางๆได้ แต่ถ้าผมอยากได้ดีกว่านั้นซื้อคอมเลยน่าจะง่ายกว่า นอกจากในนี้จะมีโปรแกรมสร้างเสียงดนตรีแล้วผมยังมีโปรแกรมสร้างเสียงสังเคราะห์หรือที่คนอื่นชอบเรียกว่าโวคัลลอยด์ติดเอาไว้ด้วย เพราะอาจารย์ในเอกบางครั้งก็จะให้พวกเราใช้โปรแกรมนี้ร้องแทน ดังนั้นตัวเสียงสังเคราะห์ที่ได้มาก็มาจากงบสนับสนุนของคณะ ผมจึงไม่ต้องเสียเงินซื้อเอง

ผมแต่งเพลงลงไปได้นิดหน่อยแล้ว เลือกเครื่องดนตรีหลักเป็นกีตาร์ที่ผมถนัด ส่วนเนื้อเพลงผมยังไม่ได้เลยสักบรรทัด แต่ผมก็พยายามไม่คิดมากและไม่เร่งงานตัวเองเพื่อให้เสร็จไว งานแบบนี้นอกจากจะต้องอาศัยสมองส่วนจินตนาการแล้วยังต้องอาศัยอารมณ์อีกด้วย ถ้าเราอารมณ์ไม่ดีหรือไม่คงที่ในช่วงนั้น เนื้อเพลงก็จะออกมาอีกแบบหนึ่ง อาจารย์มักจะบอกอยู่เสมอว่าดนตรีคือสิ่งที่สื่ออารมณ์ของผู้แต่งได้ดีที่สุด ดังนั้นอย่าเอาอารมณ์ที่สร้างขึ้นมาหลอกๆใส่ลงไปในนั้น แต่ต้องเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริงถึงจะทำให้บทเพลงมีความหมาย

ผมโยกเก้าอี้ไปมา วันนี้น่าจะแต่งไม่ได้จึงยอมแพ้ปิดโน้ตบุ๊กไป ย้ายตู้ของสเนลไปที่โต๊ะข้างเตียงแล้วนอนจ้องมันราวกับว่าผมไม่มีอะไรทำอีกแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆ ฝนใกล้จะหยุดตก เอาไว้ฝนหยุดแล้วผมค่อยไปหาเพื่อนให้สเนลมัน

เพราะอากาศที่เย็นลง ทำให้ผมรู้สึกง่วงนอนและปล่อยให้ตัวเองจมไปกับหมอน

 

เพราะตัวที่เปียกน้ำฝน ทำให้ผมหนาวจนตัวสั่นอยู่คนเดียวที่ป้ายรถเมล์ ไม่มีคนอื่นนั่งรอ มองออกไปก็เห็นแต่ถนนที่ว่างเปล่าไม่สมกับเป็นถนน ผมสงสัยว่าเพราะอะไรที่ทำให้ทุกอย่างในที่นี้อ้างว้างไปหมด

ผมอยากได้เสื้อกันหนาว...หรือสถานที่อุ่นๆที่ทำให้ร่างกายของผมเลิกสั่น จึงออกเดินท่ามกลางสายฝนนั้นเพื่อหาร้านกาแฟหรือร้านอะไรก็ได้ที่ต้อนรับคนตัวเปียก

แล้วผมก็เห็นร้านๆหนึ่งเปิดอยู่ ในนั้นไม่มีคนเหมือนกัน แต่ผมเห็นเงาคนอยู่หลังร้าน ทำให้เปิดประตูเข้าไป เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งเป็นการบอกให้คนคนนั้นรู้ว่าผมเดินเข้ามา เสียงบอกว่ายินดีต้อนรับดังขึ้นเป็นการยืนยันในร้านนี้มีตัวตนของมนุษย์อยู่ ผมนั่งที่เคาน์เตอร์ อ่านป้ายเมนูที่ติดเอาไว้ข้างบน เมนูแนะนำของร้านนี้คือน้ำชาเลมอนและชาดอกคาโมมายด์ทั้งๆที่นี่คือร้านกาแฟ

ในที่สุดคนที่อยู่หลังร้านก็เดินออกมา ผมไม่เห็นหน้าเขาเพราะเขาหันหลังทำอะไรให้อยู่ ผมเองก็เช็ดมือหยิบหนังสือออกมาอ่านแล้วร้องสั่งโกโก้ร้อน

เครื่องดื่มถูกวางต่อหน้าผม มันไม่ใช่โกโก้ ผมกำลังจะท้วง แต่ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นผมเห็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นนั่นเสียก่อนพร้อมกับขยับปากออกมาเป็นประโยคว่า

‘เวลาแบบนี้ดื่มชาดีกว่านะครับ ตอนนี้ความคิดของพี่มันตีกันไปมั่วหมดแล้ว’



-30%-

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
น้องมีนาเป็นส่วนนึงของชีวิตพี่นทีมาตลอดเลยเนอะ

 :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความปวดคอ

เมื่อคืนผมนอนตกหมอน เลยขยับตัวนิดๆหน่อยๆคลายเส้น ลุกขึ้นมาให้อาหารเจ้าสเนลหอยทากตะกละที่ผมเห็นว่าแตงกวาชิ้นใหญ่ที่ใส่ลงไปมันฟาดเรียบแล้ว วันนี้ผมเปลี่ยนมาเป็นแครอทต้มหั่นชิ้นเล็กๆ มันก็ยังคงคลานไปกินเอาๆเหมือนเดิม

จะว่าไปแล้ว...ผมฝันว่าผมเข้าร้านกาแฟด้วยสภาพตัวเปียกๆ คนที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์เสิร์ฟชาแทนโกโก้ที่ผมสั่ง แต่ผมจำหน้าคนที่เสิร์ฟไม่ได้

วันนี้ตั้งใจว่าจะเดินออกไปหานั่งที่ร้านกาแฟ แต่ทว่าฝนยังคงตกต่อเนื่องทำให้ผมไม่สามารถออกไปไหนได้ น้ำคงจะท่วมไปแล้วด้วย คนบอกว่าซอยนี้น้ำท่วมง่ายมากเพราะท่อตันทำให้ระบายไม่ทัน ชาวบ้านก็เดือดร้อนอยู่บ่อยๆ แต่เพราะหอนี้มันมีอะไรที่อำนวยความสะดวกและใกล้มหาลัยทำให้ผมต้องยอมรับข้อเสียนี้ โชคยังดีที่ใต้หอยกระดับพื้นขึ้นสูงทำให้รถที่จอดอยู่ข้างล่างไม่โดนน้ำท่วมไปด้วย

กางร่มออกมาจากหอเพื่อแวะเข้าเซเว่นที่อยู่หน้าปากซอย เลือกข้าวกล่องมาสุ่มๆโยนลงไปพร้อมกับน้ำผลไม้อีกสองกล่อง ดูโปรโมชั่นไส้กรอกที่กำลังลดราคาแล้วตัดสินใจหยิบลงตะกร้าอีกสองห่อถึงได้เดินไปจ่ายเงิน พนักงานถามผมว่าจะอุ่นมั้ย ผมก็ตอบไปว่าอุ่นแค่ข้าวกล่อง ชีวิตประจำวันของผมมันวนลูปกลับมาอีกครั้ง ตื่น กิน เรียน นอน ทำซ้ำซากด้วยความจำเจแต่ก็ต้องทำ

ผมกลับมาที่ห้อง กินข้าวเสร็จก็โยนกล่องลงถังขยะ เปลี่ยนน้ำในจานให้สเนล ย้ายร่างตัวเองมาทำงานอื่นต่อที่หน้าโน้ตบุ๊ก สายฝนที่ตกลงมามันสาดกระทบกับประตูระเบียงทำให้เกิดเสียงดังเปาะแปะแล้วผมก็อาศัยเสียงพวกนั้นมาใช้ในการแต่งเพลง บางครั้งไอเดียของผมก็มาจากเสียงน้ำกระทบกับวัตถุ เสียงของมันไม่ได้น่าหนวกหูแต่กลับเพราะฟังสบายในกรณีที่ไม่ได้ตกหนัก แต่แล้วจู่ๆผมก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมาในบริเวณใกล้ๆทำให้ผมสะดุ้งแล้วรีบปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเซฟตัวเองเอาไว้ ผมรู้ว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับฟ้าผ่า แต่ด้วยความที่แม่สอนมาตั้งแต่ผมยังเด็กๆว่าอย่าใช้อุปกรณ์สื่อสารอะไรระหว่างที่ฝนตกฟ้าร้องก็ทำให้เกิดความชิน

ผมเปลี่ยนมานั่งเขียนเพลงบนกระดาษแทน เปิดเครื่องเล่นซีดีคลอตามเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงฟ้าร้อง จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ ผมจึงเดินไปเปิดออก

“พี่นทีครับ ผมขอมาเล่นกับหอยทากพี่ได้มั้ย?”

“ได้สิ” ผมถอยออกมาให้มีนาเดินไปที่ตู้ปลาเล็กๆที่เจ้าสเนลมันกำลังยืน? นอน? หรือทำอะไรนิ่งๆของมันอยู่ใต้ใบไม้ใบหนึ่ง “มันชื่อสเนล”

“สเนล? ที่แปลว่าหอยทากน่ะเหรอครับ?” ผมพยักหน้า “คือผมก็ไม่ได้อยากว่าพี่หรอกนะ แต่รสนิยมการตั้งชื่อของพี่นี่มัน...”

“เคยมีคนพูดแบบนี้กับพี่เหมือนกัน” ผมหัวเราะ “แต่อย่างน้อยก็ชื่อน่ารักน่าฟังมากกว่าปลาทองชื่อโกลฟิชแล้วกัน”

คราวนี้มีนาระเบิดหัวเราะออกมาใหญ่ ผมนั่งดูมีนาหยิบหอยทากสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ผมออกมาจากตู้แล้วจิ้มไปที่เปลือกของมันเบาๆ พูดอะไรงุ้งงิ้ง “แล้วทำไมถึงอยากมาเล่นกับหอยทากพี่ล่ะนี่?”

“ผมตั้งใจจะเปิดโน้ตบุ๊กทำงานแต่เมื่อกี๊ฟ้าลงเลยปิดดีกว่า พออยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำก็เลยอยากมาเล่นกับน้อง” มีนาว่า “นั่นผ้าเช็ดพื้นผมนี่?”

“อ๋อ พี่เก็บเอาไว้ให้เดี๋ยวมันจะเปียกเอา”

พวกเราไม่พูดต่อ มีนานอนพื้นเล่นกับสเนลที่คลานอืด ส่วนผมก็ขีดๆเขียนๆเนื้อเพลงลงบนกระดาษ

พอเห็นมีนาแล้ว...ผมก็นึกถึงคำๆหนึ่งขึ้นมาแล้วจดลงไป

คนที่ห่วงใย

ผมห่วงมีนาเป็นน้องชายอีกคน นี่คือสิ่งที่แน่นอนสำหรับผมในตอนนี้ และด้วยความที่มีนาเป็นเหมือนน้องของผมทำให้ผมมีไอเดียในการแต่งเพลงขึ้นมาทีละนิด หรือว่าบางทีผมอาจจะเขียนเพลงที่มีเนื้อหาขอบคุณความทรงจำดีๆที่ผมมีด้วยกันกับน้องชายแท้ๆดีกัน

มีนาใส่เจ้าสเนลลงตู้เหมือนเดิม แล้วขอตัวออกจากห้องไปเมื่อฝนทำท่าจะซาลง เขาเองก็ไม่อยากกวนผมนาน ผมก็ยังคงนั่งกับโต๊ะทำงานโดยที่ไม่ลืมกินข้าวกินน้ำ พรุ่งนี้ผมจะไปไปดูออมสินซ้อมเดินครั้งใหญ่บนเวที ผมไม่รู้ว่ารุ่นพี่กลุ่มนั้นจะมาด้วยรึเปล่า ภาวนาแต่ว่าพวกเขาจะไม่มาเพราะไม่อย่างนั้นพวกเราได้มีอาการกระอักกระอวนเป็นแน่

จริงสิ โทรถามเจ้าเด็กนั่นดีกว่า

“ออมสิน ถ้าพรุ่งนี้พวกรุ่นพี่นั่นมาจะมองหน้าติดกันรึเปล่า?”

[ไม่ติดก็ต้องติดนั่นแหละครับพี่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง] ออมสินตอบกลับมาด้วยความร้อนใจ [ผมเองก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่แต่พวกพี่สองแกเอาเรื่องนี้ไปคุยกับอาจารย์ในคณะแล้ว ต้องรอฟังผลพรุ่งนี้]

“หืม? คุยกับอาจารย์ในคณะ?” ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้เลย

[พี่สองเขาไม่ยอมน่ะครับ บอกว่ายังไงมันก็เป็นความผิดของพวกเขาที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ถ้าได้เปลี่ยนคนดูแลก็น่าจะได้พวกพี่สองมาช่วยดู]

“ดีแล้วล่ะเราก็ระวังตัวด้วยเดี๋ยวเกิดปัญหากันนอกงานอีก พี่ไม่อยากให้ใครเจ็บตัว”

[พี่นทีเป็นเหมือนพี่ชายคนที่สองคนผมเลยนะครับ ขอบคุณนะที่ห่วงผม ผมจะระวังตัวเอาไว้แล้วกัน พี่เองก็อย่าประมาทเชียวล่ะ] ออมสินว่าก่อนที่จะวางสายลงไป พี่ชายอย่างนั้นเหรอ? นั่นสิ ผมคงทำตัวเป็นพี่ชายให้รุ่นน้องในเอกหลายคนแล้ว แต่ไม่เป็นอะไรหรอกถ้ามันไม่เกินขอบเขตที่ผมขีดเอาไว้ [พรุ่งนี้เจอกันนะครับ]

“เจอกัน” ผมตอบ เป็นฝ่ายกดวางสายไปก่อน นาบกับพื้นพลางถอนหายใจ ลางสังหรณ์ของผมบอกว่าพรุ่งนี้ไม่น่าจะผ่านไปง่ายๆ และคุณเชื่อรึเปล่าว่าลางสังหรณ์ของผมมันแรงมากจริง

 

“มาทำไมอีก ไปไหนก็ไปเลย”

“ผมต้องดูแลออมสินช่วยพวกพี่ เรื่องส่วนตัวก็ให้มันเป็นเรื่องส่วนตัวเถอะครับ” ผมกอดอก ยืนประชันหน้ากับรุ่นพี่ปีสี่ที่เพิ่งมีเรื่องด้วยกันไปแม้ว่าจะเป็นเขาแค่ฝ่ายเดียวก็ตามที่ลงมือ “ตอนนี้เราต้องมาเทรนเด็ก ไม่ใช่มาทะเลาะกันให้เด็กเห็น”

คนอื่นๆที่มาจากต่างคณะก็เริ่มให้ความสนใจบ้างแล้ว คงสงสัยว่าพวกเราเสียงดังอะไรกัน ออมสินที่ยืนอยู่ข้างหลังผมกำลังพยายามกล่อมไม่ให้ผมอารมณ์ขึ้น ผมว่าควรจะไปกล่อมพวกพี่สองมากกว่าที่ตอนนี้กำหมัดแน่น ผมน่ะคุมอารมณ์ร้อนตัวเองได้ดีกว่าอยู่แล้ว

“หรือว่าที่มึงมาเพราะอยากอวดตัวว่าเป็นเดือนมหาลัยปีสาม?”

“ผมมาเพราะจะสอนน้อง ไม่ใช่มาอวดตัวเอง” ผมส่ายหน้า “ไปกันเถอะออมสิน เดี๋ยวพี่จะให้ลองเดินซ้อมบนเวทีดูนะ”

“ไอ้นที! มึงฟังกูรึเปล่าวะ?!”

“พี่ครับ ที่นี่เป็นที่สาธารณะนะ จะมาเอะอะโวยวายเหมือนในตึกคณะเราไม่ได้ ได้โปรดเห็นแก่คนอื่นด้วยเถอะ มันจะสร้างความอาบอายให้” ผมก้มหัวลง แล้วรีบพาออมสินออกจากตรงนั้นก่อนที่จะเกิดเรื่องมากกว่านี้ แต่ทว่าก็ไม่ทันเพราะรุ่นพี่คนนั้นดึงคอเสื้อผม กระชากเข้าไปหาพร้อมกับใช้มืออีกข้างดึงเส้นผมยาวที่มัดรวบเอาไว้จนเจ็บไปหมด

“มึงแค่อยากได้ซีนเท่านั้นไม่ใช่เหรอ”

“อึก” ผมร้องออกไป หลายคนอยากจะเข้ามาช่วยแต่เพราะด้วยความที่ไม่รู้จักกันและกลัวโดนลูกหลงไปด้วย ทำให้ไม่กล้าเข้ามาหา ผมพยายามดิ้นตัวเองออกมาให้ได้แต่พี่เขาก็รั้งผมไว้แน่นกว่าเดิม

ตุบ

“ปล่อยพี่นทีเดี๋ยวนี้เลยนะครับ”

เสียงเล็กๆดังขึ้นพร้อมกับร่างของผมที่ดิ้นหลุดออกมาได้ ออมสินรีบกรูเข้ามาหาผม ร่างที่สูงน้อยกว่าผมตรงหน้าล้มลงไปพร้อมกับปรากฏร่างเล็กกว่าที่ยกมือทำท่าคาราเต้ “พี่นทีไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

“มีนา?”

“ผมว่าแล้วว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นเห็นคนออกันเยอะๆ เลยเข้ามาดู” มีนาปัดมือ หันไปมองรุ่นพี่ที่ล้มอยู่กับพื้นด้วยสายตาเคืองๆ “พี่แค่อิจฉาพี่นทีทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนี้กัน? ไม่มีเหตุผลเลย”

“แล้วมายุ่งด้วยอะไรกันเด็กนี่ ตัวนิดเดียวแต่แรงเยอะชะมัด” เขาว่าอย่างอารมณ์เสีย แต่คนที่น่าจะอารมณ์เสียกว่าก็คือมีนา เขายกเท้าขึ้นมาเตะเข้าที่สีข้างรุ่นพี่คนนั้นจนร้องไม่ออก ภาพความรุนแรงตรงหน้าไม่เหมาะกับเด็กอักษรปีสองที่ดูนุ่มนิ่มคนนี้เลยสักนิด ทว่ากุมภ์เคยเล่าให้ผมฟังว่ามีนาเรียนคาราเต้มาก่อน ไหนจะทั้งเทควันโดอีกเพราะเห็นว่าตัวเล็กเลยต้องเซฟตัวเองให้มากหน่อย ผมก็ไม่คิดว่าแรงมีนาจะมีเยอะขนาดนี้

“ออมสินอย่าไปมองนะ ภาพความรุนแรง”

“น้องพี่คนนี้น่ากลัวอะ ผมไม่กล้าหาเรื่องด้วยเลยนั่น” ออมสินว่า

หลังจากที่มีนาจัดการรุ่นพี่ในคณะผม เขาก็เดินออกมาแล้วร้อง ‘ฟู่’ เบาๆ เปิดขวดน้ำขึ้นมาจิบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นก็มีอาจารย์เข้ามาแล้วตักเตือนทั้งฝ่ายรุ่นพี่และมีนาที่ก่อความรุนแรงขึ้น ก่อนที่รุ่นพี่ฝ่ายคณะของผมจะโดนอาจารย์ลากไปสอบวินัยเพราะเป็นคนเริ่มก่อน

ทุกคนกลับเข้าที่ของตัวเอง มีนายังคงยืนอยู่กับผมและออมสิน พี่สองพี่ดังโงะบอกว่าไปเป็นพยานในเหตุการณ์ ดังนั้นแล้วจึงเหลือกันแค่นี้

“...”

“...”

“...”

เดดแอร์...นี่มันแย่สุดๆ

ผมไม่รู้ว่าจะเอาใจใครก่อนดีระหว่างมีนากับออมสิน ฝั่งหนึ่งก็รุ่นน้องในคณะ อีกฝั่งก็น้องชายเพื่อนที่สนิทกัน ถ้าเกิดว่าผมโอ๋คนใดคนหนึ่งอีกคนต้องงอนแน่ๆ

“พี่นทีฝึกรุ่นน้องในคณะพี่เถอะครับ ผมไม่กวนแล้ว ผมเองก็ต้องไปช่วยดูฝั่งคณะผมเหมือนกัน” มีนาว่าพลางยักไหล่ แล้วก็เดินหนีไปเลย ทิ้งความสงสัยไว้ให้ผมและออมสินงงอยู่อย่างนั้น

อา...ผมเดาความคิดมีนาไม่ออกสักนิด เข้ามาช่วยผมก็แค่ใช้วิชาคาราเต้สับหลังคาให้ล้มลงก็พอไม่ต้องเตะสีข้างซ้ำก็ได้ หรือว่าความจริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นกัน?

“แกๆ นั่นใช่มีนาที่ว่าเคยเป็นแฟนกับพี่คนนั้นไม่ใช่เหรอ? เลิกกันไปประมาณครึ่งปีก่อนได้เพราะอะไรสักอย่าง”

ผมได้ยินเสียงกลุ่มคนจากคณะบริหารที่กำลังซ้อมอยู่ข้างๆคุยกัน ผมเลยบอกให้ออมสินไปซ้อมกับคนจากคณะอื่นก่อนแล้วไปถามข้อมูลจากพวกเธอ

“ขอโทษนะครับ เมื่อกี๊พวกคุณพูดถึงมีนาเด็กอักษรปีสองคนนั้นรึเปล่า?”

“อ้าว นี่นทีเดือนมหาลัยปีสามไม่ใช่เหรอ?” ผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นมา “ใช่ พวกเรากำลังพูดถึงเด็กคนนั้นอยู่”

“ตอนเข้าปีหนึ่งเห็นว่าคบกับรุ่นพี่คนนั้น ถึงจะไม่ได้ลงรูปอะไรในโซเชี่ยลแต่ก็มีคนเห็นว่าไปเดินห้างด้วยกันบ่อยๆ จับมือไปกินข้าวด้วยกันประจำ แต่มีคนบอกว่าเลิกกันเมื่อครึ่งปีก่อนเพราะอะไรสักอย่าง หลายคนเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องความไม่เข้าใจกัน ฝ่ายคนเป็นพี่ก็อยากลงอัพเดทว่ามีแฟนแล้ว ฝ่ายคนน้องก็ไม่อยากให้คนอื่นเขารู้ไปทั่ว นทีเองก็น่าจะเข้าใจอยู่นี่ว่าคณะของนทีมีคนเป็นหน้าเป็นตาให้เกือบหมดเลย คนติดตามก็เยอะ” ผมพยักหน้า ทำความเข้าใจตาม “เอาไปเอามาก็กลายเป็นว่าไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกัน แล้วเลิกกัน คนน้องไม่เสียใจอะไรเลยสักนิดเพราะเราว่าเขาคงตัดสินใจดีแล้ว แต่คนเป็นรุ่นพี่ต่างคณะนี่สิที่เริ่มทำตัวเหลวไปทั่ว คงรักน้องจริงๆ”

เรื่องที่มีนาเคยมีแฟนนี่ทำให้ผมค่อนข้างประหลาดใจ ถ้าเป็นอย่างที่พวกเธอเล่ามาจริงมีนาก็เก็บความลับเก่งมาก ขนาดผมที่อยู่ข้างห้องยังไม่รู้เลย

“ถ้าจำไม่ผิดนทีสนิทกับพี่ของน้องเขาไม่ใช่เหรอ?”

“ครับ ผมเป็นเพื่อนสนิทเขา แต่ผมก็อยู่หอห้องข้างๆมีนานี่แหละเลยแปลกใจที่มีนาเคยมีแฟน” ผมบอก “แต่ยังไงแล้วก็คงไม่เกี่ยวกับผม เมื่อกี๊คงเป็นปัญหาส่วนตัว”

“นทีอย่าพยายามเข้าไปยุ่งกับรุ่นพี่คนนั้นก็พอแล้วล่ะ ถ้าเกิดฝั่งนั้นรู้เข้าว่านทีอยู่ห้องข้างๆน้องอาจจะโดนพาลเข้าด้วยก็ได้” เธอว่าด้วยความเป็นห่วงผม “เราชื่อแก้ว อยู่ปีสามบริหารธุรกิจ คุมดาวคณะเราเอง ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ถามได้นะ”

“ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่กวนแล้วล่ะ” ผมลาพวกเธอ กลับมาหาออมสินที่เดินบนเวทีไปมา ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติโดยที่ผมเองก็คงคลาแคลงใจเรื่องมีนาไม่หาย

...แล้วผมจะไปคิดมากเรื่องคนอื่นเขาทำไมกัน? เลิกนทีเลิก มีนาเก่งกว่าผม เขาจัดการเองได้อยู่หรอก

ผมไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของเขาสักหน่อยที่จะเข้าไปยุ่งด้วยทุกอย่างน่ะ

 

เจ้าสเนลกำลังค่อยๆกินเมล็ดทานตะวันที่ผมไปซื้อมาจากร้านขายสัตว์เลี้ยง ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วหลังจากซ้อมใหญ่ วันนี้ผมไม่โผล่หัวไปมหาลัยตอนเช้าเพราะมันไม่อะไร ตอนเย็นค่อยไปดูออมสินประกวด แน่นอนว่าผมได้อภิสิทธิ์จากกองประกวดดาวเดือนให้ได้ดอกกุหลาบเอาไว้โหวดหนึ่งดอกฟรีๆ ตอนแรกทางกองประกวดจากลากให้ผมไปทำหน้าที่เป็นพิธีกรด้วยซ้ำแต่ผมก็หนีมาได้

เสียงกุกกักดังมาจากระเบียงห้องข้างๆ มีนาน่าจะออกมาทำอะไรสักอย่างตรงนั้น ผมจึงเปิดประตูออกไป เห็นว่ามีนากำลังนั่งกับพื้นระเบียงแล้วเหม่อมองท้องฟ้าครึ้มๆนั่นราวกับว่าเขาคิดอะไรอยู่ ผมลังเลว่าจะทักดีหรือไม่จนสุดท้ายปากผมมันก็อยู่ไม่สุข

“มีนา”

“ครับ?” เขาขานรับเสียงขุ่นๆ เหมือนยังไม่ได้สติดีเท่าไหร่นัก “ผมแค่ออกมานั่งคิดอะไรสักหน่อยน่ะ ไม่ต้องห่วงผมหรอก”

“มีนา พี่ถามอะไรได้มั้ย?”

“ครับ”

“พี่ได้ยินมาว่าเราเคยมีแฟน แล้วแฟนคนนั้นก็เป็นรุ่นพี่คนที่มีเรื่องกับพี่ด้วย” มีนาสะดุ้งหน่อยๆ แต่ก็ปรับสีหน้าตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ ซึ่งทั้งหมดนั่นมันอยู่ในสายตาของผมแต่แรก “จริงรึเปล่า?”

“...ครับ”

“มีนาเล่าให้พี่ฟังได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ผมทรุดตัว นั่งลงกับพื้นระเบียงบ้างโดยที่มือหยิบจับอุปกรณ์ปลูกต้นไม้ขึ้นมา

“ผมจะไว้ใจพี่ได้มากแค่ไหนที่พี่จะไม่เล่าให้คนอื่นฟังต่อ?” มีนาถามผม แสดงว่ามันเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากให้ใครรู้ “บอกผมมาสิ ว่าผมสามารถไว้ใจได้แค่ไหน?”

“...”

“ถ้าพี่ไม่มีคำตอบผมก็ไม่เล่าหรอกครับ เพราะผมกลัวว่าพี่จะเอาไปเล่าให้คนอื่นสนุกปากต่อ” มีนาถอนหายใจ นานๆทีผมถึงจะเห็นมีนามีอาการแบบนี้

“มีนาไว้ใจพี่...ในฐานะพี่ชายคนหนึ่งได้” ผมตอบออกไป “พี่เป็นพี่ชายอีกคนของมีนา”

“...”

“ได้รึเปล่า?”

“...ก็ได้ครับ” มีนาหยิบจานเลมอนหั่นแว่นแห้งขึ้นมาเขี่ยเล่น “ผมกับพี่วิกคบกันตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง พวกเราเจอกันที่งานประกวดดาวเดือน อาจจะเพราะผมอยากรู้ว่าการที่พี่ชายตัวเองมีแฟนมันให้ความรู้สึกยังไงเลยตกลงคบพี่วิกหลังจากเจอกันและคุยกันได้สองอาทิตย์ ไวไฟดีเนอะ”

“...”

“พี่วิกเขาก็เอาใจใส่ผมดี ดูแลผมทุกอย่าง จนกระทั่งเขาอยากเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเรา ผมไม่เห็นด้วย โลกไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผมกำลังคบกับพี่วิก แล้วพวกเราก็ทะเลาะกัน พี่วิกเริ่มเปลี่ยนไป เขาชอบพาผู้ชายคนอื่นเข้าห้องตัวเองในตอนที่ผมไปนั่งเล่นที่หอของเขา อ้างว่าเป็นเพื่อนบ้าง เป็นรุ่นน้องรุ่นพี่บ้าง ไหนจะทั้งยังใส่ความผมบนเว็บบอร์ดหนึ่งของอินเตอร์เน็ทอีก ไม่ใช่ว่าผมทนไม่ไหว มันเป็นเรื่องเล็กด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาไม่คิดจะรับฟังสิ่งที่ผมต้องการบ้างเลยนั่นคือจุดที่ทำให้ผมกับพี่วิกมองหน้ากันไม่ติด ผมเป็นฝ่ายบอกเลิกเขา บอกเลิกแบบไร้เยื่อใย ถ้าเขาไม่สนใจที่จะฟังความคิดผมก็อย่าหวังเลยว่าจะคบกันได้นาน ผมไม่น่าหลงผิดไปคบกับเขาเพียงเพราะการได้คุยมีกี่ครั้งนั่นเลย”

มีนาบ่นออกมายาวที่สุดในชีวิตของเขา “มีวันหนึ่งเขาส่งข้อความมา บอกว่าเห็นผมอยู่กับพี่นทีบ่อยมาก เขาเลยคิดว่าผมอาจจะทิ้งเขามาหาพี่ เลยทำให้พี่โดนเขาหงุดหงิดใส่ จากนั้นก็กลายเป็นการหาเรื่องโดยอ้างเหตุผลนู่นนี่ ดีไม่ดีอาจจะปล่อยข่าวลือปลอมๆออกมาอีก”

นั่นคงเป็นตัวอธิบายได้ดีที่สุดสำหรับการที่รุ่นพี่คนนั้น...พี่วิกเข้ามาหาเรื่องกับผม เขาพยายามเสี้ยมให้ออมสินไม่ชอบผมตามเขาแต่ก็ไม่สำเร็จเลยกลายเป็นว่าทะเลาะกับทั้งผมและออมสินไปซะอย่างนั้น

“แต่เขาก็ประชดมีนาด้วยการพาคนอื่นเข้าห้องนะ” ผมบอกเขาไป “ถ้ารักจริงใส่ใจจริง ต่อให้จะประชดยังไงก็คงไม่ถึงขั้นพาผู้ชายต่างหน้าเข้าห้องไม่ซ้ำกันทั้งๆที่มีนาก็ยังอยู่ในห้องอย่างนั้นหรอก”

“เขาคงคิดว่าผมเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักโลกด้วยนั่นแหละครับถึงทำแบบนี้ เพราะเขาคงมองว่าผมซื่อ” มีนาเค้นเสียงหัวเราะฮึในลำคอ “พี่นทีเห็นผมเป็นเด็กซื่อมั้ยครับ?”

“มีนารู้โลกเยอะกว่าพี่อีกมั้ง” ผมหัวเราะตาม แต่พยายามปรับให้ดูเป็นโทนร่าเริงเผื่อจะทำให้มีนาอารมณ์ดีขึ้นได้ “มีนาไม่ซื่อ เป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวสูง แต่มีนาไม่ชอบพูดเลยทำให้คนคิดว่ามีนาเป็นพวกที่ทำอะไรให้ก็ได้ บางครั้งมีนาพูดก็แอบหลอกด่าแบบเนียนๆไปด้วย”

“เห็นมั้ย พี่ยังไม่มองผมเป็นเด็กซื่อเลย ทำไมคนชอบเห็นว่าผู้ชายตัวเล็กหรือใส่แว่นทำตัวเรียบร้อยต้องเป็นพวกติ๋มๆด้วยกัน วันนี้ผมจัดการเขาไปก็น่าจะรู้แล้วล่ะว่าผมไม่ให้ใครมาเล่นกับความรู้สึกผมได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับพี่นที”

“มีนา...”

“ปกติแล้วผมจะไม่ใช้อารมณ์ในการทำอะไร ผมสามารถวิ่งออกไปบอกอาจารย์ได้แต่ผมไม่ทำ เพราะมันถึงขีดจำกัดผมแล้ว ถ้าจะคุกคามทำไมเขาต้องลามไปถึงพี่ด้วย ผมไม่อยากให้พี่ต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องแฟนเก่าผม” มีนาส่ายหน้า “ผมเลยต้องจัดการสั่งสอนให้ผู้ชายคนนั้นรู้เสียบ้างว่าอย่ามาเล่นๆกับผม เพราะผมจริงจังกับทุกเรื่อง คบกันต้องมีกรอบและขอบเขตอย่างชัดเจน ถ้าใครล้ำเส้นที่ผมขีดเอาไว้ผมก็จะไม่ปล่อยเฉย”

“แต่มีนา บางครั้งเราก็ต้องยืดหยุ่นกับสิ่งที่เรายืดมั่นบ้างนะ”

“ผมสามารถทำได้ครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องความรัก...ผมไม่อยากให้คนมาล้อเล่นกับผม พี่เข้าใจใช่มั้ย?”

“...”

“ผมไม่ชอบคนที่เล่นกับความรู้สึกของคนอื่น”

 

เวลาประกวดผมนั่งอยู่หน้าเวที ดูออมสินเดินไปมาแล้วแนะนำตัว ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยแม้ว่าเจ้าตัวจะแอบมีเกร็งๆไปบ้าง ซึ่งผมว่าอย่างน้อยเขาก็ทำได้ดีกว่าผมโข แต่มองยังไงผมว่าน้องก็คงไม่ได้ตำแหน่งเดือนมหาลัยหรอก

พิธีกรกำลังประกาศรายชื่อคนที่ผ่านเข้ารอบ ออมสินได้รางวัลขวัญใจช่างภาพเพราะรอยยิ้มของเขาสวย ความจริงเขายิ้มกว้างเพราะว่าเห็นผมมาดูเลยได้ช็อตนั้นพอดี

เมื่อผลตัดสินออกแล้ว ผมก็ไม่ได้อยู่ต่อ แอบเดินออกมาเงียบๆคนเดียวท่ามกลางผู้คนที่กำลังสนใจแต่หน้าเวที คนรู้จักของผมก็มีทักอยู่แต่ผมก็บอกว่าให้เงียบๆเอาไว้ พอพ้นคนมาได้ผมก็ถอนหายใจทันที ข้างในไม่ค่อยมีอากาศเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าอัดกันเข้าไปได้ยังไง

ในขณะเดียวกันที่ผมกำลังเดินกลับหอ ผมก็ได้ยินเสียง ‘แชะ’ จากกล้องของใครสักคน ผมรีบหันไปมองก็เห็นว่าเพื่อนสนิทผมที่ดร็อปเรียนไปหนึ่งปีกำลังยืนถือกล้องสุดรักอยู่

“ทำไมเดือนมหาลัยปีสามถึงอยู่นี่ล่ะครับ? ไม่ไปขึ้นเวทีทำหน้าที่อะไรสักหน่อยเหรอ?”

“กูไม่ชอบความวุ่นวายมึงก็รู้ดี แล้วมึงไม่ไปทำงานล่ะ?” ผมถามกุมภ์ มันเปลี่ยนมาเดินข้างๆผมพร้อมกับยื่นกล้องมาตรงหน้าให้ผมดูด้วย “รูปนี้น้องคณะมึงดูดีจัง”

“เอ้า งานคุณภาพครับ แต่น้องมึงก็ดูดีใช่ย่อยนะ” กุมภ์เก็บกล้องกลับ “พี่เดือนกำลังจะตามออกมา ขนาดนี่ปีสี่มีงานเยอะแล้วนะยังจะงอแงออกมาทำงานด้วยอีก”

“เขาก็เป็นห่วงมึงนั่นแหละน่า โชคดีจังนะที่มีคนห่วงใยแบบนี้”

“รีบหาแฟนสิครับคุณเพื่อน”

“ไม่เอา วุ่นวาย”

“นั่นไง ผิดจากที่คิดเอาไว้ที่ไหน” กุมภ์กอดอก “มีคนบอกว่ามึงโดนรุ่นพี่ในคณะเขม่นด้วยนี่นา”

“อืม เพราะคิดว่ากูเป็นแฟนมีนา” ผมบอก กุมภ์เลิกคิ้วทันที “ยังไงล่ะ กูสัญญาไว้กับน้องมึงแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องส่วนตัวของเขาแม้กระทั่งคนเป็นพี่อย่างมึง กูบอกอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้าให้คร่าวๆก็คือคนคนนั้นชอบน้องมึง ตามวอแวน้องมึง แต่มีนาไม่ชอบ ไม่สนใจ เขาเลยคิดว่ามีนาชอบกูที่อยู่หอเดียวกัน ห้องข้างๆกัน”

“เฮ้ย แล้วยังไงต่อล่ะ?”

“น้องมึงเป็นคนจัดการไปเมื่อหลายวันก่อน กูไม่รู้ว่าอีกกี่วันพี่เขาจะกลับมาวนเวียนอีก แต่กูจะพยายามอดทนเอา ถ้าไม่ไหวจริงๆกูจะเป็นฝ่ายที่ไม่ยอมบ้างแล้ว” ผมมองต้นไม้ที่อยู่ข้างสระน้ำ “กูน่ะไม่เป็นอะไรหรอก กูห่วงมีนา ถึงมีนาจะป้องกันตัวเองได้แต่กูก็ไม่ลืมว่าน้องมึงน่ะตัวเล็ก ถ้าเกิดเขายกพวกกันมาทำอะไรยังไงก็สู้ไม่ไหว”

“กูฝากดูน้องกูด้วยแล้วกันนะ มีอะไรก็ช่วยๆกัน กูเองก็อยู่ดูน้องตลอดเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว” กุมภ์ตบบ่าผม แม้ว่าส่วนสูงจะห่างกันมากก็ตาม “พี่เดือนเดินออกมาแล้ว กูไปหาเขาก่อนนะ”

“อืม แล้วเจอกัน”

“เจอกัน”

กุมภ์เดินไปหาพี่เดือนที่ยืนอยู่หน้าตึกบริหาร ผมยกมือไหว้พี่เดือนจากไกลๆแล้วก็เดินไปที่หน้ารั้วมหาลัยโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีคนกำลังแอบตามถ่ายภาพของผมอยู่ลับๆ

 

และผมก็กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วในทวิตเตอร์ภายในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา 

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
พี่นทีจะเป็นที่รู้จักในทางไหนละเนี่ย
แต่ไม่น่าจะเป็นในทางไม่ดี ตอนคุยกับกุมภ์ก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนี่
น้องมีนาเท่มากครับ ถ้านังพี่วิกมาวอแวอีกจับส่งตำรวจไปเลย

 :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครหว่า  ปาปารัซซี่คนนั้น

แล้วเขาจะแปะแคปชั่นว่าอะไร?

ทางดีหรือไม่ดี?

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 3

 

Thai’s UniBoi @Uniboyz

ตายแล้ว เจ้ไปอยู่ส่วนไหนของมหาลัยมาถึงเพิ่งเห็นหนุ่มหล่อหน้าตาดีคนนี้กัน ใครมีวาพ์บช่วยบอกบุญทีนะคะ รู้อย่างเดียวคือมาจากมหาลัย J

                เค้กครีม @Cake456

                เราอยากรู้ด้วย งานดีมาก ฮือ TT

            Sky Rocket @JaruadAwagard

                คนนี้เดือนมหาลัยปีสามชื่อนที ไมตรีจิตรค่ะ แต่ว่าไม่ค่อยออกสื่อเท่าไหร่ เหมือนจะหวงตัวพอสมควร

            Whan @WanWhan

                ขอความกรุณาลบทวิตด้วยนะคะ น้องไม่ชอบให้ใครมาแอบถ่ายแล้วเอาลงแบบนี้ค่ะ


 

ผมอ่านทวิตที่คนในคณะของผมส่งมาให้ มีคนแอบถ่ายรูปแล้วเอาไปลงโดยไม่ขออนุญาตก่อน นั่นทำให้ผมกำลังอารมณ์เสียอยู่ตอนนี้ ขนาดรุ่นพี่ในคณะขอให้ลบให้แล้วยังไม่สนใจกันเลย แถมยอดรีทวิตยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องกดรีพอร์ตไป ผมไม่สนว่าจะเป็นแอคฯใหญ่มาจากไหน แต่การที่เอารูปคนอื่นมาลงโดยไม่สนใจเรื่องสิทธิส่วนบุคคลนั้นมันย่อมไม่ใช่เรื่องดี

คงต้องใช้เวลาอีกสักพักเลยที่เรื่องมันจะซาลง

รูปที่เอาลงนั้นเป็นรูปของผมตอนกำลังเดินกลับหอ เป็นมุมมองด้านข้างซึ่งในจังหวะนั้นรถได้ขับผ่านพอดี แสงไฟจากหน้ารถจึงทำให้เห็นโครงหน้าของผมชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ใต้แว่นก็ตาม พอมีคนบอกชื่อจริงของผมก็พากันไปรีเสิร์ทหากันใหญ่หวังจะแอดผม แต่ขอโทษนะ ทั้งเฟสผม ทั้งทวิตเตอร์ผม ทั้งไลน์ผมไม่เคยใช้ชื่อจริงหรือชื่ออื่นที่บ่งบอกเลยว่านั่นคือตัวของผม

ใครจะไปคิดล่ะว่าชื่อเฟสของผมจะตั้งว่า ‘Koizumi Chika’ ที่เป็นชื่อตัวละครจากโปรเจ็คไอดอลโรงเรียนมัธยมปลาย

ใครจะไปคิดล่ะว่าแอคทวิตเตอร์ของผมจะชื่อว่า @ASDFHJKL

ส่วนไลน์ของผมก็ใช้บล็อกไม่ให้แอดเพื่อนด้วยเบอร์โทรและใช้ชื่อว่า เป็ดก้าบก้าบ

เพื่อนบอกผมว่าผมควรจะใช้ชื่อจริง แต่เป็นยังไงล่ะ พอเจอแบบนี้เข้าอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมาอดทนกับคนที่จะคอยมาทักตลอดเวลาให้ปวดหัว

วันนี้ผมเพิ่มมาตรการให้ตัวเองเป็นพิเศษ มาเรียนเหมือนมารบ ป้องกันตัวให้เต็มที่ ทรงผมจากที่เคยกระเซิงมาเรียนอยู่แล้วก็ทำให้มันกระเซิงมากขึ้น เดินก้มหน้ากลมกลืนไปกับผู้คนแม้ว่าผมจะสูงเด่นขึ้นมานิดหน่อย เพื่อนร่วมเอกก็ทักผมว่าเกิดอะไรขึ้นจนนึกได้ว่ามีคนเอารูปผมไปลงถึงได้ร้องอ๋อกันแล้วไม่ว่าอะไรต่อพลางตบบ่าปลอบใจอีกด้วยว่าเกิดมาหน้าตาดีก็อย่างนี้

พอเลิกเรียนผมก็รีบวิ่งจู๊ดไปที่รถมอเตอร์ไซค์ทันที ไม่อยู่ต่อให้มีคนมาตามสืบถึงที่หรอก แต่ทว่าเมื่อไปถึงที่จอดรถผมกลับเห็นร่างของเด็กคณะอักษรที่คุ้นเคยกำลังเดินผ่านไปที่ไหนสักที่ ความจริงมันก็เป็นสิทธิของมีนาที่จะมาโผล่ที่นี่ได้เหมือนกัน แต่ด้วยความที่ตัวของผมนั้นมีเชื้อโรคที่เรียกว่าขี้เผือกอยู่ค่อนข้างจะเยอะจึงทำให้สงสัยว่ามีนามาทำอะไรที่นี่ แอบตามไปได้สักพักผมก็เห็นว่ามีนาตรงมายังตึกคณะเภสัช ยืนคุยกับรุ่นพี่ที่น่าจะอยู่ปีสี่ด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ออกไป ผมจึงค่อยๆทำตีเนียนพิงเสาจากข้างหลังยืนฟัง

“ผมอยากให้พี่ลบรูปนี้ออกจริงๆนะครับ พี่เขาไม่ชอบให้ทำแบบนี้โดยไม่ขอกันก่อน”

“แต่มันก็ไปทั่วแล้วนะคะน้อง พี่เองก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะพี่เชื่อว่าคนเซฟรูปกันเยอะแยะ อีกอย่างก็คือเจ้าตัวไม่ออกมาโวยวายก็แสดงว่าเขาไม่ได้ไม่พอใจไม่ใช่เหรอคะ?”

“ไม่ออกมาโวยวายเพราะเขาคิดว่ามันจะทำให้ใหญ่โตกว่าเดิมน่ะสิครับ ลบทวิตออกจากอินเตอร์เน็ทอย่างน้อยก็ช่วยเซฟความสบายใจของพี่เขาได้ครึ่งหนึ่ง” เสียงมีนากึ่งๆขอร้อง “ผมขอจริงๆเถอะครับ”

“...ก็ได้ๆ งั้นเดี๋ยวพี่จะลบให้แล้วกันนะ”

“ขอบคุณมากนะครับ”

มีนากับรุ่นพี่คนนั้นแยกย้ายทางกันไป ผมก็เดินออกไปด้วยแต่คนละทางกับมีนา เก็บสีหน้าที่อดอมยิ้มเอาไว้ไม่ค่อยอยู่เพราะไม่คิดว่ามีนาจะเป็นคนออกมาจัดการและเดือดร้อนแทนผมถึงขนาดนี้ แต่เขารู้ได้ยังไงว่าเจ้าของทวิตเตอร์นั้นเป็นคนคนนี้?

เอาเถอะ ถ้ามันจบแล้วก็แล้วไป

 

“สเนล กลับมาแล้วนะลูก”

หอยทากที่กลายเป็นลูกของผมกำลังนอนอยู่ในขอนไม้เล็กที่เจาะเป็นโพรงให้ ท่าทางจะอืดเต็มที่ สเนลโผล่ตัวออกมานิดหน่อยเหมือนดูว่าใครมา พอเห็นว่าเป็นผมก็หดตัวกลับเข้าไปในเปลือกต่อ

“เขาบอกว่าหอยทากไม่มีหู สงสัยจะไม่จริง” ผมหัวเราะเบาๆ ถ้าไม่มีหูก็คงมีแค่เจ้าสเนลนี่แหละมั้งที่ผิดจากชาวบ้าน เวลาผมกลับเข้ามามันมักจะทำแบบนี้เสมอ  เวลาหยิบมันออกมาจากตู้กระจกก็ทำแค่คลานเอื่อยๆบนโต๊ะผมเท่านั้นไม่ไปที่อื่น นับว่าเป็นเด็กดีเลยทีเดียว

วันนี้ฝนทำท่าจะตกช่วงกลางคืน ผมเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองมานั่งเขียนเพลงที่ค้างคาต่อ หวังว่าตัวเองจะสามารถคิดทันก่อนที่จะต้องส่งเดโมให้กลางเทอม จากนั้นเสียงฝนตกก็กระหนำลงมา โชคยังดีที่ไม่มีเสียงฟ้าร้องเหมือนที่เคยทำให้ผมค่อนข้างจะมีสมาธิกับการนั่งเขียนเพลง แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงใครเคาะประตูของผมดังขึ้น อาจจะเป็นมีนาอย่างที่เคย

“สวัสดีครับ”

แต่ทว่าพอเปิดประตูมากลับไม่ใช่คนที่ผมคิดถึง ท่าทางน่าจะเป็นคนย้ายเข้ามาใหม่ที่เจ้าของหอเคยพูดถึง

“ผมชื่อเต๋า อยู่ปีหนึ่งย้ายมาใหม่เพราะรูมเมทของผมมันเลวร้ายเกินไป ผมเอาของมาฝากเล็กๆน้อยๆจากเชียงใหม่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นรุ่นน้องสินะ? พี่ชื่อนที อยู่ปีสาม” ผมแนะนำตัว “ห้องข้างๆพี่เป็นน้องเพื่อนสนิทพี่ชื่อมีนา อยู่ปีสอง แต่ว่าตอนนี้อย่าเพิ่งไปกวนเขาดีกว่า ถ้าเป็นคนแปลกหน้าจะไม่ค่อยคุยด้วยเท่าไหร่น่ะ”

“ความจริงพี่มีนานั่นแหละครับที่แนะนำให้ผมมาอยู่ที่นี่”

“”อ้าว? รู้จักกันเหรอ?

“เขาเป็นพี่รหัสของผมครับ ผมก็บ่นเรื่องรูมเมทให้เขาฟัง เขาเลยแนะนำที่นี่มา แต่ถ้าพี่มีนาไม่อยู่ ผมขอฝากของนี่ได้มั้ยครับ? พอดีผมเองก็ยังจัดห้องไม่เสร็จเลย” เขายื่นถุงของฝากอีกถุงมาให้ “นิสัยของผมน่ะครับ เวลาย้ายไปไหนมาไหนจะชอบติดของฝากให้ตลอด”

“ขอบคุณมากนะ เดี๋ยวพี่ยื่นให้เขาผ่านตรงระเบียงเอา เราน่ะไปจัดห้องตัวเองต่อเถอะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกได้” เต๋ายกมือไหว้ผมก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปอีกชั้น เขาคงจะเข้ามาอยู่ในส่วนห้องว่างแทนคนที่ย้ายออกไปสินะ พอดูเห็นว่าคนมาใหม่ขึ้นไปเสร็จผมจึงกลับเข้าห้องตัวเอง เปิดถุงของฝากแล้วก็เจอกระปุกน้ำพริกกับแคปหมูห่อใหญ่ อย่างน้อยผมก็มีอะไรกินเล่นแล้ว ถึงแคปหมูมันจะแห้งๆคอเวลากินไปหน่อยแต่ถ้าเอาไปใส่ในก๋วยเตี๋ยวน้ำตกก็อร่อยดี

เวลาผ่านไปอีกสองชั่วโมง จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังรัวๆ เปิดออกไปก็เห็นว่าเต๋าหน้าตื่นมาเลย

“พี่นทีครับ ผมกลัวแมงมุมในห้องน้ำผม! ตัวเท่าฝ่ามือเลย!”

ถึงผมจะไม่กลัวแมงมุมแต่ถ้าเท่าฝ่ามือใจผมก็ไม่สู้เหมือนกันนะ! “พะ...พี่เองก็ไม่แน่ใจว่าจะรับมือไหวมั้ยนี่สิ แต่เอาเป็นว่าพี่จะไปดูให้ก่อนนะ”

“แง เร็วเลยครับ ไม่งั้นคืนนี้ผมได้เน่าแน่” เต๋าดันหลังผม ในจังหวะเดี๋ยวกันประตูห้องข้างๆก็ถูกเปิดออก มีนากำลังจะเอาขยะลงไปทิ้งที่ข้างล่าง พอเขาเห็นพวกเราสองคนกำลังจะสิงร่างกันอยู่แล้วก็เลิกคิ้วถามขึ้นมา

“รู้จักกันแล้วเหรอครับ? แล้วเต๋าจะพาพี่นทีไปไหนน่ะ?”

“มีแมงมุมในห้องน้ำห้องผมน่ะสิครับ ผมกลัว”

“งั้นเดี๋ยวไปดูให้นะ” มีนาวางถุงขยะลงหน้าห้อง “มีที่ตักขยะกับไม้กวาดอยู่ใช่มั้ย?” เต๋าพยักหน้า “โอเค งั้นเดี๋ยวพี่จัดการให้”

มีนาเดินนำพวกเราสองคนที่ตัวสูงกว่าเยอะ เต๋ากระซิบกับผมเบาๆพอให้ได้ยินกันแค่สองคน “พี่มีนานี่สุดยอดสุดๆไปเลย ตัวเล็กนิดเดียวแต่ไม่กลัวอะไรสักอย่าง วันก่อนก็เห็นว่าจัดการแฟนเก่าตายคาตีนมาด้วย”

ผมหัวเราะแห้งๆ นั่นสิ มีนาไม่เคยกลัวอะไรเลยทำให้ผมไม่รู้จุดอ่อนน้องสักอย่าง ในขณะที่ผมนั้นกลัวนู่นนี่ไปหมด มีนาเห็นมาตั้งแต่ช่วงมัธยมแล้วว่าผมกลัวอะไรบ้าง

 

ย้อนกลับไปสมัยยังเรียนมัธยม ผมนั่งอยู่ข้างๆตึกกำลังเสียบหูฟังฟังเพลงออกใหม่อยู่ใต้ต้นไม้ช่วงเย็นในสวนพฤกษศาสตร์ มีนาที่อยู่แถวนั้นก็กำลังอ่านหนังสือกับพี่ชายของเขากุมภ์

ผมได้ยินเสียงอะไรดังแซ่กมาจากพุ่มไม้แถวนั้น หันไปก็เห็นว่ามีงูตัวเล็กๆกำลังเลื้อยออกมา ผมรีบลุกขึ้นแล้วก้าวเร็วๆไปทางที่สองพี่น้องนั่งด้วยกัน บอกว่ามีงูอยู่ตรงนั้น กุมภ์เองก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่กล้า พวกเราตั้งใจจะไปเรียกภารโรงมาจัดการกับมัน แต่มีนาก็เป็นฝ่ายที่ก้าวเข้าไปค่อยๆจับงูตัวนั้นขึ้นมาท่ามกลางเสียงร้องห้ามของพวกเราสองคน

“นี่เป็นงูเลี้ยงครับ เชื่องมากด้วย ถ้ามันเป็นงูป่าป่านนี้มันเลื้อยตามพี่นทีมาแล้ว”

มีนาว่าอย่างนั้น ไม่นานก็มีเจ้าของงูเดินตามหาสัตว์เลี้ยงอยู่ มีนาส่งคืนให้พร้อมกับกำชับว่าอย่าเผลอเปิดกรงทิ้งเอาไว้เด็ดขาด ถ้าเกิดว่าเป็นคนธรรมดา(อย่างผม)ที่ไม่รู้เรื่องอะไร งูตัวนี้โดนตีตายไปแล้ว


 

ย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน ผมกับเต๋ากำลังส่องอยู่จากหน้าประตูห้องน้ำ มีนากวาดแมงมุมตัวนั้นใส่ที่ตักขยะแล้วเดินถือลงไปปล่อยที่ชั้นล่าง เต๋าถอนหายใจพร้อมกับขอบคุณมีนาใหญ่แล้วกลับเข้าห้องตัวเอง ส่วนผมที่ยืนอยู่กับมีนานั้นก็กลับขึ้นห้องพร้อมกัน

“มีนา วันนี้กินข้าวด้วยกันมั้ย?”

“ครับ?” แล้วเขาก็หันไปดูเวลา “นั่นสิ ผมเองก็มัวแต่ทำงานเพลินจนลืมกินข้าวเลย งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปเอากระเป๋าเงินก่อนนะครับ”

“ไม่ๆ วันนี้พี่จะทำให้กินเอง ซื้อวัตถุดิบเก็บเอาไว้เต็มตู้น่ะ” ผมเสนอ “แต่ถ้าไม่สะดวกใจมีนาจะรอที่ห้องตัวเองก็ได้ ถ้าเสร็จแล้วพี่จะเอาไปให้”

“ลำบากพี่เปล่าๆครับ เดี๋ยวผมเข้าไปช่วยทำด้วยแล้วกัน” มีนาตามผมมา “บางทีถ้าในตู้พี่มีอะไรที่ผมพอเอามาทำของหวานได้ผมจะทำนะ”

“มีลอดช่องสำเร็จรูปกับกะทิ น่าจะพอทำอยู่นะ” มีนาพยักหน้า “งั้นวันนี้พี่จะทำผัดคื่นช่ายหมู ไข่เจียวกุ้งสับ กับปลาชุบแป้งทอดแล้วกัน”

ผมจงใจเลือกของโปรดของมีนา ตาของเขาเป็นประกาย ผมเองก็อยากจะเอาใจเด็กคนนี้หลายรอบแล้ว และมันเป็นการตอบแทนอะไรหลายๆอย่างด้วย อีกทั้งสามเมนูนี้ก็ไม่ได้ทำยากอะไรด้วย “ขอบคุณนะครับ...ที่เลือกของโปรดผม”

“อะไรกัน ไม่ต้องขอบคุณหรอกน่า พี่น้องกันนี่?”

“อืม” มีนายิ้ม แล้วคืนนี้พวกเราก็นั่งกินข้าวด้วยกันท่ามกลางเสียงฝนตก หอยทากที่กำลังคลานไปมาในตู้กระจก และกลิ่นของดอกไม้ที่ลอยผ่านมาตามร่องประตูที่ผมเปิดแง้มนิดๆเอาไว้

 

“เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเหลือเกินนะนทีเอ๊ย”

“หมานความว่ายังไงอะพี่สอง?” ผมหันไปหาพี่สองที่กำลังจิ้มลูกชิ้นในถ้วยโฟมกิน “ใครเอารูปผมไปลงอีก?”

“ไม่มีใครเอารูปเอารูปมึงไปลงหรอก แต่มีคนเอารูปมึงกับน้องเพื่อนสนิทมึงไปลงเลยตังหาก ใส่แคปชั่นพร้อมว่ามึงเป็นกิ๊กกับน้องเขา” พี่สองสีหน้าไม่ค่อยดี ผมจึงเปิดอ่านทวิตเตอร์แอคเดิมกับเมื่อวานและเห็นเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ “ลบรูปเดิมออกแล้วลงใหม่เลยจ้า แอดมินแม่งทำงานดีจัง”

“โธ่พี่ นี่รูปตั้งแต่สมัยผมเรียนม.ปลายเลยนะนั่น” ผมบอกเขา ในรูปเป็นสมัยผมเรียนอยู่ม.5 และมีนาอยู่ม.4 กำลังก้มกินข้าวด้วยกันสองคนในโรงอาหาร วันนั้นกุมภ์ไม่สบายไม่ได้มาโรงเรียนทำให้ผมมาอยู่กับน้องเขาเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนขุดขึ้นมาเหมือนกัน “ไม่เป็นอะไรหรอก คนเขาก็รู้กันว่าผมยังไม่มีแฟนเป็นใครที่ไหน”

“แต่มึงอย่าลืมว่าน้องมึงเลิกกับแฟนเก่าแล้วตัวติดกับมึงอย่างปาท่องโก๋ ใครก็เข้าใจได้ว่าน้องทิ้งมันเพื่อมาหามึงนะเว้ยไอ้เดือนมหาลัยปีสาม”

“เดี๋ยวข่าวมันก็ซา”

“ห่าน มึงระวังตัวเอาไว้ก็ดีนะ” พี่สองเตือนผม “มึงชอบปล่อยให้เรื่องเล็กมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ มึงไม่หวงตัวเองแต่มึงช่วยห่วงน้องหน่อยเถอะว่าจะโดนข่าวเสียหายมากแค่ไหน”

“...”

“ถ้าเกิดว่ามันไม่ยุ่งกับมึงแต่ยุ่งกับน้องแทน มึงจะทำยังไง?”

นั่นสิ ผมจะทำยังไงดีล่ะ?

“ถ้าอย่างนั้นผมจะคุยกับแอดมินดีๆก่อนแล้วกัน ถ้ายังไม่ยอมฟังอีกผมก็คงต้องไม่ไว้หน้าแล้ว” ผมแย่งลูกชิ้นพี่สอง เขาทำหน้าหงุดหงิดนิดหน่อยก่อนที่จะยอมให้ผมกิน แต่ในจังหวะเดียวกันมีนาก็เดินมาทางโต๊ะของพวกเราที่นั่งอยู่

“พี่นทีเห็นแล้วใช่มั้ยครับ?”

“เห็น? หมายถึงรูปของพวกเราตอนสมัยเรียนม.ปลายใช่มั้ย?” น้องพยักหน้า “พี่กำลังจะไปคุยกับแอดมินพอดีเรื่องนี้ ถึงจะเป็นรูปเก่าแล้วแต่มันอาจจะสร้างความเข้าใจผิดให้มีนาได้ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“ผมกำลังจะจัดการครับ พี่นทีไม่ต้องลำบากหรอก”

“พี่จัดการเอง”

“ให้ผมทำเถอะ”

“มีนา...”

“พี่นที...”

“พอก่อนครับรุ่นน้องที่น่ารักทั้งสองคน อย่าเพิ่งเถียงเป็นพ่อแง่แม่งอนกันแบบนี้” พี่สองแทรกเข้ามา “เดี๋ยวพี่ใหญ่คนนี้จัดการให้เองได้ ขอชื่อทวิตเตอร์หรือเฟสแอดมินคนนั้นมาที”

ผมบอกชื่อทวิตเตอร์ ส่วนมีนาบอกชื่อเฟสของแอดมินคนนั้น จบลงที่พี่สองแกคุยให้แล้วรูปในนั้นก็หายไป พี่สองแกขู่ให้ด้วยว่าถ้าแอดมินยังเอารูปลงแล้วปั่นคนอื่นแบบนี้อีกจะยื่นเรื่องฟ้องร้องแน่

พี่สองมีเรียนต่อ เขาเดินจากไปทิ้งไว้ให้ผมกับมีนาอยู่ด้วยกันสองคน มีนาบอกผมว่าไม่มีคาบเรียนเหลือแล้ว ส่วนผมเองก็มีเรียนอีกทีช่วงบ่าย ทำให้พวกเราชวนกันไปนั่งในสวนหลังตึกคณะผม มีนาหยิบโน้ตบุ๊กออกมานั่งพิมพ์อะไรไปเรื่อยๆจนอยู่กับโลกส่วนตัวของตัวเอง ส่วนผมก็นั่งเล่นกีตาร์แล้วดูนกดูไม้ไป

มันเหมือนมีช่องว่างในความไม่ว่างของทั้งผมและมีนา เขาเป็นคนที่ไม่ชอบพูดเรื่องอื่นมากนักนอกจากจะจำเป็น อยากเล่า หรือสนิทจริงๆ ดังนั้นแล้วการที่พวกเรามานั่งด้วยกันแล้วไม่มีเรื่องจะคุยด้วยนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก หลายครั้งเลยที่มีแต่คนบอกว่ามีนาหยิ่ง ไม่ชอบคุยกับคนอื่น ซึ่งเจ้าตัวก็ปล่อยผ่านไปแล้วบอกกับผมว่าถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงก็อย่าไปถือสาอะไรเลย ลมปากของคนนั้นแป๊บๆก็หาย เขาก็เป็นเหมือนผม ชอบปล่อยผ่าน แต่ทว่าเวลามีนาปล่อยผ่านแล้วมันไม่ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แบบผม

ยกเว้นเรื่องแฟนเก่าเขานะ

รายนั้นน่ะน่ากลัว แค่เห็นผมอยู่กับมีนาก็พาลไปทั่วแล้ว จะว่าไปผมเองก็ยังไม่เห็นเขาเลยตั้งแต่วันนั้นนี่นา...

“มีนา แฟนเก่าเราน่ะยังมีมาตามหรือส่งข้อความอะไรรบกวนรึเปล่า?”

 เสียงแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดยังคงดัง สงสัยจะไม่ได้ยิน

“มีนา ได้ยินรึเปล่า?”

ไร้การตอบสนอง...ผมโชงกหน้าตัวเองไปดูว่ามีนากำลังทำอะไร ก็เห็นว่าสายตาของเขาจ้องอยู่แต่ในหน้าจอโน้ตบุ๊ก ไม่มองแป้นพิมพ์แต่ก็สามารถพิมพ์ด้วยความเร็วสูงและไม่ผิดสักคำ ท่าจะเข้าไปอยู่ในโลกฝั่งนั้นแล้วเรียบร้อย ผมจึงไม่กวนเขาต่อเพราะคิดว่าถ้าทักอีกรอบเดี๋ยวมีหงุดหงิดเป็นแน่

สายลมพัดผ่าน ใบไม้ที่ปลิวตามแรง ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ทุกครั้งที่อยู่กับมีนาถึงมีกลิ่นของดอกไม้ลอยตามอากาศมาด้วย แต่เพราะตัวของเขาอาจจะชอบกลิ่นดอกไม้จางๆนั่นเลยทำให้กลิ่นติดตัวมา ผมสูดดมมันเข้าไปลึกๆ  สมองปลอดโปร่งมากขึ้นแล้วเริ่มลงมือดีดกีตาร์เป็นเพลงตามอารมณ์

ผมดีด...ไม่ได้ร้อง แต่นั่นทำให้มีนารู้สึกตัวแล้วคลานเข้ามานั่งลงข้างๆผมพร้อมกับดูมือที่กำลังไล่ไปตามสายกีตาร์ด้วย

“อยากเล่นเหรอ?”

“เปล่าครับ ผมแค่ดู” มีนาตอบแค่นั้น ผมก็นั่งเล่นต่อ

ผ่านไปสักพักผมก็วางมือลงแล้วเปลี่ยนมาพิงต้นไม้ มีนาเผลอหลับไปตอนไหนผมก็ไม่รู้ แต่ว่าใบหน้าของมีนาตอนที่หลับนี่ผมเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก เขาเหมือนจะปิดระบบระวังตัวเองทุกอย่างทำให้มีสีหน้าผ่อนคลายกว่าตอนที่ยังตื่นอยู่มาก ไหนจะทั้งปากที่ขมุบขมิบเหมือนละเมอยิ่งทำให้น่าเอ็นดูมากกว่าเดิมอีก

เหมือน...เหมือนกันเกินไป

เหมือนน้องชายผมเกินไป

ผมรู้ว่ามันไม่ดีที่ผมเอามีนามาเปรียบเทียบกับน้องชายตัวเอง ผมรู้ดีว่ายังไงมีนาก็คือมีนา แต่ทว่าผมก็ยังเทียบเขาและเห็นมีนาเป็นน้องชายผมเสมอ มันเป็นเพราะความเหมือนกันหลายๆอย่างที่ทำให้ผมยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นทุกวัน ถ้าเกิดว่าน้องผมยังอยู่ตรงนี้...ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้โดนเครนถล่มใส่...ผมอาจจะไม่ต้องมานั่งสับสนกับตัวเองแบบนี้ก็ได้

 

‘พี่ๆ ดูนี่สิครับ’

‘หอยทากนี่นา?’ ผมร้องขึ้นมา ‘อีกตัวโดนคนเหยียบตายไปแล้ว น่าสงสาร’

เขาหัวเราะ แล้วหยิบหอยทากตัวที่ยังคลานอยู่ใกล้ๆเพื่อนมันขึ้นมาแล้วเอาไปรวมกับตัวอื่นๆใต้พุ่มไม้ในโรงเรียน ‘แต่ยังไงสุดท้ายมันก็ต้องกลับไปอยู่กับเพื่อนตัวอื่นอยู่ดีนะพี่ ไม่ต้องเสียใจขนาดนั้นก็ได้’

’พี่ไม่อยากให้มันเสียใจที่ต้องเสียเพื่อนไปนี่นา ตัวนี้อาจจะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของมันก็ได้นะ’

เสียงสดใสดังขึ้น เขาหันมาทางผม จับที่ต้นแขนทั้งสองข้างแล้วลูบไปมา ‘พี่ก็เป็นแบบนี้ตลอด ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเรื่องแบบนี้ แต่พี่ต้องเข้าใจสิว่ามันเป็นธรรมชาติ มันไม่ถูกคนเหยียบตายก็ต้องตายเพราะหมดอายุขัยอยู่ดี’

ผมเข้าใจว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องมีวันจาก แต่ผมไม่อยากให้ใครก็ตามต้องจากไปเร็วกว่าที่ควร จังหวะที่ผมกำลังจะอ้าปากพูดเขาก็ยกนิ้วขึ้นมาจรดที่ริมฝีปากของผม

‘ผมเองก็เหมือนกัน ผมไม่มีทางที่จะอยู่กับพี่ได้ตลอดไปหรอกนะ’

‘หมายความว่ายังไง...’

ทันใดนั้นร่างของเขาก็สลายหายไปกับตา ตัวของผมขยายกลับมาสู่วัยมหาลัยเหมือนเดิม พร้อมกับรอบข้างตัวที่มืดสนิท ผมหันไปทางไหนก็เห็นแต่สีดำ ผมเปล่งเสียงออกไปแต่ทว่าคอของผมนั้นกลับไม่มีเสียงหลุดออกมาสักคำ ผมทรุดเข่าลงกับพื้น รู้สึกสิ้นหวังที่สุดท้ายแล้วแม้กระทั่งน้องชายของผมก็ยังปล่อยให้อยู่คนเดียว

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
“อา...วันนี้ร้อนชะมัด” พี่ดังโงะตักไอติมถ้วยเข้าปาก วันนี้ผม พี่สอง และพี่ดังโงะออกมาเดินห้างเพื่อดูอุปกรณ์ดนตรีด้วยกัน ส่วนออมสินที่พี่สองติดต่อด้วยนั้นกำลังตามมา เห็นว่าจะมาเลือกกีตาร์ใหม่แล้วอยากให้พวกผมช่วยดูให้ด้วย

นานๆทีผมออกมาเดินกับคนอื่นที่ไม่ใช่เด็กข้างห้องก็ดีเหมือนกัน

“เออแม่ง ร้อนมากกว่านี้กูคงละลายไปกับพื้นแล้ว” พี่สองก้มหน้าลง ผมจึงเอาทิชชู่ที่ผมติดตัวมาด้วยยื่นไปให้ “ขอบใจ”

“ผมพกของผมปกติอยู่แล้วพี่ ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

“จะว่าไปเรื่องไอ้หมอนั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นว่าหลังจากที่มีรูปมึงกับน้องมึงลงไปก็ท่าทางหัวร้อนน่าดู” ผมขอเท้าความก่อนนะครับ หลังจากที่พี่สองแกจัดการเรื่องรูปของผมและมีนาไปไม่นาน พี่วิกแกก็หัวร้อนโพสลงเฟสบุ๊กส่วนตัวของพี่เขาว่าเกลียดคนที่แย่งแฟนชาวบ้าน คนก็เข้ามาตอบคอมเม้นท์กันเต็มทั้งในแง่สนับสนุนและไม่สนับสนุน คอมเม้นท์ไหนที่ไม่เข้าตาพี่แกก็จะลบออก

ยังไม่จบแค่นี้ มีนามีคนไปถามถึงในคณะเลยว่าเป็นอะไรกับผม เขาก็ตอบตามจริงว่าเป็นแค่น้องชาย ซึ่งก็มีคนเอาไปพูดต่อว่ามีนาตอบคำถามแบบดารา ไม่มีอะไรแสดงว่ามี ส่วนผมก็มีคนเข้ามาถามเหมือนกันนะว่าสรุปแล้วผมได้ไปแย่งแฟนชาวบ้านรึเปล่า ให้ตายสิ ผมน่ะนะจะไปแย่งแฟนชาวบ้าน? แค่หาเวลาจะขยับตัวจากมหาลัย หอ หรือห้างใกล้ๆกับที่พักยังยากเลย อีกทั้งผมยังไม่สนใจเรื่องนี้อีกด้วย

เพราะผมเป็นเดือนมหาลัยปีสาม ทำให้โดนเพ่งเล็งมากกว่ามีนา ผมถือว่าตัวผมนั้นก็เป็นบุคคลสาธารณะอยู่ในระดับหนึ่งทำให้มีคนคอยตามผมอยู่บ้าง แต่ถ้าพวกเขาไม่รุกรานอะไรมากกว่านี้ผมก็โอเคกับสถานการณ์ปัจจุบันดี

“โวยวายแล้วดังแค่วันเดียว คนก็มูฟออนไปกันหมดแล้วล่ะพี่”

“ดีแล้วล่ะ” พี่สองเช็ดเหงื่อที่ไหลลงอาบข้างแก้ม

สักพักออมสินก็วิ่งเข้ามาหาที่เก้าอี้ พวกเราเดินไปที่ร้านเครื่องดนตรีด้วยกันแล้วพวกพี่สองกับพี่ดังโงะก็แยกกันไปดูของที่พวกเขาต้องการ

ออมสินบ่นว่าจะซื้อใหม่ก็แพง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีเงินติดมือมาเพื่อซื้อกีตาร์ตัวใหม่อยู่ดี

“ถ้าไม่สนใจเรื่องรูปร่างหรืออะไร พี่ว่ารุ่นนี้เสียงดีแล้วราคาอยู่ในเกณฑ์ถูกด้วยนะ” ผมแนะนำ “เจ้าของร้านครับ ผมขอลองได้มั้ย?”

เจ้าของร้านพยักหน้า ผมจึงหยิบกีตาร์ตัวนี้ลงมาแล้วลองดีดให้เดือนคณะที่อยู่ข้างๆผมฟัง “ถ้าเราตั้งสายให้ดีๆ เสียงก็จะไม่ต่างจากกีตาร์ราคาสูงๆเลยล่ะ แต่ความจริงแล้วเสียงของกีตาร์นั้นไม่เกี่ยวกับราคาหรอก มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราพอใจจะได้ยิน บางคนพอใจเสียงที่ดังมาจากเครื่องดนตรีราคาแพงๆ บางคนก็พอใจเสียงที่มาจากเครื่องดนตรีราคาไม่สูง สำหรับพี่ พี่พอใจกับเสียงที่มาจากเครื่องดนตรีระดับกลางๆมากกว่า”

“เหมือนพี่กำลังจะพูดว่าให้ใช้ใจฟัง”

“ดนตรีน่ะ มันออกมาจากหัวใจของเรา ท่วงทำนองต่างๆมาจากสิ่งที่เรากำลังรู้สึกหรือกำลังเรียกร้อง แต่สุดท้ายแล้วยังไงคนฟังที่ไม่รู้เรื่องเครื่องดนตรีเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเสียงมันแตกต่างกันยังไง” ผมพูดตัดมู้ดของออมสิน เขาหน้ามุ่ย ผมหัวเราะก่อนที่จะยื่นกีตาร์ให้เขาลองบ้าง “ลองดีดดู อันไหนที่ให้ความรู้สึกว่า ‘นี่แหละคือสิ่งที่ตามหา’ มันก็คือกีตาร์ที่จะอยู่กับเรา”

“แล้วตอนพี่เลือกกีตาร์ของพี่ พี่ได้ใช้เทคนิคนี้รึเปล่าครับ?” ออมสินถามผมด้วยความสงสัย “กีตาร์ของพี่ผมพอรู้มาบ้างว่ามันเป็นรุ่นที่นานมากแล้ว...เกือบจะสิบกว่าปีได้ แต่พี่ดูแลรักษามันอย่างดีเลยนี่นา แสดงว่ามันเป็นกีตาร์ที่ทำให้พี่เกิดความรู้สึกอย่างที่พี่ว่าใช่มั้ยครับ?”

กีตาร์ของผม...มันคือกีตาร์ตัวที่น้องชายของผมหยิบมาให้ บอกว่ามันน่าจะเข้ากับผม ทันทีที่ผมจับมันผมก็รู้ว่าน้องตัวพูดถูก

 

‘พี่ต้องเข้ากับกีตาร์ตัวนี้แน่ๆ’

‘เอาอะไรมามั่นใจนั่น พี่มีกีตาร์ตัวเก่าของพ่อก็ดีแล้ว’

‘แต่วันนี้วันเกิดพี่ พ่อบอกว่าจะซื้อตัวใหม่ให้นะ’

‘ก็ได้ๆ’

‘พี่ลองดีดดูสิ’


 

ผมยังจำวันนั้นได้ วันที่ผมได้เจอกับกีตาร์ตัวรักของผมเพราะเขา เสียงที่ดังขึ้นมามันก้องกังวานไปถึงหัวใจ และแน่นอนว่าผมดูแลรักษามันอย่างดี

มันเป็นเหมือนหนึ่งในความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่ของผมกับน้องชาย...เป็นความทรงจำที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด

“อืม”

“งั้นผมจะลองไปเรื่อยๆนะ พี่นทีไปเดินกับพวกพี่สองก่อนก็ได้ ผมจะตามไป”

ผมไม่อยู่กวนออมสิน เดินดูของในร้านไปเรื่อยๆจนนึกได้ว่าสมุดเขียนโน้ตเพลงของผมมันหมดหน้าแล้ว จึงเดินออกจากร้านไปที่ร้านเครื่องเขียน ในใจนึกจะดูปากกาอย่างอื่นพร้อม เมื่อถึงที่ร้านก็ก้มๆเงยๆแถวโซนสมุดจนกระทั่งได้ยินเสียงคนเรียกผม

“ใช่น้องนทีรึเปล่าครับ?”

“ครับ?”

“ในที่สุดพี่ก็เจอตัวน้อง คือว่าพี่มาจากบริษัท Alt+F4 นะครับ พี่เห็นรูปของน้องจากในทวิตเตอร์ แล้วพี่เนี่ยสนใจในตัวน้องมาก อยากจะชวนให้น้องมาเล่นซีรีส์กับพวกเราด้วยกัน” เขาอธิบายให้ผมฟังพร้อมกับยื่นนามบัตรมา ผมรับตามมารยาทแต่ไม่ได้สนใจเลยสักนิดถึงเรื่องที่เขาพูดถึง “พี่อยากให้น้องมาร่วมงานด้วยจริงๆนะครับ น้องหน้าตาดีมาก รับรองว่าได้บทพระเอกตั้งแต่แรกเลย”

“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้สนใจวงการนี้อยู่แล้ว” ตอบปฏิเสธไป เขาดูหน้าเสียหน่อยๆแต่ก็ปรับสีหน้ากลับมาเหมือนเดิมได้ “ขอบคุณที่ให้โอกาสผมนะครับ แต่ว่าผมไม่ได้สนใจจริงๆ ผมแสดงออกไม่เก่ง”

“พวกเรามีสอนเรื่องนี้ด้วยนะครับ”

“ผมต้องไปทำธุระต่อแล้วครับ ขอตัวก่อน” ถ้าผมไม่รีบถอนตัวออกมา มีหวังคงจะติดอยู่ที่นี่อีกยาวแน่ๆ แต่ทว่าเขาเองก็ยังตามผมมาติดๆจนผมอึดอัด “ผมไม่สนใจจริงๆครับ”

“แต่ว่า...”

คราวนี้ผมเปลี่ยนมาเป็นวิ่ง สมุดอะไรนั่นเอาไว้ทีหลังก่อน ผมต้องสลัดตัวเขาให้หลุดให้ได้ ผมวิ่งมาเรื่อยๆจนถึงร้านขายเครื่องดนตรีร้านเดิม ออมสินกำลังนั่งอยู่กับพี่สองและพี่ดังโงะ พอพวกเขาเห็นผมวิ่งมาก็พากันตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“มีคนมาทาบทามผมให้ไปแคสติ้งอะพี่ แต่ผมไม่เอา พอหนีมาก็ตื้อ”

“กูไม่แปลกใจหรอก หน้าตาดีอย่างนี้เขาคงไม่อยากปล่อยมึงไปง่ายๆ” พี่สองยักไหล่ “ความจริงถ้ามึงไปเป็นดาราตั้งแต่ปีหนึ่ง ป่านนี้มึงก็รุ่งมีเงินให้พ่อแม่ใช้เยอะแล้ว เสียดายเหมือนกันนะ”

“แต่ถ้าไม่ชอบก็อย่าทำดีกว่า มันจะทรมานเปล่าๆ” พี่ดังโงะที่เงียบมาตลอดออกความเห็นบ้าง “ฝืนทำอะไรที่ใจไม่เอา สุดท้ายมันก็กลายเป็นการทำร้ายตัวเอง นทีคงไม่ชอบการที่จะต้องออกไปแสดงออกอะไรที่ที่คนเยอะหรือเป็นที่จับตาใช่มั้ย? ถึงจะมีคุณสมบัติยังไง ใจไม่เอาก็คือไม่เอา”

“ผมเห็นด้วยกับพี่ดังโงะนะ ถ้ามีคนมาขอให้ผมไปเล่นหนังผมก็คงไม่ไป ผมไม่ชอบให้คนมาคอยจับผิดตลอดเวลา”

ผมนั่งพัก ออมสินเดินไปรับกีตาร์กับเจ้าของร้านหลังจากจ่ายเงินและให้เขาจัดการอะไรให้เสร็จ ต่อมาพวกเราสี่คนก็เดินไปหาข้าวกินที่ศูนย์อาหารชั้นบนสุด ข้างๆกันมีร้านเครื่องเขียนอีกร้านผมจึงขอตัวไปดูของที่ผมต้องการ โชคดีที่รอบนี้ไม่มีคนมาตามผมอีกจึงได้ซื้อของสักที

Rrrrr

“สวัสดีครับ”

[พี่นที]

“มีนา? อ่า พี่ลืมดูเบอร์เลย มีอะไรเหรอ?”

[พี่ว่าผมเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ดีมั้ย?] จู่ๆมีนาก็ยิงคำถามนี้มาให้ผม [ผมเจอหนูแฮมสเตอร์หลงมาอยู่ที่ใต้หอ ถามพี่กุมภ์ก็บอกว่าแล้วแต่ผม ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะดูแลมันได้ดีมั้ยเลยอยากถามพี่ให้แน่ใจว่าผมสมควรจะเลี้ยงมันรึเปล่า? ถ้าผมไม่ควรเลี้ยงผมว่าจะเอาให้เจ้าของหอดูแล]

หนูแฮมสเตอร์หลง? อาจจะหลุดมาจากกรงของเจ้าของเก่าแล้วหาทางกลับบ้านไม่เจอ “ถ้ามีนาอยากเลี้ยงก็เลี้ยงเถอะ มันไม่เกี่ยวหรอกว่ามีนาจะดูแลมันดีมั้ย พี่ว่ามีนาเป็นคนที่ใส่ใจทุกอย่างอยู่แล้ว ถ้าเลี้ยงไม่ไหวก็เอามาให้พี่ก็ได้”

[แล้วผมต้องหากรงหาอะไรมาใส่มันใช่มั้ยครับ?]

“วันนี้พี่อยู่ห้างพอดี เดี๋ยวพี่ดูตามร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงให้ก็ได้” โชคเข้าข้างที่ผมเห็นร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงไม่ไกลจากตรงนี้นัก “เอากรงเล็กๆก็คงพอ”

[ขอบคุณมากนะครับ ผมขอโทษด้วยที่รบกวนพี่ทั้งที่มันเป็นปัญหาของผมแท้ๆ]

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงพี่ก็ต้องช่วยน้องอยู่แล้ว”

หลังจากนั้นมีนาก็วางสาย ผมเดินไปที่ร้านแล้วดูกรงสำหรับหนูแฮมสเตอร์สักพัก ตัดสินใจหยิบกรงขนาดเล็กที่มีกระบอกให้น้ำสีฟ้าใสมา เลือกซื้อแกลบรองพื้นกับถ้วยอาหารและที่นอนลายน่ารักๆให้ พอมานึกๆดูแล้วหนูแฮมสเตอร์ตัวนั้นอาจจะเหมือนมีนาก็ได้

ชักอยากจะเห็นเจ้าตัวเล็กแล้วสิ

 

“เหมือนมาก”

“เหมือนอะไรครับ?” มีนาถามผม เขานั่งกอดหมอนใบโตสีขาว ดูเจ้าหนูแฮมสเตอร์ตัวจิ๋วในกรงวิ่งไปมาเหมือนตื่นที่อยู่

“เหมือนมีนา หนูตัวนี้—อย่าปาหมอนใส่พี่!” ผมร้องโวยวายไม่จริงจังนัก มีนาปาหมอนที่ตัวเองกอดอยู่นั่นแหละมาใส่ผม พอได้จังหวะเขาก็ปาตุ๊กตาอีกตัวมาโดนหน้าผากผมพอดี “ก็เหมือนจริงๆนะ พี่ไม่ได้พูดเล่น ตัวเล็กเหมือนกันเลย”

“...ช่างมันเถอะครับ ผมไม่รู้ว่าเจ้าของมันคือใคร เอามาเลี้ยงไว้แบบนี้จะดีรึเปล่า...”

“แต่มันยังดูเป็นตัวลูกอยู่เลยนะ พี่ว่าบ้านแถวนี้เขาเลี้ยงแฮมสเตอร์กันแล้วมันออกลูกเลยเอามาปล่อย” ผมบอก “พี่เคยเห็นคนเอาลูกหนูแฮมสเตอร์มาปล่อยทิ้งไว้ข้างถนนให้แมวจรมันจับกินอยู่”

“นั่นใจร้ายมากเลยนะครับ ไม่รู้ว่าเพื่อนเจ้าตัวเล็กที่เลยจะเป็นยังไงบ้างเพราะผมเจอมันแค่ตัวเดียว” สายตาของเขาจ้องไปที่เจ้าตัวเล็กตัวนั้น พวกคุณลองนึกถึงแฮมทาโร่นะ สีมัน ลายของมันเป็นแบบนั้นเลย “หืม? เหงามั้ยเจ้าตัวเล็ก?”

“มีนาจะตั้งชื่อให้มันมั้ย ไหนๆมีนาก็เลี้ยงแล้ว” ผมถามเขา “ชื่อแฮมดีมั้ย?”

“...”

“มีนาตั้งเองดีกว่าเนอะ” ผมหัวเราะแห้ง เห็นได้ชัดว่าน้องไม่ค่อยชอบชื่อที่ผมเสนอเท่าไหร่ “พี่ว่าเดี๋ยวพี่จะกลับไปต้มแครอทให้เจ้าสเนลมันด้วย พี่ไม่ค่อยอยากให้มันกินแบบแข็งๆนัก”

“ผมจะตั้งชื่อมันว่าฌอง

“?”

“มันเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าโชคดี ผมไม่รู้ว่ามันต้องผ่านอะไรจนกว่าจะมาเจอผม ต้องดิ้นรนหนีอะไรมาบ้าง มันดูอิดโรย หิว แถมยังผอมอีก” มีนาเปิดกรงอุ้มเจ้าแฮมสเตอร์ตัวนั้นขึ้นมา “มันโชคดีที่มาเจอผม ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเปียกฝนตายอยู่ตรงนั้น”

ผมมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ฝนกำลังตกหนัก ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือไม่ที่ทุกครั้งอารมณ์ของผม...มีนาไม่ค่อยจะดีหรือไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร มันจะแทนด้วยฝนอย่างนี้อยู่เสมอๆ

“ฌองสินะ?”

“ครับ ฌอง” มีนาอมยิ้ม วางหนูแฮมสเตอร์ลงกับพื้นโดยไม่กลัวว่ามันจะวิ่งหนี น่าประหลาดใจที่มันตรงมาหาผมแล้ววนรอบๆเท้าเหมือนหาอะไร “สงสัยอยากจะขอบคุณพี่ที่ซื้อกรงให้มันมั้งนั่น”

“น่ารักจังเลยนะ” ผมแตะหัวมันด้วยนิ้วชี้ มันถอยไปนิดๆก่อนที่จะวนกับเท้าผมอีกรอบจนมีนาหลุดหัวเราะออกมา

“ฌอง มาหาพี่มา”

“แทนตัวเองว่าพี่เหรอ? พี่แทนตัวกับสเนลว่าพ่อเลยนะ”

“ผมอยากเป็นพี่ชายคนโตสักครั้งหนึ่งนะครับ เป็นกับคนไม่ได้เป็นคนหนูแฮมสเตอร์น่าจะพอแทนกันอยู่” มีนาอุ้มฌองตัวจิ๋วขึ้นมาแล้วลูบมันเบาๆ เจ้าตัวเล็กมุดลงกับฝ่ามือเขาซุกไปมาเหมือนอยากได้ความรักมากกว่านี้ บางทีถ้าผมเอาเจ้าสเนลมาเล่นกับฌองก็อาจจะพอเล่นด้วยกันได้

“มีนาคิดว่าหอยทากพี่มันจะอยู่กับหนูแฮมสเตอร์ได้รึเปล่า?”

“ผมว่าถ้าเราดูมันตลอดก็คงไม่มีอะไรหรอกครับ ธรรมชาติหนูแฮมสเตอร์คงไม่กินเนื้อหอยทากหรอก” มีนาจิ้มแก้มหนู “แต่ไม่แน่เหมือนกันนะพี่นที ฌองชื่อภาษาฝรั่งเศส อาจจะกินหอยทากได้”

“อย่าพูดให้พี่กลัวสิ ทุกวันนี้พี่ยังไม่กล้ากินแมลงทอดเลย” ผมผวา ผมไม่กล้ากินแมลงทอดตามงานวัดหรือข้างถนนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ถึงจะรู้ว่าปรุงสุกแต่ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องสารพิษหรือแม้แต่ตัวแมลงมันเอง ตั๊กแตนปาทังก้าตัวใหญ่ขนาดนั้นผมคงกล้ากินหรอกนะ

ผมไม่อยู่กวนมีนานาน เขายื่นเงินค่ากรงมาให้ผมก็รับมาตามจำนวน ปล่อยให้มีนาอยู่กับหนูแฮมสเตอร์ในโลกส่วนตัวของพวกเขาไป ส่วนผมก็กลับมาที่ห้องตัวเองแล้วจัดการแต่งเพลงต่อให้เสร็จ

ผมแต่งมาเรื่อยๆจนถึงท่อนฮุก ผมไม่รู้ว่าผมจะสื่ออะไรออกไปให้มันเข้ากับทำนองที่เขียนมาทั้งหมดดี ความจริงจะเรียกว่าที่เขียนมาทั้งหมดยังเป็นแค่ส่วนที่ยังไม่ได้แก้ไขให้เรียบร้อยดีก็ว่าได้

ไลน์

เสียงการแจ้งเตือนดังขึ้น ผมเปิดดูแล้วพบว่าเป็นพ่อที่ส่งข้อความมาให้ ผมจึงเปิดอ่าน

พ่อผมส่งรูปอัลบั้มเก่าเล่มหนึ่งมา

 

‘มีรูปเรากับน้องเต็มไปหมด’

 

ผมกลืนน้ำลายตัวเอง นึกว่าจะไม่เห็นอัลบั้มเล่มนี้เสียแล้ว ผมจำได้ว่ามันคืออัลบั้มที่เก็บรูปของผมและน้องเอาไว้ตั้งแต่เกิดจนมาถึงวันเกือบสุดท้ายที่น้องยังมีชีวิตอยู่ ผมส่งข้อความตอบกลับไปว่าอยากให้พ่อส่งพัสดุมาที่นี่เพื่อเปิดดู เขาโอเคกับการตัดสินใจของผม แต่ประโยคต่อมาก็หยุดความคิดของผมเอาไว้

 

‘แน่ใจนะว่ามันจะไม่ไปเปิดกล่องแพนโดร่าจิตใจเข้า’

 

แพนโดร่าที่พ่อว่า...มันคือส่วนที่ผมพยายามฝังมันลึกมาตลอดโดยกลัวว่าสักวันที่ผมกลับมาเปิดมันจะทำให้นั่งเสียใจอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมว่าตัวผมเข้มแข็งมากพอที่จะไม่ไปกระตุ้นจุดนั้นกลับมาอีก จึงยืนยันไปว่าผมโอเคจริงๆที่จะเปิดดูรูปพวกนี้อีกครั้ง

ตอนที่น้องผมเสีย คืนแรกผมนอนกอดอัลบั้มนี้อยู่หน้าโลงศพของเขา ไม่ยอมกลับไปนอนที่บ้านเพราะผมกลัวว่าผมจะเผลอเรียกชื่อน้องยามที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเอง จากนั้นในคืนที่สอง ผมก็น้ำตาแตกอยู่ในบ้านเพราะเห็นกล่องของขวัญที่น้องผมตั้งใจจะให้เป็นรางวัลสำหรับผมที่ขึ้นเวทีใหญ่

ข้างใน...มันเป็นสมุดบันทึกเล็กๆที่เขียนสิ่งที่เขาอยากจะเล่าให้ผมฟังอยู่ประมาณสิบกว่าหน้า ราวกับว่ามันกำลังรอให้ผมเขียนคำตอบลงไปในหน้าที่เหลือ แต่เพราะผมกลัวเกินไปที่จะเขียนคำตอบเหล่านั้น ทำให้ผมไม่เคยได้เปิดอ่านอีกเลยหลังจากที่จัดงานศพเสร็จ และสมุดบันทึกนั้นก็ถูกเก็บเอาไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะผมตลอดกาล

ไม่ทิ้ง...เพราะมันเป็นของน้องผม

แต่ก็ไม่กล้าเปิด...เพราะผมกลัวว่าผมจะทนกับความเจ็ดปวดไม่ไหว

ผมมาเรียนที่นี่เพราะนอกจากจะตามเพื่อนมาแล้ว ผมยังมาเพื่อที่จะใช้ชีวิตใหม่ที่ไม่มีสิ่งของที่เกี่ยวกับน้องชายของผมอยู่ในบริเวณที่ผมอาศัย ผมจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แต่สุดท้ายมันก็เหมือนเดิม ผมยังคิดถึงเรื่องของเขา ผมยังคงติดอยู่ในวงเวียนนั้น

นที ไมตรีจิตรคนนี้เป็นนาฬิกาเรือนหนึ่ง

เดินวนอยู่ที่เดิมทั้งที่วันเวลามันผ่านไป

ความเจ็บปวดมันไม่อาจเท่าเมื่อก่อน แต่ผมก็ยังเจ็บ เจ็บที่ผมไม่ทันได้พูดอะไรกับน้อง เจ็บที่ผมไม่ได้ทำตามความฝันไปกับน้อง เจ็บที่ผมยังเป็นคนที่ยังต้องเดินต่อไป

ผมเจ็บ...ที่คนที่ตายไม่เป็นตัวเองที่อ่อนแอกว่า


==========


เซือข่อย มันเป็นแค่ความหน่วงในจิตใจของอ้ายนทีมันซือๆ บ่มีหยังดอก เดี๋ยวก็ดีเองสู

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 4


วันนี้เป็นวันที่ผมต้องเดินทางไปร่วมกิจกรรมรับน้องนอกมหาลัยด้วยกันกับคณะ

 

‘นที เดี๋ยวช่วยไปค่ายรับน้องดูเด็กๆให้หน่อยนะ ไม่ลำบากหรอก แค่ช่วยสันทนาการนิดๆหน่อยๆ’

‘อือ...’

‘แปลกนะที่รอบนี้ไม่ปฏิเสธ แสดงว่าอารมณ์ดี’

‘อือ...’

‘อย่าลืมเขียนชื่อนทีลงไปนะ ปีนี้น้องๆโชคดีที่ได้เห็นหน้าสุดหล่อของทุกคนแล้ว’

‘เมื่อกี๊ว่าอะไรนะ?’

‘ปีนี้น้องจะได้เห็นหน้ามึงไง’

‘ไม่ๆพี่สอง ก่อนหน้านั้นอ่ะที่พี่ดังโงะพูด’

‘อ๋อ ไปช่วยค่ายรับน้องที่ทะเล’


 

พอจะถอนตัวก็ถอนไม่ทันเสียแล้ว ถ้าเกิดผมไม่ใจลอยตอบไปในตอนนี้ผมคงนอนตีพุงอยู่ที่หอเพื่อแต่งเพลง แต่ผมปฏิเสธคนเป็นที่ไหนเชียว เลยปล่อยให้เลยตามเลย ไปก็ไป แค่ช่วยงานยกของคงไม่มีอะไรหรอก

ผมนั่งคนเดียวหน้ารถ ถือกล่องปฐมพยาบาลเอาไว้เพราะรถคันนี้มีแต่เด็กปีหนึ่ง ส่วนอีกคันเป็นกลุ่มรุ่นพี่ที่ไปด้วยนิดหน่อย หลังรถก็จะมีพี่ดังโงะคอยคุมอีกที ค่ายครั้งนี้พวกเราไปสองวันสองคืน เป็นค่ายสบายๆที่จะชวนให้เด็กปีหนึ่งทุกคนทำกิจกรรมไปด้วยกัน ผมแอบเห็นว่าหลังรถมีถุงขนมที่พวกพี่ปีสี่ตั้งใจจะเอามาแจกด้วย เห็นได้ชัดว่ารับน้องของคณะผมนั้นแตกต่างจากคณะอื่นเยอะ ไม่มีพี่ว้าก ไม่มีกิจกรรมที่ต้องไปชิงธง เพราะพี่สองประกาศิตเอาไว้ว่าจ่ายค่าเทอมก็เท่ากับเป็นนักศึกษาของที่นี่แล้ว

ผมนั่งนึกแล้วก็ขำ พี่สองกับพี่ดังโงะเป็นคนที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด เรียกได้ว่าเป็นพี่ชายที่แสนดี ถ้าพวกเขาจบไปแล้วก็เท่ากับว่าผมต้องกลายเป็นพี่ใหญ่ในคณะ คอยให้คำปรึกษาและดูแล ผมจินตนาการถึงวันนั้นไม่ออกเลย

“นที มีเด็กทำท่าจะเมารถ”

ผมลุกออกจากที่นั่ง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะอยู่เอกเดียวกับพี่ดังโงะสีหน้าไม่ค่อยดี ผมยื่นแอลกอฮอล์ชุบก้านสำลีไปให้ดมพร้อมกับยื่นยาอมช่วยแก้คลื่นไส้เอาไว้ให้พร้อมกับถุงอีกใบเผื่อทนไม่ไหว เธอขอบคุณผมแล้วหลับตาพยายามนอนต่อ

“ผมว่าผมไปบอกคนขับให้ขับช้าลงกว่านี้ดีกว่าครับ”

“พี่ก็ว่าอย่างนั้น ขับรถแรงแถมยังไม่นิ่มอีก”

ผมเดินกลับไปยังที่ บอกให้ลุงคนขับรถค่อยๆขับ เขาทำหน้าหงุดหงิดไม่พอใจก่อนที่จะยอมทำตามเพราะเห็นว่าพวกเรายังไม่จ่ายเงินค่าจ้างรถให้แล้วกลัวไม่ได้ สักพักก็แวะปั้ม เด็กหลายคนชวนผมลงไปซื้อของด้วยแต่ผมก็ส่ายหน้า ในกระเป๋าของผมมีของครบแล้ว ถ้าถามว่าผมจัดเองมั้ย...ก็มีบางส่วน

เมื่อวาน...

 

‘พี่นทีจะไปค่ายรับน้องเหรอครับ? เก็บของครับรึยัง?’ มีนาถือตู้ใส่หอยทากของผมเอาไว้ ผมฝากให้เขาดูแลเพราะผมไม่อยู่ที่ห้อง จะทิ้งของกินเอาไว้ก็กลัวว่าผักมันจะเหี่ยวจนไม่น่ากินเอาเสียก่อน ‘ผมเช็คให้ดีกว่า’

‘พี่จัดครบแล้วๆ ถ้าขาดเหลืออะไรพี่ค่อยไปยืมคนอื่นเอา’

‘ไม่ได้นะครับ เราต้องเตรียมพร้อมเสมอ เดี๋ยวผมดูให้’


 

แล้วน้องก็บุกห้องผม รื้อกระเป๋าเดินทางออกมาดูพร้อมกับบ่นใหญ่ว่าผมเอาเสื้อผ้าไปไม่เพียงพอ ยัดกางเกงในลงไปให้อีกทั้งที่ผมบอกว่าผมนอนที่ห้องคนเดียวใส่แค่บ็อกเซอร์ก็ได้ รู้มั้ยว่าตอนที่มีนาหยิบกางเกงในสีขาวของผมออกมาผมอายแทบตาย เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆแต่ผมก็อายอยู่ดี ถึงอย่างนั้นมีนาก็ไม่มีท่าทีว่าจะอายหรืออะไร แถมยังแซวผมเล่นด้วยซ้ำว่ามีบ็อกเซอร์ลายสตรอเบอร์รี่ด้วย

นั่นคือความอัปยศสุดท้ายที่ผมไม่อยากให้ใครรู้เลยนะ!

พอจัดของเสร็จ มีนาก็หายกลับเข้าห้อง ส่วนผมก็นอนไวขึ้นเพื่อเตรียมตัวเดินทาง ตื่นเช้ามาก็เห็นกล่องข้าวใส่ถุงพลาสติกห้อยไว้พร้อมกับโน้ตเล็กๆว่า ‘เอาไว้กินตอนกลางวัน’

ว่าแล้วก็เอามากินดีกว่า

ผมเปิดกล่องออกมา ข้างในเป็นเนื้อแฮมเบิร์กสองชิ้นใหญ่ราดซอสเกรวี่เคี่ยวอย่างดีและโปะชีสแผ่น มีมันฝรั่งบดใส่ถ้วยแยกอยู่ตังหาก นอกจากนี้ยังมีเฟรนฟราย แตงกวาดอง และสลัดซอสน้ำมันงาอยู่ตรงกล่องชั้นที่สอง นี่มันข้าวกล่องที่ดูดีที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเลย

“อร่อย”

คำเดียวที่สามารถอธิบายถึงข้าวกล่องนี้ได้คืออร่อย มีนามีพรสวรรค์เรื่องทำอาหารอยู่แล้ว วันหลังผมให้น้องสอนทำแบบนี้บ้างดีกว่า

“พี่นทีกินอะไรอะ โห น่ากินจัง แบ่งผมหน่อย”

“หยุดเลยๆ” ผมปัดมือออมสินที่กำลังจะเอื้อมมาหยิบชิ้นเนื้อออก

“หวงอย่างนี้แฟนทำให้ล่ะสิ แอบไปมีตอนไหนล่ะ?” เขาทำเสียงแซว แต่ก็รู้ดีว่าผมไม่มีแฟนที่ไหนมาทำอาหารให้อย่างนี้แน่ๆ “ผมทำกับข้าวไม่เป็นเลยต้องมาซื้อเขากินตลอด อิจฉาคนทำเป็นจังนะ”

“เย็นนี้ที่ค่ายจะมีปาร์ตี้อาหารทะเล เดี๋ยวพี่จะทำยำให้กินน่า”

“พี่ทำกับข้าวเป็นเหรอ?”

“แค่บางอย่าง พี่ไม่ได้ทำเป็นหมดหรอก” ผมยักไหล่ “ข้าวกล่องนี้เด็กข้างห้องก็ทำเอาไว้ให้ เนื้อไม่แบ่งแต่จะแบ่งเฟรนฟรายให้แล้วกัน”

“โหย ขอบคุณมากคร้าบบบ” ออมสินยิ้มหน้าบาน หยิบเฟรนฟรายเข้าปากตัวเอง “เด็กข้างห้องพี่นี่...”

“จำคนที่ช่วยเราตอนซ้อมดาวเดือนได้รึเปล่าล่ะ?”

“อ๋อ รุ่นพี่ที่ตัวเล็กๆชื่อมีนาน่ะเหรอครับ? ผมจำได้ดิ หน้าตาแบบนั้นมีไม่กี่คนหรอก”

“หมายความว่ายังไง?”

“เนี่ย เพจคิ้วท์บอยของมหาลัยลงรูปผู้ชายตัวเล็กน่ารักเมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็เลื่อนๆดูตามประสาคนเบื่ออะ แล้วไปเจอรูปพี่เขาเข้า หน้าตาน่ารักแบบนี้มีแต่ผู้ชายมาชอบแน่” ออมสินเปิดโทรศัพท์ให้ผมดูโพสที่ว่า “ผมว่าพี่เขาเก่งนะ เรียนคาราเต้ ทำอาหารเก่ง นี่มันผู้ชายในอุดมคติผู้หญิงชัดๆ เสียดายที่ตัวเล็กไปหน่อย ข้อมูลบอกเอาไว้ว่าสูงแค่ร้อยหกสิบเอง”

“ถ้าเจอหน้ากันอย่าไปพูดนะว่าเขาเตี้ย เดี๋ยวจะโดนสับเข้า” ผมหัวเราะ “สมัยเรียนมัธยมก็เรียนที่เดียวกัน พี่เคยเห็นมีนาทำอาหารออกซุ้มงานต้อนรับกรรมการประเมินผล คนมาตรวจชอบใหญ่เลย”

“ถ้าไปเรียนคหกรรมคงรุ่งอะผมว่า เปิดร้านอาหารสบาย แล้วพี่รู้ปะว่าทำไมเขาถึงเรียนอักษรแทน?”

“ถ้าจำไม่ผิดเจ้าตัวเคยบอกพี่ว่าอยากเขียนหนังสือ...นิยายสืบสวนสอบสวนน่ะ แนวเลือดสาดอะไรทำนองนั้น พี่เองก็ไม่กล้าขออ่านเพราะจิตอ่อนกับพวกนี้” ผมกลัวเรื่องแบบนั้น...เคยโดนหลอกให้ดูหนังฆาตกรรมตอนเด็กๆแล้วมีฉากไว้ทะลักออกมาจนหลอนตาไปหมด จากนั้นผมก็ไม่กล้าดูหนังที่มีฉากฆ่าโหดๆอีกเลย “ออมสินกลัวอะไรแบบนี้มั้ย?”

“โอ๊ย ผมน่ะสบายอยู่แล้วพี่นที ดูมาตั้งแต่เด็ก ประสาอะไรกับการอ่าน ประเด็นคือผมไม่ชอบอ่านนี่สิ”

หลังจากนั้นออมสินก็กลับไปนั่งที่เดิม รถออกตัวอีกครั้งเพื่อมุ่งไปที่ปลายทาง เมื่อมาถึงเหล่าเด็กปีหนึ่งก็ตื่นเต้นกันใหญ่ที่ได้เห็นทะเลสีสวยขนาดนี้ ก็แหงสิ ปีที่แล้วคณะพวกเราทำผลงานเอาไว้เยอะ ทางคณะบดีเห็นว่าพวกเราสมควรได้รางวัลอะไรตอบแทนจึงให้ตั๋วที่พักสองวันสองคืนแบบทัวร์เอาไว้ ดีที่ได้ใช้ทันก่อนหมดอายุไม่อย่างนั้นเสียดายแย่ แล้วค่าที่พักที่นี่มันถูกๆเสียเมื่อไหร่กัน

ตอนกลางวันพวกเราปล่อยให้เด็กๆสามารถเป็นอิสระได้เต็มที่ ช่วงกลางคืนจะมีพิธีบายศรีทำขวัญกับกิจกรรมเล็กๆน้อยๆก่อนี่จะจัดปาร์ตี้อาหารทะเล ผมเองก็นอนพักมาเยอะแล้วจึงเดินไปดูของที่ตลาดใกล้ๆกับที่พักบ้าง

บรรยากาศออกแนวตลาดเมืองเก่า ร้านค้าเป็นบ้านเรือนไม้ดูย้อนไปยังช่วงยุคห้าปีกว่าปีก่อนดี ผมชอบเดินเที่ยวที่แบบนี้ แวะดูของกินตามร้านนั้นร้านนี้ไปเรื่อยๆจนเห็นรถขายน้ำตาลปั้นเล็กๆตั้งอยู่หัวมุมซอย มีเด็กท้องถิ่นกำลังยืนรุมรอซื้ออยู่ ผมอดไม่ได้ที่จะไปยืนดูตามจนกระทั่งเด็กเดินจากไป

“พ่อหนุ่มมาจากในเมืองเร๊อะ? มาๆ คงไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ล่ะสิ”

“อ๋อ ความจริงผมเป็นคนอีสานครับ เคยกินเหมือนกัน” ผมยิ้มตอบรับเขา นั่งยองกับพื้น “ถ้าผมจะซื้อกลับไปฝากคนอื่นมันจะละลายก่อนมั้ยครับตา?”

“ไม่ๆ แต่ระวังเรื่องความร้อนหน่อยเพราะมันจะเหนียวแทน จะเอาไปฝากสาวล่ะสิหล่อๆแบบนี้”

“ผมยังไม่มีแฟนหรอกครับตา ผมอยากให้ตาปั้นเป็นตัวหนูแฮมสเตอร์ให้หน่อย ตารู้จักรึเปล่า?”

“หนูนั่นหลานตามันก็เลี้ยงอยู่ สบายมากๆ” ผมรอตาปั้นน้ำตาลเป็นหนูแฮมสเตอร์ให้สองตัว ดอกกุหลาบอีกสองดอก แล้วก็ปลากับนกอีกอย่างละตัว “ไม่ต้องให้ตาเยอะขนาดนั้นหรอกพ่อหนุ่ม ก้อนไม่กี่บาท”

“เถอะครับตา ถือว่าเป็นค่าโชว์ฝีมือให้ผมเห็นด้วยแล้วกัน” ผมหยิบน้ำตาลมาใส่ถุงผ้าที่ติดมือมาด้วยเอาไว้ เดินไปตามทางอีกก็เห็นกลุ่มเด็กปีหนึ่งกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวในร้านข้างทาง พวกเขาชวนให้ผมเข้าไปกินด้วยแต่ก็ปฏิเสธไป พร้อมกับเตือนว่าอย่ากินเยอะมากจนจุกไม่งั้นจะพลาดมื้อใหญ่ช่วงกลางคืนได้

ผมกลับมาถึงที่พักช่วงห้าโมงเย็น ห้องที่พักเป็นห้องเดี่ยวเนื่องจากผมขอเอาไว้เอง พี่สองรู้ว่าผมไม่ชอบไปนอนกับคนอื่นเพราะความอึดอัด ดังนั้นจึงไม่ว่าอะไรที่จะสละส่วนนี้ให้แล้วไปนอนกับเด็กแทน

กีตาร์ที่เอามาด้วยกำลังนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง ผมตั้งใจว่าช่วงกลางคืนก่อนนอนผมจะแต่งเพลงไปด้วย บางทีการที่คิดอะไรไม่ออกมันก็อาจจะมาจากการที่ผมนั้นอยู่ในแต่ที่เดิมๆก็เป็นได้

น้ำตาลปั้นที่ผมซื้อมา หนูแฮมสเตอร์จะเอาให้มีนา ดอกกุหลาบ นกและปลาจะเอาให้คู่รักเดือนกุมภ์ที่อยู่ที่คอนโดเป็นของขวัญครบรอบสองปีที่คบกันย้อนหลัง หวังว่าจะชอบนะ

ผมอิจฉาสองคนนิดๆเหมือนกันที่รู้ใจตัวเองมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแต่รอจังหวะที่ดีก่อนที่จะคบกัน พวกเขากลัวว่าทุกอย่างมันจะพังลงก่อนที่จะได้ทำอะไร ต่างคนต่างรู้ว่าพวกเขายังอ่อนแอและต้องใช้เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับความรักให้มากกว่านี้ จนในที่สุดก็กลายเป็นที่พึ่งของกันและกัน พี่เดือนก็เข้มแข็งขึ้นเยอะเพื่อที่จะปกป้องเพื่อนสนิทของผม ส่วนกุมภ์เองก็เป็นฝ่ายถูกปกป้องเสียบ้างหลังจากที่ตัวเองปกป้องเขามาตลอดช่วงมัธยม

ผมเองก็อยากเป็นฝ่ายปกป้องใครสักคนเหมือนกัน

ช่วงกลางคืน ผมเข้าร่วมงานบายศรีของคณะ จากนั้นก็มาเตรียมการทำยำทะเลเอาไว้รองรับเด็ก รุ่นพี่คนอื่นที่วนแถวนั้นก็มาแอบขโมยไปกินบ้างแล้วบอกว่าผมทำน้ำยำอร่อย ผมไม่อยากจะว่าพวกเขาแต่ถ้ายังเดินมากินเอาๆแบบนี้มีหวังหมดก่อน ผมจึงต่อว่าไปว่าให้มากินหลังจากที่เด็กกลับห้องพักกันไปแล้ว

อ่า...รุ่นพี่ปีสูงๆมีเป้าหมายอยู่แล้วล่ะว่าจะมาตั้งวงกินเหล้ากัน ยกเว้นผมเอาไว้คนหนึ่งแล้วกันที่ขอกลับไปจิบเบียร์กระป๋องที่ห้องสบายๆคนเดียวดีกว่า

ขึ้นมหาลัยจะเลี่ยงก็คงยาก แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็ดี นานๆทีผมถึงให้รางวัลตัวเองเป็นการดื่มเครื่องดื่มมึนเมาพวกนี้แต่ผมจะไม่เมาเรื้อนเด็ดขาด เพระมันเคยเกิดคดีขึ้นกับผมเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี่เอง

ตอนนั้นผมไปนอนที่คอนโดพี่เดือนกับมีนา ดิน อุ้ม แนนที่เป็นเพื่อนของกุมภ์ คิว และเจมส์ พวกเราฉลองวันปีใหม่ด้วยกัน มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขนมคบเคี้ยวตามประสา พอเมาได้ที่แน่นอนว่าพวกเราผู้ชายก็ต้องออกมานอนข้างนอกห้องยกเว้นพี่เดือนและกุมภ์ที่เป็นแฟนกันก็ต้องไปนอนด้วยกันในห้องและอุ้มกับแนนที่ได้ไปนอนแยกกันอีกห้อง ดินเล่าให้ฟังว่าจู่ๆกลางดึกผมก็ลุกขึ้นมาร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง บ่นอะไรออกมาฟังไม่รู้เรื่อง ผมที่ไร้สติก็ไม่รู้ว่าผมร้องไห้เรื่องอะไร แต่เขาบอกว่ากว่าจะเอาผมนอนได้ก็เกือบชั่วโมงได้

ผมเป็นพวกเมาแล้วร้องไห้ มันอาจจะมาจากการที่ผมกักเก็บความเศร้าเอาไว้ในหัวใจมากเกินไปจนระเบิดออกมา ดังนั้นแล้วผมไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนปลอบคนเมาขี้งอแงอย่างผมเลยเลี่ยงดีกว่า รุ่นพี่ในคณะก็ไม่รู้ด้วยว่าผมเมาแล้วเป็นแบบไหนหรือรับมือยากเท่าไหร่ ฉะนั้นผมเลยต้องเพลย์เซฟตัวเองสักหน่อย

พอเสร็จพิธีอะไร เด็กๆก็เริ่มทำกิจกรรม จากนั้นก็พากันเดินหิวโซมาทางนี้ ร้องขอยำทะเลกันใหญ่จนผมตักให้แทบไม่ทัน ไม่นานนักยำถาดแรกก็หมดลงพร้อมกับเสียงร้องขออีก

“ยำพี่ทำอร่อยว่ะ สอนผมหน่อยดิ” ออมสินสะกิดผมในขณะที่ผมกำลังเทน้ำยำ ผมก็บอกสูตรเขาแบบไม่ห่วงเพราะคงไม่ได้เอาไปค้าขายหรอก พอออมสินรู้แล้วก็หันไปช่วยทำน้ำยำเพิ่ม ผมจึงปล่อยให้น้องทำไปแล้วตัวเองก็เดินมาดูเตาปิ้งย่างแทน

กุ้ง หอย และปลาหมึกบนเตากำลังสุกได้ที่ ผมคีบออกมาวางไว้บนถาดเผื่อคนไหนที่ไม่ชอบกินยำจะได้มีอย่างอื่นเอาไว้กิน น้องหลายคนเองก็เดินเข้ามาคุยกับผมด้วย บางคนก็ถามมีประโยชน์ บางคนก็ถามถึงหน้าตาของผม ผมตอบเท่าที่พอจะตอบให้ได้

หลังจากที่เด็กปีหนึ่งกินอาหารและพักผ่อนตามอัธยาศัยเสร็จแล้ว พวกเขาก็พากันเข้าที่พัก มีแต่รุ่นพี่ปีสูงกว่าเท่านั้นที่ยังอยู่ที่หาด ผมอาสาพาเด็กทุกคนกลับที่พัก แน่นอนว่าภายในระยะเวลาไม่นานพวกเขาก็สนิทกับผมได้อย่างง่ายดาย เพราะผมมีภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรที่สุดในคณะแล้วด้วยมั้ง? (ลองหันไปดูวงรุ่นพี่ที่กำลังเอาเหล้าออกมาจากกระติกน้ำแข็งที่ซ่อนไว้นั่นสิ) ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงกล้าที่จะเข้ามาคุยกับผมมากที่สุด

ผมนับจำนวนคน แต่ก็พบว่าหายไปหนึ่ง

“หายไปไหนกันนะ?”

ผมไล่ถามเด็กทุกห้องเพื่อหาคนที่หายไป แม้กระทั่งออมสินยังบอกว่าไม่รู้ ผมจึงกัดเล็บตัวเองด้วยความเครียด มันเป็นนิสัยที่เวลาผมเครียดๆอะไรผมจะกัดเล็บตัวเองอย่างนี้ ถ้าหาในที่พักไม่เจอก็อาจจะยังอยู่ที่หาดก็ได้ ผมเลยเดินกลับไปที่หาด พี่สองกำลังเคาะเครื่องดนตรีกันสนุกสนาน เมื่อเห็นผมก็เรียกเข้าไปหาใหญ่

“หน้าตื่นมาเชียว มีอะไรเหรอ? หรือว่าทำเสียงดังเกินไป?”

“ไม่ใช่หรอกพี่ แต่มีเด็กคนหนึ่งหายไป ผมไม่รู้ว่าหายไปไหน ถามคนอื่นก็ไม่รู้เหมือนกัน”

พอได้ยินอย่างนั้นพี่สองก็รีบสั่งให้ทุกคนที่ยังมีสติอยู่รีบแตกวงไปตามหาเด็กที่หายไปทันที ผมเริ่มเดินสำรวจจากบริเวณริมชายหาดเผื่อว่าเขาจะเดินเล่นแล้วลืมเวลา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นว่าจะมีร่องรอยของคนแถวนี้

ใจของผมมันร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเกิดว่าเด็กคนนี้เกิดอะไรขึ้นผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

แต่แล้วเมื่อผมเดินมาอีกหน่อยผมก็เห็นรองเท้าของใครบางคนวางเอาไว้อยู่บนพื้นทราย ส่วนตัวของคนนั้นกำลังยืนอยู่ไม่ห่างกัน สายตาของเขากำลังจ้องมองพื้นน้ำทะเลอยู่ด้วยความเลื่อนลอย ผมจึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปหา นั่นน่าจะใช่เด็กที่หายตัวไป

“พี่...ที่ค่าย?”

“อืม รู้มั้ยว่าคนที่ค่ายเขาตามหาตัวน้องกันวุ่นเลยนะ”

“ผมขอโทษครับที่ไม่บอกก่อนว่าจะไปไหน...ผมแค่อยากเดินออกมาคิดอะไรนิดๆหน่อยๆ” ผมเลิกคิ้ว “ทะเลนี้มันมีความทรงจำมากมายเกิดขึ้น”

“บอกพี่ได้รึเปล่าว่ามันเป็นความทรงจำแบบไหน? พี่ไม่เร่งให้กลับหรอกนะ” ว่าแล้วก็ยิ้มไป เขาหันมามองผมก่อนที่จะค่อยๆขยับปากพูด

“พี่สาวของผม...เธอมาเที่ยวที่นี่กับแฟนและไม่กลับมาอีกเลย”

“...”

“เมื่อห้าปีก่อน พี่สาวกับแฟนของเธอเกิดอุบัติเหตุทางเรือ ไม่พบร่างจนมาถึงทุกวันนี้”

ผมไม่พูดอะไรต่อ เพราะผมเข้าใจดีว่ามันกระทบจิตใจไม่น้อย

“แต่ผมก็ไม่คิดอะไรมากขนาดนั้นหรอกครับ” ผมยิ้มจางๆ นั่งลงกับพื้นที่น้ำทะเลซัดมาโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกหรือไม่ พอเห็นเขาทำอย่างนั้นแล้วผมก็ทำตาม เพราะบางทีเขาอยากจะระบายอะไรให้ผมฟัง “ผมทำใจได้...แม้ว่าจะยังคงคิดถึงพี่ของผมมากอยู่ก็ตาม”

“อย่างนั้นเหรอ...แล้วตอนที่รู้ว่าเสียพี่สาวไปใหม่ๆรู้สึกยังไงเหรอ?”

“ผมรู้สึกว่ามันว่างเปล่า สมองคิดอะไรไม่ออก ผมซึมไปหลายวัน ไม่มีร่างของเธอในงานศพ มีแค่รูปถ่ายที่เธอยิ้มกว้างเท่านั้นเป็นของดูต่างหน้า แต่วันหนึ่งผมก็ฝันถึงพี่สาวตัวเอง เธอบอกว่าอย่าเสียใจไปเลยที่เธอไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว ผมยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมาย ยังมีลมหายใจเพื่อทำอะไรอีกหลายๆอย่างที่อยากทำ ไม่เหมือนเธอที่ต้องจากไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำสักอย่าง”

ผมเงียบ เขามีความคิดที่ต่างไปจากผม ผมจึงไม่มีสิทธิที่จะแย้งเขา

“นั่นทำให้ผมคิดได้ว่าบางทีแล้วพี่ผมก็อยากทำอะไรหลายๆอย่างร่วมกับผม พวกเราอยากจะเล่นดนตรีด้วยกัน พวกเราอยากจะไปเที่ยวด้วยกันทั้งครอบครัว แต่พอไม่ได้ทำแล้วพี่ก็ไม่อยากให้ผมต้องทิ้งสิ่งหลายนั้นไป เธออยากให้ผมมาสานต่อ ทำทุกอย่างที่เคยวาดฝันไว้ด้วยกัน ตอนนี้ผมก็มาเล่นดนตรีตามที่ผมกับเธอเคยพูดไว้ด้วยกัน เมื่อปีก่อนผมก็ไปเที่ยวกับคนที่บ้านผมอย่างที่เธอเคยบ่นออกมา”

“ดีจังเลยนะ แล้วทำไม...”

“พี่ผมอาจจะยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักที่ใต้ทะเลแห่งนี้...มีความสุขกับแฟนของเธอ เดินทางไปตามสายน้ำเรื่อยๆโดยไม่ต้องกังวลอะไร ถ้าพี่ไม่กังวลแล้วผมจะกังวลทำไมในเมื่อต่างคนต่างมีความสุข” เขายิ้ม ปล่อยมือลงข้างๆตัวในคลื่นน้ำพัดผ่าน “มันก็ไม่เสมอไปหรอกครับที่คนที่มีชีวิตอยู่นั้นจะทุกข์ทรมาน”

ผมสะอึก มันเป็นเหมือนการพูดให้ผมได้คิดอะไรหลายๆอย่างถึงน้องชายที่เสียไป น่าจะเป็นปีเดียวกันด้วย

“พี่เคยสูญเสียใครที่รักมากๆรึเปล่าครับ?”

ผมสามารถไว้ใจเขาแล้วบอกเรื่องนี้ได้หรือไม่?

“ไม่หรอก”

ไม่

ผมไม่สามารถบอกได้ ความรู้สึกของผมและเขามันต่างเกินไป ถ้าขืนว่าเขาปลอบผม ผมจะยิ่งคิดมากกว่าเก่า


“ไม่เคยมีใครที่สำคัญมากๆเสียเลย”

มีแต่สำคัญที่สุดตังหากที่เสีย

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมนทีไม่คิดให้ได้แบบน้องเขา?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
ผมพาเขากลับมาถึงที่พัก พวกพี่สองก็บ่นกันใหญ่ว่าทำไมถึงไม่บอกอะไรก่อน แต่ก็เป็นผมที่ช่วยพูดให้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยการบอกอ้อมๆ พยายามสกัดไม่ให้พวกรุ่นพี่ถามอะไรเด็กคนนี้ไปมากกว่าที่ควร และเขาก็ได้กลับไปนอนกับเพื่อน ส่วนผมก็ขอตัวกลับห้องเหมือนเดิม พอมองเข็มนาฬิกาของห้องพักแล้วก็รู้ว่านี่ปาไปเกือบจะตีหนึ่งของอีกวันจนได้ ผมไม่ค่อยได้นอนดึกขนาดนี้ มากสุดก็แค่เที่ยงคืนเพราะกลัวว่าร่างกายตัวเองจะต้องมาเหนื่อยเกินไป

ผมเปิดตู้เย็น หยิบกระป๋องเบียร์ที่ผมแอบไปขอพี่ดังโงะมาแช่เอาไว้ออกมาเปิดดื่ม มือไถหน้าจอโทรศัพท์เผื่ออ่านเรื่องไร้สาระ จนกระทั่งเห็นรูปของพี่เดือนกับน้องชายของเขาลงเฟสบุ๊คเมื่อประมาณสามชั่วโมงก่อน

 

จู่ๆน้องชายก็มาบุกถึงห้อง ตกใจหมดเลย

 

พี่เดือนมีน้องชายที่อายุน้อยกว่าตัวเองหลายปี ผมได้ยินมาว่าไม่ค่อยสนิทแม้ว่าจะอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่พอหลังจากที่ได้เคลียร์ปัญหาภายในครอบครัวกันนั้นพี่เดือนก็เริ่มให้ความสำคัญกับคนที่บ้านมากขึ้น พูดถึงมากขึ้น และมันเป็นไปในแง่ที่ดีมากขึ้น ผมไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านั้นพี่เดือนกับครอบครัวจะร้าวฉานกันเรื่องอะไรบ้างแต่พอมีกุมภ์เข้ามา พี่เดือนเองก็เหมือนจะได้เพื่อนของผมสอนอะไรหลายๆอย่างจนหันกลับมาให้ความสำคัญ

กุมภ์ก็มีน้อง พี่เดือนก็มีน้อง ส่วนผมนั้นเคยมีน้อง

นั่นสินะ...

ผมกำลังเหงานี่นา

ถึงจะมีคนรอบตัวคอยสร้างสีสันให้กับชีวิต แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครมาแทนจุดที่น้องของผมเคยยืน

Rrrr

“ใครกันโทรฯมาตอนตีหนึ่ง...” ผมวางกระป๋องเบียร์ลง ดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ขึ้นชื่อของมีนาเอาไว้

มีนา?

โทรฯมาทำไมตอนนี้?

“สวัสดีครับ”

[พี่นที]

น้ำเสียงของมีนาดูง่วงๆ “มีอะไรเหรอ? หรือว่าจะละเมอโทรฯมากันนะ...” ประโยคหลังผมพึมพำกับตัวเอง “งั้นพี่วางสายนะ”

[ผมฝันว่าพี่นทีจมน้ำ]

“...”

[ผมตะโกนเรียกพี่ว่าอย่าลงไป แต่พี่...ก็กระโดดลงไปแล้วไม่ขึ้นมาอีกเลย ผมตกใจมากจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา] มีนาเสียงสั่นเล็กน้อย [ผมรู้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่ผม...]

“มีนา ไม่เป็นอะไร พี่ไม่ได้ไปไหน นี่พี่อยู่ในห้องพัก และให้ตายยังไงพี่ก็ไม่โดดทะเลหรอกน่า” ผมหัวเราะเบาๆพอให้มีนาหายกังวล ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะฝันร้ายจนต้องมาเช็คว่าผมทำอะไรอยู่ “มีนานอนเถอะ ไม่ต้องกลัวหรอก”

[อืม...]

“...”

[ฝันดีนะครับ...]

แล้วมีนาก็เป็นฝ่ายตัดสายไป สงสัยง่วงจริงเลยไม่สานความต่อ ผมเองก็วางโทรศัพท์แล้วโยนกระป๋องเบียร์ทิ้งถังเตรียมตัวนอน

 

ช่อดอกไม้สีขาวสะอาดที่ผมถืออยู่นี้เป็นตัวแทนของความรักอันแสนบริสุทธิ์

ท่ามกลางฝนที่ตกลงมา น่าแปลกที่แอ่งน้ำขังใต้เท้าของผมนั้นสะท้อนภาพของดวงดาวนับล้าน ผมจ้องมองมัน จนกระทั่งเงาของผมในนั้นขยับมุมปากเอง ผมไม่ได้ตกใจ แต่ผมยังคงจ้อง

ตัวของผมในแอ่งน้ำนั้นค่อยๆพูดขึ้นมาพร้อมกับสายตาที่เศร้าสร้อย

‘จะโกหกตัวเองไปอีกนานเท่าไหร่?’

ผมตอบกลับไป

‘จนกว่าความสุขจะย้อนกลับคืน’


 

เช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใส

สดใสมาก...ถ้าฝนไม่ตกเป็นพายุขนาดนี้

ผมนั่งอยู่ในล็อบบี้รวมกับเด็กปีหนึ่งหลายสิบคนที่ลงมาหาอะไรกิน แพนเค้กร้อนๆตรงหน้ากับโกโก้ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของพวกเขาดีขึ้นเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าเด็กหลายคนที่ออกไปแต่เช้ามืดเพื่อหาอะไรกินในตลาดแล้วติดฝน

ไม่รู้ว่ามันจะยอมหยุดให้ตอนไหน แต่สุดท้ายทริปนี้ก็คงล่ม

พยากรณ์อากาศวันนี้ คาดว่าพื้นที่...จะมีฝนตกหนักเนื่องจากผลกระทบของพายุดีเปรสชั่น...

เสียงผู้ประกาศข่าวหญิงบนหน้าจอโทรทัศน์ทำให้ผมถอนหายใจออกมา ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้นก็ต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกคืนเป็นแน่ ก็หวังได้เพียงขอให้พายุสงบลงเท่านั้น

แต่ไม่ทันไรไฟฟ้าก็ดับลงโดยไม่มีสาเหตุ แล้วมันก็กลับมาติดอีกครั้งพร้อมกับเสียงของเครื่องอะไรสักอย่าง

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ดูเหมือนว่าลมมันแรงมากจนทำให้ตรงเสาไฟแถวๆนี้มันล้มอะ คงหลายชั่วโมงเลยถึงจะแก้เสร็จ แต่โชคดีที่ที่นี่มีเครื่องปั่นไฟไม่งั้นเข้าห้องไม่ได้”

ผมเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเองเมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรทำ เครื่องปั่นไฟก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้กี่ชั่วโมง ก็ขอให้แค่ว่าซ่อมเสร็จก่อนที่จะไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ พนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็ให้กุญแจสำรองที่เป็นลูกดอกมา เวลาเกิดอะไรขึ้นจะได้เปิดออกมาได้ พออยู่ในห้องผมก็นั่งมองลมพายุที่พัดต้นมะพร้าวข้างนอกจนโยกไปหมด คลื่นทะเลเองก็กระหน่ำแรง

พวกพี่ปีสี่ก็คงกำลังโทษตัวเองว่าถ้าไปที่อื่นคงจะได้เที่ยวแล้ว

โรงแรมนี้จะมีระเบียงที่เอาไว้นั่งเล่นดูทะเล ตอนนี้มันเปียกไปหมด ผมเห็นถุงพลาสติกอะไรไม่รู้ลอยผ่านไปต่อหน้าต่อตา สักพักก็เห็นว่ามีกระดาษหนังสือพิมพ์ปลิวตาม อ่า...อย่างน้อยก็มีของประกอบฉากเพิ่มสินะ?

อยู่แบบนี้ก็ชักจะเบื่อๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรนี่สิ

ทำงานก็ได้

ผมหยิบกีตาร์ออกมา ค่อยๆดีดเป็นจังหวะ เขียนโน้ตลงไปบนสมุดข้างๆกัน ทว่าวันนี้คงได้ยินเสียงดนตรีไม่ค่อยชัดเพราะฝนตกหนักเกินไป

Rrrr

[พี่นที ฝนตกหนักเลยสินะครับ?]

“อืม หนักมาก เสาไฟแถวโรงแรมล้มด้วยจนไฟดับ แต่โชคดีที่มีเครื่องปั่นไฟเลยพออยู่ได้บ้าง” ผมตอบเด็กในสายที่โทรฯมาอีกครั้ง สงสัยจะเป็นห่วงผมอีกแล้ว “ทำไม? ห่วงพี่เหรอถึงโทรฯมาเช็คบ่อยขนาดนี้?”

[ก็พี่...เป็นพี่ชายที่อยู่ข้างห้องของผมนะครับ ถ้าเกิดพี่เป็นอะไรไปผมนี่หลอนนะ พี่ยังฝากหอยทากไว้กับผมด้วย] มีนาหัวเราะแห้ง [สเนลท่าทางจะเข้ากับหนูของผมดี...ผมหมายถึงฌองมันชอบเล่นกับสเนลนะ ส่วนหอยทากพี่มันก็หลบอยู่แต่ในเปลือก]

คราวนี้ผมยิ้ม นึกภาพตาม หนูแฮมเตอร์ของมีนาไปเดินวนๆอยู่รอบตัวหอยทากของผม เจ้าสเนลมันคงปวดหัวน่าดู

“ถ้าหอยทากพี่มันกลัวก็เอากลับไปไว้ในกล่องเหมือนเดิมเถอะ”

[ครับ] มีนารับคำ [อ้อ พี่นที ผมจะทำขนม พี่อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ?]

“พี่ไม่เรื่องมาก กินได้หมดนั่นแหละ” ผมตอบกลับไป มีนาทำเสียงอือๆออๆก่อนที่จะได้ยินเสียงเปิดลิ้นชักตามมา

[งั้นผมทำเยลลี่สายรุ้งเอาไว้ให้แล้วกันนะครับ]

“เยลลี่สายรุ้ง? อ๋อ...” เยลลี่ที่ว่าเป็นต้นเหตุให้กุมภ์กับมีนาทะเลาะกันนิดๆหน่อยๆหลายปีก่อนนั่นสินะ “ถ้าพี่กลับไปไม่ทันกิน มีนาอย่าฆ่าพี่ตายก่อนแล้วกัน”

[ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกันแล้วนะครับ ฝีมือผมพัฒนาขึ้นเยอะ]

“งั้นพี่จะรอกินแล้วกัน พี่แต่งเพลงฆ่าเวลารอฝนหยุดก่อนนะ พรุ่งนี้ช่วงเย็นถ้ากลับได้แล้วเจอกัน”

[ครับนายท่าน]

“ฮึฮึ” ผมวางสาย อะไรของเด็กคนนี้ ช่วงหลังๆจะติดผมมากกว่าพี่ชายตัวเองเสียแล้ว แต่ผมก็รู้ดีว่ามีนาไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งกับพี่ชายตัวเองที่มีแฟนเท่าไหร่นัก

ผมแต่งเพลงต่อ ซึ่งผมเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมหลังจากที่คุยกับมีนาเสร็จสมองผมมันก็แล่นได้ดีถึงขั้นแต่งเพลินจนเกือบจะจบเพลง

 

ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้พายุกลายเป็นแค่ฝนตกพรำๆ พวกเราสามารถกลับบ้านได้ พอมาถึงมหาลัยผมก็รีบกลับไปที่หอเพื่อไม่ให้ผิดสัญญากับเด็กข้างห้อง แต่พอเก็บของเสร็จแล้วมาเคาะประตู ก็ไร้เสียงการตอบกลับ

หรือว่าไม่อยู่?

พอผมโทรฯไปก็ไม่รับสาย ผมเดินวนอยู่หน้าห้องอย่างนั้นอยู่ประมาณห้านาทีได้จนน้องรหัสของมีนาที่เคยหนีแมลงสาบด้วยกันเดินลงมาแล้วก็ทักทายผม

“สวัสดีครับพี่นที รอพี่มีนาเขาเหรอ? วันนี้ที่คณะของผมมีงานเลิกดึกอะ นี่ผมก็กลังจะกลับไปช่วยเหมือนกัน พี่มีนาอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้ ไปกับผมมั้ย?”

“นี่ไม่คิดสงสัยอะไรบ้างเลยเหรอว่าพี่อาจจะมาเดินเล่นตรงนี้มากกว่ามาหาคนข้างห้อง?”

เต๋าหัวเราะเสียงดัง “ก็เห็นว่าสนิทกันมากจนผมนึกว่าพวกพี่เป็นแฟนกันตามที่มีข่าวลือมานี่นา ผมเลยเดาๆไปก่อนว่ามาหาพี่มีนา”

ข่าวลือ? มีคนปล่อยข่าวลือแปลกๆอีกแล้วเหรอ?

“ข่าวลือที่ว่า...”

“อ๋อ มันไม่จริงหรอกครับ แต่วันที่พี่ไปค่ายรับน้องคณะพี่อะ มีคนเล่าต่อๆกันว่าพี่เป็นแฟนใหม่มีนา ทีนี้คนก็เลยเอาแต่นินทาพี่รหัสผม แต่มีเหรอที่พี่ของผมจะสนใจ เขาก็ทำตัวตามปกติ บอกว่าไม่ใช่เรื่องจริงก็ปล่อยไปเถอะ ตัวพี่แกเองก็แก้หลายรอบจนขี้เกียจแก้แล้วเหมือนกัน บางทีมันอาจจะเป็นไม้กั้นหมาให้ด้วยซ้ำ พี่ก็รู้นี่ว่าพี่มีนาหน้าตาน่ารัก ผู้ชายเข้ามาจีบเยอะ” ผมพยักหน้า “ความจริงมันก็ไม่ได้แย่นักหรอก มีคนเชียร์ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายพวกพี่ก็ไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย”

“พี่กับมีนาก็พี่น้องกันเท่านั้น”

“เห็นมั้ย ผิดจากที่ผมคิดไว้ตรงไหน พี่อยากไปหาพี่มีนามั้ยล่ะ ซ้อนท้ายผมไป” ผมตอบรับว่าไป บอกให้เต๋าแวะข้างทางซื้อข้าวกล่องให้ด้วย เต๋าก็บ่นอิดออดใส่ว่าผมเลี้ยงแต่น้องข้างห้อง น้องชั้นบนไม่เลี้ยง ผมไม่อยากจะเถียงเลยซื้อให้อีกกล่องเป็นค่าตอบแทนที่ให้ซ้อนท้ายไปดูเด็ก

พอถึงตึกคณะของมีนา เต๋าก็พาผมเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่มีกลุ่มนักศึกษาหลายคนกำลังจมอยู่กับกองพื้น บางคนอ่านเอกสาร มองคนหลับ บางคนก็กำลังพิมพ์อะไรในโน้ตบุ๊กอยู่ มีนากำลังนั่งมุมห้องคนเดียว ใส่แว่นตาจ้องกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งท่ามกลางกระดาษสีเดียวกันอีกกองใหญ่ๆ ผมเดินเข้าไปพร้อมกับเต๋า ท่าทางมีนาก็ยังไม่รู้ตัว

“นิ่งอย่างนี้แสดงว่าสมาธิจดจ่อกับงานมาก” เต๋ากระซิบ “ผมแกล้งพี่ผมดีกว่า”

“เต๋า อย่า...”

“พี่มีนา!”

“เชี่ย!”


มีนาร้องลั่นห้องจนทำให้คนอื่นหันมาทางเดียวกัน เด็กตัวเล็กตรงหน้าเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้ราวกับว่าการที่ตัวเองหลุดหยาบออกมานั้นเป็นเรื่องใหญ่ ไม่นานนักเต๋าก็หัวเราะ

“พี่มีนาเวลาตกใจอะไรร้องออกมาเสียงดังเหมือนกัน คึคึ...” เสียงหัวเราะน่าเกลียดมากไอ้น้อง... “ไม่ต้องมองผมแรงอย่างนั้นก็ได้ครับพี่ ผมขอโทษ วันนี้ผมมีเดลิเวอรี่จากบริษัทนทีคอรัปชั่นมาให้ด้วย ผัดกระเพราหมูกรอบร้อนๆมาส่งถึงที่เลย”

“พี่นที? อ๋า ผมลืมไปเลยว่าสัญญากันไว้” มีนาเห็นหน้าผมแล้วก็ทำสีหน้าเศร้าๆ “กลับไปเดี๋ยวผมจะทำให้นะ”

“กว่าจะได้กลับก็ดึกก่อนพอดี วันนี้ไม่ต้องทำหรอก ทำงานตรงนี้ให้เสร็จก่อนเถอะ แล้วนี่เราทำอะไรอยู่?”

“อาจารย์ในคณะทำงานวิจัยออกมาแล้วให้พวกผมช่วยพิสูจน์อักษร นั่งตาแฉะมานานมากแล้วครับ โชคดีที่เต๋ามาช่วยด้วยไม่งั้นงานยังไม่เดินแน่ๆ ผมเพิ่งไล่ให้กลับไปไม่นานก็มาอีกแล้วเนี่ย”

“โธ่พี่มีนา ผมก็อยากช่วยพี่ชายตัวเล็กคนนี้ให้งานเสร็จไวๆไงครับ” เต๋านั่งลงกับพื้น ดึงกองเอกสารออกมากองหนึ่ง “เดี๋ยวข้าวผมค่อยกิน พี่น่าจะหิวกว่าผม พี่กินสิ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่พักสักสามสิบนาทีนะ สาบานว่าจะกลับมาทำต่อแน่นอน” มีนาดึงถุงข้าวกล่องมาจากมือผม “ออกไปกินนอกห้องดีกว่า ถ้ากินในนี้แล้วกลิ่นมันจะแรงมาก”

ผมเดินตามมีนาออกมาจนถึงโต๊ะหน้าคณะ มีนาเปิดข้าวกล่องแล้วตักเข้าปาก ผมซื้อมาสามกล่องเลยกินไปพร้อมๆกัน

“ทริปรับน้องเป็นยังไงบ้างครับ?”

“วันแรกนี่ดีมากๆ แต่วันที่สองเลวร้ายสุดๆ พายุเข้าจนไม่ได้ออกไปไหนทั้งวัน” ผมบ่น “จริงสิ พี่มีของฝากเล็กๆมาให้ด้วย เดี๋ยวกลับห้องแล้วค่อยเอาให้นะ รับรองว่าต้องชอบ”

“ผมอยากรู้แล้วสิว่าพี่เอาอะไรมา ไม่ใช่ของแปลกๆนะ?”

“ไม่ใช่แน่นอน” ผมยิ้มตอบ มือข้างที่ว่างยกขึ้นมาเล่นเส้นผมของมีนา “ผมมีนานี่จับกี่ทีก็ยังนุ่ม ใช้ยาสระผมของอะไรเนี่ย พี่จะไปใช้บ้าง”

“ของรีดอยด์ครับ ขวดเขียวๆน่ะ” มีนาตอบ “ผมใช้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ยาสระผมสูตรผู้ชายมันแรงเกินไปจนผมร่วง ผมใช้ยี่ห้อนี้ดีสุด”

“อย่างนั้นเหรอ...” ผมและมีนาคุยเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆจนข้าวหมดกล่อง มีนาทิ้งทั้งหมดลงถังขยะไม่ห่างกันแล้วก็เดินกลับไปทำงานต่อ ผมก็เข้าไปช่วยด้วย แม้ว่าบางคำผมไม่รู้ว่าจะผิดมั้ยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรด้วยเลย

คืนนั้นทั้งผม มีนาและเต๋ากลับมาที่หอด้วยสภาพอิดโรย ตาที่จ้องเอกสารมากเกินไปเริ่มล้า ต่างคนต่างแยกย้ายกลับห้องของตัวเอง แต่พอได้อาบน้ำผมก็กลับมาสดชื่นอย่างเก่า

ก๊อก ก๊อก

“ผมเอาลูกพี่มาคืน” มีนาอุ้มตู้ใส่หอยทากของผมมา “มันกินเก่งมากเลยนะครับ แครอทที่พี่ต้มทิ้งเอาไว้หมดแล้ว”

“ก็เพราะมันกินเก่งนี่แหละที่ทำให้พี่เอ็นดูมัน” ผมรับหอยทากผมกลับมา ก่อนที่จะบอกฝันดีกับเด็กข้างห้อง ปิดประตูกลับเข้าสู่โลกของตัวเอง “หายไปสองวันคิดถึงกันมั้ยเจ้าสเนล?”

สเนลโผล่หัวออกมานิดๆก่อนที่จะโผล่ออกมาหมด หรือว่ามันกำลังดีใจที่ผมกลับมาแล้วกันนะ? “เข้าใจด้วยเหรอ?”

ผมถามไปทั้งที่รู้ว่ามันก็ตอบไม่ได้

ลองค้นในตู้เก็บของก็เห็นว่ายังมีเมล็ดทานตะวันเหลืออยู่ เลยเอาให้มันเป็นขนมของว่าง เพราะอยู่กับมีนามาสองวันผมก็ทิ้งเอาไว้ให้แต่แครอทต้มเท่านั้น บางทีผมว่าอาจจะลองต้มมันฝรั่งให้มันลองกินดูก็ไม่เสียหาย

 

“ฉิบหายอีกแล้วไอ้นทีเอ๊ย งานเข้ามึงตลอดเลย”

“อะไรเหรอพี่สอง?”

“มึงยังมาอะไรเหรออีก คนเขาจะจิกหัวมึงตายอยู่ทุกวันนี้อยู่แล้วครับคุณคนหล่อ แหกตาดูนี่สิ” พี่สองยื่นโทรศัพท์เข้ามา “เมื่อวานมึงไปนั่งกับน้องมึงสองต่อสองหน้าคณะช่วงค่ำๆ มีคนตาดีแอบถ่ายมาแล้วก็บอกว่าพวกมึงกุ๊กกิ๊กกัน ทำไมมึงมีแต่ข่าววะ”

“ผมจะไปรู้กับพี่มั้ยเนี่ย ผมแค่ไปช่วยงานน้องเฉยๆเอง” ผมเท้าสะเอว “แต่มันก็จริงอย่างที่พี่ว่านั่นแหละ ทำไมช่วงนี้มีแต่ข่าวผมกัน?”

“หรือว่าเป็นไอ้วิกวะ แฟนเก่าน้องมีนา เห็นว่าอยากคืนดีด้วยหลายรอบเหมือนกัน ช่วงนี้มันก็ไม่ค่อยโผล่ออกมาให้เห็นหน้า—นั่นไง กูพูดไม่ทันขาดคำ”

อดีตแฟนเก่าของมีนาเดินตรงมายังจุดที่ผมยืนอยู่ ไม่นานนักเขาก็เหวี่ยงหมัดมาแต่ผมหลบทัน เขาหัวเสียก่อนที่จะชี้หน้าผม ร้องขึ้นมาเสียงดังลั่นใต้ตึก

“เพราะมึงที่ทำให้มีนาเลิกกับกู!”

“ผมไม่เกี่ยวอะไรเลยนะครับ การที่มีนาเลิกกับพี่ไม่ใช่เพราะพี่ทำตัวเองหรอกเหรอ?” ผมถอนหายใจ “มีนาเล่าให้ผมฟังแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ถึงไม่ให้เกียรติเขาเลย มีนาดูเหมือนจะไม่คิดอะไรแต่เขาคิดนะครับ”

“ก็เพราะมึงไง! ถ้ามึงไม่เข้ามาวุ่นวายมีนาก็ไม่เลิก!”

“...”

“กูเกลียดหน้ามึงฉิบหาย”

“ผมเองก็เกลียดหน้าพี่เหมือนกันนะครับ”

“มึงว่ายังไง!”

“เส้นความอดทนของผมมันก็มีขีดจำกัดนะครับเผื่อพี่ไม่รู้”
ผมย้ำเส้นทุ้มกว่าเดิม “พี่โทษแต่ผมแล้วพี่ได้ไปถามน้องตรงๆรึยังว่าเพราะอะไร?”

“…”

“ผมจะบอกให้เอาบุญก็ได้ เพราะพี่ไม่เข้าใจเขาเลยสักนิด มีนาไม่อยากให้คนอื่นต้องมารับรู้ด้วยว่ากำลังคบกับใคร ไม่คิดว่ามันจำเป็นที่ต้องประกาศให้โลกรู้ว่าพี่มีแฟนบนโลกอินเตอร์เน็ท เขาไม่อยากให้มันวุ่นวาย แต่พี่ก็ตื้อ จากตื้อเป็นประชด และอย่างนี้แหละที่ทำให้มีนาไม่ชอบ มีนาเลยขอเลิกกับพี่” ผมอธิบายไป สีหน้าเขาดูเหมือนจะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่นัก แต่มันเป็นความจริงเขาเลยเถียงไม่ออก “พี่ทำตัวเองก่อนแท้ๆแล้วมาโทษผมที่เป็นพี่ชายข้างห้องเขา คิดว่ามีนาจะอยากกลับไปคุยกับพี่อีกเหรอ? ฝันเถอะครับ น้องผมไม่ใช่คนอย่างนั้น”

“แต่ช่วงนี้เห็นว่าสนิทกันมากนี่นา หรือว่ามึงตั้งใจจะเสียบต่ออยู่แล้ว?”

“มีนาเป็นน้องเพื่อนผม ผมก็ต้องดูแลแค่นั้นเอง ผมไม่ได้มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับชีวิตเขาสักนิด พี่ตังหากที่สำคัญตัวผิดไป”

“…”

“มีนาไม่ชอบให้ใครมาเป็นเจ้าชีวิตเขาเพราะเพียงเห็นว่าเขายอมคน”

พี่วิกกระทืบเท้า เดินฟึดฟัดจากไป พี่สองปรบมือเปาะแปะให้กับสิ่งที่ผมพูด แต่ผมก็ส่ายหน้าและนั่งทรุดตัวลงพร้อมกับมือที่สั่นระริก

“พี่รู้ปะว่าผมกลัวนะเว้ยเมื่อกี๊ ถ้าเกิดว่าพี่วิกแกต่อยหน้าผมซ้ำอีกรอบนี่มีนาต้องด่าผมแน่เลยว่ะ”

“แต่มึงพูดแทนมีนาไปแล้ว ไอ้วิกมันก็คงจะกลับไปคิดสักระยะนั่นแหละ สีหน้ามันก็ดูใช่ว่าจะไม่ยอมรับอะไรสักอย่าง เนื้อแท้มันก็คนดีคนหนึ่งที่โดนความขี้หึงกับความโกธรบังเท่านั้นเอง”

“ถ้าพี่ว่าอย่างนั้นก็แล้วแต่พี่นะ ผมก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับเขา ผมกลัวแค่ว่าเขาจะยังไม่ยอมเลิกตื้อมีนา”

พี่สองเดาะลิ้น หยิบขนมในกระเป๋าตัวเองออกมาแบ่งผม “กลับมาเรื่องรูปมึงกับมีนาเถอะ ป่านนี้คนคงลือกันไปทั่วแล้วว่ามึงกับน้องคบกัน มึงจะทำยังไง? จะปล่อยไปให้คนเข้าใจผิดอย่างนี้หรือว่าจะออกมาแก้ข่าว”

“สงสัยต้องแก้ข่าวจริงจังแล้วล่ะพี่ ไม่งั้นมันก็เดือดร้อนทั้งผมกับมีนา” พี่สองพยักหน้า เขาเปิดแอพนกสีฟ้าขึ้นมาแล้วพิมพ์ไดเรคไปหาคนที่โพสรูปลงตามที่ผมพูดออกมา

จากนั้นผมก็กลับไปเรียนตามปกติ หลายคนในคณะก็ถามว่าที่เขาว่ากันนั้นเป็นจริงหรือไม่ ผมก็ต้องปฏิเสธ แน่นอนว่าไม่ว่ายังไงมีนาก็คือน้องชายของผม เป็นน้องชาย...

เป็นน้องชาย...

นั่นสิ...เขาเป็นน้องชาย ผมถึงต้องห่วงเขา แต่ทำไมผมถึงห่วงเขาขนาดนี้กัน? มีนาเก่งกว่าผมหลายอย่าง เข้มแข็งกว่าผม เขาปกป้องตัวเองได้ แล้วทำไมผมถึงต้องห่วงเขาเกินไปอย่างนี้ มันจะสร้างความเดือดร้อนใจให้มีนารึเปล่ากัน?

ผมคิดอย่างนี้ตลอดทางกลับหอ

เพราะผมกลัวว่าด้วยความที่ผมห่วงเขามันจะทำให้ตัวเองล้ำเส้นที่ขีดกั้นเอาไว้เสียเอง

 

กลิ่นดอกไม้โชยมา ขนมที่เพิ่งอบใหม่ๆจากเตานั้นถูกยกออกโดยผู้ชายตัวเล็กตรงหน้าผม

มีนาแต่งหน้าคัพเค้กด้วยครีมสีชมพูและสีฟ้า โรยน้ำตาเกล็ดรูปดาวและเลมอนหั่นแว่น ทิ้งเอาไว้ให้อุ่นแล้วค่อยเอาใส่ถุงพลาสติกมัดด้วยริบบิ้นสีขาวสวยงาม ส่วนชิ้นที่เหลืออยู่ในถาดเขาก็หยิบขึ้นมาจ่อปากของผม

ผมยิ้มรับ กัดเข้าไป ทันใดนั้นรสชาติของความอบอุ่นมันก็ละลายไปทั่วปาก

มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข...

ผมกับมีนาป้อนขนมให้กันและกันภายในห้องครัวที่เต็มไปด้วยกลิ่นหวาน นอกหน้าต่างนั้นดอกไม้กำลังเบ่งบานท่ามกลางในตกพรำๆสร้างบรรยากาศเป็นใจให้

ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัวที่อยากให้มีนาป้อนผมแบบนี้ต่อไป ในเมื่อความจริงแล้วพวกเรามีคำว่าพี่น้องค้ำคออยู่ ผมไม่กล้าคิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น อีกทั้งผมมันยังขี้ขลาดเกินกว่าที่ยอมรับ


ยอมรับว่าแท้จริงแล้วผมอยากจะเป็นมากกว่านั้น

แต่ในเมื่อที่นี่คือความฝัน...มันคงไม่มีอะไรเสียหายที่ผมจะเห็นแก่ตัวอย่างนี้และทำเป็นลืมสถานะความเป็นพี่ชายคนหนึ่งไป



==========


บางครั้งพี่นทีก็ติดอยู่กับความกลัวมากเกินไปจนทำให้คิดอะไรก็ยังคงวนเป็นวงกลมอยู่อย่างนั้น ให้เวลาเขาอีกสักหน่อยน้าา

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 5

 

 =มีนา=

 

พี่นทีเป็นคนที่แปลกประหลาด

บางครั้งเขาก็เป็นพี่ชายคนโตที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันผมก็เหมือนเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเศร้าเสียใจกับเรื่องอะไรบางอย่างแล้วไม่สามารถออกมาจากจุดนั้นได้ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ถ้าให้เดาก็อาจจะเกี่ยวข้องกับน้องชายของเขาที่เสียไปแล้ว

พี่นทีไม่ได้เล่าให้ฟังว่าน้องเขาเสียวันไหน เขาพูดให้แค่ว่าเสียในสมัยที่เขาเรียนม.ต้นปีสุดท้ายเท่านั้น ถ้าลงลึกกว่านี้ผมก็กลัวว่าจะไปสะกิดแผลใจอะไรของเขาเข้า

ตั้งแต่เรียนมหาลัยมา พี่นทีในวัยม.ปลายและวัยมหาลัยนั้นแตกต่างมาก อย่างแรกคือเขาเงียบมากขึ้น ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เก็บตัวอยู่ในห้อง นานๆทีถึงจะออกมา อย่างที่สองคือเขาเก็บความเครียดไว้กับตัวเองเสมอ ไม่เคยระบายออกมาเหมือนเมื่อก่อน นั่นทำให้ผมไม่สบายใจเลยสักนิด

บางคืนผมก็ได้ยินเสียงกีตาร์เศร้าๆลอยมาจากห้องข้างๆ

ยิ่งช่วงนี้พี่นทียิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ จนผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปคุยให้มากขึ้น ผมไม่อยากให้เขาฟุ้งซ่าน พยายามที่จะก้าวเข้าไปในโลกของเขาทีละนิด โดยหวังว่าจะได้ทำความรู้จักกับพี่นทีให้มากขึ้น ผมรู้ดีว่าพี่นทีที่แสดงออกมาในตอนนี้ไม่ใช่ตัวของเขาทั้งหมด เขากำลังฝืนยิ้ม เขากำลังฝืนให้ตัวเองมีความสุข ไม่มีใครรู้เท่าไหร่นักหรอกว่าอดีตเดือนมหาลัยคนนี้จะเป็นคนคิดมากแค่ไหน ใครพูดอะไรออกมาถึงปากจะว่าไม่สนใจแต่ในใจของเขานั้นกำลังเดือดร้อนหนักทีเดียว

ส่วนผมเองก็คอยช่วยเหลือพี่นทีอยู่ห่างๆจนกระทั่งมีคนบอกว่าผมและพี่นทีคบกัน

แน่นอนว่ามีหลายคนในคณะเข้ามาถามผมว่ามันคือความจริงมั้ย ซึ่งนั่นก็ไม่ ผมตอบว่าพี่นทีเป็นเพื่อนพี่ชายของผมเท่านั้น ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรไปลึก ถ้าคนที่เข้าใจก็จะไม่ถามต่อเอง  แต่คนที่ไม่ยอมทำความเข้าใจก็จะพยายามตื้อแล้วบอกผมว่าผมกำลังโกหก

ไม่มีอะไรให้โกหกแล้วผมจะโกหกไปทำไมกัน...ผมไม่เข้าใจ

วันนี้ผมอารมณ์ดีจึงลุกขึ้นมาใช้ครัวเล็กๆในหอทำขนม โชคดีที่ที่นี่เป็นหอพักแบบใหม่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงตาม แต่ในเมื่อพี่กุมภ์ไปอยู่กับพี่เดือนแล้ว ที่บ้านก็ไม่ต้องมาปวดหัวกับค่าใช้จ่ายที่เยอะ อีกทั้งผมตั้งใจว่าจะไปหางานพิเศษทำด้วยในเร็วๆนี้ จะได้มีเงินเก็บเยอะกว่าเดิม

เยลลี่สายรุ้งที่ทำยากในที่สุดมันก็สามารถกินได้ ผมใช้นิ้วจิ้มมันเล่นๆก่อนที่จะยกไปตั้งไว้บนโต๊ะเพื่อรอให้รุ่นพี่ข้างห้องมาเอามันไปกิน พี่นทีบอกว่าช่วงนี้ต้องแต่งเพลงส่งอาจารย์ในคณะเลยไม่ค่อยมีเวลาออกไปไหนมากนัก ซึ่งเอาจริงๆมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากที่เขาเคยเป็นอยู่แล้วเว้นแต่ช่วงนี้ที่เขาชอบออกไปตลาดใกล้ๆกันเพื่อซื้อแครอทมาต้มให้หอยทากของเขากิน

ผมเองก็เลี้ยงสัตว์ หนูแฮมสเตอร์ของผมที่เรียกสั้นๆว่าฌองนั้นกำลังนอนอุตุอยู่ในกรง มันเป็นหนูแฮมที่หลงมาอยู่ใต้ตึก ถ้าผมไม่เห็นมันก็คงจะเปียกฝนตายไม่ก็โดนแมวคาบไปกิน ปัจจุบันมันชอบมาอ้อนผมเวลาผมมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ เปิดกรงออกมามันก็ไม่หนีไปไหนนอกจากมาเล่นแถวๆตัวราวกับว่าติดผมมาก ไม่กัดนู่นกัดนี่ไปทั่ว และที่สำคัญก็คือกินเก่ง เมล็ดทานตะวันที่ซื้อมาทิ้งเอาไว้แป๊บๆก็หมดจนต้องซื้อถุงใหญ่มาแทน

“ฌอง กินแป้งขนมได้มั้ย?”

“จิ๊ด”

ร้องแบบนี้ไม่รู้หรอกว่ากินได้มั้ย แต่มันอยากกิน ผมเปิดกรงแล้วใส่เนื้อแป้งเค้กให้นิดหน่อย มันก็กิน กินไม่เลือกอย่าง

ก๊อก ก๊อก

ผมเดินไปเปิดประตู พี่นทียืนมองต้นไม้ที่อยู่ตรงระเบียงทางเดินราวกับว่าคิดอะไรรอผมอยู่ พอสะกิดเขาก็สะดุ้งจากความคิดตัวเองแล้วยิ้มให้

“พี่นที ผมทำเสร็จพอดีครับ รอให้มันเซ็ทตัวดีกว่านี้แล้วค่อยกินดีกว่า เล่นกับหนูผมรอแล้วกัน”

เขาพยักหน้า เดินเข้ามาในห้อง ตรงไปที่กรงหนูแฮมสเตอร์แล้วเปิดออกมา มันดูดีใจใหญ่ที่คนข้างห้องมาเล่นด้วยเลยวิ่งวนรอบเท้าพี่นที เขาหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมาลูบหัวมัน

“จริงสิ พี่ซื้อนี่มาให้”

“ลูกอม?”

“น้ำตาลปั้น พี่ไปเจอมาแล้วนึกถึงมีนาเลยให้เขาปั้นเป็นหนูแฮมสเตอร์ให้สองตัว น่ารักใช่มั้ยล่ะ?” พี่นทียัดน้ำตาลปั้นในซองให้ผมสองชิ้น หนูหน้าตาน่ารักกำลังยิ้มแฉ่งแข่งกับอีกตัว “มีนานี่เหมือนหนูแฮมสเตอร์จริงๆนะ ตัวเล็กๆ แก้มพองๆเวลากินอะไร”

“...”

“ล้อเล่นน่า” พี่นทีหัวเราะอีกรอบ “มีนาน่าจะชอบสัตว์ตัวเล็กๆมากกว่าพวกนกพวกมังกร แต่อย่ากินเยอะนะ แบ่งๆกินไปไม่งั้นปวดฟันแน่” เขาเตือนด้วยความหวังดีทั้งที่ก็รู้ว่าผมไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆที่ต้องมาเตือนอะไรแบบนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาดูเป็นพี่ชายคนโตในสายตาของผม ความอบอุ่นและความเรียบง่ายของพี่นทีทำให้ผมชอบที่จะอยู่กับเขา ให้เขาเป็นที่ปรึกษาในบางเวลา (เพราะส่วนใหญ่ผมนั่นแหละที่เป็นที่ปรึกษา)

พี่กุมภ์บอกว่าพี่นทีเป็นเด็ก แต่สำหรับผมพี่นทีมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านิดหน่อย...ย้ำว่านิดหน่อยนะ

พี่นทีตักเยลลี่เข้าปาก เขายิ้มออกมาแล้วก็ตักคำที่สองคำที่สามเข้าตาม ท่าทางมีความสุขที่ได้กิน เยลลี่สายรุ้งนี้ผมใส่เลมอนหั่นชิ้นจิ๋วลงไปเพิ่มความเปรี้ยวตัดกับรสหวานด้วยทำให้เกิดความสดชื่นเวลากิน อีกทั้งผมยังใส่ชิ้นเนื้อผลไม้ชนิดอื่นเข้าไปด้วย มันเลยกลายเป็นเยลลี่ผลไม้สายรุ้งที่แต่ละชั้นจะมีผลไม้ต่างชนิดรวมกันอยู่

มีหลายๆอย่างที่ผมอยากจะทำเพื่อให้พี่นทีมีความสุข ไม่ใช่ทำหน้าเศร้าหรือนิ่งแบบเวลาที่อยู่คนเดียว ตามความรู้สึกของผมนั้นมันทำให้ผมคิดว่า...เขาพร้อมที่จะไปได้ตลอดเวลา

พร้อมไปที่ว่าไม่ใช่ไปไหน แต่เป็นการที่เขาจะทิ้งร่างเอาไว้ที่นี่แล้วเดินทางไปยังโลกที่ผมไม่รู้จัก

ดังนั้นแล้วผมจึงต้องพยายามทำให้เขารู้ว่าบนโลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่กำลังรอเขาอยู่ ไม่อยากให้เขาจมอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป

 

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณปีก่อน ผมเจอกับพี่วิก เขาเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง เขาคอยดูแลผมโดยที่ไม่ทำให้ผมรู้สึกรำคาญเลยสักนิด อีกทั้งยังเอาใจเก่ง ผมจึงตกหลุมนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเขาจะเปลี่ยนไป เขาอยากจะบอกคนอื่นว่าพวกเราคบกัน ผมไม่อยากบอก มันวุ่นวาย ยิ่งพี่วิกเป็นผู้ชายที่มีผลงานเยอะก็ย่อมมีคนติดตามเขาเยอะ ผมกลัวว่าจะทำให้แฟนๆของเขาผิดหวังที่มีข่าวคบหากับคนอื่น ดังนั้นแล้วผมจึงไม่อยากให้เขาป่าวประกาศให้คนรู้มากนัก

“พี่อยากบอกคนอื่น”

“แต่มันจะทำให้พี่ลำบากเอานะครับ พี่เองก็น่าจะเห็นข่าวอยู่บ่อยๆว่าคนดังคบกับใครแล้วโดนโจมตี พี่วิกเป็นคนที่ทนกระแสโจมตีไม่ค่อยได้อยู่ด้วย ปลอดภัยเอาไว้ก่อนดีกว่า” ผมอธิบายไป พี่วิกเปลี่ยนสีหน้า เขาไม่พอใจ “ผมเข้าใจว่าพี่อยากบอก แต่มันจำเป็นจริงๆนะครับ”

“มีนาอยากเก็บเอาไว้เป็นความลับตลอดไปอย่างนี้เหรอ? ถ้าเกิดว่ามีใครมาจีบมีนาหรือมีใครมาจีบพี่แล้วจะทำยังไง? พี่ขี้เกียจมาอธิบายอะไรหลายรอบนะ พี่ทนได้แน่ๆเรื่องคนไม่ชอบ”

“แต่ครั้งก่อนพี่ก็ทนเรื่องที่มีคนเอารูปพี่ไปว่าเสียๆหายๆไม่ได้จนมีเรื่องต่อยกันไม่ใช่เหรอครับ?”

“...”

หลังจากวันนั้น พวกเราจะทะเลาะกัน กลายเป็นพายุลูกใหญ่ในความรักครั้งนี้—ไม่สิ มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นแค่ความลุ่มหลงเท่านั้น จากเรื่องหนึ่งก็มาทะเลาะกันอีกเรื่องไม่จบไม่สิ้น เขาเริ่มประชดผม พาคนอื่นเข้ามานอนด้วยโดยไม่สนว่าผมจะรู้สึกอย่างไร ผมเองก็มีเส้นขีดความอดทนเหมือนกันจึงร้องออกไปว่าเลิก

ตอนแรกๆเขาก็บอกว่าอยากเลิกกับผม เมื่อพวกเรากลับเข้าสู่วงจรการใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างแยกไปได้สักพัก พี่วิกก็เริ่มกลับมาตามวอแวกับผม แต่ผมไม่สนใจเขาแล้ว ผมไม่ให้โอกาสคนที่เคยทำอะไรผิดพลาดเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด และเขาเองก็เริ่มคุกคามผม เริ่มไปขู่คนที่เข้าหาผม เริ่มเดินมาหาเรื่องคนที่ผมกำลังคุยด้วยทั้งที่มันไม่มีอะไร ถ้ามองจากคนทั่วไปก็คงจะเป็นอาการยังเหลือรักจากแฟนเก่า แต่เชื่อผมเถอะว่านั่นคือการอยากเอาชนะของขี้แพ้คนหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะกับพี่นทีที่ผมสนิทด้วย พี่วิกยิ่งอิจฉาเขาเพราะพี่นทีทั้งหน้าตาดีกว่า ทั้งเสียงดีกว่า ทว่าพี่นทีพยายามไม่ทำตัวเด่น ไหนจะเป็นความหมั่นไส้ส่วนตัวด้วยอยู่แล้วยิ่งทำให้ไปกันใหญ่

วันนั้นในห้องซ้อมที่ผมมาดูดาวเดือนคณะตัวเอง พี่วิกก็กำลังจะหาเรื่องพี่นที นั่นทำให้เส้นอดทนอดกลั้นผมขาดลงทันที เขาจะหาเรื่องใครผมก็จะพยายามคุยด้วยดีๆตลอดยกเว้นครั้งนี้ที่เขาทำกับพี่นทีเกินเหตุ เมื่อจบวันนั้นพี่วิกก็เหมือนจะเงียบๆไป

ภายนอกนั้นพี่นทีอาจจะดูไม่เป็นอะไร แต่ผมเชื่อว่าภายในจิตใจของเขาอาจจะมีส่วนช้ำและหวาดกลัวบ้างแล้วเหมือนกัน

 

“พี่มีนา มะรืนนี้พี่ว่างปะ?”

เต๋าที่เป็นน้องรหัสของผมถามเมื่อผมเดินลงมาที่ข้างล่างหอพร้อมกันกับเขา “ทำไมเหรอ?”

“ผมว่าจะชวนพี่ไปวัดน่ะ ทำบุญกัน” เต๋ายิ้มกว้าง แต่ผมนับถือคริสต์ไงเลยไม่แน่ใจว่าจะเป็นอะไรมั้ย ผมเองก็ไม่ได้เข้าโบสถ์อะไรนานแล้วด้วย “แต่ถ้าพี่นับถือศาสนาอื่นผมจะไปเองก็ได้”

“ลองชวนพี่นทีไปดูสิ รายนั้นก็น่าจะไม่ได้ไปนานแล้ว”

“นั่นสิ งั้นเย็นนี้ผมจะถามดูแล้วกัน ผมว่าช่วงนี้ดวงผมมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำบุญเพิ่มความสบายใจให้ตัวเองดีกว่า” เต๋าหัวเราะ พูดถึงเรื่องดวงดีดวงไม่ดี ผมเป็นคนที่มีดวงดีมาตั้งแต่เกิด ทำอะไรเวลาที่ต้องเสี่ยงโชคผมมักจะได้แต่สิ่งที่ต้องการ นับได้ว่าเป็นที่มากับดวงเลยแหละ พี่ของผมก็ดวงดีพอตัว

ส่วนดวงพี่นทีนี่ผมไม่รู้ด้วยเหมือนกันแฮะ...

แต่เท่าที่ผมสังเกตมา พี่นทีดวงไม่ค่อยดีนัก ถึงขั้นค่อนข้างแย่เลย เขาบอกว่าเวลาที่อยู่กับผมแล้วเหมือนเขาจะโชคดีขึ้นมาบ้าง ความจริงผมว่ามันเกี่ยวกับการกระทำของแต่ละคนมากกว่า เวลาที่พี่นทีทำอะไรเขามักจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ทำให้ทำออกมาได้ไม่เต็มที่

จะมีวิธีไหนที่ทำให้พี่นทีมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นมั้ยนะ?

“จะว่าไปแล้วพี่นทีในสายตาของพี่เป็นยังไงครับ? ผมนะ พี่นทีเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ตลกเอามากๆเลยล่ะ กลัวนู่นกลัวนี่ไปหมด แต่อย่างนั้นพี่นทีก็เป็นพี่ชายที่อบอุ่นมากด้วย บางครั้งผมยังสงสัยเลยว่าเขามีน้องรึเปล่า

“พอผมถามไปนะ พี่นทีเขาก็ยิ้มแห้งๆแล้วเปลี่ยนเรื่อง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเปลี่ยนเรื่องด้วย มีก็ตอบว่ามีสิ แค่นั้นเอง”

ไม่ใช่เขาตอบไม่ได้...เขาไม่อยากจะรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาตังหาก

“พี่นทีเป็นคนที่คิดมากว่าที่คิด เป็นคนที่ชอบเก็บอะไรเอาไว้คนเดียว พยายามทำตัวร่าเริงเพื่อให้ก้าวข้ามความเศร้าและความเครียด” ผมบอก เต๋าฟังดูจะสนใจขึ้นมา “มีหลายครั้งที่พี่นทีเหม่อ เขากำลังติดอยู่ในอดีตของเขา ถ้าเกิดว่าเห็นเขาท่าทีแปลกๆก็เข้าไปทักสักหน่อยไม่ให้ฟุ้งซ่านนะ”

“แต่ผมก็เห็นพี่เขาปกติดีนี่นา...”

“เต๋า คนเราน่ะใส่หน้ากากเข้าหาคนอื่นอยู่เสมอนั่นแหละนะ ยิ่งโดยเฉพาะพี่นทีที่เขาไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย

“แม้แต่ตัวเอง”

 

ผมใช้เวลาวันหยุดนี้อยู่กับหนูแฮมสเตอร์ของตัวเอง ฌองตัวใหญ่ขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่ก็วุ่นวายเหมือนเดิม นั่งอ่านหนังสือไปสักพักก็ได้เด้งตัวเองขึ้นมาจากเตียงเพื่อเก็บผ้าที่ตากไว้ตรงระเบียงเพราะฝนตก ทั้งที่ใกล้จะฤดูหนาวแล้วแท้ๆยังจะมาทิ้งท้ายเอาไว้แบบนี้อีก โชคดีหน่อยที่มันไม่ได้ตกหนักจนต้องตาลีตาเหลือกไปเก็บ

“...ล...”

?

เสียงกีตาร์จากห้องของพี่นที?

ผมเอาผ้ามากองไว้บนเตียงแล้วเดินกลับไปอีกรอบ ปรากฏว่ามันเป็นเสียงกีตาร์จริงๆ พี่นทีมานั่งเล่นกีตาร์ตรงระเบียงโดยที่ปกติแล้วเขาไม่มีทางเอาตัวเองออกมาให้อาหารยุงนอกจากปลูกต้นไม้แน่นอน

ทำนองกีตาร์ที่ผมได้ยินนั้นมันเศร้าแปลกๆ ราวกับว่าอารมณ์ความรู้สึกของพี่นทีตอนนี้มันเอ่อล้นทว่าเขาไม่สามารถพูดออกมาได้จึงต้องใช้บทเพลงเป็นตัวสื่อสารแทน

มีหลายจังหวะที่เสียงขาดหายไป แต่ก็กลับมาต่อได้ น่าเสียดายที่ฝนตกแรงขึ้นทำให้ผมเริ่มไม่ได้ยินเสียงกีตาร์ แต่ผมก็เลือกที่จะยืนอยู่ตรงนั้นต่อโดยไม่สนใจว่าละอองน้ำฝนจะทำให้ตัวของผมเริ่มชื้นขึ้นมาบ้างก็ตาม

ถึงพี่นทีจะไม่รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้...

แต่ผมก็จะอยู่เพื่อไม่ให้พี่รู้สึกเหงาแน่นอน

กลิ่นดอกไม้จากห้องของพี่นทีลอยมาตามลม มันเป็นเหมือนข้อความของพี่นทีถึงคนคนนั้นที่จากไปแล้วนานแสนนาน กลิ่นหอมของดอกไม้พวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นกลิ่นที่ทำให้หัวใจสงบได้ ไม่แน่ว่าการที่เขาชอบปลูกอะไรแบบนี้ก็เพื่อยามเวลาที่ได้กลิ่นเย็นๆจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวดีขึ้น

“ฮึก...”

เสียงสะอื้นดังมา ผมเลิกคิ้ว

“พี่คิดถึงน้องนะ...

“พี่คิดถึงพฤกษ์นะ”


นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อของน้องชายของเขา

“พี่นที...” ผมเปล่งเสียงกระซิบ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยิน เจ้าตัวนั่งอยู่ข้างในห้องโดยที่เลื่อนประตูกระจกและยื่นขาทั้งสองข้างออกมา “ไม่เป็นไรนะครับ ทุกอย่างมันจะดีขึ้นในสักวันเอง”

แต่ผมไม่รู้ว่าสักวันนั้นจะเป็นตอนไหน อาจจะพรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า หรืออีกสิบปีข้างหน้า สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือพี่นทีจะต้องเข้มแข็งขึ้นอย่างแน่นอน

เขามีกำลังมากพอที่จะเดินข้ามสิ่งนั้นมาได้ เพียงแต่เขายังไม่กล้าที่จะปลดล็อกความรู้สึกผิดของตัวเองในอดีต

ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง มองดูตุ๊กตาหมีที่ผมตั้งชื่อว่าคุณชูการ์ คู่ของมันที่อยู่ข้างๆกันชื่อว่าคุณโกโก้ ผมติดนิสัยตั้งชื่อให้ตุ๊กตามาตั้งแต่เด็กๆ และไม่อายด้วยที่จะบอกใครว่าผมติดตุ๊กตา มันเป็นเพื่อนเล่นของผมเวลาที่ผมเหงา มีเพื่อนในจินตนาการมันก็ไม่เลวนัก เพียงแค่ต้องแยกระหว่างความจริงและความฝันให้ออกเท่านั้น

“นี่ คุณชูการ์ คุณโกโก้ ผมสงสัยนะว่าพี่นทีสามารถก้าวข้ามอดีตตัวเองได้ตอนไหน”

ผมถาม จ้องไปในดวงตาด้ายปักของหมีทั้งสองตัว

“ความจริง...ผมห่วงเขามาตั้งแต่ช่วงมัธยมแล้ว พี่นทีเป็นคนที่ดูปกติแต่ไม่เลย เขากำลังพยายามทำตัวปกติ บาดแผลจิตใจนี่มันไม่ดีเลยเนอะ ทำให้ต้องเจ็บปวดมานานขนาดนี้ได้คงจะเป็นแผลที่ใหญ่น่าดู

“ผมอยากจะช่วยเขา...อยากจะเอายาไปรักษาบาดแผลเขา อยากจะเอาผ้าพันแผลไปพันให้เขา อยากเห็นเขาไม่ต้องมาทนเจ็บปวดกับบาดแผลนั้นอีก”

ถ้าพี่นทีได้เจอคนที่ทำให้เขามีความสุขจากใจจริงได้...ก็คงจะดี

“มันจะเป็นไปได้รึเปล่านะที่พี่นทีจะเปิดใจรับใครสักคนเข้าไปดูแลหัวใจที่บอบช้ำ?”

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเพลงออกมาจากห้องของพี่นทีตลอดเวลา ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่นทีจะต้องแต่งมันเสร็จในเร็วๆนี้แน่ แต่ผมไม่อยากให้มันเป็นเพลงที่แต่งออกมาจากอารมณ์เศร้าองเขาเลยสักนิด ผมจึงไปหาพี่กุมภ์ที่อยู่คอนโดไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่นัก

“ผมไม่อยากให้พี่นทีเขาเป็นแบบนี้นะพี่”

“มีนา ไม่ใช่ทุกเรื่องหรอกที่เราจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงมันได้” พี่บอก “นทียังต้องใช้เวลา สมัยเด็กๆนทีย้ายโรงเรียนบ่อย ทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนที่ไว้ใจได้มากพอที่จะระบายความในใจที่เก็บเอาไว้ แล้วมันก็กลายเป็นนิสัยที่เวลาจะต้องการระบายออกมา เขาจะไประบายกับสิ่งอื่นมากกว่าการพูดให้ฟัง”

“พี่หมายถึงปล่อยให้พี่นทีเป็นแบบนั้น?” ผมเลิกคิ้ว “ผมไม่สบายใจเลยนะพี่...”

“มีนา”

“?”

“มีนารู้ตัวมั้ยว่ามีนาห่วงนทีมันมากกว่าพี่อีกนะ” พี่กุมภ์ยกยิ้ม เขาวางแก้วน้ำส้มที่ตัวเองกำลังดื่มลง นิ้วก้อยข้างซ้ายที่หายไปของเขานั้นมันเป็นหลักฐานถึงเรื่องราวที่เคยทำร้ายจิตใจพอสมควร แต่เพราะพี่เดือนที่ทำให้พี่ชายของผมกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ “มีนากลัวว่านทีจะไม่สามารถผ่านมันไปได้ใช่มั้ย?”

ผมพยักหน้า

“นทีมันเข้มแข็ง ท่ามกลางความเข้มแข็งภายนอกนั้นยังมีความอ่อนแอซ่อนอยู่ แต่ภายในความอ่อนแอที่เห็นนั้นก็ยังมีความเข้มแข็งซ้อนเอาไว้อีกชั้น เขาถึงยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้” พี่กุมภ์จับมือผม “การที่สูญเสียใครไปมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่สภาพหัวใจอ่อนไหวง่ายอย่างนทีด้วยแล้วมันก็เป็นฝันร้าย แต่มันก็เก่งมากที่พยายามมาถึงขนาดนี้”

“...ผมห่วงเขามาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมแล้วว่าพี่นทีกำลังฝืน เขากำลังฝืนยิ้ม เขากำลังฝืนทำตัวตามปกติ ผมไม่รู้ว่าอะไรบ้างที่สามารถกระตุ้นความทรงจำแย่ๆของเขาขึ้นมาได้ ถ้าผมรู้ก็จะพยายามเลี่ยงไม่ให้เขาได้พบเจอกับมัน ผมเคยเห็นพี่นทีกินยาอยู่เหมือนกันนะครับ มันยิ่งทำให้ความกังวลของผมมันเพิ่มมากขึ้น”

“พี่เองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกนะ แต่จากเท่าที่ฟังมากแล้วมีนาไม่อยากให้นทีต้องพาตัวเองกลับไปติดอยู่ในอดีตแย่ๆอีกใช่มั้ย? ถ้าอย่างนั้นก็สร้างอนาคตดีๆให้เขาสิ”

“อนาคตดีๆ?”

“อย่างมีช่วงเวลาดีๆร่วมกัน สร้างความทรงจำใหม่ขึ้นมา ค่อยๆทำให้เขาลืมส่วนที่สร้างความเจ็บปวดนั้นไปอย่างช้าๆ อย่าไปบังคับให้เขาก้าวผ่านตรงนั้น” พี่กุมภ์ลูบหัวผม “ทำไมเรื่องอะไรแบบนี้มีนาถึงหัวช้าจังนะ”

“พี่...” ผมมองเขาด้วยสายตาขวางๆ พี่หัวเราะ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตู พี่เดือนเดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยชุดนักศึกษาถูกระเบียบ แต่ร่างกายอะไรดูโทรมลงไปบ้างจากงานที่เยอะ “สวัสดีครับพี่เดือน”

“อื้ม พี่ไม่ได้กวนอะไรเนอะที่คุยกัน?” พี่เดือนวางถุงพลาสติกลงกับโต๊ะ ข้างในเป็นอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง “จริงสิ พี่เห็นนทีด้วยนะ ยืนเหม่ออะไรก็ไม่รู้อยู่แถวๆริมสระน้ำมหาลัย พอพี่สะกิดก็สะดุ้งแรงมากแล้วก็รีบวิ่งไปเลย”

“พี่นทีเวลาที่คิดอะไรเพลินๆอยู่ก็อย่างนั้นแหละครับ ทางที่ดีอย่าไปสะกิดดีกว่า ว่าแต่เมื่อกี๊พี่บอกว่าเขายืนเหม่อ?”

“ใช่ สายตาลอยมาก มันให้พี่รู้สึกว่าเขากำลังคิดอะไรสักอย่างที่มันแย่ๆอยู่...อ้าว ฝนตกจนได้ ดีนะที่กลับมาถึงก่อน” ผมมองไปที่หน้าต่าง ฝนตกลงหนัก สภาพอากาศช่างไม่ดีเอาเสียเลยตลอดสี่ห้าวันนี้

ผมอยู่ต่ออีกสักพักพี่เดือนก็อาสาไปส่งผมที่หอ ขอบคุณเขาไปหลายรอบเหมือนกันถึงได้ขึ้นมา

‘มันทำให้พี่รู้สึกว่าเขากำลังคิดอะไรสักอย่างที่มันแย่ๆอยู่’

คำนี้ของพี่เดือนดังขึ้นในสมองเมื่อผมเห็นประตูห้องของพี่นที ผมจึงตัดสินใจที่จะเดินไปเคาะเพื่อหวังให้เขาเปิดออกมาเห็นสีหน้าเสียหน่อย แต่ทว่าไม่มีการตอบรับ

“พี่นที”

ยังคงเงียบ ผมลองจับลูกบิดประตูแล้วมันก็ล็อก เขาอาจจะยังไม่กลับก็ได้ ผมเลยเดินเข้าห้องตัวเองไป

แต่ความไม่สบายใจก็ยังคงกวนจิตใจผมอยู่ดี

ผมกดโทรฯออกไปหาเบอร์รุ่นพี่ข้างห้อง ไม่มีสัญญาณตอบรับ ผมถอนหายใจแล้วมองไปที่หนูแฮมสเตอร์ของตัวเองที่กำลังวิ่งบนล้อกลมสีใส พอไม่มีอะไรทำผมก็เลือกที่จะเปิดอ่านข่าวบนโทรศัพท์

“หืม? เครนถล่มอย่างนั้นเหรอ?”

ข่าวบอกว่ามีเครนถล่มลงมาใกล้ๆกับมหาลัยแห่งหนึ่งที่มีอาณาเขตบริเวณเดียวกับมหาลัยที่ผมเรียนอยู่ มีคนเสียชีวิตด้วย เพราะวันนี้ผมไปอยู่ที่คอนโดพี่เดือนเกือบทั้งวันทำให้ไม่รู้เรื่องนี้ ถือว่าเป็นข่าวที่น่าเศร้าพอตัว

เดี๋ยวนะ...

ถล่ม?

“ไม่หรอกมั้ง...พี่นทีคงไม่อยู่แถวนั้นหรอก...” ผมพูดเบาๆ เท่าที่ผมรู้ น้องชายพี่นทีก็เสียจาก... “แย่แล้ว!”

ผมรีบวิ่งออกจากหอทันทีโดยไม่สนใจว่าตัวจะเปียกแค่ไหน ไปที่มหาลัยที่คนเริ่มจะไม่มีแล้ว วนเวียนอยู่สักพักก็ไม่เห็นพี่นทีเลย มีอยู่สองอย่างคือพี่ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นกับพี่นทีรู้แล้วกำลังอยู่ที่ไหนสักที ผมกลัวว่ามันจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเลยวิ่งไม่ดูหน้าไม่ดูหลังชนคนอื่นไปทั่ว ผมกลัวว่าเรื่องเครนถล่มนี้จะไปทำให้พี่นทีกระทบทางจิตใจเข้า

ผมวิ่งมาจากถึงอาคารของดุริยางค์ เห็นว่ามีคนอยู่ไม่กี่คน ถ้าจำไม่ผิดคนที่กำลังเดินตรงนั้นน่าจะเป็น...

“พี่ดังโงะ!”

พี่ดังโงะหันมา เขาเลิกคิ้วให้ “ทำไมตัวเปียกมาอย่างนี้ล่ะ? วิ่งตากฝนมาทำไม?”

“เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะครับ ตอนนี้พี่นทีอยู่ไหนพี่ดังโงะรู้มั้ย?” ผมถามด้วยความร้อนใจ “ผมโทรฯหาก็ไม่ติด”

“อ๋อ...นทีอยู่ที่ห้องอัดเสียงน่ะ กำลังร้องเพลงอยู่” ท่าทีพี่ดังโงะไม่ร้อนใจอะไรเลย “เรื่องด่วนเหรอ?”

“...เฮ้อ...ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย...” ผมพูด “สงสัยผมจะคิดมากไปเอง”

“คิดมาก? มีอะไรกันแน่เนี่ย...” ผมเดินออกมาก่อนที่พี่ดังโงะจะพูดจบ เปิดประตูเข้าไปในห้องอัดเสียงที่มีคนอยู่แค่สองคน หนึ่งในนั้นคือพี่นทีที่กำลังสวมเฮดโฟนร้องอยู่หน้าไมค์ ส่วนอีกคนคือพี่สองที่นั่งดูหน้าจอคอมอยู่ พี่นทีเหลือบมามองผมแว๊บหนึ่งก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าผมตัวเปียก

เขารีบถอดเฮดโฟน วิ่งออกมาจากห้องแล้วจับบ่าผมใหญ่

“ทำไมตัวเปียกมาอย่างนี้ล่ะมีนา!”

“เอ่อคือ...” ผมหาคำตอบให้ไม่ได้ เพราะถ้าเกิดตอบตามความจริงไปพี่นทีมีหวังได้ตกใจมากกว่าเดิมกับความคิดของผมแน่ “ผมตั้งใจจะมาหาพี่แต่ว่าฝนตกกลางทางก่อน...”

“ทำไมไม่หาที่หลบเล่า รอเดี๋ยวนะ พี่จะไปเอาผ้าขนหนูมาให้เช็ดผม” พี่นทีเดินออกจากห้องไป พี่สองเป็นฝ่ายที่หันมาบ้างแล้วก็ถามผม

“มีนาเป็นเด็กฉลาดคงไม่คิดที่จะวิ่งฝ่าฝนมาถึงที่นี่โดยไม่มีเหตุผลอย่างอื่นหรอกนะ?”

“...”

“พี่จะไม่เซ้าซี้ถามแล้วกัน แต่ถ้ามีอะไรก็อย่าเพิ่งคิดมากเกินเหตุเลย” เขายิ้ม ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ “ในนี้เปิดแอร์ เดี๋ยวจะหนาวเข้า พี่จะไปหาอะไรร้อนๆมาให้ดื่มก่อนแล้วกัน”

ผมนั่งอยู่ในห้องคนเดียว ยกมือทั้งสองข้างมาลูบต้นแขนตัวเองอาไว้เพื่อคลายหนาว เสียงประตูเปิดดังขึ้นพร้อมกับพี่นทีที่โยนผ้าขนหนูคลุมหัวผมแล้วเช็ดให้

มือของพี่นที...

อุ่นจัง

“อย่าทำให้พี่ต้องเป็นห่วงอย่างนี้สิ ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมากุมภ์ฆ่าพี่ตายแน่ๆ” พี่นทีถอนหายใจ มือยังคงเช็ดให้อยู่ “เอาล่ะ ระหว่างที่พี่เช็ดผมให้ก็บอกเหตุผลจริงๆมาเลยว่าทำไมถึงวิ่งฝ่าฝนมา”

“...พี่นทีจะไม่เป็นไรแน่นะถ้าผมพูด”

“ไม่พูดพี่ก็ไม่รู้หรอกว่าพี่จะเป็นอะไรมั้ย” เขาย้อน “เอ้า ว่ามา”

“วันนี้มีข่าวออกมาว่ามีเครนถล่มแถวๆมหาลัยเรา...”

“...”

“มีคนตาย”

พี่นทีนิ่งไป ผมไม่น่าพูดออกมาเลย

“อ้อ...อืม...” พี่นทีตอบกลับ แต่มันเป็นเสียงในลำคอเสียมากกว่า “แย่จังเลยนะ”

“ผมถึงรีบวิ่งตากฝนมาอย่างนี้ไงล่ะครับ ผมกลัวว่าพี่นทีจะ...”

“มีนา”

“...”

“พี่ไม่คิดอะไรโง่ๆแบบนั้นหรอกน่า”

พี่นทีเคาะหน้าผากผมเบาๆ “พี่เคยคิดจะทำอะไรแบบนั้น แต่ตอนนี้พี่ไม่คิดแล้ว เข้าใจมั้ยครับคุณน้อง” แน่นอนว่าเขายิ้มออกมา “แต่ขอบคุณที่เป็นห่วงพี่นะ มันทำให้พี่นึกถึงเหตุการณ์พวกนั้นเฉยๆ มันไม่ทำให้พี่รู้สึกอยากจะฆ่าตัวตายหรอก อย่างมากก็แพนิค”

“แต่ผมกลัวว่าพี่จะแพนิคจนขาดสติ...” ผมยังดื้อ พี่นทีเลยจัดการดึงแก้มผมทั้งสองข้างดึงยืดจนเจ็บ ผมขอร้องให้เขาปล่อยแต่พี่นทีก็หัวเราะเสียงดัง “มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาล้อเล่นด้วยนะครับพี่นที!”

“มีนานี่ห่วงพี่เกินเหตุแล้วนะรู้ตัวมั้ย? พี่บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วงพี่ แค่เวลาที่พี่รู้สึกแย่มีนามาอยู่เป็นเพื่อนก็ดีขึ้นแล้ว”

“...”

“เลิกกังวลเถอะนะ”

“...ครับ...“

ผมนั่งอยู่ที่เดิม พี่สองเข้ามาพร้อมกับชาร้อนที่ไปขออาจารย์ในคณะมา พี่นทีให้เสื้อคลุมของเขามาสวมทับกันหนาวเอาไว้ ผมเลือกที่จะกลับพร้อมกับพี่นทีเพราะยังคงเป็นห่วง เจ้าตัวก็ห้ามผมไม่ได้เพราะผมมันดื้อเกินไป เลยจำใจต้องรีบอัดให้เสร็จเพื่อที่จะพาผมกลับหอ

ผมไม่ได้ยินเสียงพี่นทีหรอกว่าร้องอะไรลงไปบ้าง แต่สีหน้าท่าทางของพี่นทีเวลาที่ได้ร้องเพลงนั้นมันช่างเจิดจรัส เขามีเสน่ห์ แต่เขาไม่ใช้มันเนื่องจากเหตุผลในอดีต เขามีพรสวรรค์ แต่เขากลับไม่ใช้พรสวรรค์เหล่านั้นให้เต็มที่ ผมอยากจะให้เขากล้าที่จะใช้สิ่งที่เขามีให้หมด อยากให้เขาได้เต็มที่กับสิ่งที่เขารักโดยไม่ต้องมากลัวกับความหลังของตัวเอง

เมื่อร้องจบ พี่นทีก็ก้มหน้า ใช้มือเท้าหัวเข่าทั้งสองข้าง หยาดเหงื่อที่ไหลลงมาทำให้ผมรู้ว่าเขาใช้พลังงานในการร้องเพลงนี้มากพอตัว จึงแอบสะกิดถามพี่สองว่าทำไมเขาถึงได้เหนื่อยขนาดนั้น

“เพลงที่นทีร้องน่ะเสียงไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้นหรอก ออกจะอ่อนไปนิดด้วย แต่ที่มีเพาเวอร์สูงก็คงเป็นเพราะความรู้สึกตังหาก ถ้าเพลงตัดต่ออะไรเสร็จแล้วพี่จะเอาให้ฟังนะ ขนาดพี่ยังขนลุกเลย” พี่สองเล่า “เป็นคนที่เก็บอะไรไว้มากมายในจิตใจอย่างนั้น...ทรมานน่าดู”

แม้แต่พี่สองยังเห็นเลยว่าพี่นทีเป็นคนเก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัวเอง ทุกคนเป็นห่วงเขาทั้งนั้น แต่เพราะไม่อยากให้พี่นทีรู้ตัวว่าทุกคนเห็นเขาเป็นคนแบบที่เขาไม่อยากเป็นเลยไม่พูดอะไร

วันนั้นผมกับพี่นทีกลับหอด้วยกันหลังจากที่ฝนหยุดตกแล้ว แน่นอนว่าผมที่ตากฝนนานและรั้นนั่งอยู่ในห้องแอร์ก็ย่อมมีอาการตัวร้อน แต่ไม่คิดว่าวันรุ่งขึ้นมาผมจะลุกจากเตียงไม่ได้เลย

ผมนอนหอบหายใจ พยายามจะลุกขึ้นมาเอาผ้าเช็ดตัวเองก็ยังไม่ค่อยไหว จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“มีนา”

“...พี่...”

“หืม? ทำไมเสียงเบาจัง? รึว่าไม่สบาย?” พี่นทีร้อง เสียงหายไปจากหน้าห้องผม ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงอะไรดังมาจากระเบียงข้างนอก

“...” พี่นทีกำลังยืนอยู่ตรงระเบียงห้องผม เขาปืนเข้ามา...เนี่ยนะ?

“นั่นไง ไม่สบายจริงๆด้วย โชคดีที่วันนี้ไม่มีเรียน พี่ขอเปิดเข้าไปนะ” พี่นทีค่อยๆเลื่อนประตูกระจกออก นิสัยเสียของผมอย่างหนึ่งคือการที่ไม่ชอบล็อกหน้าต่างหรือประตูตรงระเบียง แต่วันนี้มันกลับกลายเป็นข้อดีสำหรับอีกคนเสียได้ “ตัวร้อนจี๋เลย พี่ไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ก่อนนะ”

พี่นทีเดินเข้าไปในห้องน้ำผม ออกมาพร้อมกับกะละมังและผ้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่ง บิดน้ำให้หมาดแล้วเช็ดตามแขนตามขาให้ ปล่อยให้ผมนอนสักพักก็มาพร้อมกับถ้วยโจ๊กซองใส่ไข่

อ่า...พี่นทีเป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ

“ขอบคุณนะครับ...”

“ไม่เป็นไรหรอก พักเถอะ เดี๋ยวพี่จะให้อาหารฌองเอง” ผมลืมไปเลยว่าหนูแฮมสเตอร์ของผมยังไม่ได้กินอะไร ผมบอกขอบคุณอีกรอบก่อนที่จะเผลอหลับสนิท

 

ผมกำลังเดินอยู่ท่ามกลางสวนต้นเลมอน ตั้งใจว่าจะเด็ดมาสักลูกสองลูกมาทำอาหาร

แล้วผมก็เห็นพี่นทีกำลังยืนมองลูกเลมอนลูกหนึ่งอยู่

ผมเข้าไปทัก พี่นทีหันกลับมา ยิ้มสดใสให้ ผมดีใจเหลือเกินที่ในที่สุดเขาก็ยิ้มแบบนั้นให้ผมเห็น แล้วเขาก็เด็ดเลมอนลูกนั้นมาให้ผม ก้มตัวลงมากระซิบข้างหูผมเบาๆว่า

‘ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างๆนะ’

จากนั้นสายลมก็พัดผ่าน กลิ่นเลมอนฟุ้งกระจายไปทั่ว ผมหลับตาลง สูดดมกลิ่นนั้นให้เต็มปอดก่อนที่สติจะหายไป


 

ผมตื่นมาอีกทีก็ช่วงบ่ายๆ พี่นทีกำลังนั่งเล่นกับหนูแฮมสเตอร์ของผมบนพื้น ฌองวิ่งวุ่นไปทั่วจนกระโดดขึ้นมาบนเตียงผมสำเร็จและซุกเข้าไปในผ้าห่ม

“ตื่นแล้วเหรอ รู้สึกดีขึ้นบ้างรึยัง?” พี่นทีไม่สนใจหนูแฮมที่อยู่ในผ้าห่มของผม เอามือมาอังหน้าผาก “ตัวไม่ร้อนเท่าเมื่อเช้าแล้ว พอจะมีแรงแล้วใช่มั้ย?”

“ครับ”

“ดีแล้วๆ เดี๋ยวพี่จะไปซื้ออาหารที่กินง่ายๆมาให้นะ อย่างอแงเป็นคนป่วยแบบในนิยายล่ะ”

“ผมไม่งอแงหรอกน่า นอนรอได้” ผมหัวเราะเบาๆ พี่นทียื่นมือเข้ามาขยี้เส้นผมของผมแล้วลุกไปเปิดประตูห้องของผม

“พี่ขอยืมกุญแจหน่อยนะ ไม่นานพี่สาบานเลย”

“ไปเถอะครับ” ผมไล่เขา พี่นทียิ้มแล้วเปิดออกไป เสียงประตูดังขึ้นไม่นานหนูแฮมชื่อฌองก็มุดออกมาจากผ้าห่มแล้วปีนมาเหยียบหน้าท้องของผมราวกับว่าอยากเล่นด้วย “พี่นทีเล่นด้วยไม่เหงาใช่มั้ย? ขอโทษนะที่ไม่สบาย”

มันตอบ ‘จิ๊ด’ ย้ายร่างตัวเองมาที่มือของผมแล้วขดเป็นก้อนกลมๆ ผมเอานิ้วชี้จิ้มที่บั้นท้ายมันเบาๆเพื่อหยอกเล่น

“อยากหายไวๆจัง...”

 

วันนั้นทั้งวันกลายเป็นว่าพี่นทีอยู่กับผม เจ้าตัวเผลอหลับคาโทรศัพท์ตัวเองด้วยซ้ำ คงเพราะเมื่อวานเหนื่อยมากแล้ววันนี้ก็ต้องมาอยู่ดูแลผมทั้งวันทำให้พลังงานที่เหลือหมดเกลี้ยง ผมจึงไล่ให้เขากลับห้องไป ใกล้จะเที่ยงคืนผมที่ดีขึ้นมากก็มานั่งไถทวิตเตอร์เล่นๆ

มีคนรีทวีตรูปพี่นทีมา เป็นภาพแอบถ่ายที่ไม่น่าจะสร้างความเสียหายอะไรกับเจ้าตัวเพราะประโยคที่เขียนเอาไว้ค่อนข้างจะเป็นในแง่บวก

 

Smile @SmiLE

พี่นทีเป็นรุ่นพี่ผู้ชานคนหนึ่งที่เรานับถือมากนะคะ แต่เห็นว่าช่วงนี้กำลังมีปัญหาเลยอยากจะส่งกำลังไปให้

ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของพี่นที เรารู้สึกว่าจิตใจของเรามันดีขึ้นมากค่ะ ตอนนั้นเรากำลังเครียดงานอยู่ เดินผ่านไปแถวตึกดุริยางค์ก็ได้ยินพี่เขากำลังร้องเพลงอยู่ไม่ไกลนัก เราเลยคิดว่าพี่นทีเนี่ยเป็นคนที่พิเศษมาก มีพลังวิเศษที่ทำให้คนที่อยู่ด้วยนั้นรู้สึกดีเสมอ

เราอยากบอกว่าขอบคุณพี่นทีที่ช่วยเราในวันนั้นนะคะ


 

ผมยิ้ม กดรีทวิตแล้วแคปภาพทวิตนั้นส่งไปในแชให้พี่นทีดู หวังว่าเขาจะเห็นว่าอย่างน้อยก็มีคนที่พี่ไม่รู้จักเป็นกำลังใจให้อยู่

กลิ่นดอกไม้จากข้างห้องลอยมา กลิ่นจางๆนั้นทำให้ผมเริ่มง่วง พอหลับตาลงก็รู้สึกว่าเหมือนมีใครกำลังลูบหัวผมให้ค่อยๆปล่อยตัวเองไปสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ผมอยากลืมตา แต่ผมก็ทำไม่ได้

“ฝันดีนะ...”

นี่คือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน เป็นเสียงทุ้มนุ่มจากคนข้างห้องของผมที่คงจะปีนระเบียงมาดูอากาศของผมอีกแน่

ฝันดีเหมือนกันครับ

ผมตอบในใจ แล้วผมก็ฝันดีอย่างที่เสียงนั้นพูดมาจริงๆ



==========



เราตัดสินใจที่จะงดอัพเรื่องนี้ชั่วคราวนะคะ เนื่องจากว่าพอไม่มีคนอ่านเลย กำลังใจเราก็ค่อนข้างจะหดหายค่ะ เราเริ่มไม่รู้อีกแล้วว่าเขียนไปเพื่ออะไรในเมื่อยังไงก็ไม่มีใครมาอ่านงานของเรา จะเรียกว่าความน้อยใจก็ได้ เราคงได้อัพอีกทีก็ช่วงกลางเดือนหน้าเลย ขอเวลาเคลียร์ทั้งงานและเคลียร์กับตัวเองก่อนค่ะ ขอบคุณนักอ่านจำนวนเล็กๆทุกคนนะคะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :m15: :m15: :m15:  อ่าว  งดอัพซะงั้น   ไม่เป็นไร  รอได้

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 6

 

ผมใช้เวลาแต่งเพลงนี้น้อยกว่าที่คิด อาศัยจังหวะที่ฝนตกแต่งทำนองความรู้สึกออกมา เมื่อได้ร้องไปผมก็รู้สึกว่าสูญเสียพลังงานไปเยอะพอตัวเนื่องจากผมใช้พลังความรู้สึกมากกว่าพลังน้ำเสียง พี่สองดูเหมือนจะพอใจอยู่บ้างแต่ก็ติว่าถ้าผมใช้น้ำหนักเสียงมากกว่านี้จะดีกว่า

ทว่าเพลงของผมเพลงนี้ ใช้อารมณ์มากกว่าอย่างอื่นน่ะดีที่สุดแล้ว

ผมตกใจมากที่มีนาวิ่งเข้ามาในห้องอัดเสียงทั้งที่ตัวเปียกเพราะห่วงผมจะเป็นอะไรเมื่อได้ยินข่าวว่ามีเครนถล่มแถวๆนี้ ผมก็ได้ยินมาเหมือนกันแต่ก็พยายามไม่คิดอะไร สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือเด็กหนุ่มตัวเล็กข้างห้องคนนี้กำลังจะไม่สบายถ้าไม่รีบเช็ดผมให้ แถมยังดื้อจะอยู่ในห้องแอร์ต่ออีกจนลางสังหรณ์ของผมเป็นจริงเสียนี่ วันต่อมามีนานอนไม่สบายอยู่บนเตียง ถ้าเกิดว่าผมไม่รู้ถึงนิสัยเสียที่ชอบเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ของมีนาป่านนี้เจ้าตัวก็คงจะขยับไปไหนไม่ได้

ผมปืนเข้าห้องมีนาผ่านระเบียง แน่นอนว่าดูข้างล่างด้วยว่ามีคนเห็นมั้ยไม่งั้นเขาจะหาว่าผมมันโรคจิตเข้าห้องคนอื่น พอเห็นสภาพมีนาที่นอนหายใจแรงกับตัวร้อนก็รีบดูแลเพราะกลัวว่าจะร้ายแรงถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล น้องรู้ตัวอีกทีก็ช่วงบ่ายๆ ตื่นมาก็เริ่มกวนผม ถ้ารู้ว่ามีนาเวลาป่วยจะกวนมากกว่าเดิมอย่างนี้นะ...ผมก็จะดูแลเขาอยู่ดีนั่นแหละ

หนูแฮมสเตอร์ของมีนาก็ดูเหมือนจะรู้ว่าเจ้าของกำลังไม่สบาย มันกัดชายเสื้อผมเบาๆแล้วดึงให้ผมเข้าไปหามีนาที่นอนบนเตียงด้วยแรงอันเพียงน้อยนิด ผมลูบก้นมันแล้วก็ปล่อยให้มันวิ่งวนรอบตัวอย่างนั้นระหว่างรอมีนากินข้าวกินยา เริ่มค่ำผมก็ปีนระเบียงกลับห้องตัวเองไป

ช่วงกลางดึกผมแอบย่องเข้ามาในห้องมีนาอีกครั้งเพื่อดูอาการ เมื่อเห็นว่ามีนาหลับสนิทดีแล้วก็บอกฝันดี

ยิ่งนับวันผมก็ยิ่งผูกพันกับเด็กคนนี้ พยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้เห็นเป็นน้องชายตัวเองทุกรอบก็ทำเกือบไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ใจอ่อนจนได้

“มีนา อยากกินอะไรมั้ย?”

“ผมอยากกินเยลลี่เลมอน...” มีนาว่า “เปรี้ยวๆน่าจะกระตุ้นตัวผมได้ดี แต่มันทำนานนี่แหละครับ”

“เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้ดีกว่านะ ยังไม่หายดีก็อย่าเพิ่งกินอะไรที่มันหนักกระเพาะ เข้าใจมั้ย?” ผมลูบหัวเขา คว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาพร้อมกับกุญแจห้องของมีนา “พี่ไปไม่นาน อย่างอแง”

“ผมบอกแล้วว่าผมไม่ใช่นางเอกในนิยายที่เวลาไม่สบายจะงอแง”

“แต่กวนมากกว่าเดิม” ผมแสยะยิ้มมุมปาก มีนาหน้าหงิก “พี่ไปแล้ว รอได้เลย”

ผมขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์สีชมพูคันเก่าของผมขับไปตามถนนซอยเล็กๆเพื่อตรงไปยังร้านกาแฟไม่ไกลจากที่นี่ คนไม่ค่อยเยอะเพราะไม่มีที่จอดรถ แต่อาหารในร้านนี้อร่อยมากเลยทีเดียว

“พี่พระพายครับ” ผมทัก ชายคนที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ยังคงนิ่งอยู่ คงไม่ได้ยินสินะ “พี่ พระ พาย”

“...อะ สวัสดีครับ” ในที่สุดเขาก็รู้ตัว คนนี้คือพี่พระพาย เป็นพนักงานชายของร้านกาแฟแห่งนี้ที่มีความพิการทางการได้ยิน เขาใช้เครื่องช่วยฟังในการสื่อสารกับลูกค้าและผมยอมรับว่าเขาเก่งมากที่สามารถโต้ตอบได้ขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่อีกไม่นานเขาจะย้ายไปทำงานที่อื่นที่รับคนพิการทำงานจริงๆจังๆ

“วันนี้ผมขอเยลลี่เลมอนสองนะครับ นมสดร้อนแก้วหนึ่ง กับโกโก้ไม่ปั่นไม่หวานแก้วหนึ่ง” ผมยื่นใบรายการให้เขาเสริม “พี่จะย้ายไปตอนไหนครับ?”

“สิ้นเดือนนี้แหละ พี่เองก็...เกรงใจที่เป็นเด็กรับฝากที่นี่...” พี่พระพายยิ้มบาง เขารู้ว่ามีคนฝากเขาทำงานที่นี่ ไม่งั้นก็คงไม่มีงานทำเพราะตัวเองไม่มีทุกอย่างพร้อมเหมือนคนอื่นเขา “โชคดีที่ร้านใหม่ที่พี่จะไปทำ...มี...รับคนแบบพี่ทำงานด้วย...”

“ขอให้สนุกนะครับ” ผมอวยพร “ขอให้เจอคนดีๆด้วย”

“ไม่มีคนสนใจ...คนพิการหรอกนะ...” เขาดูเศร้าลง

“สักวันพี่จะเจอเองนั่นแหละครับ คนที่พี่รักกับคนที่รักพี่” ยิ้มให้กำลังใจเขาไป พี่พระพายก็พยักหน้าให้ เขาบอกว่าให้ผมไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนเลยไม่ยืดยาวสานความต่อ ระหว่างที่รอก็มองพี่พระพายค่อยๆเอาขนมใส่ถุงกระดาษให้ลูกค้าคนอื่น บางทีถ้าผมเปิดร้านคาเฟ่แบบนี้ผมจะเรียกพี่พระพายมาทำงานด้วย

เมื่อได้ของตามต้องการ ผมก็ลาพี่พระพายพร้อมกับขอที่อยู่ร้านใหม่ที่เขาจะไปทำงานเอาไว้ ตะกร้าหน้ารถของผมมีเยลลี่เลมอนสองชิ้น โกโก้ไม่ปั่น กับนมสดร้อนใส่ถุง หวังว่าคนตัวเล็กจะยอมกินนะ

 

ในที่สุดวันปิดเทอมก็มาถึง ผมอยากกลับไปบ้านแต่ก็ติดว่าหอยทากของผมจะไม่มีคนเฝ้า โชคดีที่พี่เดือนอาสาจะขับรถกลับบ้าน ดังนั้นผม พี่เดือน กุมภ์และมีนาจึงอัดอยู่ในรถวีออสสีขาวที่เคยเกิดอุบัติเหตุคันนี้

ระหว่างทางพวกเราก็แวะเที่ยวตามประสา...ความจริงอาจจะเป็นแค่สองคนนั้นที่เป็นแฟนกันก็ได้ที่อยากเที่ยว ทั้งผมและมีนาจึงนั่งห่อเหี่ยวถือกรงสัตว์เลี้ยงของตัวเองอยู่เบาะหลัง ปล่อยให้คู่รักหวานชื่นอยู่เบาะหน้า

พี่เดือนพากุมภ์แวะฟาร์มโชคชัย พวกเราทั้งหมดลงไปยืดเส้นยืดสาย ผมกับมีนาเลือกที่จะไม่เข้าไปข้างในเพราะติดภาระกรงของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆพวกนี้อยู่ จึงเดินดูแค่ภายนอก ซื้อนมสดกับไอติมกินเล่นนั่งรอสองคนนั้น

“บางทีผมไม่กลับบ้านน่าจะดีกว่า”

“นั่นสิ เหมือนมากวนสองคนนั้น” พี่เดือนกำลังยกกล้องตัวเองถ่ายรูปกุมภ์อยู่กับรูปปั้นวัว “คนมีความรักก็อย่างนี้แหละนะ”

“เมื่อไหร่ผมจะหลุดกรรมจากพี่วิกสักทีนะ รายนั้นกลายเป็นความขยาดของผมไปเลย เขาใช้เฟสอื่นมาทักผมอยู่บ้างแต่ผมก็บล็อกหนีไปหมด ว่าจะเปลี่ยนชื่อเฟสแล้ว พี่มีไอเดียอะไรดีๆมั้ย?”

“ตอนนี้พี่เปลี่ยนชื่อเฟสเป็นหลี่ เจ๋อเหยียน ตัวละครในเกม”

“พี่หมายถึงตัวละครในเกมจีบหนุ่มของจีนนั่นเหรอ?” มีนาเลิกคิ้ว ผมไม่คิดว่ามีนาจะรู้จักด้วย “ตอนแรกผมก็ไม่เอะใจหรอกว่าทำไมถึงใช้ชื่อนี้ แต่ตอนนี้ชักสงสัยแล้ว”

“ก็เพราะพี่ชอบคาร์เรคเตอร์เขานะ ภายนอกดูแข็งกระด้างแต่ข้างในนี่อ่อนโยนมาก พระเอกนิยายว่ามั้ย?” ผมหัวเราะ มีนายกขวดนมขึ้นมากระดก “ไม่ลองใช้ชื่อซวี่ โม่ บ้างล่ะ แล้วไปบังคับให้พี่เดือนกับกุมภ์ใช้ชื่ออีกสองคนที่เหลือ”

เขาหลุดหัวเราะ

“พี่คิดจะเล่นโรลเพลย์รึยังไงครับ” มีนาวางขวดนมลง

“ก็ดีนะ หาคนเล่นเป็นนางเอกในเกมอีกสักคนก็ครบทีม” พวกเราหัวเราะคิกคัก นานแล้วเหมือนกันที่ได้มานั่งเล่นชิวๆแบบนี้โดยไม่ต้องกังวลถึงงาน

ผมมองดูไปทั่วบริเวณ ช่วงเวลานี้ยังไม่ค่อยมีคนเข้ามาเยอะนักเลยสบายตา ต้นไม้มีเป็นจุดๆซึ่งไม่ได้ทำให้ดูโล่งเกินไปหรือรกเกินไป แต่เสียดายที่พนักงานหน้าบูดราวกับว่าบังคับให้มาทำไปนิดไม่งั้นจะดีกว่านี้ ผมแอบนินทาเรื่องพนักงานให้เขาฟัง เจ้าตัวก็ดูจะเห็นด้วย

ผ่านไปสักสามสิบนาที สองคู่รักก็เดินกลับมาและชวนกลับไปที่รถ กว่าจะมาถึงที่บ้านก็เหนื่อยเกินกว่าจะมาจัดกระเป๋าให้เข้าที

พ่อกับแม่เตรียมทำกับข้าวเอาไว้ให้ ผมอาสาจะไปช่วยแต่ก็โดนเด้งออกมาก่อน ครอบครัวผมถ้าไม่นับน้องที่เสียไปแล้วก็เหลือสามคนที่บ้านหลังนี้ ญาติคนอื่นๆอยู่ที่บ้านสวนอีกอำเภอ บ้านของผมอยู่ติดถนนเส้นเล็กๆเส้นหนึ่งใกล้กับวิทยาลัยอาชีวะ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกนอกจากเปิดประตูเข้ามาจะเป็นห้องนั่งเล่นแบบเปิดกว้างเห็นข้างบ้านที่มีกระถางกล้วยไม้ของพ่อ เดินเข้ามาอีกหน่อยก็เป็นครัวกับห้องน้ำ ขึ้นชั้นสองก็เป็นห้องนอนแยกกันสามห้องซึ่งห้องหนึ่งนั้นกลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว

ไม่ต้องบอกก็คงรู้นะว่าเป็นห้องของใคร

ผมเดินเข้าห้องของน้องชาย ในนั้นถึงจะมีกองกล่องลังอยู่มากมายแต่ก็ยังเห็นโครงสร้างหลักๆของเมื่อหกปี...ไม่สิเจ็ดปีก่อนตังหาก เตียงที่เคยอยู่ตรงนั้นก็ยังคงตั้งอยู่ มีถุงพลาสติกใส่หนังสือวางทับๆไว้ คีย์บอร์ดมีผ้าคลุม ตู้หนังสือเล็กๆที่เต็มไปด้วยนิตยสารดนตรีเก่าๆผมก็ไม่เคยเอาออกมาดู ไม่รู้ว่าผมคิดอะไรของผมกันแน่ถึงได้หยิบสุ่มๆออกมาแม้ว่าจะต้องสำลักฝุ่นหน่อยก็ตาม

อ่า...เล่มนี้เป็นนิตยสารแนะนำกีตาร์นี่นา แต่ผมไม่เคยเห็นเลยแฮะ

เปิดผ่านๆไปได้สามสี่หน้าก็เห็นกระดาษสีเหลืองที่ซีดจางไปตามกาลเวลาคั่นอยู่ ผมจำลายมือที่เขียนลงไปในนั้นได้ดีว่าเป็นของน้องชายของผม

‘—พี่น-นะครั-’

ผมอ่านออกไม่หมด เพราะความเก่าของกระดาษเลยทำให้รอยดินสอที่เขียนเอาไว้ด้วยหายตาม แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเขาตั้งใจจะเขียนอะไรสักอย่างถึงผมแน่

ผมสอดกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้เหมือนเดิม มองไปรอบๆแล้วหลับตานึกถึงวันก่อนที่ผมจะขึ้นเวที...วันสุดท้ายที่พฤกษ์ได้ใช้ชีวิตเต็มวัน

 

‘พี่ว่าพรุ่งนี้พี่จะสติแตก’

‘พี่ก็กังวลไปทั่ว พี่ผมเก่งที่สุดอยู่แล้ว’


 

ถ้าเก่งจริง...คงยังไม่ติดอยู่กับเรื่องของวันต่อมาแบบนี้หรอกนะพฤกษ์...

ผมเดินออกจากห้อง อาหารเสร็จพอดี พ่อแม่ถามไถ่ถึงเรื่องต่างๆตามประสาคนที่นานๆทีได้กลับบ้าน ผมก็ตอบไปตามปกติแต่พยายามเลี่ยงถึงเรื่องของพี่วิกที่มีปัญหาด้วยอยู่ อดทนเข้าไว้ไอ้นที อีกแค่ไม่กี่เดือนเขาก็เลิกคุกคามทั้งผมและมีนาแล้ว มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีสิ

“จะว่าไปแล้วเรียนจบจะกับมาอยู่นี่หรือว่าทำงานที่นู่นล่ะ?”

“ผมว่าจะหาสมัครที่นู่นเอาครับ แต่เรื่องที่พักอะไรอาจจะเช่าห้องอยู่ เอาไว้เก็บเงินได้สักระยะแล้วจะกลับมาเปิดสตูดิโอ” ผมบอกแผนในอนาคตกับพ่อ เขาพยักหน้า พ่อเป็นสถาปนิกที่มีบริษัทเป็นของตัวเอง ส่วนแม่ก็เปิดร้านเสริมสวยเล็กๆใกล้กับตลาด “ผมก็อยากจะเปิดสตูดิโออยู่ที่นู่นเหมือนกันถ้าผมมีเงินมากพอ แต่ที่ดินในกรุงเทพมันแพงจะตายไม่รู้ว่าต้องทำงานกี่ชาติถึงจะซื้อได้”

“ถ้าแม่จำไม่ผิด ลูกสาวของป้าณีน่าจะมีตึกแถวปล่อยขายอยู่ ถ้ายังไม่ออกแม่จะลองถามให้แล้วกันนะ” แม่ยิ้มใจดี “พ่อกับแม่ไม่ขัดลูกหรอกว่าอยากจะอยู่ไหน แต่ถ้าอยู่ที่นั่นก็กลับมาเยี่ยมด้วยไม่ใช่ปล่อยให้พ่อเหงาแบบนี้”

“อ้าว ก็ลูกชายไปเรียนที่อื่น บ้านที่เคยได้ยินเสียงกีตาร์ดังทั้งคืนมันก็เงียบแปลกๆ ไม่ชินนี่นา”

“...นที แม่รู้ว่ามันไม่ควรจะเอามาพูด แต่พรุ่งนี้ว่างลูกไปเยี่ยมน้องหน่อยมั้ย?”

ผมรู้ว่าแม่พูดถึงอะไร

“ก็ดีครับ น้องเองก็คงจะเหงาน่าดู” ผมตอบกลับ พยายามยกยิ้มให้ดูเป็นธรรมชาติ แต่พ่อแม่ผมคงเห็นแล้วล่ะว่าผมฝืนมันมากแค่ไหนทว่าไม่พูดถึงกันเท่านั้น

“...”

“...”

“กินข้าวกันต่อเถอะนะ”

“ครับ”

แล้วบรรยากาศกระอักกระอวนก็เป็นไปตลอดกาลร่วมโต๊ะอาหารครั้งนี้

 

เช้าวันต่อมาผมไปที่ตลาดเพื่อซื้อดอกไม้มาจัดเอง คุณลุงร้านขายดอกไม้จำผมได้แม้ว่าจะไม่ได้เห็นหน้านาน เขาทักทายตามประสาคนรู้จัก ถามไถ่ถึงการเรียนมหาลัยที่ในปีนี้ลูกสาวของเขาจะต้องสอบต่อ

“ยิ่งโตยิ่งหล่อนะไอ้หนุ่ม ลูกสาวร้านข้าวสารตรงนั้นมองไม่วางตาเลยนั่น” ผมหันไปตาม เธอสะดุ้งก่อนที่จะยกยิ้มขึ้นเป็นการทักทาย ผมไม่รู้จักเธอมาก่อนแต่ก็ยกยิ้มพร้อมกับโบกมือให้เล็กๆตอบ จากนั้นเธอก็หน้าแดงแปร๊ด ทำเป็นสนใจจัดกระสอบข้าวเล็กๆแทน “ไปทำลูกเขาเขินอีกเอ้า”

“ผมไม่รู้จักครับ นั่นใคร?”

“ชื่อกิ่ง เรียนปวส.และมีผัวแล้ว”

“ครับ?”

“อย่าไปริคิดจะจีบเจ้ากิ่งมัน ผัวมันขี้หึง”

“โธ่ แค่ผมเรียนยังจะตายแล้วเลยครับ จะเอาเวลาไหนไปจีบคนนู้นคนนี้กัน” ผมหัวเราะแห้ง “เดี๋ยวถึงเวลาเจอคนที่ใช่มันก็จะมาเองนั่นแหละ”

“แต่คนที่ใช่ก็อาจจะเป็นคนใกล้ตัวกว่าที่คิดนี่? ระวังเอาไว้เถอะไอ้หนุ่ม สายเกินไปจะเสียใจ”

“เอ่อ...” ผมไม่เข้าใจที่เขาพูด หมายความว่ายังไงกัน? “ผมขอตัวนะครับ เดี๋ยวแดดมันจะแรงผมจะเป็นลมก่อน”

“เออๆ ฝากไหว้เจ้าหนูด้วยล่ะ ยังเหมือนเมื่อวานอยู่เลยนะที่มาวิ่งเล่นดูดอกไม้น่ะ”

ผมเดินจากมา พร้อมกับนึกถึงคำของคุณลุงร้านขายดอกไม้ เขาเห็นผมกับพฤกษ์มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่แปลกที่จะว่ามาอย่างนั้น สมัยเด็กๆพฤกษ์ชอบมาดูดอกไม้ร้านนี้ บอกว่าโตไปถ้าไม่เล่นดนตรีกับผมก็จะเปิดร้านขายดอกไม้ ทุกคนในตลาดเอ็นดูเขา พอรู้ว่าเขาเสียไปแล้วก็เสียใจกันแต่ก็ไม่มีใครเลยที่จะเสียใจนานเท่าผม มันเป็นแค่ตัวตนบุคคลหนึ่งหายไปจากความทรงจำเท่านั้น

ผมปั่นจักรยานมาเพราะรถทิ้งเอาไว้ที่ใต้หอที่กรุงเทพ ปั่นมาที่วัดที่ติดริมแม่น้ำ ตรงไปที่ธาตุเล็กๆของน้องชายของผมแล้ววางดอกไม้ลง ไม่มีรูปของเขาติดตรงหินอ่อน ตัวอักษรสีขาวที่อยู่บนพื้นที่สีดำนั้นเขียนเอาไว้ไม่กี่บรรทัด

เด็กชายพฤกษา ไมตรีจิต

ชาตะ 25 ธันวาคม 254x

มรณะ 6 มิถุนายน 255x


ผมลูบหินอ่อนที่สลักชื่อนั้นอย่างเบามือ “ขอโทษนะที่ไม่ได้มาเยี่ยมเลย

“พี่ไปเรียนต่อที่กรุงเทพ แน่นอนว่ามันวุ่นวายมากเลยนะตอนที่พี่ไปอยู่ใหม่ๆ พี่จำถนนไม่ค่อยได้ด้วยว่าทางไหนเป็นทางไหน แถมยังเกือบเป็นโฮมซิกอีก คิดถึงบ้านแทบตาย แต่สุดท้ายพี่ก็ยังมีชีวิตรอดอยู่นะ

“เรียนมหาลัยมันต่างจากการเรียนมัธยมมากเลยล่ะ เราสามารถเข้าออกตอนไหนก็ได้ ขอแค่เข้าเรียนให้ครบ มีงานส่งอาจารย์ก็รอดแล้ว แต่ว่าจะได้มากกว่าบีขึ้นไปมั้ยนั่นก็อีกเรื่อง อาจารย์ในมหาลัยก็ไม่ตามงานจู้จี้เหมือนครูประถม ส่งก็ส่ง ไม่ส่งก็ไม่มีคะแนนเก็บ อย่าเพิ่งถามพี่นะว่าพี่ได้ส่งงานรึเปล่า พี่ส่งครบทุกงาน รับรองได้ว่าถ้าพี่ยังรักษาระดับนี้ไว้ได้ พี่อาจจะมีสิทธิ์ได้เกียรติ์นิยม”

ผมนั่งลงข้างๆธาตุ ข้างหน้าผมเป็นแม่น้ำสายหลักของเมือง ไม่มีคนเดินผ่านผมจึงไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเขาจะเห็นผมเป็นคนบ้านั่งพูดคนเดียวแบบนี้

“พี่ได้เจอรุ่นพี่ที่น่าเคารพมากๆเลยนะ ชื่อพี่สองกับพี่ดังโงะ เก่งดนตรีมาก แต่พี่ก็เจอคนที่พี่ไม่ค่อยถูกด้วยเหมือนกันชื่อพี่วิก รู้รึเปล่าว่าพี่วิกน่ะแฟนเก่าน้องชายเพื่อนสนิทพี่ที่ชื่อกุมภ์ พอเห็นว่าพี่อยู่กับเขาบ่อยๆก็หึงแล้วมาหาเรื่องพี่ ไร้สาระเนอะ แต่มีนาก็โต้กลับไปได้ทุกครั้งเลย เก่งเกินตัวจริงๆ

“ถ้าพฤกษ์ยังอยู่อาจจะเป็นเพื่อนที่ดีกับมีนาไปแล้ว มีนาเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดี มีความเป็นผู้ใหญ่แต่บางครั้งก็แสดงมุมเด็กตัวเล็กๆออกมา ไม่นานมานี้ก็เก็บหนูแฮมสเตอร์มาเลี้ยงด้วย พี่เองก็เก็บหอยทากมาเลี้ยงนะ ชื่อว่าสเนล พี่เอามันกลับมาที่นี่ด้วยเพราะไม่มีคนดู มันเป็นหอยทากที่กินเก่งมาก แถมน่าจะฟังพี่รู้เรื่องด้วยถึงจะไม่มีหูก็เถอะ--”

ผมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พฤกษ์ฟัง สายลมพัดมาบ้างเป็นระยะ สายตาของผมเหม่อมองไปที่แม่น้ำ ปลากระโดดขึ้นมางับขนมปังที่คนโยนลงไปให้ รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะสิบโมงเข้าให้แล้ว ผมเปิดกระเป๋าหยิบขนมในกล่องพลาสติกออกมา มันคือลูกชุบอบควันเทียนที่เขาชอบ สมัยเด็กๆแม่มักจะทำให้พวกเรากินเสมอ แม้ว่าตอนนี้แม่จะไม่ได้ทำแล้วผมก็ขอสูตรแม่มาลองทำเองบ้าง เสียดายที่น้องอยู่ไม่ทันได้ลองฝีมือผมจริงๆจังๆ

“พี่เอาลูกชุบมาให้นะ ทำเองกับมือด้วย ถ้าไม่อร่อยก็ทิ้งไป พี่กลัวเราจะท้องเสีย” ผมหัวเราะเบาๆ รู้ทั้งรู้ว่ายังไงน้องก็กินไม่ได้ “พี่ไปก่อนนะ พรุ่งนี้จะมาใหม่”

ผมเดินออกมา ลมพัดผ่านมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมเสียงกระซิบเบาๆที่ทำเอาผมต้องรีบหันหลังกลับไปมอง

‘ขอบคุณนะครับพี่...’

 

ไม่รู้ว่ากุมภ์คิดอะไรถึงได้ลากผมออกมานั่งกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารข้างทางแห่งหนึ่งช่วงค่ำๆ หน้าตาบูดบึ้งราวกับว่าไปทะเลาะกับใครมา

อ่า...คงจะมีเรื่องกับพี่เดือนนั่นแหละ จิ้มลูกชิ้นเข้าปากเอาๆอย่างนั้น

“พี่เดือนไม่ฟังกูเลย กูบอกว่าอย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนน้องตัวเองที่กำลังอ่านหนังสือ พอตัวเองโดนหงุดหงิดใส่มาก็มางอแงให้ว่าน้องไม่รัก แล้วกูก็บอกไปว่าเป็นความผิดของเขาเองจนพี่เดือนคิดว่ากูก็ไม่รักเขาไปอีกคน” คนตรงหน้าดื่มน้ำเปล่าตาม “มึงเคยมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้มึงถูกเข้าใจผิดมั้ยวะว่าไม่รักใครอย่างนี้?”

“...มีนะ แต่มันเกี่ยวกับน้องที่เสียไปแล้ว...”

“...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงก็ได้” กุมภ์ส่ายหน้า “มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับมึง อย่าพูดถ้ามันทำให้มึงนึกถึงวันแย่ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก กูโอเคแล้วล่ะ” ผมยิ้ม กุมภ์ไม่ยิ้มตาม “วันนั้นกูอยู่ม.2 น้องกูงอแงอยากกินขนม แต่กูไม่ว่างไปซื้อเป็นเพื่อน

“กูบอกว่าขอทำงานให้เสร็จก่อน เขาก็ร้องงอแงอยู่นั่นแหละว่าค่อยมาทำก็ได้ พอร้องมากๆเข้ากูก็หงุดหงิดจนตอกกลับไปว่าจะไปไหนก็ไป เขาร้องไห้ใหญ่ ไปฟ้องแม่ว่ากูไม่รักแล้ว ตลกดีเนอะว่ามั้ย?”

“มึงแค่หลุด แต่มึงไม่ได้ไม่รักน้อง”

“เขาเป็นคนที่กูรักที่สุดแล้วในชีวิตนี้” ผมมองจานข้าวผัดปลาหมึกตรงหน้า “กูไม่รู้ว่าจะมีใครที่สามารถทำให้กูรักได้มากเท่าเขารึเปล่า หรือว่าถ้ากูรักแล้วน้องจะเสียใจมั้ยที่มีคนมาแทนที่ เพราะตอนจากไปพวกเราไม่เคยพูดถึงเรื่องของการมีคนรักกันมาก่อน

“แต่ถ้าให้พูด...กูให้ความสำคัญเท่ากัน คนหนึ่งรักเพราะเป็นน้อง อีกคนก็รักเพราะเป็นคนรัก ถ้าเกิดว่ากูไม่สามารถรักษาสมดุลนี้เอาไว้ได้เขาจะต้องโกธรกูมากแน่”

“นที คนที่ไม่อยู่แล้วไม่สามารถพูดได้หรอกนะ กูก็พูดอะไรมากไม่ได้นอกจากจะปลอบใจมึง แต่ช่วยฟังกูสักแป๊บก่อนได้มั้ย?” ผมพยักหน้า กุมภ์เลื่อนมือมาจับมือของผมเอาไว้ “น้องมึงไม่โกธรหรอก เขาอยากให้มึงมีความสุข มึงเองก็อยากให้เขามีความสุข ฉะนั้นมึงควรจะปล่อยมือน้อง ควรจะปล่อยให้เขาค่อยๆเดินจากไป ควรจะไม่รั้งเขาเอาไว้เพื่อทรมานทั้งตัวเขาและตัวมึง”

“แต่ว่า...”

“กูไม่ได้หมายถึงให้มึงลืมน้องตัวเอง กูหมายถึงให้เลิกยึดติดกับเขาได้แล้ว ความทรงจำที่มีอยู่กับมึงตลอดสิบห้าปีนั้นก็เก็บเอาไว้ ให้มันเป็นความทรงจำที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมึง ให้มันอยู่ในหัวใจ อยู่ในสมองของมึงไปจนกว่าจะตาย แต่ขอให้มึงเลิกอยู่กับอดีต เลิกเดินวนเวียนอยู่ในอดีตอย่างนี้” กุมภ์ยิ้มบาง เขายังคงเป็นกุมภ์คนเดิมที่คอยปลอบใจผมเวลาที่ผมท้อ ยังคงเป็นเพื่อนสนิทของผมที่อยู่ข้างๆกันตลอดมา คอยพูดประโยคต่างๆที่ทำให้ผมคิดอะไรได้อยู่เสมอ

เพราะอย่างนี้แหละ...ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามีกุมภ์เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่ชาย เป็นทั้งครอบครัวอีกคนที่วางใจได้

“ขอบคุณนะ กูไม่น่าพาเข้าเรื่องนี้เลย”

“กูรู้ว่ามึงยังคงไม่สามารถเดินออกมาได้เร็วๆนี้ แต่กูอยากให้มึงมีความสุขจริงๆเสียที พวกเราเองก็ไม่ใช่เด็กม.4 ที่ยังไม่ค่อยรู้จักโลกแล้วนะ” เขาเลื่อนมือกลับ มองดูมือซ้ายของตัวเองที่มีเพียงสี่นิ้ว “กูเองก็ได้บทเรียนอะไรมาเยอะ ส่วนมึงเองก็ได้เรียนรู้อะไรมาเยอะ มันยังอีกยาวไกลที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับความจริงเหล่านั้น แต่มันก็สั้นเหลือเกินที่เรามีเวลาอันน้อยนิดในการทำความเข้าใจกับความจริง”

“นั่นสิ”

ผมกับกุมภ์กินข้าวต่อ ผมไปส่งกุมภ์ที่บ้าน เห็นมีนากำลังยืนมองอะไรสักอย่างอยู่บนฟ้าใกล้ๆกับราวกระถางกล้วยไม้ ท่าทางไม่รู้ตัวว่าผมมาส่งพี่ชายตัวเอง

กุมภ์เดินเข้าไปทัก มีนาหันกลับมาแล้วค้อมหัวให้นิดๆเพื่อเป็นการทักทายแล้วกลับเข้าบ้าน ระหว่างทางที่ผมปั่นจักรยานกลับนั้นก็คิดว่ามีนากำลังมองอะไร จนเมื่อถึงหน้าบ้านตัวเองที่ไม่ค่อยมีรถผ่านช่วงกลางคืนนั้นก็พบว่าท้องฟ้าในนี้เปิดโล่งกว่าที่เคย ถึงจะไม่เห็นดาวแต่ผมสัมผัสได้ว่าท้องฟ้านั้นมันกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน

พฤกษ์...บนอวกาศมันเป็นยังไงเหรอ?

ผมยกมือขึ้น ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่ในกำมือของผม สมัยเด็กๆแม่มักจะร้องเพลงกล่อมเด็กให้ผมฟัง และเมื่อผมโตขึ้นอีกหน่อยก็เลียนแบบแม่ตัวเองแล้วร้องเพลงกล่อมเด็กให้น้องฟังบ้าง

ถ้าน้องอยากได้ดวงจันทร์...พี่ก็จะไปดึงมาให้

ก่อนหน้าที่พฤกษ์จะตายเขาอยากได้อะไรรึเปล่านะ?

 

ผมนั่งอยู่ใต้ต้นเลมอน กลิ่นของมันฟุ้งมาก มากจนผมรู้สึกฉุนแทนที่จะหอม

พฤกษ์นั่งอยู่ข้างๆ เขากำลังเปิดหน้าหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเคยเห็นในชั้น จ้องมองมันด้วยสายตาเป็นประกาย ก่อนที่จะหันมาทางผมแล้วยื่นให้ดู

ผมยิ้มรับ เปิดหน้าหนังสือนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรปักเข้าที่อกของผม

เมื่อผมละสายตาออกจากหนังสือเล่มนั้น มีดเล่มหนึ่งเสียบทะลุที่หัวใจ หน้าของพฤกษ์ว่างเปล่า เขาไม่ยิ้มทว่ามีน้ำตาไหลลงมา บิดใบมีดนั้นสร้างแผลเหวอะกว่าเก่า

‘ผมสร้างความเจ็บปวดมาให้พี่นานมากเท่าไหร่แล้วกัน’

‘...’

‘ให้เขาคนนั้น...ให้เขาคนนั้นช่วยปลดปล่อยพี่เถอะนะครับ’

เขาคนนั้นคือใครกันนะ? อ่า...ผมเจ็บจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว

‘คนที่พี่ชอบ คนที่พี่แอบชอบมาโดยตลอด’
[/b]


----------

กลับมาแล้วนะคะ รู้สึกดีขึ้นเยอะ นึกว่าจะต้องลากยาวไปถึงกลางเดือนซะอีก

คำใบ้คือพี่พระพายในนี้จะเป็นอีกคนที่จะได้ไฟสปอร์ทไลท์เป็นของตัวเองด้วย แต่เนื้อเรื่องจะออกมายังไงนั้นก็รอดูในอนาคตค่ะ เพราะยังไม่ได้เขียนเลย กำลังรอร่างเนื้อเรื่อง+ทรีตเม้นท์อยู่ รู้อย่างเดียวคือพี่เขาออกมาแน่ๆค่ะ ฮ่าาา

ตอนนี้ก็เข้าเดือน 11 กันแล้วนะคะ ที่ที่เราอยู่มีลม(บวกฝน...)แล้ว รักษาสุขภาพกันด้วยค่ะ พรุ่งนี้จะมาต่ออีก 50% ที่เหลือนะคะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
ผมปวดหัว...ความฝันเมื่อวานมันเหมือนจริงเกินไป

พอกินอะไรไม่ค่อยลง แม่ก็ทำท่าจะพาผมไปหาหมออย่างเดียว ผมตอบปฏิเสธไปว่าเพราะเมื่อวานผมไปตากแดดเยอะเกินไปหน่อยเท่านั้น แม่ก็รู้ว่าผมมันดื้อมากแค่ไหนจึงไม่ทำอะไรต่อ ผมอาศัยจังหวะที่พ่อออกไปทำงานและแม่ไปที่ร้านเสริมสวยเปิดประตูเข้าไปดูหนังสือในห้องของพฤกษ์ ถ้ายังอยู่นะผมเชื่อว่าพวกท่านไม่ให้ผมเข้าไปแน่

ผมค่อยๆไล่นิ้วไปที่ชั้นหนังสือ มีสันเล่มหนึ่งที่ผมค่อนข้างจะคุ้นเคยตาจึงดึงออกมาดู มันไม่ใช่นิตยสารดนตรีเป็นสมุดบันทึกของพฤกษ์ที่เอาไว้ใช้เตือนความจำตัวเอง

ในความฝัน...อาจจะเป็นเล่มนี้ก็ได้

ผมเปิดอ่านทีละหน้า ข้างในไม่ค่อยมีอะไรนัก ส่วนใหญ่เป็นการเขียนบอกว่าวันนี้มีงานอะไรที่ต้องส่งบ้างเท่านั้น แต่หน้าหลังๆมาเริ่มมีรูปวาดเล็กๆที่ทำให้ผมต้องอ่านละเอียดมากกว่า

 

วันที่ 25 สิงหาคม 255x

ใกล้วันเกิดพี่แล้วซื้ออะไรดี?


 

ของขวัญ? บันทึกหน้านี้เป็นบันทึกเล่มก่อนที่เขาจะเสียได้หนึ่งปี แต่ถ้าจำไม่ผิดวันเกิดปีนั้นพฤกษ์ไม่มีของขวัญมาให้ผมนี่นา

ผมเปิดอ่านต่อ เนื้อหาก็คล้ายๆเดิม ราวกับว่าเขากำลังตั้งคำถามเกี่ยวกับของขวัญที่ผมอยากได้ แต่ทว่าเจ้าตัวไม่กล้ามาถามผมว่าอยากได้อะไร ก็แหงสิ จะให้ของขวัญวันเกิดทีมาถามว่าจะเอาอะไรมันก็ไม่น่าเซอร์ไพรสสักนิด

เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ของขวัญวันเกิดในปีนั้น

 

วันที่ 31 ธันวาคม 255x

ปีใหม่ที่สิบสี่สำหรับการอยู่ด้วยกันมาตลอด ผมอยากให้พวกเราอยู่ด้วยกันไปอีกนานๆเลยนะครับ


 

มาถึงหน้านี้ รูปใบหนึ่งก็ร่วงลงมาตรงพื้น มันเป็นรูปครอบครัวที่เหลืองแล้วแต่ใบหน้าของทุกคนชัดเจนมาก พ่อกับแม่ไม่แก่เท่าในปัจจุบัน ผมที่กำลังยืนยิ้มกว้างกอดน้องจากข้างหลัง พฤกษ์ที่กำลังหัวเราะและเล่นสนุกไปด้วยกันกับผม

ผมเสียใจที่มันไม่มีวันปีใหม่ที่สิบห้าสำหรับเด็กคนนี้อีกต่อไป

ความรู้สึกเวลาที่โดนของหนักหล่นใส่มันจะเป็นอย่างไรนะ? มันจะเจ็บปวดก่อนที่สติจะหายไปหรือว่าทุกอย่างมันดับวูบไปเลยกัน? ผมไม่อาจตอบได้ มีเพียงแค่หัวใจของผมเท่านั้นที่เจ็บ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง แต่ผมก็ทำอะไรได้กับเหตุการณ์ที่ผ่านมาและเข้าสู่ปีที่เจ็ด เจ็ดปีที่ไม่ได้ยินเสียงของพฤกษ์ พ่อแม่ของผมเข้มแข็งพอที่จะทิ้งอดีตเอาไว้และเก็บความทรงจำดีๆ ส่วนผมยังไม่กล้าที่จะเดินออกมา...

หรือมันเป็นแค่ข้ออ้างของผมที่จะกักขังตัวเองไม่ให้เปิดใจรับคนสำคัญเข้ามาอีก?

ผมเปิดหน้าต่อไป แต่มันไม่มีอะไรเขียน ผมคิดว่าบันทึกของปีนี้น่าจะหมดแล้ว พอไล่หาเล่มต่อไปก็ไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยว่าบันทึกสุดท้ายที่เขาเขียนจะอยู่ในชั้นนี้

“หรือว่าจะอยู่ใต้เตียงกันนะ?”

ผมก้มลงหาตามใต้เตียง ในกล่องเอกสาร ก็ไม่มีร่องรอยของสมุดบันทึกที่ว่า

“สงสัยจะไม่ได้เขียนต่อ” ผมสรุปอย่างนั้น ในเมื่อไม่มีผมก็ไม่รู้ว่าจะไปหามาจากไหนเหมือนกัน จึงปล่อยมันไปแล้วเดินลงมาที่ชั้นล่างเพื่อหาอะไรกินรองท้อง

ในตู้เย็นมีกล่องผลไม้ ผมมองสลับกับแป้งเค้กที่อยู่ในตู้เก็บของ บางทีผมอาจจะออกไปซื้อผงฟูมาทำขนมแก้เบื่อ

เอาล่ะ ออกไปซื้อดีกว่า

 

กลับจากภารกิจซื้อของ ฝ่าแดดมาได้ก็นั่งพักก่อนที่จะลงมือทำ เค้กบนโต๊ะเป็นชอร์ตเค้กเล็กๆหลายอัน สีสันไม่เหมือนกัน บางชิ้นก็มีสตรอเบอร์รี่ บางชิ้นเป็นเนื้อส้มวาเลนเซีย ส่วนบางชิ้นก็เป็นช็อกโกแลตขมคลาสสิก โรยผงไอซิ่งอีกนิดหน่อยก็สมบูรณ์ ผมว่าผมควรจะไปเปิดร้านเบเกอรี่มากกว่าเป็นนักดนตรี

“ทำอะไรน่ากินจัง” แม่กลับมาพร้อมกับทักทายเสียงดัง กลิ่นแป้งขนมมันส่งกลิ่นไปถึงหน้าบ้านเลยเหรอ? ผมดูเวลาอีกทีก็เห็นว่านี่มันก็เป็นห้าโมงเย็นแล้ว

ใช้เวลานานกว่าที่คิดแฮะ

“ผมทำเค้กครับ แม่ลองชิมหน่อยว่าอร่อยมั้ย?”

“ลูกทำอะไรก็อร่อยไปหมดนั่นแหละ ไหน ชิมส้มหน่อยนะ” ผมตักเนื้อเค้กส้มป้อนแม่ ท่านยิ้ม แล้วตบบ่าผมเบาๆ “อร่อยดีนะ แต่แม่ว่าแป้งมันแฉะไปนิด เราใส่นมลงไปในแป้งเยอะหน่อยน่ะ”

“ผมชอบแบบนี้นี่นา...” ผมหัวเราะ

“และน้องก็ชอบแบบนี้ด้วย”

“...”

“ลูกคิดถึงเขาใช่มั้ยถึงทำเค้กขึ้นมา? แม่เองก็คิดถึงเหมือนกันนะ ยังจำวันที่นทีทำเค้กครั้งแรกได้อยู่เลย วันนั้นนทีทำนมหกลงไปเยอะมาก แต่ก็ดื้อจะทำต่อจนออกมาเละ ถึงอย่างนั้นทั้งนทีทั้งพฤกษ์ก็นั่งกินด้วยกัน ยิ้มด้วยกัน...พอมานึกถึงเรื่องดีๆที่เคยเกิดขึ้นแล้วมันรู้สึกอบอุ่นใจเนอะ

“เพราะนทีเอาแต่นึกถึงวันที่เสียน้องไป นทีเลยไม่มีความสุขเสียที แม่อยากให้ลูกสามารถยิ้มออกมาจากใจจริงได้นะ”

“แม่พูดเหมือนเพื่อนผมเลย” ผมมองไปที่เค้กบนโต๊ะ “เขาบอกว่า...ให้ผมเดินออกจากจุดนั้น แต่ไม่ใช่ให้ลืมทุกอย่างที่เคยมีร่วมกับเขา”

“เพื่อนลูกพูดถูกแล้วล่ะนะ ไม่มีใครบังคับให้ลูกลืมน้องเลย พวกเราแค่อยากให้นทีเลือกที่จะเก็บแต่ความทรงจำดีๆเอาไว้ในหัวใจ อยากให้เก็บมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้” แม่เดินเข้ามากอดผม ถึงแม้ว่าผมจะสูงกว่าแม่แต่เมื่อใดอยู่ในอ้อมกอดของผู้ให้กำเนิดคนนี้ผมกลับรู้สึกตัวเล็กยิ่งกว่าเด็กม.ต้นเสียอีก

“ลูกอยากร้องไห้...ก็ร้องออกมาเถอะนะ”

และน้ำตาของผมก็ไหลลงโดยที่ผมไม่สามารถควบคุมมันได้

 

ผ่านมาสองสัปดาห์ ผมไปเยี่ยมน้องที่ธาตุทุกวัน มีขนมติดไปด้วยทุกครั้งแล้วทิ้งของเก่าที่มีมดขึ้น นั่งอยู่ข้างๆธาตุแล้วชวนคนที่จากไปแล้วคุย ไม่มีการตอบ ไม่มีการขาน แต่ผมสบายใจและพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนี้มาก

“พฤกษ์ว่าในชีวิตนี้พี่จะเจอคนที่ทำให้พี่มีความสุขไปตลอดมั้ย?”

ไม่มีการตอบรับ ผมยิ้มบางๆ “แต่พี่มานอนๆคิด...คนรอบข้างพี่หลายคนเลยนะที่ทำให้พี่มีความสุขได้ กุมภ์...ดิน...อุ้ม พ่อแม่ พี่สองกับพี่ดังโงะ รุ่นน้องในคณะ เด็กปีหนึ่งที่เป็นเดือนดุริยางค์ชื่อออมสิน เด็กที่อยู่ห้องชั้นบนจากพี่ชื่อเต๋า แล้วก็...มีนา”

แต่ทว่า...ทำไมผมถึงรู้สึกกับมีนาพิเศษกว่าใครกันนะ?

“มีนาเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก หน้าตาน่ารัก เป็นที่รักของทุกคนเรื่องนี้พฤกษ์ก็น่าจะรู้ดี แต่มีนาเอาใจใส่พี่มาก เขาดูแลพี่ คอยปกป้องพี่จนพี่อายเลยล่ะว่าทำไมพี่ถึงได้อ่อนแอขนาดนี้

“พี่อยากให้สองมือของตัวเอง...ตัวของพี่เองสามารถปกป้องคนที่สำคัญกับพี่ได้ พี่ไม่อยากเป็นนทีที่ต้องคอยให้คนอื่นปกป้อง น่าแปลกที่พอพี่คิดจะเปลี่ยนตัวเอง พี่กลับท้อไปเสียก่อน ไอ้ความคิดที่ว่า ‘ยังไงก็ทำไม่ได้หรอก’ มันโผล่เข้ามาในสมองทุกครั้ง พฤกษ์ว่ามันเป็นเพราะอะไรเหรอ? แค่ความคิดของตัวเองยังอ่อนแอเลย

“พี่กลัว กลัวว่าเป็นเพราะตัวพี่เองที่จะทำให้คนอื่นต้องสูญเสีย” ผมชันเข่ากอดตัวเอง “พี่กลัวการที่เป็นสาเหตุต้องให้คนอื่นเดือดร้อน พี่ถึงยังไม่กล้าที่จะลงมือเปลี่ยนแปลงอะไรหรือขยับตัวทำอะไรเลยตั้งแต่วันที่...พฤกษ์ไม่อยู่แล้ว”

ผมเสียงสั่น แต่ก็ควบคุมตัวเองเอาไว้และเปลี่ยนเรื่อง “พี่ว่าวันนี้พี่กลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะแดดแรงจนเป็นไข้หวัดแดดอีก”

ตุบ

“อะ...ขอโทษครับ”

“พี่นที”

เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นมา คนตัวเล็กตรงหน้ามองผมสลับกับธาตุของน้องที่อยู่ข้างๆ “มีนา...ทำไม...”

“ผมมาให้อาหารปลา แล้วเห็นว่าพี่นั่งอยู่ตรงนี้กับ...น้องชายของพี่” มีนานั่งยองลงกับพื้น “สวัสดีนะ เราชื่อมีนา เป็นน้องชายเพื่อนสนิทของพี่นทีเขา อายุเราน่าจะเท่ากันใช่มั้ย?”

“...”

“พี่ของพฤกษ์น่ะ เป็นคนที่วิเศษมากเลยนะ ทั้งอ่อนโยน ใจดี และเป็นพี่ชายที่น่ารัก ถึงแม้ว่าจะไม่เข้มแข็งเท่าคนอื่น แต่เพราะความอ่อนโยนของเขานี่แหละที่ทำให้พี่นทีเป็นที่รักของคนอื่น

“พี่นทีของพฤกษ์เป็นคนที่ห่วงใยทุกคน ใครเป็นอะไรมักจะวิ่งเข้าหาเป็นคนแรก เป็นคนที่สามารถสร้างบรรยากาศแปลกๆได้ นึกออกรึเปล่าเวลาที่เขายิ้มน่ะ จะมีดอกไม้ออกมารอบๆเหมือนในการ์ตูน บางทีก็เป็นเลมอนล่ะ”

“หมายความว่ายังไงกันตรงเลมอน?” ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่ามีนาจะคุยกับธาตุของน้องผมด้วย

“กลิ่นน่ะสิครับ พี่นทีมีกลิ่นเลมอนติดอยู่ด้วยเสมอ อาจจะมาจากกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศ อาจจะมาจากกลิ่นสังเคราะห์ที่ใส่ในขนม หรือแม้แต่กลิ่นที่มาจากความทรงจำที่ยังลอยอยู่รอบๆตัวพี่”

“...”

“เลมอน...จะว่ามันเปรี้ยวก็เปรี้ยว จะว่ามันขมก็ขม รสชาติที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้มันอยู่ในลูกเดียวกัน เหมือนตัวของพี่นทีที่มีอะไรหลายอย่างขัดแย้งแต่กลับอยู่ในตัวของพี่ได้” มีนาหันมาทางผม “รสชาติเปรี้ยวที่สดใหม่ของชีวิต พี่เจออะไรใหม่ๆทุกวัน พี่เจอกับเรื่องที่ไม่คาดฝันตลอดเวลา บางครั้งก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นอะไรแต่ก็เลือกที่จะทำแบบเดิมเพื่อให้ได้เจอผลลัพธ์แบบเดิมและหวังว่าในผลลัพธ์แบบเดิมนั้นจะมีอะไรที่แปลกใหม่ออกไปเหมือนความเปรี้ยวที่พี่รู้ดีอยู่แล้วว่ามันเปรี้ยวแต่พี่ก็เลือกที่จะกินเพราะหวังว่ามันจะทำให้พี่ได้สัมผัสกับความเปรี้ยวครั้งใหม่

ส่วนรสขมเป็นรสชาติของสิ่งที่พี่เก็บเอาไว้ในใจ เป็นความขมขื่นของชีวิต เป็นสิ่งที่พี่ไม่อยากนึกถึง แต่สิ่งเหล่านั้นมันได้สอนให้พี่เติบโตขึ้น รสชาติขมน่ะมันเป็นรสชาติของผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ?”

มีนาเอียงคอ เขายิ้มบาง แล้วเหลือบตาไปที่ธาตุของน้องชายผม

“ใช่มั้ยพฤกษ์? พี่นทีน่ะมีกลิ่นเลมอนติดตัวตลอดเวลาเลยเนอะ”

ผมส่ายหน้า หลุดหัวเราะนิดหน่อย “มีนาไม่คิดว่าพี่บ้าเลยเหรอที่คุยกับธาตุของคนตายแบบนั้น”

“ถึงร่างของเขาจะตายแต่ตัวตนของเขาไม่ได้ตายไปจากจิตใจของพี่นี่ครับ?”

“...”

“เขาเป็นคนสำคัญของพี่ ดังนั้นแล้วผมจึงต้องทำความรู้จักเอาไว้ด้วย เพราะผมอยากรู้ว่าบุคคลที่ทำให้พี่นทีเป็นพี่นทีอย่างนี้น่ะ เขาเป็นอย่างไร”

“แต่...”

“ฟังจากที่พี่พูดกับเขาแล้วผมว่าเขาเป็นคนที่น่ารักนะ ทำให้ผมนึกถึงผมกับพี่กุมภ์ แต่น่าเสียดายที่ตัวผมมันรู้มากไปหน่อยเลยทำให้พี่กุมภ์เขาไม่เข้าใจบ้าง ถ้าเป็นพฤกษ์ก็คงจะรักพี่มากเหมือนกันถึงตัวติดด้วยกันอย่างนั้นตลอด”

ฟังแค่นั้นกลับเดาถูกเกือบหมดเลยเหรอ? มีนานี่น่ากลัวจริงๆ

“พี่ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมรู้ได้ยังไง ผมคงเขียนนิยายสืบสวนเยอะเกินไปหน่อย การที่จะเขียนนิยายแนวนี้ได้ดีก็ต้องศึกษาอะไรหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือหลักจิตวิทยา ผมศึกษาการอ่านสีหน้าท่าทาง การอ่านความหมายของสิ่งที่ผู้อื่นจะสื่อ แต่ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอกนะ มันแค่เบื้องต้นเอง อีกอย่างคือผมใช้ความรู้สึกปนไปด้วย”

“ความรู้สึก?” ผมถาม “ความรู้สึกที่ว่านี่คือ...”

“ถ้าผมเป็นพี่นทีแล้วพูดแบบนี้ผมควรจะรู้สึกแบบไหน”

“น่าสนใจนี่นา แล้วรู้สึกยังไงล่ะ?”

“ก็พี่นทีน่ะรักน้องมาก อาจจะเพราะตอนเด็กๆพี่ย้ายโรงเรียนตลอดจนทำให้ไม่มีเพื่อนที่สามารถติดต่อได้ระยะยาว มีเพียงสองพี่น้องที่ต้องเล่นด้วยกันเท่านั้น ความสัมพันธ์เลยแน่นแฟ้น ผูกพันและเป็นคนสำคัญของชีวิตแก่กันและกัน”

มีนาพูดได้ถูก ผมย้ายโรงเรียนบ่อยจนเรียกได้ว่าไม่มีเพื่อนเลย กลับกันพฤกษ์ก็ต้องเจอปัญหาแบบเดียวกันกับผมทำไมพวกเราคิดว่ามีกันแค่สองคนก็ได้

หลังจากที่พฤกษ์จากไป ก็มีคนหลายคนเข้ามาในชีวิตของผมเหมือนเป็นการทดแทน แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถก้าวเดินเข้ามายืนอยู่จุดเดียวกับเขาได้

ถ้าใกล้เคียงที่สุดก็คง...

“ไปให้อาหารปลาด้วยกันมั้ยครับ? ผมเอาขอบขนมปังมาเยอะเหมือนกัน พี่กุมภ์กับพี่เดือนก็อยู่แถวๆนี้”

มีนายืนขึ้น เขาปัดบั้นท้ายที่เปื้อนดินออก ชี้ไปที่ถุงขอบขนมปังที่วางเอาไว้บนม้านั่งใกล้ๆกัน ผมพยักหน้า เดินไปถือถุงนั่นเอาไว้ให้พร้อมกับลงบันไดไปให้อาหารปลาริมแม่น้ำ

ตอนนี้ไม่มีคน มีเพียงแค่ผม มีนา ปลาในน้ำ และฝูงนกพิราบที่กำลังเอียงคอมองถุงในมือผมด้วยความสงสัย ผมโปรยล่อนกไม่ให้มากวนไว้นิดหน่อยแล้วก็โยนให้ปลา

“พี่เดือนบอกว่าพี่กุมภ์เหมือนปลา ส่วนพี่กุมภ์ก็บอกว่าพี่เดือนเหมือนนก” มีนาหัวเราะ “สำหรับผม ผมเห็นพี่นทีเป็นตุ๊กตาหมีนะ”

“ตุ๊กตา? แล้วทำไมต้องเป็นหมี?”

“ก็ตุ๊กตาหมีน่ะน่ารักนุ่มนิ่ม ต่อให้ตัวใหญ่แค่ไหนก็นุ่มนิ่ม เหมือนพี่นทีตรงที่เป็นผู้ชายที่สูงมากๆแต่ก็นุ่มนิ่มน่าหยิก” มีนาหัวเราะเสียงดัง “ใครบอกว่าผู้ชายตัวสูงต้องเป็นผู้ชายร้ายๆ มาดูพี่นทีเป็นตัวอย่างเถอะ”

“งั้นเหรอ? พี่เห็นมีนาเป็นตุ๊กตาแฮมสเตอร์ของพี่นะ” มีนาเลิกคิ้ว ให้ความสนใจกับสิ่งที่ผมพูด “เวลาบีบหางเล็กๆมันจะร้อง ‘คุชิ’ เหมือนเวลาที่พี่ทำแบบนี้”

“อ๊ะ! พี่นที!”

ผมจิ้มไปที่เอวของมีนา บ้าจี้เหมือนกันทั้งพี่และน้อง แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกสนุกที่ได้แกล้ง “เห็นมั้ย แค่เปลี่ยนตำแหน่งกับเสียงร้องเท่านั้นเอง อีกอย่างคือตัวเล็กบอบบางด้วย ทั้งที่กัดเจ็บมาก พริกขี้หนู”

มีนาทำหน้าบึ้ง แต่หลังจากนั้นก็หลุดหัวเราะ “พี่นทีก็ช่างเปรียบเนอะ รีบให้อาหารให้หมดแล้วขึ้นไปดีกว่า ป่านนี้สองคนนั้นรอรากงอกแล้ว”

ผมเห็นด้วย โยนขนมปังให้ปลาจนหมด ระหว่างที่ผมกับมีนาเดินขึ้นบันไดนั้นก็ได้ยินเสียงของใครสักคนลอยมาตามสายลมอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเหลือเกิน

 

‘คนนี้ไง...ที่จะทำให้พี่มีความสุข’



==========


อัพส่วนที่เหลือแล้วนะคะ หลังจากนี้ตอนที่เขียนทิ้งเอาไว้เหลืออีกไม่มากแล้ว อาจจะช้าๆหน่อยนะคะ พอเปิดเทอมแล้วงานก็เยอะตามมาด้วย แง

จริงๆแล้วเราอยากได้ความคิดเห็นจากนักอ่านด้วยว่าเรื่องนี้ขาดตกบกพร่องอะไรตรงไหน เพราะมันเป็นเรื่องที่เราเขียนๆหายๆ อาจจะไม่สัมพันธ์กัน บางเหตุการณ์เราอาจจะลืมไปด้วยว่าเคยเขียนจนต้องมาทวนอีกรอบ อีกอย่างคือเราก็เป็นนักหัดเขียน สำนวนไม่ได้ดีเท่าคนอื่น เราอยากให้ช่วยติชมสำนวนเราด้วยค่ะ เพื่อใช้ในการพัฒนาต่อไป

รักทุกคนเสมอนะคะ  :katai4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด