ผมปวดหัว...ความฝันเมื่อวานมันเหมือนจริงเกินไป
พอกินอะไรไม่ค่อยลง แม่ก็ทำท่าจะพาผมไปหาหมออย่างเดียว ผมตอบปฏิเสธไปว่าเพราะเมื่อวานผมไปตากแดดเยอะเกินไปหน่อยเท่านั้น แม่ก็รู้ว่าผมมันดื้อมากแค่ไหนจึงไม่ทำอะไรต่อ ผมอาศัยจังหวะที่พ่อออกไปทำงานและแม่ไปที่ร้านเสริมสวยเปิดประตูเข้าไปดูหนังสือในห้องของพฤกษ์ ถ้ายังอยู่นะผมเชื่อว่าพวกท่านไม่ให้ผมเข้าไปแน่
ผมค่อยๆไล่นิ้วไปที่ชั้นหนังสือ มีสันเล่มหนึ่งที่ผมค่อนข้างจะคุ้นเคยตาจึงดึงออกมาดู มันไม่ใช่นิตยสารดนตรีเป็นสมุดบันทึกของพฤกษ์ที่เอาไว้ใช้เตือนความจำตัวเอง
ในความฝัน...อาจจะเป็นเล่มนี้ก็ได้
ผมเปิดอ่านทีละหน้า ข้างในไม่ค่อยมีอะไรนัก ส่วนใหญ่เป็นการเขียนบอกว่าวันนี้มีงานอะไรที่ต้องส่งบ้างเท่านั้น แต่หน้าหลังๆมาเริ่มมีรูปวาดเล็กๆที่ทำให้ผมต้องอ่านละเอียดมากกว่า
วันที่ 25 สิงหาคม 255x
ใกล้วันเกิดพี่แล้วซื้ออะไรดี? ของขวัญ? บันทึกหน้านี้เป็นบันทึกเล่มก่อนที่เขาจะเสียได้หนึ่งปี แต่ถ้าจำไม่ผิดวันเกิดปีนั้นพฤกษ์ไม่มีของขวัญมาให้ผมนี่นา
ผมเปิดอ่านต่อ เนื้อหาก็คล้ายๆเดิม ราวกับว่าเขากำลังตั้งคำถามเกี่ยวกับของขวัญที่ผมอยากได้ แต่ทว่าเจ้าตัวไม่กล้ามาถามผมว่าอยากได้อะไร ก็แหงสิ จะให้ของขวัญวันเกิดทีมาถามว่าจะเอาอะไรมันก็ไม่น่าเซอร์ไพรสสักนิด
เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ของขวัญวันเกิดในปีนั้น
วันที่ 31 ธันวาคม 255x
ปีใหม่ที่สิบสี่สำหรับการอยู่ด้วยกันมาตลอด ผมอยากให้พวกเราอยู่ด้วยกันไปอีกนานๆเลยนะครับ มาถึงหน้านี้ รูปใบหนึ่งก็ร่วงลงมาตรงพื้น มันเป็นรูปครอบครัวที่เหลืองแล้วแต่ใบหน้าของทุกคนชัดเจนมาก พ่อกับแม่ไม่แก่เท่าในปัจจุบัน ผมที่กำลังยืนยิ้มกว้างกอดน้องจากข้างหลัง พฤกษ์ที่กำลังหัวเราะและเล่นสนุกไปด้วยกันกับผม
ผมเสียใจที่มันไม่มีวันปีใหม่ที่สิบห้าสำหรับเด็กคนนี้อีกต่อไป
ความรู้สึกเวลาที่โดนของหนักหล่นใส่มันจะเป็นอย่างไรนะ? มันจะเจ็บปวดก่อนที่สติจะหายไปหรือว่าทุกอย่างมันดับวูบไปเลยกัน? ผมไม่อาจตอบได้ มีเพียงแค่หัวใจของผมเท่านั้นที่เจ็บ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง แต่ผมก็ทำอะไรได้กับเหตุการณ์ที่ผ่านมาและเข้าสู่ปีที่เจ็ด เจ็ดปีที่ไม่ได้ยินเสียงของพฤกษ์ พ่อแม่ของผมเข้มแข็งพอที่จะทิ้งอดีตเอาไว้และเก็บความทรงจำดีๆ ส่วนผมยังไม่กล้าที่จะเดินออกมา...
หรือมันเป็นแค่ข้ออ้างของผมที่จะกักขังตัวเองไม่ให้เปิดใจรับคนสำคัญเข้ามาอีก?ผมเปิดหน้าต่อไป แต่มันไม่มีอะไรเขียน ผมคิดว่าบันทึกของปีนี้น่าจะหมดแล้ว พอไล่หาเล่มต่อไปก็ไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยว่าบันทึกสุดท้ายที่เขาเขียนจะอยู่ในชั้นนี้
“หรือว่าจะอยู่ใต้เตียงกันนะ?”
ผมก้มลงหาตามใต้เตียง ในกล่องเอกสาร ก็ไม่มีร่องรอยของสมุดบันทึกที่ว่า
“สงสัยจะไม่ได้เขียนต่อ” ผมสรุปอย่างนั้น ในเมื่อไม่มีผมก็ไม่รู้ว่าจะไปหามาจากไหนเหมือนกัน จึงปล่อยมันไปแล้วเดินลงมาที่ชั้นล่างเพื่อหาอะไรกินรองท้อง
ในตู้เย็นมีกล่องผลไม้ ผมมองสลับกับแป้งเค้กที่อยู่ในตู้เก็บของ บางทีผมอาจจะออกไปซื้อผงฟูมาทำขนมแก้เบื่อ
เอาล่ะ ออกไปซื้อดีกว่า
กลับจากภารกิจซื้อของ ฝ่าแดดมาได้ก็นั่งพักก่อนที่จะลงมือทำ เค้กบนโต๊ะเป็นชอร์ตเค้กเล็กๆหลายอัน สีสันไม่เหมือนกัน บางชิ้นก็มีสตรอเบอร์รี่ บางชิ้นเป็นเนื้อส้มวาเลนเซีย ส่วนบางชิ้นก็เป็นช็อกโกแลตขมคลาสสิก โรยผงไอซิ่งอีกนิดหน่อยก็สมบูรณ์ ผมว่าผมควรจะไปเปิดร้านเบเกอรี่มากกว่าเป็นนักดนตรี
“ทำอะไรน่ากินจัง” แม่กลับมาพร้อมกับทักทายเสียงดัง กลิ่นแป้งขนมมันส่งกลิ่นไปถึงหน้าบ้านเลยเหรอ? ผมดูเวลาอีกทีก็เห็นว่านี่มันก็เป็นห้าโมงเย็นแล้ว
ใช้เวลานานกว่าที่คิดแฮะ
“ผมทำเค้กครับ แม่ลองชิมหน่อยว่าอร่อยมั้ย?”
“ลูกทำอะไรก็อร่อยไปหมดนั่นแหละ ไหน ชิมส้มหน่อยนะ” ผมตักเนื้อเค้กส้มป้อนแม่ ท่านยิ้ม แล้วตบบ่าผมเบาๆ “อร่อยดีนะ แต่แม่ว่าแป้งมันแฉะไปนิด เราใส่นมลงไปในแป้งเยอะหน่อยน่ะ”
“ผมชอบแบบนี้นี่นา...” ผมหัวเราะ
“และน้องก็ชอบแบบนี้ด้วย”
“...”
“ลูกคิดถึงเขาใช่มั้ยถึงทำเค้กขึ้นมา? แม่เองก็คิดถึงเหมือนกันนะ ยังจำวันที่นทีทำเค้กครั้งแรกได้อยู่เลย วันนั้นนทีทำนมหกลงไปเยอะมาก แต่ก็ดื้อจะทำต่อจนออกมาเละ ถึงอย่างนั้นทั้งนทีทั้งพฤกษ์ก็นั่งกินด้วยกัน ยิ้มด้วยกัน...พอมานึกถึงเรื่องดีๆที่เคยเกิดขึ้นแล้วมันรู้สึกอบอุ่นใจเนอะ
“เพราะนทีเอาแต่นึกถึงวันที่เสียน้องไป นทีเลยไม่มีความสุขเสียที แม่อยากให้ลูกสามารถยิ้มออกมาจากใจจริงได้นะ”
“แม่พูดเหมือนเพื่อนผมเลย” ผมมองไปที่เค้กบนโต๊ะ “เขาบอกว่า...ให้ผมเดินออกจากจุดนั้น แต่ไม่ใช่ให้ลืมทุกอย่างที่เคยมีร่วมกับเขา”
“เพื่อนลูกพูดถูกแล้วล่ะนะ ไม่มีใครบังคับให้ลูกลืมน้องเลย พวกเราแค่อยากให้นทีเลือกที่จะเก็บแต่ความทรงจำดีๆเอาไว้ในหัวใจ อยากให้เก็บมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้” แม่เดินเข้ามากอดผม ถึงแม้ว่าผมจะสูงกว่าแม่แต่เมื่อใดอยู่ในอ้อมกอดของผู้ให้กำเนิดคนนี้ผมกลับรู้สึกตัวเล็กยิ่งกว่าเด็กม.ต้นเสียอีก
“ลูกอยากร้องไห้...ก็ร้องออกมาเถอะนะ”และน้ำตาของผมก็ไหลลงโดยที่ผมไม่สามารถควบคุมมันได้
ผ่านมาสองสัปดาห์ ผมไปเยี่ยมน้องที่ธาตุทุกวัน มีขนมติดไปด้วยทุกครั้งแล้วทิ้งของเก่าที่มีมดขึ้น นั่งอยู่ข้างๆธาตุแล้วชวนคนที่จากไปแล้วคุย ไม่มีการตอบ ไม่มีการขาน แต่ผมสบายใจและพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนี้มาก
“พฤกษ์ว่าในชีวิตนี้พี่จะเจอคนที่ทำให้พี่มีความสุขไปตลอดมั้ย?”
ไม่มีการตอบรับ ผมยิ้มบางๆ “แต่พี่มานอนๆคิด...คนรอบข้างพี่หลายคนเลยนะที่ทำให้พี่มีความสุขได้ กุมภ์...ดิน...อุ้ม พ่อแม่ พี่สองกับพี่ดังโงะ รุ่นน้องในคณะ เด็กปีหนึ่งที่เป็นเดือนดุริยางค์ชื่อออมสิน เด็กที่อยู่ห้องชั้นบนจากพี่ชื่อเต๋า แล้วก็...มีนา”
แต่ทว่า...ทำไมผมถึงรู้สึกกับมีนาพิเศษกว่าใครกันนะ?
“มีนาเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก หน้าตาน่ารัก เป็นที่รักของทุกคนเรื่องนี้พฤกษ์ก็น่าจะรู้ดี แต่มีนาเอาใจใส่พี่มาก เขาดูแลพี่ คอยปกป้องพี่จนพี่อายเลยล่ะว่าทำไมพี่ถึงได้อ่อนแอขนาดนี้
“พี่อยากให้สองมือของตัวเอง...ตัวของพี่เองสามารถปกป้องคนที่สำคัญกับพี่ได้ พี่ไม่อยากเป็นนทีที่ต้องคอยให้คนอื่นปกป้อง น่าแปลกที่พอพี่คิดจะเปลี่ยนตัวเอง พี่กลับท้อไปเสียก่อน ไอ้ความคิดที่ว่า ‘ยังไงก็ทำไม่ได้หรอก’ มันโผล่เข้ามาในสมองทุกครั้ง พฤกษ์ว่ามันเป็นเพราะอะไรเหรอ? แค่ความคิดของตัวเองยังอ่อนแอเลย
“พี่กลัว กลัวว่าเป็นเพราะตัวพี่เองที่จะทำให้คนอื่นต้องสูญเสีย” ผมชันเข่ากอดตัวเอง “พี่กลัวการที่เป็นสาเหตุต้องให้คนอื่นเดือดร้อน พี่ถึงยังไม่กล้าที่จะลงมือเปลี่ยนแปลงอะไรหรือขยับตัวทำอะไรเลยตั้งแต่วันที่...พฤกษ์ไม่อยู่แล้ว”
ผมเสียงสั่น แต่ก็ควบคุมตัวเองเอาไว้และเปลี่ยนเรื่อง “พี่ว่าวันนี้พี่กลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะแดดแรงจนเป็นไข้หวัดแดดอีก”
ตุบ“อะ...ขอโทษครับ”
“พี่นที”
เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นมา คนตัวเล็กตรงหน้ามองผมสลับกับธาตุของน้องที่อยู่ข้างๆ “มีนา...ทำไม...”
“ผมมาให้อาหารปลา แล้วเห็นว่าพี่นั่งอยู่ตรงนี้กับ...น้องชายของพี่” มีนานั่งยองลงกับพื้น “สวัสดีนะ เราชื่อมีนา เป็นน้องชายเพื่อนสนิทของพี่นทีเขา อายุเราน่าจะเท่ากันใช่มั้ย?”
“...”
“พี่ของพฤกษ์น่ะ เป็นคนที่วิเศษมากเลยนะ ทั้งอ่อนโยน ใจดี และเป็นพี่ชายที่น่ารัก ถึงแม้ว่าจะไม่เข้มแข็งเท่าคนอื่น แต่เพราะความอ่อนโยนของเขานี่แหละที่ทำให้พี่นทีเป็นที่รักของคนอื่น
“พี่นทีของพฤกษ์เป็นคนที่ห่วงใยทุกคน ใครเป็นอะไรมักจะวิ่งเข้าหาเป็นคนแรก เป็นคนที่สามารถสร้างบรรยากาศแปลกๆได้ นึกออกรึเปล่าเวลาที่เขายิ้มน่ะ จะมีดอกไม้ออกมารอบๆเหมือนในการ์ตูน บางทีก็เป็นเลมอนล่ะ”
“หมายความว่ายังไงกันตรงเลมอน?” ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่ามีนาจะคุยกับธาตุของน้องผมด้วย
“กลิ่นน่ะสิครับ พี่นทีมีกลิ่นเลมอนติดอยู่ด้วยเสมอ อาจจะมาจากกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศ อาจจะมาจากกลิ่นสังเคราะห์ที่ใส่ในขนม หรือแม้แต่กลิ่นที่มาจากความทรงจำที่ยังลอยอยู่รอบๆตัวพี่”
“...”
“เลมอน...จะว่ามันเปรี้ยวก็เปรี้ยว จะว่ามันขมก็ขม รสชาติที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้มันอยู่ในลูกเดียวกัน เหมือนตัวของพี่นทีที่มีอะไรหลายอย่างขัดแย้งแต่กลับอยู่ในตัวของพี่ได้” มีนาหันมาทางผม “รสชาติเปรี้ยวที่สดใหม่ของชีวิต พี่เจออะไรใหม่ๆทุกวัน พี่เจอกับเรื่องที่ไม่คาดฝันตลอดเวลา บางครั้งก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นอะไรแต่ก็เลือกที่จะทำแบบเดิมเพื่อให้ได้เจอผลลัพธ์แบบเดิมและหวังว่าในผลลัพธ์แบบเดิมนั้นจะมีอะไรที่แปลกใหม่ออกไปเหมือนความเปรี้ยวที่พี่รู้ดีอยู่แล้วว่ามันเปรี้ยวแต่พี่ก็เลือกที่จะกินเพราะหวังว่ามันจะทำให้พี่ได้สัมผัสกับความเปรี้ยวครั้งใหม่
ส่วนรสขมเป็นรสชาติของสิ่งที่พี่เก็บเอาไว้ในใจ เป็นความขมขื่นของชีวิต เป็นสิ่งที่พี่ไม่อยากนึกถึง แต่สิ่งเหล่านั้นมันได้สอนให้พี่เติบโตขึ้น รสชาติขมน่ะมันเป็นรสชาติของผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ?”
มีนาเอียงคอ เขายิ้มบาง แล้วเหลือบตาไปที่ธาตุของน้องชายผม
“ใช่มั้ยพฤกษ์? พี่นทีน่ะมีกลิ่นเลมอนติดตัวตลอดเวลาเลยเนอะ”
ผมส่ายหน้า หลุดหัวเราะนิดหน่อย “มีนาไม่คิดว่าพี่บ้าเลยเหรอที่คุยกับธาตุของคนตายแบบนั้น”
“ถึงร่างของเขาจะตายแต่ตัวตนของเขาไม่ได้ตายไปจากจิตใจของพี่นี่ครับ?”“...”
“เขาเป็นคนสำคัญของพี่ ดังนั้นแล้วผมจึงต้องทำความรู้จักเอาไว้ด้วย เพราะผมอยากรู้ว่าบุคคลที่ทำให้พี่นทีเป็นพี่นทีอย่างนี้น่ะ เขาเป็นอย่างไร”
“แต่...”
“ฟังจากที่พี่พูดกับเขาแล้วผมว่าเขาเป็นคนที่น่ารักนะ ทำให้ผมนึกถึงผมกับพี่กุมภ์ แต่น่าเสียดายที่ตัวผมมันรู้มากไปหน่อยเลยทำให้พี่กุมภ์เขาไม่เข้าใจบ้าง ถ้าเป็นพฤกษ์ก็คงจะรักพี่มากเหมือนกันถึงตัวติดด้วยกันอย่างนั้นตลอด”
ฟังแค่นั้นกลับเดาถูกเกือบหมดเลยเหรอ? มีนานี่น่ากลัวจริงๆ
“พี่ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมรู้ได้ยังไง ผมคงเขียนนิยายสืบสวนเยอะเกินไปหน่อย การที่จะเขียนนิยายแนวนี้ได้ดีก็ต้องศึกษาอะไรหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือหลักจิตวิทยา ผมศึกษาการอ่านสีหน้าท่าทาง การอ่านความหมายของสิ่งที่ผู้อื่นจะสื่อ แต่ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอกนะ มันแค่เบื้องต้นเอง อีกอย่างคือผมใช้ความรู้สึกปนไปด้วย”
“ความรู้สึก?” ผมถาม “ความรู้สึกที่ว่านี่คือ...”
“ถ้าผมเป็นพี่นทีแล้วพูดแบบนี้ผมควรจะรู้สึกแบบไหน”
“น่าสนใจนี่นา แล้วรู้สึกยังไงล่ะ?”
“ก็พี่นทีน่ะรักน้องมาก อาจจะเพราะตอนเด็กๆพี่ย้ายโรงเรียนตลอดจนทำให้ไม่มีเพื่อนที่สามารถติดต่อได้ระยะยาว มีเพียงสองพี่น้องที่ต้องเล่นด้วยกันเท่านั้น ความสัมพันธ์เลยแน่นแฟ้น ผูกพันและเป็นคนสำคัญของชีวิตแก่กันและกัน”
มีนาพูดได้ถูก ผมย้ายโรงเรียนบ่อยจนเรียกได้ว่าไม่มีเพื่อนเลย กลับกันพฤกษ์ก็ต้องเจอปัญหาแบบเดียวกันกับผมทำไมพวกเราคิดว่ามีกันแค่สองคนก็ได้
หลังจากที่พฤกษ์จากไป ก็มีคนหลายคนเข้ามาในชีวิตของผมเหมือนเป็นการทดแทน แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถก้าวเดินเข้ามายืนอยู่จุดเดียวกับเขาได้
ถ้าใกล้เคียงที่สุดก็คง...
“ไปให้อาหารปลาด้วยกันมั้ยครับ? ผมเอาขอบขนมปังมาเยอะเหมือนกัน พี่กุมภ์กับพี่เดือนก็อยู่แถวๆนี้”
มีนายืนขึ้น เขาปัดบั้นท้ายที่เปื้อนดินออก ชี้ไปที่ถุงขอบขนมปังที่วางเอาไว้บนม้านั่งใกล้ๆกัน ผมพยักหน้า เดินไปถือถุงนั่นเอาไว้ให้พร้อมกับลงบันไดไปให้อาหารปลาริมแม่น้ำ
ตอนนี้ไม่มีคน มีเพียงแค่ผม มีนา ปลาในน้ำ และฝูงนกพิราบที่กำลังเอียงคอมองถุงในมือผมด้วยความสงสัย ผมโปรยล่อนกไม่ให้มากวนไว้นิดหน่อยแล้วก็โยนให้ปลา
“พี่เดือนบอกว่าพี่กุมภ์เหมือนปลา ส่วนพี่กุมภ์ก็บอกว่าพี่เดือนเหมือนนก” มีนาหัวเราะ “สำหรับผม ผมเห็นพี่นทีเป็นตุ๊กตาหมีนะ”
“ตุ๊กตา? แล้วทำไมต้องเป็นหมี?”
“ก็ตุ๊กตาหมีน่ะน่ารักนุ่มนิ่ม ต่อให้ตัวใหญ่แค่ไหนก็นุ่มนิ่ม เหมือนพี่นทีตรงที่เป็นผู้ชายที่สูงมากๆแต่ก็นุ่มนิ่มน่าหยิก” มีนาหัวเราะเสียงดัง “ใครบอกว่าผู้ชายตัวสูงต้องเป็นผู้ชายร้ายๆ มาดูพี่นทีเป็นตัวอย่างเถอะ”
“งั้นเหรอ? พี่เห็นมีนาเป็นตุ๊กตาแฮมสเตอร์ของพี่นะ” มีนาเลิกคิ้ว ให้ความสนใจกับสิ่งที่ผมพูด “เวลาบีบหางเล็กๆมันจะร้อง ‘คุชิ’ เหมือนเวลาที่พี่ทำแบบนี้”
“อ๊ะ! พี่นที!”
ผมจิ้มไปที่เอวของมีนา บ้าจี้เหมือนกันทั้งพี่และน้อง แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกสนุกที่ได้แกล้ง “เห็นมั้ย แค่เปลี่ยนตำแหน่งกับเสียงร้องเท่านั้นเอง อีกอย่างคือตัวเล็กบอบบางด้วย ทั้งที่กัดเจ็บมาก พริกขี้หนู”
มีนาทำหน้าบึ้ง แต่หลังจากนั้นก็หลุดหัวเราะ “พี่นทีก็ช่างเปรียบเนอะ รีบให้อาหารให้หมดแล้วขึ้นไปดีกว่า ป่านนี้สองคนนั้นรอรากงอกแล้ว”
ผมเห็นด้วย โยนขนมปังให้ปลาจนหมด ระหว่างที่ผมกับมีนาเดินขึ้นบันไดนั้นก็ได้ยินเสียงของใครสักคนลอยมาตามสายลมอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเหลือเกิน
‘คนนี้ไง...ที่จะทำให้พี่มีความสุข’==========
อัพส่วนที่เหลือแล้วนะคะ หลังจากนี้ตอนที่เขียนทิ้งเอาไว้เหลืออีกไม่มากแล้ว อาจจะช้าๆหน่อยนะคะ พอเปิดเทอมแล้วงานก็เยอะตามมาด้วย แง
จริงๆแล้วเราอยากได้ความคิดเห็นจากนักอ่านด้วยว่าเรื่องนี้ขาดตกบกพร่องอะไรตรงไหน เพราะมันเป็นเรื่องที่เราเขียนๆหายๆ อาจจะไม่สัมพันธ์กัน บางเหตุการณ์เราอาจจะลืมไปด้วยว่าเคยเขียนจนต้องมาทวนอีกรอบ อีกอย่างคือเราก็เป็นนักหัดเขียน สำนวนไม่ได้ดีเท่าคนอื่น เราอยากให้ช่วยติชมสำนวนเราด้วยค่ะ เพื่อใช้ในการพัฒนาต่อไป
รักทุกคนเสมอนะคะ
