ตอนที่ 5 น้องใหม่
“พี่บุ๋ม”
บรรณภัทรกลอกตาพลางถอนใจเฮือกเมื่อได้ยินคำเรียกนี้ นอกจากจะระคายหูแล้ว การต้องมาพบกับคนเรียกทุกวันยังทำให้ปิดเทอมอันแสนสงบสุขของเขาต้องกลายเป็นแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง เพราะนับตั้งแต่ลุงหมงมาขอร้องให้ช่วยตอนพิเศษลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ชายหนุ่มก็แทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหน แทนที่จะได้นอนตื่นสายอย่างที่ถวิลหามาตลอด กลับต้องตามน้านิตย์มาที่มหาวิทยาลัย ใช้มุมหนึ่งใต้สำนักหอสมุดเป็นที่ติวหนังสือให้กับเด็กชายอายุสิบเอ็ดปีที่ดูจะไม่ค่อยเห็นความปรารถนาดีของผู้เป็นพ่อสักเท่าไร ส่วนลุงหมงเองพักหลังก็ไม่ค่อยใส่ใจว่าครูคนนี้จะสอนอะไรให้ไอ้ลูกเป็ดจอมซนนี่บ้าง คิด ๆ ไปแล้วก็เหมือนแค่ต้องการพี่เลี้ยงเด็กเสียมากกว่า บรรณภัทรถอนใจอีกเฮือกอย่างปลงตก ถ้าการเป็นพี่เลี้ยงเด็กจะได้เงินค่าจ้างพอสำหรับเป็นค่าตั๋วรถไฟปรับอากาศชั้นสองไปกลับกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ แถมยังมีเหลือใช้ซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยากได้อีกอย่างสองอย่างก็เป็นการยากที่ใครจะปฏิเสธ
“เป็ดซื้อมาฝาก” เด็กชายแก้มยุ้ยกล่าวพร้อมกับยื่นแก้วพลาสติกใส่น้ำแตงโมงปั่นให้
“ขอบใจ” บรรณภัทรกล่าวก่อนจะรับไว้ วางลงบนโต๊ะและมองหน้ากลมขึ้นสีแดงเพราะไอแดด เห็นเหงื่อที่ไหลย้อยจากจอนผมแล้วอดดึงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อของอีกฝ่ายออกมาซับให้ไม่ได้ “ทีหลังต้องกางร่มหรือใส่หมวกไปนะ เดี๋ยวไม่สบาย”
เด็กชายหาได้ใส่ใจคำพูดนั้น กลับล้วงมือควานหาลางสิ่งในกระเป๋ากางเกง ไม่นานก็วางลูกอมรสนมหลากสีสันลงบนโต๊ะ “มีลูกอมด้วย”
“ระวังฟันจะผุ” คนอายุมากกว่าบอก กระนั้นก็ยังหยิบลูกอมเม็ดหนึ่งมาแกะใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
“พี่บุ๋มกินเยอะกว่าเป็ดอีก”
บรรณภัทรเบะปากเล็กน้อยก่อนจะเคี้ยวต่ออย่างไม่ใส่ใจ
“เย็นนี้ก่อนกลับบ้านไปกินไอติมนะพี่บุ๋ม”
“วัน ๆ คิดแต่เรื่องกิน”
“นะพี่บุ๋มนะ นะครับ” ไม่พูดเปล่า สองมือเล็ก ๆ ยังเอื้อมมาเขย่าแขน
ชายหนุ่มมองเจ้าของแก้มกลมอย่างอ่อนใจ นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเรียกชื่อพี่ให้ถูกก่อน”
“พี่บุ๋ม”
“บุ๋น”
“นะพี่บุ๋น นะ ๆ”
“ก็ได้ ๆ แต่บ่ายนี้ต้องตั้งใจเรียนนะ”
“ครับผม” เด็กชายเป็ดทำท่าตะเบ๊ะ
ดังนั้นตลอดบ่ายสองคนจึงย้ายขึ้นไปตากแอร์กันในห้องทำงานของพ่อ ๆ แม่ ๆ บรรณภัทรเริ่มนำเข้าบทเรียนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กประถมโดยการเล่นเกมง่าย ๆ ตอนแรกเด็กชายเป็ดก็สนใจดี แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำแบบฝึกหัดก็เล่นเอากุมขมับทั้งคนสอนคนเรียน
“ไอ้เป็ด แกตั้งใจหน่อยได้ไหม”
“พี่บุ๋นทำไมพูดไม่เพราะ”
“อะ ๆ น้องเป็ดครับ น้องเป็ดช่วยสนใจที่พี่บุ๋นสอนหน่อยได้ไหมครับ” บรรณภัทรเน้นทีละประโยคซ้ำยังกระดกลิ้นรัว
“เป็ดก็ตั้งใจแล้วนะพี่บุ๋น แต่โจทย์มันยาก ต้องพักสมองบ้าง”
“พักบ้าอะไร ตั้งแต่บ่ายมายังไม่ได้เริ่มทำสักข้อ ถามแต่เรื่องไร้สาระอยู่ได้”
“โถ่ ไม่ได้เจอตั้งนานเป็ดก็อยากคุยกับพี่บุ๋นนี่ พ่อบอกว่าห่วงก็ทัก รักก็ถาม”
นี่ก็อีก... มุขเลี่ยน ๆ จากละครซิทคอมยอดนิยมที่ลุงหมงเหมาซื้อซีดีไว้เป็นกะตั้กจนต้องแบ่งมาให้พ่อกับน้านิตย์ดู
“ไอ้เป็ด ขืนพูดอะไรน่าขนลุกอีกจะโดนไม้บรรทัดดีดปาก”
“ไม่พูดแล้วก็ได้” เด็กชายมุ่นคิ้ว ก้มหน้าทำแบบฝึกหัดต่อทั้งที่ปากยังบ่นขมุบขมิบ ตั้งอกตั้งใจอยู่ได้ไม่นานก็เริ่มคุยจ้อจนคนสอนส่ายหัว
“อยู่นิ่งได้ไม่เกินห้านาทีจริง ๆ แบบนี้จะเป็นตำรวจได้ยังไง”
“ตำรวจไม่ใช่หุ่นไล่กานะพี่บุ๋น จะได้อยู่นิ่ง ๆ ทั้งวัน” เจ้าของแก้มยุ้ยกล่าวก่อนจะจรดปลายดินสอทดเลขในกระดาษ จากนั้นจึงย้ายมือมาเขียนคำตอบลงในช่องว่าง
“เย้...เสร็จแล้ว” เด็กชายร้องขึ้น
“เสร็จอะไร เหลืออีกตั้งเก้าข้อ”
“เสร็จหนึ่งข้อก็ถือเป็นความสำเร็จนะครับ”
บรรณภัทรกัดริมฝีปากแน่น
“อยากกินไอติมแล้ว”
“ทำอีกเก้าข้อให้เสร็จก่อน”
“เป็ดเหนื่อยแล้ว ปวดหัวจะแย่ ไปกินไอติมก่อนแล้วค่อนกลับมาทำไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ได้ ต้องทำให้เสร็จ”
เด็กชายเป็ดอิดออดอยู่ได้ไม่นาน เมื่อหมดข้ออ้างจึงลงมือทำแบบฝึกหัดต่อ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง หนุ่มน้อยก็เริ่มจ้ออีกครั้ง
“เสร็จสักที เป็ดเก่งไหมพี่บุ๋น”
“เก่งบ้าอะไร โจทย์บวกลบคุณหารเศษส่วนแค่สิบข้อทำเป็นชั่วโมง”
“เหนื่อยก็พัก รักถึงจะไปต่อ”
“ไอ้ป...เป็ด...” บรรณภัทรพูดยังไม่ทันขาดคำอีกฝ่ายก็ร้องขึ้น
“พ่อ!”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว มองเจ้าของร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามา
“ไง วันนี้พี่บุ๋นสอนอะไรบ้าง” ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีเอ่ยขึ้น
“พี่บุ๋นสอนเยอะแยะไปหมดจนตอนนี้เป็ดหิวไอติมแล้วพ่อ”
มงคลมองลูกชายที่กำลังยกมือขึ้นลูบท้องอย่างเอ็นดูก่อนจะหันไปหาอีกคน
“เหนื่อยหน่อยนะบุ๋น สอนไอ้ลูกเป็ดนี่”
“ไม่เป็นไรครับ” บรรณภัทรตอบพลางเหล่มองเด็กน้อยที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ข้าง ๆ
“พรุ่งนี้บุ๋นไม่ต้องมาสอนเจ้าเป็ดมันแล้วละ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับลุงหมง บุ๋นยังสอนไม่ครบตามที่ตกลงกันไว้เลยนะ”
“วันนี้ย่าเจ้าเป็ดเจ้าเป็ดจะมาจากต่างจังหวัดน่ะ มีคนช่วยดูแลแล้ว บุ๋นไปทำอย่างอื่นเถอะ เห็นน้านิตย์บอกว่าเดือนหน้าจะกลับเชียงใหม่แล้วใช่ไหม”
“ครับ”
คนฟังพยักหน้าพลางดึงซองกระดาษสีขาวออกจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ “อะนี่ค่าจ้าง ลุงเพิ่มให้อีกนิดหน่อย เหลือจากจองตั๋วรถไฟจะได้เอาซื้อของที่อยากได้”
“เท่าที่คุยกันไว้ตอนแรกก็เยอะแล้วนะครับ”
“เอาน่า รับไว้ ผู้ใหญ่ให้อย่าปฏิเสธ”
“ขอบคุณครับ” ลูกชายบรรณารักษ์ไหว้แล้วรับซองค่าจ้างเก็บใส่กระเป๋ากางเกง
“เย้ ๆ พี่บุ๋นรวยแล้ว” เด็กชายเป็ดยืนขึ้นแล้ววาดแขนโอบคอพี่ชายที่เขายกให้เป็นคนสำคัญ “พี่บุ๋นเลี้ยงไอติมเป็ดนะ”
“ได้” ชายหนุ่มหัวเราะ
“ให้พี่บุ๋นเลี้ยงได้ยังไง เราสิต้องเลี้ยง พี่เขาอุตส่าห์สอนพิเศษให้ตั้งหลายเดือน” มงคลเตรียมจะหยิบเงินในกระเป๋าให้ลูกชายแต่บรรณภัทรห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องหรอกครับลุงหมง วันนี้บุ๋นรวย เดี๋ยวบุ๋นเลี้ยงน้องเอง” คนพูดยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้าง
สองพี่น้องจูงมือกันออกจากอาคารสำนักหอสมุด เดินไปตามทางมุ่งหน้าอยู่ร้านไอศกรีมหลังมหาวิทยาลัย เป็นห้องกระจกติดเครื่องปรับอากาศ ด้านหน้าปลูกไม้ประดับ ที่สะดุดตาคือพุดศุภโชคที่จัดใส่กระถางเรียงยาวตลอดแนว ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอนิเจอร์สีสันสดใส ซ้ำรสชาติไอศกรีมที่เจ้าของลงมือทำเองยังอร่อยถูกปากจนกลายเป็นร้านประจำของบรรดานักศึกษาและเด็ก ๆ ในละแวกนี้
เมื่อสั่งไอศกรีมเรียบร้อย เด็กชายแก้มยุ้ยก็วิ่งนำไปนั่งที่โต๊ะบาร์ทรงสูงซึ่งหันหน้าออกนอกร้าน ปืนขึ้นนั่งเก้าอี้ได้ก็คว้าดินสอสีในกระบะขีดเขียนลงบนกระดาษที่วางอยู่ใกล้กัน ไม่ช้าภาพกระถางดอกไม้เล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้น
“เชียงใหม่อยู่ไกลมากไหมพี่บุ๋น” เป็ดถามพลางเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกผนังกระจก เป็นเวลาเดียวกับที่แท็กซี่สีเขียวเหลืองแล่นมาจอดชิดบาทวิถี ครู่หนึ่งร่างสูงในชุดนักเรียนมัธยมปลายก็เปิดประตูลงมาพร้อมกับกุหลาบสีแดงกำหนึ่งในมือ เขากระชับเป้สะพายหลังจากนั้นจึงผลักประตูเข้ามาในร้านเป็นผลให้โมบายกระดิ่งลมประทบกันดังกังวาน
“ไกลมาก พี่นั่งรถไฟตั้งสิบกว่าชั่วโมง”
“แล้วเชียงเหมือนกรุงเทพฯ รถติกเหมือนกันหรือเปล่า”
“คล้าย ๆ นะ รถติดก็มี หน้าร้อนก็ร้อนจนตัวจะไหม้...” บรรณภัทรไม่ทันเล่าต่อ เจ้าของร้านสาวสวยก็ยกไอศกรีมมาเสิร์ฟพอดี ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณแล้วเลื่อนถ้วยแก้วทรงสูงข้างในใส่ไอศกรีมสายรุ้งเรียงต่อกันสองก้อนตกแต่งด้วยเกล็ดน้ำตาลหลากสีและเจลลี่ให้เด็กชาย ส่วนของเขาเป็นไอศกรีมซันเดย์รสวานิลลาโปะวิปครีมโรยอัลมอนด์สไลด์
“ตามสบายนะจ๊ะ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะทักทายคนที่เพิ่งเดินผ่านหลังไปนั่งลงยังเก้าอี้บาร์ตัวในสุดซึ่งเป็นที่ประจำ “ไงป้อน สาวไหนให้กุหลาบมาจ๊ะ”
เด็กหนุ่มวางดอกไม้สีแดงสดลงบนโต๊ะพร้อมกับตอบ “รุ่นน้องที่โรงเรียนน่ะพี่ วันนี้วันปัจฉิม” ว่าแล้วก็ถอดเป้สะพายวางบนพื้นพิงกับขาเก้าอี้
“เร็วจังเลยนะ พี่เห็นเราตั้งแต่เรียนม.ต้น เผลอแป๊บเดียวจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว นี่ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะเรียนที่ไหน”
“ยังเลยพี่” หนุ่มม.ปลายกล่าวเสียงเนือย
“สอบติดหลายที่ก็แบบนี้แหละ เลือกไม่ถูก สมัยพี่เอนทรานซ์นะ ถึงจะเป็นคณะที่ไม่ชอบก็ต้องเรียน ขี้เกียจไปสอบใหม่ เรียน ๆ ไปกลายเป็นชอบซะงั้น” เจ้าของใบหน้ารูปไข่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกถึงอดีตที่ผ่านพ้นมานาน
“ยิ้มแบบนี้คงไม่ได้ชอบแค่คณะแล้วมั้ง” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างรู้ทัน
“แหม...คณะพี่ก็ชอบจ้ะ แต่พอมีคนที่ใช่มันก็ยิ่งทำให้ชอบทุกอย่างไปหมด แถมมีกำลังใจในการเรียนด้วย ว่าแต่เรื่องวงเถอะ สรุปว่าเพื่อน ๆ เอายังไงกัน”
“ไม่มีใครทำต่อ มีผมแค่คนเดียวจะเป็นวงได้ยังไง”
“น่าเสียดายจัง อุตส่าห์ซ้อมด้วยกันมาตั้งนาน”
“ทำยังไงได้ละครับ ต้องแยกย้ายกันไปเรียนแล้วนี่”
เห็นคู่สนทนาดูไม่ร่าเริงเหมือนเคย หญิงสาวเจ้าของร้านจึงกล่าว “ไม่เป็นไร ไว้ได้ที่เรียนแน่ ๆ แล้วค่อยเริ่มใหม่ก็ได้นี่เนอะ เดี๋ยวพี่ไปเอาไอติมให้กินดีกว่าจะได้อารมณ์ดี”
“ครับ”
นัยน์ตาสีเข้มทอดตามองกุหลาบสีสดตรงหน้า นึกขึ้นได้จึงล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องเล่นเพลงตัวจิ๋วราคาแพงลิ่วกับกระดาษที่พับเอาไว้ลวก ๆ ออกมาวาง จากนั้นจึงเสียบอินเอียร์กับหูทั้งสองข้าง มือคลี่กระดาษออกดู มันคือใบสมัครประกวดวงดนตรีน้องใหม่ของค่ายเพลงแห่งหนึ่ง รายละเอียดสมาชิกในตำแหน่งนักร้องนำและหัวหน้าวงคือชื่อของเขา ‘ภควัต อานันทร’
ส่วนชื่อของสมาชิกอีกสามคนในตำแหน่งกีตาร์ กลองและเบส...ถูกขีดฆ่าด้วยปากกา...
“หน้าร้อนก็ร้อนจนตัวจะไหม้ แทบไม่อยากออกไปไหนเลย ส่วนหน้าหนาวอากาศเย็นมาก ๆ บางวันหมอกลง ดอกไม้บานเต็มไปหมด” เห็นเด็กชายมัวแต่อ้าปากหวอบรรณภัทรจึงกล่าว “กินก่อน เดี๋ยวไอ้ติมละลาย”
“ครับ” เจ้าลูกเป็ดรับคำ ตักไอศกรีมใส่ปาก ความเย็นจากของโปรดทำให้เผลอทำตัวสั่นดุ๊กดิ๊ก “ฮ่า...เย็นจัง”
“จะกินหมดไหมเนี่ย”
“สบายมาก” ว่าแล้วก็ใช้ช้อนตักไอศกรีมก้อนโตเข้าปากแล้วหันไปวาดภาพต่อ “ที่เชียงใหม่ของอร่อยเยอะไหมครับ”
“เยอะ แค่เฉพาะหลังม.ก็หลายร้านแล้ว พี่ยังกินไม่ครบเลย”
“ที่เที่ยวละครับ”
“อืม...ถ้าใกล้ ๆ ก็มีทั้งวัด สวนสัตว์ แล้วก็ตลาด เย็นวันอาทิตย์มีถนนคนเดิน”
“ชอบที่ไหนมากกว่ากัน” เด็กชายเป็ดถามทั้งที่ดวงตาจับจ้องปลายดินสอสีที่ลากซ้ำไปมาบนกระดาษ “เชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ”
คนถูกถามนั่งนิ่งใช้ความคิด ไม่นานจึงตอบ “ชอบเชียงใหม่มากกว่า”
“เอาไว้เป็ดจะขอให้พ่อกับแม่พาไปเที่ยวเชียงใหม่บ้าง”
“ไปสิ เดี๋ยวพี่พาเที่ยวเอง”
“จริงนะ” เด็กชายแก้มยุ้ยกล่าวเสียงดัง
“เบา ๆ” บรรณภัทรปราม มองคนที่นั่งไกลออกไป เห็นเขาเสียบอินเอียร์จึงค่อนข้างมั่นใจว่าเสียงของน้องชายคงมิได้ก่อความรำคาญอย่างที่เป็นกังวลในตอนแรก
“จริง ๆ นะ” เจ้าลูกเป็ดลดเสียงลงจนกลายเป็นกระซิบ
“จริงสิ”
ได้ยินดังนั้นหนูน้อยก็ยิ้มแฉ่งยกมือขึ้น
“อะไร”
“แปะมือสัญญาไง”
“แปะก็แปะ” คนอายุมากกว่าว่าพลางยกมือขึ้นสัมผัสมือของอีกฝ่าย “แปะแล้วต้องไปนะ”
เจ้าลูกเป็ดจอมซนไม่ได้กล่าวใด ๆ หยิบสีที่วางอยู่ใกล้มือมาระบายลงบนกระดาษส่วนเขาบอกว่ามันคือกระถางต้นไม้
“ตรงนั้นอะไร ขยุกขยิกอยู่ใต้ก้านใบนั่นน่ะ” บรรณภัทรชี้
“หนอนผีเสื้อ”
“แล้วนี่ล่ะ”
“ผีเสื้อไง นี่ปีก อันนี้หนวด”
“ไม่ได้ต่างกันเลย” ชายหนุ่มโคลงหัวเบา ๆ แล้วจัดการไอศกรีมในถ้วยต่อ เห็นว่าจวนได้เวลาเลิกงานของทั้งลุงมงคลและน้านิตย์จึงเตือนคนที่มัวแต่บรรยายภาพวาดของตนเอง
“ไอติมละลายหมดแล้ว รีบกินให้หมดเร็ว”
“ครับผม” เด็กชายยืดตัวตรงยกมือตะเบ๊ะแล้วรีบตักไอศกรีมที่กำลังเหลวเละเข้าปาก
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง ภควัตยกมือขึ้นขยับอินเอียร์ มองไอศกรีมในถ้วยที่เริ่มละลาย เขายังไม่ได้แตะมันเลยตั้งแต่เจ้าของร้านยกมาให้ เด็กหนุ่มหยิบช้อนตักใส่ปากได้สอง-สามคำก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ใช่...เขาได้ยิน และได้ยินชัดเจน ไม่เว้นแม้กระทั่งบทสนทนาก่อนหน้านี้ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหูฟังถูกเสียบไว้เฉย ๆ แต่ไม่ได้กดเล่นเพลง นัยน์ตาสีเข้มมองตามเสียงเห็นเด็กชายตัวเล็กวิ่งถือเงินไปจ่ายที่เคาน์เตอร์โดยมีพี่ชายเดินตามหลัง เมื่อรับเงินทอนเรียบร้อยสองคนก็จูงมือกันออกจากร้าน ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเดินผ่านหน้าเขาไป จู่ ๆ คนน้องก็สะบัดมือหลุดจากพี่ชายเดินรี่เข้ามายังแนวกระถางพุดศุภโชคที่วางเรียงอยู่บนฐานทำจากไม้ยกสูงจากพื้นระดับเอวของผู้ใหญ่ หันไปกวักมือเรียกอีกคนให้ดูผีเสื้อที่กำลังเกาะอยู่บนดอกไม้ ภควัตหลุบตามองช้อนไอศกรีมในมือเมื่อรู้สึกได้ว่าเงาของใครบางคนกำลังค่อย ๆ พาดทาบลงมาบนร่างของตนเอง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ปล่อยมือจากช้อน หยิบเครื่องเล่นเพลงชนิดพกพาเพื่อกดเล่นเพลงจากนั้นจึงสอดลงในกระเป๋ากางเกง ท่วงทำนองที่ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเป็นบทเพลงที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเขาและเพื่อน ๆ ตั้งใจซ้อมและบันทึกไว้เพื่อส่งประกวด แต่หลังจากรู้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยสมาชิกต่างลงความเห็นว่าควรยุบวง ดังนั้นบทเพลงนี้จึงไม่มีโอกาสได้นำไปเล่นที่ไหน
...คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เคยเดินตามหาก็ไม่เจอสักราย
แค่คนคนหนึ่งที่มีผลทางใจ
ที่เจอก็ไม่ใช่ ที่ใช่ก็ไม่เจอ...
บรรณภัทรเดินตามแรงดึงจากมือเล็ก โน้มตัวลงมองเจ้าแมลงปีกสวยที่กำลังเพลิดเพลินกับการเชยชมดอกไม้ แต่เพราะเจ้าลูกเป็ดจอมซนส่งเสียงดัง เจ้าผีเสื้อตัวน้อยก็สยายปีกบินขึ้น แม้มือเล็กจะรีบเอื้อมมือคว้าแต่ก็ได้เพียงอากาศ เห็นผีเสื้อปีกดำแต้มน้ำเงินย้ายไปเกาะที่อีกกระถาง เจ้าเป็ดน้อยก็ยังตามไปตอแยไม่เลิก ดังนั้นในตอนนี้ที่จุดเดิมจึงเหลือเพียงสองคนที่บังเอิญเงยหน้าขึ้นสบตากันโดยมีผนังกระจกกั้น
เพียงเสี้ยววินาที ต่างคนก็ต่างมองไปทางอื่น...
...คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
ที่สุดฟ้าก็พาให้มาพบเธอ
เธอคือคนเดียวที่ไม่ต้องเลิศเลอ
ได้อยู่ใกล้เธอเหมือนเจอสวรรค์ในหัวใจ...“รอพี่ด้วย” บรรณภัทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นน้องเดินห่างออกไป กระนั้นขายาวก้าวตามไม่กี่ก้าวก็ทัน ร่างสูงหยุดเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงรอบ ๆ ก่อนจะกดตามองคนตัวเล็กที่ยังคงเพลิดเพลินกับการไล่จับผีเสื้อ เห็นว่านาน ๆ ทีอีกฝ่ายจะได้มีโอกาสเล่นสนุกเช่นนี้จึงไม่ได้เร่งเร้า และเมื่อเจ้าแมลงปีกสวยบินสูงขึ้นจนยากจะคว้าเด็กชายก็หันมายิ้ม
“กลับเถอะพี่บุ๋น”
“ไม่จับกลับบ้านเหรอ”
คนถูกถามส่ายหน้าน้อย ๆ “เดี๋ยวพ่อกับแม่มันคิดถึง เป็ดยังคิดถึงพ่อกับแม่แล้วเลย”
บรรณภัทรฟังแล้วยิ้มอดใช้มือยีหัวอีกฝ่ายไม่ได้ “เป็ดน้อยเอ๊ย ไป...กลับกัน”
“ครับ” พูดจบเจ้าลูกเป็ดจอมซนก็เกาะแขนพี่ชายเดินไปด้วยกัน
ภควัตเลื่อนมองตามสองพี่น้องที่กำลังเดินจูงมือกัน เด็กหนุ่มลุกขึ้นดึงเป้ขึ้นสะพายหลัง จากนั้นจึงเดินไปจ่ายเงินค่าไอศกรีมแล้วผลักประตูออกไปนอกร้าน ตาคมมองสองคนที่กำลังจูงมือไม่ช้าพวกเขาก็ปะปนไปกับผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่บนบาทวิถี เจ้าของร่างสูงพรูลมหายใจยาวเดินเลียบแนวกระถางต้นไม้พลางใช้มือสัมผัสเรียดไปกับพุ่มใบสีเขียวที่แซมด้วยดอกเล็ก ๆ สีขาว ขายาวหยุดยังตำแหน่งตรงกับจุดที่เคยนั่ง มองเจ้าผีเสื้อที่บินวนเวียนไม่ไปไหน เช่นเดียวเครื่องเล่นเพลงพกพาที่ยังเล่นซ้ำเพลงเดิม เขาล้วงสองมือในกระเป๋ากางเกงพลางยิ้มกับตัวเอง หมุนตัวกลับแล้วเดินไปยังทิศทางตรงข้ามจึงไม่ทันเห็นเจ้าของร้านที่พยายามโบกมือเรียก เธอยืนอยู่ที่เก้าอี้ตัวประจำของเขา และบนโต๊ะยังคงมีกุหลาบกำหนึ่งกับกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนวางไว้
....
สถานีรถไฟกรุงเทพยามนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ดังแทรกเสียงสะล้อซอซึง โถงกว้างที่เคยเป็นที่พักผู้โดยสาร วันนี้ยกให้สำหรับจัดกิจกรรมรับน้องรถไฟที่หนึ่งปีจะมีเพียงหนึ่งหน หนุ่มสาวจำนวนมากนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ในขณะที่บางส่วนเดินสวนกันไปมาเพื่อจัดเตรียมข้าวของไว้เป็นเสบียงยามเดินทางไกล เฉลิมรัฐเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะยืดตัวชะเง้อหาคนที่เพิ่งวางสายไปเมื่อครู่ แต่แล้วเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้ต้องหันไปยังต้นเสียง เห็นกลุ่มสาว ๆ วัยมัธยมกรูกันเข้าล้อมหน้าล้อมหลังใครคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายในสถานี เขามองไปที่จุดนั้นครู่หนึ่งพร้อมกับคิดอะไรเพลินกระทั่งมือของใครบางคนแตะลงบนบ่า
“มัวมองอะไรอยู่” บรรณภัทรเอ่ยขึ้น
“มาแล้วเหรอ”
คนตัวเล็กกว่าคราง “อือ” ในลำคอ
“มายังไง”
“พ่อกับน้านิตย์มาส่ง พอดีเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนเชียงใหม่ก็เลยแวะคุยน่ะ เมื่อกี้ดูอะไรอยู่”
“เขามุงอะไรกันไม่รู้ มีดารามามั้ง” เฉลิมรัฐบอกพลางมองหาคนที่พอจะถามได้ ในที่สุดก็พบเพื่อนคณะเดียวกันเดินผ่านมาจึงเรียกอีกฝ่ายไว้ “เฮ้ย ๆๆ เดี๋ยวก่อน ๆ”
“มีอะไรวะ เรากำลังรีบ”
“ตรงนั้นเขามุงอะไรกันนายรู้ไหม ดารามาเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก รุ่นน้องเขามาส่งพี่โรงเรียนเขาน่ะ”
“รุ่นน้องมาส่งรุ่นพี่” เฉลิมรัฐทวนประโยคนั้นด้วยความแปลกใจ
“เออ” กำลังจะเดินต่อแต่ก็ถูกรั้งไว้อีก
“แล้วนายรู้ได้ยังไง”
อีกฝ่ายถอนใจแล้วไปยังกลุ่มเด็กสาวเหล่านั้น “ก็น้องสาวเราอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย” เห็นคนขี้สงสัยพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “เราไปได้หรือยัง”
“เออ ๆ ไป ๆ รีบไป” เจ้าของร่างสูงกว่าพร้อมกับปล่อยมือจากแขนเพื่อน
“นายสองคนก็รีบไปได้แล้ว อีกเดี๋ยวพิธีเปิดก็จะเริ่มแล้ว”
บรรณภัทรละสายตาจากคนที่เดินจากไปอย่างรีบร้อน หันไปถามเฉลิมรัฐที่ยืนอยู่ข้างกัน “เจอออมหรือยัง”
“ยังไม่เจอเลย นายได้คุยกันบ้างหรือเปล่า สรุปว่ามายังไง”
“เห็นว่านั่งสปรินเตอร์มากับอาจารย์แล้วก็เพื่อน ๆ ตั้งแต่เมื่อวาน”
“แล้วไปนอนที่ไหน นอนกับใครนายรู้หรือเปล่า”
“ถ้าอยากรู้ละเอียดขนาดนั้นทำไมไม่โทรไปถามล่ะ”
“ก็...ก็ๆๆๆๆ”
“ก็อะไร ทำไมต้องติดอ่างด้วยวะ”
“ก็เห็นว่านายสองคนสนิทกันไง ถามนายนั่นแหละดีที่สุด ว่าไง เมื่อคืนยัยหน้าม้านอนกับใครแล้วไปนอนที่ไหน”
“นอนบ้านอาจารย์”
สองคนยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ เสียงโทรศัพท์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“ว่าไงออม” บรรณภัทรกล่าวเมื่อกดรับสาย เหล่มองคนข้าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็ขยับเข้ามายืนใกล้จนแทบจะสิงร่างกัน “เราถึงแล้ว อืม...ได้สิ ถ้าเรียบร้อยแล้วเราจะโทรถามนะว่าออมอยู่ตรงไหน อื้อ...เดี๋ยวเจอกัน”
“ยัยนั่นว่าไง”
“ออมให้ช่วยซื้อของให้น่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ”
จากนั้นสองหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ เฉลิมรัฐแยกไปซื้อน้ำดื่มซึ่งอยู่ด้านในสุด ส่วนบรรณภัทรหยุดที่ชั้นยาและเวชภัณฑ์ เขาหยิบพาราเซตามอลแผงหนึ่งกับพลาสเตอร์ปิดแผลจากนั้นจึงเดินไปที่ชั้นขนม ตั้งใจจะซื้อมันฝรั่งทอดกรอบแบบที่อัจจิมากินบ่อย ๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่เธอฝากซื้อ ชายหนุ่มก้ม ๆ เงย ๆ หยิบถุงขนมสอง-สามอย่าง เมื่อได้ครบตามต้องการจึงยืดตัวขึ้น กำลังจะหมุนตัวกลับเพื่อไปจ่ายเงินก็เกือบจะชนกับเจ้าของร่างสูงที่เดินสวนมา
“ขอโทษครับ” ต่างคนต่างพูดขึ้นพร้อมกัน
ภควัตสืบเท้าไปอีกทางแต่ก็ดันใจตรงกับคนตรงหน้า เมื่อจะย้ายไปอีกทางความคิดก็เหมือนกันเสียอีก สุดท้ายก็ไม่ไปไหนไม่ได้สักที ดังนั้นชายหนุ่มจึงยืนนิ่งมองอีกฝ่ายที่กำลังหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง
“เสร็จแล้ว เดี๋ยวเรารีบไป” บรรณภัทรกล่าวทันทีที่กดรับสายไม่รอฟังว่าคนโทรมาจะพูดอะไร เขาเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มที่สูงกว่าตนเองอยู่เกือบคืบแล้วพูด “ขอทางหน่อยครับ” เห็นอีกฝ่ายหลีกให้จึงรีบเดินไปทันที
ภควัตยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หากจะหาสิ่งที่เคลื่อนไหวก็งมีแค่คนตัวเล็กกว่าที่ค่อย ๆ ห่างออกไป หัวใจของตัวเขาเองที่เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ และบทเพลงหนึ่งที่ขับขานแผ่วเบาในอินเอียร์
...จบแล้วที่เสาะหา
ได้มาพบตัวจริงสักที
ชีวิตต่อจากนี้
คงจะดีถ้ามีแต่เธอ...
เสียงพิธีกรประกาศเตือนทำให้ทุกคนทั่วบริเวณทราบว่าพิธีเปิดกิจกรรมรับน้องรถไฟกำลังใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนที่เดินอยุ่ด้านนอกจึงเข้าไปรวมตัวกันที่ลานด้านในสถานี ไม่ช้าพิธีการต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้น
“น่าเสียดายเนอะที่ปีนี้พี่คนนั้นไม่มา” เฉลิมรัฐเอ่ยขึ้น
“พี่คนไหน” บรรณภัทรถาม
“ก็คนที่เป็นดารา ที่เป็นศิษย์เก่าคณะนายไง”
“กานต์ ศุภกานต์น่ะเหรอ” อัจจิมาหันมาถาม
“อือ”
“ช่วงนี้คงไม่ว่างมาหรอกมั้ง ช่วงนี้ท่าทางจะกำลังฮ็อต เดินไปทางไหนก็เจอแต่ป้ายโฆษณาที่พี่เขาเป็นพรีเซนเตอร์ ไหนจะเดินสายโปรโมตละครอีก”
“รู้เยอะจริงนะ เธอนี่เป็นเจ้าของนามปากกาซ้อเจ็ดจุดห้าคนที่เขียนคอลัมน์ข้างบ้านดาราหรือเปล่า” เฉลิมรัฐถาม
“มันมีด้วยเหรอนามปากกากับคอลัมน์นี่น่ะ เราไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย เขาเขียนในนิตยาสารไหนเหรอ”
หนุ่มวิทยาศาสตร์กลั้นหัวเราะ “บทจะเชื่อก็เชื่อง่ายจริง ๆ”
“อ้าว นี่หลอกเราเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิยัยหน้าม้า”
“ไอ้บูมบ้า” หญิงสาวทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ทะเลาะกันอีกแล้ว” บรรณภัทรส่ายหัวก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง ไม่ร็เลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองตามตนเองอยู่
หลายคนปิดปากหาวเมื่อเข้าสู่ช่วงพูดคุยกันบนเวทีของบรรดาศิษย์เก่าหลากหลายอาชีพ ภควัตยืดตัวนั่งหลังตรงชะเง้อมองชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อยืดสกรีนตัวอักษรบ่งบอกว่าสังกัดคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งเดินสวนกันในร้านสะดวกซื้อ เห็นอีกฝ่ายกึ่งเดินไปทางห้องสุขาจึงหันบอกเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบภควัตก็ลุกขึ้นก่อนจะรีบวิ่งอ้อมไปอีกทาง
เมื่อถึงห้องสุขาขายาวก็หยุดยืน ดวงตาจับจ้องยังร่างของหนุ่มคณะวิทยาศาสตร์ที่กำลังใกล้เข้ามา และเมื่อเขามาถึง ภควัตก็แสร้งทำเป็นกำลังจะเดินออกจากห้องสุขา สองคนเผชิญหน้ากันที่หน้าประตูก่อนจะเป็นคนทุกข์หนักที่เอ่ยขึ้น
“หลบหน่อยครับ”
ภควัตเห็นอีกฝ่ายเตรียมจะย้ายเท้าไปอีกทางก็ขวางไว้ เป็นเช่นนั้นอยู่สอง-สามหน
“เอ๊า! จะขวางอีกนานไหมน้อง พี่ปวดขี้” เฉลิมรัฐบอกพลางลอบมองสัญลักษณ์นกพิราบบนอกเสื้อยืดสีขาวของน้องใหม่คณะสื่อสารมวลชน
“ขอโทษครับ” พูดจบคนอายุน้อยกว่าก็หลีกทางให้ เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นพักใหญ่ เมื่อเห็นชายหนุ่มคนเดิมเดินออกมาด้วยท่าทางสบายอกสบายใจจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“มีอะไรหรือเปล่าน้อง หาทางกลับไม่ถูกเหรอ”
“ปละ...เปล่าครับ”
“แล้วมาขวางพี่ไว้ทำไม”
“คือ... ผมมีเรื่องอยากถามพี่ครับ”
“มีอะไร”
“พี่... เอ่อ... พี่เป็นเพื่อนกับพี่ผู้ชายที่สูงเท่านี้” ภควัตทำมือประกอบ “คนที่ขาว ๆ สวมแว่นตาใช่ไหมครับ”
เฉลิมรัฐมุ่นคิ้ว “ทำไม มีอะไรเหรอ”
“พี่เขาชื่ออะไรเหรอครับ”
คนถูกถามยืนนิ่ง มองสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้ง ที่แท้เขาก็คือคนที่สาว ๆ พากันกรี๊ดกร๊าดเมื่อก่อนหน้านี้นี่เอง พลันมุมปากก็ยกขึ้นน้อย ๆ
“บู๊ เพื่อนพี่ชื่อบู๊”
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ