ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)  (อ่าน 9351 ครั้ง)

ออฟไลน์ ARMTORY

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
location แรกจาก กทม ขยับ สู่เชียงใหม่ และเดาว่าสถานีต่อไป ลี้ ลำพูน  อำเภอเล็กๆที่บรรยากาศดีจริงๆละครับ

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เพิ่งเห็นว่ามาแต่งเรื่องใหม่แล้ว ดีใจมาก มากกกก รอติดตามต่อนะครับ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เราจะขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่กับน้องบุ๋นด้วย

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ชอบแฮะ
ใครพระเอกนะ กานต์ปะ  ยังดูห่างไกลกันอยู่เลย

ออฟไลน์ valenna yy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
จะไปแทรกกลางกานต์กับวีหรอ รู้สึกไม่ดีเลย

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง (ครึ่งหลัง)


ในที่สุดเมื่อถึงเวลาบ่ายคล้อยรถไฟขบวนพิเศษก็พาคนหนุ่มสาวผู้มีความฝันมุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ เสียงกลองดังแข่งกันทั้งขบวนรถซึ่งมีทั้งหมดสิบสี่ตู้ ตลอดเส้นทางมีการแวะพักยังสถานีใหญ่ ๆ ได้แก่ สถานีรถไฟลพบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลกและนครลำปาง โดยใช้เวลาประมาณสามสิบนาที แต่ละสถานีมีศิษย์เก่าและรุ่นพี่เตรียมอาหาร ขนมและน้ำดื่มไว้ต้อนรับน้อง ๆ เป็นบรรยากาศอบอุ่นและตราตรึงอยู่ในหัวใจของหลายคนไปอีกแสนนาน เมื่อไรที่นึกถึงหรือหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังรังแต่จะสร้างรอยยิ้มไม่สิ้นสุด


รถไฟขบวนพิเศษเคลื่อนออกจากสถานีนครลำปางราว ๆ ตีสี่ครึ่ง หลายคนนั่งคอพับคออ่อน กระทั่งดวงอาทิตย์ทอแสงสีทองในตอนหกโมงเศษ ๆ เจ้าม้าเหล็กที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขันตลอดทั้งคืนก็ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านสถานีลำพูน เมื่อมีการบอกกันปากต่อปากว่าอีกไม่นานจะถึงจุดหมายปลายทาง ต่างคนต่างเก็บข้าวของตรวจสอบสัมภาระของตนเอง บรรณภัทรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เผลอยิ้มออกมาเมื่อภาพสองข้างทางเริ่มคุ้นตาคิดว่าหากพ่อมาด้วยกันป่านนี้ก็คงจะฮัมเพลงนิราศเวียงพิงค์ของศิลปิน ทูล ทองใจ เป็นรอบที่ร้อยแล้ว นึกได้จึงหยิบโทรศัพท์มือถือกดส่งข้อความให้ 'คุณบรรณวิชญ์' สบายใจว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาถึงเชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ทันทีที่รถไฟขบวนพิเศษจอดเทียบชานชาลาสถานีเชียงใหม่ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของแต่ละคนก็แทบมลายสิ้น เสียงรัวกลองดังกระหึ่มคละเคล้ากับเสียงร้องรำทำเพลงของบรรดารุ่นพี่ที่มารอรับ น้ำและอาหารถูกแจกจ่ายให้แก่น้อง ๆ ได้รองท้อง นักศึกษาใหม่อยู่ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่พักใหญ่ ๆ ก็ขึ้นรถต่อไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อร่วมพิธีต้อนรับที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนี้ก็เพื่อให้น้องใหม่ได้ทำความรู้จักและคุ้นเคยกับบ้านหลังใหม่ที่จะต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันไปอีก 4-6 ปี


ตั้งแต่เปิดภาคการศึกษาใหม่เป็นต้นมา นอกจากการรับน้องแล้วภายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้มักมีกิจกรรมให้นักศึกษาเข้าร่วมอยู่เนือง ๆ น้องใหม่คนไหนที่เคยเป็นกังวลว่าการมาอยู่ไกลบ้านจะทำให้รู้สึกเหงาต้องเปลี่ยนความคิด แม้แต่คนที่ไม่ใช่นักกิจกรรมตัวยงเองก็ยังแทบไม่มีเวลาคิดถึงบ้านเพราะต้องรีบทำงานที่อาจารย์ผู้สอนแต่ละวิชาพร้อมใจกันสั่งให้เสร็จตามกำหนด
ใครว่าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะสบายขึ้น? คือคำถามแรกที่บรรณภัทรถามตัวเองหลังจากเรียนไปได้หนึ่งเทอม ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีคำถามใหม่ ๆ เกิดขึ่นตามมา


ใครว่าเรียนเชียงใหม่อากาศเย็นสบายจนผิวขาวอมชมพู?

ใครว่าอยู่ใกล้ดอยสุเทพจะได้ขึ้นไปเที่ยวบนดอยบ่อย ๆ?


สิ่งเหล่านี้บางทีก็เป็นแค่ภาพฝัน สิ่งที่มีอยู่จริงสำหรับหลายคนก็คือรายงานกองโต โมเดลที่ต้องตัด แล็ปที่ต้องทำ ตำราที่ต้องท่อง ไปจนถึงสภาพอากาศอันร้อนระอุและฝุ่นควันที่ต้องเจอ แบบนี้นี้ก็คงไม่ต่างจากพวกที่เรียนมหาวิทยาลัยใกล้ทะเล ใครว่าอยู่ติดทะเลจะได้ไปเดินชมวิวทะเลทุกวัน? เรียนมาเป็นปีแล้วบางคนยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงคลื่น


....


เสียงอาจารย์ขาน "อีกห้านาทีจะหมดเวลาทำข้อสอบ ให้นักศึกษาเตรียมส่งกระดาษคำตอบ" ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาซึ่งนั่งอยู่กลางห้องจึงรวบกระดาษทั้งหมดบนโต๊ะลุกขึ้นเดินไปส่งที่หน้าห้อง เขาแวะหยิบเสื้อกันหนาวในล็อกเกอร์ แล้วมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารคณะมนุษยศาสตร์ ซื้อน้ำแตงโมปั่นที่ร้านประจำ จากนั้นจึงข้ามถนนเดินทอดน่องไปตามทางบนเนิน เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำอากาศยิ่งเย็นลง ยิ่งดูดน้ำแตงโมปั่นเข้าไปก็ยิ่งขนลุกไปหมด  บรรณภัทรสวมเสื้อกันหนาวที่น้านิตย์เพิ่งส่งไปรษณีย์มาให้แล้วนั่งลงที่ม้านั่งริมอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบ ดวงตาภายใต้กระจกแว่นทอดมองหมอกจาง ๆ ที่ลอยเรี่ยอยู่เหนือผิวน้ำพลางนึกถึงเรื่องที่คุยกับผู้เป็นพ่อเมื่อคืนก่อน เกือบหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่มีเรื่องต่าง ๆ ให้ทำมากมาย ส่งผลให้เขาลืมบางสิ่งบางอย่างไปเสียสนิทจนอีกฝ่ายต้องทวงถาม


"ตกลงแกจะเอายังไง จะสอบใหม่หรือจะเรียนที่นี่ต่อไป"

ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เลยไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้


ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ยกแก้วน้ำแตงโมปั่นขึ้นดูด ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นที่ด้านหลัง บรรณภัทรหันไปมองพลางยิ้มน้อย ๆ เมื่อพบว่าสองคนที่กำลังใช้วิธีลัดฉุดรั้งกันขึ้นมาบนเนินก็คือ 'เฉลิมรัฐ' กับ 'อัจจิมา' เพื่อนที่เขาสนิทที่สุดในตอนนี้
'เฉลิมรัฐ' หรือ 'บูม' เป็นคนที่พบกันโดยบังเอิญเมื่อครั้งรับน้องรถไฟและยังดันตกกระไดพลอยโจนต้องมาเป็นรูมเมทกัน นับแต่นั้นสองคนก็ตัวติดหนึบเรื่อยมา เฉลิมรัฐเรียนคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ส่วน 'อัจจิมา' หรือ 'ออม' เป็นเพื่อนที่คณะและเรียนสาขาบรรณารักษ์เช่นเดียวกับเขา


"มานั่งอยู่นี่เอง เราเดินหาเสียทั่วตึก" อัจจิมาเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึง


"หิวน้ำ เลยมาซื้อน้ำกินน่ะ" บรรณภัทรบอกพร้อมกับยกแก้วน้ำแตงโมปั่นให้ดู


“ทำข้อสอบได้ไหม” เห็นอีกฝ่ายพยักหน้า คนถามจึงถอนหายใจแล้วบ่นขมุบขมิบ “อาจารย์อรุณีชอบให้สอบท้ายชั่วโมงแบบไม่บอกไม่กล่าวทุกที”


“ออมทำไม่ได้เหรอ”


“ก็พอทำได้แหละ” อัจจิมาตอบอ้อมแอ้ม “แต่ถ้าอาจารย์บอกล่วงหน้าหน่อยก็คงดี”


“เท่าที่สังเกต อาจารย์ก็สอบเรื่องที่สอนของแต่ละสัปดาห์นั่นแหละ รู้แบบนี้คราวหน้าก็อ่านมาก่อน”


หญิงสาวพยักหน้ายิ้ม ๆ รู้สึกโชคดีที่มีเพื่อนกระตือรือร้นแบบบรรณภัทร เพราะมันพลอยทำให้เธอกระตือรือร้นตามเขาไปด้วย


“แหม...คุยกันจนลืมเนื้องอกที่ขึ้นอยู่ตรงนี้เลยนะ” อีกคนแทรกขึ้น


ได้ฟังดังนั้นบรรณภัทรจึงถามคำถามที่ตั้งใจไว้แต่แรก "สองคนมาด้วยกันได้ยังไง"


รอยยิ้มมีเลศนัยของเพื่อนทำเฉลิมรัฐรีบยกมือห้าม "อย่าคิดอกุศลเด็ดขาดไอ้บุ๋น"


"คิดอกุศลอะไรวะ" ถามพลางขยับที่ให้สาวน้อยนั่งข้าง ๆ


"สายตาแกมันฟ้อง" พูดจบก็นั่งลงตรงที่ว่าง กลายเป็นว่าตอนนี้บรรณภัทรคั่นกลางระหว่างสองคน “เราแค่ไม่มีเพื่อนกินข้าว ก็เลยไปหาแกที่คณะ ว่าจะชวนไปหาอะไรกิน พอดีเจอยัยหน้าม้า ยัยหน้าม้าเลยชวนมาดูแกที่นี่”


“เราไม่ได้ชวน แกตามเรามาเอง” อัจจิมาแย้ง


“เออ ๆ นั่นแหละ เราคิดว่าแกต้องอยู่ที่นี่ก็เลยตามยัยนี่มา แต่อย่าเข้าใจผิดนะ เราไม่ได้รู้สึกพิศวาสยัยนี่อย่างที่แกกำลังคิดหรอก"


"ยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย ร้อนตัวทำไมเนี่ย" บรรณภัทรหัวเราะ


"มีแต่แกนั่นแหละที่คิดอกุศล แล้วก็เลิกเรียกเราว่ายัยหน้าม้าสักที เราชื่อออม"


“จะเรียกจนกว่าจะเลิกตัดผมหน้าม้า” เฉลิมรัฐทำปากยื่นปากยาวล้อเลียน


"สองคนนี้เจอกันทีไรก็ทะเลาะกันทุกที" คนกลางส่ายหัว


"ก็บางคนชอบชวนทะเลาะ หน้าตาไม่ดีแล้วยังปากเสีย"


"อ้าว ๆ น้อย ๆ หน่อยยัยหน้าม้า เธอว่าใครปากเสีย"


"ใครร้อนตัวก็คนนั้นแหละ"


"ไอ้บุ๋น แกดูเพื่อนแกพูดสิ” รีบฟ้องบรรณภัทร แต่อีกฝ่ายกลับไม่ใส่ใจ


“ทำไม เราพูดของเราแบบนี้ นายจะทำไม”


“สาธุ! ปากแบบนี้โตไปขอให้ขึ้นคานทีเถอะ"


"ถ้าอย่างนั้นเราก็ขอให้นาย...โตไปเขียนโปรแกรมอะไรก็เจอแต่บั๊ก ทดสอบอะไรก็ขอให้เออเรอร์"


"โอ้โห! นี่แช่งไม่ให้ได้ลืมตาอ้าปากกันเลยเหรอยัยหน้าม้า"


"ก็จะได้ไม่มีใครกล้าคิดเอาไปทำสามี เชอะ!" หญิงสาวสะบัดหน้าหนี


เห็นหนุ่มวิทยาการคอมพิวเตอร์กำลังจะอ้าปากเถียงบรรณภัทรจึงรีบห้ามทัพ "พอแล้ว ๆ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เราหิวแล้ว"


"ไปไหนดี" เฉลิมรัฐทำตาวาว


"เราอยากกินขนมจีนน้ำเงี้ยว" อัจจิมาแทรกขึ้น


"อื้อ เอาสิ ตามใจออม" พูดจบคนนั่งกลางก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ สอดสองมือลงในกระเป๋าสูดลมหายใจลึกแล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมาด้วยความสบายใจ 


"ใส่เลือดเยอะ ๆ เนอะ" เฉลิมรัฐกล่าวพลางขยับเข้าใกล้และใช้ศอกสะกิดหญิงสาว


"ขอดอกงิ้วเยอะ ๆ นะคะคุณป้า" อัจจิมายิ้มกว้างดวงตาเปล่งประกายราวกับกำลังฝันหวาน


"ได้จ้ะหนู อะนี่ ป้าแถมต้นให้ด้วย หนูจะได้เอาไว้ปีนเล่นเวลาเบื่อ ๆ"


ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของสองคนข้างหลังแล้วบรรณภัทรอดยิ้มไม่ได้ บทจะทะเลาะก็ทะเลาะกันชนิดไม่มีใครยอมใคร แต่พอเวลาพูดถึงของกินละก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทุกที


….


ศุภกานต์เปิดประตูเข้ามาภายในห้องพักบนชั้นสูงสุดของคอนโดมิเนียมหรูย่านชานเมือง กวาดตามองหาเจ้าของห้องที่จะน่ามาถึงก่อนแล้ว เพราะฝ่ายนั้นเป็นคนนัดให้เขามาพบที่นี่ นักแสดงหนุ่มวางโทรศัพท์มือถือและแว่นตากันแดดซึ่งเป็นเครื่องประดับที่มักพกติดตัวสำหรับบดบังหน้าตาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงถอดเสื้อนอกพาดพนักโซฟา สายลมเย็นต้นฤดูหนาวพัดผ่านประตูระเบียงที่เปิดแง้มไว้ทำให้รู้ว่าปฐวีคงออกไปยืนรับลมที่ด้านนอก ดังนั้นศุภกานต์จึงอาศัยความคุ้นเคยหยิบเบียร์สองกระป๋องจากตู้เย็นแล้วเดินตามออกไปที่ระเบียง ชายหนุ่มวางกระป๋องอะลูมิเนียมเย็นเฉียบลงบนโต๊ะเตี้ย ๆ แล้วสวมกอดคนรักจากด้านหลังพลางกระซิบเบา ๆ


"คิดถึงจัง”


ปฐวีเลื่อนตาลงมองท่อนแขนแกร่งที่บัดนี้สีไม่เสมอกันเพราะอีกฝ่ายต้องถ่ายละครท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุบนภูเขาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาหลายสัปดาห์แล้ว


“เหนื่อยไหม”


“เหนื่อยสุด ๆ เลย กลางวันแดดร้อน กลางคืนยุงก็เยอะ แต่ได้มาเจอวีแล้วหายเหนื่อย” พูดจบจึงคลายมือออก คว้าเบียร์กระป๋องหนึ่งขึ้นมาเปิดแล้วส่งให้คนที่เอาแต่ทอดตามองแสงไฟระยิบระยับเบื้องล่าง จากนั้นจึงเปิดอีกกระป๋องแล้วยกขึ้นดื่ม


"พรุ่งนี้มีงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ยังจะดื่มอีก" ปฐวีกล่าวพลางหมุนกระป๋องในมือ


"แค่นี้ไม่เมาหรอก" นักแสดงหนุ่มคลี่ยิ้มแล้วดื่มอีกอึก เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของคนรัก แต่ไม่อยากถามตรง ๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการลุกล้ำเรื่องส่วนตัวจึงได้แต่ชวนคุยเรื่องอื่น "วันนี้ตามพ่อไปพบลูกค้าเป็นยังไงบ้าง"


คนถูกถามชะงัก วางกระป๋องลงบนราวระเบียงแล้วตอบตามจริง "ไปถึงร้านถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ลูกค้า แต่เป็นเพื่อนของพ่อที่นักธุรกิจอัญมณี เขามากับลูกสาว"


"สวยสู้น้องพรีมไหม" ศุภกานต์แกล้งแซว หวังจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นแต่ปฐวีกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม


"สวย จบจากเมืองนอก ตอนนี้กลับมาช่วยที่บ้านดูแลกิจการร้านจิวเวลรี่" ลูกชายนักธุรกิจกล่าวพร้อมกับหันไปมองคนที่กำลังดื่มเบียร์จากกระป๋อง "เพราะแบบนี้พ่อก็เลยอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้"


ประโยคหลังทำศุภกานต์ชะงัก เห็นสีหน้าของปฐวีแล้วร็ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้แกล้งพูดเล่นเหมือนที่เคย ตาคมจ้องกระป๋องอะลูมิเนียมในมือพลางถอนหายใจเบา ๆ


"แล้ววีว่ายังไง"


"วีบอกพ่อว่าวียังไม่คิดเรื่องนี้ ขอทำงานไปเรื่อย ๆ ก่อน แต่พ่ออยากให้หมั้นหมายกันไว้"


ศุภกานต์นิ่งงันชั่วขณะ อยากตบหน้าตัวเองแรง ๆ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เจออยู่ตอนนี้เป็นเพียงความฝัน แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่พยายามคิดหาวิธีที่จะคลี่คลายปัญหานี้ ในที่สุดเขาจึงเอ่ยขึ้น "ให้กานต์ไปคุยกับพ่อวีไหม กานต์จะไปพบท่านแล้วบอกท่านว่าเราสองคนรักกัน"


คนฟังหันขวับรีบห้าม "ไม่นะกานต์ อย่าทำแบบนั้นนะ กานต์ก็รู้ว่าพ่อมีโรคประจำตัว ถ้าพ่อรู้พ่อต้องโกรธมากแน่ ๆ วีกลัวว่าอาการของพ่อจะกำเริบ"


"แล้วจะปล่อยให้มันคาราคาซังอยู่แบบนี้น่ะเหรอ วีเองก็รู้ว่าวีต้องการอะไร เรื่องแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อหาให้ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้" นักแสดงหนุ่มหยุดไปชั่วอึดใจแล้วถามต่อด้วยเสียงแผ่วเบาไม่มั่นคง "ไม่ใช่เหรอ"


ปฐวีมิได้ตอบแต่กลับคว้ากระป๋องเบียร์ขึ้นกระดกจนพร่องไปเกือบครึ่ง ใช้หลังมือซับน้ำใต้ริมฝีปากเหม่อมองออกไปไร้จุดหมาย
ศุภกานต์ละสายตาจากสีหน้าเป็นกังวล แม้จะรู้ดีว่าหัวใจตัวเองหนักแน่นแค่ไหน แต่ลึก ๆ ก็ยอมรับว่าท่าทีของอีกฝ่ายได้สร้างความหวาดหวั่นให้เกิดขึ้นภายในใจของตนอยู่ไม่น้อย กระนั้นยังยืนยันในเจตนารมณ์ "พรุ่งนี้กานต์จะเป็นคนไปคุยกับพ่อวีเอง" พูดจบก็ออกแรงบีบกระป๋องบุบบี้จนน้ำสีอำพันที่ยังเหลือเกือบครึ่งทะลักออกมา


"ไม่ได้นะกานต์" ปฐวีรีบคว้าข้อมืออีกฝ่าย "ขอวีแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีการของวีก่อนนะ"


"แล้ววีจะทำยังไง"


"วีตั้งใจว่าจะถ่วงเวลาไว้ก่อน วีจะไปเรียนต่อ เรื่องนี้วีผลัดพ่อมานานแล้ว ถ้าไปเรียนตามที่พ่ออยากให้เรียนแล้วค่อย ๆ เรื่องของเรา ถึงตอนนั้นพ่อน่าจะยอมฟัง" ชายหนุ่มกล่าวน้ำตาคลอ "นะกานต์ ให้วีลองใช้วิธีนี้ก่อนนะ"


แม้จะไม่เห็นด้วยเพราะนั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาในระยะยาว แต่เมื่อคนรักต้องการเช่นนั้นศุภกานต์ก็ทำเพียงพยักหน้า เขาดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "กานต์รักวีนะ ไม่ว่าถึงนั้นพ่อวีจะว่ายังไง เราจะจับมือกันแล้วก้าวผ่านมันไปให้ได้"


ผลจากการตกลงกันในวันนั้นส่งผลให้สองคนต้องอยู่ห่างกันคนละซีโลก ปฐวีได้รับอนุญาตจากผู้เป็นพ่อให้เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเรียนด้านการตลาดเพื่อกลับมาดูแลกิจการของครอบครัว ในวันเดินทางศุภกานต์ไม่สามารถตามไปส่งได้เนื่องจากต้องถ่ายรายการโปรโมตละครที่เพิ่งปิด  กระนั้นในช่วงหยุดยาวต้นฤดูร้อนนักแสดงหนุ่มยังปลีกตัวจากคิวงานที่ยาวเป็นหางว่าวไปพบคนรักจนได้ เขาใช้โอกาสนี้ถามถึงสัญญาที่อีกฝ่ายได้ให้ไว้เรื่องที่ว่าจะค่อย ๆ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ครอบครัวได้เข้าใจ แต่ปฐวีกลับขอเวลาอีกหน่อยด้วยเกรงว่าผู้เป็นพ่อจะทำใจยอมรับไม่ได้ ดังนั้นศุภกานต์จึงต้องเตือนตัวเองให้ใจเย็น อีกไม่นานวันนั้นคงจะมาถึง


จากการเดินทางไปต่างประเทศแบบกะทันหันซ้ำยังไม่มีผู้จัดการส่วนตัวติดตามไปดูแล ทำให้พระเอกคนดังกลายเป็นที่จับตามมองของบรรดานักข่าว ต่างนำไปเขียนในคอลัมน์ซุบซิบว่าแท้จริงแล้วเจ้าตัวแอบไปพบนางเอกคู่ขวัญที่กำลังท่องเที่ยวกับครอบครัวอยู่ในประเทศออสเตรเลีย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถหาตัวเขาพบ จึงไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเขาไปหานางเอกสาวจริงตามที่เป็นข่าว ในที่สุดเสียงลือเสียงเล่าอ้างก็ซาลงจนกระทั่งศุภกานต์เดินทางกลับประเทศไทย 


"ไงจ๊ะพ่อคุณ เที่ยวสนุกไหม"


คำถามนั้นทำคนฟังอมยิ้ม นับเป็นคำทักทายแรกจากผู้จัดการสาวเมื่อเท้าเหยียบแผ่นดินแม่


"สนุกครับ" เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วดันแว่นตากันแดดและขยับปีกหมวกแก๊ปลง อีกมือลากกระเป๋าเดินทางใบโตในขณะที่ขายาวก้าวอย่างไม่รีบร้อนด้วยมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดจำตนเองได้อย่างแน่นนอน เพราะตั้งหัวจรดเท้าถูกอำพรางอย่างมิดชิด คนที่มารอรับเองก็รู้วิธีเอาตัวรอดจากนักข่าวได้ดีไม่แพ้กัน


"สนุกก็ดีแล้วจ้ะ ตอนนี้หมดเวลาสนุกแล้วนะ ต้องคิดคำตอบเอาไว้ตอบคำถามนักข่าว" หญิงสาวกล่าวพร้อมกับกดรีโมตปลดล็อกประตูรถนั่งแบบครอบครัว รอจนพระเอกหนุ่มยกกระเป๋าใส่ท้ายรถเรียบร้อยจึงเปิดประตูนั่งประจำที่คนขับ


"ก็ตอบไปตามจริงสิครับพี่มุ่ย บอกเขาว่ากานต์ไปหาแฟน แค่นี้ทุกอย่างก็จบ" ศุภกานต์กล่าวอย่างอารมณ์ดีเมื่อเข้ามานั่งข้างกัน


"จบจ้าาา เธอจบพี่ก็จบ จบชีวิตนะ" มธุรสมองค้อน "ขืนตอบแบบนั้นไม่ใช่กานต์คนเดียวที่เสียหาย น้องวีก็จะพลอยโดนขุดคุ้ยไปด้วย ทีนี้มีหวังถูกผู้ใหญ่เรียกไปคุยแน่ ๆ อย่าลืมว่าเราเป็นคนของประชาชนนะกานต์ แต่ละย่างก้าวมีคนคอยจับตามองอยู่ ล้มเมื่อไรพวกที่ไม่ชอบเรายิ่งได้โอกาสเหยียบซ้ำ"


"เฮ้อ! คำก็คนของประชน สองคำก็คนของประชาชน เมื่อไรกานต์จะได้เป็นแค่นายศุภกานต์ คนธรรมดา ๆ กับเขาบ้างนะ ถ้าเป็นแบบนั้นละก็...รักใครจะประกาศให้โลกรู้ไปเลย”


“ถ้ากานต์ยังอยากทำอาชีพนี้อยู่ จะคิดทำอะไรก็ต้องระวังตัวให้มาก ๆ อาชีพนักแสดงเหมือนดอกไม้นั่นแหละ ช่วงเวลาที่บานสะพรั่งคือช่วงที่ดอกไม้สวยที่สุด ผีเสื้อพากันบินเข้าหา ใครที่ได้เห็นก็อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ แต่อย่าลืมว่าโลกนี้ไม่ได้มีดอกไม้แค่ดอกเดียว ดอกนี้แห้งเหี่ยวโรยราก็มีดอกใหม่ ๆ พร้อมจะเบ่งบานแทนที่ เพราะฉะนั้นใช้ช่วงเวลาที่ดอกไม้สวยที่สุดให้คุ้มค่า เข้าใจที่พี่พูดไหม”


“เข้าใจแล้วครับ” หนุ่มหล่อลากเสียง “กานต์แค่บ่นนิดเดียวเองพี่มุ่ยพูดเสียยาวเลย”


“พี่ก็แค่เตือนน่ะ อยากให้กานต์มีงานดี ๆ วิ่งเข้าหาแล้วก็มีคนรักเยอะ ๆ ของพวกนี้มันไม่อยู่กับเรานานหรอกนะ”


ศุภกานต์พยักหน้า “ขอบคุณนะครับพี่มุ่ย แล้วก็ขอโทษที่ทำให้พี่ต้องยุ่งยากระหว่างที่กานต์ไม่อยู่”


“ไม่เป็นไรจ้ะ ก็พี่หลวมตัวมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้พระเอกที่ฮ็อตที่สุดของยุคนี้แล้วนี่” มธุรสหันไปมองคนข้าง เห็นอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยแล้วอดหัวเราะไม่ได้ แม้จะรู้ว่าศุภกานต์ไม่ชอบฉายานี้แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ 


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ และแล้วเราก็เดินทางขึ้นเหนือกันสักทีนะคะ

หลายคนคงเริ่มปวดหัวเพราะตัวละครเยอะแยะไปหมดเลย

ซึ่งเราเองก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามบริบท อาชีพการงานของลุงกานต์ (พระเอกของเรื่อง)

ที่ต้องพบปะผู้คนมากมายค่ะ แต่ว่าตอนหน้าน่าจะเป็นการปรากฏตัว

ของตัวละครหลักตัวสุดท้ายแล้วค่ะ จะเป็นบอสใหญ่ที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งบุ๋นและกานต์

รับรองว่าไม่มีใครแทรกกลางใครอย่างที่คนอ่านบางท่านอาจจะเป็นกังวลอยู่แน่นอนค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเมนท์นะคะ


 

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อ่า แบบนี้คงต้องเตรียมน้ำใบบัวบกไว้ให้ลุงกานต์แล้วสินะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

กานต์สวมคอนเวิร์สกับวีสินะ

แล้วก็หลบไปรักษาแผลใจที่เมืองเหนือ 

จากนั้นก็คงไปป๊ะกันแห็มกับเจ้าบุ๋น

จากนั้นก็คงเป็นไปตามครรลอง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พ่อดาราของเรามีแววกินน้ำบัวบกมาละ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JaikOrn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :impress2: รอลุงกานต์มาเจอบุ๋นบุ๋นไวไวน้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 118
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :ling2:น้องวีคะ.. ถ้าไม่เอาแบ้วห้ามมาทวงคืนเด้อๆ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 4 โลกกลม



หนึ่งปีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นหลังสอบปลายภาคแต่ภายในมหาวิทยาลัยก็ยังคงคึกคัก นักศึกษาบางคนถือโอกาสท่องเที่ยวสถานที่สำคัญในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงก่อนเดินทางกลับบ้านเกิด ในขณะที่บางคนก็หางานพิเศษทำ เช่น การรับสอนพิเศษ การทำงานในร้านสะดวกซื้อหรือร้านอาหาร อีกทั้งในช่วงเวลาเช่นนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาปีหนึ่งที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นรุ่นพี่ต่างเตรียมตัววางแผนต้อนรับน้องใหม่ร่วมกับนักศึกษาปีสองที่กำลังจะขึ้นปีสาม ซึ่งนับว่าเป็นกำลังหลักของทั้งสี่ชั้นปี  เวลาหนึ่งปีสำหรับบรรณภัทรถือว่ายาวนานพอสำหรับการทบทวนเพื่อเลือกทางเดินให้กับตัวเอง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสำเร็จการศึกษาที่สถาบันแห่งนี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่รั้งรอที่จะตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาชุมชนที่สาขาวิชาบรรณารักษ์จัดขึ้นทุกปี โดยปีนี้บรรดานักศึกษาชวนกันรับบริจาคหนังสือเพื่อนำขึ้นไปให้แก่เด็ก ๆ ที่อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และครั้งนี้ก็มีเฉลิมรัฐที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเพื่อนซี้ของทั้งบรรณภัทรและอัจจิมาร่วมเดินทางไปด้วย นอกจากนำหนังสือไปมอบให้แก่ห้องสมุดของโรงเรียนแห่งหนึ่งแล้ว เหล่านักศึกษายังมีแผนช่วยกันซ่อมแซมสนามเด็กเล่นและโรงอาหารเท่าที่จะสามารถทำได้ตามงบประมาณที่สาขาวิชาสนับสนุน ภารกิจทั้งหมดเรียบร้อยด้วยดีภายในระยะเวลาสามวันสองคืน วันเดินทางกลับอัจจิมาขอลงระหว่างทางเพื่อต่อรถไปยังอำเภอสะเมิงโดยมีบรรณภัทรและเฉลิมรัฐติดสอยห้อยตามไปด้วย และเนื่องจากเป็นการชักชวนกันโดยมิได้เตรียมการล่วงหน้า เมื่อถึงตัวอำเภอหญิงสาวจึงอาศัยความเป็นเจ้าถิ่นขอติดรถคนรู้จักซึ่งพบกันโดยบังเอิญไปลงที่บ้านแทนการโทรศัพท์ให้พ่อมารับ


รถกระบะสนิมเขรอะพาทั้งสามคนลัดเลาะไปตามไหล่เขาท่ามกลางแสงแดดยามเย็น ผ่านไร่นาป่าไม้และทุ่งข้าวสาลี ขึ้นลงเนินอยู่หลายหนจนตะวันคล้อยต่ำเต็มทีแต่ไม่มีวี่แววจะถึงจุดหมาย บรรณภัทรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูพลางคาดคะเน จากจุดที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้น่าจะห่างจากตัวอำเภอราว ๆ ยี่สิบกิโลเมตร ชายหนุ่มทอดตามองไปยังทางที่ผ่านมา ภาพต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวสดค่อย ๆ หม่นลงยามอาทิตย์ลับขอบฟ้า นิสสันบิ๊กเอ็มเลี้ยวจากถนนเส้นหลักขึ้นไปตามทางดินจนในที่สุดก็ชะลอความเร็วและจอดสนิทหน้าบ้านหลังหนึ่ง เมื่อทั้งสามคนก้าวลงจากท้ายรถ แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ใต้ชายคาซุ้มประตูก็ติดขึ้นพอดี แม้อากาศจะเย็นเยือกแต่ทันทีที่ก้าวขึ้นบันไดบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนยกสูงชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของการได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก อัจจิมาถูกต่อว่าเล็กน้อยที่พาเพื่อนมาโดยไม่บอกกล่าว ทำให้ผู้เป็นแม่มิได้ตระเตรียมอาหารไว้รับรองจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น แต่เพียงแค่ไข่เจียว น้ำพริก ผักต้ม เครื่องกระป๋องและข้าวสวยร้อน ๆ ก็ทำให้มื้อค่ำวันนี้แสนพิเศษได้


การมาเยือนของสองหนุ่มจากกรุงเทพฯ ดูจะสร้างความตื่นเต้นให้แก่เจ้าของบ้านผู้มีชีวิตวนเวียนเพียงแค่สะเมิง-เชียงใหม่ไม่น้อย เห็นได้จากคำถามมากมายที่บรรณภัทรและเฉลิมรัฐต้องผลัดกันตอบจนมื้ออาหารกินเวลาไปจนเกือบสองทุ่ม อัจจิมาที่นั่งฟังอยู่นานจึงแสร้งทำเป็นน้อยอกน้อยใจที่ไม่ได้รับความสนใจจากพ่อและแม่ หลังจากช่วยกันเก็บล้างจานชามเรียบร้อยหนุ่มสาวก็ทยอยอาบน้ำอาบท่าแล้วกลับมารวมตัวกันที่ระเบียงหลังบ้าน ตะเกียงเจ้าพายุถูกจุดทดแทนแสงสว่างจากหลอดไฟนีออนที่ใต้ชายคา เพียงเพราะเหตุผลแสนธรรมดาแต่สุดโรแมนติกของหัวหน้าครอบครัวที่ว่าจะได้เห็นดาวชัด ๆ


“ตอนเจ้าออมไม่อยู่ พ่อกับแม่ชอบมานั่งดูดาวด้วยกันที่นี่บ่อย ๆ คืนนี้นอนกันเสียตรงนี้ก็แล้วกัน” พอพูดจบพ่อก็จัดแจงขนเต็นท์ทรงโดมแบบที่นอนได้สองคน หมอนและผ้าห่มออกมาให้


“ขอบคุณครับพ่อ” บรรณภัทรกล่าวพลางรับถุงใส่เต็นท์จากมือของอีกฝ่าย วางลงกับพื้นแล้วรูดซิปดึงเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกมา


“คิดว่าจะได้ออกไปกางที่ลานหน้าบ้านเสียอีก” เฉลิมรัฐกล่าวขณะประกอบเสาเต็นท์


“ตอนแรกพ่อก็จะให้เอาลงไปกางข้างล่างนั่นแหละ แต่แม่เขากำชับไว้ กลัวว่าพวกเราจะไม่สบาย ดึก ๆ น้ำค้างมันแรงน่ะ อีกไม่กี่วันก็จะกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว เกิดป่วยขึ้นมาละแย่เลย” อธิบายพลางมองสองหนุ่มที่กำลังช่วยกันกางเต็นท์ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว “ว่าแต่สองคนนี้ ใครเป็นแฟนเจ้าออมล่ะ”


สิ้นประโยคนั้นสองคนต่างเงยหน้าขึ้นสบตากันแล้วหันไปยังคนถาม


“พ...พ่อว่าอะไรนะครับ” เฉลิมรัฐกลืนน้ำลายเอื๊อก


“พ่อถามว่า เราสองคนน่ะ ใครเป็นแฟนออม” มองสองคนสลับกันอย่างใช้ความคิด สุดท้ายหวยก็ออกที่บรรณภัทร “บุ๋นเหรอ”


“ม...ไม่ ไม่ ๆๆ ไม่ใช่ครับ” จู่ ๆ เจ้าของชื่อก็เกิดติดอ่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“ถ้าอย่างนั้นก็เราสินะ” ว่าแล้วก็เบนหน้าไปยังเฉลิมรัฐ


“ค...คือ...ผ...ผม...” นี่ก็ติดอ่างอีกคน


“ไม่ต้องเขิน” ผู้เป็นพ่อโบกมือส่ง ๆ “จะคบหากันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เจ้าออมมันไม่เคยพาใครบ้าน อยู่ ๆ ก็พามาเปิดตัวแบบนี้พ่อกับแม่ตั้งตัวไม่ทันเท่านั้นเอง”


“ผมไม่ใช่...”


“เปิดตงเปิดตัวอะไรจ๊ะพ่อ” อัจจิมาเอ่ยขึ้น ในที่สุดคนที่กำลังถูกพูดถึงก็ปรากฏตัวขึ้นสักที เฉลิมรัฐที่ถูกเข้าใจผิดจึงถอนใจอย่างโล่งอก


ผู้เป็นพ่อครางฮือในลำคอ “บอกแล้วว่าไม่ต้องเขิน เป็นแฟนก็บอกเป็นแฟน”


“ใครเป็นแฟนใครจ๊ะพ่อ”


“ก็เจ้านี่ไง อืม...ชื่อบูมใช่ไหมเรา”


“ค...ครับ ผมชื่อบูมครับ แต่ไม่ได้เป็นแฟนออมครับ”


“ฮะ?” หญิงสาวหันขวับ มองเฉลิมรัฐที่กำลังส่ายหัวดิก “ออมกับบูมไม่ได้เป็นแฟนกันนะพ่อ”


“ไม่ต้องเขินน่า” พ่อกล่าวอย่างอารมณ์ดี


“ออมไม่ได้เขิน แล้วออมกับบูมก็ไม่ได้เป็นแฟนกันด้วย ไม่มีทางเด็ดขาด ปากอย่างนี้ใครจะเอามาทำแฟน”


ตอนแรกเฉลิมรัฐก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่พอได้ฟังประโยคหลังหัวคิ้วชักมุ่นเข้าหากัน


“อ้าว ๆ พูดแบบนี้เดี๋ยวก็สวยหรอกยัยหน้าม้า” คนถูกพาดพิงไม่ยอมลดราวาศอกถึงกับวางมือจากสิ่งที่กำลังทำ หันมาเถียงคอเป็นเอ็น คงลืมไปแล้วกระมังว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่


“ทำไม จะทำไม”


“ต่อไปอย่ามาขอให้พาไปกินอะไรอร่อย ๆ นะ ไม่พาไปแล้ว”


“เราไปกับบุ๋นก็ได้ เนอะ” อัจจิมาหันมาหาแนวร่วม


“ไปได้ยังไง บุ๋นมันเป็นเพื่อนซี้เรา ไม่ใช่เพื่อนซี้เธอสักหน่อย ใช่ไหมบุ๋น”


คนกลางไม่ได้ตอบ หากแต่เดินเลี่ยงออกจากสงครามขนาดย่อม


“ทำไมกลายเป็นจะวางมวยกันไปได้ล่ะ” พ่อยกมือขึ้นเกาหัว


“เรื่องปกติครับพ่อ สองคนนี้คุยกันดี ๆ ได้ไม่กี่คำ”


“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สินะ”


บรรณภัทรมองอีกฝ่ายแล้วอมยิ้ม


“แล้วนี่... ไม่ต้องห้ามเหรอะ”


“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวเหนื่อยก็เลิกเถียงกันไปเอง”


เมื่อเห็นว่าสองคนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทะเลาะกัน พ่อซึ่งเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องนี้จึงเดินหนีเข้าห้องนอนไปเสียดื้อ ๆ ส่วนบรรณภัทรคว้าเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ เสร็จเรียบร้อยจึงเดินมากลับออกมา เห็นเพื่อนทั้งสองกำลังช่วยกันกางเต็นท์ แต่ก็ไม่วายยังเถียงกันอยู่


“ตอนกลางวันเราไปกินข้าวกับบุ๋นทุกวัน เรารู้ว่าบุ๋นชอบกินอะไร” อัจจิมาว่าพลางโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์


“เราก็รู้” เฉลิมรัฐกล่าว เขาคว้ากีตาร์ก่อนจะเดินกลับมานั่งใกล้ ๆ “เรารู้ว่าบุ๋นชอบกินน้ำแตงโมปั่น”


“บุ๋นชอบกินไข่ตุ๋น” หญิงสาวทำท่านึก “อืม...ขนมจีนน้ำเงี้ยวด้วยหรือเปล่านะ”


“มีแต่เธอนั่นแหละที่ชอบกินขนมจีนน้ำเงี้ยว ไอ้บุ๋นมันชอบกินอะไรจืด ๆ ต้มจืด ไข่ลูกเขย ไข่เจียว หมูทอด”


“ก็เพราะบุ๋นเป็นคนกินง่ายไง อันนี้เราก็รู้”


เฉลิมรัฐส่ายหัวระอา “มันไม่ได้กินง่าย แต่มันกินได้แค่นี้”


อัจจิมาหน้ามุ่ย “แต่เรารอบุ๋นหน้าคณะทุกเช้าแล้วก็เข้าห้องเรียนพร้อมกันทุกวัน


“เราก็ไปรอรับมันกลับหอที่หน้าคณะทุกวันเหมือนกัน”


“เรานั่งเรียนกับบุ๋นทุกวิชาไม่เคยขาด” หญิงสาวเริ่มขึ้นเสียง


“แต่เรานอนกับมันทุกคืน” ชายหนุ่มทำแยกเขี้ยว


บรรณภัทรมองสองคนสลับกันพลางถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจู่ ๆ ตนเองถูกลากเข้าไปเกี่ยวได้อย่างไร “พอแล้ว ๆ มันใช่เรื่องที่ต้องเอามาข่มกันไหมเนี่ย” ว่าแล้วก็เดินไปคว้ากีตาร์ที่ตั้งพิงอยู่กับระเบียงส่งให้เจ้าของร่างสูงที่เพิ่งนั่งลง


“พ่อกับแม่วุ่นวายหน่อยนะบุ๋น” อัจจิมาบ่นพร้อมกับนอนลงเอาคางเกยหมอน “เราไม่เคยพาเพื่อนมาเที่ยวบ้านน่ะ”


“พอพามาครั้งแรกก็เป็นเพื่อนผู้ชายเลย แถมสองคนอีกต่างหาก” เฉลิมรัฐบ่นงึมงำพลางแตะปลายนิ้วลงบนสายโลหะจนเกิดเสียง


“ไม่ได้วุ่นวายอะไรเลยออม พ่อกับแม่ออมน่ารักดีออก เอาไว้ไปเที่ยวกรุงเทพฯ เราจะพาออมไปนอนบ้านเราบ้าง” บรรณภัทรบอก


“จริงนะ เกิดมายังไม่เคยไปกรุงเทพฯ เลย” หญิงสาวกล่าวอย่างตื่นเต้น แสงสีนวลจากตะเกียงยิ่งทำให้เห็นประกายในดวงตาคู่สวย


คำพูดซื่อ ๆ ทำอีกคนต้องหยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นถาม “ไม่เคยไปเลยเหรอ”


“อือ ตอนเรียนมัธยมก็เรียนโรงเรียนแถวนี้ ไกลสุดก็แค่ไปเรียนพิเศษในเชียงใหม่” แววตาของหญิงสาวหม่นลงเล็กน้อยแต่ในที่สุดก็ทอประกายสดใสขึ้นอีกครั้ง “ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าอยู่ไกลกันขนาดนี้เราสามคนจะมาเจอกันได้”


“นั่นสิ ถ้าไม่ได้มาเรียนที่นี่ก็คงไม่ได้เจอกัน” บรรณภัทรว่า


“แล้วถ้าเรียนจบแล้วล่ะ บุ๋นคิดไว้ไหมว่าอยากทำอะไร”


คนถูกถามนิ่งนึกก่อนจะส่ายหัว “ยังไม่ได้คิดเลย”


“ไม่ถามเราบ้างเหรอ” เฉลิมรัฐแทรกขึ้น


“ไม่ถาม ไม่อยากรู้” อัจจิมาทำจมูกย่น


“แต่เราอยากบอก เราอยากเป็นสุดยอดโปรแกรมเมอร์ มีเงินเยอะ ๆ ได้ไปทำงานเมืองนอกก็ยิ่งดี”


“คนอะไรยังไม่ได้หลับก็ฝันแล้ว” 


“อ้าวยัยนี่”


“เอาละ ๆ อย่าทะเลาะกัน” บรรณภัทรรีบห้าม “แล้วออมล่ะอยากทำอะไร”


“อืม...เราเหรอ เราคงเป็นครูบรรณรักษ์แล้วก็กลับมาช่วยงานพ่อกับแม่ที่นี่แหละ”


คนถามพยักหน้า ไม่มีใครพูดอะไรอีกเมื่อจู่ ๆ เสียงกีตาร์โปร่งก็ดังขึ้นเป็นทำนองเพลงเพื่อชีวิตเพลงเดียวกันกับที่เฉลิมรัฐร้องและเล่นรอบกองไฟค่ายอาสาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา


.....


วันต่อมาอัจจิมาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อออกไปช่วยงานในไร่ ทั้งบรรณภัทรและเฉลิมรัฐอาศัยโอกาสนี้ขอติดตามไปด้วย ดังนั้นผู้เป็นแม่จึงค้นเสื้อเชิ้ตแขนยาวเก่า ๆ ออกมาให้ทุกคนสวมทับชุดที่ใส่อยู่ แถมแจกผ้าขาวม้าและหมวกสานปีกกว้างให้อีกคนละใบเพื่อป้องกันแสงแดดที่ร้อนระอุในตอนกลางวัน การได้ท่องเที่ยวไปในไร่ทำให้รู้ว่านอกจากที่นี่จะเป็นพื้นที่ทำการเกษตรแล้ว เจ้าของยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและเลือกซื้อผลไม้โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอีกด้วย พื้นที่ทั้งหมดดูคล้ายแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขาเตี้ย ๆ บ้านของอัจจิมาตั้งอยู่บนเนิน ถัดลงไปเป็นแปลงขั้นบันไดปลูกสตรอว์เบอร์รีที่ขณะนี้กำลังให้ผลผลิต เห็นอยู่ลิบ ๆ ติดกับแนวชายป่าคือทุ่งข้าวสาลีสีทองอร่าม ใกล้ ๆ กันเป็นแปลงปลูกต้นเก๊กฮวยแบบอินทรีย์ที่เจ้าของบอกว่าจะออกดอกปีละครั้งระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน และแน่นอนว่าสองหนุ่มถูกเชิญให้กลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้งตอนปลายปี


ในช่วงสายหลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารเช้าที่แม่จัดใส่ปิ่นโตมาให้ สามคนก็พากันไปปักหลักรับแสงแดดอุ่นอยู่ที่แปลงสตรอว์เบอร์รี คอยช่วยหยิบจับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามแต่พวกผู้ใหญ่จะให้ทำ บรรณภัทรรับตะกร้าที่เต็มไปด้วยผลสตรอว์เบอร์รีสีแดงสดจากอัจจิมาแล้วย้อนขึ้นไปยังเพิงไม้ไผ่บนเนินเพื่อส่งต่อให้คนงานบรรจุลงกล่อง จากนั้นจึงเดินลงไปนั่งที่ชิงช้าใต้ร่มไม้ใหญ่ มือหนึ่งกำเชือกเส้นใหญ่เอาไว้หลวม ๆ ส่วนอีกมือจับหมวกสานโบกไปมาเพื่อไล่ความร้อน มองสองหนุ่มสาวกำลังเดินตามกันต้อย ๆ บนแปลงดินเบื้องล่างแล้วเผลอยิ้มกับตัวเองเมื่อคิดว่าหากให้ยกเหตุผลที่เขาตัดสินใจไม่ไปกลับไปสอบเข้ามหาวทิยาลัยใหม่ เฉลิมรัฐและอัจจิมาถือเป็นสาเหตุสำคัญลำดับที่สอง ลำดับแรกเห็นทีจะหนีไม่พ้นพ่อที่มักถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อครั้งยังใช้ชีวิตอยู่เชียงใหม่ทำให้คนเป็นลูกเช่นเขาเกิดความผูกพันกับที่นี่โดยไม่รู้ตัว


“ตายยากจริง ๆ” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองวางหมวกบนศีรษะก่อนจะดึงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นจากกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย


“ต้องให้พ่อส่งแผนที่ให้ไหม” เป็นประโยคทักทายที่ยียวนไปหน่อย กระนั้นก็ยังทำคนฟังยิ้มได้


นิ้วเรียวเกี่ยวผ้าขาวม้าลงมาพักไว้ที่ปลายคางลงแล้วกล่าว “บุ๋นจำทางกลับบ้านได้หรอกน่าพ่อ คิดถึงก็บอก”


“คิดถงคิดถึงอะไรกัน ปิดเทอมตั้งหลายวันแล้วไม่กลับบ้านสักที พ่อนึกว่าแกกลับบ้านไม่ถูกต่างหาก”


“อย่าบ่นน่า เดี๋ยวซื้อสตรอว์เบอร์รีไปฝาก”


“แล้วจะกลับวันไหน จองตั๋วหรือยัง”


“จองแล้วครับ กลับสปรินเตอร์วันมะรืน ออกจากเชียงใหม่ตอนสายกว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็คงค่ำ ๆ วันศุกร์”


“อืม เดี๋ยวพ่อไปรับ”


“ครับ” บรรณภัทรรับคำพลางเงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินอีกเสียง


“น้านิตย์ถามว่าแกอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม จะได้ทำไว้รอ”


“ไข่ตุ๋น” ตอบโดยไม่ต้องคิด


“เชียงใหม่ไม่มีให้กินหรือไง”


“มีสิพ่อ เชียงใหม่มีแต่ของอร่อยทั้งนั้น แต่บุ๋นอยากกินของไม่อร่อยฝีมือน้านิตย์บ้าง”


ผู้เป็นพ่อหัวเราะหึ “ไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจ”


“เหมือนพ่อนั่นแหละ” ลูกชายพึมพำ คุยกันต่ออีกสอง-สามประโยค บรรณภัทรก็กดวางสาย ริมฝีปากได้รูปยังมิคลายจากรอยยิ้ม มัวแต่คิดอะไรเพลินจึงไม่ทันได้ยินเสียงรถที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอดใกล้กับเพิงขายของที่อยู่ถัดขึ้นไป


“อากาศดีจังเลย” หญิงสาวในชุดกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งที่เพิ่งเปิดประตูลงมาจากฝั่งคนขับเอ่ยขึ้น เธอยกสองแขนเหยียดจนสุดพร้อมกับสูดอากาศเข้าปอด เมื่อพรูลมหายใจออกจึงบิดตัวไปมาให้คลายความเมื่อยล้ารอกระทั่งสาวสวยในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าเปิดประตูเดินมาหยุดข้างกันจึงถาม “แกหาที่นี่เจอได้ยังไง”


“กานต์เป็นคนมาเจอน่ะ เห็นว่าถ่ายละครแล้วผ่านมาแถวนี้ บรรยากาศดีก็เลยถ่ายรูปไปอวดฉัตร เมื่อปีก่อนฉัตรพาฉันมา ฉันก็เลยอยากพาแกมาบ้าง เผื่อว่าแกจะมีแรงบันดาลใจเขียนนิยายสนุก ๆ ให้ฉันอ่าน” พูดจบก็ดึงแว่นกันแดดที่เหน็บอยู่กับคอเสื้อขึ้นมาสวม


“ขอบใจนะแก” คนพูดหันมายิ้ม “แล้วนี่พ่อตัวดีอยู่ไหน ได้คุยกันบ้างหรือเปล่า”


“โทรคุยกันตอนที่อยู่ในตัวอำเภอน่ะ วันนี้ไม่มีคิวถ่ายก็เลยจะตามมาเจอกันที่นี่”


“สองคนนี้ดีจังเลยนะ ขนาดงานเยอะด้วยกันทั้งคู่ยังหาเวลาอยู่ด้วยกันได้”


“มีเวลาก็ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย ต่างคนต่างทำงานนี่นา”


“ดีแล้วละ ฉัตรนี่โชคดีนะ มีแฟนที่เข้าใจอย่างแก ว่าแต่เมื่อไรจะเปิดตัวจ๊ะ”


“ฉันก็ไม่ได้ปิดนี่ แถมตอนนี้คอลัมน์ซุบซิบในหนังสือพิมพ์ยังบอกใบ้จนคนเขารู้กันทั้งประเทศแล้วมั้ง” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ “ประเทศนี้ก็แปลก ดาราจะเป็นแฟนหรือจะแต่งงานกันต้องออกมาแถลงให้ชาวบ้านรับรู้ แถมเวลาจะหย่าร้างหรือเลิกรากันยังต้องตั้งโต๊ะขอโทษนักข่าว ขอโทษประชาชนที่ทำให้ต้องผิดหวังทั้งที่เป็นเรื่องของคนสองคนแท้ ๆ”


คนฟังพยักหน้าเห็นตาม ยอมรับในคำพูดของเพื่อนสนิทผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมานาน “เออ จริง ๆ ก็แค่ใช้ชีวิตปกติ ให้เกียรติกันก็พอ”


“ทุกคนเขาไม่ได้คิดแบบนั้นน่ะสิ บางคนก็อยากเป็นที่สนใจ”


“ก็เลยต้องทำตัวให้เป็นกระแส” เห็นอีกคนพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “ถึงว่า...ช่วงนี้ดาราขยันส่งไม้ต่อกันเป็นทอด ๆ ก่อนหน้านี้ก็เรื่องภาพหลุดของพระเอกวัยรุ่นกับนักร้องสาวค่ายใหญ่ ผ่านไปยังไม่ถึงสัปดาห์ก็มีข่าวนางเอกดังไม่กินเส้นกับนางร้ายรุ่นพี่เสียแล้ว”
“ข่าวบางข่าวก็เป็นเรื่องที่คนบางคนจงใจสร้างกระแสเพื่อโปรโมตผลงานนั่นแหละ แกไม่สังเกตเหรอว่าข่าวพวกนี้มาพร้อม ๆ กับข่าวไม่เปิดกล้องละครก็ช่วงละครออนแอร์ หรือไม่ก็ช่วงที่ศิลปินออกผลงานเพลงใหม่”


“แต่ที่น้องกานต์โดนขุดเรื่องบินไปต่างประเทศบ่อย ๆ คงไม่เกี่ยวกับโปรโมตละครมั้ง รายนั้นไม่ต้องโปรโมตก็ดังเป็นพลุแตกอยู่แล้ว”


“ไม่เกี่ยวหรอก คนอย่างกานต์น่ะไม่ได้อยากเป็นกระแส ถ้าเลือกได้ก็คงอยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า”


“เงียบไม่ได้สิแก เป็นตัวท็อปของช่องเสียขนาดนั้น ใคร ๆ ก็จับตามอง”


“อือ ฉันกับฉัตรก็เป็นห่วงอยู่ แต่กานต์บอกว่าไม่เป็นไร”


“คงใช้ชีวิตยากเป็นบ้า จะไปไหนกับใครก็มีคนแอบถ่ายตลอด แค่ไปต่างประเทศพวกนักข่าวยังตามไปสืบอีกว่าไปทำอะไร ไปหาใคร” นักเขียนสาวทำหน้ามุ่ย


คนฟังเองก็ถอนหายใจเบา ๆ


“จะว่าไปน้องกานต์นี่ท่าทางจะเป็นน้องรักของแกกับฉัตรเลยนะ”


“อืม ฉันเล่นละครกับกานต์หลายเรื่อง ได้คลุกคลีใกล้ชิดกันเลยรู้ว่ากานต์เป็นน้องที่ดีมาก ๆ ส่วนกับฉัตร สองคนนั้นเรียนการแสดงกับครูคนเดียวกัน เจอกันบ่อย ๆ ตามงาน มาสนิทกันตอนถ่ายละคร ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน มีอะไรกานต์ก็เลยคุยกับฉัตรตลอด”


“ดีจังเลยนะ อยู่วงการนี้มีเพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่องสักคนก็ถือว่าดีมากแล้ว”


“เหมือนแกกับฉันไง”


“จะเหมือนได้ยังไง ฉันอยู่คนละวงการกับแก แค่นักเขียนธรรมดา ๆ ไม่ไฮโซเหมือนเพื่อนดาราของแกหรอก”


“ธรรมดาที่ไหนกัน นิยายได้ทำเป็นละครตั้งหลายเรื่อง แบบนี้แถวบ้านฉันเรียกว่าไม่ธรรมดานะ นามปากกา ‘ปานชีวา’ น่ะ ดังจะตายไป”


“แกก็พูดเวอร์”


“เขินเหรอจ๊ะนักเขียนใหญ่”


“ยัยเนย ไม่ต้องมาแซวเลย”


“ไม่ต้องเขินหรอกจ้ะ ที่ฉันพูดน่ะเรื่องจริงทั้งนั้น”


“แกนี่ ยังไม่เลิกแซวอีก” ว่าแล้วก็หันไปคว้าแขนเพื่อนรัก “ไม่เอาแล้ว ไม่คุยกับแกแล้ว ลงไปเดินเล่นข้างล่างกันดีกว่า”
บรรณภัทรละสายตาจากสองสาวที่จับมือกันเดินไปตามแปลงปลูกสตรอว์เบอรี มองขึ้นไปบนเนินเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอด ครู่หนึ่งเจ้าของฮอนดาซีอาร์วีซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็เปิดประตูลงมายืน เขาโบกมือให้สองคนที่อยู่เบื้องล่างก่อนจะเดินลงมาตามบันไดดิน พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาทั้งหมดก็เดินเข้าไปทักทายคนงานที่กำลังช่วยกันเก็บสตรอว์เบอร์รี บรรณภัทรทอดตามองออกไปยังผืนนาข้าวสาลีสีทองอร่าม ปล่อยใจคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเพื่อนรักทั้งสองที่กำลังเดินคุยกันมา


“พี่ณฉัตรล้อหล่อ หล่อกว่าในทีวีตั้งเยอะ”


“ผู้หญิงชุดกระโปรงนั่นแฟนเขาเหรอ”


“ไม่รู้เหมือนกัน แต่มีข่าวว่าเป็นแฟนกัน”


“ชื่ออะไรนะ” คนพูดยกมือขึ้นเกาหัว “เน...”


“เนย”


“อืมใช่ ๆ เนย เนตรนภัส แม่เราชอบละครที่เขาแสดงมาก ๆ เป็นตัวร้ายแต่สวยยังกับนางเอก”


“เสียดายไม่มีปากกากับกระดาษ แกจะได้ขอลายเซ็นไปฝากแม่”


“ถึงมีก็ไม่เข้าไปขอหรอก อย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า มาเที่ยวแบบนี้เขาคงอยากได้ความเป็นส่วนตัว อีกอย่าง...ไม่รู้ว่าพวกเขาจะใจดีแบบที่เราเห็นในทีวีหรือเปล่า”


“ก็จริง”


“พูดถึงใครกันเหรอ” บรรณภัทรแทรกขึ้นเมื่อสองคนเดินมาหยุด


“เจอดาราน่ะ” เฉลิมรัฐบอก


“ดารา”


“ใช่จ้ะบุ๋น นั่นไง” ว่าแล้วอัจจิมาก็ชี้ไปยังทิศที่เดินจากมา “สองคนนั้นไง ณฉัตร กับเนย เนตรนภัส ที่แสดงเป็นตัวร้ายคู่กันในละครที่เพิ่งจบไปเมื่อเดือนที่แล้ว”


คนฟังพยักหน้า ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังเดินเคียงกันไปยังทุ่งเก๊กฮวยเขียวขจี พลันเสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น เมื่อสามคนหันไปทางต้นเสียงก็พบกับชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพากันลงเนินมาแล้วหยุดยืนถัดจากจุดที่พวกเขาอยู่ไปไม่ไกลนัก ทั้งคู่ต่างแต่กายด้วยเสื้อผ้าที่ปิดมิดชิด สวมหมวกแก๊ปและแว่นตากันแดดจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า


“ไหนน้าบอกกับแม่ว่าจะพาผมไปดูมหาวิทยาลัยไง”


“มหาวิทยาลัยรอก่อนก็ได้ ไม่หนีไปไหนหรอก แต่ข่าวของฉันรอไม่ได้” พูดพลางหญิงสาวก็ชะเง้อมองไปรอบ ๆ ไปพลาง “รถก็จอดอยู่นี่นา แล้วตัวไปไหนนะ”


“ข่าวอะไรของน้า แถวนี้ไม่เห็นจะมีอะไรเอาไปเขียนข่าวได้เลย ข่าวสตรอว์เบอร์รีออกลูกเป็นมะพร้าวเหรอ”   


“มะพร้าวบ้านแกสิ เดี๋ยวกลับไปฉันจะฟ้องแม่แกว่าแกไม่เชื่อฟังฉัน”


“เอะอะก็ฟ้องแม่” เจ้าของร่างสูงบ่นราวกับหมีกินผึ้ง “อุตส่าห์ออกจากบ้านตั้งแต่เมื่อคืนเพื่อมาที่นี่เนี่ยนะ ไกลก็ไกล นั่งรถจนก้นชาไปหมดแล้ว”


“ไอ้ป้อน แกอย่าบ่นได้ไหม ลงไปข้างล่างกัน โน่นไง! อยู่ตรงโน้น ไปเร็ว! อย่าชักช้า!”


“รู้แล้วครับ...” หลานชายลากเสียง เดินตามอย่างไม่เต็มใจเท่าไร ไม่วายบ่นกระปอดกระแปดตลอดทาง


สองน้าหลายเดินลัดเลาะไปตามแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รีกระทั่งหยุดที่ป้ายไม้ตรงทางแยก ด้านหนึ่งชี้ไปยังนาข้าวสาลี ส่วนอีกด้านชี้ไปที่พื้นที่ปลูกเก๊กฮวย


“ทางนั้น” ว่าแล้วคนพูดก็ดึงกล้องคอมแพคตัวจิ๋วออกจากกระเป๋าคาดเอว


“น้ามาทำข่าวใคร ทำไมต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ด้วย”


“แกอย่าเพิ่งถามมากได้ไหม ก้มลง” คนเป็นน้ากล่าวพร้อมกับรั้งแขนหลานชายให้ก้มต่ำ แล้วพากันแทรกตัวเข้าไประหว่างพุ่มเก๊กฮวย


เด็กหนุ่มนั่งยองมองคนมาด้วยกันที่กำลังยกกล้องคอมแพคขึ้นเหนือพุ่มไม้เพื่อบันทึกภาพ ดวงตาฉายแววสงสัยมองภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแอลซีดีขนาดเล็ก เนื่องจากถ่ายในระยะไกลแม้เจ้าของกล้องจะซูมแล้วแต่ก็เห็นรายละเอียดในภาพไม่ชัดเท่าไรนัก ดังนั้นหนุ่มม.ปลายจึงยืดตัวขึ้นมองไปยังทิศทางเดียวกับกล้องและในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่าง


“ที่แท้ก็มาแอบถ่ายสองคนนั้น ระวังเถอะ ถ้าเขาจับได้ขึ้นมาจะโดนฟ้อง”


“ระดับฉันไม่โง่ให้เขาจับได้หรอกย่ะ” หญิงสาวลดกล้องลงเมื่อพูดจบ กดเลื่อนดูภาพจากจอแอลซีดี “ไม่ค่อยชัดเลย ต้องเข้าไปใกล้ ๆ กว่านี้อีกหน่อย”


“น้า! ยังจะไปอีกเหรอ” หลานชายถอนใจเฮือกใหญ่


“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าได้ข่าวนี้ไปลงในคอลัมน์ของฉันละก็ นิตยสารต้องขายดีแน่ ๆ”


“ไม่ไปด้วยหรอก ผมกลับไปรอที่รถนะ”


“ตามใจแก”


เด็กหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง มองน้าสาวที่ค่อย ๆ คลานไปตามทางเดินระหว่างพุ่มเก๊กฮวย โดยไม่รู้เลยว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาจากมุมหนึ่ง...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2022 09:30:44 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

“นิสัยไม่ดี” อัจจิมาเอ่ยขึ้น


“ใช่ แอบถ่ายคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง” เฉลิมรัฐเสริม


“ถ้าอย่างนั้นเราไปบอกให้เขารู้ตัวไหม” สิ้นเสียงบรรณภัทร ทั้งสามสุมหัวปรึกษาหารือกันอยู่ครู่หนึ่งจึงแยกย้ายกันไปคนละทาง


เฉลิมรัฐรับอาสาไปเตือนสองหนุ่มสาวที่กำลังยืนถ่ายรูปกันอยู่ ส่วนบรรณภัทรอ้อมไปอีกทาง ขายาวก้าวช้า ๆ ในขณะที่ดวงตามองตามร่างเล็กของอัจจิมาที่กำลังเดินไปยังแนวคันดินคั่นกลางระหว่างทุ่งข้าวสาลีและแปลงปลูกเก๊กฮวย เห็นหญิงสาวใกล้ถึงเพิงไม้ไผ่จึงเร่งฝีเท้าจนไม่ทันระวังชนเข้ากับร่างสูงที่เดินสวนทางมา


“ขอโทษครับ” ต่างคนต่างพูดขึ้นพร้อมกัน


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” หนุ่มม.ปลายถามพร้อมกับใช้ปลายนิ้วดันแว่นตากันแดดถือโอกาสสำรวจคนตรงหน้า มีเฉพาะดวงตาเท่านั้นที่ปราศจากสิ่งกำบัง


บรรณภัทรส่ายหน้าน้อย ๆ เบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง ขายาวก้าวถี่ ๆ เมื่อสปริงเกลอร์ถูกเปิดขึ้นพร้อมกันจนตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ละอองน้ำกระทบแสงแดดจนเกิดเป็นรุ้งกินน้ำ เสียงวี๊ดว้ายทำให้เขาต้องหยุดกวาดตามองไปรอบ ๆ ในที่สุดก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งผุดลุกขึ้นและกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ เธอยกมือขึ้นบังลำอองน้ำที่สาดกระเซ็นมาจากทุกทิศทุกทาง ด้วยความรีบร้อนจึงทำให้ไม่ทันได้เก็บหมวกแก๊ปและแว่นกันแดดที่ทำหล่นเรี่ยราดมาตามทาง บรรณภัทรชะลอฝีเท้าหวังจะลดแรงปะทะ และเมื่อสปริงเกลอร์หยุดทำงานร่างเล็กก็ชนเข้ากับร่างของเขาอย่างจัง จนหญิงสาวลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าเป็นไปตามแผนที่เฉลิมรัฐวางไว้


“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มกล่าวแล้วรีบประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น


“น้า เป็นอะไรหรือเปล่า” หลานชายถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเดินมาหยุด


น้าของเขามิได้ตอบ แต่หันกลับไปต่อว่าอีกคน “เธอเดินยังไงของเธอ”


“ขอโทษจริง ๆ ครับ” บรรณภัทรกล่าวอย่างสุภาพ


“ไม่เห็นหรือไงว่าฉันอยู่ตรงนี้” หญิงสาวโวยวายไปพลางลูบหน้าลูบตาตัวเองไปพลาง


“น้านั่นแหละวิ่งมาชนเขา”


“ไอ้หลานอกตัญญู แกไม่ช่วยฉันแล้วยังมีหน้ามาเข้าข้างคนอื่นอีก”


“ก็มันเรื่องจริงนี่นา เขาหยุดตั้งนานแล้ว น้านั่นแหละวิ่งมาชนเขา”


“พอดีผมต้องรีบไปช่วยงานทางโน้น” บรรณภัทรบอกพร้อมกับหันไปพยักหน้าให้เพื่อนสองคนที่ยืนโบกไม้โบกมืออยู่ลิบ ๆ


“ไม่เป็นไร น้าผมต่างหากที่ผิด”


“ไอ้ป้อน” หญิงสาวมองหลานชายตาขวาง


“ไม่เอา ๆ ไม่โมโหสิน้า เรื่องเล็กน้อยเอง”


“จะไม่ให้โมโหได้ยังไง แกเห็นไหมว่าฉันเปียกไปหมดแล้ว ไม่รู้จะมารดน้ำต้นไม้อะไรกันตอนนี้ ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนอยู่” พูดจบก็หันไปค้อนควักใส่หนุ่มคนงานก่อนจะมองไปรอบ ๆ “อ้าว แล้วนี่เลิกรดแล้วเหรอ”


“ก็น้าเล่นไปมุดอยู่ตรงนั้น ใครเขาจะเห็น” ว่าแล้วหนุ่มม.ปลายก็หันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณให้อีกคนรีบไปให้พ้นจากตรงนี้


บรรณภัทรเห็นเช่นนั้นจึงพยักหน้าตอบเป็นการขอบคุณ จากนั้นจึงวิ่งไปสมทบกับเพื่อน ๆ แล้วทั้งสามคนก็พากันสลายตัว


“เราไปกันเถอะน้า จะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เปียกไปหมดแล้วเนี่ย”


“ไปก็ได้” หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ ก้มลงมองสองมือของตนเอง “กล้อง... กล้องฉันล่ะ กล้องไปไหน”


“น้าในกระเป๋าหรือเปล่า หาดีหรือยัง”


เมื่อเปิดดูแล้วไม่พบจึงอ่ยขึ้น “ไม่มี มันต้องร่วงตอนที่ฉันวิ่งมาแน่ ๆ” ทันทีที่หมุนตัวกลับคอลัมนิสต์สาวก็ต้องชะงักอ้าปากค้างเมื่อพบว่าสองคนที่กำลังตรงคือนักแสดงชื่อดังที่ตนเองกำลังตามสืบเรื่องราวของทั้งคู่อยู่ “ณ...ณฉัตร เนตรนภัส” มองเลยไปยังด้านหลังคนที่เดินตามมานั่นก็ “ปานจิต” เจ้าของนามปากกาปานชีวานักเขียนคู่บุญของช่องซึ่งเป็นต้นสังกัดของทั้งคู่


“สวัสดีครับพี่พิมพ์พรรณ โลกกลมจังเลยนะครับ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าคมสันถอดแว่นตากันแดดแล้วเสียบกับประเป๋าเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมเผยให้เห็นแผงอก “เป็นเกียรติจังเลยที่คอลัมนิสต์ชื่อดังจำชื่อพวกผมได้แม่นทั้งที่พบกันอยู่ไม่กี่ครั้ง สงสัยจะเป็นเพราะเขียนถึงพวกเราบ่อย ๆ หรือเปล่าครับ” ว่าแล้วก็หันไปส่งยิ้มให้สาวสวยที่เดินตามมาพร้อมกับเพื่อนสนิทของเธอ


“บ่อยจนเนยกับฉัตรตามแก้ข่าวไม่ทันเลยค่ะพี่พิมพ์พรรณ”


เจ้าของคอลัมน์ซุบซิบในนิตยสารบันเทิงระดับต้น ๆ ของประเทศสูดลมหายใจลึกแล้วลอบผ่อนออกเบา ๆ พยายามรักษาสีหน้าท่าทีให้เป็นปกติด้วยถือว่าตนเองเป็นรุ่นพี่แม้จะไม่กี่ปีแต่หากนับระยะเวลาที่คลุกคลีในวงการบันเทิงมาก็ถือว่าอยู่มานานกว่า
“แหม น้อง ๆ ก็แซวพี่ได้”


“มาทำงานเหรอครับ” ณฉัตรถามพลางใช้ปลายนิ้วถูกปลายคาง “เอ...พี่พิมพ์พรรณเปลี่ยนแนวการเขียนแล้วเหรอครับ ผมไม่ยักรู้”


“พี่พิมพ์พรรณเขาต้องมาเที่ยวสิฉัตร ในป่าในดงแบบนี้จะมีอะไรให้เขียนถึง ใช่ไหมคะพี่พิมพ์พรรณ”


“ช...ใช่จ้ะ พ...พี่พาหลานชายมาดูมหาวิทยาลัยที่นี่แล้วก็ถือโอกาสเที่ยวด้วย”


“ไม่ได้สะกดรอยตามใครมาใช่ไหมคะ” คำพูดของนางร้ายวัยย่างยี่สิบเก้าทำคนฟังถึงกับหน้าชา เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ทำหน้าตึงจึงกล่าวต่อ “เนยล้อเล่นค่ะ เป็นนักเขียนไม่ใช่นักสืบสักหน่อย”


“มาเที่ยวไกลจังเลยนะครับ แต่จะว่าไปบรรยากาศที่นี่ก็ดีจริง ๆ มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายรูปเยอะเลย พี่พิมพ์พรรณคงถ่ายรูปไปได้เยอะเลยสินะครับ”


“ค...คือ...”


“น้าผมทำกล้องหายครับ” คนอายุน้อยที่สุดเอ่ยขึ้น “น่าจะหล่นอยู่แถวนี้แหละครับ”


“ใช่อันนี้ไหมจ๊ะ” หญิงสาวที่ก้าวขึ้นมายืนข้างหนุ่มนักแสดงกล่าวพลางยกกล้องคอมแพคที่กรังไปด้วยคราบดินขึ้น
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง หันไปสะกิดน้าสาวที่ยืนตัวแข็งทื่อ “นี่ไงน้า พี่เขาเก็บได้”


“ฉันรู้แล้ว” พิมพ์พรรณบีบแขนหลานชายพลางกระซิบรอดไรฟัน พูดจบก็เอื้อมมือไปหยิบของของตนเองแต่กลับช้ากว่าณฉัตร


“ผมขอดูหน่อยนะครับ ได้ข่าวว่าคนของทีนิวส์ถ่ายรูปชัดแล้วก็สวยมาก ๆ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็กดเปิดกล้องโดยมิได้ใส่ใจท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผู้เป็นเจ้าของ นิ้วหนากดเลื่อนดูภาพไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ปากก็พึมพำไปด้วย “รูปพวกนี้ไม่ค่อยชัดเท่าไรนะครับ ซูมจนแตกเลย ขืนเอาไปใส่ในนิตยสารมีหวังเสียชื่อทีนิวส์แย่ เดี๋ยวผมลบให้ก็แล้วกันนะครับ ไม่สิ...ฟอร์แมตเลยดีกว่า พี่พิมพ์พรรณจะได้มีพื้นที่ในการ์ดไว้ถ่ายรูปสวย ๆ”


“อ...อะ...ด...เดี๋ยว...” พิมพ์พรรณพยายามจะอ้าปากประท้วงแต่ท่าทางของเธอกลับคล้ายปลาใกล้ตายที่กำลังหายใจพะงาบ ๆ เสียมากกว่า


“อ้อ...เดี๋ยวผมดูให้นะครับว่าแบตเตอรี่ชื้นหรือเปล่า” ณฉัตรกล่าวก่อนจะเปิดฝาเทแบตเตอรี่ก้อนเล็กสองก้อนออกมาตรวจดู “อืม...น่าจะชื้นนะครับ ผมว่าพี่พิมพ์พรรณคงต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่แล้วละครับ” พูดจบก็ปิดฝาช่องใส่แบตเตอรี่แล้วส่งกล้องคืนให้เจ้าของ


“ล...แล้ว...” หญิงสาวรับกล้องคอมแพคตัวจิ๋วกลับคืนมาด้วยความงุนงง


“อ๋อ...แบตเตอรี่สองก้อนนี้เดี๋ยวผมเอาไปทิ้งให้นะครับ ใส่คาไว้เดี๋ยวจะพาให้กล้องพังเสียเปล่า ๆ” นักแสดงหนุ่มยกยิ้มมุมปากแล้วหย่อนของในมือลงกระเป๋ากางเกง “พวกผมไม่รบกวนแล้วนะครับ เชิญพี่พิมพ์พรรณตามสบาย” พูดจบณฉัตรก็ค้อมศีรษะให้


“ไปเถอะปาน” เนตรนภัสหันไปจับมือเพื่อนรัก เดินไปได้หน่อยนางร้ายหน้าหวานก็หยุดแล้วหันมากล่าว “อ้อ...หวังว่าเนยคงไม่ได้เห็นข่าวซุบซิบ นางร้ายอักษรย่อ น. ควงหนุ่มดาวร้ายอักษร ฉ. เที่ยวเชียงใหม่สองต่อสองในคอลัมน์ของพี่พิมพ์พรรณหรอกนะคะ”


เจ้าของชื่อกำหมัดแน่น มองตามทั้งสามคนที่เดินห่างออกไป ได้ยินเสียงหัวเราะของคนข้าง ๆ จึงหันไปทำตาขวาง “แกหัวเราะอะไร”


“ก็หัวเราะน้าไง ไหนบอกว่าระดับน้าไม่มีทางโง่ให้เขาจับได้”


“ไอ้ป้อน นี่แกว่าฉันโง่เหรอ”


“น้าพูดเองนะ” เด็กหนุ่มยกมือปฏิเสธพัลวันรีบถอยกรูด


“แกมานี่เลยไอ้หลานบ้า” หญิงสาวชี้หน้าก่อนจะเดินตามแต่อีกฝ่ายก็เผ่นไปไกลแล้ว


... 


ถึงกำหนดกลับ พ่อของอัจจิมาขับรถมาส่งบรรณภัทรและเฉลิมรัฐที่สถานีรถไฟเชียงใหม่เพื่อให้ทันรถด่วนพิเศษขบวนที่แปด ซึ่งเป็นดีเซลรางปรับอากาศแบบนั่งทั้งขบวน หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่าสปรินเตอร์ มีกำหนดออกจากสถานีเชียงใหม่ในเวลาแปดนาฬิกายี่สิบห้านาทีถึงสถานีกรุงเทพเวลาสิบเก้านาฬิกายี่สิบห้านาที หลังจากนั่งรถไฟมาเกือบสิบสองชั่วโมงบรรณภัทรและเฉลิมรัฐก็แยกย้ายกันที่สถานีบางซื่อ ส่งเพื่อนที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว บรรณภัทรจึงออกมายืนรอพ่อ พอขึ้นรถคุยกับพ่อได้ไม่กี่ประโยคก็คอพับคออ่อน นาน ๆ จะได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศรถติดที่คุ้นเคยสักที ทันทีที่ถึงบ้านกับข้าวกับปลาที่น้านิตย์เตรียมไว้รอท่าก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ชายหนุ่มปลดเป้สะพายหลังวางบนโซฟา ยกมือไหว้คนที่เพิ่งเดินออกมาจากครัว


“บุ๋นผอมลงหรือเปล่า” เนาวนิตย์กล่าว แต่บรรณภัทรไม่ได้พูดอะไร รับจานจากมือของเธอไปวางบนโต๊ะ


“สงสัยกับข้าวที่เชียงใหม่ไม่อร่อย” บรรณวิชญ์ที่เดินตามหลังมาเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะ มองลูกชายที่กำลังตักข้าวใส่จาน ผู้เป็นพ่อลอบยิ้ม บรรณภัทรก็ยังคงเป็นบรรณภัทรที่ไม่ค่อยจะยอมรับอะไรง่าย ๆ มาแต่ไหนแต่ไร


ชายหนุ่มวางจานข้าวตามตำแหน่งโดยเริ่มจากพ่อ ตัวเขาเอง แล้วก็...


ตาคมมองพื้นที่ฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่ามาหลายปีก่อนจะวางจานที่เหลือลงตรงนั้น เห็นเนาวนิตย์กำลังจะเดินมานั่งข้างตนเหมือนเคยจึงเอ่ยขึ้น “น้านิตย์นั่งตรงนั้นแหละ นั่งข้างบุ๋นเดี๋ยวก็ตักกับข้าวไม่ถึงกันพอดี”


เนาวนิตย์หันไปสบตาผู้เป็นสามี เห็นเขาพยักหน้าจึงเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับลูกเลี้ยง


“ตัดสินใจแน่แล้วใช่ไหมว่าจะไม่สอบใหม่” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นหลังจากทุกคนลงมือรับประทานอาหารได้ครู่หนึ่ง


“ไม่แล้ว หรือพ่ออยากให้บุ๋นสอบใหม่”


“พ่อบอกแล้วว่าตามใจแก”


“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกถามได้แล้ว”


“ไอ้ลูกคนนี้”


เนาวนิตย์มองสองพ่อลูกพลางส่ายหัว จากนั้นจึงตักกับข้าวใส่จานคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม “ทานเยอะ ๆ นะบุ๋น”


บรรณภัทรก้มมองไข่ตุ๋นในจานก่อนจะตักกินเงียบ ๆ นึกขึ้นได้ว่าพ่อเพิ่งเริ่มทำงานที่ใหม่ซึ่งเป็นหอสมุดแถวเทเวศร์จึงถาม “ที่ทำงานใหม่พ่อเป็นยังไงบ้าง”


“ก็ดี เงียบสงบดี แต่แถวนั้นรถติดไปหน่อย” ผู้เป็นพ่อตอบ


“ทำงานคนละที่กันแบบนี้แล้วน้านิตย์ไปทำงานยังไง”


“ตอนเช้าพ่อส่งน้านิตย์ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่วนตอนเย็นน้านิตย์เขากลับเอง”


“เอาไว้บุ๋นตามไปเที่ยวที่ทำงานพ่อสิ มีหนังสือให้อ่านเยอะมากเลยนะ” เนาวนิตย์เสริม


บรรณภัทรพยักหน้า จากนั้นจึงลงมือรับประทานอาหารต่อ


หลังมื้ออาหารทุกคนมานั่งรวมกันที่ห้องนั่งเล่น บรรณวิชญ์คุยเรื่องสัพเพเหระกับลูกชายได้ครู่หนึ่ง เห็นอีกฝ่ายนั่งสัปหงกจึงไล่ขึ้นห้อง ทันทีที่บรรณภัทรเปิดประตูห้องนอนก็ได้กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกลิ่นแดดจากผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน และปลอกหมอนที่น้านิตย์เพิ่งเปลี่ยนให้ ในตู้เสื้อผ้าก็ได้กลิ่นเช่นเดียวกันนี้ ชายหนุ่มอาบน้ำอาบท่าแล้วนอนแผ่หลาตาส่ว่างอยู่บนเตียงไม่นานก็ผล็อยหลับเพราะความเหน็ดเหนื่อย


บรรณภัทรมาตื่นอีกทีก็ตอนเกือบใกล้เที่ยงของวันใหม่ ชายหนุ่มเดินงัวเงียลงไปยังชั้นล่าง กวาดตามองหาเป้สะพายหลังที่วางแหมะเอาไว้กับพื้นตั้งแต่มาถึง พบว่าเสื้อผ้าใช้แล้วที่อยู่ข้างในหายไป ชะเง้อมองเห็นโรงรถว่างเปล่าจึงรูดซิปห้อยพวงกุญแจรูปตุ๊กตาหมีถักด้วยไหมพรมเปิดช่องด้านข้างเป้แล้วหยิบซองสีน้ำตาลเล็ก ๆ ออกมาก่อนจะเดินไปที่หลังบ้าน ได้ยินเสียงเครื่องซักผ้ากำลังทำงาน บนราวผ้ามีทั้งเสื้อของพ่อ เสื้อของเขา และเสื้อกันหนาวที่น้านิตย์ถักให้ตากอยู่ ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมฟุ้ง ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่หน้าเครื่องซักผ้า เห็นว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มที่น้านิตย์ใช้ก็แบบเดียวกันกับที่เขาใช้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเสื้อผ้าที่เขาซักเองจึงไม่มีกลิ่นหอมดังเช่นที่อีกฝ่ายซักให้ ตั้งแต่เด็กสังเกตว่าเสื้อผ้าที่น้านิตย์ซักนอกจากจะมีกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มแล้วยังมีกลิ่นแดดผสมอยู่ด้วย หยิบตัวไหนมาใส่ก็รู้สึกสบายทุกครั้ง


“ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อเดียวกันแต่ทำไมเสื้อผ้าที่บุ๋นซักถึงไม่หอมเหมือนน้านิตย์ซักเลย” บรรณภัทรเอ่ยขึ้นขณะนั่งลงยังม้าหินอ่อน มองแม่เลี้ยงที่กำลังหยิบผ้าชิ้นสุดท้ายในตะกร้าใส่ไม้แขวนแล้วเกี่ยวกับราวผ้า


“หลายวันไหมถึงซัก”


“ก็รอให้เยอะ ๆ ก่อน”


“น้าว่าต่อไปทยอยซักดีกว่า อย่าเก็บไว้นาน อีกอย่างทยอยซักจะได้ไม่เหนื่อยด้วย แล้วก็แช่น้ำยาปรับผ้านุ่มไว้นานหน่อย บุ๋นแช่น้ำยาปรับผ้านุ่มนานไหม”


คนถูกถามส่ายหัว “แช่แป๊บเดียวก็เอาขึ้นตาก รีบไปอ่านหนังสือต่อ”


“ลองแช่เอาไว้สักพัก แล้วไปทำอะไรอย่างอื่นก่อนก็ได้” สิ้นเสียงเนาวนิตย์เครื่องซักผ้าก็หยุดทำงานพอดี “ปกติน้าก็แช่ไว้แล้วไปทำงานอื่นก่อนค่อยมาตาก แต่จะพยายามไม่ให้เกินเที่ยง ตากแดดดี ๆ ผ้าจะได้ไม่เหม็นอับ”


“ล...แล้วตอนนี้...น้านิตย์มีอะไรต้องไปทำหรือเปล่า”


แม่เลี้ยงมองอย่างแปลกใจ


“นั่งคุย...นั่งคุยกับบุ๋นก่อนได้ไหม”


“ได้สิ บุ๋นมีอะไรจะคุยกับน้าเหรอ” เธอกล่าวก่อนจะนั่งลง


“มีของจะให้” ว่าแล้วบรรณภัทรวางซองกระดาษสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ


เมื่อเนาวนิตย์หยิบมาเปิดดูจึงพบว่าข้างในมีกำไลเงินกับโปสการ์ดแผ่นหนึ่ง “นี่มันลายเซ็นณฉัตรกับเนตรนภัสนี่นา” อีกคนแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “บุ๋นได้มาได้ยังไง”


“บังเอิญเจอก็เลยขอลายเซ็นมาให้ โปสการ์ดนั่นเขาก็ให้มา” บรรณภัทรพูดพลางนึกถึงวีรกรรมที่สร้างไว้สด ๆ ร้อน ๆ มองคนฝั่งตรงข้ามที่ชื่นชมโปสการ์ดใบนั้นอยู่ได้ไม่นานก็สอดกลับลงซอง เปลี่ยนจ้องมองกำไลเงินในมือ


“กำไลนี่... บุ๋นแวะไปดูบ้านหลังเก่าของปู่กับย่าแถววัวลายมา เห็นมันสวยดีก็เลยซื้อมาฝาก”


“แพงหรือเปล่าบุ๋น”


“ไม่แพงหรอก” บรรณภัทรตอบ มองกำไลที่ตนเองซื้อด้วยเงินค่าจ้างสอนพิเศษซึ่งเป็นเงินก้อนแรกในชีวิตที่ได้รับจากการทำงาน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ลูบ ๆ คลำ ๆ จึงถาม “ไม่ชอบเหรอ”


“ชอบจ้ะ ชอบมากเลย น้าขอบใจบุ๋นมากนะ”


“ชอบแล้วทำไมไม่ใส่”


“วัน ๆ น้าต้องทำนู่นทำนี่ กลัวว่ามันเป็นรอยน่ะ”


“ไม่เห็นต้องกลัวเลย มา บุ๋นใส่ให้” พูดจบชายหนุ่มก็ดึงมือคนตรงหน้ามาใกล้ ๆ คว้ากำไลแล้วง้างออกคล้องลงบนข้อมือเล็ก บรรณภัทรนิ่งไปชั่วขณะ เพิ่งเคยจับมืออีกฝ่ายเป็นครั้งแรกจึงได้รู้ว่ามือของน้านิตย์ไม่ได้นิ่มแต่ก็ไม่หยาบกระด้างซ้ำยังอุ่นมาก ๆ “ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเป็นรอยนะ”


“น้าขอบใจบุ๋นมากนะลูก”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน “แล้วนี่พ่อไปไหน”


“เห็นว่าวันนี้ต้องเข้าไปที่ทำงานจ้ะ เย็น ๆ ถึงจะกลับ บุ๋นไปหาพ่อสิ จะได้ไปดูที่ทำงานใหม่ด้วย”


ดังนั้นในตอนบ่ายบรรณภัทรจึงนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาจากท่าน้ำนนทบุรีไปยังท่าเทเวศร์แล้วเดินต่อไปยังหอสมุดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากถนนใหญ่ เมื่อไปถึงผู้เป็นพ่อก็แนะนำให้เขารู้จักกับทุกคนที่นั่น จากนั้นชายหนุ่มจึงสำรวจไปรอบ ๆ เดินไปตามทางเดินระหว่างชั้นหนังสือกระทั่งหยุดที่หมวดเก้าร้อยซึ่งรวบรมหนังสือภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ทั่วไป กวาดตามองหาเล่มเดียวกันกับที่เห็นวางอยู่บนโต๊ะทำงานของพ่อ อยากรู้ว่าสนุกตรงไหนคุณบรรณวิชญ์ถึงอ่านได้ไม่รู้จักเบื่อ


“นี่ลูกชายบู๊ใช่ไหม”


บรรณภัทรหันไปตามเสียง เห็นว่าเป็นคุณลุงที่ทำงานห้องเดียวกันกับพ่อจึงตอบ “ใช่ครับ”


“เมื่อกี้ลุงยุ่ง ๆ เดินไปเดินมาเลยไม่ได้แวะคุยด้วย ได้ข่าวว่าเรียนบรรณรักษ์ ท่าทางจะชอบอ่านหนังสือเหมือนพ่อ”


ชายหนุ่มไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธทำเพียงยิ้มน้อย ๆ


“ตามสบายนะ เดี๋ยวลุงไปทางโน้นก่อน ต้องไปสอนงานเด็กใหม่” ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีพูดกลั้วหัวเราะแล้วเดินต่อ


บรรณภัทรโผล่หน้ามองตามคนที่เพิ่งเดินหันหลังใหญ่ เขาหยุดที่ชั้นหนังสือซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก ตรงนั้นมีโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือตั้งอยู่ริมหน้าต่าง มองเลยไปที่ด้านนอกประตูกระจกมีผู้คนยืนออกันอยู่เต็มไปหมด ครู่หนึ่งคนเหล่านั้นก็หลีกทางให้ใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา เจ้าของร่างสูงหยุดยกมือไหว้ผู้อาวุโส จากนั้นจึงนั่งลงเริ่มต้นการสนทนา


“ดาราน่ะ”


เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาคนแอบมองสะดุ้ง หันกลับไปจึงเห็นว่าเป็นพ่อ และที่กำลังเข็นรถหนังสือตามหลังมาก็คือนักศึกษาฝึกงานสาขาบรรณรักษ์ที่เจอกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


“ตกใจหมดเลยพ่อ มาเงียบ ๆ”


“ขวัญอ่อนเหลือเกินไอ้ลูกชาย”


“ก็พ่อเล่นมาเงียบ ๆ”


“อยู่ในหอสมุดก็ต้องงดใช้เสียงสิ แกได้อ่านป้ายที่หน้าห้องไหม”


“บุ๋นรู้น่า บ่นอะไรยืดยาวเนี่ย” ลูกชายเกาหัว “ว่าแต่ดารามาหอสมุดทำไมพ่อ”


“เห็นว่าจะมีละครที่ต้องรับบทเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด ก็เลยขอเข้ามาเรียนรู้งาน”


“ลุงธงแกจะให้อาบู๊สอน อาบู๊แกก็ไม่ยอม” หนุ่มนักศึกษาเอ่ยขึ้น


บรรณภัทรละสายตาจากชายหนุ่มที่กำลังชะเง้อคอยาวมายังผู้เป็นพ่อ “ทำไมพ่อไม่สอนเขาล่ะ”


“ก็อาบู๊แกไม่บ้าดาราไง ใช่ไหมอา เป็นผมหน่อยไม่ได้ ถ้าได้สอนงานพระเอกตัวท็อปแบบนี้ละก็จะขอถ่ายรูปคู่แล้วก็ให้เซ็นตรงกลางหลัง...”


“เอ่อ...พี่ ๆๆ หยุดแป๊บ ผมขอคุยกับพ่อแป๊บนะพี่ คุยแบบคนในครอบครัวเดียวกันน่ะ” คนอายุน้อยที่สุดกล่าวพร้อมกับยกมือเป็นสัญลักษณ์ให้หยุด แต่อีกฝ่ายก็ยังจ้อไม่หยุด


“อ้าว พี่ก็คนน...ใน...”


“นอก” บรรณภัทรต่อให้


“เออใช่” หนุ่มนักศึกษาฝึกงานกล่าวเสียงอ่อย จับเนคไทแกว่งไปมาอย่างเขินอาย “ลืมไปเลย”


บรรณวิชญ์ถอนใจเบา ๆ แม้จะไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากปากลูกชาย แต่เขาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการถามว่า “แล้วยังไงต่อ”


“ไม่อยากยุ่งกับดารา”


“อินดี้ไม่ใครเกิน” นักศึกษาหนุ่มเสริม 


ขณะเดียวกันบรรณภัทรใช้ปลายนิ้วดันแว่นสายตาพลางเห็นด้วยกับอีกฝ่าย


“อินดงอินดี้อะไร รู้จักแต่อินเดีย ไป ๆ ไปทำงานได้แล้ว” พูดจบบรรณวิชญ์ก็เดินนำโดยมีชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเข็นรถหนังสือตามพร้อมกับทำปากขมุบขมิบ


บรรณภัทรส่ายหัวแล้วหันกลับมามองหาเรื่องที่น่าสนใจ เอื้อมมือดึงหนังสือสาม-สี่เล่มจากบนชั้นแล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ พลิกดูรูปไปเรื่อย ๆ ระหว่างรอเวลาพ่อเลิกงาน ชายหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้ขยับไปไหนเป็นเวลานานพอสมควร กระทั่ง “ลุงธง” ซึ่งเป็นหัวหน้าของพ่อเดินผ่านไปจึงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาติดฝาผนัง เห็นว่าอีกไม่นานจะได้เวลาเลิกงานของพ่อจึงลุกขึ้นหอบหนังสือทั้งหมดแล้วเดินกลับไปที่เดิม คาคมมมองออกไปนอกประตูกระจกซึ่งยังคงมีผู้คนจำนวนหนึ่งปักหลักรอแต่กลับไร้เงาของนักแสดงที่พวกเขาชื่นชอบ อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้พระเอกชื่อดังคนนั้นคงหลบออกไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทิ้งให้บรรดาแฟน ๆ ต้องรอเก้อเสียแล้วกระมัง


เมื่อถึงชั้นหนังสือหมวดเก้าร้อยซึ่งเป็นที่หมาย บรรณภัทรพลิกดูสันปกหนังสือในมือแล้วไล่สายตามองบนชั้นก่อนจะเขย่งปลายเท้าเพื่อสอดเล่มที่อยู่ในมือคืนที่ พลันจมูกก็ได้กลิ่นน้ำหอมยี่ห้อที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ที่รู้ก็เพราะอัจจิมาเคยลากไปดมตามเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าอยู่บ่อยครั้ง


“มา พี่ช่วย”


ชายหนุ่มชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ ๆ ซ้ำหนังสือที่กำลังจะเสียบคืนชั้นยังถูกดึงไปโดยมือใหญ่ของเจ้าของร่างสูงที่จู่ ๆ ก็มายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง คนตัวเล็กกว่าถอยห่างออกมามองให้เต็มตา ที่แท้อีกฝ่ายก็คือ “ดารา” ที่พ่อพูดถึงนั่นเอง


“ข...ขอบคุณครับ” บรรณภัทรกล่าว


ศุภกานต์หันมายิ้มให้ก่อนจะดึงหนังสือทั้งหมดไปถือไว้เอง จากนั้นนักแสดงหนุ่มจึงก้มดูเลขเรียกหนังสือที่สันปก แล้วเงยหน้าขึ้นมองหาตำแหน่งที่จะใส่กลับคืน “ทำไมไม่วางไว้หรือเอาไปเก็บที่โต๊ะสำหรับหนังสือรอคืนชั้นล่ะ”


คนฟังเลิกคิ้ว ไม่คิดว่านักแสดงมีชื่อเสียงระดับนี้จะลดตัวลงมาพูดคุยกับเด็กที่ไหนไม่รู้เช่นตนเอง แต่ว่าไปแล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนตรงหน้าเริ่มต้นการสนทนากับเขา


“ว่ายังไง กลัวบรรณารักษ์เหนื่อยเหรอ”


“ครับ” บรรณภัทรตอบตามที่คิด


คนถามคลี่ยิ้มอีกครั้งพยักหน้าพลางสอดหนังสือคืนที่ “ดีเลย พี่เพิ่งเรียนวิธีการเก็บหนังสือเข้าชั้นจากหัวหน้าบรรณารักษ์ของที่นี่มา ขอลองวิชาหน่อยนะ เล่มนี้อยู่ตรงนี้ถูกไหม”


บรรณภัทรมองหนังสือที่กำลังจะถูกเสียบกลับเข้าชั้น เห็นว่าคนละตำแหน่งกับที่เขาเล็งไว้แต่แรกจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่ต้องเอาไว้ตรงไหน”


“ดูตามเลขหมู่ เล่มนี้จะอยู่ระหว่างสองเล่มนั้นครับ” พูดจบลูกชายบรรณารักษ์ก็สืบเท้าเข้าใกล้แล้วชี้ไปยังหนังสือสองเล่มที่เอนพิงกันอยู่ รอกระทั่งอีกฝ่ายสอดหนังสือคืนที่อย่างถูกต้องจึงกล่าวต่อ “ถ้าเราเก็บไม่ถูก ไม่ใช่แค่บรรณารักษ์ที่เหนื่อย คนที่ต้องการหาหนังสือเล่มนี้ก็เหนื่อยด้วยครับ”


คำพูดของชายหนุ่มแปลกหน้ารูปร่างผอมกะหร่องทำเอาศุภกานต์ถึงกับยิ้มกว้าง ก้มลงมองอีกสามเล่มที่เหลือแล้วพึมพำกับตัวเอง “ดูเลขหมู่หนังสือ... ชื่อย่อคนแต่ง... แล้วก็...”


“เลขหมู่หนังสือระบบดิวอี้กำหนดไว้ว่าเก้าร้อยเป็นหนังสือเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ เวลาบรรณารักษ์เรียงหนังสือก็จะดูเลขหมู่หนังสือเรียงจากน้อยไปหามาก จากบนลงล่าง ถ้าหากเลขหมู่ซ้ำกันก็จะเรียงตามอักษรย่อชื่อผู้แต่ง ถ้าชื่อผู้แต่งซ้ำกันก็ให้ดูที่อักษรย่อชื่อเรื่อง หรือถ้าซ้ำกันอีกก็ดูที่เลขลำดับเล่มหรือฉบับครับ”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นเล่มนี้...ก็ต้องอยู่ตรงนี้”


“ส่วนเล่มนี้อยู่ข้างล่าง ตรงนี้หรือเปล่านะ... ไม่ใช่สิ ต้องตรงนี้”


“เล่มสุดท้าย... ล็อกนี้ ด้านบน ตรงนี้ไง”


บรรณภัทรกอดยอกมอง ยอมรับว่าท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ ของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกคันไม้คันมืออยากจะแย่งหนังสือมาเรียงเองอยู่บ้าง แต่ท่าทางตั้งอกตั้งใจก็ทำให้ต้องปล่อยให้เขาทำให้สำเร็จด้วยตนเอง


“พี่ทำถูกไหม” ศุภกานต์หันมาถาม


“ถูกครับ”


นักแสดงหนุ่มยิ้มอย่างภูมิใจ “เป็นบรรณารักษ์นี่ไม่ง่ายเลยเนอะ จะมีใครบ้างไหมนะที่จำได้หมดว่าหนังสือเล่มไหนอยู่ตรงไหน”


บรรณภัทรไม่ได้ตอบแต่ในใจนึกได้อยู่คนหนึ่ง คนที่ไม่ต้องคีย์ข้อมูลในระบบก็สามารถบอกได้ว่าหนังสือเล่มนั้นอยู่ตรงไหน ซ้ำยังบอกรายละเอียดคร่าว ๆ ได้อีกด้วยว่าเนื้อหาในหนังสือแต่ละเล่มเกี่ยวกับอะไร ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์หรือบุคคลสำคัญแล้วละก็ ให้เล่าทั้งวันทั้งคืนก็ไม่จบ คนนั้นก็คือ...พ่อของเขานั่นเอง


“ทำไมเราถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับหนังสือเยอะจัง”


“พ่อผมเป็นบรรณารักษ์ครับ”


ศุภกานต์เลิกคิ้วก่อนจะคลี่ยิ้มด้วยความยินดี “ดีเลย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรู้สิว่าทำไมเวลาเราไปยืมหนังสือ เจ้าหน้าที่ห้องสมุดถึงต้องเอาสันหนังสือถูกกับแท่นโลหะที่วางอยู่ข้าง ๆ ตัว”


บรรณภัทรนิ่งไปชั่วขณะ ในหัวพยายามคิดถ้วยคำที่เข้าใจง่ายก่อนจะเริ่มอธิบาย “ห้องสมุดแต่ละที่จะมีระบบป้องกันหนังสือสูญหายครับ บางที่ใช้แถบแม่เหล็กติดไว้ด้านในของสันหนังสือ เพราะฉะนั้นถ้าเราหยิบหนังสือจากชั้นโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่ลบสัญญาณแม่เหล็กออกก่อน เวลาเดินผ่านเครื่องจับสัญญาณ สัญญาณก็จะดัง การลบสัญญาณออกก็คือที่พี่เห็นเจ้าหน้าที่เขาเอาสันหนังสือถูกับแท่นโลหะนั่นแหละครับ พอเราเอาหนังสือที่ยืมไปกลับมาคืนเจ้าหน้าที่เขาก็จะมีวิธีการเอาสัญญาณกลับคืนมาเหมือนเดิมก่อนเก็บเข้าชั้นครับ”


“สงสัยมาตั้งนานแล้วว่าทำไมต้องทำแบบนั้น เป็นอย่างนี้นี่เอง”


ศุภกานต์ไม่ทันได้กล่าวอะไรต่อ เสียงประกาศเตือนได้เวลาปิดทำการของหอสมุดก็ดังขึ้น ต่างคนต่างมองไปรอบ ๆ ได้ยินเสียงลากเก้าอี้เก็บและเสียงฝีเท้า นักแสดงหนุ่มเลื่อนสายตากลับมายังชายหนุ่มร่างผอมผิวคล้ามแดดอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์ เห็นอีกฝ่ายดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพียงเห็นชื่อคนโทรมาเขาก็เงยหน้าขึ้นกล่าวคำอำลาแล้วเดินจากไปอย่างรีบร้อน


“อ...อ้าว ยังไม่ทันได้ขอบคุณเลย” ศุภกานต์ผ่อนลมหายใจพลางล้วงกระเป๋ากางเกงมองตามคนที่ผลุบหายไประหว่างชั้นหนังสือ “หวังว่าโลกจะกลมนะ”



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

บุ๋นได้เจอกับคู่ของบุ๋นแล้ว

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

รับน้องรถไฟ
ร้อน และเบาะแข็งมาก55 หลับๆตื่นๆ กันไปตลอดทาง
มีเพื่อนก็ตอนรับน้องนี่แหละ

คิดถึงวันเก่าๆ

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 118
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai5:รอตอนต่ไปเลยจร้าาาา.. มาเวยๆเน้อ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ :katai2-1:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
รอตอนต่อไปเลยค่ะ แบบนี้เขาก็เรียกว่าโลกกลมแล้ว เจอตั้งแต่ยังเห็นผ่าน ๆ จนได้คุยกันแบบนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โลกกลมที่สุดเลยค่ะพี่กานต์ ยังไงก็ต้องได้เจอ

ออฟไลน์ sembia

  • Me as me.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รอนักเขียนอยู่นะคะ  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ยังรอติดามอยู่นะครับ. รักสุดๆๆนักเขียนคนนี้  :L1: :L1:

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
ชอบเรื่องนี้จัง    :m1:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 5 น้องใหม่



   “พี่บุ๋ม”


   บรรณภัทรกลอกตาพลางถอนใจเฮือกเมื่อได้ยินคำเรียกนี้ นอกจากจะระคายหูแล้ว การต้องมาพบกับคนเรียกทุกวันยังทำให้ปิดเทอมอันแสนสงบสุขของเขาต้องกลายเป็นแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง เพราะนับตั้งแต่ลุงหมงมาขอร้องให้ช่วยตอนพิเศษลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ชายหนุ่มก็แทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหน แทนที่จะได้นอนตื่นสายอย่างที่ถวิลหามาตลอด กลับต้องตามน้านิตย์มาที่มหาวิทยาลัย ใช้มุมหนึ่งใต้สำนักหอสมุดเป็นที่ติวหนังสือให้กับเด็กชายอายุสิบเอ็ดปีที่ดูจะไม่ค่อยเห็นความปรารถนาดีของผู้เป็นพ่อสักเท่าไร ส่วนลุงหมงเองพักหลังก็ไม่ค่อยใส่ใจว่าครูคนนี้จะสอนอะไรให้ไอ้ลูกเป็ดจอมซนนี่บ้าง คิด ๆ ไปแล้วก็เหมือนแค่ต้องการพี่เลี้ยงเด็กเสียมากกว่า บรรณภัทรถอนใจอีกเฮือกอย่างปลงตก ถ้าการเป็นพี่เลี้ยงเด็กจะได้เงินค่าจ้างพอสำหรับเป็นค่าตั๋วรถไฟปรับอากาศชั้นสองไปกลับกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ แถมยังมีเหลือใช้ซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยากได้อีกอย่างสองอย่างก็เป็นการยากที่ใครจะปฏิเสธ
   

“เป็ดซื้อมาฝาก” เด็กชายแก้มยุ้ยกล่าวพร้อมกับยื่นแก้วพลาสติกใส่น้ำแตงโมงปั่นให้ 


“ขอบใจ” บรรณภัทรกล่าวก่อนจะรับไว้ วางลงบนโต๊ะและมองหน้ากลมขึ้นสีแดงเพราะไอแดด เห็นเหงื่อที่ไหลย้อยจากจอนผมแล้วอดดึงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อของอีกฝ่ายออกมาซับให้ไม่ได้ “ทีหลังต้องกางร่มหรือใส่หมวกไปนะ เดี๋ยวไม่สบาย”


เด็กชายหาได้ใส่ใจคำพูดนั้น กลับล้วงมือควานหาลางสิ่งในกระเป๋ากางเกง ไม่นานก็วางลูกอมรสนมหลากสีสันลงบนโต๊ะ “มีลูกอมด้วย”


“ระวังฟันจะผุ” คนอายุมากกว่าบอก กระนั้นก็ยังหยิบลูกอมเม็ดหนึ่งมาแกะใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ


“พี่บุ๋มกินเยอะกว่าเป็ดอีก”


บรรณภัทรเบะปากเล็กน้อยก่อนจะเคี้ยวต่ออย่างไม่ใส่ใจ


“เย็นนี้ก่อนกลับบ้านไปกินไอติมนะพี่บุ๋ม”


“วัน ๆ คิดแต่เรื่องกิน”


“นะพี่บุ๋มนะ นะครับ” ไม่พูดเปล่า สองมือเล็ก ๆ ยังเอื้อมมาเขย่าแขน


ชายหนุ่มมองเจ้าของแก้มกลมอย่างอ่อนใจ นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเรียกชื่อพี่ให้ถูกก่อน”


“พี่บุ๋ม”


“บุ๋น”


“นะพี่บุ๋น นะ ๆ”


“ก็ได้ ๆ แต่บ่ายนี้ต้องตั้งใจเรียนนะ”


“ครับผม” เด็กชายเป็ดทำท่าตะเบ๊ะ


ดังนั้นตลอดบ่ายสองคนจึงย้ายขึ้นไปตากแอร์กันในห้องทำงานของพ่อ ๆ แม่ ๆ บรรณภัทรเริ่มนำเข้าบทเรียนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กประถมโดยการเล่นเกมง่าย ๆ ตอนแรกเด็กชายเป็ดก็สนใจดี แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำแบบฝึกหัดก็เล่นเอากุมขมับทั้งคนสอนคนเรียน


“ไอ้เป็ด แกตั้งใจหน่อยได้ไหม”


“พี่บุ๋นทำไมพูดไม่เพราะ”


“อะ ๆ น้องเป็ดครับ น้องเป็ดช่วยสนใจที่พี่บุ๋นสอนหน่อยได้ไหมครับ” บรรณภัทรเน้นทีละประโยคซ้ำยังกระดกลิ้นรัว


“เป็ดก็ตั้งใจแล้วนะพี่บุ๋น แต่โจทย์มันยาก ต้องพักสมองบ้าง”


“พักบ้าอะไร ตั้งแต่บ่ายมายังไม่ได้เริ่มทำสักข้อ ถามแต่เรื่องไร้สาระอยู่ได้”


“โถ่ ไม่ได้เจอตั้งนานเป็ดก็อยากคุยกับพี่บุ๋นนี่ พ่อบอกว่าห่วงก็ทัก รักก็ถาม”


นี่ก็อีก... มุขเลี่ยน ๆ จากละครซิทคอมยอดนิยมที่ลุงหมงเหมาซื้อซีดีไว้เป็นกะตั้กจนต้องแบ่งมาให้พ่อกับน้านิตย์ดู


“ไอ้เป็ด ขืนพูดอะไรน่าขนลุกอีกจะโดนไม้บรรทัดดีดปาก”


“ไม่พูดแล้วก็ได้” เด็กชายมุ่นคิ้ว ก้มหน้าทำแบบฝึกหัดต่อทั้งที่ปากยังบ่นขมุบขมิบ ตั้งอกตั้งใจอยู่ได้ไม่นานก็เริ่มคุยจ้อจนคนสอนส่ายหัว


“อยู่นิ่งได้ไม่เกินห้านาทีจริง ๆ แบบนี้จะเป็นตำรวจได้ยังไง”


“ตำรวจไม่ใช่หุ่นไล่กานะพี่บุ๋น จะได้อยู่นิ่ง ๆ ทั้งวัน” เจ้าของแก้มยุ้ยกล่าวก่อนจะจรดปลายดินสอทดเลขในกระดาษ จากนั้นจึงย้ายมือมาเขียนคำตอบลงในช่องว่าง


“เย้...เสร็จแล้ว” เด็กชายร้องขึ้น


“เสร็จอะไร เหลืออีกตั้งเก้าข้อ”


“เสร็จหนึ่งข้อก็ถือเป็นความสำเร็จนะครับ”


บรรณภัทรกัดริมฝีปากแน่น


“อยากกินไอติมแล้ว”


“ทำอีกเก้าข้อให้เสร็จก่อน”


“เป็ดเหนื่อยแล้ว ปวดหัวจะแย่ ไปกินไอติมก่อนแล้วค่อนกลับมาทำไม่ได้เหรอครับ”


“ไม่ได้ ต้องทำให้เสร็จ”


เด็กชายเป็ดอิดออดอยู่ได้ไม่นาน เมื่อหมดข้ออ้างจึงลงมือทำแบบฝึกหัดต่อ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง หนุ่มน้อยก็เริ่มจ้ออีกครั้ง


“เสร็จสักที เป็ดเก่งไหมพี่บุ๋น”


“เก่งบ้าอะไร โจทย์บวกลบคุณหารเศษส่วนแค่สิบข้อทำเป็นชั่วโมง”


“เหนื่อยก็พัก รักถึงจะไปต่อ”


“ไอ้ป...เป็ด...” บรรณภัทรพูดยังไม่ทันขาดคำอีกฝ่ายก็ร้องขึ้น   


“พ่อ!”


ชายหนุ่มถอนหายใจยาว มองเจ้าของร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามา


“ไง วันนี้พี่บุ๋นสอนอะไรบ้าง” ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีเอ่ยขึ้น


“พี่บุ๋นสอนเยอะแยะไปหมดจนตอนนี้เป็ดหิวไอติมแล้วพ่อ”


มงคลมองลูกชายที่กำลังยกมือขึ้นลูบท้องอย่างเอ็นดูก่อนจะหันไปหาอีกคน


“เหนื่อยหน่อยนะบุ๋น สอนไอ้ลูกเป็ดนี่”


“ไม่เป็นไรครับ” บรรณภัทรตอบพลางเหล่มองเด็กน้อยที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ข้าง ๆ


“พรุ่งนี้บุ๋นไม่ต้องมาสอนเจ้าเป็ดมันแล้วละ”


“อ้าว ทำไมล่ะครับลุงหมง บุ๋นยังสอนไม่ครบตามที่ตกลงกันไว้เลยนะ”


“วันนี้ย่าเจ้าเป็ดเจ้าเป็ดจะมาจากต่างจังหวัดน่ะ มีคนช่วยดูแลแล้ว บุ๋นไปทำอย่างอื่นเถอะ เห็นน้านิตย์บอกว่าเดือนหน้าจะกลับเชียงใหม่แล้วใช่ไหม”


“ครับ”


คนฟังพยักหน้าพลางดึงซองกระดาษสีขาวออกจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ “อะนี่ค่าจ้าง ลุงเพิ่มให้อีกนิดหน่อย เหลือจากจองตั๋วรถไฟจะได้เอาซื้อของที่อยากได้”


“เท่าที่คุยกันไว้ตอนแรกก็เยอะแล้วนะครับ”


“เอาน่า รับไว้ ผู้ใหญ่ให้อย่าปฏิเสธ”


“ขอบคุณครับ” ลูกชายบรรณารักษ์ไหว้แล้วรับซองค่าจ้างเก็บใส่กระเป๋ากางเกง


“เย้ ๆ พี่บุ๋นรวยแล้ว” เด็กชายเป็ดยืนขึ้นแล้ววาดแขนโอบคอพี่ชายที่เขายกให้เป็นคนสำคัญ “พี่บุ๋นเลี้ยงไอติมเป็ดนะ”


“ได้” ชายหนุ่มหัวเราะ


“ให้พี่บุ๋นเลี้ยงได้ยังไง เราสิต้องเลี้ยง พี่เขาอุตส่าห์สอนพิเศษให้ตั้งหลายเดือน” มงคลเตรียมจะหยิบเงินในกระเป๋าให้ลูกชายแต่บรรณภัทรห้ามไว้เสียก่อน


“ไม่ต้องหรอกครับลุงหมง วันนี้บุ๋นรวย เดี๋ยวบุ๋นเลี้ยงน้องเอง” คนพูดยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้าง


สองพี่น้องจูงมือกันออกจากอาคารสำนักหอสมุด เดินไปตามทางมุ่งหน้าอยู่ร้านไอศกรีมหลังมหาวิทยาลัย เป็นห้องกระจกติดเครื่องปรับอากาศ ด้านหน้าปลูกไม้ประดับ ที่สะดุดตาคือพุดศุภโชคที่จัดใส่กระถางเรียงยาวตลอดแนว ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอนิเจอร์สีสันสดใส ซ้ำรสชาติไอศกรีมที่เจ้าของลงมือทำเองยังอร่อยถูกปากจนกลายเป็นร้านประจำของบรรดานักศึกษาและเด็ก ๆ ในละแวกนี้


เมื่อสั่งไอศกรีมเรียบร้อย เด็กชายแก้มยุ้ยก็วิ่งนำไปนั่งที่โต๊ะบาร์ทรงสูงซึ่งหันหน้าออกนอกร้าน ปืนขึ้นนั่งเก้าอี้ได้ก็คว้าดินสอสีในกระบะขีดเขียนลงบนกระดาษที่วางอยู่ใกล้กัน ไม่ช้าภาพกระถางดอกไม้เล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้น 


“เชียงใหม่อยู่ไกลมากไหมพี่บุ๋น” เป็ดถามพลางเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกผนังกระจก เป็นเวลาเดียวกับที่แท็กซี่สีเขียวเหลืองแล่นมาจอดชิดบาทวิถี ครู่หนึ่งร่างสูงในชุดนักเรียนมัธยมปลายก็เปิดประตูลงมาพร้อมกับกุหลาบสีแดงกำหนึ่งในมือ เขากระชับเป้สะพายหลังจากนั้นจึงผลักประตูเข้ามาในร้านเป็นผลให้โมบายกระดิ่งลมประทบกันดังกังวาน


“ไกลมาก พี่นั่งรถไฟตั้งสิบกว่าชั่วโมง”


“แล้วเชียงเหมือนกรุงเทพฯ รถติกเหมือนกันหรือเปล่า”


“คล้าย ๆ นะ รถติดก็มี หน้าร้อนก็ร้อนจนตัวจะไหม้...” บรรณภัทรไม่ทันเล่าต่อ เจ้าของร้านสาวสวยก็ยกไอศกรีมมาเสิร์ฟพอดี ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณแล้วเลื่อนถ้วยแก้วทรงสูงข้างในใส่ไอศกรีมสายรุ้งเรียงต่อกันสองก้อนตกแต่งด้วยเกล็ดน้ำตาลหลากสีและเจลลี่ให้เด็กชาย ส่วนของเขาเป็นไอศกรีมซันเดย์รสวานิลลาโปะวิปครีมโรยอัลมอนด์สไลด์


“ตามสบายนะจ๊ะ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะทักทายคนที่เพิ่งเดินผ่านหลังไปนั่งลงยังเก้าอี้บาร์ตัวในสุดซึ่งเป็นที่ประจำ “ไงป้อน สาวไหนให้กุหลาบมาจ๊ะ”


เด็กหนุ่มวางดอกไม้สีแดงสดลงบนโต๊ะพร้อมกับตอบ “รุ่นน้องที่โรงเรียนน่ะพี่ วันนี้วันปัจฉิม” ว่าแล้วก็ถอดเป้สะพายวางบนพื้นพิงกับขาเก้าอี้


“เร็วจังเลยนะ พี่เห็นเราตั้งแต่เรียนม.ต้น เผลอแป๊บเดียวจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว นี่ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะเรียนที่ไหน”


“ยังเลยพี่” หนุ่มม.ปลายกล่าวเสียงเนือย


“สอบติดหลายที่ก็แบบนี้แหละ เลือกไม่ถูก สมัยพี่เอนทรานซ์นะ ถึงจะเป็นคณะที่ไม่ชอบก็ต้องเรียน ขี้เกียจไปสอบใหม่ เรียน ๆ ไปกลายเป็นชอบซะงั้น” เจ้าของใบหน้ารูปไข่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกถึงอดีตที่ผ่านพ้นมานาน


“ยิ้มแบบนี้คงไม่ได้ชอบแค่คณะแล้วมั้ง” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างรู้ทัน


“แหม...คณะพี่ก็ชอบจ้ะ แต่พอมีคนที่ใช่มันก็ยิ่งทำให้ชอบทุกอย่างไปหมด แถมมีกำลังใจในการเรียนด้วย ว่าแต่เรื่องวงเถอะ สรุปว่าเพื่อน ๆ เอายังไงกัน”


“ไม่มีใครทำต่อ มีผมแค่คนเดียวจะเป็นวงได้ยังไง”


“น่าเสียดายจัง อุตส่าห์ซ้อมด้วยกันมาตั้งนาน”


“ทำยังไงได้ละครับ ต้องแยกย้ายกันไปเรียนแล้วนี่”


เห็นคู่สนทนาดูไม่ร่าเริงเหมือนเคย หญิงสาวเจ้าของร้านจึงกล่าว “ไม่เป็นไร ไว้ได้ที่เรียนแน่ ๆ แล้วค่อยเริ่มใหม่ก็ได้นี่เนอะ เดี๋ยวพี่ไปเอาไอติมให้กินดีกว่าจะได้อารมณ์ดี”


“ครับ”


นัยน์ตาสีเข้มทอดตามองกุหลาบสีสดตรงหน้า นึกขึ้นได้จึงล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องเล่นเพลงตัวจิ๋วราคาแพงลิ่วกับกระดาษที่พับเอาไว้ลวก ๆ ออกมาวาง จากนั้นจึงเสียบอินเอียร์กับหูทั้งสองข้าง มือคลี่กระดาษออกดู มันคือใบสมัครประกวดวงดนตรีน้องใหม่ของค่ายเพลงแห่งหนึ่ง รายละเอียดสมาชิกในตำแหน่งนักร้องนำและหัวหน้าวงคือชื่อของเขา ‘ภควัต อานันทร’
ส่วนชื่อของสมาชิกอีกสามคนในตำแหน่งกีตาร์ กลองและเบส...ถูกขีดฆ่าด้วยปากกา...


“หน้าร้อนก็ร้อนจนตัวจะไหม้ แทบไม่อยากออกไปไหนเลย ส่วนหน้าหนาวอากาศเย็นมาก ๆ บางวันหมอกลง ดอกไม้บานเต็มไปหมด” เห็นเด็กชายมัวแต่อ้าปากหวอบรรณภัทรจึงกล่าว “กินก่อน เดี๋ยวไอ้ติมละลาย”


“ครับ” เจ้าลูกเป็ดรับคำ ตักไอศกรีมใส่ปาก ความเย็นจากของโปรดทำให้เผลอทำตัวสั่นดุ๊กดิ๊ก “ฮ่า...เย็นจัง”


“จะกินหมดไหมเนี่ย”


“สบายมาก” ว่าแล้วก็ใช้ช้อนตักไอศกรีมก้อนโตเข้าปากแล้วหันไปวาดภาพต่อ “ที่เชียงใหม่ของอร่อยเยอะไหมครับ”


“เยอะ แค่เฉพาะหลังม.ก็หลายร้านแล้ว พี่ยังกินไม่ครบเลย”


“ที่เที่ยวละครับ”


“อืม...ถ้าใกล้ ๆ ก็มีทั้งวัด สวนสัตว์ แล้วก็ตลาด เย็นวันอาทิตย์มีถนนคนเดิน”


“ชอบที่ไหนมากกว่ากัน” เด็กชายเป็ดถามทั้งที่ดวงตาจับจ้องปลายดินสอสีที่ลากซ้ำไปมาบนกระดาษ “เชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ”
คนถูกถามนั่งนิ่งใช้ความคิด ไม่นานจึงตอบ “ชอบเชียงใหม่มากกว่า”


“เอาไว้เป็ดจะขอให้พ่อกับแม่พาไปเที่ยวเชียงใหม่บ้าง”


“ไปสิ เดี๋ยวพี่พาเที่ยวเอง”


“จริงนะ” เด็กชายแก้มยุ้ยกล่าวเสียงดัง


“เบา ๆ” บรรณภัทรปราม มองคนที่นั่งไกลออกไป เห็นเขาเสียบอินเอียร์จึงค่อนข้างมั่นใจว่าเสียงของน้องชายคงมิได้ก่อความรำคาญอย่างที่เป็นกังวลในตอนแรก


“จริง ๆ นะ” เจ้าลูกเป็ดลดเสียงลงจนกลายเป็นกระซิบ


“จริงสิ”


ได้ยินดังนั้นหนูน้อยก็ยิ้มแฉ่งยกมือขึ้น


“อะไร”


“แปะมือสัญญาไง”


“แปะก็แปะ” คนอายุมากกว่าว่าพลางยกมือขึ้นสัมผัสมือของอีกฝ่าย “แปะแล้วต้องไปนะ”


เจ้าลูกเป็ดจอมซนไม่ได้กล่าวใด ๆ หยิบสีที่วางอยู่ใกล้มือมาระบายลงบนกระดาษส่วนเขาบอกว่ามันคือกระถางต้นไม้


“ตรงนั้นอะไร ขยุกขยิกอยู่ใต้ก้านใบนั่นน่ะ” บรรณภัทรชี้


“หนอนผีเสื้อ”


“แล้วนี่ล่ะ”


“ผีเสื้อไง นี่ปีก อันนี้หนวด”


“ไม่ได้ต่างกันเลย” ชายหนุ่มโคลงหัวเบา ๆ แล้วจัดการไอศกรีมในถ้วยต่อ เห็นว่าจวนได้เวลาเลิกงานของทั้งลุงมงคลและน้านิตย์จึงเตือนคนที่มัวแต่บรรยายภาพวาดของตนเอง


“ไอติมละลายหมดแล้ว รีบกินให้หมดเร็ว”


“ครับผม” เด็กชายยืดตัวตรงยกมือตะเบ๊ะแล้วรีบตักไอศกรีมที่กำลังเหลวเละเข้าปาก


ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง ภควัตยกมือขึ้นขยับอินเอียร์ มองไอศกรีมในถ้วยที่เริ่มละลาย เขายังไม่ได้แตะมันเลยตั้งแต่เจ้าของร้านยกมาให้ เด็กหนุ่มหยิบช้อนตักใส่ปากได้สอง-สามคำก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ใช่...เขาได้ยิน และได้ยินชัดเจน ไม่เว้นแม้กระทั่งบทสนทนาก่อนหน้านี้ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหูฟังถูกเสียบไว้เฉย ๆ แต่ไม่ได้กดเล่นเพลง นัยน์ตาสีเข้มมองตามเสียงเห็นเด็กชายตัวเล็กวิ่งถือเงินไปจ่ายที่เคาน์เตอร์โดยมีพี่ชายเดินตามหลัง เมื่อรับเงินทอนเรียบร้อยสองคนก็จูงมือกันออกจากร้าน ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเดินผ่านหน้าเขาไป จู่ ๆ คนน้องก็สะบัดมือหลุดจากพี่ชายเดินรี่เข้ามายังแนวกระถางพุดศุภโชคที่วางเรียงอยู่บนฐานทำจากไม้ยกสูงจากพื้นระดับเอวของผู้ใหญ่ หันไปกวักมือเรียกอีกคนให้ดูผีเสื้อที่กำลังเกาะอยู่บนดอกไม้ ภควัตหลุบตามองช้อนไอศกรีมในมือเมื่อรู้สึกได้ว่าเงาของใครบางคนกำลังค่อย ๆ พาดทาบลงมาบนร่างของตนเอง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ปล่อยมือจากช้อน หยิบเครื่องเล่นเพลงชนิดพกพาเพื่อกดเล่นเพลงจากนั้นจึงสอดลงในกระเป๋ากางเกง ท่วงทำนองที่ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเป็นบทเพลงที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเขาและเพื่อน ๆ ตั้งใจซ้อมและบันทึกไว้เพื่อส่งประกวด แต่หลังจากรู้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยสมาชิกต่างลงความเห็นว่าควรยุบวง ดังนั้นบทเพลงนี้จึงไม่มีโอกาสได้นำไปเล่นที่ไหน


...คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

เคยเดินตามหาก็ไม่เจอสักราย

แค่คนคนหนึ่งที่มีผลทางใจ

ที่เจอก็ไม่ใช่ ที่ใช่ก็ไม่เจอ...


บรรณภัทรเดินตามแรงดึงจากมือเล็ก โน้มตัวลงมองเจ้าแมลงปีกสวยที่กำลังเพลิดเพลินกับการเชยชมดอกไม้ แต่เพราะเจ้าลูกเป็ดจอมซนส่งเสียงดัง เจ้าผีเสื้อตัวน้อยก็สยายปีกบินขึ้น แม้มือเล็กจะรีบเอื้อมมือคว้าแต่ก็ได้เพียงอากาศ เห็นผีเสื้อปีกดำแต้มน้ำเงินย้ายไปเกาะที่อีกกระถาง เจ้าเป็ดน้อยก็ยังตามไปตอแยไม่เลิก ดังนั้นในตอนนี้ที่จุดเดิมจึงเหลือเพียงสองคนที่บังเอิญเงยหน้าขึ้นสบตากันโดยมีผนังกระจกกั้น


เพียงเสี้ยววินาที ต่างคนก็ต่างมองไปทางอื่น...


...คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ที่สุดฟ้าก็พาให้มาพบเธอ

เธอคือคนเดียวที่ไม่ต้องเลิศเลอ

ได้อยู่ใกล้เธอเหมือนเจอสวรรค์ในหัวใจ...



“รอพี่ด้วย” บรรณภัทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นน้องเดินห่างออกไป กระนั้นขายาวก้าวตามไม่กี่ก้าวก็ทัน ร่างสูงหยุดเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงรอบ ๆ ก่อนจะกดตามองคนตัวเล็กที่ยังคงเพลิดเพลินกับการไล่จับผีเสื้อ เห็นว่านาน ๆ ทีอีกฝ่ายจะได้มีโอกาสเล่นสนุกเช่นนี้จึงไม่ได้เร่งเร้า และเมื่อเจ้าแมลงปีกสวยบินสูงขึ้นจนยากจะคว้าเด็กชายก็หันมายิ้ม


“กลับเถอะพี่บุ๋น”


“ไม่จับกลับบ้านเหรอ”


คนถูกถามส่ายหน้าน้อย ๆ “เดี๋ยวพ่อกับแม่มันคิดถึง เป็ดยังคิดถึงพ่อกับแม่แล้วเลย”


บรรณภัทรฟังแล้วยิ้มอดใช้มือยีหัวอีกฝ่ายไม่ได้ “เป็ดน้อยเอ๊ย ไป...กลับกัน”


“ครับ” พูดจบเจ้าลูกเป็ดจอมซนก็เกาะแขนพี่ชายเดินไปด้วยกัน


ภควัตเลื่อนมองตามสองพี่น้องที่กำลังเดินจูงมือกัน เด็กหนุ่มลุกขึ้นดึงเป้ขึ้นสะพายหลัง จากนั้นจึงเดินไปจ่ายเงินค่าไอศกรีมแล้วผลักประตูออกไปนอกร้าน ตาคมมองสองคนที่กำลังจูงมือไม่ช้าพวกเขาก็ปะปนไปกับผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่บนบาทวิถี เจ้าของร่างสูงพรูลมหายใจยาวเดินเลียบแนวกระถางต้นไม้พลางใช้มือสัมผัสเรียดไปกับพุ่มใบสีเขียวที่แซมด้วยดอกเล็ก ๆ สีขาว ขายาวหยุดยังตำแหน่งตรงกับจุดที่เคยนั่ง มองเจ้าผีเสื้อที่บินวนเวียนไม่ไปไหน เช่นเดียวเครื่องเล่นเพลงพกพาที่ยังเล่นซ้ำเพลงเดิม เขาล้วงสองมือในกระเป๋ากางเกงพลางยิ้มกับตัวเอง หมุนตัวกลับแล้วเดินไปยังทิศทางตรงข้ามจึงไม่ทันเห็นเจ้าของร้านที่พยายามโบกมือเรียก เธอยืนอยู่ที่เก้าอี้ตัวประจำของเขา และบนโต๊ะยังคงมีกุหลาบกำหนึ่งกับกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนวางไว้


....


สถานีรถไฟกรุงเทพยามนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ดังแทรกเสียงสะล้อซอซึง โถงกว้างที่เคยเป็นที่พักผู้โดยสาร วันนี้ยกให้สำหรับจัดกิจกรรมรับน้องรถไฟที่หนึ่งปีจะมีเพียงหนึ่งหน หนุ่มสาวจำนวนมากนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ในขณะที่บางส่วนเดินสวนกันไปมาเพื่อจัดเตรียมข้าวของไว้เป็นเสบียงยามเดินทางไกล เฉลิมรัฐเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะยืดตัวชะเง้อหาคนที่เพิ่งวางสายไปเมื่อครู่ แต่แล้วเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้ต้องหันไปยังต้นเสียง เห็นกลุ่มสาว ๆ วัยมัธยมกรูกันเข้าล้อมหน้าล้อมหลังใครคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายในสถานี เขามองไปที่จุดนั้นครู่หนึ่งพร้อมกับคิดอะไรเพลินกระทั่งมือของใครบางคนแตะลงบนบ่า


“มัวมองอะไรอยู่” บรรณภัทรเอ่ยขึ้น


“มาแล้วเหรอ”


คนตัวเล็กกว่าคราง “อือ” ในลำคอ


“มายังไง”


“พ่อกับน้านิตย์มาส่ง พอดีเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนเชียงใหม่ก็เลยแวะคุยน่ะ เมื่อกี้ดูอะไรอยู่”


“เขามุงอะไรกันไม่รู้ มีดารามามั้ง” เฉลิมรัฐบอกพลางมองหาคนที่พอจะถามได้ ในที่สุดก็พบเพื่อนคณะเดียวกันเดินผ่านมาจึงเรียกอีกฝ่ายไว้ “เฮ้ย ๆๆ เดี๋ยวก่อน ๆ”


“มีอะไรวะ เรากำลังรีบ”


“ตรงนั้นเขามุงอะไรกันนายรู้ไหม ดารามาเหรอ”


“ไม่ใช่หรอก รุ่นน้องเขามาส่งพี่โรงเรียนเขาน่ะ”


“รุ่นน้องมาส่งรุ่นพี่” เฉลิมรัฐทวนประโยคนั้นด้วยความแปลกใจ


“เออ” กำลังจะเดินต่อแต่ก็ถูกรั้งไว้อีก


“แล้วนายรู้ได้ยังไง”


อีกฝ่ายถอนใจแล้วไปยังกลุ่มเด็กสาวเหล่านั้น “ก็น้องสาวเราอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย” เห็นคนขี้สงสัยพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “เราไปได้หรือยัง”


“เออ ๆ ไป ๆ รีบไป” เจ้าของร่างสูงกว่าพร้อมกับปล่อยมือจากแขนเพื่อน


“นายสองคนก็รีบไปได้แล้ว อีกเดี๋ยวพิธีเปิดก็จะเริ่มแล้ว”


บรรณภัทรละสายตาจากคนที่เดินจากไปอย่างรีบร้อน หันไปถามเฉลิมรัฐที่ยืนอยู่ข้างกัน “เจอออมหรือยัง”


“ยังไม่เจอเลย นายได้คุยกันบ้างหรือเปล่า สรุปว่ามายังไง”


“เห็นว่านั่งสปรินเตอร์มากับอาจารย์แล้วก็เพื่อน ๆ ตั้งแต่เมื่อวาน”


“แล้วไปนอนที่ไหน นอนกับใครนายรู้หรือเปล่า”


“ถ้าอยากรู้ละเอียดขนาดนั้นทำไมไม่โทรไปถามล่ะ”


“ก็...ก็ๆๆๆๆ”


“ก็อะไร ทำไมต้องติดอ่างด้วยวะ”


“ก็เห็นว่านายสองคนสนิทกันไง ถามนายนั่นแหละดีที่สุด ว่าไง เมื่อคืนยัยหน้าม้านอนกับใครแล้วไปนอนที่ไหน”


“นอนบ้านอาจารย์”


สองคนยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ เสียงโทรศัพท์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน


“ว่าไงออม” บรรณภัทรกล่าวเมื่อกดรับสาย เหล่มองคนข้าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็ขยับเข้ามายืนใกล้จนแทบจะสิงร่างกัน “เราถึงแล้ว อืม...ได้สิ ถ้าเรียบร้อยแล้วเราจะโทรถามนะว่าออมอยู่ตรงไหน อื้อ...เดี๋ยวเจอกัน”


“ยัยนั่นว่าไง”


“ออมให้ช่วยซื้อของให้น่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ”


จากนั้นสองหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ เฉลิมรัฐแยกไปซื้อน้ำดื่มซึ่งอยู่ด้านในสุด ส่วนบรรณภัทรหยุดที่ชั้นยาและเวชภัณฑ์ เขาหยิบพาราเซตามอลแผงหนึ่งกับพลาสเตอร์ปิดแผลจากนั้นจึงเดินไปที่ชั้นขนม ตั้งใจจะซื้อมันฝรั่งทอดกรอบแบบที่อัจจิมากินบ่อย ๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่เธอฝากซื้อ ชายหนุ่มก้ม ๆ เงย ๆ หยิบถุงขนมสอง-สามอย่าง เมื่อได้ครบตามต้องการจึงยืดตัวขึ้น กำลังจะหมุนตัวกลับเพื่อไปจ่ายเงินก็เกือบจะชนกับเจ้าของร่างสูงที่เดินสวนมา


“ขอโทษครับ” ต่างคนต่างพูดขึ้นพร้อมกัน


ภควัตสืบเท้าไปอีกทางแต่ก็ดันใจตรงกับคนตรงหน้า เมื่อจะย้ายไปอีกทางความคิดก็เหมือนกันเสียอีก สุดท้ายก็ไม่ไปไหนไม่ได้สักที ดังนั้นชายหนุ่มจึงยืนนิ่งมองอีกฝ่ายที่กำลังหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง


“เสร็จแล้ว เดี๋ยวเรารีบไป” บรรณภัทรกล่าวทันทีที่กดรับสายไม่รอฟังว่าคนโทรมาจะพูดอะไร เขาเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มที่สูงกว่าตนเองอยู่เกือบคืบแล้วพูด “ขอทางหน่อยครับ” เห็นอีกฝ่ายหลีกให้จึงรีบเดินไปทันที 


ภควัตยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หากจะหาสิ่งที่เคลื่อนไหวก็งมีแค่คนตัวเล็กกว่าที่ค่อย ๆ ห่างออกไป หัวใจของตัวเขาเองที่เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ และบทเพลงหนึ่งที่ขับขานแผ่วเบาในอินเอียร์


...จบแล้วที่เสาะหา

ได้มาพบตัวจริงสักที

ชีวิตต่อจากนี้

คงจะดีถ้ามีแต่เธอ...


เสียงพิธีกรประกาศเตือนทำให้ทุกคนทั่วบริเวณทราบว่าพิธีเปิดกิจกรรมรับน้องรถไฟกำลังใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนที่เดินอยุ่ด้านนอกจึงเข้าไปรวมตัวกันที่ลานด้านในสถานี ไม่ช้าพิธีการต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้น


“น่าเสียดายเนอะที่ปีนี้พี่คนนั้นไม่มา” เฉลิมรัฐเอ่ยขึ้น


“พี่คนไหน” บรรณภัทรถาม


“ก็คนที่เป็นดารา ที่เป็นศิษย์เก่าคณะนายไง”


“กานต์ ศุภกานต์น่ะเหรอ” อัจจิมาหันมาถาม


“อือ”


“ช่วงนี้คงไม่ว่างมาหรอกมั้ง ช่วงนี้ท่าทางจะกำลังฮ็อต เดินไปทางไหนก็เจอแต่ป้ายโฆษณาที่พี่เขาเป็นพรีเซนเตอร์ ไหนจะเดินสายโปรโมตละครอีก”


“รู้เยอะจริงนะ เธอนี่เป็นเจ้าของนามปากกาซ้อเจ็ดจุดห้าคนที่เขียนคอลัมน์ข้างบ้านดาราหรือเปล่า” เฉลิมรัฐถาม


“มันมีด้วยเหรอนามปากกากับคอลัมน์นี่น่ะ เราไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย เขาเขียนในนิตยาสารไหนเหรอ”
หนุ่มวิทยาศาสตร์กลั้นหัวเราะ “บทจะเชื่อก็เชื่อง่ายจริง ๆ”


“อ้าว นี่หลอกเราเหรอ”


“ก็ใช่น่ะสิยัยหน้าม้า”


“ไอ้บูมบ้า” หญิงสาวทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“ทะเลาะกันอีกแล้ว” บรรณภัทรส่ายหัวก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง ไม่ร็เลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองตามตนเองอยู่
หลายคนปิดปากหาวเมื่อเข้าสู่ช่วงพูดคุยกันบนเวทีของบรรดาศิษย์เก่าหลากหลายอาชีพ ภควัตยืดตัวนั่งหลังตรงชะเง้อมองชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อยืดสกรีนตัวอักษรบ่งบอกว่าสังกัดคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งเดินสวนกันในร้านสะดวกซื้อ เห็นอีกฝ่ายกึ่งเดินไปทางห้องสุขาจึงหันบอกเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ 


“เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบภควัตก็ลุกขึ้นก่อนจะรีบวิ่งอ้อมไปอีกทาง


เมื่อถึงห้องสุขาขายาวก็หยุดยืน ดวงตาจับจ้องยังร่างของหนุ่มคณะวิทยาศาสตร์ที่กำลังใกล้เข้ามา และเมื่อเขามาถึง ภควัตก็แสร้งทำเป็นกำลังจะเดินออกจากห้องสุขา สองคนเผชิญหน้ากันที่หน้าประตูก่อนจะเป็นคนทุกข์หนักที่เอ่ยขึ้น


“หลบหน่อยครับ”   


ภควัตเห็นอีกฝ่ายเตรียมจะย้ายเท้าไปอีกทางก็ขวางไว้ เป็นเช่นนั้นอยู่สอง-สามหน


“เอ๊า! จะขวางอีกนานไหมน้อง พี่ปวดขี้” เฉลิมรัฐบอกพลางลอบมองสัญลักษณ์นกพิราบบนอกเสื้อยืดสีขาวของน้องใหม่คณะสื่อสารมวลชน


“ขอโทษครับ” พูดจบคนอายุน้อยกว่าก็หลีกทางให้ เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นพักใหญ่ เมื่อเห็นชายหนุ่มคนเดิมเดินออกมาด้วยท่าทางสบายอกสบายใจจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา


“มีอะไรหรือเปล่าน้อง หาทางกลับไม่ถูกเหรอ”


“ปละ...เปล่าครับ”


“แล้วมาขวางพี่ไว้ทำไม”


“คือ... ผมมีเรื่องอยากถามพี่ครับ”


“มีอะไร”


“พี่... เอ่อ... พี่เป็นเพื่อนกับพี่ผู้ชายที่สูงเท่านี้” ภควัตทำมือประกอบ “คนที่ขาว ๆ สวมแว่นตาใช่ไหมครับ”


เฉลิมรัฐมุ่นคิ้ว “ทำไม มีอะไรเหรอ”


“พี่เขาชื่ออะไรเหรอครับ”


คนถูกถามยืนนิ่ง มองสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้ง ที่แท้เขาก็คือคนที่สาว ๆ พากันกรี๊ดกร๊าดเมื่อก่อนหน้านี้นี่เอง พลันมุมปากก็ยกขึ้นน้อย ๆ


“บู๊ เพื่อนพี่ชื่อบู๊”



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

       

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2020 09:06:14 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
โอ่ยยย อย่าแกล้งน้อง5555555
ชื่อเพี้ยนไปหมด
แถมดูทรงแล้วน่าจะพระรองแน่ๆ แต่ก็แอบเชียร์
ชอบเค้ามากจนตามมาเรียนถึงมอ
เทใจให้เลยค่า

ออฟไลน์ sembia

  • Me as me.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สมัครเป็นแฟนคลับน้องเป็ดค่ะ 555 ชอบความเสี่ยวนี้จริงๆ
ตัวละครใหม่มาอีกแล้ว พระรองแน่ๆใช่มั้ยคะ หรือจะมีอีกคู่กันหว่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

น้องป้อนนี่สินะบอสใหญ่ที่ว่า

ส่วนเพื่อนบูมครับ  แกล้งเพื่อนบุ๋นเหรอครับ

ให้ชื่อพ่อกับบอสใหญ่ไปเนี่ย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เดี๋ยวๆ อย่าแกล้งน้องดิ 5555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด