ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลี้(ที่)รัก ตอนที่ 6 รับน้อง (09-11-2565 หน้า 3)  (อ่าน 9352 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-11-2022 11:54:41 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
«ตอบ #1 เมื่อ19-09-2019 16:18:03 »

สารบัญ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
«ตอบ #2 เมื่อ19-09-2019 16:19:51 »

เกริ่น

ปีนั้น...ผมอายุหกขวบ พ่อถูกจ้างให้ออกจากการเป็นนักเอกสารสนเทศของธนาคารแห่งหนึ่งเพราะวิกฤตเศรษฐกิจ เงินเก็บที่มีเริ่มร่อยหรอจนต้องหยิบยืมจากญาติพี่น้อง แม่ที่อยู่บ้านเฉย ๆ จึงต้องหางานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำ เริ่มจากรับแก้ทรงเสื้อ กางเกง เปลี่ยนซิป ไปจนถึงการรับผ้าโหลมาเย็บ เพื่อให้พอมีเงินใช้จ่ายในครอบครัว กระทั่งหลังฟองสบู่แตกเกือบครึ่งปีพ่อจึงได้งานใหม่ เป็นบรรณารักษ์ประจำหอสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของพ่อ แม่จึงตัดสินใจสมัครงานบริษัทที่เคยทำงานตั้งแต่เรียนจบ ที่แม่ต้องลาออกจากที่นั่นก็เพราะรู้ว่าครอบครัวของเรากำลังจะมีสมาชิกใหม่นั่นก็คือผม โชคดีที่เจ้านายเก่ารับแม่เข้าทำงาน ครอบครัวของเราจึงกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง แต่แล้วเมื่อผมอายุเจ็ดขวบ ผมก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในบ้าน เราสามคนแทบจะไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนก่อน ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีใครสอนการบ้านให้ผม พ่อกับแม่เริ่มทะเลาะกัน ในขณะที่ผมเองได้แต่ยืนมองจากช่องเล็ก ๆ ของประตูห้องนอนที่แง้มออก ผมไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วทั้งสองคนมีปากเสียงกันด้วยเรื่องอะไร ถามทีไรพ่อก็จะถอนหายใจแล้วพูดเพียงว่า “เรื่องไม่เป็นเรื่อง” ระยะหลังที่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน ผมมักได้ยินพ่อตะโกนไล่หลังเมื่อแม่เดินหนี


“คนหมดใจ เรื่องอะไรก็หยิบขึ้นมาเป็นเรื่องได้ทั้งนั้น”


ตอนนั้นผมไม่รู้ว่า “หมดใจ” คืออะไร อาจจะคล้าย ๆ ตอนกินคุกกี้ในโหล กำลังอร่อยมันก็ดันหมดเสียก่อน แต่ไม่เป็นไร เพราะทุกครั้งที่หมด พ่อจะซื้อมาเติมให้เต็มอยู่เสมอ


แม่มาหาผมแทบนับครั้งได้ ครั้งสุดท้ายคือวันสอบปลายภาคขณะที่ผมกำลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สาม แม่มาที่โรงเรียนและบอกว่าแม่กำลังจะมีน้องให้ผม ตอนนั้นผมนึกค้านอยู่ในใจว่าผมไปบอกแม่ตอนไหนว่าผมอยากมีน้อง ยังไม่ทันพูดอะไรผมก็ต้องร้องไห้เสียก่อนเมื่อแม่บอกว่าแม่กำลังจะย้ายครอบครัวใหม่ไปอยู่ต่างประเทศ ผมขอร้องไม่ให้แม่ไป เกาะแขนของแม่ให้แน่นที่สุด หวังว่าแม่จะใจอ่อนและกลับมาหาผม แต่ไม่ใช่เลย...แม่แกะมือของผมออกแล้วรีบเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ ผมวิ่งตามรถคันนั้นเท่าที่กำลังจะมี จำไม่ได้เลยว่าวิ่งไปไกลแค่ไหน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำไม่ได้แม้กระทั่งที่ว่าผมกลับมาบ้านได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พ่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ช้อนร่างผมขึ้น พาไปนอนบนเตียงแล้วนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวผม พ่อไม่ต่อว่าสักคำที่ผมไม่รออยู่ที่โรงเรียนจนถึงเวลาที่นัดกันเอาไว้ วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมเห็นน้ำตาของผู้ชายขี้บ่นคนนี้ และนับแต่วันนั้นแม่ก็ไม่เคยกลับมาหาผมอีกเลย


สามปีให้หลัง ผมกำลังจะขึ้นชั้นมัธยม จู่ ๆ พ่อก็พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในบ้านหลังเดิมของเรา พ่อให้ผมเรียกเธอว่า “น้านิตย์” ก่อนหน้านี้ผมเคยพบเธอที่มหาวิทยาลัยที่พ่อทำงาน 2-3 ครั้ง แต่ที่พบบ่อยกว่าเห็นจะเป็นขนมที่เธอฝากมาให้กิน


เธอไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับผมก็จริง...


แต่การมาของเธอกลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัด น้านิตย์พยายามแบ่งเบาพ่อ โดยการทำบางเรื่องที่พ่อเคยทำ และบางเรื่องนั้น...แม่ของผมเคยทำมาก่อน ทั้งซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน และทำกับข้าวให้ผมกิน


รสชาติอาหารของน้านิตย์ไม่ได้แย่ แต่ผมเคยบอกเธอหลายครั้งทั้งต่อหน้าพ่อและทั้งที่อยู่กันตามลำพัง ว่าอาหารที่เธอทำสู้ฝีมือแม่ของผมไม่ได้เลยสักนิด ผมห้ามเธอไม่ให้มาทำอะไรเพื่อผม แต่เธอก็แค่ฟังเฉย ๆ และยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม ผมบอกเป็นร้อย ๆ ครั้งว่าผมเกลียดเธอ แต่เธอกลับไม่สะทกสะท้าน ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ยังพร่ำบอกว่าผมเกลียดเธอ ผมเคยเห็นว่าเธอแอบไปร้องไห้ ตอนนั้นยอมรับว่าสะใจอยู่ลึก ๆ แต่เป็นกังวลเสียมากกว่า คาดเดาเอาว่าเมื่อถึงเวลาอาหารเธอคงฟ้องพ่อให้จัดการกับผม สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่ผมคิด น้านิตย์ผู้ไม่เคยสะทกสะท้านยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเป็นปกติ มันทำให้ผมแปลกใจ แต่ก็ยังเฝ้ารอว่าเมื่อไรผู้หญิงคนนี้จะไปจากชีวิตของผมและพ่อสักที 


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2019 00:14:21 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
«ตอบ #3 เมื่อ19-09-2019 16:20:12 »

มารอก๊าบ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
«ตอบ #4 เมื่อ19-09-2019 17:04:32 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
«ตอบ #5 เมื่อ19-09-2019 20:01:34 »

ทำไมเงินจางนางจรทุกทีเลย
เปิดมาก็ซดมาม่ากรุบกริบ สู้ ๆ นะหนู

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
«ตอบ #6 เมื่อ20-09-2019 09:37:57 »

ได้กลิ่นมาม่า ฮือออ

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2384
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
«ตอบ #7 เมื่อ20-09-2019 11:08:30 »

ปมเรื่องแม่ไปมีครอบครัวใหม่และ "หมดใจ" น่าจะกลายมาเป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง และเป็นสิ่งที่ shape ลักษณะอารมณ์และนิสัยของ "ผม" ด้วยแน่ๆ รออ่านตอนต่อไปนะคะคุณท้องฟ้า

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
«ตอบ #8 เมื่อ23-09-2019 09:30:56 »

จะรออ่านนะคะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
«ตอบ #9 เมื่อ23-09-2019 10:32:36 »

 :pig4:
รออ่านต่อค่ะ
 :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ลี้(ที่)รัก (เกริ่น)
« ตอบ #9 เมื่อ: 23-09-2019 10:32:36 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 1 ลูกพ่อบู๊



กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2550


...ถึงแม่จะอยู่ไกล แต่อย่างน้อยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็พอจะช่วยให้เรารู้ข่าวคราวของกันและกันได้ไม่ยาก วันหนึ่งในปีนั้นแม่ส่งรูปเด็กชายอายุประมาณสามขวบมาให้ทางอีเมล แม่ให้ผมเรียกเขาว่า “น้อง” และในวันเกิดปีที่ห้าของเขา แม่โทรมาหาผม ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่ไม่กี่คำก็ขอให้ผมอวยพรวันเกิดให้เขา ผมยอมทำตาม แค่อยากทำให้แม่สบายใจและหวังว่าในวันเกิดของผม ผมจะได้รับถ้อยคำดี ๆ กลับคืนมาบ้าง แต่ก็ไม่เลย ผมคิดผิดหรืออาจจะเรียกว่าคาดหวังมากเกินไป ผมตั้งตารอตั้งแต่วินาทีที่ขึ้นวันใหม่จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายที่วันสำคัญนี้จะจากไปและอาจวนมาพบกันอีกทีในปีหน้า หากว่าผมยังมีลมหายใจ...

   ตอนนั้นคิดว่าแม่คงยุ่งมากจนลืม ยุ่งมากทุกปี แล้วก็ลืมทุกปี จนสุดท้ายมันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง
ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกที่ร้ายที่สุด ทำให้เสียน้ำตาได้มากที่สุดเมื่อนึกถึง
...ทั้งหมด ก็แค่เขียนให้กับทุกความเสียใจในวัยเด็ก



มือลากเมาส์เพื่อกดบันทึกข้อความในไดอารีออนไลน์ที่เจ้าของเรียกมันว่า “บันทึกแห่งความลับของบรรณภัทร” ดวงตาทอดมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งดับลง ได้ยินเสียงแว่วมาจากชั้นล่างของบ้านจึงรีบลุกขึ้นคว้ากระเป๋านักเรียน แล้วเปิดประตูออกจากห้องทันที

“บุ๋น ลงมาทานข้าวได้แล้วลูก”

หญิงวัยใกล้สี่สิบที่เพิ่งยกชามข้าวต้มออกจากห้องครัวเรียกซ้ำเป็นหนที่สองเมื่อเดินผ่านบันไดซึ่งทอดลงมาจากชั้นสองของบ้าน ไม่มีถ้อยคำตอบรับจากเจ้าชื่อ ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่ก้าวถี่ ๆ เธอวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะ แล้วนั่งยังตำแหน่งถัดไป ซึ่งมีชามแบบเดียวกันวางอยู่ก่อนแล้ว

เสียงวิ่งลงบันได ทำคนที่กำลังก้มอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หัวโต๊ะต้องเงยหน้าขึ้น เป็นเวลาเดียวกับที่ขายาวก้าวพรวดถึงพื้นพอดี เด็กหนุ่มวัยย่างสิบหกปีฉีกยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ วางกระเป๋าบนตู้ใส่รองเท้าแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร

“ให้มันเรียบร้อยหน่อยเจ้าบุ๋น”

“บ่นอีกแล้ว บ่นได้ทุกวัน”

“ก็ถ้าแกไม่ทำเสียงดังโครมคราม พ่อก็ไม่บ่นไหม” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก พับหนังสือพิมพ์วางฝั่งที่ไม่มีใครนั่งมานานแล้ว จากนั้นจึงหันมาหาลูกชายที่นั่งอยู่อีกฝั่ง

ชายลูกชายทำปากขมุบขมิบล้อเลียนพลางจับช้อนคนข้าวต้มในชามที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุย

“เห็นเอาหนังสือเตรียมสอบไปวางไว้บนโต๊ะทำงานพ่อ อ่านจบแล้วเหรอ”

“จบแล้ว ฝากคืนด้วยนะพ่อ” ว่าแล้วก็ตักข้าวต้มเข้าปาก

“ไว้พ่อจะยืมมาให้อ่านอีก พวกประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ก็น่าจะดี”

“เยอะแยะไปหมด ใครจะไปอ่านไหว”

“มีเวลาอีกเป็นปี ก็ค่อย ๆ อ่านไปสิ”

“เตรียมสอบแอดมิชชันนะพ่อ ไม่ได้เตรียมสอบจอหงวน”

“วิชาพวกนี้สำคัญนะ ทิ้งไม่ได้”

“รู้แล้วครับ ๆ” เด็กหนุ่มลากเสียง เหลือบมองผู้หญิงที่นั่งตักข้าวกินเงียบ ๆ “ทำไมพ่อไม่หาตำราอาหารให้น้านิตย์อ่านบ้าง จะทำอาหารอร่อย ๆ กว่านี้ ทำแต่ละอย่างไม่เห็นจะอร่อยเลย” สุดท้ายก็อดพูดประโยคนี้ไม่ได้ พูดทุกวันจนเข้าปีที่หกแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าคนที่ถูกพาดพิงจะรู้สึกอะไร

“ไม่อร่อยก็เห็นกินหมดทุกครั้ง” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะยกกาแฟดำขึ้นดื่ม

“เสียดายหรอก” พูดไปกินไปพลางเหลือบมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่ถูกนำออกมาจากห้องเก็บของใต้บันได “แล้วนี่เอากระเป๋าเดินทางออกมา จะไปไหนน่ะพ่อ”

“พรุ่งนี้พ่อต้องไปเชียงใหม่ วันอังคารถึงจะกลับ”

“ไม่บอกเห็นกันบ้าง”

“เพิ่งรู้เมื่อกี้น่ะ”

“แล้วไม่ยักชวน”

“พ่อไปจัดนิทรรศการแทนหัวหน้า ไม่ได้ไปเที่ยว ทำไม แกอยากไปเชียงใหม่หรือไง”

คนฟังหน้าเบ้ “บุ๋นพูดไปอย่างนั้นแหละ แค่ที่พ่อพาไปเกือบทุกปีกับที่ต้องฟังพ่อรำลึกความหลังก็เบื่อแล้ว นี่เรียกแจ่งศรีภูมิ นั่นประตูช้างเผือก ตรงนั้นร้านอรุณไร แล้วก็ไก่ย่างเอสดี ฟังจนจะท่องได้” ลูกชายส่ายหัวพลางถอนหายใจ “คนที่ฟังพ่อไม่เบื่อคงมีแต่น้านิตย์คนเดียว ขนาดแม่...”

บรรณภัทรนึกขึ้นได้ เขาวางช้อน ทอดตามองข้าวต้มที่เหลือติดก้นชาม “ย...ยังเดินหนี” แม้จะแผ่วเบาจนค่อนไปทางขาด ๆ หาย ๆ แต่เด็กหนุ่มก็พูดได้ครบตามที่คิด

เนาวนิตย์มองบรรณวิชญ์ผู้เป็นสามีสลับกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขา เห็นต่างคนต่างเงียบจึงเอ่ยขึ้น “บุ๋นอิ่มแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นน้าเก็บชามเลยนะ” พูดจบเธอก็ยกชามเปล่าซ้อนบนใบที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง เตรียมจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกขัด

“เดี๋ยวบุ๋นล้างเอง” ว่าแล้วบรรณภัทรก็ยกชามข้าวเดินหายเข้าไปในครัว เงี่ยหูฟังคนข้างนอกคุยกัน

“อันที่จริงให้นิตย์นั่งรถไปทำงานเองแล้วพี่บู๊อยู่บ้านจัดกระเป๋า ตอนบ่ายก็น่าจะทันขึ้นรถไปพร้อมเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยนะจ๊ะ”

“ไม่ได้หรอก ยังไงพี่ก็ไปวันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้พี่มีเรื่องสำคัญต้องทำ นิตย์ลืมที่เราคุยไปแล้วเหรอ”

“จริงด้วยสิ”

“พี่บอกหัวหน้าไว้แล้วละ เสร็จธุระจะรีบบินตามไป ตามกำหนดการเขาเริ่มลงทะเบียนพรุ่งนี้ช่วงบ่าย สาม-สี่วันนี้นิตย์คงต้องลำบากหน่อยนะ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ”

“ยังไงเรื่องนั้นคงต้องฝากนิตย์จัดการด้วย”

“จ้ะ พี่บู๊ไม่ต้องห่วงนะ นิตย์จะจัดการให้เรียบร้อย”

บรรณภัทรรู้สึกว่าผู้ใหญ่สองคนดูมีลับลมคมในแปลก ๆ ปกติถ้าต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด พ่อก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประหยัดเงินที่สุด หากเบิกค่าสวัสดิการได้ก็จะเบิก หรือหากมีทางไหนที่ไม่ต้องเบียดเบียนเงินตนเองมากนัก พ่อก็จะเลือกวิธีนั้น แต่ครั้งนี้กลับจะนั่งเครื่องบินตามไป ไม่รู้ว่ามีธุระสำคัญอะไรนักหนา เด็กหนุ่มเอื้อมมือบิดก๊อกน้ำ แล้วลงมือล้างจานชามเงียบ ๆ ตั้งใจกับตัวเองว่าจะไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่นจึงเลือกที่จะปล่อยผ่าน

วันต่อมา บรรภัทรถูกผู้เป็นพ่อปลุกให้ลุกขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แม้จะล้างหน้าแปลงฟันแล้วก็ยังไม่สามารถสลัดความงัวเงียออกไปได้ เขาก้าวลงบันไดมาหยุดที่ประตูครัว เห็นเนาวนิตย์กำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหาร ส่วนพ่อเพิ่งจอดจักรยานในโรงรถ คงจะออกไปซื้อหนังสือพิมพ์เหมือนเช่นเคย แต่เมื่อพ่อเดินเข้ามากลับมีทั้งหนังสือพิมพ์ ดอกไม้บูชาพระ และนมร้อนกับปาท่องโก๋เจ้าโปรดของเขา เป็นเมนูสุดธรรมดาที่แม้จะตื่นเช้าเพียงใดก็ต้องไปรอคิวนานจนเกือบไปโรงเรียนสายทุกที ดังนั้นมันจึงเป็นร้านที่อยู่ในบัญชีดำที่พ่อจะไม่ลงทุนถ่อสังขารไปยืนรอเด็ดขาดหากไม่จำเป็น

“วันนี้พ่อนึกครึ้มอะไรถึงไปซื้อนมร้อนพันปี” เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงฉายาที่พ่อตั้ง ไม่ได้อร่อยมานานเป็นพันปีหรือเป็นสูตรโบราณที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น หากแต่รอคิวนานเป็นชาติ แบบที่พ่อมักบ่นเสมอว่ารอชาตินี้ชาติหน้าจะได้กินหรือเปล่าก็ไม่รู้ 

“วันนี้มันพิเศษ ก็ต้องทำอะไรพิเศษ ๆ หน่อย” พ่อกล่าวเนิบ ๆ ขณะเดินเข้ามาในบ้าน

“วันพิเศษ วันอะไร”

“วันเกิดแกไง อย่าบอกนะว่าลืมวันเกิดตัวเอง” เจ้าของร่างกะทัดรัดกล่าวพร้อมกับโอบไหล่ลูกชาย “วันเกิดทั้งทีทำบุญตักบาตรเอาฤกษ์เอาชัยหน่อย”

“เกือบลืมไปเลย” เจ้าของวันเกิดพึมพำกับตัวเองขณะเดินเข้าไปในครัวพร้อมกับผู้เป็นพ่อ

“วันนี้สิบหกปีเต็มแล้วนะ” เนาวนิตย์ยิ้มขณะตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่โถเมลามีน

บรรณภัทรนั่งลง มองชายหญิงที่กำลังช่วยกันจัดข้าวของสำหรับใส่บาตร จะว่าไปตั้งแต่แม่ไม่อยู่ก็เป็นพ่อที่ตื่นขึ้นมาหุงข้าวตั้งแต่เช้ามืด และเพราะทำอาหารไม่เป็นจึงต้องออกไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ตัวเขาเองจึงโตมากับแกงถุงอยู่หลายปี จนเมื่อน้านิตย์เข้ามาจึงได้กินของที่อยากกินอยู่บ่อย ๆ ราวกับสั่งได้ และเมื่อถึงวันเกิดของเขา น้านิตย์ก็จะทำอาหารสำหรับใส่บาตรให้เช่นเดียวกับวันนี้...

“ไหนพ่อบอกว่าวันนี้ต้องไปเชียงใหม่ไง” ลูกชายเอ่ยขึ้นเมื่อคล้อยหลังพระสงฆ์สองรูป

“พ่อบินไฟลท์สายน่ะ”

“นึกยังไงนั่งเครื่องบิน ปกติเห็นขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดออม”

คนฟังส่ายหัวน้อย ๆ “ก็ถ้าไปกับมหาวิทยาลัยตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ก็ไม่ได้อยู่ให้แกถากถางสิ ไป...เข้าบ้านกันดีกว่า”

บรรณภัทรหลุบตาลงกล่าวไม่เต็มเสียง “ขอบคุณนะพ่อ”

ในขณะที่ผู้เป็นพ่อเองตอบรับด้วยการยิ้มบางเบา โอบไหล่ลูกชายแล้วพากันเดินกลับเข้าไปในบ้าน ที่โต๊ะอาหารในตอนนี้มีนมร้อนและปาท่องโก๋จัดใส่จานวางเตรียมไว้ ครู่หนึ่งเนาวนิตย์ก็เดินออกมาพร้อมกับถาดที่มีจานกับข้าวสอง-สามอย่าง เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มจึงถือโถข้าวเข้าไปเติมข้าวข้างในครัว เมื่อกลับออกมาจึงตักใส่จานให้ทุกคน 

“พ่อไม่อยู่หลายวัน ขึ้นลงรถก็ระวังด้วยล่ะ”

“รู้แล้วน่าพ่อ บุ๋นไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“เป็นหนุ่มแล้ว” เนาวนิตย์กล่าวยิ้ม ๆ เมื่อนั่งลงข้าง ๆ

ส่วนบรรณวิชญ์เองก็มองลูกชายที่กำลังใช้สองมือประคองยกแก้วนมร้อนขึ้นดื่ม 

“มีแฟนหรือยัง”

คำถามนั้นทำเอาสำลัก เด็กหนุ่มรีบวางแก้วลง ใช้หลังมือซับเช็ดปากที่กรังไปด้วยคราบนม

“พ่อถามอะไรของพ่อเนี่ย”

“พ่อถามว่าอยู่โรงเรียนน่ะมีแฟนหรือเปล่า”

“ม...ไม่มี”

“ไม่มีเข้าตาบ้างเลยเหรอ”

“ก็...ม...ไม่ พ่อจะถามทำไมเนี่ย”

“ที่ถามนี่คืออยากให้มีหรือไม่อยากให้มีจ๊ะ” เนาวนิตย์เอ่ยขึ้น

บรรณภัทรได้ยินเช่นนั้นก็หันไปหาผู้เป็นพ่อ รอฟังคำตอบด้วยเช่นกัน

“ถ้าจะมี พ่อก็ไม่ว่าหรอก แต่อย่าให้เสียการเรียนก็แล้วกัน หรือถ้ายังไม่มี ก็ไม่ต้องรีบร้อนไปหา ผู้หญิงก็เหมือนหนังสือหมวด 950 ประวัติศาสตร์เอเชีย เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่เยอะและเข้าใจยาก”

“ดูพูดเข้า” ผู้เป็นภรรยาส่ายหน้าน้อย ๆ

“ไม่มีหรอก สบายใจได้” บรรณภัทรกล่าวไม่เต็มเสียงนัก แต่ที่หนักแน่นกว่าเห็นจะเป็นประโยคที่เขากล่าวกับตัวเองในใจ ‘กลัวถูกทิ้งแบบพ่อ’

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2022 15:03:43 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ช่วงสิบเจ็ดนาฬิกาของวันศุกร์สิ้นเดือนเป็นเวลาที่ใครก็ไม่อยากเฉียดเข้าใกล้ย่านอโศก เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมยมปลายถอนหายใจพลางกระชับมือแน่นกับราวเหล็กขณะแทรกตัวหนีฝูงชนที่เบียดเสียดกันอยู่ภายในรถเมล์ร่วมบริการสีน้ำเงินขาว อากาศที่ร้อนอบอ้าวเพราะฝนใกล้ตกทำสีหน้าของผู้โดยสารแต่ละคนไม่ค่อยดีนักยามเมื่อมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ‘ช่วยไม่ได้’ บรรณภัทรคิดในใจ ยังไงเขาก็ต้องไป เพราะป้ายหน้าคือจุดหมายปลายทาง เด็กหนุ่มก้าวสั้น ๆ จนถึงหน้าประตู รถที่จอดนิ่งค้างเติ่งอยู่บนสะพานข้ามคลองมาเกือบสิบนาทีก็ไม่มีทีท่าจะขยับ ทันทีที่ใครคนหนึ่งกดกริ่ง ประตูบานพับก็เปิดออก เมื่อเท้าแตะพื้นเจ้าของร่างสมส่วนก็ถอนหายใจอีกเฮือก ขยับคอเสื้อคลายร้อนหลังจากต้องทนยืนอัดกันเป็นปลากระป๋องมาตั้งแต่ป้ายหน้าโรงเรียนแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บรรณภัทรเดินไปตามบาทวิถีก่อนจะตัดเข้าซอยแคบ ๆ กระทั่งถึงมหาวิทยาลัยที่พ่อทำงาน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ามาที่นี่ทำไมในเมื่อรู้ว่าพ่อไม่อยู่ และถ้าหากกลับเอง ตอนนี้เขาก็ควรจะถึงบ้านไปแล้ว ความคิดหยุดลงแค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของบรรดานักศึกษาสาวที่เดินสวนทางมา ต่างคนต่างแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ หนุ่มม.ปลายกวาดตามองรอบ ๆ ขณะก้าวเข้าสู่อาณาบริเวณอันคุ้นเคย เบื้องหน้าคือสนามฟุตบอลที่รายล้อมด้วยต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ นึกแปลกใจที่ในเวลาเช่นนี้ยังเห็นผู้คนยังเดินกันขวักไขว่ รถราจอดเรียงราวกับนี่คือช่วงต้นชั่วโมงทำงาน

   “ปวดฉี่จะแย่” บรรณภัทรบ่นกับตัวหลังจากเดินหลบหลีกผู้คนมาถึงอาคารเรียน เด็กหนุ่มวางกระเป๋าพิงผนังข้างอ่างน้ำ จัดการปลดทุกข์ก่อนจะล้างไม้ล้างมือ พลันหูได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังลอดจากประตูที่ปิดอยู่

   “จอดรถแล้วครับ กำลังเข้าห้องน้ำอยู่... ลงเครื่องก็รีบมาเลย คิดถึงจะแย่ ...ยังไม่หิวครับ... อืม...กินอะไรดีน้า... ของที่อยากกินเหรอ อืม...อยากกินกานต์ได้หรือเปล่าครับ” จบประโยคออดอ้อนก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมา

คนฟังกลืนน้ำลายเอื๊อก รู้สึกขนลุกซู่ เกิดมาสิบหกปียังไม่เคยได้ยินพ่อพูดกับแม่แบบนี้เลย บรรณภัทรสำรวจความเรียบร้อยของตนเองในกระจก กำลังจะคว้ากระเป๋า แต่ชายคนที่อยู่ข้างในก็เปิดประตูก้าวออกมาเสียก่อน

เด็กหนุ่มมองคนข้าง ๆ จากเงาสะท้อนในกระจกแวบหนึ่ง เขาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงยีนสีเข้ม แค่แว่นตากันแดดก็บดบังไปครึ่งหน้าแล้ว สวมหมวกแก๊ปด้วยยิ่งแทบไม่มีอะไรชวนให้จดจำลัษณะได้เลย 

“...ครับ เดินเล่นอยู่แถวนี้แหละ ถ้ากานต์จะกลับแล้วก็โทรมานะครับ” ชายหนุ่มแปลกหน้ากล่าวพลางกดวางสายเสียบโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ก้มหน้าก้มตาล้างมือโดยไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่เดินถือกระเป๋าผ่านหลังตนเองไป

บรรณภัทรเดินออกจากสุขา ตรงไปยังร้านเบเกอรีที่อยู่ใต้ตึก ซื้อขนมสอง-สามอย่างแบบที่น้านิตย์เคยซื้อฝากพ่อไปให้เมื่อสมัยเขายังเด็ก จากนั้นจึงหลบมานั่งกินที่ม้าหินอ่อนพักหนึ่งจึงเดินลัดเลาะไปตามสนามบาสเก็ตบอล ข้ามถนนอ้อมแล้วเดินมาหยุดที่หน้าหอสมุดกลาง เห็นบรรดาหนุ่มสาวทั้งที่เป็นนักศึกษาและพนักงานบริษัทต่างยืนออกันอยู่หน้าทางเข้า เด็กหนุ่มพยายามเขย่งปลายเท้าแต่ก็มองไม่เห็นว่าข้างในนั้นเกิดอะไรขึ้น เกือบจะถอดใจหันหลังกลับหากใครคนหนึ่งไม่เดินผ่านมาเสียก่อน

“อาหมง”

เจ้าของชื่อชะงัก หันมายิ้มกว้าง

“สวัสดีครับอาหมง”

“ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ วันนี้พ่อไม่อยู่นี่”

“ค...คือ...”

“มารอน้านิตย์เหรอ เห็นว่าวันนี้เป็นเวรนี่ อาแมวก็เหมือนกัน นี่อาก็เพิ่งมาจากตึกโน้นว่าจะมาพาเจ้าเป็ดไปกินข้าวก่อน ขืนรอแม่เลิกงานท่าทางจะค่ำพอดีกว่าจะได้กิน บุ๋นจะเข้าไปพร้อมอาเลยไหม”

“ค...ครับ” บรรณภัทรเสียงแผ่ว ไม่รู้ว่าตนเองตอบรับคำถามไหนกันแน่

เมื่อเดินเข้าไปภายใน บรรณภัทรก็พบกับ ‘เจ้าเป็ด’ ที่อาหมงเพิ่งพูดถึง

“พ่อ!” เด็กชายที่กำลังนั่งแกว่งขาอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาหน้าลิฟต์ร้องลั่นจนผู้เป็นพ่อต้องปราม

“เบา ๆ ลูก นี่หอสมุดนะ ห้ามส่งเสียงดัง” เห็นลูกชายพยักหน้าหงึกจึงกล่าวต่อ “แม่ล่ะ”

“แม่ขึ้นไปช่วยน้านิตย์จัดหนังสือข้างบน บอกว่าเดี๋ยวลงมาครับ” ว่าแล้วเด็กชายก็ปิดหนังสือนิทานในมือ ยัดใส่เป้สะพายหลังที่ดูใหญ่กว่าตัวไปเยอะ จากนั้นจึงยิ้มกว้างให้...

“พี่บุ๋ม”

หนุ่มม.ปลายลอบถอนหายใจ ‘เป็ด’ คือลูกชายวัยแปดขวบของ ‘อาหมง’ หรืออามงคล ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่โสตทัศนศึกษาของคณะศิลปกรรมศาสตร์

“พี่บุ๋ม”

‘บุ๋มพ่อง’ บรรณภัทรไม่ได้พูดออกไป เพียงแต่สบตามงคลแล้วหันมาหัวเราะแห้ง ๆ กับเด็กชายในชุดลูกเสือสำรอง “พี่ชื่อบุ๋น”

“พี่บุ๋ม”

“บุ๋น...” เจ้าของชื่อลากเสียง ถอนใจเฮือกที่สอง

“พี่บุ๋ม เป็ดปวดฉี่ พาไปฉี่หน่อย”

คนฟังเลิกคิ้ว ไอ้เด็กเป็ดมันมีพัฒนาการโว้ย คงเพราะเจอกันเกือบทุกเย็น แรก ๆ ก็แค่ขอให้พาไปซื้อขนม เดี๋ยวนี้เลื่อนขั้นให้พาไปฉี่ แต่ในเมื่อกล้าขอ บรรณภัทรมีหรือจะไม่กล้าพาไป

“ไปกวนพี่เขาทำไม พ่อพาไป”

“ไม่เป็นไรครับอาหมง เดี๋ยวผมพาไปเอง”

“เห็นมะพ่อ พี่บุ๋มใจดี” พูดจบเด็กชายก็เด้งตัวลุกขึ้น

“ได้” หนุ่มม.ปลายยิ้มมุมปาก ย่อตัวลงนั่ง “เรียกชื่อพี่ให้ถูกก่อนแล้วจะพาไป”

“พี่บุ๋ม”

“บุ๋น”

“ก็บุ๋มไง บุ๋มๆๆๆ”

“พี่บุ๋ม เป็ดปวดฉี่” ว่าแล้วมือเล็กก็เลื่อนกุมเป้ากางเกง

“ไม่ใช่สิ บุ๋น นอหนู สะกดตามพี่นะ บอใบไม้ สระอุ นอหนู อ่านว่าบุน บุน ไม้จัตวา อ่านว่าบุ๋น”

“บอใบไม้ สระอุ นอหนู ไม้จะต๊ะวาอ่านว่า...”

เจ้าของชื่อลุ้นตัวโก่ง

“บุ๋ม”

บรรณภัทรขยี้หัวตัวเอง แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม “บอ อุ นอ ไม้จัตวา บุ๋น” เน้นคำสุดท้ายจนปากจู๋

“บอ อุ นอ ไม้จัตวา บุ๋ม โอ๊ย! ฉี่จะราดแล้ว” พูดไปคนน้องซู้ดปากไป ทำตัวบิดตัวงอ

“บุ๋มก็บุ๋ม” เจ้าของชื่อส่ายหัวอย่างจนใจ ลุกขึ้นแล้วจูงมือพาเด็กชายไปเข้าห้องน้ำ

“เสร็จแล้วเราไปห้องนิทานกันนะพี่บุ๋ม”

คนฟังถอนหายใจแรง มองตามร่างเล็กที่เพิ่งเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ กอดอกยืนพิงผนังพลางใช้ความคิด รอกระทั่งอีกฝ่ายทำธุระเรียบร้อย แม้การสลัดเจ้าเด็กจอมมึนที่คอยเกาะแข้งเกาะขาต้องอาศัยลูกล่อลูกชนมหาศาล แต่บรรณภัทรก็เอาตัวรอดได้ทุกที ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อส่งลูกชายถึงมือพ่อ เขาก็รีบเผ่นทันที เด็กหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นเจ็ดซึ่งเป็นส่วนของสำนักงาน เมื่อไม่พบเนาวนิตย์อยู่ที่นั่นจึงเดินดูทีละชั้น เริ่มจากชั้นหกซึ่งเก็บรวบรวมหนังสือหมวด 700 ศิลปกรรมและนันทนาการ และหมวด 800 วรรณกรรมและการประพันธ์ ดังนั้นชั้นนี้จึงค่อนข้างเงียบเชียบ

เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเดินที่เว้นระยะจากหน้าต่างเพียงแค่พอให้คนเดินสวนกัน กวาดตามองหาตามช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือกระทั่งได้ยินเสียงพูดคุยจึงหยุดหลังเสา และเพราะเป็นเสาที่ยื่นออกมาจากผนังส่งผลให้ทางเดินตรงนั้นแคบและไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน   

“ฝนใกล้ตกแล้วนะ น่าจะอีกนานเลยกว่าเขาจะเลิกกองกัน วันนี้พวกเราคงกลับบ้านดึกแน่ ๆ”

บรรณภัทรจำเสียงนั้นได้ เธอคือ ‘มัณฑนา’ หรือ ‘หรืออาแมว’ มีตำแหน่งเป็นบรรณารักษ์ของหอสมุดแห่งนี้เช่นเดียวกับพ่อของเขา อีกทั้งยังเป็นแม่ของเจ้าลูกเป็ดจอมมึนด้วย

“พี่บู๊ไม่อยู่แบบนี้นิตย์ลำบากแย่ จริง ๆ น่าจะหัดขับรถนะ เวลาพี่บู๊ไม่อยู่จะได้เอารถมาใช้ อีกหน่อยมีลูกไปไหนมาไหนก็สะดวก”

“ขับรถเป็นแล้วเวลาพี่บู๊ไม่อยู่จะได้เอารถมาใช้น่ะพอเป็นไปได้จ้ะ ส่วนเรื่องมีลูก...” เนาวนิตย์หยุดไว้แค่นั้นพลางส่ายหัว หยิบหนังสือจากรถเข็นใส่คืนชั้น

“ไม่เปลี่ยนใจจริง ๆ เหรอ น่าเสียดายนะ นิตย์เองอายุก็ยังไม่มากเท่าไร แก่กว่านี้เขายังมีกันเลย”

“นิตย์กับพี่บู๊ เราคุยกันมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่มีลูก พี่บู๊เขาอยากให้เวลากับบุ๋นมาก ๆ”

“แล้วนิตย์ล่ะ อยากมีหรือเปล่า”

“นิตย์แล้วแต่พี่บู๊จ้ะ”

“เฮ้อ...แบบนี้แก่ตัวจะแย่นะ เราตายก่อนก็ดีไป ถ้าพี่บู๊แกจากไปก่อนใครจะดูแลนิตย์” ว่าแล้วก็ถอนใจอีกเฮือก “เจ้าบุ๋นนี่โชคดีนะที่มีพ่อแบบพี่บู๊ แล้วก็มีแม่เลี้ยงที่เข้าใจแบบนิตย์”

ดวงตาของเด็กหนุ่มจ้องเขม็งผ่านช่องว่างของชั้นหนังสือ เห็นเพียงชายเสื้อรำไรของสองคนที่กำลังยืนคุยกัน ปากได้รูปเม้มแน่นเมื่อความสับสนถาโถมประเดประดังในอกจนไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอย่างไร

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2022 15:07:28 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


“แอบฟังผู้ใหญ่คุยกันไม่ดีนะ”

เสียงทุ้มนุ่มหูทำสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหนุ่มม.ปลายเหลียวกลับไปมองจึงพบว่าคนพูดอยู่ตรงหน้าต่างถัดจากจุดที่ตนเองยืนไม่ไกลนัก เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลคสีดำ เข็มขัดและรองเท้าหนังสีเดียวกัน ดูเหมือนกับชุดของนักศึกษาชายที่เจอเมื่อเข้ามาภายในรั้วมหาวิทยาลัย เจ้าของร่างสูงไม่ได้หันมานี้ หากแต่ทอดมองผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือราคาแพงลิบลิ่ว ปลายนิ้วแตะเพื่อบันทึกภาพสายฝนที่โปรยปรายลงมาโอบคลุมทั่วบริเวณ ทำให้ในตอนนี้สนามฟุตบอลและอาคารโดยรอบราวกับอยู่หลังม่านสีขาว เขากดบันทึกภาพอีกสอง-สามภาพ ในที่สุดจึงหันมา บรรณภัทรมุ่นคิ้วเมื่อรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นคนผู้นี้ที่ไหนมาก่อน ใบหน้าสะอาดสะอ้านหล่อเหลา เครื่องหน้าชัดเจนราวกับประติมากรรมชิ้นเยี่ยมที่ประติมากรฝีมือชั้นครูบรรจงบั้น คิ้วหนารับกับสันจมูกโด่ง ผิวพรรณดีชนิดที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉา แม้ริมฝีปากได้รูปนั้นเกือบจะเหยียดตรง แต่ก็ยังเห็นความใจดีได้จากข้างในดวงตา เพียงเท่านั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายมิได้จริงจังกับสิ่งที่พูดออกมาเมื่อครู่

ชายหนุ่มแปลกหน้าเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง ไม่ทันพูดอะไร พลันเสียงหนึ่งก็ดังแทรกความเงียบ

“น้องกานต์ มาอยู่นี่เอง”

ดวงตาของบรรณภัทรยังจับจ้องเจ้าของชื่อที่ขณะนี้หันไปหาอีกคนที่เพิ่งเดินมาหยุดระหว่างชั้นวางหนังสือ เด็กหนุ่มไม่เห็นว่าเธอเป็นใคร และเธอเองก็คงไม่เห็นเขาด้วยเช่นกัน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พี่จะมาบอกว่าให้เตรียมตัวเข้าฉากได้แล้วค่ะ”

ร่างสูงทำเพียงพยักหน้า จากนั้นจึงเดินตามอีกฝ่ายไป

ลูกชายบรรณารักษ์ก้าวมาหยุดในตำแหน่งที่ชายหนุ่มเคยยืน มองตามแผ่นหลังกว้าง แม้ขายาวจะพาร่างนั้นห่างออกไปแล้ว แต่กลิ่นน้ำหอมที่พรมตัวยังคงวนเวียนอยู่ในลมหายใจ อยากรู้ว่าอีกฝ่ายถ่ายรูปอะไรบรรณภัทรจึงหันไปยังทิศตรงข้าม ในที่สุดเขาก็พบว่าเบื้องล่างก็มีแค่สนามหญ้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำกับตึกสีอิฐรูปทรงแปลกตาที่ตัดขอบชายคาด้วยสีแดงชาดเท่านั้นเอง

“ตกหนักขนาดนี้จะถึงบ้านตอนไหน” บรรณภัทรบ่นกับตัวเอง แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่พรุ่งนี้วันเสาร์ ถึงบ้านดึกแค่ไหนก็ไม่มีผล

“บุ๋น”

เสียงของน้านิตย์...

จู่ ๆ ก็ทำให้ใจเต้น เจ้าของชื่อเม้มปากก่อนจะหันหลังกลับ มือกระชับหูกระเป๋าใส่หนังสือแน่น สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกถึงความสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ บรรณภัทรจึงชิงตอบเสียก่อน “บ...บุ๋น เอ้อ... หนะ...หนังสือ เอาหนังสือมาคืน เพิ่งเห็นว่าอยู่ในกระเป๋าอีกเล่ม”

เนาวนิตย์พยักหน้า “เดี๋ยวน้าเอาไปคืนให้”

“ม...ไม่เป็นไร เดี๋ยวบุ๋นเอาไปคืนเอง” พูดพร้อมกับชักเท้าถอยหลังครึ่งก้าว “เสร็จแล้วจะไปรอข้างล่างนะ”

“วันนี้กว่าน้าจะได้กลับคงดึกแน่ ๆ มีกองละครเขามาขอใช้สถานที่ ต้องคอยอำนวยความสะดวกให้เขา บุ๋นจะเรียกแท็กซี่กลับก่อนไหม เดี๋ยวน้าให้เงินไป”

“ไม่เป็นไร รอกลับด้วยกันนี่แหละ”

“ถ้าอย่างนั้นไปหาอะไรทานที่โรงอาหารก่อนดีไหม น้าไปเอาร่มให้”

คนฟังส่ายหัวน้อย ๆ “อยากกินไข่ตุ๋น”

“ถึงบ้านแล้วน้าทำให้ทาน แต่ตอนนี้หาอะไรทานรองท้องก่อนดีกว่า หิ้วท้องรอหิวแย่”

“กินขนมไปแล้วละ” พูดจบก็ยื่นถุงพลาสติกที่ข้างในเหลือขนมอีกชิ้นให้

“ให้น้าเหรอ”

“อือ ก็เห็นบอกว่าอีกนานกว่าจะกลับ”

“ขอบใจจ้ะ” เนาวนิตย์รับถุงขนมมาถือไว้ ดวงตาทอประกายยังจับจ้องที่ใบหน้าหมดจด แม้รู้ว่าลูกเลี้ยงไม่ชอบตนเองสักเท่าไร แต่บ่อยครั้งที่เขาหยิบยื่นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

“รอข้างล่างนะ”

พูดจบบรรณภัทรก็เดินจากมาเงียบ ๆ แทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อคืนหนังสือ เขากลับเดินลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ที่ตอนนี้น่าถูกกันไว้สำหรับเป็นฉากหนึ่งในละคร เดินลงมาได้เพียงชั้นเดียวก็ต้องหยุดเมื่อเห็นป้าย “ขออภัยในความไม่สะดวก อยู่ในระหว่างถ่ายทำละครหยกลายพยัคฆ์” มองผ่านประตูกระจกเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงดูจอมอนิเตอร์ อีกด้านมีทั้งกล้องและไฟ ถัดเข้าไปยังโต๊ะใกล้กับชั้นหนังสือคือกลุ่มคนในชุดนักศึกษาหญิงชายและหนึ่งในนั้นก็คือชายหนุ่มที่พบกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ที่สะดุดตากว่านั้นเห็นจะเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย บรรณภัทรจำได้ทันทีว่าเธอคือ “พราว พิพัฒน์พล” ดาราเจ้าบทบาทผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมาตั้งแต่เขายังเด็ก แม้ปีนี้เธอจะอายุย่างสามสิบ แต่ใบหน้ายังอ่อนเยาว์จึงมิได้ขัดตาแต่อย่างใดเมื่อต้องย้อนวัยมาสวมชุดนักศึกษา ที่สำคัญไปกว่านั้นเธอคนนี้ได้ชื่อว่าเป็น “เจ๊ดัน” พระเอกคนไหนที่ได้ร่วมงานด้วยเป็นต้องดังเป็นพลุแตกทุกคนไป

บรรณภัทรไม่ได้สนใจเรื่องราวของวงการมายาสักเท่าไร แต่ที่ในหัวมีข้อมูลแน่นเป็นเพราะต้องฟังอาแมวผู้สถาปนาตัวเองเป็นกูรูสายบันเทิงคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ และน้านิตย์ผู้ไม่รู้อะไรเลยอยู่เกือบทุกวัน จนตอนนี้เขาก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าคราวนี้ “พราว พิพัฒน์พล” จะสวมบทเจ๊ดันให้พระเอกคนไหนได้แจ้งเกิด แต่อีกไม่นานก็คงได้คำตอบเมื่อละครเรื่องนี้ออกอากาศ เด็กหนุ่มหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น เหลียวมองลงไปตามแนวบันไดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ครู่หนึ่งสองสาวในชุดนักศึกษาก็ปรากฏตัวขึ้น

“เขาห้ามเข้าแหละแก มีถ่ายละคร” คนเดินนำเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นป้ายหน้าประตู

“ว้า...ว่าจะมาหาหนังสือทำรายงานวิชาเคมีสักหน่อย”

“เดี๋ยวก็เสร็จมั้ง จะรอไหม”

“รอก็ได้ ไปรอข้างบนแล้วกัน จะได้ไปหานิยายอ่านด้วย”

สิ้นเสียงสนทนา สองคนก็เดินมาหยุดตรงจุดที่บรรณภัทรยืนพอดี

“เดี๋ยวแก นั่น ๆ คนนั้น ‘พราว พิพัฒน์พล’ ใช่ไหม สวยเนอะ”

“สวยมาก ตัวจริงสวยกว่าในทีวีอีก”

“แล้วคนข้าง ๆ นั่นล่ะ ใช่ ‘เนย เนตรนภัส’ หรือเปล่า”

“ใช่แก ที่ชอบเล่นเป็นนางร้าย เรื่องที่แล้วทำคนเกลียดทั้งประเทศ”

“แล้วผู้ชายคนนั้น คนที่เดินคู่กับเนยนั่นน่ะ”

“อืม...ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเพื่อนพระเอกเรื่องหัวใจพ่ายรัก แต่ที่แน่ ๆ เป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาน้ำหอม”

“จำได้แล้ว พอบอกว่าเป็นพรีเซนเตอร์น้ำหอมฉันก็จำได้เลย ตอนนี้เดินไปทางไหนก็เห็นแต่รูปเขา”

ใช่เขาจริง ๆ บรรณภัทรเองก็นึกออกเช่นกัน เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยมองตามสายตาของสองสาว ที่แท้รู้สึกคุ้นหน้าชายหนุ่มผู้นั้นก็เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะขึ้นรถไฟฟ้าหรือเข้าห้างสรรสินค้าใดในกรุงเทพฯ ก็จะเห็นป้ายโฆษณาที่มีภาพของเขาติดอยู่เต็มไปหมด

“หล่อจัง” คนเดิมกล่าว “ไม่รู้ว่าจะเป็นพระเอกเรื่องนี้หรือเปล่าเนอะ ว่าแต่เขาชื่ออะไรแกรู้ไหม”

“กานต์ อืม...ถ้าจำไม่ผิด เขาชื่อ ‘ศุภกานต์ ศุภวัฒนา’ ตอนเล่นเป็นเพื่อนพระเอกเรื่องก่อน คนพูดถึงเยอะเหมือนกัน อายุแค่ยี่สิบสี่เอง แต่เล่นประกบดารารุ่นใหญ่แล้วไม่ถูกกลืน” ว่าแล้วก็อ่านชื่อละครบนป้ายอีกครั้ง ‘หยกลายพยัคฆ์’ เรื่องนี้ดังมากเลยนะแล้วก็สนุกด้วย”

“แกเคยอ่านแล้วเหรอ”

“อ่านแล้ว เนื้อเรื่องเข้มข้นมากเลยละแก เป็นเรื่องเกี่ยวกับสี่ตระกูลใหญ่ที่ตอนหลังไม่ลงรอยกันเพราะเรื่องธุรกิจ แต่รุ่นลูกดันมารักกัน อยากรู้จังว่าเขารับบทเป็นอะไร จะใช่พระเอกหรือเปล่านะ”

หนุ่มม.ปลายละสายตาจากภาพหลังประตูกระจก หันหลังให้สองสาวแล้วเดินต่อ กระทั่งถึงชั้นล่างสุดของอาคารสำนักหอสมุดกลางจึงแวะเข้าไปนั่งเล่นกับบรรดาลุงป้าน้าอาซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของพ่อที่ห้องยืมคืนโสตทัศนวัสดุ เป็นเวลาเดียวกับที่อามงคลและลูกชายกลับจากโรงอาหารพอดี สองพ่อลูกถอดเสื้อกันฝนพาดไว้ที่เก้าอี้หน้าทางเข้าก่อนจะจูงมือกันเดินเข้ามา ทันทีที่เด็กชายเป็ดเจอพี่ชายคนโปรด หนูน้อยก็รีบวิ่งมาหาพร้อมกับยื่นแก้วพลาสติกใส่น้ำแตงโมปั่นให้

“ให้พี่เหรอ” บรรณภัทรถามอย่างแปลกใจ

“ครับ”

“แต่ว่า...”

เห็นลูกชายเพื่อนมีท่าทีลังเล มงคลจึงเอ่ยขึ้น

“รับไปเถอะบุ๋น เจ้าเป็ดมันตั้งใจซื้อมาให้ ถึงขนาดไปยืนกำกับแม่ค้าให้ทำให้อร่อย ๆ เลยนะ”

คนฟังยิ้มกว้าง รับแก้วใส่น้ำแตงโมปั่นมาถือไว้แล้วกล่าวขอบคุณน้องชายจอมมึนและพ่อของเขา ในขณะที่เด็กชายเป็ดยกสองมือขึ้น แตะปลายนิ้วชี้ที่สองแก้มของตนเอง เป็นท่าทางที่ชวนให้สงสัยปนเอ็นดู

“พี่บุ๋มกิน ๆ”

ได้ยินดังนั้นบรรณภัทรจึงดูดน้ำแตงโมปั่นเข้าไปหนึ่งอึก

“อร่อยไหม”

“อื้อ อร่อย ขอบใจมากนะ”

“ครับ” เด็กชายกล่าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับผู้เป็นพ่อ “พ่อ สอนการบ้านเป็ดหน่อย” ว่าแล้วก็ดึงมือพ่อไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบสมุดดินสอจากเป้ใบโตออกมาวาง

บรรณภัทรนั่งดูดน้ำแตงโมปั่นพลางมองสองคนพ่อลูกไปพลาง นึกถึงตนเองเมื่อสมัยเป็นเด็ก พอถึงช่วงปิดเทอมทีไรเขาก็มักติดสอยห้อยตามพ่อมาด้วยทุกครั้ง เวลาพ่อไม่อยู่ก็ได้ลุงป้าน้าอาที่นี่คอยดูแล สอนการบ้านบ้าง เป็นเพื่อนเล่นบ้าง ซื้อขนมให้กินบ้าง แม้จะผ่านช่วงนั้นมานานพอสมควร แต่เมื่อกลับมาที่นี่ทีไร ทุกคนก็ยังปฏิบัติกับเขาเช่นเดิม

เวลาล่วงเลยไปเกือบสิบนาที เด็กหนุ่มวางแก้วพลาสติกที่เหลือเกล็ดน้ำแข็งสีแดงติดก้นแก้วลง ความเย็นของเครื่องดื่มรสหวานเจือเค็มปะแล่มบวกกับอุณภูมิจากครื่องปรับอากาศทำเอาขนลุก บรรณภัทรลุกขึ้นเดินออกจากห้อง อาศัยความคุ้นเคยตรงดิ่งไปยังสุขาที่กันไว้เฉพาะบุคลากรสำนักหอสมุดซึ่งอยู่ทางฝั่งขวาของอาคาร หน้าห้องสุขาพบชายผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีดำสกรีนด้านหลังเป็นชื่อละครเรื่องเดียวกับที่ติดป้ายไว้ที่ชั้นหก

“จะเข้าห้องน้ำเหรอน้อง” ชายผู้นั้นกล่าวเมื่อหันมา ที่อกเสื้อติดป้าย ‘นักศึกษาฝึกงาน’

“ครับ”

“รอเดี๋ยวนะ นักแสดงเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”

“ถ้าอย่างนั้นผมไปเข้าชั้นบนก็ได้ครับ” บรรณภัทรบอก

“ให้น้องเขาเข้าไปเถอะ” หญิงสาวที่เดินผ่านมาเอ่ยขึ้น

เมื่อได้ฟังดังนั้น คนยืนเฝ้าประตูจึงหลีกทางให้ หนุ่มม.ปลายพูดขอบคุณคนทั้งคู่จากนั้นจึงเดินผ่านเข้าไป
บรรณภัทรก้าวช้า ๆ พร้อมกับกวาดตามองเห็นว่ามีประตูบานหนึ่งปิดอยู่ จึงรีบทำธุระให้เรียบร้อย เมื่อเดินมาเปิดน้ำล้างมือจึงได้ยินเสียง

“วันนี้น่าจะเลิกกองช้าหน่อยนะ ผู้กำกับเขาขอถ่ายเพิ่มอีกซีนน่ะ ไม่โกรธใช่ไหม... หิวหรือยัง อืม...เรียบร้อยเมื่อไรเดี๋ยวกานต์โทรหาอีกทีนะ ครับ... รู้แล้วครับ ไม่ป่วยง่าย ๆ หรอก ไม่ต้องห่วงนะ แค่นี้ก่อน”
จบประโยคนั้น เสียงปลดกลอนก็ดังขึ้นพอดี หนุ่มม.ปลายเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจก เห็นว่าอีกฝ่ายคือ “ศุภกานต์ ศุภวัฒนา” เขาสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ็กเกตสีเข้ม มือหนึ่งถือชุดนักศึกษาที่ใส่ไม้แขวนเรียบร้อย ส่วนอีกมือกำลังเสียบโทรศัพท์กับกระเป๋าหลังกางเกงยีน ใบหน้าฉาบรอยยิ้ม ดูก็รู้ว่าว่าคนที่คุยด้วยเมื่อครู่ต้องเป็นคนพิเศษอย่างแน่นอน

‘วันนี้มันวันบ้าอะไรวะ บังเอิญได้ยินเรื่องของชาวบ้านไปทั่ว’ บรรรณภัทรลอบถอนใจพลางก้มหน้าก้มตาล้างมือด้วยไม่อยากถูกกล่าวหาว่าแอบฟังเรื่องของผู้ใหญ่อีก โชคดีที่อีกฝ่ายมิได้สนใจ มัวแต่มองกระจกสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม
เด็กหนุ่มไม่รอช้า รีบเดินออกจากห้องสุขา ย้อนกลับไปหยิบกระเป๋าหนังสือ ตั้งใจจะหลบความหนาวเย็นของอุณหภูมิภายในออกไปนั่งรอที่เก้าอี้ด้านนอก แม้ฝนจะเริ่มซาเม็ดแต่ก็ยังถือว่าหนักเอาเรื่องสำหรับผู้ที่ไม่มีร่ม ดังนั้นทั้งนักศึกษาและบุคลากรหลายคนจึงยังพากันหลบฝนอยู่ที่นี่ บรรยากาศข้างนอกทำให้บรรณภัทรต้องก้มมองนาฬิกาข้อมือ ยังไม่สิบแปดนาฬิกาดี แต่ฟ้ากลับมืดจนเมื่อตอนที่ยังอยู่ข้างในคิดว่าใกล้ค่ำเต็มที เด็กหนุ่มวางกระเป๋าบนหน้าขา ทอดตามองสายฝนที่ยังคงโปรยปราย พลันหูก็ได้ยินเสียงสนทนาของคนที่เดินผ่านมา

“ฝนตกแบบนี้เลยได้เอาซีนฝนตกขึ้นมาถ่ายก่อน จะได้สมจริงหน่อย แถมนักแสดงหลักยังให้คิวเราได้ วันนี้โชคดีหลายเด้งเลยนะ” หญิงสาวคนที่พบกันหน้าห้องสุขากล่าว

“จริงด้วยพี่ ทุ่นไปได้เยอะ ไม่อย่างนั้นผมต้องวิ่งวุ่นหารถน้ำมาฉีด ซีนฝนตกหนักขนาดนั้น”

“เดี๋ยวอีกสักพักนายไปกันรถไม่ได้ผ่านหน้าตึกนะ แล้วก็ให้น้องฝึกงานขนไปพลาสติกกับผ้าใบในรถมาด้วย กันไว้หน่อยก็ดี ถ้าน้ำเข้าอุปกรณ์จะซวยเอา ตอนนี้อะไรที่ย้ายลงมาเซ็ตได้ก่อนก็ย้ายลงมา ต้องแข่งกับเวลาหน่อย เดี๋ยวฝนจะหยุดตกเสียก่อน”

“ครับพี่ เดี๋ยวผมรีบจัดการให้” คนเดินตามรับคำแล้วยกวิทยุสื่อสารขึ้นพูดสักใครคนหนึ่งที่อยู่อีกที่ก่อนจะวิ่งแยกไปอีกทาง

บรรณภัทรมองตามหญิงสาว เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้าขึ้นมองสายน้ำที่ไหลลงจากชายคา ไม่นานทั้งจอมอนิเตอร์ ไฟ กล้องและอุปกรณ์สำหรับการถ่ายทำอื่น ๆ ก็ถูกยกลงมาติดตั้งโดยมีพลาสติกผืนใหญ่คลุม ชายฉกรรจ์สี่-ห้าคน ช่วยกันกางผ้าใบกันฝน พากล้องตัวหนึ่งที่คลุมด้วยพลาสติกออกไปตั้งไว้ที่ด้านนอกชายคาของอาคาร หลายคนวิ่งวุ่นแข่งกับเวลา ท่ามกลางความโกลาหลเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นเป็นทอดพร้อมกับการปรากฏตัวของหนุ่มหล่อสาวสวยที่ใคร ๆ ต่างคาดว่าพวกเขาคือนักแสดงนำของละครที่กำลังปักหลักถ่ายทำกันอยู่ขณะนี้ คนที่สวมกั๊กสีน้ำตาลทับเสื้อยืดสีดำในมือถือเอกสารปึกใหญ่นั่นคงจะเป็นผู้กำกับ เขาหันไปสั่งทุกคนให้เตรียมพร้อม จากนั้นจึงเดินไปคุยกับนักแสดงทั้งสาม แล้วพากันเดินไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อนัดแนะคิว บรรยากาศมิได้ตึงเครียดนัก เห็นได้จากรอยยิ้มของแต่ละคน ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงประกาศผ่านโทรโข่งก็ดังขึ้น เป็นประกาศขอให้คนที่อยู่บริเวณนั้นเงียบเสียง และทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการไปยืนรวมกันที่ด้านหนึ่ง 

ด้านบรรณภัทร เห็นว่าจุดที่ตนเองนั่งอยู่ห่างออกมาพอสมควร อีกทั้งไม่ได้เกะกะใคร เขาจึงนั่งอยู่อย่างนั้น หลังจากซักซ้อมคิวกันเป็นที่เรียบร้อย นักแสดงก็เข้าประจำที่ บรรยากาศรอบ ๆ เงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงลมฝน และเมื่อสิ้นเสียงตีสเลท ‘เนย เนตรนภัส’ ตัวร้ายหน้าหวานก็เดินผ่านประตูออกมาอย่างรีบร้อน เธอหยุดที่บันไดมองซ้ายมองขวา ชั่วอึดใจก็วิ่งฝ่าสายฝนลงไปที่ลานกว้างหน้าตึกซึ่งมีกล้องอีกตัวรับอยู่ ศุภกานต์วิ่งตามมารั้งข้อมือเล็กพร้อมกับพูดอะไรบางอย่าง สองคนยื้อยุดกันอยู่นาน เมื่อหลุดมาได้เธอก็ฟาดฝ่ามือลงที่แก้มของเขาฉาดหนึ่งตามด้วยประโยคยืดยาว มันคงเป็นคำพูดที่เชือดเฉือนเกินรับไหว คนฟังจึงได้แต่ยืนอึ้ง เป็นเวลาเดียวกับที่รถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาจอด เจ้าของเปิดประตูลงมา รูปร่างสูงใหญ่ทำให้หญิงสาวเพียงคนเดียวดูตัวเล็กไปถนัดตา บรรณภัทรหรี่มองด้วยสงสัยว่าเขาคนนั้นคือใคร ในที่สุดก็ได้คำตอบเมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากกลุ่มนักศึกษาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ที่แท้เขาก็คือ ‘ณฉัตร เฉลิมรัฐ’ เจ้าของรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ ‘ดาราทัศน์’ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเมื่อปีก่อนนั่นเอง จะว่าไปละครเรื่องนี้น่าจะรวมนักแสดงมากฝีมือดีเอาไว้หลายคน

ณฉัตรไม่รอช้าดึงคนตัวเล็กมายืนข้าง ๆ จากนั้นจึงปรี่เข้าชี้หน้าศุภกานต์และตะโกนใส่ดังลั่นแข่งกับเสียงฟ้าครืน ๆ แทนที่จะหยุดตามคำขอร้องของหญิงสาว คนตัวใหญ่กลับรี่เข้าหา จับคอเสื้อศุภกานต์เตรียมจะง้างหมัด โชคดีที่เนตรนภัสรั้งแขนเอาไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้าหล่อเหลาของนักแสดงหนุ่มคงได้เป็นที่รองรับกำปั้นเป็นแน่ บรรณภัทรจ้องเจ้าของรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมตาเขม็ง อดคิดไม่ได้ว่าภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าช่างสมจริงชวนขนลุก ในที่สุดรถเก๋งคันนั้นก็เคลื่อนห่างออกไป เหลือเพียงร่างสูงโปร่งที่ทรุดลงคุกเข่ากับพื้นที่ชุ่มไปด้วยน้ำ จากนั้นทีมงานที่อยู่ด้านในอาคารก็ปล่อยคิวพราว พิพัฒน์พลในชุดกระโปรงสีหวาน เธอหยุดที่ปลายสุดของทางเดิน กางร่มออกแล้วเดินลงบันไดตรงไปยังจุดที่ศุภกานต์นั่งอยู่ ภายใต้ร่มคันเดียวกัน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาเนิ่นนาน แสงสีนวลจากไฟติดหัวเสาสาดกระทบสายฝน ทำให้ภาพนั้นสวยงามยิ่งนัก

ทันทีที่ผู้กำกับสั่ง “คัท” ทีมงานต่างกรูกันเข้าไปหาทั้งคู่พร้อมร่มคันใหญ่ สองหนุ่มสาวเดินกลับมาภายใต้ชายคาอาคาร ในขณะที่ณฉัตรและเนตรนภัสก็เพิ่งเดินมาถึงเช่นกัน ทั้งสี่คนล้อมวงดูภาพจากจอมอนิเตอร์และพูดคุยกับผู้กำกับครู่หนึ่ง จากนั้นเนตรภัทร ณฉัตรและศุภกานต์จึงเข้าประจำที่เพื่อถ่ายทำฉากกลางสายฝนอีกครั้ง กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยกินเวลาเกือบสามสิบนาที และเมื่อผู้กำกับสั่ง “คัท” เป็นหนที่สาม ทีมงานก็รีบวิ่งเข้าไปกางร่มและห่มผ้าขนหนูให้นักแสดง เนตรนภัสดูจะแย่ที่สุด เพราะนอกจากฝนจะทำให้ผมเผ้าที่เซ็ตไว้หลุบลู่แล้ว ความหนาวเย็นยังทำให้สั่นไปทั้งตัว กระนั้นหญิงสาวก็ยังหันไปหยอกล้อกับคนอื่น ๆ ได้ ส่วนณฉัตรเองก็สลัดท่าทีเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ทิ้ง กลายเป็นเพียงหนุ่มขี้เล่นคนหนึ่งเท่านั้น

“น้องกานต์กับน้องพราวรีบตามน้องเนยกับน้องฉัตรไปเปลี่ยนชุดเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบาย” เสียงหนึ่งร้องบอกสองคนที่ยังอยู่หน้ามอนิเตอร์

“ไปกานต์ ไปเปลี่ยนชุดกัน” นางเอกสาวหันไปสะกิดนักแสดงรุ่นน้อง จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินกลับเข้าไปในอาคาร

บรรณภัทรนั่งนิ่ง อดทึ่งกับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่ไม่ได้ การเป็นนักแสดงไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ คนบางคนก่อนเข้าฉากยังยิ้มแย้มแจ่มใสดี แต่พอเจอกล้องกลับร้องไห้ได้เป็นวรรคเป็นเวร หรือสามารถโกรธเกลียดใครสักคนได้จนถึงขีดสุด

“อาชีพนี้น่ากลัวจริง ๆ” หนุ่มม.ปลายพึมพำกับตัวเอง

“บุ๋น มานั่งอยู่นี่เอง น้าเดินหาจนทั่วเลย หิวไหม”

บรรณภัทรส่ายหัวทั้งที่รู้สึกแสบท้อง “กลับบ้านได้หรือยัง”

“ได้แล้วจ้ะ บุ๋นรอเดี๋ยวนะ น้าขอเข้าไปเก็บของก่อน”

คนฟังเพียงพยักหน้า มองตามร่างเล็กที่เดินแหวกผู้คนกลับเข้าไปข้างใน หนุ่มม.ปลายเบนสายตากลับไปยังจุดที่แสงไฟสาดกระทบฝนที่ยังโปรยปรายลงมา ผ่านไปพักหนึ่งซีดานติดฟิล์มทึบก็แล่นมาจอดเทียบจนเกือบจะติดบันได ได้ยินเสียงขอทาง บรรณภัทรจึงดึงสายตากลับ

“เดี๋ยวพี่ไปส่งนะคะน้องกานต์” คนเดินตามกล่าวทั้งที่มือทั้งสองข้างถือของพะรุงพะรัง “จริง ๆ คราวหน้าให้รถตู้กองไปส่งที่คอนโดก็ได้นะคะ จะได้ไม่ต้องลำบากให้คนรถมารับ”

“ไม่ใช่คนรถหรอกครับ พอดีวันนี้ผมนัดเพื่อนไว้”

“ฝากขอโทษเพื่อนน้องกานต์ด้วยนะคะ วันนี้เลิกช้ากว่าที่เคลียร์คิวกันไว้เป็นชั่วโมงเลย”

“ไม่เป็นไรครับ”

เมื่อถึงปลายบันไดเขาก็ดึงร่มจากถุงผ้าที่หญิงสาวสะพายอยู่ออกมากาง “ส่งผมแค่นี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวถูกฝนจะไม่สบาย” พูดจบก็รวบข้าวของจากมือเธอมาถือไว้

“กลับดี ๆ ค่ะน้องกานต์”

เจ้าของชื่อตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วหันหลังกลับ ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงรถ ชายหนุ่มรีบหุบร่มเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านใน ส่งของทั้งหมดไปไว้ยังที่นั่งด้านหลัง จากนั้นจึงใช้มือปัดผมที่ยังคงชุ่มน้ำ

“ทำไมไม่เป่าผมให้แห้งก่อน เดี๋ยวไม่สบายพอดี” คนขับกล่าวพร้อมกับออกรถ

“กานต์กลัววีรอ”

“รอมาได้ตั้งนาน รอต่ออีกหน่อยจะเป็นอะไรไป ป่วยขึ้นมาไม่คุ้มเลยนะ” พูดพลางเอื้อมมือโยกหัวคนข้าง ๆ

ศุภกานต์ยอมให้ทำแบบนั้นได้ไม่นานก็ดึงมืออีกฝ่ายลงแล้วออกคำสั่ง “จอดรถ”

“จะทำอะไร”

“บอกให้จอดก็จอดเถอะน่า”

“บอกมาก่อนว่าจะทำอะไร”

“คิดว่ากานต์จะทำอะไร” ว่าแล้วก็แตะจูบซ้ำ ๆ บนหลังมือขาว ช้อนตามองคนขับ

“พอเลย” ปฐวีชักมือกลับ จับพวงมาลัยแน่น พลันสองแก้มเจือสีแดงระเรื่อ

“ก็แค่อยากขับรถให้แฟนนั่ง ไม่ได้เหรอ”

“ฝนตกอยู่”

“จอดเร็ว จอดข้างตึกนี่แหละ แล้วย้ายมานั่งตรงนี้ เดี๋ยวกานต์ขับเอง”

ปฐวีมองคนพูดแล้วโคลงหัว กระนั้นก็ยังทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ “วีลงไปเอง กานต์ไม่ต้องลง เดี๋ยวใครเห็นเข้า ขยับมานั่งฝั่งนี้”

“ก็ได้ครับ”

เจ้าของรถยิ้มก่อนจะเปิดประตูกางร่มวิ่งอ้อมไปนั่งอีกฝั่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคิดว่าไม่มีใครเห็น

แต่ก็มีคนเห็นจนได้...

บรรณภัทรมองผ่านกระจกที่พราวด้วยหยดน้ำ ขณะนี้แท็กซี่ที่เขานั่งกำลังชะลอความเร็วกระทั่งหยุด รอให้รถอีกฝั่งสวนมาก่อนเพราะติดรถที่จอดเปิดไฟฉุกเฉินอยู่ข้างตึก แม้จะไม่เห็นหน้าคนที่เปิดประตูลงมา แต่ไฟหน้าที่สาดเป็นวงกว้างก็ทำให้เห็นชุดที่เขาสวมใส่รวมถึงทะเบียนรถอย่างชัดเจน หนุ่มม.ปลายจำได้ทันทีว่าชายผู้นั้นก็คือเจ้าของประโยคชวนเลี่ยนที่พบกันเมื่อตอนเย็นในห้องสุขา และรถคันนี้ก็คือรถคันที่มาจอดรอนักแสดงหนุ่มที่หน้าอาคารหอสมุดนั่นเอง   



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษทุกคนที่หายไปนานเลย

นานจนรู้สึกเหมือนเป็นบุคคลหายสาบสูญ

เดือนที่ผ่านมางานเยอะมาก ๆ ค่ะ เลยไม่มีเวลาเขียนให้จบสักที

ตั้งใจว่าจะเขียนให้ได้ตอนละ 10-13 หน้า A4 ค่ะก็เลยลากยาวมาถึงวันนี้

ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ





 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2022 15:11:32 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เพิ่งจะเห็นเรื่องไหม​ ยาวได้สะใจดีมากค่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เอ่อ อย่าบอกนะว่าน้องบุ๋นจะเข้าไปสู่วงโคจรของสองคนนั้น

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรื่องราวของ "บุ๋นกับเป็ด" หรือ บุ๋นมีอันต้องเข้าไปแทรกระหว่างกานต์กับวี?

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 2 ตัดสินใจ


แท็กซี่สีเขียวเหลืองแล่นฝ่าฝนที่ยังคงตกปรอย ๆ มาจอดหน้าบ้านสองชั้นย่านประชาชื่น เนาวนิตย์ควักเงินจำนวนพอดีกับเลขที่ปรากฏบนมิเตอร์ให้แก่คนขับ หันมองคนข้าง ๆ เห็นว่ายังสัปหงกจึงเอื้อมมือเขย่าแขนเบา ๆ


“บุ๋น ถึงบ้านแล้วลูก กางร่มด้วยนะเดี๋ยวไม่สบาย”


พลันเจ้าของชื่อก็ปรือตาขึ้น กว่าจะตั้งสติได้ อีกคนก็เปิดประตูลงไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าหนังสือ คว้าร่มที่ยังคงเปียกแล้วรีบตามออกไป มือกดสลักกางร่มจากนั้นจึงเดินอ้อมหลังรถแล้วหยุดมองคนที่กำลังควานหากุญแจในกระเป๋าสะพาย เมื่อเห็นว่าไม่เจอสักทีร่างสูงกว่าจึงสืบเท้าเข้าใกล้ให้อีกฝ่ายพอได้อาศัยหลบฝน


“ไม่ต้องหาแล้ว” พูดจบบรรณภัทรก็ล้วงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้


เนาวนิตย์จำพวงกุญแจรูปหมีสีน้ำตาลถักด้วยไหมพรมได้แม่น เพราะเธอเป็นคนถักมันเองกับมือ หวังให้เด็กชายบรรณภัทรใช้ห้อยกระเป๋าเพื่อกันสลับกับของเพื่อน แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาใช้มันเลย อายุอานามของเจ้าหมีตัวนี้ก็น่าจะน้อยกว่าเจ้าของอยู่ไม่กี่ปี


“หิวข้าวแล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่ง จ้องสิ่งที่อยู่ในมือของตน


เมื่อได้ยินดังนั้นเนาวนิตย์จึงรีบรับกุญแจแล้วไขปลดโซ่ที่คล้องกับประตูรั้วแล้วเดินนำเข้าไปก่อน รอจนลูกเลี้ยงแทรกตัวตามมาจึงคล้องโซ่และล็อคด้วยแม่กุญแจดังเดิม


“บุ๋นเดินไปก่อนเลย เดี๋ยวไม่สบาย”


บรรณภัทรไม่ได้พูดอะไร เขายังคงยืนกางร่มรออยู่เช่นนั้น กระทั่งสองคนเดินเคียงภายใต้ร่มคันเดียวกันจนถึงชายคาบ้าน เด็กหนุ่มหุบร่มแล้วแขวนไว้กับฉากไม้ระแนงที่ใช้แขวนไม้ประดับกระถางเล็ก จากนั้นจึงเดินตามภรรยาใหม่ของผู้เป็นพ่อเข้าไปข้างใน รับกุญแจคืนก่อนขึ้นไปยังห้องนอนของตนเอง แม้หูจะได้ยินเสียงบอกให้รีบอาบน้ำสระผมแต่หาได้ใส่ใจ เปิดประตูเข้ามาในห้องได้ก็โยนทั้งกระเป๋าและกุญแจลงบนเตียง ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ พรูลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย และแล้ววันแสนธรรมดาสุดน่าเบื่อก็กำลังจะผ่านไปอีกวัน


เจ้าของห้องเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นมองเพดานว่างเปล่า นึกขึ้นมาได้จึงล้วงเข้าไปในกระเป่ากางเกง ดึงอมยิ้มจูปาจุ๊ปส์รสโคล่าที่ได้จากสาวโต๊ะข้าง ๆ ที่ดันจับพลัดจับผลูมานั่งด้วยกันเกือบสองเทอมแล้ว เมื่อมือคลี่กระดาษยับยู่ยี่ออกจึงเห็นข้อความที่คนให้บรรจงเขียน


“สุขสันต์วันเกิดจ้ะบุ๋น”


บรรณภัทรยกยิ้มบางเบา อย่างน้อยก็มีสิ่งนี้ นมร้อนกับปาท่องโก๋และคำอวยพรของพ่อนี่แหละที่ทำให้พอยิ้มได้บ้าง เด็กหนุ่มถอนใจเบา ๆ วางของในมือลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้น หยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อกลับออกมานาฬิกาลูกตุ้มในห้องนอนของพ่อก็ตีบอกเวลาสามทุ่ม เด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าจากนั้นจึงเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง  ตอนที่โผล่หน้าเข้าไปในครัวน้านิตย์ก็ยกชามไข่ตุ๋นออกจากซึ้งพอดี


“ป่านนี้บุ๋นหิวแย่แล้ว” เธอพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นบรรณภัทรจึงเอ่ยขึ้น “ไข่ตุ๋นสุกพอดีเลย บุ๋นตักข้าวได้เลยนะ”


บรรณภัทรทำเพียงพยักหน้า เดินไปเปิดหม้อหุงข้าว ตักข้าวใส่จานสำหรับสองคน แล้วเดินตามคนอายุมากกว่าออกไปที่โต๊ะอาหาร เห็นเนาวนิตย์วางชามไข่ตุ๋นหมูสับโรยหน้าด้วยหอมแดงที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุยลงบนโต๊ะ เขาจึงวางจานข้าวในตำแหน่งที่ตนเองนั่งประจำ ส่วนอีกจานวางในตำแหน่งตรงข้ามตรงที่ที่แม่เคยนั่ง รอกระทั่งฝ่ายนั้นกลับจากรินน้ำในครัวจึงนั่งตักอาหารกินเงียบ ๆ


“วันนี้ทานไข่ตุ๋นอย่างเดียวไปก่อนนะบุ๋น ตอนนั่งรถมาน้าตั้งใจจะทำหมูทอดให้ทานด้วย เปิดตู้เย็นถึงนึกได้ว่าใช้ทำเข้าต้มเครื่องไปหมดแล้ว” เนาวนิตย์เอ่ยขึ้น


“ทำพรุ่งนี้ก็ได้ พรุ่งนี้เช้าบุ๋นไปซื้อให้” บรรณภัทรกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้เงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา แต่หากเขาเลื่อนตาขึ้นสักหน่อย คงพอได้เห็นรอยยิ้มบางเบาที่แต้มอยู่บนใบหน้าของคนฝั่งตรงข้ามบ้าง


บรรณภัทรนั่งเท้าคางมองตัวเลขดิจิทัลบนหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะซึ่งบอกเวลาห้าทุ่มห้าสิบสามนาที รออีกแค่ไม่กี่อึดใจวันแสนธรรมดาที่ถูกคนเราทึกทักจับจองเอาเป็นวันพิเศษสำหรับตัวเองก็จะผ่านไปแล้ว เด็กหนุ่มถอนใจเบา ๆ ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเหลียวกลับไปมอง


“ยังไม่นอนเหรอ” คนที่ค่อย ๆ เยี่ยมหน้าออกมาเอ่ยขึ้น


“น้านิตย์มีอะไร”


“น้าเข้าไปนะ”


เจ้าของห้องพยักหน้าแล้วยืนขึ้น มองร่างเล็กที่แทรกตัวผ่านช่องประตูเข้ามา


“มีอะไรหรือเปล่า”


“มีของจะให้จ้ะ” ว่าแล้วก็ยื่นถุงกระดาษให้ เห็นบรรณภัทรรับไปเปิดดูจึงกล่าวต่อ “พ่อเขาไม่เห็นบุ๋นสะพายเป้ไปโรงเรียนนานแล้ว คิดว่าใบเก่าน่าจะพัง ก็เลยซื้อใบนี้มาให้”


“พ่อเหรอ” บรรณภัทรพึมพำ ดวงตาจับจ้องเป้สะพายหลังใบใหญ่ในถุงกระดาษ


“ถูกใจไหม”


คนถูกถามเลื่อนตาขึ้นสบแล้วตอบคำถามนั้นโดยการพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นน้าไม่รบกวนแล้วนะ” เนาวนิตย์กล่าวก่อนจะหันหลังกลับ มือจับลูกบิดประตูแต่เหมือนทั้งร่างถูกตรึงให้อยู่กับที่เพียงเพราะคำเรียกง่าย ๆ


“น้านิตย์...” บรรณภัทรพรูลมหายใจแล้วจึงพูดต่อ “...ขอบคุณครับ”


เจ้าของชื่อหันกลับมายิ้มน้อย ๆ จากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ หญิงวัยใกล้สี่สิบเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างของบ้าน ตรงไปที่ห้องครัวเพื่อเก็บล้างถ้วยชาม จากนั้นจึงตรวจตราความเรียบร้อยของประตูหน้าต่างซึ่งเป็นภารกิจสุดท้ายเหมือนเช่นเคย เธอเดินมานั่งลงที่โซฟา กดรีโมตเปิดโทรทัศน์แล้วเปลี่ยนช่องเลื่อนผ่านรายการข่าวภาคดึกจนมาหยุดที่บทบาทของนักแสดงคนโปรด พราว พิพัฒน์พล ในภาพยนตร์รักที่เคยสร้างชื่อเสียงให้เจ้าตัวในฐานะนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมรางวัลดาราทัศน์เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ฉากข้ามผ่านกาลเวลาฟันฝ่าอุปสรรคของหญิงสาวผู้มีอายุอสงไขยกระทั่งได้พบชายคนรักยังคงสร้างน้ำตาให้แก่ผู้ดูได้ทุกครั้ง แม้ดวงตาของเนาวนิตย์จะจดจ่ออยู่ที่ภาพการสารภาพรักยามอาทิตย์อัสดงบนจอสี่เหลี่ยม แต่ในหัวกลับผุดเรื่องที่เพื่อนสนิทพูดเมื่อตอนเย็น เธอมองไปรอบ ๆ พลางคิดว่าหากเมื่อหลายปีก่อนมิได้ตัดสินใจร่วมชีวิตกับเจ้าของบ้านหลังนี้ บางทีในตอนนี้เธออาจจะมีลูกสาวตัวน้อยคอยคลอเคลีย เรียก ‘คุณแม่คะ’ ‘คุณแม่ขา’ มีครอบครัวที่น่ารักแบบที่ผู้หญิงแทบทุกคนวาดฝันเอาไว้ก็เป็นได้ แต่ก็ป่วยการจะคิด ในเมื่อเธอเลือกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาเอง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ก็ต้องยอมรับความเป็นไป

....


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

ฝนที่ตกลงมาตั้งแต่ช่วงเย็นทำให้การจราจรในย่านสำคัญของกรุงเทพมหานครแทบเป็นอัมพาต จนถึงเวลานี้แม้นาฬิกาจะแสดงว่ากำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วันใหม่ แต่หากมองจากตึกสูงก็ยังคงเห็นแสงไฟบนทางพิเศษเคลื่อนตามกันช้า ๆ เป็นสายยาวไปจนไม่รู้ว่าสิ้นสุดที่ใด ที่อาคารจอดรถของอาคารชุดสุดหรูชานเมือง สปอร์ตซีดานสีดำติดฟิล์มมืดจอดสนิทที่มุมหนึ่ง หยดน้ำเกาะพราวทั่วทั้งคันบ่งบอกว่าเพิ่งขึ้นมาจอดได้เพียงไม่นาน แต่ภายในรถกลับไร้เงาของผู้เป็นเจ้าของ หากจะหาตัวก็คงยากสักหน่อย เพราะในระยะสองปีนี้ไม่มีใครเคยได้เห็นใบหน้าแท้จริงของเขาที่อยู่หลังแว่นตากันแดดนั่นเลยสักครั้ง สำคัญไปกว่านั้นคอนโดมิเนียมแห่งนี้ยังเป็นที่พักอาศัยของผู้มีอันจะกิน ดังนั้นจึงไม่มีใครเสียเวลามาสนใจเรื่องของใคร ไม่มีเพื่อนบ้านและการผูกมิตรใด ๆ เพราะต่างคนต่างใช้ที่นี่เป็นที่พักชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อต้องการเปลี่ยนบรรยากาศหรือใช้เป็นจุดพักก่อนไปสนามบินเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ แต่ละชั้นจึงมีห้องที่ใช้พักอาศัยจริงเพียงไม่กี่ห้อง โดยเฉพาะในชั้นยี่สิบซึ่งเป็นชั้นสูงสุดนี้ แทบไม่พบใครอื่นเลยนอกจากพนักงานทำความสะอาดและหญิงชาวต่างชาติกับลูกชายตัวเล็ก ๆ ของเธอ สองร่างสูงที่อำพรางใบหน้าด้วยแว่นตากันแดดและหมวกแก๊ปก้าวออกจากลิฟต์ก่อนจะเดินคู่กันไปจนเกือบสุดตามทางเดิน ปฐวีซึ่งเป็นเจ้าของห้องแตะคีย์การ์ดเปิดประตู เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะเดินนำเข้าไปก่อน ปากก็บ่นกับตัวเองไปด้วย


“ถึงสักที เมื่อยจะแย่”


ศุภกานต์ดึงประตูปิดแล้วหันมายิ้ม “นั่งเครื่องมาตั้งหลายชั่วโมง แถมยังต้องมาเจอรถติดอีก” ว่าแล้วก็สวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง พาดคางลงบนบ่าแล้วกล่าวต่อ “เหนื่อยใช่ไหม กานต์บอกแล้วว่าไม่ต้องไปรอ เดี๋ยวกานต์มาหาเอง”


“ก็อยากกินข้าวด้วย”


“ซื้อจากร้านสะดวกซื้อข้างล่างก็ได้นี่”


“ข้าวกล่องกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน่ะเหรอ” ปฐวีหันมาถาม จงใจให้ปลายจมูกสัมผัสกับแก้มที่แม้ใกล้จะหมดวันเต็มทีแต่ก็ยังหอมไม่จาง “ไม่เอาด้วยหรอก วันนี้วันพิเศษจะกินแค่นั้นได้ยังไงกัน”


“วันพิเศษ วันอะไรเหรอ”


“ขี้ลืมจัง” กล่าวพลางหมุนตัวกลับมาสบตา “แก่แล้วเหรอ”


“ถ้าแก่แล้วจะยังรักหรือเปล่า” นักแสดงหนุ่มใช้ปลายนิ้วบีบจมูกของคนรักเบา ๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ตอบคำถามนั้นด้วยการพยักหน้ายิ้ม ๆ


“บอกได้หรือยังว่าวันนี้พิเศษยังไง” 


“เมื่อคืนที่คุยกันกานต์บอกว่าวันนี้จะตามพี่มุ่ยเข้าไปที่ช่อง คุยกับผู้ใหญ่เกี่ยวกับละครเรื่องใหม่ไม่ใช่เหรอ”


“เรื่องนี้นี่เอง”


“แล้ว...นางเอกเป็นใครรู้หรือยัง”


“น้องพรีม”


ปฐวีถึงกับตาวาวเมื่อได้ยินชื่อนักแสดงหน้าใหม่ที่ตนเองชื่นชอบ “พรีม พริมา ที่ประกวดชนะเวที Smart Boys & Girls น่ะเหรอ”


“ใช่ คนนั้นแหละ”


“ตัวจริงน่ารักไหม”


“พูดถึงชื่อนี้ไม่ได้เลยนะ” ศุภกานต์กระชับวงแขนแน่นเข้า


“ตอบมาก่อน น้องพรีมตัวจริงน่ารักไหม”


นักแสดงหนุ่มไม่ตอบในทันที เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสลำคอระหงพร้อมกับเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือลงบนแนวสันกรามของคนช่างถาม “น่ารัก แต่...”


“แต่อะไร”


“แต่น่ารักสู้บางคนแถวนี้ไม่ได้หรอก” 


ปฐวีอมยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “วีจะได้ดูเมื่อไรเนี่ย”


“อืม...เริ่มถ่ายต้นปีหน้า คงจะได้ดูไม่เกินปลายปีมั้ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับราชองครักษ์กับเจ้าหญิงก็เลยต้องไปถ่ายที่ต่างประเทศด้วย ไหนจะต้องไปเรียนการแสดงเพิ่ม เรียนยิงปืน ขี่ม้า แล้วก็เรียนศิลปะการต่อสู้ด้วย”


“ล...แล้ว...มีเลิฟซีนเยอะไหม”


“เยอะ” ศุภกานต์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ “แต่ยังหาที่เรียนไม่ได้เลย” ว่าพลางลากนิ้วหัวแม่มือผ่านกลีบปากบาง


“อย่างกานต์ยังต้องเรียนอีกเหรอ น่าจะคล่องแล้วมั้ง เข้าวงการมาตั้งหลายปี”


คนฟังแกล้งส่ายหน้า “ทำไมเป็น ขอซ้อมกับวีก่อนได้ไหม เริ่มจาก...บทจูบดีไหม”


ไม่ว่าคำตอบจะเป็นแบบไหน ศุภกานต์ก็ตั้งใจจะครอบครองริมฝีปากชวนหลงใหลนี้อยู่แล้ว ดังนั้นนักแสดงหนุ่มจึงมิได้รอฟัง มือใหญ่ยึดลำคอไว้ก่อนจะประกบกลืนกินกลีบปากที่เผยอรับอย่างโหยหา หวังจะชดเชยวันเวลาที่ต้องอยู่ไกลกันเพียงเพราะอีกฝ่ายต้องเดินทางตามบิดาไปเจรจาธุรกิจที่ต่างประเทศ


สองคนแลกจูบลึกซึ้ง ในที่สุดก็เป็นปฐวีที่ถอยเท้าเพราะไม่อาจต้านทานแรงบดเบียดทั้งที่ริมฝีปากและร่างกายท่อนล่างได้อีกต่อไป รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็แนบลงไปกับโซฟาเสียแล้ว ชายหนุ่มรีบสูดอากาศเมื่อคนเหนือร่างเปลี่ยนที่หมายไปซุกไซ้ลำคอแทน จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงเมื่อฝ่ามือใหญ่สอดเข้าใต้ชายเสื้อลูบไล้ข้างลำตัวเรื่อยมาถึงทรวงอกสร้างความหวามไหวจนเผลอใช้สองมือจิกลงบนบ่ากว้าง กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ลงไปกองอยู่ที่พื้น ปฐวียังไม่ทันได้ตั้งตัวความรู้สึกร้อนวาบก็แผ่ซ่านไปทั่วเมื่อศุภกานต์ประทับจูบบนเนินเนื้อบนกระดูกไหลปลาร้า ไม่เพียงเท่านั้นยังดูดดึงขบเม้มเบา ๆ ทำเอาสติไม่รู้กับเนื้อกับตัว         


“ก...กานต์”


เจ้าของชื่อชะงัก ถอนริมฝีปากออกแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา


“อย่าให้เป็นรอยนะ”


คนฟังยิ้มพลางโคลงหัว อดคิดไม่ได้ว่าปฐวีระวังตัวยิ่งกว่าเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลสาธารณะเสียอีก อาจเพราะบิดาของอีกฝ่ายเป็นนักธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ที่ต้องการเป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไป ใครก็รู้ว่าเจ้าสัวสุรชัยผู้นี้เลือกคบหาเฉพาะคนที่นำมาซึ่งประโยชน์แก่ตนเองและบริษัท แม้แต่ลูกชายคนเดียวก็ไม่มีเว้น ดังนั้นปฐวีจึงถูกผู้เป็นพ่อเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้ ทั้งซื้อสภาพแวดล้อมและสังคมด้วยการให้เรียนโรงเรียนเอกชนอันดับหนึ่งของประเทศ จากนั้นก็ส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศซึ่งมีชื่อเสียงด้านธุรกิจ กระทั่งตอนนี้ยังให้มาเรียนรู้งานที่บริษัทเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนรับช่วงกิจการของครอบครัวไปดูแล ตัวปฐวีเองไม่เคยปริปากบอกหรือแสดงออกให้พ่อรู้ว่าตนเองต้องการอะไร แต่ไหนแต่ไรก็ปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดีไม่ให้พ่อต้องเสียใจหรือทำอะไรให้เสื่อมเสียมาถึงวงศ์ตระกูลเรื่อยมา


ศุภกานต์ไม่ได้รับปากเพียงแต่หัวเราะเบา ๆ ยืดตัวขึ้นแล้วถอดเสื้อยืดที่สวมเหวี่ยงไปอีกทาง 


“หัวเราะอะไร” คนถามลอบกลืนน้ำลาย เมื่อดวงตาไม่อาจละจากมัดกล้ามของชายหนุ่มที่เพิ่งขึ้นปกนิตยสารสุขภาพได้


“นึกถึงครั้งแรก...” นักแสดงหนุ่มหยุดไว้แค่นั้นเป็นอันรู้กัน ถาโถมเข้าหา มองคนใต้ร่างอย่างเอ็นดู “วีก็พูดแบบนี้ หลังจากนั้นทุกครั้ง...วีก็พูดแบบนี้”


“แล้วมันตลกตรงไหน” ปฐวีพึมพำขณะเสมองไปทางอื่น แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเขา แต่ก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่ดีเมื่อเรื่องเช่นนี้ถูกนำมาพูดถึง และยิ่งคนพูดทำสายตาหวานเยิ้มเช่นนั้นด้วยแล้วยิ่งพาหัวใจกระเจิดกระเจิง


“ไม่ได้ตลก กานต์แค่รู้สึกว่าน่ารักดี เหมือนตอนที่คบกันใหม่ ๆ” ว่าแล้วก็ใช้ศอกเท้าลงกับโซฟา เลื่อนมือขึ้นจับปลายคางให้อีกฝ่ายหันมาประสานสายตา ดวงตาคมมองสำรวจทั่วใบหน้าคนรัก แม้จะผ่านมาเกือบสามปีแต่การพบกันครั้งแรกบนเครื่องบินยังเป็นภาพจำที่ไม่อาจลบเลือน ทุกวันนี้ยังนึกขอบคุณปัญหาจุกจิกในกองถ่ายที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนเที่ยวบินกะทันหันจนได้มีโอกาสนั่งใกล้กับหนุ่มรุ่นน้องผู้มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์จนกลายเป็นรักแรกพบ คนชัดเจนตรงไปตรงมาเช่นศุภกานต์จึงไม่ลังเลที่จะทำความรู้จักแม้จะถูกผู้จัดการส่วนตัวทักท้วงก็ตาม และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันแสนลึกซึ้งที่สองคนช่วยกันถักทอประคับประคองมาถึงวันนี้


“จ้องอยู่ได้”


“เขินเหรอ หรือว่าอยากให้ทำต่อ”


“อย่าพูดมากได้ไหม”


นักแสดงหนุ่มยิ้มกริ่ม กำลังจะสานต่อเรื่องที่ทำค้างไว้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ศุภกานต์ถอนใจพลางซุกหน้าลงกับซอกคอของคนใต้ร่าง ดังนั้นจึงเป็นปฐวีที่ดึงโทรศัพท์ซึ่งเสียบอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังของอีกฝ่าย ดวงตาทอดมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกระทั่งสายตัดไป


“พี่มุ่ยโทรมา ไม่รับเหรอ”


“ไม่” ไม่พูดเปล่า ยังแกล้งส่ายหน้าให้อีกคนจั๊กจี้เล่น


“กานต์ ไม่งอแงน่า รับเร็ว เผื่อพี่มุ่ยมีธุระด่วน” ปฐวีทำเสียงดุเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกหน


“ก็ได้” ว่าแล้วก็นอนนิ่ง ๆ รออีกฝ่ายกดรับสายให้


ปฐวีวางโทรศัพท์แนบกับหูของคนรัก กระนั้นก็ยังมีเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกของคนปลายสายเล็ดลอดให้พอได้ยิน ผู้ที่โทรมาก็คือ ‘พี่มุ่ย’ ผู้จัดการส่วนตัวที่ดูแลนักแสดงหนุ่มมาตั้งแต่ต้น ศุภกานต์เคยเล่าว่าเธอเป็นศิษย์เก่าสถาบันเดียวกัน เป็นรุ่นพี่และยังเป็นผู้ชักชวนเขาเข้าสู่วงการบันเทิงอีกด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้จึงมากกว่าเพื่อนร่วมงานแต่เป็นพี่สาวกับน้องชายที่รู้ใจกัน แม้พี่มุ่ยจะไม่เห็นด้วยกับการคบหากันของเขาทั้งคู่ เนื่องจากศุภกานต์เพิ่งมีชื่อเสียงได้เพียงไม่นาน กระนั้นเธอก็ไม่เคยขัดขวางจนออกนอกหน้า มีแต่ตักเตือนด้วยความเป็นห่วงให้ต่างคนต่างระวังตัวเท่านั้น


“ครับพี่มุ่ย ไม่ลืมครับ กานต์ไปเองได้ พี่มุ่ยอยู่บ้านพักผ่อนเถอะ” นักแสดงหนุ่มหยุดฟังก่อนจะหาจังหวะกล่าวต่อ  “ทำไมดื้อแบบนี้นะ ...ครับ ๆ เอาแบบนี้ก็ได้ครับ”


เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงถอนหายใจยาว แต่สาเหตุของครั้งนี้ดูจะหนักหนากว่าเมื่อครู่ ปฐวีปล่อยให้อีกฝ่ายดึงโทรศัพท์จากมือไปกดวางสาย มองมันถูกโยนลงไปรวมกับเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นอย่างไม่ใยดี 


“พี่มุ่ยโทรมาทำไมเหรอ”


“โทรมาเตือนว่าพรุ่งนี้มีงานเปิดตัวสินค้าน่ะ” ศุภกานต์บอก แนบหูฟังเสียงหัวใจของคนใต้ร่างที่กลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติอีกครั้ง
“ดึกป่านนี้ยังไม่นอนอีก ยิ่งไม่สบายอยู่”


“พี่มุ่ยไม่สบายเหรอ ถึงว่าทำไมวันนี้ผู้หญิงที่กางร่มมาส่งกานต์หน้าไม่คุ้นเลย”


“เป็นหวัดมาหลายวันแล้ว แถมยังซื้อยากินเอง บอกให้ไปหาหมอก็ไม่ไป เมื่อเช้าพอคุยธุระที่ช่องเสร็จ กานต์ก็เลยให้ขับรถกานต์กลับบ้านไปเลย”


“แล้วพรุ่งนี้พี่มุ่ยจะไปกับกานต์ไหวเหรอ”


“กานต์บอกแล้วว่าไม่ต้องไป กานต์ไปเองได้ แต่พูดยังไงพี่มุ่ยก็ไม่ยอม รายนั้นเรื่องงานต้องมาก่อน”


“ถ้าอย่างนั้นตอนเช้าให้วีไปส่งที่คอนโดไหม”


“ไม่ต้องหรอก พี่มุ่ยบอกให้กานต์รอที่นี่ บ่ายจะมารับ งานมีตอนค่ำ ๆ น่ะ”


คนฟังพยักหน้า “ดีจังเลยเนอะ ช่วงนี้งานพรีเซนเตอร์ก็เริ่มเยอะ ปีหน้ายังมีละครออนแอร์ตั้งสองเรื่อง”


“ไม่คุยเรื่องงานแล้วได้ไหม” ศุภกานต์กล่าวอู้อี้ เงยหน้าส่งสายตาอ้อนก่อนจะจุมพิตปลายคางมน “มาคุยเรื่องของเราต่อดีกว่า” ว่าแล้วก็ลากมือผ่านลำตัวขึ้นมาหยุดเคล้นคลึงเบา ๆ บนผิวเนื้อส่วนที่แค่สัมผัสนิดหน่อยก็แข็งเป็นไต


“ด...เดี๋ยว ก...กานต์”     


“รู้แล้วครับ สัญญาว่าจะไม่ทำให้เป็นรอย” เจ้าของชื่อส่งยิ้มหวาน ดึงมือข้างที่ยึดบ่าของตนเองมาแตะจูบไปตามข้อนิ้วจนครบทุกข้อแล้วจับกดลงกับโซฟา จากนั้นริมฝีปากได้รูปก็จูบเรื่อยมาจนถึงกลางอกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะถี่กระชั้น ในขณะที่มืออีกข้างลูบต่ำลงไปจนถึงโคนขาคลึงเคล้นไม่เว้นช่องว่าง


ปฐวีรู้สึกร้อนผ่าวราวกับมีกองไฟจุดขึ้นภายในห้อง หายใจไม่ทั่วท้องยามเมื่อคนคุมเกมลากปลายลิ้นผ่านจุดอ่อนไหว แม้จะแผ่วเบาแต่กลับทำให้ทั้งร่างบิดเร่าจนเสียการควบคุม ร้ายไปกว่านั้นเห็นจะเป็นประโยคทิ้งท้ายที่ทำเอาแทบหยุดหายใจ


“แต่ถ้าจากตรงนี้ลงไปถึง...” คนพูดจงใจหยุดไว้แค่นั้น “ก็คงไม่เป็นไรมั้ง เพราะยังไงก็มีแค่กานต์คนเดียวที่ได้เห็น”


...

(มีต่อค่ะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


สองปีต่อมา


บรรณภัทรชะเง้อมองรถเก๋งกันชนหน้าบุบที่ค่อย ๆ แล่นมาจอดเทียบริมบาทวิถีหน้าสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งบนถนนงามวงศ์วาน เห็นรถกระตุกอยู่หลายครั้งกว่าจะหยุดก็เดาได้ทันทีว่าคนที่ขับมาไม่ใช่พ่อของตน เด็กหนุ่มกระชับเป้ใบโตแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งยังที่นั่งด้านหลัง ถอดเป้วางบนตักพลางถอนใจเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงบ่นของพ่อ


“เบรกให้มันนิ่ม ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง สอนตั้งหลายครั้งแล้ว”


“นี่นิตย์ก็เบรกนิ่มที่สุดแล้วนะพี่” คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยแย้ง


“นิ่มที่ไหนกัน เมื่อกี้ตอนเบรกหัวพี่แทบทิ่ม”


“ถ้าอย่างนั้นลองอีกทีนะ” เนาวนิตย์กล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง


“ไม่ต้องลองแล้ว ขับไปเถอะ เดี๋ยวรถจะติดไปถึงห้าแยกปากเกร็ด”


บรรณภัทรถอนใจอีกรอบก่อนจะเอ่ยขึ้น “บุ๋นขอลงแล้วนั่งรถเมล์กลับได้ไหม”


“ไม่ได้!” สองคนพร้อมใจกันหันมาตอบ เล่นเอาคนถามอ้าปากค้าง


“นั่งไปด้วยกันนี่แหละ” ผู้เป็นพ่อสรุป


“พี่บู๊มาขับก่อนได้ไหม ถึงตรงที่รถน้อย ๆ แล้วค่อยเปลี่ยนให้นิตย์ขับ เหงื่อออกเต็มมือไปหมดแล้ว”


“ก็มัวแต่กลัวอยู่แบบนี้น่ะสิ หัดมาสองปีแล้วถึงขับไม่ได้สักที ค่อย ๆ ขับไป พอถึงหมู่บ้านก็ไปวนรอบบึงสักสามรอบ เอาให้คล่อง”


“ต...แต่ว่า...”


“ไปสักที บุ๋นหิวข้าวแล้ว”


เนาวนิตย์มองเด็กหนุ่มผ่านกระจก เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่สบอารมณ์จึงรีบออกรถ


“เบา ๆ หน่อย” บรรณวิชญ์บ่นอีกระลอก “เดี๋ยวก็ได้อีกแผลหรอก ท้ายรถเมล์ไม่ต้องเข้าไปใกล้นัก”


“จ้ะ รู้แล้ว ๆ” คนขับพึมพำ สองมือจับพวงมาลัยแน่น แขนเหยียดเกร็ง กระนั้นยังไม่วายหันมาพูดกับคนข้างหลัง “บุ๋นหยิบขนมออกมาทานได้เลยนะลูก วันนี้น้ากับพ่อแวะเข้าไปที่มหาวิทยาลัยก็เลยซื้อขนมที่บุ๋นชอบมาฝาก”


“มองทางด้วย อย่างมัวแต่คุย”


บรรณภัทรละสายตาจากรถรารอบข้างใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปากกระเป๋าผ้า ยื่นหน้าดูสิ่งที่อยู่ในนั้น พบว่ามันคือขนมปังอบกรอบจึงหยิบออกมาถุงหนึ่ง เด็กหนุ่มแกะห่อพลาสติกหยิบของชอบส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมพลางมองออกไปนอกกระจก รสหวานจากน้ำตาลผสมรสเค็มปะแล่มของเนยอย่างดีที่แทรกอยู่ในปากทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งเจือรอยยิ้มแสนบางเบาจนแทบสังเกตไม่เห็น บนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่คือภาพของนักแสดงหนุ่มที่โด่งดังที่สุด ณ ขณะนี้ “ศุภกานต์ ศุภวัฒนา” ในวัยยี่สิบหกปี เจ้าของรางวัล “กินรีทองคำ” สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง “ลิขิตขัติยา” ประกบคู่กับ “พรีม พริมา” ซึ่งได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน ละครเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายหนุ่มสติฟั่นเฟือนที่จู่ ๆ ก็ต้องมารับหน้าที่ราชองครักษ์คอยพิทักษ์ปกป้องเจ้าหญิง มีกำหนดออกอากาศเมื่อปลายปีก่อน เพียงออกอากาศไปได้ตอนเดียวก็ทำคู่พระนางดังเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืน ได้รับความนิยมต่อเนื่องจนใคร ๆ ต่างกล่าวกันว่าในวันที่ละครถึงตอนอวสานถนนทุกสายในกรุงเทพฯ โล่งเป็นประวัติการ เพราะต่างคนต่างรีบกลับบ้านเพื่อติดตามจุดจบของตัวร้ายและบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด หลังละครอวสานไม่นานทั้งคู่ก็มีผลงานโฆษณาและถ่ายแบบนิตยาสารแฟชันร่วมกันตามมาอีกมากมาย แม้หลังจากนั้นต่างคนต่างแยกไปมีผลงานใหม่ แต่กระแสคู่รักนอกจอที่บรรดาแฟน ๆ ต่างก็อยากให้เป็นจริงยังแรงไม่หยุด จนมีเสียงเรียกร้องให้คู่ขวัญคู่นี้กลับร่วมงานกันอีกครั้ง ต้นสังกัดเองก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือ ดังนั้นงานแถลงข่าวเปิดกล้องละครเรื่องใหม่ของปีหน้าจึงมีชื่อของพระนางคู่นี้ไม่ผิดจากที่หลายคนคาดการณ์


“ดังจริง ๆ เลยนะสองคนนี้ มองไปทางไหนก็เจอ” บรรณวิชญ์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นป้ายโฆษณาหน้าห้างสรรพสินค้า “เปลี่ยนช่องหนีละครก็ยังมาเจอโฆษณา คนดูไม่เบื่อกันบ้างหรือไง”


“พี่บู๊นี่ขี้บ่นจัง”


“หรือที่พี่พูดมันไม่จริง”


ผู้เป็นภรรยาถอนหายใจแล้วเริ่มอธิบาย “จะเบื่อได้ยังไงจ๊ะ แสดงเก่งทั้งคู่ คนหนึ่งก็สวย อีกคนก็หล่อ สมกันจะตายไป”


“พูดอย่างนี้แสดงว่าเลิกชอบนางเอกคนนั้นแล้วสิ”


“นิตย์ไม่ได้เลิกชอบ แต่นิตย์ชอบหลายคนต่างหาก”


บรรณภัทรฟังผู้ใหญ่เถียงกันพลางส่ายหัว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเมฆฝนตั้งเค้าอยู่ไกล ๆ แล้วให้รู้สึกใจหายนัก อาจเป็นเพราะวันนี้เพื่อน ๆ ที่สถาบันกวดวิชาพากันพูดถึงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยและการเลือกคณะ บางคนมุ่งมั่นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง บางคนอยากไปอยู่ไกลครอบครัวเพียงเพราะต้องการมีชีวิตอิสระ หรือบางคนก็ตั้งเป้าจะศึกษาต่อต่างประเทศเพราะชื่อว่าจะนำโอกาสที่ดีมาสู่ชีวิต ต่างคนต่างมีจุดหมายแตกกันกันไป และตัวเขาเองก็มีอยู่ในใจแล้ว รอเมื่อมีโอกาสก็จะบอกผู้เป็นพ่อ ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร 


เมื่อรถแล่นเข้ามาในเขตหมู่บ้านย่านประชาชื่น เนาวนิตย์ก็ตรงไปที่บึงน้ำขนาดใหญ่ ตั้งใจจะขับวนสักสามรอบตามที่ผู้เป็นสามีกำหนดไว้ แต่ลมฝนที่พัดพาเมฆก้อนใหญ่มารวมกันเป็นกระจุกทำให้ต้องล้มเลิก ขับไปได้เพียงรอบครึ่งจึงมุ่งหน้ากลับบ้าน บรรณภัทรที่นั่งสัปหงกคอพับคออ่อนสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ รถก็หยุด ได้ยินเสียงพ่อบ่นและคำขอโทษขอโพยจากคนขับ


“แท็กซี่ที่ไหนมาจอดหน้าประตูบ้าน”


“เห็นบ้านปิดเลยมาจอดพักละมั้งจ๊ะ เดี๋ยวนิตย์จะลงไปบอกให้เขาขยับหน่อย เราจะเอารถเข้าบ้าน”


ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวพยักหน้า เห็นอีกฝ่ายเปิดประตูลงจากรถ จึงเปิดฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมไปนั่งที่ฝั่งคนขับ มองผู้เป็นภรรยาเจรจากับคนขับรถแท็กซี่ ครู่หนึ่งแท็กซี่สีเขียวเหลืองจึงขยับเดินหน้าไป เมื่อเนาวนิตย์เปิดประตูรั้ว บรรณวิชญ์จึงขับเข้าไปจอดในโรงรถ


บรรณภัทรสะพายเป้ คว้าข้าวของที่เบาะหลังแล้วเปิดประตูลงจากรถ รู้สึกหายใจโล่งขึ้นเป็นกอง เวลาพ่อสอนน้านิตย์ขับรถทีไร เมื่อยทั้งหูเมื่อทั้งเท้าทุกที ที่เมื่อยหูก็เพราะต้องฟังสองคนเถียงกัน ส่วนเมื่อยเท้าก็เพราะต้องช่วยน้านิตย์เหยียบเบรก ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งเขาจึงหลับมันเสียให้รู้แล้วรู้รอด


“บุ๋น”


เจ้าของชื่อชะงัก เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของน้านิตย์ หากแต่เป็นเสียงของใครคนหนึ่งที่ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว เด็กหนุ่มสบตาผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่อีกฝั่งก่อนจะค่อย ๆ หันกลับไปมอง ที่เดินนำหน้ามาคือน้านิตย์ ส่วนคนที่เดินตามหลัง...


“แม่” บรรณภัทรกล่าวเสียงแผ่ว ไม่กล้านับเลยว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ใช้คำเรียกนี้


“เข้าบ้านกันก่อนดีไหมจ๊ะ ฝนใกล้จะตกแล้ว” เนาวนิตย์เสนอเมื่อเห็นพ่อลูกเอาแต่ยืนนิ่ง และเมื่อทั้งหมดเดินเข้าไปในบ้าน เธอจึงหลบเข้าไปในครัวเพื่อปล่อยให้ทั้งสามคนได้พูดคุยกัน


“คุณมีอะไรหรือเปล่าถึงมาที่นี่”


อดีตภรรยามิได้ตอบ แต่หันไปหาลูกชายที่เพิ่งวางข้าวของในมือลงบนโต๊ะ “บุ๋นเป็นยังไงบ้างลูก”


“สบายดี... สบายดีครับ”


“พักนี้ไม่ค่อยตอบข้อความของแม่เลย เรียนหนักเหรอลูก”


เด็กหนุ่มหยักหน้า จากหางตาเห็นผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังเดินไปนั่งลงที่โซฟาจึงกล่าว “แม่นั่งก่อนไหม”


ได้ฟังดังนั้นคนเป็นแม่ก็เดินตามไปนั่ง “ปีนี้บุ๋นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วใช่ไหมลูก”


“ครับ”


“ที่แม่มาวันนี้ก็ตั้งใจจะมาคุยเรื่องนี้” พูดจบจึงหันไปทางอดีตสามี “เรื่องที่ฉันเคยคุยกับคุณไว้นานแล้ว ฉันอยากมารับลูกไปอยู่ด้วยกัน เรียนมหาวิทยาลัยที่โน่นโอกาสได้งานดีเงินดีน่าจะมีมากกว่า”


บรรณวิชญ์สบตาคนเคยรัก มองหน้าลูกชายแล้วตอบเพียงสั้น ๆ “ผมแล้วแต่ลูก”


“ลูกอ่านข้อมูลมหาวิทยาลัยที่แม่ส่งให้แล้วใช่ไหม”


ลูกชายพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าทั้งท่าทางและน้ำเสียงที่แม่ใช้กับเขานั้นนุ่มนวลกว่าตอนพูดกับพ่อเป็นไหน ๆ


“บุ๋นชอบไหมลูก อยากไปเรียนที่นั่น อยากไปอยู่ด้วยกันกับแม่หรือเปล่า”


เด็กหนุ่มยืนนิ่งเบนสายตาไปยังผู้เป็นพ่อซึ่งอยู่ในอาการเดียวกัน ไม่รู้ว่าคนพูดมากเมื่อชั่วโมงก่อนหายไปไหนเสียแล้ว


“ไม่ต้องกังวลนะบุ๋น ไปเรียนภาษาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ แต่แม่ว่าบิสิเนสหรือมาร์เก็ตติ้งก็น่าจะดี”


“ให้ลูกเลือกเองเถอะ” ผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสามีแทรกขึ้น


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ” คนพูดกล่าวเสียงแข็งด้วยความลืมตัว เมื่อนึกได้ว่าไม่สมควรจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง “ฉันขอคุยกับลูกตามลำพังได้ไหม แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ ยังไงฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่ที่คลอดบุ๋นมา ฉันต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกอยู่แล้ว”


บรรณภัทรฟังคำที่แม่พูดกับพ่อ จู่ ๆ อาการแบบนั้นก็หวนคืนมาอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวเร็ว รู้สึกเหมือนตนเองถูกขังอยู่ในห้องที่ทั้งมืดและแคบ มันอึดอัดและหายใจไม่ออก หากเป็นก่อนหน้านี้สองคนคงเปิดฉากทะเลาะกันไปแล้ว ครั้งนี้พ่อของเขาไม่เพียงมิได้แสดงท่าทีไม่พอใจ ยังลุกขึ้นเดินออกไปเงียบ ๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดน้ำรดต้นไม้ที่หน้าบ้านทั้งที่ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว


“นั่งก่อนสิบุ๋น แม่อยากคุยด้วย”


เจ้าของชื่อถอดเป้เตรียมจะนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม แต่ถูกผู้เป็นแม่เรียกเอาไว้ “นั่งใกล้ ๆ แม่สิ”


บรรณภัทรนั่งห่างจากผู้เป็นแม่ไม่มากนัก ใช้โอกาสนี้ลอบสำรวจ ยอมรับว่าแม่สวยขึ้นจากเดิมมาก ดูมีน้ำมีนวลไม่เหมือนแม่ที่เขาเห็นมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นถ้าไม่หน้าเยิ้มอยู่ในครัวก็ผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะต้องทำงานบ้าน หรือนั่งเย็บผ้าโหลจนไม่มีเวลาเข้าร้านเสริมสวย กลับกัน...ตอนนี้คนที่มาอยู่ในสภาพเช่นนั้นก็คือน้านิตย์ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของลูกชายในยามนี้ทำให้คาดคะเนได้ว่าตั้งแต่แต่งงานใหม่ชีวิตของแม่คงดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น แม่ไม่เปลี่ยนไปเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอกหากแต่ยังมีบางสิ่งที่บรรณภัทรรู้สึกว่าคนเป็นลูกเช่นเขาไม่สามารถเอากลับคืนมาได้อีกแล้ว


“แม่อยากให้บุ๋นได้เรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ จะได้มีงานดี ๆ ทำ อีกอย่างลุงเขาทำธุรกิจ พอบุ๋นเรียนจบแม่จะบอกให้เขารับบุ๋นเข้าทำงานที่บริษัทของเขา”


บรรณภัทรนึกถึงเจ้าของรถคันหรูคันที่พาแม่มาหาเขาที่โรงเรียนในวันนั้น คนที่แม่ให้เขายกมือไหว้ กล่าวสวัสดี และให้เรียกว่า “คุณลุง” กว่าจะรู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นสามีใหม่ของแม่ก็ตอนที่แม่ส่งภาพถ่ายครอบครัวมาให้ดู


“ที่นี่ก็มีมหาวิทยาลัยดี ๆ ตั้งเยอะ”


“แต่ว่า...”   


“บุ๋นไม่ไป” เด็กหนุ่มไม่อ้อมค้อม


“ลองคิดให้ดีนะลูก นี่คือโอกาสที่ลูกจะได้เรียนในที่ดี ๆ มีโอกาสที่จะก้าวหน้าสูง”


“บุ๋นไม่ไป”


ผู้เป็นแม่ถอนใจเมื่อสิ่งที่เธอคาดเดาเอาไว้เป็นจริง “ทำไม”


“บุ๋นไม่อยากไป”


“แต่แม่หวังดีกับบุ๋นนะ”


“บุ๋นรู้ว่าแม่หวังดี แล้วบุ๋นก็ขอบคุณแม่ด้วย แต่บุ๋นไม่อยากไปจริง ๆ” บรรณภัทรบอก แม้จะรู้สึกอึดอัดจนอยากหนีจากสถานการณ์นี้ให้ไกลแต่ก็พยายามรักษาน้ำเสียงสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติที่สุด เพื่อรักษาน้ำใจของอีกฝ่าย


ผู้เป็นแม่ยื่นมือแตะบนหลังมือลูกชาย “แม่ก็แค่อยากจะฝากผีฝากไข้กับบุ๋น”


“แม่หมายความว่ายังไง” ลูกชายถามอย่างไม่เข้าใจ


“ลุงเขาเพิ่งตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง แม่อยากให้บุ๋นไปอยู่ด้วยกัน ทำความรู้จักกับทุกคนไว้ เผื่อว่าวันหนึ่งลุงเขาไม่อยู่แล้ว บุ๋นจะได้ช่วยแม่ดูแลธุรกิจของเขาเพราะน้องเองก็ยังเด็กมาก ถ้าไม่มีใครรับช่วงต่อทางฝ่ายภรรยาเก่าเขาคงต้องเข้ามาจัดการ”


เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าแต่ทำได้ไม่เต็มปอด ทั้งที่ประตูหน้าต่างยังเปิดให้ลมพัดผ่านแต่กลับรู้สึกว่าอากาศรอบ ๆ น้อยนิดเหลือเกิน นึกทบทวนทำให้คิดได้ว่าการที่แม่เงียบหายไปคงด้วยเหตุนี้กระมัง


“ไปอยู่กับแม่นะลูก แม่รักบุ๋นนะ” ผู้เป็นแม่กล่าวน้ำตารื้น บีบมือลูกชายเป็นการขอร้อง


บรรณภัทรโคลงหัว ไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แม่อยากให้เขาไปอยู่ด้วยเพราะสามีใหม่ป่วยด้วยโรคร้าย และกลัวว่าหากไม่มีใครรับช่วงธุรกิจภรรยาเก่าของสามีก็จะเข้ามาแทรกแซง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย ยิ่งกว่านิยายน้ำเน่า


“รักเหรอ” ริมฝีปากแห้งผากพึมพำกับตัวเองพลางชักมือออก พยายามกลั้นน้ำตา “มันยังมีอยู่จริงเหรอแม่ ถ้าแม่รักบุ๋น แม่คงไม่ทิ้งพวกเราไปอยู่กับเขาหรอก หรือถ้าแม่บอกว่าแม่ไม่รักพ่อแล้ว แต่แม่ยังรักบุ๋นอยู่บ้าง วันนี้แม่คงไม่มาพูดกับบุ๋นแบบนี้”


ในที่สุดบรรณภัทรก็สรุปได้ว่า “ความรัก” คือสิ่งที่ลูกชายเช่นเขาไม่อาจเรียกคืนจากผู้เป็นแม่ได้อีกแล้ว และในตอนนี้เขาก็โตพอที่จะไม่ร่ำร้องหามัน  ไม่สิ...ไม่ใช่ไม่ร้องหามัน แต่ไม่กล้าเรียกร้องต่างหาก แม้ไออุ่นจากอ้อมของแม่ยังไม่กล้านึกถึงเลยด้วยซ้ำไป


“บุ๋น ทำไมพูดกับแม่อย่างนี้ละลูก” ผู้เป็นแม่กลืนก้อนสะอื้นลงคอ “พ่อเขาสอนให้ลูกเกลียดแม่ใช่ไหม”


“บุ๋นไม่ได้เกลียดแม่ แล้วพ่อก็ไม่เคยสอนอะไรแบบนั้น บุ๋นขอโทษนะแม่ที่ทำอย่างที่แม่ต้องการไม่ได้ แม่อย่าพยายามอีกเลย”


หญิงวัยกลางคนนิ่งไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจลูกชายได้จึงลุกขึ้นเดินออกจากบ้าน ดวงตาแดงก่ำหยุดที่ใบหน้าเรียบนิ่งของอดีตสามีที่ยืนกางร่มรออยู่นอกชายคา


“คงนึกสะใจสินะที่ได้ลูกไป” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้


บรรณวิชญ์ส่ายหัว “ไม่ใช่ผมที่ได้เขามา แต่คุณเองต่างหากที่ไม่เอาเขาไปตั้งแต่แรก”


คำพูดนั้นเล่นเอาจุกจนคนฟังกำหมัดแน่น เบนสายตาไปยังม่านน้ำฝนขาวโพลน “คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไร”


“ผมรู้ ผมไม่เคยลืมหรอก ทั้งเรื่องนั้นแล้วก็สัญญาระหว่างเรา ที่ผมไม่รู้คือคุณคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้ คุณอย่าลืมว่าลูกน่ะ เราเลี้ยงเขาได้แค่ตัว ไม่ว่าจะอยู่กับผมหรืออยู่กับคุณ ไม่ว่าเราจะกอดเขาแน่นแค่ไหน วันหนึ่งเขาก็ต้องไปจากอ้อมแขนของเรา เพราะใจของเขามันเป็นของเขา” พูดจบก็ส่งร่มอีกคันให้อดีตภรรยาแต่เธอกลับปัดมันทิ้ง


แม้จะมีเสียงลมฝนแทรกอยู่ตลอดเวลา แต่บรรณภัทรก็พอจะได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่คุยกัน ดวงตาที่ฉาบด้วยน้ำใสมองร่มสีสวยที่ปลิวคว้างกระเด็นกระดอนไปตามแรงลม ร่มคันนั้นคงไม่ต่างจากหัวใจของเขาในตอนนี้ ตอนที่มองเห็นแม่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถที่จอดอยู่ ไม่ถึงอึดใจแท็กซี่สีเขียวเหลืองก็เคลื่อนออกจากไป เด็กหนุ่มพรูลมหายใจหันหลังกลับเข้าบ้าน มองเข้าไปในครัวเห็นน้านิตย์ยืนหั่นผักอย่างเหม่อลอย ส่วนพ่อเดินอ้อมไปที่หลังบ้าน ตัวเขาเองจึงคว้าเป้ขึ้นไปยังห้องนอน ทันทีที่ดึงประตูปิดก็วางเป้ลงบนโต๊ะเขียนหนังสือแล้วทิ้งตัวนอนบนเตียง อากาศเวลานี้เย็นสบายแต่รอบกระบอกตากลับร้อนผ่าว รู้สึกปวดหัวราวกับถูกบีบด้วยคีมขนาดใหญ่ ภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งยังเยาว์ฉายวนตั้งแต่ต้นจนจบซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดบรรณภัทรก็ผลอยหลับไปทั้งน้ำตา และมาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เมื่อตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู


เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้นนั่ง เห็นตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาเกือบสองทุ่มครึ่ง คิดว่าตัวเองหูแว่วหรือไม่ก็คงจะหลับฝันไป แต่เมื่อยกมือขึ้นขยี้ตาพลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับถ้อยคำขออนุญาตเช่นเคย


“น้าเข้าไปนะ น้าจะมาเรียกไปทานข้าว เมื่อตอนหัวค่ำน้าขึ้นมาทีหนึ่งแล้ว เห็นว่าบุ๋นหลับอยู่ก็เลยไม่ได้ปลุก”


“เดี๋ยวบุ๋นลงไป”


เจ้าของห้องลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาก่อนจะตามลงไปในครัว เห็นมีกับข้าว 2-3 จานวางอยู่บนโต๊ะ แต่ละจานแหว่งไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


“น้าอุ่นกับข้าวไว้ให้แล้ว บุ๋นตักข้าวทานได้เลยนะ พ่อกับน้าทานกันไปแล้ว”


บรรณภัทรมองร่างเล็กที่กำลังหันหลังล้างจานชามก่อนจะเอ่ยขึ้น “แล้วพ่อล่ะ”


“อยู่ที่ห้องเก็บของจ้ะ”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวบุ๋นมา”


ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เดินออกจากครัวตรงไปยังห้องเก็บของที่เพิ่งต่อเติมจากเดิมได้ไม่ถึงปี ภายในเต็มไปด้วยข้าวของตั้งแต่ครั้งปรับปรุงบ้านเมื่อกลางปีที่แล้ว เห็นพ่ออุ้มลังกระดาษแล้ววางบนพื้นก่อนจะนั่งลงดึงฝาที่ขัดกันอยู่ให้เปิดออก พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบรถบังคับวิทยุกับข้าวของอีกหลายอย่างออกมาวาง บรรณภัทรจำได้ว่าทั้งกระติกน้ำ กล่องดินสอ หุ่นยนต์ รถบังคับ และสมุดหนังสือพวกนั้นล้วนเป็นของที่พ่อซื้อให้ในตอนที่เขายังเป็นเพียงเด็กน้อย บางอย่างพ่อก็ตั้งใจซื้อให้ ในขณะที่บางอย่างเป็นสิ่งที่แลกมาด้วยน้ำตาของเด็กชายเอาแต่ใจ


“ทำอะไรอยู่น่ะพ่อ” ลูกชายกล่าวก่อนจะนั่งลง 


“พรุ่งนี้พ่อนัดกับคนรับซื้อของเก่าไว้ ก็เลยมาดูว่ามีอะไรที่พอจะทิ้งได้บ้าง”


“ก็ไม่เห็นจะทิ้งได้สักอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่กองเต็มห้องเก็บของหรอก”


ผู้ป็นพ่อฟังแล้วได้แต่ยิ้มและถอนใจไปพร้อมกัน “จริงของแก ของบางอย่างน่าทิ้ง แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่ได้สักที” พูดจบก็ดึงอัลบั้มรูปที่อยู่ก้นกล่องมาวางบนตัก มือลูบบนผ้าปักดิ้นทองเป็นลวดลายหงส์คู่ก่อนจะเปิดดู มันเป็นภาพสมัยแต่งงานของเขาและเธอ...แม่ของบรรณภัทร


“นี่แม่ตอนสาว ๆ เหรอ”


บรรณวิชญ์พยักหน้า พลิกดูรูปไปเรื่อย


“บุ๋นไม่เคยเห็นอัลบั้มนี้เลย”


“เป็นอัลบั้มรูปตอนที่พ่อกับแม่แต่งงานกันน่ะ”


ลูกชายพยักหน้า “ขอดูหน่อย” พูดจบก็ดึงอัลบั้มจากตักของผู้เป็นพ่อมาดูบ้าง “ตอนนั้นพ่อยังผอมอยู่เลย หล่อเสียด้วย”


“แล้วตอนนี้ล่ะ”


บรรณภัทรเลื่อนตาขึ้นมองแวบหนึ่งแล้วกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น ได้ยินเสียงบ่น “ไอ้ลูกคนนี้” จึงพูดกลั้วหัวเราะ “หล่อ ๆ ตอนนี้ก็ยังหล่อ”


“พอจะสู้พระเอกที่น้านิตย์เขาปลื้มได้ไหม”


“ใคร ศุภกานต์อะไรนั่นน่ะเหรอ”


“นั่นละ”


“พ่อกินขาดอยู่แล้ว สูงชะลูด ตูดปอด ยอดขุนพล”


“บุ๋น เอาความจริง”


ลูกชายขำพรืด “พ่อสูงให้เท่าเขาก่อนค่อยคิดสู้เรื่องความหล่อเถอะ” ปากพูดไปในขณะที่ดวงตาจับจ้องภาพคู่บ่าวสาวที่นั่งเคียงกันพาดแขนบนเบาะรองบนตั่งสำหรับรดน้ำสังข์ “รูปนี้แม่ไม่ยิ้มเลย จริง ๆ ก็ไม่ยิ้มแทบทุกรูป”


บรรณวิชญ์ไม่ได้แสดงความเห็น เขาละสายตาจากภาพนั้นก่อนจะหันไปรื้อของที่เหลือในลังกระดาษ หูยังคงได้ยินเสียงพลิกไส้พลาสติกชนิดหนาสำหรับใส่รูป


“พ่อรักแม่มากไหม” จู่ ๆ ลูกชายก็ถามขึ้น


“มาก”


“แล้วแม่ล่ะ รักพ่อมากหรือเปล่า ทำไมไม่ตอบ” บรรณภัทรเม้มปากแน่นเมื่อการไม่ตอบของพ่อนับเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด มือขาวปิดอัลบั้มลงทั้งที่ดูไปได้เพียงครึ่งแล้วส่งคืนเจ้าของ ในขณะที่พ่อเองก็รับไปโดยไม่คิดจะเปิดดูอีก


“เกี่ยวกับสัญญาอะไรนั่นหรือเปล่า”


คนฟังชะงัก ค่อย ๆ วางอัลบั้มลงในกล่อง


“พ่อกับแม่สัญญาอะไรกันไว้ บอกบุ๋นได้ไหม”


บรรณวิชญ์พรูลมหายใจยาวราวกับว่ามันจะช่วยพาเรื่องราวทั้งหมดในใจปลิวหายไปในอากาศ แต่ก็ไม่... มือใหญ่เอื้อมหยิบของที่วางอยู่รอบตัวคืนกล่องแล้วกล่าว “ที่แม่เขาไม่ยิ้มเพราะเขาไม่ได้เต็มใจแต่งงาน แต่ที่ต้องแต่งก็เพราะว่า...” ยากเกินกว่าจะเอ่ยออกมาผู้เป็นพ่อจึงหยุดไว้เพียงเท่านั้น


“ไม่ได้รักกันหรอกเหรอ” บรรณภัทรฝืนพูดต่อ สมัยเด็กเคยคิดว่าตนเองเกิดจากความรักของพ่อกับแม่ ถึงตอนนี้จึงรู้ว่าคิดผิดถนัด


“แม่เขามีคนที่รักอยู่แล้ว คบกันตั้งแต่สมัยเรียน แต่พ่อแม่ฝ่ายนั้นเขาก็มีคนที่จะทาบทามให้เป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว”


“แล้วเขาก็ยอมเหรอพ่อ”


“เขาต้องยอม เพราะพ่อของเขาป่วยหนัก อยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาในตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ เจอสถานการณ์แบบนี้ ลูกคนไหนก็ต้องยอม”


“อย่างนี้ก็ได้ด้วยเหรอ ยอมแต่งงานตามใจพ่อแม่ อย่างกับละคร” เด็กหนุ่มพึมพำ


“ละครก็สร้างจากชีวิตจริง ตอนที่ลูกโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกจะรู้ว่ามีเหตุผลมากมายที่บีดบังคับให้เราต้องตัดสินใจทำหรือไม่ทำบางอย่าง ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นการฝืนใจ”


“แล้วแม่ล่ะ แม่เป็นยังไงบ้าง”


“แม่ของลูกเสียใจมาก ตอนนั้นเพื่อน ๆ ของแม่ก็เลยพาพ่อมาแนะนำให้รู้จัก เราเริ่มต้นความสัมพันธ์จากการเป็นเพื่อน แต่พ่อเองที่อาศัยช่วงเวลาที่แม่อ่อนแอที่สุดพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองได้อยู่ในสายตาของเขา ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาใจอ่อน ตอนนั้นเรายังเด็กด้วยกันทั้งคู่ก็เลยไม่ทันได้คิดถึงอนาคต ทำเรื่องผิดพลาดเรื่องหนึ่งลงไป”


“พ่อทำแม่ท้อง?”


ผู้เป็นพ่อพยักหน้า “ตอนที่รู้ว่าจะมีลูก พ่อตัดสินใจขอแม่แต่งงานเพราะไม่อยากให้แม่ต้องเสียหาย ดังนั้นเราก็เลยตกลงว่าจะช่วยกันเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งก็คือถ้าหากทางฝ่ายนั้นหมดภาระเรื่องครอบครัวและพร้อมที่จะพาแม่ไปอยู่ด้วยกันเมื่อไร พ่อจะต้องปล่อยให้แม่ออกไปใช้ชีวิตกับคนที่เขารัก” บรรณวิชญ์ถอนใจเฮือก “ตอนนั้นก็สัญญาไปอย่างนั้น คิดว่ายังไงวันหนึ่งต้องทำให้แม่ยอมใจอ่อนรักพ่อให้ได้ สุดท้ายก็อย่างที่ลูกเห็น”


“ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดว่างั้นเถอะ”


บรรณวิชญ์ยากจะหาถ้อยคำมาโต้แย้ง ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ “พ่อยอมรับ เราไม่คิดว่าจู่ ๆ ลูกจะมา แต่พอรู้ว่าจะมีลูก เราก็ทำทุกอย่างเพื่อประคับประคองความเป็นครอบครัวเอาไว้ ลูกอาจจะเกิดจากความรักที่พ่อมีให้แม่อยู่ฝ่ายเดียว แต่พ่อมั่นใจว่าตอนที่ลูกเกิดมา ไม่มีใครสนใจอีกแล้วว่าใครจะรักใครหรือไม่ เราสนใจแค่ว่าเราต่างก็รักลูก และลูกคือคนที่มาเติมช่องว่างระหว่างพ่อกับแม่ให้เต็ม ถึงตอนนี้คงต้องขอโทษแก...”


“พ่อขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้แม่อยู่กับพวกเราไม่ได้”


บรรณภัทรขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทางเงอะงะ ไม่เคยต้องอยู่ในสถานการณ์จริงจังเช่นนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือปฏิบัติอย่างไร มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดแต่ไม่รู้จะเรียบเรียงออกมาอย่างไร ทั้งมือไม้ก็ดูจะเกะกะไปหมด ในที่สุดจึงเอื้อมมือแตะที่แขนแล้วเอียงศีรษะอิงไหล่ผู้เป็นพ่อ “ไม่เป็นไร หรือถ้าอยากไถ่โทษ...ก็แค่บ่นให้น้อยลงหน่อยก็แล้วกัน”


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอโทษหลาย ๆ คนที่ติดตามอ่านที่หายไปนานอีกแล้วค่ะ (รู้สึกเหลวไหลมาก)
ตอนที่ตัดสินใจเปิดเรื่องใหม่ก็คิดว่าสบาย ๆ ไม่น่ามีอะไรแล้ว แต่พอมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง
อย่างอื่นมันก็เปลี่ยนตามไปด้วยค่ะ งานเยอะมาก ๆ แต่ก็ยังเขียนวันละนิดวันละหน่อย
สำหรับตอนต่อไปก็น่าจะช้าอีกค่ะ เพราะว่าเรามีงานเขียนหนึ่งต้องรีบแก้ไขให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
ไม่ใช่นิยายแต่ว่าเป็นงานเขียนเชิงวิชาการระดับเด็กน้อยที่อยากทำให้ออกมาดี ๆ ค่ะ
เผื่อว่ามันจะเป็นพลังงานสะสมที่ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งต่อไป
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ ข้อความที่คนอ่านแสดงความสงสัย
เป็นแรงผลักดันให้เราอยากเขียนให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ จะพยายามไม่เหลวไหล (ถ้าไม่จำเป็นค่ะ)
ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ
   

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โลเคชั่นเรื่องนี้  ไม่ใช่ภาคเหนือแฮะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2019 03:04:22 โดย DrSlump »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
แม่จะจบง่าย ๆ ไหมอ่า ปัญหาครอบครัวซับซ้อนแล้วจะมาดึงลูกไปยุ่งทำไม ไม่เข้าใจ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เห็นชื่อก็เข้ามาอ่าน   ไม่ผิดหวังจริงๆ
ติดตามตอนต่อไป  ให้กำลังใจครบครัวบุ๋น

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
……


กลิ่นดราม่านิดๆ. มีไออบอุ่นจากครอบครัวหน่อยๆ

ติดตามตอนต่อไป…เรื่อย


 :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:


……

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 3 ความทรงจำระหว่างทาง


รถเก๋งคันเก่าเคลื่อนผ่านด่านเก็บเงินทางพิเศษมาได้ไม่นานก็ต้องหยุดเพราะการจราจรที่เริ่มชะลอตัว อาคารทรงโดมสไตล์อิตาเลียนผสมกับศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือเรอเนสซองซ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือจุดหมาย แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นปลายทางที่ไม่อาจไปถึงได้ง่าย ๆ บรรณภัทรถอนหายใจเบา ๆ ดึงเป้ใบใหญ่มากอดไว้แน่น ร่องรอยการเย็บบริเวณรอยต่อสายสะพายกับฝั่งที่ใช้ใส่ของบ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน เด็กหนุ่มทอดตามองออกไปนอกกระจก แม้สมัยเด็กจะเคยมาย่านนี้อยู่บ่อยครั้งยามต้องเดินทางโดยรถไฟติดตามผู้เป็นพ่อไปเยี่ยมปู่ย่าที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ความรู้สึกคราวนี้ช่างแตกต่างด้วยรู้ว่าจะไม่มีพ่อไปด้วยกันดังเช่นที่ผ่านมา


"รถติดจังเลย วนเข้าไปก็ไม่รู้จะมีที่จอดไหม เดี๋ยวนิตย์ส่งพี่บู๊กับบุ๋นลงก่อนก็แล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลา"


เนาวนิตย์ที่อาสาเป็นคนขับเอ่ยขึ้น ชะเง้อมองสัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวมาได้สักพักพลางถอนเท้าจากเบรกปล่อยรถเคลื่อนตามคันข้างหน้า เมื่อจอดเทียบบาทวิถีสองพ่อลูกก็เปิดประตูลงจากรถ บรรณภัทรสะพายเป้มองตามโตโยต้าโคโรล่ารุ่นเก่าที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างไป จากนั้นจึงเดินตามผู้เป็นพ่อเข้าไปภายในอาคาร


สถานีรถไฟกรุงเทพที่ปกติแน่นขนัดไปด้วยผู้คนรอเดินทาง บัดนี้ยิ่งแออัดเนื่องจากเป็นวันรับน้องรถไฟของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ บริเวณโถงขนาดใหญ่เต็มไปด้วยบรรดาผู้ปกครองที่มาส่งบุตรหลานและหนุ่มสาววัยอุดมศึกษาที่ยืนกระจัดกระจายปะปนไปกับผู้รอโดยสารรถไฟ บ้างสวมชุดนักศึกษา บ้างสวมชุดลำลองแต่แบ่งแยกกันเป็นกลุ่มก้อนอย่างชัดเจนด้วยเสื้อยืดหลากสีสัน มีเสียงประกาศให้น้องใหม่ลงทะเบียนและรับป้ายชื่อ ณ จุดลงทะเบียนก่อนจะเข้าสู่ชานชาลาด้านใน


บรรณวิชญ์มองลูกชายที่กำลังหันซ้ายหันขวายืดคอชะเง้อ เห็นว่าอีกฝ่ายมิได้สนใจเสียงประกาศจึงสืบเท้าเข้าไปใกล้ เอื้อมมือแตะไหล่แล้วเอ่ยขึ้น “มีเพื่อนที่โรงเรียนไปด้วยกันไหม”


บรรณภัทรหันมาส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกันพ่อ แต่ในห้องเดียวกันไม่มี”


"แกแน่ใจแล้วใช่ไหม ถ้าไม่อยากรอสอบใหม่ปีหน้า พ่อส่งแกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนได้นะ แกก็เห็นแล้วว่าสาขานี้เรียนจบมาแล้วเป็นยังไง"


"ก็เป็นบรรณารักษ์เหมือนพ่อไง”


“ยังจะทำเป็นเล่น แกเลือกสาขานี้ไว้เป็นอันดับที่สามเลยไม่ใช่เหรอ”


“ก็ใช่ เอาน่าพ่อ บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ไปเรียนดูก่อน ถ้าไม่ดีปีหน้าค่อยว่ากัน" ลูกชายยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยพ่อ นี่บุ๋นจะไปเป็นรุ่นน้องพ่อแล้วนะ ไม่ภูมิใจเลยหรือไง”


ผู้เป็นพ่อถอนใจเฮือกโต โอบไหล่ลูกชายพร้อมกระชับมือแน่น “กลัวแม่แกเขาจะว่าเอาว่ามีปัญญาส่งแกเรียนได้แค่นี้”


“บุ๋นบอกพ่อแล้วไงว่าบุ๋นไม่ได้อยากไปเรียนเมืองนอก”


บรรณวิชญ์พยักหน้า ไม่ว่าจะพูดเรื่องนี้กันกี่ครั้งอีกฝ่ายก็ยังยืนยันคำเดิม “ถ้าอย่างนั้นก็ไปลงทะเบียนได้แล้ว จะได้เข้าไปเจอเพื่อน ๆ ข้างใน”


“รออีกหน่อยนะพ่อ บุ๋นยังไม่อยากเข้าไป”


“รอใคร ไหนบอกว่าไม่มีเพื่อนไปด้วยกันไง”


“ก็ไม่ได้รอเพื่อน” บรรณภัทรกล่าวเบา ๆ ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน หารู้ไม่ว่าขณะนี้พ่อของเขาพุ่งความสนใจไปที่เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาว ๆ ที่ยืนอออยู่หน้าประตูทางเข้าสถานีเสียแล้ว


การปรากฏตัวของดาราหนุ่ม ‘ศุภกานต์ ศุภวัฒนา’ นอกจากจะสร้างความฮือฮาให้แก่คนไทยที่อยู่ภายในสถานีรถไฟกรุงเทพแล้ว ยังเป็นที่สนใจของบรรดาชาวต่างชาติที่รอเดินทางอีกด้วย แม้จะไม่รู้ว่าคนที่เพิ่งมาถึงเป็นใคร แต่หลายคนก็ถือโอกาสหยิบกล้องคอมแพคตัวจิ๋วขึ้นมาบันทึกภาพ


บรรณภัทรเลื่อนสายตาตามร่างสูงที่ถูกผู้คนห้อมล้อม การแต่งกายของเขาช่างแตกต่างจากตอนที่ได้รับบทบาทคุณชายนักการทูตในละครย้อนยุคที่เพิ่งจบไปเมื่อเดือนก่อน หรือแม้แต่ในรายการซึ่งออกอากาศไปเมื่อคืนที่ทำเอาน้านิตย์นั่งดูจนดึกดื่น เป็นการสัมภาษณ์ที่บรรยากาศกันเองเอามาก ๆ แต่เสื้อผ้าหน้าผมของแขกรับเชิญกลับเนี้ยบราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชัน วันนี้ศุภกานต์มาในชุดกางเกงยีนกับเสื้อยืดสีดำสกรีนลายเส้นสีขาวรูปนกพิราบ ผมเผ้าที่ไม่ได้ผ่านการจัดแต่งทรงและใบหน้าไร้เครื่องสำอางทำให้พระเอกหนุ่มวัยยี่สิบหกปีผู้นี้กลมกลืนไปกับบรรดานักศึกษาได้อย่างไม่ยาก


“เป็นศิษย์เก่าที่นี่เหมือนกันเหรอเนี่ย นี่ถ้าน้านิตย์อยู่คงกรี๊ดสลบ”


ลูกชายยังไม่ทันได้พูดอะไร คนที่เพิ่งถูกพูดถึงก็เอ่ยขึ้น


“บุ๋น ยังไม่เข้าไปอีกเหรอลูก”


บรรณภัทรหันไปยังต้นเสียง จู่ ๆ รอยยิ้มบางเบาก็จุดขึ้นบนใบหน้า แม้แต่คนยิ้มเองก็ยังไม่รู้ตัว


“ไปได้ที่จอดตรงไหน” ผู้เป็นสามีถามเมื่อเห็นสภาพภรรยาที่ตอนนี้ไรผมเหนือหน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ


“นิตย์วนอยู่หลายรอบก็ไม่มีที่จอด เลยไปจอดในวัดแล้วนั่งมอเตอร์ไซค์มา” เธออธิบายก่อนจะหันไปทางลูกเลี้ยง “เมื่อกี้น้าเดินเลาะรั้วมาจากด้านหลัง เห็นเด็ก ๆ เขานั่งอยู่ข้างในเต็มไปหมด บุ๋นยังไม่เข้าไปอีกเหรอลูก”


“รออยู่” เด็กหนุ่มตอบสั้น ๆ


เนาวนิตย์สบตาคนพูดอย่างแปลกใจ แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็หันหลังให้ก่อนจะเดินไปยังจุดลงทะเบียน นอกจากตรงนั้นจะมีเด็ก ๆ ที่ต่อคิวรับป้ายแขวนคอและเสื้อสีประจำคณะแล้ว ข้าง ๆ ยังมีบรรดาไทยมุงและผู้ที่คาดว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของมหาวิทยาลัยอีกด้วย


“นั่นเขามุงอะไรกันน่ะพี่บู๊”


“ดารามา”


“ใครเหรอจ๊ะพี่”


“ก็คนที่นิตย์นั่งดูสัมภาษณ์เมื่อคืนนี้ไง”


“กานต์ ศุภกานต์น่ะเหรอ ม...มา มา ๆ ถ่ายละครเหรอ”


เห็นอาการติดอ่างของภรรยาแล้วบรรณวิชญ์ถึงกับส่ายหน้า “คงไม่ได้มาถ่ายอะไรกันตอนนี้หรอก แค่นี้สถานีก็แทบจะแตกแล้ว คงเป็นศิษย์เก่ามาร่วมส่งน้องใหม่น่ะ”


เนาวนิตย์พยักหน้าพลางชะเง้อไปยังจุดเดิมอีกครั้ง เห็นบรรณภัทรฝ่าฝูงชนออกมา ร่างสูงกึ่งวิ่งกึ่งเดินทำเอาคนมองอดเป็นห่วงเป้ใบโตที่เย็บแล้วเย็บอีกไม่ได้ กลัวว่าจะขาดเสียก่อนจะไปถึงเชียงใหม่ แต่ถึงจะเอ่ยปากห้ามปรามอย่างไร อีกฝ่ายก็ดึงดันจะเอาเป้ใบเก่งใบนี้ไปด้วยกันให้ได้


“บุ๋นไปก่อนนะพ่อ” บรรณภัทรพูดขึ้นเมื่อมาถึง


ผู้เป็นพ่อพยักหน้า ดึงลูกชายที่ตอนนี้ตัวสูงกว่าตนเองกว่าคืบเข้ามากอด “ดูแลตัวเองด้วยนะ”


“พ่อก็ดูแลตัวเองดี ๆ ไว้ปิดเทอมเจอกัน” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงอู้อี้ กระชับวงแขนกอดพ่อแน่น ๆ อีกครั้งแล้วจึงผละออก


“ตั้งใจเรียนล่ะ อย่าเพิ่งไปจีบใคร”


“ไม่ทำอย่างนั้นหรอกน่า” คนพูดมุ่นคิ้ว


“ดีแล้ว แต่ถ้าใครมาจีบละก็ บอกไปเลยว่าพ่อให้โฟกัสเรื่องเรียนก่อน”


คำพูดเลียนแบบดาราของผู้เป็นสามีทำเอาเนาวนิตย์ขำพรืด สงสัยว่าเธอจะชวนเขาดูรายการบันเทิงมากเกินไปหน่อยถึงได้เก็บเอาถ้อยคำเหล่านั้นมาใช้ กระนั้นยังอดกระเซ้าไม่ได้ “หวงลูกชายเหรอจ๊ะ”


“แค่เป็นห่วง ไม่ได้หวง” คนปากแข็งพูดอ้อมแอ้ม”


“จ้ะ ห่วงก็ห่วง” พูดจบเนาวนิตย์ก็หันไปหาอีกคน “ไม่ต้องห่วงนะบุ๋น น้าจะดูแลพ่อให้”


บรรณภัทรฟังแล้วพยักหน้าก่อนจะยกมือไหว้ทั้งสองคน เมื่อคิดว่าถึงเวลาที่ต้องจากกันจริง ๆ แล้วจึงหันหลังให้ ขายาวก้าวสั้น ๆ หลบหลีกผู้คนที่เดินสวนกันไปมา เมื่อใกล้ถึงประตูซึ่งเชื่อมต่อกับชานชาลาพลันหูได้ยินเสียงเรียกชื่อจึงหยุด เหลียวกลับไปมอง เห็นน้านิตย์กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา


“น้านิตย์มีอะไรหรือเปล่า”


“น้ามัวแต่คุย เกือบลืมว่ามีของจะให้บุ๋น” พูดจบก็ใช้มือควานลงในกระเป๋าสะพายแล้วหยิบสิ่งหนึ่งออกมา “เห็นตัวเก่าขาดแล้วน้าเลยถักตัวใหม่ให้”


บรรณภัทรมองตุ๊กตารูปหมีสีน้ำตาลถักด้วยไหมพรมในมือของอีกฝ่ายพลางนึกถึงตัวเก่าที่เปื่อยจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อีกจนต้องปลดระวางเก็บมันไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือที่บ้าน


“ไม่ค่อยสวยเท่าไรนะบุ๋น น้าไม่ได้ถักตั้งนานแล้ว”


เด็กหนุ่มรับพวงกุญแจตุ๊กตาถักนั้นมา มองอย่างพิจารณาพลางยิ้มน้อย ๆ ให้เจ้าหมีหน้าเบี้ยวก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนให้ “ขอบคุณครับ”


แม้จะรู้ดีว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายมิได้ตั้งใจยิ้มให้ตน แต่เนาวนิตย์ก็อดหัวใจพองโตกับรอยยิ้มที่ได้รับเจียดจากเจ้าตุ๊กตาถักรูปหมีสีน้ำตาลไม่ได้ มัวแต่ดีใจจนเกือบจะถูกกลุ่มคนที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังพระเอกหนุ่มชนเข้าเสียแล้ว ดีที่บรรณภัทรคว้าแขนดึงให้หลีกทางได้ทัน


"ตัวจริงหล่อกว่าในทีวีเสียอีก" หญิงวัยกลางคนพึมพำขณะดวงตาจับจ้องคนตัวสูงที่เพิ่งเดินผ่านไป


บรรณภัทรละสายตาจากชายหนุ่มที่มีแต่คนห้อมล้อม จัดการยัดเจ้าหมีน้อยลงในกระเป๋ากางเกงแล้วกล่าว "บุ๋นไปนะ" พูดจบก็เดินผ่านประตูเข้าไปด้านในพร้อมกับเสียงประกาศให้น้องใหม่มารวมตัวกันบริเวณลานหน้าชานชาลาที่ขณะนี้เต็มไปด้วยบรรดานักศึกษา ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน


บนเวทีเตี้ย ๆ ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้ ได้ยินเสียงเพลงประจำมหาวิทยาลัยคลอเบา ๆ เด็กหนุ่มกวาดตามองอยู่ไม่นานก็เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ คณะเดียวกัน ต่างคนต่างปลดเป้สะพายหลังเพื่อร่วมกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ที่รุ่นพี่จัดขึ้น เมื่อใกล้ถึงเวลาจึงมีเสียงประกาศให้นักศึกษาใหม่นั่งประจำ จากนั้นพิธีการต่าง ๆ ก็ดำเนินไป เริ่มจากการขึ้นกล่าวต้อนรับและให้โอวาทของประธานในพิธีซึ่งเป็นอาจารย์ระดับผู้บริหารมหาวิทยาลัย การแสดงระบำรำฟ้อน ไปจนถึงการสัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่มาร่วมงานในวันนี้ และหนึ่งในก็คือนักแสดงเจ้าบทบาท ‘ศุภกานต์ ศุภวัฒนา’


"ขอเสียงปรบมือต้อนรับพี่กานต์ ศุภกานต์ ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเราด้วยค่ะ"


สิ้นเสียงพิธีกรหญิงหน้าจิ้มลิ้ม เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องผสมผเสกับเสียงกรี๊ดกร๊าดของหลาย ๆ คน หนุ่มสาวในชุดนักศึกษาที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งพากันขยับเพื่อเปิดทาง ชั่วอึดใจนักแสดงชื่อดังก็ขึ้นไปยืนสูงเด่นเป็นสง่าอยู่บนเวทีราวกับหม่อมราชวงศ์ปานรพี นักหารทูตหนุ่มหล่อประจำประเทศสวิตเซอร์แลนด์หลุดออกมาจากนิยาย


"คุณชายปานรพีของเรานั่นเองนะครับ" พิธิกรชายแซวก่อนจะเชิญให้นั่ง


"ก่อนอื่นให้พี่กานต์แนะนำตัวดีกว่าค่ะ"


"สวัสดีครับ"


ศุภกานต์แค่ทักทาย เสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มอีกครั้ง ชายหนุ่มรอจนทุกคนเงียบจึงกล่าวต่อ "กานต์ ศุภกานต์ ศุภวัฒนา ศิษย์เก่าภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ครับ" จบประโยคนั้นหนุ่มสาวชาวมนุษยศาสตร์ก็พากับปรบมือรับพร้อมกับโห่ร้องด้วยความยินดี


"ศิษย์เก่าแมสคอมของเรานี่เองนะคะ"


"ตอนนี้เป็นคณะแล้วใช่ไหม" นักแสดงหนุ่มกระซิบถาม


"ใข่ค่ะ ตอนนี้เป็นคณะสื่อสารมวลชนแล้วค่ะพี่กานต์"


รอบนี้ถึงคราวชาวคณะสื่อสารมวลชนส่งเสียงบ้าง เมื่อเสียงงียบลงพิธีกรชายจึงถามต่อ "ขออนุญาตถามนะครับ พี่กานต์รหัสอะไรครับ"


"พี่รหัส 45"


"น้อง ๆ ที่เข้าใหม่ปีนี้รหัสอะไรกันครับ" คนเดิมกล่าวพร้อมกับยื่นไมโครโฟนออกไป ดังนั้นบรรดาน้องใหม่จึงต่างป้องปากตะโกน "รหัส 52"


"ห่างกันแค่เจ็ดปีเองนะครับ ยังถือว่ารุ่นเดียวกันอยู่"


ศุภกานต์ฟังแล้วยิ้มเขิน รู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายพยายามทำให้เขาดูไม่แก่จนเกินไป


"ทำไมพี่กานต์ถึงเลือกมาเรียนที่นี่คะ"


"เห็นว่าสาขานี้น่าสนใจก็เลยเลือกไว้เป็นอันดับที่สามครับ"


"แล้วตอนทราบว่าสอบติดตื่นเต้นไหมคะ"


"ถึงจะเป็นอันดับที่สาม แต่ก็ตื่นเต้นมากเลยครับ ขนาดทราบทางจดหมายแล้วยังอดนั่งรถเมล์จากบ้านไปดูผลสอบที่เกษตรไม่ได้"


"พี่กานต์เป็นคนกรุงเทพฯ ใช่ไหมครับ" อีกคนถาม


นักแสดงหนุ่มอมยิ้มก่อนจะตอบ "พี่เป็นลูกครึ่งครับ แม่เป็นคนลำพูน พ่อเป็นคนกรุงเทพฯ ตอนนั้นบ้านหลังเก่าอยู่แถวเจริญกรุงนี่เอง"


"ตอนที่ทราบว่าจะต้องไปเรียนเชียงใหม่มีลังเลบ้างไหมครับ”


“อย่างที่บอกครับว่าตอนสอบติดก็ตื่นเต้น แต่พอใกล้วันรับน้องรถไฟ อยู่ ๆ ก็ไม่อยากไป รู้สึกว่าเชียงใหม่ไกลจัง เพื่อน ๆ ก็เรียนในกรุงเทพฯ กันหมด แต่พอไปแล้วไม่อยากกลับ มันคงเป็นความอาลัยอาวรณ์” นักแสดงหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ดวงตาทอประกายราวกับภาพในอดีตปรากฏตรงหน้า “พี่คิดว่าถึงตอนนั้นทุกคนที่นี่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน”


การพูดคุยดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ศิษย์เก่าหลากหลายอาชีพถูกเชิญขึ้นมาแบ่งปันประสบการณ์และความทรงจำในวัยเรียน และเมื่อถึงจังหวะที่ทุกคนเดินลงจากเวที บรรณภัทรจึงกระซิบบอกเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ เพื่อฝากกระเป๋าก่อนคว้าเสื้อคลานออกจากแถว เดินหลบหลีกผู้คนไปยังห้องสุขา นอกจากจะปลดทุกข์ยังถือโอกาสนี้เปลี่ยนเสื้อให้เหมือนกับเพื่อน ๆ ด้วย เด็กหนุ่มเดินออกมาที่โถงใหญ่ภายในสถานีเมื่อทำธุระเรียบร้อย ตั้งใจจะกลับเข้าไปยังพื้นที่จัดกิจกรรมรับน้อง แต่เดินไปยังไม่ทันถึงประตูก็ต้องหยุดเพราะโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อดึงออกมาดูจึงพบว่ามีข้อความหนึ่งถูกส่งมาจาก 'คุณบรรณวิชญ์' ซึ่งเป็นผู้มีอุปการคุณซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ให้


"พ่อภูมิใจในตัวแกนะ"


"อะไรของเขา" บรรณภัทรโคลงหัวยิ้ม ๆ ไม่บ่อยนักที่พ่อจะแสดงความรู้สึกหรือทำอะไรพิเศษ ๆ แบบนี้ให้ ส่วนเขาเองก็มักเขินอายเกินกว่าจะตอบกลับ


เด็กหนุ่มสอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ในตอนนี้เองจึงได้รู้ว่าตุ๊กหมีถักด้วยไหมพรมที่น้านิตย์ให้มาได้หายไปเสียแล้ว บรรณภัทรพยายามล้วงในกระเป๋ากางเกงเท่าที่มีแต่ก็ไม่พบ กำลังจะหมุนตัวกลับเข้าไปในชานชาลาก็ปะทะเข้ากับร่างของอีกคน


"ขอโทษครับ" คนผิดกล่าวอย่างรีบร้อน จะเดินเลี่ยงไปอีกทางก็ถูกขวางไว้


"กำลังหาเจ้านี่อยู่หรือเปล่า"


คำถามนั้นทำให้พอมีเวลาหยุดสนใจอีกฝ่าย บรรณภัทรจ้องมองใบหน้าภายใต้เงาของหมวกแก๊ปก่อนจะเลื่อนตาลงไปยังพวงกุญแจรูปหมีที่เขาถืออยู่


"น่ารักจัง ของที่คุณแม่ให้ หายไปละแย่เลยนะ" ศุภกานต์เงยหน้า ขยับปีกหมวกเชิดขึ้นเล็กน้อยถือโอกาสอ่านป้ายแขวนคอรุ่นน้องร่วมสถาบันแล้วกล่าว "น้องบุ๋น"


เจ้าของชื่อนิ่งงันไปชั่วขณะเมื่อพบว่าที่แท้คนตรงหน้าก็คือนักแสดงชื่อดังที่เพิ่งเดินลงจากเวทีเมื่อตอนที่เขาขออนุญาตรุ่นพี่มาเข้าห้องน้ำนั่นเอง


นักแสดงหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นเจ้าหมีหน้าเบี้ยวคืนเจ้าของ


"ขอบคุณครับ" บรรณภัทรรีบรับมากำไว้แน่น จ้องมันราวกับกลัวว่าจะหายไปไหนอีกจนเกือบลืมตอบคำถามของอีกฝ่าย "อ...อะไรนะครับ"


"เมื่อกี้พี่ถามว่าเราเรียนคณะอะไร"


"ม...มนุษยศาตร์ สาขาบรรณารักษ์ครับ"


"คณะเดียวกันเลย" คนอายุมากกว่ายิ้มตาหยี  "มีเวลาสี่ปีขอให้เรียนให้สนุกนะ ยินดีต้อนรับครับ"


บรรณภัทรยังไม่ทันกล่าวขอบคุณ เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง


"บุ๋น!"


"เพื่อนมาตามแล้วสิ ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ" พูดจบศุภกานต์ก็ดึงปีกหมวกลงบดบังใบหน้า หยิบแว่นตากันแดดสีชาที่เสียบอยู่กับคอเสื้อขึ้นมาสวม จากนั้นจึงเดินปะปนไปกับคนอื่น ๆ ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน


"มาอยู่นี่เอง หาตั้งนาน" คนที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยขึ้น


น้ำเสียงและถ้อยคำเป็นกันเองอย่างกับสนิทเสียเต็มประดาทำบรรณภัทรต้องหันไปพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกทั้ง ในที่สุดเขาก็มั่นใจว่าเด็กหนุ่มหัวเกรียนผู้นี้ก็แค่คนที่บังเอิญมาพบกันที่นี่เท่านั้น หากรุ่นพี่ที่สถาบันกวดวิชาไม่แนะนำให้รู้จักก็คงไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันกระทั่งต่างคนต่างสำเร็จการศึกษา เพราะตัวเขาเองวัน ๆ ไม่ได้สนใจใคร เคยเดินสวนกันบ้างหรือไม่ยังจำไม่ได้


"มีอะไรหรือเปล่า"


"นึกได้ว่าเมื่อกี้ลืมขอเบอร์นาย เลยเดินไปหาที่แถว เพื่อนนาย...ยัยผมหน้าม้าน่ะ เขาบอกว่านายมาเข้าห้องน้ำเราก็เลยตามมา ขอเบอร์หน่อยสิ เอาไว้คุยกัน เผื่อตอนเขาจับเข้าหอพักจะได้อยู่ด้วยกัน"


บรรณภัทรพยักหน้า จำใจหยิบโทรศัพท์ออกมา "บอกเบอร์นายมาสิ เดี๋ยวเรากดไป"


ได้ฟังดังนั้นหนุ่มหัวเกรียนก็ขานตัวเลขด้วยความกระตือรือร้น รอกระทั่งได้ยินเสียงเรียกเข้าดังจากกระเป๋าเสื้อจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาบันทึกชื่อ


"เมมแป๊บ ชื่อบุ๋นใช่ไหม"


"อือ" เห็นอีกฝ่ายมัวแต่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ชื่อ บรรณภัทรจึงได้โอกาสเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ก้าวเท้าไปได้หน่อยก็ต้องหยุดเพราะจู่ ๆ ฝ่ายนั้นก็เอื้อมมือมาถึงสายผูกป้ายแขวนคอเอาไว้


"เดี๋ยววว! ไม่เห็นถามชื่อเราเลย จะเมมถูกได้ยังไง"


คนฟังถอนใจพลางรั้งสายผูกป้ายแขวนคอกลับแล้วจัดให้เข้าที่ จากนั้นจึงหันไปหาคู่สนทนา "บอกชื่อนายมาสิ"


"ทายดีกว่า นายว่าหล่อ ๆ อย่างเราควรชื่ออะไรดี บอใบไม้เหมือนกัน"


"บอม"


"ไม่ใช่"


"บาส"


"ยังไม่ถูก"


"บีม"


"ใกล้แล้ว ๆ"


“บื้อ”


“ใครจะตั้งชื่อลูกแบบนี้วะ”


บรรณภัทรถอนใจอีกเฮือก ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้ด้วย สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจยื่นไม้เด็ด "ถ้าไม่รีบบอกจะเมมว่า ‘ไอ้เหี้ย’ แล้วนะ"


ประโยคนั้นแทนที่จะทำให้เคืองขุ่น คนฟังกลับหัวเราะคิกด้วยความชอบอกชอบใจ


"อย่างนี้ถึงจะคบกันได้ยาว ๆ เราชื่อบูม ยินดีต้อนรับเข้าสู่แก๊งกล้วยหอมจอมซนนะ" ว่าแล้วก็วาดแขนขึ้นโอบไหล่คนตัวเล็กกว่า


"กล้วยหอมจอมซนอะไรวะ"


"ก็ชื่อกลุ่มเราไง เราชื่อบูม เป็นบีหนึ่ง ส่วนนายชื่อบุ๋น เป็นบีสอง สองเราชาวแก๊งกล้วยหอม"


"กล้วยหอมพ่อง" บรรณภัทรถอนหายใจเป็นเฮือกที่สาม


(จบครึ่งแรก)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2019 07:53:17 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

มีต่ออีกไหม?  โพสต์ขัดจังหวะหรือเปล่า?

ก็ยังว่าอยู่ว่า  ตอนที่ผ่านมาโลเคชั่นไม่ใช่ภาคเหนือ

สุดท้ายโลเคชั่นภาคเหนือก็มา  คราวนี้เป็นเชียงใหม่สินะ

อย่างนี้ค่อยสมกับเป็นงานของ ถธปทฟ ที่ต้องเป็นภาคเหนือหละ  อิอิ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น่ารักดี รอตอนต่อไปค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด