(ต่อค่ะ)
สองปีต่อมาบรรณภัทรชะเง้อมองรถเก๋งกันชนหน้าบุบที่ค่อย ๆ แล่นมาจอดเทียบริมบาทวิถีหน้าสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งบนถนนงามวงศ์วาน เห็นรถกระตุกอยู่หลายครั้งกว่าจะหยุดก็เดาได้ทันทีว่าคนที่ขับมาไม่ใช่พ่อของตน เด็กหนุ่มกระชับเป้ใบโตแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งยังที่นั่งด้านหลัง ถอดเป้วางบนตักพลางถอนใจเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงบ่นของพ่อ
“เบรกให้มันนิ่ม ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง สอนตั้งหลายครั้งแล้ว”
“นี่นิตย์ก็เบรกนิ่มที่สุดแล้วนะพี่” คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยแย้ง
“นิ่มที่ไหนกัน เมื่อกี้ตอนเบรกหัวพี่แทบทิ่ม”
“ถ้าอย่างนั้นลองอีกทีนะ” เนาวนิตย์กล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง
“ไม่ต้องลองแล้ว ขับไปเถอะ เดี๋ยวรถจะติดไปถึงห้าแยกปากเกร็ด”
บรรณภัทรถอนใจอีกรอบก่อนจะเอ่ยขึ้น “บุ๋นขอลงแล้วนั่งรถเมล์กลับได้ไหม”
“ไม่ได้!” สองคนพร้อมใจกันหันมาตอบ เล่นเอาคนถามอ้าปากค้าง
“นั่งไปด้วยกันนี่แหละ” ผู้เป็นพ่อสรุป
“พี่บู๊มาขับก่อนได้ไหม ถึงตรงที่รถน้อย ๆ แล้วค่อยเปลี่ยนให้นิตย์ขับ เหงื่อออกเต็มมือไปหมดแล้ว”
“ก็มัวแต่กลัวอยู่แบบนี้น่ะสิ หัดมาสองปีแล้วถึงขับไม่ได้สักที ค่อย ๆ ขับไป พอถึงหมู่บ้านก็ไปวนรอบบึงสักสามรอบ เอาให้คล่อง”
“ต...แต่ว่า...”
“ไปสักที บุ๋นหิวข้าวแล้ว”
เนาวนิตย์มองเด็กหนุ่มผ่านกระจก เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่สบอารมณ์จึงรีบออกรถ
“เบา ๆ หน่อย” บรรณวิชญ์บ่นอีกระลอก “เดี๋ยวก็ได้อีกแผลหรอก ท้ายรถเมล์ไม่ต้องเข้าไปใกล้นัก”
“จ้ะ รู้แล้ว ๆ” คนขับพึมพำ สองมือจับพวงมาลัยแน่น แขนเหยียดเกร็ง กระนั้นยังไม่วายหันมาพูดกับคนข้างหลัง “บุ๋นหยิบขนมออกมาทานได้เลยนะลูก วันนี้น้ากับพ่อแวะเข้าไปที่มหาวิทยาลัยก็เลยซื้อขนมที่บุ๋นชอบมาฝาก”
“มองทางด้วย อย่างมัวแต่คุย”
บรรณภัทรละสายตาจากรถรารอบข้างใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปากกระเป๋าผ้า ยื่นหน้าดูสิ่งที่อยู่ในนั้น พบว่ามันคือขนมปังอบกรอบจึงหยิบออกมาถุงหนึ่ง เด็กหนุ่มแกะห่อพลาสติกหยิบของชอบส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมพลางมองออกไปนอกกระจก รสหวานจากน้ำตาลผสมรสเค็มปะแล่มของเนยอย่างดีที่แทรกอยู่ในปากทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งเจือรอยยิ้มแสนบางเบาจนแทบสังเกตไม่เห็น บนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่คือภาพของนักแสดงหนุ่มที่โด่งดังที่สุด ณ ขณะนี้ “ศุภกานต์ ศุภวัฒนา” ในวัยยี่สิบหกปี เจ้าของรางวัล “กินรีทองคำ” สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง “ลิขิตขัติยา” ประกบคู่กับ “พรีม พริมา” ซึ่งได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน ละครเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายหนุ่มสติฟั่นเฟือนที่จู่ ๆ ก็ต้องมารับหน้าที่ราชองครักษ์คอยพิทักษ์ปกป้องเจ้าหญิง มีกำหนดออกอากาศเมื่อปลายปีก่อน เพียงออกอากาศไปได้ตอนเดียวก็ทำคู่พระนางดังเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืน ได้รับความนิยมต่อเนื่องจนใคร ๆ ต่างกล่าวกันว่าในวันที่ละครถึงตอนอวสานถนนทุกสายในกรุงเทพฯ โล่งเป็นประวัติการ เพราะต่างคนต่างรีบกลับบ้านเพื่อติดตามจุดจบของตัวร้ายและบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด หลังละครอวสานไม่นานทั้งคู่ก็มีผลงานโฆษณาและถ่ายแบบนิตยาสารแฟชันร่วมกันตามมาอีกมากมาย แม้หลังจากนั้นต่างคนต่างแยกไปมีผลงานใหม่ แต่กระแสคู่รักนอกจอที่บรรดาแฟน ๆ ต่างก็อยากให้เป็นจริงยังแรงไม่หยุด จนมีเสียงเรียกร้องให้คู่ขวัญคู่นี้กลับร่วมงานกันอีกครั้ง ต้นสังกัดเองก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือ ดังนั้นงานแถลงข่าวเปิดกล้องละครเรื่องใหม่ของปีหน้าจึงมีชื่อของพระนางคู่นี้ไม่ผิดจากที่หลายคนคาดการณ์
“ดังจริง ๆ เลยนะสองคนนี้ มองไปทางไหนก็เจอ” บรรณวิชญ์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นป้ายโฆษณาหน้าห้างสรรพสินค้า “เปลี่ยนช่องหนีละครก็ยังมาเจอโฆษณา คนดูไม่เบื่อกันบ้างหรือไง”
“พี่บู๊นี่ขี้บ่นจัง”
“หรือที่พี่พูดมันไม่จริง”
ผู้เป็นภรรยาถอนหายใจแล้วเริ่มอธิบาย “จะเบื่อได้ยังไงจ๊ะ แสดงเก่งทั้งคู่ คนหนึ่งก็สวย อีกคนก็หล่อ สมกันจะตายไป”
“พูดอย่างนี้แสดงว่าเลิกชอบนางเอกคนนั้นแล้วสิ”
“นิตย์ไม่ได้เลิกชอบ แต่นิตย์ชอบหลายคนต่างหาก”
บรรณภัทรฟังผู้ใหญ่เถียงกันพลางส่ายหัว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเมฆฝนตั้งเค้าอยู่ไกล ๆ แล้วให้รู้สึกใจหายนัก อาจเป็นเพราะวันนี้เพื่อน ๆ ที่สถาบันกวดวิชาพากันพูดถึงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยและการเลือกคณะ บางคนมุ่งมั่นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง บางคนอยากไปอยู่ไกลครอบครัวเพียงเพราะต้องการมีชีวิตอิสระ หรือบางคนก็ตั้งเป้าจะศึกษาต่อต่างประเทศเพราะชื่อว่าจะนำโอกาสที่ดีมาสู่ชีวิต ต่างคนต่างมีจุดหมายแตกกันกันไป และตัวเขาเองก็มีอยู่ในใจแล้ว รอเมื่อมีโอกาสก็จะบอกผู้เป็นพ่อ ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร
เมื่อรถแล่นเข้ามาในเขตหมู่บ้านย่านประชาชื่น เนาวนิตย์ก็ตรงไปที่บึงน้ำขนาดใหญ่ ตั้งใจจะขับวนสักสามรอบตามที่ผู้เป็นสามีกำหนดไว้ แต่ลมฝนที่พัดพาเมฆก้อนใหญ่มารวมกันเป็นกระจุกทำให้ต้องล้มเลิก ขับไปได้เพียงรอบครึ่งจึงมุ่งหน้ากลับบ้าน บรรณภัทรที่นั่งสัปหงกคอพับคออ่อนสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ รถก็หยุด ได้ยินเสียงพ่อบ่นและคำขอโทษขอโพยจากคนขับ
“แท็กซี่ที่ไหนมาจอดหน้าประตูบ้าน”
“เห็นบ้านปิดเลยมาจอดพักละมั้งจ๊ะ เดี๋ยวนิตย์จะลงไปบอกให้เขาขยับหน่อย เราจะเอารถเข้าบ้าน”
ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวพยักหน้า เห็นอีกฝ่ายเปิดประตูลงจากรถ จึงเปิดฝั่งตัวเองแล้วเดินอ้อมไปนั่งที่ฝั่งคนขับ มองผู้เป็นภรรยาเจรจากับคนขับรถแท็กซี่ ครู่หนึ่งแท็กซี่สีเขียวเหลืองจึงขยับเดินหน้าไป เมื่อเนาวนิตย์เปิดประตูรั้ว บรรณวิชญ์จึงขับเข้าไปจอดในโรงรถ
บรรณภัทรสะพายเป้ คว้าข้าวของที่เบาะหลังแล้วเปิดประตูลงจากรถ รู้สึกหายใจโล่งขึ้นเป็นกอง เวลาพ่อสอนน้านิตย์ขับรถทีไร เมื่อยทั้งหูเมื่อทั้งเท้าทุกที ที่เมื่อยหูก็เพราะต้องฟังสองคนเถียงกัน ส่วนเมื่อยเท้าก็เพราะต้องช่วยน้านิตย์เหยียบเบรก ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งเขาจึงหลับมันเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“บุ๋น”
เจ้าของชื่อชะงัก เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของน้านิตย์ หากแต่เป็นเสียงของใครคนหนึ่งที่ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว เด็กหนุ่มสบตาผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่อีกฝั่งก่อนจะค่อย ๆ หันกลับไปมอง ที่เดินนำหน้ามาคือน้านิตย์ ส่วนคนที่เดินตามหลัง...
“แม่” บรรณภัทรกล่าวเสียงแผ่ว ไม่กล้านับเลยว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ใช้คำเรียกนี้
“เข้าบ้านกันก่อนดีไหมจ๊ะ ฝนใกล้จะตกแล้ว” เนาวนิตย์เสนอเมื่อเห็นพ่อลูกเอาแต่ยืนนิ่ง และเมื่อทั้งหมดเดินเข้าไปในบ้าน เธอจึงหลบเข้าไปในครัวเพื่อปล่อยให้ทั้งสามคนได้พูดคุยกัน
“คุณมีอะไรหรือเปล่าถึงมาที่นี่”
อดีตภรรยามิได้ตอบ แต่หันไปหาลูกชายที่เพิ่งวางข้าวของในมือลงบนโต๊ะ “บุ๋นเป็นยังไงบ้างลูก”
“สบายดี... สบายดีครับ”
“พักนี้ไม่ค่อยตอบข้อความของแม่เลย เรียนหนักเหรอลูก”
เด็กหนุ่มหยักหน้า จากหางตาเห็นผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังเดินไปนั่งลงที่โซฟาจึงกล่าว “แม่นั่งก่อนไหม”
ได้ฟังดังนั้นคนเป็นแม่ก็เดินตามไปนั่ง “ปีนี้บุ๋นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วใช่ไหมลูก”
“ครับ”
“ที่แม่มาวันนี้ก็ตั้งใจจะมาคุยเรื่องนี้” พูดจบจึงหันไปทางอดีตสามี “เรื่องที่ฉันเคยคุยกับคุณไว้นานแล้ว ฉันอยากมารับลูกไปอยู่ด้วยกัน เรียนมหาวิทยาลัยที่โน่นโอกาสได้งานดีเงินดีน่าจะมีมากกว่า”
บรรณวิชญ์สบตาคนเคยรัก มองหน้าลูกชายแล้วตอบเพียงสั้น ๆ “ผมแล้วแต่ลูก”
“ลูกอ่านข้อมูลมหาวิทยาลัยที่แม่ส่งให้แล้วใช่ไหม”
ลูกชายพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าทั้งท่าทางและน้ำเสียงที่แม่ใช้กับเขานั้นนุ่มนวลกว่าตอนพูดกับพ่อเป็นไหน ๆ
“บุ๋นชอบไหมลูก อยากไปเรียนที่นั่น อยากไปอยู่ด้วยกันกับแม่หรือเปล่า”
เด็กหนุ่มยืนนิ่งเบนสายตาไปยังผู้เป็นพ่อซึ่งอยู่ในอาการเดียวกัน ไม่รู้ว่าคนพูดมากเมื่อชั่วโมงก่อนหายไปไหนเสียแล้ว
“ไม่ต้องกังวลนะบุ๋น ไปเรียนภาษาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ แต่แม่ว่าบิสิเนสหรือมาร์เก็ตติ้งก็น่าจะดี”
“ให้ลูกเลือกเองเถอะ” ผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสามีแทรกขึ้น
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ” คนพูดกล่าวเสียงแข็งด้วยความลืมตัว เมื่อนึกได้ว่าไม่สมควรจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง “ฉันขอคุยกับลูกตามลำพังได้ไหม แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ ยังไงฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่ที่คลอดบุ๋นมา ฉันต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกอยู่แล้ว”
บรรณภัทรฟังคำที่แม่พูดกับพ่อ จู่ ๆ อาการแบบนั้นก็หวนคืนมาอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวเร็ว รู้สึกเหมือนตนเองถูกขังอยู่ในห้องที่ทั้งมืดและแคบ มันอึดอัดและหายใจไม่ออก หากเป็นก่อนหน้านี้สองคนคงเปิดฉากทะเลาะกันไปแล้ว ครั้งนี้พ่อของเขาไม่เพียงมิได้แสดงท่าทีไม่พอใจ ยังลุกขึ้นเดินออกไปเงียบ ๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดน้ำรดต้นไม้ที่หน้าบ้านทั้งที่ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว
“นั่งก่อนสิบุ๋น แม่อยากคุยด้วย”
เจ้าของชื่อถอดเป้เตรียมจะนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม แต่ถูกผู้เป็นแม่เรียกเอาไว้ “นั่งใกล้ ๆ แม่สิ”
บรรณภัทรนั่งห่างจากผู้เป็นแม่ไม่มากนัก ใช้โอกาสนี้ลอบสำรวจ ยอมรับว่าแม่สวยขึ้นจากเดิมมาก ดูมีน้ำมีนวลไม่เหมือนแม่ที่เขาเห็นมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นถ้าไม่หน้าเยิ้มอยู่ในครัวก็ผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะต้องทำงานบ้าน หรือนั่งเย็บผ้าโหลจนไม่มีเวลาเข้าร้านเสริมสวย กลับกัน...ตอนนี้คนที่มาอยู่ในสภาพเช่นนั้นก็คือน้านิตย์ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของลูกชายในยามนี้ทำให้คาดคะเนได้ว่าตั้งแต่แต่งงานใหม่ชีวิตของแม่คงดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น แม่ไม่เปลี่ยนไปเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอกหากแต่ยังมีบางสิ่งที่บรรณภัทรรู้สึกว่าคนเป็นลูกเช่นเขาไม่สามารถเอากลับคืนมาได้อีกแล้ว
“แม่อยากให้บุ๋นได้เรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ จะได้มีงานดี ๆ ทำ อีกอย่างลุงเขาทำธุรกิจ พอบุ๋นเรียนจบแม่จะบอกให้เขารับบุ๋นเข้าทำงานที่บริษัทของเขา”
บรรณภัทรนึกถึงเจ้าของรถคันหรูคันที่พาแม่มาหาเขาที่โรงเรียนในวันนั้น คนที่แม่ให้เขายกมือไหว้ กล่าวสวัสดี และให้เรียกว่า “คุณลุง” กว่าจะรู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นสามีใหม่ของแม่ก็ตอนที่แม่ส่งภาพถ่ายครอบครัวมาให้ดู
“ที่นี่ก็มีมหาวิทยาลัยดี ๆ ตั้งเยอะ”
“แต่ว่า...”
“บุ๋นไม่ไป” เด็กหนุ่มไม่อ้อมค้อม
“ลองคิดให้ดีนะลูก นี่คือโอกาสที่ลูกจะได้เรียนในที่ดี ๆ มีโอกาสที่จะก้าวหน้าสูง”
“บุ๋นไม่ไป”
ผู้เป็นแม่ถอนใจเมื่อสิ่งที่เธอคาดเดาเอาไว้เป็นจริง “ทำไม”
“บุ๋นไม่อยากไป”
“แต่แม่หวังดีกับบุ๋นนะ”
“บุ๋นรู้ว่าแม่หวังดี แล้วบุ๋นก็ขอบคุณแม่ด้วย แต่บุ๋นไม่อยากไปจริง ๆ” บรรณภัทรบอก แม้จะรู้สึกอึดอัดจนอยากหนีจากสถานการณ์นี้ให้ไกลแต่ก็พยายามรักษาน้ำเสียงสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติที่สุด เพื่อรักษาน้ำใจของอีกฝ่าย
ผู้เป็นแม่ยื่นมือแตะบนหลังมือลูกชาย “แม่ก็แค่อยากจะฝากผีฝากไข้กับบุ๋น”
“แม่หมายความว่ายังไง” ลูกชายถามอย่างไม่เข้าใจ
“ลุงเขาเพิ่งตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง แม่อยากให้บุ๋นไปอยู่ด้วยกัน ทำความรู้จักกับทุกคนไว้ เผื่อว่าวันหนึ่งลุงเขาไม่อยู่แล้ว บุ๋นจะได้ช่วยแม่ดูแลธุรกิจของเขาเพราะน้องเองก็ยังเด็กมาก ถ้าไม่มีใครรับช่วงต่อทางฝ่ายภรรยาเก่าเขาคงต้องเข้ามาจัดการ”
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าแต่ทำได้ไม่เต็มปอด ทั้งที่ประตูหน้าต่างยังเปิดให้ลมพัดผ่านแต่กลับรู้สึกว่าอากาศรอบ ๆ น้อยนิดเหลือเกิน นึกทบทวนทำให้คิดได้ว่าการที่แม่เงียบหายไปคงด้วยเหตุนี้กระมัง
“ไปอยู่กับแม่นะลูก แม่รักบุ๋นนะ” ผู้เป็นแม่กล่าวน้ำตารื้น บีบมือลูกชายเป็นการขอร้อง
บรรณภัทรโคลงหัว ไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แม่อยากให้เขาไปอยู่ด้วยเพราะสามีใหม่ป่วยด้วยโรคร้าย และกลัวว่าหากไม่มีใครรับช่วงธุรกิจภรรยาเก่าของสามีก็จะเข้ามาแทรกแซง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย ยิ่งกว่านิยายน้ำเน่า
“รักเหรอ” ริมฝีปากแห้งผากพึมพำกับตัวเองพลางชักมือออก พยายามกลั้นน้ำตา “มันยังมีอยู่จริงเหรอแม่ ถ้าแม่รักบุ๋น แม่คงไม่ทิ้งพวกเราไปอยู่กับเขาหรอก หรือถ้าแม่บอกว่าแม่ไม่รักพ่อแล้ว แต่แม่ยังรักบุ๋นอยู่บ้าง วันนี้แม่คงไม่มาพูดกับบุ๋นแบบนี้”
ในที่สุดบรรณภัทรก็สรุปได้ว่า “ความรัก” คือสิ่งที่ลูกชายเช่นเขาไม่อาจเรียกคืนจากผู้เป็นแม่ได้อีกแล้ว และในตอนนี้เขาก็โตพอที่จะไม่ร่ำร้องหามัน ไม่สิ...ไม่ใช่ไม่ร้องหามัน แต่ไม่กล้าเรียกร้องต่างหาก แม้ไออุ่นจากอ้อมของแม่ยังไม่กล้านึกถึงเลยด้วยซ้ำไป
“บุ๋น ทำไมพูดกับแม่อย่างนี้ละลูก” ผู้เป็นแม่กลืนก้อนสะอื้นลงคอ “พ่อเขาสอนให้ลูกเกลียดแม่ใช่ไหม”
“บุ๋นไม่ได้เกลียดแม่ แล้วพ่อก็ไม่เคยสอนอะไรแบบนั้น บุ๋นขอโทษนะแม่ที่ทำอย่างที่แม่ต้องการไม่ได้ แม่อย่าพยายามอีกเลย”
หญิงวัยกลางคนนิ่งไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจลูกชายได้จึงลุกขึ้นเดินออกจากบ้าน ดวงตาแดงก่ำหยุดที่ใบหน้าเรียบนิ่งของอดีตสามีที่ยืนกางร่มรออยู่นอกชายคา
“คงนึกสะใจสินะที่ได้ลูกไป” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้
บรรณวิชญ์ส่ายหัว “ไม่ใช่ผมที่ได้เขามา แต่คุณเองต่างหากที่ไม่เอาเขาไปตั้งแต่แรก”
คำพูดนั้นเล่นเอาจุกจนคนฟังกำหมัดแน่น เบนสายตาไปยังม่านน้ำฝนขาวโพลน “คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไร”
“ผมรู้ ผมไม่เคยลืมหรอก ทั้งเรื่องนั้นแล้วก็สัญญาระหว่างเรา ที่ผมไม่รู้คือคุณคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้ คุณอย่าลืมว่าลูกน่ะ เราเลี้ยงเขาได้แค่ตัว ไม่ว่าจะอยู่กับผมหรืออยู่กับคุณ ไม่ว่าเราจะกอดเขาแน่นแค่ไหน วันหนึ่งเขาก็ต้องไปจากอ้อมแขนของเรา เพราะใจของเขามันเป็นของเขา” พูดจบก็ส่งร่มอีกคันให้อดีตภรรยาแต่เธอกลับปัดมันทิ้ง
แม้จะมีเสียงลมฝนแทรกอยู่ตลอดเวลา แต่บรรณภัทรก็พอจะได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่คุยกัน ดวงตาที่ฉาบด้วยน้ำใสมองร่มสีสวยที่ปลิวคว้างกระเด็นกระดอนไปตามแรงลม ร่มคันนั้นคงไม่ต่างจากหัวใจของเขาในตอนนี้ ตอนที่มองเห็นแม่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถที่จอดอยู่ ไม่ถึงอึดใจแท็กซี่สีเขียวเหลืองก็เคลื่อนออกจากไป เด็กหนุ่มพรูลมหายใจหันหลังกลับเข้าบ้าน มองเข้าไปในครัวเห็นน้านิตย์ยืนหั่นผักอย่างเหม่อลอย ส่วนพ่อเดินอ้อมไปที่หลังบ้าน ตัวเขาเองจึงคว้าเป้ขึ้นไปยังห้องนอน ทันทีที่ดึงประตูปิดก็วางเป้ลงบนโต๊ะเขียนหนังสือแล้วทิ้งตัวนอนบนเตียง อากาศเวลานี้เย็นสบายแต่รอบกระบอกตากลับร้อนผ่าว รู้สึกปวดหัวราวกับถูกบีบด้วยคีมขนาดใหญ่ ภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งยังเยาว์ฉายวนตั้งแต่ต้นจนจบซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดบรรณภัทรก็ผลอยหลับไปทั้งน้ำตา และมาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เมื่อตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู
เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้นนั่ง เห็นตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาเกือบสองทุ่มครึ่ง คิดว่าตัวเองหูแว่วหรือไม่ก็คงจะหลับฝันไป แต่เมื่อยกมือขึ้นขยี้ตาพลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับถ้อยคำขออนุญาตเช่นเคย
“น้าเข้าไปนะ น้าจะมาเรียกไปทานข้าว เมื่อตอนหัวค่ำน้าขึ้นมาทีหนึ่งแล้ว เห็นว่าบุ๋นหลับอยู่ก็เลยไม่ได้ปลุก”
“เดี๋ยวบุ๋นลงไป”
เจ้าของห้องลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาก่อนจะตามลงไปในครัว เห็นมีกับข้าว 2-3 จานวางอยู่บนโต๊ะ แต่ละจานแหว่งไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“น้าอุ่นกับข้าวไว้ให้แล้ว บุ๋นตักข้าวทานได้เลยนะ พ่อกับน้าทานกันไปแล้ว”
บรรณภัทรมองร่างเล็กที่กำลังหันหลังล้างจานชามก่อนจะเอ่ยขึ้น “แล้วพ่อล่ะ”
“อยู่ที่ห้องเก็บของจ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวบุ๋นมา”
ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เดินออกจากครัวตรงไปยังห้องเก็บของที่เพิ่งต่อเติมจากเดิมได้ไม่ถึงปี ภายในเต็มไปด้วยข้าวของตั้งแต่ครั้งปรับปรุงบ้านเมื่อกลางปีที่แล้ว เห็นพ่ออุ้มลังกระดาษแล้ววางบนพื้นก่อนจะนั่งลงดึงฝาที่ขัดกันอยู่ให้เปิดออก พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบรถบังคับวิทยุกับข้าวของอีกหลายอย่างออกมาวาง บรรณภัทรจำได้ว่าทั้งกระติกน้ำ กล่องดินสอ หุ่นยนต์ รถบังคับ และสมุดหนังสือพวกนั้นล้วนเป็นของที่พ่อซื้อให้ในตอนที่เขายังเป็นเพียงเด็กน้อย บางอย่างพ่อก็ตั้งใจซื้อให้ ในขณะที่บางอย่างเป็นสิ่งที่แลกมาด้วยน้ำตาของเด็กชายเอาแต่ใจ
“ทำอะไรอยู่น่ะพ่อ” ลูกชายกล่าวก่อนจะนั่งลง
“พรุ่งนี้พ่อนัดกับคนรับซื้อของเก่าไว้ ก็เลยมาดูว่ามีอะไรที่พอจะทิ้งได้บ้าง”
“ก็ไม่เห็นจะทิ้งได้สักอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่กองเต็มห้องเก็บของหรอก”
ผู้ป็นพ่อฟังแล้วได้แต่ยิ้มและถอนใจไปพร้อมกัน “จริงของแก ของบางอย่างน่าทิ้ง แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่ได้สักที” พูดจบก็ดึงอัลบั้มรูปที่อยู่ก้นกล่องมาวางบนตัก มือลูบบนผ้าปักดิ้นทองเป็นลวดลายหงส์คู่ก่อนจะเปิดดู มันเป็นภาพสมัยแต่งงานของเขาและเธอ...แม่ของบรรณภัทร
“นี่แม่ตอนสาว ๆ เหรอ”
บรรณวิชญ์พยักหน้า พลิกดูรูปไปเรื่อย
“บุ๋นไม่เคยเห็นอัลบั้มนี้เลย”
“เป็นอัลบั้มรูปตอนที่พ่อกับแม่แต่งงานกันน่ะ”
ลูกชายพยักหน้า “ขอดูหน่อย” พูดจบก็ดึงอัลบั้มจากตักของผู้เป็นพ่อมาดูบ้าง “ตอนนั้นพ่อยังผอมอยู่เลย หล่อเสียด้วย”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
บรรณภัทรเลื่อนตาขึ้นมองแวบหนึ่งแล้วกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น ได้ยินเสียงบ่น “ไอ้ลูกคนนี้” จึงพูดกลั้วหัวเราะ “หล่อ ๆ ตอนนี้ก็ยังหล่อ”
“พอจะสู้พระเอกที่น้านิตย์เขาปลื้มได้ไหม”
“ใคร ศุภกานต์อะไรนั่นน่ะเหรอ”
“นั่นละ”
“พ่อกินขาดอยู่แล้ว สูงชะลูด ตูดปอด ยอดขุนพล”
“บุ๋น เอาความจริง”
ลูกชายขำพรืด “พ่อสูงให้เท่าเขาก่อนค่อยคิดสู้เรื่องความหล่อเถอะ” ปากพูดไปในขณะที่ดวงตาจับจ้องภาพคู่บ่าวสาวที่นั่งเคียงกันพาดแขนบนเบาะรองบนตั่งสำหรับรดน้ำสังข์ “รูปนี้แม่ไม่ยิ้มเลย จริง ๆ ก็ไม่ยิ้มแทบทุกรูป”
บรรณวิชญ์ไม่ได้แสดงความเห็น เขาละสายตาจากภาพนั้นก่อนจะหันไปรื้อของที่เหลือในลังกระดาษ หูยังคงได้ยินเสียงพลิกไส้พลาสติกชนิดหนาสำหรับใส่รูป
“พ่อรักแม่มากไหม” จู่ ๆ ลูกชายก็ถามขึ้น
“มาก”
“แล้วแม่ล่ะ รักพ่อมากหรือเปล่า ทำไมไม่ตอบ” บรรณภัทรเม้มปากแน่นเมื่อการไม่ตอบของพ่อนับเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด มือขาวปิดอัลบั้มลงทั้งที่ดูไปได้เพียงครึ่งแล้วส่งคืนเจ้าของ ในขณะที่พ่อเองก็รับไปโดยไม่คิดจะเปิดดูอีก
“เกี่ยวกับสัญญาอะไรนั่นหรือเปล่า”
คนฟังชะงัก ค่อย ๆ วางอัลบั้มลงในกล่อง
“พ่อกับแม่สัญญาอะไรกันไว้ บอกบุ๋นได้ไหม”
บรรณวิชญ์พรูลมหายใจยาวราวกับว่ามันจะช่วยพาเรื่องราวทั้งหมดในใจปลิวหายไปในอากาศ แต่ก็ไม่... มือใหญ่เอื้อมหยิบของที่วางอยู่รอบตัวคืนกล่องแล้วกล่าว “ที่แม่เขาไม่ยิ้มเพราะเขาไม่ได้เต็มใจแต่งงาน แต่ที่ต้องแต่งก็เพราะว่า...” ยากเกินกว่าจะเอ่ยออกมาผู้เป็นพ่อจึงหยุดไว้เพียงเท่านั้น
“ไม่ได้รักกันหรอกเหรอ” บรรณภัทรฝืนพูดต่อ สมัยเด็กเคยคิดว่าตนเองเกิดจากความรักของพ่อกับแม่ ถึงตอนนี้จึงรู้ว่าคิดผิดถนัด
“แม่เขามีคนที่รักอยู่แล้ว คบกันตั้งแต่สมัยเรียน แต่พ่อแม่ฝ่ายนั้นเขาก็มีคนที่จะทาบทามให้เป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว”
“แล้วเขาก็ยอมเหรอพ่อ”
“เขาต้องยอม เพราะพ่อของเขาป่วยหนัก อยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาในตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ เจอสถานการณ์แบบนี้ ลูกคนไหนก็ต้องยอม”
“อย่างนี้ก็ได้ด้วยเหรอ ยอมแต่งงานตามใจพ่อแม่ อย่างกับละคร” เด็กหนุ่มพึมพำ
“ละครก็สร้างจากชีวิตจริง ตอนที่ลูกโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกจะรู้ว่ามีเหตุผลมากมายที่บีดบังคับให้เราต้องตัดสินใจทำหรือไม่ทำบางอย่าง ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นการฝืนใจ”
“แล้วแม่ล่ะ แม่เป็นยังไงบ้าง”
“แม่ของลูกเสียใจมาก ตอนนั้นเพื่อน ๆ ของแม่ก็เลยพาพ่อมาแนะนำให้รู้จัก เราเริ่มต้นความสัมพันธ์จากการเป็นเพื่อน แต่พ่อเองที่อาศัยช่วงเวลาที่แม่อ่อนแอที่สุดพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองได้อยู่ในสายตาของเขา ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาใจอ่อน ตอนนั้นเรายังเด็กด้วยกันทั้งคู่ก็เลยไม่ทันได้คิดถึงอนาคต ทำเรื่องผิดพลาดเรื่องหนึ่งลงไป”
“พ่อทำแม่ท้อง?”
ผู้เป็นพ่อพยักหน้า “ตอนที่รู้ว่าจะมีลูก พ่อตัดสินใจขอแม่แต่งงานเพราะไม่อยากให้แม่ต้องเสียหาย ดังนั้นเราก็เลยตกลงว่าจะช่วยกันเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งก็คือถ้าหากทางฝ่ายนั้นหมดภาระเรื่องครอบครัวและพร้อมที่จะพาแม่ไปอยู่ด้วยกันเมื่อไร พ่อจะต้องปล่อยให้แม่ออกไปใช้ชีวิตกับคนที่เขารัก” บรรณวิชญ์ถอนใจเฮือก “ตอนนั้นก็สัญญาไปอย่างนั้น คิดว่ายังไงวันหนึ่งต้องทำให้แม่ยอมใจอ่อนรักพ่อให้ได้ สุดท้ายก็อย่างที่ลูกเห็น”
“ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดว่างั้นเถอะ”
บรรณวิชญ์ยากจะหาถ้อยคำมาโต้แย้ง ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ “พ่อยอมรับ เราไม่คิดว่าจู่ ๆ ลูกจะมา แต่พอรู้ว่าจะมีลูก เราก็ทำทุกอย่างเพื่อประคับประคองความเป็นครอบครัวเอาไว้ ลูกอาจจะเกิดจากความรักที่พ่อมีให้แม่อยู่ฝ่ายเดียว แต่พ่อมั่นใจว่าตอนที่ลูกเกิดมา ไม่มีใครสนใจอีกแล้วว่าใครจะรักใครหรือไม่ เราสนใจแค่ว่าเราต่างก็รักลูก และลูกคือคนที่มาเติมช่องว่างระหว่างพ่อกับแม่ให้เต็ม ถึงตอนนี้คงต้องขอโทษแก...”
“พ่อขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้แม่อยู่กับพวกเราไม่ได้”
บรรณภัทรขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทางเงอะงะ ไม่เคยต้องอยู่ในสถานการณ์จริงจังเช่นนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือปฏิบัติอย่างไร มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดแต่ไม่รู้จะเรียบเรียงออกมาอย่างไร ทั้งมือไม้ก็ดูจะเกะกะไปหมด ในที่สุดจึงเอื้อมมือแตะที่แขนแล้วเอียงศีรษะอิงไหล่ผู้เป็นพ่อ “ไม่เป็นไร หรือถ้าอยากไถ่โทษ...ก็แค่บ่นให้น้อยลงหน่อยก็แล้วกัน”
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอโทษหลาย ๆ คนที่ติดตามอ่านที่หายไปนานอีกแล้วค่ะ (รู้สึกเหลวไหลมาก)
ตอนที่ตัดสินใจเปิดเรื่องใหม่ก็คิดว่าสบาย ๆ ไม่น่ามีอะไรแล้ว แต่พอมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง
อย่างอื่นมันก็เปลี่ยนตามไปด้วยค่ะ งานเยอะมาก ๆ แต่ก็ยังเขียนวันละนิดวันละหน่อย
สำหรับตอนต่อไปก็น่าจะช้าอีกค่ะ เพราะว่าเรามีงานเขียนหนึ่งต้องรีบแก้ไขให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
ไม่ใช่นิยายแต่ว่าเป็นงานเขียนเชิงวิชาการระดับเด็กน้อยที่อยากทำให้ออกมาดี ๆ ค่ะ
เผื่อว่ามันจะเป็นพลังงานสะสมที่ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งต่อไป
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ ข้อความที่คนอ่านแสดงความสงสัย
เป็นแรงผลักดันให้เราอยากเขียนให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ จะพยายามไม่เหลวไหล (ถ้าไม่จำเป็นค่ะ)
ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ