ไม่ทันตั้งตัวใครจะไปรู้ว่าหลังจากสิบปีผ่านไป ซือสือคนนี้จะได้กลับมาเหยียบโรงเรียนเดิม อย่างกับว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรที่มันหนักหนาสาหัสกับใครเอาไว้ แล้วต้องมาชดใช้ให้หมดในชาตินี้ถึงสองรอบ!
เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังขึ้นก่อนจะก้าวขาเข้าประตูโรงเรียน พร้อมกับวิญญาณของหลิ่งซือที่ลอยตามหลังมาเงียบๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าตัวมีความทรงจำเลวร้ายอะไรที่นี่ แต่ก็เงียบมาตลอดทางตั้งแต่บ้านจนถึงโรงเรียนสีหน้าก็ยังคงหม่นหมอง
การแนะนำตัวกับนักเรียนในห้องใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น อยู่ในความสงบกว่าครึ่งวัน ซือสือขอแลกที่นั่งกับเพื่อนรุ่นน้องในห้องโดยอ้างว่าอากาศไม่ถ่ายเท หายใจไม่สะดวก ขอนั่งใกล้หน้าต่าง (ด้วยการตีหน้าซีดเซียวแบบสุดๆ) ทางนั้นคงทนไม่ไหวก็เลยยอมอย่างง่ายดาย
วิชาเรียนหมุนเวียนซ้ำกลับมารอบสองทำเอาง่วงนอนอย่างช่วยไม่ได้ หลายข้อที่โดนเรียกไปเขียนคำตอบ ซือสือเดินออกไปหาวไป แต่เขียนตอบถูกทุกข้อ นั่นทำให้ได้คะแนนนิยมในห้องดีขึ้นมาบ้าง มีสายตาหลายคู่มองมาอย่างชื่นชม และแน่นอนว่าที่หมั่นไส้ก็มี เรื่องธรรมชาติหาได้แยแส
‘พี่ชาย...ชื่ออะไรนะ’ เสียงกระซิบของวิญญาณหลิ่งซือที่กวนใจทำให้หายง่วงขึ้นมาได้บ้าง
ซือสือเขียนชื่อตัวเองลงในสมุดแทนการเอ่ยออกไป ‘ซ่ง ซือสือ’
วิญญาณหลิ่งซือทำหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่างก่อนจะทำตาโตแล้วตบมือ ก่อนจะตะโกนออกมาพร้อมกับชี้มือไปยังโถงทางเดินของตึก ที่รวบรวมรายชื่อนักเรียนเก่งๆ เอาไว้
‘หรือว่า...พี่ชายคือ..ซ่ง ซือสือ คนนั้น! ’
คนอื่นอาจจะไม่ได้ยิน แต่ซือสือหูแทบแตก และก็ทำได้แค่ถลึงตาใส่อากาศวางเปล่าตรงหน้า แล้วเขียนลงในสมุด
“ใช่! ”
‘โว้ว!! เจ๋งมาก หลิ่งซือนายนี่มันเจ๋งมาก’ วิญญาณหลิ่งซือตบมือชื่นชมตัวเองยกใหญ่
“คือ? ” ซือสือเขียนลงบนสมุดอีกครั้ง
‘พี่ชายรู้อะไรไหม? ผม..ไม่สิ หลิ่งซือคนก่อน แค่สอบผ่านแต่ละวิชาได้ ก็นับว่าเก่งมากแล้ว ...แล้วนี่พี่ชาย..โว้วๆ ๆ หลิ่งซือนายนี่โคตรโชคดี ฮ่าๆ ๆ ๆ ’
ซือสือขมวดคิ้วทำหน้าประมาณว่า ‘หา??? ’ ใช้สมองประมวลอยู่เกือบนาที ถึงได้เข้าใจ และรู้สึกอยากโดดเตะผีขึ้นมา นี่ไอ้เด็กบ้านี่มันกำลังดีใจที่ได้วิญญาณเขาเข้าร่างตัวเองเนี่ยนะ มันน่าเตะสักทีสองทีไหม คือไม่ได้สำนึกเลยว่าตัวเองสูญเสียอะไรไป แถมยังมาบอกว่านี่เป็นเรื่องโชคดีอีก
ซือสือเดินไปตามโถงทางเดิน หยุดยืนนิ่งจมอยู่กับความคิด แหงนมองบนกระดานสลักรายชื่อของเมื่อสิบปีก่อน อันดับหนึ่งในปีนั้นมีอยู่ด้วยกันสองชื่อ ความทรงจำเดิมยังคงหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดราวกับจะตอกย้ำว่าสิ่งที่เห็นคืออดีตที่ผ่านไปนานแล้ว
น่าเบื่อ...โรงเรียนที่ไม่มีหมอนั่นอยู่ด้วยมันน่าเบื่อ...
“เฮ้ๆ ดูสิว่านี่ใคร” เสียงทักมาจากด้านหลัง
ซือสือละสายตาจากกระดานรายชื่อหันกลับไปมอง นักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา แน่นอนว่าต่อให้คนโง่แค่ไหนก็รู้ว่ากลุ่มนี้ไม่ได้มาดีแน่ ดูจากสายตาและรอยยิ้มเหยียดบนใบหน้าแต่ละคน
สังหรณ์ใจไม่ดี วิญญาณหลิ่งซือมันก็ดันไม่อยู่ให้ถาม แต่จำได้ว่าหลิ่งซือเคยเล่าว่ามีเรื่องที่โรงเรียนด้วยก็ไม่คิดว่าจะมาทักทายกันวันแรกเลย
กลุ่มนักเรียนชายประมาณ 5-6 คน เดินเข้ามาล้อมซือสือไว้กลางวง ด้านหลังเป็นกำแพง และนักเรียนคนอื่นๆ เริ่มทยอยถอยห่าง
เอาจริงดิ๊! กลางห้องโถงแบบนี้เนี่ยะนะ
“ได้ข่าวว่ากลับมาแล้ว ไม่คิดจะทักทายเพื่อนเก่าสักหน่อยเหรอ” ขณะที่ซือสือกำลังคิดหาทางออก ใครคนหนึ่งก็เดินมากอดคอเขาเอาไว้ ไม่ใช่อยากผูกมิตรอย่างที่ปากพูดแต่เป็นการกอดแบบล็อกแน่นไม่ให้หนีต่างหาก
“เออ..โทษทีนะ พอดีว่าฉันความจำไม่ค่อยดีน่ะ แนะนำตัวกันหน่อยไหมล่ะ”
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าคู่สนทนาบวกกับท่อนแขนที่รัดแน่นขึ้น
คำว่า ‘ซวยแล้วๆ ๆ ๆ ’ เต็มหัว นั่นเพราะร่างกายนี้เพิ่งฟื้นฟูจากการนอนนาน มันจะไปสู้อะไรกับใครเขาได้ จะวิ่งหนียังทำไม่ได้เลย
“อ่า..ถ้าอย่างงั้นเราก็ไปหาที่เงียบๆ แนะนำตัวกันเถอะคุณชายรอง” นั่นไม่ใช่ประโยคที่เอาให้คนฟังได้ปฏิเสธ แถมยังยิ้มมุมปากแล้วล็อกคอแน่นเป็นการบังคับให้เดินตาม พรรคพวกคนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่โดยรอบก็ช่วยพรางสายตาคนอื่นที่มองมาได้เป็นอย่างดี
ซวยแล้ว!! ซือสือ เพิ่งฟื้นขึ้นมาแล้วจะมาโดนกระทืบตายอีกไม่ได้นะ!
หลังตึกเรียนเป็นที่ลับตาคน และน้อยคนนักที่จะเดินผ่านมาทางนี้ เลยไปก็เป็นตึกภารโรง สถานที่ซึ่งเหมาะแก่การคุยกันงั้นเหรอ!!
พลั่ก!
ซือสือโดนแรงผลักกระเด็นไปกระแทกกำแพง
“สารรูปเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้เลยนะ” คนพูดใช้สายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า
นั่นมันหมายความว่าดูดีขึ้นถูกไหม ควรจะดีใจไหมล่ะ เสน่ห์แรงขนาดไหน โดนผู้ชายล้อมเอาไว้ตั้งหลายคน
“ช่วยด้ว…. อุ๊บ!! ” ก็แค่จะลองตะโกนดู แล้วก็อย่างที่คิดอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาตะครุบปากเอาไว้อย่างเร็วจนหัวกระแทกกำแพงด้านหลังอีกรอบ...สมน้ำหน้าตัวเอง
“คิดจะทำอะไร หา!!! ”
หาคนช่วยไงโว้ยยยยย
“อยากตายรึไง”
เพราะไม่อยากตายไง ไอ้เด็กเวรพวกนี้!
“พอเถอะ เดี๋ยวเกิดมันเป็นลมขึ้นมาซะก่อน...”
ไอ้หมอนี่...ดูจากการวางตัวต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มอย่างแน่นอน เพราะนอกจากสั่งแล้ว ไม่แตะต้องอะไรเลย
“แค่กๆ ” เมื่อมือที่ปิดปากยอมปล่อย ซือสือทรุดลงกับพื้นหายใจเข้าปอด แอบสมเพชในความอ่อนแอของร่างกายตัวเองมาก
“ทีนี้จำได้รึยัง ว่าควรทำยังไงต่อ”
ซือสือยังคงคุกเข่ากับพื้นสำลักลมหายใจใช้มือยันพื้น มองเห็นแค่ปลายเท้าของคนพูดอยู่ตรงหน้า นับจำนวนคร่าวๆ ก็ประมาณ 5 คน พยายามพยักหัวหงึกๆ เพื่อซื้อเวลา ขณะเดียวกันก็สายตาก็สอดส่ายหาตัวช่วย…
จำได้คร่าวๆ ว่าหลิ่งซือเคยเล่าว่าโดนรีดไถประจำจนโดนเรียกว่าถังเงินถังทองของพวกเด็กเกเร แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันแบบนี้
“ผะ...ผมไม่ได้เอามา อยู่ในกระเป๋า”
“อย่ามาตุกติกน่า น่าจะรู้นี่ว่าการมาโรงเรียนมันมีค่าใช้จ่าย”
น่ารังเกียจ! ซือสือชักเริ่มจะหมดความอดทน นิสัยไอ้เด็กพวกนี้มันเกินทนจริงๆ
“ถ้าไม่เชื่อก็ลองค้นดู” หนึ่งในสมาชิกแก๊งรีดไถเดินเข้ามาตบๆ ตามตัว แล้วหันไปพยักหน้าว่าเรื่องที่พูดคือเรื่องจริง
“จะไปเอาให้เดี๋ยวนี้ก็ได้ จะตามมาหรือจะรออยู่ตรงนี้กันละ” ซือสือลุกขึ้นมาแสร้งทำสีหน้าหวาดหวั่น หัวหน้าแก๊งรีดไถส่งเสียงไม่พอใจในลำคอแล้วพยักหน้าไปทางเพื่อนร่วมแก๊ง
จังหวะนั้น..ซือสือก็ก้าวขาแล้ววิ่ง!!
“เฮ้ย! จับมันไว้! ”
“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”
“ถ้าจับได้โดนแน่!! ”
ซือสือไม่ได้คิดว่าจะหนีพ้น เพราะต่อให้รอดพ้นไปคราวนี้ก็ต้องเจอกันอีกอยู่ดี และทางที่วิ่งไปข้างหน้าเป็นห้องเก็บของของภารโรง เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามหลังมา ซือสือคว้าไม้มาได้หนึ่งท่อนคาดว่าจะเป็นอะไหล่ของด้ามไม้กวาดพื้น แม้ว่ามันจะหนักไปหน่อยแต่ก็พอใช้ได้
ฟุ่บ!
พวกที่วิ่งตามมาติดๆ กระโดดหลบแทบไม่ทัน ตอนที่ซือสือหมุนตัวกลับหวดท่อนไม้ในมือ
“หลิ่งซือ! คิดว่าไม้แค่นั้น จะช่วยให้รอดรึไง!! ”
ซือสือยืนประจันหน้ากับคนทั้งห้า เอาตามจริง คำตอบในใจคือไม่มีทาง!
“ก็ต้องลองดู” ซือสือตอบพลางคลี่ยิ้มยื่นไม้มาตรงหน้าราวกับท้าทาย
“สงสัยมันเป็นบ้าไปแล้ว” หนึ่งในนั้นตะโกนพูดขึ้นมา หัวหน้าแก๊งทำหน้าเหมือนโกรธจัด
“จัดการมันสิ” เมื่อได้รับคำสั่ง อีก 4คนก็กรูเข้ามา
ซือสือไม่ได้หวดไม้ในมืออย่างสะเปะสะปะ แน่นอนว่าร่างกายนี้ไม่เคยได้รับการฝึกก็จริง แต่ในส่วนลึกของระบบความคิดสามารถสั่งสมองให้จดจำการเคลื่อนเคลื่อนไหวออกมาได้อย่างเป็นรูปแบบ สองเท้าขยับเคลื่อนที่หลบหลีกได้อย่างมีชั้นเชิง ต้องขอบคุณผู้สอนในอดีตที่ช่วยฝึกให้ และขอบคุณตัวเองที่ยังจดจำมันได้อย่างแม่นยำ
“โอ๊ย! / อ๊าก! ”
เสียงร้องโอดโอยดังสลับกับเสียงไม้ในมือฟาดลงบนตัวของคู่ต่อสู้ ซือสือเลือกที่จะตัดกำลังด้วยการแทงไปที่จุดตายให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่ได้เพื่อออมแรงน้อยนิดที่ตัวเองมี คนหนึ่งโดยฟาดไปที่ขาทรุดลงไปนอนดิ้น ไม่ต่างจากอีกคนที่โดนปลายไม้แทงเข้าที่ท้องลงไปนอนจุกร้องไม่ออก
ซือสือโดนเตะเข้าที่สีข้างไปทีจนเซ ก็ยังดีที่ยังมีไม้ช่วยค้ำพื้นเอาไว้ไม่ให้เสียหลักล้มลงไป ชั่วพริบตาเดียวไม้ในมือถูกควงขึ้นมาแล้วฟาดกลับไปยังอีกฝ่ายตรงจุดที่ตัวเองโดนเพื่อเอาคืนบ้าง
การต่อสู้ในชั่วพริบตานั้นซือสือล้มไปได้สามคน คงเหลืออีกสองคนที่ยืนมองด้วยสีหน้าตกตะลึง
ตึง! เสียงไม้ในมือซือสือกระแทกลงบนพื้น คนที่เหลือรวมไปถึงคนเจ็บสะดุ้งกระเสือกกระสนพยุงกันขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
“ฝะ...ฝากไว้ก่อนเถอะ! ” ก่อนจะลากกันล่าถอยกลับไป
“จะใจดีรับฝากไว้ละกัน” พยายามพูดโดยไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตอาการหอบเหนื่อย ที่ยังยืนอยู่ได้ก็เพราะใช้ไม้ช่วยค้ำเอาไว้
ซือสือรอจนคนทั้งกลุ่มหายลับสายตาไป ถึงได้ทิ้งตัวทรุดคุกเข่าลงบนพื้นอย่างหมดแรง เจ็บตรงสีข้างที่โดนเตะ แถมยังมีอาการหน้ามืด รู้สึกแสบที่ฝ่ามือจนต้องปล่อยไม้ให้หลุดร่วงกระแทกพื้นอย่างคนสิ้นแรง
“น่าสมเพชจริงๆ”
เสียงบ่นพึมพำกับตัวเอง
ในเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของความรู้สึกก่อนที่จะล้มลงหน้าจะกระแทกพื้น รู้สึกเหมือนมีอ้อมแขนอบอุ่นของใครบางคนมารองรับเอาไว้
‘ซือสือ’….ได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกชื่อตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
*****************************
#คนเขียน : ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
สนุกมากกกกกกกกกกกก ชอบบบบบบบบบบบ
อ่านรวดเดียวเลย อยากอ่านต่ออีกแล้ว ไรท์มาต่อไวๆ นะ
จะอ่านปรมาจารย์ลัทธิมารตามไรท์บ้างละ .......
เห็นไรท์ ตามติดจนหาทางออกไม่เจอ อ่านตามแล้วจะออกจากลัทธิมารได้ไหมน้อ
#คำเตือน : กูซูคือเข้าได้แล้วออกไม่ได้จ๊ะ 555555555555 ลัทธิมารที่แท้ทรู
จนถึงตอนนี้คนเขียนก็ยังเวียนวายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอยู่ในนั้น #ดูซ้ำวนไป กี่รอบก็ไม่ได้จำ
ถ้าเข้ามาแล้วก็...ยินดีต้อนรับจ้าาา