Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่17 [21/10/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่17 [21/10/62]  (อ่าน 4010 ครั้ง)

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



*****************************
[แฟนตาซี] Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง


วิญญาณของเด็กหนุ่มที่ตายไปกว่า 10ปี

ถูกดูดเข้าร่างเด็กหนุ่มอีกคนที่พยายามฆ่าตัวตาย(แต่วิญญาณดันไม่ได้ไปผุดไปเกิด)

ใครมันจะไปคิดว่าการเกิดใหม่อีก 10ปีให้หลัง อายุจะถูกลดลงย้อนไปจากอายุเดิมตั้งสองปี

แถมยังต้องตามหลังชาวบ้านเขาอีก 10ปีอีกด้วย



ขณะที่อีกคนทนทรมานจากการสูญเสีย นานนับสิบปี

ไม่คิดว่าจะได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง....
 
ใครกันที่ว่า...เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง

ใครกันบอกว่า ...ความเศร้ามันจะเจือจางหายไปได้เอง

......อาจจะเป็นฉันเองต่างหากที่ไม่สามารถปล่อยให้นายจากไปอย่างสงบได้...ฉันขอโทษ
...



----------------------------------------------------------------------------------------
#นักเขียน :
เรื่องแต่งไม่เชิงฟิค ได้แรงบันดาลใจจากการติดซีรีย์จีนอย่างเข้มข้น
(เข้าลัทธิมาร ปรมจ แล้วออกไม่ได้จ่ะ)#หลงแล้วหลงเลย #เปิดให้ออกก็ไม่ออก #สิงยาว
แล้วก็ยอมรับเลยว่าจิ้นแตกกระจายไปเลยจ๊ะพี่จ๋า
 :hao7:
*นิยายเรื่องนี้เป็นแฟนตาซี มีผี มีคน วิญญาณ บลาๆ การกลับมาเกิดใหม่ในร่างใหม่
หากมีความไม่สมจริง คนเขียนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยจ๊ะ

 :hao5:


**************************
#ผลงานที่ผ่านมา
ยอมรัก [Yaoi][3p] จบแล้ว
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70568.0

 :katai4:



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2019 08:19:28 โดย i.am.champingon »

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
บทนำ





‘ฉันขอโทษ...ขอโทษ….ฉัน..ฉัน….’





พรึ่บ!





ใครกันที่ว่า...เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง





ใครกันบอกว่า ...ความเศร้ามันจะเจือจางหายไปได้เอง





ไม่เคยมีคืนไหนเลยที่หวังเหล่ยจะนอนหลับโดยไม่ฝันถึง….คนๆ นั้น ประโยคเดิมๆ ยังคงชัดเจนแม้จะในความฝัน ฝันร้ายที่หลอกหลอนมากว่าสิบปี เหมือนเพิ่งจะผ่านไปเมื่อวาน เพราะความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนสำคัญไปในอ้อมแขนโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้...มันช่างทรมาน





ไฟในห้องนอนถูกเปิดสว่างวาบ เมื่อเจ้าของห้องไม่ต้องการที่จะนอนหลับอีกต่อไป





ตำราแพทย์ที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ ถูกเปิดพลิกหน้าต่อไปเรื่อยๆ เขามีความคิดที่จะศึกษาต่อ เพื่อที่ห้วงความคิดจะได้ไม่ว่างเว้นให้ไปคิดถึงสิ่งอื่นใดอีก





‘อัจฉริยะงั้นรึ?’ น่าขำสิ้นดี ก็แค่คนที่กลัวการนอนหลับคนหนึ่งแค่นั้นเอง





คนที่เป็นอัจฉริยะน่ะ...หมอนั่นต่างหาก





‘นายเกลียดฉัน เพราะนายได้ที่สองเหรอ? ’





‘เฮ้...นายที่สอง’





‘คุณชายที่สอง’





‘หวังเหล่ย!! ’





‘หวังเหล่ย...นายหัวเราะ...จริงด้วย! ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ’





‘นี่...เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ’





‘หวังเหล่ย...ฉัน….’





กึก...เสียงปากกากดลงบนโต๊ะ





‘ฉันอยากจะเป็นหมอที่เก่ง’





หวังเหล่ยหลับตาแน่น ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นสะกดจิตสะกดใจตัวเองให้หันกลับไปสนใจตำราแพทย์ที่ยังคงเปิดค้างเอาไว้





......อาจะเป็นฉันเองต่างหากที่ไม่สามารถปล่อยให้นายจากไปอย่างสงบได้...ฉันขอโทษ...ซือสือ….







…………..



ขณะเดียวกัน...



ติ๊ด…..ติ๊ด…..ติ๊ด….

เปลือกตาที่ลืมขึ้นอย่างอ่อนล้า พร้อมกับแสงสีขาวที่สาดสองเข้ามา มันขาวจนแสบตา และเสียงติ๊ดๆ ที่ดังอยู่ข้างๆ มันช่างน่ารำคาญ มีเพียงเปลือกตาเท่านั้นที่สามารถขยับได้ แค่เพียงรู้สึกตัวราวกับว่าความเจ็บปวดจากทุกทิศทางพุ่งเข้าใส่ทั่วตัว แต่แรงจะร้องเรียกใครยังไม่สามารถทำได้ อากาศเฮือกแรกที่เข้าสู่ปอดตอนรู้สึกตัวทำเอาทรมานเจียนจะตายให้ได้อีกรอบ





‘ตาย? ’ งั้นเหรอ….?





‘เฮ้! พี่ชาย! ตื่นแล้วเป็นยังไงบ้าง? ’





ใคร? ...เสียงใคร?





‘ เจ็บมากสินะ? ’





..ใช่...มันเจ็บ...เจ็บมาก..





“ชะ..ช่วย..”





เสียงไม่สามารถหลุดออกมาจากปากที่แห้งผากได้ เนื่องด้วยท่อช่วยหายใจ ท่ออาหารและสายระโยงระยาง กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ และ...ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ลอยอยู่บนเพดานห้อง...ไม่ว่ายังไงก็เป็นเรื่องประหลาด





‘พี่ชายต้องกดปุ่ม ออกแรงได้ไหม’ เสียงเจ้าเด็กที่ลอยอยู่บนเพดานบอก





มันจะมีอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่อยู่ในมือ เพียงแค่ออกแรงกด...ใช่ออกแรง...แต่แค่หายใจเอาอากาศเข้าปอดก็เหมือนจะตายให้ได้ แล้วใครมันจะไปมีแรงกดปุ่มบ้าบอนั่นได้





มันเจ็บมาก เจ็บไปทั้งตัว





‘เฮ้อ..ช่วยไม่ได้นี่นะ จะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน’





เคล้ง!!





เสียงถาดสเตนเลสที่วางอยู่บนโต๊ะเลื่อนหล่นลงบนพื้นกระจัดกระจาย





สักพักเสียงฝีเท้าก็เข้ามาใกล้





“คะ...คุณหมอคะ...คุณหมอ...”





แล้วความวุ่นวายระดับโกลาหนก็เกิดขึ้น กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าคุณหมอวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมรอบเตียงผม จากนั้นก็เอาไฟฉายมาส่องตา เอาแต่ถามซ้ำๆ ย้ำๆ





“คุณชายรองได้ยินผมไหม ...คุณชายรอง..” คุณชายรองบ้านไหนกัน? ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นรอบตัว ทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่เอามากดมาพันร่างกาย





แต่ทำไม...ไม่มีใครสังเกตเห็นเจ้าเด็กที่ลอยอยู่บนเพดานนั่นกันนะ





ก็แน่ล่ะ..





คนปกติที่ไหนเขาลอยบนเพดานกันละ









……………..







"นี่มันใครกันวะเนี่ย"



เสียงโวยลั่นห้อง หลังจากฟื้นผ่านไป 1 อาทิตย์และร่างกายค่อยปรับสภาพรับความเจ็บปวดได้ และส่วนต่างๆ ของร่างกายเริ่มขยับได้บ้าง ด้วยความที่นอนป่วยติดเตียงมานาน ร่างกายต้องการการฟื้นฟูด้วยการกายภาพ แต่ที่น่าแปลกคือทำไมถึงไม่มีใครสักคนมาเยี่ยมเขาเลย ด้วยความที่คิดเอาเองว่าทุกคนคงจะยุ่ง และตัวเองก็ไม่ได้อยากให้ใครมาเห็นในสภาพนอนเป็นผักแบบนี้ ก็เลยยังไม่คิดจะบอกใคร อีกอย่างตอนนี้ความทรงจำมันก็เหมือนจะเลือนๆ ไปบ้าง



ผ่านไป 1 อาทิตย์แล้วที่ซือสือฟื้นตื่นขึ้นมา นอนคุยกับผีเด็กแปลกหน้า พยาบาล และหมอ และนี่เป็นวันแรกที่พยุงตัวเองด้วยไม้เท้าเข้าห้องน้ำเองได้ ร่างกายแทบจะไม่มีแรงขยับ หมอบอกว่าต้องทำกายภาพอีกนานเลย



แต่ที่ช็อกยิ่งกว่าช็อก ก็เพราะในกระจกเป็นใบหน้าของใครที่ไม่ใช่ตัวเอง พอตั้งสติได้ลองสำรวจดีๆ แล้ว



'ผมบอกพี่ชายแล้วไง ให้จำชื่อผมไว้' นึกไปถึงคำพูดของผีเด็กนั่น



"หลิ่งซือ"



'เรียกผมเหรอ? '



"เฮ้ย!!! " ยังไงก็ยังคงไม่ชินกับการแวบไปแวบมาของเจ้าผีเด็กที่เห็นมาเกือบๆ จะ 1อาทิตย์ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจกว่าตอนนี้คือใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกัน ภาพที่มองเห็นในกระจกดูผอมเพรียวกว่า ส่วนเจ้าผีเด็ก....



'ตอนตายผม...ค่อนข้างอ้วนน่ะ' เจ้าผีเด็กตอบสิ่งที่สงสัยในใจ



นอนติดเตียงมาเกือบปีจนร่างกายต้องทำกายภาพ ก็ไม่แปลกหรอกที่จะผอมเหลือตัวแต่นี้



"เดี๋ยวนะ! นี่มันปีอะไร"



'อืมมมมม....20xx'



"หาาาาาาา!!"



ซือสือ...ผู้ฟื้นขึ้นมาในอีก10ปีให้หลัง ในร่างของใครก็ไม่รู้ แถมยังเด็กกว่าชีวิตจริงอีก ไม่สิวิญญาณตอนตายอายุ 18 ร่างที่ฟิ้นอายุราวๆ 16- 17 อายุจริงนับไปอีก 10ปี



"โว้ยยยยย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย"





********************





บทนำร้อนๆ เสิร์ฟก่อนจ๊ะ

ฝากเนื้อฝากตัวด้วย #ผีด้ายแดง

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่2 17/9/62
«ตอบ #2 เมื่อ17-09-2019 08:28:39 »

ซือสือผู้คุยกับวิญญาณได้





‘พี่ชาย..คิดอะไรอยู่เหรอ? ’ เจ้าผีเด็กหลิ่งซือที่ลอยวนเวียนอยู่ในอากาศวนไปวนมาอยู่รอบตัว ทำให้คนที่นั่งคิดทบทวนลำดับเหตุการณ์ในหัวเริ่มรำคาญ





“นายว่า...นายตายเพราะอะไรนะ” ว่าก็ว่าเถอะ พูดกับผีก็เหมือนคุยกับตัวเอง ถึงว่าสิหมอพวกนั้นถึงได้เขียนประเมิณว่าคนไข้สมองไม่ปกติ (แอบเห็นใบประเมินตอนทำกายภาพ)





‘กินยาเกินขนาด’ หลิ่งซือตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน ‘แต่โชคร้ายไปหน่อย แค่วิญญาณหลุดออกจากร่าง ร่างกายยังไม่สลาย ต้องนอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาล ไปผุดไปเกิดก็ไม่ได้’ เจ้าผีเด็กทำหน้าเซ็งยกมือกอดอก





“แล้วนายเป็นใคร”





วิญญาณหลิ่งซือนั่งขัดสมาธิลอยอยู่ตรงหน้า และซือสือจะไม่ทนอีกต่อไป





พลั่วะ!





‘โอ๊ย!! พี่ต่อยผมทำไมเนี่ย’





“โดนได้ไงวะ” ผีก็ช็อก คนสิช็อกกว่าเพราะฟาดไปเต็มแรง





แต่รอยยิ้มชั่วร้ายไม่ได้มาจากฝ่ายผีอย่างแน่นอน ยังไม่ทันที่วิญญาณหลิ่งซือจะแวบหายไป ซือสือก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีล็อกคอผีเอาไว้ได้ โชคดีที่พยาบาลไม่เข้ามา ไม่งั้นคนที่ถูกจับล็อกตัวคงไม่ใช่ผี





“เล่ามาให้หมด! ”





‘โอ๊ยยย ยอมแล้วพี่ ยอมแล้ว’ วิญญาณโปร่งแสงของหลิ่งซือดิ้นไปมาเมื่อโดนล็อกคอ แต่ตัวเองไม่สามารถแตะต้องกายเนื้อของตัวเองได้





หลิ่งซือเมื่อตอนยังมีชีวิต มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยมีพ่อเป็น สส แม่เป็นสาวสังคมชั้นสูง ลูกชายคนโตเป็นนายแบบระดับแนวหน้าของประเทศเช่นเดียวกับน้องสาวคนเล็กที่กำลังเริ่มต้นเจริญรอยตามพี่ชายเข้าสู่วงการนางแบบและนักแสดงตั้งแต่เด็กที่โด่งดัง...มีเพียงลูกชายคนกลางที่ไม่มีใครกล่าวถึง เด็กชายผู้เกิดมาในสังคมชั้นสูงแต่กลับอยากเป็นคนธรรมดาต้องถูกกดดันอย่างหนักจากครัว หลิ่งซือเกิดมาพร้อมกับความหวังของแม่ที่อยากจะได้ลูกสาว แต่กลับได้ลูกชาย และเมื่อท้องสามได้ลูกสาวสมใจ ลูกชายคนกลางจึงถูกปล่อยให้โตมากับพ่อบ้านและสาวใช้





เด็กเหมือนผ้าขาวที่จะถูกย้อมสีด้วยคนเลี้ยงดู อยู่บ้านมีแต่คนเอาใจก็จริงแต่ขาดความรักความเอาใจใส่จากพ่อแม่ มีพี่ชายที่โตมาอย่างสมบูรณ์แบบด้วยคนเป็นพ่อเลี้ยงดูปลุกปั้น มีน้องสาวที่ได้รับการทะนุถนอมเอาใจใส่จากคนเป็นแม่โตมาอย่างสวยงามเพียบพร้อม ผิดกับลูกชายคนกลางที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้อวบอ้วนเพราะใช้เป็นข้ออ้างในการไม่อยากไปออกงานสังคมกับครอบครัว รูปร่างหน้าตากลายเรื่องที่ถูกพี่น้องล้อเลียนไปจนถึงที่โรงเรียน การมีนามสกุลดังติดตัวแถมยังไม่เด่นดังในสักเรื่องทำให้ถูกกลั่นแกล้งจากกลุ่มเด็กเกเรในโรงเรียน ถูกเรียกว่าถังเงินถังทองเพราะถูกรีดไถเป็นประจำ





แม้ว่าทางบ้านจะมีอำนาจใหญ่โตแต่ก็หงอเสียจนชิน บางครั้งก็โดนซ้อมโดนตีกลับบ้านสะบักสะบอมยังไม่มีใครสนใจ นานวันเข้าหลิ่งซือก็เริ่มดำดิ่งอยู่ในโลกส่วนตัว อยู่บ้านก็ไม่มีความสุข ไปโรงเรียนก็เจอแต่ความทุกข์ วิธีเดียวที่เด็กชายคนหนึ่งที่ไม่มีใครจะให้ปรึกษานั่นก็คือการหายไปจากโลกนี้เสีย





'มันง่ายมาก ตอนที่ทำ ตื่นมาอีกทีก็เห็นร่างตัวเองนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงแล้ว' สายตาของหลิ่งซือทอดมองไปไกลไม่มีจุดหมาย





“หลิ่งซือ...ถ้านายเกิดเป็นน้องชายฉันละก็...”





‘พี่ชายจะปกป้องผมใช่ป่าว’





“จะตีให้ตายเลย ฟื้นขึ้นมาก็จะตีอีก”





‘พี่พูดเหมือนตอนที่เป็นวิญญาณเลยอ่ะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ’





“เราเคยรู้จักกันเหรอ? ”





หลิ่งซือพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะเล่าต่ออีกยืดยาว ว่าตัวเองพยายามจะกลับเข้าร่างแล้วหลายรอบแต่มันกลับเข้าไม่ได้ เขาแตะต้องร่างตัวเองไม่ได้ แต่ซือสือที่สิงอยู่ในร่างสามารถแตะต้องวิญญาณได้ เราสองคนนั่งขบคิด หลิ่งซือพยายามทำให้ดูหลายรอบเหมือนกับว่ากายเนื้อไม่ยอมรับวิญญาณของเดิม





และตอนเป็นวิญญาณคุยกันถูกคอ จนเกิดการทดลองแบบผีๆ ขึ้นมา กายเนื้อของหลิ่งซือยอมรับให้ซือสือเข้าร่าง





‘เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ’





“โว้ยยยย ใครมันจะไปรู้ว่าจะออกมาแบบนี้”





‘พี่ต้องทำตามสัญญาด้วย’





“สัญญา? ”





‘นี่พี่ชายลืมหมดเลยสินะ’





ซือสือยกมือเกาหัวแกรกๆ ยอมปล่อยวิญญาณเจ้าของร่างให้กลับไปล่องลอยไปมาตามเดิม





‘พี่สัญญาว่าจะหาทางให้ผมได้ไปผุดไปเกิด’





เวรแล้วไงซือสือ





‘ถ้าพี่ไม่รักษาสัญญา ผมก็จะตามหลอกหลอนพี่อยู่แบบนี้แหละ’





“เห้ยยยย เดี๋ยวดิ!! เดี๋ยววววว...”







…………………………………..




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-10-2019 10:38:22 โดย i.am.champingon »

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่3 [19/9/62]
«ตอบ #3 เมื่อ19-09-2019 11:06:49 »

ร่องรอยในอดีต 1





เดือนกว่าแล้วตั้งแต่ซือสือในร่างหลิ่งซือฟื้นขึ้นมา ไร้วี่แววของคนในตระกูลมาเยี่ยมเยียน แต่ก็ได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยม ห้องพักพิเศษราวกับโรงแรมหรู รีเควสได้ทุกอย่างไม่ว่าจะอะไร นี่เพิ่งลองขอโน้ตบุ๊คไปเมื่อวาน ตอนเช้าของมาส่งถึงห้องทันทีแบบพร้อมใช้ แต่มันน่าแปลก จากการค้นประวัติกลับไม่มีแม้กระทั่งข่าวคราวของหลิ่งซือลงสื่อหรือข่าวลงทีวีใดๆ



ซือสือในร่างหลิ่งซือเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของครอบครัวนี้



‘นี่เพิ่งเดือนเดียวเองพี่ชาย’



เสียงกระซิบข้างหูไม่ได้ทำให้ซือสือตกใจอีกต่อไปแล้ว ก็แค่ต้องทำใจให้ชิน



“หมายความว่าไง? ”



วิญญาณหลิ่งซือนอนกลิ้งไปมาในอากาศ



‘ก็ตั้งแต่ผมเข้าโรงพยาบาลอ่ะ’



“ห่ะ!? ” นี่มันครอบครัวประสาอะไรกันเนี่ย "ไม่มีใครมาเลยเนี่ยนะ?"



หลิ่งซือพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย



ครอบครัว…...พอนึกไปถึงครอบครัวจริงๆ ของตัวเองซือสือก็สลดลง หากมีโอกาสก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองว่าตอนนี้ทั้งพ่อแม่และน้องสาวเป็นอย่างไรกันแล้วบ้าง





.......................................................





…...เมื่อ 10 กว่าปีก่อนหน้านั้น….



เสียงหัวเราะเฮฮาของพ่อและลุงเฉินทำเอาเด็กชายที่กำลังทำการบ้านหันกลับไปมองอย่างช่วยไม่ได้



“ตั้งใจหน่อย” พี่เฉินลูร์ลูกชายของลุงเฉินเอาปากกาเคาะหัวเด็กชายซือสือที่หันมาทำหน้ามุ่ยใส่



“พนันกันไหม ถ้าอาซือสอบเข้าโรงเรียนXXXได้เป็นที่ 1 ฉันจะจ่ายค่าเรียนทั้งหมดให้”



“พี่เฉิน! ” พ่อทำเสียงตกใจเมื่อลุงเฉินพูดแบบนั้น



มันเกิดขึ้นบ่อยๆ การพนันในวงเหล้า โดยการเอาลูกชายมาอวดกัน แต่การพนันแบบไหนกันจะจ่ายค่าเรียนให้แถมยังให้ลูกชายตัวเองที่เก่งระดับประเทศมาเป็นครูสอนพิเศษให้อีก ทำไมซือสือรู้สึกว่าต่อให้ทางบ้านเป็นฝ่ายแพ้ก็ไม่เห็นจะเสียประโยชน์อะไร



“ทำไมพี่ลูร์กับลุงเฉินดีกับพวกเราจัง”



“การพนันเป็นสิ่งไม่ดีนะ” เฉินลูร์หันไปดุคนที่เหมือนน้องชายพร้อมกับจับโยกหัวไปมา เจ้าตัวหัวเราะคิกคัก



“แล้วผมจะทำได้ไหม? ”



“ซือสือเจ้าเด็กโง่ อาจารย์นายเป็นใคร? ” พี่ลูร์ยืดตัวแล้วเอานิ้วชี้ที่อกตัวเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ





ครึ่งปีหลังจากนั้น ซงซือสือ สอบติดเป็นอันดับที่หนึ่งของโรงเรียนที่ลุงเฉินหมายมั่นปั้นมือไว้ และคนแพ้พนันอย่างลุงเฉินมาส่งเข้าโรงเรียนด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นที่ฮือฮามาในตอนนั้น เด็กชายผู้มาจากครอบครัวธรรมดา สอบเข้าได้ด้วยคะแนนอันดับ 1 แถมยังถูกพาเข้ามาด้วยบุคคลซึ่งเป็นผู้บริจาครายใหญ่ของโรงเรียนอีกด้วย





โรงเรียนระดับท็อปของประเทศ แน่ล่ะว่าจะตัองมีแต่บรรดาลูกหลานของคนสำคัญระดับประเทศเข้าเรียนด้วยเช่นกัน บางคนเข้าเรียนได้ด้วยเงินบริจาคสูงๆ เพียงเพื่อต้องการซื้อสังคมให้ลูกหลาน แต่ก็มีบางคนเช่นกันที่เข้ามาด้วยการสอบเข้าด้วยคะแนนจริงๆ



เช่นซือสือผู้มาจากตระกูลชนชั้นกลางไปเกือบถึงล่าง ที่บ้านทำอาชีพค้าขายธรรมดา ไม่เข้าใจเรื่องระบบชนชั้น ความเคารพกันของระบบตระกูลเล็ก-ใหญ่ ในความโชคดีที่คุณลุงเฉินให้การสนับสนุนก็ยังมีความโชคไม่เข้าข้างที่ปีนั้นพี่เฉินลูร์เรียนจบพอดี





"ได้ข่าวว่าคุณชายตระกูลจ้าว สอบได้อันดับสอง"



"เฮ้ย เป็นไปได้ไง ตัวเก็งเลยนะ"



'คุณชายจ้าว? ' เรื่องซุบซิบที่ดังในหมู่เด็กปีหนึ่งขณะนี้เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องการสอบเข้า ซือสือยืนเงยหน้ามองลำดับคะแนนสอบ และชื่อของตัวเองที่เป็นสีแดง ขึ้นต้นด้วยเลขอันดับ 1 ด้วยคะแนน 99.99%



พลาดอะไรตรงไหนไปนะ



"ได้ข่าวว่าที่1 เป็นใครก็ไม่รู้ ม้ามืด"



'ม้ามืดไปอี๊ก' อันดับที่สองงั้นเหรอ สายตาจับจ้องไปที่ขื่อของผู้มีส่วนในแวดวงซุบซิบแล้วจำได้อย่างแม่นยำ



อันดับสอง 'หวังเหล่ย' อยู่ห้องเดียวกัน



จะไม่ให้จำได้อย่างแม่นยำได้ไง ในตอนที่ขานชื่อนักเรียนในห้อง คุณชายจ้าวที่ใครๆ ต่างพูดถึง ช่างแตกต่างกับซือสือคนนี้ราวคุณชายกับคนขายผัก ใบหน้าราบเรียบไม่สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกให้ใครคาดเดาความคิดได้ ทั้งกริยา วาจา หรือทุกขณะที่ก้าวเดินบอกได้เลยว่าได้รับการอบรมมาอย่างดีเยี่ยม



"เฮ้! หวังเหล่ย ฉันซือสือ ยินดีที่ได้รู้จัก" จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ อันดับที่หนึ่งกับอันดับที่สองดันถูกจับให้มานั่งข้างกัน อย่างน้อยก็ผูกมิตรไว้ก่อนซือสือคิด



แต่….คำทักทายผูกมิตรของซือสือถูกตอบแทนกลับมาด้วยสายตาเย็นชา ราวกับโกรธกันมาชาติที่แล้ว มองมือที่ยื่นมาตรงหน้าแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปสนใจหนังสือเรียนโดยไม่สนใจจะผูกมิตรด้วย ปล่อยมือซือสือที่ยื่นออกมาเคว้งคว้างอยู่อย่างนั้น



"ชิ! " ซือสือชักมือกลับด้วยความผิดหวังและอับอาย



ตลอดคาบเรียนช่วงบ่าย คุณชายผู้สอบได้อันดับที่หนึ่งกลับเอาแต่นอนหลับในคาบเรียนได้อย่างไร้ซึ่งความละอาย และมันเดือดร้อนคนที่นั่งข้างๆ อย่างหวังเหล่ยที่ต้องมาคอยปลุกเพราะอาจารย์สั่ง



"ออกมาแก้โจทย์ข้อนี้ คุณชายซ่ง" อาจารย์ใช้ปากกาเคาะบนกระดานสอน ขณะที่ซือสืออ้าปากหาวเพิ่งตื่น เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ในห้อง



คนอย่างหวังเหล่ยจะไม่ยอมรับคนแบบนี้ว่าเก่งกว่าอย่างเด็ดขาด ข่าวลือที่ว่าเข้าโรงเรียนมาได้เพราะตระกูลใหญ่หนุนหลังก็คงจริงอย่างที่เขาว่า



ซือสือเดินไปหน้าห้องด้วยกิริยาของคนเกียจคร้าน ยื่นมือไปรับปากกามาจากอาจารย์ ยืนมองกระดานสอนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มขีดเขียนตัวหนังสือลงไป



"ต่อให้เป็นคุณชายของบ้านไหน ตระกูลเล็กหรือใหญ่ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จะต้องถูกหักคะแนนและโดนทำโทษ" อาจารย์พูดขู่ให้ได้ยินกันทั้งห้องเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง



เสียงปากกาขีดเขียนบนกระดานโดยคนที่หลับมาทั้งคาบ ที่มันง่ายดายนั่นก็เพราะโจทย์ทั้งหมดถูกเคี่ยวเข็ญให้แก้มาหมดแล้ว ใช่ว่าไม่กลัวคำขู่ของอาจารย์หรอกนะ แต่พี่เฉินลูร์โหดกว่านี้เยอะ



"ถูกต้อง! ทำดีมาก แต่คราวหน้า ถ้าหลับในห้องอีกจะไม่ละเว้น"



"ครับอาจารย์" ซือสือก้มหัวขอโทษ ก่อนจะกลับไปนั่งที่ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนๆ แน่นอนว่าไม่มีหวังเหล่ยร่วมอยู่ในจำนวนนั้น



ซือสือผู้ถูกยอมรับจากเพื่อนๆ ยกเว้น...



"เฮ้! นายที่สอง"



หวังเหล่ยเงยหน้าจากหนังสือ มองอีกฝ่ายด้วยสายตารำคาญอย่างเปิดเผย อุตส่าห์มาหาที่นั่งเงียบๆ ได้แล้วแท้ๆ และแทนที่จะโต้ตอบจึงเลือกที่จะเดินหนีแทน



"คุณชายที่สอง"



แต่อีกฝ่ายก็ยังเดินตามมาก่อกวนไม่เลิก หวังเหล่ยหยุดเดินด้วยความรำคาญ



พลั่ก!



"โอ๊ย"



อีกฝ่ายที่เดินตามมาติดๆ จึงชนกันเข้าอย่างจัง ผลคือเจ็บตัวทั้งสอง



"เลิกเดินตามฉันซะที"



"นายเกลียดฉันเพราะนายได้ที่สองเหรอ! "



หวังเหล่ยเลือกที่จะไม่ตอบอีกครั้ง หมุนตัวหันหลังกลับเดินจากไปทันที



“เฮ้! นายที่สอง!! ”



"ช่วยไม่ได้นี่! ฉันจำเป็นต้องได้ที่1เท่านั้น" คราวนี้เป็นเสียงตะโกนไล่หลัง และแน่นอนว่าหวังเหล่ยหยุดชะงัก และหันกลับมามองด้วยสีหน้าโกรธจริงจังจนคิ้วขมวดเข้าหากัน



ก็แน่ล่ะ...นี่มันห้องสมุด



และอาจารย์ผู้ดูแลก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน



"แล้วพวกเธอจำเป็นที่จะต้องมาตะโกนในห้องสมุดกันด้วยสินะ! "



ซือสือยกมือปิดปากกลอกตาไปมา แต่ก็รู้ว่านั่นมันไม่ได้ช่วยอะไร



ป้ายลำดับชื่อที่1 และ ลำดับที่2 ถูกห้อยไว้ที่คอของทั้งสองคน



พร้อมกับข้อความ



"ผมจะไม่ทำเสียงดังในห้องสมุดอีกแล้วครับ"



ในวันนั้นทั้งวันเป็นการทำโทษ







******************************





#Talk ฟังเพลงประกอบละครวนไป ยอมใจแล้วปั่นนิยายรัวๆๆๆๆ 5555

ออกจากตระกูลใหญ่ไม่ได้เลยจ๊ะพี่จ๋า

ฝากติดตามนิยายด้วย #รักเมนมากอยากบอก #รักคนอ่านด้วยเช่นกัน 555






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่3 [19/9/62]
«ตอบ #4 เมื่อ20-09-2019 01:01:24 »

รอติดตาม

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่4 [20/9/62]
«ตอบ #5 เมื่อ20-09-2019 09:08:01 »

ร่องรอยในอดีต 2









"คุณชายซ่งไปไหน" คำถามจากอาจารย์ประจำวิชาประวัติศาสตร์



"ไม่ทราบครับ" และหวังเหล่ยคือคนที่ต้องมาคอยตอบทุกครั้งไป เหตุเพราะนั่งข้างกัน



กว่าครึ่งเทอมแล้วที่หวังเหล่ยต้องมาคอยตอบคำถามอาจารย์ ‘คุณชายซ่งไปไหน?’ ส่วนใหญ่จะเป็นวิชาเกี่ยวกับการท่องจำต่างๆ ส่วนวิชาวิทย์ หรือคำนวณ ไม่เคยขาด แม้ว่าจะหลับในคาบเรียนทุกครั้งไปก็ตาม ที่อาจารย์ต่างไม่เซ้าซี้ก็เพราะซ่งซือสือยังคงรักษาอันดับที่หนึ่งของชั้นปีได้อย่างไม่มีที่ติแม้บางวิชาจะเข้าเรียนน้อยกว่าโดดก็ตาม



หวังเหล่ยเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูที่อยู่บนสุดของอาคารเรียน มีเสียงถอนหายใจราวกับเป็นการตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้วยกมือดันประตูให้เปิดออกไปสู่ข้างนอกที่เป็นดาดฟ้า



อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดก่อนจะก้าวออกไปยังด้านนอก



"ฉันรู้ว่านายอยู่ที่นี่"



คนที่นอนหมอบอยู่บนสุดของดาดฟ้าส่งเสียงจิจ๊ะไม่พอใจที่โดนจับได้ ก่อนลุกขึ้นนั่งเกาหัวที่ยุ่งเหยิงเพราะแรงลมด้านบน



"อ่า...นึกว่าใคร คุณชายที่สองนี่เอง" ถ้อยคำเสียดสีไม่เลิกรามาพร้อมกับสีหน้ากวนประสาท ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความรู้สึกผิด



"กลับห้องเรียน"



"หาาาาา นี่นายอุตส่าห์มาตามเหรอ รบกวนคุณชายแล้ว" ซือสือทำท่าโค้งคำนับเลียนแบบในหนัง แต่ที่ก้มหน้าคือเม้มปากกลั้นหัวเราะสุดกำลัง



หวังเหล่ยสะกดกลั้นอารมณ์ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วระบายลมหายใจออกช้าๆ ภายใต้สีหน้าราบเรียบนั้นใครจะไปรู้ว่าความโมโหแตะอยู่ที่ระดับไหนแล้ว



"กลับไปห้องเรียนเดี๋ยวนี้"



"ไม่เอาอ่ะ"



ความอดทนของหวังเหล่ยใกล้หมดเต็มทีแล้วตอนที่ซือสือโดดลงมา



"ไม่ชอบเรียนวิชาท่องจำ"



"นาย!! " คุณชายหวังคงหมดความอดทนแล้วจริงๆ ถึงได้ตวาดออกมา แล้วไอ้คนตรงหน้ามันก็ทำหน้าอึ้งๆ ไปสองสามชั่วกะพริบตา แล้วจากนั้น...



"อุ๊บ!! ฮ่าๆ ๆ ๆ นี่รู้ไหม คนอื่นเขาพูดถึงนายว่าไง"



ไม่มีคำถามตอบกลับ มีเพียงแววตาที่จ้องมองมาอย่างคาดคั้น



"แต่ฉันว่านายไม่ใช่แบบนั้นหรอก" ซือสือโบกมือไปมาพลางหัวเราะ



"แบบนั้น? "



ซือสือหยุดหัวเราะ พ่นลมเป่าผมที่ตกลงมาปรกหน้า แล้วหันมาทำหน้าจริงจังเพราะคุณชายหวังกำลังรอคอย แต่จะให้ตอบเฉยๆ ก็ไม่ใช่ซือสือ



"ก็แบบ....คนไม่มีหัวใจ" พอก้าวเข้าไปใกล้ก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองส่วนสูง ต่างกันจนต้องเอียงหน้าขึ้นมองเพื่อสบตาอีกฝ่ายปลายนิ้วของซือสือจิ้มลงตรงตำแหน่งหัวใจหวังเหล่ยพอดี



มันเป็นจังหวะที่พอดิบพอดีราวกับว่าวินาทีนั้นเวลาได้หยุดหมุน สองสายตาประสานกัน ก่อนที่ซือสือจะเป็นฝ่ายผละออกมาก่อนด้วยอาการอึกอักอย่างไม่เข้าใจความคิดตัวเองในช่วงขณะนั้น



คนอย่างหวังเหล่ยแค่ไม่ชอบตีสีหน้าเพื่อคบค้าสมาคมกับใคร แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด โดยไม่มีใครมาว่าอะไรได้ แค่ไม่ชอบการแบ่งชนชั้นวรรณะไม่ชอบระบบตระกูลใหญ่ตระกูลเล็ก จึงใช้กฎต่างๆ มาสร้างกรอบมาล้อมตัวเองไว้เพื่อกันไม่ให้ใครเข้ามาวุ่นวาย ซึ่งใช้ได้ผลและชีวิตก็สุขสงบมานาน แล้วทำไมคนตรงหน้าถึงได้เข้ามาประชิดขนาดที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว



เสียงสัญญาณ เปลี่ยนวิชาเรียนดังขึ้นก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไร



หวังเหล่ยเองก็เริ่มขี้เกียจจะพูดต่อแล้วถึงได้คว้าต้นแขนซือสือแล้วออกแรงลาก



"เฮ้ยๆ ๆ เดี๋ยวๆ ๆ จะไปไหน"



"กลับห้องเรียน"



"ก็บอกไม่ไปไง ละเว้นสักครั้งไม่ได้เหรอ" ซือสือขืนตัวต้านแรงลาก แต่ดูยังไงอีกฝ่ายก็แข็งแรงกว่ามาก



"ไม่! ต่อไปนี้นายต้องเข้าเรียนทุกวิชา"



"ทำไมๆ นายมีสิทธิ์อะไรมาบังคับ แล้วก็....ฉันไม่อยู่นายน่าจะสบายใจกว่าไม่ใช่หรือไง"



หวังเหล่ยหยุดกึก หันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย



"ก็ใช่" และตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย



ซือสืออ้าปากค้าง กับคำตอบที่ได้ยิน พลางยกมือขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย



"นายนี่มัน! เออ!! กลับก็ได้แล้วอย่ามาบ่นก็แล้วกัน" ซือสือสะบัดแขนหลุดจากมือของหวังเหล่ยได้ก็ปาดหน้าวิ่งนำลงไปยังห้องเรียนก่อนโดยไม่รอ



หวังเหล่ยยังคงยืนนิ่ง อยู่ที่เดิม ไม่รู้ตัวว่าทำไม ถึงได้ยกมือขึ้นมาวางทาบอกตรงตำแหน่งที่ โดนปลายนิ้วชี้ของซือสือจิ้มลงมา



……………….



“นี่ซือสือ ขอถามอะไรหน่อยได้ม่ะ” อี้เทาถามตอนที่กำลังนั่งกินข้าว



“ว่า? ”



“คนอย่างนาย ทำไมถึงสอบได้อันหนึ่งได้”



“อุ๊บ! แค่กๆ ” ถึงกับสำลักน้ำซุป “คนอย่างฉันมันทำไมห่ะ? ” โชคดีที่ยังมีหยุนฮูช่วยลูบหลังให้



“ยังจะถาม ไม่เข้าเรียนบ้างล่ะ หลับบ้างล่ะ นี่..นายโกงข้อสอบเหรอ”



ผลั่วะ! กำปั้นของซือสือฟาดไปบนหัวอี้เทาด้วยความโมโห



“โอ๊ย! เจ็บนะ”



“สมน้ำหน้า! เวลาเรียนก็ตั้งใจเรียนสิ” อันที่จริงคนอย่างซือสือก็ไม่ควรไปสอนคนอื่น ก็ในเมื่อสิ่งที่ไอ้พวกนี้มันเห็นก็คือตามนั้น ไม่แปลกหรอกที่จะไม่สงสัย



การตัดสินคนจากภายนอกเป็นเรื่องปกติของคนโทษใครได้



“เออใช่ ขอถามหน่อย อาจารย์ใช้ให้หวังเหล่ยไปตามฉันเข้าห้องเรียนเหรอ”



อี้เทากับเหยียนฉีหันไปสบตากัน ก่อนจะหัวเราะออกมา



“คุณชายหวัง ต้องตอบคำถามอาจารย์ทุกครั้งที่นายไม่อยู่ รู้ไว้ด้วย” คำตอบมาจากหยุนฮูที่นั่งอยู่ข้างๆ



ซือสืออ้าปากค้าง ทำเสียง ‘อ่ออออออ’ ลากยาวอยู่ในลำคอ เพิ่งรู้ถึงความลำบากของหวังเหล่ยขึ้นมาเล็กน้อย



เพราะงั้นในวิชาเรียนตอนบ่ายของวันนั้น จึงมีซือสือเข้าเรียนครบทุกวิชา แต่ก็ยังไม่วายกวนประสาทหวังเหล่ยด้วยการโบกไม้โบกมือยิ้มล้อเลียนด้วยสีหน้าทะเล้นตลอด และที่หวังเหล่ยทำเป็นไม่ตอบโต้อะไรก็เพราะคิดว่าอย่างน้อยๆ อีกฝ่ายก็ไม่แอบหลับในคาบ



แต่คนอย่างซือสือจะทนอะไรได้นาน..



“จะไปไหน? ”



จังหวะที่หวังเหล่ยเอื้อมมือมาหมายจะคว้าแขน ซือสือก็หมุนตัวหลบได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ ยิ้มเยาะเมื่อเห็นมือของหวังเหล่ยกำอากาศค้าง



“ปล่อยไปสักครั้งไม่ได้เหรอ ทำเป็นไม่เห็นก็ได้นะ...นะ..”



“กลับห้องเรียน”



“ฉันมีธุระต้องไปสะสางจริงๆ นะ สำคัญมาก” ซือสือยกมือไหว้พร้อมกับโค้งหัว



“นายไม่ควรลงธุระสำคัญไว้ในเวลาเรียน” หวังเหล่ยก็คงเป็นหวังเหล่ย ซื่อตรงยิ่งกว่ากรรมการนักเรียนเสียอีก



ซือสือกลอกตาไปมาพร้อมกับเป่าผมหน้าตัวเองอย่างเคยเมื่อการใช้ไม้อ่อนอ้อนวอนไม่สำเร็จ



“เอางั้นก็ได้..” ซือสือพูดพร้อมกับหันหลังแล้ววิ่ง วางแผนว่าจะใช้เส้นทางลัดไปทางด้านหลังตึก



หวังเหล่ยที่ไม่ทันเกมเอื้อมไปคว้าเฉียดคอเสื้อของอีกฝ่ายไปเพียงนิดเดียว แต่ยังไม่ทันที่แผ่นหลังอีกฝ่ายจะวิ่งหายลับตาไป เจ้าตัวก็หยุดกึกยืนนิ่งอยู่ตรงมุมตึก แล้วค่อยๆ ก้าวถอยหลังช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว หวังเหล่ยยืนมองด้วยความสงสัย



“เหว่อออออ ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไม่นะ ไม่ๆ ๆ ๆ ๆ ” ซือสือวิ่งกลับมาด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดชีวิต แน่นอนว่าสิ่งแรกที่คว้าได้คือตัวหวังเหล่ย “ช่วยด้วยๆ ช่วยที” วิ่งไปแอบข้างหลังพร้อมกับหลับตากอดเอวหวังเหล่ยแน่น



และสิ่งที่หวังเหล่ยหันกลับไปมองนั้นมันช่าง……



ริมฝีปากราบเรียบเม้มเข้าหากันแน่น และมันคงไม่แน่นพอหวังเหล่ยถึงกับต้องกัดปากเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงหัวเราะหลุดรอดออกมา





กลัว ‘ลูกหมา’ เนียนะ?





****************************



#Talk


นานๆ คุณชายหวังฯจะอมยิ้มสักที #บ่ดีต่อใจเลยพี่ท่าน 5555+

ฝากติดตามตอนต่อๆไปกันด้วยจ้าาาาา

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่5 [21/9/62]
«ตอบ #6 เมื่อ21-09-2019 12:51:49 »

ร่องรอยในอดีต 3



“ช่วยด้วยๆ ช่วยที”



ซือสือไม่รู้ตัวว่าเกาะเอวคุณชายหวังเอาไว้แน่น จนโดนอีกฝ่ายสะบัดตัวออก แล้วหันมาทำสีหน้าว่า ‘รำคาญ’ ใส่



“ชะ..ช่วยด้วยๆ ” ซือสือโดดขึ้นไปบนเก้าอี้



หวังเหล่ยมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา อาการกลัวที่ว่าเหมือนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทั้งอาการตัวสั่น สีหน้าแดงก่ำ และแววตาลนลานคล้ายคนกำลังจะร้องไห้...บอกได้คำเดียวว่า ‘น่าเวทนา’ ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วหันไปส่งเสียงไล่ลูกหมาตัวเล็กเท่าแมวให้กลับไปทางเดิม



ซือสือยังคงนั่งตัวสั่นอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆ เปิดมือที่ปิดหน้ามองดูสถานการณ์อย่างหวาดระแวง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มแหยๆ ให้หวังเหล่ย



“แหะ ๆ ขอบใจคุณชายที่สองแล้ว บุญคุณครั้งนี้ซือสือจะไม่ลืม” โดดลงมายืนบนพื้นแล้วยกมือโค้งคำนับด้วยท่าทีกวนประสาทเหมือนเดิม



“หวังเหล่ย” ซือสือเงยหน้ามองคนที่พูดชื่อตัวเองอย่างไม่เข้าใจ



“เรียกชื่อ” หวังเหล่ยพูดต่อด้วยสีหน้ารำคาญ



“หวังเหล่ย” ซือสือยิ้มกว้างตอนที่พูดชื่ออีกฝ่ายออกมา



หมั่บ!

“เห้ย! เดี๋ยว….” ไม่ทันแล้วโดนคว้าข้อมือลากให้ตามหลังไปโดยไม่พูดไม่จา





ซือสือผู้ถูกลากมาห้องเรียนนั่งหน้าบูด ไม่สบอารมณ์ หนักเข้าก็นอนหมอบลงบนโต๊ะ แล้วก็หลับตามเคย แต่ที่ทุกคนแปลกใจนั่นก็คือ ไม่ว่าจะหลับลึกจนนอนกรนออกมาแค่ไหน ทุกครั้งที่อาจารย์เรียกมาตอบคำถามไม่มีเลยสักครั้งที่จะตอบผิด นั่นทำให้คนอย่างหวังเหล่ยรู้สึกสงสัย



“ห่าววววววว” ส่งเสียงหาววอดและบิดตัวอย่างคนเกียจคร้าน มันช่างค้านกับสายตาคนทั่วไป ไม่ว่าจะมองยังไง คนที่ควรได้เป็นอันดับหนึ่งก็ควรจะเป็นคนที่นั่งสงบนิ่งที่อยู่ข้างๆ



“แย่ละ ต้องรีบไปแล้ว!! ”



ซือสือหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูข้อความ ทำตาโตแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้อง หวังเหล่ยเพียงแค่มองตามแผ่นหลังนั้นวิ่งเบียดเพื่อนคนอื่นออกไปจากห้องด้วยท่าทีร้อนรน



เสียงฮือฮาดังขึ้นตรงสนามบาสตอนที่หวังเหล่ยเดินออกมาจากตึกเรียน นักเรียนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องส่งเสียงเชียร์กันอย่างกับว่ามีการจัดกิจกรรมอะไรกัน



‘ลุยเลยๆ ’



‘ได้ข่าวว่าเด็กปีหนึ่งมาท้าแข่งนะ’



‘กล้ามาก เด็กพวกนี้มันอวดดี จัดการมันเลย’



‘พี่จื่อจัดการเลยๆ ๆ ’



‘พี่จื่อลงโทษที่มาสายด้วย 10คะแนนนำไปก่อนแล้วนะ’



‘ปีหนึ่งคนนั้นคือคนที่สอบเข้าได้เป็นอันดับหนึ่งใช่ไหม’



ประโยคสนทนาล่าสุดที่ได้ยินล่าสุดทำให้หวังเหล่ยหยุดเดิน หันกลับไปมองที่สนามอย่างจริงจัง อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด



ปรี๊ดดดดดดด เสียงนกหวีดสัญญาณเปา่ให้เกมหยุดชั่วคราวเมื่อสองผู้เล่นกระทบกระทั่งกันล้มลงกลิ้งกับสนาม รุ่นพี่ที่เป็นกรรมการส่งสัญญาณพักเบรก ผู้เล่นคนหนึ่งถูกหิ้วปีกออกไปข้างสนาม เพราะล้มกลิ้ง หัวเข่าแตกเลือดซิบ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มทะเล้นแม้ขาจะเดินกะเผลกออกไปก็ตาม



“บอกให้ใส่สนับเข่าไงล่ะ! ” รุ่นพี่จื่อทำเสียงดุใส่แม้จะอยู่คนละทีม แต่ก็ช่วยเอายาล้างแผลกับผ้าสะอาดมาให้ แม่ในเกมการแข่งขันจะดุเดือดเอาเป็นเอาตาย แต่นอกสนามก็คือพี่คือน้องกัน



“ก็ขืนผมเข้าสนามช้ากว่านี้ พี่ก็หักคะแนนทีมผมไปอีก” ซือสือเถียงกลับพร้อมกับทำเสียง ‘จิ๊’ เพื่อบอกอีกฝ่ายว่าไม่พอใจ รุ่นพี่จือหัวเราะพร้อมกับยื่นมือไปขยี้หัวเป็นการเอาคืน



“ใครใช้ให้ผิดนัดกับรุ่นพี่ ห่ะ?!! ” จื่อโจวทำหน้าหาเรื่องแต่มือหมุนขวดน้ำส่งให้



“พี่โกงอ่ะ นัดผมในเวลาเรียน”



“เป็นรุ่นพี่จะทำอะไรก็ได้”



“ใช่สิ! มีแต่คนเชียร์ให้พี่ขยี้ผม หาว่าผมไปท้าทายพี่อีก...” ซือสือเถียงไม่ลดละชี้มือไปทางคนดูที่เกาะขอบสนามอยู่เนืองแน่นนั่นแล้วสายตาก็ดันหันไปเห็นคนที่ยืนอยู่ห่างๆ ซะนี่



“หวังเหล่ย!” ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าการที่ผู้เล่นคนหนึ่งในสนามตะโกนเรียกใครอีกคนที่อยู่นอกสนามมันจะสร้างความโดดเด่นแค่ไหน



ใช่...สายตาทุกคู่หันมองไปทางเดียวกัน



หวังเหล่ยตกเป็นเป้าสายตาเมื่อผู้เล่นที่ทุกคนต่างกล่าวถึงวิ่งกะเผลกออกมาหาด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น ใบหน้าแดงชื้นเหงื่อผมหน้าที่เคยตกปรกหน้าถูกมัดเป็นจุก เสื้อกล้ามคัวโคร่งที่บอกได้เลยว่าไม่ใช่ของตัวเองแน่นอน และสภาพเข่าที่แตกเพราะล้มเมื่อครู่จนเลือดซิบ



“นายเล่นบาสเป็นไหม? ”



“ก็พอได้” คุณชายหวังเหล่ยผู้โกหกไม่เป็นตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย



“งั้นดีเลย!! ” ซือสือคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ แต่อีกฝ่ายกลับยื่นนิ่งไม่ขยับ



“ต้องไปเรียนพิเศษ”



“เรียนพิเศษ? ใครเขาทำเรื่องแบบนั้นหลังเลิกเรียนกัน! ” ว่าแล้วก็ออกแรงลากหวังเหล่ยเข้าไปในสนามได้สำเร็จ



คุณชายผู้เพียบพร้อมยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในสนามอย่างไม่ต้องสงสัย รุ่นพี่จื่อโจวมองหวังเหล่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับประเมิน



“ถ้าผมชู้ตลูกโทษลง พี่ให้ผมเปลี่ยนตัวนะ..นะ..นะ พี่จื่อ”



“ก็ได้ ให้ 3 ครั้ง” ซือสือคลี่ยิ้มกว้างมีหวังที่จะกู้คะแนนทีมตัวเองกลับมา แต่ได้แป๊บเดียว...เมื่อพี่จื่อโจวใช้กติกานอกกฎอีกรอบ



“ลงหนึ่งลูก ถอยหลังหนึ่งก้าว และต้องลงทั้ง 3” พูดจบก็ยักคิ้วหันหลังกลับไปทีมตัวเอง ไม่สนใจซือสือที่โวยวายตามหลัง



คิดว่าจะใจดีให้ 3 คะแนน ที่ไหนได้ โดนกดดันตั้ง 3 คะแนนต่างหาก



ซือสือรับเสื้อทีมจากรุ่นพี่ส่งให้หวังเหล่ย



“ไม่ได้บอกว่าจะเล่น”



“อย่าใจดำไปหน่อยเลยน่า ฉันขาเจ็บเนี่ย”



“ไม่เล่น” หวังเหล่ยยังคงยืนยันคำเดิมด้วยน้ำเสียงเฉยเมย



“ฉันจะตอบคำถามที่นายอยากรู้ โอเคไหม? ” ซือสือยื่นข้อเสนอ สายตามองตรงไปยังสนามพร้อมกับเป่าปากด้วยความเคยชิน เพราะอีกสักครู่จะต้องลงไปชู้ตลูกโทษตามกฎของรุ่นพี่



“ทุกคำถาม? ” หวังเหล่ยทวนคำ



“ชิ! ก็ได้ๆ ทุกคำถาม พอใจยัง” ซือสือรับปากพลางโบกมือไปมา แล้วใช้นิ้วโป้งปาดเหงื่อที่ปลายจมูก พ่นลมใส่หน้าตัวเองแล้วก้าวไปในสนาม



“พี่จื่อให้ 3 ลูก กติกาคือชู้ตลง 1 ลูก ก้าวถอยหลัง 1 ลูก” รุ่นพี่ที่เป็นกรรมการย้ำอีกรอบ



“รู้แล้วๆ ”



เสียงเฮดังขึ้นอีกครั้งรอบสนามเมื่อ ‘คนอวดดี’ อย่างซือสือชู้ตลูกแรกลงไปอย่างง่ายดาย ลูกที่สองต้องก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวก็ยังชู้ตลงได้อย่างแม่นยำ และต้องก้าวถอยไปอีกหนึ่งก้าว ซือสือยกลูกบาสขึ้นมาถือไว้นิ่งค่อยๆ ระบายลมหายใจออกตั้งสมาธิแล้วกระโดดตัวลอยเพื่อส่งแรงทั้งหมดไปที่ลูกบาสในมือ



ตึง!! ลูกบาสกระแทกเข้ากับห่วงแล้วหมุนคว้าง



ทุกคนรอบสนามนิ่งงันไปชั่วขนะ ลูกบาสหมุนเป็นวงกลมตามแนวห่วง



ผลุ่บ! และร่วงลงห่วงไปอย่างสวยงาม



เสียงเฮดังลั่น ไม่รู้ว่าเชียร์หรือโกรธหรือสมน้ำหน้า แต่ซือสือวิ่งกะเผลกกลับมาที่ขอบสนามพร้อมกับรอยยิ้มหน้าบาน แปลกใจที่เห็นหวังเหล่ยเอาเสื้อทีมสวมทับชุดนักเรียนไปแล้วเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันจะได้วิ่งถึงตัวหวังเหล่ย ก็ถูกลุ่มรุ่นพี่คว้าตัวไปกอดเสียก่อน



“ไอ้ตัวแสบ มาเข้าชมรมพวกเราเดี๋ยวนี้เลย” เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบสนามไม่รู้ทีมใครเป็นทีมใคร ก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง



แม้ว่าหวังเหล่ยจะเล่นดีมาก แต่ด้วยความที่ทีมโดนหักไปสิบคะแนน สุดท้ายก็ทำได้แค่สู้จนคะแนนสูสี ซือสือขอเปลี่ยนตัวเข้าไปในช่วง 10 นาทีสุดท้าย แม้จะไม่เคยร่วมเกมกับหวังเหล่ยมาก่อนแต่กลับเล่นร่วมทีมกันได้อย่างน่าประหลาดใจ จนกรรมการเป่าหมดเวลา ผลคือทีมซือสือแพ้ไปแบบเฉียดฉิวแค่ 4 คะแนน



แต่การแพ้-ชนะไม่เกี่ยวกับสัญญาที่ซือสือให้ไว้กับหวังเหล่ย



“ป่ะ! ไปบ้านฉันกัน”



“บ้านนาย? ”



ซือสือพยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง ราวกับว่าเรื่องสนุก...เพิ่งจะเริ่มต้น...อีกครั้ง…





*****************************





ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่6 [23/9/62]
«ตอบ #7 เมื่อ23-09-2019 08:54:59 »

หวังเหล่ยผู้ไม่เคยพ่าย





บ้านไม้ค่อนข้างเก่าแก่ตั้งอยู่ย่านการค้า ด้านหน้าเป็นร้านขายของชำและผักผลไม้เล็กๆ เมื่อเดือนตัดผ่านส่วนด้านหน้าบ้านเข้าไปด้านหลังจะมีสวนแบบโบราณกั้นกลางความวุ่นวายก่อนจะเดินไปยังห้องรับแขก





“มาช้า หักสองคะแนน”





“พี่ใช่ไหมที่สอนพี่จื่อโจว เขาหักคะแนนในเกมผมไปตั้งสิบคะแนน”





คนถูกกล่าวหากลับหัวเราะชอบใจแทนที่จะโกรธ ด้วยเพราะตัวเองเรียนจบในปีที่น้องชายอย่างซือสือเข้าเรียนพอดี เฉินลูร์จึงฝากฝังกับรุ่นน้องเอาไว้ให้ช่วยเป็นหูเป็นตาและดูแล ไม่คิดว่าจะได้รับการเอ็นดูเป็นพิเศษแบบนี้





“อ้าว..นั่นคุณชายจ้าวไม่ใช่เหรอ” เฉินลูร์หันไปทักคนที่อยู่ด้านหลัง ที่จำได้เพราะรู้จักกันกับพี่ชายและอาของอีกฝ่าย ทั้งยังเคยเจอกันตามงานสังคมบ้างเป็นครั้งคราว เป็นเด็กที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีและเพียบพร้อม ไม่คิดว่าจะถูกซือสือพามาได้





หวังเหล่ยโค้งหัวให้แทนการทักทายผู้สูงวัยกว่าด้วยมารยาทที่ถูกอบรมมาอย่างดี





“รู้จักกันเหรอ? ” ซือสือถามด้วยความสงสัยมองหน้าสองคนสลับกันไปมา





“เคยเจอกันตามงานเลี้ยงน่ะ”





ซือสือพยักหน้าว่าเข้าใจในคำตอบ แต่พอนึกถึงภาพหวังเหล่ยอยู่ในงานสังคมแล้วก็อดขำไม่ได้





หวังเหล่ยยังคงยืนนิ่งมองกระดานหมากรุกตรงหน้าเฉินลูร์แล้วเกิดคำถามในใจ





“ผมไปอาบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวลงมา”





เฉินลูร์พยักหน้าแล้วโบกมือด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย พลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วหันไปสนใจหนังสือในมือ แล้วซือสือก็คว้าข้อมือหวังเหล่ยให้วิ่งตาม ได้ยินเสียงแม่ตะโกนว่ามาจากหน้าบ้านเรื่องทำเสียงตึงตัง แต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะสะทกสะท้าน





ห้องขนาดกลางหวังเหล่ยยืนนิ่งไม่กล้าขยับตัว ปล่อยให้เจ้าของห้องเปิดตู้ค้นหาอะไรสักอย่าง ครู่เดียวหันมาก็มาพร้อมกับเสื้อยืดกางเกงขาสั้นกับผ้าเช็ดตัว





“ไปอาบน้ำกัน”





คิ้วหวังเหล่ยขมวดเข้าหากันฉับพลันพร้อมขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว แถมยังไม่ยอมรับของในมือซือสืออีกด้วย





“อะไร!?” ซือสือยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับยิ้มทะเล้นไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่หวังเหล่ยยังคงตีสีหน้าเมินเฉยได้อย่างแนบเนียนแม้ว่าในใจกำลังคิดอะไรยุ่งเหยิงอยู่ก็ตาม





“นายไปอาบในห้อง เดี๋ยวฉันลงไปใช้ห้องข้างล่าง เร็วๆ ด้วยล่ะ ถ้าให้พี่เฉินรอนานไม่ดีแน่” เจ้าตัวว่าพลางหันไปค้นหาของใช้ของตัวเองแล้ววิ่งปรู๊ดออกไปจากห้อง





หวังเหล่ยยังยืนนิ่งมองข้าวของในมือ ‘ทำไมเขาต้องมาบ้านคนอื่นและอาบน้ำด้วย! ’





หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น หวังเหล่ยรู้สึกว่าไม่สบายตัวอย่างมาก นั่นเพราะไม่เคยหยิบยืมของใช้ผู้อื่นมาก่อน อีกทั้งนี่ยังเป็นการมาบ้านคนอื่นเป็นครั้งแรก..แถมยังให้ห้องอาบน้ำอีกด้วย... แต่จะให้สวมเสื้อผ้าชุ่มโชกเหงื่อกลับลงไปนั่งก็คงไม่ดีนัก แต่เสื้อผ้าของเจ้าของห้องก็ดูจะเล็กเกินไปสำหรับตัวเขาด้วย





พอลงไปข้างล่างก็พบว่าทั้งสองคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ซือสือในชุดหลวมๆ ปลายผมยังเปียก ตรงหน้าของทั้งสองคนถูกคั่นกลางด้วยกระดานหมากรุกที่วางตัวไว้สองฝั่งพร้อมเล่นเรียบร้อยแล้ว





“ฉลาดคบเพื่อนเหมือนกันนะเรา” เป็นคำชมที่ชมพร้อมกันทั้งสองคน





“แน่นอน” ไม่ได้มีความถ่อนตัวใดๆ สำหรับคนอย่างซือสือ





“ซือสือบอกว่านายอยากรู้ ว่าทำไมถึงสอบเข้าได้อันหนึ่งใช่ไหม”





หวังเหล่ยมองไปทางคนรายงานข่าวด้วยหางตาแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ





“กินข้าวก่อนได้ไหมอ่า หิวอ่าาาาา” ซือสือต่อรอง





“เล่นหนึ่งตา ค่อยกิน” เฉินลูร์รู้ว่าเพื่อนใหม่ของน้องชายภายใต้สีหน้าราบเรียบน่าจะร้อนใจอยากรู้





ซือสือยื่นมือไปหยิบแผ่นไม้ในกระบอกไม้ไผ่ข้างๆ ขึ้นมา 1 อัน แล้วก็ทำหน้าเบ้ แล้วยื่นให้พี่เฉินลูร์ดู





“ง่ายๆ เดี๋ยวก็จบ”





แล้วเกมก็เริ่มขึ้น กติกาคือหมากรุกทั่วไป แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือพี่เฉินลูร์จะเป็นคนเริ่มตั้งคำถามแรก เมื่อซือสือตอบได้ก็จะได้เดินหน้าไป 1 ตา และได้โอกาสถามในคำถามถัดไป หากฝ่ายตรงข้ามตอบได้ ก็จะสลับกันเดินเหมือนหมากรุกปกติ แต่ถ้าตอบไม่ได้ พี่เฉินจะได้เดินก่อนและถามต่อไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าจะได้เดินตัวหมากไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน และหนังสือเล่มที่หยิบออกมาเล่มแรกคือหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยวิชาเกี่ยวกับสังคมฯ





การถาม-ตอบสลับกันไปมาอย่างสูสี แน่นอนว่าเกมหมากรุกก็เข้มข้นตามไปด้วย สมองต้องคอยคิดหาคำตอบและต้องคอยคำนวณเกมบนกระดานไปด้วย





“ผมชนะ!!!! เย้!! กินข้าวววววววว” คนชนะไม่รอให้มีใครชื่นชม วิ่งปรู๊ดออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้สองคนที่เหลือหันมาสบตากันในความเงียบ





หวังเหล่ยไม่ถนัดเปิดบทสนทนาคุยกับคนอื่นก่อน





“เด็กนั่นไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ แค่อวดดีไปหน่อย” ท้ายประโยคเฉินลูร์หลุดหัวเราะออกมา





“พี่เฉินฝึกแบบนี้ให้ทุกวันหรือครับ? ” หวังเหล่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ





“ฝึก? ฮ่าๆ ” คำตอบที่หวังเหล่ยได้กลายเป็นเสียงหัวเราะ ก่อนที่พี่เฉินจะอธิบายให้ฟังยืดยาวขณะรอเวลาอาหารเย็น





หวังเหล่ยให้ความเคารพเฉินลูร์มาก นั่นเพราะพี่เฉินเป็นตำนานของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ สอบได้คะแนนเต็ม 100% ทุกวิชา แถมยังเป็นอัจฉริยะในทุกด้าน เป็นคนจากตระกูลใหญ่ที่มีคนนับหน้าถือตา ไม่คิดว่าจะรู้จักกับครอบครัวธรรมดาแบบนี้ พี่เฉินเล่าต่อว่าพ่อของเขาเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของซือสือสองครอบครัวสนิทกันมาก หากไม่ติดว่าที่ดินแถวนี้เป็นย่านการค้า คงได้มากวาดซื้อที่แถวนี้ปลูกบ้านใกล้ๆ กัน ตั้งแต่เด็กแล้วที่พี่เฉินกับน้องสาวถูกพามาเล่น มากินข้าวที่บ้านนี้บ่อยๆ รุ่นลูกจึงสนิทกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ อย่างวันนี้น้องสาวบ้านนี้ก็ไปค้างที่บ้านพี่เฉิน





สำหรับพี่เฉินบ้านหลังนี้เหมือนบ้านหลังที่สอง และการมีน้องชายอย่างซือสือไม่ใช่เรื่องง่าย ‘เจ้าเด็กอวดดี’ อย่างที่ว่าการ ‘ฝึก’ หรือเรียนพิเศษอย่างเข้มงวดอะไรนั่นใช้รับมือกับเด็กอย่างซือสือไม่ได้ เลยต้องใช้การหลอกล่อด้วยวิธีอื่น และซือสือก็เป็นเด็กฉลาดอย่างกับว่าจะเจริญรอยตามพี่ชายทุกฝีก้าว





“ข้าวเสร็จแล้วคร้าบบบบบ ใครช้าโดนยึดหมูทอด” พูดถึงปุ๊บเสียงตะโกนเจ้าตัวก็ดังขึ้น และที่ได้ยินเสียงร้อง ‘โอ๊ย’ ตามมาคงเพราะโดนแม่ฟาดเข้าให้





“เอาล่่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้านเอง”



“ไม่เป็นไรครับ” หวังเหล่ยปฏิเสธอย่างมีมารยาท



การทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคยเช่นเดียวกันสำหรับหวังเหล่ย พ่อแม่ของซือสือเป็นคนใจดี และที่สำคัญอาหารอร่อยอย่างที่เจ้าบ้านคุยโม้โอ้อวดเอาไว้





หลังอาหารมื้อเย็นจบลง หวังเหล่ยยังได้เห็นเกมของซือสืออีกรอบโดยวิชาที่จับได้เป็นวิชาคำนวณ และเพิ่งรู้ว่าพี่เฉินเองก็ไม่ใช่คนใจดีเสียทีเดียว โจทย์ที่เอามาแต่ละข้อบางข้อเป็นการแข่งขันระดับประเทศ (ซึ่งผู้เล่นอย่างซือสือไม่รู้ตัว) บางข้อยากในระดับที่โรงเรียนสอนพิเศษที่เขาเรียนยังไม่เอามาสอน ผ่านไปเกือบครึ่งคืน จบเกมที่ซือสือยอมแพ้เพราะง่วง….





“นายมาเล่นต่อสิ” เจ้าตัวนอนกลิ้งไปกับพื้นตาปรือเหมือนคนที่พร้อมจะหลับ





“เอาไว้คราวหน้า วันนี้พอก่อน” เฉินลูร์ดูสภาพร่างกายแล้วไม่น่าจะไหว และมันก็ดึกมากแล้ว





หวังเหล่ยยืนกรานที่จะกลับเองไม่ยอมให้เฉินลูร์ไปส่ง ซือสือจึงดื้อดึงเดินออกมาส่งข้างหน้าจนได้





“นาย….? ” คนที่ทำเหมือนง่วงนอนจะเป็นจะตายเมื่อกี้กำลังยิ้มทะเล้น





“อะไร? ” หวังเหล่ยถามกลับโดยไม่หันไปมองคนข้างๆ ให้เสียอารมณ์





“ก็นาย..ไม่มีอะไรจะถามเหรอ? ไหนว่าจะถาม”





“ไม่ถามแล้ว”





“ไม่ถามเหรอ? งั้น..นายจะมาบ้านฉันอีกไหม” ซือสือถามเหมือนเป็นเรื่องสนุกที่หวังเหล่ยจะแวะมาอีก





“...” ไม่มีคำตอบจากปากหวังเหล่ย





“อ่าาา..นายต้องไปเรียนพิเศษสินะ ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย”





“...” หวังเหล่ยยังคงเดินต่อไปเงียบๆ





“นี่..จำเป็นต้องเรียนหนักขนาดนั้นเหรอ? หนังสือเรียนไม่จำเป็นต้องอ่านในห้องก็ได้หนิ”





“ไร้สาระ” คราวนี้หวังเหล่ยกดเสียงต่ำในลำคอหัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ไม่สนใจมองคนที่เดินหัวเราะอยู่ข้างๆ





“คนเราเกิดมาเป็นเด็กครั้งเดียว เป็นวัยรุ่นครั้งเดียว แล้วจากนั้นก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ ควรเต็มที่กับชีวิตในทุกช่วงวัย ไม่งั้นจะมาเสียใจทีหลังนะ”





“ไร้สาระ” เสียงของหวังเหล่ยกดต่ำลงไปอีกระดับ





“งั้นเอางี้ไหม ถ้าสอบคราวหน้าฉันได้ที่หนึ่งอีก พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ”





หวังเหล่ยหยุดเดินหันไปมองคนที่เดินข้างๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะพูดออกมา





“ไม่มีทาง”





แล้วเสียงหัวเราะของซือสือก็ดังขึ้น





ขณะที่หวังเหล่ยหมุนตัวเดินต่ออย่างไม่คิดจะสนใจ





‘ไม่มีทาง’



ไม่มีทางที่หวังเหล่ยจะแพ้อีกเป็นครั้งที่สอง







****************************





#Talk : ไม่มีทางที่จะยอมแพ้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้ปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนกันเด้อ //แซวววววว

ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยจ้าblush​




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่6 [23/9/62]
«ตอบ #8 เมื่อ23-09-2019 10:36:31 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่6 [23/9/62]
«ตอบ #9 เมื่อ23-09-2019 11:23:12 »

 :katai5: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่6 [23/9/62]
« ตอบ #9 เมื่อ: 23-09-2019 11:23:12 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่7 [24/9/62]
«ตอบ #10 เมื่อ24-09-2019 08:22:44 »

ร่องรอยในอดีต  และ 10ปีหลังจากนั้น







เขาเป็นคนไม่ชอบพูด แต่ชอบที่จะลงมือทำเสียมากกว่า





แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว หวังเหล่ยคือคนที่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด คิดเสมอว่าถ้าลองได้ลงมือทำแล้วจะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง ด้วยเป็นตระกูลผู้ดีเก่า ทั้งตระกูลสืบเชื้อสายผู้รักษากฎหมายมาหลายชั่วอายุคน ถึงตอนนี้ทั้งพ่อและพี่ชายก็สังกัดอยู่ในกรมตำรวจด้วยตำแหน่งใหญ่โตและเป็นที่รู้กันว่าตงฉินมาก





“สอบได้อันดับหนึ่งอีกแล้วเหรอ ดีมาก”





‘อีกแล้วเหรอ’ คำต่อท้ายประโยคที่เด็กชายหวังเหล่ยไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รู้ว่าเป็นคำชมของพ่อ มือของพี่ชายที่อายุห่างกันลูบหัวเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดู





เรื่องราวมักจะจบอยู่แค่นั้นทุกครั้ง และในทุกๆ วันที่กลับจากเรียนพิเศษ แม้จะดึกแล้วแต่ไฟในบ้านก็ยังมืดสนิท หวังเหล่ยชินเสียแล้วกับการกลับมาบ้านแล้วไม่เจอใคร





.

.

.

.

.

.





99.99%





คราวนี้หวังเหล่ยจะไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าไปพลาดตรงไหนทั้งๆที่ควรจะได้คะแนนเต็ม ในตอนพักเที่ยงเขาจะไปสอบถามอาจารย์ดูอีกครั้ง





“หวังเหล่ย!” ใครบางคนที่หวังเหล่ยคิดว่าน่ารำคาญ เดินมานั่งบนโต๊ะเขาอย่างถือวิสาสะและใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง





เมื่อถูกเจ้าของโต๊ะมองด้วยหางตาด้วยความไม่พอใจ เจ้าตัวก็ทำหน้าเบ้แล้วหันไปลากเก้าอี้ตัวเองที่อยู่ข้างๆ มานั่งแทน





“ผลสอบล่ะ” เจ้าตัวเซ้าซี้ด้วยสีหน้ารื่นเริง “เร็วๆ ดิ๊! ” ทำท่าจะยื่นมือมาคว้ากระดาษในมือ แต่หวังเหล่ยเอี้ยวตัวหลบได้ทัน แล้วหันไปมองด้วย





“ชิ! ขี้งก! ”

เมื่อหวังเหล่ยยังคงนิ่ง ซือสือเลยเปิดผลสอบของตัวเองออกให้อีกฝ่ายได้ดูก่อน



ผลสอบรอบนี้….มีอันดับหนึ่งสองคน



“เท่ากัน! เย่! ” ซือสือทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องยินดี แต่หวังเหล่ยผ่อนลมหายใจออกอย่างรำคาญ



"เป็นลูกผู้ชายการผิดคำพูดเป็นเรื่องน่าละอายนะ" ซือสือยังคงตอบย้ำด้วยรอยยิ้มทะเล้น



อันที่จริง...หวังเหล่ยก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำมาตั้งแต่แรก



นับแต่นั้นเป็นต้นมา รอยยิ้มน่ารำคาญนั่นก็แทบจะเป็นเงาตามตัวหวังเหล่ย….







---------------









10ปีต่อมา [ปัจจุบัน]



'เคสนี้เกรงว่านายจะปฏิเสธไม่ได้' ผู้บริหารโรงพยาบาล ยื่นประวัติคนไข้ที่ระบุแพทย์มาตรงหน้า น้อยครั้งนักที่ระดับผู้บริหารจะเรียกพบคุณหมอในโรงพยาบาลเพื่อคุยเป็นการส่วนตัวแบบนี้ และนี่เป็นครั้งที่สามแล้ว



สายตาเย็นชาปรายมองแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น 'ผมขอปฏิเสธ' เป็นอีกครั้งที่คุณหมอยืนกรานด้วยน้ำเสียงจริงจังและแน่วแน่เหมือนเช่นที่ผ่านมา



'อย่าทำแบบนี้ เรื่องมันผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว' เฉินลูร์เข้าใจถึงการสูญเสียคนสำคัญ และเข้าใจด้วยว่าคนไข้เคสนี้เป็นคนสำคัญเพียงใด



'ผมจะแนะนำคนอื่นให้' คุณหมอหนุ่มลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วโค้งให้อีกฝ่ายด้วยความเคารพ



'ฉันปล่อยให้เด็กคนนั้นตายไม่ได้ อยากให้เข้าใจ' เฉินลูร์บอกอย่างสิ้นหวัง



คุณหมอหนุ่มยังคงยืนนิ่ง สีหน้านั้นเย็นชาไร้ความรู้สึกเสียจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรในใจ



"ผมก็อยากให้เข้าใจ..." สายตาเย็นชาหันมาสบกับแววตาของเฉินลูร์อย่างตรงไปตรงมา และพูดต่ออย่างตรงไปตรงมาตามนิสัยคนไม่ค่อยพูด



"ผมก็ทนมองหน้าเด็กนั่นไม่ได้เหมือนกัน" พูดจบแล้วโค้งหัวอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผู้บริหารอย่างเฉินลูร์ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ด้วยสีหน้าหมดหวัง

.

.

.

.

.





สายตาที่เมินเฉยต่อทุกสรรพสิ่งพอๆ กับสีหน้าที่ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ ของคุณหมอหวังเหล่ย ในตอนนี้กำลังจับจ้องไปที่สวนพิเศษของแขก VIP ร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นกำลังขมักเขม่นกับจอคอมฯ บนตักราวกับไม่สนใจผู้ใด

ในใจหวนคิดไปถึงอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อน



"ฉันอยากจะเป็นหมอที่เก่ง" ซือสือบอกด้วยสีหน้าจริงจังและมุ่งมั่น นั่นทำให้หวังเหล่ยรู้สึกภูมิใจ....แต่ประโยคถัดมา..."เพราะพี่เฉินบอกว่าจะยกโรงพยาบาลให้ ถ้าฉันสอบติด" นั่นทำให้หวังเหล่ยรู้สึกผิดที่รู้จักคนอย่างซือสือขึ้นมา



"นายนี่มัน! "



"ฮะ....ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ หวังเหล่ย! นายนี่มันเชื่อคนง่ายจริงๆ นะ" ซือสือหัวเราะเยาะ พร้อมกับเอนตัวเอาไหล่กระแทกเข้ากับไหล่หวังเหล่ยแล้วเอนตัวนอนกลิ้งไปบนพื้นหญ้า



"ไม่ได้เชื่อคนง่าย" หวังเหล่ยเถียงกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "แค่เชื่อนาย"





คิ้วเรียวคุณหมอขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นแผ่นหลังเล็กนั่นสะดุ้ง เหมือนมีวัตถุสีดำพุ่งเข้าใส่ ไม่นานนักเจ้าตัวก็ยกเจ้าวัตถุปริศนานั้นขึ้นมา ถ้ามองจากตรงนี้ก็เห็นว่าเป็นลูกแมว เจ้าตัวที่ยังอยู่ในรถเข็นพยายามหันซ้ายหันขวาเหมือนหาที่มา แต่จากมุมสูงตรงนี้ที่หวังเหล่ยเห็น... สุนัขตัวหนึ่งกำลังกระโจนข้ามรั้วพุ่มไม้เตี้ยๆ เข้ามา



รถเข็นหมุนคว้างหันหลัง ใบหน้าคนป่วยวิตกสุดชีวิต แต่กลับไม่ยอมปล่อยลูกแมวและกอดแนบไว้กับอก อย่างกับว่าโน้ตบุ๊คตัวนั้นมันจะช่วยอะไรได้มีแต่จะเกะกะเสียมากกว่า และด้วยความที่ยังเดินได้ไม่คล่อง แขนสองข้างก็ยังไม่มีแรงมากนักเนื่องมาจากเพิ่งฟื้นตัวและอยู่ในสภาวะกายภาพบำบัด ต่อให้ออกแรงหมุนล้อรถเข็นเท่าไหร่มันก็ไม่ไวไปกว่าสัตว์สี่เท้าที่กำลังกระโจนเข้าใส่เต็มกำลังได้



หวังเหล่ยขยับตัวไปด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติด้วยลืมว่าตัวเองอยู่บนตึก



มีเสียงโวยวายดังขึ้นที่สวนด้านหลังตอนที่หวังเหล่ยวิ่งลงมา



"ช่วยด้วยๆ กลัวๆ " เด็กคนนั้นกำลังตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของพี่เฉินลูร์



ปลายเท้าหวังเหล่ยหยุดชะงักยืนนิ่ง มองคนป่วยในอ้อมแขนของผู้บริหาร ก่อนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยจะวิ่งกรูกันเข้ามา และพยาบาลที่วิ่งเข้ามาพร้อมรถเข็นอีกคันช่วยรับตัวผู้ป่วย



รถเข็นผู้ป่วยถูกเข็นผ่านหน้าหวังเหล่ยไป วินาทีนั้นเอง ราวกับความทรงจำเมื่อ 10 ปีก่อนย้อนกลับมา ใบหน้าของใครบางคนซ้อนทับกับคนป่วยราวกับคนคนเดียวกัน





***************************





#คนเขียน : อธิบายการตัดสลับพาร์ทไป-มา
ตอนต้นคือพาร์ทอดีตก่อนซือสือตาย
ส่วนที่ต่อจากจาก 10ปีต่อมา  คือการตัดกลับมาปัจจุบันที่อยู่ในร่างของหลิ่งซือเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน :hao5:

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่8 [27/9/62]
«ตอบ #11 เมื่อ27-09-2019 08:25:43 »

เผชิญชะตากรรม



‘เฮ้! พี่ชาย รู้นะว่าแกล้งหลับ ลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย! ’



เสียงตะโกนเรียกที่น่ารำคาญ คนที่กำลังหลับตาแน่นทำเป็นไม่ได้ยิน ..แหงล่ะ ใครบ้างจะไปอยากได้ยินเสียง ‘ผี’ ลองลืมตาขึ้นมาสิ ไอ้เด็กนั่นมันต้องลอยอยู่ตรงหน้าแน่ๆ



‘พี่ชาย’



‘ถ้าพี่ชายไม่ยอมตื่นมาคุยกัน ผมจะนั่งทับหัวพี่’



“โธ่เว้ย!! โอ๊ย...ซี้ด…..” คนเจ็บที่ไม่ได้ระวังตัวเปิดผ้าห่มแล้วผุดลุกขึ้นมานั่ง ถึงกับร้องโอดโอยด้วยความเจ็บเนื้อตัวจากเหตุการณ์หอบแมวหนีหมาด้วยรถเข็นเมื่อวันก่อน นึกภาพแล้วก็สมเพชตัวเอง สภาพไม่น่าช่วยเหลือใครได้ก็ยังมีหน้าไปช่วยแมว



‘ชู่ววววววว์ อย่าเสียงดังสิพี่ เดี๋ยวพวกพี่สาวพยาบาลก็เข้ามาทำให้หลับอีกหรอก’



ก็จริง! ตั้งแต่ฟื้นมา อาการทางกายก็ดีขึ้นตามลำดับจนคุณหมอยังชม แต่พวกเขาเหล่านั้นประเมินว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือน มีอาการเพ้อพูดจาไม่รู้เรื่อง บางครั้งก็โวยวายคนเดียว



ซึ่ง...มันไม่มีใครมองเห็นไอ้ผีเด็กนี่ไง



“มีอะไรว่ามา” โชคดีที่ห้องนี้เป็นห้องพิเศษ ซือสือลุกขึ้นมานั่งขัดเอามือกอดอก



‘พี่ไม่เห็นบอกว่ากลัวหมา? ’ วิญญาณหลิ่งซือที่นั่งกอดอกในท่าเดียวกันมอง



“อะไร? ตอนเป็นผีฉันไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เหรอ หรือว่า...ที่บ้านนายเลี้ยงหมาเป็นฝูง! ”



หลิ่งซือส่ายหัวแทนคำตอบของทุกคำถาม ซือสือถอนหายใจอย่างโล่งอก



“เมื่อตอนเด็กๆ ผมเคยจมน้ำเพราะวิ่งตามหมา เลยไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์อีกเลย”



“อย่าบอกนะ ว่าฉันในร่างนี้ต้องว่ายน้ำไม่เป็น? ” ซือสือชี้ที่อกตัวเอง แม้วิญญาณเจ้าของร่างจะไม่ตอบก็พอจะรู้ว่าร่างกายนี้ไม่เคยได้รับการฝึกฝนเลย ไม่มีร่องรอยของคนที่เคยออกกำลังกาย ตอนทำกายภาพแรกๆ สภาพเลยเหมือนหุ่นยนต์เดินได้



“นายนี่มันอ่อนแอกว่าที่ฉันคิดอีกนะ” ซือสือทำแกล้งบ่นพึมพำให้ได้ยิน น่าแปลกที่วิญญาณเจ้าของร่างไม่เถียงฉอดๆ กลับเหมือนอย่างเคยกลับมีสีหน้าเศร้าสลดให้เห็นแทน



“ใช่สิ! ผมมันอ่อนแอ! ”



“เดี๋ยว! ไม่ใช่...” ยังไม่ทันจะได้พูดจบ วิญญาณของหลิ่งซือก็เลือนรางหายไปเสียก่อน ซือสือคว้าได้แค่อากาศว่างเปล่าแยกเขี้ยวกับตัวเองด้วยความเจ็บใจ



นึกย้อนไปเมื่อวันก่อนแล้วก็เอามือกุมขมับ ใครจะไปรู้ว่าโรงพยาบาลที่นอนอยู่ตอนนี้จะเป็นโรงพยาบาลของตระกูลเฉิน หลังจากช็อกที่โดนหมาไล่ตาม แล้วก็ยังมาช็อกอีกรอบตอนที่พี่เฉินมาช่วยนี่แหละ



ไม่คิดไม่ฝันว่าบทจะเจอก็เจอเลย



ในอกมันหนักอึ้งรู้สึกเจ็บจนต้องทุบกำปั้นลงไปสองสามที เมื่อนึกไปถึงใบหน้าคนที่อยากเจอที่สุด



...หวังเหล่ย...10 กว่าปีมานี้ นายเป็นยังไงบ้าง...





…………



………



..



.



นอกจากตารางกายภาพที่ต้องทำ ยังมีตารางประเมินสภาพจิตใจและสมองด้วยเพราะคนป่วยที่ฟื้นจากการเป็นผู้ป่วยติดเตียงมาเกือบปีดันจำอะไรไม่ค่อยได้ (ก็แน่สิ) ถ้าวิญญาณเจ้าของร่างไม่อยู่ด้วยก็ไม่มีข้อมูลอะไรเลย เป็นผีที่งอนเก่ง ไอ้เด็กเอาแต่ใจ เดี๋ยวรอให้โผล่มาก่อนเถอะ



แม้ว่าตอนนี้ซือสือจะเดินได้ก้าวสั้นๆ แล้วก็ยังต้องใช้ไม้ค้ำช่วยพยุงตัวอยู่ดี ถึงจะน่ารำคาญไปหน่อยแต่หมอเจ้าของไข้ก็บอกว่าถ้าพยายามเดินได้ด้วยตัวเองได้ จะทำให้เดินได้เองเร็วขึ้น หลังจากวันนั้นซือสือก็ค่อนข้างเข็ดขยาดกับการลงไปที่สวนด้านล่าง เลยเลือกที่จะขึ้นไปบนดาดฟ้าแทน



มีผู้ป่วยที่ออกมาพักผ่อนประปราย ซือสือเลือกเดินไปนั่งข้างเด็กชายคนหนึ่ง อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นว่าหนังสือในมือเป็นหนังสือเรียนแทนที่จะเป็นนิยายหรือหนังสือภาพทั่วไปตามวัย



“การบ้านเหรอ? ”



เด็กชายหันมามองหน้าคนถาม แล้วหันไปมองหนังสือในมือ ก่อนจะส่ายหัวแทนคำตอบ



“ผมไม่มีการบ้าน ไม่เคยมี” เจ้าตัวทำเสียงเศร้าแล้วก้มหน้ามองหนังสือในมือ ซือสือมองสายรัดข้อมือ ‘ปินปิน’ คือชื่อของเด็กชาย



“ไหนขอพี่ชายดูสิ” ซือสือทำเป็นชะโงกหน้ามองเนื้อหาที่เปิดค้างไว้ วิชาคำนวณระดับประถม



‘เด็กคนนั้นป่วยหนัก’ เสียงกระซิบที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำเอาสะดุ้ง ดีว่ากัดปากไม่ให้ตะโกนโหวกเหวกออกไปได้ ทำได้แค่ทำปากขมุบขมิบก่นด่าวิญญาณเจ้าของร่างในใจ นึกจะมาก็มานะ!!



“ถึงแค่ไหน? ” คำถามที่พูดออกไปนั้นถามทั้งวิญญาณ และยิ้มให้เด็กชายปินปินด้วยในคราวเดียวกัน



ปินปินชี้ไปที่โจทย์ข้อหนึ่งของหน้าที่เปิดค้างไว้



‘วิญญาณเขาดูเลือนรางมาก’ และอีกคำตอบหนึ่งมาจากวิญญาณที่นั่งอยู่บขอบเก้าอี้ เมื่อรู้แบบนั้นสีหน้าเปื้อนยิ้มของซือสือก็สลดลง



“พี่ชายก็ไม่รู้คำตอบเหรอ? ” คำถามของปินปินดึงสติซือสือกลับมา



“เรื่องแค่นี้ ให้พี่ช่วยสอนไหมล่ะ” เด็กชายทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “เชื่อมือพี่ชายได้เลย” ซือสือยืดอกอวดอีกครั้ง



“พี่เคยไปโรงเรียนไหม? ”



“อืม, เคยสิ” เด็กชายตรงหน้ามีท่าทางเศร้าอีกครั้งเมื่อพูดถึงโรงเรียน



“ผมก็อยากไปบ้างจัง”



‘เด็กโง่! ที่นั่นไม่มีอะไรน่าจดจำขนาดนั้นหรอกนะ’ วิญญาณหลิ่งซือพูดขึ้นมา ซือสือหันไปแยกเขี้ยวใส่ แน่นอนว่าถ้ามีคนเห็น..ก็คงจะเห็นว่าแยกเขี้ยวใส่อากาศ….



“หนังสือเรียนไม่จำเป็นต้องอ่านในห้องเรียนอย่างเดียวนี่” ซือสือพูดพลางเอื้อมไปจับหัวปินปินโยกไปมา



“ปินปิน ได้เวลากินยาแล้วลูก”



แม่ของปินปินขึ้นมาตาม เธอยังอายุไม่เยอะแต่กลับมีสีหน้าหม่นหมองและแววตาเศร้าสลดเหมือนคนที่พร้อมจะร้องไห้ตลอดเวลา ซือสือโค้งหัวเล็กน้อยให้ตามมารยาท



“พี่ชายเขาจะสอนหนังสือให้ผมล่ะ” ปินปินหันไปอวดผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มสดใสเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้



“ขอบคุณมากค่ะ คุณ…? ”



“ซือ….เอ่อ...หลิ่งซือครับ...” เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบจะพูดชื่อจริงตัวเองออกไป



“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกับปินปินค่ะ” แม่ของปินปินโค้งให้อีกครั้งก่อนประคองลูกชายกลับเข้าไปข้างใน



ซือสือยืนมองจนกระทั่งสองแม่ลูกลับตาไปถึงได้หยิบหูฟังไร้สายขึ้นมาเสียบหูแล้วหยิบไอแพดรุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมาเปิด ยุคนี้สมัยนี้มันก็ต้องปรับตัวกันหน่อย มันจะไปยากอะไรสำหรับคนหัวไวอย่างเขา ยิ่งมานอนอยู่เฉยๆ ในโรงพยาบาลด้วยแล้วยิ่งน่าเบื่อต้องหาเรื่องทำ



“เอาล่ะ! ตอบมาให้ครบทุกข้อ” ซือสือทำเป็นพูดกับอุปกรณ์ในมือ แต่เคาะนิ้วไปบนจอให้วิญญาณหลิ่งซือที่อยู่ข้างๆ ดู



วิญญาณหลิงซือชะโงกมองแล้วเบ้ปาก ก็นั่นมันคำถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของตัวเองทั้งหมด และซือสือก็รู้ทันว่าเขากำลังจะหายแวบไปอีก ถึงได้ทำเป็นยืดเส้นยืดสายแล้วก็ล็อกคอผีเอาไว้ได้



“อย่าให้ต้องใช้กำลัง” กระซิบขู่เสียงลอดไรฟันเพื่อบอกว่าไม่ได้จะเล่นๆ



‘ทำไมอ่ะ’



“พรุ่งนี้ต้องประเมินสภาพจิต เอาเท่าที่ได้” ซือสือตอบเสียงเรียบ สายตามุ่งมั่นกับการพิมพ์ข้อความ



‘แล้วพี่จะจำได้หมดเหรอ กี่ร้อยข้อเนี่ย’



“หึ! อย่าดูถูกคนอย่างฉัน เจ้าเด็กน้อย” เรื่องโอ้อวดความเก่งกาจของตัวเอง ยกให้ซือสือคนนี้เถอะ รอยยิ้มแต่งแต้มบนมุมปาก ถือซะว่าการประเมินพรุ่งนี้คือการสอบเข้า (บ้าน) ก็แล้วกัน



‘ทำไมรีบร้อนจัง อยากไปบ้านผมนักเหรอ’



“เปล่า”



‘งั้นทำไม…? ’



“สัญญา” พูดไปขณะที่มือก็พิมพ์ไปด้วยเพราะยังไม่ได้เก็บรายละเอียดของคนในบ้านคนอื่นๆ ตอนนี้ซือสือเริ่มใช้อุปกรณ์ใหม่นี่คล่องแล้ว และกำลังวาดแผนผังครอบครัวของร่างกายใหม่นี่อยู่



‘สัญญา? ’ หลิ่งซือทำหน้างงแล้วถามกลับ



“สมอง! มีไว้จำอะไรได้บ้างไหมห่ะ” ซือสือหันมาว้ากใส่วิญญาณที่นั่งข้างๆ พลางเอานิ้วมือจิ้มหน้าผากอีกฝ่ายไปด้วย ลืมไปว่ามีตนเพียงคนเดียวที่เห็นและแตะต้องอีกฝ่ายได้ คนอื่นๆ จึงมองมาด้วยสายตาประหลาด ก็เลยกลบเกลื่อนด้วยการยกมือค้างในอากาศแล้วก็กดหูฟังไร้สายที่หู



ส่วนวิญญาณที่นั่งข้างๆ ก็หัวเราะลั่นจนตัวงอ



“พี่ไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญาก็ได้นี่ ยังไงผมก็ไม่ได้ผูกพันอะไรกับร่างกายนี้ ชีวิตนี้ เดี๋ยวก็คงได้ไปเกิดเอง...” วิญญาณหลิ่งซือเริ่มเลื้อยลงนอนแล้วลอยไปมาในอากาศเหมือนเคย



“เป็นลูกผู้ชายการผิดคำพูดเป็นเรื่องน่าละอาย”



ราวกับว่าประโยคนั้นเพียงพูดขึ้นมาลอยๆ นั่นเพราะสายตาของซือสือทอดมองไปไกลเกินกว่าจะเป็นการชื่นชมวิวมุมสูงของตึกตรงหน้า



“ไง! ” เสียงทักจากด้านหลังทำให้ซือสือหันกลับไปมอง รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที นั่นเพราะคนที่เข้ามาทักไม่ใช่ใครอื่นสำหรับซือสือ



10กว่าปีแล้วสินะ พี่เฉินดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก และยังคงน่าเคารพเหมือนเดิม ซือสือมองคนข้างๆ ด้วยความภูมิใจ เกือบไปแล้ว...เกือบจะตะโกนเรียกชื่อ ‘พี่เฉิน’ ออกไป



เฉินลูร์ย่อตัวลงนั่งข้างๆ ซึ่งซ้อนทับกับวิญญาณของหลิ่งซือพอดี ซือสือแทบจะหลุดหัวเราะออกมาตอนเห็นวิญญาณทำหน้าไม่พอใจแล้วขยับไปนั่งอีกฝั่งแทน



“วันก่อน ขอบคุณมากครับ” ซือสือไม่ลืมขอบคุณเรื่องวุ่นวายเมื่อวันก่อน



เฉินลูร์พยักหน้าตอบรับคำขอบคุณ เบือนหน้ามองไปตรงหน้าด้วยสายตาล่องลอยแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ



“ฉันก็เคยมีน้องชายที่กลัวหมามากคนหนึ่ง”



คำว่า ‘เคยมี’ ทำให้คนฟังรู้สึกว่าหัวใจกระตุกวูบ เสี้ยวใบหน้าของคนพูดมีแววเศร้าสร้อยชัดเจน



“จากนี้ไปสัญญากับฉันได้ไหม? ” เฉินลูร์หันกลับมามองซือสือด้วยสีหน้าจริงจัง



“คะ..ครับ? ”



“จะไม่ทำร้ายตัวเองอีก หากมีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ ให้นักถึงฉัน” เฉินลูร์ยื่นนามบัตรตัวเองให้อีกฝ่าย



ฝ่ามือผอมบางยื่นออกมารับอย่างว่าง่าย เพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่ความสงสัยในใจลึกๆ ทำให้ซือสือเอ่ยถามออกมา



“ทำไม...ถึงดีกับผม? ” ซือสือถามเพราะเท่าที่หาข่าวมาจากสื่อต่างๆ สองตระกูลตัดขาดกันเมื่อสิบปีก่อน แล้วซือสือก็มารู้ทีหลังว่าที่หลิ่งซือได้รับการดูแลเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ไม่ใช่มาจากอำนาจของครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่นั่นเป็นเพราะพี่เฉินรับหลิ่งซือเป็นคนป่วยพิเศษในนามตัวเอง



“คิดว่าเป็นพี่ชายอีกคนก็ได้” เฉินลูร์ยิ้มอ่อนโยนเหมือนเคยพลางวางมือลงบนหัวเด็กหนุ่มแล้วลูบเบาๆ



ซือสือรู้สึกตื้นตันในอกเกินกว่าจะพูดออกมาจึงพยักหน้าตอบรับเงียบๆ เมื่อสิบปีก่อนก็ได้พี่ชายคนนี้ช่วยอบรมสั่งสอน ได้เกิดใหม่ในร่างใหม่ก็ยังมีวาสนา



‘ผมจำไม่ได้ ว่าเคยรู้จักพี่ชายคนนั้น’ วิญญาณหลิ่งซือพูดขึ้นเมื่อพี่เฉินเดินจากไปแล้ว



“พี่เฉิน” ซือสือพูดเสียงเบา



‘พี่ชายรู้จักเหรอ’



ซือสือตอบกลับเพียง ‘อืม’ ในลำคอพร้อมกับยกมือปาดหางตาอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะทันเห็นน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลออกมา...





……………..





วันรุ่งขึ้นก่อนการประเมินสุขภาพจิต สือซือถูกเชิญตัวไปยังห้องพิเศษอีกห้อง โดยที่พยาบาลพิเศษขออนุญาตเก็บอุปกรณ์การสื่อสารทุกชนิดไม่ให้นำติดตัวเข้าไป เมื่อเข้าไปด้านใน มีเพียงเก้าอี้และโต๊ะวางอยู่กลางห้อง และบนโต๊ะมีกระดาษกับปากกาวางอยู่



“อะไรเนี่ย” ซือสือหยิบขึ้นมาดู แล้วเกาหัวแกรกๆ เป็นกระดาษข้อสอบปึกหนึ่ง



การประเมินคือแบบนี้เองเหรอ? ให้ทำข้อสอบเนี่ยนะ



ตอนแรกที่คิดไว้คือจะเรียกวิญญาณของหลิ่งซือให้ตามมาด้วย แต่พอเห็นข้อสอบซือสือก็เดาะลิ้นเสียงดัง ก่อนย่อตัวลงนั่ง แล้วเริ่มทำข้อสอบ โจทย์ข้อสอบพยายามสลับหลอกล่อปนเปกัน แต่ไม่สามารถหลอกล่อคนอย่างซือสือได้



“ง่ายกว่าที่คิดอีกแหะ! ” รอยยิ้มแตะแต้มตรงมุมปากเมื่อเขียนคำตอบข้อสุดท้ายเสร็จสิ้นลง



สองอาทิตย์ต่อมาซือสือก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ก็ยังมีนัดติดตามอาการ นัดตรวจอะไรอีกหลายๆ อย่างในภายหลัง และคนที่มารับกลับบ้านก็เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านประจำตระกูลอย่างที่หลิ่งซือได้บอกเอาไว้เมื่อวันก่อน



‘ก็บอกแล้ว’ วิญญาณของหลิ่งซือเบ้ปากและหยักไหล่ก่อนลอยละทุประตูรถเข้าไปนั่งในรถ



“คุณชายรองหลิ่ง เชิญครับ” พ่อบ้านเดินมาเปิดประตูรถพร้อมกับโค้งหัวให้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ซือสือโค้งตอบอย่างมีมารยาท ใบหน้าของพ่อบ้านดูประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา



เมื่อรถยุโรปคันหรูค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาล ซือสือก็พูดขึ้น



“ผมขอไปที่ที่หนึ่งก่อนได้ไหมครับ”



พ่อบ้านเถิงเพียงพยักหน้ารับคำ ขับรถไปตามคำขอของคุณชายรอง





********

ออฟไลน์ Raspberry complex

  • เติมรักใส..ใส่หัวใจ2ดวง
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +358/-0
    • http://www.facebook.com/raspberrycomplex.raspberry
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่8 [27/9/62]
«ตอบ #12 เมื่อ27-09-2019 08:41:19 »

 o13
 :3123:

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่9 [28/9/62]
«ตอบ #13 เมื่อ28-09-2019 09:18:46 »

เผชิญหน้า



ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วที่คุณชายรองหลิ่งซือนั่งนิ่งอยู่ในรถโดยสายตาจ้องมองไปด้านนอกอย่างเงียบงัน



“คุณชายรองจะลงไหมครับ”



คนถูกถามนิ่งไปสักพักถึงลดสายตาลงแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ ขณะที่กำลังจะตัดสินใจให้พ่อบ้านขับรถต่อ สายตาก็หันไปเห็นเจ้าของบ้านเดินออกมาโบกแท็กซี่



“ขับตามแท็กซี่คันนั้นไปที ขอร้องละครับ” ซือสือบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน ไม่ต้องพูดซ้ำรอบสองรถก้เคลื่อนตัวออกทันที

ปลายทางเป็นสุสาน...และซือสือจำได้ว่าสุสานของครอบครัวอยู่ที่นี่



“รอผมอยู่ตรงนี้สักครู่นะครับ” ซือสือไม่ได้สนใจสีหน้าแปลกใจของพ่อบ้าน รีบปิดประตูรถออกไป แน่นอนว่าวิญญาณของหลิ่งซือก็ตามมาด้วย



‘พะ..พี่ชาย ที่นี่มันน่ากลัวมากๆ เลยนะ’ วิญญาณหลิ่งซือมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น แต่ซือสือก็ไม่ได้คิดจะถามนั่นเพราะหึ่งคือไม่อยากรู้เลยว่าเจ้าตัว 'เห็น' อะไรอยู่ในเมื่อที่ตรงนี้คือสุสาน และสอง ซือสือไม่ได้สนใจเพราะกำลังตั้งใจก้าวเท้าอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้คนที่เดินนำอยู่ไกลๆ ข้างหน้ารับรู้ว่ามีใครอีกคนตามมา



‘ผะ..ผมก็รออยู่ที่รถดีกว่า’ วิญญาณหลิ่งซือเสียงสั่นแล้วหายแวบไปไม่รอคำตอบจากคู่สนทนา



แม่ผอมลงเดิมใบหน้าดูมีอายุขึ้นมาก คนที่เดินประคองอยู่ข้างๆ คือน้องสาว



10กว่าปีแล้ว สบายดีไหม?



ซือสือหยุดยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ในระยะสายตามองเห็นทั้งสองคน



ไม่ทันได้มองว่ามีใครอีกคนกำลังเดินเข้ามา จังหวะเดียวกับที่ซือสือกำลังจะก้าวขาออกจากที่กำบัง





หมับ!



ต้นแขนถูกคว้าอย่างแรงจนตัวหมุนไปข้างหลัง ซือสือเงยหน้าขึ้นมองด้วยความโมโหแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อพบว่าใครกันที่กล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้



ไม่มีทางที่ซือสือจะจำคนคนนี้ไม่ได้ ...ไม่มีทางเลย



‘หวังเหล่ย’ ซือสือเกือบร้องตะโกนออกมา แต่ก็ทำได้เพียงร้องตะโกนในใจ ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงจนแทบจะเรียกได้ว่าเกือบทะลุออกมา ขอบตาร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ ริมฝีปากกำลังจะเหยียดยิ้มออกมา



ใบหน้าราบเรียบหากแต่หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย





“มาทำอะไรที่นี่!”

เสียงตวาดแข็งกร้าวนั้นมาพร้อมกับสายตาเย็นชาและเกลียดชัง นั่นทำให้รอยยิ้มของซือสือเจื่อนลงทันที



ลืมไปว่าตอนนี้คือคนไม่รู้จักกัน



“ผะ...ผม..”



ใช่...คนอย่างหลิ่งซือมีเหตุผลอะไรที่ต้องมาที่นี่



“ผม...”



“รีบออกไปซะ! ” ถ้อยคำเย็นชาที่ได้ยินทำเอาไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขา



“ออกไป! ”



“ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่...” ซือสือเริ่มอึกอักสำลักคำพูด



“แล้วอย่าได้..ก้าวมาเหยียบที่นี่อีกเป็นอันขาด”



ซือสือรู้สึกหน้าชาเหมือนถูกสาดด้วยน้ำที่เย็นจัด เกิดอะไรขึ้นกับหวังเหล่ยที่สุดจะสุขุมจนไปเกือบจะเรียกได้ว่าเย็นชาคนนั้น



“อ๊ะ! ” เมื่อซือสือไม่มีทีท่าว่าจะขยับ ฝ่ามือหนาเอื้อมมาคว้าต้นแขนของคนที่ยังยืนนิ่งลากให้ออกไปจากสุสาน



ด้วยความที่ร่างในปัจจุบันความสูงค่อนข้างต่างกัน ซือสือจึงถูกลากให้ก้าวตามออกมาอย่างทุลักทุเล



“ปล่อยผมนะ! ปล่อย….” ซือสือสะบัดตัวหลุดจากการถูกลากของหวังเหล่ยจนตัวเองเกือบจะถลาล้ม ไม่มีวี่แววที่อีกฝ่ายจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแม้แต่น้อย ใบหน้าเย็นชาราวกับไร้หัวใจยื่นเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระซิบแผ่วเบา



“นี่ไม่ใช่ที่ที่นายควรจะมา”



ถ้อยคำเย็นชาที่ได้ยิน ทำตัวซือสือตัวชาวาบ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะไม่รู้สาเหตุ แต่หวังเหล่ยที่เคยรู้จัก ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล อะไรที่ทำให้คนคนนี้เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้



ซือสือทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง หลังจากยืนขาสั่นมองแผ่นหลังหวังเหล่ยเดินเข้าไปข้างในสุสาน



“หลิ่งซือ ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!! ฉันรู้นะว่านายอยู่แถวนี้ ออกมา!! ” ซือสือพูดไปกัดฟันกรอดๆ ไป มองไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความหงุดหงิด



“ฉันจะสาปแช่งวิญญาณของนาย ไม่ให้ได้ไปผุดไปเกิด! ”



‘โอ๊ย!! พอแล้วพี่ชาย’



“บอกมา ว่านายไปทำอะไรให้ไอ้หมอนั่นโกรธ” ซือสือชี้ที่หน้าตัวเอง



เจ้าเด็กผีที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้ายกมือกอดอกแล้วลอยผ่านหน้าไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด



'ผมจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักเขามาก่อน แต่...ตอนเป็นวิญญาณพี่ชายอยู่กับเขา'



“ฉันเนี่ยนะ”



'ใช่'



'แบบตามติด' หลิ่งซือพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น



“ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย” ซือสือเกาหัวแกรกๆ นี่ก็หมายความว่าเป็นวิญญาณอยู่ข้างๆ ไอ้หมอนั่นมาสิบกว่าปี แล้วพอฟื้นขึ้นมาก็ดันจำอะไรช่วงนั้นไม่ได้เลยเนื่ยนะ? ...ช่างไร้ประโยชน์!



'ว่ากันว่าวิญญาณที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดคือคนที่ยังมีห่วง'



“ฉลาดนะ! แล้วทีตัวเองทำไมไม่คิด”



'ผมเองก็ไม่รู้ตัวเองมีห่วงอะไรอยู่นี่ไง' วิญญาณหลิ่งซือเถียงกลับ และนั่นเป็นคำตอบซือสือคนนี้ต้องค้นหา



“ทำไมมันวุ่นวายแบบนี้นะ” ซือสือยกมือกุมขมับรู้สึกปวดหัว ขณะเดียวกันคนที่เข้าไปเคารพสุสานก็กำลังเดินออกมา สายตาเย็นชาคู่นั้นมองตรงมายังเขาไม่ผิดแน่ ช่วยไม่ได้ที่ซือสือจะขยับตัวซ่อนหลังพุ่มไม้ รอจนทั้งสามคนเดินห่างออกไป



พ่อบ้านเถิงไม่ได้ถามอะไรเขาเมื่อเดินกลับมานั่งในรถนั่นก็นับเป็นเรื่องดี เพราะตอนนี้ซือสือมีเรื่องให้ต้องคิดเต็มไปหมด เอาแต่นั่งเงียบๆ ปล่อยให้วิญญาณหลิ่งซือพูดไปคนเดียวจนกระทั่งถึงบ้าน



ก็ไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมายสักเท่าไหร่ บ้านหลังใหญ่โตแต่เงียบพอๆ กับสุสานเมื่อกี้ ซือสือถอนหายใจกับตัวเองก่อนก้าวขาเข้าไปข้างในอย่างคล่องแคล่วด้วยความช่วยเหลือของวิญญาณหลิ่งซือ



แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าที่ห้องนั่งเล่น มีสมาชิกของบ้านครบตามจำนวน แน่นอนว่าสายตาทุกคู่หันมามองที่เขา ไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้ยืนนิ่งเป็นเป้าสายตาอยู่ตรงนั้น ทั้งที่อยากกลับห้องใจจะขาด



ยินดีต้อนรับกลับบ้าน...ไม่มีเหรอ?



‘ยินดีต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวผมล่ะ’ เป็นเสียงของหลิ่งซือที่กระซิบบอกด้วยสีหน้าสนุกสนาน



เมื่อไม่มีคำทักทายใดต่อกัน ซือสือจึงเลือกที่จะโค้งหัวเล็กน้อย แล้วทำท่าจะก้าวขาต่อ ตอนนี้สมองต้องการพัก



“หึ! ” เสียงเย้ยหยันนั้นมาจากคนที่หลิ่งซือบอกว่าเป็นพี่ชาย เจิ้ง จื่ออี๋



ซือสือหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมองด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ



“ไม่คิดจะขอโทษพวกเราเลยรึไง” จื่ออี๋พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย



“พวกเราต้องเดือดร้อนกันขนาดไหน” คราวนี้เป็นเสียงหวานๆ ของเด็กสาวหน้าตาน่ารักที่นั่งกอดตุ๊กตาอยู่ข้างคนเป็นแม่



ซือสือกลอกตาพลางถอนหายใจ นี่จะมีเรื่องกันให้ได้เลยใช่ไหม...วันแรกของการกลับบ้านเนี่ย!



“ถ้าผมนึกออกน่ะนะ” ซือสือตอบ



“หมายความว่าไง? ” พี่ชายลุกขึ้นตวาดเสียงดังลั่น ซือสือสังเกตวิญญาณหลิ่งซือสะดุ้งแล้วไปซ่อนข้างหลัง และพ่อบ้านที่ถือข้าวของตามมาถอยไปข้างหลังสองสามก้าว คงจะเป็นกิริยาการป้องกันตัวในยามปกติ



“ผมนึกไม่ออก..ว่าต้องขอโทษใคร? ”



“อวดดีจังเลยนะ”



“อ่อ..สมองผมไม่ค่อยปกติ ช่วงนี้จะพยายามนึกให้ออกแล้วกัน” ซือสือเอานิ้วจิ้มตรงขมับตัวเอง และไม่แน่ใจว่าแสดงสีหน้ากวนประสาทออกไปรึเปล่า พี่ชายถึงได้กัดฟันกรอดสีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธจัด แต่ไม่มีทีท่าว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะเอ่ยปากปรามสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น



“หลิ่งซือ!! ” จื่ออี๋ส่งเสียงตะโกนเรียกไล่หลังเมื่อตอนที่หมุนตัวหันหลังให้



“ทำตัวให้ดีหน่อย” คราวนี้เสียงตำหนิมาจากผู้นำครอบครัว คนที่หลิ่งซือเรียกว่าพ่อ



ซือสือถอนหายใจ ยกมือเกาหัวจนยุ่งเหยิง และพ่อบ้านเถิงก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับยกมือแตะที่แขนเบาๆ



“วางใจเถอะครับ ผมจะไม่พยายาม ‘ตาย’ อีกเป็นครั้งที่สอง” พูดจบก็วิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองว่าใครมีสีหน้ายังไง



ประตูห้องส่วนตัวถูกเปิดและปิดลงอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าวิญญาณเจ้าของร่างก็ตามเข้ามาด้วย ซือสือทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงตรงหน้าประตูนั่นแหละ ยกมือกุมหน้าอกหอบหายใจด้วยสีหน้าวิตกจริต



“น่ากลัวเป็นบ้า!! ”



ต่างจากเจ้าของห้องที่ลอยทะลุผ่านประตูตามหลังเข้ามา



‘ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ โอ๊ย...สะใจเป็นบ้า พี่ชายเจ๋งมาก’ วิญญาณหลิ่งซือที่ลอยไปมาในอากาศกำลังหัวเราะกลิ้งไปมา



“เจ๋งกะผีน่ะสิ! ”



‘พี่น่าจะได้เห็นสีหน้าพวกเขานะ’



ซือสือส่ายหัวรัวด้วยสีหน้าสยดสยอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาราวเหนื่อยหน่าย ใบหน้าของใครบางคนลอยเข้ามาในห้วงของความคิด สายตาเย็นชาคู่นั้นที่มองมามันทำให้ก้อนเนื้อในอกรู้สึกเจ็บ ซือสือขดตัวเข้าหากันนั่งกอดเข่าจมอยู่กับความทรงจำมากมายของเมื่อสิบกว่าปีก่อนย้อนเข้ามา….





*****************


 :katai5:

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่10 [30/9/62]
«ตอบ #14 เมื่อ30-09-2019 18:56:46 »

ไม่ทันตั้งตัว



ใครจะไปรู้ว่าหลังจากสิบปีผ่านไป ซือสือคนนี้จะได้กลับมาเหยียบโรงเรียนเดิม อย่างกับว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรที่มันหนักหนาสาหัสกับใครเอาไว้ แล้วต้องมาชดใช้ให้หมดในชาตินี้ถึงสองรอบ!





เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังขึ้นก่อนจะก้าวขาเข้าประตูโรงเรียน พร้อมกับวิญญาณของหลิ่งซือที่ลอยตามหลังมาเงียบๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าตัวมีความทรงจำเลวร้ายอะไรที่นี่ แต่ก็เงียบมาตลอดทางตั้งแต่บ้านจนถึงโรงเรียนสีหน้าก็ยังคงหม่นหมอง





การแนะนำตัวกับนักเรียนในห้องใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น อยู่ในความสงบกว่าครึ่งวัน ซือสือขอแลกที่นั่งกับเพื่อนรุ่นน้องในห้องโดยอ้างว่าอากาศไม่ถ่ายเท หายใจไม่สะดวก ขอนั่งใกล้หน้าต่าง (ด้วยการตีหน้าซีดเซียวแบบสุดๆ) ทางนั้นคงทนไม่ไหวก็เลยยอมอย่างง่ายดาย





วิชาเรียนหมุนเวียนซ้ำกลับมารอบสองทำเอาง่วงนอนอย่างช่วยไม่ได้ หลายข้อที่โดนเรียกไปเขียนคำตอบ ซือสือเดินออกไปหาวไป แต่เขียนตอบถูกทุกข้อ นั่นทำให้ได้คะแนนนิยมในห้องดีขึ้นมาบ้าง มีสายตาหลายคู่มองมาอย่างชื่นชม และแน่นอนว่าที่หมั่นไส้ก็มี เรื่องธรรมชาติหาได้แยแส





‘พี่ชาย...ชื่ออะไรนะ’ เสียงกระซิบของวิญญาณหลิ่งซือที่กวนใจทำให้หายง่วงขึ้นมาได้บ้าง





ซือสือเขียนชื่อตัวเองลงในสมุดแทนการเอ่ยออกไป ‘ซ่ง ซือสือ’





วิญญาณหลิ่งซือทำหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่างก่อนจะทำตาโตแล้วตบมือ ก่อนจะตะโกนออกมาพร้อมกับชี้มือไปยังโถงทางเดินของตึก ที่รวบรวมรายชื่อนักเรียนเก่งๆ เอาไว้





‘หรือว่า...พี่ชายคือ..ซ่ง ซือสือ คนนั้น! ’





คนอื่นอาจจะไม่ได้ยิน แต่ซือสือหูแทบแตก และก็ทำได้แค่ถลึงตาใส่อากาศวางเปล่าตรงหน้า แล้วเขียนลงในสมุด





“ใช่! ”





‘โว้ว!! เจ๋งมาก หลิ่งซือนายนี่มันเจ๋งมาก’ วิญญาณหลิ่งซือตบมือชื่นชมตัวเองยกใหญ่





“คือ? ” ซือสือเขียนลงบนสมุดอีกครั้ง





‘พี่ชายรู้อะไรไหม? ผม..ไม่สิ หลิ่งซือคนก่อน แค่สอบผ่านแต่ละวิชาได้ ก็นับว่าเก่งมากแล้ว ...แล้วนี่พี่ชาย..โว้วๆ ๆ หลิ่งซือนายนี่โคตรโชคดี ฮ่าๆ ๆ ๆ ’





ซือสือขมวดคิ้วทำหน้าประมาณว่า ‘หา??? ’ ใช้สมองประมวลอยู่เกือบนาที ถึงได้เข้าใจ และรู้สึกอยากโดดเตะผีขึ้นมา นี่ไอ้เด็กบ้านี่มันกำลังดีใจที่ได้วิญญาณเขาเข้าร่างตัวเองเนี่ยนะ มันน่าเตะสักทีสองทีไหม คือไม่ได้สำนึกเลยว่าตัวเองสูญเสียอะไรไป แถมยังมาบอกว่านี่เป็นเรื่องโชคดีอีก





ซือสือเดินไปตามโถงทางเดิน หยุดยืนนิ่งจมอยู่กับความคิด แหงนมองบนกระดานสลักรายชื่อของเมื่อสิบปีก่อน อันดับหนึ่งในปีนั้นมีอยู่ด้วยกันสองชื่อ ความทรงจำเดิมยังคงหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดราวกับจะตอกย้ำว่าสิ่งที่เห็นคืออดีตที่ผ่านไปนานแล้ว





น่าเบื่อ...โรงเรียนที่ไม่มีหมอนั่นอยู่ด้วยมันน่าเบื่อ...





“เฮ้ๆ ดูสิว่านี่ใคร” เสียงทักมาจากด้านหลัง





ซือสือละสายตาจากกระดานรายชื่อหันกลับไปมอง นักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา แน่นอนว่าต่อให้คนโง่แค่ไหนก็รู้ว่ากลุ่มนี้ไม่ได้มาดีแน่ ดูจากสายตาและรอยยิ้มเหยียดบนใบหน้าแต่ละคน





สังหรณ์ใจไม่ดี วิญญาณหลิ่งซือมันก็ดันไม่อยู่ให้ถาม แต่จำได้ว่าหลิ่งซือเคยเล่าว่ามีเรื่องที่โรงเรียนด้วยก็ไม่คิดว่าจะมาทักทายกันวันแรกเลย







กลุ่มนักเรียนชายประมาณ 5-6 คน เดินเข้ามาล้อมซือสือไว้กลางวง ด้านหลังเป็นกำแพง และนักเรียนคนอื่นๆ เริ่มทยอยถอยห่าง





เอาจริงดิ๊! กลางห้องโถงแบบนี้เนี่ยะนะ





“ได้ข่าวว่ากลับมาแล้ว ไม่คิดจะทักทายเพื่อนเก่าสักหน่อยเหรอ” ขณะที่ซือสือกำลังคิดหาทางออก ใครคนหนึ่งก็เดินมากอดคอเขาเอาไว้ ไม่ใช่อยากผูกมิตรอย่างที่ปากพูดแต่เป็นการกอดแบบล็อกแน่นไม่ให้หนีต่างหาก





“เออ..โทษทีนะ พอดีว่าฉันความจำไม่ค่อยดีน่ะ แนะนำตัวกันหน่อยไหมล่ะ”





รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าคู่สนทนาบวกกับท่อนแขนที่รัดแน่นขึ้น





คำว่า ‘ซวยแล้วๆ ๆ ๆ ’ เต็มหัว นั่นเพราะร่างกายนี้เพิ่งฟื้นฟูจากการนอนนาน มันจะไปสู้อะไรกับใครเขาได้ จะวิ่งหนียังทำไม่ได้เลย





“อ่า..ถ้าอย่างงั้นเราก็ไปหาที่เงียบๆ แนะนำตัวกันเถอะคุณชายรอง” นั่นไม่ใช่ประโยคที่เอาให้คนฟังได้ปฏิเสธ แถมยังยิ้มมุมปากแล้วล็อกคอแน่นเป็นการบังคับให้เดินตาม พรรคพวกคนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่โดยรอบก็ช่วยพรางสายตาคนอื่นที่มองมาได้เป็นอย่างดี





ซวยแล้ว!! ซือสือ เพิ่งฟื้นขึ้นมาแล้วจะมาโดนกระทืบตายอีกไม่ได้นะ!





หลังตึกเรียนเป็นที่ลับตาคน และน้อยคนนักที่จะเดินผ่านมาทางนี้ เลยไปก็เป็นตึกภารโรง สถานที่ซึ่งเหมาะแก่การคุยกันงั้นเหรอ!!





พลั่ก!





ซือสือโดนแรงผลักกระเด็นไปกระแทกกำแพง





“สารรูปเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้เลยนะ” คนพูดใช้สายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า





นั่นมันหมายความว่าดูดีขึ้นถูกไหม ควรจะดีใจไหมล่ะ เสน่ห์แรงขนาดไหน โดนผู้ชายล้อมเอาไว้ตั้งหลายคน





“ช่วยด้ว…. อุ๊บ!! ” ก็แค่จะลองตะโกนดู แล้วก็อย่างที่คิดอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาตะครุบปากเอาไว้อย่างเร็วจนหัวกระแทกกำแพงด้านหลังอีกรอบ...สมน้ำหน้าตัวเอง





“คิดจะทำอะไร หา!!! ”





หาคนช่วยไงโว้ยยยยย





“อยากตายรึไง”





เพราะไม่อยากตายไง ไอ้เด็กเวรพวกนี้!





“พอเถอะ เดี๋ยวเกิดมันเป็นลมขึ้นมาซะก่อน...”





ไอ้หมอนี่...ดูจากการวางตัวต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มอย่างแน่นอน เพราะนอกจากสั่งแล้ว ไม่แตะต้องอะไรเลย





“แค่กๆ ” เมื่อมือที่ปิดปากยอมปล่อย ซือสือทรุดลงกับพื้นหายใจเข้าปอด แอบสมเพชในความอ่อนแอของร่างกายตัวเองมาก





“ทีนี้จำได้รึยัง ว่าควรทำยังไงต่อ”





ซือสือยังคงคุกเข่ากับพื้นสำลักลมหายใจใช้มือยันพื้น มองเห็นแค่ปลายเท้าของคนพูดอยู่ตรงหน้า นับจำนวนคร่าวๆ ก็ประมาณ 5 คน พยายามพยักหัวหงึกๆ เพื่อซื้อเวลา ขณะเดียวกันก็สายตาก็สอดส่ายหาตัวช่วย…





จำได้คร่าวๆ ว่าหลิ่งซือเคยเล่าว่าโดนรีดไถประจำจนโดนเรียกว่าถังเงินถังทองของพวกเด็กเกเร แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันแบบนี้





“ผะ...ผมไม่ได้เอามา อยู่ในกระเป๋า”





“อย่ามาตุกติกน่า น่าจะรู้นี่ว่าการมาโรงเรียนมันมีค่าใช้จ่าย”





น่ารังเกียจ! ซือสือชักเริ่มจะหมดความอดทน นิสัยไอ้เด็กพวกนี้มันเกินทนจริงๆ





“ถ้าไม่เชื่อก็ลองค้นดู” หนึ่งในสมาชิกแก๊งรีดไถเดินเข้ามาตบๆ ตามตัว แล้วหันไปพยักหน้าว่าเรื่องที่พูดคือเรื่องจริง





“จะไปเอาให้เดี๋ยวนี้ก็ได้ จะตามมาหรือจะรออยู่ตรงนี้กันละ” ซือสือลุกขึ้นมาแสร้งทำสีหน้าหวาดหวั่น หัวหน้าแก๊งรีดไถส่งเสียงไม่พอใจในลำคอแล้วพยักหน้าไปทางเพื่อนร่วมแก๊ง



จังหวะนั้น..ซือสือก็ก้าวขาแล้ววิ่ง!!



“เฮ้ย! จับมันไว้! ”



“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”



“ถ้าจับได้โดนแน่!! ”



ซือสือไม่ได้คิดว่าจะหนีพ้น เพราะต่อให้รอดพ้นไปคราวนี้ก็ต้องเจอกันอีกอยู่ดี และทางที่วิ่งไปข้างหน้าเป็นห้องเก็บของของภารโรง เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามหลังมา ซือสือคว้าไม้มาได้หนึ่งท่อนคาดว่าจะเป็นอะไหล่ของด้ามไม้กวาดพื้น แม้ว่ามันจะหนักไปหน่อยแต่ก็พอใช้ได้



ฟุ่บ!



พวกที่วิ่งตามมาติดๆ กระโดดหลบแทบไม่ทัน ตอนที่ซือสือหมุนตัวกลับหวดท่อนไม้ในมือ



“หลิ่งซือ! คิดว่าไม้แค่นั้น จะช่วยให้รอดรึไง!! ”



ซือสือยืนประจันหน้ากับคนทั้งห้า เอาตามจริง คำตอบในใจคือไม่มีทาง!



“ก็ต้องลองดู” ซือสือตอบพลางคลี่ยิ้มยื่นไม้มาตรงหน้าราวกับท้าทาย



“สงสัยมันเป็นบ้าไปแล้ว” หนึ่งในนั้นตะโกนพูดขึ้นมา หัวหน้าแก๊งทำหน้าเหมือนโกรธจัด



“จัดการมันสิ” เมื่อได้รับคำสั่ง อีก 4คนก็กรูเข้ามา



ซือสือไม่ได้หวดไม้ในมืออย่างสะเปะสะปะ แน่นอนว่าร่างกายนี้ไม่เคยได้รับการฝึกก็จริง แต่ในส่วนลึกของระบบความคิดสามารถสั่งสมองให้จดจำการเคลื่อนเคลื่อนไหวออกมาได้อย่างเป็นรูปแบบ สองเท้าขยับเคลื่อนที่หลบหลีกได้อย่างมีชั้นเชิง ต้องขอบคุณผู้สอนในอดีตที่ช่วยฝึกให้ และขอบคุณตัวเองที่ยังจดจำมันได้อย่างแม่นยำ



“โอ๊ย! / อ๊าก! ”



เสียงร้องโอดโอยดังสลับกับเสียงไม้ในมือฟาดลงบนตัวของคู่ต่อสู้ ซือสือเลือกที่จะตัดกำลังด้วยการแทงไปที่จุดตายให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่ได้เพื่อออมแรงน้อยนิดที่ตัวเองมี คนหนึ่งโดยฟาดไปที่ขาทรุดลงไปนอนดิ้น ไม่ต่างจากอีกคนที่โดนปลายไม้แทงเข้าที่ท้องลงไปนอนจุกร้องไม่ออก



ซือสือโดนเตะเข้าที่สีข้างไปทีจนเซ ก็ยังดีที่ยังมีไม้ช่วยค้ำพื้นเอาไว้ไม่ให้เสียหลักล้มลงไป ชั่วพริบตาเดียวไม้ในมือถูกควงขึ้นมาแล้วฟาดกลับไปยังอีกฝ่ายตรงจุดที่ตัวเองโดนเพื่อเอาคืนบ้าง



การต่อสู้ในชั่วพริบตานั้นซือสือล้มไปได้สามคน คงเหลืออีกสองคนที่ยืนมองด้วยสีหน้าตกตะลึง



ตึง! เสียงไม้ในมือซือสือกระแทกลงบนพื้น คนที่เหลือรวมไปถึงคนเจ็บสะดุ้งกระเสือกกระสนพยุงกันขึ้นมาอย่างทุลักทุเล



“ฝะ...ฝากไว้ก่อนเถอะ! ” ก่อนจะลากกันล่าถอยกลับไป



“จะใจดีรับฝากไว้ละกัน” พยายามพูดโดยไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตอาการหอบเหนื่อย ที่ยังยืนอยู่ได้ก็เพราะใช้ไม้ช่วยค้ำเอาไว้



ซือสือรอจนคนทั้งกลุ่มหายลับสายตาไป ถึงได้ทิ้งตัวทรุดคุกเข่าลงบนพื้นอย่างหมดแรง เจ็บตรงสีข้างที่โดนเตะ แถมยังมีอาการหน้ามืด รู้สึกแสบที่ฝ่ามือจนต้องปล่อยไม้ให้หลุดร่วงกระแทกพื้นอย่างคนสิ้นแรง



“น่าสมเพชจริงๆ”



เสียงบ่นพึมพำกับตัวเอง



ในเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของความรู้สึกก่อนที่จะล้มลงหน้าจะกระแทกพื้น รู้สึกเหมือนมีอ้อมแขนอบอุ่นของใครบางคนมารองรับเอาไว้



‘ซือสือ’….ได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกชื่อตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป







*****************************

 :katai4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่10 [30/9/62]
«ตอบ #15 เมื่อ01-10-2019 00:50:22 »

 :hao3:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่10 [30/9/62]
«ตอบ #16 เมื่อ01-10-2019 10:53:59 »

สนุกมากกกกกกกกกกกก  ชอบบบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
อ่านรวดเดียวเลย  อยากอ่านต่ออีกแล้ว  ไรท์มาต่อไวๆ นะ  :z3:

จะอ่านปรมาจารย์ลัทธิมารตามไรท์บ้างละ  .......
เห็นไรท์ ตามติดจนหาทางออกไม่เจอ อ่านตามแล้วจะออกจากลัทธิมารได้ไหมน้อ  o22
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่11 [01/10/62]
«ตอบ #17 เมื่อ01-10-2019 12:28:37 »

ไม่ทันตั้งตัว



ใครจะไปรู้ว่าหลังจากสิบปีผ่านไป ซือสือคนนี้จะได้กลับมาเหยียบโรงเรียนเดิม อย่างกับว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรที่มันหนักหนาสาหัสกับใครเอาไว้ แล้วต้องมาชดใช้ให้หมดในชาตินี้ถึงสองรอบ!





เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังขึ้นก่อนจะก้าวขาเข้าประตูโรงเรียน พร้อมกับวิญญาณของหลิ่งซือที่ลอยตามหลังมาเงียบๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าตัวมีความทรงจำเลวร้ายอะไรที่นี่ แต่ก็เงียบมาตลอดทางตั้งแต่บ้านจนถึงโรงเรียนสีหน้าก็ยังคงหม่นหมอง





การแนะนำตัวกับนักเรียนในห้องใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น อยู่ในความสงบกว่าครึ่งวัน ซือสือขอแลกที่นั่งกับเพื่อนรุ่นน้องในห้องโดยอ้างว่าอากาศไม่ถ่ายเท หายใจไม่สะดวก ขอนั่งใกล้หน้าต่าง (ด้วยการตีหน้าซีดเซียวแบบสุดๆ) ทางนั้นคงทนไม่ไหวก็เลยยอมอย่างง่ายดาย





วิชาเรียนหมุนเวียนซ้ำกลับมารอบสองทำเอาง่วงนอนอย่างช่วยไม่ได้ หลายข้อที่โดนเรียกไปเขียนคำตอบ ซือสือเดินออกไปหาวไป แต่เขียนตอบถูกทุกข้อ นั่นทำให้ได้คะแนนนิยมในห้องดีขึ้นมาบ้าง มีสายตาหลายคู่มองมาอย่างชื่นชม และแน่นอนว่าที่หมั่นไส้ก็มี เรื่องธรรมชาติหาได้แยแส





‘พี่ชาย...ชื่ออะไรนะ’ เสียงกระซิบของวิญญาณหลิ่งซือที่กวนใจทำให้หายง่วงขึ้นมาได้บ้าง





ซือสือเขียนชื่อตัวเองลงในสมุดแทนการเอ่ยออกไป ‘ซ่ง ซือสือ’





วิญญาณหลิ่งซือทำหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่างก่อนจะทำตาโตแล้วตบมือ ก่อนจะตะโกนออกมาพร้อมกับชี้มือไปยังโถงทางเดินของตึก ที่รวบรวมรายชื่อนักเรียนเก่งๆ เอาไว้





‘หรือว่า...พี่ชายคือ..ซ่ง ซือสือ คนนั้น! ’





คนอื่นอาจจะไม่ได้ยิน แต่ซือสือหูแทบแตก และก็ทำได้แค่ถลึงตาใส่อากาศวางเปล่าตรงหน้า แล้วเขียนลงในสมุด





“ใช่! ”





‘โว้ว!! เจ๋งมาก หลิ่งซือนายนี่มันเจ๋งมาก’ วิญญาณหลิ่งซือตบมือชื่นชมตัวเองยกใหญ่





“คือ? ” ซือสือเขียนลงบนสมุดอีกครั้ง





‘พี่ชายรู้อะไรไหม? ผม..ไม่สิ หลิ่งซือคนก่อน แค่สอบผ่านแต่ละวิชาได้ ก็นับว่าเก่งมากแล้ว ...แล้วนี่พี่ชาย..โว้วๆ ๆ หลิ่งซือนายนี่โคตรโชคดี ฮ่าๆ ๆ ๆ ’





ซือสือขมวดคิ้วทำหน้าประมาณว่า ‘หา??? ’ ใช้สมองประมวลอยู่เกือบนาที ถึงได้เข้าใจ และรู้สึกอยากโดดเตะผีขึ้นมา นี่ไอ้เด็กบ้านี่มันกำลังดีใจที่ได้วิญญาณเขาเข้าร่างตัวเองเนี่ยนะ มันน่าเตะสักทีสองทีไหม คือไม่ได้สำนึกเลยว่าตัวเองสูญเสียอะไรไป แถมยังมาบอกว่านี่เป็นเรื่องโชคดีอีก





ซือสือเดินไปตามโถงทางเดิน หยุดยืนนิ่งจมอยู่กับความคิด แหงนมองบนกระดานสลักรายชื่อของเมื่อสิบปีก่อน อันดับหนึ่งในปีนั้นมีอยู่ด้วยกันสองชื่อ ความทรงจำเดิมยังคงหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดราวกับจะตอกย้ำว่าสิ่งที่เห็นคืออดีตที่ผ่านไปนานแล้ว





น่าเบื่อ...โรงเรียนที่ไม่มีหมอนั่นอยู่ด้วยมันน่าเบื่อ...





“เฮ้ๆ ดูสิว่านี่ใคร” เสียงทักมาจากด้านหลัง





ซือสือละสายตาจากกระดานรายชื่อหันกลับไปมอง นักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา แน่นอนว่าต่อให้คนโง่แค่ไหนก็รู้ว่ากลุ่มนี้ไม่ได้มาดีแน่ ดูจากสายตาและรอยยิ้มเหยียดบนใบหน้าแต่ละคน





สังหรณ์ใจไม่ดี วิญญาณหลิ่งซือมันก็ดันไม่อยู่ให้ถาม แต่จำได้ว่าหลิ่งซือเคยเล่าว่ามีเรื่องที่โรงเรียนด้วยก็ไม่คิดว่าจะมาทักทายกันวันแรกเลย







กลุ่มนักเรียนชายประมาณ 5-6 คน เดินเข้ามาล้อมซือสือไว้กลางวง ด้านหลังเป็นกำแพง และนักเรียนคนอื่นๆ เริ่มทยอยถอยห่าง





เอาจริงดิ๊! กลางห้องโถงแบบนี้เนี่ยะนะ





“ได้ข่าวว่ากลับมาแล้ว ไม่คิดจะทักทายเพื่อนเก่าสักหน่อยเหรอ” ขณะที่ซือสือกำลังคิดหาทางออก ใครคนหนึ่งก็เดินมากอดคอเขาเอาไว้ ไม่ใช่อยากผูกมิตรอย่างที่ปากพูดแต่เป็นการกอดแบบล็อกแน่นไม่ให้หนีต่างหาก





“เออ..โทษทีนะ พอดีว่าฉันความจำไม่ค่อยดีน่ะ แนะนำตัวกันหน่อยไหมล่ะ”





รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าคู่สนทนาบวกกับท่อนแขนที่รัดแน่นขึ้น





คำว่า ‘ซวยแล้วๆ ๆ ๆ ’ เต็มหัว นั่นเพราะร่างกายนี้เพิ่งฟื้นฟูจากการนอนนาน มันจะไปสู้อะไรกับใครเขาได้ จะวิ่งหนียังทำไม่ได้เลย





“อ่า..ถ้าอย่างงั้นเราก็ไปหาที่เงียบๆ แนะนำตัวกันเถอะคุณชายรอง” นั่นไม่ใช่ประโยคที่เอาให้คนฟังได้ปฏิเสธ แถมยังยิ้มมุมปากแล้วล็อกคอแน่นเป็นการบังคับให้เดินตาม พรรคพวกคนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่โดยรอบก็ช่วยพรางสายตาคนอื่นที่มองมาได้เป็นอย่างดี





ซวยแล้ว!! ซือสือ เพิ่งฟื้นขึ้นมาแล้วจะมาโดนกระทืบตายอีกไม่ได้นะ!





หลังตึกเรียนเป็นที่ลับตาคน และน้อยคนนักที่จะเดินผ่านมาทางนี้ เลยไปก็เป็นตึกภารโรง สถานที่ซึ่งเหมาะแก่การคุยกันงั้นเหรอ!!





พลั่ก!





ซือสือโดนแรงผลักกระเด็นไปกระแทกกำแพง





“สารรูปเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้เลยนะ” คนพูดใช้สายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า





นั่นมันหมายความว่าดูดีขึ้นถูกไหม ควรจะดีใจไหมล่ะ เสน่ห์แรงขนาดไหน โดนผู้ชายล้อมเอาไว้ตั้งหลายคน





“ช่วยด้ว…. อุ๊บ!! ” ก็แค่จะลองตะโกนดู แล้วก็อย่างที่คิดอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาตะครุบปากเอาไว้อย่างเร็วจนหัวกระแทกกำแพงด้านหลังอีกรอบ...สมน้ำหน้าตัวเอง





“คิดจะทำอะไร หา!!! ”





หาคนช่วยไงโว้ยยยยย





“อยากตายรึไง”





เพราะไม่อยากตายไง ไอ้เด็กเวรพวกนี้!





“พอเถอะ เดี๋ยวเกิดมันเป็นลมขึ้นมาซะก่อน...”





ไอ้หมอนี่...ดูจากการวางตัวต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มอย่างแน่นอน เพราะนอกจากสั่งแล้ว ไม่แตะต้องอะไรเลย





“แค่กๆ ” เมื่อมือที่ปิดปากยอมปล่อย ซือสือทรุดลงกับพื้นหายใจเข้าปอด แอบสมเพชในความอ่อนแอของร่างกายตัวเองมาก





“ทีนี้จำได้รึยัง ว่าควรทำยังไงต่อ”





ซือสือยังคงคุกเข่ากับพื้นสำลักลมหายใจใช้มือยันพื้น มองเห็นแค่ปลายเท้าของคนพูดอยู่ตรงหน้า นับจำนวนคร่าวๆ ก็ประมาณ 5 คน พยายามพยักหัวหงึกๆ เพื่อซื้อเวลา ขณะเดียวกันก็สายตาก็สอดส่ายหาตัวช่วย…





จำได้คร่าวๆ ว่าหลิ่งซือเคยเล่าว่าโดนรีดไถประจำจนโดนเรียกว่าถังเงินถังทองของพวกเด็กเกเร แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันแบบนี้





“ผะ...ผมไม่ได้เอามา อยู่ในกระเป๋า”





“อย่ามาตุกติกน่า น่าจะรู้นี่ว่าการมาโรงเรียนมันมีค่าใช้จ่าย”





น่ารังเกียจ! ซือสือชักเริ่มจะหมดความอดทน นิสัยไอ้เด็กพวกนี้มันเกินทนจริงๆ





“ถ้าไม่เชื่อก็ลองค้นดู” หนึ่งในสมาชิกแก๊งรีดไถเดินเข้ามาตบๆ ตามตัว แล้วหันไปพยักหน้าว่าเรื่องที่พูดคือเรื่องจริง





“จะไปเอาให้เดี๋ยวนี้ก็ได้ จะตามมาหรือจะรออยู่ตรงนี้กันละ” ซือสือลุกขึ้นมาแสร้งทำสีหน้าหวาดหวั่น หัวหน้าแก๊งรีดไถส่งเสียงไม่พอใจในลำคอแล้วพยักหน้าไปทางเพื่อนร่วมแก๊ง



จังหวะนั้น..ซือสือก็ก้าวขาแล้ววิ่ง!!



“เฮ้ย! จับมันไว้! ”



“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”



“ถ้าจับได้โดนแน่!! ”



ซือสือไม่ได้คิดว่าจะหนีพ้น เพราะต่อให้รอดพ้นไปคราวนี้ก็ต้องเจอกันอีกอยู่ดี และทางที่วิ่งไปข้างหน้าเป็นห้องเก็บของของภารโรง เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามหลังมา ซือสือคว้าไม้มาได้หนึ่งท่อนคาดว่าจะเป็นอะไหล่ของด้ามไม้กวาดพื้น แม้ว่ามันจะหนักไปหน่อยแต่ก็พอใช้ได้



ฟุ่บ!



พวกที่วิ่งตามมาติดๆ กระโดดหลบแทบไม่ทัน ตอนที่ซือสือหมุนตัวกลับหวดท่อนไม้ในมือ



“หลิ่งซือ! คิดว่าไม้แค่นั้น จะช่วยให้รอดรึไง!! ”



ซือสือยืนประจันหน้ากับคนทั้งห้า เอาตามจริง คำตอบในใจคือไม่มีทาง!



“ก็ต้องลองดู” ซือสือตอบพลางคลี่ยิ้มยื่นไม้มาตรงหน้าราวกับท้าทาย



“สงสัยมันเป็นบ้าไปแล้ว” หนึ่งในนั้นตะโกนพูดขึ้นมา หัวหน้าแก๊งทำหน้าเหมือนโกรธจัด



“จัดการมันสิ” เมื่อได้รับคำสั่ง อีก 4คนก็กรูเข้ามา



ซือสือไม่ได้หวดไม้ในมืออย่างสะเปะสะปะ แน่นอนว่าร่างกายนี้ไม่เคยได้รับการฝึกก็จริง แต่ในส่วนลึกของระบบความคิดสามารถสั่งสมองให้จดจำการเคลื่อนเคลื่อนไหวออกมาได้อย่างเป็นรูปแบบ สองเท้าขยับเคลื่อนที่หลบหลีกได้อย่างมีชั้นเชิง ต้องขอบคุณผู้สอนในอดีตที่ช่วยฝึกให้ และขอบคุณตัวเองที่ยังจดจำมันได้อย่างแม่นยำ



“โอ๊ย! / อ๊าก! ”



เสียงร้องโอดโอยดังสลับกับเสียงไม้ในมือฟาดลงบนตัวของคู่ต่อสู้ ซือสือเลือกที่จะตัดกำลังด้วยการแทงไปที่จุดตายให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่ได้เพื่อออมแรงน้อยนิดที่ตัวเองมี คนหนึ่งโดยฟาดไปที่ขาทรุดลงไปนอนดิ้น ไม่ต่างจากอีกคนที่โดนปลายไม้แทงเข้าที่ท้องลงไปนอนจุกร้องไม่ออก



ซือสือโดนเตะเข้าที่สีข้างไปทีจนเซ ก็ยังดีที่ยังมีไม้ช่วยค้ำพื้นเอาไว้ไม่ให้เสียหลักล้มลงไป ชั่วพริบตาเดียวไม้ในมือถูกควงขึ้นมาแล้วฟาดกลับไปยังอีกฝ่ายตรงจุดที่ตัวเองโดนเพื่อเอาคืนบ้าง



การต่อสู้ในชั่วพริบตานั้นซือสือล้มไปได้สามคน คงเหลืออีกสองคนที่ยืนมองด้วยสีหน้าตกตะลึง



ตึง! เสียงไม้ในมือซือสือกระแทกลงบนพื้น คนที่เหลือรวมไปถึงคนเจ็บสะดุ้งกระเสือกกระสนพยุงกันขึ้นมาอย่างทุลักทุเล



“ฝะ...ฝากไว้ก่อนเถอะ! ” ก่อนจะลากกันล่าถอยกลับไป



“จะใจดีรับฝากไว้ละกัน” พยายามพูดโดยไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตอาการหอบเหนื่อย ที่ยังยืนอยู่ได้ก็เพราะใช้ไม้ช่วยค้ำเอาไว้



ซือสือรอจนคนทั้งกลุ่มหายลับสายตาไป ถึงได้ทิ้งตัวทรุดคุกเข่าลงบนพื้นอย่างหมดแรง เจ็บตรงสีข้างที่โดนเตะ แถมยังมีอาการหน้ามืด รู้สึกแสบที่ฝ่ามือจนต้องปล่อยไม้ให้หลุดร่วงกระแทกพื้นอย่างคนสิ้นแรง



“น่าสมเพชจริงๆ”



เสียงบ่นพึมพำกับตัวเอง



ในเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของความรู้สึกก่อนที่จะล้มลงหน้าจะกระแทกพื้น รู้สึกเหมือนมีอ้อมแขนอบอุ่นของใครบางคนมารองรับเอาไว้



‘ซือสือ’….ได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกชื่อตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป







*****************************



#คนเขียน : ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม

สนุกมากกกกกกกกกกกก  ชอบบบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
อ่านรวดเดียวเลย  อยากอ่านต่ออีกแล้ว  ไรท์มาต่อไวๆ นะ  :z3:

จะอ่านปรมาจารย์ลัทธิมารตามไรท์บ้างละ  .......
เห็นไรท์ ตามติดจนหาทางออกไม่เจอ อ่านตามแล้วจะออกจากลัทธิมารได้ไหมน้อ  o22
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

#คำเตือน : กูซูคือเข้าได้แล้วออกไม่ได้จ๊ะ 555555555555 ลัทธิมารที่แท้ทรู
จนถึงตอนนี้คนเขียนก็ยังเวียนวายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอยู่ในนั้น #ดูซ้ำวนไป กี่รอบก็ไม่ได้จำ :laugh:
ถ้าเข้ามาแล้วก็...ยินดีต้อนรับจ้าาา  :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2019 12:36:37 โดย i.am.champingon »

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่12 [03/10/62]
«ตอบ #18 เมื่อ03-10-2019 08:48:46 »

ดั่งเงาตามตัว : พาร์ทอดีต 1





‘ซือสือ’




"ซือสือ! จะไปไหนมาเล่นให้จบเกมก่อน"



เสียงรุ่นพี่ตะโกนไล่หลังมา แต่ซือสือก็โบกมือลาแล้ววิ่งตามหลังใครบางคนที่กำลังเดินผ่านสนามไป



"เฮ้! ไปเรียนพิเศษอีกเหรอ? " ใบหน้าชื้นเหงื่อชะโงกเข้ามาถาม นั่นทำให้หวังเหล่ยตกเป็นเป้าสายตาอีกครั้งเมื่ออีกคนวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังอย่างไม่ยอมแพ้



หวังเหล่ยไม่ได้ตอบในทันที เพียงแค่เดินเงียบๆ ไปอีกหลายก้าวเพราะคิดว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายก็คงเบื่อแล้วจากไปเอง แต่...นั่นไม่ใช่คนอย่างซือสือ กฎเกณฑ์ใดๆ ที่หวังเหล่ยสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัว ใช้กับคนคนนี้



"มีซ้อม" ตอบเสียงเรียบแล้วเดินต่อ ทำเป็นไม่สนใจแววตาและสีหน้าช่างสงสัยของอีกฝ่าย



"ซ้อมอะไรเหรอ? " ซือสือถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตามตื๊อไม่ห่าง แววตาสงสัยกระหายใครรู้นั้นบ่งบอกว่าคนถามไม่ยอมแพ้ง่ายๆ



หวังเหล่ยไม่ใช่คนช่างพูด จะให้อธิบายอะไรยาวๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่ารำคาญ แต่นึกย้อนไปถึงตอนที่ได้เล่นเกมหมากรุกกับพี่เฉินที่บ้านอีกฝ่าย....



"ตามมา"





โรงยิมขนาดใหญ่

ตอนที่หวังเหล่ยออกมาจากห้องในชุดฟันดาบแบบเต็มยศ เคยฝึกดาบไม้กับพี่เฉินอยู่บ้าง แต่ก็แค่เอาไว้ป้องกันตัว ช่างเทียบไม่ได้กับภาพตรงหน้า แถมยังได้ยินมาว่าเคยไปแข่งชนะระดับประเทศมาแล้ว



สมกับเป็นหวังเหล่ย ซือสือคิดในใจ แม้จะเห็นจากตรงที่นั่งของผู้ชมยังรู้ว่าคนไหนคือหวังเหล่ย สายตาจึงจับจ้องมองตามโดยไม่เปลี่ยนโฟกัส



จากข้อมูลของโค้ชที่ได้ยิน ปัจจุบันผันตัวมาช่วยเป็นคู่ซ้อมให้นักกีฬาที่จะลงแข่งขันในเกมต่างๆ



กว่า 1 ชม. จนการซัอมจบลง นักกีฬาทั้งหมดเริ่มแยกย้าย ซือสือถึงได้โดดลงจากที่นั่งวิ่งตามเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุด



"นายเท่เป็นบ้า" ซือสือยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้าง แต่คนฟังยังคงมีสีหน้าเมินเฉยดูไม่ออกว่ายินดีกับคนชมหรือไม่ได้ยินกันแน่



"อย่าซน" หวังเหล่ยดุเสียงเรียบตอนที่ซือสือทำเนียนเอื้อมมือไปที่ดาบ



"ขอดูหน่อยก็ไม่ได้ ขี้งก" ซือสือว่าพลางทำปากยื่น แล้วหันไปสนใจดาบไม้สำหรับฝึกที่วางอยู่ตรงมุมห้อง แม้ไม่ใช่กีฬาประเภทเดียวกันแต่ก็พยายามเลียนแบบท่าทางที่เห็นเมื่อครู่



และมันดู..ขัดหูขัดตาสำหรับคนที่เป็นโค้ชอย่างหวังเหล่ย



“ปลายเท้าวางแบบนี้” หวังเหล่ยบอกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ และเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าว่า ‘ไม่เข้าใจ’ ตอบกลับมา ถึงได้เดินไปเตะปลายเท้าซือสือให้วางถูกต้องตามตำแหน่ง



ซือสือขยับตัวอย่างเก้ๆ กังๆ และเหมือนว่าโค้ชหวังเหล่ยจะยังคงไม่พอใจในความ ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ ถึงได้อ้อมไปข้างหลัง วางมือลงบนสะโพกนักเรียนมือใหม่ให้หมุนตามด้วย



“ปลายแขน ยืดให้สุด จับดาบให้มั่นคง” น้ำเสียงราบเรียบยังคงเอ่ยคำสั่งไม่หยุด ฝ่ามืออ้อมมาด้านหน้าจับข้อมือของซือสือให้เป็นไปตามคำสอน



“อะ...อืม..” นักเรียนมือใหม่ยังคงเงอะงะ ไม่คิดว่าจะต้องมาจริงจังอะไรขนาดนี้



“มีสมาธิ ตามองตรงไปด้านหน้า ยกดาบขึ้นแล้วทิ้งน้ำหนักลงไป”



ฟุ่บ! เสียงดาบไม้หวดกับอากาศ



“ว้าว….” ซือสือทำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะหันมายิ้มให้กับครูฝึก….ซึ่งก็เจอเพียงสีหน้าไร้อารมณ์ตอบกลับมา นั่นทำให้คนที่กำลังยิ้มผิดหวังเล็กน้อย





หลังจากวันนั้นหวังเหล่ยก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า ‘คิดผิด’ ที่ไปริเริ่มสอนซือสือให้เริ่มฟันดาบ นั่นเพราะเจ้าตัวไม่เคยอยู่ในกฎเกณฑ์ที่มันควรจะเป็น ดันเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปรวมกันแล้วคิดท่าเองเสร็จสรรพ แถมยังเอามาอวดได้อย่างหน้าไม่อายอีก เป็นการสอนที่มีแต่ความปวดหัวไม่มีที่สิ้นสุด ยากยิ่งกว่าการแก้ปัญหาข้อสอบระดับประเทศเสียอีก



“ถ้าฉันชนะเกมนี้ นายต้องสอนฉันโอเคนะ” ซือสือยื่นข้อเสนอหลังจากเล่นเกมหมากรุกตอบคำถามและผลัดกันแพ้ชนะมาสามรอบได้



วันไหนที่พี่เฉินไม่ได้มา หวังเหล่อยกับซือสือจะผลัดกันถามตอบเล่นเกมหมากรุกกันเอง แน่นอนว่าถ้าเล่นเฉพาะเกมไม่ได้มีข้อสอบของวิชาต่างๆ ร่วมด้วย หวังเหล่ยจะชนะนั่นเพราะเป็นคนช่างสังเกต สีหน้าไม่แสดงออกว่าได้หรือกำลังเสียเปรียบและที่สำคัญสมาธิ..เป็นสิ่งที่ซือสือขาด (ไปมาก) แต่หากเป็นการถามตอบเพื่อเก็บหมากในเกม ซือสือมักจะเร็วกว่าก้าวหนึ่งเสมอ นั่นเพราะกระบวนการความคิดที่ไม่เรียบร้อยแต่ดันเรียบเรียงมาเป็นคำตอบที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็วกว่า



“ผลคือเสมอ” หวังเหล่ยตอบด้วยสีหน้าเย็นชา นั่นเพราะหวังเหล่ยนำอยู่หนึ่งรอบ



ซือสือทำเสียง ‘จิ๊’ ที่หลอกล่อไม่สำเร็จแล้วควงดินสอในมือแทนการควงดาบ



“ทำไมนายถึงเลิกเล่นล่ะ” ซือสือถามถึงกีฬาฟันดาบ ที่สงสัยเพราะเห็นฝีมือแล้วอนาคตไกลแน่นอน



-เงียบ-

นั่นเพราะกำลังแก้โจทย์ปัญหาที่ซือสือเพิ่งถามไป ถึงได้เงยหน้ามองซือสือด้วยสายตาตำหนิที่โดนกวนสมาธิ แล้วยกกระดาษคำตอบ ก่อนจะเลื่อนตัวหมากในเกมกินหมากของซือสือไปอีกหนึ่ง



“บาดเจ็บ” หวังเหล่ยตอบออกมาในที่สุด และเมื่อคนฟังยังคงมองมาด้วยสายตาสงสัย หวังเหล่ยจึงรั้งแขนเสืือขึ้นให้ดูรอยตรงข้อมือ มันจางเสียจนไม่สังเกตก็คงไม่เห็น



ซือสือเริ่มหน้าเสีย รู้สึกผิดที่ไปคาดคั้นถาม



“แล้วตอนฝึกซ้อมไม่เป็นไรเหรอ”



“ไม่ได้ออกแรงมาก” สายตายังคงไล่หาโจทย์ในหนังสือต่อไปโดยไม่เงยหน้ามองคู่สนทนา



ซือสือยังคงจมอยู่ในความรู้สึกผิด



จนหวังเหล่ยต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยเพราะทั้งห้องเงียบนานเกินไป สายตาที่มองตรงมานั่นทำให้ต้องตอบย้ำไปอีกครั้ง



“ไม่เจ็บ, ไม่เป็นไร”



“จะไม่เป็นไรได้ไง ต้องเป็นสิ! ” คราวนี้ซือสือพูดออกมาด้วยความโมโห



และหวังเหล่ยผู้เฉยเมยต่อทุกสิ่ง..ไม่เข้าใจ...ตอนที่เกิดเหตุจนต้องผ่าตัด จนรู้ว่าไม่สามารถกลับไปเล่นได้อีก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือคนรอบข้างก็ไม่เห็นมีใครโมโหเหมือนที่ซือสือเป็น ทุกคนแค่บอกเพียง ‘ไม่เป็นไร’ แหละหวังเหล่ยก็คิดว่าก็คงต้องเป็นแบบนั้น



ผลของเกมวันนั้นก็คือเสมอ และซือสือก็ไม่ได้มาวอแวขอตามไปสนามฝึกอีกเลย แถมยังหลบเลี่ยงเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่นับวันที่มีนัดเล่นเกมกันที่บ้านทุกอย่างก็เหมือนจะปกติ...ดีอยู่แล้ว



“นาย...เอาดาบมาทำไม” วันนี้เป็นวันที่นัดกับพี่เฉินที่บ้านของซือสือ



หวังเหล่ยถอนหายใจเบาๆ สีหน้ายังคงเรียบเฉย ก่อนจะเดินนำหน้าไปก่อนพูดออกมา



“ถ้าวันนี้นายแพ้ เตรียมใจไว้เลย”



“หา? ” ซือสือวิ่งตามมาติดๆ ทำหน้าไม่เข้าใจ และแน่นอนหวังเหล่ยไม่มีทางที่พูดอะไรต่อความให้ยืดยาว มีเพียงหางตาที่มองมาอย่างท้าทาย พร้อมกับเหลือบมองไปที่ดาบ



“ฉันจะไม่แพ้คนอย่างนาย หวังเหล่ย! ” ซือสือก็ฉลาดพอจะเข้าใจได้ยกมือชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างท้าทาย ก่อนจะหมุนตัววิ่งนำไปไม่รอ



สายตาเย็นชายืนมองแผ่นหลังของคนที่ชี้หน้าท้าทายอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากขยับเหยียดยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนสาวเท้าเดินตาม ..ที่ผ่านมาคนอย่างหวังเหล่ยจะไม่มีวันปล่อยให้คู่แข่งเดินนำไปก่อน..ไม่มีวัน…



แต่ครั้งนี้...จะยอมปล่อยเลยตามเลยไปก็แล้วกัน



ผลการสอบในรอบนั้น 100% คือผลคะแนนของอันดับที่หนึ่ง...ซึ่งมีถึงสองคน



ซือสือยืนฉีกยิ้มยืดอกอวดอวยตัวเอง ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนที่กำลังหยอกล้อเล่นหัวไปมา ขณะที่อันดับหนึ่งอีกคนยืนมองอยู่ด้านหลัง ในมือมีจดหมายที่มีตราประทับของโรงเรียนกวดวิชา ‘แจ้งเรื่องการขาดเรียน’



แม้ว่าผลการเรียนจะไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ช้าเร็วก็ต้องแจ้งพ่อกับพี่ชายให้ทราบเรื่องนี้อยู่ดี





…………………..





โต๊ะเรียนด้านข้างที่ว่างเปล่าเป็นวันที่ 3 แล้ว หลังจากประกาศผลการสอบ ไม่สามารถติดต่อได้ แน่นอนว่าคนอย่างซือสือไม่มีทางไปถามหาที่อยู่ของบ้านเพื่อนจากอาจารย์ แต่มันมีวิธีลัดที่ง่ายกว่านั้น และเมื่อไปถึงบ้านที่เป็นตระกูลเก่าแก่ ซือสือก็แทบจะต้องใช้มารยาทอันน้อยนิดทั้งหมดที่มีสำรวมให้อดทนอย่างมากถึงมากที่สุดเมื่อรู้ว่าหวังเหล่ยโดนตีจนไข้ขึ้น เนื่องจากทางบ้านได้รับจดหมายแจ้งเตือนเรื่องการขาดเรียน



“ผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่มีข้อยกเว้น” นั่นคือคำพูดของคุณพ่อ



ซือสือกำหมัดแน่นจนตัวสั่นด้วยความโกรธ ใบหน้าที่ก้มมองพื้นนั้นริมฝีปากกำลังเม้มแน่นอย่างอดทน เพราะคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นความผิดของตัวเองด้วย



เฉินลูร์ขยับเข้ามาใกล้ แตะหลังที่กำลังสั่นนั้นเบาๆ อย่างเข้าใจ



“ไปดูเพื่อนเถอะ พี่จะคุยกับคุณจ้าวเอง” ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ ซือสือก็ไม่ได้อยากจะอยู่ในห้องนี้นานนัก จำใจก้มหัวทำความเคารพก่อนจะออกไป



พี่จ้าวเจินพี่ชายของหวังเหล่ยเป็นคนพามาที่ห้อง เคาะประตูแจ้งคนในห้องสองสามครั้งแล้วไขกุญแจเปิดประตูให้



“อย่าโกรธคุณพ่อเลยนะ” จ้าวเจินบอกพลางตบไหล่เพื่อนน้องชายที่ยังกัดปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว และคงไม่รู้ตัวด้วยเช่นกันว่าตัวเองกำลังโกรธจนหน้าแดงตาแดงไปหมด



ร้อยวันพันปีพ่อไม่เคยโกรธแบบนี้มาก่อน และเช่นเดียวกันหวังเหล่ยก็ไม่ใช่เด็กที่เอาแต่ใจหรือนิสัยไม่ดี น้องชายต้องกดดันแค่ไหนที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวดของบ้านที่มีแต่ผู้ชาย และเพื่อนที่มาถึงบ้านก็เพิ่งจะเคยมีคนแรก



“ผมแค่ไม่เข้าใจ” ซือสือยอมรับตามตรง



“มันเป็นกฎของบ้านน่ะ”



“เป็นความผิดผมเอง ผมน่าจะโดนตีด้วย” ซือสือพูดเสียงอ่อนลง



จ้าวเจินไม่ได้ตอบเพียงแค่ตบไหล่เพื่อนน้องชายอีกครั้งแล้วเปิดประตูห้องให้ พยักหน้าส่งสัญญาณให้เข้าไปข้างใน



ซือสือก้าวเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวังเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนอนหลับอยู่บนเตียงสภาพถอดเสื้อออก นั่นทำให้เห็นรอยโดนดีชัดเจน ความโกรธปะทุขึ้นมาอีกทำให้ขอบตาที่ร้อนผ่าวอยู่แล้วน้ำตาไหลออกมา ซือสือยกมือปาดมันออกอย่างเร็ว



คนบนเตียงขยับหันมาตอนที่รู้สึกได้ถึงใครบางคนเข้ามาใกล้



“ร้องทำไม? ” คำถามเหมือนคนเพ้อ นั่นเพราะเป็นไข้และฤทธิ์ยา



“ไม่ได้ร้อง...” เมื่อซือสือตอบ



“....? ”

หวังเหล่ยที่กำลังสะลึมสะลือก็ลืมตาแล้วขมวดคิ้ว เหมือนกำลังตั้งสติมองคนตรงหน้าให้เต็มตา ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งแล้วพิจารณามองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงอีกครั้ง



“ซือสือ? ”



“อือ”



“นายมาทำไม? ” นั่นไม่ใช่เสียงดุดันเย็นชาเหมือนเคย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงโดนบ่นใส่ว่าน่ารำคาญไปนานแล้ว



“มาสมน้ำหน้านาย” ซือสือพูดประชด



หวังเหล่ยขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง คราวนี้รู้สึกว่าจะมีอาการปวดหัวตุ๊บๆ ด้วย คนที่ไม่อยากให้มาเห็นสภาพแบบนี้มากที่สุดดันมาอยู่ตรงหน้าแล้วตอนนี้ เสื้อคลุมที่ถูกถอดโยนไว้ข้างเตียงถูกนำมาสวมทับไว้หลวมๆ



“เจ็บไหม? ”



“....” ไม่มีคำตอบ...ก็แสดงว่าเจ็บไม่น้อย



“พ่อนายน่าจะตีฉันด้วย”



“ฉันโดดเรียนเป็นความผิด ต้องถูกทำโทษถูกแล้ว” ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นแค่การเรียนเสริมพิเศษก็ตามที



“แต่ฉันเป็นคนชวนนายออกนอกลู่นอกทาง แม้ว่านายจะทำคะแนนเสมอฉันได้ก็เถอะ” ฟังคล้ายคำขอโทษแต่ก็ยังมีความโอ้อวดความเก่งของตัวเองอยู่ดีซือสือ



“ฉันไม่ได้โดนบังคับข่มขู่ เป็นความสมัครใจ นั่นคือความผิด” หวังเหล่ยพูดเสียงเรียบ



“แต่เราเป็นเพื่อนกัน”



“ไม่ได้เป็น” เป็นการเอาคืนเรื่องที่ซือสือบอกว่ามาสมน้ำหน้าได้อย่างรวดเร็ว



คำตอบกลับที่แสนจะเย็นชาและรวดเร็วนั่นทำเอาซือสือหมดคำจะเถียงต่อนอกจากอ้าปากค้าง



“ชิ! ” ซือสือถือวิสาสะทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงด้วยใบหน้าบูดบึ้ง นั่นทำให้เจ้าของห้องอมยิ้มออกมาเล็กน้อย



“ขอบใจ”

น้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาจนคนฟังคิดไปว่าหูฟาด และเมื่อหันกลับไปมองให้แน่ใจก็พบว่าอีกฝ่ายมองมาอยู่ก่อนแล้ว แน่นอนว่าต่อให้เอาคีมมาง้างปากให้พูดอีกรอบก็ไม่มีทางที่เจ้าคนปากหนักอย่างหวังเหล่ยจะพูดคำนั้นออกมาอีก ทำได้แค่คิดเข้าข้างตัวเองไปว่าดีแล้วที่มา ซือสือจอมโอ้อวดถึงได้ยกมือกอดอกแล้วชูคอประหนึ่งว่าได้รับคำชมจนแทบจะหุบยิ้มไม่ได้เอาเสียเลย



ไม่นานนักหรอกที่คนทะเล้นอย่างซือสือจะทนนิ่งได้นาน ก่อนจะหันไปสบตากันแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นห้อง



นั่นเป็นครั้งแรกที่พ่อและพี่ชายตระกูลจ้าวหันไปสบตากันด้วยความแปลกใจ



ในขณะที่เฉินลูร์แอบหัวเราะอาการประหลาดใจของสองพ่อลูกอยู่เงียบๆ





****************









ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่13 [15/10/62]
«ตอบ #19 เมื่อ15-10-2019 14:10:25 »

ดั่งเงาตามตัว : พาร์ทอดีต 2



ผิดก็ว่าไปตามผิด ทุกอย่างต้องมีกฎเกณฑ์ : จ้าว หวังเหล่ย



ถ้าคิดว่าถูกต้อง ก็ไม่เลือกวิธีการ : ซ่ง ซือสือ





………………………………





“นายใช้ผิดวิธี! ” นั่นออกจะเป็นคำพูดติดปากหวังเหล่ยไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่ซือสือเริ่ม แม้สุดท้ายแล้วคำตอบจะถูกก็ตาม



“นายก็จ้องจับผิด ผ่อนคลายบ้างเถอะน่า” ซือสือก็คงเถียงไม่ลดละ



และกรรมการอย่างเฉินลูร์ก็เริ่มจะชิน หยิบชาขึ้นมาจิบอย่างใจเย็นแล้วปล่อยให้เด็กๆ ตีกันไป ตั้งแต่ที่เข้าไปบ้านตระกูลจ้าววันนั้น หวังเหล่ยได้รับอนุญาตให้มาติวหนังสือบ้านเพื่อนได้ โดยเฉินลูร์เป็นประกันให้ว่าคะแนนของทั้งคู่จะไม่ตก แต่ไอ้เรื่องตีกันเองนี่ก็อีกเรื่อง



“ฉันจะเป็นศัลยแพทย์” ซือสือพูดขึ้นตอนขยับหมากในกระดานกินหมากของหวังเหล่ยไปหนึ่งตัว



“แย่หน่อยนะ” หวังเหล่ยตอบกลับทันที



ซือสือขมวดคิ้วยื่นหน้าเข้าไปเหมือนมีคำถาม ‘อะไรแย่? ’



“คนไข้”



คำตอบของหวังเหล่ยทำเอาเฉินลูร์สำลักชาพรวด ก่อนจะหัวเราะไปด้วยไอไปด้วย และซือสือก็หันไปถลึงตาใส่



“นาย..! เดี๋ยวนี้ชักจะยอกย้อนนะ! ”



หวังเหล่ยทำเป็นไม่สนใจที่จะโต้ตอบ แล้วเดินหมากกินเรียบรอบกระดาน ก่อนเงยหน้าสบตาคู่ต่อสู้อย่างซือสือด้วยสีหน้าเฉยชา มันอาจเป็นความสนุกสำหรับหวังเหล่ยกับการได้เห็นซือสือหงุดหงิดแทบบ้าในเรื่องที่เขาทำ นั่นเพราะเขาไม่ถนัดที่จะแสดงออกไม่ว่าจะด้วยอารมณ์ไหนก็ตาม การอมยิ้มไปกับท่าทางของซือสือจึงเป็นเรื่องสนุก



พี่เฉินกลับไปก่อนครั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว หลังจากนั้นฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ซือสือชวนหวังเหล่ยซ้อมฟันดาบ ฆ่าเวลากว่าชั่วโมงก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หวังเหล่ยจึงขอตัวกลับก่อนที่เจ้าของบ้านจะเริ่มทำมื้อเย็นเผื่อ เพราะการที่ทางบ้านผ่อนปรนให้เรื่องการไปโรงเรียนพิเศษนั่นก็มากพอแล้ว



“ฉันออกไปส่ง”



“ไม่ต้อง” หวังเหล่ยปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฝนยังคงตกหนักพอควร แค่รบกวนขอร่มสักคันก็พอแล้ว



ขณะที่หวังเหล่ยจะกางร่มออกเดิน ซือสือก็กางร่มแล้วเดินนำหน้าไปก่อน แถมยังหันมากวักมือให้รีบเดินตามอีก



“นายจะเป็นตำรวจเหมือนพ่อกับพี่เจินไหม” ซือสือเอ่ยถามขณะที่ทั้งคู่ออกเดินและเริ่มคิดว่าระหว่างทางเสียงฝนมันดังเกินไป



“ทำไม? ” หวังเหล่ยถามกลับ



“ก็พี่เจินเท่จะตาย” ที่ไม่พูดถึงพ่อเพราะยังโกรธเรื่องคราวก่อนอยู่ “นายต้องเท่มากแน่ๆ ” ซือสือหัวเราะกับภาพจินตนาการในหัวตัวเอง คำชมนั้นทำให้คนฟังก้มหน้ามองพื้นเพื่อซ้อนรอยยิ้ม



“แต่ฉันก็ยังห่วง...”



“ห่วงอะไร? ” ซือสือหันกลับไปมองสีหน้าเคร่งเครียดของคนพูด คิดไปเองว่าหวังเหล่ยคงกังวลเรื่องการสอบหรือไม่ก็สภาพร่างกาย



“ห่วงคนไข้ในอนาคตของนาย ฉันที่เป็นตำรวจต้องทำงานหนักแน่” พูดด้วยสีหน้าราบเรียบจริงจังจนคนฟังไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเล่น ซือสือกัดปากแน่นคำด่ากลับเป็นร้อยวิ่งวนอยู่ในหัว



“หวังเหล่ย!! ” ซือสือกระทืบเท้าด้วยความโกรธ พื้นที่มีน้ำขังจึงกระเด็นมาโดนขากางเกงหวังเหล่ยด้วย ซึ่งก็โดนสายตาเย็นชามองดุๆ กลับมา





ขณะที่ซือสือกำลังจะเรียบเรียงคำด่าและการเอาคืน เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น ทั้งสองคนหันไปสนใจแล้วตัดสินใจวิ่งตามเสียงไปดู ภาพที่เห็นคือเด็กชายคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกหมามือหนึ่ง ขาข้างหนึ่งเหยียบลงไปในแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยว เจ้าตัวกำลังร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ จังหวะที่ลูกหมาตะเกียกตะกายขึ้นจากฝั่ง มือเล็กกอหญ้าที่ตลิ่งก็หลุด ร่างเล็กลอยตามแรงน้ำ



“ซือสือ! ” เสียงหวังเหล่ยตะโกนตามหลังเมื่อเห็นคนข้างกายทิ้งร่มในมือแล้วสไลล์ตัวลงข้างไปแล้ว



น้ำในแม่น้ำมันไม่ได้ลึกสำหรับผู้ใหญ่ แต่กับเด็กที่ความสูงไม่ถึงก็จมได้ง่าย



ซือสือโดดลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่คิดว่าชำนาญและคุ้นเคยกับแม่น้ำแถวนี้มาตั้งแต่เด็ก เมื่อลงไปถึงระดับน้ำแค่เอว แต่จังหวะที่คว้าตัวเด็กเอาไว้ น้ำหนักของคนทั้งคู่รวมกันมันยากที่จะต้านแรงของน้ำได้ ซือสือเสียการทรงตัว แต่ก็ยังอุ้มเด็กเอาไว้ได้



มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา



“ซือสือ! ส่งมือมา! ” หวังเหล่ยตะโกนบอก น้ำในแม่น้ำยังคงไหลแรงไม่ปรานี หากลงไปอีกคนนอกจากช่วยไม่ได้อาจจะอันตรายกันทั้งหมด



มือหนึ่งของซือสือคว้ากิ่งไม้เล็กๆ ที่ยื่นลงมาเอาไว้ได้ และอีกมีใช้ประคองตัวเด็กที่ไม่ได้สติเอาไว้



“ซือสือ! มือ..ส่งมือมา เร็วเข้า” ได้ยินเสียงร้อนรนของหวังเหล่ย ซือสือก็อยากจะทำตาม แต่ตอนนี้น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นกำลังต้านกระแสน้ำ และกิ่งไม้ที่จับเอาไว้จะรับน้ำหนักไม่ไหวถ้าขยับ



“ช่วย...ช่วย..เด็ก”



ซือสือไม่มีเวลารอคำตอบตั้งสติใช้เท้ายันพื้นที่เต็มไปด้วยโคลน ก่อนจะเหวี่ยงตัวเด็กให้หวังเหล่ยรับเอาไว้ได้



กร๊อบ!



อย่างที่คิดกิ่งไม้รับน้ำหนักไม่ไหว แรงเหวี่ยงทำให้ซือสือเสียหลักหงายไปข้างหลังด้วยแรงของน้ำ



หมับ!



ข้อมือถูกคว้าเอาไว้ ซือสือพยายามตะเกียกตะกายช่วยเหลือตัวเองที่สำลักน้ำโผล่ขึ้นมา ถึงได้เห็นว่ามืออีกข้างของหวังเหล่ยคว้าเอาไว้ โดยมีเด็กที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขน



“จับเอาไว้นะ” แขนข้างที่จับข้อมือซือสือเริ่มสั่น ตรงข้อมือเห็นรอยแผลเป็นจางๆ



“หวังเหล่ย...ปล่อย...”



“ไม่! จับเอาไว้” หวังเหล่ยคนที่เงียบขรึมคนนั้นกำลังตะโกน



“แค่ก! ฉันไม่เป็นไร แค่กๆ ” ซือสือพยายามหาที่เหยียบ แต่พื้นข้างล่างมันเป็นโคลนไปหมด ถ้าปล่อยตัวให้ลอยไปหน่อย น่าจะหาทางขึ้นฝั่งได้



“ซือสือ..อย่า...อย่าทำแบบนี้...” หวังเหล่ยไม่ยอมปล่อยแม้ว่าแขนจะเริ่มชาถึงไหล่ด้วยต้านแรงไหลของน้ำ



“ เดี๋ยวก็เจอกัน..นะ..” ซือสือบอกก่อนจะออกแรงสะบัดแขนให้หลุดจากฝ่ามือ



“ซือสือ!! ”



“ฉันขอโทษ..ขอโทษ..”



“ซือสือ!! ”







หวังเหล่ยจำไม่ได้ว่าโยนร่างเด็กที่หมดสติให้ใครรับช่วงต่อ ส่วนตัวเองวิ่งตามน้ำไป ก่อนที่ร่างของซือสือจะจมหายไปกับตา ไม่รู้ตัวว่ายืนอยู่ตรงแม่น้ำนั้นนานแค่ไหน จนทีมกู้ชีพมาถึง จนพี่เฉินมาถึง ร่างซีดเสียวไร้ซึ่งลมหายใจของซือสือถูกพบหลังจากนั้น





ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก….เร็วมาก...เร็วมากเสียจนหวังเหล่ยไม่มีเวลาได้เผื่อใจ





ไม่กี่วันหลังจากนั้นพี่เฉินส่งข่าวมาบอกว่าเด็กคนที่ซือสือช่วยเอาไว้ฟื้นจากไข้แล้ว หวังเหล่ยปฏิเสธการรับรู้ข่าวสารใดๆ จากเด็กที่รอดชีวิต ในชีวิตไม่เคยรู้สึกชิงชังอะไรมาก่อน



ในห้องเรียนเหมือนจะว่างเปล่าสำหรับหวังเหล่ย หน้าข่าวสังคมธุรกิจเล่นข่าวใหญ่โตเรื่องที่คุณหนูตระกูลเฉินประกาศถอนหมั้นตัดสัมพันธ์กับตระกูลเจิ้ง แต่ไม่มีข่าวเรื่องที่ลูกชายคนกลางของตระกูลเจิ้งจมน้ำและมีถูกช่วยเอาไว้...แลกกับหนึ่งชีวิตที่ต้องสูญเสียไปตลอดการ



ปีการศึกษาสุดท้าย มีอันหนึ่งเพียงชื่อเดียว และรายชื่อทำเนียบผู้สอบติดแพทย์ ‘จ้าว หวังเหล่ย’



..................

...........

....







9ปี หลังจากนั้น




รายชื่อคนไข้ที่แอทมิดเข้ารักษาด้วยอาการทานยาเกินขนาด ลูกชายคนกลางของตระกูลเจิ้ง ‘หลิงซือ’



เป็นอีกครั้งที่ไฟแห่งความเกลียดชังถูกจุดขึ้นในใจของผู้ชายที่แสนจะเย็นชา หวังเหล่ยไม่เคยให้อภัยเด็กที่รอดชีวิตในวันนั้น



ในขณะที่พี่เฉินมองต่างออกไป



“ฉันปล่อยให้เด็กคนนี้ตายไม่ได้ มันเหมือน...เหมือนฉันปล่อยให้ซือสือจากไปอีกครั้ง” เฉินลูร์มองร่างคนไข้บนเตียงที่นอนแน่นิ่งพร้อมกับสายระโยงระยาง เด็กคนนี้คือคนที่น้องชายได้ช่วยเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนจนเสียชีวิต ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ทีมแพทย์ที่เก่งขนาดไหน เฉินลูร์ก็จะรักษาลมหายใจของคนที่ซือสือใช้ชีวิตแลกมาเอาไว้ให้ได้



แต่กับหวังเหล่ยไม่ใช่



“ผมก็ทนเห็นหน้าของเขามีชีวิตไม่ได้เหมือนกัน” น้ำเสียงเย็นชาและเกลียดชัง หวังเหล่ยหลับตาคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างอดทน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความเจ็บปวดต่อความสูญเสียครั้งนั้นไม่ได้ได้เบาบางลงเลยแม้แต่นิดเดียว



“ เดี๋ยวก็เจอกัน..นะ..”



คำพูดในตอนนั้นยังคงดังก้องในหัว มือข้างที่มีแผลเป็นเริ่มสั่นอีกครั้ง



“ฉันขอโทษ..ขอโทษ..”



ถ้อยคำและเสียงที่ได้ยินในฝัน ในทุกๆ คืนๆ เหมือนราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง



หากนั่นเป็นจริงและซือสือยังคงอยู่ข้างๆ ต่อให้เป็นการเห็นแก่ตัว หวังเหล่ยก็จะยึดติดเอาไว้แบบนั้นต่อไป



...จนกระทั่งคืนหนึ่ง ที่หวังเหล่ยไม่ฝันอีกต่อไป



“ฉันรู้ว่านายไม่อยากฟัง แต่ฉันก็ต้องบอก ‘เด็กคนนั้น’ ฟื้นแล้ว”



หวังเหล่ยไม่ได้ตอบกลับ เพราะไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรกับข่าวที่เฉินลูร์โทรมาแจ้ง เพียงแค่กดวางโทรศัพท์แล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเงียบงัน





‘ซือสือ...’









********************************



#Talk : จบพาร์ทอดีตของซือสือ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่13 [15/10/62]
« ตอบ #19 เมื่อ: 15-10-2019 14:10:25 »





ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่13 [15/10/62]
«ตอบ #20 เมื่อ15-10-2019 16:06:59 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่13 [15/10/62]
«ตอบ #21 เมื่อ15-10-2019 17:23:20 »

 :L2: :pig4: :L2:


 o13

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่14 [16/10/62]
«ตอบ #22 เมื่อ16-10-2019 08:56:18 »

กลับสู่ความจริง





'ซือสือ...’






ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนเสี้ยวใบหน้าของคนที่กำลังหลับแผ่วเบาราวกับไม่ต้องการให้เจ้าตัวลืมตาขึ้นมาในขณะนั้น ภาพเลือนรางของใครบางคนยืนอยู่ข้างเตียง นั่นทำให้ความเชื่อทั้งหมดที่เคยมีกลับตาลปัตรไปหมด สายตาที่เคยเย็นชาอ่อนลงตอนเห็นแผลที่มือ ก่อนบรรจงทำความสะอาดและใส่ยาให้อย่างระมัดระวัง





‘ซือสือ...’







‘ซือสือ’







ราวกับเสียงกระซิบแผ่วเบา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่ที่สวนหลังโรงเรียนแต่เป็นห้องพยาบาล และเมื่อหันมองไปรอบๆ สายตาก็สะดุดเข้ากับใครบางคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่าง ซือสือพยายามจะใช้มือยันตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความเจ็บที่มือ แต่มีร่องรอยการล้างแผลและใส่ยาให้เรียบร้อยแล้ว







“นะ..นาย..เออ...คุณหมอ...ผมมาอยู่นี่ได้ไง” พอตั้งสติได้ ปลายนิ้วที่ชี้ไปยังอีกฝ่ายก็รีบหดลงทำท่าเกาปลายจมูกแทน







ทำไมหมอนั่นมาอยู่นี่ได้?







“เจ็บตรงไหนอีก” แทนที่จะได้รับคำตอบ กลายเป็นถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชาเสียจริง





ซือสือกำลังจะตอบปฏิเสธ แต่พอขยับตัวก็ต้องขมวดคิ้วร้องซี้ดเพราะเจ็บตรงท้อง คุณหมอหวังลุกเดินเข้ามาหาโดยไม่ต้องเอ่ยปากเรียก ชายเสือนักเรียนถูกเลิกขึ้น มีรอยเขียวช้ำตรงที่โดนเตะชัดเจน





“มีอะไรจะอธิบายไหม? ”





ซือสือส่ายหัวรัวทันทีที่ถูกถาม แต่สายตามคมกริบก็ยังจับจ้องด้วยสายตาจับผิดไม่ลดละ ทำได้แค่ก้มหน้าหลบสายตา รออีกฝ่ายหมดความพยายามเดี๋ยวก็ยอมแพ้ไปเอง





เสียงถอนหายใจแผ่วเบา แต่ซือสือก็สังเกตเห็นได้ในระยะใกล้แบบนี้





“ไม่เป็นไรครับ แค่รอยช้ำเอง”





หวังเหล่ยไม่ได้ตอบ แต่ลุกขึ้นเดินไปทางตู้เก็บยา และเดินกลับมาพร้อมเจลเย็น





“จับไว้”





ซือสือจำต้องถือชายเสือของตัวเองเลิกขึ้นตามคำสั่ง เมื่อเจลเย็นแตะลงบริเวณฟกช้ำก็มีอันต้องสะดุ้งร้องครางอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายที่ผอมแห้งแรงน้อยแบบนี้ แถมยังอ่อนแออีก







“ยกแขนขึ้น”





ซือสือทำตามคำสั่งโดยที่คุณหมอไม่ต้องพูดซ้ำ







คราวนี้ซือสือเลิ่กลั่ก นั่นเพราะคุณหมอหวังจับชายเสือเลิกขึ้นถึงอก แล้วออกคำสั่งพร้อมม้วนผ้าสำหรับพันแผล ตอนที่อีกฝ่ายโจ้มตัวเข้ามาใกล้ ชนิดว่ารู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ต้นคอ อ้อมแขนนั้นโอบไปด้านหลังตอนพันผ้านั่นทำให้รู้สึกแปลกๆ ซือสือหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย





“ขะ..ขอบคุณ” เอ่ยปากด้วยความเคอะเขินพลางยกมือเกาปลายจมูกด้วยความเคยชิน





“ทำไมคุณหมอมาอยู่นี่ได้ แล้วผมมาอยู่นี่ได้ไง” ซือสือเอ่ยถามด้วยความสงสัย ไม่อยากปล่อยให้ห้องเงียบนานเกินไป กลัวหัวใจมันจะเด้งออกมาข้างนอก





“บรรยายคลาสพิเศษ” หวังเหล่ยตอบคำถามแรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และคนฟังก็พยักหน้าทำเสียง ‘อ๋อ’ ลากยาวในลำคอ





แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องที่ซือสือมาอยู่ห้องพยาบาลได้ยังได้ หวังเหล่ยเอื้อมไปคว้ามือข้างที่เจ็บของซือสือมาตรวจดูอีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่มีตรงไหนคลาดสายตา ฝ่ามือบอบบางดูก็รู้ว่าไม่เคยจับของหนัก ตอนนี้บวมช้ำด้วยแรงกระแทกกลับตอนออกแรง ปลายนิ้วหัวแม่มือของคุณหมอแตะไล้เบาๆ ไปตามข้อนิ้วที่ยังมีรอยเลือดซิบอย่างระมัดระวัง





“อย่าหาเรื่องใส่ตัวอีก”





ซือสือขมวดคิ้วทำหน้างง คำถามที่ถามไปไม่ได้รับคำตอบ แถมยังโดนดุกลับมา แต่ที่ติดใจคือ ‘อีก? ’ งั้นเหรอ? ปกติหลิ่งซือคนก่อนก็คงมีเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ละมั้ง เดี๋ยวกลับบ้านค่อยเค้นเอาความจริงอีกที





“ไม่ได้หาสักหน่อย” เบือนหน้าไปอีกทางแล้วเถียงกลับเสียงพึมพำ ก่อนจะหันขวับกลับมาทำตาโต





“คุณหมอ...คงไม่ได้...รายงานที่บ้านผมใช่ไหม? ” ซือสือทำหน้าสยดสยองตอนที่จินตนาการล่วงหน้าไปว่าที่บ้านทราบเรื่องแล้ว





หวังเหล่ยส่ายหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ





“อยู่โรงเรียน เรียกอาจารย์”





นั่นไม่ใช่กฎหรืออะไร แต่เพราะหวังเหล่ยรู้ดีว่าประวัติการรักษาถูกเก็บเป็นความลับ หากถูกเรียกว่าคุณหมอมันอาจมีเรื่องยุ่งยากตามมา คิดอะไรให้รอบคอบกันไว้ดีกว่ามาตามแก้ทีหลัง





ซือสือนิ่งฟังอยู่ได้ไม่กี่วินาที ก่อนจะหลุดหัวเราะพรวดออกมา





“คุณชายหวัง...คุณชาย….หวังเหล่ย...” แทนที่จะทำตามที่คุณหมอบอก แต่ซือสือกลับเรียกตามใจตัวเองด้วยสีหน้าทะเล้น





แววตาเย็นชานั้นมองกลับมาหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ไม่รู้ว่าในความหมายนั้นพอใจหรือไม่พอใจ แต่ก็ทำให้จอมทะเล้นอย่างซือสือหุบปากลงได้สนิท





“แค่ล้อเล่นเอง ไม่เห็นต้องจริงจังอะไรนี่น่า อาจารย์ก็อาจารย์สิ” ซือสือใช้ปลายนิ้วจับชายเสื้ออาจารย์เขย่าไปมา แล้วก็เจอสายตาดุๆ มองกลับมาอีกรอบ





ปลายนิ้วที่คีบชายเสื้อค่อยๆ ปล่อยออก แต่กลับเม้มริมฝีปากกลั้นขำกับท่าทางของ ‘อาจารย์หวังเหล่ย’





“ข้างนอกได้”





“...? ”



อาจารย์หวังเหล่ยหันกลับมามองซือสือเจ้าปัญหา แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง





“ถ้าเป็นข้างนอก ก็เรียกได้….”





ซือสือเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น จนรู้สึกว่าปวดแก้ม จนรู้สึกว่ามันมีก้อนอะไรบางอย่างในอกที่ฟองฟูดันออกมา ในที่สุดก็คลี่ยิ้มกว้างออกมาจนได้แม้ว่าอีกคนจะไม่ได้ยิ้มตาม แต่ซือสือก็คิดเข้าข้างตัวเองไปแล้ว









เย็นวันนั้นซือสือถูกพากลับบ้านโดยอาจารย์, หมอประจำตัว หรือหวังเหล่ยจอมเย็นชา นั่นเพราะทันทีที่รถวิ่งพ้นประตูโรงเรียน ซือสือก็เรียก ‘หวังเหล่ย’ ในทุกประโยค แม้จะโดนทำสีหน้ารำคาญใส่ก็ไม่มีทางหยุดคนอย่างซือสือได้





และเมื่อรถเข้ามาในบ้านตระกูลเจิ้ง ซือสือก็กลับมาเรียก ‘คุณหมอหวัง’ อย่างสำรวมได้อย่างไม่มีที่ติ





ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน….



เมื่อถึงบ้านซือสือถูกแยกให้กลับไปที่ห้อง ส่วนคุณหมอถูกเชิญให้ไปยังห้องรับแขกที่เตรียมเอาไว้ แน่นอนว่าต้องสมบูรณ์แบบที่สุด ตอนที่ประตูห้องถูกแง้มเปิดออก ซือสือแอบเห็นสมาชิกทุกคนในบ้านครบทุกคน ยกเว้น...หลิ่งซือที่ถูกแยกออกมา





“หลิ่งซือ..ออกมา!! ” เมื่อก้าวเข้าห้อง ซือสือก็เรียกวิญญาณหลิ่งซือออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง





“ออกมา!! ไม่งั้นฉันจะไม่เผากระดาษเงินกระดาษทองให้อีก!! ”





‘โอ๊ยยย พี่ชายใจเย็นๆ ’





“มานี่เลยไอ้ตัวแสบ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง เมื่อวิญญาณปรากฏตรงหน้า ซือสือก็ล็อกคอเอาไว้ไม่ยอมให้แวบหนีไปได้





“ไอ้เด็กใจดำ ไม่คิดจะมาช่วยกันเลยรึไง? ” เอาจริงๆ ซือสือก็รู้ว่าอีกฝ่ายช่วยไม่ได้ แต่มันก็น่าจะเตือนกันบ้าง





‘พี่ฟังผมก่อน’





“พูดมา! ” ซือสือไม่ยอมปล่อยง่ายๆ





‘พี่ชายจะเอาเรื่องอะไรก่อนล่ะ’ วิญญาณหลิ่งซือกลอกตามองไปข้างล่างบอกเป็นนัยเรื่องในห้องรับแขกกับคุณหมอเหมือนต่อรอง





ซือสือหรื่ตามองกำลังประเมินสถานการณ์ แต่คิดว่าการไปแอบฟังเรื่องในห้องมันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรกับปัจจุบัน เดาจากการที่เจ้าของเรื่องถุกแยกตัวออกมา แถมเรื่องที่ได้ยินอาจจะทำให้วิญญาณหลิ่งซือมืดมนลงไปกว่าเดิมอีกก็เป็นได้





“เรื่องที่วันนี้เกือบตายอีกรอบก่อน”





‘โอเคๆ ผมจะเล่า...’





วิญญาณหลิ่งซือเล่าว่าเด็กกลุ่มนั้นรวมตัวกันรีดไถนักเรียนบ้านรวยที่อ่อนแอไม่มีทางสู้ แรกๆ ก็แค่เงินเล็กๆ น้อยๆ บางคนก็ให้ไปเพราะตัดความรำคาญ แต่หลิ่งซือเป็นเด็กอ่อนแอที่ดันไปตรงสเป็คของพวกนั้นพอดี เด็กอ่อนแอและที่บ้านจะจ่ายเงินให้ทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องอะไร และที่ไม่มีใครกล้ายุ่ง เพราะกลุ่มพวกนั้นจะมีการถ่ายคลิปเอาไว้แบล็กเมล์ ด้วยการแกล้งเรื่องน่าอาย แล้วเอาข่มขู่ภายหลัง





“โดนถ่ายคลิป? ” ซือสือถาม และวิญญาณหลิ่งซือก็พยักหน้าตอบ ใบหน้านั้นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด





‘เรื่องวันนี้..ผมขอโทษที่ไม่ได้อยู่ด้วย’ วิญญาณหลิ่งซือก้มมองมือตัวเองและเริ่มตัวสั่นจนซือสือสังเกตเห็น





‘ผมคงอ่อนแออย่างที่พี่พูดจริงๆ นั่นแหละ’ หลิ่งซือเหยียดยิ้มเศร้าสร้อย แค่เห็นกลุ่มเด็กพวกนั้น แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ความหวาดกลัวก็ยังคงฝังลึกในความทรงจำ





ซือสือมีสีหน้าเคร่งเครียดขบคิดอะไรในใจ ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น ผีกับคนหันไปสบตากันก่อนจะเอ่ยปากอนุญาต





“เข้ามา! ”





เจ้าของห้องแปลกใจเมื่อคนที่เปิดประตูเข้ามาไม่ใช่พ่อบ้านเถิงแต่เป็นคุณหมอ เผลอหันไปสบตากับวิญญาณที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างลืมตัว และนั่นก็ทำให้หวังเหล่ยหันมองตามด้วยสีหน้าแปลกใจเช่นกัน





“คะ..คุณหมอมีอะไรกับผมเหรอ? ”





ท่ามกลางความเงียบชั่วอึดใจนั้น เสียงประตูห้องก็ปิดลงพร้อมกับคุณหมอหวังที่ค่อยๆ สาวเท้าเข้ามา ซือสือรู้สึกเหมือนว่าระยะห่างระหว่างประตูถึงเตียงที่ตัวเองนั่งอยู่ทำไมมันช่างไกล จนมองภาพคุณหมอค่อยๆ เดินเข้ามาได้อย่างชัดเจนจนไม่สามารถละสายตาไปทางไหนได้





“นี่เป็นยาแก้อักเสบทานหลังอาหารทันที กับยาแก้ปวดถ้าไม่มีอาการก็ไม่ต้องกิน”





ซือสือรับถุงยามาถือไว้พลางแอบถอนหายใจ...





บ้าเอ๊ย! ...แค่เอายามาให้มันต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นด้วยเหรอ หวังเหล่ย!!





ยังไม่ทันจะได้ตั้งสติ ฝ่ามือคุณหมอก็แปะลงมาบนหน้าผาก ใจที่มันเต้นผิดจังหวะอยู่แล้วก็เลยเป็นหนักเข้าไปอีก





“ไม่มีไข้”





“หา…? ” คือการวัดไข้





“ถ้ามีอะไรก็โทรหา”





ซือสือทำตาโตอีกรอบ...หวังเหล่ยคนนั้น...หวังเหล่ยคนนั้นให้โทรหา...นี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ





“ดะ...ได้..ได้เลย..”





ซือสือยังคงนั่งอย่างเหม่อลอยหลังจากแลก contact กันเสร็จ และคุณหมอก็ขอตัวกลับไปแล้วสักพัก





วิญญาณหลิ่งซือยังคงลอยไปลอยมาตรงหน้า และไม่มีทีท่าว่าซือสือจะหันมาสนใจ





‘พี่ชาย...พี่….!! ’





“เออ! ได้ยินแล้ว” ซือสือทิ้งตัวลงนอนบนเตียงโดยไม่ปล่อยถุงยา ก่อนจะหันไปถามวิญญาณหลิ่งซือ





“หลิ่งซือ….นายเป็นโรคหัวใจด้วยรึเปล่า”





วิญญาณหลิ่งซือกลอกตาไปมาทำหน้าขบคิดก่อนตอบด้วยความซื่อ





“ก็ไม่นะ”





ก่อนที่หมอนในมือซือสือจะลอยผ่านร่างวิญญาณของหลิ่งซือแล้วร่วงลงไปกองบนพื้น….







*********************





#คนเขียน : หลิ่งซือเจ้าช่างน่าสงสาร เป็นวิญญาณก็ยังโดนปาหมอนใส่ ลู๊กกกก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่14 [16/10/62]
«ตอบ #23 เมื่อ16-10-2019 09:17:10 »

 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่14 [16/10/62]
«ตอบ #24 เมื่อ16-10-2019 13:15:48 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่15 [18/10/62]
«ตอบ #25 เมื่อ18-10-2019 09:46:04 »

พันธนาการ







ประวัตินักเรียนถูกเปิดอ่านอย่างละเอียดไม่มีหน้าไหนหรือบรรทัดไหนเล็ดลอดลายตา ทั้งผลการเรียนที่ผ่านมากับประวัติการประเมินลักษณะนิสัยของอาจารย์ประจำห้องย้อนหลัง ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการตรวจดูนักเรียน แต่ที่แปลกไปคือเป็นประวัติของนักเรียนของห้องธรรมดา ที่ถูกเปิดตรวจดูโดยอาจารย์บรรยายของคลาสพิเศษ...อย่างละเอียด….





..





.





.





หลังจากเกิดเรื่องเจ็บตัววันนั้นก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ซือสืออยู่อย่างสงบ และที่รู้มาอีกเรื่องก็คือวิญญาณของหลิ่งซือไม่สามารถเข้าใกล้กลุ่มเด็กเกเรพวกนั้นได้ อาจจะเพราะในใจยังรู้สึกกลัว หรือไม่ก็มีอะไรสักอย่างที่ส่งผลต่อวิญญาณของเจ้าตัว





‘คลิปน่าอาย’ ซือสือคิดได้แค่นั้น แต่จะทำยังไงถึงจะได้มา





ซือสือขมวดคิ้วด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตาเหม่อมองออกไปนอกพร้อมกับยกมือเท้าขอบหน้าต่าง มือข้างถนัดควงปากกาเล่นแล้วถอนหายใจอย่างลืมตัว





“คงจะเบื่อมากสินะ! ” เสียงเข้มขรึมดังมาจากด้านข้างของอาจารย์ผู้คุมสอบ





ซวยล่ะ! ลืมไปว่ากำลังอยู่ในเวลาสอบ





ซือสือยกมือเกาหัวแล้วหันไปยิ้มแหยๆ ให้อาจารย์





“ผมทำเสร็จแล้วครับ” พลางเลื่อนกระดาษคำตอบให้ดู





อาจารย์เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นตอบกลับมา ไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจนัก นั่นเพราะนักเรียนห้องนี้กว่าครึ่งต่างก็ทำเสร็จด้วยการเขียนอะไรมั่วๆ ให้การสอบที่แสนน่าเบื่อนี้จบลง





“เสร็จก็ส่ง” อาจารย์คุมสอบพูด ก่อนเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย





เรื่องราวมันจะน่าจะผ่านไปด้วยดีถ้าหากในอาทิตย์ต่อมา ซือสือจะไม่ถูกเรียกเข้าห้องพักครูด้วยเรื่องคะแนนสอบที่ได้เต็มเกือบทุกวิชา





‘จริงเหรอ! พี่ชาย? ’ วิญญาณของหลิ่งซือที่ลอยวนเวียนข้างหน้าข้างหลังถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น ซือสือทำได้แค่ทำเสียง ‘อืม’ ในลำคอ





นั่นเพราะกำลังยืนอยู่ในห้องพักครู





“ยอมรับมา ว่าลอกข้อสอบ โทษจะได้เบาลง” อาจารย์ตบโต๊ะพร้อมกับตะโกนเสียงดังด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว





แต่ซือสือกำลังขมวดคิ้วเข้าหากันสีหน้าเครียด ใครมันจะไปยอมรับกัน ว่าแต่...พลาดวิชาอะไรไปนะ





“ผมไม่ได้ลอกครับ” ซือสือตอบตามจริง ความผิดอย่างเดียวคือลืมออมมือเท่านั้นแหละ





“ถ้าหลักฐานกล้องวงจรปิดออกมา แล้วมีความจริง เรื่องนี้ถึงท่าน สส.เจิ้งแน่” อาจารย์ไม่มีแววตาของความปรานี แถมยังร่ายยาวไปถึงกฎระเบียบการลงโทษ บลาๆ ๆ ๆ





“ครับ..” ซือสือยกมือแหย่หูด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แล้วก็สังเกตเห็นสีหน้าหวาดวิตกของวิญญาณหลิ่งซือ





“แต่ถ้าผลออกมาแล้วผมไม่ผิด ชื่อผมจะได้ขึ้นไปอยู่บนกระดานประกาศผลใช่ไหมครับ” ซือสืออมยิ้มมุมปากด้วยสีหน้ามั่นใจ คราวนี้อาจารย์เป็นฝ่ายอึ้งบ้าง





“แต่ถ้าเธอผิด ได้เห็นดีกันแน่! ”





“ครับผม” ซือสือโค้งหัวให้อาจารย์ก่อนถอยหลังไปจนเกือบถึงประตูแล้วหมุนตัวออกจากห้อง







นั่นสินะ...กล้องวงจรปิด...มันมีวิธีนี้อยู่สินะ





…..









.





ตระกูลเจิ้งมีพี่ชายชายคนโตที่เลียนแบบพ่อแต่เลือกเส้นทางในการแสดงออกในด้านบันเทิงได้ถึงขั้นแนวหน้า ส่วนน้องสาวที่เดินรอยตามพี่ชายด้วยการผลักดันอย่างที่สุดของแม่ ส่วนลูกชายคนกลางกลับถูกทอดทิ้งราวกับไม่ได้เกิดมาจากสายเลือดเดียวกัน แค่จะขยับตัวทำอะไรก็เหมือนกับต้องแบกชื่อตระกูลอันหนักอึ้งไว้บนบ่า ด้วยความที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีก็จริง แต่ถูกปลูกฝังในหัวให้เคารพแต่ตระกูลถ่อมตนมากเกิน



‘อย่าทำให้นายท่านและคุณชายใหญ่เดือดร้อน’ นั่นคือสิ่งที่พ่อบ้านเถิงพูดให้ได้ยินตลอดมา เบื้องหน้าคือตระกูลที่สมบูรณ์แบบและเพียบพร้อมมีแสงสว่างสาดส่องมาจากทุกที่ ที่ปรากฏตัว



พ่อที่เดินเคียงข้างพี่อย่างภาคภูมิ แม่ที่เดินจูงมือลูกสาวคนเล็กที่มีใบหน้างดงามราวตุ๊กตาปั้น



หลิ่งซือคนก่อนเคยมีชีวิตใต้เงาของครอบครัวมาตลอด…..



แต่ตอนนี้รายชื่อผู้สอบติดอันดับสองของชั้นปีที่ติดอยู่บนกระดาน ได้สร้างความฮือฮาไปทั่วโรงเรียน นั่นเพราะไม่ใช่เด็กที่อยู่ในคลาสพิเศษอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเป็นเด็กห้องธรรมดา



อันดับสอง ‘เจิ้ง หลิ่งซือ’



“ชิ! อันดับสอง” ซือสือบ่นเสียงหงุดหงิด มองคะแนนบนบอร์ดด้วยสีหน้าไม่พอใจ ในขณะที่วิญญาณตัวจริงหลิ่งซือ กำลังอ้าปากค้าง….



“สงสัยตายนานไปหน่อย สมองไม่แล่น”



'เดี๋ยวนะ! นี่พี่ยังไม่พอใจอีกเหรอ! ' วิญญาณหลิ่งซือผู้ไม่เคยติดแม้แต่อันดับ TOP50 ยังคงอ้าปากค้าง ชี้นิ้วไปที่กระดานทีชี้หน้าร่างตัวเองที



คะแนนที่ได้คือ 97.8% ในขณะที่อันดับหนึ่งได้ 98%



“มันมีข้อที่ผิด” นั่นทำให้ซือสือจอมโอ้อวดไม่พอใจ อยากจะดูว่าตรงไหนที่ผิด แต่ก็ดันไปทำให้อาจารย์ไม่ชอบขี้หน้าไปเสียแล้ว ยากจะเข้าหา



‘พี่ชาย! นี่มันบ้าไปแล้ว!! ’ ซือสือโดนวิญญาณต่อว่าแต่คนว่ากลับอมยิ้มจนแก้มแทบปริ



ซือสือส่ายหน้ายิ้มมุมปาก



“รอบหน้าชื่อนายจะได้ไปอยู่บนนั้น” ชี้ไปที่อันดับหนึ่ง ฉันจะลากนายออกมาจากมุมมืดเอง



ในเมื่อที่ผ่านมานายไม่เคยได้อยู่ในสายตาใคร ซือสือคนนี้แหละจะทำให้ทุกคนต้องจดจำเอง



นี่ไม่ใช่แค่ถ้อยคำโอ้อวดไปเอง อะไรที่ซือสือคนนี้คิดจะทำมันจะต้องเป็นไปตามนั้น



“ไม่คิดว่าหลงตัวเองไปหน่อยเหรอ? ” เสียงใครคนหนึ่งทักมาจากด้านหลัง นั่นทำให้ทั้งคนทั้งผีสะดุ้งก่อนหันไปมอง



‘เด็กคลาสพิเศษ หมิงเจี้ยน’ วิญาณหลิ่งซือกระซิบบอก แวบแรกซือสือรู้สึกคุ้น..แล้วก็หันหน้าไปมองที่กระดานรายชื่ออีกครั้ง...เป็นชื่อที่อยู่ด้านบนซือสือหนึ่งลำดับ





“ได้ข่าวว่าเรียนซ้ำชั้นด้วยนี่นะ? " คนพูดเลิกคิ้วขึ้นสูงเหยียดยิ้มอย่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย



ซือสือติดนิสัยเป่าลมใส่ผมหน้าเวลาที่เจอเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญ ไอ้เด็กพวกนี้ไม่มีอะไรทำกันรึไงนะ



"เราเคยรู้จักกันไหม? " ประโยคนั้นถามวิญญาณหลิ่งซือที่ส่ายหัวแทนคำตอบทันที แต่ดันไปสะดุดหูทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้า



“คลาสพิเศษกับนักเรียนธรรมดา เหอะ! ”



คราวนี้ซือสือกลอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย ใครกันแน่ที่อวดเก่ง



“ฉันชอบคุยกับตัวเองโอเคไหม อ่อ..แล้วก็นะ..ฉันซ้ำชั้น ใช่! เพราะงั้นฉันเป็นรุ่นพี่? ” ซือสือเอานิ้วจิ้มอกตัวเองแล้วชี้หน้าอีกฝ่าย พร้อมกับมองด้วยสายตาเหยียดกลับบ้าง ตาต่อตาฟันต่อฟัน



ทางนั้นไม่ทันตั้งตัว ตกใจถอยไปสองสามก้าว แต่ก็ยังทำใจดีสู้เพราะอยู่ต่อหน้าลูกสมุน



“ได้ข่าวว่านาย..โดนอาจารย์เรียกไปตรวจสอบด้วยนี่” หมิงเจี้ยนพูดด้วยเสียงอันดัง และมันก้องไปทั้งโถงทางเดิน นั่นทำให้เป็นจุดสนใจได้อย่างดี



ซือสือเบ้ปากพร้อมกับหยักไหล่ ‘แล้วไง? ’ คนพูดเลยมีอาการร้อนรนจนหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห



“รู้อะไรไหม นายมันไม่ได้ขี้เล็บของพี่ชายนายหรอก” คำพูดจาถากถางอย่างร้ายกาจ ถ้าเป็นหลิ่งซือคนก่อนจะเป็นยังไงท่ามกลางสายตาคนมากมายขนาดนี้



“รู้อะไรไหม ไอ้เด็กปากเสีย” ซือสือย้อนกลับพร้อมกับขยับเท้าเข้าไปใกล้อย่างไม่เกรงกลัว



“คราวหน้าทำให้ได้ถึงร้อย ค่อยมาเห่า” พูดจบก็หมุนตัวหันหลังเดินแหวกฝูงคนออกมาทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้โต้กลับให้ประสาทเสียอีกรอบ



เสียงพึมพำดังขึ้นรอบๆ บางคนก็หัวเราะมองมาด้วยสายตาเหยียดหยัน นั่นทำให้หมิงเจี้ยนถึงกับหน้าเสียที่โดนสวนกลับโดยไม่ทันตั้งตัว แถมยังถูกมองด้วยสายตาดูหมิ่นจากผู้ที่ได้อันดับที่สองจากนักเรียนห้องธรรมดา...



ซือสือเดินลัดเลาะไปทางหลังตึกโดยมีวิญญาณหลิ่งซือลอยลิ่วๆ ตามมาแทบไม่ทัน



“บ้าเอ๊ย! มันน่าโมโห! ”



‘พี่ชาย..ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่รู้สึกอะไรเลย’ วิญญาณหลิ่งซือลอยตามไปดักหน้าเอาไว้ ปลอบใจพี่ชายที่กำลังหงุดหงิด แต่ก็แอบสะใจอยู่ไม่น้อย ถ้าเป็นตัวเองเมื่อก่อนคงไม่มีทางทำเรื่องใจกล้าขนาดนั้น



“ทำไมต้องแพ้ไอ้เด็กนิสัยเสียแบบนั้นด้วย ชิ! ” ซือสือระบายความโกรธด้วยการเตะปลายเท้ากับกำแพง



‘อ้าว...’ ส่วนวิญญาณหลิ่งซือที่ได้ยินก็ถึงกับทำหน้างง นึกว่าพี่ชายโกรธเรื่องที่หลิ่งซือคนนี้คนโดนว่ากลางห้องโถงเสียอีก อุตส่าห์ตามมาปลอบให้เสียเวลา…



“คราวหน้าจะทำให้ได้ 100% ให้ได้เลย คอยดู”



‘ใช้ผมให้ช่วยได้นะ’ วิญญาณหลิ่งซือยกมือกอดอกด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ แต่ซือสือกลับเงื้อมือขึ้นมาทำท่าจะตี



“นั่นมันคือการโกง! ”



‘ผมแค่อยากช่วยนี่น่า’



“อย่าดูถูกซ่ง ซือสือคนนี้ คราวหน้าไม่พลาดแน่” ซือสือกอดอกเชิดหน้าขึ้น ขณะที่วิญญาณหลิ่งซือกลอกตามองบนแล้วส่ายหน้าไปมา



ถ้าคนอื่นมาเห็นคงเป็นภาพที่ประหลาด เพราะมีเพียงหลิ่งซือที่อยู่ตรงนั้น และกำลังพูดคนเดียวเถียงกับดินฟ้าอากาศได้อย่างจริงจังมาก…





………………





เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่มากที่วันนี้กลับมาบ้านแล้วเจอการต้อนรับจากน้องสาวคนสวย ซือสือแปลกใจยังไม่เท่าวิญญาณของหลิ่งซือที่ทำหน้าราวเห็นผี



ซินอี๋ส่งยิ้มสวยให้พี่ชาย แล้วชะโงหน้ามองไปด้านหลัง ก่อนหันมาถามเสียงหวาน



“วันนี้คุณหมอไม่มาด้วยเหรอคะ? ” เสียงใสเอ่ยถาม



อ่า...เป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่ได้จะมาต้อนรับพี่ชาย แต่มองหาคุณหมอของพี่ชายต่างหาก



จะว่าไปก็ลืมว่าวันนี้ในตารางพบแพทย์มีการประเมินสภาพจิตด้วย



“ไม่มา” ซือสือตอบ



รอยยิ้มบนใบหน้างดงามของซินอี๋แปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเอาแต่ใจทันทีอย่างกับใครไปกดโดนสวิตช์



“ชิ! ไร้ประโยชน์” นิสัยและมารยาทแย่ๆ ก็กลับมาด้วยเช่นกัน



นี่มันความสามารถของนักแสดงใช่ไหม ถึงได้สลับขั้วได้รวดเร็วจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เร็วขนาดนี้



ยัยเด็กนี่ต้องได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง…



ซือสือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด



“คุณหมอครับ...”



แค่เพียงได้ยินว่าพี่ชายกำลังโทรหาใคร ซินอี๋ก็หมุนตัวกลับมาทำตาโตแสดงสีหน้าท่าทางว่าสนใจใคร่รู้



“ผมลืมนัดตรวจครับ..ขอโทษด้วย..” ซือสือเดินคุยโทรศัพท์ไปด้วยขณะที่เดินเข้าบ้านโดยมีน้องสาวเดินตามเข้ามาติดๆ



“แวะมาที่บ้านได้ครับ อยู่ตลอด...”



รอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้าซินอี๋ตอนได้ยิน



ซือสือกดวางสายก่อนจะหันไปทางพ่อบ้านเถิง “ช่วยจัดอาหารเย็นเผื่อให้ด้วยนะครับ” พ่อบ้านเถิงพยักหน้ารับคำสั่งคุณชายรองโดยไม่ถาม



ซือสือหันไปมองหน้าน้องสาวแสนสวยที่กำลังยิ้มราวกับคนกำลังเพ้อฝัน ก่อนจะหันไปสั่งพ่อบ้านเถิงเพิ่มเติม



“จัดที่ห้องผมนะ วันนี้อยากกินบนห้อง”



ซินอี๋หันขวับมามองหน้าด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว



“คนน่ารังเกียจ!! ” เสียงตวาดแว้ดดังขึ้นตามหลัง ใบหน้าขาวแดงก่ำกำหมัดแน่นตัวสั่น



ซือสือที่กำลังจะเดินขึ้นห้องหันมามองด้วยสายตาเมินเฉยก่อนจะตอบกลับ



“ไม่เท่าเธอหรอก”



เพียงเท่านั้นเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้น พ่อบ้านเถิงต้องถอยหลบไปข้างหลังสองสามก้าว ส่วนวิญญาณของหลิ่งซือก็ต้องยกมืออุดหู ส่ายหน้าบอกว่าไม่ไหวก่อนแว่บหายไป



ซือสือเพียงแค่ยักไหล่แล้วส่ายหน้ารัวตอบคำถามเมื่อแม่วิ่งออกมา ซินอี๋ยังคงกรี๊ดและกระทืบเท้าอย่างเด็กเอาแต่ใจ และไม่ตอบคำถามของแม่ที่เอาแต่กอดปลอบ



นั่นทำให้ซือสืออยากทิ้งระเบิดอีกลูก เมื่อน้องสาวยังคงมองมาทางเขาด้วยสายตาเคียดแค้น



“เขา เป็น ของ ฉัน”



มีเพียงปากที่ขยับพูดโดยไม่ส่งเสียงออกมา อย่างที่คาดเสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกรอบก่อนที่ซือสือจะรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้อง



กระเป๋านักเรียนถูกโยนลงบนเตียงก่อนที่ซือสือจะทิ้งตัวลงไปอย่างคนหมดเรี่ยวแรง รู้สึกเหมือนทั้งตัวถูกมัดด้วยด้ายที่กำลังพันกันยุ่งเหยิง ทั้งเรื่องที่โรงเรียน เรื่องที่บ้านกับความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของครอบครัว….



บ้าน...คิดถึงบรรยากาศในครอบครัวเล็กๆ เมื่อสิบปีก่อน ความอบอุ่นที่โหยหา อาหารพื้นๆ รสมือแม่ เสียงหัวเราะของพ่อและลุงเฉิน



ซือสือนอนนิ่งปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ จนหลับไปทั้งอย่างนั้น



ประตูห้องเปิดเข้ามาอย่างเงียบเชียบ พ่อบ้านเถิงแง้มมองและเห็นว่าคุณชายรองเจ้างของห้องนอนหลับอยู่บนเตียง ก่อนจะหันไปสบตากับแขกผู้ที่เพิ่งมาถึง ขณะที่กำลังจะเข้าไปปลุกคุณชาย คุณหมอก็ยกนิ้วแตะริมฝีปากพร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม



“ให้พักสักหน่อย ผมคอยได้” ก่อนจะเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตรงชั้นหนังสือ



ในห้วงของความฝัน มีส่วนหนึ่งที่ฝันเห็นตัวเองกำลังเล่นเกมหมากรุกกับเพื่อนเก่า



‘หวังเหล่ย’





เสียงละเมอพึมพำแผ่วเบาของคนที่กำลังหลับทำให้คุณหมอที่กำลังก้มอ่านหนังสือเงยหน้ามองพลางขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยสีหน้าครุ่นคิด….







..







..



********************************



#คนเขียน : มีเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นร้อยคำไม่ละเมอนะ

ส่วนหวังเหล่ยจะได้ยินไหมนั้น...ฝากไว้ให้คิสสสสสสส

ขอบคุณที่ติดตามกันจ้าาาา




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่15 [18/10/62]
«ตอบ #26 เมื่อ18-10-2019 15:44:06 »

 :z1: :z1:


 :L2: :pig4: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ i.am.champingon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่16 [19/10/62]
«ตอบ #27 เมื่อ19-10-2019 08:34:07 »

ความเชื่อมโยง





ซือสือถูกปลุกให้ตื่นโดยพ่อบ้านเถิง แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นคุณหมอหวังนั่งรออยู่ตรงมุมหนังสือ มาตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนไหน?



“คุณท่านให้มาแจ้งว่า ให้ลงไปทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารครับ” ซือสือพยักหน้าอย่างเบื่อหน่าย



“เชิญคุณหมอด้วยครับ” พ่อบ้านเถิงหันไปโค้งให้ก่อนจะกลับออกไปโดยไม่ฟังคำตอบ



ยัยน้องสาวตัวดีแน่ๆ ซือสือยังนั่งขัดสมาธิบนเตียงยกมือเกาหัวแกรกๆ หันไปยิ้มแหยๆ ให้คุณหมอ



“ลำบากคุณหมอแล้ว”



“....” หวังเหล่ยยังคงมีสีหน้าราบเรียบไม่ยินดียินร้าย สีหน้าเมินเฉยดูไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องลำบากของซือสือ หากแต่สายตาที่มองตรงมานั่นราวกับมีคำถามเพียงแต่เป็นคนปากหนักเกินกว่าจะพูดออกมา







มื้อเย็นเป็นไปอย่างเงียบสงบ เพราะซือสือไม่ได้คิดจะกวนประสาทอะไรถ้าไม่มีคนเริ่ม แล้ววันนี้พี่ชายคนโตก็ไม่ได้อยู่ร่วมด้วย มีเพียงแม่ที่พยายามจะ ‘ยัดเยียด’ ให้น้องสาวทำความรู้จักกับคุณหมอจนเกินพอดี



“ตักให้พี่เขาสิลูก”



ซินอี๋คลี่ยิ้มเอียงอาย ก่อนจะตักอาหารใส่จานให้คุณหมอ...แทนที่จะเป็นพี่ชายอย่างหลิ่งซือ



หวังเหล่ยไม่ได้โต้ตอบหรือมีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับ ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าคนตักอาหารให้อีกด้วย นั่นทำให้ซือสือเม้มปากกลั้นหัวเราะเป็นระยะๆ กับปฏิกิริยาเมินเฉยต่อทุกคนบนโลกที่ไม่ว่ากี่สิบปีก็ไม่เปลี่ยนนั่น



“ต่อไป คุณหมอจะสะดวกมาที่บ้านเราแทนการไปโรงพยาบาลได้ไหม” คุณพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยปาก



อย่างทีรู้ตระกูลจ้าว เป็นตระกูลเก่าแก่ที่น่าเคารพและเป็นที่เกรงขามในแวววงกฎหมาย แม้ว่าลูกชายคนเล็กอย่างหวังเหล่ยจะแหกกฎของตระกูลด้วยการมาเป็นหมอ แต่ก็เป็นหมอหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าอัจฉริยะอนาคตไกล หากจะทาบทามให้มาเกี่ยวดองด้วยจะช่วยยกระดับฐานะของตระกูลได้มาก



“ครับ” หวังเหล่ยตอบรับสั้นๆ และนั่นทำให้ความอดทนของซือสือหมดลง



“อุ๊บ! ฮ่าๆ ๆ ๆ ” หมดความอดทนที่จะกลั้นหัวเราะอีกต่อไป ซือสือก้มหน้าเอามือกุมท้องแล้วหัวเราะอย่างสุดกลั้น



“พี่เป็นบ้าไปแล้วเหรอ! ” ซินอี๋เองก็หลุดมาดคุณหนูที่แสนจะงดงามเช่นเดียวกัน ใบหน้าที่ปั้นให้เคลือบยิ้มหวานหันมาทำเกรี้ยวกราดใส่พี่ชายอย่างซือสือที่กำลังหัวเราะ ก่อนจะสะดุ้งนั่งตัวตรงกลับมาปั้นหน้านิ่งได้เหมือนเดิม แล้วส่งสายตามาแทน



“หลิ่งซือ สำรวมหน่อย! ” คุณแม่เองก็ส่งสายตาดุมาทางนี้เหมือนกัน



“ทะ...โทษที ผมอิ่มแล้ว ขอตัวขึ้นห้องเลยแล้วกัน” ก่อนที่บรรยากาศมันจะน่าอึดอัดไปมากกว่านี้ ซือสือโค้งหัวรอบโต๊ะ แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นข้อมือก็ถูกคว้าเอาไว้โดยคนที่ยังคงรักษาสีหน้าราบเรียบได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



ซือสือหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ แม้จะพยายามรั้งข้อมือออก แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะปล่อย ความคิดถึงแว่บเข้ามาในหัวซือสือเมื่อเห็นแววลำบากใจบนสีหน้าที่ทำเป็นเมินเฉยนั่น



...หวังเหล่ย..นายต้องการให้คนอย่างฉันช่วยสินะ ซือสือลอบยิ้มกับตัวเอง



“พอดีผมมีการบ้าน คุณหมอจะเริ่มการประเมินเลยไหม” ซือสือหันไปถาม



“อืม...”



คำตอบกลับแทบจะทันทีของคุณหมอทำเอาซือสือก้มหน้าเม้มปากอีกรอบ คราวนี้สุดกลั้นจนปากสั่นไปหมด รีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเร็วๆ ขึ้นไปบนห้อง โดยมีเสียงฝีเท้าหนักๆ ของใครอีกคนตามมาติดๆ



เพียงแค่ประตูห้องปิดลง ซือสือก็ทิ้งตัวฟุบหน้าลงไปกับหมอนตัวสั่น (กำลังเอาหมอนอุดปากกลั้นเสียงหัวเราะ) ปล่อยให้คุณหมอยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่นานนักก่อนที่คนบนเตียงจะหมุนตัวนอนหงาย



“ฮ่าๆ ๆ ๆ โอ๊ย..เจ็บท้อง ฮ่าๆ ๆ ”



“พอได้รึยัง?” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามหัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นั่นทำให้ซือสือลุกขึ้นมานั่งแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกสุดใจ เพราะหัวเราะจนไม่มีเรี่ยวแรง



“พอก็ได้ ชิ!” ยกมือเกาจมูกแก้เก้อที่โดนดุ แต่ซือสือก็ยังคงเป็นซือสือ



“คุณชายหวัง...ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ” ซือสือทำหน้าทะเล้นทวงบุญคุณ แต่อีกฝ่ายก็ทำเป็นไม่สนใจ สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนตอนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงมุมหนังสือแล้วเริ่มเปิดแฟ้มประวัติคนไข้



“ไม่มีอะไรจะพูดเหรอ? ” ซือสือกระโดดลงจากเตียงแล้วไปนั่งข้างๆ พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ และมันคงจะใกล้ไป



หวังเหล่ยที่ทนความรำคาญไม่ไหวหันกลับมา ด้วยไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันเพียงปลายจมูกเกือบจะแตะผ่าน รับรู้แม้กระทั่งลมหายใจอุ่นของกันและกัน เสี้ยววินาทีนั้นเหมือนเวลาจะหยุดหมุนไปชั่วครู่ สายตาเย็นชานั้นจ้องลึกเข้าไปในแววตาอีกคู่เนิ่นนานไม่ขยับหลบสายตา



ซือสือรู้สึกเหมือนสะดุดลมหายใจไปชั่วครู่ อะไรบางอย่างในแววตาเย็นชาคู่นั้นทำให้รู้สึกแปลกในอก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันก่อนเป็นฝ่ายหลบสายตาคู่นั้นเสียเอง



“มาเริ่มกันเถอะ...” ท่ามกลางความเงียบ ซือสือเบี่ยงประเด็นไปถึงการประเมินสภาพจิตแทน



คุณหมอหวังไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่หันไปเปิดประวัติคนไข้แล้วเริ่มการประเมินอย่างที่ควรจะเป็น



คำถามในการประเมินวันนี้เป็นคำถามง่ายๆ เช่น ของที่ชอบ อาหารการกิน เพื่อนในห้องเรียน กับคำถามเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ของตัวหลิ่งซือ และซือสือก็ตอบได้ทุกคำถามอย่างไม่มีข้อสงสัย นั่นเพราะได้ลองตอบ-ถามกับวิญญาณหลิ่งซือมาแล้วจึงจดจำได้อย่างแม่นยำ



“ทำไมถึงกลัวหมา? ”



คำถามธรรมดาที่ซือสือตอบไปอย่างไม่ต้องคิด



“ตอนเด็กๆ เคยเข้าไปเล่นลูกหมา แล้วโดนแม่หมาวิ่งไล่เอานะสิ เกือบตาย” ซือสือตอบโดยไม่คิด แล้วก็ต้องยกมือปิดปากตัวเองกลอกตาไปมา นั่นเพราะคำตอบที่ตอบไปไม่ใช่ของหลิ่งซืออย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นเรื่องฝังใจของตัวเองล้วนๆ



โชคดีที่คุณหมอหวังไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรตอนที่บันทึกคำพูดเขาลงไปในประวัติ ถึงได้แอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก



เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่คำถามถัดไปจะเริ่ม ซือสืออาศัยจังหวะนั้นลุกไปที่ประตู ยังไม่ทันจะก้าวถึง วิญญาณหลิ่งซือก็โผล่เข้ามาแต่หัวส่วนตัวอยู่อีกฝั่ง



‘ซินอี๋ ยกของว่างมาให้พี่ชายล่ะ’ วิญญาณหลิ่งซือทำเป็นป้องปากหัวเราะคิกคักน่าหมั่นไส้มาก



ฝ่ามือที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูชะงักพร้อมกับสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะหันกลับไปมองอีกคนที่อยู่ในห้อง คุณหมอหวังมองกลับมาด้วยแววตาสงสัย



“น้องสาวผมเอาของว่างมาให้ คุณหมอจะรับไหม? ”



หวั่งเหล่ยส่ายหน้าตอบด้วยสีหน้าเมินเฉย แม้จะแปลกใจที่เจ้าของห้องหันมาถามทั้งๆ ที่ยังไม่เปิดประตูแง้มดูด้วยซ้ำ



“งั้นผมจะลงไปส่งข้างล่าง ไปเถอะ” ซือสือบอกเป็นนัย ไม่ได้ไล่ให้กลับแต่คิดแล้วว่าถ้าไม่รับน้ำใจโดยไม่มีเหตุผล ต้องมีเรื่องวุ่นวายตามมาแน่



น้องสาวสุดสวยยืนปั้นยิ้มเอียงอายพร้อมถาดขนมหวานและเครื่องดืม



‘พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแน่นอน’ วิญญาณหลิ่งซือที่ลอยไปลอยมาพูดพลางหัวเราะ



“คุณแม่ให้ยกขนมมาให้ค่ะ” เสียงหวานๆ นั่นทำเอาวิญญาณหลิ่งซือยกมือลูบแขนในท่าขนลุกขนพอง และสายตาหวานเชื่อมคู่นั้นจงใจจิกมองมาตอนพูดคำว่า ‘คุณแม่’ หมายถึง..พี่ชายไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจนี้ของน้องสาวได้



แน่นอนว่าซือสือเปิดประตูให้น้องสาวเข้ามา ในขณะที่คุณหมอเก็บของเสร็จพอดี



“เอาวางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ พี่จะไปส่งคุณหมอที่รถก่อน”



ซินอี๋อ้าปากค้าง ใบหน้าเปลี่ยนขึ้นสีจัด นั่นเพราะเสียหน้าและคงกำลังจะกลั้นเอาไว้



‘โอ๊ยยยยย พี่ชาย...ฮ่าๆ ๆ ๆ ผมคงนอนตายตาหลับล่ะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ’ เสียงหัวเราะที่ดังก้องนั้นซือสือได้ยินเพียงคนเดียว ริมฝีปากเม้มแน่นไม่ให้หัวเราะตาม แน่นอนว่าไม่รอดพ้นสายตาคุณหมอหวัง จนโดนสายตาดุๆ นั้นมองมา



ซือสือกลบเกลื่อนด้วยการกระแอมกระไอสองสามที ก่อนผายมือเชิญคุณหมอออกจากห้อง ในขณะที่น้องสาวยังยืนตัวสั่น



เพียงแค่ประตูห้องซือสือปิดลง เสียงกรี๊ดก็ดังลั่น ทั้งคนทั้งผีสะดุ้งอีกครั้ง วิญญาณหลิ่งซือ



“คุณแม่!!! .....” เมื่อเสียงกรี๊ดจบ ก็ตามมาด้วยเสียงเรียกแม่เสียงดังลั่น นั่นคงจะโดนฟ้องอีกหลายเรื่อง



ซือสือยกมืออุดหูด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย



“จะโดนทำโทษรึเปล่า? ” หวังเหล่ยเอ่ยถาม



ซือสือหยักไหล่ แล้วส่ายหน้าแบบไม่แคร์ “ไม่รู้เหมือนกัน” แล้วก็ต้องชะงักเมื่อคุณหมอหยุดเดิน แล้วทำท่าจะกลับเข้าไปในบ้าน



“ไปไหน? ” ซือสือคว้าแขนเสือเอาไว้ได้



“ไปกินของว่าง” หวังเหล่ยตอบเสียงเรียบสีหน้าจริงจังไม่ได้บอกว่าล้อเล่น



ซือสือทำตาโตทำสีหน้าแบบว่ากำลังได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ ก่อนจะหัวเราะออกมา



“ไม่ต้อง ผมจัดการเองได้” นั่นเพราะซือสือรู้ว่าคนอย่างหวังเหล่ยไม่ชอบเรื่องยุ่งยากมากแค่ไหน แต่แปลกใจที่จะกลับไป ‘กินของว่าง’ เนี่ยะนะ!!



แวบหนึ่งซือสือเห็นแววลำบากใจในสายตาเฉยชาคู่นั้น



“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ” ซือสือพยักหน้ายืนยันความหนักแน่น นั่นทำให้คุณหมอยอมรามือที่จะกลับเข้าไปกินของว่าง



ซือสือมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินนำอยู่ข้างหน้า ไปจนถึงรถ...



“คุณหมอ...” ซือสือเอ่ยเรียกรอจังหวะให้อีกฝ่ายหันกลับมา “คุณหมอใจดีกับคนไข้ทุกคนไหม?” เกิดความเงียบน่าอึดอัดขึ้นหลายนาทีเมื่อซือสือถามจบ



คุณหมอยังคงยืนนิ่งครุ่นคิด ก่อนที่แววตาเย็นชาคู่นั้นจะมองตอบกลับมา แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชาเช่นเคย



“ไม่ทุกคน”



...รถของคุณหมอขับออกไปได้สักพักแล้ว แต่ซือสือยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน อะไรบางอย่างในแววตาของหวังเหล่ยที่เห็น...มันทำให้รู้สึก….ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย



จนกระทั่งคุณแม่ให้คนมาเรียกเข้าไป



วิญญาณของหลิ่งซือรีบปรี่เข้ามารายงานทันทีก่อนที่จะเดินถึงห้องรับแขก



‘ซินอี๋ฟ้องว่าโดนพี่ชายแกล้ง ไม่ให้พบคุณหมอ’



“ถ้าเป็นเมื่อก่อนนายทำไง? ” ใบหน้าวิญญาณหลิ่งซือสลดวูบลงไปทันทีที่ถูกถามและซือสือก็คิดว่าไม่ต้องการรู้คำตอบแล้ว



‘....พี่ชาย...ขอโทษนะ’ เสียงกระซิบแผ่วเบาราวกับลมพัดผ่าน และเมื่อหันกลับไปมองก็ไม่เห็นเจ้าตัวแล้ว



ซือสือสุดหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกพลังให้ตัวเอง ครอบครัวนี้มันยังไงกันนะ



“นั่งลง” คำสั่งเสียงเด็ดขาดของแม่ และยัยน้องสาวตัวดีส่งสายตาขุ่นเคืองมาในขณะที่กอดเอวแม่แน่นเป็นเกราะกำบัง



“ครับ? ” ซือสือนั่งลงด้วยสีหน้าเมินเฉย



“ทำไมจะต้องขัดขวางน้อง ไม่อยากเห็นน้องมีความสุขมากนักใช่ไหม”



ซือสือเกาหัวคิดหาคำตอบพลางถอนหายใจ ถ้าเป็นหลิ่งซือคนก่อนจะตอบยังไง จะนั่งฟังเฉยๆ หรือวิ่งหนีขึ้นห้องไปเลย แต่ไม่สิ..หลิ่งซือคนก่อนคนไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ตั้งแต่แรก ความคิดในหัวตีกันยุ่งเหยิง



“ถามทำไมไม่ตอบ” ขณะที่คุณแม่เริ่มเสียงดัง ยัยน้องสาวตัวดีก็แลบลิ้นใส่



“ผมแค่ไม่เข้าใจ….ว่าทำไมจะต้องเห็นคนหนึ่งมีความสุข บนความลำบากใจของคนอื่น” ซือสือพูดด้วยสีหน้าเมินเฉย ไม่สนใจสายตาที่โกรธเกรี้ยวของแม่ที่มองมา



“รู้ได้ไงว่าลำบากใจ คุณหมอไม่ได้พูดสักคำ คนโกหก” ซินอี๋ชี้หน้าพี่ชายด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา



“ใครกันแน่ที่โกหก ถ้าไม่หยุดทำตัวแบบนี้...” ซือสือชี้นิ้วกลับบ้าง ตาต่อตาฟันต่อฟัน



“หลิ่งซือ! ทำตัวให้มันดีหน่อย” เสียงตวาดลั่นห้องของคุณแม่ ยกมืออดหูแทบไม่ทัน



“ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”



“ชักจะอวดดีเกินไปแล้วนะ” แม่ตะโกนตามหลังเมื่อซือสือพยายามวิ่งหนีขึ้นไปบนห้อง ก่อนจะหยุดชะงักแล้วหันกลับมา



“เผื่อคุณแม่จะลืมไป ผมก็เป็นลูกอีกหนึ่งคนนะครับ….” ซือสือหยุดพูด สายตาเหมือนมองมาหาอะไรบางอย่างแต่ก็ว่างเปล่า วิญญาณของหลิ่งซือไม่ได้อยู่แถวนี้



“ถ้านั่นเรียกว่าอวดดี...ครับ! ..ผมจะอวดดี เริ่มต่อจากนี้เลยแล้วกัน” พูดจบก็หันหลังวิ่งขึ้นห้องไปทันที



ประตูห้องปิดลง พร้อมกับความเหนื่อยล้า ทิ้งตัวลงนอนลงบนเตียงปล่อยให้ความคิดไหลไปเรื่อยๆ



ศึกนอกศึกใน จะไหวไหมซือสือ





……………………………….





เรื่องผลการสอบช่วยเรียกคะแนนความนิยมได้มาก จากเด็กหลังห้องที่แทบไม่มีใครสนใจจะคุยด้วย ตอนนี้หลิ่งซือกำลังถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนรุ่นน้องในห้อง



“พี่เจิ้ง สอบรอบหน้าช่วยเมตตาพวกเราด้วย” ขนาดหัวหน้าห้องยังยกมือขอร้อง ส่วนรุ่นน้องคนอื่นๆ ในห้องก็ไม่ต่างกัน



“พี่หลิ่งซือ ที่หยุดเรียนไปหนึ่งปี ข่าวว่าพี่ไปติวมาเรื่องจริงใช่ไหม? ” อ่อ...ที่แท้ข่าวลือเป็นงี้นี่เอง



“นี่พี่ชาย ไปเรียนที่ไหนมาเหรอ แนะนำพวกเราบ้างสิ”



มันออกจะวุ่นวายไปหน่อยในบางครั้งการเป็นคนดังสำหรับเด็กๆ ที่อ่อนกว่าสิบปี ความลำบากก็คือการคุยไม่รู้เรื่อง ซือสือจึงแอบหลบออกมาในตอนพักกลาง อย่างน้อยเวลาพักก็ขอให้ได้สงบจิตสงบใจบ้าง พลันใบหน้าใครบางคนก็แวบเข้ามาในความคิด แต่ด้วยความที่คลาสพิเศษอยู่อีกฝั่ง ในที่กำลังลังเลคิดว่าจะไปหรือไม่ไปแต่ขาดันมาได้ครึ่งทางแล้ว



“อันนี้ดี เอาไปตัดต่อแล้วปล่อยลงบอร์ด ให้มันรู้ไปว่าอย่ามาแข็งข้อ” เสียงคุ้นที่ได้ยินดึงความสนใจเรื่องที่กำลังคิดไม่ตก



ซือสือจำได้ว่านั่นเป็นกลุ่มนักเรียนที่เคยมีเรื่องกันคราวก่อน ส่วนที่น่าสนใจคือประเด็นที่พวกนั้นคุยกัน ความตั้งใจเดิมที่จะไปฝั่งคลาสพิเศษจึงถูกตัดออกทันที ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ๆ



“นายมาทำลับๆ ล่อๆ อะไรแถวนี้” เสียงทักทายที่ดังมาจากด้านหลังทำเอาซือสือสะดุ้ง เช่นเดียวกับกลุ่มนักเรียนพวกนั้นที่แตกฮือและกำลังมุ่งมาทางนี้



ที่แท้ก็เป็นหมิงเจี้ยน แต่ซือสือไม่มีเวลามาอธิบาย ตอนนี้ถ้าไม่รีบหนีก็เตรียมสวดมนต์ขอพรให้รอดชีวิตได้เลย



“ชู่ววว์ เงียบก่อน” ซือสือเอามือปิดปากหมิงเจี้ยนเอาไว้ พร้อมกับล็อกตัวให้หมอบลงตรงพุ่มไม้เตี้ยๆ เมื่อเสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งผ่านไป จึงคว้าข้อมือแล้ววิ่งวนไปอีกทาง โชคดีที่ยังจำทางลัดได้



“ปล่อย...นายทำบ้าอะไรเนี่ย! แฮ่กๆ ” หมิงเจี้ยนสะบัดแขนให้หลุดจากข้อมือหลิ่งซือ ก่อนหยุดหอบหายใจจนต้องยกมือเท้ากำแพงช่วยพยุงตัว



“สมน้ำหน้า” หมิงเจี้ยนเยาะเย้ยเพราะตัวเองยังยืนไหว ในขณะที่อีกฝ่ายตอนนี้ทรุดลงไปนั่งหอบหน้าแดง



ซือสือทำได้แค่เงยหน้ามองค้อนเพราะยังไม่มีแรงพูด ทำได้แค่บ่นพึมพำไม่เป็นภาษา สมเพชร่างกายที่อ่อนแอของตัวเอง



“บอกได้รึยังว่าไปทำอะไรตรงนั้น” หมิงเจียนคาดคั้นอีกรอบ ด้วยความที่อีกฝ่ายนั่งอยู่หมิงเจี้ยนจึงใช้ปลายเท้าเขี่ย นั่นทำให้ซือสือหมดความอดทน คว้าขาข้างนั้นแล้วกระชากด้วยแรงที่ยังมีเหลือ



"เฮ่ย!!" ส่งผลให้หมิงเจี้ยนเสียหลักหงายหลังล้มก้นกระแทกพื้น



"สมน้ำหน้า ไอ้เด็กไม่มีสัมมาคารวะ"



"แก!!" หมิงเจี้ยนเสียหน้าผุดลุกขึ้นทำท่าจะพุ่งเข้ามา



ซือสือส่ายหน้าพลางถอนหายใจยาวเหยียดก่อนยืดตัวลุกขึ้นเตรียมตั้งท่ารับ แล้วก็หน้ามืดเซไปข้างหน้า หมิงเจี้ยนไม่ได้ตั้งใจจะช่วยพยุง ด้วยความที่หมายจะคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายและตั้งใจว่าจะชกหน้าสักเปรี้ยงให้หายแค้นจึงกลายเป็นยื่นมือไปให้อีกฝ่ายที่กำลังจะเป็นลมเกาะเอาไว้แทน ก่อนจะสะบัดแขนออกทันทีเมื่อเห็นว่าซือสือยืนได้เอง แต่หน้ายังคงซีดเผือด



“ทำอะไรกัน? ” น้ำเสียงเย็นชาฟังคุ้นมาก



ซือสือและหมิงเจี้ยนหันกลับไปมองก่อนพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน



“อาจารย์หวัง” / “คุณอา”



ซือสือหันไปมองหมิงเจี้ยนสลับกับอีกคนด้วยสีหน้าประหลาดใจ



คุณอา? ...งั้นเหรอ?



นี่มันจะโลกกลมเกินไปแล้วไหม?







****************************







#คนเขียน : เป็นกำลังใจให้น้องด้วย เกิดใหม่ทั้งทีเหมือนมีแต่เรื่อง 555+


ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่16 [19/10/62]
«ตอบ #28 เมื่อ19-10-2019 08:56:32 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Red Line [yaoi] #ผีด้ายแดง > ตอนที่16 [19/10/62]
«ตอบ #29 เมื่อ19-10-2019 09:06:05 »

  :3123: :pig4: :3123:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด