ตอนที่ 5 ติดเล่น
น้องฟ้าได้สร้างกลุ่มไลน์สำหรับการทำงานของพวกเราไว้ ซึ่งผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปเช็คไลน์เด็กเวรนั่น รูปดิสสีดำที่มีรูปปลาวาฬสีขาวตัวเล็กอยู่ตรงกลางก็เหมาะกับคนโรคจิตแอ๊บใสแบบมันดี แน่นอนมันแอดผมเป็นเพื่อนตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมกดเข้าร่วมกลุ่ม แล้วมันก็เอาแต่ส่งสติ๊กเกอร์โง่ๆ และข้อความน่าปวดหัวมาทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นข้อความเรียกพี่น่ารักมารัวๆ คำถามโง่ๆ ว่าตื่นรึยัง กินข้าวรึยัง อยู่ไหน บลาๆ ๆ กับรูปเซลฟี่ของมันที่ไม่รู้จะส่งมาให้ผมทำไม มันทำอย่างนี้ตั้งแต่วันนั้นจนครบอาทิตย์ ซึ่งผมก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกครับ ผมไม่ได้บล็อกมัน ผมอ่านทุกข้อความเลยด้วยซ้ำแต่ไม่ตอบ
แล้ววันที่ผมต้องมาเรียนวิชานี้ก็มาถึง มันปรี่เข้ามาถามสาเหตุการไม่ตอบไลน์กับผมตั้งแต่ผมก้าวเท้าแรกเข้าห้องเลกเชอร์ ส่วนผมก็เงียบและเอาสคริปต์สำหรับการพรีเซ้นต์ออกมาอ่านโดยไม่สนใจมัน ดีที่วันนี้เป็นการพรีเซ้นต์งานของสัปดาห์ที่แล้ว ไอ้เด็กเวรนี่ถึงยอมถอยห่างและไม่มาวอแวผม ที่สำคัญคือผมได้เป็นคนพรีเซ้นต์คู่กับเด็กเวรที่กำลังยืนขมวดคิ้วทำหน้าเครียดอ่านสคริปต์อยู่ข้างผม
“อะไร ตื่นเต้นเหรอ” ผมถามมันตอนที่เรายืนเตรียมตัวอยู่ด้านข้างห้องเรียน
“ครับ”
“ตลก” ผมขำกับท่าทีหูลู่หางตกของมัน “ตอนพรีเซ้นต์คิดว่าพูดให้กูฟังคนเดียวก็ได้ จะได้ไม่เกร็ง”
“พี่น่ารัก...” ผมมองไอ้คนตัวโตที่หันมาเกาะแขนแล้วยิ้มกว้างให้ผม
“อะ อะไร” ผมมองสายตาหวานเยิ้มของมันอย่างขยาด “ไหนบอกว่าตื่นเต้นไงวะ ปล่อย”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ” มันยอมปล่อยแขนผมแต่โดยดีแล้วแต่ยังยิ้มตาเยิ้มให้ผม
“ห่วงบ้าอะไร ถ้ามึงพูดไม่ดีมันก็คะแนนทั้งนั้นนะเว้ย”
“ตอนนี้ผมดีใจกว่าตอนที่พี่อ่านแล้วไม่ตอบอีก”
“โรคจิต” ผมด่ามันไปหวังให้ไอ้ตาเยิ้มสระอิของมันจะกลับมาเป็นปกติ
“หึๆ ๆ” แต่อาการมันกลับหนักกว่าเดิม!
“เงียบไปเลย!” ผมตวาดใส่ไอ้คนที่หัวเราะเสียงต่ำนั่นไม่หยุด หัวเราะแบบอ้าปากจะตายรึไงวะ เสียงมันทำผมขนลุกไปหมด
“เชิญกลุ่มแรกครับ”
“ครับ” ผมตอบรับอาจารย์แล้วเดินไปหน้าห้อง ไม่สนใจคนตัวสูงกว่าที่เดินตามกันมาติดๆ พอรับไมค์มาจากอาจารย์ผมก็พูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่เราจะทำอย่างที่เตรียมมา
.
.
“ผมขอโทษที่พูดผิดนะครับ”
“ขอโทษทำไมพูดดีแล้วๆ”
หลังจากพรีเซ้นต์ผ่านไป ไอ้เด็กเวรที่ตื่นเต้นจนพูดผิดไปบ้างบางจุดก็กลับมานั่งที่พร้อมผม แต่ก็ยังไม่หยุดความแอ๊บเป็นเด็กใสๆ อ้อนขอโทษทุกคนและก็ได้ผล ทุกคนใจอ่อนจนแทบจะกลายเป็นของเหลว รวมถึงไหมด้วยที่ไหลไปนอนกับโต๊ะด้วยความเขินที่มีคนหน้าตาดีมาทำหน้าอ้อนตาใสใส่จนผมต้องดึงมันให้ลุกมานั่งดีๆ
“พี่น่ารักสนิทกับพี่แพรจังเลยนะครับ” มันยังคงแอ๊บใส ซึ่งตอนนี้มันเพิ่มเติมความขี้สงสัยเข้ามาด้วย
“อ๋อ ธรรมดาจ้ะ ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่”
“อ๋อ ครับ” ผมกอดอกพิงพนักเก้าอี้ฟังทั้งสองคนนินทาผมระยะเผาขน “ตอนพรีเซ้นต์นะ พี่น่ารักพูดเก่งมากเลย ผมอยากพูดได้แบบนั้นบ้าง”
“หืม น้องเวลก็พูดดีนะ ถ้าพรีเซ้นต์เยอะๆ เดี๋ยวก็เก่งแบบรักเอง” ผมมองไหมที่มองหน้าเด็กเวรแบบเคลิบเคลิ้ม “รายนี้นะ ตอนปีหนึ่งพูดแย่กว่าเราอีกแต่เพราะตอนปีหนึ่งมีงานพรีเซ้นต์เรื่อยๆ รักมันก็เลยพัฒนาขึ้นน่ะ แถมเรียนเก่งด้วยนะ”
“พอเลยไหม” ผมว่าไหมที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของตัวเองและหันไปขมวดคิ้วใส่คนที่นั่งอยู่ด้านขวาเป็นการส่งสัญญาณให้มันหยุดพูด
“หืม จริงเหรอครับ” แต่เด็กเวรก็คือเด็กเวร แค่มันพูดดีหน่อย ยิ้มหล่อๆ หน่อย ไอ้ไหมก็หลงจนเล่านู่นนี่ให้มันฟังไม่หยุด
“จริงสิ ที่มันติดอีก็เพราะวันนั้นมันไม่ได้มาสอบไฟนอลน่ะ ไม่งั้นวิชาง่ายๆ แบบนี้มันก็คงผ่าน”
“อ่อ ครับ”
“อุ่ย หลุดเล่าเฉยเลยอะ” ไหมทำท่าเอามือปิดปากตัวเอง แล้วหันมายิ้มแห้งให้ผมที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกมัน
“แล้วแต่มึงอะไหม” ผมถอนหายใจแล้วกุมขมับ ทั้งที่ไม่ได้อยากเล่าให้ใครฟังแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรและมันก็เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น “เอาที่มึงสบายใจเลย”
“โทษๆ อย่างอนกูดิ เดี๋ยวเที่ยงนี้เลี้ยงบุฟเฟ่ต์ไอติมๆ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้บอกว่าไม่ได้งอน ไหมก็ชะเง้อหน้าไปถามน้องๆ ในกลุ่มแล้ว “พวกน้องไปด้วยกันไหม”
“จะดีเหรอคะพี่แพร”
“ดีสิ กลุ่มเราจะได้สนิทกันไง”
“ค่ะ พี่แพร”
“เหอะ” ผมพ่นลมหายใจใส่ไหมที่ร่าเริงเกินเหตุ
“อะไรมึง” ไหมมันเอนตัวเข้ามากระซิบใกล้หูผม “อยู่ให้เป็น เกาะกลุ่มน้องไว้ อยากได้ไหมคะแนนๆ ๆ”
“มึงอยากได้ไอ้เด็กเวลมากกว่า” ผมกระซิบกลับบ้าง
“รู้ได้ไงอะ ฮ่าๆ” แล้วก็ได้เสียงหัวเราะเสียงดังของไหมกลับมาตามคาด
“ผมไปด้วยนะครับ พี่แพร...พี่น่ารัก” ผมกับไหมชะงักไป ก่อนจะหันไปสนใจคนที่นั่งอยู่อีกด้าน
“ได้เลยจ้า น้องเวล” ไหมว่าด้วยหน้าตาเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มของมัน
“น้องเวร ล่ะสิไม่ว่า”
“หะ?” ไหมหันมาถามผมอย่างงุนงง ส่วนผมก็หันไปสบตากับเด็กเวรนั่นอย่างเซ็งๆ
“ครับ?” เหอะ ไอ้หน้าตาใสซื่อนี่มันทำหลอกคนมากี่คนแล้วนะ หน้าตาเป็นอาวุธก็แบบนี้สินะ ทั้งหน้าตาที่ดูใสซื่อบวกกับนิสัยเจ้าเล่ห์แบบมัน ใครๆ ก็คงไม่รอดโดนมันหลอกหมด ผมยังเคยเกือบเชื่อไปแล้วว่ามันเป็นคนดี คนอะไรน่ากลัวชะมัด “อะไรติดหน้าผมเหรอครับ พี่น่ารัก”
“เสือก” ผมว่าแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทั้งอาจารย์และ..
“ว้าย รักมึงพูดไม่เพราะกับน้องได้ไง”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับพี่แพร”
“ฮือ อย่าไปฟังคำหยาบนะลูก”
“ครับ แหะๆ” แหะพ่อง!
.
.
“กินกันเยอะๆ เลยนะ พี่เลี้ยงเอง”
“ขอบคุณค่ะ/ครับ พี่แพร”
ผมมองน้องๆ ที่ยกมือไหว้ไอ้ไหมอย่างพร้อมเพรียงกันก็อดไม่ได้ที่จะแอบถ่ายไอจีสตอรี่ไว้ พร้อมแท็กไหมไปว่าขอบคุณครับป้า ผมกดโพสต์แล้วยิ้มขำกับตัวเองก่อนจะชะงักไปเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าคนที่นั่งตรงข้ามกันกำลังนั่งเท้าคางยิ้มให้ผมอยู่
“อะไร” ผมทำหน้าบึ้งใส่เด็กเวรแล้วลุกหนีไปตักไอศกรีมทันที แต่มันก็เดินตามมาเหมือนวิญญาณตามติด “ตามมาทำไม”
“พี่ว่าถ้าพี่แพรรู้ว่าเราเคยจูบกัน พี่แพรจะทำไงอะ” แถมเป็นวิญญาณร้ายคอยอาฆาตแค้นผมด้วย
“นี่มึงขู่กูอยู่เหรอ”
“เปล่าครับ”
“ไอ้...”
“รัก มึงหยุดพูดคำหยาบใส่น้องได้ละ มึงนี่ไม่ไหวๆ” จู่ๆ ไหมก็โผล่มาจากด้านหลังผม ผมตกใจและกังวลทันทีว่ามันจะได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ที่ไอ้เด็กเวรนี่พูดมารึเปล่า แต่ไอ้การที่มันเดินไปควงแขนเวลแบบร่าเริงก็ทำผมโล่งใจไปได้ มันคงไม่ได้ยินหรอก “ปะ น้องเวลเราไปนั่งกินติมกันดีกว่า”
“ครับ” ผมมองไหมที่ยังร่าเริงเหมือนเดิมแล้วก็ถอนหายใจออกมา ขอแค่ไหมไม่รู้ก็พอ เรื่องของผมกับเด็กนี่จะไม่มีวันบานปลาย ผมต้องจบเรื่องนี้ให้ไวที่สุด
“เออ ว่าแต่พวกน้องเรียนไรกันอะ” ไหมพูดขึ้นมาหลังจากที่เรากินไอติมบุฟเฟ่ต์กันมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
“วิทย์กีฬาค่ะ”
“อ่อ พวกพี่สองคนก็วิทย์นะแต่วิทย์เคมี”
“โห สุดยอดเลยพี่”
“ไม่เห็นมีไรจะสุดยอด ปวดหัวจะตาย”
“ฮ่าๆ”
“พี่รู้ปะ ว่าเวลมันเกือบได้เป็นเดือนด้วยนะ” น้องผู้หญิงที่นั่งข้างเด็กเวรพูดขึ้นมาแล้วแอบมองมันจากด้านข้างแล้วก็หน้าแดงเอง
“อ้าว ไม่ได้เป็นเดือนเหรอ หล่อขนาดนี้”
“ฮ่าๆ ก็มันขี้อายไงพี่ ตอนพวกพี่เขามาเลือกนะ ก็พูดผิดพูดถูกไปหมด” เป็นฟ้าที่ขยายความ ผมมองหน้าคนที่เอาแต่จ้องผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลยหยิบมือขึ้นมาเล่น
“จริงเหรอคะ น้องเวล” ผมเงยหน้าจากมือถือมองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามกันด้วยความอยากรู้ว่ามันจะโกหกอะไร ถ้าหน้าอย่างมันถ้าขี้อายคนทั้งโลกก็ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านแล้ว
“ครับ คือผมขี้อายจริงๆ ดีที่พวกรุ่นพี่เข้าใจ แต่ถ้ามีกิจกรรมอะไรที่ผมพอช่วยได้ ผมก็จะทำนะครับ”
“ฮือ ดีจังเลยอะ” ไหมทำท่าเคลิบเคลิ้มแล้วซบเข้าที่แขนผมเหมือนคนอ่อนแรง
“จริงพี่ มันเป็นคนดีจนพวกหนูรู้สึกผิด ฮ่าๆ”
“ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย”
“เป็นค่ะ น้องเวลเป็นคนดีของพี่ไงคะ”
“เอ่อ พะ พี่แพร”
“อุ้ย เขินหน้าแดงเลย เอ็นดู”
“ฮ่าๆ”
ผมนั่งถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยที่ได้นั่งตรงข้ามไอ้เด็กเวรนี่ ต่อหน้าทุกคนล่ะ เป็นเด็กดีเชียว รอยยิ้มปลอมๆ กับท่าทางนอบน้อมนั่นด้วย ผมอยากหัวเราะให้ฟันร่วง ไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้รึเปล่าว่าเด็กนี่เป็นไง ทั้งกวนตีน แถมยังโรคจิตจูบคนไปทั่ว...โว๊ย ทำไมผมต้องมาคิดอะไรแบบนี้ด้วย
“พี่น่ารักไม่กินสักทีล่ะครับ”
“...”
“รอบนี้ผมเห็นพี่ตักมานตั้งนานแล้ว เดี๋ยวก็ละลายหรอก”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“มาๆ ผมป้อน”
“ไอ้…”
“อุ้ย น้องเวลมีน้ำใจจังเลย” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ไหม น้ำใจอะไรของมึงไหม
“เอ่อ” ผมอึกอักเมื่อเป็นจุดสนใจของกลุ่มอีกครั้ง “ไม่เป็นไรๆ”
“เอ่อ ขอโทษครับ ผมคิดน้อยไปหน่อย พี่คงรังเกียจ” มันทำหน้าหงอยๆ แล้วพยายามยิ้มให้คนอื่น โถ ถ้าผมไม่รู้ธาตุแท้มันคงจะสงสารไปแล้ว แต่ไม่ใช่มันตอแหลทั้งหมด ทุกคนอย่าไปเชื่อมัน
“ไม่ เพื่อนพี่ไม่รังเกียจเลยจ้ะ” โดยเฉพาะมึงเลยไหม มึงอย่าอินเกิน
“ไหม..” ผมหันไปส่งสัญญาณทางสายตาว่าไม่โอเค
“กินเข้าไป อีรัก มึงกินเดี๋ยวนี้”
“เออๆ ๆ กินก็ได้” แล้วผมก็ยอมไหมอีกครั้ง
“จริงเหรอครับ” เด็กเวรนั่นถามแล้วยิ้มกว้าง เหมือนผมจะเห็นหางมันโผล่มาด้วย หางสั่นพั่บๆ เลยนะมึง
“อือ เร็วๆ”
“อ้ามๆ ครับ” ผมมองมันอย่างอาฆาต อ้ามๆ พ่อง
“อา” ผมยอมอ้าปากแล้วหลับตางับช้อนนั่น รีบกินรีบจบ
“อ้าม”
“น่ารักอะ”
“โมเม้นๆ”
“แก๊ เขาป้อนกัน” “พอแล้ว!” ผมเผลอหลุดพูดออกมาเสียงดัง หลังจากได้ยินเสียงซุบซิบจากน้องๆ ในกลุ่ม ทุกคนหันกลับไปกินไอติมกันเงียบๆ ดูท่าไหมเห็นว่าท่าไม่ดีเลยเป็นคนชวนน้องๆ คุยกันอีกครั้ง แล้วบรรยากาศน่าอึดอัดเมื่อครู่ก็หายไปแต่ก็ยังไม่มีใครกล้ามองหน้าผม
“หึ”
“!!” ผมหันไปสบตากับเด็กเวรที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพราะเสียงหัวเราะของมัน พอผมสบตามันก็กระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอาช้อนที่ใช้ป้อนผมเข้าปากตัวแล้วดูดช้อนนั่นไปสบตาผมไป “หวาน”
“ละ เล่นบ้าอะไร”
“ไม่ได้เล่นสักหน่อย ผมเอาจริง”
“เอาอะไรเหรอจ้ะ” โชคดีที่ไหมเข้ามาขัดจังหวะ ผมถึงหลบสายตานั่นได้
“พี่แพรเอาเพิ่มไหมครับ เดี๋ยวผมไปตักให้”
“พอแล้วจ้ะ ขอบใจนะ” ไหมหันมาสบตาผมแล้วเอื้อมมือมาจับที่มือและแขนผม “มึงไม่สบายเปล่าวะ เดี๋ยวก็หน้าซีดหน้าแดง”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมพูดรัวๆ ด้วยใจที่เต้นรัว “เราไปเรียนกันเลยไหม”
“คาบบ่ายจารย์ยกคลาสนี่ มึงรีบไปไหน”
“นั่นสิครับ ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมไปเที่ยวกลางคืนให้ฟังเลย” ผมหันไปสบตากับไอ้เวรทันทีที่ได้ยินมันพูดเรื่องเที่ยวออกมา
“หืม น้องเวลเคยเที่ยวกลางคืนด้วยเหรอ”
“เออๆ ๆ ไม่กลับแล้ว” ผมมองหน้าเวลนิ่งๆ ถึงแม้มันจะยิ้มให้ผมอย่างใสซื่อแต่ผมก็พอจะรู้ว่ามันกำลังขู่จะเล่าเรื่องที่ผมกับมันจูบกันให้ไหมฟัง
“ก็ก่อนหน้านี้ ผมไปเที่ยวตลาดกลางคืนที่เชียงใหม่มาครับ...” เวลเว้นจังหวะที่พูดแล้วยิ้มใสซื่ออีกครั้งและหันไปสบตากับไหมอย่างเป็นธรรมชาติ
ผมนั่งกลอกตาให้กับเรื่องโกหกที่คนตรงข้ามพูดให้ฟังไม่หยุด แล้วก็ไม่รู้ว่ามันสนุกตรงไหน ไหมถึงหัวเราะเอาไม่หยุด ก็ยังดีที่มันไม่เล่าเรื่องระหว่างผมกับมันออกไปเพราะถ้าเล่าออกไป นอกจากผมกับไหมจะอึดอัดต่อกันแล้ว คนอื่นที่นั่งอยู่ด้วยคงไม่มีใครอยากคุยกับผมมากกว่าเดิม ผมมองหน้าเวลอีกครั้ง...ผมจะทำยังไงกับมันดี
“ขอบคุณค่ะ พี่แพร พี่น่ารัก”
“จ้า กลับบ้านกันดีๆ ล่ะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเจอกันนะ”
“ค่า”
“งั้นแยกกันตรงนี้เลยเนอะ” ไหมพูดอย่างร่าเริงหลังกลุ่มเราออกมาจากร้านไอติม “เอ่อ น้องเวลกลับทางไหนเอ่ย”
“อ่อ กลับดีๆ ล่ะ” แพรหุบยิ้มลงเมื่อเห็นเด็กเวรนั่นชี้ไปคนละทางกับทางที่ตัวเองจะกลับ "ห้ามตีกัน โอเค๊"
“รู้แล้วน่า”
“ครับ พี่แพรด้วยนะครับ” แพรโบกมือบ๊ายบายผมกับเวลอย่างเสียดายแล้วเดินจากไป
ผมรีบเดินหนีมันทันที ไม่รู้ว่ามันตั้งใจหรือบังเอิญจริงๆ ที่กลับทางเดียวกับผม แค่ได้นั่งอยู่ด้วยกันก็อึดอัดจะตายแล้ว ตอนนี้ผมอยากกลับไปให้ถึงหอให้ไวที่สุด ผมเดินเร็วๆ ออกห่างจากคนที่เดินตามมาอย่างรีบร้อน ในที่สุดผมก็ไม่เห็นมันเดินตามมาแล้ว ผมเดินเข้าสถานีรถไฟใต้ดินอย่างสบายใจและยืนเล่นมือถือรอรถไฟฟ้าใต้ดินไปเรื่อยๆ
”พี่น่ารัก”
“เฮ้ย ตกใจหมด” ผมสะดุ้งแล้วหันไปมองคนที่ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูผมจากด้านหลัง
“กลับ mrt เหมือนกันเลย”
“โกหก”
“เปล่าครั้งนี้จริงๆ”
“แสดงว่าครั้งอื่นก็โกหก” ผมหันหลังไปยืนคุยกับมันดีๆ เพราะปวดคอ อา...อนาถในความสูงตัวเองจังเลยครับ
“อือฮึ” ดีที่ครั้งนี้มันยอมรับกับผมง่ายๆ
“คนอื่นรู้รึเปล่าว่านิสัยแบบนี้” ผมกระตุกยิ้มถาม
“นิสัยดีน่ะเหรอครับ หึ” มันกระตุกยิ้มกลับ แถมยังเลิกคิ้วกวนๆ ใส่ผมอีก
“ทำไมไม่ไปเรียนการแสดง”
“ถ้าผมไป พี่ก็ต้องไปเหมือนกัน”
“ไอ้”
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
ผมกลืนคำด่าลงคอแล้วรีบเดินเข้าขบวนรถไฟ โชคดีที่ตอนนี้คนไม่เยอะจึงเหลือพื้นที่ให้ยืน แต่ไม่เหลือเก้าอี้ให้นั่งสักตัว ผมจึงเดินไปพิงประตูอีกฝั่งและแน่นอนเด็กเวรก็ยังคงเป็นวิญญาณตามติดมายืนพิงประตูข้างผมอีก
“นี่ ขยับไปหน่อย” ผมบอกคนที่จงใจยืนเบียดผมจนไหล่เราชนกัน ทั้งที่พื้นที่ยืนมีโล่งขนาดนี้
“ผมขยับไม่ได้แล้ว”
“โกหก”
“ใช่”
“เหอะ”
“พี่ไม่คิดว่าเราเข้ากันได้ดีเหรอ”
“ไม่”
สถานีXXX
“ไม่ต้องมาบอกว่าอยู่หอเดียวกันเลยนะ” ผมหันไปบอกคนที่เดินตามผม ออกมาจนถึงด้านนอกสถานี “มึงหยุดและพอแค่นี้”
“ผมเปล่า”
“กูไม่ขำนะโว๊ย”
“ผมก็ไม่ขำ”
ผมเดินหนีมันมาดื้อๆ แบบนี้คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ผมรีบเดินจนถึงหน้าหอพักตัวเองแล้วก็ได้แต่ด่าตัวเองในใจว่าไม่น่าตัดสินใจทำแบบนี้เลยเพราะถ้ามันรู้ที่อยู่ผมแล้ว ผมคงหนีมันอีกไม่ได้และเป็นดังคาด มันเดินมาหยุดยืนข้างผมและมองไปที่หอที่ผมอยู่
“กูจะแจ้งตำรวจว่า...”
“ว่าอะไรครับ ว่าผมตามพี่”
“...” ผมเงียบไปเมื่อมันจ้องตาผม ผมมองไปรอบข้างที่ตอนนี้มีคนเดินเข้าออกประตูด้านหน้าอยู่บ้าง “พอได้แล้ว”
“ลวนลามพี่”
“หยุดพูด!” ผมตะคอกแล้วดึงแขนมันให้ออกมาคุยกันริมทางเดินหน้าหอที่ไม่ค่อยมีคน “หยุดพูดแล้วกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องมาตามกูอีกแล้ว เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็เจอกัน โอเค๊?”
“...นี่” ผมมองหน้าคนที่หยุดพูดไปแล้วเริ่มขำ “พี่คิดอะไรอยู่ ฮ่าๆ ๆ”
“กูเข้าใจมึงยังเด็ก เดี๋ยวมึงว่างเมื่อไหร่ก็บอกจะพาไปหาจิตแพทย์”
“พี่น่ารัก ฮ่าๆ ๆ”
“เฮ้ย กูจริงจังนะเว้ย มึงเข้าข่ายโรคจิตแล้ว" ผมพูดออกไปด้วยท่าทีจริงจัง "ไม่แน่อาจจะมีอาการสองบุคลิกด้วย มึงไม่ต้องอายๆ เดี๋ยวกูพาไปเอง”
“นี่พี่คิดว่าที่ผ่านมาทั้งหมด ที่ผมทำคือผมป่วยเหรอ”
“อ่าว...” เป็นผมที่ชะงักไป เมื่อคนตรงหน้ามองผมอย่างจริงจัง ทั้งที่พยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนี้แล้ว ทั้งที่ผมพยายามทำเรื่องที่เกิดขึ้นให้เป็นปกติมากที่สุด พาไปหาจิตแพทย์ เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ทำงานส่งด้วยกันและแยกย้ายกันไปด้วยดี เมื่อวิชานี้จบลง ผมพยายามทำให้เรื่องระหว่างผมกับมันให้เป็นแบบนั้น ให้ปกติที่สุด "ก็...ก็.."
“ที่ผมคอยตามพี่”
“...”
“จูบพี่”
“...”
“ไม่รู้จริงๆ ดิ ว่าผมกำลังจีบ”
“ตลกละ” ผมว่าแล้วพยายามเก็บอาการตกใจของตัวเองด้วยการกอดอก พยายามคิดว่าเขาอาจจะแค่แกล้งผมเหมือนเคยก็ได้ เด็กมันก็แค่แกล้งเท่านั้น “โกหกมา ฟังอยู่”
“โอเคๆ” ผมบอกแล้วว่ามันน่ะ...โกหกกันจริงๆ ด้วย
“...”
“ผมไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก”
“...”
“แค่อยากมาส่ง แล้วก็ฝันดีนะพี่่” ผมยืนเป็นใบ้มองหน้าคนที่พูดประโยคเมื่อกี้ออกมาอย่างสติหลุด เหมือนกับนักมวยที่โดนชกจนน็อค กว่าจะคลำหาสติเจอก็ตอนเด็กเวรนั่นเดินจากไปแล้ว
"ไอ้เด็กเวร" ผมพึมพำกับตัวเองและพยายามเรียบเรียงคำสั่งในสมองอีกรอบ แต่ดูเหมือนสมองที่ถูกใส่ข้อมูลว่าต้องทำให้อีกคนออกไปจากชีวิตโดยปกติที่สุดนั้น โดนประโยคฝันดีของเขาล้างคำสั่งไปหมด หัวใจของผมถึงเต้นแรงขนาดนี้
ผมสะบัดหัวไล่ความรู้สึกดีที่เกิดจากคำพูดของคนเจ้าเล่ห์ ก็แค่บอกว่าอยากมาส่งกับฝันดีด้วยรอยยิ้มลูกหมาแบบนั้น ผมจะหวั่นไหวไม่ได้ เด็กมันก็แค่แกล้งเท่านั้น ทุกอย่างปกติดี อย่าไปหวั่นไหว อย่าไปใจเต้นแรงกับมันอีก
“แม่ง คิดจะแกล้งกันไปถึงไหนวะ”
ปี๊ ป่อ ปี๊ ป่อ มีคนโดน heart attack คร้าบบ
-TBC-