รักติดอี ตอนที่ 23 END (26/10/62)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักติดอี ตอนที่ 23 END (26/10/62)  (อ่าน 9965 ครั้ง)

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
รักติดอี ตอนที่ 23 END (26/10/62)
« เมื่อ08-09-2019 17:57:00 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*******************************************************************************************



รักติดอี



 
10 20 30 40 เอ้า! 10 20 30 40

ผมชอบติดเพื่อน ผมชอบติดเกม ผมชอบติดเที่ยว

...แต่ผมไม่ชอบติดอี! โว๊ย!!!


แก้อีว่าปวดหัวแล้ว

ดันมาเจอรุ่นน้องตัวดี ที่น่าปวดหัวยิ่งกว่าตัวอี




“คอยดู...ผมจะทำให้พี่ลืมผมไม่ลงเลย”


“ชิบหายของแท้แล้ว ไอ้น่ารัก”


.

.

TBC.



ปล.1 ติดอี = ติดเอฟในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ปล.2 เรื่องนี้ภาษาค่อนข้างหยาบคายไปบ้าง ตามนิสัยนายเอกนะคะ
ปล.3 เป็นนิยายเบาสมองและอาจมีสมองเบาไปบ้างบางมุก





ปล.สุดท้าย ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ
Twitter​ : @gigibatothebe
:mew1:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2019 17:54:18 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 1 (8/9/62)
«ตอบ #1 เมื่อ08-09-2019 18:00:03 »



  ตอนที่ 1 ติดอี


  ​
   ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกที่เห็นตัวอีสีแดงบนตารางผลการเรียนว่ายังไงดี ผมจำได้แค่ว่าผมนั่งเหม่อและมองมันเกือบสิบนาที ก่อนจะเดินลงไปกอดสุดสวยที่ยืนทำกับข้าวให้ลูกไม่เอาไหนอย่างผมจากด้านหลัง

"สุดสวย...น่ารักติดอีอะ"

"..."

    ผมยังจำความเงียบและกลิ่นกระเพราหมูสับที่อบอวลไปทั่วห้องครัวนั้นได้ดี หลังจากนั้นหยดน้ำตาของแม่ที่หล่นลงมาโดนแขนผม

"ฮึก แม่บอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่ายุ่งกับยาเสพติด ฮือ"

"ดะ เดี๋ยวๆ ๆ ๆ แม่"

"ฮือ แม่จะไปบอกพ่อ แล้วเราก็ต้องไปเลิกมันซะ"

"เดี๋ยวๆ ๆ ๆ " ความชิบหายบังเกิดกว่าการติดอี คือแม่กำลังดิ้นจะออกไปบอกพ่อ ผมเลยกอดแม่ที่ตัวเท่าๆ ผมไว้แน่น แม่ดิ้นไปมาจนตะหลิวที่เปื้อนกระเพรานั้นฟาดเข้าหัวผมหนึ่งครั้งรอ คิดโมเมไปเองว่าแม่คงไม่ได้ตั้งใจ ผมกอดแม่ไว้แน่นและพยายามอธิบาย "แม่ฟังรักก่อน รักไม่ได้ติดยา"

"หะ แล้ว..แล้วอีคืออะไร"

"อีคือเอฟอะ"

"...พูดออกมาให้หมดรัก" หลังจากแม่หยุดดิ้นและหันมาจ้องผมเขม็ง

"คือ.." ผมยกมือทั้งสองข้างเหนือหัวอย่างยอมแพ้ "แม่ปิดเตาแก๊สไหม กระเพราจะไหม้แล้วนา"

"รัก แม่จะนับแล้วนะ หนึ่ง"

"โอเคๆ ๆ รักยอมแล้วจ้า” ผมเอามือลงแล้วกอดแขนแม่ไว้อย่างออดอ้อน “ติดอีก็คือติดเอฟ ติดเอฟก็คือสอบตกจ้า"

"..."

"เหะๆ " ผมยิ้มแห้งให้แก่มารดาที่รัก ที่ตอนนี้ได้แปรงร่างจากสุดสวยกลายเป็นนางยักษ์ในพริบตา "มะ แม่ รักง่วงจังไปนอนแล้วนะจ้ะ"

"รัก! กลับมานี่เดี๋ยวนี้" แม่เท้าเอวแล้วตะโกนไล่หลังผมที่วิ่งออกมาจากห้องครัว

"ไม่เอา รักง่วง! " ผมตะโกนบอกหลังจากวิ่งมาหลบอยู่ข้างประตูห้องครัว

"เฮ้อ” ผมแอบมองแม่ที่กำลังถอนหายใจแล้วหันไปตักกระเพราใส่จานไป ส่ายหัวไป “เจ้าลูกคนนี้"

"แม่โกรธไหม" หลังจากรอให้คุณสุดสวยอารมณ์เย็นลงสักพัก ผมที่รู้สึกผิดก็เดินไปกอดแม่จากด้านหลังอีกครั้ง

"แล้วรักทำเต็มที่แล้วหรือยัง" ผมคลายกอดแล้วสบตาแม่ที่หันมามองหน้าผม

"เต็มที่แล้ว" แม่ถอนหายใจแล้วยื่นจานให้ผม ผมเบะปากงอแงแล้วหลบตาแม่มองกระเพราในจานแทน "รักพยายามแล้วจริงๆ รักขอโทษ"

"ขอโทษทำไม เอาจานไปวางบนโต๊ะสิ" ผมรับจานมาถือไว้แล้วมองแม่แบบงงๆ "ไปเรียกพ่อมากินข้าวด้วย"

"ครับ แม่" หลังจากวางจานไว้บนโต๊ะเรียบร้อย ผมก็กระโดดกอดแม่และหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ “วันนี้สุดสวยหอมจัง หอมกระเพราหมูสับจังเลยย”

"ไม่ต้องมาอ้อน สัญญากับแม่ก่อนว่าจะไม่เป็นแบบนี้อีก"

"ครับ"

"ตั้งใจเรียนนะลูก"

"...ครับ" ผมน้ำตาคลอตอนที่มือของแม่ลูบเบาๆ ที่หัวของผม แววตาที่มองผมเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู "รักจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังอีก"

"ถ้ามีอีกครั้ง” หลังจากพูดจบรอยยิ้มใจดีของแม่ก็เปลี่ยนไป “พ่อรู้เรื่องนี้แน่"

"มะ แม่! " เหมือนโดนตลบหลัง ไอ้รอยยิ้มเหมือนตัวร้ายในหนังนี่คืออะไรกัน แม่สุดสวยแสนอ่อนโยนโดนใครกินไปเนี่ย “สุดสวยขู่รักอะ!”

"หึๆ ๆ ๆ "

   ผมมองแม่สุดสวยที่เดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ด้วยความรู้สึกสยองขวัญ เสียงหัวเราะของแม่ยังคงหลอนอยู่ในหูของผม ไอ้ท่าหั่นผักอยู่แล้วหัวเราะไปด้วย นี่โคตรจะหลอนเลย ถ้าแม่ยกมีดแล้วหันมายิ้มนี่ มีฉี่ราดเลยนะครับ แม่ใครเนี่ย น่ากลัวชะมัด!
.
.

.
ห้อง 503

“อีรัก!”

“หะ..อะไรวะ”

“มึงจะยืนเหม่อเกาะประตูอยู่แบบนี้ทั้งวันไม่ได้”

“เออ” ผมสะบัดหัวไล่ภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วแบบมึนๆ แล้วหันไปมองหน้าคนข้างกาย “มึงไม่เข้าไปเรียนเป็นเพื่อนกูเหรอวะ”

“มึงดูสภาพกูแฮงค์ขนาดนี้ มาส่งมึงได้ก็บุญแล้ว จะไปนอนต่อแล้ว ไปๆ” ไหมมันดันหลังผมจนไปยืนด้านหน้าประตู “เข้าไปเถอะน่า อีรัก”

“ไหมม่อย...มึงเติมคำว่าน่าเข้าไปด้วยได้ไหม มึงเรียกกูแบบนี้บ่อย จนกูแทบจะแบกปืนขึ้นบ่าแล้ว”

“มึงก็หยุดกูเรียกไหมม่อยสักที”

“ทำไม...อื้อ”

   ยังไม่ทันที่ผมจะได้เถียงเพื่อนผมต่อ มือเล็กๆ นั้นก็ตะปบเข้าที่ปากผมอย่างแรง จนหัวผมเอนไปด้านหลัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมจะเจ็บแค่ไหน บอกได้เลยว่าได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหัวเลยครับ

“พูดมาก! เข้าไปเรียนได้แล้ว กูจะได้ไปนอนสักที”

“อื้อออ” หลังจากขัดขืนผู้หญิงตัวเล็กแต่แรงควายได้ ผมก็ตะโกนบอกความในใจไปให้มันได้ยิน “มือมึงเค็ม!”

“ไป!” แทนที่มันจะสนใจในรสมือของมัน มันกลับตวาดไล่ผมเสียงดังจนรุ่นน้องที่ยืนอยู่หน้าห้องหันมามอง เหมือนมันจะรู้ตัว มันเลยกระชากเน็กไทผมไปใกล้ แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ไม่มีใครสนใจมึงหรอก หน้ามึงเด็กกว่าน้องปีหนึ่งอีก!”

“มึงจะทำท่ากระซิบทำไม เสียงมึงแม่งดังไปถึงหน้ามหาลัยแล้วมั้ง “ผมปัดมือมันออกจากเน็กไทแล้วจัดให้เรียบร้อย หันไปโค้งหัวขอโทษน้องที่ยืนหน้าเหวออยู่ตรงนั้น ก่อนจะถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของเช้านี้ เมื่อความคิดเรื่องติดอีย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกรอบ “เฮ้อ”

“เออๆ เข้าไปหาที่นั่งไป ตั้งใจเรียน แล้วอย่าติดอีอีกล่ะ” ไหมมันมองผมด้วยความห่วงใยเพียงเสี้ยววิ ก่อนจะตบแรงๆ เข้าที่ไหล่ผมหนึ่งทีเหมือนเกลียดผม “คิดซะว่าฟาดเคราะห์นะอีรัก ฮ่าๆ”

“มึงน่ะสิที่ฟาดกู เป็นการให้กำลังใจที่เจ็บมากไหม ขอบใจแต่ไปไหนก็ไป ไหมม่อย”

“โถ อีน่ารัก ถุ้ยๆ ๆ ๆ กูเกลียดชื่อมึงกว่าชื่อกูอีก”

“ฮ่าๆ ๆ ๆ”

    ผมหัวเราะอ้าปากกว้างอย่างสะใจ แล้วรีบเดินเข้าห้องเลคเชอร์เพื่อหลบฝ่ามืออรหันต์จากไหมม่อย อ้อ จริงๆ เธอไม่ได้ชื่อไหมม่อยหรอก ที่จริงมันชื่อแพรไหม แต่ผมแค่ล้อฉายาที่รุ่นพี่มอบชื่อให้มันในวันรับน้องวันแรก จะว่าไปก็สงสารที่มันโดนแกล้งแบบนี้เพราะไม่ใช่แค่ผมที่เรียก เพื่อนๆ ในคณะก็เรียกฉายานี้เวลาที่อยากแกล้งมันทั้งนั้น ด้วยความที่มันเป็นแบบนี้ นิสัยแรงๆ บวกกับหน้าตาที่ดูเหมือนอยากตบใครตลอดเวลา ผมกับเพื่อนในคณะก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งมันเพราะการที่ได้โดนมันด่ากลับ ช่างมีความสุขอย่างน่าประหลาด

   ส่วนฉายาของผมก็คือน่าลัก ใช่ครับ ลักแบบลอลิง จำได้ว่าช่วงปีหนึ่งก็โดนล้อบ่อยเหมือนกันแต่ก็ไม่บ่อยเท่าไหมม่อย แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครล้อผมแล้วครับ มีแต่ไหมที่เอาคำว่าอีมาเติมแล้วเรียกผมแปลกๆ แบบนี้อยู่คนเดียว

    หลังจากหลุดพ้นการหลบฝ่ามืออรหันต์ได้อย่างหวุดหวิด ผมก็หันไปบ๊ายบายไหมมัน ไหมทำหน้าที่แย่จากการแฮงค์อยู่แล้ว ให้แย่ลงไปอีกด้วยการเบะปากให้ผม ก่อนจะสะบัดผมใส่และเดินจากไป ผมทำได้แค่ส่ายหัวกับท่าทีบ้าบอของมันแล้วเปิดประตูห้องเล็คเชอร์เข้าไป ห้องนี้เป็นห้องเรียนรวมครับ รวมแบบจริงจัง ทุกคณะ ทุกเอก ทุกชั้นปีเพราะเป็นวิชาของมหาลัยซึ่งสามารถเรียนร่วมกันได้แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นปีหนึ่งมากกว่า

   ผมมองปราดไปทั่วห้องด้วยความไวแสง ตอนนี้ที่นั่งส่วนใหญ่ถูกจับจองแทบจะเต็มแล้วเพราะวันนี้เป็นวันแรกของการเรียน นักศึกษาก็จะเยอะเป็นพิเศษ ผมพยายามทำตัวให้กลมกลืนด้วยการเดินก้มหน้าไปด้านหลังและนั่งลงแถวรองสุดท้ายที่ยังว่างอยู่ ผมวางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ที่ว่างข้างตัวแล้วเท้าคางมองความเป็นไปในห้อง แถวที่ผมนั่งถูกจับจองด้วยน้องผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ดูจากการแต่งตัวที่ถูกระเบียบกันทั้งกลุ่มแล้วคงอยู่ปีหนึ่งกัน

    ผมนั่งมองน้องๆ ปีหนึ่งที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานไปเรื่อยๆ ก็นึกถึงตัวเองตอนปีหนึ่ง เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นพวกสดใสร่าเริงแบบน้องๆ ในห้องหรอก จริงๆ ผมเป็นพวกเก็บตัว กิจกรรมที่ไม่บังคับก็ไม่เข้า แต่เรื่องตลกคือผมดันมีแพรไหมที่เป็นนักกิจกรรมตัวยงเป็นเพื่อนสนิท ดีที่มันเข้าใจผม ไม่เคยบังคับให้ผมไปร่วมกิจกรรมและไม่ทิ้งคนอย่างผม

   ไม่นานอาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้อง เป็นอาจารย์เสรีที่ผมเคยเข้าไปคุยเรื่องลงเรียนแก้อีในวิชานี้ ผมยังจำหน้าอาจารย์เสรีที่ตกใจ เมื่อรู้ว่าผมติดอีได้ดี แต่พอผมบอกว่าผมไม่ได้เข้าสอบไฟนอล อาจารย์ก็พยักหน้าอย่างเห็นใจ ก็วิชานี้สอบไฟนอลนั้นคิดเป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคะแนนทั้งหมด ผมจะทำไรอะไรได้ นอกจากต้องมานั่งเรียนใหม่แบบนี้

   อาจารย์กล่าวแนะนำตัว แล้วอธิบายเกี่ยวกับวิชานี้และเริ่มเข้าสู่เนื้อหาการเรียนอย่างสนุกสนาน น้องๆ หัวเราะไปตามมุกอาจารย์บ้าง บ้างก็เล่นโทรศัพท์ บ้างก็หลับ ส่วนผมนั้นก็กำลังจะตามน้องๆ ที่หลับไป ไม่ใช่วิชานี้น่าเบื่อนะครับ เป็นความผิดผมเองที่เมื่อคืนกลับบ้านดึกดื่น ตาผมคงจะปิดภายในไม่กี่วินาทีข้างหน้า...

จึก จึก จึก

   แต่เพราะแรงจิ้มที่หัวไหล่ด้านขวาของผม ทำให้ผมสะดุ้งจนหลุดพ้นจากภวังค์ ความรู้สึกเหมือนกับตกจากตึกสูง หัวใจผมเต้นแรงจนต้องปลอบตัวเองด้วยการลูบอกตัวเองไปมา นึกหงุดหงิดแต่ก็ไม่อยากสนใจ น้องๆ อาจจะเล่นกันแล้วมาโดนผมก็ได้ ผมเลยฟุบตัวไปกับโต๊ะและกำลังจะหลับลงอีกรอบแต่

จึก จึก จึก

   อะ กูไม่นอนแล้ว แบบนี้คือตั้งใจแน่ๆ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ คำด่าต้องลอยไปปะทะกลุ่มน้องด้านหลังอย่างแน่นอน ผมจะไม่หยาบคายแต่ผมจะทำให้เด็กมันจำว่าอย่ากวนคนอื่นเวลาจะนอน ผมวอร์มเครื่องด่ามันในใจก่อนจะหันไปมองกลุ่มด้านหลัง มึงต้องเจอกูสวดพวกเด็กเปรต

“นี่ ถ้าจะเล่นกันช่วยออก เชี่ย...” ทันทีที่ผมหันไปหากลุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลัง สายตาผมกลับไปสบตากับคนที่นั่งอยู่ด้านหลังผมอย่างจัง ประโยคที่คิดว่าคูลที่สุดจากคนหยาบคายอย่างผม ก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะคนด้านหลังที่นั่งเท้าคางจ้องผม ไม่มีใครในกลุ่มหันมามองผม มีแต่มัน มันที่จ้องผมอยู่คนเดียว

“ผมไม่ได้ชื่อเชี่ย ผมชื่อเวล”

“อะ” ไอ้หน้าแบบนี้ ทั้งคำพูดคำจานี่อีก

“เจอกันอีกแล้วนะ” นี่มัน “พี่น่ารัก”

“เอ่อ ปวดท้อง”

   ผมหันกลับมาทันทีที่พูดประโยคไร้สาระนั้นออกไป อยากจะหันกลับไปเช็คอีกรอบแต่ไอ้รังสีแปลกๆ ที่เหมือนโดนจ้องจากด้านหลังจนจะทะลุแบบนี้ ใช่ ใช่แน่ๆ ต้องใช่คนที่ผมเจอเมื่อคืนแน่นอน เอาล่ะมึงเอ๊ย ผมเบ้หน้าจะร้องไห้กับตัวเอง แล้วมองนาฬิกาหน้าห้อง อีกตั้งหนึ่งชั่วโมงถึงจะหมดคาบ แต่นี่ก็เพิ่งคาบแรกของวิชานี้เอง ไม่เป็นไร วันนี้คงไม่มีอะไรมาก แต่ถ้าผมนั่งอยู่นานกว่านี้ ชีวิตผมบรรลัยแน่นอน เอาวะ...โกยดีกว่าจ้า จะนั่งอยู่เพื่อสิ่งใดอีก

   ผมตัดสินใจลุกขึ้นคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปตามทางเดินที่อยู่ด้านข้าง แน่นอนว่าสายตาเกือบทั้งห้องจ้องมองมาที่ผม ผมก้มหน้าและก้าวเท้าให้ไวกว่าเดิม โชคดีที่อาจารย์เสรีแค่ปรายตามองผมและปล่อยผ่าน ผมค่อยๆ เปิดประตูแล้ววิ่งลงบันไดไปด้วยใจเต้นรัว กว่าจะมีสติก็ชั้นสอง ถึงจะนึกมาขึ้นได้ว่าทำไมไม่ลงลิฟต์ เอาเถอะผมรักโลก ช่วยมหาลัยประหยัดไฟ

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจกับความเด๋อด๋าของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงที่ขั้นบันไดอย่างหมดแรง นี่ผมวิ่งลงมาทำไมตั้งสามชั้น

ผมลูบเหงื่อบนหน้าตัวเองออก แล้วนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ นึกถึงตอนที่หันไปแล้วสบตากับเขาคนนั้น ผมกำมือแน่นระงับความรู้สึกตัวเอง เมื่อนึกถึงหน้าหล่อๆ ของมัน ผมสีดำสนิท ดวงตากลมโตที่ยิ้มแล้วเป็นสระอิและรอยยิ้มที่เหมือนหมาตัวใหญ่แบบนั้น

“เจอกันอีกแล้วนะ พี่น่ารัก”

    อีกทั้งยังเรียกชื่อผมอีก แถมแววตาแบบนั้น...ใช่ แน่นอน มันคงเห็นผมตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว แถมยังจงใจสะกิดให้ผมรู้ตัวอีก มันคงไม่ยอมจบกับผมง่ายๆ แน่ แค่คิดถึงเรื่องเมื่อคืนของผมกับมัน ก็เห็นเค้าลางแห่งหายนะแล้ว ต่อไปนี้ผมจะทำยังไงดี

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจและทิ้งตัวนอนลงบนบันไดอย่างหมดแรง โดยไม่กลัวคุณสุดสวยจะด่าเรื่องเสื้อเปื้อนเลยสักนิด แค่ผมต้องมาแก้อีก็ปวดหัวจะตายแล้ว นี่ผมยังต้องมารับมือกับเด็กผีอย่างมัน ผมจะไหวไหมเนี่ย


“ชื่ออะไร”

“อือ นะ น่ารัก"



“ชิบหายของแท้แล้ว ไอ้น่ารัก”




เขามีความหลังอะไรกันน้อ หุหุ
-TBC-

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2019 18:04:42 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 2 (8/9/62)
«ตอบ #2 เมื่อ08-09-2019 20:01:58 »

ตอนที่ 2 ติดเที่ยว


 

คืนก่อนวันเปิดเทอม


    ปกติแล้วผมก็ไม่ใช่คนติดเที่ยวอะไรหรอกครับ แต่ที่วันนี้ผมออกมาเที่ยวก็เพราะวันนี้เป็นวันเกิดไอ้แพรไหมหรือไหมม่อยเพื่อนสนิทของผม ทั้งที่พรุ่งนี้ก็เปิดเทอมปีสองแล้วแทนที่ผมจะได้นอนอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องมาฉลองวันเกิดกับมัน ทำบ่นไปอย่างนั้นครับ ถ้าผมไม่มาก็คงนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงมัน

   ยินดีที่มันเกิดมาครับ แต่ไม่ค่อยยินดีที่ได้มาที่แบบนี้เท่าไหร่เพราะมันวุ่นวาย ทั้งเสียงเพลงแสงไฟทำผมมึนไปหมดทั้งที่ไม่ได้ดื่มเลยสักแก้ว ผมไม่ชอบเลย ผมจึงเลือกที่จะนั่งในสุดของโต๊ะ ทำตัวลีบติดกำแพงอับๆ ให้ไหมมันนั่งตรงกลางไป ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นของไหมก็มากันเยอะมาก เกือบครึ่งร้านได้

“เอ้า ชน!” ไหมมันพูดแบบนี้มาจะร้อยรอบแล้ว มันกระดกเหล้าเข้าไปหนึ่งอึก แล้วถลาตัวมาดึงคอผมเข้าไปใกล้ ตะโกนแข่งกับเสียงเพลงใส่หูผม “ไปเต้นกันอีรัก!”

“ให้กูพกปืนไปด้วยไหม!”

“อีร้ากกก ตลกมากเหรอมึงอะ”

“เออ!”

“ฮ่าๆ ไปๆ ๆ”

   หลังจากแข่งกันตะเบ็งเสียงใส่กันจนพอใจ ผมก็ต้องยอมเดินฝ่าฝูงชนไปเต้นกับมัน จริงๆ อย่าเรียกว่าผมเต้นเลยครับ ผมแค่มายืนเฉยๆ มาเฝ้าไหมมันเหมือนอย่างเคยเพราะทุกครั้งที่มาเที่ยวกัน ผมต้องคอยดูแลมันตลอด ถึงมันจะมีเพื่อนเยอะแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไว้ใจได้ทุกคนและที่สำคัญเพราะเราสนิทกันที่สุดแล้ว ผมเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ปลาย จริงๆ เริ่มจากเป็นแฟนก่อนจะกลายมาเป็นเพื่อนเพราะผมรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ตอน ม.หกเพราะไปแอบชอบเพื่อนสนิทอีกคนของตัวเอง

“วู้ว!”

“มึงเมาแล้ว” ผมดึงแขนของไหมไว้ตอนที่มันเริ่มเต้นเลื้อยไปหาผู้ชายที่อยู่ด้านหน้า

“กูไม่เมา” มันหันมาจิกตาใส่ผม ก่อนจะยืนนิ่งและเริ่มเบะปาก “โทรหาตั้มให้กูที รักโทรให้หน่อย”

“เมาแน่นอน ไป กลับโต๊ะ”

“ไม่!!” มันสะบัดแขนออกแล้วเริ่มร้องไห้โวยวาย “ฮือ มันทิ้งกูได้ไง กูสวยขนาดนี้!”

“เฮ้อ” สุดท้ายผมก็ทำได้แค่ลากมันมานั่งที่โต๊ะ มองสภาพมันในอ้อมแขนของตัวเองก็นึกสงสารมัน ตั้มคือแฟนคนที่สามของมันและตั้มก็บอกเลิกมันไม่ต่างจากผมที่เป็นแฟนคนแรกของไหม มันร้องไห้สักพักก็หลับไป ผมปล่อยให้มันฟุบลงกับโต๊ะโดยที่มีผมนั่งเฝ้าข้างๆ ได้แต่ภาวนาให้เพื่อนคนอื่นเบื่อและแยกย้ายกันไปสักที

   แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บางส่วนก็เต้นและมองสอดส่องไปทั่วร้านกันไม่หยุด เหมือนเป็นงานหาคู่ ผมคงได้อยู่กันจนร้านปิดแน่ๆ แต่แล้วจังหวะที่ไหมมันลืมตาขึ้นมา แล้วคว้าถังน้ำแข็งมารองอ้วกนั้น ผมก็รู้ได้ในทันทีว่างานเลี้ยงวันเกิดมันได้จบลงแล้ว

“เดี๋ยวพาไหมกลับละ ขอบใจทุกคนที่มานะ”

“เออๆ”

    ผมพยักหน้าเงียบๆ อย่างเคยชิน ทุกครั้งที่ผมพูดทุกคนก็เป็นแบบนี้ครับ เมินตัวปัญหาอย่างผมอย่างเคย ผมยกยิ้มกับความตลกร้ายนี้ แค่เพราะผมเป็นแบบนี้ จึงทำให้ทุกคนพากันขยาดผม ทั้งที่บางคนยังไม่เคยได้รู้จักผมจริงๆ เลยด้วยซ้ำ

“ไอ้ต้น เดี๋ยวกูไปนอนห้องมึงนะ” ผมบอกเพื่อนที่ผมค่อนข้างสนิทด้วยอีกคน

“เออ ได้” มันทำหน้าเซ็งๆ ตอบรับ แล้วมาช่วยผมประคองไหมไปที่รถผม เป็นที่รู้กันว่าพ่อไหมดุมาก ถ้ามันกลับบ้านสภาพนี้คงตายคามือพ่อมันแน่ๆ ผมเลยต้องพาไหมไปนอนที่ห้องผม ส่วนผมก็ไปนอนห้องต้นแทน เราทำอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยปีหนึ่งแล้ว

“อ้วกกก อะ แค่กๆ”

   ผมเมินหน้าหนีแทบทันทีที่ไหมมันอ้วกอีกรอบ ทำได้แค่ลูบหลังมันไปเรื่อยๆ สัมผัสได้ว่าแขนข้างซ้ายที่โดนมันกอดไว้ต้องเปื้อนอ้วกมันไปแล้วแน่ๆ  พอไหมมันอ้วกเสร็จ ผมก็ส่งไหมให้ต้นพร้อมกุญแจรถเพราะผมต้องไปล้างแขนก่อน ก่อนไปก็กำชับให้ต้นดูแลไหมดีๆ อีกที แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ

ซ่า ซ่า ซ่า

“เฮ้อ ไหมเอ้ย”

    หลังจากผมล้างคราบอ้วกที่เปื้อนแขนตัวเองออก ผมก็บ่นกับตัวเองอย่างเซ็งๆ ผมไม่เคยได้แตะเหล้าเลยเพราะเป็นฝ่ายต้องคอยดูแลไหม แต่ก็ไม่เป็นไรดีกว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับมัน ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงโกรธตัวเองมากๆ ล้างจนสะอาดแล้วก็ต้องรีบปิดก๊อกน้ำและสาวเท้าออกจากห้องน้ำให้ไว เมื่อคิดได้ว่าถ้าไหมมันตื่นมาอาละวาดจะขับรถเอง ไอ้ต้นคนเดียวคงเอาไม่อยู่ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว

พลั่ก

“โอ๊ะ ขอโทษครับ” จังหวะที่ผมจะออกมาจากห้องน้ำกลับชนเข้ากับผู้ชายที่ตัวค่อนข้างใหญ่กว่าผมจนเซ แต่ผมก็ประคองตัวเองเอาไว้ได้แต่เพราะเป็นกังวลเรื่องไหม จึงไม่ได้มองหน้าคนตรงหน้าและรีบผงกหัวเชิงขอโทษให้อย่างรีบร้อน

“...เดี๋ยว”

“ฮะ” แต่ดูเหมือนคนที่ผมชนไปจะไม่จบ มือใหญ่นั้นกระชากผมกลับเข้าไปในห้องน้ำดังเดิม “อะไร ขอโทษไปแล้ว ปล่อย”

“...” ผมมองหน้าคนที่ยืนจ้องหน้าผม หน้าตาก็ดีแต่ใบหน้าที่แดงจัดกับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยฟุ้งมาเตะจมูกผม ก็ทำเอาผมเบ้หน้าแล้วขยับหนีเขาที่เดินเข้ามาใกล้ผมแบบไร้สาเหตุ ผมขมวดคิ้วมองคนเมาที่พูดไม่รู้เรื่อง แถมยังจับแขนผมไว้แน่น

“ปล่อย ผมรีบ”

ตึง

“โอ๊ย!” แต่แล้วในขณะที่ผมยื้อแขนตัวเองออกจากการเกาะกุม ร่างของผมโดนเขาผลักไปชนกับประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่อย่างแรง

   เขาใช้แขนสองข้างกักกันทางผมไว้ ดวงตาที่ปรือเหมือนคนไม่ได้สติจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ปรากฏแววตาระยิบระยับราวกับเจอของถูกใจ ทำเอาท้องผมปั่นป่วนและในตอนที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นเขยิบเข้ามาใกล้ ใจผมเต้นรัวจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง แต่พอปลายจมูกโด่งสัมผัสกับปลายจมูกผมเบาๆ ก็ทำให้สติผมก็กลับคืนมา ผมใช้มือดันอกเขาไว้ แต่ก็ช้าไป..

“จะทำไรวะ อะ...อื้อ”

    ตอนที่ริมฝีปากร้อนของเขาประทับลงที่ริมฝีปากของผม เหมือนใจผมหยุดเต้นได้แต่ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นด้วยความตกใจ ความร้อนของริมฝีปากเขา ทำเอาผมร้อนไปทั้งตัว ใจผมเริ่มเต้นแรงอีกครั้งและกลิ่นแอลกอฮอล์จากเขาก็ทำเอาผมมึนหัว จนต้องหลับตาลงไปด้วยความสับสน หลังจากนั้นก็ต้องสะดุ้งเพราะแรงกดของริมฝีปากของเขาที่ทับลงมามากกว่าเดิม มือใหญ่คว้าต้นคอผมเข้าไปใกล้ให้เราสัมผัสกันมากขึ้น

   จูบแรกที่กำลังเกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ ปากนุ่มหยุ่นขยับดูดดึงปากของผมไม่หยุด ราวกับคนกระหายน้ำ ผมไม่ได้รู้สึกเคลิ้มไปกับการกระทำนี้ ใจของผมกลัว ยิ่งแขนที่กอดเอวผมไว้แนบแน่น ตัวของเราบดเบียดกันจนไม่มีช่องว่าง ใจผมก็เต้นแรงด้วยความกลัวไม่หยุด

“อื้อ!” แล้วผมก็ทั้งดิ้น ทั้งทุบ ทั้งผลักให้คนที่กอดจูบผมไว้ ให้ปล่อยกันสักที

   ผมดิ้นจนหมดแรง สุดท้ายก็ทำได้แค่เงยหน้าให้คนเมาตรงหน้าดูดดึงปากผมไปจนกว่าจะพอใจ รู้สึกรังเกียจจนอยากจะเบือนหน้าหนีแต่ก็ทำไม่ได้ แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อลิ้นร้อนของเขาแทรกเข้ามาในปากผมอย่างไม่ได้ตั้งตัว เขาฉกลิ้นผมไปเกี่ยวกระหวัดอย่างรุนแรง ใจไม่รักดีของผมเต้นแรงกับสัมผัสแปลกใหม่อย่างง่ายดาย

   จากที่กลัวอยู่แล้วยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ลิ้นร้อนดูดดึงเหมือนสูบวิญญาณผมไปหมด แข้งขาผมอ่อนแรง ปากเราเบียดกันไปมาจนผมรู้สึกเจ็บ ในหัวก็ได้ยินแค่เสียงจากการดูดดึงอย่างจาบจ้วงของคนตรงหน้า ผมกำหมัดแน่น ทั้งโกรธ ทั้งรังเกียจเขาและตัวเอง

   ผมดิ้นอีกครั้งเมื่อเริ่มหายใจไม่ทันและผมคงทำให้เขาพอใจสักที เขาจึงถอนริมฝีปากแล้วซุกไซร้ใบหน้านั้นไปมาข้างหูผม เหมือนหมาที่ฟัดของเล่นที่ถูกใจ ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพื่อหายใจให้สะดวกขึ้น ทั้งที่ยังยืนอ่อนแรงในอ้อมกอดของเขา

“ชื่ออะไร” คนเมาพูดเสียงทุ้มอ้อแอ้อยู่ข้างหูผมอย่างกวนประสาท เขาถอนใบหน้าจากซอกคอผม มามองหน้ากันและเขาก็มองผมด้วยแววตาที่ระยิบระยับนั้นอีกครั้ง

“อือ นะ น่ารัก” ผมที่ยังมึนงง เผลอตอบไปอย่างไม่รู้ตัว

“ฮะ” เขาทำท่าเหมือนไม่ได้ยินแต่ผมเห็นว่าเขายิ้มแบบเจ้าเล่ห์และกำลังจะก้มลงมาใกล้กันอีกครั้ง

“ปล่อยนะเว้ย!”

พลั่ก

“โอ๊ย!” ผมผลักเขาออกอย่างแรง จนเขาเซไปชนเข้ากับอ่างล้างมือ คนเมาร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะหัวเราะแล้วเงยหน้ามายิ้มให้ผมซะงั้น ผมเผลอถอยหลังด้วยความลืมตัว จนหัวโขกเข้ากับประตูด้านหลัง เขายิ้มอีกครั้งและครั้งนี้มันกลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มของเขา “หึ”

“หัวเราะอะไร อย่าเข้ามานะเว้ย” ผมโวยวายแก้เก้อกับความรู้สึกแปลกๆ เขายังคงยืนพิงอ่างล้างมืออยู่แบบนั้น ไม่ได้จะเดินเข้ามาอย่างที่ผมคิด เขากอดอกและมองจ้องผมด้วยสายตาที่ทำเอาผมรู้สึกขนลุก

“น่ารักจริงๆ ด้วย”

“อะ อะไรวะ” ถึงผมจะเป็นเกย์ แต่สายตาแบบนั้น เหมือนมีสัญญาณไซเรนดังในหัวว่าผู้ชายคนนี้อันตรายและผมก็ค่อนข้างเชื่อในเซนส์ของตัวเอง ผมไม่อยากยุ่งกับเขาเลยสักนิด

    ผมเลิกสบตากับเขาแล้วรีบออกมาจากห้องน้ำ โชคดีที่เขาไม่ได้ตามมาและโชคดีที่ผมยังมีสติพอจะจำได้ว่าจอดรถไว้ไหน ไม่เหมือนกับความรู้ของผมตอนนี้ที่มันไม่รู้อะไรเลย ผมไม่รู้เลยว่าที่ผมใจเต้นแรงขนาดนี้เป็นเพราะผมวิ่งออกมาหรือเพราะจูบเมื่อกี้กันแน่

ตึง!

   ผมปิดประตูรถอย่างแรงแล้วนั่งสงบสติตัวเอง ยกแขนเสื้อมาเช็ดปากไปมาไม่หยุด ทั้งกลัว ทั้งตกใจและยังมีไอ้ความรู้สึกดีที่ผมไม่เข้าใจร่วมด้วย ผมทึ้งหัวตัวเองไปมากับความรู้สึกนั้นของตัวเองอย่างแรง เผลอทะเลาะกับตัวเองโดยลืมไปว่าผมไม่ได้อยู่บนรถคนเดียว

“อีร้าก ปากบวมขนาดนี้ มึงไปดูดส้วมที่ไหนมาอ่า คิๆ ๆ”

“ไหมม่อย มึงหุปปากไปเลย!”

“ม่ายย ไม่ไหม้ ม่ายย”

“ขับไหวไหมไอ้รัก”

“ไหวดิ” หลังจากต่อปากต่อคำกับไหม ผมก็หันไปสบตากับต้นที่นั่งอยู่เบาะหลัง เราสบตากันโดยไม่พูดอะไร ต้นมองปากผมแล้วเอนตัวพิงเบาะก่อนจะมองออกไปด้านนอก

“อะไรของมึง” ผมขมวดคิ้วมองหน้าปลาตายของมัน “ท่าทางแบบนี้คืออะไร”

“ไหวแน่นะ”

“เออดิ ก็ไม่ได้กินสักแก้ว”

“หึ หน้ามึงแดงโคตรๆ”

“เอ่อ...” ราวกับลูกโป่งที่โดนเจาะ ผมรับรู้ได้ถึงความร้อนของใบหน้าตัวเองที่เพิ่มขึ้น นึกหงุดหงิดจนหันหน้ากลับมานั่งดีๆ เตรียมตัวจะออกรถ “กูขับไหว มึงนอนไปเลย”

“หึ”

“ไอ้...” ผมกำลังจะหันไปด่าไอ้ต้นแต่ไหมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เริ่มโวยวายอีกครั้ง ผมจึงหยุดแล้วหันมาสตาร์ทรถ

“ไม่ม่ายยย”

“เฮ้อ” ถอนหายใจกับความเมาของไหม แล้วก็ดันหัวไหมลงไปพิงกับเบาะดีๆ

   ก่อนจะออกรถผมดันเผลอเม้มปากตัวเอง พอเม้มปากก็นึกถึงหน้าไอ้หล่อโรคจิตนั่น นี่ผมโดนมันดูดสติออกไปด้วยใช่ไหมเนี่ย ผมทะเลาะกับตัวเองอีกครั้ง จนต้องตบหัวตัวเองเรียกสติ ถึงจะหยุดคิดถึงสัมผัสนั้น

“หึ”

“ไอ้ต้น!!” ผมหันขวับไปจ้องหน้า ไอ้หน้าปลาตายทันที

“กูเปล่า” มันยกมือมาโบกโง่ๆ ก่อนจะมุดหัวพิงกับกระจกรถแล้วหลับตาหนีผมไปดื้อๆ

“เงียบไปเลยนะมึง!” ผมออกรถด้วยความหงุดหงิด ยิ่งได้ยินเสียงไอ้ต้นหลุดขำอีกครั้ง ผมยิ่งหงุดหงิด พอออกรถไปได้สักพัก สมองก็ดันเผลอนึกถึงหน้าคนที่ขโมยจูบตัวเองไปเมื่อครู่อีกครั้ง ฮึ่ย คนแบบนั้นน่ะ อย่าได้เจอกันอีกเลย

สาธุ








แปลงร่างเป็นอ่างล้างมือในห้องน้ำ
-TBC-


ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 3 (8/9/62)
«ตอบ #3 เมื่อ08-09-2019 20:39:10 »

ตอนที่ 3 ติดคอ 


  ​
“กูอยากตาย”

“อีรัก ข้าวมึงไม่อร่อยจนอยากตายเลยเหรอ” ผมมองหน้าไหมที่ร่าเริงกว่าเมื่อเช้าอย่างเซ็งๆ มองมันยื่นมือมาฉกไก่ทอดไปจากจานผมแล้วไปวางไว้บนจานตัวเองอย่างเหนื่อยใจ “ไหนเค้าชิมสิ”

“ตอนนั้นกูเอาตาตุ่มมองมึงเหรอวะ ถึงขอมึงเป็นแฟน” ผมเท้าคางมองมันที่ยัดไก่ทอดเข้าปากคำโต

“ก็กูสวย” มันสวนผมทันที ทั้งที่ยังเคี้ยวไก่ทอดไม่หมดคำ

“แต่นิสัยอุบาทว์ ไหมเอ๊ย เคี้ยวให้หมดก่อนพูด” ผมว่าแล้วเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า

“คิๆ ๆ ๆ” มันหัวเราะกวนประสาทผม แล้วแอคท่ากอดอกมองหน้าผมอย่างจริงจัง “เอ้า ไหนอยากตายเพราะไร บอกเพื่อนสิ แฮงค์เหรอ”

“แฮงค์พ่อง กูไม่ได้แตะเหล้าสักหยดเพราะต้องขับรถไปส่งใครเอ่ย”

“อ๋อ กูนี่เอง มาๆ ๆ กูจะตั้งใจฟังละ”

“คือ...” ผมหยุดคิดตอนกำลังจะเล่าว่าผมเจอเด็กผีโรคจิตนั่นเมื่อเช้า แต่ก็ลืมไปว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อคืนให้มันฟัง “เมื่อคืนตอนกูไปเข้าห้องน้ำ...คือ”

“พี่ครับ ตรงนี้ว่างไหมครับ”

“อุ้ย ว่างค่ะ ว่างมาก นั่งได้เลย นี่เพื่อนพี่เอง” ผมกรอกตาใส่ไหมที่รีบตอบคนที่มายืนอยู่ด้านหลังผมแบบรัวๆ เขาคงหน้าตาดี ไม่ก็ตรงสเป็คไหมมัน ผมถอนหายใจแล้วขยับเล็กน้อยให้เขานั่งลงข้างๆ ตักข้าวมันไก่ทอดเข้าปากตัวเองหนึ่งคำ ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่นั่งข้างกัน แต่พอได้สบตากันผมก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พร้อมกับ…

พรู่ดดด

“กรี๊ด”

“เฮ้ย”

   ใช่ครับ ข้าวมันไก่ทอดที่ผ่านการบดเคี้ยวด้วยฟันของผม พุ่งตรงไปที่คนที่นั่งข้างๆ ผมเต็มๆ ปกติผมไม่เป่าข้าวเล่นเป็นเด็กๆ หรอกครับ แต่เพราะว่ามันไอ้คนที่มานั่งข้างๆ ผมน่ะ มันคือคนเดียวกันกับที่ทำให้ผมอยากตายตั้งแต่เช้ายังไงล่ะครับ ตายยากชะมัด ยังไม่ทันได้เล่าให้ไหมฟังมันก็ปรากฏกายแล้ว

“แค่กๆ ๆ” ผมสำลักหน้าดำหน้าแดง พาลปัดมือไปมาหาน้ำไปทั่วโต๊ะ

“ว้ายๆ ๆ อีรัก มึงทำไรเนี่ย” ไหมโวยวายแล้วยื่นน้ำให้ผมอย่างลนลาน ผมกำลังจะรับแก้วน้ำแก้วนั้นไว้ แต่...

“นี่น้ำครับ” แต่ไอ้คนที่นั่งข้างๆ กลับรับไว้เองแล้วส่งให้ผมหน้าตาเฉย ผมจำใจรับมาดื่มอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะมือใหญ่นั่น เอื้อมมาลูบหลังผม

“อย่ามาจับ!” ผมตวาดใส่คนที่นั่งข้างกัน เด็กนี่มันทำหน้าตกใจแล้วก็ทำหน้าหงอยจนผมชะงักไปกับท่าทีแบบนี้ของมัน

เพี้ยะ

“โอ๊ย!” ผมหันไปมองหน้าไหมทันทีที่มันตีเข้าที่แขนผมอย่างแรง “มึงตีกูทำไมเนี่ย”

“อีรัก มึงพ่นข้าวใส่หน้าน้อง ยังพูดไม่ดีใส่เขาอีก” มันว่าผมดุๆ ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้กับคนที่นั่งข้างๆ ผม “อย่าไปสนใจเลยนะน้อง เพื่อนพี่มันเป็นหมาบ้าน่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับๆ” ผมใช้หางตามองคนข้างๆ ดูจากที่สวมชุดมหาลัยถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วคงเป็นปีหนึ่ง สภาพมันตอนนี้ช่างขัดแย้งกับเมื่อคืนที่ผมเจอมาก ทรงผมที่เคยเซตแบบเสยขึ้น ก็กลายเป็นหน้าม้าแบ๊วๆ ดูไร้พิษภัย แถมไอ้ท่าเกาท้ายทอยหงิมๆ นี่มันคืออะไรกัน

“เอ้า ยังมานั่งจ้องหน้าอีก พาน้องไปล้างหน้าไป”

“ไม่มีขารึไง” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดแดกดันใส่คนที่นั่งยิ้มเหนียมอายเกาหัวแกร่กๆ ทำหน้าตาบ๊องแบ๊ว ใสซื่อเหมือนลูกหมา เหอะ...เมื่อคืนก็ไอ้คนนี้นี่ล่ะ ที่ดูดปากผมอย่างกับหมาบ้า...

เพี้ยะ

“โอ๊ย กูเจ็บ” ผมลูบแขนตัวเองไปมา ก่อนจะจ้องหน้าเพื่อนตัวเอง ไหมมันยิ้มหวานให้คนข้างๆ ผมอีกครั้ง ก่อนจะหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ผม

“พาน้องเขาไปล้างหน้าก่อนดีไหม...รัก”

“อะไรวะ”

“เร็วๆ สิ” ไหมยิ้มอย่างน่ากลัว พร้อมขยิบตาให้ผม

“เออๆ” แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าไหมคงจะชอบเด็กนี่ ผมเบ้หน้าใส่ไหม ผมนึกหงุดหงิดแล้วหันไปมองคนที่ยังมีคราบเปื้อนตั้งแต่คางลงไปถึงอก มันทำหน้าตาน่าสงสารใส่ไหม แล้วหันมาสบตาผมแบบกล้าๆ กลัวๆ ผมถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน “เฮ้อ ตามมา”

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ”

“รักมึงจะทำหน้าดุน้องทำไม”

“กูไม่ได้ทำ” ผมว่าแล้วขมวดคิ้วมองมัน

“ตามไปเถอะค่ะน้อง เพื่อนพี่มันหน้าดุแบบนี้เฉยๆ ไม่มีอะไร” ผมแอบเบะปากให้ความใจดีของไหมที่ยื่นทิชชู่ไปให้มัน “ไม่ต้องกลัวนะ ไปล้างตัวก่อน”

“อ่อ ครับ ขอบคุณครับ” ส่วนมันก็รับมาด้วยท่าทีนอบน้อมแถมยังยกมือไหว้ด้วย ผมเห็นไหมมันแอบทำหน้าฟิน ก่อนจะหันมาขยิบตาใส่ผมอีกครั้ง

“ตามมาเร็วๆ”

“ครับ พี่น่ารัก” ผมคิ้วกระตุกกับเสียงที่เรียกชื่อตัวเอง แล้วรีบเดินไปห้องน้ำโดยที่ไม่หันไปมองคนที่เดินตามมาเลยสักนิด

ซ่า ซ่า

   ผมยืนกอดอกพิงกับผนังห้องน้ำ มองคนที่ยืนล้างเสื้อที่เปื้อนนิ่งๆ คนที่ผมเจอวันนี้มันช่างแตกต่างจากเมื่อคืนจนผมนึกสงสัย หรือเมื่อคืนที่น้องมันเป็นหมาบ้าแบบนั้นเพราะว่าน้องมันเมาเลยทำให้กลายเป็นคนน่ากลัวๆ แบบนั้นวะ วันนี้น้องก็ดูปกติดี เอาจริงๆ ดูเป็นคนเรียบร้อย สุภาพมากๆ แตกต่างจากเมื่อคืนสุดๆ ยิ่งตอนจูบ...

   พอนึกไปถึงตอนนั้น ผมก็หน้าร้อนทันที ส่ายหัวกับตัวเอง พยายามข่มใจตัวเองไม่ให้นึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืน น้องมันแค่เมา ไม่มีอะไรหรอก ขณะที่ผมตัดสินจะเดินเข้าไปขอโทษ สายตาเราก็ดันประสานกันในกระจก ผมชะงักไปเพราะสายตาไอ้คนที่ล้างเสื้ออยู่นั้นเปลี่ยนไปแล้ว จากที่กล้าๆ กลัวๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว

   เพราะตอนนี้น้องมันมองหน้าผมนี่ด้วยแววตาไม่ต่างจากเมื่อคืนเลยสักนิด แววตาที่มีประกายวิบวับนั่นกับการกระตุกรอยยิ้มมุมปากแบบร้ายๆ ก็ทำให้ผมรู้ว่ามันคือคนเดียวกันกับเมื่อคืนจริงๆ ผมเบือนหน้าหนีด้วยความหงุดหงิดตัวเองที่เผลอคิดไปว่ามันเป็นคนดี

“จะมองให้ทะลุเลยรึไง” ผมหันไปแขวะคนที่จ้องกันไม่เลิก

“ถ้าทะลุได้ก็ดีพี่ อยากเห็นให้หมดเลย” แต่กลับโดนมันสวนมาหน้าตาเฉย แถมยังโดนสายตาของมันจ้องมองทั้งตัวอย่างเปิดเผยกว่าเดิมอีก

“อย่าปีนเกลียว” ผมว่าเสียงแข็งพยายามไม่สนใจสายตาของมันที่หันหน้ามามองผมอย่างจาบจ้วง

“ชื่อน่ารักจริงดิ”

“อือ ทำไม มีปัญหาไง” ผมหันขวับไปจ้องหน้าคนสูงกว่าทันที เรื่องนี้ผมไม่ยอมมันหรอก ผมต่อสู้กับคนล้อชื่อตัวเองมาทั้งชีวิตแล้ว ผมไม่กลัวมันหรอก ในชีวิตนี่กลัวสุดสวยอยู่คนเดียว “แม่กูตั้งให้ แล้วกูก็โคตรชอบ”

“ผมก็ชอบ”

“เสือก” ผมเบะปากใส่และจะเดินออกจากห้องน้ำแต่มันกลับเดินมาขวางประตูไว้แล้ววางมือลงบนหัวผมอย่างถือวิสาสะ

“ตัวก็แค่นี้”

“นี่มึง..ออกไปนะเว้ย” แน่นอนผมปัดมือเขาออกแต่ตอนที่ผมจะเปิดประตูออกไป แต่เด็กนี่กลับอุ้มผมจากด้านหลังแล้วลากเข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง “เชี่ย! ทำไรของมึง ปล่อยนะเว้ย!”

ปัง

“ชู่” มันกระซิบลงข้างหูผมพร้อมกลับกอดผมจากด้านหลังไว้แน่น ก่อนจะกระซิบเสียงพร่าจนผมขนลุกไปทั้งตัว “รู้ไหมเมื่อคืนผมนอนไม่หลับเลย”

“ตอแหล!” ผมตะโกนแล้วดิ้นจนหลุดจากแขนของมัน

“ใช่ ผมโกหก ชักจะถูกใจผมมากกว่าเดิมแล้วดิ” เขายิ้มให้ผมแต่ไม่ใช่ยิ้มใส่ซื่อแบบที่มันยิ้มให้ไหม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมขยับออกห่างจากมัน

“นี่ ตรงๆ นะ กูไม่ชอบมึง” ผมว่าขึ้นมาตอนที่ผมถอยหลังหนีจนชนเข้ากับประตูห้องน้ำ

“...” เขาหุบยิ้มทำหน้านิ่งมองผม คงจะตกใจที่ผมพูดออกไปตรงๆ เป็นตาผมที่ยกยิ้มบ้าง ก่อนจะกระชากคอเสื้อของเด็กปีหนึ่งคนนี้ให้ลงมาสบตากันใกล้ๆ

“กูไม่..ชะ” ขณะที่ผมจะตอกกลับไปให้เด็กมันได้ยินชัดๆ ริมฝีปากของผมก็โดนปิดทับไปก่อน ด้วยริมฝีปากจากคนเดียวกันกับคนที่ขโมยจูบแรกของผมไป

   ปากร้อนบดเบียดลงมาที่ปากผมอย่างแรง แขนแข็งแรงรัดเอวผมเข้าไปใกล้จนผมรู้สึกอึดอัด ท้ายทอยผมโดนมันล็อคไว้แน่นและบังคับให้ผมเงยหน้ารับจูบที่รุนแรงอย่างจำยอม ผมหายใจไม่ทั่วท้อง เสียงดูดดึงจากสัมผัสร้อนชื้นในปากทำผมมึนงง ปากของผมเจ็บไปหมดจากการกระทำที่รุนแรง

   แต่แล้วก็เกิดความรู้สึกวูบไหวที่ผมไม่อยากเข้าใจขึ้นมาโดยที่ผมไม่ตั้งตัว ใจผมเต้นแรงและเริ่มเข้าใจในจังหวะที่ร้อนแรงของจูบนี้ ผมเผลอเอียงหน้าไปตามองศาการจูบ ก่อนจะหลับตา ยอมรับความรู้สึกที่เกิด แต่ทว่า...

“อะ” ผมลืมตาขึ้นทันทีที่มันถอนจูบไป ผมมองรอยยิ้มเยาะเย้ยของมันตรงหน้าด้วยความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งอาย

“พี่ไม่ชอบ หึ” มันเชยคางผมให้เงยไปสบตามันดีๆ นิ้วโป้งมันเกลี่ยวันไปมาที่ริมฝีปากล่างของผมไปมา “แต่ผมโคตรชอบเลยว่ะ”

“ไอ้! ..” ยังไม่ทันได้ด่ามันสักคำ ก็มีคนเปิดประตูเข้ามาในห้องน้ำก่อน

แกร่ก

   มันยอมปล่อยผม ก่อนจะส่งยิ้มใสซื่อให้ผม แล้วเดินไปที่ประตู ผมยืนหอบหายใจมองแผ่นหลังกว้างที่หยุดยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ สักพักมันก็หันมาสบตาผมอีกครั้ง ก่อนใบหน้าที่ยิ้มใสซื่อนั้นจะหุบยิ้ม แล้วมองผมด้วยแววตาร้ายกาจจนผมรู้สึกขนลุก

“ไว้เจอกันนะครับ พี่น่ารัก” พอเขาเดินออกไป ผมก็ทรุดลงไปนั่งบนชักโครกอย่างหมดแรง ใจของผมยังคงเต้นแรงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หยุด

นี่มันเรื่องอะไรกันวะ






ดุทั้งคู่บอกเลย
คนพี่ปากดุ ส่วนคนน้องก็...ดุ
*แค่กๆ ข้าวมันไก่ทอดติดคอ
- TBC -



ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 4 (8/9/62)
«ตอบ #4 เมื่อ08-09-2019 21:11:51 »


ตอนที่ 4 ติดเพื่อน




 
  ​
"มึงย้ายไม่ได้ มึงไม่เห็นเหรอว่ามันชนวิชาอื่น”

   ประโยคนี้ของไหมก้องอยู่ในหัวผมมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้าวันนี้ วันที่ผมต้องไปเรียนวิชาที่ติดอีอีกครั้ง ทุกคนอาจจะนึกสงสัยว่าทำไมผมต้องเข้าเรียนทั้งที่เป็นวิชามหาลัยน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่าอาจารย์ชอบสั่งงานให้ส่งในห้องครับ ผมเลยต้องจำใจแหกขี้ตาตื่นและมาเข้าเรียนด้วยใจที่ปวดร้าว พอคิดได้ว่าผมไม่สามารถย้ายไปเรียนวันอื่นได้แล้วเพราะมันดันไปชนวิชาหนึ่งของปีสอง ผมก็ทำได้แค่มองหน้าไหมอย่างอ้อนวอน

“มึงเข้าไปเรียนกับกูได้ไหม”

“เอาดิ” น่าแปลก ที่ไหมมันไม่กวนผมเหมือนเคย มันคงจะรู้ว่าผมเครียดจริงๆ “กูเห็นมึงทำหน้าแย่มาตั้งนานละ”

“ขอบใจ”

“มึงมีไรเปล่าวะ ทำหน้าเครียดมาแต่เช้าละ”

“ปวดหัวนิดหน่อย” ผมพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงสาเหตุที่แท้จริง ที่ผมอยากย้ายไปเรียนวันอื่นให้ไหมฟัง ผมแค่บอกไหมว่าเหงา มันบ่นว่าผมติดเพื่อนอยู่พักใหญ่แต่ก็ยอมช่วยผมดูตารางเรียนแต่คนมันจะซวยครับ วิชานี้ก็ดันไปชนกับวันที่ผมมีเรียนหมด มีแค่วันนี้ที่ว่าง ไหมมันเลยบอกผมว่าจะมาส่งเข้าเรียนทุกเช้า

“เออ แดกยาด้วย” ไหมว่าแล้วเปิดประตูห้องเลกเชอร์เดินนำผมเข้าไปอย่างหงุดหงิด แต่มันก็ยังใจดีเข้ามาเรียนเป็นเพื่อนผม

   สาเหตุที่ทำให้ผมอยากย้ายวันเรียนที่แท้จริงก็คือไอ้เด็กโรคจิตคนนั้นไงครับ โชคดีที่เด็กนั่นไม่มายุ่งอะไรกับผมหลังจากเหตุการณ์ในห้องน้ำ ไหมบอกกับผมว่าพอเขาเดินออกจากห้องน้ำมาก็รีบขอตัวจากไปเลย แน่นอนว่าไหมสงสัยว่าผมรังแกมัน ผมล่ะ อยากเขย่าตัวไหมแล้วตะโกนออกไปให้ไหมรู้ว่าไอ้เด็กนั่นน่ะสิที่รังแกผม แต่ผมก็ทำได้แค่เงียบไว้ครับเพราะเวลาที่ไหมชอบใคร มันจะไม่ฟังใครเลยและเรื่องของผมกับมันก็น่าปวดหัวเกินกว่าผมจะเล่าให้ไหมฟังแล้ว

   พอเข้ามาในห้องเลกเชอร์ ผมก็ดันสบตาเข้ากับเด็กนั่นที่นั่งอยู่แถวหลังสุดของห้องเข้าอย่างจัง ผมชะงักไปตอนที่มันยิ้มกว้างให้ผม คงไม่ต้องบอกว่ารอยยิ้มมันสดใสแค่ไหนเพราะนอกจากผมที่ชะงักไปแล้ว ไอ้ไหมเพื่อนผมถึงกลับหันมาเขย่าแขนผมและหวีดในคอเสียงอู้อี้ ผมหลบสายตาเขาและเดินไปนั่งที่นั่งแถวเดิมโดยไม่สนใจสายตาคนที่นั่งอยู่ด้านหลังที่มองผมจนจะทะลุ

“นี่ไหม มึงอย่าให้ใครรู้นะ ว่าเราอยู่ปีสอง” ผมเอนตัวไปกระซิบบอกไหมเสียงเบา

“มึงก็รู้ว่าวิชานี้ทำงานกลุ่มแทนสอบมิดเทอม พอน้องเห็นรหัสมึง น้องก็รู้แล้วปะ”

“เออว่ะ”

“มึงคิดมากไรวะ ทำตัวสบายๆ " ไหมพูดแล้วโคลงศีรษะไปมา ทำให้ไปโดนกลุ่มด้านหลัง ไหมตกใจและหันไปขอโทษทันที "โอ๊ะ ขอโทษค่ะ"

"ไม่เป็นไรครับ"

"อ้าว น้องคนนั้นนี่ บังเอิญเจอกันอีกแล้วเนอะ" ผมแอบเบ้ปากทันทีกับความบังเอิญแบบตั้งใจของไหม

"อ่อ ครับ"

"เจอกันบ่อยจัง ว่าแต่น้องชื่อไรอะ"

"ชื่อเวลครับ"

"น้องเวลที่แปลว่าดีเหรอจ้ะ"

"เปล่าครับ ที่แปลว่าปลาวาฬครับ แหะๆ " ผมเบะปากทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะหงิมๆ นั่น

"ชื่อน่ารักจัง พี่ชื่อ..อื้อ"

"จารย์มาแล้ว เงียบๆ " เป็นผมที่ปิดปากไหมไว้แล้วลากให้มันหันมานั่งดีๆ แน่นอนครับ ผมโดนไหมทุบคืนแต่ไหมก็ไม่ได้หันไปอีก

“มึงเอาจริงเหรอ” ผมแอบกระซิบถามไหมหลังจากอาจารย์สอนไปได้สักพัก

“เออ น้องเขาน่ารักดี ดูใสๆ ดี”

"เหอะ ใสตายละ"

"มึงห้ามพูดคำว่าตายกับน้อง มึงก็เห็นหน้าน้องว่าดีแค่ไหน รอยยิ้มอย่างเทพบุตร ทุกอย่างในตัวน้องดูใสสะอาดกว่าจิตใจกูมากๆ เลยอะ"

"คืองี้นะไหม...รองเท้ากูก็ยังใสสะอาดกว่าใจมึงอะ"

"อีรัก มึงอยากแขนเขียวเพิ่มใช่ไหม...อะ" ไหมที่กำลังจะทุบแขนผมอีกครั้ง ชะงักไปแล้วมองคนที่เดินมายืนตรงหน้าเรา "มีอะไรเหรอคะ น้องเวล"

“เอ่อ พี่ครับ คือ...กลุ่มผมยังขาดคนอีกสองคนน่ะครับ มาอยู่ด้วยกันไหมครับ” ผมเบะปากทันทีและเลี่ยงไม่สบตากับคนที่ทำท่าทีเกาหัวโง่ๆ กับยิ้มแหะๆ ดูอ่อนต่อโลก ไหมทำหน้าเคลิ้มไปแล้วครับ แต่มันหลอกผมด้วยท่าทางแบบนี้ไม่ได้หรอก

“เอ่อ” ไหมทำหน้างงๆ ส่วนผมก็งงครับแต่ปากยังเบะอยู่

“คืออาจารย์ให้แบ่งกลุ่มทำงานครับ”

“อ่อ ได้สิจ้ะ แต่อีกคนน้องเวลต้องไปหาเพิ่มนะเพราะพี่ไม่ได้ลงวิชานี้น่ะ มีแค่รักที่ลง พี่มาเป็นเพื่อนมัน”

“ไม่อยู่” ผมสวนขึ้นทันทีที่ไหมพูดจบ

“อีรัก” ไหมหยิกเข้าที่แขนผมอย่างแรงจนผมสะดุ้ง

“โอ๊ย ไหม”

“อยู่จ้ะ มาพี่เขียนชื่อให้”

“ขอบคุณครับ พี่แพรใจดีจังครับ”

“น้องเวลก็พูดไป อุ้ย รู้จักชื่อพี่ได้ไงอะ”

“ก็พี่แพรดังจะตาย เพื่อนผมชมว่าสวยให้ฟังทุกวันเลยครับ”

“แหวะ” ผมทำท่าอ้วกใส่ ก่อนจะโดนไหมทุบเข้าที่แขนอีกครั้ง “โอ้ย”

   ผมกำลังจะโวยวายตอนที่ไหมเขียนทั้งชื่อและรหัสประจำตัวใส่กระดาษในมือเด็กนั่น แต่ก็ต้องนั่งเงียบๆ เพราะโดนไหมหันมาหยิกพร้อมกับจ้องทำตาดุใส่ ผมยอมไหมอีกครั้งแล้วถอนหายใจเงยหน้ามองคนที่ยืนค้ำหัวผม พอได้สบตากันเด็กนี่ก็ยักคิ้วให้ผมหนึ่งครั้ง ผมคิ้วกระตุกแต่ก็พยายามข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่ให้ลุกขึ้นไปสอยหน้ามันด้วยการนั่งหลับตาแทน

“แล้วนี่พี่ต้องย้ายไปนั่งข้างหลังด้วยรึเปล่า”

“ใช่ครับ”

“โอเคค่ะ เดี๋ยวพี่ตามไป” ไหมสะกิดผมให้ลุกขึ้นอย่างรีบร้อน “ไป ลุกเร็วๆ มึง อนาคตกูเดินไปแล้ว”

“นี่มึง เอาจริง?” ผมมองหน้าไหมอย่างจริงจัง

“เออดิ” แล้วไหมก็ตอบผมอย่างจริงจังเช่นกัน

    ผมจำใจเดินไปที่นั่งด้านหลังสุดกับกลุ่มที่ผมต้องทำงานมิดเทอมส่งด้วย ทั้งกลุ่มมีทั้งหมดหกคนโดยยังไม่รวมไหมและใช่ครับมีเด็กนั่นนั่งอยู่ด้วย ไหมเดินเข้าไปทักทายรุ่นน้องอย่างร่าเริงตามภาษามัน แตกต่างจากผมที่นั่งอยู่เงียบๆ ทุกคนเริ่มปรับตัวเข้าหากันอย่างเป็นธรรมชาติโดยมีแค่ผมที่นั่งอึมครึมอยู่คนเดียว

    พอจับกลุ่มกันได้สักพักอาจารย์ก็ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบและอธิบายถึงงานมิดเทอมที่ทุกกลุ่มต้องส่ง ไม่รู้ว่าไหมมันเกิดเขินอายอะไรเข้าตอนนี้ จึงให้ผมนั่งคั่นกลางระหว่างมันกับเด็กนี่ ผมเหนื่อยที่จะโวยวายจึงยอมทำตามและนั่งเงียบๆ รอแค่เวลาเลิกเรียนและแยกย้ายกันไปให้จบๆ ไป แต่ผมบอกพวกคุณแล้วว่า เด็กนี่มันไม่ยอมจบกับผมแน่ๆ

“พี่น่ารัก”

“...” ผมแกล้งไม่ได้ยิน ไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“พี่น่ารักครับ”

“อะ อะไร” สุดท้ายก็ต้องยอมหันไปมองคนที่เรียกเพราะมันก้มหน้ามาใกล้กัน “จะก้มมาใกล้ทำไม”

“พี่ว่ากลุ่มเราทำเรื่องนี้ดีไหม”

“ไหน” ผมรับกระดาษมาจากมันและตั้งใจอ่าน

    ผมหันไปสนใจทันทีพอเป็นเรื่องงาน ด้วยความที่สัญญากับสุดสวยไว้แล้ว ผมต้องทำให้ดีที่สุด ระหว่างก้มลงอ่านไม่ได้สังเกตเลยว่าทั้งกลุ่มมองมาที่ตนเอง จนกระทั่งผมเพิ่งสังเกตได้ว่าในกลุ่มเริ่มเงียบเกินไปจึงเงยหน้ามองรอบข้าง

“...”

“เอ่อ” ผมเอนตัวออกจากคนที่นั่งข้างกันแล้วชะเง้อไปบอกกับน้องๆ คนอื่น “พี่ว่าเรื่องนี้ก็ดีเลย”

“ค่ะ งั้นเอาเรื่องนี้เนอะๆ” น้องผู้หญิงที่นั่งข้างเด็กโรคจิตพูดขึ้นมาอย่างร่าเริง แล้วรับกระดาษไปจากมือผม

    ผมกลับมานั่งเงียบเหมือนเดิมเมื่ออาจารย์ปล่อยให้พวกเราเขียนบทนำที่จะต้องพรีเซ้นต์ในอาทิตย์หน้ากัน ผมหันไปมองไหมที่ตอนนี้หลับน้ำลายยืดไม่เหลือสภาพแล้วก็ยิ้มขำ ถึงมันจะปากร้ายแค่ไหนแต่ก็ยอมตื่นเช้ามาเข้าเรียนเป็นเพื่อนผม ทั้งที่วันนี้มันมีเรียนแค่ตอนบ่าย ปากร้ายใจดีมันเหมาะกับคำนี้จริงๆ ผมหันไปมองเด็กโรคจิตที่ตอนนี้หันไปคุยกับเพื่อนอย่างร่าเริงแล้วก็นึกเสียดาย ภาพลักษณ์อย่างมันไม่น่าแอบซ่อนความโรคจิตไว้เลย

“พี่น่ารักดูตรงนี้ให้ฟ้าหน่อยค่ะ”

“ได้ๆ” ผมรับกระดาษมาถือไว้และอ่านอย่างตั้งใจก่อนจะพูดออกไปหลังอ่านบทนำจบ “พี่ว่าถ้าเราเอาส่วนนี้ออกหน่อยก็ดีนะ เวลาพรีเซ้นต์จะได้กระชับ ไม่น่าเบื่อ เหลือไว้แค่ที่สำคัญๆ พอ”

"..." เป็นอีกครั้งคนทั้งกลุ่มเงียบไป

“เอ่อ คือ” ผมส่งกระดาษคืนแล้วเม้มปากแน่น ทิ้งตัวเอนพิงเก้าอี้ บรรยากาศตอนนี้อึดอัดชะมัด ผมไม่น่าออกความเห็นเลย

“ค่ะๆ ฟ้าเห็นด้วย” น้องฟ้าพูดขึ้นมาทำลายความเงียบแล้วรับกระดาษคืนไป

“พี่น่ารักใจดีจังเลยอะ”

“ฮะ?” ผมหันไปมองหน้าน้องฟ้าที่หันมาพูดป้องปากใส่ผมเสียงเบา

“ก็ที่ช่วยหนูดูบทนำไง” น้องฟ้าว่าแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาอีกระดับเหมือนจงใจให้ทั้งกลุ่มได้ยิน “คือพี่ไม่ต้องคิดมากนะคะ มีอะไรก็แนะนำกันได้ตรงๆ เลย ยังไงเราก็กลุ่มเดียวกันแล้วเนอะ”

“เอ่อ แหะๆ” ผมมองน้องๆ ในกลุ่มที่มองมาเพราะทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตอนนี้ จึงทำได้แค่ยิ้มให้น้องๆ ก่อนจะสบตาเข้ากับคนนั่งข้างกันที่ตอนนี้ทำหน้าเคร่งเครียดจนผมต้องหุบยิ้ม

“เดี๋ยวฟ้าเอาไปส่งอาจารย์ก่อนนะคะ”

“อือ” ผมตอบในลำคอแล้วขมวดคิ้วเด็กโรคจิตที่จู่ๆ ก็ทำหน้าบึ้งใส่ผม ผมถามมันไปเสียงเบาเพราะหงุดหงิดที่มันมองผมไม่หยุด “อะไรของมึง”

“เปล่า”

“งั้นก็เรื่องของมึง” ผมว่าแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเล่น

“พี่น่ารักเก่งจังเลยอะ หนูถามได้ไหมว่าทำไมต้องมาลงเรียนซ้ำอะ” เป็นฟ้าที่พูดขึ้นมาหลังจากเราเพิ่งส่งกระดาษหัวข้อไปให้อาจารย์เสร็จ

“เอ่อ คือ ไม่มีไรหรอก” ผมตอบแบบไม่มองหน้าน้องฟ้า ไม่ได้อยากปิดบังอะไรแค่ขี้เกียจเล่า แล้วก็รำคาญไอ้รังสีทะมึนที่นั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ ไม่หยุด

“ขอโทษค่ะ”

“เฮ้ย มันไม่มีไรๆ” ผมลนลานทำไรไม่ถูกเลยยกมือจะไปจับแขนน้องเขาที่ยกมือขึ้นมาไหว้ผม แต่มือใหญ่ของคนข้างๆ ดันจับข้อมือผมไว้ก่อน

“ไปเข้าห้องน้ำกัน”

“อะไร” ผมสะบัดแขนออกทันทีแต่กลับไม่เป็นผล “ไม่ไป ปล่อย”

“ไหม” ผมหันไปหาไหมเรียกเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่...

“แจ๊บๆ ๆ” มันหลับเป็นตาย แถมยังส่งเสียงกินน้ำลายตัวเองกลับมาอีก โอ๊ย

“เอ่อ ผมไม่กล้าชวนเพื่อนผู้หญิงไปด้วยหรอกนะครับ ไปเป็นเพื่อนผมหน่อย” ผมหันขวับไปมองไอ้เด็กโรคจิตที่พูดเสียงดังขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลแถมยังยิ้มกว้างให้ผมอีก อะไรของมันวะ

"แล้วมึง..." ผมที่กำลังจะถามว่ามันไม่มีเพื่อนคนอื่นหรือไง ถึงกลับต้องเงียบไปเมื่อได้ยินเสียงซุบซิบดังขึ้น

“หูย หล่ออะ”
“น่ารักอะแก”
“ดูเขายิ้มดิ”
“ดีมากเลยอะ”


    ผมพอจะเข้าใจแล้ว มันใช้เสียงซุบซิบนินทาและการตกเป็นเป้าสายตาเป็นการบังคับผมนี่เอง ผมหันไปมองน้องๆ ในกลุ่มอย่างขอความช่วยเหลือแต่ทุกคนกลับซุบซิบกันไปด้วย ผมหันไปจ้องหน้าคนที่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากแขนผมอีกครั้งอย่างงุนงงเพราะคนในกลุ่มที่มันนั่งอยู่ด้วยนี่ยังซุบซิบมัน อะไรกันวะ ผมนึกว่าน้องๆ จะสนิทกับมันซะอีก ผมจะดึงแขนกลับอีกครั้งแต่ไอ้สองประโยคหลังจากน้องผู้ชายในกลุ่มทำให้ผมชะงักไป

"หมั่นไส้ชิบหาย"
"กูหล่อกว่าอีก"


    ผมขมวดคิ้วมองคนที่ยังยิ้มอยู่ อะไรของมันวะ คนเขาพูดให้ได้ยินขนาดนี้มันยังยิ้มอยู่ได้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองหงุดหงิดอะไรมากกว่ากันระหว่างคำนินทานั่นกับคนที่กำลังยิ้มอยู่

    ผมตัดสินใจยืนขึ้นและเดินลากแขนที่คนตัวโตกว่าไม่ยอมปล่อยสักทีออกไปนอกห้อง หลังจากที่ออกมานอกห้องแล้ว มันก็เปลี่ยนมาเป็นคนลากแขนผมให้เดินตามมันมาตรงบันไดหนีไฟแทน

“ปล่อยได้ยัง” ผมพูดขึ้นมาหลังจากมายืนประจันหน้ากันในที่ปราศจากคนแบบนี้ ใจผมเริ่มหวั่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้อยู่กับมันสองคนอีกครั้ง

“ยิ้มทำไมบ่อยๆ” มันพูดหลังจากปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระ

“กวนตีนละ มึงจะลากกูมาเพื่อที่จะมาพูดแค่นี้ไม่ได้ปะ”

“ไม่รู้ผมไม่ชอบ”

“เออ กูก็ไม่ชอบมึงเหมือนกัน”

“...เปล่า ผมไม่ชอบให้พี่ยิ้มไปทั่ว”

“ถ้าอยากหาเรื่องกวนตีนกัน ก็พอได้แล้ว มึงทำสำเร็จตั้งแต่กูเห็นหน้ามึงละ”

“พี่น่ารัก...”

“ฟังนะ เรามาเคลียร์กันดีๆ เลยดีกว่า” ผมกอดอกแล้วจ้องหน้าคนที่สูงกว่า ตัดสินใจพูดเรื่องที่ค้างคาในใจมาตลอด “เรื่องที่ มึง จะ...จูบกู กูรู้ว่ามึงแกล้งกู”

“...”

“กูจะลืมๆ ไป ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก”

“...”

“แค่ทำงานกลุ่มเดียวกัน กูก็หนักใจพอ...”

    ผมหยุดพูดไปเมื่อคนตัวสูงกว่าเดินเข้ามาใกล้และดึงแขนผมเข้าไปหาตัวเองอย่างแรง ผมกำลังจะผลักเขาออกแต่ก็ดูเหมือนผมจะทำอะไรช้าเสมอ ปากร้อนของเขาประกบลงมาที่ปากผมอย่างแรง แรงขบเม้มที่แรงกว่าครั้งที่แล้วกดลงมาที่ริมฝีปากผมจนผมเบ้หน้าเจ็บ ผมเบือนหน้าหนีแต่แรงกดที่ท้ายทอยนั้นทำให้ผมหนีไม่ได้

กึก

“โอ๊ย” ผมร้องทันทีที่เด็กบ้านี่กัดที่ปากล่างของผมอย่างแรง “นี่มึงกัดปากกูเหรอ!”

“ครับ รู้ไหมผมทำได้มากกว่ากัดอีก” มันปล่อยผมแล้วถอยหลังห่างออกจากผมไปหนึ่งก้าว ก่อนจะกอดอกส่งยิ้มเยาะเย้ยให้ผม “อ้อ พี่น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว”

“ไอ้... เฮ้ย! อย่าเข้ามานะเว้ย” ผมถอยหลังทันทีที่เขาก้าวเข้ามาหาอีกครั้ง ผมหันมองไปรอบข้าง เพื่อหาทางที่จะหนี ไม่น่าใจอ่อนยอมมากับคนอันตรายอย่างมันเลย ได้โทษตัวเองในใจจนโดนมันต้อนเข้าจนมุม แผ่นหลังผมสัมผัสเข้ากับกำแพงอย่างไร้หนทางหนี
“หึ พี่เป็นใครมาสั่งให้ผมเลิกยุ่งกับพี่”

“...” ผมมองคนที่ยืนตรงหน้า เขาก้มหน้าลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกันเราสบตากัน ผมไม่เห็นเขาคนนั้นที่ยิ้มใสซื่อต่อหน้าทุกคนอีกแล้ว

“คอยดู ผมจะทำให้พี่ลืมผมไม่ลงเลย” เห็นแต่เขาที่สายตามีแต่ความเจ้าเล่ห์จนผมนึกเกลียดตัวเอง ที่ใจเต้นแรงกับสายตาแบบนี้ของเขา

“กูไปทำอะไรให้มึงวะหรือเพราะเรื่องที่กูชนมึง” ผมถามคำถามที่นึกสงสัยมาตลอด ทำไมต้องเป็นผม ทำไมต้องทำแบบนี้ “กูก็ขอโทษไปแล้วนี่”

“ไม่บอก” แต่ก็ได้เพียงคำพูดและสายตากวนประสาทกลับคืนมา

“ไอ้!” คำด่าของผมกลืนกลับลงลำคอเมื่อนิ้วชี้ของเขาประทับลงมาที่ปากผม

“ชู่” เขายิ้มแบบใสซื่อให้ผมแตกต่างจากสายตาเจ้าเล่ห์และนั่นทำให้ผมขนลุกจนต้องยืนนิ่ง ฟังคนตรงหน้า “ผมชื่อเวล จำไว้ดีๆ”

    เขาเดินจากไปแล้ว ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตรงทางเดินบันไดหนีไฟด้วยใจที่เต้นรัว ไม่สามารถแยกแยะความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้เลย ผมรู้แค่ว่าโมโห ไม่ชอบที่เขาอุกอาจจูบผมแบบนี้ แต่อีกใจกลับยึดติดกับรอยยิ้มและสายตาทั้งสองแบบของเขา มันวนเวียนอยู่ในหัวผมไม่หยุด...หงุดหงิด ผมหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกับผมกันแน่ จริงๆ ผมหงุดหงิดกับทุกอย่างที่เป็นเขา

“ได้! ไอ้เวรๆ ๆ ๆ” ผมได้แต่ตะโกนอยู่แบบนั้น หวังว่าจะสร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่เดินหัวเราะจากไปสักนิด แต่... “โอ๊ย เจ็บโว๊ย!”
 
แต่ผมดันลืมไปว่าเขาได้ทิ้งรอยจูบที่เจ็บกว่าคำด่านั่น
ไว้บนริมฝีปากผมแล้ว





-TBC-


ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 5 (8/9/62)
«ตอบ #5 เมื่อ08-09-2019 21:14:49 »


ตอนที่ 5 ติดเล่น






 
  ​
   น้องฟ้าได้สร้างกลุ่มไลน์สำหรับการทำงานของพวกเราไว้ ซึ่งผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปเช็คไลน์เด็กเวรนั่น รูปดิสสีดำที่มีรูปปลาวาฬสีขาวตัวเล็กอยู่ตรงกลางก็เหมาะกับคนโรคจิตแอ๊บใสแบบมันดี แน่นอนมันแอดผมเป็นเพื่อนตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมกดเข้าร่วมกลุ่ม แล้วมันก็เอาแต่ส่งสติ๊กเกอร์โง่ๆ และข้อความน่าปวดหัวมาทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นข้อความเรียกพี่น่ารักมารัวๆ คำถามโง่ๆ ว่าตื่นรึยัง กินข้าวรึยัง อยู่ไหน บลาๆ ๆ กับรูปเซลฟี่ของมันที่ไม่รู้จะส่งมาให้ผมทำไม มันทำอย่างนี้ตั้งแต่วันนั้นจนครบอาทิตย์ ซึ่งผมก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกครับ ผมไม่ได้บล็อกมัน ผมอ่านทุกข้อความเลยด้วยซ้ำแต่ไม่ตอบ

   แล้ววันที่ผมต้องมาเรียนวิชานี้ก็มาถึง มันปรี่เข้ามาถามสาเหตุการไม่ตอบไลน์กับผมตั้งแต่ผมก้าวเท้าแรกเข้าห้องเลกเชอร์ ส่วนผมก็เงียบและเอาสคริปต์สำหรับการพรีเซ้นต์ออกมาอ่านโดยไม่สนใจมัน ดีที่วันนี้เป็นการพรีเซ้นต์งานของสัปดาห์ที่แล้ว ไอ้เด็กเวรนี่ถึงยอมถอยห่างและไม่มาวอแวผม ที่สำคัญคือผมได้เป็นคนพรีเซ้นต์คู่กับเด็กเวรที่กำลังยืนขมวดคิ้วทำหน้าเครียดอ่านสคริปต์อยู่ข้างผม

“อะไร ตื่นเต้นเหรอ” ผมถามมันตอนที่เรายืนเตรียมตัวอยู่ด้านข้างห้องเรียน

“ครับ”

“ตลก” ผมขำกับท่าทีหูลู่หางตกของมัน “ตอนพรีเซ้นต์คิดว่าพูดให้กูฟังคนเดียวก็ได้ จะได้ไม่เกร็ง”

“พี่น่ารัก...” ผมมองไอ้คนตัวโตที่หันมาเกาะแขนแล้วยิ้มกว้างให้ผม

“อะ อะไร” ผมมองสายตาหวานเยิ้มของมันอย่างขยาด “ไหนบอกว่าตื่นเต้นไงวะ ปล่อย”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ” มันยอมปล่อยแขนผมแต่โดยดีแล้วแต่ยังยิ้มตาเยิ้มให้ผม

“ห่วงบ้าอะไร ถ้ามึงพูดไม่ดีมันก็คะแนนทั้งนั้นนะเว้ย”

“ตอนนี้ผมดีใจกว่าตอนที่พี่อ่านแล้วไม่ตอบอีก”

“โรคจิต” ผมด่ามันไปหวังให้ไอ้ตาเยิ้มสระอิของมันจะกลับมาเป็นปกติ

“หึๆ ๆ” แต่อาการมันกลับหนักกว่าเดิม!

“เงียบไปเลย!” ผมตวาดใส่ไอ้คนที่หัวเราะเสียงต่ำนั่นไม่หยุด หัวเราะแบบอ้าปากจะตายรึไงวะ เสียงมันทำผมขนลุกไปหมด

“เชิญกลุ่มแรกครับ”

“ครับ” ผมตอบรับอาจารย์แล้วเดินไปหน้าห้อง ไม่สนใจคนตัวสูงกว่าที่เดินตามกันมาติดๆ พอรับไมค์มาจากอาจารย์ผมก็พูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่เราจะทำอย่างที่เตรียมมา

.
.

“ผมขอโทษที่พูดผิดนะครับ”

“ขอโทษทำไมพูดดีแล้วๆ”

   หลังจากพรีเซ้นต์ผ่านไป ไอ้เด็กเวรที่ตื่นเต้นจนพูดผิดไปบ้างบางจุดก็กลับมานั่งที่พร้อมผม แต่ก็ยังไม่หยุดความแอ๊บเป็นเด็กใสๆ อ้อนขอโทษทุกคนและก็ได้ผล ทุกคนใจอ่อนจนแทบจะกลายเป็นของเหลว รวมถึงไหมด้วยที่ไหลไปนอนกับโต๊ะด้วยความเขินที่มีคนหน้าตาดีมาทำหน้าอ้อนตาใสใส่จนผมต้องดึงมันให้ลุกมานั่งดีๆ

“พี่น่ารักสนิทกับพี่แพรจังเลยนะครับ” มันยังคงแอ๊บใส ซึ่งตอนนี้มันเพิ่มเติมความขี้สงสัยเข้ามาด้วย

“อ๋อ ธรรมดาจ้ะ ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่”

“อ๋อ ครับ” ผมกอดอกพิงพนักเก้าอี้ฟังทั้งสองคนนินทาผมระยะเผาขน “ตอนพรีเซ้นต์นะ พี่น่ารักพูดเก่งมากเลย ผมอยากพูดได้แบบนั้นบ้าง”

“หืม น้องเวลก็พูดดีนะ ถ้าพรีเซ้นต์เยอะๆ เดี๋ยวก็เก่งแบบรักเอง” ผมมองไหมที่มองหน้าเด็กเวรแบบเคลิบเคลิ้ม “รายนี้นะ ตอนปีหนึ่งพูดแย่กว่าเราอีกแต่เพราะตอนปีหนึ่งมีงานพรีเซ้นต์เรื่อยๆ รักมันก็เลยพัฒนาขึ้นน่ะ แถมเรียนเก่งด้วยนะ”

“พอเลยไหม” ผมว่าไหมที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของตัวเองและหันไปขมวดคิ้วใส่คนที่นั่งอยู่ด้านขวาเป็นการส่งสัญญาณให้มันหยุดพูด

“หืม จริงเหรอครับ” แต่เด็กเวรก็คือเด็กเวร แค่มันพูดดีหน่อย ยิ้มหล่อๆ หน่อย ไอ้ไหมก็หลงจนเล่านู่นนี่ให้มันฟังไม่หยุด

“จริงสิ ที่มันติดอีก็เพราะวันนั้นมันไม่ได้มาสอบไฟนอลน่ะ ไม่งั้นวิชาง่ายๆ แบบนี้มันก็คงผ่าน”

“อ่อ ครับ”

“อุ่ย หลุดเล่าเฉยเลยอะ” ไหมทำท่าเอามือปิดปากตัวเอง แล้วหันมายิ้มแห้งให้ผมที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกมัน

“แล้วแต่มึงอะไหม” ผมถอนหายใจแล้วกุมขมับ ทั้งที่ไม่ได้อยากเล่าให้ใครฟังแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรและมันก็เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น “เอาที่มึงสบายใจเลย”

“โทษๆ อย่างอนกูดิ เดี๋ยวเที่ยงนี้เลี้ยงบุฟเฟ่ต์ไอติมๆ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้บอกว่าไม่ได้งอน ไหมก็ชะเง้อหน้าไปถามน้องๆ ในกลุ่มแล้ว “พวกน้องไปด้วยกันไหม”

“จะดีเหรอคะพี่แพร”

“ดีสิ กลุ่มเราจะได้สนิทกันไง”

“ค่ะ พี่แพร”

“เหอะ” ผมพ่นลมหายใจใส่ไหมที่ร่าเริงเกินเหตุ

“อะไรมึง” ไหมมันเอนตัวเข้ามากระซิบใกล้หูผม “อยู่ให้เป็น เกาะกลุ่มน้องไว้ อยากได้ไหมคะแนนๆ ๆ”

“มึงอยากได้ไอ้เด็กเวลมากกว่า” ผมกระซิบกลับบ้าง

“รู้ได้ไงอะ ฮ่าๆ” แล้วก็ได้เสียงหัวเราะเสียงดังของไหมกลับมาตามคาด

“ผมไปด้วยนะครับ พี่แพร...พี่น่ารัก” ผมกับไหมชะงักไป ก่อนจะหันไปสนใจคนที่นั่งอยู่อีกด้าน

“ได้เลยจ้า น้องเวล” ไหมว่าด้วยหน้าตาเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มของมัน

“น้องเวร ล่ะสิไม่ว่า”

“หะ?” ไหมหันมาถามผมอย่างงุนงง ส่วนผมก็หันไปสบตากับเด็กเวรนั่นอย่างเซ็งๆ

“ครับ?” เหอะ ไอ้หน้าตาใสซื่อนี่มันทำหลอกคนมากี่คนแล้วนะ หน้าตาเป็นอาวุธก็แบบนี้สินะ ทั้งหน้าตาที่ดูใสซื่อบวกกับนิสัยเจ้าเล่ห์แบบมัน ใครๆ ก็คงไม่รอดโดนมันหลอกหมด ผมยังเคยเกือบเชื่อไปแล้วว่ามันเป็นคนดี คนอะไรน่ากลัวชะมัด “อะไรติดหน้าผมเหรอครับ พี่น่ารัก”

“เสือก” ผมว่าแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทั้งอาจารย์และ..

“ว้าย รักมึงพูดไม่เพราะกับน้องได้ไง”

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับพี่แพร”

“ฮือ อย่าไปฟังคำหยาบนะลูก”

“ครับ แหะๆ” แหะพ่อง!

.
.

“กินกันเยอะๆ เลยนะ พี่เลี้ยงเอง”

“ขอบคุณค่ะ/ครับ พี่แพร”

   ผมมองน้องๆ ที่ยกมือไหว้ไอ้ไหมอย่างพร้อมเพรียงกันก็อดไม่ได้ที่จะแอบถ่ายไอจีสตอรี่ไว้ พร้อมแท็กไหมไปว่าขอบคุณครับป้า ผมกดโพสต์แล้วยิ้มขำกับตัวเองก่อนจะชะงักไปเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าคนที่นั่งตรงข้ามกันกำลังนั่งเท้าคางยิ้มให้ผมอยู่

“อะไร” ผมทำหน้าบึ้งใส่เด็กเวรแล้วลุกหนีไปตักไอศกรีมทันที แต่มันก็เดินตามมาเหมือนวิญญาณตามติด “ตามมาทำไม”

“พี่ว่าถ้าพี่แพรรู้ว่าเราเคยจูบกัน พี่แพรจะทำไงอะ” แถมเป็นวิญญาณร้ายคอยอาฆาตแค้นผมด้วย

“นี่มึงขู่กูอยู่เหรอ”

“เปล่าครับ”

“ไอ้...”

“รัก มึงหยุดพูดคำหยาบใส่น้องได้ละ มึงนี่ไม่ไหวๆ” จู่ๆ ไหมก็โผล่มาจากด้านหลังผม ผมตกใจและกังวลทันทีว่ามันจะได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ที่ไอ้เด็กเวรนี่พูดมารึเปล่า แต่ไอ้การที่มันเดินไปควงแขนเวลแบบร่าเริงก็ทำผมโล่งใจไปได้ มันคงไม่ได้ยินหรอก “ปะ น้องเวลเราไปนั่งกินติมกันดีกว่า”

“ครับ” ผมมองไหมที่ยังร่าเริงเหมือนเดิมแล้วก็ถอนหายใจออกมา ขอแค่ไหมไม่รู้ก็พอ เรื่องของผมกับเด็กนี่จะไม่มีวันบานปลาย ผมต้องจบเรื่องนี้ให้ไวที่สุด

“เออ ว่าแต่พวกน้องเรียนไรกันอะ” ไหมพูดขึ้นมาหลังจากที่เรากินไอติมบุฟเฟ่ต์กันมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

“วิทย์กีฬาค่ะ”

“อ่อ พวกพี่สองคนก็วิทย์นะแต่วิทย์เคมี”

“โห สุดยอดเลยพี่”

“ไม่เห็นมีไรจะสุดยอด ปวดหัวจะตาย”

“ฮ่าๆ”

“พี่รู้ปะ ว่าเวลมันเกือบได้เป็นเดือนด้วยนะ” น้องผู้หญิงที่นั่งข้างเด็กเวรพูดขึ้นมาแล้วแอบมองมันจากด้านข้างแล้วก็หน้าแดงเอง

“อ้าว ไม่ได้เป็นเดือนเหรอ หล่อขนาดนี้”

“ฮ่าๆ ก็มันขี้อายไงพี่ ตอนพวกพี่เขามาเลือกนะ ก็พูดผิดพูดถูกไปหมด” เป็นฟ้าที่ขยายความ ผมมองหน้าคนที่เอาแต่จ้องผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลยหยิบมือขึ้นมาเล่น

“จริงเหรอคะ น้องเวล” ผมเงยหน้าจากมือถือมองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามกันด้วยความอยากรู้ว่ามันจะโกหกอะไร ถ้าหน้าอย่างมันถ้าขี้อายคนทั้งโลกก็ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านแล้ว

“ครับ คือผมขี้อายจริงๆ ดีที่พวกรุ่นพี่เข้าใจ แต่ถ้ามีกิจกรรมอะไรที่ผมพอช่วยได้ ผมก็จะทำนะครับ”

“ฮือ ดีจังเลยอะ” ไหมทำท่าเคลิบเคลิ้มแล้วซบเข้าที่แขนผมเหมือนคนอ่อนแรง

“จริงพี่ มันเป็นคนดีจนพวกหนูรู้สึกผิด ฮ่าๆ”

“ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย”

“เป็นค่ะ น้องเวลเป็นคนดีของพี่ไงคะ”

“เอ่อ พะ พี่แพร”

“อุ้ย เขินหน้าแดงเลย เอ็นดู”

“ฮ่าๆ”

    ผมนั่งถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยที่ได้นั่งตรงข้ามไอ้เด็กเวรนี่ ต่อหน้าทุกคนล่ะ เป็นเด็กดีเชียว รอยยิ้มปลอมๆ กับท่าทางนอบน้อมนั่นด้วย ผมอยากหัวเราะให้ฟันร่วง ไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้รึเปล่าว่าเด็กนี่เป็นไง ทั้งกวนตีน แถมยังโรคจิตจูบคนไปทั่ว...โว๊ย ทำไมผมต้องมาคิดอะไรแบบนี้ด้วย

“พี่น่ารักไม่กินสักทีล่ะครับ”

“...”

“รอบนี้ผมเห็นพี่ตักมานตั้งนานแล้ว เดี๋ยวก็ละลายหรอก”

“ไม่ต้องมายุ่ง”

“มาๆ ผมป้อน”

“ไอ้…”

“อุ้ย น้องเวลมีน้ำใจจังเลย” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ไหม น้ำใจอะไรของมึงไหม

“เอ่อ” ผมอึกอักเมื่อเป็นจุดสนใจของกลุ่มอีกครั้ง “ไม่เป็นไรๆ”

“เอ่อ ขอโทษครับ ผมคิดน้อยไปหน่อย พี่คงรังเกียจ” มันทำหน้าหงอยๆ แล้วพยายามยิ้มให้คนอื่น โถ ถ้าผมไม่รู้ธาตุแท้มันคงจะสงสารไปแล้ว แต่ไม่ใช่มันตอแหลทั้งหมด ทุกคนอย่าไปเชื่อมัน

“ไม่ เพื่อนพี่ไม่รังเกียจเลยจ้ะ” โดยเฉพาะมึงเลยไหม มึงอย่าอินเกิน

“ไหม..” ผมหันไปส่งสัญญาณทางสายตาว่าไม่โอเค

“กินเข้าไป อีรัก มึงกินเดี๋ยวนี้”

“เออๆ ๆ กินก็ได้” แล้วผมก็ยอมไหมอีกครั้ง

“จริงเหรอครับ” เด็กเวรนั่นถามแล้วยิ้มกว้าง เหมือนผมจะเห็นหางมันโผล่มาด้วย หางสั่นพั่บๆ เลยนะมึง

“อือ เร็วๆ”

“อ้ามๆ ครับ” ผมมองมันอย่างอาฆาต อ้ามๆ พ่อง

“อา” ผมยอมอ้าปากแล้วหลับตางับช้อนนั่น รีบกินรีบจบ

“อ้าม”

“น่ารักอะ”
“โมเม้นๆ”
“แก๊ เขาป้อนกัน”


“พอแล้ว!” ผมเผลอหลุดพูดออกมาเสียงดัง หลังจากได้ยินเสียงซุบซิบจากน้องๆ ในกลุ่ม ทุกคนหันกลับไปกินไอติมกันเงียบๆ ดูท่าไหมเห็นว่าท่าไม่ดีเลยเป็นคนชวนน้องๆ คุยกันอีกครั้ง แล้วบรรยากาศน่าอึดอัดเมื่อครู่ก็หายไปแต่ก็ยังไม่มีใครกล้ามองหน้าผม

“หึ”

“!!” ผมหันไปสบตากับเด็กเวรที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพราะเสียงหัวเราะของมัน พอผมสบตามันก็กระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอาช้อนที่ใช้ป้อนผมเข้าปากตัวแล้วดูดช้อนนั่นไปสบตาผมไป “หวาน”

“ละ เล่นบ้าอะไร”

“ไม่ได้เล่นสักหน่อย ผมเอาจริง”

“เอาอะไรเหรอจ้ะ” โชคดีที่ไหมเข้ามาขัดจังหวะ ผมถึงหลบสายตานั่นได้

“พี่แพรเอาเพิ่มไหมครับ เดี๋ยวผมไปตักให้”

“พอแล้วจ้ะ ขอบใจนะ” ไหมหันมาสบตาผมแล้วเอื้อมมือมาจับที่มือและแขนผม “มึงไม่สบายเปล่าวะ เดี๋ยวก็หน้าซีดหน้าแดง”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมพูดรัวๆ ด้วยใจที่เต้นรัว “เราไปเรียนกันเลยไหม”

“คาบบ่ายจารย์ยกคลาสนี่ มึงรีบไปไหน”

“นั่นสิครับ ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมไปเที่ยวกลางคืนให้ฟังเลย” ผมหันไปสบตากับไอ้เวรทันทีที่ได้ยินมันพูดเรื่องเที่ยวออกมา
“หืม น้องเวลเคยเที่ยวกลางคืนด้วยเหรอ”

“เออๆ ๆ ไม่กลับแล้ว” ผมมองหน้าเวลนิ่งๆ ถึงแม้มันจะยิ้มให้ผมอย่างใสซื่อแต่ผมก็พอจะรู้ว่ามันกำลังขู่จะเล่าเรื่องที่ผมกับมันจูบกันให้ไหมฟัง

“ก็ก่อนหน้านี้ ผมไปเที่ยวตลาดกลางคืนที่เชียงใหม่มาครับ...” เวลเว้นจังหวะที่พูดแล้วยิ้มใสซื่ออีกครั้งและหันไปสบตากับไหมอย่างเป็นธรรมชาติ

   ผมนั่งกลอกตาให้กับเรื่องโกหกที่คนตรงข้ามพูดให้ฟังไม่หยุด แล้วก็ไม่รู้ว่ามันสนุกตรงไหน ไหมถึงหัวเราะเอาไม่หยุด ก็ยังดีที่มันไม่เล่าเรื่องระหว่างผมกับมันออกไปเพราะถ้าเล่าออกไป นอกจากผมกับไหมจะอึดอัดต่อกันแล้ว คนอื่นที่นั่งอยู่ด้วยคงไม่มีใครอยากคุยกับผมมากกว่าเดิม ผมมองหน้าเวลอีกครั้ง...ผมจะทำยังไงกับมันดี

“ขอบคุณค่ะ พี่แพร พี่น่ารัก”

“จ้า กลับบ้านกันดีๆ ล่ะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเจอกันนะ”

“ค่า”

“งั้นแยกกันตรงนี้เลยเนอะ” ไหมพูดอย่างร่าเริงหลังกลุ่มเราออกมาจากร้านไอติม “เอ่อ น้องเวลกลับทางไหนเอ่ย”

“อ่อ กลับดีๆ ล่ะ” แพรหุบยิ้มลงเมื่อเห็นเด็กเวรนั่นชี้ไปคนละทางกับทางที่ตัวเองจะกลับ "ห้ามตีกัน โอเค๊"

“รู้แล้วน่า”

“ครับ พี่แพรด้วยนะครับ” แพรโบกมือบ๊ายบายผมกับเวลอย่างเสียดายแล้วเดินจากไป

   ผมรีบเดินหนีมันทันที ไม่รู้ว่ามันตั้งใจหรือบังเอิญจริงๆ ที่กลับทางเดียวกับผม แค่ได้นั่งอยู่ด้วยกันก็อึดอัดจะตายแล้ว ตอนนี้ผมอยากกลับไปให้ถึงหอให้ไวที่สุด ผมเดินเร็วๆ ออกห่างจากคนที่เดินตามมาอย่างรีบร้อน ในที่สุดผมก็ไม่เห็นมันเดินตามมาแล้ว ผมเดินเข้าสถานีรถไฟใต้ดินอย่างสบายใจและยืนเล่นมือถือรอรถไฟฟ้าใต้ดินไปเรื่อยๆ

”พี่น่ารัก”

“เฮ้ย ตกใจหมด” ผมสะดุ้งแล้วหันไปมองคนที่ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูผมจากด้านหลัง

“กลับ mrt เหมือนกันเลย”

“โกหก”

“เปล่าครั้งนี้จริงๆ”

“แสดงว่าครั้งอื่นก็โกหก” ผมหันหลังไปยืนคุยกับมันดีๆ เพราะปวดคอ อา...อนาถในความสูงตัวเองจังเลยครับ

“อือฮึ” ดีที่ครั้งนี้มันยอมรับกับผมง่ายๆ

“คนอื่นรู้รึเปล่าว่านิสัยแบบนี้” ผมกระตุกยิ้มถาม

“นิสัยดีน่ะเหรอครับ หึ” มันกระตุกยิ้มกลับ แถมยังเลิกคิ้วกวนๆ ใส่ผมอีก

“ทำไมไม่ไปเรียนการแสดง”

“ถ้าผมไป พี่ก็ต้องไปเหมือนกัน”

“ไอ้”

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

   ผมกลืนคำด่าลงคอแล้วรีบเดินเข้าขบวนรถไฟ โชคดีที่ตอนนี้คนไม่เยอะจึงเหลือพื้นที่ให้ยืน แต่ไม่เหลือเก้าอี้ให้นั่งสักตัว ผมจึงเดินไปพิงประตูอีกฝั่งและแน่นอนเด็กเวรก็ยังคงเป็นวิญญาณตามติดมายืนพิงประตูข้างผมอีก

“นี่ ขยับไปหน่อย” ผมบอกคนที่จงใจยืนเบียดผมจนไหล่เราชนกัน ทั้งที่พื้นที่ยืนมีโล่งขนาดนี้

“ผมขยับไม่ได้แล้ว”

“โกหก”

“ใช่”

“เหอะ”

“พี่ไม่คิดว่าเราเข้ากันได้ดีเหรอ”

“ไม่”

สถานีXXX

“ไม่ต้องมาบอกว่าอยู่หอเดียวกันเลยนะ” ผมหันไปบอกคนที่เดินตามผม ออกมาจนถึงด้านนอกสถานี “มึงหยุดและพอแค่นี้”

“ผมเปล่า”

“กูไม่ขำนะโว๊ย”

“ผมก็ไม่ขำ”

    ผมเดินหนีมันมาดื้อๆ แบบนี้คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ผมรีบเดินจนถึงหน้าหอพักตัวเองแล้วก็ได้แต่ด่าตัวเองในใจว่าไม่น่าตัดสินใจทำแบบนี้เลยเพราะถ้ามันรู้ที่อยู่ผมแล้ว ผมคงหนีมันอีกไม่ได้และเป็นดังคาด มันเดินมาหยุดยืนข้างผมและมองไปที่หอที่ผมอยู่

“กูจะแจ้งตำรวจว่า...”

“ว่าอะไรครับ ว่าผมตามพี่”

“...” ผมเงียบไปเมื่อมันจ้องตาผม ผมมองไปรอบข้างที่ตอนนี้มีคนเดินเข้าออกประตูด้านหน้าอยู่บ้าง “พอได้แล้ว”

“ลวนลามพี่”

“หยุดพูด!” ผมตะคอกแล้วดึงแขนมันให้ออกมาคุยกันริมทางเดินหน้าหอที่ไม่ค่อยมีคน “หยุดพูดแล้วกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องมาตามกูอีกแล้ว เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็เจอกัน โอเค๊?”

“...นี่” ผมมองหน้าคนที่หยุดพูดไปแล้วเริ่มขำ “พี่คิดอะไรอยู่ ฮ่าๆ ๆ”

“กูเข้าใจมึงยังเด็ก เดี๋ยวมึงว่างเมื่อไหร่ก็บอกจะพาไปหาจิตแพทย์”

“พี่น่ารัก ฮ่าๆ ๆ”

“เฮ้ย กูจริงจังนะเว้ย มึงเข้าข่ายโรคจิตแล้ว" ผมพูดออกไปด้วยท่าทีจริงจัง "ไม่แน่อาจจะมีอาการสองบุคลิกด้วย มึงไม่ต้องอายๆ เดี๋ยวกูพาไปเอง”

“นี่พี่คิดว่าที่ผ่านมาทั้งหมด ที่ผมทำคือผมป่วยเหรอ”

“อ่าว...” เป็นผมที่ชะงักไป เมื่อคนตรงหน้ามองผมอย่างจริงจัง ทั้งที่พยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนี้แล้ว ทั้งที่ผมพยายามทำเรื่องที่เกิดขึ้นให้เป็นปกติมากที่สุด พาไปหาจิตแพทย์ เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ทำงานส่งด้วยกันและแยกย้ายกันไปด้วยดี เมื่อวิชานี้จบลง ผมพยายามทำให้เรื่องระหว่างผมกับมันให้เป็นแบบนั้น ให้ปกติที่สุด "ก็...ก็.."

“ที่ผมคอยตามพี่”

“...”

“จูบพี่”

“...”

“ไม่รู้จริงๆ ดิ ว่าผมกำลังจีบ”

“ตลกละ” ผมว่าแล้วพยายามเก็บอาการตกใจของตัวเองด้วยการกอดอก พยายามคิดว่าเขาอาจจะแค่แกล้งผมเหมือนเคยก็ได้ เด็กมันก็แค่แกล้งเท่านั้น “โกหกมา ฟังอยู่”

“โอเคๆ” ผมบอกแล้วว่ามันน่ะ...โกหกกันจริงๆ ด้วย

“...”

“ผมไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก”

“...”

“แค่อยากมาส่ง แล้วก็ฝันดีนะพี่่” ผมยืนเป็นใบ้มองหน้าคนที่พูดประโยคเมื่อกี้ออกมาอย่างสติหลุด เหมือนกับนักมวยที่โดนชกจนน็อค กว่าจะคลำหาสติเจอก็ตอนเด็กเวรนั่นเดินจากไปแล้ว

"ไอ้เด็กเวร" ผมพึมพำกับตัวเองและพยายามเรียบเรียงคำสั่งในสมองอีกรอบ แต่ดูเหมือนสมองที่ถูกใส่ข้อมูลว่าต้องทำให้อีกคนออกไปจากชีวิตโดยปกติที่สุดนั้น โดนประโยคฝันดีของเขาล้างคำสั่งไปหมด หัวใจของผมถึงเต้นแรงขนาดนี้

   ผมสะบัดหัวไล่ความรู้สึกดีที่เกิดจากคำพูดของคนเจ้าเล่ห์ ก็แค่บอกว่าอยากมาส่งกับฝันดีด้วยรอยยิ้มลูกหมาแบบนั้น ผมจะหวั่นไหวไม่ได้ เด็กมันก็แค่แกล้งเท่านั้น ทุกอย่างปกติดี อย่าไปหวั่นไหว อย่าไปใจเต้นแรงกับมันอีก

“แม่ง คิดจะแกล้งกันไปถึงไหนวะ”




ปี๊ ป่อ ปี๊ ป่อ มีคนโดน heart attack คร้าบบ
-TBC-

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 6 (8/9/62)
«ตอบ #6 เมื่อ08-09-2019 21:17:22 »


ตอนที่ 6 ติดเกม





  ​
“เชี่ย”

    ผมอุทานเมื่อเจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะเจออยู่หน้าหอของตนเองเพราะตั้งแต่วันที่เจอกันวันนั้น เด็กเวรก็หายไปเลย ไม่ไลน์มาหาและไม่มาดักรอผมเหมือนอย่างที่คิดไว้เป็นเวลาสามวัน พอมาประจันหน้ากันแบบนี้ ผมเลยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกที่เจอเด็กตัวสูงหน้าหอตัวเอง

“พี่จะทักผมแบบนี้ไม่ได้”

“เรื่องของกู” ผมตอบปัดๆ อย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินเบี่ยงตัวหนีเด็กเวรที่มายืนขวางทางผมไว้ “ถอยไปๆ”

   ใครจะไปคิดว่าจะเจอเพราะวันนี้เป็นเช้าวันเสาร์นะครับ วันหยุดแบบนี้มันไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ ผมมองคนที่มาเดินข้างกันหัวจรดเท้า แต่งตัวหล่อขนาดนี้โคตรไม่เข้ากับผมที่ลากแตะกับเสื้อยืดขาสั้นออกมาจากห้อง ผมมองมันแบบรำคาญอย่างเปิดเผยแล้วพยายามเดินให้ห่างจากมัน ในใจก็เริ่มคุยกับตัวเอง

“พี่จะไปไหนอะ”

“ไปหาของกิน” อย่าไปหวั่นไหวกับหน้าหล่อๆ ของมัน มันก็แค่เด็กที่ขี้แกล้งเท่านั้น ต้องไล่ตัวอันตรายแบบนี้ไปให้ไวที่สุด “กลับไปได้แล้ว”

“พี่แต่งตัวโป๊ไปปะเนี่ย” มันพูดโดยไม่ฟังประโยคก่อนหน้าที่ผมเพิ่งจะไล่มันไป แถมยังดึงคอเสื้อย้วยๆ ของผมจากด้านหลังจนผมต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่มัน “ก็คอเสื้อมันกว้างอะ”

“เสือก” ผมว่าแล้วฟาดมือเข้าที่ต้นแขนมันอย่างแรง

“โอ๊ย เจ็บจังเลย” ผมตัดรำคาญที่มันทำท่าทางเจ็บนักหนา ด้วยการไปผลักแขนมันอีกรอบเป็นสัญญาณให้ปล่อยกัน แต่ที่ผลักไปนี่มีแต่ผมที่ขยับนะครับ ผลักเอง เซเอง นักเลงพอ

“หงุดหงิดแต่เช้าเลยกู”

“ฮ่าๆ ๆ ไปด้วยดิ” เด็กเวรยอมปล่อยคอเสื้อผม แล้วทำหน้ามึนแล้วมาเดินใกล้ๆ ผมอีกรอบ “มารอตั้งนาน โคตรหิว”

“มึงจะเอาไงกับกูวะ” ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองหน้ามันตรงๆ ดีที่ตรงนี้เป็นฟุตบาทโล่งผมเลยหยุดคุยกับมันได้ “รอบที่ร้อยแล้วไหม ที่บอกว่าไม่ต้องมายุ่งกับกูอีกเนี่ย จะเอาไงพูดมาตรงๆ”

“ถ้าผมพูดไปนี่...พี่จะต่อยผมปะ”

“งั้นก็หุบปาก” ผมว่าแล้วรีบเดินหนีมันอีกครั้ง ใครมันจะไปอยากรู้ ไอ้แววตาวิบวับแบบนั้น ดูก็รู้ว่าจะพูดอะไรปั่นประสาทผมอีก ไม่เอาด้วยหรอก

“รอด้วย”

“ไม่ ไปตายไหนก็ไป”

“สุดยอดว่ะ โคตรขัดกับลุคพี่เลย” ไม่รู้ว่าผมจะใจเย็นได้แค่ไหนเพราะตั้งแต่เจอผมหน้าหอ จนมาถึงเซเว่นหน้าปากซอยแล้ว มันยังพูดปั่นผมไม่หยุด ผมพยายามทำใจให้เย็นที่สุดแล้วเดินเข้าเซเว่นโดยไม่สนคนที่เดินตามมา “นี่พี่แพรรู้ปะ ว่าพี่ฮาร์ดคอขนาดนี้อะ”

“กูจะแดกเซเว่นนะ แดกไม่ได้ก็เรื่องของมึง”

“ครับพี่”

   ผมนั่งโซ้ยมาม่าโดยไม่สนใจคนที่นั่งเท้าคางมองผมกินอย่างจริงจัง ไอ้สายตาที่จ้องมองผมแบบวิบวับนี่น่ารำคาญมากเลยครับ ความรู้สึกผมตอนนี้คือเหมือนเวลาเรานั่งกินข้าวอยู่แล้วมีหมามานั่งจ้องอะครับ

   ผมไม่ได้พูดเวอร์แต่มันทำหน้าแบบนั้นใส่ผมจริงๆ ผมจะแบ่งให้มันกินหลายรอบแล้ว แต่ก็ได้ประโยคเดิมคืนมาว่าไม่อยากกินมาม่า แล้วมันอยากกินไรกันแน่วะ ไม่กล้าถามเพราะกลัวคำตอบมัน ผมเลยเลิกสนใจคนที่กินกาแฟเซเว่นเป็นอาหารเช้าไป แล้วโฟกัสที่มาม่าหมูสับของตัวเองพอ

“เพราะกินแต่มาม่าไง” ผมหันไปสบตากับมันทันที ที่มันพูดขึ้นมาหลังผมกินเสร็จ “พี่เลยเป็นไอ้แห้งแบบนี้อะ”

“มึงจะเรียกกูว่าพี่ทำไม ถ้ามึงจะเรียกกูไอ้แห้งอะ”

“ฮ่าๆ”

“ขำอีก เดี๋ยวจิ้มตาแตก” ผมว่าแล้วผลักไหล่คนที่หัวเราะอ้าปากกว้าง จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเห็นมันหัวเราะแบบไม่มีมาดขี้เก๊ก

“ฮ่าๆ กลัวแล้วๆ”

“ถามจริง มึงจะตามกวนตีนกู เหมือนคนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้อีกนานไหม” ผมถามเมื่อเราสบตากัน เวลชะงักไปและหลบตาผม

“จนกว่าจะเบื่อว่ะพี่”

“เฮ้อ ขอบใจที่รอบนี้มึงพูดความจริง” ผมถอนหายใจ แล้วแกะห่อป็อกกี้ออกมากินอย่างเซ็งๆ “ขอบใจที่พูดตรงๆ กวนตีนตรงๆ กูจะได้ไม่เหนื่อยมากเหมือนที่ผ่านมา”

“ฮ่าๆ ก็ดูดิเพราะพี่เป็นแบบนี้ไง”

“ทำไมกูมันทำไม” ผมพูดแล้วหยิกแขนมันเพราะหมั่นไส้ที่มันหัวเราะไม่หยุด “ชอบความรุนแรงนะมึงอะ”

“ก็ชอบอยู่ ลองปะพี่”

“ลองไร แดกไป” ผมยัดป๊อกกี้เข้าปากคนที่นั่งข้างกันให้หยุดพูดสองแง่สองง่าม

“โอ๊ย โอเคๆ หยุดหัวเราะแล้ว”

   ในเมื่อผมไล่มันแล้วไม่ยอมไป ก็อยู่ด้วยกันแบบนี้ล่ะวะ จนกว่าจะเบื่ออย่างนั้นเหรอ คนอย่างผมน่ะ น่าเบื่อจะตาย ไม่นานเด็กเวรนี่ก็คงเบื่อผมเหมือนคนอื่นๆ คนที่คิดอะไรก็พูดตรงๆ อย่างผม มีแต่คนไม่ชอบอยู่แล้ว ใครๆก็ชอบได้ยินในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยินกันทั้งนั้นล่ะ ไม่นานเด็กนี่ก็คงเบื่อผมไปเอง

   ผมคิดแล้วเดินกินป็อกกี้ออกจากเซเว่น โดยมีเด็กเวรเดินตามและพูดนั่นนี่ไม่หยุด ผมมองหน้ามันที่พูดไปยิ้มไป แล้วก็รู้สึกหมั่นไส้ในความหล่อของมัน ผมชอบผู้ชาย ผมรู้ตัวผมดีและการที่คนหล่อๆ แบบมันมาวนเวียนใกล้ๆ ผมแบบนี้ ยอมรับเลยว่าผมแอบรู้สึกหวั่นไหว แต่ด้วยนิสัยประหลาดของมันที่เข้าหาผมในตอนแรกนั้นทำให้ผมกลัว


แต่เด็กเวรในรูปแบบของเช้าวันนี้
กลับทำให้ผมสบายใจที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วยอย่างน่าประหลาด

.
.


   ไม่คิดเลยว่าความสบายใจที่เกิดขึ้นนั้นจะทำให้ผมใจอ่อนถึงขนาดที่ว่ายอมให้ไอ้เด็กนี่ขึ้นมาที่ห้องตัวเอง ทั้งที่รู้ว่ามันร้าย ทั้งที่รู้ว่าควรจะไล่มันไป ขีดเส้นให้ชัดเจนแต่อะไรบางอย่างกลับบอกให้ผมชวนมันมาบนห้อง อะไรบางอย่างที่เรียกว่าความเหงา

“ฮัลโหล อีรัก มึงอยู่ไหน”

“หอ”

“เออๆ วันนี้กูไปเดทนะมึง อวยพรกูที”

“ขอให้กูได้กินเหล้าฟรีฉลองวันสละโสด”

“ดีมาก เพื่อนเลิฟ”

“เออๆ ยังไงก็เล่าให้กูฟังด้วย”

“จ้า จุ้บๆ”

   ผมคงเหงามากจริงๆ ผมนั่งกอดเข่าหลังจากวางสายจากไหม มองคนที่เดินไปทั่วห้องผมอย่างสนใจด้วยความรู้ประหลาดที่เห็นมันอยู่ในห้องตัวเอง ทั้งที่ผมกลัวและผลักไสมันมาตลอด แต่ตอนนี้มันกลับมาเดินซนในพื้นที่ส่วนตัวของผม ถ้าเราเริ่มต้นกันดีๆ ถ้าผมไม่เอาแต่กลัวและยอมเปิดใจ มันจะเป็นยังไงนะ

“พี่มองผมตลอดแบบนี้ ใจผมมันสั่นนะพี่”

“สั่นที่ตีนกูเนี่ย” ผมว่าแล้วนั่งลงบนพื้น หน้าทีวีจอใหญ่ที่ต่อเข้ากับเครื่องเล่นเกมส์ “จะเล่นได้ยัง”

“มาๆ ๆ” เด็กนั่นพูดอย่างร่าเริงแล้วนั่งลงข้างผม พร้อมยกจอยในมือโบกไปมา “จะโชว์เทพของแท้ให้ดู”

“ถ้ามึงกาก กูจะขำให้ฟันร่วง”

“เดี๋ยวก็รู้” ถ้าผมยอมให้มันเข้ามาในพื้นที่เงียบเหงาของผมสักนิด ให้การได้มีคนให้เถียงแก้ความเหงาที่ผมมีในใจแบบนี้ จะเป็นไรไหมนะ

.
.

“เออ กูแพ้แล้ว สะใจมึงยัง” ผมพูดแล้วเอนตัวพิงกับโซฟาด้านหลัง มองไอ้เด็กตัวโตที่ยิ้มกว้างดีใจเป็นลูกหมา

“ยังอะพี่”

“อะไร กูแพ้มาสามรอบละ”

“ผมยังไม่ได้รางวัลเลย”

“มึงจะเอาไร เงินเหรอ” ผมลุกขึ้นมานั่งดีๆ แล้วสบตากับคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง

“เปล่า...” มันตอบและไล่สายตาลงไปหยุดที่ริมฝีปากผมอย่างเปิดเผย

“ไม่”

“นะ...เคยๆ กันอยู่แล้ว”

“มึงอย่าพูดเหมือนกูได้กับมึงแล้วได้ไหม”

“ฮ่าๆ โคตรตรงเลย” เวลหัวเราะแล้วนั่งกอดเข่า ซบแก้มลงที่เข่าตัวเองแล้วมองสบตาผม

“ทำไมมีปัญหา”

“เปล่า” เขาตอบเสียงเบา แล้วเอื้อมมือมาปัดผมด้านหน้าของผมที่หล่นลงมาปรกตาผมออก “แค่คิดว่าพี่โคตรน่ารักเลย”

“...”

   ความเงียบในตอนนี้ทำให้ผมรู้ว่าใจตัวเองเต้นแรงแค่ไหน ตอนที่สบตากันและเพิ่งจะรู้ตัวว่าท้องฟ้าด้านนอกได้กลายเป็นสีดำไปแล้ว เมื่อทั้งห้องตอนนี้มีแต่แสงไฟสีฟ้าจากทีวีที่สะท้อนพวกเราทั้งสองคน เวลยิ้ม วางจอยเกมลงและขยับใบหน้ามาใกล้ผม

“ได้ไหมพี่” มือใหญ่เกลี่ยเข้าที่แก้มผมเบาๆ ผมกำมือกับจอยเกมแน่นตอนที่ปลายจมูกเราสัมผัสกันเบาๆ “นะ พี่น่ารัก...”

“จะทำอะไรก็รีบทะ อืม”

   ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคปากร้อนก็ประทับลงมาที่ปากผม ผมรู้ว่าไม่ควรทำแบนี้ แต่ผมกลับเป็นคนทิ้งทุกอย่างที่ตั้งใจไว้แล้วโอบรอบคอเขาและดึงตัวเราให้เขาหากัน ลมหายใจร้อนปะปนกันไปมั่ว เสียงครางในลำคอของเราเป็นเชื้อไฟชั้นดีให้เราเกี่ยวกระหวัดกันร้อนแรงมากกว่าเดิม จากที่เคยโดนไล่ต้อนให้จนมุม ในครั้งนี้ผมกลับเป็นคนไล่ตามลิ้นร้อนนั้นอย่างไม่ยอมแพ้

“อืม” ผมครางออกมาตอนที่โดนคนตัวโตกว่าทาบทับแรงลงมาให้ผมนอนลงกับพื้น มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเอวผม ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัด ดูดคลึงจนผมมึนหัว แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าผมชอบความรู้สึกนี้แค่ไหน ความอบอุ่นที่โอบกอด ลมหายใจและริมฝีปากร้อนแรงของเขาทำผมหลงใหลจนใจเต้นรัวไม่หยุด ในตอนที่ปากร้อนไล้เล้าโลมจากแก้มซ้ายของผมไปถึงซอกคอ ผมก็ดันอกเขาไว้

“เวล...อะ พอก่อน”

“พี่น่ารัก อืม” ผมประคองหน้าเขาที่กำลังก้มลงไปใกล้หน้าอกตัวเองให้เงยขึ้นมาจูบตัวเองอีกครั้ง “หึ เรียกชื่อผมแล้ว”

“พอก่อน” ผมผละออกมาจ้องตาคนที่อยู่ด้านบนที่ยิ้มไม่หยุด ไอ้แววตาดีใจพร้อมมีหางสะบัดไปมาอยู่ด้านหลังนั้นกำลังทำให้ผมปวดหัว เหมือนรับมือกับลูกหมาตัวโตที่พูดไม่รู้เรื่อง เขาจะก้มลงมาจูบผมอีกครั้งแต่ผมก็ดันหน้าเขาไว้ก่อน “พอแล้ว”

“ทำไมครับ”

“พอ” ยังจะมาถามอีกว่าทำไม ถ้าผมปล่อยให้เขาจูบอีก ผมรู้ดีว่าเขาจะไม่หยุดที่จูบแน่ๆ

   ผมนอนหอบหายใจ มองหน้าคนที่ยังนอนทับตัวเองแถมยังหอบหายใจไม่ต่างกัน เวลยอมลุกขึ้นนั่งส่วนผมก็นอนเรียกสติตัวเองสักพักก็ลุกขึ้นนั่งตาม พอมีสติแล้ว ผมถึงรู้ว่าหัวใจตัวเองดังมากและเสื้อตัวเองที่เลิกขึ้นมาจนเกือบจะถึงอก ผมมองคาดโทษคนที่ยังจ้องผมไม่เลิกทันที เกือบไปแล้ว ผมผลักคนที่นั่งยิ้มอย่างหมั่นไส้

   เวลอันตราย เขาอันตรายมาตั้งแต่แรก ผมรู้...ทั้งที่รู้ก็ยังทำแบบนี้ ผมลุกขึ้นยืนแล้วจัดเสื้อยืดตัวเองให้เข้าที่ รีบลุกเดินไปเปิดไฟ ไม่สนใจคนที่นั่งจ๋องอยู่กับพื้นมองผมแบบไม่คลาดสายตา ผมถอนหายใจแล้วไปยืนข้างคนที่นั่งอยู่ที่เดิม เวลมองผมยิ้มๆ แล้วซบหัวลงมี่หน้าขาอ่อนผมอย่างออดอ้อน

“โคตรรู้สึกดีเลย”

“...”

“พี่ก็คิดเหมือนผมใช่ไหม” แววตาที่เหมือนลูกหมานั่นเงยหน้ามองผมอย่างเอาใจแล้วก็ใช้แขนนั่นกอดขาผมไว้เหมือนเด็กๆ

“กลับไปได้แล้ว”

   เด็กเวรยอมปล่อยขาผมแล้วลุกขึ้นมายืนดีๆ เขาเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออกด้วยท่าทางอารมณ์ดี แล้วดึงผมไปใกล้ ก่อนจะจูบลงมาที่หน้าผากผม น่าแปลกที่ผมไม่มีแรงขัดขืนเขาเลยสักนิด

“ล็อคห้องด้วย”

“...อือ” เป็นอย่างที่มันบอกจริงๆ

“ฝันดี”

“อือ”



ใช่ แม่งโคตรจะรู้สึกดีเลย









ความเหงาเป็นขั้วบวกขั้วลบ
-TBC-

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 7 (10/9/62)
«ตอบ #7 เมื่อ10-09-2019 19:25:46 »


ตอนที่ 7 ติดฟัน




“พี่น่ารัก ช่วยฟ้าดูตรงนี้หน่อยค่ะ พี่ว่าโอเครึยัง”

    ผมขยับไปใกล้น้องฟ้าที่นั่งอยู่ข้างผมอีกนิด เพื่อดูที่หน้าจอโน้ตบุ๊กของน้อง ตอนนี้กลุ่มของพวกเราเสียสละเวลาพักเที่ยงมานั่งทำสไลด์ด้วยกันครับ ที่จริงก็คือแค่บางคนที่ทำ บางคนก็มานั่งเฝ้าเฉยๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ผมชินแล้ว แต่ถ้ามีใครไม่มานั่งทรมานด้วยกัน ผมจะเทศน์ให้

“โอเคแล้ว”

    อาทิตย์หน้าก็จะเป็นการพรีเซ้นต์ใหญ่งานชิ้นนี้แล้ว พอจบงานชิ้นนี้ก็เหลือแค่ฟังบรรยาย งานเดี่ยวและสอบไฟนอล อีกไม่นานผมก็จะหลุดพ้นจากการจับกลุ่มนี้สักที อีกไม่นานผมก็หลุดพ้นการเจอกับใครคนนั้นด้วย

“ข้าวมาแล้วครับ”

   แค่นึกถึงก็โผล่มาแล้วครับ ใครคนนั้นที่ทำตัวติดกับผมมาเป็นอาทิตย์ เด็กเวลใช้แขนยาวๆ นั่นแทรกกลางระหว่างผมกับน้องฟ้าและวางถุงของกินไว้หลังโน้ตบุ๊คอย่างหน้าด้านๆ ก่อนจะหันมายิ้มโง่ๆ ให้ผม

“พี่จะกินเลยไหม”

“เอ่อ” น้องฟ้าถึงกลับงง พร้อมกระพริบตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร

“เอ่อ พี่ว่าเรากินข้าวแล้วทำไปด้วยดีกว่าเนอะ” ผมบอกกับน้องฟ้าและหยิบกล่องข้าวที่ฝากเด็กเวร ไปซื้อขึ้นมากินโดยไม่สนใจคนที่นั่งลงข้างผม 

กึก

“อะไร” ผมมองขวดน้ำที่ถูกยื่นมาให้อย่างงงๆ ผมไม่ได้รับไว้ทันที เวลยังคงยิ้มและเปิดให้ผม แถมยังปักหลอดให้ผมอีก

“น้ำครับ”

“เออ ขอบใจ” ผมรับมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเจอสายตาของคนในกลุ่มที่จ้องมองมา

“แหมเวล ฟ้าก็นั่งอยู่ตรงนี้นะ” น้องฟ้าว่ายิ้มๆ แล้วหยิบขวดน้ำเปล่าอีกขวดมาถือไว้

“เราเห็นพี่น่ารักพิมพ์งานอยู่ไง”

“ชะ ใช่” ผมพูดเสริมอย่างติดขัด พิมพ์งานอะไรกันเล่า ผมแค่นั่งมองจอโน้ตบุ๊กเฉยๆ เอง

“จ้า เดี๋ยวเราเปิดเองก็ได้” น้องฟ้าว่าแล้วหยิบขวดน้ำมาเปิดเองแล้วหันมาสบตาผม ก่อนจะหันไปคุยกับคนอื่นในกลุ่ม “อีกนิดก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวฟ้ากับพลอยทำต่อเอง พวกเรากินข้าวแล้วก็แยกย้ายกันเถอะ อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงคาบบ่ายแล้ว”

“เอาอย่างงั้นก็ได้” น้องคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นมา

   ส่วนผมก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและลงมือกินข้าวต่อ หยิบน้ำขึ้นมาดูดแล้วก็มองหน้าคนนั่งข้างๆ กันที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเลิกคิ้วถามว่ามีอะไรรึเปล่า แต่มันกลับกวนผมด้วยการขยิบตาให้

“เดี๋ยวเถอะมึง” ผมยกกำปั้นขึ้นมาขู่อย่าลืมตัว 

“หึ”

“พี่น่ารักไปสนิทกับเวลตอนไหนเหรอคะ ตอนเรียนไม่เห็นคุยกันเลย” ฟ้าถามและมองผมอย่างยิ้มๆ เอ่อ ทำไมน้องฟ้าต้องยิ้มตาเยิ้มขนาดนั้น ผมชักจะกลัวๆ น้องแล้วนะ

“อ่อ ก็...ไม่ได้สนิทอะไรนะ”

“เสียใจจังครับ” เวลทำหน้าหงอย

“เออๆ” ผมมองคนที่กำลังจะทำตัวเด่นขึ้นมาอีกรอบ ผมไม่อยากโดนสายตาแปลกๆ ของคนในกลุ่มมองอีกแล้วนะ “เล่นเกมด้วยกันเฉยๆ”

“เกมไรอะพี่”

“...เอ่อ คือ”

“รีบกินกันเถอะ จะบ่ายแล้ว” เป็นเวลที่พูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นผมไปต่อไม่ถูก

“อ่อ โอเค”

    ผมไม่คิดจะขอบคุณที่มันช่วยพูดหรอกนะ ใครมันเป็นคนเริ่มให้น้องฟ้าสงสัยกันเล่าเพราะวันนี้เด็กเวรนี่ตามติดผมแจเลย ถึงจะโดนผมเบรกไว้ว่าตอนเรียนห้ามคุย แต่หลังจากเลิกเรียนแล้วก็เดินตามผมต้อยๆ อาสาไปซื้อข้าว ซื้อขนมมาเลี้ยง จนคนในกลุ่มงงไปหมด

   ในที่สุดผมก็กินข้าวหมด รีบกินน้ำและเก็บกระเป๋าลุกขึ้น บอกลาน้องๆ ในกลุ่ม ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เด็กเวลไม่เคยหลุดคอนเซ็ป มันลุกขึ้นยืนตามผมเป็นวิญญาณตามติดอีกแล้ว ในเมื่อห้ามไม่ได้ ผมก็ไม่คิดจะห้าม อยากตามก็ตาม จนกว่ามันจะเบื่อ ทนไว้ อย่าไปหลวมตัวให้เขาล้ำเส้นอีกเด็ดขาด

    ผมเดินนำคนตัวสูงกว่าที่เดินตามมาโดยไม่พูดอะไรด้วยความระแวงเล็กน้อย เงียบแบบนี้ มันจะมาไม้ไหนกัน หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเวลยังคงไลน์มาหาผมตลอด ผมเองก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้างและมีบ้างบางวันที่เขามาดักรอผมที่หน้าหอ

   อย่างวันที่เจอกันหน้าหอ ผมก็ไล่เขากลับ น่าแปลก ที่เขาก็ยอมกลับโดยดีแต่โดยให้เหตุผลที่ทำผมงงไป ก็คือเขาบอกผมแค่อยากเห็นหน้าผม เฮอะ แต่ผมไม่คล้อยตามแล้วครับ มามุกไหนก็ไม่ให้ขึ้นไปบนห้องแล้วเว้ย หลังจากผมได้บทเรียนจากวันนั้นแล้ว ผมจะไม่ไว้ใจให้เขาขึ้นไปแล้วครับ...อันตรายมาก

“จะเข้าไปเรียนด้วยรึไง” ผมหันไปมองคนที่เดินมาส่งผมถึงหน้าห้องเรียน

“ได้เหรอครับ”

“กวนตีน” ผมกอดอกมองคนสูงกว่า “ไปเรียนไป”

“พี่เลิกกี่โมง”

“ไม่บอก”

“โอเค ไว้เจอกันครับ”

“เจอกัน อะไรของมึง”

“...” มันเดินหนีผมไปแล้วครับ

“ไอ้เด็กเวรนี่!” ผมตะโกนไล่หลังไปอย่างหงุดหงิด มองแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างกันออกไปเรื่อยๆ ด้วยใจที่เต้นผิดจังหวะ ถึงลูกอ้อนลูกตื้อของมันนั้น จะน่ารำคาญสำหรับผมมาก แต่ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเจอคนแบบนี้เลย จริงๆ ผมไม่เคยได้รับการดูแลจากคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวแบบนี้เลย มันทำให้ผมเกิดคำถามกับตัวเอง ว่าคนอย่างผมสมควรที่จะได้รับแล้วเหรอ “ปวดหัวชะมัด”


.

.


“อีรัก เย็นนี้กูไปกินข้าวกับพี่แทนนะ” ไหมพูดขึ้นมาหลังจากเลกเชอร์หฤโหดสี่ชั่วโมงติดกันได้จบลง

“พี่แทน? เออๆ แสดงว่ามึงยกเลิกชาบูที่จะไปกินกับกูใช่ไหม”

“แหะๆ ไม่งอนน้า ไว้อาทิตย์เราค่อยไปด้วยกันเนอะ เดี๋ยวกูเล่าเรื่องพี่แทนให้ฟังด้วย”

“ได้ๆ กูจะงอนไรมึง” ผมสะบัดแขนที่โดยไหมจับออกเบาๆ เป็นการแกล้งมัน

“ฮ่าๆ อุ่ย พี่แทน” ผมมองตามสายตาไหมที่มองออกไปหน้าห้อง ก็พบกับผู้ชายตัวสูง หน้าตาตี๋ๆ สเป็คไอ้ไหมมัน คงจะเป็นคนที่มันไปเดทด้วยวันนั้น เอ่อ ว่าแต่ไหนมันบอกจะจีบไอ้น้องเวลไง...ถึงว่าวันนี้มันถึงไม่ยอมไปนั่งเรียนกับผม “เจอกันพรุ่งนี้มึง”

“อืม” ผมพยักหน้าแล้วมองไหมเดินไปหา เพื่อนอีกกลุ่มของมันอย่างร่าเริง แล้วผมก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงในกลุ่มนั้นดังออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังและผมรีบเดินออกจากห้องทันทีเมื่อได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนาของกลุ่มเพื่อนของไหม

“มึงเดินไปหารักทำไมวะ”
“เรื่องของกู”
“เออ ช่างเถอะ แหม อีแพร พี่แทนเลยนะมึง”
“สุดยอดเลย”
“ไว้มาเล่าให้พวกกูฟังด้วยนะเว้ย”



    ช่วยไม่ได้ที่ผมมีมนุษย์สัมพันธ์และการโกหกเอาตัวรอดในสังคมต่ำ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้น ทุกคนล้วนเกลียดขี้หน้าผมและผมเองก็ไม่อยากคุยกับใคร นอกจากไหมแล้วผมก็ไม่มีตัวตนในสายตาใครอยู่แล้ว ก็ดีแล้ว...ผมคงทนอยู่ในสังคมจอมปลอมของไหมไม่ไหวเหมือนกัน ผมหันกลับไปมองไหมที่ออกมาหาพี่คนนั้น แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เฮ้อ หวังว่าคราวนี้มันจะเจอคนที่รักมันจริงๆ และไม่เจ็บปวดอีก

    ผมลงจากอาคารเรียนด้วยความระแวงเพราะกลัวเจอกับใครบางคน ทั้งในลิฟต์ หน้าอาคารเรียนหรือรถไฟฟ้าใต้ดินที่ผมคิดว่าจะได้เจอนั้นกลับผิดคาด ผมไม่เจอเด็กเวลในที่ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด แต่...ผมเจอมันยืนล้วงกระเป๋ากางเกงเก๊กหล่อ พิงกำแพงอยู่หน้าหอผม!

“มาทำไม” ผมพูดออกมาทันทีที่มันเดินมาขวางทางผม

“ผมหิวข้าว” 

“ฮะ?” ผมอดที่งงไม่ได้ “แล้วมาบอกกูทำไม ก็ไปกินข้าวดิวะ กลับไป ชิ่วๆ”

“ไปกินข้าวกัน” ผิดคาดเป็นครั้งที่สอง เพราะปกติไล่แค่ครั้งเดียวก็ไปแล้ว แต่รอบนี้มันกลับชวนผมกินข้าวหน้าตาเฉย “ไม่เอาเซเว่นนะ”

“เดี๋ยวนี้กล้าสั่งกู?”

“...” เด็กเวลที่มีรอยยิ้มสดใส ชะงักไปเมื่อเจอผมสวนกลับไปแบบนั้น

“กูคงใจดีเกินไปใช่ไหม”

“เดี๋ยวผมเลี้ยง”

“งั้นตามใจมึงแล้วกัน กูขออาบน้ำแป๊บ” ถึงจะระแวงมันแค่ไหน แต่ปากท้องและเงินนั้นสำคัญกว่าสิ่งใดๆ ครับ ผมรีบพูดรัวๆ แล้วเดินนำมันไป แต่เวลกลับยืนค้างอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้างงๆ ผมเลยหันไปพูดอย่างหงุดหงิดใส่ “อะไร ตามมาดิ”

“ฮ่าๆ”

“ถ้าขำอีกไม่ต้องตามมา”

“ครับๆ”

    หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพเสื้อยืดตัวใหญ่ กับกางเกงบอลเหนือเข่าและ ใช่ครับ ตั้งใจจะลากแตะออกไปข้างนอกเหมือนเดิม เด็กเวลยังคงนั่งเล่นเกมในชุดนักศึกษาอยู่ที่เดิม ผมเลยเดินไปใกล้ เอาเท้าสะกิดหลังคนที่นั่งเล่นเกมไม่สนใจผม

“พี่ไว้ใจผมมากไปรึเปล่า” 

“มั้ง ไม่รู้ดิ” ผมขยับถอยห่าง คนที่ลุกขึ้นมาขมวดคิ้วจ้องผม “ไม่อยากคิดมากแล้ว”

“...คิดบ้างสิครับ”

    เวลขยับเดินมาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าว ก้มลงมาใกล้ผมอย่างรวดเร็วและหยุดไปตอนที่ปลายจมูกเราสัมผัสกัน ผมจ้องตาคนตรงหน้าที่จ้องมองผมกลับ ผมยกยิ้มมุมปาก แล้วใช้สองมือดึงใบหน้าเขาเข้ามาใกล้

    แล้วผมก็เป็นคนกดจูบลงไปที่ปากของคนตรงหน้าเอง เวลชะงักไปแต่ก็หลับตารับสัมผัสของผม ผมไม่ได้ขยับ แค่ปล่อยให้ปากเราแตะกันอยู่อย่างนี้ ผมถอนริมฝีปากออกเมื่อมือคนตรงหน้าเริ่มสอดเข้ามาสัมผัสเอวภายใต้เสื้อของผม

“กูก็แค่รอให้มึงเบื่อแค่นั้น” ผมพูดทั้งที่ริมฝีปากเราสัมผัสกัน

“...เพราะพี่เป็นแบบนี้ไง” 

“อะไร กูมันทำไม” ผมผลักเขาออกเบาๆ และมองหน้าหาเรื่อง

“เปล่า ไปกันเถอะ” เวลยิ้ม แล้วยอมปล่อบมือจากเอวผม “ผมอยากกินหมูกระทะ”

“กินสองคนนี่นะ”

“ครับ”


.

.


“อ้ามๆ”

“อ้ามพ่อง” ผมปัดมือที่จับตะเกียบคีบหมูมาจ่อที่ริมฝีปากผมออกอย่างหงุดหงิด ตั้งแต่เข้ามาในร้านแล้วที่คนมองมาทางพวกผมสองคนไม่หยุด ทั้งที่รู้ว่ามีคนมองมันยังมาเล่นอะไรแบบนี้ให้คนมองเยอะกว่าเดิม ผมหงุดหงิดและเผลอพูดประโยคที่ผมไม่ตั้งใจจะพูดออกไป “มึงไม่มีเพื่อนคบรึไง ถึงมากวนตีนกูอยู่แบบนี้”

“...” เวลชะงักไปและวางหมูย่างชิ้นนั้นบนจานผมอย่างหงอยๆ

“เอ้า ทำหน้าหมาหงอยใส่กูอีก”

“...”

“เงียบอีก คิดว่าหล่อแล้วทำปากเบะจะไม่อุบาทเหรอ”

“อืม ผมไม่มีเพื่อน”

“กินๆ เข้าไป ผมถอนหายใจเพราะเริ่มรู้สึกที่พูดแรงเกินไป “เฮ้อ มึงต้องแบ่งความอ้วนไปจากกู”

“...ครับ” เวลมองผมด้วยสายตาวิบวับเหมือนเดิม ก่อนจะคีบหมูชิ้นที่ผมให้เข้าปากและยิ้มแฉ่งให้ผม

“เพราะมึงเป็นอย่างนี้ไงถึงไม่มีเพื่อน” ถึงเมื่อครู่ผมจะไม่ตั้งใจ แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจ

“...” เวลเงยหน้าจากเตามายิ้มให้ผมเบาๆ อย่างเคย

“อะ ยิ้มใส่กูอีก”

“ครับ?”

“เพราะมึง...มึงเข้าใจปะ” ผมวางตะเกียบลงบนจานด้วยอารมณ์หงุดหงิดคนตรงหน้า “ถ้าเป็นคนอื่นกูพูดแบบเมื่อกี้ไป เขาอาจจะเกลียดหรือต่อยกูแล้ว แต่มึงเสือกนั่งยิ้ม”

“...”

“กูจะพูดตรงๆนะ”

“ครับ”

“มึงวางท่าดูดีเกินไป ไอ้มาดขี้เก๊กของมึง ทำให้คนเข้าไม่ถึงไง” ผมหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบหมูที่สุกแล้วบนเตากินและเริ่มพูดในสิ่งที่ตัวเองสังเกตมาออกไป “มึงอะ ปิดกลั้นตัวเองแล้วก็มาทำเป็นงงว่าไม่มีเพื่อน”

“ครับ”

“ครับ? แค่นี้?” ผมมองหน้าคนที่ยังยิ้มได้ อย่างเหลือเชื่อ

“ผมรู้”

“อ้าว”

“กินเยอะๆ นะครับ”

“อ้าว เดี๋ยว...มึงหลอกให้กูพูดอะ”

“ผมไม่ได้หลอก”

“มึงนี่นะ เฮ้อ” ผมถอนหายใจ เมื่อนึกถึงคำพูดของผู้ชายในห้องเลกเชอร์ที่หมั่นไส้มัน ผมพอจะเข้าใจพวกนั้นบ้างแล้ว “มึงคิดว่าคนอื่นจะไม่รู้ได้ไง ถึงมึงจะไม่ได้เผยด้านชั่วร้ายใส่แบบกูแต่คนเรามันก็สัมผัสได้นะเว้ย ความจริงใจอะ มันสัมผัสกันได้”

“ครับ”

“หมั่นไส้มึงจริงๆ” ผมยอมแพ้ ในเมื่อพูดไปไม่ฟังกัน ก็ช่างมัน ผมลงมือกินหมูกระทะตรงหน้าด้วยความหิวโหย แต่พอมองคนที่นั่งตรงข้ามกัน สายตาผมก็ดันไปหยุดที่ปากบางนั่น จนเผลอพูดเรื่องโง่ๆ ออกไป “แต่มึงไม่ได้จูบใครไปทั่วใช่ไหม”

“ก็ใช่ดิพี่ ใครจะไปทำแบบนั้น”

“ก็มึงไหมล่ะ มึงเลย” ผมลากเสียยาวอย่างพอใจ เมื่อเห็นมันผ่อนคลายลงและไม่ตอบครับๆ อย่างเดียว “ต่อไปนี้ก็เลิกเข้าหากูแบบนั้นได้แล้ว น่ากลัวชิบหาย”

“เพราะพี่จะเข้าหาผมเองแบบเมื่อกี้ใช่ไหม”

“เหอะ” ผมเบะปากให้การยิ้มมุมปากกับสายตาวิบวับนั่นของมันอย่างหมั่นไส้

“ชอบผมแล้วดิ” ผมชะงักไปเมื่อเวลพูดแบบนั้น “หรือพี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว พี่แพร?”

“เงียบไปเลย กูกับแพรเป็นเพื่อนสนิทกัน”

“แต่พวกพี่สนิทกันเกินไปปะ”

“ปกติ มึงจะข้าใจอะไร” และผมก็หงุดหงิดอีกครั้ง

“ก็จริง”

“ตะ แต่ก็นะ นอกจากแพร กูก็ไม่มีเพื่อนเหมือนกัน” ผมรู้สึกผิดอีกครั้งที่เห็นหน้ามันหงอยลง เลยหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างโง่ๆ “ฮ่าๆๆๆ”

“หึ”

“หยุดเก๊กไอ้น้อง อยู่กับกูแล้วมึงขำยังไงก็ได้ปะ”

“ฮ่าๆๆๆ”

“เออ เชื่อฟังดีว่ะ” ผมยิ้มอย่างได้ใจเมื่อคนตรงหน้าหัวเราะอย่างเต็มที่ออกมา

“ผักติดฟันพี่อะ”

“ไอ้!..” ผมหุบยิ้มทันที พร้อมกับปาเศษผักบุ้งใส่มัน

“ฮ่าๆ”

“ออกยัง” ผมรีบก้มหน้าแคะฟันมั่วๆ แล้วยิ้มยิงฟันให้มัน

“ครับ ออกแล้วๆ ฮ่าๆๆ”เวลามันไม่ขี้เก๊กก็ดีเหมือนกัน มันหัวเราะก็ดีแล้ว ดีกว่าทำหน้าหงอยแบบนั้น

    ผมมองคนข้างหน้าอย่างพิจารณา หน้าตามันก็ดี ที่สำคัญมันก็ออกจะดัง ทั้งเรื่องหน้าตาและนิสัยที่ดี เอ่อ ถึงผมจะรู้ว่ามันเฟคก็เถอะ แต่การที่มันมาทำตัวติดกับผมแบบนี้ ชีวิตในมหาลัยของมันอาจจะพลาดสิ่งดีๆ ไป

"มีผักติดหน้าผมเหรอ"เวลหยุดหัวเราะ แล้วสบตาผม และผมก็ตัดสินใจได้เพราะแววตาในตอนนี้ของมันที่ใช้มองผม

“กูตัดสินใจได้แล้ว”

“ครับ?"

“ต่อไปนี้เราเป็นแค่คนไม่รู้จักกันเถอะ”

“...” เวลนิ่งไป ก่อนจะวางตะเกียบลงบนจาน เขาพยายามยิ้มอย่างเคย “ที่จูบเมื่อกี้เป็นการบอกลาสินะครับ”

“อืม ประมาณนั้น”

“ถ้าเราไม่ได้เริ่มต้นแบบนั้น พี่จะยอมเปิดใจไหม” เวลพูดโดยสบตาผม แล้วผมอึดอัดกับสายตาของเขา จนต้องเป็นคนหลบสายตาเอง

“ไม่รู้...รู้แค่” สายตาที่แสดงความรู้สึกออกมาทั้งหมดแบบนี้ ผมไม่ควรได้รับ คนอย่างผมไม่ควรได้รับสิ่งที่คนตรงหน้ามอบให้ “ต่อจากนี้ไป อย่ามาเจอกันอีกเลย”

“ครับ” เขากระตุกรอยยิ้มร้ายให้ผม รอยยิ้มที่ทำให้ผมกลัวกลับมาอีกครั้ง สายตาแบบนั้นก็เช่นกัน









อยากกินหมูกระทะเหมือนกัน
-TBC-


ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 8 (17/9/62)
«ตอบ #8 เมื่อ17-09-2019 18:57:30 »

ตอนที่ 8 ติดเหล้า




“คืนนี้มึงไปเป็นเพื่อนกูนะ”

“เออ”

“ขอบใจ กูนอนละ”

“อืม”

   ผมตอบตกลงไหมอย่างไม่คิดอะไรมากเพราะไหมเพิ่งทะเลาะกับพี่แทน แล้วก็เหมือนทุกครั้ง ดูเหมือนการกินเหล้าจะเป็นหนทางเดียวที่ไหมเลือกใช้ในการหลีกหนีกับปัญหาความรักของตัวเอง

   ดูก็รู้ว่าเมื่อคืนไหมร้องไห้มาหนักแค่ไหน ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ใส่แว่นมาเรียนแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าการที่ชวนมันมาเป็นเพื่อนจะเป็นการรบกวนมัน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่โทรไปอ้อนมันให้มากับผมวันนี้อย่างนั้นและเมื่อคืนมันก็ไม่ได้บอกผมว่ามันทะเลาะกับพี่แทนด้วย กว่าผมจะรู้ก็ตอนเห็นสภาพอิดโรยของมันแล้ว ผมถอนหายใจและถอดเสื้อแขนยาวของตัวเอง ห่มให้ไหมที่ฟุบตัวลงนอนกับโต๊ะเลกเชอร์

   ที่ผมอยากให้ไหมมาด้วยวันนี้เพราะวันนี้เป็นวันนำเสนองานมิดเทอมครับ ซึ่งแน่นอนว่าผมกับเวลเป็นคนนำเสนอด้วยกัน ถึงมันจะหายไปครบอาทิตย์แล้วแต่ผมก็ยังอยากให้ไหมมาเนเพื่อน อย่างน้อยถ้ามันเข้ามาคุย ผมก็จะโยนให้ไหม แต่ผิดคาด เวลไม่ได้ทำแบบที่ผมกลัว ดูท่ามันจะยอมแพ้เรื่องผมไปจริงๆ ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว

   การนำเสนองานจบลง ทุกอย่างออกมาได้ดีตามสคริปต์และเนื้องานที่เราวางแผนไว้ น้องในกลุ่มรู้สึกดีใจที่ได้รับคำชมจากอาจารย์และผมก็ดีใจมากเหมือนกัน ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นผมก็แทบจะไม่เคยได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มแบบนี้เลย กลุ่มของเราผ่านไปด้วยดีและระยะห่างของผมกับเวลก็เช่นกัน

“พี่น่ารักคะ ทำไมไม่ไปนั่งด้วยกันล่ะ”

“อ๋อ แพรไม่ค่อยสบายน่ะ กลัวพวกฟ้าติดหวัดเอา” ผมตอบน้องฟ้าที่เดินมาหาผม ในช่วงที่อาจารย์ให้พักก่อนกลุ่มต่อไปจะนำเสนองานต่อ ขอโทษที่ต้องโกหกนะน้องฟ้า “เย็นนี้...พี่ก็คงไม่ได้ไปฉลองด้วยแล้ว ขอโทษด้วยนะ”

“อ่า ไม่เป็นไรค่ะ” น้องฟ้าทำท่าอึกอัก ก่อนจะยกมือไหว้ผม “ยังไงก็ขอบคุณพี่น่ารักนะคะ”

“เฮ้ย ไหว้ทำไม ไม่ต้องขอบคุณหรอก เราอยู่กลุ่มเดียวกันก็ต้องช่วยกันสิ”

“ค่ะ ยังไงต่อไปนี้ พี่น่ารักก็คุยกับพวกเราได้เหมือนเดิมนะคะ”

“โอเค ขอบคุณเหมือนกันนะ”

“ค่ะ”

   ต่อไปนี้จะคุยเหมือนเดิมได้ยังไง ผมมองตามน้องฟ้าที่เดินกลับไปนั่งที่หลังห้องเหมือนเดิม ตรงนั้นยังมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ เวลยิ้มและหัวเราะกับเพื่อนอย่างสดใสอย่างที่ควรจะเป็น ใช่...มันควรที่จะเป็นแบบนี้

   ผมหันกลับมาในตอนที่เวลกำลังจะหันมาทางผม เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ที่ผ่านมาทั้งหมดผมจะคิดว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น ต่อจากนี้เราไม่รู้จักกันแล้ว ต่อจากนี้ผมแค่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ หลังจากแก้อีวิชานี้จบ ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นปกติ ผมกับเขาจะไม่เจอกันอีก ดีแล้ว ผมก็จะกลับไปเป็นลูกที่น่ารักของสุดสวย มีเพื่อนสนิทที่ชื่อไหมม่อย ไม่ต้องมีความพิเศษกับใคร เป็นแค่ไอ้น่ารักคนธรรมดาคนเดิมคนหนึ่ง


.

.

   แต่ดูเหมือนความตั้งใจทั้งหมดของผมจะพังลง หลังจากที่ผมและต้นลากไหมออกมาจากร้านเหล้าร้านเดิม ตอนผมประคองให้ไหมนอนลงเบาะหลัง ก็มีคนอีกคนที่เปิดรถมานั่งข้างคนขับแทนที่ต้น

"เฮ้ย อะไรวะ”

“อะไรวะมึง” ผมถามก่อนจะเดินอ้อมไปหาต้นที่ตะโกนใส่คนที่นั่งอยู่ในรถ พอผมเห็นคนที่นั่งอยู่เบาะหน้าของตัวเอง ผมถึงกลับปวดหัวจี๊ดเลยครับ “วะ เวล”

“อ้าว รู้จักกันเหรอ”

“อะ เออ ประมาณนั้น”

“งั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่อยู่กันสองต่อสองกับไหม” ต้นพูดแล้วปิดประตูรถผมอย่างหน้าตาเฉย ก่อนจะใช้นิ้วโป้งชี้ไปด้านหลังที่มีผู้หญิงผมสั้นหน้าตาหมวยๆ ยืนกอดอกมองอยู่ คงจะเป็นแฟนมันที่มันเล่าให้ผมฟัง “โทษทีนะ กูต้องไปแล้ว เมียตามแล้วว่ะ”

“เออๆ” มันวิ่งออกไปหาแฟนมันแล้ว ทิ้งให้ผมอยู่กับตัวภาระทั้งสอง

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับ ในตอนแรกต้นก็จะไม่กลับด้วยอยู่แล้วครับเพราะมันมากับแฟน ผมยังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับ ก็มีตัวภาระอีกตัวมาเพิ่มอีก ผมหันไปมองไอ้ตัวเหม็นเหล้าหึ่งที่หลับอยู่ข้างๆ อย่างหงุดหงิด นี่มันอะไรกันเนี่ย

   ไม่รู้มันตั้งใจจะทำอะไร แต่ผมก็ขยับไปใกล้เขา เพื่อจะคาดเข็มขัดนิรภัยให้ จริงอย่างที่ต้นว่าอยู่สามคนไหมก็เสี่ยงที่จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านได้น้อยกว่า เรื่องน่าเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้คือผมจะแบกไอ้คนตัวใหญ่นี่ขึ้นหอยังไง ผมดึงสายเข็มขัดนิรภัยออกมากำลังจะถอยออกห่างจากเขา แต่แล้วจังหวะนั้นเองที่ใบหน้าเราอยู่ใกล้กัน เขาก็ลืมตาขึ้นมาสบตากับผม ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ เผลอปล่อยสายเข็มขัดและกระเด้งตัวออก แต่เวลไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เขารั้งเอวผมไว้ให้เราใกล้ชิดกัน

“ปล่อย”

“ผมเมา” เวลพูดเสียงแหบพร่ากระซิบบอกใกล้ริมฝีปากผม

“ตอแหล กูรู้ว่ามึงไม่เมา” ผมว่า แล้วเอามือดันหน้าเขาออก

“ใช่”

“ปล่อย แล้วลงไป”

“ไม่ลง”

“เวล!” ผมตะคอกเสียงดังทั้งที่เราจ้องหน้ากันใกล้ๆ จริงๆ คือผมแทบจะนั่งเกยอยู่บนตักเขาอยู่แล้ว

“ผมชอบเวลาพี่เรียกชื่อผม”

“เราตกลงกันแล้วไง ช่วยทำต่อจากที่ผ่านมาได้ไหม”

“...พี่น่ารัก”

“...”

“ผมบอกแล้วไงว่าผมจะทำให้พี่ลืมไม่ลง”

“ออกไป” ผมหลับตาพูดอย่างหมดแรง รับรู้ถึงลมหายใจร้อนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้หลบแค่หลับตา ไม่รู้ทำไม บางที่ผมอาจจะเหนื่อยที่จะวิ่งหนีแล้ว

“อืม ปวดหัว” ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อไหมที่นอนอยู่เบาะหลังเริ่มขยับตัว ผมลืมตาแล้วผลักเวลออกกลับไปนั่งที่เบาะคนขับดีๆ

กึก

   เสียงคาดเข็มขัดนิรภัยดังขึ้น ทำให้ผมหันไปมองคนข้างกายอย่างหงุดหงิด พอได้สบตากับเวล ผมก็รู้แล้วว่าเวลจะไม่ยอมลงจากรถผมจริงๆ ผมกำลังจะไล่เขาอีกรอบ แต่ไหมดันโวยวายขึ้นมาอีกรอบจนผมต้องหันไปปลอบมันและเพราะการแต่งตัวที่
ค่อนข้างโป๊ของไหม ผมเลยต้องถอดเสื้อแขนยาวของตัวเองไปคลุมไหมไว้

“เป็นห่วงกันดีจังครับ”

“เดี๋ยวไปส่ง บ้านอยู่ไหน”

“เหอะ” ผมหันไปสบตากับคนที่ส่งเสียงหัวเราะแบบนั้นใส่ผม

“ถ้าไม่บอกก็ลงไป”

“คอนโดxxx แถวxx” น่าแปลกที่เขายอมบอกที่อยู่มาดีๆ “ทำไมไม่ไปส่งพี่แพรก่อนครับ”

“เอ่อ”

“หรือจะกลับไปนอนหอด้วยกันครับ”

“เรื่องของกู”

“ถ้าใครรู้คงพูดไปถึงไหนต่อไหน ว่าพี่แพร...”

“กูกับไหมเป็นเพื่อนกัน”

“เหรอครับ คนอื่นคงไม่คิดแบบนั้น” เวลเงียบไป ส่วนผมก็เริ่มกังวลใจ เพราะเป็นอย่างที่เด็กเวรนี่พูด คนเรายิ่งชอบนักเรื่องแบบนี้และคนที่ซวยที่สุดก็คงไม่พ้นไหมที่ดันเป็นผู้หญิง “ค้างที่คอนโดผมก็ได้”

“...”

“ผมหมายถึงพี่ทั้งสองคน”

“กู...กู...”

“ไม่ต้องคิดมาก แค่ครั้งนี้ ผมจะไม่ผิดข้อตกลงของเราอีก”

   แล้วทั้งรถก็เงียบไป ผมไม่ได้หันไปมองหน้าคนนั่งข้างกันเพราะต้องขับรถ ในกลางดึกแบบนี้ถนนนั้นค่อนข้างโล่งจึงทำให้ผมไม่สามารถหันไปมองใบหน้าเขาได้ ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาจะแสดงสีหน้ายังไง ตอนพูดว่าจะทำตามข้อตกลงและไม่รู้เลยว่าเขามองผมอยู่รึเปล่า

“ละ แล้วทำไมวันนี้ถึงทำแบบนี้ มายุ่งกับกูทำไม”

“ผมคิดถึงพี่”

“โกหก”

“คิดถึงจริงๆ”

“...”

“วันนี้กลุ่มเรามาฉลองกัน...”

“เหอะ เลยคิดถึงว่างั้น คิดไม่ถึงว่าลูกไม้มึงจะตื้นขนาดนี้อะเวล”

“เปล่าเพราะวันนี้เรามาฉลองกัน เพราะคนเยอะ แต่ไม่มีใครพูดตรงๆ กับผมเลยสักคน”

“...”

“แต่ผมก็ว่าพวกเขาไม่ได้หรอกครับ พวกเขาทำถูกแล้ว”

“ทำไม ชอบให้ด่าว่างั้น”

“คงจะใช่ คำด่าของพี่ก็ดีกว่าคำพูดตามมารยาทไร้ความจริงใจพวกนั้น”

“มึงต้องลองมาอยู่กับคำด่าเยอะๆ แล้วมึงจะคิดถึงคำพูดหวานหูพวกนั้น”

“...”

“ถึงแล้ว” ผมหันไปสบตากับคนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว “มีที่ว่างให้จอดใช่ไหม”

“ครับ”

   ช่วยไม่ได้ที่ผมจะใจอ่อนเพราะประโยคนั้นของเขา ผมเข้าใจมันดี การเหงาทั้งที่มีคนรายล้อมรอบกายมันทรมานแค่ไหน ทั้งที่คนรายล้อมแต่กลับไม่มีใครมองเห็น มันว่างเปล่าแค่ไหน ผมสบตากับเขาอีกครั้ง แววตาเวลที่มองมายังคงแสดงความรู้สึกอย่างชัดเจน เหมือนผมยืนอยู่ระหว่างเส้นที่เคยขีดไว้ ผมจะเชื่อสายตาเขาได้แค่ไหนกัน ถ้าผมปล่อยความรู้สึกผมไป ผมจะไม่เจ็บเหมือนที่ผ่านมาใช่ไหม

“มึงอุ้มแพรนะ เดี๋ยวกูช่วยเปิดประตู”

“ครับ!” แววตาระยิบระยับของคนตรงหน้า เป็นดวงดาวหรือเศษแก้วที่จะทำให้ผมเจ็บกันนะ


.

.


   เวลวางไหมลงบนเตียงขนาดใหญ่ แล้วหันมามองผมเหมือนจะถามว่าจะทำยังไงต่อ ผมเลยเดินไปดึงผ้าห่มที่อยู่ปลายเท้าไหมมาคลุมร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่ ก่อนจะดึงแขนหมาตัวใหญ่ให้ตามผมออกมานอกห้องนอน

“ขะ ขอบคุณนะ”

“ผมนึกว่าจะไม่ได้ยินคำนี้แล้ว” เวลยิ้มแล้วดึงแขนให้ผมเข้าไปใกล้ แล้วโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ผมชะงักไปแต่ก็ไม่ได้หลบ ตอนแรกผมนึกว่าจะจูบผม แต่เขาแค่สบตาผมเท่านั้น “คืนนี้จะค้างกับผมใช่ไหม”

“อะ อืม ถอยไปหน่อย”

“ทำไมผมเหม็นเหล้าเหรอครับ”

“อืม”

“เขินล่ะสิ”

“เขินพ่อง”

“ฮ่าๆ”

“อยากอาบน้ำ”

   ผมสะบัดแขนตัวเองออก แล้วถอยหลังหนีคนตัวสูงกว่า เวลยังขำผมอยู่แต่ก็ยอมถอย เขาเดินไปในห้องนอนที่ไหมนอนอยู่ ไม่นานเขาก็ออกมาพร้อมผ้าขนหนูและชุดนอนในมือ ก่อนจะชี้ไปที่อีกประตูหนึ่งที่อยู่ข้างห้องนอน

“นั่นห้องน้ำครับ ส่วนแปรงสีฟันอันใหม่อยู่ลิ้นชักใต้อ่างล้างมือ”

“ขอบใจ”

   ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำอย่างไม่คิดอะไรมาก จะว่าไปห้องเด็กเวรนี่ก็สะอาดดีเหมือนกัน ขนาดห้องก็พอๆ กับของผมมีแยกห้องนอนกับห้องนั่งเล่นเป็นสัดส่วนแต่อยู่ใจกลางเมืองขนาดนี้ราคาคงไม่น้อยเลย

   ผมใส่ชุดนอนสีครีมแขนสั้น ที่เป็นแบบกระดุมหน้าด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเพราะกลิ่นของเวล...เหมือนผมกำลังโดนกอดเลย ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ แล้วออกจากห้องน้ำ ผมเดินลากขากางเกงที่ยาวลากพื้นไปใกล้คนที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างโซฟา

“พี่นอนบนโซฟานะ”

“ไม่เอา ไม่ต้องดูแลกูเหมือนสาวน้อยได้ไหม”

“ผมไม่ได้ทำแบบนั้น แค่กลัวพี่ปวดหลัง”

“กูไม่ปวด กูนอนพื้นได้”

“ผมก็นอนพื้นได้” ผมจ้องหน้าคนที่เถียงผมอย่างหงุดหงิด

“งั้นก็นอนพื้นกันทั้งคู่นี่ล่ะ อย่าเห็นมึงขึ้นไปนอนบนโซฟาล่ะ” ผมพูดแล้วดึงที่นอนที่อยู่บนโซฟามาปูข้างที่นอนที่ปูอย่างดีแล้วบนพื้น  เสร็จแล้วก็พุ่งตัวลงที่นอนที่อยู่บนพื้นมองคนที่ยืนอยู่อย่างผู้ชนะ “ทำไมจ้องหน้ากูทำไม”   

“พี่จะพับขากางเกงไหม ผมกลัวพี่จะสะดุดล้ม”

“ไอ้เวร!”

“ฮ่าๆ”

   เวลขำเสียงดังและวิ่งหลบฝ่าเท้าผมเข้าห้องน้ำไปอย่างหวุดหวิด ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงน้ำกระทบกับพื้นดังออกมาจากห้องน้ำเขาคงอาบน้ำอยู่ ผมเลยถือวิสาสะเดินเข้าไปดูไหมในห้องนอนเวลอีกรอบ นอกจากตียง โต๊ะคอมและตู้เสื้อผ้าแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมต้องอยากรู้อย่างเห็นเรื่องของมันด้วย

   ผมสะบัดหัวกับความคิดเพ้อเจ้อของตัวเอง แล้วเดินไปดูไหมที่หลับเหมือนตายอยู่บนเตียงเด็กนั่น จะว่าไปเวลก็ใจดีมากเหมือนกันที่ให้คนไม่สนิทเข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวขนาดนี้ ใจดีไปทั่วจริงๆ เป็นผมนะจะกองไหมไว้หน้าห้องให้เข็ด ผมดึงผ้าห่มให้คลุมตัวไหมดีๆ แล้วเดินออกไปนอกห้องนอน

“เปิดประตูไว้ได้ไหม เดี๋ยวมันอาละวาดจะได้เข้าไปดูทัน”

“ได้ครับ” ผมชะงักไปเมื่อเห็นมันออกจากห้องน้ำทั้งที่มีแค่ผ้าขนหนูพันที่เอวอยู่ผืนเดียว

“ไปใส่เสื้อผ้าไป อุจาดลูกกระตา” ผมปัดมือไล่มันแล้วไปนั่งลงบนที่นอนที่อยู่บนพื้น

“อิจฉาซิกแพคผมอะดิ” มันเดินยิ้มเข้ามาหยุดยืนใกล้ผมที่นั่งอยู่ โอ้โห ไม่ใช่ซิกแพคแล้วที่อยู่หน้าผมในตอนนี้

“เฮ้ย ออกไปห่างๆ” ผมเอนหัวหลบคนที่ยิ้มกวนตีนให้ผม

“เป็นไง สุดยอดเลยดิ” มันเสยผมแล้วจับขอบผ้าทำท่าจะดึงออก แค่นั้นล่ะครับ ผมก็จับหมอนฟาดเข้าเต็มๆ เต็มอะไรนั่นเหรอครับ อย่างผมน่ะ ไม่ฟาดซิกแพคมันหรอก คนอย่างมันต้องฟาดงูเท่านั้น

ตุบๆๆ

“โอ๊ย พี่รัก ยอมแล้วๆ เดี๋ยวจุก”

“ไปใส่เสื้อผ้า!”

“ไปแล้วๆ”

   กว่าจะได้นอน ผมกับเวลก็รบกันอีกรอบเรื่องที่นอน รอบนี้ไม่ได้เถียงกันเรื่องนอนพื้นหรือโซฟาครับ เถียงกันเรื่องใครจะนอนติดโซฟา ด้วยความอยากเอาชนะกันทั้งคู่เลยไม่มีใครอยากนอนติดโซฟา ด้วยกลัวโดนอีกฝ่ายข่มว่าจะแอบไปนอนบนโซฟาตอนที่อีกคนหลับ ผลสรุปของเรื่องนี้เลยกลายเป็นนอนหันหัวไปให้โซฟาครับ

“พี่น่ารัก”

“อะไร จะทะเลาะกับกูยันสว่างเลยไง”

“เปล่า ผมแค่...”

“รอบนี้มึงอยากชนะอะไร มึงชนะแล้วเวล” ผมว่าเสียงอ่อนแล้วหันหลังให้คนที่นอนข้างกัน “กูยอม จะทำไรก็ทำ กูง่วง”

“...” เวลเงียบไป

   ผมก็นึกว่ามันยอมแพ้และหลับตานอน แต่เปล่าเลยมือใหญ่ดึงแขนผมให้นอนหงายแล้วเวลก็ขึ้นมาคร่อมทับผม ถึงแม้จะปิดไฟแต่แสงไฟจากระเบียงก็ทำให้ผมเห็นหน้าคนที่นอนทับผมอย่างชัดเจน แววตาระยิบระยับของเขาทำลมหายใจผมสะดุดไป

“หยุดแค่นี้เวล”

“พี่บอกจะทำไรก็ทำ”

“อย่ามาเล่นลิ้น”

“ยังไม่ได้เล่นเลย” แววตาเจ้าเล่ห์ที่มองมาที่ริมฝีปากผมทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด

“กูเป็นเกย์”

“ผมรู้”

“...รู้แล้ว?” เป็นผมที่ชะงักไป คำว่าเกย์ที่หลุดออกไปนั้น เป็นไพ่ใบสุดท้ายของผมเพราะผมก็ทนกับความรู้สึกของตัวเองทุกครั้งที่ใกล้กับมันจะไม่ไหวแล้ว “ถ้ารู้ ก็พอได้แล้ว”

“ผมรู้”

“...” ผมมองคนที่เกลี่ยแก้มผมด้วยรอยยิ้ม ถ้านี่เป็นรอยยิ้มที่เสแสร้งของเขา ครั้งนี้เขาก็ทำได้แนบเนียนมาก ใจผมเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้เพราะสัมผัสเราที่แนบชิดกัน ความรู้สึกที่ผมกดไว้กำลังจะทะลายออกมา

“ผมรู้ดีและตอนนี้ผมอยากจูบพี่” เขาทำอย่างที่พูดโดยที่ผมยังมึนงงๆ ปากร้อนกดจูบลงมาที่ปากผมและผละออกไป

“พี่เป็นผู้ชายคนแรกที่ผมอยากทำแบบนี้ด้วย”

“…” ผมนอนนิ่ง จ้องตาเขาที่กำลังพูด ไม่มีแววว่าเขาจะโกหกนั่นทำให้ความรู้สึกของผมยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก

“ถ้าพี่อยากจะกลับไปเป็นคนไม่รู้จักกันอีก พี่แค่ผลักผมออก”

“...” ถ้าผมยอมรับความรู้สึกของผมตรงๆ

“วิ่งหนีออกไป”

“...” ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือผมหวั่นไหวกับทุกอย่างที่เป็นเวล

“พี่เข้าใจใช่ไหม”

“...” และตอนนี้มันกลายเป็นคำว่าชอบไปแล้ว “เข้าใจ”

   ผมชอบเขา...ผมใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบลำคอเขาและดึงให้เวลเข้ามาใกล้ ริมฝีปากเราสัมผัสกัน เหมือนกับน้ำมันที่เจอไฟ เราบดเบียดเข้าหากันอย่างรุนแรง เสียงสัมผัสเสื้อผ้าที่สูสีกัน ทำให้ความร้อนในร่างกายผมเพิ่มขึ้น เสียงจูบดูดดึงในปากของเราดังไปทั่ว ผมทั้งหลง ทั้งมึนเมาไปกับสัมผัสนี้ ชอบ...ผมชอบเขาจริงๆ

“อืม”

   ผมครางในลำคออย่างผมใจ ตอนที่มือร้อนลูบวนที่หน้าท้องน้อยผมและผมก็สัมผัสกล้ามเนื้อที่แน่นตึงที่หน้าท้องเขาคืนอย่างไม่ยอมแพ้ ผมได้ยินเสียงครางพึงพอใจกลับมา ผมถึงกลับหลุดยิ้มทั้งที่ปากเราสัมผัสกันอยู่ เวลผละออกมาจ้องตาผมและหลับตาอีกครั้ง เมื่อปากเราประกบกันอีกครั้ง ผมรู้ว่าเราหยุดสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้แล้ว แต่...

“อีร้าก!” เสียงของคนที่อยู่ในห้องนอนที่ตะโกนออกมาก็ทำให้ผมผลักเวลออก แล้วรีบกระเด้งตัวขึ้นนั่งทั้งที่ยังหายใจหอบหนัก ผมลุกขึ้นยืนงงๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก

   แต่แล้วไฟทั้งห้องก็สว่างขึ้นเพราะเวลเดินไปเปิดมัน ผมรีบจัดเสื้อผ้าให้เป็นปกติ ทั้งที่ร้อนไปทั้งหน้า ในตอนที่จะหันไปมองเวล ไหมก็ถึงตัวผมแล้ว ไหมกำลังร้องไห้ พูดไม่รู้เรื่องแล้วเอาแต่ทุบตีผม ผมจับแขนทั้งสองของไหมไว้แล้วพยายามดันให้ไหมถอนหลังเข้าห้องนอน แต่ไหมกลับสะบัดแขนผมออกและยกมือเล็กนั่นขึ้นมา ก่อนที่จะ...

เพี๊ยะ

   ตบลงมาที่หน้าผมเต็มๆ ผมหน้าหันไปทางเวลที่ยืนอยู่ เวลดูตกใจที่เห็นแบบนั้น เขากำลังจะเดินมาดึงไหมออก แต่ผมก็ยกมือห้ามเขาไว้ ผมดึงไหมให้มาใกล้ ไหมที่ร้องไห้อยู่ขัดขืนผมแต่สุดท้ายผมก็รั้งให้ไหมมาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเองได้

“อีรัก ทำแบบนี้กับกูทำไม” ไหมยังคงพูดเหมือนวันเก่าๆ “รักกูสิ รักกู มึงรักกูแบบเดิมได้ไหม”

“...” ผมได้แต่เงียบหลับตาซบลงที่หัวของไหม ผมเสียใจที่ผมรักเธอไม่ได้อีกแล้วและผมก็พูดเหมือนวันนั้น วันที่เราเลิกกัน “ขอโทษ”

“ฮือ” ไหมร้องไห้ออกมาเสียงดัง มือเล็กของเธอรั้งคอผมเข้าไปใกล้และกดจูบลงมาที่ปากผม ผมเบือนหน้าออก ครั้งนี้ไหมไม่ร้องไห้แต่หัวเราะออกมาและทุบตีผมอีกครั้ง ทุกครั้งที่เมา ไหมจะเป็นแบบนี้เสมอแต่ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าทุกครั้ง ไหมไม่เคยจูบผมแบบนี้

   ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่ไหมเมาและเพ้อถึงเรื่องเก่าๆ เหมือนเธอยังติดอยู่ในวันนั้นแล้วนั่นทำให้ผมทิ้งไหมไม่ได้ ผมเป็นคนทำให้ไหมเป็นแบบนี้และการที่ผมจะโดนทุกคนเกลียดเพราะไหม มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับผม แค่ทำให้ไหมยิ้มและมีความสุขได้ อะไรผมก็ยอม แล้วผมพร้อมจะให้อภัยมันเสมอ แต่จะให้ผมกลับไปรักไหมแบบเดิม ผมทำไม่ได้จริงๆ

   พอไหมร้องไห้จนหลับไปผมพยุงไหมพาไปนอนที่เตียงและห่มผ้าให้เรียบร้อย พออกมาจากห้อง ผมก็สบตาเวลที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ผมชินแล้วกับการเจอแบบนี้ แต่อีกคนที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น

“...ว้าว” ดูท่าจะช็อคไปแล้ว






-TBC-

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 9 (23/9/62)
«ตอบ #9 เมื่อ23-09-2019 17:58:44 »


ตอนที่ 9 ติดบุหรี่



   ผมกับไหมออกจากห้องเวลกันตอนเกือบเที่ยง โชคดีที่ไหมจำอะไรไม่ได้และเอาแต่ขอโทษเวล ซึ่งเวลก็ตอบไม่เป็นไรแล้วยิ้มพระเอกเหมือนทุกครั้ง ก่อนออกจากห้องผมกับเวลสบตากันแต่ต่างคนก็ต่างเงียบและเป็นผมที่หลบตาแล้วรีบเดินออกมา

   ผมขับรถไปส่งไหมที่บ้านอย่างเคย โชคดีที่พ่อแม่ไหมไม่อยู่บ้าน ไหมขอบคุณผมเหมือนทุกครั้งและเข้าบ้านไปตามปกติ แต่ที่น่าแปลกคือตั้งแต่ตื่นขึ้นไหมยังไม่ยอมสบตาผมนานๆ เลยและระหว่างอยู่บนรถก็เอาแต่นอน จนผมไม่กล้าพูดอะไรด้วยเท่าไหร่

   ส่วนเรื่องเมื่อคืนหลังจากที่ผมส่งไหมเข้านอน ผมก็รีบเดินไปนอนบนที่นอนเลย ไม่ได้อธิบายอะไรให้เวลฟังเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ถ้าเขาอยากรู้ ผมก็จะเล่าทุกอย่างให้ฟังแต่การที่เขานอนลงเงียบๆ ข้างผมโดยไม่ถามอะไร ผมก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้อยากรู้เรื่องของผมขนาดนั้น

   ที่สำคัญผมกับเวลเราไม่ได้สนิทกัน ผมแค่ชอบเขา ชอบเวลาที่ได้อยู่กับเขา ผมไม่ได้หวังให้เขามาชอบผมกลับ ผมรู้ว่าผู้ชายแท้อย่างเวลคงแค่อยากสนุกเท่านั้น ถึงแม้แววตาของเขาที่เหมือนจะบอกชอบผมจริงๆ แต่มันอาจจะหมายถึงชอบแบบอื่นที่ไม่ใช่ชอบแบบที่ผมชอบเขา ที่สำคัญคนอย่างเวล เรื่องโกหกน่ะ เขาเก่งจะตาย

   ในตอนที่รถติดระหว่างทางกลับหอพักของผม เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้น ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู เป็นเจ้าของรูปดิสปลาวาฬสีขาวตัวเล็กที่ไลน์มาหาผม ผมกดเข้าไปดูข้อความที่เวลส่งมาและประโยคที่บอกให้ผมขับรถดีๆ นั่นก็ทำให้ผมยิ้มได้เป็นยิ้มแรกของวัน

‘ผมยังคุยกับพี่เหมือนเดิมได้ใช่ไหม’

   ผมมองข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ที่ผมได้รู้ใจตัวเองอย่างแน่ชัดแล้วว่าผมชอบเวล ใจผมยิ่งเต้นแรง...คงไม่เป็นไร ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นและผมพิมพ์ตอบเขาไปด้วยความประหม่า

‘ใครห้ามมึง’

.

.


“รัก กูขอคุยด้วยหน่อยดิ”

“อะ เออ”
   
   ผมเงยหน้ามองไหมแล้วตอบตกลงอย่างตกใจ ที่มันเดินมาหาผมหลังห้องเลกเชอร์แทบจะทันทีที่อาจารย์สอนจบ ผมมองเลยไปด้านหลังไหมก็เห็นพวกเพื่อนคนอื่นมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์แล้วเดินออกไป

   เราเดินออกมาตรงทางหนีไฟที่ไร้ผู้คน ความเงียบของไหมทำเอาผมทำตัวไม่ถูกทั้งวันนี้ แล้วก็เมื่อวานเพราะหลังจากที่ผมไปส่งไหมที่บ้านแล้วไหมก็เงียบหายไปเลย ไม่ไลน์และไม่โทรหาผมเลย มันแปลกไปจนผมทำตัวไม่ถูก

“เรื่องเมื่อคืน...”

“ไม่เป็นไรเว้ย กูก็ตามเก็บศพมึงแบบนี้เป็นปกติแล้วปะ” ผมพูดไปหัวเราะไป พยายามแก้บรรยากาศน่าอึดอัดของเราให้เป็นเหมือนเดิม

“ขอโทษที่ตบหน้ามึง”

“....ไหม” เป็นผมที่เงียบไปแล้วสบตากับไหมที่เริ่มมีน้ำตาคลอ

“กูขอโทษ แต่กูเลิกรักมึงไม่ได้เลยรัก ฮึก”

“กู...กู” ผมลนลานทำอะไรไม่ถูกที่ จู่ๆ ไหมก็ร้องไห้ ถึงจะพอรู้อยู่บ้างว่ามันยังไม่ลืม แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นหนักขนาดนี้ “มึงอย่าร้อง”

“ทำไมถึงเป็นกูไม่ได้...รัก”

“แพร กูขอโทษ” ผมหลบตาและลดมือที่จะจับไหล่มันลงข้างตัว

“เออ กูรู้ กูแค่เจ็บ”

“ขอโทษ” ผมไม่ได้ดึงมันมากอดหรือลูบหัวอย่างเคย เพราะไม่อยากให้ความหวังมัน ผมทำแค่ยืนอยู่ตรงหน้ามันและพูดไปอย่างจริงใจ “มึงก็รู้ ว่ากู... กูขอโทษจริงๆ”

“ฮึบๆ...” ไหมพยักหน้ารัวๆ แล้วหลบตาผม ปาดน้ำตาตัวเองแล้วหายใจเข้าลึกๆ มันเงยหน้ามาสบตาผมด้วยแววตาเจ็บปวดแต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็ตบหัวผมอย่างที่เคยทำ ผมรู้ว่ามันพยายามยิ้มและหัวเราะให้ผมเหมือนเดิม “ถือซะว่ากูเมานะมึง ลืมๆ ไปเถอะ เดี๋ยวกูเลี้ยงชาบูล้างความจำมึงเอง”

“...เออ”

“กูแค่สับสนว่ะ เพราะทะเลาะกับพี่แทนมั้ง ฮ่าๆ” มันฝืนยิ้มมองผมด้วยตาที่แดงก่ำ “ไปกินชาบูกัน กูหิวแล้วเนี่ย

“...อื้ม มึงเตรียมจนได้เลยคุณหนูแพรไหม”

“เหอะ”

   ผมมองไหมที่กอดคอผมแล้วออกแรงให้ผมเดินตามมันไปยังลิฟต์ ถึงแม้ใบหน้าของแพรไหมยังคงมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันสวยน้อยลง ผมจะไม่ขอเป็นคนเช็ดน้ำตาให้มัน แต่ผมจะเป็นคนที่คอยยืนอยู่ข้างมัน ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีและภาวนาให้มันได้พบคนดีๆ ที่เหมาะสมจะเป็นคนเช็ดน้ำตานั้น ถึงวันนั้นผมคงมีความสุขไม่แพ้มันเลย

“ขอบใจนะ ที่ดีกับกูเสมอ” ผมพูดออกไปด้วยใจจริง เพราะขนาดผมทำให้มันเจ็บขนาดนี้ มันยังอยู่ ยังยอมเป็นเพื่อนกับคนนิสัยไม่ดีอย่างผม

“อะไร เน่าว่ะ” มันหันมายิ้มก่อนจะเดินนำเข้าลิฟต์ไปก่อนผม “มึงเป็นเพื่อนกู ไม่ให้ดีกับมึงจะให้ดีกับใคร”

“เออ ไหมม่อย” ผมเดินเข้าไปผลักหัวมันเล่น ก่อนจะโดนทุบแขนคืนและเราก็หัวเราะกันเสียงดังลั่นลิฟต์



.

.

ครืด ครืด

“ฮะ ฮัลโหล” ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา แล้วเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่สั่นอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง มากดรับทั้งที่หลับตาอยู่ “มีไร นอนแล้วเนี่ย”

“ไอ้รัก!” เสียงทุ้มของต้นที่ผมคุ้นเคยทำให้ผมยอมลืมตา “ไหมมันเมาเละเลย มาช่วยกูหน่อย”

“ฮะ” ผมลุกขึ้นมานั่งทันทีด้วยความร้อนใจ ไหมมันไม่เคยไปเที่ยวโดยไม่บอกผมแบบนี้มาก่อน “เออๆ เดี๋ยวรีบไป”

“ร้านเดิมนะ”

“โอเค ฝากมึงดูแลมันก่อนนะ”

“เออ รีบมา”

   ผมขับรถไปที่ร้านประจำของไหมด้วยใจที่ร้อนรน เพิ่งรู้ว่ารีบแค่ไหนก็ตอนก้มมองสภาพตัวเองระหว่างรถติดไฟแดง ผมรีบจนลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองอยู่ในชุดนอน เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวลายสก็อตสีดำ อ่า ผมคงไม่กล้าลงไปแน่ๆ ผมเลยไลน์บอกต้นให้มันมารอแถวฟุตบาทด้านนอกร้าน

   ทั้งที่เมื่อตอนเย็นผมกับไหมเรากลับไปเป็นปกติแล้ว ทำไมไหมยังเป็นแบบนี้ ยังไม่ได้คำตอบของเรื่องนี้ ผมก็เจอต้นที่ประครองไหมอยู่ริมฟุตบาท ผมเลยตบไฟรถไปใกล้ฟุตบาทที่ต้นยืนอยู่ ต้นเปิดประตูรถแล้วประครองให้ไหมนอนลงที่เบาะหลัง ผมลดกระจกบอกขอบคุณมันกับแฟนมันที่ช่วยดูแลไหม และโทรหาใครบางคน

“ฮัลโหล อยู่ไหน”

“ผมอยู่คอนโด”

“แพรเมาอีกแล้ว ไปหาได้ไหม”

“...ผมจะรอ”

   ผมขับรถไม่นานก็มาถึงหน้าคอนโดที่ผมเพิ่งมาเมื่อวาน เวลลงมาช่วยผมอุ้มไหมและวางไหมให้นอนลงบนเตียงเหมือนเดิมกับเมื่อวานเป๊ะๆ ต่างกันที่วันนี้เวลไม่ได้เมาแล้วยังอยู่ในชุดนอนลายสก็อตสีน้ำเงิน

“เฮ้อ ขอบใจมึงมากนะ” ผมถอนหายใจด้วยความเกรงใจและหันไปขอบคุณเวลที่ช่วยเป็นภาระ ดูเหมือนเด็กนั่นนอกจากจะไม่เป็นไรกับการรบกวนของผมแล้ว มันยังแสดงออกว่าดีใจจนผมรู้สึกหมั่นไส้ “กูมารบกวนมึงเนี่ย ยิ้มอะไร”

“ไม่เห็นรบกวนไรเลย” เวลยิ้มเหมือนหมาโกลเด้นท์ให้ผม ก่อนจะถามผมอย่างร่าเริง “พี่หิวไหม”

“อะ อืม” ถึงจะเกรงใจ แต่เรื่องกิน ผมไม่ขอปฏิเสธ

“มาม่าได้แล้วครับ” ผมมองคนที่เดินยิ้มถือมาม่ากระป๋องสองถ้วย เดินมาหาผมที่นั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขกอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้มันจะทำหน้าดีใจอะไรขนาดนั้น

“ขอบใจ” ผมรับมาม่ามากิน เวลนั่งลงข้างผม แล้วเราก็นั่งกินข้างกันบนโซฟาเงียบๆ พอกินเสร็จ ผมก็ชี้ไปที่พื้นที่มีที่นอนปูไว้สองที่ “ปูไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่พี่โทรมา”

“ขอบใจ” ผมว่าเงียบๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปแปรงฟันเพื่อเตรียมตัวนอน โชคดีที่เวลยังไม่ได้เอาแปรงที่ผมใช้เมื่อวานไปทิ้ง

“แปรงด้วยดิ”

“รอให้กูแปรงเสร็จก่อนไม่ได้ไง”

   เวลไม่ตอบแต่เข้ามายืนซ้อนด้านหลังผมและแปรงฟันไปพร้อมกับผม ผมมองคนที่สูงกว่าผ่านกระจกด้วยใจที่เต้นผิดจังหวะ ไอ้สายตาที่ระยิบระยับนั่นที่สบตาผ่านกระจกอยู่ในตอนนี้ มันทำให้ผมใจเต้นดังกว่าเดิม ผมน่ะ...แพ้เขาจริงๆ ผมชอบเขาจริงๆ

   หลังจากบ้วนปากเสร็จผมก็เบียดคนตัวใหญ่กว่าออกมา แล้วกระโจนลงที่นอน เวลเดินไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนข้างผม เหตุการณ์วันนี้เหมือนกับผมเดจาวูเลย ผ่านไปไม่ถึงวันผมก็มานอนข้างเขาอีกจนได้ ผมล่ะ อยากตะโกนใส่ไหมชะมัดว่าเลิกไปเมาสักที ผมจะเป็นโรคหัวใจวายตายอยู่แล้ว

“พี่น่ารัก”

“หือ” ผมขานรับคนที่นอนอยู่ข้างกัน

“พี่รู้ไหมว่าผมดีใจแค่ไหน ตอนพี่ตอบแชทผมแบบนั้น”

“กูจะไปรู้เหรอ” ผมตอบเสียงแข็งท่ามกลางความมืด

“วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง”

“หนักเหมือนเดิม”

   ผมตอบแล้วหันเข้าหาคนที่นอนอยู่ไม่ไกลผม ผมมองเวลที่มองผมอยู่ก่อนแล้วผ่านความสว่างของแสงไฟจากด้านนอกระเบียงที่ส่องเข้ามา เขายิ้มกว้างเมื่อผมสบตากับเขา มือใหญ่ดึงมือผมไปวางไว้บนอกเขาและกุมมือผมไว้ หัวใจเขาเต้นแรง...ไม่ต่างจากผมเลย

“ผมอยากไปนั่งเรียนด้วย”

“ไม่ต้องมาเลย ปีหนึ่งอะ ตั้งใจเรียนแล้วทำเกรดสวยๆ”

“ครับ พี่ปีสอง”

“เหอะ” ผมเบ้หน้าแล้วหันหน้าหลบสายตาเขา ผมมองมือตัวที่โดนเขากุมไว้ที่ยังวางอยู่บนอกของเขา “แล้วมึงมีเพื่อนยัง”

“...” เวลไม่ตอบแต่กลับเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย ไม่ยอมมองหน้าผมเหมือนเคยแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือผม “ก็มีแต่ไม่สนิท”

“กูบอกมึงแล้วไง ถ้าอยากมีเพื่อนจริงๆ ให้เลิกวางตัว มึงให้ใจกับคนอื่นก่อนเขาก็ให้ใจมึง”

“ไม่เห็นจะจริง พี่ไม่เห็นพี่จะให้ใจผมเลย”

“ตลก” เป็นผมที่เผลอหายใจสะดุดกับคำหยอดของเขา ผมดึงมือตัวเองออกจากมือเขาก่อนจะพลิกตัวนอนหงายบ้าง “เอาไปหยอดแฟนมึงไป”

“ผมไม่มีแฟน” ผมรับรู้ได้ว่าเวลหันมามองผม “แต่มีอยู่คนนึง ที่ผมกำลังจีบอยู่”

“อ่อ เหรอ” แต่ผมไม่หันไปหรอก ตอนนี้เพดานน่าสนใจกว่าเขาเยอะ

“ไม่รู้ว่าจะจีบติดรึเปล่า”

“มึงก็ถามเขาดิ มาถามกูทำไม”

“ก็ถามอยู่นี่ไง” ผมสะดุ้งที่จู่ๆ เวลก็ขึ้นมาคร่อมทับผม ผมจะผลักเขาออกแต่มันก็ใช้มือใหญ่กดแขนผมทั้งสองข้างไว้เหนือหัวผม “จูบได้ไหม”

“กวนตีน”

“จูบได้ไหม”

“มึงชอบขออะไรแปลกๆ”

   เวลยิ้มก้มลงมาหาผมและเราก็จูบกัน เริ่มจากการบดเบียดริมฝีปากเข้าหากัน ผมเอียงใบหน้าไปตามสัญชาตญาณ ลิ้นร้อนแตะเข้ากับริมฝีปากผมและเข้ามากวาดต้อนลิ้นผมไปทั่วปาก เสียงดูดดึงของลิ้นดังไปทั่วหัวผมและสัมผัสมือที่วนไปมาที่หน้าท้องผมนั้น ทำให้ผมมึนงง ปั่นป่วนจนหลุดเสียงครางในลำคอ

   เวลดึงเสื้อยืดตัวเองและของผมออก เรากอดกัน จูบและเบียดตัวเราเข้าหากัน ริมฝีปากเวลที่อยู่บริเวณหน้าอกของผมทำผมรู้สึกแปลกๆ เขากดจูบลงที่หน้าท้องผม ก่อนจะวกเข้ามาจูบผมอีกรอบ

   ผมหอบหายใจอย่างหนักต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วเริ่มกลัวเหตุการณ์ต่อจากนี้ อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงหรือความกลัว ทำให้ตอนนี้ผมกำลังน้ำตาไหล ผมเอามือที่กอดคอเวลที่ยังวนเวียนจูบลำคอผม ขึ้นมาเช็ดน้ำตาตัวเองเงียบๆ พอผมเอามือออกก็ต้องชะงักเพราะเวลกำลังมองผมอยู่

“…ทะ ทำต่อดิ” ผมว่าพร้อมใบหน้าที่ร้อนจัด

“หมดอารมณ์ว่ะพี่”

   เขาพูดแบบนั้น แล้วลุกจากตัวผม เขาเดินเข้าห้องนอนตัวเองไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมนอนงงอยู่คนเดียว ไม่นานเวลก็ออกมาเขาเดินมาห่มผ้าให้ผม กดจูบที่หน้าผากผมแล้วเดินออกไปที่ระเบียง ผมกระพริบตาปริบๆ งงว่าตัวเองทำอะไรผิดไป เด็กนี่ถึงเป็นแบบนี้ ผมลุกขึ้นยืนมองไปที่ระเบียงก็เห็นอีกคนยืนหันหลังให้ประตูกระจกและพ่นควันบุหรี่ออกมา

“สูบบุหรี่ด้วยเหรอ ขอบ้าง” หลังจากปิดประตู ผมก็ไปยืนข้างเขา เวลมองผมแป๊บเดียวก็ยื่นบุหรี่ที่ตัวเองสูบแล้วมาให้ ก่อนจะจุดมวนใหม่ขึ้นมาสูบ ผมรับบุหรี่นั้นมาคาบไว้แล้วมองคนที่เอาแต่มองด้านนอกระเบียง “ติดบุหรี่เหรอมึง”

“ไม่ครับ” เวลตอบแล้วพ่นควันสีขาวออกไป “แค่สูบตอนเครียดๆ”

“กูทำให้มึงเครียด?” ผมยิ้มขำแล้วพ่นควันออกไปบ้าง

“ครับ เครียดไปทั้งตัวเลย”

“จริงๆ แล้ว มึงเป็นคนแบบนี้สินะ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะที่คนข้างๆ พูดทะลึ่งตึงตังออกมาหน้านิ่งๆ “เมื่อกี้ที่มึงหยุดเพราะกูร้องไห้เหรอ”

“...” เวลชะงักไปแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “...ถ้าพี่กลัว ผมก็จะไม่ทำ”

“…” ผมไม่ได้พูดอะไรแล้วนึกย้อนเหตุการณ์เมื่อครู่ พอนึกถึงตอนที่เขาเห็นผมร้องไห้แล้วชะงักไป ผมก็หลุดยิ้มออกมา ทำไมผมมองว่ามันน่ารักขึ้นมาวะเนี่ย แย่แล้ว ผมหุบยิ้มไม่ได้เลย “แล้วจริงๆ อยากทำไหม”

“อยากดิพี่”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะออกมาเสียงดังและเราก็สูบบุหรี่กันต่อเงียบๆ

“เรื่องพี่กับพี่แพรไหม เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม” เป็นเวลที่พูดออกมาตอนที่ผมเขี่ยก้นบุหรี่กับราวเหล็กและทิ้งมันลงจานเขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่ที่พื้น ผมหันไปสบตาเขาและเริ่มเล่าทุกอย่างให้เวลฟัง

“มึงว่ากูใจร้ายไหม กูทำถูกรึเปล่า”

“พี่เสียใจไหมที่ตัดสินใจแบบนี้”

“ก็...ถ้ากูยังหลอกไหมต่อไป กูว่ากูคงเสียใจกว่านี้”

“...ผมเชื่อว่าสักวันพี่ไหมจะตัดใจได้”

“หึ” ผมยิ้มกับคำพูดของคนที่ยืนอยู่ข้างกัน พอเราเงียบอีกครั้ง ผมก็เบื่อกับภาพวิวแม่น้ำด้านหน้า เลยหันไปสำรวจรอบระเบียงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่แล้วสายตาผมก็หันไปเจอต้นแคกตัสสองสามต้นอยู่ในกระถางสีชมพูสุดน่ารักที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ข้างกำแพง “ผู้ชายแบบมึงปลูกต้นไม้ด้วยเหรอวะ”

“แฟนเก่าซื้อให้”

“โทษๆ” ผมหันมาโบกมือแล้วยิ้มแฮะๆ อย่างโง่ๆ ใส่เวล เพราะไม่รู้ว่ามันมีความหลังฝังใจอะไรรึเปล่า ผมกลัวทำให้เขารู้สึกไม่ดี แต่ผมคิดผิดเพราะผมดันได้รอยยิ้มกว้างกลับมาแทน

“ไม่เป็นไร มันก็ทนดีนะ ทั้งที่ผมไม่เคยรดน้ำเลย” ผมหันไปมองอีกครั้ง ยังเขียวอยู่ทุกต้นจริงๆ ด้วย

“กูนะ อยากเลี้ยงจะตายแต่ทำไม่ได้”

“ทำไมอะ พี่แพ้ต้นไม้เหรอ”

“ฮ่าๆๆ มึงจะบ้าเหรอวะ” ผมขำแล้วชกเบาๆ ที่อกเปลือยเปล่าของเวล “ก็กูไม่ซื้อสักที จะเลี้ยงได้ไง”

“ก็จริง” เวลตอบแล้วมองผมอีกครั้ง “พี่ไปใส่เสื้อไหม เดี๋ยวผมมีอารมณ์อีก”

“ไอ้นี่” ผมส่ายหัว เท้าแขนกับระเบียงแล้วมองเวลที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว “ถามหน่อยดิ”

“ถามเยอะก็ได้”

“กวนตีน” ผมยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะสบตาเขา “วันนั้นที่ผับ ทำไมถึงจูบกู...ครั้งต่อๆ มาด้วย”

“ครั้งแรก ตรงๆ เลยนะ ผมเมา...แต่พอจูบพี่แล้วก็สร่างเลย” เวลยิ้มแล้วจ้องตาผม ไม่มีแววโกหกในสายตาของเขา “ครั้งต่อๆ มาก็อยากแกล้ง

“...เหอะ”

“แต่เอาจริงๆ นะ พักหลังมานี้ทุกครั้งที่จูบพี่ผมโคตรรู้สึกดีเลย”

“โกหก มึงก็แค่อยาก”

“ผมพูดจริงๆ พี่ไม่รู้สึกแบบนั้นเหรอ”

“ไม่รู้” ผมตอบไปตามความจริง แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำที่ไร้ดาว “มึงเป็นจูบแรกของกู”

“...ขอโทษ”

“ถ้ากูตอบไม่เป็นไร มึงจะจูบกูปะ”

“จูบ”

“...” ผมเงียบไปเมื่อเวลดึงผมไปใกล้ จมูกเราแตะกันเบาๆ ลมหายใจร้อนที่คลอเคลียอยู่บนริมฝีปาก ทำเอาใจผมเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา “ไม่เป็นไร”

   สิ้นประโยคริมฝีปากเราก็ประกบเข้าหากัน มันช่างร้อนแรงจนผมแทบหลอมละลาย ระหว่างเรากลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง ผมก็ไม่รู้ ผมรู้แค่เวลกับผมเราต่างกันและเราก็มีบางอย่างที่เหมือนกันเช่นกัน อย่างที่เขาบอก เราเข้ากันได้ดี นั่นอาจจะเป็นเหตุผลทั้งหมดที่เราจูบกันอยู่อย่างนี้

   เราถอนจูบแล้วซบหน้าผากเข้าหากัน ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะยิ้มอะไรนักหนา ช่วยไม่ได้ที่ผมจะยิ้มตามและเราก็จูบกันอีกครั้ง แล้วคืนนี้ผมก็ได้รู้ว่าจูบที่มีรสชาติของบุหรี่มันเป็นยังไง...ผมว่ามันก็ไม่แย่เท่าไหร่









-TBC-


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รักติดอี ตอนที่ 9 (23/9/62)
« ตอบ #9 เมื่อ: 23-09-2019 17:58:44 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: รักติดอี ตอนที่ 9 (23/9/62)
«ตอบ #10 เมื่อ23-09-2019 20:19:10 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 10 (25/9/62)
«ตอบ #11 เมื่อ25-09-2019 20:50:38 »

ตอนที่ 10 ติดแฟน


“ผมทอดเบคอนให้พี่ด้วย”

“ขอบใจ”

   ผมมองจานอาหารตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่งๆ เพราะนอกจากขนมปังปิ้ง ไข่ดาวกับเบคอนทอดแล้วยังมีแพนเค้กหอมๆ น่ากินด้วย พอเวลนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามผมแล้ว ผมก็เริ่มลงมือกิน คำแรกที่ตักแพนเค้กนุ่มๆ เข้าปากแล้ว ผมแทบร้องไห้เลย ทำไมมันหอมและอร่อยขนาดนี้

   เคี้ยวไปสักพักก็ได้แต่บ่นในใจกับความเพอร์เฟคของคนตรงหน้า นอกจากเวลมันจะหน้าตาดี หุ่นดี เป็นที่นิยมของสาวแท้สาวเทียมแล้ว ยังทำอาหารเก่งด้วย สมกับที่ได้ลงเพจคิ้วท์บอยและได้รับฉายาพระเอกของคณะ ทำไมสวรรค์ถึงได้ลำเอียงขนาดนี้ ตอนสร้างเวลขึ้นมานี่ทำขวดเพอร์เฟคหกใส่รึเปล่านะ

“ร้องไห้ก็ได้นะพี่ ผมรู้ว่าผมทำอร่อย”

“เหอะ” แต่สวรรค์คงใส่ความหลงตัวเองให้มันมาเยอะไปหน่อย ผมทำท่าเบ้ปากใส่คนนั่งตรงกันข้ามแล้วลงมือกินต่อ

“ทำปากยื่นคืออยากได้มอร์นิ่งคิสใช่ไหมพี่”

“อะไร ถ้าเดินมากูเอามีดจิ้มแน่” ผมยกมีดที่ใช้ตัดแพนเค้กขึ้นมาชี้หน้ามันและถลึงตาใส่

“โอเคๆ” เวลยิ้มขำ ยกมือยอมแพ้และลงมือกินต่อ

   นอกจากสวรรค์จะใส่ความหลงตัวเองมาแล้ว ยังใส่ความกวนตีน ขี้เก๊ก ทะลึ่งและหื่น! มาให้มันแบบแทบจะหมดขวด หลังจากที่เมื่อคืนเราจูบกันเสร็จผมก็วิ่งหนีมันไปนอนที่เดิมอย่างรวดเร็วเมื่อมันพูดคำพูดทะลึ่งออกมาพร้อมทำหน้าหื่นใส่

“ครั้งแรกของเราเป็นที่ระเบียงก็ดีเหมือนกันนะพี่”
“ดีที่หน้ามึงสิ!”


   ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นคำพูดไหนเป็นของใคร มันเดินหัวเราะเข้ามาในห้องแล้วนอนลงข้างผมอย่างหน้าตาเฉย แถมยังดึงผมที่นอนคลุมโปงไปกอดไว้ทั้งคืน จนผมนึกว่าตัวเองจะกลายเป็นศพในตอนเช้าซะอีก

“มึงใส่เสื้อให้กูเหรอ”

“ครับ”

“ขอบใจ” ผมมองชุดนอนที่ตัวเองใส่อยู่ ผมรู้สึกขอบคุณที่มันใส่ให้อยู่หรอกนะ แต่นี่มันไม่ใช่เสื้อผม! “เอาเสื้อมึงมาใส่ให้กูทำไมเนี่ย”

“เสื้อพี่มันบาง” เวลยิ้ม ส่วนผมก็เงียบไปเพราะเถียงอะไรไม่ออกกับสายตาที่มองมา

   ผมก้มหน้ากินอาหารต่อ แต่จู่ๆ เวลก็เอื้อมมือมาเช็ดปากให้ผมเบาๆ แล้วดึงมือกลับไปกินอาหารของตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเช็ดปากให้ผมอย่างเป็นธรรมชาติจนผมเผลอใจกระตุก เหมือนผมโดนระเบิด ในหัวเหมือนได้ยินเสียงตู้มเบาๆ ผมยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มแก้เขิน ก่อนจะตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ เพื่อพูดอะไรบางอย่างกับเวล วันนี้เรื่องระหว่างเราต้องเคลียร์

“ฟังนะเวล” ผมวางมีดกับส้อมในมือ แล้วกอดอกมองหน้าคนตรงข้ามด้วยท่าทีจริงจัง หลังจากนอนคิดมาทั้งคืนแล้ว ผมต้องพูดออกไปให้หมด “กูเป็นเกย์”

“...ผมรู้ พี่เพิ่งบอกผมไป” เวลกอดอกแล้วจ้องผมบ้าง

“ใช่ นั่นหมายความว่ากูชอบผู้ชาย” ผมถอนหายใจ แล้วคลายแขนที่กอดอกออกแล้วประสานมือไว้ที่หน้าตักตัวเองแทน “กูหวั่นไหวกับทุกอย่างที่มึงทำ”

“...”

“และเพราะกูเป็นผู้ชายกูเลยรู้ ว่าผู้ชายคิดยังไง” ผมเงยหน้าไปสบตากับเวลที่ยังกอดอกอยู่ “บางทีมึงแค่อยากจะสนุก อยากลองอะไรใหม่ๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้”

“...”

“ถ้ามึงคิดแค่สนุกหรืออยากลอง บอกกูมาตรงๆ กูจะไม่โกรธมึง”

“...” เวลหลบตาผม ผมเห็นเขาเม้มริมฝีปากและคลายแขนที่กอดอกออก

“แต่กูนอนกับมึงไม่ได้ ถึงกูจะเหงาแค่ไหนแต่กูก็มีความรู้สึก” ผมเงียบไปและพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้ามึงหวังจะนอนกับกู”

“...”

“กูคงต้องหายไปจากมึง เข้าใจใช่ไหม”

“พี่กลัวว่าผมจะหลอกพี่ใช่ไหม”

“...” เป็นผมที่หลบสายตาเขาที่จ้องมองมา

“เพราะพี่เป็นแบบนี้ไง”

“กูเป็นอะ”

   ผมยังพูดไม่จบประโยค เวลก็ลุกขึ้นมากระชากแขนผมให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะสวมกอดผมอย่างแรง อยากร้องตะโกนให้เขาได้ยินว่าผมเจ็บ แต่เพราะสัมผัสจูบของเขาที่ประทับลงที่ไหล่ขวาของผม ทำให้ผมยืนนิ่งให้คนตัวใหญ่กว่าผมกอดแน่น เขาเลื่อนริมฝีปากนั้นมาที่ข้างใบหูผมก่อนกระซิบเบาๆ

“ผมชอบพี่”

“โกหก...” ผมกำเสื้อที่อกเขาไว้แน่น เวลเป็นคนที่ผมไม่ควรสานความสัมพันธ์ด้วย เป็นคนที่ผมรู้ว่าเราจะไปกันไม่รอด ผมไม่อยากเสี่ยงไปกับเขา เขาแตกต่างจากผมเกินไป ผมรู้ แล้วผมก็รู้ว่าในความต่างนั้น เราเจอส่วนที่พอดีของกันและกัน เรามีสิ่งที่ผมโหยหา เขาทำให้ผมสบายใจ เขาทำให้ผมไม่เหงา “มึงจะชอบกูได้ไง”

   แต่ผมไม่รู้ว่าสำหรับเขาผมเป็นอะไรกันแน่ เป็นแค่คนที่เขาอยากแกล้ง อยากเอาชนะ อยากนอนด้วยหรือเป็นคนที่เขาอยากจะยืนคุยด้วยอย่างเมื่อคืน คนที่จะเปิดใจคุยกันทุกเรื่อง

“ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่เจออะไรมา กังวลหรือกลัวอะไรอยู่” เวลไม่ได้ตอบแบบที่ผมอยากให้เขาตอบ เขาไม่ได้ยืนยันในคำว่าชอบของเขาเป็นแบบไหน แต่เขาผละออกมาสบตาผมและเลื่อนมือลงมาโอบกอดเอวผมไว้เบาๆ เขาจ้องตาผมแล้วส่งยิ้มให้ผม “แต่ผมจะทำให้พี่เห็นเอง”

ก๊อก ก๊อก

“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะจ้ะ” เราผละออกจากกัน ไหมเดินออกมาจากห้องนอนเวลหลังจากเคาะประตูเรียกพวกเราให้หันไปมอง ไหมเดินมาหาพวกเราที่โต๊ะกินข้าว ผมไม่กล้าสบตาไหม เลยทำได้แค่ยืนมองเท้าตัวเอง

“น้องคิดจริงจังกับเพื่อนพี่รึเปล่า”

“…”

   เพราะคำถามสุดเถรตรงจากไหม ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบและทุกอย่างก็น่าอึดอัดขึ้นมาทันที ผมเม้มปากด้วยความกังวลเมื่อเงยหน้ามองไหมและเวลสลับกันไปมา เวลเงียบไม่ตอบคำถามนั้น เขาทำหน้านิ่งมองไหม ซึ่งมันผิดปกติไปจากเดิมเพราะปกติแล้วเวลจะยิ้มอย่างสุภาพให้กับทุกคน

“เอ่อ...” ผมส่งเสียงได้เท่านี้ก็โดนไหมดึงแขนให้ไปยืนด้านหลังเธอ

“ถ้าไม่คิดอะไร ก็อย่ามายุ่งกับมันอีก” ผมจับแขนไหมไว้ให้หยุดพูดแต่ไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก “มันเป็นคนสำคัญของพี่ ถ้าน้องจะทำให้มันเสียใจ ก็ตัดใจซะ”

“...”

“กลับห้องกันรัก” ไหมดึงแขนผมให้เดินตามมันไป ส่วนผมที่ยังสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง สับสนกับความรู้สึกที่เวลเพิ่งบอกกับผม และเหตุการณ์เมื่อครู่ ทุกอย่างมันถาโถมผมเกินไป จนผมทำได้แค่เงียบและเดินตามไหมไป โดยไม่ได้มองหน้าเวลเลย


.

.


   หลังจากนั้นเวลก็หายไป เขาไม่ได้ไลน์หาผมเหมือนอย่างเคย ไม่โผล่หน้ามาดักเจอผมที่หออย่างเคย น่าเศร้าที่ผมรู้สึกเสียใจ นั่นก็เพราะผมชอบเขาจริงๆ ความรู้สึกมันชัดเจนจนผมรู้สึกเกลียดตัวเอง ทั้งที่คิดว่าไม่สามารถชอบใครได้อีกแล้วแต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ

“พี่น่ารักสวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ”

   ผมยกมือรับไหว้น้องฟ้าที่เดินยิ้มสดใสเข้ามาในห้องเลกเชอร์ แล้วผมก็ต้องทำตัวไม่ถูกเมื่อสบตาเข้ากับคนที่เดินตามหลังฟ้าเข้ามาติดๆ เวลมองหน้าผมแล้วยกมือไหว้ตามฟ้า ซึ่งผมก็รับไหว้เขาด้วยเหมือนกัน แต่เขาก็เดินผ่านผมไปหน้าตาเฉยเหมือนคนไม่รู้จักกัน ผมทำได้แค่แค่นยิ้มกับตัวเอง นี่สินะ ที่เขาจะทำให้ผมเห็น

   ทั้งที่ว่าจะตั้งใจหลังเลิกเรียนวิชานี้ ผมไม่ต้องไปยุ่งกับเวลให้ปวดหัวอีก แต่สุดท้ายผมก็แพ้แรงน้องฟ้าที่ลากผมให้มากินข้าวด้วยกันที่โรงอาหารในช่วงพักกลางวันเพราะไหมฝากน้องฟ้ามา สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งตรงข้ามเวลและมีไหมที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ผมนี่อึดอัดจะตายแล้วครับ

“เดี๋ยวฟ้าไปซื้อข้าวก่อนนะคะ” ผมพยักหน้ารับน้องฟ้าที่ลุกไปซื้อข้าวกับเวล ผมกำลังจะตักข้าวมันไก่เข้าปากแต่ประโยคต่อมาของน้องในกลุ่มเวลก็ทำผมชะงักไป

“เวลเวลามันติดแฟนก็ดูน่ารักดีนะ”

“อุ้ย น้องเวลมีแฟนแล้วเหรอจ้ะ” เรื่องชาวบ้านไว้ใจไหมเถอะ แต่ผมก็รอฟังคำตอบนั่งอย่างใจจดใจจ่อเหมือนกัน

“หนูก็ไม่แน่ใจพี่ แต่เห็นเวลกับฟ้า ช่วงหลังๆ มานี้ค่อนข้างสนิทกันน่ะ”

“มีไรก็คุยกันสองคนอะพี่ เนี่ยเป็นอาทิตย์แล้วหนูยังไม่ได้คุยกับเวลเลย”

“ดูเหมาะสมกันดีเนอะ” ไหมพูดประโยคนี้จบแล้วหันมามองผม

“ใช่ พี่แพร” ผมไม่ได้พูดอะไร แค่มองไปที่สองคนนั้นที่กำลังยืนหัวเราะอะไรสักอย่างด้วยกันอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยว อืม เหมาะสมกันจริงๆ

“ใกล้ได้เวลาแล้ว” ไหมทำท่าดูเวลาที่ข้อมือแบบโคตรไม่เนียน แล้วหันมาขยิบตาใส่ผม “เดี๋ยวพี่กับรักขอตัวก่อนนะจ้ะ ต้องไปเตรียมแลปรอคาบบ่าย”

“อ่อ ค่ะ”

   ผมเดินตามไหมออกมาอย่างสติไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่นักเพราะคำพูดของพวกน้องๆ เมื่อกี้ ไหมหยุดเดินบริเวณข้างอาคารเรียนที่ไม่ค่อยมีคนแล้วหันมามองผมอย่างจริงจัง

 “ขอบใจที่เมื่อคืนดูแลกู ขอโทษที่เป็นภาระมึงมาตลอด” ไหมนิ่งไปสักพักแล้วพูดต่อ “ต่อไปนี้กูจะเลิกเที่ยวแล้วว่ะ”

“อืม ดีแล้ว” ผมตอบไปอย่างจริงใจ

“อย่าหาว่ากูเสือกเรื่องมึงกับเวลเลยนะ” ไหมพูดแล้วจ้องตาผม “แต่กูขอพูดหน่อย ในฐานะเพื่อนที่เป็นห่วงมึง”

“...”

“มึงก็รู้ว่าเวลเป็นยังไง ดูหน้าน้องมันก็รู้ว่าเจ้าชู้ จริงๆ เห็นแค่ปลายผมก็รู้แล้ว” ไหมกอดอกแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “แล้วมึงก็รู้มันไม่ปกติ มึงรู้ไหมว่ากูเจอน้องมันไปเที่ยวที่นั่นแทบจะทุกคืน น้องมันไม่ได้ไปกับกลุ่มน้องฟ้าด้วย มันไปนั่งกับกลุ่มพี่เวฟพี่เจ้าของร้าน มึงเข้าใจใช่ไหม”

“กูเข้าใจ”

“มึงชอบมันไปแล้วใช่ไหม”

“...”

“กูไม่อยากเห็นมึงเสียใจ เวลมันไม่ธรรมดานะ กูแค่เตือนและอยากให้มึงคิดดีๆ”

“อืม ขอบใจนะมึง”

   ผมกับไหมเดินขึ้นไปเรียนคาบบ่ายด้วยกันปกติ ก็คงมีแต่ใจผมที่มันไม่ปกติในตอนนี้ ทั้งเรื่องที่ไหมเล่า ทั้งเหตุการณ์ในโรงอาหารและการที่เวลไม่ติดต่อผมมาเป็นอาทิตย์ก็พอจะรู้ได้แล้ว ผมแค่นยิ้มให้ตัวเองอีกครั้ง ผมบอกแล้วว่าเวลน่ะ โกหกเก่งจะตาย ถึงจะรู้แบบนั้น ผมก็ยังหลงเชื่อคำโกหกนั่นและมานั่งผิดหวังคนเดียวโง่ๆ แบบนี้ น่าสมเพชชะมัด





- TBC -


ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 11 (26/9/62)
«ตอบ #12 เมื่อ26-09-2019 14:18:11 »

ตอนที่ 11 ติดน้อง

 


   ทั้งที่เมื่อวานผมกับไหมตกลงกันแล้วว่าจะไม่มาเที่ยวกลางคืนกันอีก แต่การเฉลยน้องรหัสนั้นทำให้เราได้มานั่งในที่แบบนี้ ผมไม่ได้อยากมาร่วมกิจกรรมอะไรแบบนี้เลย น้องรหัสผมก็ยกให้ไหมมันเพราะตั้งแต่ครั้งนั้นที่ผมมีปัญหากับเอก พี่รหัสก็เทผมและผมก็ขอไม่มีส่วนร่วมในการรับน้องใดๆ ทั้งสิ้น แต่ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะโดนไหมขอร้องให้มาด้วย

   คนที่บอกจะไม่มาเที่ยวอีกแล้ว เมาไปก่อนเพื่อน อาจเพราะช่วงนี้ไหมมันมีเรื่องให้คิดเยอะ ทั้งเรื่องผมและเรื่องพี่แทนที่กลับมาขอคืนดีมันเมื่อหลายวันก่อน ไหมกับผมเหมือนกันอยู่อย่างคือต้องรอให้ตัวเองพังจริงๆ ถึงจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นและตอนนี้ผมก็กำลังรอให้ความช่วยเหลือมันอยู่ ด้วยการพามันออกจากร้านเหล้านี้สักที

“พี่น่ารักครับ”

“หืม” ผมเอียงหน้าไปฟังน้องมอสที่นั่งอยู่ข้างผม น้องมอสเป็นน้องรหัสของผม ที่ผมยกให้ไหม “มีอะไร”

“จริงๆ แล้วพี่เป็นพี่รหัสผมใช่ไหม”

“ใช่ แต่พี่ไม่อยากมี” ผมพูดด้วยหน้าเซ็งๆ แล้วจิ้มไปที่หัวไหมที่ฟุบอยู่กับโต๊ะ “พี่รหัสมึงคือคนที่นอนตายอยู่ข้างมึงเนี่ย”

“ฮ่าๆ พี่ไหมบอกแล้วครับ”

“แล้วมาถามกูทำไม”

“ผมแค่อยากคุยกับพี่” เป็นผมที่ชะงักไปแล้วเอนตัวออกจากคนที่คุยข้างหูผมอย่างใกล้ชิด

   ผมผละออกมาสบตารุ่นน้องที่ตัวใหญ่กว่าผม เด็กสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมดสูงเอาๆ จนผมที่สูงร้อยเจ็ดสิบรู้สึกตัวเองเตี้ยลงทันที เด็กพวกนี้คงทะลุร้อยแปดสิบแน่ๆ สูงอะไรกันนักหนาก็ไม่รู้ ผมมองดวงตาตี๋ๆ ที่ตอนนี้เป็นประกายเวลาจ้องมองผม มันทำให้ผมคิดถึงใครบางคน...บางคนที่ดีแต่พูด

“มึงเมาแล้วมอส” ผมว่าแล้วดันอกมันออก

“ไม่เมาพี่” แต่มอสกลับจับข้อมือผมแล้วดึงเข้าไปใกล้ จนหน้าเราแทบจะชนกัน

“ปล่อย กูจะไปเข้าห้องน้ำ” ผมย่นคอหลบใบหน้าที่จงใจเขยิบเข้ามาใกล้ แล้วสะบัดมือออก ก่อนจะตะโกนให้มันได้ยิน “ห้ามตามมา มึงต้องเฝ้าไหม เข้าใจไหม!”

“หึ ครับ”

   ผมถอนหายใจแล้วลุกจากโต๊ะไปเข้าห้องน้ำที่อยู่อีกด้านอย่างคุ้นเคย เพราะที่นี่เป็นร้านประจำของไหม ก่อนลุกก็โดนสายตาประหลาดๆ มาจากรุ่นพี่รุ่นน้องในโต๊ะ เรื่องเล่าของผมคงกลายเป็นหัวข้อหลักหลังจากที่ผมลุกออกมา ผมพนันเลย

“...รักมันโกงเงินเอก ใครๆ ก็รู้
ตอนปีหนึ่งนะ เป็นเฮดเลยเรื่องกิจกรรม
พอคนอื่นจับได้ว่าเอาเงินไปเที่ยว ก็ถอนตัวทุกอย่าง
สุดท้ายก็ยอมรับว่าโกง แต่มันก็ด่าทุกคนจนเข้าหน้าไม่ติด
ตัวเองเป็นเกย์นะ แต่ไม่ยอมไปไหนไกลจากไหมเลย
จะกล้าไปไหนล่ะคนปากหมาอย่างมัน ถ้าไม่ใช่ไหม ก็ไม่มีใครคบแล้ว
ไม่รู้ว่าหน้าด้านมางานนี้ได้ไงก็ไม่รู้
ไม่รู้รึไง ว่าคนอื่นเขารำคาญมันจะตาย
เป็นพี่ พี่ซิ่วไปแล้ว ไม่อยู่ให้โดนด่าแบบนี้หรอก...”


   ไอ้น่ารักปีสองลักเงินเอก นี่แหละฉายาเต็มของผม ตอนแรกที่เกิดเรื่อง ผมก็ตกเป็นเป้าของคนทั้งเอกเพราะผมเป็นเหรัญญิก เป็นคนรวบรวมเงินและถือบัญชีของเอก เรื่องทั้งหมด มันเกิดตอนที่มีเงินออกจากบัญชีเอก เกือบหมื่นโดยที่ผมไม่รู้ ถึงผมจะเป็นคนถือบัญชีคนเดียว แต่ทั้งเอกเรารู้รหัสบัตรร่วมกัน ใช่...ต้องมีคนขโมยบัตรไป แล้วใครคนนั้น

“รัก...กูไม่ได้ตั้งใจ ตั้มมันขอยืมแค่แป๊บเดียว กูไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ฮึก”

“...ไหม”

“กูขอโทษจริงๆ รัก”

“...เดี๋ยวกูโอนคืนบัญชีเอกเอง มึงก็ไปทวงมาจากไอ้ตั้มให้หมด แล้วโอนเข้าบัญชีกู”

“ขอบคุณมากนะมึง ตั้มเขารักกูจริงๆ กูจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

“...”

“มึงต้องช่วยกูนะ”

“อืม”

   ทั้งที่ไม่ได้ทำแต่เพราะอยากปกป้องไหม ผมยอมรับทุกคำผิดแล้วสารภาพไปว่าเอาเงินไปเที่ยว พร้อมโอนเงินคืนและผมก็ขอให้ทุกคนไม่ต้องนับว่าผมอยู่ในเอก จะทำอะไรกันก็ทำไป ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก

   ในตอนนั้นผมได้รู้ว่าแต่ละคนคิดกับผมยังไง คำด่าจากเพื่อนที่ใช้เวลาด้วยกันมาเกือบหนึ่งปีเต็มช่างน่าประทับใจ ซึ่งตอนนั้นผมก็ด่ากลับแรงๆ ด้วยอารมณ์โกรธ แม้รู้ว่าไหมผิดและรู้ว่าตั้มจะไม่คืนเงินนั่น ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไหมต้องมารับกับสิ่งที่ผมเจอ

คนเราจะสนิมสนมกลมเกลียวกันมากขึ้นเมื่อมีศัตรูคนเดียวกัน
และศัตรูคนนั้นก็คือผม เป้านิ่งของคนทั้งเอก


   ผมล้างมือหลังจากที่ทำธุระเสร็จ เผลอคิดเรื่องเก่าๆ อีกจนได้ ผมมองตัวเองผ่านกระจกแล้วก็ได้แต่ยิ้มเยาะให้กับตัวเอง ที่ผมยังอยู่ในเอกนี้ได้ก็คงเพราะผมรักในสิ่งที่ผมเรียน ผมชอบที่ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ไม่มีใครชอบผม ผมก็ไม่สนใจหรอก ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เสี้ยววิผมเห็นความเศร้าในดวงตาผม ผมก็ควรจะเศร้าล่ะ การไม่มีใครคบไม่ใช่เรื่องสนุกหรอกนะครับ มันเหงาและโดดเดี่ยวมากๆ เลย

   ผมตั้งใจจะออกไปลากไหมไปส่งบ้าน จะยอมโดนพ่อแม่ไหมด่าสักครั้ง ดีกว่ายอมโทรไปหาคนที่ทำให้ผมรู้สึกแย่มาหลายวัน แต่ผมคงจะลืมอะไรไปบางอย่าง

“น้องรหัสพี่หล่อดีนะครับ” ลืมไปว่าผมเจอกับเขาที่นี่ครั้งแรก เขากดล็อคประตูห้องน้ำแล้วเดินมาหาผมอย่างใจเย็น สายตาในตอนนี้ของเขาเหมือนกับวันแรกที่เราเจอกัน “หล่อๆ แบบนั้นพี่คงชอบ”

ปังๆๆๆ

“ไปเปิดประตูไป คนเขาจะเข้าห้องน้ำ” ผมพยายามเลี่ยงเขา ด้วยการเดินถอยหลังหนีและพูดเรื่องอื่น

“ไม่”

“เวล!” ผมตะโกนใส่คนที่ดันผมเข้ากับกำแพงอย่างแรง มือใหญ่นั่นจับคางผมไว้แน่น “มึงเป็นไรเนี่ย ปล่อยกู!”

“ไม่ปล่อย ผมเป็นจูบแรกของพี่ ผมจะไม่ยอมให้พี่ไปจูบกับใคร”

“เหอะ เห็นแก่ตัว” ผมแค่นยิ้มให้กับคนตรงหน้า “มึงจะหวงก้างอะไร หายไปจากชีวิตกูให้ได้ตลอดสิ”

“ไม่ พี่เป็นของผม”

“กูไม่ใช่ของใคร กูจะจูบ...จะทำอะไรกับใครก็ได้”

“พี่เป็นของผม!”

“ออกไป” ผมดันอกเขาออก แต่เวลกลับเอามือนั้นผมไปจับไว้แน่น “อย่าเอามือที่จับมือใครมาจับกู!”

“หึ หึงรึไง”

“...”

“พี่หึงผมไม่ได้หรอกนะ ถ้าไม่ได้เป็นแฟนผมอะ”

“...” ผมเงียบไปแล้วจ้องตาคนตรงหน้าด้วยความโกรธ ทั้งที่เขาหายไปเป็นอาทิตย์ ทิ้งให้ผมผิดหวังกับคำพูดหวานหูพวกนั้น แต่วันนี้เขากลับมาหวงผมเพราะเห็นผู้ชายคนอื่นเข้าหาผม คนแบบนี้ ผมน่ะ... “กูเกลียดมึง เกลียดที่สุด”

“ดี” เวลจ้องตาผม ในดวงตาคู่นั้นผมเห็นความโกรธและน้อยใจ “ผมก็เกลียดพี่เหมือนกัน”

“...” ผมเงียบไปเมื่อเขากอดเอวผมดึงตัวผมเข้าไปใกล้ แล้วประทับจูบลงมา เขาไม่ได้รุกล้ำแค่แตะอยู่แบบนั้น น่าแปลกที่มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น จนเผลอกดเม้มริมฝีปากตัวเองเข้าหาเขา แต่แล้ว...

   เพราะสัมผัสของน้ำตาจากเขาที่โดนปากผม ทำให้ผมเบี่ยงหน้าออกมามองหน้าเขา เวลกำลังร้องไห้ เขาไม่ได้เบะปากร้องเป็นเด็กๆ แค่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา นั่นทำให้ผมใจหาย เหมือนความโกรธก่อนหน้านี้สลายหายไปเพราะเห็นน้ำตาของเขา ผมใช้มือสองข้างประครองใบหน้าเขาไว้แล้วถามออกไปเบาๆ

“ร้องไห้ทำไมครับ”

“ผม...ผมเกลียดคนแบบพี่”

“...”

“คนที่พูดได้ตามความรู้สึกตัวเองไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องคอยคิดว่าคนอื่นจะรู้สึกกับตัวเองยังไง” เวลพูดและปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง “ผมเกลียด”

“เวล” ผมเรียกคนที่หลับตาหนีการสบตาผม

“เกลียดที่สุด” เขาเอียงหน้าซบลงกับมือผมและนั่นก็ทำให้ใจผมอ่อนยวบ

   ผมรั้งคอเขาให้ซบใบหน้าลงที่ไหล่ผม เขย่งเท้าเพื่อจะประครองร่างตัวเองให้โอบกอดไหล่เขาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ผมกอดเขาได้ไม่หมดอย่างที่ใจคิด เลยทำได้แค่ลูบหัวคนที่ซบอยู่ที่ไหล่ผมไปมา เวลกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเหมือนหาที่พักพิง ผมยิ้มออกมา แล้วลูบหลังปลอบลูกหมาตัวใหญ่ก่อนจะโยกตัวไปมา

“ใครทำเด็กดีร้องไห้กัน” ผมว่ายิ้มๆ แล้วได้คำตอบเป็นจูบลงบนไหล่ซ้ายของตัวเอง “เดี๋ยวพี่รักจัดการเขาให้เอง โอเคไหม”

“ครับ” ผมลูบหัวเขาอีกครั้งด้วยความสงสาร ผมรู้ว่าเราสองคนเปราะบาง ต้องการความรักและความเข้าใจ จากใครสักคนมากแค่ไหน...ผมรู้ดี









- TBC -

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 12 (30/9/62)
«ตอบ #13 เมื่อ30-09-2019 19:48:06 »

ตอนที่ 12 ติดพี่
 
   

“มึงจะบอกว่าที่หายไปเป็นอาทิตย์เพราะทำตามที่ฟ้าบอก”

“ครับ” เวลตอบแล้วทำหน้าหน้าหงอย “ฟ้าบอกว่าถ้าอยากรู้ว่าเราสำคัญกับเขาไหมให้ลองหายไป”

   หลังจากที่ผมปลอบใจเด็กขี้แยในห้องน้ำเสร็จ เราก็ช่วยกันแบกไหมขึ้นรถผมมาที่คอนโดเวลอีกครั้ง ระหว่างที่ผมดูแลไหมให้นอนให้เรียบร้อยเวลก็เข้าไปอาบน้ำและเตรียมที่นอน ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากผมจัดการอาบน้ำและสวมชุดนอนที่เวลเตรียมไว้ให้ เราก็มานั่งประจันหน้ากันบนที่นอนเพื่อเคลียร์ปัญหาที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์ ผมเปิดด้วยการถามว่าทำไมเขาหายไป แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้ผมอยากหายไปซะเองเพราะความงี่เง่าของเวล

“ทั้งที่เพิ่งพูดว่าจะทำให้เห็นว่ามึงชอบกู?”

“ก็พี่บอกให้...ให้ใจเพื่อน”

“กูบอกให้ให้ใจเพื่อน ไม่ใช่ให้โง่”

“...” เวลมันทำหน้าหงอยกว่าเดิมและก้มหน้านวดมือตัวเองโง่ๆ

“ถ้าวันนี้น้องมอสไม่เข้ามาตีสนิทกับกู มึงก็จะพิสูจน์ความสำคัญต่อเหรอ”

“ไม่อะ ผมว่าจะเลิกพรุ่งนี้” เวลเงยหน้าขึ้นหันมาสบตาผม ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ว่า “ผมคิดถึงพี่จะตาย”

“อุ๊บ ฮ่าๆๆ” ส่วนผมก็ขำออกมาเสียงดัง ไม่ได้รู้สึกเขินที่มันพูด แต่ผมกลับรู้สึกเอ็นดูเวลมากกว่า ถึงจะตัวโตกว่าผมและบางครั้งก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ แต่จริงๆ แล้วเวลก็เป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปเหมือนผม ที่สับสนและทำอะไรผิดพลาดเป็นเหมือนกัน “มึงแม่ง ฮาว่ะ”

“ผมไม่ขำด้วยหรอกนะ”

“โอ๋ๆ” ผมว่าขำๆ แล้วยกเท้าไปลูบเข่าคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้ามกัน เวลที่หน้าบูดอยู่แล้วยิ่งบูดไปใหญ่ เขายกเท้าผมขึ้นสูงทำให้ผมหงายหลังลงที่นอน

“ฮ่าๆ โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว” ผมนอนขำมองหน้าคนทำหน้าบูด เวลถอนหายใจและยอมปล่อยขาผม แล้วทิ้งตัวลงนอนข้างกัน


“ผมยังจำตอนที่พี่บอกให้ผมเลิกวางตัวได้อยู่เลย” ผมหันไปมองใบหน้าด้านข้างเขาที่ตอนนี้เอาแต่มองเพดานสีขาว เวลเงียบไปสักพักและพูดต่อ “ตอนแรกผมก็งงนะ ว่าผมวางตัวอะไร แต่พอคิดไปคิดมา บางทีอาจเป็นอย่างนั้นแบบที่พี่ว่าจริงๆ เพราะสภาพแวดล้อมรอบตัวผม บังคับให้ผมโต ผมเลยไม่เหมือนคนอื่น กลายเป็นคนแปลกๆ ที่ไม่อยากมีใครเข้าหาและผมก็ไม่รู้จะเข้าหาเพื่อนยังไง”

“กูฟังอยู่” ผมพูดเมื่อเวลหันมาสบตาผม แววตาคู่นั้นดูสับสน แต่พอผมพูดแบบนั้นเขาก็ยิ้มแล้วเริ่มพูดต่อ

“ตั้งแต่เด็กผมโดนบังคับให้โตให้ทันพี่ชายของผม เพราะพ่อแม่ผมทำงานหนักทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาสนใจพวกผม ผมต้องรีบไม่เป็นไรและต้องดูแลตัวเองให้ได้ให้เร็วที่สุด พอพี่ผมเรียนจบก็ต้องไปทำงานที่บริษัทพ่อต่อ แต่ไม่รู้เพราะอะไรพี่ผมถึงลาออกแล้วหันมาเปิดร้านเหล้า และเหมือนพ่อแม่เขาผิดหวังมากเขาเลยเอาความหวังทุกอย่างมาฝากไว้ที่ผม”

“...แล้วมึงอยากทำตามที่พ่อแม่หวังไว้ไหม”

“ผมไม่รู้ แต่ตั้งแต่ผมเลือกเรียนวิทย์กี พ่อกับแม่ยังโกรธผมไม่หายเลย” ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกดีที่เขาเลือกทำตามใจตัวเอง เขาหันมาสบตาผม “ผมพยายามหาเพื่อนแบบที่พี่บอก ตอนนี้ผมกับฟ้าเริ่มสนิทกันแล้วแต่ไม่ใช่เชิงชู้สาวนะ ผมว่าฟ้าคุยสนุกดีแถมชอบเล่นเกมเหมือนผมด้วย”

“ดีแล้ว” ผมยิ้มตามเมื่อเห็นเขายิ้มอย่างมีความสุข

“ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณทำไม กูยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“ทำสิ แค่พี่ฟังผมแบบนี้ก็ดีมากแล้ว” เขามองเพดานสีขาวตรงหน้าอีกครั้ง “แล้วก็ยังช่วยเตือนสติผมอีก”

“อือ ต่อไปนี้ก็พูดกันตรงๆ โอเคไหม ไม่ต้องมาลูกไม้กับกูเพราะกูไม่เคยเล่นลูกไม้อะไรกับมึง”

“ครับ” เวลหันมายิ้งกว้างให้ผม ก่อนจะทำหน้าตกใจเหมือนนึกอะไรออก “อ้อ ร้านเหล้าที่พี่ไปบ่อยๆ...เอ่อ ร้านนั้นเป็นของพี่ชายผม”

“พี่เวฟอะนะ” ผมหันไปมองหน้าเวลอีกครั้ง จะเป็นไปได้ยังไงเพราะพี่เวฟน่ะ ดูโหดจะตายแตกต่างจากเวลที่มีประกายเหมือนพระเอกในละครสุดๆ แต่พอมองดีๆ ก็มีบางมุมที่คล้ายกันอยู่แหะ “ถึงว่าไหมบอกเห็นมึงไปนั่งกับพี่เวฟ อย่างนี้มึงก็เข้าร้านเหล้าตั้งแต่เด็กเลยดิ”

“เปล่าพี่ ผมเพิ่งเคยเข้าตอนจบม.ปลายเอง” ผมคิดตามก็จริงของมัน ถ้ามันเที่ยวแต่เด็กจริงๆ ครั้งแรกที่ผมเจอเขาในห้องน้ำเขาคงไม่เมาจนคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วมาปล้ำจูบผม บางทีเขาคงคออ่อนกว่าผมด้วย “ผมรู้นะว่าคนอื่นถึงเขาชอบชมผมว่านิสัยดี แต่พอรู้ว่าผมไปร้านเหล้าบ่อยเขาเอาผมไปนินทาจนผมกลายเป็นคนไม่ดีเฉยเลย ทั้งที่ความจริงผมก็เป็นแค่น้องที่ไปช่วยพี่เก็บร้าน”

“ฮ่าๆ” ผมขำแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่จมูกเวลเบาๆ “เพราะนี่ของมึงด้วยที่ทำให้คนเขาลือไปทั่ว”

“อะไร จมูกผมเหรอ”

“หน้ามึงน่ะสิ หน้ามึงมันเจ้าชู้”

“ไม่เห็นเจ้าชู้เลย”

“เที่ยวเกือบทุกวันบวกกับหน้าตาดี ใครๆ ก็ต้องกลัวมึงปะ”

“แล้วพี่กลัวผมไหม” เป็นผมที่หุบยิ้มลงเมื่อสายตาคนที่นอนข้างกันเปลี่ยนไป “รังเกียจผมรึเปล่า”

“...”

“ถ้ายังไงเราไปตรวจเลือดด้วยกันก็ได้”

“เดี๋ยวๆๆๆ”

“เพื่อความสบายใจไงพี่”

“มึงนี่นะ” ผมถึงกับลุกขึ้นนั่งมากุมขมับ ในหัวมันคิดแต่เรื่องอย่างว่ารึไงกันเนี่ย

“ผมไม่เคยมั่วนะพี่ เอ่อ ผม…ผมเคยแค่กับแฟนเก่าผมคนเดียวแล้วผมก็ป้องกันทุกครั้ง”

“เออ กูไม่ได้อะไรหรอก” ผมหลบตาคนที่ลุกขึ้นมามองหน้าผม “แล้วทำไมต้องกู”

“อืม เพราะผมสบายใจเวลาอยู่กับพี่ไง” เขาพูดแล้วก้มลงมามองหน้าผมใกล้ๆ ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “และพี่ก็น่าอะ..อือ”

“กูจะต่อยให้ปากยุบเลยถ้าพูดออกมา” ผมเอามือปิดปากคนที่ทำสายตาเจ้าชู้ให้กันไม่หยุด แต่แล้วมันก็จุ๊บมือผมที่ปิดปากมันไว้ ผมสะดุ้งแล้วรีบสะบัดมือออก “มึงนี่!”   

“ฮ่าๆ เพราะพี่น่ารักน่ารักแบบนี้ไง เวลาเขินก็หน้าแดง แถมยังหอมอีก จับตรงไหนก็นุ่ม”

“พอๆๆๆๆๆๆๆ” ผมร้องเสียงดังแล้วปิดหูตัวเองไว้ รับรู้ว่าหน้าตัวเองตอนนี้ต้องแดงมากแน่ๆ พอเอามือลง เวลก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มกว้างให้ผม จนผมนึกหมั่นไส้ “ยิ้มอะไรนักหนา”

“พี่แทนตัวเองว่าพี่รักอีกได้ปะ ใจผมเต้นแรงมากเลยอะ ตอนพี่แทนตัวเองแบบนั้น”

“ฝันเถอะ” มันทำหน้าเบะใส่ผมทันที จนผมอดไม่ได้ที่จะแซวมันอีก “อะไรมึงจะร้องไห้ใส่กูอีกรึไง”

“เปล่า” แล้วก็ได้หน้าบูดของมันมาแทน “ล้อผมอยู่ได้ ผมแค่เมาแล้วอ่อนไหว”

“มึงไม่ได้เมาเวล มึงขี้แย”

“ผมไม่ได้...”

   ผมดึงแขนคนตัวใหญ่เข้ามาใกล้และกดหัวนั้นให้ซบลงบนไหล่ของผม เขาทำให้ผมยิ้มเหมือนคนบ้าจนผมไม่อยากให้เขาเห็นสีหน้าในตอนนี้ แต่แล้วเขาก็ทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะท่าทางที่เงอะงะไม่รู้จะกอดหรือไม่กอดผมนั่น ผมเลยเป็นฝ่ายกอดเขาก่อนและลูบผมนิ่มมือของเขาเล่น

“ขอบคุณนะ ที่รู้สึกแบบนี้กับกู ขอบคุณที่เล่าหลายๆ เรื่องให้กูฟัง” ผมโยกตัวปลอบคนที่กอดเอวผมตอบ “กูรู้ว่ามึงเหงา”

“ครับ”

“กูก็เหงา” ผมพูดออกไปด้วยความจริงใจ แต่... “มึงลองคิดดีๆนะเวล”

“...”

“กูคิดเรื่องนี้มาตลอดตอนที่มึงหายไป กูยอมรับว่ากูเสียใจมากเลย”

“ผมขอโทษ”

“ถ้าเราล้ำเส้นกันอีก มึงก็รู้ว่าความสัมพันธ์อย่างนี้มันอยู่ไม่นาน” ผมแค่ต้องการเวลาเพื่อพิสูจน์ทั้งตัวเขาและพิสูจน์ทั้งตัวผมเอง “กูพูดตรงๆ ว่ากูอยู่คนเดียวมาตลอด กูเลยเหงาและการที่ได้เจอมึง มันทำให้กูรู้สึกดีมากเลย”

“…ผมก็เหมือนกัน ผมไม่เคยได้เป็นตัวเองขนาดนี้มาก่อน แม้แต่คนในครอบครัว...”

“กูรู้ว่าเราต่างคนต่างเหงา” เขาที่ดีกับคนอื่นเสมอกับผมที่ไม่เคยถนอมน้ำใจใคร ผมไม่รู้ว่าต่อไปเราจะเป็นยังไง ถ้ามันไม่ดีเหมือนตอนนี้ล่ะ ถ้าเกิดเราดันเข้ากันไม่ได้ ถ้าเกิดเราไม่ได้เหงาเหมือนกันอีกต่อไป “...แต่จริงๆ แล้วมึงต่างจากกูมากนะเวล”

“พี่พูดไรวะ งงไปหมด”

“อ้าว” ผมชะงักแล้วผละออกไปมองหน้าเวล

“แค่พูดว่าพออยู่กับผมแล้วมีความสุข ได้เป็นตัวของตัวเองแค่นี้ก็เข้าใจปะ”

“ก็กูอยากพูดหล่อๆ”

“หล่อไร เพ้อเจ้อ”

“เดี๋ยวนี้ไม่มีครับแล้วนะมึง”

“ลืมพี่ โทษครับๆ” เวลยิ้มแห้งให้ผม แล้ววางมือบนหัวผมก่อนจะขยี้หัวผมเบาๆ

“การกระทำมึงสวนทางสุดๆ”

“ฮ่าๆ”

“เอาเป็นว่าเรามาเป็นพื้นที่ที่ดีต่อกัน ต่อไปนี้เราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันเถอะ”

“เชี่ย จีบมาตั้งหลายเดือน ได้เป็นพี่น้องว่ะ”

“เชี่ยเต็มหน้ากูเลยเวล”

“โทษครับๆ” แล้วมันก็ขยี้หัวผมอีกรอบ เหอะ มันคงไม่เห็นผมเป็นพี่แล้วล่ะถึงทำกับผมแบบนี้

“กูพูดจริงๆ เรายังรู้จักกันน้อยไป เป็นพี่น้องกันไปก่อนเนี่ยแหละ”

“ถ้ามันทำให้ผมได้อยู่กับพี่ ผมก็จะทำ” เวลชูสามนิ้วขึ้นมาที่คิ้ว ท่าทางขี้เล่นขัดกับครั้งแรกที่ผมเจอเขา เขาในตอนนั้นทั้งน่ากลัวและเย็นชา ตอนนี้เวลไม่เหลือคราบนั้นแล้ว ตอนนี้มีแต่หมาเด็กตัวโตในสายตาผม “ต่อไปนี้ผมจะไม่ล่วงเกินพี่อีก”

“อืม” ผมพยักหน้าให้เขา

“แต่ผมก็จะจีบพี่ต่อ เพราะผมก็ไม่อยากเสียพี่ไปเหมือนกัน”

“สู้ๆ นะ” ผมยกสองนิ้วให้มันด้วยหน้านิ่งๆ เวลยังยิ้มให้ผมเหมือนเดิม

    แต่ผมก็รับรู้ความผิดหวังในสายตาเวลได้ ผมขยี้หัวมันอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะโดนเอาคืนด้วยการโดนมันรวบเข้าไปกอด ผมตบหัวมันหนึ่งที เวลยอมปล่อย เราสบตากันท่ามกลางความเงียบ เป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มให้มันก่อนและผมก็ได้รอยยิ้มกลับคืนมา เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว...จนกว่าผมจะแน่ใจ ทั้งในความรู้สึกที่เขามีให้ผมและความรู้สึกของผมเอง





-TBC-

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 13 (08/10/62)
«ตอบ #14 เมื่อ08-10-2019 18:24:22 »

ตอนที่ 13 ติดมือ


   ในที่สุดก็เข้าถึงช่วงสอบมิดเทอมอันแสนทรมาน เนื่องจากวิชาที่ผมติดอีไม่มีการสอบมิดเทอมเพราะเก็บคะแนนจากงานกลุ่มนั้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าความทรมานของการสอบมิดเทอมในรอบนี้ของผมจะลดน้อยลง เพราะยังมีวิชาอื่นที่หนักหนาสาหัสเหมือนกัน

“ไม่ไหวแล้วโว๊ย” ผมตะโกน แล้วล้มตัวลงนอนกับพื้นเย็นๆ ของห้องตัวเองเป็นรอบที่สิบของวัน

“พี่เพิ่งอ่านไปได้สิบนาทีเอง”

“หุบปากไปเลยปีหนึ่ง”

“ครับ พี่ปีสองคนเก่ง”

“เหอะ ยังมีหน้ามาย้อนกูอีก ทำสรุปเสร็จรึยังเถอะ”

“ยังครับ”

   ผมนอนมองคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างกันแล้วยิ้มโง่ๆ กับตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งอ่านสรุปของตัวเองอีกครั้ง ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมกับเวลอยู่ด้วยกัน อ่า หมายถึงมาอ่านหนังสือด้วยกันที่ห้องผมครับ ไม่ต้องคิดไปไกล ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอนครับเพราะเราสัญญากันไว้แล้วว่าจะไม่เกินเลยกันอีก และที่ผ่านมาเวลก็รักษาสัญญาเป็นอย่างดี

   แล้วเป็นการป้องกันเกิดสถานการณ์เป็นใจ เลยมีไหมมานั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงข้ามผมด้วยอีกที ส่วนคนที่นั่งข้างผมถึงจะสัญญาว่าจะไม่สัมผัสกันเกินเลยแต่ทั้งคำพูดและแววตาที่ใช้กับผม ก็ทำให้รู้ว่าผมต่างจากคนอื่นที่ได้รับจากมันหรือง่ายๆ ก็คือเด็กมันแสดงออกกันตรงๆ ไปเลยว่ากำลังจีบผมอยู่และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีที่มีคนกล้าชัดเจนกับผมขนาดนี้

“พี่น่ารักออกจะเรียนเก่ง ทำไมพลาดติดอีวิชาง่ายๆ ได้ล่ะครับ”

“เอ่อ” ผมชะงักจนเผลอกำสมุดในมือแรงขึ้นโดยไม่ตั้งใจ “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้สอบไฟนอล”

“แล้วทำไมถึง ไม่ได้สอบล่ะครับ”

“หิวกันรึยัง ออกไปกินไรก่อนดีไหม”

“อ่า ครับ” เวลเองคงเห็นท่าทางที่แปลกไปของผม ถึงเอื้อมมือมาจับแขนผมเชิงขอโทษ

   เป็นไหมที่แทรกขึ้นมา ผมสบตากับไหมและยิ้มเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ เวลคงรู้ว่าผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ จึงปล่อยแขนผมและไม่ถามต่อ ซึ่งผมก็ดีใจที่เขาทำแบบนี้ไม่ได้บังคับหรือคาดคั้นจนผมอึดอัดใจ นี่เป็นข้อดีอีกข้อของเวลที่ผมชอบ เขาไม่เคยบีบคั้นหรือเร่งเร้าอะไรจากผมแต่ก็ไม่เคยออกห่างจากผม เขาอยู่ในระยะที่ผมรู้สึกปลอดภัย ไม่เหมือนความรู้สึกที่โดนคุกคามเหมือนแต่ก่อน

   อีกข้อที่ชอบคือตั้งแต่วันนั้นที่ผมขอให้เราเป็นพี่น้องกันก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว เวลทำตามสัญญาเรามาตลอด ไม่แตะต้องตัวผม แต่ก็ยังอยู่คอยเป็นห่วงและถามเรื่องราวในแต่ละวันของผมอย่างใส่ใจ

‘สู้ๆ นะครับ’

   อย่างข้อความที่ถูกส่งมาก่อนจะเข้าสอบนี่ก็เหมือนกัน มันอาจเป็นอะไรเล็กๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่าเขาเอาใจใส่ผมมากแค่ไหน จากความรู้สึกที่ใจเต้นแรงเหมือนคนบ้าเมื่อได้รับความรู้สึกดีๆ แบบนี้ก็กลายเป็นความอบอุ่นในใจ ไม่ใช่เคยชิน แต่พอผมได้รับอะไรแบบนี้จากเขาบ่อยๆ มันทำให้ผมอยากที่จะแสดงออกว่าผมก็ใส่ใจเขาบ้าง ผมเริ่มที่จะห่วง ทั้งที่ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของใคร ผมยิ้มและตอบเขาไป

 ‘เย็นนี้ไหมจะฉลองสอบเสร็จ ถ้าสอบเสร็จแล้วไปด้วยกันไหม’

‘ไปครับ’

‘สู้ๆ นะ ไว้เจอกันหน้าคณะ’

‘ครับ ผมจะรอ’

   เมื่อนึกถึงหน้าคนที่ยิ้มเหมือนลูกหมาที่ผมกำลังจะได้เจออีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ผมก็ยิ้มออกมาได้ง่ายๆ เหมือนคนบ้า ผมปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนจะเอาไว้ในกระเป๋าสะพายและเดินเข้าห้องสอบ
 
.

.

   หลังจากผมและไหมสอบเสร็จเราก็ลงมาหน้าคณะพร้อมกัน ผมเจอเวลยืนรออยู่ที่เดิมที่เคยมารอผมเป็นประจำ ถึงแม้ไหมจะยังไม่ค่อยไว้ใจเวลแต่พอรู้ว่าเวลเป็นน้องเจ้าของร้านเหล้าและพักหลังมานี้เจอเวลอยู่กับผมบ่อยขึ้น อาการเป็นห่วงผมก็ลดลงบ้าง แล้วยอมให้ผมกลับบ้านพร้อมเวลในที่สุด

   ระหว่างเกินทางกลับไปที่คอนโดตัวเองของผมกับเวลเป็นไปอย่างเรียบง่าย เราถามกันเรื่องข้อสอบของวันนี้กันอย่างเป็นธรรมชาติ เราสลับกันเล่าเรื่องข้อสอบที่เพิ่งผ่านไปกันไม่หยุด ทั้งที่อยู่กันคนละชั้นปีแต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงช่องว่างระหว่างอายุ และเขาก็ทำให้รถไฟใต้ดินเร็วขึ้น

   ตอนที่ใกล้ถึงสถานีที่ผมต้องลงก่อน เวลก็เรียกผมไว้ เขาไม่ได้ทำท่าจะลงด้วย ไม่ได้จะเดินตามผมเหมือนเมื่อก่อน เพียงแค่ส่งยิ้มจริงใจให้ผม ก่อนจะพูดว่า ‘เจอกันคืนนี้’ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเรียกรอยยิ้มจากผมได้แล้ว

   กว่าผมจะไปรับไหมมาที่ร้านของพี่เวลก็สายไปเกือบชั่วโมง ผมให้ไหมเดินเข้าไปก่อนอย่างเคยและมันก็ได้รับเสียงโห่ร้องต้อนรับการมาสายของเพื่อนเหมือนทุกครั้ง ส่วนผมก็เดินเข้าไปเงียบๆ หาที่ว่างที่ใครลุกไปก่อนหน้านี้นั่ง ทุกคนในกลุ่มไหมก็ให้ความร่วมมือกับคนขับรถของไหมเป็นอย่างดีด้วยการไม่สนใจผม ผมยกมือถือขึ้นมาปัดเล่นๆ รอให้น้องชายเจ้าของร้านมาหาเหมือนที่นัดกันไว้

“พี่น่ารัก” ผมหันไปมองคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างผมทันทีและเพราะเสียงเรียกนั้นใกล้มาก พอผมหันไป จมูกของเราก็แทบจะชนกัน เป็นผมที่สะดุ้งและเอนตัวหลบไปข้างหลังเล็กน้อย “พี่มาช้า”

“ไหมแต่งตัวนาน”

“น้องเวลไปเต้นกับพี่นะ” ยังไม่ทันที่เวลจะพูดต่อ เพื่อนสักคนของไหมก็เดินเข้ามาดึงแขนเวลไว้อย่างถือวิสาสะ ผมเห็นเวลแอบเม้มปากแต่ก็ยังส่งยิ้มกลับไปอย่างฝืนๆ

“น้องมันไม่อยากเต้น” เมื่อเห็นแบบนี้ผมก็โพล่งขึ้นมา

“ไม่ต้องมายุ่งรัก ไปเร็วน้องเวล”

“คือ...ผม” ผมมองสีหน้าฝืนยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ของเวลก็อดไม่ไหวที่จะพูดออกไป ให้เธอได้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่

“ดูหน้ามันดิ มันอยากไปที่ไหน”

“น้องยังยิ้มอยู่เลย มึงมันมั่ว”

“ก็มันเป็นรุ่นน้องปะ มันถึงไม่กล้าพูดอะ” ผมตอกกลับไปด้วยความจริงจนเธอคนนั้นหน้าเสีย

“โอ๊ย รักน่ารำคาญ ไม่คุยด้วยแล้ว”

   หลังจากที่ผมรั้งเวลไว้ให้นั่งข้างตัวเองได้สำเร็จ เธอก็สะบัดแขนเวลทิ้ง แล้วเดินออกไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่ด้วยสีหน้าหงุดหงิด ก่อนจะกระซิบคุยกับเพื่อนที่ยืนอยู่ให้พร้อมใจกันหันมาทำหน้าไม่พอใจใส่ผม ส่วนผมก็ยิ้มรับแล้วทำเป็นเล่นมือถือต่อไปอย่างเคย

“พี่น่ารัก”

“อะไร” ผมมองมือที่จับข้อมือผมไว้หลวมๆ แล้วเงยหน้าสบตากับคนที่นั่งข้างกัน แววตาของเวลเต็มไปด้วยความเป็นห่วง จนผมอดไม่ได้ที่จะนึกเอ็นดูแล้วส่งยิ้มเบาๆ ให้เพื่อบอกว่า ”ไม่เป็นไร กูชินแล้ว”

“ขอบคุณครับ” เวลยังจับข้อมือผมไว้ “ผมเชื่อว่าพี่ไม่ได้เป็นแบบที่ใครพูด”

“...เรื่องกูมันดังขนาดนั้นเลย?” ผมถามยิ้มๆ

“ตอนที่ได้ยินตอนแรกก็ตกใจเหมือนกันครับ แต่พอได้อยู่ใกล้พี่แล้ว ไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย”

“...”

“ที่สำคัญพี่รวยด้วย”

“เหอะ” ผมหลุดขำออกมาเพราะประโยคนี้จากเขา คนที่จะเรียกว่ารวยจริงๆ น่ะคือมันต่างหาก

“แล้วพี่ก็จริงใจและเอาใจใส่คนอื่นด้วย”

“โกหก” ผมเบะปากใส่คนที่มองผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม อา ความรู้สึกที่บอกว่าชอบผมมากๆ จากสายตามัน ชัดเจนจนทำให้ผมแสบลูกกะตาเลยล่ะครับ

“ผมรู้ว่า...” ผมรู้ว่าแรงที่จับข้อมือผมแรงขึ้น เหมือนจะใช้ยืนยันว่าเขาเชื่อใจผม “พี่ไม่มีทางทำแบบนั้น”

   น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกดี ที่เขาเชื่อว่าผมไม่ได้เป็นคนทำ ทั้งที่ผมไม่ได้พูดเลยสักคำว่าได้ทำหรือไม่ได้ทำ ผมหลบสายตาเขาและหันไปสนใจมือถือต่อ เวลกำลังจะปล่อยมือเขา แต่เป็นผมที่ยื้อข้อมือเขาไว้แล้วเลื่อนมือไปกุมมือนั้น สอดประสานนิ้วเข้าหาเขาก่อน โดยที่ไม่มองหน้าเขาและผมก็ได้รับแรงกระชับให้มือเราจับกันไว้แน่นขึ้นตอบกลับมา

“ขอบใจ ที่คิดว่ากูไม่ได้ทำ”

   เขามันโง่จนผมรู้สึกอย่างหัวเราะแต่สายตาที่เขามองมากลับทำให้ผมหัวเราะไม่ออก สายตาอ้อนวอนขอความรักเหมือนลูกหมาหลงทางแบบนั้นน่ะ ใครจะไปขำออก ผมหลบตาเขาและเราก็นั่งข้างกันเงียบๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรอีก

“ต่อให้พี่ทำ ผมก็ยังชอบพี่เหมือนเดิม”

“มึงมันเป็นเด็กโง่” ผมพึมพำแล้วลูบนิ้วมือไปที่หลังมือเขาเล่นอย่างอารมณ์ดี และเวลก็ลูบมือผมตอบ

   ท่ามกลางเสียงเพลงบีสท์หนักและแสงไฟที่ทำให้มึนหัว เราสองคนกลับนั่งจับมือกันโดยซ่อนไว้ใต้โต๊ะเหมือนเด็กๆ น่าแปลกที่คนภาพลักษณ์เจ้าชู้อย่างเขา กลับมาทำเรื่องเหมือนเด็กน้อยแบบนี้กับผมที่แก่กว่าเขา แต่การกระทำแบบนี้มันกลับทำให้ผมยิ้มไม่หยุด คนอื่นอาจจะคิดว่าผมเป็นบ้าไปแล้วที่เล่นมือถือไปยิ้มไปแบบนี้

“อ้าว ไอ้แพรไหม!”

“ไอ้พีท!”

“มาๆ ชนแก้วๆๆ”

   เสียงบทสนทนาของไหมกับใครบางคนทำให้ผมหันไปมอง เป็นเพราะชื่อนั้นผมถึงตกใจจนผมเผลอสะบัดมือเวลออก ผมมองไปที่ไหมที่ยืนอยู่ไม่ไกล มันกำลังหัวเราะพูดคุยอย่างร่าเริงกับผู้ชายคนหนึ่ง ใบหน้าคมคาย รูปร่างสูงและมีแผลเป็นที่คิ้วนั่น ดูยังไงก็เป็นเขา

“พี่เป็นอะไร” ผมรีบหันกลับมาสบตาเวลที่ถามขึ้นมา เวลดูเป็นกังวลและจะหันไปทางเดียวกับผมที่เพิ่งมองไป เป็นผมที่วางมือบนหลังมือเขาไม่ให้หันไปแล้วรีบพูดอย่างลนลาน เมื่อสัมผัสได้ว่าใครคนนั้นกำลังจะเดินมาทางนี้

“ไปเข้าห้องน้ำนะ ไม่ต้องตามกูมา”

   ผมรีบเดินออกมาข้างนอกร้าน กะจะเดินไปนั่งในรถเพื่อหลบใครคนนั้น แต่แล้วยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปถึงลานจอดรถ ผมก็โดนกระชากแขนให้หันหลังกลับไปอย่างแรง หน้าผากผมชนเข้ากับอกเขาอย่างแรง ผมเงยหน้ามองคนที่สูงกว่าที่มีกลิ่นหอมแบบที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“จะหลบหน้ากูไปถึงไหน...รัก”

“พีท...”







-TBC-


ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 14 (10/10/62)
«ตอบ #15 เมื่อ10-10-2019 18:10:24 »

ตอนที่ 14 ติดเขา


“ไง สบายดีไหม”

   ผมมองใบหน้าของคนที่จับแขนผมไว้แน่น ผมเงียบไปไม่ยอมตอบ พยายามดึงแขนตัวเองออกจากมือเขา ‘พีท’ ยอมปล่อยโดยดีแล้วส่งสายตาให้ผมเดินตามไปคุยกันที่ลานจอดรถ เรายืนประจันหน้ากันอยู่ใต้ไฟดวงหนึ่งท่ามกลางลานจอดรถที่มีรถจอดเต็มไปหมด ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นกลางดึกแต่แสงไฟดวงนี้ก็สว่างพอให้ผมได้มองหน้าเขาได้ชัดเจน เขาแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากปีที่แล้วเลย

“กูสบายดี มึงล่ะ” ผมตอบโดยไม่มองหน้าเขา เอาแต่มองกระดุมที่อยู่บนเสื้อเชิ้ตสีดำของเขา

“ก็ดี มองหน้ากูหน่อยดิ”

   ผมเม้มปากแล้วเงยหน้าไปสบตาเขา ภาพในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในหัวผมไม่หยุด ตั้งแต่ม.ต้น ยันตอนขึ้นมหาลัย ภาพตอนที่เราหัวเราะ ร้องไห้ จับมือหรือแม้แต่กอดกัน มันถาโถมเข้ามาจนผมทนไม่ไหว เลยต้องละสายตาไปมองที่กระดุมเสื้อเขาอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากเขา มือที่ผมคุ้นเคยและคิดถึงวางลงบนหัวผมอย่างที่เคยทำ

“ถึงจะฝากไอ้ไหมมาขอบคุณมึงแล้ว แต่กูก็อยากขอบคุณมึงกับตัวอยู่ดี” เขาผละมือออกและเชยคางผมให้เงยหน้าไปสบตากับเขา ก่อนจะพูดอีกครั้ง “วันนั้นขอบคุณมึงมากนะ”

“อือ” ผมสัมผัสได้ว่าผมเกร็งไปทั้งตัวเมื่อเขาพูดถึงวันนั้น วันที่ผมไม่อยากจำ วันที่ทำให้พวกเราไม่เหมือนเดิม

“ได้ข่าวว่ามึงติดอีเพราะไปสอบไม่ทัน...เพราะกู จริงเหรอวะ”

“อือ ถ้าเป็นมึง” ผมสัมผัสได้ว่าเสียงผมสั่น ผมสบตาเขาที่กำลังยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่มีตัวเขาในอดีตซ้อนทับขึ้นมา “วันนั้น...มึงก็จะทำแบบกูใช่ไหม”



.


.



1 ปีที่แล้ว

‘รัก กูไม่อยากอยู่แล้ว กูอยากตาย ถ้ากูตายไป น้ำเขาจะรู้สึกผิดไหม’

“มึงอยู่ไหน พีท กูจะไปหามึงเดี๋ยวนี้”

‘กูตายไป มันจะได้จบๆ’

“รอกูก่อนพีท รอกู”

   หลังจากวางสายจาเขา ผมก็วิ่งออกไปจากมหาลัยทันที ไม่สนด้วยซ้ำว่าจะมีสอบไฟนอลในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ไหมตะโกนร้องเรียกผมไว้แต่ผมก็ไม่หันกลับไป ในตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตเพื่อนผม...มันไม่สำคัญเท่าคนที่ผมรักจะต้องจากไปอีกแล้ว จะแลกอะไรผมก็ยอม เขาต้องอยู่ พีทต้องมีชีวิตอยู่ ผมลงจากแท็กซี่และวิ่งเข้าไปในคอนโดพีท พยายามฝ่าฝูงคนที่มุงดูอยู่ด้านล่างเข้าไปหาตำรวจที่ปิดทางขึ้นลงไว้ ผมเข้าไปคุยและโชว์สายล่าสุดให้ดูว่าเขาต้องการผม สุดท้ายผมก็ได้ขึ้นไปหาเขา

“พีท!” ผมตะโกนเรียก คนที่ยืนชิดอยู่ขอบดาดฟ้าของคอนโดให้ได้ยิน “กูรักเอง อย่าทำแบบนี้เลย”

“ไม่ กูไม่อยากอยู่แล้ว” พีทหันมาสบตาผม เขากำลังร้องไห้และกำมือถือไว้แน่น “ไม่มีใครรักกูสักคน ไม่มี ไม่มีเลย!”

“กูไง!”

“...” ผมเห็นเขาชะงักไป แล้วตอนนั้นเองที่ตำรวจและพี่กู้ภัยสังสัญญาณให้ผมพูดต่อ

“กูรักมึงมาตลอด” ผมตะโกนออกไปสุดเสียง ด้วยความในใจที่อัดอั้นมานานหลายปี “กูรักมึง ได้ยินไหม กูรักมึง!”

ฟรึ่บ

 “สุดยอดว่ะน้อง” หลังจากที่พีทโดนพุ่งตัวเข้าใส่ เขาล้มลงและโดนกดตัวไว้กับพื้น พี่กู้ภัยคนหนึ่งพาผมลงมาด้านล่างและให้นั่งอยู่หลังรถกู้ภัย เขาชวนผมคุยเพื่อไม่ให้ผมตกใจกลัว “ไอ้แผนบอกรักนั่นคิดได้ไงเนี่ย”

“...ผมรักเขาจริงๆ” ผมมองมือตัวเองที่ยังสั่นอยู่จากเหตุการณ์เมื่อครู่

   ผมเงยหน้ามองพี่กู้ภัยที่เงียบไป เขาเดินมาตบไหล่ผมเบาๆ แล้วเดินจากไป ตอนนั้นเองที่ผมเห็นใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าที่เปื้อนเลือดที่เกิดจากคิ้วแตกของพีทมองที่ผม เขาเดินมาพร้อมตำรวจสองคน ผมกำมือแน่นเมื่อคิดได้ว่าเขาต้องได้ยินประโยคสักครู่ แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่ผมคิด ผมยังจำสายตาว่างเปล่าที่มองผมได้ไม่ลืม

“กูผิดเองที่ไม่ชัดเจนกับมึง” จบแล้ว...เป็นผมเองที่ทำให้ความเป็นเพื่อนของเราจบลง “แต่กูไม่ได้รักมึง”


.


.


   หลังจากนั้นผมก็หายมาจากชีวิตพีทเพราะผมกลัว ที่ผ่านมามีแค่ผมคนเดียวที่คิดไม่ซื่อ หลงเอาความใส่ใจเล็กน้อยของเขามาคิดเข้าข้างตัวเอง ทั้งที่เขาก็มีแฟนอยู่แล้ว ผมกลัวเหลือเกิน กลัวเขาจะไล่ผมออกไปจากชีวิต จนต้องชิงออกมาเอง ไม่ว่าจะในตอนนั้นหรือตอนนี้ ผมคงรับคำพูดใจร้ายจากเขาอีกไม่ไหว คำพูดร้ายๆ จากเพื่อนสนิทหรือจากคนที่ผมแอบรักมาตลอด ผมคงรับไม่ไหวอีกแล้ว แค่คำว่าไม่รักมันก็เจ็บปวดพอแล้ว

“อืม ตอนนั้นมึงพูดจริงเปล่าวะ” ผมมองรอยแผลเป็นที่หางคิ้วที่เกิดจากตอนตำรวจพุ่งตัวไปกดเขาลงกับพื้น ถึงแม้จะเป็นแผลเป็นแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อของมันลดลง “ตอนนั้นกูยังไม่มีสติกูอาจจะ...เข้าใจผิด”

“ฮ่าๆๆ กูก็พูดให้มึงอยู่ต่อไง” ผมแกล้งหัวเราะออกมาโง่ๆ และตามน้ำไอ้พีทไป ผมกำมือไว้แน่นจนเจ็บไปหมด “มึงเป็นเพื่อนรักกูนะเว้ย”

“กูว่าแล้ว ถ้าตอนนั้นกูโดดลงไป ชีวิตกูคงไม่ดีแบบนี้” ผมรู้ว่าพีทกำลังจะทำให้เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เขากำลังพยายามแก้สถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนของเรา “ตอนนี้กูเจอคนที่กูรักและเขาก็รักกูแล้วว่ะ”

“...” แต่มันกลับทำให้ผมเจ็บ จนพูดไม่ออก

“ต่อไปนี้กูจะรักแบบมีสติขึ้น กูจะไม่ทำร้ายตัวเองอีก ขอบคุณมากนะมึง” พีทดีงผมเข้าไปกอดเหมือนที่เคยทำ มันอบอุ่นและโหดร้ายเหมือนเคย มันไม่เคยรู้ตัวว่าความใจดีของมันทำให้ผมเจ็บแค่ไหน “ขอบคุณจริงๆ”

“ไม่เป็นไร” ผมตอบออกไปเสียงเบา มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาหวังจะกอดตอบเขา แต่...

“ต่อไปนี้ก็อย่าหลบหน้ากูอีก เข้าใจไหม” เขาก็ผละอ้อมกอดออกก่อนและยิ้มให้ผมอย่างร่าเริง “เลิกบล็อกเบอร์ บล็อกไลน์กูได้แล้ว”

“อืม” ผมอยากเกลียดเขา

“ไว้เจอกัน”
 
“ไว้เจอกัน” แต่ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ ผมไม่เคยเกลียดเขาได้เลย


.


.


   เมื่อก่อนพีท แพรไหมและผม เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ทุกอย่างเริ่มบิดเบี้ยวเมื่อผมรู้ตัวว่าชอบพีททั้งที่ยังคบกับไหม ไหมรู้เรื่องทุกอย่างและเก็บเรื่องที่ผมคิดเกินเลยกับพีทไว้เป็นความลับ จนเกิดเรื่องวันนั้นไหมกับผมยังคงสนิทกัน ส่วนไหมก็ยังสนิทกับพีท มีแค่ผมกับพีทที่ไม่เหมือนเดิม ความมีแค่ผมที่หลบเขาทุกวิถีทาง แม้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดที่จะตามหาผม แต่ผมก็ยังหลบเขาเพราะกลัวที่จะทำให้ไม่สบายใจ
 
   เขาเป็นคนที่ผมนึกถึงเมื่อไหร่ก็เจ็บปวด แล้วความเจ็บปวดครั้งนั้นยังคงอยู่เสมอในใจผม เขาทำให้ผมไม่เชื่อในความสัมพันธ์ใดๆ ขนาดผมกับพีทเป็นเพื่อนกันมานาน พอความรู้สึกไม่ตรงกัน ก็ไม่มีทางให้ไปต่อ ผมเสียใจที่ต้องเสียมันไปจากชีวิต เพราะคำว่ารักคำเดียวของผม และเสียใจที่กลับไปเป็นเพื่อนมันไม่ได้

   แต่ครั้งนี้เขากลับมา แล้วยังอยากกลับมาเป็นเพื่อนกับผมอีก ผมดีใจแต่กลับร้องไห้ ไม่รู้ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ บางทีมันอาจจะเพราะผมคิดถึงเขาและเสียใจ...ผมไม่แน่ใจเลยว่ายังรักเขาอยู่ไหม แต่มันหน่วงในอกและผมก็ไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้เลย

“ฮึก” ขณะที่ผมยืนร้องไห้ข้างรถตัวเอง ก็มีแรงกอดจากด้านหลัง “เฮือก”

“ใครทำพี่น่ารักของผม ร้องไห้กัน”

“วะ เวล” เสียงแหบแห้งของผมเรียกชื่อเขาออกไป

“...” อีกครั้งที่เขาไม่คาดคั้นถามผม เขารอให้ผมอนุญาตนั่นยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม

“ฮึก กูคิดมาตลอดว่าความรู้สึกมันจะหมดไปแล้ว แต่ทำไมกูยังร้องไห้เพราะเขาอยู่”

“...” ผมสัมผัสได้ว่ามือใหญ่ที่กอดผมอยู่บีบแขนผมแน่นขึ้น เขากำลังเจ็บปวด ผมรู้...เพราะผมก็เจ็บปวดเหมือนกัน

“ทำไงดี กูไม่อยากรักเขาแล้ว...อื้อ”

   เวลดึงแขนผมให้หันไปหาเขาแล้วประกบจูบลงมา ผมตกใจ ได้แต่ตัวแข็งยืนเบิกตากว้างมองเขา เขาทำให้ผมหยุดร้องไห้ ริมฝีปากร้อนไล่ชิมริมฝีปากผมเหมือนโหยหา แรงกอดของเขาทำให้ผมขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น สัมผัสของเขาอบอุ่นจนทำให้ผมหลับตาลงและเป็นจังหวะเดียวกันที่ลิ้นร้อนเข้ามาทักทายในปากผม

   ผมส่งลิ้นไปเกี่ยวกระหวัด เราต่างคนต่างจูบกันดูดดื่มอย่างโหยหา ทั้งที่ผมยังไม่แน่ใจในความรู้สึกก่อนหน้านี้ แต่ในตอนนี้ผมกลับใจเต้นแรงแล้วกอดคออีกฝ่ายไว้แน่น เวลขบกัดริมฝีปากผม แล้วผละจูบออกแต่ยังคงแนบหน้าผากไว้ชิดกับหน้าผากผม 

“ระ เรา” ผมพูดออกไปด้วยเสียงหอบกระเส่า กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรไป เวลก็กำลังจะก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมดันอกเขาออกแล้วขมวดคิ้วมองหน้าเขา “เราสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้แล้วไง”

“...แล้วพี่จูบตอบผมทำไม”

“…” ผมชะงักไปเมื่อเห็นแววตาเจ็บปวดจากเขา

“ถ้าพี่ไม่รู้สึกอะไรกับผม พี่จับมือผมทำไม” เวลเสยผมที่ปรกหน้าผากออกลวกๆ แล้วจับหัวไหล่ผมไว้สองข้างเหมือนหาที่พักพิง “พี่จูบตอบผมทำไม”

“...” ผมตอบเขาไม่ได้ ทั้งที่ผมต้องการความรักที่ชัดเจนมาตลอด แต่ในตอนนี้ที่ผมเจอเขาที่ชัดเจนกลับผมขนาดนี้ ผมเองกลับกลัว กลัวจนอย่างวิ่งนี้ความรู้สึกเหล่านี้ไปให้หมดและที่สำคัญผมยังตอบเขาตอนนี้ไม่ได้ ผมอ่อนไหวเกินไป “ขอกูอยู่คนเดียวก่อน...นะ”

“พี่น่ารัก...” เวลปล่อยไหล่ทั้งสองข้างของผมให้เป็นอิสระ แขนแข็งแรงสองข้างทิ้งลงข้างตัวอย่างหมดแรง “ได้ครับ”







-TBC-



ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 15 (11/10/62)
«ตอบ #16 เมื่อ11-10-2019 17:16:50 »

ตอนที่ 15 ติดกีฬา



        หลังสอบมิดเทอมเสร็จสิ้นก็ได้เวลาฮีลตัวเอง คนอื่นอาจจะร่าเริงและไปเที่ยวให้เต็มที่หลังจากอ่านหนังสือกันอย่างหนักหน่วง ต่างจากผมที่เอาแต่นอนอยู่ในห้องไปไหน ผมบอกเวลว่าขออยู่คนเดียวและเวลปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวจริงๆ สามวันแล้วที่เขาหายไปจากชีวิตผม

   สงสัยผมจะมีสภาพล่องลอยเกินไป จนไหมรู้สึกสงสารเย็นนี้มันจึงนัดผมที่ยิมมหาลัยเพื่อไปตีแบตคลายเครียดแทนการไปร้านเหล้า ผมตอบตกลงเพราะไม่รู้จะทำอะไรและก็เห็นด้วยกับการหยุดเที่ยวของไหม ผมใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดตัวใหญ่และใส่รองเท้าผ้าใบไปอย่างเตรียมพร้อม อีกทั้งยังเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ไปเปลี่ยนด้วยเพราะผมเป็นคนเหงื่อเยอะ เห็นเตรียมพร้อมขนาดนี้แต่ฝีมือนี่ต๊อกต๋อยมากครับ

   หลังจากมาถึงยิมของมหาลัย ผมก็เอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องล็อคเกอร์และเดินลอยๆ ออกมาที่สนามแบตในยิมที่ไหมจองไว้ พอไหมเห็นผมก็โบกมือเรียกอย่างร่าเริง ไหมยืนอยู่กับเพื่อนคนอื่นสองสามคน ที่ผมไม่รู้จัก เราทักทายกันปกติและเริ่มตีแบตเป็นคู่ ผมเล่นคู่กับไหม ผมตีไปเรื่อยๆ สนุกดีครับ ได้ลืมเรื่องของใครบางคนก็ผ่อนคลายดี อา นี่ผมเผลอนึกถึงหน้าลูกหมาโดนทิ้งอีกแล้ว

“พักก่อนๆ” ไหมพูดแล้วหอบหายใจมองผม ก่อนจะโยนไม้แบตมาให้ผม “ฝากแป๊บ กูว่าจะไปซื้อของกิน เอาไรไหม”

“ไม่อะ” ผมตอบ ไหมพยักหน้าแล้ววิ่งออกไปพร้อมเพื่อน
 
   ผมปาดเหงื่อที่หน้าผากออกลวกๆ แล้วยืนรอกลางสนามแบต ก่อนจะมองไปที่สนามข้างๆ เพราะไม่มีไรทำ พอมองไปก็ต้องสะดุ้งเมื่อสบตาเข้ากับเวลที่จ้องผมอยู่ ผมละสายตามามองไม้แบตในมือโง่ๆ แล้วค่อยหันกลับไปมองเขาในเวลาต่อมา เขากำลังตีแบตกับเพื่อนทั้งผู้หญิง ผู้ชายอย่างสนุกสนาน ในใจผมกระตุกขึ้นมาทันทีที่เห็นรอยยิ้มเขา ก็ดูมีควมสุขดีนี่ คงมีแค่ผมที่ทุกข์และเหงาอยู่คนเดียว

   ไม่รู้ทำไมผมถึงนึกน้อยใจโง่ๆ ออกมาทั้งที่เป็นคนไล่เขา ทั้งที่ขออยู่คนเดียว ดันมาน้อยใจอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว เลยตัดสินใจจะไปนั่งรอไหมที่สแตนด้านข้าง แต่ตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะของน้องฟ้าดังขึ้นเรียกความสนใจของผมให้หันไปมอง ผมหันไปมองก็เห็นเวลกำลังอุ้มฟ้าวิ่งไปทั่วสนามแสดงความดีใจที่คู่ตัวเองชนะ ผมรีบหันกลับมาพร้อมใจที่วูบโหวง ความรู้สึกหวงเกิดขึ้นมาในใจขึ้นมาจนผมตกใจตัวเองและตอนนั้นเองที่ผมเหยียบเชือกรองเท้าตัวเองแล้วล้มลงเสียงดัง
ตึง

   ผมเอาเข่าทั้งสองข้างลงพื้นอย่างโง่ๆ ทั้งอายทั้งเจ็บ ทำได้แค่ค่อยๆ ลุก กะจะเดินไปสแตนเงียบๆ แต่ใครบางคนก็เข้ามาประครองแขนผมไว้ กำลังจะหันไปแหวใส่ว่าให้ปล่อยกันแต่ทุกสายตาที่มองมา ก็ทำให้ผมเงียบและปล่อยให้เขาพาผมไปนั่งที่สแตน เป็นน้องฟ้าที่วิ่งเอากล่องพยาบาลมาให้ แล้ววิ่งกลับไปที่สนามแบต
 
   ผมนั่งนิ่งมองคนที่นั่งลงที่พื้นเพื่อทำแผลให้ผมอย่างเงียบๆ ผมกำมือไว้แน่น ไม่ได้รู้สึกเจ็บเพราะแผลที่หัวเข่าทั้งสองข้างหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะผมรู้สึกคิดถึงเขา ผมกัดปากตัวเองไว้ข่มความรู้สึกที่ผมไม่อยากรับรู้ ตอนนั้นเองที่เวลเงยหน้ามามองผม เขาคว้ามือซ้ายผมไปจูบหลังมือเบาๆ ส่วนผมก็ชักกลับมาทันทีเพราะกลัวคนอื่นเห็น

“หยุดทำแบบนี้สักที”

“ผมจะทำ ถ้ามันทำให้พี่คิดถึงแค่ผม” เวลดึงมือผมไปกอบกุมไว้อีกครั้งและเงยหน้าจ้องตาผม “ถ้ามันทำให้พี่หยุดร้องไห้เพราะเขาสักที”

“เวล”

“ได้นอนบ้างไหม ได้กินข้าวบ้างรึเปล่า” เขาซบหน้าลงบนมือผม “ผมเป็นห่วงพี่จะตายแล้ว”

“...หยุดได้แล้ว ลืมที่เราสัญญากันแล้วรึไง”

   เป็นผมที่ลุกขึ้นยืน ทิ้งเวลนั่งอยู่ที่เดิน ผมเดินเข้ามาห้องล็อคเกอร์ในยิมอย่างรีบร้อนและรีบเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมไม่อยากอยู่ใกล้เขาแล้ว ผมกลัวความรู้สึกที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมไม่อยากเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ผมจะกลับไปอยู่คนเดียว จะกลับไปอยู่โลกที่เงียบเหงาของตัวเอง ผมรีบใส่เสื้อผ้าและรีบออกมาจากห้องอาบน้ำ เพื่อจัดการกระเป๋าตัวเองในล็อกเกอร์ แต่ใครบางคนที่ยืนพิงล็อคเกอร์อยู่ คงไม่ปล่อยผมไปแน่ๆ   

“พี่รู้สึกยังไงกับผมกันแน่” เขายิงคำถามได้ตรงประเด็นซะจนผมสะอึก

“กู...เราเป็นพี่น้องกันก็ดีอยู่แล้วนี่” ผมเลี่ยงการสบตาเขา ทำใจดีสู้เสื้อเปิดล็อคเกอร์และเก็บเสื้อผ้าเข้ากระเป๋า ก่อนจะเอากระเป๋าออกมาถือไว้ “ไว้เจอกันในคาบนะ”

“เป็นผมไม่ได้เลยเหรอ ผมดีไม่พอสำหรับพี่ใช่ไหม”

“ไม่ใช่แบบนั้น” เขาเดินต้อนให้หลังผมชิดกับล็อคเกอร์ แล้วใช้แขนทั้งสองข้างกักขังผมไว้ ผมเงยหน้ามองดวงตาที่เจ็บปวดของเขา “เวล”

“ผมคิดมาตลอดว่าผมพลาดตรงไหน ทำไมพี่ถึงไม่ยอมเปิดใจให้ผมสักที” ผมเห็นความน้อยใจที่เกิดขึ้นในดวงตาเขา “พอผมรู้ว่าพี่ยังรักเขา ผมก็ปลอบใจตัวเองว่ายังมีความหวังอยู่”

“...” ผมเงยหน้าสบตาเขา

“ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่าสักวันพี่จะรักผมบ้าง”

“กู...” เป็นผมที่พูดไม่ออก ความรู้สึกสับสนเกิดขึ้นในใจผมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าผมยังรักพีทอยู่ไหมแต่ผมก็เจ็บที่เห็นเวลเจ็บปวดแบบนี้

       เวลก้มหน้าลงมาใกล้จนลมหายใจร้อนรินรดลงริมฝีปากผม อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าปากเราจะสัมผัสกัน ใจผมกระตุกและเต้นแรงขึ้น ผมหลับตาปี๋เพื่อรอรับสัมผัส แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ผมค่อยๆ ลืมตาก็เห็นเวลถอยใบหน้าออกไป เขากระตุกยิ้มมุมปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” เวลถอยออกไปห่างจากผมหนึ่งก้าว “ไว้เจอกันนะพี่”

   ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันทีหลังจากเวลเดินออกไป ใจผมยังเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ตอนนั้นเองที่น้ำตาผมไหลลงมา เมื่อนึกถึงสายตาและคำว่าไว้เจอกันของเวลในตอนสุดท้าย ก่อนจะหันหลังไปมันทำให้ผมใจหาย เหมือนเขากำลังจะบอกลาผม

   ถูกแล้วที่เวลจะเลือกเดินจากผมไป ผมมันน่าสมเพช ทั้งที่กลัวมาตลอดว่าจะเสียเขาไปเพราะคำว่ารัก สุดท้ายผมก็เสียเขาไปเหมือนเดิมเพราะความเห็นแก่ตัวที่อยากมีเขาไว้ข้างกายโดยเอาคำว่าพี่น้องมาอ้าง ทั้งที่รู้มาตลอดว่าความรู้สึกของเรามันไกลเกินคำว่าพี่น้องไปนานแล้ว เหมือนผมกำลังทรมานเขาแบบที่พีทเคยทำกับผม ต่อจากนี้ผมควรจะทำยังไงดี

.

.


“อีรัก!” เป็นไหมที่เปิดประตูห้องล็อคเกอร์เข้ามาเสียงดัง โดยไม่สนใจว่าเป็นห้องผู้หญิงหรือผู้ชาย พอมันเห็นผมที่นั่งอยู่ที่พื้นก็วิ่งเข้ามา จับแขนผมพลิกดูไปมา “น้องฟ้าโทรมาบอกว่ามึงล้ม เป็นไรมากไหมมึง”

“ฮึก” จากที่นั่งนิ่งมานาน พอเห็นหน้าเพื่อนตัวเองก็น้ำตาคลอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ครั้งนี้ความรู้สึกมันแย่มาก จนผมอดทนต่อไม่ไหวแล้ว

“เชี่ย เจ็บมากเหรอมึง” ไหมตกใจที่เห็นผมร้องไห้ เลยคว้าผมไปกอดแล้วลูบหัวผม โอ๋เหมือนผมเป็นเด็กๆ

“ฮึก ไหมม่อย กูเป็นอะไรไม่รู้ ฮือ”

“ไหวไหมรัก ไปโรงพยาบาลไหม” ไหมประครองหน้าผมไว้ มันเบะปากจะร้องไห้ตามผม
 
“เดี๋ยวกูอุ้มเอง แพรมึงไปเตรียมรถ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังไหมที่คุกเข่าอยู่ ทำให้ผมหันไปมอง

“อะ พีท มาได้ไง” ผมมองหน้าพีทที่ทำหน้าเครียดมองผมอยู่ มันไม่ตอบคำถามผมแต่เข้ามาประครองแขนจะอุ้มผมแทน ผมผลักอกมันเบาๆ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องๆ กูโอเค”

“...”

   แล้วห้องล็อคเกอร์ที่เงียบอยู่แล้วก็เงียบเข้าไปใหญ่ เหมือนภาพตอนม.ปลายย้อนกลับมา เพื่อนสนิททั้งสามคนยืนอยู่ด้วยกัน ผมสบตาเข้ากลับพีท น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมไม่ได้ทุรนทุรายปั่นป่วนเหมือนอย่างสามวันก่อนที่เราเจอกัน

“เอ่อ” ไหมที่ไม่เคยทนความเงียบได้ ส่งเสียงพร้อมเกาหัวอย่างอึดอัดกับสถานการณ์นี้

“กูขอคุยกับรักสองคนได้ไหม” พีทหันไปบอกไหม

“เออๆ เดี๋ยวกูรอหน้ายิมนะ” ไหมพูดแล้วสบตาผม พร้อมยกกำปั้นขึ้นมาส่งสัญญาณสู้ๆ ให้ ผมส่ายหน้ากับท่าทางของมัน แล้วมองพีทที่นั่งอยู่เก้าอี้ระหว่างล็อคเกอร์

“มึงมาได้ไง” ผมเดินไปนั่งข้างๆ มัน โดยมีกระเป๋าตัวเองคั่นกลางอยู่

 “พอดีแฟนกูก็เรียนที่นี่น่ะ เจอไหมกำลังโวยวายชื่อมึง เลยวิ่งตามมา”

“เออ ขอบใจที่เป็นห่วง” ผมเกาหลังคอตัวเองแก้เก้อ

“มึงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ผมพยักหน้าและเงียบไป พยายามตั้งใจฟังความรู้สึกตัวเอง “รัก ขอบใจที่มึงรู้สึกดีๆ กับกูนะ”

“อือ” ผมสะดุ้งที่อยู่ดีๆ พี่ก็จับมือไว้หลวมๆ
 
“กูอยากเป็นเพื่อนกับมึงนะ มึงให้กูกลับไปเป็นเพื่อนกับมึงเหมือนเดิมได้ไหมวะ”

“เป็น ฮึก” ผมพูดออกมาได้แค่นี้ น้ำตาก็ไหลเพราะรู้สึกถึงความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อพีทได้แน่ชัดแล้ว ทั้งที่ใจผมควรเจ็บและเสียใจที่พีทพูดแบบนี้ แต่ในตอนนี้ผมกลับรู้สึกดีใจ “เป็นได้ เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ฮึก ได้”

“มึงร้องไห้ทำไมวะ”

“กูดีใจ” ที่ร้องไห้ก็เพราะผมเพิ่งรู้ตัว เพิ่งรู้ตัวว่ารู้สึกแบบไหน

“มึงนี่นะ” พีทปล่อยมือแล้วขยี้หัวผมเหมือนที่เคยทำ ผมมองใบหน้าด้านข้างของเขา คงจะจริงอย่างที่ใครพูดว่า เราจะเป็นเพื่อนกับคนที่เรารักได้ ก็ต่อเมื่อเราไม่ได้รักเขาแบบนั้นอีกแล้ว

“พีทกูถามมึงหน่อย” ผมปาดน้ำตาทิ้งแล้วมองเขาอีกครั้ง

“เออ เอาดิ”

“ทำไม...ทำไมมึงเป็นแฟนกับแฟนมึงวะ” พีทหันมามองผมแบบงงๆ ผมเลยได้แต่เกาหัวแก้เก้อที่ถามอะไรประหลาดๆ ไป “แบบทำไมไม่เป็นเพื่อนกันไปเรื่อยๆ”

“แค่เพื่อนมันไม่ได้ มึงหวง มึงอยากสัมผัสไม่ได้” ผมคิดตามแล้วคิดถึงเด็กคนนั้น พีทลูบหัวผมอีกครั้งแล้วสบตาผม “มึงรักเพื่อนไม่ได้ มึงเข้าใจใช่ไหม”

“อือ” ผมพยักหน้าแล้วรู้สึกแปลบเข้ามากลางอก เมื่อนึกถึงคิดถึงลูกหมาที่มองผมด้วยสายตาเจ็บปวด

“กูคงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าความรู้สึกรักมันเป็นยังไง” ผมยิ้มแล้วคิดถึงใบหน้าเวล ที่มองผมด้วยสายตาที่เอาแต่บอกว่าชอบผม

“อือ ใช่” ผมรู้ดี ว่าการรักใครสักคนมันเป็นยังไง

ฟรึ่บ

“กูทำผิดไปแล้ว กูทำผิดครั้งใหญ่เลยพีท” ผมยืนขึ้นคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายไว้อย่างเร่งรีบ

“เรื่องไรวะ”

“...”

“ไว้มึงสบายใจแล้วค่อยเล่าให้กูฟังก็ได้” พีทลุกขึ้นยืนตามผม แล้วตบไหล่ผมเบาๆ สองสามที “ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ทำผิดก็แก้ให้ถูกดิวะ”

“พีท ขอบใจนะ” ผมบอกขอบคุณเขาจากใจ แล้วรีบวิ่งออกจากยิมเพราะรีบร้อนตามหาลูกหมาหลงทางตัวนั้น ผมจึงไม่ได้ยินเสียงที่ดังตามมาจากด้านหลัง

“กูดีใจนะ ที่มึงมีความรักครั้งใหม่สักที”








-TBC-

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 16 (12/10/62)
«ตอบ #17 เมื่อ12-10-2019 14:06:02 »


ตอนที่ 16 ติดธุระ



“น้องฟ้า” ก่อนออกจากยิมผมเหลือบไปเห็นกลุ่มน้องฟ้านั่งอยู่บนสแตน ผมจึงวิ่งเข้าไปหา

“อ้าว พี่น่ารัก” ผมยิ้มให้น้องฟ้า แล้วมองหาคนที่ควรนั่งอยู่กับเพื่อน “เมื่อกี้พี่ล้มแรงมากเลย เป็นอะไรมากไหมคะ”

“อ่า ไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจมากนะ” ผมยิ้มแล้วมองไปทั่วสแตนอีกครั้ง แต่ก็ไม่เจอเขา “เอ่อ เวลไปไหนแล้วล่ะ”

“อ๋อ” น้องฟ้ายิ้ม แล้วทำท่าป้องปากกระซิบบอกผม “เห็นบอกว่ารีบกลับไปทำธุระอะไรสักอย่างที่คอนโดค่ะ”

“อ่อ ขอบใจมากนะ” แล้วผมก็รีบวิ่งออกมา

.

.

   แม้จะรีบแค่ไหนสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ใจไม่กล้าพอที่จะเคาะห้องเขา ทั้งที่ยืนอยู่หน้าห้องเขาแล้วแท้ๆ ผมทำได้แค่เดินวนเวียนอยู่หน้าห้องเขา ไม่รู้จะเริ่มจากอะไรก่อน ตอนที่รีบมาก็คิดแค่ว่าอยากมาเจอหน้าเขาให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มคุยอะไร ไม่รู้ต้องคุยยังไง

แกร่ก

“อ้าว” เสียงทุ้มของผู้ชายที่เปิดประตูห้องของเวลออกมา ทำให้ผมสะดุ้งแล้วหันไปมอง

“สะ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้อย่างงงๆ เพราะไม่คิดว่าจะเจอพี่เวฟ พี่ชายของเวลที่นี่

“มาหาเวลใช่ไหม” เขายืนกอดอกพิงกรอบประตูที่ยังเปิดไว้มองผม ใบหน้าเขาคล้ายเวลมากแต่ดูดุกว่า ดูดิบเถื่อนกว่าและคงสูงกว่าเวลด้วย

“ครับ”

“เข้าไปดิ” พี่เวฟดันประตูให้กว้างขึ้น แล้วเบี่ยงตัวให้ผมเข้าไป

“เอ่อ ผมรอตรงนี้ดีกว่าครับ”

“โอเค” พี่เวฟเดินออกมาโดยยังไม่ปิดประตู เขาเดินมาใกล้ผมอีกก้าวโดยยังไม่คลายแขนที่กอดอกไว้ ก่อนจะพูดเสียงเย็นๆ กับผม “กูไม่เคยเห็นมันหมดฤทธิ์ขนาดนี้มาก่อน มีอะไรก็คุยกันดีๆ ล่ะ ยังไงมันก็น้องกู”

“เอ่อ ครับ” นี่ผมกำลังโดนข่มขู่ใช่ไหมเนี่ย ผมพยักหน้าไม่กล้าสบตากับคนที่สูงกว่า

“เวล มีคนมาหา” พี่เวฟเดินไปตะโกนเข้าไปในห้องและหันมาพยักหน้าให้ผม ก่อนจะเดินผ่านผมไปที่ลิฟต์

“ครับ” เสียงของคนที่ผมคิดถึงตะโกนกลับออกมา ไม่นานก็ได้ยินเสียงลากสลิปเปอร์เดินมาที่ประตู

   เวลชะงักไปเมื่อเห็นผม ดูจากผมที่เปียกอยู่เขาคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอร์มขายาวที่ธรรมดาทั่วไป แต่พออยู่บนตัวเขาแล้วกลับดูดีมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมองเขาอย่างละเอียด ดังนั้นผมถึงใจเต้นแรงขนาดนี้ ผมกำลังจะพูดแต่พอมองสายตาที่ว่างเปล่าของเขาแล้ว ผมกลับพูดไม่ออก

“พี่รัก มีอะไรรึเปล่าครับ” ถึงแม้เวลจะยิ้มให้ผม แต่ก็เป็นยิ้มการค้าที่ผมมองออก มันไม่ใช่ยิ้มแบบที่เขาเคยมอบให้ผม
“...” ผมเม้มปากแน่น นึกโกรธตัวเองที่รู้ตัวสายไปได้ขนาดนี้ ผมทำร้ายรอยยิ้มที่สว่างไสวของเขาไปแล้ว “ขะ ขอโทษ”

“ขอโทษอะไรกันครับ” ห่างเหิน เย็นชาและน่ากลัวกว่าที่ผมเคยเจอเขาวันแรก

“นี่ มึงอย่าเป็นแบบนี้สิ” ผมก้มหน้า กำกางเกงตัวเองไว้แน่น กลัวที่จะต้องเสียเขาไปแต่ไม่รู้ต้องรักษาเขาไว้ยังไง ผมมันโง่จริงๆ “เรา...เรา”

“ถ้าพี่จะมาขอโทษ แล้วให้ผมกลับไปเป็นพี่น้องเหมือนเดิม” เวลโพล่งขึ้นมาตอนที่ผมอึกอัก ผมเงยหน้าสบตากับเขา จากแววตาที่เคยว่างเปล่าก็กลายเป็นความเจ็บปวด “ผมคงทำให้แบบนั้นไม่ได้”

“เวล”

“ผมเจ็บ พี่เข้าใจไหม” ผมกำมือแน่นที่เห็นเขาเจ็บปวดถึงขนาดนี้ “ถ้าเราเป็นพี่น้องกันไปเรื่อยๆ ถ้าวันหนึ่งพี่เลิกรักเขา แล้วไปรักคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมคงไม่ไหว”

“...”

“ขอโทษที่ผมทำตามสัญญาไม่ได้”

“หยุดพูดได้แล้ว”

   ผมใช้สองแขนตัวเองโอบรอบคอเขา ขยับเข้าไปใกล้จนตัวเราแนบชิดกัน เวลสะดุ้งและจับเอวผม ผมสบตาเขา จ้องไว้อย่างแน่วแน่และหลับตาเขย่งปลายเท้าขึ้นให้ริมฝีปากเราแตะกัน กลิ่นสบู่ที่ที่ผมเคยใช้ลอยเข้าจมูกทำให้ผมใจเต้นแรงกว่าเดิม

   ผมกล้าๆ กลัวๆ ลองเอาลิ้นแตะที่ปากเขา แล้วแทรกเข้าไปเมื่อเวลใช้มือเขากดท้ายทอยผมเข้าหา ผมเอียงหน้ารับสัมผัสให้เราจูบกันถนัดกว่า เสียงลมหายใจหอบหนักและสัมผัสมือที่ไล้ไปทั่วหลังทำให้ผมขนลุก ก่อนที่เราจะปล่อยให้อารมณ์เตลิดไปไกล ผมก็ถอนจูบออกมา

“เข้าใจแล้วใช่ไหม” ผมพูดแล้วกดจูบลงไปที่ปากเขาเบาๆ อีกรอบ “อย่าหายไปไหนอีกนะ”

“รู้ไหมว่าผมต้องทรมานแค่ไหน” เวลพูดเสียงอ่อย เขาลูบแก้มผม แล้วซบหัวลงมาที่ไหล่ซ้ายของผม

“พี่รักขอโทษ” ผมแทนตัวเองว่าพี่รักกระซิบข้างหูเขา

“พี่แทนตัวเองว่าพี่รักอะ” เวลสะดุ้งแล้วผละอ้อมกอดออก เขาเอามือปิดปากตัวเองเหมือนสาวน้อยเวลาเขิน

“อืม”

“ผมเกือบหลุดกรี๊ดอะ”


“เหอะ”

   ผมแค่นหัวเราะ ให้กับท่าทางดี๊ด๊าของเขาที่แตกต่างจากท่าทางเย็นชาก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว ผมสังเกตเห็นว่าทั้งหน้าทั้งหูเขาแดงไปหมด เขาทำท่าเงอะงะจนผมหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดู เขาคงชอบให้ผมแทนตัวเองว่าพี่รักจริงๆ เวลทำท่าเขินอายสักพักก็วิ่งเข้าไปในห้อง ก่อนจะวิ่งกลับมาหาผมที่หน้าห้องอย่างรวดเร็ว พร้อมซองจดหมายในมือ


“พี่รัก” เขาเรียกแล้วยื่นซองจดหมายนั่นให้ผม

“อะไร” ถึงจะถามแต่ก็ไม่รอคำตอบของเขา ผมเปิดซองจดหมาย แล้วดึงกระดาษสองสามแผ่นที่ถูกพับไว้ข้างในออกมา

“นี่ผลตรวจเลือด” เวลพูดเสียงเบา ใบหน้าเขาแดงไปหมด เขาชี้ที่ตารางในกระดาษให้ผมดู “ปกติทุอย่าง”
 
“อืม” ผมตอบรับในลำคออย่างไม่ค่อยเข้าใจ แล้วมองหน้าเขางงๆ

“พี่เห็นนี่ไหมผมตรวจ HIV ด้วย” พอเขาพูดประโยคนี้มา ผมก็กระจ่าง มองเขาที่เกาคางตัวเองแบบทำอะไรไม่ถูก “รู้ไหมว่าผมกลัวเข็มจะตาย”

“…” ผมมองหน้าเขาที่เริ่มเล่านู่นนี่ออกมา เหมือนเด็กน้อยเวลาอวดอะไรสักอย่างให้ผู้ปกครองชม

“ตอนนี้ผมมีเพื่อนสนิทแล้วนะ ฟ้าเป็นเพื่อนสนิทคนแรกของผม ”

“...เวล” ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าจะหยุดยิ้มได้ยังไง ในใจผมมันฟูไปด้วยความสุขจนคับอกไปหมด

“ครับ?”

   ผมพับกระดาษใส่ซองจดหมายและเดินเข้าไปกอดเขาก่อน ไม่คิดเลยว่าเขาจะไปตรวจเลือดมาจริงๆ เขามันน่ารักจนผมไม่รู้จะทำยังไง ใครจะไปคิดว่าผู้ชายอย่างเขาที่มีตัวเลือกเยอะแยะจะมาจริงจังกับผม แถมยังแสดงด้านที่อ่อนแอและละเอียดอ่อนให้ผมเห็นขนาดนี้

“กูไม่เคยรังเกียจมึง” เขาคงกังวลเรื่องที่ตัวเองเที่ยวกลางคืนบ่อย กลัวผมรังเกียจเขา ผมพูดแล้วลูบหลังเขาไปมา

“พี่รัก”

“อย่าโทษตัวเองว่าดีไม่พออีก” ผมซบลงอกกว้าง ผมสัมผัสได้ว่าใจเขาเต้นแรงจนผมหลุดยิ้มอีกรอบ “มึงดีที่สุด ดีที่สุดสำหรับกูแล้ว”

“ผม...พี่รักก็ดีที่สุด ดีที่สุดเลย” เขากอดผมแน่นแล้วซุกหน้ากับลำคอผม

“ที่บอกว่าจะทำให้กูลืมไม่ลงนี่คือแบบนี้ใช่ไหม” ผมพูดไปขำไป

“ครับ”

“ไอ้ลูกหมา ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะแล้วกอดเขาแน่นขึ้น

“เข้าห้องกันไหม” เขากระซิบข้างหูผมแล้วลูบเอวผมเล่น

“ไม่” ผมสะดุ้งแล้วผละตัวออก ก่อนจะแลบลิ้นให้คนตัวสูงกว่า แล้วพูดล้อเลียนเขาอีกครั้ง “กลัวคนมีผลตรวจเลือดไม่ให้ออกมา”

“ฮ่าๆ” เวลหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วมองผม “ถ้าอย่างนั้นพี่ต้องให้ผมไปส่งที่คอนโดพี่”

“อืม”

.

.

“ผมขอเข้าไปได้ไหม”

   เวลพูดเสียงอ่อย ยืนหูหางลู่มองผมอยู่หน้าประตูห้อง ถึงผมกับเวลเคยเข้าคอนโดกันเป็นว่าเล่น แต่ตอนนี้บรรยากาศระหว่างเราเปลี่ยนไปแล้ว และผมก็ไม่กล้าให้เขาเข้ามาด้วยเพราะอะไรน่ะเหรอครับ เพราะหูหางลู่ของมันนี่ล่ะ ผมรู้ว่ามันต้องซ่อนเขี้ยวเล็บไว้แน่ๆ ขนาดตอนนี้มันยังจับมือผม ลูบมือผมไม่ยอมปล่อยเลย

“ไม่เอา พรุ่งนี้มึงมีเรียนเช้าไม่ใช่รึไง” ผมพูดแล้วดึงมือกลับ “ปล่อยได้แล้ว”

“แต่...” ถึงจะยอมปล่อยมือ แต่เขาก็พยายามอ้อนผมต่อ

“พอเลย ได้คืบเอาศอก” ผมเอานิ้วจิ้มอกเขาเบาๆ ให้ถอยไป

“ใครว่า ผมจะเอาพี่” เนี่ย! ก็เป็นซะแบบนี้ พูดแบบนั้นแล้วก็จับมือผมไปจูบลงบนนิ้วชี้อีก

“ไอ้เวล!” ผมเงื้อมมือข้างนั้นฟาดเขา แต่เขาก็หลบได้ทัน แถมทำท่ายกมือยอมแพ้ให้ผมอีก

“ล้อเล่นๆ” เวลขำแล้วยิ้มให้ผม ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายผม “ฝันดีนะครับ”

“อือ กลับดีๆ” ผมถอนหายใจ กำลังจะปิดประตู แต่พอนึกบางอย่างได้ก็สอดแค่หัวออกมามองคนที่ยังยืนอยู่หน้าห้อง “ถึงห้องแล้วไลน์บอกด้วย”

“...” เวลจ้องหน้าผมแล้วยิ้มกว้าง เหมือนผมจะเห็นหางที่ส่ายไปมาแว๊บๆ ด้วย

“ยิ้มอยู่ได้ ไปได้แล้ว” ผมแกล้งขมวดคิ้วไล่ลูกหมากลับบ้าน พยามบอกตัวเองว่าห้ามยิ้มๆ

“ผมชอบพี่”

“...” ผมรู้ว่าผมกำลังเขิน หน้าผมเห่อร้อน จนไม่กล้าสบตากับดวงตาประกายวิบวับของคนตรงหน้า

“ผมชอบพี่” เวลจ้องผม ส่วนผมก็ทำได้แค่เม้มปากแล้วพยักหน้า ผมไม่ได้ปฏิเสธเขาเหมือนเคย เวลยิ้มกว้างดีใจและพูดอีกครั้ง “ผมชอบพี่”

“เออๆ” ผมพยักหน้าส่งๆ แล้วปิดประตูใส่เขา ที่ผมต้องทำอย่างนี้เพราะถ้าปล่อยให้เขาอ้อนผมต่อมีหวังเขาต้องได้เข้าห้องมาแน่ๆ

ปัง

“ฮ่าๆ” เวลหัวเราะเสียงดังทันที่ที่ผมปิดประตูลง ผมทรุดตัวลงนั่งพิงกับประตู เอามือปัดลมให้พัดเข้าใบหน้าที่เห่อร้อนของตัวเอง ลูบอกตัวเองไปพลางๆ โดยหวังว่าใจที่เต้นแรงนี้จะเต้นเบาลงบ้าง แต่เสียงทุ้มของอีกคนที่อยู่ตรงข้ามของประตู ก็ดังลอดเข้ามาทำให้ใจผมเต้นแรงกว่าเดิม “ขอบคุณที่เปิดใจให้ผม ผมชอบพี่จริงๆ นะครับ”


“รู้แล้ว” ผมพึมพำตอบไป ในใจก็ปรากฏความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นมาในหัวใจ ‘ชอบ’ เหมือนกัน








-TBC-

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: รักติดอี ตอนที่ 16 (12/10/62)
«ตอบ #18 เมื่อ12-10-2019 14:30:47 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 17 (13/10/62)
«ตอบ #19 เมื่อ13-10-2019 18:15:42 »

ตอนที่ 17 ติดกับ




   ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในห้องนอนของเวล ทั้งที่ตั้งใจกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่อยู่ด้วยกันสองต่อสองเด็ดขาด แต่ผมก็มายืนในห้องนอนมันแล้วครับ ผมกอดอกมองเวลที่นั่งยิ้มอยู่บนเตียงอย่างอารมณ์ดี ผมจ้องหน้าเขาและแล้วเริ่มดุคนที่หลอกผมให้มาติดกับจนได้

“ไหนบอกว่าทำงานกลุ่ม”

“ผมนัดเพื่อนทำงานกลุ่มจริงๆ พี่”

“กลุ่มบ้าไร ไม่เห็นเพื่อนมึงสักคน” ผมว่ามันเสียงดุ แต่ได้รับการตอบรับเป็นการโดนดึงแขนให้ล้มลงไปนอนกับเตียงมัน แถมมันยังเอาตัวคร่อมผมไว้อีก ผมตาลีตาเหลือกดิ้นหนีทันทีครับ “ปล่อยนะเว้ย!”

“พี่กลัวไรเนี่ย”

“กลัวมึงเนี่ย!” ผมตะโกนแล้วพยายามลุก แต่ก็โดนมันทิ้งตัวนอนทับใส่หน้าด้านๆ “ไม่เอานะเว้ย กูยังไม่พร้อมๆๆๆ”

“ฮ่าๆ พี่คิดไรอะ” เวลหัวเราะแล้วยิ้มล้อเลียนผม เห็นแบบนั้นผมเลยเอามือตีหน้าผากมันเบาๆ ข้อหาหมั่นไส้หน้าหล่อๆ ของมัน “ถ้าพี่ไม่พร้อม ผมก็ไม่ทำ ถึงจะแอบซ้อมด้วยมือเกือบทุกวันก็เถอะ”

“หยุดพูด!” ผมหน้าดำหน้าแดงเพราะเขิน ผมปิดหูแล้วพลิกตัวฝังหน้าลงกับหมอน เดี๋ยวนี้นอกจากเวลจะอัพสกิลหาเรื่องให้ผมอายได้ทุกวัน มันยังอัพสกิลเรื่องทะลึ่งตึงตังด้วย ผมอยากตาย ทำไมต้องชอบคนแบบมันด้วย

“ฮ่าๆ” เวลหัวเราะก่อนจะพลิกตัวให้ผมมานอนทับมันด้านบน

“เวล กูไม่ได้เบาขนาดที่มึงจะจับกูพลิกไปมานะเว้ย” ผมพูดเขินๆ แล้วซบหน้าลงบนอกเขา ผมไม่ได้ลุกหนีแต่อย่างใด ก็อย่างว่าล่ะครับ พอรู้ตัวว่าชอบก็อยากกอด อยากสัมผัสเขา

“คิดดีไม่ได้เลยอะ”

“เงียบไปเลย” ผมเอามือไปปิดปากเขาไว้ แต่ก็ได้รับรอยจูบกลับมาที่ฝ่ามือ ผมรีบเอามือออกแล้วขมวดคิ้วมองเขา “มึงนี่นะ”

“หึ พี่กอดผมได้ไงเนี่ย” เวลพูดล้อเลียนคำพูดก่อนหน้านี้ของผม เขาดัดเสียงให้คล้ายผม แล้วเริ่มดิ้นแต่ไม่ยอมปล่อยมือออกจากเอวผม “ไหนบอกห้ามสัมผัสกันไง ทำแบบนี้ไม่ได้นะๆ”

“กวนตีน” ยังไม่ทันที่ผมจะตีหน้าผากมันอีกรอบมือถือของเวลก็สั่นขึ้นมาก่อน

ครืด ครืด

“ฮัลโหล โอเคๆ รอแป๊บนะ”

   ผมลุกออกจากตัวเขาทันทีที่เขายอมปล่อยเอวผม เวลทำท่าถอนหายใจอย่างเสียดายแล้วก้มลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ผมดันอกเขาออกแต่เวลก็ยังดื้อจะก้มลงมาอีกรอบ

“พอเลย”

“ก็ได้ๆ พวกฟ้าอยู่หน้าห้องแล้วครับ” เวลพูด แล้วจับมือผมให้เดินออกจากห้องนอนไปพร้อมกัน “เห็นไหมผมไม่ได้หลอกพี่”

“เออ ขอโทษแล้วกัน” ผมพูดเสียงเบาเพราะรู้สึกผิดที่เผลอคิดแง่ร้ายกับเขาอีกแล้ว

“พี่รัก สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือรับไหว้พวกน้องๆ ที่เดินเข้ามาในห้องโดยหอบถุงที่ใส่กระดาษสีกันมาเยอะแยะ มีฟ้ากับพลอยที่ผมจำได้ ส่วนน้องผู้ชายคนอื่นๆ อีกสองสามคนผมไม่รู้จัก ผมดึงแขนเวลไว้แล้วกระซิบบอก “เวล ทำงานกันไปเลยนะ กูขอไปอยู่ในห้อง”

“อ่อ ได้ครับ”

   ผมยิ้มให้พวกน้องๆ อีกรอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนเวลเพราะถ้าผมอยู่ข้างนอก อาจทำให้พวกน้องเขาอึดอัดก็ได้ ผมเลยขอมาอยู่คนเดียวดีกว่า พวกเวลจะได้ทำงานได้สะดวกด้วย ผมนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงเขาอย่างสบายใจ ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงผมก็ได้ยินเสียงน้องๆ หัวเราะกันลั่นห้อง นั่นทำให้ผมยิ้มตาม

   ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ ในตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในตัวเขา เช่นเดียวกับผมที่พูดตรงสุดแสนจะจริงใจ นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งในตัวผมเหมือนกัน เราแค่มีวิธีใช้ชีวิตในสังคมต่างกันเท่านั้นเอง แล้วที่เรารู้สึกดีต่อกันแบบนี้ คงเป็นเพราะเราได้เจอกันในด้านที่เป็นตัวเอง มันเลยเริ่มจากความสบายใจ แล้วกลายเป็นหลงใหลในซึ่งกันและกัน


ก๊อก ก๊อก

“พี่รัก” ผมลุกขึ้นนั่งมองเวลที่เปิดประตูเข้ามา

“หืม มีอะ...” ยังไม่ทันที่ผมจะถามจบ เขาก็เดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง แล้วเอาหัวหนุนตักผมไว้ “แอบอู้รึไง”

“ครับ” เขาหลับตาลงอย่างสบายใจ เห็นอย่างนั้นผมเลยลูบผมเขาเล่น เวลลืมตามายิ้มให้ผม “ถ้าไม่ชอบผม ห้ามโดนตัวผมครับ”

“เดี๋ยวเถอะ” ผมขยี้หัวเขาด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนที่เวลจะลุกขึ้นนั่ง พอเห็นหน้าเขาดูมีความสุขผมก็อดใจไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บที่ปากเขาเบาๆ แล้วผละออกมาอย่างรวดเร็ว

“ผมบอกว่าห้ามจูบไง” เห็นเขาทำหน้าบูด ผมก็นึกเอ็นดูเลยกอดเขาก่อน แล้วทิ้งตัวนอนทับเขาไว้ “ห้ามกอดด้วย”
 
“พี่อยากอยู่ใกล้เวล” ผมพูดไปตามความรู้สึกในตอนนี้

“...พี่รัก”

“อยากกอด” มันถึงเวลาที่ผมจะบอกเขาสักที

“...”

“อยากสัมผัส” พอพูดเสร็จผมก็ลุกขึ้นนั่งโดยนั่งคร่อมตัวเขาไว้
 
“ที่พี่พูดแบบนี้เพราะผมมีผลตรวจเลือดใช่ไหม” เวลยิ้ม แล้วจับเอวผมไว้แน่น มันเป็นท่าที่ล่อแหลมจนผมนึกอยากตีมือที่ลูบเอวผมเล่นไม่หยุด แต่ก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะคำพูดน่ารักๆ ของเขา

“เปล่า” ผมส่ายหน้าและจ้องตาเขา “เพราะพี่รักชอบเวล”

“อะ อีกทีได้ไหม” เวลลุกขึ้นนั่งทันที ผมเกือบตกจากตัวเขาแต่เพราะมีแขนทั้งสองข้างของเขาที่กอดเอวไว้ ทำให้ผมยังนั่งอยู่บนตักเขา เวลมองหน้าผมแล้วพูดกระตุกกระตักออกมา “มะ เหมือนผม ผม หูอื้อ”

“พี่รักชอบเวล!” ผมตะโกนใส่คนที่มือสั่น หน้าแดง เวลชะงักแล้วยิ้มกว้างไม่ต่างจากผม

“หึ” เขาหัวเราะ แล้วใช้มือสองข้างขยี้แก้มผมไปมา “พูดออกมาสักที”
 
“ฮะ” ผมชะงักไปเพราะคำพูดแปลกๆ ของเขา พอมองหน้าเขาดีๆ แล้วเวลดูเหมือนกำลังคิดหรือกังวลอะไรอยู่ตลอดเวลา “เวล”
 
“เดี๋ยวผมมานะครับ” เขาอุ้มผมลงจากตัก วางตัวผมให้นั่งลงบนเตียง แล้วรีบวิ่งออกไปนอกห้องทันที

ปัง

“…” ผมนั่งงงๆ กระพริบตาปริบๆ กับสถานการณ์เมื่อครู่ ผมเคยคิดไว้ว่าถ้าบอกชอบเขาไปแล้ว เวลต้องเล่นใหญ่ อาจจะหลุดกรี๊ดออกมาเลยก็ได้ แต่ไอ้คำที่บอกว่าพูดออกมาสักทีนี่มันหมายความว่ายังไง

   ผมส่ายหน้าเมื่อเผลอคิดอะไรในแง่ลบอีก บางทีเวลอาจจะเขินจนต้องวิ่งออกไปทำสมาธิก่อนก็ได้ คิดได้ดังนั้นผมก็เดินไปที่ประตู หวังว่าจะออกไปล้อคนขี้เขิน แต่เหมือนผมจะลืมไปว่าไม่ได้มีเราอยู่กันแค่สองคน มือผมที่กำลังจะเปิดประตูออกไปต้องหยุดชะงักลง เมื่อบทสนทนานอกห้องนั้นมีชื่อผมอยู่

“มึงเงียบๆ เดี๋ยวพี่รักได้ยิน” ผมจำได้ว่านี่เป็นเสียงน้องฟ้า

“มึงได้ยินประโยคบอกชอบเมื่อกี้ปะ” เสียงนี้เป็นเสียงผู้ชายที่ผมไม่รู้จัก สักพักก็เป็นเสียงบอกว่าได้ยินของน้องผู้ชายอีกคนตอบกลับเบาๆ

“เสียงพี่รักเข้าไปในกล้องไหม” แต่เสียงนี้ผมจำได้ดี เสียงของเวล

“แป๊บนะ ได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่” น้องฟ้าพูด

“ได้อยู่ๆ” เวลพูดแล้วเงียบไป “ขอบใจพวกมึงมาก สมกับที่วางแผนกันไว้เลย อย่างแจ่ม”

เป็นผมที่ชาไปทั้งตัวกับคำพูดของเวล






-TBC-

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รักติดอี ตอนที่ 17 (13/10/62)
« ตอบ #19 เมื่อ: 13-10-2019 18:15:42 »





ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 18 (15/10/62)
«ตอบ #20 เมื่อ15-10-2019 16:56:24 »

ตอนที่ 18 ติด ติด ติด




   ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ใจผมเต้นแรงไปด้วยความโกรธแล้วมันก็กลายเป็นความเจ็บปวด เมื่อนึกถึงประโยคก่อนหน้าที่เขาบอกว่าผมยอมพูดสักที จากที่เข้าใจไปเองว่าเขาดีใจกับคำว่าชอบของผม กลับกลายเป็นผมถูกหลอกและโดนเล่นกับความรู้สึก ตัวผมสั่นไปด้วยความโกรธ แต่ถึงผมจะเจ็บแค่ไหน ผมก็จะไม่ยอมเป็นของเล่นของใคร จะไม่ยอมหนีหายไปแล้วเจ็บปวดเงียบๆ ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น

ปัง

“คิดว่าตลกมากรึไง” ผมเปิดประตูออกไปอย่างแรง แล้วถามคำถามกับพวกเวลที่ยืนกันอยู่หน้าประตูห้องนอนไม่กี่ก้าว ผมเห็นฟ้าค่อยๆ ลดมือถือที่กำลังกดถ่ายลง ผมน้ำตาคลอด้วยความโกรธกำมือแน่นมองหน้าน้องๆ ทุกคน “ตอบสิ”
 
“เชี่ย ชิบหายแล้ว” น้องพลอยหลุดพูดออกมาแล้วเดินไปหลบหลังฟ้า
 
“พี่รักคือ...” น้องฟ้ายังไม่ทันจะพูดจบ เวลก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“เฮ้ย พี่รักร้องไห้ทำไม” ผมมองเวลที่เดินมาหาผมหน้าตาตื่น
 
“กูไม่ได้ร้องไห้!” ผมตะโกนใส่คนที่เดินมาจับข้อมือผมเบาๆ ผมสะบัดออกอย่างแรงแล้วจ้องหน้าเขา “ไม่ต้องมาจับกู”

“คือ…” น้องผู้ชายที่ใส่แว่นพูดออกมาเบาๆ แล้วทำท่าทางอ้ำอึ้งมองผมสลับกับเวล “พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้นะพี่ มันเป็นแผนของไอ้เวล”

“พี่รักฟังผมก่อน” ผมยืนนิ่งรอฟังเวลพูด แต่คำพูดต่อมาของเขาทำให้ผมโกรธกว่าเดิม “ผมไม่รู้ว่าพี่จะเป็นแบบนี้”

“มึงจะให้กูดีใจ ยิ้มหน้าบานที่มึงวางแผนหลอกกูเหรอ” ผมโกรธจนตัวสั่น พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นไปด้วย ผมไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าใคร โดยเฉพาะเวล ผมจ้องหน้าเขาแล้วแค่นยิ้ม “ที่วางแผนกันมาทั้งหมด เพื่อให้กูพูดว่าชอบมึงใช่ไหม”
 
“…” เวลชะงักไป แล้วยกมือขึ้นมากุมขมับ

“ใช่! พี่ชอบเวล ชอบมาก!” ผมหันไปตะโกนบอกกับพวกน้องๆ ที่ยืนอยู่ ตอนนี้ทุกคนเหมือนโดนสาปให้เป็นหิน ทุกคนยืนนิ่งกระพริบตาปริบๆ แล้วทั้งห้องก็เงียบและเต็มไปด้วยความอึดอัด “ทำไมต้องเล่นกับความรู้สึกคนอื่นกันขนาดนี้ พี่แพ้แล้วพอใจยัง”

“ใจเย็นๆ พี่รัก” เวลทำท่าจะเดินเขามาใกล้ แต่ผมก็ถอยหลังหนีเขา เวลจึงหยุดยืนอยู่ตรงนั้น

“กูไปทำอะไรให้มึงเกลียดนักหนา มึงมาเล่นกับความรู้สึกกูทำไม” ผมตะคอกใส่เวล ไม่สนใจว่ามีใครอยู่ในนี้บ้าง ทำไมผมต้องสนใจด้วย ในเมื่อไม่มีใครสนใจความรู้สึกผมเลย
 
“ผม...ผมชอบพี่จริงๆ พี่รัก” เวลเดินเข้ามาจะจับมือผมอีกรอบ ผมเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ตัวเองในห้องนอนของเวลมาสะพายขึ้นบ่า แล้วเดินออกมาประจันหน้าทุกคนที่เดิม

“ต่อไปนี้ไม่ต้องมาเจอกันอีก” พูดแบบนั้นใส่หน้าเวลเสร็จ ผมก็เดินผ่านหน้าพวกเขาไปอย่างไม่สนใจไยดี

“เอ่อ พี่รักคะ” ยังไม่ทันที่ผมจะถึงประตูหน้าห้อง น้องฟ้าก็วิ่งมาจับแขนผมไว้
 
“...” ผมหันไปมองหน้าน้องฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า น้องฟ้าชะงักไปแล้วค่อยๆ พูดเสียงสั่น

“คะ คือจริงๆ แล้ว วะ เวลวางแผนให้พวกเรามาเซอร์ไพรส์วันเกิดพี่ค่ะ”
 
“ฮะ” ผมขมวดคิ้วงุนงง มองตามมือน้องฟ้าที่ปล่อยแขนผม แล้วชี้เข้าไปในห้องนั่งเล่น
 
   อาจเพราะเมื่อครู่ผมโมโหมากจนหน้ามืดตาบอด ถึงไม่เห็นว่าบริเวณห้องนั่งเล่นของเวลถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม บนเพดานนั้นเต็มไปด้วยลูกโป่งสีฟ้า ที่ผ้าม่านก็มีกระดาษสีแปะคำว่า Happy Birthday อยู่ ข้างๆ ป้ายนั้นมีบอร์ดเล็กที่ติดกระดาษโน้ตเล็กๆ เป็นคำอวยพรวันเกิด แถมยังมีสายรุ้งสีเงินและสีฟ้าตกแต่งอย่างน่ารัก ตรงหน้าทีวีมีโต๊ะเล็กวางอยู่ บนนั้นเต็มไปด้วยขนมและเครื่องดื่มต่างๆ

   ผมกระพริบตาปริบๆ ยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาเอาแต่จับจ้องไปที่ป้ายตรงนั้นที่มีคำอวยพรวันเกิดจากน้องๆ ในตอนนี้ผมไม่เหลือความโกรธสักนิด แต่กลับรู้สึกเสียใจและละอายใจที่โวยวายใส่ทุกคนไป

“แล้วเรื่องที่ฟ้าถ่ายคลิปคือฟ้าจะอัพไอจีสตอรี่ค่ะ แต่มันดันติดเสียงพี่รักเข้าไปด้วย” ฟ้าค่อยๆ ยิ้มเมื่อเห็นหน้าผมดูดีขึ้น “พอเวลรู้เลยจะขอคลิปจากฟ้าค่ะ”

“มึงจะเอาไปทำอะไร” ถึงจะหายโกรธแล้ว แต่ผมก็แกล้งทำหน้ายุ่งมองเวล

“ก็ผมยะ...อยากเก็บไว้” เวลสะดุ้งเมื่อผมหันไปมองเขา เขาพูดกระตุกกระตักหน้าแดง จนโดนเพื่อนผู้ชายอีกคนผลักอย่างหมั่นไส้

“พวกเราไม่ได้มีแผนอะไรไม่ดีแบบที่พี่คิดนะครับ” น้องแว่นพูดขึ้นมา

“เอ่อ งั้นพวกฟ้าขอตัวกลับกันก่อนนะคะ” ฟ้ารีบพูด แล้วกวักมือเรียกเพื่อนๆ “คุยกันดีๆ นะพี่ ยังไงก็สุขสันต์วันเกิดนะคะ”

“เดี๋ยว” กว่าผมจะประมวลผลได้ พวกน้องฟ้าและคนอื่นๆ ก็กำลังจะออกจากห้องไปแล้ว ผมรีบเดินไปหาทุกคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง “พี่ขอโทษ พี่ พี่...เข้าใจผิดไปเอง ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ พวกหนูเข้าใจ” น้องพลอยพูดแล้วยิ้มให้ผม

“ทั้งหมดนี่ทำกันเองเหรอ”

“ค่ะ”

“ขอบคุณมากนะ พี่ชอบมากเลย” ผมพูดจากใจจริง สักพักก็สัมผัสได้ว่าเวลเดินมาชิดตัวผมจากด้านหลังแล้ว

“งั้นพวกหนูขอตัวแล้วนะคะ”

“เอ่อ” ยังไม่ทันที่จะชวนให้อยู่ด้วยกันต่อ พวกน้องฟ้าและเพื่อนๆ ก็วิ่งไปที่ลิฟต์กันแล้ว รีบอะไรกันขนาดนั้นกันนะ ผมหันหลังกลับมาก็เจอเวลยืนยิ้มแฉ่งให้ผม ผมหุบยิ้มที่ยิ้มให้พวกน้องฟ้า แล้ววิ่งเข้าไปในห้องนอนเวลทันที ถึงจะหายโกรธแล้วแต่ก็ยังเคืองอยู่ครับ ผมปิดประตูแล้วล็อคทันที

ปัง

ปังๆๆๆๆ

“พี่เปิดประตูๆ” เวลทุบประตูเสียงดัง จนผมเดาได้เลยว่าข้างห้องคงสาปแช่งพวกเรากันไปแล้ว

“อย่าโกรธผมนะ” เวลพูดเสียงเบาลง

“พี่รัก อย่าเลิกชอบผมนะพี่” ผมจินตนาการออกเลยว่าตอนนี้เวลคงกำลังทำหูหางลู่อยู่ เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ เรียกผมอีกรอบ “เปิดประตูให้ผมหน่อยครับ”

แกร่ก

“อะไรอีก” สุดท้ายผมก็ใจอ่อนเปิดประตูไปหาเขา จริงๆ ผมใจอ่อนตั้งแต่วิ่งเข้าห้องนอนเขามาแล้วล่ะ แค่อยากแกล้งลูกหมาต่อเฉยๆ

   จากที่กอดอกทำหน้าบูดเพื่อจะแกล้งเขาต่อ ก็ต้องคลายแขนออกเพราะภาพตรงหน้า เวลยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อผมยอมเปิดประตู ตอนนี้เขากำลังถือเค้กสีขาวที่ถูกปักด้วยเทียนที่จุดแล้ว แสงเทียนสีเหลืองทำให้ประกายในแววตาของเขาวิบวับกว่าเดิม ผมคงไม่มีวันลืมแววตาที่เต็มไปด้วยความสุขของเขาที่กำลังจ้องมองผมในตอนนี้ ใจผมเต้นแรงและรอยยิ้มที่ผมพยายามกลั้นไว้มานานก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย

“สุขสันต์วันเกิดครับ” เวลยื่นเค้กมาใกล้ผม

“รู้ได้ไงว่ากูเกิดวันนี้” ผมมองหน้าเค้กที่ตกแต่งด้วยไวท์ช็อกโกแลตที่ผมชอบ

“เฟสบุ๊ค” 

“หึ ขอบคุณนะ” ผมยิ้มให้เขาแล้วหุบยิ้มลงเมื่อคิดได้ว่าตัวเองเพิ่งทำอะไรไป “เมื่อกี้กูขอโทษที่ทำนิสัยเสียแบบนั้น”

“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นการเข้าใจผิด” เวลเม้มปากเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่างแล้วพูดต่อ “ถ้าพี่หลอกผมว่าชอบผม ผมก็โกรธเหมือนกัน”

“กู...ไม่ได้โกรธสักหน่อย”

“หึ นอกจากโกรธแล้ว ผมคงเสียใจ”

“อือ” ผมเงยหน้าสบตาเขา ก่อนจะหลับตาลงแล้วยกมือประกบกัน ผมอธิษฐานและเป่าเทียนทั้งหมด

“อธิษฐานว่าอะไรครับ” เวลพูดหลังจากจูงมือผมให้มานั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่นด้วยกัน โดยวางเค้กไว้บนโต๊ะเล็กด้านหน้า

“กูขอให้ไม่ต้องเจอกับคนไม่ดี คนขี้โกหกอีก”

“อ้าว ผมเตรียมตัวหายไปเลยนะ”

“...มึงนี่นะ” ผมทำท่าจะตีเขา

“ฮ่าๆ ล้อเล่น” เวลยกมืออย่างยอมแพ้ แล้วเอาแต่จ้องหน้าผม ผมที่ไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ที่ไหนเลยมองเค้กวันเกิดตัวเองแก้เขิน “อธิษฐานว่าอะไร บอกผมหน่อย”

“กูอธิษฐานให้กูมีความสุข คนรอบตัวกูด้วย” ผมตอบโดยไม่มองหน้าเขา

“น่ารักจัง” พอพูดแบบนั้นเสร็จก็โถมตัวมากอดคอผมไว้จนผมเซไปทั้งตัว “จูบได้ยังอะ”

“ตลกละ” ผมเอามือทุบแขนที่โอบรอบคอผมเบาๆ ให้ปล่อย แต่นอกจากจะไม่ปล่อยแล้วยังเอาหัวถูหัวผมไปมาอีก นี่มันเป็นหมาจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย!
 
“พี่ห้ามเลิกชอบผมนะ” เขาพูดเสียงอ้อนโดยไม่ยอมคลายอ้อมกอดออกสักนิด

“เออๆ” ผมตอบปัดไป โดยที่หน้าร้อนจนไม่รู้จะร้อนยังไงแล้ว

“เพราะผมจะไม่มีวันเลิกชอบพี่” เหมือนได้ยินเสียงระเบิดในใจ ผมเสียอาการจนผลักเขาออก แบกหน้าร้อนๆ ของตัวเองไปหาเค้กแทน

 “เค้กน่ากินจังเลยน้า” ผมพูดแล้วตักเค้กที่ตัดใส่จานกระดาษขึ้นมากินอย่างเขินๆ

“ไหนผมชิมบ้าง” เวลก้มหน้าลงมาใกล้จนจมูกเราสัมผัสกันเบาๆ

 “หยุด” ผมถอยออกแล้วมองอย่างรู้ทัน “อย่ามาใช้มุกชิมด้วยจูบ”

“โธ่ งั้นใช้มุกนี้ละกัน” เขายิ้มกวนแล้วใช้นิ้วปาดครีมจากเค้กเข้าปากตัวเอง ก่อนจะใช้สองมือประครองแก้มทั้งสองข้างของผมไว้ แล้วประกบริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากผม

   ทันทีที่ปากเราแนบชิดกัน เรียวลิ้นร้อนที่มีครีมติดอยู่ก็ละเลงครีมนั้นเข้ามาในปากผม ลิ้นร้อนลุกไล้ไปทั่วลิ้นผมจนหัวผมมึนงง รสหวานของครีมทำผมใจสั่น ผมดูดกลืนความหวานนั้นไม่ต่างจากเวลที่ดูดดึงไปทั่วลิ้นและริมฝีปากผม เราถอนจูบออกแล้วหอบหายใจอย่างหนักหลังจากผ่านจูบร้อนแรงเมื่อครู่

“อร่อยจริงด้วย” เวลลูบริมฝีปากผมไปมาพร้อมกับจ้องตาผม รอยยิ้มเขาในตอนนี้ทำผมร้อนไปทั้งตัว

“พอเลย” ผมปัดมือที่กอดเอวผมออกแล้วนั่งดีๆ หลังจากที่โดนรวบกอดไปเกยบนตักเขา

“เขินล่ะสิ” เวลพูดล้อผม

“เคยทำมาก่อนใช่ไหมล่ะ” ผมหันไปสบตาแล้วพูดกวนเขา

“ไม่หาเรื่องสิครับ” เวลทำหน้าอ้อนแล้วซบหัวลงที่ไหล่ผม

“ไม่ต้องมาอ้อน กูยังเคืองๆ อยู่นะเว้ย” ผมเอนตัวหนีแกล้งเขาแต่กลับโดนเขากอดเอวไว้แน่น

“รู้ไหมว่าผมชอบเวลาที่ผมอยู่กับพี่แค่ไหน”

“ไม่รู้ ไม่อยากรู้” ผมส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่อง “จะกินเค้กหมดไหมเนี่ย โทรตามพวกน้องฟ้ากลับมากินด้วยกันเลย”

“ครับ” เวลยิ้ม แล้วเอาแต่จ้องหน้าผมอีกแล้ว “ผมชอบมากเลย”

“กูเหรอ” ผมสบตาเขาแล้วยักคิ้วให้อย่างกวนๆ

“เค้ก”

“เออ กูก็ชอบ”

“เค้กเหรอ”

“ชอบมึงอะ”

“หึ” เวลยิ้มกว้าง แล้วเอามือประครองแก้มผมไว้ทั้งสองข้าง “ถ้าพี่ปากบวม ต้องโทษที่ทำตัวน่ารักนะครับ”

“ทำเป็นพูดดี”

“อ้าว แบบนี้ต้องพิสูจน์แล้วไหมครับ”

“เอาดิ” ผมยิ้มกวนแล้วยักคิ้วให้เขาอีกครั้ง เราโน้มใบหน้าเข้าหากัน ริมฝีปากร้อนสัมผัสกัน...ผมไม่เคยรู้เลยว่าจูบของเราจะหวานได้มากขนาดนี้








-TBC-

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 18 (15/10/62)
«ตอบ #21 เมื่อ15-10-2019 18:49:05 »

ใจหายเลยยย นึกว่าเวลจะมีแผนการร้ายใส่พี่รัก หวานกันจริงๆคู่นี้

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 19 (16/10/62)
«ตอบ #22 เมื่อ16-10-2019 22:09:21 »

ตอนที่ 19 ติดอะไรนักหนา




“พี่รังเกียจผม”

“มึงพูดไม่รู้เรื่องแล้วเวล”

“ทำไมอะ แค่จับมือก็ไม่ได้”

   ผมถอนหายใจรอบที่สิบของวัน แล้วทิ้งตัวพิงพนักม้านั่งอย่างหมดแรงหลังจากเถียงกับเวลเรื่องนี้มาครึ่งค่อนวัน ใช่ครับ เรื่องจับมือกันนี่ล่ะ เมื่อเช้าอยู่ดีๆ เวลก็ขอเดินจับมือผม ตอนเดินเข้ามหาลัยพร้อมกันแต่ไม่ใช่แค่ตอนนั้นันขอจับมือผมทั้งวันเลยครับและผมก็ปฎิเสธเขาทุกครั้งแบบไม่ต้องคิดเลย

   ใครมันจะไปยอมครับ ถึงประเทศเราจะยอมรับเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนทั้งหมดที่รับได้และที่สำคัญผู้ชายสองคนเดินจับมือกันเดินไปไหนมาไหน ยังไงก็ต้องถูกจับจ้อง เผลอๆ อาจโดนแอบถ่ายรูปไปลงโซเชียลด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนความรักจะกลืนกินสมองส่วนรับรู้ความจริงของเวลไปซะหมด เขาถึงมาทำหน้าอ้อนข้างผมอย่างไม่ยอมลดละ อ้อนไม่ได้ผลก็แสร้งบีบน้ำตาเหมือนเด็กๆ แต่อย่าคิดว่าผมจะใจอ่อนนะครับ

“ตอนนี้ไม่ได้” ที่ยอมพูดด้วยก่อนตอนนี้เพราะเวทนาครับ

“งั้นตอนกลับบ้าน”

“ไม่ได้” ผมเห็นเขาทำหน้าบูด แล้วก็ลองแกล้งอีกสักหน่อย “เราไม่ได้เป็นแฟนกัน”

“พี่ก็ยอมเป็นสักทีสิ ผมขออยู่ทุกวันเนี่ย”

   ผมแทบจะตกเก้าอี้ไปกับคำพูดนี้ของเขา เขาขอผมเป็นแฟนทุกวันจริงๆ ครับ แต่ผมก็เอาแต่เขินอ้ำอึ้ง นอกจากเขินอายคือผมกังวล ถ้าเราคบกัน ผมกลัวสิ่งที่จะกระทบต่อเขามากกว่า เวลเป็นเหมือนคนที่มีสปอตไลท์ส่อง เขาเป็นคนที่โดนจับจ้องของคนอื่น ยังไงก็ต้องมีคนต้องเอาเขาไปพูดอย่างเสียๆ หายๆ ถึงแม้ตอนนี้ก็มีอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่อยากเพิ่มคำพูดไม่ดีให้เขา ผมไม่อยากเห็นเขาทำหน้าเครียด เศร้าหรือเสียใจ ผมอยากเป็นพลังบวกให้เขาบ้าง

“มึงนี่ พูดอะไรก็ไม่รู้” ผมพูดแล้วถอนหายใจ ดึงมือตัวเองที่โดนเขาดึงไปกอบกุมเล่นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ออก “ปล่อย เดี๋ยวคนอื่นเห็น”

“พี่น่ารัก” เขามองผมอย่างออดอ้อน

“ลูกอ้อนมึง ใช้ไม่ได้กับกู” ผมตีมือที่จะเอื้อมมาจับมือผมอีกรอบเบาๆ

“ยิ่งตีกัน ยิ่งลูกดกนะมึง”

   เสียงแพรดังขึ้นมาทำให้ผมและเวลหันไปมอง แพรเพิ่งออกมาจากห้องเรียนวิชาเลือกเสรีที่ผมไม่ได้ลงเรียนด้วย เพราะเย็นนี้เรานัดกินข้าวกัน ผมเลยมานั่งรอมันเลิกเรียน ส่วนเวลเป็นตัวแถมครับ จากที่แพรเคยเหม็นหน้าเวล ตอนนี้มันก็ทำใจได้แล้วเพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะเวลเป็นน้องเจ้าของร้านเหล้าที่มันชอบไป แล้วมันก็หวังได้ส่วนลดไงครับถึงยอมไว้ใจ แค่นี้เลยจริงๆ จากที่เตือนไม่ให้ไว้ใจเวลตอนนี้แทบจะจับผมใส่พานถวายให้เวลแล้ว น่ากลัวชะมัด

“ลูกพ่อง” ผมอดด่ามันไม่ได้ แพรหันมาเบะปากให้ผมแล้วหันไปรับไหว้เวลด้วยรอยยิ้ม

“พี่แพร สวัสดีครับ” ส่วนเวลก็ยังรักษาความเป็นพระเอกแสนดีของมันได้อย่างดี

“สวัสดีจ้า ความดีของโลกใบนี้”

“ถุย” ผมทำท่าถุยใส่ไหมที่ยิ้มตาเยิ้มใส่เวล

“ไม่น่ามาหลงนรกแบบเพื่อนพี่เลย”

 “พี่น่ารักใจดีจะตายครับ” นี่ก็แสนดี แกล้งโง่กับคนอื่นไปทั่ว “ใช่ไหมครับ”

“เหอะ” แต่กลับร้ายกาจและกวนตีนกับผมคนเดียว ดูสายตากวนประสาทมันตอนนี้สิครับ พอแพรได้ยินมันชมว่าผมน่ารักก็หัวเราะจนน้ำตาเล็ด “หยุดหัวเราะนะมึง”

“เออๆ ยังไงขอบใจที่มารอคนสวยนะจ้ะ” มันเช็ดน้ำตาที่หางตาแล้วถามผม “เย็นนี้กินไรกันดี”

“แล้วแต่มึง” ผมพูด

“พิซซ่าละกัน โกๆๆ” ไหมดึงแขนผมกับเวลให้ลุกขึ้น ก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ “เดี๋ยววันนี้พี่แพร จะเลี้ยงน้องเวลกับน้องน่ารักคนน่ารักเอง ฮ่าๆ”

“ไหมม่อย!”

“ฮ่าๆๆๆ”

.

.

“มึง...กูมีเรื่องจะปรึกษา”

   ตอนนี้เราอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาลัยกันครับ เราเข้ามาร้านพิซซ่าและสั่งอาหารพร้อมกัน ยังไม่ทันที่แพรไหมจะได้ซักถามอะไรผมกับเวล เวลก็ขอตัวไปคุยโทรศัพท์กับแม่ ผมจึงมีโอกาสได้อยู่กับไหมสองคน

“ไรวะ เอากันแล้วไม่มันส์เหรอ”

“...กูไหว้ล่ะแพร” ผมถึงกับชะงักค้าง หยุดหายใจไปสามวิกับความตรงของมัน แล้วยกมือไหว้ “มึงไม่ต้องพูดสิ่งที่มึงคิดออกมาหมดก็ได้ ให้ความดีในตัวมึงหลงเหลือบ้าง”

 “แฮะๆ แล้วมันคือปัญหาเรื่องไรล่ะหนู” ไหมยิ้มแห้งใส่ผม

“เวลมันวอแวขอเป็นแฟนกูทุกวันเลย” ผมมองไปทางเข้าหน้าร้านที่เวลยังยืนคุยโทรศัพท์อยู่แล้วพูดต่อ “คือกูไม่รู้จะทำยังไง”

“อ้าว ยังไม่เป็นแฟนเหรอ”

“เออ”

“ได้กันยัง”

“ยัง เดี๋ยวทำไมต้องถามเรื่องนี้”

“มึง....สมองมึงยังโอเคอยู่เปล่าวะ” ไหมถอนหายใจแล้วกอดอก “ใจตรงกันแล้ว ก็คบดิ แค่นี้ง่ายๆ”

“อ้าว ก็...ก็กูยังไม่พร้อม”

“โถ อยากด่าแรงๆ แต่เกรงใจความสวยของตัวเอง”

“มึงด่าก็ได้”

“มึงก็นะ” มันถลึงตาใส่ผมแล้ว เอามือมาประสานกันบนโต๊ะ พร้อมทำท่าจริงจัง “พอเห็นเด็กมันอยู่ในโอวาท ก็เล่นตัว”

“กูไม่ได้เล่นตัว”

“โถ คอสเพลย์เป็นผัวเมียกันจนจะจบเทอมแล้วจ้า”

“...” ผมชะงักไปเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

“อาทิตย์หน้าก็ไฟนอลแล้วไหมเอ่ย ไม่ได้เรียนด้วยกันแล้วไหมเอ่ย” ไหมยิ้มร้ายก่อนจะพูดต่อ “พอไม่ได้เรียนด้วยกัน มึงจะเจอกันน้อยลง สถานะคลุมเครือแบบนี้จะยื้อกันไปได้ตลอดรอดฝั่งเหรอ ใครๆ ก็อยากได้ความชัดเจนกันทั้งนั้น...จริงไหม”

“อืม” ผมคิดตามและพูดต่อ “แต่กูกลัว...คนอื่นจะพูดถึงเวลเสียๆ หายๆ”

“โถ อีรัก” ไหมยิ้มแล้วส่ายหัว “เฮ้อ สมแล้วที่เวลชมมึงน่ารัก ฮ่าๆ”
   
“กูไม่น่ารัก กูหล่อ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดต่อ เวลก็เดินยิ้มมานั่งข้างผมแล้ว

“คุยอะไรกันครับ” เวลยิ้มหน้าระรื่นถามไหมที่ยังคงขำอยู่

“หึๆ นินทาน้องเวลจ้ะ”

“ไหม” ผมใช้เสียงปรามไหม ที่มองผมกับเวลสลับกันไปมาอย่างสนุกสนาน

“นินทาอะไรครับ อยากรู้จัง”

“หูย บอกไม่ได้จ้ะ พี่ไม่อยากตายด้วยมีดหั่นพิซซ่า”
   
   หลังจากที่ผมถือมีดขู่ พนักงานเสิร์ฟก็ยกพิซซ่าและเมนูอื่นๆ มาวางบนโต๊ะ ผมจึงยอมสงบศึก แล้วนั่งเงียบมองอาหารด้วยความอยากกิน แต่ก่อนจะได้กินผมก็ขอถ่ายรูปลงไอจีสตอรี่สักหน่อยละกัน

   แต่ยังไม่ทันจะได้ลง ก็มีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาให้ผมได้รู้ว่าถูกแท็กจากไอจีของคนที่นั่งข้างๆ กัน ผมกดเข้าไปดูในไอจีสตอรี่ของเวลที่เพิ่งโพสต์ล่าสุด เป็นรูปพิซซ่าที่ถ่ายติดมือผมที่ถ่ายพิซซ่าอยู่ ไม่มีข้อความอะไร มีแค่แท็กชื่อที่มือผม พร้อมรูปหัวใจสีแดง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วให้ผมเขินจนไม่กล้าหันไปมองเขาอีก

“กินได้แล้ว หิวแล้วเนี่ย” ผมพูดแก้เขินเมื่อสัมผัสได้ว่าเวลจ้องผม ผมตักพิซซ่าใส่จานตัวเอง พอกำลังจะลงมือกิน ก็สบตากับไหมที่นั่งตรงข้ามกันเสียก่อน

“นั่นน่ะสิ กินสักที” ไหมยิ้มอย่างยียวน แล้วพูดแฝงความหมายใส่ผม “อย่ารอนานเลย เดี๋ยวไม่ทันกินพอดี”

“ไหมม่อย!”

“อะไรเหรอ หืมๆ” ไหมเลิกคิ้วมองผม

“อะไรกันครับ” เวลมองผมกับไหมสลับกันงงๆ

“ไม่บอก” ผมบอกเวลแล้วก้มหน้ากินพิซซ่าไป หน้าแดงไป

.

.

   หลังจากกินเสร็จ เราก็เดินย่อยในห้างกันหนึ่งรอบ ก่อนที่ผมกับเวลจะเดินไปส่งแพรไหมที่รถไฟฟ้า แล้วเราก็เดินลงไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินด้วยกัน ระหว่างทางเวลก็อ้อนขอให้ตัวเองขึ้นไปส่งผมถึงหน้าห้อง ผมพยักหน้าอย่างไม่ได้คิดอะไร แล้วเงียบไปเพราะเอาแต่คิดถึงคำพูดของไหม อาทิตย์หน้าก็เป็นสอบไฟนอลของเทอมนี้แล้ว ผมกับเวลจะไม่ได้เจอกันแล้ว เขาจะเปลี่ยนไปไหม จะยอมตามตื๊อผมอย่างนี้ไปต่ออีกรึเปล่า

ติ๊ง

“เวล” ผมเรียกเขาไว้เมื่อเราเดินออกจากลิฟต์ เวลที่เดินนำหน้าอยู่หันมามองผมที่ยื่นมือซ้ายไปหาเขา “อะ”

“อะไรครับ”

“จับดิ” ผมพูดเสียงเบาๆ ไม่สบตาเขา “ตอนนี้มึงจับมือกูได้....จนกว่าจะถึงห้องกู”

“พี่แม่ง...” เขาสบถเบาๆ แล้วดึงมือผมไปกอบกุมไว้

“อะไร เดี๋ยวนี้กล้าพูดไม่เพราะกับกูเหรอ” ผมกระชับมือเขาไว้ แล้วพยายามพูดให้เป็นปกติขัดกับหน้าร้อนๆ ของตัวเอง

“พี่น่ารักจนเจ็บผมเจ็บไปหมดแล้วอะ” เวลยิ้มกว้าง ทั้งหน้าและหูแดงไปหมด

“อะไร กูหล่อต่างห่าง” ผมก็คงหน้าแดง หูแดงไม่ต่างจากเขา

“เดินช้าๆ หน่อย” นอกจากไม่สนใจคำพูดผมแล้ว ยังพูดเอาแต่ใจตัวเองออกมาหน้าตาเฉย “ผมอยากจับมือพี่นานๆ”

   พอพูดจบแล้ว ก็ดึงผมเข้าไปใกล้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเงยหน้ามองเขาพอดี พอได้สบตาเขาพร้อมจูงมือกันแบบนี้ ใจผมที่เต้นแรงอยู่แล้วก็เต้นแรงกว่าเดิม ความรู้สึกอบอุ่นในรูปแบบที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมันทำให้ใจผมพองจนแน่นคับอก จนผมนึกสงสัยว่าคนเราจะมีความสุขจนตายได้ไหมนะ

   หลังจากที่ยอมเดินต่อเท้าอย่างช้าๆ เพื่อสนองความต้องการเขาเกือบห้านาที ผมถึงกับคิดกับตัวเองว่านี่อาจจะเป็นการเดินจากลิฟท์มาห้องตัวเองที่ใช้เวลานานที่สุดในชีวิตแล้ว สุดท้ายก็ถึงหน้าประตูห้องของผมสักที เวลไม่ยอมปล่อยมือผม ส่วนผมก็เอาแต่มองพื้นลูบหลังมือเขาเล่น

“ถึงห้องแล้ว” ผมพูดสียงเบามองพื้น

“รู้แล้ว” เวลตอบผม ผมเงยหน้าสบตากับเขาที่กำลังยิ้มอยู่ แล้วผมก็ยิ้มตามเขาอย่างง่ายดาย

“ปล่อยมือสิ”

“ไม่เอา พี่ปล่อยก่อน”

“ปล่อย”

“พี่ปล่อยก่อน” แล้วเราก็หัวเราะออกมาทั้งคู่โดยไม่ยอมปล่อยมือกัน ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผมจะมีมุมกุ๊กกิ๊กแบบนี้ด้วย ความรักนี่ทำให้ผมแปลกใจได้ตลอดจริงๆ

“เข้าไปด้วยได้ไหม” ผมมองคนที่มองอ้อนผม ไอ้หน้าหมาหูลู่หางตกนี่คืออะไร แล้วทำไมผมถึงยอมเปิดประตู แล้วยังไม่ยอมปล่อยมือเขาด้วย

“เก็บหางกับหูด้วย ห้องกูไม่ให้หมาเข้า” ผมพูดรัวๆ ดึงมือออกจากมือเขาแล้วเดินเข้าห้องทันทีที่พูดจบ ผมรีบถอดรองเท้าแล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเร็วๆ หนีความอายของตัวเอง ไม่นานก็ได้ยินเสียงปิดประตู เวลถอดรองเท้าแล้วเดินยิ้มเข้ามาหาผมอย่างดีใจ “อะไรยิ้มทำไม”

“คืนนี้ผมนอนด้วยนะ”

“เออ นอนเฉยๆ นะเว้ย” ผมพูดแล้วค่อยๆ สบตาเขา แต่เพราะรอยยิ้มล้อเลียนของเขา ก็นึกได้ว่าคำยังไม่ชัดเจนจึงรีบแก้คำ แล้วทำท่าเอามือประกบกันรองแก้มตัวเองเป็นท่านอนหลับอธิบายไปด้วย “แบบ...แบบนอนหลับอะ”

“ครับๆ” เวลตอบรับ แล้วเดินเข้ามาใกล้ แต่ไม่ได้ใกล้เกินไปจนผมรู้สึกกลัว เขาหยุดยืนห่างจากผมหนึ่งก้าว “อยากกอดอะ”

“...” ผมนิ่งจ้องแววตาสดใสที่ผมไม่รู้ตัวว่าหลงใหลแววตานี้ตั้งแต่เมื่อ พอรู้ตัวก็ชอบมากๆ เสียแล้ว ผมละสายตาไปมองผ้าม่านด้านข้างแทน แล้วกางแขนออก พูดออกไปด้วยเสียงแข็งๆ “ก็มากอดดิ”

“พี่น่ารัก” เรียกผมแค่นั้น ก็พุ่งตัวเข้ามากอดผมอย่างแรง จนผมเซไปหนึ่งก้าว พอได้กอดก็กอดผมแน่นแถมยังเรียกผมไม่หยุด “น่ารักๆๆๆๆ”

“เรียกอะไรนักหนา” ผมยิ้มแล้วกอดเขาตอบ ความอบอุ่นที่เราโหยหาอบอวลไปทั่วห้องหลังเล็ก ผมลูบหลังเขาเบาๆ “พี่รักอยู่นี่แล้ว”

“น่ารักจริงๆ”

“เวล” ผมเรียกเขาแล้วลูบหลังเขาไป คิดเรื่องที่อยู่ในหัวผมทั้งวันไป ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดออกไป “เหนื่อยไหม”

“ครับ?” เวลผละตัวออกแต่ยังคงกอดเอวผมไว้ แล้วมองหน้าผม

“ที่ขอกูเป็นแฟนทุกวันแบบนี้ เหนื่อยไหม”

“ไม่ครับ” เขาตอบเร็วจนผมตกใจ เงยหน้าสบตากับเขาด้วยหัวใจเต้นแรง “จนกว่าพี่จะใจอ่อน ผมก็จะขอพี่ไปเรื่อยๆ”

“มึงนี่นะ” ผมส่ายหัว แล้วหลบตาเขา “ถ้าเรียนจบแล้ว กูยังไม่ตอบตกลงล่ะ”

“ไม่ว่าพี่จะกังวลอะไรอยู่” เขาเชยคางให้ผมสบตากับเขา “ไม่ว่ายังไง ผมก็รอได้แค่พี่บอกว่าในอนาคตที่พี่พร้อมและระหว่างทางนี้ พี่จะยังชอบผมอยู่”

“...” ผมเม้มปากแน่นเมื่อเห็นแววตาที่แน่วแน่ของเขา

“ผมก็จะขอพี่เป็นแฟนทุกวัน”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ถ้าหลังจากที่เราตกลงคบกัน”

“ถ้าพี่อยากรู้ ก็ต้องตอบตกลงก่อนครับ”

“เหอะ” ผมแค่นหัวเราะกับความเจ้าเล่ห์ของเขาแล้วเขย่งปลายเท้า ยื่นหน้าไปประกบจูบเบาๆ ลงริมฝีปากร้อนของเขา ผมผละออกมาสบตากับเขา ถ้าเกิดระหว่างรอจนกว่าที่เราจะพร้อม เขาเกิดรู้สึกท้อหรือไม่มั่นใจในความรู้สึกที่ผมมีให้เขา ผมจะย้ำให้เขาได้รับรู้เองว่า “พี่รักชอบเวล”

“พี่รัก” เวลกอดผมไว้อีกครั้งและผมก็กอดตอบเขา “แล้วผมจะไปไหนรอด”









ความหวานระดับต้องตัดขา!
-TBC-

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: รักติดอี ตอนที่ 19 (16/10/62)
«ตอบ #23 เมื่อ17-10-2019 11:12:26 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมเวลมันน่ารักขนาดเน้

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 20 (17/10/62)
«ตอบ #24 เมื่อ17-10-2019 15:22:48 »

ตอนที่ 20 ติดรถ




   หลังจากที่ผมพรากเพียรอ่านอ่านหนังสือจนกลายร่างเป็นซอมบี้ ในที่สุดก็ถึงวันนี้ วันที่ผมจะต้องสอบไฟนอลวิชาที่ผมติดอีแล้ว ทั้งที่เป็นวิชาทั่วไปแต่ผมกลับรู้สึกกดดันกว่าวิชาที่ยากกว่านี้ ผมเอาแต่มองโทรศัพท์ ความรู้สึกตอนวิ่งออกไปช่วยชีวิตพีทผมยังจำได้ไม่ลืมและดูเหมือนว่าผมคงทำหน้ากังวลออกไป เวลถึงดึงมือผมไปจับแล้วใช้ชีททับมือเราสองคนและซ่อนไว้ใต้โต๊ะ

“มึงว่าที่กูวิ่งออกไปวันนั้น กูทำถูกไหม” ผมมองหน้าเขาแล้วกระชับมือเราที่อยู่ใต้โต๊ะให้แน่นขึ้น

“ถ้าเป็นผม...ผมก็ทำแบบนั้น”

“เวล...” ผมมองเขาที่ยิ้มให้ผมอย่างสดใส

“แค่ติดอีไม่เห็นเป็นไรเลยพี่ แค่เกรดตัวเดียวมันไม่ใช่ทั้งชีวิตสักหน่อย”

“หึ แต่มึงก็ต้องตั้งใจสอบ ห้ามติดอีเหมือนกูนะ” ผมยิ้มขำที่เห็นเขาพยายามปลอบใจผม ซึ่งมันก็ช่วยได้มากจริงๆ

“ครับ” เวลยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม “ผมไม่ติดอีหรอก”

“...”

“ติดพี่ดีกว่า”

“ตลก” ผมส่ายหน้าให้มันอย่างเอือมๆ ผมและเวลลุกขึ้นยืนเมื่อถึงเวลาสอบ ผมเดินเข้าห้องสอบด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นยังไง ผมก็จะไม่เสียใจกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเช่นกัน


.

.

   ความสัมพันของเราก็ยังเหมือนเดิม ผมยังคงไม่ยอมตอบรับคำขอเป็นแฟนจากเขา เวลก็ยังขอผมทุกวันอย่างที่เคยได้พูดไว้ ถามว่าผมใจอ่อนบ้างไหม ยอมรับตรงๆ ว่าใจอ่อนทุกครั้งครับ แต่ยังไม่ตอบตกลงเหมือนเดิม ผมอยากให้เวลใช้ชีวิตในมหาลัยมากกว่านี้ เผื่อได้เจอคนที่ชอบมากกว่าผม เผื่อได้เจอคนที่ใช่มากกว่าผม ส่วนผมน่ะ...ยังไงก็ไม่มีวันเลิกชอบเขาหรอกครับ แต่ผมไม่บอกเขาหรอก เดี๋ยวมันจะได้ใจ

“พี่รัก” ดูเขาตอนนี้สิจะไม่ให้ผมใจอ่อนได้ไง เขาเดินยิ้มถือกระถางต้นไม้เล็กๆ สองอัน เข้ามาหาผม รอยยิ้มสดใสจากใจที่มีแค่ผมที่ได้รับ ผมจะไปไหนรอด ผมว่าผมชอบเขามากขึ้นทุกวันเลย “ดูสิ สวยไหม”

“เออ สวย” ผมรับกระถางต้นไม้สองอันที่มีต้นแคคตัสเล็กๆ อยู่ในนั้น

“ผมเห็นพี่อยากเลี้ยงมานานแล้ว ผมให้”

“ขอบคุณ” ผมมองในถุงอีกแปดกระถางด้วยสีหน้าอึ้งๆ “นี่ของกูทั้งหมดเลยเหรอ”

“ครับ พี่ต้องเลี้ยงลูกเราดีๆ นะ”

“เดี๋ยวนะ มึงเรียกต้นแคคตัสว่าลูก” ผมขมวดคิ้วทันทีกับประโยคเมื่อครู่

“ใช่ เนี่ยลูกเราหมดเลย สิบต้น”

“ลูกเราไร เพ้อเจ้อ” ผมเบะปากให้เขาแล้วนั่งยองๆ ข้างถุงเพื่อดูต้นอื่นๆ ในนี้มีแคคตัสหลากหลายรูปแบบไม่ซ้ำกัน น่ารักมากๆ เลย

“ยังไม่ได้ไปค่ายแต่ผมรู้สึกคิดถึงพี่แล้วอะ” เวลนั่งลงข้างๆ แล้วซบหัวลงบนไหล่อ้อนผม “แล้วผมไปตั้งสามวัน ผมจะคิดถึงพี่ขนาดไหนเนี่ย”

“ไม่ต้องมาเวอร์เลยไปแค่สามวันเอง กลับไปเก็บกระเป๋าไป” ผมไล่เวลกลับคอนโดเขา แล้วเอียงตัวหนีหัวของเขาที่ไซร้ไหล่ผมไม่หยุด เพราะผมเองกำลังฟินกับต้นแคคตัสเล็กๆ นี่ ในหัวก็เอาแต่คิดว่าจะเอาไว้ตรงไหนดี สักพักก็สัมผัสถึงมือปลาหมึกที่เอวตัวเอง ผมตีแขนเขาไปหนึ่งทีแล้วพูดเสียงดุ “ปล่อยเอวกู”

“ครับ” เวลยิ้มโง่ๆ ให้ผมแล้วถามต่อ “เย็นนี้ไปกินชาบูกันไหมพี่”

“เออๆ ฉลองสอบเสร็จกันก็ดี”

“พี่รัก”

“อะไร” ผมส่งเสียงตอบรับเบาๆ ในลำคอแล้วละสายตาจากต้นแคคตัสไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เวลมองผมด้วยสายตาอ้อนๆ แล้วทำปากจู๋ใส่ผม ผมเลยยืดตัวไปจุ๊บที่ปากชื้นๆ นั่นเบาๆ “ไว้เจอกันที่ร้านนะ”

“หึ ครับ” เวลหัวเราะ แล้วเอาแขนเสื้อมาเช็ดปากให้ผม ส่วนผมก็ถ่ายรูปแคคตัสเตรียมลงรูปในไอจี โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าสายตาของเวลที่มองมานั้น เป็นสายตาที่มองมาอย่างลึกซึ้งมากแค่ไหน

.

.

   วันนี้ผมค่อนข้างเหงาเพราะเวลไปค่ายเอก อาจเพราะเคยชินกับการอยู่ด้วยกัน ภาพเวลที่คอยมานอนกลิ้งที่ห้องผม ภาพที่เราเถียงกัน แข่งกันเล่นเกม ดูหนังและคลุกตัวอยู่ด้วยกันทั้งวัน ยังคงชัดเจน ผมมองไปรอบห้องก็เห็นแต่ภาพเขาเต็มไปหมด เฮ้อ อาการผมหนักแล้วจริงๆ ทั้งที่เวลยังไม่ถึงทะเลเลยด้วยซ้ำ ห่างกันแค่ครึ่งวันผมเป็นได้ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย

ครืด ครืด

 “ฮัลโหล” ผมกดรับทันทีที่เห็นว่าเป็นชื่อเขาที่โทรเข้ามา

“พี่รัก...ผมถึงแล้วนะ” ผมยิ้มออกมา เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่สดใสของเขา เสียงคลื่นทะเลที่ดังลอดเข้ามาในสายทำให้ผมรู้ว่าเขาพูดความจริง “ที่นี่สวยมากเลยพี่”

“ดีแล้ว” ผมยิ้มตาม แล้วพูดเสียงเบา “มึงถึงอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”

“พี่รัก คิดถึงนะครับ”

“มึงเพิ่งไปยังไม่ถึงวันเลยนะ” ผมทำเป็นพูดดี ทั้งที่คิดถึงเขาไม่ต่างกันเลย

“ถ้าพี่มาด้วย ผมจะจัดอีเว้นท์ขอเป็นแฟนแบบยิ่งใหญ่เลย”

“กูจะไม่ตกลงให้มึงอายเล่นๆ ฮ่าๆๆ”

“โถ พี่รักใจร้าย” ผมได้ยินเวลพูดอะไรสักอย่างกับเพื่อนแต่ผมได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าพูดอะไร “เอ่อ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับ พวกพี่ๆ เรียกรวมตัวแล้ว”

“อืม”

   จนตกเย็นผมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม พอสอบเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรทำ กว่าผมจะได้กลับบ้านไปหาสุดสวยได้ก็อาทิตย์หน้าเพราะสุดสวยแอบไปเที่ยวกับพ่อ ผมเลยได้แต่นั่งหงอยพอๆ กับต้นแคคตัสที่เขาซื้อให้อยู่แบบนี้

   ผมมองออกไปนอกระเบียงที่มีต้นแคคตัสทั้งสิบต้นวางอยู่บนโต๊ะ ตั้งสิบต้น...เวลนี่จะไว้ใจกันมากไปแล้ว ผมกังวลอยู่ทุกวันว่าถ้ามีต้นไหนตายไป ผมต้องโดนมันล้อแน่ๆ ซึ่งผมก็เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว นั่นก็คือการซื้อใหม่ กำลังคิดเพลินๆ เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นมา ผมมองหน้าจอแล้วกดเข้าไปที่ข้อความที่ได้รับล่าสุด ผมมองโลเคชั่นที่เวลส่งมาอย่างงงๆ ยังไม่หายงง เขาก็โทรมาแล้ว

“ฮัลโหลพี่รัก”

“เออ มึงส่งโลเคชั่นมาทำไม”

“กลัวพี่คิดมาก มาเช็ดได้นะ”

“เช็คอะไร”

“ก็ผมกินเหล้า อาจจะเมาไปจูบใครอีก”

“กวนตีน” ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินแบบนี้ แล้วนึกถึงตอนที่เราเจอกันครั้งแรก

“เนี่ย ผมมึนๆ แล้ว” เขาหัวเราะเบาๆ

“ก็ลองเมาดูดิ จะเมาบ้าง”

“พี่รัก” พอรู้ว่าผมกำลังโกรธก็ทำเป็นเรียกเสียงอ้อน

“กูจะจูบบ้างเหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็มาจูบคนเมาที่นี่ทีครับ”

“น้องเวลคะ ว่างรึเปล่า” ผมคิ้วกระตุกทันทีที่ได้ยินเสียงผู้หญิงดังแทรกเข้ามา

“ว่างครับ” เวลตอบแล้วทิ้งระเบิดไว้ลูกใหญ่ “รีบๆ มาจูบนะครับ”

“มึงเจอกูแน่”

.

.

   โชคดีที่จัดค่ายกันที่ทะเลใกล้ๆ กรุงเทพ ผมจึงใช้เวลาขับรถไม่นานนักก็ถึง แต่การหารีสอร์ทที่เขาอยู่นั้นยากสุดๆ ถึงจะรู้ชื่อรีสอร์ทและมีโลเคชั่นแต่ผมก็ยังหลงไปสองรอบ กว่าจะมาถึงหน้ารีสอร์ทก็ปาไปสองทุ่มแล้ว ผมไม่ได้ขับเข้าไปในรีสอร์ทแต่เลือกที่จะจอดรถริมข้างทางที่ติดชายหาดแล้วเปิดสัญญาณไฟไว้และโทรตามใครบางคน

ก๊อก ก๊อก

   ไม่นานคนที่ผมโทรตามก็มายืนเคาะกระจกด้านข้างที่นั่งคนขับ ผมปลดล็อคประตูรถแล้วปล่อยให้เวลเปิดประตูรถเข้ามานั่งข้างผม เรานั่งเงียบๆ กันสักพัก ก็เป็นผมที่ทนไม่ไหวหันไปมองเขาก่อน เวลหันมาสบตาผมแล้วเอาแต่ยิ้มจนผมรู้สึกหมั่นไส้ ผมกระชากคอเสื้อเขาเข้ามาใกล้  เราสบตากัน เวลที่ดูตกใจในตอนแรกกำลังจะยิ้มอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่ผมประกบปากเข้าหาเขาอย่างแรง

   พอปากแตะกัน เวลก็ยิ้มจนผมรู้สึกหมั่นไส้กว่าเดิมเลยไล่ชิมปากเขาก่อน ขบกัดริมฝีปากบนและย้ายมากัดริมฝีปากล่างเขาแล้วดึงออกอย่างหมั่นเขี้ยว ผมใช้ลิ้นเลียบริเวณที่ผมเพิ่งกัดเหมือนปลอบใจและดันท้ายทอยเขาให้เข้ามาใกล้ ทันทีที่ลิ้นเราสัมผัสกัน เวลก็หัวเราะในลำคออย่างพอใจ เขาไม่ได้เมา ไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์เลยสักนิด นั่นยิ่งทำให้ผมโมโหเลยผลักอกเขาออกอย่างแรง

“ว้าว ร้อนแรงจัง” เวลเซไปด้านหลังเล็กน้อย แต่ไม่ยอมปล่อยข้อมือผมทั้งสองข้าง

“หุบปาก” ผมพูดแล้วปืนข้ามไปนั่งคร่อมตักเขาไว้เพราะพื้นที่ในรถช่างคับแคบ เราถึงได้เบียดเสียดกันแนบชิดไปทุกส่วน

   พอได้สบตากันอีกครั้งท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาในรถ ใจผมที่เต้นแรงจากจูบร้อนแรงเมื่อครู่ก็เต้นแรงกว่าเดิม ผมใช้มือลูบแก้มเขาอย่างโหยหา เวลยิ้มแล้วจับเอวผมให้ขยับเข้าไปแนบชิดกับตัวเขามากกว่าเดิม ความร้อนแรงในสายตาเขาดึงดูดให้ผมก้มลงไปจูบเขาอีกหน ลิ้นร้อนไล่ต้อนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงหอบหายใจของเราดังไปทั่วรถ มือเวลลูบไปทั่วเอวและหลังผม อีกข้างก็บีบนวดอยู่ที่ท้ายทอยผม เป็นผมที่จงใจกดสะโพกลงไปตรงนั้นของเวลไปมาเพื่อแกล้งเขา เวลสะดุ้งแล้วถอนจูบออกมาขมวดคิ้วมองผม สายตาเขาผมเตือนว่าอย่าทำแบบนี้อีกแต่ผมกลับยิ้มให้ แล้วก้มหน้าลงไปเลียริมฝีปากยั่วเขา

“ผมจะทนไม่ไหวแล้ว” เขากระซิบข้างใบหูผม แล้วซบหน้าลงซอกคอผม เขาหอบหายใจแรงกอดผมไว้แน่น บางอย่างที่ดันสะโพกผมทำให้ผมหัวเราะ “ผมยอมแล้ว พี่รัก ผมแพ้แล้ว”

“โอเค” ผมปีนกลับไปนั่งเบาะคนขับ แล้วมองเขาที่หน้าแดง เขาเอาแต่มองออกไปนอกรถ “จูบเสร็จแล้ว ลงไปได้แล้ว”

“นอนที่นี่เถอะ” เวลหันขวับมาทันที เขาดึงมือผมไปกอบกุมไว้ แล้วจูบหลังมือผม
 
“ไม่เอา จะกลับแล้ว” ผมดึงมือกลับ แล้วหลบสายตาอ้อนวอนที่จ้องผมไม่หยุด

“แต่มันดึกแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นกูไปนอนโรงแรม โอเคไหม” พอได้สบตาก็พบว่าจากแววตามองอ้อนของเขา มันมีความรู้สึกอย่างอื่นที่ใช้มองผมเพิ่มเข้ามาด้วย “อะไร มองแบบนั้นคืออะไร”

“ผมไปด้วยนะ” แววตาของเวลเต็มไปด้วยความต้องการ












ฮั่นแน่ หวังอะไรกันอยู่
-TBC-

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: รักติดอี ตอนที่ 20 (17/10/62)
«ตอบ #25 เมื่อ17-10-2019 17:43:07 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เวลจะได้ไปนอนโรงแรมไหมหนอ?

ถ้าได้ไปนอน จะมีฉากเอ็นซีไหม?

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 20 (17/10/62)
«ตอบ #26 เมื่อ17-10-2019 20:04:37 »

 :man1: :pig4: :man1:

 o13

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 20 (17/10/62)
«ตอบ #27 เมื่อ17-10-2019 22:37:29 »

พีรักจะใจอ่อนกับน้องเวลมั้ยคะๆๆๆ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: รักติดอี ตอนที่ 20 (17/10/62)
«ตอบ #28 เมื่อ18-10-2019 10:24:21 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: รักติดอี ตอนที่ 21 (18/10/62)
«ตอบ #29 เมื่อ18-10-2019 18:47:52 »

ตอนที่ 21 ติด...




   ผมขับรถไปยังโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ติดทะเล รอบนี้ผมไม่หลงเพราะเคยมาแล้ว ผมเดินเข้าไปเช็คอิน โชคดีที่โรงแรมยังไม่เต็ม อาจเพราะช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลทำให้มีนักท่องเที่ยวมาไม่เยอะ จึงทำให้ยังมีห้องเหลือพอให้ผมซุกหัวนอน ลิฟต์พาผมขึ้นไปยังชั้นที่สิบของโรงแรม

   ผมเดินไปตามทางเดินของชั้นสิบไปเรื่อยๆ เมื่อเจอหมายเลขห้องที่ใช่แล้วก็แตะคีย์การ์ดเข้าห้องไป ผมมองไปรอบๆ ห้อง มีเตียงคู่หลังใหญ่วางอยู่กลางห้อง ด้านข้างเตียงด้านหนึ่งก็เป็นประตูกระจกของระเบียงที่มีผ้าม่านสีขาวติดไว้ มีโซฟาเล็กอยู่ที่มุมห้องและโต๊ะกินข้าวกับทีวี ผมมองห้องอย่างพึงพอใจ ถึงจะไม่ได้ดูหรูหราอะไรมาก แต่ก็สะอาดสะอ้านพอให้ผมนอนได้ภายในคืนนี้
 
   ผมมองกระเป๋าเป้สีดำของตัวเองที่วางอยู่บนโซฟาตัวเล็กอย่างใช้ความคิด ยังไม่ทันที่จะได้คิดจบ ผมก็โดนอุ้มจากด้านหลังจนตัวลอย เวลหอมแก้มผมไปหนึ่งครั้งแล้วค่อยๆ วางผมบนเตียง

“พี่ยังกังวลเรื่องที่ผมหนีค่ายมาใช่ไหม” ผมมองเวลที่วางกระเป๋าลงที่โซฟาบ้าง แล้วเดินมามองผมที่นอนอยู่บนเตียง

“อืม กลับไปค่ายเถอะ”

“ไม่กลับ มันก็แค่ค่ายจัดฉลองกันครับ” เวลเดินมาจนชิดขอบเตียงแล้วถอดรองเท้าผมออก “ไม่มีอะไรสำคัญเลย”

“มึงไปบอกอะไร เขาถึงยอมปล่อยมึงกลับ”

“บอกผู้ปกครองมารับ” เขายิ้มแล้วถอดรองเท้าตัวเองบ้าง

“นี่กูเป็นผู้ปกครองมึงแล้วเหรอเนี่ย”

“ยังครับ แต่กำลังจะเป็น” เขาคลานขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้แล้วมองสบตาผมอย่างมีความหมาย เขาก้มลงมาจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากผม แก้ม หน้าผาก จมูก เขาจูบไปทั่วหน้าผมจนผมรู้สึกจั้กจี้และหัวเราะออกมา
 
“ฮ่าๆ เดี๋ยวไปเอาของในกระเป๋าก่อน” ผมดันอกเขาออก ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบของสองสิ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วโยนกล่องเล็กไปให้เขา

“พี่...ไม่ใช่ไซส์ผม” เวลมองถุงยางในมือ

“แล้วมึงไม่พกมาเหรอ” ผมถามเขาแล้วเกาแก้มตัวเองแก้เขิน แต่ลืมไปว่าตัวเองถือขวดเจลหล่อลื่นไว้อยู่เลยต้องอายอีกครั้ง เมื่อเวลมองมาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม

“ผมลืม”

“ถ้าอย่างนั้น...” ผมถอนหายใจและผมมองไปที่เป้ากางเกงเขา “นอนลง”

“พี่แน่ใจแล้วนะ” เวลนอนลงตามที่ผมพูดแต่เขาก็ยังไม่หยุดถาม

“หยุดพูดได้แล้ว” ผมคลานขึ้นไปนั่งคร่อมตัวเขาไว้ ทันทีที่นั่งลงบนหน้าท้องแกร่งเวลก็เอื้อมมือมาจับเอวผมทันที ผมนั่งหน้าเครียดยกสองแขนขึ้นเพื่อให้เขาถอดเสื้อยืดสีขาวของผมออก ทันทีที่ร่างกายท่อนบนโดนสัมผัสเย็นของแอร์ในห้อง ใจผมก็กระตุกกลัวขึ้นมา ถึงผมจะรู้ตัวว่าชอบผู้ชายแต่ผมก็ยังไม่เคย แม้จะรู้วิธีเตรียมพร้อมต่างๆ แต่มันก็แทบจะไม่ช่วยให้ผมมั่นใจขึ้น เมื่อมาเจอสถานการณ์จริงในตอนนี้ “กู...กู ไม่เคย กูไม่รู้ว่ามันจะดีรึเปล่า”

“พี่เป็นผู้ชายคนแรกของผม” ผมเม้มปากแน่นด้วยความประหม่าเมื่อเวลพูดแบบนั้น “ดังนั้นอย่าคิดมากอะไรกันเลยนะครับ ปล่อยไปตามความรู้สึกของเรากันเถอะ”

“อืม อะ” ทันทีที่ผมตอบรับเวลก็โน้มคอผมไปรับจูบจากเขา ผมเท้าแขนไว้ข้างหัวเขาแล้วเอียงหน้าให้เราสัมผัสกันได้ดีขึ้น ลิ้นร้อนเกี่ยวพันกันไปตามแรงอารมณ์ที่ปะทุขึ้น จากอ่อนหวานกลายเป็นร้อนแรง

   มือใหญ่ของเวลลูบไปมาที่เอวผมอีกข้างก็เลื่อนมาจับมือผมให้ไปสัมผัสกับหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อแน่น เวลจูบซับน้ำลายที่เปื้อนตรงมุมปากผม ก่อนทีจะจูบไปลงไปที่คางและลำคอ สัมผัสจากปากร้อนทำเอาใจผมหวิวและขนลุกชัน เวลพลิกตัวผมให้นอนหงายแทนที่เขา เขาถอดเสื้อตัวเองออกและโยนมันไปข้างเตียงอย่างไม่ไยดี

“พี่รัก...” เขาเรียกชื่อแล้วยิ้มหวานให้ผม เขาโน้มตัวจูบปากผมเบาๆ แล้วลากริมฝีปากร้อนจากปาก ลำคอ ไหปลาร้าและไปสิ้นสุดที่ยอดอกของผม เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมที่หอบหายใจแรง เราสบตากันท่ามกลางเสียงหายใจแรงจากอารมณ์ที่พุ่งสูงของเรา “ขอชิมนะครับ”

“ไอ้...อ๊ะ” กำลังจะด่าคนขี้แกล้ง แต่ปากร้อนที่ก้มลงไปดูดยอดอกของผมทำให้ผมพูดไม่ออก ผมรู้สึกแปลกๆ จนสะดุ้งตามสัมผัสนั้น เขาใช้นิ้วมืออีกข้างถูไถยอดอกอีกข้างและดูดกลืนมันอย่างหิวกระหาย “เวล อะ เวล”

   เวลดูดสลับทั้งสองข้างราวกับอดอยาก จากที่รู้สึกแปลกกลายเป็นความรู้สึกดีจนผมครางออกมา ผมแอ่นตามสัมผัสที่ได้รับ มือของผมสัมผัสผมนิ่มเขาไว้จิกระบายอารมณ์ อีกข้างก็จับหัวไหล่เขาไว้เป็นที่พักพิง เวลขบกัดอีกสองสามครั้งแล้วลากลิ้นลงไปต่ำกว่าเดิมจนผมสะดุ้งสุดตัว ไม่ช้ากางเกงผ้ายาวสีดำพร้อมกางเกงในก็หลุดไปจากตัว ผมเปลือยกายต่อหน้าเขาทั้งตัว เวลยืดตัวขึ้นมองไปทั่วตัวผมราวกลับจะบันทึกภาพไว้ในหัว

   ผมห่อตัวเข้าหากันทันทีเพราะรู้สึกอาย เราไมได้ปิดไฟ ดังนั้นแสงไฟสีเหลืองนุ่มนวลนี้กำลังทำให้เขาเห็นผมชัดเจน เวลยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผม แล้วแยกขาทั้งสองข้างของผมออก เขาเป็นฝ่ายถอดกางเกงออกบ้างและส่วนที่ดีดผึงขึ้นมาก็ทำผมหน้าร้อนแล้วเสมองไปทางอื่นทันที แม้จะมีเหมือนกันแต่ขนาดของเรานั้นต่างกันจนผมเริ่มกังวลแต่แล้วความคิดทุกอย่างก็กระเจิงไปเมื่อมือของเวลสัมผัสเข้ากับส่วนกลางของผม

“อ๊ะ ทำอะไร อะ” ผมเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงเมื่อมือนั้นนำพาอารมณ์จุดกลางกายผมให้เตลิดไปกับสัมผัสที่วาบหวาม “เวล อืม”

   ผมครางรับอารมณ์จากมือเขาที่นำพาไป เวลดึงมือผมไปสัมผัสของเขาให้ช่วยกัน ผมกำแทบจะไม่มิดแต่ก็ออกแรงช่วยเขา เราจูบกันอีกครั้ง ผมครางในลำคอเมื่อใกลถึงจุดสูงสุด สุดท้ายก็กระตุกเกร็งปลดปล่อยออกมาเต็มมือเขา ผมหลับตาหอบหายใจ หยุดมือไปทันทีโดยที่เขายังไม่ถึงฝั่งฝัน เวลก้มลงซุกไซร้คอผมเหมือนพยายามระงับอารมณ์

“อะ อา เวล” ผมเรียกเขาแล้วพยายามคว้าแกนกลางเขามาทำต่อ ผมอยากให้เขามีความสุขเหมือนกับผม มือที่ยังสั่นอยู่จากการถึงจุดสุดยอดพยายามรูดรั้งอีกครั้ง เวลที่อยู่บนตัวผมยกยิ้มและจูบที่หน้าผากผมเหมือนให้รางวัล

“อา พี่รัก” เขาครางแล้วกดจูบไปตามแก้มผม ผมขยับมือต่อแต่แล้วเขาก็ยังไม่ถึงสักทีจนผมรู้สึกเมื่อยแขน เวลคงรู้ว่าผมกำลังบ่นในใจจึงจับผมนอนคว่ำแล้วยกสะโพกผมขึ้น “พี่หนีบขาไว้แน่นๆ นะ”

“จะ จะทำอะไร” ทั้งที่รู้วาจะทำอะไรผมยังถามโง่ๆ เวลสอดส่วนนั้นเข้ามาเสียดสีซอกขาผม พอเขาเริ่มขยับผมก็เริ่มรู้สึกอีกครั้งเพราะส่วนหน้าที่สัมผัสกัน ตัวผมสั่นคลอนไปทั้งตัวเมื่อเขาขยับเข้าออก “เวล อ๊ะ”

   ผมกัดปากกลั้นเสียงครางแต่แรงเสียดสีตรงนั้นบวกกับเสียงหยาบโลนที่ร่างกายปะทะกันกระตุ้นให้ผมรู้สึกถึงความต้องการที่มากขึ้นกว่าเดิม เวลเอาแต่ซุกหน้าอยู่หลังคอผม เขาขบกัดไปทั้งคอและหลังผม มือเขาฟ้อนเฟ้นทั้งเอวทั้งสะโพกผมอย่างแรง เขาครางอย่างมีความสุข

   แต่ผมรู้ว่าเขาคงไม่ถึง ชายแท้ที่เคยผ่านผู้หญิงมาก่อนอย่างเขา ต้องอดทนทำอย่างนี้เพราะเขาคงกลัวผมเจ็บแน่ๆ ผมปล่อยให้เขาทำอย่างนี้จนเวลาผ่านไป ผมเริ่มแสบบริเวณที่โดนเสียดสีด้านล่างและเริ่มจะเท้าแขนรับแรงกระแทกรุนแรงจากเขาไม่ไหวแล้ว ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบขวดที่บรรจุเจลหล่อลื่นมาเปิดแล้วเทใส่มือตัวเอง ก่อนจะเอื้อมไปด้านหลังตัวเอง

“พี่รัก ทำอะไร” เขาหยุดและเอาแกนกายออกจากซอกขาผม มองผมที่กำลังส่งนิ้วของตัวเองเข้าไปเบิกทางด้านหลัง “ผะ ผมไม่...”

“ไม่อยากทำเหรอ” ผมเหลียวหลังไปสบตาเขา เวลหลบสายตาผม

“มะ ไม่ใช่ ผมกลัวพี่เจ็บ ถุงยางก็ไม่มี”

“มะ ไม่เป็นไร อื้อ” ผมพูดแล้วสอดนิ้วที่สองเข้าไปที่ช่องทางนั้น เวลลอบมองตรงนั้นของผมแล้วกลืนน้ำลาย ผมที่กำลังจะเพิ่มนิ้วก็ต้องชะงักเมื่อเวลสอดนิ้วเข้ามาร่วมด้วย “อ๊ะ เวล”

“อึก” เขากลืนน้ำลายแล้วดึงมือผมออก เขาสอดนิ้วสามนิ้วเข้ามาทันที นั่นทำให้ผมทรุดตัวซบกับหมอน มันอึดอัดและทำให้ผมกระสัน

“เข้ามาเลย เข้ามา อา” เวลพลิกตัวให้ผมนอนหงายโดยที่นิ้วยงคงอยู่ในช่องทางนั้น

“ผมอยากเห็นหน้าพี่” เวลพูดแล้วแยกขาผมกว้าง แทรกตัวมาระหว่างขาผม เขาก้มลงมาจูบปากผมเบาๆ เขาเอานิ้วออก แตะส่วนนั้นที่ปากทางและค่อยๆ กดส่วนหัวเข้ามา “ผมอยากรักพี่ให้ชัดๆ พี่รัก อืม”

“เวล อ๊า” ถึงแม้จะเบิกทางไปแล้วและพยายามไม่เกร็ง แต่เพราะขนาดที่ต่างจากสามนิ้วก่อนหน้านี้ก็ทำให้ผมเจ็บบ้างอยู่ดี เวลค่อยๆ แทรกเข้ามาเรื่อยๆ ผมรู้ว่าเขาพยายามอดทนแค่ไหน เขากัดฟันแน่นเพราะพยายามอ่อนโยนไม่อยากให้ผมเจ็บ เขาช่างน่ารักและผมก็ดีใจเหลือเกินที่ครั้งแรกของผมเป็นเขา “คนดีของพี่รัก อืม”

“อา” เวลครางออกมา แล้วซบลงซอกคอผมเมื่อเข้าไปได้จนหมด ผมจูบหน้าผากให้รางวัลเขา

“กูเชื่อใจมึงมากนะ” ผมพูดแล้วกอดคอเขาไว้ เวลยืดตัวขึ้นมาสบตาผม “กูรักมึง”

“พี่รัก อึก” เวลขมวดคิ้วเมื่อผมขยับเอวยั่วยวนเขา เวลจับเอวผมไว้มั่นแล้วเริ่มขยับเข้าออก จากเชื่องช้าก็เพิ่มความเร็วและแรงขึ้นตามอารมณ์

“กู ระ รักมึง อ๊ะ” ผมครางเมื่อเขาโดนจุดที่ทำให้ผมรู้สึกดี เขารู้และเน้นย้ำที่จุดนั้นถี่ๆ

“พี่รัก อา” ตัวผมสั่นคลอนไปตามแรงปรารถนาของเขา ผมจิกหมอนไว้แล้วมองภาพตรงหน้า เวลกำลังเคลื่อนเข้าออกจากตัวผมอย่างรุนแรง อารมณ์รักทำให้หน้าเขาเคร่งเครียด เสียงกระทบของร่างกายเราดังประสานไปพร้อมเสียงครางสุขสม อุณหภูมิรอบตัวร้อนจนเหงื่อชื้นไหลไปทั่วตัว เวลยังคงบดเบียดเข้ามาตรงจุดนั้นของผมจนรู้สึกตาลาย อา ผมกำลังจะถึงอีกครั้งและความเร็วที่เพิ่มขึ้นตอนนี้ก็บ่งบอกได้ดีว่า เวลก็ใกล้ถึงไม่ต่างจากผม

“อ๊า” ผมกระตุกเกร็งแล้วปล่อยออกมารดหน้าท้องตัวเอง

“โอ้” หลังจากนั้นไม่นาน เวลก็กระตุกเกร็งแล้วปลดปล่อยหยาดร้อนเข้ามาในตัวผม เขาเคลื่อนตัวช้าสองสามครั้งแล้วซบหน้าลงข้างหัวผมโดยไม่ยอมถอดถอนสิ่งนั้นออก “ผมรักพี่ พี่รักของผม”

“อือ” ผมหลับตาไม่มีแรงแม้แต่จะผลักเขาที่นอนทับตัวผมออก แต่บางอย่างที่อยู่ในตัวผมกลับขยายขึ้นมาอีกครั้ง ผมตกใจและเริ่มดิ้น ให้ผมทำอีกรอบ ผมได้ตายแน่ๆ “อะไร ไม่เอาแล้วนะเว้ย”

“พี่รัก” เขาทำเสียงออดอ้อนผม ก่อนจะจ้องตาทำหน้าน่าสงสารใส่ แล้วผมจะไม่ใจอ่อนได้ยังไง ผมเลยพยักหน้าส่งๆ แล้วหันหน้าหนี กำลังทำใจว่าช่องทางด้านล่างต้องถูกกระทำอีกรอบก็ต้องตกใจเมื่อมันหลุดออกไป เวลจับตัวผมให้นอนคว่ำแล้วยกสะโพกผมให้ลอยสูง

“ดะ เดี๋ยว เวลอ๊ะ” เขาแทรกตัวเข้ามาในทีเดียวจนผมจุก

“ผมอยากทำกับพี่หลายๆ ท่าเลย”

“ไอ้เวล! อ๊า” ผมครางรับความความรู้สึกที่เขามอบให้

   ในค่ำคืนนี้เวลยังคงบอกรักผมไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ที่ผมถึงฝั่งฝันอีกครั้ง ครั้งนี้ผมหมดเรี่ยวแรงที่จะกอดเขาไว้แต่ก่อนที่ผมจะหลับไป เสียงนุ่มทุ้มที่กระซิบข้างหูผมนั้น ทำให้ผมหลับไปพร้อมรอยยิ้ม

“ผมรักพี่นะครับ”










ไรท์อยู่โซนหลังผ้าม่าน
-TBC-

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด