#เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]  (อ่าน 11203 ครั้ง)

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ขำมากค่ะ ขำจนปวดท้อง ไม่ไหวแล้วค่ะะะะะ 5555555555555555555555 รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
คุณนนท์!! เล่นกับเขาด้วยอ๊อกเธอได้คนแบกละนะ  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ชอบๆๆๆ นี่ขนาดเราไม่ได้เล่นเกมส์นะ ยังรู้สึกว่ามันส์มาก55

ออฟไลน์ bookie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
    • facebook
ชอบฟีลแก๊งค์เพื่อน คิตตี้ตลกมาก :laugh:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
โอยไม่ไหวค่ะนั่งขำเป็นบ้าอยู่คนเดียว555555555 ชอบแก๊งกะเทยกับความพี่นนท์ตรงนั้น

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่หก


“หรือเราจะเปลี่ยนจากขายหลีไปขายขวด” คริสตี้ที่กดออกจากเกมเสร็จสรรพหันมาเสนออาชีพใหม่ อีกทั้งเราทั้งคู่ก็ออกจากโปรแกรมดิสคอดพูดคุยกับเพื่อนๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ไม่ และกูไม่คิดมาก่อนว่าพี่นนท์จะเป็นนักแคสเกมด้วย” ผมอึ้งทึ่งไม่หาย

“นั่นดิ อย่างกับพล็อตนิยายอีดอกทอง เจอผัวมึงในเกมเฉย หรือผัวใหม่มึงเป็นพวกโรคจิตชอบตามติดชีวิตเหมือนในหนังสยองขวัญ”

“มึง อย่า กูขนลุก” ผมรีบลูบแขนโดยไว อีคริสตี้เล่นเอาผมขลาดกลัว

“เออ กูก็ขนลุกอีเหี้ยพี่เดือนก็เป็นพวกโรคจิตไปกับเขาด้วย”

“แจ้งตำรวจดีไหมมึง” ผมถาม

“ข้อหาเหี้ยไรล่ะ จะโดนจับที่ขายหลีก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้” คริสตี้กอดอกสบถด่าแทบพ่นน้ำลายใส่หน้า นั่งไขว่ห้างกลอกตานึกคิด “เป็นเรื่องตลกร้ายที่กูไม่เคยค้นพบมาก่อน”

“...” ผมเงียบ นั่งหงอยเหมือนหมา ไม่รู้จะเสนอไอเดียอะไรดี ทว่าอีเพื่อนรัก จู่ๆ ก็เป็นเหี้ยอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ คล้ายได้ไอเดีย ยืนขึ้นโดยพลันและผายมือกางออก ประหนึ่งเอลซ่าเข้าสิง

“กูว่านะ”

“หืม”

“น้ำเงี่ยนสีขาวเป็นประกายในราตรี ไม่มีรอยเย็-ยามที่มอง ในดินแดนอ้างว้างร้างผู้คน มีเพียงคว-นี้ที่ครอบครอง ดังมีตัณหาซ่อนอยู่ภายใน หมุนวนเวียนว่าย ถึงต้านทานเท่าไหร่ ฉันก็ห้ามไม่ได้” มันผินหน้ามองต่ำ ช้อนตาขึ้นมาสบตาเหมือนมีจิตใจฮึกเหิมแปลกพิลึกพิลั่น

ผมกลืนน้ำลายลงคอ ฟังคริสตี้ร้องเพลงกำไม้กำมือแน่น “อย่าเปิดใจไป อย่าให้เขาเห็น ต้องเป็นคนร่านอย่างที่เขาสอนให้เป็น ปกปิดในใจ อย่าให้เขารู้ สุดท้ายก็รู้ ~”

คริสตี้ส่ายหน้าระอาใจ แหกปากร้องลั่น ขณะเดินไปหยิบผ้าขนหนูคลุมปิดไหล่ “ร่านออกไป อย่างที่เป็น ไม่อาจจะเก็บอีกต่อไป ดอกทองจริง เลิกซ่อนเร้น เดินหันหลี หมดสิ้นเยื่อใย”

“ฉันไม่กลัว ปล่อยให้เขาพูดไป~” ผมยืนขึ้น จ้องตาร้องแข่ง

คริสตี้สบตา “เย็-ให้หลีกระหน่ำ ความร่านไม่ทำให้เดือดร้อนสักเท่าไหร่” ทิ้งผ้าเช็ดตัวทันที พลันร้องต่อ “มองหลีคนยามไกลห่าง กลับเห็นเล็กลงไปเลย ความเรียบร้อยที่คอยเข้าครอบงำ กลับทำไม่ได้ดังเคย” คริสตี้หมุนตัว พลอยให้เส้นผมพลิ้วไหว พานชี้นิ้วมาทางผมเหมือนสั่งสอน

“คว-ใหม่ยังรอ ให้ลองให้รู้ จะไปสุดคอ ให้ใครได้ดู ฉีกกฎซ้ำๆ เลือกทำสิ่งใด อย่างใจ~” คีย์สูงแทบร้องลั่นบ้านแตก มาถึงท่อนฮุก “ร่านออกไป อย่างที่เป็น เชื่อมใจไปกับคว-และฟ้า ดอกทองจริง เลิกซ่อนเร้น เผชิญมันด้วยความกล้า”

“ฉันจะยืน แหกขาเรื่อยไป พัดให้หลีกระหน่ำ ~” คริสตี้เดินมาบีบมือผมแน่น หน้ามันแดงปลั่งเพราะเค้นเสียงเนื้อร้อง “พลังความคันล่องลงลอยฟ้าลงมาสู่ดิน พลังตัณหาแทรกในเกร็ดน้ำแข็งล้อมรอบกายไม่สิ้น ผลึกความร่านผุดเป็นเกล็ดใสไร้ความกังขา ไม่ขอคิดหวนคืนมา ความเงี่ยนไม่อาจคืนมา ~~” มันม้วนผมมาด้านข้าง

“เป็นตัวเรา อย่างที่เป็น ขอโดนเย็-ยันตะวันส่องฟ้า ปล่อยออกมา เลิกซ่อนเร้น เด็กดีไม่เห็นมีค่า ~” มันกระแทกเท้าดังปึง “ฉันจะยืน เด่นในแสงแรงร่าน ~ พัดกระหน่ำเข้าไป !~”

“ความเงี่ยนไม่ทำให้เดือดร้อนสักเท่าไหร่” ผมปิดเนื้อร้องทันที ก่อนที่มันจะแย่ไปมากกว่านี้

“ขอบคุณมึงมากนะที่ทำให้กูคิดอะไรขึ้นมาได้ขึ้นเยอะ” ผมรีบบีบมือมันตอบ ซาบซึ้งในน้ำใจที่มันส่งทอดผ่านเสียงเพลง

“ยินดีมึง” คริสตี้บีบมือกลับ เหมือนเราสองคนเตรียมแข่งรับมงกุฎมิสทิฟฟานี่

แต่ที่แน่ๆ ควรพาอีดอกนี่ไปบำบัดจิต

“เพลงของมึงแม่ง…”

“ดีใช่มะ” คริสตี้ยิ้มกริ่ม

“เหี้ยจริงๆ” ผมตอกกลับ

“กูจะถือเสียว่าเป็นคำชม” มันระบายยิ้มพอใจ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทันใด “วันนี้หนีไปแดกโรตีกันดีกว่า”

“ตอนนี้น่ะเหรอ ?” ผมถามมัน

“ตอนเย็นสิอีสัตว์ แดดเปรี้ยงขนาดนี้”

“บรรยากาศดีออก” ผมประชดประชัน

“ดีสิ ดีมาก หนาวจนเหงื่อไหลไปตามริมขมับ รักแร้กูจะเปียกอยู่ละ พระอาทิตย์หัวคว- กูคิดว่าอยู่ในซาอุดิอาระเบีย”

“หยาบคาย แล้วจะชวนพวกเจ้โอ๊ตไปด้วยปะ ?” ผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ชวน ไปกันให้หมดนี่แหละ นานๆ เจอกันที นั่งเมาท์มอย”

“เจ้าของร้านจะเอาแผ่นโรตีฟาดหน้าก่อนไหม เพราะกะเทยชอบเสียงดังฉิบหาย” ผมถามเกริ่น

คริสตี้ตอบกลับ “ฟาดหน้ามึงเป็นคนแรกอะ พูดเยอะ”

“ทำไมชอบด่าเพื่อนอะ” ผมทำหน้าสลด อีเพื่อนด่าเก่งมาก หนึ่งคำด่า สองคำด่า “ตอนโดนเย็-ชอบด่าแบบนี้ด้วยมะ”

“แล้วทำไมต้องพูดจาหยาบคายอะ” คริสตี้สวนกลับ “มายงมาเย็- สถุลมาก รับไม่ได้ อีพวกตลาดล่าง นี่หรือนักเขียนดีเด่น ต่ำสิ้นดี”

“แหม สูงส่งมาก อีแพลตตินั่ม” ผมบึนปาก ทิ้งตัวลงนั่ง ใช้สายตามองเหยียดอีคนสูงส่ง “อีดอกทอง” ขนาดเพลงก็บอกแล้วว่าความคิดมึงอกุศลขนาดไหน

“มึงด่าใคร ?”

“กูด่าลอยๆ ปะ” ผมสะบัดหน้าหันมาทำสายตาเหวี่ยงมาทางเพื่อนชั่ว

“อย่าให้รู้นะว่ามึงด่ากู” คริสตี้บีบเสียงเหมือนในเรื่องหอแต๋วแตก “เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง สำเหนียกไว้ด้วยนะที่มึงได้คว-เมื่อวานนี้มันเป็นเพราะใคร ได้ดิบได้ดีแล้วอย่าลืมบุญคุณ”

“อ๋อ นี่กูเป็นหนี้ใหญ่หลวงเพียงแค่ได้คว-เมื่อคืนนี้ใช่มะ ต้องรำแก้บนให้มึงด้วยไหม” ผมเสียดสีใช้วาจาจิกกัด จ้องตาคริสตี้อย่างขำขันกับคำด่าของมัน มีแต่เรื่องจับใจความแทบไม่ได้

พลันอีคริสตี้ทำสีหน้าหมองเศร้า บีบน้ำตาคลอเหมือนสั่งได้ดั่งใจนึก น้ำเสียงสะอื้นไห้ของมัน เล่นใหญ่รัชดาลัยก็เอ่ยปาก “กูหรือก็อุตส่าห์เป็นแม่เล้า ส่งเสียเลี้ยงดูมึงให้ได้เสี่ยดีๆ นี่หรือคำพูดที่มึงให้มา ใจกูมันเจ็บยิ่งนัก ทำบุญคนไม่ค่อยขึ้นจริงๆ เลย ฮึก ฮือออ”

“พัก เลิกตอแหลก่อนเถอะ” ผมยกมือขึ้นห้าม

คริสตี้หยุดร้องไห้กลางคัน ยืดขาใช้เท้าเตะผมเข้าที่กลางอกให้นอนหงายทันทีทันใด “โอ๊ย !”

“ปากวอนตีน”

“อีกะเทยใช้ความรุนแรง !”


และแล้วพระอาทิตย์ก็ตกดินเหมือนข้ามฉาก อยากข้ามเวลาไหนก็ได้เหมือนเขียนไดอารี่ให้เพื่อนขี้เสือกมาชอบอ่าน คริสตี้ทักลงในกลุ่มชวนเพื่อนพ้องมาแดกโรตีหน้าปากซอยแถวบ้าน กลุ่มกะเทยนับสิบเอ็ดชีวิตต่างมาถึงหน้าร้าน โดยที่ผมกับคริสตี้มานั่งรอก่อนจนกว่าจะคบคน

นานๆ พวกเราเจอกันทีช่างยากเย็นแสนเข็ญ อย่าได้หลงเชื่อคำโกหกของกะเทยว่าจะถึงแล้วในที่นัดหมาย เพราะแท้จริงมันอาจอยู่ที่บ้านแม่งโดยยังไม่ทันอาบน้ำทำอะไรเลย

ห้านาทีของกะเทย เท่ากับครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงในการมาถึง เว้นแต่ว่าเราจะบีบเค้นโกหกมันให้มาถึงโดยไว โดยการพาลโมโหใส่ หรือการเสริมบอกว่ามีผู้มานั่งด้วย

อีคริสตี้ทำแบบนั้นเสมอมากับเพื่อนๆ และเพื่อนๆ ทุกคนก็ทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน

กลุ่มของเรามีตัวละครเยอะแยะ หากขืนให้เขียนเป็นนิยายไม่รู้จะมีนักอ่านจดจำตัวละครได้ครบไหม แต่ช่างปะไร นี่คือชีวิตจริง ใครจะกล้ามาฉอด อีอ๊อกขอแนะนำอย่างเป็นทางการ โดยการข้ามตัวละครสองคนอย่างคริสตี้และผม มาถึงตัวประกอบหลักอีกเก้าคน

หล่อนจำไม่ได้ก็ต้องจำให้ได้ นี่คือการยัดเยียดข้อมูลลึก

‘โอ๊ต’ คือกะเทยตอแหลนางหนึ่งที่ชอบขยันเสี้ยมให้เพื่อนตีกัน เป็นกะเทยขี้เดินฉิบหายวายวอด เวลาไปผับจะชอบเดินผ่านผู้ชายเป็นสิบกว่าเที่ยว เข้าผับออกผับเป็นว่าเล่น หวังใช้ความสวยที่ผ่านการทำจมูกและฉีดหน้าผากมาห้าหกรอบ ไว้เนื้อเชื่อใจคำสัญญาไม่ค่อยได้ด้วย แต่ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง แค่ตอแหลมากไปหน่อย บ้าผู้ชายอีกต่างหาก ชอบอัปสเตตัสตอแหล และเช็กอินว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ ทั้งๆ ที่ตัวมันนอนเล่นอยู่บ้านเฉยๆ ใช้เงินที่บ้านเป็นว่าเล่น ไม่ทำเหี้ยอะไรเลย ฉายาที่เพื่อนตั้งให้คือ โอ๊ต เท่ากับ ‘ตอแหล’

‘แพท’ กะเทยตัวผอมแห้งที่อ่านนิยายวายมาเยอะ ชอบใส่แว่นเพราะสายตาสั้นพอสมควรเหมือนหนุ่มโอตาคุ นักทวงนิยายอันดับหนึ่งของผม หน้าตาของแพทไม่สวยมาก แต่นิสัยดีและน่ารักอยู่ ขี้เกรงใจผู้อื่น อ่อนไหวง่ายกับคำจิกกัด อีกทั้งยังเป็นโรคซึมเศร้า แต่ค่อนข้างบ้าผู้ชาย เพื่อนเลยเห็นพ้องว่าสมควรโดนคว-เพื่อบำบัดจิต มันนับถือศาสนาอิสลาม

‘ลัก’ กะเทยผู้ใช้แอปแต่งหน้าบีบหน้าจนจับผิดไม่ได้ แม้ไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนละคนมากนัก แต่ก็ถือว่ารูปกับความเป็นจริงช่างผิดเพี้ยนกันพอสมควรอยู่ เป็นกะเทยแบรนด์เนมที่ชอบอัปรูปเหมือนลูกคุณหนู หน้าตาสะสวยและตาปรือคล้ายง่วงนอน ผมยาวถึงกลางหลัง ของแบรนด์เนมก็เป็นของกอปเกรดเอบวกบวกบวก แท้บ้างแต่น้อยชิ้น เป็นบุคคลที่เพื่อนๆ ในกลุ่มชอบขอความช่วยเหลือในการแต่งรูป รวมไปถึงผมเช่นเดียวกัน

‘มด’ กะเทยที่หัวล้านตรงจุดกึ่งกลางของหนังศีรษะ เพื่อนๆ บอกว่าเพราะแดกผงชูรสมากเกินไปผมเลยร่วง แต่ผมคิดว่าคงเป็นกรรมพันธุ์ของคนเราซะมากกว่า แถมมดเป็นกะเทยที่ผ่านการทำนมมาเรียบร้อย ความเหี้ยค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่มีนมก็ใช้นมเป็นเหยื่อล่อให้ผู้ชายในทินเดอร์ส่งรูปคว-เข้ามาในไลน์ บ้างก็ให้ชักว่าวโชว์ในวิดีโอคอล อีกทั้งตัวมดในชีวิตจริงกับในเฟสคือหน้ามือเป็นหลังตีน เพราะในเฟสมันไปเอารูปสาวจีนที่เพื่อนๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใครมาแอบใช้ ทุกวันนี้ก็รอดูหมายจับจากคนจีนมาแจ้งความมันอยู่เพราะแอบอ้างเป็นตัวเอง ภาพโปรของสาวจีนมีแต่ยืนหันหลังให้ ผู้ชายก็โง่งมมาหลงเชื่อ

‘ปราย’ เกย์ที่ใจร่านพอกัน มีลักษณะเฉพาะพิเศษคือปากเบี้ยวเล็กน้อย อันนี้ขอเตือนไว้ก่อนว่าไม่ได้มีเจตนาเสียดสีรูปร่างหน้าตาของคนเราที่เป็นปมด้อย แต่เพราะปรายเป็นแบบนั้นจริง แต่ถ้าอีดอกโม่งตัวไหนอ่านไม่รู้เรื่องก็จะด่าให้ไฟแรป ปรายเป็นบุคคลที่ปากวอนตีนเป็นที่หนึ่ง ขยันจิกกัดคนอื่นก่อนจนเพื่อนบอกว่าทุกวันนี้ที่ปากมันเบี้ยวก็เพราะคงโดนคนตบปาก แถมปรายเป็นคนที่พยายามอย่างมากในการปัดทินเดอร์ นัดเยกับผู้ชายหลายคนอยู่ และสมัครสมาชิกวีไอพีเพื่อปัดผู้ชายในแอปได้เรื่อยๆ ซ้ำยังมีฉายาว่า ‘กอลลัม’ จากในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริง เพราะมีใบหน้าที่เพื่อนๆ บอกว่าคล้ายคลึงกันเมื่อเปรียบเทียบดู

‘เอิร์ธ’ สาวน้อยในกลุ่มกะเทยที่ถูกเหมารวมว่าเป็นกะเทยไปด้วยแล้ว มีไลฟ์สไตล์ในการแต่งตัวที่ค่อนข้างเก๋ไก๋ ไปไหนกับกลุ่มเพื่อนก็มักจะมีผู้ชายเข้ามาจีบและขอไลน์ จนทุกวันนี้เพื่อนกะเทยทุกคนแทบจะแบนออกจากกลุ่มเพราะสวยเกินหน้าเกินตา ขออนุญาตไม่เล่าวีรกรรมต่อ เพราะแอบหมั่นไส้อยู่เหมือนกัน

‘คิทแคท’ กะเทยเจ้ในกลุ่มที่ผมค่อนข้างนับถือ แม้จะปากร้ายแต่ใจดี เป็นสาวอวบที่ชาวต่างชาติชมชอบ มีโครงหน้าที่สะสวย นับถืออิสลามแต่เป็นคนบาปที่แอบกินขาหมู ทุกวันนี้ที่อ้วนอยู่ก็คงเป็นพระเจ้าลงโทษ เจ้คิทแคทมีวีรกรรมเผ็ดร้อน หาใช่ความดี แต่เป็นความร่านที่กินฝรั่งมานับไม่ถ้วน พอๆ กับการกินหมูเป็นกิจวัตรประจำวัน สมัยก่อนผมเป็นรุ่นน้องแกได้กินสุกี้ที่ป้าแกเป็นคนขาย เจ้คิทแคทในตอนนั้นบอกไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไรนัก และก็ได้บอกสูตรสุกี้ด้วยที่ป้าแกเคยขายมาก่อน แกบอกป้าแกชอบดองของค้างคืน ไม่รู้ว่าอำหรือจริง ปัจจุบันป้าแท้ๆ ของเจ้คิทแคทก็ได้เสียไปแล้ว ผมชอบบ่นคิดถึงป้าแกตลอด จนเจ้แกคิทแคทเอ่ยปากบอก ‘คิดถึงเหรอ มึงก็ตามไปสิ’

อ้อ อีกอย่าง เจ้คิทแคทกับคริสตี้เคยตบตีกันด้วยนะสมัยประถม เขวี้ยงแก้วใส่กันเป็นที่โด่งดังเลยล่ะ ปัจจุบันก็รักใคร่กลมเกลียว จากที่เหม็นขี้หน้าใส่กัน

หืม จะถามว่าตอนนั้นใครเป็นฝ่ายชนะเหรอ ? แน่นอน อีคริสตี้แพ้ หัวปูดเป็นลูกมะนาว

ตัวละครเยอะมาก ขออนุญาตพักเหนื่อยแป๊บ

เฮ้อ โอเค ต่อ…

‘ไอซ์’ กะเทยที่ไม่ค่อยออกสาว แต่ผมชอบเรียกว่า ‘เจ้ไอซ์’ จนติดปาก เราสองคนชอบเล่นเกมด้วยกันบ่อยๆ เป็นบุคคลที่ผมชอบปรึกษาอยู่บ่อยครั้ง เจ้แกเป็นรับ แต่เคยแอบรุกคนมาก่อนตอนเมา ผมเคยไปนอนเล่นบ้านแกอยู่ครั้งหนึ่ง เผลอหลุดปากเรียกว่าเจ้ไอซ์จนแทบจะโดนเจ้แกตบปาก เพราะแกยังไม่เปิดตัวกับลุงที่บ้านว่าเป็นเกย์ มีรู้บ้างแค่ไม่กี่คน เจ้ไอซ์เรียนจิตวิทยาและชื่นชอบมากเป็นพิเศษ ความรู้ที่มีก็ชอบมาแบ่งปันให้กะเทยโง่เง่าเต่าตุ่นทั้งหลายได้รับฟังการแยกแยะหลายๆ สิ่ง อ้อ อีกข้อ เจ้แกปากดีไม่ต่างจากเจ้คิทแคท ชอบด่าผมอยู่ตลอด

‘มาย’ หรือเจ้มาย หนึ่งในบุคคลที่เป็นติ่งเกาหลีพอๆ กับผม ล่าสุดเราปรองดองกันเพราะรักวง X1 แม้จะคนละเมนแต่ก็ถือว่าเป็นสมาชิกในอุดมการณ์ เจ้มายค่อนข้างโชกโชนเรื่องงานประกวด ติดตามข่าวนางงามเสมอไม่ต่างจากคริสตี้และกะเทยทุกนาง มีเพียงผมที่ไม่ค่อยจะสนใจนัก ช่างแม่งเถอะ บรรยายเยอะฉิบหาย เดี๋ยวนี้ชอบคิดเวิ่นเว้อเก่ง เริ่มรำคาญ

“ในที่สุดพวกเราก็รวมตัวกันครบคน แปลกใจมาก” คริสตี้ทำเสียงโอเวอร์

“อีดอก กะเทยกว่าจะรวมตัวกันไม่ปีใหม่ก็วันเกิด” เจ้คิทแคทกล่าว

“ไม่วันเกิดก็วันตายอะ แต่ประหลาดใจจริง นัดกันครบองค์ วันนี้มาว่ะ” เจ้ไอซ์ว่า หน้าตาเปี่ยมรอยยิ้ม

“ใครตายก่อนดีอะ” ผมถาม

“มึงอะคนแรก” เจ้ไอซ์สวน

“อ่าว” งง โดนด่าเฉยเลยกู

“คิดถึงว่ะกอดหน่อยอีคริสตี้” เจ้คิทแคทยืนขึ้นเดินผายมือไปกอดหลวมๆ ใส่คริสตี้  พลอยทำหน้าเบะปาก  “ผมเหม็นนะ หัดสระบ้าง”

“อย่ามาอำ กูเพิ่งสระมาหมาดๆ” คริสตี้รีบท้วง

“แล้วทำไมวันนี้มายมาช้าอะ” เจ้โอ๊ตหันไปถามเพื่อนสาวข้างกาย

“อยากรู้อ๋อ คือมันยาวมากมึง” เจ้มายว่า

“ไม่เป็นไร พวกกูมีเวลาฟังกันอีกเยอะ ว่ามา” คริสตี้ผายมือเชื้อเชิญให้สาธยายถึงเรื่องราว เจ้มายทำหน้าอึดอัดใจก่อนจะกล่าว

“คือเรื่องมันมีอยู่ว่า วันนี้กูตื่นเช้ามาใช่มะ งัวเงียมาก กูก็สระผมอาบน้ำไปกินข้าว กะว่าจะไปรดน้ำต้นไม้ต่อ...”

“พอ อีดอก ยาวจริง ไม่ไหวจะฟัง” คริสตี้รีบขัด หัวเราะพรืดกันทั้งกลุ่ม เจ้มายแกเล่นเล่าตั้งแต่ตื่นนอน

“กูขอแบบพอสังเขป” อีคริสตี้ถึงกับร้องขอ

“ก็คือรถติด” เจ้มายตอบเป็นที่พอใจ

“แค่นั้นล่ะ” คริสตี้หันหน้าไปทางอื่นต่อ “แล้วอีเอิร์ธเป็นไรอะ แต่งตัวสวยกว่าคนในกลุ่ม เอวลอยอีก กูงงนะ มีใครงงบ้าง”

“กูแล้วหนึ่ง” เจ้คิทแคทโหวต

“กูแล้วสอง” เจ้โอ๊ตขยันเสี้ยมโหวตเช่นกัน

“แค่มาแดกโรตีจำเป็นต้องสวยขนาดนี้มะ” คริสตี้กึ่งพูดกึ่งด่า ไม่ทันให้เอิร์ธได้ปริปาก

“กลับบ้านมะ กูไม่อยู่นะ มาเต็มขนาดนี้” เจ้คิทแคทมองเหยียด การกระทำขำขัน

“คือพวกมึงให้กูพูดก่อนสิอีเหี้ย กูเพิ่งเลิกงานมา” เอิร์ธแย้ง กางมือเบรกคำพูดทุกคนเป็นเชิงร้องขอให้หุบปาก

“งานไรอะ” แพทถามอย่างสงสัย

“ขายเสื้อผ้า แถวเอเชียทิคไง”

“อ๋อ”

“แล้วปรายเป็นไรไม่พูดไม่จา” คริสตี้ถามอีกคนที่นั่งเงียบเป็นเป่าสาก

“ไม่อยากเสวนากับมึง”

“เอ้า งงนะ ด่ากูเฉย” คริสตี้งงงวย ผมเองก็แอบขำที่มันถูกด่า เพราะเจ้ปรายมีอะไรจะชอบด่าคริสตี้อยู่ตลอด มีเรื่องให้บัฟกันไปมา

“เป็นกูไม่ยอมนะคริสตี้” เจ้มดยุยง

“จริงมึง เป็นกูก็ไม่ยอม มันด่ามึงว่าไม่อยากเสวนา คิดว่ามึงเป็นพวกไม่มีค่าพอที่จะคุย” เจ้โอ๊ตชักนำให้ตีกัน ส่วนผมนั่งฟังนิ่งๆ

“ขอบคุณมึงมากที่เข้าข้างกูกัน” คริสตี้ตอบรับน้ำใจ “เวลาปรายคงสำคัญมาก ปากถึงไม่มีเวลาว่างจะตอบกลับ”

“เป็นเหี้ยไรอะ” เจ้ปรายด่าเฉย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ขณะด่าคริสตี้อย่างเจตนา

ผมที่กินน้ำระหว่างรอเมนูอยู่แทบพุ่งพรวด

“แรงมากอีดอก” เจ้โอ๊ตอุทาน “มึงยอมอ๋ออีคริสตี้ อีปรายด่ามึงเหี้ยเลยนะ มันด่ามึงว่าอีเหี้ยอะอีสัตว์”

“เป็นกูจิกหัวและเอาหน้ามันทึ้งลงกะทะโรตีแล้วนะ” เจ้มดเสริม

“แรงมากแม่ รับไม่ได้” แพทเสียงเศร้า ทำหน้าตกอกตกใจ

“จริงรับไม่ได้ เป็นมึงยอมปะแพท” เจ้โอ๊ตหันไปถามแพท

“ไม่นะ”

“เห็นมะอีแพทยังไม่ยอม เป็นมึงยอมอ๋ออีคริสตี้”

“กูว่าอีพวกลูกล้อนี่ควรโดนตบเป็นคนแรก” เจ้คิทแคทที่กินน้ำอยู่เอ่ยลอยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเรียกพนักงาน “พี่คะ สั่งโรตี”

คริสตี้พยักหน้ารับนิ่งๆ หันมาจ้องหน้าผม “เนี่ยอ๊อก ถ้ามึงแต่งนิยายอะ ก็ต้องหัดแต่งจากเรื่องสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่นคน” ผายมือไปทางทุกคน ไม่เว้นพนักงานรอบด้านสารทิศ ก่อนจะมาหยุดที่เจ้ปราย “เอากับสัตว์”

เป็นคำด่าที่จิกหลีที่สุดที่เคยได้ยิน

ไร ! ข้อความเด้งอีกแล้ว เด้งตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ นึกว่ามีอีห่าตัวไหนขยันส่งเกมเศรษฐีเข้ามาในไลน์ แต่ปรากฎว่าเป็นว่าที่ผัวที่คิดถึงคะนึงหา

[Non : ทำไรอยู่คะหนู]

คำถามเดิมอีกแล้ว อีหรอบนี้จะส่งรูปคว-มาใช่ไหมคะ !

“อีอ๊อกเป็นไรมือสั่น” คริสตี้หันมาถาม ทำผมเบี่ยงเบนความสนใจมาทางมัน

“เปล่า ไม่มีไร คงหิวมั้งมือเลยสั่น”

“เดี๋ยวโรตีก็มาละ” มันบอก ก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบ ทำผมหน้าร้อนระอุ “นมข้นหวานๆ เหมือนน้ำว่าวผู้ชายไง”

“หยาบคาย” ผมขวยเขิน ก้มหน้าก้มตาดูไลน์ในมือถือ

“หรือไม่จริง” มันถามกลับ ส่วนผมตอบในใจเงียบๆ ว่าก็จริงอยู่ เพราะรูปพี่นนท์ที่ป้อนนมข้นหวานใส่ปากยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ

แม่คะ ลูกคนนี้เสียพรหมจรรย์แล้ว มันเป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน มีผู้ชายรังควานราวี เป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน จะได้โดนเย็-กันสักที

เพลงแอนนาต้องมาแล้วล่ะ !

[อ๊อกเจ็บคอ : มากินโรตีกับเพื่อนครับ] พิมพ์ตอบกลับ

[Non : แถวซอยเจริญกรุง105ใช่ไหมคะ]

เขารู้ได้ยังไง !

อ้อ ลืมไป เคยมาแถวบ้านบ่อย

[อ๊อกเจ็บคอ : ใช่ครับ] ตอบกลับห้วนๆ เพราะวางตัวไม่ค่อยถูก

[Non : พอดีเลย]

พอดีเหี้ยไรคะ อย่าเว้นวรรคแบบนี้ ใจคอไม่ดี !

[Non : พี่ว่าจะไปกินกับเดือนพอดี]

[Non : (แนบรูป)]

[Non : ไว้เจอกันนะคะ <3]

ผมชะงักหรี่ตามองรูปที่พี่นนท์ชูมือสองนิ้วให้กล้อง โดยมีภาพพี่เดือนก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ด้านหลัง

“เอลซ่า !” ผมหันไปสะกิดคริสตี้ทันที พลางชูหลักฐานทนโท่ให้มันดู

“กรี๊ดดดด ! มันอันตราย” มันตกกะใจ จนร้องเสียงหลง

ผมเองก็เป็นไปกับมันด้วย “รีบหนีให้ไกล” ยืนขึ้นโดยพลัน จับแขนเพื่อนเตรียมจะหนี

“อ่าว หนูจะไปไหนคะ ?”

เสียงคุ้นๆ นะคะแม่ขา มันมาจากด้านหลัง หรือนี่จะเป็นเรื่องจริงที่มีคนโรคจิตตามติดชีวิต ไม่มีเวลาให้กูได้หลีกหนีสักเสี้ยววินาที

น้ำตาปริ่มแล้วค่ะคุณกิตติ เห็นหน้าซีดขาวของคริสตี้ก็พอจะรู้ว่ามันเจอใคร

ผมรีบปั้นหน้ายิ้ม ก่อนจะหมุนกายหันหลังไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าตอแหล

“ตายจริง” พานเอามือทาบอก “ไม่คิดว่าจะมาไว”

คุณผัวจะเลี้ยงโรตีใช่ไหมคะ ?

หรือจะเย็-ดิฉันกลางสาธรณะดี

หัวข้อที่สองโปรดเห็นใจ เพราะเราคือคนไม่ใช่สัตว์

“คิดถึงจังเลยค่ะ”

อีกแล้วนะคะคำคิดถึง เชื่อถือไม่ได้เลย วันนี้เพิ่งเจอกันมาหมาดๆ คุณพี่เป็นเหี้ยไรคะ หรือความทรงจำเสื่อม ไม่เจอกันไม่กี่ชั่วโมงเหมือนขาดใจตาย นี่คนหรือนกเงือก ขาดคู่โชคชะตาไม่ได้เลย

“แหะๆ เหมือนกันเลย” แต่ก็ได้แค่คิดและหัวเราะเจื่อนๆ ตอบกลับไป

“หนูจะกลับแล้วเหรอคะ ?” พี่นนท์ถามพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

น้ำเสียงผมตะกุกตะกักตอบกลับ “ปะ เปล่า ว่าจะไปสั่งโรตี พนักงานมาช้าน่ะครับ”

จู่ๆ พนักงานก็เดินมาทันทีพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร “เอาไรดีคะ”

มาถูกเวลามากค่ะอีสัตว์ !

“ใครอะ ?” เสียงซุบซิบดังมาจากด้านหลังในกลุ่มเพื่อนพ้อง น่าจะเป็นเจ้โอ๊ตที่เป็นต้นตอแห่งความเสือก “หล่อว่ะ ผู้อีอ๊อกเหรอวะ ?”

“หุ่นแซ่บเวอร์ น่ากิน แง่ง” เสียงเจ้มายเอ่ยลอยๆ เหมือนแมวยั่วสวาท

ผมรีบหันขวับไปเขม็งตาใส่ ‘ว่าที่ผัวกูค่ะ’ อีกะเทยร่านเดี๋ยวเอาแผ่นโรตีฟาดหน้าแม่งให้หมด

“ใครเหรออ๊อก” น้ำเสียงหวานๆ ของแพทเอ่ยขึ้นมา แต่ตานี่จ้องผู้ชายตาเป็นมัน

ได้ข่าวว่าเป็นโรคซึมเศร้านะเพื่อนสาว นี่สงสัยมากว่ามึงเป็นโรคร่านด้วยหรือเปล่ากันแน่ เป็นนิสัยแก้ไม่ได้ คงเป็นกมลสันดานติดตัวแหงๆ

ผมเอี้ยวกาย ยกฝ่ามือชี้นิ้วมาที่ตัวเองไม่ให้พี่นนท์เห็น ส่งสัญญาณเป็นการบอกเพื่อนๆ ว่า ‘ของกูจ้ะ อย่าเสร่อ’
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2020 11:49:41 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
“สรุปเอาไรดีคะ” พนักงานคาคคั้น ผมเลยต้องปั้นยิ้มหันไปตอบ

“เอาโรตีชีสครับ และโกโก้แก้ว ส่วนคนอื่น...” ผมปรายตาไปทางทุกคน ก่อนที่พวกมันจะเอ่ยปากสั่งเมนูกับพนักงาน หลังจากนั้นผมถึงได้ผินตามาทางเพื่อนสนิท มันยังยืนมือสั่น จ้องตากับพี่เดือนอยู่

อีดอกปลากัดกำลังกัดกันปะ

“จ้องขนาดนี้ แดกหัวกันเลยดีไหมครับ” ผมเอ่ยเสียดสีไปทางคนทั้งสองอย่างจงใจ พลอยให้พี่เดือนต้องหันหน้ามาจ้องผมแทน

เราสองคนสนิทกันอยู่ เป็นญาติกันห่างๆ ฉะนั้นเรื่องชกต่อยไม่มีแน่นอน

ถึงมีกูก็หลบไปให้ผัวบังตีนให้แทน

“หนูชอบกินโกโก้เหรอคะ ?” พี่นนท์ที่ยืนอยู่ยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น

ใจจะละลายแล้วค่ะแม่ขา อยู่กันยี่สิบสี่ชั่วโมงอีอ๊อกคงเป็นขี้ผึ้งลนไฟ

“ใช่ครับ” แสร้งเป็นทัดผมเหมือนมีผมยาวเพื่อแก้เขิน สบตาบ้างหลบตาบ้างเหมือนนายเอกขี้อาย

จริงๆ ก็ขี้เงี่ยนด้วยค่ะ แต่ไม่กล้าบอก

“พี่เองก็ชอบเหมือนกัน” พี่นนท์เอ่ยปาก แต่ได้ข่าวผมไม่ได้ตั้งคำถามอีกฝ่ายเลยสักนิด

อ๋อ สงสัยอยากมีส่วนร่วม เหมือนพวกพระเอกนิยายที่มีอะไรก็ชอบคล้ายคลึงกับนายเอก ขอเพียงแค่ได้พูดไว้ก่อน ประหนึ่งเป็นคู่แห่งโชคชะตา พล็อตOmegaverse นิยายใหม่ที่นายเอกอยู่ในช่วงฮีทบ่อย พระเอกก็อยู่ในอาการน็อทแห่งความคลั่ง อีพี่นนท์ก็มีอาการคล้ายคลึงเลย เงี่ยนแม่งทุกวัน

เอ๊ะ กูโดนกัดคอด้วยไหมนะเมื่อคืนนี้ ลูบต้นคอเบาๆ กลัวถูกพันธสัญญาเหมือนในนิยาย มโนไว้ก่อนแม่สอนไว้

“กินเสร็จจะไปไหนต่อปะคะ” พี่นนท์เขยิบเข้ามาใกล้ ยกฝ่ามือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู

ม่ายยยย จะมาโชว์ความผัวให้เพื่อนๆ ผมเห็นแบบนี้ไม่ได้นะ อีพวกกะเทยตาร้อนผ่าวกันไปหมดแล้ว ไฟริษยาชัดๆ

และแล้วอีตัวยุยงก็เป็นฝ่ายถามจนได้ “พี่ๆ พี่เป็นแฟนอีอ๊อกเหรอคะ ?” เจ้โอ๊ตสงสัย

พี่นนท์ระบายยิ้มหนักกว่าเก่า ส่ายหน้าตอบกลับไป “เปล่าครับ”

อ่าว อีเหี้ย และเมื่อคืนนี้มันคืออะไรอะ บอกเขาไปสิว่าเราได้กันแล้ว ไม่ใช่แฟนแต่เป็นผัว พูดซี้ พูดให้มันเหมาะกับพระเอกในนิยายหน่อย

“แต่กำลังจีบอยู่ครับ”

กรี๊ดดดดด จุดไฟร่านเลยจ้า ปังๆ วันนี้กูจะจุดพลุ อีหน้าไหนก็อย่ามาขัด

คำตอบเป็นที่น่าพอใจมากครับ แกล้งทำเป็นเขินแป๊บ โดยการก้มหน้างุด “พี่นนท์อย่าพูดแบบนั้นสิ” เอาอีกสิ พูดอีกเยอะๆ เลยว่าชอบน้องอ๊อกอะ

“พี่พูดจริงนะคะ”

แอร๊ยยยยย เขินมาก ได้แต่กรี๊ดอยู่ในใจ สาวจะแตกแล้วค่ะ เสี้ยน อาการเสี้ยนมันกำเริบ

อีคริสตี้มึงได้ยินไหม ว่าที่ผัวกูโชว์ความผัวให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ออกตัวแรงมากเลยอะ ฮือ

อ่าว ทำไมเพื่อนยังทำหน้าเครียด ก้มๆ เงยๆ หลบหลีกสายตาพี่เดือนใหญ่ อีคู่นี้มีพิรุธนะ

“คริสตี้” เสียงพี่เดือนเรียกชื่อ ทำเพื่อนรักของผมสะดุ้งโหยง

“ว่า” มันตอบเสียงห้วน

“ขอคุยด้วยหน่อย” พี่เดือนพูดเสียงเครียด

บรรยากาศรอบด้านหนาวเหน็บเหมือนมีผีจะมาหลอกหลอนเลยค่ะคุณกิตติ รอลุ้นว่าใครจะถูกฉุดกระชากเหมือนพล็อตมาโซคิสม์หรือเปล่า

ลุ้นให้อีคริสตี้มันโดน เป็นครั้งแรกที่เห็นมันกลัวคน แต่ยังดูใจกล้าไม่เกรงกลัวอยู่หน่อยๆ

“ไม่ว่าง กินโรตีกับเพื่อนอยู่”

ร้ายมาก ! นี่มึงเห็นเพื่อนสำคัญกว่าผู้ชายเป็นด้วยเหรอ ปกติเห็นระริกระรี้อยู่ตลอด เพียงได้เจอคว-

“งั้นกินเสร็จ ขอคุยด้วยหน่อย” พี่เดือนเสียงอ่อนลง แต่หน้าตานี่ดูเครียดจัด

หันกลับมาที่ว่าที่ผัวตัวเองบ้าง หน้ายังยิ้มอยู่ตลอด

ถามจริง วันนี้ดูดกัญชาหรือแดกยาบ้ามากันแน่คะ ยิ้มจนเริ่มหลอนแล้วนะคะคุณหฤษฎิ์

พี่นนท์บีบแก้มผมเบาๆ ก่อนเอ่ยลา “เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันนะคะ”

“...” เงียบปาก แต่พยักหน้ารับ ยังไม่ค่อยชินกับคุณพี่เท่าไรนัก หลอนตั้งแต่เจอกันในเกม นี่ยังมาเจอกันตอนแดกโรตีอีก ตามติดชีวิต หวังว่าจะไม่มีฉากหึงหวงฆ่าหั่นชำระศพเหมือนในพล็อตที่ตัวเองเคยแต่ง อ๊อกกลัวนะแม่

ชายหนุ่มหันหลังเดินจากไปนั่งที่เก้าอี้โต๊ะที่ว่าง สั่งเมนูเสร็จสรรพ ก็ยังมองผมด้วยรอยยิ้มผูกมิตรไมตรี

ผมยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูคริสตี้หลังจากทิ้งตัวลงนั่ง “มึงว่าคืนนี้กูจะโดนจัดอีกสักดอกปะ”

“ไม่แน่” คริสตี้พยักหน้ารับ “ใจกูเทให้มึงไปแล้ว เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์”

“เก็บไว้ทำไมอีกห้าเปอร์เซ็นต์”

“เพราะมึงยังไม่ทำแท้งมา เกรงว่าจะมีการแจกทองและเลิกเย็-กลางคัน”

“นั่นก็จริง”

“มึงไปทำอีท่าไหนมาอีอ๊อก ผู้งานดีถึงมาจีบมึงหนักขนาดนี้” เจ้มดแคลงใจ เอ่ยแทรกในบทสนทนา

“คือ…” จะบอกไงดี ก็หลายท่าอยู่นะเพื่อนๆ “เขาคงอำน้องเล่นแหละเจ้”

“ไม่เล่นแล้ว เต๊าะหนักขนาดนี้” เจ้มายว่า

“แบ่งกันมะ” เจ้โอ๊ตเอ่ย

ผมงงเป็นไก่ตาแตก “แบ่งไรอะ ?”

“ก็แบ่งๆ กันใช้ไง มีไรก็แบ่งกัน เหมือนยืมของ”

“เจ้ นี่คนไม่ใช่สิ่งของ”

“พี่น้องไม่จริงนี่หว่า เหี้ยอะ เป็นน้องไม่รู้จักแบ่งปัน”

“จริงมึง” เจ้มายเห็นดีเห็นงามด้วย

“อยากโดนเลยอะ” แพทเอ่ยลอยๆ เสียงเบาหวิวแต่กระทบเข้าหูผม

“เลิกร่านก่อนนะแพท ไปปรึกษาหมอด้วยว่าที่มึงเป็นอยู่นี่โรคคันคะเยอหรือโรคซึมเศร้ากันแน่”

“หมอบอกเป็นทั้งสองอย่าง” แพทตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ

“งั้นไปซื้อดิลโด้มาบำบัดก่อน” ผมตอกกลับ ที่กล้าด่ามันเพราะอาการมันดีขึ้นเยอะ ไม่ค่อยเครียดเหมือนแต่ก่อน ตัวแพทเองก็มักจะปรึกษาระบายกับผมอยู่บ่อยๆ ในเรื่องปัญหาต่างๆ

แต่อีพวกกะเทยนี่จ้องจะแย่งผัวกูแล้วนะ ไม่ได้การ ถึงปากบอกไม่ใช่ แต่อากัปกิริยาต้องแสดงออกไว้ก่อนว่าเป็นของของเรา

“พอดีเราคุยกันนิดหน่อย” ผมทำท่าทางเคอะเขิน เอ่ยขึ้นมาลอยๆ

“ร้ายมาก” เจ้มายว่า

“ร่านเวอร์” เจ้มดเอ่ย

“คุยกันตอนไหน ไหนเล่าซิ” เจ้คิทแคทยื่นหน้ามาเล็กหน้า ท่าทางตั้งอกตั้งใจฟัง

“ก็ไม่กี่วันมานี้” ผมตอบด้วยท่าทางเอียงอาย ชวนน่าหมั่นไส้ บิดตัวเล็กน้อยเหมือนนายเอกขวยเขิน

คว-เถอะค่ะ จริงๆ เรียกกระแดะ

“คุยไรกันอะ” ปรายแทรกเข้ามาถามบ้าง

“เสือกเก่งกันทุกคนเลย” แพทด่าในวงสนทนา ไม่กระทบขี้หูกะเทยทุกคน

“ก็เรื่อยเปื่อย” ผมตอบ

จริงๆ ก็คุยเรื่องเย็-กันบ่อยมาก แต่ไม่กล้าเหลาที่แปลว่าเล่าให้เพื่อนฟัง ส่วนใหญ่ที่เราคุยกันก็จะเป็น ‘อะ อ๊า พี่นนท์ สะ เสียว’

หูยยย แค่คิดก็ขนลุกวาบมาถึงตาตุ่ม

เมื่อทุกคนเห็นผมไม่ยอมเล่ารายละเอียดก็หันเหความสนใจไปทางเรื่องอื่นแทน เสียส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับวงการนางงามที่นั่งเมาท์กันไปมา ผมก็เลยได้มีโอกาสคุยกับคริสตี้ ไหล่กระทบไหล่เป็นการสะกิด

“เอาไงดี หรือพวกเราจะได้ผัวจริงๆ” ผมถามเกริ่น

“แต่ตามติดขนาดนี้แถมขี้เงี่ยนก็ไม่ไหวนะ หนีไปโสดเป็นแม่ม่ายดีกว่ามึง” คริสตี้ตอบกลับ

“ชีวิตดูน่าหดหู่จัง” ผมแกล้งปั้นหน้าเศร้า สักพักก็แสดงท่าทางระริกระรี้ “แต่นานๆ มีคนมาตามจีบถึงขนาดนี้เลยนะ”

“มึง” คริสตี้เอี้ยวกายหันมาจ้องหน้าชัดๆ “ฟังนะ การมีผู้ชายผ่านพ้นเข้ามาในชีวิต แถมเป็นเหตุการณ์ที่เราสร้างซึ่งก็ใช่ว่าจะดี การที่เขามาตามติดเราแบบนี้ บางทีก็แค่อาจเป็นการหวังเพียงแต่ได้ มันไม่ใช่นิยายนะอีอ๊อก ที่จะมีผู้แสนดีจากหนึ่งในล้านคน เพื่อคาดหวังความรักจากเรา แถมเรา…” คริสตี้ลอบมองทุกคนที่คุยสนุกปากกันอยู่ เห็นไม่สนใจจึงเอ่ยต่อข้างกกหูของผม “แถมเราก็ขายตัวกันอีก มันก็แค่ฝันลมๆ แล้งๆ”

ผมนิ่ง รับฟังท่าทีจริงจังของเพื่อนรักก็นึกตามอย่างเป็นกังวล ซึ่งมันก็จริงอย่างที่มันพูด การที่มีผู้ชายเข้าหาเรา จากการที่เราเสียไรไปง่ายๆ ในบางทีเขาก็อาจจะแค่คาดหวังความง่ายจากในร่างกายเรา

“ที่กูจะบอกก็ไม่ใช่ไรหรอก แค่อยากจะสอนว่าให้เห็นคุณค่าในตัวเองบ้าง”

“มันก็จริงอย่างที่มึงว่า” ผมนึกตามก็สลดใจ หันไปลอบมองพี่นนท์ที่ยังชำเลืองมองเล็กน้อย ก็วกกลับมามองเพื่อนสนิท

บางทีอาจเป็นแค่ฝันหวาน ดั่งพล็อตนิยายขายฝันที่ตัวเองปรุงแต่ง

“เราต้องมีคุณค่าในตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นขายหลีแล้วได้เงินมา แต่นี่ไม่ได้สักกะบาท ดอกทองสิ้นดี” คริสตี้นึกแล้วก็โทสะ

ผมร้อง “อ๋อออ” ที่แท้เพื่อนรักก็แค้นใจที่ไม่ได้ตังค์จากการค้าประเวณี

“งั้นโตไปเราจะเป็นแม่ม่ายกันเหรอ” ผมอิดออดที่จะพูด “เป็นคนแก่ที่ไร้ผัวกันสองคน อยู่บ้านกันตามลำพัง หลีคงเป็นใยเพราะรกร้าง”

“ก็ดีมะ มึงก็อยู่กับกู ช่วยกันดูแลกัน ถ้าเงี่ยนก็ซื้อดิลโด้มาอันแล้วแบ่งปันกันใช้ มึงใช้เสร็จ กูก็ล้างสวมถุงยางมาใช้ต่อ” คริสตี้ว่า

“แล้วทำไมไม่ซื้อมาสองอันเลยล่ะ” ผมสงสัย

คริสตี้ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “มึงแม่งไม่รู้จักคำว่าประหยัด”

มันพูดทิ้งท้ายก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนพ้อง ตัวผมเองก็เลยร่วมวงสนทนา นั่งดูดน้ำโกโก้ขณะที่หูก็รับฟังถ้อยคำดังกล่าว

“ล่าสุดมึงไปนัดเยกับใครมาอีปราย มึงกล้าเล่าให้เพื่อนฟังไหมล่ะ” เอิร์ธพูด

“ทำไม ก็แค่ผู้ชาย” ปรายบอกอย่างไม่สะทกสะท้าน

“คณะอะไร” เจ้มายอยากรู้อยากเห็น “มีภาพไหม ไหนหลักฐาน”

เจ้ปรายเมื่อเห็นทุกคนไม่เชื่อก็ก้มหยิบมือถือ ปลดล็อกรหัสผ่านเข้าสู่แอปที่เคยมีการพูดคุย ก่อนจะยื่นรูปที่มีหน้าตาให้เพื่อนๆ ดู เป็นผู้ชายหุ่นล่ำหน่อยๆ ใสเสื้อเชิ้ตสีขาว “เขาเป็นนักกายภาพบำบัด”

ทุกคนร้องหูย บ้างก็ซี๊ดปากเมื่อนึกภาพตาม ก่อนที่เจ้โอ๊ตจะท้วงติง “ไม่น่าอีปรายถึงโดนเอาจนปากเบี้ยว เส้นประสาทคงกดทับ”

ทุกคนหัวเราะกันลั่น สร้างความสนใจแก่คนอื่นๆ ที่นั่งกันอยู่ เพราะเสียงกะเทยเป็นเอกลักษณ์ หัวเราะซะสะใจกันเวอร์ ส่วนผมก็แอบสำลักน้ำที่ดื่มอยู่จนแทบพุ่งพรวดออกจากปาก เพราะอีเจ้โอ๊ตมันดันเล่นมุกตลกร้าย พลันลอบดูอากัปกิริยาของเจ้ปราย กลัวว่าแกจะรู้สึกแย่จากคำเสียดสี

บางทีตัวผมก็ใช่ว่าจะชอบการหยอกล้อปมด้อยของคนอื่นเขา ก็ได้แต่นึกโทษตัวเองอยู่เหมือนกันลึกๆ ที่ไปขำ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะตอบกลับมา คล้ายไม่ได้รู้สึกกับคำครหา ตัวผมก็พอเบาใจลง แม้ลึกๆ ยังมีความกังวลว่าท่าทางเบื้องหน้าที่ปั้นหน้ายิ้มต่อผู้คน ภายในนั้นใครจะไปสุดรู้ได้ว่าเขารู้สึกเช่นไร

เจ้ปรายหัวเราะก่อนด่าว่า “อีควาย”

“เจ้โอ๊ตนิสัยไม่ดี เหี้ย” แพทด่าเสียงเบาหวิว คงนึกเป็นห่วงเจ้ปรายด้วย เพราะแพทก็เป็นโรคซึมเศร้า เบื้องหน้าก็มีรอยยิ้มเก่ง แต่เบื้องหลังคิดสั้นหดหู่จนยากเกินจะอธิบาย เรื่องนั้นผมก็เคยรับฟังมันมาก่อนเลยเข้าใจดี

“ปราย กูขอโทษ” เจ้โอ๊ตดูไม่สนุกที่จะเล่นต่อ “โกรธกูปะหนิ” มันถาม

“ไม่ กูไม่โกรธ ขำๆ ปะ” เจ้ปรายไม่ถือสา เมื่อเป็นเช่นนั้นทุกคนจึงเบาใจ

แต่มีเพียงผมและทุกคนที่ลึกๆ อาจจะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่โอเคอยู่ ถึงแม้ต่อให้จะเป็นจินตนาการ นึกกังวลไปเองก็ตามที

“ดูอีอ๊อกสิ เงียบจนคางยื่นละ” กลายเป็นผมที่อยู่เฉยๆ ก็โดนเพื่อนล้อปมด้อยของตนเองแทน

ผมเงียบ ปั้นหน้ายิ้มไม่สะทกสะท้าน “มีปัญหาไรอีตอแหล” ผมด่าอีกฝ่ายอย่างไม่หวาดหวั่น “อยู่ดีๆ ก็ล้อปมด้อยคนอื่น ตัวเองก็ใช่ว่าจะดี”

“แรงมากอีดอก” เจ้คิทแคทเอามือทาบอก อีคริสตี้ก็พลางซี๊ดปากอย่างเผ็ดร้อนกับวาจาดุดันของผม

“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะพี่” เจ้โอ๊ตก้มหัวขอโทษขอโพยอย่างขบขัน ผมเห็นดังนั้นจนหัวเราะคลายบรรยากาศ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเครียดต่างๆ นานา

พวกเราคุยกันหลายชั่วโมงอยู่ แต่เท่าที่เห็นก็ยังมีผู้ชายอีกโต๊ะยังไม่รีบกลับเช่นเดียวกัน ผมหันไปกระซิบกับคริสตี้ว่าอยากกลับบ้าน เพื่อนรักเลยบอกทุกคนเพื่อขอตัวกลับก่อน ทิ้งท้ายด้วยจำนวนเงินที่หารเท่าๆ กัน

พอเราทำท่าจะเดินจากไปไม่ทันไร พี่นนท์ก็รีบยื้อผมเอาไว้ พลางเรียกพนักงานมาเก็บเงิน

“มีไรครับ” ผมถาม

“ไปห้างกันไหมคะ” พี่นนท์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม โชว์ฟันเรียงสวยที่ชวนน่าหลงใหล

โอ๊ย จากที่เศร้ากลายเป็นชื่นบานเลยอะ ใจอ๊อกบ่ดี

ถามว่าอยากไปไหมก็อยาก “แต่นี่ทุ่มครึ่งแล้วนะครับ” ผมที่หยิบมือถือมากดเปิดหน้าจอดูเวลาเอ่ยปากบอก

“ก็นั่นแหละค่ะ ดูหนังกัน เดินห้างด้วย ให้คริสตี้ไปเป็นเพื่อนหนูด้วยก็ได้ค่ะ นี่เดือนก็ไปกับพี่” พี่นนท์กล่าวเช่นนั้น พลอยดูท่วงทีของอีกคนไปด้วย “คริสตี้ไปไหมคะ ?”

“แล้วแต่อ๊อกเลยค่ะ” เพื่อนรักแจกรอยยิ้ม โยนภาระมาให้ผมแทน

เอาไงดี นี่มันแนวพระเอกสายเปย์ชัดๆ หนังเรื่องใหม่ที่อยากดูก็เพิ่งเข้าโรงมาหมาดๆ

“เดี๋ยวขอโทรบอกแม่ก่อนนะครับ” พอดีกลัวแม่เป็นห่วง แม้แม่จะไม่เคยสนใจเลยก็ตามที

“ได้เลยค่ะ” พี่นนท์เห็นดังนั้นก็หน้าชื่นตาบาน หากเปรียบเปรยเป็นสุนัขคงได้เห็นหางยาวๆ กระดุกกระดิก

ผมหยิบมือถือแนบหูเมื่อโทรหาปลายสาย ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็มีสัญญาณตอบรับ

[ฮัลโหล ว่าไงอ๊อก]

“แม่ อ๊อกจะไปห้าง คงกลับดึกหน่อยนะ” ผมพูดให้ปลายสายฟังอย่างกระจ่างแจ้ง

[กี่โมง ดึกมากไหม]

“สักสี่ห้าทุ่มได้มั้งแม่ แม่นอนก่อนได้เลย อ๊อกมีกุญแจบ้านติดตัวอยู่”

[โอเค แม่อุ่นแกงเขียวหวานไว้ให้นะ ดึกก็กิน เสร็จแล้วเอาแช่ตู้เย็นให้แม่ด้วย]

“โอเคครับๆ” ผมตอบรับสบายใจ วางหูไม่ทันไรพี่นนท์ก็ปริปากถาม

“คุณแม่ว่าไงคะ”

แง เรียกว่าคุณแม่เลยเหรอ เราใช้แม่เดียวกันตั้งแต่เมื่อไร

“แม่โอเคครับ” ผมบอก

“งั้นดีเลย เดี๋ยวตอนดึกพี่ขับรถมาส่ง ส่วนเพื่อนหนูก็ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเดือนช่วยดูแล” พี่นนท์ว่า พลอยให้คริสตี้เบะปากใส่

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองได้”

ผมเอาศอกกระทุ้งเพื่อนไปทีหนึ่ง เพราะมันปั้นหน้าปั้นตาไม่พอใจสุดๆ

ฝ่ายพี่เดือนก็มีสีหน้าเคร่งเครียดพอสมควรอยู่ ดูจากสถานการณ์คงเป็นเรื่องน่าลำบากใจสำหรับผมกับพี่นนท์เป็นอย่างมาก ไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้านี้ยังไงดี

“เอาเป็นว่าเรานั่งรถไปกันเลยดีไหมคะ” พี่นนท์เชื้อเชิญ ตัวผมเองก็ยินดี เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกกับท่าทางปั้นปึ่งของเพื่อนสาวเล็กน้อย

“คริต มึงโอเคแน่นะ ไม่อยากไปก็บอกดีๆ” ผมยื่นหน้าไปกระซิบ

เพื่อนรักตอบกลับ “เออ กูโอเค มึงไม่ต้องเป็นห่วง” มันพูดให้ผมสบายใจ ขณะเดินตามผู้ชายเบื้องหน้าสองคนที่ขึ้นรถยนตร์

โอ้ คันเดียวกับที่ผมเคยนั่งเมื่อตอนเช้านี้เลยอะ แต่สิ่งที่แตกต่างจากวินาทีนี้คืออาการคันคะเยอ

ล่าสุดต้องการคารามายแล้วจ้ะแม่จ๋า ผู้ชายชวนไปไหนก็อิดออดอยู่นาน แต่ใจอีอ๊อกนี่พร้อมไปในทันใด

กูจะขู่กรรโชกทรัพย์เลยคอยดู

ว่าที่ผัวเสือกอยากเป็นเสี่ยดีนัก...หึ


บรรยากาศในรถที่ตลบอบอวลไปด้วยความรัก ความเงียบกริบไร้สรรพเสียงสิ่งใดๆ ช่างน่าพิศมัย หน้าตาถมึงทึงของเพื่อนสาวที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยการยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างน่ารักน่าชัง เว้นระยะห่างกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางลอบมองอากัปกิริยาของสาวสวยที่ปั้นปึ่งอย่างห่วงหาอาทร มองแบบไหนก็ช่างเป็นความรักที่น่าชื่นชมชวนโอ้โห

โอ้โหอีสัตว์ตีกันแน่นอน  แตกต่างจากฝั่งคนขับที่ไม่ได้สนใจห่าเหวสิ่งใดๆ ว่าเบื้องหลังแม่งมาคุมากเพียงใด ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาลอบมองมาทางผมเหมือนคนบ้าที่โลกนี้มีเพียงเราสอง

คุณผัวคะ ช่วยดูบรรยากาศรอบด้านด้วยค่ะ

“เปิดเพลงได้ไหมครับ” สุดท้ายก็เป็นเราที่ต้องเอ่ยปากร้องขอ

“ได้สิคะ” พี่นนท์พยักหัวรับ ก่อนจะยื่นมือไปกดเปิดเพลง แถมยังเป็นเพลงเก่าอีกต่างหาก คู่กัดชัดๆ

[ลิ้นกับฟัน พบกันทีไรก็เรื่องใหญ่ น้ำกับไฟ ถ้าไกลกันได้ก็ดี หมากับแมวมาเจอะกัน สู้กันทุกที ต่างไม่เคยมีวิธีจะพูดจา]

คริสตี้ “...”

ผม “...”

[นกกิ้งโครง โผลงมาเกาะโพรงนกเอี้ยง อ้อยอี๋เอียง เถียงกันตลอดเวลา เสือกับสิงห์ก็ข่มกันขอเป็นเจ้าป่า ต่างไม่ยอมจะพูดจาตกลงกัน]

พี่เดือน “...”

พี่นนท์ “:)” ขับรถไปเคาะนิ้วตามจังหวะไป

[อย่างเธอกับฉันอันที่จริง เราก็มีหัวใจให้กัน แล้วทำไมเธอกับฉัน คอยขัดกันทุกทีเรื่อยไป เธอก็เสือฉันก็สิงห์ ทั้งที่จริงไม่มีอะไร รักกันแต่ทำไมเป็นอย่างงี้]

“เปลี่ยนเพลงได้ไหมครับ” ด้านหลังถอนหายใจกันฟืดฟาดแล้วค่ะ

“ทำไมล่ะคะ ? เพราะออก”

ออกจากรถไงคะอีสัตว์ ! ตีกันริมถนนแน่ๆ ทำไมผัวไม่รู้จักดูสถานการณ์เลย อีเหี้ย !

“ก็เพราะครับ แต่อยากได้เพลงอื่นน่ะ พี่นนท์เปลี่ยนให้หน่อยนะ นะๆ” ถือโอกาสทำท่าทางออดอ้อน หวังให้ว่าที่ผัวทำตามคำสั่ง

“น่ารัก งั้นก็ได้ค่ะ เปลี่ยนเป็นเพลงนี้ดีกว่า” อีกฝ่ายทำตามคำพูด ขับรถไปพลางดูกดปุ่มเลื่อนหาเพลงใหม่ ผมที่นั่งนิ่งงันฟังจังหวะคุ้นหูแต่แตกต่างจากเวอร์ชั่นเดิม เป็นน้ำเสียงทุ้มละมุนเพราะพริ้ง แถมยังคล้ายคลึงกับใครบางคนข้างกาย

[จะส่งความรักไปให้ใคร เมื่อคนคนนั้นไม่เคยมี บอกรักตัวเองอีกทีนะ ~ เรา]

“เอ๊ะ ?” ถึงกับริมฝีปากอ้าค้าง

พี่นนท์ส่งเสียง “เอ๊ะ ?” ตาม พร้อมรอยยิ้มละมุนละไม ปล่อยให้ผมนิ่งชาจับน้ำเสียงที่ร้องตามทำนองต่อมา

[กุหลาบแดงยังไงก็ดูสวยดี สื่อความหมายเป็นคำเอ่ยแทนหัวใจ ~ กุหลาบขาวก็ดูคู่ควรกับรักยิ่งใหญ่ เลือกดอกไหนให้ตรงกับใจของฉัน ~ ถ้าใครถามว่าฉัน จะมอบให้กับใคร คงได้แต่แอบยิ้ม และแกล้งทำเป็นเขิน แต่ในใจของฉัน นั้นมันเศร้าเหลือเกิน ถ้าใครบังเอิญมารู้ความจริง]

นี่มันเสียงพี่นนท์หนิ เฮ้ย !

[ว่าซื้อกุหลาบให้ตัวเอง ฉันซื้อกุหลาบให้ตัวเอง ต้องทนเดียวดายวังเวงอย่างงี้ ~ จะส่งความรักไปให้ใคร เมื่อคนคนนั้นไม่เคยมี ~ บอกรักตัวเองอีกที นะ ~ เรา]

“เสียงพี่หนิ” ผมหันไปจ้องคนขับที่อมยิ้มมีความสุข ไม่ตอบคำถามใดๆ เลยทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่ ก้มดูภาพหน้าจอรายชื่อเพลงที่ขึ้นว่า ‘cover’ ท้ายหลัง

“พี่เป็นนักร้องเหรอ ?” หัวนี่สับสนไปหมด มีแต่คำถามประเดประดังเข้ามาในหัว

“ใช่ค่ะ” พี่นนท์ตอบกลับ ยิ้มจนตาหยี ก่อนจะถามกลับ “ร้องเพราะไหมคะ ?”

ผมเลิ่กลั่กวางไม้วางมือไม่ถูกตำแหน่ง “เพราะ ตะ แต่ว่าพี่เป็นนักแคสเกมด้วยไม่ใช่เหรอ ?” งงไปหมดแล้วนะ สรุปคุณผัวทำอาชีพอะไรกันแน่

“แคสเกมเป็นงานอดิเรกค่ะ แต่ร้องเพลงพี่ทำเป็นอาชีพหลัก ไว้ว่างๆ จะพาหนูไปดูพี่ร้องเพลงนะคะ” พูดพานยืดแขนเอาฝ่ามือมาขยี้กลุ่มเส้นผมของผมอย่างเอ็นดู

อีอ๊อกงงเป็นไก่ตาแตก นี่นอกจากจะได้ผัวเกมเมอร์แล้ว ยังได้ผัวขายฝันเป็นนักร้องอีกต่างหาก อะไรมันจะเพอร์เฟกต์ขนาดนั้นคะแม่ !

“อ๊อกไม่รู้เหรอว่านนท์มันร้องเพลงเป็นอาชีพตอนกลางคืน” เสียงพี่เดือนดังมาจากด้านหลัง ผมเอี้ยวกายชะโงกหน้าไปมองกลับ

“ไม่รู้” นี่ยังอึ้งอยู่เลย

“ถ้ารู้มันจะถามเหรอ ?” คริสตี้สวนกลับ พูดจิกกัดคนข้างกาย ทว่าพี่เดือนกลับไม่คิดจะใส่ใจ เพียงแต่มองด้วยแววตาหม่นหมอง

ดูท่าไม่รู้จะเข้าหาเพื่อนรักของผมยังไงกันแน่

“ถึงแล้วค่ะ” เสียงพี่นนท์ขัดจังหวะบรรยากาศ ผมเลยหันกลับมานั่งที่ดีๆ


ตัดภาพมาที่เราหลังลงจากรถยนตร์ ภายในห้างมีคนพลุกพล่านแน่นขนัด ต่างมีช่วงอายุตั้งแต่เด็กลามไปถึงผู้ใหญ่แก่ชรา ผมกับคริสตี้ต่างเดินจูงมือดั่งมิตรสหาย ไล่ตามชายหนุ่มสองคนที่หน้าตาดีเพื่อนำหน้าขบวน สาวน้อยสาวใหญ่ต่างเหลียวหลังมองกันเต็มไปหมด ผมจึงได้แต่เขม่นตาใส่ มองตามหญิงสาวที่มองพี่นนท์นิ่งค้าง พลันสะดุดมาหยุดที่ผมที่จ้องตาเธอ

ผมยกนิ้วชี้มาที่ตัวเอง ขยับริมฝีปากไม่ออกเสียง “ของเราจ้ะ” พลอยให้คนตรงหน้าได้รู้ตัวกระจ่างแจ้ง

ชะนีน้อยฝันหวานไปเถอะ !

“มึงทำไร” คริสตี้หันมาถามผมอย่างงงงวย

ผมเอ่ยปากบอก “ไม่มีอะไรสักหน่อย” แค่เตือนพวกผู้หญิงที่จ้องว่าที่ผัวตาเป็นมันก็เท่านั้นเอง

พลันสายตาไปเหลือบเห็นร้านๆ หนึ่งเข้าให้

“โอ๊ะ ! ร้านหนังสือการ์ตูน !” พูดเสียงดังพอที่คนข้างหน้าจะได้ยิน เป็นความไม่ตั้งใจทั้งสิ้น

“แวะไหมคะ” พี่นนท์ที่เดินนำหน้าหมุนกายหันมาถาม พอผมพยักหน้างึกงักก็ยิ้มโชว์ฟันขาว “งั้นไปกันค่ะ”

“ขอยืนรอข้างนอกนะคะ” คริสตี้เอื้อนเอ่ย

“อ่าว เข้าไปด้วยกันสิ” ผมชักชวน

“ไม่เอา ขี้เกียจ เหม็นกลิ่นหนังสือด้วย” คริสตี้ว่า ผมจึงนึกตามว่าก็จริงอยู่ เพราะร้านหนังสือการ์ตูนจะมีกลิ่นเฉพาะเจาะจง เผลอๆ อาจมีกลิ่นฝุ่นอีก แม้ตัวผมเองก็เป็นโรคภูมิแพ้ ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหักห้ามใจที่จะเข้าไปได้

การ์ตูนวายมันรออยู่ยังไงล่ะ อ๊ากกก !!

“เคๆ” เมื่อเห็นเพื่อนไม่อยากจะเข้าผมก็เลยเลิกคะยั้นคะยอ เปลี่ยนจุดมุ่งหมายไปที่ร้านหนังสือการ์ตูน เดินไวกว่าปกติ โดยมีพี่นนท์เดินตามหลัง ไม่สนใจแม้แต่พี่เดือนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพื่อนรักของผม

สงสัยอยากอยู่สองต่อสอง…

ช่างเถอะ ชิ

“การ์ตูนๆ” ผมบ่นกระปอดกระแปด เข้ามาในร้านก็กวาดตามองรอบด้านอย่างสนอกสนใจ เดินเข้าชั้นหนังสือนู่นนี่เพื่อหาการ์ตูนวาย โดยมีร่างทะมึนเดินตามหลังต้อยๆ

“เอ่อ” ผมรู้สึกกระดากอายที่จะหยิบ แม้จะถึงชั้นที่ว่าแล้วก็ตาม

“มีอะไรคะ” พี่นนท์ยิ้ม เลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ

“พี่ไปเดินดูโซนอื่นก็ได้นะ” ผมบอก “ไม่ต้องตามผมขนาดนี้ก็ได้”

“ไม่ได้หรอกค่ะ” พี่นนท์ว่า “กลัวหนูหลง”

แต่ร้านหนังสือการ์ตูนมันไม่ได้กว้างขวางขนาดนั้นไงคะคุณผัวขา !!!

“ผมไม่ใช่เด็กแบเบาะซะหน่อยที่จะหลงง่ายๆ” ผมอธิบายให้อีกคนได้เข้าใจ

“หนูทำตัวตามสบายเถอะค่ะ พี่จะอยู่เฉยๆ ไม่รบกวน”

“...” เมื่อเห็นอีกคนกล่าวเช่นนั้น ซ้ำยังเกาะติดขนาดนี้ ก็ได้แต่จนใจหันมาดูหนังสือการ์ตูนดังกล่าว เลือกหยิบนู่นนี่ตามใจชอบ ดูปกหลังอ่านเนื้อหา ปกไหนเรทสะดุดตาก็หยิบเข้าสู่อ้อมกอดในทันทีทันใด

ดิฉันชอบเอ็นซีค่ะคุณกิตติ ยิ่งเฉพาะฉากวาบหวิวในรูปภาพ ใจมันเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ

“ปราบพยศเด็กแก่แดด อืม ชื่อดูตรงตัวดีนะคะ”

“วะ เหวอ” ผมเกือบจะล้มหงายหลัง เมื่อจู่ๆ พี่นนท์ก็ชะโงกหน้ามาใกล้แถวบริเวณแก้ม ลมหายใจอุ่นร้อนรดรินข้างเรียวคอ พลันฝ่ามือหนาดันเข้าที่แผ่นหลัง ช่วยพยุงดันขึ้นมาให้ยืนมั่นคง จากนั้นผมก็พาลเอ็ดใส่

“ไหนว่าจะอยู่นิ่งๆ ไม่รบกวนไง” แถมปกเมื่อกี้ก็เรทซะด้วย มีคนมารู้ว่าเราชมชอบเรื่องนี้ บางทีก็อายเป็นนะ โดยเฉพาะกับผู้ชายด้วยกันเอง !

“ก็เห็นปกมันสะดุดตาดี” พี่นนท์คลี่ยิ้ม “ขอโทษนะคะที่ทำให้ตกใจ”

“เฮ้อ” ผมลอบถอนหายใจอย่างปลงตก หันกลับมาเลือกหยิบใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาเรื่องไหนระหว่างซ้ายกับขวา ซ้ายมือเป็นพล็อตได้กับบุรุษไปรษณีย์ ขวามือเป็นแนวมาเฟียท่าทางเรทอยู่ เงินก็ไม่พออีก เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากที่สุด

“เลือกไม่ถูกเหรอคะ ?” พี่นนท์ที่ยืนมองอยู่นานเอ่ยปากถามไถ่

“อืม” ผมยู่ปากอย่างหงุดหงิด บ่นด้วยเสียงเบาๆ “กลัวเงินไม่พอ”

คนข้างกายได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยเสียงทุ้มขึ้นมาว่า “งั้นหนูหยิบตามใจชอบเลยค่ะ พี่ออกให้เองไม่ต้องเป็นห่วง”

โชว์ความเป็นผัวมากค่ะ ! ใจป้ำขนาดนี้ !

“จะดีเหรอ ?” ผมบิดตัว ท่าทางเกรงอกเกรงใจเหมือนนายเอกในนิยายวาย สร้างความพอใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

“ดีสิคะ อยากได้ไรก็หยิบเลย” คนตัวโตกล่าว

ได้ยินแบบนั้นผมก็เอ่ยลอยๆ ก่อนจะหยิบหนังสือการ์ตูนมาอีกสี่ห้าเล่ม “เกรงใจจัง”

ตัดฉากมาที่เคาท์เตอร์ชำระเงิน จากทีแรกที่จะเอาแค่สี่ห้าเล่ม

“ยี่สิบห้าเล่ม ทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งร้อยยี่สิบห้าบาทค่ะ”

พี่นนท์ “...” นิ่งขึงไปชั่วอึดใจ

ผม “ตายจริง ตั้งพันแน่ะ ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ ผมเอาออกให้ก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงอีกคนดูแหบแห้งลง

พอได้ยินสุรเสียงเช่นนั้นผมก็ลอบคลี่ยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ

นายเอกนิยายวายชอบเกรงใจผู้อื่นเก่ง

แต่นี่อ๊อกไงคะ ขู่กรรโชกทรัพย์ไปเลยค่ะ “ขอบคุณน๊า” ยื่นมือออกไปรับถุงหนักๆ อย่างปลื้มปริ่มปรีดา ใบหน้าเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด ยืนตัวตรงผายอกอย่างภาคภูมิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2020 11:50:52 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ใจปาบมากที่เสียงเอลซ่าลอยมาตอนร้องไห้ Let it go  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โถ เอลซ่าพากย์นรก555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 490
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts
เขียนเรื่องสนุกมาก ตามจ้าาาาาาาาาาาา

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ 5577

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากเลย รอตอนกลับบ้าน จะได้กลับบ้านใครนะ  o22

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 490
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่เจ็ด
[/size]

 

การเป็นผัวก็ต้องรู้จักเปย์ปะ ไม่งั้นไม่นับว่าเป็นผัว อย่างน้อยไอ้ที่ถืออยู่นี้ก็ถือว่าเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายที่ต้องเสียพรหมจรรย์ไป อุตส่าห์ค้าประเวณีแต่ก็เสือกไม่ได้เงินสักกะแดงเดียว อีอ๊อกขออนุญาตขูดรีดขูดเนื้อตั้งแต่เดินเข้าห้างเลยละกันค่ะ !

ว่าที่ผัวไรใจดีจัง อยากร้องงื้อเหมือนไอ้พวกขี้อ้อน

งื้อพ่องื้อแม่มึงอะอีสัตว์ รำคาญลูกตา

“ให้พี่ช่วยถือไหมคะ ?” เสียงคนข้างกายอาสา ก่อนที่ผมจะเอี้ยวกายหันไปยิ้มแป้นหน้าบาน

“เกรงใจอะ มันหนักมากเลยนะ แต่ก็ขอบคุณ” พูดก่อนจะเอาถุงห้อยยัดใส่ฝ่ามือหยาบกร้านที่ผ่านการกรำมานักต่อนัก สอดเข้าไปที่ปลายนิ้วเรียวยาวและอวบเหมือนกระดอหมาขี้เรื้อน จากนั้นก็ปัดมือไล่ฝุ่นตนเองอย่างสบายเนื้อสบายตัว เหล่มองคนตัวสูงโย่งนิดหน่อย ฉุกคิดว่าอีกฝ่ายคงต้องแปลกใจกับนิสัยที่เดาทิศเดาทางไม่ค่อยถูก

เป็นจริงดังคาด พี่นนท์ดูอึ้งทึ้งสักพัก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจ

โธ่ๆ รู้หรอกน่ะว่าในใจต้องมีใจเต้นตึกตักกันบ้างแหละ อีอ๊อกนิสัยน่ารักขนาดนี้ ขืนเป็นนิยายวาย นายเอกก็คงเป็นนิสัยกมลสันดานชวนน่าหมั่นไส้ฉิบหาย แต่ทว่าดันมีพระเอกสายอบอุ่นดุจพระอาทิตย์ที่สอดส่องดอกไม้ทานตะวัน

แต่พอดีอีอ๊อกมีนิสัยดอกทอง ฉะนั้นขอข้ามดอกไม้ต่างๆ นานา

“อ่าว คริตตี้ไปไหนแล้ว” พอลืมตาหลังจากภาคภูมิใจไปหมาดๆ เดินออกมาก็ดันไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนรักสนิทชิดเชื้อ

“หนูลองโทรตามสิคะ”

ต๊าย พระเอกสายฉลาด

“โอเคครับ” ตอบรับกับคำพูดที่ขัดแย้งในห้วงคำนึง  ก่อนจะหยิบมือถือกดเข้าหารายชื่อและยิงหาปลายสาย และคงไม่ต้องมานั่งบอกนะครับว่าต้องเอามือถือมาแนบกับใบหูเหมือนในนิยายวาย

ฉลาดค่ะ ไม่ได้โง่

“อยู่ไหน” เมื่อได้ยินปลายสายกดรับจนเอ่ยปากถามไถ่

[เดรี่ควีน]

“กินติมอ๋อ” ผมถามกวนประสาท

[มานี่มาอมคว-มั้งอีสัตว์] คริตตี้ด่ากลับ น้ำเสียงเจือปนด้วยความรำคาญใจ [อยู่ชั้นล่าง รีบๆ มา]

“เค” ผมตอบรับ ก่อนจะเป็นฝ่ายกดตัดสายทิ้ง หลังจากนั้นจึงเอี้ยวกายมาหาคนด้านหลัง เดินอืดอาดเพราะคงหนักจากการถือของ

เป็นผู้ชายประสาไรไม่สมบุกสมบันเอาเสียเลย

“พี่เอาอีกถุงมาให้ผมดีกว่า เห็นแล้วสงสาร” เจือปนเวทนา คำคำนี้ขอคิดในใจ

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ไหว” อีกคนตอบปัด

โธ่พ่อพระเอกจิตอาสา ซ้ำยังมีจิตใจเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ฉลาดแสนรู้เหมือนหมายิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะนึกชมเชยอยู่ภายในใจ

เฮ้อ ก็ได้ๆ คะยั้นคะยอก็ไม่ยอมรับ อ๊อกก็คร้านเกินจะปฏิเสธนะคะพ่อคนดี

ดีสิคะ กูจะได้เดินตัวเบา ฮ่าๆ

“ไม่ไหวก็บอกนะ” พูดทิ้งท้าย รีบลงจากบันไดลิฟต์ ปล่อยให้กลจักรภายในเคลื่อนไหวลงมาถึงพื้นทางเดินชั้นลอยฟ้า มิวายเหลียวมองอีกคนอย่างเป็นห่วงเป็นใย

เอาน่ะ กล้ามแขนก็ใหญ่อยู่ ตอนเยกันมาก็เผลอลูบคลำสำรวจดูมาละ ห่วงตัวเองดีกว่าตัวกระจิ๊ดริดเหมือนหญิงสาวร่างแน่งน้อยอรชร ครั้นย่างกรายมาถึงชั้นที่มีร้านเดรี่ควีน ผมก็เห็นคริตตี้ยืนกอดอกอยู่ ขณะมีพี่เดือนยื่นแบงค์ร้อยจ่ายตั๋วให้มันแทน ก่อนที่มือของเพื่อนรักจะรับถ้วยมาถืออย่างรู้งาน

อีนี่ก็สายฉลาดค่ะ มีหรืออีอ๊อกดอกทองจะดูไม่ออก

“คริตตี้” เรียกเสียงยานเหมือนไม่ได้พบเจอกันมาเป็นชาติ แต่แท้จริงหมายมาดให้เพื่อนจ้องไปที่ผัวที่เดินตามท้ายหลัง ต้องมายืนทนลำบากถือของให้เมียคนนี้ ถือเสียว่าเป็นการข่มขวัญเพื่อนรัก บ่งบอกว่าร่างแบบนี้ และเบ้าหน้าแบบนี้มีผู้ชายมาเปย์โดยไม่ต้องเสียหลีเสียแตดอะไรเลย

“หายไปตั้งยี่สิบนาที มึงล่อการ์ตูนมาเป็นสิบๆ” คริตตี้เอ่ยวาจาประชดประชัน แต่มีหรือที่คนหน้าด้านจะเอียงอาย แกล้งทำเป็นบิดเคอะเขินเล็กน้อย พลันเกี่ยวแขนมิตรสหาย ยื่นหน้าลอบกระซิบ

“ก็เงินกูมีไม่พอนี่นา” ผมอธิบาย

“มึงหลอกเขาให้ซื้อให้ก็พูดออกมาตรงๆ”

“ก็อืม” ผมพยักหน้ารับพร้อมคลี่ยิ้ม “แล้วมึงล่ะ ทำไมจู่ๆ มากินไอติม”

“ถามโง่ๆ กูก็แค่อยากแดกมะ ?” คริตตี้นิ่วหน้าเบื่อหน่าย

ผมลากเสียงอ๋อยาวเหยียดระหว่างก้าวขา โดยไม่สนใจชายหนุ่มสองคนที่เป็นฝ่ายไล่ตามต้อยๆ ท้ายขบวนแทน

“ไปไหนต่อดี” ผมถาม ตลบคิดแผนการ

“กลับบ้าน” คริตตี้กลับไม่ให้ความร่วมมือ

“ไม่ได้ พี่นนท์อุตส่าห์ชวนกูมาเที่ยวทั้งที” ผมตีแขนเพื่อนรักเบาๆ พร้อมชักสีหน้าหงุดหงิดใส่มัน “เพื่อความปัง เราไปดูหนังกันดีกว่า”

“เลี้ยงกูไหมล่ะ ?” คริตตี้ท้วง

“กูไม่มีเงินอะ เหลือแต่หมอย” ผมแจงพร้อมแค่นหัวเราะฝืดๆ นึกอะไรออกจึงหมุนกายไปมองคนข้างหลัง

“พี่นนท์ไปดูหนังกันมะ ?” ผมชักชวนด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

และแน่นอนว่าอีกคนไม่มีวันปฏิเสธ

“ได้สิคะ”

เห็นมะ ? ความผัวนี้ พลันส่งสายตาสื่อความนัยให้เพื่อนรักเป็นอันรู้กัน ถึงแม้สายตาคริตตี้จะมีความตำหนิผมอยู่ก็ตามที

เพื่อนกันมักดูออก...

คริตตี้ส่ายหน้ากับการกระทำของผม มันบ่นกระปอดกระแปดคล้ายจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทำ แต่เท้านั้นเตรียมขึ้นลิฟต์บันไดไปยังชั้นโรงหนัง “ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแต่หลีและหมอย คงต้องฝากความหวังที่คว-เอาละกันเนอะ” มันเอ่ยออกมาอย่างตลกร้าย ก่อนจะชำเลืองมองผมผ่านหางตา จากนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มบานพาดผ่านบนใบหน้าประทินโฉม

แปะ ! แตะมือกันเป็นอันรู้เจตนา

สิทธิ์นี้ อย่าให้คว-มามีอำนาจและบทบาทมากกว่าหลี หลีเรามีคุณค่า ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนที่รับขนาดแต่ละชนชาติได้

อำนาจมืดไม่มีอะไรยิ่งใหญ่มากกว่าหลีที่กลืนกินคว-

เป็นผู้หญิงและกะเทยต้องรู้จักฉลาดสิ…หัดใช้สมองด้วยครับ อย่าโง่

 

ณ โรงหนังแน่นอนว่าย่อมมีคน และมีคนแน่นอนว่าย่อมมีคนดูที่เดินพลุกพล่านซื้อตั๋วหนังอย่างครึกครื้น ผมที่ชี้นิ้วสั่งป๊อปคอร์นรสหวานกับรสเค็มก็ลอบคลี่ยิ้มกว้างอย่างดีใจเพราะมีคนออกตังค์ให้ ปล่อยให้พ่อพระเอกไทป์เสี่ยเลี้ยงต้อยมาลูบหัวอย่างเอ็นดู

คิกๆ เชิญเอ็นดูตามใจชอบเลยค่ะ วันนี้อีอ๊อกจะผลาญเงินให้สมใจอยาก

พอดีเป็นคนแผนสูงและเห็นแก่ตัวมากด้วยค่ะ ต้องสำรวจก่อนว่าผู้ชายที่มาตามจีบเรานี้มีอิทธิพลและยอมรับตัวตนเรามากพอไหม

หากมีเงินอีอ๊อกก็คงจะเอาเงินมาช่วยหารอยู่หรอก แต่ไหนๆ ก็เหลือแต่หมอยซ้ำยังถูกเป็นฝ่ายชักชวนมาเอง ก็ขอโอกาสเห็นใจและลอบสังเกตติ๊กความเป็นผัวอีกฝ่ายเลยละกัน

ข้อที่หนึ่งรูปหล่อหน้าตาดี สูงยาวเข่าดี ติ๊กผ่านค่ะ

ข้อที่สองเสี่ยสายเปย์มีเงินเลี้ยงดูเด็ก ช่วยออกเงินซื้อของให้ ติ๊กผ่านค่ะ

ข้อที่สาม ใหญ่ แข็งขืน ดุดัน เร่าร้อน เย็-มันและรุนแรงเสียดแทงลำไส้ใหญ่ ข้อนี้ยิ่งผ่านเลยค่ะ ! ยังจุกเสียดแทงที่รูทวารไม่หาย อูยยยยย เดี๋ยวมีอารมณ์ พ่อคนดียิ่งขี้เงี่ยนเก่งไม่ต่างจากอีนักเขียนขี้อ่อยด้วย

ปริศนาฟ้าแลบ วันนี้แกงเขียวหวานของแม่จะได้แช่ตู้เย็นไหม ต้องมาลุ้นกันค่ะ !!

“G1-2-3-4” ผมกับคริตตี้ก้มหน้าดูตั๋วที่นั่ง ก่อนจะเลี้ยวไปตามทิศทางป้ายตัวอักษร มือข้างหนึ่งของผมมีน้ำแป๊ปซี่แก้วหนึ่ง ส่วนอีกแก้วมีพี่เดือนถือเอาไว้ รวมไปถึงถุงป๊อปคอร์นเลิศรส ในระหว่างนั้นที่ก้าวขามาถึงจุดมุ่งหมายปลายทาง พี่นนท์ก็ถือวิสาสะแทรกตัวเข้าไปนั่งก่อน โดยมีผมนั่งลงที่เบาะใกล้ๆ ตามมาด้วยคริตตี้และพี่เดือนนั่งถัดไป

แหม ดูออกนะครับคุณผัว มาอีหรอบนี้อยากนั่งใกล้เมียก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ การกระทำบ่งชี้แน่ชัดว่าถึงจุดจบ

จบที่เตียงนอนค่ะอีสัตว์ คืนนี้กูไม่ได้ส่งตัวกลับถึงตำหนักแหงๆ

ฮ่องเต้ทรงเสด็จเพคะ ดิฉันจะเป็นฮ่องเฮาเฉกเช่นนางบำเรอผ่านพ้นคืนวัน

คันยิกๆ แล้วค่ะ ไม่ใช่หลีนะคะ มือนี่แหละค่ะ หนาวอีเหี้ย !! เปิดแอร์แม่งกี่องศาวะเนี่ย !

ด่าตะขิดตะขวงใจก็ลูบแขนไปพลาง ทำตัวสั่นกึกๆ จนซี่ฟันกระทบ สักพักเพื่อคลายหนาว ทว่าดันมีคนสังเกตเห็นเลยเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “หนาวเหรอคะ ?”

มองไม่ออกเหรอคะผัวขา ?

“อืม นิดหน่อย” ผมตอบอิดออด ก่อนจะพิงตัวลงไปนั่งกับเบาะนุ่มๆ

พี่นนท์มีท่าทางลังเลใจ ขยับริมฝีปากบอกเจตนาในแง่ดี “เสื้อแจ็กเก็ตพี่อยู่บนรถ เอาไหมคะ ? เดี๋ยวพี่รีบไปเอามาให้”

“โอ๊ย ไม่ต้องๆ ลำบากพี่เปล่าๆ ผมทนได้ แค่หนาวนิดเดียวเอง เดี๋ยวสักพักก็ชินละ” ผมพูดรัวเร็ว ปัดไม้ปัดมือเป็นพัลวันเพื่อปฏิเสธ ไม่รู้จะได้ผัวแสนดีไปไหน

มาจีบแบบนี้ ขืนคบกันไปก็ขอให้เป็นแบบนี้จนตลอดรอดฝั่งเถอะ กราบล่ะ อีอ๊อกมีเงินจะเอาไปทำบุญสุนทานเลยคอยดู ถือเสียว่าได้ผัวแห่งชาติในศึกแย่งชิงกับสตรีทั้งหลายแหล่

หล่อเหลา ดุดันขนาดนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีผู้หญิงมาพัวพัน

พันธุ์ชิชุ พันธุ์โกเด้น มีเยอะแน่นอน ได้กัดกันตายไปข้างแน่ๆ อีอ๊อกที่เป็นแมวยั่วสวาทต้องลับเล็บรอ

“เอาน้ำไหม” จู่ๆ เสียงฝั่งทางขวามือก็เล็ดลอดให้ได้ยิน ผมหันหน้าไปมองจึงเห็นพี่เดือนถือแก้วยื่นให้คริตตี้

ท่าทางน่ารักมากค่ะ แต่ท่าทางของเพื่อนรักก็กวนส้นตีนมากด้วย

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยกิน” คริตตี้ตอบปัดแล้งน้ำใจ

ดีมากเพื่อน ! กูละอย่างชอบอีพวกเล่นตัว ทำตัวให้มีคุณค่าและค่อยมานกทีหลัง แต่พอดีเพื่อนคนนี้สวยและรวยมาก นี่เลยอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับกับห้วงคำนึง ดูทีท่าการตอบปัดแล้งน้ำใจนี้ จะไปสิ้นสุดที่น้ำใจและน้ำเงี่ยนบนเตียงนอนในสักวันหนึ่ง

พล็อตลอยมาเลยอะ ‘เสน่หากามารมณ์น้ำใจไมตรี สินสอดน้ำว่าวเดือน...’ ไม่ใช่เดือนคณะนะ เดือนข้างแรมค่ะอีสัตว์ นอนไปเลยค่ะ นอนให้เต็มที่ กับพล็อตติดเรทสิบแปดบวก BDSM

B = bondage พันธนาการ

D = discipline การลงโทษ

S = sadism การมีความสุขจากการทำร้ายผู้อื่น

M = masochism การมีความสุขจากการถูกผู้อื่นทำทารุณกรรม

พล็อตมีอยู่ว่าตัวละครคริตตี้เป็นกะหรี่ดาวเด่น เป็นนักเต้นรูดเสาที่ต้องตาชายฉกรรจ์อย่างเสี่ยเดือนที่หมายปอง จากนั้นทั้งสองก็ได้ปะดับปับปี้ปี้ดาใส่กัน

‘อาห์ เอาฉันแรงๆ เลยค่ะ’

‘ร่านนักนะ’ เผียะ เสียงแซ่หวดที่ก้นนวล

‘จะ เจ็บ อะ เอาอีก อยากได้ของคุณแล้ว’ เสียงของอีเพื่อนร่านร่ำร้องวิงวอนปรารถนา ไฉนชายฉกรรจ์จะทัดทานกิเลสหนาได้ รูดสิ่งแข็งขืนและใช้ปลายหัวอมชมพูตบลงที่สะโพกนิ่ม เกลี่ยส่วนหัวลงกับรูสวาทเบาๆ ให้ร่างน่องน้อยต้องกรีดร้องครวญครางเสียวกระสัน ฝ่ามือหนาพลิกกายร่างอรชรบนที่นอน กระหน่ำแทงใส่รูร่านรักดุจโลกีย์พ่อแม่มึงเถิด จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือหยาบกร้านที่มีพื้นผิวเหมือนกระดาษทรายลูบไล้ผิวเนื้อบอบบาง ทำให้ผิวเนื้อนั้นหลุดลุ่ยจากการขูดรีดเสียดสี หนังเนื้อพลันอักเสพจนเห็นเส้นเลือดและรอยปื้นแดงๆ ติดไม้ติดมือ อีคริตตี้ร่ำไห้ปานใจจะขาด ร่ำร้องแหกปากโวยวายพ่อแม่มึงตายอีผัวเฮงซวย แต่พล็อตมันไม่จบแค่นี้ไงคะท่านผู้ชมทั้งหลาย ยามฝ่ามือของชายหนุ่มล็อกเข้าที่ลำคอระหง เย็-ไปบีบคอไป จบท้ายด้วยการอีคริตตี้หมดลมหายใจจนคอหักตาย ถูกฝังอยู่ในวิหารกาลกินีเป็นที่สิ้นสุด

BDSM สมใจอยากไหมล่ะ อีดอกทองพล็อตมันเลิศว่ะ !

ตลบคิดสร้างตัวละครอยู่ภายในหัวในระหว่างมีโฆษณามาคั่น พลันหยิบป๊อปคอร์นอีกถ้วยยัดใส่ปากที่ตนเองวางไว้บนตัก ดันสะดุดเข้ากับมือของใครบางคนทางซ้ายมือ หากเป็นนิยายคงบรรยายว่าสิ่งนี้เหมือนกระแสไฟฟ้าช็อต ดึงดูดให้คนทั้งสองต้องหันเหมาสบตา

แต่ไม่ค่ะ ไฟช็อตจริงกูตายพอดี มันก็แค่สัมผัสผิวเผินที่ทำให้ตนเองร้องเอ๊ะ ? อยู่ภายในใจ

เหมือนหนังเลยค่ะจังหวะนี้

เอาไงดีคะแม่ๆ

ฮึบ ปลุกกำลังใจร่านในกายา ค่อยๆ หมุนหน้าช้าๆ เหมือนพล็อตที่นายเอกน่ารักต้องสบประสานสายตากับนัยน์ตาสีนิลของพระเอกหล่อเหลา

หากทว่า…

“ง่ำ กึก !” เสียงขบเคี้ยวพลางจ้องไปยังหน้าจอขนาดใหญ่ ไม่ได้สนใจกับฝ่ามือที่สัมผัสเมื่อครู่นี้แต่อย่างใด

ผม “...” เงียบปากสนิท ก้มดูถ้วยป๊อปคอร์นและอาศัยจังหวะแกล้งทำเป็นไปโดนมือของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งใจอีกสักครั้ง ครั้งนี้สัมผัสแนบแน่นมากค่ะคุณกิตติคะ อีดอกทองมารยาสาไถยจึงค่อยยิ้มหน้าบานหันไปเงยหน้ามองใบหน้าคมคาย

“ง่ำๆ” ก็ยังแดกอยู่ร่ำไปพร้อมอมยิ้มเหมือนเอร็ดอร่อย

โอ้โหอีเหี้ยพอกันที ในใจนี่แอบชูนิ้วกลางให้ผัวไปหนึ่งแมนต์

คว-เถอะครับ ดับฝันกูซะงั้น ทำไมมันไม่เป็นดังที่คาดคะเน !!

“หึๆ” เสียงหัวเราะในลำคอดังเบาๆ ให้ได้ยิน แม้เสียงลำโพงในโรงจะดังเซ็งแซ่ขนาดไหนก็ตามที ไหล่หนาที่สั่นสะท้านอย่างขบขัน ทำเอาผมยิ้มแป้น สงสัยเขาคงขำนึกเอ็นดูเรา

อาจจะเป็นพระเอกไทป์ที่แกล้งซื่อทำเป็นโง่ไม่รู้ไม่ชี้ แต่ที่ไหนได้รู้ถึงเจตนาของนายเอกทั้งนั้น

ทุกอย่างเป็นไปได้แค่เรามโนเข้าไว้ !

ผมยิ้มหวาน กำลังจะขยับปากหยอกล้อว่าที่ผัว แต่กลายเป็นว่าต้องหยุดชะงักเมื่ออีกคนหันหน้ามาหา จ้องตาผมพร้อมรอยยิ้มละมุนและกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอ ชี้นิ้วไปที่หน้าจอมอนิเตอร์

“ตัวอย่างหนังเมื่อกี้ตลกดีเนอะ น่าดูจังเลยค่ะ”

“...” ผมได้แต่ยิ้มเยื้อน

ค่ะ อีสัตว์

หันหน้าหนีแดกป๊อปคอร์นต่อด้วยความหงุดหงิด กำแม่งเต็มฝ่ามือแล้วยัดใส่ปากให้สำลักตายไปเลย เผื่ออีคนข้างๆ จะได้สนใจสักทีหนึ่ง

“แค่กๆ” สำลักออกมาจนได้ รีบหยิบน้ำแป๊ปซี่ที่วางอยู่ข้างหว่างแขนยกขึ้นจากช่องมากระดกดื่มให้ชื่นใจ “อาห์” ดีขึ้นเยอะ

ก่อนจะสะดุดกึกเมื่อมีริมฝีปากอุ่นร้อนรดรินลมหายใจอยู่ข้างปรางขาว อีกทั้งยังเอียงกายเข้ามาหา กระซิบกระซาบบางคำด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

“เสียงหนูเมื่อกี้ ทำพี่ตื่นเลยนะคะ”

“...”

พึ่บ ! แรงขยับเขยื้อนเข้าไปนั่งประจำที่ดังเดิม ส่วนอีอ๊อกเหรอแม่ ?

ในหัวนี่อ้าขาชี้ฟ้าเป็นรูปตัววีแล้วค่ะ !!

‘มาแตกตื่นที่นี่ได้เลยค๊าาาาา’ พร้อมผายมือทั้งสองข้างไปที่ระหว่างรูอย่างเชื้อเชิญ

วอนฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรที่นาผืนน้อยด้วยเพคะ หลีนางบำเรอคนนี้ต้องลุกเป็นไฟ !

แม่หนูเสี้ยนเลยอะ ฮือออออ ไม้เรียวในมือของแม่ต้องสั่นระริก

ได้แต่กัดปากอย่างขวยเขิน อีกประเดี๋ยววันนี้ก็ได้อมคว-แหงๆ แหมๆ ใจมันเต้นกระเส่ายิ่งนัก อาการคันคะเยอมันกำเริบ เหมือนที่อาจารย์เคยด่าสมัยมัธยมว่าระริกระรี้นักนะ ขืนเป็นผู้หญิงคงมีผัวเต็มสนามฟุตบอล

เรานี่โกรธมากที่ครูล่วงรู้ถึงสิ่งที่เราวิงวอนปรารถนา อยากจะโดนหลายๆ ดอก แหกแข้งแหกขาให้เข้ามาทีละคน เริ่มจากไม้เล็กวิ่งผลัดส่งต่อไปไม้ใหญ่ แต่ฝันกลับต้องมาดับสลาย รูต้องบานตะไทเพียงเพราะคว-เดียวของคนข้างกาย

น้ำตาจะไหล เกิดอยากร้องเพลงแพ้ใจของใหม่ เจริญปุระทันทีทันใด

‘เก็บความร่านในลิ้นชัก คงไม่เจอแล้วรักแร้ เบื่อกับความปรวนแปร มันไม่แคร์และไม่หวัง มันเหมือนคนชินชา ไม่มองไม่ฟัง และแล้วก็มีคว-ยัดเข้ามา เข้ามาค้นในรูฮิ ที่ปิดตายเพราะรกร้าง ให้อภัยคว-เบาๆ มาแบ่งเบาที่ฉันล้า มาสนใจใยดี คนที่ไม่มีค่า ให้รู้ว่าความร่านยังสำคัญ’

ฮือ น้ำตาจะไหลอยากร้องต่อ

‘เก่งมาจากไหน ก็แพ้หัวคว-อย่างเธอ เมื่อไหร่ที่เผลอ ยังนึกว่าคว-อยู่ในฝัน ยังมีอีกหรือ โดนเย็-ที่เคยเสาะหามานาน วันนี้เป็นไงเป็นกันจะเย็-เธอ’ จบด้วยการพลิกโพลเลยอีสัตว์ ตะลุมบอนจับเย็-กันเสียเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2019 21:38:17 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ในที่สุดก็ผ่านไปยี่สิบนาทีกว่าๆ กว่าจะฉายหนัง ผมที่นั่งขยุกขยิกไปสักพักก็นั่งนิ่งเงียบ ตั้งอกตั้งใจดูกับหนังฆาตกรรมสยองขวัญ พอมีฉากลุ้นระทึกกับสัมผัสได้ถึงสองฝั่งที่สะดุ้งโหยง เว้นแค่ผมที่สะดุ้งเบาๆ แต่รับรู้ถึงการตกใจเหลือเกินของคนข้างๆ โดยมีอีคริตตี้กรีดร้องลั่นโรงไม่ต่างจากคนอื่นๆ รวมไปถึง…

“เออะ !!” เสียงพี่นนท์เช่นเดียวกัน มือนี่ทำท่าราวกับกันตัวเองจากภูติผีปีศาจ ผมพยายามไม่ลอบมองอีกฝ่าย แต่ก็ยากเกินจะทัดทาน ทนไม่ไหวจนต้องเหลือบมองคนที่เอามือปิดตา ดูลอดผ่านง้ามนิ้วมือเรียวยาว เหมือนลดวงแคบของหน้าจอขนาดใหญ่

น่ารักชะมัดเลยอะพ่อทูนหัว ฮือ ไม่คิดว่าผู้ชายอบอุ่นสุขุมจะกลัวหนังสยองขวัญเป็นด้วย เห็นแล้วทำผมอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมากระแอ่มกระไอกลั้นเขิน เท้าแขนและเท้าคางบนที่พนักฝั่งขวามือ ไม่ทันไรอีเพื่อนรักก็รวบแขนมาจับทั้งจิกทั้งข่วนอย่างขลาดกลัว

ก็ใครมันเป็นคนสั่งให้ผมเลือกหนังล่ะ คนยิ่งชอบๆ หนังฆาตกรรมอยู่ด้วย

“อีคริตตี้ กูเจ็บ” ผมกระซิบข้างหูมัน

“ก็กูกลัวอะอีเหี้ย” มันบ่นเสียงหงุมหงิมข้างหูผม

“ไปจับแขนพี่เดือนนู่น” ผมโบ้ยภาระ อีกทั้งยังมีเจตนาให้มันสนิทชิดเชื้อกับพี่เดือน

“ไม่เอาด้วยหรอก” มันทำหน้ายู่ไม่ชอบใจ

เห็นดังนั้นผมเลยเลิกซักไซ้ “งั้นจับแขนอย่างเดียว อย่าเอาเล็บจิกสักที กูเจ็บ”

“เออๆ” มันพยักหน้าขอไปที เอียงตัวเหลือบมองหนังเป็นระยะ หากมีผ้าคลุมโปงก็คงไม่ดูหนังเป็นที่แน่ๆ

มีแต่พวกจิตใจอ่อนแอ

ตึง !!

“เฮือก ! / ว้าย !” เอากันเข้าไป ได้ยินแม้แต่เสียงลอบกลืนน้ำลายของคนข้างกาย รวมไปถึงพี่เดือนที่หลับตาปี๋ไม่ยอมดูหนัง แกล้งฟุบทำเป็นหลับ

เฮ้อ เสียดายค่าตั๋วหนังชะมัดเลย

ครั้นพอมาออกจากโรง ผมก็ได้โหวตคะแนนให้หนังไปสิบเต็มสิบ รู้สึกสนุกกับฉากที่นางเอกต่อสู้กับฆาตกรอย่างห้าวหาญ หนังทำออกมาได้ดีมาก ไม่ว่าจะฉากหรือเสียงดนตรีลุ้นระทึก ภาพในหัวยังตราตรึงจนอดไม่ได้ที่จะดึงเรื่องราวเหล่านั้นมาพูดคุย

“สนุกเนอะ ยิ่งฉากนางเอกแทงเท้าฆาตกรโคตรเท่เลยอะ แกล้งทำเป็นกลัวก่อนจะ แบง ยิงเข้าหน้า” ผมหัวเราะชอบใจ แต่ทั้งสามคนกลับไม่หือไม่อือดันพยักหน้าขอไปที เห็นแล้วทำผมหงุดหงิดยกมือขึ้นมาเท้าสะเอว “ทีหลังกลัวหนังแนวนี้ก็บอกมาตรงๆ จะได้เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เสียดายค่าตั๋ว พวกพี่ไม่ตั้งใจดูเอาซะเลย” ผมบ่น พูดจากระแทกกระทั้น

“พี่ก็ตั้งใจดูนะคะ ชอบฉากนางเอกกระโดดลงจากหน้าต่าง เท่ดี” พี่นนท์แสดงความคิดเห็น

ผมตาวาวด้วยความดีใจ เปลี่ยนอารมณ์ในฉับพลัน “เนอะ โคตรเท่” ถึงแม้ผัวจะกริ่งเกรงดูไปสะดุ้งไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่เท่ากับยัยเพื่อนหน้าโง่ที่หลับหูหลับตาจนแทบจะจบครึ่งค่อนเรื่อง มาลุ้นก็ตอนนางเอกสู้กลับต่อกรกับฆาตกร

“นี่ก็ดึกแล้ว กลับบ้านกันเถอะค่ะ” พี่นนท์พูดจาอ่อนหวานมอบรอยยิ้มที่เห็นแล้วจนตาพร่า

อ๊าย อีดอกตาจะบอด

อยากกระโดดเข้าไปจูบเลยค่ะ คนไรหล่อวัวตายควายล่มฉิบหาย

พานพยักหน้ารับ ก่อนที่พวกเราจะเดินไปที่ลิฟต์เพราะชั้นบันไดลิฟต์ถูกปิดกั้นเนื่องจากหมดเวลาเข้าห้างในการเที่ยวชม

พอมาถึงผมก็เดินมาที่รถยนตร์ของอีกฝ่าย ครั้งนี้โดนคริตตี้สะกิดแขนยิกๆ ให้มานั่งเป็นเพื่อน ผมเลยได้นั่งเบาะหลังกับเพื่อนรัก ในใจก็แอบนึกเสียดายที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับผัวอีกสักหน่อย ไหนๆ ก็ขอเก็บฝันหวานนี้ไปยาวๆ แม้จะไม่ได้โดนขอเป็นแฟน

เฮ้อ นึกแล้วก็น่าเสียดายนัก

พอมาถึงที่หมายพี่นนท์ก็จอดรถ อาสาเดินมาส่งพวกเราถึงบ้านเพราะนี่มันก็มืดค่ำแล้ว อีเมียคนนี้ก็เคอะเขินเหลือเกินคณา สงสัยผัวคงกลัวว่าเราจะโดนผู้ชายฉุดกระชากไปปู้ยี่ปู้ยำ

“มาส่งถึงที่กลัวพวกผมโดนคนฉุดหรือไง” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแกล้งถาม

“เปล่าค่ะ พี่กลัวหนูไปฉุดผู้ชายมากกว่า”

“...” ค่ะ อีผัวเหี้ย

“ล้อเล่นค่ะ” พี่นนท์หัวเราะชอบใจที่ได้มายั่วเย้าปั่นประสาท เดินขนาบข้างกายผม ส่วนผมก็เดินตามหลังคริตตี้ที่เดินนำหน้าอย่างไม่กริ่งเกรง ทั้งที่ซอยก็ค่อนข้างเปลี่ยวเหงา แต่ทว่ากลับไม่หวาดหวั่นว่าจะมีคนมาทำร้ายเลยสักนิด สุดท้ายพี่เดือนจึงต้องจำใจวิ่งตามท้ายหลัง กลายเป็นพวกผมที่อยู่ท้ายขบวนแทน

“วันนี้สนุกไหมคะ ?” เสียงคนข้างๆ ทำให้ผมต้องเงยหน้าเหลือบมอง

“ก็สนุกนะ หนังก็สนุกดี” ผมบอก ตาก็มองถุงการ์ตูนที่เจ้าตัวถือให้ “ขอบคุณพี่มากนะที่ช่วยถือ ลำบากแย่”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ พี่ยินดีมากๆ ไว้หนูเป็นแฟนพี่ พี่ก็จะช่วยถือให้แบบนี้แหละค่ะ”

โอ้มายก๊อด นี่ถือว่าเป็นคำขอเป็นแฟนใช่ไหมแม่ ! อีอ๊อกรีบหันหน้าหนีอย่างเอียงอาย ลอบเม้มปากแน่น ใช้ซี่ฟันกัดริมฝีปากล่าง

ตึกตักตึกตัก เสียงหัวใจมันเต้นสั่นระรัวอยู่ภายในอก เอามือทาบดูจึงรู้สึกถึงจังหวะการเต้น

“หนูคะ”

“หะ หืม” น้ำเสียงผมตะกุกตะกัก ท่าทางไม่เป็นตัวเองเหลียวมองคนใกล้ชิด แถมมือยังถือวิสาสะมาขอจับมือโดยไม่ขออนุญาตอีก

อีผัวไร้มารยาท !

“จริงๆ พี่อยากขอเป็นแฟน แต่ถ้าหนูลำบากใจเราค่อยๆ คุยกันก่อนดีไหมคะ” พี่นนท์โน้มหน้ามากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

โอ๊ยมารยาทดีงาม

ใจผมยิ่งเต้นกระหน่ำราวกับมีกลองมาตีระรัว อยากส่งเสียงแหกปากร้องกรี๊ดลั่นซอยให้ชาวบ้านชาวช่องมาร้องด่าว่าให้หุบปาก พล็อตในหัวผุดเต็มไปหมดจนอยากกลับบ้านไปแต่งเป็นเนื้อหา

นี่เป็นคำขอเป็นแฟนที่ตรงไปตรงมามากที่สุดที่เคยได้ยิน

“ดะ ได้” ผมพยักหน้ารับ “ค่อยๆ คุยกันก็ได้” เป็นผัวเลยก็ได้ จะเย็-กันที่บ้านเลยก็ยังได้ พร้อมมาก คันมาก อยากได้เป็นผัว อยากได้อยากโดน ได้เก็บคำพูดนี้เอาไว้ในใจ

ไม่เสียแรงเปล่าที่แอบเอากระเป๋าตังค์ทิ้งไว้บนรถยนตร์ กะจะใช้เป็นโอกาสให้ได้พบกันอีก ไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนที่ตักเตือนเลยสักนิด

แต่คริตตี้ พี่นนท์สุภาพชนเช่นนี้ แถมยังดูเขินเรามากด้วยตอนเราแกล้งเขา ทั้งดูหลงและหัวเราะเวลาอยู่ใกล้กัน คนแบบนี้จะหาที่ไหนได้อีกนอกจากคำว่าผัว ผัวคำเดียว

“พี่ไม่ได้มาจีบเพื่อหลอกฟันอ๊อกอย่างเดียวใช่ไหม” ผมพูดดักทางเอาไว้ก่อน กลัวเหมือนในนิยายที่จะต้องมาเจอเรื่องดราม่าน่าปวดหัวชวนวุ่นวาย

มันเป็นไปได้ไหมที่ระหว่างเราจะไปกันได้ดีเหมือนพล็อตขายฝัน

“ไม่ใช่นะคะ” พี่นนท์รีบหันมาปฏิเสธ หน้าตานี่ดูอึ้งกับคำพูดคำจาของผมสิ้นดี พลันขมวดคิ้วมุ่นคล้ายมั่นใจในบางสิ่ง “พี่แอบชอบหนูมานานแล้ว”

โอ๊ย ดาเมจนี้ อีดอกไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้มาช่วยพยุงกูที

ปากสั่นแล้วค่ะ หลีก็สั่นสู้ด้วย

“ตะ ตั้งแต่เมื่อไหร่” จิกทั้งไม้ทั้งมือแน่นกับกลางอุ้งมือ เหงื่อไหลซึมไปหมด ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้สดับรับฟัง

นี่มันยิ่งกว่านิยายอีกนะเนี่ย หรือกูกำลังฝัน !!

แต่ไม่ว่ะ จิกมือแล้วก็ยังเจ็บอยู่

“ตั้งแต่ปีใหม่ที่หนูแต่งตัวเป็นผู้หญิงไปเที่ยวกับเพื่อนน่ะ วันนั้นพี่เผอิญเห็นหนูกำลังออกจากบ้านพอดี” พี่นนท์อธิบายอย่างกระจ่างแจ้ง ผมเลยหลุดเสียงร้องอ๋อ

ปีนั้นเป็นปีที่เพิ่งผ่านพ้นเมื่อไม่นานมานี้ คริตตี้กับแก๊งพวกผมชวนกันไปเที่ยวปีใหม่แถวข้าวสารที่ผับ อีเพื่อนตัวดีกลับจับผมแต่งหน้าแต่งตาให้เหมาะกับคนในแก๊ง เดินแรดจนแทบจะได้กับผู้ชายเกาหลีในผับ

วันปาร์ตี้ปีนั้นผมได้จูบกับผู้ชายเกาหลีด้วย อีกฝ่ายเอียงหน้ามาจูบก่อนโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ส่วนกะเทยที่ได้ผู้ชายเช่นกันก็ล้วงมือจับคว-กันอย่างเมามัน ผู้ชายก็คลึงนมไปพลาง ส่วนอีอ๊อกที่มีแต่ฟองน้ำก็ได้แต่ให้เขาบีบนวดไปมา จูบได้ไม่นานก็ผละออกด้วยความเอียงอาย ทั้งกลิ่นเหล้าและบุหรี่ที่ตัวเองไม่ชมชอบยังตราตรึงจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ดีไม่ได้เลยเถิดไปถึงขั้นพลีกายให้ชายหนุ่มมาจับเย็- ปานนี้คงไม่ได้เสียพรหมจรรย์ให้ผัวคนนี้เป็นที่แน่แท้ แต่จูบแรกขอไม่นับละกัน รวมไปถึงไม่ขอเล่าเช่นเดียวกัน

กลัวบทบาทจำเลยรักค่ะ

เมื่อเข้าใจอาการตกหลุมรักของผู้ชายตรงหน้า ผมก็พยักหน้าอย่างรู้เท่าทัน

วันนั้นตัวเองค่อนข้างน่ารักอยู่ ไม่แปลกใจที่จะมีคนเหลียวมอง ขนาดคนแถวบ้านยังเอ่ยปากชมเปลาะ พ่อแม่ก็ไม่ได้คัดค้านกับการแต่งตัว เพราะท่านรู้ว่าผมมีเพศสภาพแบบไหน เป็นเกย์ออกสาวที่คึกคะนองมีเพื่อนกะเทยมาจับแต่งเล่นก็เท่านั้นเอง

ถือว่าเป็นโชคดีของผมด้วยที่มีพ่อแม่สนับสนุน ขอเป็นคนดีของสังคมก็เพียงพอ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขหรือสารเสพติด

แต่ลูกขอยุ่งเกี่ยวกับกิเลสตัณหาละกันค่ะ พ่อแม่ทรงโปรดเข้าใจลูกด้วย

เมื่อมาถึงบ้านหลังสีขาวของตัวเองที่มีรั้วเหล็กประตูกั้นทางเข้า พี่นนท์ที่เคยเห็นมาบ่อยครั้งและรู้ว่าบ้านผมอยู่หลังไหนก็ยืนรอให้ผมเข้าบ้าน ทีแรกผมอาสาจะไปส่งเพื่อนก่อน เพราะบ้านคริตตี้มันห่างจากบ้านผมหลายซอยอยู่ อีกทั้งทางแถวนั้นก็วังเวงใช่ย่อย แต่พี่เดือนกลับอาสาไปส่งแทน เพื่อนรักที่ตอบปัดสุดท้ายก็หน่ายใจ เดินนำหน้าโดยมีพี่เดือนเดินตามหลังคุ้มครองภัย

สองคนนี้ขืนได้เป็นผัวรู้เลยว่าใครใหญ่กว่ากัน อีพี่เดือนคงหลงคริตตี้หัวปักหัวปำ ทั้งที่แต่ก่อนเจ้าชู้ฉิบหาย

สงสัยคงติดใจรูเพื่อนคนนี้ ไม่แน่อาจก่อเกิดความรักเข้าให้แล้ว

ว้าย พล็อตแนวเฟมบอยมาว่ะ อยากแต่งให้นายเอกเป็นกะเทยดูสักเรื่องเลย

“ไม่เข้าบ้านเหรอคะ ?” พี่เดือนที่ยืนมองอยู่นาน เห็นผมจ้องเพื่อนไล่หลังจนลับสายตาก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนเสียงหวาน

ผมลังเลใจอยู่สักพักหนึ่งด้วยความสงสัย

“แล้วพี่ล่ะจะกลับยังไง ทางมืดด้วย” ผมนึกเป็นห่วง

“พี่เป็นผู้ชายนะคะ” พี่นนท์กลั้วหัวเราะอย่างขบขัน “ใครเขาจะกล้ามาทำมิดีมิร้าย”

“...” หนูไงคะ…หน้าตาดีแบบนี้เป็นหนูก็ทำมิดีมิร้ายโดยการจับเย็-

ผมกลอกตานึกคิด ก่อนจะขยับริมฝีปากร้องอ้อ ไขกุญแจเข้าบ้าน หลังจากนั้นจึงหันมาหาคนที่ยืนอยู่นอกรั้วบ้าน

“เข้ามาก่อนสิ แม่ผมทำแกงเขียวหวาน พี่ยังไม่ได้ทานไรเลยหนิ” ผมชวนด้วยจิตไมตรีมีเมตตา ไม่ได้คิดเรื่องลามกแต่อย่างใด

เกิดยังไม่ได้เป็นผัวคงจะหาไม้มาฟาดหัวลากเข้าบ้าน แต่ไหนๆ ก็ได้เป็นผัวแล้ว ชวนมากินข้าวในบ้านก็คงไม่เป็นไรหรอก ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝนทำตัวเป็นภรรยาอ่อนช้อย

“จะดีเหรอคะ แม่หนูไม่ว่าเหรอ แบบ…” พี่นนท์พูดจาอุบอิบ ยกฝ่ามือมาลูบท้ายทอยแก้เขิน “แบบพาผู้ชายเข้าบ้าน”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะชอบใจกับสิ่งที่ได้ยินตรงหน้ายิ่งนัก โอ๊ยตายๆ อยากจะวิ่งเข้าไปในบ้านพร้อมกับแก้ผ้าและจับเย็-กันในห้องเลยด้วยความเอ็นดูและอยากดูเอ็น “แม่ไม่ว่าหรอก เข้ามาเถอะ เดี๋ยวท้องร้องนะ” ผมยิ้มพูดจาเสียงอ่อน ผายมือให้ชายหนุ่มที่มีท่าทางลังเลก้าวขาเข้ามาในบ้าน “บ้านผมรกหน่อย ไม่มีโต๊ะกินข้าว นั่งทานตรงพื้น หวังว่าพี่จะโอเค”

“ขอบคุณนะครับ” พี่นนท์โค้งศีรษะรับ ถอดรองเท้าออกมาก็ก้าวขาเข้ามาในบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทำผมยิ้มขำอย่างเอ็นดู ไม่รู้ทำไมมีแต่คำว่าเอ็นดูเต็มไปหมดซ้ำซากจำเจ

ผมให้อีกคนนั่งลงตรงพื้น ก่อนจะเดินไปเปิดพัดลมให้ จากนั้นก็อุ่นแกงเขียวหวานในถ้วยใส่ไมโครเวฟสามนาที ระหว่างนั้นก็หยิบจานชามกับช้อนส้อมยื่นให้คนตรงหน้า ชี้นิ้วไปที่เส้นขนมจีนให้หยิบตามใจนึก กินประทังชีวิตกันความหิวโหย เห็นอีกคนดูเกรงอกเกรงใจก็ลอบยิ้มข้างมุมปาก ปรนนิบัติอย่างดีทั้งหยิบแก้วและน้ำเย็นมาเสิร์ฟ พี่นนท์ก็เอาแต่โค้งหัวรับอย่างขอบพระคุณ

เมื่อเวฟจนครบสามนาทีผมก็หยิบผ้าผืนหนึ่งมากันร้อน นำมาวางตรงพื้นอย่างเบามือ เสร็จสรรพก็มิวายเป่ามือเพราะมันร้อนมาถึงปลายนิ้ว พี่นนท์เห็นแล้วจึงเงยหน้ามามอง

“ร้อนเหรอคะ ?” ถามเก่งมาก แต่ก็ถามเพราะเป็นห่วงทั้งนั้น

“อืม นิดเดียว เป่าก็หายละ” ผมแจง สะบัดข้อมือเบาๆ สักพักก็กลับมาเป็นปกติ พลันนั่งขัดตะหมาดข้างๆ อีกคน หยิบเส้นขนมจีนแล้วก็เอาช้อนกลางตักแกงเขียวหวานราดใส่ถ้วย ต้องมานั่งคอยบอกพี่นนท์ด้วยให้ตักได้เลย ไม่ต้องมากพิธีรีตอง พี่นนท์พยักหน้ารับทำตามอย่างอิดออด เราสองคนนั่งกินเงียบๆ ขณะที่มีเสียงพัดลมเป่าปัดเพื่อคลายร้อน

เป็นความเรียบและสามัญชนที่ทำผมอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก

แอ๊ด ~ เสียงบานประตูดังมาจากชั้นบน ผมที่เงยหน้ามองพร้อมกับพี่นนท์พลันตื่นตระหนก เห็นขาเรียวยาวผิวขาวเนียนผ่องค่อยๆ ย่างกรายลงมาจากขั้นบันได

เป็นแม่ของผมเอง ไม่ใช่ภูติผีแต่อย่างใด

“แม่นี่พี่นนท์เพื่อนพี่เดือน อ๊อกชวนมากินข้าว พอดีพี่เขามาส่ง” ผมรีบอธิบายและผายมือแนะนำให้แม่รู้อย่างเป็นทางการ ฝ่ายพี่นนท์ที่เคี้ยวเส้นอยู่ขยับปากกลืนลงคอ ลอบไอจนผมต้องเอามือไปตบหลัง หยิบแก้วให้อีกคนกระดกดื่ม

เจอแม่เมียหน่อย เขินจนทำตัวไม่ถูกเลยสินะ อืมๆ มีความเป็นไปได้

คนตัวโตรีบพนมมือไหว้ หน้าดำหน้าแดง “สวัสดีครับคุณแม่”

โอ๊ยสุภาพมากแม่ อีอ๊อกอยากได้เขาเป็นผัว ชำเลืองมองหน้าแม่ที่ยกมือขึ้นมาไหว้รับ พูดจาติดตลก “แม่ก็ตกใจหมดคิดว่าอ๊อกพาผู้ชายมาลากขึ้นห้อง ที่แท้ก็เป็นนนท์เพื่อนเจ้าเดือนนี่เอง แม่จำได้ เห็นมาแถวนี้บ่อยๆ” แม่ระบายยิ้มกว้าง แต่อีลูกของแม่นี่นิ่งช้านั่งยิ้มเจื่อน

แม่เห็นหนูเป็นคนแบบนั้นเหรอคะ ฮึก

ใช่ค่ะ แม่พูดถูก

“ขอบคุณที่มาส่งเจ้าอ๊อกนะ” แม่ผมมองมาที่พี่นนท์ มิวายเหลือบมองมาทางผมอย่างมีนัยยะแอบแฝง

ผมส่ายหน้าให้คุณนายอย่างรู้เท่าทัน

แม่คิดว่าลูกพาเขามาลากนอนที่ห้องเพื่อปู้ยี่ปู้ยำใช่ไหมคะ ? แม่คิดผิดแล้วค่ะ ลูกต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกข่มเหง รอยตีตรายังติดตรึงที่ผิวเนื้อบอบช้ำของลูกอยู่เลย

“กินเถิดๆ” แม่ผายมือเมื่อเห็นพี่นนท์ไม่กล้าหยิบช้อนส้อมทานต่อ ไม่กี่วินาทีแม่ก็เดินไปหยิบถ้วยมานั่งกินด้วย พี่นนท์กินไปท่าทางก็เกรงใจไปหมด ดูขลาดๆ กลัวๆ

ก็แหงแหละ ! ทำลูกเขาเสียหายแถมยังไม่มีค่าสินสอด อีอ๊อกไม่เปิดปากบอกแม่ที่ถูกผู้ชายพรรค์นี้ข่มขู่เพื่อลากกลับบ้านมากระแทกกระทั้นสาแก่ใจจนเสียพรหมจรรย์ก็บุญโข แต่อีกใจหนึ่งก็ถูกเสียเปรียบอยู่ดี เกิดพี่นนท์บอกแม่ขึ้นมาว่าไปเจอน้องอ๊อกตอนขายหลี น้องอ๊อกก็ซวยกันพอดี

ฉะนั้นเราทั้งคู่ควรสงบปากสงบคำ เก็บเรื่องความลับนี้อย่างมิดชิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2019 21:39:25 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
“ทำไมจู่ๆ สนิทกับเจ้าอ๊อกได้ล่ะนนท์” เป็นคำถามของคุณนายแม่ที่เล่นเอาผมและคนข้างกายสะดุ้งโหยง

“คือก็รู้จักผ่านเดือนน่ะครับ” พี่นนท์พูดซื่อๆ

ทำดีมากมิสซิสสร ! ยกนิ้วโป้งอย่างภาคภูมิใจอยู่ในห้วงคำนึง

“อ๋อ” เสียงอ๋อแม่ยาวมากค่ะ แถมตายังเหล่มองมาที่ลูกชายคนโตคนนี้อีก

แต่ใครจะไปคิดว่าคุณนายจะพูดจาตรงไปตรงมาในระหว่างที่เราทั้งคู่กำลังแดกข้าว

“ไม่ใช่ว่าแอบชอบได้กันแล้วใช่ไหมจ๊ะ ?”

“แค่กๆ” เสียงผมกับพี่นนท์ไอโครกๆ หน้าแดงปลั่งเป็นลูกตำลึง

ผมรีบหยิบน้ำกระดกขึ้นดื่มให้หายแสบคอ พูดแปร่งหูขึ้นมาว่า “แม่ !”

“ก็แค่อำเล่นน่ะ” แม่พูดพลางใช้ส้อมยัดเส้นขนมจีนใส่ปาก เคี้ยวอาหารในปากเสร็จก็กระดกน้ำดื่มอย่างไม่ทุกข์ร้อน มีเพียงผมที่นั่งอึ้ง ส่วนพี่นนท์นั่งก้มหน้าก้มตาทำตัวไม่ถูก

คุณนายกล่าวเนิบนาบ “ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ จะอายกันทำไม”

“ก็แม่พูดจาไม่เข้าเรื่อง” ผมพูดอ้อมแอ้ม หน้าก็เห่อร้อนไปหมด พอหันมามองคนตัวโตที่ก้มหน้างุดก็เห็นว่าหน้าแดงปลั่ง คุณนายเองก็เห็นด้วยจึงคลี่ยิ้มพูดจ้อ “หรือที่พูดเป็นเรื่องจริงกัน”

“แม่หยุดเลย แกล้งพี่เขาทำไม” ผมพูดพล่ามไม่หยุดปาก “แม่ทำเขาตัวเกร็งไปหมดละ”

มีที่ไหนมาพูดเรื่องพรรค์นี้ แม่ผมเป็นคนที่นึกจะตลกก็ตลกโดยไม่ทันตั้งตัว

ไม่ได้การ ขืนอยู่ต่อโดนล้วงความลับกันหมด

แต่คุณนายดันไวกว่า “แล้วจะนอนนี่เลยไหม ห้องอ๊อกมันว่างนะ ดึกดื่นแล้วมันอันตราย”

“ไม่เป็นไรครับ พอดีผมขับรถจอดไว้ด้วย คงไม่สร้างความลำบาก” พี่นนท์พูดอ้อมค้อมผงกหัวรับ

“โอ๊ย ลำบากอะไรกัน ดีเสียเปล่าอ๊อกจะได้มีเพื่อนนอน” แม่ชักจูง ดูท่าจะสนับสนุนอยากให้ลูกคนนี้มีผัว

ปากนี่อยากร้องไห้ไหว้วิงวอนบอกแม่ว่าพอเถอะครับ อายพี่เขาจนต้องอับอายขายขี้หน้า แต่ในใจนี่อยากวิ่งไปโอบกอดขอบพระคุณคุณแม่ยิ่งนัก อยากตะโกนบอกแม่ว่าทำดีมากค่ะ ! ลูกอยากได้เขาเป็นผัวพอดีเลย

นัยน์ตานี่วูบไหวสับสนไปหมด ได้แต่พูดกระอักกระอ่วนใจ เห็นจานอีกคนกินหมดแล้วจึงชี้แจง “ทานเสร็จแล้ว พี่จะกลับเลยไหม เดี๋ยวรถโดนตำรวจยึดพอดี ขืนจอดไว้นานๆ”

“อืม เดี๋ยวพี่กลับเลยค่..ครับ” พี่นนท์เปลี่ยนคำลงท้าย เห็นว่ามีแม่อยู่ด้วยจึงไม่กล้าใช้คำว่าค่ะ แก้มขาวๆ กับใบหูนิ่มๆ นั่นแดงไปหมด ทำท่าจะหยิบจานไปวางที่ครัว แต่ผมดันปรามไว้ก่อน

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวอ๊อกจัดการเอง พี่เดินทางกลับดีๆ ล่ะ” ผมยันฝ่ามือที่พื้นเปลี่ยนมาลุกขึ้นยืน พี่นนท์เหยียดกายลุกขึ้นตาม จากนั้นผมจึงเดินมาเปิดประตูบ้าน รวมถึงนอกรั้วบ้านให้อีกคนเดินออก

“เอาไว้ค่อยคุยกันนะคะ เจอกันค่ะ” พี่นนท์เมื่อออกมายืนนอกบ้าน ไม่เห็นมีใครจึงกระซิบกระซาบเบาๆ ให้ผมได้ยิน เขาฉีกยิ้มกว้าง ยื่นมือมาขยี้หัวผมอย่างเอ็นดู

ผมโบกมือบ๊ายบายอำลาอีกหน “เดินทางกลับดีๆ นะพี่นนท์”

“เคค่ะ” เขาขยับปากไม่ออกเสียง โบกมือทั้งสองข้างให้ผมก่อนจะเหลียวกายหันหลังเดินจากไป เห็นดังนั้นผมจึงล็อกประตูเดินเข้ามาภายใน จากนั้นก็เห็นแม่ระบายยิ้มอยู่

“เป็นแฟนกันเหรอ ?” แม่ถามออกมาตรงๆ

ผมที่ไม่มีอะไรจะปิดบังเลยตอบปัด “เปล่า แค่คุยกันเฉยๆ”

“แล้วเขารู้ไหมว่าลูกแรด” แม่ถามอย่างสงสัย

ผมยู่ปากเดินมานั่งขนาบข้างกายแม่ หยิบยาสองสามเม็ดยัดใส่ปากทานก่อนนอน

“นี่ลูกแม่นะ” ผมแกล้งทำเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ แม่เห็นแล้วหลุดขำ ยิ้มน้อยๆ ยื่นมือมาลูบหลัง

“พี่นนท์เขาเป็นคนดี แม่เคยได้ยินเรื่องเล่าของเขามาบ้าง ถ้าอ๊อกจะคบกับพี่เขาแม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก ค่อยๆ ดูใจกันไป”

“ผมรู้แล้ว” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าอกเข้าใจ

“อย่าเพิ่งเสียตัวล่ะ ทำตัวให้มีค่า แต่ถ้าจะเอาก็ป้องกันกันด้วยนะ” แม่ตบหลังปุๆ ก่อนจะหยิบจานทั้งหมดไปวางที่อ่างล้างจาน

คำเตือนของแม่นั้น...ไม่ทันแล้วค่ะแม่

ผมอยากจะน้ำตาคลอเบ้า อยากจะบอกกับแม่เหลือเกินว่าลูกคนนี้เสียไปหลายทีท่าให้เขาไม่ยั้งเลยค่ะ ตั้งแต่ท่าแรกจวบจนกระทั่งท่าสุดท้าย ลูกทั้งจุกทั้งถูกรีดน้ำจนหมดเนื้อหมดตัว ได้แต่ขออภัยโทษแม่อยู่ภายในใจ ภาพพี่เขากระแทกกระทั้นชิดกับผนังกำแพงยังตราตรึงไม่หาย

‘อย่าเพิ่งเสียตัวล่ะ’ ฟังแล้วลูกอยากเป็นอีแม่หญิงจันทร์วาดยิ่งนัก

‘ไม่มี ไม่มีเลยเจ้าค่ะ คุณแม่ได้โปรดรับรู้ด้วย’ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

คุณแม่โปรดเข้าใจ…

ความร่านไม่เข้าใครออกใคร

เฉกเช่นลูกคนนี้ที่เป็นนางบำเรอ

 

ก่อนนอนก็เข้ามานั่งไถทวิตเตอร์เล่น เห็นนักเขียนคิดพล็อตมีภาพแปะประกอบเป็นฉากๆ อยากแต่งแนวนายเอกเป็นนางโลม แต่พอเลื่อนมาอีกก็เจอนักเขียนอีกท่านอยากแต่งแนวนี้เช่นกัน ช่างเป็นวันและเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ อะไรจะดลใจตรงกันขนาดนี้ได้ จนเผลอหลุดร้องเอ๊ะอย่างฉงน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของเราจึงได้เลื่อนปัดทิ้งลงมาดูข่าวสารด้านล่างแทน เห็นคลิปตลกก็รีทวิตอย่างขำขัน ไม่นานก็ปิดล็อกหน้าจอมือถือ ก่อนหลับก็ไม่วายเว้นคิดพล็อตใหม่ในหัวเป็นฉากๆ

ถ้าเอาเรื่องราวในชีวิตจริงมาเป็นนิยายก็คงสนุกมากไม่ใช่น้อย แต่ไม่รู้จะใช้ภาษาในด้านพรรณนาแบบไหนดี

เก็บไว้ก่อนดีกว่า...เอาไว้มีแรงบันดาลใจเมื่อไร ค่อยมาวางโครงเรื่องอย่างละเอียดทีเดียว

“แจ๊บๆ” คืนนี้จะฝันไรดี ? ฝันถึงผัวละกัน “คิกๆ” หัวเราะชอบใจ

 

ยามอรุณทอแสง แสงแดดอาบไล้เรือนกายร่างอรชรที่นอนปัดป่ายอยู่บนที่นอน ชายเสื้อถลกขึ้นอวดเนื้อหนังมังสา ผิวพรรณเนียนละเอียดดุจไข่มุกสีขาวในท้องทะเลมหาสมุทร กลิ่นหอมชวนชื่นแม้จะมีเหงื่อไหลผุดซึมไปตามเรือนกาย เปรียบเสมือนดอกไม้นานาพันธุ์ที่ส่งกลิ่นหอมกำจร เสียงครางกระเส่าก็เพราะพริ้งคล้ายหงุดหงิดรำคาญใจกับภูมิอากาศภายในประเทศ วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส บรรยากาศร่มรื่นชวนให้คนบนตั่งเตียงคลี่ยิ้มกว้างดุจฝันหวาน เสียงนกก็ร้องก้องกังวานชวนขับขาน รวมไปถึงเสียงดังเซ็งแซ่จากวิทยุที่เปิดเพลงเต่า เต่ามันมีสี่ขา สี่ตีนเดินมา

“อีสัตว์เต่า !” รีบถลกผ้านวมทิ้งทันที ลบล้างภาษาสละสลวยที่เคยบรรยายภายในหัว

อรุณทอแสงพ่อมึงสิ แดดร้อนอบอ้าวฉิบหายวายวอดขนาดนี้ ร่างอรชรเหี้ยไรกัน กูดีดดิ้นเหงื่อแตกไหลพลั่กเต็มไปหมด กลิ่นดอกไม้ คว-เถอะค่ะ เหม็นเหงื่อฉิบหาย

อีเหี้ย ร้อน ! ใครมันมาปิดแอร์วะ เหงื่อไหลโชกไปทั้งตัว นกก็ร้องบินอรุณเบิกฟ้า นึกอยากจะหยิบปืนลูกซองมายิงแม่งให้ร่วงหล่นบนท้องนภา รวมไปถึงวิทยุที่เปิดเพลงเด็กให้หลานสาวข้างบ้านฟังด้วย ดับฝันสลายกูที่ใกล้จะถึงจุดยอดกับผัวในห้วงจินตนาการ

โว้ยยยย กูจะนอนอีพวกเหี้ย เต่าพ่อเต่าแม่มึงสิอีช้างลากเย็- !

ตึง ! ลุกออกจากที่นอนด้วยความหงุดหงิด หยิบมือถือเข้าเฟซบุ๊กที่มีแม่เป็นเพื่อน ตั้งค่าสาธารณะด่าคนข้างบ้านที่เปิดเพลงอย่างครึกครื้น

คึกพ่อคึกแม่มึงสิควาย คนจะหลับจะนอน วอนตีนกันฉิบหาย ไร้มารยาทสิ้นดี ด่าฉอดๆ โพสต์สมใจอยากก็รีบรุดออกจากเตียง หยิบผ้าขนหนูและเสื้อผ้าลงมาอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์

ก็คลังศัพท์ในหัวกูมันเยอะนักหนิ ! เปลี่ยนเสื้อยืดกางเกงวอร์มเสร็จก็มาขยี้หัวที่เพิ่งสระผมมาหมาดๆ ด้วยความหงุดหงิดรำคาญเต็มไปหมด นั่งเป่าอยู่หน้าพัดลม ตาก็บึ้งตึงฉายสีหน้าไม่พอใจ ไม่สนแม้แต่ไลน์ที่มีผัวทักมาอรุณสวัสดิ์

วันนี้เมนส์มาเพราะอีดอกข้างบ้านคนเดียวเลย ! ไม่มีกะจิตกะใจจะตอบกลับ นั่งสงบสติอารมณ์เสร็จก็โมโหหิว แต่อีป้าข้างบ้านที่เพิ่งเปิดร้านขายกับคำข้าวที่แม่นี่ก็สนิทด้วย พาลให้นี่ต้องสั่งแกร็บแทน เพราะไม่อยากแดกร้านป้าแกด้วยความโมโหโกธา

แม่ที่เข้ามาในบ้านเห็นนี่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ก็เอ่ยปากถามไถ่ “เป็นอะไรอ๊อก”

“รำคาญเพลง เปิดแม่งกันอยู่ได้” ผมบ่นด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด ใครก็ไม่รู้มาปิดแอร์ เพราะคงเกินเวลาเพื่อประหยัดค่าไฟ สงสัยจะเป็นน้องๆ

คุณนายเห็นดังนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ ถอนหายใจไปหยิบเสื้อผ้านำไปซัก

ผมที่เป่าเส้นผมดำขลับจนแห้งกรังสนิทก็ลุกขึ้นยืน กะจะไปหยิบน้ำเย็นมาดื่มให้ชื่นใจ ปรากฎว่าน้ำในตู้เย็นสี่ห้าขวดเหลือน้อยนิดแทบเหลือก้นขวด

โอ้โห กูล่ะไม่อยากจะเชื่อ น้ำเท่าติ่งหลียังเอามาแช่กันอีก นี่คือน้องๆ กูไม่คิดจะช่วยกันทำงานบ้านเลยใช่ปะ ? แค่กรอกมันยากเย็นตรงไหนวะ

หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปหมด เหนื่อยทั้งกายและใจ งานสำนักพิมพ์เรื่องสั้นก็ต้องเร่งปั่น เหลียวมาที่อ่างล้างจานก็เต็มพรูจนอยากจะร้องไห้ วันนี้อารมณ์ตัวเองไม่เอ็นจอยตั้งแต่เช้าเลย ยืนล้างจานไปก็สูดน้ำมูกไป น้ำตาไหลเปาะๆ ร่วงหล่นกระทบจานชามที่ฟอกซันไลต์ เสร็จกิจก็เห็นน้องๆ นั่งกันอยู่สุขอุรา ผมก็ตะโกนแหกปากด่าน้องด้วยความโมโห ใช้ถ้อยคำหยาบคาย “น้ำอะหัดกรอกกันบ้าง เหลือแม่งนิดเดียวก็ยังเอามาแช่กันอีก อย่าเห็นแก่ตัวกันให้มาก”

ผมกวาดตามองน้องทั้งสามคน พวกมันโบ้ยกันไปมาด้วยถ้อยคำหยาบคาย และอย่ามาครหานะว่าผมเป็นพี่ที่แย่ ในเมื่อพวกมันไม่เคยนับถือว่าผมเป็นพี่เลยด้วยซ้ำ ขึ้นมึงขึ้นกูจนผมต้องใช้ศัพท์หยาบคายตอบกลับไป

นี่ผมเป็นคนรับใช้หรือไงกัน แม่ก็ให้ท้ายน้องคนเล็กเก่ง เวลามันกินข้าวก็ชอบวางจานชามทิ้งไว้จนแม่ต้องมานั่งเก็บแทน ปากบอกช่างมันไม่เป็นไรหรอก ทั้งที่พวกแม่งขึ้นมัธยมเตรียมเข้ามหาลัยกันละ ส่วนผมที่วุฒิการศึกษาก็น้อยกลับต้องมาเหน็ดเหนื่อย เพียงเพราะอยากช่วยแม่เรื่องงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก็คาดหวังว่าน้องๆ จะช่วยกันบ้าง แต่ที่ไหนได้ มีแต่คนเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น

“ขยะก็ไม่ทิ้งอีก” ผมหันไปมองทางขยะที่เต็มไปหมดจนเอ่อล้น ด่าไปก็ไร้ประโยนช์ หยิบมัดปากถุงเขวี้ยงลงถังขยะข้างนอก จากนั้นก็หยิบถุงขยะมาใส่ใหม่

เช้านี้เป็นวันที่ไม่แจ่มใสเอาเสียเลย มีแต่เรื่องที่ทำให้ผมอยากหนีออกจากบ้าน สักวันคงได้สติแตกแน่ๆ

เรื่องนี้ผมมีอาการมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยให้ใครล่วงรู้ มีเพียงคริตตี้ที่ชักชวนให้ผมไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อทานยา แต่ผมที่ไม่มีเงินสักกะบาท กว่าจะได้เงินจากสำนักพิมพ์ก็ยากลำบาก ต้องมาจ่ายค่ายาที่ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

“จานก็หัดล้างกันเองด้วยนะ นี่ไม่ล้างให้ละ” ผมบอกทิ้งท้ายให้น้องๆ หวังว่ามันจะมีจิตสำนึกกันบ้าง แต่มันนั่งเงียบชักสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน เห็นแล้วผมอยากจะเป็นบ้า ที่ไม่อยากเล่าเรื่องภายในบ้านให้ใครฟังก็เพราะอย่างนี้ ชีวิตจริงแม่งช่างแตกต่างจากนิยายที่จะมีแต่เรื่องราวดีๆ สิ้นดี

ละเว้นแค่เรื่องพี่นนท์ที่เป็นหนึ่งสิ่งที่เกินความคาดหมาย

ผมถือวิสาสะออกจากบ้านมานั่งที่บ้านคริตตี้ เจอะเจอกับเจ้คิทแคทที่มานั่งคุยเล่นกับแม่ของคริตตี้ที่ชื่อว่า ‘ป้าบัว’ ผมยกมือขึ้นไหว้ “หวัดดีครับแม่”

“หวัดดีๆ” แม่แกยิ้มรับ “ต๊ายตายมากันเต็มไปหมด บ้านฉันยิ่งรกๆ อยู่” ป้าบัวเอ่ยหยอกล้อ ผมเห็นดังนั้นจึงคลี่ยิ้มขึ้นมาบ้างทีละนิด

บ้านคริตตี้นั้นหรรษา ผมเลยดีใจที่ได้มานั่งคลายเครียด ถือเสียว่ามานั่งสงบสติอารมณ์

“เป็นไรมึง” คริตตี้ที่เห็นสีหน้าผมไม่สู้ดีจึงนึกเป็นห่วงเป็นใย

“รำคาญคนที่บ้านอะ แม่งไม่เคยช่วยทำงานบ้านไรกันเลย” ขนาดช่วยแม่ตากผ้ายังไม่ทำ มีผมคนเดียวที่คอยช่วยแม่ทั้งนั้น

ครั้งหนึ่งผมเคยเห็นแม่กำลังจะตากผ้า น้องๆ กลับหนีขึ้นห้องกันไปหมด มีเพียงผมที่รีบขะมักเขม้นมาช่วยแม่อย่างกะตือรือร้น

คริตตี้ลูบไหล่ผมอย่างเข้าอกเข้าใจ มันยิ้มให้บางๆ ก่อนจะหันไปทางเจ้คิทแคท “อีคิทแคท มึงมาช่วยดูแลน้องสาวมึงหน่อยซิ หน้าบึ้งตึงเป็นลิงบาบูนละ”

ผมได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขำ กระเถิบกายเข้าไปนั่งใกล้ๆ เจ้คิทแคท “แล้วนี่เจ้มาทำไรอะ ?”

“มานั่งเล่นไม่มีไรทำ ฮ่าๆ” เจ้แกตอบอย่างอารมณ์ดี “มาบ้านอีคริตตี้แล้วง่วงนอนตลอดเลยอะ เย็นสบาย”

“ก็นอนซะสิ หมอนก็มีนี่ไง” แม่คริตตี้ชี้นิ้วไปที่ฟูกเตียง

หนึ่งสิ่งที่ผมชอบในบ้านคริตตี้นั่นก็คือ แม่ของมันค่อนข้างเป็นคนอารมณ์ดี อีกทั้งยังพูดเก่งมากด้วย ตั้งแต่สมัยเรียนที่ผมช่วยแม่บัวขายของ แม่แกก็จะมีสินน้ำใจเล็กๆ นั่นก็คือให้กินน้ำดื่มฟรี

เจ้คิทแคทที่ดูง่วงนอนจัดเขยิบเข่าเข้าไปริมฝั่งใกล้กำแพง ล้มตัวลงนอนข้างๆ คริตตี้ ก่อนที่เพื่อนรักของผมจะชี้นิ้วลงที่ว่าง “อีอ๊อก มานอนเล่นสิ มาๆ” มันชวน

ผมไม่หือไม่อือใดๆ ทั้งสิ้น เดินมาก็หย่อนตัวลงนั่ง จากนั้นก็ไถลตัวลงนอนข้างๆ เจ้คิทแคท

คริตตี้พูดออกมาลอยๆ “วันนี้เป็นวันเหี้ยไร พวกมึงถึงมาบ้านกูกัน”

“กูก็แค่อยากมานั่งคุยกับแม่บัวปะ” เจ้คิทแคทตอบกลับ นอนอย่างเกียจคร้าน บิดกายหันมามองผม “อ๊อกคิดถึงป้ายีมะ”

“ใครอะ ?” ผมถาม

“ก็ที่ขายสุกี้ไง ที่แกชอบมากินบ่อยๆ ร้านป้าฉัน” อีกฝ่ายอธิบาย ผมจึงนึกภาพตาม

“อ๋อออ ป้ายีคิดถึงสิ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม ยังนึกถึงชอบสูตรสุกี้แกทำอยู่เลย ไม่รู้ว่าดองของค้างคืนจริงไหม

“คิดถึงก็ตามไปหาสิในนรก” คริตตี้เอ่ยแทรกขึ้นมาในบทสนทนา

เจ้คิทแคทหันไปสะกิดแขนคริตตี้ยิกๆ  “มึง...ป้ากู”

“เออลืม โทษทีมึง” คริตตี้ที่พลั้งปากขอโทษอย่างลืมตัว ทำผมหลุดขำ อีกทั้งเจ้คิทแคทก็หาได้ขุ่นเคืองไม่ สักพักก็หลับตาลงทำท่าจะหลับ หลังจากนั้นก็เอ่ยปาก

“กูปวดขี้ว่ะ”

แล้วจะพูดออกมาทำไม…

“ก็ไปขี้สิ” คริตตี้ว่า หันหน้าไปที่ประตู “ห้องน้ำกูมี”

“ของมึงมันไม่ได้แบบนั่งอะ มันต้องนั่งยองๆ กูอ้วนแบบนี้ตะคริวแดกขากันพอดี” อีกฝ่ายท้วงติง

สักพักก็มีแรงสั่นสะเทือนจากพื้นไม้อย่างรุนแรงจนผมที่กำลังเข้าไลน์ตอบกลับพี่นนท์อยู่ต้องฉงนสงสัย “อะไรอะ ?” เมื่อกี้แผ่นดินไหวเหรอ ?

“มึงตดเหรออีคิทแคท” คริตตี้หัวเราะเยาะ ร้องยี๊เตะขาอีกฝ่ายให้ถอยกายออกห่างไปไกลๆ

“กูเปล่า” เจ้คิทแคทหัวเราะกลับ กล่าวด้วยน้ำเสียงขบขัน

เป็นอันรู้กันว่าใครตด

ปู๊ด กึกๆๆๆๆ เสียงตดสั่นสะเทือนบนพื้นไม้ ครั้งนี้ทำผมแหงนหน้ามองอีกฝ่าย พลางฉีกยิ้มโดยไม่ออกเสียงใดๆ

อีคริตตี้ส่งเสียงตะโกนลั่นบ้าน “แม่ !!! บ้านเราไม่ค่อยแข็งแรง !”

ผมหลุดหัวเราะขำดังพรืด หัวเราะจนน้ำตาปริ่มไหลผ่านหางตา ตลกฉิบหาย อะไรจะตดจนพื้นสั่นได้ขนาดนี้

“มึง” เจ้คิทแคทพูดเนิบนาบ

อีคริตตี้ที่ยังเล่นโทรศัพท์อยู่ยังเอ่ยขึ้นมาว่า “ว่า ?”

“กูรู้สึกเหมือนมีอะไรชื้นๆ ที่กางเกงในเลยว่ะ”

ผม “...”

“มันอาจจะเป็นเหงื่อก็ได้เนอะ” เจ้คิทแคทมองโลกในแง่ดี มิวายเอ่ยถามอีเพื่อนรักของผม “ใช่ไหมมึง ?”

“อืม เอาที่มึงสบายใจ” คริตตี้ตอบอย่างไม่แยแส เห็นดังนั้นเจ้คิทแคทเลยบิดตัวมาเอื้อนเอ่ยกับผมแทน

“มันอาจจะเป็นแค่เหงื่อใช่ไหมอ๊อก ?”

ผมที่หัวเราะขำ พยักหน้ารับมองโลกในแง่ดีเห็นพ้องกับอีกฝ่าย “อาจจะเป็นแค่เหงื่อแหละเจ้ อย่าคิดมาก”

อีกฝ่ายกลอกตานึกคิด ลองลูบก้นตัวเองเบาๆ “แต่เจ้ว่ามันแฉะๆ อ๊อกลองเอามือล้วงลงไปสำรวจให้เจ้หน่อยสิ”

“อีสัตว์” ผมด่าทันทีทันใด “มึงไปเข้าห้องน้ำเถอะอีเจ้”

ไม่ทันไรเสียงนั้นก็มาอีกหน ปู๊ด กึกๆๆๆๆ

คริตตี้ร้องลั่นอีกครา “แม่ !! แผ่นดินไหวววว !!!”

กูว่าไปขี้เถอะค่ะ ไหว้ล่ะ

“อันนี้พูดได้ไหมพี่จี้” ศัพท์กะเทยดังออกมาจากปากเจ้คิทแคท

“พูดได้เลยแอนนา” คริตตี้พยักหน้ารับ

อีกคนจึงกล่าวต่อ “กูว่าใช่แล้วแหละ”

“ใช่ว่าขี้ ?”

“อืม” เจ้คิทแคทรีบลุกขึ้นยืนเดินเข้าห้องน้ำในทันใด

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2019 21:40:03 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
แม่อ๊อกดูออกนะคะ  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 490
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่แปด
[/size]
 

ผมนั่งขำจนปอดโยก ก่อนจะมานอนพรมนิ้วมือลงบนหน้าจอโทรศัพท์ ตอบกลับชายหนุ่มที่ทักมาได้เกือบสามชั่วโมง

[Non : อรุณสวัสดิ์ค่ะ] 12:32

[Non : ยังไม่ตื่นเหรอคะคนดี] 14:16

[อ๊อกเจ็บคอ : อืม จริงๆ ตื่นนานแล้วครับ แต่มีปัญหานิดหน่อย] 15:02

พิมพ์ตอบกลับไปไม่ทันจะได้กดออกจากแอป บทสนทนาก็ขึ้นคำว่าอ่านแล้วในเวลาอันรวดเร็ว ไม่นานเกินรอก็มีข้อความใหม่เด้งขึ้นมา

[Non : มีอะไรอยากระบายหรือพอที่พี่จะช่วยได้ไหมคะ ?]

ผมหลุดยิ้มกับข้อความเหล่านั้น ก่อนจะพรูลมหายใจทิ้ง ร้องฮึบเข้าไว้เพื่อเป็นการบ่งบอกกับตัวเองว่าให้เข้มแข็งอีกสักครั้ง อย่าได้เอาเรื่องปวดหัวมาทำให้คนอื่นเป็นกังวลเลย

[อ๊อกเจ็บคอ : ขอบคุณนะครับ แต่ผมดีขึ้นแล้วแหละ]

[Non : โอเคค่ะ แต่มีไรอยากเล่าก็มาระบายกับพี่ได้นะ พี่ยินดีค่ะ]

อาการซึมเซาแทบจะแปรผันเป็นระเริงรื่นในบัดดล ทั้งใจเต้นระส่ำหน้าตาก็หลุดยิ้มเหมือนคนอยู่ในห้วงรัก

“ยิ้มอะไรอะอีอ๊อก เหมือนคนบ้าไม่เต็มบาท” คริตตี้ที่ลอบมองอยู่เอ่ยปาก

“สาระแน” ผมด่ามันกลับ หันมาพรมนิ้วมือจะพิมพ์ขอบคุณอีกสักหน ไม่ทันไรก็มีข้อความเด้ง

[Non : จริงสิ พอดีพี่เจอกระเป๋าสตางค์หนูอยู่บนรถด้วย หนูคงทำหล่นเอาไว้ ไว้เดี๋ยวพี่จะขับรถไปคืนให้นะคะ]

“อุ้ย” หลุดร้องเสียงหลง ตายจริง นั่นมันอุบายเราที่วางแผนไว้ทั้งนั้น จู่ๆ ก็หน้าชื่นบานจะได้เจอกับคนที่ชอบอีกสักครั้ง แกล้งทำเป็นขอบคุณซาบซึ้งในน้ำใจไมตรี หลังจากนั้นก็เจอเจ้คิทแคทเดินออกมาจากห้องน้ำ ชำเลืองมองมาทางผม มิวายเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน

“อีอ๊อกเป็นไรอะ ยิ้มหน้าบานเชียว”

“กูว่าคุยกับลัวผู” คริตตี้ที่นั่งไถเฟซบุ๊กเล่น กล่าวออกมาเหมือนล่วงรู้ เล่นเอาผมสะดุ้งเบาๆ

“ผู้ชายสูงๆ หล่อๆ ขาวๆ คนนั้นอะนะ ?” เจ้คิทแคททิ้งตัวลงนั่งที่พื้น เช็ดไม้เช็ดมือที่เปียกเปรอะตรงกางเกง

คริตตี้ได้ยินดังนั้นก็ผงกหัวรับว่า “อืม”

“ได้กันยังอะ ?” คราวนี้เจ้แกยิ่งคลี่ยิ้มกว้างมองมาทางที่ผมสลับกับคริตตี้

ผมจ้องอีคริตตี้เหมือนย้ำเตือนไม่ให้มันปริปาก แต่อีเพื่อนชั่วกลับไม่ได้มองสีหน้าผมเลยสักนิด มันเงยหน้าจากหน้าจอมือถือก็พยักพเยิดมาทางผมแทน “ถามมันเองสิ”

“ได้ยัง ?” เจ้คิทแคทจึงย้ำต่อ จ้องตาผมอยากคาดคั้นหวังหาคำตอบ

ผมนี่อยากจะเอาตีนอิงหน้าผากฉิบหาย ได้แต่ตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ขึ้นมาว่า “ยัง” พร้อมกับปั้นสีหน้าใสซื่อไม่ให้อีกคนเห็นพิรุธ

เจ้แกบ่นว่าเสียดายแทนก่อนจะล้มตัวลงนอนประจำที่ดังเดิม ผมที่เม้มปากอยู่ก็พลันแหงนหน้ามองไปที่ร่างของคริตตี้ที่จดจ้องอยู่ตั้งแต่แรก มันขยับริมฝีปากไม่ออกเสียงขึ้นมาว่า “อีตอแหล”

“รู้ตัวดี” ผมขยับริมฝีปากตอบกลับ เปลี่ยนมาจ้องมือถือเซฟรูปไปแปะเป็นภาพประกอบนิยาย จู่ๆ ก็ได้ไอเดียเกิดอยากแต่งแนวนอกใจอีกเรื่อง ผสมผสานกับความสะใจของเนื้อหา การบรรยายที่แตกต่างกว่าชาวบ้านเขา เพื่อนเมย์ที่เห็นผมอัปนิยายแนวนี้ไม่กี่วันก่อนก็ช่วยรีให้ ครั้นพอผมเข้าทวิตเตอร์ก็ปรากฎว่ามียอดติดตามเพิ่มขึ้น จำนวนคนรีนิยายก็มากขึ้นอีก ผมเลยหาต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องอึ้งทึ้ง เลยสรุปได้ว่าแอคแมวที่เป็นนักรีวิวนิยายที่ตัวผมนั้นได้ติดตามอยู่ เขาได้แคปบทพรรณนาทั้งหลายแหล่เป็นการสะท้อนเนื้อหา ติดแท็กนิยายของผม อีกทั้งยังอวยเรื่องสั้นที่ผมได้แต่งอีก

[แนะนำเรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่ชอบมาก #ใครเขาจะไปทนกับมึง #แมวเรื่องสั้นมาให้อ่าน <3 เหมือนทนมาสุดๆ จนวันหนึ่งเห็นแฟนเอาผูู้หญิงมานอนที่ห้องบนเตียงตัวเองต่อหน้าต่อตา ไม่มีน้ำตาสักหยด เป็นเรื่องที่อ่านแล้วชอบมาก สำนวนการบรรยายแปลกใหม่แต่ตราตรึงดี สะใจ] จำนวนคนรีห้าร้อยกว่าคน กดหัวใจใกล้เคียงกับตัวเลขด้านหน้า

มันอาจดูไม่มากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน นอกจากแต่งนิยายเกิดเป็นสิงโตทะเลแล้ว นี่ยังเป็นเรื่องสั้นที่ผมใช้อารมณ์เข้าแลกพร้อมกับฟังเพลงเพื่อดำดิ่งไปกับบทบรรยาย ตอนเมย์รีนิยายให้ก็ดีใจมากพอแล้วนะ แถมเราสองคนก็รู้จักกันผ่านเกม Overwatch อีกทั้งยังบังเกิดเรื่องไม่คาดคิดนั่นก็คือเมย์ดันเป็นนักเขียนนิยายเหมือนกับผม หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราก็สนิทสนมชิดเชื้อเหมือนคบกันมานานปี

ผมเห็นแล้วน้ำตาคลอเบ้า ทั้งดีใจที่มีคนมาเล่นในแท็กนิยายตนเองและรีวิวด้วยความสนุกสนานปนโศก สิ่งเหล่านี้มันเปรียบเสมือนยาใจให้แก่ผู้เขียนที่แทบทุ่มเทชีวิตให้แก่ตัวละครในโลกจินตนาการ ประทังชีวิตด้วยการดื่มกินคอมเมนต์เป็นหลัก หากไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีผมที่พยายามพัฒนาฝึกฝนด้านภาษาต่อ แม้นเพียงแค่ไม่กี่คนที่ชื่นชอบผลงานผมก็ตื้นตันใจพอละ แต่นี่กลับมีจำนวนที่มากขึ้นอีก จากที่มีคนติดตามแอคนิยายเป็นจำนวนสิบเจ็ดคน บัดนี้ได้กลายเป็นหลักร้อยในเวลาอันรวดเร็ว แม้แต่คุณแมวที่ผมติดตามก็ยังกดติดตามผมกลับ รวมไปถึงมีนักเขียนดังๆ หลายท่านมากดติดตามผมด้วยซ้ำ มันยิ่งกว่าเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ผมอยากจะกรี๊ดให้ลั่นบ้าน

“เฮ้ย ! อีอ๊อก เป็นไรร้องไห้” คริตตี้ที่เห็นสีหน้าผมเข้า ตกกะใจรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง

ผมสูดน้ำมูก ปัดเศษน้ำตาลวกๆ ทิ้ง มือไม้เฉอะแฉะไปหมด “มึงกูดีใจอะ มีคนติดตามนิยายกูมากขึ้น รีวิวเต็มไปหมดเลย ฮึก ฮือ” พลันหลุดร้องไห้งอแงเหมือนกับเด็ก ยื่นสิ่งที่อยู่ในฝ่ามือให้เพื่อนดู

คริตตี้ที่ก้มมองอ่านยิ้มแฉ่ง ก้าวขาข้ามผ่านตัวเจ้คิทแคทที่ยังนอนงงงวย พลันตบไหล่ผมปุๆ เป็นการปลอบใจ พร้อมยังเอ่ยปากชมเปาะ “มึงเก่งมากเว้ย มันเป็นเพราะมึงมีความสามารถ ดีแล้วจะได้มีนักอ่านติดตามชื่นชมผลงานในตัวมึงมากขึ้น”

“ฮึก อื้อ ฮือ” ผมร้องไห้ไปพยักหน้ารับไป ทักดีเอ็มหาเพื่อนเมย์เป็นการส่วนตัว อย่างแรกเลยคือต้องขอบคุณเธอมากเป็นอันดับแรก หากไม่เป็นเพราะเธอรีนิยายให้ผม คุณแมวก็อาจจะไม่ได้เห็นนิยายชิ้นนี้

[เมย์ขอบคุณเธอมากเลยนะที่รีนิยายเรา ตอนนี้มีคนติดตามเพิ่มขึ้น คอมเมนต์ก็ด้วย ดีใจมากๆ เลย ถ้าไม่เป็นเพราะเธอก็คงไม่มีใครได้เห็นผลงานของเราแน่ๆ ขอบคุณเธอมากจริงๆ รักเธอมากนะ นี่ร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้ว]

ดีใจจนแทบบ้า ไม่รู้จะทะลักความรู้สึกที่เอ่อล้นนี้ยังไงดี นักอ่านหลายท่านที่มาเล่นในแท็กก็เหมือนติดกับลุ่มหลงกับบทพรรณนา ผมซาบซึ้งในทุกๆ คอมเมนต์ที่มอบมาให้ ทั้งรีวิวและรอเรื่องสั้นตอนต่อไป

เสียงในมือถือผมสั่นดังครืด พร้อมกับข้อความของเพื่อนสาวที่เป็นนักเขียนดีเด่นสำหรับผมคนนี้ [ไม่เป็นไรแก ฉันดีใจด้วยนะ ดีที่มีคนติดตามผลงานแก นิยายแกดีมากจริงๆ ฉันอ่านเองยังโดนดึงดูดเข้าไปในเนื้อหาเลย] เธอพูดเปรียบเปรยให้ผมเห็นภาพตาม ผมคลี่ยิ้มทั้งน้ำตานองหน้า

[ดึงดูดเหมือนหลุมหลีอวกาศน่ะเหรอ] ผมแกล้งล้อเลียนหญิงสาว

[จะบ้าเหรอ 555] เธอหัวเราะตอบกลับมา

[เมย์ ขอบคุณจริงๆ นะ เราเหมือนได้บรรลุในสิ่งที่ตนเองวาดหวังเอาไว้เลย ดีใจที่ได้เจอกับเธอผ่านเกม มันเหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายที่โชคชะตานำพาให้เรามารู้จักกันเลย คล้ายคำพูดสวยหรูนะ แต่สำหรับเราแล้ว เราดีใจมากจริงๆ ที่ได้รู้จักกับเธอ เธอเป็นคนเก่ง มีความคิดที่ดี มีความสามารถ นิยายของเธอในด้านภาษาก็สละสลวย เราอยากเก่งให้ครึ่งค่อนเหมือนเธอบ้าง] ผมพิมพ์ยาวเหยียดระบายความในใจ นั่งจดจ่อดูข้อความที่กำลังพิมพ์ตอบกลับ

[ไม่หรอก มันเป็นเพราะเธอมีความสามารถด้วย เธอเป็นคนเก่ง อ๊อก เชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ เธอดังแล้วเห็นไหม]

ผมยิ้มเยื้อน พรมนิ้วมือลงบนแป้นข้อความ [ไม่หรอก นี่แค่เป็นจุดเริ่มต้น แต่แค่นี้มันก็มีความหมายและมีค่าสำหรับเรามากๆ ละ เราไม่รู้จะขอบคุณคุณแมวยังไงดี ตอนนี้ตื้นตันไปหมด] พิมพ์ไปก็สะอื้นไป พอกดออกจากแชทก็มาดูแท็กต่อ ปรากฎว่านิยายตอนถัดไปในเรื่องสั้น คุณแมวกลับรีวิวอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง

[(>_<) จริงๆ เป็นเรื่องสั้น (>_<) เราชอบเรื่องที่สองมาก อ่านแล้วสะดุดกึก ยังชอบบรรยายแบบนี้เช่นเคย มันดูหนักแน่นฝังลึกดียังไงไม่รู้ อ่านเรื่องนี้แล้วขนลุกเลย แง ลองเข้าไปอ่านกันดูนะคะ #ใครเขาจะไปทนกับมึง #แมวเรื่องสั้นมาให้อ่าน] มิวายแนบลิ้งก์ให้ด้วย น้ำตาของผมยิ่งพรั่งพรูพร้อมรอยยิ้มที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ

ตัดสินใจกดเข้าไปในลิ้งก์ เห็นคอมเมนต์ของคุณแมวและนักอ่านท่านอื่นๆ ที่ต่างแห่แหนมาชื่นชมผลงาน

คริตตี้ช่วยผมซับน้ำตาโดยการดึงทิชชู่มาเช็ดให้ แถมยังบอกอีก “สั่งน้ำมูกซะ จะไหลเข้าปากอยู่ละ ยี๊” มันทำหน้าทำตาขยะแขยง

ผมหลุดขำ มีแต่คำว่าตื้นตันใจและซาบซึ้งในหลายๆ สิ่ง นี่คงเป็นพรที่พระเจ้ามอบให้แน่ๆ เป็นสิ่งที่ผมได้ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น ได้มีคนรู้จักผ่านผลงานที่ตัวเองตั้งอกตั้งใจทำ

ผมรีทวิตที่คุณแมวโพสต์ ก่อนจะรีทวิตตอบกลับเป็นการขอบคุณ [ขอบคุณมากเลยค๊าคุณแมว ดีใจมากๆ เลย ขออนุญาตแปะลิ้งก์ใหม่ทีนะคะ พอดีคนเขียนเผลอไปลงผิดหมวดค่ะ 555 ล่าสุดกำลังลงตอนใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ (แนบลิ้งก์)] แสดงท่าทางผ่านประโยคข้อความเหมือนคนเป็นกุลสตรีไทย ยิ้มแย้มแจ่มใสและร่าเริงชวนน่าคบหา ชั่วอึดใจก็ตัดสินใจลุกขึ้นอำลาคริตตี้กับเจ้คิทแคทที่ยังนอนเอามือลูบก้น

“มึงกูกลับบ้านก่อนนะ” ผมบอก

คริตตี้ขานรับ “อืม สู้ๆ มึง”

“ทำไมรีบกลับเล่า” เจ้คิทแคทแย้ง

ผมเอ่ยพร้อมรอยยิ้มประจบ “พอดีมีไฟปั่นนิยายอะเจ้ จะได้ไม่ต้องเร่ไปขายหลีละ”

“ขายหลีสิดี” เจ้คิทแคททำหน้าทำตาสนับสนุนอย่างตื่นตะลึง “ชีวิตนี้คนเราจะมาตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บไม่ได้หรอก”

“งั้นต้องเป็นห่าไรตาย เป็นบ้าเหรอ ?” คริตตี้ท้วง

เจ้คิทแคทส่ายหน้าเป็นการบอกว่าไม่ใช่ ยกนิ้วชี้โบกไปมา “ต้องโดนคว-เย็-จนตายต่างหากล่ะ ถือว่าตายอย่างคุ้มค่า” จากนั้นก็กำมือน้อยๆ ให้ตรงกลางมีรูผ่านปลายนิ้วที่งอคว่ำ ขยับขึ้นลงตรงริมฝีปากพร้อมล้อเลียนชื่อของผม “อ๊อกๆๆ”

“อีสัตว์” ผมด่าพร้อมหัวเราะขำทั้งน้ำตา ดีใจเหลือเกินจะกล่าว รีบโบกไม้โบกมืออำลาคนทั้งสอง รวมไปถึงแม่คริตตี้ที่เพิ่งลงบันไดชั้นสองของบ้าน “บ๊ายบาย เจอกันมึง แม่อ๊อกไปละ หวัดดีครับ” ยกพนมมือขึ้นไหว้ รีบสวมรองเท้าวิ่งแจ้นกลับไปที่บ้านของตนเอง

คาดหวังเพียงกลับไปอัปนิยายตอนถัดไปที่ได้แต่งค้างเอาไว้

พอมาถึงบ้านผมก็รีบวิ่งขึ้นห้องไปเปิดโน๊ตบุ๊ก นั่งฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แตกต่างจากตอนเที่ยงของวันที่อารมณ์คุกรุ่นจนระเบิดอารมณ์ใส่น้องๆ พลันเสียบหูฟังและเปิดเพลง rosy - Fever (Medley song) ฟัง ผมหลับตาลง ค่อยๆ จมดิ่งกับเสียงดนตรี ยกปลายนิ้วทั้งสิบขึ้นมาบนแป้นพิมพ์ พรมราวกับกำลังเล่นเปียโนที่มีไหวพริบฉวัดเฉวียน ร่ายรำไปกับตัวอักษรที่มีความหมายสวยหรู ประโยคที่กัดกินใจที่ทำให้ผู้คนต้องดำดิ่งกับตัวสะกดลายลักษณ์อักษร

นิยายเรื่องสั้นตอนนี้ชื่อว่า ‘จดจำไม่รู้ลืม’ เกี่ยวกับนายเอกคนหนึ่งที่ถูกนอกใจจากสามีที่แต่งกันมาห้าปีเต็ม และล่วงรู้ถึงหญิงสาวปริศนาที่ชายหนุ่มได้แอบซุกซ่อนเอาไว้ ผมเขียนไปก็รู้สึกเศร้าหมองไป ให้บทสรุปตอนจบเหมือนกับนกน้อยที่ได้หลุดพ้นจากกรงทองคำเหลืองอร่าม

“เยส” เมื่อแต่งจบก็เหยียดแขนเหยียดเท้า ส่งเสียงดัง “ฮ่า” อย่างสบายเนื้อสบายตัว กด Ctrl + A เพื่อกอปข้อความทั้งหมดใน Word จับใส่ลงในเว็บชื่อดังและอีกสองเว็บด้วยกัน เสร็จสรรพก็กดบันทึกเผยแพร่ติดๆ กัน แนบรูปในทวิตเตอร์สื่อถึงอารมณ์ดังชื่อตอน ทวิตลงและจ้องบนรูปกระดิ่งแจ้งเตือน ภายในเสี้ยววินาทีก็มีจำนวนเลขเพิ่มขึ้น ทั้งกดถูกใจและรีทวิต ผมยิ้มปริ่ม ตั้งเป้ารอคอยคอมเมนต์นับจากนี้

การได้คอมเมนต์เท่ากับได้ฟื้นฟูพลังงานสำหรับนักเขียนเลยละ

ฉะนั้น...เมนต์ให้ด้วยล่ะ คุณนักอ่าน

[Non : ทำไรอยู่คะ ?] เสียงมือถือดังข้างกาย ผมหันไปมองหน้าจอที่สว่างจ้า มีข้อความของคนที่ตัวเองแอบชอบซึ่งอยู่ในสถานะดูใจกัน พานเอื้อมมือมาหยิบปลดล็อกรหัสผ่านด้วยปลายนิ้วชี้ หลังจากนั้นก็พิมพ์ตอบกลับอย่างกะตือรือร้น

[อ๊อกเจ็บคอ : พี่นนท์ เล่นเกมกัน] เพราะวันนี้ผมอารมณ์ดีชะมัดเลย

[Non : เกมไรคะ ?]

ผีผ้าห่มค่ะ อยากเล่นมาก

แต่ทั้งที่จริงนั้น [อ๊อกเจ็บคอ : Dead by daylight ละกัน เดี๋ยวอ๊อกชวนคริตตี้มาเล่นด้วย]

[Non : โอเคค่ะ พี่ขอชื่อสตรีมหนูหน่อย เดี๋ยวพี่แอดไป]

ผมเข้าสตรีมเกมดูชื่อไอดีของตนเองก่อนจะส่งต่อให้อีกฝ่าย ไม่เกินนาทีก็มีจดหมายข้อความขึ้นมาขอเป็นเพื่อน ผมกดรับก่อนที่อีกคนจะส่งลิ้งก์ดิสคอด เชื้อเชิญให้ผมเข้าไป

เพียงปลายนิ้วชี้จรดลงที่เมาส์ซ้ายดังคลิก ผมก็เข้ามาในห้องที่มีชื่อว่า ‘Gamer มือฉมัง’ ชื่อโคตรเสี่ยวซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแต่งตั้ง แต่ปรากฎว่าหัวหน้าห้องดันเป็นว่าที่ผัว

เสียงในหูฟังดังขึ้น พร้อมกับน้ำเสียงทุ้มชวนละลายเหมือนวันวาน “ได้ยินพี่ไหมคะ ?”

ผมอมยิ้มอย่างเคอะเขิน พยักหน้าทั้งที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ แต่อิริยาบถและคำพูดกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่มีคนหน้าตาดีเหมือนดาราเทพบุตรมาจ้องหน้าจ้องตา

จริงๆ อีอ๊อกก็ไม่ได้เป็นคนสวยมากหรอกแม่ ก็ไม่คิดว่าคนหล่อจะมาขอจีบ แต่พอจีบปุ๊บก็รู้สึกตัวเองมีออร่ามีผิวพรรณผุดผ่องคล้ายดูดน้ำเงี่ยนชายฉกรรจ์มาทาผิวอย่างเจียระไน

“ได้ยินค่ะ” บีบน้ำเสียงหวานกลับไป แกล้งทำเป็นหญิงสาวที่เอียงอาย คร้ามเกรงว่าครงตรงหน้าจะแอบสตรีมเกมและอัดคลิปแกล้งเอาไว้

ผมส่งลิ้งก์ต่อให้คริตตี้ ไม่นานเกินรอเพื่อนก็เข้ามาในดิสคอด พูดจาทักทายพี่นนท์ “หวัดดีค่ะพี่นนท์”

“ค๊า หวัดดีค่ะ” พี่นนท์ตอบกลับเสียงหวานเหมือนที่ใช้ให้กับผม ชั่วครู่ก็มีอีกคนเข้ามาในโปรแกรมสนทนา เสียงทุ้มเยือกเย็นเหมือนคนเย็นชากล่าวเนิบนาบ

“ดี” เสียงพี่เดือนนี่นา

“หวัดดีพี่เดือน” ผมทักทายพลางกระแอ่มกระไอ

“อ๊อกเหรอ ?” พี่เดือนถามอย่างคาดคะเน

“ใช่ค่ะ พอดีกลัวพี่นนท์อัดคลิปลงยูทูป” ผมตอบกลับอย่างกระดากอาย ชี้แจงถึงข้อสงสัยที่ต้องมานั่งบีบเสียงเป็นผู้หญิง พลันได้ยินเสียงพี่นนท์หัวเราะขำอย่างเอ็นดู เอ่ยวาจาหยอกเย้ามากระซิบใกล้ไมค์

“แหม หนูก็รู้ทันพี่อีกนะคะ”

นั่นไงคนเรา…

อีอ๊อกเป็นนักเขียนนะ ทำไมจะตามเกมพวกพระเอกไม่ทัน

“คริตตี้เข้าเกมยัง” ผมถาม

“เออ” มันขานรับเหมือนไม่ค่อยอยากจะพูด อาจเพราะว่ามีพี่เดือนอยู่ด้วยมั้ง อีอ๊อกพอจะเดาทางออก

ผมที่ถูกพี่นนท์ชวนเข้าปาร์ตี้ก็กดชวนคริตตี้ต่อให้ตามเข้ามาในห้อง จากนั้นก็มีอีกหนึ่งตัวละครซึ่งเป็นชื่อพี่เดือนเข้ามาในเกม ครั้นคบคนจึงเริ่มกดค้นหาห้อง ระหว่างนั้นเราก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย

“ปกติอ๊อกชอบเล่นเกมนี้เหรอคะ ?”

“ก็เล่นบ้าง แต่ส่วนใหญ่เล่น Overwatch กับ Friday ศุกร์สิบสามมากกว่าค่ะ” ผมตอบกลับพี่นนท์ที่อยากรู้คำตอบ พอได้รับฟังสิ่งที่ผมเอ่ยขัดอีกคนจึงร้องอ๋อ

“ดีเลย นี่พี่ก็มีเกมศุกร์สิบสาม ไว้เราเล่นกันไหมคะ ?” พี่นนท์ชักชวน ได้ยินดังนั้นผมจึงต้องตอบด้วยประโยคเป็นนัยยะ

“คือ พอดีอ๊อกมีตี้กับคนในแก๊งด้วยถ้าเล่นศุกร์สิบสามน่ะนะ แต่ถ้าพวกพี่เล่นด้วยก็คงครบคนพอดี ไว้ลองมาตี้กันก็ได้ค่ะ แต่ตี้น้องจะป่วนหน่อย” ผมอธิบายอย่างนุ่มนวลเหมือนผู้หญิงอ่อนช้อย แย้มยิ้มหัวเราะร่าเหมือนผู้หญิงแจ่มใส

จริงๆ ก็ไสยศาสตร์ค่ะ ชอบเล่นมากเอาไว้ปลุกเสกให้คว-บางคนต้องแข็งขืน

แต่ก็ได้แค่คิดและไม่กล้าบอก “พี่นนท์จะเล่นวันไหนล่ะ”

“พรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ จริงๆ พี่มีตี้ด้วย แต่เดี๋ยวไว้ไปเล่นกับหนูแทนดีกว่า โอ๊ะ เกมมาละ” พูดจบก็ทำให้ผมต้องมองที่หน้าจอที่ฉายภาพตัวละครผู้หญิงผิวขาวใส่เสื้อสีชมพูไว้เปียผมสองข้าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2019 23:32:09 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
การพูดคุยอย่างอลหม่านค่อยๆ เริ่มต้นขึ้น

“อีอ๊อกอยู่ไหน”

“บ้านเล็กๆ” ผมบอกคริตตี้

“บอกสี่เหลี่ยมน่ะเหรอ ?”

“ใช่ๆ” ผมขานรับรัวๆ ขณะลงไปรื้อชั้นใต้ดินของฆาตกรเพื่อหาของ พลอยระแวดระวังภัยรอบทิศทาง ไม่รู้จะเจอฆาตกรตัวไหน แถมด่านที่ว่าก็เป็นชื่อป่าหลบภัย

จู่ๆ อีคริตตี้ก็ส่งเสียงร้องกรี๊ดขึ้นมาอย่างแสบแก้วหูทันทีทันใด เล่นเอาผมสะดุ้งโหยงร้องตกอกตกใจ

“อะไรมึง”

“ฆาตกร อีตัวที่มาจากเรื่องสเตรนเจอร์ ธิงส์อะ อีเหี้ย มันไล่กู มันไล่กูแล้ว !” คริตตี้โวยวายใหญ่ “ตามหาพ่อหาแม่มึงอ๋อ อีผีเหี้ย กรี๊ดดด”

“เดี๋ยวรีบไปช่วย อยู่แถวไหน ?” เสียงพี่เดือนดังแทรกขึ้นมาอาสาพร้อมช่วยเหลือ

คริตตี้ตอบไปก็ร้องลั่นไป ทำผมกับพี่นนท์หลุดหัวเราะขำ ก่อนที่รอยยิ้มของผมจะเจื่อนลงเมื่อเพื่อนรักเอ่ยขึ้นมาว่า “แถวบ้านเล็ก กำลังตรงไปแถวบ้านเล็ก !”

“อ่าว อีเหี้ย มึงลากฆาตกรมาหากูทำเพื่อ !!” ผมตะโกนด่าอีเพื่อนชั่วช้าสารเลว รีบวิ่งขึ้นบันไดหวังจะหนีออกจากถิ่นฐาน ดันมาเจอฉากจั้มสแกร์ เห็นตัวละครผิวสีคล้ำ วิ่งเลี้ยวเข้ามาก่อนจะผลักไม้ล้มบดบังฆาตกรอย่างฉิวเฉียดต่อหน้าต่อตาผม

“นี่แน่ะ อีผีหนังหุ้มกระดอ” อีคริตตี้ด่าสวน ส่วนผมกรีดร้องกำลังจะวิ่งออกจากช่องว่างบานประตู อีเพื่อนก็ดันมาบังวิ่งหนีตัดหน้า “อีดำ อีเหี้ย” ผมด่าตัวละครคริตตี้ด้วยความโมโหโทโส

“อีดอกอย่ามาเหยียดสีผิว” คริตตี้ด่ากลับ รีบรุดหนีไปไกลซ่อนแอบข้างโขดหินก้อนใหญ่

ผมหันไปมองด้านหลังก็เห็นฆาตกรพังไม้ทำท่าจะไล่ตามผมแทน เห็นดังนั้นเลยกดอีโมชี้นิ้วไปที่โขดหินและพูดขึ้นมาว่า “อีดำอยู่ตรงนี้ๆ” ก่อนจะรีบวิ่งสปรีดหนีเลาะซ้ายเลาะขวา เห็นฆาตกรไล่ตามปลายนิ้วที่ผมชี้ทางคนที่กำลังอิงแอบ

“อีเหี้ยเอ้ย !” คริตตี้ร้องลั่น ฝั่งผู้ชายก็หัวเราะกันใหญ่ ทุกอย่างสับสนวุ่นวายไปหมด ส่วนผมก็หนีมาปั่นไฟเงียบๆ ระหว่างนั้นพี่เดือนก็รีบวิ่งไปช่วยคริตตี้จนโดนฆาตกรตะปบข่วนสร้างรอยแผล เกิดอาการเลือดไหลเข้าขั้นบาดเจ็บ

“ขอบคุณ แต่ทีหลังไม่ต้อง” คริตตี้ว่า ทำพี่เดือนร้องอ่าวอย่างสับสน เหมือนสร้างผลดีแต่เสือกได้ผลกรรมซะงั้น ก่อนจะหัวเราะขำเสียงเย็นยะเยือกอย่างชอบใจไม่ถือสา

อีคริตตี้เมื่อรอดพ้นจากฆาตกรหวุดหวิดก็วิ่งมาเจอผม พลางเอ่ยถาม “นี่ใครอะ”

“กูเองๆ” ผมตอบ

“อ๋อ อีตัวดอกทองเหยียดสีผิว” มันขานรับ ก้มตัวลงมาปั่นไฟข้างๆ

ภายในเกมต้องปั่นไฟให้ครบห้าเครื่อง จึงจะสามารถเปิดประตูทางออกได้ กติกาไม่ยากแค่ต้องใช้ความสามารถและใช้สกิลที่พกมาให้เป็นประโยชน์ รู้จังหวะแถมยังเป็นการเล่นแบบจิตวิทยาเพื่อเดาทิศเดาทาง

“ผีมีลักษณะเหมือนหี” คริตตี้เอ่ยขึ้นมาลอยๆ

ผมถามถึง “หมายถึงคิลเลอร์ ?”

“ใช่ เวลามันคำรามเหมือนกลีบหลีดี”

“กูว่าเหมือนดอกไม้นะ” ผมพูดขณะขะมักเขม้นปั่นไฟจนขีดใกล้เต็ม

“ไม่ ตอนหัวหุบกูว่าเหมือนกระดอมากกว่า” มันพูดออกมาอย่างไม่กระดากอาย ไม่สนว่าฝั่งผู้ชายจะทำตัวยังไงเมื่อได้ยินคำเช่นนั้น พอปั่นไฟเสร็จอีคริตตี้ก็เอ่ยลา “แยกย้าย บายล่ะจ้ะ ตัวใครตัวมัน”

“มึงอย่าทิ้งกูไว้คนเดียว” ผมร้องโวยวายเพราะกลัวด่านที่มืดครึ้ม

อีคริตตี้เลียนเสียงจากน้อยหนึ่งเมคอัพอาร์ติส “ก็ไม่สนใจอยู่แล้ว”

“อีดำ” ผมจิกกัด

อีกฝ่ายตะคอกเสียงดุ “อย่าเหยียดสีผิว !” ฉับพลันสิ้นเสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องเจอฆาตกรอีกหน ผมที่เดินตามต้อยๆ ไล่หลังมัน เห็นฆาตกรอ้าปากตรงส่วนหัวชวนสยดสยองเหมือนกลีบหลีไม่มีผิด

อีคริตตี้พูดถูก ผีมีลักษณะเหมือนหลีจริงๆ ด้วย คลับคล้ายคลับคลาเหมือนกระดอหนังหุ้มไข่อีก

“หนีไปทิ้งฉันไว้” มันตะเพิดว่ามาทางผม “ขับไสไล่ส่ง”

ผมร้องด้วยความยินดี หมุนกายวิ่งรุดจากพิกัดตรงนี้ “แต็งกิ้วมากมึง”

“อีควาย ! กูประชด” มันแหกปากคร่ำครวญ สักพักตัวละครมันที่ขึ้นชื่อแถบใต้ล่างทางซ้ายมือก็บ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บสาหัส

“มันกระโดดได้ด้วยมึง ฮือ กลัว อีเหี้ย” คริตตี้ยังไม่หยุดโหวกเหวก “ใครก็ได้ช่วยด้วย”

ทุกคนเงียบกริบ

“มีใครอยู่ไหม !! กรี๊ดดดด” ถูกฆาตกรฟันจนล้มไปนอนกับพื้น

สกิลที่ผมพกมาสามารถเห็นเพื่อนบาดเจ็บได้ เห็นดังนั้นก็หลุดขำที่กลั้นมานานดังพรืด รวมไปถึงพี่นนท์ที่จริงจังกับการเล่นเกมเช่นเดียวกัน

ผมที่กำลังรื้อของอยู่เอ่ยปากหยอกขึ้นมาว่า “กำลังไป”

คริตตี้ถามกลับขณะถูกอุ้มจากฆาตกร “ไปช่วย ?”

“ไปหาของ” ผมตอบปัดพร้อมหัวเราะร่า ได้ยินดังนั้นอีคริตตี้ก็สบถถด่าไม่ยั้ง

“กูก็ว่าแล้วอีเหี้ยตัวไหนมันกำลังก้มหาของ กูจะจดจำความแค้นนี้ไว้ กรี๊ดดดด !” และแล้วก็มีเสียงตัวละครในเกมกรีดร้องโหยหวน คริตตี้พูดออกมาว่า “โดนเกี่ยวหลีแล้วค่ะ จะมีใครจะมาช่วยจากที่เบ็ดเกี่ยวหลีไหมคะ ฮัลโหล”

พี่นนท์อาสา “เดี๋ยวพี่ไปเอง”

ขณะนั้นผมก็วิ่งไปหาคนบาดเจ็บ พูดออกมาเรียกเสียงหัวเราะ “แยกร่าง นินจาแพทย์สาวซากุระ นินๆ กำลังไปช่วยเดี๋ยวนี้ค่ะ” ก่อนจะรุดไปเจอพี่เดือนที่กำลังพันแผลอยู่ข้างกำแพงอิฐ

“ขอบคุณ” อีกคนเอ่ยปาก

ผมตอบรับด้วยความยินดี พลอยสร้างเสียงครื้นเครงไปตามๆ กัน พร้อมเสียงล้อเลียนเอฟเฟกต์ “ยินดีค่ะ แยกร่าง พึ่บ นินๆ กำลังไปช่วยคริตตี้เดี๋ยวนี้ค่ะ”

“ไม่ต้องละอีน่าหลี” คริตตี้ขับไล่ ขึ้นสถานะว่าถูกช่วยเหลือเป็นที่เรียบร้อย ไม่นานก็เจอตัวมันวิ่งผ่านตัดหน้าผมที่กำลังยืนฉงนด้อมๆ มองๆ ลอบตัวอยู่ พลันเจอฆาตกรวิ่งมาจากเบื้องหน้า ผมก็กรีดร้องไม่ต่างจากหญิงสาวนางหนึ่ง

อีเพื่อนรักส่งสัญญาณ “มึงไป ไป !”

พึ่บ ! เสียงกระโดดไล่หลังตะครุบเขี้ยวเล็บลงที่แผ่นหลัง ผมร้อง “โอ๊ย !” ประหนึ่งเจ็บปวดรวดร้าวแทนตัวละคร วิ่งโยกไปมากับต้นไม้สลับซับซ้อน อีเพื่อนรักก็ยังส่งเสียงแหกปากเกื้อหนุน

“ไป ไป !”

ควับ ! “อีเหี้ย” ครั้งนี้ผมร้องลั่นเมื่อถูกตบจนนอนสิ้นสภาพอยู่ที่พื้นธรณี

อีคริตตี้ยังคงพูดต่อ “ไป ไปตาย ฮ่าๆ !” มันหัวเราะสาแก่ใจ แม้แต่พี่นนท์กับพี่เดือนที่ยังปั่นไฟอยู่จนเหลือสองเครื่องยังหัวเราะชอบใจ

สุดท้ายผมก็โดนเกี่ยวลงที่เสาตะขอ ตัวละครก็หลุดร้องลั่นซะแสบแก้วหู คล้ายดูหนังสยองขวัญก็ไม่ปาน ในระหว่างนั้นก็คาดหวังให้คนมาช่วย แต่เห็นทุกคนยังเร่งปั่นไฟกันอยู่ เมื่อเห็นขีดเลือดของผมใกล้มาถึงขีดสอง ตัวละครของใครคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาอุ้มตัวผมลงจากเสา

“ขอบคุณมาก” ผมนี่น้ำตาแทบปริ่ม

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูระวังอย่าไปทางซ้าย คิลเลอร์อยู่ตรงนั้น” เสียงพี่นนท์พูดไพเราะเพราะพริ้ง เล่นเอาผมอยากนอนระทวยกับน้ำเสียงทุ้มละมุน เกิดอยากบาดเจ็บอีกสักรอบสองรอบให้เข็ดขยาด มโนไม่ทันไปไกล เสียงอีคริตตี้ที่หายเจ็บก็ดังมาอีกระลอก

“กรี๊ดดดด อีกแล้ว กูอีกแล้วอีเหี้ย พ่อแม่มึงชื่อตามวอแวเหรออีดอก”

“หนูมีสกิลพันแผลใช่ไหมคะ ?” พี่นนท์เอ่ยถามเสียงอุ่น

ผมขานรับในระหว่างที่คริตตี้โวยวายขึ้นมาว่า “มีค่ะ”

“โอเค งั้นหนูช่วยตัวเองไปก่อนนะคะ พี่ไปช่วยเพื่อนหนูก่อน” จากนั้นตัวละครที่เคยพันผ้าพันแผลให้ก็รีบวิ่งปร๋อลับสายตา

“หมายถึงชักว่าวเหรอ ?” ผมถาม

พี่นนท์หลุดขำมาดังผะแผ่ว ตอบปัดปฏิเสธ “ไม่ใช่ค่ะ หนูนี่ก็...พี่หมายถึงช่วยตัวเอง คือรักษาตัวเองไปก่อน”

“อ๋อ โล่งอก” ผมกระหยิ่มยิ้มย่องชอบใจ ดีใจที่ได้แกล้งว่าที่ผัวให้ชะงักขวยเขิน

จากนั้นพี่นนท์ก็มิวายถามทางคริตตี้ว่า “อยู่แถวไหนคะ”

“ไม่รู้ ตรงกลางมั้ง แมพเหี้ยนี้ก็กว้างเหลือเกิน กรี๊ดดดด กระโดดตะครุบกูอีกแล้ว ! มึงเป็นกระต่ายเหรออีสัตว์หนิ !?”

เสียงเพื่อนรักด่าคำหยาบไม่ยั้งชีวิต ก่อนที่แถบด้านล่างจะมีชื่อพี่นนท์โดนฆาตกรฟาดฟันจนขึ้นสถานะบาดเจ็บแทน

โอ๊ย ผัวแสนดี มีการรับเคราะห์แทนให้ด้วย อีคริตตี้นี่ร่านนักนะ มีผู้ชายมาช่วยบังให้ตั้งสองคน ผมที่เดินหาเครื่องปั่นไฟก็ดันมาเจอะเจอคนวิ่งหนีตาหลุด อีกทั้งยังขับไล่

“หนี ฆาตกรมา !” เสียงพี่นนท์เอ่ยเตือน

แต่ไม่ทันแล้วค่ะ อีอ๊อกกำลังจะหมุนเมาส์หันเหทิศทางไปด้านหลัง อีลูกช่างกระโดดก็ตะครุบตัวละครให้นอนหงายเป็นที่เรียบร้อย

ทำไมต้องเป็นกูอีกแล้ว !

อีคริตตี้ไม่วายสมทบเหมือนครั้งที่แล้ว “ไป ไปตาย”

“ตายจริง” ครั้งนี้ผมโดนฆาตกรมาแขวนเป็นรอบที่สองทำให้ต้องกดดิ้นรนเพราะมีสิ่งของแหลมคมหมายจะแทงลงที่หน้าท้อง เสือกดันกดผิดพลาดผิดจังหวะ กลายเป็นตัวละครที่โดนทิ่มแทงนอนสิ้นสภาพเหนืออากาศ วิญญาณลอยละลิ่วไปกับผืนฟ้าดำทะมึนอย่างน่าขนลุก

อีคริตตี้ที่อยู่ใกล้ๆ ละแวกนั้น เห็นผมโดนฆ่าเข้าหน่อยก็หัวเราะชอบใจ “สมน้ำหน้า” ท่าทางน่าหมั่นไส้ของมันทำผมอดไม่ได้ที่จะนึกสาปแช่งอยู่ภายในใจ ก่อนที่เพื่อนรักจะร้องเพลงก้องกังวานในจังหวะที่วิญญาณของผมกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปบนท้องฟ้า ลอยละลิ่วเข้าสู่หลุมดำขนาดใหญ่อย่างน่าขนลุก “ไปสู่จักรวาล ดวงดาวเป็นพยาน ~” เพลงประกวดนางงามสู่จักรวาลลอยมาในบันดล

ผมหัวเราะขำด่ามันว่า “อีสัตว์” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นผู้ชม ดูเซอร์ไวเวอร์หรือผู้รอดชีวิตทั้งสามแทน เห็นอีคริตตี้มันร้องอุ้ยเพราะเห็นฆาตกรขุดหลุมใหญ่ลงที่พื้นดิน “มันมุดดินได้ด้วยอะ ฮือ” มันพูดพลางขนพองสยองเกล้า “เหมือนมุดหลีเลยไม่มีผิด” วินาทีถัดมาตัวละครคริตตี้ก็ค่อยๆ ย่องกายหนีไปที่เครื่องปั่นไฟที่ว่างอยู่ ถูกปั่นไปเกือบครึ่ง มันจึงสานต่อให้เสร็จ “อ๊อก กูจะเป็นผู้รอดชีวิตแทนมึงเองนะ มึงไม่ต้องเป็นห่วงกู”

“กูแช่งมึงให้ตายอยู่หนิ” ผมบอกมันถึงจุดประสงค์ที่ปรารถนา อีคริตตี้ส่งเสียงหึๆ จะปั่นเสร็จไม่ทันไร ฆาตกรที่หูไวก็เดินผ่านมาทางมัน อีคริตตี้รีบหมอบแทบกราบลงกับพื้นดิ้น “จุ๊ๆ อย่าส่งเสียง” มันเอ่ยปาก ฉับพลันก็หวีดร้องลั่นเมื่อฆาตกรหมุนกายมาเห็นมันที่กำลังอิงแอบอยู่ด้านหลังโขดหินก้อนหนึ่ง “กรี๊ดดด พี่เห็นหนูด้วยเหรอคะ !!?” จากนั้นก็วิ่งรุดไปกับแมพที่กว้างขวาง ฆาตกรกระโดดควับข่วนหลังคริตตี้จนมันร้องโอดครวญ วิ่งหนีด้วยอาการบาดเจ็บกระเสาะกระแสะ ก็ดันโดนไล่ต้อนข่วนจนตัวละครนอนหงายและคว่ำในบัดดล “คว- อีผีเหี้ย !” มันด่าอย่างมีน้ำโห ก่อนจะถูกจับอุ้มนำไปแขวนกับเสาใกล้ๆ  คริตตี้ที่เคยโดนแขวนมาแล้วครึ่งหนึ่ง ครั้งนี้เลยต้องดิ้นรนจากสิ่งที่จะทิ่มแทง

“เดี๋ยวพี่ไปช่วย” พี่เดือนเอ่ยขึ้นมาในหูฟัง

ผมกดดูตัวละครพี่แกที่รีบวิ่งมาหาคริตตี้ แต่ไม่ทันไรอีเพื่อนรักก็กดผิดจังหวะไม่ต่างจากผม หลุดร้องดัง “แอะ !” ออกมาประกอบ

“อ๊อก” มันเรียกชื่อผม

“หืม ว่าไง” ผมขานรับ

มันจึงพูดต่อ “ข้างบนเป็นไงบ้าง ?” ก่อนที่วิญญาณของมันจะถูกส่งเข้าสู่หลุมดำทะมึนอย่างช้าๆ

ผมยิ้มเยื้อนและกล่าวต่อเนิบนาบขึ้นมาว่า “ก็สบายดี”

“เค กูจะไปอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้วน๊า” มันพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน กระทั่งวิญญาณถูกดูดกลืน

“ดีใจจังจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว” ผมดี๊ด๊ามีความสุข

จากนั้นเราก็ประสานเสียงพร้อมกัน “ไปสู่จักรวาล ดวงดาวเป็นพยาน ความงามที่เหนือกว่าใคร ไปสู่จักรวาล เธอจะเป็นตำนาน ประกายตระการฟ้าไกล ~ ไปทั่วจักรวาลลลลล !”

สิ้นสุดเนื้อร้อง ตัวละครพวกพี่นนท์กับพี่เดือนก็เปิดประตูออกจากเกมเป็นอันชนะ ผมที่เห็นแล้วก็ร้องโหเหมือนคนร้องทุกข์

อีคริตตี้ที่มีอารมณ์ชื่นมื่นก็เอ่ยออกมาด้วยถ้อยคำเสียดสี “ก็คืออีพวกร่านตายห่าหมด พวกผู้ชายก็รอดตาย เออ มันเลิศว่ะ”

“ฮ่าๆ” เสียงพี่นนท์หัวเราะขำก่อนจะปลอบประโลม “พวกหนูเล่นเก่งแล้ว สนุกดี พี่ขำจนเหนื่อย”

“พวกหนูไม่ใช่นักแสดงตลกนะคะ” คริตตี้แย้งอย่างอ้อร้อ ก่อนที่หน้าจอเกมจะขึ้นคะแนนแต่ละคนว่าทำไว้เท่าไร

ผมเป็นคนเดียวที่ได้คะแนนน้อยที่สุด แต่ก็ถือว่าเล่นขำๆ คลายเครียดดี

“ต่อไหมคะ” พี่นนท์ถามผม

“ต่อๆ” ผมพยักหน้ารับเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว

จะเล่นเกมต่อ หรือไปเอากันต่อก็ยินยอมพร้อมใจทั้งนั้นละ

“ถามกูยัง ?” คริตตี้เอ่ยขัด

พี่นนท์ที่ได้ยินดังนั้นจึงถามอีกคนด้วย “แล้วน้องคริตตี้จะต่อไหมคะ ?”

“ต่อค่ะ” มันขานรับ

“เอ้า เพื่อ ? จะให้ถามทำไม” ผมแคลงใจ

“เพื่อความสบายใจ” มันตอบอย่างชื่นบาน

ผมพิมพ์ด่ามันลับหลังดิสคอดว่า [อีควาย]

มันพิมพ์สวนกลับในระหว่างที่เราทั้งสี่ค้นหาห้อง [มึงน่ะสิอีดอกทอง]

[ขอบคุณที่ชมว่ากูเป็นดอกไม้แสนสวย] ผมพิมพ์ไปยิ้มไปอย่างกับคนซุกซน และแล้วเราทั้งสี่ก็เล่นเกมเอาชีวิตรอดเกือบห้าตาติด เล่นซะจนหอบเหนื่อยเพราะทั้งขำปนโหวกเหวกทั้งนั้น อีคริตตี้ก็ขออนุญาตเบรกไปทานน้ำสักประเดี๋ยว ตัวผมเองก็เลยเว้าวอนด้วย

“เดี๋ยวมาแป๊บนะคะ ขอลงไปเอาน้ำเหมือนกัน” ผมบอกทุกคนในดิสคอด

“ได้ค่ะ” พี่นนท์ขานรับ ผมเลยถอดหูฟัง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงพี่นนท์กับพี่เดือนพูดเล็ดลอดออกมา แม้จะได้ยินไม่ค่อยชัดนักแต่ก็พอจับใจความได้บ้าง พูดสัพเพเหระเรื่องการงาน

เรื่องนี้อ๊อกขอไม่ยุ่งละกัน เพราะสมองซีกซ้ายของตนเองไม่ได้มีไว้ใช้วิเคราะห์เรื่องเงินๆ ทองๆ เน้นไว้ใช้งานเรื่องสัปดนก็เท่านั้น

อย่างเช่น วันนี้จะทำอะไรกับพี่นนท์ดี หลังจากที่เขาเอากระเป๋าสตางค์มาคืนให้

คิกคาก หัวเราะชอบใจในห้วงความคิด วันนี้อาการคันคะเยอแบบต้องการคารามายแบบสุดๆ

เป็นบ้าค่ะ อยากโดนเย็-อีก ชอบ...จะไปใช้อ้างอิงในนวนิยาย

‘ผัวเกมเมอร์กับนักเขียนขี้คัน’ และคันหลี ชื่อสดใสมากค่ะ น่าส่งประกวดสำนักพิมพ์ ‘แจ่มแจ้ง’ อีกสักที

 

การเล่นเกมนั้นใช้เรี่ยวแรงและปากเปียกปากแฉะไปเสียหมด ทำเอาผมหมดสภาพจนต้องขอไปนอนพักผ่อน ฝั่งพี่นนท์ที่ไม่มีท่าทางจะคัดค้าน หนำซ้ำกลับเป็นห่วงเป็นใยให้ไปนอนเล่น ต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายมาทำธุระกงการของตนเอง ผมที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนก็เข้าทวิตเตอร์สอดส่องหน้าไทม์ไลน์ คลี่ยิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อเห็นคอมเมนต์จากตอนที่อัปล่าสุดมาจากคุณแมวในเว็บชื่อดัง รวมไปถึงนักอ่านหลายๆ ท่าน พอเข้าส่องแท็กของตนเองก็ปรากฎว่ามีรีวิวเต็มไปหมด เริ่มจากคุณแมว

[(>[]<) เรื่องที่ 3 มาอย่างรวดเร็ว #จดจำไม่รู้ลืม #ใครเขาจะไปทนกับมึง #แมวเรื่องสั้นมาให้อ่าน (อีโมจิปักมีด)  เป็นความยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกจมลึกลงไปในห้วงความรู้สึกนั้น เหมือนเราถูกนอกใจเอง เจ็บหัวใจ บรรยายเหมือนตอกตะปู ปักแน่น ฝังลึก อยากกรี๊ด เขียนดีมากแม่] แนบลิ้งก์ให้อีกเช่นเคย ตามติดด้วยนักอ่านท่านหนึ่ง

[แอบคิดไปเองว่า #จดจำไม่รู้ลืม คือเรื่องต่อจาก #ใครเขาจะไปทนกับมึง พอคิดได้แบบนี้แล้วอกมันปวดเลย สงสารน้องถ้าโดนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แบบดีอะมันเหมือนไม่ต้องบรรยายมากมายเลยแต่รู้สึกทุกประโยคอ่านแล้วเจ็บแทน / หอมหัวน้องพีท] จากนั้นก็เป็นความคิดเห็นของคุณแมวที่มีความคิดเห็นเฉกเช่นเดียวกับนักอ่านท่านนั้น ทำเอาผมที่นอนเท้าคางยิ้มขำจนโชว์ซี่ฟันขาวหน้ากระจกที่ตัวเองวางไว้ เหลือบๆ มองๆ จับปัดผมให้เข้าที่เข้าทาง กระหยิ่มยิ้มชอบใจไล่อ่านทวิตที่ร่วมแท็กต่อมา เยอะแยะไปหมดที่มากพอจะฟื้นฟูจิตใจที่เหี่ยวเฉา

[138 #ใครเขาจะไปทนกับมึง รวมเรื่องสั้นคนแพศยา (เรื่องสั้น) พระเอกนอกใจนายเอก แค่นั้นเลย แต่ภาษาอะ ดีมากเลย มันอึดอัดบาดลึกไปหมด คำสั้นๆ แต่ลงคำหนักๆ โกรธตัวสั่นตามนายเอกไปหมด ภาษามันเข้ากับบริบทไปหมดเลย เราไม่สะใจเลย มันมีแต่ความหม่นอะ คีพคูลแต่ยิ่งทำยิ่งเจ็บ ไม่ bad end <3<3]

และอีกมากมายที่ทำให้หัวใจของผมชุ่มช่ำ มีกระจิตกระใจที่จะอยากสานฝันเป็นนักเขียนต่อ

คำพูดของพ่อแม่ที่เคยถามว่าเป็นนักเขียนแล้วได้อะไร ไม่เห็นตีพิมพ์สักทีในหกเจ็ดปีก่อนที่ผ่านมายังคอยติดตรึงในหัวของผมคนนี้ไม่มีวันลืม นั่นก็เพราะผมหมดไฟในด้านการเขียนจากนิยายเรื่องหนึ่งเข้าให้แล้ว เหมือนหลงลืมถึงต้นสายปลายเหตุที่นำพาให้ตัวเองมาเป็นนักเขียนฝึกหัด อธิบายไม่ถูกว่าเป็นเพราะความรักในด้านการเขียนหรือเปล่ากันแน่ หรือเพราะอยากแต่งเรื่องราวและมีคนอ่านแห่แหนมาชื่นชมผลงานจนเราโด่งดังหรือเปล่ากัน ชื่อเสียงอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ใครบ้างเล่าที่ไม่อยากมีชื่อเสียงในวงการ มีคนมาชื่นชมในผลงานที่เราถักทอเป็นเรื่องเป็นราว ถือเสียว่าเป็นผลพลอยได้ในสิ่งที่เราขยันขันแข็ง

แต่หากสักวันหนึ่งเมื่อผู้คนและกระแสมันเริ่มเบาบาง ความโหมกระพือดังไฟที่เผาผลาญเป็นเชื้อเพลิงก็ค่อยๆ ยิ่งดับมอดลงเท่านั้น สิ่งที่จะจุดชนวนขึ้นมาได้คือการปฏิวัติในการลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางคนเสียเวลาเปล่าประโยชน์โดยการวาดหวังไว้ในหัวว่าวันนี้ฉันจะทำ พูดออกมาประหนึ่งมีแรงหมายมั่นขยันแข็ง แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้สิ่งที่พรั่งพรูในหัวค่อยๆ เจือจางเหมือนโรคเกียจคร้านที่คอยเป็นตัวบ่อนทำลาย พอฉุกคิดจะมาปฏิบัติลงมือทำจริงจังก็กลับหลงลืมถึงจุดประสงค์ที่ตนเองแน่วแน่ทั้งที่เคยมีปัญญาแตกฉานมาก่อนหน้านี้

กว่าผลจะออกดอกให้เก็บเกี่ยวก็ล้วนแต่ถูกประคบประหงมดูแลอย่างดีเยี่ยม หมั่นเพียรใช้วิชาความรู้และประสบการณ์ที่หล่อหลอมนำมาใช้จึงจะประสบความสำเร็จ

หากวันนี้ไม่ใช่วันของคุณที่จะออกดอกออกผลให้ผู้คนมาแห่แหนชื่นชมในตัวคุณ คุณก็ค่อยๆ เพียรพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ละเล็กทีละน้อยนำมาใช้ให้เกิดดอกและผลให้มากที่สุด ทุกคนต่างมีฤดูกาลที่ชอบ มีช่วงวัยและเจริญเติบโตด้านความรู้ที่นำมาสู่การประสบความสำเร็จ เด็กบางคนเริ่มรู้สิ่งที่ตัวเองชมชอบตั้งแต่เล็ก มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนก็เพราะการนำความรักเหล่านั้นมาขยันฝึกฝนทุกวี่ทุกวัน ใช้ความสามารถที่ตนเองพึงมีให้เกิดผลประโยชน์ ดั่งเด็กทารกที่กว่าจะย่างก้าวได้ก็ต้องค่อยๆ ใช้เรี่ยวแรงและความเพียรพยายาม

คนเรากว่าจะเดินได้วิ่งได้ก็ไม่เท่ากัน ระยะความเร็วความเหนื่อยล้าก็ไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับคนเราที่กว่าจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องบ่มเพาะความรู้ความสามารถ ฝึกฝนพัฒร่่างกาย นำมาใช้ให้เกิดผล

อย่าไปนึกอิจฉาคนอื่นเลยหรือนึกเสียดายที่วันนี้ไม่ใช่วันของเรา อย่าไปนึกอิจฉาใครเลยที่เรากลับไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกับใครเขา

หากเปรียบมนุษย์คนเราเป็นหนอนแมลงตัวหนึ่ง กว่าจะใช้ระยะเวลาเจริญวัยก็ต้องเคยเป็นดักแด้มาก่อนทั้งนั้น การพัฒนาต่างๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เป็นระยะเวลาที่มีการสะสมอาหารไว้อย่างเต็มที่ ตัวหนอนและผีเสื้อแต่ละชนิดจะเลือกเข้าที่ดักแด้ต่างกันไป ระยะดักแด้ใช้เวลาประมาณเจ็ดถึงสิบวัน กว่าจะเป็นผีเสื้อที่สวยงามหลากสีสันก็เริ่มต้นมาจากช่วงระยะเวลาต่างๆ ทั้งสิ้น

หากวันใดวันหนึ่งมันเหมาะสมมากพอแล้ว วันนั้นอาจจะเป็นวันที่คุณพร้อมจะเผยความสวยดั่งในฤดูกาลที่ดอกไม้บานสะพรั่ง หรือเปรียบเสมือนผีเสื้อที่พร้อมจะโบยบินดูดน้ำหวานจากเกสร

เหมือนวันนี้ที่เป็นวันของผม...

แต่แหมอีดอก อย่างแรกต้องขอบคุณวิกิพีเดีย นึกคำสวยหรูแบบนี้ขึ้นได้เพราะเว็บไซต์ล้วนๆ นึกแล้วก็ภาคภูมิใจ เปลี่ยนไปนั่งเล่นหน้าจอคอมเขียนบทกวีนี้ไว้ใช้อ้างอิงในนิยายดีกว่า ดูเติมเต็มพลังงานบวกให้ผู้คนดี

อีเหี้ยคำพูดฉลาดเฉลียวเหมือนประกวดนางงามแบบนี้ควรได้มงกุฎละปะ ? แบบนี้ควรได้ผัวแล้วไหม ?

[อ๊อกเจ็บคอ : ทำไรอยู่ครับ] สเตปแรกต้องรู้จักอ่อย !!

นี่คือการประสบความสำเร็จในการมีผัวค่ะ จัม !!

‘จำเขียนงี้ค่ะไรท์’

‘รู้ค่ะอีดอก !’ ได้แต่ท้วงติงกับตัวเองในใจ
.
.
.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2019 23:33:06 โดย lookpatty15407 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
กว่าจะตื่นมาอีกทีก็ตอนหกโมงเย็นของวัน นอนแดกบ้านแดกเมืองเหมือนไม่มีงานการทำ เห็นมือถือมีข้อความส่งมาจากพี่นนท์ ผมก็แหกตาดูตัวอักษรที่เพิ่งกว่าจะตอบก็ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วโมงกว่า

[Non : โทษทีค่ะ พอดีพี่นั่งตัดต่อคลิปจนเพลิน] 15:46

[Non : หนูหลับแล้วเหรอคะ ?] 15:49

[Non : งั้นฝันดีนะคะ ไว้ตื่นมาค่อยคุย พี่ขอโทษที่ตอบช้าค่ะ] 16:01

‘ผัวประเสริฐ’ นิยามเหล่านี้หลุดพ้นจากใครไม่ได้นอกจากพี่นนท์แต่เพียงผู้เดียว

อีอ๊อกค่อยๆ พรมนิ้วตอบกลับ [อ๊อกเจ็บคอ : ไม่เป็นไรครับ นี่อ๊อกก็เพิ่งตื่น เผลอหลับไป] ใช้คำว่าเผลอให้ดูเหมือนนายเอกอ้อนแอ้นน่ารักน่าชังชวนน่าหมั่นไส้ เปรียบเสมือนเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์แลนด์ ดังแอเรียลที่เผลอไปเจอผู้ชายเข้าให้ อาการตกหลุมรักจนต้องแหวกว่ายแลกเสียงเพื่อแหกขา นำพาถ่อหลีมาถึงถิ่นฐานของเจ้าชายหล่อเหลาเอาการและพบรัก เผลอใช้ส้อมมาหวีผมก็น่ารักน่าชังในสายตาผู้คน แต่ดูโง่เขลาด้วยความน่าเอ็นดู

นายเอกนิยายวายก็เหมือนกัน เดี๋ยวเผลอสะดุดขาตัวเองเก่ง เผลอนู่นเผลอนี่ล้มตัวไปทาบทับร่างกายพระเอก ใจเต้นสั่นระรัวกับร่างกายแน่นหนา ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็กระชับโอบกอดร่างผ่ายแห้งดุจโครงกระดูกที่ไร้เรี่ยวแรง

ไม่ใช่แค่นิยายวาย นอมอลก็เช่นกัน !

เห็นแล้วชวนน่าหมั่นไส้ที่สุด ! แต่ตัวเองก็แต่งมันทั้งนั้น เพราะไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลยต้องแต่งเพื่อระบายอารมณ์ถึงสิ่งที่ใฝ่ฝันและอยากค้นพบ ตลบคิดแทนตัวละครนั้นๆ ในยามอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ นานา

ครั้นลงมาจากห้องย่างเท้าลงมาที่ขั้นบันไดสู่พื้นกระเบื้อง ก็เห็นแม่ยกถังสีแดงฉานที่มีเสื้อผ้าเพิ่งซักเสร็จมาหมาดๆ  อีอ๊อกรีบเดินไปนั่งขนาบข้างๆ กาละมังอย่างรู้งาน หยิบไม้แขวนเสื้อและที่หนีบมาหนีบเสื้อผ้าทีละอัน

ข้างล่างไม่มีใครอยู่เลยนอกจากผมและแม่ ส่วนน้องๆ คงนอนเล่นอยู่ที่ชั้นสองของบ้าน แต่่ช่างปะไร วันนี้มีแต่เรื่องดีๆ ไม่อยากจะระบายอารมณ์ใส่คนในครอบครัว

ผมเรียก “แม่”

“หืม” แม่ขานรับขณะหยิบอาภรณ์มาห้อยกับไม้แขวนเสื้ออย่างเชื่องช้าสบายอารมณ์

“แม่จำที่แม่เคยพูดกับอ๊อกได้ไหม ที่บอกว่าเพศอย่างอ๊อกสุดท้ายก็ต้องเหลือตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวเหมือนกับใครเขา” ผมพูดเนิบนาบทั้งยิ้มเยื้อนเหมือนไม่แยแส แต่ทั้งที่ภายในใจกลับซึมเซากับสิ่งที่ยังเคยติดตรึงอยู่ในห้วงคำนึง

นั่นเป็นช่วงเวลาที่แม่ก็มีอารมณ์คุกรุ่นอยู่ เป็นช่วงที่แม่ยังไม่รักษาตัวจากโรคซึมเศร้า มีอาการคิดอยากฆ่าตัวตายตลอดเวลา หายใจก็ไม่ค่อยออก แต่ก็ไม่ได้มานั่งประสาทแดกด่าว่าผมคนนี้ เพียงแต่พูดตามความเป็นจริงที่เคยเห็นจากเพศที่สามจากคนใกล้ตัว

“แม่บอกว่าก็มีแค่อ๊อกคนเดียวที่ต้องอยู่ดูแลพ่อกับแม่ ส่วนน้องๆ ก็ต่างไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง แม่ยังจำได้ไหม” ผมถามเนิบนาบก่อนเงยหน้าขึ้นมามองสบตามารดาของตนเอง ใบหน้ายังแต่งแต้มพร้อมรอยยิ้มอมทุกข์

ไม่มีคำไหนเจ็บเท่าคำพูดของบุพการี…

นี่มันก็ผ่านมานานมากแล้วนะ แต่ผมก็ยังจดจำไม่รู้ลืม

“แม่ว่าคนอย่างอ๊อกจะไม่มีวันเจอคนที่รักจริงๆ ใช่ไหม ?” ผมพูดไปก็รอคอยฟังความคิดเห็นของคนตรงหน้าไปด้วย ค่อยๆ ก้มหน้าลงหนีบเสื้อผ้าทีละตัวเพื่อจะนำไปแขวน

“อ๊อก” เสียงของแม่เรียกชื่อ ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปสบตา จ้องมองสีหน้าแม่ที่ดูเคร่งเครียด “แม่ขอโทษที่เคยว่าลูกแบบนั้น แม่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

“ผมรู้…” ก็เพราะความไม่ตั้งใจเลยทำให้ผมจดจำได้ดีไม่เคยเปลี่ยน นั่งยิ้มเฝื่อนต่อหน้าแม่ขณะรับฟังถ้อยคำดังกล่าว

“รู้ไหม ต่อให้อ๊อกจะเป็นเกย์เป็นกะเทย แต่ถ้าอ๊อกวางตัวดีไม่เหมือนกับคนอื่นที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชายไปทั่ว รู้จักป้องกัน รู้จักใช้ความคิดเหตุและผลเหมือนกับผู้ใหญ่ ไม่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่รู้จักโต และก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพเรียบร้อยก็ได้ ขอแค่อ๊อกรู้ซึ้งถึงสิ่งที่กระทำลงไป และรับผลลัพธ์ที่จะตามมาก็พอ ถ้าอ๊อกวางตัวดี อ๊อกก็อาจจะได้เจอคนดีๆ ซึ่งก็อาจไม่ใช่พี่นนท์ก็ได้”

อ่าวแม่ พูดแบบนี้ตบหน้าลูกเลยเถอะ

แม่พูด “อ๊อกอาจจะเจอใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังและแก้ปัญหา รักอ๊อกที่เป็นอ๊อกจริงๆ ยอมรับถึงตัวตนที่เราเป็น ทำอะไรเราก็ต้องรู้ดีอยู่แก่ใจเสมอ และที่แม่พูดในครั้งนั้นก็เพราะแม่พลั้งปากจริงๆ แม่เสียใจที่ไม่สามารถกลับแก้ไขมันได้อีก แม่เห็น ‘นัท’ ทำตัวแบบนั้นก็เลยคิดถึงเราไปด้วย”

นัทคนที่แม่กล่าวเป็นต้นมาคือกะเทยคนหนึ่งที่ติดโรคHIV สุดท้ายก็ป่วยเป็นเอดส์ตาย เป็นคนที่มีนิสัยชอบลักเล็กขโมยน้อยอยู่ตลอดเมื่อมีโอกาส มีอดีตเล่นยามาก่อน อีกทั้งยังเคยติดคุก ชอบเที่ยวกลางคืนและปล่อยเนื้อปล่อยตัว สุดท้ายก็ติดเชื้อจากผู้ชายที่ตัวเองไปพัวพัน แต่ก็มีนิสัยดีอยู่อย่างซึ่งก็คือรักพ่อแม่และคอยช่วยเหลือเรื่องงานบ้านงานเรือนแก่มารดา

ถึงอย่างไรก็เป็นลูกคนโตที่แม่ของเขารักใคร่ยิ่งนัก คร่ำครวญคิดถึงตลอดทุกวันเวลา ผิดแผกจากลูกสาวที่มั่วสุมเล่นยาเสพติดไม่ต่างกัน แต่ไม่คิดจะช่วยเหลือครอบครัวแต่อย่างใด

แม่คนนั้นก็คือป้าขายกับข้าวที่ผมได้ยินแกด่าลูกค้าซะไฟแรป

“แต่แม่ก็ไม่ควรเอาอ๊อกไปเปรียบเทียบกับคนคนนั้น อ๊อกอาจจะไม่ได้เป็นแบบเขาก็ได้ แม่ไม่คิดบ้างเหรอว่าอ๊อกก็อาจจะมีชีวิตที่ดี มีคนรักที่รักอ๊อกจริงๆ ก็ได้” ผมตอบกลับไปพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า เย้ยหยันตัวเองอยู่ภายในใจว่านี่เราก็แอบหนีแม่ไปขายตัวเมื่อไม่กี่วันก่อน พอฉุกคิดเช่นนั้นก็ทำให้คำพูดของแม่ดูส่งผลกระทบต่อจิตใต้สำนึกของผมเข้าอย่างจัง

ก็เพราะคิดว่าชีวิตมันตลกร้ายดี รู้สึกทุกข์ระทมจนอยากฆ่าตัวตายทุกวี่ทุกวัน เรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ แม้แต่พ่อกับแม่ก็เช่นเดียวกัน

ครอบครัวเราแต่ก่อนก็ไม่ได้อบอุ่นเหมือนใครเขา...แม่ที่รักษาตัวก็กลับไม่เป็นแม่คนก่อนที่มีโรคไมเกรนและพาลด่าทอลูกๆ จนต้องร่ำไห้

เสียงของพ่อกับแม่ที่ทะเลาะกันตั้งแต่อ๊อกยังเด็ก ภาพวัตถุบางสิ่งที่มาจ่ออยู่บนหัวก็ยังจดจำได้ดีไม่มีวันลืม เสียงแรงกระแทกทำลายข้าวของ สุรเสียงที่ตะคอกด่าทอจนอ๊อกต้องเข้าไปห้ามปราม หวังเป็นที่พึ่งแทนน้องๆ ที่ร้องไห้งอแง และหวังเพียงว่าพ่อกับแม่จะเห็นใจแก่ลูกชายคนโตคนนี้สักครั้งหนึ่ง

ยามนั้นอ๊อกก็อยากจะบอกพ่อกับแม่ว่าตัวเองก็จะสติแตกไม่ต่างจากพวกท่านทั้งสอง อ๊อกไม่ชอบเสียงตะคอกด่าทอ สารพัดคำหยาบที่พ่นใส่กัน ไหนจะวัยเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งจากเครือญาติอีก กว่าจะเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้นั่นก็เพราะต่อสู้และเอาชนะกับความคิดที่ฉุกคิดอยากจะฆ่าตัวตาย หนำซ้ำกลับตบตีทำร้ายร่างกายตัวเองอีก

เรื่องเหล่านี้อ๊อกไม่เคยอยากให้พ่อกับแม่ต้องมารับรู้พลอยนึกเป็นห่วง อ๊อกคิดแค่ว่ารอตัวเองต้องอดทนตรอมตรมจนทนไม่ไหว

แต่คำว่า ‘ทนไม่ไหว’ เหล่านี้ ตัวเรานั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันจะเป็นเช่นไร เพียงแต่ตอนนี้หลายๆ สิ่งมันเปลี่ยนแปลงไป อ๊อกที่เคยทำร้ายตัวเองเลยไม่กลับไปทำเช่นนั้นอีก…

ไม่รู้จู่ๆ เป็นบ้าอะไรก็เอาเรื่องทุกข์มาพูดเรื่อยเปื่อย

“แม่เข้าใจแล้ว แม่ขอโทษนะ” แม่พูดพลางยื่นมือมาลูบหัวเพื่อปลอบประโลม

สัมผัสที่ผมอยากจะได้รับมากที่สุดนั่นก็คือความรักจากคนในครอบครัว แม่ที่รักตัวเองและรักลูกก็ได้มอบสิ่งที่ผมใฝ่หา

“อ๊อกขอโทษนะ ที่เอาเรื่องเครียดมาพูดให้แม่เครียดเฉย” ผมพูดด้วยท่าท่างลำบากใจพลอยสำนึกผิด

“ไม่หรอก แม่ดีใจด้วยซ้ำที่อ๊อกระบายมันออกมา” แม่คลี่ยิ้มบางจนเห็นริ้วรอยจางๆ

แม่ที่เคยสวยสะพรั่งในคราก่อน จนใครต่อใครต่างก็คิดว่าเป็นพี่สาวของผม ยามนี้ก็อายุอานามมากแล้ว ผมที่เห็นแม่ยิ้มระบายออกมาก็ยิ้มพร้อมผงกหัวรับ ยู่ปากบ่นกระปอดกระแปด

“แม่ว่าอย่างพี่นนท์นี่พอเป็นไปได้ไหม ?” ผมถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“แม่ก็ไม่แน่ใจ แต่เขาก็สุภาพดีนะแม่ว่า หากเขามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านไปกับลูก มันก็พอเป็นไปได้ แค่คำว่ารักอย่างเดียวไม่มากพอหรอกอ๊อก วันๆ หนึ่งเราอาจไม่รักเขาขึ้นมาก็ได้ แต่ให้คิดเสมอว่าเขาคนนี้คือคนที่จะสามารถอยู่กับเราจนแก่เฒ่าต่อไปได้ไหม”

“มันก็จริงอย่างที่แม่พูด” ผมพยักหน้าตลบคิดให้กระจ่าง นั่งหนีบผ้าคุยสัพเพเหระกับแม่ต่อ

 

ในเวลาสามทุ่มกว่าๆ เป็นเวลาที่มีใครคนหนึ่งมายืนรอผมอยู่นอกรั้วบ้าน ผมที่เปิดประตูออกมาเมื่อไม่เห็นคนอื่นนอกจากชายตรงหน้าก็ค่อยๆ ย่างเท้าออกมายืนจังงันต่อหน้าคนที่ตัวเองแอบชอบ

“หวัดดีพี่นนท์” ผมโบกมือทักทายเหมือนนายเอกเก้อเขิน

“ดีค่ะ” พี่นนท์คลี่ยิ้มรับจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้มของลักยิ้มที่ปรางขาว ก่อนจะยื่นสิ่งของมาคืนให้ “นี่ค่ะ กระเป๋าสตางค์ที่หนูทำหล่นเอาไว้”

“ขอบคุณนะครับ” ผมยื่นมือไปหยิบรับจากรั้วกั้น จากนั้นบรรยากาศรอบด้านก็กลับมาเงียบสงัด

มันเหมือนในนิยายวายเลยละที่ตัวละครสองคนกลับทำตัวไม่ถูก และไม่รู้จะชักแม่น้ำทั้งห้ามาเปิดประเด็นให้พูดคุยไปเรื่อยยังไงดี เรายืนเก้อกันสักพัก แต่ก็ไม่นานเท่านิยายที่ทิ้งเวลาไปหลายนาที

มันก็แค่เสี้ยววินาทีแต่ก็พลอยทำให้อึดอัด

ผมตัดสินใจเลือกที่จะทำสิ่งๆ หนึ่ง โดยการเปิดประตูหน้าบ้านออก ก้าวเท้าเข้าไปหาอีกคนหนึ่งก้าว จากนั้นก็กวักมือให้เขาโน้มหน้าลงมา

“คะ ?” พี่นนท์ขมวดคิ้วมุ่น ร้องเสียงหลงอย่างฉงน

ผมจิกอุ้งมือด้านซ้ายอย่างแรงเพราะเขินจัด กวักมือเป็นการบ่งบอกผ่านอิริยาบถ แต่พี่นนท์ก็กลับเอียงคอไม่เข้าใจ “เฮ้อ ก้มหน้ามา” สุดท้ายผมก็ต้องปริปาก มิวายถอนหายใจทิ้ง

พี่นนท์ส่งเสียง “อ๋อ ค่ะ” ก่อนที่ใบหน้าเรียวขาวสะอาดสะอ้านแทบไม่เห็นรูขุมขน

อีห่า คนแบบนี้มันมีอยู่จริงๆ ว่ะ รูขุมขนแทบไม่เห็นที่เบ้าหน้า เผลอลอบมองก็พาลนึกอิจฉา นี่ว่าที่ผัวให้หมอคลินิกยิงเลเซอร์ลบล้างรอยขุมขนหรือเปล่ากันแน่ แต่ช่างเถอะ วกกลับเข้าประเด็นหลักโดยการเอียงกายไปด้านขวาเล็กน้อยและยื่นใบหน้าเข้าไปหอมแก้มของอีกฝ่ายโดยไม่ให้ทันตั้งตัว

เสียงดังจุ๊บ ! จึงบังเกิด ผละกายออกมาก็เห็นอีกคนจ้องตาค้าง

อ๊อกไม่เสียเวลาที่จะยื่นมือไปสัมผัสที่ระดับหัวใจของอีกฝ่าย

ตึกตักๆ จังหวะถี่กระชั้นทำผมหายใจคล่องคอ พานแย้มยิ้มกว้างเงยหน้าไปสบตาคนตัวโต ขยับปากส่งเสียงหวานผิดปกติ

“อ๊อกว่าเราคบกันเลยดีกว่า”

“...”

“คุยดูใจมันเสียเวลา เรามาคบจริงๆ จังๆ กันดีไหม ถ้าไปไม่รอดค่อยว่ากันอีกที” ผมอธิบายด้วยความแน่วแน่ จิตใจฮึกเหิม พี่นนท์ที่ได้สติก็ขยับปากถามกลับกับท่าทางจริงจังที่พบเจอ

“หนูจะเอาจริงเหรอคะ ?”

“จริงสิ เรื่องนี้ใครเขาจะเอามาล้อเล่นกัน” พูดแล้วก็หัวเราะพานขยับไม้มือขยับมือไปมา ทั้งแกว่งทั้งปัดไปที่ชายเสื้อเพื่อเช็ดหยาดเหงื่อที่ค่อยๆ ไหลผุดซึม

อย่างที่แม่บอก...ฉะนั้นอ๊อกจะนำมาปฏิบัติพิชิตใจให้คนที่เขาชอบเรา หลงจนโงหัวไม่ขึ้น

หมายถึงเขา ? ไม่ใช่ค่ะ

หมายถึงเรา ? ไม่ใช่ค่ะ

งั้นหมายถึงใคร ?

คำตอบง่ายๆ

คือคว-ค่ะคุณกิตติ

หลงงงงงงงงงงงงง จนหัวไม่ผงกอีกต่อไปเลยค่ะ

จะรีดน้ำเชื้อเสียให้เข็ด…

‘ไม่จำเป็นต้องสุภาพเรียบร้อยก็ได้ ขอแค่อ๊อกรู้ซึ้งถึงสิ่งที่กระทำลงไป’

รับทราบค่ะแม่ คำๆ นี้อ๊อกจะนำไปใช้ปฏิบัติอย่างดีเยี่ยม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2019 01:47:45 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
กริ๊ดแอบดราม่าแต่ไหงเทมาเรื่องนี้ได้เนี่ยอ๊อก  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ความพีคมันอยู่ที่ชื่อเรื่อง 555

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 490
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts
สนุกจ้า มารอตลอดตลอด

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่เก้า
[/size]

 

ในที่สุดก็มีผัวกับเขาสักที !! ดีใจมากแม่ นอนกลิ้งไปมาพร้อมกับกอดตุ๊กตาหมีเน่า หลังจากอำลาพี่นนท์ที่ยืนเก้ๆ กังๆ เหมือนคนเขินอาย อีอ๊อกก็เข้าบ้านมาจะแหกปากหลุดเสียงร้องกรี๊ด แต่สายตาของแม่ที่กำลังหรี่ตามองอยู่ตรงบันไดทำให้ต้องเก็บอาการระริกระรี้อยู่ภายในใจด้วยสีหน้าปั้นปึ่ง

คืนนี้หลับฝันดีแน่นอน โอ๊ย ใจผมน่ะนะมันสั่นไปหมดเลย ดีดตัวไปปั่นนิยายต่อก่อนจะสะดุดกึกกับคอมเมนต์ในเรื่องเก่า

[อีกแล้วนะคะ ‘ร่างกายประชั้นชิดกับร่างแน่นหนา’ ประชั้นชิดไม่มีอยู่ในพจนานุกรมค่ะ มีแต่ ‘กระชั้นชิด’ เฮ้อ อ่านแล้วเสียอารมณ์มากค่ะเวลาเจอคำผิด]

ขอโทษนะคะที่ฉันพิมพ์ผิดจากกอไก่เป็นปอปลา บางทีนักเขียนก็มือไวกว่าความคิดภายในหัว ขนาดวันก่อนยังเขียนว่า ‘วัน’ เป็น ‘หวัง’ เลย

ไม่เอาไม่อ่านดีกว่า กลัวใจบอบช้ำเหลือเกินนัก หนีไปอ่านนิยายของนักเขียยนท่านอื่นแทน ก็ดันไปเจอคอมเมนต์ประสาทแดกด่าว่านักเขียนท่านหนึ่ง

[งงกับภาษาที่ใช้เขียนมาก อ่านแล้วคือขัดใจ เช่นกลับมาห้องอย่างว่างเปล่า คืออะไรว่างคะ ? ความรู้สึกเหรอหรือห้องที่ว่างเปล่าจนโล่งไปหมด งง]

งงเหมือนกันค่ะ…

งงกับมึงนี่แหละ ! ความหมายของนักเขียนอาจจะหมายถึงความรู้สึกที่โล่งจนไม่สามารถอธิบายออกมาก็ได้ ย่อมเป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่าเป็นต้น แต่เออก็พอเข้าใจในมุมมองนักอ่านบางท่านที่สับสนกับสำนวนที่แตกต่าง แต่คำพูดที่ใช้ในคอมเมนต์ในนิยายผลงานนั้นๆ ก็ควรรักษาน้ำใจกันหน่อยบ้างไม่ได้เหรอ ?

พอเข้าไปอ่านในแท็กนิยายเรื่องนั้นด้วยอาการอยากเสือก สิ่งที่เห็นในทวิตหลายเดือนก่อนก็คือการจิกกัดว่านิยายเรื่องนี้ช่างยืดเยื้อ เวิ้นเว้อมาถึงสามเล่มจบ ส่วนทางนักเขียนที่ไม่สามารถเมนชั่นตอบกลับได้ ก็ได้แต่คร่ำครวญอธิบายถึงสาเหตุที่นิยายตีพิมพ์เป็นสามเล่มจบ โดยเนื้อหาสองเล่มแรกคือเรื่องของคู่หลัก ส่วนเล่มสามเกี่ยวกับคู่รองสองคู่ พอผมมาเห็นแบบนี้ก็รู้สึกเจ็บใจแทน อาการรู้สึกที่อยากอธิบายให้คนที่ไม่เข้าใจ แต่กลับมาวิจารณ์ในแง่ลบโดยที่ตัวเองก็ยังอ่านไม่ทันจบ กลับตีมูลค่าเรื่องนั้นราวกับเป็นผลงานที่ย่ำแย่ แถมประเด็นหลักอีคนที่วิจารณ์ก็ไม่ได้ซื้อนิยายสนับสนุนผลงานนักเขียนท่านนี้แต่อย่างใด

มึงมันเหี้ยมากค่ะ ! บอกคำเดียวว่า โง่แล้วยังอวดฉลาด !

กว่าจะเป็นนักเขียนสรรหาคำพูดอธิบายเกี่ยวกับตอนนั้นๆ ได้มันยากเย็นแค่ไหนมึงรู้บ้างไหม แต่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของมึงกลับทำร้ายคนคนหนึ่งให้รู้แย่จนติดตรึงอยู่ในความทรงจำ กว่าเขาจะใช้ความหมาย สะกดตัวอักษรแต่ละคำที่จะต้องคิดค้นจากพจนานุกรมไทย สิ่งที่ได้รับกลับคือสิ่งราวกับปฏิกูล และมันไม่ได้มีแค่นิยายเรื่องนี้เรื่องเดียว ผมที่เข้าไปอ่านในหมวดแฟนตาซีก็ดันไปเจอนิยายที่อัปไม่กี่ตอนแถมยังติดอันดับ ปรากฎว่าสิ่งที่เข้าไปพบเจอนั้นนั่นก็คือคำพูดของนักเขียนที่ตัดพ้อต่อนักอ่านที่ด่าว่าผลงานชิ้นนี้ช่างไร้ค่า เปิดเรื่องมาก็ไม่อัปจนจบ แถมถึงขั้นประสาทแดกด่าไล่ให้ไปตาย

คนที่กดดันไม่ใช่ใครนอกจากนักเขียนคนที่ต้องแบกรับ

คำถามคือพวกมึงเป็นเหี้ยอะไรกัน ? นั่นคือสิ่งที่ผมฉุกคิดก่อนจะพรมนิ้วปลอบนักเขียนที่อธิบายว่าตอนนี้ตัวเองได้เป็นโรคซึมเศร้า ‘ขอโทษที่ผลงานของตนเองนั้นไม่สมดั่งใจของนักอ่านบางท่าน ไล่ให้ไปตาย ก็ขอบคุณนะครับ คงจะเป็นอย่างงั้น ไม่แน่ผมอาจจะตายในเร็วๆ นี้’

ผมได้อ่านแล้วรู้สึกใจหายวาบ คำพูดของคนเราคือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก รีบพิมพ์เมนต์ต่อนักเขียนท่านนั้นและขอให้ไปรักษาตัวจากอาการซึมเศร้า ทานยาสม่ำเสมอ ไม่มีผลงานไหนไร้ค่าทั้งนั้นเมื่อมันแล่นมาจากความคิดจินตนาการของคนเรา

สิ่งที่ยิ่งกว่าขยะคือคำพูดของมึงแต่ละคนที่ขับไล่ไสส่งให้คนหนึ่งต้องไปตาย

อีเหี้ยพวกนักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลายแหล่ ต่อให้ด่าแค่ไหนไม่มีวันสะทกสะท้าน สิ่งที่อยากบอกคงมีแค่เก็บนิสัยกมลสันดานแบบนี้ไปใช้กับพ่อกับแม่ของพวกมึงแต่ละคน

ดีที่มีนักอ่านหลายคนคอยสนับสนุนและให้กำลังใจนักเขียนเป็นพันกว่าเมนต์ ส่วนน้อยที่เหลือก็เป็นคอมเมนต์เก่าๆ ที่เชือดเฉือนทำร้ายจิตใจ

สังคมเราน่ากลัวขึ้นทุกวี่ทุกวัน และอาชีพที่ผมกำลังมุ่งมั่นอยู่นี้ก็ทำให้ตัวเองสั่นคลอนทีละนิดอย่างหวาดระแวง หากเราเกิดแต่งนิยายออกมาไม่ดีหรือผิดพลาด ภาษาไม่สละสลวยหรือตรงกับสิ่งที่เขาชมชอบ อย่างนี้ไม่เท่ากับตัวเองโดนตีตราว่ามีผลงานห่วยแตกเลยหรอกเหรอ คิดแล้วก็เศร้าสลด

หันกลับมาปลอบใจตนเองและดูคอมเมนต์ด้วยความกล้าหาญอีกสักครั้ง นิยายของผมนั้นก็ถูกด่าแฝงด้วยถ้อยคำจิกกัด

[‘แอ๊บ’ คือแอ๊บแบ๊วค่ะ ไม่ใช่คำว่า ‘แอ็บ’ แอ๊บคือเช่นแอ๊บโง่ แอ๊บทำตัวเป็นอายมาเขียนผิด เป็นต้นค่ะ]

อืม ขอโทษจ้ะ จะนำไปปรับใช้ในครั้งถัดไป อันนี้เป็นความผิดพลาดของตนเองจริงๆ ที่เขียนผิด แต่คำที่ไม่ถนอมจิตใจคนอื่นเลยก็ทำให้รู้ซึ้งถึงสันดานของคนเหล่านั้นเช่นเดียวกัน

คงมีแค่นักเขียนที่ปลอบใจกันเอง…แต่ก็ไม่หรอก วงการนี้มีเรื่องน่าสนุกอีกเยอะราวกับวงการบันเทิง

ได้แต่แค่นยิ้มและไปรื้อหานิยายผลงานนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่ง ก็มาสะดุดกับบทสนทนาที่เขาเลือกใช้

“จะมี ‘ซักครั้งไหม’ ที่คุณฟังผม” เอ๊ะ คำว่าซักนี่มันหมายถึงซักผ้าไม่ใช่เหรอ ประโยคนี้ควรแก้เป็น ‘จะมีสักครั้งไหมที่คุณฟังผม’ ไม่ใช่เหรอ ? พอไล่อ่านดูจึงรู้ว่านักเขียนท่านนี้เขียนคำผิดเยอะอยู่ คาดเดาว่าน่าจะเป็นวัยรุ่น มีนักอ่านบางท่านคอยเตือนเรื่องคำผิด แต่ทว่านักเขียนก็ดันเขียนในทอล์คของตัวเองว่า ‘รู้ค่ะไม่ได้โง่ ตั้งใจเขียนแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ใครไม่ชอบก็xออกไป’

อืม ความกมลสันดานอยู่ในเชิง อันนี้สิถึงเรียกว่านักเขียนประสาทแดกที่แท้จริง ไม่รู้จักปรับแก้ พลอยทำให้มีคนหมั่นไส้ ไม่น่าหลายวันก่อนเข้าเฟซบุ๊กถึงเห็นกลุ่มแอนตี้แบนผลงานนักเขียนท่านนั้น ทั้งที่นักอ่านก็พูดด้วยถ้อยคำสุภาพและรักษาน้ำใจมากที่สุด

คนเราก็มีหลายประเภทละเนอะ ยกตัวอย่างตัวผมเองก็ใช่ว่าจะดี ก็หวังว่าจะพัฒนาฝึกฝนและฝ่าฟันกับวงการนี้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อเสียก่อน

เป็นนักเขียนมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ…

อย่างเช่นคำวิบัติที่เผลอเขียนผิดประจำจากโลกโซเชียล ยกตัวอย่างเช่น ‘เฟซบุ๊ก’ ก็กลายเป็น ‘เฟสบุ๊ค’ ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ที่ผิด นักเขียนหลายคนเฉกเช่นตัวผมก็ต้องมานั่งค้นหาคำทับศัพท์ให้ตรงความหมาย บางคนพลั้งพลาดบ้างก็อยากให้นักอ่านโปรดเข้าใจ ยิ่งตัวผมยิ่งแล้วใหญ่ เป็นประเภทที่ชอบแต่งนิยายเสร็จก็อัปลงเลยโดยไม่ทันตรวจแก้ โดยเฉพาะคำว่า ‘อัปเดต’ ก็ดันเขียนเป็น ‘อัพเดท’ ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ที่ผิด ‘แช็ต’ ก็ดันเป็น ‘แชท’ ภาษาไทยมีลูกเล่นเยอะแถมยังต้องคอยตรวจทานจากพจนานุกรมไทย-อังกฤษ  ‘เสิร์ช’ ก็ดันเสือกเขียนโง่ดันเป็น ‘เสริท’

และตอนนี้ก็อาจมีนักอ่านท่านหนึ่งกำลังกระโดดข้ามอ่านไปบทพรรณนาอย่างไม่ละเอียดด้วยอาการเบื่อหน่าย

อีอ๊อกก็ตลบคิดไปเรื่อยเปื่อยเพราะมันคือความจริงล้วนๆ และคนไทยอย่างเราก็เป็นประเภทกวาดตามองตัวอักษรแต่ไม่รู้จักจำ อ่านไม่เคยเกินครึ่งสามบรรทัดจบ แต่อย่าว่าแค่สามบรรทัดเลย แค่หนึ่งบรรทัดยังตีโพยตีพายกันใหญ่

เป็นประเทศที่ไม่ก้าวหน้า ไม่ใช่เพราะยังมีอีลุงแก่ๆ ยังคอยบังคับบัญชา แต่เป็นประเทศที่มนุษยบางคนก็ไม่รูัจักตระหนักถึงสันดานและการกระทำของตนเอง ด่าเขาแต่กลับเอาเงินที่ไม่กี่บาทที่คอยกัดกินภาษีราษฎร ช่างโง่เขลาเบาปัญญาและมานั่งโทษว่าช่างปะไร ประเทศยังไงก็ไม่มีวันเจริญหรอก ก็เพราะยังมีคนแบบนี้อยู่บนโลกนี่ไง ประเทศถึงไม่ก้าวหน้าพัฒนาต่อไปสักทีหนึ่ง

นึกขึ้นได้ก็ปิ๊งไอเดียอยากแต่งนิยายแนวนายเอกเป็นนักเขียนดู พอโปรยพล็อตแปะภาพประกอบ ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วโมงก็มีคุณนักอ่านมารีนิยายให้ ปรากฎว่านักเขียนคนดังอีกท่านก็อยากแต่งแนวนี้เช่นเดียวกัน ผมเห็นแล้วก็เอะใจหน่อยๆ แต่พล็อตมันก็ทั่วๆ ไปละ พล็อตซ้ำจำเจกันได้เลยไม่คิดอะไร ยังไงเสียพล็อตนักเขียนก็เก็บไว้ในกองดองอยู่ดี

ฉับพลันมือถือก็สั่นดังครืดๆ อยู่บนโต๊ะคอม ผมที่หันไปมองก็คลี่ยิ้มกว้างกับสิ่งที่ได้พบเห็น

พี่นนท์โทรมา แต่โทรมาด้วยรูปแบบวิดีโอคอล

ผมกดนิ้วที่ปุ่มสีเขียวเพื่อเป็นการกดรับ ยกในระดับที่หน้าจอแหงนขึ้นเพดาน แต่ตาตัวเองนี่เห็นใบหน้าของคนที่ชอบกำลังนอนเล่นอยู่บนตั่งเตียง

“ทำไมหนูไม่มีหน้า” พี่นนท์ทำสีหน้าราวกับช็อก อ้าปากกว้างตาก็เบิกเนตร ผมเห็นแล้วหลุดขำดังพรืด รีบจับมือถือลดต่ำลงมาเล็กน้อยและทำให้เผยใบหน้าของตัวเองในช่องเล็กๆ แถบบนทางซ้ายมือ

“จะด่าว่าอ๊อกไม่มีหน้าไม่มีตาในสังคมหรือไง” ผมเย้าแหย่ ตาก็หันไปดูหน้าจอคอมและเลื่อนเมาส์ดูคอมเมนต์ดราม่าไปเรื่อยเปื่อย

บางทีการเสพเรื่องน่าปวดหัวเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป สักแป๊บก็กดตัดสินใจกากบาทออก หันหน้ามาจ้องมือถือต่อ

“พี่นนท์ยังไม่ง่วงเหรอ ?” ผมถามกลับ ก่อนจะเม้มปากอมยิ้มอ้อร้อต่อหน้ากล้อง ทำหน้าทำตาให้น่ารักที่สุด

อีกฝ่ายหัวเราะพลางหลับตาเหมือนเสียอาการทันทีที่เห็นผมเอียงคอแอ๊บแบ๊ว เขาเอาฝ่ามือลูบหน้าตัวเองแล้วเอ่ยเรียกว่า “หนู” เสียงยานดังลั่น ผมยิ้มขำโชว์ฟันขาวต่อหน้ากล้อง

“แล้วนี่ทำไมแก้ผ้าไม่ใส่เสื้อ” เรื่องนี้คือประเด็นหลัก อ๊อกอยากจะเบิกตาโตแต่ก็ทำได้แค่เสแสร้งไม่ประสีประสา เห็นเนื้อหนังมังสาที่ลาดไหล่ของอีกฝ่ายก็นึกอยากไปประทับตีตรา

“ก็มันร้อนนี่คะ” พี่นนท์เอียงกายตะแคงข้าง ใบหน้าแนบลงกับหมอน “แล้วหนูล่ะ ไม่ง่วงเหรอคะ ? ทำอะไรอยู่”

“นั่งอ่านดราม่าวงการไปเรื่อยครับ” ผมพูดตามความเป็นจริง กลอกตาพลางยู่ปากนึกคิด

จริงๆ อยากถามมากว่าท่อนล่างแก้ผ้าด้วยไหม แต่ก็เกรงว่าจะมีเจตนาลามกจนเกินไป ฉะนั้นเราต้องค่อยๆ อ่อยอย่างมีระดับ

ระดับความคันตอนนี้อยู่ในขั้นปานกลาง ถ้าคันมากหน่อยก็จะเผลอพูดขอดูคว-หน่อยในทันที

ก่อนจะตอบกลับถึงคำถามที่พุ่งประเด็นใส่เรา “ก็แอบง่วง แต่ต้องปั่นนิยายต่อ ว่าจะนั่งเขียนอีกสักพัก”

“งั้นเดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนค่ะ” พี่นนท์ตอบกลับมาพร้อมยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวสะอาดสะอ้านของตนเองจนเห็นไปถึงไรฟันสีชมพูอ่อน

ผมหยิบมือถือมาตั้งข้างกายให้อีกคนเห็นมุมมองของเราจากด้านข้าง มิวายหาอะไรมาตั้งกันร่วงตกหล่น เมื่อภาพอยู่ในระดับมุมมองที่โอเคต่ออีกฝ่าย ผมก็ดีใจแต่ไม่แสดงออกผ่านสีหน้า

วกกลับมาถึงเรื่องที่ตัวเองอยากรู้อยากเห็น “พี่นนท์ปรับแอร์ลงสิจะได้ไม่ร้อน” ผมแกล้งถามชวนคุยสัพเพเหระ ตาก็ไม่ได้หันเหไปสบมือถือแต่อย่างใด นั่งพิมพ์ต๊อกแต๊กบนแป้นพิมพ์

เงี่ยนค่ะ อยากเห็น...อยากเห็น...อยากเห็นคว-โว้ยยยยยย !!! แต่พูดออกไปไม่ได้ ได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอไม่เผยพิรุธ

ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา “ไม่เอาขี้เกียจเดินไปหยิบรีโมตแอร์ค่ะ”

ได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆ หันหน้ามาที่หน้าจอมือถือ เม้มปากทีหนึ่งทำท่าเหมือนคนเคอะเขินไม่กล้าสู้กล้อง พูดออกมาลอยๆ ให้อีกคนพอจะได้ยิน พร้อมกับหันหน้ามาที่โน๊ตบุ๊ก “อ๊อกเขินนะ เห็นพี่แก้ผ้าอะ”

เสร็จกูแน่ !! แก้เลยค่ะ แก้อีก แก้แม่งเยอะๆ เลย บนหน้าจอคอมมีแต่คำว่าเงี่ยนซ้ำๆ เป็นแถบเป็นสิบๆ คำ

และแล้วก็มีคนติดกับ เหมือนคำพูดพระเอกนิยายวายเป๊ะ “ปกติก็เห็นมากกว่านี้แล้วนี่คะ จะอายทำไมกันฮึ ?” เขาเค้นเสียงลอดในลำคออย่างแปลกใจ “หรือหนูไม่ชิน ?”

ผมยังคงมองที่หน้าจอที่เปลี่ยนเป็นคำว่าคว-รัวๆ พลันน้ำเสียงตะกุกตะกัก “กะ ก็…” ก็เงี่ยน ก็มีบ้างที่อยากอมคว- “ก็ไม่ชิน” ทำได้แค่คิดอยากน่าเวทนา

พี่นนท์หัวเราะขำ พลิกกายหงายพานยืดแขนยาวเหยียด เผยให้เห็นถึงแผงอกและกล้ามหน้าท้องแน่นขนัด

อีอ๊อกที่ลอบมองถึงกับชะงัก อีสิ่งเบื้องล่างค่อยๆ ชูชันทีละนิด

แม่คะ ~ !! ลูกเงี่ยน !!!!

“งั้นหนูอยากชินไหมล่ะคะ ?” พี่นนท์ถามเสียงทุ้มราวกับกระซิบหยอกล้อ

อยากค่ะ อยากมากๆ เลย !!

“ไม่ พี่นนท์อย่า” ผมหน้าเห่อร้อนไปหมด ห้ามปราม ทั้งที่ปากนี่ขัดแย้งกับความคิดในใจ

อีกคนแกล้งทำจะเป็นลดหน้าจอไปที่สิ่งเบื้องล่าง ผงกขึ้นผงกลงพร้อมกับส่งเสียง “แอ๊ะ แอ๊ะ…” อย่างยั่วเย้าปั่นประสาท

อีอ๊อกรีบยกมือไปบังหน้าจอมือถือ แต่ปลายนิ้วนี่แหวกออกเผยให้เห็นภาพหน้าจอจากอีกฝ่ายเล็กๆ น้อยๆ

โชว์เลยค่ะ โชว์มาเลย !!

สุดท้ายพี่นนท์ก็เอ่ยออกมาว่า “หนูเอามือออกสิคะ”

คราวนี้อีอ๊อกมือสั่นอย่างลุ้นระทึก ค่อยๆ เอามือลดลงต่ำ สิ่งที่เห็นคือกางเกงบ๊อกเซอร์สีน้ำเงินเข้ม

คว- ! อยากเห็นคว- !

“ดีที่พี่นนท์ไม่เปลือย คนนิสัยแย่” แย่มากๆ แย่โคตรๆ เลยค่ะ มาหลอกให้หวังลุ้นระทึกใจเต้นตึกตักเพื่อรอดูงวง ทว่าสิ่งที่เจอก็คือผ้าบดบังหัวคว-แทนซะงั้น

เย็-แม่ม แม่งเอ้ย ! หัวร้อน !

“พี่ใส่บ๊อกเซอร์ไม่โป๊แล้วนี่ไง” พี่นนท์ขยับมือถือมาฉายที่หน้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างชอบอกชอบใจ

แต่ใจกูอะบ่ดี !!

ผมปิดโน๊ตบุ๊กพับหน้าจอลง ก่อนจะยืนขึ้นเดินไปที่เตียงนอน งอข้อศอกตั้งกล้องให้เห็นใบหน้ากระจ่างชัดและท่วงท่าของผมที่ค่อยๆ คลานขึ้นไปที่เตียงนอนอย่างยั่วยวน หรือจะให้เรียกว่ายั่วเยก็ว่าได้ ! คอเสื้อตัวใหญ่โคร่งแหวกคอกว้างโชว์ผิวเนื้อเนียนลื่น รวมไปหัวนมที่เห็นรำไรแต่ก็แค่ภายในเสี้ยววินาที

พบคนเสียอาการหนึ่งอันตรา…

ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะนอนคว่ำทับหมอนมานอนกอดก่าย เอ่ยวาจาสัพยอกคนที่ลอบกลืนน้ำลายลงคอขึ้นมาว่า “พี่นนท์เป็นอะไรอะ ?”

“...” อีกคนเงียบ เงยหน้ามาจ้องหน้าผม ยกมุมปากด้านขวาขึ้นส่งเสียงซี๊ดคล้ายหงุดหงิดบางสิ่ง กัดฟันกระทบเสียดสี สักพักก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่ถ้อยคำซื่อๆ จะกล่าวออกมาให้ผมบันเทิงใจ

“หนูกำลังยั่วพี่” เขามองผมตาเขม็ง นัยน์ตาดูร้อนแรงชวนคิดมิดีมิร้าย

ผมตอบปัด ทำหน้าซื่อเลิกคิ้วขึ้นสูงเอ่ยขึ้นมาว่า “เปล่า สักหน่อย” ก่อนจะพลิกตะแคงข้างกลายเป็นหงาย ดึงผ้านวมมาห่มกาย “อ๊อกง่วงละ เรานอนกันเถอะ” พูดแล้วก็ฉีกยิ้มหวานไปให้หนึ่งทีเป็นอันจบ

“เรามาอยู่นอนคุยจนกว่าจะหลับดีไหมคะ ?” พี่นนท์ส่งน้ำเสียงเว้าวอนมาทางปลายสาย

ผมเอ่ยปาก “ทำเหมือนที่คู่รักคนอื่นชอบทำกันน่ะเหรอ ?”

“ก็...คงงั้นมั้งคะ” พี่นนท์ที่กลอกตาเมื่อครู่เบะปากก่อนจะพยักหน้ารับ

“แบบนั้นนอนอึดอัดจะตาย อย่างงี้อ๊อกก็ต้องใส่หูฟังคุยไป นอนตะแคงทีเจ็บหูแย่ สายไรก็มีรู้มาพันตัว” ผมอธิบายตามหลักความเป็นจริง ถามว่ายอมทนทำตามได้ไหมเพื่อคนที่รัก มันก็ทำได้ละ แต่มันไม่สามารถทำได้บ่อยๆ นี่ไง

อย่างเช่นการวิดีโอคอลแบบนี้ก็เช่นกัน คบกันไปนานๆ ที เดี๋ยวอีกหน่อยก็มีต่างคนต่างนอน ไม่ต้องมานั่งคอยพิมพ์บอก

“พี่นนท์วิดีโอคอลแบบนี้กับอ๊อกไม่ได้บ่อยๆ หรอก เดี๋ยวพอคบกันนนานๆ ก็ต่างคนต่างนอน” ผมพูดตามความคิดในหัว สื่อให้อีกคนได้รู้แจ้ง

พี่นนท์ส่งเสียงครวญครางเหมือนเด็กงอแง “ฮือ หนูอย่าพูดแบบนั้นสิคะ ใช่ว่าพี่จะไม่สามารถทำแบบนั้นได้สักหน่อย”

“ก็มันจริงนี่นา” ผมพูดเสียงอ่อนพลางกระพริบตาปริบๆ

ทำหน้าซื่อๆ เข้าไว้ค่ะ ใสซื่อให้ดูเหมือนเป็นคนไม่ค่อยมีเงื่อนงำ มีแต่เงื่อนเงี่ยนๆ มาพัวพัน

“ลองดูก่อนสิคะ อย่างน้อยวันนี้พี่ก็ขอนอนดูหน้าแฟนสักวันนึง” พี่นนท์พูดจบก็เบะปากพลันขมวดหัวคิ้วทั้งสองข้างมาชนกัน

แม่คะ ! พี่เขาพูดคำว่าแฟนออกมาเต็มปากเต็มคำเลยค่ะ ! อ๊อกเริ่มทนไม่ไหวแล้วนะคะ !!!

“ก็ได้” ผมพูดอู้อี้ แนบปากกับปลอกหมอนอย่างเอียงอาย

“งั้นนอนกัน” อีกคนยิ้มแฉ่งด้วยความชอบใจ วางมือถือไว้ข้างหมอนข้างและจ้องหน้าผม

ผมเองก็วางเช่นเดียวกับเขา แต่ต่างอยู่อย่างคือผมมีตุ๊กตาหมีสุดที่รักมาโอบกอด เพิ่มดาเมจความน่ารักน่าเอ็นดูเป็นเท่าตัว

“น่ารัก” พี่นนท์เอ่ยออกมาลอยๆ

“รู้ตัว” ผมยิ้มขำ ตอบกลับก่อนจะหลุดหัวเราะ “อายอะ มั่นหน้าชะมัด ฮ่าๆ”

“ฮ่าๆ แต่ก็น่ารักจริงๆ นะคะ” พี่นนท์เองก็หัวเราะ ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่เข้ามาเติมสีสันยิ่งนัก พอสดับรับฟังแล้วทำให้เคลิบเคลิ้มแปลกๆ

ผมขยับริมฝีปากเอ่ยออกมาเบาๆ “พี่เองก็น่ารักเหมือนกัน” พลางหยิบตุ๊กตาหมีมาปิดครึ่งหน้า เหลือแค่แววตาที่สบประสาน

พี่นนท์ที่นอนยิ้มไม่หุบ ไม่นานก็เอ่ยคำบางคำ ทำหัวใจผมเต้นกระหน่ำจนหน้าแดงหูแดงไปหมด แค่คำๆ เดียวว่า “รักนะคะ”

ผมพยักหน้ารับ เพียงชั่วครู่ก็ตอบไม่ต่างจากอีกคน “รักเหมือนกัน” จากนั้นผมก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง ปล่อยความมืดเข้ามาบดบังทัศนียภาพ แต่ยังคงมีเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ และรับรู้ได้ว่าเขายังมองเราอยู่

ไม่นานความง่วงก็ทำให้ผมผล็อยหลับไป พร้อมกับคนข้างกายที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล

ใจคนเรามันใกล้กันแค่นิดเดียว หวานชื่นเหมือนมดพร้อมจะมารุมแดกอย่างหิวกระหาย

หวานอีกหน่อยคงจะเป็นเบาหวานให้ตายกันไปข้าง

นึกแล้วก็ฝันถึงน้ำเงี้ยวหวานๆ เผลอหลุดร้องครวญครางดัง “อื้อ ~” โดยไม่ได้ตั้งใจ

นึกเหรอว่าตื่นมาแล้วจะเห็นฉากองค์ประกอบสมบูรณ์แบบเหมือนก่อนจะฝัน ตื่นมาอีกทีมือไม้ก็วางคนละทิศคนละทาง นอนหงายถีบผ้าห่มหล่นจากเตียงนอน มือถือก็คว่ำอยู่บนฟูกเตียง ดีเท่าไรแล้วที่ไม่เผลอนอนกรน ลอบเช็ดน้ำลายบูดข้างมุมปากเบาๆ ที่มีทีท่าว่าจะไหล ก่อนจะหยิบมือถือมาดู ก็ยังเห็นอีกคนยังผล็อยหลับอยู่ด้วยการหันหน้าเข้าหากล้อง แบตก็เสือกไม่หมดอีก

อีสัตว์ สมบูรณ์แบบราวกับเทพบุตร !

นอนไม่ดิ้นเลยสักนิด นี่คนปะคะพี่ ! หรือว่าตายแล้ว...

“พี่นนท์” ลองย่ามใจเรียกชื่อเขา

“อื้อ” มีเสียงคนครวญครางขยับหน้าลงกับหมอน

โล่งอก คิดว่าจะเป็นแม่หม้ายซะแล้วเรา

เห็นแล้วก็นึกเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะแคปหน้าจอเก็บไว้เป็นบันทึกความทรงจำ จากนั้นก็กดตัดสายทิ้งเพื่อไปอาบน้ำทำกิจวัตรดังเดิม

ครั้นทำอะไรเสร็จตั้งแต่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ไหนจะแก้ผ้าอาบน้ำ อีอ๊อกก็มาดูมือถือที่มีคนทักมา แต่เป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยอยากจะเสวนาด้วยสักเท่าไร

สิ่งแรกเลยที่ทุกคนชอบทำเวลาขี้เกียจนั่นก็คือแสร้งทำเป็นไม่เห็นและไม่ไปตอบ ทิ้งเวลาให้อีกคนปล่อยให้หลีรกร้างเหมือนรอคว-เก้อ

ขอโทษนะคะ แต่ตอนนี้ขี้เกียจพิมพ์ตอบ ทักมารู้เลยว่ามีเรื่องคุยยาว แถมทักมาแต่ชื่อ ไม่ทักมาขอยืมตังค์ก็คุยเรื่อยเปื่อย แต่พอแช็ตใหม่เด้งมาเป็นของคริตตี้ที่ชวนไปกินข้าวข้างนอกแถวโรงเรียนประถมใกล้ๆ ใช้เวลาเดินไม่เกินสิบถึงสิบห้านาที ผมก็ตอบตกลง ก่อนจะทักไปหาพี่นนท์ว่าตัวเองไปทานข้าวกับเพื่อนนะ หากตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำทานข้าวด้วย

ทำหน้าที่เมียได้ดีมากค่ะกูหนิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2019 22:11:53 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
.
.
.
ผมเดินมาถึงแถวโรงเรียนเก่าพร้อมกับเพื่อนรัก รวมไปถึงเอิร์ธสาวสวยประจำกลุ่ม เราแต่งตัวกันบ้านๆ ใส่เสื้อยืดกับกางเกงวอร์มธรรมดา เจอลุงกับป้าที่ขายก๋วยเตี๋ยวที่เคยมาทานตั้งแต่สมัยเด็กก็พลันยกมือไหว้ ดีที่พวกท่านจำเราได้ทั้งที่ก็ผ่านมาหลายสิบปี

“ผมเอามาม่าเนื้อสดครับ” สั่งเมนูเสร็จสรรพก็ก้าวขาขึ้นบันไดสามสี่ขั้นไปนั่งขัดตะหมาดอยู่ที่ตั่งที่นั่งแบบไร้เก้าอี้ จริงๆ มันก็มีโต๊ะมีเก้าอี้นั่นละ แต่มุมที่เรานั่นอยู่มันเป็นข้างเขื่อนที่มีน้ำสีเขียวไม่ใช่ดำทะมึนที่เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล

“นึกถึงสมัยเรียนเนอะ ที่มานั่งแดกก๋วยเตี๋ยวแล้วลุงเปิดหนังโดราเอมอลให้ดู” คริตตี้ว่า ทำให้ผมต้องคลี่ยิ้มมองไปที่ภายในบ้านที่มีชั้นทีวี

สมัยเด็กถ้าเด็กคนไหนมาเร็วหลังเลิกเรียนก็จะได้จับจองที่นั่งกับกลุ่มเพื่อนพ้องพลางทานข้าวดูหนังไปด้วย

“ใช่ๆ แล้วถ้ากินหมดมีลูกค้าใหม่ลุงแกก็จะไล่ให้ไปนั่งข้างนอก” เอิร์ธว่าพร้อมหัวเราะขำจนไหล่สั่น

“จริง ร้ายมาก” อีคริตตี้เบะปากพยักหน้ารับ นินทาเจ้าของร้ายอย่างขำขัน ก่อนที่ก๋วยเตี๋ยวมาม่าที่เรากินประจำจะมาเสิร์ฟลงที่โต๊ะพร้อมกับเครื่องปรุงรส

ขอไม่ไทอินว่าเป็นมาม่าเป็นของอะไร เพราะยังไงก็ไม่ได้ค่าโฆษณา

ผมฉีกซองก่อนจะปรุงรสตามใจชอบ ไม่ทันไรก็มีอีกคนเดินมานั่งสมทบ คนคนนั้นก็คือเจ้ปราย

“ปรายไม่สั่งก๋วยเตี๋ยวเหรอ ?” คริตตี้ถาม

เจ้ปรายส่ายหน้า “ไม่อะ แค่มานั่งเล่นเฉยๆ”

“ดูว่างมาก” คริตตี้พยักหน้ารับเอ่ยกระทบเสียดสี ก่อนจะหันไปทางเขื่อนก็หลุดร้องอุ้ยตกกะใจ พลอยให้ทุกคนต้องหันไปมองตาม

ตัวเหี้ยครับ...สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำตัวเบ้อเร่อ มันกำลังแหวกว่ายอยู่ในเขื่อนผ่านหน้าเรา ผมรีบยกมือถือมาถ่ายอัดอย่างไว เสียงอีคริตตี้ก็ดังเข้ามาในวิดีโอที่หมายจะลงอินสตาแกรม

“อ่าวอีปรายทำไมไม่คุยกันดีๆ ไปว่ายน้ำทำไมวะ” อีคริตตี้ตะโกนผ่านหน้ากล้องทำให้ผมต้องหันกล้องไปทางมันสลับกับตัวเหี้ยที่กำลังว่ายผงกหัว

เจ้ปรายหัวเราะ ท้วงติงกับอีคริตตี้ “กูอยู่นี่”

“อุ้ย ! อ่าวเหรอ กูก็คิดว่ามึง เห็นหน้าเหมือนกัน” อีคริตตี้สะดุ้งเล่นใหญ่โอเวอร์แอคติ้ง ทำท่าถอยหลังเอามือยันลงกับตั่งที่นั่ง

ผมเห็นแล้วหลุดหัวเราะขำก่อนจะกดปิดคลิปแชร์ลงสตอรี่ประจำวัน

อยู่กับพวกมันผมเป็นตัวเองมากที่สุด หัวเราะบ่อยมากกว่าอยู่กับคนในครอบครัวเสียอีก

เอิร์ธที่ตักเส้นมาม่าขึ้นมาด้วยตะเกียบก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ “เออมึง ล่าสุดกูไปดูดวงมา หมอที่ดูดวงแม่นมากบอกว่าคนใกล้ตัวอะมีคนแอบชอบกูอยู่”

“ก็คือไอ้ติม” คริตตี้ว่า ส่วนผมที่นั่งทานมาม่าเงียบๆ ที่ไม่รู้จักกับคนที่ชื่อติมเป็นทางการก็ไม่ได้เก็บมาครุ่นคิดหรือตั้งคำถามว่าเป็นใคร

แต่สงสัยน่าจะเป็นคนใกล้ตัวเอิร์ธนั่นแหละ

“อีควาย” เอิร์ธว่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะคีบตะเกียบที่มีมาม่ายัดใส่ปาก เคี้ยวกลืนไปคำหนึ่งก็กระดกน้ำดื่มพูดต่อ “แต่หมอที่ดูดวงแม่นมากนะบอกว่ากูอะจะมีเงินเข้ามาตลอด ซึ่งกูก็ได้จากแม่ประจำช่วงนี้ แถมหมอดูยังบอกอีกว่าชีวิตนี้กูจะสุขสบาย”

“ก็คือตาย” คริตตี้เอ่ยสัพยอก แต่ใบหน้านี่เรียบนิ่งพลางยกน้ำขึ้นดื่ม สร้างเสียงครื้นเครงแม้แต่ผมที่กินน้ำอยู่ยังสำลักเกือบพุ่งใส่หน้ามัน ก่อนที่อีเพื่อนรักจะวางแก้วลงกับโต๊ะ ดื่มน้ำชื่นใจจึงแค่นยิ้ม นัยน์ตาทอดมองอย่างล้อเลียน “เป็นกูก็ดูดวงได้” มันกล่าวอย่างกระมิดกระเมี้ยน ทำไม้ทำมือเหมือนมีอะไรอยู่ในมือ โดยมือซ้ายแบอยู่ด้านล่าง มือขวาคว่ำอยู่เหนืออากาศ พูดพลางบิดกายไปทางเจ้ปราย “หมอจะบอกว่า...ชาตินี้หนูจะไม่มีผัว จากนั้นหมอก็จะยื่นกระจกให้ดู ไม่ต้องเปิดไพ่ดูดวงชะตา แค่เห็นหน้าหมอก็รู้ชะตากรรม อันนี้หมอไม่คิดตังค์” จากนั้นปลายนิ้วชี้ก็จรดลงที่โต๊ะ ทำเหมือนมีแบงค์ยื่นคืนให้อีกฝ่าย

ครั้งนี้ทุกคนขำพรืดกันหมด ผมที่ดื่มน้ำอยู่เพราะยังเผ็ดร้อนกับน้ำชุปที่แดกถึงกับพุ่งพรวดใส่หน้ามันที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อีคริตตี้หลุดร้องกรี๊ดอย่างขยะแขยง หยิบทิชชู่มาเช็ดหน้าเช็ดตา “อีเหี้ยอ๊อก อ๊าย สกปรก อีเหี้ย !”

“ขอโทษมึง” ผมพูดไปไอโครกไปจนหน้าดำหน้าแดง ดีที่มีเอิร์ธช่วยเอามือปลอบหลัง ไล่ฝ่ามือขึ้นลงพลอยให้รู้สึกดีขึ้นเยอะ ไม่รู้ว่าช่วยให้อาการดีขึ้นจริงไหม แต่สัมผัสที่ให้มาก็พอให้ผมรู้สึกโอเคกับการสำลักน้ำ

 

หลังจากจ่ายตังค์พวกเราทั้งสี่คนก็ออกมาเดินเล่นในช่วงบ่ายของวันแถวเอเชียทิค ข้ามฟากถนนจราจรก็จะเห็นทางซ้ายมือมีน้ำพุประดับ ร้านค้าอาหารต่างๆ มากมายสารพัด จุดชมวิวเอาไว้ถ่ายรูปต่างๆ นานา แต่สิ่งที่เราเดินมาคือร้านขายเครื่องสำอางสารพัดที่มีราคาแตกต่างกันไป บิวเทรี่ยมที่อยู่ฝั่งขวามือของเอเชียทิค หากเดินไปอีกหน่อยจะเห็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงลิบลิ่ว บรรยากาศจากด้านบนค่อนข้างดีหากมองในเวลาพลบค่ำ ส่วนเรื่องราคาตั๋วนั้นขอไม่พูดถึง ลองไปถามไถ่ใช้บริการกันเอาเอง

อีคริตตี้เดินไปลองลิปสติก แตกต่างจากเอิร์ธที่ลองรองพื้นที่ใช้สีใกล้เคียงกับผิวหน้า เจ้ปรายก็เดินดูไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็มิวายหยิบลิปตัวเทสมาทาปากให้แดงระเรื่อเล็กน้อย

ผมเองที่โดนคริตตี้ลากมาโซนหนึ่ง มันก็หยิบลิปสติกที่เพิ่งมาใหม่ยังไม่ผ่านการทดลองใดๆ มาทาปาก

“สีสวยอยู่” มันพูดจบหลังจากเกลี่ยลิปด้วยปลายนิ้ว ผมที่เดินมาที่หน้ากระจกสี่เหลี่ยมก็มองใบหน้าตัวเองที่โดนทาปาก ไม่ทันจะมองอย่างละเอียด อีเพื่อนรักก็ลากไปทาแก้มต่อ

“มึง อย่าปัดเยอะเดี๋ยวกูแก้มแดงเป็นตูดลิง” ผมเอ่ยเตือนอย่างหวาดระแวง

“รู้หรอกน่ะ กูปัดเบาๆ ให้หน้ามีเลือดฝาดพอ” มันว่าพานใช้ปลายนิ้วกลางกับปลายนิ้วนางมาถูๆ ไถๆ ที่พวงแก้มนิ่ม จากนั้นก็ตามมาด้วยเปลือกตาทั้งสองข้างของผม

เมื่อสมดั่งใจอีเพื่อนรักก็ผละกายออกห่าง เอามือจับที่เรียวแขนของผม พลางเอนตัวไปด้านหลังเพื่อมองใบหน้ากระจ่างชัด “ดูดีขึ้น หวานเหมือนเคะในนิยายวาย ยั่วเย็-ดี”

“ไหน กูดูก่อน” ผมลุ้นระทึก รีบวิ่งไปที่กระจกสะท้อนภาพ เห็นสิ่งประทินโฉมก็แอบนึกชมเชยมันในใจที่จับผมแต่งหน้าออกมาไม่สาวมากนัก แต่ก็ดูดีขึ้นให้ใบหน้ามีน้ำมีนวล มีสีสันเล็กน้อยไม่จืดชืดเหมือนคนเพิ่งตื่น “ดูดี”

“ใช่มะ” คริตตี้ที่เดินมาขนาบข้างกายเอาคางเกยอยู่ที่บ่าไหล่ของผม “คิ้วมึงหนาเหมือนหมอยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปัด ปะ ไปแดกไอติมถ่ายรูปเล่นกัน” จากนั้นมันก็จูงมือผมออกจากบิวเทรี่ยม ส่วนคนที่ได้ซื้อเครื่องสำอางก็ไม่ใช่ใครหน้าไหน นอกจากเจ้ปรายที่เป็นเกย์แมนๆ แต่แต่งหน้าทาปาก

โซนบิวเทรี่ยมอยู่ใกล้กับร้านไอศกรีม เราทั้งสี่ที่แดกของคาวเลยมาปิดท้ายด้วยของหวาน ผมที่กดถ่ายรูปหามุมสวยๆ ก็จัดบิงชูมารับประทาน ก่อนจะยื่นมือถือให้เพื่อนถ่ายให้ ยกขึ้นมาขนาบข้างกระพุ้งแก้ม ชำเลืองมองไปที่บิงชูและอ้าปากเป็นรูปตัวโอเหมือนโอ้โหกับของหวาน เมื่อถ่ายเสร็จจึงมานั่งไล่ดูรูปภาพ ตกแต่งด้วยฟิลเตอร์สวยๆ และอัปลงอินสตาแกรมในทันที ก่อนจะเริ่มจ้วงแดกเหมือนอีแร้งรุมกินคน

กะเทยมีกระเพาะอาหารเหมือนกับผู้ชาย ฉะนั้นแดกเท่านี้ไม่ถึงกับอิ่ม เราเลยจัดไอศกรีมมารับประทานอีกคนละถ้วย ระหว่างนั้นก็ไม่วายเว้นจะถ่ายรูปหามุมมอง อัปลงสตอรี่ประจำวันเฉกเช่นเคย ผมนั่งไถไปเรื่อยก็เพิ่งมาเห็นว่าพี่นนท์มาขอเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กรวมถึงในอินสตาแกรม เห็นดังนั้นอีเมียคนนี้ก็เลยรีบกดรับด้วยความยินดี

ผ่านพ้นไปห้านาทีได้ ชายหนุ่มที่ตัวเองได้ตกลงปลงใจขอเป็นแฟนก็ส่งข้อความมาในอินสตาแกรมที่ผมได้อัปรูปสตอรี่ไปหมาดๆ

[วันนี้ดูน่ารักจังเลยค่ะ]

[ปกติก็น่ารักตลอดนะ] ผมพิมพ์ตอบกลับ ก่อนจะเห็นรูปอิโมจิเคลื่อนไหวคล้ายกำลังจะพิมพ์ถ้อยคำบางอย่าง

[วันนี้หนูตื่นมาทำไมไม่ปลุกพี่ล่ะคะ งอนนะ :(]

แงงง ผัวงอแงอะ อยากไปปลอบประโลมอ๊อกๆ ที่กระดอเลย

ต้องอดทนอีกหน่อย ความร่านเปรียบเสมือนของหวานที่ขาดแคลนไม่ได้

ท่องเข้าไว้อีกไม่นานเราก็จะได้เจอคว-

คิดเรื่องเหี้ยๆ ด้วยความเปรมปรีดิ์

[ไม่งอนนะครับ ถ้าไม่งอนเดี๋ยวคืนนี้อ๊อกไปนอนที่บ้าน] หยอดคำหวานเข้าไป ใส่มันเข้าไปอีก เผยความดอกทองช้างลากเย็-ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากเพื่อนสนิทมิตรสหาย

[ทำไมหนูชอบอ่อยอะ] พี่นนท์รีบพิมพ์โต้ตอบ

[แล้วไม่ชอบอ๋อ ?] ผมถามกลับ

[ชอบ…] อีกฝ่ายเว้นจุดๆ ดูเหมือนชายหนุ่มลุ่มหลงตกอยู่ในพะวัง [งั้นวันนี้มานอนนะ]

อีเหี้ย เขาอ่อยอะ ! ผัวหนูอ่อยกลับอะแม่ ! อ๊อกทำใจไม่ได้

แถมยังทิ้งคำที่ดูซึมเซาแฝงด้วยความออเซาะอยู่ในที [คิดถึงจังมาหาหน่อย]

กี่ครั้งแล้วกับคำว่าคิดถึง กี่ครั้งแล้วที่คำว่าคิดถึงอะมาหาหน่อยทำให้หลีต้องดำเป็นเห็ดหูหนู หลีมันพังไปเท่าไรแล้วกับคำๆ นี้

ไม่...เราจะต้องไม่เสียตัวง่ายๆ กับแค่ประโยคง่อยๆ พรรค์นี้

“อีอ๊อกมือสั่นอีกแล้ว” คริตตี้ที่ตักไอศกรีมเข้าปากลอบมองผมที่เหยียดยิ้มร้าย ก่อนจะเอนกายไปกระซิบกระซาบกับเอิร์ธกันสองคน “ยิ้มน่ากลัวมาก มึงว่ามันกำลังคิดเรื่องชั่วปะ ?”

“กูได้ยินนะ” ผมกล่าวกระแนะกระแหน

อีคริตตี้ร้อง “อุ้ย !” เอนกายมานั่งประจำที่ดังเดิม ส่วนผมยังลูกตาจ้องอยู่กับมือถือราคาแพง

แพงแบบไหนคะ ? อย่าเสือก

[ไม่เอาหรอก กลัว] พิมพ์ประโยคเหมือนนางเอกขี้ระแวง ทั้งที่จริงก็ขี้เงี่ยนยิ่งกว่าคนติดสัด

พี่นนท์พิมพ์กลับมา [พี่มีอะไรให้กลัวคะนอกจากความน่ารัก]

ต๊าย พูดออกมาได้คุณพ่อนักบุญ บุญบาปน่ะสิ น่ารักกับผี ท่าทางคำพูดคำจาดูก็รู้แล้วมีเจตนาอะไร

อีอ๊อกไม่ใช่คนง่ายๆ หรอกนะจะบอกให้ !

ฉับพลันก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าจ้องตาอีคริตตี้อย่างหมายมาด

“มึงวันนี้จับกูแต่งตัวเป็นผู้หญิงหน่อย”

“ฮะ ? มึงจะไปไหน”

ผมตอบ “ไปหาพี่นนท์”

อีอ๊อกจะเอาตัวเข้าแลกเพื่อสวมบทบาทเป็นนายเอกเฟมบอยที่ชื่นชอบการแต่งหญิง จะได้นำไปใช้อ้างอิงในนิยาย

เปล่าหรอกค่ะ ที่แท้จริงก็แค่ข้ออ้าง ที่อยากสวยก็หวังให้ผู้ชายลุ่มหลงจนต้องละเมอเพ้อพก

เราต้องไม่ง่ายนะ…

แต่ถ้าผู้ชายมันหล่อ

ก็เอาหลีเข้าสู้ !!

ฝากถึงคนที่ดอกทองชอบร่านไปเที่ยวเอากับผู้ชายไปทั่ว

อยากบอกว่าคุณใช้หลีได้อย่างคุ้มค่าแล้วค่ะ ดีใจกับคุณด้วย

เย็-ต่อ ไม่รอแล้วนะ !

 

กลับมาบ้านก็อ้างบอกแม่ว่าคืนนี้จะไปนอนบ้านคริตตี้ แม่ก็หรี่ตามองสักพักก็ไร้ทีท่าจะเอะใจ ผมจึงเดินขึ้นห้องไปแพ็กกระเป๋าใส่เสื้อผ้า รวมไปถึงโน๊ตบุ๊กเผื่อไว้ใช้แต่งนิยายเมื่อมีโอกาส หลังจากนั้นก็วกมาที่บ้านของเพื่อนสนิทในช่วงเวลาพลบค่ำ ถูกจับแต่งหน้าแต่งตา ใส่เสื้อผ้าที่เป็นชุดสีขาวเอวลอยจั๊มเอว มีกระดุมสีทองประดับอยู่กลางเสื้อ แขนเสื้อสั้นระดับท่อนแขน ส่วนกางเกงนั้นเป็นกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้มเอวสูง โชว์เนื้อหนังมังสาที่คอดเอวเล็กน้อย แถมยังโชว์เรียวขาสวยที่ไร้รูขุมขนเหมือนชายฉกรรจ์ ดีที่ตัวเองมีกรรมพันธ์ดีไม่ต่างจากแม่ หากได้พ่อมาคงขนดกเป็นนายเอกนิยายวายที่มีขนหน้าแข้งดกดำให้ชายหนุ่มมาลูบไล้

อีอ๊อกมิวายถามว่าที่ผัวก่อนไปหา [อยู่บ้านไหม ?]

ไม่นานก็ได้รับคำตอบ [อยู่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่า ?]

[พี่แชร์โลเคชั่นที่อยู่มาให้ที] อีอ๊อกจะไปหาถึงถิ่นฐานในอีกไม่ช้า

เพราะอ๊อกอยากติดคอ

“มึงคบกับพี่นนท์แล้วเหรอ ?” เสียงเพื่อนรักถามไถ่อย่างระแคะระคาย หน้าตาก็ดูบึ้งตึงไม่สบอารมณ์

“อืม กูว่าคบกันไปเลยดีกว่า เสียเวลาคุยดูใจกันไปมา” ผมอธิบายพลางยักไหล่

“ทำอะไรก็รู้จักระมัดระวังด้วย อย่าทุ่มใจไปเกินร้อย เผื่อใจไว้บ้าง กูกลัวมึงดิ่ง” มันพูดออกด้วยสีหน้าเป็นห่วง

ผมเห็นแล้วเค้นยิ้มยื่นมือไปหยิกแก้มมันเบาๆ แต่อีนางตัวดีก็ดันส่งเสียงร้องอย่างโอเวอร์

“กูรักมึงนะ ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ กูเสมอ” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงซึมเซา แต่ในรูปประโยคนั้นแฝงไปด้วยความตื้นตันใจเหลือเกินคณา

“แต่กูไม่รักมึง” อีคริตตี้ทำหน้าอย่างรังเกียจ

“มึงกูจริงจัง” ผมบอกมันเน้นชัดถึงห้วงอารมณ์

มันกระแทกกระทั้นเสียงใส่ “เออ กูรู้” จากนั้นก็เงียบไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย

แต่ทุกการกระทำมันบอกหมดว่ารักผมคนนี้มากแค่ไหน

“กูดีใจที่มีมึงเป็นเพื่อนนะ”

“อย่ามาดราม่าใส่ กูไม่ชอบ” คริตตี้ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ ทำผมหลุดขำ ยอมพยักหน้าก่อนจะอยู่นิ่งๆ ให้มันสวมวิกลงที่กลางกระหม่อม

คริตตี้เอ่ย “เราอยู่ด้วยกันมานานแล้วเนอะ มีอะไรก็แบ่งปันตลอด ทั้งเรื่องปัญหาต่างๆ มีข้าวก็แบ่งกันแดกสมัยเรียน มึงไม่มีเงินกูก็ให้ยืม แบ่งกันช่วยเหลือยิ่งกว่าผัวเมียด้วยซ้ำ ข้าวของเสื้อผ้าก็ใช้ร่วมกัน อีกหน่อยมึงรวยมึงก็ต้องแบ่งปันให้กูยืม มีผัวมึงก็ต้องแบ่งปันให้กูใช้ เวลาโดนเย็-มึงก็ต้องแบ่งปันให้กู…”

“พ่อมึงเถอะ” ผมรีบแย้งกลางคัน จ้องหน้ามันอย่างวาวโรจน์วูบหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มซาบซึ้งในน้ำใจไมตรี ทำอีคริตตี้หลุดขำโชว์ฟันที่มีเขี้ยวเล็กๆ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มดันหน้าผากของผมให้หงายหลัง ดีที่ผมทรงตัวได้ดีไม่หงายเป็นกองกับพื้น

“ทำอะไรอย่ามานึกเสียใจทีหลังรู้ไหม ?” มันตักเตือน

“รู้แล้วน่ะ กูไม่ได้จะไปเพื่อโดนข่มขืนสักหน่อย” ผมอธิบาย “กูสมยอมล้วนๆ”

“อีพวกร่าน” มันด่าทอ ตบหัวผมไปทีหนึ่ง

“โอ๊ย !” ผมร้อง

“ข้อหาดอกทอง” มันบอกก่อนจะตบอีกข้าง

ผัวะ “ข้อหาร่านเกินเหตุ” คริตตี้ซ้ำเติม “ระวังเถอะจะได้ไปตรวจโรคHIV”

“กูสัญญาว่าจะป้องกัน” ผมหมายมั่นให้สัญญา

“มีผัววันเดียวก็ร่านละเพื่อนกู” มันส่ายหน้าอย่างระอาใจ ก่อนจะขับไสไล่ส่งเมื่อแต่งหน้าทำผมเสร็จ “ไปๆ จะไปตายที่ไหนก็ไป”

“ขอบคุณมึงมากนะ” ผมหมุนกายเดินออกมาสวมรองเท้าผ้าใบที่หน้าบ้าน ก่อนจะสะพายเป้ที่หลัง และที่มีเจตนาแต่งหญิงล้วนๆ ก็เพราะรู้ว่าพี่นนท์ต้องชอบมากแน่ๆ

“ไปละ” ผมโบกมือบ๊ายบายก่อนจะพร้อมรบไปออกศึก เห็นมือถือได้โลเคชั่นเป็นที่เรียบร้อยก็ลิงโลด

อ๊อกสัญญาว่าจะไม่ให้แม่ๆ ต้องผิดหวัง

การเซอร์ไพรส์นี้จะเต็มไปด้วยความหรรษา

“ออกไปจะบ้านกูอีกาลกิณี !!”อีคริตตี้ร้องลั่นบ้าน ดีที่แม่มันไม่อยู่ ปานนี้คงโดนถีบข้อหาโหวกเหวกโวยวาย

ผมขำพรืด ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำครหา เพราะรู้ว่าเพื่อนไม่ได้มีเจตนาคิดแบบนั้นจริงจัง

และในที่สุดอีอ๊อกก็ถ่อหลีมาถึงถิ่นฐาน เสียเงินทั้งค่ารถและยังต้องมาเสียอะไรต่อมิอะไรอีก

ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ เตรียมใจกับผลลัพธ์นับต่อจากนี้ ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดลงที่ปุ่มกระดิ่งหน้ารั้วบ้าน

ปิ๊งป่อง ~

พัสดุกะหรี่จิ๋มกระป๋องมาส่งแล้วค๊า ~

ไม่นานเกินห้านาทีจนยุงแทบมารุมกัดที่เรียวขาที่หมั่นทาครีม ทำเอาผมต้องสะบัดขาไปมา ตาก็มองไปที่ภายในบ้าน คาดหวังให้ใครบางคนออกมาสักทีหนึ่ง พลันยื่นหน้าเข้าไปใกล้รั้ว ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อมีสุรเสียงดังลอดออกมา พร้อมกับบานประตูที่เปิดออกขึ้นมาว่า “ใครครับ ?”

ผมรีบผละออกจากสิ่งนั้นในทันที ก่อนจะยิ้มเจื่อนโบกมืออยู่หน้ารั้ว ตะโกนตอบกลับ “อ๊อกเอง !”

“อ๊อกเหรอ ?” เสียงพี่นนท์ดูตื่นตะลึง รีบสวมรองเท้าเดินมาที่หน้าบ้านอย่างฉงน ไขรั้วกั้นออกมาเจอผมที่ยืนนิ่งงัน เหมือนไม่มีแมลงหวี่แมลงวันและยุงลายมาคอยราวี

จริงๆ แดกจนกูคันไปหมดละ

อีกฝ่ายกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า “ทำไมหนูแต่งตัวแบบนี้ล่ะคะ ไปเที่ยวที่ไหนมา ?” ซ้ำยังหรี่ตามอง สีหน้าดูหงุดหงิดรำคาญใจ “โป๊ไปหมด”

ผมส่ายหน้ารัวๆ “เปล่านะ มาหาพี่ล้วนๆ วันนี้อ๊อกจะมานอนด้วย”

อย่าให้รู้นะว่าซุกเมียน้อยเอาไว้ในบ้านน่ะ !

“นอน ? จะดีเหรอคะ ขอแม่ยัง ?” พี่นนท์ถาม

“ขอแล้ว” ผมว่าเสียงอ่อน

“ขอว่า ?” พี่นนท์ยังคงซักไซ้

ผมยู่ปากบิดตัวไปมาก่อนจะยอมเอ่ยปาก “ขอว่าไปนอนบ้านเพื่อน”

“เด็กโกหก” พี่นนท์ส่งสายตาตำหนิ นอกเหนือจากนี้น้ำเสียงยังดุอีก

โธ่ว่าที่ผัวละก็...อย่ามาเล่นตัวไปหน่อยเลย รู้หรอกน่ะว่าลึกๆ ก็ต้องแอบดีใจที่แฟนถ่อหลีมาถึงถิ่นฐาน ไหนๆ แล้วก็แก้ผ้าเอากันหน้าบ้านกันเลยดีไหมคะ บรรยากาศก็มืดค่ำชวนวังเวงดี ไม่น่าจะมีใครมาพบเห็น

อ๊อกชอบค่ะ มันดูโรแมนติก

แต่ก็ได้แค่คิดเพ้อเจ้อไปวันๆ

“ยุงกัดอะ พี่นนท์อย่าเพิ่งดุน้องได้ไหม ขอน้องเข้าบ้านก่อน” ผมแทนตัวด้วยสรรพนามคำว่า ‘น้อง’ ให้น่าเอ็นดู อีกคนดูชะงักกับคำที่ได้ยิน ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นพะว้าพะวัง รีบผายมือเชื้อเชิญเข้ามาในบ้าน

เสร็จโจรล่ะค่ะงานนี้

“แค่กๆ” รอบไออย่างเจ็บคอ

“ไม่สบายเหรอคะ ?” พี่นนท์ที่ล็อกรั้วบ้าน เดินตามหลังมาถามอย่างเป็นกังวล

“เปล่าครับ” ผมบอก แค่วอร์มเสียงก่อนสำลักเฉยๆ ก็แค่นั้นเอง

ครั้นเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่ทุกคนคิดถึงคงจะเป็นฉากเร่าร้อนที่ต่างฝ่ายต่างระดมจูบกันเหมือนซอมบี้หิวกระหายใช่ไหมคะ ? แต่ไม่ค่ะ พล็อตชีวิตคนเราไม่ได้อิโรติกขนาดนั้น เข้ามาก็เจอหมาและแมววิ่งแจ้นเข้ามาหา ทั้งดม ทั้งคลอเคลียที่เรียวขา

อีอ๊อกอยากโดนผัวคลอเคลียมากกว่าอะ ! นี่อุตส่าห์ฉีดน้ำหอมมาด้วยนะ !

“คิกๆ” แกล้งทำเป็นหัวเราะร่าเริงเหมือนคนรักสัตว์โลกน่ารัก แต่จริงๆ แล้วรักเจ้าของสัตว์และเกิดฤดูติดสัดยิ่งกว่ากระต่ายจอมเงี่ยน พลันหันหน้าไปมองคนที่ก้มมาจ้องหน้าผมเหมือนกำลังตั้งคำถาม

อีอ๊อกไม่เสียเวลาทำงานทำการ “พี่นนท์ทำอะไรอยู่เหรอ ?”

“กำลังแคสเกมอยู่ค่ะ” เขาแจง

ผมร้อง “อ๋อ” พยักหน้าอย่างเข้าใจถึงสาเหตุที่ต้องคอยนาน ก่อนจะเดินดุ่มๆ หลังจากถอดรองเท้า ก้าวขายาวเหยียด เอนกายไปมาซ้ายและขวาเหมือนนางเอกอนิเมะสดใส ฉับพลันก็หมุนกายมาจ้องหน้าคนตัวโตสูงโย่ง “อ๊อกขอดูพี่แคสเกมหน่อยสิ”

อีกคนที่ยังมีทีท่างงงวยได้แต่พยักหน้ารับอย่างอิดออด “ได้ค่ะ” ก่อนจะเดินนำให้ผมเดินตามท้ายหลังไปที่ขั้นบันได มาที่ห้องๆ หนึ่งซึ่งผมที่เคยเข้ามาครั้งแรกยังไม่เคยได้สำรวจ

ห้องนี้เป็นห้องกันเสียงอย่างดีเยี่ยม แถมยังมีหน้าจอคอมสองหน้าจอและเครื่องเล่นซีพียูสองเครื่องด้วยกัน สมกับเป็นนักแคสเกมเมอร์ องค์ประกอบซีพียูมีลูกเล่นและมีสีสัน ขนาดแป้นพิมพ์ยังเรืองแสงราวกับรุ้งเจ็ดสี เบาะที่นั่งก็เป็นเก้าอี้เกมมิ่งสีดำสนิทสองตัว มีแต่ราคาแพงหูฉี่ทั้งนั้น

“ว้าว” อดไม่ได้ที่จะร้องอย่างตื่นตะลึง หมุนกายกวาดตาดูรอบห้องใหญ่โตโอฬาร เทียบได้กับห้องนอนห้องหนึ่งได้เลย ขณะที่อีกคนยิ้มมุมปากกับสีหน้าแป้นแล้นของผม

“มันดูเวอร์มาก” ผมถึงกับสบถ “โคตรอยากมีแบบนี้บ้าง”

จินตนาการถึงตนเองไม่ทันไร หัวก็ถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือใหญ่ ดันและบิดให้ตัวของผมต้องหันหน้ามาจ้องคนที่ยิ้มหวานประจบเอาใจ

“แน่ใจนะคะว่าจะนอนนี่”

คำถามเหมือนเป็นคำเตือนมากกว่านะคะคุณผัวขา

“แน่ใจสิ” อ๊อกเตรียมตัวมาถึงขนาดนี้ จะให้กลับบ้านเสียค่ารถฟรีๆ ไม่ยอมหรอก ฉุกคิดแล้วก็ยิ้มแฉ่งขยับหัวดุ๊กดิ๊กไปมา

“วันนี้หนูร่าเริงผิดปกตินะคะ” พี่นนท์เอียงคอ ถามอย่างข้องใจ

“พี่นนท์คงไม่เคยได้ยินสินะ คนร่าเริงเท่ากับคือคนที่..” โดนนัดเย็-ไงคะ ! “อารมณ์ดีมีความสุข” ผมตอบพร้อมเสียงหัวเราะแจ่มใส

ใสมากค่ะ หน้าตาดูมีพิรุธเหรอคะ เปล๊า ไม่มี๊ ไสยศาสตร์ทั้งนั้น

“หนูวางกระเป๋าก่อนเถอะค่ะ ดูท่าน่าจะหนัก” พี่นนท์ว่าพลางหยิบที่ห้อยสายสะพายกระเป๋าของผมเอาออกจากบ่าไหล่ลอดผ่านที่เรียวแขนเล็ก เขายกมันไปวางที่มุมห้องก่อนที่จะเดินไปนั่งที่เก้าอี้เกมมิ่ง จากนั้นก็ชักชวน “หนูมานั่งนี่สิคะ แต่เงียบๆ หน่อยนะ พี่ขอแคสเกมสักชั่วโมง”

“ได้ๆ” ได้ทุกอย่าง เสร็จแล้วเราก็มาเอากันได้ใช่ไหมครับ อ๋อ โอเคค่ะพ่อทูนหัว อ๊อกเข้าใจละ รอหลังแคสเกมเสร็จเราก็มาสานฝันหรือการมีเพศสัมพันธ์กันได้ใช่ไหมคะ ?

ฮือ ดีใจ ค่อยๆ หย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้เกมมิ่งข้างกายอีกคน เผลอลอบมองไปที่เป้าใครบางคน

นึกอยากสวดมนต์ นะโมตัสสะ อวัยวะใหญ่โต ยาวเป็นกิโล แงงงง จุกค่ะ อยากเล่นคุณไสย มือมันสั่นไปหมดเหมือนเจ้าเข้า เพราะอยากไปคลุกคลีด้วยจิตใจเมตตาอารีปลอบขวัญผวา

หนูว่ามันปูดๆ ผิดปกตินะคะ คุณพี่มีอารมณ์อยากเล่นการละเล่นไทยพื้นบ้านไหมคะ ?

อ๊อกอยากนำเสนอเรือสำเภาค่ะ อ๊อกชอบมากๆ เลย อ๊อกว่ามันสนุกดี

“โอ๊ะ โดนจนได้ ครั้งนี้ผมพลาดเอง ฮ่าๆ เดี๋ยวดูเถอะ ครั้งนี้ผมจะเอาคืนมัน” พี่นนท์ที่พูดอยู่ใกล้ไมค์ สีหน้าดูเปลี่ยนเป็นคนละคน ดูเป็นคนสนุกสนานน่าคบหา

หา หา หาคว-ไงคะคุณพี่ คุณพี่บอกเองว่าจะเอาคืนมัน แบบนี้จะคืนความสุขให้ประชาชนด้วยใช่ไหมคะ ? ราษฎรต้องซาบซึ้งเหลือหลาย เริ่มจากน้องคนแรกเลยค่ะ น้องยินดี

สุขีปะหีดังสมสุข จงเสพสุขทั้งกายและวาจา

ต่อให้นรกมาฉุดรั้งความร่านก็ฉุดไม่อยู่ อีอ๊อกจะฝ่าฟันและต่อกรกับยมบาลต่อให้ต้องพลีกายเย็-ในปรโลกก็ยินดี หากยมบาลหล่อเหลาเอาการเหมือนในซีรีส์เกาหลี อีน้องที่เกาหลีก็พร้อมจะอ้าปากอมคว-พูดคุยกับยมบาล

อ๊อก อ๊อกค๊า ~

นั่งเล่นมือถือมาสักพัก ก็เหลือบๆ มองๆ คนหล่อที่ยังขะมักเขม้นกับการละเล่นเกมอยู่ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงดังที่กล่าวเบื้องต้น พอครบเสร็จอีกคนก็ถอนหายใจหลังจากกดเซฟเกมเป็นที่เรียบร้อย

เสียงถอดถอนหายใจช่างเซ็กซี่เหลือเกินนัก อ๊อกรีบลุกขึ้นยืนและเม้มปากแน่น

“มีอะไรคะ ?” พี่นนท์ที่แหงนหน้ามองผมที่ยืนค้ำหัว

“มี” ผมตอบกลับ จิกอุ้งมือแน่น ก่อนจะก้าวขาไปใกล้ชิด ยกขาพาดผ่านที่ท่อนขาของอีกฝ่ายอย่างกล้าหาญ สะโพกนั่งทับอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์ของใครบางคนที่มีทีท่าตื่นตะลึง

“หนูคะ ? อึก” ถึงกับสะอึกกันเลยทีเดียว เพียงแค่บดสะโพกยั่วๆ บดๆ ที่จุดกลางลำตัว สิ่งแข็งขืนบางสิ่งก็ดุนดันผ่านเนื้อผ้า

หากเป็นนิยายพระเอกคงจะบอกว่า ‘อย่านะคะ ไม่งั้นพี่จะทนไม่ไหว’ หรือไม่ก็ ‘หนูทำให้พี่เกิดอารมณ์เองนะคะ อย่ามาร้องไห้ทีหลังล่ะ’

แต่ไม่ค่ะ อีอ๊อกคาดคะเนมาเรียบร้อย ความร่านในครั้งนี้เปรียบเสมือนความดอกทองที่ค่อยๆ เบ่งบานราวกับดอกไม้ที่ค่อยๆ ผลิดอก เผยความดอกที่มีเกสรประหนึ่งเป็นหลีที่มีใยรกร้าง และค่อยๆ เบ่งบานเผยเม็ดแตดที่รอคอยคนมาป้อนความหฤรรษ์ให้ซาบซ่าน

ตอนแรกอีอ๊อกก็คิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า แต่ที่ไหนได้ขาดคว-ไม่ได้นี่เอง

“หนูคึกอะไรคะเนี่ย อึก หนูคะ” พี่นนท์รีบเอามือจับที่เอวคอด สัมผัสเข้าที่ผิวเนื้อเข้าอย่างจัง ท่าทางเหมือนจะห้ามปราม แต่ก็เปล่าเลยสักนิด อีอ๊อกกลับโยกเอวไถขึ้นไถลงเข้าไปอีก

ยั่วมากค่ะ รางวัลกะหรี่ดอกทองคว-ทองคำต้องเป็นของกูแล้วล่ะ !!

ยั่วได้ไม่นานนัก ก็รับรู้ได้ถึงองคชาติที่กำลังผงาด อีอ๊อกก็ล้มเลิกในสิ่งที่กระทำ เปลี่ยนเป็นหยุดนิ่งและยิ้มแฉ่งเหมือนเด็กดื้อจอมซน มิวายเอ่ยปากหยอกเย้ารังแกคน

“แค่ล้อเล่นเอง” จากนั้นก็ทำท่าจะลุกออกจากตัก แต่ทว่ากลับถูกกดให้ไปแนบแน่นกับสิ่งที่ดุนดันใต้ร่างแทน

พี่นนท์จ้องมองอย่างร้อนแรง ทั้งดุดันชวนน่ากลัวยิ่งกว่าหนังผีสยองขวัญ ขยับริมฝีปากตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หนูล้อเล่นผิดคนแล้วค่ะ”

แม่ ! อีอ๊อกอยากเอามือมาทาบอก น้ำตาจะไหล แต่มือตอนนี้ทั้งสองข้างกลับยันอยู่ที่แผงอกของอีกฝ่าย

อ๊อกเคยดูแต่สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก แต่สิ่งที่เห็นอยู่นี้คือ ‘สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก นำมาสู่ความคึกคักที่เรียกว่าเย็-’

อีอ๊อกเม้มปากแน่นจนแทบจะปริแตกให้เลือดไหลซิบ เอ่ยปากสัพยอก “คันปากอะ อยากอมอะไรสักอย่าง”

อ๊อกว่าเราควรเจรจาต่อรองกันดีไหมคะ ?

“เด็กไม่ดี” ด่าหนูอ๊อก แต่ก็กดหลังกระหม่อมให้โน้มหน้าลงมาหา พลันริมฝีปากประทับจูบดังจุ๊บเข้าด้วยกัน สักพักก็จาบจ้วงรุนแรงยิ่งกว่าหนังอิโรติกสิบแปดบวก

มีการแหย่ลิ้นกันเกิดขึ้น อีหรอบนี้จะมีอะไรมาแหย่ตูดด้วยใช่ไหมคะ !!

‘พี่มุตา นกไม่พร้อม…’

‘หล่อนต้องเข้มแข็งเข้าไว้รัชนก ต่อกรกับมัน ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่มากกว่ารูของเรา’

‘แต่ของเขาใหญ่มากเลยนะคะพี่ตา  นก นกกลัวค่ะ นกกลัวหายใจไม่ค่อยออก’

‘ฉันถึงบอกหล่อนให้เข้มแข็งนี่ไง ไม่มีอะไรง่ายทั้งนั้นแหละ หล่อนผ่านพ้นคืนแรกอันหฤโหดมาแล้ว วันนี้แหละจะเป็นวันของหล่อนที่จะเอาคืน จนคนคนนี้ต้องอ่อนระทวย’

‘หมายถึงใจคนเราใช่ไหมคะพี่ตา’

‘ฉันหมายถึงคว-อีเด็กโง่ !’

‘อ๋อค่ะ นก...นกจะพยายามนะคะพี่ตา’

‘ฉันจะเอาใจช่วยหล่อนอยู่ห่างๆ และห่วงๆ’

กับหนังละครเรื่องใหม่ แรงเย็- ! ปริศนา

Psycho ~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2019 22:12:30 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
นังมุตา!!! หล่อนมันร้ายยยย  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 490
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts
ตามมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่สิบ

‘กลับมาเจอกับดิฉันเช่นเคย ฐาปนีย์ นักข่าวชื่อดัง ที่พร้อมจะพาทุกคนไปสู่ความหฤหรรษ์หรรษาที่เปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจบารมีของความคันและตัณหา แหมะ ที่เห็นอยู่นี้คือร่างผ่ายผอมของเด็กคนหนึ่งที่มีใจเป็นชายแต่นึกอยากแต่งหญิง มีรสนิยมชมชอบให้พระเอกของเรื่องอย่างพี่นนท์ต้องหน้ามืดตามัว’

ยังนึกภาพกันออกใช่ไหมคะ ? ภาษาของดิฉันแม้จะด้อยพัฒนาไม่ได้สละสลวยเหมือนใครเขา แต่วันนี้เราจะมาบรรยายด้วยภาษาหรูหราหมาเห่าดุจเล่นคุณไสยที่ใช้อำนาจด้วยปลัดขิก

อันดับแรกดิฉันขอผายมือไปยังสองหนุ่มสองคนที่มีคนหนึ่งแต่งเป็นหญิง ร่างของทั้งสองกำลังกอดรัดประหนึ่งขาดแคลนความอบอุ่น ดิฉันยังคงถือไมค์เอาไว้แน่น สัมภาษณ์อยู่ใกล้เสียงอื้ออึงเสนาะหูบนที่พำนัก

ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเสน่หา ร่างอรชรนางหนึ่งกำลังถูกร่างสูงบดขยี้ริมฝีปากให้บวมเจ่อ ดึงดูดและเกี่ยวกระหวัดสองลิ้นร้อนปานจะกลืนกิน ส่งผลให้ริมฝีปากแดงระเรื่อชวนน่าจุมพิต ชายใดสบตายากเกินจะหลุดพ้นจากห้วงกามารมณ์ ยามฝ่ามือหยาบกร้านไล่สัมผัสไปต้นขาเนียนลื่นดุจผ้าไหม หัวใจก็เต้นระส่ำระส่ายส่งผลไปที่ใบหน้าที่แดงก่ำของเขาทั้งสอง

ทั้งเสียงหอบกระเส่าของเขา ทั้งเสียงครวญครางของเธอ (?) ทุกสิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงอารมณ์รักที่ยากเกินจะทัดทาน

ใครเล่าจะไปคาคคิดว่าคนที่ชอบจะยั่วยวนเซ็กซี่ได้มากขนาดนี้ เสื้อเอวลอยทำให้เห็นเอวคอดกิ่วและผิวพรรณเนียนละเอียด ขาวราวกับหิมะก็ไม่ปาน ใบหน้าสวยหวานผละริมฝีปากออกห่าง ส่งเสียงดัง “อาห์” อย่างเซ็กซี่ชวนลุ่มหลง

ใบหน้าเรียวรีรูปไข่ที่มีนัยน์ตาชวนออดอ้อนแฝงไปด้วยความยั่วยวนมีเสน่ห์อยู่ในที แผขนตางอนยาวราวกับจะให้มีหยาดน้ำค้างมาไหลเกาะ ผนวกกับจมูกโด่งรั้นที่บ่งบอกถึงความดื้อดึงและซุกซนอย่างน่ารักใคร่ ไหนจะริมฝีปากเผยอหอบหายใจอย่างระทดระทวยดังเพราะพริ้ง

ภาพที่เห็นช่างงดงามตราตรึงประหนึ่งตกอยู่ในห้วงฝัน หรือจะกล่าวได้ว่าไม่ต่างจากนางฟ้านางสวรรค์ที่มีผู้คนต่างแห่แหนมาลุ่มหลงและฝักใฝ่ พลอยตกอยู่ในบ่วงแห่งกามารมณ์อภิรมย์ใจ ทำให้ชายหนุ่มฉุกคิดอยากจะตีตราประทับไปที่ผิวพรรณผ่องใส เสมือนฝากฝังร่องรอยตีตราจองความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของด้วยความหวงแหน

ไหนจะขี้แมลงวันที่หางตาเรียวเล็กที่เขาได้ยื่นหน้าไปจุมพิต ทุกสิ่งมันเพิ่มพูนความงดงามมากกว่าจะเป็นข้อตำหนิมาโต้แย้ง

‘คัตก่อนค่ะ เราจะมาบรรยายแบบนี้จริงๆ เหรอคะพี่มุตา’

‘โอ๊ยอีเหี้ยกำลังได้เข้าได้เข้าเข็ม มึงนี่จริงๆ เลยนะอีรัชนก ก็เดี๋ยวมีอีพวกมาครหาว่านิยายมีแต่คำหยาบคาย ภาษาก็ห้วนห่วยแตกอีก ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนแนวในตอนนี้ให้เหมือนนิยายแปลสุดความสามารถ เข้าใจไหม  ? จะให้คนมาติฉินนินทาไม่ได้ แสดงความสามารถการบรรยายให้เขาดู’

‘อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะพี่ตา แล้ว...เขาจะไม่หาเวิ้นเว่อไม่ถูกความหมายเหรอคะ ?’

‘ก็ช่างหลีแม่มัน เอาใจยากเหลือเกินอีพวกดอกทองนักอ่านประสาทแดกบางคน’’

‘งั้นฐาปนีย์ขอสานต่อนะคะ’

‘ค่ะๆ เชิญต่อเลย’

‘โอเคค่ะ’

บรรยากาศภายนอกที่ท้องนภากลายเป็นดำทะมึน ไร้แสงดาวเจิดจรัสให้ผู้ใดมาพบเห็น สายลมพัดผ่านไปตามทิศทาง ปัดเป่าเหล่าบุปผางามให้ต้องลมแรงและโอนเอียน แตกต่างจากภายในบ้านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศพิสมัย ร่างขาวบางที่มีเส้นผมยาวเหยียดสีดำสนิทเป็นเส้นตรงถึงกลางแผ่นหลัง ปอยผมด้านหน้าช่างขวางหูขวางตาสำหรับใครบางคนยิ่งนัก ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวยาวขาวผ่องจะปัดปอยผมไปด้านหลังให้อย่างทะนุถนอม ลอบมองหน้าอกที่อัดแน่นไปด้วยฟองน้ำทำให้เหมือนอิสตรีเพศ ไล่สายตาลงต่ำเพื่อเพ่งพินิศไปที่ไหปลาร้าขาวๆ ที่มีผิวพรรณกระจ่างใส ราวกับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูแลมาอย่างดีเยี่ยมไม่ต่างจากลูกคุณหนู แต่แท้จริงก็เกิดจากการหมั่นทาครีมบำรุงผิวประทินโฉม ดวงหน้าอ่อนเยาว์ก็เต็มไปด้วยเครื่องสำอางที่แต่งแต้มสีสัน อายไรเนอร์สีน้ำตาลอ่อนถูกปัดตกลงมาที่หางตาเล็กน้อย ชวนเหงาหงอยเหมือนเด็กซึมเซา ช่างออดอ้อนหัวใจชายฉกรรจ์เหลือเกินจะกล่าว ก่อนที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจะเลื่อนลงต่ำจากเอวคอดเล็กเปลี่ยนไปบีบขย้ำไปที่สะโพกผาย เคล้นคลึงผิวเนื้อผ่านกางเกงขาสั้นที่โชว์เรียวขาผุดผาด

“หนูอยากเหรอคะ ?” คำถามที่เคยประเดประดังเข้ามาในหัวทำให้ต้องปริปากมากระซิบกระซาบเสียงหวาน ล่อลวงต่อมกำหนัดของเด็กน้อยบางคนที่พยักหน้ารับกล้าๆ กลัวๆ ริมฝีปากเล็กขบเม้นอย่างเก้อเขิน เห็นแล้วช่างน่ารักใคร่อย่างยิ่งยวด

“อืม” แค่คำบางคำที่เอ่ยปากตอบรับ แต่นำพาให้หัวใจคนฟังต้องเต้นไม่ตรงจังหวะ สุรเสียงที่ขานรับช่างไพเราะดุจระฆังที่ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งดังกังวาน

เมื่อคำพูดและการกระทำสื่อถึงความหมายเจตนารมณ์ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นไปสัมผัสที่ผิวเนื้อโดยตรง ปัดผ่านเรือนกายกะทัดรัดให้ซาบซ่าน ความเสียววูบแล่นไปถึงโสตประสาท หลุดร้องครวญครางดังกังวานราวกับเป็นคนอ่อนไหวในการแตะเนื้อต้องตัว

ยามปลายนิ้วทั้งห้ามาถึงชายเสื้อจั๊มเอวก็จับเลิกขึ้นสูง ก็เห็นร่องสะดือตื้นลึกสะอาดสะอ้านและยกทรงที่ทำให้ส่วนหน้าอกหน้าใจดูใหญ่โตโอฬาร

ชายหนุ่มไม่เสียเวลาทำการ ปลดแก้ตะขอจากด้านหลังอย่างชำนิชำนาญ

สายยกทรงลู่ตกลงที่ลาดไหล่เล็กเพราะความหลวมที่มากจนเกินไป อีกทั้งอาภรณ์เบื้องหน้าที่บดบังก็ไร้ทีท่าจะถอดถอน กลายเป็นกึ่งถอดกึ่งโป๊เปลือยให้อีกฝ่ายได้เพ่งพินิศ สำรวจเรือนร่างนุ่มนิ่มและตุ่มไตสีสวยคล้ายลูกกวาดแสนหวาน ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะโน้มลงมาหยอกเอินที่เนินอกเล็ก ใช้ซี่ฟันกัดลงที่ยอดปทุมถันให้เสียวซ่านที่ยากเกินจะหักหาญ

มือเล็กจิกลงที่บ่าไหล่เฉียงกว้าง เชิดหน้ากรีดร้องครวญครางหวานล้ำกับความหฤหรรษ์ที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ปลายนิ้วเท้าจิกเกร็งไปหมด ถูกดูดดุนอย่างโชกโชนและโลมเลียให้เปียกปอนไปที่เนินอก หยาดน้ำลายเปรอะเปื้อนที่ผิวเนื้อตัดสีผิว

ห้องสีขาวที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเล่นเกมมิ่ง รวมไปถึงโซฟาสีน้ำตาลอ่อนที่อยู่ตรงมุมซ้ายมือของห้อง เสียงของหูฟังยังเล็ดลอดเสียงเพลงที่ชายหนุ่มได้เปิดค้างทิ้งไว้ ก่อนจะยื่นมือไปถอดสายหูฟังออก ปล่อยให้เสียงลำโพงดังเซ็งแซ่ภายในห้องขณะกำลังปรนเปรอบนหน้าอกเล็ก สลับไปที่ตุ่มไตอีกข้างบ้างอย่างไม่เอาเปรียบ

“อ๊า” เสียงครางสุขสมในตัณหาช่างหวานแหวว เปรียบเสมือนฝันที่รอคอยมาเนิ่นนานให้อดรนทนไม่ไหว ฝ่ามือเล็กเลื่อนขึ้นไปจิกทึ้งที่เส้นผมดกดำ พลางปรอยตาหวานฉ่ำใส่ร่างสูงที่มีกล้ามเนื้อแน่นหนา นึกอยากจะให้อีกฝ่ายเปลื้องผ้าโชว์เนื้อหนังมังสา หวังจะได้เชยชมสิ่งผงาดดุดันน่าเกรงขาม

“อ๊ะ ดะ เดี๋ยวหยุดก่อน” สุรเสียงเอื้อนเอ่ยด้วยอารามตกใจ เมื่อคนตรงหน้ากระแทกกระทั้นผ่านเนื้อผ้าพร้อมส่งเสียงหึ่ม มิหนำซ้ำยังละเลงปลายลิ้นร้อนที่ตุ่มไตสีสวยไม่หยุดหย่อน

“ได้ค่ะ” เมื่อผละออกจากยอดอกเล็กเพริศ แววตาคมกล้าก็ดูเศร้าสลดราวกับอาลัยอาวรณ์ เสียงทุ้มแหบพร่าชวนร่างเล็กหลอมละลายคล้ายดึงดูดให้อยู่ในห้วงละเมอแห่งการดำดิ่ง ทั่วปรางขาวพลันแดงปลั่งเหมือนผลไม้สุกงอม

ร่างระหงสบสายตาคนรักที่ไม่ยอมละสายตาหนีไปไหน ปลายนิ้วที่สวมใส่ถุงเท้าสัมผัสลงที่พื้นห้องเย็นเฉียบ ก่อนจะหมุนกายหันหลังไปที่หน้าจอคอม พรมนิ้วบนแป้นพิมพ์เสิร์ชหาช่องยูทูปก่อนจะเปลี่ยนไอดีล็อกอินเป็นของตนเอง ระหว่างนั้นก็ปล่อยให้ร่างสูงลอบมองที่ก้นงอนงาม ใช้เวลาไม่เกินสามนาที เสียงเพลงอิโรติกที่คนตัวเล็กไว้ใช้แต่งประกอบฉากเรทในนิยายก็บรรเลง แรกเริ่มด้วยเพลง ‘Jessie J - I Got You (I Feel Good) (Fifty Shades Freed Original soundtrack)’ เสียงดนตรีอึกระทึกในห้องเก็บเสียง ก่อนที่ร่างละม้ายหญิงสาวจะหมุนกายมาจ้องอีกฝ่ายตาพราวระยับ แลบลิ้นเลียริมฝีปากล่างล่อลวงต่อมกำหนัด ฝ่ามือดันสิ่งของด้านหลังก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนตั่งโต๊ะที่แข็งแรง

“มองอะไรเหรอคะ ?” เสียงหวานเปรียบเสมือนยาพิษให้น่าหยิบยื่นมาลอบชิม อีกทั้งอิริยาบถยั่วยวนก็ค่อยๆ แหวกขาตามจังหวะดนตรีเสียงร้อง

wow, I feel good, I knew  that I would now (ว้าว ฉันรู้สึกดี ฉันรู้แล้วตอนนี้)

“อึก” เสียงลอบกลืนน้ำลายลงคอดังเครือมาเบาๆ จากชายหนุ่มหน้าตาดี พลางลอบมองท่วงท่าพิศวาสที่แหวกขาออกกว้าง ก่อนจะหุบขาลงราวเชื้อเชิญปั่นประสาท ปลดแก้กระดุมและค่อยๆ ร่นกางเกงขาสั้นออกจากเรียวขาสวยอย่างเชื่องช้าเก้ๆ กังๆ พลันยกเท้าขึ้นสูงเผยให้เห็นแก้มก้นงามพริ้ง ใบหน้างามแฉล้มเอียงคอแนบลงกับลาดไหล่ คลี่ยิ้มร้ายอย่างชอบใจกับการทำให้คนคนหนึ่งต้องทุกข์ทนทรมาน

ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถทนทานต่อกิเลสราคะได้ ความผิดชอบชั่วดีเลยขาดผึง ยามร่างสูงลุกจากที่นั่งรุดกายเข้าไปยันฝ่ามือลงที่ตั่งโต๊ะข้างร่างเพรียวบาง ทั้งสองตาประสานตาอย่างเสน่หาเจือราคะ กักขังเด็กตัวน้อยไม่ต่างจากกระต่ายขนฟูที่หาญกล้ามาต่อกรกับสัตว์ล่าเหยื่อจำแลงกาย

“เกินไปแล้วนะ” เสียงทุ้มดูสั่นเครือไม่ต่างจากหัวใจที่สั่นไหว

อีกฝ่ายฉุกคิดว่าคนตัวเล็กจะมีสายตาหวั่นไหวอย่างคร้ามเกรง แต่ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น

“หมายถึงอะไรเหรอคะ ?” เรียวแขนเล็กยื่นขึ้นไปโอบรอบลำคอของชายหนุ่มที่อยู่ไม่เป็นสุข ซ้ำยังใช้คำลงท้ายคะขาไม่ต่างจากหญิงสาวนางหนึ่ง แปรผันราวกับเป็นคนละคนที่นนทวัฒน์ไม่เคยรู้จัก เสมือนสิ่งที่เห็นประจักษ์ตาอยู่นี้เป็นอีกหนึ่งตัวตนที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัว

เสียงดนตรียิ่งปลุกเร้าเสน่หากามารมณ์ มือที่เคยยันอยู่ที่พนักพิงเลื่อนขึ้นมาประคองใบหน้าชวนชม ไม่นานก็ถือวิสาสะล่วงเกินเข้าไประดมจูบ สอดลิ้นเข้าไปในริมฝีปากเล็กที่เผยอออกกว้าง อาศัยจังหวะนั้นกวาดต้อนลิ้นเล็กให้เข้ามาพัวพัน

หยาดน้ำลายเปียกชุ่มในโพรงปากหวานฉ่ำ ดื่มด่ำกับรสชาติจุมพิต คนที่ถูกไล่ต้อนเริ่มครางอื้ออึงในลำคอหมายเป็นการประท้วง ละริมฝีปากออกห่างก็รีบกอบโกยลมหายใจเข้าปอดอย่างว่องไว ตาหวานฉ่ำกับเรียวตาแข็งกร้าวที่ต่างสบประสาน หยาดน้ำลายก็ติดยืดที่ริมฝีปากของคนทั้งคู่ บ่งบอกถึงความลึกซึ้งที่ยากจะทานทน

นนทวัฒน์แลบลิ้นตัดสิ่งเชื่อมโยง เอ่ยบอก “หนูก็น่าจะรู้ตัวดี” พลันเลื่อนฝ่ามือทั้งสองข้างลดต่ำลงมาที่เอวคอดกิ่วอีกครา เกี่ยวขอบกางเกงชั้นในตัวเล็กที่มีสีแดงฉาน ขับผ่องผิวเนื้อเนียนนุ่มให้ขาวนวลประดุจหงส์ ค่อยๆ ปลดอาภรณ์เบื้องล่างลู่ลงมาที่ข้อเท้าผ่องใส ทำให้อ๊อกต้องยกสะโพกขึ้นมาเล็กน้อย สะดวกต่อการปลดเปลื้องด้วยความยินดี อิริยาบถยั่วยวนเสมือนปีศาจจำแลงกาย ประหนึ่งเป็นตัวแทนแห่งตัณหาในเจ็ดบาป

“งั้นเหรอ” เสียงเล็กขานรับอย่างยั่วเย้าปั่นประสาท นิ้วเรียวจงใจสอดไซ้เรือนผมดกหนาอย่างเย้าแหย่ ขาเรียวนวลถูกลูบไล้อย่างลุ่มหลง ก่อนจะมานวดคลึงที่สะโพกผายกลมกลึง ทำนนทวัฒน์หลุดเสียงขรมคำรามดังซี๊ดซ๊าดด้วยความเสียวกระสัน จินตนาการภาพในหัวเต็มไปหมด นึกอยากจะกระทุ้งกายหนักๆ ใส่ร่างจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์

หัวใจระทึกครึกโครมเมื่อบทเพลงที่ผ่านมาสิ้นสุดลง ตามมาด้วยเพลง ‘Sam Tinnesz - Play With Fire.Yacht Money’ ก่อนที่นนทวัตน์จะผละกายออกห่าง ปลดแก้กางเกงยีนส์ที่ได้แต่งตัวไปทำธุระกงการข้างนอก ยามนี้กลับรีบถอดถอนภายในบ้านอย่างว่องไว พร้อมกับโน้มหน้าไปบดจูบริมฝีปากนุ่มหยุ่นอีกครั้งหนึ่งอย่างอาลัย พานแทรกกายเข้าไปที่ระหว่างเรียวขาที่อ้าออกกว้าง เผยชั้นในสีดำสนิทที่บดเบียดกับร่องก้นของอีกฝ่าย

“อาห์” ร่างสูงกระหยิ่มยิ้มชอบใจ ขบเม้มริมฝีปากอีกฝ่ายไม่ต่างจากหนุ่มน้อยสะคราญโฉม ก่อนที่ปลายนิ้วชี้จะสอดแทรกเข้าไปที่ร่องหลืบ สำรวจโพรงหยักนุ่มและอุณหภูมิอุ่นร้อนภายในกายา ช่องทางสีสดช่างสวยพริ้งราวลูกอมสีแดงระเรื่อ ผนวกกับสีหน้าของเด็กน้อยที่เชิดขึ้นร้องครางระงม ก่อนจะถูกร่างสูงลอบสูดดมกลิ่นกายหอมหวานอย่างหื่นกระหาย เพิ่มจำนวนนิ้วจากหนึ่งเป็นสอง ไม่นานก็กลายเป็นสามนิ้วที่แทรกแทรงเข้ามา ขยับปลายนิ้วถี่รัวทำอ๊อกน้ำตาไหลผุดซึมผ่านหางตา ครางลั่นห้องยิ่งกว่านางเอกเอวี

“อะ อ๊า โอ๊ย สะ เสียว พะ พี่นนท์ แฮ่กๆ” เสียงหอบเหนื่อยดังประท้วง ดวงตาสีนิลแพรวพราวทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอานิ้วออกจากร่องสวาท แม้จะนึกเสียดายที่ไม่มีอะไรค้างคาอยู่ภายใน แต่ทว่าสิ่งที่วาดหวังก็สมปรารถนาในไม่ช้า ยามที่ปลายนิ้วเล็กเกี่ยวปราการสุดท้ายที่มีรูปร่างใหญ่โตโออ่าของท่อนเนื้อยักษ์ แลบลิ้นเลียริมฝีปากทำคนมองเผลอไผลไปชั่วขณะหนึ่ง

“หนูจะทำอะไรคะ ?” เสียงทุ้มถามซื่อๆ เหมือนไม่หยั่งรู้ ทั้งที่รู้แจ้งทุกท่วงท่าของอีกฝ่ายที่โน้มหน้าลงต่ำ ใช้ฝ่ามือจับที่ชายเสื้อของเขาแน่น จากนั้นก็เลิกเสื้อขึ้นสูงเป็นการปลดเปลื้องอาภรณ์อย่างรีบร้อน เพียงไม่นานกางเกงชั้นในราคาแพงที่มีสิ่งเร้ากำลังซุกซ่อนอยู่ภายในก็ถูกกระตุ้นด้วยแม่นางทั้งห้าที่นวดคลึงอย่างย่ามใจ ถือว่าเป็นการกระตุ้นอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม พลอยให้สิ่งนั้นผงกอย่างแข็งขืน

ร่างแน่งน้อยเลื่อนปลายนิ้วชี้ขาวดั่งหยกขึ้นมาเกี่ยวที่ขอบกางเกงชั้นใน ร่นลงมาช้าๆ จนเผยปลายหัวองคชาติและไรขนดกหนาโผล่พ้นแพลมออกมาให้เห็นประจักษ์ตา

ดวงตากวางกวาดดูระเริงรื่นชอบอกใจชอบใจกับสิ่งที่เห็น ทิ้งปราการให้อยู่ที่กึ่งกลางของท่อนขาใหญ่ ก่อนที่ปลายนิ้วทั้งห้าจะกอบกุมสิ่งสงวน ชักรูดขึ้นลง อีกทั้งยังมิวายเงยหน้าขึ้นไปสบสายตาด้วยสีหน้าเซ็กซี่เหมือนเด็กเจนจัด หอบกระเส่าและจูบลงที่แผงอกกำยำอย่างปรีดา

“อยาก” แค่คำๆ เดียวที่เอ่ยออกมาอย่างออดอ้อน ก็มากพรที่จะทำให้นนทวัฒน์รีบจับต้นขานวลแหวกออกกว้าง พาดผ่านที่บนบ่าไหล่ของตนเองอย่างว่องไว ท่วงท่าหมิ่นเหม่ช่างอนาจารยิ่งนัก แต่ก็ดูดีไร้ที่ติเมื่อมันเกิดมาจากคนที่ชอบ ซ้ำคนที่ชอบยังเอาปลายนิ้วกรีดกรายไปที่ร่องซิกซ์แพ็กกล้ามหน้าท้องของเขาอีก ปลายนิ้วไล่เกลี่ยที่รอยสักรูปปืนก่อนจะลดต่ำลงมาประคองแก่นกายขนาดใหญ่ที่ผงาดแข็งขืนเครียดตึงมาประจบที่ร่องสวาท

ใบหน้าแฉล้มแหงนขึ้นไปสบตานนทวัฒน์ที่ก้มมองตั้งแต่แรก ขยับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่เอ่ยเสียงหวานออเซาะให้ระแคะระคายใจ

“หนูอยากโดนปืนยิงแรงๆ”

มีหรือที่ผู้ชายเจนจัดและลุ่มหลงอย่างเขาจะทัดทานคำปรารถนาเหล่านั้นได้ ?

ไม่เกินเสี้ยววินาทีปลายหัวของแก่นกายก็ค่อยๆ บดขยี้สอดใส่เข้ามาในร่องสวาท เติมเต็มจนคนตัวเล็กต้องเอนตัวหงายหลัง หัวแทบโขกกับหน้าจอคอมอย่างเฉียดฉิว พลางขบเม้มริมฝีปากล่างอดทนอดกลั้นกับความเจ็บปวด ค่อยๆ เบิกตากว้างและเผยอปากร้องครวญครางดังเพราะพริ้ง ลิ้มลองรสชาติเสพสังวาสทีละนิด “อะ อ๊า”

ชายหนุ่มรีบโน้มหน้ามากระซิบข้างกกหูของร่างนุ่มนิ่ม น้ำเสียงที่ใช้ทั้งทุ้มละมุนและเซ็กซี่ยิ่งกว่าที่เคยพูดให้ใครได้สดับรับฟัง

“จะยิงไม่ยั้งเลยค่ะ คอยดู”

‘พี่ตาคะ...นกใจคอไม่ดีเลย’

‘อีนก มึงขัดอารมณ์คนอ่านอีกแล้ว’

‘ก็นกกลัวนี่คะ นี่เขาจะเย็-กันแล้ว ยาดมน้องนกนี่ก็พร้อมแล้วค่ะ กลัวหายใจไม่ค่อยทัน ว่าแต่พวกพี่ตาก็กรี๊ดกร๊าดกำเดาจะไหลออกจากรูจมูกแล้วนะคะ’

‘สาระแน หุบปากเงียบๆ ได้ไหม ไม่ต้องผุดเข้ามาในห้วงมโนในการบรรยายเยอะ’

‘จะได้เป็นไปได้ไงคะพี่ตา (บิดตัวไปมา) ก็เราอยู่ในห้วงมโนของน้องอ๊อกอยู่นี่คะ’

‘เออก็จริง’

‘คนบ้าไรชมตัวเองสะคราญโฉม มั่นหน้ามากเลยนะคะพี่ตา’

‘ตาพ่อตาแม่มึงอะ อีสัตว์ เขาจะเย็-กันแล้ว’

‘พี่ตาอย่าหยาบคายสิคะ เดี๋ยวอีพวกประสาทแดกก็มาด่าหรอกค่ะ’

‘...’

‘นกว่าถ้าขืนยังมีพวกประสาทแดกอยู่ เอามีดไปปาดคอมันเลยดีไหมคะพี่ตา ?’

‘ความคิดหล่อนก็เข้าท่าดีนะ’

‘งั้นฐาปนีย์ขอหยุดการบรรยายสละสลวยแต่เพียงเท่านี้ ถือเสียว่าเป็นการตบหน้าพวกประสาทแดกที่ครหาว่านิยายบรรยายห้วนจนเกินไป เพราะเรื่องราวต่อจากนี้จะถือเสียว่าเป็นแค่เรื่องเล่าและสิ่งที่หมายมั่นมาตั้งแต่แรกเริ่ม

นิยายของอีอ๊อกยังมีบทบรรยายสละสลวยอีกมากมายให้คัดสรร แต่เรื่องราวชีวิตจริงขอบรรยายรวบรัดก็เกินพอ

ต่อจากนี้คือฉากเอ็นซี หรือฉากวิมานชวนลุ้นระทึกประทับอกประทับใจในการเย็-

เตรียมยาดมกันให้พร้อม เตรียมทิชชู่ซับกำเดาไหลผ่านรูจมูก นับจากนี้จะเป็นวิชาที่ฝึกฝนจากการดูพอร์นมาเป็นร้อยกว่าคลิป แสดงฝีไม้ลายมือยิ่งกว่าเด็กสก๊อยหมอยเพิ่งขึ้น

เลือกได้ว่าจะบรรยายแบบไหน เลือกได้ว่าจะชอบเสพการบรรยายแบบใด แต่สิ่งที่ไม่สามารถเลือกได้คือการเอาใจคนส่วนน้อยให้ถูกจริตกับแนวที่ชอบ

การเย็-ก็เหมือนการฝึกฝนในการบรรยาย ขอตบหน้าพวกที่ชอบด่าผลงานคนอื่นย่ำแย่และเสียดสี

มึงเคยเห็นของจริงแล้วหรือยัง ? ที่ขอไม่บรรยายนับต่อจากนี้ ก็เพราะเหนื่อยล้ากับการมาเวิ่นเว้อพรรณนาภายในหัว

เงี่ยนก็คือเงี่ยน จะเย็-ก็คือเย็- ไม่ต้องมาแก่นกายแทนคำสวยหรูหรือฉากองค์ประกอบครบถ้วนสมบูรณ์แบบ

อยากได้ภาษาสวย อยากได้นิยายชนชั้นสูงมโนเพ้อเจ้อคิดว่าตนเองเป็นราชนิกุล และมาครหาว่าอีคนแต่งตลาดล่าง เชิญผายมือไปทางอื่นค่ะ (ยิ้ม) ยกมือสวัสดีบ๊ายบายอีดอกทอง

เมื่อสิ้นสุดเสียงเพลงที่สอง เพลงที่สามก็ดังขึ้นให้หัวใจสั่นไหว บรรเลงเพลง ‘Good thing - Zedd & Kehlani’ เป็นจังหวะดนตรียั่วยวนเสน่หา เปรียบเปรยถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เพียบพร้อมทุกอย่าง รักตัวเองและชอบในการโดนชื่นชม

เฉกเช่นตอนนี้…

เสียงทุ้มที่กล่าวออกมาจากปากพี่นนท์ “หนูเซ็กซี่มากเลยนะคะรู้ไหม ?” สิ้นประโยคก็กระทุ้งกายเข้ามาหนักๆ ทำเอาอีอ๊อกจุกจนไปถึงลิ้นปี่ ต้องเอียงหน้าหนีไปซบกับลาดไหล่ พานเม้มปากสะอื้นไห้ปนครวญคราง

ถามว่าเสียวมากไหม ? โคตรจะเสียว

แต่ถ้าถามว่าตอนนี้เป็นตัวของตัวเองไหม ? ก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน

ความรู้สึกดอกทองกับเรื่องเซ็กส์ทำให้ตัวเองดูเป็นคนร่านรักสิ้นดี ท่วงท่าก็พิศวาสหวังให้อีกคนตายใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนจะยื่นแขนไปโอบลำคอแกร่ง พลันถูกกระแทกรัวแรงไม่เว้นจังหวะให้พักหายใจ

“อะ อ๊า อ๊า” อ๊า อีเหี้ยจะครางดังไปแล้วนะ เพลงแม่งก็บิลด์อารมณ์ดีเลยอีฉิบหาย ลำตัวสั่นโครงเครงไปหมดเหมือนคนเป็นโรคชักกระตุก

แม่คะ ! อ๊อกกำลังจะตาย !

ขออนุญาตโยนไมค์ส่งต่อ !

‘ฐาปนีย์รับไมค์ส่งต่อเป็นที่เรียบร้อย ณ ตอนนี้ร่างละม้ายหญิงสาวกำลังถูกอัดกระแทกยิ่งกว่านักมวยที่เตะต่อยกระสอบทราย รูเล็กๆ บัดนี้บานตะไททำให้ดิฉันนึกถึงหนังการ์ตูนนินจาที่มีเนตรวงแหวน ฐาปนีย์ขออนุญาตเบิกเนตรสีขาวเพื่อดูไปถึงเนื้อเยื่อภายใน ปลายหัวองคชาติกำลังจี้จุดต่อมกำหนัดให้คนร่านรักต้องร้องลั่นดังระทวย’

คนตัวเล็กยังคงเม้มปากอดกลั้น ดิฉันเห็นแล้วเศร้าใจมากเลยค่ะคุณกิตติคะ ยามอีกฝ่ายน้ำตาไหลปริ่มผ่านหางตา มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสงสารยิ่งกว่าข่าวที่ฉันเคยไปทำเกี่ยวกับประเทศหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กคนนี้จะมีความสามารถที่แบกรับเรื่องทุกข์ระทมได้มากขนาดนี้ ร้องไห้ไปก็ครวญครางไป ฝ่ายคุณหฤษฎิ์ยังไม่มีทีท่าจะลดการจู่โจมลง อัดกระแทกรัวแรงยิ่งกว่าฆาตกรจ้วงแทงคน

โอ้พระเจ้า ไม่นะ ดิฉันเห็นน้ำหนืดๆ สีใสผลุบเข้าออกระหว่างรูและหรรมที่ผสมพันธ์เผ่าพันธุ์กันด้วยค่ะ ! พาลให้นึกถึงสัตว์ที่กำลังเย็-กันบนฟากถนน แต่ช่างน่าดีใจที่ทั้งสองฝ่ายเอากันในถิ่นฐาน ฉะนั้นดิฉันจะไม่ทำให้ทุกคนต้องหมดอารมณ์กับฉากเอ็นซีพรรค์นี้ แม้ภาพในหัวกำลังมีภาพหมาและแมวกำลังปี้กันอย่างคึกคักก็ตามที

ตัดภาพมาที่ฝ่ายของชายหนุ่มที่ยกร่างเล็กเสียจนตัวลอยประหนึ่งอุ้มตุ๊กตา ภาพในหัวตอนนี้เลยทำให้ฉันและชาวบ้านที่เกาะอยู่ตรงขอบสนามพานลุ้นระทึกไปตามๆ กัน ลิงอุ้มแตงเกิดขึ้นและถี่รัวที่ช่องรูทวารหนัก ตุ๊กตาที่ถูกจ้วงแทงแทบหลุดขนปุยนุ่มออกจากช่องทางสีสด แต่ช่างน่าดีใจที่ทำแท้งมาอย่างดีเยี่ยม มิเช่นนั้นเราได้เห็นสิ่งปฏิกูลในระหว่างการถ่ายทำอย่างแน่นอน

อ่าว ตายแล้ว ทางผู้ชมทางบ้านกำลังพะอืดพะอมขณะกำลังแดกข้าวอยู่ พลอยสำลักและแดกไม่ลงกับภาพที่เปรียบเปรยให้เห็น ดิฉันขอแนะนำให้หยุดแดกสักประเดี๋ยว ผายมือไปที่ร่างของเด็กหนุ่มหน้ามนที่ร้องครางลั่นห้องคลอไปกับเสียงเพลงอิโรติก

“อ๊า อ๊า อื้อ สะ เสียว อ๊า อ๊าง” ทำกูเสียวไปด้วยเลยอีฉิบหาย นึกอยากจะสวดมนต์ปลอบขวัญกำลังใจและขอให้พระผู้เป็นเจ้าปกป้องเด็กหนุ่มคนนี้ให้อยู่รอดปลอดภัย น้ำตาของฐาปนีย์หลั่งเป็นสาย ยามคนตัวเล็กซุกหน้าลงกับบ่าไหล่ของคนตัวโต ก่อนจะถูกอุ้มกระเตงมาที่โซฟาข้างมุมผนังห้อง จังหวะนั้นก็ยังไม่ลดความเร็วถี่ในการเย็-

ความร่านและความคันช่างหอมหวาน แม้แต่คารามายก็ไม่สามารถช่วยลดการคันระคายเคืองบนผดผื่นสิ่งนี้ได้

คำถามคือคุณคิดว่าเจ้าโลกคืออะไรคะ ?

จับเวลาค่ะ !

‘นก นกว่าคือโค่ยค่ะ โค่ยๆ คิด โค่ยๆ พูด โค่ยๆ ทำ’

อันนี้ถือว่าก๊อปเขามาค่ะ เราจะไม่นับคะแนน พร้อมกับหักคะแนนติดลบข้อหาดอกทองคิดไม่เป็นอีจัญไร หันกลับมาที่ฝั่งทางคุณมุตา คุณคิดว่าอำนาจคืออะไรคะ ?

‘อำนาจคือสิ่งที่ต้องใช้หีค่ะ หีรีโอตัปปะ ต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี’

เป็นคำตอบที่เลิศมากเลยค่ะ ! หวังว่าคุณมุตาจะไม่ก๊อปใครมานะคะ

‘เลิ่กลั่กแล้วค่ะ’

‘มันก๊อปจากในทวิตมาค่ะ !’

‘อีนก เผียะ!’
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2020 11:56:35 โดย lookpatty15407 »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด