พิมพ์หน้านี้ - #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: lookpatty15407 ที่ 04-09-2019 23:27:03

หัวข้อ: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 04-09-2019 23:27:03
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เป็นนักเขียนมันเหนื่อย ขายตัวแม่งเลย (Yaoi)


เป็นนักเขียนอย่าง ‘อ๊อก’ โคตรจะปวดหัว นอกจากจะต้องมาแก้คำผิด เรียนรู้ในการหาคำสะสวย ยังต้องมานั่งดูฟีคแบคอีก แถมยังได้แต่คอมเมนท์บั่นทอนจิตใจ ล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่ชื่นชอบผลงานตนเอง คอยจิกกัดอ๊อกตลอดเวลา

เฮ้อออ ทางบ้านก็บ่นเรื่องเงิน คนนอกก็ชอบถามว่าทำงานอะไร

"ขายหลีค่ะขายหลี"

กูจะหนีไปขายตัวแล้วแม่ง !

เลิกถามหาเหตุผล !

เพราะสาระไม่ค่อยจะมี !

“ชื่อไร”

“ชื่ออ๊อก”

“อ๊อก ?”

“ใช่ อ๊อกๆ แบบหรรมติดคออะ”


+++

คำเตือนก่อนอ่าน

1.นิยายเรื่องนี้มีคำหยาบคายเยอะมาก ไม่ว่าจะหลี คว* หรรม ให้อารมณ์เมาท์มอยมากกว่านิยายทั่วไป อาจพบเจอในเนื้อหาบ่อยๆ

2.อาจจะเป็นนิยายตลาดล่างสำหรับคนบางคน และครหาว่านักเขียนขยะ มีผลงานขยะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เชิ่ด

3.สถานที่ ตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องเป็นสิ่งที่นักเขียนจินตนาการขึ้นมา โดยมีส่วนความจริงอันน้อยนิด (?)

4.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ใช่นักเขียนทุกคนจะมีลักษณะและทัศนคติเหมือนตัวละครในเรื่องนี้

5.ถ้ารับได้ เชิญชวนให้อ่านนิยายบ้าๆ บอๆ ชิ้นนี้ คอยดูพัฒนาตัวละคร





หนึ่งคำให้แก่วงการนิยาย

"คว*ค่ะ"
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // บทนำ [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 04-09-2019 23:29:57
บทนำ

[คำว่า ‘เท่าไหร่’ ควรใช้ในประโยคสนทนา ส่วนคำว่า ‘เท่าไร’ แนะนำให้ใช้กับการบรรยายดีกว่าค่ะ อ้อ มีคำผิดด้วยนะคะ ‘ซุกไซ้’ ค่ะ ไม่ใช่ ‘ซุกไซร้’ กับ ‘มันเขี้ยว’ ไม่ใช่ ‘หมั่นเขี้ยว’ ค่ะ คำว่า ‘หมั่น’ จะใช้กับคำว่า ‘หมั่นไส้’  ยกตัวอย่างเช่น ‘อีเหี้ยเอ้ย กูหมั่นไส้มึงฉิบหาย เมื่อไรจะเขียนถูกสักทีนึงอีช้างเย็-’ เป็นต้นค่ะ]

ฮือออ ขอบคุณจ้ะ… เลื่อนสายตามาอ่านอีกหนึ่งคอมเมนต์

[โอดครวญ* ค่ะ เห็นคนเขียนชอบเขียนว่า อวดครวญ* บ่อยมาก บางทีก็งงค่ะว่าจะไปอวดใส่ใคร โอดครวญนี่มันหมายถึงการร่ำไห้ แต่เข้าใจค่ะว่าคนเขียนคงเขียนผิด หัดอ่านพจนานุกรมเยอะๆ นะคะ นิยายมีคำผิดเยอะมากเลย ทั้งง่วงหงาวหาวนอน ก็กลายมาเป็นง่วงเหงาหาวนอนเฉย ใครเหงาใครคะ ? งงไปหมด เห็นหน้าค่าตาก็มาเป็นเห็นหน้าคร่าตาเฉย คือลูกตาถูกดึงใช่ไหมคะ ? เพราะคร่ามันแปลว่า ฉุด,รั้ง,ดึง,ลาก จ้ะ]

[คำผิดเยอะมากจ้า แต่อย่างน้อยก็ดีที่ไม่เขียน ‘คะ,ค่ะ’ หรือพวก ‘น่ะค่ะ’ ผิด อันนี้จะมีแต่อีพวก ‘นะค่ะ’ อันนี้ปวดหัวมากค๊า นะค่ะ นะค่ะพ่อมึงสิ ครูภาษาไทยมึงไม่ได้สอนมาใช่ไหม ขออนุญาตระบายค่ะ ฮือออ เหลืออดเหลือทนเต็มที จะรอติดตามตอนต่อไปนะค่ะ]

อ่าว อีห่า สุดท้ายก็เขียนผิดหนิ…  เลื่อนดูอีกหนึ่งคอมเมนต์ที่ตอบกลับเจ้าตัว

[นะคะ* มาแก้ค่ะ แฮะๆ เริ่มมึน]

อ้อ โล่งอกไปที เหอะๆ ไม่เป็นไรจ้ะ คราวนี้เลื่อนลูกเมาส์ลงมาหวังว่าจะเจอฟีคแบคดีๆ บ้าง อยากจะรู้ซะเหลือเกินว่านิยายที่อัปล่าสุดมันทำให้สนุกไหม อุตส่าห์แต่งจนเช้าตรู่จนไก่ขัน อีฉิบหาย แหกตาตื่นมากูเห็นคอมเมนต์ไม่กี่อัน แทบทุกเรื่องจะเข้ามาจิกกัด

[นายเอกเหมือนเป็นโรคไบโพล่าร์อะค่ะ บางทีก็สงสัยว่านักเขียนอายุสิบเอ็ดขวบหรือเปล่า ตอนที่แล้วยังร้องไห้ที่ผัวเก่าตายห่า พอมาตอนถัดไปเหมือนเมากัญชา ตัวละครผัวตายแต่ยังร่านได้ขนาดนี้ เริงร่าเหมือนสตรีผู้ร่านรัก แนะนำให้ไปตรวจเลือดที่คลินิกนิรนามด้วยค่ะ ไม่ป้องกันอีก อยากให้รับผิดชอบต่อคนอ่านด้วยค่ะ เผื่อเด็กๆ มาอ่านเขาจะเข้าใจผิดพวกเรื่องเพศสัมพันธ์ ชีวิตจริงมันต้องผ่านการทำความสะอาดตรงจุดนั้นด้วยนะคะ]

แรงมากแม่ อี ‘อ๊อก’ อย่างผมอดไม่ได้ที่จะเอามือทาบอก ก็นี่มันนิยายปะ คำเตือนก็แปะอยู่ว่าสิบแปดบวก เนื้อหาอาจไม่สมเหตุสมผล จะให้มาอ้างอิงไรมากมายอะ ทั้งแปะเรทก็แล้ว ไหนจะ ‘Warning’ ก็แล้ว จะให้มาบอกขั้นตอนก่อนฉากมีอะไรกันมันก็คงไม่ไหลลื่นเท่าไร กว่าจะรอนายเอกทำแท้งเสร็จอีห่านกเขาของพระเอกมันคงแตกก่อนพอดี เรื่องเพศสัมพันธ์อย่างวิธีป้องกันก็น่าจะเรียนกันมาบ้างแล้ว อยากหาสาระไปนู่นจ้ะ หนังสือวิชาสุขศึกษา เหนื่อยใจแทน นี่คิดว่าอยู่ในยุคมืดของวงการนิยายวาย ดราม่านิยายที่คนอื่นเจอะเจอกันบ่อยๆ ไม่เคยฉุกคิดว่าตัวเองจะเจอเช่นเดียวกัน แต่ส่วนเรื่องที่บอกคำผิดจะจำเอาไว้ใส่กระโหลกแล้วนำไปปรับใช้ ยอมรับว่าตัวละครเหมือนเมายากันยุงจริง แต่งปุ๊บก็รีบลงปั๊บ คำผิดก็ไม่ทันได้ตรวจแก้

พลางพรมนิ้วใส่แป้นพิมพ์ด้วยน้ำตาคลอเบ้า

‘ขอบคุณมากนะคะ จะนำมาปรับปรุงใช้ในภายภาคหน้า’ ชาติหน้าเลยค่ะอีห่า ไม่อยากจะเขียนแล้ว ! ทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับ เลือกที่จะปลอมตัวเป็นผู้หญิงเพราะไม่อยากเปิดเผยว่าตัวเองเป็นผู้ชายเขียนนิยายวาย

น้ำตาจะไหลแล้วนะแม่ ด่าตัวละครลูกกูว่าร่าน มันก็เหมือนด่ากูไปด้วยเลยอะ ฮือออ ต้องหาที่ระบาย รีบหยิบมือถือทักDMหาเพื่อนสาวที่เป็นนักเขียนเช่นเดียวกัน

‘มิริน ช่วยด้วยยยยย’

[ว่าไงมีอะไรเกิดขึ้น ?]

‘ถอดใจกับการเขียนแล้วอะ เขียนยากชะมัดเลย คอมเม้นก็น้อยมาก’

[คอมเมนต์* เขียนแบบนี้นะเธอ]

‘เออช่างแม่งเหอะ ฮือออ เริ่มอยากเก่งแบบเธอบ้างแล้วอะ เธออะแต่งก็ดีภาษาก็สวย เนื้อเรื่องก็น่าสน แต่นี่อะเครียดพวกเรื่องคำศัพท์ การวางโครงเรื่องไปหมด เมื่อไหร่จะถึงดวงของเราบ้าง อยากแต่งนิยายแล้วติดทอปเหมือนชาวบ้านเขา’

[ฮือออ กอด T T ไม่เป็นไรนะเธอ ของอย่างงี้ต้องฝึกฝนพัฒนากันไปเรื่อยๆ มันต้องมีสักครั้งที่เธอได้ติดอันดับ ช่วงนี้ลองขยันอัปดูไหม ? มันช่วยได้นะพวกฐานคนอ่าน ส่วนเรื่องพล็อตนี่ก็เคยเป็น ต้องหาแนวที่แต่งแล้วตีตลาด]

‘ตีแบบไหนอะ หยิบอีโต้ไปฟันคนอ่านเหรอ ยกพวกไปตีท้ายครัวที่ตลาดใหญ่ ขู่บังคับมึงต้องอ่านนิยายของกูนะ’

[ไม่ใช่เธอ 5555 อย่าทำแบบนั้น]

‘ไม่ทำหรอก แต่ท้อจริงแล้วนะ นี่เครียดมาก ที่บ้านก็เริ่มบ่นว่าสิ่งที่ทำอยู่ไร้ความหมาย ทำตัวเป็นภาระ ทั้งที่หลังเที่ยงคืนนี่ก็แปลงร่างเป็นซินเดอเรลล่าตลอด กวาดถูบ้าน ล้างจานตรงซิงค์จนเปียกตัวไปหมด’

[ล้างยังไงให้เปียกไปทั้งตัวอะ อาบน้ำเหรอ ?]

‘เออดิ หมุนก๊อกอะ แม่งพุ่งแรงเหมือนน้ำเชื้อกระเด็นใส่’

[5555 อีห่า เกลียด]

‘เดี๋ยวจะไปซื้อข้าวก่อนนะ จริงๆ ไม่มีไรมากแค่อยากมาระบายกับเธอเฉยๆ’

[อืมไม่เป็นไร ยินดีรับฟังเสมอ มีอะไรก็ทักมาระบายได้นะ เดี๋ยวนี่ก็ไปแต่งนิยายต่อ เธอไปกินข้าวเถอะ]

‘ขอบคุณมากนะมิรินที่รับฟัง แต่ทีหลังไม่ต้องมาเสือกเด้อ’

[อ่าว… (;_;)]

‘ล้อเล่นคร๊าบบบบ 555 ไปละ หิวมาก รักเธอเด้อ ไว้เจอกันใหม่’

[ไปเถอะอีสัตว์]

ผมหัวเราะขำ ก่อนจะวางมือถือลงข้างโต๊ะคอม พลันลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้อง ลงมาถึงชั้นล่างของบ้านก็เห็นแม่กำลังยุ่งกับเรื่องเงินในบัญชี ก่อนจะโทรไปตามด่าลูกค้าที่ขยันกู้เงินแต่ไม่มีปัญญาจ่าย เรื่องพรรค์นี้เริ่มเห็นจนชินชา

สงสารก็สงสารแม่นะ ช่วงนี้เห็นแกเครียดทะเลาะกับพ่อจนถึงขั้นเลิกรากันไป ต่างคนต่างอยู่ ส่วนผมก็พยายามเท่าที่จะช่วยได้ มีนิยายคอมเมดี้เรื่องหนึ่งผ่านพิจารณากับสำนักพิมพ์ ซึ่งก็โชคดีที่ความไร้แก่นสารของมันมีคนสนอกสนใจ ก็กะว่าจะเอาผลงานชิ้นนี้นี่ละหารายได้ แต่ก็ต้องแลกกับการใช้เวลาที่กว่าจะแต่งจนจบ ทว่า เดี๋ยวนี้ผมเริ่มชักจะหมดมุกละ พาลกังวลว่าผลงานจะออกมาไม่ค่อยดีจึงไม่ได้เริ่มเขียนต่อ

ทำไงดี หรือควรออกไปหางานทำเหมือนที่พ่อไลน์มาด่า ญาติเดี๋ยวนี้ก็ขยันเสือกกันฉิบหาย หรือจะไปขายตัวดี ? แต่จะมีคนซื้อไหมก็ค่อยคิดอีกที

หากจะแต่งนิยายติดเหรียญลงเว็บก็เกรงว่าจะไม่มีคนซื้อ บวกกับความเกียจคร้านของตัวเองอีกที่ติดเป็นนิสัย ก็ไม่รู้จะมีคนติดตามกันบ้างไหม ขนาดเรื่องล่าสุดยังโดนด่าซะเละ ขยันคิดพล็อตแต่ไม่ขยันแต่งสมนามปากกา ‘ผู้ง่วงหงาวหาวนอน’

ดูท่าว่าจะต้องโทรไปหา ‘คริสตี้’ เพื่อนสาวสองที่สนิทสนมตั้งแต่สมัยประถม

หางานช่วยแม่ก็ดีนะช่วงนี้…

“เฮ้ออออ” ถอนหายใจอย่างปลงตก เดินมาถึงร้านอาหารตามสั่งตรงซอยบ้านตัวเองก็เห็นป้าแกกำลังฉุนเฉียวด่าใครบางคน ขณะที่ผัวป้าแกก็ยืนรับฟังเงียบๆ คาดเดาว่าน่าจะเป็นลูกค้าแถวบ้านที่โดนด่าซะไฟแรป

“แม่ง ! แค่บอกให้อีกห้านาทีมารับ เสือกมาชักสีหน้าใส่กู กูต้องเดินไปเสิร์ฟถึงที่บ้านเลยมั้ง อีห่าลูกค้ากูก็เยอะ มีหน้ามาบอกว่างั้นไม่กินละ ทำเสียงประชดประชันใส่อีก อีดอกก็ไม่ต้องแดก กูก็เหนื่อยเหมือนกัน”

“เอ่อ…” ผมที่เดินมาถึงร้านก็ทำท่าจะปริปากสั่งข้าว แต่เสียงก็ดูเบาหวิวเกินกว่าที่ใครบางคนจะได้ยิน

ปล่อยให้ด่าก่อนดีไหมนะ กลัวโดนพาลฉิบหายเลย

“ต่อไปนี้แดกไรก็ให้เดินมาเอากันเอง กูก็ปวดขาเหมือนกัน บวมจนเดินไม่ไหวละ แม่งเห็นแก่ตัวกันฉิบหายให้ไปเสิร์ฟถึงบ้าน”

“...”

“ไม่แดกก็ไม่ต้องแดก”

“เอา…” ผมเริ่มขยับปากทำท่าจะสั่งอาหาร ประจวบเหมาะกับที่ป้าแกด่าเสร็จสรรพพอดี จึงหันขวับมาทางนี้ พาลพูดจาถ้อยคำที่เล่นเอาผมสะดุ้งโหยง

“จะแดกอะไร”

“แดกกะเพราไก่ไข่ดาว” รีบตอบอย่างลืมตัว ไม่ได้ตั้งใจใช้คำหยาบคายกับป้าแกเลยสักนิด

อีห่า น้ำมันในกะทะกำลังเดือดปุดๆ กูจะโดนจับหัวทึ้งลงกะทะมะ ?

“หมายถึงเอากะเพราไก่ไข่ดาวครับ” รีบแก้ต่างโดยไว

“เดี๋ยวเดินมาเอานะ” ป้าแกบอกพร้อมกับชักสีหน้า

“เดี๋ยวรอครับ ไม่เป็นไร” ผมเลยเลือกที่จะทำตัวเป็นคนดี ทั้งที่ปกติป้าแกก็จะมาเสิร์ฟให้ถึงบ้านตลอด แต่พอเห็นแกดูโกรธจัดขนาดนี้ บวกกับบ่นเรื่องสุขภาพร่างกาย ตัวผมเองในยามนี้ก็ชักจะเห็นใจ

อากาศตอนนี้มันคงร้อนอบอ้าวละมั้ง ประสาทคนเลยแดกไปตามๆ กัน เดี๋ยวทานเสร็จก็ต้องกลับไปขึ้นห้องแต่งนิยายต่ออีก ดราม่าวงการนิยายก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ล้วนแต่เป็นหัวข้อที่ผมเคยเจอ

โดยรวมอ๊อกคนนี้แต่งนิยายมาเกือบแปดปีแล้ว แต่ก็มีช่วงที่ห่างหายจากการเขียนไปปีกว่าๆ เพราะหลายๆ สิ่งที่ถาโถมเข้ามา จึงไปทำงานหาเงินแทน ครั้นได้ลาออกจากงานด้วยเหตุผลบางประการ หยุดทีก็กลายเป็นหยุดยาวโดยไม่คิดจะออกจากบ้านไปหางานใหม่ สุดท้ายแต่งนิยายเงียบๆ อยู่ในห้อง ไม่ออกไปเจอเพื่อนพ้องแต่อย่างใด พอได้กลับมาเขียนใหม่ก็กลับหลงลืมคลังคำในหัวไปหมด

ณ วินาทีนี้ป้าคนหนึ่งที่ผมสนิทมากเป็นพิเศษ เดินมาสั่งกับข้าวเช่นเดียวกับผม พลางเอ่ยทัก

“อ่าว น้องอ๊อก”

“...”

“ช่วงนี้ทำงานไรอยู่ ?” ป้าแกถาม เพราะช่วงนี้คงไม่ค่อยจะเห็นผม

มันก็แหงแหละ อยู่แต่บ้านจนผิวขาวเป็นแวมไพร์ละ ปกติแม่จะทำกับข้าวให้ทาน นับตั้งแต่เลิกกับพ่อ แม่ก็ชอบบอก ‘ออกไปซื้ออาหารแดกกันเอาเอง’

ผมที่แทบรู้ไส้รู้พุงกับป้าแกสามารถพูดคำหยาบคายอย่างขบขันได้ไม่ยาก แต่หากเป็นคนอื่นตั้งคำถามเช่นนี้บ่อยๆ คงจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงหันไปด่านานแล้ว ไม่รู้จะถามอะไรกันนักกันหนากับงานที่กูทำ

“ขายหลีค่ะขายหลี” ตอบออกไปโดยไม่ใช้น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำนัก มิวายทำหน้าทะเล้น เรียกเสียงขบขันจากหญิงวัยกลางคน

ทุกคนในเครือญาติต่างก็รู้กันดีว่าผมนั้นเป็นเกย์ หาได้เป็นชายแท้ไม่ การพูดคะค่ะในบางครั้งเลยเรียกเสียงชมชอบจากใครหลายคน ตุ้งติ้งบ้างในบางครั้ง แต่ชอบทำตัวติดตลกซะมากกว่า การแต่งเนื้อแต่งตัวไม่ต้องพูดถึง โดนด่าว่าอีเด็กใจแตกมาแล้วก็มี บางครั้งเพื่อนก็ชอบมาด่าว่าเราร่าน ไอ้เราก็เป็นงงมากเวลาโดนด่า เริ่มชักจะหงุดหงิดกับคำๆ นั้น โคตรจะไม่ชอบเลยกับคำว่าร่าน พวกแม่งรู้ได้ยังไงกัน ทั้งที่เราก็เก็บความลับนี้มาตั้งนาน

“จริงเหรอ นี่อยากขายไหม ป้าก็มีเพื่อนนะที่ขายแถวย่านX ขายดีนะ แม่งได้เงินกันเยอะฉิบหาย เพศแบบเรานี่ก็มี รับลูกค้าพวกป๋าๆ รวยๆ ทั้งนั้น ต่างชาติไรก็มีหมด หล่อๆ ทั้งนั้น”

แรงมากแม่ ! ป้ากูสนับสนุนให้เป็นกะหรี่ ! อีอ๊อกทำใจรับไม่ได้ ! รู้รายละเอียดขนาดนี้

“เพื่อนป้าชวนป้าไปเป็นกะหรี่ด้วยเหรอ ?” อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม

“อีนี่หนิ ไม่ได้ชวนซะหน่อย แค่ได้ยินมาบ้าง ขืนเป็นจริงผัวป้าซ้อมตายห่า” ป้าแกยื่นมือมาตีไหล่ของผมเบาๆ แต่ก็พอที่จะผมจะหรี่ตามอง แสร้งทำเป็นลูบไหล่ตัวเองคล้ายจะเจ็บ

“เอาเถอะ ผมก็พูดไปงั้นไม่ได้จะไปขายจริงๆ ซะหน่อย”

“อ่าวเหรอ ก็คิดว่าจะทำจริง แต่มันได้เงินเยอะมากเลยนะ” ป้าแกบอก

“ป้าเลิกคะยั้นคะยอที” ผมถึงกับร้องขอ ไม่รู้แกจะจริงจังไปไหน

ผมยืนคุยเล่นระหว่างรอกับข้าว ทันทีที่ได้รับก็โบกมือลาป้าแกก่อนจะเดินมานั่งทานที่บ้านตัวเอง ทำอะไรเสร็จสรรพก็ขึ้นห้องมาอยู่เงียบๆ นั่งจดจ้องกระดาษเปล่าโง่ๆ ที่โล่งโจ้นบนหน้าจอคอม ราวกับว่ามันกำลังตั้งคำถามใส่ผมว่าจะเอายังไง มึงจะเขียนเหี้ยอะไรใส่กูอีกล่ะ นำเสนอแต่ละฉากกับคำพูดตัวละครในแต่ละที กว่าจะเขียนได้แต่ละบรรทัดก็โคตรจะยากเย็น

ผมนั่งลูบหน้าตัวเองเล่น บทจะไม่มีอารมณ์ในงานเขียนก็เขียนไม่ได้จริงๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ในการแต่งทั้งนั้น รู้ตัวว่าไม่สามารถเขียนได้หลังจากฝืนแต่งและลบไปมาสิบกว่าเที่ยว ผมเลยบันทึกงานที่พิมพ์ไม่ถึงบันทึกและเปลี่ยนเป็นนั่งเล่นทวิตเตอร์แทน สอดส่องอยู่หน้าไทม์ไลน์พูดคุยกับคนอ่านและคนเขียนที่อัปเดตความคืบหน้า

[เบื่อมากพวกใช้นายเอกคำว่า ร่างบอบบาง,ร่างเล็ก,ร่างน้อย,ร่างอรชร คือเป็นผู้ชายนะคะ ไม่ใช่ผู้หญิง พระเอกก็มาร่างสูงโปร่ง เดี๋ยวก็มีผิวพรรณกระจ่างใส คือใสที่ว่านี่คือใสจนทะลุผิวหนังเลยปะคะ งง] ยอดรีเป็นพัน ผมได้แต่เขม็งตาใส่ คิ้วก็ขมวดมุ่นไม่ชอบใจ

อีหอยสังข์ ! แล้วมึงจะให้กูใช้คำว่าอะไรไม่ทราบ ร่างบอบบางใช้ไม่ได้ ให้กูใช้ว่าร่างผอมแห้งติดกระดูกเลยไหมฮะ ! ร่างเล็กก็ไม่ชอบ งั้นต่อไปนี้กูจะใช้คำว่าร่างกระจิ๋วหลิวเหมือนหมาปอมไม่ก็ชิวาว่าไปเลย เรื่องเยอะนักนะดีออกทอง ! ร่างน้อยก็ไม่เอา งั้นอันตรธานหายไปเลยอีเวรตะไล ไม่ต้องมีแล้วนายเอกให้พระเอกแม่งได้กับอากาศธาตุแทน อรชรกับร่างสูงโปร่งก็ไม่ชมชอบ อะไรๆ ก็ขัดใจมึงไปซะหมด ต่อไปนี้กูก็จะใช้คำว่าร่างสูงเหมือนเสาไฟฟ้าช็อต ไม่ก็เหมือนผีเปรตร้องขอส่วนบุญ อรชรก็เป็นอรคว- อีผิวพรรณกระจ่างใส ก็เปลี่ยนเป็นผิวบอบช้ำโดนคนทุบตี มีขนหน้าแข้งดกดำ ใสมาก ไสหัวมึงนี่แหละไปไกลๆ !

เบื่อ เบื่อโว้ยยยย ! เขียนนิยายก็ปวดหัวจะตายห่าแล้ว ยังต้องมาตามใจพวกประสาทแดกอีก ทำอะไรก็ผิดไปหมด เลื่อนทวิตเตอร์ลงมาอีกก็ถึงกับต้องกุมขมับ ไม่รู้จะมีดราม่าในวงการนี้เยอะไปไหน

อะ นี่อะไรอีกล่ะคะทีนี้ หืม ดราม่าเรื่องพล็อต เลื่อนลงมาอีกก็ดราม่าเรื่องเอ็นซีทำไมในนิยายไม่ป้องกัน ทำแท้ง

หน่านิ๊ ? เอาจริงดิ !

“เหนื่อย !” หลุดสบถดังลั่น อะไรแม่งจะเยอะกันนักกันหนา จะให้มาเขียนฉากนายเอกทำแท้งจริงๆ จังๆ กันอย่างงั้นเหรอ ฉากเอ็นซีบางเรื่องจะให้ป้องกันทุกเรื่องก็คงเป็นไปไม่ได้ น่าจะแยกแยะกันได้ระหว่างจินตนาการกับชีวิตจริง ให้มารับผิดชอบนักอ่านทุกคนคงเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้กูยังเอาตัวไม่รอดเลยอีฉิบหาย ข้อมูลต่างๆ นานา อยากรู้เพิ่มเติมเสิร์ชหาคำตอบกันเอาเอง คงไม่มีใครอยากมาบอกขั้นตอนทำแท้งกันหมดหรอก แต่ถ้าอยากได้ความสมจริง…

กูยื่นให้เลยค่ะ ‘สุขศึกษา’ จบ !

‘งั้นคุณอ่านหนังสือสุขศึกษาเถอะค่ะ หาเหตุผลความสมจริง ขนาดหนังเรทพวกGVมันยังไม่มีฉากทำแท้งสมจริงเลยจ้ะ แล้วคุณจะมาวุ่นวายอะไรมากกับการอ่านเอ็นซีล่ะคะ ?’

เลือกที่จะรีทวิตตอบกลับ จะได้รู้กันไปบ้างว่าในบางเรื่องก็ควรแยกแยะกันเอาเอง วิจารณญาณก็น่าจะพึงมี นักเขียนเขาจะหมดกำลังใจและเลิกเขียนก็เพราะดราม่าน่ารำคาญนี่แหละ ! แต่เดี๋ยวมึงก็มาครหาว่านักเขียนประสาทแดกอีก ทั้งที่เกิดจากตัวมึงกันทั้งนั้น เดี๋ยวก็ดีดนิ้วให้สลายโจ๋แบบทานอสเลยหนิ !

ส่วนนิยาย… ขอส่องแป๊บ

“โอ๊ะ เมนต์ใหม่ ! หืม รออัปตอนต่อไปนะคะ...” พึมพำเสียงอ่อนคล้ายจะร้องไห้

อืม เมนต์จริงดังที่ว่า น้ำตาจะไหล กำลังใจพอจะมีอยู่หน่อยๆ แต่เลื่อนคอมเมนต์ลงมาก็มีแต่คำจิกกัดทั้งนั้น ไม่คิดจะแคร์คนเขียนเลยสักนิด หยิบมือถือโทรหาเพื่อนสนิทเลยดีกว่า ทนไม่ไหวแล้วท้อแท้หมดกำลังใจ หาแนวทางการเขียนก็ไม่เจอคงต้องหันไปทำอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งได้ยินปลายสายกดรับจึงเอ่ยปาก

“ฮัลโหลคริสตี้” ลากน้ำเสียงยาวเหยียดด้วยความดีใจ

[ว่าไงมึง]

“มีงานไรแนะนำปะ กูเหนื่อยฉิบ ไม่อยากเขียนนิยายแล้วอะ ถอดใจฉิบหาย อยากไปหางานทำจะหาเงินให้แม่ด้วย”

[กูไม่ได้ทำงานแล้วอะดิ]

“อ่าว แล้วมึงทำไรอยู่อะ อยู่บ้านเฉยๆ เหรอ ?” ผมถามอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ

[เออ แต่กูก็เล็งงานอีกที่ละ เห็นว่าเงินดี]

โหย เงินดีขนาดไหนวะ ตาผมเริ่มลุกวาว รีบถามเพื่อนสาวสองอย่างตื่นเต้น

“งานไรอะ ทำด้วยๆ ถ้าได้เงินดีกูทำหมด”

[จะดีเหรอมึง…] ปลายสายดูเสียงอ่อนลง

“ทำไมอะ ?”

[ก็กูจะขายหลีอะดิ]

“...”

[มึงอยากไปเป็นกะหรี่ด้วยไหมล่ะ]

เป็นงง...เป็นงงไปหมด ว่าทำไมวันนี้กูเจอแต่คนชวนไปเป็นกะหรี่

โว้ยยย วุฒิการศึกษาตัวเองก็แค่มอสาม ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เรื่อง แม้แต่คำว่านกยังสะกดไม่ออก จะหางานทำก็คงได้แค่พวกเสิร์ฟอาหารทั่วๆ ไป

แต่งนิยายก็ไม่ได้เรื่อง ทางบ้านก็บ่นเรื่องเงินเก่ง วันก่อนๆ ก็โดนญาติช่างยุว่าให้หันไปทำอย่างอื่นแทน

ไม่เลือกงานไม่ยากจน...

“เออ งั้นกูทำ !” ในเมื่อเป็นนักเขียนมันโคตรเหนื่อย กูขายตัวแม่งเลยละกัน ! ชีวิตตลกร้ายดี !

[แต่มึงไม่สวยคงเหนื่อยหน่อยนะ] อีเพื่อนชั่ว !

“ลองดู มึงจะทำวันไหนล่ะ กูทำด้วย ตัดพ้อชีวิตแม่ง !”

[ในเมื่อมึงทำ งั้นไปขายกับกูวันนี้เลย แต่มึงต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิงนะ]

“ทำไมอะ แต่งตัวธรรมดาไม่ได้เหรอ ?”

[เอาเหอะหน่า กูมีคนรู้จักขายตัวอยู่…]

อีกละ พวกมึงรู้จักคนประเภทนี้อีกละ ตั้งแต่ป้ากูละนะ

[ลูกค้าผู้ชายส่วนใหญ่อะ ชอบอมงูกะเทยเว้ย]

“ฮะ !” เบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ รีแอคชั่นด้วยการเอนตัวไปกับเบาะที่นั่ง พลันยกมือขึ้นมาทาบอก ปากก็พลอยเหวอ

จริงจ๊ะ ? เอาจริงดิ

[ตกลงวันนี้นะ ตอนแรกกูก็ลังเลว่าจะทำดีไหม]

กูเองก็เช่นกัน ! ขอเวลานอกเพื่อคิดแป๊บมึง… เริ่มไตร่ตรองหาคำตอบ ชักจะไม่แน่ใจละ เกิดกูได้แขกใหญ่ๆ ขึ้นมาต้องแหกแน่ๆ อีฉิบหาย

[เดี๋ยวกูไปรับมึงเลยละกัน มานั่งแต่งตัวบ้านกูเลย]

ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวมึงอีเพื่อนเหี้ย ! กูก็อยากขายนะ แต่กำลังช็อกกับการที่ผู้ชายอมงูกะเทยอยู่ ถึงแม้กูจะเป็นเกย์ก็ตามที

[ดีใจจัง กูจะได้มีเพื่อนขาย]

“...”

[เป็นกะหรี่ด้วยกัน สนุกดี]


ตรรกะเหี้ยอะไรของมึงงงงง !!
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่หนึ่ง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 04-09-2019 23:37:56
ตอนที่หนึ่ง

 

“มึงถามหน่อยสิระหว่าง ‘กะหรี่’ กับ ‘กระหรี่’ ที่มีรอเรือ อันไหนเขียนถูกอะ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจกับคำถามของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้กำลังเอาตาข่ายเก็บผมที่ครอบคลุมเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะวางวิกผมที่ยาวเหยียดสีดำสนิทครอบลงตรงกลางกบาล

อารมณ์ไหนของมันวะ ? ถึงได้อยากเรียนรู้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ปกติไม่เห็นแม่งจะสนใจเลยสักนิด

“วิธีการจำง่ายๆ กะหรี่กับกะเทยก็เหมือนกัน เป็นได้เลยไม่ต้องรอ มึงไม่เคยดูคลิปของคุณครูลิลลี่อ๋อ ?” ไม่วายถามอย่างสงสัย

“สรุปก็คือไม่มีรอเรือ ถูกมะ ?”

“ก็เออไง” ผมขานรับ หลุบสายตาลงต่ำ นั่งไถทวิตเตอร์เล่นต่อในมือถือ

“ไม่น่าล่ะ”

“?”

“เราสองคนถึงเป็นกะหรี่ได้เลยไม่ต้องรอ”

“สัตว์” เงยหน้ามามองมันที่สะท้อนบนกระจกตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะสวนกลับ

“แล้วเมื่อไหร่จะเลิกยุ่งกับกบาลสักที” ผมขมวดคิ้วยุ่ง เห็นมันยังจับแต่งวิกผมที่ยาวเหยียด “กูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทาร์ซานทุกทีแล้วนะ”

“หุบปากอีอ๊อก กูกำลังลองวิกให้อยู่นี่ไง” มันด่า

“สรุปจะไปเป็นกะหรี่หรือคนบ้ากันแน่ กูเริ่มสับสนแล้วอะ” ชักจะหวั่นใจ อยากขอถอนตัวออกจากแก๊งโสเภณีตอนนี้เลยได้ไหม ก็วิกที่ใส่อยู่ในตอนนี้เหมือนคนหัวฟูสิ้นดี ก่อนที่จะถูกคริตตี้ถอดถอนออกอย่างแรง พูดด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด

“บวชชีแม่งเลย โมโห !”

“มึงบวชชีกูก่อนจะพูดอีก” ผมส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ พูดถึงคำว่าบวชชีภาษากะเทยก็น่านำไปใช้ในนิยายนะ หมายถึงการถอดวิกและกระชากหัวให้กลายเป็นคนหัวโปกเหมือนที่มันทำนั่นแหละ

“วิกเหี้ยไรอีกอะ” ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เงยขึ้นมาด่าทันทีที่เห็นวิกอีกอันที่มันหยิบขึ้นมา จากนั้นก็สวมลงที่ศีรษะอีกครั้ง จับปัดหน้าม้าและหวีผมอีกสักหน่อย เลยได้เห็นหน้าตัวเองกระจ่างชัด ดูดีกว่าการเป็นทาซาร์เมื่อครู่นี้ ความยาวของมันอยู่ในระดับกลางแผ่นหลัง ไม่หนาและบางจนเกินไป ยาวสลวยเหมือนเส้นผมจริง

“ดูดี แต่ต้องแต่งหน้าแต่งตาอีกสักหน่อย ตอนนี้หน้ามึงเหมือนช่างแอร์ในตำนาน”

“อีเหี้ยคริตตี้” กล้าดียังไงมาเปรียบกูเป็นช่างแอร์ในตำนาน !

“ว่าไงอีเหี้ยอ๊อก” มันด่ากลับพร้อมรอยยิ้ม ผมเลยได้แต่ถลึงตาใส่ ก้มหน้ามาตอบนักอ่านที่DMในทวิตเตอร์แทน

“คุยกับผัวใหม่เหรอ ร่านมาก เพิ่งเป็นกะหรี่หมาดๆ สร้างแอคเคาท์นัดเย็-แล้วสินะ”

“กูกำลังปลอบใจนักอ่านต่างหากเว้ย !” ตวาดเสียงดังลั่น หลุดขำกับสิ่งที่มันเปรียบเปรย ขยันจิกกัดฉิบหายอีเพื่อนเวร ทั้งที่อีกไม่นานต้องมานั่งเครียดกับการเป็นกะหรี่แท้ๆ เวลาลูกค้าจะดีลก็ไม่รู้ว่าต้องตอบยังไงอีก

“นี่มึงเป็นนักเขียนไม่ใช่เหรอ ?” มันหยุดหวีผม เอียงคอมองท่าทีฉงน

“ก็ใช่ไง”

“แล้วนี่มึงต้องมาเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดที่ปรึกษาทางใจให้คนอ่านอีกเหรอ ?”

“เหอะๆ มึงไม่รู้อะไร วงการนี้นักเขียนก็เป็นกันหมด นอกจากแต่งนิยายให้คนอ่านแล้ว ก็ยังเป็นที่ปรึกษาชีวิตของคนอ่านเช่นเดียวกัน” ผมแถลงไข

“โหย น่าสงสาร ขนาดชีวิตตัวมึงเองยังเอาตัวไม่รอด ริอาจจะไปเป็นที่พึ่งทางใจของคนอ่านอีก” มันหยุดคำพูดลง ก่อนจะเสริมประโยคถัดมา “สงสารนักอ่านมึงเนอะ คงมาปรึกษาด้านความรักล่ะสิ โดยที่ไม่รู้เลยว่านักเขียนอย่างมึงกำลังผันตัวไปเป็นอีตัวที่ไม่มีวันเจอรักแท้”

แรงมากแม่ อ๊อกคนนี้ทนรับฟังไม่ได้ขออนุญาตเอามืออุดหู แต่คนที่รู้นิสัยดีอย่างมันก็ดันเสือกก้มหน้ามากระซิบข้างกกหู เล่นเอาผมแทบหูหนวก

“ดัดจริตทำเป็นรับไม่ได้ อีกะหรี่ !”

“มึงน่ะสิอีกะหรี่ !” ผมชี้นิ้วด่ามันในกระจก

“อีโสเภณี !” อีคริตตี้ชี้นิ้วด่ากลับ

“อีคณิกา !” ผมสวนแทน

“อีหอนางโลม” มันเองก็ไม่ยอมแพ้

“อีเด็กซ่อง !” ผมยังโต้คารม

“อีผีเสื้อราตรี !” อีคริตตี้โต้ตอบ พลันมองหน้ากันเหมือนรู้ใจ ก่อนจะขยับริมฝีปากร้องเพลงพร้อมกัน

“จะไปกับแสงสีกับปีกที่สวยๆ ให้เหมือนผีเสื้อราตรี จะหยิบเอาสายฟ้ามาเสียบเป็นสีสัน แต่งแต้มหัวใจทั้งคืน ~”

“กูชอบคำนี้” คริตตี้แสดงความคิดเห็นหลังร้องเพลงจบ ส่วนผมพยักหน้าขึ้นลง “เห็นด้วย” กลับมานั่งลงสงบเสงี่ยมตามเดิม แตกต่างจากเมื่อครู่ที่ชี้นิ้วใส่กันผ่านบานกระจก ล้วนแต่เป็นความบ้าบอของเราทั้งสอง

“กูว่าวันนี้พวกเราน่าจะขายรุ่ง” คริตตี้ที่หวีผมต่อพึมพำอยู่เหนือหัว “เวลาลูกค้ามาก็บอกบายวันเกทวัน”

“ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งน่ะเหรอ ?”

“ใช่ เผื่อเป็นชาวต่างชาติ”

“แล้วถ้าเป็นตำรวจล่ะ ?”

“ก็บอกว่าหนูมารอเพื่อนค่ะ” มันพูดไม่พอยังทำหน้ากวนส้นตีนใส่อีก ใช้ดวงตากลมกระพริบตาปริบๆ ทำปากจู๋เหมือนคนดูดหรรมหมา บอก “ทำหน้าแบบไม่มีพิรุธ”

“หน้าด้านมาก” นี่เหรอหน้าตาไม่มีพิรุธของมึง ผมแสร้งบึนปากในบันดล อยากจะจับไอ้คริตตี้ยัดใส่ในนิยายตัวเองฉิบ คาดคะเนว่าหากเป็นตัวเอกก็คงตุ้งติ้งน่าหมั่นไส้ ประจวบเหมาะที่เลื่อนทวิตเตอร์ผ่านมาพอดี

[ทำไมนายเอกต้องออกสาวด้วย เกย์ต้องแมนๆ สิ นี่ไม่ชอบเลยค่ะไทป์น้องรูปร่างบอบบาง และก็แบบพระเอกใช้ปากให้นายเอก อย่างGVบางเรื่องที่เป็นคู่รักกัน ถึงขั้นให้รับตัวเล็กๆ เสียบรุกตัวใหญ่ๆ ด้วย โคตรรับไม่ได้]

“เหอะๆ อีควาย อี อี…”

“อีหน้าส้นตีน !”

“ขอบคุณมากมึง” ผมหันไปขอบใจเพื่อนซี้ที่รู้ใจตรงจังหวะ

“ไม่เป็นไรมึง” คริตตี้ตอบปัด เริ่มจับปอยผมด้านข้างแบ่งเป็นสามช่อ ถักเปียวิกผมที่ถูกออกแบบให้มีหนังศีรษะ ถึงขั้นต้องทากาวโดยเฉพาะให้มันติดกับหนังหัว แต่สิ่งที่ผมสนใจมันประเด็นนี้ต่างหาก

“มึงดูนี่นะ เหตุผลพวกนี้นี่แหละที่กูอยากจะเลิกเขียนนิยายแล้วหันมาขายตัวแทน มันชอบมีแต่พวกพวกไอ้แอคเห็บประสาทแดก” ยกมือถือขึ้นสูง หันหน้าจอไปด้านข้างเพื่อให้เพื่อนสนิทดู

“ตลกอะ กูว่าพวกนางไม่เคยมีเพื่อนที่เป็นเพศที่สามมากกว่า สงสัยอยู่แต่โลกแคบถึงคิดว่าเกย์ต้องแมนเสมอไป ไม่ชอบไทป์รูปร่างบางก็ไม่ต้องอ่านปะ นิยายมีให้คัดสรรหยิบจับต้องเยอะแยะ พล็อตมีเป็นล้านแตด เสือกกระแดะจะมาอ่านเรื่องที่ไม่ชอบซะงั้น โคตรงง ดูอย่างมึงเป็นตัวอย่างสิ…” คริตตี้พินิจ เอี้ยวกายมาด้านข้าง ก้มๆ เงยๆ สำรวจร่างกายผม พลันวิจารณ์ “เป็นเกย์สาวที่ใจแตกแต่แต่งนิยายวาย พอรู้ตัวว่าไปต่อไม่รุ่งเลยฉุกคิดจะขายตัว”

“...”

“ขายบ้านไปทำหลี แล้วขายหลีไปสร้างบ้าน พ่อแม่ต้องภาคภูมิใจ”

“กูเป็นเกย์ ไม่ได้อยากไปผ่าหลี !” ผมสวนอย่างมีน้ำโห

“แสดงว่ายังอยากเก็บไว้ชักว่าวต่อ” คริตตี้อมยิ้ม ทำตาหยี “แต่งตัวเสร็จใครจะไปรู้ มึงอาจจะเพิ่งรู้ตัวว่าอยากเป็นผู้หญิงก็ได้นะ” ฉีกยิ้มกว้างพลางหัวเราะหึๆ เหมือนคนโรคจิต ก่อนจะเดินอ้อมมาด้านหลังและหมุนเก้าอี้ของผมให้ตั้งตรง

“มึงจับกูแต่งตัวแบบนี้ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วเถอะ” ผมแก้ต่างด้วยสีหน้าบึ้งตึง ทั้งที่สมัยอดีตก็โดนเพื่อนรักแต่งหน้าทำผมให้เป็นหนูทดลองอยู่บ่อยๆ นั่นก็เพราะว่ายัยคริตตี้มันอยากเป็นเมคอัพอาร์ติส

“มึงนี่ชอบแต่งหน้าเหมือนเคยเลยนะ” ผมพูดขึ้นลอยๆ คลายบรรยากาศ

“แน่นอน ก็กูอยากทำอาชีพช่างแต่งหน้าศพ”

“อีสัตว์หนิ” ชอบให้ด่าทุกที มึงเป็นบ้าอะไรกัน ขืนคุยกับมันต่อต้องประสาทแดกแน่ๆ เลยก้มมาโต้ตอบในทวิตเตอร์ ฉะเรื่องประเด็นล่าสุด ประโยคไหนข้อความเกินขีดจำกัดก็ค่อยไปทวิตเสริมต่ออีกหนึ่งประโยค

‘ลองอ่านแนวที่ถูกจริตดูนะคะ ไม่ชอบแนวไหนก็ไม่ต้องอ่านแนวนั้น เกย์ออกสาวในชีวิตจริงมีตั้งเยอะแยะ เกย์ไม่จำเป็นต้องแมนเสมอไป ส่วนพระเอกจะใช้ปากให้นายเอก สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นการแสดงความรักของทั้งสองฝ่าย การเมคเลิฟที่อยากทำให้คู่นอนมีความสุขโดยไม่เห็นแก่ตัว ส่วนเรื่องทำไมรุกถึงยอมให้รับสอดใส่นั่นมันก็เรื่องของเขา ขึ้นอยู่กับคนรักทั้งสิ้น เคมีธรรมชาติของมนุษย์ล้วนเป็นตัวชี้ทางกำหนด เรื่องบนเตียงมันก็คือเรื่องของคนสองคน เว้นแต่ว่าคุณอยู่ชิดขอบเตียงด้วยซะงั้น ฉะนั้นไม่อยากให้คิดว่าคนตัวเล็กๆ ต้องมารับบทบาทเพียงแค่รับ หรือโดนสอดใส่ค่ะ อย่าตัดสินจากรูปพรรณสัณฐานของคนเรา ว่าคนนี้ต้องรับคนนี้ต้องรุก ปล.หากอ่านแล้วไม่เจอแนวที่ถูกจริตก็ลองแต่งเองดูนะคะ’

นี่แน่ะ กูแซะแม่งด้วย ! แล้วมึงจะรู้ว่าเขียนนิยายมันยากเย็นขนาดไหน !

“เอาแล้ว อีอ๊อกหน้าแดงแล้ว พิมพ์ด่ายิกๆ เลย ตอบแบบมีมารยาทเวอร์ แต่ในใจคงด่าอีเหี้ยอีสัตว์เต็มไปหมด” คริตตี้ที่ชะโงกหน้ามาดูกล่าวอย่างเหน็บแหนม หัวเราะกับสีหน้าของผมที่ปั้นปึ่ง

“กูเบื่ออีวงการนี้เต็มที เดี๋ยวแม่งก็มีมาอีก !”

“มึงก็ลาออกไปขายตัวแล้วนี่ไง”

“เออ !” กระแทกเสียงใส่ ขยันตบมุกเก่งอีกอีฉิบหาย

“ช่างเรื่องดราม่าเถอะมึง ปลงๆ ไปเถอะ ขายหลีก็ปลงๆ ด้วยนะ ปล่อยให้พวกบ้านั่นประสาทแดกกันไป” คริตตี้พูดปลอบใจ

“กูก็อยากจะไม่สนใจหรอก แต่เห็นรีไปไกลแต่ก็ไม่มีใครมาแย้งสักที สงสารนักเขียนบางท่านที่มานั่งเครียดจนเป็นโรคซึมเศร้า เพราะคอมเมนต์ทำร้ายจิตใจพวกนี้ ลองพวกแม่งมาดราม่าใส่กูสิ กูจะ…”

“กูจะขายหลี”

“อีคริตตี้ !”

“หุบปากแล้วหลับตา กูจะแต่งหน้ามึงละ ช่างอาชีพนักเขียนก่อน เพราะวันนี้เราจะขายหลีกัน”  อีกแล้ว ! คำก็หลี สองคำก็หลี ขืนเป็นนิยายคงโดนฉอดแน่ๆ คนอ่านต้องเข้ามาคอมเมนต์วิพากวิจารณ์ ‘นิยายมีคำหยาบเยอะมากเลยค่ะ อยากให้ลดคำหยาบลงหน่อย’ แน่ๆ มันต้องมีแน่ๆ ทั้งที่กูก็แปะคำเตือนเอาไว้แล้วแท้ๆ

“กูบอกให้หลับตาไง” อีกฝ่ายย้ำด้วยน้ำเสียงกึ่งดุ ผมที่ชิชะลอดไรฟันรีบทำตามคำสั่ง สัมผัสได้ถึงพวกแปรงต่างๆ ที่เริ่มมาแตะต้องตามปลายกระบอกตา โดนมันจับแต่งหน้าบ่อยจนรู้ได้ว่าอายไรเนอร์มีลักษณะแบบไหนและชื้นแฉะยังไง

ใช้คำว่าชื้นแฉะได้ไหมนะ แต่ถ้าเป็นนักอ่านคนต้องคิดสัปดนแน่ๆ เลย

ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองในใจ ว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาจะบรรยายยังไงดี ควรใช้คำว่าเปียกดีไหมนะ ? แต่ก็ไม่ได้อีก เปียกแม่งดูลามกสัปดน เหมือนพวกคำพูดหยาบโลนของพระเอกเลย

คนอ่านอาจไม่ได้คิดมาก แต่เป็นกูเองมั้งที่คิดเยอะ

“มึง...มึงว่าระหว่างชื้นแฉะกับคำว่าเปียกดูลามกมะ ?” ผมถามมันขณะหลับตา

“ถามทำไมอะ นี่มึงคิดเรื่องนิยายอีกแล้วเหรอ ?”

“อืม แบบถ้าสมมุติกูโดนทาอายไรเนอร์เหมือนอย่างตอนนี้อะ แต่ตอนทามันรู้สึกแปลกๆ อะ มันก็รู้สึกชื้นแฉะและเปียกๆ กูก็ไม่รู้ว่าถ้าจะแต่งในนิยายมันจะดูจาบจ้วงไปไหมถ้าจะบรรยายลงไป”

“โหย แต่งนิยายมึงนี่คิดมากขนาดเลือกไม่ถูกระหว่าง ‘ชื้นแฉะ’ กับ ‘เปียก’ เลยเหรออีอ๊อก ? ติ๊งต๊องมาก” คริตตี้พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก เดาได้ว่ามันคงต้องลอบด่าผมภายในใจอีก

“เออดิ” ผมขานรับเสียงอ่อย ความหมายของแต่ละคำมันไม่เหมือนกันนะ กว่าจะเลือกคำสละสลวยให้เข้ากับเนื้อหาได้อีก

“งั้นกูขอเสนอคำว่า…”

“หืม ?” ผมลืมตาขึ้นมอง หลังจากที่มันเป่าลมหายใจตรงเปลือกตาของผม เพื่อให้อายไรเนอร์มันแห้งสนิท ก่อนจะหยิบลิปทิ้นมาทาที่กลีบปากของผมต่อ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ นำเสนอคำใหม่ในวงการ…

“สัมผัสน้ำเงี่ยนแทนละกัน”

กูว่าคำนี้ควรใช้กับเอ็นซี...

 

“มึงกูไม่มั่นใจ”

“สวยแล้ว เลิกเอามือแตะกระโปรงสักที”

“มันโชว์ขามากเกินไป”

“นี่มึงเป็นผู้หญิงปะเนี่ยอีอ๊อก ฮัลโหล ลูกคุณหนูในห้องหอเหรอลูก”

“ก็มึงจับกูแต่งชุดบ้านี่อะ แขนกุดเปิดไหล่อีก” หน้านิ่วคิ้วขมวด บ่นไม่หยุดปากตั้งแต่ออกจากบ้าน รีบยกมือทั้งสองข้างมาไขว้ปิดไหล่ เห็นพี่แท็กซี่ปรายตามองผ่านบานกระจกตรงหน้าเป็นพักๆ

อีเหี้ย ! มองอะไรกันนักกันหนา เดี๋ยวกูก็ถลกกระโปรงชูคว-ให้ดูเลยหนิ !

“น่ารักแล้วเชื่อกู ผู้ชายเห็นแล้วต้องเงี่ยนแน่ๆ”

“กูเกลียดคำเปรียบเปรยของมึงมาก” ผมหันไปแขวะเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ จ้องมันที่ยกพัฟที่ติดกระจกสอดส่องใบหน้าตัวเอง ดูความเรียบร้อยเป็นรอบที่สิบ

โธ่ อีกะเทยติดกระจก !

“กูลืมบอกกฎข้อนึงให้มึงฟังอีนักเขียน” คริตตี้ปิดพัฟลงพลางยัดใส่กระเป๋าสีดำที่สะพายไหล่ หันหน้ามามองผมด้วยรอยยิ้มกว้าง วินาทีต่อมาก็ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู

“กฎของการเป็นกะหรี่ ต้องไม่หลงรักลูกค้า”

“...”

“มึงจำคำกูไว้ให้ดี” คริตตี้ที่ละหน้าออกห่างกล่าวเตือน

“นี่กูดูเหมือนคนใจง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ?” งงมาก ทำไมเพื่อนรักมองว่าเพื่อนคนนี้ดูใจร่าน

“ก็ไม่แน่ ลูกค้าอาจหล่อและหรรมใหญ่ เกิดมึงติดใจขึ้นมาไม่คิดเงิน”

“มึง...นั่นมันหรรมหรือสิ่งอัศจรรย์ ร่ายคาถาให้ติดใจหลงรักได้”

“...”

“คว- นะคริตตี้ ไม่ใช่คฑาแม่มดน้อยโดเรมี”

“งั้นกูขอเรียกว่าดาบศักดิ์สิทธิ์”

“ปกตินิยายกูจะใช้คำว่าแก่นกาย”

“ไม่เลิศเลยอะแม่ เป็นกูนะจะใช้คำว่า…” มันกลอกตาใช้ความคิด นึกขึ้นได้จึงหันมายิ้มแฉ่ง

“เห็ดหัวบานตะไทมีหญ้าดกดำ หรือไม่ก็ปลัดขิกรูปทรงคล้ายกันดี แต่ออกจะดำหน่อย”

“กูว่ามึงไปเป็นนักเขียนเถอะ” ขยันคิดแต่คำอุบาทชาติชั่ว ถ้าได้ไปแต่งนิยายกูก็ต้องมานั่งลุ้นอีกว่าเว็บที่ลงบ่อยๆ จะแบนด้วยไหม เพราะเนื้อหาแม่งมีคำลามกเต็มไปหมด

ฮัลโหลชาวเด็กดี แบนกูแน่นอน

 

ครั้นมาถึงสถานที่ที่ต้องทำมาค้าขาย ไอ้เราก็จินตนาการว่าต้องแย่งเสาตบตีกับกะหรี่เจ้าถิ่นฐานแน่ๆ แต่ที่ไหนได้กลับตาลปัตร สิ่งที่เห็นคือร้านนั่งชิวเหมือนพวกตามผับตามบาร์ มีผู้คนเดินเข้าออกกันเยอะแยะ บ้างก็เป็นหนุ่มวัยรุ่นไปถึงพวกอาวุโส หนุ่มหล่อจูงสาวสวยออกจากร้าน ผมที่เดินผ่านก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแบกผู้ชายเอาแขนพาดคอ เดินโซซัดโซเซเหมือนคนเมา

“อย่าไปจ้องเขา เดี๋ยวก็โดนตบหรอกอีอ๊อก” คริตตี้ใช้เล็บจิกลงที่เรียวแขนของผม เล่นเอาผมหลุดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

“มันเจ็บนะ” เขม็งตาใส่ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่ามันหวังดี เพราะก่อนหน้านี้ผมเอาแต่จ้องเหมือนคนสงสัย เห็นผู้หญิงแต่งตัวสั้นจุ๊ดจู๋ ชุดเหมือนสีเลือดหมูประจำเดือน

“เขาเป็นใช่ปะ…” อดไม่ได้ที่จะสะกิดแขนถามเพื่อนรัก พยายามเข้าไปเดินใกล้ๆ กระซิบให้ได้ยิน คริตตี้ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากพยักหน้ารับ จูงแขนพาผมเข้ามาในร้านท่ามกลางสายตาของผู้ชายตัวใหญ่สี่ห้าคน คาดว่าน่าจะเป็นผู้ดูแลความปลอดภัย อีกฝ่ายสำรวจมองพวกเราเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น คริตตี้เลยยิ้มหวานหยดลากผมเข้ามาภายในอย่างรวดเร็ว

“มึงขายบ่อยใช่ไหมอีคริตตี้ ทำไมรู้ดีขนาดนี้” ผมนี่อยากจะร้องกรี๊ด อีเพื่อนตัวดีดูรู้ขั้นตอนรู้จังหวะ แสดงว่ามันต้องทำบ่อยจนเคยชินแน่ๆ

“เดี๋ยวกูจะฟ้องแม่มึงแน่อีเด็กใจแตก” ด่าลอดไรฟัน รับไม่ได้ที่เพื่อนดูโชกโชน

“โอ้โห ด่ากูไม่ดูสภาพตัวเองเลยอีอ๊อก พี่ที่กูรู้จักเขาก็แค่บอกวิธีกูปะล่ะ กูก็ทำตัวกลมกลืนไปงั้นแหละ” มันหันมาฉอดใส่ “มึงอะเลิกถามมากแล้วหุบปากไปซะ ค่อยพูดตอนอ้าปากอมคว-”

แรงมากแม่ ! ถึงกับช็อกด่ามันกลับไม่ถูก นี่มึงจะให้เพื่อนนักเขียนอย่างกูพูดได้แค่ตอนทำเรื่องสัปดนอย่างงั้นเหรอ คิดภาพไม่ออกเลยตอนทำเรื่องภารกิจพรรค์นั้น หากเป็นนิยายคงเขียนได้เป็นฉากๆ ประกอบกับการดูคลิปพอร์นเพื่อเป็นกรณีศึกษา ดูจนชินชาจนหมดสมรรถภาพทางเพศ เห็นพวกในคลิปมีแต่คนกรีดร้องเหมือนโดนฆาตกรเชือดเฉือน นี่กูจะโดนอาวุธร้ายประดุจมีดคมกระซวกไส้เหมือนในคลิปปะ เดี๋ยวอู๊ เดี๋ยวอ๊า บางทีก็ร้องอ๊างเสียงหลงจนกูช็อก สารพัดท่าเกินจะบรรยาย

หากได้ยินเสียงแบบนั้นกูคงจะรีบโทรหาตำรวจทันทีว่าข้างห้องกำลังไล่แทงกันแน่ๆ แทงกันเสียงดังมาก พรึบพรับๆ หัวโขกกับฝาผนัง

“อึก” คิดแล้วก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอ จะโดนจับอุ้มกระเตงเหมือนในคลิปที่ดูล่าสุดตอนเขียนเอ็นซีปะแม่ อ๊อกเริ่มขนลุก

“มึงกูกลัว” สอดแขนกอดเพื่อนแน่น เดินมาถึงจุดที่มีกลุ่มผู้หญิงนั่งคุยกันอยู่ตรงโซฟาสีครีม ทำจากวัสดุห่าอะไรก็ไม่อาจทราบ รู้แค่ว่ามันเป็นโซฟา ไม่มานั่งค้นหาข้อมูลเหมือนในนิยายที่เคยแต่ง

“หวัดดีค่ะพี่ดาว” ไอ้คริตตี้ยกมือขึ้นไหว้ แย้มยิ้มดัดจริตตามฉบับมัน ส่วนผมกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นแต่ความมืดมิดที่พอจะมีแสงสว่างหลากสีสัน ประกอบกับเสียงบีทหนักๆ ของดนตรีดังสนั่น ทำให้ผู้คนที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงโต๊ะผงกหัวตามจังหวะ ผมแอบเห็นว่าบางคนก็มีผู้หญิงนั่งข้างกาย พวกหล่อนคล้ายสาวนั่งดริ๊งก์

“โหย” หลุดเสียงร้องอย่างตื่นตะลึง แอบสะกิดแขนเพื่อนรักให้หันมาสนใจ มันก็ดันปัดมือทิ้งไม่คิดจะเหลียวแล ตาของผมก็ยังไม่ละจากคู่ๆ หนึ่งที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตรงโซฟา

ดีออก ! จูบกันแล้ว จะแดกหัวกันแล้ว ! เอาแล้วๆ ขึ้นคร่อมกันแล้วววว เย็-แม่งกันตรงนั้นเลยใช่ไหม มือล้วงเข้าไปแล้วขยับขึ้นลงด้วยแม่ !

สะกิดแขนเพื่อนยิกๆ มองด้วยแววตาตื่นตะลึง

มึง...มึงเขาชักจรวดกันแล้ว อ๊ากกก ! กูจะไปเขียนฉากนี้ในนิยาย ! กระดาษ หากระดาษมาจดทีมึง !

ผัวะ !

“กูบอกว่าอย่ามองไง” คริตตี้หันมาตบหัวดังป๊าบ ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาลูบหัวป้อยๆ แววตาสลดคล้ายสำนึกผิด หางตาก็ยังแอบเหลียวไปมองคู่ที่ยังโรมรันใส่กัน กระทั่งคนข้างกายเงื้อมือขึ้นสูงหวังจะตบอีกสักฉาด ผมเลยรีบเก็บสายตายิ้มเจื่อนต่อหน้ามัน

“โทษที”

“นี่พี่ดาว” คริตตี้มองตาดุ ผายมือไปทางพี่ผู้หญิงที่ใส่ชุดเกาะอกสีขาว กางเกงขาสั้นสีเดียวกัน หน้าอกแอบเหมือนเอาหัวเด็กทารกยัดใส่อก

เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดี แต่ขอไม่บรรยายว่ามีลักษณะแบบไหน แตกต่างจากนิยายที่ต้องมานั่งบรรยายว่าผมสีอะไร ลักษณะดวงตากลมหรือเรียวหรือคล้ายหมาเศร้าสร้อยที่โดนผัวทอดทิ้ง เอาเป็นว่าอีกฝ่ายมีผมสั้นระดับต้นคอสีดำสนิท มีคิ้วมีลูกตามีจมูกปาก ช่างแม่ง ! กูไม่ได้เขียนนิยายสักหน่อย ขี้เกียจมาวิเคราะห์อีห่านจิก

“หวัดดีค่ะ” ยกมือขึ้นไหว้ ลงท้ายคะค่ะตามที่เตี้ยมกันมา

ไอ้คริตตี้มันให้ไหว้เพราะเขาเป็นรุ่นพี่หรือเป็นแม่เล้าหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่อาจทราบ กลัวถามออกไปไปแล้วจะถูกตบภายในร้าน ฉะนั้นกะหรี่ฝึกหัดอย่างผมควรเงียบปากดีกว่า

เอ๊ะ หรืออนาคตผมจะแต่งให้ตัวละครผันตัวมาเป็นกะหรี่ดี อืมๆ น่าสนใจ ขอเก็บพล็อตนี้ไว้อนาคตล่วงหน้า ใครถามว่าคิดพล็อตได้ยังไง ก็มานั่งยิ้มกลบเกลื่อน ปากบอก ‘อ๋อ แค่อยากแต่งแหวกแนวอะค่ะ’ แต่เปล่าหรอก เผลอๆ ชีวิตกูจริง

แต่งนิยายมาตั้งแปดปี พิมพ์ตัวอักษรในแต่ละตอนเป็นหมื่นกว่าคำ หลายครั้งก็ฉุกคิดตั้งคำถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ รายได้ก็ไม่มี แหกขี้ตาทนฝืนแต่งจนฟ้าสาง ตรวจแล้วตรวจอีกเพื่อหาคำผิด เสียเวลาชีวิตไปครึ่งค่อนวัน พอจะอัปก็มีเมนต์ไม่กี่อัน ไม่รักจริงคงทำไม่ได้

จงรักการเขียน จงรักในสิ่งที่ทำ จงรักการเป็นกะหรี่เฉกเช่นในยามนี้ ! มรสุมถาโถมเหลือเกิน คะยั้นคะยอจนกูได้เป็นสมใจอยาก !

เอาวะอีอ๊อก เป็นกะหรี่อาจไม่ได้แย่อย่างที่คิด ถือว่าเปิดโลกใหม่ ถ่องเข้าไว้ ‘ไม่เลือกงานไม่ยากจน’ แต่เลือกสักหน่อยก็ดีอีฉิบหาย !

“มึงนั่ง” คริตตี้ดึงผมให้นั่งลงตรงโซฟา  บนโต๊ะก็มีพวกเหล้าให้จิบดื่มกันหอมปากหอมคอ ผมที่คออ่อนเป็นทุนเดิม ลองกระดกสักหน่อยเผื่อจะได้ลบความกระอากอายลงไปบ้าง สายตาก็มองดูผู้คน นับว่าเป็นสถานที่ที่มีชายหนุ่มหน้าตาดีมากไม่ใช่น้อย ไม่ได้มีแค่พวกลุงๆ แก่ๆ

“แล้วนี่ต้องทำยังไงบ้าง” ยื่นหน้ากระซิบถามเพื่อนเป็นรอบที่สิบของวัน พลางเอามือป้องปากเพื่อให้ได้ยินชัดๆ จากนั้นค่อยถอยออกห่าง เพื่อนรักเลยกระซิบป้องปากเหมือนที่ผมทำอย่างเมื่อครู่

“เห็นพี่เขาบอกว่าจะมีพนักงานมาเรียกนะ และให้ลูกค้าดีลเอาเองว่าจะเอาแบบไหน เหมือนผู้หญิงนั่งดริ๊งก์นั่นแหละ แต่ทำมากกว่านั้น” คริตตี้ที่ตะโกนแทรกกับเสียงดนตรี คอยอธิบายให้ผมฟัง ตัวผมก็พยักหน้ารับทำความเข้าใจ ฝ่ามือกุมกระโปรงที่สั้นเลยเข่า นั่งไปนานๆ ก็เริ่มชักจะหนาว เอามือลูบแขนไปพลาง “กูเริ่มอยากกลับบ้านแล้วว่ะ”

“ได้ไง เพิ่งมากันเองนะ” คริตตี้หน้าบึ้ง

“มึงดูแต่ละคน หน้าตามีแต่พวกหื่นๆ ทั้งนั้น มึงไม่กลัวเขาเหรอวะ” ผมหันไปมองหน้ามัน คิ้วก็พาลขมวด

“ก็กลัว แต่เห็นมึงทำด้วยกูก็ทำเป็นเพื่อน” คริตตี้ตอบ

“อ่าว อีเหี้ย ความผิดกูงั้นเหรอ ?” ผมชี้นิ้วใส่ตัวเอง

“เปล่า กูก็ถามลองเชิงมึงเฉยๆ ปะ ถ้ามึงไม่ทำกูก็ไม่ทำ แต่ก็ไม่แน่นะมึง มันอาจจะแค่นอนเฉยๆ งานง่ายๆ นอนอย่างเดียว”

“นอนให้เขากระแทกกระทั้นอะดิไม่ว่า” ผมประชดประชันใส่ พลางเบะปากเป็นสระอิ จิกหางตาไปทางมัน

“เลิกใช้ศัพท์นิยายอีควาย ! กูไม่ใช่นักเขียนนะ กูแปลไม่ออก คือมึงจะหมายความว่านอนให้เขาเยถูกมะ ?”

“ก็ใช่ไง”

“อืม ก็ง่ายดี นอนให้เขาเยเหมือนตุ๊กตายาง” คริตตี้ไหวไหล่ ก้มหน้ามาเล่นมือถือต่อ เช็กอินว่าตัวเองไปเที่ยวแถวสีลม ทั้งที่ตัวมันเองอยู่อีกที่หนึ่ง

โอ้โห นี่กูมีเพื่อนตอแหลถึงขั้นโกหกจีพีเอสเลยเหรอ ?

ผมส่ายหัวรับไม่ได้ เปิดกระเป๋าสะพายที่คริตตี้ให้คล้องเอาไว้อีกใบ ต่างคนต่างมีของใช้ส่วนตัว รวมไปถึงกล่องถุงยางอนามัย ซึ่งคริตตี้มันซื้อเอาไว้กันฉุกเฉินเผื่อลูกค้าไม่มีของ

“กูเริ่มไม่อยากจะเชื่อว่ามึงไม่เคยขายมาก่อน” ผมยังคงแคลงใจ

“นี่ ! ถ้าพูดมากกูจะลากมึงไปตบหลังร้านแล้วนะ ถามเก่งมากอีนักเขียน”

“ก็ดูมึงดิ พร้อมไปหมดเลยอะ”

“ก็กูบอกแล้วไงว่าพี่เขาแนะนำมาอีฉิบหาย นี่มึงคบกับกูมานานแล้วนะ มึงเห็นว่ากูเป็นคนดอกทองขนาดนั้นเลยเหรออีอ๊อก”

“...” ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะโคลงศีรษะแทน

“อีอ๊อก”

“หืม”

“อีสัตว์หนิ” มันด่ากับกิริยาของผมทันที

ผมยิ้มขำ รู้สึกคลายเครียดเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบของในกระเป๋าสีดำ ทำเอาคนข้างๆ เบิกตาโตกับสิ่งที่เห็น ร้องตกกะใจ

“มึง !...นี่มึงถึงขนาดเอานิยายมาอ่านในร้านเลยเหรออีอ๊อก !?”

“ทำไมอะ ?” ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง ทำหน้างงงวยว่าแล้วมันผิดแปลกตรงไหน กะจะมานั่งอ่านเงียบๆ ฆ่าเวลาเล่น ศึกษาเพื่อหาคลังคำในหัวเพิ่มด้วย

“อ่านฆ่าเวลา” ผมอธิบาย

“มันมืดขนาดนี้มึงจะอ่านยังไงอีปัญญาอ่อน” มันยังคงอ้าปากเหวอ ดวงตากลมโตที่ใส่สีคอนแทคเลนส์สีน้ำตาลอ่อนดูเบิกกว้าง  ก่อนที่จะยกมือมาตีหน้าผากตัวเองเสียงดังเพียะทันทีที่ได้รับคำตอบจากผม

“เดี๋ยวเอาแสงมือถือส่องเอาก็ได้”

“กูเชื่อมึงเลยอีอ๊อก พอ พัก พักสติมึงนี่แหละอีเอ๋อ เลิกอ่าน เอาแม่งมานี่” มันรีบกระชากนิยายจากมือผมทันที “กูจะเอามันไปเผาทิ้ง”

“มึงอย่าทำร้ายน้อง” ผมรีบปราม จะให้มันเอาไปทิ้งคงทำใจไม่ได้ นิยายก็เหมือนลูก ไม่สามารถให้บุบสลายได้แม้แต่สันปกและมุมปก ยิ่งกับเรื่องรักๆ ใครแตะคือด่ากราด ทว่าวันนี้โชคดีที่ผมเอาเล่มเก่ามาอ่านแทนฆ่าเวลา

ขยันซื้อมาและก็ขยันตุนเช่นกัน จนทุกวันนี้แม่ชอบด่าว่าจะต้มนิยายให้แดกแทน

“แม่มึงคลอดลูกเป็นหนังสือเหรออีอ๊อก มึงถึงเรียกนิยายว่าน้องอะ” คริตตี้จิกกัด ยัดนิยายใส่กระเป๋าขนาดใหญ่พอดีของมันแทน “เก็บไว้กับกูนี่แหละ มึงอย่ามาอ่านในที่นี่ แม่งมืดจะตายห่า เดี๋ยวก็จะสายตาสั้นหรอก หัดอ่านรู้จักเวลาและสถานที่บ้าง กูคิดว่ามึงเป็นเด็กเนิร์ดมาติวหนังสือที่ผับ”

“บลาๆ” ผมทำปากขมุบขมิบออกเสียงตามที่มันด่า พร้อมกลอกตาใส่ กระทั่งคริตตี้ยกมือขึ้นทำท่าจะตบ ผมถึงได้เอนกายไปด้านข้างเพื่อหลบฝ่ามือ

“อย่านะ อีพวกชอบทำร้ายร่างกาย” ผมด่ามัน

“ขยันกวนตีนนะมึงอะ วันนี้กูขอให้มึงเจอแขกใหญ่ๆ เอาให้ขาเป๋ไปเลย” มันแช่งใส่ ก่อนที่หางตาของผมจะเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่คุ้นตาเดินเข้ามาในร้าน เกาะตัวเป็นแก๊งเหมือนพวกเอฟโฟ และหนึ่งในนั้นนั่นเองที่ทำให้ผมต้องสะดุ้งโหยง รีบยื่นมือไปเขย่าเรียวแขนเพื่อนรักอย่างไว

“มึง มึง น...นั่นใช่ ‘พี่เดือน’ ปะวะ ?” อีเหี้ย งานเข้าแล้ว ทำไมเวลาจะทำเรื่องเหี้ยๆ ทีไร มันมักจะมีเหตุการณ์ตลกร้ายเข้ามาเสมอเลย !

.
.
.
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // บทนำ [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 04-09-2019 23:38:55
“พี่เดือน ? ญาติมึงอะนะ ?” คริตตี้พลอยตื่นตะลึงไปด้วย หรี่ตามองไปตามปลายนิ้วที่ผมชี้ไปทางใครบางคน “เชี้ย ! พี่เดือนจริงด้วยว่ะ ทำไมเขามาที่นี่ได้วะ” คริตตี้ดูหน้าถอดสีไม่ต่างจากผม

“มึงรีบกลับกันเถอะ” ผมรีบลุกขึ้นยืน ดึงแขนเพื่อนรักให้ลุกขึ้นตาม ประจวบเหมาะกับที่คุณแม่เล้าหัวนมเด็กแฝดเดินมาทางพวกเรา ยิ้มเป็นมิตรไมตรีและกล่าวขึ้น

“น้องคะตามพี่มาหน่อย”

ตามไปขายหลีเหรอคะพี่ ไม่แล้ว ไม่ทำแล้ว !

“มึง” ผมบีบแขนเพื่อนรักแน่น ทำท่าจะร้องไห้ เกิดไม่รีบออกไปต้องซวยแน่ๆ ทว่า ทางที่ต้องเดินออกไปก็ผ่านโต๊ะของพวกพี่แกอีก

“มึงใจเย็นๆ ก่อน กูแต่งหน้ามึงแน่นเหมือนแดร็กเรซขนาดนี้ ที่นี่ก็มืดอีก กูรับประกันว่าพี่แกแม่งต้องจำพวกเราไม่ได้แน่ๆ” คริตตี้บีบกระชับฝ่ามือคอยพูดให้กำลังใจ ถึงกระนั้นผมก็ยังหวั่นๆ อยู่ดี ไม่อยากจะเชื่อว่าต้องมาเจอกับญาติข้างบ้าน

พี่แกก็หน้าตาดี ไม่ยักรู้ว่าขาดแคลนอาหารทะเลบ่อบาดาล จำพวกหอย

“พวกเรานั่งชงเหล้าอย่างเดียวพอ ไม่ต้องรับงานห่าไรเพิ่มทั้งนั้น เดี๋ยวกูจะนั่งข้างพี่เดือนเอง พอมีจังหวะค่อยหนีกันออกมา” คริตตี้เสนอ ผมเลยคิดตาม ลอบสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ

“ก็ได้วะ” ถูกจับได้ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ถ้าไม่ถูกจับได้เลยจะดีใจมากๆ ก็ไม่รู้ทำไมเหตุการณ์มันคล้ายคลึงนิยายชะมัด ที่ทำห่าไรก็จะมีพวกพระเอกหรือบุคคลที่ไม่ชอบขี้หน้าดันมาอยู่ในที่ที่เราไม่อยากจะเจอ

ผมเดินจับชายเสื้อของคริตตี้พลางก้มหน้างุด เดินตามมาถึงโต๊ะที่มีกลุ่มวัยรุ่นไม่ต่ำกว่าสี่ห้าคนนั่งกันอยู่ หูตัวเองก็เหมือนอื้อไปชั่วขณะ อาจเพราะว่าเสียงดนตรีหรือความคิดที่ประเดประดังกันเข้ามาอย่างหวาดหวั่น ส่งผลให้ผมเริ่มไม่อยากจะสนใจสิ่งรอบด้าน

หากทว่า ความรู้สึกที่เหมือนมีใครจับจ้องเราอยู่ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะช้อนตาขึ้น หันไปมองตามทิศทางที่เหมือนโดนแผ่รังสีกระแสจิต ดวงตาเรียวคมกำลังมองมาอย่างดุดัน สายตาเหมือนพินิจพิเคราะห์อะไรบางสิ่งบางอย่าง

เขาคือพี่ ‘นนท์’ ชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนสนิทของพี่เดือนญาติแท้ๆ ของผม แถมยังเป็นบุคคลที่ผมเคยชอบด้วย เจอกันไม่กี่ครั้งก็นำพาให้หัวใจเต้นสั่นรัวแรง

ใจมันคงคันเหมือนอาชีพที่กำลังหัด อีนักเขียนคนนี้กำลังใจแตก ถึงได้เผลอไผลให้ใจชาย ประกอบกับสายตาที่จ้องมองมา ผมเลยก้มหน้าลงต่ำ ไม่รู้ว่าพี่แกกำลังสังเกตอะไรอยู่ หรือว่าจะจับได้ว่าเป็นผมกัน ?

เฮ้ย แต่ไม่หรอกมั้ง... แล้วนี่กูเป็นเหี้ยอะไรวะ ! ทำไมเหมือนตัวละครในนิยายที่พึมพำคุยกับแม่ซื้อ พวกนายเอกชอบตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เริ่มโต้เถียงกับตัวเองภายในหัวอีกแล้ว พอ ! หยุดก่อน ! ระหว่างพี่นนท์กับผมไม่เคยคุยกันเลยสักครั้ง มีแต่เดินส่วนผ่าน มันมีแค่ผมที่รู้จักชื่อพี่เขา ขณะที่พี่เขาก็ไม่มีทางรู้จักชื่อผม

ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ...

“เดี๋ยวให้น้องๆ นั่งเป็นเพื่อนนะคะ” แม่เล้าหรือพี่ที่เป็นสาวสวยเกริ่นขึ้น ผายมือให้พวกผมกับคริตตี้ รวมไปถึงผู้หญิงอีกสองคนแทรกตัวไปนั่งกับกลุ่มคนที่อยู่ตรงบริเวณโซฟา

ผมอิดออดเชื่องช้าทำตัวไม่ถูก กำไม้กำมือแน่นจนเล็บที่ยังไม่ทันตัดจิกลงกับอุ้งมือนิ่ม ตัวก็เกร็งพยายามหาทางแทรกกายเข้าไปนั่ง ก็เห็นพี่ผู้หญิงโดนผู้ชายส่วนใหญ่เรียกไปนั่งใกล้ๆ กันหมด แตกต่างจากใครบางคนที่ทำสีหน้าตายด้าน

“น้อง...น้องคนนั้นอะ”

“ค...คะ ?” ผมขานรับ ยังยืนจังงันอยู่หน้าโต๊ะ มองไปทางพี่ผู้ชายที่มีผิวแทนคร้ามแดดเอ่ยเรียก อีกฝ่ายแย้มยิ้ม ชี้นิ้วไปทางใครคนหนึ่ง

“นั่งข้างๆ ไอ้ผู้ชายคนนี้เลยครับ” เจ้าตัวสั่ง ตัวผมเองก็ยิ่งแข็งทื่อ เลิ่กลั่กสบตามองกับคนตัวโตที่มองมาตั้งแต่แรกเริ่ม

พี่แกให้นั่งข้างพี่นนท์แหละแม่ ! ฮือ ดีออกสายตาดุโคตร คาแรคเตอร์แบบนี้ในนิยายคือแนวป่าเถื่อนชัดๆ เกลียดกะเทยหรือเพศแบบกูขึ้นมา กูไม่โดนกระโดดเตะก้างคอจนตัวช้ำ ก็คงนอนตายอนาถจมกองเลือดแหงๆ

ผมรีบหันขวับไปทางเพื่อนรัก ส่งสายตาเตรียมจะร้องไห้ขึ้นมาในทันที

มึงทำไงดี กูตายแน่ๆ สายตาพี่แกโคตรไม่เป็นมิตร ไม่รู้แกไปโกรธเหี้ยอะไรมา ถ้าไม่มาแนวป่าเถื่อนมาดนิ่ง ก็คงจะรุนแรงเรื่องบนเตียงอย่างแน่นอน คาแรคเตอร์แบบนี้กูเจอบ่อยในเนื้อหา บ้างก็เป็นพวกป่าเถื่อนแนวตบจูบแบบจำเลยรัก คุณหฤษฎิ์ !

อีคริตตี้ส่งสายตาตอบกลับ อารมณ์แบบให้ใจดีสู้เสือ แต่เสือแม่งเสือกดุมากด้วย ผมก็รีบหลบสายตาของพี่เดือนที่กำลังเงยขึ้นมามอง กลับมาจ้องชายฉกรรจ์ที่วินาทีนี้กำลังยกเหล้าขึ้นจรดริมฝีปาก

เอาวะอีอ๊อก ไม่อ๊อกๆ ติดคอหอยก็น่าจะชักกะแด่วนอนตายคาตีน แต่วันนี้หน้าตาออกมาน่ารักมาก เชื่อว่าฝีมือของคริตตี้คงไม่ได้ด้อยไปกว่าครึ่ง หวังว่าพี่แกจะเห็นใจค่าเครื่องสำอางแพงๆ ที่รวมอยู่บนใบหน้า รวมไปถึงการแต่งตัวที่ดูน่ารักน่าชังในวันนี้

ขอหลงตัวเองไว้ก่อนเพื่อเลี่ยงตีน พลันล้มนั่งข้างๆ พี่นนท์ตรงโซฟา แอบกระเถิบตัวถอยออกห่างเล็กน้อยเพราะกลัวสะกิดตีนพี่แกเขา ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นชายหนุ่มพูดจาสุภาพเท่าที่เห็นจากเปลือกนอก ถึงกระนั้นนิสัยแท้จริงก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นคนแบบไหน

“ดื่มไรไหมคะ ?” ผมกระดิกหูฟังเสียงหวานๆ ของพวกผู้หญิงที่นั่งแนบกายพวกเพื่อนๆ ของพี่นนท์อย่างเอาใจใส่ ไม่วายปรายตามองไปทางคริตตี้ที่นั่งตัวเกร็งไม่ต่างจากผม โดนพี่เดือนยื่นหน้าเข้ามาใกล้กระซิบข้างกกหู คริตตี้ก็เลยหดคอลงอย่างกริ่งเกรง พยายามฝืนยิ้มและปรับตัวให้ชาชิน สักพักเพื่อนรักก็เริ่มรู้งาน คอยชงเหล้าให้พี่เดือนดื่ม แตกต่างจากผมที่นั่งซึมกะทือ เอามือบิดขยี้ตรงชายกระโปรง

อีกสักนิดกูจะซักผ้าได้แล้วนะ เริ่มจะหนาวแล้วด้วย ไม่น่าใส่เสื้อบ้าๆ พวกนี้เลย เสื้อแขนกุดสีขาวกับกระโปรงสีดำ ไหนจะรองเท้าส้นสูงที่โดนบีบบังคับให้ใส่อีก ผมลูบแขนตัวเองเพื่อให้ความอบอุ่น สักพักก็ลอบถอนหายใจอีกระลอก ทำปากยื่นไปพลาง เสมองไปทางอื่นเพราะไม่รู้ต้องทำตัวยังไงดี เพิ่งมาเป็นกะหรี่หมาดๆ

“ไอ้นนท์ ทำตัวสนุกๆ หน่อยสิวะ” เสียงของคนในโต๊ะตะโกนบอกคนข้างๆ ผม ผมเลยเหลือบมองคนข้างกายที่หันไปโต้ตอบ ประโยคดูไม่แยแสเลยสักนิด

“ก็กูบอกแล้วไงว่าไม่ชอบที่แบบนี้” เสียงทุ้มขรึมปริปากบอก ยื่นมือไปหยิบโซดาหวังจะรินแต่ก็ดันหมด ผมที่เห็นดังนั้นก็เลยหลุดชะงักเพราะขวดโซดาที่ยังไม่ทันเปิดมันอยู่ฝั่งตัวเอง จะให้อีกฝ่ายยื่นแขนมาหยิบเอาเองก็เกรงว่าจะถูกมองไม่ดี เหมือนกูมานั่งเฉยๆ ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ทำงานอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ผมจึงหยิบโซดาหันไปยื่นให้คนข้างกาย พร้อมกับใช้สกิลแอ็บเสียงสุดฤทธิ์ที่แม้แต่คริตตี้ยังชมว่าเสียงคล้ายผู้หญิงสิ้นดี เพราะผมเคยเอาไปแกล้งจีบผู้ชายในเกมออนไลน์

“นี่ค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ” คนตรงหน้าโคลงหัวพอเป็นพิธี ตัวผมก็แอบใจเต้นกับคำลงท้ายที่ได้ยิน ไหนจะสายตาที่เขามองมาอย่างสื่อความหมาย

หลบตาแป๊บ อีกสักนิดคงเป็นปลากัดตั้งท้องกันได้ ไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าพี่นนท์ชอบพูดจา ‘คะ,ค่ะ’ กับพวกผู้หญิง เหมือนหนุ่มอบอุ่นแบบพระเอกที่ชื่อติ๊ก เจษฏาเลย พาลให้นึกถึงดราม่าที่มีนักอ่านบอกว่าไม่ชอบพระเอกพูดจาคะขา ครหาว่าไม่มีผู้ชายคนไหนพูดจาเช่นนั้นอยู่บนโลก...

อืม สงสัยนักอ่านท่านนั้นคงอยู่อีกโลกหนึ่งบนดวงดาว น่าจะสิงสถิตอยู่บนดาวอังคารอันไกลโพ้น

“ม...ไม่เป็นไรค่ะ ให้หนูช่วยเปิดไหมคะ ?” พยายามใจกล้าฮึกเหิม แสดงหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้แก่อีกฝ่าย ต้องมานั่งแอ็บเสียงจนเขินตัวบิดไปหมด

ทำไมต้องมาทำถึงขั้นนี้ด้วยวะ !

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวทำเอง” พี่นนท์ส่ายหน้าประกอบ หยิบที่เปิดขวดและงัดฝาขึ้น จากนั้นก็เทลงแก้ว ชงเองและหยิบขึ้นมากระดกดื่ม

ส่วนผม… “แค่กๆ” ขออนุญาตหันไปด้านข้างลอบไออย่างเจ็บคอ แอ็บเสียงจนลูกกระเดือกจะกลืนหายเข้าไปในลำคอ เหล่ตามองเพื่อนรักก็เห็นมันทำปากช้าๆ เอ่ยชมว่าทำดีมาก เห็นดังนั้นผมก็พลอยชื่นใจ หลุดยิ้มกว้างมีความสุข หันไปทางซ้ายมือก็สบตากับพี่นนท์ที่กำลังเหล่มองตั้งแต่แรก

แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย คุกกี้เสี่ยงทายมากแม่ ! แต่กูเนี่ยสิดูเหมือนเสี่ยงเซียมซีรอวันเสี่ยงตาย !

พี่แกมองได้น่ากลัวมากอะ คาดเดาไม่ออกเลยว่ากำลังรังเกียจอีตัวหรือก่นด่าอะไรนอกเหนือจากนี้ 

จากที่ฉีกยิ้มกว้างเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นหุบยิ้มเบาบางแทน รีบหันไปทิศทางอื่นเพราะกลัวจะถูกต่อย ปล่อยให้เวลาและคนในโต๊ะครื้นเครงกันไป ผ่านพ้นไปเป็นชั่วโมงจนคนอื่นๆ เริ่มเมามาย ผมที่มองพี่นนท์เป็นพักๆ ก็ยังเห็นพี่แกดูเป็นปกติ น่าจะคอแข็งพอสมควร ส่วนฝั่งคริตตี้ก็เริ่มโดนพี่เดือนลวนลามแล้ว เมามากถึงขนาดซุกไซ้เรียวคอของมัน มือไม้ไม่อยู่นิ่งจนคริตตี้ต้องพยายามปัดออก หน้าบึ้งตึงมองดูก็รู้ว่ากำลังโกรธจัด

ผมกลับมามองคนข้างกายอีกครั้ง ครั้งนี้ก็ดันสบตากันอีกหน แววตาพี่แกดูเปลี่ยนไป เล่นเอาผมช็อกกับสิ่งที่กำลังบังเกิด

“ชื่อไร ?” เขาถาม

“คะ ?” ผมงง ไม่คิดว่าคนที่ไม่สนใจตั้งแต่แรกจะหันมาชวนคุย

“ชื่ออะไรคะ ?” พี่นนท์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบให้ได้ยินกันชัดๆ ทำให้ตัวผมแข็งทื่อหนักกว่าเก่า เหมือนโดนน้ำเสียงทุ้มขรึมของเขาล่อลวงให้ใจสั่น บวกกับการกระทำใกล้ชิดนั่น

‘เอาไงดีบีหนึ่ง’ หันไปสบตาเพื่อนรักที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม มันก็ขยับปากบอก ‘คุยไปเลยบีสอง’ ทั้งที่ตัวมันเองกำลังโดนลวนลาม

แต่คือจะให้กูคุยยังไงดีล่ะ กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่แกชอบแบบไหน ต้องเป็นแนวแบบหวานๆ สมเป็นกุลสตรีไทย หรือต้องร่านรักให้สมกับการค้าขาย

พี่เขาน่าจะชอบผู้หญิงติดตลกปะแม่ ? ผมเคยได้ยินมาว่าคนเราต้องมีขั้วตรงข้าม เติมเต็มสิ่งที่อีกคนนั้นขาดหาย ผมเลยสันนิษฐานว่าคนที่มีอุปนิสัยนิ่งขรึมแบบพี่แก อาจจะชอบผู้หญิงติดตลกก็เป็นได้

“ชื่ออ๊อก” แอบมือสั่นเล็กน้อย แย้มยิ้มบอกชื่อ

“อ๊อก ?” พี่นนท์ขมวดคิ้วยุ่ง พูดย้ำสรรพนามที่ได้ยิน เหมือนพี่แกยังไม่มั่นใจว่าใช่ชื่อนี้ไหม ผมเลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้เอามือป้องปากอยู่ที่ใบหูของเขา

“ใช่ อ๊อกๆ แบบหรรมติดคออะ” ชี้แจงให้เข้าใจ ครั้นละใบหน้าออกห่างก็เห็นพี่แกดูตื่นตะลึง ผมเห็นสีหน้าแบบนั้นก็เลยหลุดขำ เข้าไปใกล้ใหม่เพื่ออธิบายเพิ่มเติม

“ล้อเล่นค่ะ” แค่หยอกล้อเท่านั้นเอง พลันแย้มยิ้มกว้างใส่พี่เขา กะจะเบนสายตาไปทางอื่นต่อตามเคยชิน ลมหายใจก็ดันมาสะดุดกับความอุ่นร้อนที่รวยรินอยู่ข้างพวงแก้ม พร้อมพรักกับน้ำเสียงที่เอ่ยปาก ช่างเป็นประโยคล่อลวงให้ใจสั่น

“แล้วหนูอยากติดคอจริงๆ ไหมคะ ?” พูดไม่พอมือหนายังจับลงที่ต้นขา ลูบไล้ชวนให้ผมขนลุกซู่

ผมช็อก ก้มมองฝ่ามือที่แตะต้องตรงบริเวณต้นขาอ่อน สกัดกลั้นลมหายใจโดยพลัน ทันทีที่ฝ่ามือนั้นเริ่มหายลับเข้าไปใต้ชายกระโปรง

แม่คะ ! พี่เขาล้วง ล้วงไวมากแม่ เดี๋ยว ! อีพี่หยุดก่อน ข้างในมีงู ข้างในมีงูเว้ยเฮ้ย !

หมับ ! รีบหยุดยั้งฝ่ามือที่กำลังล่วงล้ำอณาเขต อีกสักนิดปลายนิ้วก็ใกล้จะถูกงูฉก ผมหันไปยิ้มเจื่อนใส่ พานเอียงคอมองพี่แกอย่างเคอะเขิน แววตาสั่นระริก พวงแก้มก็เริ่มร้อนผ่าว

“อย่าดีกว่าค่ะ คือหนู...หนูเพิ่งจะทำงานวันนี้วันแรก ยังไม่ชิน”

ชายตรงหน้าดูมีนัยน์ตาที่ร้อนแรงเมื่อได้รับคำตอบ แตกต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ผมพินิศคนหล่อเหลาที่มีใบหน้าเรียวรี ไม่รู้จะสรรหาคำบรรยายยังไงดี เพื่อไม่ให้อวยพระเอกเหมือนในนิยายวาย

งั้นขอต่างหน่อย...

อีกฝ่ายมีเส้นผมสีดำสนิทไว้ทรงไถข้าง และเซตผมด้านหน้าขึ้นให้เหมาะกับลุคชาติชั่วของเขา คิ้วหนาคมเข้มประดุจหมึก นัยน์ตาเฉียบคมคล้ายพวกอันธพาลชวนท้าตี ถามไถ่ว่าจ้องตาหาพ่อมึงเหรอ จมูกโด่งรั้นธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพามีดหมอว่าอยากได้ทรงแบบไหน แก้แล้วแก้อีกจนไม่มีรูจมูกให้สูดอากาศ บวกกับริมฝีปากสีชมพูเหมือนหน่อแตด องค์ประกอบบนใบหน้าดูดีไร้ที่ติ ขึ้นแท่นพระเอกโฉดชั่วคนใหม่ในนิยายของผมได้เลย ไหนจะรูปร่างกำยำล่ำสันที่สามารถทำให้ผู้หญิงต่างระทวยเมื่อตกอยู่ใต้ร่าง ฝ่ามือใหญ่ที่แตะข้อมือผมทีคงบีบให้กระดูกแหลกเป็นอัมพาต ไล่สายตาลงต่ำก็ต้องรีบเงยขึ้นมาสบตา

ส่วนนั้นผมยังไม่เห็น… แต่มันต้องมีขนหน้าแข้งดกดำหรือสิ่งอู้หูใหญ่สัตว์แน่ๆ

“เพิ่งทำงานที่นี่วันแรก ?” พี่นนท์ดูแปลกใจ ผมเลยขานรับ

“ใช่ค่ะ”

“งั้น…” เขาหยุดคำพูดลง ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ เรียวแขนรวบเอวผมให้ไปนั่งเกยอยู่บนตักแกร่ง กระซิบเสียงแหบพร่าชวนละมุน “ดีเลยค่ะ ไปต่อที่อื่นกัน”

“น หนูยังไม่พร้อม” หนูลืมทำแท้งด้วยพ่อ ! หนูยังไม่อยากจะแจกทองในวันนี้ ! ถึงส่วนนั้นของพี่จะยังไม่เคยเห็น แต่ดูจากคำพูดแล้ว เราคงต้องได้รับบทบาทเป็นนางเอกผู้โด่งดังแน่ๆ

มิยาบิ... กับชื่อเรื่องใหม่ ‘นักเขียนตัวน้อยกับหนุ่มหล่ออาชีพนักกายภาพ...’

กายภาพบำบัด ! มึงเอ้ย ขืนโดนพี่แกทีต้องพิกลพิการแหงๆ ท่าทีดูหื่นจัดขนาดนี้ มองยังไงก็รู้ว่าเซ็กส์จัดขนาดไหน

“คริต...” หลุดเสียงร้อง หันไปทางเพื่อนรักเพื่อขอความช่วยเหลือ รายนั้นก็ดันโดนจูบ กำลังเอามือทุบอกพี่เดือนอยู่

ฉิบหายแล้วไง ! ทำไงดี หรือว่าวันนี้ต้องเป็นกะหรี่จริงๆ ! ไม่นะ ! ไม่น่าเลยอีอ๊อก เสือกกระแดะตั้งชื่อแนะนำตัวเองซะลามก วันนี้ได้อ๊อกๆ สมใจอยากแน่ !

“มองหาใครคะ ?”

“ตะ ตำ...” ตำรวจค่ะพี่ ไม่ใช่ตำแตงหรือตำไทยทั้งนั้น เสียงก็พลอยเบาหวิว อยากเรียกตำรวจให้มาช่วยเหลือ ก็เกรงว่าจะโดนจับก่อนข้อหาค้าประเวณี

ฮึก ช่วยด้วย หาทางออกไม่เจอแล้ว ! กลับมาจ้องพี่แกดังเดิม หยุดชะงักกับใบหน้าคมคายที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากแทบจุมพิตกันได้

“น้องอ๊อก” พี่แกเรียกชื่อผมคล้ายละเมอ

“ชื่อน่ารักดีนะคะ”

“...”

“อยากเห็นหนูอ๊อกเหมือนชื่อเลย”

แม่ ! อ๊อกยังไม่อยากติดคอ !

“คือหนู…” หนูเป็นผู้ชาย หนูมีงวง มีกล้วยหอมจอมซนเหมือนกับพี่ ! จริงๆ แล้วหนูเป็นนักเขียนนิยายวาย

“หนูยังไม่เคยเหรอคะ ?” พี่แกถามอย่างสงสัย จ้องตาผมเหมือนกำลังเค้นคำตอบ

ผมหน้าแดงไปหมด นั่งบนตักพี่แกจนทำตัวไม่ถูก นิ่งค้างอยู่อย่างงั้น

“น้องอ๊อกไม่ตอบ” พี่นนท์ที่เห็นผมนิ่งไปนานแววตาเป็นประกายทันที

“ทำไมหนูน่าเอ็นดูจัง”

“...”

“แต่พี่อยากให้หนูดูเอ็น”

อ๊ากกกกก พี่จะพูดแบบนี้ไม่ได้ ! จะชวนให้กะหรี่ดูเอ็นง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้ ! ทำไมนะ...ทำไมผู้ชายที่กูเคยชอบถึงมีนิสัยหยาบคายและหยาบโลนแบบนี้กัน อีอ๊อกช็อกมากแม่ นั่งจิกเล็บในอุ้งมือจนเจ็บไปหมด ก่อนที่พี่นนท์จะเข้ามาจรดริมฝีปากใกล้ใบหู

“ล้อเล่นค่ะ”

“...”

“แต่หนูน่าแกล้งดี”

“...”

“ตอนนี้พี่เริ่มคิดจริงจังแล้ว”

“พี่เมา” ผมบอก ตัวเริ่มสั่นเหมือนเจ้าเข้า

“เปล่าค่ะ” พี่นนท์หดคอลงกลับมาจ้องหน้า ก่อนจะยื่นปลายนิ้วชี้มาที่หางตาข้างขวาของผม จี้จุดที่ทำให้ผมนิ่งชาสมองเอ๋อในบันดล

“ขี้แมลงวันอันนี้คุ้นๆ นะคะ” เขาอมยิ้ม และเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นพี่แกยิ้มมาดร้ายขนาดนี้ แลบลิ้นเลียริมฝีปากต่อหน้าผมอย่างเซ็กซี่ พูดให้ได้ยินระหว่างเรา

“น้องอ๊อกญาติข้างบ้านของเดือนไม่ใช่เหรอ ?”

“...”

“น่าแปลกใจที่มาเจอเราที่นี่”

“...”

“เคยได้ยินว่าน้องอ๊อกเขียนนิยายนี่นา” พี่นนท์ฉีกยิ้มกว้าง หากไม่ใช่ในที่แบบนี้คงสามารถทำให้ผมหลงรักเขาได้อย่างหัวปักหัวปำ

“ไหนว่าเขียนนิยายไงคะ ?” เขาเอียงคอถามพร้อมรอยยิ้มเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมัว ผมที่เห็นเลือนรางพอจะเห็นในตอนที่มีแสงวูบวาบมาทางนี้ ปากเกร็งยากเกินจะตอบกลับ

“ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ ?” พี่นนท์ก้มมองสิ่งใต้ร่าง จับจ้องกระโปรงที่ผมสวมใส่ มือไม้พี่แกเริ่มอยู่ไม่สุข เรียวแขนข้างหนึ่งโอบกอด ขณะที่อีกข้างยกขึ้นมาลูบไล้ต้นขาขาวชวนวาบหวิว

“แต่งตัวล่อตาผู้ชายจัง”

“ด่าว่ากะหรี่ก็ได้พี่” ผมแก้ให้

“ไม่ค่ะ คำนั้นไม่เหมาะกับหนูเลย” พี่นนท์ส่ายหน้า หยีตาลงประกอบ ท่าทีเหมือนหนุ่มขี้เล่น ไม่เหมือนคนมาดเยอะดั่งที่เห็นในทีแรก และผมก็รู้แล้วด้วยว่าทำไมพี่แกถึงมองมาทางผมอยู่บ่อยๆ นั่นก็เพราะสังเกตและจับได้ถึงจุดเล็กๆ บนใบหน้าของผมนั่นเอง

พี่นนท์บอกคำว่ากะหรี่ไม่เหมาะ… “หนูเหมาะกับคำว่าเมียมากกว่า”

“...”

“ถ้ากลับไปห้องกับพี่ตอนนี้ พี่สัญญาจะไม่บอกไอ้เดือนมัน”

ฮือออ ตื่นเช้ามากูได้แต่งเอ็นซีสิบกว่าหน้าแน่ๆ แค่ขี้แมลงวันอันเดียว พี่เขาดูมั่นใจว่าเป็นเราเลยเหรอวะ ? ริวจิตสัมผัสปะพี่

“ดีไหมคะ ?” พูดจบก็ยังมีหน้ายื่นปลายนิ้วก้อยมาให้เกี่ยวอีก

ไม่ดีเลยค่ะ ! เป็นนิยายคงเป็นข้อผูกมัดสัญญารัก แต่ที่เห็นอยู่นี้คือข้อผูกมัดสัญญาซาตาน

“ไปคุยที่ห้องกันเถอะค่ะ”

คุยอะอ๊าล่ะสิไม่ว่า อีพี่นนท์ มองตาดูก็รู้ ไอ้คนสตรอเบอแหล !

“อืม” ทำได้แค่ขานรับเสียงอ่อน หันไปทางคริตตี้ รายนั้นก็หายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้กับพี่เดือน

อ่าว สู่ขิตในวันที่ดือ เพื่อนรักหายหัว

‘✓ติ๊กถูก’ นักเขียนผ่านพ้นการเป็นกะหรี่ฝึกหัด
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 04-09-2019 23:46:30
ตอนที่สอง



ข้อผิดพลาดของการเป็นกะหรี่นั่นก็คือ… ‘ลืมเปลี่ยนชื่อ’

โง่มากแม่ เพิ่งมารู้ตัวและคิดขึ้นได้ก็ตอนที่ถูกจูงมาอยู่บนรถแล้ว เกิดไปแต่งในนิยายคงโดนด่าที่แต่งอะไรก็ไม่สมเหตุสมผล

เออขอโทษที่ไม่สมเหตุสมผล ! สมองปลาทองก็มีแค่นี้แหละยังไม่อัจฉริยะเชี่ยวชาญจะแต่งให้สนองดลใจใคร

สมองนักเขียนคนนี้เริ่มเอ๋อ ประมวลผลภาพเหตุการณ์ความน่าจะเป็น

บนรถ… ไม่ปลอดภัย เจอบ่อยมากกับฉากพระนายจูบกันบนรถ เกิดมองตาแล้วสปาร์คขึ้นมาก็คงเย็-แม่งกันตรงนั้นเลย เลิ่กลั่กมากแม่ ! นั่นคนหรือสัตว์ไม่เลือกสถานที่ ทั้งที่ชีวิตจริงก็มีถ่มเถเอานอกถิ่นฐาน แต่เออลืมไปกูก็เคยเขียนฉากนี้มาก่อน ฉะนั้นเราต้องพยายามเลี่ยงเหตุการณ์เหมือนในเนื้อหา เริ่มกระเถิบตัวไปชิดข้างขอบประตูรถ สะดุ้งโหยงเมื่อมีใครบางคนเปิดประตูเข้ามานั่งฝั่งคนขับ จากนั้นก็หันมามองหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“กลัวเหรอคะ ?” พี่นนท์ถาม

“...” ผมเงียบ เบิกตาโตเหมือนกระต่ายตื่นตูม ลำตัวพลันแข็งทื่อเหมือนเมดูซ่ามาต้องสาปให้เป็นหิน เพียงเพราะฝ่ามือใหญ่ที่เอื้อมมาลูบหัวคล้ายเอ็นดู

แต่จำได้ว่าพี่เขาบอกจะให้ดูเอ็น !! ฮือ รีบหลับตาลงปี๋ โหยหวนเหมือนผีสางอยู่ในใจ

ผีลูบหัว ไม่เอา บนรถไม่เอา ไม่พร้อม “เฮือก !” สะดุ้งตกใจ เมื่อสัมผัสได้ว่าเบาะถูกปรับให้เอนตัวไปด้านหลัง

ใช่เลย แบบนี้ใช่เลย เตรียมตัวถลกกางเกงบนรถโยกเยกกันได้เลย เยแน่ๆ โดนเยแน่ๆ !!

“สบายขึ้นไหมคะ ?” เสียงข้างกายเอ่ยถาม ผมเลยปรือตามอง เห็นพี่นนท์แอบยิ้มขำจนมีลักยิ้มข้างมุมปากด้านซ้าย

หึ มาถามว่าสบายขึ้นไหม ก็เพื่อที่พี่จะได้อัดกระแทกผมได้สะดวกใช่ไหมล่ะ !

“อืม” พยักหน้ารับไปงั้น รับรู้ได้แค่ว่ากำลังตื่นตระหนกสุดๆ ลอบสูดอากาศและกลั้นหายใจโดยพลัน ทันทีที่อีกคนเอนตัวมาทาบทับ ร่างกายใกล้ชิดในระยะรูขุมขน ลมหายใจอุ่นๆ รวยรินอยู่ข้างพวงแก้ม สบตามองเข้ามาในตาโดยไม่คิดจะละออกห่างสักเสี้ยววินาที ชักชวนให้หัวใจมันเต้นไม่ตรงจังหวะ ก่อนที่พี่นนท์จะถอยกายออกห่าง หยิบสายเข็มขัดนิรภัยติดให้ตรงที่นั่ง ไอ้เราก็ยกมือขึ้นมาทาบอก ตกกะใจหมด หลงคิดว่าต้องแหกขาชี้ฟ้าตรงนี้แล้ว

“เฮ้อออ” ขีดฆ่าฉากเอ็นซีบนรถยนต์ ถอนหายใจเมื่อรอดพ้นฉากวาบหวิว ลำคอก็พลอยเกร็ง ค่อยๆ หันหน้าไปทางกระจกรถด้านข้าง ดูลานถนนแทนที่จะมองคนหล่อเหลาให้เจริญหูเจริญตา แต่ก็มีบ้างในบางจังหวะที่มองเขาผ่านกระจกใสที่สะท้อนเงา นึกชมเชยอีกฝ่ายในใจ ‘พี่นนท์โคตรหล่อชะมัดเลย…’

‘กฎของการเป็นกะหรี่ ต้องไม่หลงรักลูกค้า’

โอเค กูลืมไป กลับมาก้มหน้าหยิบมือถือนั่งเล่นแทน คำพูดของคริสตี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ผมเลยเลือกที่จะมองข้ามคนข้างกาย ทำตัวให้เป็นปกติที่สุด เหมือนกับเราเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง แม้ภาพในหัวกำลังมีตัวเองกรีดร้องอยู่บนรถ จิกหัวทึ้งกันไปมา พาลกระแทกศีรษะไปกับกระจกรถด้านข้างเสียงดังปึกๆ ใช้กำปั้นทุบตีเป็นสิบๆ หน และลดกระจกรถลง เพื่อยื่นหน้าตะโกนร้องขอความช่วยเหลือก็ตามที…

จรดปลายนิ้วพรมบนแป้นในเว็บอากู๋ เสิร์ชหาคำว่า ‘ครั้งแรกเจ็บมากไหม’ สิ่งที่ได้กลับมาคือกระทู้ต่างๆ และข่าวที่ทำให้อยากจะร้องไห้น้ำตาไหล

‘มีอะไรครั้งแรกเจ็บมากไหม ?’

‘ครั้งแรกของ...น่ากลัวมากไหมคะ ?’

‘18+ มีอะไรครั้งแรก ไม่เจ็บเท่าของแฟนไซส์ 54 แฟนไม่เชื่อว่าเราซิง’

‘ครั้งแรกของการเปิดซิงต้องเจออะไรบ้าง ?’

คำตอบง่ายมากค่ะ...

เจอคว- คว- คว- รัวๆ ไงคะ  !!! อ๊ากกกกก !! แม่จ๋า เจอแน่ๆ อีหอยหลอด หูรูดพังยับแน่นอน อ๊อกต้องหายใจติดขัดแน่ๆ รับไม่ได้...อ๊อกรับไม่ได้ ! ภาพในหัวที่เคยแต่งเอ็นซีลอยละลิ่วเข้ามาเป็นฉากๆ ท่าผีผ้าห่มเอย กล้วยบวชชีล้นทะลักเป็นกล้วยน้ำว้า ไหนจะท่าอุ้มกระเตงลอยตัวขึ้นรับหอกศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็อีมอญซ่อนผ้าปิดตาเย เดี๋ยวก็พาไปเอานอกระเบียง ฉากไม่ซ้ำจำเจให้คนอ่านต้องเลือดกำเดาไหล อกอีแป้นจะแตก...

แตกในอีฉิบหาย ! จากนักเขียนที่แต่งนิยายอยู่ในบ้านเงียบๆ เพื่อนรอบตัวก็ต่างมีผัวกันหมด เคยน้อยใจอย่างมีแฟนเหมือนกับเขา แต่อาชีพอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่ค่อยออกไปไหน ทั้งที่สามารถยกโน๊ตบุ๊กไปแต่งตามร้านกาแฟก็ได้ จินตนาการว่าจะมีหนุ่มหล่อสักคนเข้ามาทักในบางครั้งบางครา ขณะที่เราก็คีพลุคให้ดูดีสง่า ประหนึ่งเป็นนักเขียนผู้โด่งดังจิบกาแฟชมวิว ใครถามก็บอก ‘อ๋อ เป็นนักเขียนจ้ะ’ ยิ้มหวานประดับ

สรุปกูต้องมานก เลิ่กลั่กตอนเขาถามไถ่ว่าแต่งแนวอะไรกัน ไอ้เราก็แถไปข้างๆ คูๆ ‘ทุกแนวครับ...’ อิโรติกบ้าง แนวน่ารักบ้าง แฟนตาซีบ้าง

ส่วนใหญ่รับศีลรับพอร์นกันไป…

‘พอร์น’ ที่ไม่ได้หมายความว่า ‘พร’ เหมือนดั่งคำอวยพรให้เป็นสิริมงคล

ทว่า วันนี้ผันตัวมาค้าขายวันแรกก็ขายดีเทท่า เสือกดันมาเจอกับคนรู้ที่จักจะพาไปคุยถึงห้อง จินตนาการคนเราเริ่มเตลิดไปไกล บนโซฟา ห้องนอน ริมระเบียง หน้ากระจกบานใหญ่ๆ โอ้แม่เจ้า คิดแล้วก็ตัวแข็งทื่อ หมายถึงกูเนี่ยตัวแข็งไม่ใช่ส่วนไหนแข็งทั้งนั้นอีหอยสังข์

เริ่มกริ่งเกรงไปหมด เป็นห่วงเพื่อนพ้องไม่ต่างกัน นึกขึ้นได้ก็รีบไลน์ถามคริสตี้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

‘คริสตี้มึงอยู่ไหน ?’ จ้องค้างกับข้อความที่ส่งไปเกินห้านาที กลับไม่ได้รับข้อความตอบกลับหรือขึ้นว่าอ่านแล้วเลยสักนิด

เรียบร้อย อีคริสตี้ลาลับ เดินขาเป๋ไปแล้วหนึ่งศพ เหลือผมคนเดียวที่ยังไม่ขากะเผลก…

น้ำตาจิไหล เกิดพี่นนท์ไปบอกคนรู้จักขึ้นมา ชีวิตนักเขียนอย่างเราต้องดับแน่ๆ นักอ่านคงช็อกที่มีนักเขียนเป็นกะหรี่ ทั้งที่ความจริงก็แค่เป็นคนมีจิตใจเอื้ออาทร แบ่งปันความสุขสู่มวลมนุษย์ชาติ

ช่างอุปนิสัยเริงร่า...  (กรุณา อย่าเติมนอหนูเข้าไปด้วย)

“ทำไมหนูมาทำงานที่แบบนี้คะ”

“...”

“อ๊อก พี่ถามได้ยินไหมคะ ?”

“อะ เอ๊ะ พี่คุยกับผมเหรอ ?” เลิ่กลั่ก หันไปจ้องคนข้างกายที่จับพวงมาลัย ตามองไปตามทางรถยนต์เบื้องหน้าขณะถาม ส่วนผมยังคงตั้งท่าเหมือนกระต่ายตื่นตูมทุกชั่วขณะ

“ใช่ค่ะ พี่ถามว่าทำไมหนูมาทำงานที่แบบนี้ นี่หนูมัวแต่คิดเรื่องไรอยู่คะเมื่อกี้นี้ ?” พี่นนท์สงสัย ใบหน้าคมสันที่มีสันกรามเด่นชัดขยับริมฝีปาก ดูดีไร้ที่ติแม้แต่ตอนที่ขมวดคิ้วมุ่นคล้ายแคลงใจ

“ปะ เปล่า” ไม่มีไรทั้งนั้น คิดไปเรื่อยเหมือนขยันคิดพล็อต ส่ายหน้าประกอบฉาก ก้มหน้าก้มตาเล่นทวิตอันเป็นกิจวัตรประจำวัน เอ่ยปากพูด “คือผม...ผมก็แค่มาหาเงิน” และคุณพี่เสือกอะไรด้วยคะ ไม่ใช่พระเอกเหมือนในนิยายนะ ชีวิตจริงภายนอกหากสนิทชิดเชื้อนี่จะด่าว่าเสือกแล้วนะพี่จ๋า

“แล้วทำไมไม่ทำอาชีพสุจริตล่ะคะ งานมีตั้งเยอะตั้งแยะ รู้ไหมคะว่ามันไม่ดี หนูไม่กลัวเหรอ ? เกิดพ่อแม่รู้ขึ้นมา ท่านจะเสียใจแย่นะ”

ที่หนูเป็นกะหรี่น่ะเหรอ ? อืม อันนั้นก็มีเหตุผล แต่งานเดี๋ยวนี้หายากจะตายห่า เศรษฐกิจล่มจมตั้งแต่อีแก่นั่นยังคงอยู่ ขายหลีหูดูท่าจะง่ายกว่า

อาห์ ไม่พูดดีกว่า เสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง ไม่ดีๆ ไม่ได้สนับสนุนการขายหลีแต่อย่างใด

“หรือว่าหนูร้อนเงิน ?”

“ก็…” ตอบไงดีวะ มันก็พอมีส่วน “นิดนึง” เอางี้ละกัน

ตอบจบไม่ทันไร รถก็ดันมาจอดหน้าบ้านหลังสีขาวพอดี ด้านหน้ามีรั้วประตูกั้นอยู่ สนใจได้ไม่นานก็ต้องหันมามองคนข้างๆ ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้

โหยยย คุณพี่ปลดเข็มขัดนิรภัยเร็วมาก ! ปลดอย่างอื่นด้วยจะรวดเร็วขนาดนี้ไหม ?

“หนูอยากยืมพี่ก่อนไหมคะ”

หมายถึงยืมเงินเหรอคะ ? ผมทำหน้าสงสัย ทำไมพี่แกใจดีจัง เออก็ดีนะ รีบรับน้ำใจโดยไว

“อะ…” กำลังจะตอบ

“ไม่ดีกว่า” อ่าว ทำไมกวนตีนอะไอ้พี่นนท์

“แลกกับค่าเสียเวลาของหนูวันนี้ดีกว่า”

อย่าบอกนะว่า...

“ขายตัวเสียเวลาหาลูกค้า”

“...”

“หนูขายขาดให้พี่เอาคนเดียวไม่ดีกว่าเหรอคะ ?”

อีสัตว์ ! รีบหันขวับไปทางประตูรถ เงื้อมือหวังจะเปิดโดยไว แต่เสียงที่โต้ตอบกลับมาทำให้ต้องผิดหวัง

กึก ! ล็อกค๊าาาา เลิศ ! เลิศที่สุด! กูโดนฉากเอ็นซีบนรถแน่ๆ !

“ฮ่าๆ รีบหนีเลยนะคะ หนูกลัวพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” พี่นนท์หัวเราะขำ ยื่นปลายนิ้วมาช้อนปลายคางของผมให้หันหน้ามาสบตา เปลี่ยนตำแหน่งฝ่ามือเลื่อนมาลูบกลุ่มเส้นผมดำขลับ ไม่วายตั้งคำถามสงสัยในการค้าขาย

“ไหนบอกหน่อยซิ ว่าทั้งวันทั้งคืนหนูทำอะไรได้บ้าง”

ห้าร้อย จ่ายสดงดทวงไม่รับผ่อน ตวัดลิ้นเก่ง ควงสะโพกพลิ้วไม่เป็นที่สองรองใคร จับบีบนวดได้ตามใจชอบ  อยากแตกในเพิ่มอีกห้าหมื่น แต่จริงๆ ไม่รับหรอกเพราะกลัวติดโรค หากอยากได้จริงๆ ขอผลตรวจเลือดจากคลินิกนิรนามก่อน เพื่อความปลอดภัยในชีวิตนี้

ได้แค่คิด แต่ไม่กล้าบอก...

“กวาดบ้าน ล้างจาน เอ่อ… เล่นไพ่ก็ได้” จะได้ไหวตัวทัน เผื่อจะได้เงินมากกว่าเก่า เดี๋ยวนี้ลูกค้าชอบเล่นตุกติก “คุยจับมือ” คิดไม่ออก อยากได้มากกว่านี้ขอเข้าห้องน้ำทำแท้งก่อนนะพี่

“จับมือ ?” พี่นนท์เอียงคอยิ้มประดับอยู่ที่มุมปาก ดูเป็นคนขี้เล่นและร่าเริงมากกว่าที่คิด ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้เลย

“ใช่ๆ จับมือ” ผมขานรับรัวๆ หวังให้รอดพ้นจากฉากเหมือนในนิยาย

สถานการณ์ไม่แน่ไม่นอน จะทำอะไรตอนนี้ก็เกรงใจ ยังไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลยทั้งนั้น ตอนนั่งรถมาก็เลื่อนทวิตเจอฉอดคนเขียนว่าแต่งนิยายเอ็นซีคงได้มาจากชีวิตจริงเลยเอามาแต่ง

โธ่ อีหัวสมองปลาทอง ! ตรรกะเด๋อด๋า นักเขียนเขาก็ศึกษาก่อนแต่งกันทั้งนั้น อย่างผมเนี่ยสิก็ดูคลิปพอร์นเพื่อหาแนวทางการบรรยายลงในเนื้อหา ประสบการณ์โดยตรงก็ไม่ใช่ แต่ทว่าตอนนี้ก็ไม่แน่  จากที่คิดว่าจะแค่ถ่ายทอดผ่านจินตนาการ วันนี้คงกลับบ้านไปบรรยายได้ละเอียดแหงๆ

เอาล่ะ เห็ดหัวเบิกบาน ค่อยๆ หย่อนขีปนาวุธเข้ามาในร่องหลืบหลุมอวกาศ แต่ปะเดี๋ยววอนคุณพี่เห็นใจพาน้องเข้าห้องน้ำก่อน

“งั้นจับมือเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”

เฮ้ย ! แม่ พี่เขาสนใจข้อเสนอหนูด้วยแหละ !

“มือหนูน่าจะนุ่ม…” พี่แกหลุบสายตาลงต่ำ ยื่นฝ่ามือมากุมปลายนิ้วของผมให้สอดประสานฝ่ามือให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้นก็เงยขึ้นมาจ้องแววตาพร้อมรอยยิ้มกระชากใจ “พี่ชอบจับมือมากๆ เลยค่ะ :)”

ยิ้มแปลกๆ นะพ่อนะ ในนิยายคงขึ้นเป็นอิโมจิ เหมือนพวกพระเอกจอมเจ้าเล่ห์สันดานชั่ว

“พอจับแล้วไม่อยากจะปล่อย” ยกมือขึ้นทั้งที่กุมฝ่ามืออยู่ พลันเอาหลังฝ่ามือของผมเขยื้อนเข้าไปใกล้ริมฝีปาก พี่นนท์ก้มหน้าจุมพิตที่หลังฝ่ามือขาว แววตาพราวเสน่ห์ไม่เคยผลักไสจากดวงตาคู่นี้

ริมฝีปากอุ่นร้อนสาละวนอ้อยอิ่งแม้แต่ข้อนิ้วและปลายนิ้วมือ ทุกครั้งจะมอบจุมพิตได้อย่างนุ่มนวลเหมือนคนหลงใหล ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงจูบอยู่จนเกิดเสียงดังจุ๊บ ริมฝีปากของชายฉกรรจ์ก็อ้าออกเล็กน้อย ใช้ซี่ฟันสีขาวกัดลงที่ปลายนิ้วโป้งของผมอย่างหยอกเย้า ลมหายใจของผมก็ดันสะดุด ทั่วใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนมีเลือดสูบฉีดผิดปกติ พินิศใบหน้าหล่อเหลาที่จ้องอย่างร้อนแรง

พี่นนท์เหมือนเป็นบุรุษที่มักถูกเปรียบเป็นหมาป่ากระหายเหยื่อ คลังคำในหัวของผมมันเลยเลือกที่จะใช้คำๆ นั้นให้เหมาะกับนิยามของเขาในตอนนี้ ฉากที่ตรึงใจที่สุดคงเป็นวินาทีที่เขาเผยอปากออกและแลบปลายลิ้นแตะต้องบริเวณปลายนิ้วโป้งของผมเบาๆ ปล่อยให้นิ้วนั่นสัมผัสให้กลีบปากนุ่มหยุ่นของเขากลับมาเด้งดึ๋งฟื้นฟูคงสภาพ

พี่นนท์ยืดตัวเข้ามาใกล้แทบจะกักกันบริเวณของนักเขียนคนนี้ให้ไร้ทางออก ผมสูดอากาศรัวแรงเหมือนคนพร้อมจะเป็นหอบ

ต่อจากคำว่า ‘พอจับแล้วไม่อยากจะปล่อย’ พี่เขาก็ยังบอกอีก...

“พี่อยากจะจับตรึงหนูเอาไว้แทน”

“...”

“หนูเป็นนักเขียนนี่คะ” พี่นนท์โน้มหน้ากระชั้นชิด ส่งน้ำเสียงกระเส่าให้ใจสั่นอยู่ข้างกกหู มันเบาบางและเหมือนบุรุษขี้อ้อนเป็นที่หนึ่ง ผมไม่เคยเจอผู้ชายพรรค์นี้มาก่อน แม้แต่นวนิยายที่เคยอ่าน

เขาเหมือนคนที่หลุดออกมาจากห้วงจินตนา

“หนูน่าจะเข้าใจดี”

“...”

“ลองเอาไปเขียนในนิยายดูไหมคะ ?” พี่นนท์บอกน้ำเสียงนุ่มให้ใจบาง ขยับใบหน้ามาจ้องตากันชัดๆ มองเรียวปากอิ่มของผมวูบหนึ่ง

“ฉากจับมือจริงๆ”

“อึก !”

“มันแนบประสานยกไว้เหนือศีรษะ” เขาอมยิ้ม ลงท้ายอีกคำก่อนที่สิ่งบางอย่างจะตามมา “เผื่อหนูไม่เคยลอง” จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างของผมยกขึ้นสูง วางแนบลงไปกับพนักที่นั่งเหนือศีรษะ ทำตามเปรียบเปรยดั่งคำพูด “แบบนี้ไงคะ”

“แล้วฉากจูบก็จะตามมา...” แล้วพี่นนท์ก็โน้มหน้ามาจูบผมจริงๆ

“อึก อื้ม” ครางเหมือนในนิยายที่เคยแต่ง การออกเสียงในลำคอมันเป็นแบบไหนก็เป็นเช่นนั้น ยิ่งตอนที่เขาเอามือลูบไล้คอดเอวราวกับปลอบประโลม ฝ่ามือเลื่อนไปแตะช่วงขาอ่อนแต่ก็ไม่ได้ล่วงเกินไปมากกว่านั้น

พี่นนท์ทำให้ผมรู้ว่าจูบจริงๆ มันแตกต่างจากนิยายขนาดไหน การปรับองศาของใบหน้ามันเป็นแบบใด มันไม่ได้แค่แนบปากเพียงผิวเผินเหมือนตัวอักษรที่เคยขีดเขียน หรือหยาบโลนเหมือนในนิยายที่สอดประสาน ปลายลิ้นมันเข้ามาภายในก็จริง หยอกเอินและหาจุดต้นตอกำเนิดของความหวานล้ำ รสชาติมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นในชีวิตจริง ประกอบกับก่อนหน้านี้พี่เขาดื่มแอลกอฮอล์มา ส่วนผมก็แอบกินของหวานมาก่อนหน้า จำพวกอมยิ้มเป็นต้น มันเลยส่งผลให้โพรงปากของผมทำให้พี่นนท์คล้ายพึงพอใจ หยาดน้ำลายมันไม่ได้เปียกเปรอะจนหกเลอะ

ความขมและหวานบ้างที่ปะปนอยู่ตรงปลายลิ้น ทำให้รับรู้รสชาติตรงต่อมลิ้นที่สัมผัส

ลิ้นของเรามันเกี่ยวกระหวัดรัดรึงเหมือนในคลิปลามกที่ผมเคยดู วันนี้ผมเลยได้ประจักษ์แจ่มแจ้งมากกว่านั่งพิมพ์ในเนื้อหาตัวสะกด จดจำทุกอิริยาบถและทุกวินาทีของสัมผัสเหล่านี้ ใจหนึ่งมันก็สั่นเพราะทำตัวไม่ถูก แต่อีกใจหนึ่งมันก็มีภาพที่ทำให้อยากรู้อยากลอง

อยากรู้.... รู้ว่าหากเป็นตัวอักษรมันจะบรรยายได้ลึกซึ้งขนาดไหน

อยากลอง… ลองว่าความรู้สึกพรรค์นี้มันจะเทียบเทียมได้เหมือนนวนิยายที่เคยอ่านบ้างหรือไม่ และจะสามารถทำให้เราฉุกคิดถึงการบรรยายได้ละเอียดลออถึงปานใด

ซีรีย์เกาหลี หรือภาพยนตร์อิโรติก… ภาพของเราจะออกมาเป็นแบบนั้นไหมนะ หากผมแต่งเป็นนิยายภาพในหัวของคนอ่านจะเป็นเช่นนั้นบ้างหรือเปล่า

บรรยากาศที่ดูว้าเหว่เหมือนผีสางพร้อมจะเข้ามากันหลอกหลอน ไฟภายนอกมันมืดมิดสิ้นดี อยู่คนเดียวคงกลัวจนจิตตก แต่ทำไมภายในรถยนต์บรรยากาศกลับดูน่ารัญจวน นำพาให้หัวใจดวงน้อยๆ สั่นระริก อยากจะนอนเกลือกกลิ้งเขินอายเหมือนเรากำลังฟินกับบางสิ่งบางอย่าง

วันนี้ผมจึงได้รู้แล้ว… รู้มากกว่าคำเปรียบหวานๆ ดั่งคำคม รู้มากกว่าคำพูดของแต่ละคน จูบมันอธิบายได้มากมายขนาดไหน

มันอาจเป็นแค่จูบ...จูบที่ดูลามกสำหรับใครบางคน อาจเป็นจูบที่ไม่ได้มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น แต่ทว่าจูบตอนนี้ มันทำให้ผมนึกถึงคำๆ นึง

ราวกับเราเป็นน้ำผึ้งหวานหยด ต่างจากอีกคนที่เป็นเตาร้อนๆ

นำพาให้น้ำผึ้งล้ำค่าอันนี้…หลอมละลายไปกับไฟ

พี่นนท์คงเป็นไฟที่อบอุ่นมากแน่ๆ อีกสักนิดคงนึกภาพตัวเองโดนไฟเผาจนตัวดำเป็นเถ้าถ่าน หอบแฮ่กเหมือนสุนัขที่เหน็ดเหนื่อย นึกภาพตัวเองยืดปลายลิ้นออกมาก็คงคล้ายคลึงกัน ทันทีที่ปลายลิ้นหยุดเคลื่อนไหว และละใบหน้าออก หยาดน้ำลายของเราเชื่อมประสาน บ่งบอกถึงความลึกซึ้งที่ได้เข้ามาพัวพัน

พี่นนท์ตวัดปลายลิ้นเลียกลีบปาก ตัดทำลายสิ่งเชื่อมโยง เขาแย้มยิ้มกว้างมีความสุข มองผมที่หอบระทวยอยู่ใต้ร่าง

ผมรู้...รู้สึกได้ว่ากำลังมองพี่แกด้วยแววตาแบบไหน มันแฝงเต็มด้วยความต้องการไม่ต่างกันเลย สัญชาตญาณดิบคล้ายถูกปลุก

“เข้าบ้านกันดีไหมคะ ?” พี่เขาบอกแบบนั้น

“อืม” ผมก็ทำได้แค่ก้มหน้าหลบสายตา

มันเป็นจูบแรกที่ลึกซึ้งชะมัดเลย…

ผมอดไม่ได้ที่จะเม้มปากแน่น หันไปมองด้านข้างและเบิกตาโต นึกอยากจะกรีดร้องให้ลั่นโลก ไม่คาดคิดว่าจะถูกคนที่ตัวเองแอบชอบมาจับจูบ จากทีแรกที่ไม่พร้อม ไปๆ มาๆ อาชีพที่ทำอยู่คงเหมาะกับอุปนิสัย ไบโพล่าร์คล้ายแปรปรวน ฉุกคิดกำเดาก็แทบจะไหลออกจากรูจมูก นึกถึงภาพพี่นนท์กลายเป็นพระเอกนิยายเปลือยท่อนบน ค่อยๆ ไล่ปลดกระดุมทีละเม็ดจนเห็นไหปลาร้าขาวๆ จากนั้นก็ตามมาด้วยแผงอก มัดกล้ามหน้าท้องที่ทำให้ชะนีและกะเทยกรีดร้องหาผัว

โอ๊ยยยยย ใจบ่ดี ~ นั่งเกร็งจนตัวบิด ปลายเล็บจิกลงกับต้นขาขาว เลือดจะไหลซิบไหมก็ไม่ต้องเดา ฉากต่อไปแม่งต้องเหมือนในนิยายแน่ๆ  พระเอกอ้อมมาเปิดประตูรถให้ อิริยาบถเหมือนหนุ่มสุภาพมีชาติตระกูล

นี่ไงๆ พี่นนท์ลงจากรถแล้ว อีกประเดี๋ยวเดียวก็ต้องอ้อมมาเปิดประตูรถให้อย่างแน่นอน ผมก็เลยนั่งแช่ไปงั้น อยากรู้โมเมนต์เหมือนฉากในนิยายวาย ทว่าพี่นนท์กลับเอียงตัวลงมาเปิดประตูรถฝั่งคนขับ ชะโงกหน้ามาพูดกับผม

“หนูไม่ลงเหรอคะ ?”

อ่าว ทำไมไม่เหมือนที่คิดไว้อะ ผมหันหน้าไปทำหน้างงใส่อีกฝ่าย

อ๋อ ก็เพราะเราไม่ใช่นายเอกนิยายใช่ไหม มีขาก็ต้องเดินลงกันเอง มือไม่น่าจะเป็นง่อยกันนี่นา แรงแทบไม่มีเหมือนกระดูกไม้เสียบผี ทำห่าอะไรก็ต้องให้พระเอกคอยช่วยเหลือตลอดเวลา

อืมๆ ก็ได้ หันไปจับที่เปิดและดึงเข้าหาตัว ก้าวขาลงจากรถ มายืนเด๋อเหมือนโสเภณีไม่คุ้นชินกับสถานที่ทำงาน มองพี่นนท์ที่ไขกุญแจรั้วบ้าน สงสัยพี่แกคงอยู่คนเดียวนั่นแหละ ส่วนผมก็ยืนอยู่ข้างๆ คอยเดินตามท้าย มาถึงหน้าประตูบ้านก็ต้องไขกุญแจอีก

ล็อกเก่งมากพี่ ข้ามฉากไปไวๆ เหมือนในนิยายได้ปะ หรือไม่ก็เหมือนละครจำเลยรักไปเลย คุณหฤษฎิ์โยนร่างโศรยาปลิดปลิวออกนอกบานหน้าต่าง อ๋อ ไม่ใช่เหรอ โยนลงบนเตียงใช่ปะ ? เคๆ แค่อยากให้มันจบเรื่องจบราวกันไป นึกถึงตอนทำแท้งก็เหนื่อยตายห่าละ คงใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะเสร็จ
.
.
.
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 04-09-2019 23:50:19
แกร๊ก ! เสียงเปิดเข้ามาในบ้านในที่สุด ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งและเสียงสุนัขตัวหนึ่งเห่าดังลั่น ผนวกกับเสียงแมวที่ร้องออดอ้อน

“โฮ่งๆ !” โฮ่งพ่อมึงสิ

“เมี๊ยว ~” โอ๊ย น้องงงง

“พี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ ?” ผมตาลุกวาว แอบแปลกใจเล็กน้อย แก้มนี่ยิ้มแก้มปริละ เห็นแมวปุ๊บก็รีบย่อตัวลงต่ำ ยื่นมือไปลูบเจ้าตัวน้อยขนฟูสีขาวที่กำลังเอาหัวไถกับขากางเกงของพี่นนท์ เส้นขนของน้องนุ่มสลวยน่าลูบน่าจับฟัด

“ใช่ค่ะ”

“น้องพันธุ์ไรอะครับ ?” ผมยิ้มกว้าง ตาไม่ได้มองแม้แต่เจ้าของหรือสุนัขข้างกายเลยสักนิด ปกติจะเห็นคนเลี้ยงแมวหรือไม่ก็หมาไปเลย แต่พี่นนท์นี่เล่นเลี้ยงสองตัวคนละสปีชีส์อยู่ในบ้านเดียวกัน

“สก็อตติช โฟลด์ค่ะ”

“อ๋อ ~” อ๋อไว้ก่อนแต่ไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะจำเรื่องราวรอบตัวเท่าไรนัก เน้นหาข้อมูลเวลาแต่งนิยายมากกว่า ชีวิตจริงนี่ความจำสั้น เหมือนคนไม่มีไอคิว

“หนูไม่สนใจเจ้าดิ๊กพี่หน่อยเหรอ ?”

“ชื่อหมา ?” ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“ใช่ค่ะ” พี่นนท์ยิ้มประดับ

“อ๋อออ” อ๋ออีกเช่นเคย ตกกะใจหมดหลงคิดว่าหมายถึงหรรม ผมจึงบอกต่อ “ชื่อน้องน่ารักดีนะครับ” อีกสักประเดี๋ยวก็คงได้เล่นกับดุ๊กดิ๊กเจ้าของของมัน ชื่อน่าจะดิ๊กคล้ายคลึงกัน

ยื่นมือไปลูบหัวของเจ้าดิ๊กไม่นานก็มาเล่นกับเจ้าแมวน้อยต่อ

“แล้วแมวล่ะครับชื่ออะไร” ผมถาม

“น้องอ้อน” พี่นนท์ตอบ ชื่อน่ารักมากแม่ ! “เพราะมันชอบอ้อน” เค เหตุผลง่ายดี

ผมยืนขึ้น ชักมือหลบเจ้าสุนัขที่ชื่อดิ๊ก เมื่อมันยื่นจมูกมาดมตรงปลายนิ้ว แอบหลุดร้องเสียงเหวอ

“หนูกลัวเหรอคะ ?” พี่นนท์เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นของผมก็เลยสงสัย รีบจับเจ้าดิ๊กให้ออกห่าง

“นิดหน่อยครับ ตอนเด็กเคยโดนหมากัด” สงสัยเพราะปากหมาด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมหันมาพูดกับคนตัวโตที่พยักหน้าเข้าอกเข้าใจ ไม่ถามข้อมูลเชิงลึกไปมากกว่านี้ ก่อนที่ผมจะมองซ้ายแลขวา

“ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอครับ ?” ถามไว้เพื่อเตรียมตัว เห็นเข้ามาเจอแมวก็ใช่ว่าจะเผลอไผลหลงลืมเรื่องบางประการ ใจมันยังคงสั่น ถึงได้หาเรื่องคุยกลบเกลื่อน

“หนูเดินตรงไป ซ้ายมือจะมีประตูห้องน้ำสีน้ำตาลค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมโคลงศีรษะลง

“หรือให้พี่เดินไปส่งไหมคะ ?” พี่นนท์เสนอตัว

“อา ไม่เป็นไรครับ” รีบปฏิเสธโดยไว เจอพี่แกยิ้มกรุ้มกริ่มก็รู้ซึ้งถึงโชคชะตาในเร็วๆ นี้

เป็นเพื่อนพี่ชายใช่ว่าจะเอาน้องเขาไม่ได้นี่นา ล่อลวงผมมาถึงนี่ก็เหมือนมัดมือชก ถ้าโง่หน่อยเหมือนนายเอกใสๆ ในนิยายที่เคยแต่ง ก็คงต้องมีการดิ้นรนขัดขืน ตั้งคำถาม ปากบอกอย่าทำผมนะ อ๊ะก็บอกว่าอย่าไง ช่างดัดจริตสิ้นดี ทั้งที่แหกรูทวารมาถึงที่

โง่มากแม่ อีอ๊อกรู้เท่าทันหรอกน่ะ หลีกเลี่ยงไรไม่ได้ด้วย ทั้งที่ใจจริงก็แอบชอบเขามานาน โดนจัดสักดอกคงฟินไปถึงชาติหน้า

ไม่ต้องรอจ้ะ กูเอาชาตินี้นี่แหละ ! ชีวิตจริงคนเราโดนคนที่ตัวเองแอบชอบหมายปองก็คงมีความสุข ผมจึงรีบก้าวขาโดยไว ไม่รู้จะโดนจริงไหมก็ลองให้คุกกี้ทำนายกัน กวาดตามองภายในบ้านไปพลาง แม้ไม่ได้ตกแต่งหรูหราเหมือนพระเอกในนิยายที่มีฐานะมั่งคั่ง ถึงกระนั้นก็ยังมีความมั่นคงในฐานะเงินทองพอสมควร เฟอร์นิเจอร์ไม่จำเป็นต้องมีกรอบรูปสีทองอร่ามตกแต่ง เดินเข้ามาครั้งแรกตั้งแต่เปิดประตูบ้านก็จะเห็นห้องนั่งเล่นอยู่ฝั่งขวามือ มีโซฟาสีดำสนิทหันหน้าเข้าหาจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่มุมผนังห้อง ตั่งโต๊ะที่วางอยู่ด้านหน้าโซฟาเพื่อสามารถวางสิ่งของหรือยืดขายาวเหยียดให้พาดเล่นก็ยังได้ มีแม้แต่ชั้นหนังสือสีขาววางเอาไว้อยู่ตรงกำแพง จุดกึ่งกลางด้านหลังของตรงพนักโซฟา ถัดมาทางซ้ายมือภายในบ้านจะเห็นประตูกระจกบานเลื่อน สิ่งภายในค่อนข้างโล่งพอสมควร แถมยังมีหน้าต่างถ่ายเทอากาศบริสุทธิ์ สอดส่องเข้าไปจะเห็นพวกเครื่องวิ่งออกกำลังกาย บวกกับที่ยกน้ำหนัก สารพัดของพวกเครื่องหมั่นรักษาสุขภาพ หันกลับมามองทางเก่าเมื่อเดินตรงไปก็จะเจอห้องน้ำอย่างที่พี่นนท์เคยบอก ผมสำรวจดูทางขึ้นบันไดชั้นสองเล็กน้อยที่อยู่ฝั่งขวามือ และสุดทางเดินของชั้นล่างที่น่าจะเป็นห้องครัวกับโต๊ะทานอาหาร พื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง เห็นอย่างงี้แล้วอยากเอาไปบรรยายในนิยายสิ้นดี น่าจะจับแต่งฉากอิโรติกให้พระเอกกับนายเอกได้เสียกันตั้งแต่หน้าประตูบ้านและห้องนั่งเล่นลามไปถึงห้องออกกำลังกาย เลยเถิดไปถึงห้องน้ำ ทำลายข้าวของในห้องครัวให้จานชามแตกพัง กระแทกกระทั้นตั้งแต่ทางขึ้นบันไดไปทีละขั้น จรดไปถึงห้องนอน จับรัดฟัดเหวี่ยงให้เอากันจนตัวลอย ให้แม่งเยกันถึงฝ้าเพดานเหมือนผีห่าซาตาน ประหนึ่งแดกยาปลุกเซ็กส์ให้บ้าดีเดือด

“ฮุก” คิดแล้วกำเดาก็จะไหล มันน่านัก จดๆ เอาไว้แต่ง

เข้ามาถึงห้องน้ำก็ล็อกเป็นที่เรียบร้อย ปลดกระโปรงลงต่ำและนั่งหย่อนก้นลงที่ขอบชักโครก

เอาละค่ะ เนื้อหาต่อไปนี้มีฉากกระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจ ใครทานข้าวรบกวนวางจานลงและพักย่อยสักครึ่งชั่วโมงก่อนจะเสพเนื้อหาต่อไปนี้ หากไม่ทำตามกระบวนการ อาจอ้วกหมดไส้หมดพุงแล้วอย่ามาด่ากูกันนะคะ กูตีนะ

หากท่านไหนต้องการกระโดดข้ามฉากทำแท้งให้อ่านผ่านไปถึงคำว่า ‘หยุด’

สงบสติสักพักก่อนจะสูดอากาศเข้าลึกๆ ยื่นมือไปหยิบสายชำระล้าง จับเทสด้วยการลองกดที่สายฉีดหัวชำระ ดูความแรงของกระแสน้ำ หากพุ่งแรงไปหูรูดคงฉีกขาดอย่างแน่นอน

พรืด เสียงแรงน้ำกระทบกับพื้นกระเบื้อง ไหลลงสู่ท่อระบายน้ำทิ้ง ดีที่มันไม่ได้แรงมากจนเกินไป เหมือนบางที่สุขาของคนเรา ที่ฉีดทีหนึ่งเหมือนปล่อยพลังคลื่นเต่า ไม่งั้นนอกจากทำแท้งให้สิ่งภายในสะอาดสะอ้าน ยังต้องมาบาดเจ็บให้ถึงขั้นพาไปหาหมอโดยไม่ทันได้ลิ้มลองรสชาติเสพสังวาส

ผมสูดอากาศอีกครั้งหนึ่ง สอดที่สายฉีดชำระลอดผ่านใต้หว่างขา จ่อที่พ่นน้ำลงสู่ปลายทางทวารหนัก ขั้นตอนการทำแท้งในชีวิตจริง เพื่อให้กระแสน้ำมันล้างสิ่งต่างๆ ที่เป็นมูล แค่คิดวิธีการทำแท้งก็เหนื่อยจิต

“อึก” ร้องสะอึกดั่งคนจุก กดน้ำหนักที่พ่นน้ำเบาๆ พยายามกระชับหูรูดไม่ให้น้ำมันไหลเลอะ สะสมน้ำที่เข้ามาจนเริ่มอัดแน่นเต็มไปหมดภายในท้องน้อยจนผมทนไม่ไหวต้องเอาสายยางดึงออกห่าง ตัวงอคว่ำก้มหน้าลงต่ำ คลายตรงส่วนที่กักเก็บน้ำที่สะสมมาพุ่งพรวดลงโถสุขภัณฑ์ รู้สึกหายใจไม่ค่อยคล่องนัก หน้าก็พาลเห่อร้อนไปหมด ต้องทำแบบนี้อยู่หลายเที่ยว หากกินอาหารหนักมาคงเหนื่อยหน่อย แต่โชคดีที่ผมกินอาหารอ่อนมา ไม่ได้มีปัญหากับระบบขับถ่ายที่ค่อนข้างตรงเวลา จึงไม่มีสิ่งใดๆ เจือปน จากนั้นก็ค่อยๆ สอดปลายนิ้วชี้เข้ามาในปากถ้ำ มันค่อนข้างเจ็บในทีแรกเพราะยังไม่คุ้นชินเท่าไร แต่น้ำที่ฉีดเข้าไปทำให้สอดนิ้วได้ง่ายขึ้น พอจะช่วยให้ขยายช่องทางได้เล็กน้อย

“อ๊า” สกัดกลั้นอารมณ์ไม่ไหว หลุดเสียงร้องหวามหวิวออกจากปาก ตัวงอโค้งขณะที่ใช้ปลายนิ้วซ้ายชำแรกเข้าออก ขยายเพิ่มจำนวนนิ้วกลางพร้อมกับปลายนิ้วชี้ คลับคล้ายคลับคลาสิ่งภายในจะฉีกขาด หลุดเสียงร้องสะอื้นไห้จนน้ำตาคลอ การทำแท้งค่อนข้างเจ็บปวดในบางครั้ง เสียระยะเวลาเพื่อให้สิ่งภายในไร้มลทิน ต้องเริ่มด้วยการฉีดน้ำมากกว่าสิบกว่าหน กริ่งเกรงว่าจะมีอะไรไม่พึงประสงค์ ด้วยความที่ผมค่อนข้างรักสะอาดจึงค่อนข้างละเอียดและเสียเวลากับจุดนี้เป็นพิเศษ ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำแท้งมาก่อน เพราะเคยนี่แหละเลยต้องเตรียมพร้อมให้เป็นที่เรียบร้อย เคยศึกษาข้อมูลขั้นตอนการทำมาเลยชำนาญมากขึ้น สอดนิ้วได้ไปถึงสองก็ต้องมาเพิ่มจำนวนนิ้วอีกครา ครั้งนี้เยียดยัดปลายนิ้วนางตามมาด้วย ภายในฝืดเคืองจนต้องพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ สามนิ้วช่างยากเย็นในการนำพาดึงเข้าออกสิ่งภายใน ผมพยายามไม่เกร็งตัวจนหูรูดต้องบีบรัด ใช้ระยะเวลาหลายนาที สลับสับเปลี่ยนกับการฉีดน้ำเพื่อตรวจเช็กความสะอาดอีกสองสามครั้ง และสอดนิ้วอีกที อาจเสียเวลามากกว่าห้าหรือสิบนาที มากสุดก็ถึงเกือบยี่สิบนาทีด้วยซ้ำไป เพราะมีสิ่งเจือปนหรือปัญหาในการขับถ่าย

หยุด

“แฮ่กๆ” กว่าจะเสร็จก็เล่นซะจนหอบเหนื่อย ตัวงอหน้าแดงก่ำเพราะเลือดมันไหลมาหล่อเลี้ยงอยู่ทั่วใบหน้า ปลายวิกผมยาวเหยียดเกือบจรดพื้นห้องน้ำ เนื่องจากตัวผมก้มหน้าลงขณะทำแท้ง เสร็จกิจก็ลุกขึ้นยืน เดินมาล้างมือให้สะอาดเอี่ยมอ่อง ผ่อนลมหายใจให้เข้าออกสม่ำเสมอ หยาดน้ำตาคลอเบ้าจนต้องลอบปาดผ่านปลายนิ้ว ออกมาจากห้องสุขาก็เดินไปที่ห้องนั่งเล่น เจอพี่นนท์กำลังเล่นกับน้องอ้อนที่นอนหนุนตัก โดยมีเจ้าดิ๊กนั่งอยู่ข้างๆ โซฟา

“หนูหายไปนานมากเลยนะคะ ปวดท้องเหรอ ?” พี่นนท์ที่มองทีวีจอแบนในทีแรก หางตาเหลือบเจอผมที่เดินเข้ามาก็รีบหันขวับมาเอ่ยถาม น้ำเสียงไม่ได้มีความดุดันแต่อย่างใด ออกจะนุ่มนวลเป็นห่วงเป็นใย

“นิดหน่อยครับ” ผมเอานิ้วชี้ขึ้นมาเกาแก้ม จะให้บอกได้อย่างไรว่าเราไปเตรียมตัวมาพร้อมรับศึกอันหนักหนา แถมตอนนี้ก็พร้อมมากแล้วด้วย

เขินไปหมดแล้ว นี่จะเจอฉากเหมือนในนิยายแล้วใช่ปะแม่ อ๊อกเริ่มจะใจแตกแล้ว เอ้ย ! ใจสั่นแล้ว

“มานั่งด้วยกันสิครับ” พี่นนท์เอามือตบลงที่ฟูกนุ่มทางซ้ายมือ ส่งทอดสายตาอบอุ่นไร้พิษภัย

สาบานได้เลยว่าไอ้ลุคแบบนี้ในนิยายก็มีมาเยอะ เห็นนิ่งๆ นี่เอวพลิ้วนะคนเรา พวกอบอุ่นนี่ตัวดีอีฉิบหาย ปากหวานไม่พอยังมีอะไรหวานๆ ให้ชิมอีก อ๊อกคนนี้ไม่หลงกลหรอก เดินอ้อมมานั่งตามที่พี่นนท์บอกก็ยังไม่วายเว้นพื้นที่ระยะห่าง แทบจะชิดกับข้างพนักโซฟา ฉุกคิดอยากจะหาดอกไม้มานั่งเด็ดกลีบ ดึงทีละอันเหมือนเสี่ยงทายว่าจะโดนเยหรือไม่โดนเย

บนโซฟาก็ใช่ย่อย ฉากเอ็นซีนั้นมีถ่มเถ เกิดพี่นนท์ไม่อายผีสางหรือสรรพสัตว์ ก็อาจมีสิทธิ์ปลดเปลื้องเสื้อผ้าอีอ๊อกคนนี้ก็เป็นไปได้

“นั่งไกลจัง” คนตัวโตหันมามองหน้า หลุดเสียงขำในลำคอ ฝ่ามือก็ลูบขนแมวไปพลาง ก่อนจะตัดสินใจอุ้มน้องอ้อนวางลงข้างๆ เจ้าดิ๊ก วินาทีต่อมาก็หันมาจ้องหน้าผม กระเถิบกายเข้ามาใกล้จนสายตาของผมที่หลุกหลิกเป็นทุนเดิม เริ่มเลิ่กลั่กกระตุกหน้าไปซ้ายทีขวาทีเหมือนคนมีพิรุธ

“พี่อยากอยู่ใกล้ๆ หนูด้วยอะ” ปากหวานมากพ่อ ! ฟิวแด๊ดดี้ปะหนิ อีพวกเสี่ยเลี้ยงต้อย !

“พะ พี่นนท์” เสียงผมเริ่มสั่น ไรขนนี่ตั้งชูชัน อยากจะบรรยายให้มันเหมือนหนามตำมือชายฉกรรจ์ที่เข้ามาลูบไล้ต้นขาขาวให้เลือดไหลอาบ

“หืม ว่าไงคะ ?” พี่นนท์เอียงคอ ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นซี่ฟันสีขาวสะอาดสะอ้าน รอยบุ๋มของลักยิ้มประดับอยู่ข้างพวงแก้ม

โอ๊ย แสบตาเหลือเกินพ่อคนเรา ยิ่งเป็นพวกหลงใหลลักยิ้มอยู่ด้วย เจอแบบนี้ไปทีผมถึงขั้นหายใจไม่ค่อยออก อยากขออนุญาตกลั้นหายใจฆ่าตัวตาย

“มะ มือพี่” มือพี่เริ่มเลื้อยเข้ามาอีกแล้ว นี่มือคนหรือหนวดปลาหมึกครับ ชอนไชเก่งเหมือนจะล้วงหาขุมทรัพย์ ผมเอียงหน้าหนีอย่างขวยเขิน ยิ่งตอนที่พี่นนท์ยื่นหน้าเข้าหา ส่งลมหายใจใกล้เคียงกรอบหน้า

“มือพี่ทำไมคะ ?” เขาถามหยอกเย้า ใช้น้ำเสียงแหบพร่าให้ใจเต้นแรง ประหนึ่งโดนเวทมนตร์สะกดจิตให้จมดิ่งกับน้ำเสียงทุ้มละมุน ทันทีที่ปลายนิ้วแตะต้องโคนขาอ่อน ผมก็ครางหวิวจากการโดนลูบไล้ หลุดเสียงร้องประหนึ่งเป็นหญิงสาวที่อ่อนไหว

“อื้อออ”  รีบเม้มปากกลั้นเสียงหลง หลับตาปี๋จนสิ่งใต้ร่างเริ่มไร้ร่องรอยการสัมผัส เป็นงงมากครับจนต้องลืมตาขึ้นมามองคนข้างกาย เห็นพี่นนท์ยกมือขึ้นมายันศีรษะตรงที่พิงหัวพนักโซฟาแทน เขายิ้มขำเหมือนที่ชอบทำ ริมฝีปากขยับบอก “แกล้งหนูสนุกดีจัง”

“...” ผมเงียบ นี่เขาเห็นเราเป็นตัวตลกหรือไงกัน จะโล่งอกที่ยังไม่โดน หรือโกรธที่โดนแกล้งกันแน่ ผมชักสีหน้าไม่ชอบใจ

คำนวณถึงผลลัพธ์ นายเอกนิยายหลายเรื่องจะทำท่าแบบไหน ใจกล้าหน่อยก็ขึ้นคร่อมตัวละครแม่งเลยที่เข้ามาหลอกให้อยากแล้วจากไป หรือเจ้าแง่แม่งอนหน่อยก็ปั้นปึ่งให้เขามาตามง้อเรา ไม่ก็แสร้งทำท่าทีขวยเขินเหมือนคนไม่ประสีประสา

ผมตัดสินใจคลายคิ้วที่ขมวดลง ยักไหล่ไม่ยี่หระ ทำหน้าทำตาให้เป็นปกติ

หึ ดูซิ ตัวละครตรงหน้าจะทำท่ายังไงกัน พลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ตกลงพี่นนท์ชวนผมมาทำไรกันแน่ มาจูบคนอื่นเขาและก็มาบอกว่าแกล้งคนสนุกดีเนี่ยน่ะเหรอ ? อย่ามาหลอกให้คนอื่นรู้สึกดีดิ ถ้าไม่ได้จริงใจตั้งแต่แรก” มันเสียความรู้สึกนะรู้ไหม

เป็นกะหรี่ก็มีหัวนมนะ เอ้ย หัวใจเด้อ

“หืม หนูบอกว่ารู้สึกดีเหรอคะ ?” พี่นนท์ผงะ สายตาดูเบิกกว้าง

“อะไร ?” น้ำเสียงของผมเริ่มมีน้ำโหนิดๆ นี่ไอ้คุณหฤษฎิ์ต้องการอะไรจากน้องโศรยากันแน่ หากไม่รักก็ปล่อยกันไปได้ไหม โศรยาจะได้หนีไปหาสามีดีเด่น รายได้ก็ไม่ค่อยมี อย่างน้อยตั้งวงเล่นไพ่ก็ยังได้ มีเงินติดตัวกลับบ้านก็โอเค

“พี่หมายถึง หนูรู้สึกดีกับพี่เหรอคะ ?” อีกฝ่ายยื่นมือมากุมฝ่ามือของผมที่เริ่มชื้นเหงื่อ นี่ใจเต้นแรงจนเหงื่อเริ่มแตกแล้วนะ อีกสักนิดก็ใกล้จะฉี่ราดแล้วด้วย

รู้สึกดี ? ถามออกมาได้ เฮงซวย ! ไม่รู้สึกดีจริงไม่มานั่งใจเต้นแรงแบบนี้หรอก ไม่รู้ว่าพี่แกเคยทำกับคนอื่นไปทั่วแบบนี้ด้วยไหม แต่ดีที่อีอ๊อกคนนี้ใจกว้างมากพอ ไม่อยากถามไถ่เรื่องปวดหัว

“ไม่รู้” ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเหวี่ยง ไม่รู้ไรทั้งนั้นแหละ รู้แค่ว่าตรงนั้นของตัวเองเริ่มแข็ง หลุบสายตาลงต่ำก็เห็นของพี่นนท์มีสิ่งบางอย่างนูนเด่นตรงเป้ากางเกงสแลคเนื้อดีเช่นเดียวกัน

จิตวิญญาณของอีอ๊อกถึงกับร้องโอ้โห ตาโตอ้าปากค้างเป็นรูปตัวโอ อยากเอามือขึ้นมาทาบอกด้วยการรีแอคชั่นจนหงายหลัง สงสัยนักว่าสิ่งที่มันนูนเด่นนั่นมันมีอะไรแอบซ่อนอยู่ภายใน
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 04-09-2019 23:53:03
หืม ? จำได้ว่าไม่ได้สั่งข้าวห่อหมกนะ แต่ทำไมพี่นนท์เอาข้าวห่อหมกมาใส่ตรงนั้นอะ เห็นว่าน้องอ๊อกหิวยังไม่ทันได้ทานข้าวเลยสั่งมาสินะ หูย ใจดีเชิญชวนให้น้ำลายสอ หึ ! ฝันหวานไปเถอะ ห่อหมกจานพิเศษขนาดนี้ กินทีคงจุกสำลักคอตาย น่องไก่คงให้มาเป็นพิเศษ น้ำจิ้มก็ไม่พร้อมเสิร์ฟอีก

“ผมง่วงแล้ว” ไม่ว่างแวะชิมห่อหมกหรอกครับคุณพ่อค้า อยากสั่งเป็นเมนูธรรมดาแทน

“หนูกำลังบ่ายเบี่ยง” ฉลาดแฮะคนเรา

“พี่นนท์... ที่ผมตามพี่มาเพราะกลัวว่าพี่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น มันก็แค่นั้น ถ้าพี่จะมาหลอกให้ผมรู้สึกดีด้วยหรือแค่ใช้ระบายอารมณ์ ผมบอกเลย ผมไม่ทำ” เลือกใช้คำพูดเหมือนนายเอกในนิยาย

“แล้วถ้าไม่ทำ ทำไมหนูถึงทำอาชีพที่ต้องหลับนอนกับผู้ชายด้วยล่ะคะ ?”

อีอ๊อกถึงกับร้องสะอึก เหมือนโดนคนตรงหน้าเอาหอกมาปาใส่อก ทำไมตัวละครตัวนี้ขยันยอกย้อนเก่ง เหงื่อของผมเริ่มแตกพลั่ก ปากก็พูดไปงั้นว่าชั่วข้ามคืนคงไม่เอา ทั้งที่ทำแท้งมาอย่างดิบดี

โว้ยยยย แค่อยากได้คำตอบ อยากรู้สิ่งที่อีกคนคิดกับเราก็เท่านั้นเอง ชีวิตต้องเล่นตัวกันบ้างถึงจะมีสีสัน แถมการที่พี่นนท์จูบผมตั้งแต่บนรถ มันก็หมายความว่าเขาต้องมีใจให้เราแน่ๆ อีอ๊อกฟันธง ! นวนิยายไม่แน่พระเอกอาจหลงรักนายเอกก่อนด้วยซ้ำไป พระเอกเลยหาทางใกล้ชิดและใช้เหตุผลอื่นมาเป็นข้ออ้าง

โหย กูนี่เก่งยิ่งกว่านักสืบโคนัน คนร้ายก็คือคุณไอ้พี่นนท์จงสารภาพมาซะดีๆ อาการแบบนี้มันใช่แน่ๆ ตกหลุมรักน้องอ๊อกใช่ไหม

“เลิกทำอาชีพแบบนี้ได้ไหมคะ ?” พี่นนท์ดูมีแววตาเศร้าสลด ยื่นหน้าเข้าหาจนตอนนี้ตัวผมแทบเอนไปนอนตรงโซฟา ถูกชายฉกรรจ์ยื่นแขนยาวเหยียดมายันฝ่ามืออยู่ข้างลำตัว กลายเป็นเขาที่ขึ้นคร่อม กักกันทางออกไม่ให้ผมหนี

ท่วงท่าหยาบโลนมากแม่ กรุณามองหน้าหมาแมวด้วยพี่ ! ตอนนี้น้องอ้อนกับเจ้าดิ๊กมันมองมาทางผมสลับกับพ่อของมัน อารมณ์แบบพวกมึงจะสิงสู่กันตรงนี้ใช่ไหม

เรื่องขาย ไอ้เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะขายอยู่แล้วปะ ก็ดันเสือกมาเจอกลุ่มพวกพี่เดือนก่อน ไม่รู้พี่นนท์เป็นบ้าอะไร เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตอนแรกยังร่าเริง ตอนนี้ทำหน้าเศร้า แสดงว่าอนาคตเบื้องหน้าเกิดได้เป็นผัวขึ้นมาคงตามอาการไบโพล่าร์ผัวไม่ค่อยทันแน่ๆ หรือไม่พี่แกก็ขยันตีสีหน้าเก่ง

หึ ใครบอกผู้ชายตอแหลไม่เป็น

“พี่แอบชอบเรานะ”

ตึกตัก ใจเต้นแรง ! เฮ้ย มันเป็นไปได้อ๋อวะ อ๊อกเริ่มขนลุก อยากตั้งกระทู้พันทิป ว่าเจอกับคนรู้จักตอนไปขายหลี และเขาเป็นเพื่อนของพี่ชาย เขาดันแอบชอบเราตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ถ้าเป็นนิยายคือเป็นความสัมพันธ์ที่รวดเร็วมากจนคนอ่านต้องขมวดคิ้วมุ่น

เจอปุ๊บ ปิดไฟ เยกัน เนื้อเรื่องไร้แก่นสาร นักเขียนโดนรีวิวฉอด ไม่เอา อีอ๊อกไม่อยากโดน

“อย่ามาหลอกให้หลงกล” พี่ชายรู้บ้างไหมว่านักเขียนคนนี้เริ่มคันคะเยอ

“พี่พูดจริงๆ ค่ะ ไม่งั้นพี่จะจำหนูได้ตั้งแต่เจอกันงั้นเหรอ จะสังเกตได้ถึงขี้แมลงวันเล็กๆ ได้ยังไงกัน ถ้าไม่ได้ชอบเราจริง”

“...”

“ไม่งั้นพี่คงไม่พาหนูมาอยู่ที่นี่ด้วยหรอก”

“...”

“พี่นนท์ชอบหนูอ๊อกจริงๆ นะคะ”

แม่ !!!!! แอร๊ยยย อีอ๊อกอยากกรีดร้อง นี่พี่เขาแทนตัวเองด้วยชื่อด้วยอะ ฮือออ ใจบางไปหมดแล้ว กูว่าแล้วไง เรื่องนี้มันมีพิรุธ กลิ่นมันตุๆ ตั้งแต่เขาจับได้ โอ๊ย ใจเต้นแรงมาก เลิกจ้าแต่งนิยายวาย ขายตัวปุ๊บได้ผัวเลยกู อีกทั้งยังเป็นผู้ชายที่ตัวเองชมชอบซะด้วย พรหมลิขิตชัดๆ พรหมจรรย์เลยพร้อมจะฉีกขาด

พล็อตชื่อเรื่องใหม่กับแนวใสๆ ‘ก๊อกๆ นักเขียนตัวน้อยเป็นกะหรี่ตกหลุมรักนายเจ้าเล่ห์พรากพรหมจรรย์’ ชื่อใสมาก ใสเหมือนสำนักพิมพ์ชายหญิงที่ตัวเองเคยอ่านตั้งแต่ประถม ‘แจ่มแจ้ง’ หากจะส่งเข้าประกวดก็คงต้องโดนด่าก่อนตั้งแต่ชื่อเรื่อง

ตอนนี้หน้าของผมคงแดงแจ๋ไปหมด ปากก็พะงาบๆ เหมือนปลาทองพูดไม่ค่อยออก แววตาสั่นไหวรัวแรง โดนพี่แกพูดออกมาเสมือนนี่คือจุดจบของนวนิยาย

สถานการณ์คับขันแล้วค่ะคุณกิตติคะ จู่ๆ น้องโศรยาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ทิ่มลงแถวบั้นท้าย อาจเพราะระดับความใกล้ชิดและระดับความส่วนสูงที่แตกต่าง ฝ่ายหฤษฎิ์เบียดกายเข้าหา หอบหายใจรัวแรงประหนึ่งขาดออกซิเจน น้องโศรยาตัวสั่นมากค่ะ สงสัยว่าคุณหฤษฎิ์อาจจะมีน้ำโห โอ้โหอีลูกช่างเงี่ยนลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึกใหญ่ จนกระทั่งบุรุษเบื้องบนส่งน้ำเสียงแหบพร่า เอื้อนเอ่ยถ้อยคำหวานหยดจนน้องโศรยาอ่อนระทวยไปทั่วสรรพางค์ นอนตะแคงอยู่ตรงโซฟา ถูกฝ่ามือหยาบกร้านราวกับปีศาจจำแลงกายเข้ามาสัมผัสตรงช่วงต้นขาอ่อน

“เฮือก !” เอาแล้วค่ะ น้องโศรยาสะดุ้งแล้วค่ะคุณกิตติคะ ทีนี้น้องโสรยาเริ่มลังเล กำลังทำท่าจะปัดป้องสะดีดสะดิ้งดีไหม กลัวจะถูกตบเลือดกบปากมากค่ะ ฝ่ายหฤษฎิ์ที่บรรยายว่าจะพูดออกมาก็ยังไม่พูดแม่งสักทีหนึ่ง น่าจะโดนตะกร้อครอบใส่ปากอยู่นะคะ อีกฝ่ายวินาทีนี้เลื่อนสัมผัสไปที่โคนขาอ่อนของน้องโศรยา เลยเถิดมาถึงสะโพกนิ่ม ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอคล้ายอดอยากปากแห้งเหมือนคนขาดแคลน

“หนูคะ” ใช้น้ำเสียงออดอ้อนมากค่ะคุณกิตติ !

“พี่อยากค่ะ”

โศรยาเองก็อยากค่ะคุณหฤษฎิ์คะ ฮือออ จะเป็นลมแล้วค่ะ ดิฉันฐาปนีย์เริ่มลิ้นพันพูดต่อไม่ค่อยถูก ขออนุญาตกรีดร้องก่อนนะคะคุณกิตติคะ

กรี๊ดดดดด

“หนูเองก็ชอบพี่ใช่ไหมคะ ?”

“...”

“พี่รู้...ว่าหนูก็แอบมองพี่อยู่เหมือนกัน” สิ้นคำพูดก็เข้ามาแนบแน่นที่กลีบปากนุ่ม สอดแทรกปลายลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปากอย่างถือวิสาสะ ปลายลิ้นเลาะเล็มไปตามซี่ฟันขาวและมอบสัมผัสเร่าร้อนเหมือนน้ำร้อนลวกให้ครางอื้ออึงในลำคอ โศรยาปรือตามองเห็นหมาแมวเริ่มตื่นตระหนก กระโดดลงจากที่นั่ง เนื่องจากคุณหฤษฎิ์ยืดขายาวเหยียด จับนอนโศรยานอนไปกับเบาะ

ไม่ไหวแล้วค่ะคุณกิตติ ดิฉันใจเต้นแรงมาก ยามที่คุณหฤษฎิ์เลื่อนปลายนิ้วมาเกี่ยวปราการภายในกระโปรง สองลิ้นยังพัวพันเหมือนคนหิวกระหาย ไม่รู้จะแดกลิ้นกันหรือเปล่านะคะ ดิฉันเองก็ลุ้นมาก น้องโศรยาเริ่มร้องแล้วค่ะ

“อื้อออ” อื้อเสียวเลยค่ะ อยากเข้าไปสัมภาษณ์มากว่ารู้สึกเช่นไร แต่จากที่เห็นดูท่าน้องละม้ายหญิงคนนี้น่าจะคันมาก ลำตัวเบิดเร่าสะท้านอาย ชายหนุ่มถอนจูบออกมามองตา สถานที่นี้แม้แต่หมาแมวก็ยังไม่สนหัว การเสพสมเริ่มบังเกิด ไม่รู้ฝ่ายไหนคันคะเยอมากกว่ากัน คนตัวโตก้มหน้าลงมองคนตัวเล็ก นัยน์ตาเป็นประกายทันทีที่เห็นผิวพรรณเนียนละเอียด น้องคนสวยหอบหายใจรัวแรง คาดว่าน่าจะเป็นโรคหอบ หันหน้าไปด้านข้าง หน้าอกฟองน้ำกระเพื่อมขึ้นลง มันเป็นของปลอมค่ะคุณกิตติ

“พี่ขอทำตรงนี้เลยได้ไหมคะ ?” เขาถามไถ่เหมือนคนคลุ้มคลั่ง น้องโศรยาเกิดอยากส่ายหน้าปฏิเสธ ดิฉันก็พาลลุ้นจนเยี่ยวเหนียว เอ๊ะ อะไรนะคะคุณกิตติคะ ? อ๋อ ทางบ้านส่งข้อความมาบอกว่าอาจโดนฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์ได้ งั้นดิฉันฐาปนีย์ขอหยุดสัมภาษณ์แนวจำเลยรักแต่เพียงเท่านี้

พึ่บ ! ตี๊ดๆ

“พี่นนท์ อะ อื้อ ยะ อย่า” อย่าหยุดค่ะพี่ เชิญทำต่อได้เลย อยากรู้มากว่าพรุ่งนี้จะเขียนเอ็นซีได้สักกี่หน้า

ผมเอามือยันอกของพี่แกไว้ ก่อนจะสะบัดหน้าไปมาทันทีที่ปลายนิ้วเรียวยาวแทรกเข้ามาในร่องหลืบ ดวงตาเรียวคมพินิศอิริยาบถของผมทุกวินาที เม้มปากแน่นกับสิ่งใต้ร่างที่บีบรัดแม้แต่ปลายนิ้วชี้ ความรู้สึกเสียวสะท้านมันมาพร้อมพรักกับความเจ็บปวด

“หนูโกนขนด้วยเหรอคะ สะอาดดีจัง”

อายมากค่ะ ใครเขาให้มาวิจารณ์ตรงจุดลี้ลับตรงนั้นกัน พี่นนท์พูดออกมาได้ยังไง

“พี่ชอบค่ะ”

“ฮือ” ร้องเขินระคนเสียวไส้ ถูกแหย่เข้าออกจนเรียวขาเสียดสีกันไปมา

“อ้าขากว้างๆ หน่อยค่ะคนดี” ดุจคำสั่งให้ทำตาม นักเขียนคนนี้ก็ชักอยากจะดีเด่นขึ้นมาในทันตา เป็นเด็กตัวน้อยเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ อ้าขาออกกว้างอย่างว่าง่าย มองตาระยิบใส่คนหล่อเหลาที่เลียริมฝีปาก

เซ็กซี่มากพ่อ มือไม้น้องนี้ก็เริ่มอยู่ไม่สุข ส่ายสะโพกเข้าหาปลายนิ้วที่สวนเข้ามาอย่างเผลอไผล สกัดกลั้นเสียงไม่ไหวจนหลุดร้องครวญคราง

“อ๊า พะ พี่นนท์ มัน ฮึก” มันเสียวมากครับพี่ แต่กระดากอายเกินจะบอกกล่าว เกิดคริสตี้มาเจอเพื่อนรักอย่างผมคิดประเดประดังเช่นนี้ คงถูกด่าดังลั่นว่า ‘มึงนี่แหละร่านยิ่งกว่ากู’

น่าขายหน้าชะมัดยาด ประสบกาณ์ครั้งแรกก็ซ่านเสียว ถูกพี่นนท์มองตาเป็นมัน ไม่รู้จะฉุกคิดพูดอะไรภายในหัว แม้ส่วนใหญ่พวกตัวละครในนิยายชอบชมว่านายเอกสวยอย่างงั้นอย่างงี้ ชีวิตจริงไม่รู้จะคิดออกมาแบบนั้นบ้างไหม หรือว่าจะก่นด่าอีเหี้ยนี่ใจแตกร่านรักสิ้นดี ทำท่าเหมือนคนหื่นจัด

“เจ็บหน่อยนะคะ” เขาเตือนคล้ายเป็นห่วง เพิ่มจำนวนนิ้วเป็นสองสอดแทรกเข้ามา มอบความเจ็บริ้วจนผมดีดดิ้นบนโซฟาสีดำขลับ ยากเกินจะกลั้นเสียงไม่ให้หลุดออกจากปาก ร้องลั่นภายในบ้าน ไม่รู้จะถูกคนข้างบ้านโทรหาหนึ่งเก้าหนึ่งเพื่อแจ้งความว่ามีคนฆ่าแกงกันบ้างหรือไม่

การทำแท้งใช้ปลายนิ้วเบิกทางด้วยตัวเองช่างไม่ช่วยอะไรเลย เพราะนิ้วของอีกฝ่ายมันใหญ่กว่ามาก แถมเรียวยาวกว่าด้วย ครูดรีดไปตามโพรงหยักนุ่ม พี่นนท์ดึงปลายนิ้วทะลวงจี้จุดซ้ำๆ มอบความเสียวซ่านให้ผมคนนี้ได้แต่บิดเร่าจนตัวงอ ก่อนที่พี่นนท์จะถอนนิ้วออก ยื่นมือมาที่เสื้อของผม ถอดถอนอาภรณ์เบื้องบนจนเห็นฟองน้ำชั้นใน คนตัวโตยิ้มเอ็นดู รั้งกายผมลุกขึ้นมานั่ง ปลดตะขอด้านหลังให้อย่างชำนิชำนาญ จับสายที่คล้องอยู่ตรงลาดไหล่ให้ตกลู่หลุดออกจากเรียวแขนเล็ก เปิดเผยผิวพรรณเนียนลื่นที่หมั่นขัดสีฉวีวรรณ

“สวยจัง” เขาพูดเพ้อคล้ายละเมอ เพ่งตามองไปที่ยอดสีชมพูอ่อน ผมหลับตาแน่นเมื่อพี่นนท์เอาปลายนิ้วชี้ปัดเส้นผมของวิกที่บังยอดอกให้ไปอยู่ด้านหลัง เกลี่ยปอยผมด้านข้างขึ้นทัดหูให้อย่างอ่อนโยน

“แต่งตัวแบบนี้น่ารักมากเลยนะคะ ถ้าได้เป็นแฟนคงหวงตายเลย”

ได้ยินดังนั้นก็อยากจะเสนอตัวเองฉิบหายว่าเป็นได้เลยด้วยความยินดี เคอะเขินเหลือเกินคณา หน้าเห่อสีบ่งบอกห้วงอารมณ์วินาทีนี้ ร่างกายหลงเหลือเพียงแค่กระโปรงสีดำที่ยังติดค้างอยู่ที่เอว และเหมือนพี่นนท์จะเดาใจผมออก ถึงได้เปล่งวาจา

“ใส่ไว้อย่างงี้แหละค่ะ น่ารักดี” เขายิ้มกว้างล่อลวงให้หลงใหล โน้มใบหน้าเข้ามาจูบแตะริมฝีปากเบาๆ จนได้ยินเสียงดังจุ๊บ เคลื่อนใบหน้าคมคายลงต่ำขณะสบตามอง ปลายลิ้นร้อนชื้นหยอกเอินที่ยอดอกเล็กส่งเสียงดังแผล่บ

“อาห์” อยากจะบ้าตายอีเวรตะไล ความรู้สึกมันเป็นแบบนี้นี่เอง ไม่น่าคนที่เป็นฝ่ายรับถึงได้รู้สึกดีกับตรงจุดนี้ ก็เคยได้ยินมาบ้างว่าผู้ชายอ่อนไหวกับหน้าอกของตัวเอง บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ อาจจะจักจี้ในทางกลับกัน ส่วนตัวผมนั้นเหมือนอ่อนไหวกับจุดนี้มากเป็นพิเศษ เชิดหน้าร้องครางดังระงม จนพี่นนท์ครอบริมฝีปากดูดดุนที่ตุ่มไต ซี่ฟันกัดลงให้เสียววาบ ดึงทึ้งจนผมหลุดสีหน้าเหยเก

“ดูเหมือนหนูจะชอบโดนเลียหัวนมนะคะ” คนตรงหน้าเอ่ยกลั่นแกล้งด้วยถ้อยคำหยาบโลน

“เดี๋ยวพี่ทำให้รู้สึกดีมากกว่านี้ค่ะ” เขาตั้งปณิธานเหมือนมีจิตมุ่งมั่น ไม่รู้ว่าเอาความมั่นหน้าแบบนี้มาจากไหน หรือจะเป็นความโชกโชนที่เคยมีประสบการณ์กันแน่ ปลายนิ้วที่เคยหายลับจึงกลับมาแทรกเข้าไปใหม่ พร้อมกับริมฝีปากที่ทั้งฟัดทั้งกัดตรงหน้าอกเล่น ไล้ปลายลิ้นชื้นลามเลียเหมือนบุรุษที่แสนหื่นกาม ขัดแย้งกับคำพูดคำจาที่นำพาให้ใครต่อใครต่างหลงใหล เสียงสวบเข้าออกจากปลายนิ้วดังเบาบาง ผสมปนเปไปกับเสียงร้องดูดดึงดังจ๊วบจ๊าบ ไหนจะเสียงครางของผมอีก

ตาของผมเริ่มเลื่อนลอย สมองก็ขาวโพลนกับความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ยื่นปลายนิ้วเข้าไปกอบกุมกลุ่มเส้นผมดำขลับของพี่นนท์และดึงทึ้งบ้างในบางจังหวะ เพื่อระบายความกระสันซ่าน เรียวขาก็เผลอจิกเกร็งไปหมด ยามที่ปลายนิ้วที่สามแทรกเข้ามา ก็เหมือนร่างของตัวเองตรงจุดนั้นพร้อมจะฉีกขาด ดีดดิ้นทุรนทุรายจนสะอื้นฮัก

“เจ็บ ยะ อย่า มันเจ็บ อึก ฮือ”

“ชู่ว์ ~” พี่นนท์ส่งเสียงลอดไรฟันราวกับปลอบประโลม เงยขึ้นมามองหน้าและเคลื่อนมาตบจูบผ่านริมฝีปาก ปกปิดเสียงคร่ำครวญที่ร้องลั่นเหมือนแหลกสลาย ไม่รู้จะบรรยายห่าเหวอะไรดี ในหัวมีแต่คำสละสลวยกับสิ่งที่ได้รับในตอนนี้ จะให้บรรยายว่าถูกนิ้วแทงเข้าสู่รูตูดก็เกรงว่าจะไม่กล้า

ส่วนนั้นถูกกระหน่ำแทงไม่ยั้ง ถ้าเป็นมีดก็คงแทงจนรูพรุน ใช้เวลาปรับตัวไม่นานจากที่เกร็งก็กลายเป็นผ่อนคลายมากขึ้น นึกชมเชยพี่นนท์ในใจที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ จับจูบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผม มือซ้ายก็แหย่ปลายนิ้วเพื่อชำแรกทางเข้าออก ส่วนมือขวาก็เลื่อนเข้ามาบีบตรงกลางลำตัวของผมแน่น ปรนเปรอจนสิ่งนั้นชูชันขยายพองตัว

ถอนจูบออกมาก็ตามองตาเหมือนคนหลงใหล ขยันสบตาเก่งจนเริ่มจะกลายเป็นตากุ้งยิง หยาดน้ำลายปริ่มเปรอะไหลย้อยข้างมุมปากเหมือนเด็กซกมก

“แป๊บนะคะ”

หืม ? ผมนอนหอบแฮ่ก สายตาจับจ้องพี่นนท์ที่ลุกขึ้นยืนอยู่ตรงพื้น ฮือ ได้โปรดอย่านานนะคะพี่ขา ปกตินิยายจะเจอพระเอกปลดเสื้อผ้าก่อนและตามมาด้วยกางเกงตัวนอก แต่นี่พี่แกปลดกางเกงก่อนเลยเล่นเอาผมใจกระตุก ตาพราวกับกางเกงสแลคสีกรมท่าที่ถูกปลด ร่วงหล่นไปกองอยู่ที่ขา เปิดเผยกางเกงชั้นในสีเข้มที่มีบางอย่างผงาดเป็นรูปเป็นร่าง มันแนบแน่นและใหญ่ยักษ์

โอ้ อาหารห่อหมกที่พบเจอ แต่งงมากว่าห่อหมกจานนี้ทำไมถึงไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ด เพราะอยากถามเหลือเกินว่ารสชาติมันจะเปรี้ยวหรือหวาน แต่เหมือนคนขายจะให้ไปลุ้นกันเอาเอง

ตามองเป็นมัน ตื่นเช้ามาเป็นตากุ้งยิงก็คงจะไม่สน คนที่ตัวเองชอบมาเปลื้องผ้าต่อหน้าต่อตา ความระริกระรี้ของอาการคันคะเยอก็เลยพรั่งพรู หากวิ่งออกไปแก้ผ้าว่าวันนี้ได้ผัวเพราะความร่าน ตกตายไปนรกก็คงไม่ต้อนรับ เพราะไฟร่านมันแรงยิ่งกว่าไฟโลกันต์ อย่างน้อยก็น่าจะเจออีคริสตี้อยู่เป็นเพื่อนในขุมนรก และจับยมบาลทั้งหลายมาเป็นผัว คิดแค่นี้นรกก็เริ่มแดกกบาลอยู่รอมร่อ

ห่อหมกยังคงซุกซ่อน แต่คนขายล่าช้ามาก ถอดกางเกงก็มาถอดเสื้อเชิ้ตออก คราวนี้อีนักเขียนอย่างผมถึงกับหายใจไม่ทั่วปอด มองกล้ามหน้าท้องที่น่าสัมผัสของคนตรงหน้า แถมยังเป็นซิกซ์แพ็กที่ดูดียิ่งกว่านายแบบบนปกแม็กกาซีน เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ผมขนลุก นั่นก็คือรอยสักรูปปืนแม็กนั่มสองกระบอกใกล้เคียงกับวีเซฟของเขา แต่ละกระบอกจะอยู่คนละฝั่งซ้ายและขวา มันคงไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ หากปลายหัวของปืนไม่ชี้ไปที่จุดเดียวกัน จ่อลงที่ต้นต่อของลูกกระสุนที่พร้อมจะกระหน่ำยิง ชี้นำทางไปสู้เบื้องล่างที่น่าค้นหา เสียงฐาปนีย์ลอยขึ้นมา

‘คุณกิตติคะ มีคนร้ายพกอาวุธค่ะ’ นอกจากเป็นพ่อค้าแล้วยังมีปืนแม็กนั่มอีก ขอเดาว่ายังมีปืนอีกหนึ่งกระบอก...

สิ่งใต้ร่างไม่เป็นปืนกลก็น่าจะเป็นปืนลูกซอง

พี่นนท์ยืนยิ้มกรุ้มกริ่ม เห็นผมจ้องตาโตเหมือนตื่นตะลึง ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็เลยลูบเป้าตัวเองเล่น ค่อยๆ ดึงขอบกางเกงชั้นในลงมา เปิดเผยอาวุธร้ายที่น่าหวั่นเกรง ดีดผงาดชูชันต่อหน้าต่อตาผม ประกอบกับคำพูดที่ทำให้รู้สึกเหมือนมีกระสุนมาปลิดชีพลมหายใจ

“หนูพร้อมโดนยิงไหมคะ ?”

กระสุนนัดนี้…

พรุนแน่ๆ ค่ะคุณกิตติ


หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-09-2019 00:18:09
 เอิ้ววววว  ชวนกันขายหลีว่ะ!!!!  มิติใหม่ของนิยายวาย   เราชอบบบบบบบ   55555   รออ่านเด้อ~ไรท์
 :hao7:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 05-09-2019 01:11:12
เป็นการชี้นิ้วกลางใส่วงการนิยายท้ทรูเหมือนด่าคนในวงการว่าเธอแ*ดด้านนะดาหวัน  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Moonoii ที่ 05-09-2019 01:23:54
อุ้วววว นิยายแบบบinception ฮ่าๆๆ พึ่งรู้ว่าแต่งไว้นานแล้ว อยากให้มาแต่งต่อนะคะ เขียนสนุกดีค่ะ ชอบๆๆ :mew2:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 05-09-2019 13:07:43
 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 05-09-2019 19:22:42
 o13   สำนวนชวนอ่านมาก มาต่อรออยู่ค่าาา
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-09-2019 21:56:58
 :pig4:
 :3123:
 o13
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 06-09-2019 22:35:29
โดนใจมากค่ะคุณกิตติคะ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-09-2019 03:11:55
อิอ๊อก  อิลำไย  ชย.  รำคาญจะพรรณนาหาอะไร
อิปลาทองหัววุ้น  สมแล้วที่คริตี้มันด่า

อุ๊ย!!! อินไปหน่อย5555
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สาม [9/20/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 20-09-2019 21:02:29
ตอนที่สาม

เห็นแล้วน้ำตาจะไหล ไม่สามารถบรรยายภาพในหัวให้ออกมาเป็นภาษาชาวบ้านได้ อยากจะส่งมอบตำแหน่งนี้ให้นักข่าวสาวคอยชี้แจงอีกครั้งหนึ่ง

‘รับไมค์ส่งต่อเป็นที่เรียบร้อย ดิฉันฐาปนีย์ยังคงติดตามสถานการณ์นี้อย่างเหนียวแน่น’

โอ้ คุณกิตติคะ สิ่งตรงหน้าไม่สามารถหาอะไรมาเทียบเทียมได้ ผู้ร้ายช่างใจบาปยิ่งนักชักปืนลูกซองอย่างหน้าสิ่วหน้าขวาน คาดคะเนว่ากระสุนนัดนี้น่าจะมีจำนวนสามร้อยล้านถึงห้าร้อยล้านนัดต่อชีวิต แต่แป๊บนะคะคุณกิตติ ทางบ้านแทรกแซงขึ้นมาว่ามันไม่ใช่กระสุนที่บรรจุอยู่ เดี๋ยวดิฉันจะลองยื่นไมค์สัมภาษณ์ข่าวให้เดี๋ยวนี้ค่ะ !

‘มันคืออสุจิ’

‘เฮงซวย !’ เผียะ ! ฐาปนีย์ตบหน้าชาวบ้านให้เป็นที่เรียบร้อย ข้อหาพูดจาหยาบคายมากค่ะในหน่วยคาว ข่าว ! ขอโทษค่ะคุณกิตติคะ ส่วนตอนนี้ช่างเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย พรุ่งนี้คงออกข่าวหน้าหนึ่ง

‘เหตุด่วนเหตุร้ายโจรใจบาปยิงสาดกระสุนไม่ยั้งใส่ชายหนุ่มจนเกือบเสียชีวิต เลือดไหลเจิงเต็มรูพรุน บาดแผลมีแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นแต่ถูกยิงกระหน่ำไม่ยั้งสุดชีวิต ช่างแม่นเหมือนจับวาง ตำรวจเลยพานสันนิษฐานว่าเลือดที่เห็นช่างผิดแปลก มันขาวๆ ขุ่นๆ แต่ไม่ใช่เลือดข้นคนจางอย่างแน่นอน’

ป๊อบคอร์นในมือฐาปนีย์นี่สั่นเลยค่ะ รีบโยนทิ้งโดยพลัน แถมฝ่ายผู้เคราะห์ร้ายก็เบิกตาโต จดจ้องอาวุธที่มันแข็งขึงของคนใจทราม สิ่งปูนโปนของเส้นเลือดแน่นขนัดตามท่อนลำ

ดุเด็ดเผ็ดมันแน่นอนค่ะคุณกิตติคะ ไรขนนั่นทำให้นึกถึงสาหร่ายวากาเมะ แต่จำได้ว่าสาหร่ายมันต้องเป็นสีเขียว งั้นก็คงต้องขอปรับเปลี่ยนเป็นสาหร่ายดำโมซุกุ แหม นึกภาพตามแล้วชวนนึกถึงอาหารแกงจืดสาหร่ายเลยนะคะ บวกเพิ่มกับเต้าหู้ไข่นุ่มนิ่ม อาห์ ไข่ ไข่ขาวๆ น่ากินมากค่ะ สีผิวอาจไม่สมดุลเท่าไรนัก แต่ก็ดูนุ่มนิ่มน่ารับประทานดี  ขณะนี้ผู้ชมทางบ้านก็แดกส้มตำจี๊ดจ๊าดไปพลาง สากกะเบือตรงหน้าช่างใหญ่ยักษ์ชวนโอหัง อยากจะไปดีดนิ้วใส่แต่ก็กลัวจะถูกลูกกระสุนยิงเจาะกะโหลก

พลันผู้ร้ายเอ่ยปาก...

“เห็นไหมคะ ?” เห็นค่ะ เห็นคว-เต็มๆ ค่ะคุณกิตติคะ !

“ของพี่มันกระตุกใหญ่เลยค่ะ” ชายหนุ่มมองด้วยแววตาหยอกล้อ เลียริมฝีปากหยอกเย้าล่อลวงต่อมกำหนัด ดิฉันกับท่านผู้ชมทางบ้านก็ตบมือรอลุ้นจนคว-แข็งหลีแข็งไปตามๆ กัน

กระตุกจริงค่ะ ฮือ มันกระตุกขึ้นลงเหมือนรอครกเพื่อเตรียมตำ ใส่พริกสักสิบเม็ดคงจุกเสียดแสบแทงลำไส้ใหญ่ เลือกไม่ถูกเลยค่ะ ว่าจะกินส้มตำหรือแกงจืดสาหร่ายก่อนดี งั้นดิฉันขอตะกละแดก เลือกแม่งทั้งคู่เลยละกันค่ะ !

ฐาปนีย์ขออนุญาตเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ ! ขี้จะแตก !

“พะ พี่นนท์” แหม เสียงสั่นเลยนะคะ ลูกค้ารายนี้คงรอมะละกอปอกเปลือกไม่ไหว เกิดอยากกินส้มตำใส่น้ำตาลปี๊บหวานๆ

“หนูอมให้พี่หน่อยสิคะ”

แอร๊ยยยยย ! ฐาปนีย์ไม่ไหวแล้วค่ะคุณกิตติคะ นี่เขาจะส่งอมยิ้มให้กันปะคะ ? แต่ไม่ค่ะ จู่ๆ อมยิ้มที่ว่าก็ยื่นมาให้คนตัวเล็กที่พยุงตัวขึ้น ร่างผอมแห้งเหมือนคนเป็นโรคชวนน่าหมั่นไส้ ตอแหลทำเป็นกระพริบตาปริบๆ พร้อมสีหน้าเห่อสี

ดิฉันคาดคะเนว่าเห่อหมอยมากกว่าค่ะ

“นะคะ” ก็ได้ค่ะพ่อ ฮือ อ้อนขนาดนี้ ณ จุดๆ นี้กลืนน้ำลายกันใหญ่

ไม่ไหวแล้ว ฐาปนีย์เริ่มเลือดกำเดาไหล ยังขะมักเขม้นกับการทำงานไม่ว่าอุปสรรคจะยากเย็นแสนเข็ญ ชาวบ้านก็เอาผ้าคลุมปิดหน้าไปพลาง เกิดอาการบาดเจ็บล้มตายกันไปข้าง แฮลิคอปเตอร์มาลงจอดแล้วค่ะ แต่ดิฉันก็จะพายเรือนี้ต่อสุดชีวิต

เด็กน้อยกำลังสั่นสู้ มือไม้ก็ไม่ต่าง สั่นระริกเหมือนผีร่านเข้าสิง พยายามลุกขึ้นมานั่งจดจ้องกับสิ่งตรงหน้าที่เขยื้อนเข้ามาใกล้ เกิดคำถามว่านั่นแก่นกายใช่ไหม ? แก่นกายที่ไว้ใช้กับนวนิยาย มาวันนี้ได้มาเห็นคาตาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง

เป็นงงกันไปหมดเลยนะคะ ณ จุดๆ นี้ ว่าหรรมหรือขีปนาวุธกันแน่ ทำไมเห็ดหัวบานตะไทที่มีหญ้าดกดำ มันช่างเหมาะเจาะกับสิ่งที่เพื่อนอีกฝ่ายเคยเกริ่น โดยไม่ทันจะปฏิเสธหรือตกลงอะไรเลย คุณพ่อค้าขายอมยิ้มก็ยื่นส่วนนั้นมาใกล้กลีบปากสีชมพูของน้องหน้าหมา เอ้ย ! น้องหน้ามน ประคองส่วนใหญ่ยักษ์ที่มีปลายหัวองคชาตสีชมพูระเรื่อด้วยฝ่ามือข้างขวา ขณะที่มือข้างซ้ายยื่นมาจับหัวทุยให้เขยิบหน้าเข้าไปใกล้

ผู้เคราะห์ร้ายมองตาแป๋ว กลัวว่าจะสำลักติดคอหอย เกิดตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ เพราะมันทั้งอวบใหญ่เกินมาตรฐานชาวเอเชีย งานนี้แทงไปทีสำลักไปแน่ๆ ค่ะ !

อ๊อกๆ แค่กๆ ! หายใจไม่สะดวก

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เออ ปกติมือข้างหนึ่งคนเรามีห้านิ้วใช่ไหมคะคุณกิตติคะ แต่ทำไมสิ่งที่เห็นมันเป็นเก้านิ้วขึ้นมาได้ หรือนิ้วเขาขาดด้วนคะ เลยหายไปนิ้วหนึ่ง มือคนเราไม่น่าจะมีด้านล่างด้วยนี่นา ขนาดความใหญ่และยาวของมัน อืม ถ้าเปรียบเป็นสากกะเบือ งานนี้เด็กคนนี้ก็คงเป็นครกที่กลวงโบ๋แหงๆ

เกิดการหยิบยื่นส่งกล้วยให้แก่กัน หรือนี่คือสวนสัตว์เปิดมีคนยื่นกล้วยให้ลิงกิน แหม ใจดีจังเลยนะคะ สมดั่งคำพังเพย ‘ปอกกล้วยเข้าปาก’

“ผมทำไม่เป็น” มีคนตอแหลค่ะคุณกิตติ ทั้งที่เจ้าตัวเคยดูคลิปพอร์นมาก่อน

“เดี๋ยวสอนค่ะ” ฮือ ใจดีจัง ส่วนดิฉันใจบาป

“ค่อยๆ ทำเหมือนเลียไอติม” เสียงทุ้มบอกนุ่มนวล ฉายภาพให้เห็นวิธีการขั้นตอนที่ควรทำ ชักชวนให้อยากไปซื้อไอศกรีมมาเลียดับกระหายร้อน เพราะอากาศเริ่มร้อนอบอ้าว แตกต่างจากผู้คนที่ใจบาปและไฟร่านมันสุมอก

กรี๊ด คัน คันมากค่ะคุณกิตติคะ เหมือนมดแดงมันเริ่มมารุมกัดผู้คน อยากจะยื่นคารามายให้ผู้เคราะห์ร้าย เห็นตัวสั่นแบบนี้ ดูก็รู้ว่าสั่นสู้เพราะความคัน

กระบอกปืนมายืนจ่อคาปาก ผู้เคราะห์ร้ายยินยอมอ้าปากออกกว้าง ก่อนจะถูกปราม

“อย่ากัดนะคะ ค่อยๆ อม”

แอร๊ยยยยย ฐาปนีย์ไม่ไหวแล้วค๊า ขอกระโดดลงน้ำฆ่าตัวตายพร้อมกับระเบิด

อม แตก อม แตก บึ้ม !!!

“หนูแต่งนิยายเคยเขียนฉากเรทไหมคะ ?” วกกลับสู่โลกความเป็นจริง พี่นนท์ถามคำถามที่เล่นเอาผมสะดุ้งโหยง สีหน้าเริ่มเห่อร้อน ผงกหัวรับโดยไม่สบตา

คนตรงหน้าได้เห็นท่าทีดังนั้นก็พยักหน้าขึ้นลงคล้ายพอใจ โชว์รอยยิ้มไม่รู้เบื่อมอบมาให้คนตัวเล็กอย่างผมที่เหมือนหมาชิชุ ไม่กล้านึกชมเชยตัวเองว่ารูปร่างหน้าตาดี กลัวคนพาลนึกอิจฉาริษยา

“อืม งั้นหนูทำเหมือนที่เคยแต่งเลยค่ะ” พี่นนท์ยิ้มทะเล้นข้างมุมปาก กล่าวลองเชิง “พี่อยากรู้ว่าในฉากเรท หนูจะทำได้ดีเหมือนในชีวิตจริงไหม”

“...”

“อาห์ หนูหน้าแดงใหญ่เลย น่ารักจังเลยนะคะ”

ฮือ ป้อนคำหวานขนาดนี้ พ่อค้าขายขนมหวานน่าจะมีน้ำเงี้ยวหวานๆ ให้ดื่มรองท้องด้วยแน่ๆ

“ทำให้พี่นะคะ แล้วเดี๋ยวพี่ให้รางวัลหนูบ้าง” เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็เงยขึ้นมามองคนพูด ใช้สายตาจับจ้องเหมือนคนสงสัย

รางวัลไรเหรอ คุณพ่อค้าจะให้อะไรกัน ?

“ฮ่าๆ ทำหน้าแบบนี้อยากรู้เหรอคะ ?” พี่นนท์หัวเราะร่า ส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม ท่าทีดูมีความสุขกับสีหน้าของผมที่แสดงออก

“เห็นนี่ไหมคะ ?” คนตัวโตใช้นิ้วชี้ข้างซ้ายชี้ไปที่รอยสัก “มันคือปืน” เขาบอก

ผมก็งง ก็รู้อยู่ว่าสักเป็นรูปปืน จะมาบอกย้ำทำไมในเมื่อเราก็ไม่ได้เห็นเป็นตัวเหี้ยอะไรสักหน่อย

“อันนี้ก็ปืนค่ะ” เขาชี้ไปที่รอยสักอีกข้างบ้าง ก่อนที่จะทิ้งมือลงข้างลำตัว ต่างจากฝ่ามือข้างขวาที่กอบกุมสิ่งสงวน ชายฉกรรจ์เขยิบตัวเข้ามาใกล้ พลันประคองสิ่งนั้นกระตุกขึ้นลงแรงๆ จนส่วนหัวที่มีหยาดน้ำปริ่มเปรอะตีลงมาที่กลีบปากของผมเบาๆ หยอกเอินและกล่าวถ้อยคำที่แสนจะกระตุกขั้วหัวใจ

อ๋อ แบบนี้นี่เองที่คริสตี้เคยด่า ระวังผู้ชายเอาคว-ตบปาก

“นี่ก็ปืน” พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างประจบเอาใจ ส่งสายตาเชิญชวนคล้ายล่อลวงให้ลองสัมผัส พลางเอียงคอลงเล็กน้อย อิริยาบถไม่ต่างจากหนุ่มคาสโนว่า

พี่นนท์บอกนี่ก็ปืน… “แต่ใหญ่หน่อยนะคะ”

“เลียกระบอกปืนให้พี่ทีสิคะ” เขาสั่งน้ำเสียงออดอ้อน พลันเลียริมฝีปากให้มันวาว

“อึก” ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอจนบังเกิดเสียง หน้าแดงปรั่งตาก็วาววับ ริมฝีปากที่ไม่กล้าแม้แต่จะเม้มหรือขยับ ยามนี้ถูกน้ำชายฉกรรจ์ที่เกิดจากความต้องการจนเล็ดลอดผ่านปลายท่อถูๆ ไถๆ รอบกลีบปากนุ่มหยุ่น

นี่เรากำลังทาลิปสติกกันใช่ไหมครับ ให้ความรู้สึกเหมือนเคลือบลิปกลอสที่กลีบปาก แถมกลิ่นมันก็ไม่ได้เหม็นคาวอะไรเลย คนตรงหน้าค่อนข้างรักสะอาดมากแน่ๆ มันมีกลิ่นแอบแฝงเฉพาะตัวของผู้ชายตรงจุดอับ หอมๆ แปลกๆ ชวนน่าหลงใหล หรือว่ากูเริ่มจะโรคจิต…

จ่อมาขนาดนี้ คุณพี่อยากให้อ๊อกคนนี้ขาดอากาศหายใจตายใช่ไหมครับ ? ฮึก เริ่มเป็นห่วงสุขภาพในภายภาคหน้า ขอเวลาทำประกันตอนนี้จะทันไหม เกิดหายใจติดขัดตามมาด้วยอาการหอบหน้าดำหน้าแดง ไปหาหมอคงคาดการณ์ว่าเป็นโรคหอบหื่น ที่ไม่ใช่โรคหอบหืด

ใจมันเต้นระส่ำทันทีที่ยื่นปลายลิ้นตวัดเลียที่ส่วนหัวรอยหยัก เสียงดังแผล่บตามมาเหมือนหมาเลียน้ำในจานชาม พี่นนท์ส่งเสียงขรมคำรามพลางเชิดหน้าขึ้นสูง ฝ่ามือทั้งสองข้างเท้าสะเอวอยู่ข้างลำตัว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องเรียนรู้กับการปรนเปรอ แสดงฝีมือเหมือนพวกไก่อ่อน

“อาห์ !” ดุจอสูรกายร้องลั่นภายในบ้าน น่าแปลกใจที่สัตว์อสูรเบื้องล่างก็น่าเกรงขามไม่ต่างกันเลย หวังว่าเอาเข้าปากไปแล้วจะไม่ไหลเข้าสู่ลำคอ ผมใจดีสู้เสือเอาปากครอบครองสิ่งสงวน หลับตาลงปี๋กับความบ้าบิ่นที่ตัวเองกระทำ

ร่านมาก ฮือออ ชีวิตจริงลองทำเองนี่เขินฉิบหาย มือไม้สั่นระริกไปทั้งลำตัว ลองขยับปากขึ้นลงเหมือนในคลิปอุจาดที่เคยดูในการปรนเปรอ เรียกเสียงคำรามดังซี๊ดซ๊าด

คุณพ่อครัวคงนึกไม่ถึงว่าลูกค้าจะมีฝีมือเผ็ดจัดจ้านถึงปานนี้ มอบความสุขที่ล้นปรี่ด้วยการผงกหัวเอาใจเขา ห่อเกร็งปลายลิ้นและแยงลงที่รูท่อเล็กๆ ที่มีน้ำไหลเจิงนอง ตวัดชิมหยาดน้ำเหนียวหนืด จากนั้นก็สลับสับเปลี่ยนโยกหัวขึ้นลง มันกลืนกินเข้ามาในปากได้แค่ครึ่งท่อนลำเท่านั้น ไม่สาแก่ใจคนหฤโหดฝ่ามือถึงได้เอื้อมมาประคองด้านหลังศีรษะของผม ออกแรงกดเข้าหาลำตัวพร้อมกับส่วนนั้นที่พยายามเยียดยัดให้เอากล้วยเข้าปากเต็มๆ คำ อีอ๊อกคนนี้ก็เบิกตาโตหวาดผวา รู้ซึ้งถึงโชคชะตา

“อุก ! อ๊อกๆ” เสียงเหี้ยมากแม่ ! นี่หรือเสียงจริงๆ ที่เล็ดลอดในลำคอ พี่นนท์ยัดสากกะเบือยันเรือรบให้ผมอิ่มหนำสำราญ ดุนดันสอบสะโพกใส่โพรงปากจนแท่งเนื้อร้อนของเขาเปียกเลอะหยาดน้ำลายจนชุ่มฉ่ำ ส่วนตัวผมนั้นน้ำลายไหลย้อยข้างมุมปากเป็นที่เรียบร้อย ไม่ได้กลืนกินต่อมน้ำลายลงคอเลยสักนิด เพราะบางสิ่งมันคั่นกลางในลำคอ

“อูย เสียวจังเลยค่ะหนู”

อูย ติดคอจังเลยค่ะพ่อทูนหัว “อ๊อกๆ” สำลักแล้วอีเหี้ยพี่นนท์ ! พยายามเอามือยันที่ต้นขาของเขาเอาไว้มั่น ออกแรงและส่ายหน้าหวังจะคายสิ่งที่มันกระทุ้งเข้าใส่โพรงปาก ล้วงลึกข้างในลำคอ เรียกหยาดน้ำตาที่หางตาเบาๆ

ความใหญ่โตของพี่นนท์มันไม่สามารถให้ผมกลืนกินได้นานนัก บัดนี้กดหน้าของผมมากขึ้น ทำให้ปลายจมูกโด่งรั้นฝังเข้าไปกับกลุ่มไรขนดกหนาเหมือนป่าดงดิบ ขนหมออ้อยแทบจะแยงสู่รูจมูก ต่อมกลิ่นชัดเจนของบุรุษเพศ จากที่น่าสูดดมก็ดมได้ไม่นาน อีกประเดี๋ยวเดียวคงสำลักติดคอตาย

ผมตีเข้าที่ต้นขาใหญ่รัวแรงดังเพียะๆ บ่งบอกว่าไม่สามารถแบกรับได้ไหว จะขาดใจตายอยู่รอมร่อ ปลายหัวขององคชาติมันทะลวงลึกเข้ามาในคอหอย เสียงอุกอากๆ เหมือนลิงบาบูนกำลังได้เสีย ช่างเป็นเสียงน่าสมเพชที่สุดที่เคยพบเจอ

ฮือ ทำไมชีวิตจริงมันไม่ ‘อึก อะ อ๊า’ ดั่งนิยายเขา… หรือว่าอีนายเอกในเนื้อหาที่แท้ก็ตอแหลเสแสร้งครวญครางเอาใจชาย อ๊อกคนนี้จะไม่ทน !

“แค่กๆ” เมื่อแท่งเนื้อมันหลุดออกจากปาก ผมก็หลุดสำลอกและไอดังโครกจนหน้าแดงไปหมด ขนาดทำได้ไม่ถึงสองนาทีก็เจียนจะตายห่า หากทำนานกว่านี้คงโชกโชนมากแน่ๆ

“พี่ขอโทษค่ะ หนูไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?” พี่นนท์เอ่ยเสียงนุ่มละมุน ผมที่ขยับตาขึ้นมองก็ลอบปาดน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจ

แหม ใจดีจังเลยนะครับมีการเป็นห่วงสุขภาพสุขดิบกันด้วย มาขอโทษขอโพยตอนหรรมทะลวงลึกข้างในลำคอเป็นที่เรียบร้อย

อีเหี้ยอีสัตว์ อยากด่าขึ้นมาลอยๆ

“ไหวไหมคะ ?” พี่นนท์ถาม ผมเลยส่ายหน้า พี่เขาจึงพูดต่อ “อาห์ งั้นพี่ขออีกรอบนะคะ” แล้วจะถามกูไปเพื่ออะไร !

น่าหลีที่สุด !

ปึกๆ เสียงลวยคุยตบปาก ‘ลวยคุย’ ที่มีความหมายว่าหรรม หรือศัพท์แรงๆ ก็แปลว่าคว- ซึ่งเป็นภาษาลูของเพศที่สาม ณ วินาทีนี้มันขยับมาตีที่แก้มซ้ายของผมแรงๆ สองสามที จากนั้นก็ขยับมาตีที่กลางปากแรงๆ จนชนเข้ากับปลายจมูก

โอ้โห ไม่ยัดเข้าไปในรูจมูกกูด้วยเลยล่ะ เอาให้รูจมูกแม่งบานสูดหายใจเข้าไปทีแมลงวันบินหายลับเข้าไปเลย

“มาๆ อ้าปากสิคะ เดี๋ยวป้อนของหวานให้ค่ะ” คำล่อลวงเหมือนผมคนนี้เป็นเด็ก เหอะ ! ไม่เชื่อหรอก ใครเชื่อก็โง่ฉิบหาย คนเราไม่ได้ใจง่ายขนาดนั้นมะ ของหวานที่ไหนกัน น้ำเชื่อมเหรอ ? คิดว่าน่าจะเป็นน้ำว่าวมากกว่าล่ะสิ !

สุดท้ายก็ยินยอมอ้าปาก สิ่งนั้นเลยหายลับเข้ามาที่ริมฝีปาก พี่นนท์ดึงเข้าออก สวนเข้าไปจนสุดและดึงรั้นออกมา ผมสบตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ เห็นอีกฝ่ายยิ้มมุมปากดูมีความสุขกับการทำแบบนั้น สวนเข้ามาในปากผมหนที่สองก็ดึงออกอีก

เอ๊ะ จะเอายังไงกันแน่ ! อีกรอบจะกัดหรรมมึงทิ้งแล้วนะ หมั่นไส้แล้ว !

“อยากได้เหรอคะ ?” คนตัวโตถามหยั่งเชิง ผินตามองใบหน้าของผมที่อ้าปากรอรับสิ่งนั้นเข้ามาในปาก พลันยื่นปลายลิ้นและขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ หวังจะทำให้มันจบๆ กันไป พี่นนท์กลับถอยกายออกห่างไม่ยอมให้ส่วนแข็งขึงเข้ามาในโพรงปากร้อนชื้นของผม หนำซ้ำกลับสวนคำถาม

“พี่ถามว่าหนูอยากได้ของพี่เหรอคะ ?” ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างจนเห็นซี่ฟันขาว กระเถิบตัวมาใกล้อีกครั้งหนึ่งและตีท่อนลำอวบอ้วนลงมาที่ปลายลิ้นสีแดงฉานของผม ท่วงทีหยอกเอินให้ผมต้องยอมรับกับความต้องการ

ศัพท์นิยายช่างน่าปวดหัว เออ เสี้ยนก็เสี้ยนวะ ! ไอ้พี่นนท์แบบนี้มันเหมือนหนุ่มGVที่เคยดูเลยอะ ที่แท้ก็มีรสนิยมชมชอบแบบนี้นี่เอง

“อยาก” ผมตอบเสียงสั่นทั้งน้ำตา

“พูดเพราะๆ สิคะ ใช้ ‘คะค่ะ’ ด้วย พูดให้มีหางเสียงหน่อย เด็กดื้อพี่ไม่ชอบนะคะรู้ไหม ?” พี่นนท์ติเตียน

ส่วนผมไม่รู้ค่ะ เรื่องเยอะมากค่ะ นี่กว่าจะเยต้องเปลืองอีกกี่หน้ากระดาษเอสี่

คิดว่าหล่อแล้วจะมีคนยอมสินะ !

“อยาก” ก็ยอมจนได้ ผมพูดอีกหน เม้มปากแน่นไม่เกินเสี้ยววิก็สานต่อจากประโยคเมื่อครู่ “หนูอยากค่ะ”

แรงมากค่ะ ! แต๊วตายแล้วนะคะอีฉิบหาย ชีวิตนี้เคยทำแบบนี้ไหม เคยแทนตัวว่าหนูกับใครไหมก็ไม่เคย ! เพิ่งจะมีก็เพราะไอ้คนรูปหล่อตรงหน้านี่แหละที่เรื่องมาก หวังเอาใจเขาล้วนๆ ให้ไอ้ปลัดขิกมันแทงเข้ามาสักทีหนึ่ง

พี่นนท์ทอประกายวาววับในดวงตา ใบหน้าเพิ่มพูนด้วยรอยยิ้มสว่างไสวให้ดูดีไร้ที่ติ ถามซ้ำ “หนูอยากไรคะ ?”

อยากโดนเย็- ! อยากโดนเย็- ไงคะ ! โอ้โห อีลูกช่างถาม เยอะแยะทุกสรรพสิ่งอีฉิบหาย ! โมโหอยู่ภายในใจ ด่าเป็นร้อยเป็นพันคำ นี่ต้องมาพูดอะไรให้มากความอีก ทั้งที่ส่วนนั้นของพี่เองก็กระตุกทำท่าอยากจะปลดปล่อยเสียเต็มประดา

“หนูอยากอม” ด่าในใจแต่โลกภายนอกก็ตอบเอาใจชาย

“หืม อม ? อมยิ้มเหรอคะ ?” พี่นนท์ยังไม่ลดท่าทีกวนประสาท เริ่มทำผมหงุดหงิดทันตา

“อมคว-” เลิกถามกวนส้นตีนสักทีหนึ่ง

“พูดจาลามกจังเลยค่ะ” อีกฝ่ายส่ายหน้ากับคำพูดคำจาที่ได้ยิน ดูเหมือนจะรับไม่ได้แต่ก็ดันจ่อปลายหัวที่เคยรอคอยมาชี้ที่มุมปากผมแทนซะงั้น

“เด็กพูดจาหยาบคายต้องโดนสั่งสอน” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงดุ “เดี๋ยวจะตีให้ปากแตกเลยคอยดู”

หูย โหดร้ายทารุณเป็นที่สุด ! อ๊อกรับไม่ได้ ตกลงนั่นหรรมหรือสาก ถึงขั้นสามารถตีให้คนเลือดตกยางออก

เดี๋ยวจะแจ้งคุณตำรวจ ข้อหาทำร้ายร่างกาย !

ยังคงไม่ละสายตาจากคนเบื้องบน ยามนี้ถูกฝ่ามือของเขาเคลื่อนมาสัมผัสลูบลงที่กลางกระหม่อมราวเอ็นดู ไล่สัมผัสมาที่พวงแก้มนิ่มด้านซ้าย ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผิวพรรณเนียนละเอียด อีกทั้งยังตั้งคำถาม “หรืออยากให้พี่แตกในแทน”

แม่คะ ! ช่วยที ลังเลเลือกต่อไม่ถูก แต่ป้องกันไว้จะดีกว่าไหม เอาไว้ในภายภาคหน้าเราไปตรวจโรคค่อยมาว่ากันอีกที แสร้งทำเป็นเขินไม่ตอบคำถาม เรียกความพึงพอใจจากคนที่พบเห็น

หลงกลอุบายมารยาสาไถย ไม่รู้ว่าเป็นความรักที่ทำหน้ามืดตามัว หรือความเงี่ยนงำกันแน่ที่ครอบครอง

อ้าปากจนแก้มตอบ ดูดดุนและอมสิ่งสงวนเท่าที่จะทำได้ ออกแรงเชื่องช้าเพราะยังไม่ประสีประสาด้วยความตอแหล พี่นนท์เลยเด้งเอวเข้าหาในบางจังหวะ ทำได้ไม่นานก็อดกินกล้วยต่อ ถูกพ่อค้าจับกดให้ล้มลงไปนอน ผมเลยส่งแววตากระพริบปริบๆ เหมือนหมาสงสัย

พูดถึงหมาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเจ้าดิ๊ก ตอนนี้มันกำลังยืนสี่ขามองพวกเราอยู่

“ม...หมามอง” ผมบอก

“พี่เองก็มองหนู” พี่นนท์ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มหมายมาดพลันก้มลงไปหยิบของในกางเกงตัวเอง ผมเห็นอีกฝ่ายยุ่งกับการรื้อหาบางสิ่งในกระเป๋าสตางค์ ทันทีที่หยิบซองสี่เหลี่ยมออกมาจากซอกกระเป๋า พี่นนท์ก็ใช้ซี่ฟันกัดที่ซองจนฉีกขาด หลังจากนั้นก็เอาถุงยางนำมารูดลงที่กลางลำตัวในเวลาอันรวดเร็ว บางพิเศษจนเห็นชัดถนัดตา

โอ้ มีเครื่องป้องกันพร้อมเสร็จสรรพ แบบนี้ก็แทงได้เลยใช่ไหมครับคุณตำรวจ

เราจะเล่นบทบาทไหนดี คุณพี่นนท์มีปืนแบบนี้ เลือกไม่ถูกระหว่างตำรวจจับผู้ร้าย หรือคนขายส้มตำทำให้แสบลำไส้ใหญ่ ขนาดตรงนั้นก็ไม่ต่างจากสากกะเบือ ครกไม่ต้องมี คงตำในรูเลยทีเดียว

“มาค่ะ” เขาบอกเพื่อเตรียมการ ส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และยื่นมือมาจับเรียวขาของผมให้อ้าออกกว้าง พลิกร่างให้นอนตัวตรงพิงพนักโซฟา สักแป๊บก็ลากขาจนแผ่นหลังนอนแนบไปกับเบาะ สะโพกอวบของผมเลยล้นจากขอบโซฟา ท่อนขาพลันถูกฝ่ามือหยาบกร้านบีบขย้ำ ยกขึ้นสูงจนเห็นช่องทางเบื้องล่างเด่นหรา ชายกระโปรงเลิกขึ้นสูง เผยสะโพกที่ลอยเด่นชัดถนัดตาชายฉกรรจ์ อ๊อกคนนี้เป็นงงมาก หรือว่านี่เรากำลังจะเล่นท่าโยคะกันแน่ ? หัวเข่าตอนนี้เลยถูกรั้นชิดไปกับเบาะ คงเป็นโชคดีของเราที่ตัวอ่อนเป็นทุนเดิมมิเช่นนั้นคงได้ยินเสียงกระดูกหักดังเปาะ

เป็นอัมพาตเลยนะคะ ได้เข้าโรงบาลก่อนเล็ดยุดกันเลยทีเดียว

คนเบื้องบนย่อเข่าลงต่ำ เหมือนทำไม่ถนัดเลยจับท่อนขาขาวของผมชิดกันแน่น เอามือข้างซ้ายเพียงข้างเดียวกดเอาไว้ให้มันแนบกับอก ก่อนที่พี่นนท์จะใช้มือข้างขวาจ่อส่วนแข็งขึงที่น่าเกรงขาม กดปลายหัวป้านแดงบิดขยี้เข้ามาในร่องหลืบอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเสียงคำรามอย่างอดไม่อยู่

“ซี๊ด ~ ตอดแน่นจังเลยค่ะ” คำรามไปก็ชมไป ส่วนเราก็ซี๊ดบ้างด้วยความเจ็บ ดิ้นทุลักทุเลอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาก็เอ่อคลอ ยืดแขนโดนพลันเพื่อเอาฝ่ามือยันกล้ามหน้าท้องแข็งแกร่งที่จะโน้มตัวลงมา ฝากฝังตัวตนสิ่งภายในทีละนิด

ดีนะที่ถุงยางมันมีสารหล่อลื่น “เจ็บ อ๊า จะ เจ็บ” รูจะขาดแล้วพ่อ ฉีกแน่ๆ อะไรมันจะใหญ่ปานนั้น รีบเอามือยันที่ฟูกหวังจะลุกขึ้นกระถดตัวหนี กลับถูกอีกฝ่ายโน้มหน้ามาบดจูบ แทรกแซงลิ้นร้อนมาเกี่ยวกระหวัดอย่างดูดดื่ม มอบความสุขเอ่อล้นภายในใจ ต่างจากเบื้องล่างที่มอบความเจ็บริ้วยากเกินจะทนฝืน

“อื้อออ !” ร้องลั่นจนน้ำตาแตก สิ่งนั้นมันกดเข้ามาช้าๆ อย่างอ่อนโยนก็จริงอยู่ ไม่ได้หุนหันพลันแล่นเสียดแทงจนฉีกขาดฝากรอยแผล แต่ก็ใหญ่ขับแน่นทำผมเผลอหดหน้าท้องเกร็ง ส่งผลให้สิ่งนั้นบีบรัดรอบแก่นกายขนาดใหญ่ ทำให้ไม่สามารถฝากฝังตัวตนได้อย่างเติมเต็ม

“อาห์ หนู ซี๊ด ยะ อย่าเกร็งสิคะ” พี่นนท์ถอนจูบออก น้ำเสียงชวนใจแตกมากแม่ เปลี่ยนเป็นนิ่วหน้าเหมือนเจ็บปวด เห็นผมเปื้อนน้ำตาก็เลยก้มมาจูบซับหยาดน้ำที่เกลือกกลิ้ง พรมจูบตามพวงแก้มนิ่มและปลายคาง ลากไล้มาที่ลำคอ ซุกไซ้ลงต่ำจนขนลุกขนชันไปทั่วร่าง บวกเพิ่มกับน้ำเสียงที่พยายามปลอบขวัญอย่างเอาใจใส่

“ผ่อนคลายค่ะคนดี” นำพาให้ผมหลงใหลมากยิ่งขึ้น จากร้องโอดครวญก็แปรผันผสมผสานกับความเสียววูบ เหตุผลเพราะพี่นนท์เลื่อนริมฝีปากมาจูบตามแผงอก และใช้ปากดูดดุนอย่างรุนแรง ปลายลิ้นวนรอบตุ่มไตสลับสับเปลี่ยนอย่างโชกโชน ชี้นำทางให้ผมผ่อนคลายได้ดี

“อาห์ เข้ามาได้แล้ว เก่งมากค่ะ พี่เอาเข้ามาได้หมดแล้ว หนูดูสิ” อีกฝ่ายผละตัวออกห่างเล็กน้อย ยืนย่อเข่าเหมือนก่อนหน้านี้ พลันก้มลงมองสองสิ่งที่สอดประสาน ทำให้ผมต้องผินตามองตาม

เห็นขนดกหนา ใหญ่มากเลยหนา เข้ามาแล้วหนา โอ้โห “อะ อ๊า” ร้องเลยหนา มองไม่ทันไรคุณพี่ชายก็ขยับสะโพกซะแล้ว เชื่องช้าเนิบนาบแต่เสียดแทงเต็มๆ

นี่มีปืนแล้วยังพกมีดอีกใช่ไหมครับ แทงเก่งจังเลยพ่อทูนหัว

“อื้อออ” กล่าวกันว่าคนเรามีจุดกระสันอยู่ภายในตัว ผู้ชายเองก็สามารถมีความสุขได้กับช่องทางด้านหลัง ผมคนนี้ก็เลยได้รับไปเต็มๆ

ทีแรกมันเจ็บมากพอสมควร แต่ก็แอบมีความเสียววูบที่ปะปนอยู่หนึ่งส่วน ใช้เวลากับการปรับตัวไปสักพักใหญ่ ถึงจะรู้สึกดีในตอนท้าย

“อื้อ พะ พี่นนท์” ร้องซ้ำ เหมือนนางเอกเอวี หยาดน้ำลายปริ่มเปรอะข้างมุมปากเหมือนเด็กเจนจัด กวาดตามองคนหล่อเหลาที่หลับตาแน่นในบางจังหวะ เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพรายตามกรอบหน้า ปรือตาขึ้นมองก็เหมือนพาผมดำดิ่งสู่หลุมเสน่หา

ผมพินิศทุกสิ่งอย่าง ยามที่เขาลืมตามองเราเหมือนคนหลงใหล ริมฝีปากที่อ้าออกจนเห็นซี่ฟัน ก่อนพรูลมหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ออกแรงกระแทกกระทั้นเบาบาง เปลี่ยนจังหวะเป็นรัวแรงและตอกย้ำที่จุดกระสัน เขาเหมือนเครื่องจักรกลที่ทำงานไม่มีวันหยุด เสียงหยาบโลนจึงตามมา คล้อยไปกับเสียงหมาเห่า

“โฮ่งๆ !” เจ้าดิ๊กที่เดินวนกลับมาเห็นเจ้านายตัวเองกำลังทำบางสิ่งเลยส่งเสียงดังลั่น

“ชู่ว์ ดิ๊ก ! เงียบ !” พี่นนท์หันไปใช้ปลายนิ้วชี้จุ๊ปาก ส่งเสียงปรามสุนัขซื่อสัตย์ของตัวเองอย่างดุๆ ทั้งที่ตัวเขาเองยังซอยถี่กระแทกใส่ตัวผมไม่ยั้งชีวิต
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สาม [9/20/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 20-09-2019 21:04:50
เจ้าดิ๊กหยุดเห่า ผมเห็นพี่นนท์ทำแบบนั้นเลยรู้สึกว่าเขาดูเซ็กซี่อย่างน่าประหลาด อีกฝ่ายยังคงอัดกระแทกกลางลำตัวเข้าใส่โพรงหยักนุ่มที่อุ่นร้อนภายในกาย จ้วงแทงแม่นจัดจนเกิดบาดแผลที่ตอดรัดความเป็นชาย กอปรกับกลุ่มขนดกดำที่เสียดสีบั้นท้ายขาวของผมจนเกิดริ้วรอยปื้นแดงให้ระคายเคือง ร่างผ่ายผอมถูกพลิกเป็นนอนตะแคงข้าง ขณะที่สองสิ่งยังไม่หลุดออกจากกัน พี่นนท์ทำมันอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าไม่อยากให้ถึงจุดสิ้นสุด

ผมร้องลั่นเหมือนผีเปรตร้องขอส่วนบุญ หวังว่าบ้านหลังนี้จะกันเสียง หากไม่เป็นเช่นนั้นคงต้องโดนข้างบ้านไปนินทาว่าร้ายอย่างแน่นอน หยาดเหงื่อเริ่มผุดพรายไปตามข้างขมับและแผ่นหลัง ส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัวของคนเรา มันไม่ได้เหม็นอับเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำ แต่ก็เป็นกลิ่นที่ทำให้ยิ่งปลุกเร้าอารมณ์กำหนัดอย่างดีเยี่ยม

ตัวพี่นนท์นั้นหอมมาก แต่ตัวผมนั้นจะเหม็นเปรี้ยวไหมสำหรับเขาก็สุดจะรู้ได้ ไอ้เราก็รักสะอาด ใช้สบู่ยี่ห้อแพงมา หวังว่าจะช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ ถูกเสียดแทงเข้าออกเหมือนคนเล่นหวยการพนัน เพลงคาสิโนเว็บดูหนังออนไลน์ลอยมาเลย ครั้งนี้ก็เลยไม่รู้ว่าใครจะได้หรือเสีย จากที่เห็นมีแต่ได้กับได้ พนันด้วยเงินก็ไม่ใช่ พนันด้วยความคันและหรรมที่ทะลวงลึกเข้ามาในลำไส้แทนซะงั้น

“อาห์ ดะ ดี อื้อ ดี” หลุดเสียงร้องประหนึ่งไม่ใช่ตัวเอง คล้ายละเมอเพ้อพกกับความสุขที่ได้รับ มันมากเสียจนต้องหลุดพูดออกมาจากปาก

สำหรับท่านอนหงายนั้นก็เสียวใช้ได้ ท่าตะแคงยิ่งเข้าไปใหญ่ สิ่งคับแน่นมันจี้จุดที่ต่อมกำหนัดซ้ำๆ อย่างที่คริสตี้เคยกล่าวว่าขายตัวก็ต้องขายหลี ครั้งนี้เพื่อนคนนี้ก็เลยเสียวหลี แต่หลงลืมไปว่าไม่มีหลี

กระทั่งถูกพลิกตะแคงให้คว่ำหน้า หรือนี่เรากำลังสับเปลี่ยนแลกท่าให้ครบแม่งทุกอันเลย จากท่าหงายก็เป็นท่าตะแคงจากท่าตะแคงก็กลายเป็นท่าหมา “ฮือ เสียว พะ พี่นนท์ โอ๊ย เสียว” ท่าหมาเสียวมากครับคุณพี่ กระทุ้งรุนแรงเหมือนคนบ้าดีเดือด เร็วแรงทะลุนรก เหมือนเดอะฟาสแปด ภาคไหนเร็วสุดก็เอาภาคนั้นแม่งนั่นแหละ

ขับรถคงซิ่งเร็วกันมาก แต่พ่อคนดีคนนี้คงประกอบเครื่องยนต์มาแพงและเยอะพอสมควรอยู่ ตอกย้ำแต่ละทีเหมือนท่อกำลังทำงานจนร้อนผะผ่าว เร็วจนติดไฟไปตามริมถนน นอกเหนือจากนี้รูก็คงติดไฟไม่ต่างกันเลย...

ไฟร่านโลกีย์แน่ๆ เลยกู

“อาห์ หนู ซี๊ด เสียวไหมคะ” คนด้านหลังถาม ถามไม่พอยังแทงซ้ำเหมือนย้ำคำถาม อยากขอเวลานอกเพื่อตอบคำถาม แต่เวลาตอบคำถามคล้ายจะหมดลง หรือนี่เราอยู่ในรายการปริศนาฟ้าแลบ

‘หลีไม่ดูดก็สู้ตูดไม่ได้’ สรุปหลีโดนไฟดูดใช่ไหมครับถึงได้ใช้คำนี้กันจัง จะใครดูดไม่ดูดก็ช่างหัวแม่ง รู้แค่ว่าตอนนี้โดนหรรมดูดเข้ามาในรู

ฮึก เสียวมากจ้ะ “อ๊ะ โอ๊ย !” ร้องเสียงหลงเมื่อถูกพลิกเปลี่ยนท่วงท่าอีกแล้ว คราวนี้กลับมาท่าตะแคงอีกข้างก่อนจะนอนแผ่หลา อีคนโดนพลิกเริ่มหัวหมุนไปหมด พลันใช้ขาขึ้นเกี่ยวสะโพกแกร่ง พี่นนท์จับแขนผมคล้องคอ และยื่นมือโอบประคองที่แผ่นหลังขาว ยกเสียจนตัวลอย

สำหรับท่านี้ยิ่งเสียวทวีคูณ ทำให้ส่วนนั้นทะลวงเข้ามาลึกมากขึ้น แน่นและฝังลึกจนสะโพกนิ่มเบียดชิดกับไรขนดกหนา พลันถูกฝ่ามือของอีกฝ่ายยกแก้มก้นนวลลออขึ้นลง คอยกลืนกินรับแท่งเนื้อร้อนเข้ามาในรูสวาท เป็นท่วงท่าที่ทำให้ฝ่ายรับเสียวจนบ้าคลั่ง ฝ่ายรุกต้องแบกรับน้ำหนักของอีกคน มีข้อดีพิเศษที่ไม่ซ้ำใคร “อะ อ๊า” ไม่คิดแล้วดีกว่า อูยยย เสียวลำไส้เวอร์

ท่าหมาไปแล้ว ท่าตะแคงนอนต่างๆ ก็ครบแล้ว ตอนนี้คุณพี่ก็เลยเปลี่ยนเป็นท่าอุ้มกระเตง หรือศัพท์อีกนัยหนึ่งก็คือลิงอุ้มแตง สมควรก็การเรียกร้องหาผัว

“ครางชื่อพี่หน่อยสิคะหนู” พี่นนท์บอกเสียงทุ้มแหบพร่า หน้าของเขาก็แดงไม่ต่างจากผม หอบหายใจรัวแรง อยากจะพาไปตรวจโรคหอบหืดพรุ่งนี้เช้าพร้อมกันเลย

จะให้ร้องว่าอะไรดี ตอนนี้อุ้มกระเตงสอบสะโพกรัวเร็วขนาดนี้ ร้องผัวๆ ดีไหมครับ สาดกระสุนไม่ยั้งซะจนรูโบ๋ ถอดถอนออกมาคงกลวงเหมือนครกชี้แหงแก๋ คุณตำรวจมีปืนตั้งสามกระบอก ปืนแม็กนั่มของรอยสักก็มากพอที่จะพาให้ผู้หญิงกรีดร้องคลั่งไคล้ ยามนี้ยังหยิบปืนกลมายิงสาดกระสุนเสียจนกระจาย หากพรุ่งนี้เช้าอุจจาระกระจายไปทั่วท้องจะเรียกร้องค่าเสียหายเลยคอยดู

“พะ พี่นนท์ อ๊า พี่นนท์” ด่าในใจแต่ภายนอกก็ไม่เอาผิด จะทำยังไงก็แล้วแต่พ่อทูนหัวเขา รู้แค่ว่าเสียวมากพอแล้ว รู้สึกดีเกินจะอภิปรายให้ผู้คนได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

พี่นนท์อุ้มกระเตงนำพาร่างผมมาชิดขอบผนังภายในห้องนั่งเล่น อัดกระแทกเจียนคลั่งเหมือนใกล้ถึงจุดมุ่งหมายปลายทาง เขาซุกไซ้ที่เรียวคอระหงของผม สูดดมกลิ่นกายที่ไม่รู้ว่าจะหอมหรือเหม็น ดูดดึงสร้างรอยช้ำรักเป็นสีแดงก่ำที่ไหปลาร้า ซึ่งมันไม่เหมาะสมที่จะทำเท่าไรนัก อาจส่งผลให้เกิดเส้นเลือดอุดตันขึ้นมาได้ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเมื่อเห็นเขาไม่ได้สร้างรอยแดงจนน่าหวาดหวั่น

เส้นผมของวิกเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากตัวเองก็ครางหวานหยดเป็นสิบๆ หน หลับตาลงแน่นกับความเสียววาบที่ได้รับอยู่ภายในกาย ทั้งกระแทกกระทั้นอย่างหยาบโลนและกระทุ้งหนักๆ ให้ดิ้นพล่านจนเจียนคลั่ง ริมฝีปากที่เคยอมชมพู บัดนี้คงแดงระเรื่อจากการถูกขบกัด พี่นนท์เงยหน้าเข้ามาจูบพลางสอดลิ้นร้อนกอบโกยความหวานของหยาดน้ำลาย ส่งสายตาปรอยตอนมองใบหน้าของผมที่ดูบิดเบี้ยว ไม่รู้จะเหมือนภาพของจิตรกรชวนน่าขนลุกหรือเปล่า แต่คงไม่ถึงขั้นนั้นให้น่าอดสู

แก่นกายที่คืบคลานอยู่ภายในร่างมันทำให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยสัมผัส มันอาจจะลอดผ่านลำไส้เล็กหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบ เพราะทุกครั้งมันรุนแรงเหมือนจะทะลุทะลวงหลุดออกจากลำไส้ใหญ่ หากยาวอีกสักหน่อยคงทิ่มแทงไปถึงตับปอด ลอดผ่านไปที่หลอดอาหาร ทะลักหลุดออกจากปาก เสียวมาก นั่นหรรมหรือหอก จินตนาเริ่มเตลิดอีกครั้ง นี่อยู่ในช่วงพลอดรักหรือหนังสยองขวัญ

“อ๊า ตอนหนูทำหน้าแบบนี้สวยมากเลยนะคะ อึก ตัวหนูก็ขาวไปหมด ข้างในนี้ก็… อาห์ ! ซี๊ดดด แน่นที่สุด” พี่นนท์จูบที่ปาก พร่ำเพ้อชมเชยเหมือนคนหลงใหล

ใช่ไหมล่า ~ สวยมากเลยสินะ หลายๆ คนก็บอก ขืนพี่ไม่พูดอีน้องนี้ก็รู้ตัวดี แต่ขาวไปหมดนี่ทำให้นึกถึงหนังจูออน หรือเราจะขาวเหมือนหนังผีเด็กนรก พลันเบนสายตาไปทางแขนก็ถือว่าขาวอยู่พอสมควร แต่ดีที่ไม่ถึงขนาดขาวซีดปานกระดาษเอสี่

โล่งอก อย่าชมเยอะเดี๋ยวหลงตัวเอง

“อึก ! พะ พี่จะแตกแล้วหนู” พี่นนท์กัดฟันดังกรอด กล่าวเสียงสั่นเหมือนคนอดรนทนไม่ไหว

“อื้อออ” พี่จะแตกอีน้องนี้ก็เริ่มจะแตก มากระซิบข้างหูแบบนี้ไม่ดีเลย

“พร้อมกันนะคะ” เขาสั่ง

“อื้มมม” ส่วนเรานำหน้าร้องครางไปก่อน ตัวสั่นโยนขึ้นลงตามแรงถาโถม แผ่นหลังเสียดสีกับผนังสีขาว สิ่งเบื้องล่างก็ดุดันดุจสวรรค์มาโปรด เนื้อตัวเบียดเสียดกันแนบแน่น ปลายนิ้วมือของผมก็พลางกรีดกรายไปตามแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย ฝากรอยข่วนเล็กๆ เหมือนแมวยั่วสวาท ถูกครางทุ้มต่ำใกล้เคียงกรอบหน้า สติคนเราแตกกระเจิงและเสร็จกิจ พุ่งหยาดน้ำขาวขุ่นไหลเลอะตามร่องหน้าท้องซิกซ์แพ็กของอีกฝ่าย

“ตะ แตกแล้ว อาห์ !” บอกให้พี่นนท์ได้รับรู้ มีการวิ่งผลัดเกิดขึ้น แต่โชคดีที่ถึงเส้นชัยก่อน ดีใจไม่นานก็มาร่ำร้องเหมือนคนพ่ายแพ้ ถูกกระหน่ำแทงไม่ยั้งและถี่รัวจนน่าตกใจ ก่อนที่ตัวพี่นนท์จะกระตุกสองสามที พ่นหยาดน้ำเข้าสู่ปราการฝากฝังลูกหลานจำนวนสามร้อยล้านถึงห้าร้อยล้านที่กะจะวิ่งเข้าหาเจาะรังไข่ แต่ช่างน่าสงสารที่ต้องมาตายเพราะน้ำมือของคนใจมาร

ชั่วช้าเวรระยำจริงๆ

“อึก แฮ่กๆ” หอบแฮ่กเหมือนหมาหอบแดก ตัวอ่อนหลอมละลายอย่างเหน็ดเหนื่อย ก้มหน้าซบลงกับไหล่กว้าง ก่อนที่จะถูกอุ้มมานั่งบนที่โซฟาดังเดิม ตัวพี่นนท์ถอดถอนความใหญ่โตหลุดออกจากช่องทางสีสดเบื้องล่าง ใช้มือค่อยๆ รูดดึงถุงยางอนามัยหลุดออกจากกาย กวาดตามองเรือนร่างของผมที่อ้าขาออกกว้างจนเห็นรูที่ขมิบไปมา ชายกระโปรงเลิกขึ้นสูงจนเห็นแก้มก้นนวลเนียน

มองแบบนี้แสดงว่าของเราโบ๋แหงๆ สงสัยคงมีสถานีรถไฟวิ่งพล่านเข้ามาได้ นวนิยายพระเอกคงต้องมองด้วยแววตาหลงใหล

อ๊า งั้นลองขมิบตูดล่อลวงดู

มองแบบนี้ ชอบใช่ม๊า ~

“เมื่อกี้...” เขามองและหยุดชะงักคำ ปลายนิ้วชิ้ดันปลายคางของผมให้แหงนขึ้นมาจ้องประจันหน้า เสี้ยววินาทีก็ก้มมาจูบดังจุ๊บ ฉีกยิ้มกว้างให้คนมองตาพร่า

“เมื่อกี้นี้มันเยี่ยมมากๆ เลยค่ะ” พี่นนท์ขยับใบหน้ามาจูบซับที่หน้าผากชื้นเหงื่อ ผมหลับตาลงเพื่อรับความอบอุ่นของคนตรงหน้า หลุดเสียงร้องเหวอทันทีที่ถูกอุ้มร่างขึ้นเหนืออากาศ

“พะ พี่นนท์” เสียงสั่นระริกอย่างตกกะใจ ถูกจับอุ้มด้วยท่วงท่าเจ้าสาว เหม่อมองอีกฝ่ายที่ยิ้มขี้เล่นตามเคย

ยังไม่ได้แต่งงานกันเลยก็อุ้มแบบนี้ซะแล้ว จะพาไปจบที่เตียงนอนอีกสินะ ช่างผิดประเภณีชะมัดยาด แน่จริงก็พาพ่อแม่มาสู่ขอก่อนเถอะ

“เรา…” พี่นนท์เว้นคำพูดอีกครั้ง พลอยให้คนฟังต้องรอลุ้นจนฉี่จะแตก “ไปอาบน้ำด้วยกันนะคะ”

ฮึก จะร้องไห้ จะไม่มีครั้งที่สองหรือสามตามมาใช่ไหมครับ ? อาบอย่างเดียวไม่มีอย่างอื่นเจือปน เผลอหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ไม่กล้าตอบกลับไป กว่าจะได้สติก็ถูกพามาที่ห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อย วางร่างของผมลงที่ขอบอ่าง เปิดน้ำให้เป็นที่เรียบร้อย

“ตอนนี้หนูเจ็บอยู่ อาบน้ำในอ่างละกันค่ะ เดี๋ยวพี่ยืนอาบตรงฝักบัวเอง อยากได้อะไรก็บอก” พี่นนท์บอกเสียงอบอุ่น เอาใจใส่ทำคนใจสั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยื่นมือมาถอดถอนกระโปรงของผมให้หลุดออกผ่านเรียวขา หน้าผมก็แดงก่ำรีบก้มงุดอย่างขวยเขินเพราะเห็นหรรม ถูกเขาเย้าแหย่ในครู่ต่อมา

“หรือหนูอยากจะต่อกับพี่ในห้องน้ำ ?”

“มะ ไม่เอา” ผมรีบปฏิเสธ โดนมีดแทงจนเลือดไหลเจิงขนาดนั้น ขืนทำอีกต้องฉีกขาดแน่ๆ เกิดมีการแทงซ้ำต้องตายแหงๆ บาดแผลอาจเหวอะแหวะ เรายังไม่อยากลงข่าวหน้าหนึ่ง  ‘กะหรี่มีเซ็กส์จนหมดลมหายใจ ตายอนาถอย่างน่าสังเวช รูโบ๋เหมือนหลุมดำอวกาศ’ ไม่เอา อ๊อกยังไม่พร้อมหรอก

“งั้นเก็บเอาไว้ทำรอบหน้านะคะ” จุ๊บ !  อีกฝ่ายพูดจบก็มาหอมแก้มแรงๆ หนึ่งที ถอยกายออกห่างไปยืนอยู่ตรงฝักบัวสีเงิน

ผมมองร่างกำยำที่ขาวสะอาดเหมือนคนเกาหลี หุ่นเหินนี่ให้และมีความกำยำล่ำสันไม่ถึงขั้นจำเพาะกายหรือนักกล้ามปู

หลุดสายตาลงต่ำ ไถลร่างตัวเองลงกับอ่างเหมือนไอติมที่หลอมละลาย

เพิ่งเห็นงูเหลือมครั้งแรกก็วันนี้นี่แหละ…

ฮืออออ ชอบอยู่ในป่าดงพงไพรดีๆ นี่เอง ชอบเข้าถ้ำสินะ น่ากลั้วน่ากลัว

“มองไรคะ”

“เฮือก !” สะดุ้งโหยง

“อยากโดนดีเหรอคะ ?”

“มะ ไม่” ผมรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน

ไม่สู้ น้องไม่สู้หรอกคุณตำรวจ

สายตากวาดมองเรือนร่างเปลือยเปล่า ใบหน้าคมสันเหมือนงานประติมากรรมชั้นเลิศที่ถูกแกะสลัก เปรียบเทียบเช่นนี้ก็เพื่อให้เข้าใจถึงความงดงามและความประณีตบนใบหน้า หรือนี่จะหลุดออกมาจากนวนิยายถึงได้นึกชมเชยมากมายก่ายกองขนาดนี้ องค์ประกอบทั้งห้าดูดีไร้เทียมทาน ตั้งแต่คิ้วหนา ตา จมูก ปาก สันกรามเด่นชัด ยามนี้เชิดหน้าขึ้นสูง รับหยาดน้ำของฝักบัวที่รินไหลไปตามผิวพรรณ ไหลลู่สู่ลำตัว เชิญชวนให้กลืนน้ำลายลงคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยามที่เม็ดน้ำไหลพราวไปตามลูกกระเดือกของอีกฝ่าย ส่งเสียงดัง “อาห์” สบายตัวกับความเย็นเฉียบของสายน้ำ ก่อนที่หยาดหยดธาราจะไหลผ่านไหปลาร้าและแผงอกสีขาว ผนวกกับยอดอกสีชมพูที่ตัดกับสีผิวของเขา มัดกล้ามเนื้อแน่นหนาชวนน่ากรีดกราย ดูดิบเถื่อนชวนหลอมละลายให้น่าหลงใหล อยากจะไล่ปลายนิ้วสัมผัสไปตามร่องซิกซ์แพ็กที่ปูดโปนแน่นขนัด ทำคนมองหายใจไม่เต็มปอด มันมีตั้งหกแพ็กที่แน่นเปรี๊ยะชวนกระสันซ่าน รูสะดือตื้นลึกสะอาดสะอ้าน ไหนจะวีเซฟที่เด่นชัดตรงบริเวณหน้าท้องน้อย รอยสักละเอียดลออที่บ่งบอกถึงความตั้งใจทำให้ออกมาสวยและประณีตที่สุด สีชัดภาพชัดทำคนมองอยากปลิดชีพตนเองเสีย เส้นเลือดปูดโปนเลิกขึ้นมาจากส่วนสงวนดูน่าหวาดหวั่น นอกเหนือจากนี้ยังมีเส้นเลือดขึ้นตามท่อนแขน เสมือนบ่งบอกถึงความหมั่นรักษาสุขภาพร่างกายให้สมชายชาตรีดั่งทหารหาญ สะโพกสอบที่ตอนนี้แก้มก้นด้านข้างตอบลึกลงไป เอี้ยวกายจนเห็นกลุ่มขนดกดำกับสิ่งสงวนที่พ่วงพี ท่อนเนื้อขนาดใหญ่ตัดสีผิว ย่อขนาดลงมาแต่ยังทิ้งเค้าโครงความใหญ่โตโอฬารชวนโอ้โหจุกคอหอย ยิ่งตอนพี่นนท์หมุนตัวมาทางนี้ จ่อปืนให้เห็นชัดๆ ถนัดตาที่ค่อยๆ ผงาดง้ำชี้สู้หน้า รวมไปถึงพวงแฝดที่เคยตบตีกับแก้มก้นมาก่อน ยามนี้ห้อยระโยงระยางลงมาเล็กน้อย

ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นสูง ปัดเศษน้ำที่ไหลผ่านศีรษะ พลันลูบกลุ่มเส้นผมดำขลับที่ปกหน้าปกตาให้เรียบแปล้ไปด้านหลัง เผยเค้าโครงใบหน้ากระจ่างชัด ปรือตามองมาทางผมอย่างเชื่องช้า แต่แฝงไปด้วยความยั่วยวนอยู่ในที เรียวแขนทั้งสองข้างยังวางฝ่ามือลงที่กลางกระหม่อม เห็นกล้ามเนื้อแขนที่อวดเบ่งให้เชยชม ไร้ขนรักแร้ใดๆ ทั้งสิ้น ละเว้นขนที่จุดอับเบื้องล่าง ท่อนบนเห็นซี่โครงข้างๆ ลำตัวของชายฉกรรจ์ ฉายชัดกล้ามหน้าอกที่มีพอให้เห็นเต็มๆ ตา ร่องกล้ามเนื้อเด่นชัดทุกสิ่งอย่าง พินิจพิเคราะห์สัดส่วนซะจนละเอียดถี่ถ้วน ใบหน้าของผมก็พลันเห่อสี รีบกวักน้ำราดตัวกลบเกลื่อนว่าที่ผัว เมียงมองคนด้านข้างอีกครั้งก็เห็นกดสบู่เหลวฟอกตรงจุดอับ บังเกิดฟองสีขาวไม่พอ พี่แกยังชักรูดขึ้นลงตรงสิ่งที่ตั้งตระหง่าน คล้ายจะทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม

พ่อทูนหัว ลูกชายยังไม่นอนหลับใหลอีกหรือ ? ได้ข่าวว่าจ้วงเอาๆ พ่นลูกหลานซะจนต้องสิ้นทายาท นี่ยังจะมีหน้ามาหลงเหลืออารมณ์อีกเหรอ

มองไปมองมาตัวผมก็ชักจะเหมือนนักถ้ำมองอยู่นะ เห็นของคนที่ชอบใกล้ชิดขนาดนี้ ชีวิตนี้คงสู่ขิตพร้อมขึ้นสรวงสวรรค์

อ้อ แต่ก็ลืมไปเพิ่งถึงสวรรค์มาหมาดๆ

“ไม่ถอดวิกเหรอคะ ?” เสียงทุ้มแทรกขึ้น ทำให้ผมที่อ้าปากจนน้ำลายไหลย้อยต้องรีบหุบขากรรไกรลง เงยหน้าสบตาพี่นนท์ที่อมยิ้มให้ แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนตลอดเวลา สักพักก็เดินมาหา โดยที่สิ่งนั้นกวัดไกวไปมา

ฮือ หิ้วหวีไปหิ้วหวีมา ที่แท้ก็เป็นคนหิ้วกล้วยไปหิ้วกล้วยมา

เราจะอ้าปากรอรับกล้วยดีไหมหนา

“เดี๋ยวพี่ช่วยถอดให้ค่ะ” พี่นนท์เสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือ ดับฝันสลายคนที่อ้าปากรอกล้วยประเคนเข้ามาในปาก

“ม...ไม่เป็นไร” ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธแทน โธ่เอ้ยคิดว่าจะโดนป้อนผลไม้ให้เรากิน อีกทั้งวิกที่สวมใส่อยู่นี้มันก็ติดกับหนังศีรษะ จำเป็นใช้น้ำยาล้างคราบกาว เกิดดึงออกดื้อๆ หนังศีรษะคงหลุดออกจากหัว

“หนูไม่อึดอัดเหรอ ?” พี่นนท์ขมวดคิ้วยุ่ง ฉายแววเป็นห่วงเป็นใย ผมจึงจำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม

“คือมันต้องใช้น้ำยาที่ล้างกาวออกก่อนครับ ไม่งั้นมันจะเจ็บ”

“อ๋อ” คนตรงหน้าลากเสียงยาวเหยียด ผงกหัวทำความเข้าใจ “ให้พี่ไปหยิบให้ไหมคะ อยู่ในกระเป๋าหนูใช่ไหม?”

“ไม่ ด...เดี๋ยวผมไปหยิบเอง” ส่งเสียงตะกุกตะกักตอบกลับไป รีบดีดตัวลุกขึ้นออกจากอ่างอาบน้ำ ร่างกายพลันโอนเอนเหมือนนางเอกละครที่ชอบกินน้ำส้มเป็นประจำ โชคยังดีที่พี่นนท์ยื่นแขนมารอรับเอาไว้ สวมกอดผมได้ทันเวลา ไม่งั้นอีอ๊อกคนนี้คงลื่นหัวฟาดพื้นตายอนาถแหงๆ เพราะเบื้องหน้าเป็นโถสุขภัณฑ์

“ระวังหน่อยสิคะ เดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก” พี่นนท์ส่งเสียงดุ หน้าก็บึ้งตึง “หนูเจ็บสะโพกอยู่ เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้เอง เลิกดื้อเถอะค่ะ” ประคองร่างผมให้นั่งแช่ลงในอ่างดังเดิม

แม่ขา พี่เขาใจดีกับหนูมากมาย อย่างงี้สินสอดคงไม่จำเป็นแล้วแหละ อยากจิร้องไห้ ชีวิตนี้ไม่เคยเจอผู้ชายสุภาพชนเช่นนี้มาก่อน ได้แต่ขวยเขินอยู่ในอ่าง มองคนที่หันหลังเดินออกจากห้องน้ำ เห็นทั้งแผ่นหลังกว้างๆ กับไขกระดูกสันหลัง จรดมาถึงร่องก้น แก้ผ้าเดินออกจากห้องน้ำโดยไร้ผ้าขนหนูใดๆ พันรอบตัว ไม่ช้านานก็เดินกลับมาใหม่พร้อมกับสำลีและน้ำยาเช็ดคราบกาว รวมไปถึงที่เช็ดเครื่องสำอางอีกต่างหาก คงเอามาจากกระเป๋าผมนั่นแหละ

“เดี๋ยวผมทำเอง” รีบยื่นมือรอรับสิ่งของ แต่พี่นนท์กลับส่ายหัวไม่ยินยอม พลางย่นจมูกลง น่ารักน่าชังขัดกับใบหน้าหล่อๆ ของเขา หากทว่าก็ดูดีมากนัก ใครพบเห็นก็คงหลงใหล

อยากสวดมนต์ภาวนา ผัวกูหลงกู รักใคร่กูหลงเพียงกู เพี้ยง !

“อยู่นิ่งๆ นะคะ” พี่นนท์สั่ง แล้วหยิบชำลีชุบกับน้ำยา ปลายนิ้วไล่แตะ พลางถามไถ่ “เช็ดตรงนี้ใช่ไหมคะ ?” เขาคาดเดา จี้จุดให้ผมรับรู้

“อืม” ผมตอบอิดออด หน้าร้อนผ่าว ไม่กล้าจะสบสายตาพี่เขาเลยสักนิด ปล่อยให้ความอ่อนโยนทะนุถนอมเช็ดตามรอยกาวและค่อยๆ ดึงวิกผมยาวเหยียดออกจากศีรษะ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นคลีนซิ่ง หยิบสำลีที่ชุบน้ำยาล้างเครื่องสำอางเช็ดไปตามเปลือกตาผมเบาๆ อย่างพิถีพิถัน ไล่ไปตามใบหน้าเรียวจนสำลีเปลืองไปสิบกว่าแผ่น เผยใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉม

“ขนาดหน้าสดยังน่ารักมากเลยนะคะ” พี่นนท์เอ่ยปากเยินยอ อมยิ้มนิดๆ จนเห็นลักยิ้มข้างมุมปาก ครู่ต่อมาก็ลุกขึ้นยืนหยิบวิกและเศษสำลีไปวางทิ้งข้างนอก ก่อนจะเดินกลับมาหาผมที่นอนแช่อยู่ในอ่าง

“หนูหันหลังสิคะ เดี๋ยวพี่สระผมให้ค่ะ” ท่าทีอ่อนโยนทำให้ผมใจสั่น ไม่กล้าจะขัดคำพูด ได้แต่ปิดปากเงียบเหมือนคนเป็นใบ้ รีบชันเข่าขึ้นมาและเอนตัวไปด้านข้าง พี่นนท์หยิบฝักบัวที่อยู่เหนือขอบอ่าง นำมาเปิดน้ำสาดใส่เส้นผมที่เคยชื้นเหงื่อ เปียกลู่จนหยดน้ำตกกระทบพื้น คนด้านหลังทำมันอย่างอ่อนโยน กดยาสระผมและสระให้อย่างเบามือ ทั้งนวดทั้งคลึงให้ผ่อนคลาย

“รู้สึกดีไหมคะ ?” เขาถาม

“อืม” ผมขานรับ หลุดเสียงร้อง “อาห์” อย่างเคลิบเคลิ้ม หลับตาลงพริ้มและนึกภาพตาม หากได้พี่นนท์เป็นสามีในอนาคต ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องพลอยนึกอิจฉา

โอ๊ย ดีใจจนตัวลอย แต่จำได้ว่าเคยลอยแล้วตอนโดนท่าลิงอุ้มแตง
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สาม [9/20/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 20-09-2019 21:05:34
ผมไม่คิดจะสนใจเสียงหัวเราะขำเหมือนมีความสุขจากคนข้างหลัง ปล่อยให้เขาทำหน้าที่เป็นสามีดีเด่น ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เราต้องมารับมีดรับปืนที่ทั้งจ้วงและยิง

สระผมจนเสร็จก็ราดผมด้วยน้ำเปล่า หลังจากนั้นก็ยังมาเสนอให้ผมอีก “ให้พี่ช่วยอาบน้ำให้ไหมคะ ?”

ผมเลิ่กลั่ก ไม่ทันจะหันหน้าไปตอบ กลับถูกฝ่ามือใหญ่ที่ส่งเสียงดังจ๋อมเข้ามาในอ่างอาบน้ำ เลื่อนต่ำไปกอบกุมบางส่วนจนขาของผมที่เคยชันขึ้นเผลออ้าออกกว้างอย่างลืมตัว

“ยะ อย่า” หลุดเสียงร้องครางหวิว ถูกปลุกปั่นด้วยฝ่ามือหยาบกร้านที่ผ่านการกรำอะไรมานักต่อนัก ถึงแม้ไม่ได้นุ่มแต่ก็ส่งผลให้คนโดนปลุกเร้ารู้สึกเสียวซ่านใช่ย่อย สิ่งที่เคยสลบไสลเลยตื่นตัว ผินหน้าไปด้านข้างจ้องตาพี่นนท์ก็เห็นเขาอ้าปากหอบหายใจเบาบาง แววตาสะท้อนใบหน้าของผม ไหวกระเพื่อมเหมือนสายน้ำ เปรียบเปรยให้เหมือนกับนิยาย เพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาใช้ดี

“อื้อ” เสียวอีกแล้ว วันนี้แตกไปแล้วยังต้องมาแตกอีกเหรอ อ๊อกทำใจไม่ได้ครับ เหมือนเราเป็นคนบาปฆ่าคนบริสุทธิ์นับล้าน ลูกหลานที่อาจเกิดมามีหน้าที่การงานที่ดี หนึ่งในนั้นกลับถูกปลิดชีพเพราะน้ำมือของมนุษย์ ช่างน่าสงสารที่แม่ของเราเองก็ดันคลอดลูกอย่างเราที่แสนโง่งม เอ๋อซะจนตอนนี้ทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์

กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง เหมือนมีอะไรที่ดึง…

“อะ อ๊า” ไม่ให้เราเลือกทางใด อยากจะร้องเพลงก็ดันถูกรูดรั้งขึ้นลง สาวไวสมดั่งคำเปรียบ ‘มือใครยาวสาวได้สาวเอา’

“พี่อยากเอาหนูอีกจังเลยค่ะ”

“อ๊า !” ไม่เอาแล้วค๊า พอเถอะผัวขา อยากยกมือขึ้นมาไหว้พนม ยกไม่ทันไรก็ต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปจิกกับขอบอ่าง เชิดหน้าจนเกือบจะหงายหลัง หน้าแดงตัวแดงอมชมพูไปหมด หอบหายใจระรัวเหมือนคนวิ่งมาหลายกิโลเมตร ไม่ได้พักสักทีจนอยากจะกินน้ำให้หายเหนื่อย ก็ดันได้น้ำส้มสายชูตอบแทนมา

“มะ ไม่ไหวแล้ว” ส่งเสียงท้วงให้รับทราบ และไม่รู้ว่าสีหน้าตนเองในตอนนี้เป็นแบบไหน แต่กลับทำพี่นนท์แววตาระยับ แอบเห็นไปถึงใบหูที่แดงก่ำ ไม่เกินเสี้ยววินาทีก็โน้มมาจูบปาก เย้าแหย่ปลายลิ้นให้ตอบสนอง

อยากจะกัดลิ้นให้ขาด แต่ไร้เรี่ยวแรงจะกระทำได้ ลำตัวอ่อนยวบไปกับปลายนิ้วอีกข้างของอีกฝ่ายที่เข้ามาเล่นกับหัวนมด้านซ้าย ขณะที่มือข้างขวาก็เริ่มเร่งจังหวะรุนแรงจนน้ำกระเพื่อมดังกระฉอก

ใต้ร่างมีแมวน้ำใช่ไหมฮะ หรือมีปลาตัวใหญ่กำลังว่ายวน

“สะ เสียว เสียว ฮือ ไม่ไหวแล้ว” จะแตกแล้ว ช่างหัวปลาที่โดนตกเบ็ด อีนี่ดันโดนเกี่ยวเบ็ดจากนักตกปลา “อ๊า” พอกันที !

“อืม น่ารักจังเลยค่ะ ชอบตอนหนูเสร็จแบบนี้ที่สุดเลย” คนตกปลาชมไม่ขาดปาก ส่วนปลาที่โดนตกกำลังหอบหายใจรวยริน น้ำในร่างจะไม่เหลือสักหยด ปากซีดจะปริแตก ร่างกายเริ่มต้องการน้ำ

ไหว้ล่ะ ขอน้ำเปล่า ไม่เอาน้ำอย่างอื่น

“ไม่เอาแล้ว น...เหนื่อย ไม่ไหวแล้ว” ผมส่ายหน้าเหน็ดเหนื่อย มองพี่นนท์ที่อมยิ้มข้างมุมปาก ควานมือไปหาจุกระบายน้ำทิ้ง หลังจากนั้นก็เอาฝักบัวมาราดน้ำใส่ตัวผม มือพี่แกกดสบู่ถูไปตามเรือนกายเนียนลื่น

“ผิวหนูเนียนจัง” โดนชมอีกแล้ว

“อย่านะ ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ” ผมเตือนสติอีกฝ่ายก่อน กลัวพี่แกแข็งขึ้นมาแล้วเราจะต้องตกเป็นเหยื่ออีก

“หึหึ รู้แล้วค่ะ พี่ไม่แกล้งหนูแล้ว มา ขอหอมแก้มทีนึง” พี่นนท์ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมดังฟอด ครู่ต่อมาก็อาบน้ำให้ผมราวกับเราเป็นเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จะปฏิเสธก็โดนพี่แกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ แต่เต็มไปด้วยคำบอกเล่าว่าไม่มีทางยินยอม เพราะยังไงเสียเขาก็จะอาบน้ำให้ผมให้จงได้ ฝ่ามือใหญ่ล้วงลึกไปถึงจุดอับที่ไร้รูขุมขน แทรกแซงกับปลายนิ้วชี้ที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ ล้างจุดร่องหลืบที่เคยถูกรุกราน เสียดสีเบาๆ ให้คนโดนเสียววาบ เอียงหน้าซบลงข้างลาดไหล่ไปพลาง โดนอาบน้ำให้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่จุดไหนที่ต้องผ่านจุดเร้า แม้แต่หน้าอกก็มักจะโดนนวดเฟ้น หัวนมถูกสะกิดเรียกเสียงครวญคราง  สะโพกก็ถูกบีบไปมา ร่องก้นก็โดนเสียดสี ถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งมากกว่าการอาบน้ำสิ้นดี จบท้ายด้วยการล้างหน้าให้ผมจนสะอาดหมดจด

อยากจะเปลี่ยนจากคำว่าผัวเป็นคำว่าพ่อ ดูแลดีขนาดนี้ หากได้เป็นแฟนก็คงดี แต่ถ้าหื่นแบบนี้ ขืนมีมดลูกต้องท้องแน่ๆ

“จุ๊บ” สัมผัสที่แผ่นหลังดังขึ้น เป็นจูบที่พี่นนท์มอบให้ มิวายกระซิบข้างกกหู “หนูรู้ไหมคะ ?”

รู้อะไรอีกคะ ? โอ้ เหนื่อยแล้วค่ะคุณหฤษฎิ์ พอเถอะ อยากเรียกพระมาสวดขับไล่ผีช่างเงี่ยน

“หนูทำพี่หลงมากๆ เลยค่ะ”

ฮือออ เขิน ก็ด๊ะ อันนี้พออนุโลม


ฟู่ ~ เสียงไดร์เป่าผมดังภายในห้อง ร่างถูกอุ้มย้ายขึ้นมายังชั้นสองภายในบ้านเป็นที่เรียบร้อย ณ ห้องนอนส่วนตัวตรงหน้าโต๊ะกระจกเครื่องแป้ง เผยให้เห็นพี่นนท์ที่ยืนเป่าผมให้อยู่ด้านหลัง ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่าเรียกเลือดกำเดาไหลถึงแม้ท่อนล่างจะพันด้วยผ้าขนหนูแล้วก็ตามที

“เสร็จแล้วค่ะ” พี่นนท์ปิดไดร์ลง ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจที่ผู้ชายจะมีของพรรค์นี้ แต่ก็แค่แปลกใจมากกว่าที่เขาทำดีกับเรามากมายขนาดนี้ได้ ทั้งทะนุถนอมและเอ็นดู เสมือนได้รับความรักจากคนเป็นแฟน

‘พี่นนท์ชอบหนูอ๊อกจริงๆ นะคะ’ คำพูดก่อนหน้านี้ดังขึ้นมาในโสตประสาท ไอ้เราก็รีบเอามืออุดปาก กลั้นเสียงกรีดร้องด้วยความดีใจ

“ปิดปากทำไมคะ คลื่นไส้เหรอ ?” พี่นนท์จ้องหน้าผมผ่านบานกระจก ฝ่ามือบีบลงที่ลาดไหล่เบาๆ สีหน้าพลอยไม่สู้ดีเพราะเป็นห่วงเป็นใยอีกตามเคย “หรือหนูแพ้ท้องลูกของเราคะ”

“พี่นนท์ !” ผมถึงกับลดมือลงและตะโกนลั่นห้อง ใบหน้าแดงจัดกับคำที่ได้ยิน

“ฮ่าๆ แหย่เล่นค่ะ ก็เห็นหนูปิดปากดูเขินพี่ตลอดเวลาเลย ถ้าอยากแพ้ท้องจริงๆ ไว้วันหลังพี่หลั่งในในตัวหนูดีไหมคะ ?” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม

ไรขนอ่อนของผมขนลุกวาบในทันใด นึกว่าตัวเองอยู่ในนิยายหมวด ‘Mpreg’ ที่ผู้ชายตั้งท้องได้ ทว่าพี่นนท์ก็แค่แกล้งเราเสมือนหยอกเย้าหญิงสาวคนหนึ่งก็เท่านั้น ช่างน่าอายที่ใช้มุกสัปดนอย่างไม่เขิน ผมเลยเริ่มไม่มั่นใจว่าพี่นนท์เป็นผู้ชายประเภทไหนกันแน่ เดี๋ยวก็อบอุ่น เดี๋ยวก็น่ากลัวชวนไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนนี้ยังเป็นหนุ่มขี้เล่นหื่นกามอีกต่างหาก ชักจะตามอารมณ์ไม่ค่อยทัน

“ผมไม่ใช่ผู้หญิง”

“เป็นไม่เป็น ก็ถือว่าเป็นของของพี่อยู่ดีค่ะ” อีกฝ่ายสวมกอดร่างของผมเอาไว้ ซุกใบหน้าอยู่ข้างบ่าเล็ก ปลายจมูกโด่งรั้นคลอเคลียอยู่ใกล้เรียวคอระหง พลางสูมดมกลิ่นกายหอมฟุ้งที่เพิ่งอาบน้ำมาหมาดๆ

“ผมไม่ใช่สิ่งของ” ผมแย้ง

“งั้นหนูอยากเป็นไรดีคะ ?” ปลายนิ้วชี้ดันปลายคางให้หันหน้ามาทางเขา อีกฝ่ายยังคงยิ้มหยอกล้อ รอรับฟังคำบางคำ ดูก็รู้ว่าอยากให้ตอบเอาใจตน

ผมไม่ยินดีที่จะทำตาม “อยากเป็นกะหรี่ไง” เลยเอ่ยปากกลับไป เรียกใบหน้าถมึงตึงไม่พอใจตอบกลับมา

พี่นนท์ผละใบหน้าออกห่าง คิ้วขมวดแทบจะผูกเป็นโบว์ห่อของขวัญกันได้ ไม่รู้หัวคิ้วจะชนชิดกันไปไหน แววตาดุมากแม่ จ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ เกิดไม่รีบแก้ต่างต้องถูกทำร้ายร่างกายอย่างแน่นอน

ฉากจำเลยรักจะมาใช่ไหมครับ ? ลังเลมากแม่ ถามว่าอยากลองไหม อืม ก็อยากอยู่ แต่เพื่อชีวิตคงต้องงดไว้ก่อน ถ้าโดนจัดหนักวันนี้อีกคงช้ำเลือดตายกันพอดี พ่อคนดีก็ดูพร้อมจะกลืนกินตั้งแต่หัวจรดหาง ทำให้อยากร้องเพลงการละเล่นพ่องูเอ๋ย

“ก็เพราะตอนเด็กชอบเล่นขายของ” ผมก้มๆ มองๆ อยากจะสบตาก็เห็นแววตาเขียวปั๊ดไม่สบอารมณ์ ใจแม่งหายแวบทำให้ไม่กล้าสู้หน้า ประสานมือจิกเล็บเล่นกันไปมา

“มันเกี่ยวไรกับตอนเด็กชอบเล่นขายของคะ หืม ? พี่ว่าหนูเลิกยั่วโมโหพี่ดีกว่าค่ะ” พี่นนท์เอ็ดใหญ่ เสียงดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนตัวผมไม่มั่นใจกับสิ่งที่จะพูดนับต่อจากนี้

ฮือ ลองเล่นมุกดูก่อนได้ไหม คุณพี่โปรดใจเย็นลงก่อนเถิด

“ก็เพราะตอนเด็กชอบเล่นขายของนี่แหละ” ผมลองใจกล้าฮึกเหิม จ้องประจันหน้ากับชายฉกรรจ์ที่พร้อมจะฉุนเฉียว “โตมาก็เลยยิ่งชอบ” ส่งน้ำเสียงยั่วยวนเหมือนเด็กร่านสวาท

แฟนก็ยังไม่ทันเป็น หึงหวงออกนอกหน้าแบบนี้ได้ยังไงกัน

ทำท่าทีเขินอายเหมือนคนยังไม่ทันโดนพรากพรหมจรรย์ พวงแก้มแดงระเรื่อ ส่งน้ำเสียงหวานล้ำเท่าที่จะทำได้ ยกปลายนิ้วชี้ไปที่อีกฝ่าย “ให้พี่เป็นคนซื้อ” ก่อนที่จะสลับชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “ส่วนหนูเป็นคนขาย” แทนคำสรรพนามที่คริสตี้เห็นคงจับทึ้งมาลากตบปากว่าอีกะหรี่ !

การค้าขายประเวณีแลกผลพลอยได้ ลอบขบเม้มริมฝีปากล่างอย่างเอียงอาย ชักจะเขินขึ้นมาดื้อๆ ขณะพูดอีกหนึ่งประโยค

“พี่ซื้อหนูขาย ขายขาดให้พี่คนเดียวไง”

อุบ๊ะ อ่อยมากเวอร์ มุกจีบนี้ใครคิดครับแม่ ? อีอ๊อกนี่ไง จดค่าลิขสิทธิ์ ณ บัดนาว

พอมองพี่นนท์ชัดๆ แววตาพี่แกนิ่งงันไปชั่วขณะ คิ้วที่เคยขมวดค่อยๆ คลายลงทีละนิด เปิดเผยใบหน้าที่เริ่มแดงระเรื่อ เว้นใบหูที่แดงจัดทวีคูณตั้งแต่แรก ฉายชัดถึงความรู้สึกในจิตใจ

ตอนเด็กชอบเล่นขายของ โตมาก็ชอบเล่นขายของ บางทีก็ได้พัน ขยันรับลูกค้าหน่อยก็ห้าหมื่นหกหมื่น

“หนูรู้ไหมคะ ว่าพูดอะไรออกมา”

อะ เอ๊ะ ? แม่ฮะ ทำไมพี่เขามีน้ำเสียงแปลกๆ มันดูแหบพร่าพิกลๆ ยื่นมือกะจะหยิบขวดน้ำเปล่ารินให้เขาดื่ม เผื่อเกิดอาการคอแห้ง ข้อมือกลับถูกกักเอาไว้แทน ทำเอาคนโดนสะดุ้งโหยง ใบหน้าที่หันเหความสนใจไปทางอื่นเลยต้องหันกลับมามอง ร่างทั้งร่างถูกช้อนตัวขึ้นจนตัวลอย มือเท้าจิกเกร็งอย่างหวาดผวา สักพักแผ่นหลังก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นบนเตียงนอน

ร่างของพี่นนท์ขึ้นคร่อมทาบทับ ฝ่ามือยันอยู่ข้างลาดไหล่ ริมฝีปากของเขาคล้ายจะขยับ

ปากของผมดันไวกว่า “ไม่เอา เจ็บ ไม่ไหวแล้ว ทำอีกตายแน่ๆ” น้ำในร่างก็ไม่มีให้ขับออกมาแล้ว ช่องทางด้านหลังก็ปวดระบมชอกช้ำเต็มไปหมด กระหน่ำซะจนช่องทางฉีกขาด เลือดไหลด้วย ผมเห็นที่พื้นตอนเรามีอะไรกัน มันมีหยดเลือดแต่งแต้มที่พื้นบริเวณบางจุด

ถูกพรากพรหมจรรย์ ไร้สิ้นความบริสุทธิ์ แบบนี้ต้องเรียกร้องขอความรับผิดชอบ พรุ่งนี้เช้าคงเดินอ้าขาผิดปกติ “เอาไว้วันหลังได้ไหม” รีบยื่นข้อเสนอโดยไว ตอนนี้เหนื่อยล้าจนอยากนอนจะเต็มกลืน

“งั้นพรุ่งนี้แทน” พี่นนท์แสยะยิ้มร้าย ปลายนิ้วมือเคลื่อนมาสัมผัสที่แก้มนุ่ม ไม่วายหยิกแก้มลงเบาๆ

“พรุ่งนี้เช้าจะเสิรฟ์นมให้ทานรองท้องก่อนมื้อเช้าเลยคอยดู”

ว้าว อบอุ่นมากฮะพ่อ น่ารักโคตรๆ ดื่มนมเขาว่าโตไวๆ อ๊อกอยากได้นมอุ่นๆ ใส่น้ำผึ้งหวานๆ

แต่นมพี่คงต้องขุ่นแน่ๆ เลย ฉะนั้นอ๊อกขอส่ายหน้าปัดแล้งน้ำใจ

“ไม่เอานม”

“งั้นหนูจะเอาไรคะ ?”

“อยากเอาข้าวต้ม กับยาบรรเทาแก้ปวด” ผมชี้แจง หวังให้หลุดพ้นความคิดหยาบโลนที่พี่เขายื่นให้

“ไม่ได้ ทานอาหารรองท้องก่อนสิ” พี่นนท์ไม่ยอมแพ้ ไอ้เราก็แปลกใจมาก ข้าวต้มถือว่าเป็นอาหารมื้อเช้าที่ดี ทำไมพี่ยังจะยัดเยียดให้ทานอยากอื่นเพิ่มเติม

“เอากล้วยไหมคะ กล้วยมีประโยชน์สรรพคุณเยอะมากเลยนะคะ”

ยัดเยียดเก่งมากค่ะ ! กล้วยไหนไม่ทราบ กล้วยน้ำว้าเหรอ ? ที่เห็นผ่านตามาก่อนหน้านี้ แม่งคือกล้วยงาช้างชัดๆ !

“ไม่ชอบกินกล้วย” ผมยังคงปฏิเสธข้อเสนอ หน้าก็พลอยเจื่อน

กลัวมากครับ กลัวได้กินกล้วยเสิร์ฟพร้อมกับนมอุ่นๆ

“ไหวตัวเก่งจังเลยนะคะ” พี่นนท์หลุดขำ ส่ายหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ล้มตัวลงนอนข้างๆ ผม เรียวแขนแกร่งพาดอยู่ที่ขอบเอว

ไอ้เราก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอก พลันสะดุดกึกกับฝ่ามือที่บีบขย้ำตรงบั้นท้าย

ตอนนี้เสื้อที่สวมใส่อยู่เป็นเสื้อยืดสีดำตัวโคร่งของอีกฝ่าย กางเกงนี่มีแค่ชั้นในตัวเดียวเท่านั้น บ็อกเซอร์ของพี่นนท์ใหญ่เกินจนผมสวมใส่ไม่ได้ วินาทีนี้ก้นของผมจึงโดนบีบนวดเต็มๆ ไม้ เต็มๆ มือ

“ชอบก้นหนูจังเลยค่ะ ใหญ่จนล้นทะลักคามือเลย นิ่มก็นิ่ม เนียนก็เนียน” พี่นนท์มองผมที่หันมาทางเขา ริมฝีปากมีกลิ่นมิ้นท์ยาสีฟัน ดมแล้วชวนสดชื่น แต่ผมกลัวว่าตัวเองจะปากเหม็น เลยเอามือยกขึ้นมาปิดปากขณะเอ่ย

“นอนเถอะ”

“หนูก็นอนสิคะ” พี่นนท์ใช้มือขวาบีบก้นของผมหนักกว่าเดิม เริ่มลูบไล้ไปมาอย่างหยอกเย้า สักพักก็ตีสะโพกผมแรงๆ หนึ่งที เสียงดังเพียะ ! จึงตามมา

“จะ เจ็บ” ผมนิ่วหน้าโอดครวญ แม้ไม่ได้แรงมากจนชอกช้ำ แต่ก็ทำให้รู้สึกคันระคายตรงจุดที่โดนกระทำเป็นพิเศษ

“มันเขี้ยวอะ พี่ขอโทษนะคะ” พี่นนท์ใช้น้ำเสียงอ่อน แววตาดูคึกสนุก ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะโน้มหน้ามาทิศทางที่ไม่ควรก้มลงมา เคลื่อนเข้ามาตรงจุดต่ำของร่างกายผม ริมฝีปากเขากล่าวสัพยอก “มาๆ เดี๋ยวเช็กอาการให้ค่ะ พี่มียาดี”

“ยะ อย่า” ผมดีดตัวลุกขึ้นมานั่งบ้าง จับจ้องพี่นนท์ที่เลิกเสื้อขึ้นสูง เผยให้เห็นชั้นในตัวเก่าของผม กับแก้มก้นที่ขึ้นรอยแดงจางๆ เป็นรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาพลันก้มจูบที่บั้นท้ายขาวตรงตำแหน่งที่มีรอยแดง ความอบอุ่นทาบทับแนบหนักฝังลึกจนหลงลืมความระคายเคืองก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น

ผมไม่รู้ว่ายาที่ว่ามันใช้ได้ผลจริงไหม แต่สิ่งที่พี่นนท์ทำอยู่นี้ มากพอที่จะทำให้หัวใจผมสั่นไหว และรู้สึกดีกับสัมผัสอ่อนโยนที่โดนมอบให้ ถึงแม้มันจะคล้ายตบหัวและลูบหลัง กระนั้นก็ยังทำให้รู้สึกตาพร่าชวนยินดี

“เป็นไง ยาพี่ดีไหมคะ ?” พี่นนท์ผงกหัวขึ้นมาจ้องหน้า ฉีกยิ้มกว้างกระตือรือร้น “จะดีกว่านี้ถ้าให้หมอใช้เข็มฉีดยา”

ตัวผมแข็งทื่อ ลมหายใจสะดุด รู้ว่าเข็มของหมอมันไม่ใช่ดั่งที่ว่า น่าจะเป็นของใช้ส่วนตัวจากพี่แกนั่นแหละ

“หนูตัวสั่นอีกแล้ว สั่นแบบนี้คือกลัวหรือสั่นสู้คะ” พี่นนท์หยอกล้อ เห็นผมเม้มปากแน่น พี่แกก็เลยยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา ทำท่ายอมแพ้ “โอเคๆ พี่ไม่แกล้งหนูแล้วค่ะ”

คำพูดของพระเอกตามเคย ผมเบี่ยงความสนใจไปทางอื่น ชี้นิ้วไปที่ผ้านวมด้านหลังของพี่นนท์

“อยากได้ผ้าห่ม ผมหนาว” พร้อมแสร้งทำเป็นหดคอลง ตัวสั่นเล็กน้อยกับไอเย็นของแอร์ พี่นนท์เลยยืดแขนไปหยิบ สะบัดผ้านวมสีขาวออกและทิ้งตัวลงนอนด้านข้าง พร้อมกับจับผ้ามาคลุมปกปิดร่างกายผม มอบไออุ่นกลบความหนาว

“ให้ปิดไฟด้วยไหมคะ” คนข้างกายเอ่ยถาม

“อืม” ผมขานรับโดยไม่หันไปมองหน้าเขา กระทั่งฟูกเตียงมีการเคลื่อนไหว แรงน้ำหนักจางหาย ผมเลยผินตาไปทางอีกฝ่าย เห็นเขาเดินไปที่มุมผนังห้องก่อนจะกดปิดไฟ ทัศนียภาพกลายเป็นดำมืด มองอะไรไม่ค่อยจะเห็น

ลมหายใจของผมเผลอกลั้นทันทีที่ฟูกเตียงมีน้ำหนักกดทับลงมา ทั้งลุ้นทั้งกลัวว่าจะเจอบทพิศวาสอะไรอีกไหม เจอในหนังและนิยายบ่อยมาก อยู่สองต่อสอง ปิดไฟปุ๊บ ฉากเยตามเคย

“หนาวไหมคะ ?” เสียงทุ้มขรึมขัดแย้งบรรยากาศที่เงียบงันไปชั่วขณะ

“นิดหน่อย” ผมตอบกลับ

“ให้หรี่แอร์ไหมคะ ?”

“ไม่เป็นไร”

“...”

“...”

“กลัวพี่ไหมคะ”

“ไม่” ไม่น่าถาม

“งั้นพี่ขอกอดได้ไหมคะ ?”

“...”

“...”

“อืม” ผมตอบเสียงแผ่ว ดังพอที่คนข้างกายจะได้ยิน ไม่รู้ว่าพี่นนท์จะมีสีหน้าแบบไหน ก่อนที่ร่างของผมจะถูกรวบเข้าไปกอดแนบชิด สัมผัสได้ถึงเรือนร่างแข็งแกร่งกับเรียวแขนที่พาดลำตัวเอาไว้แน่น มันทั้งอบอุ่นและคุ้มครองภัยอันตราย ลมหายใจของเขาเป่ารดใกล้เคียงลำคอ

ผมไม่ได้สัมผัสอ้อมกอดมาเนิ่นนานแล้ว หลังจากตอนเป็นเด็กก็ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้อีกเลย เหมือนเราโตมากขึ้น วิธีการแสดงออกรูปแบบความรักก็แตกต่าง

ผมรีบปราม “กอดอย่างเดียว ห้ามทำอย่างอื่น”

“ตกลงค่ะ” พี่นนท์รีบขานรับ “แค่นั้นก็มากพอ” เขาฝังจมูกลงกับลาดไหล่ของผมทันที ไม่ได้สูดดมกลิ่นกายเหมือนคนหื่นกระหาย

ราวกับเป็นเด็กคนหนึ่งที่อยากได้ไออุ่นจากคนที่รัก

“พอกอดหนูแล้วรู้สึกดีจังเลยค่ะ”

ผมนอนรับฟังคำนั้นนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร พลันหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา

ก่อนนอนยังไม่วายเว้น สวดมนต์อธิษฐานอย่างที่เคยทำเป็นประจำ หวังให้พระเจ้าคุ้มครองพ่อแม่และคนที่ตัวเองรัก หวังให้สุขภาพแข็งแรงอย่าได้เจ็บไข้ได้ป่วย และให้พวกท่านอยู่กับเราไปนานๆ

ขอให้เจอะเจอแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต เงินทองไหลมาเทมา ประสบความสำเร็จในชีวิต

ขอให้พบเจอแต่ความสุข

รวมไปถึงคนข้างๆ เช่นเดียวกัน

หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-09-2019 21:55:33
 :-[  อุต้ะ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 20-09-2019 22:04:14
ตายๆ :z3: อกแตกแล้วจ้าแม่หลงเมียอะไรเบอร์นั้นพ่อคู๊ณแต่แทงแรงรัวยับขนาดนี้ออกคริพร้อมโจมตีไวมาด้วยใช่ไหมคะคุณนนท์ขา  :hao7:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สอง [9/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Nilaya ที่ 02-10-2019 21:32:59
รออ่านมาเนินนานนน :katai3:รักรอค่ะ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สี่ [10/10/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 10-10-2019 20:23:09
ตอนที่สี่


ผมกำลังนอนอยู่ แต่จู่ๆ ก็เหมือนมีอะไรเลื้อยเข้ามาที่โคนขา เสียงดังซู่ทำให้เปลือกตาที่เคยปิดสนิทต้องลืมตา ร่างพลันแข็งทื่อกับสิ่งที่เห็น ปากอ้าตาค้างกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังรัดรอบลำตัว ทั้งมือทั้งเท้าไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ตามใจนึก สิ่งที่น่ากลัวในชีวิตนอกจากจำพวกตุ๊กแกก็คงไม่พ้นเจ้างูขนาดใหญ่ บัดนี้หัวมันเลื่อมสีดำเปล่งประกายสีรุ้งเพราะแสงแดดที่อาบไล้ไปตามลำตัว เจ้างูเข้ามาคลอเคลียที่พวงแก้ม ลำตัวของมันเสียดสีที่ท่อนขาของผม ชนเข้ากับกลางลำตัวอย่างจัง และไม่รู้เหตุใดกลับทำให้ผมหลุดร้องครางหวิวออกมาได้ ครั้นดูอีกทีกลับพบว่าร่างของตัวเองนั้นเปล่าเปลือย

เริ่มหายใจไม่ค่อยจะออก ตัวก็สั่นเทา คิดไปคิดมาหรือนี่คือความฝัน พอนึกขึ้นได้ก็พยายามจินตนาการให้ตัวเองดีดดิ้นและขัดขืน ฉับพลันเรียวแขนที่เคยถูกบีบรัดก็คล้ายมีพละกำลังมหาศาล ยื่นมือเข้าไปบีบคองูในทันที

อีหอยหลอด กล้าดียังไงมารัดตัวกูกัน บีบคอแม่งให้ตายคามือเลยอีฉิบหาย ! ไม่ช้านานปากของมันก็อ้าออกกว้าง ตัวที่เคยรัดรอบกะจะบีบให้ตัวผมกระดูกแหลก ยามนี้คลายพันธนาการออก ปากของผมยกยิ้มขึ้นอย่างภาคภูมิใจ บุญหรือบาปก็ช่างหัวแม่ง เสือกมารัดรอบจะแดกหัวกูก่อนเองช่วยไม่ได้ ไม่ทันไรก็ชะงักงันอีกครั้ง มีเสียงดังซู่ดังมาจากด้านหลัง ใบหน้าจึงค่อยๆ หันไปมองอย่างเชื่องช้า เม็ดเหงื่อพาลหลามไหล

อีเหี้ยเจองูอีกตัว !

สิ่งนั้นพุ่งเข้าหา รัดรอบเหมือนงูก่อนหน้านี้ แต่ที่หน้าแปลกใจคือส่วนหัวของงูกำลังเลื่อนลงต่ำ อ้าปากครอบครองลงที่กลางลำตัว ช่างเป็นฝันพิสดารเสียจนอยากไปแต่งเป็นแนวแฟนตาซี

อื้อ แย่แล้วแม่ อีงูจะฉกหรรม ไฉนถึงได้ผงกหัวขึ้นลงมอบความเสียวซ่าน กลับรีดพิษงูจากตัวเราแทน

สติพลันขาวโพลน “อะ อาห์” หลุดร้องและเสียดสีเรียวขาไปมาอย่างลืมตัว เริ่มมึนงงกับภาพเบื้องหน้าที่มืดบอด สัมผัสชื้นแฉะคล้ายมีน้ำปริ่มไหลจากเบื้องล่าง

ผมค่อยๆ ปรือตามองอย่างเชื่องช้า ครั้งนี้รู้ตัวว่าไม่ใช่ฝันแต่อย่างใด ภาพเพดานมันเด่นชัด แสงจากม่านหน้าต่างทางซ้ายมือก็เล็ดลอดมาด้านข้าง มอบความสว่างไสวทำให้เห็นเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องเลือนราง มือของผมตอนนี้จิกเกร็งกับผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ไปหมด ใบหน้าก็เหยเก ลำตัวก็บิดเร่าสั่นสะท้าน ก้มหน้าลงต่ำก็เห็นศีรษะของใครคนหนึ่งกำลังจูบซับที่หน้าท้องน้อย ฝ่ามือข้างหนึ่งกำลังรูดรั้งน้องกระเปาะที่แสนน่ารักน่าชัง ตอนนี้มันเปียกหยาดน้ำลายจนรู้สึกได้

พี่นนท์คงไม่เห็นว่าผมตื่นนอนแล้ว ริมฝีปากของเขาเลยเลื่อนลงต่ำ มอบความอุ่นร้อนที่กลางลำตัวผ่านโพรงปากที่แสนอุ่นจัด

“อึก อื้อออ !” ตื่นมาก็โดนอีกหน ร่ำร้องอีกครั้งเหมือนคนร่ำไห้ ขืนเป็นนิยายไม่รู้ว่าต้องตัดฉากเอ็นซีอีกสักกี่เที่ยว กริ่งเกรงว่าคนอ่านอาจจะเบื่อหน่าย ทว่าชีวิตจริงยามนี้กลับมีคนที่แสนหื่นกามมอบอิริยาบถยิ่งกว่าฝันหวาน

เป็นงงมากครับ เคยแค่ฝันเปียกและตื่นมามีน้ำเปรอะเปื้อนตรงเป้ากางเกง แต่ไม่เคยตื่นมาและเจอะเจอกับคนทำให้ตั้งแต่ตื่นนอน รู้สึกดีเกินจนต้องยกมือไปจิกทึ้งเส้นผมดำขลับ

อูยยยย เสียวจ้า

“อ๊า” ปรอยตาหวานฉ่ำเหมือนมดแดงพร้อมจะรุมแดกให้เป็นโรคเบาหวาน เห็นเรียวตาสีนิลของพี่นนท์ที่กวาดมองไปทั่วใบหน้า อีกฝ่ายไม่หยุดการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น กลับเร่งจังหวะรัวแรงเรียกเสียงครางดังระงม

ใช้ปากเก่งมากฮะ ไปฝึกฝนมาที่ไหนกัน “อื้อ !” ครางอีกแล้ว “ยะ อย่า” ปากก็ร้องห้ามไปพลาง ประหนึ่งเป็นนายเอกดัดจริตที่การกระทำและความต้องการขัดแย้งกับขั้วหัวใจ

จ๊วบ ! เสียงดูดดุนที่ปลายหัว เล่นเอาผมแอ่นตัวลอยพร้อมจะปลดปล่อย ตอนนี้ปากของพี่นนท์ไม่ได้แตะต้องอีกต่อไปแล้ว เปลี่ยนเป็นฝ่ามือที่ชักรูดขึ้นลงแทน หรือศัพท์ทั่วๆ ไปที่ไม่ได้ใช้กับนวนิยาย สิ่งนั้นนั่นก็คือการ ‘ชักว่าว’ นั่นแหละ

“อาห์” ไม่รู้ว่าว่าวแบบไหนนะครับ แล้วแต่ดุลพินิจ แต่ดูท่าน่าจะเป็นว่าวที่ลอยไปกระทบกับก้อนเมฆ โบกสะบัดไปกับสายลมที่พัดผ่าน เด็กที่มีพ่อแม่ชวนเล่นว่าวคอยถือเชือกสีขาวให้ จู่ๆ มือไม้ก็พลันอ่อนปวกเปียก เชือกที่เคยยึดมั่นเลยปลดปล่อย นำพาให้สิ่งที่ไร้น้ำหนักลอยเอื่อยไปกับสายลม หรืออาจจะเป็นลูกโป่งแก๊สที่บรรจุอยู่ ถูกแรงดันบีบอากาศจนเกิดเสียงแตกดังโพละ !

ผละ ๆ ! เกิดการแตกหัก กลางลำตัวปลดปล่อยน้ำขุ่นจาง พุ่งเลอะเสื้อผ้าบริเวณอก คนเล่นว่าวหาได้ยี่หระใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่ปล่อยน้ำเต็มมือตน ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มดีอกดีใจออกนอกหน้า คลานเข้ามาปีนไต่บนเตียงนอน ทาบทับร่างกายผมที่นอนหอบระทวย

เมื่อวานก็หอบไปที ตื่นเช้ามาก็ยังหอบอีก อัตราการเต้นหัวใจไม่ตรงจังหวะ ใจมันเต้นมันเต้นเป็นจังหวะรัก เพลงบี้เดอะสตาร์ลอยมาเลย...

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ยิ้มเรี่ยราดเหมือนหมาฉี่แตก พี่นนท์มองใบหน้าของผม ใช้แววตาชักชวนให้หลงใหลและรีบโน้มหน้ามาจูบดังจุ๊บแรงๆ ทีหนึ่ง เอ่ยปากถามไถ่ “รู้สึกดีไหมคะ ?”

ผมลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะขานรับในลำคอ “อึก ! อืม” ความงัวเงียหายไปจนหมดสิ้น เสมือนแดกกาแฟแก้วหนึ่งแล้วตาเบิกโพลงพร้อมที่จะฝ่าฟันกับเช้าอันสดใส ร่างกายก็โล่งปลอดโปร่งคลายความเมื่อยล้า กลับค้นพบสิ่งบางอย่างที่ทิ่มแทงบริเวณแถวหน้าท้องน้อย

กล่าวกันว่ากระปู๋ผู้ชายชอบตื่นตัวตอนตื่นนอน เป็นการกระตุ้นหรือการบ่งบอกถึงการอยากขับของเสีย

เสียจริง เสียซะจนอยากเติมวอแหวนเข้าไปอีกตัว กลายเป็น ‘เสียว’

“หิวไหมคะ วันนี้พี่ทำข้าวต้มให้เราทานด้วยนะ” ปากบอกขณะที่ปลายนิ้วเรียวยาวที่ไม่ใช่แม่นาคพระโขนงยื่นมาลูบไล้ที่แก้มนิ่ม นึกเอ็นดูซะจนคนใต้ร่างไม่ไหวจะดูเอ็น

จดจำได้อย่างแม่นยำว่าเมื่อคืนนี้อีกฝ่ายตั้งปณิธานเอาไว้ว่าอย่างไร

กล้วยกับนม…

ฮือออ พร้อมเสริฟ์แล้วสินะครับ อีอ๊อกคนนี้พยายามทำหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว อยากจะขยับปากพูดแต่ยังไม่ทันได้แปรงฟัน แตกต่างจากพี่นนท์ที่คงอาบน้ำอาบท่ามาเรียบร้อย อยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำ บริเวณส่วนเว้าของแขนเสื้อยาวมาถึงช่วงเอวสอบ ทำให้เห็นผิวเนียนและกล้ามเนื้อจากด้านข้างรำไร ผมเลยจับคอเสื้อของตนเองขึ้นมาปิดปลายจมูก ส่งเสียงอู้อี้งัวเงียใต้เสื้อผ้า แตกต่างจากนิยายที่ตื่นมาคุยกันโดยไม่เหม็นขี้ฟัน

“ขอบคุณครับ” ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเช้าด้วย

“งั้นเดี๋ยวไว้ค่อยไปทานด้วยกันนะคะ”

“...” เผลอเงียบในบันดล ฟังแค่นี้ก็รู้เลยว่าจะได้แดกอะไรตั้งแต่ตื่น

พี่นนท์ขยับร่างกายเล็กน้อย ลำตัวเคลื่อนลงจนใบหน้าคมสันที่โน้มเข้ามาเฉียดปลายจมูกโด่งรั้น คนเบื้องบนจูบปากผ่านเสื้อผ้าที่ถูกคั่นกลาง ส่งน้ำเสียงกระเส่าชวนใจแตกพลางออดอ้อน “ช่วยพี่หน่อยได้ไหมคะ ?”

“...”

“นะคะ ตอนนี้อยากมากเลยค่ะ” เขาอ้อนพร้อมทำหน้าเศร้าเหมือนแมวน้อยที่ชอบออเซาะ เกิดน้ำหล่อเลี้ยงที่ดวงตาวาววับ เพิ่มพูนให้คนมองต้องเห็นอกเห็นใจ

เห็นใจกูนี่อีดอก ! เจ็บจนไม่ไหวจะลุกแล้ว !

“เจ็บก้นอยู่” ผมพูดออกไปอย่างไม่อิดออด หวังให้เขาเข้าใจเรา

พี่นนท์ริมฝีปากเผยอ หรี่ตามองที่ล้วนเต็มไปด้วยเสน่หา น้ำเสียงก็แผ่วเบา เซ็กซี่เหมือนอุปป้าเกาหลีมากระซิบข้างกกหู “ใช้ปากแทนก็ได้ค่ะ”

ทว่าไม่เพียงพอเท่านั้นยังใช้ปลายนิ้วชี้เกี่ยวคอเสื้อของผมที่ปิดปากอยู่เลื่อนลงต่ำ เผยใบหน้าเรียวที่ขบเม้มริมฝีปากล่างแน่น

เอ็นซีจะมาอีกแล้วใช่ไหมแม่ ขี้ตาก็ไม่ทันล้าง กี่ท่วงท่าที่เราต้องรับชมในวันนี้ กะจะกลับบ้านไปแต่งนิยายหลังผ่านพ้นการค้าประเวณี คิดไปคิดมาน่าจะไปตรวจเลือดแทนดีกว่า

พี่นนท์ยังคงใช้น้ำเสียงออดอ้อน ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่ได้ยินก็ต้องใจสั่น

“นะคะ” เริ่มชักอยากจะเป็นลม ดาเมจอะไรจะรุนแรงขนาดนี้วะ แถมทำคิ้วขมวดเหมือนเด็กหงอยขัดแย้งกับใบหน้าดุดัน

ผมอิดออดอยู่นานมาตกม้าตายก็ตอนดาเมจที่สาม

“นะคะหนู” หนูตัวใหญ่มากค่ะ ย้ำน้ำเสียงกระเซ้าเล่นเอาคนฟังอยากร้องฮือเหมือนเด็กน่ารำคาญ รีบกัดปากแน่น ผงกหัวยินยอมที่จะทำให้คนตรงหน้า อีกฝ่ายฉายแววตาเป็นประกาย ฉีกยิ้มกว้างมีความสุขเหลือหลาย “พี่ว่าแล้ว...หนูต้องใจดี”

ดีค่ะ ดีออก อ้อนหนักขนาดนี้ อีอ๊อกปฏิเสธได้มั้งพ่อ ยัดเยียดเก่งมาก สรรหาเวลาอยากยัดคว-เข้ามาในปาก หื่นจัดอะไรขนาดนั้นครับ ตื่นมาใช้ชีวิตกับการแดกยาปลุกเซ็กส์หรือไงกัน

แววตาสั่นระริก มองพี่นนท์ที่พลิกตำแหน่ง หัวเข่าทั้งสองข้างที่เคยวางอยู่ใกล้ลำตัวของผม วินาทีนี้เปลี่ยนเป็นกระเถิบขึ้นไปพิงพนักเหนือหัวเหล็กเตียง กึ่งนั่งกึ่งนอนโดยมีหมอนรองหลัง เอียงใบหน้ามองผมที่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่บนที่นอน พลางกำไม้กำมือแน่นและหลุบสายตาลงต่ำ พินิจตรงกางเกงวอร์มสีเทาของชายหนุ่ม มีสิ่งบางอย่างตื่นตัวจนเห็นเป็นรูปเป็นร่าง

พี่นนท์ไม่ได้สวมใส่กางเกงชั้นใน…

สิ่งนั้นมันชี้จนแทบอยากจะออกมาเผชิญโลกภายนอกได้ ปืนในที่ลับชี้สู้หน้า

พกปืนมาด้วยเหรอ อ๊ะ พกปืนมาด้วยเหรอเนี่ย ~

“หนูเริ่มได้เลยค่ะ” เขาสั่งเผด็จการเหมือนลุงแก่ๆ คนหนึ่งที่ยังไม่ลงจากตำแหน่ง แอบแตกต่างพอสมควรที่พี่นนท์การกระทำชัดเจนดีและไม่ได้มีดีแค่พูดจา หนังหน้าไม่ได้ด้านเหมือนหนังตีน แต่เอวพี่แกเนี่ยสิดีซะจนคนต้องร้องไห้เหมือนควายออกลูก กระแทกกระทั้นแต่ละทีแม้แต่ลิงบาบูนยังต้องยกมือขึ้นไหว้กราบพนม

เมื่อวานจัดหนักจัดเต็มเหมือนสุนัขไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ระคนติดสัด สร่างเมามาก็ดูไม่แตกต่างจากเมื่อคืนนี้ ปากหวานก็เก่งอีก

เก่งมากค่ะ

 เย็-เก่งมากอีเหี้ย !

“อึก” มือสั่นเหมือนคนไม่ได้แดกข้าวตั้งแต่ตื่น ลืมตามาก็ไร้เรี่ยวแรงแต่เสือกต้องมาออกกำลังกายในยามเช้า นอกจากใช้ร่างกายยังต้องใช้ปากอีกต่างหาก

คลานเข่าเข้าไปใกล้อีกนิด ท่าทีเอียงอายเงยหน้ามองคนที่แลบลิ้นเลียริมฝีปาก เขาบริหารเสน่ห์ได้ดีชะมัดยาด รู้ว่าผมพ่ายแพ้อะไรก็รีบทำอย่างไม่อิดออด

พี่นนท์จับชายเสื้อตัวเองขึ้น อวดกล้ามหน้าท้องเป็นมัดๆ หากสมมุติเราเกิดเป็นหมายังคงต้องอยากแลบลิ้นออกไปเลีย แต่ไม่พอเท่านั้น...อีกฝ่ายยังใช้ซี่ฟันกัดชายเสื้อกล้ามของตนเองให้ลอยขึ้น

คำว่าผัวลอยมาแต่ไกล...

ผมค่อยๆ ยื่นมือออกไปจับ  ใบหน้าก็โน้มลงต่ำ กลืนน้ำลายดังอึกพร้อมกับปลายนิ้วที่เกี่ยวขอบกางเกงวอร์มของคนตรงหน้า เริ่มจัดการร่นกางเกงลงทีละนิด ตาก็มองรอยสักที่แสนดึงดูดไปด้วย ปลายกระบอกมันหายลับเข้าไปในกางเกง ทันทีที่ดึงลงมาก็เห็นชัดอย่างละเอียด เห็นทั้งปืนเห็นทั้งขน เห็นปุ๊บก็มาเห็นโคนต่อ เชื่องช้าลุ้นระทึกเหมือนดูหนังระทึกขวัญ สิ้นสุดถึงขนาดความยาวก็ดีดผงาด ตีชนเข้าที่ปลายคางของผมเสียดังปึก ขยับใบหน้าเล็กน้อยและเพ่งดู ปลายหัวองคชาติแตะริมฝีปากตัวเองพอดี ดูเหมือนจะจูบหรรมทักทายกล่าวอรุณสวัสดิ์

แหม หวัดดีจ้า เจอกันไม่นานมานี้ คุ้นหน้าคุ้นตาจังเลยนะฮะ ดูท่าจะใหญ่ขึ้นด้วยปะจ๊ะ เส้นเลือดเครียดตึงอยู่รอบท่อนลำ ปลายยอดไม่ได้มีหนังหุ้มใดๆ ทั้งนั้น ดูอนามัยให้น่าอภิรมย์ใจ กลุ่มขนก็แต่งแต้มเหมาะเจาะกับขนาดความใหญ่ยาว ราวกับเห็นภาพป่าไม้รกทึบและมีรูปปั้นปลัดขิกตั้งตระหง่าน อยากเชิญชวนชาวต่างชาติมาพบเห็นความพิสดารและแปลกใหม่ คอยอ้าปากค้างเติ่งเป็นรูปตัวโอ

ว้าว อะเมซิ่งไทยแลนส์ เริ่มสู่กางละเล่นเครื่องดนตรีไทย มีการเป่าขลุ่ยเกิดขึ้น แรกเริ่มด้วยการแตะปาก หลังจากนั้นก็ค่อยๆ อ้าปากอมที่ส่วนหัว ดูไปดูมาเหมือนจะเล่นไม่ค่อยเป็น เลยแดกแม่งทั้งขลุ่ยเลย จากหัวก็มายังลำท่อน ลากไปตามความยาวจนปลายยอดมันล้วงลึกไปถึงคอหอย จุกเสียจนน้ำตาคลอ ผมหวังจะคลายปากออกจากสิ่งนั้น กลับถูกกดหัวให้ลงลึกมากยิ่งขึ้น

“อ๊อก !” สมดั่งชื่อ หลุดร้องจนมีเสียงดัง สักพักก็ดังอ๊อกๆ เหมือนคนสำลัก หยาดน้ำลายบูดไหลอาบรอบท่อนลำ การละเล่นของขลุ่ยช่างไพเราะเพราะพริ้ง เรียกนางยักษ์นางเงือกให้มาเหลียวแล

“ซี๊ดดดดด” เสียงสูดปากดังมาจากเบื้องบน หาได้ดังมาจากฟากฟ้า บรรยายให้ละเอียดจะได้เห็นภาพที่คล้ายวกวน เพราะคนเราขยันดราม่าจิกกัดกันเก่ง ฉะนั้นต้องไหวตัวให้ทันเวลา ขลุ่ยยามนี้แม้ไม่ได้มีเสียงโดเรมี แต่ก็มีเสียงสูงบ้าง ต่ำบ้างในบางจังหวะที่เล็ดลอดในลำคอ

อ๊อกเสียงต่ำบ้าง อ๊อกเสียงสูงบ้าง ขยับปากเป่าขลุ่ยไวหน่อยก็เป็นเสียงอ๊อกๆ

โดเรมี โดเรมีซอลลา ~ หนูขอเวลาสักสามนาที ไม่ต้องชมว่าหนูเสียงดี พอจบเพลงนี้อย่าเพิ่งหนีก็แล้วกัน “อุก อื้อออ” พอเพลงมาปากก็อ้าเสียงก็ “อ๊อก !” ไม่หยุดร้องหรอกนอกจากหลับเท่านั้น ชาวบ้านชาวช่องเขาคงชอบกันทั่ว พยายามปีนรั้วเข้ามาฟังทุกวัน

บางคนก็ถืออีโต้มาด้วย เขาคงมาช่วยเคาะจังหวะมันส์ๆ ~

ปึกๆ

หนูร้องดีไม่มีเสียงตก เขาเลยทุ่มครกมาเป็นของกำนัล

“อ๊อกๆ อึก แหวะ”

ปึกๆ เสียงหรรมกระแทกเข้ามาในโพรงปาก เหมาะเจาะกับเสียงเพลงในหัวที่ดังเป็นท่วงทำนอง

อีเหี้ยเอ้ย เพลงประจำตัวเหมาะกับสถานการณ์ในยามนี้เฉย ถูกกดหัวจนหน้าแดงตัวแดงไปหมด ตาโตและหลับตาลงปี๋ ขับไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอจนล้นทะลัก ก่อนจะถูกแทรกด้วยน้ำเสียงครางทุ้มในลำคอ ริมฝีปากที่กัดฟันดังกรอดจนเห็นสันกรามปูดโปนระงับความเสียว พี่นนท์ยื่นมือมาลูบหัวลูบแก้มของผมอย่างชอบอกชอบใจ

น้ำเสียงแหบพร่าประดุจน้ำค้างที่ไหลหยด มอบความชุ่มชื้นบนอากาศที่แห้งแล้งจนหัวใจคนต้องชุ่มฉ่ำ

ถามว่าเกี่ยวไหม

ไม่...

แต่กูจะเปรียบเปรยให้มันเกี่ยว

“หนูคะ”

“อึก” ยังคงโดนกดหัว ส่วนอีคนช่างพูดยังคงใช้น้ำเสียงปนกระเส่า

“มองหน้าพี่ด้วยสิคะ” พี่นนท์เอ่ยปาก

อีอ๊อกอยากจะน้ำตาไหลอาบแก้มค่ะแม่ อยากเรียกบิดามารดายายญาติติโกโหติกา อาม่าอากงมาเป็นสักขีพยานในความขื่นขม ปากอ้าตาโตสำลักแล้วสำลักเล่า หน้าแดงคิ้วแน่นคอยขมวด ยันฝ่ามือที่หน้าขาของคนตรงหน้าอย่างไม่เป็นสุข ซ้ำยังถูกความคิดกักขฬะให้เงยหน้าขึ้นไปสบตา คาดหวังจะเห็นสีหน้ายั่วยวนชวนฝันหวาน หารู้ไม่ว่าชีวิตจริงช่างขวัญผวา แตกต่างจากเอวีและนิยายคัทซีนทั้งหลายแหล่

บทพรรณนากล่าวเอาไว้ว่า ‘ชายหนุ่มพินิศมองใบหน้าสะสวย จับจ้องเรือนร่างอรชรที่ขาวผุดผาด ริมฝีปากอมชมพูระเรื่อดูดเม้มความเป็นชาย ผงกหัวกลืนกินแท่งเนื้อร้อนอย่างยั่วยวนชวนหลงใหล’

“พี่อยากเห็นใบหน้าที่เซ็กซี่ของหนูค่ะ”

ตามปรารถนา…

เมื่อเป็นเช่นนั้นผมเลยเงยหน้าขึ้นมอง ทำหน้าเซ็กซี่เท่าที่จะทำได้สุดชีวิต ทั้งที่ความเป็นจริงมันเหมือนคนยื่นมือมาบีบคอตาย เส้นเลือดปูดโปนที่ข้างขมับ เลือดมาหล่อเลี้ยงไปทั่วใบหน้าขาว พาลให้นึกถึงมีมที่มีหมาสำลักเศษอาหาร

เป็นไงคะ สวยพอไหมคะพ่อทูนหัว

“...” ใบหน้าของพี่นนท์นิ่งทันทีที่เห็นภาพฝันสลาย ประจวบเหมาะกับถึงจุดมุ่งหมายปลายทางก็พุ่งหยาดหยดเข้าสู่ลำคอเป็นที่สิ้นสุด กระตุกปลดปล่อยจนน้ำบางส่วนหกเลอะผ่านมุมปากและไหลย้อยไปตามปลายคาง ช่างเป็นภาพที่ทำให้สัญชาตญาณดิบของผู้ชายทุกคนล้วนพึงพอใจ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สี่ [10/10/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 10-10-2019 20:24:24
ทีแรกผมกะจะบ้วนน้ำรักทิ้ง แต่รสหวานที่แตะต้องตรงปลายลิ้น ผนวกกับแววตาที่มองมาเหมือนสื่อบังคับให้ต้องกลืนกิน ท้ายที่สุดก็เลยจำใจกลืนเข้าไปในลำคอ คร่าเหล่าลูกมารผจญที่พุ่งชนไปตามสิ่งภายใน

เอ่ยปากถามไถ่ใส่พี่นนท์ที่เผยอยิ้มกว้าง “ทำไมมันหวานล่ะ” เนื่องจากชีวิตจริงกลิ่นมันจะเหม็นคาวคละคลุ้ง รสชาติมันต้องขมปะแล่มแปลกๆ หน่อย บางคนก็กล่าวเอาไว้ว่ากลิ่นเหมือนคาวปลา ยากเกินจะกลืนกิน แต่ในทางกลับกันของพี่นนท์มันกลับหวานแปลกๆ ไม่ถึงขั้นเลิศรส มีกลิ่นบ้างแต่ไม่ได้ถึงขั้นเหม็นคาวชวนคลื่นไส้

พี่นนท์ตอบกลับพร้อมมุมปากที่ขยับโค้งขึ้น “สงสัยเพราะพี่แอบกินสับปะรดมาค่ะ”

ผมเลยหลุดร้องอ๋อ คลายข้อสงสัยเพราะผลไม้หวานๆ จะทำให้น้ำรักของผู้ชายมีรสชาติที่ดียิ่งขึ้น

ถามว่ารู้ได้ยังไง ? ก็เคยศึกษาข้อมูลมาก่อน...

“ลุกไหวไหมคะ เดี๋ยวพี่พาอุ้มไปอาบน้ำ” เมื่อพี่นนท์ระบายความต้องการเป็นที่เรียบร้อย โหมดคนอบอุ่นก็เข้ามาในอัตโนมัติ ยืดแขนไปหยิบทิชชู่บนโต๊ะข้างตั่งเตียง จากนั้นก็นำมาเช็ดคราบกามที่กลีบปากของผมเบาๆ ซับหยาดน้ำรักที่ไหลลู่ตรงปลายคาง แววตานุ่มนวลแฝงไปด้วยความอบอุ่น ทันทีที่เช็ดให้เสร็จก็เปลี่ยนมาเช็ดที่กลางลำตัวของตนเองบ้าง สะอาดเอี่ยมอ่องก็ห้อยขาลงข้างเตียงนอน เหยียดกายลุกขึ้นยืนที่พื้นห้องและช้อนร่างของผมขึ้นให้แนบอกด้วยเรียวแขนที่แข็งแรง

ผมรีบยื่นมือมาเกี่ยวล้อมรอบลำคออีกฝ่าย เกรงกลัวว่าจะร่วงตกหล่น

พี่นนท์ยังคงพูดจาทะเล้นตามฉบับเขา “ปะ เดี๋ยวพี่พาไปอาบน้ำค่ะ”

ผมรีบขัดทันที “ไม่ต้อง ส่งเข้าห้องน้ำอย่างเดียวพอ” ไม่ไหวจะเจอฉากเอ็นซีอีกต่อไปแล้ว

คนบ้าอะไรกัน ช่างเหมาะเจาะกับศัพท์คำนึงที่เคยขยันใช้ในนิยายเป็นประจำ

อีพวกพระเอกทั้งหลายแหล่ ‘ขยันกระเหี้ยนกระหือรือ’


อาบน้ำเสร็จก็มานั่งทานข้าว เกิดคำถามงุนงงกับชีวิตนี้ ว่าใครเล่าจะไปล่วงรู้ถึงอนาคต เพราะชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอนเลยสักนิด พอโตมาก็ต้องดิ้นรนหาเงินเฉพาะ จากนักเรียนก็เข้าสู่วัยทำงาน จากวัยทำงานก็เข้าสู่การมีครอบครัว จากการเป็นผัวเมียก็สู่การมีลูก พอมีลูกเสร็จสรรพก็ถึงแก่วัยชราภาพ สืบทอดมรดกให้แก่ลูกหลาน สิ้นสุดอายุขัย

เฉกเช่นตอนนี้ จากนักเขียนก็กลายเป็นอีตัวในชั่วข้ามคืน เกิดมิตรภาพเหนียวแน่นระหว่างรูกับหรรมที่อยู่ข้ามฟาก เจ็บสุดตอนโตคงเป็นการมีเพศสัมพันธ์นี่แหละ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงจะเป็นตอนคลอดลูก

เริ่มไม่มั่นใจว่าชีวิตนี้ต้องการอะไรกันแน่…

“หนูคะ”

อ้อ สงสัยอยากมีผัว ได้ยินเสียงปุ๊บก็รีบลดช้อนลงออกจากปาก

“หืม” ขานรับในลำคอ มองพี่นนท์ที่ทำหน้าตามีความสุข

“ทานเสร็จแล้วอยากไปเที่ยวห้างด้วยกันไหมคะ” อีกฝ่ายเอียงคอ มิวายฉีกยิ้มกว้าง

อยากจะโทรหาตำรวจมากครับ เห็นพี่แกยิ้มทุกช่วงเวลา อีหรอบนี้ไม่ยาบ้าก็เมากัญชาแหงๆ

“คือ...วันนี้ผมมีธุระ” จริงๆ ก็ไม่มีหรอก สตรอว์เบอร์รี่ไปงั้น กะจะทานเสร็จแล้วรีบโทรหาคริตตี้ ปานนี้ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงกัน

ครืดๆ นึกถึงไม่ทันไร มือถือก็สั่นเหมือนหนังละครที่ถูกจัดฉาก หน้าจอเผยรายชื่อเพื่อนสนิทสุดที่รัก

“ใครโทรมาเหรอคะ ?” คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยปากถามอย่างสงสัย จ้องหน้าผมพร้อมเลิกคิ้วขึ้นสูง

“แม่” ร้อนรนตอบกลับไป เอี้ยวกายบนเก้าอี้ กดรับแล้วกรอกเสียงผ่านปลายสาย

“ฮะ ฮัลโหลครับแม่”

[แม่พ่อมึงสิ ! นี่กูเองคริตตี้]

“แม่มีอะไรเหรอครับ”

[มีหลีไงลูก ไม่ได้มีคว- นี่มึงเป็นห่าไรอีอ๊อก เมายากันยุงเหรอ ? อ๋อ ~ รู้ละๆ เมาคว-ผู้ชายล่ะสิท่า ตื่นเช้ามาสับสนจำเพื่อนตัวเองไม่ได้เลย]

“คือตอนนี้ผมไม่สะดวกคุยไง แม่อย่าเพิ่งด่าสิ” ผมรีบแก้ต่าง ต้องเอาหูออกจากมือถือในบางจังหวะ เพราะคำแสลงหูของเพื่อนรักช่างหยาบคายจนทนรับฟังไม่ไหว

[นี่มึงยังอยู่กับผู้อีกเหรอ ?] คริตตี้เป็นฝ่ายถาม

“อะ อืม” ผมขานรับ น้ำเสียงอิดออด เหล่ตามองไปทางพี่นนท์

[ตายจริง ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ คุณเพื่อนไม่รู้จริงๆ ว่าเพื่อนรักอยู่กับผู้ชาย แบบว่าๆ คือเมื่อวานมันจุกคอหอยใช่ไหมคะ อยากรู้มากเลยค่ะว่าเมื่อคืนนี้ถึงพริกถึงขิงขนาดไหน คงอ๊อกๆ โดนกดหัวใช่ไหมคะ] คริตตี้บีบเสียงหวานๆ ใส่ผม วางตัวผู้ลากมากดี ทั้งที่สถุลสกุลรุนชาติ

“แล้วแม่ล่ะ”

[อย่าเสือก]

“อ่าว”

[เอาไว้ค่อยคุย มึงรีบมาเจอกูที่บ้านก่อน]

“เดินไม่ไหวหรอกแม่” แค่คิดก็รู้สึกปวด

[ทำไม ขาถ่างอ๋อ ? หรือว่าโดนเอาจนฟ้าเหลือง ร้ายมาก คืนเดียวจัดหนักจัดเต็มไรขนาดนั้นอะ อดอยากปากแห้งนักสินะ แล้วของผู้ใหญ่มะ ? ไหนเล่ามาสิ อาการขากะเผลกมันเป็นยังไง] คริตตี้รัวคำถามไม่ยั้งชีวิต ทำคนเอาฟังมึนงงไม่รู้จะตอบข้อไหนเป็นอันดับแรก

“ไม่รู้”

[อันนี้ตอแหลละ งั้นมึงนั่งวินมาหากูแทน เดี๋ยวกูจะจ่ายค่ารถให้เอง คุยบ้านมึงคงไม่ค่อยสะดวก เดี๋ยวเจออีพี่เดือนเข้างานงอกพอดี]

พูดแบบนี้แสดงว่ามันกับพี่เดือนต้องมีซัมติงแล้วแน่ๆ...

“โอเค เดี๋ยวผมรีบกลับไป แล้วแม่ล่ะเป็นไงบ้าง” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

[อยากรู้เหรอ ?]

“อืม” ผมขานรับ กลัวว่าเพื่อนจะโดนทำมิดีมิร้าย

[สาระแนว่ะ]

“โธ่” ผมรีบเอามือป้องปาก พูดเสียงเบาไม่ให้คนใกล้ตัวได้ยิน “อีดอกทอง”

ตี๊ด ! กดตัดสายทิ้งแม่งเลย ไม่น่าเป็นห่วงตั้งแต่แรก เห็นปากมันด่าฉอดๆ ขนาดนั้นน่าจะรู้ตั้งนานว่ามันยังโอเค

“คุณแม่ว่าไงคะ ?” พี่นนท์ที่นั่งตักข้าวเข้าปากเงียบๆ เห็นคุยจบปุ๊บก็รีบไซ้คำถาม

“แม่ให้รีบกลับ” ผมตอบออกไปโดยไม่สบตา นั่งคนข้าวต้มรอบหนึ่งแล้วช้อนใส่ปาก

“งั้นเดี๋ยวทานเสร็จพี่ขับรถไปส่งค่ะ” พี่นนท์อาสา สักแป๊บก็หลุดร้องอ๋อเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ “พี่ขอไลน์หนูได้ไหมคะ”

“...” ผมนิ่ง จ้องเขาตาโต

“หืม ให้ไม่ได้เหรอคะ ?” พี่นนท์ทำหน้าเศร้า คิ้วตก แววตาเหงาหงอย

ใจสั่นมากแม่ ให้สิ ใครจะกล้าไม่ให้ แค่เมื่อคืนนี้ก็ให้ไปทั้งตัวและความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มาอีหรอบนี้ใครจะไปกล้าใจแข็ง

คว- ไหม อ๋อ ไม่ใช่ คนละแข็งกัน

“เปล่าครับ เดี๋ยวทานเสร็จผมเอาให้” ใจง่ายเหมือนร่างกาย นั่งหน้าแดงปลั่งกินข้าวไปพลาง กินอะไรเสร็จก็จะยกถ้วยไปล้าง แต่พี่นนท์ดันให้ผมอยู่นิ่งๆ แทน

น้ำตาจะไหล มีผัวดีอะไรก็ดีไปหมด เป็นกะหรี่นี่มันคุ้มค่าจริงๆ

อีกฝ่ายเดินถือถ้วยไปล้างให้กับมือ ไม่เกินสิบนาทีตรวจเช็กไฟในบ้านเสร็จสรรพ เราก็ออกมายืนที่หน้าบ้าน  ผมแอบเหลือบมองผ้าคลุมสีดำที่ปิดทับรถยนต์คันหนึ่งไว้ คาดว่าคงเป็นของรักของหวงของพี่นนท์ เล่นปิดแดดกันฝุ่นดีขนาดนี้

“อยากนั่งมอไซค์เหรอคะ ?” พี่นนท์เห็นผมจ้องอยู่นานหันมาถาม

“เปล่า” ผมปฏิเสธ จ้องคนตัวสูงที่ยืนค้ำหัว เอื้อมมือมาขยี้กลุ่มเส้นผมที่ถูกหวีมาอย่างดี

“อย่า เดี๋ยวผมยุ่ง” อุตส่าห์หวีมาอย่างประณีต ตอนนี้ชี้ฟูไปหมดละ บ้าบอจริงๆ

“เอาไว้วันหลังจะให้นั่งนะคะ ตอนนี้หนูเจ็บก้นอยู่ เดี๋ยวมันจะระบม” พี่นนท์เลื่อนฝ่าลงต่ำมาที่แก้มขาว ปลายนิ้วชี้กับนิ้มโป้งหยิกก้อนเนื้อนิ่มเบาๆ ก่อนที่มือซ้ายของเขาจะมาจับฝ่ามือของผมให้ไปแนบกับเป้ากางเกงตัวเองแทน มิวายเอ่ยสัพยอก “เปลี่ยนมานั่งอะไรนุ่มๆ ดีกว่าค่ะ”

ฮือออ พ่อขา แข็งมากกว่าล่ะสิไม่ว่า… ดุนดันผ่านมือแล้วนะคะ อ๊อกทำตัวไม่ถูก แต่เผลอบีบมันไปทีหนึ่ง

อุ้ย อะไรนุ่มๆ แข็งๆ ไอติมรสใหม่หรือไงกัน

“มะ ไม่ได้ตังใจ” แต่เจตนาล้วนๆ เลยค่ะ

“ฮ่าๆ มาๆ เราไปนั่งรถดีกว่า เบาะนิ่มๆ จะได้ไม่ทำให้หนูปวด” พี่นนท์ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้น เริ่มทำให้ผมอยากทำจริงๆ จังๆ

“ก็เป็นเพราะใครล่ะ” ผมพูดจาจิกกัด มองอีกคนตาดุ ครั้นเห็นเขายิ้มหวานมาให้ก็รีบเบนหน้าหนี

“ประชดประชันเก่งจังเลยนะคะ” พี่นนท์พูดเสียงเย้าแหย่ จูงมือออกมานอกรั้วบ้าน เปิดประตูรถให้เสร็จสรรพ ผมก็ยัดตัวเองเข้ามานั่ง แต่อีคนตัวโตก็ยังพูดจากำกวมให้ผมเขิน

“เดี๋ยวพี่ก็จัดให้สักดอกบนรถหรอก”

“...” แอร๊ยยยย กำคว-แน่นมากค่ะแม่ เอ้ย ! กำมือแน่นมาก จิกจนปลายเล็บทิ่มไปกับกลางฝ่ามือ พานนิ่งเป็นใบ้กินไม่ยอมตอบโต้ กลัวคำพูดจะกลืนหายเข้าไปในลำคอบนรถยนต์

อ๊อกๆ แค่กๆ ได้แต่หวีดอยู่ในใจครับแม่ ไม่พร้อมจะเป็นใบ้ พลางยกมือขึ้นไหว้สวดมนต์ภาวนา

คว- หนอ ยุบหนอ พักผ่อนบ้างหนอ อย่าได้มาเบียดเบียนรูตูดของใครอีกเลยหนอ

ปึก ! เสียงประตูรถข้างกายอัดกระแทก ก่อนที่พี่นนท์จะเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับ สตาร์ทรถยนต์ก็จับพวงมาลัยหักเลี้ยวตามทิศทาง ส่วนผมก็นั่งมองเหม่อมองท้องฟ้า บางครั้งก็มีมองคนข้างๆ บ้าง มองไปเรื่อยไม่เว้นแม้กระทั่งมองเป้าคนข้างกาย

เราจะต้องจากกันแล้วใช่ไหมน้องมังกรใหญ่ ฮือ ขอบคุณที่เคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา

“พี่ติดฟีล์มรถนะ” จู่ๆ พี่นนท์ก็พูดโพล่งขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว

ผมเงียบไม่เข้าใจคำพูดของเขา มากระจ่างแจ้งตอนโดนชี้ทางสว่าง

“เห็นหนูมอง เผื่ออยากทำให้พี่บนรถค่ะ”

“...” แดกใบ้เป็นจุดๆ กันเลยทีเดียว ค่อยๆ หันหน้าไปทางกระจกรถข้างกาย ทั้งที่ฝ่ามือกำลังจิกลงกับเบาะ

มันน่านัก เกียร์มันอยู่ไม่สุขนักใช่ไหม อยากจะโยกเกียร์ให้พังทลายตรงกลางทาง ณ ตอนนี้

ได้แต่ฝากไว้ให้คิด เผื่อเก็บไว้ใช้ในนิยายฉากต่อไป…

“เอาไลน์ให้พี่ด้วยสิ เดี๋ยวลืม” พี่นนท์ควานหยิบมือถือตรงช่องเก็บของที่วางทิ้งไว้ยื่นให้ผม

“อ่า” ผมขานรับไม่คิดว่าเขาจะจำได้ กดเข้าไปแอปพลิเคชันไลน์ก็กรอกไอดีเพิ่มเพื่อน ก่อนจะยื่นคืนให้ดังเดิม

เกิดการแลกไลน์แบบนี้ขึ้น อนาคตต้องมีการนัดเยเกิดขึ้นด้วยแน่ๆ…

เรามาตัดบทเหมือนนิยายที่ถูกตัดฉาก ข้ามเวลามาถึงที่ลานจอดรถตรงหน้าปากซอยแถวบ้าน ประหลาดใจยิ่งนัก มาเร็วเหมือนวาร์ปมาตอนอ่าน ขออุทานโอ้โหด้วยความตอแหล รู้เลยนะคะว่าอีนักเขียนขี้เกียจบรรยาย ฉากอยู่บนรถก็นั่งฟังเพลงไปเรื่อย ไม่ได้เห็นอะไรมากมายนอกจากรถที่แน่นขนัด

 ท่าทีลนลานหันไปหาคนข้างกาย “ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ขอบคุณสำหรับกล้วยบวชชีตอนเช้าด้วย อร่อยมั่กๆ

“ยินดีค่ะ :)” พี่นนท์ยิ้มละมุนให้พลอยให้ผมเขินอายกับความหล่อเหลา อยากจะหยิบดินสอมาเหลาบนหน้าของเขากันเลยทีเดียว

ก้าวขาตอนลงจากรถ ขาก็สั่นระริกอ้ากว้างผิดปกติ ต้องพยายามหุบขาลงให้เหมือนคนไม่มีพิรุธทั้งที่เจ็บก้นฉิบหายวายวอด ครั้นพอจะปิดประตูรถ พี่นนท์ก็ตะโกนแทรกเสียก่อน

“หนูคะ”

“คะ ?” ฉิบหาย ถึงกับหลุดคะขาด้วยความเผลอไผล เพราะเริ่มคุ้นชินกับคำพูดคำจาของคนตรงหน้า

“พี่ขอโทษนะคะที่ไม่ได้เดินไปส่งถึงบ้าน” อีกฝ่ายมีสีหน้าหมองเศร้า ไม่รู้จะแสนดีไปไหน

อย่าทำหน้าแบบนั้นสิอ๊อกใจคอไม่ดีเลยนะพ่อทูนหัว เริ่มอยากจะปีนกลับเข้าไปในรถแล้วอ๊อกๆ ให้เป็นการลาจาก

“ไม่เป็นไรครับ” ก็ทำได้แค่คิด เก็บความลามกไว้ใช้กับนวนิยาย

“ไว้เจอกันนะคะ” พี่นนท์ยิ้มตาหยีพลางหัวเราะร่า หัวใจคนมองก็เลยเต้นถี่กระชั้น ช่างเขินอายกับคำหมายมั่นให้สัญญา

“อืม ไว้เจอกันครับ” เจอแบบไหนก็ไม่รู้นะครับคุณพี่ชาย อ๊อกจะต้องทำแท้งรอหนที่สองไหม แบบว่าๆ เราจะเจอกันแบบปกติใช่ไหม ไม่ได้มีการซื้อขายแต่อย่างใด

เอ๊ะ คิดไปคิดมาเหมือนหลงลืมอะไรบางอย่าง…

กว่าจะนึกขึ้นได้รถยนต์ก็เคลื่อนหายออกไปจากระบบสายตา ขณะที่โสเภณีในวันวานยังยืนจังงันหน้าปากซอยแถวบ้าน ดวงตาค่อยๆ เบิกถลน

แม่ ! อ๊อกลืมเอาเงิน ! เฮ้ย อย่างงี้มันเยฟรีๆ ชัดๆ อีคริตตี้ต้องด่าผมแหงๆ ข้อหาถ่อสังขารไปให้ผู้ชายเอาถึงที่ กะหรี่ใจง่ายดันไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียว

กูตายแน่ๆ น้ำตาคลอคลอเบ้า เปลืองเนื้อเปลืองฉิบหาย ไปแบบสวยๆ แต่กลับไม่ได้เงินสักสตางค์ มีแต่คว-ๆ ที่ได้รับตอบกลับมา

คุณหฤษฎิ์นอกจากใจโฉดแล้ว ยังเป็นพวกโจรสวาทพรากพรหมจรรย์อีกต่างหาก ทั้งยังมีข้อหาใหม่เพิ่มพูนเข้ามาอีกด้วย

หลอกฟันกะหรี่ฟรีชัดๆ


กลับมาที่บ้านด้วยสีหน้าหมองเศร้า เสื้อที่ใส่อยู่ก็เป็นของพี่นนท์ซะด้วย กางเกงหลวมก็ต้องเอาเข็มขัดมารัดเอว หนำซ้ำยังต้องเจาะรูเพิ่มมาใหม่ มือก็เต็มไปด้วยถุงเสื้อผ้าและกระเป๋าที่ถูกยืมมา

“กลับมาแล้วเหรอ แม่ทำแกงเขียวหวานไว้อะ ทานไหมจะได้อุ่น”

“เดี๋ยวอ๊อกค่อยกินแม่ เพิ่งทานมาเอง” ผมที่เพิ่งถอดรองเท้าเข้ามาในบ้านเงยหน้าตอบแม่ที่กำลังนั่งอยู่ตรงพื้น

บ้านของเราเป็นบ้านสองชั้น ชั้นแรกค่อนข้างมีข้าวของเยอะพอสมควร มีชั้นรองเท้าวางอยู่ทางขวามือบานประตู เว้นระยะห่างไปหน่อย ซ้ายมือบานประตูก็จะมีตู้ที่ไว้เก็บจานชามกับพวกช้อนส้อมอยู่ชั้นล่าง ชั้นบนก็ไว้เก็บพวกมาม่าที่ซื้อตุนเอาไว้ เหนือสุดของชั้นวางก็จะมีไมโครเวฟวางเด่นหรา ตรงกลางของบ้านก็มีพวกกับข้าวที่ถูกวางไว้ตรงพื้น เนื่องจากบ้านเราไม่ได้มีโต๊ะทานข้าวเหมือนกับคนอื่น ถึงแม้ออกจะลำบากหน่อยในการกิน แต่ก็เริ่มชินกับความเปลี่ยนแปลง

สิ่งภายในค่อนข้างระเกะระกะ ไม่ว่าจะทีวีจอแบนที่เคยซื้อมาแต่ก็ไม่เคยเปิดใช้จนฝุ่นเกาะ ใต้บันไดก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ นานาที่พ่อทิ้งไว้ ไหนจะเก้าอี้นวดไฟฟ้าที่อยู่ตรงข้างมุมผนังบ้าน ถัดไปก็มีขาตั้งเตารีดอีก ขวามือของบ้านก็เป็นประตูเชื่อมที่มีห้องอาบน้ำกับอ่างล้างจาน รวมไปถึงตู้เย็นและเครื่องอบผ้า การจัดระเบียบภายในบ้านค่อนข้างยุ่งเหยิง ชั้นบนก็มีสองห้องนอน มีห้องนอนใหญ่ที่แม่ไว้นอนกับน้องๆ ทั้งสามคน ส่วนห้องเล็กแคบๆ เป็นห้องนอนของผม ยิ่งตอนเที่ยงของวันชั้นสองของบ้านจะร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ เหมือนกับพระเจ้ากำลังมาทดสอบเราให้ตกอยู่ในขุมนรกก็ไม่ปาน อาจเพราะว่าเป็นบ้านไม้ด้วยมั้งเลยไม่ค่อยจะชินเท่าไร แม้จะอาศัยมาเกือบสามปีเต็มๆ

ที่เราต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ก็เพราะพ่อแม่ต้องส่งเสียน้องเรียนไม่ให้เดินทางไกลจากบ้านเก่านัก แถมตอนนี้ก็ต้องผ่อนจ่ายค่าบ้านเพราะซื้อมาด้วยการกู้แบงค์ แตกต่างจากบ้านนี้ที่เป็นบ้านเช่าซึ่งเป็นบ้านของญาติสนิท

มันลำบากนะ เรียกว่ามากๆ เลยแหละ พอเศรษฐกิจยิ่งแย่ เงินก็ยิ่งหายาก ข้าวของก็แพงมากขึ้น กลายเป็นพ่อกับแม่เริ่มกดดันจนไม่รู้จะผ่อนแบงค์ยังไงดี ปัญหาครอบครัวเลยถาโถม พ่อเครียดทะเลาะกับแม่ แม่เองก็ไม่ค่อยยอมพ่อ ต่างฝ่ายต่างมีน้ำโหจนต่างคนต่างอยู่ ส่วนพ่อนั้นอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าที่ซื้อมานั่นแหละ ตัวแม่เองก็รักษาตัวจากอาการโรคซึมเศร้า ปัจจุบันก็ดีขึ้นเยอะ

ครอบครัวของเราเคยมีเงินผ่อนใช้ธนาคารได้ตลอดทุกเดือน และก็เคยสุขสบายกันมาก่อน จริงๆ มันไม่ได้ถึงขั้นร่ำรวยอะไรเลย แต่ก็พอมีพอกิน

หลายครั้งที่ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมมันไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก็มองหลายปัจจัยในชีวิต ผมเลยเลือกที่จะมองข้ามและสนใจกับปัจจุบัน มองว่าเป็นตัวเราเองมากกว่าที่ต้องดิ้นรนด้วยอะไรสักอย่าง ไม่ให้ชีวิตมันต้องมาจมปรักอยู่กับที่ เริ่มเรียนต่อเพื่อเอาวุฒิที่ไม่จำเป็นต้องเสียค่าเทอม เลยตัดสินใจที่จะต่อกศน. ใช้เวลาส่วนที่เหลือกับการเขียนนิยายไปพลาง ส่งเรื่องสั้นขายขาดให้สำนักพิมพ์เล็กๆ น้อยๆ

เฮ้อ ปวดหัว ช่างมันเถอะ ไว้ไประบายกับนิยายแทน นักอ่านไม่รู้หรอกว่าข้อเท็จจริงบางเรื่องก็มีส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของคนแต่ง
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สี่ [10/10/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 10-10-2019 20:25:52
“อ๊อกไปบ้านคริตตี้นะแม่ เดี๋ยวมา” ผมบอกแม่หลังจากเก็บของที่ห้องตัวเองเป็นที่เรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายมากขึ้น โยนเสื้อผ้าตัวเก่าลงตระกร้าที่ต้องเอาไปซัก แผ่นหลังสะพายกระเป๋าโน๊ตบุ๊กเพื่อไปนั่งทำงานที่บ้านคริตตี้

แม่ขานรับนิ่งๆ ผมก็หันหลังเดินออกจากบ้าน ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกในด้านความรักกับครอบครัวเท่าไร เน้นการกระทำเป็นปัจจัยหลักหรือการแสดงออกในรูปแบบของตัวเอง

“อ่าว อ๊อกกลับมาแล้วเหรอไปไหนมาเนี่ย” คุณลุงแถวบ้านเอ่ยทัก สนิทสนมรู้จักกันทั้งนั้น

“ไปบ้านเพื่อนครับ” จริงๆ ไปขายหลีแต่ไม่กล้าบอก

“อ่าว หนูอ๊อกเพิ่งจะกลับมาเหรอเนี่ย” ป้าอีกบ้านเอ่ยทัก ญาติกลมเกลียวกันทั้งนั้น

คือไรวะ ทำไมอยากรู้เรื่องนี่กันไปหมด...

“ฮ่าๆ ใช่ครับ” ขานรับมิวายหัวเราะกลบเกลื่อน เริ่มจะคิ้วกระตุกกับสิ่งที่ได้ยิน เดินมาถึงบ้านหลังสุดท้ายที่ตัวเองต้องเลี้ยวเข้าซอย กลับเห็นป้ากุ๊กที่ผมสนิทที่สุดนั่นแหละ แกเดินออกมาจากบ้านพอดี ทันทีที่เห็นผมก็เผยอยิ้มกว้างทำท่าจะซักไซ้

“อ่าว น้องอ๊อกไป...”

ผมไม่รอให้แกพูดจบ “ไปขายหลีมาค๊าาาา” พร้อมโบกมือลาก่อนจะเลี้ยวเข้าซอย

ทางเดินนี้ค่อนข้างแคบ พอจะมีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับผ่านเข้ามาได้ แต่คนเดินก็ต้องหลบชิดกำแพงพอสมควร

ระหว่างบ้านผมกับคริตตี้ไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก ใช้เวลาไม่เกินห้านาทีก็เดินมาถึง ผมผลักบานประตูเหล็กเข้ามา หน้าบ้านของคริตตี้จะมีสวนดอกไม้และพื้นที่โล่งๆ

คริตตี้มันเลี้ยงกระต่ายไว้หน้าบ้านด้วย มีแมวอีกสามสี่ตัว มันค่อยข้างรักสัตว์เป็นพิเศษ แถมยังเลี้ยงกระต่ายมาตั้งแต่สมัยประถม อีกทั้งยังมีบ่อปลาขนาดใหญ่ ถึงแม้จะขึ้นตะไคร้น้ำและปลาก็ตายห่าไปหมดแล้วก็ตามที

ผมกับมันสนิทกันมานานสมัยเรียน แม่ของมันก็สนิทกับผม เธอเคยขายน้ำในโรงเรียน ซึ่งผมกับคริตตี้ก็ช่วยกันขาย

น้ำคือน้ำเปล่า น้ำโกโก้ น้ำเก๊กฮวยทั่วๆ ไป ไม่ใช่ขายน้ำอย่างที่ทุกคนเข้าใจผิดแต่อย่างใด

รู้นะว่าคิดอะไรอะ...

คริตตี้มียายเป็นครูสอนวิชาภาษาไทยชื่อครูรัชดา เอกลักษณ์คือมีไฝอยู่ที่ข้างมุมปากด้านขวา ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าหลานอย่างคริตตี้รวมไปถึงผมจะตั้งใจเรียนนะ ทุกวันนี้ก็ยังนึกเสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนวิชาที่ตัวเองต้องนำมาใช้ในการประกอบอาชีพ หลงใหลในวงการเขียน พัฒนาฝึกฝนตลอดเวลา คำผิดก็พร้อมจะแก้ไข แต่ก็กลับเป็นถึงนักเขียนที่ไม่สันทัดด้านการแต่งกลอนหรือโครงสี่สุภาพง่ายๆ เลยสักนิด นั่นแหละคือความโง่งมที่ตัวเองมี

สอบผ่านมาได้ยังไงก็ไม่รู้ ทุกวันนี้ก็ยังงงอยู่…

“มาแล้วเหรออีดอก”

“มึงน่ะสิอีดอก” ผมแหงนหน้าด่ามันที่ยืนอยู่หน้าเรือนบ้าน มีขั้นบันไดเล็กๆ สองสามขั้นที่ต้องเดินขึ้นไป

อีคริตตี้มันอยู่ในชุดผ้าขนหนูพันรอบตัว เห็นเนินอกและขี้แมลงวันเล็กๆ ข้างไหปลาร้าขาวๆ มันยืนเท้าสะเอวด้วยฝ่ามือข้างซ้าย ขณะที่มือข้างขวายันกับขอบบานประตู

“โพสต์ท่าถ่ายปกนิตยสารเหรอ ?” ผมเบะปากใส่มัน กลอกตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใช่ นิตยสารคอลั่มนัดเย็-”

“จำได้ว่าไม่มี”

“ก็กูจะให้มี มึงจะเสือกทำไม” มันหันหลังให้ “เข้ามาสิอีกะเทย”

“อีควาย” ผมด่ามันพลางเดินตามหลังเข้ามาในบ้าน ก่อนจะถาม “แม่มึงไปไหนแล้วอะ”

“พาหลานไปหาหมอ” คริตตี้ทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นไม้ นั่งขัดสมาธิ จัดผ้าขนหนูให้เข้าที่เข้าทาง “เมื่อวานเป็นไงบ้าง”

“อะไร ?” ผมหันมามองหน้ามัน

“ก็โดนเยไงเป็นไงบ้าง ผู้ชายลวยคูยใหล่หยุ่ยมะ ?” มันพูดไปเป่าผมหน้าพัดลมไป

“ไม่บอก” ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม

อีคริตตี้หันมามองหน้าทันที จ้องหน้านิ่งๆ พลางแสยะยิ้มร้าย “ถึงไม่ตอบกูก็รู้อยู่ดี ว่าเรื่องเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“มึงเป็นเจนญาณทิพย์หรือไง” ผมประชด หน้าเริ่มเห่อร้อนกับเรื่องสิบแปดบวก

“กูว่าเป็นแบบนี้แน่นอน” มันไม่พูดเปล่ายกมือขวาขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตัวเองเฉย

ผมงงกับการกระทำของมันมาก จนกระทั่งมันทำตาเหลือก อ้าปากเป็นรูปตัวโอจนแก้มตอบ สีหน้าเหมือนคนสำลัก พร้อมกับขยับศีรษะก้มลงพื้นและแหงนขึ้นอย่างรวดเร็ว ล้อเลียนเสียง

“อ๊อก อ๊อก อ๊อก อ๊อก !”

ผมรีบจับหัวมันและกดโขกกับพื้นบ้านในทันที หลังจากได้ยินคำนั้น อีคริตตี้หัวเราะพยายามดันหัวตัวเองขึ้นจากพื้น แต่ผมก็กลับจับโขกหน้าผากเบาๆ สองสามทีเพื่อเป็นการแกล้งกลับ

“โอ๊ยเจ็บอีดอก เบาๆ หน่อย คึก ฮ่าๆ” มันด่าผมพร้อมกับหัวเราะขำ

“อ๊อก นี่ไงอ๊อก กวนส้นตีน” ผมปล่อยมือออก มองอีคริตตี้ที่สะบัดผมขึ้นให้เรียบแปล้ไปด้านหลัง มันขำจนน้ำลายแทบจะกระเด็นออกจากปาก

“แล้วมึงล่ะ เป็นไงบ้าง หายไปเอากับพี่เดือนตั้งแต่ตอนไหน” ผมถามบ้าง

“ก็ตอนมึงจ้องตากับผู้ชายคนนั้นนั่นแหละ กูก็โดนอีพี่เดือนลากไปพอดี” มันตอบ “แต่อีเหี้ยพี่เดือนนี่แม่งรุนแรงกับกูฉิบหาย เย็-กูอย่างกับหมา แถมยังเอาหมอนกดหน้ากูอีก โรคจิตสัตว์”

“เฮ้ย ทำไมพี่เขาทำแบบนั้น มันอันตรายมากเลยนะ เกิดมึงขาดอากาศหายใจตายขึ้นมาจะทำยังไง” ผมเริ่มร้อนใจโกรธแทนเพื่อน

“กูก็ตอแหลไปงั้น”

“คว-”

“ขอบคุณโดนเต็มๆ เน้นๆ เลยแหละเมื่อคืนนี้” คริตตี้ยิ้มขำ หันมาหยิบหวีสางผมตัวเองแทน “สวยๆ แบบกูน่ะเหรอจะโดนผู้ชายกดหน้าแล้วเย็- ไม่มีทาง ในที่มืดถึงกูจะดูไม่สวยเท่าไหร่ แต่ถ้าไฟสว่างแล้วละก็…”

“สวยสินะ” ผมเสริม

“ก็ไม่สวยเหมือนกัน” มันตบมุกเข้าให้ “กูล้อเล่น กูก็สวยมะ หุ่นดียั่วเยขนาดนี้ สวย สวยมาก สวยที่สุด” มันไล่ปลายนิ้วกรีดกรายไปตามไหปลาร้าของตัวเอง หว่านเสน่ห์หลอกลวงตัวเองต่อหน้าต่อตาผม

“ว่าแต่…” เกิดความอยากรู้ขึ้นมาในจิตใจผม แอบเลียริมฝีปากและกลืนน้ำลายลงคอโดยที่คริตตี้ไม่ทันสังเกต “ของพี่เดือนใหญ่มะ”

แต่ที่แน่ๆ ของพี่นนท์ใหญ่สุดที่เคยพบเจอ หรรมแรกในชีวิตนี้ด้วย

“อยากรู้เหรอ ?” คริตตี้หันขวับมาจ้องหน้า พร้อมหรี่ตามองอย่างมีเลศนัย “มึงเห็นนั่นมะตรงหน้ากระจก” มันชี้นิ้วไปทางมุมผนังบ้านที่มีโต๊ะเครื่องแป้ง

“แป้งแคร์น่ะเหรอ ?” ผมบอกตามที่เห็น

“ใช่ ขนาดความอวบเท่าแป้งแคร์ แต่ถ้าส่วนหัวแล้วละก็…” มันชี้นิ้วไปทางอีกสิ่งที่อยู่ใกล้เท้า “หัวบานตะไทเท่ากับหัวขวดของโรลออลนีเวีย”

“อีเหี้ย !” ถึงกับสบถร้อนลั่น นั่นมันใหญ่มากเลยนะนั่น สูสีกับพี่นนท์สัตว์ๆ “รับเข้าไปได้ยังไงวะ ไม่ฉีกขาดเหรอ ใหญ่ขนาดนั้นอะ เจ็บตายห่า”

“ใช่มะ มึงยังคิดได้” คริตตี้ทำหน้าเห็นพ้อง “แล้วทำไมอีเหี้ยพี่เดือนเสือกคิดไม่ได้”

“กูสงสารมึงว่ะ ไม่น่าทำไมวันนี้มึงเดินขาถ่างเป็นพิเศษ” ผมทำหน้าเศร้า ยกมือขึ้นตบที่ต้นขาของเพื่อนรักเป็นการปลอบใจ

“อย่าว่าแต่กู ตัวมึงเองก็พอกันอีอ๊อก เหอะ อีพี่เดือนแม่งยัดเอาๆ จนกูแทบร้องไห้ แล้วมึงรู้ไหมพอกูร้องแล้วเกิดไรขึ้นบ้าง พี่แกแม่งบอกไม่ชอบเห็นคนร้องไห้เลยเอาหมอนมาบังหน้ากูไว้แทน แต่ก็กระแทกคว-เข้ามาไม่หยุด โธ่ อีสัตว์ ความเงี่ยนงำมันทำคนเราขาดสติจริงๆ แหละ กูบอกว่าอย่านะ อย่าเพิ่งเอาเข้ามา หนูรับไม่ไหวหรอก พี่แกบอกไหวครับ ไหวแน่นอน แต่คนรับมันคือกูปะวะ กูไม่ได้พลิกโพลุกขึ้นไปเย็-เหมือนเขาหนิ แม่งเสือกยัดเข้ามาพรวดเดียวไม่ฟังหลีฟังแตดอะไรเลย” คริตตี้รัวด่าไม่ยั้งชีวิต เหมือนอัดอั้นมานานกับเรื่องเมื่อคืนนี้ เล่าซะจนเห็นภาพ ทำผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในเหตุการณ์

“เอาบนเตียงหลังกูก็จะเดาะตายห่าละ ยังมีหน้าให้กูทำท่าหมาโก่งก้นสวยๆ บนพื้นอีก เข่ากูก็แทบจะถลอก แดงจนเจ็บไปหมด กดหลังซะกูเกือบหัก เป็นกะหรี่ครั้งแรกแทนที่จะทะนุถนอมกูเหมือนสาววัยแรกแย้ม นี่เอากูทีจากฟิตกลายเป็นหลวม แถมคำพูดนะมึงโรคจิตสัตว์ๆ แต่แม่งก็ได้อารมณ์แหละตอนมานัวเนีย กูไม่อยากจะเล่าหรอกนะ แต่ก็เออเห็นมึงเป็นเพื่อนซี้ไงเลยยอมเล่าก็ได้ แม่งพูดกับกูว่า ‘พี่จะเย็-จนหนูลุกไม่ขึ้น’ ‘เสียวไหมคะ โดนคว-พี่กระแทกเข้าไปที’ ประทานโทษนะคะ อ่านนิยายมากอ๋อ ตื่นเช้ามากูก็ยังลุกขึ้นได้ปกติ”

อีคริตตี้รัวด่าซะจนหน้าแดงก่ำ  เหวี่ยงที่หวีผมโยนลงตรงพื้นจนด้ามหัก พลันได้สติก็กรีดร้องลั่น

“กรี๊ดดดด หวีแม่กูอีดอก โดนแม่ตีแน่ๆ”

“อีควาย แล้วมึงจะโยนทำไม” ผมเหยียดตัวเล็กน้อย ยืดแขนไปหยิบด้ามหวีที่กระเด็นมาให้มัน

“ก็กูโมโหอะ แต่ช่างแม่งเหอะ ยังไงซะการเป็นกะหรี่ก็ไม่ค่อยรุ่งสำหรับเราละ” มันเบะปากเป็นสระอิ พยายามประกอบหวีให้เป็นดังเดิม รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้

“ว่าแต่...เมื่อคืนมึงได้เงินมาเท่าไหร่” มันแหงนหน้ามามองผม

ผมสะดุ้งรีบเม้มปากตัวเองแน่น กระทั่งยัยคริตตี้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จ้องตาเหมือนจะอ่านใจ ก่อนที่นิ้วของมันจะจิ้มที่หน้าผากและดันผมจนหงายหลัง

“อีร่าน ! กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าได้ตกหลุมรักลูกค้า มึงนี่มันดอกทองช้างลากเย็- จริงๆ เลย ! สารเลวทำตัวไม่มีค่า ทำไมถึงแหกขาให้ผู้ชายเอาฟรีๆ เห็นว่าหรรมใหญ่หน่อยเลยให้ล่อฟรีใช่ไหมห๊ะ !! อีไฮดร้า !” อีคริตตี้หัวฟัดหัวเหวี่ยง ตะโกนด่าแทบลั่นบ้าน

“ว่าแต่กู มึงก็พอกันอีคริตตี้” ผมเอามือยันพื้นด้านหลังให้ลุกขึ้น แต่อีเพื่อนตัวดีก็ดันจิ้มหน้าผากให้ล้มหงายหลังดังเดิม

“ใคร มึงว่าใคร กูไม่เหมือนมึงอีอ๊อก กูสวยและได้เงิน ร่างกายกูล้วนมีมูลค่า” ใบหน้าสวยของมันเชิดขึ้นอย่างหยิ่งยโส กอดอกและเบะปากมองเหยียด การกระทำดังกล่าวที่ว่ามา ล้วนเป็นความสนิทสนมของเราทั้งสิ้น ฉะนั้นผมจึงไม่ถือโทษโกรธมันเลยแม้แต่น้อย กลับชินชากับคำพูดคำจาของมันด้วยซ้ำไป

ร่างกายมีมูลค่า ? เหอะ “มูลสิ่งสกปรกมากกว่าน่ะสิไม่ว่า มึงได้เงินมาเท่าไหร่เถอะถึงมาอวดเบ่ง” ผมสวนกลับ กระเถิบกายถอยหลังและลุกขึ้นมานั่งจ้องตามัน

“สี่ห้า ค่าอาหารตามสั่ง”

“เยอะมากอีเหี้ย ! พี่เดือนช่างใจดีให้ค่าอาหารสัตว์” ผมประชดประชัน

“หัวดอ ! เมื่อวานล่อซะจนกูลมจับ เยแม่งตั้งแต่บนรถยันหน้าบ้านริมระเบียง”

“หยาบคายมาก ทำไมรุนแรงขนาดนี้” ผมยกมือขึ้นมาอุดหู ทั้งวันได้ยินแต่คำว่าคว-และหลีจนขนพองสยองเกล้า

“นี่ใคร” มันชี้นิ้วที่ตัวเอง “กูคือคริตตี้ ผู้ชายคนใดเห็นก็คว-แข็งกันทั้งนั้น แหมมาว่าแต่กูตัวมึงเองล่ะผ่านมรสุมอะไรมาบ้าง”

ผมส่ายหัว ฉายภาพในหัวถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ก็ยิ่งใจเต้นแรง หน้าซีดเผือดเมื่อนึกถึงขนาดของใครบางคน “บอกได้แค่ว่าหนักหนาสาหัส”

“โหย มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ” คริตตี้ปรับอารมณ์ในเวลาอันรวดเร็ว ตาวาววับกับสิ่งที่ได้ยิน “พี่คนนั้นก็หล่อใช่ย่อย กะหรี่แบบมึงมีผัวภายในชั่วข้ามคืน มึงควรจะดีใจนะ” มันยิ้มกรุ้มกริ่ม “แล้วนี่มึงมีแลกเบอร์ติดต่อไรกับพี่เขาด้วยปะ ?”

“...” ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะพยักหน้ารับ

“กรี๊ดดดด ดอกทองมาก ชอบ กูกดไลท์ให้รัวๆ งั้นวันนี้เราจะไปเป็นกะหรี่อีกวันนึง !”

“พอเถอะ แค่นี้กูก็เหนื่อยจะตายห่าละ เงินแม่งก็ไม่ได้” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอิดโรย รู้สึกเจ็บก้นยังไม่หาย

“กูก็พูดเล่นไปงั้น กูเองก็ไม่ไหวพอกันอะ เฮ้ออออ ยากว่ะ เงินก็ไม่ได้เสือกได้แต่คว- ขายตัวก็ไม่โอเค มึงเป็นนักเขียนก็เสือกไปไม่รุ่ง หรือเราควรไปขายส้มตำดี” คริตตี้ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้า สวมกางเกงชั้นในใต้ผ้าขนหนูและสวมเสื้อต่อหน้าต่อตาผมจนเห็นหน้าอก

ผมเบนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ได้เกิดอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้นกับการเห็นเพื่อนรักเปลือยท่อนบน

“ทำไมกะเทยทุกคนต้องจบด้วยส้มตำ คิดไรไม่ออกก็แดกส้มตำ” ผมถามขึ้นมาลอยๆ

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” คริตตี้เดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งดังเดิม “หรือเราจะย้ายอาชีพไปเป็นโคโยตี้รูดเสาดี”

“...”

“เดี๋ยวกูลองเปิดเพลงแป๊บ” มันตัดสินใจดีด่วนก็เอื้อมไปหยิบมือถือข้างฟูกหมอนที่ไว้นอนเล่นข้างล่าง จากนั้นก็กดเพลง ‘The Pussycat Dolls’ ของ Buttons ขึ้น ทำนองจังหวะเซ็กซี่ก็เริ่มต้น

ผมนั่งงงเหมือนคนเอ๋อแดก เงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่ทำอะไรไม่มีปี่มีขลุ่ย มันหมุนตัวและก้มหน้าลงลูบต้นขา เงยหน้าขึ้นดังพึ่บจนเส้นผมสะบัดไปด้านหลังตรงเป๊ะกับท่วงทำนอง สีหน้าและแววตาเปลี่ยนเป็นคนละคน รวบผมขึ้นและแอ่นสะโพกโชว์คอดเอว

โหย หากผู้ชายมาเห็นคงต้องพูดว่าเซ็กซี่ยั่วเยสิ้นดี แต่ในฐานะเพื่อนอย่างผมแล้ว...

“ทุเรศว่ะ” ผมหลุดปาก ทำไอ้คนตรงหน้าหยุดเต้นชี้นิ้วมาที่ผม

“จองหอง งั้นมึงลองเต้นบ้าง” คริตตี้ดึงแขนผมให้ลุกขึ้นยืน ก่อนที่ตัวมันจะนั่งแทน เชิดหน้ามองผมที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง

เอาจริงๆ เราสองคนก็มีพื้นฐานการเต้นพอกันนั่นแหละ แต่ก่อนนี่ชอบขยันโคฟเวอร์เพลงที่ชอบ ซึ่งอีคริตตี้นี่แหละตัวตั้งตัวตี ลากผมไปเต้นด้วยบ่อยๆ ในงานโรงเรียน

พอผมได้เต้นตามจังหวะ เสียงของเพื่อนรักก็แย้งขึ้น

“เต้นเหมือนคนเป็นโรคสันนิบาต พอเถอะ ล้มเลิกการเป็นโคโยตี้”

“ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นมะ” ผมรู้สึกอับอายขายขี้หน้า หัวเราะขำกับคำพูดกวนประสาทของอีตัวดี พานทิ้งตัวลงมาเล่นมือถือ จู่ๆ ไอเดียก็บรรเจิด

“หรือว่ากูเป็นนักแคสเกมดี” แถมมันยังเป็นงานอดิเรกที่เล่นยามว่างบ่อยมากกว่างานเขียนอีกต่างหาก

“เกมไรอะ เดดบายเดไลอ๋อ ? หรือว่าโอเวอร์วอช ?” คริตตี้ที่เล่นมือถืออยู่เงยหน้ามาจ้องตา เพราะตัวมันเองก็ติดเกมพอกัน รวมไปถึงแก๊งกะเทยของพวกผม

“อืม ลองแคสขำๆ ในเฟซดูก่อน ไม่รุ่งค่อยหันไปทำอย่างอื่น” ผมว่าพลางรูดซิปกระเป๋าหยิบโน๊ตบุ๊กออกมา สเปคแรงพอจะแคสเกมไปเล่นไป เตรียมพร้อมแม้แต่สายแรนและเม้าส์ที่พกพา

“งั้นกูเล่นด้วย” อีคริตตี้ลุกขึ้นยืนเดินไปเปิดคอมที่อยู่ชั้นล่าง “กูรับประกันว่าคำว่าหลีและคว-มาทุกตา” มันเดินไปหยิบโต๊ะเล็กๆ มาวางให้ผมได้เล่นสะดวกมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากนี้มันยังทักแชทไปหาเพื่อนพ้องที่เล่นเกมพอกันมาแจมด้วยอีก

“เดี๋ยวอีผึ้งกับอีแพทตามมา” คริตตี้แจง ตัวมันนั่งลงที่เก้าอี้และเข้าเกมโอเวอร์วอชเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเกมนี้เป็นแนว FPS (Shooting) ที่มุ่งเน้นการเล่นแบบเป็นทีม

การเล่นเกมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สมองผมโล่งและผ่อนคลายนอกเหนือจากงานเขียน โดยเฉพาะได้เล่นกับเพื่อนๆ แบบเฮฮายิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ ยกเว้นลงแรงค์…

“กติกาไรดี” คริตตี้หันมาถาม

“หืม มีกติกาด้วยเหรอ ?” ผมผินหน้ามาทางมัน

“ต้องมีสิ แคสเกมจะได้สนุกๆ เอาเป็นแอ็บเสียงอ่อยผู้ชายละกัน” มันถามเองตอบเองโดยไม่รีรอคำตอบจากผม

“กูว่าวันนี้กูไม่ได้ปั่นงานอีกแน่ๆ” ผมหัวเราะเจื่อนๆ ในลำคอ เห็นความน่าจะเป็น นึกขึ้นได้ก็แอบแวะส่องผ่านมือถือ ไล่ดูคอมเมนต์นิยายในแต่ละเรื่อง ไร้อัปเดตใดๆ นอกจากเรื่องนวนิยายแนวดราม่าที่ตัวเองเคยเปิดเอาไว้ เขียนได้ประมาณสามสี่ตอน

[ฮือออ ดราม่ามากเลย อ่านแล้วจุกอก ไม่เอามาม่าได้ไหมคะ อ่านแล้วหดหู่ คือมีอีกนี่คงไม่อ่านแล้ว อ่านแล้วรู้สึกแย่]

ผม “...”

เลื่อนนิ้วกดย้อนดูไปที่หน้าบทความนิยาย กลอกตามองดูคำโปรยเนื้อหาและคำเตือน

1.นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ

2.เนื้อหามีถ้อยคำหยาบโลนและเนื้อหา18+ รวมไปถึงฉากรุนแรง กักขังหน่วงเหนี่ยว และความไม่ยินยอม

3.นิยายแนวดราม่ามาก หากใครไม่ชื่นชอบแนวนี้แนะนำกดปิด ยังมีผลงานดีๆ จากนักเขียนท่านอื่นให้รีดเดอร์ได้อ่าน

4.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

5.ไม่เข้าใจ ย้อนกลับไปอ่านใหม่ ขอบคุณค่ะ

“อืม” ขานรับในลำคอ ย้อนกลับมาดูที่เมนท์และกลับไปดูที่คำเตือนอีกสักรอบ สลับแบบนี้สองสามเที่ยวก่อนจะกดปุ่มโฮมมาที่หน้าจอมือถือ วางทิ้งข้างลำตัว

‘อ่านแล้วรู้สึกแย่’ แต่เมนต์ไม่ได้แคร์รู้สึกคนแต่งพอกัน บางเรื่องไม่ต้องมาบอกก็ได้จ้ะ

นิยายดราม่าปัจจุบันเรื่องนั้นที่ตอนแรกคิดจะเขียน

สถานะปัจจุบันเปลี่ยนใจ ‘ดอง’

หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สี่ [10/10/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ninknpk ที่ 10-10-2019 23:04:23
กรี้ดด อัพแล้ววววว
เป็นกำลังใจให้คนแต่งน้าาา สู้ๆๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สี่ [10/10/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-10-2019 23:23:06
ว๊าา เสียดายอ่ะ  อยากอ่านหนูอ๊อกอีก  5555
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 17-11-2019 18:12:09
ตอนที่ห้า


“หวัดดีท่านผู้ชมน่าหลีทั้งหกท่านด้วยนะคะ หากชื่นชอบก็กรุณากดไลก์กดแชร์ วันนี้มีคุณ ‘เมรุณี พิมพ์ประกาย’ มารับชม แหม เห็นชื่อแล้วพร้อมเดินวนเวียนสามรอบแล้วจุดไฟเผาทิ้งเลยนะคะ”

“มารุณี พิมพ์ประกายค่ะ กรุณาให้เกียรติชื่อท่านผู้ชมด้วย” ผมแก้ให้ หลังจากยัยคริสตี้เสนอหน้าแนะนำตัวอย่างเป็นทางการในสตรีมแทน เป็นเพจที่ผมเพิ่งสร้างมาหมาดๆ โดยมีมันและผมเป็นผู้ดูแล แชร์ลงเฟสบุ๊กส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อย เพื่อเรียกเพื่อนๆ ให้มาดูการแคสเกมของเราทั้งสอง

ขณะนี้ผู้ชมมีผมแล้วหนึ่งที่ดูผ่านมือถือเพื่อเช็กว่ามีอะไรขัดข้องหรือเปล่า รวมไปถึงคริสตี้และเพื่อนๆ อีกสี่ท่าน ปรากฎชื่อเฟสบุ๊กของแต่ละคนที่รู้จักสนิทสนมกันหมด แก๊งพวกพ้องเราทั้งนั้น

[มารุณี พิมพ์ประกาย : เขาให้ตัวเหี้ยเล่นคอมได้ด้วยเหรอคะ ?] คอมเมนต์เด้งในช่องแช็ต

คริสตี้เอ่ย “หยาบคายต่ำช้าชั่วช้าเวรระยำสันดานหมา น่าตบเลือดกบปากมากๆ เลยนะคะคุณเมรุณีสันดานไพร่ กรุณาให้เกียรตินักแคสเกมด้วยค่ะ ช่องเราไม่เน้นคำหยาบคายนะคะ กรุณาดูชื่อเพจด้วยค่ะ ‘เป็นนักแคสเกมไม่พูดคำหยาบอีน่าhee’ วอนคุณเมรุณีสงบสติอารมณ์ด้วยนะคะ” มันตักเตือนพลางจิกกัด

[I’ice natchanon (สเตตัส Fc : Rihanna แต่ล่าสุดเลิกร้องเพลง ขายของแทน) : กดไลท์กดแชร์แล้วนะคะ]

“โอ้ ขอบคุณมากค่ะคุณไอซ์ แต่กดไลก์ต้องสะกดกอไก่การันต์นะคะ ไม่ใช่ทอทหาร เพจของเรานอกจากเป็นนักแคสเกมที่ดีแล้วยังมีนักเขียนเคร่งครัดภาษาไทยด้วยนะคะ แม้ทุกวันนี้จะพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ ก็ตามที” คริสตี้บอกกล่าว ปรายตามองผ่านมือถือที่เด้งข้อความอยู่ข้างโต๊ะคอมเป็นระยะ

[I’ice natchanon (สเตตัส Fc : Rihanna แต่ล่าสุดเลิกร้องเพลง ขายของแทน) : ขอโทษนะค่ะที่ไม่ฉลาดพอ]

“ไม่เป็นไรค่ะ คนเราผิดพลาดกันได้ แต่ถ้าคะค่ะยังเขียนผิดแนะนำไปเรียนชั้นอนุบาลใหม่นะคะแล้วค่อยกลับมาดูสตรีมทางเราทีหลัง” คริสตี้ยังคงเสียดสี ตัวมันเองรู้จักกับคนชื่อไอซ์เป็นอย่างดีเพราะสนิทสนม อีกฝ่ายเป็นเกย์ที่ไม่ได้ออกสาวมากนัก แต่ก็มีรูปร่างเล็กและสมส่วน

ผมลืมบอกไป คริสตี้เป็นเพื่อนสนิทของผมก็จริงอยู่ แต่มันเคยเรียนซ้ำชั้นมาก่อน มันกับผมเลยได้อยู่ห้องเรียนเดียวกันตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นอายุของมันจึงเทียบเท่ากับคนอื่นๆ ในแก๊ง ต่างจากผมที่ยังอายุห่างจากคนอื่นเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น

เห็นปากของคริสตี้ก็น่าจะรู้แล้วนะครับ ว่าตอนเด็กมันแสบมากแค่ไหน...

“หวัดดีเจ้ไอซ์ มาเล่นด้วยกันสิ” ผมกล่าวทักทายผ่านสตรีมเกมขณะอยู่ในหน้าเมนู

ปกติคนอื่นจะเรียกไอซ์กันหมด มีเพียงผมนี่แหละที่ชอบเรียกแกว่าเจ้ไอซ์จนติดปาก แถมยังเป็นคนแรกและคนเดียวด้วยที่เรียกเจ้แกแบบนั้น

[I’ice natchanon (สเตตัส Fc : Rihanna แต่ล่าสุดเลิกร้องเพลง ขายของแทน) : ไม่ได้ทำงานอยู่ นี่แอบอู้แป๊บเดียวก็ไปละ เดี๋ยวอีหัวหน้าจะมาเฉาะหัว]

“กูจะโทรไปฟ้องหัวหน้ามึงแน่” คริสตี้เอ่ยสัพยอก

[มารุณี พิมพ์ประกาย : ไหนว่าไม่พูดคำหยาบคายไงคะ ทำไมนักแคสปากน่าหลีแบบนี้คะ งงมากอะ]

“งงคว-ไรคะ ก็เป็นนักแคสเกมอะค่ะ ไม่เสือกนะคะคุณเมรุณี พิมพ์ประกาย ผู้ชมเพจเราทำได้แค่ชมค่ะ ใครด่าทางเราก็จะเตะออกพร้อมกดบล็อกสักสิบรอบ พร้อมกับเอามีดจ้วงหลีให้รูพรุนสักสิบที และถ้าคุณเมรุณีเอาพวกมารุมรีพอต ดิฉันก็จะสร้างเพจใหม่มาด่ามึงโดยเฉพาะด้วยค่ะ” คริสตี้เอ่ยน้ำเสียงเริงรื่น “ล้อเล่นนะคะคุณเมรุณี วอนอย่าทำจริง”

[มารุณี พิมพ์ประกาย : เรียกชื่อกูให้ถูกก่อนจะดีใจมากค่ะ]

“ก็คือตำแหน่งแคสอยู่ที่มึงแทนแล้วไม่ใช่กู” ผมแกล้งประชดประชันใส่เพื่อนรัก

“อุ้ย ! ลืมสนิทเลย เจ้าของเพจและสตรีมตัวจริงเป็นคุณอ๊อกนะคะไม่ใช่คริสตี้ ออกเสียงอ๊อกๆ นะคะไม่ใช่ออกซิเจนแต่อย่างใด” คริสตี้ชี้แจงหน้าด้านๆ

“อีควัย” ผมด่ามันก้ำกึ่งระหว่างคำว่าคว-และคำว่าควาย

[มารุณี พิมพ์ประกาย : คนไรชื่ออ๊อกคะ ตลกมากอะ 5555]

“ฮ่าๆ ตลกชื่อมึงเถอะค่ะอี ‘แยม’ กรุณาอย่ามาด่าเพื่อนรักของดิฉันนะคะ” คริสตี้ด่าสวนกลับเป็นการปกป้อง เกิดการต่อล้อต่อเถียงในช่องแช็ตจนผมหลุดขำ ส่องคอมเมนต์สตรีมดูก็ปรากฎว่ามีจำนวนคนดูเพิ่มขึ้นกลายเป็นสิบคน ที่เห็นชัดสุดคือชื่อเฟสบุ๊กของพี่เดือนและกลุ่มเพื่อนในเฟสที่เหลือ แต่มีอีกคนหนึ่งที่ผมไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นใครที่มาดูอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของยัยคริสตี้นั่นแหละ

ส่วนเรื่องที่พี่เดือนมาดูสตรีมด้วย ขอปิดปากเงียบไม่บอกคริสตี้ดีกว่า

“เดี๋ยวตอนนี้รอเพื่อนอีกสองคนก่อนนะคะ แป๊บนึง แล้วเดี๋ยวเราจะมาเริ่มเล่นเกมกันทีหลัง” ผมบอก พร้อมกับใช้สกิลแอ๊บเสียงเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ เพื่อปกปิดสถานะ มีหลายจังหวะที่ต้องหันไปหยิบขวดน้ำเปล่ามาจิบปากกันกระหาย ไม่เกินสองนาทีก็มีเสียงช่องแช็ตดังขึ้นถึงสามครั้งด้วยกันในโปรแกรมดิสคอด ไว้ใช้สำหรับสื่อสารพูดคุยในระหว่างเล่นเกมไปพลาง

“หวัดดี มาแล้ว” เสียงของแพทที่ผมคุ้นหูจนชาชินเอ่ยทักทาย มันเป็นกะเทยฉายาน้ำเสียงหวาน “กูเอาน้องสาวมาเล่นด้วยนะ” แพทกล่าว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พูดจาเบาคล้ายเอียงอาย

“สวัสดีค่ะพี่ๆ”

“สวัสดีค่ะน้องหมวย” ผมที่จำชื่อน้องสาวของแพทได้เอ่ยปากตอบกลับไป

“หวัดดีจ้าพี่ๆ หนูมุนินทร์นะคะ” เสียงกะเทยแหบใหญ่ดังลอดขึ้นมา

“กล้ามุนินทร์อีดอกทอง มึงอะรัชนก” คริสตี้หัวเราะในลำคอหนึ่งทีก่อนจะด่าอีกฝ่ายเป็นการเสียดสี

“กูก็อยากชื่อน่ารักเหมือนน้องเขาบ้างปะวะ” อีกคนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก มิได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด

“อย่างเดียวที่มึงเป็นได้นะอี ‘ผึ้ง’ ไม่ใช่น่ารัก แต่มันคือหน้าส้นตีน” คริสตี้ว่า

“กล้าหน้าส้นตีน มึงน่ะสิอีกะเทย” ผึ้งไม่ยอม อดไม่ได้ที่จะคันปากด่ากลับ

“มึงน่ะสิอีกะเทย” คริสตี้ถึงกับขึ้น “มึงอะอีอาเพศ อีมารศาสนา” ด่าดังลั่นเหมือนมีน้ำโห

“อ๋อเหรอมารศาสนา ? มึงแหละอีเวร” ผึ้งน้ำเสียงเย็นในทีแรก ประโยคหลังคล้ายขุ่นเคืองไม่น้อย

“มึงแหละอีจัญไร”

“มึงแหละอีเหี้ย !”

“ไม่ได้ด่าผ้าเหลือง สาธุ” อีคริสตี้อินตามบทบาท

ผมเม้มปากกลั้นขำ ยังตลกกับมุกนี้ที่เคยเจอในโซเชียลไม่หาย แถมมันยังโต้ตอบเหมือนมุกที่เคยเจออีกอันที่เคยดูคลิปอีกต่างหาก

“มีใบไหม ใบบวชอะมีใบไหม !?” มันถาม

“แล้วทำไมล่ะ” ฝ่ายผึ้งก็ให้ร่วมมือกันอย่างดิบดี ตบมุกกันจนช่องแช็ตเริ่มเพิ่มจำนวนคนดู กดอิโมจิสีเหลืองหัวเราะน้ำตาไหล

“ก็ถามว่ามีใบไหม !?” คริสตี้ย้ำคำถาม

“ใบไร ใบเฟิร์นเหรอ ?”

“ใบไม้ที่ปลิดปลิวอะอีสัตว์” คริสตี้เน้นเสียงประโยคหลัง ตบมุกกันไปมาจนผมทนไม่ไหว

“ฮ่าๆๆๆ” หัวเราะดังลั่น อย่างที่คาดเดาว่ามันเล่นมุกคลิปที่เคยมีการล้อเลียนมาก่อน แต่พอมาเจออีกก็ยังขำไม่หาย “แค่กๆ กูปวดท้อง อึก ฮ่าๆ พวกมึงหยุดที กูจะบ้าตายแล้ว รีบเข้าเกมสักที” หวังให้มันพักยกโต้คารม ซึ่งพวกมันทั้งสองก็ให้ความร่วมมือ ก่อนที่เกมของเราจะเริ่มต้นขึ้นในตาแรก

เกม ‘โอเวอร์วอช’ อย่างที่บอกว่าเป็นเกมแนวยิงปืนและเล่นกันแบบเป็นทีม ตัวละครแต่ละตัวจะมีคาแรคเตอร์แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะในด้านของสกิลความสามารถต่างๆ นานา อัลติเมท มีทั้งแท็งก์กับซัพพอร์ตและดีพีเอสพวกจู่โจมหรือป้องกันเป็นต้น กติกาของเกมคือมีสองแบบ

แบบแรกคือการยึดพอยท์ ซึ่งพอยท์ในที่นี้มีสองจุดด้วยกัน เมื่อยึดจุดแรกเสร็จสิ้นก็จะต้องไปยึดจุดที่สอง ซึ่งใกล้กับจุดเกิดของฝ่ายศัตรูที่รับหน้าที่ในเชิงป้องกัน ข้อนี้จะเป็นการสุ่มระหว่างจู่โจมกับป้องกัน แต่ละฝ่ายจะได้รับบทบาทสลับกันในแต่ละตา ในระหว่างนั้นก็จะมีการยื้อแย่งกันไปมา จนกว่าจะได้รับชัยชนะ การยึดพอยท์ท์จะมีแถบวงกลมเมื่อเราอยู่ในจุด แต่หากศัตรูอยู่ด้วย แถบวงกลมที่ว่าจะหยุดนิ่ง เมื่อเราเป็นฝ่ายจู่โจมจะต้องทำทุกวิถีทางให้ยึดถิ่นฐานของศัตรูให้ได้จนกว่าจะครบตามกำหนดเป้าหมายและไปถึงจุดที่สอง ยึดจนชนะและสลับมาที่ป้องกันแทน เมื่ออีกฝ่ายไม่สามารถยึดพอยท์ได้อย่างที่เราทำได้ ก็ถือว่าพ่ายแพ้ และเราเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ

แบบที่สองค่อนข้างอธิบายง่ายกว่ามาก คือเป็นการดันรถหรือศัพท์ในเกมที่เรียกกันว่าเพลโหลด ฝ่ายจู่โจมมีหน้าที่ทำยังไงก็ได้ดันเพลโหลดให้ไปถึงจุดที่กำหนด ซึ่งจุดที่ว่ามีสองจุดเช่นเดียวกัน และฝ่ายป้องกันก็ต้องทำทุกวิถีทางให้รถดังกล่าวไม่มุ่งหน้าไปถึงเป้าหมาย หากเป็นไปได้ให้รถอยู่ในระยะเส้นทางที่น้อยและสั้นที่สุด เท่ากับฝ่ายป้องกันได้เปรียบมากยิ่งขึ้น รายละเอียดค่อนข้างเยอะมากจนขี้เกียจอธิบาย อยากรู้เพิ่มเสิร์ชหากันเอาเองก็ละกัน เกิดผิดพลาดขึ้นมาฉอดกูตายกันพอดี นิยายก็ไม่ใช่ คิดแม่งอยู่คนเดียวตามลำพัง

ทุกสิ่งที่กล่าวมาขึ้นอยู่กับฝีมือของแต่ละคนด้วยทั้งสิ้น

ตอนนี้พวกเราก็เข้าเกมครบคนเป็นที่เรียบร้อย ผมที่เก่งกาจด้านตัวละครจำพวกแท็งค์กับซัพพอร์ตมีสองตำแหน่งให้เลือก และก็ได้คุยกันเสร็จสรรพแล้วว่าใครจะได้เล่นตำแหน่งอะไรดี ซึ่งผมกับน้องหมวยได้รับตำแหน่งซัพพอร์ตดังที่คาดคะเน คริสตี้กับแพทรับตำแหน่งเป็นแท็งค์ ผึ้งรับตำแหน่งเป็นดีพีเอสในระยะซุ่มยิง

นั่งรอสุ่มห้องไม่ถึงสองนาที ทั้งๆ ที่ปกติเกมนี้จะต้องรอนานมากถึงขนาดสิบนาทีกว่าๆ แท้ๆ ด้วยความที่เกมมันอัปเดตอะไรมาใหม่ๆ มากขึ้น อีกทั้งยังไม่สามารถเปลี่ยนสลับตำแหน่งได้หลากหลายอย่างที่เคยมีมาก่อน กลายเป็นเลือกตำแหน่งใดต้องเล่นตำแหน่งนั้นอย่างเดียวเท่านั้น พอเข้าสู่ตัวเกมก็มีรายชื่อฝ่ายเราและฝ่ายตรงข้ามปรากฎเด่นชัด แรงค์ในแต่ละระดับใกล้เคียงกัน แต่ละทีมมีจำนวนผู้เล่นถึงหกคนด้วยกัน

และทีมเรามีอีกหนึ่งคนที่ได้รับมอบหมายเป็นดีพีเอสก็มีรายชื่อที่แสนสะดุดตาสิ้นดี

‘อ๊อกๆ ติดคอ’ เป็นชื่อที่กวนส้นตีนมาก

“ชื่อเหมือนมึงเลยว่ะอีอ๊อก กูขำ ฮ่าๆ พรหมลิขิตปะวะ” คริสตี้ว่าพลางหัวเราะจนดังแทรกเข้ามาในไมค์ของผม ตัวผมเองก็หัวเราะตามมัน หยุดรอยยิ้มทันทีเมื่อช่องแช็ตในเกมเด้งขึ้น

‘สวัสดีครับ :)’

“รู้ได้ไงวะว่าเป็นคนไทย” ผมเอ่ยออกมาพูดกับทุกคนในดิสคอด แต่ไม่ได้เปิดไมค์ในเกม

“จะไม่ให้รู้ได้ไง อีแพทตั้งชื่อ ‘Lookpatty’ ขนาดนี้ อีคริสตี้ก็ตั้งชื่อ ‘กะหรี่นัมเบอร์วัน’ ทนโท่ แหกขี้ตาดูสิอีอ๊อก” ผึ้งชี้แจง

“เออว่ะ” ผมขานรับเพิ่งนึกขึ้นได้ ตั้งแต่โดนจัดหนักจัดเต็มมาเมื่อคืนนี้ เหมือนวันนี้สติจะเลอะเลือนอยู่หน่อยๆ

แต่ไม่รู้ทำไมคิ้วมันกระตุกยิกๆ แปลกๆ เหมือนมีลางบอกเหตุ…

ฉิบหาย หรือว่าตานี้จะแพ้วะ…

“เอาล่ะกะหรี่ทั้งหลาย” คริสตี้เรียกปลุกกำลังใจทุกคนให้ตื่นตัว “ยกเว้นน้องหมวย ใครใช้สกิลจีบผู้ชายติดก่อน เตรียมรับมงสิบแปดมงกุฎ”

“งั้นกูขอไม่เล่นด้วย” ผมค้าน

“เซมๆ” แพทเองก็เห็นพ้องต้องกัน

“อีอ๊อก มึงยังมีหนี้ที่ติดสินบนกูอยู่นะ มึงด้วยอีแพทสองร้อยที่ยังไม่ได้คืนเงิน” คริสตี้กดน้ำเสียง บีบบังคับพวกเราทั้งคู่

“เฮ้ยบ้า มึงอะคิดมาก ใครจะไม่กล้าเล่นวะ” ผมรีบเอ่ย น้ำเสียงร่าเริงกว่าปกติ

“จริงมึง เกมสนุกจะตายห่า ชนะก็ได้ผัวเป็นตัวเป็นตน หนุ่มโอตาคุ สวมแว่นเย็-ดุๆ” อีแพทเองก็ไม่น้อยหน้า แต่คนที่เร็วกว่าคืออีผึ้งที่พิมพ์ในช่องแช็ตสนทนา

‘หวัดดีค่ะ เราเล่นไม่ค่อยเก่งนะ แบกด้วยนะเธอ’

“ดัดจริต/ตอแหล/แอ๊บแอ้เวอร์” ผมด่าก่อน ตามมาด้วยคริสตี้และแพทที่ผสานเสียงในจังหวะเดียวกัน

“ตกลงเล่นเกมหรือหาผัวกันแน่คะ ?” เสียงของน้องหมวยดังแทรกขึ้นมาอย่างงุนงงในดงอสรพิษ

ศึกชิงนางได้เริ่มต้นขึ้น แต่นางที่ว่าดันมีงวง

“ถ้าชนะทำไงต่อ” ผมถามทุกคนในทีมก่อนเริ่มพิมพ์เต๊าะอ่อยเหยื่อ

“หึ !” คริสตี้เค้นเสียงในลำคอ พอได้หันไปมองก็จะเจอมันเชิดหน้าขึ้นเหมือนคอมีปัญหา

อีดอกนี่เป็นง่อยอีกละ

“ง่ายมาก” มันพูดพลางกลั้วหัวเราะในลำคอ เน้นชัดเน้นคำแรงๆ แบบจงใจ เอาให้ผู้ฟังและผู้ชมทางบ้านทั้งหลายขนหมออ้อยลุกกันระนาว

“ก็จับแม่งเซ็กส์โฟนเย็-กันผ่านสายแรนไปเลย”

“ความคิดกะหรี่ดี” ผึ้งกล่าว

“แต่ชอบนะ กูขำตรงเย็-กันผ่านสายแรนนี่แหละ อีห่าไฟจะช็อตก่อนปะเอาดีๆ” แพทพูดทั้งที่ขำจนได้ยินเสียงเข้ามาในหูฟัง

“ต้องขอประทานโทษผู้ชมทางบ้านด้วยนะคะที่มีคำหยาบคา...” ผมที่พูดไม่ทันจบ กำลังจะสนทนากับทุกคนในช่องแช็ต พอหันมาทางหน้าจอมือถือก็ดวงตาเบิกโพลง คลิปวิดีโอไลฟ์สดมีผู้ชมเพิ่มขึ้นเป็นหลักพัน “หลี !” หลุดเสียงร้องด้วยความตกกะใจ

“ฮะ ! ใครแหกหลี !” คริสตี้สะดุ้งโหยง ร้อนรนหมุนเก้าอี้มาจ้องหน้าผมทันทีทันใด

“ม...มึง” เสียงผมสั่นระริก ตกใจเหมือนนายเอกตอแหลในนิยายวายที่มาสะดุ้งกับเรื่องตื่นตาตื่นใจ “มีคนพันกว่าคนมาดูคลิปอะมึง” พูดแล้วน้ำตาจะไหล “เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย”

“...” คริสตี้เงียบดูอึ้งทึ้ง

“หรือว่ามีคนจับได้ที่เราเป็นกะหรี่กันอะมึง” น้ำตาเริ่มคลอเบ้าแล้วนะแม่

“เลอะเทอะละอีสัตว์”

“...” เม้มปากแน่น สะอื้นฮัก คุณเพื่อนรักด่าแรงมาก

“มึงร้องไห้ทำเหี้ยไร”

“ฮือ” รับไม่ได้ หมุนกายมาพิมพ์ยิกๆ ในแป้นพิมพ์

‘เธอเปิดไมค์คุยได้มะ เข้าทีมวอยซ์จะได้คุยสะดวก’ เปลี่ยนมาอ่อยผู้ชายในเกมแทน ใจยังเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ กับยอดคนดู ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

‘ได้ค่ะ’ อีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมา สักพักก็ได้ยินเสียงคลื่นไมค์เหมือนกำลังขยับอะไรสักเล็กน้อย กระแอมสองสามทีก็เอ่ยทักทาย

“สวัสดีครับ ได้ยินไหม ?”

“กรี๊ดดด เสียงหล่อมากมึง !” คริสตี้หมุนเก้าอี้ หันมาสะดีดสะดิ้งต่อหน้าต่อตาผม

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับมัน เม้มปากแน่นกลั้นเขิน เสียงของเขามันทุ้มละมุนเหมือนสไตล์ชายหนุ่มอบอุ่น ฟังแล้วคล้ายพี่นนท์จังเลย แต่เข้มกว่าเยอะ

“ได้ยินเสียงแล้วอยากอมคว-” ผึ้งพูดจาหื่นกาม ซ้ำยังเสริมคำพูด “ขอเวลานอกไปชักว่าวแป๊บ”

“เหี้ยมากอะ” แพทแทบร้องอี๊ขยะแขยง “แต่เสียงหล่อจริง ต้องเอาแล้วแหละ”

“เสียงหล่อแต่อาจหน้าเหี้ยก็ได้นะ” ผึ้งว่า

“แล้วทำไมต้องเหยียดหน้าตาคนอื่นอะ” คริสตี้ท้วง น้ำเสียงติดไม่พอใจ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 17-11-2019 18:13:55
ผมร่วมวงด้วยเพื่อเป็นการกลั่นแกล้งอีกคน เพราะรู้ดีว่าคริสตี้มีเจตนาอะไร “เออ ทำไมต้องเหยียดอะ คนเรามันอยู่ที่รูปโฉมโนมพรรณอ๋อวะ หัดมองผ่านจิตใจกมลสันดานบ้างสิ”

“คันฉ่องก็มีหัดดูตัวเองบ้างนะ ก่อนจะไปเหยียดคนอื่นอะ” คริสตี้ไม่ละเว้น

“ใช่ๆ ช่ายยย ~” ผมทำตัวเหมือนเป็นอีลูกล้อ ติดนิสัยมาจากคนในกลุ่มนั่นแหละ

“มึงก็ดัดฟันมา หมอไม่ได้บอกเหรอว่าก่อนดัดฟันให้หัดไปดัดสันดานมาก่อนอะ”

“แรงนะ เป็นกูร้องไห้แล้วอะ” แพทเอ่ยหลังจากที่คริสตี้ด่าคำๆ นั้น

ไร ! เสียงไลน์ดังขึ้นเหมือนเสียงคนร้องไม่พอใจ ผมถอดหูฟังออกจากบทสนทนาที่กำลังด่าทอกันไปมา เปิดดูข้อความของคนคนหนึ่ง

[Non : ทำไรอยู่คะหนู ?]

ใจถึงกับกระตุกวูบ แม่คะ ผู้ชายทักมาหาแหละ ! ฮือ ปลื้มปริ่มปรีดา เม้มปากแน่นกัดแม่งจนเจ็บไปหมด เขินทั้งในเกม เขินทั้งในไลน์ อ๊อกเลือกไม่ถูกแล้ว

[อ๊อกเจ็บคอ : เล่นเกมอยู่ครับ] แต่ถ้าผัวคิดถึงขนาดนี้เมียยอมเลิกเล่นเกมก็ได้นะ ลดแต้มแรงค์ก็ไม่เป็นไรหรอก มากสุดแค่โดนเพื่อนทึ้งหนังหัว

[Non : ไม่อยากเล่นอย่างอื่นบ้างเหรอคะ ?]

เล่น...เล่นไรคะ ! มาแบบนี้อีอ๊อกตาโตเท่าไข่ห่านแล้วนะคะ แต่ก็ต้องรีบพิมพ์ตอบกลับเพราะเกมเริ่มนับถอยหลังทีละนิด ประโยคเสแสร้งเหมือนนายเอกไม่ประสีประสา

[อ๊อกเจ็บคอ : หมายถึงเล่นไรเหรอครับ ?] งง...งงมากค่ะ คุณพี่หฤษฎิ์จะเอื้อนเอ่ยเช่นไร วอนโต้ตอบโดยไวที

[Non : (แนบรูป)]

[Non : เล่นนี่ไงคะ]

โอ้โหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหห ! คว-ถอกค่ะแม่ขาาาาา ไวทันใจ ไวจนแตดสั่นระริกจนถึงเจ็ดจุดศูนย์ริกเตอร์ แผ่นดินกำลังสั่นสะเทือนใช่ไหมครับ อ๊อกเริ่มอยากเล่นว่าวขึ้นมาในปริยาย

“อีอ๊อกเร็วๆ” คริสตี้หันมาเร่งเร้าเพราะเกมเริ่มเดินกันแล้ว มีแค่ผมกับตัวละครอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ยอมเดินทาง

“เล่น…” ผมเอ่ยปากพึมพำเพียงลำพัง มือสั่นระริกรีบหยิบหูฟังยัดใส่รูหู อีรูตูดตัวเองก็ขมิบไปพลาง กดเซฟรูปนั้นแทบไม่ทัน

ใหญ่ ใหญ่มากค่ะ ปริ่ม น้ำปริ่มมาก...

สากกะเบือในรูปมันชวนเล่นว่าวเหาะเหินเดินอากาศซะจริงๆ เลยค่ะแม่ขา เกมกับคว- ตัดสินใจไม่ถูก ท่องคาถาเป็นซัพพอร์ตต้องฮิวใจให้เพื่อนๆ ไม่ให้เลือดลด

คำว่าฮิวอะ ฮิวนะ ฮิวให้ขึ้นใจ แต่แล้วทำไมเกิดฮิว(หิว)คว- ขึ้นมาดื้อๆ

แหมะ !

เอ๊ะ…ก้มหน้าลงไปมอง

“...” ช็อก เป็นครั้งแรกที่กำเดาไหลในรอบสิบปี ไหลเหมือนพรหมจรรย์ที่ฉีกขาดในวันวาน

“ตายๆ” ผมถึงกับรีบปาดเช็ดผ่านแขนเสื้อโดยไว ยืดตัวไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อหยิบม้วนทิชชูดึงออกมายัดใส่รูจมูกข้างขวา

ณ ตอนนี้เล่นตัวละครที่มีชื่อว่า ‘Mercy’ มีหน้าที่เป็นซัพพอร์ต กำลังกางปีกบินเกาะเพื่อนพ้องที่พุ่งตัวไปด้านหน้า อีกฝ่ายใช้อาวุธเป็นดาวกระจายในการต่อสู้ หรือดาบสั้นที่ไว้ใช้ฟันในระยะประชั้นชิด อัลติเมทคือการควักดาบยาวฟันศัตรูให้แม่งล้มตายกันไปข้าง ต่างจากผมที่มีสกิลฮิวเป็นสายสีเหลือง คลิกขวาค้างจะเป็นสายสีฟ้าเพื่อเพิ่มดาเมจให้เพื่อนที่เราเลือก และมีสกิลชุบติดตัวเวลาเพื่อนตายห่า มีระยะคูลดาวน์พอสมควร ซึ่งต้องอาศัยจังหวะที่ลงตัวด้วยนะในการชุบชีวิต อย่าได้ริกระแดะไปชุบต่อหน้าต่อตาศัตรูเชียว มิเช่นนั้นจะโดนรุมประชาชีคล้ายรุมข่มขืนก็ไม่ปาน

น่าเสียดายที่แต่ก่อนเมอร์ซี่เคยชุบห้าคนได้ ทว่าบัดนี้กลับถูกปรับให้ชุบได้แค่คนเดียวเท่านั้น เพราะถือว่าโกงเกินไป กลายเป็นอัลติเมทที่กางปีกบินหนี ใช้คฑาฮิวเพื่อนเป็นสายระโยงระยาง มีอาวุธนอกจากคฑาก็คือปืนสั้นกระบอกเล็ก

“คิดเหี้ยไรอยู่อีอ๊อก เหม่อแม่งอยู่ได้ รีบฮิวกูสักที เลือดลดเหมือนยุงลายแล้วอีดอกทอง !” คริสตี้ตวาดใส่ ผมเบิ่งตามองตัวละครแท็งก์ที่เป็นลิง โดนยิงจนเลือดลดฮวบๆ

ดีที่อีคริสตี้มันกางบาเรียไว้ก่อน ขืนโดนยิงอีกนัดแม่งได้ตายม่องเท่งอย่างแน่นอน

“โทษทีๆ” มัวแต่สาระแนครุ่นคิดเหมือนบรรยายเนื้อหา จดจ่อฮิวเพื่อนแทนจนเลือดเต็มจำนวน

“นาย เดี๋ยวเรากระโดดแล้วเข้าไปแล้วล้วงพร้อมกันเลยนะ” คริสตี้ส่งสัญญาณให้กับอีกคนที่เล่นตัวละครนินจา

“ล้วงเลยอ๋อ ล้วงไรอะ” แพทถามเสียงยาน

“ล้วงคว-มั้งคะ” คริสตี้พูดทั้งที่เปิดไมค์ในเกมอยู่ นับหนึ่งสองสามปุ๊บก็พลันกระโดดเข้าไปหาศัตรูพร้อมกับตัวละครที่ทำหน้าที่จู่โจม เข้าไปฟันและกระแสไฟฟ้าแสนโวลต์ “ช็อตให้หลีฟูกันไปเล้ย !” มันกระแทกเสียงด่า เรียกเสียงหัวเราะคนในทีมเดียวกัน ฆ่าซัพพอร์ตกับดีพีเอสฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งสองตัวในเวลาอันรวดเร็ว

“เกนจิถอยก่อน เลือดลดแล้ว” ผมเตือนคนตรงหน้าที่โดนแท็งค์ใช้ค้อนฟาดตบหัวจนหน้าหัน ชีวิตจริงคงหัวแบะ

“ครับๆ” อีกคนพุ่งหลบหลีกไปด้านข้าง ผมใช้เม้าส์เล็งไปที่ตัวละครนินจาก่อนจะบินเข้าไปหาและฮิวเลือดให้

“เกือบแล้วนะ” ผมบอก

“ขอบคุณนะครับ” อีกคนตอบกลับ เมื่อเลือดเพิ่มเต็มจำนวนก็พุ่งทยานไปล้วงฝ่ายตรงข้ามต่อ ใช้ดาวกระจายปาใส่ศัตรูจนตายเกลื่อนกลาด

“เก่งโคตร” ผมเอ่ยชมคล้ายพึมพำ แม้แต่ทุกคนในตี้ก็ยังชมเชยผู้ชายที่เล่นตำแหน่งดีพีเอส ยึดพอยท์แรกได้ในเวลาอันรวดเร็ว ขึ้นขีดเต็มก็เดินทางไปพอยท์ที่สองต่อ  ห่างไกลจากจุดเกิดเราสักเล็กน้อย

ในระหว่างนี้ก็เกิดการยื้อแย่งพอยท์ ตัวผมเองก็มีหน้าที่หลบหลีกพวกดีพีเอสที่พยายามไล่ฆ่า จนตัวละครเมอร์ซี่ต้องบินล่อนไปเกาะคนนู้นคนนี้ที อดไม่ได้ที่จะโวยวายโหวกเหวก “ช่วยด้วยยย อีเหี้ยเกนจิฝ่ายตรงข้ามจ้องจะเย็-กูแล้ว”

“นายๆ ช่วยเมอร์ซี่ที” ผึ้งที่กำลังซุ่มยิงฝ่ายตรงข้ามอยู่ เล่นตัวละครสไนเปอร์เอ่ยบอกผู้ชายในทีม

ผมขมวดคิ้วมุ่น โดนเกนจิของศัตรูไล่ปาดาวกระจายใส่ไม่หยุดหย่อน หันไปดูก็เห็นทีมตัวเองกำลังวุ่นวายกันชุลมุนไปหมด เลยตัดสินใจควักปืนออกมาแทน

“จะเอากูให้ได้ใช่ไหมอีนินจา” เค้นเสียงลอดไรฟันอย่างมีน้ำโห เล็งเป้าหมายยิงปืนใส่ตัวละครตรงหน้าที่ใกล้จะถึงตัวภายในเสี้ยววิ ซ้ำยังวิ่งตามไม่เลิกรา แถมมันยังใช้สกิลปัดกระสุนอีกต่างหาก ผมเลยหยุดยิงสักพักหนึ่ง กดปุ่มอัลติเมทกางปีกบินสู่ท้องฟ้า เล็งหัวศัตรูเพื่อล็อกเป้าเสร็จสรรพก็สาดกระสุนไม่ยั้งสุดชีวิต เมื่อตัวละครตรงข้ามพุ่งกระโจนเข้ามาหมายจะฟันผม ผมก็กดปุ่มเอาคฑาฟาดหัวศัตรูในระยะใกล้ในทันที ปลิดชีพตัวละครตรงหน้าให้ตายในทันใด “เล่นกับใครไม่เล่น เสือกมาเล่นกับกู”

“ว้าว เมอร์ซี่หลีกระพือ แหกหลีบินพึ่บๆ” อีผึ้งหยอกล้อ ทั้งขำและจริงจังในระหว่างต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

“ถ้าใช้ปีกบินหมุนเป็นกงจักรได้กูทำไปนานละ” ผมบ่น พลันโมโหเมื่ออีผึ้งกดสัญญาณขอฮิวหลายครั้งหลายหน “นี่ รอเป็นไหมอีควาย กดแม่งย้ำๆ อยู่ได้อีสัตว์ เดี๋ยวกูก็โยนคฑาให้ฮิวเองเลยหนิ” ด่ามันทั้งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะโยนอาวุธส่วนตัวให้อีกคนได้ใช้งาน

“มือลั่น ขอโทษได้ไหมล่ะ” ผึ้งบอกผสมกับเสียงหัวเราะ

“ฮ่าๆๆ” เสียงผู้ชายในทีมดังลั่นขึ้น ดูตลกกับคำพูดคำจาของผมสุดๆ “จบตานี้ขอเล่นด้วยได้ไหมครับ สนุกดีอะ” อีกฝ่ายบอกขณะพุ่งตัวไปฟันศัตรูด้านหน้า สร้างดาเมจรุนแรงจนฝ่ายตรงข้ามนอนตายไปอีกหนึ่งราย

“ได้สิ ขึ้นชื่อว่าผู้ชายได้หมดแหละ” คริสตี้ตอบรับแทน ส่วนผมกลอกตามองไปที่มือถือก็เห็นอิโมจิกดปุ่มโกรธในชั่วพริบตา แถมหน้าอีโมจิที่ว่าก็ดันเป็นของพี่เดือนด้วย

‘อาห์ อีเพื่อนร่าน ลางกูบอกเหตุว่าศพมึงไม่สวยอย่างแน่นอน’ ได้แต่เก็บครุ่นคิดเอาไว้ในใจ

“แล้วถ้าเป็นผู้หญิงล่ะ” แพทถามขณะใช้หุ่นสีชมพูยิงสาดกระสุนใส่แท็งค์ที่มีลักษณะเป็นหมูตัวใหญ่ๆ

“ก็ไล่ออกไปซะ ชะนีไม่รับหรอกค่ะ ออกไป๊ !” มันตะโกนซะแสบแก้วหู

“งั้นเดี๋ยวหนูรีบกดปุ่มออกเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” น้องหมวยว่า ตัวละครหยุดนิ่งคล้ายจะกดปุ่มออกจากเกม

“อย่าค่ะน้อง พี่ไม่ได้หมายถึงเรา ฮ่าๆ อยู่แก๊งพี่ พี่นับเราเป็นลูกสาวค่ะ” คริสตี้รีบปลอบประโลม แกล้งเล่นส่งมุกกันทั้งนั้น หัวเราะกันไม่หยุดปาก แถบวงกลมก็ใกล้จะครบแล้ว ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับทยอยกันมามากขึ้น

“แอนนามีอัลติยังครับ” ผู้ชายในทีมที่ชื่อไอดีอ๊อกๆ ติดคอถามไถ่

“มีแล้วค่ะ” น้องหมวยขานรับ

“งั้นนาโนใส่ผมตอนนี้เลยครับ” พูดสกิลเสร็จสรรพก็กระโดดพุ่งตัวเกือบถึงศาลาของด่าน เปล่งประกายแสงสีฟ้าวาววับในตัวละคร ผนวกกับกระแสไฟฟ้า

“เหมือนปิกาจูเลย” ผมแกล้งล้อเลียนอีกฝ่ายในระหว่างที่อีกคนกำลังเปิดอัลติเมทควักดาบยาวอาวุธมาจากด้านหลัง พุ่งเข้าไปฟาดฟันใส่ซัพอร์ตตรงข้าม ตามติดมาด้วยดีพีเอสและแท้งค์หลายตัวติดกัน ฆ่าพร้อมกันทีเดียวถึงหกตัวละคร กลายเป็นยึดพอยท์ได้ในที่สุด

“โหยยยยยยยยยย !” กะเทยร้องลั่นกันระนาว ปากอ้าตาค้างกับสิ่งที่เห็นในหน้าจอคอม

โหดเหี้ยๆ ค่ะพ่อ !

“เก็บหมดเลยเวอร์” น้ำเสียงของผึ้งดูตื่นตะลึง

“โหดจัง” น้องหมวยกล่าว

“โซผัวมากค่ะพี่” อีคริสตี้แทบกรี๊ดลั่น “อยากได้เป็นสามีกันเลยทีเดียว”

“ก็คือถ้าฟันเก่งขนาดนี้ ถ้าเปรียบเป็นผู้หญิงฝ่ายตรงข้ามก็ตั้งท้องกันหมด” ผมหยอกเย้า แต่ใจจริงอึ้งทึ่งไม่หายกับความเก่งกาจของผู้ชายในทีมตนเอง

“จริงมึง” คริสตี้เห็นด้วย

“แล้วอยากลองท้องบ้างไหมล่ะครับ” เสียงผู้ชายในทีมหยอดคำหวานกลับมา เล่นเอาผมชะงักงันกลั้นเขิน

ไม่มีมดลูกอะค่ะให้ทำไงดี หากเป็นผู้หญิงโดนพูดแบบนี้ใส่จะถือว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ แต่ทางเราเป็นฝ่ายอ่อยก่อน ฉะนั้นจึงไม่นับว่าเป็นอะไร

หึ ผู้ชายเล่นด้วยแหละแม่ อย่างงี้ตกเหยื่อได้ชัดๆ อีพวกเพื่อนๆ ก็ต้องพ่ายแพ้ด้วยความไม่สวยพอ

ส่วนพี่นนท์พักก่อน ว่าที่ผัวไม่รู้หรอก สถาปนาให้กูเป็นแฟนไหม ? ก็ไม่

“ก็อยากนะคะ” หยอดคำหวานตอบกลับไป สมควรมงลงกบาลตัวเองเป็นที่แน่ๆ ชัยชนะนี้ต้องเป็นของเรา

“อีพวกไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ” กดปิดไมค์ในเกมแล้วด่าทุกคนในดิสคอด

“อีกะหรี่” คริสตี้ด่าสวน

“ว่าไงอีแม่เล้า” ผมด่ากลับ กระทั่งตาพวกเราถูกเปลี่ยนเป็นฝ่ายป้องกันในพอยท์แทน จากนั้นก็บังคับตัวละครให้เดินไปปกป้องในฐานแรก ครั้งนี้ผมเล่นตัวพระที่มีลูกประคำวนล้อมรอบตัวละคร เวลาฮิวเพื่อนๆ ก็จะปาบอลลูกกลมๆ เล็กๆ อยู่เหนือศีรษะของเพื่อนพ้อง ฮิวได้ทีละหนึ่งตัวเท่านั้น ไม่รู้จะใส่แม่งทำไมหลายลูกประคำ ทั้งๆ ที่มีตั้งหกลูกอีฉิบหาย

ผมอธิบายตัวละครในการสตรีม “สกิลตัวนี้คือการปาฮิวให้เพื่อนนะคะ และการใส่ลูกประคำสีม่วงๆ ติดศัตรูเพื่อให้ได้รับผลกระทบดาเมจมากยิ่งขึ้น การโจมตีทั่วๆ ไปคือการปาลูกประคำใส่อีกฝ่าย อัลติเมทเป็นการพนมมือส่องแสงสีเหลืองทองอร่ามเหมือนสวดมนต์ ตัวละครเราจะเป็นอมตะชั่วขณะ ส่วนเพื่อนๆ จะได้รับเลือดกี่จำนวนอันนี้ก็ไม่ทราบ ข้อนี้ไปทำการบ้านเสิร์ชหาดูกันเอาเองนะคะท่านผู้ชมทั้งหลาย อย่าขี้เกียจกันให้มาก ขยันกดไลก์กดแชร์ด้วยนะคะ”

มีอิโมจิสีเหลืองหน้าหัวเราะขึ้นมานับสิบ

เกมรอบที่สองเริ่มต้นขึ้น ด้านหน้าที่เราป้องกันใกล้กับจุดเกิดตัวละครฝ่ายตรงข้ามหน่อย จะมีกำแพงสูงชะลูดที่สร้างจากไม้เหี้ยไรก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน อีนักเขียนคนนี้แม่งก็ไม่เคยศึกษาห่าเหวอะไรเลยสักนิด เห็นมีช่องโหว่เล็กๆ ขวามือด้านบนกับโขดหิน เผื่อตัวละครตัวไหนกระแดะอยากปีนป่ายขึ้นไปยิงศัตรูด้านนอก ทางเข้าจะเป็นสองช่องทางดังที่กล่าวเบื้องต้น ที่ยืนอยู่นี้คือบานประตูใหญ่ๆ ที่พวกเรากำลังป้องกันโดยมีแท็งค์ยืนกางโล่ให้อยู่ นับเวลาถอยหลังศัตรูก็เดินกันมาเป็นขบวน

ด่านที่เล่นเป็นสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ

อธิบายรวบรัดไหมคะ ถ้ารวดรัดเกินไป รบกวนอ่านใหม่อีกสักรอบ และหยุดแวะเสิร์ชหาข้อมูลด่านที่ว่า

“โซเยอร์ปกป้องเราด้วยนะ” ผมแอ๊บเสียงหวานหวังหาที่ปกปักจากผู้ชายในทีม

ก็แหม ไหนๆ ก็จะได้ผัวคนที่สองอะ ขยันเต๊าะหน่อยให้มันเหมาะคำครหาว่าอีกะหรี่

“จะพยายามนะครับ” ผู้ชายตอบมา ทำผมรู้สึกตัวเองสวยมาก พลางยกยิ้มภาคภูมิใจ

“กูชนะจ้ะ” ผมปิดไมค์ในเกมพูดในดิสคอด

“เกมยังไม่ทันจบ อย่าเพิ่งนับศพกะเทย” ผึ้งกล่าวเสียงเยาะ

“ทหารปะเอาดีๆ” ผมแก้ให้ บีบเสียงหวานพูดในเกมต่อ “มีเธอแบกอะไรก็ดีไปหมดแหละ สู้ๆ นะเธอ เราเป็นกำลังใจให้ จะคอยปาฮิวให้ตลอดเลย” ผมพูดส่งกำลังใจ

“แล้วพวกกูล่ะ” คริสตี้เอ่ยในเกม

ผมเปิดไมค์บอกมัน “เก็บยาหาแดกกันเอาเอง”

“ดอกทองช้างลากเย็-มาก” มันด่าอย่างเกรี้ยวกราด

“ไม่หยาบคายสิ มีคนดูตั้งเยอะแยะ เดี๋ยวก็โดนรุมรีพอตหรอก” ผมเตือน ใจหนึ่งก็เกรงกลัว แต่ถ้าขืนโดนจริงก็คงปิดล้มเลิกการเป็นนักแคส

“รบกวนอ่านชื่อเพจด้วยนะคะท่านผู้ชมทั้งหลาย เด็กๆ ก็อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง” คริสตี้ชี้แจง ผ่านพ้นไม่นานคำหยาบก็ตามมา “เอาแล้ว แม่งจะเอากูแล้ว อีสัตว์โล่จะแตก โล่จะแตกแล้วอีเหี้ย !” มันโวยวายด่ากระแทกกระทั้นไม่พอใจ เมื่อตัวละครแท็งค์ของตนเองที่มีเกาะถึงสองพันถูกดาเมจถล่มทลาย ผมรีบปาลูกประคำฮิวให้มันทันที ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถช่วยอะไรขึ้นมาได้ เมื่อคริสตี้โดนฝั่งตรงข้ามทั้งหมดรุมทึ้งกันระนาว แม้คนอื่นๆ จะพยายามช่วยเหลือคอยซัพพอร์ตให้ตลอด สุดท้ายก็โดนยิงตายรอคอยการเกิดใหม่

“กูโดนรุมเย็-เลยอีสัตว์” มันโมโหโทโสในบัดดล

“อีคริสตี้โดนรุมประชาชี” แพทกล่าวยั่วเย้า “ช่างน่าสงสาร”

“อีริปเปอร์ฝ่ายตรงข้ามนะอีดอก ยิงกู เดี๋ยวก่อนเถอะ เจอกูแน่” แสดงถึงความขุ่นเคืองคับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง “อีหน้าเม็ดแตด”

ตัวผมกลั้นขำคำพูดอีคริสตี้ แต่ก็ยังได้ยินเสียงผู้ชายในทีมเดียวกันแอบกลั้นขำเช่นเดียวกัน

อีหน้าเม็ดแตด คือศัพท์ติดปากคริสตี้พอๆ กับอีช้างลากเย็-

“ด่าอีกๆ ด่ามันแรงๆ เลย” ผึ้งสนับสนุน

“อีน่าหลี” คริสตี้ว่า

ผึ้งเสริม “เอาอีกๆ”

“อีเหี้ยอีสัตว์” คริสตี้ต่อปากต่อคำ

“ไม่พอ เอาให้มันเจ็บกว่านี้ เจ็บให้หลีแสบทรวงไปถึงข้างใน” อีผึ้งกัดฟันใส่อารมณ์ร่วม พลางซี๊ดปากเหมือนแดกพริกขี้หนู

“อีคว-เหม็น อีกระดอหมา อีขี้เปียกติดหนังคว- อีคว-ถอก อีกะหรี่ชั้นต่ำไร้ราคา อีกะเทยหน้าหนังหลี ชอบขยันเสี้ยมเก่งนักนะอีหน้าส้นตีน อีดอกทอง สาระชั่ววววววว !” คริสตี้ถึงกับลากเสียงยาวเหยียดในประโยคท้าย “พอใจมึงยังอีผึ้ง”

“...” ผึ้งถึงกับเงียบไม่กล้าเอ่ยปาก ทิ้งเวลาชั่วครู่ก็เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ “เกือบจะดีละ ประโยคแรกคือจุกกระดอหมามาก ประโยคท้ายคือจิกหลีกูสุด”

“บ้าาาาา มึงอะคิดมาก ใครจะไปกล้าด่าเพื่อนรัก” คริสตี้เสียงยานดูมีพิรุธ

“อ๋อเหรอคะ” ผึ้งไม่มั่นใจ

“จริงค่ะอีสัตว์”

“ด่าใคร” ผึ้งว่า

“อ่าว โง่อีก โดนด่าเสือกไม่รู้ตัว” คริสตี้ตอบทันควัน

ไม่ทันไรอีผึ้งก็โดนศัตรูยิงตายห่า

“โอ๊ย ! เพราะมึงอะอีคริสตี้ ชวนกูคุย” ผึ้งแว้ดใส่ไม่พอใจ โบ้ยไปทางอีกฝ่าย

“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า หญิงร่านต้องตายก่อน” คริสตี้หัวเราะสะใจ

“ประทานโทษนะคะ แต่ได้ข่าวมึงตายก่อนกูนะอีควาย” ผึ้งค้าน เรียกสติอีคนที่ด่าไม่ทันยั้งคิด

“เออว่ะ” คริสตี้เพิ่งนึกขึ้นได้

สถานการณ์กลับมาคับขัน เหล่าผู้รอดชีวิตที่เหลือต้องเอาตัวรอดกับการโดนศัตรูไล่ล่าเหมือนอาฆาตแค้นพยาบาท  ฝ่ายจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามเล่นตัวละครที่สามารถบินได้ ซ้ำยังยิงปืนบอมใส่ผมจนต้องกางปีกบินหนีไปที่ด้านหลังผนังโขดหิน ส่วนน้องหมวยที่เล่นตัวยายแก่ๆ สามารถใช้ปืนยิงฮิวให้เพื่อนๆ ได้ พลันยิงยาสลบใส่แท็งค์ที่หมายจะไล่ล่าตนเองจนนอนหลับอุตุ

ต่างจากแพทที่ใช้ตัวละครผู้หญิงตัวใหญ่บึกถือปืนเลเซอร์ไล่ยิงไปที่ตัวละครอื่นๆ และก็หันไปกางบาเรียให้เพื่อนพ้องเพื่อดูดกระสุนฝ่ายตรงข้าม ทำให้ดาเมจของตัวละครมันเพิ่มมากยิ่งขึ้น มันทำหน้าที่ได้ดีมากจนผมต้องเอ่ยปากชม ส่วนตัวผมเองก็บินไปฮิวให้คนนู้นคนนี้ที อาศัยจังหวะพลิ้วไหวจนฝ่ายตรงข้ามไล่ฆ่าแทบไม่ทัน ในระหว่างนั้นพวกคริสตี้กับผึ้งก็กำลังเดินมายังพอยท์แรก ใช้ระยะเวลาหลายวินาทีอยู่

“เอาอีฟาร่าที รำคาญมาก” ผมร้องขอความช่วยเหลือ เอ่ยชื่อตัวละคร

“เดี๋ยวหนูใช้แม่มันฆ่าลูกมันให้ค่ะ” น้องหมวยหมายมั่น เพราะตัวละครที่น้องเล่นมีสตอรี่เป็นแม่ของศัตรูตัวละครดังที่ว่า หนำซ้ำน้องยังด่า “อีลูกทรพี” จากนั้นก็ยิงกระสุนสร้างดาเมจใส่ตัวละครที่บินว่อนเหมือนแมลงหวี่แมลงวัน

“ขอบคุณมาก เก่งมากน้องหมวย” ผมชมเปาะ หลังจากที่ตัวละครตัวนั้นตายห่าในไม่กี่วินาทีต่อมา หมุนเม้าส์บินไปฮิวให้ตัวละครทหารแทน แถมอีกฝ่ายยังวิ่งวุ่นไปมา เลือดในหลอดก็เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง

ผมฮิวปุ๊บก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มดาเมจให้แทนอย่างรู้งาน เพื่อนผู้ชายในทีมจึงฆ่าศัตรูฝ่ายตรงข้ามได้ไปถึงสามตัว ช่างแม่นเหมือนใช้โปรแกรมโกง

โหดไปไหนอะถามจริง “เปิด ‘aimbot’ ปะหนิ” ผมแกล้งหยอกล้อเขา

“จะบ้าเหรอ ฮ่าๆ” ผู้ชายในทีมหัวเราะขำ มิวายบอก “ฝีมือล้วนๆ ครับ”

“แล้วอย่างอื่นมีฝีมือด้วยปะ” ผมแกล้งหยอดคำหวาน หวังใช้มุกอ่อยเหยื่อเพื่อสำเร็จแผน

“หมายถึงอะไรครับ ?” อีกคนดูท่าจะไม่เข้าใจ ผมจึงต้องอธิบายต่อ

“หมายถึงเรื่องบนเตียงอะ มีฝีมือด้วยปะ ?” พูดไปก็รีบเม้มปากแน่น เขินสิ้นดี

“ร่านมากกกกกก !” คริสตี้กล่าวอย่างส่อเสียด

“อุ้ย ! เจอดอกไม้” แพทพูดต่อ “อ้อ นี่ดอกทองนี่เอง”

“พบคนเป็นกะหรี่ค๊าคุณตำรวจ” ผึ้งก็ไม่ต่าง กล่าวพาดพิง “หนักกว่ากะหรี่ก็อีดอกนี่นี่แหละ”

“แรงน๊า” ผมขานรับคำด่าเสียดแทงของเพื่อนๆ  คิดว่าจะไม่โดนด่าแล้วนะ แต่น้องหมวยก็มาผสมโรงกับเขาด้วย

“หมวยเพิ่งรู้ว่าพี่แรดมากขนาดนี้”

แรงมาก ! ด่าขนาดนี้พวกมึงมารุมตบกูเลยเถอะ

“อีอ๊อกเขามีจุดมุ่งหมายการเป็นกะหรี่ค่ะพวกมึง” คริสตี้พูดจาติดตลก ไม่เว้นจังหวะให้ผู้ชายในทีมได้ตอบผมกลับเลยสักนิด หนำซ้ำทุกคนยังส่งเสริมแกล้งทำเป็นงงงวย

“คือไรอ๋อมึงกูอยากรู้อ่า อยากรู้ๆ” ผึ้งบีบเสียงตอแหลใส่อย่างเป็นทางการ กระดี๊กระด๊าจนน่าตะปบหน้า

“ร่านให้สุด แล้วไปสิ้นสุดที่วัดพระบาทน้ำพุ”คริสตี้กล่าว

“แรงมากอีสัตว์” ผมสวนกลับ หลุดขำเล็กน้อยกับคำด่า ก่อนจะสาปแช่งมัน “เดี๋ยวกูจะไปทำบุญที่นั่น มึงนั่นแหละที่ต้องไปแทน อีพวกบาปหนา”

“จบนี่กูจะรีบไปสวดมนต์ขอโทษขอโพย” คริสตี้รีบร้อนรนกล่าวออกมา

ผมปิดไมค์ในเกมทันที ด่าฉอดมันในดิสคอด “สวดมนต์ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เข้าวัดทำบุญบาปหนาอย่างมึงอโหสิกรรมใคร ออกมาก็ระริกระรี้ตอแหลสร้างผลชั่วเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”

“ทำไมเพื่อนปากคอเราะร้ายแบบนี้อะ รับไม่ได้” คริสตี้บีบน้ำเสียงสะอื้นไห้

“ปากคอเราะรายค่ะ เรียกให้ถูกหน่อย” ผมแก้ต่าง

“ช่างหัวศัพท์นิยายมึงเถอะ ปากคอเราะร้ายติดปากกว่า กูสะดวกแบบนี้ มึงอย่าได้มาสาระแน” คริสตี้หงุดหงิดรำคาญใจ “ขยันปากดีนักนะเดี๋ยวกูหันไปกระโดดถีบให้กระเด็น” มันพูดแหย่ทีเล่นทีจริง

“ก็ลองดูสิ” ผมแกล้งลองเชิง ขะมักเขม้นในการเล่นเกม แต่อยู่ดีๆ ตัวก็เอนเอียงล้มลงไปด้านข้างจากแรงถีบที่อีเพื่อนชั่วยืดขาออกมาเตะ

“อีคริสตี้ !” ผมตวาดลั่น ผสมผสานกับเสียงหัวเราะ หันมาจ้องหน้าจอคอมก็ปรากฎว่าตัวเองโดนยิงตายซะแล้ว “กูเดี้ยงเลยเนี่ย มึงแม่งเลว”

“สมน้ำหน้ามึง” อีเพื่อนร่านยิ้มหยันสาแก่ใจ “แรดดีนัก กูจะฟ้องผัวคนแรกของมึงด้วย เดี๋ยวก่อนเถอะ”

“เขาไม่ใช่ผัวกู” ผมอธิบาย

“ก็เย็-กันเมื่อคืนนี้จะไม่ใช่ผัวได้ไง หรือเป็นFWB” คริสตี้ที่หันหลังให้พูดเสียงหวานเร่งเร้าอย่างเจ้าเล่ห์

“ย่อมาจากอะไร” ผมไม่เข้าใจความหมาย แต่พอจะเห็นบ่อยๆ ในแอปหาคู่สนทนา

“Friend with benefits เพื่อนสิทธิประโยชน์ หรือถ้าพูดตรงๆ ก็คือเพื่อนคุยและเย็-กันได้แบบไม่ผูกมัด” มันแจงให้เสร็จสรรพ

“โอ้ น่าแต่งเป็นนิยายวาย ขอบคุณที่ชี้แจง” ผมขานรับขอบพระคุณ ขณะรอคอยการเกิดใหม่ ขณะนั้นเองทีมในพอยท์แรกก็ตายห่ากันหมด กลายเป็นโดนยึด เลยต้องมายืนที่พอยท์สองซึ่งใกล้กับจุดเกิดในพิกัดตนเองแทน

“ขอให้ชนะเหอะ ขี้เกียจสู้ใหม่” ผมบ่นลอยๆ

จู่ๆ เสียงผู้ชายในทีมก็แทรกขึ้นมา “ผมยังไม่ตอบคำถามคุณเลย”

“หืม ?”

“ที่ว่าเก่งเรื่องบนเตียงไหมอะ ?” เขาทวนคำพูดในสิ่งที่ตัวผมนั้นได้เคยเอ่ยปาก

“อ๋อออ เรื่องนั้น” ผมกระจ่างแจ้ง ปากที่อ้าอยู่จากการพูดจาฉะฉานเปลี่ยนเป็นเหวอ

“จะลองดูไหมล่ะครับ”
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 17-11-2019 18:14:57
อูยยยยย ลองไรครับ เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเลย

เขาท้าทายเราอะแม่ ! อีอ๊อกมือไม้เกร็ง จากที่เกร็งเพราะเห็นกระดอพี่นนท์แล้ว นี่ยังต้องมาเกร็งเพราะคำเต๊าะจากผู้ชายในเกมอีก

“อีอ๊อกเขาท้าทายอำนาจมืดมึงอะ” ผึ้งสนับสนุนเต็มที่ ดูท่าทางมันจะเอาใจช่วยเป็นพิเศษ

“มึงจะยอมอ๋อวะ เฮ้ย เป็นกูไม่ยอมนะ” แพทเองก็เชียร์

อีพวกเหี้ยนี่รู้เลยนะครับว่าเป็นคนชื่นชอบสร้างความร้าวฉาน

มีหรือที่อีอ๊อกจะยอมทน “ก็มาสิ” ไม่กลัวหรอก จากที่เคยผ่านประสบการณ์ของพี่นนท์มาแล้ว ไม่คิดว่าจะเจอหรรมใหญ่นอกเหนือจากนี้อีกแล้วล่ะ

อีกอย่าง...ผู้ชายในเกมก็แค่อำเล่นชวนเขินอายเท่านั้นเอง กระแสคนดูก็เริ่มเป็นไบโพลาร์สร้างแฮชแท็กเชียร์ขึ้นมาเฉย เดี๋ยวก็ขำเดี๋ยวก็จิ้นนั่นนี่ ประหนึ่งอ่านนิยายมากไป พาลให้นึกถึงคำด่าของแม่ผม เวลาที่ผมชอบหลุดหัวเราะตอนอ่านนิยายวายขึ้นมาว่า ‘มึงเป็นบ้าอ๋อ’

“อีนี่มันร้ายนะคะหัวหน้า” คริสตี้ส่งซิกให้ทุกคนในเกม

“จริงค่ะลูกพี่ ดูเหมือนกุลสตรีไทยดั่งผืนผ้าที่ผับไว้ ที่ไหนได้เป็นผ้าที่ยับยู่ยี่เปื้อนคาวโลกีย์” ผึ้งกล่าว น้ำเสียงพาลจิกกัด

“หมายถึงร่านเหรอคะ” น้องหมวยพูดจาตรงตัว ระหว่างนั้นก็ใช้ปืนยิงยาสลบใส่แท็งค์ที่เข้ามาในถิ่นฐาน

“กัดกันเก่งขนาดนี้ พวกมึงด่ากูว่าอีดอกทองเลยเถอะ” ผมยิ้มเยื้อน จังหวะเดียวกับที่เพื่อนทุกคนในทีมโดนแท็งค์ผู้หญิงใส่อันติรวบตัวละคร ตัวผมเองก็เปิดอัลติเมทให้เพื่อนไม่ตายห่าอย่างฉิวเฉียด

และใช่ พวกมันร่วมมือร่วมใจด่าผมว่าอีดอกทองพร้อมเพรียงกัน

ตัวละครแพทคราวนี้เป็นฝ่ายใช้อัลติเมทบ้าง ส่งลูกกลมๆ เหมือนหลุมดำอวกาศดึงดูดศัตรูให้เกาะตัวเหนียวหนืดยากเกินจะหลุดพ้น โชคยังดีที่ซัพพอร์ตฝ่ายตรงข้ามไม่มีอัลติ ตัวละครหกตัวที่ถูกรวบจึงโดนหมายหัว

“รุมเย็-มันนนนน !” อีคริสตี้ตวาดเสียงปลุกขวัญกำลังใจ เร่งเร้าหวังให้ทุกคนในทีมช่วยเหลือกันฆ่าฝ่ายตรงข้าม แต่คำพูดคำจาช่างน่าขวัญผวา “เอาเลย เอาให้โบ๋กันไปข้าง อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว เร็วเข้าทุกคน !”

แล้วกะเทยทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกันส่งเสียงกรีดร้อง ไม่แม้แต่ผมให้หูแตกกันไปข้าง “กรี๊ดดดดดดดดด !!” พร้อมพรักกับกระสุนทุกนัด อะไรที่ถาโถมได้ทุกคนในทีมก็ช่วยกันรุมสุดแรงเกิด รุมโทรมตัวละครอย่างไม่ปรานี

ฝ่ายตรงข้ามตายห่าหมด เวลาก็หมดเป็นอันจบเกม

“ชนะค๊าาาาาา เลิศมาก !!” คริสตี้แทบร้องไชโย “นายได้เพลย์ออฟเดอะเกมแน่เลยอะ” มันพูดถึงผู้ชายในทีม

เป็นดังที่คาดคะเน เกมฉากฆ่าศัตรูฝ่ายตรงข้ามถูกปิดท้ายด้วยไอดีของอ๊อกๆ ติดคอที่คล้ายคลึงกับชื่อของผม ฆ่าหมดตั้งหกคนราวกับโปรเพลเยอร์

“ขอบคุณมากนะครับ สนุกมากเลย ผมขอจอยเล่นด้วยคนนะ” อีกฝ่ายเอ่ยปากบอกพลางกลั้วหัวเราะขำ วาจาสุภาพมากจนกะเทยทั้งหลายใจอ่อนยวบ

“ได้สิๆ” อีผึ้งไวตามเคย

“นายชื่อไรอะ” คริสตี้ถาม ทุกคนในดิสคอดพร้อมใจกันเงียบ ลุ้นระทึกกับชื่อของหนุ่มเจ้าของเสียงหล่อเหลา

“เพื่อนคุณก็รู้จักชื่อผมดีนะครับ” อีกฝ่ายตอบกลับมาให้ทุกคนฉงนสงสัย

ผมร้อง “หืม ?” อย่างงุนงง

“เพื่อนคนไหนอะ” แพทหวังหาเฉลย

“ก็น้องอ๊อกไง” เสียงของเขาดูรื่นเริงยามเอ่ยชื่อผม สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก ครู่ต่อมาก็คล้ายเสียงไมค์มากระซิบใกล้กับกลีบปาก ส่งผลให้คนที่ใส่หูฟังอย่างพวกผมได้ยินเสียงลมหายใจเซ็กซี่ชวนใจแตก ก่อนที่คำพูดแหบพร่าทุ้มละมุนจะเอื้อนเอ่ยทักทาย “น้องอ๊อกจำพี่นนท์ไม่ได้เหรอคะ หืม ?”

โอ้ ผัวกูเองค๊าาาาาาาาา ตบมือสิคะ รอเหี้ยอะไรอยู่ !

“พะ พี่นนท์จริงเหรอ ?” น้ำเสียงผมสั่นด้วยความไม่มั่นใจ

“ใช่ค่ะ” เขายืนยัน “ก็เพิ่งทักไลน์ส่งรูปไปหยกๆ จำไม่ได้แล้วเหรอคะ อาห์ น่าน้อยใจจังเลย นี่พี่อุตส่าห์ถึงกับลงทุนจ่ายเงินเปลี่ยนชื่อไอดีใหม่ให้เป็นชื่อหนูเลยนะคะ”

ควรปลาบปลื้มใจใช่ไหมคะผัวขา ‘อ๊อกๆ ติดคอ’ ตั้งให้ซะขนาดนี้

“จำได้สิ” ทำไมจะจำไม่ได้ ก็ส่งรูปคว-มาให้ซะขนาดนั้น เห็นตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ แถมยังเห็นในมือถือต่ออีก ติดใจจนต้องเซฟรูปเผื่อเก็บไปฝันเปียก

“โอ้ดีใจจัง แต่เสียงหนูตอนนี้น่ารักจังเลยนะคะ ไม่เห็นเหมือนตอนนั้น เสียงหวานกว่านั้นอีก แถมเมื่อคืน…”

“หยุด” ผมรีบปราม

“เอ้า ! อีเหี้ย ! มึงจะขัดเขาทำไม พวกกูกำลังเสือกกันอยู่เลย เชิญอธิบายต่อค่ะคุณพี่ขา” คริสตี้เชื้อเชิญให้กล่าวต่อ

“ฮ่าๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่เมื่อวานน้องอ๊อกน่ารักดี ได้รู้จักกันเฉยๆ น้องคริสตี้ก็รู้จักเพื่อนพี่หนิ ชื่อเดือน”

“...” อีคริสตี้ถึงกับหุบปากฉับ ผมหันไปมองจึงเห็นมันดวงตาค่อยๆ เบิกกว้าง หมุนคอหันมาจ้องหน้าผมเหมือนตุ๊กตาไขลานกึกๆ กักๆ

อีสัตว์นี่มีปัญหากับคอชัวร์ น่าพาไปพบแพทย์โดยไว

‘มึง ใช่ ใช่ไหม ?’ มันดวงตาเบิกกว้างคล้ายส่งผ่านความนัยในกระแสจิตดุจจีนเกรย์ ผมพยักหน้ารับ ดวงตามีน้ำตาคลอเบ้าอยู่หน่อยๆ ‘ใช่ค่ะเพื่อน’

พวกเราไม่รอดพ้นจากการเป็นกะหรี่แน่นอน

“เดือนเขาฝากบอกกับพี่ด้วยนะครับเมื่อกี้นี้” พี่นนท์บอกในเกม น้ำเสียงดูมีความสุข แต่นำพาให้คนฟังมีความทุกข์ “ว่าอยากมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย”

อีคริสตี้ที่ร้อนรนอยู่แล้ว เลิ่กลั่กหนักกว่าเดิม เอ่ยปากบอกยาวเหยียดดุจคำคมกระแสในโลกออนไลน์ “อ๋อ ไม่สะดวกค่ะ ว่าจะไปเรียนแต่งหน้า ทำผม ดำน้ำ ปลูกมักกะลีผล ทำอาหาร นวดสปา ปลูกป่า ดำนา ดูพอร์น รูดเสา ล่องเรือ ส่องหรรม ช้อปปิ้ง ดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต ดินเนอร์ ทำนม และผ่าหลี”

“ประโยคนี้ไม่น่าใช่นะ” อีผึ้งเอ่ยขัด ฟังอีคริสตี้รัวคำพูดไม่ยั้งคล้ายคำติดปาก

พี่นนท์หัวเราะขำยกใหญ่ “น้องคริสตี้ตลกจังเลยนะครับ” เขาเว้นจังหวะคำพูดก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไป “งั้นไว้เดี๋ยวเดือนไปหาช่องทางติดต่อหนูเองละกันค่ะ”

“ไม่จำเป็นค๊าาาาาาา !!” อีคริสตี้โหยหวนในทันทีทันใด

“ใครวะพี่เดือน” ผึ้งสงสัยใคร่รู้

“ไม่เสือกสักเรื่องก็จะดีใจมาก” คริสตี้ด่าเพื่อนพ้อง

“แฟนเหรอ ?” แพทยังคงสาระแน ส่วนผมที่เข้าใจเพื่อนรักดีได้แต่ยืดแขนไปบีบมือมันแน่น มิวายส่งสายตาให้กำลังใจ

เกิดข้อสงสัยบางสิ่งบางอย่าง

“พี่นนท์รู้ได้ไงว่าอ๊อกเล่นเกมนี้อยู่” ผมฉงน หน้าก็บึ้งตึงคล้ายแคลงใจ กดเปิดไมค์พูดในเกมออนไลน์

“อ๋อ เรื่องนั้น” เขาขานรับ ก่อนจะหัวเราะดังเดิมพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเฉกเช่นเคย

“เห็นที่ยอดวิวหนูเยอะบ้างไหมคะ ?” ถามกูกลับมาแทนซะอย่างงั้น

“ค่ะ” ผมที่ยังแอ๊บเสียงอยู่ขานรับ มีหลายจังหวะที่แทบจะหลุดเสียงจริงของตนเอง

เมื่อพี่นนท์ได้ยินผมทำความเข้าใจความหมาย เขาจึงอธิบายเรื่องทั้งหมดทั้งมวล อีกทั้งคำตอบยังทำผมใจหายวาบ

“พอดีพี่เป็นนักแคสเกมค่ะ”

“...”

“ก็เลยช่วยแชร์เพจหนูแล้วมาสตรีมเล่นด้วยกันนี่ไง”

โอ้ พระเจ้าคะ ลูกคนนี้มีผัวเป็นนักแคสเกมเมอร์ด้วยแหละ หรือนี่เรากำลังอยู่ในพล็อตนิยายตลกร้ายที่ได้ผัวเป็นเกมเมอร์ ขัดกับอาชีพที่เป็นนักเขียนและผันตัวมาเป็นกะหรี่

“ทุกคนคะ” ผมพูดในสตรีมขณะกดปุ่มออกจากเกม “สำหรับวันนี้ สวัสดีและลาก่อน” จบการไลฟ์แต่เพียงเท่านี้

ล้มเลิกการเป็นกะหรี่นักแคสเกม
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 17-11-2019 21:23:29
น้องอ๊อกทำไมรีบจบ กลัวพี่นนท์ใช่ไหม :hao7:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-11-2019 21:46:22
เลิศ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 18-11-2019 03:33:26
ขำมากค่ะ ขำจนปวดท้อง ไม่ไหวแล้วค่ะะะะะ 5555555555555555555555 รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 18-11-2019 19:25:13
คุณนนท์!! เล่นกับเขาด้วยอ๊อกเธอได้คนแบกละนะ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-11-2019 13:27:50
ชอบๆๆๆ นี่ขนาดเราไม่ได้เล่นเกมส์นะ ยังรู้สึกว่ามันส์มาก55
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: bookie ที่ 24-11-2019 00:16:56
ชอบฟีลแก๊งค์เพื่อน คิตตี้ตลกมาก :laugh:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่ห้า [17/11/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 25-11-2019 03:10:57
โอยไม่ไหวค่ะนั่งขำเป็นบ้าอยู่คนเดียว555555555 ชอบแก๊งกะเทยกับความพี่นนท์ตรงนั้น
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่หก [15/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 15-12-2019 21:30:24
ตอนที่หก


“หรือเราจะเปลี่ยนจากขายหลีไปขายขวด” คริสตี้ที่กดออกจากเกมเสร็จสรรพหันมาเสนออาชีพใหม่ อีกทั้งเราทั้งคู่ก็ออกจากโปรแกรมดิสคอดพูดคุยกับเพื่อนๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ไม่ และกูไม่คิดมาก่อนว่าพี่นนท์จะเป็นนักแคสเกมด้วย” ผมอึ้งทึ่งไม่หาย

“นั่นดิ อย่างกับพล็อตนิยายอีดอกทอง เจอผัวมึงในเกมเฉย หรือผัวใหม่มึงเป็นพวกโรคจิตชอบตามติดชีวิตเหมือนในหนังสยองขวัญ”

“มึง อย่า กูขนลุก” ผมรีบลูบแขนโดยไว อีคริสตี้เล่นเอาผมขลาดกลัว

“เออ กูก็ขนลุกอีเหี้ยพี่เดือนก็เป็นพวกโรคจิตไปกับเขาด้วย”

“แจ้งตำรวจดีไหมมึง” ผมถาม

“ข้อหาเหี้ยไรล่ะ จะโดนจับที่ขายหลีก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้” คริสตี้กอดอกสบถด่าแทบพ่นน้ำลายใส่หน้า นั่งไขว่ห้างกลอกตานึกคิด “เป็นเรื่องตลกร้ายที่กูไม่เคยค้นพบมาก่อน”

“...” ผมเงียบ นั่งหงอยเหมือนหมา ไม่รู้จะเสนอไอเดียอะไรดี ทว่าอีเพื่อนรัก จู่ๆ ก็เป็นเหี้ยอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ คล้ายได้ไอเดีย ยืนขึ้นโดยพลันและผายมือกางออก ประหนึ่งเอลซ่าเข้าสิง

“กูว่านะ”

“หืม”

“น้ำเงี่ยนสีขาวเป็นประกายในราตรี ไม่มีรอยเย็-ยามที่มอง ในดินแดนอ้างว้างร้างผู้คน มีเพียงคว-นี้ที่ครอบครอง ดังมีตัณหาซ่อนอยู่ภายใน หมุนวนเวียนว่าย ถึงต้านทานเท่าไหร่ ฉันก็ห้ามไม่ได้” มันผินหน้ามองต่ำ ช้อนตาขึ้นมาสบตาเหมือนมีจิตใจฮึกเหิมแปลกพิลึกพิลั่น

ผมกลืนน้ำลายลงคอ ฟังคริสตี้ร้องเพลงกำไม้กำมือแน่น “อย่าเปิดใจไป อย่าให้เขาเห็น ต้องเป็นคนร่านอย่างที่เขาสอนให้เป็น ปกปิดในใจ อย่าให้เขารู้ สุดท้ายก็รู้ ~”

คริสตี้ส่ายหน้าระอาใจ แหกปากร้องลั่น ขณะเดินไปหยิบผ้าขนหนูคลุมปิดไหล่ “ร่านออกไป อย่างที่เป็น ไม่อาจจะเก็บอีกต่อไป ดอกทองจริง เลิกซ่อนเร้น เดินหันหลี หมดสิ้นเยื่อใย”

“ฉันไม่กลัว ปล่อยให้เขาพูดไป~” ผมยืนขึ้น จ้องตาร้องแข่ง

คริสตี้สบตา “เย็-ให้หลีกระหน่ำ ความร่านไม่ทำให้เดือดร้อนสักเท่าไหร่” ทิ้งผ้าเช็ดตัวทันที พลันร้องต่อ “มองหลีคนยามไกลห่าง กลับเห็นเล็กลงไปเลย ความเรียบร้อยที่คอยเข้าครอบงำ กลับทำไม่ได้ดังเคย” คริสตี้หมุนตัว พลอยให้เส้นผมพลิ้วไหว พานชี้นิ้วมาทางผมเหมือนสั่งสอน

“คว-ใหม่ยังรอ ให้ลองให้รู้ จะไปสุดคอ ให้ใครได้ดู ฉีกกฎซ้ำๆ เลือกทำสิ่งใด อย่างใจ~” คีย์สูงแทบร้องลั่นบ้านแตก มาถึงท่อนฮุก “ร่านออกไป อย่างที่เป็น เชื่อมใจไปกับคว-และฟ้า ดอกทองจริง เลิกซ่อนเร้น เผชิญมันด้วยความกล้า”

“ฉันจะยืน แหกขาเรื่อยไป พัดให้หลีกระหน่ำ ~” คริสตี้เดินมาบีบมือผมแน่น หน้ามันแดงปลั่งเพราะเค้นเสียงเนื้อร้อง “พลังความคันล่องลงลอยฟ้าลงมาสู่ดิน พลังตัณหาแทรกในเกร็ดน้ำแข็งล้อมรอบกายไม่สิ้น ผลึกความร่านผุดเป็นเกล็ดใสไร้ความกังขา ไม่ขอคิดหวนคืนมา ความเงี่ยนไม่อาจคืนมา ~~” มันม้วนผมมาด้านข้าง

“เป็นตัวเรา อย่างที่เป็น ขอโดนเย็-ยันตะวันส่องฟ้า ปล่อยออกมา เลิกซ่อนเร้น เด็กดีไม่เห็นมีค่า ~” มันกระแทกเท้าดังปึง “ฉันจะยืน เด่นในแสงแรงร่าน ~ พัดกระหน่ำเข้าไป !~”

“ความเงี่ยนไม่ทำให้เดือดร้อนสักเท่าไหร่” ผมปิดเนื้อร้องทันที ก่อนที่มันจะแย่ไปมากกว่านี้

“ขอบคุณมึงมากนะที่ทำให้กูคิดอะไรขึ้นมาได้ขึ้นเยอะ” ผมรีบบีบมือมันตอบ ซาบซึ้งในน้ำใจที่มันส่งทอดผ่านเสียงเพลง

“ยินดีมึง” คริสตี้บีบมือกลับ เหมือนเราสองคนเตรียมแข่งรับมงกุฎมิสทิฟฟานี่

แต่ที่แน่ๆ ควรพาอีดอกนี่ไปบำบัดจิต

“เพลงของมึงแม่ง…”

“ดีใช่มะ” คริสตี้ยิ้มกริ่ม

“เหี้ยจริงๆ” ผมตอกกลับ

“กูจะถือเสียว่าเป็นคำชม” มันระบายยิ้มพอใจ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทันใด “วันนี้หนีไปแดกโรตีกันดีกว่า”

“ตอนนี้น่ะเหรอ ?” ผมถามมัน

“ตอนเย็นสิอีสัตว์ แดดเปรี้ยงขนาดนี้”

“บรรยากาศดีออก” ผมประชดประชัน

“ดีสิ ดีมาก หนาวจนเหงื่อไหลไปตามริมขมับ รักแร้กูจะเปียกอยู่ละ พระอาทิตย์หัวคว- กูคิดว่าอยู่ในซาอุดิอาระเบีย”

“หยาบคาย แล้วจะชวนพวกเจ้โอ๊ตไปด้วยปะ ?” ผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ชวน ไปกันให้หมดนี่แหละ นานๆ เจอกันที นั่งเมาท์มอย”

“เจ้าของร้านจะเอาแผ่นโรตีฟาดหน้าก่อนไหม เพราะกะเทยชอบเสียงดังฉิบหาย” ผมถามเกริ่น

คริสตี้ตอบกลับ “ฟาดหน้ามึงเป็นคนแรกอะ พูดเยอะ”

“ทำไมชอบด่าเพื่อนอะ” ผมทำหน้าสลด อีเพื่อนด่าเก่งมาก หนึ่งคำด่า สองคำด่า “ตอนโดนเย็-ชอบด่าแบบนี้ด้วยมะ”

“แล้วทำไมต้องพูดจาหยาบคายอะ” คริสตี้สวนกลับ “มายงมาเย็- สถุลมาก รับไม่ได้ อีพวกตลาดล่าง นี่หรือนักเขียนดีเด่น ต่ำสิ้นดี”

“แหม สูงส่งมาก อีแพลตตินั่ม” ผมบึนปาก ทิ้งตัวลงนั่ง ใช้สายตามองเหยียดอีคนสูงส่ง “อีดอกทอง” ขนาดเพลงก็บอกแล้วว่าความคิดมึงอกุศลขนาดไหน

“มึงด่าใคร ?”

“กูด่าลอยๆ ปะ” ผมสะบัดหน้าหันมาทำสายตาเหวี่ยงมาทางเพื่อนชั่ว

“อย่าให้รู้นะว่ามึงด่ากู” คริสตี้บีบเสียงเหมือนในเรื่องหอแต๋วแตก “เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง สำเหนียกไว้ด้วยนะที่มึงได้คว-เมื่อวานนี้มันเป็นเพราะใคร ได้ดิบได้ดีแล้วอย่าลืมบุญคุณ”

“อ๋อ นี่กูเป็นหนี้ใหญ่หลวงเพียงแค่ได้คว-เมื่อคืนนี้ใช่มะ ต้องรำแก้บนให้มึงด้วยไหม” ผมเสียดสีใช้วาจาจิกกัด จ้องตาคริสตี้อย่างขำขันกับคำด่าของมัน มีแต่เรื่องจับใจความแทบไม่ได้

พลันอีคริสตี้ทำสีหน้าหมองเศร้า บีบน้ำตาคลอเหมือนสั่งได้ดั่งใจนึก น้ำเสียงสะอื้นไห้ของมัน เล่นใหญ่รัชดาลัยก็เอ่ยปาก “กูหรือก็อุตส่าห์เป็นแม่เล้า ส่งเสียเลี้ยงดูมึงให้ได้เสี่ยดีๆ นี่หรือคำพูดที่มึงให้มา ใจกูมันเจ็บยิ่งนัก ทำบุญคนไม่ค่อยขึ้นจริงๆ เลย ฮึก ฮือออ”

“พัก เลิกตอแหลก่อนเถอะ” ผมยกมือขึ้นห้าม

คริสตี้หยุดร้องไห้กลางคัน ยืดขาใช้เท้าเตะผมเข้าที่กลางอกให้นอนหงายทันทีทันใด “โอ๊ย !”

“ปากวอนตีน”

“อีกะเทยใช้ความรุนแรง !”


และแล้วพระอาทิตย์ก็ตกดินเหมือนข้ามฉาก อยากข้ามเวลาไหนก็ได้เหมือนเขียนไดอารี่ให้เพื่อนขี้เสือกมาชอบอ่าน คริสตี้ทักลงในกลุ่มชวนเพื่อนพ้องมาแดกโรตีหน้าปากซอยแถวบ้าน กลุ่มกะเทยนับสิบเอ็ดชีวิตต่างมาถึงหน้าร้าน โดยที่ผมกับคริสตี้มานั่งรอก่อนจนกว่าจะคบคน

นานๆ พวกเราเจอกันทีช่างยากเย็นแสนเข็ญ อย่าได้หลงเชื่อคำโกหกของกะเทยว่าจะถึงแล้วในที่นัดหมาย เพราะแท้จริงมันอาจอยู่ที่บ้านแม่งโดยยังไม่ทันอาบน้ำทำอะไรเลย

ห้านาทีของกะเทย เท่ากับครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงในการมาถึง เว้นแต่ว่าเราจะบีบเค้นโกหกมันให้มาถึงโดยไว โดยการพาลโมโหใส่ หรือการเสริมบอกว่ามีผู้มานั่งด้วย

อีคริสตี้ทำแบบนั้นเสมอมากับเพื่อนๆ และเพื่อนๆ ทุกคนก็ทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน

กลุ่มของเรามีตัวละครเยอะแยะ หากขืนให้เขียนเป็นนิยายไม่รู้จะมีนักอ่านจดจำตัวละครได้ครบไหม แต่ช่างปะไร นี่คือชีวิตจริง ใครจะกล้ามาฉอด อีอ๊อกขอแนะนำอย่างเป็นทางการ โดยการข้ามตัวละครสองคนอย่างคริสตี้และผม มาถึงตัวประกอบหลักอีกเก้าคน

หล่อนจำไม่ได้ก็ต้องจำให้ได้ นี่คือการยัดเยียดข้อมูลลึก

‘โอ๊ต’ คือกะเทยตอแหลนางหนึ่งที่ชอบขยันเสี้ยมให้เพื่อนตีกัน เป็นกะเทยขี้เดินฉิบหายวายวอด เวลาไปผับจะชอบเดินผ่านผู้ชายเป็นสิบกว่าเที่ยว เข้าผับออกผับเป็นว่าเล่น หวังใช้ความสวยที่ผ่านการทำจมูกและฉีดหน้าผากมาห้าหกรอบ ไว้เนื้อเชื่อใจคำสัญญาไม่ค่อยได้ด้วย แต่ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง แค่ตอแหลมากไปหน่อย บ้าผู้ชายอีกต่างหาก ชอบอัปสเตตัสตอแหล และเช็กอินว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ ทั้งๆ ที่ตัวมันนอนเล่นอยู่บ้านเฉยๆ ใช้เงินที่บ้านเป็นว่าเล่น ไม่ทำเหี้ยอะไรเลย ฉายาที่เพื่อนตั้งให้คือ โอ๊ต เท่ากับ ‘ตอแหล’

‘แพท’ กะเทยตัวผอมแห้งที่อ่านนิยายวายมาเยอะ ชอบใส่แว่นเพราะสายตาสั้นพอสมควรเหมือนหนุ่มโอตาคุ นักทวงนิยายอันดับหนึ่งของผม หน้าตาของแพทไม่สวยมาก แต่นิสัยดีและน่ารักอยู่ ขี้เกรงใจผู้อื่น อ่อนไหวง่ายกับคำจิกกัด อีกทั้งยังเป็นโรคซึมเศร้า แต่ค่อนข้างบ้าผู้ชาย เพื่อนเลยเห็นพ้องว่าสมควรโดนคว-เพื่อบำบัดจิต มันนับถือศาสนาอิสลาม

‘ลัก’ กะเทยผู้ใช้แอปแต่งหน้าบีบหน้าจนจับผิดไม่ได้ แม้ไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนละคนมากนัก แต่ก็ถือว่ารูปกับความเป็นจริงช่างผิดเพี้ยนกันพอสมควรอยู่ เป็นกะเทยแบรนด์เนมที่ชอบอัปรูปเหมือนลูกคุณหนู หน้าตาสะสวยและตาปรือคล้ายง่วงนอน ผมยาวถึงกลางหลัง ของแบรนด์เนมก็เป็นของกอปเกรดเอบวกบวกบวก แท้บ้างแต่น้อยชิ้น เป็นบุคคลที่เพื่อนๆ ในกลุ่มชอบขอความช่วยเหลือในการแต่งรูป รวมไปถึงผมเช่นเดียวกัน

‘มด’ กะเทยที่หัวล้านตรงจุดกึ่งกลางของหนังศีรษะ เพื่อนๆ บอกว่าเพราะแดกผงชูรสมากเกินไปผมเลยร่วง แต่ผมคิดว่าคงเป็นกรรมพันธุ์ของคนเราซะมากกว่า แถมมดเป็นกะเทยที่ผ่านการทำนมมาเรียบร้อย ความเหี้ยค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่มีนมก็ใช้นมเป็นเหยื่อล่อให้ผู้ชายในทินเดอร์ส่งรูปคว-เข้ามาในไลน์ บ้างก็ให้ชักว่าวโชว์ในวิดีโอคอล อีกทั้งตัวมดในชีวิตจริงกับในเฟสคือหน้ามือเป็นหลังตีน เพราะในเฟสมันไปเอารูปสาวจีนที่เพื่อนๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใครมาแอบใช้ ทุกวันนี้ก็รอดูหมายจับจากคนจีนมาแจ้งความมันอยู่เพราะแอบอ้างเป็นตัวเอง ภาพโปรของสาวจีนมีแต่ยืนหันหลังให้ ผู้ชายก็โง่งมมาหลงเชื่อ

‘ปราย’ เกย์ที่ใจร่านพอกัน มีลักษณะเฉพาะพิเศษคือปากเบี้ยวเล็กน้อย อันนี้ขอเตือนไว้ก่อนว่าไม่ได้มีเจตนาเสียดสีรูปร่างหน้าตาของคนเราที่เป็นปมด้อย แต่เพราะปรายเป็นแบบนั้นจริง แต่ถ้าอีดอกโม่งตัวไหนอ่านไม่รู้เรื่องก็จะด่าให้ไฟแรป ปรายเป็นบุคคลที่ปากวอนตีนเป็นที่หนึ่ง ขยันจิกกัดคนอื่นก่อนจนเพื่อนบอกว่าทุกวันนี้ที่ปากมันเบี้ยวก็เพราะคงโดนคนตบปาก แถมปรายเป็นคนที่พยายามอย่างมากในการปัดทินเดอร์ นัดเยกับผู้ชายหลายคนอยู่ และสมัครสมาชิกวีไอพีเพื่อปัดผู้ชายในแอปได้เรื่อยๆ ซ้ำยังมีฉายาว่า ‘กอลลัม’ จากในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริง เพราะมีใบหน้าที่เพื่อนๆ บอกว่าคล้ายคลึงกันเมื่อเปรียบเทียบดู

‘เอิร์ธ’ สาวน้อยในกลุ่มกะเทยที่ถูกเหมารวมว่าเป็นกะเทยไปด้วยแล้ว มีไลฟ์สไตล์ในการแต่งตัวที่ค่อนข้างเก๋ไก๋ ไปไหนกับกลุ่มเพื่อนก็มักจะมีผู้ชายเข้ามาจีบและขอไลน์ จนทุกวันนี้เพื่อนกะเทยทุกคนแทบจะแบนออกจากกลุ่มเพราะสวยเกินหน้าเกินตา ขออนุญาตไม่เล่าวีรกรรมต่อ เพราะแอบหมั่นไส้อยู่เหมือนกัน

‘คิทแคท’ กะเทยเจ้ในกลุ่มที่ผมค่อนข้างนับถือ แม้จะปากร้ายแต่ใจดี เป็นสาวอวบที่ชาวต่างชาติชมชอบ มีโครงหน้าที่สะสวย นับถืออิสลามแต่เป็นคนบาปที่แอบกินขาหมู ทุกวันนี้ที่อ้วนอยู่ก็คงเป็นพระเจ้าลงโทษ เจ้คิทแคทมีวีรกรรมเผ็ดร้อน หาใช่ความดี แต่เป็นความร่านที่กินฝรั่งมานับไม่ถ้วน พอๆ กับการกินหมูเป็นกิจวัตรประจำวัน สมัยก่อนผมเป็นรุ่นน้องแกได้กินสุกี้ที่ป้าแกเป็นคนขาย เจ้คิทแคทในตอนนั้นบอกไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไรนัก และก็ได้บอกสูตรสุกี้ด้วยที่ป้าแกเคยขายมาก่อน แกบอกป้าแกชอบดองของค้างคืน ไม่รู้ว่าอำหรือจริง ปัจจุบันป้าแท้ๆ ของเจ้คิทแคทก็ได้เสียไปแล้ว ผมชอบบ่นคิดถึงป้าแกตลอด จนเจ้แกคิทแคทเอ่ยปากบอก ‘คิดถึงเหรอ มึงก็ตามไปสิ’

อ้อ อีกอย่าง เจ้คิทแคทกับคริสตี้เคยตบตีกันด้วยนะสมัยประถม เขวี้ยงแก้วใส่กันเป็นที่โด่งดังเลยล่ะ ปัจจุบันก็รักใคร่กลมเกลียว จากที่เหม็นขี้หน้าใส่กัน

หืม จะถามว่าตอนนั้นใครเป็นฝ่ายชนะเหรอ ? แน่นอน อีคริสตี้แพ้ หัวปูดเป็นลูกมะนาว

ตัวละครเยอะมาก ขออนุญาตพักเหนื่อยแป๊บ

เฮ้อ โอเค ต่อ…

‘ไอซ์’ กะเทยที่ไม่ค่อยออกสาว แต่ผมชอบเรียกว่า ‘เจ้ไอซ์’ จนติดปาก เราสองคนชอบเล่นเกมด้วยกันบ่อยๆ เป็นบุคคลที่ผมชอบปรึกษาอยู่บ่อยครั้ง เจ้แกเป็นรับ แต่เคยแอบรุกคนมาก่อนตอนเมา ผมเคยไปนอนเล่นบ้านแกอยู่ครั้งหนึ่ง เผลอหลุดปากเรียกว่าเจ้ไอซ์จนแทบจะโดนเจ้แกตบปาก เพราะแกยังไม่เปิดตัวกับลุงที่บ้านว่าเป็นเกย์ มีรู้บ้างแค่ไม่กี่คน เจ้ไอซ์เรียนจิตวิทยาและชื่นชอบมากเป็นพิเศษ ความรู้ที่มีก็ชอบมาแบ่งปันให้กะเทยโง่เง่าเต่าตุ่นทั้งหลายได้รับฟังการแยกแยะหลายๆ สิ่ง อ้อ อีกข้อ เจ้แกปากดีไม่ต่างจากเจ้คิทแคท ชอบด่าผมอยู่ตลอด

‘มาย’ หรือเจ้มาย หนึ่งในบุคคลที่เป็นติ่งเกาหลีพอๆ กับผม ล่าสุดเราปรองดองกันเพราะรักวง X1 แม้จะคนละเมนแต่ก็ถือว่าเป็นสมาชิกในอุดมการณ์ เจ้มายค่อนข้างโชกโชนเรื่องงานประกวด ติดตามข่าวนางงามเสมอไม่ต่างจากคริสตี้และกะเทยทุกนาง มีเพียงผมที่ไม่ค่อยจะสนใจนัก ช่างแม่งเถอะ บรรยายเยอะฉิบหาย เดี๋ยวนี้ชอบคิดเวิ่นเว้อเก่ง เริ่มรำคาญ

“ในที่สุดพวกเราก็รวมตัวกันครบคน แปลกใจมาก” คริสตี้ทำเสียงโอเวอร์

“อีดอก กะเทยกว่าจะรวมตัวกันไม่ปีใหม่ก็วันเกิด” เจ้คิทแคทกล่าว

“ไม่วันเกิดก็วันตายอะ แต่ประหลาดใจจริง นัดกันครบองค์ วันนี้มาว่ะ” เจ้ไอซ์ว่า หน้าตาเปี่ยมรอยยิ้ม

“ใครตายก่อนดีอะ” ผมถาม

“มึงอะคนแรก” เจ้ไอซ์สวน

“อ่าว” งง โดนด่าเฉยเลยกู

“คิดถึงว่ะกอดหน่อยอีคริสตี้” เจ้คิทแคทยืนขึ้นเดินผายมือไปกอดหลวมๆ ใส่คริสตี้  พลอยทำหน้าเบะปาก  “ผมเหม็นนะ หัดสระบ้าง”

“อย่ามาอำ กูเพิ่งสระมาหมาดๆ” คริสตี้รีบท้วง

“แล้วทำไมวันนี้มายมาช้าอะ” เจ้โอ๊ตหันไปถามเพื่อนสาวข้างกาย

“อยากรู้อ๋อ คือมันยาวมากมึง” เจ้มายว่า

“ไม่เป็นไร พวกกูมีเวลาฟังกันอีกเยอะ ว่ามา” คริสตี้ผายมือเชื้อเชิญให้สาธยายถึงเรื่องราว เจ้มายทำหน้าอึดอัดใจก่อนจะกล่าว

“คือเรื่องมันมีอยู่ว่า วันนี้กูตื่นเช้ามาใช่มะ งัวเงียมาก กูก็สระผมอาบน้ำไปกินข้าว กะว่าจะไปรดน้ำต้นไม้ต่อ...”

“พอ อีดอก ยาวจริง ไม่ไหวจะฟัง” คริสตี้รีบขัด หัวเราะพรืดกันทั้งกลุ่ม เจ้มายแกเล่นเล่าตั้งแต่ตื่นนอน

“กูขอแบบพอสังเขป” อีคริสตี้ถึงกับร้องขอ

“ก็คือรถติด” เจ้มายตอบเป็นที่พอใจ

“แค่นั้นล่ะ” คริสตี้หันหน้าไปทางอื่นต่อ “แล้วอีเอิร์ธเป็นไรอะ แต่งตัวสวยกว่าคนในกลุ่ม เอวลอยอีก กูงงนะ มีใครงงบ้าง”

“กูแล้วหนึ่ง” เจ้คิทแคทโหวต

“กูแล้วสอง” เจ้โอ๊ตขยันเสี้ยมโหวตเช่นกัน

“แค่มาแดกโรตีจำเป็นต้องสวยขนาดนี้มะ” คริสตี้กึ่งพูดกึ่งด่า ไม่ทันให้เอิร์ธได้ปริปาก

“กลับบ้านมะ กูไม่อยู่นะ มาเต็มขนาดนี้” เจ้คิทแคทมองเหยียด การกระทำขำขัน

“คือพวกมึงให้กูพูดก่อนสิอีเหี้ย กูเพิ่งเลิกงานมา” เอิร์ธแย้ง กางมือเบรกคำพูดทุกคนเป็นเชิงร้องขอให้หุบปาก

“งานไรอะ” แพทถามอย่างสงสัย

“ขายเสื้อผ้า แถวเอเชียทิคไง”

“อ๋อ”

“แล้วปรายเป็นไรไม่พูดไม่จา” คริสตี้ถามอีกคนที่นั่งเงียบเป็นเป่าสาก

“ไม่อยากเสวนากับมึง”

“เอ้า งงนะ ด่ากูเฉย” คริสตี้งงงวย ผมเองก็แอบขำที่มันถูกด่า เพราะเจ้ปรายมีอะไรจะชอบด่าคริสตี้อยู่ตลอด มีเรื่องให้บัฟกันไปมา

“เป็นกูไม่ยอมนะคริสตี้” เจ้มดยุยง

“จริงมึง เป็นกูก็ไม่ยอม มันด่ามึงว่าไม่อยากเสวนา คิดว่ามึงเป็นพวกไม่มีค่าพอที่จะคุย” เจ้โอ๊ตชักนำให้ตีกัน ส่วนผมนั่งฟังนิ่งๆ

“ขอบคุณมึงมากที่เข้าข้างกูกัน” คริสตี้ตอบรับน้ำใจ “เวลาปรายคงสำคัญมาก ปากถึงไม่มีเวลาว่างจะตอบกลับ”

“เป็นเหี้ยไรอะ” เจ้ปรายด่าเฉย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ขณะด่าคริสตี้อย่างเจตนา

ผมที่กินน้ำระหว่างรอเมนูอยู่แทบพุ่งพรวด

“แรงมากอีดอก” เจ้โอ๊ตอุทาน “มึงยอมอ๋ออีคริสตี้ อีปรายด่ามึงเหี้ยเลยนะ มันด่ามึงว่าอีเหี้ยอะอีสัตว์”

“เป็นกูจิกหัวและเอาหน้ามันทึ้งลงกะทะโรตีแล้วนะ” เจ้มดเสริม

“แรงมากแม่ รับไม่ได้” แพทเสียงเศร้า ทำหน้าตกอกตกใจ

“จริงรับไม่ได้ เป็นมึงยอมปะแพท” เจ้โอ๊ตหันไปถามแพท

“ไม่นะ”

“เห็นมะอีแพทยังไม่ยอม เป็นมึงยอมอ๋ออีคริสตี้”

“กูว่าอีพวกลูกล้อนี่ควรโดนตบเป็นคนแรก” เจ้คิทแคทที่กินน้ำอยู่เอ่ยลอยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเรียกพนักงาน “พี่คะ สั่งโรตี”

คริสตี้พยักหน้ารับนิ่งๆ หันมาจ้องหน้าผม “เนี่ยอ๊อก ถ้ามึงแต่งนิยายอะ ก็ต้องหัดแต่งจากเรื่องสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่นคน” ผายมือไปทางทุกคน ไม่เว้นพนักงานรอบด้านสารทิศ ก่อนจะมาหยุดที่เจ้ปราย “เอากับสัตว์”

เป็นคำด่าที่จิกหลีที่สุดที่เคยได้ยิน

ไร ! ข้อความเด้งอีกแล้ว เด้งตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ นึกว่ามีอีห่าตัวไหนขยันส่งเกมเศรษฐีเข้ามาในไลน์ แต่ปรากฎว่าเป็นว่าที่ผัวที่คิดถึงคะนึงหา

[Non : ทำไรอยู่คะหนู]

คำถามเดิมอีกแล้ว อีหรอบนี้จะส่งรูปคว-มาใช่ไหมคะ !

“อีอ๊อกเป็นไรมือสั่น” คริสตี้หันมาถาม ทำผมเบี่ยงเบนความสนใจมาทางมัน

“เปล่า ไม่มีไร คงหิวมั้งมือเลยสั่น”

“เดี๋ยวโรตีก็มาละ” มันบอก ก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบ ทำผมหน้าร้อนระอุ “นมข้นหวานๆ เหมือนน้ำว่าวผู้ชายไง”

“หยาบคาย” ผมขวยเขิน ก้มหน้าก้มตาดูไลน์ในมือถือ

“หรือไม่จริง” มันถามกลับ ส่วนผมตอบในใจเงียบๆ ว่าก็จริงอยู่ เพราะรูปพี่นนท์ที่ป้อนนมข้นหวานใส่ปากยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ

แม่คะ ลูกคนนี้เสียพรหมจรรย์แล้ว มันเป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน มีผู้ชายรังควานราวี เป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน จะได้โดนเย็-กันสักที

เพลงแอนนาต้องมาแล้วล่ะ !

[อ๊อกเจ็บคอ : มากินโรตีกับเพื่อนครับ] พิมพ์ตอบกลับ

[Non : แถวซอยเจริญกรุง105ใช่ไหมคะ]

เขารู้ได้ยังไง !

อ้อ ลืมไป เคยมาแถวบ้านบ่อย

[อ๊อกเจ็บคอ : ใช่ครับ] ตอบกลับห้วนๆ เพราะวางตัวไม่ค่อยถูก

[Non : พอดีเลย]

พอดีเหี้ยไรคะ อย่าเว้นวรรคแบบนี้ ใจคอไม่ดี !

[Non : พี่ว่าจะไปกินกับเดือนพอดี]

[Non : (แนบรูป)]

[Non : ไว้เจอกันนะคะ <3]

ผมชะงักหรี่ตามองรูปที่พี่นนท์ชูมือสองนิ้วให้กล้อง โดยมีภาพพี่เดือนก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ด้านหลัง

“เอลซ่า !” ผมหันไปสะกิดคริสตี้ทันที พลางชูหลักฐานทนโท่ให้มันดู

“กรี๊ดดดด ! มันอันตราย” มันตกกะใจ จนร้องเสียงหลง

ผมเองก็เป็นไปกับมันด้วย “รีบหนีให้ไกล” ยืนขึ้นโดยพลัน จับแขนเพื่อนเตรียมจะหนี

“อ่าว หนูจะไปไหนคะ ?”

เสียงคุ้นๆ นะคะแม่ขา มันมาจากด้านหลัง หรือนี่จะเป็นเรื่องจริงที่มีคนโรคจิตตามติดชีวิต ไม่มีเวลาให้กูได้หลีกหนีสักเสี้ยววินาที

น้ำตาปริ่มแล้วค่ะคุณกิตติ เห็นหน้าซีดขาวของคริสตี้ก็พอจะรู้ว่ามันเจอใคร

ผมรีบปั้นหน้ายิ้ม ก่อนจะหมุนกายหันหลังไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าตอแหล

“ตายจริง” พานเอามือทาบอก “ไม่คิดว่าจะมาไว”

คุณผัวจะเลี้ยงโรตีใช่ไหมคะ ?

หรือจะเย็-ดิฉันกลางสาธรณะดี

หัวข้อที่สองโปรดเห็นใจ เพราะเราคือคนไม่ใช่สัตว์

“คิดถึงจังเลยค่ะ”

อีกแล้วนะคะคำคิดถึง เชื่อถือไม่ได้เลย วันนี้เพิ่งเจอกันมาหมาดๆ คุณพี่เป็นเหี้ยไรคะ หรือความทรงจำเสื่อม ไม่เจอกันไม่กี่ชั่วโมงเหมือนขาดใจตาย นี่คนหรือนกเงือก ขาดคู่โชคชะตาไม่ได้เลย

“แหะๆ เหมือนกันเลย” แต่ก็ได้แค่คิดและหัวเราะเจื่อนๆ ตอบกลับไป

“หนูจะกลับแล้วเหรอคะ ?” พี่นนท์ถามพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

น้ำเสียงผมตะกุกตะกักตอบกลับ “ปะ เปล่า ว่าจะไปสั่งโรตี พนักงานมาช้าน่ะครับ”

จู่ๆ พนักงานก็เดินมาทันทีพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร “เอาไรดีคะ”

มาถูกเวลามากค่ะอีสัตว์ !

“ใครอะ ?” เสียงซุบซิบดังมาจากด้านหลังในกลุ่มเพื่อนพ้อง น่าจะเป็นเจ้โอ๊ตที่เป็นต้นตอแห่งความเสือก “หล่อว่ะ ผู้อีอ๊อกเหรอวะ ?”

“หุ่นแซ่บเวอร์ น่ากิน แง่ง” เสียงเจ้มายเอ่ยลอยๆ เหมือนแมวยั่วสวาท

ผมรีบหันขวับไปเขม็งตาใส่ ‘ว่าที่ผัวกูค่ะ’ อีกะเทยร่านเดี๋ยวเอาแผ่นโรตีฟาดหน้าแม่งให้หมด

“ใครเหรออ๊อก” น้ำเสียงหวานๆ ของแพทเอ่ยขึ้นมา แต่ตานี่จ้องผู้ชายตาเป็นมัน

ได้ข่าวว่าเป็นโรคซึมเศร้านะเพื่อนสาว นี่สงสัยมากว่ามึงเป็นโรคร่านด้วยหรือเปล่ากันแน่ เป็นนิสัยแก้ไม่ได้ คงเป็นกมลสันดานติดตัวแหงๆ

ผมเอี้ยวกาย ยกฝ่ามือชี้นิ้วมาที่ตัวเองไม่ให้พี่นนท์เห็น ส่งสัญญาณเป็นการบอกเพื่อนๆ ว่า ‘ของกูจ้ะ อย่าเสร่อ’
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่หก [15/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 15-12-2019 21:31:39
“สรุปเอาไรดีคะ” พนักงานคาคคั้น ผมเลยต้องปั้นยิ้มหันไปตอบ

“เอาโรตีชีสครับ และโกโก้แก้ว ส่วนคนอื่น...” ผมปรายตาไปทางทุกคน ก่อนที่พวกมันจะเอ่ยปากสั่งเมนูกับพนักงาน หลังจากนั้นผมถึงได้ผินตามาทางเพื่อนสนิท มันยังยืนมือสั่น จ้องตากับพี่เดือนอยู่

อีดอกปลากัดกำลังกัดกันปะ

“จ้องขนาดนี้ แดกหัวกันเลยดีไหมครับ” ผมเอ่ยเสียดสีไปทางคนทั้งสองอย่างจงใจ พลอยให้พี่เดือนต้องหันหน้ามาจ้องผมแทน

เราสองคนสนิทกันอยู่ เป็นญาติกันห่างๆ ฉะนั้นเรื่องชกต่อยไม่มีแน่นอน

ถึงมีกูก็หลบไปให้ผัวบังตีนให้แทน

“หนูชอบกินโกโก้เหรอคะ ?” พี่นนท์ที่ยืนอยู่ยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น

ใจจะละลายแล้วค่ะแม่ขา อยู่กันยี่สิบสี่ชั่วโมงอีอ๊อกคงเป็นขี้ผึ้งลนไฟ

“ใช่ครับ” แสร้งเป็นทัดผมเหมือนมีผมยาวเพื่อแก้เขิน สบตาบ้างหลบตาบ้างเหมือนนายเอกขี้อาย

จริงๆ ก็ขี้เงี่ยนด้วยค่ะ แต่ไม่กล้าบอก

“พี่เองก็ชอบเหมือนกัน” พี่นนท์เอ่ยปาก แต่ได้ข่าวผมไม่ได้ตั้งคำถามอีกฝ่ายเลยสักนิด

อ๋อ สงสัยอยากมีส่วนร่วม เหมือนพวกพระเอกนิยายที่มีอะไรก็ชอบคล้ายคลึงกับนายเอก ขอเพียงแค่ได้พูดไว้ก่อน ประหนึ่งเป็นคู่แห่งโชคชะตา พล็อตOmegaverse นิยายใหม่ที่นายเอกอยู่ในช่วงฮีทบ่อย พระเอกก็อยู่ในอาการน็อทแห่งความคลั่ง อีพี่นนท์ก็มีอาการคล้ายคลึงเลย เงี่ยนแม่งทุกวัน

เอ๊ะ กูโดนกัดคอด้วยไหมนะเมื่อคืนนี้ ลูบต้นคอเบาๆ กลัวถูกพันธสัญญาเหมือนในนิยาย มโนไว้ก่อนแม่สอนไว้

“กินเสร็จจะไปไหนต่อปะคะ” พี่นนท์เขยิบเข้ามาใกล้ ยกฝ่ามือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู

ม่ายยยย จะมาโชว์ความผัวให้เพื่อนๆ ผมเห็นแบบนี้ไม่ได้นะ อีพวกกะเทยตาร้อนผ่าวกันไปหมดแล้ว ไฟริษยาชัดๆ

และแล้วอีตัวยุยงก็เป็นฝ่ายถามจนได้ “พี่ๆ พี่เป็นแฟนอีอ๊อกเหรอคะ ?” เจ้โอ๊ตสงสัย

พี่นนท์ระบายยิ้มหนักกว่าเก่า ส่ายหน้าตอบกลับไป “เปล่าครับ”

อ่าว อีเหี้ย และเมื่อคืนนี้มันคืออะไรอะ บอกเขาไปสิว่าเราได้กันแล้ว ไม่ใช่แฟนแต่เป็นผัว พูดซี้ พูดให้มันเหมาะกับพระเอกในนิยายหน่อย

“แต่กำลังจีบอยู่ครับ”

กรี๊ดดดดด จุดไฟร่านเลยจ้า ปังๆ วันนี้กูจะจุดพลุ อีหน้าไหนก็อย่ามาขัด

คำตอบเป็นที่น่าพอใจมากครับ แกล้งทำเป็นเขินแป๊บ โดยการก้มหน้างุด “พี่นนท์อย่าพูดแบบนั้นสิ” เอาอีกสิ พูดอีกเยอะๆ เลยว่าชอบน้องอ๊อกอะ

“พี่พูดจริงนะคะ”

แอร๊ยยยยย เขินมาก ได้แต่กรี๊ดอยู่ในใจ สาวจะแตกแล้วค่ะ เสี้ยน อาการเสี้ยนมันกำเริบ

อีคริสตี้มึงได้ยินไหม ว่าที่ผัวกูโชว์ความผัวให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ออกตัวแรงมากเลยอะ ฮือ

อ่าว ทำไมเพื่อนยังทำหน้าเครียด ก้มๆ เงยๆ หลบหลีกสายตาพี่เดือนใหญ่ อีคู่นี้มีพิรุธนะ

“คริสตี้” เสียงพี่เดือนเรียกชื่อ ทำเพื่อนรักของผมสะดุ้งโหยง

“ว่า” มันตอบเสียงห้วน

“ขอคุยด้วยหน่อย” พี่เดือนพูดเสียงเครียด

บรรยากาศรอบด้านหนาวเหน็บเหมือนมีผีจะมาหลอกหลอนเลยค่ะคุณกิตติ รอลุ้นว่าใครจะถูกฉุดกระชากเหมือนพล็อตมาโซคิสม์หรือเปล่า

ลุ้นให้อีคริสตี้มันโดน เป็นครั้งแรกที่เห็นมันกลัวคน แต่ยังดูใจกล้าไม่เกรงกลัวอยู่หน่อยๆ

“ไม่ว่าง กินโรตีกับเพื่อนอยู่”

ร้ายมาก ! นี่มึงเห็นเพื่อนสำคัญกว่าผู้ชายเป็นด้วยเหรอ ปกติเห็นระริกระรี้อยู่ตลอด เพียงได้เจอคว-

“งั้นกินเสร็จ ขอคุยด้วยหน่อย” พี่เดือนเสียงอ่อนลง แต่หน้าตานี่ดูเครียดจัด

หันกลับมาที่ว่าที่ผัวตัวเองบ้าง หน้ายังยิ้มอยู่ตลอด

ถามจริง วันนี้ดูดกัญชาหรือแดกยาบ้ามากันแน่คะ ยิ้มจนเริ่มหลอนแล้วนะคะคุณหฤษฎิ์

พี่นนท์บีบแก้มผมเบาๆ ก่อนเอ่ยลา “เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันนะคะ”

“...” เงียบปาก แต่พยักหน้ารับ ยังไม่ค่อยชินกับคุณพี่เท่าไรนัก หลอนตั้งแต่เจอกันในเกม นี่ยังมาเจอกันตอนแดกโรตีอีก ตามติดชีวิต หวังว่าจะไม่มีฉากหึงหวงฆ่าหั่นชำระศพเหมือนในพล็อตที่ตัวเองเคยแต่ง อ๊อกกลัวนะแม่

ชายหนุ่มหันหลังเดินจากไปนั่งที่เก้าอี้โต๊ะที่ว่าง สั่งเมนูเสร็จสรรพ ก็ยังมองผมด้วยรอยยิ้มผูกมิตรไมตรี

ผมยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูคริสตี้หลังจากทิ้งตัวลงนั่ง “มึงว่าคืนนี้กูจะโดนจัดอีกสักดอกปะ”

“ไม่แน่” คริสตี้พยักหน้ารับ “ใจกูเทให้มึงไปแล้ว เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์”

“เก็บไว้ทำไมอีกห้าเปอร์เซ็นต์”

“เพราะมึงยังไม่ทำแท้งมา เกรงว่าจะมีการแจกทองและเลิกเย็-กลางคัน”

“นั่นก็จริง”

“มึงไปทำอีท่าไหนมาอีอ๊อก ผู้งานดีถึงมาจีบมึงหนักขนาดนี้” เจ้มดแคลงใจ เอ่ยแทรกในบทสนทนา

“คือ…” จะบอกไงดี ก็หลายท่าอยู่นะเพื่อนๆ “เขาคงอำน้องเล่นแหละเจ้”

“ไม่เล่นแล้ว เต๊าะหนักขนาดนี้” เจ้มายว่า

“แบ่งกันมะ” เจ้โอ๊ตเอ่ย

ผมงงเป็นไก่ตาแตก “แบ่งไรอะ ?”

“ก็แบ่งๆ กันใช้ไง มีไรก็แบ่งกัน เหมือนยืมของ”

“เจ้ นี่คนไม่ใช่สิ่งของ”

“พี่น้องไม่จริงนี่หว่า เหี้ยอะ เป็นน้องไม่รู้จักแบ่งปัน”

“จริงมึง” เจ้มายเห็นดีเห็นงามด้วย

“อยากโดนเลยอะ” แพทเอ่ยลอยๆ เสียงเบาหวิวแต่กระทบเข้าหูผม

“เลิกร่านก่อนนะแพท ไปปรึกษาหมอด้วยว่าที่มึงเป็นอยู่นี่โรคคันคะเยอหรือโรคซึมเศร้ากันแน่”

“หมอบอกเป็นทั้งสองอย่าง” แพทตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ

“งั้นไปซื้อดิลโด้มาบำบัดก่อน” ผมตอกกลับ ที่กล้าด่ามันเพราะอาการมันดีขึ้นเยอะ ไม่ค่อยเครียดเหมือนแต่ก่อน ตัวแพทเองก็มักจะปรึกษาระบายกับผมอยู่บ่อยๆ ในเรื่องปัญหาต่างๆ

แต่อีพวกกะเทยนี่จ้องจะแย่งผัวกูแล้วนะ ไม่ได้การ ถึงปากบอกไม่ใช่ แต่อากัปกิริยาต้องแสดงออกไว้ก่อนว่าเป็นของของเรา

“พอดีเราคุยกันนิดหน่อย” ผมทำท่าทางเคอะเขิน เอ่ยขึ้นมาลอยๆ

“ร้ายมาก” เจ้มายว่า

“ร่านเวอร์” เจ้มดเอ่ย

“คุยกันตอนไหน ไหนเล่าซิ” เจ้คิทแคทยื่นหน้ามาเล็กหน้า ท่าทางตั้งอกตั้งใจฟัง

“ก็ไม่กี่วันมานี้” ผมตอบด้วยท่าทางเอียงอาย ชวนน่าหมั่นไส้ บิดตัวเล็กน้อยเหมือนนายเอกขวยเขิน

คว-เถอะค่ะ จริงๆ เรียกกระแดะ

“คุยไรกันอะ” ปรายแทรกเข้ามาถามบ้าง

“เสือกเก่งกันทุกคนเลย” แพทด่าในวงสนทนา ไม่กระทบขี้หูกะเทยทุกคน

“ก็เรื่อยเปื่อย” ผมตอบ

จริงๆ ก็คุยเรื่องเย็-กันบ่อยมาก แต่ไม่กล้าเหลาที่แปลว่าเล่าให้เพื่อนฟัง ส่วนใหญ่ที่เราคุยกันก็จะเป็น ‘อะ อ๊า พี่นนท์ สะ เสียว’

หูยยย แค่คิดก็ขนลุกวาบมาถึงตาตุ่ม

เมื่อทุกคนเห็นผมไม่ยอมเล่ารายละเอียดก็หันเหความสนใจไปทางเรื่องอื่นแทน เสียส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับวงการนางงามที่นั่งเมาท์กันไปมา ผมก็เลยได้มีโอกาสคุยกับคริสตี้ ไหล่กระทบไหล่เป็นการสะกิด

“เอาไงดี หรือพวกเราจะได้ผัวจริงๆ” ผมถามเกริ่น

“แต่ตามติดขนาดนี้แถมขี้เงี่ยนก็ไม่ไหวนะ หนีไปโสดเป็นแม่ม่ายดีกว่ามึง” คริสตี้ตอบกลับ

“ชีวิตดูน่าหดหู่จัง” ผมแกล้งปั้นหน้าเศร้า สักพักก็แสดงท่าทางระริกระรี้ “แต่นานๆ มีคนมาตามจีบถึงขนาดนี้เลยนะ”

“มึง” คริสตี้เอี้ยวกายหันมาจ้องหน้าชัดๆ “ฟังนะ การมีผู้ชายผ่านพ้นเข้ามาในชีวิต แถมเป็นเหตุการณ์ที่เราสร้างซึ่งก็ใช่ว่าจะดี การที่เขามาตามติดเราแบบนี้ บางทีก็แค่อาจเป็นการหวังเพียงแต่ได้ มันไม่ใช่นิยายนะอีอ๊อก ที่จะมีผู้แสนดีจากหนึ่งในล้านคน เพื่อคาดหวังความรักจากเรา แถมเรา…” คริสตี้ลอบมองทุกคนที่คุยสนุกปากกันอยู่ เห็นไม่สนใจจึงเอ่ยต่อข้างกกหูของผม “แถมเราก็ขายตัวกันอีก มันก็แค่ฝันลมๆ แล้งๆ”

ผมนิ่ง รับฟังท่าทีจริงจังของเพื่อนรักก็นึกตามอย่างเป็นกังวล ซึ่งมันก็จริงอย่างที่มันพูด การที่มีผู้ชายเข้าหาเรา จากการที่เราเสียไรไปง่ายๆ ในบางทีเขาก็อาจจะแค่คาดหวังความง่ายจากในร่างกายเรา

“ที่กูจะบอกก็ไม่ใช่ไรหรอก แค่อยากจะสอนว่าให้เห็นคุณค่าในตัวเองบ้าง”

“มันก็จริงอย่างที่มึงว่า” ผมนึกตามก็สลดใจ หันไปลอบมองพี่นนท์ที่ยังชำเลืองมองเล็กน้อย ก็วกกลับมามองเพื่อนสนิท

บางทีอาจเป็นแค่ฝันหวาน ดั่งพล็อตนิยายขายฝันที่ตัวเองปรุงแต่ง

“เราต้องมีคุณค่าในตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นขายหลีแล้วได้เงินมา แต่นี่ไม่ได้สักกะบาท ดอกทองสิ้นดี” คริสตี้นึกแล้วก็โทสะ

ผมร้อง “อ๋อออ” ที่แท้เพื่อนรักก็แค้นใจที่ไม่ได้ตังค์จากการค้าประเวณี

“งั้นโตไปเราจะเป็นแม่ม่ายกันเหรอ” ผมอิดออดที่จะพูด “เป็นคนแก่ที่ไร้ผัวกันสองคน อยู่บ้านกันตามลำพัง หลีคงเป็นใยเพราะรกร้าง”

“ก็ดีมะ มึงก็อยู่กับกู ช่วยกันดูแลกัน ถ้าเงี่ยนก็ซื้อดิลโด้มาอันแล้วแบ่งปันกันใช้ มึงใช้เสร็จ กูก็ล้างสวมถุงยางมาใช้ต่อ” คริสตี้ว่า

“แล้วทำไมไม่ซื้อมาสองอันเลยล่ะ” ผมสงสัย

คริสตี้ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “มึงแม่งไม่รู้จักคำว่าประหยัด”

มันพูดทิ้งท้ายก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนพ้อง ตัวผมเองก็เลยร่วมวงสนทนา นั่งดูดน้ำโกโก้ขณะที่หูก็รับฟังถ้อยคำดังกล่าว

“ล่าสุดมึงไปนัดเยกับใครมาอีปราย มึงกล้าเล่าให้เพื่อนฟังไหมล่ะ” เอิร์ธพูด

“ทำไม ก็แค่ผู้ชาย” ปรายบอกอย่างไม่สะทกสะท้าน

“คณะอะไร” เจ้มายอยากรู้อยากเห็น “มีภาพไหม ไหนหลักฐาน”

เจ้ปรายเมื่อเห็นทุกคนไม่เชื่อก็ก้มหยิบมือถือ ปลดล็อกรหัสผ่านเข้าสู่แอปที่เคยมีการพูดคุย ก่อนจะยื่นรูปที่มีหน้าตาให้เพื่อนๆ ดู เป็นผู้ชายหุ่นล่ำหน่อยๆ ใสเสื้อเชิ้ตสีขาว “เขาเป็นนักกายภาพบำบัด”

ทุกคนร้องหูย บ้างก็ซี๊ดปากเมื่อนึกภาพตาม ก่อนที่เจ้โอ๊ตจะท้วงติง “ไม่น่าอีปรายถึงโดนเอาจนปากเบี้ยว เส้นประสาทคงกดทับ”

ทุกคนหัวเราะกันลั่น สร้างความสนใจแก่คนอื่นๆ ที่นั่งกันอยู่ เพราะเสียงกะเทยเป็นเอกลักษณ์ หัวเราะซะสะใจกันเวอร์ ส่วนผมก็แอบสำลักน้ำที่ดื่มอยู่จนแทบพุ่งพรวดออกจากปาก เพราะอีเจ้โอ๊ตมันดันเล่นมุกตลกร้าย พลันลอบดูอากัปกิริยาของเจ้ปราย กลัวว่าแกจะรู้สึกแย่จากคำเสียดสี

บางทีตัวผมก็ใช่ว่าจะชอบการหยอกล้อปมด้อยของคนอื่นเขา ก็ได้แต่นึกโทษตัวเองอยู่เหมือนกันลึกๆ ที่ไปขำ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะตอบกลับมา คล้ายไม่ได้รู้สึกกับคำครหา ตัวผมก็พอเบาใจลง แม้ลึกๆ ยังมีความกังวลว่าท่าทางเบื้องหน้าที่ปั้นหน้ายิ้มต่อผู้คน ภายในนั้นใครจะไปสุดรู้ได้ว่าเขารู้สึกเช่นไร

เจ้ปรายหัวเราะก่อนด่าว่า “อีควาย”

“เจ้โอ๊ตนิสัยไม่ดี เหี้ย” แพทด่าเสียงเบาหวิว คงนึกเป็นห่วงเจ้ปรายด้วย เพราะแพทก็เป็นโรคซึมเศร้า เบื้องหน้าก็มีรอยยิ้มเก่ง แต่เบื้องหลังคิดสั้นหดหู่จนยากเกินจะอธิบาย เรื่องนั้นผมก็เคยรับฟังมันมาก่อนเลยเข้าใจดี

“ปราย กูขอโทษ” เจ้โอ๊ตดูไม่สนุกที่จะเล่นต่อ “โกรธกูปะหนิ” มันถาม

“ไม่ กูไม่โกรธ ขำๆ ปะ” เจ้ปรายไม่ถือสา เมื่อเป็นเช่นนั้นทุกคนจึงเบาใจ

แต่มีเพียงผมและทุกคนที่ลึกๆ อาจจะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่โอเคอยู่ ถึงแม้ต่อให้จะเป็นจินตนาการ นึกกังวลไปเองก็ตามที

“ดูอีอ๊อกสิ เงียบจนคางยื่นละ” กลายเป็นผมที่อยู่เฉยๆ ก็โดนเพื่อนล้อปมด้อยของตนเองแทน

ผมเงียบ ปั้นหน้ายิ้มไม่สะทกสะท้าน “มีปัญหาไรอีตอแหล” ผมด่าอีกฝ่ายอย่างไม่หวาดหวั่น “อยู่ดีๆ ก็ล้อปมด้อยคนอื่น ตัวเองก็ใช่ว่าจะดี”

“แรงมากอีดอก” เจ้คิทแคทเอามือทาบอก อีคริสตี้ก็พลางซี๊ดปากอย่างเผ็ดร้อนกับวาจาดุดันของผม

“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะพี่” เจ้โอ๊ตก้มหัวขอโทษขอโพยอย่างขบขัน ผมเห็นดังนั้นจนหัวเราะคลายบรรยากาศ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเครียดต่างๆ นานา

พวกเราคุยกันหลายชั่วโมงอยู่ แต่เท่าที่เห็นก็ยังมีผู้ชายอีกโต๊ะยังไม่รีบกลับเช่นเดียวกัน ผมหันไปกระซิบกับคริสตี้ว่าอยากกลับบ้าน เพื่อนรักเลยบอกทุกคนเพื่อขอตัวกลับก่อน ทิ้งท้ายด้วยจำนวนเงินที่หารเท่าๆ กัน

พอเราทำท่าจะเดินจากไปไม่ทันไร พี่นนท์ก็รีบยื้อผมเอาไว้ พลางเรียกพนักงานมาเก็บเงิน

“มีไรครับ” ผมถาม

“ไปห้างกันไหมคะ” พี่นนท์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม โชว์ฟันเรียงสวยที่ชวนน่าหลงใหล

โอ๊ย จากที่เศร้ากลายเป็นชื่นบานเลยอะ ใจอ๊อกบ่ดี

ถามว่าอยากไปไหมก็อยาก “แต่นี่ทุ่มครึ่งแล้วนะครับ” ผมที่หยิบมือถือมากดเปิดหน้าจอดูเวลาเอ่ยปากบอก

“ก็นั่นแหละค่ะ ดูหนังกัน เดินห้างด้วย ให้คริสตี้ไปเป็นเพื่อนหนูด้วยก็ได้ค่ะ นี่เดือนก็ไปกับพี่” พี่นนท์กล่าวเช่นนั้น พลอยดูท่วงทีของอีกคนไปด้วย “คริสตี้ไปไหมคะ ?”

“แล้วแต่อ๊อกเลยค่ะ” เพื่อนรักแจกรอยยิ้ม โยนภาระมาให้ผมแทน

เอาไงดี นี่มันแนวพระเอกสายเปย์ชัดๆ หนังเรื่องใหม่ที่อยากดูก็เพิ่งเข้าโรงมาหมาดๆ

“เดี๋ยวขอโทรบอกแม่ก่อนนะครับ” พอดีกลัวแม่เป็นห่วง แม้แม่จะไม่เคยสนใจเลยก็ตามที

“ได้เลยค่ะ” พี่นนท์เห็นดังนั้นก็หน้าชื่นตาบาน หากเปรียบเปรยเป็นสุนัขคงได้เห็นหางยาวๆ กระดุกกระดิก

ผมหยิบมือถือแนบหูเมื่อโทรหาปลายสาย ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็มีสัญญาณตอบรับ

[ฮัลโหล ว่าไงอ๊อก]

“แม่ อ๊อกจะไปห้าง คงกลับดึกหน่อยนะ” ผมพูดให้ปลายสายฟังอย่างกระจ่างแจ้ง

[กี่โมง ดึกมากไหม]

“สักสี่ห้าทุ่มได้มั้งแม่ แม่นอนก่อนได้เลย อ๊อกมีกุญแจบ้านติดตัวอยู่”

[โอเค แม่อุ่นแกงเขียวหวานไว้ให้นะ ดึกก็กิน เสร็จแล้วเอาแช่ตู้เย็นให้แม่ด้วย]

“โอเคครับๆ” ผมตอบรับสบายใจ วางหูไม่ทันไรพี่นนท์ก็ปริปากถาม

“คุณแม่ว่าไงคะ”

แง เรียกว่าคุณแม่เลยเหรอ เราใช้แม่เดียวกันตั้งแต่เมื่อไร

“แม่โอเคครับ” ผมบอก

“งั้นดีเลย เดี๋ยวตอนดึกพี่ขับรถมาส่ง ส่วนเพื่อนหนูก็ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเดือนช่วยดูแล” พี่นนท์ว่า พลอยให้คริสตี้เบะปากใส่

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองได้”

ผมเอาศอกกระทุ้งเพื่อนไปทีหนึ่ง เพราะมันปั้นหน้าปั้นตาไม่พอใจสุดๆ

ฝ่ายพี่เดือนก็มีสีหน้าเคร่งเครียดพอสมควรอยู่ ดูจากสถานการณ์คงเป็นเรื่องน่าลำบากใจสำหรับผมกับพี่นนท์เป็นอย่างมาก ไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้านี้ยังไงดี

“เอาเป็นว่าเรานั่งรถไปกันเลยดีไหมคะ” พี่นนท์เชื้อเชิญ ตัวผมเองก็ยินดี เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกกับท่าทางปั้นปึ่งของเพื่อนสาวเล็กน้อย

“คริต มึงโอเคแน่นะ ไม่อยากไปก็บอกดีๆ” ผมยื่นหน้าไปกระซิบ

เพื่อนรักตอบกลับ “เออ กูโอเค มึงไม่ต้องเป็นห่วง” มันพูดให้ผมสบายใจ ขณะเดินตามผู้ชายเบื้องหน้าสองคนที่ขึ้นรถยนตร์

โอ้ คันเดียวกับที่ผมเคยนั่งเมื่อตอนเช้านี้เลยอะ แต่สิ่งที่แตกต่างจากวินาทีนี้คืออาการคันคะเยอ

ล่าสุดต้องการคารามายแล้วจ้ะแม่จ๋า ผู้ชายชวนไปไหนก็อิดออดอยู่นาน แต่ใจอีอ๊อกนี่พร้อมไปในทันใด

กูจะขู่กรรโชกทรัพย์เลยคอยดู

ว่าที่ผัวเสือกอยากเป็นเสี่ยดีนัก...หึ


บรรยากาศในรถที่ตลบอบอวลไปด้วยความรัก ความเงียบกริบไร้สรรพเสียงสิ่งใดๆ ช่างน่าพิศมัย หน้าตาถมึงทึงของเพื่อนสาวที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยการยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างน่ารักน่าชัง เว้นระยะห่างกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางลอบมองอากัปกิริยาของสาวสวยที่ปั้นปึ่งอย่างห่วงหาอาทร มองแบบไหนก็ช่างเป็นความรักที่น่าชื่นชมชวนโอ้โห

โอ้โหอีสัตว์ตีกันแน่นอน  แตกต่างจากฝั่งคนขับที่ไม่ได้สนใจห่าเหวสิ่งใดๆ ว่าเบื้องหลังแม่งมาคุมากเพียงใด ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาลอบมองมาทางผมเหมือนคนบ้าที่โลกนี้มีเพียงเราสอง

คุณผัวคะ ช่วยดูบรรยากาศรอบด้านด้วยค่ะ

“เปิดเพลงได้ไหมครับ” สุดท้ายก็เป็นเราที่ต้องเอ่ยปากร้องขอ

“ได้สิคะ” พี่นนท์พยักหัวรับ ก่อนจะยื่นมือไปกดเปิดเพลง แถมยังเป็นเพลงเก่าอีกต่างหาก คู่กัดชัดๆ

[ลิ้นกับฟัน พบกันทีไรก็เรื่องใหญ่ น้ำกับไฟ ถ้าไกลกันได้ก็ดี หมากับแมวมาเจอะกัน สู้กันทุกที ต่างไม่เคยมีวิธีจะพูดจา]

คริสตี้ “...”

ผม “...”

[นกกิ้งโครง โผลงมาเกาะโพรงนกเอี้ยง อ้อยอี๋เอียง เถียงกันตลอดเวลา เสือกับสิงห์ก็ข่มกันขอเป็นเจ้าป่า ต่างไม่ยอมจะพูดจาตกลงกัน]

พี่เดือน “...”

พี่นนท์ “:)” ขับรถไปเคาะนิ้วตามจังหวะไป

[อย่างเธอกับฉันอันที่จริง เราก็มีหัวใจให้กัน แล้วทำไมเธอกับฉัน คอยขัดกันทุกทีเรื่อยไป เธอก็เสือฉันก็สิงห์ ทั้งที่จริงไม่มีอะไร รักกันแต่ทำไมเป็นอย่างงี้]

“เปลี่ยนเพลงได้ไหมครับ” ด้านหลังถอนหายใจกันฟืดฟาดแล้วค่ะ

“ทำไมล่ะคะ ? เพราะออก”

ออกจากรถไงคะอีสัตว์ ! ตีกันริมถนนแน่ๆ ทำไมผัวไม่รู้จักดูสถานการณ์เลย อีเหี้ย !

“ก็เพราะครับ แต่อยากได้เพลงอื่นน่ะ พี่นนท์เปลี่ยนให้หน่อยนะ นะๆ” ถือโอกาสทำท่าทางออดอ้อน หวังให้ว่าที่ผัวทำตามคำสั่ง

“น่ารัก งั้นก็ได้ค่ะ เปลี่ยนเป็นเพลงนี้ดีกว่า” อีกฝ่ายทำตามคำพูด ขับรถไปพลางดูกดปุ่มเลื่อนหาเพลงใหม่ ผมที่นั่งนิ่งงันฟังจังหวะคุ้นหูแต่แตกต่างจากเวอร์ชั่นเดิม เป็นน้ำเสียงทุ้มละมุนเพราะพริ้ง แถมยังคล้ายคลึงกับใครบางคนข้างกาย

[จะส่งความรักไปให้ใคร เมื่อคนคนนั้นไม่เคยมี บอกรักตัวเองอีกทีนะ ~ เรา]

“เอ๊ะ ?” ถึงกับริมฝีปากอ้าค้าง

พี่นนท์ส่งเสียง “เอ๊ะ ?” ตาม พร้อมรอยยิ้มละมุนละไม ปล่อยให้ผมนิ่งชาจับน้ำเสียงที่ร้องตามทำนองต่อมา

[กุหลาบแดงยังไงก็ดูสวยดี สื่อความหมายเป็นคำเอ่ยแทนหัวใจ ~ กุหลาบขาวก็ดูคู่ควรกับรักยิ่งใหญ่ เลือกดอกไหนให้ตรงกับใจของฉัน ~ ถ้าใครถามว่าฉัน จะมอบให้กับใคร คงได้แต่แอบยิ้ม และแกล้งทำเป็นเขิน แต่ในใจของฉัน นั้นมันเศร้าเหลือเกิน ถ้าใครบังเอิญมารู้ความจริง]

นี่มันเสียงพี่นนท์หนิ เฮ้ย !

[ว่าซื้อกุหลาบให้ตัวเอง ฉันซื้อกุหลาบให้ตัวเอง ต้องทนเดียวดายวังเวงอย่างงี้ ~ จะส่งความรักไปให้ใคร เมื่อคนคนนั้นไม่เคยมี ~ บอกรักตัวเองอีกที นะ ~ เรา]

“เสียงพี่หนิ” ผมหันไปจ้องคนขับที่อมยิ้มมีความสุข ไม่ตอบคำถามใดๆ เลยทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่ ก้มดูภาพหน้าจอรายชื่อเพลงที่ขึ้นว่า ‘cover’ ท้ายหลัง

“พี่เป็นนักร้องเหรอ ?” หัวนี่สับสนไปหมด มีแต่คำถามประเดประดังเข้ามาในหัว

“ใช่ค่ะ” พี่นนท์ตอบกลับ ยิ้มจนตาหยี ก่อนจะถามกลับ “ร้องเพราะไหมคะ ?”

ผมเลิ่กลั่กวางไม้วางมือไม่ถูกตำแหน่ง “เพราะ ตะ แต่ว่าพี่เป็นนักแคสเกมด้วยไม่ใช่เหรอ ?” งงไปหมดแล้วนะ สรุปคุณผัวทำอาชีพอะไรกันแน่

“แคสเกมเป็นงานอดิเรกค่ะ แต่ร้องเพลงพี่ทำเป็นอาชีพหลัก ไว้ว่างๆ จะพาหนูไปดูพี่ร้องเพลงนะคะ” พูดพานยืดแขนเอาฝ่ามือมาขยี้กลุ่มเส้นผมของผมอย่างเอ็นดู

อีอ๊อกงงเป็นไก่ตาแตก นี่นอกจากจะได้ผัวเกมเมอร์แล้ว ยังได้ผัวขายฝันเป็นนักร้องอีกต่างหาก อะไรมันจะเพอร์เฟกต์ขนาดนั้นคะแม่ !

“อ๊อกไม่รู้เหรอว่านนท์มันร้องเพลงเป็นอาชีพตอนกลางคืน” เสียงพี่เดือนดังมาจากด้านหลัง ผมเอี้ยวกายชะโงกหน้าไปมองกลับ

“ไม่รู้” นี่ยังอึ้งอยู่เลย

“ถ้ารู้มันจะถามเหรอ ?” คริสตี้สวนกลับ พูดจิกกัดคนข้างกาย ทว่าพี่เดือนกลับไม่คิดจะใส่ใจ เพียงแต่มองด้วยแววตาหม่นหมอง

ดูท่าไม่รู้จะเข้าหาเพื่อนรักของผมยังไงกันแน่

“ถึงแล้วค่ะ” เสียงพี่นนท์ขัดจังหวะบรรยากาศ ผมเลยหันกลับมานั่งที่ดีๆ


ตัดภาพมาที่เราหลังลงจากรถยนตร์ ภายในห้างมีคนพลุกพล่านแน่นขนัด ต่างมีช่วงอายุตั้งแต่เด็กลามไปถึงผู้ใหญ่แก่ชรา ผมกับคริสตี้ต่างเดินจูงมือดั่งมิตรสหาย ไล่ตามชายหนุ่มสองคนที่หน้าตาดีเพื่อนำหน้าขบวน สาวน้อยสาวใหญ่ต่างเหลียวหลังมองกันเต็มไปหมด ผมจึงได้แต่เขม่นตาใส่ มองตามหญิงสาวที่มองพี่นนท์นิ่งค้าง พลันสะดุดมาหยุดที่ผมที่จ้องตาเธอ

ผมยกนิ้วชี้มาที่ตัวเอง ขยับริมฝีปากไม่ออกเสียง “ของเราจ้ะ” พลอยให้คนตรงหน้าได้รู้ตัวกระจ่างแจ้ง

ชะนีน้อยฝันหวานไปเถอะ !

“มึงทำไร” คริสตี้หันมาถามผมอย่างงงงวย

ผมเอ่ยปากบอก “ไม่มีอะไรสักหน่อย” แค่เตือนพวกผู้หญิงที่จ้องว่าที่ผัวตาเป็นมันก็เท่านั้นเอง

พลันสายตาไปเหลือบเห็นร้านๆ หนึ่งเข้าให้

“โอ๊ะ ! ร้านหนังสือการ์ตูน !” พูดเสียงดังพอที่คนข้างหน้าจะได้ยิน เป็นความไม่ตั้งใจทั้งสิ้น

“แวะไหมคะ” พี่นนท์ที่เดินนำหน้าหมุนกายหันมาถาม พอผมพยักหน้างึกงักก็ยิ้มโชว์ฟันขาว “งั้นไปกันค่ะ”

“ขอยืนรอข้างนอกนะคะ” คริสตี้เอื้อนเอ่ย

“อ่าว เข้าไปด้วยกันสิ” ผมชักชวน

“ไม่เอา ขี้เกียจ เหม็นกลิ่นหนังสือด้วย” คริสตี้ว่า ผมจึงนึกตามว่าก็จริงอยู่ เพราะร้านหนังสือการ์ตูนจะมีกลิ่นเฉพาะเจาะจง เผลอๆ อาจมีกลิ่นฝุ่นอีก แม้ตัวผมเองก็เป็นโรคภูมิแพ้ ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหักห้ามใจที่จะเข้าไปได้

การ์ตูนวายมันรออยู่ยังไงล่ะ อ๊ากกก !!

“เคๆ” เมื่อเห็นเพื่อนไม่อยากจะเข้าผมก็เลยเลิกคะยั้นคะยอ เปลี่ยนจุดมุ่งหมายไปที่ร้านหนังสือการ์ตูน เดินไวกว่าปกติ โดยมีพี่นนท์เดินตามหลัง ไม่สนใจแม้แต่พี่เดือนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพื่อนรักของผม

สงสัยอยากอยู่สองต่อสอง…

ช่างเถอะ ชิ

“การ์ตูนๆ” ผมบ่นกระปอดกระแปด เข้ามาในร้านก็กวาดตามองรอบด้านอย่างสนอกสนใจ เดินเข้าชั้นหนังสือนู่นนี่เพื่อหาการ์ตูนวาย โดยมีร่างทะมึนเดินตามหลังต้อยๆ

“เอ่อ” ผมรู้สึกกระดากอายที่จะหยิบ แม้จะถึงชั้นที่ว่าแล้วก็ตาม

“มีอะไรคะ” พี่นนท์ยิ้ม เลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ

“พี่ไปเดินดูโซนอื่นก็ได้นะ” ผมบอก “ไม่ต้องตามผมขนาดนี้ก็ได้”

“ไม่ได้หรอกค่ะ” พี่นนท์ว่า “กลัวหนูหลง”

แต่ร้านหนังสือการ์ตูนมันไม่ได้กว้างขวางขนาดนั้นไงคะคุณผัวขา !!!

“ผมไม่ใช่เด็กแบเบาะซะหน่อยที่จะหลงง่ายๆ” ผมอธิบายให้อีกคนได้เข้าใจ

“หนูทำตัวตามสบายเถอะค่ะ พี่จะอยู่เฉยๆ ไม่รบกวน”

“...” เมื่อเห็นอีกคนกล่าวเช่นนั้น ซ้ำยังเกาะติดขนาดนี้ ก็ได้แต่จนใจหันมาดูหนังสือการ์ตูนดังกล่าว เลือกหยิบนู่นนี่ตามใจชอบ ดูปกหลังอ่านเนื้อหา ปกไหนเรทสะดุดตาก็หยิบเข้าสู่อ้อมกอดในทันทีทันใด

ดิฉันชอบเอ็นซีค่ะคุณกิตติ ยิ่งเฉพาะฉากวาบหวิวในรูปภาพ ใจมันเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ

“ปราบพยศเด็กแก่แดด อืม ชื่อดูตรงตัวดีนะคะ”

“วะ เหวอ” ผมเกือบจะล้มหงายหลัง เมื่อจู่ๆ พี่นนท์ก็ชะโงกหน้ามาใกล้แถวบริเวณแก้ม ลมหายใจอุ่นร้อนรดรินข้างเรียวคอ พลันฝ่ามือหนาดันเข้าที่แผ่นหลัง ช่วยพยุงดันขึ้นมาให้ยืนมั่นคง จากนั้นผมก็พาลเอ็ดใส่

“ไหนว่าจะอยู่นิ่งๆ ไม่รบกวนไง” แถมปกเมื่อกี้ก็เรทซะด้วย มีคนมารู้ว่าเราชมชอบเรื่องนี้ บางทีก็อายเป็นนะ โดยเฉพาะกับผู้ชายด้วยกันเอง !

“ก็เห็นปกมันสะดุดตาดี” พี่นนท์คลี่ยิ้ม “ขอโทษนะคะที่ทำให้ตกใจ”

“เฮ้อ” ผมลอบถอนหายใจอย่างปลงตก หันกลับมาเลือกหยิบใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาเรื่องไหนระหว่างซ้ายกับขวา ซ้ายมือเป็นพล็อตได้กับบุรุษไปรษณีย์ ขวามือเป็นแนวมาเฟียท่าทางเรทอยู่ เงินก็ไม่พออีก เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากที่สุด

“เลือกไม่ถูกเหรอคะ ?” พี่นนท์ที่ยืนมองอยู่นานเอ่ยปากถามไถ่

“อืม” ผมยู่ปากอย่างหงุดหงิด บ่นด้วยเสียงเบาๆ “กลัวเงินไม่พอ”

คนข้างกายได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยเสียงทุ้มขึ้นมาว่า “งั้นหนูหยิบตามใจชอบเลยค่ะ พี่ออกให้เองไม่ต้องเป็นห่วง”

โชว์ความเป็นผัวมากค่ะ ! ใจป้ำขนาดนี้ !

“จะดีเหรอ ?” ผมบิดตัว ท่าทางเกรงอกเกรงใจเหมือนนายเอกในนิยายวาย สร้างความพอใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

“ดีสิคะ อยากได้ไรก็หยิบเลย” คนตัวโตกล่าว

ได้ยินแบบนั้นผมก็เอ่ยลอยๆ ก่อนจะหยิบหนังสือการ์ตูนมาอีกสี่ห้าเล่ม “เกรงใจจัง”

ตัดฉากมาที่เคาท์เตอร์ชำระเงิน จากทีแรกที่จะเอาแค่สี่ห้าเล่ม

“ยี่สิบห้าเล่ม ทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งร้อยยี่สิบห้าบาทค่ะ”

พี่นนท์ “...” นิ่งขึงไปชั่วอึดใจ

ผม “ตายจริง ตั้งพันแน่ะ ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ ผมเอาออกให้ก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงอีกคนดูแหบแห้งลง

พอได้ยินสุรเสียงเช่นนั้นผมก็ลอบคลี่ยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ

นายเอกนิยายวายชอบเกรงใจผู้อื่นเก่ง

แต่นี่อ๊อกไงคะ ขู่กรรโชกทรัพย์ไปเลยค่ะ “ขอบคุณน๊า” ยื่นมือออกไปรับถุงหนักๆ อย่างปลื้มปริ่มปรีดา ใบหน้าเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด ยืนตัวตรงผายอกอย่างภาคภูมิ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่หก [15/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 16-12-2019 21:32:11
ใจปาบมากที่เสียงเอลซ่าลอยมาตอนร้องไห้ Let it go  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่หก [15/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-12-2019 00:24:32
โถ เอลซ่าพากย์นรก555
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่หก [15/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 17-12-2019 19:34:23
เขียนเรื่องสนุกมาก ตามจ้าาาาาาาาาาาา

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่หก [15/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: 5577 ที่ 19-12-2019 14:42:06
สนุกมากเลย รอตอนกลับบ้าน จะได้กลับบ้านใครนะ  o22
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่หก [15/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 19-12-2019 16:51:54
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เจ็ด [23/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 23-12-2019 21:47:16
ตอนที่เจ็ด
[/size]

 

การเป็นผัวก็ต้องรู้จักเปย์ปะ ไม่งั้นไม่นับว่าเป็นผัว อย่างน้อยไอ้ที่ถืออยู่นี้ก็ถือว่าเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายที่ต้องเสียพรหมจรรย์ไป อุตส่าห์ค้าประเวณีแต่ก็เสือกไม่ได้เงินสักกะแดงเดียว อีอ๊อกขออนุญาตขูดรีดขูดเนื้อตั้งแต่เดินเข้าห้างเลยละกันค่ะ !

ว่าที่ผัวไรใจดีจัง อยากร้องงื้อเหมือนไอ้พวกขี้อ้อน

งื้อพ่องื้อแม่มึงอะอีสัตว์ รำคาญลูกตา

“ให้พี่ช่วยถือไหมคะ ?” เสียงคนข้างกายอาสา ก่อนที่ผมจะเอี้ยวกายหันไปยิ้มแป้นหน้าบาน

“เกรงใจอะ มันหนักมากเลยนะ แต่ก็ขอบคุณ” พูดก่อนจะเอาถุงห้อยยัดใส่ฝ่ามือหยาบกร้านที่ผ่านการกรำมานักต่อนัก สอดเข้าไปที่ปลายนิ้วเรียวยาวและอวบเหมือนกระดอหมาขี้เรื้อน จากนั้นก็ปัดมือไล่ฝุ่นตนเองอย่างสบายเนื้อสบายตัว เหล่มองคนตัวสูงโย่งนิดหน่อย ฉุกคิดว่าอีกฝ่ายคงต้องแปลกใจกับนิสัยที่เดาทิศเดาทางไม่ค่อยถูก

เป็นจริงดังคาด พี่นนท์ดูอึ้งทึ้งสักพัก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจ

โธ่ๆ รู้หรอกน่ะว่าในใจต้องมีใจเต้นตึกตักกันบ้างแหละ อีอ๊อกนิสัยน่ารักขนาดนี้ ขืนเป็นนิยายวาย นายเอกก็คงเป็นนิสัยกมลสันดานชวนน่าหมั่นไส้ฉิบหาย แต่ทว่าดันมีพระเอกสายอบอุ่นดุจพระอาทิตย์ที่สอดส่องดอกไม้ทานตะวัน

แต่พอดีอีอ๊อกมีนิสัยดอกทอง ฉะนั้นขอข้ามดอกไม้ต่างๆ นานา

“อ่าว คริตตี้ไปไหนแล้ว” พอลืมตาหลังจากภาคภูมิใจไปหมาดๆ เดินออกมาก็ดันไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนรักสนิทชิดเชื้อ

“หนูลองโทรตามสิคะ”

ต๊าย พระเอกสายฉลาด

“โอเคครับ” ตอบรับกับคำพูดที่ขัดแย้งในห้วงคำนึง  ก่อนจะหยิบมือถือกดเข้าหารายชื่อและยิงหาปลายสาย และคงไม่ต้องมานั่งบอกนะครับว่าต้องเอามือถือมาแนบกับใบหูเหมือนในนิยายวาย

ฉลาดค่ะ ไม่ได้โง่

“อยู่ไหน” เมื่อได้ยินปลายสายกดรับจนเอ่ยปากถามไถ่

[เดรี่ควีน]

“กินติมอ๋อ” ผมถามกวนประสาท

[มานี่มาอมคว-มั้งอีสัตว์] คริตตี้ด่ากลับ น้ำเสียงเจือปนด้วยความรำคาญใจ [อยู่ชั้นล่าง รีบๆ มา]

“เค” ผมตอบรับ ก่อนจะเป็นฝ่ายกดตัดสายทิ้ง หลังจากนั้นจึงเอี้ยวกายมาหาคนด้านหลัง เดินอืดอาดเพราะคงหนักจากการถือของ

เป็นผู้ชายประสาไรไม่สมบุกสมบันเอาเสียเลย

“พี่เอาอีกถุงมาให้ผมดีกว่า เห็นแล้วสงสาร” เจือปนเวทนา คำคำนี้ขอคิดในใจ

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ไหว” อีกคนตอบปัด

โธ่พ่อพระเอกจิตอาสา ซ้ำยังมีจิตใจเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ฉลาดแสนรู้เหมือนหมายิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะนึกชมเชยอยู่ภายในใจ

เฮ้อ ก็ได้ๆ คะยั้นคะยอก็ไม่ยอมรับ อ๊อกก็คร้านเกินจะปฏิเสธนะคะพ่อคนดี

ดีสิคะ กูจะได้เดินตัวเบา ฮ่าๆ

“ไม่ไหวก็บอกนะ” พูดทิ้งท้าย รีบลงจากบันไดลิฟต์ ปล่อยให้กลจักรภายในเคลื่อนไหวลงมาถึงพื้นทางเดินชั้นลอยฟ้า มิวายเหลียวมองอีกคนอย่างเป็นห่วงเป็นใย

เอาน่ะ กล้ามแขนก็ใหญ่อยู่ ตอนเยกันมาก็เผลอลูบคลำสำรวจดูมาละ ห่วงตัวเองดีกว่าตัวกระจิ๊ดริดเหมือนหญิงสาวร่างแน่งน้อยอรชร ครั้นย่างกรายมาถึงชั้นที่มีร้านเดรี่ควีน ผมก็เห็นคริตตี้ยืนกอดอกอยู่ ขณะมีพี่เดือนยื่นแบงค์ร้อยจ่ายตั๋วให้มันแทน ก่อนที่มือของเพื่อนรักจะรับถ้วยมาถืออย่างรู้งาน

อีนี่ก็สายฉลาดค่ะ มีหรืออีอ๊อกดอกทองจะดูไม่ออก

“คริตตี้” เรียกเสียงยานเหมือนไม่ได้พบเจอกันมาเป็นชาติ แต่แท้จริงหมายมาดให้เพื่อนจ้องไปที่ผัวที่เดินตามท้ายหลัง ต้องมายืนทนลำบากถือของให้เมียคนนี้ ถือเสียว่าเป็นการข่มขวัญเพื่อนรัก บ่งบอกว่าร่างแบบนี้ และเบ้าหน้าแบบนี้มีผู้ชายมาเปย์โดยไม่ต้องเสียหลีเสียแตดอะไรเลย

“หายไปตั้งยี่สิบนาที มึงล่อการ์ตูนมาเป็นสิบๆ” คริตตี้เอ่ยวาจาประชดประชัน แต่มีหรือที่คนหน้าด้านจะเอียงอาย แกล้งทำเป็นบิดเคอะเขินเล็กน้อย พลันเกี่ยวแขนมิตรสหาย ยื่นหน้าลอบกระซิบ

“ก็เงินกูมีไม่พอนี่นา” ผมอธิบาย

“มึงหลอกเขาให้ซื้อให้ก็พูดออกมาตรงๆ”

“ก็อืม” ผมพยักหน้ารับพร้อมคลี่ยิ้ม “แล้วมึงล่ะ ทำไมจู่ๆ มากินไอติม”

“ถามโง่ๆ กูก็แค่อยากแดกมะ ?” คริตตี้นิ่วหน้าเบื่อหน่าย

ผมลากเสียงอ๋อยาวเหยียดระหว่างก้าวขา โดยไม่สนใจชายหนุ่มสองคนที่เป็นฝ่ายไล่ตามต้อยๆ ท้ายขบวนแทน

“ไปไหนต่อดี” ผมถาม ตลบคิดแผนการ

“กลับบ้าน” คริตตี้กลับไม่ให้ความร่วมมือ

“ไม่ได้ พี่นนท์อุตส่าห์ชวนกูมาเที่ยวทั้งที” ผมตีแขนเพื่อนรักเบาๆ พร้อมชักสีหน้าหงุดหงิดใส่มัน “เพื่อความปัง เราไปดูหนังกันดีกว่า”

“เลี้ยงกูไหมล่ะ ?” คริตตี้ท้วง

“กูไม่มีเงินอะ เหลือแต่หมอย” ผมแจงพร้อมแค่นหัวเราะฝืดๆ นึกอะไรออกจึงหมุนกายไปมองคนข้างหลัง

“พี่นนท์ไปดูหนังกันมะ ?” ผมชักชวนด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

และแน่นอนว่าอีกคนไม่มีวันปฏิเสธ

“ได้สิคะ”

เห็นมะ ? ความผัวนี้ พลันส่งสายตาสื่อความนัยให้เพื่อนรักเป็นอันรู้กัน ถึงแม้สายตาคริตตี้จะมีความตำหนิผมอยู่ก็ตามที

เพื่อนกันมักดูออก...

คริตตี้ส่ายหน้ากับการกระทำของผม มันบ่นกระปอดกระแปดคล้ายจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทำ แต่เท้านั้นเตรียมขึ้นลิฟต์บันไดไปยังชั้นโรงหนัง “ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแต่หลีและหมอย คงต้องฝากความหวังที่คว-เอาละกันเนอะ” มันเอ่ยออกมาอย่างตลกร้าย ก่อนจะชำเลืองมองผมผ่านหางตา จากนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มบานพาดผ่านบนใบหน้าประทินโฉม

แปะ ! แตะมือกันเป็นอันรู้เจตนา

สิทธิ์นี้ อย่าให้คว-มามีอำนาจและบทบาทมากกว่าหลี หลีเรามีคุณค่า ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนที่รับขนาดแต่ละชนชาติได้

อำนาจมืดไม่มีอะไรยิ่งใหญ่มากกว่าหลีที่กลืนกินคว-

เป็นผู้หญิงและกะเทยต้องรู้จักฉลาดสิ…หัดใช้สมองด้วยครับ อย่าโง่

 

ณ โรงหนังแน่นอนว่าย่อมมีคน และมีคนแน่นอนว่าย่อมมีคนดูที่เดินพลุกพล่านซื้อตั๋วหนังอย่างครึกครื้น ผมที่ชี้นิ้วสั่งป๊อปคอร์นรสหวานกับรสเค็มก็ลอบคลี่ยิ้มกว้างอย่างดีใจเพราะมีคนออกตังค์ให้ ปล่อยให้พ่อพระเอกไทป์เสี่ยเลี้ยงต้อยมาลูบหัวอย่างเอ็นดู

คิกๆ เชิญเอ็นดูตามใจชอบเลยค่ะ วันนี้อีอ๊อกจะผลาญเงินให้สมใจอยาก

พอดีเป็นคนแผนสูงและเห็นแก่ตัวมากด้วยค่ะ ต้องสำรวจก่อนว่าผู้ชายที่มาตามจีบเรานี้มีอิทธิพลและยอมรับตัวตนเรามากพอไหม

หากมีเงินอีอ๊อกก็คงจะเอาเงินมาช่วยหารอยู่หรอก แต่ไหนๆ ก็เหลือแต่หมอยซ้ำยังถูกเป็นฝ่ายชักชวนมาเอง ก็ขอโอกาสเห็นใจและลอบสังเกตติ๊กความเป็นผัวอีกฝ่ายเลยละกัน

ข้อที่หนึ่งรูปหล่อหน้าตาดี สูงยาวเข่าดี ติ๊กผ่านค่ะ

ข้อที่สองเสี่ยสายเปย์มีเงินเลี้ยงดูเด็ก ช่วยออกเงินซื้อของให้ ติ๊กผ่านค่ะ

ข้อที่สาม ใหญ่ แข็งขืน ดุดัน เร่าร้อน เย็-มันและรุนแรงเสียดแทงลำไส้ใหญ่ ข้อนี้ยิ่งผ่านเลยค่ะ ! ยังจุกเสียดแทงที่รูทวารไม่หาย อูยยยยย เดี๋ยวมีอารมณ์ พ่อคนดียิ่งขี้เงี่ยนเก่งไม่ต่างจากอีนักเขียนขี้อ่อยด้วย

ปริศนาฟ้าแลบ วันนี้แกงเขียวหวานของแม่จะได้แช่ตู้เย็นไหม ต้องมาลุ้นกันค่ะ !!

“G1-2-3-4” ผมกับคริตตี้ก้มหน้าดูตั๋วที่นั่ง ก่อนจะเลี้ยวไปตามทิศทางป้ายตัวอักษร มือข้างหนึ่งของผมมีน้ำแป๊ปซี่แก้วหนึ่ง ส่วนอีกแก้วมีพี่เดือนถือเอาไว้ รวมไปถึงถุงป๊อปคอร์นเลิศรส ในระหว่างนั้นที่ก้าวขามาถึงจุดมุ่งหมายปลายทาง พี่นนท์ก็ถือวิสาสะแทรกตัวเข้าไปนั่งก่อน โดยมีผมนั่งลงที่เบาะใกล้ๆ ตามมาด้วยคริตตี้และพี่เดือนนั่งถัดไป

แหม ดูออกนะครับคุณผัว มาอีหรอบนี้อยากนั่งใกล้เมียก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ การกระทำบ่งชี้แน่ชัดว่าถึงจุดจบ

จบที่เตียงนอนค่ะอีสัตว์ คืนนี้กูไม่ได้ส่งตัวกลับถึงตำหนักแหงๆ

ฮ่องเต้ทรงเสด็จเพคะ ดิฉันจะเป็นฮ่องเฮาเฉกเช่นนางบำเรอผ่านพ้นคืนวัน

คันยิกๆ แล้วค่ะ ไม่ใช่หลีนะคะ มือนี่แหละค่ะ หนาวอีเหี้ย !! เปิดแอร์แม่งกี่องศาวะเนี่ย !

ด่าตะขิดตะขวงใจก็ลูบแขนไปพลาง ทำตัวสั่นกึกๆ จนซี่ฟันกระทบ สักพักเพื่อคลายหนาว ทว่าดันมีคนสังเกตเห็นเลยเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “หนาวเหรอคะ ?”

มองไม่ออกเหรอคะผัวขา ?

“อืม นิดหน่อย” ผมตอบอิดออด ก่อนจะพิงตัวลงไปนั่งกับเบาะนุ่มๆ

พี่นนท์มีท่าทางลังเลใจ ขยับริมฝีปากบอกเจตนาในแง่ดี “เสื้อแจ็กเก็ตพี่อยู่บนรถ เอาไหมคะ ? เดี๋ยวพี่รีบไปเอามาให้”

“โอ๊ย ไม่ต้องๆ ลำบากพี่เปล่าๆ ผมทนได้ แค่หนาวนิดเดียวเอง เดี๋ยวสักพักก็ชินละ” ผมพูดรัวเร็ว ปัดไม้ปัดมือเป็นพัลวันเพื่อปฏิเสธ ไม่รู้จะได้ผัวแสนดีไปไหน

มาจีบแบบนี้ ขืนคบกันไปก็ขอให้เป็นแบบนี้จนตลอดรอดฝั่งเถอะ กราบล่ะ อีอ๊อกมีเงินจะเอาไปทำบุญสุนทานเลยคอยดู ถือเสียว่าได้ผัวแห่งชาติในศึกแย่งชิงกับสตรีทั้งหลายแหล่

หล่อเหลา ดุดันขนาดนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีผู้หญิงมาพัวพัน

พันธุ์ชิชุ พันธุ์โกเด้น มีเยอะแน่นอน ได้กัดกันตายไปข้างแน่ๆ อีอ๊อกที่เป็นแมวยั่วสวาทต้องลับเล็บรอ

“เอาน้ำไหม” จู่ๆ เสียงฝั่งทางขวามือก็เล็ดลอดให้ได้ยิน ผมหันหน้าไปมองจึงเห็นพี่เดือนถือแก้วยื่นให้คริตตี้

ท่าทางน่ารักมากค่ะ แต่ท่าทางของเพื่อนรักก็กวนส้นตีนมากด้วย

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยกิน” คริตตี้ตอบปัดแล้งน้ำใจ

ดีมากเพื่อน ! กูละอย่างชอบอีพวกเล่นตัว ทำตัวให้มีคุณค่าและค่อยมานกทีหลัง แต่พอดีเพื่อนคนนี้สวยและรวยมาก นี่เลยอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับกับห้วงคำนึง ดูทีท่าการตอบปัดแล้งน้ำใจนี้ จะไปสิ้นสุดที่น้ำใจและน้ำเงี่ยนบนเตียงนอนในสักวันหนึ่ง

พล็อตลอยมาเลยอะ ‘เสน่หากามารมณ์น้ำใจไมตรี สินสอดน้ำว่าวเดือน...’ ไม่ใช่เดือนคณะนะ เดือนข้างแรมค่ะอีสัตว์ นอนไปเลยค่ะ นอนให้เต็มที่ กับพล็อตติดเรทสิบแปดบวก BDSM

B = bondage พันธนาการ

D = discipline การลงโทษ

S = sadism การมีความสุขจากการทำร้ายผู้อื่น

M = masochism การมีความสุขจากการถูกผู้อื่นทำทารุณกรรม

พล็อตมีอยู่ว่าตัวละครคริตตี้เป็นกะหรี่ดาวเด่น เป็นนักเต้นรูดเสาที่ต้องตาชายฉกรรจ์อย่างเสี่ยเดือนที่หมายปอง จากนั้นทั้งสองก็ได้ปะดับปับปี้ปี้ดาใส่กัน

‘อาห์ เอาฉันแรงๆ เลยค่ะ’

‘ร่านนักนะ’ เผียะ เสียงแซ่หวดที่ก้นนวล

‘จะ เจ็บ อะ เอาอีก อยากได้ของคุณแล้ว’ เสียงของอีเพื่อนร่านร่ำร้องวิงวอนปรารถนา ไฉนชายฉกรรจ์จะทัดทานกิเลสหนาได้ รูดสิ่งแข็งขืนและใช้ปลายหัวอมชมพูตบลงที่สะโพกนิ่ม เกลี่ยส่วนหัวลงกับรูสวาทเบาๆ ให้ร่างน่องน้อยต้องกรีดร้องครวญครางเสียวกระสัน ฝ่ามือหนาพลิกกายร่างอรชรบนที่นอน กระหน่ำแทงใส่รูร่านรักดุจโลกีย์พ่อแม่มึงเถิด จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือหยาบกร้านที่มีพื้นผิวเหมือนกระดาษทรายลูบไล้ผิวเนื้อบอบบาง ทำให้ผิวเนื้อนั้นหลุดลุ่ยจากการขูดรีดเสียดสี หนังเนื้อพลันอักเสพจนเห็นเส้นเลือดและรอยปื้นแดงๆ ติดไม้ติดมือ อีคริตตี้ร่ำไห้ปานใจจะขาด ร่ำร้องแหกปากโวยวายพ่อแม่มึงตายอีผัวเฮงซวย แต่พล็อตมันไม่จบแค่นี้ไงคะท่านผู้ชมทั้งหลาย ยามฝ่ามือของชายหนุ่มล็อกเข้าที่ลำคอระหง เย็-ไปบีบคอไป จบท้ายด้วยการอีคริตตี้หมดลมหายใจจนคอหักตาย ถูกฝังอยู่ในวิหารกาลกินีเป็นที่สิ้นสุด

BDSM สมใจอยากไหมล่ะ อีดอกทองพล็อตมันเลิศว่ะ !

ตลบคิดสร้างตัวละครอยู่ภายในหัวในระหว่างมีโฆษณามาคั่น พลันหยิบป๊อปคอร์นอีกถ้วยยัดใส่ปากที่ตนเองวางไว้บนตัก ดันสะดุดเข้ากับมือของใครบางคนทางซ้ายมือ หากเป็นนิยายคงบรรยายว่าสิ่งนี้เหมือนกระแสไฟฟ้าช็อต ดึงดูดให้คนทั้งสองต้องหันเหมาสบตา

แต่ไม่ค่ะ ไฟช็อตจริงกูตายพอดี มันก็แค่สัมผัสผิวเผินที่ทำให้ตนเองร้องเอ๊ะ ? อยู่ภายในใจ

เหมือนหนังเลยค่ะจังหวะนี้

เอาไงดีคะแม่ๆ

ฮึบ ปลุกกำลังใจร่านในกายา ค่อยๆ หมุนหน้าช้าๆ เหมือนพล็อตที่นายเอกน่ารักต้องสบประสานสายตากับนัยน์ตาสีนิลของพระเอกหล่อเหลา

หากทว่า…

“ง่ำ กึก !” เสียงขบเคี้ยวพลางจ้องไปยังหน้าจอขนาดใหญ่ ไม่ได้สนใจกับฝ่ามือที่สัมผัสเมื่อครู่นี้แต่อย่างใด

ผม “...” เงียบปากสนิท ก้มดูถ้วยป๊อปคอร์นและอาศัยจังหวะแกล้งทำเป็นไปโดนมือของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งใจอีกสักครั้ง ครั้งนี้สัมผัสแนบแน่นมากค่ะคุณกิตติคะ อีดอกทองมารยาสาไถยจึงค่อยยิ้มหน้าบานหันไปเงยหน้ามองใบหน้าคมคาย

“ง่ำๆ” ก็ยังแดกอยู่ร่ำไปพร้อมอมยิ้มเหมือนเอร็ดอร่อย

โอ้โหอีเหี้ยพอกันที ในใจนี่แอบชูนิ้วกลางให้ผัวไปหนึ่งแมนต์

คว-เถอะครับ ดับฝันกูซะงั้น ทำไมมันไม่เป็นดังที่คาดคะเน !!

“หึๆ” เสียงหัวเราะในลำคอดังเบาๆ ให้ได้ยิน แม้เสียงลำโพงในโรงจะดังเซ็งแซ่ขนาดไหนก็ตามที ไหล่หนาที่สั่นสะท้านอย่างขบขัน ทำเอาผมยิ้มแป้น สงสัยเขาคงขำนึกเอ็นดูเรา

อาจจะเป็นพระเอกไทป์ที่แกล้งซื่อทำเป็นโง่ไม่รู้ไม่ชี้ แต่ที่ไหนได้รู้ถึงเจตนาของนายเอกทั้งนั้น

ทุกอย่างเป็นไปได้แค่เรามโนเข้าไว้ !

ผมยิ้มหวาน กำลังจะขยับปากหยอกล้อว่าที่ผัว แต่กลายเป็นว่าต้องหยุดชะงักเมื่ออีกคนหันหน้ามาหา จ้องตาผมพร้อมรอยยิ้มละมุนและกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอ ชี้นิ้วไปที่หน้าจอมอนิเตอร์

“ตัวอย่างหนังเมื่อกี้ตลกดีเนอะ น่าดูจังเลยค่ะ”

“...” ผมได้แต่ยิ้มเยื้อน

ค่ะ อีสัตว์

หันหน้าหนีแดกป๊อปคอร์นต่อด้วยความหงุดหงิด กำแม่งเต็มฝ่ามือแล้วยัดใส่ปากให้สำลักตายไปเลย เผื่ออีคนข้างๆ จะได้สนใจสักทีหนึ่ง

“แค่กๆ” สำลักออกมาจนได้ รีบหยิบน้ำแป๊ปซี่ที่วางอยู่ข้างหว่างแขนยกขึ้นจากช่องมากระดกดื่มให้ชื่นใจ “อาห์” ดีขึ้นเยอะ

ก่อนจะสะดุดกึกเมื่อมีริมฝีปากอุ่นร้อนรดรินลมหายใจอยู่ข้างปรางขาว อีกทั้งยังเอียงกายเข้ามาหา กระซิบกระซาบบางคำด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

“เสียงหนูเมื่อกี้ ทำพี่ตื่นเลยนะคะ”

“...”

พึ่บ ! แรงขยับเขยื้อนเข้าไปนั่งประจำที่ดังเดิม ส่วนอีอ๊อกเหรอแม่ ?

ในหัวนี่อ้าขาชี้ฟ้าเป็นรูปตัววีแล้วค่ะ !!

‘มาแตกตื่นที่นี่ได้เลยค๊าาาาา’ พร้อมผายมือทั้งสองข้างไปที่ระหว่างรูอย่างเชื้อเชิญ

วอนฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรที่นาผืนน้อยด้วยเพคะ หลีนางบำเรอคนนี้ต้องลุกเป็นไฟ !

แม่หนูเสี้ยนเลยอะ ฮือออออ ไม้เรียวในมือของแม่ต้องสั่นระริก

ได้แต่กัดปากอย่างขวยเขิน อีกประเดี๋ยววันนี้ก็ได้อมคว-แหงๆ แหมๆ ใจมันเต้นกระเส่ายิ่งนัก อาการคันคะเยอมันกำเริบ เหมือนที่อาจารย์เคยด่าสมัยมัธยมว่าระริกระรี้นักนะ ขืนเป็นผู้หญิงคงมีผัวเต็มสนามฟุตบอล

เรานี่โกรธมากที่ครูล่วงรู้ถึงสิ่งที่เราวิงวอนปรารถนา อยากจะโดนหลายๆ ดอก แหกแข้งแหกขาให้เข้ามาทีละคน เริ่มจากไม้เล็กวิ่งผลัดส่งต่อไปไม้ใหญ่ แต่ฝันกลับต้องมาดับสลาย รูต้องบานตะไทเพียงเพราะคว-เดียวของคนข้างกาย

น้ำตาจะไหล เกิดอยากร้องเพลงแพ้ใจของใหม่ เจริญปุระทันทีทันใด

‘เก็บความร่านในลิ้นชัก คงไม่เจอแล้วรักแร้ เบื่อกับความปรวนแปร มันไม่แคร์และไม่หวัง มันเหมือนคนชินชา ไม่มองไม่ฟัง และแล้วก็มีคว-ยัดเข้ามา เข้ามาค้นในรูฮิ ที่ปิดตายเพราะรกร้าง ให้อภัยคว-เบาๆ มาแบ่งเบาที่ฉันล้า มาสนใจใยดี คนที่ไม่มีค่า ให้รู้ว่าความร่านยังสำคัญ’

ฮือ น้ำตาจะไหลอยากร้องต่อ

‘เก่งมาจากไหน ก็แพ้หัวคว-อย่างเธอ เมื่อไหร่ที่เผลอ ยังนึกว่าคว-อยู่ในฝัน ยังมีอีกหรือ โดนเย็-ที่เคยเสาะหามานาน วันนี้เป็นไงเป็นกันจะเย็-เธอ’ จบด้วยการพลิกโพลเลยอีสัตว์ ตะลุมบอนจับเย็-กันเสียเอง
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เจ็ด [23/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 23-12-2019 21:48:45
ในที่สุดก็ผ่านไปยี่สิบนาทีกว่าๆ กว่าจะฉายหนัง ผมที่นั่งขยุกขยิกไปสักพักก็นั่งนิ่งเงียบ ตั้งอกตั้งใจดูกับหนังฆาตกรรมสยองขวัญ พอมีฉากลุ้นระทึกกับสัมผัสได้ถึงสองฝั่งที่สะดุ้งโหยง เว้นแค่ผมที่สะดุ้งเบาๆ แต่รับรู้ถึงการตกใจเหลือเกินของคนข้างๆ โดยมีอีคริตตี้กรีดร้องลั่นโรงไม่ต่างจากคนอื่นๆ รวมไปถึง…

“เออะ !!” เสียงพี่นนท์เช่นเดียวกัน มือนี่ทำท่าราวกับกันตัวเองจากภูติผีปีศาจ ผมพยายามไม่ลอบมองอีกฝ่าย แต่ก็ยากเกินจะทัดทาน ทนไม่ไหวจนต้องเหลือบมองคนที่เอามือปิดตา ดูลอดผ่านง้ามนิ้วมือเรียวยาว เหมือนลดวงแคบของหน้าจอขนาดใหญ่

น่ารักชะมัดเลยอะพ่อทูนหัว ฮือ ไม่คิดว่าผู้ชายอบอุ่นสุขุมจะกลัวหนังสยองขวัญเป็นด้วย เห็นแล้วทำผมอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมากระแอ่มกระไอกลั้นเขิน เท้าแขนและเท้าคางบนที่พนักฝั่งขวามือ ไม่ทันไรอีเพื่อนรักก็รวบแขนมาจับทั้งจิกทั้งข่วนอย่างขลาดกลัว

ก็ใครมันเป็นคนสั่งให้ผมเลือกหนังล่ะ คนยิ่งชอบๆ หนังฆาตกรรมอยู่ด้วย

“อีคริตตี้ กูเจ็บ” ผมกระซิบข้างหูมัน

“ก็กูกลัวอะอีเหี้ย” มันบ่นเสียงหงุมหงิมข้างหูผม

“ไปจับแขนพี่เดือนนู่น” ผมโบ้ยภาระ อีกทั้งยังมีเจตนาให้มันสนิทชิดเชื้อกับพี่เดือน

“ไม่เอาด้วยหรอก” มันทำหน้ายู่ไม่ชอบใจ

เห็นดังนั้นผมเลยเลิกซักไซ้ “งั้นจับแขนอย่างเดียว อย่าเอาเล็บจิกสักที กูเจ็บ”

“เออๆ” มันพยักหน้าขอไปที เอียงตัวเหลือบมองหนังเป็นระยะ หากมีผ้าคลุมโปงก็คงไม่ดูหนังเป็นที่แน่ๆ

มีแต่พวกจิตใจอ่อนแอ

ตึง !!

“เฮือก ! / ว้าย !” เอากันเข้าไป ได้ยินแม้แต่เสียงลอบกลืนน้ำลายของคนข้างกาย รวมไปถึงพี่เดือนที่หลับตาปี๋ไม่ยอมดูหนัง แกล้งฟุบทำเป็นหลับ

เฮ้อ เสียดายค่าตั๋วหนังชะมัดเลย

ครั้นพอมาออกจากโรง ผมก็ได้โหวตคะแนนให้หนังไปสิบเต็มสิบ รู้สึกสนุกกับฉากที่นางเอกต่อสู้กับฆาตกรอย่างห้าวหาญ หนังทำออกมาได้ดีมาก ไม่ว่าจะฉากหรือเสียงดนตรีลุ้นระทึก ภาพในหัวยังตราตรึงจนอดไม่ได้ที่จะดึงเรื่องราวเหล่านั้นมาพูดคุย

“สนุกเนอะ ยิ่งฉากนางเอกแทงเท้าฆาตกรโคตรเท่เลยอะ แกล้งทำเป็นกลัวก่อนจะ แบง ยิงเข้าหน้า” ผมหัวเราะชอบใจ แต่ทั้งสามคนกลับไม่หือไม่อือดันพยักหน้าขอไปที เห็นแล้วทำผมหงุดหงิดยกมือขึ้นมาเท้าสะเอว “ทีหลังกลัวหนังแนวนี้ก็บอกมาตรงๆ จะได้เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เสียดายค่าตั๋ว พวกพี่ไม่ตั้งใจดูเอาซะเลย” ผมบ่น พูดจากระแทกกระทั้น

“พี่ก็ตั้งใจดูนะคะ ชอบฉากนางเอกกระโดดลงจากหน้าต่าง เท่ดี” พี่นนท์แสดงความคิดเห็น

ผมตาวาวด้วยความดีใจ เปลี่ยนอารมณ์ในฉับพลัน “เนอะ โคตรเท่” ถึงแม้ผัวจะกริ่งเกรงดูไปสะดุ้งไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่เท่ากับยัยเพื่อนหน้าโง่ที่หลับหูหลับตาจนแทบจะจบครึ่งค่อนเรื่อง มาลุ้นก็ตอนนางเอกสู้กลับต่อกรกับฆาตกร

“นี่ก็ดึกแล้ว กลับบ้านกันเถอะค่ะ” พี่นนท์พูดจาอ่อนหวานมอบรอยยิ้มที่เห็นแล้วจนตาพร่า

อ๊าย อีดอกตาจะบอด

อยากกระโดดเข้าไปจูบเลยค่ะ คนไรหล่อวัวตายควายล่มฉิบหาย

พานพยักหน้ารับ ก่อนที่พวกเราจะเดินไปที่ลิฟต์เพราะชั้นบันไดลิฟต์ถูกปิดกั้นเนื่องจากหมดเวลาเข้าห้างในการเที่ยวชม

พอมาถึงผมก็เดินมาที่รถยนตร์ของอีกฝ่าย ครั้งนี้โดนคริตตี้สะกิดแขนยิกๆ ให้มานั่งเป็นเพื่อน ผมเลยได้นั่งเบาะหลังกับเพื่อนรัก ในใจก็แอบนึกเสียดายที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับผัวอีกสักหน่อย ไหนๆ ก็ขอเก็บฝันหวานนี้ไปยาวๆ แม้จะไม่ได้โดนขอเป็นแฟน

เฮ้อ นึกแล้วก็น่าเสียดายนัก

พอมาถึงที่หมายพี่นนท์ก็จอดรถ อาสาเดินมาส่งพวกเราถึงบ้านเพราะนี่มันก็มืดค่ำแล้ว อีเมียคนนี้ก็เคอะเขินเหลือเกินคณา สงสัยผัวคงกลัวว่าเราจะโดนผู้ชายฉุดกระชากไปปู้ยี่ปู้ยำ

“มาส่งถึงที่กลัวพวกผมโดนคนฉุดหรือไง” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแกล้งถาม

“เปล่าค่ะ พี่กลัวหนูไปฉุดผู้ชายมากกว่า”

“...” ค่ะ อีผัวเหี้ย

“ล้อเล่นค่ะ” พี่นนท์หัวเราะชอบใจที่ได้มายั่วเย้าปั่นประสาท เดินขนาบข้างกายผม ส่วนผมก็เดินตามหลังคริตตี้ที่เดินนำหน้าอย่างไม่กริ่งเกรง ทั้งที่ซอยก็ค่อนข้างเปลี่ยวเหงา แต่ทว่ากลับไม่หวาดหวั่นว่าจะมีคนมาทำร้ายเลยสักนิด สุดท้ายพี่เดือนจึงต้องจำใจวิ่งตามท้ายหลัง กลายเป็นพวกผมที่อยู่ท้ายขบวนแทน

“วันนี้สนุกไหมคะ ?” เสียงคนข้างๆ ทำให้ผมต้องเงยหน้าเหลือบมอง

“ก็สนุกนะ หนังก็สนุกดี” ผมบอก ตาก็มองถุงการ์ตูนที่เจ้าตัวถือให้ “ขอบคุณพี่มากนะที่ช่วยถือ ลำบากแย่”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ พี่ยินดีมากๆ ไว้หนูเป็นแฟนพี่ พี่ก็จะช่วยถือให้แบบนี้แหละค่ะ”

โอ้มายก๊อด นี่ถือว่าเป็นคำขอเป็นแฟนใช่ไหมแม่ ! อีอ๊อกรีบหันหน้าหนีอย่างเอียงอาย ลอบเม้มปากแน่น ใช้ซี่ฟันกัดริมฝีปากล่าง

ตึกตักตึกตัก เสียงหัวใจมันเต้นสั่นระรัวอยู่ภายในอก เอามือทาบดูจึงรู้สึกถึงจังหวะการเต้น

“หนูคะ”

“หะ หืม” น้ำเสียงผมตะกุกตะกัก ท่าทางไม่เป็นตัวเองเหลียวมองคนใกล้ชิด แถมมือยังถือวิสาสะมาขอจับมือโดยไม่ขออนุญาตอีก

อีผัวไร้มารยาท !

“จริงๆ พี่อยากขอเป็นแฟน แต่ถ้าหนูลำบากใจเราค่อยๆ คุยกันก่อนดีไหมคะ” พี่นนท์โน้มหน้ามากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

โอ๊ยมารยาทดีงาม

ใจผมยิ่งเต้นกระหน่ำราวกับมีกลองมาตีระรัว อยากส่งเสียงแหกปากร้องกรี๊ดลั่นซอยให้ชาวบ้านชาวช่องมาร้องด่าว่าให้หุบปาก พล็อตในหัวผุดเต็มไปหมดจนอยากกลับบ้านไปแต่งเป็นเนื้อหา

นี่เป็นคำขอเป็นแฟนที่ตรงไปตรงมามากที่สุดที่เคยได้ยิน

“ดะ ได้” ผมพยักหน้ารับ “ค่อยๆ คุยกันก็ได้” เป็นผัวเลยก็ได้ จะเย็-กันที่บ้านเลยก็ยังได้ พร้อมมาก คันมาก อยากได้เป็นผัว อยากได้อยากโดน ได้เก็บคำพูดนี้เอาไว้ในใจ

ไม่เสียแรงเปล่าที่แอบเอากระเป๋าตังค์ทิ้งไว้บนรถยนตร์ กะจะใช้เป็นโอกาสให้ได้พบกันอีก ไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนที่ตักเตือนเลยสักนิด

แต่คริตตี้ พี่นนท์สุภาพชนเช่นนี้ แถมยังดูเขินเรามากด้วยตอนเราแกล้งเขา ทั้งดูหลงและหัวเราะเวลาอยู่ใกล้กัน คนแบบนี้จะหาที่ไหนได้อีกนอกจากคำว่าผัว ผัวคำเดียว

“พี่ไม่ได้มาจีบเพื่อหลอกฟันอ๊อกอย่างเดียวใช่ไหม” ผมพูดดักทางเอาไว้ก่อน กลัวเหมือนในนิยายที่จะต้องมาเจอเรื่องดราม่าน่าปวดหัวชวนวุ่นวาย

มันเป็นไปได้ไหมที่ระหว่างเราจะไปกันได้ดีเหมือนพล็อตขายฝัน

“ไม่ใช่นะคะ” พี่นนท์รีบหันมาปฏิเสธ หน้าตานี่ดูอึ้งกับคำพูดคำจาของผมสิ้นดี พลันขมวดคิ้วมุ่นคล้ายมั่นใจในบางสิ่ง “พี่แอบชอบหนูมานานแล้ว”

โอ๊ย ดาเมจนี้ อีดอกไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้มาช่วยพยุงกูที

ปากสั่นแล้วค่ะ หลีก็สั่นสู้ด้วย

“ตะ ตั้งแต่เมื่อไหร่” จิกทั้งไม้ทั้งมือแน่นกับกลางอุ้งมือ เหงื่อไหลซึมไปหมด ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้สดับรับฟัง

นี่มันยิ่งกว่านิยายอีกนะเนี่ย หรือกูกำลังฝัน !!

แต่ไม่ว่ะ จิกมือแล้วก็ยังเจ็บอยู่

“ตั้งแต่ปีใหม่ที่หนูแต่งตัวเป็นผู้หญิงไปเที่ยวกับเพื่อนน่ะ วันนั้นพี่เผอิญเห็นหนูกำลังออกจากบ้านพอดี” พี่นนท์อธิบายอย่างกระจ่างแจ้ง ผมเลยหลุดเสียงร้องอ๋อ

ปีนั้นเป็นปีที่เพิ่งผ่านพ้นเมื่อไม่นานมานี้ คริตตี้กับแก๊งพวกผมชวนกันไปเที่ยวปีใหม่แถวข้าวสารที่ผับ อีเพื่อนตัวดีกลับจับผมแต่งหน้าแต่งตาให้เหมาะกับคนในแก๊ง เดินแรดจนแทบจะได้กับผู้ชายเกาหลีในผับ

วันปาร์ตี้ปีนั้นผมได้จูบกับผู้ชายเกาหลีด้วย อีกฝ่ายเอียงหน้ามาจูบก่อนโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ส่วนกะเทยที่ได้ผู้ชายเช่นกันก็ล้วงมือจับคว-กันอย่างเมามัน ผู้ชายก็คลึงนมไปพลาง ส่วนอีอ๊อกที่มีแต่ฟองน้ำก็ได้แต่ให้เขาบีบนวดไปมา จูบได้ไม่นานก็ผละออกด้วยความเอียงอาย ทั้งกลิ่นเหล้าและบุหรี่ที่ตัวเองไม่ชมชอบยังตราตรึงจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ดีไม่ได้เลยเถิดไปถึงขั้นพลีกายให้ชายหนุ่มมาจับเย็- ปานนี้คงไม่ได้เสียพรหมจรรย์ให้ผัวคนนี้เป็นที่แน่แท้ แต่จูบแรกขอไม่นับละกัน รวมไปถึงไม่ขอเล่าเช่นเดียวกัน

กลัวบทบาทจำเลยรักค่ะ

เมื่อเข้าใจอาการตกหลุมรักของผู้ชายตรงหน้า ผมก็พยักหน้าอย่างรู้เท่าทัน

วันนั้นตัวเองค่อนข้างน่ารักอยู่ ไม่แปลกใจที่จะมีคนเหลียวมอง ขนาดคนแถวบ้านยังเอ่ยปากชมเปลาะ พ่อแม่ก็ไม่ได้คัดค้านกับการแต่งตัว เพราะท่านรู้ว่าผมมีเพศสภาพแบบไหน เป็นเกย์ออกสาวที่คึกคะนองมีเพื่อนกะเทยมาจับแต่งเล่นก็เท่านั้นเอง

ถือว่าเป็นโชคดีของผมด้วยที่มีพ่อแม่สนับสนุน ขอเป็นคนดีของสังคมก็เพียงพอ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขหรือสารเสพติด

แต่ลูกขอยุ่งเกี่ยวกับกิเลสตัณหาละกันค่ะ พ่อแม่ทรงโปรดเข้าใจลูกด้วย

เมื่อมาถึงบ้านหลังสีขาวของตัวเองที่มีรั้วเหล็กประตูกั้นทางเข้า พี่นนท์ที่เคยเห็นมาบ่อยครั้งและรู้ว่าบ้านผมอยู่หลังไหนก็ยืนรอให้ผมเข้าบ้าน ทีแรกผมอาสาจะไปส่งเพื่อนก่อน เพราะบ้านคริตตี้มันห่างจากบ้านผมหลายซอยอยู่ อีกทั้งทางแถวนั้นก็วังเวงใช่ย่อย แต่พี่เดือนกลับอาสาไปส่งแทน เพื่อนรักที่ตอบปัดสุดท้ายก็หน่ายใจ เดินนำหน้าโดยมีพี่เดือนเดินตามหลังคุ้มครองภัย

สองคนนี้ขืนได้เป็นผัวรู้เลยว่าใครใหญ่กว่ากัน อีพี่เดือนคงหลงคริตตี้หัวปักหัวปำ ทั้งที่แต่ก่อนเจ้าชู้ฉิบหาย

สงสัยคงติดใจรูเพื่อนคนนี้ ไม่แน่อาจก่อเกิดความรักเข้าให้แล้ว

ว้าย พล็อตแนวเฟมบอยมาว่ะ อยากแต่งให้นายเอกเป็นกะเทยดูสักเรื่องเลย

“ไม่เข้าบ้านเหรอคะ ?” พี่เดือนที่ยืนมองอยู่นาน เห็นผมจ้องเพื่อนไล่หลังจนลับสายตาก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนเสียงหวาน

ผมลังเลใจอยู่สักพักหนึ่งด้วยความสงสัย

“แล้วพี่ล่ะจะกลับยังไง ทางมืดด้วย” ผมนึกเป็นห่วง

“พี่เป็นผู้ชายนะคะ” พี่นนท์กลั้วหัวเราะอย่างขบขัน “ใครเขาจะกล้ามาทำมิดีมิร้าย”

“...” หนูไงคะ…หน้าตาดีแบบนี้เป็นหนูก็ทำมิดีมิร้ายโดยการจับเย็-

ผมกลอกตานึกคิด ก่อนจะขยับริมฝีปากร้องอ้อ ไขกุญแจเข้าบ้าน หลังจากนั้นจึงหันมาหาคนที่ยืนอยู่นอกรั้วบ้าน

“เข้ามาก่อนสิ แม่ผมทำแกงเขียวหวาน พี่ยังไม่ได้ทานไรเลยหนิ” ผมชวนด้วยจิตไมตรีมีเมตตา ไม่ได้คิดเรื่องลามกแต่อย่างใด

เกิดยังไม่ได้เป็นผัวคงจะหาไม้มาฟาดหัวลากเข้าบ้าน แต่ไหนๆ ก็ได้เป็นผัวแล้ว ชวนมากินข้าวในบ้านก็คงไม่เป็นไรหรอก ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝนทำตัวเป็นภรรยาอ่อนช้อย

“จะดีเหรอคะ แม่หนูไม่ว่าเหรอ แบบ…” พี่นนท์พูดจาอุบอิบ ยกฝ่ามือมาลูบท้ายทอยแก้เขิน “แบบพาผู้ชายเข้าบ้าน”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะชอบใจกับสิ่งที่ได้ยินตรงหน้ายิ่งนัก โอ๊ยตายๆ อยากจะวิ่งเข้าไปในบ้านพร้อมกับแก้ผ้าและจับเย็-กันในห้องเลยด้วยความเอ็นดูและอยากดูเอ็น “แม่ไม่ว่าหรอก เข้ามาเถอะ เดี๋ยวท้องร้องนะ” ผมยิ้มพูดจาเสียงอ่อน ผายมือให้ชายหนุ่มที่มีท่าทางลังเลก้าวขาเข้ามาในบ้าน “บ้านผมรกหน่อย ไม่มีโต๊ะกินข้าว นั่งทานตรงพื้น หวังว่าพี่จะโอเค”

“ขอบคุณนะครับ” พี่นนท์โค้งศีรษะรับ ถอดรองเท้าออกมาก็ก้าวขาเข้ามาในบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทำผมยิ้มขำอย่างเอ็นดู ไม่รู้ทำไมมีแต่คำว่าเอ็นดูเต็มไปหมดซ้ำซากจำเจ

ผมให้อีกคนนั่งลงตรงพื้น ก่อนจะเดินไปเปิดพัดลมให้ จากนั้นก็อุ่นแกงเขียวหวานในถ้วยใส่ไมโครเวฟสามนาที ระหว่างนั้นก็หยิบจานชามกับช้อนส้อมยื่นให้คนตรงหน้า ชี้นิ้วไปที่เส้นขนมจีนให้หยิบตามใจนึก กินประทังชีวิตกันความหิวโหย เห็นอีกคนดูเกรงอกเกรงใจก็ลอบยิ้มข้างมุมปาก ปรนนิบัติอย่างดีทั้งหยิบแก้วและน้ำเย็นมาเสิร์ฟ พี่นนท์ก็เอาแต่โค้งหัวรับอย่างขอบพระคุณ

เมื่อเวฟจนครบสามนาทีผมก็หยิบผ้าผืนหนึ่งมากันร้อน นำมาวางตรงพื้นอย่างเบามือ เสร็จสรรพก็มิวายเป่ามือเพราะมันร้อนมาถึงปลายนิ้ว พี่นนท์เห็นแล้วจึงเงยหน้ามามอง

“ร้อนเหรอคะ ?” ถามเก่งมาก แต่ก็ถามเพราะเป็นห่วงทั้งนั้น

“อืม นิดเดียว เป่าก็หายละ” ผมแจง สะบัดข้อมือเบาๆ สักพักก็กลับมาเป็นปกติ พลันนั่งขัดตะหมาดข้างๆ อีกคน หยิบเส้นขนมจีนแล้วก็เอาช้อนกลางตักแกงเขียวหวานราดใส่ถ้วย ต้องมานั่งคอยบอกพี่นนท์ด้วยให้ตักได้เลย ไม่ต้องมากพิธีรีตอง พี่นนท์พยักหน้ารับทำตามอย่างอิดออด เราสองคนนั่งกินเงียบๆ ขณะที่มีเสียงพัดลมเป่าปัดเพื่อคลายร้อน

เป็นความเรียบและสามัญชนที่ทำผมอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก

แอ๊ด ~ เสียงบานประตูดังมาจากชั้นบน ผมที่เงยหน้ามองพร้อมกับพี่นนท์พลันตื่นตระหนก เห็นขาเรียวยาวผิวขาวเนียนผ่องค่อยๆ ย่างกรายลงมาจากขั้นบันได

เป็นแม่ของผมเอง ไม่ใช่ภูติผีแต่อย่างใด

“แม่นี่พี่นนท์เพื่อนพี่เดือน อ๊อกชวนมากินข้าว พอดีพี่เขามาส่ง” ผมรีบอธิบายและผายมือแนะนำให้แม่รู้อย่างเป็นทางการ ฝ่ายพี่นนท์ที่เคี้ยวเส้นอยู่ขยับปากกลืนลงคอ ลอบไอจนผมต้องเอามือไปตบหลัง หยิบแก้วให้อีกคนกระดกดื่ม

เจอแม่เมียหน่อย เขินจนทำตัวไม่ถูกเลยสินะ อืมๆ มีความเป็นไปได้

คนตัวโตรีบพนมมือไหว้ หน้าดำหน้าแดง “สวัสดีครับคุณแม่”

โอ๊ยสุภาพมากแม่ อีอ๊อกอยากได้เขาเป็นผัว ชำเลืองมองหน้าแม่ที่ยกมือขึ้นมาไหว้รับ พูดจาติดตลก “แม่ก็ตกใจหมดคิดว่าอ๊อกพาผู้ชายมาลากขึ้นห้อง ที่แท้ก็เป็นนนท์เพื่อนเจ้าเดือนนี่เอง แม่จำได้ เห็นมาแถวนี้บ่อยๆ” แม่ระบายยิ้มกว้าง แต่อีลูกของแม่นี่นิ่งช้านั่งยิ้มเจื่อน

แม่เห็นหนูเป็นคนแบบนั้นเหรอคะ ฮึก

ใช่ค่ะ แม่พูดถูก

“ขอบคุณที่มาส่งเจ้าอ๊อกนะ” แม่ผมมองมาที่พี่นนท์ มิวายเหลือบมองมาทางผมอย่างมีนัยยะแอบแฝง

ผมส่ายหน้าให้คุณนายอย่างรู้เท่าทัน

แม่คิดว่าลูกพาเขามาลากนอนที่ห้องเพื่อปู้ยี่ปู้ยำใช่ไหมคะ ? แม่คิดผิดแล้วค่ะ ลูกต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกข่มเหง รอยตีตรายังติดตรึงที่ผิวเนื้อบอบช้ำของลูกอยู่เลย

“กินเถิดๆ” แม่ผายมือเมื่อเห็นพี่นนท์ไม่กล้าหยิบช้อนส้อมทานต่อ ไม่กี่วินาทีแม่ก็เดินไปหยิบถ้วยมานั่งกินด้วย พี่นนท์กินไปท่าทางก็เกรงใจไปหมด ดูขลาดๆ กลัวๆ

ก็แหงแหละ ! ทำลูกเขาเสียหายแถมยังไม่มีค่าสินสอด อีอ๊อกไม่เปิดปากบอกแม่ที่ถูกผู้ชายพรรค์นี้ข่มขู่เพื่อลากกลับบ้านมากระแทกกระทั้นสาแก่ใจจนเสียพรหมจรรย์ก็บุญโข แต่อีกใจหนึ่งก็ถูกเสียเปรียบอยู่ดี เกิดพี่นนท์บอกแม่ขึ้นมาว่าไปเจอน้องอ๊อกตอนขายหลี น้องอ๊อกก็ซวยกันพอดี

ฉะนั้นเราทั้งคู่ควรสงบปากสงบคำ เก็บเรื่องความลับนี้อย่างมิดชิด
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เจ็ด [23/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 23-12-2019 21:49:41
“ทำไมจู่ๆ สนิทกับเจ้าอ๊อกได้ล่ะนนท์” เป็นคำถามของคุณนายแม่ที่เล่นเอาผมและคนข้างกายสะดุ้งโหยง

“คือก็รู้จักผ่านเดือนน่ะครับ” พี่นนท์พูดซื่อๆ

ทำดีมากมิสซิสสร ! ยกนิ้วโป้งอย่างภาคภูมิใจอยู่ในห้วงคำนึง

“อ๋อ” เสียงอ๋อแม่ยาวมากค่ะ แถมตายังเหล่มองมาที่ลูกชายคนโตคนนี้อีก

แต่ใครจะไปคิดว่าคุณนายจะพูดจาตรงไปตรงมาในระหว่างที่เราทั้งคู่กำลังแดกข้าว

“ไม่ใช่ว่าแอบชอบได้กันแล้วใช่ไหมจ๊ะ ?”

“แค่กๆ” เสียงผมกับพี่นนท์ไอโครกๆ หน้าแดงปลั่งเป็นลูกตำลึง

ผมรีบหยิบน้ำกระดกขึ้นดื่มให้หายแสบคอ พูดแปร่งหูขึ้นมาว่า “แม่ !”

“ก็แค่อำเล่นน่ะ” แม่พูดพลางใช้ส้อมยัดเส้นขนมจีนใส่ปาก เคี้ยวอาหารในปากเสร็จก็กระดกน้ำดื่มอย่างไม่ทุกข์ร้อน มีเพียงผมที่นั่งอึ้ง ส่วนพี่นนท์นั่งก้มหน้าก้มตาทำตัวไม่ถูก

คุณนายกล่าวเนิบนาบ “ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ จะอายกันทำไม”

“ก็แม่พูดจาไม่เข้าเรื่อง” ผมพูดอ้อมแอ้ม หน้าก็เห่อร้อนไปหมด พอหันมามองคนตัวโตที่ก้มหน้างุดก็เห็นว่าหน้าแดงปลั่ง คุณนายเองก็เห็นด้วยจึงคลี่ยิ้มพูดจ้อ “หรือที่พูดเป็นเรื่องจริงกัน”

“แม่หยุดเลย แกล้งพี่เขาทำไม” ผมพูดพล่ามไม่หยุดปาก “แม่ทำเขาตัวเกร็งไปหมดละ”

มีที่ไหนมาพูดเรื่องพรรค์นี้ แม่ผมเป็นคนที่นึกจะตลกก็ตลกโดยไม่ทันตั้งตัว

ไม่ได้การ ขืนอยู่ต่อโดนล้วงความลับกันหมด

แต่คุณนายดันไวกว่า “แล้วจะนอนนี่เลยไหม ห้องอ๊อกมันว่างนะ ดึกดื่นแล้วมันอันตราย”

“ไม่เป็นไรครับ พอดีผมขับรถจอดไว้ด้วย คงไม่สร้างความลำบาก” พี่นนท์พูดอ้อมค้อมผงกหัวรับ

“โอ๊ย ลำบากอะไรกัน ดีเสียเปล่าอ๊อกจะได้มีเพื่อนนอน” แม่ชักจูง ดูท่าจะสนับสนุนอยากให้ลูกคนนี้มีผัว

ปากนี่อยากร้องไห้ไหว้วิงวอนบอกแม่ว่าพอเถอะครับ อายพี่เขาจนต้องอับอายขายขี้หน้า แต่ในใจนี่อยากวิ่งไปโอบกอดขอบพระคุณคุณแม่ยิ่งนัก อยากตะโกนบอกแม่ว่าทำดีมากค่ะ ! ลูกอยากได้เขาเป็นผัวพอดีเลย

นัยน์ตานี่วูบไหวสับสนไปหมด ได้แต่พูดกระอักกระอ่วนใจ เห็นจานอีกคนกินหมดแล้วจึงชี้แจง “ทานเสร็จแล้ว พี่จะกลับเลยไหม เดี๋ยวรถโดนตำรวจยึดพอดี ขืนจอดไว้นานๆ”

“อืม เดี๋ยวพี่กลับเลยค่..ครับ” พี่นนท์เปลี่ยนคำลงท้าย เห็นว่ามีแม่อยู่ด้วยจึงไม่กล้าใช้คำว่าค่ะ แก้มขาวๆ กับใบหูนิ่มๆ นั่นแดงไปหมด ทำท่าจะหยิบจานไปวางที่ครัว แต่ผมดันปรามไว้ก่อน

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวอ๊อกจัดการเอง พี่เดินทางกลับดีๆ ล่ะ” ผมยันฝ่ามือที่พื้นเปลี่ยนมาลุกขึ้นยืน พี่นนท์เหยียดกายลุกขึ้นตาม จากนั้นผมจึงเดินมาเปิดประตูบ้าน รวมถึงนอกรั้วบ้านให้อีกคนเดินออก

“เอาไว้ค่อยคุยกันนะคะ เจอกันค่ะ” พี่นนท์เมื่อออกมายืนนอกบ้าน ไม่เห็นมีใครจึงกระซิบกระซาบเบาๆ ให้ผมได้ยิน เขาฉีกยิ้มกว้าง ยื่นมือมาขยี้หัวผมอย่างเอ็นดู

ผมโบกมือบ๊ายบายอำลาอีกหน “เดินทางกลับดีๆ นะพี่นนท์”

“เคค่ะ” เขาขยับปากไม่ออกเสียง โบกมือทั้งสองข้างให้ผมก่อนจะเหลียวกายหันหลังเดินจากไป เห็นดังนั้นผมจึงล็อกประตูเดินเข้ามาภายใน จากนั้นก็เห็นแม่ระบายยิ้มอยู่

“เป็นแฟนกันเหรอ ?” แม่ถามออกมาตรงๆ

ผมที่ไม่มีอะไรจะปิดบังเลยตอบปัด “เปล่า แค่คุยกันเฉยๆ”

“แล้วเขารู้ไหมว่าลูกแรด” แม่ถามอย่างสงสัย

ผมยู่ปากเดินมานั่งขนาบข้างกายแม่ หยิบยาสองสามเม็ดยัดใส่ปากทานก่อนนอน

“นี่ลูกแม่นะ” ผมแกล้งทำเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ แม่เห็นแล้วหลุดขำ ยิ้มน้อยๆ ยื่นมือมาลูบหลัง

“พี่นนท์เขาเป็นคนดี แม่เคยได้ยินเรื่องเล่าของเขามาบ้าง ถ้าอ๊อกจะคบกับพี่เขาแม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก ค่อยๆ ดูใจกันไป”

“ผมรู้แล้ว” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าอกเข้าใจ

“อย่าเพิ่งเสียตัวล่ะ ทำตัวให้มีค่า แต่ถ้าจะเอาก็ป้องกันกันด้วยนะ” แม่ตบหลังปุๆ ก่อนจะหยิบจานทั้งหมดไปวางที่อ่างล้างจาน

คำเตือนของแม่นั้น...ไม่ทันแล้วค่ะแม่

ผมอยากจะน้ำตาคลอเบ้า อยากจะบอกกับแม่เหลือเกินว่าลูกคนนี้เสียไปหลายทีท่าให้เขาไม่ยั้งเลยค่ะ ตั้งแต่ท่าแรกจวบจนกระทั่งท่าสุดท้าย ลูกทั้งจุกทั้งถูกรีดน้ำจนหมดเนื้อหมดตัว ได้แต่ขออภัยโทษแม่อยู่ภายในใจ ภาพพี่เขากระแทกกระทั้นชิดกับผนังกำแพงยังตราตรึงไม่หาย

‘อย่าเพิ่งเสียตัวล่ะ’ ฟังแล้วลูกอยากเป็นอีแม่หญิงจันทร์วาดยิ่งนัก

‘ไม่มี ไม่มีเลยเจ้าค่ะ คุณแม่ได้โปรดรับรู้ด้วย’ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

คุณแม่โปรดเข้าใจ…

ความร่านไม่เข้าใครออกใคร

เฉกเช่นลูกคนนี้ที่เป็นนางบำเรอ

 

ก่อนนอนก็เข้ามานั่งไถทวิตเตอร์เล่น เห็นนักเขียนคิดพล็อตมีภาพแปะประกอบเป็นฉากๆ อยากแต่งแนวนายเอกเป็นนางโลม แต่พอเลื่อนมาอีกก็เจอนักเขียนอีกท่านอยากแต่งแนวนี้เช่นกัน ช่างเป็นวันและเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ อะไรจะดลใจตรงกันขนาดนี้ได้ จนเผลอหลุดร้องเอ๊ะอย่างฉงน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของเราจึงได้เลื่อนปัดทิ้งลงมาดูข่าวสารด้านล่างแทน เห็นคลิปตลกก็รีทวิตอย่างขำขัน ไม่นานก็ปิดล็อกหน้าจอมือถือ ก่อนหลับก็ไม่วายเว้นคิดพล็อตใหม่ในหัวเป็นฉากๆ

ถ้าเอาเรื่องราวในชีวิตจริงมาเป็นนิยายก็คงสนุกมากไม่ใช่น้อย แต่ไม่รู้จะใช้ภาษาในด้านพรรณนาแบบไหนดี

เก็บไว้ก่อนดีกว่า...เอาไว้มีแรงบันดาลใจเมื่อไร ค่อยมาวางโครงเรื่องอย่างละเอียดทีเดียว

“แจ๊บๆ” คืนนี้จะฝันไรดี ? ฝันถึงผัวละกัน “คิกๆ” หัวเราะชอบใจ

 

ยามอรุณทอแสง แสงแดดอาบไล้เรือนกายร่างอรชรที่นอนปัดป่ายอยู่บนที่นอน ชายเสื้อถลกขึ้นอวดเนื้อหนังมังสา ผิวพรรณเนียนละเอียดดุจไข่มุกสีขาวในท้องทะเลมหาสมุทร กลิ่นหอมชวนชื่นแม้จะมีเหงื่อไหลผุดซึมไปตามเรือนกาย เปรียบเสมือนดอกไม้นานาพันธุ์ที่ส่งกลิ่นหอมกำจร เสียงครางกระเส่าก็เพราะพริ้งคล้ายหงุดหงิดรำคาญใจกับภูมิอากาศภายในประเทศ วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส บรรยากาศร่มรื่นชวนให้คนบนตั่งเตียงคลี่ยิ้มกว้างดุจฝันหวาน เสียงนกก็ร้องก้องกังวานชวนขับขาน รวมไปถึงเสียงดังเซ็งแซ่จากวิทยุที่เปิดเพลงเต่า เต่ามันมีสี่ขา สี่ตีนเดินมา

“อีสัตว์เต่า !” รีบถลกผ้านวมทิ้งทันที ลบล้างภาษาสละสลวยที่เคยบรรยายภายในหัว

อรุณทอแสงพ่อมึงสิ แดดร้อนอบอ้าวฉิบหายวายวอดขนาดนี้ ร่างอรชรเหี้ยไรกัน กูดีดดิ้นเหงื่อแตกไหลพลั่กเต็มไปหมด กลิ่นดอกไม้ คว-เถอะค่ะ เหม็นเหงื่อฉิบหาย

อีเหี้ย ร้อน ! ใครมันมาปิดแอร์วะ เหงื่อไหลโชกไปทั้งตัว นกก็ร้องบินอรุณเบิกฟ้า นึกอยากจะหยิบปืนลูกซองมายิงแม่งให้ร่วงหล่นบนท้องนภา รวมไปถึงวิทยุที่เปิดเพลงเด็กให้หลานสาวข้างบ้านฟังด้วย ดับฝันสลายกูที่ใกล้จะถึงจุดยอดกับผัวในห้วงจินตนาการ

โว้ยยยย กูจะนอนอีพวกเหี้ย เต่าพ่อเต่าแม่มึงสิอีช้างลากเย็- !

ตึง ! ลุกออกจากที่นอนด้วยความหงุดหงิด หยิบมือถือเข้าเฟซบุ๊กที่มีแม่เป็นเพื่อน ตั้งค่าสาธารณะด่าคนข้างบ้านที่เปิดเพลงอย่างครึกครื้น

คึกพ่อคึกแม่มึงสิควาย คนจะหลับจะนอน วอนตีนกันฉิบหาย ไร้มารยาทสิ้นดี ด่าฉอดๆ โพสต์สมใจอยากก็รีบรุดออกจากเตียง หยิบผ้าขนหนูและเสื้อผ้าลงมาอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์

ก็คลังศัพท์ในหัวกูมันเยอะนักหนิ ! เปลี่ยนเสื้อยืดกางเกงวอร์มเสร็จก็มาขยี้หัวที่เพิ่งสระผมมาหมาดๆ ด้วยความหงุดหงิดรำคาญเต็มไปหมด นั่งเป่าอยู่หน้าพัดลม ตาก็บึ้งตึงฉายสีหน้าไม่พอใจ ไม่สนแม้แต่ไลน์ที่มีผัวทักมาอรุณสวัสดิ์

วันนี้เมนส์มาเพราะอีดอกข้างบ้านคนเดียวเลย ! ไม่มีกะจิตกะใจจะตอบกลับ นั่งสงบสติอารมณ์เสร็จก็โมโหหิว แต่อีป้าข้างบ้านที่เพิ่งเปิดร้านขายกับคำข้าวที่แม่นี่ก็สนิทด้วย พาลให้นี่ต้องสั่งแกร็บแทน เพราะไม่อยากแดกร้านป้าแกด้วยความโมโหโกธา

แม่ที่เข้ามาในบ้านเห็นนี่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ก็เอ่ยปากถามไถ่ “เป็นอะไรอ๊อก”

“รำคาญเพลง เปิดแม่งกันอยู่ได้” ผมบ่นด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด ใครก็ไม่รู้มาปิดแอร์ เพราะคงเกินเวลาเพื่อประหยัดค่าไฟ สงสัยจะเป็นน้องๆ

คุณนายเห็นดังนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ ถอนหายใจไปหยิบเสื้อผ้านำไปซัก

ผมที่เป่าเส้นผมดำขลับจนแห้งกรังสนิทก็ลุกขึ้นยืน กะจะไปหยิบน้ำเย็นมาดื่มให้ชื่นใจ ปรากฎว่าน้ำในตู้เย็นสี่ห้าขวดเหลือน้อยนิดแทบเหลือก้นขวด

โอ้โห กูล่ะไม่อยากจะเชื่อ น้ำเท่าติ่งหลียังเอามาแช่กันอีก นี่คือน้องๆ กูไม่คิดจะช่วยกันทำงานบ้านเลยใช่ปะ ? แค่กรอกมันยากเย็นตรงไหนวะ

หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปหมด เหนื่อยทั้งกายและใจ งานสำนักพิมพ์เรื่องสั้นก็ต้องเร่งปั่น เหลียวมาที่อ่างล้างจานก็เต็มพรูจนอยากจะร้องไห้ วันนี้อารมณ์ตัวเองไม่เอ็นจอยตั้งแต่เช้าเลย ยืนล้างจานไปก็สูดน้ำมูกไป น้ำตาไหลเปาะๆ ร่วงหล่นกระทบจานชามที่ฟอกซันไลต์ เสร็จกิจก็เห็นน้องๆ นั่งกันอยู่สุขอุรา ผมก็ตะโกนแหกปากด่าน้องด้วยความโมโห ใช้ถ้อยคำหยาบคาย “น้ำอะหัดกรอกกันบ้าง เหลือแม่งนิดเดียวก็ยังเอามาแช่กันอีก อย่าเห็นแก่ตัวกันให้มาก”

ผมกวาดตามองน้องทั้งสามคน พวกมันโบ้ยกันไปมาด้วยถ้อยคำหยาบคาย และอย่ามาครหานะว่าผมเป็นพี่ที่แย่ ในเมื่อพวกมันไม่เคยนับถือว่าผมเป็นพี่เลยด้วยซ้ำ ขึ้นมึงขึ้นกูจนผมต้องใช้ศัพท์หยาบคายตอบกลับไป

นี่ผมเป็นคนรับใช้หรือไงกัน แม่ก็ให้ท้ายน้องคนเล็กเก่ง เวลามันกินข้าวก็ชอบวางจานชามทิ้งไว้จนแม่ต้องมานั่งเก็บแทน ปากบอกช่างมันไม่เป็นไรหรอก ทั้งที่พวกแม่งขึ้นมัธยมเตรียมเข้ามหาลัยกันละ ส่วนผมที่วุฒิการศึกษาก็น้อยกลับต้องมาเหน็ดเหนื่อย เพียงเพราะอยากช่วยแม่เรื่องงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก็คาดหวังว่าน้องๆ จะช่วยกันบ้าง แต่ที่ไหนได้ มีแต่คนเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น

“ขยะก็ไม่ทิ้งอีก” ผมหันไปมองทางขยะที่เต็มไปหมดจนเอ่อล้น ด่าไปก็ไร้ประโยนช์ หยิบมัดปากถุงเขวี้ยงลงถังขยะข้างนอก จากนั้นก็หยิบถุงขยะมาใส่ใหม่

เช้านี้เป็นวันที่ไม่แจ่มใสเอาเสียเลย มีแต่เรื่องที่ทำให้ผมอยากหนีออกจากบ้าน สักวันคงได้สติแตกแน่ๆ

เรื่องนี้ผมมีอาการมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยให้ใครล่วงรู้ มีเพียงคริตตี้ที่ชักชวนให้ผมไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อทานยา แต่ผมที่ไม่มีเงินสักกะบาท กว่าจะได้เงินจากสำนักพิมพ์ก็ยากลำบาก ต้องมาจ่ายค่ายาที่ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

“จานก็หัดล้างกันเองด้วยนะ นี่ไม่ล้างให้ละ” ผมบอกทิ้งท้ายให้น้องๆ หวังว่ามันจะมีจิตสำนึกกันบ้าง แต่มันนั่งเงียบชักสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน เห็นแล้วผมอยากจะเป็นบ้า ที่ไม่อยากเล่าเรื่องภายในบ้านให้ใครฟังก็เพราะอย่างนี้ ชีวิตจริงแม่งช่างแตกต่างจากนิยายที่จะมีแต่เรื่องราวดีๆ สิ้นดี

ละเว้นแค่เรื่องพี่นนท์ที่เป็นหนึ่งสิ่งที่เกินความคาดหมาย

ผมถือวิสาสะออกจากบ้านมานั่งที่บ้านคริตตี้ เจอะเจอกับเจ้คิทแคทที่มานั่งคุยเล่นกับแม่ของคริตตี้ที่ชื่อว่า ‘ป้าบัว’ ผมยกมือขึ้นไหว้ “หวัดดีครับแม่”

“หวัดดีๆ” แม่แกยิ้มรับ “ต๊ายตายมากันเต็มไปหมด บ้านฉันยิ่งรกๆ อยู่” ป้าบัวเอ่ยหยอกล้อ ผมเห็นดังนั้นจึงคลี่ยิ้มขึ้นมาบ้างทีละนิด

บ้านคริตตี้นั้นหรรษา ผมเลยดีใจที่ได้มานั่งคลายเครียด ถือเสียว่ามานั่งสงบสติอารมณ์

“เป็นไรมึง” คริตตี้ที่เห็นสีหน้าผมไม่สู้ดีจึงนึกเป็นห่วงเป็นใย

“รำคาญคนที่บ้านอะ แม่งไม่เคยช่วยทำงานบ้านไรกันเลย” ขนาดช่วยแม่ตากผ้ายังไม่ทำ มีผมคนเดียวที่คอยช่วยแม่ทั้งนั้น

ครั้งหนึ่งผมเคยเห็นแม่กำลังจะตากผ้า น้องๆ กลับหนีขึ้นห้องกันไปหมด มีเพียงผมที่รีบขะมักเขม้นมาช่วยแม่อย่างกะตือรือร้น

คริตตี้ลูบไหล่ผมอย่างเข้าอกเข้าใจ มันยิ้มให้บางๆ ก่อนจะหันไปทางเจ้คิทแคท “อีคิทแคท มึงมาช่วยดูแลน้องสาวมึงหน่อยซิ หน้าบึ้งตึงเป็นลิงบาบูนละ”

ผมได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขำ กระเถิบกายเข้าไปนั่งใกล้ๆ เจ้คิทแคท “แล้วนี่เจ้มาทำไรอะ ?”

“มานั่งเล่นไม่มีไรทำ ฮ่าๆ” เจ้แกตอบอย่างอารมณ์ดี “มาบ้านอีคริตตี้แล้วง่วงนอนตลอดเลยอะ เย็นสบาย”

“ก็นอนซะสิ หมอนก็มีนี่ไง” แม่คริตตี้ชี้นิ้วไปที่ฟูกเตียง

หนึ่งสิ่งที่ผมชอบในบ้านคริตตี้นั่นก็คือ แม่ของมันค่อนข้างเป็นคนอารมณ์ดี อีกทั้งยังพูดเก่งมากด้วย ตั้งแต่สมัยเรียนที่ผมช่วยแม่บัวขายของ แม่แกก็จะมีสินน้ำใจเล็กๆ นั่นก็คือให้กินน้ำดื่มฟรี

เจ้คิทแคทที่ดูง่วงนอนจัดเขยิบเข่าเข้าไปริมฝั่งใกล้กำแพง ล้มตัวลงนอนข้างๆ คริตตี้ ก่อนที่เพื่อนรักของผมจะชี้นิ้วลงที่ว่าง “อีอ๊อก มานอนเล่นสิ มาๆ” มันชวน

ผมไม่หือไม่อือใดๆ ทั้งสิ้น เดินมาก็หย่อนตัวลงนั่ง จากนั้นก็ไถลตัวลงนอนข้างๆ เจ้คิทแคท

คริตตี้พูดออกมาลอยๆ “วันนี้เป็นวันเหี้ยไร พวกมึงถึงมาบ้านกูกัน”

“กูก็แค่อยากมานั่งคุยกับแม่บัวปะ” เจ้คิทแคทตอบกลับ นอนอย่างเกียจคร้าน บิดกายหันมามองผม “อ๊อกคิดถึงป้ายีมะ”

“ใครอะ ?” ผมถาม

“ก็ที่ขายสุกี้ไง ที่แกชอบมากินบ่อยๆ ร้านป้าฉัน” อีกฝ่ายอธิบาย ผมจึงนึกภาพตาม

“อ๋อออ ป้ายีคิดถึงสิ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม ยังนึกถึงชอบสูตรสุกี้แกทำอยู่เลย ไม่รู้ว่าดองของค้างคืนจริงไหม

“คิดถึงก็ตามไปหาสิในนรก” คริตตี้เอ่ยแทรกขึ้นมาในบทสนทนา

เจ้คิทแคทหันไปสะกิดแขนคริตตี้ยิกๆ  “มึง...ป้ากู”

“เออลืม โทษทีมึง” คริตตี้ที่พลั้งปากขอโทษอย่างลืมตัว ทำผมหลุดขำ อีกทั้งเจ้คิทแคทก็หาได้ขุ่นเคืองไม่ สักพักก็หลับตาลงทำท่าจะหลับ หลังจากนั้นก็เอ่ยปาก

“กูปวดขี้ว่ะ”

แล้วจะพูดออกมาทำไม…

“ก็ไปขี้สิ” คริตตี้ว่า หันหน้าไปที่ประตู “ห้องน้ำกูมี”

“ของมึงมันไม่ได้แบบนั่งอะ มันต้องนั่งยองๆ กูอ้วนแบบนี้ตะคริวแดกขากันพอดี” อีกฝ่ายท้วงติง

สักพักก็มีแรงสั่นสะเทือนจากพื้นไม้อย่างรุนแรงจนผมที่กำลังเข้าไลน์ตอบกลับพี่นนท์อยู่ต้องฉงนสงสัย “อะไรอะ ?” เมื่อกี้แผ่นดินไหวเหรอ ?

“มึงตดเหรออีคิทแคท” คริตตี้หัวเราะเยาะ ร้องยี๊เตะขาอีกฝ่ายให้ถอยกายออกห่างไปไกลๆ

“กูเปล่า” เจ้คิทแคทหัวเราะกลับ กล่าวด้วยน้ำเสียงขบขัน

เป็นอันรู้กันว่าใครตด

ปู๊ด กึกๆๆๆๆ เสียงตดสั่นสะเทือนบนพื้นไม้ ครั้งนี้ทำผมแหงนหน้ามองอีกฝ่าย พลางฉีกยิ้มโดยไม่ออกเสียงใดๆ

อีคริตตี้ส่งเสียงตะโกนลั่นบ้าน “แม่ !!! บ้านเราไม่ค่อยแข็งแรง !”

ผมหลุดหัวเราะขำดังพรืด หัวเราะจนน้ำตาปริ่มไหลผ่านหางตา ตลกฉิบหาย อะไรจะตดจนพื้นสั่นได้ขนาดนี้

“มึง” เจ้คิทแคทพูดเนิบนาบ

อีคริตตี้ที่ยังเล่นโทรศัพท์อยู่ยังเอ่ยขึ้นมาว่า “ว่า ?”

“กูรู้สึกเหมือนมีอะไรชื้นๆ ที่กางเกงในเลยว่ะ”

ผม “...”

“มันอาจจะเป็นเหงื่อก็ได้เนอะ” เจ้คิทแคทมองโลกในแง่ดี มิวายเอ่ยถามอีเพื่อนรักของผม “ใช่ไหมมึง ?”

“อืม เอาที่มึงสบายใจ” คริตตี้ตอบอย่างไม่แยแส เห็นดังนั้นเจ้คิทแคทเลยบิดตัวมาเอื้อนเอ่ยกับผมแทน

“มันอาจจะเป็นแค่เหงื่อใช่ไหมอ๊อก ?”

ผมที่หัวเราะขำ พยักหน้ารับมองโลกในแง่ดีเห็นพ้องกับอีกฝ่าย “อาจจะเป็นแค่เหงื่อแหละเจ้ อย่าคิดมาก”

อีกฝ่ายกลอกตานึกคิด ลองลูบก้นตัวเองเบาๆ “แต่เจ้ว่ามันแฉะๆ อ๊อกลองเอามือล้วงลงไปสำรวจให้เจ้หน่อยสิ”

“อีสัตว์” ผมด่าทันทีทันใด “มึงไปเข้าห้องน้ำเถอะอีเจ้”

ไม่ทันไรเสียงนั้นก็มาอีกหน ปู๊ด กึกๆๆๆๆ

คริตตี้ร้องลั่นอีกครา “แม่ !! แผ่นดินไหวววว !!!”

กูว่าไปขี้เถอะค่ะ ไหว้ล่ะ

“อันนี้พูดได้ไหมพี่จี้” ศัพท์กะเทยดังออกมาจากปากเจ้คิทแคท

“พูดได้เลยแอนนา” คริตตี้พยักหน้ารับ

อีกคนจึงกล่าวต่อ “กูว่าใช่แล้วแหละ”

“ใช่ว่าขี้ ?”

“อืม” เจ้คิทแคทรีบลุกขึ้นยืนเดินเข้าห้องน้ำในทันใด

 
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เจ็ด [23/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 23-12-2019 22:18:20
แม่อ๊อกดูออกนะคะ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เจ็ด [23/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 25-12-2019 21:03:31
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่แปด [26/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 26-12-2019 22:29:26
ตอนที่แปด
[/size]
 

ผมนั่งขำจนปอดโยก ก่อนจะมานอนพรมนิ้วมือลงบนหน้าจอโทรศัพท์ ตอบกลับชายหนุ่มที่ทักมาได้เกือบสามชั่วโมง

[Non : อรุณสวัสดิ์ค่ะ] 12:32

[Non : ยังไม่ตื่นเหรอคะคนดี] 14:16

[อ๊อกเจ็บคอ : อืม จริงๆ ตื่นนานแล้วครับ แต่มีปัญหานิดหน่อย] 15:02

พิมพ์ตอบกลับไปไม่ทันจะได้กดออกจากแอป บทสนทนาก็ขึ้นคำว่าอ่านแล้วในเวลาอันรวดเร็ว ไม่นานเกินรอก็มีข้อความใหม่เด้งขึ้นมา

[Non : มีอะไรอยากระบายหรือพอที่พี่จะช่วยได้ไหมคะ ?]

ผมหลุดยิ้มกับข้อความเหล่านั้น ก่อนจะพรูลมหายใจทิ้ง ร้องฮึบเข้าไว้เพื่อเป็นการบ่งบอกกับตัวเองว่าให้เข้มแข็งอีกสักครั้ง อย่าได้เอาเรื่องปวดหัวมาทำให้คนอื่นเป็นกังวลเลย

[อ๊อกเจ็บคอ : ขอบคุณนะครับ แต่ผมดีขึ้นแล้วแหละ]

[Non : โอเคค่ะ แต่มีไรอยากเล่าก็มาระบายกับพี่ได้นะ พี่ยินดีค่ะ]

อาการซึมเซาแทบจะแปรผันเป็นระเริงรื่นในบัดดล ทั้งใจเต้นระส่ำหน้าตาก็หลุดยิ้มเหมือนคนอยู่ในห้วงรัก

“ยิ้มอะไรอะอีอ๊อก เหมือนคนบ้าไม่เต็มบาท” คริตตี้ที่ลอบมองอยู่เอ่ยปาก

“สาระแน” ผมด่ามันกลับ หันมาพรมนิ้วมือจะพิมพ์ขอบคุณอีกสักหน ไม่ทันไรก็มีข้อความเด้ง

[Non : จริงสิ พอดีพี่เจอกระเป๋าสตางค์หนูอยู่บนรถด้วย หนูคงทำหล่นเอาไว้ ไว้เดี๋ยวพี่จะขับรถไปคืนให้นะคะ]

“อุ้ย” หลุดร้องเสียงหลง ตายจริง นั่นมันอุบายเราที่วางแผนไว้ทั้งนั้น จู่ๆ ก็หน้าชื่นบานจะได้เจอกับคนที่ชอบอีกสักครั้ง แกล้งทำเป็นขอบคุณซาบซึ้งในน้ำใจไมตรี หลังจากนั้นก็เจอเจ้คิทแคทเดินออกมาจากห้องน้ำ ชำเลืองมองมาทางผม มิวายเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน

“อีอ๊อกเป็นไรอะ ยิ้มหน้าบานเชียว”

“กูว่าคุยกับลัวผู” คริตตี้ที่นั่งไถเฟซบุ๊กเล่น กล่าวออกมาเหมือนล่วงรู้ เล่นเอาผมสะดุ้งเบาๆ

“ผู้ชายสูงๆ หล่อๆ ขาวๆ คนนั้นอะนะ ?” เจ้คิทแคททิ้งตัวลงนั่งที่พื้น เช็ดไม้เช็ดมือที่เปียกเปรอะตรงกางเกง

คริตตี้ได้ยินดังนั้นก็ผงกหัวรับว่า “อืม”

“ได้กันยังอะ ?” คราวนี้เจ้แกยิ่งคลี่ยิ้มกว้างมองมาทางที่ผมสลับกับคริตตี้

ผมจ้องอีคริตตี้เหมือนย้ำเตือนไม่ให้มันปริปาก แต่อีเพื่อนชั่วกลับไม่ได้มองสีหน้าผมเลยสักนิด มันเงยหน้าจากหน้าจอมือถือก็พยักพเยิดมาทางผมแทน “ถามมันเองสิ”

“ได้ยัง ?” เจ้คิทแคทจึงย้ำต่อ จ้องตาผมอยากคาดคั้นหวังหาคำตอบ

ผมนี่อยากจะเอาตีนอิงหน้าผากฉิบหาย ได้แต่ตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ขึ้นมาว่า “ยัง” พร้อมกับปั้นสีหน้าใสซื่อไม่ให้อีกคนเห็นพิรุธ

เจ้แกบ่นว่าเสียดายแทนก่อนจะล้มตัวลงนอนประจำที่ดังเดิม ผมที่เม้มปากอยู่ก็พลันแหงนหน้ามองไปที่ร่างของคริตตี้ที่จดจ้องอยู่ตั้งแต่แรก มันขยับริมฝีปากไม่ออกเสียงขึ้นมาว่า “อีตอแหล”

“รู้ตัวดี” ผมขยับริมฝีปากตอบกลับ เปลี่ยนมาจ้องมือถือเซฟรูปไปแปะเป็นภาพประกอบนิยาย จู่ๆ ก็ได้ไอเดียเกิดอยากแต่งแนวนอกใจอีกเรื่อง ผสมผสานกับความสะใจของเนื้อหา การบรรยายที่แตกต่างกว่าชาวบ้านเขา เพื่อนเมย์ที่เห็นผมอัปนิยายแนวนี้ไม่กี่วันก่อนก็ช่วยรีให้ ครั้นพอผมเข้าทวิตเตอร์ก็ปรากฎว่ามียอดติดตามเพิ่มขึ้น จำนวนคนรีนิยายก็มากขึ้นอีก ผมเลยหาต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องอึ้งทึ้ง เลยสรุปได้ว่าแอคแมวที่เป็นนักรีวิวนิยายที่ตัวผมนั้นได้ติดตามอยู่ เขาได้แคปบทพรรณนาทั้งหลายแหล่เป็นการสะท้อนเนื้อหา ติดแท็กนิยายของผม อีกทั้งยังอวยเรื่องสั้นที่ผมได้แต่งอีก

[แนะนำเรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่ชอบมาก #ใครเขาจะไปทนกับมึง #แมวเรื่องสั้นมาให้อ่าน <3 เหมือนทนมาสุดๆ จนวันหนึ่งเห็นแฟนเอาผูู้หญิงมานอนที่ห้องบนเตียงตัวเองต่อหน้าต่อตา ไม่มีน้ำตาสักหยด เป็นเรื่องที่อ่านแล้วชอบมาก สำนวนการบรรยายแปลกใหม่แต่ตราตรึงดี สะใจ] จำนวนคนรีห้าร้อยกว่าคน กดหัวใจใกล้เคียงกับตัวเลขด้านหน้า

มันอาจดูไม่มากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน นอกจากแต่งนิยายเกิดเป็นสิงโตทะเลแล้ว นี่ยังเป็นเรื่องสั้นที่ผมใช้อารมณ์เข้าแลกพร้อมกับฟังเพลงเพื่อดำดิ่งไปกับบทบรรยาย ตอนเมย์รีนิยายให้ก็ดีใจมากพอแล้วนะ แถมเราสองคนก็รู้จักกันผ่านเกม Overwatch อีกทั้งยังบังเกิดเรื่องไม่คาดคิดนั่นก็คือเมย์ดันเป็นนักเขียนนิยายเหมือนกับผม หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราก็สนิทสนมชิดเชื้อเหมือนคบกันมานานปี

ผมเห็นแล้วน้ำตาคลอเบ้า ทั้งดีใจที่มีคนมาเล่นในแท็กนิยายตนเองและรีวิวด้วยความสนุกสนานปนโศก สิ่งเหล่านี้มันเปรียบเสมือนยาใจให้แก่ผู้เขียนที่แทบทุ่มเทชีวิตให้แก่ตัวละครในโลกจินตนาการ ประทังชีวิตด้วยการดื่มกินคอมเมนต์เป็นหลัก หากไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีผมที่พยายามพัฒนาฝึกฝนด้านภาษาต่อ แม้นเพียงแค่ไม่กี่คนที่ชื่นชอบผลงานผมก็ตื้นตันใจพอละ แต่นี่กลับมีจำนวนที่มากขึ้นอีก จากที่มีคนติดตามแอคนิยายเป็นจำนวนสิบเจ็ดคน บัดนี้ได้กลายเป็นหลักร้อยในเวลาอันรวดเร็ว แม้แต่คุณแมวที่ผมติดตามก็ยังกดติดตามผมกลับ รวมไปถึงมีนักเขียนดังๆ หลายท่านมากดติดตามผมด้วยซ้ำ มันยิ่งกว่าเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ผมอยากจะกรี๊ดให้ลั่นบ้าน

“เฮ้ย ! อีอ๊อก เป็นไรร้องไห้” คริตตี้ที่เห็นสีหน้าผมเข้า ตกกะใจรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง

ผมสูดน้ำมูก ปัดเศษน้ำตาลวกๆ ทิ้ง มือไม้เฉอะแฉะไปหมด “มึงกูดีใจอะ มีคนติดตามนิยายกูมากขึ้น รีวิวเต็มไปหมดเลย ฮึก ฮือ” พลันหลุดร้องไห้งอแงเหมือนกับเด็ก ยื่นสิ่งที่อยู่ในฝ่ามือให้เพื่อนดู

คริตตี้ที่ก้มมองอ่านยิ้มแฉ่ง ก้าวขาข้ามผ่านตัวเจ้คิทแคทที่ยังนอนงงงวย พลันตบไหล่ผมปุๆ เป็นการปลอบใจ พร้อมยังเอ่ยปากชมเปาะ “มึงเก่งมากเว้ย มันเป็นเพราะมึงมีความสามารถ ดีแล้วจะได้มีนักอ่านติดตามชื่นชมผลงานในตัวมึงมากขึ้น”

“ฮึก อื้อ ฮือ” ผมร้องไห้ไปพยักหน้ารับไป ทักดีเอ็มหาเพื่อนเมย์เป็นการส่วนตัว อย่างแรกเลยคือต้องขอบคุณเธอมากเป็นอันดับแรก หากไม่เป็นเพราะเธอรีนิยายให้ผม คุณแมวก็อาจจะไม่ได้เห็นนิยายชิ้นนี้

[เมย์ขอบคุณเธอมากเลยนะที่รีนิยายเรา ตอนนี้มีคนติดตามเพิ่มขึ้น คอมเมนต์ก็ด้วย ดีใจมากๆ เลย ถ้าไม่เป็นเพราะเธอก็คงไม่มีใครได้เห็นผลงานของเราแน่ๆ ขอบคุณเธอมากจริงๆ รักเธอมากนะ นี่ร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้ว]

ดีใจจนแทบบ้า ไม่รู้จะทะลักความรู้สึกที่เอ่อล้นนี้ยังไงดี นักอ่านหลายท่านที่มาเล่นในแท็กก็เหมือนติดกับลุ่มหลงกับบทพรรณนา ผมซาบซึ้งในทุกๆ คอมเมนต์ที่มอบมาให้ ทั้งรีวิวและรอเรื่องสั้นตอนต่อไป

เสียงในมือถือผมสั่นดังครืด พร้อมกับข้อความของเพื่อนสาวที่เป็นนักเขียนดีเด่นสำหรับผมคนนี้ [ไม่เป็นไรแก ฉันดีใจด้วยนะ ดีที่มีคนติดตามผลงานแก นิยายแกดีมากจริงๆ ฉันอ่านเองยังโดนดึงดูดเข้าไปในเนื้อหาเลย] เธอพูดเปรียบเปรยให้ผมเห็นภาพตาม ผมคลี่ยิ้มทั้งน้ำตานองหน้า

[ดึงดูดเหมือนหลุมหลีอวกาศน่ะเหรอ] ผมแกล้งล้อเลียนหญิงสาว

[จะบ้าเหรอ 555] เธอหัวเราะตอบกลับมา

[เมย์ ขอบคุณจริงๆ นะ เราเหมือนได้บรรลุในสิ่งที่ตนเองวาดหวังเอาไว้เลย ดีใจที่ได้เจอกับเธอผ่านเกม มันเหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายที่โชคชะตานำพาให้เรามารู้จักกันเลย คล้ายคำพูดสวยหรูนะ แต่สำหรับเราแล้ว เราดีใจมากจริงๆ ที่ได้รู้จักกับเธอ เธอเป็นคนเก่ง มีความคิดที่ดี มีความสามารถ นิยายของเธอในด้านภาษาก็สละสลวย เราอยากเก่งให้ครึ่งค่อนเหมือนเธอบ้าง] ผมพิมพ์ยาวเหยียดระบายความในใจ นั่งจดจ่อดูข้อความที่กำลังพิมพ์ตอบกลับ

[ไม่หรอก มันเป็นเพราะเธอมีความสามารถด้วย เธอเป็นคนเก่ง อ๊อก เชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ เธอดังแล้วเห็นไหม]

ผมยิ้มเยื้อน พรมนิ้วมือลงบนแป้นข้อความ [ไม่หรอก นี่แค่เป็นจุดเริ่มต้น แต่แค่นี้มันก็มีความหมายและมีค่าสำหรับเรามากๆ ละ เราไม่รู้จะขอบคุณคุณแมวยังไงดี ตอนนี้ตื้นตันไปหมด] พิมพ์ไปก็สะอื้นไป พอกดออกจากแชทก็มาดูแท็กต่อ ปรากฎว่านิยายตอนถัดไปในเรื่องสั้น คุณแมวกลับรีวิวอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง

[(>_<) จริงๆ เป็นเรื่องสั้น (>_<) เราชอบเรื่องที่สองมาก อ่านแล้วสะดุดกึก ยังชอบบรรยายแบบนี้เช่นเคย มันดูหนักแน่นฝังลึกดียังไงไม่รู้ อ่านเรื่องนี้แล้วขนลุกเลย แง ลองเข้าไปอ่านกันดูนะคะ #ใครเขาจะไปทนกับมึง #แมวเรื่องสั้นมาให้อ่าน] มิวายแนบลิ้งก์ให้ด้วย น้ำตาของผมยิ่งพรั่งพรูพร้อมรอยยิ้มที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ

ตัดสินใจกดเข้าไปในลิ้งก์ เห็นคอมเมนต์ของคุณแมวและนักอ่านท่านอื่นๆ ที่ต่างแห่แหนมาชื่นชมผลงาน

คริตตี้ช่วยผมซับน้ำตาโดยการดึงทิชชู่มาเช็ดให้ แถมยังบอกอีก “สั่งน้ำมูกซะ จะไหลเข้าปากอยู่ละ ยี๊” มันทำหน้าทำตาขยะแขยง

ผมหลุดขำ มีแต่คำว่าตื้นตันใจและซาบซึ้งในหลายๆ สิ่ง นี่คงเป็นพรที่พระเจ้ามอบให้แน่ๆ เป็นสิ่งที่ผมได้ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น ได้มีคนรู้จักผ่านผลงานที่ตัวเองตั้งอกตั้งใจทำ

ผมรีทวิตที่คุณแมวโพสต์ ก่อนจะรีทวิตตอบกลับเป็นการขอบคุณ [ขอบคุณมากเลยค๊าคุณแมว ดีใจมากๆ เลย ขออนุญาตแปะลิ้งก์ใหม่ทีนะคะ พอดีคนเขียนเผลอไปลงผิดหมวดค่ะ 555 ล่าสุดกำลังลงตอนใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ (แนบลิ้งก์)] แสดงท่าทางผ่านประโยคข้อความเหมือนคนเป็นกุลสตรีไทย ยิ้มแย้มแจ่มใสและร่าเริงชวนน่าคบหา ชั่วอึดใจก็ตัดสินใจลุกขึ้นอำลาคริตตี้กับเจ้คิทแคทที่ยังนอนเอามือลูบก้น

“มึงกูกลับบ้านก่อนนะ” ผมบอก

คริตตี้ขานรับ “อืม สู้ๆ มึง”

“ทำไมรีบกลับเล่า” เจ้คิทแคทแย้ง

ผมเอ่ยพร้อมรอยยิ้มประจบ “พอดีมีไฟปั่นนิยายอะเจ้ จะได้ไม่ต้องเร่ไปขายหลีละ”

“ขายหลีสิดี” เจ้คิทแคททำหน้าทำตาสนับสนุนอย่างตื่นตะลึง “ชีวิตนี้คนเราจะมาตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บไม่ได้หรอก”

“งั้นต้องเป็นห่าไรตาย เป็นบ้าเหรอ ?” คริตตี้ท้วง

เจ้คิทแคทส่ายหน้าเป็นการบอกว่าไม่ใช่ ยกนิ้วชี้โบกไปมา “ต้องโดนคว-เย็-จนตายต่างหากล่ะ ถือว่าตายอย่างคุ้มค่า” จากนั้นก็กำมือน้อยๆ ให้ตรงกลางมีรูผ่านปลายนิ้วที่งอคว่ำ ขยับขึ้นลงตรงริมฝีปากพร้อมล้อเลียนชื่อของผม “อ๊อกๆๆ”

“อีสัตว์” ผมด่าพร้อมหัวเราะขำทั้งน้ำตา ดีใจเหลือเกินจะกล่าว รีบโบกไม้โบกมืออำลาคนทั้งสอง รวมไปถึงแม่คริตตี้ที่เพิ่งลงบันไดชั้นสองของบ้าน “บ๊ายบาย เจอกันมึง แม่อ๊อกไปละ หวัดดีครับ” ยกพนมมือขึ้นไหว้ รีบสวมรองเท้าวิ่งแจ้นกลับไปที่บ้านของตนเอง

คาดหวังเพียงกลับไปอัปนิยายตอนถัดไปที่ได้แต่งค้างเอาไว้

พอมาถึงบ้านผมก็รีบวิ่งขึ้นห้องไปเปิดโน๊ตบุ๊ก นั่งฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แตกต่างจากตอนเที่ยงของวันที่อารมณ์คุกรุ่นจนระเบิดอารมณ์ใส่น้องๆ พลันเสียบหูฟังและเปิดเพลง rosy - Fever (Medley song) ฟัง ผมหลับตาลง ค่อยๆ จมดิ่งกับเสียงดนตรี ยกปลายนิ้วทั้งสิบขึ้นมาบนแป้นพิมพ์ พรมราวกับกำลังเล่นเปียโนที่มีไหวพริบฉวัดเฉวียน ร่ายรำไปกับตัวอักษรที่มีความหมายสวยหรู ประโยคที่กัดกินใจที่ทำให้ผู้คนต้องดำดิ่งกับตัวสะกดลายลักษณ์อักษร

นิยายเรื่องสั้นตอนนี้ชื่อว่า ‘จดจำไม่รู้ลืม’ เกี่ยวกับนายเอกคนหนึ่งที่ถูกนอกใจจากสามีที่แต่งกันมาห้าปีเต็ม และล่วงรู้ถึงหญิงสาวปริศนาที่ชายหนุ่มได้แอบซุกซ่อนเอาไว้ ผมเขียนไปก็รู้สึกเศร้าหมองไป ให้บทสรุปตอนจบเหมือนกับนกน้อยที่ได้หลุดพ้นจากกรงทองคำเหลืองอร่าม

“เยส” เมื่อแต่งจบก็เหยียดแขนเหยียดเท้า ส่งเสียงดัง “ฮ่า” อย่างสบายเนื้อสบายตัว กด Ctrl + A เพื่อกอปข้อความทั้งหมดใน Word จับใส่ลงในเว็บชื่อดังและอีกสองเว็บด้วยกัน เสร็จสรรพก็กดบันทึกเผยแพร่ติดๆ กัน แนบรูปในทวิตเตอร์สื่อถึงอารมณ์ดังชื่อตอน ทวิตลงและจ้องบนรูปกระดิ่งแจ้งเตือน ภายในเสี้ยววินาทีก็มีจำนวนเลขเพิ่มขึ้น ทั้งกดถูกใจและรีทวิต ผมยิ้มปริ่ม ตั้งเป้ารอคอยคอมเมนต์นับจากนี้

การได้คอมเมนต์เท่ากับได้ฟื้นฟูพลังงานสำหรับนักเขียนเลยละ

ฉะนั้น...เมนต์ให้ด้วยล่ะ คุณนักอ่าน

[Non : ทำไรอยู่คะ ?] เสียงมือถือดังข้างกาย ผมหันไปมองหน้าจอที่สว่างจ้า มีข้อความของคนที่ตัวเองแอบชอบซึ่งอยู่ในสถานะดูใจกัน พานเอื้อมมือมาหยิบปลดล็อกรหัสผ่านด้วยปลายนิ้วชี้ หลังจากนั้นก็พิมพ์ตอบกลับอย่างกะตือรือร้น

[อ๊อกเจ็บคอ : พี่นนท์ เล่นเกมกัน] เพราะวันนี้ผมอารมณ์ดีชะมัดเลย

[Non : เกมไรคะ ?]

ผีผ้าห่มค่ะ อยากเล่นมาก

แต่ทั้งที่จริงนั้น [อ๊อกเจ็บคอ : Dead by daylight ละกัน เดี๋ยวอ๊อกชวนคริตตี้มาเล่นด้วย]

[Non : โอเคค่ะ พี่ขอชื่อสตรีมหนูหน่อย เดี๋ยวพี่แอดไป]

ผมเข้าสตรีมเกมดูชื่อไอดีของตนเองก่อนจะส่งต่อให้อีกฝ่าย ไม่เกินนาทีก็มีจดหมายข้อความขึ้นมาขอเป็นเพื่อน ผมกดรับก่อนที่อีกคนจะส่งลิ้งก์ดิสคอด เชื้อเชิญให้ผมเข้าไป

เพียงปลายนิ้วชี้จรดลงที่เมาส์ซ้ายดังคลิก ผมก็เข้ามาในห้องที่มีชื่อว่า ‘Gamer มือฉมัง’ ชื่อโคตรเสี่ยวซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแต่งตั้ง แต่ปรากฎว่าหัวหน้าห้องดันเป็นว่าที่ผัว

เสียงในหูฟังดังขึ้น พร้อมกับน้ำเสียงทุ้มชวนละลายเหมือนวันวาน “ได้ยินพี่ไหมคะ ?”

ผมอมยิ้มอย่างเคอะเขิน พยักหน้าทั้งที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ แต่อิริยาบถและคำพูดกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่มีคนหน้าตาดีเหมือนดาราเทพบุตรมาจ้องหน้าจ้องตา

จริงๆ อีอ๊อกก็ไม่ได้เป็นคนสวยมากหรอกแม่ ก็ไม่คิดว่าคนหล่อจะมาขอจีบ แต่พอจีบปุ๊บก็รู้สึกตัวเองมีออร่ามีผิวพรรณผุดผ่องคล้ายดูดน้ำเงี่ยนชายฉกรรจ์มาทาผิวอย่างเจียระไน

“ได้ยินค่ะ” บีบน้ำเสียงหวานกลับไป แกล้งทำเป็นหญิงสาวที่เอียงอาย คร้ามเกรงว่าครงตรงหน้าจะแอบสตรีมเกมและอัดคลิปแกล้งเอาไว้

ผมส่งลิ้งก์ต่อให้คริตตี้ ไม่นานเกินรอเพื่อนก็เข้ามาในดิสคอด พูดจาทักทายพี่นนท์ “หวัดดีค่ะพี่นนท์”

“ค๊า หวัดดีค่ะ” พี่นนท์ตอบกลับเสียงหวานเหมือนที่ใช้ให้กับผม ชั่วครู่ก็มีอีกคนเข้ามาในโปรแกรมสนทนา เสียงทุ้มเยือกเย็นเหมือนคนเย็นชากล่าวเนิบนาบ

“ดี” เสียงพี่เดือนนี่นา

“หวัดดีพี่เดือน” ผมทักทายพลางกระแอ่มกระไอ

“อ๊อกเหรอ ?” พี่เดือนถามอย่างคาดคะเน

“ใช่ค่ะ พอดีกลัวพี่นนท์อัดคลิปลงยูทูป” ผมตอบกลับอย่างกระดากอาย ชี้แจงถึงข้อสงสัยที่ต้องมานั่งบีบเสียงเป็นผู้หญิง พลันได้ยินเสียงพี่นนท์หัวเราะขำอย่างเอ็นดู เอ่ยวาจาหยอกเย้ามากระซิบใกล้ไมค์

“แหม หนูก็รู้ทันพี่อีกนะคะ”

นั่นไงคนเรา…

อีอ๊อกเป็นนักเขียนนะ ทำไมจะตามเกมพวกพระเอกไม่ทัน

“คริตตี้เข้าเกมยัง” ผมถาม

“เออ” มันขานรับเหมือนไม่ค่อยอยากจะพูด อาจเพราะว่ามีพี่เดือนอยู่ด้วยมั้ง อีอ๊อกพอจะเดาทางออก

ผมที่ถูกพี่นนท์ชวนเข้าปาร์ตี้ก็กดชวนคริตตี้ต่อให้ตามเข้ามาในห้อง จากนั้นก็มีอีกหนึ่งตัวละครซึ่งเป็นชื่อพี่เดือนเข้ามาในเกม ครั้นคบคนจึงเริ่มกดค้นหาห้อง ระหว่างนั้นเราก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย

“ปกติอ๊อกชอบเล่นเกมนี้เหรอคะ ?”

“ก็เล่นบ้าง แต่ส่วนใหญ่เล่น Overwatch กับ Friday ศุกร์สิบสามมากกว่าค่ะ” ผมตอบกลับพี่นนท์ที่อยากรู้คำตอบ พอได้รับฟังสิ่งที่ผมเอ่ยขัดอีกคนจึงร้องอ๋อ

“ดีเลย นี่พี่ก็มีเกมศุกร์สิบสาม ไว้เราเล่นกันไหมคะ ?” พี่นนท์ชักชวน ได้ยินดังนั้นผมจึงต้องตอบด้วยประโยคเป็นนัยยะ

“คือ พอดีอ๊อกมีตี้กับคนในแก๊งด้วยถ้าเล่นศุกร์สิบสามน่ะนะ แต่ถ้าพวกพี่เล่นด้วยก็คงครบคนพอดี ไว้ลองมาตี้กันก็ได้ค่ะ แต่ตี้น้องจะป่วนหน่อย” ผมอธิบายอย่างนุ่มนวลเหมือนผู้หญิงอ่อนช้อย แย้มยิ้มหัวเราะร่าเหมือนผู้หญิงแจ่มใส

จริงๆ ก็ไสยศาสตร์ค่ะ ชอบเล่นมากเอาไว้ปลุกเสกให้คว-บางคนต้องแข็งขืน

แต่ก็ได้แค่คิดและไม่กล้าบอก “พี่นนท์จะเล่นวันไหนล่ะ”

“พรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ จริงๆ พี่มีตี้ด้วย แต่เดี๋ยวไว้ไปเล่นกับหนูแทนดีกว่า โอ๊ะ เกมมาละ” พูดจบก็ทำให้ผมต้องมองที่หน้าจอที่ฉายภาพตัวละครผู้หญิงผิวขาวใส่เสื้อสีชมพูไว้เปียผมสองข้าง
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่แปด [26/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 26-12-2019 22:30:37
การพูดคุยอย่างอลหม่านค่อยๆ เริ่มต้นขึ้น

“อีอ๊อกอยู่ไหน”

“บ้านเล็กๆ” ผมบอกคริตตี้

“บอกสี่เหลี่ยมน่ะเหรอ ?”

“ใช่ๆ” ผมขานรับรัวๆ ขณะลงไปรื้อชั้นใต้ดินของฆาตกรเพื่อหาของ พลอยระแวดระวังภัยรอบทิศทาง ไม่รู้จะเจอฆาตกรตัวไหน แถมด่านที่ว่าก็เป็นชื่อป่าหลบภัย

จู่ๆ อีคริตตี้ก็ส่งเสียงร้องกรี๊ดขึ้นมาอย่างแสบแก้วหูทันทีทันใด เล่นเอาผมสะดุ้งโหยงร้องตกอกตกใจ

“อะไรมึง”

“ฆาตกร อีตัวที่มาจากเรื่องสเตรนเจอร์ ธิงส์อะ อีเหี้ย มันไล่กู มันไล่กูแล้ว !” คริตตี้โวยวายใหญ่ “ตามหาพ่อหาแม่มึงอ๋อ อีผีเหี้ย กรี๊ดดด”

“เดี๋ยวรีบไปช่วย อยู่แถวไหน ?” เสียงพี่เดือนดังแทรกขึ้นมาอาสาพร้อมช่วยเหลือ

คริตตี้ตอบไปก็ร้องลั่นไป ทำผมกับพี่นนท์หลุดหัวเราะขำ ก่อนที่รอยยิ้มของผมจะเจื่อนลงเมื่อเพื่อนรักเอ่ยขึ้นมาว่า “แถวบ้านเล็ก กำลังตรงไปแถวบ้านเล็ก !”

“อ่าว อีเหี้ย มึงลากฆาตกรมาหากูทำเพื่อ !!” ผมตะโกนด่าอีเพื่อนชั่วช้าสารเลว รีบวิ่งขึ้นบันไดหวังจะหนีออกจากถิ่นฐาน ดันมาเจอฉากจั้มสแกร์ เห็นตัวละครผิวสีคล้ำ วิ่งเลี้ยวเข้ามาก่อนจะผลักไม้ล้มบดบังฆาตกรอย่างฉิวเฉียดต่อหน้าต่อตาผม

“นี่แน่ะ อีผีหนังหุ้มกระดอ” อีคริตตี้ด่าสวน ส่วนผมกรีดร้องกำลังจะวิ่งออกจากช่องว่างบานประตู อีเพื่อนก็ดันมาบังวิ่งหนีตัดหน้า “อีดำ อีเหี้ย” ผมด่าตัวละครคริตตี้ด้วยความโมโหโทโส

“อีดอกอย่ามาเหยียดสีผิว” คริตตี้ด่ากลับ รีบรุดหนีไปไกลซ่อนแอบข้างโขดหินก้อนใหญ่

ผมหันไปมองด้านหลังก็เห็นฆาตกรพังไม้ทำท่าจะไล่ตามผมแทน เห็นดังนั้นเลยกดอีโมชี้นิ้วไปที่โขดหินและพูดขึ้นมาว่า “อีดำอยู่ตรงนี้ๆ” ก่อนจะรีบวิ่งสปรีดหนีเลาะซ้ายเลาะขวา เห็นฆาตกรไล่ตามปลายนิ้วที่ผมชี้ทางคนที่กำลังอิงแอบ

“อีเหี้ยเอ้ย !” คริตตี้ร้องลั่น ฝั่งผู้ชายก็หัวเราะกันใหญ่ ทุกอย่างสับสนวุ่นวายไปหมด ส่วนผมก็หนีมาปั่นไฟเงียบๆ ระหว่างนั้นพี่เดือนก็รีบวิ่งไปช่วยคริตตี้จนโดนฆาตกรตะปบข่วนสร้างรอยแผล เกิดอาการเลือดไหลเข้าขั้นบาดเจ็บ

“ขอบคุณ แต่ทีหลังไม่ต้อง” คริตตี้ว่า ทำพี่เดือนร้องอ่าวอย่างสับสน เหมือนสร้างผลดีแต่เสือกได้ผลกรรมซะงั้น ก่อนจะหัวเราะขำเสียงเย็นยะเยือกอย่างชอบใจไม่ถือสา

อีคริตตี้เมื่อรอดพ้นจากฆาตกรหวุดหวิดก็วิ่งมาเจอผม พลางเอ่ยถาม “นี่ใครอะ”

“กูเองๆ” ผมตอบ

“อ๋อ อีตัวดอกทองเหยียดสีผิว” มันขานรับ ก้มตัวลงมาปั่นไฟข้างๆ

ภายในเกมต้องปั่นไฟให้ครบห้าเครื่อง จึงจะสามารถเปิดประตูทางออกได้ กติกาไม่ยากแค่ต้องใช้ความสามารถและใช้สกิลที่พกมาให้เป็นประโยชน์ รู้จังหวะแถมยังเป็นการเล่นแบบจิตวิทยาเพื่อเดาทิศเดาทาง

“ผีมีลักษณะเหมือนหี” คริตตี้เอ่ยขึ้นมาลอยๆ

ผมถามถึง “หมายถึงคิลเลอร์ ?”

“ใช่ เวลามันคำรามเหมือนกลีบหลีดี”

“กูว่าเหมือนดอกไม้นะ” ผมพูดขณะขะมักเขม้นปั่นไฟจนขีดใกล้เต็ม

“ไม่ ตอนหัวหุบกูว่าเหมือนกระดอมากกว่า” มันพูดออกมาอย่างไม่กระดากอาย ไม่สนว่าฝั่งผู้ชายจะทำตัวยังไงเมื่อได้ยินคำเช่นนั้น พอปั่นไฟเสร็จอีคริตตี้ก็เอ่ยลา “แยกย้าย บายล่ะจ้ะ ตัวใครตัวมัน”

“มึงอย่าทิ้งกูไว้คนเดียว” ผมร้องโวยวายเพราะกลัวด่านที่มืดครึ้ม

อีคริตตี้เลียนเสียงจากน้อยหนึ่งเมคอัพอาร์ติส “ก็ไม่สนใจอยู่แล้ว”

“อีดำ” ผมจิกกัด

อีกฝ่ายตะคอกเสียงดุ “อย่าเหยียดสีผิว !” ฉับพลันสิ้นเสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องเจอฆาตกรอีกหน ผมที่เดินตามต้อยๆ ไล่หลังมัน เห็นฆาตกรอ้าปากตรงส่วนหัวชวนสยดสยองเหมือนกลีบหลีไม่มีผิด

อีคริตตี้พูดถูก ผีมีลักษณะเหมือนหลีจริงๆ ด้วย คลับคล้ายคลับคลาเหมือนกระดอหนังหุ้มไข่อีก

“หนีไปทิ้งฉันไว้” มันตะเพิดว่ามาทางผม “ขับไสไล่ส่ง”

ผมร้องด้วยความยินดี หมุนกายวิ่งรุดจากพิกัดตรงนี้ “แต็งกิ้วมากมึง”

“อีควาย ! กูประชด” มันแหกปากคร่ำครวญ สักพักตัวละครมันที่ขึ้นชื่อแถบใต้ล่างทางซ้ายมือก็บ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บสาหัส

“มันกระโดดได้ด้วยมึง ฮือ กลัว อีเหี้ย” คริตตี้ยังไม่หยุดโหวกเหวก “ใครก็ได้ช่วยด้วย”

ทุกคนเงียบกริบ

“มีใครอยู่ไหม !! กรี๊ดดดด” ถูกฆาตกรฟันจนล้มไปนอนกับพื้น

สกิลที่ผมพกมาสามารถเห็นเพื่อนบาดเจ็บได้ เห็นดังนั้นก็หลุดขำที่กลั้นมานานดังพรืด รวมไปถึงพี่นนท์ที่จริงจังกับการเล่นเกมเช่นเดียวกัน

ผมที่กำลังรื้อของอยู่เอ่ยปากหยอกขึ้นมาว่า “กำลังไป”

คริตตี้ถามกลับขณะถูกอุ้มจากฆาตกร “ไปช่วย ?”

“ไปหาของ” ผมตอบปัดพร้อมหัวเราะร่า ได้ยินดังนั้นอีคริตตี้ก็สบถถด่าไม่ยั้ง

“กูก็ว่าแล้วอีเหี้ยตัวไหนมันกำลังก้มหาของ กูจะจดจำความแค้นนี้ไว้ กรี๊ดดดด !” และแล้วก็มีเสียงตัวละครในเกมกรีดร้องโหยหวน คริตตี้พูดออกมาว่า “โดนเกี่ยวหลีแล้วค่ะ จะมีใครจะมาช่วยจากที่เบ็ดเกี่ยวหลีไหมคะ ฮัลโหล”

พี่นนท์อาสา “เดี๋ยวพี่ไปเอง”

ขณะนั้นผมก็วิ่งไปหาคนบาดเจ็บ พูดออกมาเรียกเสียงหัวเราะ “แยกร่าง นินจาแพทย์สาวซากุระ นินๆ กำลังไปช่วยเดี๋ยวนี้ค่ะ” ก่อนจะรุดไปเจอพี่เดือนที่กำลังพันแผลอยู่ข้างกำแพงอิฐ

“ขอบคุณ” อีกคนเอ่ยปาก

ผมตอบรับด้วยความยินดี พลอยสร้างเสียงครื้นเครงไปตามๆ กัน พร้อมเสียงล้อเลียนเอฟเฟกต์ “ยินดีค่ะ แยกร่าง พึ่บ นินๆ กำลังไปช่วยคริตตี้เดี๋ยวนี้ค่ะ”

“ไม่ต้องละอีน่าหลี” คริตตี้ขับไล่ ขึ้นสถานะว่าถูกช่วยเหลือเป็นที่เรียบร้อย ไม่นานก็เจอตัวมันวิ่งผ่านตัดหน้าผมที่กำลังยืนฉงนด้อมๆ มองๆ ลอบตัวอยู่ พลันเจอฆาตกรวิ่งมาจากเบื้องหน้า ผมก็กรีดร้องไม่ต่างจากหญิงสาวนางหนึ่ง

อีเพื่อนรักส่งสัญญาณ “มึงไป ไป !”

พึ่บ ! เสียงกระโดดไล่หลังตะครุบเขี้ยวเล็บลงที่แผ่นหลัง ผมร้อง “โอ๊ย !” ประหนึ่งเจ็บปวดรวดร้าวแทนตัวละคร วิ่งโยกไปมากับต้นไม้สลับซับซ้อน อีเพื่อนรักก็ยังส่งเสียงแหกปากเกื้อหนุน

“ไป ไป !”

ควับ ! “อีเหี้ย” ครั้งนี้ผมร้องลั่นเมื่อถูกตบจนนอนสิ้นสภาพอยู่ที่พื้นธรณี

อีคริตตี้ยังคงพูดต่อ “ไป ไปตาย ฮ่าๆ !” มันหัวเราะสาแก่ใจ แม้แต่พี่นนท์กับพี่เดือนที่ยังปั่นไฟอยู่จนเหลือสองเครื่องยังหัวเราะชอบใจ

สุดท้ายผมก็โดนเกี่ยวลงที่เสาตะขอ ตัวละครก็หลุดร้องลั่นซะแสบแก้วหู คล้ายดูหนังสยองขวัญก็ไม่ปาน ในระหว่างนั้นก็คาดหวังให้คนมาช่วย แต่เห็นทุกคนยังเร่งปั่นไฟกันอยู่ เมื่อเห็นขีดเลือดของผมใกล้มาถึงขีดสอง ตัวละครของใครคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาอุ้มตัวผมลงจากเสา

“ขอบคุณมาก” ผมนี่น้ำตาแทบปริ่ม

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูระวังอย่าไปทางซ้าย คิลเลอร์อยู่ตรงนั้น” เสียงพี่นนท์พูดไพเราะเพราะพริ้ง เล่นเอาผมอยากนอนระทวยกับน้ำเสียงทุ้มละมุน เกิดอยากบาดเจ็บอีกสักรอบสองรอบให้เข็ดขยาด มโนไม่ทันไปไกล เสียงอีคริตตี้ที่หายเจ็บก็ดังมาอีกระลอก

“กรี๊ดดดด อีกแล้ว กูอีกแล้วอีเหี้ย พ่อแม่มึงชื่อตามวอแวเหรออีดอก”

“หนูมีสกิลพันแผลใช่ไหมคะ ?” พี่นนท์เอ่ยถามเสียงอุ่น

ผมขานรับในระหว่างที่คริตตี้โวยวายขึ้นมาว่า “มีค่ะ”

“โอเค งั้นหนูช่วยตัวเองไปก่อนนะคะ พี่ไปช่วยเพื่อนหนูก่อน” จากนั้นตัวละครที่เคยพันผ้าพันแผลให้ก็รีบวิ่งปร๋อลับสายตา

“หมายถึงชักว่าวเหรอ ?” ผมถาม

พี่นนท์หลุดขำมาดังผะแผ่ว ตอบปัดปฏิเสธ “ไม่ใช่ค่ะ หนูนี่ก็...พี่หมายถึงช่วยตัวเอง คือรักษาตัวเองไปก่อน”

“อ๋อ โล่งอก” ผมกระหยิ่มยิ้มย่องชอบใจ ดีใจที่ได้แกล้งว่าที่ผัวให้ชะงักขวยเขิน

จากนั้นพี่นนท์ก็มิวายถามทางคริตตี้ว่า “อยู่แถวไหนคะ”

“ไม่รู้ ตรงกลางมั้ง แมพเหี้ยนี้ก็กว้างเหลือเกิน กรี๊ดดดด กระโดดตะครุบกูอีกแล้ว ! มึงเป็นกระต่ายเหรออีสัตว์หนิ !?”

เสียงเพื่อนรักด่าคำหยาบไม่ยั้งชีวิต ก่อนที่แถบด้านล่างจะมีชื่อพี่นนท์โดนฆาตกรฟาดฟันจนขึ้นสถานะบาดเจ็บแทน

โอ๊ย ผัวแสนดี มีการรับเคราะห์แทนให้ด้วย อีคริตตี้นี่ร่านนักนะ มีผู้ชายมาช่วยบังให้ตั้งสองคน ผมที่เดินหาเครื่องปั่นไฟก็ดันมาเจอะเจอคนวิ่งหนีตาหลุด อีกทั้งยังขับไล่

“หนี ฆาตกรมา !” เสียงพี่นนท์เอ่ยเตือน

แต่ไม่ทันแล้วค่ะ อีอ๊อกกำลังจะหมุนเมาส์หันเหทิศทางไปด้านหลัง อีลูกช่างกระโดดก็ตะครุบตัวละครให้นอนหงายเป็นที่เรียบร้อย

ทำไมต้องเป็นกูอีกแล้ว !

อีคริตตี้ไม่วายสมทบเหมือนครั้งที่แล้ว “ไป ไปตาย”

“ตายจริง” ครั้งนี้ผมโดนฆาตกรมาแขวนเป็นรอบที่สองทำให้ต้องกดดิ้นรนเพราะมีสิ่งของแหลมคมหมายจะแทงลงที่หน้าท้อง เสือกดันกดผิดพลาดผิดจังหวะ กลายเป็นตัวละครที่โดนทิ่มแทงนอนสิ้นสภาพเหนืออากาศ วิญญาณลอยละลิ่วไปกับผืนฟ้าดำทะมึนอย่างน่าขนลุก

อีคริตตี้ที่อยู่ใกล้ๆ ละแวกนั้น เห็นผมโดนฆ่าเข้าหน่อยก็หัวเราะชอบใจ “สมน้ำหน้า” ท่าทางน่าหมั่นไส้ของมันทำผมอดไม่ได้ที่จะนึกสาปแช่งอยู่ภายในใจ ก่อนที่เพื่อนรักจะร้องเพลงก้องกังวานในจังหวะที่วิญญาณของผมกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปบนท้องฟ้า ลอยละลิ่วเข้าสู่หลุมดำขนาดใหญ่อย่างน่าขนลุก “ไปสู่จักรวาล ดวงดาวเป็นพยาน ~” เพลงประกวดนางงามสู่จักรวาลลอยมาในบันดล

ผมหัวเราะขำด่ามันว่า “อีสัตว์” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นผู้ชม ดูเซอร์ไวเวอร์หรือผู้รอดชีวิตทั้งสามแทน เห็นอีคริตตี้มันร้องอุ้ยเพราะเห็นฆาตกรขุดหลุมใหญ่ลงที่พื้นดิน “มันมุดดินได้ด้วยอะ ฮือ” มันพูดพลางขนพองสยองเกล้า “เหมือนมุดหลีเลยไม่มีผิด” วินาทีถัดมาตัวละครคริตตี้ก็ค่อยๆ ย่องกายหนีไปที่เครื่องปั่นไฟที่ว่างอยู่ ถูกปั่นไปเกือบครึ่ง มันจึงสานต่อให้เสร็จ “อ๊อก กูจะเป็นผู้รอดชีวิตแทนมึงเองนะ มึงไม่ต้องเป็นห่วงกู”

“กูแช่งมึงให้ตายอยู่หนิ” ผมบอกมันถึงจุดประสงค์ที่ปรารถนา อีคริตตี้ส่งเสียงหึๆ จะปั่นเสร็จไม่ทันไร ฆาตกรที่หูไวก็เดินผ่านมาทางมัน อีคริตตี้รีบหมอบแทบกราบลงกับพื้นดิ้น “จุ๊ๆ อย่าส่งเสียง” มันเอ่ยปาก ฉับพลันก็หวีดร้องลั่นเมื่อฆาตกรหมุนกายมาเห็นมันที่กำลังอิงแอบอยู่ด้านหลังโขดหินก้อนหนึ่ง “กรี๊ดดด พี่เห็นหนูด้วยเหรอคะ !!?” จากนั้นก็วิ่งรุดไปกับแมพที่กว้างขวาง ฆาตกรกระโดดควับข่วนหลังคริตตี้จนมันร้องโอดครวญ วิ่งหนีด้วยอาการบาดเจ็บกระเสาะกระแสะ ก็ดันโดนไล่ต้อนข่วนจนตัวละครนอนหงายและคว่ำในบัดดล “คว- อีผีเหี้ย !” มันด่าอย่างมีน้ำโห ก่อนจะถูกจับอุ้มนำไปแขวนกับเสาใกล้ๆ  คริตตี้ที่เคยโดนแขวนมาแล้วครึ่งหนึ่ง ครั้งนี้เลยต้องดิ้นรนจากสิ่งที่จะทิ่มแทง

“เดี๋ยวพี่ไปช่วย” พี่เดือนเอ่ยขึ้นมาในหูฟัง

ผมกดดูตัวละครพี่แกที่รีบวิ่งมาหาคริตตี้ แต่ไม่ทันไรอีเพื่อนรักก็กดผิดจังหวะไม่ต่างจากผม หลุดร้องดัง “แอะ !” ออกมาประกอบ

“อ๊อก” มันเรียกชื่อผม

“หืม ว่าไง” ผมขานรับ

มันจึงพูดต่อ “ข้างบนเป็นไงบ้าง ?” ก่อนที่วิญญาณของมันจะถูกส่งเข้าสู่หลุมดำทะมึนอย่างช้าๆ

ผมยิ้มเยื้อนและกล่าวต่อเนิบนาบขึ้นมาว่า “ก็สบายดี”

“เค กูจะไปอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้วน๊า” มันพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน กระทั่งวิญญาณถูกดูดกลืน

“ดีใจจังจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว” ผมดี๊ด๊ามีความสุข

จากนั้นเราก็ประสานเสียงพร้อมกัน “ไปสู่จักรวาล ดวงดาวเป็นพยาน ความงามที่เหนือกว่าใคร ไปสู่จักรวาล เธอจะเป็นตำนาน ประกายตระการฟ้าไกล ~ ไปทั่วจักรวาลลลลล !”

สิ้นสุดเนื้อร้อง ตัวละครพวกพี่นนท์กับพี่เดือนก็เปิดประตูออกจากเกมเป็นอันชนะ ผมที่เห็นแล้วก็ร้องโหเหมือนคนร้องทุกข์

อีคริตตี้ที่มีอารมณ์ชื่นมื่นก็เอ่ยออกมาด้วยถ้อยคำเสียดสี “ก็คืออีพวกร่านตายห่าหมด พวกผู้ชายก็รอดตาย เออ มันเลิศว่ะ”

“ฮ่าๆ” เสียงพี่นนท์หัวเราะขำก่อนจะปลอบประโลม “พวกหนูเล่นเก่งแล้ว สนุกดี พี่ขำจนเหนื่อย”

“พวกหนูไม่ใช่นักแสดงตลกนะคะ” คริตตี้แย้งอย่างอ้อร้อ ก่อนที่หน้าจอเกมจะขึ้นคะแนนแต่ละคนว่าทำไว้เท่าไร

ผมเป็นคนเดียวที่ได้คะแนนน้อยที่สุด แต่ก็ถือว่าเล่นขำๆ คลายเครียดดี

“ต่อไหมคะ” พี่นนท์ถามผม

“ต่อๆ” ผมพยักหน้ารับเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว

จะเล่นเกมต่อ หรือไปเอากันต่อก็ยินยอมพร้อมใจทั้งนั้นละ

“ถามกูยัง ?” คริตตี้เอ่ยขัด

พี่นนท์ที่ได้ยินดังนั้นจึงถามอีกคนด้วย “แล้วน้องคริตตี้จะต่อไหมคะ ?”

“ต่อค่ะ” มันขานรับ

“เอ้า เพื่อ ? จะให้ถามทำไม” ผมแคลงใจ

“เพื่อความสบายใจ” มันตอบอย่างชื่นบาน

ผมพิมพ์ด่ามันลับหลังดิสคอดว่า [อีควาย]

มันพิมพ์สวนกลับในระหว่างที่เราทั้งสี่ค้นหาห้อง [มึงน่ะสิอีดอกทอง]

[ขอบคุณที่ชมว่ากูเป็นดอกไม้แสนสวย] ผมพิมพ์ไปยิ้มไปอย่างกับคนซุกซน และแล้วเราทั้งสี่ก็เล่นเกมเอาชีวิตรอดเกือบห้าตาติด เล่นซะจนหอบเหนื่อยเพราะทั้งขำปนโหวกเหวกทั้งนั้น อีคริตตี้ก็ขออนุญาตเบรกไปทานน้ำสักประเดี๋ยว ตัวผมเองก็เลยเว้าวอนด้วย

“เดี๋ยวมาแป๊บนะคะ ขอลงไปเอาน้ำเหมือนกัน” ผมบอกทุกคนในดิสคอด

“ได้ค่ะ” พี่นนท์ขานรับ ผมเลยถอดหูฟัง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงพี่นนท์กับพี่เดือนพูดเล็ดลอดออกมา แม้จะได้ยินไม่ค่อยชัดนักแต่ก็พอจับใจความได้บ้าง พูดสัพเพเหระเรื่องการงาน

เรื่องนี้อ๊อกขอไม่ยุ่งละกัน เพราะสมองซีกซ้ายของตนเองไม่ได้มีไว้ใช้วิเคราะห์เรื่องเงินๆ ทองๆ เน้นไว้ใช้งานเรื่องสัปดนก็เท่านั้น

อย่างเช่น วันนี้จะทำอะไรกับพี่นนท์ดี หลังจากที่เขาเอากระเป๋าสตางค์มาคืนให้

คิกคาก หัวเราะชอบใจในห้วงความคิด วันนี้อาการคันคะเยอแบบต้องการคารามายแบบสุดๆ

เป็นบ้าค่ะ อยากโดนเย็-อีก ชอบ...จะไปใช้อ้างอิงในนวนิยาย

‘ผัวเกมเมอร์กับนักเขียนขี้คัน’ และคันหลี ชื่อสดใสมากค่ะ น่าส่งประกวดสำนักพิมพ์ ‘แจ่มแจ้ง’ อีกสักที

 

การเล่นเกมนั้นใช้เรี่ยวแรงและปากเปียกปากแฉะไปเสียหมด ทำเอาผมหมดสภาพจนต้องขอไปนอนพักผ่อน ฝั่งพี่นนท์ที่ไม่มีท่าทางจะคัดค้าน หนำซ้ำกลับเป็นห่วงเป็นใยให้ไปนอนเล่น ต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายมาทำธุระกงการของตนเอง ผมที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนก็เข้าทวิตเตอร์สอดส่องหน้าไทม์ไลน์ คลี่ยิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อเห็นคอมเมนต์จากตอนที่อัปล่าสุดมาจากคุณแมวในเว็บชื่อดัง รวมไปถึงนักอ่านหลายๆ ท่าน พอเข้าส่องแท็กของตนเองก็ปรากฎว่ามีรีวิวเต็มไปหมด เริ่มจากคุณแมว

[(>[]<) เรื่องที่ 3 มาอย่างรวดเร็ว #จดจำไม่รู้ลืม #ใครเขาจะไปทนกับมึง #แมวเรื่องสั้นมาให้อ่าน (อีโมจิปักมีด)  เป็นความยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกจมลึกลงไปในห้วงความรู้สึกนั้น เหมือนเราถูกนอกใจเอง เจ็บหัวใจ บรรยายเหมือนตอกตะปู ปักแน่น ฝังลึก อยากกรี๊ด เขียนดีมากแม่] แนบลิ้งก์ให้อีกเช่นเคย ตามติดด้วยนักอ่านท่านหนึ่ง

[แอบคิดไปเองว่า #จดจำไม่รู้ลืม คือเรื่องต่อจาก #ใครเขาจะไปทนกับมึง พอคิดได้แบบนี้แล้วอกมันปวดเลย สงสารน้องถ้าโดนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แบบดีอะมันเหมือนไม่ต้องบรรยายมากมายเลยแต่รู้สึกทุกประโยคอ่านแล้วเจ็บแทน / หอมหัวน้องพีท] จากนั้นก็เป็นความคิดเห็นของคุณแมวที่มีความคิดเห็นเฉกเช่นเดียวกับนักอ่านท่านนั้น ทำเอาผมที่นอนเท้าคางยิ้มขำจนโชว์ซี่ฟันขาวหน้ากระจกที่ตัวเองวางไว้ เหลือบๆ มองๆ จับปัดผมให้เข้าที่เข้าทาง กระหยิ่มยิ้มชอบใจไล่อ่านทวิตที่ร่วมแท็กต่อมา เยอะแยะไปหมดที่มากพอจะฟื้นฟูจิตใจที่เหี่ยวเฉา

[138 #ใครเขาจะไปทนกับมึง รวมเรื่องสั้นคนแพศยา (เรื่องสั้น) พระเอกนอกใจนายเอก แค่นั้นเลย แต่ภาษาอะ ดีมากเลย มันอึดอัดบาดลึกไปหมด คำสั้นๆ แต่ลงคำหนักๆ โกรธตัวสั่นตามนายเอกไปหมด ภาษามันเข้ากับบริบทไปหมดเลย เราไม่สะใจเลย มันมีแต่ความหม่นอะ คีพคูลแต่ยิ่งทำยิ่งเจ็บ ไม่ bad end <3<3]

และอีกมากมายที่ทำให้หัวใจของผมชุ่มช่ำ มีกระจิตกระใจที่จะอยากสานฝันเป็นนักเขียนต่อ

คำพูดของพ่อแม่ที่เคยถามว่าเป็นนักเขียนแล้วได้อะไร ไม่เห็นตีพิมพ์สักทีในหกเจ็ดปีก่อนที่ผ่านมายังคอยติดตรึงในหัวของผมคนนี้ไม่มีวันลืม นั่นก็เพราะผมหมดไฟในด้านการเขียนจากนิยายเรื่องหนึ่งเข้าให้แล้ว เหมือนหลงลืมถึงต้นสายปลายเหตุที่นำพาให้ตัวเองมาเป็นนักเขียนฝึกหัด อธิบายไม่ถูกว่าเป็นเพราะความรักในด้านการเขียนหรือเปล่ากันแน่ หรือเพราะอยากแต่งเรื่องราวและมีคนอ่านแห่แหนมาชื่นชมผลงานจนเราโด่งดังหรือเปล่ากัน ชื่อเสียงอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ใครบ้างเล่าที่ไม่อยากมีชื่อเสียงในวงการ มีคนมาชื่นชมในผลงานที่เราถักทอเป็นเรื่องเป็นราว ถือเสียว่าเป็นผลพลอยได้ในสิ่งที่เราขยันขันแข็ง

แต่หากสักวันหนึ่งเมื่อผู้คนและกระแสมันเริ่มเบาบาง ความโหมกระพือดังไฟที่เผาผลาญเป็นเชื้อเพลิงก็ค่อยๆ ยิ่งดับมอดลงเท่านั้น สิ่งที่จะจุดชนวนขึ้นมาได้คือการปฏิวัติในการลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางคนเสียเวลาเปล่าประโยชน์โดยการวาดหวังไว้ในหัวว่าวันนี้ฉันจะทำ พูดออกมาประหนึ่งมีแรงหมายมั่นขยันแข็ง แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้สิ่งที่พรั่งพรูในหัวค่อยๆ เจือจางเหมือนโรคเกียจคร้านที่คอยเป็นตัวบ่อนทำลาย พอฉุกคิดจะมาปฏิบัติลงมือทำจริงจังก็กลับหลงลืมถึงจุดประสงค์ที่ตนเองแน่วแน่ทั้งที่เคยมีปัญญาแตกฉานมาก่อนหน้านี้

กว่าผลจะออกดอกให้เก็บเกี่ยวก็ล้วนแต่ถูกประคบประหงมดูแลอย่างดีเยี่ยม หมั่นเพียรใช้วิชาความรู้และประสบการณ์ที่หล่อหลอมนำมาใช้จึงจะประสบความสำเร็จ

หากวันนี้ไม่ใช่วันของคุณที่จะออกดอกออกผลให้ผู้คนมาแห่แหนชื่นชมในตัวคุณ คุณก็ค่อยๆ เพียรพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ละเล็กทีละน้อยนำมาใช้ให้เกิดดอกและผลให้มากที่สุด ทุกคนต่างมีฤดูกาลที่ชอบ มีช่วงวัยและเจริญเติบโตด้านความรู้ที่นำมาสู่การประสบความสำเร็จ เด็กบางคนเริ่มรู้สิ่งที่ตัวเองชมชอบตั้งแต่เล็ก มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนก็เพราะการนำความรักเหล่านั้นมาขยันฝึกฝนทุกวี่ทุกวัน ใช้ความสามารถที่ตนเองพึงมีให้เกิดผลประโยชน์ ดั่งเด็กทารกที่กว่าจะย่างก้าวได้ก็ต้องค่อยๆ ใช้เรี่ยวแรงและความเพียรพยายาม

คนเรากว่าจะเดินได้วิ่งได้ก็ไม่เท่ากัน ระยะความเร็วความเหนื่อยล้าก็ไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับคนเราที่กว่าจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องบ่มเพาะความรู้ความสามารถ ฝึกฝนพัฒร่่างกาย นำมาใช้ให้เกิดผล

อย่าไปนึกอิจฉาคนอื่นเลยหรือนึกเสียดายที่วันนี้ไม่ใช่วันของเรา อย่าไปนึกอิจฉาใครเลยที่เรากลับไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกับใครเขา

หากเปรียบมนุษย์คนเราเป็นหนอนแมลงตัวหนึ่ง กว่าจะใช้ระยะเวลาเจริญวัยก็ต้องเคยเป็นดักแด้มาก่อนทั้งนั้น การพัฒนาต่างๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เป็นระยะเวลาที่มีการสะสมอาหารไว้อย่างเต็มที่ ตัวหนอนและผีเสื้อแต่ละชนิดจะเลือกเข้าที่ดักแด้ต่างกันไป ระยะดักแด้ใช้เวลาประมาณเจ็ดถึงสิบวัน กว่าจะเป็นผีเสื้อที่สวยงามหลากสีสันก็เริ่มต้นมาจากช่วงระยะเวลาต่างๆ ทั้งสิ้น

หากวันใดวันหนึ่งมันเหมาะสมมากพอแล้ว วันนั้นอาจจะเป็นวันที่คุณพร้อมจะเผยความสวยดั่งในฤดูกาลที่ดอกไม้บานสะพรั่ง หรือเปรียบเสมือนผีเสื้อที่พร้อมจะโบยบินดูดน้ำหวานจากเกสร

เหมือนวันนี้ที่เป็นวันของผม...

แต่แหมอีดอก อย่างแรกต้องขอบคุณวิกิพีเดีย นึกคำสวยหรูแบบนี้ขึ้นได้เพราะเว็บไซต์ล้วนๆ นึกแล้วก็ภาคภูมิใจ เปลี่ยนไปนั่งเล่นหน้าจอคอมเขียนบทกวีนี้ไว้ใช้อ้างอิงในนิยายดีกว่า ดูเติมเต็มพลังงานบวกให้ผู้คนดี

อีเหี้ยคำพูดฉลาดเฉลียวเหมือนประกวดนางงามแบบนี้ควรได้มงกุฎละปะ ? แบบนี้ควรได้ผัวแล้วไหม ?

[อ๊อกเจ็บคอ : ทำไรอยู่ครับ] สเตปแรกต้องรู้จักอ่อย !!

นี่คือการประสบความสำเร็จในการมีผัวค่ะ จัม !!

‘จำเขียนงี้ค่ะไรท์’

‘รู้ค่ะอีดอก !’ ได้แต่ท้วงติงกับตัวเองในใจ
.
.
.
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่แปด [27/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 27-12-2019 23:34:16
กว่าจะตื่นมาอีกทีก็ตอนหกโมงเย็นของวัน นอนแดกบ้านแดกเมืองเหมือนไม่มีงานการทำ เห็นมือถือมีข้อความส่งมาจากพี่นนท์ ผมก็แหกตาดูตัวอักษรที่เพิ่งกว่าจะตอบก็ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วโมงกว่า

[Non : โทษทีค่ะ พอดีพี่นั่งตัดต่อคลิปจนเพลิน] 15:46

[Non : หนูหลับแล้วเหรอคะ ?] 15:49

[Non : งั้นฝันดีนะคะ ไว้ตื่นมาค่อยคุย พี่ขอโทษที่ตอบช้าค่ะ] 16:01

‘ผัวประเสริฐ’ นิยามเหล่านี้หลุดพ้นจากใครไม่ได้นอกจากพี่นนท์แต่เพียงผู้เดียว

อีอ๊อกค่อยๆ พรมนิ้วตอบกลับ [อ๊อกเจ็บคอ : ไม่เป็นไรครับ นี่อ๊อกก็เพิ่งตื่น เผลอหลับไป] ใช้คำว่าเผลอให้ดูเหมือนนายเอกอ้อนแอ้นน่ารักน่าชังชวนน่าหมั่นไส้ เปรียบเสมือนเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์แลนด์ ดังแอเรียลที่เผลอไปเจอผู้ชายเข้าให้ อาการตกหลุมรักจนต้องแหวกว่ายแลกเสียงเพื่อแหกขา นำพาถ่อหลีมาถึงถิ่นฐานของเจ้าชายหล่อเหลาเอาการและพบรัก เผลอใช้ส้อมมาหวีผมก็น่ารักน่าชังในสายตาผู้คน แต่ดูโง่เขลาด้วยความน่าเอ็นดู

นายเอกนิยายวายก็เหมือนกัน เดี๋ยวเผลอสะดุดขาตัวเองเก่ง เผลอนู่นเผลอนี่ล้มตัวไปทาบทับร่างกายพระเอก ใจเต้นสั่นระรัวกับร่างกายแน่นหนา ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็กระชับโอบกอดร่างผ่ายแห้งดุจโครงกระดูกที่ไร้เรี่ยวแรง

ไม่ใช่แค่นิยายวาย นอมอลก็เช่นกัน !

เห็นแล้วชวนน่าหมั่นไส้ที่สุด ! แต่ตัวเองก็แต่งมันทั้งนั้น เพราะไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลยต้องแต่งเพื่อระบายอารมณ์ถึงสิ่งที่ใฝ่ฝันและอยากค้นพบ ตลบคิดแทนตัวละครนั้นๆ ในยามอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ นานา

ครั้นลงมาจากห้องย่างเท้าลงมาที่ขั้นบันไดสู่พื้นกระเบื้อง ก็เห็นแม่ยกถังสีแดงฉานที่มีเสื้อผ้าเพิ่งซักเสร็จมาหมาดๆ  อีอ๊อกรีบเดินไปนั่งขนาบข้างๆ กาละมังอย่างรู้งาน หยิบไม้แขวนเสื้อและที่หนีบมาหนีบเสื้อผ้าทีละอัน

ข้างล่างไม่มีใครอยู่เลยนอกจากผมและแม่ ส่วนน้องๆ คงนอนเล่นอยู่ที่ชั้นสองของบ้าน แต่่ช่างปะไร วันนี้มีแต่เรื่องดีๆ ไม่อยากจะระบายอารมณ์ใส่คนในครอบครัว

ผมเรียก “แม่”

“หืม” แม่ขานรับขณะหยิบอาภรณ์มาห้อยกับไม้แขวนเสื้ออย่างเชื่องช้าสบายอารมณ์

“แม่จำที่แม่เคยพูดกับอ๊อกได้ไหม ที่บอกว่าเพศอย่างอ๊อกสุดท้ายก็ต้องเหลือตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวเหมือนกับใครเขา” ผมพูดเนิบนาบทั้งยิ้มเยื้อนเหมือนไม่แยแส แต่ทั้งที่ภายในใจกลับซึมเซากับสิ่งที่ยังเคยติดตรึงอยู่ในห้วงคำนึง

นั่นเป็นช่วงเวลาที่แม่ก็มีอารมณ์คุกรุ่นอยู่ เป็นช่วงที่แม่ยังไม่รักษาตัวจากโรคซึมเศร้า มีอาการคิดอยากฆ่าตัวตายตลอดเวลา หายใจก็ไม่ค่อยออก แต่ก็ไม่ได้มานั่งประสาทแดกด่าว่าผมคนนี้ เพียงแต่พูดตามความเป็นจริงที่เคยเห็นจากเพศที่สามจากคนใกล้ตัว

“แม่บอกว่าก็มีแค่อ๊อกคนเดียวที่ต้องอยู่ดูแลพ่อกับแม่ ส่วนน้องๆ ก็ต่างไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง แม่ยังจำได้ไหม” ผมถามเนิบนาบก่อนเงยหน้าขึ้นมามองสบตามารดาของตนเอง ใบหน้ายังแต่งแต้มพร้อมรอยยิ้มอมทุกข์

ไม่มีคำไหนเจ็บเท่าคำพูดของบุพการี…

นี่มันก็ผ่านมานานมากแล้วนะ แต่ผมก็ยังจดจำไม่รู้ลืม

“แม่ว่าคนอย่างอ๊อกจะไม่มีวันเจอคนที่รักจริงๆ ใช่ไหม ?” ผมพูดไปก็รอคอยฟังความคิดเห็นของคนตรงหน้าไปด้วย ค่อยๆ ก้มหน้าลงหนีบเสื้อผ้าทีละตัวเพื่อจะนำไปแขวน

“อ๊อก” เสียงของแม่เรียกชื่อ ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปสบตา จ้องมองสีหน้าแม่ที่ดูเคร่งเครียด “แม่ขอโทษที่เคยว่าลูกแบบนั้น แม่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

“ผมรู้…” ก็เพราะความไม่ตั้งใจเลยทำให้ผมจดจำได้ดีไม่เคยเปลี่ยน นั่งยิ้มเฝื่อนต่อหน้าแม่ขณะรับฟังถ้อยคำดังกล่าว

“รู้ไหม ต่อให้อ๊อกจะเป็นเกย์เป็นกะเทย แต่ถ้าอ๊อกวางตัวดีไม่เหมือนกับคนอื่นที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชายไปทั่ว รู้จักป้องกัน รู้จักใช้ความคิดเหตุและผลเหมือนกับผู้ใหญ่ ไม่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่รู้จักโต และก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพเรียบร้อยก็ได้ ขอแค่อ๊อกรู้ซึ้งถึงสิ่งที่กระทำลงไป และรับผลลัพธ์ที่จะตามมาก็พอ ถ้าอ๊อกวางตัวดี อ๊อกก็อาจจะได้เจอคนดีๆ ซึ่งก็อาจไม่ใช่พี่นนท์ก็ได้”

อ่าวแม่ พูดแบบนี้ตบหน้าลูกเลยเถอะ

แม่พูด “อ๊อกอาจจะเจอใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังและแก้ปัญหา รักอ๊อกที่เป็นอ๊อกจริงๆ ยอมรับถึงตัวตนที่เราเป็น ทำอะไรเราก็ต้องรู้ดีอยู่แก่ใจเสมอ และที่แม่พูดในครั้งนั้นก็เพราะแม่พลั้งปากจริงๆ แม่เสียใจที่ไม่สามารถกลับแก้ไขมันได้อีก แม่เห็น ‘นัท’ ทำตัวแบบนั้นก็เลยคิดถึงเราไปด้วย”

นัทคนที่แม่กล่าวเป็นต้นมาคือกะเทยคนหนึ่งที่ติดโรคHIV สุดท้ายก็ป่วยเป็นเอดส์ตาย เป็นคนที่มีนิสัยชอบลักเล็กขโมยน้อยอยู่ตลอดเมื่อมีโอกาส มีอดีตเล่นยามาก่อน อีกทั้งยังเคยติดคุก ชอบเที่ยวกลางคืนและปล่อยเนื้อปล่อยตัว สุดท้ายก็ติดเชื้อจากผู้ชายที่ตัวเองไปพัวพัน แต่ก็มีนิสัยดีอยู่อย่างซึ่งก็คือรักพ่อแม่และคอยช่วยเหลือเรื่องงานบ้านงานเรือนแก่มารดา

ถึงอย่างไรก็เป็นลูกคนโตที่แม่ของเขารักใคร่ยิ่งนัก คร่ำครวญคิดถึงตลอดทุกวันเวลา ผิดแผกจากลูกสาวที่มั่วสุมเล่นยาเสพติดไม่ต่างกัน แต่ไม่คิดจะช่วยเหลือครอบครัวแต่อย่างใด

แม่คนนั้นก็คือป้าขายกับข้าวที่ผมได้ยินแกด่าลูกค้าซะไฟแรป

“แต่แม่ก็ไม่ควรเอาอ๊อกไปเปรียบเทียบกับคนคนนั้น อ๊อกอาจจะไม่ได้เป็นแบบเขาก็ได้ แม่ไม่คิดบ้างเหรอว่าอ๊อกก็อาจจะมีชีวิตที่ดี มีคนรักที่รักอ๊อกจริงๆ ก็ได้” ผมตอบกลับไปพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า เย้ยหยันตัวเองอยู่ภายในใจว่านี่เราก็แอบหนีแม่ไปขายตัวเมื่อไม่กี่วันก่อน พอฉุกคิดเช่นนั้นก็ทำให้คำพูดของแม่ดูส่งผลกระทบต่อจิตใต้สำนึกของผมเข้าอย่างจัง

ก็เพราะคิดว่าชีวิตมันตลกร้ายดี รู้สึกทุกข์ระทมจนอยากฆ่าตัวตายทุกวี่ทุกวัน เรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ แม้แต่พ่อกับแม่ก็เช่นเดียวกัน

ครอบครัวเราแต่ก่อนก็ไม่ได้อบอุ่นเหมือนใครเขา...แม่ที่รักษาตัวก็กลับไม่เป็นแม่คนก่อนที่มีโรคไมเกรนและพาลด่าทอลูกๆ จนต้องร่ำไห้

เสียงของพ่อกับแม่ที่ทะเลาะกันตั้งแต่อ๊อกยังเด็ก ภาพวัตถุบางสิ่งที่มาจ่ออยู่บนหัวก็ยังจดจำได้ดีไม่มีวันลืม เสียงแรงกระแทกทำลายข้าวของ สุรเสียงที่ตะคอกด่าทอจนอ๊อกต้องเข้าไปห้ามปราม หวังเป็นที่พึ่งแทนน้องๆ ที่ร้องไห้งอแง และหวังเพียงว่าพ่อกับแม่จะเห็นใจแก่ลูกชายคนโตคนนี้สักครั้งหนึ่ง

ยามนั้นอ๊อกก็อยากจะบอกพ่อกับแม่ว่าตัวเองก็จะสติแตกไม่ต่างจากพวกท่านทั้งสอง อ๊อกไม่ชอบเสียงตะคอกด่าทอ สารพัดคำหยาบที่พ่นใส่กัน ไหนจะวัยเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งจากเครือญาติอีก กว่าจะเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้นั่นก็เพราะต่อสู้และเอาชนะกับความคิดที่ฉุกคิดอยากจะฆ่าตัวตาย หนำซ้ำกลับตบตีทำร้ายร่างกายตัวเองอีก

เรื่องเหล่านี้อ๊อกไม่เคยอยากให้พ่อกับแม่ต้องมารับรู้พลอยนึกเป็นห่วง อ๊อกคิดแค่ว่ารอตัวเองต้องอดทนตรอมตรมจนทนไม่ไหว

แต่คำว่า ‘ทนไม่ไหว’ เหล่านี้ ตัวเรานั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันจะเป็นเช่นไร เพียงแต่ตอนนี้หลายๆ สิ่งมันเปลี่ยนแปลงไป อ๊อกที่เคยทำร้ายตัวเองเลยไม่กลับไปทำเช่นนั้นอีก…

ไม่รู้จู่ๆ เป็นบ้าอะไรก็เอาเรื่องทุกข์มาพูดเรื่อยเปื่อย

“แม่เข้าใจแล้ว แม่ขอโทษนะ” แม่พูดพลางยื่นมือมาลูบหัวเพื่อปลอบประโลม

สัมผัสที่ผมอยากจะได้รับมากที่สุดนั่นก็คือความรักจากคนในครอบครัว แม่ที่รักตัวเองและรักลูกก็ได้มอบสิ่งที่ผมใฝ่หา

“อ๊อกขอโทษนะ ที่เอาเรื่องเครียดมาพูดให้แม่เครียดเฉย” ผมพูดด้วยท่าท่างลำบากใจพลอยสำนึกผิด

“ไม่หรอก แม่ดีใจด้วยซ้ำที่อ๊อกระบายมันออกมา” แม่คลี่ยิ้มบางจนเห็นริ้วรอยจางๆ

แม่ที่เคยสวยสะพรั่งในคราก่อน จนใครต่อใครต่างก็คิดว่าเป็นพี่สาวของผม ยามนี้ก็อายุอานามมากแล้ว ผมที่เห็นแม่ยิ้มระบายออกมาก็ยิ้มพร้อมผงกหัวรับ ยู่ปากบ่นกระปอดกระแปด

“แม่ว่าอย่างพี่นนท์นี่พอเป็นไปได้ไหม ?” ผมถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“แม่ก็ไม่แน่ใจ แต่เขาก็สุภาพดีนะแม่ว่า หากเขามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านไปกับลูก มันก็พอเป็นไปได้ แค่คำว่ารักอย่างเดียวไม่มากพอหรอกอ๊อก วันๆ หนึ่งเราอาจไม่รักเขาขึ้นมาก็ได้ แต่ให้คิดเสมอว่าเขาคนนี้คือคนที่จะสามารถอยู่กับเราจนแก่เฒ่าต่อไปได้ไหม”

“มันก็จริงอย่างที่แม่พูด” ผมพยักหน้าตลบคิดให้กระจ่าง นั่งหนีบผ้าคุยสัพเพเหระกับแม่ต่อ

 

ในเวลาสามทุ่มกว่าๆ เป็นเวลาที่มีใครคนหนึ่งมายืนรอผมอยู่นอกรั้วบ้าน ผมที่เปิดประตูออกมาเมื่อไม่เห็นคนอื่นนอกจากชายตรงหน้าก็ค่อยๆ ย่างเท้าออกมายืนจังงันต่อหน้าคนที่ตัวเองแอบชอบ

“หวัดดีพี่นนท์” ผมโบกมือทักทายเหมือนนายเอกเก้อเขิน

“ดีค่ะ” พี่นนท์คลี่ยิ้มรับจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้มของลักยิ้มที่ปรางขาว ก่อนจะยื่นสิ่งของมาคืนให้ “นี่ค่ะ กระเป๋าสตางค์ที่หนูทำหล่นเอาไว้”

“ขอบคุณนะครับ” ผมยื่นมือไปหยิบรับจากรั้วกั้น จากนั้นบรรยากาศรอบด้านก็กลับมาเงียบสงัด

มันเหมือนในนิยายวายเลยละที่ตัวละครสองคนกลับทำตัวไม่ถูก และไม่รู้จะชักแม่น้ำทั้งห้ามาเปิดประเด็นให้พูดคุยไปเรื่อยยังไงดี เรายืนเก้อกันสักพัก แต่ก็ไม่นานเท่านิยายที่ทิ้งเวลาไปหลายนาที

มันก็แค่เสี้ยววินาทีแต่ก็พลอยทำให้อึดอัด

ผมตัดสินใจเลือกที่จะทำสิ่งๆ หนึ่ง โดยการเปิดประตูหน้าบ้านออก ก้าวเท้าเข้าไปหาอีกคนหนึ่งก้าว จากนั้นก็กวักมือให้เขาโน้มหน้าลงมา

“คะ ?” พี่นนท์ขมวดคิ้วมุ่น ร้องเสียงหลงอย่างฉงน

ผมจิกอุ้งมือด้านซ้ายอย่างแรงเพราะเขินจัด กวักมือเป็นการบ่งบอกผ่านอิริยาบถ แต่พี่นนท์ก็กลับเอียงคอไม่เข้าใจ “เฮ้อ ก้มหน้ามา” สุดท้ายผมก็ต้องปริปาก มิวายถอนหายใจทิ้ง

พี่นนท์ส่งเสียง “อ๋อ ค่ะ” ก่อนที่ใบหน้าเรียวขาวสะอาดสะอ้านแทบไม่เห็นรูขุมขน

อีห่า คนแบบนี้มันมีอยู่จริงๆ ว่ะ รูขุมขนแทบไม่เห็นที่เบ้าหน้า เผลอลอบมองก็พาลนึกอิจฉา นี่ว่าที่ผัวให้หมอคลินิกยิงเลเซอร์ลบล้างรอยขุมขนหรือเปล่ากันแน่ แต่ช่างเถอะ วกกลับเข้าประเด็นหลักโดยการเอียงกายไปด้านขวาเล็กน้อยและยื่นใบหน้าเข้าไปหอมแก้มของอีกฝ่ายโดยไม่ให้ทันตั้งตัว

เสียงดังจุ๊บ ! จึงบังเกิด ผละกายออกมาก็เห็นอีกคนจ้องตาค้าง

อ๊อกไม่เสียเวลาที่จะยื่นมือไปสัมผัสที่ระดับหัวใจของอีกฝ่าย

ตึกตักๆ จังหวะถี่กระชั้นทำผมหายใจคล่องคอ พานแย้มยิ้มกว้างเงยหน้าไปสบตาคนตัวโต ขยับปากส่งเสียงหวานผิดปกติ

“อ๊อกว่าเราคบกันเลยดีกว่า”

“...”

“คุยดูใจมันเสียเวลา เรามาคบจริงๆ จังๆ กันดีไหม ถ้าไปไม่รอดค่อยว่ากันอีกที” ผมอธิบายด้วยความแน่วแน่ จิตใจฮึกเหิม พี่นนท์ที่ได้สติก็ขยับปากถามกลับกับท่าทางจริงจังที่พบเจอ

“หนูจะเอาจริงเหรอคะ ?”

“จริงสิ เรื่องนี้ใครเขาจะเอามาล้อเล่นกัน” พูดแล้วก็หัวเราะพานขยับไม้มือขยับมือไปมา ทั้งแกว่งทั้งปัดไปที่ชายเสื้อเพื่อเช็ดหยาดเหงื่อที่ค่อยๆ ไหลผุดซึม

อย่างที่แม่บอก...ฉะนั้นอ๊อกจะนำมาปฏิบัติพิชิตใจให้คนที่เขาชอบเรา หลงจนโงหัวไม่ขึ้น

หมายถึงเขา ? ไม่ใช่ค่ะ

หมายถึงเรา ? ไม่ใช่ค่ะ

งั้นหมายถึงใคร ?

คำตอบง่ายๆ

คือคว-ค่ะคุณกิตติ

หลงงงงงงงงงงงงง จนหัวไม่ผงกอีกต่อไปเลยค่ะ

จะรีดน้ำเชื้อเสียให้เข็ด…

‘ไม่จำเป็นต้องสุภาพเรียบร้อยก็ได้ ขอแค่อ๊อกรู้ซึ้งถึงสิ่งที่กระทำลงไป’

รับทราบค่ะแม่ คำๆ นี้อ๊อกจะนำไปใช้ปฏิบัติอย่างดีเยี่ยม
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่แปด [27/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 28-12-2019 10:06:16
กริ๊ดแอบดราม่าแต่ไหงเทมาเรื่องนี้ได้เนี่ยอ๊อก  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่แปด [27/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-12-2019 13:16:31
ความพีคมันอยู่ที่ชื่อเรื่อง 555
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่แปด [27/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 28-12-2019 19:54:07
สนุกจ้า มารอตลอดตลอด

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เก้า [29/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 29-12-2019 20:09:26
ตอนที่เก้า
[/size]

 

ในที่สุดก็มีผัวกับเขาสักที !! ดีใจมากแม่ นอนกลิ้งไปมาพร้อมกับกอดตุ๊กตาหมีเน่า หลังจากอำลาพี่นนท์ที่ยืนเก้ๆ กังๆ เหมือนคนเขินอาย อีอ๊อกก็เข้าบ้านมาจะแหกปากหลุดเสียงร้องกรี๊ด แต่สายตาของแม่ที่กำลังหรี่ตามองอยู่ตรงบันไดทำให้ต้องเก็บอาการระริกระรี้อยู่ภายในใจด้วยสีหน้าปั้นปึ่ง

คืนนี้หลับฝันดีแน่นอน โอ๊ย ใจผมน่ะนะมันสั่นไปหมดเลย ดีดตัวไปปั่นนิยายต่อก่อนจะสะดุดกึกกับคอมเมนต์ในเรื่องเก่า

[อีกแล้วนะคะ ‘ร่างกายประชั้นชิดกับร่างแน่นหนา’ ประชั้นชิดไม่มีอยู่ในพจนานุกรมค่ะ มีแต่ ‘กระชั้นชิด’ เฮ้อ อ่านแล้วเสียอารมณ์มากค่ะเวลาเจอคำผิด]

ขอโทษนะคะที่ฉันพิมพ์ผิดจากกอไก่เป็นปอปลา บางทีนักเขียนก็มือไวกว่าความคิดภายในหัว ขนาดวันก่อนยังเขียนว่า ‘วัน’ เป็น ‘หวัง’ เลย

ไม่เอาไม่อ่านดีกว่า กลัวใจบอบช้ำเหลือเกินนัก หนีไปอ่านนิยายของนักเขียยนท่านอื่นแทน ก็ดันไปเจอคอมเมนต์ประสาทแดกด่าว่านักเขียนท่านหนึ่ง

[งงกับภาษาที่ใช้เขียนมาก อ่านแล้วคือขัดใจ เช่นกลับมาห้องอย่างว่างเปล่า คืออะไรว่างคะ ? ความรู้สึกเหรอหรือห้องที่ว่างเปล่าจนโล่งไปหมด งง]

งงเหมือนกันค่ะ…

งงกับมึงนี่แหละ ! ความหมายของนักเขียนอาจจะหมายถึงความรู้สึกที่โล่งจนไม่สามารถอธิบายออกมาก็ได้ ย่อมเป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่าเป็นต้น แต่เออก็พอเข้าใจในมุมมองนักอ่านบางท่านที่สับสนกับสำนวนที่แตกต่าง แต่คำพูดที่ใช้ในคอมเมนต์ในนิยายผลงานนั้นๆ ก็ควรรักษาน้ำใจกันหน่อยบ้างไม่ได้เหรอ ?

พอเข้าไปอ่านในแท็กนิยายเรื่องนั้นด้วยอาการอยากเสือก สิ่งที่เห็นในทวิตหลายเดือนก่อนก็คือการจิกกัดว่านิยายเรื่องนี้ช่างยืดเยื้อ เวิ้นเว้อมาถึงสามเล่มจบ ส่วนทางนักเขียนที่ไม่สามารถเมนชั่นตอบกลับได้ ก็ได้แต่คร่ำครวญอธิบายถึงสาเหตุที่นิยายตีพิมพ์เป็นสามเล่มจบ โดยเนื้อหาสองเล่มแรกคือเรื่องของคู่หลัก ส่วนเล่มสามเกี่ยวกับคู่รองสองคู่ พอผมมาเห็นแบบนี้ก็รู้สึกเจ็บใจแทน อาการรู้สึกที่อยากอธิบายให้คนที่ไม่เข้าใจ แต่กลับมาวิจารณ์ในแง่ลบโดยที่ตัวเองก็ยังอ่านไม่ทันจบ กลับตีมูลค่าเรื่องนั้นราวกับเป็นผลงานที่ย่ำแย่ แถมประเด็นหลักอีคนที่วิจารณ์ก็ไม่ได้ซื้อนิยายสนับสนุนผลงานนักเขียนท่านนี้แต่อย่างใด

มึงมันเหี้ยมากค่ะ ! บอกคำเดียวว่า โง่แล้วยังอวดฉลาด !

กว่าจะเป็นนักเขียนสรรหาคำพูดอธิบายเกี่ยวกับตอนนั้นๆ ได้มันยากเย็นแค่ไหนมึงรู้บ้างไหม แต่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของมึงกลับทำร้ายคนคนหนึ่งให้รู้แย่จนติดตรึงอยู่ในความทรงจำ กว่าเขาจะใช้ความหมาย สะกดตัวอักษรแต่ละคำที่จะต้องคิดค้นจากพจนานุกรมไทย สิ่งที่ได้รับกลับคือสิ่งราวกับปฏิกูล และมันไม่ได้มีแค่นิยายเรื่องนี้เรื่องเดียว ผมที่เข้าไปอ่านในหมวดแฟนตาซีก็ดันไปเจอนิยายที่อัปไม่กี่ตอนแถมยังติดอันดับ ปรากฎว่าสิ่งที่เข้าไปพบเจอนั้นนั่นก็คือคำพูดของนักเขียนที่ตัดพ้อต่อนักอ่านที่ด่าว่าผลงานชิ้นนี้ช่างไร้ค่า เปิดเรื่องมาก็ไม่อัปจนจบ แถมถึงขั้นประสาทแดกด่าไล่ให้ไปตาย

คนที่กดดันไม่ใช่ใครนอกจากนักเขียนคนที่ต้องแบกรับ

คำถามคือพวกมึงเป็นเหี้ยอะไรกัน ? นั่นคือสิ่งที่ผมฉุกคิดก่อนจะพรมนิ้วปลอบนักเขียนที่อธิบายว่าตอนนี้ตัวเองได้เป็นโรคซึมเศร้า ‘ขอโทษที่ผลงานของตนเองนั้นไม่สมดั่งใจของนักอ่านบางท่าน ไล่ให้ไปตาย ก็ขอบคุณนะครับ คงจะเป็นอย่างงั้น ไม่แน่ผมอาจจะตายในเร็วๆ นี้’

ผมได้อ่านแล้วรู้สึกใจหายวาบ คำพูดของคนเราคือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก รีบพิมพ์เมนต์ต่อนักเขียนท่านนั้นและขอให้ไปรักษาตัวจากอาการซึมเศร้า ทานยาสม่ำเสมอ ไม่มีผลงานไหนไร้ค่าทั้งนั้นเมื่อมันแล่นมาจากความคิดจินตนาการของคนเรา

สิ่งที่ยิ่งกว่าขยะคือคำพูดของมึงแต่ละคนที่ขับไล่ไสส่งให้คนหนึ่งต้องไปตาย

อีเหี้ยพวกนักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลายแหล่ ต่อให้ด่าแค่ไหนไม่มีวันสะทกสะท้าน สิ่งที่อยากบอกคงมีแค่เก็บนิสัยกมลสันดานแบบนี้ไปใช้กับพ่อกับแม่ของพวกมึงแต่ละคน

ดีที่มีนักอ่านหลายคนคอยสนับสนุนและให้กำลังใจนักเขียนเป็นพันกว่าเมนต์ ส่วนน้อยที่เหลือก็เป็นคอมเมนต์เก่าๆ ที่เชือดเฉือนทำร้ายจิตใจ

สังคมเราน่ากลัวขึ้นทุกวี่ทุกวัน และอาชีพที่ผมกำลังมุ่งมั่นอยู่นี้ก็ทำให้ตัวเองสั่นคลอนทีละนิดอย่างหวาดระแวง หากเราเกิดแต่งนิยายออกมาไม่ดีหรือผิดพลาด ภาษาไม่สละสลวยหรือตรงกับสิ่งที่เขาชมชอบ อย่างนี้ไม่เท่ากับตัวเองโดนตีตราว่ามีผลงานห่วยแตกเลยหรอกเหรอ คิดแล้วก็เศร้าสลด

หันกลับมาปลอบใจตนเองและดูคอมเมนต์ด้วยความกล้าหาญอีกสักครั้ง นิยายของผมนั้นก็ถูกด่าแฝงด้วยถ้อยคำจิกกัด

[‘แอ๊บ’ คือแอ๊บแบ๊วค่ะ ไม่ใช่คำว่า ‘แอ็บ’ แอ๊บคือเช่นแอ๊บโง่ แอ๊บทำตัวเป็นอายมาเขียนผิด เป็นต้นค่ะ]

อืม ขอโทษจ้ะ จะนำไปปรับใช้ในครั้งถัดไป อันนี้เป็นความผิดพลาดของตนเองจริงๆ ที่เขียนผิด แต่คำที่ไม่ถนอมจิตใจคนอื่นเลยก็ทำให้รู้ซึ้งถึงสันดานของคนเหล่านั้นเช่นเดียวกัน

คงมีแค่นักเขียนที่ปลอบใจกันเอง…แต่ก็ไม่หรอก วงการนี้มีเรื่องน่าสนุกอีกเยอะราวกับวงการบันเทิง

ได้แต่แค่นยิ้มและไปรื้อหานิยายผลงานนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่ง ก็มาสะดุดกับบทสนทนาที่เขาเลือกใช้

“จะมี ‘ซักครั้งไหม’ ที่คุณฟังผม” เอ๊ะ คำว่าซักนี่มันหมายถึงซักผ้าไม่ใช่เหรอ ประโยคนี้ควรแก้เป็น ‘จะมีสักครั้งไหมที่คุณฟังผม’ ไม่ใช่เหรอ ? พอไล่อ่านดูจึงรู้ว่านักเขียนท่านนี้เขียนคำผิดเยอะอยู่ คาดเดาว่าน่าจะเป็นวัยรุ่น มีนักอ่านบางท่านคอยเตือนเรื่องคำผิด แต่ทว่านักเขียนก็ดันเขียนในทอล์คของตัวเองว่า ‘รู้ค่ะไม่ได้โง่ ตั้งใจเขียนแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ใครไม่ชอบก็xออกไป’

อืม ความกมลสันดานอยู่ในเชิง อันนี้สิถึงเรียกว่านักเขียนประสาทแดกที่แท้จริง ไม่รู้จักปรับแก้ พลอยทำให้มีคนหมั่นไส้ ไม่น่าหลายวันก่อนเข้าเฟซบุ๊กถึงเห็นกลุ่มแอนตี้แบนผลงานนักเขียนท่านนั้น ทั้งที่นักอ่านก็พูดด้วยถ้อยคำสุภาพและรักษาน้ำใจมากที่สุด

คนเราก็มีหลายประเภทละเนอะ ยกตัวอย่างตัวผมเองก็ใช่ว่าจะดี ก็หวังว่าจะพัฒนาฝึกฝนและฝ่าฟันกับวงการนี้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อเสียก่อน

เป็นนักเขียนมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ…

อย่างเช่นคำวิบัติที่เผลอเขียนผิดประจำจากโลกโซเชียล ยกตัวอย่างเช่น ‘เฟซบุ๊ก’ ก็กลายเป็น ‘เฟสบุ๊ค’ ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ที่ผิด นักเขียนหลายคนเฉกเช่นตัวผมก็ต้องมานั่งค้นหาคำทับศัพท์ให้ตรงความหมาย บางคนพลั้งพลาดบ้างก็อยากให้นักอ่านโปรดเข้าใจ ยิ่งตัวผมยิ่งแล้วใหญ่ เป็นประเภทที่ชอบแต่งนิยายเสร็จก็อัปลงเลยโดยไม่ทันตรวจแก้ โดยเฉพาะคำว่า ‘อัปเดต’ ก็ดันเขียนเป็น ‘อัพเดท’ ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ที่ผิด ‘แช็ต’ ก็ดันเป็น ‘แชท’ ภาษาไทยมีลูกเล่นเยอะแถมยังต้องคอยตรวจทานจากพจนานุกรมไทย-อังกฤษ  ‘เสิร์ช’ ก็ดันเสือกเขียนโง่ดันเป็น ‘เสริท’

และตอนนี้ก็อาจมีนักอ่านท่านหนึ่งกำลังกระโดดข้ามอ่านไปบทพรรณนาอย่างไม่ละเอียดด้วยอาการเบื่อหน่าย

อีอ๊อกก็ตลบคิดไปเรื่อยเปื่อยเพราะมันคือความจริงล้วนๆ และคนไทยอย่างเราก็เป็นประเภทกวาดตามองตัวอักษรแต่ไม่รู้จักจำ อ่านไม่เคยเกินครึ่งสามบรรทัดจบ แต่อย่าว่าแค่สามบรรทัดเลย แค่หนึ่งบรรทัดยังตีโพยตีพายกันใหญ่

เป็นประเทศที่ไม่ก้าวหน้า ไม่ใช่เพราะยังมีอีลุงแก่ๆ ยังคอยบังคับบัญชา แต่เป็นประเทศที่มนุษยบางคนก็ไม่รูัจักตระหนักถึงสันดานและการกระทำของตนเอง ด่าเขาแต่กลับเอาเงินที่ไม่กี่บาทที่คอยกัดกินภาษีราษฎร ช่างโง่เขลาเบาปัญญาและมานั่งโทษว่าช่างปะไร ประเทศยังไงก็ไม่มีวันเจริญหรอก ก็เพราะยังมีคนแบบนี้อยู่บนโลกนี่ไง ประเทศถึงไม่ก้าวหน้าพัฒนาต่อไปสักทีหนึ่ง

นึกขึ้นได้ก็ปิ๊งไอเดียอยากแต่งนิยายแนวนายเอกเป็นนักเขียนดู พอโปรยพล็อตแปะภาพประกอบ ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วโมงก็มีคุณนักอ่านมารีนิยายให้ ปรากฎว่านักเขียนคนดังอีกท่านก็อยากแต่งแนวนี้เช่นเดียวกัน ผมเห็นแล้วก็เอะใจหน่อยๆ แต่พล็อตมันก็ทั่วๆ ไปละ พล็อตซ้ำจำเจกันได้เลยไม่คิดอะไร ยังไงเสียพล็อตนักเขียนก็เก็บไว้ในกองดองอยู่ดี

ฉับพลันมือถือก็สั่นดังครืดๆ อยู่บนโต๊ะคอม ผมที่หันไปมองก็คลี่ยิ้มกว้างกับสิ่งที่ได้พบเห็น

พี่นนท์โทรมา แต่โทรมาด้วยรูปแบบวิดีโอคอล

ผมกดนิ้วที่ปุ่มสีเขียวเพื่อเป็นการกดรับ ยกในระดับที่หน้าจอแหงนขึ้นเพดาน แต่ตาตัวเองนี่เห็นใบหน้าของคนที่ชอบกำลังนอนเล่นอยู่บนตั่งเตียง

“ทำไมหนูไม่มีหน้า” พี่นนท์ทำสีหน้าราวกับช็อก อ้าปากกว้างตาก็เบิกเนตร ผมเห็นแล้วหลุดขำดังพรืด รีบจับมือถือลดต่ำลงมาเล็กน้อยและทำให้เผยใบหน้าของตัวเองในช่องเล็กๆ แถบบนทางซ้ายมือ

“จะด่าว่าอ๊อกไม่มีหน้าไม่มีตาในสังคมหรือไง” ผมเย้าแหย่ ตาก็หันไปดูหน้าจอคอมและเลื่อนเมาส์ดูคอมเมนต์ดราม่าไปเรื่อยเปื่อย

บางทีการเสพเรื่องน่าปวดหัวเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป สักแป๊บก็กดตัดสินใจกากบาทออก หันหน้ามาจ้องมือถือต่อ

“พี่นนท์ยังไม่ง่วงเหรอ ?” ผมถามกลับ ก่อนจะเม้มปากอมยิ้มอ้อร้อต่อหน้ากล้อง ทำหน้าทำตาให้น่ารักที่สุด

อีกฝ่ายหัวเราะพลางหลับตาเหมือนเสียอาการทันทีที่เห็นผมเอียงคอแอ๊บแบ๊ว เขาเอาฝ่ามือลูบหน้าตัวเองแล้วเอ่ยเรียกว่า “หนู” เสียงยานดังลั่น ผมยิ้มขำโชว์ฟันขาวต่อหน้ากล้อง

“แล้วนี่ทำไมแก้ผ้าไม่ใส่เสื้อ” เรื่องนี้คือประเด็นหลัก อ๊อกอยากจะเบิกตาโตแต่ก็ทำได้แค่เสแสร้งไม่ประสีประสา เห็นเนื้อหนังมังสาที่ลาดไหล่ของอีกฝ่ายก็นึกอยากไปประทับตีตรา

“ก็มันร้อนนี่คะ” พี่นนท์เอียงกายตะแคงข้าง ใบหน้าแนบลงกับหมอน “แล้วหนูล่ะ ไม่ง่วงเหรอคะ ? ทำอะไรอยู่”

“นั่งอ่านดราม่าวงการไปเรื่อยครับ” ผมพูดตามความเป็นจริง กลอกตาพลางยู่ปากนึกคิด

จริงๆ อยากถามมากว่าท่อนล่างแก้ผ้าด้วยไหม แต่ก็เกรงว่าจะมีเจตนาลามกจนเกินไป ฉะนั้นเราต้องค่อยๆ อ่อยอย่างมีระดับ

ระดับความคันตอนนี้อยู่ในขั้นปานกลาง ถ้าคันมากหน่อยก็จะเผลอพูดขอดูคว-หน่อยในทันที

ก่อนจะตอบกลับถึงคำถามที่พุ่งประเด็นใส่เรา “ก็แอบง่วง แต่ต้องปั่นนิยายต่อ ว่าจะนั่งเขียนอีกสักพัก”

“งั้นเดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนค่ะ” พี่นนท์ตอบกลับมาพร้อมยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวสะอาดสะอ้านของตนเองจนเห็นไปถึงไรฟันสีชมพูอ่อน

ผมหยิบมือถือมาตั้งข้างกายให้อีกคนเห็นมุมมองของเราจากด้านข้าง มิวายหาอะไรมาตั้งกันร่วงตกหล่น เมื่อภาพอยู่ในระดับมุมมองที่โอเคต่ออีกฝ่าย ผมก็ดีใจแต่ไม่แสดงออกผ่านสีหน้า

วกกลับมาถึงเรื่องที่ตัวเองอยากรู้อยากเห็น “พี่นนท์ปรับแอร์ลงสิจะได้ไม่ร้อน” ผมแกล้งถามชวนคุยสัพเพเหระ ตาก็ไม่ได้หันเหไปสบมือถือแต่อย่างใด นั่งพิมพ์ต๊อกแต๊กบนแป้นพิมพ์

เงี่ยนค่ะ อยากเห็น...อยากเห็น...อยากเห็นคว-โว้ยยยยยย !!! แต่พูดออกไปไม่ได้ ได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอไม่เผยพิรุธ

ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา “ไม่เอาขี้เกียจเดินไปหยิบรีโมตแอร์ค่ะ”

ได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆ หันหน้ามาที่หน้าจอมือถือ เม้มปากทีหนึ่งทำท่าเหมือนคนเคอะเขินไม่กล้าสู้กล้อง พูดออกมาลอยๆ ให้อีกคนพอจะได้ยิน พร้อมกับหันหน้ามาที่โน๊ตบุ๊ก “อ๊อกเขินนะ เห็นพี่แก้ผ้าอะ”

เสร็จกูแน่ !! แก้เลยค่ะ แก้อีก แก้แม่งเยอะๆ เลย บนหน้าจอคอมมีแต่คำว่าเงี่ยนซ้ำๆ เป็นแถบเป็นสิบๆ คำ

และแล้วก็มีคนติดกับ เหมือนคำพูดพระเอกนิยายวายเป๊ะ “ปกติก็เห็นมากกว่านี้แล้วนี่คะ จะอายทำไมกันฮึ ?” เขาเค้นเสียงลอดในลำคออย่างแปลกใจ “หรือหนูไม่ชิน ?”

ผมยังคงมองที่หน้าจอที่เปลี่ยนเป็นคำว่าคว-รัวๆ พลันน้ำเสียงตะกุกตะกัก “กะ ก็…” ก็เงี่ยน ก็มีบ้างที่อยากอมคว- “ก็ไม่ชิน” ทำได้แค่คิดอยากน่าเวทนา

พี่นนท์หัวเราะขำ พลิกกายหงายพานยืดแขนยาวเหยียด เผยให้เห็นถึงแผงอกและกล้ามหน้าท้องแน่นขนัด

อีอ๊อกที่ลอบมองถึงกับชะงัก อีสิ่งเบื้องล่างค่อยๆ ชูชันทีละนิด

แม่คะ ~ !! ลูกเงี่ยน !!!!

“งั้นหนูอยากชินไหมล่ะคะ ?” พี่นนท์ถามเสียงทุ้มราวกับกระซิบหยอกล้อ

อยากค่ะ อยากมากๆ เลย !!

“ไม่ พี่นนท์อย่า” ผมหน้าเห่อร้อนไปหมด ห้ามปราม ทั้งที่ปากนี่ขัดแย้งกับความคิดในใจ

อีกคนแกล้งทำจะเป็นลดหน้าจอไปที่สิ่งเบื้องล่าง ผงกขึ้นผงกลงพร้อมกับส่งเสียง “แอ๊ะ แอ๊ะ…” อย่างยั่วเย้าปั่นประสาท

อีอ๊อกรีบยกมือไปบังหน้าจอมือถือ แต่ปลายนิ้วนี่แหวกออกเผยให้เห็นภาพหน้าจอจากอีกฝ่ายเล็กๆ น้อยๆ

โชว์เลยค่ะ โชว์มาเลย !!

สุดท้ายพี่นนท์ก็เอ่ยออกมาว่า “หนูเอามือออกสิคะ”

คราวนี้อีอ๊อกมือสั่นอย่างลุ้นระทึก ค่อยๆ เอามือลดลงต่ำ สิ่งที่เห็นคือกางเกงบ๊อกเซอร์สีน้ำเงินเข้ม

คว- ! อยากเห็นคว- !

“ดีที่พี่นนท์ไม่เปลือย คนนิสัยแย่” แย่มากๆ แย่โคตรๆ เลยค่ะ มาหลอกให้หวังลุ้นระทึกใจเต้นตึกตักเพื่อรอดูงวง ทว่าสิ่งที่เจอก็คือผ้าบดบังหัวคว-แทนซะงั้น

เย็-แม่ม แม่งเอ้ย ! หัวร้อน !

“พี่ใส่บ๊อกเซอร์ไม่โป๊แล้วนี่ไง” พี่นนท์ขยับมือถือมาฉายที่หน้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างชอบอกชอบใจ

แต่ใจกูอะบ่ดี !!

ผมปิดโน๊ตบุ๊กพับหน้าจอลง ก่อนจะยืนขึ้นเดินไปที่เตียงนอน งอข้อศอกตั้งกล้องให้เห็นใบหน้ากระจ่างชัดและท่วงท่าของผมที่ค่อยๆ คลานขึ้นไปที่เตียงนอนอย่างยั่วยวน หรือจะให้เรียกว่ายั่วเยก็ว่าได้ ! คอเสื้อตัวใหญ่โคร่งแหวกคอกว้างโชว์ผิวเนื้อเนียนลื่น รวมไปหัวนมที่เห็นรำไรแต่ก็แค่ภายในเสี้ยววินาที

พบคนเสียอาการหนึ่งอันตรา…

ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะนอนคว่ำทับหมอนมานอนกอดก่าย เอ่ยวาจาสัพยอกคนที่ลอบกลืนน้ำลายลงคอขึ้นมาว่า “พี่นนท์เป็นอะไรอะ ?”

“...” อีกคนเงียบ เงยหน้ามาจ้องหน้าผม ยกมุมปากด้านขวาขึ้นส่งเสียงซี๊ดคล้ายหงุดหงิดบางสิ่ง กัดฟันกระทบเสียดสี สักพักก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่ถ้อยคำซื่อๆ จะกล่าวออกมาให้ผมบันเทิงใจ

“หนูกำลังยั่วพี่” เขามองผมตาเขม็ง นัยน์ตาดูร้อนแรงชวนคิดมิดีมิร้าย

ผมตอบปัด ทำหน้าซื่อเลิกคิ้วขึ้นสูงเอ่ยขึ้นมาว่า “เปล่า สักหน่อย” ก่อนจะพลิกตะแคงข้างกลายเป็นหงาย ดึงผ้านวมมาห่มกาย “อ๊อกง่วงละ เรานอนกันเถอะ” พูดแล้วก็ฉีกยิ้มหวานไปให้หนึ่งทีเป็นอันจบ

“เรามาอยู่นอนคุยจนกว่าจะหลับดีไหมคะ ?” พี่นนท์ส่งน้ำเสียงเว้าวอนมาทางปลายสาย

ผมเอ่ยปาก “ทำเหมือนที่คู่รักคนอื่นชอบทำกันน่ะเหรอ ?”

“ก็...คงงั้นมั้งคะ” พี่นนท์ที่กลอกตาเมื่อครู่เบะปากก่อนจะพยักหน้ารับ

“แบบนั้นนอนอึดอัดจะตาย อย่างงี้อ๊อกก็ต้องใส่หูฟังคุยไป นอนตะแคงทีเจ็บหูแย่ สายไรก็มีรู้มาพันตัว” ผมอธิบายตามหลักความเป็นจริง ถามว่ายอมทนทำตามได้ไหมเพื่อคนที่รัก มันก็ทำได้ละ แต่มันไม่สามารถทำได้บ่อยๆ นี่ไง

อย่างเช่นการวิดีโอคอลแบบนี้ก็เช่นกัน คบกันไปนานๆ ที เดี๋ยวอีกหน่อยก็มีต่างคนต่างนอน ไม่ต้องมานั่งคอยพิมพ์บอก

“พี่นนท์วิดีโอคอลแบบนี้กับอ๊อกไม่ได้บ่อยๆ หรอก เดี๋ยวพอคบกันนนานๆ ก็ต่างคนต่างนอน” ผมพูดตามความคิดในหัว สื่อให้อีกคนได้รู้แจ้ง

พี่นนท์ส่งเสียงครวญครางเหมือนเด็กงอแง “ฮือ หนูอย่าพูดแบบนั้นสิคะ ใช่ว่าพี่จะไม่สามารถทำแบบนั้นได้สักหน่อย”

“ก็มันจริงนี่นา” ผมพูดเสียงอ่อนพลางกระพริบตาปริบๆ

ทำหน้าซื่อๆ เข้าไว้ค่ะ ใสซื่อให้ดูเหมือนเป็นคนไม่ค่อยมีเงื่อนงำ มีแต่เงื่อนเงี่ยนๆ มาพัวพัน

“ลองดูก่อนสิคะ อย่างน้อยวันนี้พี่ก็ขอนอนดูหน้าแฟนสักวันนึง” พี่นนท์พูดจบก็เบะปากพลันขมวดหัวคิ้วทั้งสองข้างมาชนกัน

แม่คะ ! พี่เขาพูดคำว่าแฟนออกมาเต็มปากเต็มคำเลยค่ะ ! อ๊อกเริ่มทนไม่ไหวแล้วนะคะ !!!

“ก็ได้” ผมพูดอู้อี้ แนบปากกับปลอกหมอนอย่างเอียงอาย

“งั้นนอนกัน” อีกคนยิ้มแฉ่งด้วยความชอบใจ วางมือถือไว้ข้างหมอนข้างและจ้องหน้าผม

ผมเองก็วางเช่นเดียวกับเขา แต่ต่างอยู่อย่างคือผมมีตุ๊กตาหมีสุดที่รักมาโอบกอด เพิ่มดาเมจความน่ารักน่าเอ็นดูเป็นเท่าตัว

“น่ารัก” พี่นนท์เอ่ยออกมาลอยๆ

“รู้ตัว” ผมยิ้มขำ ตอบกลับก่อนจะหลุดหัวเราะ “อายอะ มั่นหน้าชะมัด ฮ่าๆ”

“ฮ่าๆ แต่ก็น่ารักจริงๆ นะคะ” พี่นนท์เองก็หัวเราะ ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่เข้ามาเติมสีสันยิ่งนัก พอสดับรับฟังแล้วทำให้เคลิบเคลิ้มแปลกๆ

ผมขยับริมฝีปากเอ่ยออกมาเบาๆ “พี่เองก็น่ารักเหมือนกัน” พลางหยิบตุ๊กตาหมีมาปิดครึ่งหน้า เหลือแค่แววตาที่สบประสาน

พี่นนท์ที่นอนยิ้มไม่หุบ ไม่นานก็เอ่ยคำบางคำ ทำหัวใจผมเต้นกระหน่ำจนหน้าแดงหูแดงไปหมด แค่คำๆ เดียวว่า “รักนะคะ”

ผมพยักหน้ารับ เพียงชั่วครู่ก็ตอบไม่ต่างจากอีกคน “รักเหมือนกัน” จากนั้นผมก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง ปล่อยความมืดเข้ามาบดบังทัศนียภาพ แต่ยังคงมีเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ และรับรู้ได้ว่าเขายังมองเราอยู่

ไม่นานความง่วงก็ทำให้ผมผล็อยหลับไป พร้อมกับคนข้างกายที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล

ใจคนเรามันใกล้กันแค่นิดเดียว หวานชื่นเหมือนมดพร้อมจะมารุมแดกอย่างหิวกระหาย

หวานอีกหน่อยคงจะเป็นเบาหวานให้ตายกันไปข้าง

นึกแล้วก็ฝันถึงน้ำเงี้ยวหวานๆ เผลอหลุดร้องครวญครางดัง “อื้อ ~” โดยไม่ได้ตั้งใจ

นึกเหรอว่าตื่นมาแล้วจะเห็นฉากองค์ประกอบสมบูรณ์แบบเหมือนก่อนจะฝัน ตื่นมาอีกทีมือไม้ก็วางคนละทิศคนละทาง นอนหงายถีบผ้าห่มหล่นจากเตียงนอน มือถือก็คว่ำอยู่บนฟูกเตียง ดีเท่าไรแล้วที่ไม่เผลอนอนกรน ลอบเช็ดน้ำลายบูดข้างมุมปากเบาๆ ที่มีทีท่าว่าจะไหล ก่อนจะหยิบมือถือมาดู ก็ยังเห็นอีกคนยังผล็อยหลับอยู่ด้วยการหันหน้าเข้าหากล้อง แบตก็เสือกไม่หมดอีก

อีสัตว์ สมบูรณ์แบบราวกับเทพบุตร !

นอนไม่ดิ้นเลยสักนิด นี่คนปะคะพี่ ! หรือว่าตายแล้ว...

“พี่นนท์” ลองย่ามใจเรียกชื่อเขา

“อื้อ” มีเสียงคนครวญครางขยับหน้าลงกับหมอน

โล่งอก คิดว่าจะเป็นแม่หม้ายซะแล้วเรา

เห็นแล้วก็นึกเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะแคปหน้าจอเก็บไว้เป็นบันทึกความทรงจำ จากนั้นก็กดตัดสายทิ้งเพื่อไปอาบน้ำทำกิจวัตรดังเดิม

ครั้นทำอะไรเสร็จตั้งแต่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ไหนจะแก้ผ้าอาบน้ำ อีอ๊อกก็มาดูมือถือที่มีคนทักมา แต่เป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยอยากจะเสวนาด้วยสักเท่าไร

สิ่งแรกเลยที่ทุกคนชอบทำเวลาขี้เกียจนั่นก็คือแสร้งทำเป็นไม่เห็นและไม่ไปตอบ ทิ้งเวลาให้อีกคนปล่อยให้หลีรกร้างเหมือนรอคว-เก้อ

ขอโทษนะคะ แต่ตอนนี้ขี้เกียจพิมพ์ตอบ ทักมารู้เลยว่ามีเรื่องคุยยาว แถมทักมาแต่ชื่อ ไม่ทักมาขอยืมตังค์ก็คุยเรื่อยเปื่อย แต่พอแช็ตใหม่เด้งมาเป็นของคริตตี้ที่ชวนไปกินข้าวข้างนอกแถวโรงเรียนประถมใกล้ๆ ใช้เวลาเดินไม่เกินสิบถึงสิบห้านาที ผมก็ตอบตกลง ก่อนจะทักไปหาพี่นนท์ว่าตัวเองไปทานข้าวกับเพื่อนนะ หากตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำทานข้าวด้วย

ทำหน้าที่เมียได้ดีมากค่ะกูหนิ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เก้า [29/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 29-12-2019 20:11:25
.
.
.
ผมเดินมาถึงแถวโรงเรียนเก่าพร้อมกับเพื่อนรัก รวมไปถึงเอิร์ธสาวสวยประจำกลุ่ม เราแต่งตัวกันบ้านๆ ใส่เสื้อยืดกับกางเกงวอร์มธรรมดา เจอลุงกับป้าที่ขายก๋วยเตี๋ยวที่เคยมาทานตั้งแต่สมัยเด็กก็พลันยกมือไหว้ ดีที่พวกท่านจำเราได้ทั้งที่ก็ผ่านมาหลายสิบปี

“ผมเอามาม่าเนื้อสดครับ” สั่งเมนูเสร็จสรรพก็ก้าวขาขึ้นบันไดสามสี่ขั้นไปนั่งขัดตะหมาดอยู่ที่ตั่งที่นั่งแบบไร้เก้าอี้ จริงๆ มันก็มีโต๊ะมีเก้าอี้นั่นละ แต่มุมที่เรานั่นอยู่มันเป็นข้างเขื่อนที่มีน้ำสีเขียวไม่ใช่ดำทะมึนที่เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล

“นึกถึงสมัยเรียนเนอะ ที่มานั่งแดกก๋วยเตี๋ยวแล้วลุงเปิดหนังโดราเอมอลให้ดู” คริตตี้ว่า ทำให้ผมต้องคลี่ยิ้มมองไปที่ภายในบ้านที่มีชั้นทีวี

สมัยเด็กถ้าเด็กคนไหนมาเร็วหลังเลิกเรียนก็จะได้จับจองที่นั่งกับกลุ่มเพื่อนพ้องพลางทานข้าวดูหนังไปด้วย

“ใช่ๆ แล้วถ้ากินหมดมีลูกค้าใหม่ลุงแกก็จะไล่ให้ไปนั่งข้างนอก” เอิร์ธว่าพร้อมหัวเราะขำจนไหล่สั่น

“จริง ร้ายมาก” อีคริตตี้เบะปากพยักหน้ารับ นินทาเจ้าของร้ายอย่างขำขัน ก่อนที่ก๋วยเตี๋ยวมาม่าที่เรากินประจำจะมาเสิร์ฟลงที่โต๊ะพร้อมกับเครื่องปรุงรส

ขอไม่ไทอินว่าเป็นมาม่าเป็นของอะไร เพราะยังไงก็ไม่ได้ค่าโฆษณา

ผมฉีกซองก่อนจะปรุงรสตามใจชอบ ไม่ทันไรก็มีอีกคนเดินมานั่งสมทบ คนคนนั้นก็คือเจ้ปราย

“ปรายไม่สั่งก๋วยเตี๋ยวเหรอ ?” คริตตี้ถาม

เจ้ปรายส่ายหน้า “ไม่อะ แค่มานั่งเล่นเฉยๆ”

“ดูว่างมาก” คริตตี้พยักหน้ารับเอ่ยกระทบเสียดสี ก่อนจะหันไปทางเขื่อนก็หลุดร้องอุ้ยตกกะใจ พลอยให้ทุกคนต้องหันไปมองตาม

ตัวเหี้ยครับ...สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำตัวเบ้อเร่อ มันกำลังแหวกว่ายอยู่ในเขื่อนผ่านหน้าเรา ผมรีบยกมือถือมาถ่ายอัดอย่างไว เสียงอีคริตตี้ก็ดังเข้ามาในวิดีโอที่หมายจะลงอินสตาแกรม

“อ่าวอีปรายทำไมไม่คุยกันดีๆ ไปว่ายน้ำทำไมวะ” อีคริตตี้ตะโกนผ่านหน้ากล้องทำให้ผมต้องหันกล้องไปทางมันสลับกับตัวเหี้ยที่กำลังว่ายผงกหัว

เจ้ปรายหัวเราะ ท้วงติงกับอีคริตตี้ “กูอยู่นี่”

“อุ้ย ! อ่าวเหรอ กูก็คิดว่ามึง เห็นหน้าเหมือนกัน” อีคริตตี้สะดุ้งเล่นใหญ่โอเวอร์แอคติ้ง ทำท่าถอยหลังเอามือยันลงกับตั่งที่นั่ง

ผมเห็นแล้วหลุดหัวเราะขำก่อนจะกดปิดคลิปแชร์ลงสตอรี่ประจำวัน

อยู่กับพวกมันผมเป็นตัวเองมากที่สุด หัวเราะบ่อยมากกว่าอยู่กับคนในครอบครัวเสียอีก

เอิร์ธที่ตักเส้นมาม่าขึ้นมาด้วยตะเกียบก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ “เออมึง ล่าสุดกูไปดูดวงมา หมอที่ดูดวงแม่นมากบอกว่าคนใกล้ตัวอะมีคนแอบชอบกูอยู่”

“ก็คือไอ้ติม” คริตตี้ว่า ส่วนผมที่นั่งทานมาม่าเงียบๆ ที่ไม่รู้จักกับคนที่ชื่อติมเป็นทางการก็ไม่ได้เก็บมาครุ่นคิดหรือตั้งคำถามว่าเป็นใคร

แต่สงสัยน่าจะเป็นคนใกล้ตัวเอิร์ธนั่นแหละ

“อีควาย” เอิร์ธว่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะคีบตะเกียบที่มีมาม่ายัดใส่ปาก เคี้ยวกลืนไปคำหนึ่งก็กระดกน้ำดื่มพูดต่อ “แต่หมอที่ดูดวงแม่นมากนะบอกว่ากูอะจะมีเงินเข้ามาตลอด ซึ่งกูก็ได้จากแม่ประจำช่วงนี้ แถมหมอดูยังบอกอีกว่าชีวิตนี้กูจะสุขสบาย”

“ก็คือตาย” คริตตี้เอ่ยสัพยอก แต่ใบหน้านี่เรียบนิ่งพลางยกน้ำขึ้นดื่ม สร้างเสียงครื้นเครงแม้แต่ผมที่กินน้ำอยู่ยังสำลักเกือบพุ่งใส่หน้ามัน ก่อนที่อีเพื่อนรักจะวางแก้วลงกับโต๊ะ ดื่มน้ำชื่นใจจึงแค่นยิ้ม นัยน์ตาทอดมองอย่างล้อเลียน “เป็นกูก็ดูดวงได้” มันกล่าวอย่างกระมิดกระเมี้ยน ทำไม้ทำมือเหมือนมีอะไรอยู่ในมือ โดยมือซ้ายแบอยู่ด้านล่าง มือขวาคว่ำอยู่เหนืออากาศ พูดพลางบิดกายไปทางเจ้ปราย “หมอจะบอกว่า...ชาตินี้หนูจะไม่มีผัว จากนั้นหมอก็จะยื่นกระจกให้ดู ไม่ต้องเปิดไพ่ดูดวงชะตา แค่เห็นหน้าหมอก็รู้ชะตากรรม อันนี้หมอไม่คิดตังค์” จากนั้นปลายนิ้วชี้ก็จรดลงที่โต๊ะ ทำเหมือนมีแบงค์ยื่นคืนให้อีกฝ่าย

ครั้งนี้ทุกคนขำพรืดกันหมด ผมที่ดื่มน้ำอยู่เพราะยังเผ็ดร้อนกับน้ำชุปที่แดกถึงกับพุ่งพรวดใส่หน้ามันที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อีคริตตี้หลุดร้องกรี๊ดอย่างขยะแขยง หยิบทิชชู่มาเช็ดหน้าเช็ดตา “อีเหี้ยอ๊อก อ๊าย สกปรก อีเหี้ย !”

“ขอโทษมึง” ผมพูดไปไอโครกไปจนหน้าดำหน้าแดง ดีที่มีเอิร์ธช่วยเอามือปลอบหลัง ไล่ฝ่ามือขึ้นลงพลอยให้รู้สึกดีขึ้นเยอะ ไม่รู้ว่าช่วยให้อาการดีขึ้นจริงไหม แต่สัมผัสที่ให้มาก็พอให้ผมรู้สึกโอเคกับการสำลักน้ำ

 

หลังจากจ่ายตังค์พวกเราทั้งสี่คนก็ออกมาเดินเล่นในช่วงบ่ายของวันแถวเอเชียทิค ข้ามฟากถนนจราจรก็จะเห็นทางซ้ายมือมีน้ำพุประดับ ร้านค้าอาหารต่างๆ มากมายสารพัด จุดชมวิวเอาไว้ถ่ายรูปต่างๆ นานา แต่สิ่งที่เราเดินมาคือร้านขายเครื่องสำอางสารพัดที่มีราคาแตกต่างกันไป บิวเทรี่ยมที่อยู่ฝั่งขวามือของเอเชียทิค หากเดินไปอีกหน่อยจะเห็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงลิบลิ่ว บรรยากาศจากด้านบนค่อนข้างดีหากมองในเวลาพลบค่ำ ส่วนเรื่องราคาตั๋วนั้นขอไม่พูดถึง ลองไปถามไถ่ใช้บริการกันเอาเอง

อีคริตตี้เดินไปลองลิปสติก แตกต่างจากเอิร์ธที่ลองรองพื้นที่ใช้สีใกล้เคียงกับผิวหน้า เจ้ปรายก็เดินดูไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็มิวายหยิบลิปตัวเทสมาทาปากให้แดงระเรื่อเล็กน้อย

ผมเองที่โดนคริตตี้ลากมาโซนหนึ่ง มันก็หยิบลิปสติกที่เพิ่งมาใหม่ยังไม่ผ่านการทดลองใดๆ มาทาปาก

“สีสวยอยู่” มันพูดจบหลังจากเกลี่ยลิปด้วยปลายนิ้ว ผมที่เดินมาที่หน้ากระจกสี่เหลี่ยมก็มองใบหน้าตัวเองที่โดนทาปาก ไม่ทันจะมองอย่างละเอียด อีเพื่อนรักก็ลากไปทาแก้มต่อ

“มึง อย่าปัดเยอะเดี๋ยวกูแก้มแดงเป็นตูดลิง” ผมเอ่ยเตือนอย่างหวาดระแวง

“รู้หรอกน่ะ กูปัดเบาๆ ให้หน้ามีเลือดฝาดพอ” มันว่าพานใช้ปลายนิ้วกลางกับปลายนิ้วนางมาถูๆ ไถๆ ที่พวงแก้มนิ่ม จากนั้นก็ตามมาด้วยเปลือกตาทั้งสองข้างของผม

เมื่อสมดั่งใจอีเพื่อนรักก็ผละกายออกห่าง เอามือจับที่เรียวแขนของผม พลางเอนตัวไปด้านหลังเพื่อมองใบหน้ากระจ่างชัด “ดูดีขึ้น หวานเหมือนเคะในนิยายวาย ยั่วเย็-ดี”

“ไหน กูดูก่อน” ผมลุ้นระทึก รีบวิ่งไปที่กระจกสะท้อนภาพ เห็นสิ่งประทินโฉมก็แอบนึกชมเชยมันในใจที่จับผมแต่งหน้าออกมาไม่สาวมากนัก แต่ก็ดูดีขึ้นให้ใบหน้ามีน้ำมีนวล มีสีสันเล็กน้อยไม่จืดชืดเหมือนคนเพิ่งตื่น “ดูดี”

“ใช่มะ” คริตตี้ที่เดินมาขนาบข้างกายเอาคางเกยอยู่ที่บ่าไหล่ของผม “คิ้วมึงหนาเหมือนหมอยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปัด ปะ ไปแดกไอติมถ่ายรูปเล่นกัน” จากนั้นมันก็จูงมือผมออกจากบิวเทรี่ยม ส่วนคนที่ได้ซื้อเครื่องสำอางก็ไม่ใช่ใครหน้าไหน นอกจากเจ้ปรายที่เป็นเกย์แมนๆ แต่แต่งหน้าทาปาก

โซนบิวเทรี่ยมอยู่ใกล้กับร้านไอศกรีม เราทั้งสี่ที่แดกของคาวเลยมาปิดท้ายด้วยของหวาน ผมที่กดถ่ายรูปหามุมสวยๆ ก็จัดบิงชูมารับประทาน ก่อนจะยื่นมือถือให้เพื่อนถ่ายให้ ยกขึ้นมาขนาบข้างกระพุ้งแก้ม ชำเลืองมองไปที่บิงชูและอ้าปากเป็นรูปตัวโอเหมือนโอ้โหกับของหวาน เมื่อถ่ายเสร็จจึงมานั่งไล่ดูรูปภาพ ตกแต่งด้วยฟิลเตอร์สวยๆ และอัปลงอินสตาแกรมในทันที ก่อนจะเริ่มจ้วงแดกเหมือนอีแร้งรุมกินคน

กะเทยมีกระเพาะอาหารเหมือนกับผู้ชาย ฉะนั้นแดกเท่านี้ไม่ถึงกับอิ่ม เราเลยจัดไอศกรีมมารับประทานอีกคนละถ้วย ระหว่างนั้นก็ไม่วายเว้นจะถ่ายรูปหามุมมอง อัปลงสตอรี่ประจำวันเฉกเช่นเคย ผมนั่งไถไปเรื่อยก็เพิ่งมาเห็นว่าพี่นนท์มาขอเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กรวมถึงในอินสตาแกรม เห็นดังนั้นอีเมียคนนี้ก็เลยรีบกดรับด้วยความยินดี

ผ่านพ้นไปห้านาทีได้ ชายหนุ่มที่ตัวเองได้ตกลงปลงใจขอเป็นแฟนก็ส่งข้อความมาในอินสตาแกรมที่ผมได้อัปรูปสตอรี่ไปหมาดๆ

[วันนี้ดูน่ารักจังเลยค่ะ]

[ปกติก็น่ารักตลอดนะ] ผมพิมพ์ตอบกลับ ก่อนจะเห็นรูปอิโมจิเคลื่อนไหวคล้ายกำลังจะพิมพ์ถ้อยคำบางอย่าง

[วันนี้หนูตื่นมาทำไมไม่ปลุกพี่ล่ะคะ งอนนะ :(]

แงงง ผัวงอแงอะ อยากไปปลอบประโลมอ๊อกๆ ที่กระดอเลย

ต้องอดทนอีกหน่อย ความร่านเปรียบเสมือนของหวานที่ขาดแคลนไม่ได้

ท่องเข้าไว้อีกไม่นานเราก็จะได้เจอคว-

คิดเรื่องเหี้ยๆ ด้วยความเปรมปรีดิ์

[ไม่งอนนะครับ ถ้าไม่งอนเดี๋ยวคืนนี้อ๊อกไปนอนที่บ้าน] หยอดคำหวานเข้าไป ใส่มันเข้าไปอีก เผยความดอกทองช้างลากเย็-ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากเพื่อนสนิทมิตรสหาย

[ทำไมหนูชอบอ่อยอะ] พี่นนท์รีบพิมพ์โต้ตอบ

[แล้วไม่ชอบอ๋อ ?] ผมถามกลับ

[ชอบ…] อีกฝ่ายเว้นจุดๆ ดูเหมือนชายหนุ่มลุ่มหลงตกอยู่ในพะวัง [งั้นวันนี้มานอนนะ]

อีเหี้ย เขาอ่อยอะ ! ผัวหนูอ่อยกลับอะแม่ ! อ๊อกทำใจไม่ได้

แถมยังทิ้งคำที่ดูซึมเซาแฝงด้วยความออเซาะอยู่ในที [คิดถึงจังมาหาหน่อย]

กี่ครั้งแล้วกับคำว่าคิดถึง กี่ครั้งแล้วที่คำว่าคิดถึงอะมาหาหน่อยทำให้หลีต้องดำเป็นเห็ดหูหนู หลีมันพังไปเท่าไรแล้วกับคำๆ นี้

ไม่...เราจะต้องไม่เสียตัวง่ายๆ กับแค่ประโยคง่อยๆ พรรค์นี้

“อีอ๊อกมือสั่นอีกแล้ว” คริตตี้ที่ตักไอศกรีมเข้าปากลอบมองผมที่เหยียดยิ้มร้าย ก่อนจะเอนกายไปกระซิบกระซาบกับเอิร์ธกันสองคน “ยิ้มน่ากลัวมาก มึงว่ามันกำลังคิดเรื่องชั่วปะ ?”

“กูได้ยินนะ” ผมกล่าวกระแนะกระแหน

อีคริตตี้ร้อง “อุ้ย !” เอนกายมานั่งประจำที่ดังเดิม ส่วนผมยังลูกตาจ้องอยู่กับมือถือราคาแพง

แพงแบบไหนคะ ? อย่าเสือก

[ไม่เอาหรอก กลัว] พิมพ์ประโยคเหมือนนางเอกขี้ระแวง ทั้งที่จริงก็ขี้เงี่ยนยิ่งกว่าคนติดสัด

พี่นนท์พิมพ์กลับมา [พี่มีอะไรให้กลัวคะนอกจากความน่ารัก]

ต๊าย พูดออกมาได้คุณพ่อนักบุญ บุญบาปน่ะสิ น่ารักกับผี ท่าทางคำพูดคำจาดูก็รู้แล้วมีเจตนาอะไร

อีอ๊อกไม่ใช่คนง่ายๆ หรอกนะจะบอกให้ !

ฉับพลันก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าจ้องตาอีคริตตี้อย่างหมายมาด

“มึงวันนี้จับกูแต่งตัวเป็นผู้หญิงหน่อย”

“ฮะ ? มึงจะไปไหน”

ผมตอบ “ไปหาพี่นนท์”

อีอ๊อกจะเอาตัวเข้าแลกเพื่อสวมบทบาทเป็นนายเอกเฟมบอยที่ชื่นชอบการแต่งหญิง จะได้นำไปใช้อ้างอิงในนิยาย

เปล่าหรอกค่ะ ที่แท้จริงก็แค่ข้ออ้าง ที่อยากสวยก็หวังให้ผู้ชายลุ่มหลงจนต้องละเมอเพ้อพก

เราต้องไม่ง่ายนะ…

แต่ถ้าผู้ชายมันหล่อ

ก็เอาหลีเข้าสู้ !!

ฝากถึงคนที่ดอกทองชอบร่านไปเที่ยวเอากับผู้ชายไปทั่ว

อยากบอกว่าคุณใช้หลีได้อย่างคุ้มค่าแล้วค่ะ ดีใจกับคุณด้วย

เย็-ต่อ ไม่รอแล้วนะ !

 

กลับมาบ้านก็อ้างบอกแม่ว่าคืนนี้จะไปนอนบ้านคริตตี้ แม่ก็หรี่ตามองสักพักก็ไร้ทีท่าจะเอะใจ ผมจึงเดินขึ้นห้องไปแพ็กกระเป๋าใส่เสื้อผ้า รวมไปถึงโน๊ตบุ๊กเผื่อไว้ใช้แต่งนิยายเมื่อมีโอกาส หลังจากนั้นก็วกมาที่บ้านของเพื่อนสนิทในช่วงเวลาพลบค่ำ ถูกจับแต่งหน้าแต่งตา ใส่เสื้อผ้าที่เป็นชุดสีขาวเอวลอยจั๊มเอว มีกระดุมสีทองประดับอยู่กลางเสื้อ แขนเสื้อสั้นระดับท่อนแขน ส่วนกางเกงนั้นเป็นกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้มเอวสูง โชว์เนื้อหนังมังสาที่คอดเอวเล็กน้อย แถมยังโชว์เรียวขาสวยที่ไร้รูขุมขนเหมือนชายฉกรรจ์ ดีที่ตัวเองมีกรรมพันธ์ดีไม่ต่างจากแม่ หากได้พ่อมาคงขนดกเป็นนายเอกนิยายวายที่มีขนหน้าแข้งดกดำให้ชายหนุ่มมาลูบไล้

อีอ๊อกมิวายถามว่าที่ผัวก่อนไปหา [อยู่บ้านไหม ?]

ไม่นานก็ได้รับคำตอบ [อยู่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่า ?]

[พี่แชร์โลเคชั่นที่อยู่มาให้ที] อีอ๊อกจะไปหาถึงถิ่นฐานในอีกไม่ช้า

เพราะอ๊อกอยากติดคอ

“มึงคบกับพี่นนท์แล้วเหรอ ?” เสียงเพื่อนรักถามไถ่อย่างระแคะระคาย หน้าตาก็ดูบึ้งตึงไม่สบอารมณ์

“อืม กูว่าคบกันไปเลยดีกว่า เสียเวลาคุยดูใจกันไปมา” ผมอธิบายพลางยักไหล่

“ทำอะไรก็รู้จักระมัดระวังด้วย อย่าทุ่มใจไปเกินร้อย เผื่อใจไว้บ้าง กูกลัวมึงดิ่ง” มันพูดออกด้วยสีหน้าเป็นห่วง

ผมเห็นแล้วเค้นยิ้มยื่นมือไปหยิกแก้มมันเบาๆ แต่อีนางตัวดีก็ดันส่งเสียงร้องอย่างโอเวอร์

“กูรักมึงนะ ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ กูเสมอ” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงซึมเซา แต่ในรูปประโยคนั้นแฝงไปด้วยความตื้นตันใจเหลือเกินคณา

“แต่กูไม่รักมึง” อีคริตตี้ทำหน้าอย่างรังเกียจ

“มึงกูจริงจัง” ผมบอกมันเน้นชัดถึงห้วงอารมณ์

มันกระแทกกระทั้นเสียงใส่ “เออ กูรู้” จากนั้นก็เงียบไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย

แต่ทุกการกระทำมันบอกหมดว่ารักผมคนนี้มากแค่ไหน

“กูดีใจที่มีมึงเป็นเพื่อนนะ”

“อย่ามาดราม่าใส่ กูไม่ชอบ” คริตตี้ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ ทำผมหลุดขำ ยอมพยักหน้าก่อนจะอยู่นิ่งๆ ให้มันสวมวิกลงที่กลางกระหม่อม

คริตตี้เอ่ย “เราอยู่ด้วยกันมานานแล้วเนอะ มีอะไรก็แบ่งปันตลอด ทั้งเรื่องปัญหาต่างๆ มีข้าวก็แบ่งกันแดกสมัยเรียน มึงไม่มีเงินกูก็ให้ยืม แบ่งกันช่วยเหลือยิ่งกว่าผัวเมียด้วยซ้ำ ข้าวของเสื้อผ้าก็ใช้ร่วมกัน อีกหน่อยมึงรวยมึงก็ต้องแบ่งปันให้กูยืม มีผัวมึงก็ต้องแบ่งปันให้กูใช้ เวลาโดนเย็-มึงก็ต้องแบ่งปันให้กู…”

“พ่อมึงเถอะ” ผมรีบแย้งกลางคัน จ้องหน้ามันอย่างวาวโรจน์วูบหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มซาบซึ้งในน้ำใจไมตรี ทำอีคริตตี้หลุดขำโชว์ฟันที่มีเขี้ยวเล็กๆ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มดันหน้าผากของผมให้หงายหลัง ดีที่ผมทรงตัวได้ดีไม่หงายเป็นกองกับพื้น

“ทำอะไรอย่ามานึกเสียใจทีหลังรู้ไหม ?” มันตักเตือน

“รู้แล้วน่ะ กูไม่ได้จะไปเพื่อโดนข่มขืนสักหน่อย” ผมอธิบาย “กูสมยอมล้วนๆ”

“อีพวกร่าน” มันด่าทอ ตบหัวผมไปทีหนึ่ง

“โอ๊ย !” ผมร้อง

“ข้อหาดอกทอง” มันบอกก่อนจะตบอีกข้าง

ผัวะ “ข้อหาร่านเกินเหตุ” คริตตี้ซ้ำเติม “ระวังเถอะจะได้ไปตรวจโรคHIV”

“กูสัญญาว่าจะป้องกัน” ผมหมายมั่นให้สัญญา

“มีผัววันเดียวก็ร่านละเพื่อนกู” มันส่ายหน้าอย่างระอาใจ ก่อนจะขับไสไล่ส่งเมื่อแต่งหน้าทำผมเสร็จ “ไปๆ จะไปตายที่ไหนก็ไป”

“ขอบคุณมึงมากนะ” ผมหมุนกายเดินออกมาสวมรองเท้าผ้าใบที่หน้าบ้าน ก่อนจะสะพายเป้ที่หลัง และที่มีเจตนาแต่งหญิงล้วนๆ ก็เพราะรู้ว่าพี่นนท์ต้องชอบมากแน่ๆ

“ไปละ” ผมโบกมือบ๊ายบายก่อนจะพร้อมรบไปออกศึก เห็นมือถือได้โลเคชั่นเป็นที่เรียบร้อยก็ลิงโลด

อ๊อกสัญญาว่าจะไม่ให้แม่ๆ ต้องผิดหวัง

การเซอร์ไพรส์นี้จะเต็มไปด้วยความหรรษา

“ออกไปจะบ้านกูอีกาลกิณี !!”อีคริตตี้ร้องลั่นบ้าน ดีที่แม่มันไม่อยู่ ปานนี้คงโดนถีบข้อหาโหวกเหวกโวยวาย

ผมขำพรืด ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำครหา เพราะรู้ว่าเพื่อนไม่ได้มีเจตนาคิดแบบนั้นจริงจัง

และในที่สุดอีอ๊อกก็ถ่อหลีมาถึงถิ่นฐาน เสียเงินทั้งค่ารถและยังต้องมาเสียอะไรต่อมิอะไรอีก

ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ เตรียมใจกับผลลัพธ์นับต่อจากนี้ ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดลงที่ปุ่มกระดิ่งหน้ารั้วบ้าน

ปิ๊งป่อง ~

พัสดุกะหรี่จิ๋มกระป๋องมาส่งแล้วค๊า ~

ไม่นานเกินห้านาทีจนยุงแทบมารุมกัดที่เรียวขาที่หมั่นทาครีม ทำเอาผมต้องสะบัดขาไปมา ตาก็มองไปที่ภายในบ้าน คาดหวังให้ใครบางคนออกมาสักทีหนึ่ง พลันยื่นหน้าเข้าไปใกล้รั้ว ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อมีสุรเสียงดังลอดออกมา พร้อมกับบานประตูที่เปิดออกขึ้นมาว่า “ใครครับ ?”

ผมรีบผละออกจากสิ่งนั้นในทันที ก่อนจะยิ้มเจื่อนโบกมืออยู่หน้ารั้ว ตะโกนตอบกลับ “อ๊อกเอง !”

“อ๊อกเหรอ ?” เสียงพี่นนท์ดูตื่นตะลึง รีบสวมรองเท้าเดินมาที่หน้าบ้านอย่างฉงน ไขรั้วกั้นออกมาเจอผมที่ยืนนิ่งงัน เหมือนไม่มีแมลงหวี่แมลงวันและยุงลายมาคอยราวี

จริงๆ แดกจนกูคันไปหมดละ

อีกฝ่ายกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า “ทำไมหนูแต่งตัวแบบนี้ล่ะคะ ไปเที่ยวที่ไหนมา ?” ซ้ำยังหรี่ตามอง สีหน้าดูหงุดหงิดรำคาญใจ “โป๊ไปหมด”

ผมส่ายหน้ารัวๆ “เปล่านะ มาหาพี่ล้วนๆ วันนี้อ๊อกจะมานอนด้วย”

อย่าให้รู้นะว่าซุกเมียน้อยเอาไว้ในบ้านน่ะ !

“นอน ? จะดีเหรอคะ ขอแม่ยัง ?” พี่นนท์ถาม

“ขอแล้ว” ผมว่าเสียงอ่อน

“ขอว่า ?” พี่นนท์ยังคงซักไซ้

ผมยู่ปากบิดตัวไปมาก่อนจะยอมเอ่ยปาก “ขอว่าไปนอนบ้านเพื่อน”

“เด็กโกหก” พี่นนท์ส่งสายตาตำหนิ นอกเหนือจากนี้น้ำเสียงยังดุอีก

โธ่ว่าที่ผัวละก็...อย่ามาเล่นตัวไปหน่อยเลย รู้หรอกน่ะว่าลึกๆ ก็ต้องแอบดีใจที่แฟนถ่อหลีมาถึงถิ่นฐาน ไหนๆ แล้วก็แก้ผ้าเอากันหน้าบ้านกันเลยดีไหมคะ บรรยากาศก็มืดค่ำชวนวังเวงดี ไม่น่าจะมีใครมาพบเห็น

อ๊อกชอบค่ะ มันดูโรแมนติก

แต่ก็ได้แค่คิดเพ้อเจ้อไปวันๆ

“ยุงกัดอะ พี่นนท์อย่าเพิ่งดุน้องได้ไหม ขอน้องเข้าบ้านก่อน” ผมแทนตัวด้วยสรรพนามคำว่า ‘น้อง’ ให้น่าเอ็นดู อีกคนดูชะงักกับคำที่ได้ยิน ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นพะว้าพะวัง รีบผายมือเชื้อเชิญเข้ามาในบ้าน

เสร็จโจรล่ะค่ะงานนี้

“แค่กๆ” รอบไออย่างเจ็บคอ

“ไม่สบายเหรอคะ ?” พี่นนท์ที่ล็อกรั้วบ้าน เดินตามหลังมาถามอย่างเป็นกังวล

“เปล่าครับ” ผมบอก แค่วอร์มเสียงก่อนสำลักเฉยๆ ก็แค่นั้นเอง

ครั้นเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่ทุกคนคิดถึงคงจะเป็นฉากเร่าร้อนที่ต่างฝ่ายต่างระดมจูบกันเหมือนซอมบี้หิวกระหายใช่ไหมคะ ? แต่ไม่ค่ะ พล็อตชีวิตคนเราไม่ได้อิโรติกขนาดนั้น เข้ามาก็เจอหมาและแมววิ่งแจ้นเข้ามาหา ทั้งดม ทั้งคลอเคลียที่เรียวขา

อีอ๊อกอยากโดนผัวคลอเคลียมากกว่าอะ ! นี่อุตส่าห์ฉีดน้ำหอมมาด้วยนะ !

“คิกๆ” แกล้งทำเป็นหัวเราะร่าเริงเหมือนคนรักสัตว์โลกน่ารัก แต่จริงๆ แล้วรักเจ้าของสัตว์และเกิดฤดูติดสัดยิ่งกว่ากระต่ายจอมเงี่ยน พลันหันหน้าไปมองคนที่ก้มมาจ้องหน้าผมเหมือนกำลังตั้งคำถาม

อีอ๊อกไม่เสียเวลาทำงานทำการ “พี่นนท์ทำอะไรอยู่เหรอ ?”

“กำลังแคสเกมอยู่ค่ะ” เขาแจง

ผมร้อง “อ๋อ” พยักหน้าอย่างเข้าใจถึงสาเหตุที่ต้องคอยนาน ก่อนจะเดินดุ่มๆ หลังจากถอดรองเท้า ก้าวขายาวเหยียด เอนกายไปมาซ้ายและขวาเหมือนนางเอกอนิเมะสดใส ฉับพลันก็หมุนกายมาจ้องหน้าคนตัวโตสูงโย่ง “อ๊อกขอดูพี่แคสเกมหน่อยสิ”

อีกคนที่ยังมีทีท่างงงวยได้แต่พยักหน้ารับอย่างอิดออด “ได้ค่ะ” ก่อนจะเดินนำให้ผมเดินตามท้ายหลังไปที่ขั้นบันได มาที่ห้องๆ หนึ่งซึ่งผมที่เคยเข้ามาครั้งแรกยังไม่เคยได้สำรวจ

ห้องนี้เป็นห้องกันเสียงอย่างดีเยี่ยม แถมยังมีหน้าจอคอมสองหน้าจอและเครื่องเล่นซีพียูสองเครื่องด้วยกัน สมกับเป็นนักแคสเกมเมอร์ องค์ประกอบซีพียูมีลูกเล่นและมีสีสัน ขนาดแป้นพิมพ์ยังเรืองแสงราวกับรุ้งเจ็ดสี เบาะที่นั่งก็เป็นเก้าอี้เกมมิ่งสีดำสนิทสองตัว มีแต่ราคาแพงหูฉี่ทั้งนั้น

“ว้าว” อดไม่ได้ที่จะร้องอย่างตื่นตะลึง หมุนกายกวาดตาดูรอบห้องใหญ่โตโอฬาร เทียบได้กับห้องนอนห้องหนึ่งได้เลย ขณะที่อีกคนยิ้มมุมปากกับสีหน้าแป้นแล้นของผม

“มันดูเวอร์มาก” ผมถึงกับสบถ “โคตรอยากมีแบบนี้บ้าง”

จินตนาการถึงตนเองไม่ทันไร หัวก็ถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือใหญ่ ดันและบิดให้ตัวของผมต้องหันหน้ามาจ้องคนที่ยิ้มหวานประจบเอาใจ

“แน่ใจนะคะว่าจะนอนนี่”

คำถามเหมือนเป็นคำเตือนมากกว่านะคะคุณผัวขา

“แน่ใจสิ” อ๊อกเตรียมตัวมาถึงขนาดนี้ จะให้กลับบ้านเสียค่ารถฟรีๆ ไม่ยอมหรอก ฉุกคิดแล้วก็ยิ้มแฉ่งขยับหัวดุ๊กดิ๊กไปมา

“วันนี้หนูร่าเริงผิดปกตินะคะ” พี่นนท์เอียงคอ ถามอย่างข้องใจ

“พี่นนท์คงไม่เคยได้ยินสินะ คนร่าเริงเท่ากับคือคนที่..” โดนนัดเย็-ไงคะ ! “อารมณ์ดีมีความสุข” ผมตอบพร้อมเสียงหัวเราะแจ่มใส

ใสมากค่ะ หน้าตาดูมีพิรุธเหรอคะ เปล๊า ไม่มี๊ ไสยศาสตร์ทั้งนั้น

“หนูวางกระเป๋าก่อนเถอะค่ะ ดูท่าน่าจะหนัก” พี่นนท์ว่าพลางหยิบที่ห้อยสายสะพายกระเป๋าของผมเอาออกจากบ่าไหล่ลอดผ่านที่เรียวแขนเล็ก เขายกมันไปวางที่มุมห้องก่อนที่จะเดินไปนั่งที่เก้าอี้เกมมิ่ง จากนั้นก็ชักชวน “หนูมานั่งนี่สิคะ แต่เงียบๆ หน่อยนะ พี่ขอแคสเกมสักชั่วโมง”

“ได้ๆ” ได้ทุกอย่าง เสร็จแล้วเราก็มาเอากันได้ใช่ไหมครับ อ๋อ โอเคค่ะพ่อทูนหัว อ๊อกเข้าใจละ รอหลังแคสเกมเสร็จเราก็มาสานฝันหรือการมีเพศสัมพันธ์กันได้ใช่ไหมคะ ?

ฮือ ดีใจ ค่อยๆ หย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้เกมมิ่งข้างกายอีกคน เผลอลอบมองไปที่เป้าใครบางคน

นึกอยากสวดมนต์ นะโมตัสสะ อวัยวะใหญ่โต ยาวเป็นกิโล แงงงง จุกค่ะ อยากเล่นคุณไสย มือมันสั่นไปหมดเหมือนเจ้าเข้า เพราะอยากไปคลุกคลีด้วยจิตใจเมตตาอารีปลอบขวัญผวา

หนูว่ามันปูดๆ ผิดปกตินะคะ คุณพี่มีอารมณ์อยากเล่นการละเล่นไทยพื้นบ้านไหมคะ ?

อ๊อกอยากนำเสนอเรือสำเภาค่ะ อ๊อกชอบมากๆ เลย อ๊อกว่ามันสนุกดี

“โอ๊ะ โดนจนได้ ครั้งนี้ผมพลาดเอง ฮ่าๆ เดี๋ยวดูเถอะ ครั้งนี้ผมจะเอาคืนมัน” พี่นนท์ที่พูดอยู่ใกล้ไมค์ สีหน้าดูเปลี่ยนเป็นคนละคน ดูเป็นคนสนุกสนานน่าคบหา

หา หา หาคว-ไงคะคุณพี่ คุณพี่บอกเองว่าจะเอาคืนมัน แบบนี้จะคืนความสุขให้ประชาชนด้วยใช่ไหมคะ ? ราษฎรต้องซาบซึ้งเหลือหลาย เริ่มจากน้องคนแรกเลยค่ะ น้องยินดี

สุขีปะหีดังสมสุข จงเสพสุขทั้งกายและวาจา

ต่อให้นรกมาฉุดรั้งความร่านก็ฉุดไม่อยู่ อีอ๊อกจะฝ่าฟันและต่อกรกับยมบาลต่อให้ต้องพลีกายเย็-ในปรโลกก็ยินดี หากยมบาลหล่อเหลาเอาการเหมือนในซีรีส์เกาหลี อีน้องที่เกาหลีก็พร้อมจะอ้าปากอมคว-พูดคุยกับยมบาล

อ๊อก อ๊อกค๊า ~

นั่งเล่นมือถือมาสักพัก ก็เหลือบๆ มองๆ คนหล่อที่ยังขะมักเขม้นกับการละเล่นเกมอยู่ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงดังที่กล่าวเบื้องต้น พอครบเสร็จอีกคนก็ถอนหายใจหลังจากกดเซฟเกมเป็นที่เรียบร้อย

เสียงถอดถอนหายใจช่างเซ็กซี่เหลือเกินนัก อ๊อกรีบลุกขึ้นยืนและเม้มปากแน่น

“มีอะไรคะ ?” พี่นนท์ที่แหงนหน้ามองผมที่ยืนค้ำหัว

“มี” ผมตอบกลับ จิกอุ้งมือแน่น ก่อนจะก้าวขาไปใกล้ชิด ยกขาพาดผ่านที่ท่อนขาของอีกฝ่ายอย่างกล้าหาญ สะโพกนั่งทับอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์ของใครบางคนที่มีทีท่าตื่นตะลึง

“หนูคะ ? อึก” ถึงกับสะอึกกันเลยทีเดียว เพียงแค่บดสะโพกยั่วๆ บดๆ ที่จุดกลางลำตัว สิ่งแข็งขืนบางสิ่งก็ดุนดันผ่านเนื้อผ้า

หากเป็นนิยายพระเอกคงจะบอกว่า ‘อย่านะคะ ไม่งั้นพี่จะทนไม่ไหว’ หรือไม่ก็ ‘หนูทำให้พี่เกิดอารมณ์เองนะคะ อย่ามาร้องไห้ทีหลังล่ะ’

แต่ไม่ค่ะ อีอ๊อกคาดคะเนมาเรียบร้อย ความร่านในครั้งนี้เปรียบเสมือนความดอกทองที่ค่อยๆ เบ่งบานราวกับดอกไม้ที่ค่อยๆ ผลิดอก เผยความดอกที่มีเกสรประหนึ่งเป็นหลีที่มีใยรกร้าง และค่อยๆ เบ่งบานเผยเม็ดแตดที่รอคอยคนมาป้อนความหฤรรษ์ให้ซาบซ่าน

ตอนแรกอีอ๊อกก็คิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า แต่ที่ไหนได้ขาดคว-ไม่ได้นี่เอง

“หนูคึกอะไรคะเนี่ย อึก หนูคะ” พี่นนท์รีบเอามือจับที่เอวคอด สัมผัสเข้าที่ผิวเนื้อเข้าอย่างจัง ท่าทางเหมือนจะห้ามปราม แต่ก็เปล่าเลยสักนิด อีอ๊อกกลับโยกเอวไถขึ้นไถลงเข้าไปอีก

ยั่วมากค่ะ รางวัลกะหรี่ดอกทองคว-ทองคำต้องเป็นของกูแล้วล่ะ !!

ยั่วได้ไม่นานนัก ก็รับรู้ได้ถึงองคชาติที่กำลังผงาด อีอ๊อกก็ล้มเลิกในสิ่งที่กระทำ เปลี่ยนเป็นหยุดนิ่งและยิ้มแฉ่งเหมือนเด็กดื้อจอมซน มิวายเอ่ยปากหยอกเย้ารังแกคน

“แค่ล้อเล่นเอง” จากนั้นก็ทำท่าจะลุกออกจากตัก แต่ทว่ากลับถูกกดให้ไปแนบแน่นกับสิ่งที่ดุนดันใต้ร่างแทน

พี่นนท์จ้องมองอย่างร้อนแรง ทั้งดุดันชวนน่ากลัวยิ่งกว่าหนังผีสยองขวัญ ขยับริมฝีปากตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หนูล้อเล่นผิดคนแล้วค่ะ”

แม่ ! อีอ๊อกอยากเอามือมาทาบอก น้ำตาจะไหล แต่มือตอนนี้ทั้งสองข้างกลับยันอยู่ที่แผงอกของอีกฝ่าย

อ๊อกเคยดูแต่สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก แต่สิ่งที่เห็นอยู่นี้คือ ‘สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก นำมาสู่ความคึกคักที่เรียกว่าเย็-’

อีอ๊อกเม้มปากแน่นจนแทบจะปริแตกให้เลือดไหลซิบ เอ่ยปากสัพยอก “คันปากอะ อยากอมอะไรสักอย่าง”

อ๊อกว่าเราควรเจรจาต่อรองกันดีไหมคะ ?

“เด็กไม่ดี” ด่าหนูอ๊อก แต่ก็กดหลังกระหม่อมให้โน้มหน้าลงมาหา พลันริมฝีปากประทับจูบดังจุ๊บเข้าด้วยกัน สักพักก็จาบจ้วงรุนแรงยิ่งกว่าหนังอิโรติกสิบแปดบวก

มีการแหย่ลิ้นกันเกิดขึ้น อีหรอบนี้จะมีอะไรมาแหย่ตูดด้วยใช่ไหมคะ !!

‘พี่มุตา นกไม่พร้อม…’

‘หล่อนต้องเข้มแข็งเข้าไว้รัชนก ต่อกรกับมัน ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่มากกว่ารูของเรา’

‘แต่ของเขาใหญ่มากเลยนะคะพี่ตา  นก นกกลัวค่ะ นกกลัวหายใจไม่ค่อยออก’

‘ฉันถึงบอกหล่อนให้เข้มแข็งนี่ไง ไม่มีอะไรง่ายทั้งนั้นแหละ หล่อนผ่านพ้นคืนแรกอันหฤโหดมาแล้ว วันนี้แหละจะเป็นวันของหล่อนที่จะเอาคืน จนคนคนนี้ต้องอ่อนระทวย’

‘หมายถึงใจคนเราใช่ไหมคะพี่ตา’

‘ฉันหมายถึงคว-อีเด็กโง่ !’

‘อ๋อค่ะ นก...นกจะพยายามนะคะพี่ตา’

‘ฉันจะเอาใจช่วยหล่อนอยู่ห่างๆ และห่วงๆ’

กับหนังละครเรื่องใหม่ แรงเย็- ! ปริศนา

Psycho ~
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เก้า [27/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 30-12-2019 01:51:09
นังมุตา!!! หล่อนมันร้ายยยย  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เก้า [27/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 30-12-2019 17:00:35
ตามมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่เก้า [27/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-01-2020 04:37:33
สวรรค์จะล่มไหม?
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบ [3/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 03-01-2020 15:22:50
ตอนที่สิบ

‘กลับมาเจอกับดิฉันเช่นเคย ฐาปนีย์ นักข่าวชื่อดัง ที่พร้อมจะพาทุกคนไปสู่ความหฤหรรษ์หรรษาที่เปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจบารมีของความคันและตัณหา แหมะ ที่เห็นอยู่นี้คือร่างผ่ายผอมของเด็กคนหนึ่งที่มีใจเป็นชายแต่นึกอยากแต่งหญิง มีรสนิยมชมชอบให้พระเอกของเรื่องอย่างพี่นนท์ต้องหน้ามืดตามัว’

ยังนึกภาพกันออกใช่ไหมคะ ? ภาษาของดิฉันแม้จะด้อยพัฒนาไม่ได้สละสลวยเหมือนใครเขา แต่วันนี้เราจะมาบรรยายด้วยภาษาหรูหราหมาเห่าดุจเล่นคุณไสยที่ใช้อำนาจด้วยปลัดขิก

อันดับแรกดิฉันขอผายมือไปยังสองหนุ่มสองคนที่มีคนหนึ่งแต่งเป็นหญิง ร่างของทั้งสองกำลังกอดรัดประหนึ่งขาดแคลนความอบอุ่น ดิฉันยังคงถือไมค์เอาไว้แน่น สัมภาษณ์อยู่ใกล้เสียงอื้ออึงเสนาะหูบนที่พำนัก

ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเสน่หา ร่างอรชรนางหนึ่งกำลังถูกร่างสูงบดขยี้ริมฝีปากให้บวมเจ่อ ดึงดูดและเกี่ยวกระหวัดสองลิ้นร้อนปานจะกลืนกิน ส่งผลให้ริมฝีปากแดงระเรื่อชวนน่าจุมพิต ชายใดสบตายากเกินจะหลุดพ้นจากห้วงกามารมณ์ ยามฝ่ามือหยาบกร้านไล่สัมผัสไปต้นขาเนียนลื่นดุจผ้าไหม หัวใจก็เต้นระส่ำระส่ายส่งผลไปที่ใบหน้าที่แดงก่ำของเขาทั้งสอง

ทั้งเสียงหอบกระเส่าของเขา ทั้งเสียงครวญครางของเธอ (?) ทุกสิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงอารมณ์รักที่ยากเกินจะทัดทาน

ใครเล่าจะไปคาคคิดว่าคนที่ชอบจะยั่วยวนเซ็กซี่ได้มากขนาดนี้ เสื้อเอวลอยทำให้เห็นเอวคอดกิ่วและผิวพรรณเนียนละเอียด ขาวราวกับหิมะก็ไม่ปาน ใบหน้าสวยหวานผละริมฝีปากออกห่าง ส่งเสียงดัง “อาห์” อย่างเซ็กซี่ชวนลุ่มหลง

ใบหน้าเรียวรีรูปไข่ที่มีนัยน์ตาชวนออดอ้อนแฝงไปด้วยความยั่วยวนมีเสน่ห์อยู่ในที แผขนตางอนยาวราวกับจะให้มีหยาดน้ำค้างมาไหลเกาะ ผนวกกับจมูกโด่งรั้นที่บ่งบอกถึงความดื้อดึงและซุกซนอย่างน่ารักใคร่ ไหนจะริมฝีปากเผยอหอบหายใจอย่างระทดระทวยดังเพราะพริ้ง

ภาพที่เห็นช่างงดงามตราตรึงประหนึ่งตกอยู่ในห้วงฝัน หรือจะกล่าวได้ว่าไม่ต่างจากนางฟ้านางสวรรค์ที่มีผู้คนต่างแห่แหนมาลุ่มหลงและฝักใฝ่ พลอยตกอยู่ในบ่วงแห่งกามารมณ์อภิรมย์ใจ ทำให้ชายหนุ่มฉุกคิดอยากจะตีตราประทับไปที่ผิวพรรณผ่องใส เสมือนฝากฝังร่องรอยตีตราจองความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของด้วยความหวงแหน

ไหนจะขี้แมลงวันที่หางตาเรียวเล็กที่เขาได้ยื่นหน้าไปจุมพิต ทุกสิ่งมันเพิ่มพูนความงดงามมากกว่าจะเป็นข้อตำหนิมาโต้แย้ง

‘คัตก่อนค่ะ เราจะมาบรรยายแบบนี้จริงๆ เหรอคะพี่มุตา’

‘โอ๊ยอีเหี้ยกำลังได้เข้าได้เข้าเข็ม มึงนี่จริงๆ เลยนะอีรัชนก ก็เดี๋ยวมีอีพวกมาครหาว่านิยายมีแต่คำหยาบคาย ภาษาก็ห้วนห่วยแตกอีก ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนแนวในตอนนี้ให้เหมือนนิยายแปลสุดความสามารถ เข้าใจไหม  ? จะให้คนมาติฉินนินทาไม่ได้ แสดงความสามารถการบรรยายให้เขาดู’

‘อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะพี่ตา แล้ว...เขาจะไม่หาเวิ้นเว่อไม่ถูกความหมายเหรอคะ ?’

‘ก็ช่างหลีแม่มัน เอาใจยากเหลือเกินอีพวกดอกทองนักอ่านประสาทแดกบางคน’’

‘งั้นฐาปนีย์ขอสานต่อนะคะ’

‘ค่ะๆ เชิญต่อเลย’

‘โอเคค่ะ’

บรรยากาศภายนอกที่ท้องนภากลายเป็นดำทะมึน ไร้แสงดาวเจิดจรัสให้ผู้ใดมาพบเห็น สายลมพัดผ่านไปตามทิศทาง ปัดเป่าเหล่าบุปผางามให้ต้องลมแรงและโอนเอียน แตกต่างจากภายในบ้านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศพิสมัย ร่างขาวบางที่มีเส้นผมยาวเหยียดสีดำสนิทเป็นเส้นตรงถึงกลางแผ่นหลัง ปอยผมด้านหน้าช่างขวางหูขวางตาสำหรับใครบางคนยิ่งนัก ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวยาวขาวผ่องจะปัดปอยผมไปด้านหลังให้อย่างทะนุถนอม ลอบมองหน้าอกที่อัดแน่นไปด้วยฟองน้ำทำให้เหมือนอิสตรีเพศ ไล่สายตาลงต่ำเพื่อเพ่งพินิศไปที่ไหปลาร้าขาวๆ ที่มีผิวพรรณกระจ่างใส ราวกับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูแลมาอย่างดีเยี่ยมไม่ต่างจากลูกคุณหนู แต่แท้จริงก็เกิดจากการหมั่นทาครีมบำรุงผิวประทินโฉม ดวงหน้าอ่อนเยาว์ก็เต็มไปด้วยเครื่องสำอางที่แต่งแต้มสีสัน อายไรเนอร์สีน้ำตาลอ่อนถูกปัดตกลงมาที่หางตาเล็กน้อย ชวนเหงาหงอยเหมือนเด็กซึมเซา ช่างออดอ้อนหัวใจชายฉกรรจ์เหลือเกินจะกล่าว ก่อนที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจะเลื่อนลงต่ำจากเอวคอดเล็กเปลี่ยนไปบีบขย้ำไปที่สะโพกผาย เคล้นคลึงผิวเนื้อผ่านกางเกงขาสั้นที่โชว์เรียวขาผุดผาด

“หนูอยากเหรอคะ ?” คำถามที่เคยประเดประดังเข้ามาในหัวทำให้ต้องปริปากมากระซิบกระซาบเสียงหวาน ล่อลวงต่อมกำหนัดของเด็กน้อยบางคนที่พยักหน้ารับกล้าๆ กลัวๆ ริมฝีปากเล็กขบเม้นอย่างเก้อเขิน เห็นแล้วช่างน่ารักใคร่อย่างยิ่งยวด

“อืม” แค่คำบางคำที่เอ่ยปากตอบรับ แต่นำพาให้หัวใจคนฟังต้องเต้นไม่ตรงจังหวะ สุรเสียงที่ขานรับช่างไพเราะดุจระฆังที่ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งดังกังวาน

เมื่อคำพูดและการกระทำสื่อถึงความหมายเจตนารมณ์ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นไปสัมผัสที่ผิวเนื้อโดยตรง ปัดผ่านเรือนกายกะทัดรัดให้ซาบซ่าน ความเสียววูบแล่นไปถึงโสตประสาท หลุดร้องครวญครางดังกังวานราวกับเป็นคนอ่อนไหวในการแตะเนื้อต้องตัว

ยามปลายนิ้วทั้งห้ามาถึงชายเสื้อจั๊มเอวก็จับเลิกขึ้นสูง ก็เห็นร่องสะดือตื้นลึกสะอาดสะอ้านและยกทรงที่ทำให้ส่วนหน้าอกหน้าใจดูใหญ่โตโอฬาร

ชายหนุ่มไม่เสียเวลาทำการ ปลดแก้ตะขอจากด้านหลังอย่างชำนิชำนาญ

สายยกทรงลู่ตกลงที่ลาดไหล่เล็กเพราะความหลวมที่มากจนเกินไป อีกทั้งอาภรณ์เบื้องหน้าที่บดบังก็ไร้ทีท่าจะถอดถอน กลายเป็นกึ่งถอดกึ่งโป๊เปลือยให้อีกฝ่ายได้เพ่งพินิศ สำรวจเรือนร่างนุ่มนิ่มและตุ่มไตสีสวยคล้ายลูกกวาดแสนหวาน ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะโน้มลงมาหยอกเอินที่เนินอกเล็ก ใช้ซี่ฟันกัดลงที่ยอดปทุมถันให้เสียวซ่านที่ยากเกินจะหักหาญ

มือเล็กจิกลงที่บ่าไหล่เฉียงกว้าง เชิดหน้ากรีดร้องครวญครางหวานล้ำกับความหฤหรรษ์ที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ปลายนิ้วเท้าจิกเกร็งไปหมด ถูกดูดดุนอย่างโชกโชนและโลมเลียให้เปียกปอนไปที่เนินอก หยาดน้ำลายเปรอะเปื้อนที่ผิวเนื้อตัดสีผิว

ห้องสีขาวที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเล่นเกมมิ่ง รวมไปถึงโซฟาสีน้ำตาลอ่อนที่อยู่ตรงมุมซ้ายมือของห้อง เสียงของหูฟังยังเล็ดลอดเสียงเพลงที่ชายหนุ่มได้เปิดค้างทิ้งไว้ ก่อนจะยื่นมือไปถอดสายหูฟังออก ปล่อยให้เสียงลำโพงดังเซ็งแซ่ภายในห้องขณะกำลังปรนเปรอบนหน้าอกเล็ก สลับไปที่ตุ่มไตอีกข้างบ้างอย่างไม่เอาเปรียบ

“อ๊า” เสียงครางสุขสมในตัณหาช่างหวานแหวว เปรียบเสมือนฝันที่รอคอยมาเนิ่นนานให้อดรนทนไม่ไหว ฝ่ามือเล็กเลื่อนขึ้นไปจิกทึ้งที่เส้นผมดกดำ พลางปรอยตาหวานฉ่ำใส่ร่างสูงที่มีกล้ามเนื้อแน่นหนา นึกอยากจะให้อีกฝ่ายเปลื้องผ้าโชว์เนื้อหนังมังสา หวังจะได้เชยชมสิ่งผงาดดุดันน่าเกรงขาม

“อ๊ะ ดะ เดี๋ยวหยุดก่อน” สุรเสียงเอื้อนเอ่ยด้วยอารามตกใจ เมื่อคนตรงหน้ากระแทกกระทั้นผ่านเนื้อผ้าพร้อมส่งเสียงหึ่ม มิหนำซ้ำยังละเลงปลายลิ้นร้อนที่ตุ่มไตสีสวยไม่หยุดหย่อน

“ได้ค่ะ” เมื่อผละออกจากยอดอกเล็กเพริศ แววตาคมกล้าก็ดูเศร้าสลดราวกับอาลัยอาวรณ์ เสียงทุ้มแหบพร่าชวนร่างเล็กหลอมละลายคล้ายดึงดูดให้อยู่ในห้วงละเมอแห่งการดำดิ่ง ทั่วปรางขาวพลันแดงปลั่งเหมือนผลไม้สุกงอม

ร่างระหงสบสายตาคนรักที่ไม่ยอมละสายตาหนีไปไหน ปลายนิ้วที่สวมใส่ถุงเท้าสัมผัสลงที่พื้นห้องเย็นเฉียบ ก่อนจะหมุนกายหันหลังไปที่หน้าจอคอม พรมนิ้วบนแป้นพิมพ์เสิร์ชหาช่องยูทูปก่อนจะเปลี่ยนไอดีล็อกอินเป็นของตนเอง ระหว่างนั้นก็ปล่อยให้ร่างสูงลอบมองที่ก้นงอนงาม ใช้เวลาไม่เกินสามนาที เสียงเพลงอิโรติกที่คนตัวเล็กไว้ใช้แต่งประกอบฉากเรทในนิยายก็บรรเลง แรกเริ่มด้วยเพลง ‘Jessie J - I Got You (I Feel Good) (Fifty Shades Freed Original soundtrack)’ เสียงดนตรีอึกระทึกในห้องเก็บเสียง ก่อนที่ร่างละม้ายหญิงสาวจะหมุนกายมาจ้องอีกฝ่ายตาพราวระยับ แลบลิ้นเลียริมฝีปากล่างล่อลวงต่อมกำหนัด ฝ่ามือดันสิ่งของด้านหลังก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนตั่งโต๊ะที่แข็งแรง

“มองอะไรเหรอคะ ?” เสียงหวานเปรียบเสมือนยาพิษให้น่าหยิบยื่นมาลอบชิม อีกทั้งอิริยาบถยั่วยวนก็ค่อยๆ แหวกขาตามจังหวะดนตรีเสียงร้อง

wow, I feel good, I knew  that I would now (ว้าว ฉันรู้สึกดี ฉันรู้แล้วตอนนี้)

“อึก” เสียงลอบกลืนน้ำลายลงคอดังเครือมาเบาๆ จากชายหนุ่มหน้าตาดี พลางลอบมองท่วงท่าพิศวาสที่แหวกขาออกกว้าง ก่อนจะหุบขาลงราวเชื้อเชิญปั่นประสาท ปลดแก้กระดุมและค่อยๆ ร่นกางเกงขาสั้นออกจากเรียวขาสวยอย่างเชื่องช้าเก้ๆ กังๆ พลันยกเท้าขึ้นสูงเผยให้เห็นแก้มก้นงามพริ้ง ใบหน้างามแฉล้มเอียงคอแนบลงกับลาดไหล่ คลี่ยิ้มร้ายอย่างชอบใจกับการทำให้คนคนหนึ่งต้องทุกข์ทนทรมาน

ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถทนทานต่อกิเลสราคะได้ ความผิดชอบชั่วดีเลยขาดผึง ยามร่างสูงลุกจากที่นั่งรุดกายเข้าไปยันฝ่ามือลงที่ตั่งโต๊ะข้างร่างเพรียวบาง ทั้งสองตาประสานตาอย่างเสน่หาเจือราคะ กักขังเด็กตัวน้อยไม่ต่างจากกระต่ายขนฟูที่หาญกล้ามาต่อกรกับสัตว์ล่าเหยื่อจำแลงกาย

“เกินไปแล้วนะ” เสียงทุ้มดูสั่นเครือไม่ต่างจากหัวใจที่สั่นไหว

อีกฝ่ายฉุกคิดว่าคนตัวเล็กจะมีสายตาหวั่นไหวอย่างคร้ามเกรง แต่ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น

“หมายถึงอะไรเหรอคะ ?” เรียวแขนเล็กยื่นขึ้นไปโอบรอบลำคอของชายหนุ่มที่อยู่ไม่เป็นสุข ซ้ำยังใช้คำลงท้ายคะขาไม่ต่างจากหญิงสาวนางหนึ่ง แปรผันราวกับเป็นคนละคนที่นนทวัฒน์ไม่เคยรู้จัก เสมือนสิ่งที่เห็นประจักษ์ตาอยู่นี้เป็นอีกหนึ่งตัวตนที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัว

เสียงดนตรียิ่งปลุกเร้าเสน่หากามารมณ์ มือที่เคยยันอยู่ที่พนักพิงเลื่อนขึ้นมาประคองใบหน้าชวนชม ไม่นานก็ถือวิสาสะล่วงเกินเข้าไประดมจูบ สอดลิ้นเข้าไปในริมฝีปากเล็กที่เผยอออกกว้าง อาศัยจังหวะนั้นกวาดต้อนลิ้นเล็กให้เข้ามาพัวพัน

หยาดน้ำลายเปียกชุ่มในโพรงปากหวานฉ่ำ ดื่มด่ำกับรสชาติจุมพิต คนที่ถูกไล่ต้อนเริ่มครางอื้ออึงในลำคอหมายเป็นการประท้วง ละริมฝีปากออกห่างก็รีบกอบโกยลมหายใจเข้าปอดอย่างว่องไว ตาหวานฉ่ำกับเรียวตาแข็งกร้าวที่ต่างสบประสาน หยาดน้ำลายก็ติดยืดที่ริมฝีปากของคนทั้งคู่ บ่งบอกถึงความลึกซึ้งที่ยากจะทานทน

นนทวัฒน์แลบลิ้นตัดสิ่งเชื่อมโยง เอ่ยบอก “หนูก็น่าจะรู้ตัวดี” พลันเลื่อนฝ่ามือทั้งสองข้างลดต่ำลงมาที่เอวคอดกิ่วอีกครา เกี่ยวขอบกางเกงชั้นในตัวเล็กที่มีสีแดงฉาน ขับผ่องผิวเนื้อเนียนนุ่มให้ขาวนวลประดุจหงส์ ค่อยๆ ปลดอาภรณ์เบื้องล่างลู่ลงมาที่ข้อเท้าผ่องใส ทำให้อ๊อกต้องยกสะโพกขึ้นมาเล็กน้อย สะดวกต่อการปลดเปลื้องด้วยความยินดี อิริยาบถยั่วยวนเสมือนปีศาจจำแลงกาย ประหนึ่งเป็นตัวแทนแห่งตัณหาในเจ็ดบาป

“งั้นเหรอ” เสียงเล็กขานรับอย่างยั่วเย้าปั่นประสาท นิ้วเรียวจงใจสอดไซ้เรือนผมดกหนาอย่างเย้าแหย่ ขาเรียวนวลถูกลูบไล้อย่างลุ่มหลง ก่อนจะมานวดคลึงที่สะโพกผายกลมกลึง ทำนนทวัฒน์หลุดเสียงขรมคำรามดังซี๊ดซ๊าดด้วยความเสียวกระสัน จินตนาการภาพในหัวเต็มไปหมด นึกอยากจะกระทุ้งกายหนักๆ ใส่ร่างจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์

หัวใจระทึกครึกโครมเมื่อบทเพลงที่ผ่านมาสิ้นสุดลง ตามมาด้วยเพลง ‘Sam Tinnesz - Play With Fire.Yacht Money’ ก่อนที่นนทวัตน์จะผละกายออกห่าง ปลดแก้กางเกงยีนส์ที่ได้แต่งตัวไปทำธุระกงการข้างนอก ยามนี้กลับรีบถอดถอนภายในบ้านอย่างว่องไว พร้อมกับโน้มหน้าไปบดจูบริมฝีปากนุ่มหยุ่นอีกครั้งหนึ่งอย่างอาลัย พานแทรกกายเข้าไปที่ระหว่างเรียวขาที่อ้าออกกว้าง เผยชั้นในสีดำสนิทที่บดเบียดกับร่องก้นของอีกฝ่าย

“อาห์” ร่างสูงกระหยิ่มยิ้มชอบใจ ขบเม้มริมฝีปากอีกฝ่ายไม่ต่างจากหนุ่มน้อยสะคราญโฉม ก่อนที่ปลายนิ้วชี้จะสอดแทรกเข้าไปที่ร่องหลืบ สำรวจโพรงหยักนุ่มและอุณหภูมิอุ่นร้อนภายในกายา ช่องทางสีสดช่างสวยพริ้งราวลูกอมสีแดงระเรื่อ ผนวกกับสีหน้าของเด็กน้อยที่เชิดขึ้นร้องครางระงม ก่อนจะถูกร่างสูงลอบสูดดมกลิ่นกายหอมหวานอย่างหื่นกระหาย เพิ่มจำนวนนิ้วจากหนึ่งเป็นสอง ไม่นานก็กลายเป็นสามนิ้วที่แทรกแทรงเข้ามา ขยับปลายนิ้วถี่รัวทำอ๊อกน้ำตาไหลผุดซึมผ่านหางตา ครางลั่นห้องยิ่งกว่านางเอกเอวี

“อะ อ๊า โอ๊ย สะ เสียว พะ พี่นนท์ แฮ่กๆ” เสียงหอบเหนื่อยดังประท้วง ดวงตาสีนิลแพรวพราวทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอานิ้วออกจากร่องสวาท แม้จะนึกเสียดายที่ไม่มีอะไรค้างคาอยู่ภายใน แต่ทว่าสิ่งที่วาดหวังก็สมปรารถนาในไม่ช้า ยามที่ปลายนิ้วเล็กเกี่ยวปราการสุดท้ายที่มีรูปร่างใหญ่โตโออ่าของท่อนเนื้อยักษ์ แลบลิ้นเลียริมฝีปากทำคนมองเผลอไผลไปชั่วขณะหนึ่ง

“หนูจะทำอะไรคะ ?” เสียงทุ้มถามซื่อๆ เหมือนไม่หยั่งรู้ ทั้งที่รู้แจ้งทุกท่วงท่าของอีกฝ่ายที่โน้มหน้าลงต่ำ ใช้ฝ่ามือจับที่ชายเสื้อของเขาแน่น จากนั้นก็เลิกเสื้อขึ้นสูงเป็นการปลดเปลื้องอาภรณ์อย่างรีบร้อน เพียงไม่นานกางเกงชั้นในราคาแพงที่มีสิ่งเร้ากำลังซุกซ่อนอยู่ภายในก็ถูกกระตุ้นด้วยแม่นางทั้งห้าที่นวดคลึงอย่างย่ามใจ ถือว่าเป็นการกระตุ้นอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม พลอยให้สิ่งนั้นผงกอย่างแข็งขืน

ร่างแน่งน้อยเลื่อนปลายนิ้วชี้ขาวดั่งหยกขึ้นมาเกี่ยวที่ขอบกางเกงชั้นใน ร่นลงมาช้าๆ จนเผยปลายหัวองคชาติและไรขนดกหนาโผล่พ้นแพลมออกมาให้เห็นประจักษ์ตา

ดวงตากวางกวาดดูระเริงรื่นชอบอกใจชอบใจกับสิ่งที่เห็น ทิ้งปราการให้อยู่ที่กึ่งกลางของท่อนขาใหญ่ ก่อนที่ปลายนิ้วทั้งห้าจะกอบกุมสิ่งสงวน ชักรูดขึ้นลง อีกทั้งยังมิวายเงยหน้าขึ้นไปสบสายตาด้วยสีหน้าเซ็กซี่เหมือนเด็กเจนจัด หอบกระเส่าและจูบลงที่แผงอกกำยำอย่างปรีดา

“อยาก” แค่คำๆ เดียวที่เอ่ยออกมาอย่างออดอ้อน ก็มากพรที่จะทำให้นนทวัฒน์รีบจับต้นขานวลแหวกออกกว้าง พาดผ่านที่บนบ่าไหล่ของตนเองอย่างว่องไว ท่วงท่าหมิ่นเหม่ช่างอนาจารยิ่งนัก แต่ก็ดูดีไร้ที่ติเมื่อมันเกิดมาจากคนที่ชอบ ซ้ำคนที่ชอบยังเอาปลายนิ้วกรีดกรายไปที่ร่องซิกซ์แพ็กกล้ามหน้าท้องของเขาอีก ปลายนิ้วไล่เกลี่ยที่รอยสักรูปปืนก่อนจะลดต่ำลงมาประคองแก่นกายขนาดใหญ่ที่ผงาดแข็งขืนเครียดตึงมาประจบที่ร่องสวาท

ใบหน้าแฉล้มแหงนขึ้นไปสบตานนทวัฒน์ที่ก้มมองตั้งแต่แรก ขยับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่เอ่ยเสียงหวานออเซาะให้ระแคะระคายใจ

“หนูอยากโดนปืนยิงแรงๆ”

มีหรือที่ผู้ชายเจนจัดและลุ่มหลงอย่างเขาจะทัดทานคำปรารถนาเหล่านั้นได้ ?

ไม่เกินเสี้ยววินาทีปลายหัวของแก่นกายก็ค่อยๆ บดขยี้สอดใส่เข้ามาในร่องสวาท เติมเต็มจนคนตัวเล็กต้องเอนตัวหงายหลัง หัวแทบโขกกับหน้าจอคอมอย่างเฉียดฉิว พลางขบเม้มริมฝีปากล่างอดทนอดกลั้นกับความเจ็บปวด ค่อยๆ เบิกตากว้างและเผยอปากร้องครวญครางดังเพราะพริ้ง ลิ้มลองรสชาติเสพสังวาสทีละนิด “อะ อ๊า”

ชายหนุ่มรีบโน้มหน้ามากระซิบข้างกกหูของร่างนุ่มนิ่ม น้ำเสียงที่ใช้ทั้งทุ้มละมุนและเซ็กซี่ยิ่งกว่าที่เคยพูดให้ใครได้สดับรับฟัง

“จะยิงไม่ยั้งเลยค่ะ คอยดู”

‘พี่ตาคะ...นกใจคอไม่ดีเลย’

‘อีนก มึงขัดอารมณ์คนอ่านอีกแล้ว’

‘ก็นกกลัวนี่คะ นี่เขาจะเย็-กันแล้ว ยาดมน้องนกนี่ก็พร้อมแล้วค่ะ กลัวหายใจไม่ค่อยทัน ว่าแต่พวกพี่ตาก็กรี๊ดกร๊าดกำเดาจะไหลออกจากรูจมูกแล้วนะคะ’

‘สาระแน หุบปากเงียบๆ ได้ไหม ไม่ต้องผุดเข้ามาในห้วงมโนในการบรรยายเยอะ’

‘จะได้เป็นไปได้ไงคะพี่ตา (บิดตัวไปมา) ก็เราอยู่ในห้วงมโนของน้องอ๊อกอยู่นี่คะ’

‘เออก็จริง’

‘คนบ้าไรชมตัวเองสะคราญโฉม มั่นหน้ามากเลยนะคะพี่ตา’

‘ตาพ่อตาแม่มึงอะ อีสัตว์ เขาจะเย็-กันแล้ว’

‘พี่ตาอย่าหยาบคายสิคะ เดี๋ยวอีพวกประสาทแดกก็มาด่าหรอกค่ะ’

‘...’

‘นกว่าถ้าขืนยังมีพวกประสาทแดกอยู่ เอามีดไปปาดคอมันเลยดีไหมคะพี่ตา ?’

‘ความคิดหล่อนก็เข้าท่าดีนะ’

‘งั้นฐาปนีย์ขอหยุดการบรรยายสละสลวยแต่เพียงเท่านี้ ถือเสียว่าเป็นการตบหน้าพวกประสาทแดกที่ครหาว่านิยายบรรยายห้วนจนเกินไป เพราะเรื่องราวต่อจากนี้จะถือเสียว่าเป็นแค่เรื่องเล่าและสิ่งที่หมายมั่นมาตั้งแต่แรกเริ่ม

นิยายของอีอ๊อกยังมีบทบรรยายสละสลวยอีกมากมายให้คัดสรร แต่เรื่องราวชีวิตจริงขอบรรยายรวบรัดก็เกินพอ

ต่อจากนี้คือฉากเอ็นซี หรือฉากวิมานชวนลุ้นระทึกประทับอกประทับใจในการเย็-

เตรียมยาดมกันให้พร้อม เตรียมทิชชู่ซับกำเดาไหลผ่านรูจมูก นับจากนี้จะเป็นวิชาที่ฝึกฝนจากการดูพอร์นมาเป็นร้อยกว่าคลิป แสดงฝีไม้ลายมือยิ่งกว่าเด็กสก๊อยหมอยเพิ่งขึ้น

เลือกได้ว่าจะบรรยายแบบไหน เลือกได้ว่าจะชอบเสพการบรรยายแบบใด แต่สิ่งที่ไม่สามารถเลือกได้คือการเอาใจคนส่วนน้อยให้ถูกจริตกับแนวที่ชอบ

การเย็-ก็เหมือนการฝึกฝนในการบรรยาย ขอตบหน้าพวกที่ชอบด่าผลงานคนอื่นย่ำแย่และเสียดสี

มึงเคยเห็นของจริงแล้วหรือยัง ? ที่ขอไม่บรรยายนับต่อจากนี้ ก็เพราะเหนื่อยล้ากับการมาเวิ่นเว้อพรรณนาภายในหัว

เงี่ยนก็คือเงี่ยน จะเย็-ก็คือเย็- ไม่ต้องมาแก่นกายแทนคำสวยหรูหรือฉากองค์ประกอบครบถ้วนสมบูรณ์แบบ

อยากได้ภาษาสวย อยากได้นิยายชนชั้นสูงมโนเพ้อเจ้อคิดว่าตนเองเป็นราชนิกุล และมาครหาว่าอีคนแต่งตลาดล่าง เชิญผายมือไปทางอื่นค่ะ (ยิ้ม) ยกมือสวัสดีบ๊ายบายอีดอกทอง

เมื่อสิ้นสุดเสียงเพลงที่สอง เพลงที่สามก็ดังขึ้นให้หัวใจสั่นไหว บรรเลงเพลง ‘Good thing - Zedd & Kehlani’ เป็นจังหวะดนตรียั่วยวนเสน่หา เปรียบเปรยถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เพียบพร้อมทุกอย่าง รักตัวเองและชอบในการโดนชื่นชม

เฉกเช่นตอนนี้…

เสียงทุ้มที่กล่าวออกมาจากปากพี่นนท์ “หนูเซ็กซี่มากเลยนะคะรู้ไหม ?” สิ้นประโยคก็กระทุ้งกายเข้ามาหนักๆ ทำเอาอีอ๊อกจุกจนไปถึงลิ้นปี่ ต้องเอียงหน้าหนีไปซบกับลาดไหล่ พานเม้มปากสะอื้นไห้ปนครวญคราง

ถามว่าเสียวมากไหม ? โคตรจะเสียว

แต่ถ้าถามว่าตอนนี้เป็นตัวของตัวเองไหม ? ก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน

ความรู้สึกดอกทองกับเรื่องเซ็กส์ทำให้ตัวเองดูเป็นคนร่านรักสิ้นดี ท่วงท่าก็พิศวาสหวังให้อีกคนตายใจกับสิ่งที่เห็น ก่อนจะยื่นแขนไปโอบลำคอแกร่ง พลันถูกกระแทกรัวแรงไม่เว้นจังหวะให้พักหายใจ

“อะ อ๊า อ๊า” อ๊า อีเหี้ยจะครางดังไปแล้วนะ เพลงแม่งก็บิลด์อารมณ์ดีเลยอีฉิบหาย ลำตัวสั่นโครงเครงไปหมดเหมือนคนเป็นโรคชักกระตุก

แม่คะ ! อ๊อกกำลังจะตาย !

ขออนุญาตโยนไมค์ส่งต่อ !

‘ฐาปนีย์รับไมค์ส่งต่อเป็นที่เรียบร้อย ณ ตอนนี้ร่างละม้ายหญิงสาวกำลังถูกอัดกระแทกยิ่งกว่านักมวยที่เตะต่อยกระสอบทราย รูเล็กๆ บัดนี้บานตะไททำให้ดิฉันนึกถึงหนังการ์ตูนนินจาที่มีเนตรวงแหวน ฐาปนีย์ขออนุญาตเบิกเนตรสีขาวเพื่อดูไปถึงเนื้อเยื่อภายใน ปลายหัวองคชาติกำลังจี้จุดต่อมกำหนัดให้คนร่านรักต้องร้องลั่นดังระทวย’

คนตัวเล็กยังคงเม้มปากอดกลั้น ดิฉันเห็นแล้วเศร้าใจมากเลยค่ะคุณกิตติคะ ยามอีกฝ่ายน้ำตาไหลปริ่มผ่านหางตา มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสงสารยิ่งกว่าข่าวที่ฉันเคยไปทำเกี่ยวกับประเทศหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กคนนี้จะมีความสามารถที่แบกรับเรื่องทุกข์ระทมได้มากขนาดนี้ ร้องไห้ไปก็ครวญครางไป ฝ่ายคุณหฤษฎิ์ยังไม่มีทีท่าจะลดการจู่โจมลง อัดกระแทกรัวแรงยิ่งกว่าฆาตกรจ้วงแทงคน

โอ้พระเจ้า ไม่นะ ดิฉันเห็นน้ำหนืดๆ สีใสผลุบเข้าออกระหว่างรูและหรรมที่ผสมพันธ์เผ่าพันธุ์กันด้วยค่ะ ! พาลให้นึกถึงสัตว์ที่กำลังเย็-กันบนฟากถนน แต่ช่างน่าดีใจที่ทั้งสองฝ่ายเอากันในถิ่นฐาน ฉะนั้นดิฉันจะไม่ทำให้ทุกคนต้องหมดอารมณ์กับฉากเอ็นซีพรรค์นี้ แม้ภาพในหัวกำลังมีภาพหมาและแมวกำลังปี้กันอย่างคึกคักก็ตามที

ตัดภาพมาที่ฝ่ายของชายหนุ่มที่ยกร่างเล็กเสียจนตัวลอยประหนึ่งอุ้มตุ๊กตา ภาพในหัวตอนนี้เลยทำให้ฉันและชาวบ้านที่เกาะอยู่ตรงขอบสนามพานลุ้นระทึกไปตามๆ กัน ลิงอุ้มแตงเกิดขึ้นและถี่รัวที่ช่องรูทวารหนัก ตุ๊กตาที่ถูกจ้วงแทงแทบหลุดขนปุยนุ่มออกจากช่องทางสีสด แต่ช่างน่าดีใจที่ทำแท้งมาอย่างดีเยี่ยม มิเช่นนั้นเราได้เห็นสิ่งปฏิกูลในระหว่างการถ่ายทำอย่างแน่นอน

อ่าว ตายแล้ว ทางผู้ชมทางบ้านกำลังพะอืดพะอมขณะกำลังแดกข้าวอยู่ พลอยสำลักและแดกไม่ลงกับภาพที่เปรียบเปรยให้เห็น ดิฉันขอแนะนำให้หยุดแดกสักประเดี๋ยว ผายมือไปที่ร่างของเด็กหนุ่มหน้ามนที่ร้องครางลั่นห้องคลอไปกับเสียงเพลงอิโรติก

“อ๊า อ๊า อื้อ สะ เสียว อ๊า อ๊าง” ทำกูเสียวไปด้วยเลยอีฉิบหาย นึกอยากจะสวดมนต์ปลอบขวัญกำลังใจและขอให้พระผู้เป็นเจ้าปกป้องเด็กหนุ่มคนนี้ให้อยู่รอดปลอดภัย น้ำตาของฐาปนีย์หลั่งเป็นสาย ยามคนตัวเล็กซุกหน้าลงกับบ่าไหล่ของคนตัวโต ก่อนจะถูกอุ้มกระเตงมาที่โซฟาข้างมุมผนังห้อง จังหวะนั้นก็ยังไม่ลดความเร็วถี่ในการเย็-

ความร่านและความคันช่างหอมหวาน แม้แต่คารามายก็ไม่สามารถช่วยลดการคันระคายเคืองบนผดผื่นสิ่งนี้ได้

คำถามคือคุณคิดว่าเจ้าโลกคืออะไรคะ ?

จับเวลาค่ะ !

‘นก นกว่าคือโค่ยค่ะ โค่ยๆ คิด โค่ยๆ พูด โค่ยๆ ทำ’

อันนี้ถือว่าก๊อปเขามาค่ะ เราจะไม่นับคะแนน พร้อมกับหักคะแนนติดลบข้อหาดอกทองคิดไม่เป็นอีจัญไร หันกลับมาที่ฝั่งทางคุณมุตา คุณคิดว่าอำนาจคืออะไรคะ ?

‘อำนาจคือสิ่งที่ต้องใช้หีค่ะ หีรีโอตัปปะ ต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี’

เป็นคำตอบที่เลิศมากเลยค่ะ ! หวังว่าคุณมุตาจะไม่ก๊อปใครมานะคะ

‘เลิ่กลั่กแล้วค่ะ’

‘มันก๊อปจากในทวิตมาค่ะ !’

‘อีนก เผียะ!’
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบ [3/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 03-01-2020 15:24:16
และแล้วอำนาจของหีรีโอตัปปะก็ไม่บังเกิดผลค่ะท่านผู้ชมทั้งหลาย ร่างผ่ายผอมถูกโอบประคองลงกับเบาะ ก่อนที่มือหนาของชายฉกรรจ์จะจับตรึงที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง เกิดการเล่นโยคะฝึกฝนเกร็งกล้ามเนื้อ พลันชายหนุ่มย่อเข่าลงต่ำ อัดกระทุ้งปลายหัวเข้าสู่โพรงหยักนุ่ม เลียริมฝีปากบอก “ชอบไหมคะท่านี้”

โอ๊ย ชอบค่ะ ชอบมากๆ เลย ! เห็นแล้วเสี้ยนตามไปด้วยเลยค่ะ !

“พะ พี่นนท์แรงไป อ๊า ลึก ลึกเกินไป อื้อ” ลึกอีกค่ะ ลึกให้หัวคว-ทะลุออกจากปากตายห่าไปเลย ! ร่านดีนัก ! ฐาปนีย์เห็นแล้วหมั่นไส้ กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหโกธา พลันเขวี้ยงไมค์ทิ้งไม่สัมภาษณ์แม่งแล้ว พอกันที !

อิจฉา !

“ของหนูแฉะไปหมดเลยค่ะ” ฝ่ายพี่นนท์เอ่ยปากหยอกเย้า เสียงสวบสาบที่ไม่ใช่การย่างเท้าดังมาจากรูร่านๆ ของอีเด็กตอแหลอย่างผมคนนี้ ก่อนจะยื่นมือไปยันที่กล้ามหน้าท้องแกร่งที่โน้มกายลงมาหา ริมฝีปากของผมก็เปียกเปรอะ น้ำตา

แก แกว่าฉันจะโดนเย็-จนตายไหมอะ ?

'ก็ไม่แน่นะคะ นกจะเอาใจช่วยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ พี่ตา'

ฮึก อีอ๊อกชักจะทนไม่ไหวกับสิ่งที่อัดกระแทกถี่รัวปานบ้าดีเดือด ฉับพลันที่เสียงเพลงที่สามจบลง ก็ตามมาด้วยเพลง ‘50 Shades of Grey - Crazy in love’ ดวงตาที่เคยปิดสนิทของผมก็ปรือขึ้น ปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยั่วยวน ใช้เรียวขาเกี่ยวกระหวัดไขว้ที่ลำคอของอีกฝ่าย ออกแรงดันให้คนตรงหน้าทิ้งน้ำหน้าตัวลงมามากขึ้น ฝากฝังตัวตนทั้งหมดจนไรขนเสียดสีกับบั้นท้ายขาว ชั่วขณะนั้นเองผมก็หลุดร้องออกมาด้วยความเสียว พร้อมแหวกขาออกกว้างอย่างยั่วยวน ท่าทางค่อนข้างเก้ๆ กังๆ ยามหมายจะพลิกกายไปขึ้นคร่อม

อ๊อกชอบเล่นม้าหมุนค่ะ โดยเฉพาะท่าขี่ม้ายูนิคอร์น !

“ล้มลงไป” ผมสั่ง ก่อนที่พี่นนท์จะยอมทำตามโดยไม่คัดค้าน ฝ่ามือใหญ่จับลงที่เอวคอด ค่อยๆ พลิกตัวไปนั่งที่ฟูกนิ่ม ในระหว่างนั้นก็ยังมีสองสิ่งสอดประสานรวมกันอยู่

ผมเพิ่งเข้าใจว่าการควบขี่ม้าที่หาญกล้ามันช่างเสียวหนักยิ่งกว่าเดิมทวีคูณ ราวกับว่าสิ่งนั้นกำลังกระทบเสียดสีมาที่ต่อมกำหนัดภายในกาย ค่อยๆ ขยับสะโพกเนิบนาบอย่างไม่ประสีประสา พอควบคุมจังหวะได้ก็ทิ้งสะโพกขึ้นลง มือไม้จิกลงที่บ่าไหล่เปลือยเปล่าของคนตรงหน้า ร้องครวญครางไป “อะ อ๊า” ทั้งลูบไล้ไปที่แผงอกของเขาด้วย เชิดหน้าขึ้นด้วยความเสียวกระสัน หลับตาพริ้มรับแรงกระแทกที่เด้งสวนเข้าออกในร่องหลืบ “อ๊าง” หลุดร้องเสียงหลงโดยไม่ได้ตั้งใจ พลันปรือตามองพี่นนท์ที่เม้มปากแน่น ทำผมหมดเรี่ยวหมดแรงกับการขยับสะโพกตอดรัดแท่งเนื้อร้อน

“หมดแรงแล้วเหรอคะ ?” เขาถามเสียงทุ้มปนเซ็กซี่พลางเลิกคิ้วขึ้นสูง อีอ๊อกหน้าบึ้งตึงหอบแฮ่กอยู่ด้านบน  ไม่ทันได้เอ่ยปากโต้แย้ง ปลายนิ้วทั้งสองข้างของอีกฝ่ายก็ตีลงที่สะโพกของผมเสียงดังเผียะ !

“อ๊า จะ เจ็บ” แต่ชอบชะมัดเลย เผยสีหน้านิ่วคิ้วขมวดคล้ายไม่ชอบใจ

ไม่นานนักแววตาก็แปรผันเป็นออดอ้อนในบัดดล คาดหวังให้อีกคนสวนกระแทกเข้ามาในกาย ดับความราคะที่มีฤทธิ์ร้ายยิ่งกว่าภูติผีปีศาจสิงสถิต

และแล้วก็ถูกตอบสนองตามความคาดหวัง เสียงพึ่บๆๆ จึงตามมา เป็นทั้งเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่น แก้มก้นขาวผ่องก็ถูกบีบนวดและตีด้วยความมันเขี้ยว มิวายบีบเคล้นผิวเนื้อจนสร้างรอยปื้นแดงก่ำ ตีลงที่สะโพกงอนงามดังเผียะ ! จนมีรอยฝ่ามือใหญ่ปรากฎชัด

“อ๊า” ผมเผยอปากร้องลั่นครวญคราง ดวงตาปรอยไปหมดเหมือนคนใกล้สิ้นสติ แค่โดนไม่เกินสิบนาทีสตงสติก็แตกกระเจิง มือนิ่มทาบลงที่กล้ามหน้าท้องเกร็งแน่น เผลอลูบไล้ด้วยความชอบใจ ร่างกายพลันลอยเมื่อพี่นนท์จับคอดเอวเอาไว้แน่น จากนั้นก็ถี่แรงทั้งหมดด้วยโชกโชนจากเบื้องล่าง ส่งผลให้แก้มก้นเด้งไปมากับสิ่งที่ผงาดแข็งขืน

“อ๊า อ๊า อะ ฮือ เสียว อ๊า เสียว !” เสียวจนจะบ้าตายแล้วอีเหี้ย ! ไม่น่าไปยั่วเยพี่เขาเลย

เป็นไงล่ะอิ่มคว-เลยงานนี้...สมน้ำหน้ามึงอีอ๊อก !

“อาห์ หยุด ระ เร็วไปแล้ว” ผมพูดปรามเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตาไหลข้างแก้ม อารมณ์ซ่านเสียวทั้งนั้นที่ทำให้มีน้ำตารินไหล

เย็-จนต้องร้องไห้ เย็-จนต้องยกมือขึ้นมาเบญจางคประดิษฐ์ เย็-จนต้องร่ำร้องขอไว้ชีวิต

กำลังยกมือขึ้นมาพนมหวังจะไหว้ให้หยุดเถอะ แต่แรงถี่กระชั้นก็ทำให้ต้องเอามือกลับไปยันที่กล้ามหน้าท้องอีกฝ่ายดังเดิม พยายามจะยกสะโพกหนี แต่คว-ก็เหมือนอาฆาตแค้นพยาบาท เด้งเอวขึ้นตามติดจนผมต้องตบะแตก หยาดน้ำขาวขุ่นพุ่งกระฉูดเลอะลงที่แผงอกคนตรงหน้า แทบกระเด็นไปถึงปลายคางบริเวณสันกรามของคนหล่อเหลา

กูเสร็จเลยอีเหี้ย ! เย็-เหมือนเป็นสัตว์เดรัจฉาน !

“แฮ่กๆ” อีอ๊อกหอบหายใจรัวๆ ดีใจที่อีกฝ่ายหยุดแรงกระแทกเมื่อเห็นเราถึงจุดมุ่งหมาย หลังจากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นไปมองสบตา ก็เห็นพี่นนท์ที่เผยอปากหอบเหนื่อยพลันพรูลมหายใจทิ้งท้าย ก่อนจะเหยียดยิ้มกว้างอย่างนึกสนุก

“พี่ยังไม่เสร็จเลยค่ะ” จากนั้นทัศนียภาพของผมก็หมุนติ้ว  แผ่นหลังตนเองแนบลงกับเบาะนุ่มๆ ตามมาด้วยคนเบื้องบนที่ยังค้างคาสิ่งผงาดอยู่ภายในกาย บิดขยี้เข้ามาลึกมากขึ้นสร้างความเสียวกระสัน

ผมเผลอขมิบตอดรัดหรรมเพราะเสร็จกิจ

“ซี๊ดดด” เสียงเขาสบถลอดไรฟันบวกกับอารมณ์เสียวสุดขีด เขาจ้องหน้าผมไม่ยอมหยุด ตัวผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำหน้าทำตาเป็นแบบไหน แต่ที่แน่ๆ ต้องสวยมากแน่ๆ

แม่คะวันนี้อ๊อกเห็นท้องฟ้าแจ่มใส แม้จะมีเพดานสีขาวปิดกั้นทัศนียภาพก็ตามที

“แต่งไหม ?” ผมถามระหว่างยื่นมือไปโอบรอบลำคอ

พี่นนท์เอียงหน้าอย่างฉงน ตามเกมไม่ค่อยทัน “คะ ?”

ช่างแม่ง กูแต่งคนเดียวก็ได้ อีอ๊อกขี้เกียจพูดเป็นหนที่สอง

“ช่างเถอะ” จะเย็-ต่อก็เชิญเลยค่ะ ส่วนเมียคนนี้ขอนอนหอบแดกสิ้นสภาพหมดสมรรถภาพทางเพศ

อดนึกไม่ได้ว่าทำไมตอนเรียนไม่ขยันเหมือนตอนอ่านนิยายหรือขยันเย็-อย่างชาวบ้านเขา ปานนี้คงได้เกรดเอแหงๆ

หมายถึงเรียนน่ะเหรอ ?

เปล่า ผัวค่ะ

อีอ๊อกได้แต่นอนเหมือนปลาทูนึ่งแดด ก่อนจะหลุดร้องโหยหวนลั่นห้อง ฝ่ายพี่นนท์ก็กัดฟันเสียดสีพลางกระแทกกายไป น้ำหนืดๆ ที่ไร้สารหล่อลื่นจนร่างกายต้องผลิตขึ้นมาเอง เล่นเอาผมในทีแรกทั้งเจ็บและรู้สึกราวกับช่องทางนั้นกำลังฉีกขาด ดีที่เราเตรียมพร้อมมาดียิ่งกว่าเตรียมงานโปรเจคพูดในหน้าชั้นเรียนสมัยมัธยมต้น

นอนได้ไม่นานหวังจะพักผ่อนเอาเรี่ยวเอาแรง แต่ว่าที่ผัวก็กลับปลุกเร้าอารมณ์ให้แตกตื่น อีสิ่งที่เคยสลบไสลก็ค่อยๆ เริ่มผงาดขึ้นมาอีกครั้ง นี่คว-หรือไอติมแท่ง โดนปลุกปั่นก็โด่อีกครั้ง ทำอีอ๊อกดีดดิ้นทุรนทุราย

จากที่ขาดคว-ไม่ได้ ตอนนี้รู้สึกเข็ดขยาด แค่รอบแรกก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ยามจะใกล้ถึงจุดมุ่งหมายปลายทาง ก็เปรียบเสมือนโบกมือรถแท็กซี่ที่เปิดแสงไฟวูบวาบขึ้นมาว่า ‘ว่าง’ แต่พอจะไปก็เสือกบอกกูว่าต้องไปส่งรถ เติมแก๊ส เติมน้ำมัน อีพี่นนท์นี่ใช่เลย ว่างหยุดสักพักก็ขับรถเปิดแสงไฟไปรับคนอื่นต่อ

อีอ๊อกที่ดิ้นจนแอ่นตัวโก้งโค้งเหมือนศรธนู ได้แต่บิดตัวเร่าๆ อย่างกระสับกระส่ายเหมือนคนจิตไม่ปกติ อาการคันเหมือนคนแพ้คว- ทำให้เริ่มระส่ำระส่ายอยู่ไม่เป็นสุข เรียวขาซ้ายพาดผ่านอยู่บนบ่าไหล่ของอีกฝ่าย ขณะที่เท้าขวาแทบไร้เรี่ยวแรงทิ้งอยู่ตรงริมโซฟาจนตกลงไปเหยียบย่ำที่พื้นห้อง พลันจิกปลายเท้าเกร็งอย่างกระสันซ่านและแสบทรวงกับร่องหลืบที่ถูกกระทุ้งเข้ามา

พี่นนท์เว้นจังหวะหยุดและลอบมองสีหน้าของผมที่เห่อร้อนจนแดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่พลอยให้ฐาปนีย์ยังนึกสงสาร แต่ก็เป็นน้ำตาแห่งความร่านที่คันคะเยอ สมใจอยากก็เริ่มอิ่มหนำสำราญอยากให้ถอดถอนโดยไว

จำได้ว่าไม่ได้สั่งกับข้าวใส่หัวหอม แล้วทำไมพี่นนท์ถึงซอยถี่ดังพึ่บพั่บ

“ฮึก” กลิ่นหัวหอมแรงมาก เล่นเอาอีอ๊อกร้องไห้น้ำตาไหล “อะ อ๊า”


[นนท์ : พาร์ทพิเศษ]

ผมกำลังจดจ้องร่างขาวนวลที่อยู่ในชุดเอวลอย เส้นผมแผ่สยายไปตามฟูกลงที่นั่ง เห็นทั้งสีหน้าที่เจ็บริ้วและร้องครวญครางดังเสนาะหู ทุกอิริยาบถช่างยั่วยวนทำให้ผมคนนี้ไม่สามารถละสายตาหนีไปไหนได้ ยามใบหน้าหวานพริ้งร่ำไห้ ผมกลับชอบอกชอบใจที่จะได้รังแกเด็กตัวน้อยที่ขี้ยั่วราวกับเป็นคนละคน

จากทีแรกที่คิดว่าน้องเป็นคนใสๆ ที่ไหนได้กลับยั่วต่อมกำหนัดได้อย่างดีเยี่ยม ยิ่งน้องแต่งหญิงมาหาผมถึงถิ่นฐาน ไอ้สิ่งที่มันเคยนิ่งสงบมาตลอดเวลาก็กลับแข็งขืน ผมได้แต่ข่มอารมณ์แน่นและด่าทอตัวเองว่าอย่าไปทำมิดีมิร้ายน้องเขา กลัวว่าตัวเองจะพรากผู้เยาว์ แต่ที่ไหนได้ผู้เยาว์กลับตาลปัตรเป็นฝ่ายพรากให้ผมต้องตบะแตกเสียนี่ มาเสียบแก่นกายค้างคาอยู่ในร่องนุ่มๆ ที่ทั้งอุ่นร้อนและชื้นแฉะ

ผมผินตาลงต่ำลอบมองที่ช่องทางสวาทสีสวย จับจ้องรูสีแดงก่ำจากการถูกเสียดสีจนบวมยั่วอารมณ์เพศ ก่อนจะกระแทกแก่นกายเน้นๆ ไปหนึ่งทีให้อีกคนจุกเล่น อีกฝ่ายร้องครางลั่นห้องทำเอาผมแค่นหัวเราะพอใจ แลบลิ้นเลียริมฝีปากและซอยรัวๆ ในโพรงหยักนุ่มถี่กระชั้นรัวแรง

อ๊อกเป็นคนที่หน้าตาน่ารักมาก ยิ่งอยู่ในสภาพเหมือนผู้หญิงยิ่งดูดีไร้ที่ติ แก่นกายเล็กที่ก็ใหญ่เหมือนกับผู้ชายทั่วไป แต่ก็ไม่ได้เทียบเท่ากับของๆ ผมที่ใหญ่โตโออ่า ทำเอาน้องเบิกตากว้างมาเป็นหนที่สอง

ผมจับข้อเท้านิ่มมากุมไว้ที่บริเวณบ่า ส่วนร่างน้องนั้นนอนแผ่หลาไปเป็นที่เรียบร้อย ผมก็เหยียดยิ้มร้ายขณะที่น้องหลับตาพริ้ม อัดกระแทกแก่นกายใส่ช่องทางชุ่มฉ่ำ ใกล้จุดหมายปลายทางก็หลุดร้องสบถชอบใจ ทั้งโอ๊ยทั้งเสียว พลันชื่นชมร่างกายน้องเหมือนคนลุ่มหลง

นี่พวกเราเกินเลยมาถึงขั้นนี้ได้ยังไงกัน เพียงเพราะน้องขายตัวอย่างงั้นเหรอ ? เปล่าเลยสักนิด มันเป็นเพราะผมก็มีความร้ายแฝงอยู่ในห้วงคำนึง อยากจะจับร่างอรชรมากอดหอมให้ชื่นใจเพื่อผ่านพ้นคืนวัน

ถ้ารีบสู่ขอได้ก็คงทำไปนานแล้ว


End


ดับฝันสลาย พวกหล่อนกำลังคิดสินะว่าพระเอกของเรื่องต้องมานั่งบรรยายภายในหัวแทนตัวละครฝั่งตรงข้ามอะ

ไม่ ! อีดอก ! ชีวิตจริงคนเราใครเขาจะมีพลังจิตดุจจีนเกรย์มาล่วงรู้จิตใต้สำนึกชาวบ้านชาวช่องได้ ที่บรรยายเมื่อครู่กูก็มโนเพ้อเจ้อไปทั้งนั้น !

แยก !

สวบ สวบ ! เสียงถี่กระแทกยิ่งกว่าคนขุดหลุมบนหาดทรายร้อนระอุ เอาอีอ๊อกโห่ปากร้องไม่หวาดไม่หวั่น คุณหฤษฎิ์ยังคงโหดร้ายทารุณดังเช่นวันวาน ทั้งพลิกกายให้อีอ๊อกแอ่นก้นงามงอน สิ่งที่ถอดถอนจากรูโบ๋ๆ เหมือนปีโป้ที่ถูกแดกไปแล้วแต่เหลือแค่ถุงพลาสติก ช่องกรวงๆ ของมันก็มากพอที่เอาจู๋เด็กกระดอหมามายัดใส่

กูก็สัปดนไปเรื่อยจะเอาไรมาก !

ในที่สุดพี่นนท์ก็เริ่มออกแรงมากยิ่งขึ้น เร็วมากกว่าเก่า หากเป็นปืนก็คงเป็นปืนกลที่ยิงจนหมดแมกซ์ เพียงไม่นานความอุ่นร้อนก็รวยรินเข้าสู่ภายใน

เท่านั้นแหละ อีอ๊อกได้สติทันที

แม่ ! ลูกลืมป้องกัน ! ลูกลืม !

“ฮึก ฮืออออ” ถึงกับร้องไห้ด้วยความขลาดกลัว

“หนูเป็นอะไร ?”

คนด้านบนที่หอบเหนื่อยจนมีเหงื่อไหลผุดซึมข้างริมขมับ เกลือกกลิ้งหยดลงมาที่ปลายคางไหลกระทบบนแก้มนิ่ม ทำเอาผมได้แต่ส่ายหน้าบอกปัด

ไม่มีอะไร ก็แค่ลืมให้คุณพี่ป้อง ไม่มีอะไรทั้งนั้น ! อีอ๊อกจะต้องตั้งท้อง ยาคุมกำเนิดอีอ๊อกก็ต้องกินด้วยใช่ไหม อีอ๊อกจะมีพ่อเป็นเจ้าของลูกใช่ไหม ไม่เหมือนสก๊อยหมอยเพิ่งขึ้นที่ตั้งท้องไร้ผัวอย่างชาวบ้านเขา

คุณหฤษฎิ์ “ฮึก ฮือ” พูดออกมาสิคะ ?

“หนูทำไมร้องไห้ ?” เสียงทุ้มถามพร้อมเกลี่ยปอยผมที่ระข้างพวงแก้ม

แต่คุณพี่ไม่เข้าใจ ฮึก คุณพี่ไม่มีวันเข้าใจ ! รูของคนคนนี้ได้ถูกตีตราเป็นของคุณพี่เป็นที่เรียบร้อย ดิฉันที่เป็นนางบำเรอเพียงชั่วข้ามคืนก็คงไม่มีวันได้อวยยศเป็นถึงฮ่องเฮาเคียงข้างพระหัตถ์

พอกันที หันหน้าหนีพลางร่ำไห้ดังลั่น เอามือมาปิดหน้าปิดตา ไม่สนใจหลีสนแตดหรือกระดอที่เสร็จจนเอาออกจากรูเป็นที่เรียบร้อย

อ๊อกรู้สึกได้ มันมีน้ำหนืดๆ รินไหลในร่องก้น ความรู้สึกหนึบหนับมันทำตัวเองตกใจมากไม่ใช่น้อย

“หนูคะ ?”

อย่ามาเรียก ! “ฮึก ฮือ” คนผีทะเล ยอมคล้อยตามอีอ๊อกจนลืมป้องกัน เย็-สดแตกในเป็นที่เรียบร้อย

ลูก ลูกแม่ ร้องไห้ไปก็เอามืออีกข้างลูบท้องพลันใช้ปลายนิ้วจับที่คอดเอว ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น หนาว หนาวล้วนๆ เมื่อไรจะปรับแอร์สักที !

“หนู หนูเป็นอะไร ?”

หนูเป็นหลีค่ะ มีลักษณะเหมือนหมีกลิ่นเหม็นหลีดังผีไชตอน

“มะ ไม่ได้เป็นอะไร ?” ไม่รักไม่ต้องมาแคร์ไม่ต้องมาดีกับฉัน ไม่รักไม่ต้องมาหึงมาห่วงใยฉัน ไม่รักไม่ต้องมาทำอะไรๆ ทั้งนั้น เพราะใจฉันยิ่งอ่อนแอ

ฮือ อีคริสตี้ กูขอโทษ กูพลาดเพราะความร่านล้วนๆ กูพลาดเพราะความคัน ฮึก ฮือ กูเงี่ยนจนหน้ามืดตามัวไปหมด เห็นคว-เป็นคว- นึกอยากแดกติดอกติดใจเหมือนสูบกัญชา ผ่านพ้นไปแค่สองสามวันร่างกายก็เริ่มกระสับกระส่าย อยากจะกลับมาติดอกติดใจกับลวยคุยอีกสักรอบ

ร้องไปอีกคนก็ปลอบไป เสียงเพลงอิโรติกก็ยังดังอยู่ภายในห้อง ก่อนที่พี่นนท์จะจับผมที่ไม่ยอมหันหน้ามาสบตา กลายเป็นฝ่ามือใหญ่ต้องออกแรงพลิกตะแคงให้นอนหงาย แต่อีอ๊อกก็ได้แต่หันหน้าหนี มือไม้ถูกจับตรึงอยู่ข้างกรอบหน้า

ท่วงท่าแบบนี้ คุณพี่จะเย็-ดิฉันอีกแล้วใช่ไหมคะ !? ยังไม่สาแก่ใจอีกใช่ไหมคะ !? ฉันยอมโดนเย็-เป็นท่าหมาก็แล้ว โดนเย็-เปลี่ยนเป็นลิงอุ้มแตงก็แล้ว คุณพี่จะให้ฉันเป็นสัตว์อะไรอีกคะ !?

จะให้เป็นอะไรอีกคะ !!!?

กูเนี่ยแหละเป็นเหี้ยอะไร !

“ฮึก

“หนู” จุ๊บ ! เสียงจูบซับหยาดน้ำตาคงเค็มปะแล่ม แต่คุณหฤษฎิ์ก็กลับซับหยาดน้ำตาเหล่านั้นอย่างอ่อนโยนให้ ทั้งยังทะนุถนอมจนหัวใจคนสั่นไหว แก้มนิ่มของผมถูกหอมฟอดและจูบจนริมฝีปากอีกฝ่ายต้องเปียกเปรอะ

คุณพี่จะใจดีไปไหนคะ “ฮึก” โศรญาไม่มีวันให้อภัยคุณหรอกค่ะ สิ่งที่คุณทำมันเลวร้ายยิ่งนัก แต่มันก็เป็นเพราะความเงี่ยนของฉันเองล้วนๆ เงี่ยนที่เป็นตัวทำลายสติสัมปชัญญะ ความเงี่ยนที่เป็นตัวบ่อนทำลายล้าง ทำให้น้ำเชื้อของคุณต้องพุ่งกระฉูดมาที่ร่องสวาท

โศรยาเริ่มรับรู้ถึงสิ่งเคลื่อนไหวหลายล้านตัวได้ค่ะ มันกำลังวิ่งเข้าหาเจาะรังไข่ แต่ก็ชนเนื้อเยื่อภายในตายห่ากันไปหมด อุณหภูมิความอุ่นร้อนของมันช่างหอมหวานเหมือนคาราเมล

เปล่าหรอกค่ะ จริงๆ โศรยาโกหก แท้จริงกลิ่นมันเหม็นคาวแต่ก็ไม่ได้เหม็นหึ่งชวนน่าพะอืดพะอมใดๆ

“หนูหันมาคุยกับพี่ก่อนสิคะ อย่าเพิ่งร้อง” เสียงอีกคนออดอ้อน พยายามประคองใบหน้าของโศรยาให้หันไปสบตา

หากคุยแล้วได้อะไร คุยแล้วเราจะได้เย็-กันต่อใช่ไหมคะ “ฮึก”

คุยก็ได้

“ร้องทำไมคะ ?” เสียงทุ้มถามอย่างอ่อนโยนราวกระซิบ

ผมที่กะจะปัดเศษน้ำตาทิ้ง ก็ดันถูกปลายนิ้วของอีกฝ่ายเช็ดให้เสียก่อน จากนั้นก็ได้แต่พูดเสียงอู้อี้ฟังดูไม่รู้เรื่อง

“เราลืมป้องกัน”

“อะไรนะคะ ?” พี่นนท์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม เอียงหูเพื่อฟังคำพูดแผ่วเบา

“พี่ลืมป้องกัน” เน้นชัดอีกทีให้เข้าใจกระจ่างแจ้ง ทั้งที่เป็นคนไม่ชอบพูดเป็นหนที่สอง

“อ๋อ” พี่นนท์หลุดร้องเหมือนได้สติ “หนูกลัวเหรอคะ ?”

ผมรีบพยักหน้าหงึกๆ ทั้งที่หลับตาแน่นก่อนจะเบะปากร้องอีกครั้ง “ฮึก ฮือออ”

“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะ พี่ขอโทษ พี่เองก็ลืมเหมือนกัน” คนตัวโตรีบทิ้งน้ำหนักตัวลงมาทาบทับโอบกอดร่างกายผ่ายผอมของผมอย่างปลอบประโลม

พี่คะ หนูหนักอะ “ฮือ” หนูหายใจไม่ออก

เสียงพี่นนท์เอ่ยปากอยู่เหนือกระหม่อม “หนูไม่ต้องกลัวนะคะ ปกติพี่ป้องกันตลอด เรื่องโรคหนูไม่ต้องกลัวได้เลย พี่ร่างกายสมบูรณ์ปกติทุกอย่าง หายห่วง”

“ตะ แต่มันก็มีโอกาสติดโรคได้ด้วยนะ” ผมอธิบายพลางสะอึกสะอื้น

คุณพี่ไม่เคยอ่านเหรอคะ เปอร์เซ็นต์ฝ่ายรับช่องทางทวารหนักอยู่ที่หนึ่งถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ ฝ่ายรุกทางทวารหนักอยู่ที่ศูนย์จุดหนึ่งถึงสิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ทั้งนั้นฝ่ายพี่ได้เปรียบล้วนๆ เปอร์เซ็นต์ทางปากคนเราก็เหมือนกันไม่ใช่ว่าจะไม่มี ฝ่ายรับทางปากยามออรัลให้คู่ตรงข้ามในอวัยวะเพศชาย มีเฉลี่ยอยู่ที่ศูนย์ถึงศูนย์จุดสี่เปอร์เซ็นต์

อ๊อกรู้ อ๊อกเคยอ่านเจอ “ฮึก การถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก มันมีโอกาสสูงมากกว่าผู้หญิงตั้งสิบแปดเท่า ฮึก ฮือ” ผมแถลงไข ก่อนจะถูกพี่นนท์ลูบกลางกระหม่อม ไม่รู้ว่าเอ็นดูหรืออะไร แต่ที่แน่ๆ อีอ๊อกแอบปรือตามองดูเอ็นอยู่เหมือนกัน

ฮือ มันใหญ่มากเลยนะคะ นี่คว-หรือกล้วยงาช้าง อ๊อกงง อ๊อกทำตัวไม่ถูก

“เอดส์มันไม่ได้เป็นกันง่ายๆ นะคะ” พี่นนท์บอก

อีอ๊อกขอหักลบคะแนนความคิดทางด้านทัศนคติ “แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นกันไม่ได้” พูดแล้วก็อยากเบะปากอีกสักรอบ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี เกิดท้องขึ้นมาผู้คนคงครหาว่าท้องไม่มีพ่อ

อีร่าน อีกาลกิณี อีเฮงซวย อีเด็กใจแตก สมน้ำหน้ามึงอีเหี้ย ฮือ ด่าตัวเองแม่ง

เลิกเพ้อเจ้อก่อน ตอนนี้จริงจังว่าควรทำยังไงดี

“ถ้าหนูกังวลงั้นเดี๋ยวเราไปตรวจเลือดเพื่อความชัวร์ก็ได้ค่ะ”

“ฮึก” แล้วเราจะได้เย็-กันต่อไปใช่ไหมคะ ?

“โอเคไหมคะ ?”

หงึกๆ พยักหน้ารับ ผัวว่าไงก็ว่าตามนั้น โศรยาไม่ขัดขืนคุณหฤษฎิ์ให้เจ็บช้ำน้ำใจเล่นหรอกค่ะ

เอดส์ก็กลัว ผัวก็อยากได้ ชีวิตต้องการโคจรหมุนเวียนกับกามารมณ์

จริงๆ คนติดเชื้อเอชไอวีกับเอดส์จะแตกต่างกัน อันนี้อ๊อกขอให้ผู้คนไปเสิร์ชแสวงหาความรู้บ้างก็ดี

ขออนุญาตร้องไห้เป็นนางเอกหนังไทยต่อ “ฮึก ฮือ”

“ไม่ร้องนะคะคนดี ปะๆ ไปอาบน้ำกัน”

“อาบน้ำอีกแล้วเหรอ ?” รีบช้อนสายตามองคนที่ประคองร่างตนเองขึ้นมา พลันกระพริบตาปริบๆ อย่างฉงน

“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ ?” พี่นนท์เอียงคอถามพร้อมรอยยิ้ม “อาบน้ำไม่ดีตรงไหน ?”

คุณพี่ไม่เอะใจเลยสักนิด โอ้โห คุณพี่ลืมแล้วเหรอคะว่าครั้งล่าสุดที่โศรยาต้องปลดเปลื้องอาภรณ์ชำระล้าง หยาดธาราในร่างของโศรยาต้องแห้งเหือดยิ่งกว่าประเทศซาอุดิอาระเบียที่มีน้ำมาให้ดื่มกระชุ่มกระชวยใจ

ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ เห็นของพี่แกก็ยังแข็งปั๋งอยู่ สดครั้งแรก อีอ๊อกขออนุญาตเอามือกดหน้าอกพี่แกให้ล้มหงายหลังเลยละกันค่ะ

นี่แน่ะ “เหวอ” อีกคนมีท่าทีตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว จากนั้นไม่นานทั้งใบหน้าและใบหูก็แดงก่ำเมื่อเห็นโศรยาประคองอีสิ่งผงาดให้ตั้งแหงนตรง ก่อนจะค่อยๆ หย่อนก้นให้ร่องหลืบกลืนกินสิ่งนั้นเข้ามาสู่ภายในอย่างเชื่องช้า

“อาห์” เผลอร้องครวญครางอย่างเอวี แม้น้ำตาจะหลั่งเป็นสาย จะกลัวโรคห่าเหวก็ขอให้กลัวไปพร้อมกันทีเดียว เชิญแตกในให้ชื่นใจ น้ำหนืดๆ ก็เป็นสารหล่อลื่นได้อย่างดีเยี่ยม ทำเอาอีอ๊อกเริ่มค่อยๆ ขยับสะโพกเนิบนาบ

ชอบมากค่ะ เป็นคนขี่ม้าเก่ง ฮิ้วววว ~

“หนู ซี๊ดดดด” พี่นนท์ซี๊ดปากดังเดิม ตาพราวระยับเหมือนลูกแก้ว อาจเพราะว่ามีน้ำหล่อเลี้ยงเป็นประกาย

อีอ๊อกที่เบะปากร้องไห้เมื่อครู่นี้ บัดนี้แอ่นก้นงอนๆ เข้าไว้ พลันยกตัวขึ้นลงให้เหมือนนักแสดงญี่ปุ่น ร้องไห้เสียงสั่นเครือรูปแบบใหม่ “อ๊า อะ อ๊า”

วันนี้ต้องต่อรอบสองค่ะ อีอ๊อกจะไม่ยอมแพ้ ยังมุ่งมั่นปรารถนาหวังให้คนที่พ่ายแพ้ต้องไม่ใช่เรา

อ๊อกจะสู้ครับแม่ๆ !

เริ่มควงสะโพกรัวเร็วเหมือนนางเอกเอวี กัดปากบ้าง เผยอปากบ้างให้ริมฝีปากนุ่มหยุ่นเด้งไปมา แหวกขาออกกว้างเผยภาพอนาจารมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่สิ่งสงวนของตัวเองก็ตีลงกับช่วงหน้าท้องน้อยวีเชฟแถวรอยสักของอีกฝ่าย ควงไปมาเหมือนไร้ทิศทางเป็นวงกลม

หยาดน้ำสีขุ่นตีตัวกันเป็นฟองเอ่อล้นทะลัก ไหลหนึบหนับกับร่องสวาทภายในกาย จนไรขนดกหนาเหมือนสาหร่ายโมซุกุยังต้องแปดเปื้อน ผมก้มมองภาพลามกสัปดน เห็นขนอีกฝ่ายมีน้ำสีขาวตัดกับสีดำก็ยิ่งดูน่าพิสมัย

มันเป็นภาพเรทที่ดีต่อจิตใจมากแม่ ! โอ้พระผู้เป็นเจ้า ลูกเป็นคนบาปหนา “อะ อ๊า” ลูกมันช่างไร้ยางอาย “เสียว เสียวไปหมด อาห์ พะ พี่นนท์ อ๊า” อ๊าพ่อแม่พี่น้อง มีผู้ชายอยู่ใต้อาณัติลูกด้วยแหละ ชายที่รักใคร่นักหนา บัดนี้อยู่ใต้เรือนกายของลูกผู้นี้

ไฟโลกันต์จะต้องแหวกทางให้กับไฟร่านกาลกิณี !

อีอ๊อกเอนตัว ยันฝ่ามือไปกับเบาะด้านหลัง ยืดแขนยาวเหยียดเพื่อแบกรับน้ำหนักและการทรงตัวให้ดี มิวายแหวกขาออกกว้างให้อีกคนได้เพ่งพินิศ สำรวจดูทุกท่วงท่า ไม่แม้กระทั่งส่วนหัวปริ่มเปรอะที่เปื้อนไปด้วยน้ำว่าวยิ่งกว่าน้ำโคลนตม แท่งเนื้อถูกดูดกลืนผลุบหัวเข้าออก น้ำเหนียวหนืดก็ตีตัวจนเหนียวเหนอะแหนะ ทว่าอีอ๊อกก็ยังร่านราคะต่อไป

ไปให้สุด และไปสิ้นสุดที่กามโรคอย่างที่คริสตี้เคยด่า

เรทให้มันมากกว่านิยายทั่วไป

หยาบคายให้ยิ่งกว่านิยายชนชั้นสูง

เราจะเป็นคนตลาดล่างและเห่อหมอยเหมือนคนไร้การอบรมสั่งสอน

ไม่เป็นไรค่ะ “อะ อ๊า” ต่อให้อีพวกผู้ดีไม่อยากจะมาเกลือกกลั้วมาพัวพัน อีอ๊อกก็ขอหลุดพ้นจากการเป็นนักเขียนดีเด่น ตีตัวไร้ค่ายิ่งกว่าโสเภณี

แต่อ๊อกเคยได้ยินมาว่า อาชีพไหนก็ไม่ต่ำต้อยถ้าหากเราทำด้วยจิตใจที่สูงส่ง

หากกล่าวดังนั้น...อ๊อกคนนี้ก็ขอเป็นคนที่เรียบร้อยต่อหน้าผู้คน ดังกุลสตรีไทยดังผืนผ้าที่พับไว้

แต่เวลาอยู่บนเตียงนั้น…ขอเป็นกะหรี่ก็เพียงพอ

เอนตัวหงายหลังจนเมื่อยตัวจนหลังเดาะ ก็เปลี่ยนไปเขยื้อนกายไปเบื้องหน้า ไถลฝ่ามือลูบไล้ร่างกำยำล่ำสัน พวงแก้มแนบลงกับแผงอกของอีกฝ่าย แลบปลายลิ้นเลียตั้งแต่ช่วงกึ่งกลางของหน้าอกอุ่นร้อน จรดขึ้นมาถึงปลายคางของคนตรงหน้า ช่างเป็นการยั่วยวนที่เซ็กซี่สิ้นดี อีอ๊อกจดจำมาจากการจินตนาการภายในหัว

พอลองทำดูผลปรากฎว่าผิวเนื้อค่อนข้างเค็มปะแล่มเล็กน้อย หยาดน้ำลายเปื้อนนิดหน่อย ก่อนจะมาบรรจบที่ริมฝีปากส่งเสียงซี๊ดซ๊าดไม่หยุด

อีอ๊อกเริ่มรำคาญใจ “จ๊วบ” เลยก้มหน้าลงไปจูบและกระดกสะโพกไปพร้อมเพรียงกัน ดูดดึงลิ้นร้อนชื้นให้มาครางอื้ออึงในลำคอ

ผมหลับตาพริ้ม จูบไม่เกินสามสิบวินาทีก็ผละออก หยาดน้ำลายปริ่มเปรอะเฉกเช่นเคย

แต่ที่เพิ่มเติมนั่นก็คือ “พี่ว่าหนูน่าเอามากไหมคะ ?”

ส่งเสียงหวานออเซาะพานเหยียดยิ้มร้าย อิริยาบถยั่วยวนยิ่งกว่าสตรีเพศแม่ ไม่นานเกินรอเพียงชั่วอึดใจ คำตอบที่ได้รับก็ทำให้หัวใจสั่นไหวรัวแรง

“มากๆ เลยค่ะคนดี”

อ๊อกว่างานนี้ได้คะแนนบวก

หมายถึงเลือดอะค่ะ…

เศร้า

หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบ [3/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 03-01-2020 23:05:35
อีนกหล่อนต้องปาด***สิปาดคอทำไม!  :m31:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบ [3/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-01-2020 08:49:51
กรี๊ดโดด   :haun4:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบ [3/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 04-01-2020 14:01:23
อ่านไปอ่านมา ก็รู้สึกว่า อ๊อกเป็นไบโพล่าร์

หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบเอ็ด [4/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 04-01-2020 22:05:19
ตอนที่สิบเอ็ด


[Christy Past special : รำคาญ]


โชคชะตาก็เสือกเล่นตลกกับกะเทยนางหนึ่ง ดันมาเจอพี่เดือนญาติพี่น้องของอีอ๊อกเข้าให้ อีคริสตี้ก็เสือกโดนลากในระหว่างที่เพื่อนถูกกระซิบกระซาบอยู่ข้างกกหู พามายังรถยนต์สีขาวก่อนจะปรับเบาะที่นั่งให้เอนล้มลงไปนอน

จุดเริ่มต้นมันก็เกิดตรงที่เพื่อนรักอยากหาเงินส่งเสียเลี้ยงดูตัวเอง อีกทั้งนิยายก็ไปต่อไม่รุ่ง คริสตี้เลยพามันมาขายหลีในสถานที่ที่มีรุ่นพี่รู้จักคอยให้คำแนะนำ

แรกๆ ก็ไม่เข้าใจหรอกค่ะ อีเราก็เสือกแดกเหล้าไปด้วย ทั้งเมามายไม่มีสตงสติ ถูกสั่งให้ดื่มก็ต้องทำตาม กลัวเอาใจลูกค้าไม่ดีก็อดได้เงินกันพอดี พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกสั่งให้ออรัลเซ็กส์ซะงั้น คว-พี่แกก็ผงาดแข็งขืนยิ่งกว่าแตงกวา แต่ขนาดนี่ใหญ่ยิ่งกว่าแป้งแคร์ของเด็กทาผิว

ใหญ่ค่ะ ชอบ  คริสตี้เลยลองยื่นมือไปจับรูดขึ้นลงให้เป็นการปลอบใจ ก้มมองสิ่งใหญ่โตโอฬารที่แทงทีคงจุกรูทวารหนัก เงยหน้าขึ้นมาไม่ทันไรก็ดันโดนจูบลึกซึ้งเหมือนคนอดอยากขาดแคลน

เสี้ยนน่าดู แต่อีคริสตี้ก็ยินดีที่จะเสี้ยนกลับ การค้าประเวณีใช่เวลาจะมีลูกค้ามาดีลได้ง่าย แถมยังจะถูกจับกดหัวให้ไปอมอีก

เป็นใครคะมาจงมาจับมาลูบหัว พ่อแม่ก็ไม่ใช่

“อมสิ”

“พี่คะ เดี๋ยวก่อน” รีบดันหัวตัวเองขึ้น ก่อนจะสบตาเอ่ยปากบอก “หนูเป็นกะเทยนะคะ”

“...”

“หนูบอกไว้ก่อน ถ้าพี่ไม่โอเคจะได้ลงจากรถ” พูดแล้วก็ทำท่าจะลงจากรถจริงๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งอยู่นาน ทว่าไม่ทันไรก็กลับถูกมือหนาฉุดรั้งให้กลับมานั่งดังเดิม

คริตตี้ที่เปิดประตูอ้าไว้รีบปิดกระแทกกลับดังเดิม “มีอะไรเหรอคะ ?” พูดพร้อมทำหน้าซื่อๆ เหมือนเด็กใสซื่อบริสุทธิ์

“เป็นก็ไม่เป็นไร” อีกคนบอก คริตตี้เห็นดังนั้นก็ได้พยักหน้าเข้าอกเข้าใจ  ก่อนจะก้มหน้าไปออรัลที่ส่วนหัวคล้ายปลัดขิก มีส่วนท่อนเนื้อที่ดำตัดสีผิวนิดน้อย ไรขนก็โผล่พ้นแพลมออกมาให้เห็น

เรื่องมันก็ไม่มีไรมากค่ะ แค่ค่อนข้างเมื่อยปากหน่อยกว่าอีกฝ่ายจะเสร็จกิจ  ทำหลายกี่นาทีก็ไม่เสร็จสักทีจนต้องเงยหน้ามาถามไถ่ “เมื่อไรจะแตกคะ ?” เมื่อยสันกรามแล้วนะคะรู้บ้างไหม

“งั้นไว้ไปต่อที่ห้อง” อีกฝ่ายพูดก่อนจะเก็บสิ่งที่แข็งขืนเข้าไปในกางเกงชั้นใน จากนั้นก็สตาร์ทรถเดินทางมาถึงคอนโดหนึ่ง พวกเราก็สาวเท้าเข้ามาในลิฟต์

อะไรนะคะ ?

บรรยายห้วนรวดเร็วเหรอคะ ? ก็มันไม่มีเหี้ยอะไรมากนี่คะ ก็แค่มาขายตัวและต่อที่ห้องนอน งานมันลำบากอยู่อย่างก็แค่แขกค่อนข้างจะโรคจิตวิปริต เหวี่ยงอีคริสตี้ให้ล้มลงไปบนเตียงนอน รีบถอดถอนเสื้อผ้าอย่างว่องไว

ดูจากทีท่าน่าจะเป็นเสือร้ายพอดู โชกโชนมากแหงๆ แต่ไม่เป็นไรค่ะ อะไรดีบุ๋มก็ว่าดี คริสตี้ยอมนอนเหวอสักพักหนึ่ง ก่อนจะยันศอกดันร่างให้แหงนขึ้นมามองคนตัวโตสูงโหย่งที่รีบร้อนถอนกางเกงชั้นใน

เล่นม้ามาเหรอคะ หรือเสพยาเสพติด ทำไมดูร้อนรนแปลกๆ คริสตี้จะไม่โดนฆ่าปาดคอตายในคอนโดใช่ไหมคะ ? คิดแล้วก็พะว้าพะวงหลัง

ไม่นานที่อีกฝ่ายปลดเปลื้องเสื้อผ้าจนเห็นผิวเนื้อสีแทนคล้ามแดดและหุ่นล่ำๆ ที่กะเทยใฝ่ฝันอยากได้เป็นผัว คริสตี้ก็แอบลอบกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งที ไม่ว่าจะเรื่องของซิกซ์แพ็กแน่นๆ หรือขนาดของหัวเห็ดบานตะไทที่มีหญ้าดกดำ ท่อนเนื้อค่อนข้างเปียกเปรอะเพราะชุ่มน้ำลายมาก่อนหน้านี้

“อ๊ะ !” คริสตี้สะดุ้งโหยงเมื่อถูกดึงเรียวขากระชากร่างให้นอนหงาย รั้นกายบางก่อนจะถดกระโปรงชุดเดรสที่ตัวเองสวมใส่ ถอดถอนกางเกงชั้นในอย่างว่องไว

มือไวมากเลยนะคะ ถ้าล้วงกระเป๋าคนได้ด้วยปานนี้จะแจ้งความจับไปด้วยเลยค่ะ

คริสตี้เอามือกุมสิ่งสงวนด้วยความเขินอาย ก็อีดอกทองใครเขาจะมาชอบให้ผู้ชายเห็นสิ่งของเหมือนๆ กัน อีกฝ่ายก็เป็นชายแท้แต่ก็แค่ชอบเราที่ละม้ายหญิง เกิดเห็นของคริสตี้แล้วหมดอารมณ์ขึ้นมาเพราะขนาดความใหญ่ก็ซวยกันพอดี

ล้อเล่นค่ะ จริงๆ คริสตี้แทบไม่แตะต้องกับส่วนนั้นด้วยซ้ำ เล็กกะทัดรัดน่ารักน่าชัง พลันปรือตามองคนตรงหน้าที่คายน้ำลายเคลือบลงที่กลางลำตัว กดปลายหัวป้านแดงเข้ามาอย่างช้าๆ

“อะ อ๊า จะ เจ็บ” คริสตี้เจ็บมากเลยค่ะ คริสตี้ว่าตัวเองไม่น่าจะรับสิ่งนี้ได้ไหว พยายามพูดปรามคนตัวสูง “ยะ อย่าเอาเข้ามา มันใหญ่ อึก เกินไป”

แต่เหมือนคำพูดจะไม่กระทบขี้หูคนเรา หนำซ้ำกลับเหยียดยิ้มร้ายพลางปรอยตามองอย่างยั่วเย้าอีกต่างหาก

คริสตี้รู้เลยค่ะว่าหลังจากนี้ไม่อยู่รอดปลอดภัย

สวบ !

“อะ อ๊า” อีช้างเย็- ! แทงมาหาพ่อมึงเหรอทีเดียวโดยไม่บอกกล่าว “จะ เจ็บ” อีหน้าส้นตีน

ขออนุญาตด่าหน่อยเถอะ ถึงจะหล่อแค่ไหน แต่กระทุ้งเข้ามาหนักแบบนี้คริสตี้ก็ไม่สนคว-อะไรทั้งนั้น

อีกฝ่ายแทนที่จะทะนุถนอมคริสตี้เหมือนดอกไม้ที่มีกลีบบอบบาง แต่กลีบที่ว่าก็เหมือนหลีค่ะ ลักษณะหลีตอนนี้เลยฉีกขาด มีเลือดไหลผุดซึมออกมาเล็กน้อย คริสตี้ผวาร้องลั่น “ป้องกันด้วย” รีบชี้นิ้วสั่งด้วยอารามขลาดกลัว

อีกฝ่ายยอมทำตามโดยการพยักหน้าอิดออด ก่อนจะถอนแก่นกายพรวดทีเดียว เล่นเอาคริสตี้เสียววาบไปถึงหน้าท้องน้อย

อีแม่เย็- นึกจะกระแทกก็กระแทก นึกจะถอนก็ถอนรวดเร็วจนลมในห้องตีโบกพัดเข้ามาในรูทวารหนัก

อีกฝ่ายเปิดแอร์ก่อนจะเดินไปที่ตั่งโต๊ะ หยิบถุงยางอนามัยมาฉีกกระชากและสวมลงที่ปลายหัวอย่างว่องไว ไม่นานเกินสองนาทีก็วกกลับมาหาร่างคริสตี้ดังเดิม ไอ้เราก็ยังปกปิดสิ่งสงวนตัวฝ่ามือเล็กๆ เอาไว้มั่น ขาก็แหวกออกกว้างหวังให้แขกจับจ้องรูของกะหรี่ตามใจชอบ

ค้าประเวณีครั้งแรกก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จค่ะ แต่ที่ไม่ประสบความสำเร็จนั่นก็คือ แขกค่อนข้างใหญ่เกินไปจนคริสตี้ไม่สามารถแบกรับได้ไหว ขนาดมีน้ำสารหล่อลื่นมาช่วย คนตรงหน้าก็ค่อยๆ สวนกระแทกเข้ามาอย่างช้าๆ

อีคริสตี้นี่ใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ ลุ้นระทึกกลัวจะถูกกระทุ้งเข้ามาหนักๆ เผลอขมิบตูดตอดรัดแท่งเนื้อใหญ่ยักษ์ แต่เหมือนว่าจะไปจี้รีโมตอัตโนมัติ อีคนป่าเถื่อนถึงได้แทงเน้นๆ ส่งผลกระทบที่จุดกระสัน

“อะ อ๊า” ครางลั่นห้องด้วยความซ่านเสียว พลางหลับตาพริ้มเล็ดน้ำตาไหลอาบแก้ม โดนทีแรกก็จุกเสียดไปหมด ทั้งเจ็บทั้งปวดร้าวที่ช่องทางด้านหลัง กว่าจะมีอารมณ์ซ่านเสียวก็ถูกปลุกปั่นเร้าอารมณ์นานอยู่พอสมควร

คนที่ชื่อเดือนแนบกายเข้ามาหา ฝากฝังสิ่งภายในอย่างเติมเต็ม ก่อนที่ฝ่ามือจะเกี่ยวชุดเดรสของคริสตี้ออก ลอดผ่านระหว่างหัวและเรียวแขนจนเหลือแต่ยกทรงชั้นใน จังหวะนั้นก็พลอยให้อีกฝ่ายได้เห็นสิ่งสงวนของเราไปด้วย

คริสตี้รีบกุมเป้าตัวเองดังเดิม มันไม่ได้แข็งตัวเหมือนคนตรงหน้า นั่นก็เพราะเราเทคฮอร์โมนมาอย่างดีเยี่ยม ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ทางเพศเฉกเช่นผู้ชายทั่วไป มีแต่ความคันที่อยากโดนล้วนๆ แต่คริสตี้คิดว่าตอนนี้ไม่สมควรคันเลยสักนิด คริสตี้ได้แต่ด่าทอตัวเองอยู่ภายในใจ

เพื่อนก็เป็นห่วง แต่อีอ๊อกก็ใช่ว่าจะโง่เขลาเบาปัญญา เห็นมันหงิมๆ อย่างนั้น แท้จริงก็ดอกทองใช่ย่อย

คืนนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะนอกจากการโดนเย คริสตี้ไม่มีเวลามาเพ้อเจ้อนึกคำสวยหรูหรอกค่ะ อยากได้ก็หาเอาจากนิยายอีดอกอ๊อกกันเอาเอง

แต่คริสตี้ก็ทำได้แค่คิดนะคะ คริสตี้ไม่เคยเอ่ยปากด่าผู้คนแต่อย่างใด

สุดท้ายคริสตี้ก็โดนซอยถี่ยิบยิ่งกว่าจักรรพิโกรธกริ้ว อัดกระแทกรัวแรงจนคริสตี้ตัวสั่นคลอนเหมือนกับของเล็กเซ็กส์ทอยที่มันสั่นครืดๆ

วันนั้นทั้งวันคริสตี้ถูกพลิกยิ่งกว่าบาร์บีคิวปิ้งย่าง ทั้งจับให้นอนหงายและนอนคว่ำหน้าพลางยกสะโพกขึ้นลอยเด่นหรา อีกทั้งยังโดนเอาหมอนมาบังหน้าอีก

พี่เขาเห็นเราไม่สวยหรือไงกัน ถึงได้เอาหมอนมาบังหน้าบังตา แต่ที่แท้ก็เป็นพวกโรคจิตคนหนึ่ง แอบเอาหมอนกดหน้าสักแป๊บ ก็เปลี่ยนเป็นเลื่อนฝ่ามือมาลูบลำคอคริสตี้

คริสตี้คิดว่าเขาจะลุ่มหลงในตัวเราแน่ๆ เลยค่ะ แต่ทว่า…

“อั่ก !” หายใจไม่ออก กลับถูกบีบคอเบาๆ จนเลือดหล่อเลี้ยงไปทั่วใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอาง หน้าแดงก่ำยิ่งกว่าหัวคว-ของพี่เขา คริสตี้รีบเอามือจิกที่ท่อนแขนขวาของอีกฝ่ายที่มากุมเรียวคอพอดีมือ ทั้งข่วนทั้งพยายามดึงรั้นให้เอาออก ก่อนจะรีบกอบโกยลมหายใจทันทีเมื่อได้รับอิสระ ไอดังโครกจนหน้าดำหน้าแดง ความเสียวเริ่มตามมาที่ช่องทางทวารหนัก จี้จุดกระสันเน้นๆ ภายในกายทำเอาเราร้องลั่นเป็นสิบๆ หน

คริสตี้ครวญคราง “อะ อ๊า อ๊า” ยิ่งกว่าหมาเห่าหอน

ฉับพลันคริสตี้ก็ถูกลากลงมาจากตั่งเตียง จับมาให้คว่ำหน้ายกสะโพกลอยเด่นเผยรูโบ๋ๆ ภาพที่อีกฝ่ายเห็นต้องอุบาทแน่ๆ แต่มันก็คงอิโรติกสำหรับคนโรคจิตอย่างเขาคนนี้

คริสตตี้ถูกเย็-ด้วยท่าหมาค่ะ ท่าหมาตามติดเป็นสิบนาทีจนคริสตี้เมื่อยเข่า  ทั้งแขนและศอกไม่ไหวกับการทรงตัว รีบทิ้งน้ำหนักโน้มหน้าไถลไปกับพื้นห้องเย็นเฉียบ หน้าไถลเพราะแรงขยับเขยื้อน พลันมีฝ่ามือตีที่ก้นเสียงดังเผียะ ! คริสตี้เห็นฟ้าสว่างวาบ ถูกเอาเป็นชั่วโมงยิ่งกว่าหนังโป๊ที่เขาถ่ายทำกัน เย็-แม่งทั้งวันจนตื่นมาอีกทีคริสตตี้ก็รู้สึกเวียนหัวไปหมด ทอดมองคนข้างกายที่นอนอยู่ข้างๆ เห็นทั้งแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยรอยข่วนที่เกิดจากน้ำมือเรา ส่วนเบื้องล่างนั้นถูกบดบังด้วยผ้านวมเลยไม่ปรากฎภาพอนาจารให้เห็น

คริสตี้อยากจะกลับบ้านแต่ก็ไม่กล้า เพราะถูกเอาทั้งวันทั้งคืนจนพี่แกหมดน้ำหมดถุงยางไปสองสามถุง ไม่รู้ว่าคนหรือผีห่าซาตานที่แดกยาปลุกเซ็กส์ ถึงได้บ้าบิ่นเอาแบบไม่สนคว-อะไรเลยว่าฝ่ายรับจะเจ็บมากแค่ไหน

รู้สึกเข็ดขยาดกับการขายหลีขึ้นมาทันที…

คริสตี้ได้แต่นอนเก้อรอจนกว่าอีกฝ่ายจะตื่น เผลอผล็อยหลับไปอีกรอบก็ตื่นมาเจอพี่แกเดินออกมาจากห้องน้ำ ลูกตาจ้องมาที่คริสตี้ที่ร่างกายเปลือยเปล่า

มองทำไมคะ ? หน้ากูเหมือนแม่มึงหรือไงกัน

แต่คริสตตี้ก็ทำได้แค่คิด คริสตี้ไม่ได้เป็นคนปากจัดขนาดนนั้นนะคะ ไม่เชื่อถามอีอ๊อกดูได้

อีกฝ่ายได้แต่ส่งสายตาให้คริสตี้พยักพเยิดไปที่ห้องน้ำเป็นการส่งซิก เหมือนแทนคำพูดและการบ่งบอกความหมายเอาไว้ว่า ‘ไปอาบน้ำซะสิ’

แต่คริสตี้สับสนค่ะ คริสตี้ว่าคนเราก็มีปากนะคะ หรือพี่คนนี้จะโดนเข็มเย็บปากถึงพูดออกมาไม่ได้

“ลิ้นไก่สั้นหรือไงกัน ?” คริสตี้พูดเสียงบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะดึงผ้านวมคุมกาย ลากมาที่หน้าห้องน้ำเสร็จก็รีบกระโจนเข้าไปภายใน ปิดล็อกกลอนประตูอย่างว่องไว ระหว่างนั้นก็มานั่งส่องกระจกที่อ่างล้างหน้า มองรอยจ้ำแดงและรอยช้ำที่ตามตัวเหมือนเป็นการตีตรา คริสตี้ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย ทั้งหงุดหงิดงุ่นง่าน เพราะเมื่อวานโดนเยอย่างหนักหนาสาหัส ยากจะทานทน ได้แต่อดทนอดกลั้นกับความโมโห อาบน้ำเสร็จก็ลืมว่าเสื้อผ้าอยู่ข้างนอก ผ้าเช็ดตัวสักผืนก็ไม่มี เลยเปิดประตูชะโงกหน้ายื่นออกไป หวังจะตะโกนขอความช่วยเหลือ ทว่าเปิดมาไม่ทันไร ก็มีร่างสูงตระหง่านยืนค้ำหัว เล่นเอาคริสตี้สะดุ้งโหยง

“...” อีกฝ่ายเงียบกริบ แต่กลับยื่นเสื้อผ้ารวมไปถึงผ้าขนหนูมาให้

“ขอบคุณค่ะ” คริสตี้รีบตอบรับน้ำใจ หยิบยื่นสิ่งนั้นมารับไว้และปิดกระแทกประตูทันที หัวใจตัวเองก็เต้นสั่นไหวรัวแรง

คริสตี้ว่าคงเป็นอาการขลาดกลัวมากกว่าตกหลุมรักมากกว่าค่ะ

หลังทำอะไรเสร็จสิ้นก็ออกมาหน้าสด เมื่อคืนเล่นนอนไปทั้งเครื่องสำอางจนปลอกหมอนเปื้อนไปหมด คริสตี้ได้ยืนจังงันอยู่แถวๆ ริมขอบเตียง จ้องมองชายฉกรรจ์ที่นั่งรอด้วยสีหน้าเหมือนมีอาการเบื่อหน่าย เขาสำรวจมองคริสตี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงเหยียดกายลุกขึ้นยืน

ทีแรกคริสตี้คิดว่าจะโดนถีบเลยรีบกระโดดหนีถอยหลัง แต่เปล่าเสียนี่

แสดงว่าหน้าสดคริสตี้ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นโดนทำมิดีมิร้าย

“...” อีคนที่เงียบก็ยังเงียบอยู่วันยันค่ำ เดินผ่านคริสตี้เดินไปที่ประตูห้อง เปิดประตูอ้ารอเล่นเอาเราขมวดคิ้วมุ่น

คริสตี้รีบเดินไปใกล้อีกฝ่าย ยกมือขวาแบมือออก “ตังค์” ค่าเสียเวลาค่ะ ค่าหลีค่าแตดที่ต้องเสียพรหมจรรย์ด้วย

ลูกค้ารายแรกก็เล่นเอาคริสตี้จุก แม้แต่เลือดที่เลอะบนฟูกเตียงสีขาวยังปรากฎให้เห็น ดีที่ไม่มีลี้ขู้ตามมาด้วย

“เดี๋ยวพาไปกินข้าวก่อน” อีกฝ่ายบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

คริสตี้ได้ทำหน้าหงุดหงิด เดินออกจากห้องสาวเท้าไปยังลิฟต์ รออีกฝ่ายกดชั้นเพื่อรอลิฟต์ขึ้นมา ไม่นานเกินสามนาทีลิฟต์ที่ว่าก็มาถึงชั้นคอนโดของเรา ก่อนที่คริสตี้จะก้าวเท้าเข้าไปภายใน

เรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก คริสตี้ก็ถูกลากมาทานข้าวกินประทังชีวิต

อย่าเสือกชีวิตชาวบ้านกันให้มากเลยค่ะ คริสตี้ก็ไม่มีเรื่องดีเด่นนอกจากแหกขาชี้ฟ้า กลับมาถึงบ้านได้ก็เพราะมอเตอร์ไซค์ของอีกฝ่าย คริสตี้ทั้งเจ็บก้นและเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด นี่ยังไม่นับกับคำพูดคำจาของอีกฝ่ายที่สบถตอนเอาคริสตี้อีกนะคะ ไหนจะเย็-จนหลีโบ๋ มากมายสารพัดจนคริสตี้โดนเย็-ยังอึ้งทึ้งกับคำด่าทอ

อยากจะตอกกลับไปบ้าง แต่ก็กลัวจะไม่ได้เงิน เลยได้แต่ยอมทนมาถึงขั้นพามาส่งถึงบ้าน

คริตตี้แบมืออีกครั้งหวังจะเอาเงินค่าเสียตัว แต่แม่ของคริสตี้ก็ดันเดินมาเสียก่อน

“แหกหลีไปไหนมา” แม่ว่าจิกกัด

แต่แม่คะ ลูกมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยนะคะ แม่ช่วยพูดจาสุภาพหน่อยก็จะดีใจมาก ส่วนเรื่องแหกหลีนั้น ลูกขอผายมือไปทางพี่เขาค่ะ

“แล้วนี่ใคร” แม่ถาม

“รุ่นพี่” คริสตี้รีบตอบกลับอย่างมีไหวพริบ พลันรีบโบกมือบ๊ายบายเป็นการไล่อีกฝ่าย “บ๊ายบายพี่ ไว้เจอกันใหม่”

ไว้โอกาสหน้าจะเก็บตังค์จากค่าเสียหายเมื่อคืนนี้แทนละกันค่ะ

เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างงงงวย คริสตี้ที่มองเขาขับรถเข้ามาส่งถึงในซอยก็ได้ถอดถอนลมหายใจ

“แหกหลีให้ผู้ชายเย็-มาใช่ไหม ?” แม่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“แม่พูดจาอะไรน่าเกลียด” คริสตี้มุ่ยหน้ารีบก้าวขาเข้ามาในบ้าน เรื่องราวต่อจากนั้นก็เป็นตอนที่คริสตี้โทรให้อีอ๊อกมาหาถึงถิ่นฐาน ก่อนจะด่าทอมันไปยกใหญ่ในระหว่างที่แม่ไปทำธุระ

อีเพื่อนโง่ก็เสือกเสียตัวฟรีไม่ต่างจากเรา...


หลังจากนั้นคริสตี้ก็ได้เจอคนที่ชื่อเดือนอีกครั้ง เขาขอคุยกับคริสตี้เป็นการส่วนตัว แต่ด้วยเพราะอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ได้ดั่งใจ ทำให้คริตตี้ได้แต่บอกปัดว่าไม่ว่าง นั่งกินโรตีจนอิ่มท้อง ก่อนที่ฝ่ายพี่นนท์ว่าที่ผัวของอีอ๊อกจะชักชวนไปดูหนัง

คริสตี้ก็ตามใจเพื่อน ฉุกคิดว่ามันคงจะปฎิเสธ แต่ที่ไหนได้มันกลับร่านรัก นึกอยากจะสานต่อกับคนตรงหน้า

บรรยากาศเสียงเพลงดังภายในรถพร้อมกับผัวของอีอ๊อกที่เปิดเพลงไม่สนสิ่งใดๆ อีอ๊อกก็ได้แต่ลอบมองอย่างเป็นห่วง คริสตี้ก็เลยคลี่ยิ้มเป็นการบอกปัดว่าไม่เป็นไร แม้จะนั่งอยู่ข้างกายคนที่เคยเอาเราจนจมคาเตียง

ที่โมโหจนไม่อยากคุยด้วยไม่ใช่ไรหรอกค่ะ เพราะยังไม่มีโอกาสเอาเงินค่าเสียหลีก็แค่นั้น

พอมาถึงห้างอีเพื่อนชั่วก็วิ่งโร่ไปร้านหนังสือการ์ตูน คาดคะเนว่าคงหมกมุ่นกับพวกวายดังเดิม สมกับเป็นนักเขียนที่ต้องใช้จินตนาการค่อนข้างมาก

คริสตี้เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเลยเอ่ยปากบอก “เดี๋ยวมา”

“ไปไหน” เสียงทุ้มของพี่เดือนถาม ทำเอาคริสตี้แปลกใจ ขมวดคิ้วยุ่งยากคล้ายรำคาญ

“ไปซื้อไอติม”

“เดี๋ยวไปด้วย”

“ตามสบาย” คริสตี้ไม่คิดจะคัดค้านหรอกค่ะ มีผู้ชายตามราวีก็ดีอยู่อย่าง อย่างน้อยก็ดูเป็นคนสวย ดูสิ ขนาดเดินลงจากบันไดลิฟต์ยังมีคนมองชายหนุ่มด้านหลังของคริสตี้เลย

คนอะไรจะหล่อทั้งเพื่อนแม้กระทั่งตัวเอง

ส่วนคริสตี้ก็ขอสถาปนาว่าตัวเองกับอีอ๊อกสวยมากละกันค่ะ

พอมาถึงร้านไอติมที่ว่า เพื่อนรักก็โทรตามหาเพราะคงไม่รู้ว่าอยู่ไหน คริสตี้แอบด่าคำถามกวนประสาทของมันไปหนึ่งที ไม่เกินเจ็ดหรือแปดนาทีนี่แหละ นังตัวดีก็เดินมาหาพร้อมลากเสียงยานว่า “คริสตี้ ~”

คริสตี้หันหน้าไปมองตามต้นเสียง เห็นมันวิ่งมาเหมือนเด็กน้อยจอมซนเข้ามาโอบกอด ระหว่างนั้นก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีจัดแบกของด้วยหนังสือการ์ตูนหลายสิบเล่ม ช่างเหมือนผัวไม่มีผิด

นี่มึงเล่นผลาญเงินพี่เขาใช่ไหม อีเพื่อนร่าน ?

เป็นจริงดังคาดอย่างที่กล่าวเบื้องต้น อีอ๊อกเป็นคนฉลาดเฉลียวทันเล่ห์เหลี่ยมคน อีกทั้งตัวมันเองก็เจ้าเล่ห์ใช่ย่อย ใช้พี่นนท์ออกเงินค่าตั๋วหนังและซื้อป๊อปคอร์นให้ ส่วนตัวคริสตี้นั้นก็มีพี่เดือนออกค่าตั๋วแทน รวมไปถึงไอศกรีมก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน

ระหว่างนั้นเราก็ไปดูหนังไปเรื่อยเปื่อย แถมหนังที่ว่าก็เสือกเป็นหนังฆาตกรรมอีก ครั้นจบเราก็กลับมาที่บ้าน โดยคนอาสาเป็นพี่เดือน ตัวคริสตี้เองก็ไม่อยากจะพูดอะไรบ่อยๆ เห็นอีกฝ่ายคะยั้นคะยอพลอยเป็นห่วงหวังจะตามส่งถึงบ้าน ไอ้เราก็ตามใจเดินนำหน้าตามซอยเปลี่ยว ก่อนจะถูกกุมมือหนาจูงแขนมาเดินขนาบข้างกาย

คริสตี้แหงนหน้ามองอย่างแปลกใจ

“เดินระวัง” อีกฝ่ายเอ่ยเตือน ก่อนที่คริสตี้จะหลุดร้องกรี๊ดเพราะมีกบกระโดดอยู่ใกล้ๆ เท้า สะดุ้งจนต้องกระโดดหนีไปทางด้านซ้ายมือ แนบกายกับอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ

คริสตี้รีบผละกายออกห่าง ไม่อยากจะเหมือนพวกดาราหนังไทยที่บรรยากาศเต็มอกเต็มใจให้ได้ใกล้ชิด

เห็นอย่างงี้คริสตี้ก็มีนิวจิ๋วเป็นไอดอลนะคะ ทำอีอ๊อกเป็นติ่งมาแล้วด้วย ผายอกด้วยความภาคภูมิ

ครั้นมาถึงถิ่นฐานที่บ้านซอมซ่อ คริสตี้ก็เอี้ยวกายหมุนมาจ้องประจันหน้า แบมือใส่อีกฝ่ายตามเคย

“ตังค์ ค่าเสียตัวเมื่อวันก่อน” คริตตี้พูดตรงประเด็น ก่อนที่มือจะถูกฝ่ามือใหญ่มาบีบกุมเอาไว้แทน

เอ๊ะ พูดจาไม่รู้เรื่องเหรอไอ้สัตว์

“เอาไว้พรุ่งนี้นะคะ ไว้เราไปดูหนังด้วยกัน พี่จะยอมให้เงิน” ฝ่ายพี่เดือนเอ่ยปาก ทำคริสตี้กลอกตานึกคิด

หรือนี่จะเป็นการจีบ อืม จากบทสนทนาก็มีความเป็นไปได้ แต่มันก็ไม่แน่นะ เขาอาจจะหวังเพื่อมีเพศสัมพันธ์กับเราอีกก็เป็นไปได้ ไม่ว่าจะสมัยนี้หรือสมัยไหนก็ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น

คริสตี้ยอมพยักหน้ารับอือออ “โอเค พรุ่งนี้ตอนเย็น”
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบเอ็ด [4/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 04-01-2020 22:06:12
“ไว้พี่จะแอดเฟซทักไป” เสียงทุ้มเย็นชาบอกกล่าว คริสตี้ได้แต่ผงกหัวรับด้วยความเข้าใจก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน ไม่เสียเวลาหมุนกายหันกลับไปมองอีกฝ่ายว่ายังจะอยู่ที่เดิมหรือไม่

หลับตานอนก็มาเช้าวันใหม่ อีอ๊อกก็ถ่อหลีมาถึงถิ่น รวมถึงอีคิทแคทที่มานอนเล่นภายในบ้าน ตอนแรกคริสตี้ก็ไล่มันก็แล้ว กลัวว่าบ้านซอมซ่อจะถล่มหากขืนคงอ้วนพุงแบบมันมายืนกระแทกกระทั้นภายในพื้นไม้ เกิดพังขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ ครอบครัวคริสตี้ได้ไร้ที่อยู่อาศัยกันพอดี บ้านยิ่งทรุดโทรมอยู่ด้วย

ณ เวลาช่วงบ่ายอีอ๊อกก็ขอตัวลาเพื่อไปขยันแต่งนิยายต่อ คริสตี้ก็ได้โบกมือลาพลางให้กำลังใจ เพราะมันค่อนข้างเป็นคนเก่ง แม้จะโง่ในบางเรื่อง แต่ก็ถือว่าเป็นคนขยันและจิตใจดีคนหนึ่ง

คริสตี้ผินตามาหาอีกคนบ้าง เห็นอีคิทแคทที่นอนสุขอุราสบายใจเฉิ่ม

“เมื่อไหร่จะกลับ” คริสตี้ถามเพื่อนที่เคยตบตีตั้งแต่สมัยเด็กประถม

มันที่มองตาแป๋วเอ่ยปากบอก “อีกสักพัก” ปู๊ด กึกๆๆๆ

“แม่ บ้านจะถล่มอีกแล้ว !!” คริสตี้ได้ยินเสียงพื้นไม้แล้วอยากจะร้องไห้ทันที


ในที่สุดก็ถึงเวลาเย็น คิทแคทก็กลับบ้านไปตั้งแต่ช่วงบ่ายสาม คริสตี้ได้เล่นเกมกับอ๊อกและพวกพี่นนท์กับพี่เดือนด้วย หลังจากจบเกมพี่แกก็ยังมิวายทักมาทวงเรื่องไปดูหนัง คริสตี้ก็ได้แต่ตอบอือออเหมือนคนรำคาญ แต่แท้จริงก็ไม่รู้ว่าจะสนทนาแบบไหนดีก็แค่นั้น เนื่องจากไม่ค่อยมีผู้ชายพูดคุยด้วยสักเท่าไร เข้ามาจีบคริสตี้แต่พอเจอตัวตนก็หนีกระเจิงไปหมด คริสตี้ก็ไม่ได้อ่อนหวานอย่างหญิงสาวทั่วไปนี่นา ก็เป็นกะเทยแรงๆ คนหนึ่งผ่านเปลือกนอก ทั้งที่ภายในอ่อนหวานยิ่งกว่ากุลสตรีไทย

ไม่เชื่อเหรอคะ ? นัดตบไหมจะได้จบๆ

คริสตตี้สำรวจตัวเองที่ใส่ชุดเกาะอกสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาม้า ก่อนจะใส่ส้นสูงเดินออกจากบ้าน ในทีแรกก็มีคนเสนอตัวจะมารับถึงถิ่นฐาน แต่คริสตี้ปัดแล้งน้ำใจเพราะเกรงว่าคุณแม่ที่รักลูกสาวคนนี้จะตะหงิดใจ

“ออกไปหาผัวสินะ” เสียงแม่พูดตะโกนภายในบ้าน ดังลั่นมาถึงภายนอก

คริสตี้ตะโกนตอบกลับเป็นการยั่วเย้า “รู้แล้วจะถามทำไมอีก !” พลันได้ยินเสียงแว่วๆ ว่าร่านนักนะดังมาแต่ไกล

ก็อยากที่บอกค่ะว่าคนในครอบครัวค่อนข้างรักและเอ็นดูคริสตี้มาก อีกทั้งภายในครอบครัวคริสตี้ก็มีพี่น้องอยู่ด้วยกันถึงสี่คน หนึ่งคือพี่สาวคนโต กับพี่สาวคนรอง ถัดมาก็เป็นพี่ชายที่คริสตี้ไม่ค่อยพูดคุยกับแกเท่าไรนัก เคยต่อยตีกันจนคริสตี้หัวแตกมาตั้งแต่เด็ก ทำให้คริสตี้ไม่ค่อยชอบความรุนแรงสักเท่าไร รววมถึงไม่ค่อยสนิทกับพี่ชายเหมือนพี่น้องทั่วไป ไหนจะมีหลานๆ อีก ปวดหัวไปหมด แต่คริสตี้ก็รักและเอ็นดูเด็กนะคะ เพราะคริสตี้ใฝ่ฝันอยากเป็นนางงาม

อะไรนะคะ ? อ่านแล้วสะดุดชื่อเรียกแทนตัวคริสตี้ว่าคริสตี้ เอ้าอีดอก จะให้กูบรรยายยังไงล่ะอีแม่เย็- กูไม่ได้เป็นนักเขียนเหมือนอีอ๊อกนะคะ ที่มโนมานั่งพูดเพ้อเจ้อกับตัวเองในหัวได้แค่นี้ก็เก่งแค่ไหนแล้ว

ต่อค่ะ…

คริสตี้กำลังเดินทางมาถึงห้างด้วยยานพาหนะ ยื่นแบงค์ร้อยก่อนจะได้ทอนคืนมาสามสิบกว่าบาท เพราะห้างไม่ค่อยไกลจากบ้านเท่าไรนัก

ครั้นมาถึงก็กดที่ปุ่มแช็ตเฟซบุ๊กโทรหาอีกฝ่ายเพื่อความรวดเร็ว ไม่นานเกินรอก็มีคนรับสาย

“ฮัลโหล ถึงแล้ว พี่อยู่ไหน ?” คริตตี้ถาม

“รออยู่ที่ชั้นโรงหนัง” อีกคนบอกผ่านปลายสาย คริตตี้เลยปริปากตอบกลับไปว่าจะรีบขึ้นไปหา ระหว่างนั้นก็เดินเข้าห้าง ฝ่าผู้คนที่อลหม่านยิ่งกว่ามดจับกลุ่มเดินทางสลับซับซ้อน คริสตี้เดินขึ้นบันไดลิฟต์โดยไว พอมาถึงชั้นบนสุดของโรงหนัง ก็กวาดตามองรอบด้านเพื่อหาใครคนหนึ่ง แต่ทว่ากลับไม่เห็น คริสตี้กำลังหยิบมือถือจะพิมพ์ทักไปตามหา จู่ๆ ก็มีแรงสะกิดที่ไหล่ข้างซ้ายเล่นเอาเราสะดุ้งโหยงร้อง “ว้าย”

“...”

“ทำไมมาไม่ให้สุ้มให้เสียง” คริสตี้ขมวดคิ้วยุ่ง ติอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ

คนตรงหน้าขยับปากเนิบนาบ ทำสีหน้าตายด้านดังเดิม “โทษที”

โทษเถอะค่ะ หน้านี่มีแค่อารมณ์เดียวเหรอคะ ? ตอนเย็-กันนี่ไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย คริสตี้ได้แต่ทำหน้าหงิก

“ซื้อตั๋วหนังยัง” เอ่ยปากถามไถ่

“ยัง” อีกคนกล่าวหน้าซื่อๆ

คริสตี้ถอนหายใจก่อนจะเดินนำหน้าไปที่ซื้อตั๋วหนัง พลันเอี้ยวกายมาทางอีกคน “เงิดสดช่ะ”

“อืม” อีกคนพยักหน้ารับ คริสตี้เลยมาดูตารางหนัง เสือกรีบเดินมาโดยไม่คิดว่าจะดูอะไร เลยหันไปทางอีกคนเพื่อขอความคิดเห็น “ดูเรื่องอะไร ?”

“แล้วแต่เลย”

“โอเค” คริสตี้ไม่อยากจะซักไซ้ ชี้นิ้วไปที่รูปภาพหน้าจอมอนิเตอร์ “Frozen 2 ค่ะ” ดูการ์ตูนแม่ง

“โอเคค่ะ” พนักงานพยักหน้ารับก่อนจะกดคลิกและให้เลือกหาที่นั่ง คริสตี้เลือกโซนตรงกลางที่ไม่สูงและต่ำจนเกินไป

คริสตี้เป็นติ่งเอลซ่าค่ะ ฉะนั้นไม่ลังเลใจที่จะเอาหนังที่ชอบมาดู ใช้เวลาเกือบห้านาทีหลังจากจ่ายค่าตั๋วโดยมีคนออกให้ คริสตี้ก็หมุนกายไปหาระหว่างเดินถอยหลัง “เอาน้ำกับป๊อปคอร์นด้วยไหม ?”

“แล้วแต่เลย” อีกคนกลับตอบแต่คำเดิมๆ

ช่างน่าเบื่อหน่าย คริสตี้เลยสั่งแม่งไปชุดใหญ่พร้อมกับเลือกรสเองตามใจชอบ ไม่ต้องมาเสวนาคอยถามนั่นนี่ว่าอยากกินรสอะไร เพราะเกรงว่าจะได้ยินคำเดิมๆ

เมื่อเข้ามาในโรงหนัง เสียงเด็กที่มาดูในโรงก็ดูตื่นเต้นเจี๊ยวจ๊าวกันไปหมด พอขึ้นเพลงๆ หนึ่งที่พาให้ทุกคนต้องลุกขึ้นยืน คริสตี้กลับนั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง หยิบป๊อปคอร์นกินต่อ มิวายดูดน้ำให้ชื่นใจ เห็นคนข้างกายเก้ๆ กังๆ สะกิดแขนมองหน้า แต่คริสตี้ก็คลี่ยิ้มส่ายหน้าตอบปัดเป็นการบ่งบอกว่าไม่ยืน

ก็มีตูดอะค่ะ นั่งแล้วก็นั่งเลย จะมายืนรอให้เมื่อยขาทั้งที่ประเทศชาติก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เสียเวลาค่ะ จ่ายตั๋วก็แล้ว มีกฎหมายไหนบอกเหรอคะว่าต้องยืนในโรงภาพยนตร์ ?

คริสตี้รู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่มองมา แต่คริสตี้ก็ไม่ใส่ใจสิ่งใดๆ นั่งเหม่อลอยแม่งจนเพลงจบเลยถอดถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย พลันมีคนข้างกายมากระซิบข้างหู “ทำไมไม่ยืน”

“มีอะไรให้น่าเคารพด้วยเหรอ ?” คริสตี้ทำหน้าเหลอหลา เห็นคนตรงหน้าดูอึ้งทึ้งก่อนจะนั่งประจำที่

ระหว่างนั้นก็ดูหนังไปค่ะ หนังค่อนข้างสนุก เพลงเอลซ่าก็ดีงาม แต่จู่ๆ ก็กลับมีแรงกระแทกกระทั้นที่เบาะนั่งของคริสตี้

มันไม่ใช่ครั้งเดียวค่ะ แต่มันหลายครั้งติด !

คริสตี้ที่เริ่มรู้สึกเจ็บแผ่นหลัง ลุกขึ้นยืนหันไปจ้องหน้าคนที่เอาเท้าถีบเบาะ พลางเอ่ยปากอย่างมีน้ำโห ไม่สนใจคนในโรง เสียงก็ไม่ดังมาก แต่ก็พอจะแทรกความเงียบงันของภาพยนตร์ ณ เวลานั้น

“ระวังตีนหน่อยค่ะ” คริสตี้เหยียดยิ้มจ้องตาอย่างวาวโรจน์ อยากจะมวยก็มา กวนส้นตีนกูเหรออีดอก อยู่ดีๆ ไม่ชอบใช่ไหมคะ ?

“โทษทีไม่ได้ตั้งใจ” เสียงของผู้ชายแปลกหน้าที่มีรุ่นราวคราวพ่อตอบอย่างไม่ยี่หระ ทั้งที่ประโยคคำพูดควรมีจิตสำนึก แต่การกระทำและน้ำเสียงที่ใช้ ช่างยั่วเย้าปั่นประสาท

ได้ อีดอก

“ก็หัดจำบ้างก็ดีค่ะ” คริสตี้หุบยิ้มลง ไม่สนผู้คนที่ชายตามองมา ทิ้งตัวลงนั่งอย่างแรงด้วยความโมโห แถมยังมีพี่เดือนที่คอยดึงแขนรั้นให้ทิ้งตัวลงนั่งอีก คริสตี้เลยลองใจเย็นดูสักตั้ง แต่ทว่าการเอาน้ำเย็นเข้าลูบจะไม่ได้ผล กลับมีแรงถีบกระแทกแรงๆ อีกทีจนคริสตี้แทบล้มไปด้านหน้า

อีดอกไม่จบใช่ไหม ! ได้ !

คริสตี้หยิบขวดแป๊บซี่และแกะฝาขวดพลาสติกทันที ก่อนจะยืนขึ้นอย่างว่องไวและหมุนกายหันไปสาดคนตรงหน้าอย่างแรง ซ่า !

อย่าเปรี้ยวกับกูให้มากอีแก่ !

“เฮ้ย ! อะไรวะ !” เสียงอีกคนโมโหโทโส มือไม้ลูบหน้าตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืน เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยน้ำ

คริสตี้ไม่สนแม้แต่คนที่อยู่ข้างกายต้องเปียกเปรอะไปด้วยไหม เพราะอารมณ์คุกรุ่นมันทำให้สติสัมปชัญญะแตกกระเจิง

“ถีบหาพ่อหาแม่มึงเหรออีสัตว์ !” คริสตี้ตวาดลั่นอย่างไม่เกรงกลัว จ้องอีกคนที่ลุกขึ้นชี้หน้าด่าทอ เกิดเรื่องอลหม่านจนภายในโรงมีเสียงซุบซิบนินทาพานหันเหมาสนใจทางฝั่งคริสตี้กันไปหมด

[ดินแดนที่ไหมรู้ ~] เสียงเอลซ่าร้องเพลง

“มีปัญหาอะไรก็ว่ามาอีช้างเย็-” คริสตี้ยังคงยืนจ้องประจันหน้า

[ดินแดนที่ไม่รู้ววว ~]

“แล้วทำไมมึงไม่ยืนเพลงสรรเสริญล่ะอีควาย” อีกคนโต้กลับ

“อ๋อ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เองอีดอก ก็มันเรื่องของกูปะ กฎหมายข้อไหนมีคำสั่งให้ต้องยืนขึ้นระหว่างมีเพลงสรรเสริญไหมล่ะ ? จะลุกจะหีจะแตดก็สิทธิของกู” คริสตี้แย้งอย่างกรุ่นโกรธ

[ดินแดนที่ไม่รู้วววววว ฮู ฮุ ฮูวววววววว~]

“โทษนะครับ เชิญออกจากโรงด้วยครับ” เสียงพนักงานเดินเบียดเข้ามาผายมือมาทางพวกเรา คริสตี้เอามือลูบปอยผมหน้าม้าอย่างหัวเสีย ชี้หน้าด่ามัน

“มา อีดอก มึงมาฟัดกับกูข้างนอกอีแก่” คริสตี้ยังไม่ลดทีท่าปั้นปึ่ง

ระหว่างนั้นก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งแทรกขึ้นมากลางวง “เออ จะไม่ลุกมันก็สิทธิของเขาเหมือนกันปะวะ มึงไปยุ่งอะไรด้วยล่ะ !” เสียงทุ้มกังวานทำให้คริสตี้ผายอกอย่างภาคภูมิใจ

เห็นไหมล่ะ อีสัตว์ สมัยนี้ประเทศนี้มีอะไรให้ต้องอวยยศกันอีกเหรอ ? ถามจริง มีแต่สลิ่มอย่างพวกมึงที่ยังหัวโบราณคร่ำครึ ไม่ได้สนเลยว่าตอนนี้ข่าวคาวภายในประเทศไปถึงไหนต่อไหน

ที่คริสตี้ตั้งใจไม่ยืนตั้งแต่แรก ก็เพราะเห็นในทวิตเตอร์มีประเด็นเรื่องนี้อยู่เลยอยากลองดูบ้าง ผลปรากฎว่ามีคนสาระแนอยากมีปัญหาระหว่างดูหนัง

กูไม่เป็นพวกยอมคนหรอกนะคะจะบอกให้ !

“ว่ามา” พอออกมาจากโรงโดยมีพนักงานขวางกั้น คริสตี้ก็เท้าสะเอวจ้องหน้าอีแก่ที่กวนบาทา

ปกติไม่บูลลี่คนอื่นหรอกนะคะ แต่ที่เห็นอยู่นี้ก็หน้าคล้ายตีนดี น่าเอานิ้วตีนไปสะกิดที่เบ้าหน้า

เสียงเซ็งแซ่และผู้คนรอบด้านที่กวาดตามองมาทางพวกเรา คริสตี้สะบัดแขนพนักงานที่มาจับ เอ่ยบอก “พี่ไม่ต้อง อยากจะจับไปจับอีนู่นเถอะค่ะ” เพราะมันทำท่าจะยกมือขึ้นมาต่อย จนพนักงานชายต้องมาห้ามทัพ

ฝั่งพี่เดือนที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบมาบังหน้าคริสตี้ทันทีเมื่อชายคนนั้นพาลอารมณ์โทสะผ่านพละกำลัง

“อีเด็กไร้มารยาทพ่อแม่ไม่สั่งสอน เพลงสรรเสริญขึ้นแทนที่มึงจะยืน กลับนั่งโง่ไม่สนคว-อะไรเลย มึงเป็นคนไทยปะวะ !? ถ้าไม่รักผืนแผ่นดินก็ออกไปจากประเทศไป๊ !” คนตรงหน้าพูดพลางถมน้ำลายลงที่พื้น

คริสตี้ทำหน้าอย่างขยะแขยงก่อนจะแค่นหัวเราะดังลั่น หมุนกายหันไปมองผู้คนที่ยกมือถือมาถ่ายคลิป “ประทานโทษนะคะ อยากรู้จริงๆ ว่ามีกฏหมายข้อไหนระบุไหมคะว่าต้องยืนขึ้นในระหว่างที่มีเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง จะนั่งจะยืนก็สิทธิของคนเราปะคะ และอีกอย่าง…” ก่อนจะกรีดตามองคนหน้าโง่ที่ทำตัวเป็นสลิ่มให้ผู้คนขำขัน “การที่กูไม่ยืนไม่ได้หมายความว่ากูไม่รักประเทศชาติ กรุณาอย่าแสดงความโง่ค่ะ ฟังดูแล้วมันน่าตลก และอย่าเอาพ่อแม่กูมาเกี่ยวข้องค่ะ เขาสั่งสอนกูมาดี แต่อยู่ที่กูจะปฏิบัติทำตัวตามไหมนั่นก็เรื่องของกู !” พลันชี้นิ้วกระดิกยั่วเย้ากวนตีนคน ทั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างชอบอกชอบใจ มิวายตะโกนลั่นห้าง “ขอโทษนะคะที่การไม่ยืนเพลงสรรเสริญมันไปหนักหัวพ่อหัวแม่พวกมึงกัน  !” จากนั้นคริสตี้ก็หันมาทางพนักงาน พลางกระซิบ “ขอโทษนะคะที่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่โต” ก่อนจะเดินสาวเท้าออกจากห้างมาที่บันไดลิฟต์ ไม่ทันจะก้าวเท้าก็มีเสียงดังเล็ดลอดกระทบหู

“อีกะเทย !!”

“มึงน่ะสิอีกะเทย ! อย่าขยันเหยียดคนอื่นเก่งให้มาก ใช่ว่าตัวเองจะดีเสมอไป อีแก่ !” คริสตี้หันหน้าสวนกลับ ก่อนที่ก้าวขาลงบันไดลิฟต์ พร้อมโบกมือลา “บ๊ายบายอีดอกทอง !”

แปะๆๆๆๆ “วู้ววว” เสียงตบมือและเสียงผู้คนโห่ร้องชอบใจ หาได้ทำให้คริสตี้ดีใจเลยสักนิด ความโมโหโทโสยังเหลือล้นจนไม่แม้แต่ชายตามองคนข้างกาย

“คริสตี้” อีกคนเรียกชื่อ

“ว่า” คริสตี้ถามระหว่างสาวเท้าหวังกลับบ้าน

ช่างน่าหงุดหงิด วันหลังก็ต้องมาดูหนังใหม่อีก แม่งเอ้ย ! ดูไม่ทันจบ

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่เดือนกล่าว

“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” คริสตี้ตอบปัด ก้าวลงบันไดลิฟต์อีกชั้น

“คริส” คราวนี้มือคนกลับยื่นมากุมที่เรียวแขนเล็กของคริสตี้เอาไว้แน่น

“อะไร !” คริสตี้ได้แต่ส่งเสียงหงุดหงิดตอบกลับไป

ที่จริงไม่ควรพาลโมโหใส่เขาด้วยซ้ำ

“พี่บอกว่าเดี๋ยวพี่ไปส่ง หนูกลับคนเดียวไม่ได้” ฝ่ายพี่เดือนจ้องหน้าอย่างแน่วแน่ คริสตี้พรูลมหายใจทิ้งก่อนจะเอ่ย

“ทำไม กลับคนเดียวแล้วมันเป็นอะไร ผู้ชายจะมาลวนลาม โจรจะมาปล้นหรือไงกัน ?” คริสตี้ได้แต่แย้งอย่างไม่ชอบใจ

อีกฝ่ายก็ยังเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม แปรผันจากความเย็นชา  “เราใจเย็นๆ ก่อนได้ไหมครับ”

“...”

“นะ ให้พี่ไปส่ง เรากำลังโมโหอยู่ ให้พี่ไปส่งเราดีกว่า จะได้ประหยัดค่ารถด้วย” คนหล่อเหลายังคงใช้วาจานุ่มนวลเอาอกเอาใจ พลอยให้อารมณ์ของคริสตี้ค่อยๆ ดับมอดลงทีละนิด พยักหน้าเป็นการตอบตกลง

พี่เดือนพามายังลานจอดรถ ก่อนจะจูงมือคริสตี้มาที่รถเก๋งสีแดงเลือดหมู อีกฝ่ายกดรีโมตปลดล็อก ก่อนที่จะพาคริสตี้มานั่งข้างๆ ฝั่งคนขับ ไอ้เราก็ใจง่ายยอมทำตามแต่โดยดี ก่อนจะหลับตาลงข่มอารมณ์ที่มีเรื่องตะขิดตะขวงใจ

มันน่านัก ถ้าอีห่านั่นกระโจนเข้ามาต่อย คริสตี้ก็จะเอาเล็บยาวๆ นี่แหละข่วนหน้าแม่งให้มีเลือดไหลซิบ เอาให้แสบจนร้องไห้ไม่ออกเลยคอยดู

นึกแล้วก็โมโห พลันมีคนขับมานั่งปิดกระแทกประตูรถ สตาร์ทเดินทางพามาส่งแถวริมถนนใกล้บ้าน คริสตี้ที่กำลังปลดแก้สายเข็มขัดนิรภัยหยุดชะงัก

“คริส”

เรียกเก่งชะมัด

“อะไรอีก” จะด่าคริสตี้หรือไงกัน “จะดุที่ไม่ยืนในระหว่างเพลงขึ้นเหมือนอีห่านั่นน่ะเหรอ ?”

“เปล่า แค่อยากจะบอกว่าเราทำดีแล้ว เท่สุดๆ ไปเลย” อีกคนกลับชมเล่นเอาคริสตี้คิ้วกระตุก หัวใจเต้นกระหน่ำเมื่อรอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฎ แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าคมคายดูดีมีภูมิฐาน

คริสตี้เพิ่งเข้าใจคำว่าไร้ที่ติ

จู่ๆ ก็รู้สึกอุ่นร้อนในบริเวณพวงแก้มนิ่มทั้งสองข้าง กระแอ่มกระไอเอ่ยปาก “ขอบคุณที่ชม ไปละ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะลงจากรถ แต่จู่ๆ ก็ถูกกระชากแขนทำคริสตี้ร้องผวา “ว้าย” ตามมาด้วยพวงแก้มขวาที่ถูกริมฝีปากอุ่นร้อนประทับตราตรึง

ใจของคนเราเริ่มเต้นไม่ตรงจังหวะ คริสตี้รีบผละออกก่อนเอามือแนบที่กระพุ้งแก้ม

“ทำอะไรอะ” คริสตี้ถามอย่างงงงวย

ไม่มีคว-อะไรทั้งนั้นค่ะ มีแต่คำว่างง

“หอมแก้ม” อีกคนยักไหล่ไม่สะทกสะท้าน กล่าวเสียงเนิบนาบตาามเคย

“แล้วเป็นบ้าอะไรมาหอม” คริสตี้ขมวดคิ้วเป็นรอบที่ล้านในชีวิต

“ก็อยากหอม เราน่ารักดี ชอบ” อีกฝ่ายพูดแล้วก็คลี่ยิ้มหล่อเหลา คริสตี้เห็นแล้วตาพร่า เอ่ยถามตามการคาดคะเน

“จะจีบ ?”

“...” อีกคนเงียบแต่พยักหน้ารับขึ้นลงอย่างเชื่องช้า

คริสตี้รีบแกะฝ่ามือหนาให้ปล่อยออกจากเรียวแขนเล็ก ก่อนจะเปิดประตูรถ ยืนอยู่ที่ลานทางเดินของผู้คน หมุนกายมาจ้องคนหน้าตาดีที่อยู่ข้างในตัวรถ พูดค้านกระด้างกระเดื่องในระหว่างปิดกระแทกกระทั้นบานประตูรถให้เป็นดังเดิม

หากฉุกคิดจะมาจีบ...

“ฝัน” เถอะ

หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบเอ็ด [4/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-01-2020 22:41:47
พี่เดือน คริสตี้ เหมาะกันดีนะ555
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบเอ็ด [4/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 05-01-2020 00:31:43
จริงมากอย่ายัดเยียดความรักชาติอบบสลิ่มให้กับคนอื่น  :hao7:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบ [3/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 05-01-2020 00:48:53
5555555น้อนนนนน น้อนน่ารัก ตลกมากรูก
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบเอ็ด [4/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: 5577 ที่ 05-01-2020 17:47:22
แบบนี้ก็ยังไม่ได้ค่าตัวสิ
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 17-01-2020 15:53:46
ตอนที่สิบสอง



คนอะไรซอยเก่งยิ่งกว่าแม่ค้าซอยผักหอมแบ่ง ซอยถี่ยิบจนรูร่านเริ่มมีน้ำไหลเจิงนอง เสียงหยาบโลนดังกระทบภายในห้องบรรเลงรัก พี่นนท์กระทุ้งกายเน้นๆ ขณะอยู่เบื้องล่าง ทั้งฟาดที่ก้นอีอ๊อกอย่างมันเขี้ยว

ประทานโทษนะคะคุณผัวขา อันนี้มาเก็บดอกเบี้ยภาษีที่ปล่อยเงินกู้ปะคะ ทบต้นทบดอกทีเดียวข้อหาที่อีอ๊อกไปซื้อการ์ตูนวายเป็นสิบๆ เล่ม

สงสัยอีอ๊อกคงกู้มาเยอะ ดอกถึงได้มากขนาดนี้ ในหัวแต่คำว่า ‘ดอกทองเสียวมาก’ เต็มไปหมด ทบต้นก็แล้ว ทบดอกก็แล้ว ตลบคิดไปมาทั้งต้นและดอกดูจะเป็นผลกำไลของคนปล่อยเงินกู้มากกว่า ส่วนคนที่กู้ก็เสือกกู่ไม่กลับ ต้องวิ่งถ่อหลีหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ย แต่ก็ถูกทบต้นทบดอกด้วยการเอาคว-กระแทกเข้ามาในหลี

แม้อีอ๊อกจะไม่มีร่องรักดั่งหญิงสาว แต่รูของอีอ๊อกก็เบ่งบานราวกับดอกไม้ที่เคยตูมจนบานสะพรั่ง ปลดปล่อยเสียงดังป๊อก ! ในรูราคะยามถอดถอน ไหนจะเสียงลมอัดกระแทกคล้ายเสียงตดชวนหมดอารมณ์ทางเพศ แต่คุณผัวก็กลับซอยแล้วซอยเล่าอย่างไม่ยี่หระใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนเป็นวินมอเตอร์ไซน์ที่ขับยานพาหนะมาส่งจอดถึงถิ่นฐาน

“พะ พี่ อ๊า” พี่คะจอดตรงนี้ได้ไหมคะ ? หยุดสักประเดี๋ยวเพราะคร้ามเกรงว่าจะนั่งรถล้มหงายหลังตกลงไปตาย แต่คุณพี่ก็กลับบ้าบิ่นจับน้องคนนี้ยกตัวลอย กลายเป็นท่ายกล้อที่แผ่นหลังติดแนบกับผนังกำแพง

ปึก ปึก ปึก ! เสียงแรงถี่ยิบยิ่งกว่าแม่ค้าตำครกในส้มตำ คุณพี่วินมอไซน์ควงล้อบิดไปทางซ้าย “อ๊า” อีอ๊อกก็บิดหน้าไปตามทิศทาง ยามคุณพี่บิดขยี้ไปทางขวา “อ๊า” อีอ๊อกก็ครวญครางหันหน้าไปทางนั้น ยิ่งจังหวะพี่ควงคว-เหมือนม้าหมุน เสียงของลูกค้ายิ่งหวาดผวา ส่ายหน้าเป็นพัลวัน ครางชื่ออ้ายแน่ “อุ๊ย” อุ๊ยอุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย , อุ๊ยอุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย , อุ๊ยอุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย “ซี๊ด” โอ๊ะ โอ๊ะโอ๊ะ โอ๊ะ “โอ๊ว ~” โอ๊ะโอ๊ะ โอ๊ะโอ๊ะ , โอ๊ะ โอ๊ะ โอ๊ะ “โอ๊ย ~! ซี๊ด อิ๊” อิ๊อิ๊ อิ๊ อิ๊ ! , อิ๊ อิ อิ๊ อิ๊ , อิ๊ อิ อิ๊ “อิ๊ ~”  อ้าย อ้ายอ้าย อ้าย “อร๊ายยย~” อ้ายอ้าย อ้ายอ้าย , อ้าย อ้าย “อ้ายจ๋า ~”

เผียะ ! เสียงตีลงที่บั้นท้ายนิ่มอีกแล้ว เล่นเอาอีอ๊อกแสบเคืองตามผิวเนื้อที่สร้างรอยแดง พลันส่งสายตาหวานหยอดเป็นการออดอ้อนหวังให้อีกคนเข้ามาบดขยี้ริมฝีปากสื่อความนัย

ดูเหมือนคุณวินมอเตอร์ไซน์จะรู้กระแสจิต ถึงได้โน้มหน้ามาปกปิดเสียงครวญครางไม่หยุดหย่อน แต่ก็มิวายควงสะโพกสอดใส่แก่นกายเข้ามาในร่องหลืบที่ขมิบตอดรัดด้วยความเสียวกระสัน

นอกจากรับจ้างแล้วยังเป็นหมอดูอีก “เสียวมากเลยเหรอคะ ?” ผละริมฝีปากออกห่างก็กระซิบเสียงทุ้มแหบพร่าใกล้กลีบปากนุ่มหยุ่น

อีอ๊อกได้แต่เม้มปากแน่นอย่างขวยเขิน ก้มหน้ารับช้าๆ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นเมื่อถูกกระแทกรุนแรงมาหนึ่งจังหวะเน้นๆ ดังป๊าบ ! เข้าให้ “อ๊า !”

คุณหมอดูดวงวันนี้คงจะเปิดไพ่ดูดวงชะตาให้ใช่ไหมคะ ? มะรือก่อนอีอ๊อกเพิ่งดูดวงไพ่ยิปซีไปหมาดๆ ขอเวลานึกทบทวนสักประเดี๋ยวเพื่อนึกถึงการทำนาย

ปึก !

“อะ อ๊า” ไม่ต้องทำนายกันแล้วค๊า ! เย็-ดุขนาดนี้ ไพ่ใบแรกสถานะปัจจุบัน เป็นสองเหรียญ โชคดีที่ไม่ได้เป็นหนึ่งเหรียญ มิเช่นนั้นอีอ๊อกได้อมคาปาก อยู่ในโรงแคบๆ สถานการณ์ต่างๆ ค่อนข้างดำเนินไปเรื่อยๆ เหมือนการเย็-ที่ไม่มีวันหยุด อนุญาตเปิดไพ่ดูใบที่สองสิ่งที่มีอิทธิพลในช่วงนี้ เป็นมหาดเล็กถือดาบ อาจมีข่าวลือทำให้รู้สึกไม่ดี โดยรวมจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังในเรื่องต่างๆ และอาจถูกจับตามองทำให้รู้สึกอึดอัดใจ

“เน้นๆ แบบนี้ชอบมากไหมคะ ?” มีคนมองตาอย่างเร่าร้อน มันใช่เลยค่ะ การทำนายค่อนข้างถูกเผง อ๊อกขอไม่หือไม่อือใดๆ ทั้งนั้น ว่าแล้วก็ดูดวงจากหมอต่อได้ไหมคะ ? ไพ่ใบที่สามเป้าหมายและอนาคตอันใกล้เป็นสิบเหรียญ อาจมีความกังวลกับเรื่องการเงินของตัวท่านเอง ในระยะนี้ท่านจะมีความมุ่งมั่นจริงจังมากกว่าเดิม

“โอ๊ย” ใช่เลยค่ะหมอ เฉกเช่นการเย็-ในครั้งนี้ ดิฉันที่ใจแตกก็มุ่งมั่นปรารถนา หากขยันหมั่นเพียรก็คงก้าวกระโดดทั้งในหน้าที่การงานและโชคลาภทางการเงิน

“ยั่วมากขนาดนี้ อยากได้อะไรรึเปล่า ฮึ่ม !” ปึก ! พี่เขากระแทกเข้ามาอีกแล้ว ! กระแทกจนกูหัวโขกกับผนังกำแพงแล้วค่ะ ทำไมดูดวงช่างแม่นยำขนาดนี้ อยากจะแอบถามถึงอดีตที่ผ่านพ้นมากับคุณหมอนักทำนายจัง

ไพ่ใบที่สี่อัศวินถือถ้วย ที่ผ่านเป็นช่วงที่ไม่ค่อยหวือหวานัก เป็นช่วงที่ผ่อนคลายเรื่อยเปื่อย ด้านความรักมีโอกาสพบรักกับคนที่มีบุคลิกอบอุ่น ดูใจดีเข้ามาจีบท่าน

ฮึก แม่นมากค่ะหมอขา ตลอดมาดิฉันแทบไม่ทำอะไรเลยนอกจากอยู่บ้านกินเงินพ่อแม่เป็นว่าเล่น แต่พอค้าประเวณีก็กลับพบรักกลับชายหนุ่มที่นิสัยใจคออบอุ่น

อุ่น อุ่นมากค่ะ หมายถึงในรูของดิฉันนะคะ ไม่ใช่นิสัยของเขา

“อ๊าง !” ถูกควงสวาทเน้นๆ อย่างพลิ้วไหว นี่คว-หรือของเล่นยืดหดได้ ถึงได้พลิ้วไม่เกรงกลัวว่ากระดอจะหักดังเปราะ ส่วนหัวจ้วงแล้วจ้วงอีกยิ่งกว่าฆาตกรอำมหิตเชือดเฉือน

หมอคะ หนูอยากดูอดีตที่ผ่านพ้นเมื่อไม่นานมานี้ ขออนุญาตให้หมอหงายการ์ดเหมือนเล่นไพ่ยูกิเป็นการสะท้อนกลับได้ไหมคะ ? ไพ่ใบที่ห้าเทพแห่งความสำราญ สำราญเก่งเหมือนสำรอกความดัดจริตและความร่านของหล่อน อันนี้หมอด่าแรงมากเลยนะคะ แถมไพ่ยังกล่าวเอาไว้ว่าช่วงที่ผ่านมาอาจเป็นระยะที่คุณเบื่อหน่าย ไม่มีความสุขกับชีวิต การเงินไม่มีความเสถียร เรื่องรักๆ ใคร่ๆ อาจจะเจอบางคนเข้ามาเติมสีสันความมีชีวิตชีวาและมีความสุขในเวลาร่วมกัน แต่ข้อเสียนั่นก็คือเขาขี้เบื่อง่ายและเจ้าชู้ ดังนั้นควรเผื่อใจเอาไว้บ้าง

ข้อนี้อีอ๊อกขอเลื่อนผ่าน ปกติพ่อแม่เตือนไรก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอกค่ะ แต่พอดูดวงก็เสือกดอกทองเชื่อแม่งซะอย่างงั้น

ไพ่ใบที่หกสิ่งที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ อีอ๊อกขอหยุดพรรณนาและกล่าวถึงท่วงท่าที่หัวเข่าชิดกับพนังกำแพงข้างลาดไหล่สักประเดี๋ยว

โชคดีมีชัยที่อีคริสตี้มันเคยจับอีอ๊อกเป็นเชียร์ลีดเดอร์ชายมาก่อน แหกขาจนกรีดร้องลั่นภายในโรงเรียน เนื้อตัวเลยอ่อนเป็นทุนเดิม หากไม่เป็นเช่นนั้นท่านี้คงได้เกิดอาการตะคริวแดกขาและเหน็บแดกเป็นที่แน่แท้ เผยท่วงท่าลามกยิ่งกว่าคลิปอุจาดที่เคยดู

คุณพี่นนท์ต้องชำนาญมากแน่ๆ แต่ละท่าเล่นเอาอีอ๊อกจุกไปหมด ก่อนจะสาธยายต่อถึงไพ่ใบที่หกเทพีผู้สร้างโลก เหมือนที่พระเจ้าก็สร้างคว-มาประทานให้คนได้มาเย็- อนาคตอันใกล้มีความมุ่งมั่นและปรารถนาที่จะบรรลุเป้าหมาย ส่วนคนที่มีคู่อาจมีเบื่อหน่ายกันบ้าง ทั้งช่วงระยะห่างแต่จะกลับมาสวีทหวานกันใหม่

สาธุค่ะ เป้าหมายของอีอ๊อกตอนนี้ก็แค่หวังว่านิยายจะพัฒนาต่อๆ ไป และมีฐานแฟนคลับแน่นขึ้น ส่วนเรื่องมุ่งมั่นปรารถนาก็มีแพลนที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวจากการลงทุนทำนิยายทำมือ รวมไปถึงการมีผัวก็แค่นั้น

อ๊อกว่าอ๊อกมีแล้วนะคะ ข้อนี้อ๊อกไม่ทำนายก็พอเดาออก

“อะ อื้อ” โดนเย็-ต่อแล้วค่ะ กระแทกแต่ละทีเน้นที่ต่อมเสียวสุดๆ

เปิดไพ่ใบที่เจ็ด ปัญหาที่มีอยู่ช่วงนี้และวิธีแก้ปัญหา การ์ดผู้ทรงศีล ผู้บำเพ็ญศีลตบะแตก และผู้สันโดษกระโดดคว-เย็- ระยะนี้จะมีการปลีกตัวออกจากกลุ่ม ใช้เวลาอยู่กับตัวเองตามลำพัง เรียนรู้สัจธรรมหลายๆ อย่างได้ดียิ่งขึ้น ท่านจะใจเย็น “อะ อ๊า” ต่อนะคะ ท่านจะใจเย็น “อื้อ” โอเคใช่ไหมคะ ? ลิ้นพันพูดต่อไม่ถูกแล้วนะคะ นักดูดวงเริ่มเงี่ยนตามแล้วค่ะ ขอเกริ่นต่อว่าท่านจะมีผู้ใหญ่ที่นับถือคอยให้คำแนะนำปรึกษา การสวดมนต์ภาวนาหรือทำสมาธิจะช่วยให้ท่านมีจิตใจที่หนักแน่น และรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

“ดะ ดี อะ อ๊า” ดีค่ะ…

ไพ่ใบที่แปด คนที่อยู่รอบข้าง สภาพแวดล้อม แปดไม้เท้าคอยเท้าหลี ท่านมีความมุ่งมั่นกระตือรือร้น ท่านจะรู้สึกมีชีวิตชีวาและมีพลังในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ “ละ ลึกๆ อ๊า แบบนั้นแหละ อะ โอ๊ย ! เสียว ดะ ดี” ล้ำเลิศมากค่ะ หมอดูกับคนรอดูดวงตามคิวตอนนี้คว-โด่กันไปหมดแล้วนะคะ ขอเล่าต่อว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่จะริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ “อะ อ๊า” คอยพัฒนาตนเองทำให้มีประสบกาม โทษค่ะ ประสบการณ์ในชีวิตเพิ่มขึ้น จะมีผลงานโดดเด่นเป็นที่จับตามอง แต่ก็มีโอกาสที่จะโดนเพื่อนร่วมงานหมั่นไส้เอาได้ เนื่องจากท่านเก่งเกินหน้าเกินตา

ตาคลี ตาคลี ตาลุมบ้า !! ตี๊ด ตี๊ดๆๆ โวะโอๆ ~

อันนี้หมอนอกเรื่องเองค่ะ มาต่อที่ไพ่ที่เก้า หวังจะได้จบเรื่องยงๆ เย็-ๆ กันสักทีนะคะ สิ่งที่มุ่งหวัง กังวลใจ เทพีแห่งยมโลกที่มาพรากหล่อนให้ไปตกลงหลุมนรกเพราะกามโรค ท่านอาจจะสับสนและว้าวุ่นใจ “มะ ไม่จริง อะ อ๊า” จริงค่ะ “ยะ ใหญ่เกินไปแล้ว อ๊า” ว่าแล้วกันไป ในเรื่องความรักของตัวท่านเอง ท่านจะไม่มั่นใจหรือเชื่อใจคนรักของท่านมากนัก

“อาห์ ซี๊ด พี่จะแตกแล้ว หนูเชื่อไหม อาห์ เสียวจังเลยค่ะ”

“ชะ เชื่อ อะ อ๊า”

อาห์...หมอดูปิดการทำนายได้ไหมคะ ?

อ๋อ ยังไม่ได้ ยังเหลือไพ่ใบสุดท้าย...ขอลอบสบถด่าน่าหลีจริงๆ สักแป๊บนะคะ แต่ก็ทำได้แค่คิด ไพ่ใบที่สิบ บทสรุปทั้งหมดสองถ้วย เหมือนคว-พวกมึงทั้งสองตัว โดยสรุปแล้วไพ่ใบนี้จัดว่าค่อนข้างดี “จะ แจ๋ม สะ เสียวเกินไปแล้วพี่นนท์ อ๊า อะ อ๊อกเสียว อะ อ๊าง ~” ตายไปเลยค่ะอีสัตว์ หมั่นไส้ละ

หมอขอสรุปพอสังเขปว่า สิ่งที่คาดหวังมีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จตามปรารถนา แต่อาจจะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้อื่น...

“พะ พี่นนท์ อ๊อกจะแตกแล้ว”

“เดี๋ยวพี่ช่วยชักให้ค่ะ”

ค่ะ...อีสัตว์ ต่อนะคะ จะมีความสดชื่น ได้พบกับมิตรที่ดีที่ให้ความช่วยเหลือ ทั้งในเรื่องการงานและหุ้นส่วน มีความสำเร็จรอคอยอยู่ในอนาคต ในเรื่องการเงินจะมีใช้จ่ายตลอดเรื่อยๆ แต่ไม่ลำบาก หรือหากติดขัดก็มีคนคอยช่วยเหลือ เรื่องความรักมีความสมหวังรอคอยอยู่ อาจจะได้พบรักที่ถูกใจ

“ถูกใจไหมคะ ?” ถามแล้วก็สาวขึ้นลงระหว่างกระเด้งสะโพกสวน

“มาก”

คันกันน่าดูเลยนะคะ...

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณสปอนเซอร์ใจดีจากไพ่ยิปซีดูดวงทำนายนัดเย็- ทำนายปรนนิบัติท่านตั้งแต่หัวจรดตีนยิ่งกว่านางบำเรอมารับใช้เลียท่านตั้งแต่หมอยยันหลี อยากดูดวงกับหมอ อยากรู้ดวงชะตา อยากรู้ความเป็นความตายในอนาคต อยากรู้ว่าผัวจะเลียหลีสะกิดเม็ดแตดบ้างไหม เชิญมาดูกับเราได้ที่โวไวเว็บแตดแตดแตด ไพ่ยิปซีหยิกหลีขยี้แตดดอทคว-ดอททีเอสดอทคอม ขอบคุณค่ะ

แหมะ ! เสียงน้ำพุ่งกระฉูดและหยาดธาราขาวขุ่นทั้งหลายที่แตกล้นทะลักออกมาจากในรูคับแคบ เผยภาพน้ำขุ่นสีขาวที่ตีกวนจนคล้ายวิปครีมเหนียวหนึบหนับ ก่อนที่อีอ๊อกจะนอนหอบระทวยใช้ซี่ฟันกันลงที่ลาดไหล่ข้างซ้ายของอีกฝ่ายด้วยความเสียวกระสันไปทั่วสรรพางค์ ปลดปล่อยน้ำกามของตนเองพุ่งเปรอะหน้าท้องแกร่งที่เคยมีหยาดน้ำรักแห้งกรังสนิทมาก่อนหน้านี้ ไหนจะเสียงหอบเหนื่อยที่ใกล้เคียงแก้มซ้าย หอบกระเส่าทำใจคนฟังใจคอบ่ดี หน้าเห่อร้อนตัวแดงไปหมด รวมไปถึงเหงื่อกาฬที่รินไหลของเราทั้งสอง

พี่นนท์ถอดถอนตัวตน ก่อนจะสะอึกเอ่ยบอก ในระหว่างที่อีอ๊อกก็ทิ้งตัวอ่อนระทวยอยู่บนพื้นห้องบรรเลงเสียงเพลงอิโรติก “ฉิบ พี่จะแตกอีกแล้ว มันยังไม่หมด อาห์ บ้าฉิบ ทิชชู่ก็ไม่มี”

“...” อ๊อกได้แต่มองตาแป๋ว สับสนลังเลใจก่อนจะอ้าปากออกกว้าง

พี่นนท์ก้มหน้ามองอิริยาบถของผม “คะ ?”

อ๊อกไม่เสียเวลา ชี้นิ้วมาที่ปากตัวเองเพื่อสื่อความนัย

เปียกในปากหนูได้เลยค่ะ จะเป็นทิชชู่ทำความสะอาดให้เอง

“ซี๊ดดดด พี่ ขะ ขอโทษนะคะ อะ อาห์ !” และแล้วน้ำเงี้ยวแสนหวานก็พุ่งเข้าสู่โพรงปากลงไปในลำคอและเปียกเปรอะที่ริมฝีปากแดงช้ำ รวมถึงปลายคางและแผงอก

ภาพที่เห็นช่าง…

“หนูเหมือนนางเอกเอวีเลย”

ขอบคุณที่ผัวกล่าวชมเชยเช่นนั้น

ฮึก แต่นางเอกเอวียังได้เงินค่าถ่ายทำไงคะ แล้วดิฉันล่ะคะที่ได้อะไรกลับคืนมา

“อึก” ลอบกลืนน้ำรักลงไปในคอ ทั้งกลั้นหายใจระหว่างดื่มด่ำกับรสชาติ ดีไม่ดีถึงขั้นอ้วกให้พะอืดพะอม

อ๊อกว่าอ๊อกกำลังจะตาลาย เห็นพี่นนท์หมุนวนและโอนเอียงไปหมด ก่อนที่ร่างของตัวเองจะไถลลงไปกับพื้นห้องเย็นเฉียบ พลันหลับตาพริ้มหมดสติในทันใด

ถ้าหมดสติจริงจะบรรยายได้ยังไง ?

ก็กูกำลังหมดสติอยู่นี่ไงอีดอก ! “แอ๊ก !”
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 17-01-2020 15:55:26
.
.
.
กว่าผมจะได้สติ ปรือตาขึ้นมาอีกทีก็พลันได้ยินเสียงแป้นพิมพ์และเสียงคลิกเมาส์ ขณะที่ตัวเองก็กำลังงงงวยกับการโดนคว-ไม่รู้กี่ชั่วโมงก่อนหน้า จ้องเอ๋อเหมือนเด็กเป๋อมองบนเพดาน ก่อนจะค่อยยันฝ่ามือลงที่เบาะ พยุงร่างตัวเองขึ้นมานั่ง พลันหันซ้ายแลขวาก็เห็นตัวเองนอนอยู่ตรงโซฟา อะไรที่เคยรู้สึกเหนียวเหนอะหนะตามตัวก็กลับไม่มี มีเพียงความรู้สดชื่นสบายตัว คล้ายกับโดนเช็ดตัวมาหมาดๆ เสื้อผ้าก็สวมใส่ให้ดังเดิม รวมไปถึงยังมีผ้านวมห่มคลุมกายให้อีก

ผมจับจ้องที่พำนักของใครบางคน นั่งตัดต่อคลิปอะไรสักอย่าง ซึ่งคาดว่าคงเป็นวิดีโอเกมที่เขาได้แคสเล่น อีอ๊อกถึงกลับกระหยิ่มยิ้ม ลุกขึ้นมายืนที่พื้นก็กลับเซเล็กน้อยเหมือนไร้เรี่ยวแรง หน้าเหมือนจะมืดไปหมด พยายามทรงตัวดีๆ ก็แล้ว แถมยังสร้างเสียงดังยามสะดุดขา ทำคนที่จดจ่อกับการงานรีบถอดถอนหูฟัง พลันหมุนเก้าอี้มาจ้องผมที่ยืนนิ่งตัวตรงเหมือนยืนต่อหน้าเสาธง

“ไหวไหมคะ ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมชักสีหน้านึกเป็นกังวล ลุกขึ้นยืนเดินมาพยุงผมให้กลับไปนั่งที่โซฟาดังเดิม

กูเพิ่งจะลุกมาหมาดๆ เออดี

“หนูหมดสติไปรู้ไหม ?” อีกคนบอก

ไอ้เราก็ได้แต่พยักหน้ารับหงึกๆ เพิ่งมากระจ่างแจ้งนี่แหละ ก่อนจะเอียงอาย ขยับริมฝีปากชวนคุยสัพเพเหระ

“แล้วนี่พี่ทำอะไรอยู่เหรอ ?” ถามที่ตัวมึงเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

แต่นายเอกนิยายวายก็ต้องไม่ประสีประสาบ้างปะวะ !

“ตัดต่อคลิปเกมที่เล่นเกมกับหนูอยู่ค่ะ”

“พี่จะเอาลงเหรอ ? เรทขนาดนั้น” ผมถามอย่างอึ้งทึ้ง อ้าปากเหวอ จำได้ว่าตอนเล่นกับคริสตี้มีแต่คำสบถด่า

“เซ็นเซอร์คำหยาบเอาได้ค่ะ ฮ่าๆ พี่ว่าตลกดีออก น่าจะมีคนชอบเยอะ” พี่นนท์พูดพลางแค่นยิ้มโชว์ฟันขาว รวมไปถึงปรางขาวที่มีลักยิ้มเป็นรอยบุ๋ม

ผมเผลอไผลยกปลายนิ้วชี้ข้างขวาไปจิ้มเล่นด้วยความรู้สึกอยากสัมผัส

อาห์ ทำไมรู้สึกฟินแปลกๆ เผลอยิ้มชอบใจ

“แก้มพี่มีอะไรติดเหรอคะ ?” พี่นนท์ถาม

ผมถึงกับส่ายหน้าโดยไว รีบตอบปัดปฏิเสธ เหยียดยิ้มกว้างมากกว่าเดิม “เปล่า แค่มีลักยิ้ม น่ารักดี ชอบ...”

ไม่ทันไรเสียงของผมที่เริงร่าก็กลับเปลี่ยนเป็นหุบปากกับคำพูดที่ได้ยิน

“แล้วชอบตอนโดนเอาด้วยไหมคะ ?”

“...” กะ ก็ชอบ ก็เงี่ยนอยู่บ่อยๆ แต่ไม่กล้าพูด เลยได้ทำหน้าเหนียมอายโดยการก้มหน้างุด อยากมุดไปดูคว-

“ฮ่าๆ เขินใหญ่เลย แกล้งเล่นค่ะ เอ็นดู” คนตัวโตพูดพลางยื่นปลายนิ้วโป้งกับข้อปลายนิ้วชี้มาดึงแก้มนิ่มเบาๆ

ดีไม่ดึงจนถึงขั้นเจ็บ ถึงเป็นผัวอีอ๊อกก็ตบคว่ำนะครับบอกก่อน…

“แล้วนี่หนูอยากอาบน้ำไหม เดี๋ยวพี่ไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้ค่ะ นี่พี่เช็ดตัวให้หนูไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าหนูจะดีขึ้นไหม”

ฮึก ผัวที่แสนดี ผัวที่ดีงามยิ่งกว่านิยายที่เสาะหา อีอ๊อกใฝ่ฝันอยากมีแบบนี้มานาน

“ก็ได้” อาบน้ำก็ได้ อย่างน้อยให้มันรู้สึกเฟรช

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปเอาผ้าเช็ดตัวให้แป๊บค่ะ” จากนั้นพี่นนท์ก็ลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้องไป อีอ๊อกนั่งก้มมองที่สวมใส่ถุงเท้า พลันกระดิกซ้ายขวาขึ้นลงสลับไปมา ไม่เกินนาทีเสียงบานประตูก็เปิดออก มาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนสีม่วง

ตกใจหมด ในนิยายเห็นบ่อยมีแต่สีขาวและดำ ดีที่พี่นนท์รู้จักมีรสนิยมแตกต่างจากชาวบ้านเขาหน่อย อ๊อกชอบค่ะ อ๊อกให้คะแนนเต็มร้อย รวมไปถึงลวยคุยคุณภาพเช่นเดียวกัน

ดุเด็ดเผ็ดมัน สมกับเป็นว่าที่ผัวอีอ๊อกจริงๆ

“ตามมาค่ะ เดี๋ยวพี่พาไปห้องน้ำ” พี่นนท์เอ่ย คลี่ยิ้มละมุนละไม ย่างเท้าให้ลุกขึ้นยืนเดินตาม แถมผัวก็แสนดีเหลือเกินจะกล่าว ทั้งช่วยพยุงอีเมียคนนี้ที่ตอแหลทำเป็นหมดเรี่ยวหมดแรง แต่แอบเจ็บสะโพกและขาพอสมควร รวมไปถึงรูที่โดนกระหน่ำไม่ยั้ง เย็-แบบบ้าดีเดือด เย็-เหมือนชีวิตนี้ไม่เคยเจอหลีและรูให้สอดใส่มาก่อน

อีอ๊อกเริ่มเข็ดขยาด ช่วงนี้ของดเซ็กส์สักสี่ห้าวัน

ชั้นบนสุดของบ้านพี่นนท์จะมีห้องอยู่สี่ห้องด้วยกัน หนึ่งคือห้องนอนส่วนตัวของเขา สองคือห้องแคสเกมของอีกฝ่าย ส่วนสามและสี่นั้นไม่รู้ เพราะไม่ได้ไปสาระแนอยากรู้อยากเห็น

ไว้เห็นแล้วจะมาบอก…

ภายในห้องที่เคยมีภาพราวกับหนังที่ถูกกรอม้วนไปที่ฉากอิโรติกในสองสามวันก่อน ผมก็แอบเขินเล็กน้อยกับความทรงจำที่ผุดเข้ามาในหัว ตั้งแต่ท่าออรัลยามปลุกปั่นเร้าอารมณ์ก่อนตื่นนอน ก็ได้รับนมหวานๆ ให้มาดื่มกันกระหาย

มันเป็นช่วงเวลาที่เหี้ยมากค่ะ…

แต่ชอบ อ๊อกกดถูกใจให้กับสิ่งนี้

พอเดินมาที่ห้องนอน ก็จะมีห้องอาบน้ำส่วนตัวอยู่ภายในห้องเป็นประตูบานเชื่อมเข้าไปภายใน พี่นนท์เปิดมันอ้าออกกว้าง ก่อนจะผายมือให้ผมเข้าไปภายใน คุณผัวก็โบกมือลาก่อนจะปิดประตูให้ อีอ๊อกก็โบกมือกลับอย่างงงๆ ก่อนจะหลุดร้องกรี๊ดเมื่อไฟในห้องน้ำมันดับจนมืดมิดไปหมด เสี้ยววินาทีก็พลันสว่างจ้า พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจของใครบางคน

“ฮ่าๆ โทษค่ะ พี่แกล้งเล่น ไม่แกล้งแล้วๆ” พี่นนท์กลั้วหัวเราะขำเริงร่า

อีอ๊อกหน้าบึ้งตึงแม้ว่าที่ผัวจะมองไม่เห็น บ่นเสียงหงุมหงิมตะคอกเสียงดุให้ดูน่ารักน่าชัง “พี่นนท์อะ !”

เดี๋ยวกูก็หยิบฝาชักโครกมาฟาดและจับเย็-ในห้องน้ำเลยอีสัตว์

อย่าคิดว่าไม่กล้านะ เดี๋ยวเถอะ…

หลังจากน้ำเสร็จอีอ๊อกที่ลืมเอาเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนก็จำเป็นต้องใส่ชุดตัวเดิมก่อนจะเดินเข้ามาในห้องแคสเกมของพี่นนท์ดังเดิม มิวายลอบมองอีกฝ่ายที่ยังจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอม ก่อนที่อีอ๊อกจะเดินไปที่มุมผนังห้องใกล้ๆ ที่มีกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ หยิบชุดนำมาเปลี่ยน อีกทั้งยังพยายามไม่ส่งเสียงดังมากจนเกินไปเพื่อเป็นการรบกวนอีกฝ่าย

อ๊อกว่าอ๊อกเข็ดขยาดกับการโดนเยมามากพอแล้วนะคะ แบกสังขารตัวเองไปเปลี่ยนชุดในห้องนอนของพี่นนท์ดังเดิมดีกว่า เมื่อสบายใจก็เดินกลับมานั่งเล่นข้างๆ คุณผัวที่อยู่บนเก้าอี้เกมมิ่ง หางตาพลันเหลือบเห็นผมก็ลอบระบายยิ้มกว้าง ถอดหูฟังออกจากใบหู

ถอดคว-ออกมาด้วยก็ดีค่ะ...

“ดีขึ้นไหมคะ ?” อีกฝ่ายถามไถ่

“ดีขึ้น” ผมได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะบ่นอู้อี้ ลอบไอ “แค่กๆ แต่รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย”

“ไหน ?” คนตัวโตดูร้อนรนใจ รีบกระเถิบล้อเก้าอี้เข้ามาใกล้ แนบหลังฝ่ามืออิงลงที่หน้าผาก “ปกติดีนี่คะ” พี่นนท์แถลงไข

อ๊อกส่ายหน้าบอกปัด “ไม่นะ ผมว่าผมป่วยจริงๆ แถมยังเหนื่อยที่ต้องมานั่งพักอยู่ในใจพี่ตลอดเวลา”

เอาไปค่ะหนึ่งดอกจุกๆ ! เลิศมากแม่ เต๊าะขนาดนี้ต้องจัดอีกสักดอกแล้วปะคะ ? อ๊อกยังอยากคลุกคลีกับคว-ของคุณพี่อยู่เลย แต่ขอไม่เอาแหย่เข้ารูตูดแล้วนะคะ อ๊อกว่าอ๊อกเหนื่อยมามากพอแล้ว

“ปากหวานนะเราอะ” พี่นนท์ใช้ปลายนิ้วชี้จิ้มลงที่หน้าผากของผมเบาๆ ก่อนจะดันหงายหลังไปพิงกับหมอนพนักเก้าอี้อย่างเบามือ

“ปกติก็เป็นคนหวานๆ ตลอดนะ ปากก็หวาน หน้าก็หวาน อย่างอื่นก็หวาน...” ผมเอ่ยอย่างยั่วเย้า พานคลี่ยิ้มร้าย

“หมายถึงอะไรคะ ?” พี่นนท์กลับไม่รับรู้

อีอ๊อกได้ถอดถอนใจที่มีผัวฉลาดหลักแหลม แต่เสือกโง่งมกับมุกสัปดนเสียนี่ “พี่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ”

อีกคนกลอกตานึกคิดก่อนจะร้องอ๋อ ยื่นฝ่ามือมาขยี้กลุ่มเส้นผมดำขลับอย่างเอ็นดู “ลามกนะเราอะ”

“ฮ่าๆ” หัวเราะชอบใจ

เออ ตั้งแต่ถูกพี่นนท์เช็ดตัวให้ ดูเหมือนเขายังช่วยถอดวิกผมไม่ให้ร้อนอีกต่างหาก

คือแบบ...ไม่พูดดีกว่า มีผัวดีก็งี้

แต่งไหมคะ แต่งค่ะ…

ดิฉันจะให้พ่อแม่มาสู่ขอ

“อ๊อกขอใช้คอมนั่งเล่นทำงานได้ไหม ?” เอ่ยปากร้องขอว่าที่ผัว พร้อมส่งสายตาปรอยอย่างออดอ้อน

ปกติเป็นคนขี้อ้อนมากค่ะ ผสมผสานกับขี้เงี่ยน เลยค่อนข้างจะได้ผลตอบรับที่ดีงาม

“ได้สิคะ” พี่นนท์พยักหน้ารับ

นั่นไง...

อีอ๊อกลิงโลดด้วยความดีใจ หันไปจับเมาส์และจับจ้องที่หน้าจอคอมที่เปิดทิ้งไว้ ก่อนที่ตัวเองจะเข้าเว็บและทวิตเตอร์เพื่อถามไถ่ผู้อ่าน

วันนี้อีอ๊อกมีความสุขมากครับ โดนจัดไปเต็มสองน้ำ อิ่มหนำสำราญมีกำลังใจแต่งเอ็นซี

เอาล่ะๆ โพสต์ทวิตเตอร์ดีกว่า

[ผู้ง่วงหงาวหาวนอน : วันนี้ทุกคนอยากอ่านเรื่องไรคะ ?]

รีทวิตตอบกลัว [ผู้ง่วงหงาวหาวนอน : ถามไปงั้นไม่แต่งหรอกค่ะ]

จากนั้นก็เข้าไปใน Word หวังจะนั่งคิดพล็อตใหม่ๆ แต่เสียงแจ้งเตือนในเว็บก็ดึงดูดความสนใจของผมให้ต้องเปิดเว็บเข้าไปสอดส่อง เห็นนักอ่านรีทวิตตอบกลับ

[ใบบัว : อุแง 5555555]

ผมหัวเราะขำพรืด ก่อนรีทวิตตอบนักอ่านอย่างเป็นมิตร

[ผู้ง่วงหงาวหาวนอน : 55555 นักเขียนกวน...ใช่ไหมคะ ? (รูปอิโมจิหัวเราะน้ำตาไหล)]

ไม่เกินสองนาทีก็ได้รับการตอบกลับ [ใบบัว : สุดๆ ไปเลยยยยย 55555]

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะขำ ก่อนจะฮึกเหิมกำลังใจมาแต่งนิยายต่อ หลังจากกวนตีนนักอ่านจนพอใจ พลางค่อยๆ พรมนิ้วบนแป้นพิมพ์ ร่ายเนื้อหาเนื้อเรื่องย่อ ก่อนจะเข้าเว็บหนึ่งที่มีแหล่งจำนวนภาพมากมายมาเซฟเก็บไว้อย่างถือวิสาสะ กะจะใช้เสร็จแล้วค่อยลบทิ้ง พอทวิตโปรยก็มีนักอ่านจำนวนมากสำหรับผมมารีทวิตพล็อตด้วยความสนอกสนใจ

ผมเอนหลังพิงพนัก ยิ้มปรีดาอย่างมีความสุข นั่งไถเข้ายูทูปฟังเพลง ผ่านไปห้านาทีก็กลับเข้ามาสอดส่องทวิตเตอร์ใหม่ เห็นเพื่อนเมย์รีพล็อตนิยายให้เลยพลอยมีนักอ่านมารีมากขึ้น แต่สายตาก็ดันไปสะดุดกับนักเขียนคนหนึ่งที่ตัวเองได้ติดตาม ปรากฎว่าเขาก็เกริ่นในทวิตว่าอยากแต่งแนวนี้เช่นเดียวกับผม เพียงแต่พูดพรรณนาถึงตัวเองและไม่ได้มีการพาดพิงมาถึงผมแต่อย่างใด ผมลองเข้าไปส่องไทมไลน์เขาดู อีกฝ่ายมีคนจำนวนติดตามมากกว่าผม อีกทั้งพล็อตที่เขาโปรยไปก็มีคนรีมากกว่าผมอีก ทำให้ผมเกิดความสับสนและหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เพราะเคยเจอกรณีแบบนี้มาสองครั้งติด แถมยังเป็นคนเดียวกันด้วย

ผมลองตัดสินใจทักไปหาเมย์และส่งลิ้งก์ให้เมย์ดู

‘มึงดูนี่ (แนบลิ้งก์)’

สักพักก็มีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าสดใสเป็นที่บ่งบอกว่าอ่านแล้ว ก่อนที่เมย์จะพิมพ์ตอบกลับมา [มึงงงงง บังเอิญมาก]

‘นั่นดิ แต่นี่กูเจอมาสองครั้งละ ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว นี่จะร้องไห้ละ งง ทำไมพล็อตไปซ้ำกับคนอื่น’ ผมบ่น

ก่อนจะส่องไทมไลน์คนคนนั้นอีกครั้ง ก็เห็นว่าโปรยพล็อตหลายเรื่องที่อยากเขียน ผมเลยเบนความสนใจกดออกจากทวิตเตอร์นั้น รวมถึงกดเลิกติดตามเช่นเดียวกัน

ผมจำได้ว่าคนคนนี้เคยทวิตแนะนำนิยายผมมาก่อน ซึ่งผมไปเห็นเข้าไปเห็นด้วยความบังเอิญ ผมเลยติดตามเจ้าตัว อีกทั้งมันก็นานมาแล้ว แต่พอเห็นอย่างนี่ยิ่งพลอยไม่ชอบใจ แถมเมย์และเขาก็ต่างติดตามกันและกัน แต่ผมนี่สิได้ติดตามอีกฝ่ายข้างเดียว เลยเลือกที่จะตัดปัญหาโดยการไม่อยากเห็นสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจ

น้ำตาแอบคลออยู่หน่อยๆ ผมพยายามไม่ร้องไห้เพราะเรื่องไร้สาระ

[พล็อตมันซ้ำจำเจได้แหละมึง นิยายมันทั่วๆ ไป] เมย์บอก

‘รู้ แต่มึงไม่คิดว่ามันบังเอิญไปหน่อยเหรอที่พล็อตมันจะดลใจตรงกัน แถมเวลายังใกล้เคียงกันอีก กูว่าเขาเห็นผ่านมึงนั่นแหละ’ ผมกล่าวยืดยาว ‘แต่ช่างมันเถอะ แต่ถ้ามีอีกกูคงรับไม่ไหวละ นี่กดเลิกติดตามไปละ’

หลังจากนั้นก็มานั่งพักสงบสติ ฉุกคิดว่าอะไรมันจะตรงใจอยากแต่งแนวเดียวกัน อารมณ์เหมือนกันซีนอย่างไรอย่างนั้น แถมนักอ่านก็ไม่ได้มีความเอะใจสักนิด ไม่รู้หรอกว่านักเขียนดังๆ บางคนก็ได้พล็อต อินสไปร์ในทางที่แย่มาจากผู้อื่น

ช่างแม่งๆ ปวดหัว ผมได้แต่บอกตัวเอง มันอาจแค่บังเอิญเท่านั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่ทวิตตัดพ้อ

[ผู้ง่วงหงาวหาวนอน : คิดพล็อตมา ใครจะไปคิดว่ามันจะเป๊ะกับคนอื่นที่อยากแต่งแนวเดียวกัน คือนี่ไม่ได้อยากแต่งเหมือนชาวบ้านมะ ไม่ได้ประสาทแดกด้วย แต่แม่งบังเอิญเกินไป พอ ครั้งที่สองละ]

หัวเสียฉิบหาย อารมณ์ที่อยากแต่งนิยายก็ลดลงฮวบจนแทบไม่มีเหลือ ท่าทางฟึดฟัดถอดถอนหายใจ ทำให้ใครบางคนต้องสะกิดไหล่เรียกชื่อ

“หนูคะ”

“หืม ?” ผมหันหน้าไปหาพี่นนท์ที่คิ้วขมวดแน่น

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าไม่ดีเลย ?” เสียงทุ้มกล่าวอย่างอ่อนโยน

ผมได้แต่คลี่ยิ้มบาง ส่ายหน้าบอกปัด ไม่อยากเอาเรื่องปวดหัวมาให้อีกคนรับรู้ “ไม่มีไรหรอก เดี๋ยวผมว่าจะไปนอนเล่นแทนละ ให้กดปิดเครื่องเลยไหมครับ ?” ว่าแล้วก็ชี้นิ้วไปที่เครื่องซีพียู

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่ใช้งานต่อ ถ้าหนูง่วงก็ไปเปิดแอร์นอนได้เลยนะคะ เดี๋ยวพี่ขอทำงานอีกสักพัก” พี่นนท์ว่า

ผมพยักหน้ารับก่อนจะลุกก้นออกจากเก้าอี้ “งั้นผมไปก่อนนะ” พร้อมกับคว้ามือถือที่วางไว้หน้าคอมมาถือ

อีกคนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม ชักชวนให้หัวใจผมพอจะทุเลาความหงุดหงิดและเศร้าสร้อย เดินไปมุมห้องเพื่อคว้ากระเป๋าแบกไปวางไว้ที่ห้องนอน จากนั้นก็มาเปิดแอร์ทิ้งตัวลงนอนบนตั่งเตียงสีขาว

“เฮ้อออ” ถอดถอนหายใจอีกหนึ่งที ก่อนจะหยิบมือถือมาเข้าแอปทวิตเตอร์ ปรากฎว่ามีนักเขียนดังที่ผมไม่รู้จักหรือสนิทชิดเชื้อเท่าไร แถมยังมีเพศสภาพไม่ต่างจากผม ใส่ข้อความปลอบประโลมในคำตัดพ้อ

[เอ็ม : มันเป็นเรื่องปกติของนิยายวายแหละครับ พล็อตซ้ำจำเจไปหมด แต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนกันไปซะทุกอย่าง มันต้องมีบ้างอะที่พล็อตจะคล้ายๆ กัน แต่การดำเนินเรื่องไม่เหมือนกันเลย เหมือนที่คนเรามีชื่อเหมือนกัน แต่สิ่งเดียวเลยคือเราไม่เหมือนใคร]

ว้าว อีดอก แบบนี้คือต้องได้มงแล้วปะ ? อยากจะให้สายสะพายกับมงกุฎเพชรหมื่นกะรัตเลยทีเดียว อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นมาทันที น้ำตาที่เคยปริ่มเริ่มเอ่อคลออีกหน รู้สึกถูกชะตากับคนคนนี้อย่างบอกไม่ถูก

[ผู้ง่วงหงาวหาวนอน : ขอบคุณมากเลยนะคะ มันก็จริงอย่างที่คุณว่า] ผมที่อยู่ในโลกออนไลน์วงการนักเขียนก็ได้แต่ปลอมกายเป็นหญิง ไม่อยากจะบ่นอะไรนอกเหนือจากนี้ว่าตัวเองเจอมาสองครั้งสองคราจากคนคนเดียวกัน

เก็บเรื่องปัญหานี้ไว้ดีกว่า ดีอยู่อย่างที่ยังมีเมย์คอยให้กำลังใจ แถมเธอยังบอกอีก

[รู้ไหม ฉันก็เคยเหมือนกัน ตอนคุณแมวหารูปมาแปะนิยายฉันว่านึกถึงตัวละครนายเอก คนคนนั้นก็เอาภาพมาโปรยพล็อตนิยายจีนอยากให้ตัวละครใส่ชุดยั่วๆ บดๆ ทันทีตอนนั้นเลย]

‘อารมณ์เหมือนกันซีนเลยว่ะ ที่กูโดนก็เหมือนกัน แต่ของเธอมันจะต่างจากเรา’ ผมพิมพ์ตอบ จนกระทั่งมีนักเขียนอีกคนมารีทวิตโพสต์ตนเอง

[นกแก้ว : แงงง เป็นกำลังใจให้นะคะ พล็อตมันต้องมีซ้ำกันบ้างแหละ แต่สองครั้งก็บังเอิญไปจริงๆ]

รีทวิตตอบกลับ [ผู้ง่วงหงาวหาวนอน : ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ T^T] พร้อมใส่อิโมจิตอแหลที่เห็นในนิยายทีไรก็ขัดหูขัดตาทุกที

หลังจากพูดคุยเรื่องน่าปวดหัวกับเมย์ไป ผมก็มานั่งหยิบหูฟังมาใส่รูหลี โทษค่ะ พิมพ์ผิด รูหู นอนฟังเพลงของเฉินที่ขับกล่อมให้นอนหลับ ท้ายที่สุดก็ผล็อยหลับไป มาตื่นอีกทีก็ตอนที่เตียงนอนมีแรงขยับทาบทับ ผมที่ปรือตามองอย่างงัวเงียก็เห็นพี่นนท์เอียงกายกำลังหยิบผ้านวมผืนเดียวกับผมมาคลุมตัว แถมเขายังเปลือยท่อนบนอีก มิหนำซ้ำยังยิ้มน้อยๆ มอบมาให้

โคตรหล่อ แต่อ๊อกง่วงอะ

“นอนเถอะค่ะ พี่ขอโทษที่ปลุกให้ตื่น” พี่นนท์ที่แนบใบหน้าซีกขวาอิงกับหมอน สบตามองที่เหม่อลอย แถมสายหูฟังที่เคยพันตัว รวมแม้กระทั่งมือถือก็หายไปไหนไม่รู้

ผมเริ่มกวาดมือหาสิ่งของ

“มือถือพี่วางไว้ตรงข้างหัวเตียงค่ะ” อีกคนแจง

ผมขานรับ “อาห์ ขอบคุณครับ” หลังจากนั้นก็หันหน้ามามองผัวต่อ รู้สึกเจริญหูเจริญตา อยากทานข้าววันละสิบมื้อยามมีคนข้างกายอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย

“มองไรคะ ?” พี่นนท์ถาม

“มองคนหล่อ” ผมตอบเสียงแหบแห้งเพราะเพิ่งตื่นนอน ปานนี้แล้วก็ไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยาม แต่ช่างแม่งเถอะ คิดเยอะก็ปวดหัว

อีกฝ่ายหัวเราะขำในลำคอ “หึๆ ขอจูบก่อนนอนได้ไหม ?” มิวายถามเสียงออดอ้อน หวานเหมือนจีบหญิงสาว

“แปรงฟันยัง ?” ผมถามกลับ

“แปรงแล้วสิ” อีกคนพูดแล้วก็อมยิ้ม

“งั้นจูบได้” ผมพูดจบไม่ทันไร ฝ่ามือหนาข้างซ้ายของอีกฝ่ายก็ยื่นมาประคองหลังกระหม่อมของผม พลางกระเถิบใบหน้าเข้ามาใกล้

เราสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากจะประทับเพียงผิวเผิน ไม่ได้จาบจ้วงรุนแรงเหมือนอยากแดกลิ้นกันเองกันไปมา

“พอใจละ ฝันดีนะคะ” อีกคนผละกายออกห่างก็พูดเสียงหวานประจบเอาใจ

ผมได้แต่หยักหน้ารับอย่างอิดออด พูดเสียงแผ่ว “ฝันดี” แล้วก็ข่มตานอน

ทุกสิ่งที่เราล้วนกระทำ เป็นเพียงสิ่งที่เรียบง่ายที่มากพอที่จะทำให้ความรักของผมในยามนี้พอจะเบาใจ

ไหนๆ ก็ได้เป็นแฟนแล้ว เล็ดยุดก็แล้ว จะเรียกว่าสามีก็คงไม่แปลก เหลือแค่ได้แหวนแต่งงานก็เท่านั้นเองที่เป็นเครื่องหมายยืนยัน

คบไม่กี่วันก็ดอกทองจินตนาการไปถึงขั้นเข้าวิวาห์ เหอะๆ บ้าผู้ชายแค่ไหนคิดดูเอา…
.
.
.
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 17-01-2020 15:56:22
วันนี้อีอ๊อกก็แหกขี้ตาตื่นเหมือนกับทุกๆ วัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือการมีผู้ชายนอนโอบเอวเราอยู่ข้างกาย

ว้าย คนผีทะเล มาลวนลามเราตอนเผลอไผลได้ยังไงกัน เห็นยังหลับตาพริ้มไม่มีท่าจะตื่น พออีอ๊อกดูเวลาก็เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงของวันซะแล้ว

คุณผัวจะนอนแดกบ้านแดกเมืองจริงๆ ใช่ไหมคะ ? อ๊อกลองแกล้งเข้าไปจูบที่แก้มดู หัวใจก็เต้นตึกตักอย่างลุ้นระทึก พอกลีบปากสัมผัสกับผิวแก้มเนียนเหมือนอุปป้าเกาหลี อีอ๊อกก็เริ่มคันหลีอยากโน้มหน้าไปเกาคว-

ผู้ชายชอบหรรมโด่ก่อนตื่นนอนค่ะ อ๊อกเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนหลับลึก แกล้งทำเป็นปลุกก็ไม่เห็นจะตื่น สะกิดก็แล้ว (จริงๆ แค่ปลายนิ้วแตะๆ) อ๊อกเลยถือวิสาสะล้วงมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม เลื่อนผ่านลูบไล้กล้ามหน้าท้องแน่นหนา ก็จับไปบีบนวดที่สิ่งบางอย่างที่กำลังหลับใหล

‘อ๊อกว่าอ๊อกทำแบบนี้มันไม่ถูก’ อีกอ๊อกได้โต้เถียงในใจกับจิตใต้สำนึก เหมือนมีนางฟ้ากับซาตานตัวเล็กๆ มาถกเถียงภายในหัว

‘ถูกสิดี ถูกเหมือนร่างกายหล่อนที่ไร้มูลค่า’ ฝั่งนรกโต้แย้ง อ๊อกเริ่มสับสนลังเลใจ

นางฟ้ากล่าว ‘มันไม่ได้นะคะ การจะทำแบบนี้เท่ากับลดมูลค่าในตัวเรา ผู้ชายจะหาว่าเราบ้าคว- มัวแต่หมกมุ่นกับกามราคะได้นะคะ’

‘หุบปากไปอีนางฟ้าพรหมจรรย์ หล่อนไม่เคยโดนคว-มาก่อนจะไปรับรู้อะไร ว่ารสชาติเสพสังวาสมันดีเพียงใด’

อืม ข้อนี้อ๊อกเห็นด้วย สุดท้ายก็สอดปลายนิ้วเข้าไปในกางเกงบ๊อกเซอร์ ลอบกลืนน้ำลายดังอึกใหญ่อย่างหวาดระแวง ทั้งมองใบหน้าผัว มือก็ทำหน้าที่เลื่อนต่ำไปสัมผัสที่กลุ่มไรขนดกหนา ก่อนจะมาบรรจบที่ท่อนลำใหญ่ๆ

มันเป็นสิ่งอัศจรรย์มากมากเลยนะคะ ณ ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังต่อกรกับสิ่งที่นิ่งงันไร้ทีท่าจะแข็งขืน อสรพิษยังคงนอนเอนขวาไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่พอทางเจ้าหน้าที่ได้รูดรั้งขึ้นลงเบาๆ สิ่งที่เคยอ่อนตัวก็เริ่มแข็งตัวจนปลายนิ้วเริ่มกุมไม่หมด

ว้าย เป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากค่ะ จากที่เป็นตัวสล็อตอืดอาดเชื่องช้า ก็เริ่มเร่งจังหวะรัวแรงทีละนิด ปลายนิ้วโป้งกดลงที่ปลายหัวของเจ้างูที่พร้อมพ่นพิษร้าย พลันสัมผัสได้ถึงน้ำเหนียวหนืดใสๆ ที่แตะต้องปลายนิ้ว สีหน้าของคุณผัวยังคงเรียบนิ่ง แต่ริมฝีปากกลับเผยอเหมือนจะร้องครวญคราง

“อืม” อืมนั่นแหละค่ะ ครางออกมาแล้ว เริ่มจะพ่นพิษแล้วใช่ไหมคะ เจ้าหน้าที่เมื่อยมือมาเกือบสิบหน้าที ก็ไม่แตกสักทีหนึ่ง

นี่คว-หรือเหล็กกล้าคะคุณขา !

เมื่อยแล้วเลิกชัก ! โมโห !

หมับ !

“อุ้ย !” สะดุ้งร้องตกใจ เมื่อจู่ๆ ฝ่ามือที่ละออกจากสิ่งนั้นก็ถูกฝ่ามือหยาบกร้านจับตรึงที่ข้อมือเอาไว้แน่น พอลองแหงนหน้าไปมองดูสีหน้าบางคน ก็กลับเห็นอีกฝ่ายปรือตาน้อยๆ มองมา

โอ๊ย สีหน้าแบบนี้ ทนไม่ได้ค่ะ เงี่ยน อาการเงี่ยนมันกำเริบ !

“ทำอะไรอยู่คะ ?” ชายฉกรรจ์ถามออกมาเสียงแผ่ว ทั้งทุ้มและแหบแห้งดูงัวเงีย แตกต่างจากเมียที่ดูเงี่ยนสิ้นดี ได้แต่ตอบปัด

“ขะ ขอโทษ” ก็แค่อยากสำรวจ ก็แค่อยากรู้ว่าปลุกด้วยวิธีนี้จะมีจุดจบเช่นไร

“ทำแข็งแล้ว…” อีกคนปรอยตามอง ท่าทางสะลึมสะลือแต่คำพูดคำจาทำคนตาโต “รับผิดชอบด้วยสิคะ”

‘อย่านะคะคุณอ๊อก มันเป็นบาปนะคะ’ นางฟ้าซีกขวาทำงาน

‘เลิกสาระแน’ ฝั่งนรกซีกซ้ายคอยโต้แย้ง ก่อนจะจับอีนางฟ้าทุบกับพื้นจนหัวแตกตาย ‘ทำต่อมิสซิสสร’

โอเค

“อึก อ๊อกเมื่อยมือแล้ว” ได้แต่ตอบเนิบนาบ พูดเสียงเบา ไม่กล้าอ้าปากมากจนเกินไป กลัวกลิ่นปากยามเช้าจะไปกระทบต่อมกลิ่น

“ใช้ปากก็ได้ค่ะ” คุณผัวว่า ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาปิดปากที่อ้าปากหาว

แง ดูดีไปหมดเลย อ๊อกสับสน อ๊อกไม่อยากดูเป็นคนหื่นจัดในสายตาพี่นะคะ

“ทำสิคะหนู”

หนู... ฮึก หนูจะพยายาม ก่อนจะปลุกกำลังใจร่านในกายา มุดหัวเข้าไปใต้ผ้าห่มที่ดำมืด พอจะมีแสงสว่างรำไรและอากาศระบายหายใจไม่ให้ตายเสียก่อน มือของหนูจับที่เป้า หน้าของหนูสูดดมที่กลิ่นกายบุรุษเพศ มันสะอาดสะอ้านและมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ทำให้ความร่านนั้นเพิ่มพูนทวีคูณ

วิธีแรกคือการเอาลิ้นแตะๆ ที่ปลายหัวเล็กน้อยและผละออก ถ้าคว-เขยื้อนเข้าหา แสดงว่าลิ้นเรามีสัมผัสที่ดี

“อึก” กลืนน้ำลายอีกครั้ง ณ จุดๆ นี้ เห็นท่อนลำใหญ่ยักษ์เหมือนสากและอยากจะเอามาตีปากให้แตกเป็นแผลบอบช้ำ ขนาดอยู่ท่ามกลางความมืดยังรู้เลยว่าใหญ่โตเพียงใด

หนูจะตั้งชื่อมันว่า ‘เจ้าจอม’ อาจจะเรียก ‘เจ้า’ เฉยๆ เหมือนสนิทชิดเชื้อ และอาจมีลงท้ายเสริมความน่ารักให้แก่เจ้าจอมว่าเจ้าจอมดุ๊กดิ๊ก เจ้าจอมคึกคัก แต่วันนี้เจ้าจอมต้องถูกปราบพยศ เพราะปากของหนูคนนี้จะล้มเจ้าในยามนี้

เอาล่ะค่ะเจ้าจอม เรามาร้องเพลงระหว่างบรรเลงลิ้นกันดีไหมคะ

เด็กเอ๋ยเด็กร่านต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน

หนึ่งนับถือคว-ของผัว

สองรักษาธรรมเนียมเย็-

สามไม่เชื่อพ่อแม่และอาจารย์

สี่วาจานั้น ต้องสุภาพน่าหลี

ห้ายึดมั่นความดอกทอง

หกเป็นผู้รู้และชำนาญ

เจ็ดต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมาเย็-บากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน

แปดรู้จักการป้องกัน

เก้าต้องเงี่ยนงำตลอดกาล น้ำว่าวนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะกับกาล สมัยด้อยพัฒนา

สิบควงลิ้นตนให้เป็นประโยชน์ รู้บาปบุญคุณโทษ สมบัติคว-ต้องรักษา

เด็กร่านรักคว-พัฒนา จะเป็นเด็กที่พา ความร่านเจริญ !

“อาห์ ~”

เด็กเอ๋ยเด็กเวรต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน เด็กเอ๋ยเด็กร่านต้องคอยร่านคว-สิบแท่งด้วยกัน

“อื้ม ~” ผมถึงกับสำลักเมื่ออมได้เกือบห้านาที ทั้งใช้ลิ้นวนรอบที่ปลายหัว โลมเลียราวกับไอศกรีมแสนเอร็ดอร่อย สุดท้ายคุณว่าที่ผัวก็ปลดปล่อยน้ำกามโรคเข้าสู่โพรงปาก

ล้อเล่นค่ะ มันก็เป็นแค่น้ำว่าวที่ทำอีอ๊อกสำลักในลำคอ รีบดึงปากออกพรวดและกลืนสิ่งนั้นอย่างว่องไว แต่ไอ้เจ้าส่วนสงวนก็ยังไม่ปลดปล่อยฤทธิ์ร้ายจนหมดจด กลับพุ่งกระฉูดมาเปียกเปรอะที่ใบหน้า

อีดอก น้ำว่าวราดหน้าเป็นหนที่สอง ครีมมาร์กหน้าปะคะ อารมณ์คล้ายน้ำนมบำรุงผิว รีดซะจนเกือบเข้าลูกตาดำ ดีนะที่หลับหูหลับตา พานเอามือมาบิดขยี้ที่ปลายหัวสร้างความเสียวซ่านให้คุณผัวจนแทบฉี่ราดบนที่นอน ส่งกลิ่นเหม็นหืนตลบอบอวลภายใต้ผ้านวม

ต่อไปนี้ก่อนเช้าไม่กินสัปปะรดมาก่อน อีอ๊อกจะไม่ยอมอมให้ผัวอย่างเด็ดขาด !

พึ่บ ! เสียงตวัดผ้าห่ม

“เป็นไรไหมคะ ?” เสียงทุ้มแหบกระเส่าเอ่ยปากถาม

“เป็น” อีอ๊อกตอบกลับ รีบคุกเข่าบนที่นอนก่อนจะเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรง พลางหรี่ตามองข้างหนึ่งที่ไม่ได้เลอะเทอะ “เปียกหน้าไปหมดเลย”

ขอตัดภาพมาที่ตัวเองอาบน้ำล้างหน้าเป็นคนแรก พอออกจากห้องก็มีพี่นนท์เดินโป๊เข้าห้องน้ำไปต่อ ทำให้สิ่งนั้นกวัดแกว่งไปมาอย่างน่าเอ็นดู อ๊อกที่ยังไม่เข็ดขยาดแม้จะเมื่อยริมฝีปาก ก็มานั่งเป่าผมตรงหน้าพัดลม พร้อมใช้ผ้าเช็ดตัวซับผมให้แห้งสนิท ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงได้ผมก็แห้งกรังพอดี พร้อมกับบานประตูห้องน้ำส่วนตัวที่เปิดออก เห็นอีกคนเอาผ้าขนหนูพันรอบกายสีน้ำเงินเข้ม ส่วนท่อนบนเปลือยแผงอกและโชว์กล้ามหน้าท้องแน่นๆ ที่อยากจะเอาฟันไปครูดดูด้วยความคันเขี้ยว

ไร้ที่ติมากค่ะ มีสิบให้สิบ

“วันนี้หนูจะไปไหนปะคะ ?” พี่นนท์ที่ถือผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเช็ดขยี้ที่กลุ่มเส้นผมดำขลับเอ่ยถาม ทำให้ผมต้องแหงนหน้ามองเผลอไผลที่ท่อนแขนใหญ่ที่เบ่งกล้ามเนื้อออกมาปูดโปนชวนน่าลูบคลำ ไหนจะลาดไหล่ที่มีรอยบุ๋มลงไปเมื่อยกแขนขึ้น ข้างบริเวณแผงอกตรงก็เผยซี่โครงให้เห็นชวนเซ็กซี่ขยี้ใจ

อ๊อกเริ่มเข้าใจเนื้อเพลงอยากจะกลืนกินเธอทั้งตัว ไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น ฮืออออ อยากจะอมหัวคว-ของเธอ เพื่อบอกรักเพ้อถึงเธอผู้เดียว

“มะ ไม่ได้ไปไหนนะ” ผมส่ายหัวหลังจากลอบกลืนน้ำลาย

“งั้นเดี๋ยวเราออกไปข้างหน้าทานข้าวที่ห้างกันดีไหมคะ ?” พี่นนท์ชักชวน

อีอ๊อกตาเป็นประกาย รีบแทนชื่อตัวเอง “ดีเลย อ๊อกหิวพอดี พี่นนท์อยากทานไรอะ ?” ถามเหมือนกับตัวเองเป็นคนจ่ายตังค์

“แล้วแต่หนูเลยค่ะ” พี่นนท์กล่าวก่อนจะเดินมาฝั่งผมที่นั่งเป่าผมลงข้างขอบเตียง

อีอ๊อกกระเถิบกายบนตั่งเตียง เมื่อเห็นอีกคนจะเป่าผมด้วยพัดลมเหมือนกัน

“ปกติพี่ชอบเป่าผมด้วยพัดลมหรือไดร์มากกว่ากัน” ผมถาม ขณะจ้องแผ่นหลังกว้างที่เห็นกล้ามเนื้อยามหดเกร็ง ไหนจะไขสันหลังที่เป็นเส้นตรงชวนน่าลูบไล้

“ถ้ารีบก็เป่าไดร์ค่ะ แต่พี่ชอบเป่าผมด้วยพัดลมมากกว่า” อีกคนตอบ

“เฮ้ย เหมือนผมเลย อ๊อกว่ามันสบายหัวดี” ผมยิ้มร่า พูดเจื้อยแจ้วด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนจะหยุดชะงักเมื่ออีกคนกล่าวถ้อยคำบางคำ

“พี่ชอบเวลาหนูแทนชื่อด้วยชื่อจัง” พี่นนท์บอกพลางเอียงหน้ามามองแล้วคลี่ยิ้ม “แต่เวลาแทนตัวเองว่าหนูก็เซ็กซี่มากเหมือนกัน เล่นเอาพี่ทำตัวไม่ถูก”

อ๋อเหรอจ๊ะ ? ทำตัวไม่ถูก หรือเย็-เป็นการดูถูกกันแน่คะ ล่าสุดภาพในความทรงจำจำได้ว่าถึงขั้นตบะแตกจับแหกขามาพาดบนไหล่ ก่อนจะกระทุ้งกายหนักๆ ใส่ไม่ยั้งเลยนะคะ

เอาสดอีก แถมสุ่มเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ เฮ้อ พอคิดก็เริ่มหวั่นวิตก

หลังจากรอพี่นนท์เป่าผมแต่งตัวเสร็จ อีกฝ่ายก็พาผมมาที่ห้างด้วยยาพาหนะสี่ล้อคันเดิม เราต่างเดินสำรวจหาร้านอาหาร ขึ้นบันไดลิฟต์ชั้นสองก่อนจะหยุดชะงักที่ร้านๆ หนึ่ง

“กินเอ็มเคมะ อ๊อกอยากกินอะ” ผมดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจ ทำตาวาวน่ารักสดใสเข้าไว้ให้เหมือนตัวการ์ตูนอนิเมะ

“ก็ได้ค่ะ ตามใจหนู” พี่นนท์ยกยิ้มขึ้นมาจนเห็นแก้มทั้งสองที่บุ๋มลงไปบนปรางขาว ผมดีใจรีบกุมฝ่ามืออีกฝ่าย ลากจูงมาที่หน้าร้านทันที

ตั้งแต่เรามาห้างก็ไม่มีการจูงแขนจูงมือแต่อย่างใด แต่พอมีร้านอาหารหรือสิ่งที่ผมสนอกสนใจเท่านั้นละ อาการเผลอไผลก็มาทันที

พอเข้ามาในร้านก็มีพนักงานมาต้อนรับอย่างว่องไว ถามไถ่จำนวนที่นั่ง ก่อนจะผายมือมายังโต๊ะที่มีไว้นั่งสำหรับสองคน ผมที่เอามือจับดูเลือกอาหารเมนู ก็สั่งอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ เมื่อคุณผัวอนุญาตให้สั่งได้เต็มที่

“เอาเส้นหมี่หยกสองก้อน เป็ดจานใหญ่จานหนึ่ง น้ำชามะนาวแก้ว ลูกชิ้นปลาแซมอน และก็…” หุบเมนูวางลงที่โต๊ะและอ้าออกกว้าง ก่อนจะชี้นิ้วเงยหน้าไปทางคนตรงหน้าที่นั่งฝั่งตรงข้าม “เอานี่ด้วยไหมพี่นนท์” ผมถามเสียงอ่อย

“ก็ได้ค่ะ” พี่นนท์พยักหน้ารับ ก่อนจะบอกเมนูสั่งอาหารบอกกับพนักงานหญิง ผมที่ยิ้มบานพอเงยหน้ามองก็เห็นพนักงานจ้องผัวตัวเองตาเป็นมัน

ฮัลโหลทำงานค่ะลูก ไม่ใช่เวลามาหาอาหารตา เดี๋ยวก็เขียนตำหนิพนักงานเลยหนิ หมั่นไส้

“และก็ชามะนาวแก้ว แค่นี้พอครับ” พี่นนท์เอียงหน้าไปด้านข้าง เอ่ยปากยิ้มก่อนจะกล่าวขอบคุณ

พนักงานสาวหน้าแดงระเรื่อด้วยเครื่องสำอาง แต่หูนี่แดงจัดบ่งบอกห้วงอารมณ์ อีอ๊อกเห็นแล้วรำคาญลูกตา ดึงรูปเป็ดกับปากกามาจรดเขียนใส่ข้อความ

“ทำอะไรคะ ?” พี่นนท์ที่เห็นผมขะมักเขม้นกับบางสิ่ง ชะโงกหน้ามองมาอย่างสงสัย

“เขียนตำหนิพนักงาน” ผมบอกด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธอยู่หน่อยๆ

“เรื่อง ?” พี่นนท์ยังคงฉงน

“จ้องแฟนชาวบ้านไม่หยุด” ผมบอก ก่อนจะวางปากกาไปเสียบดังเดิม ส่วนใบที่เขียน เลื่อนไปวางอยู่ตรงขอบโต๊ะทางซ้ายมือ

หล่อนโดนแน่ นังตัวดี !

พี่นนท์หัวเราะร่วนชอบใจ กวักมือให้ผมยื่นหน้าเข้าไปหา “มานี่ซิ”

ทำไม !? คิดจะเรียกเมียมาทำโทษหรือไง จะเขกหัวสักหนึ่งที หรือจะกระซิบว่าจะลงโทษด้วยการเยดุ

อ๊อกว่าอ๊อกสนใจหัวข้อที่สอง เลยยื่นหน้าเข้าไปหา ก่อนที่จะมีหม้อมาวางตรงกึ่งกลางของช่อง

“ว่า” ผมยู่ปาก ขมวดคิ้วไม่พอใจ ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะมาขยี้กลุ่มเส้นผมดำขลับและผละออก อ๊อกถึงได้รู้แจ้งในการกระทำ กลับมานั่งประจำที่ดังเดิม พร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยปากหยอกเย้า

“ขี้หึงนะเราอะ”

“มาก” ผมตอบพานผายอกอย่างภาคภูมิใจ เหยียดหลังตรงอย่างหยิ่งทะนง แต่แล้วก็ดันมีน้ำเสียงหวานๆ จากสตรีนางหนึ่งเอ่ยทักชื่อคนตรงหน้าผม

“อ่าว นนท์”

“...” ผมรีบหันหน้าไปมองฝั่งทางขวามือ เห็นสตรีใส่ชุดเสื้อเกาะอกสีดำกับกางเกงขายาวสวมใส่ส้นสูง อวดผิวพรรณ์ขาวกระจ่างใสกับลาดไหล่ขาวๆ

อีดอกนี่เป็นใคร ?

รีบหันมาจ้องผัวในทันที ก็เห็นมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ

“ขวัญ...” เสียงทุ้มกล่าวอย่างเชื่องช้า

อ๋อ ที่แท้ก็ชื่ออีขวัญผวา มันเป็นใคร ไหนผัวพูดมาซิ ! ตัวละครประกอบนิยายต้องมาตลอดเลยหรือไง

“ไม่ได้เจอกันนานเลย แล้วนี่...น้องชายเหรอ ?” เธอเหล่ตามามองผม ไม่ได้มีการดูหมิ่นแต่อย่างใด

ผมเงียบไม่ตอบ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายชายว่าจะเอ่ยปากเช่นไร เพราะก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะกล้าบอกกับพวกผู้หญิงและต่อสาธารณะชนไหมว่าตัวเองคบกับผู้ชายด้วยกัน แม้จะไม่ได้เป็นเกย์ก็ตามที แต่ก็เพราะคนเราเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ตกหลุมรักใครบางคน มันไม่ใช่เป็นเรื่องของเพศสภาพมาเป็นตัวกำหนด

และในที่สุดพี่นนท์ก็คลี่ยิ้มออกมาโดยไม่หันมามองผมเลยสักนิด ราวกับว่าเขามั่นใจกับสิ่งที่จะกล่าว “แฟนน่ะ”

“นี่นนท์เปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอ ?” อีขวัญผวาพูดจาอย่างจิกกัด มีหรือที่อีอ๊อกฟังกระทบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจะแปลไม่ออก

“มอม้า สระอา รอเรือ ยอยักษ์ สระอา ทอทหาร มารยาท สะกดแบบนี้” ผมพูดออกมาลอยๆ ก่อนจะหยิบน้ำชามะนาวที่พนักงานเดินมาเสิร์ฟพอดี พลางแกะซองหลอดและดูดอย่างสบายใจเฉิ่ม

มึงเล่นผิดคนละ อีขวัญผวา

“พี่นนท์นี่ใครเหรอ ?” ผมถามคนตรงหน้าที่มีท่าทางเลิ่กลั่ก อีกทั้งตัวผมเองยังไม่แม้แต่ชายตามองชะนีน้อยเลยสักนิด

อายุน่าจะมากกว่า แต่ในด้านความส่วนสูงนั้น ขอไม่พูดดีกว่า…

“แฟนเก่าจ้ะ” เสียงอีขวัญผวาโต้ตอบแทนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อีอ๊อกเหยียดยิ้มแหงนหน้ามองจ้องด้วยแววตาจิกกัด

ถ้าหม้อกำลังเดือด ประเทศชาติฆ่าแกงกันได้เหมือนหนัง ‘The purge’ กูรับประกันว่าจะจิกหนังหน้ามึงลงหม้อเอ็มเคเดี๋ยวนี้แน่นอน

“ก็ส่วนของแฟนเก่า” ผมตอบพร้อมยิ้มกว้างราวเป็นมิตร

มิจฉาชีพค่ะอีสัตว์ !

“เอ่อ...แล้วนี่ขวัญมากับใครเหรอ ?” พี่นนท์ถามเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหา เสมือนมีแมวสองตัวกำลังขู่จะตบตีกัน

“เพื่อนน่ะ” อีกคนตอบ

อีอ๊อกอาศัยจังหวะนั้นไลน์หาคริสตี้ทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือ

[อ๊อกเจ็บคอ : มึง] อ่านแล้ว

[Christy : ว่า]

[อ๊อกเจ็บคอ : กูมีเรื่องร้ายแรงระดับห้า เดี๋ยวกูตั้งค่าเสียงเพลงรอสายแป๊บนึงแล้วมึงโทรมานะ โทรมาที่เบอร์ส่วนตัวเลย]

[Christy : ได้]

ดีมากเพื่อนประเสริฐ ! รวดเร็วทันใจ อีอ๊อกลอบฟังบทสนทนาที่ชวนคุยกันไปมา แถมยัยชะนีก็ไม่มีทีท่าจะไปสักทีหนึ่ง ก่อนที่อีอ๊อกจะเข้าไปที่เสียงเพลงรอสาย เมื่อเสร็จสิ้นก็ไลน์บอกคริสตี้ทันที [อ๊อกเจ็บคอ : ยิงมาเลย]

จากนั้นก็วางมือถือทางซ้ายมือ เปิดฝาหม้อจนเผยไอร้อน ก่อนจะยื่นให้พนักงานเก็บฝาหม้อไป ตั้งใจให้สะเก็ดน้ำกระเด็นไปโดนผิวขาวๆ ของใครบางคนจนสะดุ้งโหยง หลุดร้องครวญลั่น

“โอ๊ย”

“หึ” หัวเราะในลำคอ ส่วนตัวยังคงแสดงท่าทางราวกับไม่สะทกสะท้านว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เคยมีสถานะในอดีตเช่นไร

ตลกว่ะ เหมือนพล็อตนิยายตลกร้าย ที่พระนายเจอแฟนเก่าด้วยความบังเอิญ น่าขำไปหน่อยมะ ?

‘โทษเถอะนะ แต่ถามดีๆ หรือไม่มีใครต้องการ ถึงมาเอาของฉัน แย่งแฟนคนอื่นใช้ ~ ฉันหวง ฉันมาทวงของฉันคืน ฉันไม่เคยแย่งของคนอื่น ผู้หญิงเจ้าชู้ เมื่อรู้อย่าฝืน ช่วยอายสักหน่อยไหม’

“หนูมีคนโทรมาค่ะ” พี่นนท์บอก

ผมเลือกที่จะไม่สนใจ ปล่อยให้เสียงรอสายบรรเลงเนื้อร้องต่อไป ก่อนที่จะแทรกเสียงด่าทอผ่านท่อนบางท่อน

‘ไม่เคยหยาบคาย’

“อีเหี้ย !”

‘อย่างนี้ แต่มันไม่มีวิธีใด เนื้อคนอื่นวางไว้ แอบคาบเป็นตัวอะไรไปคิดเอง’

สาแก่ใจก็หยิบมือถือมารับสายทันที พร้อมปรอยตามองคนทั้งสอง อีกคนอมยิ้มกลั้นขำ ส่วนอีกคนหน้าซีดเผือดเหมือนถูกด่าทางอ้อม

แต่จริงๆ ไม่อ้อมหรอกค่ะ กูตั้งใจล้วนๆ !

ผมระบายยิ้มกว้าง กรอกเสียงผ่านปลายสาย “ฮัลโหลมึง” พลางหัวเราะทั้งที่อีคริสตี้เงียบปากสนิทไม่ตอบโต้อันใด

อีอ๊อกหัวเราะคิกคักชอบใจ ยกมือขึ้นมาป้องปากและเอ่ยด้วยน้ำเสียงดัดจริตขึ้นมาว่า...

“มึงรู้ไหม โทรมาได้จังหวะพอดีเลยอะ”

ขวัญหนีดีฝ่อไปซะมึง

“เสียงเพลงรอสายเหมาะกับสถานการณ์พอดี”
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 17-01-2020 20:14:02
ริงโทนเริ่ดมาก  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 17-01-2020 20:46:52
สนุกจ้าาาาาาาาาาาา

 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 22-01-2020 19:04:18
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 25-01-2020 16:34:06
แสบสุด55555
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 06-02-2020 19:52:36
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 22-02-2020 16:58:50
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 10-04-2020 11:26:25
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 15-04-2020 16:44:24
ไม่ได้อ้อมๆ ด่าตรงๆเลย
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสอง [17/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 03-06-2020 12:40:25
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 22-06-2020 12:04:48
ตอนที่สิบสาม


ที่แน่ๆ คือไม่ถูกชะตากับยัยนี่อย่างแรง

“ขวัญ” เสียงผู้หญิงอีกคนที่เดินมาหานังขวัญผวาที่ยืนตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่เธอจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ อาการเหมือนกับเป็นไบโพลาร์ หันมาทางซ้ายมือและยิ้มให้เพื่อนสาวจากที่คาดคะเน

“บัย ~” ผมว่าพลางเอียงหน้าเล็กน้อยและยกมือขวาขึ้นมาใกล้เคียงกับกรอบหน้า โบกสะบัดนิดๆ เป็นการขับไล่ไสส่ง

เหม็นกลิ่นเหม็นหืนค่ะ ช่วยไปไกลๆ ที

เธอคนนั้นหันมาจิกสายตามาทางผมที่คลี่ยิ้มหวาน ก่อนจะเดินกระแทกส้นสูงไปนั่งประจำที่ ซึ่งอยู่ห่างจากโต๊ะเราไปหกเจ็ดโต๊ะ

ดี ไปไกลๆ ได้ก็ยิ่งดีอีควาย

เห็นดังนั้นจึงค่อยตัดสายเพื่อนทิ้ง

หล่อนก็มีประโยชน์แค่นี้แหละคริสตี้

“หนูชอบฟังเพลงของปาน ธนพรเหรอคะ ?” พี่นนท์ที่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชวนคุยสัพเพเหระ ทำให้ผมต้องสบตามอง

แหม คุณผัวหาเรื่องคุยกลบเกลื่อนเหรอคะ ?

“ใช่ แม่ชอบเปิดให้ฟังตั้งแต่เด็ก ชอบฟังหมดแม้แต่บาปกรรมมีจริง ชีวิตคู่ และก็ตบมือข้างเดียว หญิงร้ายชายเลว อ้อ ! ล่าสุดเพลงโปรดที่สุดก็ตราบลมหายใจสุดท้าย ฟังแล้วอินดี พี่นนท์เคยฟังมะ ?” ผมถามประดับยิ้มร้าย

“เหมือนหนูกำลังโมโหพี่อยู่เลยอะ” อีกคนหัวเราะเจื่อน หน้าตาดูหวั่นๆ

“บ้า คิดมากแล้ว” แสร้งหัวเราะขำ พลันหยิบหลอดจ้วงแทงน้ำแข็งก่อนจะยื่นริมฝีปากไปดูดน้ำชามะนาว

เดี๋ยวก่อน อีขวัญผวาจะจำชื่อนี้ให้ขึ้นใจ จะนำแม่งไปแต่งในนิยายฆาตกรรมหั่นชำแหละศพ ฆ่าทางอ้อมเหมือนสมุดเดดโน๊ต

ความแค้นนี้จะไม่มลายหายไป !

“เจอเมียเก่าคงไม่ใจเต้นเนอะ” อ๊อกคนนี้อดไม่ได้ที่จะแดกดันอีกฝ่าย

“บ้า พี่ไม่คิดอะไรแล้ว อีกอย่างเราสองคนไม่เคยถึงขั้นนั้นกันค่ะ” พี่นนท์ร้อนรนตอบกลับ

“อ๋อเหรอ” อีอ๊อกว่าพานยักไหล่ บึนปากเหมือนไม่แยแส ทั้งที่จริงอยากล้วงข้อมูลเต็มไปหมด

“เห็นพี่พูดแบบนี้อ๊อกก็เบาใจลง” ปรับสีหน้ากลายเป็นชื่นบาน ก่อนที่พนักงานจะเดินมาเสิร์ฟเป็ดย่างจานใหญ่กับบะหมี่หยกสีเขียว หลังจากนั้นผมก็หยิบส้อมมาจิ้มเป็ดใส่จาน กระแทกจนกระทบเสียงจานชาม มิวายกล่าวเสียงเนิบนาบขึ้นมาว่า “อย่าให้รู้ลับหลังก็แล้วกัน” พานหรี่ตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด

คนตรงหน้ากลืนน้ำลายลงคอ ลูกกระเดือกนี่ขยับหายเข้าไปให้เห็นก่อนจะปูดโปนดังเดิม เขาพยักหน้ารับช้าๆ เอ่ยคำว่า “ค่ะ” เป็นการทำความเข้าใจ

ดีมาก คลี่ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว มีผัวเชื่อฟังแบบนี้ค่อยเบาใจลงหน่อย ชวนอีกฝ่ายทานอาหารมื้อแรกของวันต่อ เพราะต้องกินเยอะๆ จะได้มีแรงต่อกรกับยัยมารผจญ

พนันได้ว่าอีนางนั่นต้องมาชวนคุยต่อไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นเราต้องรีบแดกและออกจากร้านในทันที

ทว่าสิ่งที่คิดไม่เคยเป็นไปตามที่หวัง ก็เหมือนพล็อตนิยายที่อยากให้ออกมาดีแต่ก็เสือกผิดหวัง ดันมีตัวประกอบเข้ามาขัดอกขัดใจเสียนี่ เช็กบิลไม่ทันไรหล่อนก็เดินมายิ้มให้ว่าที่ผัว

แม่ ! อ๊อกไม่ยอม อ๊อกจะตบกับอีนังนี่ ได้โปรดอย่ารั้งอ๊อก ไม่ บอกว่าไม่ไง พี่นนท์อย่ามาจับ คิดแล้วก็ชำเลืองตามองไปที่เรียวแขน

อ๋อ ไม่มีคนจับ กูคิดไปเอง

“จะกลับแล้วเหรอนนท์ ?”

ใช่ กลับไปเผาบ้านมึงทั้งหลังนั่นแหละ !

“อืม” เสียงพี่นนท์ขานรับเนิบนาบ

อ๊อกไม่พอใจ อ๊อกไม่อยากให้พี่นนท์ตอบกลับยัยนั่น !

พอแฟนหนุ่มหันไปรับเงินทอนแล้วกล่าวขอบคุณพนักงาน ยัยขวัญผวาก็หาเรื่องจิกกัดใหญ่

“ตายจริง นี่นนท์ต้องเลี้ยงน้องเขาด้วยเหรอ” ประโยคหลังเธอปรายตามองมาทางผม “หรือว่าน้องเขาไม่มีเงินพอ นนท์เลยต้องลำบาก”

แม่ มันด่าอ้อมๆ ว่าหนูเกาะผู้ชายกินอะ !!

“อ๊อกเป็นแฟนพี่” พี่นนท์ออกมาปกป้อง รีบเดินจูงแขนผมออกจากร้านเพราะมันเสียมารยาทคนข้างใน

ทว่าเธอคนนั้นก็เดินตามมา ทำให้ผมกับพี่นนท์ต้องหันไปมองตามต้นเสียง “แต่ตอนขวัญคบกับนนท์ก็หารกันทั้งนั้นเลยนะ” อีกคนตัดพ้อ รื้อฟื้นเรื่องในอดีต ไม่ทันไรก็ด่ากระทบกระเทือนมาทางผม “แฟนใหม่นนท์ไม่รู้เลยเหรอ ว่านนท์ก็ลำบากเหมือนกันที่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวอะ”

คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกจุก ตัวนั้นนิ่งชาไปหมดกับคำที่ได้ยิน

เออ นั่นสินะ ผมเองก็ทำให้พี่นนท์ต้องลำบากไปด้วยเลย ถึงเขาจะดูรวยมีเงินใช้ตั้งมากมายขนาดไหน แต่เขาก็ต้องแลกกับหยาดเหงื่อในการทำงานทั้งนั้น พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกเจ็บแปลกๆ รู้สึกผิดแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตามที

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ค่อยจะสนใจปัญหาครอบครัวของพี่นนท์เลยสักครั้ง พอคนที่ชื่อขวัญพูดโพล่งมาแบบนั้น ก็เหมือนจะทำให้ผมตระหนักอะไรได้หลายๆ อย่าง

เขา...ผู้มากความสามารถ สมกับการเป็นแฟนที่หลายคนถวิลหา เอาจริงเอาจังในหน้าที่การงาน นอกเหนือจากนี้ยังมุ่งมั่นกับการไล่ตามความฝัน

อ๊อกขอไม่นับเรื่องเยนะ ถึงแม้ลึกๆ จะคิดไปแล้วก็ตามที

ส่วนผม...ผู้ไม่สำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ฐานะทางบ้านก็ลำบาก เกียจคร้านจนติดเป็นนิสัย รู้สึกพยายามเท่าไรก็ไม่มากพอ

ทั้งที่ทุกคนต่างก็ดิ้นรนกันทั้งนั้น

“นั่นมันขวัญไง แต่นี่อ๊อก” เสียงคนข้างกายที่ดูไม่พอใจกับคำพูดของเธอ มันให้ความรู้สึกเหมือนผมเป็นคนสำคัญยิ่งนัก พอเงยหน้ามองเจ้าตัวก็เห็นเขาเอียงหน้ามาสบสายตาก่อนจะพากันออกจากพิกัดตรงนี้ หวังให้เราสองคนจะได้ไม่ต้องมาเสวนากับคนที่ขุดเรื่องเก่า

เฮ้อ อ๊อกไม่ชอบเรื่องดราม่าเลยค่ะแม่ขา...

“อ๊อก” เสียงพี่นนท์ที่เอ่ยขัดบรรยากาศภายในรถ ปลุกสติผมที่กำลังเหม่อลอยในภวังค์

“หืม ?” หันหน้าไปมองตามต้นเสียง ปั้นหน้าแย้มยิ้มให้ดูปกติ แต่ดูเหมือนอีกคนจะมองออก

“พี่ขอโทษที่ทำให้เราต้องมาเจออะไรแบบนี้นะ”

“เอ๋ ไม่ใช่ความผิดพี่นนท์สักหน่อย” ผมส่ายหน้าอมยิ้มน้อยๆ “มันแค่เรื่องบังเอิญน่ะ” ยื่นปลายนิ้วไปจิ้มแก้มอีกคนเพื่อหยอกเอิน “ทีหลังอย่าโทษตัวเองนะ”

อีอ๊อกเพียงแค่หวังให้คนข้างกายเบาใจลง

มาถึงบ้านก็เพราะพี่นนท์อาสาเดินมาส่ง ผมที่เปิดประตูเข้ามาในรั้วเหล็กก็ฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย ตลอดระยะเวลาเดินทางกลับมาก็มัวแต่คิดเรื่องนั้นไม่หยุด

รู้สึกผิด ต่อให้ไม่ใช่ความผิด

“ผมขอโทษนะ” สุดท้ายก็เอ่ยออกมาจนได้ เพราะเก็บไว้ก็คงอึดอัดใจไปเปล่าๆ “ขอโทษที่ทำให้พี่นนท์ต้องเลี้ยงตลอด” ผมที่ก้มหน้าซึมพลันเงยหน้าไปจ้องอีกคนอย่างหมายมั่น “ไว้อ๊อกจะหาเงินมากกว่านี้ จะไม่ทำให้พี่ต้องลำบากคอยเลี้ยงตลอดเวลา”

“เดี๋ยวสิอ๊อก” พี่นนท์แย้งขึ้นมา สีหน้าดูเคร่งเครียดปนกังวล “กับอ๊อกพี่เลี้ยงได้อยู่แล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”

สมกับคำพูดในการเป็นพระเอกของเรื่องซะจริงๆ ใจผมนี่สั่นไปหมด พานส่ายหน้าประกอบ “มันไม่ได้เกี่ยวกับลำบากไม่ลำบาก แต่อ๊อกแค่รู้สึกว่าตัวเองควรประสบความสำเร็จและหาเงินได้บ้าง นอกจากใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ”

พี่นนท์ได้ยินดังนั้นแววตาก็ดูเศร้าสลด ยื่นมือมาลูกหัวเพื่อปลอบประโลม “อ๊อกอย่าคิดมากเลยนะ”

แต่อ๊อกรู้ดีอยู่แก่ใจไง ฉุกคิดว่าตัวเองควรลงมือเอาจริงเอาจังกับอะไรสักอย่าง หากตั้งใจแล้วละก็...ความฝันคงไม่ไกลเกินเอื้อม

ดีเสียอีกที่คนที่ชื่อขวัญมาช่วยเตือนสติ แม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดนั้นมีผลกับตัวเรามากแค่ไหน มันทำให้อดเปรียบเทียบตัวเองไม่ได้เลย

เหมือนชีวิตผมกับพี่นนท์นั้นมีความแตกต่าง ระดับความพยายามของเราไม่เท่ากัน แต่เพราะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ ผมถึงอยากประสบความสำเร็จเทียบเท่ากับเขา

ถึงจะไม่ใกล้เคียงมากนัก แต่ก็ขอแค่ลองเพียรพยายามดูสักครั้ง…

“ให้พี่ไปช่วยเคลียร์กับเธอให้ไหม เธอพูดไม่ดีกับเราเลย” พี่นนท์ถาม ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยข้างพวงแก้มของผมอย่างทะนุถนอม

ผมตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก มันก็ดีนะ การที่เขาพูดแบบนั้นมันก็เป็นแรงผลักดันให้อ๊อกอยากเขียนหนังสือ” ว่าแล้วก็เอาแก้มแนบอิงกับฝ่ามืออุ่นๆ

กว่าจะลาพี่นนท์แล้วขึ้นห้องมาได้ คนตัวโตก็แทบจะยื้อหวังให้เลิกฟุ้งซ่าน สุดท้ายไอ้เราก็ทำได้แค่ตกปากรับคำ กลับมานอนที่ห้องครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ๆ นึกถึงคำพูดของขวัญ เลยได้แรงบันดาลใจต่างๆ มากขึ้น ฉุกคิดดังนั้นก็ดีดตัวขึ้นจากที่นอน และไม่คิดจะเอาคำพูดของยัยขวัญผวาไปพูดให้คริสตี้ฟังด้วย

ปัญหาใครก็ปัญหามันเถอะ…

[อีขวัญผวานี่ควรโดนตบเลือดกบปากมากนะ]

“ใช่มะ อีสัตว์ กูนี่อยากจะจิกหัวมันกดลงหม้อเอ็มเคมาก” พูดแล้วก็คันไม้คันมือ แต่ก็ทำได้แค่คิด

[แล้วนางมาเสือกเหี้ยไรวะ ผู้ชายจะเลี้ยงแฟนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกมะ แล้วแต่ความเต็มใจส่วนบุคคล]

ได้ยินคริสตี้พูดแบบนั้นผมก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย แม้ลึกๆ ก็เกรงใจกับการที่จะมีใครสักคนมาเลี้ยงเรา

คำพูดของเธอมันจี้จุดอะ

“แล้วรู้ปะพี่นนท์พูดว่าไงตอนนางบอกหารตังค์กับเขามาก่อน พี่นนท์นี่ตอบไปพร้อมเสียงขึงขังเลยจ้ะว่า ‘นั่นมันขวัญไง แต่นี่อ๊อก’” ดัดเสียงให้เข้มขึ้นตามคำพูดของพี่นนท์ “คือตอนนั้นกูแบบ...อีเหี้ยมึงเก็ทปะ ? ผัวอะอีสัตว์ คำว่าโพผัวมันเด่นออกมาโดยไม่ต้องมีคำพูดก็ยังได้”

[พี่เขาโคตรหล่อเลย] คริสตี้ว่า

ผมเห็นด้วยกับคำคำนั้น “ใช่มะ คือกูรู้สึกว่าตัวเองสวยมากอะ เหมือนกูได้รับการปกป้องจากคนที่รัก แล้วยิ่งพี่นนท์พูดแบบนั้นนะ ใจกูนี่เต้นแรงมากเหมือนจะระเบิดออกจากอก ถ้าเอากันตรงนั้นได้คือกูเยกันแล้วอะ”

[คนหรือสัตว์] คริสตี้ท้วง

“เบื่ออะอีห่า คือกูรู้ตัวนะว่าตัวเองสวย แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้แฟนดีขนาดนี้ปะ คนอะไรแม่งจะเพอร์เฟกต์ ได้ผัวหล่อ การงานดี โปรไฟล์เลิศ เป้าใหญ่ เยดุ คืออีเหี้ย กูพร้อมมีลูกกับเขาสักสิบคนก็ยังไหว” พูดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตาด้วยความเปรมปรีดิ์

[มึงสวยไง]

“ใช่ กูรู้ ข้อนี้กูไม่เถียง มันไม่แปลกที่คนดีๆ อย่างกูจะได้ผัวดีๆ กับเขาบ้าง แบบบางทีกูก็คิดนะว่าอยากจะหน้าตาดีน้อยลง แต่มันทำไม่ได้ไงมึง มันยากมาก อีเหี้ยตื่นมาทุกวันคือกูหงุดหงิดทุกเช้า คนเหี้ยอะไรดูดีขึ้นทุกๆ วัน”

[มึงๆ]

“ว่าๆ” ขานรับเมื่อปลายสายเรียก ตั้งอกตั้งใจฟังกับคำที่เพื่อนจะกล่าว

[มึงนอนเยอะๆ นะ]

“ทำไมอะ” ผมถามอย่างงงงวย

[เปล่า กูแค่เป็นห่วง] คริสตี้ดันไม่ให้คำตอบ จากนั้นจึงถามต่อว่ามีอะไรจะคุยอีกไหม ผมถึงได้ปรึกษาเรื่องพล็อตนิยายแทน ภายในไม่กี่นาทีต่อมาก็นึกไอเดียออก เริ่มพรมนิ้วใส่แป้นพิมพ์ หารูปประกอบฉากให้คนนึกภาพตาม จับโยนอีขวัญผวาให้มามีบทบาทส่วนร่วมในนิยายสยองขวัญ

อีนี่ต้องตายทรมานค่ะ หมายหัวเอาไว้แล้ว

นึกแล้วก็กัดฟันแน่น พาลให้นึกถึงตอนคุยกับพี่นนท์เรื่องนี้

‘ให้พี่ไปช่วยเคลียร์กับเธอให้ไหม เธอพูดไม่ดีกับเราเลย’

‘ไม่เป็นไรหรอก มันก็ดีนะ การที่เขาพูดแบบนั้นมันก็เป็นแรงผลักดันให้อ๊อกอยากเขียนหนังสือ’

ใช่แล้ว และกูนี่แหละจะเอาเรื่องของมันไปเขียนในนิยาย จะเสวยสุขจากผลงงานชิ้นนี้ ความแค้นต้องไม่เปล่าประโยชน์

พอโปรยพล็อตจนหนำใจ นำความโกรธเกลียดเป็นแรงผลักดันในการสร้างสรรค์ผลงาน ดูเหมือนจะได้การตอบรับที่ดีกว่าที่คิด แต่มันก็เป็นเพียงแค่ไม่กี่นาทีหรอก เมื่อสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้กลับถูกทำลายจากบุคคลที่เคยเจอ

ใช่ ผมโดนกันซีนอีกแล้ว กลายเป็นคนคนนั้นอีกแล้วที่คิดแนวเดียวกัน ไม่พอเท่านั้น แม้แต่รูปที่หามาได้ก็ยังถูกเซฟไปใช้ต่ออย่างรวดเร็ว และยังมีหน้ามาพูดถึงพล็อตนิยายตัวเองอีก

ให้ตายเถอะโคตรไร้มารยาท หลายครั้งหลายคราแล้วนะชักจะทนไม่ไหว หัวใจแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ หยาดน้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม เสียความรู้สึกไปหมด

ถึงพล็อตและรายละเอียดของพวกเราจะไม่เหมือนกันเลย แต่ช่วยอย่าทำตัวแบบนี้อีกได้ไหม

“ฮือออ” สติแตกจนได้ หรือเพราะว่าอ่อนแอมากเกินไป ฟูมฟายและทรมานเกินกว่าจะแบกรับไหว มันทำให้แพนิคนึกไปถึงเรื่องในอดีตที่เคยพบเจอมาก่อน

เกลียด เกลียดความรู้สึกนี้มากๆ เกลียดจนต้องโทรไประบายกับคริสตี้อีกครั้ง หรือเพราะว่านี่คือเวรกรรม

“มึง ฮึก” ทันทีที่เพื่อนกดรับสาย ตัวเองก็ยิ่งสะอื้นหนักกว่าเก่า พอได้ระบายในสิ่งที่กักเก็บและเคยเจอ ความรู้สึกทุกข์ทรมานก็ค่อยๆ ทุเลาลง

มันแค่งงและไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจอคนประเภทนี้ ทั้งดราม่าในวงการ ในนิยายตัวเอง สังคม สภาพแวดล้อม ผมยังคงเป็นเด็กน้อยใสซื่อจนเกินไป

[ชีวิตมึงนี่ถ้าเป็นนิยายสักเรื่องคงมีคนติดตามแน่ๆ มีแต่เรื่องพีคๆ ทั้งนั้นเลย] คริสตี้กล่าวอย่างติดตลก หลังจากเห็นผมหยุดร้องไห้ มันเว้นคำพูดก่อนจะเอ่ยต่อ [นี่อ๊อก]

“อืม ว่าไง” ผมขานรับอย่างเหม่อลอย

[ทำไมไม่ลองเอาเรื่องตัวเองมาแต่งนิยายดูล่ะ ?]

ราวกับคำพูดนั้นเป็นตัวชี้นำทางแห่งแสงสว่าง ไอเดียและแนวพล็อตที่ไม่เคยเจอในวงการก็ปิ๊งขึ้นมาทันที ช่างเป็นแนวที่น่าสนใจที่สุดในชีวิต แนวที่คิดว่าผลงานนี้นี่แหละจะต้องเป็นที่จับตามอง แม้มันจะมีข้อดีข้อเสียอยู่อย่างหากนำไปใช้ แต่คงต้องทำให้เห็นถึงพัฒนาการตัวละคร ไม่ว่าจะด้านการเขียนหรือด้านจิตใจ

“เออว่ะ” ทำไมนึกไม่ได้นะ ผมเริ่มระบายยิ้มกว้าง เหมือนมีไฟปะทุเข้ามาในอก “กูได้ชื่อเรื่องเลยอะ”

ในเมื่อทุกสิ่งในชีวิตคือเรื่องตลกร้าย...

[เรื่องไรวะ]

“เดี๋ยวกูมา ขอบคุณมากนะมึง” ว่าแล้วก็กดตัดสายทิ้ง เริ่มเปิดเรื่องโดยไม่คิดจะร่างพล็อต มีเพียงความรู้สึกและหัวสมองตื้นๆ ที่พอจะนึกออกในยามนี้

ใส่ทั้งเพลงที่ชื่นชอบและสอดคล้องกับเนื้อหา ใส่ทั้งคำโปรยที่เต็มไปด้วยคำจิกกัดและเป็นเรื่องสะท้อนที่มีอยู่จริง

กดบันทึก เผยแพร่ และแชร์เข้าสู่ทวิตเตอร์พร้อมแฮชแท็ก

มาค่ะอีควาย…

เจอกับกูหน่อยเป็นไง

#เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย (Yaoi)

‘ชื่อไร’

‘ชื่ออ๊อก’

‘อ๊อก ?’

‘ใช่ อ๊อกๆ แบบหรรมติดคออะ’

“เชิญเร่กันเข้ามา”

เร่กันเข้ามาด่ากูนี่ไงอีเหี้ย ! แต่งนิยายชื่อเรื่องก็ล่อตีนแล้วค่ะ ช่วงนี้ยิ่งมีดราม่าวงการอยู่ด้วย อีอ๊อกเริ่มตัวสั่นงันงกแล้วนะคะคุณแม่ขา ไม่กล้าเข้าไปส่องทวิตเลย จู่ๆ แจ้งเตือนก็มากกว่าปกติ แรกเริ่มด้วยเพื่อนนักเขียนที่เมนชั่นตอบกลับมาอย่างขบขัน ไอ้เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เรื่องภาษานี่ก็ไม่ได้เก่งอะไรเลยสักนิด ออกจะใช้คำผิดความหมายเสียด้วยซ้ำ มีสิทธิ์ถูกยกประเด็นมาด่าในภายภาคหน้า

ไม่ได้สนับสนุนนักเขียนให้มาค้าประเวณีนะคะ มันก็แค่สิ่งที่พบเจอบ่อยๆ จนขี้เกียจจะตอบคำถามก็เท่านั้นเอง

ฮือ กูโดน กูโดนด่าแน่ๆ ผลีผลามมากเกินไปแล้ว

“ไม่เอาๆ ไม่ส่องเด็ดขาด” ใจยิ่งบางๆ อยู่ด้วย คือกระแสตอบรับไปในทิศทางที่แย่ ดำดิ่งกันพอดี

อ๊อกไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วจริงๆ รีบยกมือขึ้นมาไหว้หน้าจอคอม และแล้วก็มาสะดุ้งโหยงเมื่อคุณแม่ตะโกนเรียกชื่อ ไอ้เราก็หุนหันดีดตัวจากเก้าอี้ลงมาข้างล่าง ปรากฎว่ามีคนมาหาซึ่งก็คือพี่เดือน

“พี่มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยอะ” คนตรงหน้าเอ่ยปาก

อีอ๊อกยืนงง หน้าตาแตกตื่น “อะไรอ๋อ ?” ระ...หรือว่าพี่นนท์จะเอาไปบอกเรื่องที่เราสองคนผสมพันธุ์ แถมยังแตกในด้วย

ไม่ ไม่จริง คุณผัวเป็นคนปากพล่อยอย่างงั้นเหรอ

“เรื่องคริสตี้”

อ๋อ โล่งอก รีบเอามือมากุมตำแหน่งหัวใจและลดท่าทีลง

“ไปคุยบ้านพี่นะ” พี่เดือนว่าพลางหันหลัง

เฮ้ย ไม่ดีปะชวนคนเข้าบ้านอะ พี่เขาคิดไม่ดีกับเราแน่ๆ เลย แต่ลืมไปว่าเคยเป็นผัวเพื่อนมาก่อน อ๊อกเลยเลิกมโนเพ้อเจ้อและเดินตามไล่หลัง

บ้านพี่เดือนขยับขาสักสามสิบก้าวก็ถึงแล้ว แถมเขาพาหนูเข้าห้องด้วย !

“พี่มีอะไรจะคุยเหรอ ?” ผมพยายามใจดีสู้เสือ มองอีกฝ่ายที่ล้มตัวลงนั่งข้างขอบเตียง

อย่าบอกนะว่า...

“คือพี่…”

ไม่จริง “อ๊อกคบกับพี่นนท์แล้ว !” ผมรีบขัด หลับตาลงแน่น “พี่อย่าทำแบบนี้เลย พี่นนท์เป็นเพื่อนพี่นะ พี่จะมาแทงข้างหลังเพื่อนตัวเองไม่ได้ และอีกอย่างอ๊อกเป็นน้องพี่ด้วย พี่จะมาคิดอะไรเกินเลยกับอ๊อกไม่ได้เด็ดขาด มันผิดศีลธรรม !” ผมรีบขัดอีกฝ่าย น้ำตาเริ่มเอ่อคลอพลอยกังวล

นี่มันไม่ใช่พล็อต Incest นะ เขียนนิยายเจอปัญหาก็เหนื่อยพอแล้ว จะมาถูกสารภาพรักชวนขึ้นเตียงอีกอ๊อกทำใจไม่ได้หรอก

“ไม่ใช่ คือพี่จะบอกว่า…”

“ชอบอ๊อกสินะ คืออ๊อกรู้ว่าตอนเด็กอ๊อกเคยชอบพี่มาก่อน แต่พอโตขึ้นอ๊อกรู้แล้วว่าตัวเองชอบในฐานะน้องชายที่ปลื้มพี่ชายก็เท่านั้น แต่ตอนนี้พี่กลับมาหลงรักอ๊อก ข้ามความสัมพันธ์ระหว่างเรา มันไม่ควรเลยนะพี่” ตัวผมสั่นระริก ใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ กับข้อเท็จจริง

“พี่ชอบ…”

“แต่ผมไม่ชอบพี่ !”

“คือไอ้สัตว์ มึงฟังกูก่อนได้ไหมวะ !”

“...” ช็อก

“เป็นเหี้ยอะไรชอบมโนเพ้อเจ้ออยู่ได้”

“...”

คนตรงหน้าพรูลมหายใจทิ้ง สงบสติอารมณ์ให้เย็นลงจึงค่อยปรือตาขึ้น “คือพี่จะบอกว่าพี่ชอบคริสตี้”

จะฟ้องมันแน่ว่ามันมีผัวดุ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอ๊อกอะ” ผมถามเลิกแสดงละคร เดินไปที่เตียงนอนและนั่งลงข้างๆ อีกคน

โธ่ที่แท้ก็อยากปรึกษาความรักเป็นการส่วนตัวนี่เอง

พี่เดือนดูสีหน้าหมองคล้ำ ท่าทางดุเครียดจัดพานส่ายหัว “พี่อยากให้เราช่วยหน่อย”

“ช่วยตัวเองน่ะเหรอ ?” คราวนี้พี่เดือนถึงกับหันมามองตาขุ่น ผมเลยหัวเราะเจื่อน “อ๊อกแหย่เล่นน่ะ” ปกติไม่ค่อยเห็นพี่เดือนโหมดนี้สักเท่าไร “อยากให้อ๊อกช่วยยังไงเหรอ ?”

“ช่วยเป็นแม่สื่อให้ที”

‘สื่อสารน่ะเหรอ ?’ แต่ถ้าพูดออกไปโดนตบหัวลั่นแน่ เลยเงยหน้าขมวดคิ้วแน่น เรื่องความรักยิ่งไม่สันทัดซะด้วยสิ “เกรงว่าจะไม่ได้”

“ทำไมล่ะ ?” น้ำเสียงอีกคนดูผิดหวัง

“ก็คริสตี้คงไม่ยอมหรอก อีกอย่างมันก็ดูไม่ค่อยอยากจะมีแฟน”

“ใครบอก ?”

“อ๊อกบอกเอง” ผมตอบหน้าด้านๆ “แต่ในฐานะเพื่อนสนิทมัน มันคงไม่ยอมแน่ถ้ารู้ว่าอ๊อกวางแผนช่วยเรื่องความรัก”

“...”

“เสียใจด้วยนะ” ผมพูดพลางตบแผ่นหลังกว้างปุ๊ๆ เป็นการปลอบใจ

ตัดใจเสียเถิดหาได้อีกเยอะอีกะหรี่พรรค์นั้น

“พี่จะทำอะไรน่ะ” สายตาผมมองลงต่ำเมื่อจู่ๆ พี่เดือนก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาและยัดแบงค์ห้าร้อยใส่มือผม

“เฮ้ยพี่ !” ผมตกใจรีบคืนเงินให้คนข้างกาย แหม จะมายัดเงินเป็นค่าปิดปากไม่ได้หรอกนะ “พี่อย่าทำแบบนี้อ๊อกไม่ชอบ” ผมบอก แต่แล้วพี่เดือนก็หยิบแบงค์พันกับแบงค์ห้าร้อยใบเดิมมายัดใส่มือ แถมยังจับมือผมให้กำเงินเอาไว้แน่น

“ถือว่าช่วยพี่หน่อยเถอะ พี่ขอร้องล่ะ พี่ชอบเพื่อนเรามากจริงๆ” น้ำเสียงอีกฝ่ายดูน่าเห็นใจ

“แต่ว่า…” ผมกะจะแย้งปฎิเสธ แต่ก็ถูกแบงค์ห้าร้อยอีกใบมายัดใส่มือ

สองพันแล้วนะแม่

“คือพี่จะมาซื้อใจอ๊อกด้วยเงินไม่ได้หรอกนะ อ๊อกไม่ได้เป็นคนแบบนั้น” ผมค่อยๆ คลายปมคิ้วเล็กน้อย

“...” พี่เดือนดูมีสีหน้ามุ่งมั่น หยิบแบงค์พันมายัดใส่มือผมอีกที

สามพันแล้ว “อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ” ผมพึมพำ

อีกคนหยิบแบงค์เทาให้อีกใบ

“โอเคเสี่ย เดี๋ยวหนูเป็นแม่สื่อให้เอง” อีอ๊อกฉีกยิ้มกว้างในบัดดล เอนหัวซบลงกับลาดไหล่พี่ชายในทันที

แหม คิดๆ ดูแล้ว “ขอแบงค์เทาอีกใบได้มะ ?”
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 22-06-2020 12:06:07
.
.
.
ในวันแย่ๆ ก็ยังมีเรื่องดีๆ เข้ามา อย่างน้อยอ๊อกก็มีการมีงานทำ แม้จะดูไม่ดีไปสักหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นการแลกผลพลอยได้ พลันหย่อนเงินใส่กระปุกหมูออมสิน คราวนี้ก็วกกลับมาจดจ่อที่มือถือ พยายามทำใจอยู่นานกว่าจะเปิดเข้าไปดู เหตุผลส่วนหนึ่งก็อยากรู้ว่ากระแสตอบรับจะเป็นยังไง ส่วนพล็อตก็กะจะด้นสดเฉพาะหน้า แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นที่น่าสนใจกว่าเรื่องที่เคยผ่านๆ มา

ฮือ รู้สึกกดดันจังเลย รีทวิตก็ยังไม่หยุด ดูเหมือนจะโดนใจคนไม่ใช่น้อย แถมยังได้สิ่งดีๆ ตอบกลับ ไอ้เราที่มีแรงในการทำงานก็รีบปั่นบทนำอย่างรวดเร็ว

งานนี้ค่อนข้างพิถีพิถัน แต่พอเขียนแล้วเหมือนกรุ่นโกรธอยู่นิดๆ กลายเป็นใส่อารมณ์ในนิยายเนื้อหา เอาสิ่งที่เจอมาในอดีตกับปัจจุบันยัดลงไป อีกทั้งยังต้องดัดแปลงเนื้อเรื่องให้แตกต่างจากความเป็นจริง ให้ตัวละครตลกและดิ้นรนกับโชคชะตา พระเอกก็ยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าจะเป็นใคร มีแต่จุดเริ่มต้นที่พอจะทำให้ตบพวกประสาทแดกกลับได้บ้าง

ยอมรับตรงๆ ว่าตัวเองก็อารมณ์ร้อนพอสมควร ใช้เวลาแต่งเกือบสองชั่วโมงก็เสร็จแล้วมาตรวจคำผิด แต่มองแล้วมองอีกก็ตกหล่นแม่งทุกครั้ง มึงเป็นเหี้ยไรมากไหมอีห่านิ้วเบียดกับสมองในการทำงาน พออัปลงในเว็บชื่อดังและแชร์ลงทวิตคนก็แห่มากันเต็ม อูยยย ขนาดยังไม่ทันอัปตอนแรกคนก็เฟบตั้งเยอะแยะ อีอ๊อกรู้สึกเกร็งไปหมดเพราะไม่ค่อยชอบกับการกดดันหรือคาดหวังสักเท่าไร เพราะรู้ตัวดีว่าชิ้นงานอาจไม่สมเหตุสมผลและการบรรยายก็ไม่ได้ดีเหมือนกับชาวบ้านเขา

เฮ้อ นั่งกระดิกนิ้วเคาะโต๊ะ จดจ่ออยู่หน้าเว็บซ้ำๆ เพื่อดูคอมเมนต์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับยอดติดตามนิยายและทวิตเตอร์

ต้องบอกตามตรงว่าตัวเองใช่ว่าจะเป็นนักเขียนที่ดี แถมยังเกรี้ยวกราดประสาทแดกและวางตัวแรง ขนาดในนิยายก็มีคำพูดคำจาที่หยาบกระด้าง แต่ก็พยายามไม่ใช้คำตรงๆ

“คนจะชอบไหมนะ ?” เริ่มบ่นอู้อี้เพียงลำพัง เพราะแรกเริ่มอาจจะดีแต่ท้ายหลังอาจห่วยแตกไร้แก่นสาร

อ๊อกอยากให้มันคลายเครียดมากกว่าอะ

และดูเหมือนความพยายามและความแน่วแน่ของตัวเองจะประสบความสำเร็จ ทั้งนักอ่านและพี่ๆ นักเขียนก็มาให้กำลังใจ ทั้งติชมในต้นเรื่อง รอคอยตอนต่อไป แค่นี้หัวใจที่หม่นหมองก็กระชุ่มกระชวยเป็นเท่าตัว

‘เอาความจริงมาเขียนได้ยังไง 5555’

‘ตลกมาก ชอบมากเลยนะคะ จะไม่บอกว่าสู้ๆ เพราะรู้ว่านักเขียนเก่งอยู่แล้ว’

น้ำตาแทบไหลกับคอมเมนต์สารพัด เหมือนไอ้สิ่งที่เคยถูกทำลายไปผลงานชิ้นนี้กลับสร้างผลลัพธ์ที่ดีเกินกว่าที่ตัวเองคิดไว้ จากยอดเฟบที่ไม่ว่าจะเป็นสิบร้อยหรือหลักพัน แค่นี้มันก็เกินที่วาดหวังไว้แล้ว แหม ดูสิแค่บทนำก็กลับได้มาตั้งพันกว่าอย่างน่าอัศจรรย์

เห็นแบบนี้ก็มีไฟปั่นนิยายทุกเรื่องและตอนถัดๆ ไปเลยอะ

ไม่รู้การก้าวข้ามขั้นบันไดไปสู่ความสำเร็จจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน อาจกลิ้งตกลงมายามถูกขัดขาและซ้ำเติม แต่อย่างน้อยก็ขอกอบโกยความสุขในช่วงเวลานี้เยอะๆ ก็แล้วกัน

หืม ทวิตเตอร์มีคำขอทางข้อความ…

ผมรีบเข้าไปดูด้วยความสงสัย ก่อนจะไล่อ่านข้อความจากใครคนหนึ่งที่ทักมาติดต่อเรื่องนิยาย

มีสำนักพิมพ์ใหม่ติดต่อนิยายหนูแหละ !! โอ้ นี่มันเรื่องอะไรกัน เร็วเกินไปไหมเพิ่งอัปไปครึ่งชั่วโมงเองนะ ทำไมมีคนสนใจแล้วล่ะ

ไม่ได้ๆ ถึงเขาจะสนใจ แต่ว่าเราก็รู้สึกกดดันกับผลงานนี้อยู่ดี แถมนิยายเรื่องนี้มันหยาบคายและไม่มีจุดจบที่แน่ชัด ฉะนั้นขอให้ทางสำนักพิมพ์ดูไปก่อนก็แล้วกัน

ขอเวลานอกมาดีดดิ้นบนที่นอนข่มกลั้นเสียงกรีดร้องด้วยความดีใจ แถมสำนักพิมพ์ใหม่ที่กำลังใกล้จะเปิดตัวก็มีนิสัยน่ารักมากๆ เลย เรื่องน่ายินดีแบบนี้มีแต่ต้องบอกผัวเท่านั้น !!

“ไม่เอา ยังดีกว่า” พลันนึกขึ้นได้ เอาไว้บอกพรุ่งนี้เป็นการเซอร์ไพรส์ละกัน

แต่ขอไปหวีดกับเพื่อนสนิทกับเพื่อนนักเขียนก่อนนะ

อีอ๊อกลิงโลดเข้าไปใหญ่ เมื่อสิบนาทีต่อมาก็มีสำนักพิมพ์ใหญ่ที่ตัวเองเคยเล็งไว้ว่าจะส่งต้นฉบับสักครั้งกลับเข้ามาติดต่อผลงานตนเองแทน

นี่มันวันอะไรกันเนี่ย ! ผมรับมือไม่ถูกแล้วนะ สถานการณ์รวดเร็วไปหมด แต่สิ่งที่ให้ไปก็เป็นเพียงคำตอบเหมือนสำนักพิมพ์ก่อนหน้านี้ เพราะเนื้อหาดิฉันไม่มีอะไรเลยค่ะ เรื่องนี้มันด้นสดล้วนๆ เกิดหุนหันพลันแล่นไปตกลงจะหมดความสนุกและต้องมาคอยแก้ต้นฉบับ

อยากเขียนแบบไม่มีข้อจำกัด เขียนแล้วไม่รู้สึกว่าเหมือนคนถูกจับมือให้ทำตามในงานศิลป์

อ๊อกชอบจับอยู่อย่างเดียวค่ะ จับปุ๊บแล้วมันจะแข็งปั๊บเลย และถ้าถามว่าวันนี้อารมณ์ดีขนาดไหน ? ก็ต้องขอตอบเลยว่าดูคลิปพอร์นแล้วหัวเราะชอบใจ คนเหี้ยอะไรดูคนเอากันแล้วมานั่งขำ

เสียพลังงานกับการเสพและการทำงานไปมากพอแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาพักผ่อน ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่น้องชายมาเรียกให้ไปทานข้าว ส่วนเราก็หน้าตาบึ้งตึงไม่ขานรับ

ผมแทบไม่คุยกับน้องเลยด้วยซ้ำ นับคำก็ยังได้ มีน้องสาวคนรองและน้องชายอีกสองคน แต่ที่ผ่านมาไม่ค่อยอยากจะพูดถึง

ไม่มีใครเชื่อฟังผมเลยสักคน ในขณะเดียวกันตัวผมเองก็เป็นพี่ชายที่โคตรแย่พอกัน ทุกครั้งในเวลาที่น้องพูดจาไม่สุภาพหรือไม่คิดจะช่วยทำอะไร ผมก็จะพาลและพ่นคำหยาบคายใส่อีกฝ่าย และผมก็ไม่ชอบการกระทำนี้เลย

พยายามใจเย็นแล้ว แต่มันยากไปหมด ไม่ชอบอารมณ์ตัดพ้อที่ไม่อยากเป็นพี่ชายคนโตด้วย ทั้งน้อยเนื้อต่ำใจที่พ่อแม่เข้าข้างน้องมากกว่า และไม่คิดจะให้น้องมีความรับผิดชอบอะไรในตัวเลย

ก็เคยพยายามจะพูดดีกับน้องนะ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดจาไม่ดีก่อนก็ไม่รู้จะแสนดีไปเพื่ออะไร

อยู่บ้านแล้วไม่มีความสุข พูดคุยมากสุดก็แค่กับแม่ เวลาอยู่กับเพื่อนพ้องก็นิสัยต่างกันลิบลับ

อย่างนี้แหละ พื้นที่ความสบายใจของคนเรามันต่างกัน

“วันนี้พ่อมานะ” แม่เอ่ย

“อ่าวเหรอ” ผมเงยหน้าด้วยความแปลกใจ

“มาก็มาแดกเหล้า ไม่รู้จะมาทำไม” แม่เริ่มพูดแต่เรื่องเดิมๆ

“...” ผมถอนหายใจทิ้ง นึกหวาดหวั่นว่าที่บ้านข้าวของจะพังอีกตามเคย

พ่อก็ไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว ห้องนอนเล็กผมก็เลยไปอยู่แทน

“วันนี้ไปนอนห้องใหญ่ก่อน แล้วก็ขึ้นบ้านไวหน่อยจะได้ไม่มีปัญหา” แม่เตือน ส่วนผมก็พยักหน้ารับเออออไป

พ่อกับแม่นั้นทะเลาะกันหนักมาก เริ่มมาจากการดื่มสุราของพ่อที่แทบจะทุกวัน กลับมาทีไรก็จะพาลลูกๆ โดยเฉพาะผม ถัดมาก็เป็นน้องๆ ต่อด้วยการกระแทกประตู

เอาจริงๆ ผมก็แอบเกลียดพ่อ พ่อไม่เคยจะพูดจาดีกับผมเลย ความคิดในด้านการเมืองเราก็ขัดแย้งกัน พ่อไม่เคยจะรับฟัง เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ อารมณ์ร้อนไม่ต่างจากแม่ ถึงผมจะรู้ว่าท่านก็เหนื่อยจากการทำงาน หาเงินเลี้ยงครอบครัว แต่พ่อก็ไม่ควรจะเอาปัญหาภายนอกมาระบายกับคนในครอบครัว มันหลายครั้งหลายคราจนแม่หรือผม แม้แต่น้องๆ ก็เริ่มไม่พอใจ

ดูเหมือนนายเอกชีวิตรันทดเนอะ แต่อีดอกชีวิตจริงมันโหดร้ายกว่านิยายค่ะ บางเรื่องก็ได้แต่ปั้นหน้าแย้มยิ้ม เสแสร้งว่าตัวเองมีความสุขทั้งที่ภายในใจโคตรทุกข์ระทม

ตอนเด็กโดนมาเยอะ ความรุนแรงภายในบ้านที่เกิดจากพ่อและแม่จะดีหน่อยก็ตรงที่แม่เริ่มใจเย็นลง

เบื่อว่ะ พูดเรื่องดราม่าแล้วปวดหัวจัง อีอ๊อกอยากมีความสุขมากกว่า อย่างน้อยวันนี้ก็มีเรื่องราวดีๆ ฉะนั้นช่างมันเถอะ หาไรคลายเครียดจะดีกว่า

หนีไปบ้านผัวดีไหมน๊าาา ~

“อ่าว” นั่งทานข้าวเงียบๆ อยู่ดีๆ เงยขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นแม่กับน้องๆ แล้ว

เลิศที่สุดเหลือดิฉันอยู่เพียงลำพัง พอลุกขึ้นไปล้างจานชามเดินออกมาก็ได้ยินเสียงเหมือนจะไขกุญแจ พอเดินไปเปิดก็เห็นพ่อหน้าบึ้งดูนิ่งขรึม

“ปานนี้ยังไม่นอนอีก”

“อ๊อกเพิ่งอาบน้ำเสร็จ” ผมตอบพลางถอนหายใจอย่างเซ็งจิต

อีหรอบนี้อีกแล้ว แต่จะทำไงได้ยิ่งไม่ค่อยอยากมีปัญหากับพ่ออยู่ด้วย ในเฟสก็เห็นพ่อพูดตัดพ้อคนในครอบครัวและพาลด่าลูกๆ อีก จะทำอะไรก็ผิดไปหมด ผมจึงหันหลังคว้ามือถือที่วางอยู่ตรงเครื่องเตารีดและหวังจะขึ้นห้องทันที ดันนึกว่าพ่อเองก็น่าสงสาร แม้แต่น้องๆ และผมก็ไม่ค่อยอยากจะคุย ฉุกคิดดังนั้นผมเลยชะงักฝีเท้า ลอบสบถกับตัวเองภายในใจ

“แล้วนี่พ่อทานข้าวยัง” ผมตัดสินใจถามอย่างใจเย็น ก่อนจะก้าวลงมาจากบันได จับจ้องพ่อที่นั่งอยู่กับพื้นหยิบเบียร์เทใส่แก้วด้วยท่าทีซึมเซา

“ทานแล้ว”

“และอยู่นั่นเป็นไงบ้าง” ผมพยายามหาเรื่องคุยเรื่อยเปื่อย

“ก็โอเค” พ่อตอบทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตา

“พ่อต้องดูแลตัวเองด้วยนะ อยู่นู่นก็ระวังพวกงูไรด้วย บ้านยิ่งอยู่ใกล้ๆ ป่า รถอีกอย่าขับเร็วมาก” ผมบอกด้วยความเป็นห่วงล้วนๆ เพราะแถวนั้นเป็นประชาอุทิศ การจราจรก็ติดขัดอุบัติเหตุรถชนตายก็บ่อยมากด้วย

พ่อผมนี่น่าเป็นห่วง ขับรถไวทำอะไรไวไปหมด แม้แต่จะไปเที่ยวต่างจังหวัดก็จะชอบไปสตาร์ทรถกดดันให้ทุกคนทำอะไรเร็วๆ เป็นข้อเสียที่แม้แต่แม่หรือตัวผมเองก็ไม่ชอบ มากมายสารพัดจนผมต้องทยอยเล่าทีละเรื่อง

“อ๊อกรู้ว่าพ่อเหนื่อย งานก็หายาก” มีช่วงหนึ่งที่พ่อติดเหล้ามากจนทะเลาะกับแม่นี่แหละ เนื่องจากพ่อไม่ได้ออกไปทำงานหาเงิน

สำหรับผมแล้วมันเป็นการโยนภาระให้พ่อฝ่ายเดียว พ่อเองก็อายุมากแล้ว ผมเองมากกว่าที่ควรจะหางานทำและดิ้นรน แม้ยามนี้จะไม่ได้ขอเงินพ่อใช้เฉกเช่นทุกครั้ง แต่มันก็ยังอาศัยค่ากินค่าใช้จ่ายเขาอยู่ดี

บ่อยครั้งผมมักจะโยนความผิดไปให้ผู้ใหญ่ ทั้งที่ตัวเองก็ควรตระหนัก เพิ่งจะมาคิดได้ก็เร็วๆ นี้

“ตอนนี้อ๊อกแต่งนิยายส่งสำนักพิมพ์ อาจช้าหน่อยแต่อ๊อกจะพยายาม” ผมแจง

“มึงควรไปทำงานได้แล้ว” พ่อบอกเสียงเบา ส่ายหน้าให้กับความคิดของผม “ทำตรงนี้เราก็ไม่ได้เงินสักที โน๊ตบุ๊กพ่อก็ซื้อมาให้เพราะเห็นมึงบอกจะเขียนนิยายให้เสร็จ สุดท้ายก็เล่นเกมไม่ทำไรเลย” พ่อพูดในสิ่งที่ผมเป็นมาโดยตลอดหลายปี

มันก็จริง ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ทั้งๆ ที่ครอบครัวสนับสนุนความฝันและให้เวลา กลับเป็นผมเองที่นิ่งนอนใจ

“อ๊อกรู้” น้ำเสียงตัวเองเริ่มซึมลงปะปนด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา “ไว้อ๊อกจะหางานทำ”

“...” พ่อเงียบ ยกมือขึ้นกระดกแก้วเบีบร์

บางทีพ่อก็อยากระบายบ้าง เพียงแต่ผิดวิธีไปหน่อย หากไม่ใช้ความรุนแรงครอบครัวเราก็คงไม่แตกแยก

แต่ทว่าก็ต้องยอมรับตรงๆ  ผมชอบที่พ่อกับแม่ต่างคนต่างอยู่มากกว่า ในเมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ ทางเลือกที่เขาตัดสินใจในการแยกทางคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ถึงกระนั้นก็ยังไม่ทิ้งภาระหน้าที่การเป็นพ่อแม่

ไม่อยากพูดถึงตอนทะเลาะกันหนักเลย ตอนนั้นผมทั้งเลือดออกและจิตตกเพราะพ่อล้วนๆ

ตัวแม่เองก็ไม่ใจเย็น เอาอารมณ์ขึ้นมาเป็นใหญ่มากกว่าเหตุผล ผมปรามหลายทีแล้วให้ปรับความเข้าใจกัน แต่พวกท่านก็เอาแต่บอกว่า ‘มึงก็รู้นิสัย พ่อ/แม่ มึงดี’

“อ๊อกขึ้นห้องก่อนนะพ่อ”

“อืม”

“...” ผมนิ่ง ค่อยเหยียดกายลุกขึ้นและเดินเข้าห้องนอน ภายในมืดสนิทเพราะน้องๆ ปิดไฟกัน ต่างคนต่างนอนเล่นมือถือ เห็นดังนั้นผมจึงล้มตัวลงนอนข้างฟูกเตียงน้องสาว หาไรดูและต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง จนกระทั่งได้ยินเสียงพ่อขึ้นบันไดและปิดประตูห้องนอนรุนแรงตามการคาดคะเน แม่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะและสบถ

“เบื่อแม่งว่ะอีเหี้ย”

“...” ผมยิ้ม ก่อนจะพรูลมหายใจผ่านริมฝีปาก

พ่อมักจะเป็นแบบนี้ ชอบกระแทกประตูบ้านจนมันพัง หากพ่อทะนุถนอมและใจเย็นลงมันอาจจะออกมาดีกว่าที่คิด

แม่ก็เช่นกัน ถ้าแม่ไม่พูดจาประชดประชัน ต่างคนต่างทำร้ายจิตใจกันและกัน ใช้คำพูดที่นอบน้อมลงมาและไม่เหวี่ยงใส่คนอื่น ครอบครัวเราจะพูดจาอ่อนหวานและอบอุ่นกว่าที่คิด

ผมก็ได้แต่คิดนึกอิจฉาใครหลายคนที่เกิดมาในครอบครัวแสนอบอุ่น

[ฝันดีนะพี่นนท์] ทักไลน์ไปบอกใครคนหนึ่งที่พร้อมห่วงใยแทน


อรุณสวัสดิ์กับเช้าวันใหม่ อารมณ์โทมนัสควรปัดทิ้งไปให้หมด การเริ่มต้นในทุกเช้าคือสิ่งที่บ่งบอกถึงการใช้ชีวิต วันนี้อีอ๊อกตื่นมาก็หงุดหงิดอยู่หน้าบานกระจก รู้สึกหน้าตาดีขึ้นเป็นกอง ถึงแม้เมื่อคืนนี้จะแอบหดหู่ไปบ้าง แต่คนเราก็ไม่ควรจมปลักกับสิ่งนั้นไปนานๆ

แผนวันนี้คืออาบน้ำทานข้าวและมานั่งแต่งนิยายต่อ อาจจะหากำลังใจเล็กๆ น้อยเพื่อเพิ่มความมั่นใจ พอลงมาก็เห็นแม่นั่งอยู่ที่เก้าอี้นวด ก็เลยถามก่อนจะไปอาบน้ำว่า “พ่อกลับไปยังแม่”

“อืม” แม่ขานรับ ผมเลยพยักหน้าทำความเข้าใจจึงเข้าไปอาบน้ำ พอเสร็จก็มานั่งทาครีมท่องคาถาผัวรักผัวหลง จินตนาการใบหน้าสามีในอนาคตก็นึกอยากเจอในทันที

ต้องปณิธานเอาไว้ว่า หากวันนี้แต่งนิยายตอนที่หนึ่งเสร็จและอัปให้คนอ่าน วันนี้จะสามารถไปค้างคืนกับพี่นนท์ได้อีกครั้ง และอีกอย่างหนึ่งเลยนั่นก็คือผมอยากจะเห็นเขาตอนไปร้องเพลงในที่ทำงาน

ลองจินตนาการดูสิ เราไปนั่งสวยๆ ในร้าน ขณะที่มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังร้องเพลงและส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ การส่งทอดอารมณ์ผ่านน้ำเสียงถึงใครบางคน แค่นึกแล้วก็อบอุ่นไปถึงขั้วหัวใจยิ่งนัก เวลาเห็นมีผู้หญิงมาเกาะแกะก็ชี้นิ้วบอกไปว่านี่ผัวกูจ้ะ จากนั้นก็ทำสักสองสามอย่างให้คนอื่นเห็นแล้วตาร้อนผะผ่าว

โอเค ถือว่าอันนี้คือแพลนการใช้ชีวิตในวันนี้

วันนี้มีนักเขียนหลายคนDMมาเยอะมากด้วย ทั้งเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองเคยเจอเผื่อผมอยากนำไปใช้อ้างอิง ไม่ว่าจะข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับวงการและปัญหาในการโดนกอปผลงาน ผมยิ่งตาสว่างและเข้าใจวิถีชีวิตนักเขียนมากยิ่งขึ้น

เออ บางเรื่องแม่งก็ประสาทแดกจริง แต่ประสาทแดกยิ่งกว่าคือเหี้ยไรรู้ไหม ? บทความเนื้อหาถูกแบนค่ะอีสัตว์ !


[เรียนผู้ใช้งาน


ทางทีมงานต้องขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากพบคำหยาบ/คำสบถ ที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศ เช่น xวย หรรม หลี ในหน้านิยาย ขอความร่วมมือในการแก้ไขและส่งขอปลดแบนค่ะ


ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ]


โอเคใจเย็นก่อนยังมีเวลาแก้ไข ก็พอรู้แล้วแหละว่าอาจเสี่ยงโดนแบน แต่จะแบนก็ต่อเมื่อมีฉากอย่างว่าในเว็บไซต์นี่นา ไอ้ตัวเราก็ไม่เคยลงเลยนะหรือเขาเปลี่ยนกฎ ฉะนั้นลองแก้ไขและส่งใหม่ก็แล้วกัน แก้จนเสร็จก็ส่งให้ทีมงานตรวจแก้ ที่เหลือก็มานั่งปั่นนิยายต่อ ปั่นไปเรื่อยๆ ก็แวะหาไรดูบ้างเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ สลับไปมาก็ใช้เวลานานจนแต่งเสร็จสักทีหนึ่ง มาแตะมือถืออีกทีก็เห็นไลน์เด้งรัวๆ

[Non : ตื่นยังคะ] 10.09

[Non : หนูขา ตื่นมาทานข้าวทำอะไรเรียบร้อยหรือยังคะ ?] 10.47

[Non : พี่ทำงานก่อนนะคะ] 11.14

[Non : คิดถึงจังเลยค่ะ] 12.56

และตอนนี้ก็บ่ายโมงกว่าๆ

กรี๊ดดดดดดดดดดด อีโง่ ผัวไลน์มาตั้งแต่เช้าเสือกไม่ชายตามอง เป็นไงล่ะคะขยันปิดเสียงมือถือดีนัก ปานนี้โดนงอนแล้วแน่ๆ

[อ๊อกเจ็บคอ : ตื่นนานแล้วคร๊าบบบ คิดถึงเหมือนกัน ขอโทษที่ตอบช้านะพี่นนท์ พอดีอ๊อกทำงานจนลืมดูมือถืออะ] ฮือ ไม่งอนนะคนดี ให้เย็-ดีๆ คงหายงอนกันใช่ไหม

ผมเบะปากน้อยๆ ใจเต้นลุ้นระทึกเพียงเพราะตอบอีกฝ่ายช้าเกินกว่าเหตุ

[Non : :(]

[อ๊อกเจ็บคอ : ไม่งอนน๊า เดี๋ยววันนี้จะไปนอนค้างอีก] ผมไลน์บอก พอขึ้นว่าอ่านแล้วอีกคนก็ตอบกลับมาอย่างตื่นเต้น

[Non : จริงเหรอคะ]

[อ๊อกเจ็บคอ : จริงสิ] พร้อมกับส่งสติกเกอร์น่ารักๆ ไปให้อีกฝ่าย

[Non : งั้นดีเลยค่ะ พอดีพี่มีคนอยากแนะนำให้รู้จัก]

หืม ใครอะเมียน้อยเหรอ ? หรือคนในครอบครัว ? ชักหวั่นใจแปลกๆ ครั้นจะพิมพ์ตอบกลับไปก็ดันมีคนโทรมาพอดี รีบกดรับสายทันทีที่เห็นรายชื่อปรากฎ

“คุณพี่อยู่จังหวัดอะไรค๊าาาา”

[จังหวัดเดียวกับแม่มึงอะอีสัตว์]

“ค๊าาาา” รุนแรงเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-06-2020 13:28:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 25-08-2020 10:17:34
ชอบอะ ชอบความร่านนี้ เหมือนเห็นตัวเอง
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 24-09-2021 12:39:19
 :mew2: :mew2: :mew2:

ยังรอเรื่องนี้อยู่น้าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 22-10-2021 21:37:20
 :call:
หัวข้อ: Re: #เป็นนักเขียนมันเหนื่อยขายตัวแม่งเลย // ตอนที่สิบสาม [22/06/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 24-10-2021 00:08:28
 :hao3: