ตอนที่หนึ่ง
“มึงถามหน่อยสิระหว่าง ‘กะหรี่’ กับ ‘กระหรี่’ ที่มีรอเรือ อันไหนเขียนถูกอะ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจกับคำถามของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้กำลังเอาตาข่ายเก็บผมที่ครอบคลุมเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะวางวิกผมที่ยาวเหยียดสีดำสนิทครอบลงตรงกลางกบาล
อารมณ์ไหนของมันวะ ? ถึงได้อยากเรียนรู้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ปกติไม่เห็นแม่งจะสนใจเลยสักนิด
“วิธีการจำง่ายๆ กะหรี่กับกะเทยก็เหมือนกัน เป็นได้เลยไม่ต้องรอ มึงไม่เคยดูคลิปของคุณครูลิลลี่อ๋อ ?” ไม่วายถามอย่างสงสัย
“สรุปก็คือไม่มีรอเรือ ถูกมะ ?”
“ก็เออไง” ผมขานรับ หลุบสายตาลงต่ำ นั่งไถทวิตเตอร์เล่นต่อในมือถือ
“ไม่น่าล่ะ”
“?”
“เราสองคนถึงเป็นกะหรี่ได้เลยไม่ต้องรอ”
“สัตว์” เงยหน้ามามองมันที่สะท้อนบนกระจกตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะสวนกลับ
“แล้วเมื่อไหร่จะเลิกยุ่งกับกบาลสักที” ผมขมวดคิ้วยุ่ง เห็นมันยังจับแต่งวิกผมที่ยาวเหยียด “กูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทาร์ซานทุกทีแล้วนะ”
“หุบปากอีอ๊อก กูกำลังลองวิกให้อยู่นี่ไง” มันด่า
“สรุปจะไปเป็นกะหรี่หรือคนบ้ากันแน่ กูเริ่มสับสนแล้วอะ” ชักจะหวั่นใจ อยากขอถอนตัวออกจากแก๊งโสเภณีตอนนี้เลยได้ไหม ก็วิกที่ใส่อยู่ในตอนนี้เหมือนคนหัวฟูสิ้นดี ก่อนที่จะถูกคริตตี้ถอดถอนออกอย่างแรง พูดด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด
“บวชชีแม่งเลย โมโห !”
“มึงบวชชีกูก่อนจะพูดอีก” ผมส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ พูดถึงคำว่าบวชชีภาษากะเทยก็น่านำไปใช้ในนิยายนะ หมายถึงการถอดวิกและกระชากหัวให้กลายเป็นคนหัวโปกเหมือนที่มันทำนั่นแหละ
“วิกเหี้ยไรอีกอะ” ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เงยขึ้นมาด่าทันทีที่เห็นวิกอีกอันที่มันหยิบขึ้นมา จากนั้นก็สวมลงที่ศีรษะอีกครั้ง จับปัดหน้าม้าและหวีผมอีกสักหน่อย เลยได้เห็นหน้าตัวเองกระจ่างชัด ดูดีกว่าการเป็นทาซาร์เมื่อครู่นี้ ความยาวของมันอยู่ในระดับกลางแผ่นหลัง ไม่หนาและบางจนเกินไป ยาวสลวยเหมือนเส้นผมจริง
“ดูดี แต่ต้องแต่งหน้าแต่งตาอีกสักหน่อย ตอนนี้หน้ามึงเหมือนช่างแอร์ในตำนาน”
“อีเหี้ยคริตตี้” กล้าดียังไงมาเปรียบกูเป็นช่างแอร์ในตำนาน !
“ว่าไงอีเหี้ยอ๊อก” มันด่ากลับพร้อมรอยยิ้ม ผมเลยได้แต่ถลึงตาใส่ ก้มหน้ามาตอบนักอ่านที่DMในทวิตเตอร์แทน
“คุยกับผัวใหม่เหรอ ร่านมาก เพิ่งเป็นกะหรี่หมาดๆ สร้างแอคเคาท์นัดเย็-แล้วสินะ”
“กูกำลังปลอบใจนักอ่านต่างหากเว้ย !” ตวาดเสียงดังลั่น หลุดขำกับสิ่งที่มันเปรียบเปรย ขยันจิกกัดฉิบหายอีเพื่อนเวร ทั้งที่อีกไม่นานต้องมานั่งเครียดกับการเป็นกะหรี่แท้ๆ เวลาลูกค้าจะดีลก็ไม่รู้ว่าต้องตอบยังไงอีก
“นี่มึงเป็นนักเขียนไม่ใช่เหรอ ?” มันหยุดหวีผม เอียงคอมองท่าทีฉงน
“ก็ใช่ไง”
“แล้วนี่มึงต้องมาเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดที่ปรึกษาทางใจให้คนอ่านอีกเหรอ ?”
“เหอะๆ มึงไม่รู้อะไร วงการนี้นักเขียนก็เป็นกันหมด นอกจากแต่งนิยายให้คนอ่านแล้ว ก็ยังเป็นที่ปรึกษาชีวิตของคนอ่านเช่นเดียวกัน” ผมแถลงไข
“โหย น่าสงสาร ขนาดชีวิตตัวมึงเองยังเอาตัวไม่รอด ริอาจจะไปเป็นที่พึ่งทางใจของคนอ่านอีก” มันหยุดคำพูดลง ก่อนจะเสริมประโยคถัดมา “สงสารนักอ่านมึงเนอะ คงมาปรึกษาด้านความรักล่ะสิ โดยที่ไม่รู้เลยว่านักเขียนอย่างมึงกำลังผันตัวไปเป็นอีตัวที่ไม่มีวันเจอรักแท้”
แรงมากแม่ อ๊อกคนนี้ทนรับฟังไม่ได้ขออนุญาตเอามืออุดหู แต่คนที่รู้นิสัยดีอย่างมันก็ดันเสือกก้มหน้ามากระซิบข้างกกหู เล่นเอาผมแทบหูหนวก
“ดัดจริตทำเป็นรับไม่ได้ อีกะหรี่ !”
“มึงน่ะสิอีกะหรี่ !” ผมชี้นิ้วด่ามันในกระจก
“อีโสเภณี !” อีคริตตี้ชี้นิ้วด่ากลับ
“อีคณิกา !” ผมสวนแทน
“อีหอนางโลม” มันเองก็ไม่ยอมแพ้
“อีเด็กซ่อง !” ผมยังโต้คารม
“อีผีเสื้อราตรี !” อีคริตตี้โต้ตอบ พลันมองหน้ากันเหมือนรู้ใจ ก่อนจะขยับริมฝีปากร้องเพลงพร้อมกัน
“จะไปกับแสงสีกับปีกที่สวยๆ ให้เหมือนผีเสื้อราตรี จะหยิบเอาสายฟ้ามาเสียบเป็นสีสัน แต่งแต้มหัวใจทั้งคืน ~”
“กูชอบคำนี้” คริตตี้แสดงความคิดเห็นหลังร้องเพลงจบ ส่วนผมพยักหน้าขึ้นลง “เห็นด้วย” กลับมานั่งลงสงบเสงี่ยมตามเดิม แตกต่างจากเมื่อครู่ที่ชี้นิ้วใส่กันผ่านบานกระจก ล้วนแต่เป็นความบ้าบอของเราทั้งสอง
“กูว่าวันนี้พวกเราน่าจะขายรุ่ง” คริตตี้ที่หวีผมต่อพึมพำอยู่เหนือหัว “เวลาลูกค้ามาก็บอกบายวันเกทวัน”
“ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งน่ะเหรอ ?”
“ใช่ เผื่อเป็นชาวต่างชาติ”
“แล้วถ้าเป็นตำรวจล่ะ ?”
“ก็บอกว่าหนูมารอเพื่อนค่ะ” มันพูดไม่พอยังทำหน้ากวนส้นตีนใส่อีก ใช้ดวงตากลมกระพริบตาปริบๆ ทำปากจู๋เหมือนคนดูดหรรมหมา บอก “ทำหน้าแบบไม่มีพิรุธ”
“หน้าด้านมาก” นี่เหรอหน้าตาไม่มีพิรุธของมึง ผมแสร้งบึนปากในบันดล อยากจะจับไอ้คริตตี้ยัดใส่ในนิยายตัวเองฉิบ คาดคะเนว่าหากเป็นตัวเอกก็คงตุ้งติ้งน่าหมั่นไส้ ประจวบเหมาะที่เลื่อนทวิตเตอร์ผ่านมาพอดี
[ทำไมนายเอกต้องออกสาวด้วย เกย์ต้องแมนๆ สิ นี่ไม่ชอบเลยค่ะไทป์น้องรูปร่างบอบบาง และก็แบบพระเอกใช้ปากให้นายเอก อย่างGVบางเรื่องที่เป็นคู่รักกัน ถึงขั้นให้รับตัวเล็กๆ เสียบรุกตัวใหญ่ๆ ด้วย โคตรรับไม่ได้]
“เหอะๆ อีควาย อี อี…”
“อีหน้าส้นตีน !”
“ขอบคุณมากมึง” ผมหันไปขอบใจเพื่อนซี้ที่รู้ใจตรงจังหวะ
“ไม่เป็นไรมึง” คริตตี้ตอบปัด เริ่มจับปอยผมด้านข้างแบ่งเป็นสามช่อ ถักเปียวิกผมที่ถูกออกแบบให้มีหนังศีรษะ ถึงขั้นต้องทากาวโดยเฉพาะให้มันติดกับหนังหัว แต่สิ่งที่ผมสนใจมันประเด็นนี้ต่างหาก
“มึงดูนี่นะ เหตุผลพวกนี้นี่แหละที่กูอยากจะเลิกเขียนนิยายแล้วหันมาขายตัวแทน มันชอบมีแต่พวกพวกไอ้แอคเห็บประสาทแดก” ยกมือถือขึ้นสูง หันหน้าจอไปด้านข้างเพื่อให้เพื่อนสนิทดู
“ตลกอะ กูว่าพวกนางไม่เคยมีเพื่อนที่เป็นเพศที่สามมากกว่า สงสัยอยู่แต่โลกแคบถึงคิดว่าเกย์ต้องแมนเสมอไป ไม่ชอบไทป์รูปร่างบางก็ไม่ต้องอ่านปะ นิยายมีให้คัดสรรหยิบจับต้องเยอะแยะ พล็อตมีเป็นล้านแตด เสือกกระแดะจะมาอ่านเรื่องที่ไม่ชอบซะงั้น โคตรงง ดูอย่างมึงเป็นตัวอย่างสิ…” คริตตี้พินิจ เอี้ยวกายมาด้านข้าง ก้มๆ เงยๆ สำรวจร่างกายผม พลันวิจารณ์ “เป็นเกย์สาวที่ใจแตกแต่แต่งนิยายวาย พอรู้ตัวว่าไปต่อไม่รุ่งเลยฉุกคิดจะขายตัว”
“...”
“ขายบ้านไปทำหลี แล้วขายหลีไปสร้างบ้าน พ่อแม่ต้องภาคภูมิใจ”
“กูเป็นเกย์ ไม่ได้อยากไปผ่าหลี !” ผมสวนอย่างมีน้ำโห
“แสดงว่ายังอยากเก็บไว้ชักว่าวต่อ” คริตตี้อมยิ้ม ทำตาหยี “แต่งตัวเสร็จใครจะไปรู้ มึงอาจจะเพิ่งรู้ตัวว่าอยากเป็นผู้หญิงก็ได้นะ” ฉีกยิ้มกว้างพลางหัวเราะหึๆ เหมือนคนโรคจิต ก่อนจะเดินอ้อมมาด้านหลังและหมุนเก้าอี้ของผมให้ตั้งตรง
“มึงจับกูแต่งตัวแบบนี้ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วเถอะ” ผมแก้ต่างด้วยสีหน้าบึ้งตึง ทั้งที่สมัยอดีตก็โดนเพื่อนรักแต่งหน้าทำผมให้เป็นหนูทดลองอยู่บ่อยๆ นั่นก็เพราะว่ายัยคริตตี้มันอยากเป็นเมคอัพอาร์ติส
“มึงนี่ชอบแต่งหน้าเหมือนเคยเลยนะ” ผมพูดขึ้นลอยๆ คลายบรรยากาศ
“แน่นอน ก็กูอยากทำอาชีพช่างแต่งหน้าศพ”
“อีสัตว์หนิ” ชอบให้ด่าทุกที มึงเป็นบ้าอะไรกัน ขืนคุยกับมันต่อต้องประสาทแดกแน่ๆ เลยก้มมาโต้ตอบในทวิตเตอร์ ฉะเรื่องประเด็นล่าสุด ประโยคไหนข้อความเกินขีดจำกัดก็ค่อยไปทวิตเสริมต่ออีกหนึ่งประโยค
‘ลองอ่านแนวที่ถูกจริตดูนะคะ ไม่ชอบแนวไหนก็ไม่ต้องอ่านแนวนั้น เกย์ออกสาวในชีวิตจริงมีตั้งเยอะแยะ เกย์ไม่จำเป็นต้องแมนเสมอไป ส่วนพระเอกจะใช้ปากให้นายเอก สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นการแสดงความรักของทั้งสองฝ่าย การเมคเลิฟที่อยากทำให้คู่นอนมีความสุขโดยไม่เห็นแก่ตัว ส่วนเรื่องทำไมรุกถึงยอมให้รับสอดใส่นั่นมันก็เรื่องของเขา ขึ้นอยู่กับคนรักทั้งสิ้น เคมีธรรมชาติของมนุษย์ล้วนเป็นตัวชี้ทางกำหนด เรื่องบนเตียงมันก็คือเรื่องของคนสองคน เว้นแต่ว่าคุณอยู่ชิดขอบเตียงด้วยซะงั้น ฉะนั้นไม่อยากให้คิดว่าคนตัวเล็กๆ ต้องมารับบทบาทเพียงแค่รับ หรือโดนสอดใส่ค่ะ อย่าตัดสินจากรูปพรรณสัณฐานของคนเรา ว่าคนนี้ต้องรับคนนี้ต้องรุก ปล.หากอ่านแล้วไม่เจอแนวที่ถูกจริตก็ลองแต่งเองดูนะคะ’
นี่แน่ะ กูแซะแม่งด้วย ! แล้วมึงจะรู้ว่าเขียนนิยายมันยากเย็นขนาดไหน !
“เอาแล้ว อีอ๊อกหน้าแดงแล้ว พิมพ์ด่ายิกๆ เลย ตอบแบบมีมารยาทเวอร์ แต่ในใจคงด่าอีเหี้ยอีสัตว์เต็มไปหมด” คริตตี้ที่ชะโงกหน้ามาดูกล่าวอย่างเหน็บแหนม หัวเราะกับสีหน้าของผมที่ปั้นปึ่ง
“กูเบื่ออีวงการนี้เต็มที เดี๋ยวแม่งก็มีมาอีก !”
“มึงก็ลาออกไปขายตัวแล้วนี่ไง”
“เออ !” กระแทกเสียงใส่ ขยันตบมุกเก่งอีกอีฉิบหาย
“ช่างเรื่องดราม่าเถอะมึง ปลงๆ ไปเถอะ ขายหลีก็ปลงๆ ด้วยนะ ปล่อยให้พวกบ้านั่นประสาทแดกกันไป” คริตตี้พูดปลอบใจ
“กูก็อยากจะไม่สนใจหรอก แต่เห็นรีไปไกลแต่ก็ไม่มีใครมาแย้งสักที สงสารนักเขียนบางท่านที่มานั่งเครียดจนเป็นโรคซึมเศร้า เพราะคอมเมนต์ทำร้ายจิตใจพวกนี้ ลองพวกแม่งมาดราม่าใส่กูสิ กูจะ…”
“กูจะขายหลี”
“อีคริตตี้ !”
“หุบปากแล้วหลับตา กูจะแต่งหน้ามึงละ ช่างอาชีพนักเขียนก่อน เพราะวันนี้เราจะขายหลีกัน” อีกแล้ว ! คำก็หลี สองคำก็หลี ขืนเป็นนิยายคงโดนฉอดแน่ๆ คนอ่านต้องเข้ามาคอมเมนต์วิพากวิจารณ์ ‘นิยายมีคำหยาบเยอะมากเลยค่ะ อยากให้ลดคำหยาบลงหน่อย’ แน่ๆ มันต้องมีแน่ๆ ทั้งที่กูก็แปะคำเตือนเอาไว้แล้วแท้ๆ
“กูบอกให้หลับตาไง” อีกฝ่ายย้ำด้วยน้ำเสียงกึ่งดุ ผมที่ชิชะลอดไรฟันรีบทำตามคำสั่ง สัมผัสได้ถึงพวกแปรงต่างๆ ที่เริ่มมาแตะต้องตามปลายกระบอกตา โดนมันจับแต่งหน้าบ่อยจนรู้ได้ว่าอายไรเนอร์มีลักษณะแบบไหนและชื้นแฉะยังไง
ใช้คำว่าชื้นแฉะได้ไหมนะ แต่ถ้าเป็นนักอ่านคนต้องคิดสัปดนแน่ๆ เลย
ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองในใจ ว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาจะบรรยายยังไงดี ควรใช้คำว่าเปียกดีไหมนะ ? แต่ก็ไม่ได้อีก เปียกแม่งดูลามกสัปดน เหมือนพวกคำพูดหยาบโลนของพระเอกเลย
คนอ่านอาจไม่ได้คิดมาก แต่เป็นกูเองมั้งที่คิดเยอะ
“มึง...มึงว่าระหว่างชื้นแฉะกับคำว่าเปียกดูลามกมะ ?” ผมถามมันขณะหลับตา
“ถามทำไมอะ นี่มึงคิดเรื่องนิยายอีกแล้วเหรอ ?”
“อืม แบบถ้าสมมุติกูโดนทาอายไรเนอร์เหมือนอย่างตอนนี้อะ แต่ตอนทามันรู้สึกแปลกๆ อะ มันก็รู้สึกชื้นแฉะและเปียกๆ กูก็ไม่รู้ว่าถ้าจะแต่งในนิยายมันจะดูจาบจ้วงไปไหมถ้าจะบรรยายลงไป”
“โหย แต่งนิยายมึงนี่คิดมากขนาดเลือกไม่ถูกระหว่าง ‘ชื้นแฉะ’ กับ ‘เปียก’ เลยเหรออีอ๊อก ? ติ๊งต๊องมาก” คริตตี้พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก เดาได้ว่ามันคงต้องลอบด่าผมภายในใจอีก
“เออดิ” ผมขานรับเสียงอ่อย ความหมายของแต่ละคำมันไม่เหมือนกันนะ กว่าจะเลือกคำสละสลวยให้เข้ากับเนื้อหาได้อีก
“งั้นกูขอเสนอคำว่า…”
“หืม ?” ผมลืมตาขึ้นมอง หลังจากที่มันเป่าลมหายใจตรงเปลือกตาของผม เพื่อให้อายไรเนอร์มันแห้งสนิท ก่อนจะหยิบลิปทิ้นมาทาที่กลีบปากของผมต่อ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ นำเสนอคำใหม่ในวงการ…
“สัมผัสน้ำเงี่ยนแทนละกัน”
กูว่าคำนี้ควรใช้กับเอ็นซี...
“มึงกูไม่มั่นใจ”
“สวยแล้ว เลิกเอามือแตะกระโปรงสักที”
“มันโชว์ขามากเกินไป”
“นี่มึงเป็นผู้หญิงปะเนี่ยอีอ๊อก ฮัลโหล ลูกคุณหนูในห้องหอเหรอลูก”
“ก็มึงจับกูแต่งชุดบ้านี่อะ แขนกุดเปิดไหล่อีก” หน้านิ่วคิ้วขมวด บ่นไม่หยุดปากตั้งแต่ออกจากบ้าน รีบยกมือทั้งสองข้างมาไขว้ปิดไหล่ เห็นพี่แท็กซี่ปรายตามองผ่านบานกระจกตรงหน้าเป็นพักๆ
อีเหี้ย ! มองอะไรกันนักกันหนา เดี๋ยวกูก็ถลกกระโปรงชูคว-ให้ดูเลยหนิ !
“น่ารักแล้วเชื่อกู ผู้ชายเห็นแล้วต้องเงี่ยนแน่ๆ”
“กูเกลียดคำเปรียบเปรยของมึงมาก” ผมหันไปแขวะเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ จ้องมันที่ยกพัฟที่ติดกระจกสอดส่องใบหน้าตัวเอง ดูความเรียบร้อยเป็นรอบที่สิบ
โธ่ อีกะเทยติดกระจก !
“กูลืมบอกกฎข้อนึงให้มึงฟังอีนักเขียน” คริตตี้ปิดพัฟลงพลางยัดใส่กระเป๋าสีดำที่สะพายไหล่ หันหน้ามามองผมด้วยรอยยิ้มกว้าง วินาทีต่อมาก็ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู
“กฎของการเป็นกะหรี่ ต้องไม่หลงรักลูกค้า”
“...”
“มึงจำคำกูไว้ให้ดี” คริตตี้ที่ละหน้าออกห่างกล่าวเตือน
“นี่กูดูเหมือนคนใจง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ?” งงมาก ทำไมเพื่อนรักมองว่าเพื่อนคนนี้ดูใจร่าน
“ก็ไม่แน่ ลูกค้าอาจหล่อและหรรมใหญ่ เกิดมึงติดใจขึ้นมาไม่คิดเงิน”
“มึง...นั่นมันหรรมหรือสิ่งอัศจรรย์ ร่ายคาถาให้ติดใจหลงรักได้”
“...”
“คว- นะคริตตี้ ไม่ใช่คฑาแม่มดน้อยโดเรมี”
“งั้นกูขอเรียกว่าดาบศักดิ์สิทธิ์”
“ปกตินิยายกูจะใช้คำว่าแก่นกาย”
“ไม่เลิศเลยอะแม่ เป็นกูนะจะใช้คำว่า…” มันกลอกตาใช้ความคิด นึกขึ้นได้จึงหันมายิ้มแฉ่ง
“เห็ดหัวบานตะไทมีหญ้าดกดำ หรือไม่ก็ปลัดขิกรูปทรงคล้ายกันดี แต่ออกจะดำหน่อย”
“กูว่ามึงไปเป็นนักเขียนเถอะ” ขยันคิดแต่คำอุบาทชาติชั่ว ถ้าได้ไปแต่งนิยายกูก็ต้องมานั่งลุ้นอีกว่าเว็บที่ลงบ่อยๆ จะแบนด้วยไหม เพราะเนื้อหาแม่งมีคำลามกเต็มไปหมด
ฮัลโหลชาวเด็กดี แบนกูแน่นอน
ครั้นมาถึงสถานที่ที่ต้องทำมาค้าขาย ไอ้เราก็จินตนาการว่าต้องแย่งเสาตบตีกับกะหรี่เจ้าถิ่นฐานแน่ๆ แต่ที่ไหนได้กลับตาลปัตร สิ่งที่เห็นคือร้านนั่งชิวเหมือนพวกตามผับตามบาร์ มีผู้คนเดินเข้าออกกันเยอะแยะ บ้างก็เป็นหนุ่มวัยรุ่นไปถึงพวกอาวุโส หนุ่มหล่อจูงสาวสวยออกจากร้าน ผมที่เดินผ่านก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแบกผู้ชายเอาแขนพาดคอ เดินโซซัดโซเซเหมือนคนเมา
“อย่าไปจ้องเขา เดี๋ยวก็โดนตบหรอกอีอ๊อก” คริตตี้ใช้เล็บจิกลงที่เรียวแขนของผม เล่นเอาผมหลุดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“มันเจ็บนะ” เขม็งตาใส่ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่ามันหวังดี เพราะก่อนหน้านี้ผมเอาแต่จ้องเหมือนคนสงสัย เห็นผู้หญิงแต่งตัวสั้นจุ๊ดจู๋ ชุดเหมือนสีเลือดหมูประจำเดือน
“เขาเป็นใช่ปะ…” อดไม่ได้ที่จะสะกิดแขนถามเพื่อนรัก พยายามเข้าไปเดินใกล้ๆ กระซิบให้ได้ยิน คริตตี้ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากพยักหน้ารับ จูงแขนพาผมเข้ามาในร้านท่ามกลางสายตาของผู้ชายตัวใหญ่สี่ห้าคน คาดว่าน่าจะเป็นผู้ดูแลความปลอดภัย อีกฝ่ายสำรวจมองพวกเราเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น คริตตี้เลยยิ้มหวานหยดลากผมเข้ามาภายในอย่างรวดเร็ว
“มึงขายบ่อยใช่ไหมอีคริตตี้ ทำไมรู้ดีขนาดนี้” ผมนี่อยากจะร้องกรี๊ด อีเพื่อนตัวดีดูรู้ขั้นตอนรู้จังหวะ แสดงว่ามันต้องทำบ่อยจนเคยชินแน่ๆ
“เดี๋ยวกูจะฟ้องแม่มึงแน่อีเด็กใจแตก” ด่าลอดไรฟัน รับไม่ได้ที่เพื่อนดูโชกโชน
“โอ้โห ด่ากูไม่ดูสภาพตัวเองเลยอีอ๊อก พี่ที่กูรู้จักเขาก็แค่บอกวิธีกูปะล่ะ กูก็ทำตัวกลมกลืนไปงั้นแหละ” มันหันมาฉอดใส่ “มึงอะเลิกถามมากแล้วหุบปากไปซะ ค่อยพูดตอนอ้าปากอมคว-”
แรงมากแม่ ! ถึงกับช็อกด่ามันกลับไม่ถูก นี่มึงจะให้เพื่อนนักเขียนอย่างกูพูดได้แค่ตอนทำเรื่องสัปดนอย่างงั้นเหรอ คิดภาพไม่ออกเลยตอนทำเรื่องภารกิจพรรค์นั้น หากเป็นนิยายคงเขียนได้เป็นฉากๆ ประกอบกับการดูคลิปพอร์นเพื่อเป็นกรณีศึกษา ดูจนชินชาจนหมดสมรรถภาพทางเพศ เห็นพวกในคลิปมีแต่คนกรีดร้องเหมือนโดนฆาตกรเชือดเฉือน นี่กูจะโดนอาวุธร้ายประดุจมีดคมกระซวกไส้เหมือนในคลิปปะ เดี๋ยวอู๊ เดี๋ยวอ๊า บางทีก็ร้องอ๊างเสียงหลงจนกูช็อก สารพัดท่าเกินจะบรรยาย
หากได้ยินเสียงแบบนั้นกูคงจะรีบโทรหาตำรวจทันทีว่าข้างห้องกำลังไล่แทงกันแน่ๆ แทงกันเสียงดังมาก พรึบพรับๆ หัวโขกกับฝาผนัง
“อึก” คิดแล้วก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอ จะโดนจับอุ้มกระเตงเหมือนในคลิปที่ดูล่าสุดตอนเขียนเอ็นซีปะแม่ อ๊อกเริ่มขนลุก
“มึงกูกลัว” สอดแขนกอดเพื่อนแน่น เดินมาถึงจุดที่มีกลุ่มผู้หญิงนั่งคุยกันอยู่ตรงโซฟาสีครีม ทำจากวัสดุห่าอะไรก็ไม่อาจทราบ รู้แค่ว่ามันเป็นโซฟา ไม่มานั่งค้นหาข้อมูลเหมือนในนิยายที่เคยแต่ง
“หวัดดีค่ะพี่ดาว” ไอ้คริตตี้ยกมือขึ้นไหว้ แย้มยิ้มดัดจริตตามฉบับมัน ส่วนผมกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นแต่ความมืดมิดที่พอจะมีแสงสว่างหลากสีสัน ประกอบกับเสียงบีทหนักๆ ของดนตรีดังสนั่น ทำให้ผู้คนที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงโต๊ะผงกหัวตามจังหวะ ผมแอบเห็นว่าบางคนก็มีผู้หญิงนั่งข้างกาย พวกหล่อนคล้ายสาวนั่งดริ๊งก์
“โหย” หลุดเสียงร้องอย่างตื่นตะลึง แอบสะกิดแขนเพื่อนรักให้หันมาสนใจ มันก็ดันปัดมือทิ้งไม่คิดจะเหลียวแล ตาของผมก็ยังไม่ละจากคู่ๆ หนึ่งที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตรงโซฟา
ดีออก ! จูบกันแล้ว จะแดกหัวกันแล้ว ! เอาแล้วๆ ขึ้นคร่อมกันแล้วววว เย็-แม่งกันตรงนั้นเลยใช่ไหม มือล้วงเข้าไปแล้วขยับขึ้นลงด้วยแม่ !
สะกิดแขนเพื่อนยิกๆ มองด้วยแววตาตื่นตะลึง
มึง...มึงเขาชักจรวดกันแล้ว อ๊ากกก ! กูจะไปเขียนฉากนี้ในนิยาย ! กระดาษ หากระดาษมาจดทีมึง !
ผัวะ !
“กูบอกว่าอย่ามองไง” คริตตี้หันมาตบหัวดังป๊าบ ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาลูบหัวป้อยๆ แววตาสลดคล้ายสำนึกผิด หางตาก็ยังแอบเหลียวไปมองคู่ที่ยังโรมรันใส่กัน กระทั่งคนข้างกายเงื้อมือขึ้นสูงหวังจะตบอีกสักฉาด ผมเลยรีบเก็บสายตายิ้มเจื่อนต่อหน้ามัน
“โทษที”
“นี่พี่ดาว” คริตตี้มองตาดุ ผายมือไปทางพี่ผู้หญิงที่ใส่ชุดเกาะอกสีขาว กางเกงขาสั้นสีเดียวกัน หน้าอกแอบเหมือนเอาหัวเด็กทารกยัดใส่อก
เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดี แต่ขอไม่บรรยายว่ามีลักษณะแบบไหน แตกต่างจากนิยายที่ต้องมานั่งบรรยายว่าผมสีอะไร ลักษณะดวงตากลมหรือเรียวหรือคล้ายหมาเศร้าสร้อยที่โดนผัวทอดทิ้ง เอาเป็นว่าอีกฝ่ายมีผมสั้นระดับต้นคอสีดำสนิท มีคิ้วมีลูกตามีจมูกปาก ช่างแม่ง ! กูไม่ได้เขียนนิยายสักหน่อย ขี้เกียจมาวิเคราะห์อีห่านจิก
“หวัดดีค่ะ” ยกมือขึ้นไหว้ ลงท้ายคะค่ะตามที่เตี้ยมกันมา
ไอ้คริตตี้มันให้ไหว้เพราะเขาเป็นรุ่นพี่หรือเป็นแม่เล้าหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่อาจทราบ กลัวถามออกไปไปแล้วจะถูกตบภายในร้าน ฉะนั้นกะหรี่ฝึกหัดอย่างผมควรเงียบปากดีกว่า
เอ๊ะ หรืออนาคตผมจะแต่งให้ตัวละครผันตัวมาเป็นกะหรี่ดี อืมๆ น่าสนใจ ขอเก็บพล็อตนี้ไว้อนาคตล่วงหน้า ใครถามว่าคิดพล็อตได้ยังไง ก็มานั่งยิ้มกลบเกลื่อน ปากบอก ‘อ๋อ แค่อยากแต่งแหวกแนวอะค่ะ’ แต่เปล่าหรอก เผลอๆ ชีวิตกูจริง
แต่งนิยายมาตั้งแปดปี พิมพ์ตัวอักษรในแต่ละตอนเป็นหมื่นกว่าคำ หลายครั้งก็ฉุกคิดตั้งคำถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ รายได้ก็ไม่มี แหกขี้ตาทนฝืนแต่งจนฟ้าสาง ตรวจแล้วตรวจอีกเพื่อหาคำผิด เสียเวลาชีวิตไปครึ่งค่อนวัน พอจะอัปก็มีเมนต์ไม่กี่อัน ไม่รักจริงคงทำไม่ได้
จงรักการเขียน จงรักในสิ่งที่ทำ จงรักการเป็นกะหรี่เฉกเช่นในยามนี้ ! มรสุมถาโถมเหลือเกิน คะยั้นคะยอจนกูได้เป็นสมใจอยาก !
เอาวะอีอ๊อก เป็นกะหรี่อาจไม่ได้แย่อย่างที่คิด ถือว่าเปิดโลกใหม่ ถ่องเข้าไว้ ‘ไม่เลือกงานไม่ยากจน’ แต่เลือกสักหน่อยก็ดีอีฉิบหาย !
“มึงนั่ง” คริตตี้ดึงผมให้นั่งลงตรงโซฟา บนโต๊ะก็มีพวกเหล้าให้จิบดื่มกันหอมปากหอมคอ ผมที่คออ่อนเป็นทุนเดิม ลองกระดกสักหน่อยเผื่อจะได้ลบความกระอากอายลงไปบ้าง สายตาก็มองดูผู้คน นับว่าเป็นสถานที่ที่มีชายหนุ่มหน้าตาดีมากไม่ใช่น้อย ไม่ได้มีแค่พวกลุงๆ แก่ๆ
“แล้วนี่ต้องทำยังไงบ้าง” ยื่นหน้ากระซิบถามเพื่อนเป็นรอบที่สิบของวัน พลางเอามือป้องปากเพื่อให้ได้ยินชัดๆ จากนั้นค่อยถอยออกห่าง เพื่อนรักเลยกระซิบป้องปากเหมือนที่ผมทำอย่างเมื่อครู่
“เห็นพี่เขาบอกว่าจะมีพนักงานมาเรียกนะ และให้ลูกค้าดีลเอาเองว่าจะเอาแบบไหน เหมือนผู้หญิงนั่งดริ๊งก์นั่นแหละ แต่ทำมากกว่านั้น” คริตตี้ที่ตะโกนแทรกกับเสียงดนตรี คอยอธิบายให้ผมฟัง ตัวผมก็พยักหน้ารับทำความเข้าใจ ฝ่ามือกุมกระโปรงที่สั้นเลยเข่า นั่งไปนานๆ ก็เริ่มชักจะหนาว เอามือลูบแขนไปพลาง “กูเริ่มอยากกลับบ้านแล้วว่ะ”
“ได้ไง เพิ่งมากันเองนะ” คริตตี้หน้าบึ้ง
“มึงดูแต่ละคน หน้าตามีแต่พวกหื่นๆ ทั้งนั้น มึงไม่กลัวเขาเหรอวะ” ผมหันไปมองหน้ามัน คิ้วก็พาลขมวด
“ก็กลัว แต่เห็นมึงทำด้วยกูก็ทำเป็นเพื่อน” คริตตี้ตอบ
“อ่าว อีเหี้ย ความผิดกูงั้นเหรอ ?” ผมชี้นิ้วใส่ตัวเอง
“เปล่า กูก็ถามลองเชิงมึงเฉยๆ ปะ ถ้ามึงไม่ทำกูก็ไม่ทำ แต่ก็ไม่แน่นะมึง มันอาจจะแค่นอนเฉยๆ งานง่ายๆ นอนอย่างเดียว”
“นอนให้เขากระแทกกระทั้นอะดิไม่ว่า” ผมประชดประชันใส่ พลางเบะปากเป็นสระอิ จิกหางตาไปทางมัน
“เลิกใช้ศัพท์นิยายอีควาย ! กูไม่ใช่นักเขียนนะ กูแปลไม่ออก คือมึงจะหมายความว่านอนให้เขาเยถูกมะ ?”
“ก็ใช่ไง”
“อืม ก็ง่ายดี นอนให้เขาเยเหมือนตุ๊กตายาง” คริตตี้ไหวไหล่ ก้มหน้ามาเล่นมือถือต่อ เช็กอินว่าตัวเองไปเที่ยวแถวสีลม ทั้งที่ตัวมันเองอยู่อีกที่หนึ่ง
โอ้โห นี่กูมีเพื่อนตอแหลถึงขั้นโกหกจีพีเอสเลยเหรอ ?
ผมส่ายหัวรับไม่ได้ เปิดกระเป๋าสะพายที่คริตตี้ให้คล้องเอาไว้อีกใบ ต่างคนต่างมีของใช้ส่วนตัว รวมไปถึงกล่องถุงยางอนามัย ซึ่งคริตตี้มันซื้อเอาไว้กันฉุกเฉินเผื่อลูกค้าไม่มีของ
“กูเริ่มไม่อยากจะเชื่อว่ามึงไม่เคยขายมาก่อน” ผมยังคงแคลงใจ
“นี่ ! ถ้าพูดมากกูจะลากมึงไปตบหลังร้านแล้วนะ ถามเก่งมากอีนักเขียน”
“ก็ดูมึงดิ พร้อมไปหมดเลยอะ”
“ก็กูบอกแล้วไงว่าพี่เขาแนะนำมาอีฉิบหาย นี่มึงคบกับกูมานานแล้วนะ มึงเห็นว่ากูเป็นคนดอกทองขนาดนั้นเลยเหรออีอ๊อก”
“...” ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะโคลงศีรษะแทน
“อีอ๊อก”
“หืม”
“อีสัตว์หนิ” มันด่ากับกิริยาของผมทันที
ผมยิ้มขำ รู้สึกคลายเครียดเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบของในกระเป๋าสีดำ ทำเอาคนข้างๆ เบิกตาโตกับสิ่งที่เห็น ร้องตกกะใจ
“มึง !...นี่มึงถึงขนาดเอานิยายมาอ่านในร้านเลยเหรออีอ๊อก !?”
“ทำไมอะ ?” ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง ทำหน้างงงวยว่าแล้วมันผิดแปลกตรงไหน กะจะมานั่งอ่านเงียบๆ ฆ่าเวลาเล่น ศึกษาเพื่อหาคลังคำในหัวเพิ่มด้วย
“อ่านฆ่าเวลา” ผมอธิบาย
“มันมืดขนาดนี้มึงจะอ่านยังไงอีปัญญาอ่อน” มันยังคงอ้าปากเหวอ ดวงตากลมโตที่ใส่สีคอนแทคเลนส์สีน้ำตาลอ่อนดูเบิกกว้าง ก่อนที่จะยกมือมาตีหน้าผากตัวเองเสียงดังเพียะทันทีที่ได้รับคำตอบจากผม
“เดี๋ยวเอาแสงมือถือส่องเอาก็ได้”
“กูเชื่อมึงเลยอีอ๊อก พอ พัก พักสติมึงนี่แหละอีเอ๋อ เลิกอ่าน เอาแม่งมานี่” มันรีบกระชากนิยายจากมือผมทันที “กูจะเอามันไปเผาทิ้ง”
“มึงอย่าทำร้ายน้อง” ผมรีบปราม จะให้มันเอาไปทิ้งคงทำใจไม่ได้ นิยายก็เหมือนลูก ไม่สามารถให้บุบสลายได้แม้แต่สันปกและมุมปก ยิ่งกับเรื่องรักๆ ใครแตะคือด่ากราด ทว่าวันนี้โชคดีที่ผมเอาเล่มเก่ามาอ่านแทนฆ่าเวลา
ขยันซื้อมาและก็ขยันตุนเช่นกัน จนทุกวันนี้แม่ชอบด่าว่าจะต้มนิยายให้แดกแทน
“แม่มึงคลอดลูกเป็นหนังสือเหรออีอ๊อก มึงถึงเรียกนิยายว่าน้องอะ” คริตตี้จิกกัด ยัดนิยายใส่กระเป๋าขนาดใหญ่พอดีของมันแทน “เก็บไว้กับกูนี่แหละ มึงอย่ามาอ่านในที่นี่ แม่งมืดจะตายห่า เดี๋ยวก็จะสายตาสั้นหรอก หัดอ่านรู้จักเวลาและสถานที่บ้าง กูคิดว่ามึงเป็นเด็กเนิร์ดมาติวหนังสือที่ผับ”
“บลาๆ” ผมทำปากขมุบขมิบออกเสียงตามที่มันด่า พร้อมกลอกตาใส่ กระทั่งคริตตี้ยกมือขึ้นทำท่าจะตบ ผมถึงได้เอนกายไปด้านข้างเพื่อหลบฝ่ามือ
“อย่านะ อีพวกชอบทำร้ายร่างกาย” ผมด่ามัน
“ขยันกวนตีนนะมึงอะ วันนี้กูขอให้มึงเจอแขกใหญ่ๆ เอาให้ขาเป๋ไปเลย” มันแช่งใส่ ก่อนที่หางตาของผมจะเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่คุ้นตาเดินเข้ามาในร้าน เกาะตัวเป็นแก๊งเหมือนพวกเอฟโฟ และหนึ่งในนั้นนั่นเองที่ทำให้ผมต้องสะดุ้งโหยง รีบยื่นมือไปเขย่าเรียวแขนเพื่อนรักอย่างไว
“มึง มึง น...นั่นใช่ ‘พี่เดือน’ ปะวะ ?” อีเหี้ย งานเข้าแล้ว ทำไมเวลาจะทำเรื่องเหี้ยๆ ทีไร มันมักจะมีเหตุการณ์ตลกร้ายเข้ามาเสมอเลย !
.
.
.