ตอนที่ 24 : หัวขโมย
กลยุทธ์ฮีโร่พิชพิชเต้นกระจายได้ผลยอดเยี่ยม
เพื่อไม่ให้เบื่อเร็ว และไม่เป็นการรบกวนเพื่อนร่วมซอย ผมเลยให้ไอ้ภูมิออกมาเต้นทุกวันศุกร์ตอนสี่โมงสิบนาที มีการแจ้งบอกในเพจเผื่อว่าจะมีคนสนใจมารอดูเพื่อจะได้ถ่ายคลิปให้ชัดๆ ว่านอกจากชานมไข่มุกจะกินแล้วสดชื่น เจ้ามาสคอตร้านนี้แค่ดูก็หัวเราะร่วนแล้ว
สิ้นเดือน ผมนั่งคำนวณรายรับ-รายจ่ายอีกครั้ง ต่อให้หักเงินเดือนไอ้ภูมิแล้วก็นับว่าเป็นเงินก้อนที่น่าตกใจไม่เบา เลยเพิ่มโบนัสค่าเต้นให้ไอ้ภูมิด้วย แล้วพามันไปเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณในความทุ่มเทขนาดพี่พจน์ยังช่วยแชร์คลิป
ซึ่งเท่ากับว่าผมเปิดร้านชานมเข้าเดือนที่ห้า และหนีออกจากบ้านมาเกือบเจ็ดเดือนแล้ว
จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้น แต่เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมสนุกสนานมากทีเดียว บัตรสะสมแต้มต้องสั่งทำใหม่หลายครั้งในช่วงนี้ พวงกุญแจฮีโร่พิชพิชเองก็ทยอยออกเป็นระยะเนื่องจากหลายคนใกล้จะสะสมครบห้าเลเวลแล้ว ขาประจำอย่างเจตน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกนิดเกือบจะได้พวงกุญแจลายที่สองแล้ว
ด้วยอิทธิพลจากพลังโซเชียล ตอนนี้เพจจึงมีคนกดไลค์ถึงห้าพัน ลูกค้าประจำและขาจรก็มีมาไม่ขาด ต่อให้ไม่ใช่โปรโมชั่นดึงดูดก็ยังมีคนต่อแถวเข้าคิวอยู่เรื่อยๆ ถือเป็นช่วงพีคเพราะกระแสกำลังมา
ส่วนทางด้านชานมไข่มุกชื่อดังนั้น แม้จะโดนผมดึงลูกค้ามาบางส่วน แต่ก็ยังขายได้ดี แม้จะไม่เทน้ำเทท่าเท่าเดิมก็ตาม
นึกดูดีๆ ตอนเริ่มเปิดร้าน ผมมุ่งมั่นคิดว่าเป้าหมายมีไว้พุ่งชน อยากจะลองดึงลูกค้าให้มาชิมชานมของตัวเอง
แต่พอใกล้ทำสำเร็จ ทางนั้นมีคนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก็ชักลังเลขึ้นมา อย่าลืมสิว่าร้าน JOY คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมตกหลุมรักชานม
ไหนลองย้อนมองตัวเองซิ
อืม แม้จะไม่กล้าพูดเต็มปาก แต่ต้องยอมรับว่าค่อนข้าง Lucky in Game, Lucky in Love
ถ้างั้น...หรือผมควร...จะกลับบ้านได้แล้วนะ
เพราะการหนีออกจากบ้านได้ผลตอบรับที่คุ้มค่าแล้ว
อย่างแรกคือตัวผมเอง นายพิชญ์ที่โตขึ้น พยายามค้นหาตัวเอง และการมุ่งมั่นจะทำบางสิ่งบางให้สำเร็จโดยไม่ถอดใจไปซะก่อน ไอ้นิสัยโลกหมุนรอบตัวเองโดนสปอยจนเคยตัวก็เริ่มจะปรับเปลี่ยนในทิศทางที่ดี
อย่างที่สอง คือพี่ชายแท้ๆ อย่างพี่พจน์ พี่ชายที่แสนดีซึ่งสนิทกับผมมากกว่าเดิม จากนึกรำคาญน้อง ปล่อยผมบ้าบอไปเอง ก็หันมาสนับสนุนกันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
อย่างที่สาม คือแฟนเก่าที่คบเพราะใจอ่อน การเลิกรากันนั้นอาจจะเป็นผลดีของเราก็ได้ แม้กฤตจะซวยจนหมดอนาคตในวงการไป และเราแทบไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่ล่าสุดเห็นว่าเขาจะลองไปต่างประเทศ ที่ที่ไม่มีข่าวฉาวมาบังความสามารถ และตอนนี้ก็น่าจะเริ่มเตรียมตัวแล้ว ผมได้แต่อวยพรให้เขาโชคดี อย่างน้อย...ช่วงเวลาที่อยู่กับกฤตก็สร้างรอยยิ้มให้มากและทำให้ผมถนอมรักครั้งใหม่มากขึ้นเพราะไม่อยากซ้ำรอยเดิม
อย่างที่สี่ คือเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่คอยเกาะกันมาแต่เด็ก ภูมิเคยชินกับการอยู่กับผมแล้วสบาย และผมเองก็เคยชินกับการยอมลงของภูมิจนไม่สนใจความรู้สึกหรือลำบากของคนใกล้ตัว นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่พวกเราได้ปรับความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง ภูมิเลิกเล่นพนัน แม้จะเกาะผมต่อ แต่ก็ไม่ได้ทำด้วยอยากจะได้เงิน แต่เพราะพวกเราสนิทกันจริงๆ จนเสียดายที่จะละทิ้งมิตรภาพในวันวาน
และอย่างสุดท้าย ส่วนสำคัญที่สุด
คือมุมมองของพ่อแม่ที่มีต่อผม เข้าใจผมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของผมก็ดี หรือความรักก็ดี สิ่งที่พวกท่านคิดว่าจะคัดสิ่งที่ดีที่สุดให้ สร้างโลกที่ผมนั้นอยู่อย่างสุขสบายไร้ความกังวลใจ มีเพื่อน มีเงิน มีทุกสิ่งที่ต้องการ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องถูกต้องซะทีเดียว แม่รับฟังความเห็นผมมากขึ้น และเริ่มยอมรับในความพยายาม
แล้วจะมีเหตุผลอะไรอีกให้ผมหนีออกจากบ้าน
แต่ถ้ากลับบ้าน...ผมก็ควรจะทำในสิ่งที่ควรจะเป็นตั้งแต่หลายเดือนก่อน นั่นคือการเป็นลูกกตัญญู ช่วยดูแลบริษัทของครอบครัว แบ่งเบาภาระของพี่ชาย
มาสู่ปัญหาสำคัญ
ร้านชานมพิชพิชล่ะจะทำไงดี
ผมยอมรับ ผมตกหลุมรักชานม อยากจะกินทุกวัน และสนุกกับการทำร้านนี้ คิดแผนการตลาด ต้อนรับลูกค้าหลากเพศต่างวัย แต่ในใจลึกๆ ดันรู้ดีอยู่แล้ว ตั้งแต่เปิดร้านวันแรกด้วยซ้ำ ว่ายังไง...ผมก็ดูแลร้านนี้ไม่ได้ตลอด
แต่ทุ่มเทมาขนาดนี้ก็ไม่อยากปล่อยไปดื้อๆ
คนอะไรโลภมากชะมัดเลย
ขณะที่ผมคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับอนาคตตัวเองนั้นและไม่กล้าปรึกษาแฟน
ร้านของผมก็มี...ขโมย
ใช่รึเปล่านะ ผมเองก็ไม่มั่นใจ แต่ว่าเงินที่หายไปจากลิ้นชักจำนวนห้าพันบาทเนี่ย...คนที่จดทุกรายรับ-รายจ่าย ทำบัญชีอย่างดีในทุกวัน ไม่น่าจะเลอะเลือนขนาดนับเงินผิดมั้ย
และพอผมถามเรื่องนี้กับภูมิ
“มึงคงไม่คิดว่ากูขโมยหรอกนะ!” เพื่อนรักถามเสียงหลง แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม แต่ระหว่างเรากลับอ่อนไหวเรื่องเงินเป็นพิเศษ จะว่าไงดีล่ะ...ผมอยากจะเชื่อเพื่อนนะ แต่ก็นึกผู้ต้องสงสัยคนอื่นไม่ออกเลย
“กูก็ไม่อยากจะคิดนะภูมิ” ผมนวดขมับ พวกเราคุยกันช่วงใกล้ปิดร้าน ตอนที่ลูกค้าเริ่มไม่มีแล้ว “แต่นอกจากกู มึงก็เป็นคนเดียวที่มีกุญแจร้าน และช่วงหลังมานี้...กูก็ไว้ใจ ให้มึงมาเปิดร้านก่อน ไม่ก็ปิดร้านคนเดียว”
“มึงสงสัยกู!”
ภูมิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เห็นอย่างนั้นผมก็ใจแข็งต่อไม่ลง
“กูขอโทษ” ผมเอ่ยเสียงเบา จนปัญญาเหมือนกันในเมื่อตลอดทั้งวันผมยืนคุมร้านเองตลอด ขนาดข้าวเที่ยงยังสั่งมาส่งที่ร้านเลย ถ้าจะมีคนขโมยของ ก็มีแต่ช่วงที่ผมยังไม่มาถึงหรือกลับก่อน และคนที่มีกุญแจร้าน ก็คือไอ้ภูมิ “มึงมีผู้ต้องสงสัยในใจมั้ยล่ะ อย่านับกูนะ เพราะกูคงไม่ขโมยเงินตัวเอง”
เงียบกันอยู่นาน ไอ้ภูมิก็กุมขมับ
“พอมึงพูดแบบนี้ ขนาดกูยังสงสัยตัวเองเลย”
“ใช่มั้ยล่ะ”
“แต่กูไม่ได้ทำ!” ภูมิยืนยันเสียงแข็ง “ถึงกูจะเคยเล่นพนัน แต่กูก็เคลียร์หนี้หมดแล้ว และคนที่ช่วยก็คือแม่ของมึง กูไม่ได้อกตัญญูขนาดทำเรื่องชั่วๆ ถึงขั้นขโมยของลูกผู้มีพระคุณที่เป็นเพื่อนรักกันหรอกนะ ตลอดมา เวลากูอยากได้เงิน กูก็มาขอมึงตรงๆ...”
พูดถึงตรงนี้ ไอ้ภูมิก็ชักจะทำหน้าไม่ถูกกับความจริงแสนน่าอาย
“อืม...มึงขอกูตรงๆ ทุกครั้งจริงๆ” ผมไม่ปฏิเสธ
“กูไม่กล้าหาเรื่องให้ตัวเองโดนต่อยหรอก หมัดมึงหนักจะตาย ครั้งที่แล้วล่อซะฟันกรามหักเลยนะ”
“แต่ตอนกฤต...”
“ตอนนั้นกูไม่มีทางเลือก มึงให้เงินกูจนเคยตัว เกาะมึงจนสุขสบายมาหลายปี จู่ๆ เสือกหนีออกจากบ้านมาติดผู้ชาย ทิ้งกูเป็นหมาหัวเน่า จะบอกใครก็ไม่ได้ แม่มึงก็มากดดันกูอีก หนี้ก็บานขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะให้กูทำยังไงวะ” ภูมิสบถ “เออ กูยอมรับด้วยว่าตอนนั้นกูแอบประชดมึง รู้ว่าถ้าทำแล้วมึงต้องดิ้นพล่าน ทิ้งกูดีนัก กูจะทำให้มึงวิ่งมาหากูเอง”
“ฟังดูรักกูดีเนอะ ขอกูคบเลยมั้ยล่ะ”
“คบกับมึงเนี่ยนะ แม่ง อย่างกับบอกรักกับส้นเท้าตัวเอง” ไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือคำด่า แต่สำหรับเพื่อนที่สนิทกันชนิดใส่กางเกงในตัวเดียวกันได้เนี่ย การบอกรักใครอีกคน ก็เหมือนพูดกับตัวเองจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่เอาส้นเท้าได้มั้ยวะ นึกแล้วแขยง
“ภูมิ...”
“กูไม่ได้ทำ!”
“ตะโกนทำไม กูแค่จะบอกว่าไปซื้อกล้องวงจรปิดมาติดดีมั้ย จะได้ไม่ต้องมานั่งเดากันเอง” ผมมองคนร้อนตัวอย่างละเหี่ยใจ ทำผิดแล้วมีชนักติดหลังก็อย่างนี้ นิดๆ หน่อยๆ เป็นสะดีดสะดิ้งไม่หยุด
“แล้วทำไมไม่พูดแต่แรกวะ กูนึกว่าจะโดนทิ้งเหมือนหมาอีกรอบแล้วเนี่ย”
“งั้นกูจะไปซื้อกล้องวงจรปิด แล้วจะเปลี่ยนแม่กุญแจด้วย”
“เออ ดี เปลี่ยนแม่กุญแจแล้วไม่ต้องเสือกโยนให้กูอีกล่ะ จะได้ไม่ต้องมากล่าวหากันอีก เลิกติดแฟนแล้วมาเปิดปิดร้านเองด้วย ไอ้เชี่ยพิชญ์”
อยากจะเถียงว่าผมไม่ได้ติดแฟนสักหน่อย แต่เจตน์ดันขับมอเตอร์ไซค์เข้าซอยมาพอดีซะงั้น
ไอ้ภูมิหันมาเลิกคิ้วให้ ต่อให้ไม่พูดก็รู้ว่ามันกำลังจะแซวว่านั่นไง พูดผิดซะที่ไหน ผมเลยต้องตีหน้าตาย เป็นวิชาที่เลียนแบบจากเจตน์มาอีกที
พวกเราช่วยกันปิดร้าน ล็อกแม่กุญแจกับประตูเหล็กม้วน ไอ้ภูมิปั่นจักรยานกลับ ส่วนผมยืนข้างมอเตอร์ไซค์ของเจตน์ ตอนรับหมวกกันน็อกมาสวมก็เล่าเรื่องเงินหายไปกับที่ต้องแวะซื้อแม่กุญแจและกล้องวงจรปิดให้ฟัง
“ไว้ใจเพื่อนพิชญ์ได้มั้ย”
ดูสิ ขนาดเจตน์ยังสงสัยภูมิเลย!
“ตอนแรกฉันก็สงสัยเหมือนกัน” ในเมื่อผู้ต้องสงสัยนั้นน้อยเหลือทน “แต่พอภูมิบอกว่าถ้าขาดเงินจริงๆ คงมาขอตรงๆ ก็ปัดข้อสงสัยทิ้ง ถึงจะฟังตลกไปหน่อย แต่ระหว่างขอเงินฉันกับขโมยเงินฉัน ด้วยจำนวนเงินห้าพันบาท ขอกันน่าจะง่ายกว่าหาเรื่องให้โดนต่อยน่ะ”
ผมยื่นหน้าให้เจตน์ช่วยดึงสายรัดคางแน่นๆ เป็นเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่ได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์เขายันวันนี้ และคาดว่าจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน
การกระทำเล็กน้อยที่ชวนอบอวลไปทั้งใจ
แสดงถึงความใส่ใจ ห่วงใย และความรัก
“งั้นมีใครที่ถือกุญแจอีกมั้ย”
“จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ใช่” ผมถือโอกาสกวนใส่ แม้จะไม่ค่อยถูกกาลเทศะนักเพราะเจตน์กำลังทำหน้าคร่ำเคร่ง “นี่ จะทำหน้าเครียดทำไม”
ผมนั่งซ้อนหลัง ก่อนจะกอดหมับเต็มวงแขน พร้อมเอาคางเกยไหล่
“เงินฉันหาย ไม่ใช่เงินนายสักหน่อย”
“เครียดเพราะห่วง” เจตน์ทาบมือกับหลังมือของผมที่รัดรอบเอวเขา “เป็นห่วงนะครับ”
บทจะหวานก็ชวนเขินจนพูดอะไรไม่ออก ผมเม้มปาก ก่อนจะกระซิบชื่อผู้ต้องสงสัยให้อีกฝ่ายลองพิจารณาความเป็นไปได้
เจตน์เงียบไปพักหนึ่ง
ก่อนจะพยักหน้ารับเชื่องช้าบ่งบอกว่าเห็นด้วย
“เพราะงั้นเลยต้องซื้อกล้องวงจรปิดกับเปลี่ยนแม่กุญแจไง” ผมอธิบาย ยังคงค้างในท่ากอดหมับโดยที่เจตน์ทาบมือไม่ยอมปล่อย “มีหลักฐานคาหนังคาเขา จะได้ดิ้นไม่หลุด”
“ระวังตัวด้วย”
“ให้ระวังตัวอะไร” ผมหัวเราะ ซุกหน้ากับบ่าของเจตน์ “ขโมยไม่มาตอนฉันกับภูมิอยู่ร้านสักหน่อย”
“แล้วถ้าร้านเสียหายขึ้นมาล่ะ”
“เขาคงไม่ทำแบบนั้นหรอกมั้ง” ผมสันนิษฐาน “อีกอย่าง...”
“อีกอย่าง?”
“ไม่มีอะไร” ผมกอดเอวเขาแน่นขึ้น “รีบไปเถอะ หิวแล้ว”
เจตน์ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากซอย ส่วนผมยังคงซุกหน้ากับบ่านั้นอย่างสับสนลังเล
จะพูดออกไปได้ยังไง ว่าถ้าร้านเสียหายขึ้นมา...ก็คงเป็นเหตุให้ผมตัดใจ ยอมกลับบ้านสักที
--------------
เรื่องนี้ใกล้จะจบแล้วนะคะ มานับถอยหลังกันน้า และไม่ต้องห่วงเรื่องมาม่าค่ะ
มาไว เคลมไว หวานๆ กันไปด้วยขอบอกๆ
#ผมกับชานมไข่มุก
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja