- โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12  (อ่าน 48051 ครั้ง)

ออฟไลน์ yunjae_yusoo_mi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
แหม รู้จักชื่อได้ 2 ตอน คบกันซะแล้วว
 :hao7:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
55555 ตอนขอคบยังรู้จักกันดีไม่นานเท่ารอรู้จักชื่อเลย
เข้าใจพิชช์นะ เจอแบบนี้ไป ก็รับไม่ไหวเหมือนกัน
เข้าใจว่าแม่ห่วง แต่มันมากเกินไปนะ
ขนาดเป็นแบบนี้ พิชช์ก็ยังโทษตัวเองด้วย
ก็ถือว่าไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร ถึงจะมีไม่ดีบ้างก็เถอะ

เจตน์มาถูกเวลาไหม ไม่รู้ รู้แต่ว่า เข้าหาได้เนียนมาก 5555
และตอนนี้ก็ขอคบแบบเนียนๆ ด้วย มาเหนือไปอีก

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Stiiiii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น้องพีชน่ารักอ่ะชอบ

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
พาเข้าบ้านให้ดูตัวแล้วค่อยขอเป็นแฟนเหรอ หูยยย
แต่ก็ดีใกะน้องพิชญ์ด้วยนะ ดูอะไรๆ จะลงตัวแล้ว

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
 ลูกตาจ้อยมีแฟนแล้ว ตบมือค่าาาา

ในที่สุดน้องพิชญ์ กับคุณคนแรก ก็เป็นแฟนกันแล้ว
น่ารักกก

ออฟไลน์ มาจะกล่าวบทไป

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +666/-7
    • เพจ 'มาจะกล่าวบทไป'
ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม


   สุดสัปดาห์ ผมกลับไปหาพ่อแม่และพี่พจน์ที่บ้าน ไม่ลืมบอกอ้อมๆ ด้วยว่าจากคนคุยกลายมาเป็นคุณแฟนไปแล้ว
   
ผมลุ้นหัวใจแทบวายว่าจะไม่มีใครคัดค้านเหมือนที่ตอบตกลงคบกับกฤตรึเปล่า

   แต่เหมือนว่าทุกคนแลจะกลัวผมไม่ยอมกลับบ้าน เลยค่อนไปทางอยากจะทำอะไรก็ทำ เบื่อจะขัดแล้ว ผมเองก็โตพอจะมีความคิดความอ่านของตัวเอง ไม่ใช่เด็กที่จะยอมตามใครง่ายๆ เหมือนสมัยมหาลัยที่แม่เข้าใจผิดคิดว่าผมอยากลองเป็นเกย์กับกฤต ในเมื่อเลือกเส้นทางเดิม กับคนที่เปลี่ยนไป แม่ผมก็เริ่มจะรู้แล้วว่าการเป็นเกย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่อยากจะเป็นก็เป็น อยากจะไม่ก็ไม่เป็นเหมือนที่ผมบ้าทำกิจกรรมสารพัดอย่าง

   พี่พจน์เองก็พอจะเดาๆ ได้ว่าจะลงเอยแบบนี้เลยไม่ค่อยแปลกใจนัก จะมีก็แต่พ่อของผมนั่นแหละที่ดูจะไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็ไม่อยากค้านเพราะโดนแม่ถองศอกยิกๆ

   เป็นอันรู้กันว่าผมน่ะลูกรักแม่สุดๆ

   และถึงพ่อผมจะเคร่งขรึมแบบที่พี่พจน์ถอดแบบมาแค่ไหน ท่านก็เป็นพวก...กลัวภรรยา

   ความรักครั้งนี้ของผมเลยราบรื่นเกินคาดจนน่าเหลือเชื่อ

   ส่วนไอ้ภูมิ...

   ปล่อยไปเถอะกับเพื่อนผมคนนี้น่ะ เพราะมันมีหน้าที่สำคัญที่ต้องทำ นั่นคือ...

   “พิชญ์ กูต้องทำจริงๆ เหรอวะ”

   “ถ้าไม่ทำก็ออกจากร้านกูไปเลย” ผมเอ่ยแกมขู่ทั้งรอยยิ้ม แต่เล่นเอาภูมิทำหน้าปุเลี่ยนแบบจำใจสุดขีด และในช่วงเวลาสี่โมงเย็นที่โรงเรียนเลิกแล้วนั่นเอง ภูมิในชุดมาสคอตฮีโร่พิชพิชที่ผมสั่งทำพิเศษก็สวมหัวตุ๊กตาไปยืนอยู่หน้าร้านชานมของผม ลองขยับตัวเพื่อดูว่าพอจะเคลื่อนไหวสะดวกมั้ย จนกระทั่งได้เวลาสี่โมงสิบนาที เริ่มมีคนเดินเข้ามาซอย ผมก็หันไปให้สัญญาณมือว่าเตรียมพร้อมได้แล้วเกลอเอ๋ย

   ภูมิยกนิ้วโอเค ผมจึง...เปิดเพลงจากโน๊ตบุ๊คเสียงดังลั่น แม้จะไม่ดังไปถึงหน้าโรงเรียนประถม แต่สำหรับคนที่เดินผ่านซอยเนี่ยได้ยินแน่

   ก่อนคิดจะทำผมบอกกับเหล่าลุงป้าน้าอาแล้วว่าวันนี้จะลองกลยุทธ์ใหม่ จะเสียงดังหน่อยนะครับ แต่ขอแค่ห้านาทีเท่านั้น เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ตกใจจนออกมาโวยวายไล่ภูมิไปไกลๆ ฉะนั้นเมื่อเสียงเพลงเริ่มเปิด ภูมิเริ่มแด๊นซ์กระจาย เหล่าคนที่เดินผ่านไปมาก็เริ่มเข้าซอยมายืนมุงอย่างสงสัยใครรู้

   พวกเด็กๆ ปรบมือตามจังหวะเพลงด้วยซ้ำ แถมยังหัวเอิ๊กอ๊ากชอบใจอีกต่างหาก

   มาสคอตฮีโร่พิชพิชที่เต้นกระจายชนิดหัวสั่นหัวคลอน คร่อมจังหวะบ้าง เร็วกว่าจังหวะบ้าง บ้าดีเดือดจนไม่ว่าใครเป็นต้องเหลียว บางคนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย ดีมาก ผมเองก็กำลังตั้งกล้องถ่ายตรงเคาน์เตอร์เหมือนกัน ไอ้ภูมิหันมาส่ายเอวใส่เป็นระยะ ก่อนจะทุ่มเททั้งพลังชีวิตในการเต้นห้านาทีครั้งนี้

   สำหรับผม รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วชะมัด แต่กับภูมิ คงรู้สึกว่าทำไมเพลงถึงนานขนาดนี้ กว่าเพลงจะจบ เล่นเอามันแทบลงไปทรุดกับพื้น มึนงงจนเดินเซ ผมถือโอกาสตะโกนเชิญชวนเหล่าไทยมุงหน้าร้านทันที

   “ตอนนี้ร้านชานมไข่มุกของเรามีเพจแล้วนะครับ ถ้ากดไลค์และแชร์ จะได้ส่วนลด 5 บาทนะครับ”

   ไหนๆ ก็เดินลึกมาถึงสุดซอยแล้ว แถมยังถ่ายคลิป เด็กๆ ชอบ มาเจอผมทำหน้าอ้อนใส่อีก เกือบครึ่งเลยเลือกที่จะมาต่อแถวซื้อชานม ช่วยกดไลค์และแชร์ ไอ้ภูมิเองก็ยืนถ่ายรูปกับเด็กๆ หน้าร้าน เป็นการประชาสัมพันธ์เรียกคนไปในตัว

   ตกเย็น คนเริ่มน้อย ผมก็โพสคลิปที่เพิ่งอัดลงไป

   ปรากฏคนแชร์ไวกระจายไปในทุกๆ กลุ่ม จำนวนคนกดไลค์เพิ่มขึ้นในพริบตาจนน่าตะลึง ผมเองยังคาดไม่ถึงว่าจะได้ผลขนาดนี้ ตอนแรกก็แค่คิดพิเรนทร์ เห็นคลิปมาสคอตธนาคารแห่งหนึ่งเต้นสุดใจขาดดิ้นแล้วน่ารัก คนแชร์เยอะ เลยเอามาลองใช้บ้างแค่นั้น แต่เจ้าตัวฮีโร่ถือแก้วชานมส่ายเอวกระจายขนาดนี้ คงจะภาพที่น่ารักเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่ #พ่อค้าน่ารักบอกต่อด้วย ซึ่งได้แค่เฉพาะกลุ่ม

   “โคตรเจ๋งเลยภูมิ”

   “แน่สิวะ ค่อยคุ้มกับกูเกือบเป็นลมหน่อย”

   ผมกับไอ้ภูมิกำหมัดชนกัน รับรู้ถึงมิตรภาพและความเชื่อใจ ก่อนที่...

   “กูไปก่อนนะ ฝากปิดร้านด้วย”

   “ไอ้เพื่อนเลว!” ภูมิร้องโอดครวญเมื่อผมถอดผ้ากันเปื้อน มุดออกจากเคาน์เตอร์ เพื่อไปนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเจตน์  นี่ก็จะหนึ่งทุ่มอยู่แล้ว ผมกลับก่อนแค่สิบนาทีไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย

   สถานะจากคนคุยกลายมาเป็นเพื่อน มองจากภายนอกไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ถ้าจากภายในนี้เปลี่ยนชัดมาก

   อย่างน้อยก็ใจผมเนี่ยแหละที่มองเขาในแง่ของคนรักแล้ว ฉะนั้น...เวลาคุยกันบรรยากาศก็จะหวานละมุนขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก แต่ชวนจั๊กจี้ใจชอบกล ยกตัวอย่างเช่น...

   “วันนี้อยากดูหนังเรื่องอะไร” คุณคนแรกถาม พวกเรามีนัดดูหนังกันน่ะครับ ความจริงปิดร้านกับไอ้ภูมิก่อนก็ได้ แต่ผมอยากแกล้งมัน พ่วงอยากแสดงให้รู้ว่าผมไว้ใจกับมันมากแค่ไหน จะได้เลิกทำหน้ากระดากเวลาพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ กันสักที

   ผมไม่ใช่พวกผูกใจเจ็บสักหน่อย ชอบทำหน้าหมาหงอยอยู่ได้

   “ไม่รู้สิ นายล่ะอยากดูอะไร” นี่คือหนึ่งความเปลี่ยนแปลง ปกติผมค่อนข้างยึดตัวเองเป็นใหญ่พอสมควร...ค่อนข้างตามใจตัวเองแบบไม่ถามความเห็นชาวบ้านชาวช่องเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ ผมอยากคบกับเจตน์ไปนานๆ จะทำตัวเหมือนแต่ก่อนคงไม่ได้

   “ไม่รู้เหมือนกัน”

   แต่เจตน์ดันเป็นประเภทไม่มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ เขาค่อนข้างอะไรก็ได้ ใช้ชีวิตง่ายๆ สบายๆ แต่ก็ไม่ถึงกับหลักลอยไร้ความคิด เพราะบทเวลาที่เขาคิดจะทำอะไรขึ้นมาก็สามารถนำผมได้เหมือนกัน

   หรือให้พูดในแง่อวด คือเขามักแล้วแต่แฟน

   นี่ไม่ได้อวดเลยนะเนี่ย

   “หนังรักมั้ย”

   “ใครแถวนี้จะเขินรึเปล่า” เจตน์แซวผมหน้าตาย

   “พูดถึงตัวเองเหรอ” ผมก็ปากเก่งไปงั้นแหละ ตอนมาดูหนังครั้งแรกกับเขาไม่กล้าแม้แต่จะเลือกหนังรัก เพราะกลัวบรรยากาศจะเป็นใจเกินไป แต่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว คงไม่ต้องกลัวว่าจะโดนทำอะไรเกินเลยแล้วมั้ง

   “หนังรักแล้วกัน” ผมตัดสินใจ ลอบกลั้นยิ้มกับตัวเอง ดูหนังรักโรแมนติกกับเจตน์ นั่งกุมมือกัน พอถึงฉากหวาน พระเอกนางเอกจูบกัน พวกเราก็...

   “หนังผีดีกว่า” เจตน์สรุป ก่อนจะเดินไปซื้อตั๋วแบบไม่รอคำตอบ

   ...คนแล้วแต่แฟนหายไปไหนวะ

   เก็บคำอวดไว้ได้มั้ย ผมว่าเขาชอบแกล้งแฟนมากกว่าอ่ะ

   แต่ถึงจะพูดแบบนั้น พอเห็นตั๋วจริงๆ เขาก็ซื้อหนังรักตามใจผมอยู่ดี ขอแค่ให้ได้กวนสินะคนคนนี้

   ระหว่างรอหนังเข้าฉาย เขาก็พาผมไปเลี้ยงชาบูบุฟเฟ่ต์ นานครั้งจะได้กินข้าวห้างสักทีเลยตามใจปากสักหน่อย ปกติพวกเราค่อนข้างประหยัด ไม่ค่อยฟุ่มเฟือยนั่งร้านหรูเท่าไหร่

   “ไปไหน” พอจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม จู่ๆ เจตน์ที่กุมมือผมอยู่ก็รั้งเบาๆ

   “ไปนั่งไง” ผมยืนงง

   “นั่งตรงนี้”  ไม่พูดเปล่า เจตน์ยังออกแรงดึงให้นั่งฝั่งเดียวกันกับเขาซะอีกแหน่ะ อายสายตาพนักงานบ้างมั้ย เธออุตส่าห์วางชามให้คนละฝั่ง สุดท้ายกลายเป็นผมที่ต้องเลื่อนมาตรงหน้าตัวเองด้วยความเกรงใจ

   “ผู้ชายสองคนนั่งเบียดกันเนี่ยนะ” ไม่วายบ่นเบาๆ ทั้งที่เลื่อนชามเสร็จแล้วแบบไม่เล่นตัวสักนิด

   “อบอุ่นดี” เจตน์มองผมตาวาว คงจะลอบหัวเราะอยู่ในใจ

   “มองอะไรล่ะ สั่งสิสั่ง หิวแล้ว” ผมวางกระดาษสำหรับติ๊กรายการอาหารไว้ตรงกลางแก้เก้อ จะได้ก้มหน้าหลบสายตาคุณพนักงานได้หน่อย เจตน์นะเจตน์ ใช่ว่าจะเพิ่งคบกันได้วันสองวัน ปกติก็นั่งคนละฝั่งไม่เห็นจะว่าอะไร ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงนึกอุตริลากมานั่งเบียดกันซะงั้น

   แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดี

   อืม...มันก็ดีมากๆ ละนะ

   ผมถือปากกาเตรียมติ๊กโดยที่เจตน์เอียงศีรษะมาจนแทบจะชนกันเพื่ออ่านรายการสะดวกๆ พวกเรามีแย้งกันเรื่องจำนวนนิดหน่อย เพราะผมชอบสั่งแบบเซฟๆ หมดแล้วค่อยติ๊กใหม่ก็ได้ แต่เจตน์ชอบสั่งมาโครมเดียวจะได้ไม่ต้องรอล็อตสองล็อตสาม สุดท้ายพวกเราก็เจอกันครึ่งทาง ติ๊กเสร็จผมก็ยื่นกระดาษให้พนักงานที่รออยู่นานแล้ว

   ...จะคิดซะว่าไม่เห็นสายตาล้อเลียนนั้นแล้วกัน

   ก่อนหน้าเป็นแฟนกัน ต่างคนต่างสวาปาม ชามใครชามมัน แต่พอเป็นแฟนกัน โมเม้นต์หวานๆ อย่างเอาอันนี้มั้ย จะตักให้ก็เริ่มมา แต่ก็ไม่ได้หวานชื่นอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพราะเจตน์น่ะ...

   “ก็บอกว่าไม่ชอบกินคื่นช่ายจะตักมาทำไมฮะ” ผมคีบผักใบเขียวใส่ในจานเจตน์คนกวนแฟน คนอื่นเขาตักของชอบให้มั้ย นี่มาแปลก ตักของเกลียดให้เฉยเลย แถมไม่ได้มาแค่ใบเดียว ล่อซะเต็มชาม

   “ขอบคุณครับพิชญ์”

   แล้วดูคนตีเนียน...ผมคีบคื่นชายใส่ชามเขาอย่างรังเกียจผัก ไม่ได้คีบให้ด้วยความรักความพิศวาสมั้ยล่ะ ไม่ต้องมาทำหน้าซาบซึ้งทั้งรอยยิ้มมุมปาก เลย

   ผมพยายามจะหาของที่เจตน์ไม่ชอบบ้าง แต่เขาดันกินได้ทุกอย่างเลยนี่สิ...ว่าแต่ไปๆ มาๆ จากที่เจตน์คีบของกินแกล้งผม ไหงกลายเป็นผมคีบของกินให้เขาจนแทบล้นชามกันนะ แล้วเจ้าตัวก็เจริญอาหารมากซะด้วยสิ

   เหมือนตกหลุมพรางอะไรบางอย่างชอบกล ผมเองก็ไม่เคยจะตักของกินให้ใคร ตอนอยู่กับกฤตนะฝ่ายนั้นบริการดีเลิศอย่างกับเป็นเจ้าหญิงแหน่ะ เจอเจตน์คนเนียนเข้าไปเลยหัวเราะไม่ได้หัวเราะไปออก แต่ก็สนุกดี ผมน่ะโดนสปอยแต่เด็ก มีเพื่อนก็เป็นเพื่อนที่แม่จ้าง ภูมิเลยไม่กล้าขัดผมสักอย่างเดียว มีแฟนคนแรกกฤตก็ชอบผมก่อน ตามจีบก่อน เลยยิ่งเอาอกเอาใจเข้าไปใหญ่ ส่วนเจตน์ถึงจะเป็นพวกแล้วแต่แฟน เขาก็แย้งผมบ้างเกรียนใส่ผมบ้าง ทำให้จากนิสัยเสียคล้ายจะนิสัยดีขึ้นชอบกล

   เหล่มองเจตน์...ก็แอบคิดในใจว่าถ้าเราเจอกันสมัยผมอยู่มหาลัยจะเป็นยังไงนะ ตอนนั้นน่ะช่วงพีคผมเลย แล้วก็เจอกับคำตอบที่ว่า...เราไม่น่าจะมาลงเอยกันได้ ช่วงนั้นผมโคตรหลงระเริง อยากได้อะไรก็ได้ ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง เจตน์เองก็ไม่ได้หล่อเหลาจนต้องเหลียว แถมยังชอบทำหน้าตาย ถ้าไม่คุยกันก็คงไม่มีวันได้รู้จักตัวตนจริงๆ

   นึกย้อนในวันแรกที่เจอกัน ผมก็พบว่า...จังหวะและโอกาสนั้นสำคัญสุดๆ

   ผมที่บ้าบอไม่สนใคร กับผมที่ตาสว่างจนหนีออกจากบ้าน ความคิดความอ่านราวกับคนละคน โดยเฉพาะหลังเปิดร้านชานมวันแรก...การปรากฏตัวของเจตน์ที่เป็นกำลังใจให้กันในวันที่ภูมิเจอผม เป็นแรงผลักดันที่สำคัญมากๆ

   “ตาจะเหล่แล้ว”

   บรรยากาศกำลังซึ้งได้ที่ เจตน์ก็ขัดจังหวะด้วยการคีบหมูยัดปากผมจนต้องเคียวหงุบๆ แก้มตุ่ย

   “นายเชื่อในพรมลิขิตรึเปล่า” กลืนหมูลงคอเสร็จผมก็ถาม ด้วยอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน

   “ดูละครมากไปแล้วนะเรา” เจตน์หัวเราะ ก่อนจะควานหาคื่นช่ายในหม้อเพื่อจะได้ตักใส่ชามผม คนอะไรไม่มีความโรแมนติกเลย

   กินชาบูเสร็จพวกเราก็ไปต่อที่ร้านไอติม ผมเป็นคนเลี้ยงในมื้อนี้เพราะไม่อยากเอาเปรียบแฟน ในเมื่อพวกเราสองคนก็ใช่ว่าจะมีเงินรวยล้นฟ้าขนาดจะเลี้ยงแฟนได้ทุกมื้อทุกวันทุกเวลา แม้ผมจะไม่รู้ว่าเจตน์ทำงานอะไรก็เถอะ

   ...เวรล่ะ เพิ่งรู้ตัวว่าจนตอนนี้ยังไม่เคยได้คำตอบเลยว่าเจตน์ทำอะไร

   ก็ถามทีไรโดนแถเนียนเฉไปเรื่องอื่นทุกที คิดแล้วผมก็จ้องหน้าเจตน์อีกครั้ง ซึ่งในร้านไอติม พวกเราก็ยังคงนั่งตัวติดกันปล่อยให้เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามว่างเปล่าเหงาหงอย

   “จ้องอย่างนี้เขินนะ”

   เขินประสาอะไรพูดเสียงเรียบเรื่อยซะขนาดนี้!

   “นี่”

   “หืม”

   “นายทำงานอะไร เปิดร้านแถวร้านชานมไข่มุกฉันใช่มั้ย ทำไมถึงไม่เคยเห็นเลยล่ะ หรือว่าอยู่ถัดออกไปอีกซอย แล้วทำไมถึงปลีกตัวมาหาได้บ่อยจัง ไม่ต้องเฝ้าร้านเหรอ” คล้ายอัดอั้นมานานผมเลยถามเป็นชุดแทบไม่เว้นช่วง

   เจตน์ค้างในท่างับช้อนไอติม คล้ายตั้งตัวไม่ทัน

   “เจ้าหนูจำไมจากไหนเนี่ย”

   “ไม่ตลก” ผมกอดอก แสดงถึงความจริงจัง

   พลันเจตน์เอาช้อนไอติมเคาะหัวผม

   “ใกล้เวลาหนังฉายแล้ว รีบกินเร็ว”

   เนียนจริงๆ เลยคนแถวนี้ ผมถลึงตาจ้องเขา เห็นเจตน์ไม่ยอมตอบจริงๆ ก็ถอนหายใจ อ้าปากรับไอติมจากคนที่ช่วยป้อนให้ด้วยหน้าตึงๆ ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่ไม่กล้าไล่ต้อนเค้นถามมากกว่านี้น่ะนะ

   ผมเกลียดการโดนกดดันให้เล่าเรื่องตัวเองสุดๆ ถ้าจะพูด ผมจะพูดออกมาเอง

   ฉะนั้นเลยไม่ใจกล้าพอที่จะทำเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบกับเจตน์ คิดซะว่า...ถ้าเขาพร้อม เดี๋ยวก็เล่าออกมาเองนั่นแหละ!!
   





   อะไรนะ แล้วหนังรักละได้จูจุ๊บกันมั้ย

   ...น่าอายชะมัดที่ต้องบอกว่า...หนังน่าเบื่อจนผมกับเจตน์หลับหัวซบกันจนจบเรื่อง

   ผมไม่ใช่คนชอบดูหนังรักอยู่แล้ว ชอบพวกหนังตลกคลายเครียด ไม่ก็บู๊แอคชั่นมากกว่า และไอ้หนังเรื่องนี้ก็ดันเล่าเรื่องได้ยืดย้วยสุดๆ ดูไปไม่ถึงไหนด้วยความเพลียก็ทำให้เราสองคนหลับคร่อก ผมน่าจะนำไปก่อน เพราะเป็นฝ่ายเอียงศีรษะพิงกับไหล่เจตน์ ส่วนแฟนคนดีนั้นพอเห็นผมเฝ้าพระอินทร์เลยรีบตามมาอย่างไม่ช้า

   เป็นการดูหนังที่คุ้มค่าตั๋วสุดๆ!

   กว่าพวกเราจะรู้ตัวก็ตอนโรงหนังเปิดไฟไล่คน เล่นเอารีบออกจากโรงด้วยหน้ามึนๆ แบบยังไม่ตื่นดีกันทั้งคู่ ก่อนจะกลายเป็นยืนหัวเราะอยู่หน้าโรง นับเป็นการเดตที่น่าจดจำและล่มได้ตลกที่สุดในชีวิต

   ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงกับชวดจูบหรอกนะ

   เพราะตอนเจตน์มาส่งผมหน้าที่พัก เขาก็ถอดหมวกกันน็อกออก ก่อนจะชี้ที่ปากตัวเองหลายครั้ง

   “คันปากเหรอ ช่วยเกามั้ย” ผมแกล้งโง่

   “เอาสิ แต่ไม่ใช้มือเกานะ” คนอะไร เจ้าเล่ห์เหลือร้ายชะมัด

   “ข้อศอกแทนได้มั้ย” แต่ผมก็ไม่ยอมเสียท่าง่ายๆ หรอก

   “แข็งไป”

   “งั้นจะเอาอะไรล่ะ”

   ผมรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดออกมาเองว่าจะขอปากผมไปช่วยเกา แต่เจ้าตัวดันตรงกว่านั้น

   “อยากจูบ”

   ...พูดแบบนี้แต่แรกก็สิ้นเรื่อง!

   ใจน่ะคิดแบบนั้น แต่กายหยาบนั้นแดงเถือกไปทั้งตัว

   “ก็จูบสิ”

   ...เขินมั้ยก็ใช่ อายมั้ยก็ใช่อีก แต่หน้าที่พักยามใกล้จะเที่ยงคืนแบบนี้ ถ้าไม่นับหมาจรจัดเป็นพยาน ก็นับว่าเราสองคนจูบกันใต้แสงจันทร์โดยมีลมหนาวจากคลองพัดคลอเคลีย

   ขอกลับคำ เดตล่มอะไรกัน ออกจะราบรื่นด้วยดี!!


   --------------------
   โอ๊ย เหม็นความรักกก อยากจูบก็จูบสิ ความลูกชายไม่เล่นตัว ความลูกชายให้เขาจูบง่ายๆ เลยย ใช่สิ เป็นแฟนกันแล้วนี่!!
   ก็จะอิจฉาตาร้อนนิดๆ ตามประสาคนโสดโสดอยู่ทางนี้นะคะ

    #ผมกับชานมไข่มุก

   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ มาจะกล่าวบทไป

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +666/-7
    • เพจ 'มาจะกล่าวบทไป'
ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม

   สุดสัปดาห์ ผมกลับไปหาพ่อแม่และพี่พจน์ที่บ้าน ไม่ลืมบอกอ้อมๆ ด้วยว่าจากคนคุยกลายมาเป็นคุณแฟนไปแล้ว

   ผมลุ้นหัวใจแทบวายว่าจะไม่มีใครคัดค้านเหมือนที่ตอบตกลงคบกับกฤตรึเปล่า

   แต่เหมือนว่าทุกคนแลจะกลัวผมไม่ยอมกลับบ้าน เลยค่อนไปทางอยากจะทำอะไรก็ทำ เบื่อจะขัดแล้ว ผมเองก็โตพอจะมีความคิดความอ่านของตัวเอง ไม่ใช่เด็กที่จะยอมตามใครง่ายๆ เหมือนสมัยมหาลัยที่แม่เข้าใจผิดคิดว่าผมอยากลองเป็นเกย์กับกฤต ในเมื่อเลือกเส้นทางเดิม กับคนที่เปลี่ยนไป แม่ผมก็เริ่มจะรู้แล้วว่าการเป็นเกย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่อยากจะเป็นก็เป็น อยากจะไม่ก็ไม่เป็นเหมือนที่ผมบ้าทำกิจกรรมสารพัดอย่าง

   พี่พจน์เองก็พอจะเดาๆ ได้ว่าจะลงเอยแบบนี้เลยไม่ค่อยแปลกใจนัก จะมีก็แต่พ่อของผมนั่นแหละที่ดูจะไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็ไม่อยากค้านเพราะโดนแม่ถองศอกยิกๆ

   เป็นอันรู้กันว่าผมน่ะลูกรักแม่สุดๆ

   และถึงพ่อผมจะเคร่งขรึมแบบที่พี่พจน์ถอดแบบมาแค่ไหน ท่านก็เป็นพวก...กลัวภรรยา

   ความรักครั้งนี้ของผมเลยราบรื่นเกินคาดจนน่าเหลือเชื่อ

   ส่วนไอ้ภูมิ...

   ปล่อยไปเถอะกับเพื่อนผมคนนี้น่ะ เพราะมันมีหน้าที่สำคัญที่ต้องทำ นั่นคือ...

   “พิชญ์ กูต้องทำจริงๆ เหรอวะ”

   “ถ้าไม่ทำก็ออกจากร้านกูไปเลย” ผมเอ่ยแกมขู่ทั้งรอยยิ้ม แต่เล่นเอาภูมิทำหน้าปุเลี่ยนแบบจำใจสุดขีด และในช่วงเวลาสี่โมงเย็นที่โรงเรียนเลิกแล้วนั่นเอง ภูมิในชุดมาสคอตฮีโร่พิชพิชที่ผมสั่งทำพิเศษก็สวมหัวตุ๊กตาไปยืนอยู่หน้าร้านชานมของผม ลองขยับตัวเพื่อดูว่าพอจะเคลื่อนไหวสะดวกมั้ย จนกระทั่งได้เวลาสี่โมงสิบนาที เริ่มมีคนเดินเข้ามาซอย ผมก็หันไปให้สัญญาณมือว่าเตรียมพร้อมได้แล้วเกลอเอ๋ย

   ภูมิยกนิ้วโอเค ผมจึง...เปิดเพลงจากโน๊ตบุ๊คเสียงดังลั่น แม้จะไม่ดังไปถึงหน้าโรงเรียนประถม แต่สำหรับคนที่เดินผ่านซอยเนี่ยได้ยินแน่

   ก่อนคิดจะทำผมบอกกับเหล่าลุงป้าน้าอาแล้วว่าวันนี้จะลองกลยุทธ์ใหม่ จะเสียงดังหน่อยนะครับ แต่ขอแค่ห้านาทีเท่านั้น เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ตกใจจนออกมาโวยวายไล่ภูมิไปไกลๆ ฉะนั้นเมื่อเสียงเพลงเริ่มเปิด ภูมิเริ่มแด๊นซ์กระจาย เหล่าคนที่เดินผ่านไปมาก็เริ่มเข้าซอยมายืนมุงอย่างสงสัยใครรู้

   พวกเด็กๆ ปรบมือตามจังหวะเพลงด้วยซ้ำ แถมยังหัวเอิ๊กอ๊ากชอบใจอีกต่างหาก

   มาสคอตฮีโร่พิชพิชที่เต้นกระจายชนิดหัวสั่นหัวคลอน คร่อมจังหวะบ้าง เร็วกว่าจังหวะบ้าง บ้าดีเดือดจนไม่ว่าใครเป็นต้องเหลียว บางคนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย ดีมาก ผมเองก็กำลังตั้งกล้องถ่ายตรงเคาน์เตอร์เหมือนกัน ไอ้ภูมิหันมาส่ายเอวใส่เป็นระยะ ก่อนจะทุ่มเททั้งพลังชีวิตในการเต้นห้านาทีครั้งนี้

   สำหรับผม รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วชะมัด แต่กับภูมิ คงรู้สึกว่าทำไมเพลงถึงนานขนาดนี้ กว่าเพลงจะจบ เล่นเอามันแทบลงไปทรุดกับพื้น มึนงงจนเดินเซ ผมถือโอกาสตะโกนเชิญชวนเหล่าไทยมุงหน้าร้านทันที

   “ตอนนี้ร้านชานมไข่มุกของเรามีเพจแล้วนะครับ ถ้ากดไลค์และแชร์ จะได้ส่วนลด 5 บาทนะครับ”

   ไหนๆ ก็เดินลึกมาถึงสุดซอยแล้ว แถมยังถ่ายคลิป เด็กๆ ชอบ มาเจอผมทำหน้าอ้อนใส่อีก เกือบครึ่งเลยเลือกที่จะมาต่อแถวซื้อชานม ช่วยกดไลค์และแชร์ ไอ้ภูมิเองก็ยืนถ่ายรูปกับเด็กๆ หน้าร้าน เป็นการประชาสัมพันธ์เรียกคนไปในตัว

   ตกเย็น คนเริ่มน้อย ผมก็โพสคลิปที่เพิ่งอัดลงไป

   ปรากฏคนแชร์ไวกระจายไปในทุกๆ กลุ่ม จำนวนคนกดไลค์เพิ่มขึ้นในพริบตาจนน่าตะลึง ผมเองยังคาดไม่ถึงว่าจะได้ผลขนาดนี้ ตอนแรกก็แค่คิดพิเรนทร์ เห็นคลิปมาสคอตธนาคารแห่งหนึ่งเต้นสุดใจขาดดิ้นแล้วน่ารัก คนแชร์เยอะ เลยเอามาลองใช้บ้างแค่นั้น แต่เจ้าตัวฮีโร่ถือแก้วชานมส่ายเอวกระจายขนาดนี้ คงจะภาพที่น่ารักเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่ #พ่อค้าน่ารักบอกต่อด้วย ซึ่งได้แค่เฉพาะกลุ่ม

   “โคตรเจ๋งเลยภูมิ”

   “แน่สิวะ ค่อยคุ้มกับกูเกือบเป็นลมหน่อย”

   ผมกับไอ้ภูมิกำหมัดชนกัน รับรู้ถึงมิตรภาพและความเชื่อใจ ก่อนที่...

   “กูไปก่อนนะ ฝากปิดร้านด้วย”

   “ไอ้เพื่อนเลว!” ภูมิร้องโอดครวญเมื่อผมถอดผ้ากันเปื้อน มุดออกจากเคาน์เตอร์ เพื่อไปนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเจตน์  นี่ก็จะหนึ่งทุ่มอยู่แล้ว ผมกลับก่อนแค่สิบนาทีไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย

   สถานะจากคนคุยกลายมาเป็นเพื่อน มองจากภายนอกไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ถ้าจากภายในนี้เปลี่ยนชัดมาก

   อย่างน้อยก็ใจผมเนี่ยแหละที่มองเขาในแง่ของคนรักแล้ว ฉะนั้น...เวลาคุยกันบรรยากาศก็จะหวานละมุนขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก แต่ชวนจั๊กจี้ใจชอบกล ยกตัวอย่างเช่น...

   “วันนี้อยากดูหนังเรื่องอะไร” คุณคนแรกถาม พวกเรามีนัดดูหนังกันน่ะครับ ความจริงปิดร้านกับไอ้ภูมิก่อนก็ได้ แต่ผมอยากแกล้งมัน พ่วงอยากแสดงให้รู้ว่าผมไว้ใจกับมันมากแค่ไหน จะได้เลิกทำหน้ากระดากเวลาพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ กันสักที

   ผมไม่ใช่พวกผูกใจเจ็บสักหน่อย ชอบทำหน้าหมาหงอยอยู่ได้

   “ไม่รู้สิ นายล่ะอยากดูอะไร” นี่คือหนึ่งความเปลี่ยนแปลง ปกติผมค่อนข้างยึดตัวเองเป็นใหญ่พอสมควร...ค่อนข้างตามใจตัวเองแบบไม่ถามความเห็นชาวบ้านชาวช่องเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ ผมอยากคบกับเจตน์ไปนานๆ จะทำตัวเหมือนแต่ก่อนคงไม่ได้

   “ไม่รู้เหมือนกัน”

   แต่เจตน์ดันเป็นประเภทไม่มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ เขาค่อนข้างอะไรก็ได้ ใช้ชีวิตง่ายๆ สบายๆ แต่ก็ไม่ถึงกับหลักลอยไร้ความคิด เพราะบทเวลาที่เขาคิดจะทำอะไรขึ้นมาก็สามารถนำผมได้เหมือนกัน

   หรือให้พูดในแง่อวด คือเขามักแล้วแต่แฟน

   นี่ไม่ได้อวดเลยนะเนี่ย

   “หนังรักมั้ย”

   “ใครแถวนี้จะเขินรึเปล่า” เจตน์แซวผมหน้าตาย

   “พูดถึงตัวเองเหรอ” ผมก็ปากเก่งไปงั้นแหละ ตอนมาดูหนังครั้งแรกกับเขาไม่กล้าแม้แต่จะเลือกหนังรัก เพราะกลัวบรรยากาศจะเป็นใจเกินไป แต่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว คงไม่ต้องกลัวว่าจะโดนทำอะไรเกินเลยแล้วมั้ง

   “หนังรักแล้วกัน” ผมตัดสินใจ ลอบกลั้นยิ้มกับตัวเอง ดูหนังรักโรแมนติกกับเจตน์ นั่งกุมมือกัน พอถึงฉากหวาน พระเอกนางเอกจูบกัน พวกเราก็...

   “หนังผีดีกว่า” เจตน์สรุป ก่อนจะเดินไปซื้อตั๋วแบบไม่รอคำตอบ

   ...คนแล้วแต่แฟนหายไปไหนวะ

   เก็บคำอวดไว้ได้มั้ย ผมว่าเขาชอบแกล้งแฟนมากกว่าอ่ะ

   แต่ถึงจะพูดแบบนั้น พอเห็นตั๋วจริงๆ เขาก็ซื้อหนังรักตามใจผมอยู่ดี ขอแค่ให้ได้กวนสินะคนคนนี้

   ระหว่างรอหนังเข้าฉาย เขาก็พาผมไปเลี้ยงชาบูบุฟเฟ่ต์ นานครั้งจะได้กินข้าวห้างสักทีเลยตามใจปากสักหน่อย ปกติพวกเราค่อนข้างประหยัด ไม่ค่อยฟุ่มเฟือยนั่งร้านหรูเท่าไหร่

   “ไปไหน” พอจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม จู่ๆ เจตน์ที่กุมมือผมอยู่ก็รั้งเบาๆ

   “ไปนั่งไง” ผมยืนงง

   “นั่งตรงนี้”  ไม่พูดเปล่า เจตน์ยังออกแรงดึงให้นั่งฝั่งเดียวกันกับเขาซะอีกแหน่ะ อายสายตาพนักงานบ้างมั้ย เธออุตส่าห์วางชามให้คนละฝั่ง สุดท้ายกลายเป็นผมที่ต้องเลื่อนมาตรงหน้าตัวเองด้วยความเกรงใจ

   “ผู้ชายสองคนนั่งเบียดกันเนี่ยนะ” ไม่วายบ่นเบาๆ ทั้งที่เลื่อนชามเสร็จแล้วแบบไม่เล่นตัวสักนิด

   “อบอุ่นดี” เจตน์มองผมตาวาว คงจะลอบหัวเราะอยู่ในใจ

   “มองอะไรล่ะ สั่งสิสั่ง หิวแล้ว” ผมวางกระดาษสำหรับติ๊กรายการอาหารไว้ตรงกลางแก้เก้อ จะได้ก้มหน้าหลบสายตาคุณพนักงานได้หน่อย เจตน์นะเจตน์ ใช่ว่าจะเพิ่งคบกันได้วันสองวัน ปกติก็นั่งคนละฝั่งไม่เห็นจะว่าอะไร ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงนึกอุตริลากมานั่งเบียดกันซะงั้น

   แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดี

   อืม...มันก็ดีมากๆ ละนะ

   ผมถือปากกาเตรียมติ๊กโดยที่เจตน์เอียงศีรษะมาจนแทบจะชนกันเพื่ออ่านรายการสะดวกๆ พวกเรามีแย้งกันเรื่องจำนวนนิดหน่อย เพราะผมชอบสั่งแบบเซฟๆ หมดแล้วค่อยติ๊กใหม่ก็ได้ แต่เจตน์ชอบสั่งมาโครมเดียวจะได้ไม่ต้องรอล็อตสองล็อตสาม สุดท้ายพวกเราก็เจอกันครึ่งทาง ติ๊กเสร็จผมก็ยื่นกระดาษให้พนักงานที่รออยู่นานแล้ว

   ...จะคิดซะว่าไม่เห็นสายตาล้อเลียนนั้นแล้วกัน

   ก่อนหน้าเป็นแฟนกัน ต่างคนต่างสวาปาม ชามใครชามมัน แต่พอเป็นแฟนกัน โมเม้นต์หวานๆ อย่างเอาอันนี้มั้ย จะตักให้ก็เริ่มมา แต่ก็ไม่ได้หวานชื่นอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพราะเจตน์น่ะ...

   “ก็บอกว่าไม่ชอบกินคื่นช่ายจะตักมาทำไมฮะ” ผมคีบผักใบเขียวใส่ในจานเจตน์คนกวนแฟน คนอื่นเขาตักของชอบให้มั้ย นี่มาแปลก ตักของเกลียดให้เฉยเลย แถมไม่ได้มาแค่ใบเดียว ล่อซะเต็มชาม

   “ขอบคุณครับพิชญ์”

   แล้วดูคนตีเนียน...ผมคีบคื่นชายใส่ชามเขาอย่างรังเกียจผัก ไม่ได้คีบให้ด้วยความรักความพิศวาสมั้ยล่ะ ไม่ต้องมาทำหน้าซาบซึ้งทั้งรอยยิ้มมุมปาก เลย

   ผมพยายามจะหาของที่เจตน์ไม่ชอบบ้าง แต่เขาดันกินได้ทุกอย่างเลยนี่สิ...ว่าแต่ไปๆ มาๆ จากที่เจตน์คีบของกินแกล้งผม ไหงกลายเป็นผมคีบของกินให้เขาจนแทบล้นชามกันนะ แล้วเจ้าตัวก็เจริญอาหารมากซะด้วยสิ

   เหมือนตกหลุมพรางอะไรบางอย่างชอบกล ผมเองก็ไม่เคยจะตักของกินให้ใคร ตอนอยู่กับกฤตนะฝ่ายนั้นบริการดีเลิศอย่างกับเป็นเจ้าหญิงแหน่ะ เจอเจตน์คนเนียนเข้าไปเลยหัวเราะไม่ได้หัวเราะไปออก แต่ก็สนุกดี ผมน่ะโดนสปอยแต่เด็ก มีเพื่อนก็เป็นเพื่อนที่แม่จ้าง ภูมิเลยไม่กล้าขัดผมสักอย่างเดียว มีแฟนคนแรกกฤตก็ชอบผมก่อน ตามจีบก่อน เลยยิ่งเอาอกเอาใจเข้าไปใหญ่ ส่วนเจตน์ถึงจะเป็นพวกแล้วแต่แฟน เขาก็แย้งผมบ้างเกรียนใส่ผมบ้าง ทำให้จากนิสัยเสียคล้ายจะนิสัยดีขึ้นชอบกล

   เหล่มองเจตน์...ก็แอบคิดในใจว่าถ้าเราเจอกันสมัยผมอยู่มหาลัยจะเป็นยังไงนะ ตอนนั้นน่ะช่วงพีคผมเลย แล้วก็เจอกับคำตอบที่ว่า...เราไม่น่าจะมาลงเอยกันได้ ช่วงนั้นผมโคตรหลงระเริง อยากได้อะไรก็ได้ ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง เจตน์เองก็ไม่ได้หล่อเหลาจนต้องเหลียว แถมยังชอบทำหน้าตาย ถ้าไม่คุยกันก็คงไม่มีวันได้รู้จักตัวตนจริงๆ

   นึกย้อนในวันแรกที่เจอกัน ผมก็พบว่า...จังหวะและโอกาสนั้นสำคัญสุดๆ

   ผมที่บ้าบอไม่สนใคร กับผมที่ตาสว่างจนหนีออกจากบ้าน ความคิดความอ่านราวกับคนละคน โดยเฉพาะหลังเปิดร้านชานมวันแรก...การปรากฏตัวของเจตน์ที่เป็นกำลังใจให้กันในวันที่ภูมิเจอผม เป็นแรงผลักดันที่สำคัญมากๆ

   “ตาจะเหล่แล้ว”

   บรรยากาศกำลังซึ้งได้ที่ เจตน์ก็ขัดจังหวะด้วยการคีบหมูยัดปากผมจนต้องเคียวหงุบๆ แก้มตุ่ย

   “นายเชื่อในพรมลิขิตรึเปล่า” กลืนหมูลงคอเสร็จผมก็ถาม ด้วยอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน

   “ดูละครมากไปแล้วนะเรา” เจตน์หัวเราะ ก่อนจะควานหาคื่นช่ายในหม้อเพื่อจะได้ตักใส่ชามผม คนอะไรไม่มีความโรแมนติกเลย

   กินชาบูเสร็จพวกเราก็ไปต่อที่ร้านไอติม ผมเป็นคนเลี้ยงในมื้อนี้เพราะไม่อยากเอาเปรียบแฟน ในเมื่อพวกเราสองคนก็ใช่ว่าจะมีเงินรวยล้นฟ้าขนาดจะเลี้ยงแฟนได้ทุกมื้อทุกวันทุกเวลา แม้ผมจะไม่รู้ว่าเจตน์ทำงานอะไรก็เถอะ

   ...เวรล่ะ เพิ่งรู้ตัวว่าจนตอนนี้ยังไม่เคยได้คำตอบเลยว่าเจตน์ทำอะไร

   ก็ถามทีไรโดนแถเนียนเฉไปเรื่องอื่นทุกที คิดแล้วผมก็จ้องหน้าเจตน์อีกครั้ง ซึ่งในร้านไอติม พวกเราก็ยังคงนั่งตัวติดกันปล่อยให้เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามว่างเปล่าเหงาหงอย

   “จ้องอย่างนี้เขินนะ”

   เขินประสาอะไรพูดเสียงเรียบเรื่อยซะขนาดนี้!

   “นี่”

   “หืม”

   “นายทำงานอะไร เปิดร้านแถวร้านชานมไข่มุกฉันใช่มั้ย ทำไมถึงไม่เคยเห็นเลยล่ะ หรือว่าอยู่ถัดออกไปอีกซอย แล้วทำไมถึงปลีกตัวมาหาได้บ่อยจัง ไม่ต้องเฝ้าร้านเหรอ” คล้ายอัดอั้นมานานผมเลยถามเป็นชุดแทบไม่เว้นช่วง

   เจตน์ค้างในท่างับช้อนไอติม คล้ายตั้งตัวไม่ทัน

   “เจ้าหนูจำไมจากไหนเนี่ย”

   “ไม่ตลก” ผมกอดอก แสดงถึงความจริงจัง

   พลันเจตน์เอาช้อนไอติมเคาะหัวผม

   “ใกล้เวลาหนังฉายแล้ว รีบกินเร็ว”

   เนียนจริงๆ เลยคนแถวนี้ ผมถลึงตาจ้องเขา เห็นเจตน์ไม่ยอมตอบจริงๆ ก็ถอนหายใจ อ้าปากรับไอติมจากคนที่ช่วยป้อนให้ด้วยหน้าตึงๆ ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่ไม่กล้าไล่ต้อนเค้นถามมากกว่านี้น่ะนะ

   ผมเกลียดการโดนกดดันให้เล่าเรื่องตัวเองสุดๆ ถ้าจะพูด ผมจะพูดออกมาเอง

   ฉะนั้นเลยไม่ใจกล้าพอที่จะทำเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบกับเจตน์ คิดซะว่า...ถ้าเขาพร้อม เดี๋ยวก็เล่าออกมาเองนั่นแหละ!!
   






   อะไรนะ แล้วหนังรักละได้จูจุ๊บกันมั้ย

   ...น่าอายชะมัดที่ต้องบอกว่า...หนังน่าเบื่อจนผมกับเจตน์หลับหัวซบกันจนจบเรื่อง

   ผมไม่ใช่คนชอบดูหนังรักอยู่แล้ว ชอบพวกหนังตลกคลายเครียด ไม่ก็บู๊แอคชั่นมากกว่า และไอ้หนังเรื่องนี้ก็ดันเล่าเรื่องได้ยืดย้วยสุดๆ ดูไปไม่ถึงไหนด้วยความเพลียก็ทำให้เราสองคนหลับคร่อก ผมน่าจะนำไปก่อน เพราะเป็นฝ่ายเอียงศีรษะพิงกับไหล่เจตน์ ส่วนแฟนคนดีนั้นพอเห็นผมเฝ้าพระอินทร์เลยรีบตามมาอย่างไม่ช้า

   เป็นการดูหนังที่คุ้มค่าตั๋วสุดๆ!

   กว่าพวกเราจะรู้ตัวก็ตอนโรงหนังเปิดไฟไล่คน เล่นเอารีบออกจากโรงด้วยหน้ามึนๆ แบบยังไม่ตื่นดีกันทั้งคู่ ก่อนจะกลายเป็นยืนหัวเราะอยู่หน้าโรง นับเป็นการเดตที่น่าจดจำและล่มได้ตลกที่สุดในชีวิต

   ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงกับชวดจูบหรอกนะ

   เพราะตอนเจตน์มาส่งผมหน้าที่พัก เขาก็ถอดหมวกกันน็อกออก ก่อนจะชี้ที่ปากตัวเองหลายครั้ง

   “คันปากเหรอ ช่วยเกามั้ย” ผมแกล้งโง่

   “เอาสิ แต่ไม่ใช้มือเกานะ” คนอะไร เจ้าเล่ห์เหลือร้ายชะมัด

   “ข้อศอกแทนได้มั้ย” แต่ผมก็ไม่ยอมเสียท่าง่ายๆ หรอก

   “แข็งไป”

   “งั้นจะเอาอะไรล่ะ”

   ผมรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดออกมาเองว่าจะขอปากผมไปช่วยเกา แต่เจ้าตัวดันตรงกว่านั้น

   “อยากจูบ”

   ...พูดแบบนี้แต่แรกก็สิ้นเรื่อง!

   ใจน่ะคิดแบบนั้น แต่กายหยาบนั้นแดงเถือกไปทั้งตัว

   “ก็จูบสิ”

   ...เขินมั้ยก็ใช่ อายมั้ยก็ใช่อีก แต่หน้าที่พักยามใกล้จะเที่ยงคืนแบบนี้ ถ้าไม่นับหมาจรจัดเป็นพยาน ก็นับว่าเราสองคนจูบกันใต้แสงจันทร์โดยมีลมหนาวจากคลองพัดคลอเคลีย

   ขอกลับคำ เดตล่มอะไรกัน ออกจะราบรื่นด้วยดี!!

   --------------------
   โอ๊ย เหม็นความรักกก อยากจูบก็จูบสิ ความลูกชายไม่เล่นตัว ความลูกชายให้เขาจูบง่ายๆ เลยย ใช่สิ เป็นแฟนกันแล้วนี่!!
   ก็จะอิจฉาตาร้อนนิดๆ ตามประสาคนโสดโสดอยู่ทางนี้นะคะ

    #ผมกับชานมไข่มุก

   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
สวีทหวานมาเลย แต่ต้องม่าแน่น่ารุ้ว่าเจตเปิดร้านอะไร นี่ยังเชื่อว่าชานมหน้าปากซอยแน่ๆ

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เจ้าของร้านJOYที่เป็นคู่แข่งป่าว :hao4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อาชีพเจตน์คืออะไร ไม่ใช่เจ้าของร้านชานมเจ้าดังนะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
งู้ยๆๆๆๆ  เป็นแฟนกันแล้ว ถึงเนื้อถึงตัวตลอดๆ.  :laugh:

ออฟไลน์ มาจะกล่าวบทไป

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +666/-7
    • เพจ 'มาจะกล่าวบทไป'
   ตอนที่ 24 : หัวขโมย

   กลยุทธ์ฮีโร่พิชพิชเต้นกระจายได้ผลยอดเยี่ยม

   เพื่อไม่ให้เบื่อเร็ว และไม่เป็นการรบกวนเพื่อนร่วมซอย ผมเลยให้ไอ้ภูมิออกมาเต้นทุกวันศุกร์ตอนสี่โมงสิบนาที มีการแจ้งบอกในเพจเผื่อว่าจะมีคนสนใจมารอดูเพื่อจะได้ถ่ายคลิปให้ชัดๆ ว่านอกจากชานมไข่มุกจะกินแล้วสดชื่น เจ้ามาสคอตร้านนี้แค่ดูก็หัวเราะร่วนแล้ว

   สิ้นเดือน ผมนั่งคำนวณรายรับ-รายจ่ายอีกครั้ง ต่อให้หักเงินเดือนไอ้ภูมิแล้วก็นับว่าเป็นเงินก้อนที่น่าตกใจไม่เบา เลยเพิ่มโบนัสค่าเต้นให้ไอ้ภูมิด้วย แล้วพามันไปเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณในความทุ่มเทขนาดพี่พจน์ยังช่วยแชร์คลิป

   ซึ่งเท่ากับว่าผมเปิดร้านชานมเข้าเดือนที่ห้า และหนีออกจากบ้านมาเกือบเจ็ดเดือนแล้ว

   จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้น แต่เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมสนุกสนานมากทีเดียว บัตรสะสมแต้มต้องสั่งทำใหม่หลายครั้งในช่วงนี้ พวงกุญแจฮีโร่พิชพิชเองก็ทยอยออกเป็นระยะเนื่องจากหลายคนใกล้จะสะสมครบห้าเลเวลแล้ว ขาประจำอย่างเจตน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกนิดเกือบจะได้พวงกุญแจลายที่สองแล้ว

    ด้วยอิทธิพลจากพลังโซเชียล ตอนนี้เพจจึงมีคนกดไลค์ถึงห้าพัน ลูกค้าประจำและขาจรก็มีมาไม่ขาด ต่อให้ไม่ใช่โปรโมชั่นดึงดูดก็ยังมีคนต่อแถวเข้าคิวอยู่เรื่อยๆ ถือเป็นช่วงพีคเพราะกระแสกำลังมา

   ส่วนทางด้านชานมไข่มุกชื่อดังนั้น แม้จะโดนผมดึงลูกค้ามาบางส่วน แต่ก็ยังขายได้ดี แม้จะไม่เทน้ำเทท่าเท่าเดิมก็ตาม

   นึกดูดีๆ ตอนเริ่มเปิดร้าน ผมมุ่งมั่นคิดว่าเป้าหมายมีไว้พุ่งชน อยากจะลองดึงลูกค้าให้มาชิมชานมของตัวเอง

   แต่พอใกล้ทำสำเร็จ ทางนั้นมีคนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก็ชักลังเลขึ้นมา อย่าลืมสิว่าร้าน JOY คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมตกหลุมรักชานม

   ไหนลองย้อนมองตัวเองซิ

   อืม แม้จะไม่กล้าพูดเต็มปาก แต่ต้องยอมรับว่าค่อนข้าง Lucky in Game, Lucky in Love

   ถ้างั้น...หรือผมควร...จะกลับบ้านได้แล้วนะ

   เพราะการหนีออกจากบ้านได้ผลตอบรับที่คุ้มค่าแล้ว

   อย่างแรกคือตัวผมเอง นายพิชญ์ที่โตขึ้น พยายามค้นหาตัวเอง และการมุ่งมั่นจะทำบางสิ่งบางให้สำเร็จโดยไม่ถอดใจไปซะก่อน ไอ้นิสัยโลกหมุนรอบตัวเองโดนสปอยจนเคยตัวก็เริ่มจะปรับเปลี่ยนในทิศทางที่ดี

   อย่างที่สอง คือพี่ชายแท้ๆ อย่างพี่พจน์ พี่ชายที่แสนดีซึ่งสนิทกับผมมากกว่าเดิม จากนึกรำคาญน้อง ปล่อยผมบ้าบอไปเอง ก็หันมาสนับสนุนกันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

   อย่างที่สาม คือแฟนเก่าที่คบเพราะใจอ่อน การเลิกรากันนั้นอาจจะเป็นผลดีของเราก็ได้ แม้กฤตจะซวยจนหมดอนาคตในวงการไป และเราแทบไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่ล่าสุดเห็นว่าเขาจะลองไปต่างประเทศ ที่ที่ไม่มีข่าวฉาวมาบังความสามารถ และตอนนี้ก็น่าจะเริ่มเตรียมตัวแล้ว ผมได้แต่อวยพรให้เขาโชคดี อย่างน้อย...ช่วงเวลาที่อยู่กับกฤตก็สร้างรอยยิ้มให้มากและทำให้ผมถนอมรักครั้งใหม่มากขึ้นเพราะไม่อยากซ้ำรอยเดิม

   อย่างที่สี่ คือเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่คอยเกาะกันมาแต่เด็ก ภูมิเคยชินกับการอยู่กับผมแล้วสบาย และผมเองก็เคยชินกับการยอมลงของภูมิจนไม่สนใจความรู้สึกหรือลำบากของคนใกล้ตัว นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่พวกเราได้ปรับความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง ภูมิเลิกเล่นพนัน แม้จะเกาะผมต่อ แต่ก็ไม่ได้ทำด้วยอยากจะได้เงิน แต่เพราะพวกเราสนิทกันจริงๆ จนเสียดายที่จะละทิ้งมิตรภาพในวันวาน

   และอย่างสุดท้าย ส่วนสำคัญที่สุด

   คือมุมมองของพ่อแม่ที่มีต่อผม เข้าใจผมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของผมก็ดี หรือความรักก็ดี สิ่งที่พวกท่านคิดว่าจะคัดสิ่งที่ดีที่สุดให้ สร้างโลกที่ผมนั้นอยู่อย่างสุขสบายไร้ความกังวลใจ มีเพื่อน มีเงิน มีทุกสิ่งที่ต้องการ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องถูกต้องซะทีเดียว แม่รับฟังความเห็นผมมากขึ้น และเริ่มยอมรับในความพยายาม

   แล้วจะมีเหตุผลอะไรอีกให้ผมหนีออกจากบ้าน

   แต่ถ้ากลับบ้าน...ผมก็ควรจะทำในสิ่งที่ควรจะเป็นตั้งแต่หลายเดือนก่อน นั่นคือการเป็นลูกกตัญญู ช่วยดูแลบริษัทของครอบครัว แบ่งเบาภาระของพี่ชาย

   มาสู่ปัญหาสำคัญ


   ร้านชานมพิชพิชล่ะจะทำไงดี

   ผมยอมรับ ผมตกหลุมรักชานม อยากจะกินทุกวัน และสนุกกับการทำร้านนี้ คิดแผนการตลาด ต้อนรับลูกค้าหลากเพศต่างวัย แต่ในใจลึกๆ ดันรู้ดีอยู่แล้ว ตั้งแต่เปิดร้านวันแรกด้วยซ้ำ ว่ายังไง...ผมก็ดูแลร้านนี้ไม่ได้ตลอด

   แต่ทุ่มเทมาขนาดนี้ก็ไม่อยากปล่อยไปดื้อๆ

   คนอะไรโลภมากชะมัดเลย
   







   ขณะที่ผมคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับอนาคตตัวเองนั้นและไม่กล้าปรึกษาแฟน

   ร้านของผมก็มี...ขโมย

   ใช่รึเปล่านะ ผมเองก็ไม่มั่นใจ แต่ว่าเงินที่หายไปจากลิ้นชักจำนวนห้าพันบาทเนี่ย...คนที่จดทุกรายรับ-รายจ่าย ทำบัญชีอย่างดีในทุกวัน ไม่น่าจะเลอะเลือนขนาดนับเงินผิดมั้ย

   และพอผมถามเรื่องนี้กับภูมิ

   “มึงคงไม่คิดว่ากูขโมยหรอกนะ!” เพื่อนรักถามเสียงหลง แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม แต่ระหว่างเรากลับอ่อนไหวเรื่องเงินเป็นพิเศษ จะว่าไงดีล่ะ...ผมอยากจะเชื่อเพื่อนนะ แต่ก็นึกผู้ต้องสงสัยคนอื่นไม่ออกเลย

   “กูก็ไม่อยากจะคิดนะภูมิ” ผมนวดขมับ พวกเราคุยกันช่วงใกล้ปิดร้าน ตอนที่ลูกค้าเริ่มไม่มีแล้ว “แต่นอกจากกู มึงก็เป็นคนเดียวที่มีกุญแจร้าน และช่วงหลังมานี้...กูก็ไว้ใจ ให้มึงมาเปิดร้านก่อน ไม่ก็ปิดร้านคนเดียว”

   “มึงสงสัยกู!”

   ภูมิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เห็นอย่างนั้นผมก็ใจแข็งต่อไม่ลง

   “กูขอโทษ” ผมเอ่ยเสียงเบา จนปัญญาเหมือนกันในเมื่อตลอดทั้งวันผมยืนคุมร้านเองตลอด ขนาดข้าวเที่ยงยังสั่งมาส่งที่ร้านเลย ถ้าจะมีคนขโมยของ ก็มีแต่ช่วงที่ผมยังไม่มาถึงหรือกลับก่อน และคนที่มีกุญแจร้าน ก็คือไอ้ภูมิ “มึงมีผู้ต้องสงสัยในใจมั้ยล่ะ อย่านับกูนะ เพราะกูคงไม่ขโมยเงินตัวเอง”

   เงียบกันอยู่นาน ไอ้ภูมิก็กุมขมับ

   “พอมึงพูดแบบนี้ ขนาดกูยังสงสัยตัวเองเลย”

   “ใช่มั้ยล่ะ”

   “แต่กูไม่ได้ทำ!” ภูมิยืนยันเสียงแข็ง “ถึงกูจะเคยเล่นพนัน แต่กูก็เคลียร์หนี้หมดแล้ว และคนที่ช่วยก็คือแม่ของมึง กูไม่ได้อกตัญญูขนาดทำเรื่องชั่วๆ ถึงขั้นขโมยของลูกผู้มีพระคุณที่เป็นเพื่อนรักกันหรอกนะ ตลอดมา เวลากูอยากได้เงิน กูก็มาขอมึงตรงๆ...”

   พูดถึงตรงนี้ ไอ้ภูมิก็ชักจะทำหน้าไม่ถูกกับความจริงแสนน่าอาย

   “อืม...มึงขอกูตรงๆ ทุกครั้งจริงๆ” ผมไม่ปฏิเสธ

   “กูไม่กล้าหาเรื่องให้ตัวเองโดนต่อยหรอก หมัดมึงหนักจะตาย ครั้งที่แล้วล่อซะฟันกรามหักเลยนะ”

   “แต่ตอนกฤต...”

   “ตอนนั้นกูไม่มีทางเลือก มึงให้เงินกูจนเคยตัว เกาะมึงจนสุขสบายมาหลายปี จู่ๆ เสือกหนีออกจากบ้านมาติดผู้ชาย ทิ้งกูเป็นหมาหัวเน่า จะบอกใครก็ไม่ได้ แม่มึงก็มากดดันกูอีก หนี้ก็บานขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะให้กูทำยังไงวะ” ภูมิสบถ “เออ กูยอมรับด้วยว่าตอนนั้นกูแอบประชดมึง รู้ว่าถ้าทำแล้วมึงต้องดิ้นพล่าน ทิ้งกูดีนัก กูจะทำให้มึงวิ่งมาหากูเอง”

   “ฟังดูรักกูดีเนอะ ขอกูคบเลยมั้ยล่ะ”

   “คบกับมึงเนี่ยนะ แม่ง อย่างกับบอกรักกับส้นเท้าตัวเอง” ไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือคำด่า แต่สำหรับเพื่อนที่สนิทกันชนิดใส่กางเกงในตัวเดียวกันได้เนี่ย การบอกรักใครอีกคน ก็เหมือนพูดกับตัวเองจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่เอาส้นเท้าได้มั้ยวะ นึกแล้วแขยง

   “ภูมิ...”

   “กูไม่ได้ทำ!”

   “ตะโกนทำไม กูแค่จะบอกว่าไปซื้อกล้องวงจรปิดมาติดดีมั้ย จะได้ไม่ต้องมานั่งเดากันเอง” ผมมองคนร้อนตัวอย่างละเหี่ยใจ ทำผิดแล้วมีชนักติดหลังก็อย่างนี้ นิดๆ หน่อยๆ เป็นสะดีดสะดิ้งไม่หยุด

   “แล้วทำไมไม่พูดแต่แรกวะ กูนึกว่าจะโดนทิ้งเหมือนหมาอีกรอบแล้วเนี่ย”

   “งั้นกูจะไปซื้อกล้องวงจรปิด แล้วจะเปลี่ยนแม่กุญแจด้วย”

   “เออ ดี เปลี่ยนแม่กุญแจแล้วไม่ต้องเสือกโยนให้กูอีกล่ะ จะได้ไม่ต้องมากล่าวหากันอีก เลิกติดแฟนแล้วมาเปิดปิดร้านเองด้วย ไอ้เชี่ยพิชญ์”

   อยากจะเถียงว่าผมไม่ได้ติดแฟนสักหน่อย แต่เจตน์ดันขับมอเตอร์ไซค์เข้าซอยมาพอดีซะงั้น

   ไอ้ภูมิหันมาเลิกคิ้วให้ ต่อให้ไม่พูดก็รู้ว่ามันกำลังจะแซวว่านั่นไง พูดผิดซะที่ไหน ผมเลยต้องตีหน้าตาย เป็นวิชาที่เลียนแบบจากเจตน์มาอีกที

   พวกเราช่วยกันปิดร้าน ล็อกแม่กุญแจกับประตูเหล็กม้วน ไอ้ภูมิปั่นจักรยานกลับ ส่วนผมยืนข้างมอเตอร์ไซค์ของเจตน์ ตอนรับหมวกกันน็อกมาสวมก็เล่าเรื่องเงินหายไปกับที่ต้องแวะซื้อแม่กุญแจและกล้องวงจรปิดให้ฟัง

   “ไว้ใจเพื่อนพิชญ์ได้มั้ย”

   ดูสิ ขนาดเจตน์ยังสงสัยภูมิเลย!

   “ตอนแรกฉันก็สงสัยเหมือนกัน” ในเมื่อผู้ต้องสงสัยนั้นน้อยเหลือทน “แต่พอภูมิบอกว่าถ้าขาดเงินจริงๆ คงมาขอตรงๆ ก็ปัดข้อสงสัยทิ้ง ถึงจะฟังตลกไปหน่อย แต่ระหว่างขอเงินฉันกับขโมยเงินฉัน ด้วยจำนวนเงินห้าพันบาท ขอกันน่าจะง่ายกว่าหาเรื่องให้โดนต่อยน่ะ”

   ผมยื่นหน้าให้เจตน์ช่วยดึงสายรัดคางแน่นๆ เป็นเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่ได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์เขายันวันนี้ และคาดว่าจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน

   การกระทำเล็กน้อยที่ชวนอบอวลไปทั้งใจ

   แสดงถึงความใส่ใจ ห่วงใย และความรัก

   “งั้นมีใครที่ถือกุญแจอีกมั้ย”

   “จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ใช่” ผมถือโอกาสกวนใส่ แม้จะไม่ค่อยถูกกาลเทศะนักเพราะเจตน์กำลังทำหน้าคร่ำเคร่ง “นี่ จะทำหน้าเครียดทำไม”

   ผมนั่งซ้อนหลัง ก่อนจะกอดหมับเต็มวงแขน พร้อมเอาคางเกยไหล่

   “เงินฉันหาย ไม่ใช่เงินนายสักหน่อย”

   “เครียดเพราะห่วง” เจตน์ทาบมือกับหลังมือของผมที่รัดรอบเอวเขา “เป็นห่วงนะครับ”

   บทจะหวานก็ชวนเขินจนพูดอะไรไม่ออก ผมเม้มปาก ก่อนจะกระซิบชื่อผู้ต้องสงสัยให้อีกฝ่ายลองพิจารณาความเป็นไปได้

   เจตน์เงียบไปพักหนึ่ง

   ก่อนจะพยักหน้ารับเชื่องช้าบ่งบอกว่าเห็นด้วย

   “เพราะงั้นเลยต้องซื้อกล้องวงจรปิดกับเปลี่ยนแม่กุญแจไง” ผมอธิบาย ยังคงค้างในท่ากอดหมับโดยที่เจตน์ทาบมือไม่ยอมปล่อย “มีหลักฐานคาหนังคาเขา จะได้ดิ้นไม่หลุด”

   “ระวังตัวด้วย”

   “ให้ระวังตัวอะไร” ผมหัวเราะ ซุกหน้ากับบ่าของเจตน์ “ขโมยไม่มาตอนฉันกับภูมิอยู่ร้านสักหน่อย”

   “แล้วถ้าร้านเสียหายขึ้นมาล่ะ”

   “เขาคงไม่ทำแบบนั้นหรอกมั้ง” ผมสันนิษฐาน “อีกอย่าง...”

   “อีกอย่าง?”

   “ไม่มีอะไร” ผมกอดเอวเขาแน่นขึ้น “รีบไปเถอะ หิวแล้ว”

   เจตน์ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากซอย ส่วนผมยังคงซุกหน้ากับบ่านั้นอย่างสับสนลังเล

   จะพูดออกไปได้ยังไง ว่าถ้าร้านเสียหายขึ้นมา...ก็คงเป็นเหตุให้ผมตัดใจ ยอมกลับบ้านสักที


   --------------
   
   เรื่องนี้ใกล้จะจบแล้วนะคะ มานับถอยหลังกันน้า และไม่ต้องห่วงเรื่องมาม่าค่ะ
   มาไว เคลมไว หวานๆ กันไปด้วยขอบอกๆ
   
    #ผมกับชานมไข่มุก
   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ที่บ้านอีกแล้วสินะ

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
มีคนจ้างมาให้ทำหรือเปล่าครับ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น้องพิชญ์มีปัญหามาให้แก้อีกแล้ว  สู้สู้ น้า

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
      ลุ้นๆๆๆใครคือขโมย

ออฟไลน์ มาดามพีพี

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ใจหายเหมือนกันนะ ถ้าน้องจะทิ้งร้านแล้วกลับบ้าน สร้างมือกับมืออ่ะเนอะ..

ออฟไลน์ มาจะกล่าวบทไป

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +666/-7
    • เพจ 'มาจะกล่าวบทไป'
   ตอนที่ 25 : บทสรุป
      
โชคดีที่เรื่องไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น

แม้ผมจะอยากหาเหตุผลบางอย่างในการผลักดันให้ตัวเองกลับบ้าน แต่ก็ไม่อยากให้ร้านชานมไข่มุกที่รักและหวงแหนนี้ต้องมีอันเป็นไปเพราะผู้ไม่ประสงค์ดี

ฉะนั้นพอเงินอยู่ครบ ไม่หายหรือมีร่องรอยงัดแงะใดๆ ในร้าน ทั้งผมกับภูมิก็โล่งใจ ไอ้เราน่ะดีใจ ส่วนภูมินั้นสบายใจเพราะกลัวจะโดนป้ายความผิดใส่ ทั้งที่ผมตัดมันออกจากผู้ต้องสงสัยตั้งแต่คำสารภาพสุดซื่อตรงแล้ว

“หรือมึงจะนับเงินผิด” ภูมิเท้าคางกับเคาน์เตอร์ขณะผมนั่งนับเงินทำบัญชี “ไม่มีขโมยแต่แรก มึงแค่ตาลายเอง”

ใช่ บางทีผมอาจจะตาลายไปเอง แต่ไม่ใช่ครั้งนี้หรอกนะ

หมายถึงก่อนหน้านี้ต่างหาก!

ผมไม่ได้บอกไอ้ภูมิว่าสองเดือนหลังมานี้ ช่วงที่ร้านชานมขายดิบขายดีจนติดตลาด ทำเลที่ตั้งไม่เป็นผลต่อลูกค้า เงินในลิ้นชักร้านก็เริ่มหายไปทีละนิดละหน่อย ส่วนใหญ่ก็แค่หนึ่งร้อย หรือแบงก์พันหนึ่งใบ นั่นน่ะ...ผมคิดว่าตัวเองตาลายนับผิดจริงๆ แต่มาคิดดูดีๆ น่าจะมีขโมยมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว!!

เริ่มจากหยิบทีละเล็กละน้อย พอจับไม่ได้ก็กล้าขนาดเอาไปทีเดียวห้าพันบาท คงได้ใจล่ะมั้ง

ผมถอนหายใจเฮือก คร้านจะเถียงกับไอ้ภูมิ

ขืนบอกมันได้เต้นผางอีก ขโมยไม่ปรากฏตัวก็ดีแล้ว ทั้งผมทั้งมันก็ต่างสงบใจ ไม่ต้องมาระแวงสงสัยให้ปวดสมอง

ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเป็นเพราะผมเปลี่ยนแม่กุญแจด้วย...หัวขโมยเลยไหวตัว ไม่กล้าทำอีก แต่จะเว้นช่วงนานแค่ไหนกันล่ะ เอาเถอะ ผมพร้อมรับมือเสมอ กล้องวงจรปิดที่ซื้อมานั้นเป็นแบบหลอดไฟติดเหนือหัว ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือนหลอดไฟธรรมดา

แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้โผล่มาอีกเลย







คำขอผมไม่เป็นจริง

เพราะหลังจากเปลี่ยนแม่กุญแจและติดตั้งกล้องวงจรปิดได้ไม่ถึงเดือน เช้าวันหนึ่ง ผมซึ่งซ้อนมอเตอร์ไซค์เจตน์มาเปิดร้านก่อนไอ้ภูมิจะปั่นจักรยานมาถึงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าประตูเหล็กม้วนนั้นปิดไม่สนิท แถมยังมีเศษซากแม่กุญแจซึ่งโดนทุบจนพัง

ผมรีบถอดหมวกกันน็อกขณะกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์ทันที

เจตน์ตามมาอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน และพอผมดันประตูเหล็กม้วนขึ้น ก็ต้องเจอกับ...ร้านชานมไข่มุกที่ถูกรื้อเละเทะ!

“อะไรวะเนี่ย!!” ภูมิซึ่งเพิ่งปั่นจักรยานมาถึงอ้าปากค้าง

“ขโมยบุกน่ะสิวะ!” ผมกัดฟันตอบ พยายามสงบใจเพราะเจตน์คอยจับต้นแขนไว้ ไม่งั้นผมกระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปแล้วเนี่ย

ยืนสูดหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้งผมก็รีบมุดเคาน์เตอร์ตามเจตน์ที่นำไปก่อน เขาคงกลัวผมอาละวาด หลังเห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเวลาผมสติหลุดนั้น...คือหลุดจริงๆ

“ระวังเหยียบกล่อง” เจตน์รีบเตือนเมื่อผมตามเข้ามา ก่อนจะชะงักเพราะกล่องพลาสติกที่แตกกระจายเต็มพื้นนั้น...คือกล่องใส่เหรียญสองบาทของผม!! ฉิบหายแล้วไง เหรียญสองบาทนับร้อยเหรียญกระจายเต็มพื้น แค่เห็นผมก็ลงไปทรุดกับพื้นแทบจะร้องไห้

“เป็นไรวะพิชญ์!” ภูมิที่ตามเข้ามาเป็นคนที่สามตกใจทันทีเมื่อเห็นผมหมดแรง

“เหรียญสองบาท...ของกู” ผมเกือบสะอื้นแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเจตน์รีบดึงผมลุกขึ้นเพราะกลัวโดนกล่องพลาสติกที่แตกเป็นชิ้นๆ บาดก้น ลุกปุ๊บผมก็ซุกหน้ากับไหล่ของเจตน์ปั๊บ ไม่อยากจะเห็นภาพบาดตา ทำใจไม่ได้ โฮ!

“ก็แค่เหรียญสองบาท จะเป็นจะตายอะไรกันวะ”

“ไม่ใช่แค่เหรียญสองบาทนะ!!” ผมหันไปตวาดใส่ภูมิด้วยแรงแค้น คนโดนพาลเลยปิดปากฉับไม่กล้าวิจารณ์อีก

“พิชญ์” เจตน์ช่วยลูบหัวลูบหลังผมให้สงบ “ช่วยกันเก็บนะครับ ไม่เป็นไรนะ”

เจอน้ำเสียงนุ่มทุ้มกระซิบปลอบเข้าไป อารมณ์กรุ่นโกรธของผมก็ลดฮวบอย่างอัศจรรย์

“คนไรวะโคตรสองมาตรฐาน” ภูมิพึมพำกับตัวเอง

“มาช่วยกันเก็บเลย นับด้วยนะ” ผมผละจากไหล่ของเจตน์แล้วนั่งยองๆ หยิบเหรียญสองบาทขึ้นทีละเหรียญใส่ถุงพลาสติก

“ระวังโดนบาด” เจตน์ไม่วายเป็นห่วงคอยดึงผมเป็นระยะ

“กี่เหรียญวะ” ส่วนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดไม่วายต้องมานั่งยองๆ ด้วย

“ร้อยหกสิบเก้าเหรียญ”

“เหี้ย!”

ไอ้ภูมิแทบจะเด้งตัววิ่งหนีออกจากร้าน

“เหี้ยอะไร ก็มันจะหกเดือนแล้วมั้ย มันก็ต้องร้อยกว่าเหรียญสิวะ”

“แม่งเอ๊ย แล้วทำไมกูต้องมาช่วยมึงเก็บด้วย ให้กันเองก็เก็บกันเองสิ” ภูมิบ่น แต่ก็ไม่วายช่วยผมแยกเหรียญจากเศษซากกล่องพลาสติกที่น่าจะถูกทุบจนจนแตกไม่ก็โดนกระแทกอย่างแรง น่าโมโหชะมัด จะขโมยก็ขโมยไปสิ ทำไมต้องทำร้ายเหรียญสองบาทของผมด้วย

เจตน์หยิบถุงขยะมาเก็บกวาดซากกล่องและเครื่องแก้วที่แตกเต็มพื้นเหมือนมีพายุพัดเข้ามามากกว่าโดนโจรขโมย อะไรจะจงใจจัดฉากเหมือนมีคนเข้ามารุมร้านให้เละตุ้มเป๊ะขนาดนี้เนี่ย กว่าจะนั่งนับเหรียญจนครบร้อยหกสิบเก้าเหรียญ ผมกับภูมิก็ปวดหลังกันถ้วนหน้า ระหว่างนั้นมีลูกค้าแวะมาหา พอเห็นสภาพร้านก็ตกใจ สรุปแล้ว...ผมเลยต้องปิดร้านหนึ่งวันโดยปริยาย

เก็บกวาดพื้น นับเหรียญครบ ก็เพิ่งมีแก่ใจสำรวจว่าโดนขโมยไปเท่าไหร่

แต่พอดึงลิ้นชักออกมาเจอแต่เศษเหรียญ...ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเอาแบงก์ไปหมดเลยสินะ...

ปล้นทั้งที เล่นใหญ่ไม่พอ ยังเอาซะคุ้มเลย!

“หายเยอะมั้ยวะ”

“กวาดแบงก์ไปเกลี้ยง” ผมยักไหล่ตอบ แม้จะยังหัวเสียอยู่บ้าง แต่พอเห็นเหรียญสองบาทอยู่ครบและเก็บใส่ถุงอย่างดีโดยมีเจตน์คอยยืนประกบไม่ห่าง ผมก็สบายใจขึ้นแม้ว่าสภาพร้านจะดูไม่ชวนให้สบายใจเลยก็ตาม “น่าจะราวๆ เกือบหมื่น”

“มึงเก็บเงินไว้ลิ้นชักทำไมเยอะแยะ”

“เผื่อทอนเงินลูกค้ามั้ยล่ะ” ผมแย้ง “ส่วนใหญ่มีแต่แบงก์เศษๆ มัดเป็นปึก พวกแบงก์ใหญ่กูเก็บหมดแล้ว”

“แล้วเอาไงต่อ” ภูมิถามอย่างหัวเสียประหนึ่งเป็นเจ้าของร้านซะเอง

ผมกับเจตน์หันมามองตากัน ก่อนจะเงยขึ้นไปทางกล้องวงจรปิดซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดไฟ

“กรุณาอย่าคุยทางสายตา บอกกูด้วย” ไอ้ภูมิเอามือมาขวางระหว่างผมกับเจตน์แบบหมั่นไส้

“ก็...เอาเมมโมรี่การ์ดจากกล้องวงจรปิดมาดูก่อน ได้หลักฐานค่อยเอาไปแจ้งความ” ผมตอบพลางเปิดโน้ตบุ๊กรอเจตน์ที่ปีนเก้าอี้ขึ้นไปถอดหลอดไฟเพื่อเอาเมมโมรี่การ์ดออกมา “มึงเอาขยะไปทิ้งที เกะกะร้าน แล้วจดความเสียหายด้วย วันนี้จะได้ไปซื้อมาให้ครบ”

“เจอแล้วบอกกูด้วยนะ” เพื่อนรักตะโกนบอกขณะแบกถุงขยะไปทิ้งในถังขยะใบใหญ่ตรงข้างเสาไฟเมื่อเห็นผมกับเจตน์มุงกันอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊ก เพราะติดหลอดไฟไว้บนเพดานกลางร้าน ภาพที่ปรากฏเลยเห็นชัดทั่วทุกมุมของร้าน ผมสุ่มเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอตัวการ ก่อนจะพบกับเงาร่างที่เปิดประตูเหล็กม้วนเข้ามาตอนตีหนึ่ง

“เจอแล้ว!”

ภูมิที่กำลังสำรวจความเสียหายทิ้งสมุดกับปากกามาร่วมด้วยช่วยมุงทันที

“เอ๊ะ” เพื่อนรักขมวดคิ้วมุ่น พยายามไม่ทักเรื่องเจตน์ที่พาดแขนกับบ่าผมขณะก้มดูหน้าจอ “คนนี้มัน...”

“ใช่ คนนี้ก็คือ...”

“ใครวะ”

ผมละเหี่ยใจกับภูมิเหลือเกิน

“เจ้าของห้องเช่าที่พวกเรายืนอยู่นี่ไง!”

“อ้อ คุณลุงที่มึงเคยเล่าว่าป่วยออดๆ แอดๆ น่ะเหรอ”

“ใช่”

ครับ คนร้ายคือคุณลุงเจ้าของห้องสุดซอยที่เคยขายข้าวไข่เจียวที่เปิดหนึ่งวันปิดสองวันจนผมสงสารขอเซ็นสัญญาเช่าเปิดร้านชานมนั่นเอง

ตอนเช่าที่ คุณลุงให้พวงกุญแจสำหรับไขล็อกประตูเหล็กม้วน ล็อกห้องน้ำ และห้องเก็บของ

ผมไม่มั่นใจว่าแกมีปั๊มสำรองไว้อีกพวงรึเปล่า แต่หลังเกิดเรื่องแล้วตัดไอ้ภูมิออกไปก็เดาคนอื่นไม่ได้แล้ว เพราะคนที่มีกุญแจและสามารถเดินมาขโมยเงินในร้านโดยไม่มีใครติดใจก็มีแต่เจ้าของห้องเช่าอย่างคุณลุงคนนี้เท่านั้น!

ความสงสัยที่มาพร้อมคำถามว่าแล้วลุงแกจะทำไปทำไม ผมก็จ่ายค่ามัดจำไปแล้ว จ่ายค่าเช่าไม่เคยบิดพลิ้วแถมยังตรงต่อเวลา จู่ๆ มาขโมยกันแบบนี้ถ้าโดนจับได้ขึ้นมามันคุ้มกันหรือ อาจเพราะความสงสาร เห็นใจที่แกอาจจะป่วยหนักมีเงินกินใช้ไม่พอ ผมเลยเตือนอ้อมๆ ว่าเปลี่ยนแม่กุญแจนะเพราะมีเงินหาย

ครับ ตอนจับได้ว่าเงินหายห้าพันบาท วันที่ผมไปซื้อแม่กุญแจและกล้องวงจรปิดกับเจตน์ ผมแวะไปหาคุณลุงแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหวังให้ลุงแกสบายใจกึ่งเตือนอ้อมๆ ว่าอย่าทำผิดซ้ำสอง

ผลคือคุณลุงสงบได้ไม่ถึงเดือนก็วิ่งโร่มาจัดฉากเหมือนร้านโดนปล้นด้วยกลุ่มโจรหลายคน

ทั้งที่เป็นฝีมือของคุณลุงวัยห้าสิบซึ่งเจ็บปวดออดๆ แอดๆ

ช่างลงทุนลงแรงซะจริงๆ

“เอาไงดีวะพิชญ์ แจ้งความเลยมั้ย”

“ก็คงต้องแจ้ง” ถึงจะนึกสงสารคุณลุง และคิดว่าแกคงมีเหตุจำเป็นให้ต้องขโมยเงิน ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของสุขภาพก็ดี ไม่มีเงินกินใช้ก็ดี แต่ผมซึ่งจ่ายค่าเช่าตรงเวลาทุกเดือน ตั้งใจช่วยเหลือแกอย่างจริงใจ แถมยังให้โอกาสกลับตัวแล้วด้วย โดนหักหลังกันแบบนี้ถ้ายอมปล่อยก็ใจอ่อนเกินไปแล้ว

เหอๆ ค่อยสมกับหนีออกจากบ้านเพื่อเรียนรู้ชีวิตหน่อย

ถ้าอยู่กับพี่พจน์คงไม่มีใครกล้าเอารัดเอาเปรียบผม แต่มาตอนนี้เจอเองกับตัว โดนหยามน้ำใจซึ่งๆ หน้า แถมมีหลักฐานคาหนังคาเขา ผมก็พร้อมทำตามกระบวนการทางกฎหมาย

“ดีเลยพิชญ์ แจ้งความเลย!”

ผมถอนหายใจเฮือก ปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กลง ก่อนจะหันไปคุยกับเจตน์

“วันนี้พาไปซื้อของเข้าร้านได้มั้ย”

“เคยไม่ได้ด้วยเหรอ” เจตน์ยังกอดคอผมไม่ยอมไปไหน เห็นแล้วไอ้ภูมิก็แทบจะบีบจมูกคล้ายเหม็นความรัก

“มึงแวะไปหาลุงแกด้วยสิ เผื่อเจรจาขอเงินคืนมาได้”

“เออ กูจะลองดู”

เพราะผมเคยให้เจตน์พาไปส่งที่บ้านคุณลุงซึ่งอยู่ในชุมชนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่นี่นัก รถมอเตอร์ไซค์เลยมาจอดหน้าบ้านไม้ชั้นเดียวโดยไม่หลง ผมกับเจตน์ทั้งเคาะประตูบ้าน ทั้งกดออด แต่ไม่มีใครออกมาเปิด

ผมเลยหันไปถามคุณป้าข้างบ้านคุณลุงแทน

“อ้อ เห็นรีบเก็บของไปตั้งแต่เช้าแล้วน่ะ บอกว่าจะไปต่างจังหวัด”

“ต่างจังหวัด?”

“อย่าถามป้านะว่าจังหวัดอะไร ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เป็นอันงุนงงกันต่อไปว่าลุงแกเผ่นไปต่างจังหวัดจริงหรือแค่กบดานอยู่แถวนี้

แต่ที่แน่ๆ คือเงินผมโดนเชิดหายแล้วแน่นอน

“ไปสถานีตำรวจแล้วกัน”

ผมไปแจ้งตำรวจพร้อมหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด จากนั้นก็แวะซื้อของแล้วเข้าร้านเอาช่วงสาย วันนี้เจตน์วุ่นวายกับผมนานมาก พอเขามาส่งก็ยืนดูว่ามีอะไรให้ช่วยอีกมั้ย ก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์ออกจากซอยไปดูแลร้านตัวเอง

“อะไรวะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ภูมิถามทันทีเมื่อเห็นผมมุดเคาน์เตอร์เข้าไปด้านใน

“มึงยังไม่รู้ตัวอีกเหรอเนี่ย”

“รู้ตัวอะไรวะ หรือว่าคนร้ายไม่ได้มีคนเดียว”

มองสีหน้าสุดซื่อทั้งที่หน้าอย่างโฉดแล้วผมก็แทบกุมขมับ

“ถ้าคุณลุงถูกจับ ไม่สิ ต่อให้ไม่ถูกจับ แต่เล่นขโมยเงินร้านเราขนาดนี้ แล้วเราจะเช่าที่เขาขายชานมต่อยังไงล่ะวะ”

เอ่ยคำถามนี้ออกไป ไอ้ภูมิก็เพิ่งจะเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ในตอนนี้

ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้นหรอก กับอีแค่หาที่เช่าใหม่จะยากตรงไหน แต่ส่วนที่ยากก็เพราะว่า...

มันเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะถอยห่างจากผมเล็กน้อยคล้ายกลัวโดนต่อย แล้วเอ่ยงุบงิบเสียงเบา

“งั้นมึง...กลับบ้าน...มั้ยวะ”

ถึงตาผมเงียบบ้าง

ก็ใช่ว่าจะไม่คิด แต่คิดมาตลอด คิดทุกวันด้วยซ้ำว่าจะหาทางลงให้ตัวเองยังไงถึงจะดีกับทุกฝ่ายและต่อร้านชานม สักวันผมต้องกลับบ้าน ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสดีให้ผมไม่ต้องลังเล ไม่ต้องเสียดายร้านหรือยึดติดจนกลายเป็นดื้อรั้น เตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ

ถ้าสุดท้ายก็ต้องย้าย ต้องปิดชั่วคราว ถ้าอย่างนั้น...

“อืม กูจะกลับบ้าน”

และนั่นก็เป็นวันครบรอบเปิดร้านชานมพิชพิชครบหกเดือน







ส่วนที่ง่ายที่สุดคือตอนโทรบอกแม่ และส่วนที่ยากที่สุดก็คือตอนบอกเจตน์

ผมปิดร้านก็ใช่ว่าจะเลิกเป็นแฟนกัน แต่พวกเราก็จะมีเวลาเจอกันน้อยลง คงไม่มีแล้วที่จะมารับในตอนเช้า มาหาตอนสาย ซื้อชานม ยืนคุยกัน หยอกกัน ตอนเย็นก็มารับแล้วมาส่งถึงที่

ส่วนหนึ่งที่ผมกับเจตน์เริ่มความสัมพันธ์กันได้เร็วก็เพราะพวกเราเจอกันทุกวัน วันละสามรอบ แต่ถ้าต้องห่างกัน ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์จะยังคงเดิมเหมือนอย่างนี้รึเปล่า

ผมล่ะหวั่นใจจริงๆ

ซึ่งยิ่งยืนยันว่าผมรักเขามากแค่ไหน

“งั้นเหรอ จะกลับบ้านแล้วเหรอ” เจตน์เอ่ยหลังฟังผมเล่าเรื่องการตัดสินใจอันใหญ่หลวงครั้งนี้ แต่ดันไม่สะทกสะท้านอะไรกับเขาเลย “ให้ไปส่งมั้ย”

“พูดจริงดิ” ผมมองเขาอึ้งๆ นี่คือปฏิกิริยาของคุณแฟนตอนรู้ว่ากำลังจะห่างกันงั้นเหรอ

ไปส่งมั้ยเนี่ยนะ!

“จริงสิ” เจตน์พาดแขนกับบ่าผม ตอนนี้พวกเรากำลังกินไอติมแท่งอยู่หน้าเซเว่นครับ เจตน์ยืนพิงมอเตอร์ไซค์ ส่วนผมไม่กล้าพิง เลยยืนเอียงตัวมาทางเขาแทน “จะกลับวันไหนล่ะ”

“ก็คงสิ้นเดือนนี้...หลังสัญญาเช่าหมดแล้ว”

สัญญาเช่าเป็นแบบเดือนต่อเดือนน่ะครับ ผมจ่ายค่าเช่าไปแล้วก็ต้องอยู่ให้จบ แม้จะยังไม่รู้ว่าคุณลุงหนีหายไปไหนแล้วจะโดนจับเมื่อไหร่ก็เถอะ นับว่าเป็นช่วงเวลาของการเตรียมพร้อมและทำโปรโมชั่นทิ้งทวนส่งท้ายแก่ร้านชานมพิชพิช

แค่นึกก็ใจหาย ผมแทบทำใจไม่ได้ แต่ดูเจตน์สิ

“ไว้ไปส่ง”

จะชิลไปมั้ยพ่อคุณ!

“จะได้ไปเจอครอบครัวนายด้วย”

“...”

“ไม่ดีเหรอ”

“...ก็ดีมั้ง” ผมตอบแบบรู้สึกสับสนกับตัวเองว่านี่คิดมากไปเหรอ เจตน์ไม่เห็นจะเดือดร้อนตรงไหนกับการไม่ได้เจอกันบ่อยเท่าเดิม “ว่าแต่นายเข้าใจใช่มั้ยว่าฉันเปิดร้านชานมไม่ได้แล้วเพราะต้องไปช่วยงานพี่พจน์ ถึงฉันจะอยากเปิดร้านชานมไปด้วย จ้างคนดูแลร้านแทนเพราะเสียดายแบรนด์ แต่ให้ทำสองอย่างพร้อมๆ กันก็คงไม่ได้”

ผมเป็นประเภททำอะไรก็จะทุ่มสุดตัว ลุยเต็มที่จนกว่าจะเลิกล้มไปเอง ฉะนั้นหากต้องทุ่มกับทั้งบริษัทและร้านชานมด้วย รับรองว่าไม่ไหวแน่ ผมไม่เก่งขนาดนั้น เผลอๆ จะทำให้ความเชื่อมั่นที่เพิ่งกอบกู้มาจากครอบครัวต้องมาล้มเพราะจับปลาสองมือด้วย

“เข้าใจสิ”

“แล้วเข้าใจรึเปล่าว่าบริษัทพี่พจน์กับแถวนี้น่ะไม่ได้ใกล้กันเลย”

“เข้าใจ”

“นายจะเป็นลูกค้าของฉันไม่ได้แล้วนะ”

“อืม”

“อดกินชานมพิชพิชด้วย”

“นั่นสิ เสียดายจัง”

พูดกันมาตั้งนาน เพิ่งมาเสียดายเพราะอดกินชานมเนี่ยนะ แล้วผมล่ะ ผมสู้ชานมไม่ได้เหรอ!

แต่คิดไปคิดมา ผมกลับเป็นฝ่ายสลดซะเองเมื่ออดชงเครื่องดื่มด้วยความรัก อดกินชานมไข่มุกทุกวันทุกเมื่อที่ต้องการแล้ว...

“เอางี้แล้วกัน” พลันเจตน์เอ่ยขึ้นมาหลังตัดสินใจอะไรได้ “ขายชื่อแบรนด์พิชพิชมาสิ เดี๋ยวทำต่อให้เอง”

“...ฮะ?”

ผมมองหน้าเขาอึ้งๆ

“พิชญ์ลงหุ้นมาก็พอ เดี๋ยวจะทำแบรนด์นี้ต่อให้ จะเลือกทำเลที่ดีกว่าเดิมด้วย ถ้าเป็นแบบนี้คงได้ใช่มั้ย”

ผมไม่เคยคิดถึงบทสรุปแบบนี้มาก่อนเลย

“มันก็ได้หรอก...” ผมมองเขาแบบยังงงไม่หาย “แต่นายเปิดร้านชานมเป็นด้วยเหรอ ถ้าทำแล้วเจ๊งฉันไม่ยกให้หรอกนะ”

อย่างน้อยชานมพิชพิชก็ถือว่ากำเนิดจากผม นับเป็นลูกรัก!

“เปิดสิ”

สังหรณ์บางอย่างในใจเต้นเร่า ผมเชื่อว่าคำตอบต่อไปจะต้องช็อกค้างกว่าเดิมแน่นอน

“ร้านอะไร”

“JOY”

บทจะเฉลยก็เฉลยง่ายดายปานนี้เลย ผมถึงกับมุดตัวหลุดจากวงแขนนั้นแล้วถอยกรูดห่างจากเจตน์เหมือนเจอคนแปลกหน้า ยืนถือไอติมค้างจนละลายลงพื้น แล้วเจ้าคนที่ก่อเรื่องทำให้ผมขวัญหนีดีฝ่อขนาดนี้ดันหัวเราะพรืดอย่างชอบอกชอบใจซะงั้น

“โกหกรึเปล่า”

ผมยังทำใจไม่ได้

“โกหกทำไม ชื่อร้านก็มาจากชื่อพ่อไง”

จอย...จ่อย

อ้าว ที่แท้ไม่ใช่คำว่า Joy ที่มาจากคำว่าเฮฮาสนุกสนาน แต่เป็น Joy ที่อ่านว่าจ่อยหรอกเหรอ!!

สมองผมตอนนี้โอเวอร์ฮีตแล้ว ทำงานหนักเกินไปจนได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาเกยตื้น ความจริงข้อนี้หนักหน่วงเกินไป พลังโจมตีสูงมากจนหาทางโต้ตอบไม่เจอ แต่พอนึกดูดีๆ...ก็มีหลายเหตุการณ์ที่สื่อว่าเขาเป็นเจ้าของร้านชานม ทั้งเรื่องแวะมาหาบ่อยๆ เหมือนร้านอยู่ใกล้กันมากก็ดี ทั้งหายตัวไปวันที่ร้าน JOY จัดโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งก็ดี

“ละ...” ผมลิ้นพันกันไปหมด “แล้วนายมาซื้อชานมร้านฉันทำไม!”

นั่นสิ เป็นเจ้าของร้านชานมชื่อดัง แล้วมาซื้อชานมร้านผมทำไม เราเป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ

“สำรวจคู่แข่ง” เจตน์สารภาพ ก่อนจะเดินเข้าใกล้ผมที่ถอยห่างจนชิดติดผนัง “ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปดูแค่วันเดียว แต่พอเห็นใครบางคนทำชานมด้วยใจรักเลยอยากเอาใจช่วย”

ด้วยการให้เหรียญสองบาท แล้วต่อราคาเหลือสิบห้าบาทน่ะเหรอ

“จะได้ระบายเหรียญที่ร้านด้วย”

เขาเห็นร้านผมเป็นอะไรเนี่ย!

“ละ...” ลิ้นผมยังพันกันไม่หาย “แล้วทำไมไม่บอกกันแต่แรก”

“กลัวแฟนเสียกำลังใจ”

ผมแถมสำลักน้ำลายเมื่อได้ยินคำว่า ‘แฟน’ เจตน์แทนตัวผมด้วยคำนี้น้อยมากแทบจะนับนิ้วได้ ซึ่งแต่ละครั้งมีอานุภาพร้ายแรงไม่ต่างกับครั้งนี้ที่มาพร้อมเจ้าตัวซึ่งยืนเบียดผมชิดผนังด้วยรอยยิ้มมุมปากอย่างสนุกเป็นบ้า ได้แกล้งแฟนจนตะลึงไปเลย

“ขอความจริง”

“ดูใจกับเจ้าของร้านชานม แล้วจะบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของร้านชานมที่โดนมองว่าเป็นคู่แข่งได้ยังไง เสียคะแนนแย่”

ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้นี่เอง

ค่อยสมเหตุสมผลขึ้นมาหน่อย ถึงว่าถามไปก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบสักที เพราะถ้าเจตน์สารภาพตั้งแต่ต้น บอกว่าเป็นเจ้าของร้านชานม ผมซึ่งเค้นสมองคิดกลยุทธ์มาดึงลูกค้าจากร้านเขาคงเข้าหน้ากันไม่ติด และรู้สึกผิดแย่ จนตอนนี้ยังรู้สึกผิดอยู่เลย

เอ๊ะ เดี๋ยวนะ

ผมเคยบอกรักชานมร้านเขาใช่มั้ย

แถมยังจูบแก้วโชว์ด้วย!

“หน้าแดงทำไม”

“ปะ...เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ ตอนนั้นเรายังไม่เป็นแฟนกันเลย แต่ผมดันทั้งบอกรักทั้งจูบ แม้จะกับชานมก็เถอะ แต่เหมือนเป็นการเอ่ยอ้อมๆ แก่เจ้าของร้านหน้าตายคนนี้ยังไงไม่รู้

ถึงว่าสิ...วันนั้นเขาถึงได้มองมาตาเยิ้ม จนกลายเป็น...จูบแรกของเรา

“สรุปว่าจะยกแบรนด์พิชพิชชานมให้มั้ย”

คำถามที่มาพร้อมใบหน้าระยะประชิด ล่อซะลมหายใจกระตุก

“ถ้ายกให้...” เจตน์ชี้นิ้วมาที่ริมฝีปากตัวเอง “ให้จูบตอบนะ”

ไอ้คนเจ้าเล่ห์หน้าตายเอ๊ย!

ผมมองเจตน์ที่มองมาตาวาวระยับ มันแน่อยู่แล้วว่าเขามีดีกรีถึงเจ้าของร้านชานมไข่มุกชื่อดัง มีสาขาทั่วประเทศ การยกแบรนด์พิชพิชชานมซึ่งไม่ต่างกับลูกในไส้ให้นับว่าดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผมแค่ลงหุ้น ไม่ต้องห่วงว่าร้านจะเจ๊ง และไม่ต้องกลัวว่าจะโดนโกงด้วย

ในเมื่อเขา...เป็นคนรักของผม

ฉะนั้นคำตอบก็แน่ซะยิ่งกว่าแช่แป้ง ผมยื่นหน้าไปใกล้เขา

จูบ...คนที่ชอบทำหน้าตาย แต่มักยิ้มมุมปากอย่างยียวนกวนประสาทใส่ผมคนนี้

------------------------
และแล้วก็เฉลยสักที! เป็นอย่างที่ทุกคนคาดเดาไว้ ไม่พลิกโผค่ะ 55555
เรื่องนี้ตั้งใจวางไว้แบบเรียบง่ายน่ารักฟีลกู้ดอยู่แล้ว อ่านแล้วสบายใจ อยากกินชานม อมยิ้มนิดๆ ท้องร้องหน่อยๆ
ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้ด้วยนะคะ!

ตอนหน้าจะเป็นตอนส่งท้ายแล้ว มาดูกันว่าหลังจากนี้ทิศทางชีวิตพิชพิชและร้านชานมจะเป็นยังไงต่อ

ปล.เรื่องคุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่มาม่าค่ะ ทั้งหมดเกิดเพราะแม่รักพิชมากเกินไป พอน้องออกจากบ้าน เปิดร้านชานมได้ขนาดนี้ คุณแม่ก็เข้าใจแล้ว คุณแม่อยากให้น้องกลับบ้านค่ะ ( แม้คุณแม่จะคาดไม่ถึงว่าน้องจะควงแฟนใหม่มาด้วยก็เถอะ 55555 )

#ผมกับชานมไข่มุก

เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
เป็นดราม่าที่ฟีลกู๊ดมากเลยค่ะ เอ๊ะโอ555555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด