ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง
ด้วยความอุตสาหะให้การโทรรายงานตัวทุกวัน แม่เลยไม่กล้าพูดให้ผมกลับบ้านอีก
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะยอมรอได้นานแค่ไหนกันเชียว
ระหว่างที่ยืนเคี้ยวขนมปังหน้าที่พักคิดว่าจะทำยังไงกับร้านชานมต่อนั้น...ข่าวของกฤตก็ทำให้ผมตื่นตัว
ไม่ ผมไม่ได้ตามข่าวบันเทิงหรอก แต่ผมเป็นเพื่อนกับกฤตในเฟซบุ้ค แม้เราจะเลิกรากันแล้ว แต่ใช่ว่าจะลบช่องทางการติดต่อนี่นา อย่างวันก่อน กฤตยังขอเบอร์โทรศัพท์ใหม่ของผมเลย ซึ่งผมก็ให้เขานะ เผื่อมีอะไรยังค้างคาใจ จะได้พูดคุยกันทันทีไม่ต้องถ่อมาหาถึงหน้าร้าน
เกริ่นซะยาว มาต่อที่ข่าวของกฤตดีกว่า
เขาแชร์ภาพฟีตติ้งละครซึ่งจะได้รับบทพระเอกครั้งแรก ในภาพ เจ้าตัวฉีกยิ้มสดใส หล่อเหลาน่ามองมากทีเดียว แวบแรกผมตกใจ เพราะตอนคบกัน กฤตยื่นคำขาดว่าให้ตายยังไงก็ไม่รับงานละครเด็ดขาด เขากลัวเหนื่อย กลัวลำบาก ไม่อยากท่องจำบท และสนุกสนานกับการเที่ยวเล่นอยู่เลย
ผมยินดีกับเขานะ เพราะเราสองคนมีส่วนคล้ายกันตรงที่...ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นไปวันๆ แบบที่ตัวเองต้องการโดยไร้จุดหมาย ขอแค่สนุกและมีความสุขก็พอ แต่เมื่อเรียนจบ ก็เริ่มมุ่งมั่นไปเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งที่อาจจะไม่ได้ชอบเต็มร้อยแต่ก็อยากจะทำให้ดี สำหรับผม คือการตั้งใจทำงานในบริษัทของครอบครัว เพราะรู้แก่ใจว่าแม้จะเคยบ้าบอแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมาช่วยกิจการของพ่อแม่อยู่ดี ผมถึงใช้ชีวิตแบบทำมันทุกอย่างเพื่อไม่ต้องเสียใจภายหลังไง ส่วนกฤต คือการมุ่งสู่เส้นทางนักแสดงเต็มตัว
แม้ตอนนี้เป้าหมายผมจะลดลงมาเหลือเปิดร้านชานมแบบไม่ขาดทุนก็เถอะ
จะว่าไป...ช่วงคบกันกฤตก็เคยไปเป็นนักแสดงรับเชิญของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้กลายเป็นพระเอกในวันนี้
เทียบกันแล้วกฤตไปรุ่งในเส้นทางของตัวเองมากกว่าหลายเท่า ด้วยหน้าตาหล่อเหลาแบบใครเห็นเป็นต้องเหลียว กับรอยยิ้มกว้างสุดแสนจะแพรวพราว ทำให้เป็นที่ชื่นชมไม่ยาก
ผมกดไลค์และแชร์รูปของเขาก่อนจะเก็บโทรศัพท์เมื่อคุณคนแรกมารับ
พวกเรายิ้มให้กัน แม้ไม่พูดอะไร แต่การที่คุณคนแรกช่วยสวมหมวกกันน็อก รับข้าวเช้าไปแขวนกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ขยับตัวให้ผมนั่งซ้อนท้าย แล้วรับลมยามเช้าด้วยความเร็วระดับเต่าคลาน ก็นับเป็นช่วงเวลาที่ดี
เพราะถ้าผมยังคบกับกฤต...กระแสของคงไม่ออกมาดีเท่านี้ เผลอๆ อาจต้องหลบซ่อน ปิดเป็นความลับอีกต่างหาก
มองแผ่นหลังของคุณคนแรก ผมก็โอบเอวเขาแน่นขึ้นอีกนิด ชีวิตในตอนนี้...ไม่ต้องห่วงสายตาใคร ไม่ต้องกังวลอะไร ยอมรับในผลการกระทำของตัวเอง นับเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างชอบกว่าการพยายามทำดีแทบตายในบริษัทของครอบครัวเป็นไหนๆ
ถ้าถามว่าโกรธแม่มั้ย
...จะไปโกรธได้ยังไง โกรธที่แม่ไม่เชื่อมั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสนับสนุนให้ผมเอ้อระเหยลอยชายยันเปิดร้านชานมน่ะเหรอ
ความรักมีหลายประเภท แม่รักพี่พจน์อีกแบบ รักผมอีกแบบ พี่พจน์โหยหาความรักในแบบที่แม่ยอมลงให้ผม ผมเองก็แอบอยากให้แม่เข้มงวดใส่มากกว่านี้เหมือนที่ทำกับพี่พจน์ ตลกดีเหมือนกันเนอะ ให้เปลี่ยนความรักของแม่คงทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือ...ผมต้องเปลี่ยนตัวเอง
ความคิดง่ายๆ อย่างเริ่มทำร้านชานมจากศูนย์ ค่อยๆ ทำกำไรทีละนิด ด้วยระยะเวลาที่ไม่ถอดใจเบื่อหน่ายเอาซะก่อน แม่คงจะเชื่อมั่นในตัวผมเพิ่มขึ้นบ้าง
ก็ไม่รู้ว่าท่านจะเข้าใจบ้างรึเปล่า
สรุปคือ ผมพยายามจะทอดเวลาให้นานที่สุดจนกว่าจะเปลี่ยนแปลงความคิดของครอบครัวได้นั่นเอง ผมโตแล้วนะ แต่สำหรับแม่ คงจะเห็นเป็นลูกชายคนเล็กที่เคยไม่อยู่นิ่ง เป็นเด็กดื้อแสนซนที่อยากปกป้องดูแลไม่ให้ลำบาก
“ทำไมวันนี้คนเยอะจัง”
ตอนตีห้าสี่สิบ คุณคนแรกขับรถมาส่งผมในซอย แต่ระหว่างเข้าซอย หน้าร้านชานมชื่อดังกลับมีคนต่อแถวเข้าคิวทั้งที่ยังไม่เปิดร้านด้วยซ้ำ
“มีโปรซื้อหนึ่งแถมหนึ่งน่ะ”
“อะไรนะ!” ผมอ้าปากค้าง ลงจากมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งกลับออกไปหน้าปากซอยอีกครั้ง เห็นป้ายโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งเฉพาะวันนี้เท่านั้น เนื่องในโอกาสครบรอบเปิดร้านสามปี
ผมนับจำนวนคนที่เข้าคิว หนึ่ง...สอง...สาม...ปาไปสิบกว่าคนแล้ว แทบจะเทียบกับช่วงพีคของร้านผมเลย
คุณคนแรกเดินตามมาเอื่อยๆ ไม่ค่อยจะสนใจโปรโมชั่นเท่าไหร่ เห็นผมทำหน้าเครียดก็ตบบ่า เอ่ยปลอบใจว่า...
“ถ้าอยากเห็นคนยืนรอหน้าร้านบ้าง เดี๋ยวไปยืนให้”
ผมถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เรียกเสียงหัวเราะพรืดจากคุณคนแรกที่ดูจะสนุกเหลือเกินกับการกวนประสาทใส่กัน
พวกเราเดินกลับเข้ามาในซอยอีกครั้ง คุณคนแรกขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ถึงจะอยากทำตามคำพูดแค่ไหน แต่เขาก็ต้องไปเปิดร้าน หยอกผมนานๆ ไม่ได้หรอก
“ถ้าอร่อยก็บอกด้วยนะ” ผมบอกไล่หลัง เป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าทุกเย็นคุณคนแรกจะพาไปเลี้ยง ส่วนทุกเช้าผมก็จะซื้อของกินเป็นการตอบแทน ขนมปังชิ้นเดียวไม่พอยาไส้ใช่มั้ย หลังจากวันนั้นผมเลยจัดเต็ม ปั่นจักรยานออกไปไกลกว่าเดิมเพื่อซื้อโจ๊ก ข้าวราดแกง ก๊วยเตี๋ยวลูกชิ้น หมูปิ้ง น้ำเต้าหู้ และอีกหลากหลายเท่าที่จะหาได้ บางครั้งก็ซื้อมาเผื่อตัวเองด้วย
ฉะนั้นจะหาว่าผมผอมไม่ได้แล้วนะ!
หกโมงเช้า แถวยาวขึ้นอีกเท่าตัว ผมชะโงกมองเป็นระยะ เห็นกลุ่มคนเข้าแถวเลยมาในซอยทีเดียว
สงสัยวันนี้ต้องเตรียมนั่งตบยุงแล้ว เพราะร้อยวันพันปี ร้านชานมชื่อดังแม้จะมีโปรโมชั่นบ้าง แต่ก็ไม่เคยเด็ดขนาดซื้อหนึ่งแถมหนึ่งมาก่อน ก็ไม่แปลกหรอกที่คนจะตื่นเต้น ขนาดผมยังอยากไปต่อแถวด้วยเลย
แต่ดูไปดูมา ลูกค้าแปลกหน้าเยอะเป็นพิเศษ น่าจะเป็นขาจรที่จงใจมาต่อแถวเข้าคิวซื้อเฉพาะวันนี้ แล้วพวกเขา...รู้โปรโมชั่นจากไหนกันนะ ขนาดผมที่ผ่านหน้าร้านทุกวัน ยังไม่ทันสังเกตป้ายโปรโมชั่นเลย
พลันกฤตทักมาพอดี เขาขอบคุณที่ผมกดไลค์และช่วยแชร์ละคร
ผมตอบกลับว่าไม่เป็นไร แล้วบทสนทนาก็หยุดแค่นั้น
จะให้คุยอะไรกันล่ะกับแฟนเก่าที่จบแบบไม่ค่อยสวยคนนี้
กลับมาที่ร้านชานมกันต่อดีกว่า ผมหาคำตอบว่าลูกค้าแปลกหน้ารู้ข่าวจากไหน ก่อนจะพบว่าอยู่ที่ปลายนิ้วนี่เอง
เพจร้าน ‘JOY’ กับจำนวนคนกดไลค์อันน่าสะพรึงนั้นทำเอาผมถึงกับกลืนน้ำลาย จอย...ที่แปลว่าความสนุกสนานรื่นเริง เพจเน้นโทนสีส้มสดใส นอกจากชานมแล้วยังโปรโมตร้านขนมปังในชื่อ ‘EnJOY’ ที่มีที่ให้ผู้ปกครองนั่งรอลูก หรือให้นักเรียนนั่งติวหนังสือด้วย
ส่วนโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนั้น...ทางร้านทั้งซื้อโฆษณาทั้งประกาศบอกล่วงหน้าเป็นอาทิตย์แล้ว ส่วนจำนวนคนไลค์และแชร์...อื้อหือ เยอะกว่ารูปของกฤตอีก!
ผมอ้าปากค้างกับพลังโซเชียล นับเป็นจุดที่ไม่ทันคิด เพราะไม่ใช่คนชอบเล่นหรือดูเพจชาวบ้านเท่าไหร่ ก็คนมันเพื่อนน้อย และไม่ชอบถ่ายรูป หรืออัพสเตตัสนี่สิ เรื่องใกล้ตัวสำหรับคนอื่นแต่ช่างไกลตัวสำหรับผมเหลือเกิน แต่ดูจากจำนวนคนต่อแถวที่มากขึ้นเรื่อยๆ...และแทบจะยาวเหยียดในช่วงพีคตอนเจ็ดโมง ผมก็ตัดสินใจเปิดแฟนเพจสำหรับร้านพิชพิชชานม
โลโก้ก็มีเป็นตัวฮีโร่พิชพิชอยู่แล้ว แบนเนอร์ก็เปิดโน๊ตบุ้คทำมันตรงนี้เลย ผมสะพายเป้ใบเล็กตลอดเวลา ข้างในคือโน๊ตบุ้ค เพราะไว้ในห้องแล้วกลัวหาย และไว้นั่งเล่นช่วงปลอดลูกค้าด้วย
ไม่นาน ผมก็เนรมิตแบนเนอร์และตกแต่งเพจสำเร็จ ขั้นต่อไป...ก็คือการโปรโมตให้คนรู้จัก
โชคดีที่ตัวฮีโร่มีสตอรี่เป็นของตัวเองอยู่แล้ว ผมเลยเริ่มร่างแนะนำตัวเจ้านี่ก่อน ฮีโร่พิชพิช ฮีโร่ผู้มีชานมไข่มุกเป็นอาวุธ!!
ทำไปทำมาชักสนุก ผมไม่ชอบคุยกับคนเท่าไหร่ แต่ให้เขียนนั้นไม่เลวนัก พี่พจน์เคยบอกให้ผมเรียนด้านการตลาดเหมือนกัน เพราะไอเดียผมเยอะ ในแต่ละวันผมคิดจะทำได้หลายอย่างมาก แต่สุดท้ายก็เลือกเรียนด้านการเงิน เพราะไม่ต้องนำเสนอ ไม่ต้องพรีเซนต์ต่อหน้าคนเยอะๆ ก้มหน้าก้มตาทำได้ด้วยตัวคนเดียว
เอาละ โพสแรกลงไปแล้ว ผมเริ่มทำใบเมนูต่อโดยให้ฮีโร่พิชพิชเป็นผู้แนะนำ ขั้นตอนนี้ยุ่งยากนิดหน่อย เพราะผมต้องจัดที่ถ่ายรูปเครื่องดื่มแต่ละแก้วให้สวยน่ากิน ต้องขอบคุณโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่พี่พจน์ซื้อให้ เพราะแม้ผมจะถ่ายออกมาธรรมดาโคตรๆ แต่ด้วยแอพตกแต่งทำให้สีสันดูน่าอร่อยขึ้นจม
ช่วงใกล้แปดโมง เริ่มมีลูกค้าหลุดมาหาผมเพราะใกล้เวลาส่งลูกเข้าเรียนแล้วแต่แถวร้านชานมชื่อดังยังไม่ลด แม้จะเสียดายโปรโมชั่น แต่ด้วยระยะเวลามีจำกัดเลยกลับมาตายรัง ผมไม่รอช้า ชงชานมแล้วโฆษณาเพจเปิดใหม่สดๆ ร้อนๆ ให้ลูกค้าทันที
อาจเพราะรอยยิ้มอ้อนๆ ของผม อาจเพราะเพจเปิดใหม่ที่มีคนถูกใจไม่ถึงสิบคนนั้นน่าสงสารเกินไป บรรดาแม่ๆ ทั้งหลายจึงช่วยกดไลค์ บางคนช่วยแชร์ด้วยซ้ำ ผมดีใจมาก แถมแสตมป์สะสมแต้มให้อีกหนึ่งดวงเลยเอ้า
แปดโมงตรง บรรดาลูกค้าหน้าคุ้นเริ่มแยกย้าย แต่ลูกค้าหน้าใหม่ตามจากโซเชียลนั้นยังคงต่อแถวร้านชานมชื่อดังอย่างไม่ลดละ ผมมองแล้วคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงว่างน่าดู เอาวะ ลุยงานต่อเลยแล้วกัน
ผมนั่งทำเมนูต่อ จัดแสงถ่ายรูปไปพลางๆ เพราะมีเจ้าฮีโร่เป็นผู้แนะนำ จะเขียนข้อความให้โอเวอร์แค่ไหนก็น่ารักน่าขบขัน อย่างชาเขียวไข่มุก ผมก็เขียนว่าเด็ดจากยอดอ่อนใบชาของแดนอาทิตย์อุทัย ส่งตรงผ่านยานอวกาศบินปรู๊ดปร๊าดสู่ร้านนี้
ส่วนปีศาจก็ทำเป็นปีศาจหดหู่ ปีศาจเหนื่อยล้า เพราะว่ากันว่ากินชานมแล้วอารมณ์ดีด ฉะนั้นเมื่อส่งฮีโร่พิชพิชถือแก้วชานมไปสู้ด้วย ปีศาจก็ถูกทำร้ายมลายสิ้นไปด้วยฤทธิ์ชานม
ยิ่งทำรายละเอียดก็ยิ่งเยอะ ให้โพสลงทีเดียวคงไม่ได้ ผมเริ่มวางแผนโปรโมตและศึกษาเรื่องการซื้อโฆษณา เพราะไม่สันทัดด้านการตลาดโซเชียลอย่างรุนแรง รู้ตัวอีกทีก็ท้องร้อง ผมเงยหน้า เพิ่งสังเกตว่าเที่ยงเข้าไปแล้ว เลยโทรหาร้านอาหารตามสั่ง
แปลกแฮะ วันนี้คุณคนแรกไม่มาเหรอ
ผมมองนาฬิกาด้วยความรู้สึกแกว่งๆ อย่างประหลาด ที่ทำงานเพลินจนท้องหิวโซ ก็เพราะคิดว่าคุณคนแรกคงมาหาก่อนเที่ยงแน่นอน
หรือว่า...เขาจะเป็นหนึ่งในคนที่ยังต่อแถวร้านชานมหน้าปากซอย!
ชะโงกจนตัวแทบจะนอนเกยบนเคาน์เตอร์ ไม่เห็นวี่แววของคุณคนแรก ผมโล่งใจแกมร้อนใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา...ค้างหน้าเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่เคยโทรออกสักครั้ง ครับ ตั้งแต่ได้เบอร์เขามาผมไม่เคยโทรหาเลย ส่วนใหญ่เราจะนัดเวลาปากเปล่ากันมากกว่า จะว่าเล่นตัวก็ได้ หวงความเป็นส่วนตัวก็ดี ผมค่อนข้างอึดอัดเวลาคุยกับคนไม่สนิท โดยเฉพาะที่ไม่ใช่เรื่องงาน ซึ่งตอนนี้คุณคนแรกนับว่าเกินเลยกว่านั้นมากแล้ว
ถ้าจะกดโทรตอนนี้ก็ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร แต่...
มันเขินๆ ยังไงไม่รู้ โทรไปก่อนเนี่ย
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า...ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณคนแรกเป็นฝ่ายเริ่มรุกก่อน หยอกก่อน ชวนก่อน แล้วผมก็จะตามน้ำไปเรื่อยๆ พอต้องเป็นฝ่ายขยับความสัมพันธ์ แถมทำให้เขาได้เบอร์ไปฟรีๆ อีก เลยรู้สึก...แปลกๆ
กับอีแค่กดโทรออกยังคิดมากขนาดนี้ บ้าบอชะมัด
ผมตบแก้มตัวเองเรียกสติ ก่อนจะกดโทรออก ฟังเสียงรอสายเพลงแอบรัก
...เขินหนักกว่าเดิม อาการชักจะแย่แล้วเรา กับแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ยังเพ้อได้อีก
(( ครับ? ))
ฟังจนเกือบจบเพลง คุณคนแรกก็รับสายจนได้ น้ำเสียงค่อนข้างรีบเร่ง ผมสลด โทษตัวเองว่าโทรไปหาช่วงเที่ยงกว่า เขาน่าจะยุ่งอยู่มั้ย เพราะแถวนี้คนที่ว่างนั่งตบยุงน่าจะมีแค่ผมคนเดียว
(( ใครครับ? ))
ผมอ้าปากพะงาบ พูดต่อไม่ออก สมองตีกันมั่วไปหมด
ถ้าบอกว่า ‘ฉันเอง’ เขาจะจำเสียงได้มั้ย แล้วควรจะถามยังไงต่อล่ะ ‘เฮ้ ทำไมนายไม่มา ฉันรอจนท้องร้องเลยนะ’ อืม...เสียมารยาทชะมัด แม้เขาจะนัดมารับผมทุกเช้า ดักรอเจอกันทุกเย็น แต่เวลามาซื้อชานมนั้นไม่เคยบอกเวลาแน่นอน แล้วทำไมผมต้องโทรตามด้วย คิดว่าตัวเองเป็นใคร เจ้าของร้านชานมที่งอแงอยากให้ลูกค้ามาซื้อเดี๋ยวนี้เหรอ
ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเหงื่อตก กดวางสายไม่รู้ตัว
ก่อนจะผวาเมื่อเขาโทรกลับ
คือ...คิดซะว่าไม่ได้โทรไปได้มั้ย ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ไม่ว่าจะมองมุมไหน การโทรให้เขามาซื้อชานมก็โคตรไร้สาระเลย
เสียงโทรเข้าดับลงแล้ว ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะสะดุ้งอีกรอบ เมื่อคุณคนแรกโทรมาอีกครั้ง
ผมเลิ่กลั่ก ยังคิดหาวิธีรอดไม่ออก ก่อนจะสรุปแบบเอาไงเอากัน บอกว่าโทรผิดเป็นอันจบ!
“คือฉัน...”
(( พิชญ์เหรอ ))
คำว่าโทรผิดไม่ทันออกจากปาก เสียงถามสวนกับการเรียกชื่อแบบชัดถ้อยชัดคำก็ทำเอาผมสมองปลิว ชักจะติงต๊องเกินไปแล้ว แค่นี้ต้องเขินจนตัวบิดม้วนด้วยเหรอ ใช่ว่าจะไม่เคยมีความรักสักหน่อย ทำตัวเป็นเด็กน้อยแรกรักวัยประถมไปได้
“อืม...ใช่” ผมตอบ พยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด
(( คิดถึงเหรอ ))
ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเอง แม้รู้แก่ใจว่าเขากำลังแกล้งกวน แต่ทำไงได้...เพราะมันแทงใจ
เจ้าของร้านโทรตามลูกค้ามาซื้อชานมไข่มุก? นั่นไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมกดโทรหา เพราะจริงๆ แล้วนั้น...ผมก็แค่อยาก...เจอ
มันเป็นความเคยชิน ที่ต้องเห็นภาพคุณคนแรกยืนสั่งหน้าตายแล้วยื่นกองเหรียญให้ ผมจะเอาเหรียญสองบาทหยอดกระปุกใส มองเขาดูดชานมไข่มุก ระหว่างนั้นเราก็จะคุยสัพเพเหระกัน จนหมดแก้วก็รับมาทิ้งขยะ
คลับคล้ายพิธีกรรมประหลาด แต่ก็เป็นพิธีกรรมที่...ไม่อยากจะพลาดแม้แต่วันเดียว
(( ไม่ตอบ แสดงว่าใช่ ))
อยากประชดว่าใช่ซะที่ไหน แต่ก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก ถ้าเขาไม่ยอมมาเท่ากับว่าที่กดโทรไปก็ไร้ค่าน่ะสิ
ผมต่อสู้กับตัวเองหนักมาก ด้วยทิฐิปัญญาอ่อนของตัวเอง ด้วยความเล่นตัวท่ามากของตัวเอง และปลายสายคงจะรำคาญ พูดด้วยไม่มีคนพูดตอบเลย...ตัดสาย
คล้ายกำลังลอยขึ้นฟ้าแล้วโดนถีบตกเหว ผมยืนนิ่ง ถือโทรศัพท์ค้าง คาดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายใจดำกันขนาดนี้
คุณคนแรกอ่านอารมณ์ผมเก่งเสมอ เวลาผมอึดอัด เขาจะไม่พูดมาก เวลาผมต้องการ เขาจะอยู่ใกล้ เวลาผมสบายใจ เขาจะเข้าหา เวลาผมต้องการความเป็นส่วนตัว เขาก็จะเคารพกันเสมอ
แล้วไหงครั้งนี้ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ
หรือว่าเพราะคุยผ่านโทรศัพท์ หรือเพราะเขาเริ่มเบื่อ แต่เมื่อเช้ายังพามาส่งกันอยู่เลย ผมหันไปมองแสตนดี้ฮีโร่พิชพิช ราวกับว่ามันจะบอกคำตอบได้
พลันเงาร่างหนึ่งแทรกคิวยาวเหยียดหน้าปากซอยกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ดูชิลจนผมที่เกือบคิดมากจนเกือบเป็นบ้าคุยกับแสตนดี้ทั้งดีใจทั้งเคือง
“มาแล้ว”
“มาทำไม”
ปากหนอปาก คนเราจะชอบประชดแบบนี้ไม่ได้
“มีคนคิดถึง”
...หมดเรี่ยวแรงจะต่อกร ผมคล้ายจะทรุดฮวบลงตรงนั้น แต่ด้วยหน้าที่ เลยต้องสวมหน้ากากยิ้มรับลูกค้า
“รับอะไรดีครับ” เถียงไม่ได้ ตีเนียนซะเลย
คุณคนแรกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฮึ่ย อย่ายิ้มให้มากนัก เห็นแล้วอยากหยิกแก้ม
“ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”
ผมสบโอกาสหันไปชงชานมทันที จะได้ไม่ต้องเผชิญกับหน้ายิ้มตาวาวของใครบางคน แต่ก็แค่ไม่นานหรอกครับ ผมเจาะแก้ว ยื่นส่งให้คุณคนแรก ไม่วายแบมือรอรับเหรียญอย่างเคยชิน
แต่ที่วางลงมาคือมือข้างที่ว่างของคุณคนแรก
จากหลบตา กลายเป็นต้องเงยมองคนที่ถือชานมข้างหนึ่ง อีกข้างจับมือผมไม่ยอมจ่ายเงินด้วยความรู้สึก...โอ๊ย ผมไม่อยากจะอธิบายแล้ว
“เงินล่ะครับ”
“ไม่มี” คุณคนแรกพูดหน้าตาย แต่บีบๆ กดๆ ฝ่ามือผมไม่หยุด “แปะโป้งก่อน รีบวิ่งมา ลืมหยิบเงินมาด้วย”
คนที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงวิ่งเหยาะๆ แบบชิลๆ เข้ามาในซอย พูดเต็มปากเต็มคำว่าวิ่งมา ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อดีรึเปล่า และผมควรจะชักมือกลับได้รึยัง
“วันนี้อยู่นานไม่ได้ ไปก่อนนะ” ประทุษร้ายฝ่ามือกันจนพอใจ โดยที่ผมยังไม่ทันประมวลผลดี คุณคนแรกก็หันหลังเดินล้วงกระเป๋าวิ่งเหยาะๆ กลับ
ผมมองตามแผ่นหลังที่เดินฝ่าแถวคนยาวเหยียดหน้าร้านชานมไข่มุกชื่อดังแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกัดปากอยู่นาน น่าจะตั้งแต่เห็นเขาวิ่งเหยาะๆ มาหาเลย
ไม่ใช่อยากทำร้ายตัวเองกะทันหัน
...แต่กัดปากกลั้นไม่ให้ยิ้ม
----------------
โอ๊ยยยย สองคนนี้ช่างจีบกันแบบมุ้งมิ้งทีละนิดละหน่อยแต่ก็น่ารักใช่มั้ยคะ
เราแต่งเองก็เขินเอง ตลกทิฐิของพิชญ์ที่เป็นมุมโก๊ะๆ บ๊องๆ ของน้องด้วย ในที่สุดด้วยความคิดถึงก็ยอมโทรไปสักที เชื่อสิว่าคุณคนแรกคงตื่นเต้นดีใจมากเลยรีบวิ่งหน้าเริดมาหาแม้ว่าภายนอกจะทำเหมือนชิลๆ ก็ตาม 555
รีบร้อนขนาดไม่หยิบเงินติดตัว มาแตะๆ มือพิชญ์แล้วก็ไป
แต่แค่นี้ก็สุขใจกันทั้งสองฝ่ายแล้วจริงมั้ยคะ ความรักมันหวานกว่าชานมเนอะ >///<
#ผมกับชานมไข่มุก
เพจ :
มาจะกล่าวบทไปTwitter :
MajaYnaja