ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ
ผมจำไม่ได้แล้วว่าวันนั้นคุณคนแรกเดินกลับไปตอนไหน
รู้แต่ว่าหลังพูดจบก็ก้มหน้างุดๆ สติแทบไม่มี ลูกค้าสาวๆ สั่งอะไรก็ทำตามด้วยสภาพสมองเลอะเลือน ยิ่งพอคุณคนแรกมารับช่วงปิดร้าน ก็ยิ่งตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เขายิ้มล้อพอเป็นพิธี ก่อนจะทำเหมือนเดิมในทุกวัน พาไปกินข้าว เดินเล่น จนสุดท้ายผมก็หายเกร็งในที่สุด
อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าคุณคนแรกชื่อเจตน์
ซึ่งดีกว่าชื่อจ่อยเยอะเลย
ได้รู้จักกันมากขึ้น แม้จะทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่บางอย่างระหว่างเราคล้ายจะใกล้ชิดมากขึ้นอย่างไรชอบกล
ที่น่าตลกคือกลุ่มสาวๆ ในวันนั้นกลายเป็นลูกค้าประจำผมซะงั้น แม้ว่าโปรโมชั่นโชว์ภาพลดสิบบาทจะหมดไปแล้วก็ตาม
พวกเธอมักจะชะโงกหน้ามองหาคุณคนแรก บางครั้งก็ถึงถามผมตรงๆ ว่าอีกคนไปไหน ผมน้ำตาแทบไหล คุณลูกค้ามาเพราะชานมหรือเพราะอะไรกันครับ แต่ก็ไม่กล้าขัดพวกเธอนัก ตามตรงก็ตอบตรง ‘ว่าไม่รู้ครับ แต่เดี๋ยวเขาก็มาเอง’
เป็นคำพูดที่ช่างมั่นใจแกมน่าหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก แต่พวกเธอดันชอบใจซะงั้น บางครั้งเวลาคุณคนแรกมาก็จะยอมให้ลัดคิวแต่โดยดีด้วย ตอนผมเช็กแทกของเพจ บางครั้งก็เจอกับเรื่องเล่าของสาวๆ ที่เหมือนจะเป็นฟิคในจินตนาการมากกว่าความจริง ชักชวนให้กลุ่มคนที่ชื่นชอบอย่างเดียวกันตามมาดูให้เห็นกับตา
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของแปลก แม้จะนึกขอบคุณที่พวกเธอไม่รังเกียจ แต่ก็อยากจะให้เคารพความเป็นส่วนตัวสักนิดเหมือนกัน...ยังดีตรงที่เจตน์นั้นเป็นพวกนิ่งขรึมชอบทำหน้าตาย เลยไม่ค่อยมีคนกล้ายุแหย่อะไรเขานัก ส่วนใหญ่มาหนักที่ผมนั่นแหละ
คงรับรู้ถึงความลำบากใจของผม หลังจากนั้นเจตน์ก็เปลี่ยนเวลามาหา จากช่วงเช้าก็เปลี่ยนมาช่วงบ่ายแทน พวกสาวๆ มาเก้อหลายวันเข้าก็เริ่มห่างหายไปทีละคนสองคน แม้ลูกค้าจะลด แต่ผมกลับสบายใจมากกว่าเพราะอยากให้ติดชานมมากกว่าติดอย่างอื่น อีกอย่างการโดนถามว่าคบกันรึยังเนี่ย ค่อนข้างละลาบละล้วงเกินไปนิด ผมไม่ใช่คนชอบเล่าเรื่องตัวเองให้คนไม่สนิทฟังอยู่ด้วย จะประชดกลับก็ทำไม่ได้ พอคนน้อย กำไรลด ผมกลับแทบสวดมนตร์ขอบคุณฟ้าดิน
ยังไงก็ตาม หญิงสาวคนแรกที่ถ่ายรูปผมก็ยังเป็นลูกค้าประจำแม้จะไม่เจอเจตน์แล้วก็ตาม สาวๆ บางคนก็มาบ้างไม่มาบ้าง คุณยายร้านปักร้านยังอดแซวไม่ได้ว่าผมเนี่ยเนื้อหอมทั้งหญิงและชายเลยนะ
ได้ยินแล้ว...ก็ทำหน้าไปไม่เป็น
สรุปแล้วร้านชานมของผมยังคึกคักดี จำนวนคนกดไลค์เพจก็พุ่งทะลุห้าพันแล้ว นับเป็นการเติบโตในระดับน่าพอใจ ทั้งนี้ทั้งนั้น...ต้องขอบคุณรูปถ่ายยิ้มแฉ่งนั่นด้วยละนะ
ส่วนผมกับเจตน์ก็ยังศึกษาดูใจกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนเดิม ผมอาจเป็นคนใจร้อน แต่ไม่ใช่คนที่ชอบความสัมพันธ์แบบรีบร้อน ช่วงหลังมานี้ก็เริ่มเล่าเรื่องตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องพี่ชาย เรื่องสมัยเรียนมหาลัย และเรื่องไอ้ภูมิ
ครับ วันหนึ่งผมก็เล่าเรื่องภูมิ และเหมือนเป็นคำสาป เพราะในเย็นวันนั้นเอง...
ไอ้ภูมิกลายมาเป็นเพื่อนข้างห้องผมซะฉิบ!!
“มึงมาได้ไงวะ” ผมชี้หน้าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่ยืนกุมมืออย่างเจี๋ยมเจี้ยมหน้าประตู
“แฮะ...โดนเจอตัวซะแล้ว”
มาฮงมาแฮะอะไร พูดแบบนี้แสดงว่ามันย้ายมาอยู่สักพักแล้วงั้นสิ
“มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ราวๆ สัปดาห์ก่อน”
ผมถึงกับตบหน้าผากตัวเอง นึกสงสัยว่าทำไมไม่เคยสังเกตข้างห้องที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่เลย คงเพราะผมไม่ใช่คนสอดรู้ คงเพราะผมออกจากห้องแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับมาก็ดึกดื่นมืดค่ำ เลยไม่ทันสังเกตว่าคนคนนั้นคือไอ้ภูมิ และคงจะไม่มีทางรู้ ถ้าในวันนี้ไม่กลับเร็วกว่าปกติเพราะเจตน์เล่าว่าวันนี้เป็นวันเกิดน้องสาว
ครับ ผมเริ่มเล่าเรื่องตัวเอง เจตน์ก็เริ่มเล่าเรื่องของเขาเหมือนกัน ครอบครัวของเจตน์ประกอบด้วยพ่อ ตัวเองเขาเอง และน้องสาวที่ห่างกันห้าปี แม่ของเจตน์เสียหลังคลอดน้องไม่กี่ปี แม้จะไม่พูดอะไรเรื่องครอบครัวผมนัก แต่จากท่าทางของและสายตาเวลามองผม คล้ายจะสื่อเป็นนัยๆ ว่า...ดีแล้วที่อย่างน้อยผมยังมีแม่
นึกแล้วก็แอบสะทกสะท้อนในใจ ผมโทรรายงานตัวกับแม่ทุกวันแต่ไม่กล้าคุยนานมากเพราะกลัวโดนถามว่าจะกลับเมื่อไหร่ ร้านชานมเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ระยะเวลาที่ทอดยาวคือการพิสูจน์ตัวของผม แต่ก็ไม่รู้ว่าสำหรับแม่นั้นจะเป็นการทรมานใจกันรึเปล่า ผมเริ่มคิดหาวิธีให้แม่สบายใจนับจากวันนั้น ก่อนจะพบว่า...แม่ชิงตัดหน้า ส่งคนมาเฝ้ากันซะงั้นหลังหนีออกจากบ้านครบหกเดือน
ซึ่งก็คือไอ้ภูมิเจ้าเก่าเจ้าเดิม
“กูเคลียร์กับกฤตแล้วนะ” โดนผมจับได้ ไอ้ภูมิก็รีบเล่าว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น “โดนต่อยไปหลายที โชคดีที่ไม่ถึงขั้นแจ้งความ แลกเปลี่ยนกับหาว่าใครคือคนที่ซื้อคลิปไป และต้องคอยแจ้งลบคลิปทุกครั้งเวลาที่เห็น ถ้าใครดื้อก็เตรียมฟ้องร้องกันเต็มที่”
หลังคลิปหลุด กฤตก็เก็บตัวเงียบ เจ้าคลิปตัวปัญหาเองก็โดนไล่ลบจนแทบไม่มีใครกล้าปล่อยจนกระแสเริ่มซาลง ที่แท้เป็นฝีมือไอ้ภูมินี่เอง
“ส่วนเรื่องหนี้พนัน...” ภูมิยิ้มแห้ง “กูไปหาแม่มึงแล้ว สารภาพหมดเปลือก โดนเทศน์หนึ่งวันเต็มๆ พร้อมเงินหนึ่งก้อน กูล้างหนี้ทั้งหมดก่อนจะไปสารภาพกับพ่อแม่ โดนตีก้นด้วย ยังเป็นรอยแดงอยู่เลย มึงอยากดูมั้ย”
“ไม่อยากโว้ย” ผมแทบจะยกเท้าถีบคนที่เอี้ยวตัวคล้ายจะหันหลังถอดกางเกงโชว์
“เพื่อแลกกับหนี้ที่แม่มึงช่วยใช้ให้ เขาขอให้กูมาอยู่เป็นเพื่อนมึงจนกว่าจะกลับบ้าน แต่กูกลัวมึงยังโกรธอยู่ เลยมาเช่าห้องข้างๆ รอรวบรวมความกล้าแล้วจะโผล่หน้ามาทักทาย...”
“ระหว่างนี้ก็แอบสอดส่องกู เก็บข้อมูลกูไปรายงานแม่อีกรึเปล่า” ผมจ้องจับผิดเต็มที่
“ไม่ กูไม่กล้าทำแล้ว และแม่มึงก็ไม่กล้าให้กูทำแล้วด้วย คือ...กูเล่าไปหมดเลยว่ามึงรู้อะไรบ้าง และทำไมถึงหนีออกจากบ้าน”
ผมหันขวับทันควัน สิ่งที่ผมไม่กล้าเล่า ไม่กล้าบอกกับใคร ไอ้ภูมิดันปากโป้งจนหมด
แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้าย
แม้ภูมิจะรู้ไม่หมดว่าแม่คือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องกฤตและย้ายผมออกจากแผนกการเงินก็ตาม แต่ถ้ายกคำพูดที่ว่าผมหนีออกจากบ้านเพราะทุกคน แม่ก็น่าจะเดาได้ว่าผมรู้ทุกอย่างแล้ว
“แล้วแม่กูว่าไง”
“ก็ส่งกูมานี่ไง แต่ไม่ต้องรายงานแล้ว เรื่องมึงกับผู้ชายคนนั้นก็ปล่อยไป เขาแค่ส่งกูมาเป็นเพื่อนมึงเฉยๆ จะได้ไม่เหงา”
ผมลูบหน้า ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ออกมายังไง มันทั้งโล่งใจและเสียใจ เพราะแม่เริ่มจะปล่อยผม เริ่มจะเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงแบบตามปกป้องดูแลทุกย่างก้าวแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นตอนรู้ความจริง ไม่รู้ว่าท่านจะน้ำตาตกบ้างรึเปล่าที่เป็นหนึ่งในสาเหตุให้ผมหนีออกจากบ้าน ทั้งที่รักมากและโอ๋มากแท้ๆ...
ถึงว่าสิช่วงหลังมานี้ไม่เคยถามเลยว่าจะกลับเมื่อไหร่
ผมร้อนตัวไปเองทั้งนั้น
แต่ไม่ว่าจะคิดมากหรือไม่ ผมก็ควรจะ...ทำตัวเป็นลูกที่ดีสักหน่อย
ผมตั้งใจว่าสุดสัปดาห์นี้จะแวะไปหาพวกท่านที่บ้าน แค่แวะไปหา แต่ไม่ได้นอนค้าง ไปดูให้เห็นว่าผมยังสุขสบายดี ก่อนหน้านี้ที่ไม่กล้าไปก็ด้วยจะกลัวโดนรั้งให้อยู่ยาวพ่วงโดนค้านเรื่องร้านชานม แต่ในเมื่อทุกคนรู้ความจริงก็น่าจะเลิกแล้วละมั้ง
“แล้วนี่มึงมีเงินจ่ายค่าเช่าห้องด้วยเหรอ”
“กูก็พอมีเงินเก็บอยู่หน่อยๆ แต่ว่าจะหางานทำเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่มีกิน แค่จ่ายหนี้ให้กูก็เกรงใจจะแย่ ให้ไปแบมือขอเงินแม่มึงอีกไม่ไหวหรอก กับพ่อแม่ตัวเองกูก็ไม่กล้า ถ้าแค่ดูว่ามึงยังสบายดีมั้ย แอบส่องตอนเช้ากับตอนเย็นก็พอ”
“งั้นกูจ้างมึง”
“เอาจริงดิ!?” ภูมิทำหน้าเหวอ
“ให้วันละสามร้อย ตกเดือนละเก้าพัน มึงไหวมั้ยล่ะ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ากูไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างเยอะหรอกนะ”
“ไหวดิไหว” ไอ้ภูมิรีบพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะยิ้มซื่อ ทั้งที่หน้ามันโฉดเหมือนพวกนักเลง แต่ความจริงแล้วมันค่อนข้างซื่อบื้อ เป็นเพื่อนที่คอยตามเกาะผม ถามว่าจะทำอะไรต่อแล้วก็บอกโอเค! พร้อมลุยไปด้วยกันคนนั้น “ได้อยู่กับมึงอีกครั้งกูก็ดีใจแล้ว”
“มึงไม่ได้คิดอะไรกับกูใช่มั้ย” ผมลูบแขนตัวเองที่ลุกพรึ่บ
“คิดเชี่ยอะไรล่ะ” ไอ้ภูมิรีบปฏิเสธเสียงหลง
พวกเราเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน เสี้ยววินาทีนั้นเรียกความรู้สึกเก่าๆ ช่วงที่มันยังไม่ติดพนันให้หวนคืนมา แม้ว่าภูมิจะเกาะติดเพราะได้เงินค่าจ้างและหวังประโยชน์ก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้น...
ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเราก็เรียกเต็มปากเต็มคำว่าเพื่อน
ผมเหมือนได้เพื่อนคนเดิมกลับมาแล้ว
เช้าวันต่อมา คุณคนแรกถึงกับค้างในท่าส่งหมวกกันน็อกให้เมื่อเห็นใครอีกคนยืนถือหมูปิ้งอยู่ข้างหลังผม
“ลูกจ้างคนใหม่ของฉันเอง” ผมอธิบาย ก่อนจะผายมือช่วยแนะนำตัว “ชื่อภูมิ”
คุณคนแรกพยักหน้าหนึ่งทีเป็นเชิงยินดีที่ได้รู้จัก แม้พวกเขาจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาสักพักแล้วก็ตาม
“ส่วนไอ้ภูมิ นี่เจตน์”
“แฟนมึง?”
“คนคุยโว้ย” ผมหันไปต่อยต้นแขนมันหนึ่งที อยู่กับมันทีไรไม่รู้ทำไมชอบลงไม้ลงมือทุกที
“เขินแล้วมือหนักนะมึง”
“เงียบแล้วปั่นจักรยานไปเลย” เพราะผมนั่งมอเตอร์ไซค์กับเจตน์ เลยยกจักรยานให้ภูมิเป็นการประหยัดค่าเดินทาง
หันมารับหมวกกันน็อกมาสวม ผมก็ยื่นให้คุณคนแรกช่วยรัดสายใต้คางให้ ไอ้ภูมิโห่แซวอยู่ข้างหลัง ผมเลยยกนิ้วกลางแจกหนึ่งที
“อยู่กับเพื่อนแล้วร่าเริงสดใสดีนะ”
ไม่รู้ว่านั่นเป็นคำชมหรือประชด ผมเลยตอบตามจริง
“รู้จักกันมานาน สันดานเลยออก”
เจตน์หลุดหัวเราะพรืด ทำให้ผมพลอยยิ้มตามไปด้วย สวมหมวกกันน็อกเสร็จก็ไปนั่งซ้อนหลัง ที่น่าตลกคือ...ความเร็วเวลาไอ้ภูมิปั่นจักรยาน แทบจะเทียบเท่าเจตน์เวลาขี่มอเตอร์ไซค์
“สงสัยกูถึงร้านก่อนแน่ๆ เลยว่ะ” ไอ้ภูมิทำหน้าล้อเลียนระหว่างรอสัญญาณไฟแดง
“งั้นเอากุญแจไป” ผมโยนกุญแจเปิดร้านให้ง่ายๆ ภูมิแอบเหวอ แต่ก็แบมือรับกุญแจ “ฝากด้วยนะ เพื่อนรัก”
ผมยิ้มแฉ่ง ไอ้ภูมิสบถหัวเสียนิดหน่อย แต่พอไฟเขียวมันก็ปั่นนำไป ส่วนผมเกาะเอวคุณคนแรก ฮัมเพลงอย่างสุขกายสบายไปทั้งใจ
“อารมณ์ดีเชียว” คุณคนแรกอดแซวไม่ได้ และก็ต้องยอมรับว่าวันนี้ผมคึกคักกว่าทุกวันจริงๆ
“แล้วไม่ดีเหรอ”
ผมวางคางกับบ่าของเจตน์ กระซิบข้างหูเพราะกลัวเขาไม่ได้ยิน โปรดนึกภาพว่า...ผมกำลังกระซิบข้างหูที่มีหมวกกันน็อกกั้นอยู่น่ะ
“ดี” เขาเอ่ย จงใจขับช้ากว่าเดิมเพราะไม่ต้องรีบไปเปิดร้านแล้ว “แต่ก็ไม่ดี”
“เอาอย่างไหนกันแน่” ผมขมวดคิ้ว
“มีก้างขวางคอมาเพิ่ม จะดีได้ยังไง”
ผมหัวเราะก๊าก ก่อนจะกอดเอวเขาแน่นขึ้น สื่อกลายๆ ว่าอย่างภูมิน่ะเหรอจะขวางคออะไรผมได้ ไม่มีวันซะหรอก!
-------------------
ภูมิกลับมาครั้งนี้ไม่มาม่าค่ะ มาอย่างสำนึกผิดแล้ว มาเป็นเพื่อนพิชญ์ช่วยกันขายชานม และมาเพื่อเหม็นความรักค่ะ 555555
#ผมกับชานมไข่มุก
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja