Thonglor My Love
ทองหล่อที่รัก
กรกฎาคม 256x
“คุณเจตน์ ผมจะออกไปข้างนอก อาจจะกลับเข้ามาช่วงประมาณสี่หรือห้าโมงเย็น ถ้าป๊าถามว่าผมไปไหนให้บอกว่าไปธุระเรื่อง...อเวนิวนะครับ”
“แล้วคุณ
ติณภพจะไปไหนครับ ผมหมายถึง...ที่จะไปจริงๆ”
พอถูกสายตาคู่นั้นตวัดกลับมามอง คนถามยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างทุกครั้งไปแม้ว่าต้องเจอเรื่องแบบนี้มาเป็นเวลาหลายปี ติณภพขบฟันกับริมฝีปากล่างจนเจ็บเนื้ออ่อนนุ่มด้านในเป็นการข่มใจ บางทีเลขาส่วนตัวของเขาก็รู้มากเกินไปจนเดี๋ยวนี้ถึงขั้นดักคอเจ้านายตัวเองแล้ว
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องรู้ก็ได้ครับ เพราะถ้าคุณหลุดปากไปบอกป๊าอีกเดี๋ยวต้องมานั่งคุยกันยาวแบบคราวที่แล้ว”
“แต่ครั้งนั้นคุณไตรภพขู่ว่าจะตัดเงินเดือนผมครึ่งหนึ่ง” ก่อนร่างสูงโปร่งในชุดสูททันสมัยจะหันหลังก้าวลงบันไดไปอีกขั้น เลขาหนุ่มเอ่ยปากรั้งไว้อีกครั้ง “คุณติณภพทำอย่างกับว่าผมมีทางเลือกอย่างนั้นล่ะ...ครับ”
“ตกลงใครเป็นคนจ้างคุณกันแน่วะคุณเจตน์ ได้ข่าวว่าคนที่จ่ายเงินให้คุณเป็นค่าตอบแทนคือผมนะ ไม่ใช่ป๊า”
คนพูดชักเหลืออดขึ้นวะขึ้นโว้ย สะบัดชายสูทยกมือขึ้นท้าวสายเข็มขัดที่รัดรอบเอว ถึงเสียงยังไม่เพิ่มระดับจนน่ากลัว แต่ด้วยความที่มีหนังตาชั้นเดียวห่อหุ้มลูกตากลมโตสีเข้มจัด ใบหน้าเรียวและโครงหน้าแบบจีนชัดกว่าแบบไทย ทำให้ติณภพดูเหมือนคนกำลังเหวี่ยงวีนเกินภาพความเป็นจริงไปสองเท่า คุณเจตน์เม้มปากเรียบตรง ดีนะที่ความสามารถกับหน้าตามีดีกรีสูงพอกัน ไม่อย่างนั้นติณภพคงหงุดหงิดกว่านี้
“คุณไตรภพเป็นผู้บริหารโรงแรมสาขาแม่และมีอำนาจสูงกว่าคุณนี่ครับ แค่กระพริบตาเขาเด้งผมออกได้ทันที”
ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อนแบบนั้น ต่อให้หล่อก็ไม่ใจอ่อนหรอกโว้ย ไม่ใช่ไทป์
“ออกก็จะจ้างใหม่ ผมไม่ยอมให้ใครมารังแกคนของผมหรอก นี่เห็นไหม ยืนคุยกันเสียเวลาไปเยอะละ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมถึงโรงแรมคุณวินตั้งนานแล้ว คุณนี่แม่ง...”
ติณภพชี้ให้อีกคนดูเข็มนาฬิกาสายหนังสีน้ำตาลมียี่ห้อแล้วทึ้งผม พอเห็นคนที่ยืนประสานมือไว้ด้านหน้าลอบยิ้มถึงรู้ตัวว่าหลุดพูดความลับออกไป เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหงุดหงิดกว่าเดิมอีก ยิ่งยืนยิ่งเสียเวลา ไปจากตรงนี้ดีกว่า
“ตฤณ จะไปไหน”
เสียงทุ้มโทนลึกอย่างชายสูงวัยดังขึ้นด้านหลัง เห็นสีหน้าคุณเลขาเบิกตากว้างแบบนั้นไม่ต้องหันไปมองยังรู้ว่าใครพูดกับเขา ติณภพแอบแยกเขี้ยวใส่คุณเจตน์ สูดหายใจเข้าลึกผ่อนออกแรงๆก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นอีกแบบแล้วหันไปเผชิญหน้า
“อ้าวป๊า จะมาทำไมไม่บอกก่อน”
“ก็มาดูเราน่ะสิว่าเป็นยังไงบ้าง กลัวโรงแรมเจ๊งไปเสียก่อน แล้วนี่ตกลงว่าจะไปไหน” ชายที่ติณภพถอดแบบโครงหน้าออกมาถามขึ้น มองเขาสลับกับเลขาตัวดีเหมือนจะสื่อว่าถ้าเขาไม่พูด คุณเจตน์จะมีคำตอบให้
“โธ่ป๊า ทำงานมาหลายปีถ้าจะเจ๊งคงเจ๊งตั้งแต่เดือนแรก ไม่ต้องมาเองก็ได้ ยังไงผมต้องไปหาเองอยู่แล้ว” ติณภพเดินลงมายังบันไดขั้นสุดท้ายไม่ให้เป็นการยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ คุณเจตน์เองเดินตามลงมาเช่นกัน “ผมกำลังจะไปหาชวินทร์ที่...นัดไว้แล้วเดี๋ยวจะไปไม่ทัน มีคนมาขวางทางอยู่ได้เนี่ย”
คนพูดหันไปหาคู่กรณีก่อนหน้าให้คนที่เรียกว่าป๊าเห็นชัดแจ่มแจ้ง คนรับฟ้องถอนหายใจกับไม้เบื่อไม้เมา
“ไปหาชวินทร์อีกแล้ว แกปล่อยเขาทำงานสงบสุขบ้างเถอะ รบกวนเขาเปล่าๆ หรือว่ากำลังแอบอู้งานอีก”
“มะ...ไม่ได้อู้งาน ผมจะไปหาชวินทร์จริงๆ” ติณภพเสียงสูง รีบเข้ามาเกาะแขนคนเป็นพ่อทำหน้าอ้อน “ผมจะไปปรึกษาเรื่องระบบโรงแรมนิดหน่อย ใครจะกล้าอู้งานแอบหนีออกไปหาเพื่อนกันล่ะป๊า ไม่เชื่อถามคุณเจตน์ดูได้เลย”
ติณภพได้ยินเสียงดังออกมาผ่านสีหน้าซีดเผือดของคุณเจตน์ว่า
งานเข้า นึกสะใจที่ได้หาเรื่องเอาคืนคนที่รั้งไว้ไม่ยอมให้ไปจนต้องมาเจอพ่อแบบนี้
“ครับ คุณติณภพมีเพื่อนไม่ค่อยมาก ผมรับรองกับคุณไตรภพได้เลยว่าเรื่องแอบทิ้งงานออกไปข้างนอกแทบไม่มี ส่วนมากแค่ไปปรึกษาคุณชวินทร์หรือไม่ก็มีธุระที่...อเวนิวเป็นครั้งคราวครับผม”
เจ้าของดวงตาชั้นเดียวเลิกคิ้วขึ้นสูง เกร็งสายตามองคนพูดจนมันแทบถลนออกจากเบ้า ไอ้คุณเลขาใจหยาบ! บอกพ่อว่าออกไปเป็นครั้งคราวยังพอทน แต่มาบอกว่าไม่ค่อยมีเพื่อนคบนี่มันเจ็บ ไม่ต้องรอพ่อทำก่อนติณภพนึกอยากจะตัดเงินเดือนเจ้าตัวดีให้เหลือน้อยกว่าค่าน้ำค่าไฟที่บ้านเสียจริง!
“แล้วไป เป็นผู้บริหารถึงจะทำอะไรก็ได้แต่อย่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่ลูกน้องมากนักนะอาตฤณ” พ่อพร่ำสอนเขาทุกครั้งไปอย่างลูกชายคนเชื้อสายจีนที่ลำบากมาก่อนที่พึงระลึกไว้เสมอ “...อเวนิวนี่ปล่อยมันไปบ้างเถอะ หาคนมาดูแลต่อจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายที่ มีแค่โรงแรมก็อยู่ได้สบาย”
“ไม่เอาหรอกป๊า กว่าผมจะได้มันมาป๊าก็รู้ว่าต้องสู้ยิบตากับคนอื่นขนาดไหน นี่มันกำลังไปได้ดีทำรายได้เยอะอยู่เหมือนกัน อีกหน่อยเผื่อผมเก็บเงินไว้ให้ลูกผมบ้าง”
พอพ่อบอกว่าจะให้ปล่อยขายพื้นที่ศูนย์การค้าใกล้โรงแรมที่เป็นเจ้าของอยู่ ติณภพกลับมามีสีหน้ามู่ทู่อีกครั้ง กว่าจะได้มาครอบครองมันง่ายเสียที่ไหนกันล่ะ ใครๆก็รู้กันทั่วว่าทองหล่อเป็นย่านที่มีแต่คนเมืองคนทำงาน คนค่อนข้างมีฐานะอยู่แถบนี้เยอะ นักลงทุนหรือนักธุรกิจชาวต่างชาติก็ไม่น้อย อย่างไรเสียอเวนิวของเขาไม่มีทางลงทุนเปล่า
ด้วยความที่มีหัวการค้ามากกว่าการบริหารโรงแรม วันนั้นติณภพจำได้ว่ากระเหี้ยนกระหือรือไปหาเจ้าของที่ผืนนั้นด้วยตัวเอง คุยไปคุยมาถึงรู้ว่ามีนักลงทุนชาวต่างชาติสนใจอยู่อีกคนด้วยเหมือนกัน เลยต้องเทียวไล้เทียวขื่อตามตื๊อสุดๆเป็นเวลาร่วมเดือน จำนวนเงินมากขึ้นเรื่อยๆจนดันสูงไปถึงแปดหลักครึ่งค่อนเก้าหลัก(ซึ่งคิดว่าจะไปขอกู้ป๊าทีหลังหากข้อตกลงสำเร็จ) พอคุณเจ้าของที่เริ่มใจอ่อน ติณภพบอกให้คุณเจตน์จัดการที่เหลือต่อ สุดท้ายกลายเป็นว่าซื้อตัดหน้านักลงทุนคนนั้นแบบฉิวเฉียด เพียงปีเดียวก็คืนทุนที่ขอกู้มาจนหมด
ตอนนี้ศูนย์การค้าตรงนั้นอยู่มาได้จนถึงปีที่สามแล้ว กำไรขึ้นลงทุกเดือนแต่ไม่เคยขาดทุน ดีไม่ดีบางร้านยังมีคอนเนคชั่นกับโรงแรมของเขาเสียอีก ถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นใจที่มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ถึงอย่างนั้นติณภพก็ยังไปๆมาๆเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย และพักผ่อนจากการทำงานนั่งโต๊ะที่น่าเบื่อ
“แล้วไอ้หนุ่มที่ไหนจะมีลูกให้แก ถามแค่นี้”
ตั้งแต่แม่เสียไปเมื่อเขาอายุยังน้อย พ่อของติณภพแต่งงานใหม่กับหญิงชาวต่างชาติ รู้ว่าเขาไม่พอใจแต่ก็อ้างว่าเขาต้องการแม่มาดูแล หลังจากนั้นเมื่ออยากได้อะไรพ่อจะหามาให้ ตามใจทุกอย่างราวกับต้องการเติมเต็มแม่ตัวจริงที่หายไป จวบจนเติบโตมาได้ทุกวันนี้ติณภพยังติดนิสัยนั้นมาอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าถึงจะมีนิสัยแบบนี้ หากพ่อไม่แต่งงานกับแม่เลี้ยงฝรั่งให้ช่วยเลี้ยงดูขัดเกล้าในวันนั้น วันนี้ติณภพคงไม่เป็นผู้เป็นคนได้อย่างที่เป็นอยู่
รวมทั้งเรื่องที่พ่อรู้ว่าติณภพมีรสนิยมแบบไหน ก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หนึ่งในน้องชายต่างแม่ทั้งสองคนก็เป็นแบบเขา พ่อไม่เคยตำหนิแม้แต่น้อย
ความรู้สึกโชคดีกว่าการเกิดมามีฐานะ คือการมีพ่อแบบพ่อของเขา
“ผมเคยคุยกับชวินทร์นะ เขาบอกว่าถ้าใกล้เลขสี่แล้วยังไม่มีใครจะแต่งงานกันคุณโสมเลขาคนเก่ง เพื่อนผมยังเทิร์นได้ บางทีผมอาจจะเปลี่ยนใจในตอนนั้น”
“หรือถ้ายังไม่เปลี่ยนใจ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทันสมัยแล้วนะครับ”
“ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ คุณเจตน์” หนุ่มหน้าตี๋เค้นเสียงเมื่อเห็นคนเสนอทางเลือกพูดไปยิ้มไป ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะวะไอ้คุณเจตน์ พอป๊ามาล่ะเหิมเกริมกับเจ้านายเชียว
“เอาเถอะ ชีวิตแกแกเลือกเอง อย่าทำคนอื่นเดือดร้อนก็พอ ตอนนี้อยากไปไหนก็ไปเถอะ แล้วเย็นนี้กลับมากินข้าวที่บ้านด้วยนะ แม่กับน้องรออยู่”
“ครับป๊า ผมฝากดูแลป๊าด้วยคุณเจตน์” ติณภพมีใบหน้าสดใสขึ้นมาทันตาที่วันนี้ไม่ถูกพ่อบ่นเหมือนวันอื่น เข้าสวมกอดแทนคำขอบคุณหนึ่งทีแล้วเดินตัวปลิวไปหาลูกรักคันงามที่ลานจอดรถ
ก่อนออกรถจากโรงแรมติณภพต่อสายหาคุณอาภาโสมเลขาส่วนตัวของคุณชวินทร์ เพราะวันนี้นึกอยากไปแบบกะทันหันเลยยังมีความเกรงใจมากพอไม่ให้โทรหาเบอร์ส่วนตัวรบกวนเวลางาน แอบผิดหวังเล็กน้อยที่หญิงสาวบอกว่าเจ้านายของเธอไม่อยู่ที่โรงแรม เลยต้องเปลี่ยนแผนไปอเวนิวแทน
คุณชวินทร์กับติณภพรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่ครอบครัวดึงตัวกึ่งบังคับให้มาช่วยบริหารโรงแรมใหม่ๆ ทุกวันนี้สนิทกันในระดับที่สามารถไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความเกรงใจค้ำคอ เพื่อนของเขาเป็นคนสอนให้รู้จักคำนั้นตอนที่เคยไปบ่นให้ฟังว่าเที่ยวกลางคืนกลับดึกจนแม่เลี้ยงเริ่มออกปากบ่น มีอีกหลายอย่างที่เมื่อคุณคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มสบาย ติณภพกลับเชื่อฟังมากกว่าที่พ่ออบรมจนปากแทบฉีกถึงหู ไม่รู้เพราะอะไร เรียกได้ว่าคุณชวินทร์เป็นอีกคนที่ดัดสันดานให้ปรับปรุงนิสัยไปในทางทีดีขึ้นเรื่อยๆ
ครั้งหนึ่งพ่อถึงกับส่งกระเช้าผลไม้ไปขอบคุณ ขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกชายตัวแสบคนนี้ เพราะคิดว่าคุณชวินทร์เป็นแฟนติณภพ เข้าใจผิดอยู่ได้ตั้งนานนม
บางทีลึกๆแล้วติณภพนึกอิจฉาในหลายสิ่งของคุณชวินทร์ ทั้งทำงานเก่ง ใจเย็น และเป็นคนคอยรับฟังเขาพร้อมทั้งมีคำแนะนำที่ดีให้เสมอ โดยรวมแล้วมีความเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ราวกับว่าเป็นอีกคอมฟอร์ทโซนที่อยากใช้เวลามาผ่อนคลาย คนเอาแต่ใจอย่างเขาเลยแอบถือโอกาสใช้นิสัยที่ทุกคนเกรงใจในภาพลักษณ์ภายนอกของตัวเองฝ่าทุกด่านเข้าไปหาคุณชวินทร์ที่...ไม่ค่อยเกรงใจแล้วยังขัดใจอีก ทุกคนกลัวติณภพยกเว้นคนชื่อชวินทร์
“ไม่มีน้ำใจกันเลยครับคนประเทศกรุงเทพ ขอเข้านิดหน่อยไม่ได้หรือไงวะ กูเปิดไฟเลี้ยวตั้งนานแล้ว”
ขับออกสู่ท้องถนนมาจนใกล้ถึงอเวนิว เจ้าของรถคันงามออกปากบ่นเพราะรถคันข้างหลังเร่งเครื่องขับจนชิดไม่ยอมเว้นช่องให้ติณภพเข้าถนนเลนริมได้
ปริ๊น!
เลยต้องปาดหน้ากันมันซึ่งหน้านี่ล่ะ ถ้าไม่เข้าต้องเลยไปกลับรถอีกไกล ช่วงบ่ายในย่านกลางเมืองแบบนี้ถ้าหวังให้ทำแบบนั้นภายในห้านาทีสิบนาทีคงยาก
กับคนที่ทำบ่อยจนชินอย่างเขาแล้วเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่พุ่งเข้ามาแล้วเร่งเครื่องหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดในช่องที่ตีเส้นสีขาวรายเรียง แค่นี้ก็เรียบร้อย คู่กรณีอาจตำหนิเขาไปตลอดเส้นทาง แต่ธุระบนถนนของคนทางนี้จบแล้ว
“คาปูชิโนเย็นไม่เอาฟองหนึ่งแก้วครับ”
“คาปูชิโนเย็นไม่ใส่ฟองนมหนึ่งแก้ว เจ็ดสิบบาทค่ะ” สิ้นเสียงพนักงานติณภพยื่นธนบัตรสีแดงที่เตรียมไว้อยู่ก่อนแล้วส่งให้ จนได้รับเงินทอนกับบิลค่ากาแฟ หันซ้ายมองขวาที่นั่งในร้านไม่มีให้จับจองเลยเพราะลูกค้าเต็มร้านไปหมด เลยต้องมานั่งที่บาร์ยาวใกล้เคาท์เตอร์สำหรับลูกค้าที่มาคนเดียว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว
ร้านกาแฟนี้หากจำไม่ผิดคงเปิดได้สักสามเดือน ติณภพไม่ได้มาจัดการด้วยตัวเองเรื่องสัญญาเพราะให้คุณเจตน์เป็นคนจัดการเหมือนทุกที สังเกตโดยรอบร้านที่มีบรรยากาศเงียบสงบและสบายตา ลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย บางคนกำลังหามุมถ่ายรูป ติณภพเดาได้เลยว่าไม่พ้นต้องมีการโปรโมทร้านทางโลกออนไลน์เรียกรายได้จากวัยรุ่นสมัยใหม่ ส่วนเรื่องรสชาติเป็นอีกเรื่อง
“คาปูชิโนของลูกค้าคิวที่ XX ได้แล้วค่ะ”
ติณภพเห็นว่าเลขตรงกับคิวของตัวเองจึงลุกเดินออกไป แล้วก็ต้องขมวดคิ้วตั้งแต่ยืนอยู่ห่างจากเคาท์เตอร์เป็นเมตร “แก้วนี้ของผมเหรอครับ”
“ถ้าเลขคิวในบิลของลูกค้าคือ XX ก็ใช่ค่ะ”
“ใช่ ผมได้คิว XX แต่สั่งไม่เอาฟองนม คุณใส่มาทำไม”
พนักงานแคชเชียร์ชะงักงันไปครู่หนึ่ง พอติณภพสบตาเธอไม่กระพริบคนถูกมองเริ่มมีสีหน้าไม่ดี หันไปถามพนักงานที่เป็นคนชงกาแฟให้เขา แต่ทุกคนทำหน้าตาเหมือนไม่ยอมรับว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นจากตรงไหน
“ทางเราต้องขอโทษคุณลูกค้าด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าจะให้ตักฟองออกหรือชงแก้วใหม่ดีคะ”
“ถ้าผมรับไปเท่ากับผมต้องฝืนดื่มอะไรที่ไม่ได้สั่งถูกไหม แล้วถ้ารอแก้วใหม่ก็ต้องเสียเวลาทำ เสียเวลาผมนั่งรอ ลูกค้าคนอื่นต้องรอแล้วมาตำหนิผมว่าทำให้ต้องเสียเวลาเพิ่มทั้งที่นี่ไม่ใช่ความผิดผม ถูกไหมครับ” ติณภพว่าจะไม่พูดเยอะแล้วนะ หน้าของชวินทร์ตอนบอกให้ใจเย็นลอยขึ้นมา แต่เอาเข้าจริงความหงุดหงิดจากลูกค้าที่ก่อเรื่องเมื่อตอนเช้าที่โรงแรมทำให้อดไม่ได้ ถึงควบคุมเสียงไม่ให้มีอารมณ์โมโห แต่ดูจากที่พนักงานก้มหน้างุดใกล้ร้องไห้เต็มทน หน้าตาหยิ่งๆของเขาคงทำให้เป็นเรื่องอีกจนได้
“ถ้าอย่างนั้นผมรับแก้วนี้เองครับ”
เสียงใครอีกคนดังขึ้นด้านหลังจนต้องหันไปหาทั้งเขาและพนักงานแคชเชียร์ ติณภพเห็นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กว่าเขาประมาณหนึ่ง หน้าตาคมคายเหมือนพระเอกสักคนที่นึกชื่อไม่ออก คิ้วเข้ม ดวงตาเรียวรีพรั่งพร้อมด้วยลูกแก้วสีเข้มจัดสุกใส จมูกโด่ง และมีรอยยิ้มละมุนที่ริมฝีปากอวบอิ่ม ทว่ามีทรงผมเหมือนเพิ่งตัดสินใจไว้ยาวจากทรงเก่าที่เป็นสกินเฮด เป็นทรงที่ถือว่าสั้นมากจนเปิดให้เห็นว่าข้างใบหูซ้ายนั้นใส่ต่างหูห่วงประมาณหกหรือเจ็ดห่วงเล็ก หนึ่งห่วงใหญ่ที่ปลายติ่งหู ส่วนด้านขวามีเพียงห่วงกลมขนาดใหญ่เพียงห่วงเดียวเหมือนกันกับข้างซ้าย
โอ้โห หลุดออกมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นหรือไงวะเนี่ย
“คือจะตัดหน้าผมหรือยังไงคุณ” พิจารณาความหน้าตาดีได้สามวินาทีติณภพก็กลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง
“เปล่าครับ ผมสั่งคาปูชิโนอยู่แล้ว แล้วก็ได้คิวต่อจากคุณ แต่ถ้าแก้วนี้มันทำออกมาปกติจะได้ให้น้องเขาทำแก้วในคิวของผมแต่ไม่ใส่ฟองนมให้คุณไงครับ ไม่เสียเวลาด้วยนะ” ว่าแล้วเขาคนนั้นก็ยืนเลขในบิลเงินสดให้ดูว่าไม่ได้พูดโกหก ได้ยินเสียงแว่วๆจากพนักงานแคชเชียร์ที่ได้โอกาสหันไปตะโกนด้านหลังว่าไม่ให้ใส่ฟองนมในกาแฟ
“คนเรามันพลาดกันได้ อย่าไปว่าน้องเขาเลยมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ ตกลงคุณจะรับไหม มีคนอื่นรออยู่นะ” ใครคนนั้นยิ้ม ติณภพว่ามันดูยียวนเหลือเกินถึงจะเหมือนเป็นการเจรจาธรรมดาก็เถอะ หันไปหาพนักงานยังเจอสายตากดดันอีก เลื่อนสายตาลงต่ำอีกทีเจอกาแฟเย็นสองแก้ววางรออยู่แล้ว แก้วหนึ่งคือแก้วแรกที่เขาได้ และอีกแก้วหนึ่งคือแก้วใหม่ที่ไม่มีฟองสีขาวอยู่ด้านบน ให้ตาย เมื่อกี้ที่จะร้องไห้คืออะไรกัน
“ถือว่าวันนี้คุณโชคดีนะ” พูดกับพนักงานแล้วคนหงุดหงิดก็เลือกที่จะคว้าแก้วกาแฟแก้วใหม่ไปนั่งที่โต๊ะยาวตำแหน่งเดิม...
...เพื่อที่จะพบว่าพ่อพระเอกการ์ตูนคนดีเมื่อครู่นี้มานั่งข้างกัน แถมยังส่งยิ้มมาให้อีก
“ถ้าจะตามมาเอาคำขอบคุณ ผมไม่มีให้หรอกนะครับ”
“ขอบคุณครับ” เขาพูดขึ้นทั้งที่ยิ้มอยู่แล้วหันไปดูดกาแฟจากในแก้วที่เกือบจะเป็นของติณภพตั้งแต่แรก อยู่ๆก็รู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งหน้า แล้วนี่อะไร จบแล้วทำหน้าตาเหมือนกำลังนึกอะไรสักอย่างก่อนเขียนตัวหนังสือจดลงไปในสมุดสีฟ้าเส้นตารางหวานแหววของผู้หญิง
“ตั้งใจจะกวนผมหรือไงคุณ ถึงได้มานั่งข้างกันแบบนี้”
“ตรงอื่นมีที่ให้นั่งก็ดีสิครับ” เขาพูดไปเขียนไป ยิ่งเห็นว่าเขียนด้วยมือซ้ายซึ่งเป็นข้างที่ติณภพไม่ถนัดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าหงุดหงิดเข้าไปอีก “แล้วคุณน่ะอย่าหงุดหงิดให้มากนักเลย หน้าคุณดุ น้องพนักงานเกือบร้องไห้แน่ะเมื่อกี้”
“สร้างภาพคนดีแล้วยังมาวิจารณ์หน้าคนอื่นอีกเหรอ” ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เมื่อระลึกได้ว่าตรงอื่นไม่มีที่นั่งจริงๆ
“ผมเปล่า แค่จะบอกว่าคนหน้าตาน่ารักอย่างคุณเหมาะกับเวลายิ้มมากกว่าจะทำหน้าบึ้งนะ”
ติณภพที่จ้องหน้าอีกคนขมวดคิ้วเตรียมออกศึกอารมณ์ถึงกับชะงักไปไม่ต่างจากพนักงานคนเมื่อครู่ ทำไมถึงมีผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาชมกันแบบนี้ หมอนี่ต้องเป็นคนที่มีรสนิยมบิดเบี้ยวแน่ๆถึงได้มองว่าไอ้ตี๋หน้าบอกบุญไม่รับเป็นคนน่ารัก
ตั้งสติก่อน ติณภพต้องตั้งสติ ดื่มกาแฟเย็นให้ชื่นใจก่อน
อร่อย! รสชาติกลมกล่อมถูกใจที่สุดตั้งแต่เคยดื่มมาเลย ยี่ห้อที่ว่าราคาแพงแก้วละหลักร้อยยังต้องชิดซ้าย เป็นไปได้จะมาซื้อทุกวันเลยโว้ย
“รีบจนลืมหยิบหลอดเลยสิคุณ”
“ผมชอบดื่มกับแก้วครับ ช่วยไม่ให้เต่าทะเลต้องกินหลอดพลาสติก” และยังได้ฟีลกว่าด้วย แต่เรื่องอะไรจะต้องเล่าให้ฟัง
คนชวนคุยไม่ต่อความยาวกับติณภพอีก ทำแค่ยิ้มในแบบที่มองอย่างไรไม่พ้นจุดประสงค์ว่าต้องการกวนเขา เอาวะ ถ้านั่งอยู่เงียบๆไม่เปิดช่องพูดคุย อีกคนน่าจะไม่วุ่นวายตอบโต้กลับมาอีก เอาไว้มีที่นั่งว่างตรงอื่นค่อยลุกออกไป
RRRRR
“ว่าไงคุณ”
[ผมต้องเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่าไหมครับ เห็นคุณโสมบอกว่าคุณโทรมาตอนผมไปธุระ]
“ก็แบบ ไม่รู้จะไปไหนไงคุณวิน ที่อเวนิวนี่มีร้านเปิดใหม่ผมเลยว่าจะชวนคุณมาทานข้าว ช่วงนี้มันเครียดๆด้วยล่ะ” ติณภพวาดนิ้วไปมาลงกับเคาท์เตอร์ไม้เนื้อดี สายตาหาจุดโฟกัสไปเรื่อยๆภายในร้านกาแฟ “เมื่อเช้าที่โรงแรมวุ่นวายนิดหน่อย จะแอบออกมาดันเจอป๊ามาพอดี คุณเลขาคนหล่อของผมแม่งก็เผาผมต่อหน้าป๊าว่าผมไม่แอบหนีไปเที่ยวหรอกเพราะไม่ค่อยมีเพื่อน คุณดูสิ”
ปลายสายหัวเราะเสียงใส เป็นเสียงที่ติณภพได้ยินเสมอเมื่อเขาเล่าเรื่องอะไรให้คุณชวินทร์ฟัง โดยเฉพาะเรื่องใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโรงแรม [ไม่รู้อะไรจริงมากกว่ากันระหว่างเรื่องชอบแอบแวบกับเรื่องไม่มีเพื่อน เลขาคุณนี่ก็เก่งนะ เจ้านายดุยังทนได้]
“คุณชวินทร์ ผมไม่ได้เล่าเพื่อให้คุณมาซ้ำเติมนะเว้ย เป็น GM น่าเบื่อจะตาย ส่วนเรื่องเพื่อน แถวนี้มีคุณคนเดียวจะให้ผมไปหาใครล่ะ แล้วนี่คุณว่างเมื่อไหร่ครับ”
ติณภพระบายยิ้มน้อยๆ ยกแก้วกาแฟดื่มกาแฟอีกครั้ง พอหันไปทางด้านข้างที่มีผู้ชายจอมกวนนั่งอยู่ถึงพบว่าใครคนนั้นมองเขาอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบเบนสายตาออก
[ขอเวลาอีกสักสองสามวันแล้วกัน ช่วงนี้ผมก็เครียดๆ ทนเหงาไปก่อนนะคุณติณภพที่รัก คิดถึงคนขี้บ่นจะแย่]
“ที่รักบ้านคุณเถอะว่ะ อย่าบ้างานเกินไปล่ะ เครียดก็พักบ้างครับ ว่างเมื่อไหร่บอกผมแล้วกัน”
[ครับ ขอบคุณครับ]
“เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าเวลาคุณยิ้มดูดีกว่าตอนทำหน้าดุอีก” หลังกดวางสายเจ้าของเสียงสดใสทักขึ้นโดยที่ยังไม่ละสายตาออกไปจากเขาเลย นั่งท้าวแก้มด้วยหลังมืออวดนิ้วเรียวยาวสองสามนิ้วให้ปลายคางเชิดเล็กน้อย ติณภพยังเห็นว่ามีแหวนเงินเกลี้ยงสวมอยู่บนนิ้วกลางของมือข้างนั้นด้วย
“น่าจะเป็นเพราะหน้าตาผมดูดีอยู่แล้วมากกว่าครับ ทำหน้าแบบไหนก็เลยออกมาดี” เจ้าของอเวนิวกำลังพยายามซ่อนรอยยิ้มที่เขาเผลอแสดงออกจากตอนคุยโทรศัพท์เมื่อครู่ด้วยการตีหน้านิ่งเข้าใส่ ลองดูว่าถ้าตอบไปแบบนี้จะมีสีหน้าอย่างไร
“อืม อันนั้นผมไม่ปฏิเสธ”
อะไรของผู้ชายคนนี้กันวะ จะมาไม้ไหนเดาใจยากเหลือเกิน รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนหัวโจกเด็กนักเรียนญี่ปุ่นที่เกเรแบบแบดบอย โคตรย้อนแย้งกับคำพูดสุภาพและน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังแบบนั้น ติณภพไม่ไว้ใจรอยยิ้มนั้นเอามากๆ ดูเป็นคนดีเกินไป ดูปลอมเกินกว่าจะจริงใจโดยไม่หวังผลบางอย่าง
อยู่ตรงนี้นานๆคงไม่ได้ ดูสถานการณ์ควรให้ต้องกลับไปทำงานที่โรงแรมอย่างเดิม
“เรื่องของคุณแล้วกัน ผมขอตัว”
“เชิญตามสบายครับ โอกาสหน้าแวะมาอีกนะ”
มาน่ะแวะมาแน่ แต่ติณภพหวังว่ามาแล้วจะไม่เจอคนแบบคุณอีกเป็นครั้งที่สอง คนอะไรมากวนคนอื่นแล้วยังหวังจะให้มาเจอกันอีก เซ็ง
__________
ถัดจากสาทรไปต่อทองหล่อเรยค้าบ
ส่งฟีดแบคได้ที่
#ทองหล่อที่รัก นะคะถ้าชอบ เรื่องนี่ไทม์ไลน์เดียวกับหลงมาที่สาทร จะอ่านเรื่องอะไรก่อนก็ได้ค่ะ