Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]  (อ่าน 16116 ครั้ง)

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
คุณทองหล่อนี่มาจากชื่อเรื่องทองหล่อที่รักหรือเปล่าคะ 555 เอ็นดูคุณติณจังเลย จะได้ไปเปิดโลกแล้วว

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love IV
ทองหล่อที่รัก




หลังจากทำข้อตกลงกันอยู่นานสองนาน ทั้งคู่มาจบลงตรงที่นั่งอยู่ในรถสัญชาติยุโรปของติณภพ คุณเจ้าของร้านอาสาขับให้ด้วยความที่รู้จักสถานที่ปลายทางอยู่คนเดียว แต่คุณเจ้าของรถไม่ยอมให้ใครมาขับขี่ลูกรักง่ายๆ คนชวนไปจึงต้องเป็นฝ่ายบอกเส้นทาง ถ้าเกิดหลอกพาไปทำอะไรไม่ดีเข้าจริงๆยังได้เปรียบขับรถหนีปล่อยอีกคนไว้กลางถนนได้ ไม่ได้คิดมากนะ แค่เผื่อฉุกเฉิน


รถยุโรปรุ่นท็อปสี่ประตูภายในกว้างขวางนั่งสบาย ซื้อมาขับอยู่หลายปี ไม่เคยรู้สึกว่ามันคับแคบจนผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่ากันมานั่งที่เบาะคนขับนี่แหละ ขนาดคุณชวินทร์ที่นั่งร่วมทางไปด้วยกันตั้งหลายหน ติณภพยังไม่รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงเหมือนตอนนี้เลย


“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาคนนั้นหันมาถาม เลยต้องรีบหันกลับไปมองทางตรงสตาร์ทรถยนต์แก้เก้อ


“เปล่า ผมแค่ไม่ชิน ปกติขับคนเดียว”


“แล้วรถรุ่นไหนขับได้สองคนล่ะ”


กวนส้นตีนนะครับ


“หมายถึงขับไปไหนมาไหนคนเดียว ขับสองคนนี่ซื้อเครื่องบินส่วนตัวไหม” ติณภพส่งเสียงจิ๊ปากรำคาญ มองซ้ายมองขวาแล้วเหยียบคันเร่งเตรียมออกจากพื้นที่อเวนิว ส่วนคนข้างๆนั่งขำ


“แสดงว่ายังไม่มีตุ๊กตาหน้ารถล่ะสิ”


“มีหรือไม่มีแล้วคุณจะทำไม” คราวนี้คนขับเริ่มเสียงเขียว “ถ้ายังไม่บอกว่าจะให้ขับไปไหนผมจะไปปล่อยคุณที่ตึกร้างสาทรแล้วกลับบ้านล่ะนะ ยิ้มอยู่ได้”


“ครับๆ ดุจังเลย” ติณภพล่ะเกลียดคนที่ชอบแกล้งประชดทำเป็นกลัวเขาที่สุด เกลียดที่ไม่ได้แปลว่าไม่ชอบ แต่เป็นแนวหมั่นไส้เสียมากกว่า ยกตัวอย่างคนที่มีพฤติกรรมประเภทนี้คือคุณเจตน์เลขาตัวดีของเขาเอง


“เดี๋ยวพอเลี้ยวออกไปคุณขับเลยสี่แยกข้างหน้าไปกลับรถ พอกลับรถแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายด้านนั้นนะครับ แล้วก็...”


เสียงทุ้มปรับอารมณ์เป็นโทนกลางที่ไม่เจืออารมณ์ขันแบบทีแรก คุณเจ้าของร้านบอกเส้นทางอย่างละเอียดว่าจะต้องเลี้ยวตรงไหนหรือเข้าซอยอะไร ถึงจะไม่ได้มาบ่อยแต่ติณภพก็พอเห็นเป็นภาพแผนที่ในหัวได้ชัดเจนเพราะเคยขับผ่านสองสามครั้ง


พอพยักหน้าเป็นที่เข้าใจได้แล้วมาถึงสี่แยกแรกที่ไฟสีเขียวเปิดไม่จำกัดเวลา คนขับเลี้ยวตัดแยกด้วยการหักพวงมาลัยไปด้านซ้ายทันที


ปริ๊น! ปริ๊น! ปริ๊น!


เสียงบีบแตรจากรถคันหลังดังลั่นทั่วบริเวณเหมือนตั้งใจตบแตรให้พังคามือ คนขับในรถคันนี้สบถ คนนั่งข้างคนขับเหลือกตาร้องอุทานออกมา


“เฮ้ยคุณ! ทำไมไม่ไปกลับรถแล้วค่อยเลี้ยวตามที่ผมบอก ตรงนี้ห้ามเลี้ยวซ้ายตัดแบบนี้นะ”


“อ้าวเหรอ ผมไม่รู้ว่าห้าม” ตอบแค่นั้นแล้วขับรถต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหลือบๆมองหางตาด้านซ้ายพอจะเห็นอยู่ว่าคุณเจ้าของร้านมีสีหน้าตกใจปนไม่พอใจที่เขาทำอย่างนั้น ก็ช่วยไม่ได้ กว่าจะเลยไปกลับรถ กว่าจะรอไฟแดงมันเสียเวลา แถมเมื่อกี้เขาไม่รู้จริงๆว่ามันห้ามเลี้ยวเพราะไม่ได้มานานแล้ว ไม่รู้ว่ากฎจราจรเปลี่ยนไป


ถึงเสียงที่เขาตอบกลับไปมันจะฟังดูตอหลดตอแหลเหมือนแกล้งไม่รู้ก็เถอะ


“ทีหลังทำตามที่ผมบอกนะครับถ้าคุณไม่ค่อยได้มาแถวนี้ กล้องวงจรปิดมันมี”


“เดี๋ยวมันส่งใบมาเมื่อไหร่ค่อยไปจ่ายเอา แล้วนี่ตรงไปไหนอีกครับ”


ติณภพรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีไม่อยากฟังใครบ่นเรื่องกล้องวงจรปิดจากแยกไฟแดงอีก เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งไปจ่ายค่าปรับครั้งที่สองของเดือนมาและเขาเบื่อจะทนฟัง หันมาด้านข้างเห็นใบหน้าคมนั่นกำลังขมวดคิ้วมองมา


“ร้านที่เราจะไปอยู่เลยป้ายใหญ่ๆตรงนั้นครับ ตอนนี้เข้าเลนซ้ายได้เลย เดี๋ยวเข้าไม่ทันแล้วจะขับเลยไปไกล”


“อ่าฮะ”


หลังรับคำแล้วคนหน้าตี๋เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเล่น เหยียบคันเร่งแซงหน้าขึ้นไปแล้วตบไฟเลี้ยวซ้ายขอทาง อาศัยจังหวะช่องว่างเล็กๆปาดรถคันข้างหลังที่กำลังเร่งมาแบบแนบเนียน เมื่อเลยป้ายโฆษณาอันที่คุณเจ้าของร้านชี้ให้ดูแล้วจึงค่อยชะลอรถ ได้ยินเสียงหายใจเข้าและถอนหายใจดังเฮือก ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าอีกคนกำลังมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจเอามากๆ


“เลี้ยวตรงนี้เลยครับ”


มีที่ว่างให้จอดรถอยู่หนึ่งช่อง รถยุโรปคันงามแล่นเข้าไปจอดได้พอดิบพอดีเหมือนถูกจับวาง เสียงปลดเข็มขัดดังขึ้นก่อนที่เขาจะดับเครื่องยนต์


“ขากลับผมขอเป็นคนขับแทนได้ไหม”


“ทำไมครับ ผมขับรถไม่ดีเหรอ” ติณภพกลั้วหัวเราะในคอ มองคนที่มีสีหน้าเหมือนกำลังด่าเขาในใจว่า ยังมีหน้ามาถามอีก แต่เลือกที่จะตอบกลับอย่างสุภาพ


“คุณขับรถมานานหรือยังถามจริง มีชีวิตรอดจากการขับรถแบบนี้มาได้ยังไง ผมสงสัยมาก”


“ไม่ได้เป็นทุกวันหรอก แค่วันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี เชิญครับ” แล้วคุณเจ้าของรถก็กดปลดล็อคประตูกึ่งเชิญลงกึ่งสื่อความหมายว่าให้หุบปาก คุณเจ้าของร้านเลยจำยอมเงียบไปไม่ต่อความยาวอะไรเพิ่ม



สถานที่ที่คุณเจ้าของร้านกาแฟไม่ยอมบอกตั้งแต่แรก ติณภพมาเห็นกับตาตัวเองว่าที่สุดแล้วมันคือร้านกาแฟร้านเล็กๆร้านหนึ่ง ก้าวเข้ามาในร้านแล้วเหมือนหลุดจากเมืองไทยมาถึงญี่ปุ่นในพริบตา ภายในตกแต่งสไตล์มินิมอล ผนังสีขาวเจิดจ้าสลับกับเฟอร์นิเจอร์สีดำ เทา และขาว ดูโมโนโทนสะอาดสบายตา


เคาท์เตอร์ชงกาแฟสั่งทำจากหินอ่อนสีดำปรากฏสู่สายตาตรงหน้าร้าน มีเครื่องชงกาแฟครบครันเพียบพร้อมกับคนชงหนึ่งคน คงเป็นเจ้าของร้านถ้าเดาไม่ผิด ติดกับริมกระจกหน้าร้านมีชุดเก้าอี้นั่งสามชุดและสองในสามมีลูกค้านั่งคุยกัน มองไปด้านหลังมีส่วนต่อเติมข้างในที่เป็นมุมค่อนข้างดูส่วนตัวแต่ติณภพยังเห็นไม่ถนัด เพราะยืนรอคนหน้าตาสไตล์ฮาราจูกุนิยมสั่งเครื่องดื่มอยู่ตรงนี้


ข้างหน้าว่าสว่างแล้วหากข้างในร้านสว่างกว่า ติณภพเห็นเป็นชุดโต๊ะหินอ่อนสีขาวสองชุดที่เข้ากันกับเก้าอี้หินอ่อนสี่ขาด้านนอก ส่วนที่ติดกับผนังเป็นโซฟาสีเทาขาวขนาดกลางสองตัวต่อกันประดับด้วยหมอนอิงนุ่มๆสีขาวสลับดำ แต่ละชุดโต๊ะจะมีสายไฟเดี่ยวห้อยลงมาในระดับเหนือศีรษะพร้อมหลอดไฟสีส้ม ผนังด้านหลังมีข้อความภาษาอังกฤษสั้นๆตัวอักษรสวยงาม ทั้งหมดนี้เหมือนออฟฟิศทำงานขนาดย่อมของชีวิตคนกลางเมืองที่มีรสนิยมเรียบแต่หรู


คุณเจ้าของร้านหน้าเข้มเป็นคนเลือกนั่งโต๊ะริมในสุดติดผนัง โดยที่ตัวเองนั่งเก้าอี้หินอ่อนสี่ขา และให้ติณภพนั่งโซฟาด้านในฝั่งตรงข้ามกัน ดีที่ไม่มีใครเข้ามานั่งข้างในตรงนี้ บรรยากาศรอบตัวจึงให้ความรู้สึกว่าปลอดภัยอย่างไรไม่รู้


“เคยมาร้านนี้ไหมครับ”


“ไม่เคย ร้านเล็กแบบนี้ขับรถผ่านไม่ทันสังเกตเห็นหรอกคุณ แล้วนี่คือสถานที่เปิดโลกที่คุณบอกผมเหรอ” ติณภพทำเป็นเบ้ปากมองไปรอบๆ ทั้งที่ความจริงถูกใจสถานที่นี้อยู่ไม่น้อย “พาออกมาจากร้านกาแฟเพื่อมากินกาแฟอีกร้านเนี่ยนะ”


“คุณไม่เคยมา คุณจะรู้อะไร” คนฝั่งตรงข้ามยักคิ้วจนจิวเงินนั่นขยับตามเตะสายตาให้มอง รอยยิ้มมุมปากแบบนี้ทำให้คิดว่าต้องมีอะไรที่ใครคนนี้รู้แต่เขาไม่รู้อย่างนั้นแหละ จะมีความลับอะไรนักหนา พูดออกมามันยากนักหรืออย่างไร


“แล้วคุณเคยมา คุณรู้อะไรล่ะ”


เขาไม่ตอบแต่ส่งยิ้มมาให้ เป็นยิ้มแบบเดียวกันกับที่เจอกันวันแรก ยิ้มธรรมดาของคนน่ามองที่ติณภพคิดว่าไม่น่าไว้ใจ แต่บรรยากาศในร้านกลับให้ความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อมีเขาอยู่ในสายตาตอนนี้ ไม่รู้เพราะอะไร


วูบโหวงในอกแปลกๆ ต้องเบนสายตาไปทางอื่น


เล่นมือถือรออีกครู่หนึ่ง พนักงานคนเดียวในร้านที่คิดว่าควบตำแหน่งเจ้าของร้านด้วยก็ยกถาดวางแก้วกาแฟเข้ามา คนที่เพิ่งมาครั้งแรกเบิกตากว้าง อีกคนที่มาด้วยกันลุกขึ้นยืนช่วยหยิบยกลงมาวางบนโต๊ะ


“เรามากันแค่นี้แล้วคุณสั่งมาทำไมตั้งสี่แก้ววะ กะจะให้หัวใจวายตายเลยหรือไง”


“มากันสองคนจริงเหรอ บางทีคุณอาจจะมองไม่เห็นก็ได้”


“นี่ รถผมมือหนึ่งนะเว้ย ขาวสะอาดไม่มีประวัติอะไรมาก่อน” คุณเจ้าของรถแยกเขี้ยว “ของผมแก้วไหนล่ะ หรือของคุณคนเดียว”


“ถ้าอยากดื่มหมดนี่ผมก็ไม่ห้ามหรอก” เขาหัวเราะแล้วอธิบาย “ผมสั่งมาชิมน่ะ มีคาปูชิโน ลาเต้ เอสเพรสโซ แล้วก็มอคค่า แบบเย็นทั้งหมดเลย”


นอกจากนี้ยังมีขนมปังครัวซองสีดำแบบชาโคลกับสีออกส้มอย่างละชิ้น รวมถึงน้ำเปล่าหนึ่งขวดที่ไม่ต้องอธิบายให้ฟังก็รู้ว่าคืออะไร เหลือบไปเห็นแล้วยิ่งขมวดคิ้วหนัก ไอ้สมุดสีฟ้าเล่มนั้นมันมาวางอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่วะ


“คุณจำรสชาติกาแฟที่ร้านผมได้ไหมครับ” ติณภพพยักหน้ารับ เขาเลยมีสีหน้าสบายใจขึ้น “อย่างนั้นลองชิมคาปูชิโนของร้านนี้ แล้วเปรียบเทียบให้ผมฟังหน่อยสิว่าเหมือนหรือต่างกันยังไง”


“ผมเพิ่งดื่มมาแก้วหนึ่งเต็มๆเลยนะ ยังต้องดื่มแก้วนี้ด้วย? คืนนี้ไม่ต้องนอนแล้วมั้ง...มีฟองนมไหม”


“มี แต่ใช้หลอดดื่มเถอะ แค่อึกเดียวก็ได้”


บ่นไปอย่างนั้นแต่ยอมทำตามอยู่ดี ติณภพคว้าแก้วที่คนสั่งยื่นให้มาดื่ม สัมผัสแรกที่ของเหลวแตะปลายลิ้นคือฟองอากาศเบาบางรสนม ตามด้วยน้ำกาแฟจริง พอทิ้งค้างไว้สักพัก กลืนลงไปแล้วต้องนั่งนึกคำพูดก่อนว่ารสชาตินี้เป็นอย่างไรในความคิด คุณเจ้าของร้านทำหน้าลุ้นตามไปด้วย


“ผมว่าฟองนมทำให้กาแฟหอมดี แต่รสเขาเจือจางไปนิด กลิ่นกาแฟหอมน้อยกว่ากลิ่นนม โดยภาพรวมคืออร่อย ถ้าเป็นของร้านคุณกลิ่นนมไม่กลบกาแฟ และรสเข้มกว่านี้นิดหน่อย”


คนฟังไม่พูดอะไร คว้าแก้วคืนไปจากเขาแล้วกลับด้านหลอดที่ติณภพดื่มไปแล้วให้ลงไปอีกด้าน ดื่มตามทันที ชั่วอึดใจลูกกระเดือกที่ลำคอขยับขึ้นลงชัดเจนแสดงว่ากลืนลงไปเรียบร้อยแล้ว พยักหน้าให้คนทางนี้เหมือนว่าเห็นด้วย ก่อนจะหยิบสมุดน่ารักขัดกับหน้าตาเจ้าของมันมาเปิดแล้วจดเขียนบางอย่างลงไป


ตอนจดไปยิ้มไป เลียปากไป ดูมีความสุขมาก


“คุณช่วยชิมที่เหลือด้วยได้ไหม”


“ผมชิมได้นะ แต่คงบอกแบบเมื่อกี้ไม่ได้เพราะชอบอยู่รสเดียว รสอื่นไม่ค่อยสั่งดื่ม คุณคงต้องชิมเองแล้วล่ะครับ”


“อย่างนั้นคุณทานครัวซองแทนแล้วกันนะ ผมสั่งมาให้” เขาบอกตอนยกจานขนมมาวางใกล้ๆ ก่อนเปิดขวดน้ำเปล่าดื่มล้างคอ


“คาปูชิโนคุณเอาไปเลยได้ แต่ถ้าไม่ก็วางทิ้งไว้แบบนั้น”


จากนั้นคุณพระเอกการ์ตูนก็ทำแบบเดิมคือดื่มชิมกาแฟแก้วต่อมา ทิ้งค้างละเลียดกาแฟสักครู่ เหลือบตาขึ้นบนแบบใช้ความคิด แล้วจดลายมือยึกยือลงในกระดาษสมุด ติณภพมองดูอยู่ตลอดการนั่งกัดครัวซองชาโคลสีดำจนหมดชิ้น สลับการดื่มกาแฟแก้วเมื่อครู่ที่กลับด้านหลอดมาเป็นด้านเดิมแล้วไม่ให้ขนมปังฝืดคอ


หลังจดเสร็จเขาคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา ชวนคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยๆพอประมาณ ทุกครั้งหลังเขียนจบเขาจะดื่มน้ำเปล่าแล้วถึงเริ่มดื่มแก้วต่อไป บางครั้งนั่งอยู่นานไม่ยอมเขียน ต้องดื่มเข้าไปซ้ำให้รู้สึก บางทีเขียนอยู่ไม่เงยหน้าขึ้นมองยังเอ่ยปากถามได้ ที่โต๊ะจึงไม่เงียบเหงาเท่าไหร่ และติณภพว่าดีเพราะไม่ชอบเล่นมือถือบ่อยนัก


ถึงเวลาคุยจะไม่พ้นถ้อยคำกวนโอ๊ยทั้งหลาย มีหัวเราะบ้าง แต่เวลามองเขาเขียน ติณภพกลับพบว่ารู้สึกเพลินตาดี ไม่ว่าจะเป็นการได้เห็นโครงหน้าชัดเจนในอีกมุม เห็นต่างหูเงินหลายห่วงขยับไปมาตามแรงเคลื่อนไหว แหวนและสร้อยข้อมือวาดลวดลายขยับตามนิ้วมือเรียวยาวกับข้อมือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนสีเขียว พูดถึงเรื่องเส้นเลือดที่ข้อมือของตัวเองก็มี แต่มองแล้วทำไมไม่เพลินเท่ามองของคนอื่นอันนี้ตอบไม่ได้


“คุณถามผมว่าผมรู้อะไรใช่ไหม ตอนเพิ่งเข้ามา”


“ใช่ ถามแล้วคุณไม่ตอบ ก็ไม่ได้อยากรู้อะไรมากหรอก” ทำท่าไม่ใส่ใจ แต่ความจริงคือยังแอบเคืองที่คนตรงหน้าเมินคำถาม


“สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้คือคุณดูสบายใจขึ้นมาก คิดไม่ผิดที่พามา”


รอยยิ้มที่ระบายออกมาพลันหุบลง คิดตามคำพูดนั้นแล้วกลับมาโฟกัสที่ตัวเอง ถึงพบว่าคุณเจ้าของร้านพูดถูก ติณภพรู้สึกสดชื่นขึ้นจริง ถึงกับลืมไปเลยด้วยว่าเมื่อเช้าหนักอึ้งกับการประชุมจนเหนื่อยเหมือนผีตายซากที่ร้านกาแฟในอเวนิว คล้ายว่าสบายใจเมื่ออยู่กับคุณชวินทร์ แต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว มันมีอะไรที่แตกต่างออกไป


ความรู้สึกปลอดภัยอย่างนั้นเหรอ...


“คนอย่างคุณอ่านไม่ยากหรอก ผมเดาว่าไม่เคยมานั่งทำอะไรแบบนี้ด้วย ถ้าทำงานแล้วมันเหนื่อยมาก ลองมาหาที่สบายใจพักผ่อน นั่งดื่มหรือทานของอร่อยๆที่ชอบดูสิครับ ยิ่งถ้าคุณมากับเพื่อนหรือคนที่รักนะ คุณจะมีเวลาได้คิดทบทวนและมีสติมากขึ้นในการแก้ปัญหาหรือสู้กับงาน”


น่ากลัว เป็นการพูดที่ทำให้เจ้าของโรงแรมหนุ่มตี๋ชอบมาก ทว่าน่ากลัวที่จะทำให้รู้สึกมากไปกว่าคำว่าปลอดภัย


“เราเจอกันสามครั้งเอง คุณว่าผมรู้สึก...สบายใจไหมล่ะ แค่ชื่อเรายังไม่รู้กันเลย”


“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย บางทีเราพูดคุยกับคนรู้จักก็ทำให้ลำบากใจ สู้คุยกับคนไม่รู้จักไปเลยดีกว่า ไม่ต้องกลัวเอาไปบอกใครต่อ เพราะบอกไปก็เท่านั้น ไม่ได้รู้จักกัน ตอนนี้ดูว่าคุณหายเหนื่อยระดับหนึ่งแล้ว เมื่อกี้คุยกันคุณยิ้มหลายครั้งนะ”


รู้สึกจุกแปลกๆกับต้นประโยคแม้ว่าท้ายประโยคเป็นเรื่องที่ดี


“คำว่าเปิดโลกของคุณคืออะไร”


คนที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อยังไม่ตอบในทันที เขาจดอะไรอีกนิดหน่อยลงในสมุด จากนั้นปิดลงเลื่อนออกห่างตัวให้รู้ว่าจะไม่เขียนมันอีกแล้วหลังจากนี้ ช้อนสายตาขึ้นมองแล้วเผยรอยยิ้มแบบใหม่ที่ยังไม่แน่ชัดว่าหมายถึงอะไร แววตาสดใสขึ้นกว่าปกติ


“เปิดโลกของผม ให้คุณเข้ามาไง”


คนฟังชาวาบไปทั่วใบหน้า เสียวแปลบปลายเท้าไปหมด


What the hell


“Are you hitting on me?” (นี่คุณจีบผมเหรอ?)


เวลาตกใจหรือทำตัวไม่ถูก นึกคำพูดภาษาไทยไม่ทันติณภพจะพูดภาษาอังกฤษออกมาแบบนี้แหละ เพราะในชีวิตประจำวันส่วนมากคนที่แกล้งให้เขาเป็นอย่างนี้มักเป็นน้องชายต่างแม่ตัวแสบทั้งสองคนที่พูดภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย บางทีแม่เลี้ยงยังแกล้งหยอกเขาเองเลย


“My answer doesn’t matter if you already had yours. It depends on what you think. Your  choice.” (คำตอบของผมไม่สำคัญหรอกถ้าคุณคิดเอาเองไปแล้ว ก็แล้วแต่ว่าคุณจะคิดอะไร คุณเลือกเอง)


น่าประหลาดใจเข้าไปใหญ่ที่อีกฝ่ายตอบออกมาชัดถ้อยชัดคำด้วยสำเนียงอังกฤษแบบบริติช คนหน้าตาญี่ปุ่นพูดอังกฤษ อเมซิ่งจริงๆ


แต่นี่กำลังโดนสบประมาทสินะ เข้าข่ายประโยคที่ว่า โตแล้วไปคิดเอาเอง ก็ดี...กำกวมดี


คุณชวินทร์เคยบอกว่าให้ปล่อยเบลอไปบ้าง เขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน ที่จริงกับเรื่องรักๆใคร่ๆติณภพห่างจากมันมานานแล้ว รู้ว่าคงไม่มีใครทนนิสัยของเขาได้นานนัก คุณชวินทร์ที่ว่าเป็นคนเรียบร้อย เฉยๆนิ่งๆ ยังมีแฟนก่อนเขาเลย แต่เป็นเรื่องเดียวที่ติณภพไม่รู้สึกอิจฉาอยากมีอยากเป็นบ้าง


พูดถึงคุณชวินทร์ เซฟโซนที่ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันสักพักแล้ว ก็ดูเหมือนว่าคุณเจ้าของร้านจะเป็นคนที่ติณภพได้พูดคุยด้วยมากที่สุดรองจากครอบครัวและเลขา ไม่นับว่ากวนเบื้องล่างกันไปเท่าไหร่ เขาก็เป็นคนที่ต่อปากกันสนุกเหมือนเวลาคุยกับคุณวิน


“ถ้าวันนี้คุณรู้สึกสบายใจขึ้น บรรเทาความเหนื่อยลงไป คราวหน้าเหนื่อยกับงานเมื่อไหร่เราไปที่อื่นกันได้นะ ผมยังมีที่อื่นต้องไปอีกหลายที่เลย”


“ว่างอีกตอนไหนล่ะครับ”


“อืม...ก็รอจนกว่าผมของผมจะยาวกว่านี้อีกหน่อยครับ”


ติณภพจะไม่ถามว่าทำไมถึงตอบแบบนั้น ตอนนี้คิดแต่เพียงว่าขอให้คุณเจ้าของร้านว่างพาเขาไปอีกในช่วงนี้ เขาอยากผ่อนคลายภาระที่แบกอยู่บนบ่าอีกสักหน่อยให้พร้อมสำหรับอาทิตย์หน้าเป็นต้นไปที่ยังมีสิ่งหนักกว่ารออยู่


“อย่างนั้นพรุ่งนี้ช่วยพาผมไปเปิดโลกอีกได้ไหม”


“ได้ครับ คุณทองหล่อ”


สั้น ง่าย ได้ใจความและได้คำตอบที่ต้องการ นี่อาจเป็นโอกาสใหม่ที่ทำให้เขาได้เพื่อนอีกคนก็ได้นะ จะได้ลบคำสบประมาทจากคนอื่นสักทีว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน

__________

จัดจ้านในย่านทองหล่อ อย่าเพิ่งเบ้ปากตอนคุณตฤณขับรถเลยเน้อ
ส่วนคุณเจ้าของร้าน มีแพลนว่าจะเฉลยชื่อตอนท้ายๆค่ะ  :110011:
ขอบคุณที่ติดตามค้าบ #ทองหล่อที่รัก

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แงงง เรื่องน่ารักมากๆเลยค่ะ อ่านสบายๆ ไม่เครียด

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
มารอลุ้นชื่อกันค่ะ 555 เรื่องไหลไปเริ่อยๆ สบายๆ อ่านเพลินมากเลย มารอให้อัพทุกวันเลยนะคะ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
รอตอนต่อไปครับ เรื่องราวดี ชอบมาก ๆ เลยครับ ^^

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love V
ทองหล่อที่รัก




ติณภพไม่เคยคิดมาก่อนว่าเวลาที่คนเราสบายใจมากขึ้น จะทำให้ความมั่นใจในการตัดสินใจเพิ่มขึ้นตามมาด้วย แต่มันเกิดขึ้นแล้วหลังจากการส่งคุณเจ้าของร้านกาแฟที่ศูนย์การค้า เขาต่อสายโทรศัพท์หาคุณเจตน์แล้วยืนยันเรื่องการตอบรับศิลปินเกาหลีให้มาพักในโรงแรมแทบจะทันที คุณเจ้าของร้านเองยืนเป็นพยานรับฟังอยู่ด้วย


พอวางสายแล้วพรูลมหายใจออกมายาว เงยหน้ามองตามเสียงหัวเราะเบาๆของคนที่ตัวสูงกว่าก็เจอดวงตาเรียวรียิ้มไปพร้อมกับริมฝีปากจนหยีเล็กลง


“นี่หรือเปล่าเรื่องที่ไม่สบายใจเมื่อตอนบ่าย”


“แค่ส่วนหนึ่งมากกว่า คือจะมีนักร้องเกาหลีมาพักที่โรงแรม ผมเพิ่งโทรไปคอนเฟิร์ม ที่จริงกะว่าจะให้คำตอบตอนใกล้หมดเวลา แต่อย่างที่คุณว่า พอรู้สึกดีขึ้นมันก็ทำให้ตัดสินใจได้”


พูดไปเสยผมปาดเหงื่อข้างขมับไป อีกคนเลยหุบยิ้มแล้วรับฟังด้วยสีหน้าตั้งใจ “มันคงจะวุ่นวายน่าดูเลยนะครับ แต่ผมเชื่อว่าคุณจะผ่านมันไปได้นะ” เขาเอามือมาตบบ่าสองครั้ง “คุณเก่งอยู่แล้ว”


“ไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก คุณเก่งอยู่แล้ว”


เสียงคุณชวินทร์ดังซ้อนขึ้นมาตอนคุณเจ้าของร้านพูดจบ แต่ความรู้สึกหลังได้ยินต่างกันมาก


มากจนต้องเก็บเอามาคิดตอนขับรถกลับบ้าน จนอยู่บนเตียงตอนนี้ ที่นอนเอาแขนก่ายหน้าผากอยู่กลางเตียงนอนในความมืดเวลาสองยาม ด้วยฤทธิ์กาแฟสองแก้วในวันเดียวที่ทำให้นอนไม่หลับ แต่ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพราะพรุ่งนี้ไม่มีงานอะไรด่วนเป็นพิเศษ


ติณภพกำลังจัดระบบความคิดบางอย่างในสมอง ทั้งที่ต้องการคิดเต็มที่ ทั้งที่ปล่อยไปก่อนและเหลือตกตะกอนอยู่ตามซอกหลืบต่างๆ ตามประสาคนติดนิสัย perfectionist ในบางครั้ง และตอนนี้ความคิดทุกอย่างไม่มีเรื่องงานเกี่ยวข้องเลย เขาถึงได้นอนถามตัวเองมาเป็นชั่วโมงแล้วว่าเพราะอะไรถึงเป็นเรื่องของคุณเจ้าของร้านล้วนๆ คิดไปหงุดหงิดไป มันสลัดไม่หลุด!


จริงอยู่ที่คนนอกมองเขากับคุณชวินทร์ว่าเป็นคู่รัก ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง ติณภพรู้หลายเรื่องของคุณวิน และคุณวินก็ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยของเขาเช่นกัน เวลาทำอะไรตัวเองมักนึกถึงคุณวินเป็นคนแรกๆ เพราะคุณวินค่อนข้างมีอิทธิพลกับเขามาก ทั้งดัดนิสัย ทั้งให้คำปรึกษาเรื่องงานเรื่องส่วนตัว ให้ในเรื่องดีมากกว่าที่เขาหาเรื่องปวดหัวไปให้เสียอีก คำพูดให้กำลังใจต่างๆส่วนมากมาจากเพื่อนคนนี้ของเขาทั้งนั้น แต่ความรู้สึกที่มีไม่เคยเกินไปกว่าคำว่าเพื่อน


ติณภพกล้าพูดได้เต็มปาก คิดได้เต็มที่ว่าทุกสิ่งที่ว่านั้นมาจากความจริงใจ คุณวินไม่เคยมองเขาด้วยสายตาที่แปลกออกไป และติณภพไม่เคยมีความรู้สึกกับการกระทำเหล่านั้นไปมากกว่าเพื่อน ต้นไม้ความสัมพันธ์เติบโตขึ้นทุกวันในรูปแบบของมิตรภาพอันดีงาม เขารักและหวงแหนมันเกินกว่าจะปล่อยให้ความรู้สึกใดๆมาทำลายมันลงไปได้ คุณวินเองคงคิดแบบเดียวกัน เพราะถ้าจะเป็นแฟน คงเป็นไปนานแล้ว


มันเป็นความสบายใจที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขารู้สึกจากคุณเจ้าของร้าน


ติณภพห่างไกลจากความสัมพันธ์ที่เกินเพื่อนมาเป็นเวลานานพอจะเลิกสนใจไปแล้ว ขุดความคิดไปเรื่อยๆทั้งที่ตายังเบิกโพลง ครั้งสุดท้ายที่มีความรักน่าจะสักสี่หรือห้าปีที่ก่อน จบกันด้วยความไม่ค่อยดีอันเกิดจากนิสัยส่วนตัวของเขา ดังนั้นติณภพจึงไม่ได้ตั้งความหวังว่าจะใฝ่หาหรือเฝ้ารอความรักครั้งต่อไป ไม่ปิดกั้นแต่ไม่เปิดรับ สงสารคนที่ต้องมาทนกับคนอย่างตัวเอง


เหนื่อยที่ต้องถามตัวเองบ่อยๆว่ามันเกิดความรู้สึกอะไร ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าความสัมพันธ์แปลกๆแบบนี้มันคืออะไร ที่จริงนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ใครคนนั้นอาสารับแก้วกาแฟที่พนักงานทำผิดไปแล้วมานั่งกวนประสาทข้างๆกัน คำพูดคำจาแบบนั้นมีหรือจะดูไม่ออก ยิ่งครั้งต่อๆมายิ่งดูชัดขึ้น ลัดคิวทำเมนูกาแฟให้ก่อน  จนมาถึงการชวนออกไปข้างนอกแบบเมื่อตอนบ่ายแก่ๆของวันนี้ สายตาอันลึกซึ้ง รอยยิ้มมีความสุข ไหนจะน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กมัธยมปลายวัยแตกหนุ่มสาวที่ไม่เคยมีแฟนยังรู้เลยว่าคืออะไร


พอคิดถึงเรื่องที่ว่าคุณเจ้าของร้านทำให้เขาสบายใจขึ้นจากการพูดคุยในยามที่ไม่รู้จะไปไหน ติณภพยังอยากที่จะแวะเวียนไปหาแม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาคนนั้นมาก วันนี้แลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกันพ่อพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นยังบอกมาว่า


“ในเมื่อคุณไม่สะดวกใจจะบอกชื่อผม ผมก็จะไม่บอกชื่อตัวเองเพื่อความเท่าเทียม เราจะยังเป็นคนแปลกหน้าต่อกันแบบนี้ไปเรื่อยๆนะครับ เวลาพูดคุยกันจะได้สบายใจ”


ใช่ ไอ้การเป็นคนแปลกหน้าเวลาพูดคุยเรื่องส่วนตัวมันสะดวกใจดี แต่ไม่มีชื่อให้เรียกนี่ออกจะพิลึกจนตะขิดตะขวงใจไม่น้อย สั้นๆคือตั้งใจกวนเขาแหละ...เอาวะ ช่างมันไปก่อน ในมือถือก็บันทึกเป็นชื่อว่า คุณเจ้าของร้าน ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ปัญหา


ปัญหาคือคุณเจ้าของร้านตั้งชื่อให้ติณภพใหม่ว่าคุณทองหล่อ และการตั้งชื่อแบบนี้มันไม่ได้ต่างไปจากการเรียกชื่อแฟนแบบหยอกเอินกันของคนสมัยนี้


พบกันไม่กี่ครั้ง อยู่ด้วยกันไม่กี่ชั่วโมง คุณเจ้าของร้านใจดีกับเขามากจนไม่อยากเสียโอกาสในการสร้างมิตรภาพครั้งนี้ไป ติณภพผู้ไม่ฝักใฝ่ในความรักมาเป็นเวลาหลายปีกลัวใจตัวเองว่าจะรู้สึกกับเขามากขึ้นเข้าสักวันนี่ล่ะ ที่มีอาการใจเต้น สบตาแล้วร้อนแก้มร้อนหน้าจนต้องหันหน้าหนี ความรู้สึกปลอดภัยที่ไม่เคยมีมานานทำเอาเขวไปเหมือนกัน รู้สึกสับสนชะมัด


ให้ตายสิ จะนอนยิ้มคนเดียวแบบนี้ไปจนกาเฟอีนหมดฤทธิ์เลยหรือไงวะไอ้ตฤณ



เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับงานหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไป ทำให้เจ้าของโรงแรมประจำสาขาลืมไปว่านักร้องเกาหลีที่จะมาพักนั้นต้องมาถึงโรงแรมก่อนการแสดงหลายวัน กำหนดการคืออาทิตย์นี้ ซึ่งก็เช้าคือวันนี้


ไหนว่าจะมากันเงียบๆไง ทำไมแฟนคลับมารอกันเต็มไปหมดเลย!


นอกจากต้องอยู่ต้อนรับด้วยตัวเองแล้ว ติณภพยังต้องคอยดูความเรียบร้อยต่างๆเพื่อให้บุคคลสำคัญได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด ไล่ไปตั้งแต่เลือกห้องพักให้ จัดการสั่งเมนูอาหารที่ดีที่สุดให้ ไปจนถึงดูแลเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย สอดส่องพวกแฟนคลับที่แอบมารบกวนความเป็นส่วนตัวยิบย่อยต่างๆนานา แต่เจ้าพวกเด็กหนุ่มก็โคตรซน แอบมาเดินโฉบไปโฉบมาอยู่ได้ แล้วแบบนี้จะรักษาความเป็นส่วนตัวไปทำไมวะ!


วันแรกเขาถึงกับต้องก้าวฉับๆทำเวลาจนขาแทบสับกัน เดินเยอะเพราะพาชมสถานที่ทั่วทั้งโรงแรม  วันต่อไปคงต้องรบกวนคุณเจตน์ และจัดหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแทน ติณภพจะคอยลงมาดูด้วยตัวเองเป็นระยะ เผื่อขาดเผื่อเหลือ แต่คงอยู่ตลอดทั้งวันไม่ไหว หมดทั้งอาทิตย์นี้ไปน้ำหนักอาจจะลดสักสามกิโล


ก่อนหน้านี้ติณภพไปเปิดโลกนั่งร้านกาแฟกับคุณเจ้าของร้าน มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขายังจำได้ดี


“ถ้าเหนื่อย ลองคิดถึงความทรงจำที่ทำให้เรายิ้มได้สิครับ แล้วจะรู้สึกดีขึ้น”


น่าแปลกที่คราวนี้สิ่งแรกที่เขาคิดถึงไม่ใช่การไปนั่งคุยกับคุณชวินทร์ หากแต่เป็นการไปใช้เวลาอยู่กับคนที่พูดประโยคนั่นนั่นล่ะ


ครั้งแรกกับวีรกรรมขับรถตัดข้ามสี่แยก ไปร้านกาแฟสีขาวสว่างตกแต่งสไตล์มินิมอลกับความรู้สึกปลอดภัย ติณภพเพลินตากับการจดอะไรบางอย่างด้วยมือซ้ายของคุณเจ้าของร้านที่สั่งกาแฟมาถึงสี่แก้ว และเราดื่มกาแฟแก้วเดียวกัน ก่อนที่คนตัวโตจะเฉลยว่านี่คือการเปิดโลกของเขาให้ติณภพเข้ามาสัมผัส


ครั้งที่สอง เจ้าของใบหน้าฮาราจุกุนิยมเป็นคนขับรถญี่ปุ่นของตัวเองไป ขับไปก็พูดแซวเรื่องพฤติกรรมการขับรถของเขาไป เราไปอีกร้านหนึ่งที่คุณเจ้าของร้านสั่งกาแฟมาสามแก้วกับขนมหวานที่ดูน่ากิน รสชาติก็อย่างนั้นแต่บรรยากาศร้านคือชนะเลิศ เล็ก เป็นส่วนตัว มีกรอบรูปแขวนผนังประปราย เฟอร์นิเจอร์ของใช้ต่างๆเป็นของแอนทีค ร้านตกแต่งด้วยโทนสีอุ่น ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งคุยกันในบ้านหลังเล็กอบอุ่นดี ตอนนั้นทั้งร้านนั่งกันอยู่สองคน ฟังเพลงคลอเบาไปดูเขาคนนั้นจดใส่สมุดไป เป็นวันที่คุณเจ้าของร้านบอกกับเขาให้หายสงสัยว่าที่สั่งกาแฟมาชิมเยอะๆเพราะต้องการตระเวนชิมกาแฟจากร้านบริเวณรอบทองหล่อเพื่อนำมาปรับสูตรที่ร้าน เลยจดเอาไว้จะได้ไม่ลืม ขากลับติณภพเคืองคนขับรถมากจนออกปากบ่นว่าทำไมพอไฟสีเหลืองถึงไม่เหยียบคันเร่งให้มิดแต่ดันเหยียบเบรกรถจนเกือบหน้าทิ่ม ได้คำตอบโลกสวยกลับมาว่าไฟเหลืองคือเตรียมตัวหยุดนะไม่ใช่เตรียมตัวเหยียบ 


มันไม่ได้ทำให้ความเหนื่อยจากวุ่นวายที่เจอมาตลอดวันหายไปในคราวเดียว แต่ทำให้มีแรงกำลังใจจะกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง


วันนี้กับการเปิดโลกครั้งที่สามเป็นร้านในแบบที่ต่างออกไปจนติณภพคิดว่าคุณเจ้าของร้านพาเขามาเดินป่า เจ้าของใบหน้าหล่อคมดูภูมิใจมากกว่าทุกที บอกว่าวันนี้เดย์ออฟ ไม่ได้มาชิมกาแฟแต่พามาดื่มชา ติณภพไม่นิยมชาเท่าไหร่ แต่คิดว่าลองทำอะไรใหม่ๆดูบ้างคงไม่แย่


แค่ก้าวขาซ้ายเข้ามาเหมือนวาร์ปมาอยู่ในประเทศอังกฤษ กลิ่นหอมละมุนของชาโชยอบอวลไปทั่ว ไฟร้านโทนสีส้มจาง ดอกไม้หลากชนิดวางทั่วทุกมุม ต้นเฟินแขวนขนาดใหญ่เด่นหราอยู่ตรงเคาท์เตอร์ เครื่องชงชาเอย แก้วชาเอย ขนมหวานรับประทานคู่กับชาเอย ไม่แปลกใจที่ครั้งก่อนคุณเจ้าของร้านพูดด้วยสำเนียงอังกฤษกับเขา ดูท่าจะเป็นบริติชเลิฟเวอร์ แต่ชากุหลาบอะไรสักอย่างที่อีกคนสั่งมาให้นั้นมีกลิ่นหอมคลายเครียดได้ดีจริงๆ แรกรสที่ดื่มเข้าไปจืดชืด ทว่าวินาทีต่อมากลับมีกลิ่นหวานหอมของกุหลาบแตกกลิ่นรสสัมผัสกระจายอยู่ หลังวางแก้วลงกับจานรองแล้วคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันส่งยิ้มสดใสมาให้เหมือนรู้ว่าติณภพชอบสิ่งที่ตัวเองเป็นคนเลือกสรร


คุณเจ้าของร้านถามเขาว่าเกิดปีอะไร


“ผมเกิดปีมะโรง” ตอบกลับเป็นปีของไทย ดูสิว่าจะไปต่ออย่างไร


“ผมเกิดปีมะเส็ง”


“อ่า งูเล็กนี่เอง” ตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าอีกคนอ่อนกว่าเขา ซึ่งการเล่นคำตอบแบบนี้ติณภพไม่กล้าเดาว่าเป็นมะเส็งที่หลังจากเขาหนึ่งปี หรือหนึ่งรอบกันแน่ ปล่อยให้มันเป็นปริศนาต่อไปจะเป็นการดี


“แต่งูผมไม่เล็กนะครับ”


ติณภพแทบสำลักน้ำชา ปกติถ้าเป็นคุณชวินทร์พูดแบบนี้เขาคงด่ากลับ แต่พอเป็นคุณเจ้าของร้าน ทำไมร่างกายไม่ตอบสนองล่ะวะ เกร็งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ดูทำตาเจ้าเล่ห์เข้า คนนั่งอยู่เต็มร้านแต่ทำเหมือนว่าคุยกันสองคน เวรเอ๊ย!


เงียบ หลังจากสนทนาเรื่องเกิดปีงูแล้วหนุ่มตี๋จำต้องนั่งเงียบไม่อยากถูกต้อนจากมุขเกรียนให้จนมุม ยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่หายพอจ้องมองกลับไป เลยเลือกที่จะเสพบรรยากาศในร้านแทน


จากวันแรกที่เจอกัน ตอนนี้คุณเจ้าของร้านผมยาวขึ้นกว่าเดิมจนสามารถตัดรองทรงได้แล้ว แต่ยังไม่ยาวมากไปกว่าติณภพเลยไม่ต้องแต่งทรงด้วยเจลให้ดูเรียบร้อย วันนี้เขาไม่ได้ใส่ต่างหูเป็นพวงเป็นแพอย่างทุกที แต่เลือกใส่เป็นก้านลูกศรยาวทิ่มจากกลางใบหูทะลุขึ้นไปยังรูแรกด้านบน เมื่อท้าวคางกับอุ้งมือใหญ่เวลาวางตั้งข้อศอกลงบนโต๊ะ ติณภพเห็นแหวนเงินสะท้อนแสงกับไฟร้านจนเกิดเงา ไหนจะนาฬิกาที่ตัวเรือนทำจากเงิน เมื่อกี้ตอนขับรถเหลือบไปเห็นว่าด้านขวามีโซ่ข้อมือเงินนั่นอีก ผู้ชายคนนี้เหมือนเกิดมาคู่กันกับเครื่องประดับเงินทั้งมวลจริงๆ


“มองอะไรครับ”


คนถูกถามสะดุ้งจากภวังค์ ถึงรู้ตัวว่าอีกคนกำลังท้าวคางจ้องมองกลับมาเหมือนกัน...ในระยะที่ค่อนข้างใกล้


“เปล่านี่”


“ชอบนาฬิกาผมเหรอ” เขาขยับข้อมือ “ของคุณก็สวยนะ”


“อืม เรือนละเก้าหมื่น ไม่สวยได้ไง”


“ของผมเก้าพัน ไม่อยากจะคุย” แล้วก็หัวเราะในคอเหมือนเป็นคนชนะที่มีของราคาถูกกว่า ก่อนจะเลิกเอามือไปท้าวคางแล้วขยับลงมาวางอยู่บนโต๊ะให้ขนานกันกับมือของติณภพที่วางอยู่ก่อน ทำให้มือข้างที่ใส่นาฬิกาเหมือนกันได้อยู่ตำแหน่งเดียวกัน...และทำให้นิ้วชี้ของเขาคนนั้นแตะชิดกับนิ้วก้อยของติณภพ


เหมือนกระแสไฟฟ้าส่งผ่านจากตรงนั้นแล่นริ้วดิ่งมาที่หัวใจ ทำเอาเต้นตึกตักผิดแปลกไป สายตาหวานเชื่อมที่ใช้มองมายิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ความอบอุ่นกลายเป็นอะไรสักอย่างที่ระอุคุกรุ่นขึ้น รอบตัวยังคงเงียบสงบ ผิดกับภายในที่ได้ยินเสียงอะไรตั้งมากมาย ทั้งหวูดรถไฟ กาต้มน้ำเดือด ฟ้าผ่า ลมพัดกระโชก นกร้อง น้ำไหล และเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ติณภพที่มีสายตาเป็นอาวุธชิ้นเอกยามต้องต่อกรกับคนทั้งโลกกลับต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเป็นคนแรก


แต่ไม่ได้ขยับนิ้วออกนะ


หากความเงียบสามารถเป็นคำตอบให้กับบางสิ่ง ความเงียบของครั้งนี้อาจเป็นคำตอบให้กับคำถามเมื่อครั้งก่อนหน้าก็เป็นได้ เพราะการกระทำย่อมสำคัญกว่าแค่คำพูดอยู่แล้ว




หอศิลปวัฒนธรรมเป็นสถานที่ที่ติณภพไม่คิดว่ามันจะมาอยู่ในลิสต์สถานที่เปิดโลกของคุณเจ้าของร้าน แต่วินาทีนี้เรากำลังยืนมองรูปจัดแสดงด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน


คุณเจ้าของร้านในชุดเสื้อเสวตเตอร์สีเทาเข้มกับกางเกงยีนส์และรองเท้าคอนเวิร์สหุ้มข้อสีคราม ยืนมองภาพสีน้ำรูปดอกไม้ด้วยรอยยิ้มมุมปากอย่างที่ผู้หญิงหลายคนต้องเหลียวหลังมองมา ขณะที่ติณภพในชุดสูทสีน้ำเงิน รองเท้าหนังสีน้ำตาลไหม้ ยืนมองภาพเดียวกันด้วยความข้องใจระคนสงสัย หรี่ตาเล็กลงจนหัวคิ้วกดให้ดวงตายิ่งเหลือน้อยเข้าไปใหญ่


มันมีอะไรให้ต้องยิ้มกันวะ กับรูปดอกไม้ในแจกัน และทั้งชั้นนี้ก็จัดแสดงภาพสีน้ำรูปดอกไม้ทั้งหมดเลย มันมีอะไรกันนักกันหนา


ด้วยความที่เป็นวันธรรมดาเลยมีคนไม่มาก นอกจากเขาสองคนที่เป็นวัยทำงานแล้วที่เหลือดูจะเป็นวัยรุ่นเรียนมหาวิทยาลัยหรือไม่ก็มัธยมปลายทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ดูแปลกแยกจากสถานที่ ดูว่าจะมีเขาคนเดียวนี่ล่ะที่ใส่สูทมาดูงานศิลป์


เดินขึ้นบันไดเลื่อนไล่ดูงานไปทีละชั้น คุณเจ้าของร้านแทบไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากหันมายิ้มอย่างเดียว เหมือนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามาด้วยกันถ้าไม่หันมามองเป็นระยะๆ ติณภพที่เสพของแบบนี้ไม่เป็นได้แต่เดินตาม แล้วหอศิลป์นี่ก็มีหลายชั้นเหลือเกิน เห็นใจคนเดินวนรอบจนเหนื่อยบ้างไหม


“เป็นอะไรคุณ ไม่ชอบเหรอ หน้ามุ่ยเลย มุ่ยจนตาหายไปไหนแล้ว” คนตัวโตหันมาแซว


“ผมดูไม่รู้เรื่อง คุณเข้าใจอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”


“อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิครับ คุณไม่เคยมา คุณจะรู้อะไร”


“คือผมเคยมาเว้ย” ติณภพยืนรวบแขนกอดอกแย้ง “แต่มาแล้วก็ไม่เห็นจะรู้อะไร ถึงต้องถามไงว่าคุณดูรู้เรื่องเหรอ”


“ถ้าดูแล้วไม่เข้าใจ อย่างน้อยเวลาคุณเพ่งมองก็ต้องใช้ความคิดสักนิดบ้างล่ะว่ามันมีอะไรให้น่าสนใจ แล้วตอนใช้ความคิดผมว่าคนเราจะมีเหตุผลมากขึ้น ใจเย็น สงบลง คุณทองหล่อไม่ใจเย็นลงบ้างเลยเหรอครับ”


ส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วถอนหายใจยาว ตอนดูรูปไม่สงบหรอก มาสงบก็เพราะคำพูดของคุณต่างหากเล่า


ว่าแล้วคนหงุดหงิดเดินเบี่ยงออกไปอีกทาง ไปยืนตรงที่ที่ไม่มีคนยืนดูรูปหรือมายืนถ่ายภาพเอาไปลงโซเชียลอวดว่าชีวิตดี แค่ยืนมองรูปเฉยๆเผื่อจะหายหงุดหงิดอย่างที่คนๆนั้นบอก


ไม่กี่อึดใจคุณเจ้าของร้านเดินมายืนข้างๆ ยืนเงียบเชียบมองดูภาพเดียวกัน หากยืนชิดจนไหล่ชนไหล่ในท่ามือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง ไม่หันมาพูดหรือมองด้วยสายตาหวานเยิ้มอย่างในร้านชา


คนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ โดยเฉพาะผู้ชายจะมีไออุ่นอยู่มากจนคนรอบข้างสัมผัสได้ ความอุ่นจากตรงนี้ทำให้อยากพักสายตาสักครู่เพราะยืนดูไปก็ปวดหัว เลยถือโอกาสแอบเทแรงพิงไปทางคนที่ยืนชิดกันแล้วหลับตาแบบไม่ให้เป็นที่สังเกตมากจนเกินไป อีกคนเหมือนรู้ตัว เลยออกแรงต้านเพิ่มขึ้นมา


ติณภพไม่เห็นว่าคุณเจ้าของร้านระบายยิ้มเสียจนกว้าง


ทำงานมาทั้งวันคงจะเหนื่อยสินะ คุณทองหล่อ


“แกดูดิ พี่ผู้ชายสองคนนั้นเขายืนพิงไหล่กันด้วยว่ะ โคตรน่ารัก”


“ไหนๆ เออจริงด้วย เหมือนคนที่ใส่สูทดูเหนื่อยป่ะเห็นหลับตา พี่อีกคนเลยให้ยืนพิง”


ติณภพสะดุ้งกายลืมตาขึ้นเหมือนเวลาฝันว่าตกจากที่สูง ไม่ใช่เพราะตัวเองยืนพักเข่าทิ้งน้ำหนักตัวมากเกินไปจนคุณเจ้าของร้านต้องเอาแขนมาโอบกันหงายหลัง แต่เป็นเพราะได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนเดินผ่านไปเมื่อครู่นี้พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกัน


ไม่รู้หรือยังไงว่านินทาคนอื่นมันเสียมารยาท นี่มันที่สาธารณะ ระยะเผาขนเลยนะเว้ยเฮ้ย!


กำลังจะหันไปต่อว่า แต่พอหันมาเจอคนที่กำลังโอบไหล่มองอยู่ทำให้ชะงักไป คุณเจ้าของร้านยิ้มเหมือนจะสื่อกับเขาทางสายตาว่าตัวเองก็รับรู้เหมือนกัน สองคนนั้นต้องไม่รู้แน่ๆว่าคนทางนี้ได้ยิน หรืออีกนัยคือตั้งใจให้ได้ยิน


“ได้ยินเหมือนกันใช่ไหม”


“ครับ แต่ผมไม่ถือหรอกนะ”


คนที่ยืนพิงเมื่อครู่รีบผละออกจากอ้อมแขนกลับมายืนตรงเหมือนเดิม ติณภพรู้ว่าตอนนี้ใบหูเห่อร้อนจนคนมองน่าจะเห็นว่ามันแดงขนาดไหน


ก็เข้าใจว่าสมัยนี้โลกเปิดกว้าง แต่คนที่มีประสบการณ์อยู่มาตั้งแต่ช่วงที่ยังไม่สามารถบอกใครได้ มาได้ยินอะไรแบบนี้มันต้องมีประหม่ากันบ้างแหละน่า

__________

คุณเจ้าของร้านนน คุณตฤณเขินแย่แร้ว
เป็นสายเงียบๆแต่ค่อยๆเก็บแต้มไปเรื่อย ส่วนตัวเราชอบตอนเขาไปยืนพิงไหล่กันมากเลยค่ะเลยเพิ่มฉากนี้เข้าไป ไปหอศิลป์บ่อย ถ้าคนเคยไปจะเดาบรรยากาศได้ว่ามันเหมาะกับอะไรแบบนี้ คุณตฤณจะรู้ไหมว่าเขาไปง้อนะนั่น
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ #ทองหล่อที่รัก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2019 22:50:44 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love VI
ทองหล่อที่รัก




“คุณ อย่าไปปาดหน้าเขาแบบนั้นสิ คันหลังเบรกตัวโก่งแล้ว”


“ก็มันไม่ให้เข้าอ่ะ”




“เขาเปิดไฟนานแล้ว ให้ไปหน่อยเถอะ นิดๆหน่อยๆเอง”


“มันเห็นแก่ตัวมาแทรกเข้าคุณก็เห็น”




ปริ๊นๆๆๆ ปริ๊น!


“เดี๋ยวแตรรถพังกันพอดี บีบครั้งเดียวเขาก็ได้ยินแล้วน่า”


“มันน่าโมโห อยู่ๆเปลี่ยนเลนกะทันหันแล้วมาปาดแบบนี้ถ้าขับชนตูดมันขึ้นมาว่าไงอ่ะ ซื้อใบขับขี่มาหรือไงวะ!”


“ก็บางทีเขาอาจจะเผลอขับเลยแล้วนึกได้ก็ได้นี่ครับ หรือไม่ก็ไม่ใช่คนแถวนี่ เพิ่งมาครั้งแรกหรือเปล่า อย่าถือสาเขาเลย”


“โว้ย คุณนี่แม่ง เป็นพระเหรอ เย็นกว่าใจคุณก็น้ำแข็งในช่องฟรีซตู้เย็นแล้วแหละ!”


“อยากรู้ไหมว่าอะไรเย็นกว่าน้ำแข็งในช่องฟรีซ”


“ไม่รู้ น้ำแข็งในช่องฟรีซชุบแป้งทอดมั้ง”


“น้ำแข็งในช่องฟรีซที่บ้านผมไง ลองไปกินดู”


เวรเอ๊ย! ชวนไปบ้านซึ่งหน้าแบบนี้ก็ได้นะคนเรา




พอขับมาถึงที่อเวนิว คุณเจ้าของร้านถอนหายใจยาว ไม่บอกก็เดาได้ว่าเขาคนนั้นกำลังแสดงสีหน้าบ่งบอกความคิด ไม่น่าให้มันขับรถกลับเลย ออกมา แต่คนก่อเรื่องไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ตอนมาทำให้ติณภพไม่สบอารมณ์บนท้องถนน มันไม่ทันใจ ตอนกลับเลยต้องออกโรงเอง


ตลอดการไปไหนมาไหนด้วยกันหลายครั้งที่กินระยะเวลาร่วมเดือน คุณเจ้าของร้านควรชินกับสไตล์การขับรถแบบทองหล่อของเขาได้แล้ว เพราะเขายังทำความเคยชินกับการขับรถแบบพ่อพระของคุณเจ้าของร้านเลย ถึงจะชวนตีทุกครั้งไปก็เถอะ เอาเข้าจริงไม่ได้หงุดหงิดจริงจังเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้เจอกันหรอก อยากมีเรื่องคุยไม่ให้เหงาปากเท่านั้น


ชินกับการมีเขาอยู่ในรถด้วยไปเสียแล้ว


“ครั้งหน้าเราไปกันที่ไหนอีกดี คุณมีสถานที่ที่อยากไปไหม ผมพาไปได้”


“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะไปกับคุณแล้วล่ะ” ติณภพรู้สึกใจหายที่จะพูดประโยคนี้ คุณเจ้าของร้านหุบยิ้ม “นักร้องเกาหลีกลับไปแล้วก็หมดเรื่องเหนื่อยตรงนี้ หลังจากนี้ผมจะยุ่งเรื่องอื่นกว่านี้มากเพราะใกล้เข้าช่วงไฮซีซั่น ทั้งประชุมทั้งประสานงานต่างๆ ด้วยตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบของผมเองแล้วคงออกมาบ่อยไม่ได้ เรื่องของคุณต้องพักไว้ก่อน”


ถ้าคนตรงหน้าเป็นสุนัขติณภพคงจะเห็นโกลเด้นที่วิ่งเล่นร่าเริงอยู่ดีๆก็หยุดชะงัก แล้วค่อยๆหูรี่หางตกเพราะคนเลี้ยงพูดว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว


“อ่า แล้วจะได้เจอกันอีกไหมครับ”


“คิดว่านะ” เขากอดอกพูด “ผมยังไปอุดหนุนกาแฟเหมือนเดิม เพียงแต่ไปข้างนอกด้วยไม่ได้แล้วครับ”


พระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นพยักหน้าเข้าใจจนห่วงต่างหูทั้งหมดบนร่างกายสั่นขยับ เป็นการพยักหน้าที่ดูไร้ชีวิตชีวากว่าทุกครั้งที่เห็น ตรงข้ามกับด้านในร้านที่มีลูกค้าน้อยใหญ่ต่อคิวยาว บางส่วนเดินกันไปมาอย่างกับมดงาน


“ที่จริงถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงทำตัวไม่เอาไหนแอบหนีออกมาอีกนั่นแหละ แต่อย่างที่คุณบอก พอได้ไปที่ๆเราไม่เคยไป เปลี่ยนสถานที่เปลี่ยนสภาพแวดล้อม กินของอร่อย มันทำให้ผมมีแรงจะไปสู้กับงานที่จะมาถึง อารมณ์บูดๆน้อยลง เป็นแบบนี้แล้วจะลองสู้เต็มที่ดูสักครั้ง ผมเหลวไหลมานานพอแล้ว ป๊าจะได้เลิกปวดหัว”


“อืม ดีใจที่คุณรู้สึกดีขึ้นนะครับ แต่เป็นแบบนี้ดีอยู่แล้ว แค่อย่าพยายามเปลี่ยนจนรู้สึกไม่มีความสุขก็พอ”


จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนติณภพไม่ได้มีความสุขกับการทำงานเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะความสุขเกิดขึ้นเฉพาะตอนพักผ่อนเท่านั้น เช่นเดียวกับตอนที่ได้อยู่กับคุณเจ้าของร้าน


ความเงียบทำหน้าที่ของความเงียบไม่นานเท่าเวลาทำหน้าที่ของเวลา เมื่อไม่มีอะไรจะพูด มองดูนาฬิกาเห็นเวลาล่วงเลยมาจนเย็นแล้ว ติณภพไม่อยากรบกวนเวลาของอีกคน ตลอดหลายวันก็เสียเวลามาอยู่กับคนเอาแต่ใจแบบเขามากพอที่จะต้องกลับไปพักผ่อนส่วนตัวบ้าง


“ขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับทุกสิ่ง ทั้งที่พาไปเปิดโลกแล้วก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น” อยากตบปากตัวเองชะมัด ทำไมถึงทำเหมือนเป็นการบอกลาแบบจะลากันตลอดกาลอย่างนั้นไปได้ คุณเจ้าของร้านทำหน้าไม่ดีมากกว่าเดิม รู้สึกผิดขึ้นมาทันตา


เหมือนเขาหลอกใช้ความจริงใจจากอีกคนแค่เพื่อเยียวยาให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แล้วกำลังจะทิ้งคนที่ช่วยเขาให้หลงทางกับสิ่งที่เป็นดั่งการให้ความหวังลมแล้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ติณภพไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่เคยคิดจะเอาเปรียบใคร แค่ยังไม่พร้อมจะปลดปล่อยให้ความรู้สึกลึกๆไปถึงคนที่ดีอย่างคุณเจ้าของร้าน ยังไม่ถึงเวลา ก็เท่านั้น


“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมครับ”


“คุณอยากได้อะไรล่ะ ของขวัญไหม เอาเป็นคอนแทคจากโรงแรมของผมแบบว่าเวลาจัดเลี้ยงสัมนาก็จะติดต่อมาที่ร้านคุณ หรือจะเป็นเช็คเงินสด ผมเขียนให้คุณตอนนี้เลยก็ได้ เอาสักสองหมื่นเป็นค่าเสียเวลาพาผมไป ถ้าน้อยไปเอาสาม...”


กอด


คนตัวโตโน้มร่างลงมากอดหมับ โดยไม่สนว่าจะยืนอยู่ตรงไหนหรือทำต่อหน้าต่อตาใครบนโลกใบนี้ ถึงใส่สูทอยู่แต่รู้สึกได้ว่ามัดแขนแข็งแรงโอบตัวโอบเอวเขาได้ทั้งรอบ ไม่ได้ผลีผลามเข้ามากอดในทันที เป็นแค่การเข้ามาสวมกอด หากทำให้คนพูดหุบปากฉับในเสี้ยววินาที


อบอุ่นดีเหลือเกิน เกินความต้านทานที่จะไม่กอดตอบกลับไป ตอนนี้หัวใจเต้นแรงตึกตักแต่คงไม่ทันว่าคุณเจ้าของร้านจะได้ยินไปแล้ว และติณภพเหมือนจะได้ยินเสียงนั้นจากอีกฝ่ายสะท้อนกลับมาเช่นเดียวกัน ความรู้สึกเขินอายตีกลับขึ้นมาให้ต้องซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ซึมซับทุกอย่างเท่าที่หนึ่งกอดจะมอบอะไรมากมายให้


รู้สึก...มาก มากๆ


อย่ามากไปกว่านี้เลย มันอันตรายแล้ว


“เอาไว้เจอกันนะครับ คุณทองหล่อ”


เขาคนนั้นถอนกอด ส่งยิ้มที่ดวงตามีน้ำใสพอให้เห็นประกายในแววตา แล้วหันหลังเดินเข้าร้านกาแฟไป ทิ้งให้คนทางนี้ยืนสับสนกับความรู้สึกตัวเองอยู่ชั่วครู่ จึงเดินกลับไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัวกลับบ้าน




“พี่ยูใจแข็งมาก ไออยากยอมแพ้แล้วว่ะ ไม่โทรมา ไม่มาซื้อกาแฟ เงียบกริบ”


“เฮ้ยใจเย็นก่อน” พูดพลางเด้งขึ้นมานั่งหลังตรง มองอีกฝ่ายที่ทำหน้าเหนื่อยใจ “เขาเป็นคนแบบนี้แหละ ไม่ค่อยสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆ just give him time.” (ให้เวลาเขาหน่อย)


“เขาดูคล้อยตาม แต่เหมือนถึง point หนึ่งแล้ว realize ได้ว่าไอจะเดินหน้าต่อ ก็หยุดเงียบไปดื้อๆ เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ไปด้วยกันจนไอคิดว่าไอเข้าไม่ถึงเขาแล้ว เป็น loser ของจริง”


คนนั่งฟังได้แต่ตบบ่าให้กำลังใจ


“พี่ตฤณเป็นคนเค็มนอกอ่อนใน เพราะเป็นพี่ชายคนโตเลยต้องทำตัวเข้มเค็มเป็นหลักให้น้องๆ”


“แข็ง แข็งนอกอ่อนในโว้ยไม่ใช่เค็ม เข้มแข็งด้วย ไอ้ฝรั่งกิ๊กก๊อก” เล่นเอาคนฟังขมวดคิ้วทำหน้าเหยเกเมื่อได้ยินคำพูดแปร่งๆจนความหมายเพี้ยนไป “อยู่ไทยมาเกือบตลอดชีวิต ทำไมยังพูดไม่ชัดอีกวะ ไอ้ห่า”


“ไอเรียนอินเตอร์มาจนถึงไฮสกูล ยูนิก็อินเตอร์ ซัมเมอร์ก็บินไป-กลับบ้านที่โน่น เพิ่งมาอยู่ full time ในไทยได้แค่สามสี่ปี กิ๊กก๊อกแต่ด่าพ่อยูชัดนะ ลองไหม”


“ทีแบบนี้ล่ะทำเก่ง” เพื่อนคนไทยปรารภ “ว่าแต่พี่ของยูเถอะ หลังจากทำไออกเดาะน้ำตาซึมวันนั้นจนตอนนี้เกือบเดือนแล้วไอไม่เจอเลย เขาเป็นยังไงบ้างวะ สบายดีหรือเปล่า”


“ไม่ค่อยโอเค” พูดแล้วยกน้ำขึ้นจิบ “ช่วงนี้ใกล้ high season ที่จริงโดยปกติแล้วช่วงนี้ทั้งแด๊ดทั้งพี่ตฤณจะงานยุ่ง but I don’t know what’s happening with him recently. (แต่ฉันไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา) Like... (แบบว่า) เขาเหมือนทำให้ตัวเองดูยุงมากกว่าเดิม”


“ยุ่ง”


“อืมๆ ยุง ยุ่ง คำนั้นแหละ” ลูกครึ่งหนุ่มลองไล่ระดับเสียงคำแล้วว่าต่อ “ยูยังไม่ได้อกหักหรอกเพื่อน อย่าเพิ่งคิดไปเอง He hasn’t been in a relationship for years, man.” (เขาไม่ได้มีใครมาหลายปีแล้วนะเพื่อน)


“วันนั้นเขาขอบคุณสำหรับทุกอย่าง แบบนี้ไม่เรียกบอกลาแล้วเรียกอะไรวะ”


“เอาน่า รอให้หมดช่วงนี้ไปก่อนเดี๋ยวได้เจอกันแน่นอน เชื่อเพื่อนสิ เพื่อนแบบไอน่ะเชื่อใจได้นะ นะ honey”


ชายหนุ่มเบ้ปากพอเห็นดวงตาหวานเชื่อมแบบตะวันตกระยิบระยับ จะลองเชื่อมันสักครั้งแล้วกัน


อยากเจอจะแย่อยู่แล้ว คิดถึงจนจะเป็นบ้า


เคยบอกว่าอย่าพยายามเปลี่ยนจนรู้สึกไม่มีความสุข แล้วทำไมถึงดื้อขนาดนี้



“ยูก็เหมือนกัน อย่ารับงานหนักเกินไป ทำงานหนักไม่ช่วยให้ลืมใครได้หรอก และอีกอย่างคือไอจะไม่มีงานทำด้วย พอยู come back แล้วทุกคนพุ่งไปแต่ยู”


“Why? Your sweetheart is back right here. You miss me, darling, don’t you?” (ทำไมล่ะ ดวงใจของนายก็กลับมาแล้วนี่ไง คิดถึงฉันใช่ไหมจ๊ะที่รัก) พูดจบทำท่าจะลุกไปกอดเพื่อนที่นั่งข้างกัน ผลคืออีกคนทำท่าขนลุกขนชันใส่เขา


“F*ck, that’s creepy. (ไอ้เวร ขนลุก) ไอไม่เข้าใจว่าทำไมลูกค้าถึงชอบจ้างเราไปคู่กันนักนะ”


นั่นสิ เขาเองก็หาคำตอบไม่ได้ แต่พอได้ทำงานคู่กันทีไรเสียงตอบรับมักออกมาเกินคาด นิตยสารขายดีทั้งแบบเล่มและแบบออนไลน์ โฆษณาสินค้าก็มียอดขายเพิ่มขึ้น ยิ่งตอนรับงานเดินแบบแฟชั่นโชว์งานเดียวกันยิ่งเป็นที่ชื่นชอบ


การกลับมาของเขาในครั้งนี้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นกว่าก่อนหน้าที่หายไปเสียอีก


แต่ถ้าคนจะคิดว่าเขากับไอ้ฝรั่งกิ๊กก๊อกมีอะไรในกอไผ่อย่างที่ลือกันไปล่ะก็...ก็ปล่อยให้เข้าใจไปแบบนั้นล่ะดีแล้ว กระแสสังคมจะทำให้การงานเดินหน้าต่อ เพราะความจริงเป็นอย่างไรมีแต่พวกเราที่รู้ดี รู้ทันสันดานกันจดแทบหมดไส้หมดพุง จะให้จับกันเองก็กระไรอยู่ อย่างที่มันบอกเมื่อกี้นี่เลย น่าขนลุก


“ไอก็บอกไม่ได้ แต่ที่ sad คืออะไรรู้ไหม พี่ชายยูไม่รู้จักไออ่ะ รู้แค่ว่าเป็นเจ้าของร้านกาแฟ บ้านยูมีทีวีหรือเปล่าเหอะ ไปต่ออินเทอร์เน็ตให้พี่ชายด้วย”


“อย่าบ่นให้มาก เชื่อไอเถอะว่าเดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าไม่ดีขึ้นไอจะเป็นคิวปิดให้เอง นัดไปเปิดห้องกันเลย จะได้ได้กันให้มันจบๆ ช่วงนี้จะพยายามส่งข่าวพี่ตฤณให้บ่อยแล้วกัน เผื่อมีคนลงกระทะทองแดงตาย”


“ลงแดง! กระทะทองแดงมันอยู่ในนรก ไอ้บ้า!”


ปากคอเราะร้ายเหมือนพี่ชายมันไม่มีผิดเลย เห็นเพื่อนเป็นคนแบบไหนกันวะ!




วันหนึ่งในเดือนตุลาคม ติณภพลุกจากเตียงไม่ขึ้น


กลางดึก ห้องมืดสนิท หลังลืมตาตื่นขึ้นมาดูโลกมืดๆได้ครู่เดียวก็รู้สึกรวดร้าวไปทั้งร่างกาย เส้นขนอ่อนลุกชันทุกสามวินาที หายใจเป็นไอร้อนผ่าวและหนักศีรษะ คาดว่ากว่าจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพลิกตัวไปหยิบมือถือที่โต๊ะข้างเตียงกินเวลาไปไม่ต่ำกว่าสิบนาที


[Hello. Who’s that?] (สวัสดีครับ นั่นใครพูด?) เสียงนั้นเบาและแห้งผากมาก


“Theodore, it’s me พี่ตฤณ” (ธีโอดอร์ พี่ตฤณเอง)


[What’s wrong with you calling me at…3 am?] (เป็นอะไรของพี่วะถึงโทรหาผมตอน...ตีสามเนี่ยนะ?) เสียงปลายสายฟังดูหงุดหงิดเป็นที่สุดจนติณภพอดถอนหายใจยาวเป็นไอร้อนไม่ได้ แต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะอธิบายสวนกลับไปแบบทันท่วงที


“I feel headache so bad and I can’t move.” (พี่โคตรปวดหัวและขยับตัวไม่ได้เลย) เขาพูดอ่อนแรงลงเมื่ออาการปวดตุบกำเริบ “Just bring me some water, please?” (แค่เอาน้ำมาให้หน่อยได้ไหม?)


[Hey are you okay? I’ll be there right now.] (เป็นอะไรมากไหม จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ) ได้ยินเท่านั้นแล้วสัญญาณก็ตัดไป สติของเขาเองดูจะวูบดับไปพร้อมกับมัน


ติณภพลืมตาอีกครั้งตามแรงแตะเบาๆที่แก้ม แต่ทำยากกว่าเดิมเพราะแสงไฟในห้องเจิดจ้า ดวงตาปรับสภาพไม่ทัน ภาพใครสักคนเลือนรางมากก่อนจะค่อยๆชัดเจนขึ้น รวมทั้งเสียงที่เรียกชื่อเขาอยู่ด้วย


“พี่ตฤณ พี่ตฤณครับ”


เสียงน้องชายคนที่เขาโทรไปหาก่อนหน้านี้นั่นเอง มองไปรอบๆยังมีแก้วน้ำกับยากระปุกสีขาวที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้วางอยู่ตรงนี้ด้วย


“พี่ไม่สบายมาก ตัวร้อนจี๋เลย” ธีโอดอร์ใช้หลังฝ่ามือสัมผัสที่หน้าผาก แก้ม และลำคอของเขาประกอบการพูด ถ้าไม่เพราะเจ้าของมือเพิ่งวิ่งออกมาจากห้องแอร์เย็นฉ่ำก็คงเป็นตัวเขาเองที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนร้อน “ลุกขึ้นกินยาหน่อยนะ”


“ลุก...ลุกไม่ไหวว่ะธี” จบคำพูดเท่านั้นเจ้าน้องชายตัวยักษ์คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ อีกข้างพยุงแผ่นหลังเขาไว้ด้วยแขนแล้วออกแรงยกจนคนที่ครั่นเนื้อครั่นตัวรู้สึกระบมทั้งร่างให้ต้องเบ้หน้าระบายความเจ็บปวด กัดฟันคำรามในคอเป็นระยะ แค่มีคนช่วยพยุงยังรู้สึกเหนื่อย ไม่สิ...แค่หายใจเข้าออกยังเหนื่อยเลย


“Why are you like this huh?” (ทำไมพี่เป็นแบบนี้นะ หา?) นั่นไม่ใช่คำถามแต่เป็นการบ่น ธีโอดอร์หยิบยาเม็ดส่งให้พร้อมแก้วน้ำ แล้วก็เอาแก้วน้ำกลับไปถือเองเมื่อเห็นว่าแค่ยาเม็ดเดียวยังสั่นไปตามแรงมือ ให้ทั้งแก้วคงเสี่ยงทำน้ำหกรดตัวหมด “You’ve worked too hard. I warned you but you didn’t listen to me.” (พี่ทำงานหนักเกินไป ผมเตือนแล้วแต่พี่ก็ไม่ฟัง)


“ก็มันจำเป็น” ติณภพตอบด้วยเสียงแหบพร่าหลังกินยาเข้าไปแล้ว “มีงานต้องทำเยอะ ถ้าไม่ทำแล้วใครจะ...”


“You force yourself.” (พี่ฝืนตัวเอง)


“ตอนนั้นคิดว่าไหว ไม่ได้ฝืน พี่เข้าฟิตเนสอาทิตย์ละสองครั้งนะ” ตอบ แต่ไม่กล้าสบตาคู่สนทนา เดาว่าธีคงจ้องเขาด้วยสายตาดุไม่ก็เหนื่อยมากที่เขายังดันทุรังจะแถ ตกลงไอ้เด็กฝรั่งนี่มันเป็นน้องหรือเป็นพ่อกันแน่นะ


“Don’t bullsh*t me. I know you well. You never work too much because hotel business is not your dream job. You did it ’cause you don’t wanna disappoint dad, do you?” (อย่ามาแถเหอะ ผมรู้จักพี่ดี พี่ไม่เคยทำงานหนักเพราะนี่มันไม่ใช่งานที่พี่อยากทำสักนิด ที่ทำไปก็เพราะไม่อยากให้พ่อผิดหวังใช่ไหม?) ธีโอดอร์ดูฉุนขึ้นมาทันทีเมื่อเขาเริ่มงี่เง่าเป็นเด็กเพราะอาการปวดหัว ยิ่งพอฟังไอ้คนที่กำลังเทศน์ด้วยภาษาอังกฤษยาวแบบนี้ด้วยแล้ว สมองแปลตามไม่ทันยิ่งน่าปวดหัวเข้าไปใหญ่


“But what if I didn’t  wake up 10 minutes ago and bring you the medicine? Wouldn’t you be worse like…vomit or fall down on the ground and get injured...” (ถ้าผมไม่ตื่นเมื่อสิบนาทีที่แล้วแล้วเอายามาให้พี่ล่ะ? พี่จะไม่แย่กว่านี้เหรอแบบว่า...อ้วกหรือล้มแล้วเจ็บตัว...)


ถึงกับต้องทนปวดแขนเพื่อยกมือห้ามไม่ให้มันบ่นต่อ พี่ชายหลับตาโบกนิ้วชี้เป็นวงกลมที่ข้างขมับอันเป็นสัญญาณที่ใช้กันระหว่างพี่น้องว่าเขาฟังไม่ทัน แปลไม่ออก หรือสมองไม่รับสื่อในตอนนี้


“ขอโทษ” ธีโอดอร์เสียงอ่อนลง “ผมแค่เป็นห่วง”


“ไม่เป็นไร ขอโทษเหมือนกันที่ไม่ฟังตั้งแต่แรก” ติณภพไอโขลก น้องชายลูบหลังปลอบประโลม “ทีหลังจะดูแลตัวเองมากกว่านี้นะ ธีจะได้ไม่เป็นห่วงมาก”


บทสนทนาจบลงที่ธีโอดอร์ประคองพี่ชายคนโตให้นอนลง ห่มผ้านวมผืนอุ่นขึ้นมาจนชิดอก มองใบหน้าที่เดิมมีผิวขาวอยู่แล้วหากบัดนี้ยิ่งซีดเซียวลงเพราะฤทธิ์ไข้ ติณภพปรือตาลงมากกว่าครึ่งแต่ยังคงมีสติรับรู้ และน้องชายคนนี้จะอยู่ดูแลจนกว่าพี่ชายจะหลับ


ตอนเด็กๆพี่ตฤณดูแลเขาเป็นอย่างดี ตอนนี้เลยต้องอยู่ข้างกายยามที่พี่ชายต้องการใครสักคน พี่ตฤณเป็นคนค่อนข้างเอาแต่ใจกับคนอื่นก็จริง แต่กับน้องแล้วยอมเสมอ แม้ว่าจะเป็นพี่ชายต่างแม่ ธีโอดอร์ยังรักมากเท่ากับที่รักพี่ชายแม่เดียวกันอย่างทิโมธี


พี่ตฤณเสียแม่ไปตั้งแต่ยังอายุน้อย ถึงได้รับการเลี้ยงดูให้โตขึ้นมาจากพ่อและแม่ของเขา แต่ยังมีค่านิยมทางฝั่งพ่อเรื่องการเป็นพี่คนโตที่ต้องรับภาระธุรกิจครอบครัวไปอีก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ธีโอดอร์มีอิสระในการทำสิ่งที่ตนเองรัก เมื่อก่อนดูว่าพี่ตฤณเป็นผู้ชายคนเก่งที่มีความเป็นผู้นำของครอบครัวเหมือนกับพ่อ แต่โตขึ้นมาธีโอดอร์เข้าใจได้ว่าพี่ตฤณก็แค่ผู้ชายที่ภายนอกดูเข้มแข็งแต่ภายในเปราะบางดุจแก้วใสมีรอยร้าว ทุกคนในครอบครัวรู้ เขาเองก็เข้าใจดี  ไม่ว่าอย่างไรจะคอยแบ่งปันความรักให้กับพี่ชายกลับไปให้เท่ากับตอนที่ได้รับมา ให้เท่ากับตอนที่อีกฝ่ายต้องเสียสละความสุขส่วนตัวในชีวิตแลกกับการให้น้องชายทั้งสองไม่ถูกบังคับ อย่างน้อยก็ในตอนนี้


คนอื่นอาจมองว่าพี่ตฤณเป็นคนไม่น่าคบหา เป็นคุณหนูหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ปากร้ายและนิสัยไม่ดี แต่สำหรับคนในครอบครัว คนใกล้ชิด พี่ตฤณแบกรับเอาความหนักใจในแบบของตัวเองซ่อนไว้บนบ่า และทำตัวให้เป็นที่รักเสมอ


ปัจจุบันเขาเองตัวโตกว่าพี่ชายไปมากจนความสูงเท่าบ่าไหล่ในวันวานเพิ่มขึ้น พี่ตฤณเป็นฝ่ายที่สูงเท่าคางหรือจมูกเขาจนเวลากอดรัดฟัดเหวี่ยงเล่นกันก็จมหายไปในอกเขาแล้ว ยิ่งตอนนี้ป่วยไข้ รัศมีความหยิ่งยโสทั้งหลายที่สั่งสมมาจากความเอาแต่ใจมลายหายไปแทบหมด เหลือไว้เพียงคนหนึ่งคนที่ธีโอดอร์สัญญากับตัวเองว่าจะดูแลเป็นอย่างดีจนกว่าจะหาย ไม่อย่างนั้นนอกจากพี่ทิม พ่อและแม่แล้ว คงจะมีคนกระวนกระวายใจน่าดูหากรู้ว่าพี่ตฤณแค่ลุกจากเตียงยังทำไม่ไหว

__________

อา คุณตฤณป่วยแล้ว ส่วนคุณเจ้าของร้านก็น่าสงสารเนอะ มีตัวละครใหม่เข้ามาเขาจะช่วยอะไรได้บ้างไหมน้า :m15:

อยาก talk นิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือส่วนตัวเราว่าสำนวนตัวเองเปลี่ยนจากเรื่องที่แล้ว เลยไม่รู้ว่าคนอ่านอ่านเรื่องเดียวจะเลิกอ่านไปเลยไหมเพราะภาษาต่างกัน T_T แถมบรรยายเยอะกว่าด้วย อยากให้คิดว่ามันเปลี่ยนเพราะนิสัยตัวละครเปลี่ยนไป แต่ยังไงเรายังพยายามปรับปรุงแก้ไขอยู่นะคะ

แล้วก็เร็วๆนี้ข้างนอกมีประเด็นเรื่องการคอมเมนต์ให้กำลังใจหรือการปรับปรุงเว็บไซต์ที่ส่งผลต่อการอัพนิยาย/การอ่าน-คอมเมนต์จากคนอ่านอยู่ ช่วงนี้เปิดเทอมแล้วเราคงอัพช้าบ้างอะไรบ้าง นิยายคงจะจมลงไปหน้าท้ายๆ ถามว่างานของเราคนอ่าน-เม้นน้อยมีท้อไหมก็มีบ้าง ปกติอัพวีคละ 2 ครั้งคงเหลือแค่วันศุกร์วันเดียวแล้ว ถ้าใครตามมาตั้งแต่เรื่องแรกอย่าเพิ่งทิ้งเราไปเน้อ ไม่มีคนอ่านคนเขียนก็อยู่ไม่ได้ ฮรึก ไม่ว่าจะช่องทางไหนเราก็รับคำติ-ชมจากทุกคนหมดเลยค่ะ เรื่องสั้นของเราเคยมีคนเอาไปรีวิว ขอบคุณมากๆ เรื่องนี้ถ้าใครเอาไปรีวิวอีกเราก็จะขอบคุณมากๆเช่นกัน :hao5:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ #ทองหล่อที่รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2019 21:10:13 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เรื่องต่อไปเป็นของธีโอดอร์ไหมคะ  น้องดูน่าเอ็นดู 5555

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
นี่เราพลาดตอนที่แล้วไปได้ไงง เราคิดว่ามาอัพทุกวันศุกร์ เลยไม่ได้เข้ามาอ่าน ^^
2 ตอนนี้ชวนเขินมาก คุณทองหล่อหวั่นไหวกับคุณเจ้าของร้านแล้วว
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
คุณทองหล่อป่วยแล้วเนี่ย คุณเจ้าของร้านกาแฟรีบมาดูแลเลยครับ ^^

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love VII
ทองหล่อที่รัก




“ไม่สบายนี่แย่เลยเนอะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ปวดหัวไหมครับ”

“บอกแล้วว่าอย่าทำให้ตัวเองไม่มีความสุข ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ”

“คิดถึงจะแย่ คุณไม่มาหากันบ้างเลย”

“หายไวๆนะครับ”





ติณภพฝันเห็นคุณเจ้าของร้าน


ไม่เชิงว่าฝัน แค่ได้ยินแต่เสียง เห็นเป็นเงาขาวสลับดำ และจินตนาการไปเองว่าได้รับไออุ่นจากเขาตอนที่นอนอยู่ ทั้งที่ความจริงอาจเป็นผ้าห่ม แต่มันสมจริงราวกับว่าคุณเจ้าของร้านได้มาที่นี่จริงๆ ได้มานั่งข้างเตียงและลูบผมแผ่วเบาหรือไม่ก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มใสน่าฟัง คนที่นอนเปื่อยเป็นผักจึงทึกทักให้มันเป็นความฝันไปเสีย ดีกว่าบอกว่าเป็นไข้จนเพ้อพก


ฝันดีที่ทำให้ไม่อยากตื่น ทว่าเลี่ยงไม่ได้ต้องลืมตามาเจอความจริงอันโหดร้ายที่ว่าไม่มีคนที่คิดถึง และเจ็บตัวไปหมด


มองมุมห้องทางซ้ายก็แม่เลี้ยงฝรั่ง มองทางขวาก็พ่อ ใกล้ตัวหน่อยนั่งอยู่บนเตียงด้วยกันคือน้องชายคนกลางชื่อทิโมธี และที่เพิ่งถือถ้วยอะไรสักอย่างเดินเข้ามาหน้าประตูห้องคือตัวแสบธีโอดอร์


“พี่ตฤณตื่นแล้ว” ทิมเอาฝ่ามือทั้งสองมาทาบวัดอุณหภูมิบนใบหน้าอย่างแผ่วเบา ทั้งอุ้งมือและนิ้วมือเรียวยาวนั่นได้สัมผัสตั้งแต่ปลายคางเขาไปจนถึงตีนผมในคราวเดียว “เป็นยังไงบ้างครับ ปวดหัวไหม”


ติณภพพยักหน้า รู้สึกแสบตาเพราะตาแห้ง หายใจแล้วเจ็บซี่โครงหน่อยๆ


“ทำไมมากันเยอะเลย”


“ธีโอดอร์มาบอกเรา เราเลยเข้ามากันหมด” คราวนี้แม่เลี้ยงเดินมาหาบ้าง รอยยิ้มอ่อนโยนแต่ชวนสดชื่นยามเช้าช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นเยอะ ไม่นับสำเนียงแปร่งๆเพราะพูดไทยไม่ค่อยชัด “เป็นห่วงมากเลย เธอโอเคไหม”


“บอกตามตรงว่าไม่ค่อยครับ”


“อย่างนั้นไปหาหมอดีกว่า ปล่อยไว้แล้วจะแย่” แม่เลี้ยงทรุดกายนั่งลงในระดับสายตา ส่วนพ่อของเขาเดินมาหยุดตรงปลายเตียง กอดอกพิจารณาดูลูกชายที่นานทีปีหนจะไม่สบาย และคำพูดนั้นทำเอาเขาหน้าซีดกว่าเดิมแน่ๆ


“ไม่เอานะป๊า ผมไม่ไปโรงพยาบาล นอนพักอยู่บ้านสองสามวันก็กลับไปทำงานต่อได้แล้ว”


ทิโมธีหัวเราะเรียกความสนใจให้หันกลับไปมอง ติณภพรู้ถึงเหตุผลนั้นหากไม่มีกะจิตกะใจจะทำหน้าดุห้ามปราบคนที่กำลังล้อเขา


“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าจะหายทันภายในสองสามวัน ปกติแกไม่ค่อยป่วย พอถึงเวลาจริงก็เป็นหนัก ใครจะมาดูแลเฝ้าไข้ไหว หืม”


เขารู้ว่าพ่อเป็นห่วงถึงได้พูดแบบนั้น แต่อดน้อยใจไม่ได้ ต้องให้บอกกี่ครั้งกันนะว่าถ้าไม่ใกล้ตายไม่ต้องส่งเขาไปที่โรงพยาบาลเด็ดขาด


“ผมดูแลพี่ตฤณเองครับ”


ทุกคนหันกลับไปมองต้นเสียง ธีโอดอร์เดินยกชามสีขาวที่คาดว่าน่าจะเป็นอาหารคนป่วยสักชนิดเข้ามาวางที่โต๊ะข้างเตียง กลิ่นของมันโชยไปทั่วจนติณภพมั่นใจว่ามันคือข้าวต้ม


“พอดีช่วงนี้ยังไม่มีงาน ผมว่าง เดี๋ยวจะอยู่กับพี่เขาเอง แด๊ดไม่ต้องกังวล” พูดจบเจ้าตัวดีของติณภพก็แทรกตัวเข้ามาระหว่างทิโมธีและเขา ประคองกึ่งบังคับให้ลุกขึ้นแบบเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ในหัวตอนนี้มีแต่คำว่า เบาหน่อย เบาหน่อยโว้ย “กินข้าวต้มหน่อยครับ จะได้กินยา”


“เนี่ย มีคนดูแลแล้วผมไม่ต้องไปโรงพยาบาลก็ได้” คนพูดหันหน้าไปอีกทางเพื่อปิดปากตอนไอหนัก “ธีคนเดียวก็ทั้งบ่นทั้งดุทั้งเป็นห่วงแทนทุกคนในบ้านไปหมดแล้วเมื่อคืนตอนตีสาม ป๊าสบายใจได้”


“แต่ธีคนเดียวจะไหวเหรอ...ไปหาหมอดีกว่ามั้ง เดี๋ยวผมจะลองบอกเพื่อนๆที่โรง...”


“No doctor! No hospital!” คนป่วยโพล่งขึ้นมาจนทิโมธีที่แกล้งแหย่เขาหัวเราะเสียงดัง แม่เลี้ยงฝรั่งเองก็ขำไปด้วย หันไปหาพ่อ พ่อก็เหมือนจะแอบหัวเราะหากส่ายหน้ากลบเกลื่อนแล้วระบายยิ้มแทน เอาเข้าไป เป็นกันทั้งบ้าน


“Okay okay. No doctor and no hospital.” น้องคนกลางยกมือสองข้างยอมแพ้แล้วลุกออกจากเตียงไปในที่สุด เปิดทางให้ธีโอดอร์ที่ก็ดูว่าเกือบหัวเราะเหมือนกันได้ป้อนข้าวต้มเขาอย่างสะดวก “ผมไปทำงานต่อก่อนนะครับ นี่ก็สายมากแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นกลับมาเยี่ยมใหม่”


“พ่อจะไปเหมือนกัน ธีโอดอร์ดูแลพี่เขาดีๆล่ะ ไอ้พวกเรื่องที่แกเข้าไปช่วยงานป๊าในสาขาใหญ่ก็พักไปก่อน ไม่ต้องทำแล้ว”


“แต่ว่าผม...”


“ถ้าดันทุรังจะหามไปโรงพยาบาลจริงๆนะ ไม่ได้พูดเล่น แต่ถ้าแกยอมทำตามที่บอก อาการไม่ดีขึ้นป๊าจะให้หมอเข้ามาดูอาการแทน ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ตกลงไหม”


ติณภพหน้าบูด แต่ยอมรับข้อตกลงนั้นโดยดี “ครับ” เรียกหมอมายังดีกว่าไปหาถึงที่


“ดี พักผ่อนเสีย ฝากด้วยนะธี”


“ครับแด๊ด” น้องคนเล็กรับคำแล้วก็ป้อนข้าวต้มให้อีกคำ แม่เลี้ยงเดินมาบอกว่าให้เขาหายเร็วๆพร้อมทั้งจูบหน้าผากเป็นการอวยพร แล้วถึงเดินออกไปพร้อมพ่อกับทิม


พอทุกคนออกไป คนป้อนข้าวต้มตวัดสายตามาทางเขาจนรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกซักไซ้อะไรบางอย่างในไม่ช้า


ทำเหมือนตัวเขาเองเมื่อก่อนไม่มีผิด ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นเอาแต่ใจมากกว่านี้


“อะไร”


“ที่ทำงานหนักมากๆคือพี่ไปช่วยงานพ่อที่สาขาใหญ่เหรอ”


“ก็...ก็ใช่”


“แล้วโรงแรมตัวเองมันไม่พอหรือไงถึงได้ไปทำให้แด๊ดอีก เกินตัว”


“นี่ ให้มันน้อยๆหน่อยธี” คนป่วยอ้าปากรับเอาข้าวต้มเคี้ยวแล้วกลืนแบบฝืนทน “นี่พี่แกนะไม่ใช่ลูก บ่นจังเลย ป๊ายังไม่บ่นเท่าแก”


“Can’t help” (ช่วยไม่ได้) ธีโอดอร์ยักไหล่ไม่ยี่หระ “พี่ทำตัวแบบนี้เอง ทีตอนเด็กๆผมอ่านการ์ตูนเยอะพี่ยังบ่นผมเลย แด๊ดก็ไม่บ่นเท่าพี่”


ไอ้ตัวแสบเอ๊ย


“ไม่ต้องมองแบบนั้นเลย ฟังผมนะ ก่อนหน้านี้พี่ดูมีความสุขดีนี่ครับ เห็นว่าออกไปไหนกับเพื่อนแล้วมาเล่าให้มัมฟังอยู่...ใช่พี่วินหรือเปล่านะ ถ้าแด๊ดให้พักงานแบบนี้ หายไม่สบายพี่ควรออกไปพักผ่อนกับเขา”


ธีโอดอร์จ่อช้อนอาหารคนป่วยคำสุดท้ายไว้ที่ปาก ทว่าอีกคนไม่ยอมอ้าปากรับ แถมยังถอนหายใจยาวแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอีกด้วย เลยต้องเป็นฝ่ายลดช้อนลง


“เอาจริงๆตอนนั้นแค่ไปทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นเพื่อจะกลับมาทำงานหนักมากกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก แล้วมันก็ได้ผลอยู่นะ พี่ลุยงานได้ตั้งเป็นเดือนๆ”


“แล้วก็มาตายเอาบนเตียงอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้? พี่ตฤณครับ คนเรา relax จากการ  work hard ไม่ใช่ relax เพื่อ work harder นะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเนี่ย”


“ไม่ได้...อุ๊บ” แล้วน้องชายตัวดีก็ถือโอกาสที่เขาเปิดปากยัดช้อนเข้ามาเต็มคำ ในที่สุดข้าวต้มก็หมดถ้วย พร้อมสายตามันเขี้ยวหรี่เล็กสไตล์ติณภพ


“เดี๋ยวผมจะโทรหาพี่วินว่าให้พาพี่ออกไปอีก”


“No no no no” ติณภพปฏิเสธรัวเร็ว “ไม่ใช่คุณวิน เพื่อน...เพื่อนคนอื่น”


“เพื่อนคนอื่น? เพื่อนที่ไหน ผมรู้จักไหม”


“ไม่น่าจะนะ”


อยู่ๆธีโอดอร์มีสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อครู่ทำหน้าดุอยู่กลายเป็นว่าดวงตาแพรวพราวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไหนจะกดยิ้มที่มุมปากอีก เป็นยิ้มที่ติณภพรู้ความหมายเบื้องลึกของมัน


ที่มันยิ้มอย่างนั้นคงเป็นเพราะเขาต้องหลุดท่าทีพิลึกพิลั่นอะไรตอนบอกว่าเป็นเพื่อนแน่ๆ


เอาเข้าจริงมันไม่เชิงเป็นเพื่อนหรอก คำว่าเพื่อนดูน้อยกว่าความเป็นจริง แต่จะทำอย่างไรได้เล่า


“Your boyfriend?” (แฟนพี่?)


“No way! He’s not” (ไม่มีทาง! เขาไม่ใช่)


“Not yet” (ยังไม่ได้เป็น)


“Hey!”


ถ้าไม่ติดว่าไม่มีแรง แขนขาอ่อนเปลี้ยอยู่ ติณภพคงได้ถีบน้องชายตกจากเตียงตอนนี้เดี๋ยวนี้เลย


“ฮ่าๆ หน้าแดงเป็นมะเขือเผาเลย เมื่อกี้ยังหน้าซีดเหมือนกระดาษอยู่ สงสัยดีขึ้นแล้วแน่ๆ ต้องขอบคุณ your boyfriend”


“มะเขือเทศโว้ย! แล้วเขาก็ไม่ใช่แฟน เป็นเจ้าของร้านกาแฟในอเวนิวเฉยๆ หยุดล้อนะธีโอดอร์”


“อ่าๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ รอตรงนี้เดี๋ยวเอาถ้วยชามไปเก็บแล้วผมมาเช็ดตัวให้” ธีโอดอร์ยิ้มหวานให้ทั้งที่ปกติจะนิ่งขรึมตามนิสัย ตบบ่าพี่ชายสองสามครั้งเบาๆก่อนลุกเดินออกไป เหลือไว้แต่ไออุ่นกลิ่นหอมจางประจำตัว


ใครๆในบ้านก็บอกว่าธีโอดอร์เหมือนติณภพตอนยังเป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆ อย่างเรื่องหน้าตา ธีโอดอร์ก็คือเขาในเวอร์ชั่นตะวันตก ดวงตาไม่เล็กรีทว่าโครงหน้าส่วนล่างคล้ายกันมากกว่าจะไปเหมือนกับทิโมธีที่แทบไม่มีเค้าโครงจากเชื้อสายจีนเลย ไหนจะนิสัยที่มักออกปากบ่นเวลาเป็นห่วงคนที่รัก ถึงธีจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ชอบอ่านการ์ตูนติดนิสัยมาจนถึงตอนโต ดูเงียบ สุขุม เป็นเพียงเด็กธรรมดาที่ไม่ค่อยพูดมากอย่างเขา ทะเล้นเป็นบางเวลา แต่บทจะหงุดหงิดก็บ่นได้ยาวเหมือนเมื่อตอนตีสามนั่นล่ะ


ที่สำคัญ คนบ้านนี้รักใครมากจะเอ็นดูคนนั้นเป็นพิเศษ ติณภพเลยโดนจิกกัดแหย่เล่นตอนไม่มีแรงสู้ ทั้งธีทั้งทิมเลย


หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยติณภพก็ยังคงต้องนอนกลิ้งอยู่บนเตียง อาการเวียนหัวยังไม่หายไปทำให้ยืนตั้งฉากกับพื้นโลกไม่ได้นาน ลุกเดินไปไหนไม่ค่อยไหว ธีโอดอร์ผู้มีน้ำใจและความเป็นห่วงพี่ชายก็ทำหน้าที่คนเฝ้าไข้ได้เป็นอย่างดี มานั่งอยู่ด้วยกันแทบทั้งวัน


“ถ้าเบื่อจะออกไปข้างนอกบ้างก็ได้นะ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าทั้งวันหรอกธี พี่อยู่ได้”


“ไม่เป็นไรครับ นั่งอ่านการ์ตูนเป็นวันยังทำได้ แค่นี้สบาย” พูดแล้วก็โชว์หนังสือการ์ตูนในมือให้เขาดู “พี่ตฤณอยากได้อะไรบอกผมแล้วกัน”


“ช่วงนี้ไม่มีงานเหรอ แล้วเงินพอใช้หรือเปล่า”


“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ครั้งหนึ่งได้เงินมาผมไม่ได้ใช้หมด ว่างๆผมแวะไปดูที่ร้านบ้าง” ธีโอดอร์หมายถึงบาร์เหล้าที่หุ้นส่วนอยู่กับเพื่อนอีกคนแถวเอกมัย ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงแรมของเขานัก “ช่วงนี้เพื่อนผมเขาเพิ่งกลับมาทำงาน ลูกค้าก็อยากได้เขาไป ช่วงก่อนหน้านี้ที่เพื่อนไม่อยู่คนอื่นจ้างผมไปแทนน่ะ เลยไม่ต้องไปช่วงนี้”


“เรื่องงานถ่ายแบบน่ะเหรอ”


“Yeah เดินแบบงานแฟชั่นโชว์อะไรพวกนั้นด้วย แต่เหมือนเร็วๆนี่ก็จะมีมาอีก แค่รอทางนั้นติดต่อมาก่อน”


“อย่างนั้นก็พักผ่อนไปแล้วกัน...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโอตาคุติดการ์ตูนอย่างแกจะเป็นนายแบบ อยากให้คนอื่นมาเห็นตอนอยู่บ้านจริงๆ”


“อย่าว่าแต่พี่เลย ผมก็ไม่เชื่อ” พูดจบก็หัวเราะให้กันเสียอย่างนั้น


“But you’re kinda hot nerd...you know...on set” (แต่แกก็เหมือนจะเป็นเนิร์ดที่ฮอตอยู่นะ ตอนอยู่กองถ่ายน่ะ)


คนฟังเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มมุมปากครู่หนึ่งแล้วก้มลงไปอ่านต่อ ติณภพไม่ได้แซวเล่น วันธรรมดาที่อยู่บ้านธีโอดอร์ก็แค่ผู้ชายเนิร์ดๆ ใส่แว่น ใส่ชุดอยู่บ้านยืดย้วย ตื่นมาผมกระเซิงปรกหน้า เดินลงบันไดมาแล้วบ่นกับแม่ว่าหิวข้าว ติดการ์ตูนมากขนาดนั่งอ่านได้ทั้งวันไม่กินข้าวกินปลาก็มี จนเขากับทิโมธีต้องคะยั้นคะยอว่าให้ออกไปข้างนอกบ้าง อย่าอยู่แต่กับบ้านเป็นมนุษย์ยุคหิน


แต่เวลาอยู่ในกองถ่ายหรือหลังหน้ากล้อง ธีโอดอร์อีกร่างหนึ่งถึงออกมาให้ได้เห็นเป็นบุญตา เป็นหนุ่มลูกครึ่งฝรั่งตาน้ำข้าว ผิวขาวอมชมพู ตัวสูงใหญ่หุ่นได้รูปอวดร่างกายเข้ากับเสื้อผ้าทุกชุดเท่าที่จะมีมาให้ใส่ ติณภพเคยไปนั่งดูตอนน้องทำงานอยู่หลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ช่วงแรกที่เพิ่งเข้าวงการไม่นาน ยิ่งเวลาช่างแต่งหน้าหรือช่างทำผมแปลงโฉมให้ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ แค่เซ็ตผมขึ้นเขาก็จำน้องตัวเองไม่ได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนขึ้นไปอยู่บนเวทีหรืออยู่บนปกนิตยสารชื่อดัง เห็นไม่ค่อยสนใจทางด้านนี้แต่เขาก็อุดหนุนและสนับสนุนผลงานน้องตลอด


“งานล่าสุดที่ไปถ่ายนิตยสารชื่ออะไรนะ ยังไม่ได้ดูเลย”


“ของ...ครับ ก็ถ่ายไม่เยอะนะเพราะมีหลายคน เป็น new collection ของแบรนด์... เดี๋ยวเอาให้ดู” ธีโอดอร์หยิบมือถือขึ้นมากดจิ้มสองสามครั้ง ก่อนส่งมือถือให้เขาที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง


สิ่งที่เห็นคือนายแบบสองคนในชุดสูททำงานตัดเย็บไร้ที่ติ เป็นแบรนด์ขึ้นชื่อที่เขามีอยู่ในตู้เสื้อผ้าสองสามชุด และเมื่อมีคอลเลคชั่นใหม่ออกมาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ชุดยิ่งดูดีมากขึ้นเมื่อมันอยู่บนร่างกายของธีโอดอร์ในอิริยาบถถือกระเป๋าทำงาน สวมแว่นสายตาบางเฉียบ นาฬิกาหรู และรองเท้าหนังเข้าชุดกัน ธีโอดอร์ในสูทสีน้ำเงินเข้มหันหน้าตรงมองกล้อง หากมีใครอีกคนในชุดสูทสีน้ำตาลยืนหันหลังให้กล้องเคียงข้างกัน โดยโพสต์ท่าทางในลักษณะเฉียงข้างสี่สิบห้าองศา ทำให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งเดียวกับสันจมูกโด่งโดดเด่น ดูดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


คนนี้ดูดีมาก เขาคิด แต่ก็คุ้นหน้ามากด้วย


เหมือน...


“ถ่ายนานแล้วเหรอ”


“ไม่นานครับ two weeks ago (สองอาทิตย์ก่อน) แต่พี่น่าจะทำงานเยอะเลยไม่รู้”


“แล้วคนนี้ใคร ดูดีจัง”


“เพื่อนผม คนที่บอกว่าหายไปช่วงหนึ่งพอกลับมาแล้วงานรุมไง สนใจเหรอ โสดนะ”


“ไม่ต้องมาทำยักคิ้วหลิ่วตา ก็แค่ถามเฉยๆ” ติณภพกดเสียงต่ำ แต่แอบรู้สึกร้อนที่แก้ม “ทำมาเป็นหาคู่ให้ หาของตัวเองก่อนเถอะ”


“I think you need to be in a relationship for now bro.” (ผมว่าพี่ควรหาใครสักคนได้แล้วนะ) ธีโอดอร์ปิดหนังสือการ์ตูนหันมาบอกจริงจัง “It’ll make you happier. If you’re not gonna go with that coffee shop boy, at least there’s another choice.” (มันจะทำให้พี่มีความสุขมากขึ้น ถ้าจะไม่ไปกับพ่อหนุ่มร้านกาแฟนั่นแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีตัวเลือกอื่น)


“เป็นคิวปิดหรือไง แล้วรู้ได้ไงว่าเขาจะอยากคุยกับพี่” คนป่วยกอดอกมอง ธีโอดอร์ดูกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัดทางสายตาวาววับคู่นั้น “ก็รู้อยู่ว่าที่ไม่คิดหาแฟนเพราะอะไร”


“But he’s nice.”(แต่เขานิสัยดีนะ) น้องชายปรับลดโทนเสียงลง “I know he’s 100% your type. Handsome, tall, pretty face with charming smile, smart and calm. I assure he will not disappoint you.” (ผมรู้ว่าเขาน่ะเป็นแบบที่พี่ชอบร้อยเปอร์เซ็นต์ หล่อ สูง หน้าตาดียิ้มสวย ฉลาดแล้วก็ใจเย็น ผมรับรองได้ว่าเขาไม่ทำให้พี่ผิดหวังหรอก)


“But I’ll let him down instead.” (แต่พี่จะทำให้เขาแย่ลงแทนน่ะสิ)


“Come on! You’re not that bad.” (ไม่เอาน่า! พี่ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย)


“ขายของขนาดนี้ทำไมไม่เอาเป็นแฟนเองเลยล่ะวะ”


“รู้สันดานมันดีเกินไป ถึงคนนอกจะเข้าใจว่าเป็นแฟนกันไปแล้วก็เถอะ เพราะคิดว่ามีแฟนแล้วคนอื่นเลยไม่มายุง..มายุ่งสิ”


“คนนี้เองเหรอที่บอกว่าคนอื่นชอบจิ้นเรากับเขาอ่ะ”


ติณภพหัวเราะพอเห็นธีโอดอร์เบ้ปาก เขานับถือใจในความพยายามอธิบายคุณงามความดีของเพื่อนตัวเอง เท่าที่ฟังมามีหลายอย่างที่ตรงใจอยู่เหมือนกัน แสดงว่าเห็นเงียบๆเจ้าตัวแสบก็ยังรู้ใจเขาดี


แต่มันยังไม่มากพอจะทำให้ความรู้สึกของเขาต่อคุณเจ้าของร้านสะเทือนแม้แต่สักนิด


โอย ชอบเขาไปแล้วจริงๆด้วย


“ขอบใจนะธีโอดอร์” ที่พยายามจะหาคนดีๆเข้ามาให้


“Anytime” (ได้ทุกเมื่อ) รอยยิ้มหวานเผยขึ้นจนห้องดูสว่างสดใสยามเย็น “สรุปว่าสนใจไหม ผมจะได้ดีลให้”


“เอาไว้ก่อนดีกว่า ธีไปหาขนมมาให้กินหน่อยสิ พี่หิว”


“เจ็บคออยู่นี่ แต่เดี๋ยวลองดูผลไม้ให้แทนแล้วกัน”


ธีโอดอร์เดินออกจากห้องไป ติณภพขยับตัวช้าๆเอื้อมไปหยิบมือถือที่วางอยู่ กัดริมฝีปากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจหารายชื่อในมือถือแล้วกดโทรออก


[สวัสดีครับ]


“คุณ ผมเอง จำผมได้ไหม” ติณภพรู้สึกมือเย็นเฉียบฉับพลัน กระพริบตาถี่ครั้งเรียกขวัญตัวเอง


[ได้สิครับ ทำไมจะจำไม่ได้ มีอะไรหรือเปล่า]


เสียงนั้นยังสดใสเหมือนเดิม ทำเอาคนป่วยใจฟูขึ้นมาทันตา ระบายยิ้มกว้างคนเดียวจนปวดแก้ม


“อาทิตย์หน้า...ไปกินเหล้ากัน”


[หา ผมฟังผิดหรือเปล่าเนี่ย] เขาหัวเราะหยอกเล่น [ที่ไหน เมื่อไหร่ บอกมาได้เลยครับ]


“ผมยังไม่มีแผน รอถามคุณก่อน แบบว่า...เพิ่งคิดได้ก็โทรมาเลย คงจะเป็นวันศุกร์หน้ามั้ง คุณว่างหรือเปล่า”


[ถ้าอย่างนั้นผมรู้จักอยู่ที่หนึ่ง คุณน่าจะชอบนะ ส่วนเรื่องวันเวลา อ่า...ผมสะดวกช่วงสองทุ่มครับ ดึกไปไหม]


“ผมได้ยันสว่าง” คราวนี้ติณภพเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง แต่ก็เผลอไอใส่เสียงปลายสาย “รอผมหายก่อน เจอกันแน่นอน”


[คุณทองหล่อไม่สบายเหรอครับ แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง] น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไป ฟังดูเป็นกังวล แต่คนทางนี่กลับยิ่งใจสั่นพอได้ยินเขาเรียกด้วยชื่อเล่นอันคุ้นเคย


“นิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ เอาไว้จะเล่าให้ฟังนะ เดี๋ยวใกล้ๆผมโทรคอนเฟิร์มอีกที สรุปว่าไปกับผมนะ”


[ไปครับ ผมไปแน่นอนถ้าเป็นคุณ]


บ้าเอ๊ย ปกติก็ไม่เคยอ้อนใครแบบนี้หรอก แต่ลองทำแล้วคุณตอบมาแบบนี้ใจผมเต้นแรงโคตรๆ


[ระหว่างนี้ดูแลตัวเองด้วยนะครับ หายป่วยไวๆ]


“ครับ ขอบคุณครับ”


แล้วกดวาง ปล่อยมือถือร่วงลงบนเตียงพร้อมพรูลมหายใจอุ่นร้อนออกมายาวๆ ถึงกับต้องยกมือสองข้างลูบหน้าเลยด้วยซ้ำไป หัวใจเต้นตึกตักจนปวดตามตัวขึ้นมาถึงสมอง อยากกำมือแน่นๆระบายความเขินก็ไม่มีแรง


เสียอาการที่สุด แค่ได้ยินเสียงก็ทำให้รู้แล้วว่าคิดถึงเขามากขนาดไหน เจ้าธีจะขายของขายเพื่อนอะไรเขาไม่สนใจแล้ว วันศุกร์หน้าต้องว่าง ต้องหายป่วยทัน


แค่เป็นคนนี้ก็พอ เป็นคุณเจ้าของร้านก็พอ


“พี่ เป็นอะไรน่ะ ไข้ขึ้นเหรอทำไมหน้าแดง”


“อะ...อ๋อ เปล่า” ติณภพกัดฟันแน่นทำตัวให้นิ่งที่สุดเมื่อธีโอดอร์วางจานผลไม้แล้วปรี่เข้ามาอังหน้าผากด้วยหลังมือเพื่อวัดไข้ “เอามากินเร็ว หิวแล้ว”

__________

กว่าจะยอมรับใจตัวเองนะคนเรา ต้องให้น้องมาขายของให้ก่อน ธีโอดอร์ก็ขายของเก่ง
ไหนพี่เขาเคลมว่าเป็นคนนิ่งๆ สุขุม ทำไมชอบแซวพี่ล่ะคะ 555555
คุณตฤณของเราร้ายนะ พอรู้ว่าจะแนะนำคนใหม่มาให้รีบโทรหาคนที่ชอบเสียเลย เหมือนคอนเฟิร์มตัวเองว่าจะเอาคนนี้แหละ  :hao3:

ตอนนี้มาแค่เสียง แง้มนิดนึงว่าตอนหน้าคุณเจ้าของร้านมาเต็มตอนละ คุณตฤณมีอึ้งบอกเลย
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ #ทองหล่อที่รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2019 21:35:28 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
งู้ยย มีน้องเป็นคิวปิดให้ ไม่น่าพลาดแล้วแหละ 5555  สู้ๆนะคะคุณทองหล่อ

ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รักคุณทองหล่อ

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love VIII
ทองหล่อที่รัก



วันศุกร์ต้นเดือนตุลาคม


19:50 น.


ติณภพยืนอยู่ที่หน้าร้านอันเป็นสถานที่นัดหมาย ซึ่งเคยขับรถผ่านบ่อยครั้งแต่ไม่ทันสังเกตว่าตรงนี้คือบาร์ในเมื่อเปิดเฉพาะตอนกลางคืน ตอนนี้ร้านเพิ่งเปิดได้ไม่ถึงชั่วโมง เดาว่าคนยังมีไม่มาก เขามาถึงสิบนาทีก่อนนัด แต่ยังช้ากว่าคุณเจ้าของร้านที่โทรมาบอกว่ามาถึงก่อนแล้ว


สูดลมหายใจเข้าลึก ดึงสูททำงานให้เรียบตรงรวบรวมความมั่นใจ ภายนอกมีแค่แสงไฟสีส้มประดับหน้าร้านที่เงียบสงัด มองผ่านกระจกโปร่งแสงเข้าไปด้านในเห็นเป็นจำนวนสีของแสงไฟกับเงาสะท้อนวูบวาบหลากหลาย เดาได้ทันทีเลยว่าคงต้องมีทั้งเสียงเพลง ผู้คน และบรรยากาศที่ไม่เหมือนข้างนอกอย่างแน่นอน


ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้ามา เขารู้สึกถึงมันราวกับว่านี่ล่ะคือสิ่งที่ห่างหายไปนาน


อย่างแรกที่รับรู้คือเสียงเพลง เป็นเพลงช้าปานกลางทำนองชวนโรแมนติก ตามมาด้วยกลิ่นหวานของเครื่องดื่มบางชนิดที่รู้จักลอยอบอวลอยู่ในร้าน แสงสีของไฟสาดส่องกระทบขวดแก้วเครื่องดื่มหลากชนิดกว่าร้อยขวดอันรายเรียงอยู่บนชั้นวางสูงตระหง่านหลังเคาท์เตอร์บาร์ ยิ่งมองไปเห็นเหล้านอกสองสามขวดที่เปิดฝาใกล้กันกับกับบาร์เทนดี้สาวสวยที่กำลังหยิบจับอุปกรณ์มิกซ์เครื่องดื่มด้วยความคล่องแคล่วด้วยแล้วติณภพยิ่งรู้สึกสดชื่นขึ้นมา


ตัวตนนักท่องราตรีที่เคยละทิ้งไปหลายปีกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เนื้อตัวสั่นระริก ลมหายใจแห่งความปลื้มปริ่มอัดแน่นเต็มปอด ทุกอย่างละลานตาไปหมด และบอกตามตรงว่าเปรี้ยวปาก


จะว่าไปแล้วติณภพลืมเสียสนิทที่มีคนมานั่งรออยู่ก่อน โต๊ะชั้นล่างมีลูกค้าจับจองบ้างแล้ว หลายคนปักหลักที่เคาท์เตอร์บาร์ แต่ที่ชั้นสองยังไม่เห็นว่ามีใครเดินขึ้นบันไดไป เพราะเป็นมุมส่วนตัวก็จริงแต่ไม่สามารถดื่มด่ำบรรยากาศได้มากเท่าชั้นล่างที่จะเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาช่วงดึก


“รอใครอยู่หรือเปล่าครับ”


ไอร้อนเฉียดผ่านข้างหูทำให้ติณภพหันกลับมามองเจ้าของเสียงที่พูดกับเขา แล้วถึงกับค้างไปชั่วขณะ


ร่างคุ้นตาที่ดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลยยืนห่างกันแค่สองก้าวขา จากการมองปราดเดียวสั้นๆ วันนี้เขาคนนั้นใส่เสื้อเชิร์ทสีดำแขนยาวพับทบถึงข้อศอกพอดีตัวกับช่วงบ่ากว้าง เปิดกระดุมโชว์อกจนลึก กางเกงผ้าชิโนสีเทาพอดีรูปขาและรองเท้าคอนเวิร์สโอลด์สกูลสีดำ ที่แผงอกเนื้อในมีสร้อยคอรูปกางเขนเงินห้อยอยู่โดดเด่นเป็นเป้าระยะการมองเห็นพอดิบพอดีราวกับว่าเครื่องประดับจิ๋วชิ้นนั้นจะปกป้องไม่ให้สายตาคู่ไหนมองทิ่มทะลุผ่านไปยังผิวเนื้อนั้นได้ ทั้งที่ตัวมันเองต่างหากที่บังคับสายตาน่าสงสารของติณภพให้ต้องมอง ไหนจะโซ่เงินกับเส้นเชือกลูกปัดไม้สไตล์วินเทจที่ข้อมือ ยังมีต่างหูเงินเล็กๆเจ็ดห่วงที่ข้างหูซ้ายกับต่างหูห่วงใหญ่ที่ใบหูขวา ยืนยิ้มให้อยู่


นั่นยังไม่เท่าตอนที่มองใบหน้า คิ้วเข้มโก่งขึ้นเพราะดวงตาสีดำสุกใสคู่นั้นเบิกกว้างแพรวพราวมองมาที่เขา ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มยินดีขับโหนกแก้มให้เด่นชัดทว่าไม่กระทบกระเทือนกับจมูกโด่งปลายหยดน้ำอันเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง สุดท้ายเท่าที่สังเกตคือทรงผม จากแรกเดิมเป็นสกินเฮดที่เพิ่งเริ่มยาว เปลี่ยนมาเป็นรองทรงที่ยังสั้นอยู่ดี และเวลานี้ที่ล่วงเลยมานับเดือน คนตรงหน้าเขาตัดผมแบบไถเปิดด้านข้างสไตล์อันเดอร์คัท โดยที่ด้านบนเปิดหน้าผากให้เส้นไหมสีดำยาวสลวยปัดข้างทิ้งปอยขับให้ใบหน้าดูคม ความเป็นคู่ตรงข้ามของรอยยิ้มอบอุ่นกับลุคแบดบอยทำให้ชายหนุ่มดูน่าค้นหาเป็นที่สุด


ไฟส้มจากชั้นวางเหล้าสาดส่องมาถึงเราทั้งคู่ตรงนี้เล็กน้อย ดุจการต้อนรับการกลับมาพบกันอีกครั้ง คุณเจ้าของร้านหล่อมาก


ห ล่ อ ม า ก


หล่อโคตรๆ หล่อสัสๆ ที่ผ่านมารวมกันยังไม่เท่าวันนี้วันเดียว ให้ตายเถอะวะไอ้ตี๋


“กะ...ก็...เพิ่งเข้ามา”


“เหนื่อยไหมทำงานมา นี่ขนาดสองทุ่มแล้วคุณยังดูดีอยู่เลย” อีกฝ่ายก้าวเข้ามาประชิดเหมือนจะกอดคออย่างทุกทีแต่แล้วกลับชะงักไปครู่หนึ่ง ติณภพมองคุณเจ้าของร้านสะบัดศีรษะสองสามครั้ง แล้วกลายเป็นว่าเขาแตะข้อศอกดันให้เดินไปพร้อมกันแทน


“ผมนั่งตรงนั้น เราไปกันเถอะครับ”


หรือว่าน้ำหอมที่เพิ่งเปลี่ยนกลิ่นใหม่มันจะทำพิษเอาเสียก็ไม่รู้ ไหนคุณชวินทร์บอกว่าเปลี่ยนแล้วดีไงวะ


โต๊ะที่คุณเจ้าของร้านกาแฟเลือกคือโต๊ะชุดสำหรับนั่งสองคนตั้งอยู่มุมเกือบหลังสุดของร้าน โดยมีทางเดินแคบๆคั่นกลางและถัดไปหนึ่งก้าวคือบาร์ที่ทอดยาวตั้งแต่กลางร้านมาถึงตรงนี้ ถือว่าเป็นมุมทำเลที่ดีมาก เพราะด้านในสุดจะไม่ค่อยมีคนเดินเข้ามา มีความเป็นส่วนตัว แต่ยังคงได้บรรยากาศชวนเคลิ้มฝันของนักท่องราตรี คือมีแสงจากไฟสีส้มจัดส่องถึง มีสีจากแก้วขวดเหล้าหลากหลายที่แสงไฟสะท้อนมาระยิบระยับ และมีเสียงเพลงลอดผ่านบ้างแต่ไม่ถึงกับดังจนทำลายการสนทนาของเรา


ก่อนเข้ามานั่งติณภพสั่งเมนูที่มีชื่อยิ่งใหญ่เรียกขวัญกำลังใจแก้วแรกอย่าง God Father มีส่วนผสมของวิสกี้เบอร์เบิร์นกับเหล้าอัลมอนด์เจือความขมจากอิตาลี ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันสั่ง Miss Violet ที่มีส่วนผสมเยอะมากจนจำไม่ได้ รู้แค่ว่ามีเหล้าจินกับช็อคโกแลต ซึ่งการมีสิ่งอื่นผสมมากเกินไปไม่ใช่แนวการดื่มของเขาสักเท่าไหร่


“นึกยังไงชวนผมมาดื่ม”


คุณเจ้าของร้านถามขึ้นหลังจิบเครื่องดื่มในแก้วไปเพียงอึกเดียว ต่างจากคนชวนมาที่จิบเอาๆจนหายไปเกือบครึ่งแก้ว ติณภพไม่แน่ใจว่าในคำถามนั้นมีความหมายอะไรแฝงอยู่หรือเปล่า เลยทำเป็นเขย่าแก้ววนแบบวงกลมช้าๆ ช้อนสายตาขึ้นแทนการถาม


ทำงานเหนื่อย เครียด คิดถึง


เขาอยากได้คำตอบไหน


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคุณ” เขาหัวเราะแก้เก้อ “ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจผมยินดีรับฟังอยู่นะ อย่างน้อยเราก็เพื่อนกัน”


“เพื่อนที่ไม่รู้ชื่อกัน”


“ยินดีที่ไม่รู้จักนะครับ” คุณเจ้าของร้านค้อมหัวลงเล็กน้อย ส่งรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์มาให้ คนทางนี้ทำได้เพียงยิ้มรับ ยกแก้วขึ้นชนกันแล้วยกดื่ม หากอีกฝ่ายแค่วางแก้วลงอย่างเดิม


ที่ไม่ทำอะไรนอกจากยิ้มรับเพราะข้างในใจจะตายเอาหลายครั้งเพียงสบตา


ติณภพคิดอะไรในหัวเต็มไปหมด มีเรื่องที่อยากเล่ามากมายระหว่างไม่ได้พบกัน ทั้งเรื่องที่อยากถามไถ่จากเขาคนนั้นว่าตอนเขาไม่อยู่ไปทำอะไรบ้าง เรื่องที่อยากระบายทั้งงานและชีวิตส่วนตัว แต่ต้องนั่งเงียบฟังเพลงอย่างเดียวไปอีกสิบนาทีเห็นจะได้ คุณเจ้าของร้านแค่ให้เวลากับเขาด้วยการนั่งมองอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้พูดชวนคุยไปเรื่อยจนอึดอัด


ทุกครั้งที่ไปด้วยกันก็เป็นแบบนี้ เหมือนว่ารู้ใจ รู้ว่าเขาต้องการอะไร


สายตาหวานซึ้ง รอยยิ้มนุ่มนวลแบบคนใจเย็น มีไฟสีส้มสลับแดงฉาบเคลือบให้ดูเซ็กซี่หรือไม่ก็เร่าร้อนขึ้นหลายเท่าตัว ชวนระทดระทวยอย่างมาก


แค่เพราะเขามอง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองตอบข้อสงสัยในใจได้เกือบหมดแล้ว ติณภพเพิ่งมาอยากรู้เอาตอนนี้ว่าคุณเจ้าของร้านชื่ออะไร และการอยากรู้ว่าเขาชื่ออะไร ก็คือการที่ตัวเองเปิดใจต้อนรับเขาเข้ามาเรียบร้อย


“ผมโคตรเหนื่อย” เป็นสิ่งแรกที่หลุดมาจากปากหลังเครื่องดื่มแก้วแรกหมดไป กระแอมไอไล่ความร้อนวาบจากรสร้อนในคอแล้วว่าต่อ “ทำแต่งาน ทำจนรู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองเหลวไหลมาก งานโรงแรมแม่งจุกจิก แต่ก็รับเข้ามาหมด โรงแรมตัวเองไม่พอเสือกเสนอหน้าไปช่วยโรงแรมป๊าอีก”


พูดจบก็ลุกขึ้นไปสั่งเครื่องดื่มแก้วที่สอง แล้วกลับมานั่งที่เดิม มองแก้วอีกคนที่เริ่มพร่องลงไปบ้าง


“ทำจนไม่สบายเลยสิท่า”


“ประมาณนั้น แต่ตอนนี้สบายแล้ว” เขาไหวไหล่ประกอบแล้วโน้มตัวมาด้านหน้าท้าวคางกับอุ้งมือเมื่อตั้งข้อศอกลงบนโต๊ะ คู่สนทนาหัวเราะ


“อย่างนั้นเต็มที่เลย ของผมแค่แก้วเดียวก็พอ คุณเมาเละขนาดไหนไม่ต้องกังวล เดี๋ยวจะแบกกลับไปส่ง”


“รู้เหรอว่าผมอยู่ที่ไหน”


“ก็หวังว่าคุณจะบอก” เป็นประโยคที่เหมือนไม่หวังเอาคำตอบ แต่การตีความตามบริบทฟ้องอยู่ทนโท่ว่าติณภพต้องบอกที่อยู่ให้อีกฝ่ายรู้


“โรงแรม...หิ้วปีกผมเข้าไปได้เลย แต่บอกตามตรงนะ ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองเมาปลิ้นขนาดนั้นหรอก คุณวินรู้คงบ่นตายห่า”


“คุณวิน?”


“อ่อ เพื่อนสนิทน่ะ” แอลกอฮอล์แก้วแรกก็ทำเอาหลุดชื่อคนอื่นออกมา แต่เห็นสีหน้าสงสัยจากคุณเจ้าของร้านแล้วก็น่าลองเชิงดูเหมือนกัน ใบหน้าสมบูรณ์แบบที่ขมวดคิ้วต้องกำลังคิดแน่ๆว่าสนิทกันระดับไหนถึงสามารถออกปากบ่นคนอย่างเขาได้


“ว่ากันตามตรงเลยนะ ผมจะไม่อ้อมค้อมแล้ว ที่ผ่านมาผมรู้ว่าคุณคิดยังไงกับผม ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอก แล้วคุณเองคงจะอยากรู้ว่าทำไมผมถึงเอาแต่เงียบ ไม่โต้ตอบ เปลี่ยนเรื่องบ้างอะไรบ้าง”


ติณภพมองคนที่กำลังตั้งใจฟังเขาเป็นอย่างดี คุณเจ้าของร้านไม่กระพริบตาสักนิด เขาแค่นิ่ง สงวนท่าทีเอาไว้ แต่ความอยากรู้ในดวงตาเป็นสิ่งที่ซ่อนไว้ไม่มิด และเสียงเพลงยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ คราวนี้เหมือนเป็นเพลงแจ๊ส


“บางทีคุณอาจจะรู้อยู่แล้วแต่ผมจะย้ำให้อีกที คนอย่างผมไม่เหมาะจะอยู่กับใครหรอก คุณเห็นแล้วนี่ ทั้งพฤติกรรมตอนขับรถ ทั้งตอนผมโวยวายเวลาได้อะไรไม่ถูกใจ คือหมายถึงเอาแต่ใจแต่ผมก็รู้ตัวแหละว่าอะไรควรไม่ควร หน้าตาก็ไม่ได้เรื่อง เราไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ดูคุณสิ แล้วมาย้อนดูตัวเอง”


“คุณรู้ตัวว่าตัวเองเอาแต่ใจ แล้วก็รู้เหมือนกันว่ามันเป็นนิสัยที่ไม่ดี?”


“อืม ก็ประมาณว่าเป็นบางเวลา ผมไม่ทำแบบนั้นเวลาทำงานหรอกน่า”


“แล้วใครบอกว่าคุณหน้าตาไม่ได้เรื่อง คิดไปเองหรือเปล่า”


“คุณนั่นแหละคิดไปเอง ลูกกะตาผมเนี่ยแทบจะฝังลงไปกับหน้า หน้าก็หยิ่ง ดูยังไงว่าดี” ว่าแล้วก็กระดกแก้วในมือรับเอาของเหลวรสเฝื่อนเข้าคอ “ถามจริงๆนะ กวนประสาทผมเล่นเหรอ”


“ไม่ได้กวนประสาทเถอะ ผมว่าน่ารักก็น่ารัก หน้าหมวยๆ ผิวขาวๆ ตัวเล็กๆ เหวี่ยงนิดเหวี่ยงหน่อยผมพอรับไหวน่า นิสัยคล้ายกันอยู่ด้วยกันได้”


“แค่ก...” คนฟังสำลักเหล้าจนบ่าไหล่เกร็ง คอแข็งเพราะกอบโกยอากาศหายใจลำบาก ไม่รู้จะหัวร้อน หัวเราะ หรือตกใจสิ่งที่ได้ยินก่อนดี คุณเจ้าของร้านดูจะตกใจรีบเอื้อมตัวมาลูบหลังให้เป็นการด่วน


หมวย ขาว ตัวเล็ก พูดเสียน่าเอ็นดู


ส่วนเรื่องนิสัยคล้ายกัน เขาไม่เชื่อ


“ฟู่ว...โอเค หมวยๆ ขาวๆ ตัวเล็กๆ” เขาเรียกตี๋โว้ย แล้วก็ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้น คนพูดมันตัวใหญ่เอง และถ้าไม่ได้อารมณ์ดีจัดคงมีด่าพ่อกันบ้างล่ะวะ “ผมไม่เชื่อว่าคุณนิสัยคล้ายผมหรอก”


พ่อพระเอกการ์ตูนของเขาจิบเหล้า ส่งสายตาแพรวพราววาววับมาให้ “อยู่ไปนานๆเดี๋ยวคุณทองหล่อก็รู้เองครับ”





หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป ทั้งชวนคุยบ้างและนั่งฟังเพลงมองกันไปมองกันมาให้เกิดช่วงเวลาลึกซึ้งร่วมกันบ้าง ติณภพเดินไป-กลับรับเครื่องดื่มแก้วที่สองและสาม ก่อนกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง และอีกครั้ง


“ที่ผมชวนมาวันนี้เพราะตัดสินใจดีแล้วว่า...ว่าจะลองให้โอกาสคุณดู มีคนบอกผมว่าผมควรหาความสุขให้ตัวเอง” พูดไปก็เขินไป อีกคนก็จ้องตาไม่กระพริบ เครื่องดื่มแก้วแรกของเขาคนนั้นเหลือแต่น้ำแข็งที่ละลายไปแล้ว “แค่อยากถามให้มั่นใจว่าคุณจะไม่เปลี่ยนใจแน่นะ แบบว่า คิดมาดีแล้วอะไรอย่างนั้น”


“ขอจับมือได้ไหม”


“อืม”


เจ้าของมือพยักหน้า แอลกอฮอล์กดประสาททำให้เริ่มมีอำนาจการไตร่ตรองน้อยลง คุณเจ้าของร้านเอื้อมมือมาวางทับมือของเขา เกลี่ยนิ้วลูบไปมาเบาๆ มันอุ่นดี ไม่ต้องเกรงใจคนอื่นที่เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆด้วยว่าจะมาเห็นหรือไม่ ตอนนี้โลกของเรามีแค่เรา


“อะไรที่มีความสุขก็ทำเถอะครับ คุณไม่ใช่คนเลวร้าย เราค่อยๆเรียนรู้กันไปก็ได้”


ที่จริงจับมือไม่เห็นต้องขอกันเลย พอเหล้าเข้าปากแล้วเขาก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างในเรื่องที่ได้ยิน ทำอย่างเดียวคือมองปากอวบอิ่มของคนพูด มองมันขยับ มองปลายลิ้นที่แลบเลียเป็นครั้งคราว มองฟันขาวเรียงเป็นเม็ดข้าวโพด


“มีอะไรเหรอ อะไรติดหน้าผม”


“อยากจูบเฉยๆ ไม่มีอะไร”


คนตรงหน้าชะงักไปทั้งคำพูดทั้งมือ กระพริบตาปริบแล้วขำพรืด ทำเอาคนอยากจูบเริ่มอายไปด้วยที่พูดอะไรไม่คิด


ที่ทำอยู่ตอนนี้คือมีสติรู้ตัวทุกอย่างว่าตัวเองกำลังทำอะไร ไอ้ที่นั่งไขว่ห้างแล้วปลายรองเท้าไปสัมผัสขาอีกฝ่ายด้านล่างก็ไม่ใช่ไม่รู้ แก้วที่สี่แค่ทำเอาติณภพตาปรือลง แต่ยังคุยรู้เรื่องอยู่ถือว่าใช้ได้


“เล่าเรื่องของคุณบ้างสิ ผมอยากฟัง”


คราวนี้โน้มร่างไปด้านหน้าให้ใกล้กันกว่าเดิมเหมือนเป็นการเชิญชวนมากขึ้นอย่างที่ชาวบ้านพูดกันให้เข้าใจง่ายว่าให้ท่านั่นล่ะ ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งหยุดมองไม่ได้ คุณเจ้าของร้านหล่อขึ้นทุกวินาที ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม รอยยิ้ม น้ำเสียง ทุกอย่างประกอบกันดีไปหมดอย่างกับชายที่หลุดออกมาจากรูปวาด ไฟในร้านเปลี่ยนสีสันไปเรื่อยๆ เวลาสีเหลืองหรือส้มอมแดงส่องลงมายังเขาสองคน ดวงตาสีดำสนิทเผยประกายลุกโชนวูบวาบเสียทุกครั้งไป และคนที่เหมือนกับรูปวาดนั้นมีสติตั้งรับติณภพได้ดีมาก


เขาคนนั้นหยิบมือถือออกมากด นาทีต่อมาติณภพเห็นเป็นรูปของผู้ชายคนหนึ่งกำลังอยู่บนเวทีแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าสักแบรนด์เมื่อปีที่แล้ว รู้ทันทีว่าคนในรูปเป็นนายแบบ


“เอาให้ผมดูทำไม”


“ก็อยากรู้ว่าคุณคุ้นหน้าคนนี้บ้างไหม”


“อืม...ก็อาจจะ”


“คุณไม่ตั้งใจมองเลย” เขาเสียงสูงขึ้นเหมือนอ้อน


“อ่าๆ” รับคำแค่นั้นแล้วติณภพก็เริ่มเบิกตาตัวเองขึ้นจริงจัง นวดขมับเล็กน้อยเพราะสติสัมปชัญญะทำงานได้ไม่เต็มร้อย วาดปลายนิ้วซูมรูปภาพให้ใหญ่ขึ้นจะได้ไม่ต้องเพ่งหรี่ตา


ก็ดี


ไม่ใช่แค่ก็ดีหรอก นายแบบคนนี้โคตรดี หุ่นดีมาก หน่วยก้านใช้ได้ อกกว้าง สูงยาวเข่าดี ใบหน้าคมกริบ


เดี๋ยวก่อนนะ...


เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่นั่งทำหน้าเรียบเฉย แล้วก้มลงมามองใหม่ แล้วเงยขึ้นมาใหม่อีกทำอยู่สามครั้งจนหงุดหงิดตัวเอง


“นี่มันคุณนี่ครับ ใช่ไหม ผมว่าตัวเองยังไม่เมานะ”


“ครับ ผมเอง”


“เชี่ย! หล่อขนาดนี้เลยเหรอ” คำชมนั้นเรียกเสียงหัวเราะทุ้มใสกังวานออกมาได้ แต่ติณภพกลับขมวดคิ้วหนัก


คุณเจ้าของร้านกาแฟเล่าว่าอาชีพหลักของเขาคือการเป็นนายแบบ ส่วนร้านกาแฟคืองานเสริม เขาเปิดรูปตัวเองที่ผ่านๆมาให้ดูในบัญชีโซเชียลส่วนตัวและเล่าไปเรื่อยๆประกอบ ติณภพฟังไปดื่มไป พูดโต้ตอบบ้าง พยักหน้าบ้าง นั่งท้าวคางจ้องตาไม่กระพริบบ้าง


เวลาได้จ้องมองกันโดยที่อีกคนไม่ก้มหน้าลงไปจดสูตรกาแฟอย่างทุกครั้งเนี่ย มันได้เห็นอาหารตาดีๆเหมือนกัน


คุยกันต่อไปเรื่อยๆเหมือนจะนั่งด้วยกันไปตลอดกาล เวลาผ่านไปจนเกือบสองยาม ถ้าไม่คิดว่าเมาอยู่ ติณภพเห็นคุณนายแบบหน้าแดงหูแดงหลายครั้งมาก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นในเมื่อแทบไม่ได้แตะแก้วเหล้าสักนิด


“คุณ”


“หืม?”


“ผมพูดแล้วคุณอย่าโกรธนะ”


“อืม ว่ามาสิ”


“น้ำหอมคุณน่ะ...”


“ผมรู้ๆ” เขาโบกมือ กระดกเหล้าแก้วที่สี่จนหมด “มันคงฉุนใช่ไหม คราวหน้าจะเปลี่ยน เดี๋ยวจะไปโวยคุณวินหน่อยละ แม่งให้อะไรมา...”


“ไม่ใช่ๆ มันไม่ได้แย่ แต่มัน...” นิ้วมือเรียวยาวขยับถูที่หลังมือของติณภพ คุณเจ้าของร้านกัดริมฝีปากราวกับไม่แน่ใจที่จะบอก เขาเลยกระตุ้นด้วยปลายเท้าใต้โต๊ะจนอีกคนสะดุ้ง


“มันหอม...เกินไปหน่อย”


“อ้าว แล้วไม่ดีเหรอ”


“คือ...มันหอม มันผสมกลิ่นตัวคุณจนหอม หอมแบบน่าเดินตาม น่ากินอ่ะ มันเกือบทำผมหลุดหลายรอบเลยและคงจะทนได้อีกไม่นานด้วย พอคุณเริ่มเมามันก็...นะ”


ติณภพถึงบางอ้อ แต่ยังอยากแกล้งอยู่ดี ก็เลยเล่นเกมจ้องตายั่วยวนไปเต็มพิกัดพลางขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ผลคือคุณเจ้าของร้านกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่เชิงว่ากลัว อาจแค่ประหม่า แต่แววตามีอารมณ์พุ่งพล่านสูงขึ้นมาถนัดตา


ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนเดินทางมาถึงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จุดที่สบตากันนานพอจะเข้าใจได้ว่าควรออกไปจากที่นี่...เพื่อไปที่อื่นที่เป็นส่วนตัวกว่านี้


หลังจ่ายค่าเหล้าเรียบร้อยติณภพไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาด้วยวิธีไหน เพราะตอนนี้นั่งอยู่บนรถคุณเจ้าของร้าน กลิ่นเหล้าคลุ้งรถไปหมด ตอนร่างใหญ่โน้มตัวลงมารัดเข็มขัดนิรภัยให้ อดใจไม่ไหวต้องรั้งตัวมาจูบให้หายมันเขี้ยว ลิ้นรัวนัวกันไปมาราวกับกระหายจนทนรออีกไม่ได้สักวินาที มีการแกล้งเย้าว่าตรงนี้บนรถเลยก็ได้ แต่ใครคนนั้นบอกแค่ว่าต้องขับรถ ทำให้เห็นว่าอีกคนกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ขนาดไหน


แย่ พอชอบใครมากแล้วมาเมาต่อหน้าคนที่ชอบ อาการเรื้อนออกเสียจนน่าเกลียด แต่ไม่แคร์ อะไรจะเกิดก็เกิดแล้วกัน


__________

ติณภพก็น่ารักนะเออ ขาว หมวย ตัวเล็กงี้ 55555
เอาเป็นว่าใครกำลังมีความทุกข์ เหนื่อยจากงานที่ทำหรือเรื่องเรียน อย่าลืมทำให้ตัวเองมีความสุขนะคะ
ตอนหน้าเราจะได้รู้ชื่อคุณเจ้าของร้านกันแล้วน้า  :110011:
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ #ทองหล่อที่รัก

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
555 คุณทองหล่อก็ยังเป็นคุณทองหล่อ เมื่อไหร่จะบอกชื่อกับคุณเจ้าของร้านอ่ะ  แม้คุณเจ้าของร้านจะรู้แล้วก็เถอะนะ เอ็นดูมาก ขาว หมวย ตัวเล็กงี้

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love IX
ทองหล่อที่รัก




พอน้ำเมาเข้าปาก เจ้าของโรงแรมย่านทองหล่อเปลี่ยนสภาพจากหน้ามือเป็นหลังเท้า


จากที่ไม่ชอบยิ้ม กลับยิ้มหยาดเยิ้มเหมือนใครตรึงหมุดเอาไว้กับมุมปาก จากที่มีภาพลักษณ์เย่อหยิ่ง เวลานี้เป็นมิตรทำความรู้จักกับ(ร่างกาย)คุณเจ้าของร้านตลอดเวลา และจากแข็งกระด้าง ก็อ่อนปวกเปียกเพราะสติสัมปชัญญะพักการทำงานชั่วคราว


“คุณ อยู่นิ่งๆก่อนครับ” มือใหญ่พยายามห้ามไม่ให้คนที่นั่งข้างเบาะคนขับเอามือมาปะป่ายหรือไม่ก็แกล้งสะกิดเล่นทุกสองนาที แต่ติณภพไม่ได้สนใจฟัง หัวเราะคิกคักเหมือนสนุกที่ได้แกล้ง


“คุณ ผมขับรถก่อน อยากจับเดี๋ยวให้จับนานๆเลย” คุณเจ้าของร้านเปิดไฟเลี้ยวด้านขวาพยายามแซงรถคันหน้าด้วยมือข้างเดียว ขณะที่มืออีกข้างกุมมือขาวซุกซนเอาไว้แม่นมั่นที่ต้นขาซ้ายตัวเองไม่ให้ขยับได้ชั่วคราวอันจะเป็นการรบกวนสมาธิ “ซนนักนะ เมาเหล้าหรือเมากัญชา อารมณ์ดีเชียว”


ติณภพชอบมือของคุณเจ้าของร้าน มันอุ่น อุ่นไปถึงหัวใจที่เคยเย็นชามาก่อน ยิ่งตอนมองเขาที่หันเสี้ยวหน้าหล่อเหลากลับมาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนหันกลับไปมองตรง เขายิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ทำไมพอยอมรับกับตัวเองได้แล้วถึงได้เกิดคำว่าชอบอยู่ในใจไม่รู้จักจบสิ้น


“วันนี้ดีเนอะ”


“ครับ ดีที่เราได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว” คนที่ขับรถอยู่ค่อยๆจับมือติณภพกลับมาวางที่หน้าตักเจ้าของมัน ลูบแผ่วเบาแล้วถึงปล่อยวางอย่างเดิม “ได้รู้จักกันมากขึ้นกว่าเดิม คุณยิ้มเยอะเลยรู้ตัวไหม”


“รู้ ผมรู้” ได้ยินเสียงตัวเองยืดยานกว่าเวลาพูดปกตินัก “คุณแม่งอย่างฮอต คนในร้านมองเยอะมาก บาร์เทนเดอร์ยังเหลียวคอแทบหัก”


“แน่นอน คุณยังมองผมไม่วางตาเลย แต่ถึงคนทั้งร้านมองผม ผมก็มองแค่คุณคนเดียวนะ”


“เลี่ยนว่ะ” แล้วติณภพก็หัวเราะออกมาเป็นรอบที่สองร้อยของวันเห็นจะได้ อีกคนยังหัวเราะตามไปด้วยพอเขาพูดเหมือนแสลงหูที่ต้องมาได้ยินอะไรอย่างนั้น “ใครใช้ให้แต่งมาหล่อขนาดนี้”


เขาคนนั้นไม่ตอบเพียงแต่ระบายยิ้มให้แล้วตั้งใจขับรถต่อไป เวลานี้รถราบนท้องถนนพอมีให้เห็นแต่ไม่แน่นขนัดเท่ากลางวันหรือช่วงหัวค่ำ เมื่อรถแล่นได้ปกติไม่ได้ติดสัญญาณไฟจราจรเลยต้องจดจ่อกับการมองตรงเป็นหลัก คนนั่งเฉยๆย่อมเหงาเป็นธรรมดา

 
รู้ตัวว่าเมา ติณภพหนักศีรษะมาก แต่ก็ไม่หลับ โชคดีหน่อยเมื่อกี้ก่อนออกจากร้านไปเข้าห้องน้ำมาแล้ว เลยรู้สึกโล่งสบายตัวช่วงล่างด้วย ได้แต่นั่งตาปรือคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย


“คุณ”


“ครับ?”


“คุณใส่ถุงยางเบอร์อะไร”


“หา” สารถีจำเป็นหันมามองตาโต เขาเลยหันกลับไปยิ้มเมาๆให้หนึ่งครั้ง  “ทำไมอยู่ๆถามอะไรแบบนี้ขึ้นมา”


“ก็ผมนึกได้เลยถาม ไม่ได้จะแซว แค่เผื่อจะแวะซื้อน่ะ” แต่ตัวเองก็หลุดหัวเราะไปอยู่ดี แถมยังเริ่มรู้สึกหน่วงที่ช่วงล่างแล้วด้วย


 “ที่โรงแรมผมมี... นะ”


“ไม่เป็นไร ผมมีของตัวเอง ขอบคุณที่เป็นห่วงเรื่องขนาดนะครับ เฮ้ยคุณ!”


ปริ๊น!


ติณภพรู้สึกว่าฉับพลันรถยนต์ที่นั่งอยู่ก็เอียงเทไป แล้วกลับมาขับตรงเป็นปกติ ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเขาเองที่เอื้อมมือไปจับตรงระหว่างขาของคุณเจ้าของร้านแล้วทำเอาเขาคนนั้นตกใจ รถคันหลังก็คงรู้สึกแบบเดียวกันถึงได้บีบแตรลั่น


“อย่าทำแบบนี้ มันอันตรายนะ จะรีบร้อนไปไหนวะ ถึงเวลาให้จับก็อย่าเอามือออกแล้วกัน”


ได้ยินเขาเริ่มขึ้นโทนเสียงมันเขี้ยวเหมือนกำลังดุเด็กแล้วอดยิ้มไม่ได้ แต่วันนี้จะยอมให้ดุหนึ่งวัน เพราะเขาทำตัวเป็นเด็กจริงๆนั่นล่ะ


“จับแล้วทำแบบนี้ด้วยไหม” พูดจบก็ทำท่ากำมือหลวมๆแล้วยกขึ้นลงเป็นจังหวะเร็วๆ คุณเจ้าของร้านหันมามองแวบหนึ่งด้วยสีหน้าและสายตาทีเล่นทีจริงแบบ อย่าลองของนะ หรืออะไรก็ตาม และมันโคตรเซ็กซี่ที่เขากัดปากตัวเองเหมือนกำลังกลั้นอารมณ์ไว้เต็มกำลังจนสุดจะทนแล้ว


แหงล่ะ เมื่อกี้ที่โดนมือก็ไมใช่เล่นๆ


“ไม่ไหวก็ไม่ต้องทน จอดมันข้างทางเลย” ติณภพออกปากเย้า


“ไม่ได้” และคนขับรถเริ่มกดเสียงต่ำลงอีก ทั้งที่เสียงสั่นเครือไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกว่าต้องกลัวเลยสักนิด


“งั้นไม่ต้องจอด คุณขับของคุณไป ผมจัดการเอง” คนกรึ่มเหล้าอาศัยจังหวะที่คุณเจ้าของร้านกำลังเปลี่ยนเลนหลีกรถที่จอดข้างทางล้วงมือเข้าไปในกางเกง เพียงแค่สัมผัสชั้นในตัวบางก็ทำเอาเจ้าตัวร้องโวยวาย แต่ไม่ได้ปัดมือออกทันทีเพราะมัวแต่บังคับพวงมาลัยรถสองข้าง ทำให้ปลายนิ้วเขาได้สัมผัสอะไรด้านในได้มากกว่าเมื่อกี้อีก


“คุณ! สงสารกันบ้างสิครับ” เสียงนั้นดังแข่งกันกับเสียงหัวเราะของคนนั่งข้างๆ “ผมรีบที่สุดแล้วนะ แต่คือบนรถมันไม่โอเค เดี๋ยวไปชนคนอื่นเขา”


“โอเค โอเค ผมไม่ยุ่งกับคุณละ ผมเทคแคร์ตัวเองก็ได้”


“อะไรนะ เดี๋ยวๆ  เวรกรรม คุณ! จะมาทำให้ผมดูแบบนี้ไม่ได้!” คุณเจ้าของร้านเสียงหลงพอหันมาเห็นว่าเขากำลังปลดเข็มขัดกับซิปกางเกงเตรียมล้วงมือเข้าไป ติณภพหัวเราะร่าเหมือนคนเมามาก ที่จริงก็เมาแต่ไม่มากเท่าไหร่ อารมณ์ดีสุดขีดที่เห็นอีกคนหงุดหงิดกับคนดื้อเอาแต่ใจอย่างตัวเองจนขำขันให้ท้องเกร็งแก้มตึงไปหมด ถึงกับละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถมายื้อยุดมือเขาเองเลย


ต้องยอมรับว่ามือคุณเจ้าของร้านมีปลายนิ้วเรียวยาวและอุ้งมือใหญ่ ติณภพแกล้งจับมือเขามาวางค้างไว้ที่ซิปกางเกงพร้อมพูดดักคอตามประสาคนเจ้าเล่ห์ยามราตรี “วางไว้ตรงนี้แหละ ค้างไว้แบบนี้แล้วผมจะยอมอยู่นิ่งๆ จะรูดซิป...ปากให้สนิทเลย”


ใบหน้าหล่อเหลามีโหนกนูนตรงกรามแก้มขึ้นมาทำให้รู้ว่ากำลังขบกรามแน่นมาก เขาหันมามองคาดโทษแต่ไม่ได้เอามือออก ก่อนกลับไปมองท้องถนนตามเดิม คงเพราะต้องการสงบศึกชั่วคราว ซึ่งเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงการตอบสนองความต้องการของติณภพที่สุดเท่าที่จะทำในตอนนี้ คุณนายแบบกลืนน้ำลายให้กระเดือกวิ่งขึ้นลงทุกครั้งที่เขาแกล้งขยับให้ร่างกายเข้าไปอยู่ใต้อุ้งมือมากขึ้น อย่าหวังว่าจะชักมือกลับ หากออกแรงต้านมือเขาจะยิ่งกดกลับเข้ามาในทิศตรงข้ามให้ถูกเนื้อต้องตัวมากกว่าเดิม


ปริ๊นๆๆๆ


“เฮ้ย อะไรวะ” ขับไปได้สักสองสามนาทีเขากดแตรรถลั่นที่มีรถญี่ปุ่นรุ่นใหม่ล่าสุดเข้ามาแทรกปาดข้างหน้าเป็นครั้งที่สองจนเกือบชน เพราะครั้งแรกไม่ได้ชะลอรถให้เข้ามา โชคดีที่คุณเจ้าของร้านเหยียบเบรกไว้ทัน แต่ก็ทำเอาหน้าทิ่ม


พอเข้ามาแล้วกลับอืดอาดยืดยาดไม่เร็วเหมือนตอนแซงเข้ามา ติณภพเห็นและรับรู้ว่ามันน่ารำคาญขนาดไหน แต่ยังไม่เอ่ยปากอะไรเพราะตอนนี้ขี้เกียจให้ความสนใจกับมันไปชั่วคราว ผิดกับคนขับที่เริ่มขมวดคิ้วน้อยๆ


เอี๊ยด!


“เฮ้ย!” เบรกกะทันหันอีกครั้ง มือใหญ่ยกขึ้นมากักกันที่เบาะข้างคนขับตามสัญชาติญาณด้วยความกลัวว่าจะเกิดอันตราย แต่ระบบเข็มขัดนิรภัยล็อคเอาไว้แล้วก่อนที่ติณภพจะหน้าฟาดคอนโซลรถ “คุณเป็นอะไรไหม”


“ยังอยู่ดี แต่ไอ้คันหน้ากวนตีนฉิบหาย หนีไปไกลๆมันเถอะ”


คนขับเอามือออกจากจุดเดิมเพื่อจับพวงมาลัยรถให้มั่นคงตอนจะหักเลี้ยวออกซึ่งติณภพไม่คิดจะแหย่เขาอีก พอเปิดไฟขอทางด้านขวาสักครู่คุณเจ้าของร้านก็ออกตัวจากเลนเดิมให้พ้นไป ทว่าไอ้รถเจ้าปัญหาข้างหน้าก็เบี่ยงออกมาตัดหน้าอีกครั้งให้ต้องกระทืบเบรกรถอีก


“นี่ตั้งใจจะกวนใช่ไหมวะ” คนดื่มมาหนักเริ่มมีน้ำโห “คือพอเลนไหนไปต่อไม่ได้นึกจะออกก็ออกเหรอ”


อีกคนยังเงียบ แต่ติณภพหันไปมองเริ่มรับรู้แล้วว่ามีรัศมีความไม่พอใจกระจายออกมาไม่ต่างจากเขา คิดดูว่าขนาดคนใจเย็นอย่างนี้ยังโมโห ไอ้คนขับรถคันหน้ามันต้องนิสัยแย่ขนาดไหนกัน


รถญี่ปุ่นที่ออกมาอยู่เลนเดียวกันแล้วขับชะลอเหมือนตอนหลังจากที่ปาดหน้ารถของพวกเขา ไม่รู้ว่าทางฝั่งคนขับเห็นเหมือนกันหรือไม่ แต่ติณภพเห็นจากฝั่งนี้ว่าด้านหน้าไอ้รถเวรนี่ไม่ได้มีรถที่ขับช้ากว่าอย่างแน่นอน ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นมากกว่าเก่าจนเขาเริ่มมีสติมากขึ้นและมองได้ชัดขึ้น


“คุณ ออกเลนขวาสุดไปเลย โรงแรมผมอยู่เลยไปอีก ไว้ค่อยไปเข้าข้างหน้าก็ได้ ตรงนี้รถมันติดคนเลี้ยวแยกนี้” คนขับพยักหน้าไม่พูดอะไร ทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย ติณภพคอยมองซ้ายขวาและด้านหลังพร้อมทั้งบอกจังหวะเพื่อความสะดวกมากขึ้น เป็นความเคยชินเหมือนคราวก่อนๆที่ไปด้วยกันหรือตอนสอนธีโอดอร์ขับรถใหม่ๆ


พอรถของคุณเจ้าของร้านออกจากพื้นที่รถติดมาได้แล้วบรรยากาศก็กลับสู่ความสงบสุข...เสียเมื่อไหร่


“ริบไฟทำไมวะ ก็แซงไปดิ”


“ผมว่าไอ้นี่มันจะมีปัญหากับเรา” ในที่สุดคนขับเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “คุณนั่งดีๆนะ”


ยังไม่ทันได้ถามว่าทำไมต้องนั่งดีๆ คุณเจ้าของร้านเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นจนเสียงเครื่องดังกว่าปกติตามสมรรถนะของรถยุโรป ติณภพพอเดาได้ว่าคงต้องการจบปัญหาน่าปวดหัวนี้สักที ทว่ารถคันหลังก็เร่งเครื่องตามมาริบไฟเตือนหลายครั้ง คุณเจ้าของร้านเข้าเลนซ้าย มันเข้าซ้าย พอตบกลับมาที่เลนขวา ก็ยังตามมาอยู่ ยิ่งเปลี่ยนเลนรถยิ่งวิ่งเร็วขึ้น ติณภพเริ่มใจเต้นตึกตักหันมองคนขับที่ทำหน้าเรียบเฉย ทว่าเขาไม่มีทีท่าจะผ่อนคันเร่งลงแม้แต่น้อย


ปริ๊นๆๆๆๆ


รถคู่กรณีเร่งความเร็วมากพยายามแซงรถของพวกเขา ทว่าคนขับไม่ยอมให้เบียดมา ติณภพนั่งมองอยู่ตลอดว่ามันทั้งต้อนซ้ายต้อนขวา พอเข้ามาอยู่เลนเดียวกันคุณเจ้าของร้านแตะเบรกจนเขานั่งเกร็งติดเบาะ เสียวสันหลังวูบวาบ คันหลังกดแตรลั่นถนนพอๆกับที่เสียงล้อบดยางมะตอย


เอี๊ยดดด!


“คุณ พอแล้ว ปล่อยมันไปเถอะ”


คุณนายแบบผ่อนคันเร่งลงแล้วกลับเข้าเลนซ้ายดังเดิม แต่นั่นยังไม่จบ


รถคันเดิมแซงขึ้นไป ปาดหน้ากระชั้นชิดจนต้องบีบแตรอีกครั้ง แถมยังเหยียบเบรกเป็นจังหวะที่กวนส้นตีนที่สุดในโลก ติณภพหันไปหาคนขับเพื่อที่จะบอกว่าให้ปล่อยไปเป็นครั้งที่สอง แต่กลับต้องตกใจเสียเอง เขาคนนั้นเหงื่อหยดที่ขมับ หายใจแรง มีแววโทสะลุกโชนเต็มสองตาแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กำพวงมาลัยรถแน่นแล้วหักเลี้ยวจนรถส่ายเหมือนเก็บความโกรธสะสมไว้จนระเบิดออกมาในรูปของการบังคับม้าเหล็กคันนี้ พอขับมาในระยะตีคู่กันได้ก็เบียดคู่กรณีจนทางนั้นแทบเบี่ยงออกไม่ทัน ติณภพเองก็ตกใจ เผลอจิกเบาะรถเกร็งรับแรงกระแทก


“คุณ หยุดได้แล้ว มันจะเลยโรงแรมผมแล้วนะเว้ย เฮ้ย!” แล้วก็ต้องตกใจที่รถข้างๆเบียดกลับมา คุณเจ้าของร้านหักหลบทัน ส่วนคนที่นั่งโวยวายก็สั่นไหวตามแรงบังคับ ขยี้กันไปตลอดเส้นทางจนน่าระทึก เล่นเอาติณภพสร่างเมาแทบจะสนิท


แล้วต้องมาทะเลาะกันเวลาถนนโล่งแบบนี้ด้วยนะ ปาดกันไปมาจนจะตายห่าคาถนน คนจะรีบไปเอากันเนี่ย!


ดวงตาชั้นเดียวเบิกกว้างกว่าเก่า เมื่อรถกลับมาตีคู่ขนานกันอีกครั้งด้านข้างเขา และรถคันข้างๆลดกระจกลงมา...พร้อมทั้งวัตถุสีดำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่


“เหี้ยแล้วคุณ! มันมีปืน!” ติณภพเสียงเครือ ปากคอสั่นขึ้นมาดื้อๆเมื่อกระบอกปืนนั้นเล็งมาทางเขา


เอี๊ยดด


คุณเจ้าของร้านสบถหยาบ ชะลอเบรกรถจนอีกคันเลยไปด้านหน้า ก่อนตัดเข้าเลนซ้ายข้างหลังรถเวรนั่นโดยไม่สนว่าคันหลังอื่นๆจะบีบแตรหรือเบรกกันพัลวันขนาดไหน


“อย่าไปยุ่งกับมันเลย ผมกลัว” เขาตัวสั่น น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมา หันไปบอกคนขับที่เวลานี้ดูว่าสติใกล้จะหลุดเต็มทีหากยังไม่พูดห้าม “เลี้ยวเข้าถนนเพชรบุรีไปเลย แล้วค่อยอ้อมกลับมาใหม่ นะ นะ ขอร้อง”


ติณภพสัญญากับตัวเองในใจว่าต่อไปนี้จะขับรถให้ดีกว่าเดิม หลังจากประจันหน้ากับกระบอกปืนเมื่อครู่ อันเป็นวินาทีเสี่ยงตาย ยิ่งถ้าไปมีเรื่องกับคนอย่างคุณเจ้าของร้านตอนนี้ด้วยแล้วล่ะก็ ในระยะห้าร้อยเมตรที่ปะทะกันขนาดนั้นเขาคงไม่รอด


[ต่อด้านล่างเลยจ้า]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2019 14:10:26 โดย febusapollo »

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
[ต่อ]


ติณภพจำไม่ได้ว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่วินาทีนี้เขากำลังยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแบบกระจกในห้องพักที่โรงแรมตัวเอง ยืนนิ่งๆรอให้เนื้อตัวคลายอาการสั่นกลัว ขณะที่คุณเจ้าของร้านกาแฟนั่งกุมขมับอยู่ที่ข้างเตียง ก้มหน้าลงต่ำคล้ายว่าสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง


พอเริ่มดีขึ้น เขาเดินไปแตะบ่ากว้างนั้น คนที่นั่งอยู่กลับสะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นมาทำเอาเขาตกใจไปด้วย ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยหยดเหงื่อเม็ดเล็กผุดพราย ดวงตาสีเข้มฉายประกายหวาดกลัว ผิดแปลกไปจากที่เคยเห็น ติณภพเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเขาทำให้ใบหน้าคุณเจ้าของร้านอยู่ในระดับเดียวกับหน้าท้อง ตัวเอง ใช้มือทั้งสองลูบข้างแขนเบาๆ


“ดีขึ้นหรือยัง”


คนอ่อนกว่าพยักหน้า หลุบตาลงต่ำเอามือลูบหน้าแรงอีกครั้งราวกับเพิ่งสำนึกความผิดที่ได้ทำลงไป


“ผม...ขอโทษนะ ผมไม่น่าทำแบบนั้นเลย” เสียงทุ้มสั่นเครือ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหากันอีกครั้ง “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”


“ก็หายเมาเลยล่ะ ผมไม่เป็นไร คุณสิเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาไม่ค่อยโอเค”


“ผม...ผม...”


คนตรงหน้าเหมือนพยายามอย่างหนักที่จะพูด แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนติณภพต้องใช้นิ้วโป้งกดมันไว้ ยิ่งเห็นว่าหางตาข้างหนึ่งที่เขาชมนักชมหนาว่าสวยมีน้ำรื้นใกล้หยดลงข้างแก้มเต็มที อดสงสารไม่ได้เลยต้องใช้มือประคองท้ายทอยเข้ามาซบลงที่หน้าท้อง ลูบศีรษะลูบหลัง โยกไหวร่างกายเชื่องช้าปลอบขวัญ คนที่นั่งอยู่ทำเพียงกอดตอบกลับมา ติณภพได้ยินเสียงสูดจมูกเบาๆ เงียบกันอยู่พักใหญ่


ทำให้นึกไปถึงเหตุการณ์ตอนเด็กๆที่ทิโมธีถูกเพื่อนแกล้ง ติณภพในวัยสิบห้าปียืนกอดปลอบน้องชายวัยเจ็ดขวบอยู่ตรงม้าหินข้างสนามเด็กเล่น เขาไม่ชอบเด็กร้องไห้งอแงเท่าไหร่ แต่พอเป็นน้องชายกลับใจอ่อนยวบยาบเสียอย่างนั้น


“ก่อนหน้าที่เราจะเจอกันผมไปบวชมา”


นั่นคือเหตุผมที่ผมสั้นเกรียนสินะ


“สาเหตุที่ไปบวชคือเพราะเหตุการณ์แบบที่เราเพิ่งเจอกันมาเมื่อกี้เลย เพื่อนผมไม่โชคดีแบบคุณเพราะรถเราปาดหลบคู่กรณีจนไปชนรถอีกคันเข้า ตัวเองเจ็บเล็กน้อยแต่เพื่อนผมเข้าไอซียู หลับไปเป็นอาทิตย์ เพราะความใจร้อนของผมเองแหละ เพื่อนบอกให้หยุดแต่ผมไม่หยุด”


คุณเจ้าของร้านสูดจมูกอีกครั้ง ผละใบหน้าออกแต่ยังคงกอดรอบสะโพกของติณภพไว้ “ผมบวชให้เขาสามเดือน ตอนนี้เพื่อนดีขึ้นมากแล้ว แต่สิ่งที่ได้จากการที่บวชเรียนมาแม่งไม่ช่วยเลย โอเคมันทำให้ใจเย็นขึ้นกว่าเดิม มีสติกับการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ถึงเวลาจริงผมหลุด แล้วพอมาคิดว่าถ้าคุณจะเป็นอะไรไปอีกคน...”


“ชู่ว พอเลย เลิกคิด” ชายหนุ่มส่งเสียงราวกับกำลังพูดคุยกับเด็กเล็ก “มันจบแล้ว ไม่มีใครเป็นอะไร ทำใจสบายๆนะครับ”


ติณภพเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าที่ผ่านมาทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีความใจเย็นอยู่กับเขาได้ มันไม่ใช่นิสัยที่แท้จริงหากเป็นเพราะการบวชเรียนช่วยขัดเกลาจิตใจให้ดีขึ้น อดทนมากขึ้น และคงรวมเอาเรื่องที่อยากพยายามช่วยตักเตือนในสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นมาก่อน


แล้วก็เข้าใจอีกเช่นกันว่าทำไมก่อนหน้านี้ที่ร้านเหล้าถึงบอกว่านิสัยคล้ายกัน เห็นเป็นภาพชัดเจนโดยเฉพะตอนขับรถ การที่ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นปมในใจของคนๆนี้ตลอดมา ถึงได้คอยห้ามปรามเวลาเขาหัวร้อนตอนเป็นฝ่ายขับเอง


“นี่ก็จะตีสองแล้ว คุณพักเถอะ อยู่กับผมมาทั้งคืน เรื่องเสื้อผ้าเดี๋ยวผมจัดการให้” ติณภพกำลังจะผละออกไปแต่มือใหญ่กลับรวบตัวเขาไม่ปล่อย เจ้าของมันเงยหน้าเชิดคางขึ้นส่งสายตาเชื่อมหวานอ้อนมา


“ไม่ไปได้ไหม นอนด้วยกันก็ได้”


“ก็อยู่ด้วยกันไงเพราะนี่ห้องผม แต่คุณจะไม่อาบน้ำอาบท่าเลยเหรอ ตัวผมมีแต่กลิ่นเหล้า ไม่ไหวหรอก”


“ไม่ต้องอาบหรอก ผมบอกแล้วคุณตัวหอม” พูดพลางลูบไล้ก้อนเนื้อด้านหลังทั้งสองผ่านเนื้อผ้าหยอกเล่นให้สะดุ้ง ติณภพเอนกายออกแต่กลายเป็นว่าช่วงล่างที่ถูกยึดไว้เลื่อนสวนทางเข้าไปใกล้หน้าอีกคนแทน “ถ้าคุณอาบกลิ่นมันหายหมด อุตส่าห์ทนมาได้หลายชั่วโมงแถมยังยอมให้แกล้งบนรถอีก เรายังมีเรื่องให้คุยกันอีกเยอะเลย”


“คุณ เราจะเอากันตอนตีสองจริงดิ? เพิ่งเฉียดตายมาหยกๆนะ”


“อืม ก็จริงน่ะสิ ตอนไหนก็เอากันได้ทั้งนั้นล่ะ คุณทองหล่อน้อยคงทนไม่ไหวอยากเจอหน้าผมจะแย่” แล้วเขาก็หัวเราะ ติณภพก้มลงมองที่ใต้เข็มขัดตัวเองพบว่าเป็นจริงตามที่อีกคนพูด หัวเข็มขัดเปิดอยู่ตั้งแต่ตอนนั่งในรถ สิ่งที่อยู่ข้างในซิปกางเกงสูทพองตัวจนแนวตะเข็บเหล็กไม่เรียบเสมอกัน ถึงจะไม่มากแต่ใครที่นั่งใกล้กันขนาดนี้ดูไม่ออกคงตาถั่วสุดๆ “ผมจะบอกทุกอย่างที่คุณอยากรู้เลยครับ ทุกอย่าง”


ประโยคหลังฟังดูเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ ติณภพเผยรอยยิ้มมุมปาก โยนโทรศัพท์มือถือออกไปบนโต๊ะข้างเตียง ถอดสูทนอกปล่อยร่วงไปด้านหลัง ดึงเข็มขัดออกโยนทิ้งไปสักที่แบบไม่สนว่ามันจะพังหรือเปล่า แล้วยืนเกาะกุมบ่าแข็งแรงนั่นไว้เฉยๆ


พอเห็นว่าเขายืนนิ่ง คนกอดเปลี่ยนตำแหน่งมือ เลื่อนขึ้นไปดึงปลายเสื้อเชิร์ทออกจากเดิมที่เหน็บกางเกงไว้เพื่อปลดกระดุมสองเม็ดจากด้านล่างขึ้นบน ก่อนจะซุกจมูกสัมผัสไรขนที่ผิวเนื้อขาวด้านใน ขณะเดียวกันก็ดึงซิปกางเกงลงด้านล่าง ปลดตะขอ ใช้ปลายนิ้วสวยงามบรรจงสัมผัสบีบคลึงที่รอยแยกของผ้า คุณทองหล่อน้อยเพิ่มขนาดจนกางเกงซ่อนรูปไม่มิด คนเจ้าเล่ห์แกล้งงับให้เจ้าของมันสะดุ้งอีกครั้ง


ครู่หนึ่งเริ่มเมื่อย ติณภพย่อตัวลงไปนั่งคร่อมตักคนที่นั่งอยู่ คล้องแขนที่คอดึงร่างเข้าหากันประกบริมฝีปากแนบชิด  กดแรงบดเบียดที่สะโพกเพื่อต้องการหาสมดุลในการทรงตัวบนร่างใครอีกคน ทว่ามันก็ทำให้อะไรๆที่แข็งขืนถูไถกันผ่านเนื้อผ้าไปด้วย ยิ่งตอนแลกลิ้นกวาดต้อนรสฝาดในปากก็ยิ่งเร้าอารมณ์ให้ตื่นตัว และเมื่อยิ่งมีอารมณ์ก็ยากที่จะหยุดจูบ


คุณเจ้าของร้านกาแฟอาศัยทีเผลอดึงทั้งร่างของเขาให้ล้มลงไปนอนบนตัวเองจนติณภพส่งเสียงอึกอัก ยังดีที่เอาแขนยันเตียงไว้ทัน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ปากประกบปากพอดีหรือถ้าโชคร้ายหน่อยก็ฟันเฉาะเข้าที่หน้าผาก แถมยังเอาขายาวๆนั่นมาสอดรัดพันขาของเขาให้กางออกแล้วกึ่งกลางลำตัวกดชนกันอีก ดวงตาชั้นเดียวหรี่เล็กลงเอาแต่ใจที่ถูกกระทำ หากอีกคนยิ้มกวนกลับมา จ้องด้วยสายตาฉ่ำปรือชวนหวิวในอก


“ถ้าจะอยู่กันท่านี้ตีสามก็ไม่เสร็จหรอกนะผมบอกไว้ก่อน”


“โอเค” เขายอมปล่อยขา แต่ยังกอดรัดเอวอยู่ ลากนิ้วตามแนวสันหลังจนเสื้อเลิกขึ้นมาเกินครึ่ง “คุณไปหยิบถุงยางในกระเป๋าผมให้หน่อยสิครับ อยู่ช่องหน้าสุดนะ”


“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเอาของผมแทนก็ได้ ไม่อยากค้นกระเป๋าคุณ” ความจริงคือขี้เกียจเดินไปมาสองรอบ ไหนๆก็ต้องเดินไปหยิบเจลหล่อลื่นที่ลิ้นชักอีกฝั่งอยู่แล้ว


“คือเมื่อกี้บนรถไม่รู้ว่าจำได้ไหม คุณบอกว่าคุณมีเบอร์...ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริงผมใส่ของคุณไม่ได้ครับ”


เจ้าของโรงแรมเบิกตากว้าง ร้อนวูบตั้งแต่ปลายคางไปถึงตีนผม อยู่ๆก็ตัวชาดิกเหมือนเป็นอัมพาต และสายตาร้อนแรงที่สบกันนั่นกำลังทำให้เขาคิดไปไกล


มันใหญ่ขนาดนั้นเชียวเหรอวะ


“เร็วสิคุณ ช้ากว่านี้ผมจะไม่ให้ลุกไปแล้วนะ” ได้ยินเสียงแหบพร่ากระซิบบอกแล้วติณภพถึงกับเด้งตัวออกทันที เดินไปทั้งที่สมองเต็มไปด้วยความคิดเรื่องบ้าบอ จะรับไหวไหม จะเจ็บหรือเปล่า หรือจะรู้สึกดีแค่ไหน กว่าจะได้อุปกรณ์มาครบคงนานไปหน่อย ยังไม่ทันเข้าใกล้เตียงดีอีกคนถึงกับลุกขึ้นมาดึงแขนเขาเพราะอดใจรอไม่ไหว


“อื้อ!”


ร่างใหญ่ฉุดเขาให้นอนลงแล้วขึ้นคร่อมทันที รัวมือปลดจนแทบต้องใช้คำว่ากระชากกระดุมเสื้อทิ้งไป เผยร่างกายสมส่วนงดงาม ทำเอาคนที่มองตามอยู่ตลอดกลืนน้ำลายลงคอ สร้อยกางเขนเงินลอยเด่นหรา เงามืดทอดจนมิดร่างด้านใต้เมื่อคุณนายแบบโน้มลงมาจูบ ดุนดันจมูกสำรวจกลิ่นที่ซอกคอ ไปจนไหปลาร้า แล้ววนกลับมาส่งเสียงฟืดฟาดหื่นกามที่ใบหู มือไม้ปะป่ายลูบไล้อย่างรู้งาน ติณภพพยายามสอดมือเข้าไปปลดซิปกางเกงให้ แต่ยังไม่ทันไรก็โดนกัดเข้าที่ยอดอกจนต้องปล่อยมือ


“อย่ากัดนมสิคุณ! เจ็บนะ”


“ก็คุณนมใหญ่อ่ะ น่ากัดดีออก ทำไมซ่อนรูปจัง” เขาเงยหน้าขึ้นมาอธิบายแล้วลงไปเล่นกับมันต่อ บี้คลึงอีกข้างไปพร้อมกันด้วย ทิ้งให้ติณภพนอนหน้าเห่อร้อนอยู่ตรงนี้ ปล่อยร่างกายถูกพรมจูบตั้งแต่อก ท้อง สะดือ และเหนือจุดสำคัญ


สำรวจร่างกายจนเป็นที่พอใจ คุณเจ้าของร้านร่นตัวลงดึงกางเกงสูทออกให้เขา แล้วถอดของตัวเองลงไปกองด้านล่างเตียงในเวลาใกล้เคียงกัน มองจากหางตาติณภพเห็นความเป็นชายที่เติบโตของอีกฝ่ายใต้กางเกงชิ้นน้อยแล้วต้องขบเนื้อในปากลดความกลัว พอคิดว่าสิ่งใหญ่โตจะได้เข้ามาในร่างกายอีกไม่นานนี้แล้วนึกเกิดปวดหนึบตรงท้องน้อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น...ใช้มือกำคงจะเต็มไม้เต็มมือ


“ยกขาขึ้นหน่อยครับ ผมช่วย” คำว่าช่วยคงหมายถึงการเริ่มเบิกทางก่อนจะร่วมรักกันจริง


“ผมไม่ชอบอ้าขาต่อหน้าคนอื่น” เขาว่า ขืนตัวไม่ยอมไปตามแรงมือ “คุณลงไปนอน ผมทำเอง”


คุณเจ้าของร้านเลิกคิ้วสูง ผิวปากแซว แต่ยอมทำตามโดยดี ติณภพก้าวขึ้นมานอนบนเชิงกรานคู่นอน สัมผัสตัวตนของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกโดยมีเจ้าของมันนอนมองตาเป็นมัน คนที่ห่างหายเรื่องบนเตียงไปนานแบบเขารู้สึกเงอะงะมาก ทว่าออกปากไปแล้วต้องทำให้ได้ เริ่มต้นด้วยการลูบไปตามความยาว ก้มลงใช้ริมฝีปากกับแนวฟันสัมผัสผ่านเนื้อผ้า เมื่อมันขยายขนาดอีกที่สุดแล้วต้องดึงชิ้นสุดท้ายออกปรนเปรอให้ที่ผิวเนื้อของจริง ลำพังจะใช้มืออย่างเดียวอาจไม่เร้าใจพอ ถ้าต้องพึ่งพาทักษะทางปากอย่างเดียวก็คงลึกกว่าคอหอยแน่ แต่ยังพยายามจะมอบความสุขให้


ไม่รู้ทำไม เมื่อช้อนสายตาขึ้นไปมองแค่สายตาของเขาคนนั้นตอนกำลังรับเอาตัวตนเข้าไป กลับทำให้รู้สึกวาบหวามไปหมด อยากรังแกเขา อยากถูกเขารังแก แววตาหื่นกระหายดึงติณภพเข้าสู่มิติลี้ลับสีแดงเพลิง มันทำเอาฟุ้งซ่าน คนตัวโตเริ่มปล่อยแววตาล่องลอย กัดริมฝีปาก ส่งเสียงครางพอใจหรือทำท่าอะไรก็ตาม ยิ่งกลิ่นกายเฉพาะตัวของเขาขับออกมาทางเหงื่อคนปรนเปรอยิ่งคิดสัปดน ลงมือหนักเป็นเท่าตัว


“คุณ คุณพอก่อน” เขาพยุงตัวเองขึ้นนั่งประจันหน้ากัน และนั่นทำให้เห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาเห่อแดงแจ๋ “พอก่อน เดี๋ยวแตก หยิบถุงยางมาจะไม่ได้ใช้เอานะ”


คนฟังพยักหน้าแต่ยังไม่ลงไปจากตรงนี้ ติณภพหยิบเจลมาบีบใส่มือจำนวนหนึ่ง ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดดันอกคุณเจ้าของร้านไว้แบบไม่ถนัด ยกสะโพกขึ้นแล้วลดมือข้างที่มีสารหล่อลื่นลงไป กดเน้นย้ำจนผ่านรอยจีบปิดสนิทเข้าไปได้สำเร็จ และยังพยายามดันต่อเข้าไปจนเผลอครางเสียงน่าอายออกมาให้ได้ยิน


“อะ...อื้อ”


“โธ่เว้ยคุณ จะฆ่าผมให้ตายเลยใช่ไหม”


ติณภพส่ายหน้า ไม่ตอบคำถามเพราะจิตใจจดจ่ออยู่แต่กับนิ้วที่สองที่เข้าไปเพียงครึ่งเดียว เบ้หน้ากับความหน่วงเพราะหาจังหวะที่ดีไม่ได้ เขาเคยทำได้ดีกว่านี้ หากยังเข้าไปได้ไม่สุดตอนรับเข้ามาจริงจะเจ็บ และเขาไม่อยากให้ร่างกายระบมเพราะเตรียมพร้อมไม่มากพอ


“มานี่ ผมช่วย” ลมร้อนเป่ารดที่ใบหน้า คุณเจ้าของร้านขยับร่างกายอีกครั้ง ถือวิสาสะดึงมือเขาออกแล้วสอดสองนิ้วเข้ามาในระดับที่ลึกมากเพียงครั้งเดียว ติณภพกระตุกเฮือกโผเข้ากอดด้วยความที่มันไปถูกจุดสำคัญเข้าพอดิบพอดี อ้าปากค้างแต่ไร้ซึ่งเสียงใด เบิกตากว้างเท่าที่จะทำ


“เห็นไหม แป๊บเดียวเอง แต่ขออีกนิ้วนะ ไม่อย่างนั้นคุณเจ็บ”


“อ๊ะ...” นิ้วที่สามดันเข้ามาแทบจะทันทีที่ได้ยิน ติณภพหายใจเร็วถี่แต่ไม่ทั่วท้องพอสามนิ้วนั้นวนขยับควานไม่หยุด เรียวขาสั่นระริก ออกปากครางทุกครั้งที่สิ่งเบิกทางเสือกเข้ามาข้างในผนังอ่อนนุ่ม แก่นกายผงกขึ้นลงปริ่มน้ำรักทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องสักครั้ง ท่อนร้อนขนาดใหญ่ตั้งตรงอยู่ที่ก้นรอเวลาเข้ามาในตัว ทำเอาอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย เพราะมันน่าจะใหญ่กว่าสามนิ้วตอนนี้เสียอีก


ร่างกายตอบสนองสิ่งแปลกปลอมเป็นอย่างดี ชายหนุ่มรอให้ผู้ช่วยกระทำจนพอใจ ได้ยินเสียงพูดข้างหูว่าเท่านี้คงพอได้แล้ว ก่อนถอนนิ้วออกให้รู้สึกวูบโหวง และนำอีกสิ่งหนึ่งมาจ่อรอที่ปากทาง


“ให้ผมเข้าไปได้ไหม”


“เบานะ”


“สัญญาว่าจะทำเบาๆ” เขาจูบขมับตอนบอก ขยับตัวขึ้นมานั่งสวมเครื่องป้องกันครู่หนึ่ง ติณภพกัดริมฝีปาก ยกสะโพกขึ้นโดยมีมือใหญ่ทั้งสองช่วยประคอง เมื่อจับเข้าที่อวัยวะสำคัญจนเป็นมั่นเหมาะแล้วจึงอ้าขาออกให้เข่าติดกับเตียงนอน ค่อยๆนั่งลงทับ


เพียงแค่ส่วนปลายก็ทำเอาต้นขาสั่น หนุ่มตี๋เกร็งท้อง กัดฟันคำรามในคอรอให้ร่างกายดูดกลืนลงไป ทำได้เพียงครึ่งเดียวต้องออกปากให้หยุดก่อน ช่องทางของเขารัดรึงสิ่งใหม่ยิ่งกว่าสามนิ้วเมื่อครู่ มองหน้าเจ้าของร่างกายใหญ่โตเห็นทางนั้นพยักหน้า หอบหนัก และเป่าปาก สื่อความหมายได้ว่ากำลังพยายามไปพร้อมกันและเอาใจช่วยอยู่ ทั้งที่สีหน้าบิดเบี้ยวไม่น้อยไปกว่ากัน


“แบบนั้นแหละครับ เก่งมาก ค่อยๆนะ ค่อยๆ”


“f*ck f*ck f*ck” ติณภพได้ยินตัวเองสบถคำนั้นเกินสิบรอบสลับครางเสียงหลง บางทีถึงกับร้องเรียกพระเจ้า อีกฝ่ายไม่ต่างกัน กว่าจะรับเข้ามาได้ทั้งลำทำเอาน้ำตาเล็ด เสือกไสใบหน้าลงกับบ่าแกร่งระบายความเจ็บปวดและเสียวกระสัน ทั้งเขาและคุณเจ้าของร้านลุ้นหอบเหนื่อยจนไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนตัว ติณภพยังรับรู้ว่าจีบเนื้อตอดรัดไม่หยุด และถ้าเริ่มไปต่อเขาจะต้องถึงฝั่งฝันไปก่อนภายในการขยับเข้าออกไม่กี่ครั้งแน่ๆ


มีคำหนึ่งคำผุดขึ้นมาในหัวติณภพตอนนี้


จุก



 
เวลาเจ็ดโมงเช้า ติณภพปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก หนึ่งเพราะรวดร้าวไปทั้งตัวจนไม่อยากกระทั่งหายใจแรง สองเพราะตอนนี้ได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดคนที่ยังนอนอยู่ด้วยกันให้ชวนเคลิ้มหลับต่อ


คุณเจ้าของร้านกาแฟน่าจะตื่นแล้ว ถึงได้เอานิ้วสางเส้นผมของเขาเล่นไปเรื่อยๆจนจำต้องลืมตาขึ้นมาบ้าง


“อรุณสวัสดิ์ครับ”


เจ้าของห้องกระพริบตาปริบ พยายามต่อสู้กับอาการงัวเงีย แต่ยังซุกกลับเข้าไปหาความอุ่นจากร่างกายคนที่ตัวใหญ่กว่าอยู่ดี “อรุณสวัสดิ์”


“หลับสบายไหม”


“อือ” ติณภพพยักหน้าส่งเสียงครางเบาแหบพร่า เอาปลายจมูกดันคางใบหน้าใกล้กัน “หลับสนิทเหมือนซ้อมตาย ไม่ฝัน”


“ผมมีอะไรอยากบอกคุณ”


“อืม ว่ามา ฟังอยู่” แล้วก็เอาขาไปก่ายเกยกับขาคนข้างๆจนพันกันไปมา เรียกเสียงหัวเราะน่าฟังยามเช้า


“ผมชอบคุณมาก ชอบมากๆ ที่ผ่านมาไม่เคยลดลงเลย แต่แบบ...คุณหายไป แล้ววันนี้คุณกลับมาอีกครั้ง อย่าทิ้งผมไปไหนอีกเลยได้ไหม อยู่กับผมก่อน”


คนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นพยักหน้า เพลิดเพลินเมื่อนิ้วมือหลายนิ้วยังสาละวนอยู่ที่เส้นผม


“ถ้าคุณไม่รังเกียจ...เราคบกันได้ไหมครับ ผมอยากดูแลคุณ”


“โธ่ ให้ตาย” ติณภพขยี้ตาร้องโอดครวญ “เมื่อคืนได้กันสองรอบแล้วยังจะมาขออีกเหรอ เวรเอ๊ย”


“ผมจะถือว่าผมขออย่างเป็นทางการแล้วนะ” แขนแข็งแรงวาดวงโอบเอวคอดผิวขาวจัดแล้วลูบไปมาตรงร่องส่วนบนก้นกบ “คุณตฤณมีอะไรอยากรู้เกี่ยวกับผมอีกไหมครับ”


พอได้ยินใครคนนั้นเรียกชื่อถึงได้รู้สึกอยากตื่นเต็มตา ผงกหัวขึ้นมามองหน้าคนพูด ได้เห็นอีกมุมของชายคนนี้ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ทรงผมยุ่งเหยิงแผ่บนหมอน หน้าตางัวเงีย กลิ่นกายเฉพาะตัว รอยยิ้มอิ่มเอมใจแบบนั้น


โคตรน่าฟัดเลยโว้ย


แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น


“คุณรู้ชื่อผมได้ยังไง”


“ผมรู้หลายอย่างเกี่ยวกับคุณเลย ตอนนี้นอนก่อน ตื่นแล้วจะเล่าให้ฟัง และบางทีนอกจากฟังผมเล่านะ” เขาเว้นจังหวะการพูด “คุณควรถามธีโอดอร์”


ธีโอดอร์?


ธีโอดอร์เหรอ


ติณภพกัดปากชั่งใจตัวเอง เงยหน้ามองอีกคนที่ส่งยิ้มด้วยดวงตาเซ็กซี่สองข้างนั้นมาให้ จ้องลึกในดวงตาอยู่เนิ่นนาน “ผมติณภพครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”


ร่างใหญ่กว่ากระชับกอดเข้า เกยคางกับศีรษะของติณภพแล้วถอนหายใจเอาลมร้อนออกมา ติณภพคิดว่าเขาคนนั้นกำลังจะเข้าสู่นิทราอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย เพราะเพิ่งหลับจริงๆด้วยกันก็น่าจะตอนตีสี่ที่ผ่านมา


เนตรชนกครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

__________

จบพาร์ททองหล่อแล้ว เย่ /ปาดเหงื่อ ได้รู้สักทีว่าเขาชื่ออะไร
คุณติณภพตอนเมานี่คือเป็นอีกคนนึงไปเลย เหมือนคุณเจ้าของร้านเวลาหัวร้อนขับรถก็เป็นอีกคน 55555 ระวังอุบัติเหตุบนท้องถนนกันด้วยนะคะ
สำหรับใครที่คิดว่าทำไมฉากบนเตียงถึงตัดออก เราตั้งใจแบบนั้นค่ะ เพราะฉากเต็มๆจะไปอยู่ในตอนพิเศษทั้งสองเรื่องเลย ได้อ่านกันแน่นอนไม่ต้องกังวล
ครั้งหน้าจะลงตอนพิเศษ ยังไม่แน่ใจว่าจะของคู่นี้หรือของคุณวินกับน้องตฤณ เรื่องต่อไปขอเก็บไว้ก่อนเนอะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :m1: #ทองหล่อที่รัก

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Lost at Sathorn
ตอนพิเศษ : วันหยุด



ตฤณรับรู้ในวันที่สอบเสร็จทันทีว่าคุณวินจะพาเขาไปเที่ยวเชียงใหม่ รวดเร็วทันใจชนิดที่ว่ารู้วันนี้ วันมะรืนเดินทาง ทำให้ลืมความเครียดทุกอย่างเสียสนิทเพราะกำลังแพนิคว่าจะเตรียมตัวอย่างไรให้ทัน และจะบอกคนที่บ้านอย่างไรไม่ให้ถูกจับได้ เพราะมันเป็นช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ ปกติตฤณจะกลับไปหาครอบครัว แต่คราวนี้ต้องทำทีว่าไปออกทริปกันกับเพื่อน หวังว่าเทวดาจะบันดาลให้คนไม่ค่อยโกหกอย่างเขาผ่านช่วงเลานั้นไปอย่างราบรื่น


“เราไม่ได้ไปกันแค่สองคนนะ ติณภพกับคุณเนตรแฟนเขาก็จะไปเที่ยวกับเราด้วย นัดเจอกันที่โรงแรมโน่นเลย” คุณวินบอกแบบนั้น ทำเอาตฤณยิ่งวิตกเข้าไปใหญ่ ก็กิตติศัพท์ของคนที่ชื่อเหมือนกันมันธรรมดาเสียที่ไหนล่ะ พอจะได้ยินมาบ้างอยู่ ถึงคุณชวินทร์จะพูดต่อมาว่าช่วงหลังนี้คุณตฤณเพื่อนของเขาทำตัวดีขึ้นมากแล้วก็ตาม


แรกพบสบตากับคุณติณภพ ตฤณรู้สึกได้ถึงรัศมีบางอย่างแบบที่คนกล่าวขานกันจริง เขาคนนั้นมีใบหน้าเย่อหยิ่งตามแบบฉบับลูกคุณหนูคนจีนแถบเยาวราช ยิ่งเวลาทำหน้านิ่งๆตฤณรู้สึกเหมือนเหงื่อหยดที่ขมับตลอดเวลา แต่พอได้เห็นคุณเนตรแฟนคุณติณภพเดินมาหยุดข้างกันเท่านั้นล่ะ ตฤณถึงได้รู้ซึ้งในความหมายของคำว่า คู่ตรงข้าม คุณเนตรหล่อมาก สูง หุ่นดีอย่างกับนายแบบ น่าจะมีเซนส์ในเรื่องของแฟชั่นด้วย ตฤณทึกทักเอาเองในใจว่าถ้าคุณติณภพคือน้ำร้อน คุณเนตรน่าจะเป็นน้ำเย็น


“สวัสดีครับ คุณติณภพ คุณเนตร”


“สวัสดีครับ” คุณเนตรเอ่ยรับ ส่วนคนที่ชื่อเหมือนกันกับเขาส่งยิ้มมาให้แล้วพยักหน้าพร้อมทั้งรับไหว้ด้วย น่าแปลก พอใบหน้าบอกบุญไม่รับส่งยิ้มมา ตฤณคิดว่านี่เป็นคนละคนกับที่วาดภาพเอาไว้ในใจ คุณติณภพมีสายตาเอ็นดูเหมือนที่คุณชวินทร์มีเลย


“ไง อยากเจอมากไม่ใช่เหรอ เอามาให้เจอแล้ว” เสียงคุณชวินทร์บอก พูดอย่างกับว่าตฤณเป็นตุ๊กตาที่หิ้วได้อย่างนั้นล่ะ


“อืม ดีเลย น่ารักดี” คุณติณภพพูดขึ้นให้ได้ยินเป็นครั้งแรก เอื้อมมือมายีหัวตฤณแล้วเดินเข้ามาโอบไหล่เขาพอดิบพอดีด้วยความสูงที่พอๆกัน “เก็บของกันเรียบร้อยแล้วก็ไปทานมื้อเที่ยงกันเถอะ”


คุณติณภพที่ดูเหมือนเป็นคนถือตัวจริงๆแล้วเป็นคนช่างพูดอยู่เหมือนกัน ตฤณรับรู้จากการที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งบ่าย เพื่อนคุณวินคอยบ่นเรื่องงานบ้าง พูดคุยปรึกษาภาษาธุรกิจที่เด็กอย่างเขาไม่เข้าใจบ้าง สลับกับการเล่าให้ฟังว่าคุณเนตรเป็นคนคอยหาข้อมูลพวกร้านกาแฟกับสถานที่ที่พวกเราไปตะลอนกันในวันนั้น ตฤณแอบรู้สึกว่าตัวเองมาเฉยๆโดยที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยไม่ว่าจะเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเรื่องการหาข้อมูล แต่คุณวินคงเห็นว่าเขากังวลเลยพูดปลอบใจตอนจังหวะที่อยู่ใกล้กันสองคน


“เรียกพี่เถอะ” คุณเนตรว่า “เราน่าจะห่างกันไม่กี่ปีนะ ตฤณอายุเท่าไหร่”


“ยี่สิบเอ็ดครับ แล้วพี่เนตรล่ะ”


พอได้ยินคำตอบ คนที่มีรีแอคชั่นกลับไม่ใช่ตฤณที่เป็นนักศึกษาปีที่สาม แต่เป็นตฤณคนที่โตกว่าที่เบิกตาหันขวับไปหาคนพูด เขาเถียงกันเรื่องอะไรใครเกิดปีงูสักอย่าง นั่นทำให้ตฤณเข้าใจว่าคุณติณภพก็เพิ่งรู้เรื่องอายุคุณเนตรพร้อมกับเขา เห็นคุณชวินทร์เคยพูดไว้ว่าสองคนนี้ก็เพิ่งคบกันได้ไม่นาน คงมีอะไรให้เรียนรู้กันอีกยาว


นอกจากนี้แล้วตฤณเพิ่งรู้ด้วยว่าคุณเนตรเป็นนายแบบจริงๆ เพราะเขาเปรยกับคนตัวสูงตอนเดินเข้าร้านมาด้วยกันว่ารู้สึกคุ้นหน้ามาก คุณติณภพเป็นคนเล่าอีกนั่นล่ะ เห็นคุณชวินทร์ลอบยิ้มหลายครั้งไม่รู้ว่ามีเรื่องราวอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า ตฤณคงไม่อยากรู้อะไรเบื้องลึกขนาดนั้นเลยนั่งฟังอย่างเดียว คุณติณภพชวนคุยหลายอย่างทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าตอนที่ยังไม่ได้เจอ


ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องน้องชายของคุณติณภพที่คิดว่าคนเป็นพี่คงรักน้องน่าดู คุณเขาถึงได้มีท่าทางเอ็นดูตฤณไม่หยุดพร้อมทั้งบอกให้ฟังว่าตฤณทำให้นึกถึงน้องชายเลย ซึ่งนั่นทำให้คุณชวินทร์จิกกัดเพื่อนว่าเพราะแบบนี้ไงถึงได้กินเด็ก แล้วตอนนั้นก็มีคนสองคนเถียงกันเรื่องกินเด็ก คุณนั่นล่ะเลี้ยงต้อย โธ่เว้ย คุณก็ไม่ต่างกันนั่นแหละวะ เพื่อนน้องไม่ใช่เหรอ แบบนี้


คุณเนตรกับตฤณเลยได้แต่นั่งยิ้มแห้งให้กัน และทั้งวันที่ไปไหนด้วยกันเวลาเพื่อนรักมีช่วงเวลาหักเหลี่ยมลับฝีปาก ตฤณจะไปเดินใกล้ๆคุณเนตรแล้วชวนกันคุยแทน ทำให้ได้รุ่นพี่ที่ดีมาเพิ่มในชีวิตอีกคนหนึ่ง




ในเช้าของวันใหม่ ตฤณรู้สึกตัวโดยที่ยังไม่ลืมตามองโลกเพียงไม่กี่วินาที เมื่อลืมตาได้เต็มดวงสิ่งแรกที่ทำให้รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวคือคนในอ้อมกอด เหลือบมองเห็นเป็นกลุ่มผมหยักศกยุ่งไม่เป็นทรงห่างใบหน้าออกไปนิดเดียวในระยะที่ก้มลงไปหอมด้วยความรักใคร่ได้


ก้อนคุณชวินทร์แทบจมอยู่ที่อกของตฤณ เพราะใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับคอทำให้มีลมหายใจอุ่นพ่นรดอยู่ตลอดเป็นจังหวะเสมอกัน แขนยาวๆพาดผ่านเอวของเขาเหนือขอบผ้าห่มที่ปกปิดช่วงล่างไว้ ตฤณเองก็กอดคุณวินเอาไว้เหมือนกัน ส่วนที่ช่วงขาบอกไม่ได้ว่าของใครพาดของใครอยู่


เช้านี้เป็นอีกวันที่มีความสุข หลังจากที่ตฤณผ่านมรสุมสอบปลายภาคเทอมแรกอันโหดร้ายในชีวิตนักศึกษาชั้นปีที่สามมาได้ ถึงจะไม่เห็นหน้าชัดๆ แต่รู้ได้ว่าคุณวินตอนหลับน่ารักขนาดไหน ตฤณถึงอดใจไม่ไหวกระชับกอดเข้าแล้วซุกหน้าลงกับกลุ่มเส้นไหมสีเข้มนั้น คนถูกกอดครางเสียงอู้อี้ ตฤณเลยหัวเราะรับ


แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาเสี้ยวเดียว เขาจะถือว่ายังไม่เช้ามากแม้ว่าเข้มสั้นนาฬิกาอาจจะเกือบเลยไปที่เลขแปดหรือไม่ก็คงเลขเก้า ตฤณไม่รับรู้เรื่องนั้น เพราะสิ่งเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือนอนกอดซุกคอคุณชวินทร์ที่กำลังเปลี่ยนท่าไปเป็นหันหลังให้ แล้วปิดเปลือกตาต่อไป


เมื่อคืนพอกลับมาถึงที่พัก เรานอนคุยกันจนเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียทั้งคู่


ตฤณตื่นนอนอีกทีตอนที่ไม่มีคุณชวินทร์อยู่ด้วยแล้ว ผ้าม่านเปิดกว้างกว่าเดิมแต่ยังไม่มาก บิดขี้เกียจเกาพุงเกาคอเป็นที่เรียบร้อยเขาก็เปิดผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่งไล่ความมึนงง หันไปกดดูเวลาที่มือถือตรงโต๊ะข้างเตียง หน้าจอขึ้นเป็นเลขสิบกับสิบสอง คนอาศัยร่วมห้องเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี บนใบหน้าไร้กรอบแว่นมีหยดน้ำเกาะพราว ทรงผมดูดีขึ้น และเปลือยท่อนบน


“ตื่นแล้วเหรอ หลับสบายไหมเมื่อคืน”


ก็ต้องสบายสิครับ ห้องพักคืนละเป็นหมื่น ตฤณอยากจะตอบแบบนั้น แต่ทำได้เพียงพยักหน้ายิ้มง่วงๆส่งไป “ครับ สบายมากเลย”


“จะนอนต่อก็ได้นะ วันนี้เราไม่ได้ไปไหนกัน”


“ถ้าผมนอนต่อแล้วคุณวินจะทำอะไรล่ะครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”


คุณชวินทร์เดินมานั่งข้างเตียงจนมันยุบลง หยิบแว่นที่วางข้างมือถือของตฤณมาสวม นั่นคงทำให้เขาเห็นชัดเจนกว่าตอนไม่สวมมัน ดวงตาคู่นั้นดูมีมิติขึ้นมา “ผมจะนั่งมองคุณหลับทั้งวัน”


“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ตอนผมตื่นคุณจะมองทั้งวันเหมือนตอนหลับไหม”


“ไม่เหมือนหรอก” คุณชวินทร์พูดตอนที่ตฤณเอนร่างลงไปนอนใกล้กันจนเส้นผมแผ่ไปถึงปลายนิ้วอีกคน “เพราะตอนตื่นต้องได้อะไรมากกว่าแค่มองสิ”


ตอนที่กำลังจะเด้งตัวขึ้นมาเพราะความตกใจ ตฤณถูกอีกคนทาบทับร่างลงมากักกันไว้ คุณชวินทร์ชายสายตาแวววาวมาแวบหนึ่งแล้วจูบเขา ทำให้ได้กลิ่นเย็นสะอาดของยาสีฟันและความชื้นจากหยดน้ำที่ใกล้ระเหยไป


“หิวหรือยัง ถ้าไม่ออกไปเราสั่งเข้ามาแทนได้นะ”


“ถ้าอย่างนั้นรบกวนสั่งเข้ามาเถอะครับ ผมขี้เกียจออกไป ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”


ตฤณหัวเราะ ทำเอาคนถามแอบหัวเราะตามไปด้วย คุณวินตอบตกลงแล้วบอกว่าเอาไว้ออกจากห้องน้ำก่อนค่อยสั่ง ยังไม่ทันถามว่าใครจะอาบน้ำก่อน คุณวินก็ลุกออกจากตัวเขาพร้อมทั้งบอกว่าให้ยกเก้าอี้หน้าทีวีตามเข้ามาในห้องน้ำหน่อย ตฤณนึกสงสัยแต่ทำตามโดยดี


ตฤณเห็นว่าคุณชวินทร์บีบโฟมอะไรบางอย่างสีขาวใส่ที่มือ พอมองชัดๆถึงเห็นว่าเป็นโฟมสำหรับโกนหนวดเครา แต่ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณเขาจะเอาเก้าอี้เข้ามาเพื่ออะไร นั่งโกนหนวดหน้ากระจกคงไม่ถนัด ไม่เคยเห็นใครทำ


จนโฟมนั่นมาอยู่บนหน้าเขานั่นล่ะ


“คุณวิน...”


“หืม” เป็นการครางรับในคอที่ไม่ใช่การถามกลับแน่ๆ คุณวินค่อยๆป้ายโฟมลงตรงคางของเขาจนทั่ว เลยลงมาที่เหนือลำคอบ้างไม่มากเท่าไหร่ ตฤณยืนนิ่งๆให้ทำอยู่อย่างนั้นจนคนทำหันไปล้างมือแล้วหันกลับมาพร้อมมีดโกนหนวดที่ดูใหม่เอี่ยม


“นั่งลง”


เสียงนั้นบอกเรียบๆ ไม่มีความรู้สึกรุนแรงอย่างการสั่ง แต่มันก็คือคำสั่งของพ่อมดที่ทำให้ตฤณนั่งลงทันที จะพูดว่าขอทำเองก็ไม่ได้เดี๋ยวโฟมเข้าปาก


คุณชวินทร์พิงสะโพกกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่กับขอบอ่าง ค้อมร่างลงมาจนใบหน้าแทบชิดกัน ใช้เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นมาวางตรงเก้าอี้ที่เหลือพื้นที่เล็กกว่าฝ่ามือระหว่างขาของตฤณให้หวาดเสียวเล่น แค่จะโกนหนวดต้องเท่ขนาดนี้เลยเหรอครับ


ตฤณกลืนน้ำลายพอใบมีดเริ่มสัมผัสที่แก้ม เกิดมาในชีวิตนี้ไม่เคยมีใครโกนหนวดให้เลยยกเว้นแม่ แต่ตอนนี้ใบหน้าทรงเสน่ห์ของคุณวินอยู่ใกล้กันมากเสียจนไม่สามารถมองผ่านเลยออกไปได้


คุณวินมีสมาธิจดจ่ออยู่กับผิวหน้าเขาตลอด ลากมีดโกนที่ข้างแก้มไปทางเดียวเป็นแนวยาวหลายครั้งแบบนิ่มนวลและแผ่วเบา บางช่วงเหลือบสายตามาจ้องกันตรงๆแต่ไม่แสดงอาการอะไรสักนิด ดันแว่นขึ้นไปบนดั้งจมูกเมื่อมันไหลตกลงมา ผิดกับคนนั่งเฉยที่ตอนนี้ปลายเท้าเย็นเฉียบ ร้อนวูบวาบไปทั้งศีรษะหมดแล้ว


“เงยหน้าหน่อยครับ”


พ่อมดชวินทร์พูดตอนที่หันไปล้างคราบโฟมบนมีดแล้วหันกลับมาอีกรอบ ค่อยๆลากใบมีดย้อนขึ้นมายังปลายคาง คุณวินมือนิ่งกว่าตอนตฤณทำเองหลายเท่า ทีแรกกลัวจะเจ็บเพราะคนที่ไม่คุ้นชินกับใบหน้าคนอื่นอาจมีตะกุกตะกักบ้าง แต่ตฤณไม่รู้สึกอะไรเลย คนทำมือเบามากเหมือนคุณหมอคุณพยาบาลใจดีหลายคนที่ฉีดยาให้ตฤณตอนไม่สบายแล้วไม่ร้องไห้เพราะไม่รู้สึกเจ็บ


ไม่รู้สึกอะไรนอกเสียจากหัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกจากอกเมื่อจ้องมองเขาตลอดเวลา รู้สึกถึงลมแผ่วระรดต้นคอ ยิ่งเวลาปลายเท้าคุณวินจิกเขยิบเข้ามาใกล้หว่างขามากเท่าไหร่ตฤณยิ่งหายใจติดขัดมากเท่านั้น


ในที่สุดการโกนหนวดก็สิ้นสุดลง ตฤณรับผ้าชุบน้ำหมาดๆมาเช็ดหน้าจนสะอาด


“เครียดเรื่องสอบจนไม่มีเวลาโกนหนวดเลยเหรอ หืม”


“คุณวินไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ผมว่าของผมยังขึ้นไม่เยอะนะ แต่ก็ขอบคุณครับ”


“อืม ของแค่นี้เอง ไม่รบกวนอะไร” คุณเขาว่า ใช้ปลายนิ้วเชยคางตฤณขึ้นเล็กน้อย ก่อนจับคางหมุนไปทางซ้ายทางขวาเหมือนกำลังพิจารณาผลงานชิ้นเอกของตัวเองอยู่ “โกนตรงอื่นด้วยไหม ผมทำให้”


ตรงอื่น?


“ผมไม่โกนพวกขนแขนขาหรือรักแร้หรอกครับ ปล่อยมันไว้...”


“หมายถึงตรงนี้น่ะ” คุณวินลดเสียงลงจนเบา ยังจับแก้มเขาด้วยมือข้างเดิม ทว่ามีอีกข้างลูบไล้จากหน้าท้องค่อยๆสอดเข้าไปอยู่ใต้ขอบกางเกง วนไปมารอบขนตรงนั้น เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง ขนลุกซู่ไปทั่วร่างกาย หน้าตาคุณวินตอนนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอยากกำจัดเส้นขนออกให้เขาอย่างจริงจังเลย


“เอ่อ...ไม่ ไม่เป็นไรครับ” ตฤณค่อยๆจับมือปลาหมึกออกไปวางข้างนอกอย่างสุภาพแม้ว่าจะต้องต่อสู้กับสายตาเจ้าเล่ห์ใต้กรอบแว่นคู่นั้นไปด้วย “ไม่รบกวนคุณวินดีกว่า อีกอย่างถ้าเอาออกเดี๋ยวมันคัน ผมไม่อยากไปยืนเกาต่อหน้าคนอื่นนะ”


ใครจะทุ่มเท่เท่าพ่อมดสาทรคงหาไม่มีอีกแล้วเวลานี้ บ้าที่สุด ไอ้ตินน้อยหยุดตื่นเดี๋ยวนี้ อย่าไวไฟ!


“งั้นขอค่าโกนหนวดหน่อย” นั่นปะไร ไม่ได้ขอให้ทำเลยแต่ดันทวงถามถึงค่าแรงเสียอย่างนั้น


“เอาอะไรล่ะครับ”


ตฤณไม่น่าเกิดมาเป็นคนคิดช้าเลย คุณวินเลียริมฝีปากทันทีที่ได้ยินคำถาม ตอนนี้ปลายนิ้วเท้าที่วางหมิ่นเหม่มันก้าวเข้ามาสะกิดดันกึ่งกลางตัวเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มือใหญ่ที่จับหน้าเขาอยู่ก็ไม่ได้ขยับออกหากแต่เป็นคุณวินที่โน้มตัวลงมาประทับจูบแทน ปลายลิ้นละเลียดเลียจนตฤณต้องยอมอ้าปากรับกล้ามเนื้อสากๆให้เข้ามาตักตวงความชื้นจากเขา คุณชวินทร์ขยับปากขึ้นลงรุกไล่งับดึงให้ต้องตอบสนองกลับไปในระดับความร้อนแรงเท่ากัน โดยที่ตฤณไม่รู้ตัวเลยว่ามือปลาหมึกกลับเข้ามาล้วงสัมผัสตัวตนของตัวเองตอนไหน


ตฤณไม่รู้ว่าคุณวินลุกออกจากที่เดิมตอนไหน ไม่รู้ว่าคุณวินเอามือที่ปรนเปรอในกางเกงออกจากตฤณน้อยเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าเข็มขัดราคาแพงของคุณวินที่พาดอยู่กับเก้าอี้ตอนยกเข้ามาด้วยมันมาพันผูกกับข้อมือตัวเองไพล่อยู่ที่หลังพนักเก้าอี้ได้อย่างไร


โอ้ ไม่นะ อย่าได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย


“คุณวิน?!”


เจ้าของชื่อที่เรียกคุกเข่าลงตรงหน้าเก้าอี้ ยกขาตฤณสองข้างขึ้นพาดบ่าตัวเอง แล้วค่อยๆเริ่มจูบจากข้อเท้าซ้ายด้านในขึ้นมา สลับกับการฝังเอาปลายจมูกลากตามผิวเนื้ออ่อน ทำเอาเด็กหนุ่มเสียวแปลบขึ้นมาถึงสันหลัง คุณวินเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาแพรวพราวเต็มไปด้วยความกระหายระหว่างที่ขบต้นขาเขาไปด้วย แต่ไม่มีทีท่าจะหยุด


“ซี้ด..คุณ...วิน”


ตฤณเกร็งปลายเท้าจิกลงกับอากาศ เหงื่อกาฬไหลชุ่มแผ่นหลัง หอบฮัก พยายามเอาขาลงแต่แขนแข็งแรงล็อคเอาไว้อยู่ คุณวินรู้ทั้งรู้ว่าการเร้าขาอ่อนด้านในทำเอาเขาแทบละลายไหลลงกับเก้าอี้ แต่ปลายลิ้นสากยังลากไม่หยุด ตฤณอายที่ต้องมานั่งกางขาในท่าหวาดเสียว อายที่ห้ามตัวเองไม่ให้ส่งเสียงครางไม่ได้ และอายที่ตินน้อยมันสร้างความเจ็บปวดผงกหัวดันกางเกงขาสั้นจนปูดโปนออกมาล่อเสือร้ายชวินทร์ให้จ้องตาไม่กระพริบ


พ่อมดเข้ามาใกล้ต้นขาด้านในทุกที แต่ก็ยังประวิงเวลาสาละวนอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน ทำเป็นเลยผ่านส่วนกลางไปเล่นกับเนื้อด้านข้างจนตฤณหงุดหงิดทั้งที่ยังตัวสั่น เลียปากแห้งผากจนแสบไปหมด ที่เป้ากางเกงเริ่มมีของเหลวเปียกซึมออกมาให้เห็นแล้วด้วย ทำไมคุณวินถึงแกล้งเขาแต่เช้าแบบนี้นะ!


“เมื่อยหรือยัง”


“คุณวิน” เสียงเขาสั่น แต่เป็นเพราะสั่นสู้กับพ่อมดหรอกน่า “เอาขาผมลงเถอะครับ เราเข้าไปทำกันในห้องดีๆก็ได้ อ๊ะ...”


ยังพูดไม่ทันจบคุณวินก็งับเข้าที่เนื้อต้นขาหมิ่นเหม่กับขาหนีบจนต้องร้องอุทาน “ทำไมล่ะ ตฤณไม่ชอบเหรอ ห้องน้ำโรงแรมเขาก็ไม่ได้เล็กนะ”


ไม่ได้ไม่ชอบห้องน้ำ แต่ไม่ชอบนั่งแหกขาให้ทำอยู่ฝ่ายเดียว!


“งั้นก็ปล่อยผมก่อนสิ คะ...คุณวินนั่งแบบนั้นนานๆเดี๋ยวก็เมื่อยหรอก”


“ไม่เป็นไร แบบนี้มันก็ดีไปอีกแบบนะผมว่า”


คนพูดงับเขาผ่านเนื้อผ้ากางเกงทำเอาตฤณสะดุ้ง พยายามกระตุกแขนแล้ว เชื่อว่าคุณวินไม่ได้รัดจนแน่นหนาอะไรแต่ก็สลัดไม่หลุด คนที่เป็นอิสระปล่อยให้เท้าตฤณได้สัมผัสพื้นหินอ่อนเย็นๆเสียที แต่ก็ต้องแลกกับการถูกจับอ้าออกเป็นมุมที่กว้างมากให้เขาได้หยอกล้อตรงนั้นจนจวนเจียนจะขาดใจ เด็กหนุ่มครางสลับหอบหายใจแรง ยิ่งสบตากันแรงขับดันยิ่งทำให้พองขยาย


“คุณวิน ขอล่ะ ผม...ผมปวดไปหมดแล้ว” ตฤณได้ยินเสียงตัวเองอ่อนหวานลงกว่าเดิม “ทำอะไรก็ทำเถอะครับ ติน...แฮ่ก...ตินไม่ไหว”


ชวินทร์ยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินอีกฝ่ายร้องขอ ตฤณกัดริมฝีปากเมื่อเขาขบแรงๆที่เนื้อขาวอีกครั้ง ตอนนี้ทั่วทั้งขาของน้องมีแต่รอยชมพูที่เขาฝากไว้เป็นบางจุด แต่ชวินทร์รับรู้ได้ว่าถ้าลองแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นรบเร้าแบบนี้คงได้เวลาจริงจังสักที เลยดึงตัวตนอีกฝ่ายออกมาจากที่ซ่อนแล้วช่วยให้เด็กหนุ่มได้ถึงฝั่งฝัน ได้ยินเสียงครางสุขสมทุกครั้งที่ใช้ฟันครูดหรือตวัดลิ้นลงแรงกว่าปกติ ไม่นานตฤณเกร็งขืนร่างสั่นกระตุกน้อยๆบนเก้าอี้และฉีดพุ่งความสุขออกมาจนล้นทะลักปาก


ช่วงที่ตฤณหลับตาลงพักเอาแรง ชวินทร์ปลดเข็มขัดกลับมาพาดอย่างเดิม และนั่นทำให้ตฤณไหลลงจากเก้าอี้ทรุดลงมาตรงหน้าเขา


“ไม่...ไม่ต้องเข้ามาเลย” ตฤณรวบรวมแรงพูดขึ้นแฝงน้ำเสียงหงุดหงิด พยายามถดตัวเองถอยห่างจากชวินทร์ที่ค่อยๆคลานเข่าเข้าหา “ขี้โกง”


“โกงอะไร ผมเปล่าโกงเสียหน่อย” ชวินทร์แกล้งเย้า เขารู้อยู่เต็มอกว่าด้วยความที่เป็นผู้ชายย่อมอยากเป็นผู้นำในการทำสิ่งต่างๆหลายเรื่อง รวมไปถึงเรื่องเซ็กซ์ด้วย ยิ่งตฤณที่มีรสนิยมความเป็นฝ่ายอยากรุกมากกว่า การที่เขาทำแบบนี้ยิ่งน่าจะทำให้เด็กหนุ่มไม่พอใจ “มาอาบน้ำกันมา แช่น้ำอุ่นในอ่างจะได้สบายตัว”


“แล้วคุณวินไม่อึดอัดหรือไงครับ” คนถามยังไม่หยุดขยับตัวไปชิดขอบอ่างอาบน้ำขนาดปานกลาง และชวินทร์ก็ยังคงสืบคลานเข้าไปหาจนในที่สุดก็กักกันตัวเอาไว้ได้ สีหน้าจากใบหน้าเกลี้ยงเกลานั่นดูไม่ไว้ใจเขาแบบเห็นได้ชัด แต่พอได้ยินคำพูดแล้วชวินทร์คิดว่าตฤณน่ารักกว่าเดิมสิบเท่าเห็นจะได้


ตฤณไม่น่าจะรู้ว่าการถามคำถามนั้นตอนที่เราอยู่ในท่าทางหมิ่นเหม่ขนาดนี้เท่ากับเป็นการชวนมีอะไรกันชนิดโจ่งแจ้ง


“จะบอกว่าไม่คุณก็รู้อยู่ดีว่าโกหก” เขาลุกขึ้น ฉุดให้อีกคนลุกตาม ก่อนหันไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างน้ำ “ช่างมันเถอะ หยิบสบู่ตรงนั้นให้ที”


“ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมจะไม่ทำตอนที่น้ำเต็มอ่างแน่ๆ” ตฤณส่งมันให้พร้อมทั้งดักคอ ทำเอาคนฟังหัวเราะ จะบ้าเหรอ ทำกันใต้น้ำ มันไม่แปลกหรือยังไงกันเล่า “แช่น้ำก็คือแช่น้ำครับ”


“แสดงว่าเราควรทำก่อนน้ำเต็มอ่างใช่ไหมล่ะ”


คุณชวินทร์ดึงให้ตฤณก้าวเข้ามานั่งในอ่างด้วยกันแล้วเอื้อมตัวไปปิดน้ำตอนที่มันสูงขึ้นมาเท่าข้อเท้าเห็นจะได้ จากนั้นก็ตามสูตรคนชอบจูบ พ่อมดกอดรัดให้เขานั่งคร่อมด้านบนแล้วตะโบมจูบไม่ยั้ง ตฤณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาหรอก เป็นฝ่ายดึงชั้นในอีกคนแล้วโยนออกจากอ่างไปก่อนด้วย ซุกไซร้ที่ซอกคอเล้าโลมให้คุณวินมีความสุขเท่าที่จะทำได้ในอ่างน้ำลื่นๆแบบนี้ ถึงเปียกไปหน่อยแต่คุณวินไม่ลากเขาไปตรงที่แห้งกว่าอย่างระเบียงก็บุญหัวแล้ว


“ให้เวลาสิบวินาที” คุณวินกระซิบข้างหู “วิ่งไปหยิบถุงยางมา ถ้าช้าผมจะตามไปเอาถึงเตียงนะ”


คำว่าตามไปเอาตฤณไม่แน่ใจว่าหมายถึงถุงยางหรือตัวเขาเองกันแน่ แต่ก็รีบก้าวจากอ่างออกไปแทบจะทันทีโดยนับในใจไปด้วย ได้ยินเสียงตะโกนตามออกมาว่าระวังลื่น แหม เพราะใครล่ะที่ทำให้ต้องรีบวิ่งแบบนี้


ตฤณวิ่งกลับมาพร้อมกับถุงยางที่เหลือทั้งกล่อง นับในใจได้เก้า เห็นคนที่นั่งรอกำลังเอนหลังสบายใจ


เพราะอ่างอาบน้ำเป็นวงกลมเลยพอมีที่ให้ขยับตัวได้บาง คุณวินไม่ได้จับให้เขาต้องทำแต่เป็นตฤณที่ลงไปนั่งบนร่างอีกฝ่ายเองต่อจากเมื่อครู่ และเหมือนเขาถูกแกล้ง คุณวินไม่ยอมจูบ กลับเอาแต่นั่งมองด้วยสายตาลามกจนเริ่มเขินขึ้นมาอีกแล้ว เลยต้องช่วยรั้งรูดตัวตนของคุณเขาแก้เก้อ ส่วนคนขี้แกล้งใช้น้ำเป็นสิ่งหล่อลื่นเข้ามาเบิกทางให้ตฤณแทนการใช้เจลแบบที่ผ่านมา ซึ่งมันทำเอาเขากังวลอยู่เหมือนกัน ถึงน้ำจะลื่น แต่มันยังฝืดกว่าสิ่งที่ทำมาเพื่อจุดประสงค์หลักอยู่ดี


เราไม่ได้มีอะไรกันบ่อยนัก ตฤณจึงกังวลทุกครั้งที่ต้องเตรียมร่างกายรองรับอีกคน


“ตฤณ ไม่ทำหน้าอย่างนั้น” คุณวินนวดหว่างคิ้วให้เขาคลายมันออก คนถูกเรียกยกสะโพกให้อีกคนได้ชอนไชเข้ามาถนัดขึ้น


“ผมไม่ชิน ไม่เคยในห้องน้ำ ซี้ด...” เด็กหนุ่มชะงักทันทีที่คุณวินหาจุดตายของเขาพบ “เราจะไม่ลื่นแขนขาหักไปก่อนใช่ไหมครับ”


“คิดมากน่า ผมจับอยู่คุณจะกลัวอะไร เจ็บหรือเปล่า”


“ไม่ค่อย” แต่ก็ไม่ได้ชอบอะไรมาก เพราะไม่ถนัดให้คนอื่นมาล้วง


“โอเค” เสียงทุ้มรับคำ แล้วเอาสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วมาจ่อตรงปากทางแทนที่ “จัดการเลย”


ตฤณเม้มปาก เขาไม่เคยเป็นฝ่ายที่ต้องรับแล้วขยับเองไปด้วย แต่จะอิดออดเอาแต่ใจก็ไม่ใช่เรื่องอีกเหมือนกัน สายตาคมคู่นั้นกำลังมองเขา ต้องรีบจัดการก่อนหัวสมองชาญฉลาดจะคิดทำอะไรแผลงๆกับเขาอีก จึงค่อยๆนั่งทับคุณชวินทร์ให้ช้าที่สุด และเมื่อกัดฟันทำมันไปจนสุด พบว่าท่านี้ทำเอาอารมณ์ขึ้นอยู่เหมือนกัน


คุณชวินทร์น้อยคับแน่นอยู่ในตัวตฤณ และมีทีท่าว่าจะเพิ่มขนาดอีก ส่วนเจ้าของมันตอนนี้จ้องมาเสียจนตฤณคิดว่าหากกลืนได้คุณวินคงกลืนเขาลงท้องไปแล้ว


เพราะเวลามีอะไรกัน คุณชวินทร์จะกลายร่างเป็นพ่อมดใจร้ายโดยสมบูรณ์แบบ ขณะที่เริ่มขยับร่างกายเข้าหากัน ตฤณเลยต้องออดอ้อนขอความเห็นใจด้วยการเอามือใหญ่มาวางไว้ที่ตินน้อยแล้วกระซิบข้างใบหูว่า “ช่วยผมอีกทีนะครับ”


เด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆออนท็อปทำเอาชวินทร์แทบเป็นบ้า ทั้งเสียงสั่นกระเส่าแบบนั้น ทั้งสายตาฉ่ำเยิ้มอ้อนเอาใจแบบนั้น และท่าทางร้อนแรงแบบนั้น ใครจะอดใจไหว


ตฤณไม่เคยทำแบบนี้หรอก ชวินทร์ประเมินแล้วในใจจากท่าทางไม่ประสีประสา แต่ว่าสิ่งที่ออกมาให้เห็นก็การันตีว่าตฤณทำมันได้ดี ทั้งเสียงเนื้อกระทบกันลั่น เสียงครางของเขาผสมปนเปไปกับเสียงน้อง กลิ่นชื้นในห้องน้ำ อะไรต่อมิอะไรมันวาบหวามไปหมด ตฤณใช้ทักษะการโยกเอวได้ดีเหลือล้น ทุกครั้งที่เข้ามาถึงจุดลึกที่สุด ชวินทร์มองเห็นสวรรค์อยู่ไม่ไกล โดยมีเทวดาผู้เร่าร้อนนามว่าตฤณเป็นคนพาไปเอง


ตฤณเป็นคนที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงในหลายครั้ง อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาชักสาวให้จนถึงเป็นรอบที่สอง เด็กหนุ่มรัดเขาจนทนไม่ได้ให้ออกแรงกระทุ้งกระแทกเสียเอง และเมื่อร่างกายพร้อมปลดปล่อย ตฤณถอนตัวเองออก ดึงอุปกรณ์ป้องกันทิ้งไปที่ไหนไม่รู้ ก่อนรั้งรูดเคล้นเอาน้ำใคร่ของเขาออกมาจนหมด...และต้อนรับมันด้วยปากตัวเอง


เกินไป เกินไปมาก


ชวินทร์หัวใจเต้นแรงตุบตับ หูอื้ออึงเป็นเสียงหวีดเบาบาง เห็นแล้วอยากกอด อยากฟัด อยากรัดแน่นๆให้ร้องขอชีวิต


สิบเอ็ดโมงสิบห้านาที ชวินทร์นั่งพิงอกตฤณแช่น้ำอุ่นอยู่ด้วยกันในอ่าง โดยมีแขนของเด็กหนุ่มโอบกอดเอาไว้ และเอาคางแหลมมาเกยบนบ่าของเขา


นี่ล่ะการพักผ่อนวันหยุดที่แท้จริง

__________

เป็นตอนที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรเลยนอกจาก... 5555
ครั้งต่อไปก็ยังคงเป็นตอนพิเศษอยู่นะคะ เก็บเอาไว้ทั้งพาร์ทคู่วินxน้องตฤณ แล้วก็ เนตรxตฤณ รวมถึงตอนที่ครอสโอเวอร์กันเป็นพาร์ทสั้นๆด้วย
ยังคงลงวันศุกร์เหมือนเดิม หลังจากหมดตอนพิเศษเราจะหยุดลงนิยายชั่วคราว
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2019 20:25:54 โดย febusapollo »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
น้องตฤนแซ่บบมากก คุณวินหลงจนไม่รู้จะหลงยังไงล้าววว 555

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
คู่ของฝั่งสาทรเขาร้อนแรงมากเลยค่าาาา ฝั่งทองหล่อจะยอมไม่ได้นะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2019 20:28:11 โดย appattap »

ออฟไลน์ airjang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบจัง นัว แนบ แซ่บหลาย แต่ถ้าให้เลือก อยากอ่านเรื่องต่อๆของสาทรที่รัก น้องเรียนจบแล้วทำอะไร มาให้พี่เลี้ยงหรือเปล่า

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Lost at Sathorn Ft.Thonglor My Love
ตอนพิเศษ : ลักจูบ




ชวินทร์ไม่เคยรู้สึกว่าอาหารของโรงแรมอร่อยมากเท่ามื้อนี้มาก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีโอกาสคลุกคลีอยู่กับมันจนเบื่อ ถึงกับไม่แตะต้องมันมานานนับปี


รู้สึกอิ่มมากแม้ว่ากินน้อย นั่นเป็นเพราะอิ่มเอมใจมากกว่าเมื่อได้ร่วมโต๊ะกับตฤณ แค่นั่งมองอีกฝ่ายมีความสุข ชวินทร์เหมือนมีอะไรมาเติมจนล้นไม่รู้จักจบสิ้น


ตฤณเป็นคนกินเก่ง แต่น่าแปลกที่สามารถทำตัวเรียบร้อยไปในเวลาเดียวกันได้ การหยิบจับช้อนส้อม การตักอาหารมาให้เขา การเคี้ยวไม่มีเสียง ไม่พูดเวลามีอาหารในปาก แทบจะไม่ทำอะไรหกกระเด็นออกนอกจานแม้ว่าจะเป็นอาหารประเภทน้ำแกง ชักเริ่มอยากรู้แล้วว่าครอบครัวที่บ้านอบรมสั่งสอนมาดีขนาดไหน น่าสนใจ


เวลาพูดไม่ได้ น้องจะส่งยิ้มมาให้แทน เป็นยิ้มที่ทำให้แก้มกลม จักรวาลสีน้ำตาลเข้มทั้งสองถูกชั้นหนังตาบดบังขึ้นไปด้านบนจนหยีเล็ก ตฤณไม่ใช่คนที่หน้าตาดีมากมาย หากทุกสิ่งที่ประกอบกันก็ทำให้ดูน่ารักสำหรับชวินทร์แล้ว


น่ารักจนไม่อยากหันมองไปทางอื่น


น่ารักจนเวลาหลับอยากจะรักหลายๆที


กว่าชวินทร์จะหลุดจากถนนสุขุมวิทมาได้ทำเอาเสียเวลาบนท้องถนนไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ช่วงแรกตฤณที่นั่งมาด้วยกันยังชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นปกติ แต่พอเงียบเสียงไป หันมาเห็นอีกทีก็คอพับคออ่อน หายใจเข้าออกสม่ำเสมอไปแล้ว เป็นแบบนี้แทบจะทุกครั้งที่มาหาเขาที่โรงแรม


ชวินทร์ไม่คิดจะปลุกมานั่งคุยกันต่อแม้ว่าตฤณจะเคยพูดหลายครั้งให้ทำ ตฤณรับรู้ว่าเขาทำงานเหนื่อยทุกวัน แถมยังต้องขับรถมาส่งเพราะไม่ยอมให้กลับเอง รถติดนานๆแบบนี้กลัวว่าสักวันชวินทร์จะเผลอหลับตามกันไปเลยจะนั่งคุยเป็นเพื่อน


แค่แอบมองตอนหลับก็มีกำลังใจขับต่อ ตฤณคงไม่รู้ว่าตัวเองตอนหลับถูกเขาแทะโลมทางสายตาไปกี่ครั้งหรือหักห้ามใจไปกี่ทีไม่ให้คิดอกุศล


“ตฤณครับ ถึงแล้ว”


ชวินทร์ขับเข้ามาจอดที่ลานจอดแคบๆชั่วคราวของหอพักที่ตฤณอาศัยอยู่ ดับเครื่องปลดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้วเรียกให้อีกคนตื่นอย่างที่ทำประจำ


เงียบ


เจ้าของชื่อไม่กระดุกกระดิกร่างกายสักนิด ทำเอาคนมาส่งอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ นึกไปถึงเมื่อตอนหัวค่ำที่ตฤณเล่าให้ฟังว่าช่วงสองอาทิตย์นี้ต้องนั่งทำเปเปอร์งานเขียนยันตีหนึ่งตีสอง ไหนจะต้องตื่นเช้ามาเข้าเรียนอีก


ตอนขับรถหันมามองเป็นครั้งคราว ตอนนี้มีโอกาสนั่งมองเต็มตา ชวินทร์อยากดื่มด่ำช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มาบ่อยนัก


ภายในรถเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหัวใจเจ้ากรรมเต้นตึกตัก ประสานกับเสียงลมหายใจของเด็กหนุ่มที่หลับตาพริ้มสนิทปกคลุมด้วยขนตาแพยาว ชวินทร์เอื้อมตัวไปปลดเข็มขัดให้เบาที่สุด ใบหน้าเฉียดใกล้กันน้อยกว่าคืบ ลมหายใจอุ่นพ่นออกมาทางจมูกสัมผัสใบหน้าเขา บางส่วนเป็นไอน้ำเกาะเลนส์แว่น กลิ่นกายของตฤณเวลานี้หอมหวานยั่วใจเหลือเกิน ยิ่งมองใกล้ๆเห็นผิวเนียนละเอียด ริมฝีปากสีสดด้วยแล้วล่ะก็ ถึงกับต้องเลียปากแห้งผากของตัวเองข่มใจ


ชวินทร์ได้ยินเสียงตัวเดวิลกับตัวแองเจิลในสมองเถียงกันไปมาไม่หยุด


ดูท่าทางเดวิลคงชนะ เพราะเขาประทับริมฝีปากลงไปเรียบร้อย ละเลียดลิ้นเชื่องช้าขยับขึ้นลงเบาๆเพื่อทดสอบว่ามันนุ่มนิ่มขนาดไหน


ลักจูบเด็กนี่รู้สึกดีเป็นบ้า


“ตฤณ ตฤณครับตื่นเร็ว ถึงแล้ว”


“อือ...หา ถึงแล้วเหรอ นี่ผมหลับไปอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” อีกฝ่ายนวดขมับ ขยี้ตาแล้วบีบต้นคอเหมือนเมื่อยที่นอนท่านั้นอยู่นาน


“ไม่เรียกผมเลย”


“ไม่เป็นไร ไปพักผ่อนเถอะครับ”


“ครับ วันศุกร์เจอกันนะ”


ชวินทร์ยิ้ม ไม่ได้เดินไปส่งเพราะตฤณเคยบอกว่าไม่อยากรบกวน


“อ้อ คุณวินครับ”


“ครับ? ลืมอะไรหรือเปล่า ดูให้ดีก่อนลงไปนะ”


ชวินทร์ช่วยมองหาเผื่อตฤณจะทำมือถือตกไว้หรือลืมกระเป๋าเป้ แต่แล้วตฤณแค่เอื้อมกายเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้น ช้อนเชิดคางเขาให้เงยมอง


ตฤณหอมแก้มเขา


ตฤณจูบเขา


“เมื่อกี้ผมฝัน แต่เดี๋ยวอีกหลายวันกว่าจะเจอกัน เลยขอกำลังใจก่อนละกัน ขอบคุณมากครับที่มาส่ง ไปนะ”


ชวินทร์หลุดหัวเราะพอเด็กหนุ่มขยิบตาแล้วปิดประตูรถเดินออกไป กระนั้นกลิ่นกายของตฤณยังคงอบอวลตรึงใจ เลียปากไม่หยุด เนื้อตัวกระตุกเร่าด้วยความเขิน


ตฤณจะรู้ไหมว่าเมื่อครู่ไม่ได้ฝัน


____________________



“คุณ วันนี้ว่างไหม”


[ว่างตลอดสำหรับคุณครับ]


ติณภพเบ้ปาก พยายามกดตรงมุมไม่ให้ยกยิ้มขึ้นมาจนมันกลายเป็นว่าเหมือนคนเป็นโรคชักกระตุก เลยเปลี่ยนเป็นกัดริมฝีปากแทน “ผมฝากซื้อกาแฟเอาเข้ามาให้ที่โรงแรมหน่อยสิครับ พอดีไม่ว่างออกไปหา”


[บ้าจริง ผู้ชายชวนเข้าโรงแรม คนเขามีพ่อมีแม่นะครับ]


“คุณเนตรชนก อย่าสะดีดสะดิ้งใส่ผม” คนต้นสายกดเสียงต่ำ แต่พอลองนึกภาพว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่กำลังแสดงท่าทางตามเสียงสองเสียงสามนั่นแล้วก็อดไหล่สั่นไม่ได้ มันคงตลกน่าดู “ขอเหมือนเดิมนะครับ รบกวนด้วย เดี๋ยวมีรางวัลให้”


[โอ๊ะ อยากรู้จังว่าคุณตฤณจะให้รางวัลอะไร] เสียงปลายสายฟังดูสดใสตื่นเต้นขึ้นมา ทำเอาติณภพเห็นเป็นภาพใบหน้าของคุณเนตรที่ส่งยิ้มหล่อเหลามาให้บ่อยๆ


“อยากรู้ก็รีบมา รออยู่นะ”


[ได้เลยครับ อีกสิบห้านาทีแจกัน]


พอกดวางสาย คนที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ถึงกับชะงักไปเมื่อหันไปเห็นวายตาที่มองมาอยู่ก่อน คนที่นั่งอยู่คนละมุมห้องเองยิ้มแบบมีเลศนัย ทำเอาเขาต้องพรูลมหายใจทางจมูกแก้เขิน


“คุณเจตน์ รบกวนสั่งอาหารซีฟู้ดเจ้าประจำให้ผมทีสิครับ ขอแบบให้ทานกันสองคนอิ่มนะ”


“ครับผม” เจ้าของชื่อขานรับ “วันนี้อารมณ์ดีนะครับ สั่งอาหารพิเศษเสียด้วย”


“เออน่า คุณอยากได้อะไรก็สั่งเพิ่มเอาแล้วกัน เก็บบิลที่ผม” ติณภพก้มหน้าลงอ่านเอกสารบนโต๊ะเหมือนเดิม อันที่จริงต้องกลับมาอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกเพราะมัวแต่คิดจะซ่อนรอยยิ้มอยู่นั่นล่ะ เลขาก็แซวเก่งจริงๆ


“อย่าคิดว่าแซวเลยคุณติณภพ ช่วงนี้คุณดูผ่อนคลายถือว่าดีกว่าตอนคุณเครียดจากงานหนักครับ เจ้านายมีความสุขผมก็มีความสุข มีความรักก็แบบนี้ล่ะนะ โอ๊ย! ปายางลบใส่ผมอีกแล้ว ขโมยไปกี่ก้อนเนี่ย”


ถ้าไม่ติดว่ามีแฟนแล้วเขาคงคิดว่าคุณเจตน์ตะล่อมจีบอยู่แน่ๆ เวลาอารมณ์ดีล่ะชอบพูดจารื่นหู “ขอโทษครับ มือลั่นไปเอง คุณเจตน์ก็รีบๆจีบคุณโสมให้สำเร็จแล้วกัน ผมเอาใจช่วย”


เห็นคุณเจตน์เอามือลูบหัวป้อยๆแล้วขำ ยิ่งพอพูดถึงสาวสวยเลขาคุณชวินทร์แล้วทำท่าทางขัดเขินไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วยยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่




“คุณเนตร ผมมีมือแกะเองได้ ไม่ต้องทำให้ผม” ติณภพพูดห้ามเป็นครั้งที่สามในรอบการแกะกุ้งสามตัวของคุณเนตรมาวางในจานเขา แต่ไม่เกิดผลใดๆนอกจากได้กุ้งเพิ่ม แถมพอจะเอื้อมไปหยิบยังถูกปัดมือกลับมาเสียอีก


“ก็ผมมือเลอะแล้วไง ให้มันเลอะทีเดียวจะได้ไปล้าง” เจ้าของเสียงพูดไปดูดนิ้วตัวเองไป ก่อนหันไปคว้าเอาปูนึ่งในจานมาวางตรงหน้าแล้วเริ่มจัดการหักก้ามเล็กๆของมันเสียงกร๊อบแกร๊บ นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงทั้งรักทั้งหลงคุณเนตรแน่ๆเรื่องการอำนวยความสะดวกเวลากินอาหารทะเล มือไม่ต้องเปื้อนกลิ่นคาวใดๆทั้งสิ้น


คุณเนตรไม่รู้ตัวเองว่าเวลาเขาดูดนิ้วเอาคราบกุ้งคราบปูออกมันเซ็กซี่ขนาดไหน ติณภพเห็นแล้วเผลอเลียปากตามทุกที


“งานยุ่งเหรอครับวันนี้”


“ก็นิดหน่อย เรื่องติดพันเล็กๆน้อยๆ” ในเมื่อไม่ยอมให้แกะเลยต้องเป็นฝ่ายยอมกินเองแทน “แล้วคุณไม่มีงานเหรอวันนี้ แต่งตัวอย่างกับจะไปแคสซีรีส์”


คนแกะกุ้งชั่วคราวส่งยิ้มให้ “วันนี้ว่าง ผมทำงานพรุ่งนี้ครับ ไปถ่ายนิตยสารที่ภูเก็ต เราจะไม่ได้เจอกันอีกตั้งสี่วันแน่ะ”


ติณภพพยักหน้า หยิบกุ้งสุกสีส้มจัดชิ้นหนึ่งไปจิ้มน้ำจิ้มแล้วยื่นไปจ่อที่ปากอีกคน คุณเนตรเหลือบมอง ก่อนรับเอามันเข้าไปเคี้ยวแล้วขอบคุณเขา เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนั้นแล้วคนทางนี้รู้สึกอิ่มใจมากกว่าที่อิ่มท้อง ถึงจะได้ยินว่าต้องห่างกันหลายวันก็ไม่เป็นอะไร เพราะเขาเข้าใจว่าในชีวิตการทำงานของแต่ละคนย่อมต่างกัน ติณภพกับคุณเนตรชนกเองก็ใช่ว่าจะหาเวลาว่างมาเจอกันได้ทุกวันเสียเมื่อไหร่ ขนาดตอนรู้จักกันเริ่มแรกยังทิ้งเวลาหลายวันกว่าจะเห็นหน้าแต่ละที


“โทรคุยกันได้ ไม่เป็นปัญหา”


นี่เป็นอีกมื้อกลางวันที่เนตรชนกได้มีโอกาสเข้ามาหาติณภพที่โรงแรม และมีเวลาส่วนตัวให้กันในห้องทำงานที่เปลี่ยนเป็นโต๊ะรับประทานอาหารชั่วคราว มื้อนี้คุณติณภพเลี้ยงอาหารทะเล ในเมื่อไม่ได้มีส่วนออกค่าอาหารเลยต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยงานบริการ ส่วนคราวก่อนเขาเองเป็นฝ่ายไปตระเวนหาอาหารเจ้าอร่อยเข้ามาฝาก ซึ่งสิ่งที่ทำให้เจริญอาหารไม่ใช่ตัวอาหารหรอก หากแต่เป็นเพราะคนที่นั่งด้วยกันมากกว่า


พอเก็บวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วยังพอมีเวลาให้นั่งพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ติณภพพาคุณเนตรไปนั่งที่สวนด้านหลังโรงแรมอันเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจทั้งของแขกและพนักงาน มีสระว่ายน้ำขนาดย่อมอยู่ด้านหลังโดยที่ด้านหน้าเป็นเก้าอี้ม้าหินหลายชุดเรียงรายกัน ไม่ลืมที่จะถือกาแฟออกมาด้วย


“คุณอยากรู้ไหมว่าทำไมผมถึงไม่ชอบให้ใส่ฟองนมในกาแฟ”


“อืม นั่นสิ คุณไม่เคยบอกเลย ทำไมเหรอครับ”


“ผมขอยืมหน่อยนะ” ว่าแล้วติณภพก็เอื้อมมือไปคว้าแก้วคาปูชิโนสูตรปกติของคุณเนตรลากเข้ามาหา อันที่จริงมันพร่องลงไปหน่อยแล้วแต่ฟองนมด้านบนยังไม่หมดไป จากนั้นยกดื่ม ทำเอาคนที่นั่งมองเบิกตาขึ้นเพราะความแปลกใจ


เนตรชนกเห็นภาพติณภพที่ชี้นิ้วมือเข้าหาใบหน้าตัวเอง ริมฝีปากบนมีฟองนมสีขาวเลอะจนเห็นชัด บางส่วนติดอยู่ที่ปลายจมูกด้วย “มันเป็นแบบนี้แหละ ผมรำคาญ บางทีนั่งประชุมในห้อง หมดสภาพความเป็นประธานเลยคุณเอ๊ย”


คนพูดกำลังจะหยิบกระดาษเช็ดปากออก แต่ยังช้ากว่าเนตรชนกที่คว้าหมับข้อมือนั้นไว้แล้วลุกขึ้นยืน โน้มร่างยื่นหน้าเข้าไปประทับริมฝีปากตรงรอยฟองนมนั้น ทั้งดูดงับทั้งเลียจนมั่นใจว่าเกลี้ยงเกลา


ติณภพเบิกตากว้าง แลบลิ้นเลียริมฝีปากพร้อมกับกระพริบตาปริบ คุณเนตรเองก็เลียปาก ต่างกันตรงที่สายตาคู่นั้นมองมาทำเอาเขาวาบหวามในอก


“คุณน่าจะสั่งฟองนมนะ” ใครคนนั้นว่า “เดี๋ยวผมเช็ดให้...บ่อยๆ”


“ไอ้คุณเนตร ไอ้บ้า” อยู่ๆสระว่ายน้ำก็น่าสนใจขึ้นมาจนต้องเบนสายตาไปมอง “คุณก็น่าจะแกะกุ้งแกะปูบ่อยๆเหมือนกันแหละวะ ผมจะได้...เช็ดให้บ้าง”


แวบแรกที่เหลือบมอง คุณเนตรมีความไม่เข้าใจอยู่ในสายตา แต่แล้วมันกลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในเสี้ยววินาที เพราะเพิ่งนึกออกว่าถึงเวลานั้นจริงตัวเองไม่ได้เช็ดด้วยกระดาษ แต่เป็นการทำความสะอาดด้วยลิ้น


“ไม่ต้องรอแกะกุ้งปูหรอก จะตอนไหนผมก็ให้คุณเช็ดหมดนั่นแหละ อยู่ที่ว่าคุณจะเอาอะไรมาเช็ด”


ติณภพคิดว่าตอนนี้ตัวเองหน้าเห่อร้อนจนมันแดงให้คนที่อยู่ด้วยกันเห็น คุณเนตรชนกแกล้งหยิบกระดาษมาเช็ดนิ้วชี้กับนิ้วกลางของตัวเองให้เห็นๆกันตรงหน้า ส่งสีหน้าหยอกเย้าเพื่อเตือนความจำว่าก่อนหน้านี้ติณภพเคยทำมันมาก่อน เป็นการทำความสะอาดที่ร้อนแรงใช่เล่น

__________

อันนี้เป็นเหตุการณ์ก่อนทริปเชียงใหม่ค่ะ เดี๋ยวคู่ทองหล่อก็จะมีทริปเชียงใหม่ด้วยเหมือนกัน

มาถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกอยากแต่งสองคู่นี้ให้ยาวขึ้นแล้ว โดยเฉพาะคู่สาทรเนี่ย แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะคงเรื่องหลักไว้ 8 ตอนแล้วที่เหลือแยกเป็นตอนพิเศษไปเรื่อยๆหรือว่าจะยืดเนื้อหาเดิมให้เรื่องหลักยาวขึ้น อาจจะดูอีกที
และถ้าทำจริง ย่านอื่นเราคงเปลี่ยนเป็นตอนพิเศษสั้นกว่ามากๆแทน

ช่วงนี้คงไม่ค่อยมีเวลาแต่งเรื่องใหม่ๆแล้วเพราะไม่ว่าง ยุ่งมากกก บวกกับยอมรับว่าพอคนอ่านหรือคอมเมนท์น้อยก็เริ่มจะไม่อยากแต่งแล้วด้วย แพชชั่นที่เหลือคือคู่คุณวินกับตฤณล้วนๆเลย

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :110011:

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
รอทริปเชียงใหม่คู่ทองหล่ออยู่นะคะ ชอบคู่นี้มากเลยยย

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แงงง อย่าเพิ่งหมด passion คู่สาทรกับทองหล่อน่ารักมากก คอยดูแลกันตลอดด
เรารออ่านคู่เอกมัยกับสีลมอยู่นะ อยากรู้ว่าจะเป็นแบบไหน
ปล. เป็นกำลังใหคุณคนแต่งเรื่องเรียนนะ สู้ๆ มีเวลามาแต่งนิยายให้อ่านก็ดีใจแล้วว รออ่านอยู่ตลอดนะคะ ^^

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Thonglor My Love
ตอนพิเศษ : วันหยุด



“ตฤณ นี่ติณภพกับคุณเนตร”


“สวัสดีครับ คุณติณภพ คุณเนตร”


เด็กหนุ่มประนมมือขึ้นกลางอกแล้วค้อมร่างไหว้เขากับคุณเนตรหลังจากที่คุณชวินทร์แนะนำ และคุณเนตรเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากตอบรับออกไปก่อน คุณเนตรเป็นมิตรกับคนอื่นอยู่แล้ว ต่างจากเขาที่ไม่ค่อยเอ่ยปากหากไม่จำเป็น นี่คงจะเป็นเด็กคนที่ชื่อเหมือนกันกับเขาที่คุณชวินทร์เล่าให้ฟัง น่าแปลกที่เพิ่งพบหน้ากันแต่ว่าติณภพกลับรู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาด


ตฤณเป็นเด็กที่ดูธรรมดาที่สุดในบรรดาแฟนของคุณวินที่เขาเคยพบเจอมา คิดในใจอย่างรวดเร็วแล้วไม่น่าจะเป็นคนประเภทที่เพื่อนของเขาจะเปิดใจยอมรับเข้ามาได้ด้วยซ้ำ แต่...ไอ้ความน่าดึงดูดบางอย่างส่งสัญญาณที่เขาสามารถรู้สึกลึกๆมาให้รับรู้ ผิวไม่ขาวมากเท่าเขาทว่าเวลาส่งยิ้มแล้วขับให้บริเวณแก้มกลมๆนั่นดูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจัดหยีลงยามคลี่ยิ้ม รูปร่างค่อนไปทางสูง แต่งกายเรียบร้อยและท่าทางนอบน้อม ทำเอาเขานึกถึงใครบางคนขึ้นมา ถึงจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียวก็ตาม


ทุกสิ่งที่บอกว่าธรรมดา ประกอบกันแล้วลงตัวอย่างที่สุดแบบไม่ต้องเพิ่มอะไรเลย นี่อาจเป็นสิ่งที่เด็กคนนี้เป็นที่ถูกใจของคุณวินก็ได้ แค่เห็นก็ทำให้ยิ้มออกมาทันที น่าเอ็นดูเหลือเกิน


“ไง อยากเจอมากไม่ใช่เหรอ เอามาให้เจอแล้ว”


“อืม ดีเลย น่ารักดี” เขาว่าก่อนจะเอื้อมไปยีผมเจ้าหนูของเพื่อนแล้วโอบไหล่แบบพี่ชายน้องชายที่สนิทกันรวดเร็ว “เก็บของกันเรียบร้อยแล้วก็ไปทานมื้อเที่ยงกันเถอะ”




หลังกินอาหารกลางวันกันเสร็จเรียบร้อย เราสี่คนก็นั่งคุยกันเพื่อผ่อนคลายเป็นการฆ่าเวลารอคิดเงินค่าอาหาร ติณภพยอมรับว่าวันนี้พูดเยอะเพราะไม่ได้เจอคุณชวินทร์มาสักพักแล้ว กับคุณเนตรชนกที่เพิ่งกลับมาจากทำงานที่ต่างประเทศก็เพิ่งได้เจอกันจริงจังเมื่อวานนี้เอง บางเรื่องก็เล่าให้ตฤณที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกฟัง และบางช่วงก็คุยเรื่องโรงแรมกับคุณวิน คุณเนตรเลยชวนตฤณคุยแก้เหงา


“คุณเนตรมีโปรแกรมจะไปไหนอีกไหมครับวันนี้”


“เรียกพี่เถอะ เราน่าจะห่างกันไม่กี่ปีนะ ตฤณอายุเท่าไหร่”


“ยี่สิบเอ็ดครับ แล้วพี่เนตรล่ะ” ดูสิ ขนาดเวลาพูดคุยน้ำเสียงเด็กคนนี้ยังฟังดูมีมารยาทมากๆ แถมว่านอนสอนง่าย คุณเนตรให้เรียกพี่ก็เรียก ส่วนคุณวินเห็นนั่งเงียบไม่ค่อยพูดจา แต่ตานี่มองแทบไม่กระพริบ


“พี่ยี่สิบห้าครับ เนี่ยห่างกันไม่กี่ปีเอง ไม่ต้องเรียกคุณหรอก จะได้ดูสนิทๆกันไง เนอะ” นั่นสิ เขาก็เห็นด้วย อยากบอกว่าคำว่าคุณเก็บเอาไว้เรียกกับคุณชวินทร์แบบอ้อนเอาใจผู้ใหญ่จะน่ารักกว่า เหมือนเวลาเขากับคุณเนตรเรียกกันไง


เดี๋ยวก่อน เนตรชนกอายุเท่าไหร่นะ


“คุณเนตร ไหนบอกเกิดปีมะเส็งไง”


“ก็มะเส็งไงครับ งูเล็กที่ไม่เล็ก คุณเกิดมะโรงไม่ใช่เหรอ” คนพูดเย้ากลับ ทำเอาคนทางนี้ขมวดคิ้วส่งสายตาดุกลับไป


“ก็เออผมเกิดมะโรง แล้วผมก็คิดว่าคุณเกิดมะเส็งหลังผมหนึ่งปีไง! แม่งเอ๊ย...” เวรกรรมอะไรไม่รู้ สุดท้ายแล้วความจริงที่อยากจะปิดคลุมเครือไว้สักพักใหญ่ๆให้ทำใจได้ก่อนก็กระจ่างแจ้งเสียอย่างนั้น คิดแล้วลมแทบจับต้องนวดขมับกันเลยทีเดียว คุณวินคงพอจะเดาได้ถึงหัวเราะใส่เขา ส่วนตฤณก็นั่งทำหน้ามึน ไม่รู้เข้าใจอีกคนหรือเปล่า แต่เวลานี้ไอ้ตี๋อายสุดๆ


“จะหนึ่งปีหรือหนึ่งรอบ...”


“หยุดเลย หยุด ไม่ต้องพูดเรื่องอายุแล้ว” แล้วติณภพที่เพิ่งรู้ความจริงอันแสนจะทำใจยากต่อการยอมรับจำต้องเปลี่ยนเรื่องในวงสนทนาทันที เนตรชนกหัวเราะมีความสุขที่ได้ก่อกวนเหลือเกิน มันน่าจับตีนัก


“โอ้โห พี่เนตรเท่สุดๆไปเลย” เด็กหนุ่มตื่นตาตื่นใจจนตาเป็นประกายที่คนตัวโตกำลังอวดว่าตัวเองทำอาชีพนายแบบ เปิดรูปให้น้องดู เขาเลยต้องเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าคุณเนตรเป็นนายแบบที่ถ่ายแบบให้นิตยสาร แบรนด์เสื้อผ้า รวมทั้งถ่ายโฆษณาบ้างเท่าที่รู้ ว่าแล้วก็วกกลับเข้าเรื่องธีโอดอร์น้องชายเขาอีกจนได้เพราะทำงานร่วมกัน ตฤณก็ตื่นเต้นกว่าเดิมเพราะเห็นบอกว่าติดตามในอินสตาแกรมด้วย ไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ตัว


เด็กคนนี้น่าเอ็นดูเหมือนธีโอดอร์ตัวแสบนั่นไม่มีผิด คุณเนตรแกล้งชวนไปเข้าวงการด้วยกัน เขาเลยแกล้งบอกต่อว่าจะฝากให้เข้าไปทำงานกับธี


“อวยน้องตัวเองได้แต่อย่ามาอวยตฤณเยอะนะติณภพ รายนั้นเขาไม่ใจอ่อน จะบอกให้”


“ผมอวยตฤณแล้วคุณจะทำไมล่ะครับ ก็แค่เอ็นดูเหมือนน้อง ทำเป็นหวงไปได้”


“เปล่าหวง คือที่จริงก็หวงแหละ...” นั่นไง บางทีพอเริ่มหลุดมาดแล้วคุณวินก็กวนไม่น้อยไปกว่าคุณเนตรหรอก ชอบพูดย้อนแย้งในตัวเอง “...แต่หมายถึงว่าตฤณน่ะพ่อแม่เขาเลี้ยงมาดีเลยไม่ค่อยเอาแต่ใจ เพราะคุณอวยเด็กแบบนี้สินะถึงได้กินเด็ก”


“คุณนั่นแหละเลี้ยงต้อย มากล่าวหาว่าผมอวยเด็ก น้องเพิ่งยี่สิบเอ็ดเองไม่ใช่เหรอ แล้วคุณแก่กว่าตั้งเท่าไหร่ยังมาว่าผม” ติณภพคันปากเถียงกลับ ก็เขาเพิ่งรู้อายุเนตรชนกพร้อมกับทุกคนวันนี้จากตอนแรกคิดว่าห่างกันปีเดียว คนไม่รู้ย่อมไม่ผิดสิวะ


“โธ่ คุณก็ไม่ต่างกันนั่นล่ะวะครับ คุณเนตรเป็นเพื่อนน้องชายคุณไม่ใช่เหรอ”


“ก็เพิ่งรู้อายุไงล่ะโว้ย!” คุณวินนี่เข้าใจฝั่งตะวันตกบ้างไหมเนี่ย เพราะคิดว่าเกิดห่างกันแค่ปีเดียวเลยไม่คิดอะไร เพื่อนกันไม่จำเป็นต้องอายุเท่ากันเสียหน่อย ธีโอดอร์ก็มีเพื่อนในวงการอายุมากกว่าถมเถไป ฮึ่ย!


ที่จริงเวลาแซวกันแบบนี้คนอื่นอาจจะคิดว่าทะเลาะ แต่เปล่า มันคือเรื่องปกติของติณภพกับคุณวิน น้ำเสียงที่ใช้ก็ไม่ได้หนักหนารุนแรง เอาเป็นว่าแซวกันพอหายคันยุบยิบ เพราะตอนนี้ตฤณกับคุณเนตรเริ่มยิ้มแห้งมองซ้ายทีขวาทีเหมือนดูการแข่งขันเทนนิสอยู่รอมร่อแล้ว


มีจังหวะหนึ่งที่ตฤณลุกไปเข้าห้องน้ำ เหลือผู้ใหญ่สามคนนั่งอยู่ คุณวินเพื่อนเขาหันไปมองแล้วหันกลับมา ทำหน้าตามีความสุขจนอดถามไม่ได้


“เป็นอะไรคุณ จะตามไปดูในห้องน้ำไหม แหม เห่อเด็กจริงว่ะ มองจนพรุนไปหมดแล้วล่ะมั้ง”


“เปล่า...” คนพูดขยับแว่น ไม่สบตาแบบนี้มีพิรุธจนปิดไม่มิด แต่ทำเขายิ้มตามเหมือนกัน เพราะเวลาปกติคุณชวินทร์ไม่ค่อยเสียอาการแบบนี้ให้ได้เห็นบ่อย “แค่นึกถึงเมื่อกี้ที่บอกว่าพ่อแม่เขาเลี้ยงมาดี”


แล้วคุณชวินทร์ก็เล่าเรื่องที่ปิดดาดฟ้าของโรงแรมเพื่อดินเนอร์กับตฤณ ทีแรกเกือบจะไปโฟกัสความป๋าของเพื่อนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องหลังจากนั้นมันมีความพีคกว่า จับใจความได้ว่าคุณวินอยากเลี้ยงดูตฤณ แต่ตฤณไม่ยอมเพราะพ่อสอนว่าเป็นลูกผู้ชายต้องเลี้ยงตัวเองจะได้เป็นหลักให้คนอื่น เลยไม่ให้อีกคนเลี้ยงดูทั้งที่อาจจะสบายไปตลอดทั้งชาติ


คุณเนตรชนกหัวเราะสลับครางด้วยเสียงเอ็นดูบุคคลที่สามเป็นที่สุด ติณภพเองก็เผลอยิ้มกว้างที่ได้ยินแบบนั้น ทั้งเรื่องของเด็กหนุ่มที่ฟังแล้วทำเอาแก้มปริ ทั้งที่คุณวินเรียกเด็กคนนั้นด้วยสรรพนามน่ารัก ทั้งแววตารักใคร่อย่างลึกซึ้งตอนพูดถึง เขาเองก็เคยมีความรู้สึกนั้นและคาดว่าตอนนี้คุณวินเองคงไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ไอ้ความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งเอ็นดูมากอัดแน่นล้นอกจนไม่รู้จะทำอย่างไร มันเขี้ยวแทนเลยโว้ย


“ตฤณนั้นแม่งน่ารักกว่าตฤณนี้จริงด้วยว่ะคุณ ผมยอม”


หลังจากฟังเพื่อนเล่า เด็กหนุ่มกลับมาก็ทำหน้าเหรอหราที่ทุกคนในนี้มีท่าทางแปลกไป ไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นประเด็นในวงสนทนา สามคนทั้งเขา คุณเนตร คุณวินก็ได้แต่แอบยิ้มกันไปตามระเบียบ ตลอดทั้งบ่ายนั้นคุณเนตรชนกพาตฤณเดินกอดคอกันไปเที่ยว ถ่ายรูปสวยๆอย่างกับพี่น้องที่สนิทกันมานาน คุณวินเองก็ไม่ได้ว่าอะไร มาเดินอยู่กับเขารั้งท้ายคอยดูนั่นดูนี่เป็นส่วนมาก


สรุปไม่รู้ว่ามาพักผ่อนกันเองหรือพาเด็กมาเที่ยว โธ่เอ๊ย คิดแล้วระอาตัวเองฉิบ กินเด็กกันทั้งคู่


ที่จริงน่าจะคู่เดียว เพราะอีกคู่มันมีคนถูกเด็กกิน




ตูม!


เสียงบางอย่างดังขึ้น ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของฝันช่วงสุดท้ายก่อนสะดุ้งตื่น หรือเป็นเสียงที่ดังมาจากข้างนอกจริงๆ แต่ติณภพก็ตื่นจนได้


กระพริบตาปริบๆพอให้ดวงตาปรับสภาพได้แล้วจึงเริ่มมองไปโดยรอบ ข้างกายว่างเปล่า คุณเนตรคงลุกออกไปก่อนแล้ว ผ้าห่มสีขาวผืนหนายังอยู่ชิดอกดีแปลว่าคนที่ลุกออกไปอาจจะจัดแจงห่มให้อีกครั้งเพราะตลอดคืนมันคงไม่เป็นที่เป็นทางแบบนี้


นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาหกโมงสามสิบนาทีตอนเช้า ถ้าเป็นวันหยุดทั่วไปติณภพคงหงุดหงิดที่ดันมาตื่นเอาเวลานี้ แต่เพราะเมื่อคืนจำได้ว่าไปเที่ยวตะลอนเชียงใหม่กับพวกคุณวินทั้งวัน พอกลับถึงห้องรีบอาบน้ำอาบท่า สามทุ่มหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย สลบก่อนคุณเนตรด้วยซ้ำไป เช้านี้เลยไม่ปวดหัว


ลุกจากผ้าห่มจัดแจงผมเผ้าตัวเอง ดึงเสื้อที่เลิกเปิดให้ปิดลงและดึงกางเกงนอนขาสั้นที่อยู่สูงเกินไปให้เข้าที่ สูดจมูกฟุดฟิดแล้วค่อยแตะเท้าลงกับพื้นห้อง เห็นเงาด้านนอกระเบียงไหวๆเลยจะออกไปดูเสียหน่อย คงจะเป็นคนตัวโตทำอะไรสักอย่าง


พอเปิดบานเลื่อนออก อากาศเย็นวูบหนึ่งเข้าปะทะร่างกายจนขนลุกชัน ติณภพต้องกอดตัวเองลูบแขนลูบคอเพราะที่ปกปิดร่างกายตอนนี้เป็นแค่เสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเท่านั้น และเนื้อผ้าบางไม่เหมาะกับการป้องกันลมหรือความเย็นเท่าไหร่ ที่ใส่ได้เนื่องจากตอนนอนเปิดแอร์รักษาอุณหภูมิในห้องให้อุ่นกว่าอากาศด้านนอกในเดือนสุดท้ายของปีแบบนี้


มองเลยออกไปด้านนอก จากห้องพักของเขากับคุณเนตรสามารถเห็นดอยสุเทพยามเช้าได้จากตรงนี้ แสงอาทิตย์ที่ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดีค่อยๆเรืองรองจากสีส้มเข้มขึ้นมาทีละน้อย เหมือนจะมีปุยหมอกสีขาวรายรอบให้บรรยากาศขมุกขมัวนิดหน่อย แต่สำหรับคนที่ทำงานในย่านธุรกิจอันเต็มไปด้วยควันรถ มลพิษ เสียงดังรบกวน และแสงเทียมจากไฟรถหรือตึกรามบ้านช่อง ภาพตรงหน้าช่วยเยียวยาให้ผ่อนคลายและสดชื่นได้ดีจริงๆ ตอนจองห้องพักคุณวินเป็นคนจอง เอาห้องใหญ่ที่สุดไป ซึ่งติณภพก็ไม่เข้าใจว่าจะเอาพื้นที่ไปทำอะไร แต่ก็นั่นล่ะ คุณเนตรเลยเอาห้องที่เห็นวิวดอยสุเทพแทน


ทว่าสิ่งที่ดึงความสนใจมากกว่ากลับเป็นเงาคนที่แหวกว่ายในสระน้ำ เจ้าของโรงแรมย่านทองหล่อมองดูอยู่ตลอดจนกระทั่งร่างนั้นโผตัวขึ้นมาจากสระ ผืนน้ำแหวกกระจายไปรอบๆ มีเกาะพราวตามร่างกายสมส่วนสวยงามแบบผู้ชายออกกำลังกายบ้าง คุณเนตรลูบน้ำจากหน้าผากลงมาที่คาง ก่อนเสยผมที่ปรกหน้าให้ลู่ไปด้านหลัง และสบตาเข้ากับเขาพอดี


จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือเห็นดอยสุเทพ ยังไม่เท่าเห็นคนชื่อเนตรชนกตอนนี้เลยพับผ่าสิ สว่างไสวที่สุดในสายตาตี่ๆคู่นี้แล้วในตอนนี้ ยิ่งพอคุณเขาเห็นว่าติณภพมองอยู่ ยิ้มออกมาแล้วคนมองยิ่งสดชื่น


“คุณ มาว่ายน้ำกัน”


“ไม่เอาด้วยหรอก หนาวจะตายชัก คุณบ้าเปล่าวะ หนาวขนาดนี้ยังจะลงไปว่ายเล่น เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”


“ก็สระมันน่าเล่นนี่นาคุณ ไม่หนาวขนาดนั้นหรอก น้ำมันอุ่นๆอยู่นะ” คุณเนตรว่า เริ่มว่ายเข้ามาหาติณภพที่เพิ่งตัดสินใจนั่งหย่อนขาลงไปในน้ำตรงริมขอบสระ “เมื่อคืนหลับสบายดีไหมครับ”


“ดีครับ แล้วคุณนอนตอนไหนผมไม่รู้เรื่องเลย แถมยังตื่นก่อนอีก”


“ก็นั่งทำงานนิดๆหน่อยๆ นอนหลังจากคุณหลับแป๊บเดียวเอง แล้วก็มาตื่นเอาตีห้าครึ่งนี่ล่ะ นอนต่อไม่หลับเลยมองคุณหลับแทน สักพักถึงลุกมาว่ายน้ำครับ”


“มีการมานอนมองคนอื่นหลับ คิดอกุศลกับผมหรือเปล่าหืม” ติณภพพูดติดตลก ใช้อุ้งมือทั้งสองประคองใบหน้าหล่อเหลาที่มายืนสอดตัวอยู่ตรงหว่างขาเขา ลูบเกลี่ยผิวแก้มสลับลูบไล้ปลายผมชื้นน้ำสางกับนิ้วมือด้วยความเพลิดเพลิน เนตรชนกช้อนสายตามองขึ้นมาไม่กระพริบเลย


“ผมก็เหมือนเซเว่นนะคุณ คิดกับคุณตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย โอ๊ยๆ...” แล้วคนพูดก็ยิ้มแฉ่ง เขาเลยดึงแก้มลงโทษไปหนึ่งที “ล้อเล่น ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก หยุดคิดตอนนอนอย่างเดียว”


“คุณนี่แม่ง ทะลึ่งลามกจังเลยวะ” พูดไปอย่างนั้นแหละ จะไม่บอกหรอกว่าตัวเองก็ไม่ต่างกัน


“ก็แฟนผมน่ารักไง หยอกเล่นสนุกดีออก มาเร็วคุณตฤณ เล่นน้ำกัน” ไม่พูดเปล่า ดึงกระตุกแขนด้วย ถ้าไม่เกร็งตัวไว้คงได้ตกลงสระน้ำจริง ก็คุณเนตรแรงน้อยเสียที่ไหน


“ไม่เอา ไม่อยากเปียก อยากเล่นนะแต่ก็ไม่อยากเปียก”


“งั้นมานี่มา ผมไม่ทำคุณเปียก”


ติณภพอาจจะยังเบลออยู่เลยคิดตามไม่ทันว่าอีกคนจะทำได้อย่างไร แต่พอคุณเนตรเอาเขาไปนั่งอยู่บนบ่าแกร่งเท่านั้นล่ะ ร่างสูงใหญ่ก็พาเขาเดินจากที่ริมสระไปจนกลางสระ เลยไปจนถึงขอบสระอีกด้านที่มีน้ำพุไหลออกมาจากประติมากรรมนูนต่ำติดผนังรูปเศียรช้าง ตัวติณภพไม่เปียกยกเว้นขา เพราะความสูงคุณเนตรที่ยืนจากพื้นสระน้ำอยู่แค่ระดับใต้อก


คนเพิ่งตื่นเอนไปมาจะตกอยู่หลายที แต่คุณเนตรไม่ปล่อย จับไว้ตลอด เรียกเอาเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วห้อง ไม่รู้ขำอะไร รู้แค่ชอบช่วงเวลาแบบนี้มาก ติณภพไม่เคยมีมันมาก่อน เพิ่งรู้ว่ามีแล้วอบอุ่นหัวใจมากขนาดไหน จะหาคนทำได้แบบนี้คงไม่มีแล้ว ไม่แข็งแรงเท่าคุณนายแบบคนนี้คงได้คอหักเป็นศพคาสระน้ำ


พอคุณเนตรเอาเขามาวางไว้ที่เดิมก็หันกลับไปว่ายน้ำจริงจังอีกครั้ง เพราะเป็นคนที่หุ่นดีมากดังนั้นเขาเลยดูจนเพลินตา นึกชมในใจเป็นสิบๆรอบ ชายหนุ่มสง่างามราวกับว่าเป็นจ้าวแห่งผืนนทีที่สามารถสั่งการให้มวลน้ำทั้งหมดตอบรับเสียงเพรียกหา


หากคุณเนตรจะเป็นอะไรสักอย่างใต้ทะเลก็คงเป็นเงือกหนุ่มที่มีครึ่งล่างเป็นครีบหางเกล็ดมันวาวสวยงาม แถมเป็นเงือกเจ้าสำราญเสียด้วย ยิ้มทะเล้นแบบนั้นเงือกสาวๆคงรุมล้อมเพราะตกหลุมรักกันหมด


ติณภพเองยังขึ้นจากหลุมนั้นไม่ได้เลย


จวบจนท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น เดาว่าคงเป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว เงือกหนุ่มไม่ระเริงสายน้ำอีกต่อไป แต่มาเกาะขอบสระคุยกระหนุงกระหนิงกับมนุษย์แทน ติณภพหยอกเล่นด้วยการใช้ขาที่อยู่ใต้น้ำวางลงบนอก ไล้ต่ำไปเรื่อยๆจนถึงกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วที่ใส่อยู่


“อะแฮ่ม ดีๆครับคุณ” คุณเนตรส่งเสียงกระแอมเตือนมา แต่คงไม่ได้จริงจังอะไรนัก ก็แค่อยากจะยั่วเล่นๆเวลาอารมณ์ดี ปกติคุณเนตรแกล้งเขาออกบ่อย ยั่วหนักเข้ากลายเป็นคนตัวโตตะครุบขาเขาแล้วยึดไม่ให้ไปทักทายเนตรน้อย โอเค...เลิกแหย่ก็ได้


“คุณตฤณ ผมอยากถ่ายรูปกับคุณลงอินสตาแกรม คุณอนุญาตไหม”


“ตัวผมไม่เท่าไหร่หรอก แต่คนติดตามคุณน่ะเขาจะรับได้เหรอ” เพราะบัญชีส่วนตัวของเขาถูกล็อคไว้ ไม่มีคนนอกเข้าไปดูได้ยกเว้นคนที่ติดตามซึ่งมีประมาณสามร้อยกว่าคน ต่างจากของคนถามที่มีหลักแสนและเปิดสาธารณะ “ทำไมต้องถ่ายลง จะอวดไปทำไมอยากรู้”


“มันก็เป็นโมเมนท์หนึ่งของคนมีแฟนน่ารักไง ไม่เข้าใจเหรอ คุณก็มีแฟนหล่อไม่เห็นอวดบ้างล่ะ รออยู่นะเนี่ย”


ติณภพแค่นหัวเราะพอได้ยินอีกคนชมตัวเอง แต่ช่างเถอะถ้ามันเป็นความจริง ที่ไม่จริงคือเขาน่ารัก ไม่น่ารักสักหน่อย คุณเนตรคงถูกความรักเล่นงานจนตาฝ้าฟาง


“ถ่ายท่านี้ดีกว่า เอาแค่เห็นมือกับขาพอ ไม่ต้องเห็นหน้า คนจะได้ตื่นเต้นเล่น”


ติณภพถอนหายใจแล้วทำตามที่อีกคนจัดแจงท่าทางเสร็จสรรพ รูปถ่ายที่ออกมาจึงเป็นรูปที่คุณเนตรยืนหันหลังให้ระหว่างขาของเขา โดยมีมือข้างหนึ่งของเขาประคองเรือนแก้มไว้และคุณเนตรจับมือเขาอีกชั้น ใบหน้าปรับองศาให้เน้นสันกรามชัดเจน ดวงตาคมมองเข้ามาในกล้องอย่างเย้ายวนชวนคิดลึกแบบที่ติณภพและคนอื่นจะเห็นของจริงได้แค่บนเตียงเท่านั้น ไหนจะรอยยิ้มมุมปากบาดใจนั่นอีก


ขนาดดูจากในรูปยังรู้สึกว่าขนอ่อนลุกชันไปทั่วร่าง ถ้าคุณเนตรทำหน้าแบบเมื่อครู่แล้วหันมามองเขาจริงๆ...นึกชะตากรรมตัวเองไม่ออกเลยว่าจะหัวใจวายตกสระน้ำหรือหงายหลังลงไปกับพื้น


คุณเนตรชนกเอารูปให้ดูหลังจากอัพลงไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ติดตามกันและกันเพราะถือว่าไม่จำเป็น จะเข้ามาส่องกันเองเป็นครั้งคราว ในกรณีนี้ก็คือสามารถกันคนมาขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวได้ด้วย


แคปชั่น ‘คนพิเศษครับ’ นี่มันเป็นการบอกรักทางอ้อมของคนต่างวัยกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่บอกเลยว่าเด็กคนนี้ไม่ปล่อยให้หัวใจได้พักผ่อนสักที เต้นตึกตักโครมครามบ้าคลั่งไปหมด


เนตรชนกรู้ดีว่าเห็นนั่งเงียบกริบอย่างนี้ ในใจคุณติณภพคงป่วนจากการถูกเขาปั่นอยู่ไม่หยอก นัยน์ตาสีเข้มขยับซ้ายขวาผิดจากเดิมไป และคนที่มีผิวขาวจัดแบบนี้เวลาเขินขึ้นมาก็สังเกตได้ไม่ยากอยู่แล้ว


แต่ยังอยากให้เป็นมากกว่านี้อีก


เงือกหนุ่มพุ่งตัวทะลุกลางปล้องหว่างขาสองข้างด้วยการเอามือยันพื้นที่แคบๆตรงหน้าให้คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวเอนหลังหนีลงไปจนเกือบราบกับพื้น น้ำจากสระสาดกระเซ็นเข้าใส่จนเห็นผิวเนื้อวับแวมใต้เสื้อขาว กางเกงแนบลู่ไปกับกายส่วนล่าง กลายเป็นว่าตกอยู่ใต้อาณัติเขาเรียบร้อย


ตาชั้นเดียวเบิกกว้างตื่นตกใจ น่ารักเสียไม่มี รักกันตรงนี้เลยได้ไหมครับคุณ


“ทะ...ทำอะไร”


“แล้วคิดว่าผมทำอะไรล่ะ”


“ก็เห็นๆกันอยู่เนี่ยว่าคุณจะทำอะไร” ร่างด้านใต้เริ่มถอยหนีแล้ว เนตรชนกเลยต้องขยับตาม ขยับท่าไหนไม่รู้ตรงกลางถึงได้ชนเฉียดกันไปมา คุณติณภพเหลือบลงไปมองแล้วกลับขึ้นมาสบตากันหวาดหวั่น แต่เขาไม่หวั่นหรอกนะ ส่งยิ้มให้แทน


“ถ้ารู้แล้วจะถามทำไมล่ะครับ”


“คุณเนตร! เปียกหมดแล้ว ออกไปเลย”


“ตรงนี้เลยได้ไหม”


เนตรชนกพยายามสุดความสามารถที่จะกลั้นหัวเราะพอเห็นอีกคนทำหน้าตื่นตูมมากกว่าเดิมเมื่อเขาขอความต้องการตรงไปตรงมา แถมยังเอาขายันบ้างถีบบ้าง แต่ใครสนกันล่ะ นี่แค่เห็นคุณติณภพเปียกน้ำในเสื้อขาวก็หืดหาดขึ้นมาจนกัดปากข่มหลายทีแล้ว จินตนาการในสมองมันไม่มีทางคิดดีไปกว่าจับเขารักแรงๆหรอก ตรงไหนท่าไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง


“ไม่ได้! ผมไม่ยอมให้คลอรีนจากสระเข้ามาหรอก ไปอาบน้ำล้างตัวเดี๋ยวนี้ คุณเนตร...เนตร...เนตรโว้ย!” เจ้าของชื่อแกล้งจูบซุกไซร้ตามซอกคอคนขี้บ่น ขบใบหูบ้างกัดลาดไหล่บ้างให้ร้องเจ็บ ไม่รู้จะหัวเราะหรือสงสารดีที่เห็นร่างด้านใต้ดิ้นเอาเป็นเอาตาย


ไม่ให้คลอรีนเข้า แต่อย่างอื่นไม่ได้ห้าม คงไม่เป็นไรเนอะ


“อาบน้ำแล้วต้องสองรอบ”


“ผมไม่ได้บอกว่าจะให้” แน่ะ มองตาเขียวด้วย


“ผมก็ไม่ได้ขอ แค่บอกให้รู้” เนตรจะปั่นต่อให้ทั้งเขินทั้งโกรธจนคุณเขาหูแดงหน้าแดงเลยคอยดู


“ไม่เอา”


“งั้นสามรอบเลยนะ ขอมัดจำล่วงหน้าก่อนคร้าบ”


“เฮ้ยอะไรวะ! คุณเนตร...อื้อ คุณ...” คุณติณภพไม่มีทางหนีรอดไปได้หรอก เนตรชนกออกแรงกดที่แขนสองข้างไม่ให้ขัดขืน ลงน้ำหนักที่สะโพกเน้นย้ำตรงกลางแล้วจูบปิดปากเสียก่อน คุณติณภพไม่ได้แข็งกร้าวอย่างที่คนอื่นเห็นภายนอก ถึงจะเอาแต่ใจพูดว่าไม่เอาไม่ยอม แต่ดูจากตอนนี้ที่เปิดปากให้เขาสอดลิ้นเข้าไปแล้ว หนทางต่อไปก็ไม่ยากเท่าไหร่


พออีกคนอ่อนกำลังลง จากมือที่กดทับจึงเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นสอดประสานนิ้วกัน เนตรมอบจูบดูดดื่มยามเช้าปลอบประโลมที่ไปหยอกเย้าคนขี้หงุดหงิด บดกลีบปากในจังหวะนุ่มนวลสลับเร่าร้อน ปรับองศาใบหน้าให้ขยับเข้าหากันได้มากที่สุด


“อึก...อ่ะ นะ...เนตร แฮ่ก...”


เท่าไหร่ก็ไม่พอ ชายหนุ่มยังคงรุกไล่ต้อนสงครามริมฝีปากไม่หยุดหย่อน คุณติณภพเริ่มส่งสัญญาณว่าหายใจไม่ทันเขาเลยยกใบหน้าขึ้น พอได้ยินว่าจะเรียกชื่อถือว่าหมดเวลา ยิ่งเติมเต็มเข้าไปอีกครั้งและอีกครั้ง เป่ารดลมหายใจออกกวาดต้อนความต้องการเข้า เสียงน้ำลายหยาบโลนยิ่งจุดชนวนให้แรงรักโหมกระพือ


“อุก...อือ...อื้อ!”


กายขาวดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมอก ครางฮือสลับหอบ เนตรชนกค่อยๆแทะเล็มที่ริมฝีปากที่บวมเจ่อ เลยมายังกรอบหน้า กกหู โจนจ้วงฉกปลายลิ้นเข้าไปเรียกเสียงครางอีกครั้ง


คิดจะปั่นแล้วต้องปั่นให้ถึงที่สุด


คุณติณภพเหมือนไปทำอะไรสักอย่างมาที่ต้องออกแรงเยอะๆ แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงหนักหน่วง ริมฝีปากเจ่อแลบลิ้นเลียไม่หยุด ดวงตาฉ่ำปรืออ้าปากกอบโกยอากาศ ผิวเห่อแดงโดยเฉพาะตรงแก้ม ที่เร้าใจที่สุดเห็นจะเป็นเสียงคราง พอแกล้งเอาเข่ามาถูที่กลางระหว่างขาก็เผลอครางตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน


เนตรว่าตัวเองชักจะเริ่มโรคจิตเข้าไปทุกวันที่อยากรังแกเขาเช้าเย็นวันละหลายครั้ง ตั้งแต่คบกันมาได้มีอะไรกันจริงจังแค่ครั้งเดียว จะให้อดทนบ่อยๆก็ไม่ไหวหรอกนะ เป็นคน ไม่ใช่พระพุทธรูป ที่จะเห็นของสวยงามแล้วไม่รู้สึกอะไร


[ต่อ]

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด