ตอนที่ 2
ยุทธการทวงคืนรัก
“วา”
ผมก้มหน้า หลุบตาต่ำ พยายามปิดบังความแค้นเคืองเมื่อตวันกลับห้องของเรา
“วา ทำไมเงียบแบบนี้ล่ะครับ เกิดอะไรขึ้น” ตวันปราดเข้าหาอย่างร้อนใจ เพราะคนอย่างนายนาวา ดาราลัยมักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอ ใช้เงินมือเติบ ปากไว เอาแต่ใจเหนือใคร มีความสุขและใช้ชีวิตอย่างแสนสบาย หายากที่จะมานั่งซึมเศร้าเหงาหงอย ไม่หือไม่อือ
“วันนี้มีคนพูดแปลกๆ ใส่วา” ผมเอ่ย กับคนสนิทมักแทนตัวเองด้วยชื่อเสมอ
“พูดอะไรเหรอครับ”
ผมมองหน้าตวัน คนซื่อตรงอย่างเขาเผยพิรุธในทันที...ผมมองข้ามความผิดปกติได้ยังไง ทำไมต้องรอให้ศศินมาบอกด้วย คนรักกันควรจะรู้กันเองดีที่สุด หรือไม่...ก็เพราะรักแสนรักถึงได้หลอกตัวเองว่าไม่มีอะไร
“วา...ร้องไห้ทำไม” ตวันทำอะไรไม่ถูก เพียงรั้งตัวผมไปกอดแน่นก่อนจะลูบศีรษะแผ่วเบา เขามักทำแบบนี้เสมอเวลาผมเสียใจ ซึ่งมีเพียงเรื่องครอบครัวที่เสียชีวิตกะทันหันเท่านั้นที่เรียกน้ำตาจากนาวาคนนี้ได้
“มีคนบอกว่าตวันนอกใจวา”
ผมแกล้งร้องไห้ แต่ไม่รู้ทำไม...ถึงร้องสะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิมซะงั้น ถึงจะรู้สึกแย่และหมดความไว้ใจกับตวัน แต่ความรักความผูกพันมาตลอดหลายปีก็ทำให้ผมร้องไห้แบบสุดตัวในอ้อมอกเขา
สัญญาว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย
พวกไม่รู้คุณคนแถมตอบแทนความรักได้เจ็บแสบสะท้านทรวงเรียกน้ำตาจากผมได้แค่วันนี้เท่านั้น!
“ใครบอกครับ” ตวันถามเสียงห้วนทันที แต่พอผมช้อนตามองเขาก็รีบปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลลง ตวันมักปฏิบัติกับผมอย่างอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่กล้าแม้แต่จะทำร้ายจิตใจ มีแต่ตามใจ อยากตอบแทนครอบครัวผมจึงดูแลให้อยู่อย่างสุขสบายที่สุด
หึ สุกจนแทบไหม้เลยสิ! โกรธจนหน้าสั่นไปหมดแต่ต้องปั้นหน้าร้องไห้ ผมไปเป็นนักแสดงได้เลยนะเนี่ย
“ใครบอกไม่สำคัญ ถ้านั่นคือเรื่องจริง” พูดจบผมก็กัดปากข่มกลั้นความขุ่นเคือง อยากจะต่อยหน้าตวันให้ล้มหงาย แต่ยังไม่ถึงเวลา “ตวันนอกใจวาเหรอครับ...ตวันกล้านอกใจวาด้วยเหรอครับ”
ผมถามย้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาแลน่าสงสาร แต่น้ำเสียงเค้นถามกึ่งท้าทาย
กับคนรักที่ประเคนทุกอย่างให้ทั้งที่อยู่ อาหาร เสื้อผ้า การเรียน ไม่เว้นกระทั่งหน้าที่การงาน เขากล้านอกใจผมได้ยังไง!!
ตวันเงียบทันที เพราะเขากอดผมอยู่เลยรู้สึกถึงร่างกายที่แข็งเกร็ง
“อย่าคิดมากเลยครับ สมัยนี้ใครอยากจะพูดอะไรก็พูดง่าย เมื่อก่อนตอนผมทำงานวาก็ได้ยินข่าวลือด้านไม่ดีไม่ใช่เหรอครับ”
ใช่ ตอนตวันเพิ่งทำงานใหม่ๆ ด้วยนามสกุลที่ไม่มีใครรู้จัก แต่โผล่มาก็ถือหุ้นใหญ่เทียบเท่าเจ้าของอย่างผม ข่าวลือทั้งเรื่องมั่วผู้หญิง ทำงานห่วยแตก มีปัญหากับเพื่อน และหนักสุดคือขายตัวให้ผมมีมาเป็นระลอก
ตอนนั้นผมหัวเราะลั่น ตบเข่าฉาด ยังเล่นมุกแซวกับตวันอยู่เลยว่าจะขายให้ผมเท่าไหร่ดี แต่ผมไม่เอาเงินหรอกนะ ขอเป็นทั้งชีวิตของตวันได้มั้ย พวกเราเกิดห่างกันแค่สิบวัน ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่ด้วยกันตลอด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะตายจากไปพร้อมๆ กัน
...นึกแล้วน้ำตาจะไหลอีกรอบ แม่งเอ๊ย
“สรุปเป็นเรื่องโกหกเหรอครับ” ผมผละออกมาเล็กน้อยเพื่อจะได้มองตาตวันให้ชัดๆ
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะมอบให้เขาแล้ว
ไม่ใช่โอกาสปรับความเข้าใจหวังคืนดี แต่เป็นโอกาสที่เราจะเลิกรากันโดยไม่ถึงกับต้องเรียกคืนทุกสิ่งทุกอย่าง หากเขาสารภาพตามตรง บอกสาเหตุที่หมดรัก ผมจะยอมปล่อยเขาไปพร้อมเงินทุนติดตัวสักก้อน แล้วก็แยกจากกันแบบไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
คนอย่างนาวารักแรงแค้นแรง หากทำร้ายความเชื่อใจก็อย่าหวังจะอ้อนวอนขอความรัก แต่ผมยังเห็นแก่ความดีที่ช่วยดูแลมาตลอดหลายปี กับแค่เศษเงินที่คงไม่น้อยสำหรับเขาแต่น้อยนิดสำหรับผมยังพอบริจาคทานให้ได้บ้าง
“ใช่ครับ”
แต่เขาตัดโอกาสนั้นแล้ว
ผมผลักอกตวัน แสร้งไม่พอใจ ทั้งที่ความจริงแล้วอยากจะหัวเราะลั่น...ซึ่งถ้าทำจริงๆ ตวันคงช็อกค้าง
บางทีผมก็งงตัวเอง เจ็บช้ำเจียนตายแท้ๆ แต่ดันหัวเราะในใจไม่หยุด ตลกตัวเอง ขำชีวิต ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้
“วา...ไม่เชื่อใจผมเหรอครับ”
โห พูดมาได้ ผมย้อนในใจ พอรู้ความจริง การกระทำทุกอย่างของตวันที่แม้จะพยายามง้องอนยอมลงให้แค่ไหนก็ไม่รู้สึกใจเต้นเหมือนเคย แต่กลับยิ่งโกรธและมองราวเห็นคนแปลกหน้ามากกว่า
นี่น่ะเหรอคนที่โตมาด้วยกัน นามสกุลใจภักดีของเขากลายเป็นมุกตลกน่าล้อเลียนสุดๆ!
“เชื่อใจสิ” ในเมื่อเขาไม่จริงใจก่อน ผมก็เล่นละครได้ดีขึ้น สลัดความรู้สึกแอบแฝงทิ้ง เหลือเพียงแผนการในหัวที่จะต้องเอาคืนอีกฝ่ายให้เจ็บแสบ รวมถึงชู้รัก...พาฝันที่จะกลายเป็นฝันเฟื่องในเร็วๆ นี้ “แต่ไม่เชื่อใจคนที่เป็นข่าวกับตวัน พรุ่งนี้วาไปทำงานด้วยนะครับ”
ตวันสะดุ้งโหยง
ร้อยวันพันปีนาวา ดาราลัยไม่เคยเข้าบริษัท จนทำให้หลายคนแทบจะลืมเลือนไปแล้วว่ามีผู้ถือหุ้นใหญ่อีกคนหนึ่ง
“จะดีเหรอวา”
“แล้วไม่ดีตรงไหน วาไปแสดงตัวว่าเป็นคนรักของตวัน จะได้ไม่มีใครคิดไม่ซื่อกับคนของวาไง” ผมถามเขากลับ ข้ออ้างสมบูรณ์แบบ ไปแสดงตัวเป็นคนรัก ไม่ใช่ไปแสดงตัวเป็นผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของที่แท้จริงสักหน่อย
แน่นอนว่าเป้าหมายผมน่ะคืออย่างหลัง
“ก็คนที่เป็นข่าวกับตวันคือพาฝันนี่ครับ”
คราวนี้ตวันเหงื่อตกหนัก เห็นแล้วสะใจชะมัด ระหว่างคนโกหกตีหน้าซื่อกับคนที่รู้ความจริงแต่แกล้งอมพะนำ ดูท่าฝ่ายแรกจะเหนื่อยกว่าเป็นไหนๆ
“ถ้าไปแล้ววาสบายใจขึ้นก็ไม่เป็นไรครับ แต่จะตื่นไหวเหรอ”
“ตวันก็ปลุกวาสิ” ผมยิ้มหวาน เพราะนอนดึกตื่นสาย สมัยเรียนตวันเลยเป็นคนคอยปลุกตลอด แต่พอเขาทำงานก็ปล่อยผมนอนสบายๆ เต็มที่
“ครับ” ตวันรับคำ หอมแก้มผมก่อนจะเดินไปอาบน้ำ วันนี้เขากลับห้องตอนสามทุ่มโดยอ้างว่ามีประชุมงานเลยไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ผมแอบไปพบศศิน
ผมมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยสายตาทั้งรักทั้งแค้น
ถ้าเลือกได้ ตวันคงไม่อยากให้ผมไป แต่คนร้อนตัวจะทำอะไรได้นอกจากรีบรับปากเพราะผมดันพูดชื่อชู้รักถูกต้องตรงเผง
พาฝัน นางแบบสาวโนเนมผู้โด่งดังขึ้นมาจากการเดินแบบในแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรของดาราลัยจิวเวลรี่ งานนั้นเป็นงานเปิดตัวครั้งแรกและทำให้ตวันเป็นที่ยอมรับ ขณะเดียวกันก็เป็นงานแจ้งเกิดให้เธอมีหน้ามีตาในวงการ
พาฝันซาบซึ้งและมักพูดถึงดาราลัยจิวเวลรี่เสมอว่าเป็นผู้ให้โอกาส จึงไม่แปลกที่เธอจะสนิทสนมกับตวันผู้เลือกเธอขึ้นเดินแบบและทำให้นางแบบที่ดูไม่สะดุดตาคนนั้นโด่งดังในข้ามคืน
ครั้งนั้นผมเองก็ไปด้วย ยังประทับใจอยู่เลยว่าตวันตาถึง เลือกนางแบบได้เหมาะกับเครื่องเพชรโชว์ปิดท้ายได้อย่างงดงามและสร้างความเซอร์ไพรส์แก่หลายๆ คน
นั่นเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน
และปีนี้งานแฟชั่นโชว์เซ็ตใหม่ที่กำลังมาถึง พาฝันก็ได้รับเลือกเป็นผู้เดินปิดท้าย สวมใส่เครื่องประดับราคาเป็นสิบล้าน เธอจึงมักมาที่บริษัท ปรึกษาเรื่องงานกับตวันโดยไม่มีใครสงสัยในความสัมพันธ์
แต่โทษเถอะ อย่าหวังเลยว่าจะแอบพลอดรักที่บริษัทผมอีก นาวามาแล้ว!
“วา...ตื่นได้แล้วครับวา”
นิทราแสนสุขถูกรบกวน ใครเลยจะเข้าใจหัวอกนาวา
วูบหนึ่งผมนึกว่าตัวเองยังเป็นเด็ก ต้องตื่นเช้าไปเข้าเรียนให้ทัน ตวันช่วยถือกระเป๋า จูงมือพาผมวิ่งขึ้นตึกเรียน สภาพกระเซอะกระเซิง เสื้อหลุดออกนอกกางเกง คนสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนไม่กล้ามีปากเสียงอย่างเขาต้องวิ่งสู้ฟัดเป็นเพื่อนแทบทุกวัน เวลาไปสายผมจะหัวเราะลั่น ขำกับสภาพเราสองคน ตวันทำได้เพียงมองอย่างอ่อนใจ ช่วยจัดทรงผมให้ บอกว่าไม่เป็นไร พรุ่งนี้จะปลุกให้ไวขึ้น แต่ถ้ามาถึงทันเวลาผมก็จะกระโดดกอดตวัน บอกเขาว่าขอบคุณนะครับคนดีของวา
“อีกห้านาที”
“ห้านาทีหลายครั้งแล้วนะครับ เดี๋ยวไปสายนะ”
ตวันมักพูดกับผมอย่างอ่อนโยนเสมอ แม้ผมจะเกี่ยง เขาก็จะอดทนปลุกอย่างใจเย็น คอยลูบศีรษะให้รู้สึกตัวตื่นไม่รู้เอาซะเลยว่ายิ่งทำให้ผมเคลิ้มหลับกว่าเดิม
แต่ผมไม่บอกหรอก เพราะผมชอบเวลาเขาลูบศีรษะมาก มันแสดงถึงความรัก ความห่วงใย และใส่ใจกัน
“งั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ”
ผมพลันลืมตาโพลง ฝันหวานพังทลาย ตวันในตอนนี้ไม่มีความอดทนมากพอ แถมยังโล่งอกด้วยซ้ำที่ผมไม่ยอมตื่นสักที
“ตื่นแล้วๆ วาตื่นแล้ว!” ผมรีบเด้งตัวลุกจากเตียง มึนเบลอหน่อยๆ เลยไม่รู้ตัวสักนิดว่าผ้าห่มพันขาพอก้าวลงมาเลยหน้าแทบทิ่ม
“ใจเย็นๆ นะครับวา” ตวันหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ช่วยพยุงผมด้วยรอยยิ้มหวานแกมเอ็นดู ทั้งที่ว่าจะไม่ใจเต้นกับคนคนนี้แล้วเชียว...
นึกแล้วก็โมโหตัวเอง ผมรีบสะบัดตัวหนีแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ ตวันมองตามด้วยสายตารักใคร่เพราะคิดว่าผมเขิน
ถ้ารักแล้วทำไมถึงนอกใจ
...หรือเพราะเขามีหัวใจสองดวง
ตวันเดินข้างผมขณะพวกเราเดินเข้าบริษัทดาราลัยจิวเวลรี่ ซึ่งเป็นตึกสามชั้นขนาดไม่ใหญ่มากเพราะมีหน้าร้านตามห้างดังร่วมสี่สาขา เน้นกรุงเทพฯ เป็นหลักเนื่องจากเครื่องเพชรมีราคาแพงและจำกัดเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม แต่มูลค่ารวมถึงกำไรต่อปีนั้นมหาศาล แค่ชุดเครื่องเพชรที่จะนำมาจัดแสดงในงานแฟชั่นโชว์ก็มีราคาหลายสิบล้านแล้ว
“สวัสดีค่ะคุณตวัน/สวัสดีครับคุณตวัน”
พนักงานพากันทักทายตวันโดยส่งสายตาสงสัยมาให้ผมที่ยืนยิ้มอย่างเป็นมิตรแม้จะติดเย่อหยิ่งบ้าง มันเป็นที่หนังหน้าน่ะครับ เพราะดวงตาของผมเรียวและชี้ขึ้น เวลาตวัดมองแล้วให้อารมณ์ข่ม แลดุแต่ไม่ถึงกับชวนหาเรื่องท้าตีท้าต่อยเท่าศศิน พอยกยิ้มแค่มุมปาก เลยให้อารมณ์มั่นหน้าเข้าไปใหญ่
เทียบกับตวันที่มีคิ้วเข้ม หน้าตาใจดี ซื่อตรง แลยอมคน ความแตกต่างเลยเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นก็เทียบบารมีกันไม่ได้ เพราะแม้ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ทว่าก็ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะมองผมอย่างเสียมารยาท อีกทั้งยังดูยำเกรง
ออร่าลูกคุณหนูมันฉายชัด ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง
พอตกเป็นเป้าสายตามากเข้า ผมก็ควงแขนตวันอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ คนรักเหลือบมองเล็กน้อย แต่พอผมถลึงตาใส่ก็ไม่กล้าห้ามปราม
สร้างความเข้าใจให้คนในบริษัทซะใหม่ว่าเจ้าของบริษัทตัวจริงคือผม!
ต่อจากนี้ถ้าตวันเปิดเผยความสัมพันธ์กับพาฝัน จะได้รู้ว่ารายนั้นต่างหากที่มาทีหลัง!
พวกเขาคบชู้ ส่วนผมคือผู้ถูกกระทำ!!!
จงเบิกตามองให้ชัดซะเถอะทุกคน!
แต่เดินควงได้ไม่นานผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งทำงานในบริษัทตั้งแต่สมัยแม่ของผมก็ลงมาต้อนรับด้วยตัวเอง ท่าทางพินอบพิเทาจนสร้างคำถามในใจใครหลายคนว่าผมคือใคร
“ไม่เจอกันนาน คุณนาวาโตขึ้นมากเลยนะครับ”
“ขอบคุณครับลุงสมชิด ลุงเองก็เหมือนสมัยแม่พาผมมาวิ่งเล่นที่นี่เลย”
“แหม หลายสิบปีมาแล้ว อย่าปากหวานเลยครับ”
“ผมพูดจริงนี่นา เนอะตวัน” ผมหันไปยิ้มขี้เล่นให้ตวัน แต่สีหน้าเจ้าตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เพราะลุงสมชิดเนี่ยล่ะตัวตั้งตัวตีในการต่อต้านตวันตอนขึ้นมาเป็นผู้บริหารแทนผม คุณลุงค่อนข้างหัวโบราณและไม่ค่อยเชื่อในความรักระหว่างเพศเดียวกัน แถมยังสนิทกับแม่ผมเลยรู้ว่าตวันเป็นลูกคนใช้ในบ้าน
ผมต้องอธิบายอยู่นานว่าตวันเป็นลูกใครไม่เกี่ยวทั้งนั้น แต่เขาได้รับการศึกษาที่ดีเทียบเท่าผม มีความรับผิดชอบและอดทนกว่าผม ขอให้ลุงสมชิดเปิดใจ ซึ่งหลังจากนั้นตวันก็ทำผลงานดี ลุงสมชิดจึงไม่คัดค้านอีก ได้แต่แอบไม่พอใจอยู่เงียบๆ
เขาไม่อยากให้บริษัทของคุณแม่ตกเป็นของใครก็ไม่รู้
ผมยอมรับ ผมรักตวันมาก ตอนโอนหุ้นครึ่งหนึ่งให้ตวันขนาดพี่ชายยังอ้าปากค้าง แต่ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น ตวันก็คงน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ยอมรับช่วงต่อแล้วเดินสายสมัครงาน ซึ่งผมเองก็ไม่อยากให้คนรักลำบาก สร้างเนื้อสร้างตัวจากศูนย์ แต่คงจะปรารถนาดีมากไปสักนิด ทำให้เขาเหลิงไปสักหน่อย
พอเห็นลุงสมชิดเลยแอบเจ็บจี๊ดในใจ แหม คุณลุงนี่สมพรปากจังนะครับ
“นาวา...นาวา ดาราลัยน่ะเหรอ”
เสียงซุบซิบของพนักงานทำให้ผมยืดอกขึ้นมาได้บ้าง
“ดูดีจังเลย”
“ขาวมากด้วย ออร่าเปล่งปลั่งสุดๆ”
ผมยิ้มกริ่ม อยากจะเดินไปตกรางวัลให้พนักงานสาว แต่ก็ต้องวางมาดไว้ก่อน แม้ดวงตาจะชี้จนดูร้ายแต่ลูกคุณหนูที่ได้รับการดูแลมาอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม งานไม่เคยแตะ นั่งกินนอนกินอยู่บ้างนั้นทำให้ผิวพรรณของผมเปล่งปลั่งจนแทบจะสะท้อนแสงออกมาตัดกับผมสีดำขลับประบ่า ใบหน้าเรียวเล็กได้มาจากผู้เป็นแม่ ปากเป็นกระจับอมชมพู คิ้วโก่งสวย รูปร่างสูงโปร่งไม่อ้อนแอ้นแต่ก็ไม่ได้ฟิตกล้ามเกินพอดี ออกจะดูสง่ามีราศี มองรวมๆ แล้วทรงเสน่ห์สุดๆ
แน่ล่ะว่าทั้งหมดนั่นชมเองในใจล้วนๆ
ไม่คิดว่าตัวเองหน้าตาดีแล้วใครจะคิด อย่างน้อยก็เสริมสร้างความมั่นใจ ไม่ได้พูดออกมาสักหน่อย ยังไงก็ไม่เสียหายอยู่แล้ว!
“คุณนาวามาดูงานเหรอครับ”
“ผมมาดูตวันทำงานต่างหาก” ผมเอียงศีรษะพิงไหล่ตวัน “แล้วก็มาดูนางแบบชื่อดัง พาฝัน...”
วูบหนึ่งผมคิดว่าตวันกำลังขนแขนลุกซู่
“อยากเห็นคนที่จะมาเดินปิดงานในแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรของผม ลุงสมชิดช่วยพาไปทีนะครับ”
ลุงสมชิดตอบรับทันที ไม่เผยพิรุธอะไร แสดงว่าแม้จะพบหน้ากันบ่อยแต่ตวันกับพาฝันยังไม่กล้าขนาดทำอะไรประเจิดประเจ้อที่บริษัท
แต่ไม่ต้องห่วง...
อีกไม่นานผมจะทำให้โด่งดังจนเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์เลยล่ะ!!!
-----------
มีเรื่องตลกเล่าให้ฟังค่ะ
จริงๆ แล้วเรื่องนี้เดิมทีชื่อ 'ยุทธการสลัดแฟนเก่า' แต่พอส่งให้ทางสนพ. โดนบก.แย้งกลับมาว่าให้เปลี่ยนชื่อใหม่ คำว่ายุทธการเก่าเกินไป! โบราณเกินไป! เราเสียใจมากเลยค่ะ วิ่งไปร้องไห้อยู่ริมตะลิ่ง ไม่เข้าใจว่าคำว่ายุทธการมันเก่าจริงเหรอ อาจเพราะอายุเราก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว เลยไม่เก็ตจริงๆ ค่ะ 55555 แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่ชื่อนี้...ด้วยปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เก็ตว่ามันเก่าจริงอ่ะ? โบราณจริงเหรอ???
คำว่ายุทธการมันเก่าเกินแกงจริงๆ เหรอคะทุกคนนนนน #นาวาสไตล์
ตัวอย่างตอนต่อไป
“ตวันไม่ต้องสร้างผลงานพิสูจน์ตัวแล้วนี่ ยกงานปีนี้ให้วาเถอะ วาอยากลอง”