SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง <จบแล้ว>**อัพ21/10/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง <จบแล้ว>**อัพ21/10/62  (อ่าน 12199 ครั้ง)

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


____________________________________________________________________________________________

SECOND CHANCE
- แทนความคิดถึง -
                                 by .ปีกนกฮูก



เรื่องราวที่จบลง จะคงอยู่ตลอดไป..

เพียงเพราะหัวใจยังเรียกหา..

ความ 'คิดถึง' จะพาเรากลับมาพบกัน ..อีกครั้ง





คนที่เป็นแค่แฟนเก่า จะมีอิทธิพลกับชีวิตเราได้มากแค่ไหนกันนะ..

“กลับมาคบกับกูได้รึยัง”
“ห้ะ!”
“เออสิ กลับมาคบกับกู”
 




_____________________________________________________________________________
*นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติและจินตนาการของผู้เขียน
บุคคลและสถานที่ตามเนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงแต่อย่างใด
*นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายประเภท ชายรักชาย
*นิยายเรื่องนี้อาจมีการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมหรือคำหยาบคาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน




เริ่มต้น 18 . 06 . 2562




ปล.นิยายเรื่องนี้มีความยาว 22 ตอน ไม่รวมตอนพิเศษ จะมีการทยอยลงวันละ 1-2 ตอน
หากผู้อ่านมีความคิดเห็นหรือคำติชมใดๆ กรุณาตอบกลับมาได้เลยยย


...

สารบัญ


{1}

{2}

{3}

{4}

{5}

{6}

{7}

{8}

{9}

{10}

{11}

{12}

{13}

{14}

{15}

{16}

{17}

{18}

{19}

{20}
ปีใหม่ที่ใจไม่เหงา

{21}
แฟนคลับตัวยง



...
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2019 22:10:34 โดย .ปีกนกฮูก »

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง <บทนำ>
«ตอบ #1 เมื่อ18-06-2019 01:50:39 »

เกริ่นสักหน่อย




“กัน”

 
“ไอ้กัน!”

 
“หืออออ” เสียงเรียกชื่อผมดังโหวกเหวกมาแต่ไกลขณะที่ผมกำลังฟุบอยู่กับโต๊ะหินอ่อนหน้าคณะ ไม่จำเป็นต้องเงยหน้าลืมตาขึ้นมามองหาต้นเสียงให้เสียเวลาการพักผ่อนสายตาของผมเลยสักนิดว่าเสียงนี้เป็นเสียงของใคร เพราะคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากไอ้ ‘พี’เพื่อนสนิทในกลุ่มของผมตั้งแต่ปีหนึ่งที่นิสัยและพฤติกรรมตรงข้ามกับตำแหน่งเดือนสาขาที่มันได้มาอย่างสิ้นเชิง
 

“ตื่นเช้าในรอบเดือนล่ะสิมึง” เสียงบ่นของไอ้พีดังขึ้นพร้อมกลิ่นที่คุ้นเคย กลิ่นหอมของแซนวิชทงคัตสึร้านโปรดที่ผมฝากมันซื้อเป็นประจำ
 

“อือ..ถ้าไม่มีเช็คชื่อ มึงได้เจอกูอีกทีคลาสบ่ายแน่”
 

“แล้วไอ้แป้งล่ะวะ”

 
“...”

 
“กูจะถือว่า..มึงตอบกูแล้ว” ไอ้พีส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพร้อมกับกดโทรออกหาอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่ควรมีชื่อว่า ‘สาย’ มากกว่าชื่อเล่นจริงๆที่แม่มันตั้งให้อย่างไอ้ ‘แป้ง’ ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มของผม
 

“เออ..รีบมา โต๊ะหินอ่อน..ที่เดิม” ไอ้พีวางสายลงพร้อมกับถอนหายใจ ส่วนผมก็ยังคงดื่มด่ำกับความอร่อยของแซนวิชหมูทอดทงคัตสึเจ้าโปรดที่โคตรจะอร่อย ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของผมเหมือนที่ไอ้พีทำหน้าที่คุณพ่อของกลุ่มคอยดูแลทั้งผมทั้งไอ้แป้งเป็นประจำเช่นกัน
 
 
 
 








 
ตัก ตัก ตัก
 

พรึ่บ!
 

สาวสวยเพียงคนเดียวของกลุ่มที่ไม่เคยรักษาภาพลักษณ์ความเป็นดาวสาขาของตัวเองได้เลยสักนิดวางของพะรุงพะรังลงก่อนจะคว้ากาแฟกระป๋องที่ไอ้พีซื้อมาให้กระดกลงคอและนั่งลงบนม้านั่งทันที
 

“สถิติใหม่ มาก่อนเวลาสิบห้านาที”
 

“น่าชื่นชมนะตัวกูนี่” ไอ้แป้งไม่ได้สะทกสะท้านกับสิ่งที่ผมเหน็บแนมมันสักนิดแถมมันกลับทำท่าทางภูมิใจกับผลงานสถิติใหม่ของตัวเองอีกด้วยซ้ำ
 
 
“พี”
 

“หืม?”
 

“มึงว่าไอ้กันมันดูโทรมๆปะ” ไอ้แป้งถามพร้อมกับจับหน้าของผมหันไปหันมาด้วยมือสองข้างหน้าคนไอ้ห่านไม่ใช่ลูกบอลเล่นสนุกมือเลยสิ
 

“ยังไงวะ ก็..ปกติ” ใช่เลยไอ้พีเพื่อนรัก กูนี่โคตรปกติ..ปกติดี ดีกว่าตอนรับน้องสามวันติดตอนปีหนึ่งนิดนึง ถุย!
 

ผมฉีกยิ้มจนตาหยีให้เพื่อนทั้งสองก่อนจะฟุบลงบนโต๊ะต่อเพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับผมตอนนี้คงนี้ไม่พ้น..การนอน
 
 
“เงยหน้าง่วงๆของมึงขึ้นมา”
 

“เออไปเรียนได้แล้ว คนอย่างกูสะกดคำว่า ‘สาย’ ไม่เป็น” ช่างกล้าพูดเสียจริงๆแม่ดาวสาขา สิ่งที่ไอ้แป้งมันพูดตรงข้ามกับความเป็นจริงทุกอย่างเลยจริงๆ แต่สุดท้ายผมก็ต้องจำใจพาร่างที่ไร้ซึ่งความสดใสหรือเรียกได้ว่าไร้วิญญาณของผมตามพวกมันตรงไปที่คณะเพื่อเข้าเรียน
 
 







 
 
 
ฮือออออออออ ฮาาาาาาาาาาาา
 

“เสียงอะไรวะ” ผมถามขึ้นเพราะเสียงดังฮือฮาของผู้คนบริเวณใต้ถุนคณะดังขึ้นทันทีที่พวกผมก้าวเข้าบริเวณตัวอาคาร เอ๊ะ..หรือว่าคนพวกนี้จะยังตื่นเต้นที่ได้เจอกลุ่มป๊อปสตาร์ดาราของคณะอย่างพวกผมอยู่
 

“มึงดูนั่นสิ”
 

“อะไรวะ?”
 

“เห้ย!ผัวกูมา พี่ปั่นของน้องงงงง” นอกจากไอ้พวกในคณะที่ฮือฮากันก็ไอ้แป้งเพื่อนผมนี่แหละที่ดูจะออกอาการเสียงดังยิ่งกว่ากับการเห็นไอ้พวกลุ่มวิศวะที่เดินเข้ามาในคณะพร้อมๆกับพวกผม ว่าแต่วิศวะมาทำอะไรที่คณะผมวะ
 
 
“ไปเถอะมึง เสียเวลา” ผมเดินเข้าลิฟต์ของคณะไปก่อนเพื่อน โถ่ ไอ้เราก็คิดว่าจะตื่นเต้นที่ได้เจอดาราบริหารอย่างพวกผมเสียอีก สุดท้ายก็คิดไปเอง ชิ
 
 
 






 
“กัน”
 

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนประตูลิฟต์จะปิดเพียงเสี้ยววินาที ว่าแต่เสียงใครกันนะ ??






**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2019 13:58:25 โดย .ปีกนกฮูก »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง
«ตอบ #2 เมื่อ18-06-2019 15:07:51 »

 :pig4:
 :katai2-1:

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ผู้ยินดีในความรัก
{1}


“ไอ้กัน”


“หืม?”


“ทำหน้าเหมือนหมาสงสัยทำไมวะ” นี่ผมกำลังทำหน้าแบบนั้นเหรอ


“เปล่า กูแค่ง่วง” ผมตอบปัดๆ ไอ้แป้งไปทั้งที่ความจริงคือผมยังสงสัยอยู่ว่าเสียงที่เรียกผมเมื่อเช้าตอนขึ้นลิฟต์ คือเสียงของใคร..และเรียกผมทำไม


“มึงยังจะง่วงได้อีกเหรอวะกัน”


“อือ”


“มึงแทบจะนอนทั้งคลาสอาจารย์แกอยู่แล้ว” ที่จริงแล้วก็ใช่ตามที่ไอ้พีมันบ่นนั่นแหละครับ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะก็ในเมื่อคนมันไม่ได้นอนมาทั้งคืนนี่ครับ อาจารย์ควรรู้บ้างนะครับ ถ้าคุณเลือกสอนคลาสเช้าแน่นอนว่าคุณจะได้แค่กายหยาบของผมเท่านั้นส่วนกายละเอียดผมน่ะเหรอ..หึ ขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์แน่นอนสิครับจารย์





หลังจากเลิกคลาสเราก็เดินลงมาที่โรงอาหารของคณะซึ่งเต็มไปด้วยนิสิตทั้งคณะของผมเองและนิสิตคณะอื่นที่มากันจนแน่นโรงอาหารจนแทบแบ่งอากาศหายใจกันไม่ทั่วถึง ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาโต๊ะว่างที่เพียงพอสำหรับป๊อปสตาร์ดาราบริหารอย่างเราทั้งสามคน แต่ก็ไปสะดุดตาเข้ากับสิ่งแปลกตาในโรงอาหารคณะบริหาร แน่นอนว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้พวกวิศวะที่เจอเมื่อเช้า แถมยังยึดที่นั่งกลางโรงอาหารทำตัวเป็นเป้าสายตาเสียไม่มี


“นู่นไงมึงไปเหอะ”


“เออกูหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” ไอ้แป้งพูดพร้อมกับรีบสับขาไปถึงที่หมายอย่างรวดเร็วเพื่อการครอบครองโต๊ะว่างในโรงอาหารที่มีคนหนาตา





“ทำไมถึงหล่อได้ขนาดนี้คะที่รัก” เสียงอ่อนเสียงหวานจากเพื่อนสาวคนสวยที่นั่งตรงข้ามผมดังขึ้น


“ก็ป๊ากูให้มาเยอะ” ผมเงยหน้าจากข้าวมาตอบไอ้แป้งที่นั่งตาเยิ้มน้ำลายหกเป็นกาวลาเท็กซ์ล้นกระปุก ว่าแต่จู่ๆ มันนึกคึกอะไรถึงมาถามผมตอนนี้วะ


“กูไม่ได้ถามมึง!”


“ไอ้เพื่อนหน้าแมว!” ผมสบถก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานต่อ ผมก็นึกว่ามันจะชมผม ร้อยวันพันปีไม่เคยจะชมผมเล้ยยยย


“นู่น วิศวะโต๊ะนั้นผัวจ๋า~”


“แป้งมึงเรียนเอกอะไร?” ไอ้พีถามขึ้นพร้อมกับเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือที่มันจดจ่อมาพักใหญ่


“การตลาดไงพี..มึงลืมหรือกูงงเองวะ” อะไรของพวกมันกันวะ ผมแทรกขึ้นเพราะความสงสัยในคำถามที่ไอ้พีถามขึ้น



“เปล่าค่ะน้องกัน พี่แป้งคนนี้เรียนเอกมโน โทจินตนาการจ้า” เสียงแหลมแป๊ดกลั้วหัวเราะอย่างน่าหมั่นไส้ขึ้นพร้อมแสดงท่าทางที่ถ้าใครได้เห็นคงอยากลองถีบผู้หญิงตกเก้าอี้ดูสักครั้งในชีวิต




“เนี่ย เมื่อเช้านี้ผัวหลวงกูก็พึ่งได้ลงเพจMSB”


“มึงยังตามไอ้เพจไร้สาระนั่นอยู่เหรอวะ” ไอ้พีบ่นตามสไตล์คุณพ่อเรื่องที่ไอ้แป้งยังเป็นแฟนตัวยงของเพจรวมผู้ชายหน้าตาดีที่ยังไม่มีแฟนของมหาวิทยาลัยเรา ที่โคตรจะไร้สาระมีแต่คอนเทนต์เดิมๆ ลงรูปผู้ชายโสดในมหาวิทยาลัยให้ชาวประชาขาติ่ง ในมหาวิทยาลัยได้มากรี้ดผู้ชายอย่างไร้สติเหมือนไอ้แป้งเพื่อนผม


"แน่นอนสิจ๊ะ เพจดีๆที่กูคู่ควร"


“แล้วสรุปบ่ายยกคลาสจริงไหมวะ?” ผมถามขึ้นพร้อมกับเก็บของลงกระเป๋า ไหนๆ ก็ไม่มีเรียนบ่ายแล้วก็ขอกลับห้องไปเก็บแต้มนอนที่ขาดไปหน่อยแล้วกันชดเชยให้เมื่อคืนที่แทบเก็บชั่วโมงนอนไม่ได้แม้แต่ชั่วโมงเดียว


“จริง”




“เดี๋ยวสิ ไอ้กันกูยังไม่ทันเล่าเรื่องผัวหลวงกูเลย”


“ง่วง บาย..ฝันดี” ผมเดินสะพายกระเป๋าออกจากโรงอาหารทันที โดยที่เพื่อนอีกสองคนไม่ได้ตกใจหรือไม่พอใจอะไรหรือคิดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรเพราะผมก็เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว ยิ่งโดยเฉพาะเรื่องนอนยิ่งไม่มีใครห้ามผมได้ทั้งนั้น












แกร่ก~

หลังจากปิดประตูห้องผมก็ตรงดิ่งไปทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่ผมเฝ้าถวิลหามาทั้งเช้า ได้พักผ่อนจริงๆ เสียทีนะไอ้กัน จริงสิผมลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชื่อ ‘กัน’ ใช่ครับกันที่แปลว่าปืน ส่วนชื่อจริงตามบัตรประชาชนที่ป๊าแสนจะภูมิใจในการตั้งมากคือ ‘กันตินันท์’ ซึ่งความหมายของมันแทบจะตรงข้ามกับชีวิตผมอย่างสิ้นเชิง เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะชื่อนี้ แปลว่า.. ‘ผู้ยินดีในความรัก’


ทุกคนไม่ต้องสงสัยว่าทำไมมันถึงตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับชีวิตผม เพราะไม่ว่าความรักครั้งไหนๆ ที่เข้ามาในชีวิตผมก็ไม่เคยเป็นความรักที่ผมรู้สึกยินดีปรีดาที่จะมีมันสักครั้ง และทุกครั้งก็จบลงด้วยความ ‘ไม่ยินดีในความรัก’ ของผมเอง




ทั้งรักในช่วงวัยเดียวกัน..

“แพรไหม”

“คะ?”

“เราเลิกกันเถอะ ผมหมดแพชชั่นกับรักของเราแล้วจริงๆ”





หรือจะรักต่างวัย..

“พี่เบลครับ”

“กันมีอะไรจะพูดหรอ?”

“ผมว่ายังไงเราก็ไปกันไม่รอด เรา..เลิกกันเถอะครับ”



และอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่ผมต้องพูดคำว่า ‘เลิกกันเถอะ’ หรืออาจจะไม่มีใครสามารถทำให้ผมรู้สึกยินดีกับความรักได้เลยสักครั้ง แม้แต่กับครั้งล่าสุดที่ตัวผมเองอุตส่าห์ยอมลองเปิดโอกาสให้กับอะไรใหม่ๆ ในชีวิต แต่เขาคนนั้นก็ไม่สามารถข้ามกำแพงคำว่า ‘ยินดี’ ในใจผมได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ผ่านมา











เหมียว ~

ความคิดไร้สาระทั้งหมดต้องหยุดลงเมื่อเสียงร้องเรียกขออาหารของเจ้าเพื่อนตัวเล็กของผมดังขึ้น ‘กำปั้น’ แมวอ้วนตัวเล็กของผมพยายามเอาขาเล็กๆ ป้อมๆ ของมันตะกุยเตียงตามปกติที่มันมักจะทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผม


“ตื่นแล้วหรือไงเจ้าอ้วนขี้เซา” ผมอุ้มกำปั้นขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงเพื่อพาเจ้าอ้วนที่อุ้มอยู่ไปกินอาหารเม็ดของมัน


ผมวางเจ้าแมวอ้วนลงข้างถาดอาหารที่อัดเต็มด้วยอาหารแมวชนิดเม็ดราคาแพงที่ผมพึ่งจะเทลงให้ แหมกินดีอยู่ดีกว่าเจ้านายเอ็งอีกนะไอ้เจ้าอ้วนเอ้ย ก่อนจะเดินกลับไปยังที่นอนอีกครั้งและคิดว่าครั้งนี้ความคิดบ้าๆ ที่มีจะออกจากหัวผมไปเสียที ผมจะได้เก็บแต้มนอนที่ขาดหายไปได้อย่างเต็มอิ่มสักทีหนึ่ง









ตื้ด ~

ใครมันบังอาจโทรมารบกวนการนอนของผมอีกวะ กำลังเคลิ้มแล้วเชียว ผมคว้าโทรศัพท์มือถือที่สั่นเป็นเจ้าเข้าของตัวเองขึ้นมา หน้าจอโทรศัพท์มือถือเครื่องบางสว่างขึ้นพร้อมกับชื่อชื่อหนึ่งในช่องสายเรียกเข้า และยังคงสั่นอย่างต่อเนื่องตามที่ตั้งค่าระบบแจ้งเตือนแบบสั่นไว้


[…]


“โทรมาเงียบหาอาวุธโบราณอะไรของพี่”


[…]


“อะไรวะ!”


ผมวางสายทันทีที่จบคำสบถของตัวเองโดยที่ไม่ได้รอฟังว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่าอย่างไร นอกจากจะไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะความรู้สึกบ้าๆ ความคิดไร้สาระของตัวเอง และเจอเรียนเช้าในวันเปิดเทอมวันแรก แถมกลับห้องมายังมาเจอสิ่งที่ทำให้หงุดหงิดที่สุดขณะกำลังนอนอยู่อีก เจริญล่ะ..นี่สิชีวิตของผู้ยินดี


นอกจากหน้าตาที่ดีแล้วชีวิตผมเนี่ยมีอย่างอื่นที่ดีบ้างมั้ยวะ ผมยอมรับตามตรงว่าผมหลงตัวเอง แต่ตำแหน่งรองเดือนสาขาที่ได้มาก็คงไม่ได้มาเพราะโชคช่วยอย่างแน่นอน อีกนิดเดียวเท่านั้นผมก็จะได้เป็นเดือนสาขาไปประกวดเดือนคณะต่อแล้ว แต่ดันมาติดที่มีไอ้พีที่ทั้งสูงทั้งหล่อกว่าจนกลบรัศมีผมไปเสียหมดมาชิงตำแหน่งเดือนสาขาไปได้ จึงทำให้ผมเป็นได้เพียงรองเดือนของสาขาวิชา










ตื้ด ~

ไม่นานหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็สว่างจ้าขึ้นพร้อมการสั่นแจ้งเตือน และแน่นอนไม่ใช่ใครที่ไหนนอกไปเสียจากไอ้คุณพ่อพีที่ส่งข้อความมาถูกจังหวะเสียจริงๆ ราวกับส่งมาเพื่อพิสูจน์ว่ามันตายยาก


PP_:) : มึงตื่นได้แล้วไอ้กัน

ให้ตายเถอะ...ยังไม่ทันได้นอนเลยเพื่อนนนนนน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่



GunGunktn : ยังไม่ได้นอนเลยครับพ่อ


PP_:) : มึงเป็นอะไรของมึง


PP_:) : จะไม่เล่าให้กูฟังจริงเหรอวะ?


PP_:) : เล่าเถอะ..

อยากรู้อยากเห็นได้ใจ สมกับการเป็นคุณพ่อของผมจริงๆ ไอ้พีเพื่อนรัก..ว่าแต่ไม่รู้จริงๆ เหรอวะว่าเรื่องอะไร ทั้งที่มันควรจะรู้เรื่องของผมทุกเรื่องเลยนะไอ้คุณพ่อออ


GunGunktn :ไม่รู้เลยจริงดิ?


PP_:) :เรื่องแฟนเก่า?

ถูกต้องนะครับบบบ...เดาเก่งเสียจริงๆ ไอ้เพื่อนรัก แค่เห็นหัวข้อเรื่องคิ้วผมก็กระตุกเป็นจังหวะสามช่าเลย เป็นบ้าอะไรวะไอ้กัน สติกันสติ


GunGunktn : เออ


GunGunktn : มึงว่าแปลกเปล่าวะ?


PP_:) : แปลกที่มึงยังไม่ลืม


PP_:) : หรือแปลกที่มันก็ยังไม่ลืม

จะรู้ดีเกินไปแล้วไอ้พีไอ้ยอดนักสืบ..โชคดีที่ผมตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้มันฟังและรับรู้ทุกอย่างตั้งแต่แรกจนจบจนมันกลายเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของผมตอนนี้



GunGunktn : ทั้งคู่

ผมวางโทรศัพท์ลงหลังจากคุยกับไอ้พีเสร็จ ไม่ได้นะไอ้กันผู้ชายแมนๆ เขาไม่ร้องไห้กันโว้ยยยย แล้วผมก็จะไม่ร้องเพราะแค่คำว่า ‘คิดถึง’ ด้วย..









โครก ~

ผมนัดไอ้พีลงไปกินข้าวที่ร้านป้าชมพูข้างหอที่ผมอยู่ เพราะเริ่มรู้สึกเจ้าท้องน้อยๆ ของผมมันชักเริ่มจะโหยหาอาหารแล้ว ฟังได้จากเสียงโครกครากที่ดังออกมาจากท้องของผม


บรรยากาศร้านป้าชมพู ร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำที่ผมกินมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งเพราะทั้งใกล้ทั้งอร่อยตอนนี้เต็มไปด้วยนิสิตจากหอชายที่ผมอยู่ ไม่แปลกที่ช่วงบ่ายแก่ๆ แบบนี้จะมีคนนั่งเต็มร้าน


และแน่นอนว่าหลังจากที่ผมเดินเข้าร้านไปพร้อมไอ้พีเสียงทักทายที่ผมคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาทันที..


“น้องกันของป้าวันนี้เอาเหมือนเดิมหรือเปล่าจ๊ะ?”


“ครับป้า”


“แล้วพ่อรูปหล่อไม่มาด้วยเหรอจ๊ะ?”


..คำทักทายที่อบอุ่นและหน้าตายิ้มแย้มของป้าชมพูไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่เลยสักนิดจนป้าแกถามถึงไอ้บ้านั่นขึ้นมาผมนี่แทบอยากลากไอ้พีกลับขึ้นหอทันที แต่ไม่ได้นะเว้ยไอ้กัน ผมไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้เป็น ไม่ได้เป็น


ผมนั่งกินข้าวพร้อมกับท่องคำว่า ‘ไม่ได้เป็น’ ไปเรื่อยๆ ช่างเป็นการกินข้าวที่มีสมาธิจดจ่อเสียจริง



“ไอ้กัน”


“ไม่ได้เป็น!”


หา..อะไรวะ แล้วผมจะตอบไอ้พีว่าไม่ได้เป็นทำไมวะ ไอ้พีจะมองหน้าผมอย่างงุนงง ไม่นานมันก็ขำเสียจนแทบหยุดหัวเราะไม่ได้หลังจากที่ผมเล่าให้มันฟังว่าผมนั่งท่องคำคำนั้นอยู่ตลอด เพื่อจะได้ไม่แสดงพฤติกรรมแปลกๆ ออกมาให้คนอื่นผิดสังเกต


“เป็นเอามากนะมึงนี่”


“ไม่ได้เป็น!”


“ไม่ได้เป็นก็แย่ละไอ้น้อง..ฮ่า ฮ่า”


ยัง..ยังไม่หยุดขำอีก แล้วยังมาเรียกผมว่าไอ้น้องอีก ไอ้เพื่อนสองคนนี่มันพากันเรียกผมว่าน้องเพราะความสูงที่ป๊าให้มาน้อยของผมและนิสัยบางอย่างที่ค่อนข้างเหมือนเด็ก จนทุกวันนี้คนทั้งเอกเรียกผมว่าน้องกันไปหมดแล้ว


“น้องบ้าอะไร”


“แล้ววันนี้น้องกันจะนอนหลับหรือเปล่านี่”


“ก็..”


“สงสารว่ะ เอ๊ะ..หรือจะให้กูโทรตามเขาให้”


โทรตามบ้านป้ามึงสิไอ้เพื่อนเวร นอกจากมันจะพูดพร้อมกับหัวเราะไม่หยุดแล้วยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทรออกจริงจนผมแทบเอื้อมมือไปคว้าไว้ไม่ทัน


“ไอ้หน้าแมวพี!”



หลังจากกินข้าวกับไอ้พีเสร็จเรียบร้อยผมก็ตัดสินใจว่าจะพาร่างแทบจะไร้วิญญาณของผมที่ยังไม่ได้พักผ่อนเลยตั้งแต่เมื่อคืนออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักนิดจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านสักที และแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นการไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะในมหาวิทยาลัยของผม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผมทำเป็นประจำเมื่อเกิดอาการเหมือนกันกับที่ตอนนี้กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ผมก็อธิบายไม่ถูกว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่..ทางการแพทย์เขาเรียกว่าอะไร แต่ที่รู้ตอนนี้คือมันเป็นอาการที่กำลังจะทำลายสุขภาพของผมแน่ๆ




บรรยากาศสวนสาธารณะในช่วงเย็นมีผู้คนมากหน้าหลายตาทำกิจกรรมตามมุมต่างๆ วงเวียนกลางสวนสาธารณะของมหาวิทยาลัยยังคงเป็นจุดศูนย์กลางของผู้คนที่มาวิ่งออกกำลังกายกัน ผมสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่งพร้อมกับสวมหูฟังเปิดเพลงคลอเบาๆ เพื่อฟังในขณะวิ่งและไม่ลืมที่จะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดคอเพื่อใช้ซับเหงื่อที่รินไหลระหว่างวิ่งออกกำลังกาย


การวิ่งไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นการทำให้สมองเราทำงานน้อยลงเพราะการวิ่งแทบไม่จำเป็นต้องใช้การคิดวิเคราะห์อะไรสักนิด นอกจากนั้นผมยังรู้สึกว่าการวิ่งทำให้ผมได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง ผมยังคงวิ่งตีวงตามแนววงเวียนขนาดใหญ่ของสวนสาธารณะไปเรื่อยๆ ภาพผู้คนที่วิ่งไปพร้อมๆ กัน ผู้คนที่กำลังทำกิจกรรมในจุดต่างๆ บ้างก็มาเป็นกลุ่ม เป็นคู่ หรือมาคนเดียวเหมือนตัวผม ผ่านตาผมไปเรื่อยๆ ในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับไป พร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงและจางลง ไม่นานเสาไฟทุกต้นในสวนสาธารณะก็สว่างขึ้นเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน


อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ผมทำเป็นประจำเมื่อมาที่สวนสาธารณะแห่งนี้คือการให้อาหารปลาบริเวณสระน้ำพุที่อยู่ถัดจากวงเวียนไป ศาลาไม้ทรงไทยหลังเล็กที่ยื่นลงไปในน้ำพร้อมกับท่าน้ำเป็นสถานที่ที่เงียบสงบและทำให้ผมสบายใจทุกครั้งที่ผมมา ผมนั่งโง่ๆ โยนขนมปังลงในน้ำให้ฝูงปลาที่แย่งกันกินจนเกิดเสียงจุบจับเหมือนอย่างที่ผมทำเป็นประจำ









พรึ่บ!

ร่างสูงของใครบางคนนั่งลงข้างๆ ผมระหว่างที่ผมกำลังฉีกขนมปังเป็นชิ้นเล็กให้ปลา ใครคนนั้นส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรพร้อมกับแกะห่อขนมปังในมือของตัวเองและโยนลงน้ำให้ปลาทีละแผ่น


“มาให้บ่อยเหรอ?”


“อือ” ผมตอบคำถามของผู้มาเยือนใหม่ ว่าแต่เขาเป็นใครกันนะทำไมผมถึงคุ้นหน้าของคนคนนี้จัง

“เราเหนือ”


“อือ..เรากัน” คำแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มถูกส่งออกมาจากร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านข้าง ผมยิ้มตอบก่อนจะลุกขึ้นเพื่อกลับหอหลังจากออกมาเที่ยวเล่นเสียนานแล้วกลัวเจ้ากำปั้นจะเหงาเอา





“กลับแล้วนะ..บาย”


“ไว้เจอกันนะกัน”


ผมเดินออกจากท่าน้ำและศาลาไทยด้วยความงุนงง ผมไปเคยเห็นหน้าไอ้หมอนี่ที่ไหนกันนะ ทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นหน้ามันแปลกๆ แต่ช่างเถอะไม่ใช่ความจำเป็นที่ผมต้องใส่ใจเก็บมาคิด เฉพาะเรื่องที่มีในหัวตอนนี้ก็สามารถทำให้หัวระเบิดได้แล้วไอ้กัน...



**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2019 02:16:55 โดย .ปีกนกฮูก »

ออฟไลน์ bluepaperwater

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เสื้อตัวนั้นที่ผมคุ้นเคย
{2}





บรรยากาศครึกครื้นในช่วงเปิดเทอมของมหาวิทยาลัยครื้นเครงและคึกคักไปด้วยเสียงการจัดกิจกรรมแรกพบและรับน้องของหลากคณะหลายสาขาวิชาที่ต่างก็จัดกิจกรรมที่สนุกสนานตามสไตล์ของตัวเอง




ซึ่งในช่วงเย็นของวันนี้จะมีการจัดกิจกรรมรับน้องของสาขาการตลาดที่ผมเรียนอยู่ เท่าที่ผมรู้กำหนดการคร่าวๆ จากพวกประธานรุ่นวันนี้ผมคงได้เจอน้องเทคของผมที่ผมอุตส่าห์แอบฝากของไปให้น้องอย่างลับๆ มาทั้งสัปดาห์ ตามธรรมเนียมมหาวิทยาลัยของผมที่รุ่นพี่สืบต่อกันมาอย่างยาวนานจะมีการจับสลากชื่อสายเทคขึ้นในวันแรกพบน้องใหม่และจะมีการเฉลยสายเทคในวันแรกของการรับน้อง



“แป้งวันนี้พวกมึงต้องคัดดาวเดือนเอกเหรอ” ผมถามเพื่อนสาวอดีตดาวสาขาขึ้นขณะที่มันกำลังนั่งเขียนกระดาษโน้ตใบเล็กให้น้องเทคของตัวเองอยู่


“อือ..แต่คงไม่มีใครสวยได้เท่ากู”


“เอากระจกไหมครับเพื่อน” ทำไมเพื่อนผมถึงได้สามารถพกพาความมั่นใจที่ใหญ่กว่าดาวมหาวิทยาลัยมาได้ทุกวันขนาดนี้วะ


“แล้วมึงไม่เคยเห็นหน้าน้องเทคตัวเองจริงเหรอวะกัน” ไอ้พีถามขึ้นด้วยความสงสัย


“ใช่ไง” ใช่ครับทั้งที่ปีสองทุกคนเคยเห็นหน้าค่าตาของน้องเทคตัวเองไปกันหมดแล้วแต่ก็เหลือเพียงผมคนเดียวที่ไม่เคยเจอน้องเทคตัวเองรู้แค่น้องชื่ออะไร ทำได้แค่ฝากของไปให้น้องเท่านั้นเอง







ผมนั่งไถหน้าฟีดข่าวของแอปพลิเคชันเฟสบุ้คไปเรื่อยๆ ขณะนั่งรอน้องปีหนึ่งเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จ จนกระทั่งสะดุดตากับโพสต์หนึ่งที่ถูกแชร์มาจากไอ้แป้งเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว



My Single Boys
เปิดตัวเฮดว้ากคนใหม่จากภาคไฟฟ้าเย็นนี้ที่ลานข้างอาคารกลางค่าาาาาาาา พี่ปีสามจากคณะวิศวกรรมศาสตร์คนนี้จะเป็นใคร น้องๆ ปีหนึ่งมาร่วมลุ้นด้วยกันนะคะ #สนับสนุนให้เข้ารับน้อง#ใบ้ว่าแฟนแอดเองอิอิ #หล่อโคตรโคตรแต่ยังโสดอยู่
MINNIEMIND กรี้ดดด ยอมให้ว้ากทั้งวันทั้งคืนเลยค่าาาาา
BELLEAND คุ้นๆ นะคนนี้
PAPANG @กัมปนาทP.ATG กรี้ดดดดด แน่นอนน


แคปชั่นเสี่ยวตามสไตล์เพจตามกรี้ดผู้ชายที่ไอ้แป้งติดตาม พร้อมกับแนบรูปผู้ชายร่างสูงหุ่นกำยำคนหนึ่งสวมเสื้อช็อปซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ยืนหันหลังให้กล้อง ซึ่งต่อให้ผมปิดตาข้างหนึ่งแล้วทาย ผมก็มั่นใจว่าผมจำแผ่นหลังนั้นได้อย่างแม่นยำ ว่าแต่..เดี๋ยวสิ ‘ลานข้างอาคารกลาง’ คุ้นๆ ว่ะ



“ไอ้พี”


“หืม”


“เอกเรารับน้องที่ไหนนะ”


“ลานข้างอาคารกลาง..ทำไมวะ” ไอ้ชิพหายกัน อะไรกันวะทำไมต้องที่เดียวกันกับไอ้พวกวิศวะภาคไฟวะ ไอ้หน้าแมวเอ้ยต้องไปทำบุญบ้างแล้วแหละไอ้กัน ช่วงนี้กรรมหนักเสียจริงๆ


“เปล่า”


“แน่ใจ?” อย่า..อย่ามาคาดคั้นสิเพื่อนพี เลิกทำหน้าเหมือนจับพิรุธได้ด้วย ไม่นะไอ้กัน..ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมปกติ..ปกติ..ปกติ


“อือ”


“กูไม่เชื่อ!” เชื่อเถอะเพื่อน ผมรู้ตัวดี..ว่าผมไม่เนียน แต่ก็อยากให้ไอ้พีมันช่วยแกล้งโง่เชื่อผมสักนิดก็ดี


“คุยอะไรกัน! ..ปิดอะไรไม่ให้กูรู้” ไอ้แป้งละสายตาจากโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองหน้าผมกับไอ้พีสลับไปมาอย่างสงสัย เพราะไอ้พีเลย เพราะมันคนเดียว..ถ้าไอ้แป้งรู้ผมต้องมานั่งอธิบายอะไรให้มันฟังบ้างวะ





“เปล่า...ไปเถอะน้องเริ่มมากันแล้ว” ผมถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับกอดคอลากไอ้พีเดินออกไปหากลุ่มเพื่อนประธานที่จัดแถวน้องกันอยู่ทันที


















กิจกรรมรับน้องของสาขาการตลาดเริ่มขึ้นหลังจากน้องปีหนึ่งมากันครบ โดยที่ผม ไอ้พีและไอ้แป้งมีหน้าที่เลือกตัวแทนน้องไปให้พวกพี่ปีสูงตัดสินใจว่าจะเอาใครเป็นดาวและเดือนของสาขาวิชาเราในปีนี้ ที่จริงแล้วผมไม่ได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกดาวเดือนสาขาหรอกเพียงแต่ผมไม่อยากไปอยู่ฝ่ายสันทนาการคนเดียวโดยที่ไม่มีเพื่อนสนิทสักคนเลยขอเกาะอดีตดาวเดือนเพื่อนรักมาทำหน้าที่ด้วยดีกว่า



การรับน้องดำเนินไปได้อย่างราบรื่นพักใหญ่จนกระทั่งเสียงดังโหวกเหวกจากกลุ่มนิสิตปีหนึ่งคณะอื่นที่มายืนรวมตัวกันอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่เอกผมจัดกิจกรรมรบกวนสมาธิของไอ้ดินแดนประธานเอกการตลาดปีสองที่กำลังอธิบายเรื่องระเบียบให้น้องปีหนึ่งฟัง ไม่นานก็เป็นอย่างที่ผมคิดไอ้ดินแดนเริ่มทนไม่ไหวจนหยุดพูดแล้วตะโกนสั่งน้องเสียงดังจนนิสิตที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองกันหมด



“ปีหนึ่ง!”


“ว่าตามว่าตาม!” หลังเสียงไอ้ดินแดนดังขึ้นเหมือนทุกอย่างในบริเวณนั้นหยุดเคลื่อนไหวราวกับถูกกดปุ่มหยุด ไม่นานรหัสโค้ดคำสั่งจากกลุ่มพี่ระเบียบที่มีไอ้ดินแดนเป็นประธานก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง


“ว่าตามว่าตาม”


“ไม่ดัง! ว่าตามว่าตาม!” เสียงที่ปีหนึ่งทวนคำสั่งยังเบาและไม่พร้อมเพรียงกันทำให้ไอ้ดินแดนตวาดขึ้นอีกครั้ง ทำเอาผมนึกถึงภาพเมื่อตอนปีหนึ่งที่โดนรุ่นพี่ลงระเบียบขึ้นมาทันที ในขณะที่พวกพี่ระเบียบใช้เสียงและการบังคับน้องให้อยู่ในระเบียบอย่างเคร่งครัด ฝั่งพวกผมที่อยู่ในฝ่ายสันทนาการก็ต้องคอยสังเกตว่ามีน้องคนไหนไม่ไหวหรือควบคุมอารมณ์ตัวไม่ได้หรือไม่เพื่อจะช่วยดูแลปฐมพยาบาลปีหนึ่งด้วย


“ว่าตามว่าตาม!” เสียงทวนคำสั่งจากปีหนึ่งดังขึ้นกระหึ่ม


“การตลาดสวัสดีครับ!” รหัสโค้ดสวัสดีของสาขาถูกสั่งออกมาเพื่อให้ปีหนึ่งได้แนะนำตัวกับนิสิตคณะอื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง


“การตลาดสวัสดีครับ/ค่ะ!”


“ขอความกรุณางดใช้เสียงรบกวนด้วยครับ!”


“ขอความกรุณางดใช้เสียงรบกวนด้วยครับ/ค่ะ!”


หลังจากเสียงทวนคำสั่งที่เป็นการขอความร่วมมือจากนิสิตที่ส่งเสียงดังรบกวนอยู่รอบบริเวณที่เอกผมจัดกิจกรรมอยู่ดังขึ้น นิสิตที่ยืนรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ก็ถูกเรียกรวมตัวจากหนึ่งในกลุ่มนิสิตพวกนั้นเองไม่ไกลจากจุดที่พวกผมใช้รับน้อง ซึ่งน่าจะเป็นประธานของสาขานั้นที่เรียกรวมกลุ่มให้เป็นระเบียบ









กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไปอย่างความสนุกสนานจนมาถึงช่วงสำคัญคือการคัดเลือกดาวเดือนของสาขาวิชาที่ไอ้พีและไอ้แป้งเริ่มดึงปีหนึ่งที่มีแววออกมาด้านหน้าให้แนะนำตัวและแสดงความสามารถพิเศษก่อนจะให้ปีหนึ่งโหวตเพื่อนที่จะได้เป็นตัวแทนของสาขาไปแข่งแย่งชิงตำแหน่งดาวและเดือนของคณะในวันรับน้องรวมของคณะหรือที่เรียกว่ากิจกรรมวันสวัสดีบริหาร



หลังจากได้ตัวแทนสามคนสุดท้ายทั้งฝั่งดาวและเดือนน้องก็ถูกแยกออกมาเพื่อให้พี่ปีสูงตัดสินอีกครั้งซึ่งอยู่นอกเหนือหน้าที่ของพวกผมไปแล้วทำให้พวกผมต้องกลับมาทำหน้าที่พี่สันธนาการตามปกติ






“กัน”


“ว่าไง” ผมขานรับไอ้พีที่เดินมายืนข้างผมขณะที่ผมกำลังแจกเอกสารแจ้งรายละเอียดและกำหนดการกิจกรรมวัน ‘สวัสดีบริหาร’ ให้กับปีหนึ่งอยู่


“กูว่า..กูรู้แล้ว”


“รู้เรื่องไรวะ?”


“เรื่องที่มึงโกหกว่าไม่มีอะไรไงไอ้น้องกัน” ผมเบิกตากว้างมองหน้าไอ้พีทันที อะไรของมันกันวะเจ้าที่เจ้าทางที่ไหนมาเข้าฝันมัน..จู่ๆ ทำไมไอ้พีมันถึงรู้วะ




“เรื่องอะไร..ไม่มี”


“มึงหันซ้ายสิเพื่อน” ผมหันหน้าไปตามที่ไอ้พีบอกก่อนสายตาจะไปหยุดที่สิ่งสิ่งหนึ่ง เสื้อช็อปตัวนั้นตัวเดียวกับในภาพที่ผมพึ่งเห็นจากเพจนั่น ใช่..ใช่เขาแน่ๆ


“ชิพหาย!” ผมอุทานทันขึ้นมาทันที ขาของผมเหมือนโดนสตาฟให้หยุดอยู่กับที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในขณะที่เขาคนนั้นหันมาเจอผมพอดีและกำลังใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ ขยับสิวะไอ้กัน









“กัน”


“...”


“ไอ้กัน พี่ปีสี่เรียกกู..เดี๋ยวกูมานะ” ไอ้ห่าพีจะมาทิ้งกันตอนนี้ไม่ได้ไอ้ชิพหาย ไอ้พีมันวิ่งไปหาพี่ปีสี่ที่กำลังคัดดาวเดือนพร้อมกับหันมาส่งยิ้มยียวนให้ผม



“กัน”


“อะไร” แล้วทำไมเสียงของผมต้องสั่นขนาดนี้วะ ไอ้กันสติโว้ยสติ





ป๊อก!

มือหนาดีดเข้าที่หน้าผากผมอย่างที่เขาเคยทำเป็นประจำ พร้อมกับส่งรอยยิ้มกวนประสาทของเขาออกมา คิดว่าหล่อมากหรือยังไงวะแล้วผมมายืนให้เขาดีดหน้าผากเล่นทำไมวะ


“ไอ้!”


“ถ้าเสร็จแล้วกูไม่เห็นมึง..กูตามถึงหอแน่”

ผมยังไม่ทันจะพูดจบประโยคร่างสูงตรงหน้าก็เดินกลับไปยังจุดที่จัดกิจกรรมรับน้องของสาขาตนเองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่สาขาผมอยู่ พร้อมกับทิ้งท้ายประโยคคำสั่งอย่างเอาแต่ใจตัวเองไว้อีกด้วย
















“กัน”


“ไอ้น้องกัน”


“วะ..ว่าไง” ผมขานรับไอ้พีกับไอ้แป้งที่นั่งพักอยู่ใกล้บริเวณที่รับน้อง ผมเดาได้เลยว่าไอ้สองคนนี้ต้องกำลังจะด่าผมว่าไม่มีสติอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นความจริงแหละ ถ้าจะให้พูดตามตรงสติผมหลุดไปตั้งแต่เจอไอ้บ้านั่นเมื่อสักครู่นี้แล้ว เป็นอะไรวะไอ้กัน ตั้งสติสิ


“มึงเป็นอะไร” ไอ้แป้งถามพร้อมกับเอาฝ่ามือทาบที่หน้าผากของผมเหมือนกำลังวัดไข้ ในขณะที่ไอ้พีเอาแต่หัวเราะคิกคักไม่หยุดกับพฤติกรรมนั่งตาลอยเหมือนร่างไร้วิญญาณของผม


“เปล่า”


“มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้” ไม่รู้อะไรก็อย่ามาทำเป็นรู้ดีไอ้มุกโยนหินถามทางนี่ใช้กับผมไม่สำเร็จหรอก


“เปล่า..ไม่มีอะไร”


“มึงพูดอย่างกับมึงรู้อะไรมาแป้ง” ไอ้พีถามขึ้นด้วยความสงสัย ว่าแต่ทำไมไอ้แป้งถึงต้องทำสีหน้าจริงจังขนาดนั้นวะ ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้เพื่อน


“ในเมื่อกูสงสัย..แล้วพวกมึงไม่เล่า”


“...”


“กูก็หาเอง อย่าลืมสินี่ใคร..นี่แป้งการตลาด” ไม่หรอกน่าไอ้แป้งมันแค่แกล้งทำเป็นรู้เพื่อให้ผมหลุดความลับออกมาแน่นอน ผมไม่หลงกลมันหรอก


“แล้วคุณแป้งการตลาดไปรู้เรื่องอะไรของไอ้กันมาล่ะครับ”


“พี่ปั่น”


“ชิพหาย!” ผมอุทานขึ้นเสียงดังในจนเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่บริเวณนั้นหันมามองกันหมด ว่าแต่ไอ้แป้งมันไปรู้มาได้ไงวะ


“มึงจะเสียงดังทำไม”


“แล้วมึงไปรู้มาได้ยังไง”


“หึหึ ไม่คิดจะเล่าให้กูฟังเลยสิ” คำพูดหยอกล้อแกมจิกกัดของอดีตดาวสาขาอย่างไอ้แป้งทำให้ผมเริ่มรู้สึกผิดที่เล่าเรื่องนี้ให้ไอ้พีฟังแค่คนเดียวทั้งที่เพื่อนทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ควรมีเรื่องปกปิดกัน





“กู..คือกู..ขอโทษ”


“เดี๋ยวมึงจะร้องไห้ทำไม..กันกูแค่แซวเล่น” ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมน้ำตามันถึงไหลออกมา ทั้งที่เป็นผู้ชายแท้ๆ ดันมาบ่อน้ำตาตื้นตลอดเลย ยิ่งรู้สึกว่าเพื่อนมีอะไรเพื่อนก็บอกตลอดแล้วทำไมตัวเองต้องปิดบังไม่ให้เพื่อนรับรู้เรื่องนี้ด้วยยิ่งรู้สึกผิดกับเพื่อนมากไปใหญ่


“ไอ้แป้งมันไม่ได้ขี้น้อยใจขนาดนั้น”


“ใช่ พอแล้วน้องกันเลิกร้อง” ผมปาดน้ำตาออกพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ฮึบได้แล้วไอ้กัน โตแล้วเขาไม่ร้องไห้กันไอ้ชิพหาย


“กูเป็นห่วงมึงนะ..ทีหลังบอกกูสิ มึงจะเก็บไว้เครียดคนเดียวทำไม”


“ก็..กลัวมึงเสียใจ”


“เสียใจอะไร?”


“ก็เสียใจที่มีเพื่อนเป็นเกย์” ใช่ครับกว่าผมจะยอมตัดสินใจคบกับผู้ชายได้ก็ใช้เวลาไม่น้อยเลย แล้วการทำให้เพื่อนที่ผมรักมาเข้าใจสิ่งที่ผมเลือกสิ่งที่ผมตัดสินใจได้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน


“กูโอเคกับสิ่งที่มึงตัดสินใจอยู่แล้ว..กูคบมึงเป็นเพื่อนเพราะมึงเป็นมึงนะ”


“กลัวมึงเสียใจว่า..กูคบกับ..เอ่อ”


“พี่ปั่นอะนะ ฮ่า ฮ่า กูแค่ปลื้มนะกันมึงอย่าคิดมาก” ผมดีใจดีใจมากที่เพื่อนเข้าใจและดีใจที่เรื่องบ้าๆ นี่ไม่ทำให้ผมกับเพื่อนต้องมีปัญหากัน แต่ผมก็เสียใจที่ผมเลือกที่จะไม่บอกไอ้แป้งตั้งแต่แรกและดันปิดบังมันมาตลอด


“รักมึงนะไอ้ทอม” ผมโผเข้ากอดไอ้แป้งที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันที


“ทอมบ้าอะไร กูชอบผู้ชายไอ้น้องกัน ไอ้บ้าเอ้ย” ไอ้แป้งลูบหัวผมไปปากก็ด่าผมพร้อมกับขำในพฤติกรรมที่ผมแสดงออกกับพวกมันด้วย ผมไม่เคยเปิดใจให้ใครง่ายๆ ภาพลักษณ์ที่คนภายนอกเห็นผมคงคิดว่าผมเป็นคนค่อนข้างหยิ่งที่มักจะทำหน้านิ่งตลอดเวลา แต่สำหรับคนที่ผมเปิดใจให้เข้ามารู้จักในตัวตนจริงของผม ผมก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ยังทำพฤติกรรมแบบเด็กๆ ไม่โตสักที


“แล้วไอ้พีมันรู้ได้ไง”


“ตอนแรกกูก็ไม่ได้จะเล่าให้มันฟัง”


“อ้าวแล้วทำไม?”


“มันสอดรู้เองตั้งแต่แรกกูเลยต้องเล่า” ใช่ครับในตอนแรกผมก็ตั้งใจที่จะปิดและเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียวแต่ไอ้พีดันรู้เรื่องนี้ด้วยตัวของมันเอง จะว่าไปแล้วก็เป็นความพลาดของผมเองด้วย ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็จำเป็นต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังมาโดยตลอด แต่มันก็ทำหน้าที่ที่ปรึกษาที่ดีได้ไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียว


“ไอ้ห่าพีกูโกรธมึง”


“กูผิดอะไรวะ”


“มึงไม่ชวนกู” ไอ้แป้งหันไปเหวี่ยงแกมหยอกล้อใส่ไอ้พีที่เสือกทั้งทีแต่ไม่ชวนมันบ้าบอเสียไม่มีเพื่อนผม

“แล้วมึงกับพี่ปั่น..เลิกกันแล้วเหรอ?”


“อือ”


“แล้วทำไม...”


“กูก็ไม่รู้ว่าทำไมกูยังตัดเรื่องนี้ไม่ขาดหรือถ้ามึงจะถามว่าทำไมเขาถึงยังไม่เลิกยุ่งกับกู..อันนี้กูก็ไม่รู้”


“ตอบครบจบแบบไม่ต้องมีคำถาม” ไอ้พีพูดขึ้นเบาๆ เรียกเสียงหัวเราะได้เล็กน้อยจากทั้งผมและไอ้แป้ง แต่ที่จริงแล้วผมก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมกับคนคนนี้ผมถึงยังจบความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองลงไม่ได้สักที ทั้งที่ในครั้งก่อนๆ ผมก็เป็นคนเดินออกจากทุกความสัมพันธ์ด้วยตัวเองและจบความรู้สึกของตัวเองกับความสัมพันธ์ครั้งนั้นๆ ได้ภายในไม่กี่วัน แต่ครั้งนี้ตลอดระยะเวลาสองถึงสามเดือนที่ผ่านมาในช่วงปิดเทอมก็ยังไม่สามารถทำให้ผมหยุดคิดเรื่องเขาได้เลย หรือการตัดสินใจของผมครั้งนี้..จะไม่ถูกต้อง





“แล้วพี่ปั่นมาคุยอะไรกับมึง”


“กูไม่รู้”


“มึงรู้!!” แหมพอพวกมันสองคนรู้ก็รวมทีมกันคาดคั้นผมเลยสิไอ้พวกหน้าแมว


“เออ..คือมันบอกว่า..”





“ปีสอง!” ยังไม่ทันจบประโยคเสียงเรียกรวมปีสองก็ดังขึ้นทำให้ผมกับเพื่อนต้องกลับมายืนล้อมน้องที่นั่งอยู่เพราะกำลังจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของกิจกรรมรับน้องในวันนี้คือการเฉลยสายเทคที่น้องปีหนึ่งหรือแม้แต่ปีสองบางคนตั้งตารอกัน







การเฉลยสายเทคเป็นไปอย่างสนุกสนานเนื่องจากไอ้ดินแดนให้น้องอ่านคำใบ้พี่เทคที่ได้รับไปในวันแรกพบและให้เดาว่าพี่เทคของตัวเองคือใครถ้าทายถูกก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่ถ้าทายผิดจะต้องโดนลงโทษให้เต้นเพลงสันทนาการจนกว่าพี่เทคจะพอใจจึงจะเฉลยคำตอบที่ถูก





“อ่านคำใบ้สายเทคของน้องครับ”


“หล่อกว่าพี่ก็ณเดชแล้ว”







โหหหหหหหหห

เสียงปีหนึ่งฮือฮากันใหญ่ส่วนน้องผู้ชายที่ลุกขึ้นอ่านคำใบ้สายเทคของตัวเองก็ได้แต่เกาหัวอย่างสงสัยว่าใครกันที่เป็นเจ้าของคำใบ้นี้ และแน่นอนครับว่าร้อยทั้งร้อยน้องก็เดาว่าคำใบ้นี้เป็นของอดีตเดือนสาขาอย่างไอ้พี แต่ดันผิดคาดที่ไอ้พีไม่ใช่เจ้าของคำใบ้ทำให้น้องต้องถูกลงโทษ เพราะจริงๆ แล้วเจ้าของคำใบ้สุดหล่อนั่นไม่ใช่ใคร..ก็ผมเองยังไงล่ะครับ





“ใครเป็นพี่เทคน้องคนนี้ครับ”


“ครับ” ผมยกมือขานรับไอ้ดินแดน ว่าแต่ไอ้เด็กที่เป็นน้องเทคผมนี่หน้าตาคุ้นๆ เหมือนกันนะ ทั้งที่ผมยังไม่เคยเห็นน้องเทคตัวเองเลยสักครั้งด้วยซ้ำ


“น้องรู้ชื่อพี่เทคตัวเองไหมครับ”


“รู้ครับชื่อพี่กัน” น้องเทคผมตอบไอ้ดินแดนเสียงดังฟังชัด เออเก่งหนิไอ้น้องทั้งที่ผมยังไม่เคยเจอมันแท้ๆ กลับรู้ชื่อผม สงสัยความหล่อและความฮอตของผมจะดังจนไปเข้าหูปีหนึ่งกันสินะ


“กันมึงจะให้น้องทำอะไร”


“เต้นไก่ย่างหนึ่งรอบ” ผมเสนอบทลงโทษที่แสนจะง่ายให้กับน้องเทคของตัวเอง


“เต้นไม่เป็นครับ พี่กันสอนได้ไหมครับ” ไอ้เด็กหน้าแมวผมอุตส่าห์เลือกลงโทษมันง่ายๆ เบาๆ แต่ไอ้ดินแดนก็ดันบ้าจี้ให้ผมออกไปสาธิตให้น้องมันดูอีกนี่สิ ไอ้ประธานหน้าแมวอย่าให้ถึงทีผมนะ






~ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา มันจะโดนไม้เสียบ เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงจริง ร้อนจริงจริง~


ผมจำเป็นต้องเต้นแร้งเต้นกาโชว์ให้น้องดูตามคำสั่งไอ้ดินแดนมันแต่ไอ้ที่ผมอายไม่ใช่แค่เพราะน้องในสาขาที่เห็นเพราะไอ้พวกกลุ่มข้างๆ อย่างวิศวะภาคไฟฟ้าก็ดันสั่งน้องหยุดกิจกรรมหันมาร้องเพลงช่วยระหว่างผมเต้นด้วย ด้านน้องเทคผมก็หัวเราะชอบใจใหญ่ไม่ต่างจากไอ้แป้งไอ้พีที่ไม่คิดจะห้ามปรามไอ้ดินแดนเพื่อช่วยผมเลยสักนิด


“ไอ้กัน น้องมึงมันแสบใช่เล่นเลยนะ”


“เออช่างแม่งก่อนตอนนี้ เดี๋ยวตอนเปิดสายกูจะเล่นให้หนักเลย” ผมตอบไอ้พีหลังจากแบกหน้าพร้อมความอับอายในการเต้นไก่ย่างโชว์เมื่อสักครู่กลับมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนใกล้กับจุดที่รับน้อง


“แต่น้องมึงเป็นถึงเดือนเอกเลยนะไอ้น้องกัน”


“อะไรนะ!”


“เออสิวะ น้องเทคมึงเป็นเดือนเอก” ไอ้เด็กหน้าแมวนั่นน่ะเหรอที่ได้เป็นเดือนเอกปีนี้ หน้าตายังไม่ได้ครึ่งความหล่อของผมด้วยซ้ำใครมันเป็นคนเลือกวะ


“คนเลือกเอาตามองหรือ..มอง” ผมก้มหน้ามองพื้นเพื่อสื่อถึงคำที่ไม่ได้พูดออกมา


“พี่เทคมึงไงพี่กิ๊ฟดาวปีสี่” ไอ้พี่กิ๊ฟทีกับผมปีที่แล้วดันไม่เลือกไปเลือกไอ้พี แต่ปีนี้ทำไมถึงเลือกไอ้เด็กนี่วะ รับไม่ได้ เรื่องแบบนี้กันรับไม่ได้


“แต่ก็ช่างแม่ง สุดท้ายมึงก็ต้องดูแลมันแทนกู”


“สบายเลยสิมึง” ใช่ครับถ้าน้องเทคผมเป็นเดือนสาขา มันจะต้องถูกเก็บตัวกับทางกองประกวดของคณะทั้งเดือนในช่วงรับน้อง ซึ่งคนที่จะเข้าไปดูแลมันได้ก็มีแต่พี่เลี้ยงดาวเดือนซึ่งไม่ใช่ใครนอกจากไอ้พวกอดีตดาวเดือนของแต่ละสาขาอย่างไอ้พีและไอ้แป้ง


“ก็ดีแล้วไอ้น้องกันจะได้มีเวลาให้พี่ปั่น..อุ้บส์”


“เวลากับมะเขืออะไรมึงแป้ง” ไอ้เพื่อนเวรสองคนหัวเราะกันยกใหญ่ เฉพาะเวลานอนตอนนี้ ยังไม่พอเลย และผมก็ไม่คิดจะเจียดเวลานอนที่มีค่าของผมไปให้ใครด้วย




**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2019 22:26:58 โดย .ปีกนกฮูก »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวนะ
{3}





“กลับเลยไหมแป้ง?”


“กลับ..แต่กูต้องพาน้องเทคไปเลี้ยงด้วย”


“เออไปพร้อมกูเลยสิ”


“โอเค”


ผมได้แต่นั่งฟังบทสนทนาของเพื่อนทั้งสองคนเงียบๆ เพราะผมไม่มีสิทธิ์เสนอตัวไปกับพวกมันเหมือนอย่างทุกครั้ง เหตุผลหลักๆ ก็มาจากคำพูดของไอ้บ้านั่นคนเดียวแท้ๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่กล้าขัดคำสั่งเขานะแต่ผมกลัวว่าเขาจะตามผมถึงหอจริงอย่างที่ขู่ไว้ เพราะคนอย่างเขาบ้าเสียไม่มีถ้าคิดจะทำอะไรก็คงทำจริง


“ไม่ชวนกูหน่อยเหรอ” ผมส่งสายตาออดอ้อนใส่เพื่อนทั้งสองคนที่กำลังเก็บของลงกระเป๋า รู้ว่าไปไม่ได้แต่ก็อยากไปนี่นา อย่างน้อยก็ชวนกันพอเป็นมารยาทนิดนึงสิเพื่อน


“ชวนแล้วไปไหม?”


“แหะๆ”


“แล้วน้องมึงล่ะ?”


“ไม่รู้” จริงสิแล้วน้องเทคผมมันไม่มาหาผมแล้วมั้ง เล่นหายหัวไปตั้งแต่รับน้องเสร็จเลยหรือว่ามันจะโดนลากไปคุยเรื่องเก็บตัวดาวเดือนกันแน่วะ


“อ้าวแล้วมึงเอายังไง”


“เอ่อ..พีถ้ามึงเจอมันก็พามันไปกับพวกมึงด้วยแล้วกันเดี๋ยวกูเอาเงินคืน” โทษทีไอ้น้องเทคพี่หาทางออกได้ดีที่สุดแค่นี้ไว้พี่จัดการเรื่องตัวเองเสร็จเมื่อไหร่พี่จะเลี้ยงขอโทษ


“โอเค”


“ขอให้สนุกนะจ๊ะน้องกัน”


“สนุกกับมะเขืออะไรแป้ง” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะนั่งลงที่ม้าหินอ่อนตามเดิมเพื่อรอไอ้เฮดว้ากหน้านิ่งที่กำลังลงระเบียบน้องอยู่ ไม่นานเพื่อนๆ ในสาขาและปีหนึ่งก็แยกย้ายไปเลี้ยงสายกันจนเหลือเพียงแค่ผมคนเดียวที่นั่งบริจาคเลือดให้ยุงอยู่ตรงม้านั่งตัวเดิมตัวนี้

















“กัน”


“อือ”


“ตื่น”


เสียงทุ้มของคนที่ทำให้ผมต้องนอนฟุบหลับอยู่อย่างนี้ดังขึ้นพร้อมกับวางเสื้อช็อปของเขาลงบนโต๊ะ นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนกันนะลืมตามาอีกทีก็แทบไม่มีคนเหลือเลย


ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเพื่อดูเวลาว่าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว ว่าแต่นี่มันกี่โมงแล้วนะ..ผมหลับไปตั้งแต่หกโมงเย็นส่วนตอนนี้ก็..


“เชี่ย!”


“เป็นอะไรของมึง” ผมอุทานเสียงดันจนร่างสูงที่นั่งอยู่ผละจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาจ้องหน้าผมแทน จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงก็นี่มันสามทุ่มครึ่ง สามทุ่มครึ่งเลยนะโว้ยยย นี่ผมนอนบริจาคเลือดให้ยุงไปสามชั่วโมงกว่าๆ เลยเชียวนะ


“ทำไมพี่ไม่ปลุกวะ”


“ก็กูเห็นมึงกำลังหลับสบาย” ไอ้พี่เวรจะมาเป็นคนดีไม่กวนการนอนของผมในเวลาแบบนี้ไม่ได้ แล้วถ้าผมเป็นไข้เลือดออกมาใครจะรับผิดชอบ


“บ้านป้าพี่สิ”


“ไปได้แล้ว”


“ไปไหน?” คนตรงหน้าลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหยิบเสื้อช็อปของตัวเองไปพาดบ่า ว่าแต่เขาจะพาผมไปไหนวะ หรือว่า..เขาจะเอาผมไปให้เพื่อนเขารุมกระทืบที่ผมบอกเลิกเขาไป ชิพหายแล้วไอ้กัน


“กินข้าวสิวะ”


“อ้าวเหรอ”


“เออดิ” ค่อยโล่งหน่อย เกือบแล้วไอ้กันเกือบได้ตายกลางดงตีนวิศวะแล้วไง

















ความรู้สึกแปลกประหลาดบนโต๊ะอาหารแบบนี้ไม่ได้มีมานานแค่ไหนแล้วนะ ครั้งล่าสุดที่มีก็แทบจะจำไม่ได้แล้วสิ จะไม่ให้รู้สึกแบบนี้ได้ยังไงในเมื่อสายตาแทบทุกคู่ในร้านจับจ้องที่ผมตลอดเวลา ซึ่งสาเหตุมันไม่ได้มาจากใครนอกเสียจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนี่แหละ เอาเข้าจริงแล้วก็ต้องยอมรับว่านอกจากเพื่อนในคณะไอ้พี่ปั่นมันก็ไม่เคยอยู่ในที่สาธารณะร่วมกับใคร คนที่มองอยู่คงจะสงสัยกันว่าผมเป็นใครทำไมถึงได้มาร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันกับคนที่ใครหลายๆ คนในมหาวิทยาลัยขนานนามว่าเทพบุตรของคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้


“ไม่หิวหรือไง”


“...”


“กัน”


“ทำไมถึงพามากินข้างนอกล่ะ” ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนอย่างพี่ปั่นที่ให้เหตุผลกับผมมาตลอดว่ารำคาญคน ทำให้ไม่อยากเปิดตัวว่าคบกับใครและไม่เคยที่จะชวนผมไปในที่สาธารณะสองต่อสองถึงพาผมออกมากินข้าวในร้านอาหารที่มีคนเยอะแบบนี้


“พร้อมจะฟังกูแล้วรึไง”


“คิดว่าพร้อมไหมล่ะ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทพี่ปั่นมันเหมือนทุกครั้งที่อยู่กับมันสองต่อสอง แปลกจังวะ ทำไมผมถึงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังนั่งกินข้าวกับแฟนเก่าอยู่ทั้งที่ความจริงก็ควรรู้สึกอย่างนั้น


“ยังกวนไม่เลิก”


“จะทำไม”



ป๊อก!


“ไอ้เด็กหน้ามึน” ร่างสูงอาศัยจังหวะที่ผมทำหน้ากวนตีนมันดีดหน้าผากผมอีกครั้ง ไอ้พี่เวรเจ็บนะโว้ย ผมได้แต่เอามือลูบหน้าผากตัวเองปอยๆ


“กลับได้รึยัง?”


“จะฟังกูดีๆ ..หรือจะ..”


“มีอะไรก็พูดมาสิ” ผมชักเริ่มหงุดหงิดกับความเอาแต่ใจของพี่ปั่นมันแล้วนะ ตั้งแต่สั่งให้ผมนั่งรอจนเสี่ยงจะเป็นไข้เลือดออก แถมยังลากผมมากินข้าวด้วยหรือถ้าจะเรียกให้ถูกลากมานั่งเฝ้าตัวเองกินข้าวจะดีกว่า ตั้งแต่มาถึงก็มีแต่พี่ปั่นที่กินเอากินเอาอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนผมก็ปล่อยจานหมูกระเทียมตรงหน้าให้คงสภาพเดิมตั้งแต่ถูกเอามาเสิร์ฟ


“กลับมาคบกับกูได้รึยัง”


“ห้ะ!”


“เออสิ กลับมาคบกับกู” ผมนั่งมองหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยความอึ้งปนสงสัยอย่างมาก ทำไมการมาขอคืนดีของเขาถึงง่ายจังวะ คนตรงหน้าพูดออกมาด้วยสีหน้าปกติของเขาที่ดูไม่ได้จริงจังอะไร แถมยังพูดไปกินข้าวไปนี่นะ


“ไม่!”


“ไอ้เด็กหน้ามึน กูง้อมึงมาสองเดือนแล้ว”


“ง้อบ้านป้าพี่สิ หายไปสองเดือนเรียกง้อเหรอวะ?” ใช่ครับหลังจากวันที่ผมบอกเลิกเขา เขาก็เงียบหายไปเลยประจวบกับช่วงปิดเทอมที่ผมต้องกลับบ้านทำให้ผมไม่เห็นแม้แต่เงาเส้นผมของเขาด้วย ถ้าเขาเรียกการหายไปว่าเป็นการง้อ ผมว่าผมคงต้องกลับไปคบกับแฟนเก่าคนแรกแล้วแหละเพราะเล่นหายไปตั้งหลายปี


“เออสิ”


“ไม่!”


“อย่าเอาแต่ใจตัวเอง”


“พี่สิที่เอาแต่ใจตัวเอง” ช่างกล้าชะมัดพี่ปั่นไอ้เวร มีหน้ามาว่าผมเอาแต่ใจตัวเองทั้งๆ ที่ตัวเองทั้งจู้จี้ขี้บงการออกแต่คำสั่งขนาดนี้


“งั้นจะให้กูทำยังไง”


“ทำ..ทำอะไร?”


“ทำให้มึงกลับมาคบกับกูไง”


“โวะ” อะไรของมันวะ ถ้ามันตอบง่ายขนาดนั้นคงไม่ต้องเลิกกันแล้วมั้งครับ


“หน้ามึน”


“หน้าหล่อมากกว่าเหอะ” กวนชิพหาย ว่าแต่เอาเข้าจริงผมยิ้มออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แถมยังลืมเรื่องเครียดในหัวที่มีมาตลอดช่วงปิดเทอมไปเลย อะไรของผมวะแค่ได้มานั่งกินข้าวกับพี่ปั่นนี่นะ


“ยิ้มอะไร..เขินเหรอ”


“มั่ว!” ผมรีบก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากแก้เขินทันที เดี๋ยวสิ เขินเหรอ นี่ผมเขินเขาเหรอวะบ้าป่ะวะพอเลยไอ้กันตั้งสติโว้ยยยยยยย

















หลังจากต้องทนอยู่กับบรรยากาศแปลกๆ ที่มีสายตาหลายสิบคู่จับจ้องตลอดเวลามาพักใหญ่ในร้านอาหารร่วมกับเทพบุตรคณะวิศวกรรมศาสตร์ผมก็พาตัวเองออกมาจากบรรยากาศนั้นได้ แต่กว่าจะลากพี่ปั่นที่ไม่ยอมลุกออกจากร้านอาหารสักทีได้ก็ต้องต่อรองกันนานพอสมควร และผลที่ออกมาเพื่อแลกกับการลุกออกจากร้านของพี่ปั่นก็คือ...


..ผมต้องยอมให้เขาไปส่ง





แทบไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นในรถตลอดระยะทางตั้งแต่ร้านอาหารตามสั่งแถวมหาวิทยาลัยจนเสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือของผมทำลายบรรยากาศตึงๆ ในรถลง ..


“ว่าไงครับพ่อ”


[กลับยังไงมึงอะ]


“ก็..ไม่น่าถาม”


[กูว่าแล้ว]


“รู้ดี แล้วน้องเทคกูล่ะ?” รู้ดี รู้เก่ง รู้ตั้งแต่ยังไม่บอก ผมว่าไอ้พีมันควรไปเรียนโหราศาสตร์นะจะได้จริงจังกับด้านนี้ไปเลย ถุย เพ้อเจ้อว่ะผมเนี่ย


[อยู่กับกูนี่แหละ..น้องมันอยู่หอเดียวกับเรา]


“อ๋อก็ดี”


[แล้วมึงนอนไหนคืนนี้] ถามอะไรแปลกๆ ของมันวะ ไอ้พีมันคิดว่าหน้าอย่างผมจะไปนอนที่ไหนได้อีกมันเมาน้ำยาแอร์รึไง วะ


“ห้องกูไง ถามอะไรแปลกๆ”


[กูนึกว่าพี่ปั่นจะลากมึงไปนอนด้วย]


“ก็เหี้ยละ” ผมเหนื่อยใจกับความคิดประหลาดๆ ของเพื่อนตัวเองขึ้นทุกวัน ถ้าไม่ติดว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันตอนนี้ผมคงตบกบาลเรียกสติสักทีสองทีแล้ว ว่าแล้วผมก็เงยหน้าขึ้นมองถนนที่มีการจราจรติดขัดด้านหน้า ว่าแต่..เอ๊ะ!!


“พี่ปั่น”


“ว่าไง”


“จะพาไปไหน?” ผมมองข้างทางสลับกับด้านหน้าที่แปลกตาออกไปจากเส้นทางกลับหอของผม ไอ้พี่ปั่นก็เอาแต่นั่งตีหน้าเฉยเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น หรือผมจะจำทางผิดเองวะ ไม่สิผมน่ะแม่นทางกลับหอตัวเองที่สุดแล้วต่อให้เมาแค่ไหนก็กลับถูก


[โชคดีนะเพื่อนกูไม่กวนแล้ว]


“ไอ้พี มึง เห้ย!” ไม่ทันที่ผมจะเรียกไอ้พี เจ้าตัวก็ชิงตัดสายไปแล้ว มันทิ้งผมไอ้เพื่อนเวรรรรร


“ไอ้พี่ปั่นผมจะกลับ!”


“ได้” ได้บ้าอะไรของเขาวะ พี่ปั่นยังคงขับรถไปตามทางที่ผมไม่ค่อยคุ้นตาเหมือนเดิมแถมยังทำเป็นไม่สะทกสะท้านกับความหงุดหงิดและการโวยวายของผมสักนิด จนผมต้องหยิบหูฟังขึ้นมาสวมแล้วหลับไปเพราะคิดว่ากว่าจะฝ่ารถติดกลับไปถึงหอได้คงอีกพักใหญ่เวลานอนมันมีค่ามากกว่ามานั่งเถียงกับพี่มัน























“กัน..ไอ้กัน”


“อือ”


“ไอ้เด็กขี้เซา..ถึงแล้ว”


“...” สัมผัสเบาๆ ที่หัวเหมือนมีคนมาลูบหัวผมพร้อมกับเสียงปลุกที่คุ้นเคยทำให้ผมค่อยลืมตาปรับโฟกัสให้มองเห็นได้ชัดเจน


“ลง”


“ขอบคุณที่มาส่งครับ” ผมเปิดประตูลงจากรถพร้อมขยี้ตาเพราะพึ่งตื่นทำให้ตายังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ อีกมือก็หยิบกระเป๋ามาสะพายควานหากุญแจห้องก่อนขึ้นหอ ว่าแต่พี่ปั่นจะลงมาด้วยทำไมวะ??


“มึงตื่นรึยังวะกัน”


“ตื่นแล้ว” ผมตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ก็คนมันพึ่งตื่นจะให้ผมกระโดดเป็นจิงโจ้รึไงเล่าไอ้พี่บ้า เอ๊ะ..ว่าแต่หอผมมียามมาเฝ้าลานจอดรถตั้งแต่ตอนไหนวะ..หรือเจ๊หอมพึ่งจ้างมาวันนี้วันแรก ไม่สิ! ที่นี่มัน..


....ไม่ใช่หอผมมมม!!!!!!





“ไอ้พี่ปั่น ไอ้ชิพหาย!”


“กัน”


“บอกว่าจะกลับแล้วพี่จะพาผมมาทำไมเนี่ย อุ้บ” มือหนาของคนตรงหน้าทาบลงมาปิดปากผมระหว่างที่ผมโวยวายอยู่ทันที ปล่อยผมสิไอ้พี่เวร ผมจะบ่นจะโวยวายเอาให้คนทั้งคอนโดพี่ปั่นตื่นมาฟังความชั่วของเขาไปเลย


“ขึ้นห้อง”


“อ่อยอ๋มอะไออองอี่”


“จะเงียบเองหรือต้องใช้อะไรปิดปาก” โถ่เว้ย สุดท้ายก็ไม่กล้าจริงนี่หว่าไอ้กัน ผมได้แต่เดินหอบกระเป๋าตามพี่ปั่นต้อยๆ ขึ้นลิฟต์คอนโดเขาไป ไม่ใช่ว่าไม่เคยมาแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นมาบ่อย เพราะตลอดเวลาที่คบกันไอ้พี่ปั่นมักจะชอบไปสิงอยู่ที่ห้องเสียผมมากกว่า



















ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้องความกระจัดกระจายของเสื้อผ้าที่ล้นออกมานอกตะกร้าหรือแม้กระทั่งหมอนอิงบนโซฟาที่ตกลงมาวางอยู่บนพื้น ความเป็นระเบียบของเจ้าของห้องที่ผมเคยรู้จักหายไปไหนกัน ทำไมที่สุดของความเนี้ยบความสะอาดอย่างไอ้พี่ปั่นถึงยอมปล่อยให้ห้องรกได้ขนาดนี้



ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาก่อนจะหันไปเจอกระป๋องและขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากวางเรียงกันเป็นแถวอยู่ด้านข้าง นี่พี่ปั่นดื่มขนาดนี้เลยหรอก็ไม่แปลกที่เด็กวิศวะจะดื่มเก่งดื่มหนักแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการไปดื่มที่ร้านกันเป็นกลุ่มเสียมากกว่า จากสภาพที่เห็นผมเดาได้ว่าคนแถวนี้คงดื่มคนเดียวอย่างแน่นอน ดูดูไปแล้วก็..


..เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ




“กัน..ไปอาบน้ำ”


“...”


“ไอ้กัน”


“ทำไมห้องรกวะ?” ผมไม่ฟังด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายสั่งให้ผมไปทำอะไร แต่ผมเลือกที่จะถามสิ่งที่ผมสงสัยมากกว่า อะไรหรือใครที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้กัน


“ไปอาบน้ำ หาชุดไว้ให้แล้ว”



“ถ้าไม่ตอบก็ไม่อาบ”


“แม่บ้านไม่มาทำ..พอใจยัง”


“อือ” ผมรับผ้าเช็ดตัวจากมือพี่ปั่นก่อนจากเดินเข้าห้องน้ำไป แม่บ้านไม่มาทำงั้นเหรอ คนอย่างพี่ปั่นน่ะหรอที่จะปล่อยให้ห้องรกเพียงเพราะแม่บ้านไม่มาทำความสะอาด คงจะเป็นเหตุผลที่บอกผมไม่ได้สินะ






ที่จริงแล้วเวลาสองเดือนที่เลิกกันไปสำหรับผมมันอาจจะสั้นเกินกว่าจะสามารถเปิดใจให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตได้แต่กับคุณกัมปนาทเทพบุตรสุดหล่อเขาคงมีคนเข้ามาในชีวิตมากจนเลือกไม่ถูก แล้วที่เปลี่ยนไปนี่ก็คงมาจากใครคนใดคนหนึ่งสินะ







หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็โทรหาไอ้พีเพื่อให้มันเอากุญแจสำรองห้องผมไปเปิดห้องให้อาหารเจ้ากำปั้นที่ต้องนอนอย่างโดดเดี่ยวที่ห้องตัวเดียว และผมจะไม่มีทางนอนร่วมเตียงเดียวพี่ปั่นเด็ดขาดยังไงก็ไม่มีทาง พี่น้องที่ไหนเขานอนเตียงเดียวกันต่อให้เป็นแฟนเก่าแต่ตอนนี้ก็เลิกกันแล้ว เรื่องแบบนี้ผมถือนะ ต้องไปขอป๊าก่อน ถึงจะไม่ใช่ผู้หญิงแต่ผมก็ต้องรักนวลสงวนตัวนะครับ


“นี่ของพี่”


“มึงเอามาทำไม?”


“ผมจะนอนในห้อง” ผมยื่นหมอนหนึ่งพร้อมผ้าห่มหนึ่งผืนให้ไอ้พี่ปั่นหลังจากพี่มันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ


“ทำไม..กลัวกูปล้ำรึไง?”


“เพ้อเจ้อ” ใครมันไปคิดเรื่องแบบนั้นกันวะ ผมรีบเดินกลับเข้าห้องนอนพร้อมกับไม่ลืมที่จะล็อกห้องยึดเอาห้องนอนและเตียงนอนเป็นของตัวเองโดยปริยาย





แปลกใจจังที่คืนนี้ผมไม่มีความคิดแปลกๆ เข้ามาในหัวเหมือนทุกคืนที่ผ่านมาตลอดสองเดือน ผมไม่เครียดไม่เศร้าไม่รู้สึกอย่างที่เคยรู้สึก ทำไมกันนะ..แค่การได้อยู่ใกล้คนอย่างพี่ปั่นก่อนนอนเหรอที่ทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปหรือเพราะวันนี้ผมเหนื่อยล้าจากกิจกรรมจนไม่มีแรงจะรู้สึกแบบนั้นกันนะ แต่ยังไงก็ตามคืนนี้..ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมกำลังจะเข้านอนอย่างสบายใจที่สุดตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา


...ฝันดีนะครับ





**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ถุงกระดาษสีน้ำตาล
{4}



“สาม สี่!”


“การตลาดสวัสดีครับ/ค่ะ” เสียงสั่งของผู้นำและเสียงทักทายแสดงเอกลักษณ์ของปีหนึ่งดังขึ้นทุกครั้งที่เดินผ่านรุ่นพี่ปีสูงกว่าและเป็นสัญญาณที่ดีว่าปีหนึ่งกำลังจะผ่านช่วงรับน้องที่แสนทรมานไปแล้วพร้อมที่จะปลดระเบียบและใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระในรั้วมหาวิทยาลัย


บรรยากาศในช่วงท้ายของการจัดกิจกรรมรับน้องตลอดสองเดือนที่ผ่านมายังคงครึกครื้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสร้างมิตรภาพที่งดงามให้กับปีหนึ่งที่เข้าร่วมกิจกรรมมาโดยตลอด และยังสร้างความสัมพันธ์ของรุ่นพี่รุ่นน้องที่ดีอีกด้วย




“พี่คะ”


“ว่าไง?”


“หนูขอลายเซ็นพี่ได้ไหมคะ?” ผมผละจากโทรศัพท์มือถือขณะนั่งรอเพื่อนอยู่ขึ้นมองกลุ่มนิสิตสาวสามคนที่มีป้ายชื่อห้อยคอซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปีหนึ่งแต่ที่แปลกไปกว่านั้นคืออักษรย่อบนป้ายชื่อไม่ใช่อักษรย่อของสาขาในคณะของผมแต่เป็นอักษรย่อของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ว่าแต่ปีหนึ่งคณะวิศวะจะมาขอลายเซ็นผมทำไมกันนะ หรือน้องอาจจะจำคนผิด


“พี่ไม่ได้เรียนวิศวะนะครับ”


“ค่ะ..แต่ว่า”


“ว่า?” ผมมองกลุ่มปีหนึ่งที่มองหน้ากันเองไปมาอย่างเลิ่กลั่กเหมือนกำลังลังเลอะไรกันอยู่ จนกระทั่งไอ้พีกับไอ้แป้งเดินมานั่งลงโต๊ะหินอ่อนโต๊ะประจำที่ผมนั่งอยู่


“น้องมาทำอะไรวะมึง”


“ขอลายเซ็นกู” ผมตอบไอ้แป้งไปพร้อมกับส่ายหน้าอย่างงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่น้องก็รู้กันอยู่แล้วว่าผมไม่ใช่รุ่นพี่วิศวะแต่ก็ยังยืนยันที่จะขอลายเซ็นผม เอ๊ะ! หรือว่า..



...น้องจะตกตะลึงในความหล่อของผมจนอยากได้ลายเซ็นของผมไปเก็บสะสม ต้องใช่แน่ๆ





“น้องคะ ไอ้เตี้ยนี่มันไม่ได้เรียนวิศวะนะคะ”


“...” น้องปีหนึ่งทั้งสามคนยังคงนิ่งและมองหน้ากันไปมาเหมือนเกี่ยงกันว่าใครจะพูด ส่วนผมนี่เจ็บเหมือนโดนเอาค้อนทุบให้ขาหดสั้นลงไปอีกสองเซนติเมตร แป้งเพื่อนมึงช่วยบอกน้องเขาดีๆ ก็ได้เดี๋ยวแฟนคลับพี่กันคนหล่อคนนี้ก็หนีหมด


“ค่ะพวกหนูรู้..แต่”


“แต่อะไรครับ” ไอ้พีที่นั่งฟังมาสักพักถามขึ้น


“พี่ปีสามไม่ยอมให้ลายเซ็นพวกหนูค่ะ”


“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะครับ?” อะไรของน้องมันวะปีสามไม่ให้แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับผม อยู่คนละคณะกันด้วยซ้ำไม่เห็นเกี่ยวกันสักนิด


“ก็..พี่ปั่นบอกว่าลายเซ็นพี่ใช้แทนของพี่ปั่นได้ค่ะ”



พรวด!


“แค่ก แค่ก กูว่าละ” ไอ้พีที่กำลังกระดกน้ำเข้าปากถึงกับสำลักน้ำออกมาทันทีที่ได้ยินเหตุผลของน้องวิศวะกลุ่มนี้ ไอ้พี่ปั่นหน้าแมวเล่นอะไรของมันเนี่ยไหนบอกว่ารำคาญไม่อยากเปิดตัวไม่อยากให้คนรู้เยอะ แถมผมกับเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วด้วยซ้ำ


“อุ้ย แป้งจะไม่ยุ่งนะจ๊ะน้องกันเพื่อนรัก”


“เอ่อ..งั้นพี่คงให้น้องไม่ได้นะครับ” ผมตอบน้องทั้งสามคนไปด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะเก็บของเข้ากระเป๋าเตรียมลุก ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่มหา’ลัยต่อ กลับหอไปนอนสิครับ


“นะคะ พี่คะ..พรุ่งนี้หนูต้องส่งสมุดลายเซ็นกันแล้ว”


“...”


“ขอโทษนะครับ”


“มึง กูสงสารน้อง” ใช่เวลาเป็นคนดีไหมวะแป้ง รู้ทั้งรู้ว่าผมเป็นคนใจอ่อนง่ายยังมาทำให้ผมไขว้เขวอีกนะ ผมจะกลับห้องไปนอนแล้ว


“ใช่ กูได้ยินมาว่าถ้าไม่ได้ลายเซ็นเฮดว้ากต้องโดนทำโทษหนักมาก”


“...” พูดกันเข้าไปสิ ไอ้พีก็เป็นไปกับเขาด้วยเสริมกันใหญ่ นอกจากคำพูดหว่านล้อมของเพื่อนทั้งสองของผมที่ทำให้ผมหยุดคิดแล้ว พอน้องทั้งสามคนได้ยินก็พากันหน้าเสียกันหมดจนน่าสงสาร เอาวะไอ้กันถือว่าช่วยเด็ก











“เอาสมุดมาสิครับ”


“นี่ค่ะ ขอบคุณมากค่ะพี่” น้องทั้งสามคนยื่นสมุดพกเล่มเล็กสำหรับล่าลายเซ็นรุ่นพี่ที่เป็นธรรมเนียมของคณะวิศวะมาให้ผม ไม่คิดว่าจะได้เซ็นชื่อในสมุดของคณะอื่นแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ


“พ่อพระจริงๆ น้องกันของกู”


“เงียบปากไป กูเห็นแก่เด็กเถอะครับ” ผมรับสมุดมาเซ็นลงในช่องใหญ่สุดของสมุดที่มีคำบอกตำแหน่งกำกับหน้าช่องว่า.. ‘เฮดว้าก’


“ขอบคุณมากค่ะ”


“อือ”


“เอ่อพี่คะ..พี่ปั่นฝากมาให้ค่ะ” อะไรของพี่ไอ้พี่ปั่นมันวะ ผมรับถุงกระดาษสีน้ำตาลจากน้องก่อนน้องทั้งสามคนจะเดินออกไป และแน่นอนครับยังไม่อ้าปากแค่เห็นสายตาเพื่อนผมทั้งสองคนผมก็รู้ว่าพวกมันอยากรู้ว่าของที่อยู่ในถุงกระดาษนี่คืออะไร


“เดี๋ยว..หยุดมึงจะไปไหน”


“กลับห้องไง”


“ไม่ได้!” พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยนะ ไอ้พวกหน้าแมว สุดท้ายผมก็ต้องยอมนั่งลงเหมือนเดิมก่อนจะเปิดดูว่าสิ่งที่อยู่ในถุงกระดาษใบนี้คืออะไร ว่าแต่พี่ปั่นจะฝากอะไรมาให้ผมนะ


“เสื้อ?” ผมอุทานเบาๆ ด้วยความสงสัย เสื้อช็อปปักตราประจำคณะและเลขรุ่นของคณะวิศวกรรมศาสตร์ถูกพับมาในถุงพร้อมกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กหนึ่งแผ่น แต่เรื่องอะไรที่ผมจะมาเปิดอ่านต่อหน้าเพื่อนล่ะครับ เดี๋ยวก็ได้ถูกล้อตั้งแต่คณะจนถึงประตูมหา’ลัยสิครับ


“อุ้ย มีความฝากช็อปมาให้”


“พอใจยัง”


“พอใจแล้ว โอ๋ๆ น้องกันไม่ร้องนะลูก” มือของไอ้แป้งจับเข้าที่แก้มของผมถูไปมาเหมือนกำลังปลอบเด็กอยู่ ผมไม่ได้เป็นอะไรไอ้เพื่อนหน้าแมว หลังจากที่พวกมันได้รู้สิ่งที่อยากรู้แล้วพร้อมกับขำคิกคักกันไม่หยุดผมจึงขอตัวกลับห้องไปเก็บแต้มนอนต่อ















เหมียว~


ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามาเจ้าแมวอ้วนตัวเล็กของผมส่งเสียงทักทายขึ้นมา ผมวางของพะรุงพะรังลงบนโต๊ะก่อนจะเดินไปอุ้มเอาเจ้ากำปั้นมาเล่นบนเตียง


“คิดถึงล่ะสิไอ้อ้วน”


ผมหยอกล้อกำปั้นเล่นพักใหญ่ ที่จริงแล้วเกิดเป็นแมวมันก็สบายดีเนอะแทบไม่ต้องคิดอะไร เรียนก็ไม่ต้องไป นอนรออาหารตามเวลาสบายๆ เลย ว่าแล้วก็อิจฉาแมวขึ้นมาเลย



หลังจากวางเจ้ากำปั้นลงให้มันเดินเล่นตามประสาแมวอ้วนผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาเพื่อเปิดอินสตาแกรมดูความเคลื่อนไหวของคนรอบตัวแก้เซ็ง ทีเวลาอยู่มหา’ลัยก็ง่วงเอาง่วงเอาพอกลับมาถึงห้องดันไม่ง่วงเสียอย่างนั้น



Kum_punn
I long for you day & night



ระหว่างที่ไถอินสตาแกรมไปเรื่อยๆ ผมก็สะดุดตากับโพสต์หนึ่งเข้า ภาพของถุงกระดาษสีน้ำตาลใบนึงพร้อมกับคำบรรยายใต้ภาพเป็นแคปชั่นภาษาอังกฤษสั้นๆ ไม่ใช่ของใครที่ไหนนอกจากเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์คนนั้น ซึ่งโพสต์ล่าสุดก็คือเมื่อสองเดือนก่อน แล้ววันนี้คุณเขานึกคึกอะไรลงรูปล่ะเนี่ย


ตั้งแต่คืนนั้นที่เจอกันแล้วผมไปนอนห้องพี่ปั่นผมก็ยังไม่เจอเขาอีกเลย จนเข้าสัปดาห์ที่สองแล้วผมก็ยังไม่เห็นวี่แววเลยจะมีก็แต่ไอ้ถุงกระดาษที่เจ้าตัวฝากมาน่าจะเป็นใบเดียวกับในรูปที่ลงอินสตาแกรมไป


ว่าแต่กระดาษโน้ตแผ่นนั้นเขียนว่าอะไรกันนะ ผมลุกขึ้นจากเตียงไปหยิบถุงกระดาษใบนั้นจากโต๊ะก่อนจะเดินกลับมานั่งลงที่เตียงแต่เท้าเจ้ากรรมดันไปเตะโดนขอบเตียงเอาจนผมเจ็บแทบน้ำเล็ด เพราะไอ้พี่ปั่นคนเดียวเลยไม่อย่างนั้นผมก็ไม่ต้องลุกขึ้นมาเตะเตียงแล้ว เจ็บชิพหายอย่าให้เจอนะโว้ย


ผมหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาจากถุงกระดาษ ข้อความที่เขียนด้วยลายมือที่โคตรจะอ่านยากของพี่ปั่นถูกเขียนด้วยหมึกสีดำอยู่กลางหน้ากระดาษว่า...





‘ฝากไว้เดี๋ยวไปเอาดึกๆ’



เดี๋ยวนะแล้วเขาจะเอามาฝากผมไว้ทำซากอะไรวะเก็บเองไม่เป็นรึยังไง แล้วดึกๆ คือกี่โมงจะมาเอาตอนไหนวะ เอ๊ะ แล้วผมจะไปตื่นเต้นทำไมกันวะแค่ไอ้พี่ปั่นจะมาเอาเสื้อ พอเลยไอ้กันเลิกคิดไปวิ่งวงเวียนดีกว่า


หลังจากที่ให้อาหารเจ้ากำปั้นเสร็จผมก็เปลี่ยนชุดออกมาวิ่งที่วงเวียนในสวนสาธารณะของมหาวิทยาลัยที่ผมชอบมาเป็นประจำ ผมวิ่งไปเรื่อยๆ เพื่อคลายเครียดและสลัดความกังวลที่มีทิ้งจนได้เหงื่อพักใหญ่ผมก็กลับมาที่รถเพื่อหยิบขนมปังที่ซื้อมาสำหรับให้ปลาในสระ


ทันทีที่เดินเข้าไปใบศาลาไทยที่เป็นบริเวณท่าน้ำให้อาหารประจำของผม ผมเห็นแผ่นหลังคุ้นๆ ที่คับคล้ายคับคลาว่าเป็นคนที่ผมรู้จักกำลังนั่งให้อาหารปลาอยู่ ผมเดินไปนั่งลงใกล้ๆ โดยที่ไม่ได้ทักทายผู้อยู่ก่อนพร้อมกับแกะห่อขนมปังของตัวเอง


“อ้าวพี่”


“อ่า”


“พี่มาอีกแล้วเหรอครับ” ไอ้นี่ใครวะจู่ๆ ก็มาเรียกผมว่าพี่ทั้งที่ตัวเองตัวใหญ่กว่าผมอีกหน้าก็ไม่ได้เด็กกว่าผมสักนิดเลย แล้วมาถามอย่างกับเคยเจอผมที่นี้บ่อยๆ อย่างนั้นแหละ


“เอ่อ..ว่าแต่”


“ว่าไงครับ”


“คือนายเป็นใครอะ?” ผมมองหน้าไอ้คนที่ทำตัวเหมือนรู้จักกับผมอย่างงุนงงแต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่ขำเสียจนผมเริ่มสงสัยว่ามีอะไรติดบนหน้าผมหรือหน้าผมมันมีอะไรให้ตลกมากขนาดนั้นเหรอ


“ผมต้องน้อยใจขนาดไหนดี พี่เทคจำน้องตัวเองไม่ได้”


“อ่าวหรอ แล้วน้องชื่ออะไรนะ”


“เหนือครับ ที่มาเจอพี่ที่นี่คราวก่อนไง โห่พี่”


“อ๋อ โทษทีพี่ขี้ลืมอะ” ไม่ต้องดึงดราม่าเลยไอ้น้องเหนือหน้าแมวผมยังไม่เคยมีเวลาได้อยู่กับมันดีๆ สักครั้งนอกจากวันรับน้อง จะให้กผมจำมันได้ขึ้นใจก็แปลกแล้ว แต่ผมก็แอบรู้สึกผิดที่ไม่ได้มีเวลาไปเทคน้องเท่าที่ควรอยู่หรอก แต่จะให้ทำยังไงได้ก็เล่นหายหัวไปเลยนี่นา


“ตลกดีนะพี่นี่”


“แล้วรับน้องสนุกดีไหม” ผมถามน้องเหนือมันขึ้นพร้อมกับฉีกแผ่นขนมปังโยนให้ปลาไปด้วย


“ยังไม่ค่อยได้เข้าเลยพี่ ผมยังเก็บตัวไม่เสร็จ”


“อ่าวนี่ผ่านเข้าไปประกวดเดือนมอเลยเหรอวะ”


“ใช่ พี่รู้อะไรบ้างไหมเนี่ย” เจ็บเลยผมโดนเด็กว่าไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่จริงๆ แล้วไอ้เรื่องดาวเดือนก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะต้องรู้นี่นาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรสักนิด


“รู้สิ”


















“พี่กัน”


“อือ”


“ให้อาหารปลาเสร็จไปกินข้าวกัน”


“ได้ ถือว่ากูเลี้ยงขอโทษที่ลืมน้อง” ผมตัดสินใจว่าจะพาน้องเทคไปเลี้ยงข้าวเป็นการไถ่โทษที่ไม่เคยเทคมันดีๆ สักครั้งเลย พี่ปั่นมันคงยังไม่ไปที่หอหรอกมั้ง ไม่สิถ้าจะมาคงโทรมาก่อนสิ


“ได้ครับพี่เทค”














หลังจากพาน้องไปกินข้าวที่ร้านชาบูแถวมหาวิทยาลัยเสร็จผมก็กลับหอทันที โชคดีที่ไอ้เหนือมันก็อยู่หอเดียวกันกับผมเลยให้น้องมันกลับด้วยเลย ระหว่างทางก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมายส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ไอ้เหนือที่เล่าเรื่องในกองประกวดให้ฟัง มีปรึกษาเรื่องเรียนนิดๆ หน่อยๆ


พอถึงที่หอยังไม่ทันจะเลี้ยวเข้าที่จอดรถผมก็เหมือนเห็นยมบาลยืนรอผมอยู่หน้าหอริบๆแล้ว ทันทีที่เปิดประตูลงจากรถพร้อมกับไอ้เหนือสายตาของร่างสูงที่ยืนมองผมอยู่ก็มองไปที่ไอ้เหนือตาเขม่งก่อนจะเดินเข้ามาหยิบเอากระเป๋าจากมือผมไปถือไว้เองโดยไม่มีคำพูดอะไรออกมาสักคำเดียว จะเงียบให้มันดูน่ากลัวทำไมวะหน้านิ่งปกติก็น่ากลัวชิพหายแล้ว ผมได้แต่โบกมือลาน้องเทคที่งงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับรีบเดินตามพี่มันขึ้นหอไป


ตั้งแต่เข้าห้องมาไอ้พี่ปั่นก็ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของห้องเสียจนผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ห้องตัวเอง แถมยังอุ้มเอาเจ้าแมวอ้วนของผมไปนั่งเล่นบนโซฟาอีก ไอ้เจ้ากำปั้นก็ไม่ขัดขืนเลยสักนิดแถมยังหยอกล้อกับพี่ปั่นอย่างกับเจอกันทุกวันเสียอย่างนั้น


“นี่เสื้อ”


“...” ผมยื่นถุงกระดาษที่มีเสื้อช็อปของพี่ปั่นอยู่ให้เจ้าตัว ก็เห็นบอกว่าจะมาเอาคืนแท้ๆ แต่พอเอาให้กลับเมินไม่สนใจแถมไม่พูดอะไรเลยสักคำ ใบ้แดกตอนนี้รึยังไงวะ


“เป็นอะไรของพี่”


“ใคร”


“หืม..ไอ้เหนืออะนะ?”


“...”


“น้องเทคของกันไง”


“อะไรนะ?” อะไรนะห่าอะไรของเขาวะ สุดท้ายคือที่ไม่ยอมพูดยอมจากับผมเพราะอยากรู้ว่าคนที่ลงจากรถผมเมื่อสักครู่นี้คือใครอย่างนั้นเหรอ แล้วคนอย่างพี่ปั่นจะอยากรู้ไปทำไมวะ


“น้องเทคไง”


“ป่าว แทนตัวเองว่าอะไรนะ”


“...”


“น้องกันครับ” อยู่ดีๆ คนปากหมาอย่างไอ้พี่ปั่นมาพูดเพราะ พูดเพราะทำซากอะไรรรรรร ผมขนลุกไปทั้งตัวแล้วทั้งสายตากวนส้นเท้าของเขาที่มองมาที่ผมอีก ถ้าไม่ติดว่าอุ้มลูกผมอย่างเจ้ากำปั้นอยู่ พี่ปั่นคงได้ลงไปนอนที่พื้นแล้ว


“ขนลุก!”


“ไม่ได้จะมาเอาคืนวันนี้”


“แล้วมาทำไมวะ?” ถ้าไม่ได้จะมาเอาเสื้อคืนวันนี้เขาจะเสนอหน้าขึ้นมาหาผมถึงที่ห้องทำอาวุธโบราณอะไรล่ะครับ ผมชักเริ่มสงสัยแล้วนะว่าพี่ปั่นคิดอะไรอยู่กันแน่




“มาหามึง”


“แค่นี้?”


“อือ” ถ้าเขาจะแค่มาหาผมทำไมไม่เดินเสนอหน้าไปหาที่คณะล่ะครับ กับแค่สิบยี่สิบก้าวจากคณะพี่ปั่นมาหน้าคณะผมคงไม่ยากเท่าการขับรถมานั่งรอผมหน้าหอหรอกมั้ง


“อ่า..เจอผมแล้ว เพราะฉะนั้นเชิญกลับครับ”


“กูจะนอนนี่”


“ก็บ้าละ นี่ห้องผม” เป็นบ้านึกคึกอะไรของพี่ปั่นถึงอยากแบกสังขารตัวเองมานอนห้องผมกันวะ ที่คอนโดไฟดับหรือลืมจ่ายค่าน้ำจนน้ำตัด อะไรดลใจให้เขาอยากมานอนห้องผม


“ไม่ได้หรือไง”


“ไม่! เพื่อนรู้ก็โดนแซวตายห่า” ยิ่งไอ้พียิ่งชอบมาเล่นกับแมวที่ห้องผมก่อนนอนอยู่ด้วยถ้ามันรู้ว่าไอ้พี่ปั่นมานอนด้วยคงแซวจนคนทั้งหอรู้กันพอดี


“ทีกูยังบอกเพื่อนเลย”


“บอกอะไร”


“บอกว่าจะจีบมึง”


“อะไรนะ?” หูผมไม่ดี หูฝาดหรือหูแว่วกันวะ พี่ปั่นบอกว่าจะจีบผมอย่างนั้นเหรอ สมองพี่เขากลับหรือนอนหลับไม่เพียงพอ สงสัยมันจะลืมว่าผมกับพี่เขาพึ่งเลิกกันไปไม่ถึงสามเดือนนะโว้ยยยยย


“ตามที่ได้ยิน”


“แล้วใครอนุญาต แล้วไม่กลัวแฟนคลับพี่โวยวายหรือไง”


“เรื่องของเขาดิ ทำไมลูกกูอ้วนขนาดนี้วะ” ไม่ต้องมาทำเป็นเฉไฉเปลี่ยนเรื่องไอ้พี่ปั่นไอ้หน้ามึน คิดจะทำอะไรเคยถามกันก่อนไหมวะ แล้วผมทำไมต้องมากังวลแทนพี่ปั่นด้วยวะ ช่างมันละกันอยากทำอะไรก็ทำ


“ไปอาบน้ำแล้ว”


“ลูกป๊าอ้วนกลมบ๊อกเลย” เล่นกันเข้าไป เมินผมเลยสิ ผมไปอาบน้ำแล้วก็ได้อย่ามาคุยกับผมก็แล้วกันไอ้พี่เวร เจ้ากำปั้นก็ด้วยไม่คิดจะขัดขืนหรืออยากมาหาผมสักนิดมันน่าน้อยใจไหมล่ะ



ทั้งที่การมีแฟนเก่ามาบอกว่าจะกลับมาวุ่นวายกับชีวิตตัวเองอีกครั้งควรทำให้ผมรู้สึกรำคาญเหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ทำไมผมแทบไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้นมาเลย แถมยังสบายใจแปลกๆ อีกด้วย ทำไมกันนะ..








**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เหมือนหมารอเจ้านาย
{5}



คุณคิดว่าคนเราสามารถทนกับการมีสายตาจ้องมองคุณตลอดเวลาทุกอากัปกิริยาได้นานแค่ไหน สำหรับผมสองชั่วโมงก็เกินจะทนแล้ว โว้ยยยยยยยยย ไอ้พี่ปั่นมันไม่มีอะไรจะทำนอกจากนั่งจ้องผมจากโซฟาตรงนั้นแล้วหรือยังไงกันวะ ตั้งแต่ผมอาบน้ำเสร็จออกมาแต่งตัวทำงานที่อาจารย์สั่งเสร็จเรียบร้อยมานอนเล่นกับเจ้ากำปั้นบนเตียงผมก็ยังไม่เห็นเขาจะทำอย่างอื่นนอกจากนั่งมองผม


“โอ้ย! พี่จะมองอะไรนักหนาวะ”


“ก็อยากมอง”


“มันอึดอัด”


“ก็กูทำได้แค่มอง” จู่ๆ จากใบหน้านิ่งตามปกติของพี่ปั่นก็กลายเป็นสีหน้าสลดดูผิดหวัง อะไรวะ ผมเข้าไม่ถึงหรือเขาทำตัวเข้าใจยากเกินกว่าที่คนปกติจะเข้าใจวะ


“อะไรวะ”


ผมหยิบโน๊ตบุ๊กขึ้นมาตรวจดูงานที่พิมพ์ไปเมื่อครู่ โดยที่ไม่ได้สนใจร่างสูงที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟา หลังจากที่ตรวจเช็กงานเรียบร้อยแล้วผมก็เปิดเฟสบุ๊กขึ้นมาเลื่อนอ่านหน้าข่าวใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่อแก้อาการเบื่อหน่ายที่เป็นอยู่ ผมพึ่งสังเกตว่ามีการแจ้งเตือนโพสต์ใหม่จากเพจหนุ่มโสดของมหาวิทยาลัยที่ไอ้แป้งติดตามเมื่อสักครู่ แล้วผมไปเผลอกดติดตามเพจไร้สาระนี่ตั้งแต่ตอนไหนกันวะ


My Single Boys

ข่าวแซ่บ! ข่าวล่ามาแรงจ้าทุกคนนนนน ดูเหมือนว่าหนุ่มโสดเบอร์หนึ่งของเพจเราจะมีวี่แววไม่โสดแล้วสิคะ ก็เมื่อสักครู่คุณเฮดว้ากวิศวกรรมเขาพึ่งโพสต์รูปที่ทำให้แอดเริ่มตงิดๆ จะไม่ให้สงสัยได้ยังไงล่ะในเมื่อถามหาแม่ให้ลูกขนาดนี้ #อยากเป็นแม่ให้ลูกคุณเขาค่ะ#ผู้โชคดีคนนั้นเขาเป็นใครกันนะ #หล่อโคตรโคตรแต่อาจจะไม่โสดแล้ว
DEEDEE กรี้ดดด จะตามสืบให้ได้เลยค่าาาาา
PP_s คุ้นๆ นะแมวตัวนี้


คำบรรยายพร้อมกับภาพการจับภาพหน้าจอจากอินสตาแกรมของผู้ที่ถูกกล่าวถึงในโพสต์เรียกยอดไลค์และยอดแชร์ในเฟสบุ้คมากมายภายในไม่กี่นาทีที่โพสต์ หลังจากที่ผมอ่านเสร็จก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดแอปพลิเคชันที่ถูกพูดถึงอย่างอินสตาแกรมทันที และแน่นอนว่าโพสต์ที่ถูกจับภาพหน้าจอไปยังไม่ถูกลบทิ้งแต่อย่างใด



Kum_punn
หม่าม๊าหนูไปไหนครับกำปั้น ป๊าคิดถึง :]


ภาพเจ้าแมวอ้วนของผมถูกถ่ายขณะที่มีมือของเจ้าของภาพอุ้มอยู่พร้อมกับแคปชั่นสร้างประเด็นปวดหัวให้เจ้าของแมวอย่างผมนี่สิ ไอ้พี่ปั่นไอ้หน้าแมว นี่ยังไงล่ะผมถึงบอกว่าเขาทำอะไรไม่เคยคิดจะถามอะไรก่อนเลย


“พี่ปั่น!”


“กลับละนะ”


“จะไปไหน มานี่ก่อนเลย”


“มึงนั่นแหละมานี่ไอ้เด็กหน้ามึน”


“ลบเดี๋ยวนี้เลย” ผมโวยวายเดินลงจากเตียงไปหาพี่ปั่นที่กำลังถือเอากุญแจรถเตรียมเดินออกจากห้องไป ทำอะไรบ้าๆ แล้วคิดจะหนี ไอ้หน้าแมว ผมจะไม่ยอมให้มีสิทธิ์ได้ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าลบโพสต์นั้นทิ้งเดี๋ยวนี้


“ทำไม กลัวไอ้เด็กนั่นหึงมึงรึไง!”


“มั่วละ..แต่นั่นแมวผม” ผมตอบเสียงอ่อนลง ก็พี่ปั่นเล่นขึ้นเสียงใส่ผมก่อนนี่นาเป็นใครก็ต้องตกใจกันบ้างแหละ ผมเป็นคนอารมณ์เสียแท้ๆ แต่ดันมาโดนตวาดเองเสียอย่างนั้น บ้าเสียไม่มี




“กูจริงจังนะกัน”


“...”


“กูอยากให้คนอื่นรู้”


“แต่..”


ป๊อก!


“ไปนอนได้แล้ว” มือหนาดีดเข้าที่หน้าผากผมเหมือนที่ทำเป็นประจำก่อนจะลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนแล้วเดินออกจากห้องไป ครั้งนี้ผมกลับไม่โวยวายไม่รู้สึกเจ็บที่เขาดีดหน้าผากผมเลยสักนิด เพราะผมเริ่มรู้สึกตัวชาตั้งแต่ได้ยินประโยคที่พี่ปั่นพูดออกมาประโยคนั้นแล้วว่าเขาจะ..จริงจังกับผม ผมทำตัวไม่ถูก ผมควรรู้สึกอะไร ควรทำอะไรต่อ ทั้งที่ผมตั้งกฎกับตัวเองมาตลอดว่าถ้าเลิกกับใครแล้วจะไม่ยอมกลับไปคบใหม่อีกเด็ดขาด แล้วนี่ผม..จะยอมแหกกฎของตัวเอง เพราะผู้ชายคนนี้อย่างนั้นเหรอ













หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นผ่านมาสัปดาห์กว่าๆ พี่ปั่นก็ปรากฏตัวที่คณะผมบ่อยขึ้น อาจจะไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่ามาหาผมแต่ชอบทำตัวเหมือนมีธุระอะไรที่ต้องมาทำที่คณะของผมแทบจะทุกวันที่ผมมีเรียน ชักจะเหมือนพวกโรคจิตขึ้นทุกวัน


“วันนี้มึงไปไหนกันต่อแป้ง”


“พาน้องเหนือไปซ้อมความสามารถพิเศษ”


“แล้วกูล่ะ พวกมึงทิ้งกู”


“ไม่งอแงนะไอ้น้องกัน มึงก็มีเทพบุตรตามเฝ้ามึงถึงคณะทุกวัน”


“ไอ้พวกหน้าแมว” เทพบุตรหรือเจ้ากรรมนายเวร ว่าแต่ทำไมวันนี้ผมถึงยังไม่เห็นหน้านิ่งๆ ของพี่ปั่นมันเลยทั้งที่นี่ก็จบวิชาสุดท้ายที่ผมเรียนในวันนี้แล้ว หรือว่าไม่ว่างกันนะ ไม่สิผมจะมาคิดเรื่องนี้ทำไม ไม่มาก็ไม่ต้องมาสิดีแล้ว


“พี่พีพี่แป้งหวัดดีครับ อ้าวพี่กัน”


“อือ”


“หวัดดีพี่”


“อือ” ผมพยักหน้ารับไหว้น้องเทคอย่างไอ้เหนือที่เดินเข้ามาทักทาย สงสัยมันจะติดรถไอ้พีไปซ้อมความสามารถพิเศษที่จะใช้ตอนประกวดเดือนมหาวิทยาลัยล่ะมั้ง


“พี่กันดูแปลกๆ นะพี่”


“เออ คนมันเคว้งเจ้าของมันไม่เอาอาหารมาให้”


“พูดเหมือนหมารอเจ้านายอะพี่”


“ประมาณนั้นแหละ”


“พูดถึงกูเหรอ?” ผมสลัดความคิดแปลกๆ ออกจากหัวก่อนจะหันมาสนใจสิ่งไอ้แป้งกับไอ้เหนือกำลังคุยกันอยู่ ว่าแต่มันคุยเรื่องอะไรกันอยู่วะไม่ได้ตั้งใจฟัง เรื่องผมหรือเรื่องใคร งงไปหมด









เนื่องจากผมไม่มีอะไรทำและขี้เกียจไปนั่งเฝ้าไอ้เหนือซ้อมกับพวกเพื่อนหน้าแมวที่ทิ้งผมทั้งสองคน ผมจึงตัดสินใจพาร่างกายล้าๆ ที่ผ่านการเรียนทั้งวันของตัวเองมานั่งโง่อยู่ที่ร้านกาแฟนั่งชิวร้านหนึ่งในบริเวณมหา’ลัย หลังจากที่ผมสั่งเครื่องดื่มและขนมไปเรียบร้อย ผมก็ต้องตกใจกับการพบกับสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอในร้านที่ผมนั่งอยู่ตอนนี้


“อ้าวไอ้น้องกัน”


“พี่มินหวัดดีครับ”


“มาคนเดียวเหรอ”


“อ่าครับ” ผมตอบผู้มาใหม่ไปอย่างเป็นมิตร หวังว่าพี่มินก็จะมาคนเดียวเหมือนกันนะครับ ผู้ชายตัวเล็กตรงหน้ายิ้มตอบกลับอย่างน่าเอ็นดู ผู้ชายอะไรมันถึงน่ารักได้ขนาดนี้วะ ถ้าพี่มินเป็นตุ๊กตาผมคงเก็บรักษาอย่างดี ไม่ให้มีใครมาแตะต้องเลย จะจับแต่งตัวน่ารักๆ ไว้บนชั้นวางโชว์ไม่ให้เปื้อนฝุ่นสักนิด


“เหงาเลยสิ”


“ก็นิดหน่อยครับ แล้ว..พี่มินมาคนเดียว..” ไม่ต้องรอให้ประโยคคำถามของผมจบลงร่างสูงที่มาพร้อมเสียงฮือฮาของคนในร้าน





“แกๆ เทพบุตรวิศวกรรมมา มาทั้งกลุ่ม”


“ไหนแก ตายแล้ว หล่อมาก!”


หลังจากประตูร้านเปิดออกกลุ่มคนที่เดินเข้ามาก็เรียกความสนใจและเสียงฮือฮาจากคนในร้านได้มากเสียจนรัศมีความหล่อของผมที่นั่งอยู่ในร้านถูกกลบไปหมด จะเป็นใครที่ไหนไปได้นอกเสียจากกลุ่มนิสิตที่คนทั้งมหาวิทยาลัยขนานนามให้ว่าแก๊งเทพบุตรแห่งวิศวกรรมศาสตร์นั่นแหละครับ


ที่จริงแล้วพี่มินก็อยู่ในกลุ่มนี้เพียงแต่พี่เขาน่ารักและนิสัยดีเกินกว่าผมจะเอาไปรวมกับพวกนี้ได้ ทันทีที่ก้าวเข้าร้านมาไอ้พวกเทพบุตรนี่ก็ตรงมาที่โต๊ะผมทันที ผมพยายามภาวนาให้พวกเขาเดินผ่านโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ไปแต่แล้วพวกพี่มันก็นั่งลงร่วมโต๊ะเดียวกันกับผม มีก็แต่พี่มินที่ยังยืนขำหน้าตาที่แสดงสีหน้าตกใจอย่างที่สุดของผมอยู่ใกล้ๆ


“ไม่เจอกันนานนะไอ้กัน”


“ไม่ได้อยากเจอ”


“ปากดีเหมือนเดิม” พี่ทัช หนึ่งในแก๊งเทพบุตรถามขึ้น ตั้งแต่รู้จักกันมาพี่ทัชไม่เคยจะพูดกับผมดีๆสักครั้ง หน้าตาก็ดีอยู่หรอกแต่ปากหมาอย่างนี้น่ะสิถึงไม่มีคนเอาสักที มีก็แต่พี่มันที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนเลือกเยอะ แต่ผมคิดว่าความจริงน่าจะเกี่ยวกับการเลี้ยงหมาไว้ในปากของพี่มันมากกว่า


“มึงก็ไปกัดน้องมัน”


“ทำไมวะ หรือเจ้าของมันหวง”


“เจ้าของไหนวะ กูได้ข่าวว่าไม่มี”


“เออใช่ เจ้าของคนก่อนปะวะที่หน้านิ่งๆ” ผมนั่งฟังพี่ทัชคุยกับพี่ไม้ เดือนคณะวิศวกรรมศาสตร์ปีสามที่นั่งแจกรอยยิ้มทรงเสน่ห์อยู่ข้างเพื่อนรักนิสัยเสียอย่างพี่ปั่นที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่ ว่าแต่พี่ปั่นมันไปเครียดอะไรมานักหนา สีหน้าดูจริงจังกว่าทุกครั้งแถมตั้งแต่นั่งลงก็เอาแต่กดโทรศัพท์มือถือยิกๆ เหมือนคุยอะไรกับใครทางแชทอยู่


“กูสั่งให้ครบละนะ”


“พี่มิน นั่งข้างผมมม”


“อะไรของมึง” ผมรีบดึงแขนพี่มินที่พึ่งเดินกลับจากเคาท์เตอร์มาหลังจากสั่งเครื่องดื่มกับขนมเสร็จให้นั่งลงข้างผม บางทีผมก็คิดนะว่าทำไมคนดีๆ อย่างพี่มินต้องมาคบหากับพวกคนแบบนี้ ทั้งที่ถ้าผมเป็นพี่มินคนกลุ่มแรกที่ผมจะอยู่ห่างเลยก็คือคนพวกนี้


“ไอ้ปั่น กูว่ามีคนสงสัยว่ามึงคุยกับใครว่ะ”


“ใครวะ”


“เด็กหน้าหมาแถวนี้”


“พี่ทัชมั่วว่ะ” ผมปฏิเสธคำกล่าวหาที่พี่ทัชมันโยนมาให้ผมไป ถึงจะอยากรู้จริงๆ ก็เถอะว่าพี่ปั่นมันเครียดอะไรนักหนาถึงได้เอาแต่นั่งพิมพ์ยิกๆ ไม่หยุดสักที


“กูคุยเรื่องลงระเบียบน้อง”


“ไม่ได้อยากดู” พี่ปั่นยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่นั่งกดอยู่เมื่อสักครู่มาให้ผมก่อนผมจะแค่ชำเลืองตาไปมองแต่ไม่ได้ตั้งใจดูว่าเขาคุยกับใคร เรื่องอะไร ผมไม่ได้อยากรู้สักหน่อย


“แล้วมาทำอะไรคนเดียววะกัน”


“เหงา”


“หาผัวสิ”


“เพ้อเจ้อว่ะพี่ไม้ แค่ไม่มีอะไรทำ” ปากพวกเทพบุตรแต่ละคนนี่นะ เป็นถึงเดือนแต่สกิลปากไม่แพ้พี่ทัชมันเลยสักนิด คนหล่อๆ แบบผมทำไมต้องหา...เอ่อ หาอย่างที่พี่มันพูด ก็ต้องหาสาวๆ มาดูแลสิครับ


“ไอ้ปั่นมึงโดนหักคะแนน”


“คะแนนอะไรกัน” ผมถามขึ้นเมื่อพี่ทัชหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาแล้วขีดฆ่าอะไรสักอย่างออก พวกพี่เขาเล่นอะไรกันวะ


“เปล่า แค่มีคนทำคะแนนไม่ได้วันนี้”


“ใช่ไอ้ไม้แถมแม่งต้องโดนหักเพราะทำให้...”


“เงียบปากไปพวกมึง” พี่ปั่นพูดขึ้นพร้อมกับวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบน้ำสตรอว์เบอร์รี่นมสดปั่นของผมไปดูดหน้าตาเฉย คือไม่คิดว่าเป็นของผมเลยสิ


“ไอ้มินมึงจะไปกับพวกกูไหมวะ”


“เอ่อ..ไม่อะ”


“ทำไมวะ หลังๆ มานี่มึงชักจะเบี้ยวนัดตี้พวกกูบ่อยไปแล้วนะ”


“ไปไหนกันอะพี่ทัช” ผมถามแทรกขึ้นเพราะดูพี่มินจะดูอึดอัดกับคำถามที่พี่ทัชมันถาม ผู้ชายอะไรมันทำไมน่ารักน่าทะนุถนอมขนาดนี้ถ้าเป็นตุ๊กตาขึ้นมาจริงๆ อย่างที่ผมคิด ผมจะเก็บไว้บ้านไม่เอาออกไปไหนเลย ผมหวง


“ถามไอ้ปั่นนู่น”


“พี่ปั่น”


“มึงไม่ต้องไป”


“จะไป!”


“งั้นเปลี่ยนไปกินห้องกู”


“โอเค กูได้หมด ไอ้ไม้โอเคไหมมึง”


“โอเค” ผมก็แค่อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่ได้ออกกลางคืนไปดื่มมาพักใหญ่ๆ แล้ว อุตส่าห์จะออกคืนนี้แต่เพื่อนก็ไม่มีใครว่างเลยก็คงต้องไปกินกับพวกเทพบุตรนี่แหละ ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกมั้งดื่มเหงาๆ ที่ห้องแฟนเก่า กับเพื่อนแฟนเก่า โคตรคูล










หลังจากกลับถึงห้องให้อาหารเจ้ากำปั้นและอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ผมก็แต่งตัวเตรียมออกจากหอไปคอนโดพี่ปั่นเพื่อไปคลายเครียดในรอบเดือนกว่าๆ รู้สึกกระหายขึ้นมาเลยปกติผมคอแข็งและดื่มเป็นประจำมาตลอดจนมาคบกับพี่ปั่นมผมถึงถูกห้ามให้เพลาเรื่องดื่มลงบ้าง คืนนี้แหละผมจะมาทวงตำแหน่งคืน ไม่มีใครล้มผมได้แน่นอน


หลังจากออกจากหอตัวเองมา ผมก็ตรงไปที่หอพี่มินก่อนจะรีบโทรตามพี่มินที่แต่งตัวเตรียมพร้อมไว้แล้วให้ลงจากหอมา เรื่องอะไรผมจะไปให้โดนไอ้พี่ทัช พี่ไม้กัดเป็นหมาหมู่อยู่ฝ่ายเดียว แถมพี่ปั่นก็ไม่เคยคิดจะช่วย ผมก็ต้องชวนที่พึ่งของผมไปด้วยสิครับ พี่ชายสุดที่รักอย่างพี่มินไม่เคยปฏิเสธผมอยู่แล้ว


ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าห้องไปกลิ่นแอลกอฮอล์ก็ตีเข้าจมูกทันที มันเรียกความตื่นเต้นและกระตุ้นสารบางอย่างในตัวผมขึ้นมาทันที ผมเดินตรงไปที่โซฟาที่พวกพี่มันนั่งดื่มกันอยู่ก่อนจะนั่งลงข้างพี่ปั่น ว่าแต่พี่มินหายไปตั้งแต่ตอนไหน คงไปเข้าห้องน้ำมั้ง


“อย่าพึ่ง ข้าวผัดอยู่ในกล่อง”


“อะไรอีก”


“กินข้าวก่อนเลยมึง” ผมจำใจต้องหยิบกล่องข้าวผัดที่พี่ปั่นมันซื้อมาไว้ให้ขึ้นมาเปิดกินก่อน ใจก็ไม่อยากช้าหรอก แต่ใบหน้าดุอย่างกับจะกินหัวผมของร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ทำเอาผมจำเป็นต้องกินให้คุณเขาสบายใจ


“พี่ไม้ล่ะ?”


“ห้องน้ำ”


“อ๋อ”


หลังจากดื่มมาได้สักพักใหญ่ผมก็เริ่มมึนๆ พอไม่ค่อยได้ดื่มบ่อยๆ ก็กลายเป็นเด็กน้อยคออ่อนเหมือนพึ่งหัดกินเลยเหรอวะ ไม่คูลเลยว่ะไอ้กัน ไม่นานพี่ทัชก็เสนอเกมถามความจริงจากการทอยเหรียญขึ้นมา ถ้าใครทอยได้หัวก็จะถูกถาม ถ้าใครทอยได้ก้อยก็จะรอด เกมวนไปเรื่อยๆ โดยที่ส่วนใหญ่จะเป็นพี่ทัชที่ถูกถามอยู่คนเดียวแต่คนอื่นแทบไม่โดนกันเลย จนพี่มินน่าจะเริ่มง่วงจนไม่ไหวขอไปนอนรอที่โซฟาก่อน


“ไอ้กันทอย”


“ชิพหาย” ทันทีที่ผมเปิดมือที่ปิดเหรียญอยู่ออกหน้าเหรียญด้านหัวก็เด่นชัดขึ้นมาเต็มตา


“ถามอะไรดีวะ”


“เคยมีอะไรกับใครรึยัง”


“ยัง” คำถามสัปดนแบบนี้มาจากไอ้พี่ทัชแน่นอน เรื่องให้ถามมีเป็นร้อยดันมาถามเรื่องแบบนี้ วันๆ เคยคิดอย่างอื่นบางไหมวะพี่


“เด็กมันสดใหม่ว่ะ”


“ไอ้ปั่นทอย”


“หัว”


“คิดว่าจะจีบไอ้กันติดไหม”


“คิดไปไกลกว่าแค่จีบติด” อะไรของพวกพี่มันวะ แล้วไอ้พี่ปั่นมันพูดบ้าอะไรของมัน ยังไม่เคยพูดอนุญาตด้วยซ้ำว่าจะให้จีบ คิดเองเออเองไปไหนวะ


“พอผมเลิกเล่น พี่ปั่นผมกลับนะ”


“ไม่ต้องกลับ นอนนี่”


“บ้าพี่มินต้อง..”


“ไอ้ไม้ไปส่ง”


“แต่..”


“มึงไปนอนในห้อง กูเก็บเอง”


หลังจากคนอื่นๆ กลับกันหมดผมก็ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำดังขึ้น สงสัยพี่ปั่นจะอาบน้ำอยู่ นิสัยไม่เปลี่ยนเลยแฮะเมาให้ตายก็จะไม่นอนถ้าไม่ได้อาบน้ำ มีแต่ผมนี่แหละที่ขี้เกียจอาบน้ำ ทุกครั้งที่เมาแล้วกลับถึงห้องก็นอนไปเลยไม่แม้แต่ถอดรองเท้าด้วยซ้ำบางครั้ง






“กัน”


“อือ”


“เปลี่ยนชุด”


“เอามาสิ” ผมลืมตาลุกขึ้นนั่งก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่พี่ปั่นเตรียมให้เข้าห้องน้ำไปเพื่อเปลี่ยนชุด พอออกจากห้องน้ำมาภาพที่ผมเห็นคือร่างสูงของไอ้พี่ปั่นนอนห่มผ้าพร้อมกับหมอนหนึ่งใบอยู่บนโซฟาให้ห้องรับแขก เขาออกมานอนนอกห้องก็ดีแล้วนี่นาจะคิดอะไรมากมายวะไอ้กัน ผมสลัดความคิดทั้งหมดออกจากหัวก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปและทิ้งตัวลงนอนบนเตียง




ความสับสนนี้คืออะไรกันวะ ไอ้กันมึงอย่าลืมที่มึงตั้งไว้นะ ห้ามแหกกฎเด็ดขาด













**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2019 22:14:34 โดย .ปีกนกฮูก »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bluepaperwater

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
อย่าเงียบใส่กัน
{6}



เข้าสู่ช่วงที่ทุกคนในมหาวิทยาลัยวุ่นวายกันมากที่สุดอย่างการประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยและกิจกรรมปฐมนิเทศน้องใหม่ของทางมหาวิทยาลัย ปีหนึ่งต้องซ้อมเข้าพิธีไหว้ครูและปฐมนิเทศ ส่วนปีสูงอย่างพวกผมก็ต้องเตรียมงานและคอยดูแลน้อง  ช่วงเกือบสัปดาห์มานี้ผมแทบไม่ได้เจอกับพวกพี่ปั่นเลยเพราะนอกจากเตรียมงานปกติผมก็ต้องไปคอยช่วยไอ้พีไอ้แป้งดูแลไอ้เหนือที่จะเข้าประกวดเดือนมหาวิทยาลัยด้วย


ที่จริงเช้าวันเสาร์แบบนี้ผมควรได้นอนอุตุอยู่ในห้องจนถึงช่วงสายๆ ถึงจะตื่นมาเคลื่อนตัวช้าๆ เอื่อยๆ ไปตามเวลาวันหยุดที่ไม่มีเรียน แต่วันนี้ดันเป็นวันปฐมนิเทศน้องใหม่ที่ผมต้องตื่นแต่งตัวมามหาวิทยาลัยตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง ตีสี่ครึ่งโว้ยยยย ผมพึ่งได้นอนไปตอนตีสองเอง สภาพผมตอนนี้แทบไม่ต่างกับหมีแพนด้าเมากิ่งไผ่ทั้งใต้ตาที่คล้ำจากการไม่ค่อยได้พักผ่อนหลายวันจนนึกว่าแต่งเปลือกตามสไตล์เกาหลีมารวมทั้งสติที่ไม่เต็มร้อยล่องลอยไปมาเหมือนเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา


ตั้งแต่มาถึงมหาวิทยาลัยผมแทบไม่ได้อยู่กับที่เลยเพราะต้องคอยรับส่งน้องเข้าหอประชุมเพื่อเข้าพิธี ปีหนึ่งแต่ละคนก็สภาพไม่ต่างจากผมมากเท่าไหร่เนื่องจากคงยังไม่ชินที่ต้องตื่นแต่เช้ามาร่วมพิธีแบบนี้แถมยังต้องสวมชุดพิธีการที่ค่อนข้างอึดอัดมาก ก็มีแต่ไอ้เหนือที่ไอ้พีไอ้แป้งต้องประโคมเครื่องดื่มชูกำลังทุกอย่างให้ไอ้เหนือมันพร้อมสำหรับการโชว์ตัวในรอบเช้าและการประกวดในรอบค่ำ


“ไอ้ดินแดน”


“อ่า”


“ง่วงว่ะ” ผมอ้าปากหาวด้วยความง่วงจนแทบยกมือขึ้นปิดปากไม่ทัน


“ไม่ต่างกัน”


“กูจะพาน้องกลุ่มสุดท้ายเข้าไปละนะ”


“ฝากด้วยนะไอ้น้องกัน”


“อือ” ผมเดินนำปีหนึ่งกลุ่มสุดท้ายไปยังหอประชุมที่ใช้จัดงานหลังจากแจ้งประธานเอกอย่างไอ้ดินแดนแล้ว ระหว่างทางที่เดินจากจุดรวมพลของคณะผมก็จะเห็นคณะอื่นนั่งรวมตัวเช็กชื่อกันอยู่ตามจุดต่างๆ ของมหาวิทยาลัย จนกระทั่งผ่านหน้าลานเกียร์ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่มีปีหนึ่งจำนวนมากนั่งรวมกันเพื่อฟังรุ่นพี่ชี้แจงรายละเอียด ผมหันไปเห็นพี่ปั่นยืนตีหน้าเข้มอยู่ข้างๆ ปีสูงของวิศวะที่กำลังแจ้งรายละเอียดให้น้องอยู่ เขาจะเก๊กนิ่งอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้ ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ ทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นพี่ปั่น


“ส่งน้องการตลาดรอบสุดท้ายครับ”


“ขอบคุณมากครับ”


ผมยิ้มให้พี่ปีนายรองประธานสโมสรนิสิตคณะผมที่ยืนรอรับน้องเข้าประตูหอประชุมไปหลังจากหมดหน้าที่ของตัวเอง เนื่องจากเป็นกฎขององค์การนิสิตทำให้ผู้ที่จะมีสิทธิ์เข้าไปในหอประชุมมีเพียงปีหนึ่งและสโมสรนิสิตแต่ละคณะเท่านั้น ได้เวลาไปนอนแล้วโว้ยยยยยยย


“มาเอาน้องเข้าเลย”


“ค่ะพี่นาย”


“กัน”


“ครับ?” ผมขานรับเมื่อพี่นายเรียกผมหลังจากสั่งให้สโมฯอีกคนมาพาน้องเข้างาน ที่จริงแล้วผมกับพี่นายอยู่สายเทคเดียวกันจึงดูเหมือนสนิทกัน แต่ผมก็ไม่ค่อยกล้าไปกวนตีนหรือตีสนิทพี่นายเท่าไหร่เพราะพี่นายดูเป็นคนสุขุมอีกทั้งเป็นถึงรองประธานสโมสรนิสิตของคณะ


“นอนบ้างไหมเนี่ยเราน่ะ”


“ก็..”


“จะกลับเลยเหรอ?”


“มั้งครับ เดี๋ยวก่อนเที่ยงถึงจะเข้ามารอน้อง” ผมตอบพี่นายตามปกติ แต่ทุกครั้งที่เจอพี่นายเหมือนผมเจอพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองเลยทั้งความเป็นห่วงทั้งรอยยิ้มที่พี่นายมีให้ทุกครั้งที่เจอกัน


“พี่ติดงานทั้งวันเลย ว่าจะเลี้ยงข้าวเพราะไม่ได้เจอนาน”


“ไม่เป็นไรพี่”


“เป็นดิ พี่เป็นพี่เทคกันนะ”


“งั้นไว้หลังจบช่วงนี้ผมจะเล่นพี่ให้หมดตัวเลย”


“ได้เลย ป๋าพร้อมเสมอ”


“กลับแล้วนะพี่” ผมโบกมือลาพี่นายก่อนจะเดินกลับออกมาจากหอประชุม จะได้กลับไปนอนแล้วเว้ยยยย ดีใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แค่คิดถึงภาพเตียงนุ่มๆ ผ้าห่มอุ่นๆ กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่ฉีดไว้ในห้อง ก็อยากทิ้งตัวลงตรงนี้เลย






หมับ!


“อ๊ะ! พี่ปั่น”


“ยิ้มเหี้ยไรกันนักหนา”


“ยิ้ม? อะไรวะ”


“ใคร?”


“ใครอะไร ปล่อย..ผมเจ็บ” ผมพยายามดึงมือของร่างสูงตรงหน้าออกจากแขนของผม เล่นบีบเข้ามาเต็มแรงขนาดนี้คิดว่าแขนผมทำมาจากปูนซีเมนต์หรือยังไง แล้วอยู่ดีๆ พี่ปั่นโผล่มาจากไหนวะแถมยังทำหน้าอย่างกับหมาโดนแย่งกระดูกอีก


“ไอ้หน้าจืดนั่นใคร”


“พี่นาย?”


“...”


“พี่เทคผมไง” ผมตอบไปหลังจากพี่ปั่นหันไปมองพี่เทคผมตาเขม็งเหมือนจะกินหัว ถ้าจะให้ดีสิ่งที่แรกที่พี่ปั่นควรทำคือเลิกทำตัวเหมือนหมาบ้าที่พร้อมกัดทุกคนที่เดินผ่าน ยิ่งในวันที่ผมง่วงจัดๆ แบบนี้ ผมไม่มีอารมณ์มาเล่นบ้าๆ อะไรกับเขาหรอกนะ ผมต้องการนอน!


“แล้วไป อย่าให้กูรู้”


“เออก็อย่ารู้”


“กวนตีน”


“ผมไปได้หรือยัง” ผมมองหน้าพี่ปั่นอย่างเซ็งๆ ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะปล่อยผมเดินกลับแต่ก็เดินตามมาส่งจนถึงหน้าคณะผม อะไรของเขานักหนาวะ















ตื้ด~


เสียงสั่นแจ้งเตือนของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงทำให้ผมต้องควานหาขณะที่ตายังปิดอยู่ ผมหรี่ตามองหน้าจอที่สว่างจ้าแสดงชื่อของคนที่เมื่อเช้าผมพึ่งเจอในมหาวิทยาลัยก่อนจะกดรับสายพร้อมทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง


[กัน]


“อือ”


[นอนเหรอ]


“อือ มีอะไร”


[ไปกินข้าวกับกู]


“ไม่หิว”


[กูหิว] พี่หิวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมมมม คนจะหลับจะนอนนี่มันต้องมีอะไรมากวนตลอดเลยดิ กระเพาะอาหารก็ไม่ได้ติดกันทำไมต้องมาวุ่นวายกับผมด้วยวะ


“เรื่องของพี่สิ”


ผมกดวางสายทันทีหลังจากพูดประโยคสุดท้ายจบ คนจะนอนอย่าวุ่นวาย ฝันดีคุณโทรศัพท์มือถือ ผมกดปิดเครื่องก่อนจะหลับตาดำดิ่งสู่ห่วงนิทราต่อ



เคลิ้ม~



กำลังเคลิ้ม~












ก๊อก ก๊อก


ผมสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างตกใจทันทีที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ใครมันนึกคึกอะไรมาหาผมตอนนี้ว่ะ ถ้าไม่ใช่ป๊ากับม๊าหรือเฮียนะผมจะกระทืบให้มันต้องเลือดกบปากนอนสลบตรงหน้าประตูห้อง บังอาจมารบกวนเวลานอนของผม


“มีอะไรครับ”


“หึ”


“ไอ้พี่ปั่น!!!” ผมร้องโอดโอยเป็นชื่อพี่ปั่นเสียงดัง แต่เจ้าตัวกลับยิ้มเยาะอย่างสะใจที่ได้ทำลายเวลานอนอันมีค่าของผม


“ไปได้แล้ว”


“เป็นเมียผมหรือยังไง ต้องให้ไปเฝ้ากินข้าว”


“ใครเมีย กูให้คิดใหม่” ผมรู้สึกได้ว่าใบหน้าตัวเองร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินประโยคบ้าๆ พร้อมกับสีหน้ายียวนกวนประสาทของคนตัวสูงตรงหน้า เป็นอะไรของผมวะเนี่ย


“หิวก็ไปสิ”


“เอาช็อปกูมาด้วย” ผมเดินไปหยิบเสื้อช็อปของพี่ปั่นจากในห้องก่อนจะเดินตามเขาไป












หลังจากนั่งกินข้าว ไม่สิต้องเรียกว่านั่งเฝ้าคนเอาแต่ใจตัวเองกินข้าวจนอิ่มพี่ปั่นก็มาส่งผมที่มหาวิทยาลัยก่อนเที่ยงเพื่อช่วยเพื่อนในรุ่นส่งอาหารเที่ยงเข้ายิมให้น้องปีหนึ่งที่กำลังพักจากกิจกรรม สมัยผมอยู่ปีหนึ่งรู้สึกว่าปีสองสบายมากที่ไม่ต้องเข้ากิจกรรมทั้งวันเหมือนปีหนึ่ง แต่พอตัวเองขึ้นปีสองแล้วรู้เลยว่าการเป็นปีหนึ่งนั่งเฉยๆทั้งวันแอบหลับก็ได้แถมมีพี่ๆ ส่งข้าวส่งน้ำมันสบายกว่าเยอะ


หลังจากหมดภาระหน้าที่ผมก็ต้องเดินแบกสังขารตัวเองที่โหยหาการพักผ่อนมากๆ มาถึงหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์เพราะพี่ปั่นดันไม่ให้ผมเอารถมาเองแต่แรกบอกว่าเดี๋ยวเสร็จงานจะไปส่งที่หอ แล้วพวกพี่มันไปไหนกันหมดวะ ผมพยายามมองหากลุ่มเทพบุตรปีสามแต่ก็ไม่เห็นสักคน เจอแต่ปีสองนั่งจับกลุ่มกินข้าวเที่ยงกันเป็นกลุ่มๆ


ผมเดินตรงเข้าไปในคณะเพื่อตามหาตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเสียเวลานอนมาเดินตามหาถึงคณะโทรหาก็ไม่รับ มันยังไงห้ะ ยังไง


“ไปไหนของเขาวะ จะ..”


“ทำไม”


“อะ เอ๊ย” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่ออยู่ดีๆ คนที่ผมตามหามายืนด้านหลังผม คนบ้าอะไรผลุบๆ โผล่ๆ อย่างกับผี


“จะทำไม เก่งนักนะมึงไอ้เด็กหน้ามึน”


“เออ เก่งมากด้วย” ผมยิ้มเยาะอย่างภูมิใจเพื่อเอาชนะพี่ปั่น


“แหม ลมอะไรพาคิวท์บอยคณะบริหารมาถึงคณะเราวะไอ้ไม้” เสียงยียวนกวนประสาทของพี่ทัชดังขึ้นพร้อมกับพวกเทพบุตรวิศวะที่เหลือที่เดินเข้ามา


“มึงก็ชอบไปแกล้งมันเนอะไอ้ทัช”


“แหม พ่อคนดีของน้อง”


“อย่าว่าพี่มินของผม” ผมออกตัวปกป้องพี่มินจากปากหมาๆ ของพี่ทัชก่อนที่พี่ปั่นจะเอามือหนักๆที่ไม่เคยเบามือเบาแรงกับผมสักครั้งมาผลักหัวผมจนทรงผมที่เซตมาเสียทรงหมด


ที่จริงแล้วในภาคค่ำยังมีกิจกรรมใหญ่อย่างการประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยแต่ผมไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเพราะไม่มีสิทธิ์เข้าหอประชุมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการกลับห้องไปนอนกับเจ้ากำปั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่คิดได้ตอนนี้ ว่าแต่นี่ผมยังไม่ได้เจอหน้าไอ้เพื่อนรักทั้งสองคนตั้งแต่เช้าเลยพวกมันคงวุ่นๆ อยู่กับไอ้เหนือมัน


ผมบอกลาพวกพี่มินก่อนจะเดินตามพี่ปั่นที่เอาแต่ทำหน้าดุใส่ผมไปที่รถ ไม่มีเคยบอกเขาหรือยังไงว่าทำแบบนี้ไม่มีคนอยากคุยด้วยหรอกโว้ยยยยยยย


“หน้ามึน”


“...”


“มึงเงียบใส่กู”


“เปล่า” จะไม่ให้เงียบใส่ได้ยังไงวะ ก็ในเมื่อตั้งแต่ขึ้นรถมาพี่ปั่นแทบไม่ได้เปิดปากพูดอะไรสักคำเดียว แถมยังดึงหน้าโหดใส่ผมไม่หยุดสักที จะให้พูดคนเดียวเหรอ



ตื้ด~


คิดว่าในวันนี้สิ่งที่ถูกจังหวะที่สุดน่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือของพี่ปั่นที่สั่นแจ้งเตือนขึ้นอย่างถูกเวลาแต่เจ้าตัวกลับไม่หยิบขึ้นมารับสายสักทีปล่อยมันสั่นอย่างกับเจ้าเข้าอยู่อย่างนั้นแหละ น่ารำคาญเสียไม่มี รับสายไปสิโว้ยจะได้มีคนคุยด้วยจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับผม


“รับสายสิ”


“มึงรับแทนดิ”


“ไม่! ไม่ใช่เรื่อง”


“กัน รับสาย” เรื่องของตัวเองแท้ๆ ยังจะมาสั่งให้คนอื่นทำเสียงแข็ง มันจะยากอะไรแค่รับสายโทรศัพท์วะ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่ยังสั่นอยู่ของพี่มันขึ้นกดรับสายโดยที่ไม่ได้อ่านชื่อว่าใครเป็นคนโทรมา



“ครับ”


[ปั่น นี่ปั่นอยู่ที่ไหน]


“เอ่อ..พี่ปั่นขับรถอยู่ครับ”


[แล้วไหนว่าปั่นจะไปส่งรินไง] ยัยรินอะไรนี่ยังส่งเสียงแหลมๆออกมาไม่หยุดตั้งแต่ผมรับสาย นี่ไม่คิดว่าคนอื่นเขาจะรำคาญบ้างหรือยังไงวะ แล้วผมก็ไม่ใช้พี่ปั่นทำไมต้องมานั่งฟังอะไรแบบนี้ แต่เจ้าตัวเขาดันนั่งยิ้มระรื่นเฉย


“ผมไม่ทราบครับ”


[แต่พี่ชายของน้องผิดสัญญาพี่]


“ขอโทษนะครับ ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องรู้ อีกอย่างผมไม่ได้เป็นแค่น้องชายครับ” ผมกดวางสายทันทีก่อนป้าแกจะปรอทแตกส่งเสียงโวยวายแหลมบาดหูออกมาอีก




“หึ” หึ ห่าอะไรวะ มีหน้ามาขำทั้งที่ตัวพี่ปั่นเองควรรับชะตากรรมฟังเสียงสิบแปดหลอดของยัยป้ารินเมื่อสักครู่ไม่ใช่ผม อยากต่อยหน้าให้ แล้วไม่ดึงหน้าโหดเหมือนโกรธหมาแถวบ้านมาแล้วหรือยังไง ยิ้มสะใจอย่างกับผมยอมคืนดีกับตัวเองแล้วเสียอีก


“ขำทำมะเขืออะไร ไม่ตลก”


“ไม่ได้เป็นแค่น้องชาย แล้วเป็นอะไรอะครับ”


“...” ทำไมผมถึงรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนๆ แปลกๆ หลังจากได้ยินประโยคล้อเลียนด้วยน้ำเสียงยียวนของพี่ปั่นวะ แล้วผมเป็นบ้าอะไรถึงพูดแบบนั้นกับยัยป้ารินนั่นไป


“น้องกันครับ เป็นอะไร”


“ขับๆ ไปดิรถอะ”


“หึ” อยู่ๆ ผมก็ขนลุกไปทั้งตัวกับการที่พี่ปั่นยังล้อเลียนผมไม่หยุดแถมยังมาพูดจาเพราะๆ ใส่อีก













ผมพึ่งรู้ว่าการมีสิ่งมีชีวิตมาอยู่ร่วมห้องด้วยจะอึดอัดขนาดนี้ สิ่งมีชีวิตที่ผมกำลังพูดถึงไม่ใช่เจ้าแมวอ้วนอย่างกำปั้นแต่เป็นเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ขี้เกียจทำงานของตัวเองมัวแต่มาอู้นอนเล่นกับแมวอยู่ในห้องของผม ทั้งที่ตอนแรกกะว่าจะกลับห้องมานอนแต่กลับกลายเป็นโดนพี่ปั่นยึดเตียงอย่างกับเป็นเจ้าของห้อง แล้วแมวเนี่ยทั้งที่ผมเป็นคนอยากได้เอง ตอนจะซื้อก็ต้องขออยู่เป็นสัปดาห์กว่าจะอนุญาตให้ซื้อแต่พี่ปั่นดันมาติดเจ้ากำปั้นมากกว่าผมเสียอีก รักกันปานจะกลืนกิน มีช่วงสองเดือนที่เลิกกันไปที่ผมเอากำปั้นกลับไปอยู่บ้านด้วยในช่วงปิดเทอม ผมก็แอบสงสารพี่ปั่นที่ไม่ได้เจอไอ้อ้วนลูกรักเลย


ผมปล่อยให้พี่ปั่นนอนเล่นกับแมวบนเตียงไป ส่วนตัวผมก็นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟาจนรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นทั้งแมวทั้งคนหลับไปแล้วทั้งคู่ ผมลุกขึ้นปิดม่านในห้องเพื่อให้แสงไม่แยงตาร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียง ดูจากสภาพคงเหนื่อยพอสมควรแถมยังรับหน้าที่เฮดว้ากคงไม่ค่อยได้พักผ่อน ไหนๆ ก็หลับกันแล้วถึงทีผมพักผ่อนบ้างแล้วแหละ ผมเดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาเพื่อพักสายตาสักครู่กะว่าช่วงค่ำๆ จะเข้ามหาวิทยาลัยไปหาไอ้เหนือมันหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าพี่เทคไม่เคยไปให้กำลังใจ


**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
พี่ปั่นคนกาก
{7}


‘ทั้งปั่นประสาทปั่นหัวใจ~

~ จะเป็นใครถ้าไม่ใช่ผม’


บางคนเรียกผมว่าเทพบุตร บางคนเรียกอนาคตพ่อของลูก อีกหลายๆ คำนิยามที่ผมได้รับมา ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่ได้มาเพราะ...รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีตามฉบับพิมพ์นิยม


ทั้งที่ความจริงแล้วผมกลับรู้สึกว่าผมเป็นแค่นิสิตธรรมดาคนหนึ่งในมหาวิทยาลัย ที่ควรได้รับโอกาสให้ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ไม่ต้องมีคนคอยติดตามว่าชีวิตผมในแต่ละวันทำอะไรไปที่ไหนหรือไปกับใคร ไม่ต้องมีคนโยนภาระและตำแหน่งสำคัญต่างๆ มาให้แบกรับ ผมรู้สึกภูมิใจทุกครั้งคิดย้อนกลับไปวันที่สละตำแหน่งเดือนตอนปีหนึ่งเพราะมันคือการตัดสินใจที่ผมคิดละเลือกทำในสิ่งที่ถูกสำหรับตัวผมเอง แต่แล้วพอขึ้นปีสามผมกลับต้องโดนโยนตำแหน่งที่มีภาระหนักอึ้งกว่ามาให้รับผิดชอบ..

...‘เฮดว้าก’



ผมไม่เคยแม้แต่อยากเก็บเรื่องของคนรอบตัวที่ไม่ใช่คนสำคัญของชีวิตมาใส่ใจ ไม่เคยแม้แต่จะปลิปากด่าใครเพราะการที่ผมจะด่าหรือตำหนิมันต้องเกิดจากความหวังดีและความใส่ใจที่มีให้กับคนคนนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ผมกลับต้องมาทำเรื่องแบบนั้นกับเด็กปีหนึ่งทั้งรุ่น ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้างเพราะผมมีเพื่อนที่สามารถระบายได้ทุกอย่างและเข้าใจสิ่งที่ผมเป็นได้ดีอย่างไอ้ทัช คนรอบตัวหลายๆ คนอาจจะมองว่าไอ้ทัชปากปีจอแต่สำหรับผมมันคือกระบอกเสียงและผู้ช่วยที่ดีที่สุดในการทำงานในตำแหน่งเฮดว้ากของผม


ถ้าถามว่าทำไมภาระใหญ่นี้ถึงตกมาอยู่ที่ผม เหตุผลสั้นๆ กับคำว่า ‘กระแส’ ผมจำเป็นต้องทำตามคำขอของพี่ปีสูง ผนวกกับช่วงที่ผมอกหักกับเรื่องของคนคนหนึ่งอยู่พอดีทำให้การหาอะไรยุ่งๆมาทำน่าจะเป็นทางออกที่ดีในการลืมเรื่องเศร้าๆ ได้บ้าง แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดสิ


ที่จริงแล้วคนอย่างผมไม่ควรมีปัญหาเรื่องความรักมาให้เครียดด้วยซ้ำไปเพราะมีคนที่พร้อมจะเสนอตัวมาพูดคุยคบหากับผมอยู่ตลอด แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าคนเหล่านั้นที่เข้ามาทำให้ผมมีความสุขได้เลยสักคนเดียว ทำให้ผมเลือกที่จะปิดใจตัวเองมาโดยตลอดจนกระทั่งช่วงค่ายอาสาตอนปีสองที่ผมต้องไปเก็บชั่วโมงกิจกรรมร่วมกับปีหนึ่งคณะอื่นด้วยการไปปลูกป่าบนเขา ทำให้ผมเจอกับไอ้เด็กหน้ามึนคนหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะทำให้ผมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้...







ถ้าย้อนไปในช่วงแรกที่เจอกัน ไอ้กันก็แค่เด็กผู้ชายเตี้ยๆ ที่ปากดีคนหนึ่ง แต่ด้วยความที่มันเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องในมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ทำให้มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร หรือถูกพูดถึงมากแค่ไหน ผมก็รู้สึกดีที่มันเห็นผมเป็นรุ่นพี่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง


ตั้งแต่กลับจากค่ายอาสาในครั้งนั้นผมก็แทบไม่ได้เจอมันอีกเลย จนผมเริ่มรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป อาจจะเป็นเพราะไม่มีเด็กปากดีมาคอยนั่งหน้ามึนกวนตีนผม หรืออาจจะเป็นเพราะผมตกหลุมรักเด็กหน้ามึนคนนนั้นไปแล้วก็ได้


ความจริงคือสิ่งที่ต้องพิสูจน์ ผมตัดสินใจว่าต่อให้การพิสูจน์ครั้งนี้ผลจะออกมาเป็นยังไงไม่ว่าผมจะชอบมันจริงๆ หรือแค่รู้สึกกับมันแค่น้องชาย ผมก็อยากจะลองให้โอกาสหัวใจตัวเองได้พิสูจน์สักครั้ง และคำตอบที่ผมได้จากการพิสูจน์ครั้งนี้ก็คือ...

...ผมรู้สึกกับเด็กผู้ชายคนนี้มากกว่าน้องชาย


ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ชายทั้งแท่งอย่างผมจะรู้สึกชอบหรือตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งโดยที่ไม่ได้มองว่าเพศของคนคนนั้นเป็นเพศไหน แต่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมแล้ว และผมคิดว่าถ้าจะปฏิเสธหัวใจตัวเองเพียงเพราะเรื่องเพศผมก็โคตรไม่แมนเลยว่ะ


ผมตัดสินรุกหนักตามจีบไอ้กันทุกวิธีโดยที่มีเพื่อนของผมทั้งกลุ่มช่วยเหลือ ผมไม่เคยจีบใครมาก่อน เพราะแฟนเก่าที่เคยคบมาส่วนใหญ่ก็เข้ามาหาผมเองทั้งนั้น การต้องมาตามจีบใครสักคนจึงเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผม แถมไอ้คนที่ผมจีบก็ดันเป็นผู้ชายด้วยยิ่งยากขึ้นไปใหญ่


หลังจากที่ผมตามวุ่นวายในชีวิตมันอยู่นานด้วยความพยายามอย่างหนักผมก็ตัดสินใจขอคบกับมัน ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ถือว่าแย่เพียงแต่ผมมีกฎอย่างหนึ่งในชีวิตคือผมไม่ชอบความวุ่นวายไม่ชอบให้ใครมาติดตามเรื่องส่วนตัวของผม เพราะฉะนั้นการคบกับไอ้กันคราวนี้ผมก็ไม่ต้องการให้ใครนอกจากเพื่อนสนิทผมรู้ ผมปิดเรื่องทั้งหมดเพราะรำคาญเรื่องที่จะตามมาทำให้ช่วงเวลาที่คบกันกับไอ้เด็กหน้ามึนเป็นทั้งช่วงเวลาที่ผมมีความสุขและช่วงเวลาที่แสนจะอึดอัดไปพร้อมๆ กัน


จนกระทั่งเรื่องบ้าๆ อย่างหนึ่งเข้ามาในชีวิตของผม รินดาวคณะวิศวกรรมศาสตร์รุ่นเดียวกับผมดันมาสารภาพรักกับผมต่อหน้าคนทั้งคณะในวันวาเลนไทน์ ข่าวเรื่องนี้ดังไปทั่วมหาวิทยาลัยจนเป็นกระแสใหญ่ ทั้งๆที่ผมตั้งใจจะพาเด็กหน้ามึนของผมไปกินข้าวที่บ้านในวันครบรอบกับครอบครัวแท้ๆ แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นสิ่งที่ผมได้รับในตอนเย็นของวันนั้นคือ..


“พี่ปั่น”


“อือ”


“เหนื่อยไหม อึดอัดไหม”


“ก็..”


“ผม..เริ่มไม่มีความสุขแล้วว่ะ ผมอยากกลับไปเป็นแค่ไอ้กันที่ไม่ต้องระวังอะไร ไอ้กันที่เป็นคนธรรมดา”


“...” ผมดึงตัวร่างบางที่มีน้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลออกจากตามากอดแน่น อย่าพูดคำนั้นออกมาได้มั้ยวะกัน กูไม่อยากได้ยิน แต่กูก็หาทางออกของเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน


“ผมโคตรไม่เหมาะกับพี่เลย ผมว่าเรา..เลิกกันเถอะ”


“กัน ฟังกูก่อนดิ”


“ไม่เอาแล้ว ผมเหนื่อยกับความอึดอัดแบบนี้แล้ว ขอโทษนะ” ทันทีที่ผมพูดจบมือเล็กๆ ก็ปาดน้ำตาตัวเองออกพร้อมกับเดินออกจากห้องผมไปเลย ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่ง โดนทิ้งมันเจ็บอย่างนี้เองเหรอวะ มิน่าคนเราถึงอินกับเพลงเศร้าได้ขนาดนั้น ตัวมันชาไปหมดจนไม่มีความรู้สึกอะไรแม้แต่การหายใจของตัวเองยังลืมไปเลย





ผมใช้เวลาดื่มด่ำกับช่วงชีวิตที่ไม่เคยพบเจออย่างการอกหักตลอดปิดเทอม วันๆ สิ่งที่ผมทำคือการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมากินบนห้องคนเดียวพร้อมกับเปิดเพลงเศร้าไปเรื่อยๆ จนหลับไปทุกคืน ไอ้ทัชบอกว่าผมทำตัวเหมือนเด็กมัธยมที่อกหักครั้งแรก ก็จริงอย่างที่ไอ้ทัชมันว่า ทั้งที่ยังไม่ได้ผูกพันกันมากขนาดนั้นแต่การจากลาของใครสักคนที่มีค่ามากกับชีวิตทำให้คนคนหนึ่งเป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ




นี่สินะ..การอกหัก




เวลาแต่ละวันผ่านไปช้าราวกับเข็มของนาฬิกาหยุดรอให้ใครสักคนกลับเข้ามาในชีวิตของผม น้ำเน่าเสียไม่มี







จนกระทั่งเปิดเทอมผมได้รับหน้าที่สำคัญจากรุ่นพี่ในการเป็นเฮดว้ากของภาควิชาทำให้ต้องมีการเตรียมตัวและการทำงานที่หนักขึ้นจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องของเด็กคนนั้น ผมทุ่มเทเวลาและความคิดไปกับงานที่ได้รับมอบหมาย แต่แล้วเหมือนผมโดนแกล้ง..


เช้าวันเปิดเรียนผมต้องเอาเอกสารรายงานปิดเทอมไปส่งอาจารย์ที่คณะบริหาร และแน่นอนว่าผมเจอไอ้เด็กหน้ามึนคนนั้น ที่สภาพน่าจะยังง่วงอยู่เดินงัวเงียเข้ามาในตัวอาคาร ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไป


“กัน” ผมเรียกชื่อของมันเบาๆ ในขณะที่ประตูลิฟต์ปิด


หลังจากทำธุระเรื่องเอกสารเสร็จเรียบร้อยผมก็ตัดสินใจนั่งรอไอ้เด็กนั่นที่โรงอาหารของคณะมันโดยที่เพื่อนผมก็ไม่ได้ขัดแถมยังสนับสนุนเสียอีกเพราะจะได้นั่งมองสาวบริหารที่เดินผ่านไปมา


เวลาเที่ยงตรงคนที่ผมอุตส่าห์นั่งรอตั้งแต่คนยังมีไม่กี่โต๊ะจนคนหนาตาก็เข้ามาในโรงอาหาร มากับไอ้เด็กเดือนหน้าหล่อนั่นอีกแล้วเหรอวะ ผมหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นไอ้หน้ามึนของผมอยู่กับเพื่อนมันที่ชื่อพี ต่อให้เป็นแค่เพื่อนกันผมก็ไม่ชอบขี้หน้ามันอยู่ดี


ผมนั่งมองจนเด็กนั่นเดินออกจากโรงอาหารไป สงสัยจะกลับหอแล้ว ผมแทบอยากเดินตามไปให้มันรู้แล้วรู้รอดแต่เพราะคนเต็มโรงอาหารไปหมดเดี๋ยวจะเกิดประเด็นอีก


~ถ้าความคิดถึงมันฆ่าคนได้จริงจริง ให้ทายว่าในวันนี้ฉันจะต้องตาย~


“อยู่ดีๆ เปิดเพลงทำไมวะไอ้ห่าทัช”


“เปิดให้เพื่อนรักกูไง”


“อ๋อ กูรู้เลยใคร รู้ตัวไหมมึงอะไอ้ปั่น” ผมละสายตาจากไอ้กันที่เดินออกจากโรงอาหารไปกลับมามองหน้าเพื่อนเวรอย่างไอ้ทัชที่เปิดเพลงล้อเลียนผม


“รู้ตัวอะไรวะ”


“เปล๊าา” ไอ้ไม้ปฏิเสธเสียงสูงเหมือนคิดว่าผมจะโง่ดูไม่ออกว่าพวกมันนินทาผมอยู่














ช่วงบ่ายหลังจากแยกกับเพื่อนกลับคอนโดผมก็ตัดสินใจกดโทรออกในเบอร์ที่ผมไม่ได้โทรหามาพักใหญ่ ผมไม่คาดหวังว่าอีกฝั่งของสายจะรับสายด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนบางคนได้รู้ว่าผมยังไม่หายไปจากชีวิตมัน และไม่อยากให้มันหายไปจากชีวิตผมเหมือนกัน


[โทรมาเงียบหาอาวุธโบราณอะไรของพี่]


“...” ผมแอบแปลกใจที่อีกฝ่ายรับสายของผม แต่จากน้ำเสียงที่รับสายผมรู้เลยว่าไอ้เด็กนี่กำลังนอนกลางวันอยู่แน่ๆ แต่แปลกจังวะ ปกติถ้ามีคนกวนมันตอนนอนมันต้องดูอารมณ์เสียกว่านี้สิ


[อะไรวะ!]


“...” ไม่ทันเท่าไหร่คำสบถจากไอ้กันที่ผมคุ้นเคยก็ลั่นออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดขั้นสุด แถมยังวางสายไปเลยโดยที่ไม่รอฟังผมด้วยซ้ำ ขำดีว่ะได้แกล้งไอ้หน้ามึนนี่


“เด็กน้อยเอ๊ย” ผมพูดเบาๆ กับตัวเอง












ในช่วงเปิดเทอมของมหาวิทยาลัยที่หลายๆคนสนุกสนานกับบรรยากาศการรับน้องและกิจกรรมต่างๆ แต่ผมเองกับรู้สึกเกลียดช่วงเวลานี้ที่สุดเพราะผมต้องทำหน้าที่ที่เครียดที่สุดในการเป็นเฮดว้าก และแน่นอนว่าคนที่ปีหนึ่งจะเกลียดที่สุดในช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้นผม น่าเบื่อเสียไม่มี


ผมเดินลงจากอาคารกลางหลังจากคุยงานกับพี่ปีสูงเป็นที่เรียบร้อยเพื่อตรงไปยังลานด้านข้างของตัวอาคารกลางที่เป็นจุดรวมพลเปิดกิจกรรมเข้าระเบียบรับน้องเป็นครั้งแรกของภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าที่ผมเรียนอยู่



หลังจากผมเดินมาถึงจุดที่ปีหนึ่งรวมกลุ่มกันฟังปีสองอธิบายเรื่องระเบียบอยู่ผมก็หันไปเจอกลุ่มปีหนึ่งของคณะบริหารที่อยู่ใกล้กับภาคของผม เพียงแต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นสาขาอะไรใช่สาขาของคนบางคนที่ผมอยากเจอหรือไม่ ผมไล่สายตามองปีสองที่ยืนคุมปีหนึ่งของคณะบริหารกลุ่มนั้นอยู่จนกระทั่งผมสายตาผมไปสะดุดเข้ากับไอ้หน้าหล่อเพื่อนไอ้เด็กหน้ามึนที่ยืนคุยกับใครสักคนอยู่ และผมมั่นใจว่าเด็กผู้ชายที่ยืนคุยกับไอ้หน้าหล่ออยู่ตอนนี้ต้องใช่ไอ้เด็กหน้ามึนคนนั้นอย่างแน่นอน


ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองคนนั้นทันทีแต่ดูเหมือนไอ้หน้าหล่อนั่นจะรู้ตัวก่อนจนเดินหนีไป เหลือแต่ไอ้เด็กหน้ามึนของผมที่ยังยืนงงอยู่


“กัน”


“อะไร” เสียงขานรับเบาๆ สั่นเครือของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าทำเอาใจผมสั่นไปหมด หมดกันอารมณ์ที่บิ้วมาเพื่อว้ากน้อง โดนเด็กผู้ชายหน้ามึนตรงหน้าพังลงหมดแล้ว



ป๊อก!


ผมดีดหน้าผากเด็กหน้ามึนที่ยืนทำหน้าเหลอหลาอยู่ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ทำแบบนี้กับมันวะ โคตรคิดถึงเลยว่ะอยากดึงมากอดชิพหายแต่ทำได้แค่ดีดกบาลแล้วลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู


“ไอ้!”


“ถ้าเสร็จงานแล้วกูไม่เห็นมึง..กูตามถึงหอแน่” ผมไม่รอให้ไอ้เด็กตรงหน้าด่าผมจนจบประโยค ผมแทรกขึ้นมาทันทีด้วยประโยคขอร้องที่ดูเหมือนจะเป็นประโยคคำสั่งมากกว่าว่าให้มันรอจนกว่าผมจะทำกิจกรรมเสร็จ


ผมเดินกลับภาคของตัวเองที่กำลังดำเนินกิจกรรมไปเรื่อยๆ โดยที่คอยแอบหันไปมองไอ้เด็กนั่นตลอด นี่ผมเป็นถึงขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนกันวะ


ยิ่งเมื่อสักครู่ที่ได้อยู่กับน้องมันสองต่อสองแม้จะแค่ไม่กี่นาทีผมยิ่งรู้เลยว่าความรู้สึกผมที่มีกับไอ้เด็กนี่ยังไม่หมดไป แถมยังเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ ผมควรทำยังไงให้ได้ของที่เคยเป็นของผมกลับมาวะ ค่อยๆ คิดไปละกันไอ้ปั่น


“ไปไหนมาวะ”


“ไม่เสือก” ผมตอบไอ้ทัชที่ทำหน้าล้อเลียนท่าทางของไอ้เด็กหน้ามึนนั่นใส่ผมอยู่ รู้ทั้งรู้ก็ยังจะถามกูไอ้เพื่อนเวร












หลังจากเสร็จกิจกรรมวันแรกและพูดคุยสรุปงานเสร็จผมก็รีบขอตัวเดินมาทางโต๊ะหินอ่อนที่มีเด็กขี้เซานั่งฟุบหลับอยู่ทันที ผมเลือกที่จะไม่ปลุกน้องมันแต่ปล่อยให้มันนอนสักพักใหญ่ๆ โดยที่ผมคอยนั่งพัดไล่ยุงไล่แมงให้เพราะกลัวว่าไปปลุกมันตอนพึ่งหลับแล้วเดี๋ยวตื่นมาจะงอแง


“กัน”


“อือ”


“ตื่น”


ผมวางเสื้อช็อปของตัวเองที่พึ่งถอดลงบนโต๊ะพร้อมกันปลุกคนขี้เซาที่หลับมาพักใหญ่ พอเจ้าตัวลืมตางัวเงียตื่นขึ้นมาก็มองซ้ายมองขวาใหญ่เลยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูเวลาแล้วส่งเสียงดังอย่างกับมีขโมยขึ้นบ้านมัน


“เชี่ย!”


“เป็นอะไรของมึง”


“ทำไมพี่่ไม่ปลุกวะ” ตื่นขึ้นมาก็โวยวายใหญ่เสียจนผมตกสะดุ้ง อะไรของมันวะกวนตอนนอนก็อารมณ์เสีย พอไม่ปลุกก็อารมณ์เสีย งอแงชิพหายเด็กน้อย


“ก็กูเห็นมึงกำลังหลับสบาย”


“บ้านป้าพี่สิ” ด่าป้าผมเฉย ไอ้เด็กเวรนี่ถ้าได้คืนมาเมื่อไหร่นะพ่อจะสั่งสอนให้หลาบจำ


“ไปได้แล้ว”


“ไปไหน?”


“กินข้าวสิวะ” ผมตอบพร้อมกับหยิบเสื้อช้อปขึ้นมาพาดบ่าตัวเอง แล้วลุกขึ้นยืน ส่วนไอ้เด็กหน้ามึนก็เอาแต่ทำหน้าเหมือนหมางง ไม่ลุกสักทีคงได้กินข้าวสักตีสามมั้ง


“อ้าวเหรอ”


“เออดิ”








หลังจากที่ผมพาไอ้เด็กหน้ามึนของผมไปกินข้าวที่ร้านแถวมหาวิทยาลัยแล้ว แถมยังพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าพูดไปด้วยก็คือ ขอให้มันกลับมาคบอีกครั้ง ถึงผมจะดูไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่พูดตอนนั้น แต่ไอ้กันมันก็คงดูออกว่าผมก็ไม่ได้ล้อเล่นกับสิ่งที่มันได้ยินจากปากผมไป


ผมตั้งใจจะพาไอ้เด็กนี่กลับไปนอนที่คอนโดผมด้วย ซึ่งไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากแค่ความคิดถึง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้นอนกอดมันวะ พูดแล้วก็อยากให้รถเหาะข้ามการจราจรที่ติดขัดด้านหน้าไปให้ถึงคอนโดเร็วๆ


ระหว่างทางผมก็ไม่ได้ชวนไอ้กันคุยอะไรเพราะคิดว่าต่อให้ชวนคุยมันก็คงจะวางฟอร์มหลงตัวเองว่าหล่อของมันไม่พูดไม่จากับผมแน่นอน ต้องรอมันชวนคุยเองดีกว่า บรรยากาศในรถจึงเงียบเสียจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของคนข้างๆ จนกระทั่งเพื่อนของมันโทรมาซึ่งก็น่าจะเป็นไอ้หน้าหล่อนั่น


“พี่ปั่น”


“ว่าไง”


“จะพาไปไหน?” สุดท้ายเด็กหน้ามึนมันก็พึ่งสังเกตว่าทางพี่ผมพามันมาไม่ใช่ทางกลับหอตัวเอง ถ้าโดนลักพาตัวคงไม่หือไม่อือจนไปถึงไหนต่อไหนแล้วสินะ ไอ้เด็กบ๊องเอ๊ย


“...”


“ไอ้พี่ปั่นผมจะกลับ!”


“ได้” ผมตอบไปแค่คำว่าได้ ก่อนน้องมันจะหลับไปตามสไตล์เด็กขี้เซาของมัน หลอกง่ายจังวะ ได้คือ..ได้กลับคอนโดกูไงไอ้เด็กน้อย














บรรยากาศตอนเช้าของการเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่สามของผมก็เป็นไปตามปกติ เพียงแต่วันนี้เป็นวันที่ผมรีบมามหาวิทยาลัยเป็นพิเศษเพราะต้องพาไอ้เด็กหน้ามึนไปส่งที่หอในตอนเช้าและเลยมาที่มหาวิทยาลัยเลยจะได้ไม่เสียเวลาขับไปขับมา กว่าเพื่อนผมจะมาถึงมหาวิทยาลัยผมก็ดื่มกาแฟหมดไปสองแก้วแล้ว


“มาเช้าจังวะไอ้ปั่น”


“กูไปธุระมา” ผมตอบไอ้ทัชที่มาถึงเป็นคนที่สองของกลุ่ม หน้าแม่งยังดูสะลึมสะลือชิพหายดูออกเลยว่าเมื่อคืนมันคงจัดหนักโต้รุ่งเล่นเกมตามสไตล์มัน


“ธุระอะไรวะ”


“เหอะน่า”


“อรุณสวัสดิ์พวกมึง” ไอ้มินที่พึ่งมาถึงพร้อมกับไอ้ไม้ยกมือทักทาย ว่าแต่ไอ้สองตัวนี้ช่วงหลังๆ อยู่ด้วยกันบ่อยแปลกๆ ว่ะ แต่ก็ช่างเถอะไอ้ไม้ผู้หญิงงรุมล้อมชิพหายไม่น่าเป็นอย่างที่ผมคิด


“ไอ้ไม้ ไอ้มิน เพื่อนมึงมันไปกกสาวมาแน่นอน”


“จริงหรอวะไอ้ปั่น”


“มึงมั่วแล้วไอ้ห่าทัช” ผมปฏิเสธข้อกล่าวหาไอ้ทัชไป ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปกกสาวว่ะใช้เวลาอยู่กับเด็กผู้ชายหน้ามึนคนนั้นทั้งคืน และแทบจะใช้คำว่ากกไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะดันต้องมานอนโซฟาทั้งๆ ที่เป็นเจ้าของห้อง เวรเสียไม่มี


“มึงหน้าตาดูมีความสุขแปลกๆ แถมยังมามอเช้าผิดปกติอีก”


“กูปกติ”


“เอ๊ะหรือ..กูว่าแล้ว กูเห็นไอ้กันลงจากรถมึงเมื่อเช้าที่หอ” ผมลืมไปสนิทเลยว่าไอ้ทัชมันอยู่หอเดียวกับไอ้กันมัน ชิพหายแล้วผม ไอ้ทัชรู้โลกรู้แน่นอน


“เพื่อนกูมันเด็ดว่ะ ขอคืนดีก็ได้กันตั้งแต่คืนแรกเลยเหรอวะ” ไอ้ไม้พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ได้ก็เหี้ยแล้วเพื่อนคบกันตั้งนานยังได้แค่นอนกอด นี่ขอคืนดี อยู่ใกล้สองเมตรก็บุญกูแล้ว


“หยุดเลยพวกมึง กูยังไม่ได้คืนดีกันและยังไม่...”


“อ๋ออออออ ไอ้ปั่นคนกาก ไอ้ปั่นคนกาก” ไอ้ทัชลุกขึ้นพร้อมกับวิ่งล้อผมไปรอบๆ ห้อง ดีที่อาจารย์ยังไม่มา ไอ้ห่าทัชเดี่ยวเถอะมึง


ยังไงไอ้ปั่นคนกากนี่แหละจะพาเมียมาอวดพวกมึงแน่ รอก่อนเถอะมึง ผมเชื่อว่าผมทำได้ กับแค่เด็กหน้ามึนคนนึงที่เคยเป็นของผม ผมจะเอามันกลับมาเป็นของผมให้ได้ และผมจะไม่มีทางปล่อยมันไปอีกเด็ดขาด




**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2019 02:19:08 โดย .ปีกนกฮูก »

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ไม่ได้เป็นอะไรกัน
{8}



ผมรู้สึกว่ามีสัมผัสอุ่นๆ มาแตะที่แก้มของผมอย่างอ่อนโยนก่อนที่สัมผัสนั้นจะเริ่มออกแรงบีบที่แก้มและใบหน้าของผมจนทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองทันที ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มือหนาที่ไม่เคยผ่อนแรงเบามือบีบเข้าที่แก้มพร้อมกับดึงหน้าผมเล่นขณะที่ผมนอนอยู่


“โอ้ย!”


“ตื่นได้แล้ว นอนเยอะจนหน้าบวมแล้วมึงอะ”


“ไม่บวมเถอะ พี่กวนผมอะพี่ปั่น!!” ผมลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเอามือลูบแก้มตัวเองปอยๆ หลังจากโดนมือหนักๆ ของคนตรงหน้าที่นั่งอยู่บนพื้นบีบเล่นอย่างรุนแรงเหมือนกับหน้าผมเป็นลูกบอลยาง


“ค่ำแล้วจะเข้ามอ”


“อือ จะไปเหมือนกัน” ผมตอบพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบกุญแจรถตัวเองก่อนจะมีคนสกัดดาวรุ่งมาแย่งกุญแจรถผมไป แถมยังทำหน้านิ่งอย่างกับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่


“เห้ย ของผม”


“ไปกับกู เปลืองน้ำมัน”


“ไม่เอา”


“กัน กูจะไม่พูดซ้ำ”


“ก็ได้” ผมเดินคอตกเข้าห้องน้ำไปเพื่อแต่งตัวจัดทรงผมให้เรียบร้อยหลังจากหลับไปพักใหญ่ สุดท้ายก็เอาชนะพี่ปั่นไม่ได้ เอาแต่ใจตัวเองชะมัด


“เร็วๆ ด้วย กูรีบ”


“ถ้ารีบก็ไปก่อนเลยสิ”


“กัน ถ้ามึงกวนกูอีกนิดกูจะไม่ให้มึงไปมอ” เสียงของไอ้คนหน้ายักษ์ใจมารดังผ่านประตูห้องน้ำเข้ามาทำให้ผมต้องรีบเซตผมและแต่งตัวให้เรียบร้อยอย่างว่องไว เร่งเก่งชิพหาย ไม่ปลุกตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วเลยล่ะ


หลังจากมาถึงที่มหาวิทยาลัยแล้วผมกับพี่ปั่นก็ต้องแยกกันเพราะทางคณะวิศวกรรมศาสตร์น่าจะต้องมีการประชุมอธิบายเรื่องระเบียบอะไรบางอย่างและการเตรียมงานกีฬามหาวิทยาลัยประจำปีเท่าที่ฟังพี่ปั่นเล่ามา ส่วนผมก็นั่งรอไอ้แป้งไอ้พีที่พึ่งออกจากงานมาหลังจากกิจกรรมประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยจบลงเป็นที่เรียบร้อยอยู่บริเวณหน้าหอประชุม


เท่าที่ผมอ่านจากข่าวในโซเชียลมีเดียต่างๆ ของมหาวิทยาลัยที่ต่างก็ลงผลการประกวดดาวเดือนประจำปีนี้อย่างรวดเร็ว ผมต้องแสดงความยินดีอย่างสูงสุดกับน้องเทคตัวแสบอย่างไอ้เหนือที่คว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยมาครองได้ ซึ่งถือว่ายากมากที่เด็กบริหารจะได้ตำแหน่งนี้เพราะส่วนใหญ่ก็จะเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์หรือแพทยศาสตร์ได้ไป


“ไอ้น้องกัน”


“กว่าจะมาได้นะพวกมึง”


“คนก็เยอะ กว่ากูจะออกมาได้ อย่าบ่น” ไอ้แป้งที่แบกกระเป๋าพะรุงพะรังโวยวายตามสไตล์ของมันก่อนที่ผมจะเข้าไปช่วยมันถือของที่มันแบกออกมาจากหอประชุม ว่าแต่ทำไมไอ้เหนือมันถึงออกมากับเพื่อนผมวะ มันไม่อยู่ดูคอนเสิร์ตต่อกับพวกปีหนึ่งเหรอวะ


“พี่ รอผมด้วยสิ”


“ไอ้เหนือ มึงไม่อยู่ต่อเหรอ”


“ไม่อะพี่กัน ผมหิว” แปลกคนชิพหายวะไอ้เด็กคนนี้ ทั้งที่มีวงดนตรีดังระดับประเทศมาเล่นให้ปีหนึ่งดูแท้ๆ แต่กลับออกมากินข้าวเสียอย่างนั้น


“อ๋อ เออไปสิกูก็หิว”


“เออไปเหอะ รถมึงนะไอ้พี” เสียงโหยหวนด้วยความเหนื่อยล้าเกินจริงของไอ้แป้งดังขึ้น เล่นใหญ่กว่ามึงกูว่าน่าจะหาดูได้ที่รัชดาลัยแล้วแหละเพื่อน











ผมเริ่มสังเกตอาการแปลกๆ ของไอ้พีที่เป็นเพื่อนสนิทได้ตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว เพราะจู่ๆ ไอ้เด็กเหนือก็มาแย่งหน้าที่คนขับรถไป แถมยังดูเอาอกเอาใจเพื่อนผมแปลกๆ อีก เอ๊ะหรือว่า บ้าน่า อย่างไอ้พีเนี่ยนะ


จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารไอ้พีกับไอ้เหนือก็ยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว มีก็แต่ไอ้แป้งที่บ่นเรื่องการจัดการของงานในปีนี้และความวุ่นวายที่เกิดขึ้น รวมถึงเล่าเหตุการณ์ตอนประกวดทั้งหมด ส่วนผมก็ได้แต่นั่งฟังมันเงียบๆ ตอบรับบ้างเป็นบางช่วง


“ไอ้พี มึงจะกินอะไร”


“เอากะเพรากุ้งเหมือนผมเลยก็ได้พี่กัน” คำถามของผมแทนที่จะเป็นเจ้าตัวอย่างไอ้พีตอบ แต่กลับเป็นไอ้น้องเทคอย่างไอ้เหนือมาตอบแทน อะไรกันวะ ส่วนไอ้เจ้าตัวดันเอาแต่นั่งนิ่งเล่นโทรศัพท์มือถือเฉย


“อ่อ เอาเท่านี้ครับพี่แล้วก็น้ำสี่แก้ว” ผมส่งเมนูคืนให้พนักงานที่มารับรายการอาหารก่อนจะกดรับสายโทรศัพท์ที่มีคนโทรเข้าพอดี


“มีอะไร”


[อยู่ไหน]


“ร้านข้าว”


[กับใคร]


“เพื่อน” ผมกรอกน้ำเสียงเซ็งๆ ตอบอีกฝั่งของสายไป ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพี่ปั่น ต้องตัวติดผมตลอดเลยหรือยังไง ได้ข่าวไม่ได้เป็นอะไรกันนะ


[โกหก]


“โกหกอะไร ก็เพื่อนผมเนี่ย”


“ไอ้หน้าจืดนี่ใคร” มือปริศนาที่โผล่มาจากด้านหลังผมชี้ไปที่เดือนมหาวิทยาลัยคนล่าสุดอย่างไอ้เหนือ แล้วพี่ปั่นมาตั้งแต่ตอนไหนวะ


“มาได้ยังไงวะ”


“ไอ้นี่ใคร” นอกจากไม่สนใจสิ่งที่ผมถามแล้วพี่ปั่นก็เอาแต่ถามว่าไอ้เหนือคือใครแถมยังมองน้องมันอย่างกับจะหักคอมันตอนนี้เลยเสียอีก


“น้องเทคผมไง แล้วพี่มาทำไมเนี่ย”


“มารับมึง”


“ไม่ต้อง ผมกลับกับไอ้พี” ผมพยายามแกะมือปลาหมึกที่จับข้อมือผมแน่นจนแกะแทบไม่ออก เป็นบ้าอะไรของพี่วะ ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วป่ะวะเลิกเอาแต่ใจตัวเองเสียที สายตาจากคนทั้งร้านเริ่มจ้องมาที่โต๊ะของผมและเริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นจากคนในร้าน


“กลับ”


“ไอ้เหี้ยพี่ปั่น เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะเว้ย อยากกลับก็กลับไปดิวะ เป็นเหี้ยอะไรต้องมาวุ่นวายนักหนาวะ”


“กู..ขอโทษ”


“แม่งเอ้ย” ผมลุกขึ้นตะคอกมันเสียงดังก่อนจะเดินออกจากร้านเพื่อหาที่สงบสติ ตอนที่ผมพูดแบบนั้นกับพี่มันผมเห็นแววตาและสีหน้าของคนตรงหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน จะให้เรียกว่าเศร้าเหรอ คนอย่างพี่มันเคยเก็บเรื่องของผมไปคิดจนเศร้าได้ด้วยเหรอวะ หึ ที่เลิกกันก็เพราะความเอาแต่ใจของตัวมันเองไม่ใช่หรือยังไงที่ไม่ต้องการให้คนรู้ ที่ทำให้ผมอึดอัดกดดันจนทนไม่ไหว ถ้าจะให้ดีเลิกวุ่นวายกับชีวิตผมได้เสียทีก็คงจะดี










“แม่งเอ้ย!” ผมเตะก้อนหินอยู่บนพื้นเพื่อระบายอารมณ์


ที่จริงความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมดของผมมันอาจจะเป็นแค่ความต้องการมีใครสักคนเข้ามาในชีวิตก็ได้ และคนคนนั้นอาจจะไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนบ้าอำนาจอย่างพี่ปั่นก็ได้


แสงไฟสว่างจ้าจากรถยนต์คันหนึ่งที่มาจอดเทียบข้างทางเท้าที่ผมยืนอยู่พร้อมกับลดกระจกรถลงมาจากรถที่ผมไม่ค่อยคุ้นตาสักเท่าไหร่ ก่อนที่จะรู้ว่าเจ้าของรถไม่ใช่ใครอื่นไกล พี่เทคของผมพี่นาย


“ไม่สบายใจอะไรเล่าให้พี่ฟังได้นะ”


“นิดหน่อยครับ” ผมนั่งก้มหน้าเงียบมาพักใหญ่ตั้งแต่ขึ้นรถพี่นาย จนกระทั่งพี่เทคใจดีของผมทำลายความเงียบลงด้วยน้ำเสียงอบอุ่นที่สาวๆ แฟนคลับพี่นายคนไหนได้ยินคงต้องลงไปดิ้นที่พื้นแน่นอน


“พี่เห็นกันทำหน้าเศร้าพี่ไม่สบายใจนะเว้ย”


“พี่จะมาไม่สบายใจแทนผมทำไมล่ะ”


“ก็..”


“ไอ้เหนือได้เดือนมหา’ ลัยด้วยนะพี่” ผมพูดแทรกพี่นายขึ้นมาทันทีเพราะต้องการตัดบทเรื่องที่พี่นายกำลังจะถามผม ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยๆ ถึงแม้พี่นายจะคอยเทคแคร์ผมมาดีตลอดแต่ผมก็ยังไม่ได้สนิทกับพี่นายพอที่จะยอมปล่อยอารมณ์ทั้งหมดออกมาให้พี่นายเห็น


“กัน”


“ครับ”


“กันทะเลาะกับแฟนมาเหรอ”


“ผมไม่มีแฟนครับ” ผมตอบพี่นายไปพร้อมกับมองออกไปที่ด้านข้างให้ภาพวิวของบ้านเรือนที่อยู่ข้างทางผ่านตาไปเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกร้อนๆ ที่ตาผมจึงหลับตาลงเพื่อกลั้นอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองที่พร้อมปะทุออกมาเต็มทีไว้


“กัน”


“...”


“กันมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”


“ผมไม่..”


“พี่อยากให้อย่างน้อยกันมองพี่เป็นพี่ชายคนนึงที่กันปรึกษาและระบายทุกอย่างได้นะ” พี่นายจอดรถที่ริมถนนพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออกแล้วดึงผมที่นั่งหลับตาอยู่เข้าไปกอด ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่น้ำร้อนๆ ที่ไหลออกจากตาไม่หยุดสักที ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของพี่นายไปพักใหญ่


“พี่นาย ผมผิดไหม”


“...”


“ทำไมเขาเป็นคนผิดแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกผิดมาก มากเสียจนผมรู้สึกว่าผมควรกลับไปทำอะไรสักอย่าง”


“แล้วกันไปทำร้ายความรู้สึกใครมาหรือเปล่า”


“แต่ผมทำแบบนั้นก็เพราะ..”


“กันฟังพี่นะ” ประโยคเรียกสติจากคนตรงหน้าที่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสุขุมดูเป็นผู้ใหญ่เสียจนผมที่ฟูมฟายอยู่ต้องนิ่งเพื่อฟัง


“...”


“กันต้องรักคนคนนั้นมากแน่ๆ พี่ว่าถ้ากันรู้สึกผิดขนาดนี้กันกลับไปขอโทษดีไหมครับ”


“แต่..”


“รู้ไหมครับว่าถ้าพี่เป็นกันพี่จะไม่ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดนานหรอก เพราะคนที่ทำให้เรารู้สึกได้ขนาดนี้เขาก็ต้องเป็นคนที่มีผลต่อหัวใจของเรามาก”


“...” ผมได้แต่นิ่งฟังพี่นายพูด ที่จริงแล้วมันก็จริงอย่างที่พี่นายพูดทุกอย่างเลย ทำไมเมื่อสักครู่ผมถึงเลือกที่จะทำแบบนั้นไปทั้งที่อีกฝ่ายมาหาผมก็เพราะความเป็นห่วง ทำไมผมเลือกที่จะปฏิเสธความรู้สึกตัวเองทั้งที่ทุกครั้งที่เจอหน้านิ่งๆ โหดๆ ของพี่ปั่นมันทำให้ผมมีความสุขทุกที


ทั้งที่พี่ปั่นยอมออกจากกฎของตัวเองมาตามติดผม มาคอยดูแลผมโดยที่สนว่าใครต่อใครจะพูดอย่างไร แต่ผมเองที่ไม่ยอมออกจากกฎของตัวเองยังอยู่กรอบบ้าๆ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา


“ในฐานะพี่ชาย พี่อยากให้กันรับผิดชอบการกระทำของตัวเองนะครับ”


“ครับพี่นาย”


“ดีมาก เช็ดน้ำตาได้แล้ว เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมรับผ้าเช็ดหน้าจากมือของพี่นายที่ส่งรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นมาให้ ก่อนที่พี่นายจะขับรถมาส่งผมที่หน้าหอ












“ขอบคุณมากนะครับ”


“สู้ๆ น้องชาย” ผมโบกมือลาคนที่นั่งอยู่ในรถหลังลงจากรถที่หน้าหอ ผมรู้สึกโคตรโชคดีที่มีพี่นายเป็นพี่เทค ถึงแม้จะเป็นพี่เทคที่ไม่ค่อยมีเวลาให้เหมือนคนอื่น แต่พี่เทคคนนี้ก็ทำหน้าที่พี่เทคที่ดีจนผมนับเป็นพี่ชายอีกคนในชีวิตได้เลย


“ไอ้กัน”


“อือ”


“มึงโอเคใช่ไหม มึงลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้าน กูตามหาแทบแย่” ผมรับโทรศัพท์มือถือของผมจากไอ้พีพร้อมกับฉีกยิ้มให้กับเพื่อนรัก เพื่อแสดงว่าผมไม่ได้เป็นอะไร


“มึงตาแดง มึงร้องไห้เหรอวะ”


“เปล่า คนอย่างกูจะร้องได้ยังไง”


“เออ กูจะได้โทรบอกไอ้แป้งว่ามึงไม่ได้เป็นอะไร” ผมพยักหน้าตอบรับไอ้พีก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเพื่อเช็กการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ แต่กลับไม่มีการแจ้งเตือนอะไรเลย


“พีกูขึ้นห้องแล้วนะ”


“อ่าๆ”













ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันทีหลังจากปิดประตูห้องเรียบร้อย วันนี้มันวันอะไรกันวะ เหนื่อยชิพหายผมจะให้นิยามของวันนี้ว่าเป็นวันของผู้ยินดีวันหนึ่งก็แล้วกัน


ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อดูความเคลื่อนไหวของโลกโซเชียลแก่เซ็ง ผมเปิดฟีดข่าวในเฟสบุ้กมาก็พบกับการแสดงความยินดีและการพูดถึงเกี่ยวกันกิจกรรมประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยเต็มไปหมด ผมไล่กดถูกใจให้กับภาพของน้องเทคตัวเองอย่างไอ้เหนือในเพจของทางมหาวิทยาลัยที่ลงภาพผลการประกวด


เมื่อเริ่มเบื่อกับการไถฟีดเฟสบุ้กผมก็สลับมาที่แอปพลิเคชันที่เน้นการแชร์รูปภาพอย่างอินสตาแกรม ผมเลื่อนดูรูปของคนที่ผมติดตามในหน้าหลักไปเรื่อยจนสะดุดเข้ากับภาพหนึ่ง จากแอคเคาท์ที่ผมคุ้นเคย


ภาพถูกโพสต์เมื่อสิบนาทีที่แล้ว ในภาพไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดที่เห็นเพียงแสงสลัวๆ จากระเบียงในภาพ พร้อมกับคำบรรยายประกอบภาพที่ทำเอาผมถึงกับมือชา


Kum_punn
ลืมไปว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่โคตรคิดถึงเลยว่ะ


ผมวางมือถือลงก่อนจะตั้งสติลุกขึ้นไปอุ้มเจ้ากำปั้นเพื่อนรักตัวน้อยของผมมาบนเตียง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าถามว่าอยากจะขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นไหมก็อยากขอโทษ แต่คนอย่างไอ้กันจะมาให้ไปตามง้อก็คงไม่ใช่แนว แถมพี่ปั่นต่างหากที่ต้องเป็นคนมาง้อผม


ผมตั้งกล้องถ่ายรูปตัวเองกอดเจ้ากำปั้นด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะเลือกรูปที่โอเคแล้วโพสต์ลงในอินสตาแกรมของตัวเองพร้อมกับคำบรรยายภาพที่ผมอยากบอกกับใครบางคน และหวังว่าคนที่อยากให้รู้เขาจะเห็นโพสต์นี้ของผม





Gunn_gun
ขออะไร คนอย่างไอ้กันไม่ค่อยพูด เฉลย.. ‘ขอโทษ’ ปิ๊งป่อง!!


ผมวางโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงก่อนจะหยิบชุดนอนและผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ หวังว่าพี่ปั่นจะเห็นสิ่งที่ผมอุตส่าห์ทำให้ ทำเองแล้วก็เขินเองชิพหาย พวกไอ้แป้งไอ้พีล้อผมแน่นอนพรุ่งนี้



ผมไม่รู้ว่าสุดท้ายเรื่องของผมกับพี่ปั่นจะจบลงอย่างไร เราสองคนจะได้กลับมาคบกันเหมือนเดิมหรือไม่ หรือเราจะเป็นได้แค่คนรู้จักในมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจว่าตัวผมเองจะลองเปิดใจให้กับคนคนนี้อีกสักครั้งหนึ่ง และหวังว่าคนคนนั้นเขาจะไม่งอแงหายโกรธผมเร็วๆ


แต่ตอนนี้ผมคงต้องทำให้ไอ้เฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์เขาหายโกรธผมก่อนสินะ เอาเป็นว่าไว้เจอที่มหาวิทยาลัยตอนไหนค่อยว่ากัน คืนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรแล้ว อาบน้ำเสร็จก็คงต้องขอตัวลาไปเฝ้าพระอินทร์แบบยาวๆ เลย


..ฝันดีครับ






**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment  ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ bluepaperwater

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
คิดถึงกันบ้างไหม
{9}




“สรุปทำแผนห้องกูนะ”


“โอเค แล้วไอ้กันไปพร้อมกูไหม”


“...”


“ไอ้น้องกัน!”


“อะ หือ อะไรนะ” ผมสะดุ้งจากภวังค์ทันทีที่ไอ้แป้งจับใบหน้าผมส่ายไปมา ผมไม่ทันได้ฟังว่าเพื่อนพูดอะไรกันเพราะจิตใจผมไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ก็ตั้งแต่คืนนั้นที่มีเรื่อง พี่ปั่นก็ไม่โผล่หน้ามาหาผมที่คณะเลย พอผมไปหาที่คณะก็ไม่เจอแม้แต่เงา


“มึงได้ฟังที่พวกกูคุยกันไหมวะ”


“ไม่อะ พูดใหม่ที” ผมส่ายหน้าไปมาพร้อมกับทำสีหน้างุนงง


“โอ๊ย ใครเอาสติน้องกันของกูไป รีบเอามาคืนที”


“จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เด็กวิศวะที่ไม่โผล่หน้าโหดๆ มาหาเพื่อนกูเป็นวันที่สี่แล้ว ยังต้องเดาอีกเหรอวะไอ้แป้ง” ใช่ รีบเอาสติมาคืนผมทีผมต้องทำงานส่งอาจารย์นะ ผมนั่งมองหน้าเพื่อนสองคนที่แซวเรื่องของผมอย่างออกรสออกชาติ ไปมา


“มึงโทรไปบอกเขาเอาสติมาคืนมันทีไอ้พี”


“พอๆ เลิกแซวมันเดี๋ยวได้น้ำตาไหลพรากๆ”


“ฟังนะน้องกันเพื่อนรัก กูและมึงและมึง ต้องไปทำแผนการตลาดที่อาจารย์นกสั่ง ที่ห้องกู เข้าใจนะลูก” ไอ้แป้งจับใบหน้าผมเงยขึ้นฟังคำพูดหวานๆ พร้อมกับเสียงน่าหมั่นไส้ของมัน จริงด้วย เข้าสู่ช่วงที่ผมกำลังจะโดนสูบเวลานอนของชีวิตไปอีกแล้วสินะ


“เออออออ”










สิ่งที่เด็กการตลาดทุกคนต้องเจอแน่นอนว่าคือแผนการตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทุ่มเทเวลาและความคิดลงไปกับมันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมหาวิทยาลัยของผมที่ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องการประกวดแข่งขันแผนการตลาดเพราะเมื่อองค์กรหรือแบรนด์ไหนจัดการประกวดแข่งขันขึ้น ทีมจากมหาวิทยาลัยของผมก็มักจะคว้ารางวัลใหญ่ๆ มาตลอด


โดยส่วนใหญ่การทำแผนการตลาดจะทำกันเป็นทีม โดยทางผู้จัดจะกำหนดมาว่าในแต่ละครั้งจะต้องมีสมาชิกในทีมกี่คน ในครั้งนี้พวกผมได้รับโจทย์จากแบรนด์นมโคพาสเจอไรซ์รายใหญ่ของประเทศที่จัดการประกวดแผนการตลาดโดยต้องทำแผนที่มีสมาชิกสามคนต่อหนึ่งทีม ซึ่งอาจารย์ค่อนข้างคาดหวังมาก ตัวพวกผมเองก็คาดหวังว่าจะผ่านเข้ารอบลึกๆ และคว้ารางวัลใหญ่มา


แน่นอนว่าผมก็จับทีมกับไอ้แป้งไอ้พีเพื่อทำแผนแข่งในครั้งนี้ ผมยังจำได้แม่นว่าการแข่งทำแผนครั้งที่แล้วผมไม่ได้นอนต่อกันเป็นเวลานานถึงสี่วันติด เรียกได้ว่าหมดกาแฟเป็นแกลลอนเพื่อให้อยู่รอดจนงานเสร็จ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับความพยายามเพราะทีมของผมสามารถเข้าถึงรอบสุดท้ายได้ ถึงแม้จะไม่ได้รางวัลอะไรติดมือกลับมาแต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก แถมแผนครั้งนั้นยังเป็นแผนเกี่ยวกับธุรกิจชาบู เล่นเอาพวกผมต้องตามลิ้มรสความอร่อยของชาบูหลากหลายแบรนด์จนควบคุมดูแลรูปร่างกันไม่ได้ กว่าจะลดหุ่นคืนมาให้ปกติก็ต้องออกกำลังกายกันอย่างหนัก


ผมเอารถกลับไปจอดที่หอก่อนจะมาที่คอนโดไอ้แป้งพร้อมกับไอ้พี ผมก็แอบสงสัยว่าทำไมไอ้น้องเหนือมันถึงมากับพวกผมด้วยวะ แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของผม มันคงสนิทกับไอ้แป้งไอ้พีเพราะตลอดเวลาที่เก็บตัวดาวเดือนก็มีแต่ไอ้เพื่อนผมสองคนที่คอยไปดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้


“พี่กัน วันนี้พี่คนนั้นไม่มาเหรอ”


“ใครวะ?”


“ก็พี่วิศวะคนนั้น..น่า พี่กัน ผมแซวเล่น”


“...”


“โอ๋ๆ”


“มึงเหอะ ตามพวกกูมาทำไม” ผมมองหน้าไอ้เหนืออย่างเคืองๆ ก่อนจะแขวะมันกลับ ไอ้เด็กนี่มันวอนหาที่จริงๆ ..เดี๋ยวผมจะไปบอกพี่นายว่าไม่ต้องเทคอะไรมัน


“อยากเรียนรู้วิธีทำแผนเก่งๆ จากพวกพี่ไงครับ”


“เหรอ”


“ใช่ครับ เชิญครับพี่เทค” ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับพฤติกรรมแปลกๆ ของน้องเทคก่อนจะเดินเข้าห้องของไอ้แป้งที่มีไอ้เหนือเปิดประตูส่งยิ้มแป้นแล้นให้ผมและไอ้พี ส่วนไอ้พีก็เอาแต่ทำหน้าเหมือนประจำเดือนพึ่งมาวันแรกมาตั้งแต่อยู่บนรถ











“ไอ้กัน”


“หือ?”


“มึงสงสัยเหมือนกูไหมวะ” ไอ้แป้งเดินมายืนกระซิบกระซาบผมขณะที่ผมกำลังเตรียมขนมและของว่างเพื่อเป็นเสบียงตอนทำงาน


“สงสัยอะไร”


“ก็ไอ้สองตัวนั้น มึงว่ามันแปลกๆ ไหม” ผมมองตามสายตาของไอ้แป้งที่มองไปที่ไอ้พีกับไอ้เหนือซึ่งกำลังต่อล้อต่อเถียงกันอยู่บนโซฟา แถมไอ้เหนือยังดูเหมือนกำลังพยายามง้อไอ้พีอยู่ หรือผมอาจจะคิดไปเอง


“ไม่มั้ง มึงคิดมาก”


“ไอ้น้องกัน มึงคิดเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”


“ทำงานให้เสร็จก่อน ไว้เดี๋ยวกูมาคิดเป็นเพื่อน” ผมเดินถือจานขนมออกจากเคาน์เตอร์เตรียมอาหารของไอ้แป้งพร้อมกับขำในพฤติกรรมเด็กๆ ของดาวสาขาที่ดีดดิ้นกระแด่วๆ กับความต้องการอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง


“มาแล้วๆ ทำงานโว้ย”


“พี่กันขัดอารมณ์ว่ะ”


“กูพี่มึงนะเด็กเวร” ผมวางของลงบนโต๊ะเล็กในห้องนั่งเล็กก่อนจะเรียกเพื่อนมาทำงานให้เสร็จเร็วๆ จะได้มีเวลาพักผ่อนเยอะๆ แต่ไอ้เด็กเหนือดันมาแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ผมต้องด่าเสียก่อน


“ขอโทษครับบบบบ”


หลังจากนั่งแบ่งงานกันและสรุปบิ๊กไอเดียกันมาได้พักใหญ่ โดยที่ไม่ได้มองนาฬิกากันเลยสักคน เงยหน้าจากงานขึ้นมาอีกทีก็ปาไปเที่ยงคืนครึ่งแล้ว ผมเริ่มรู้สึกต้องการอาหารไปเลี้ยงท้องน้อยๆ ของผมที่ส่งเสียงเรียกร้องออกมาจนไอ้พีกลั้นขำแทบไม่ทัน ส่วนไอ้เด็กเหนือก็นอนหลับสนิทเสียจนพวกผมไม่กล้าปลุกมาวานให้ไปซื้อของกินมาให้


ไอ้แป้งก็นั่งงมกับงานในส่วนของตัวเองอย่างตั้งใจเสียจนไม่คำนึงถึงท่านั่งหรือสภาพผมที่กระเซอะกระเซิงของตัวเองเลย เล่นเอาผมกับไอ้พีถึงกับไม่กล้าชวนมันคุยเล่นหรือบอกมันว่าหิวและอยากพักเลย ทำให้ผมต้องก้มหน้าก้มตาทำงานในส่วนของตัวเองต่ออย่างเงียบๆ เช่นกัน










“กว่าจะเสร็จบทนี้ได้ กูจะบ้าตาย”


“...”


“อะไรของพวกมึง มองอย่างกับกูเป็นตัวประหลาด”


“เปล่า” ผมและไอ้พีเงยหน้าจากงานขึ้นมองไอ้แป้งที่พึ่งจะปริปากพูดคำแรกตั้งแต่ทำงานมา ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยังไม่รู้ตัวว่าความตั้งใจทำงานของมันมากเสียจนเพื่อนอยากพวกผมกินอากาศแทนมื้อเย็นกันไปหลายชั่วโมงแล้ว


“พวกมึงไม่หิวกันหรือยังไง กูว่าน่าจะสี่ห้าทุ่มแล้วมั้ง ไปหาอะไรกินกันมึง กูนี่แสบไส้ไปหมด”


“สี่จริง แต่ไม่ใช่สี่ทุ่มแป้ง”


“สี่อะไรวะ พูดอะไรกัน”


“มึงก็ดูเวลาสิ”


“ชิพหายควายกินคน! ตีสี่แล้วเหรอวะ” ทันทีที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือสว่างขึ้นบอกเวลาปัจจุบัน ไอ้แป้งก็อุทานเป็นคำพูดแปลกๆ ของมันออกมาอย่างตกใจ เล่นเอาไอ้เหนือที่นอนอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมามองก่อนจะหลับต่อ ไอ้เด็กนี่มันก็นอนได้นอนดีเสียจริง ไหนว่ามาเรียนรู้งานวะ


“เออดิ มึงพึ่งหิว แต่พวกกูหิวจนกินตลาดนัดรถไฟเข้าไปได้ทั้งตลาดแล้ว ไอ้ห่า”


“กูขอโทษ แต่ก็ดีนะ นี่งานเราก็ใกล้เสร็จแล้ว วันที่เหลือจะได้ไม่เร่งเนอะ” ยัง ยังจะมาแถพูดข้อดีที่ไม่สบอารมณ์คนกำลังหิวๆ เพลียๆ อีก ผมกับไอ้พีถอนหายใจออกมาพร้อมกันก่อนจะขำกับพฤติกรรมของเพื่อนสนิทที่ดูจริงจังกับงานมาก แต่พอไม่ใช่เวลางานกลับทำตัวเหมือนเด็กไม่เลิก


“เออๆ กูหมดกาแฟไปสามแก้วจนกูไม่ง่วงแล้ว”


“กูหิว”


“ไอ้น้องกัน กูก็หิวไหมล่ะเพื่อน ใจเย็นๆ ดิ ตีสี่มึงคิดว่านกฮูกที่ไหนจะมาขายข้าวให้มึง”


“ร้านสะดวกซื้อก็มีนะเพื่อน” ผมพูดไปด้วยความรู้สึกหิวสุดๆ ถ้าจะให้มานอนก่อนตอนนี้ผมคงนอนไม่หลับเพราะปริมาณกาแฟที่อยู่ในตัวน่าจะเล่นเอาผมตาค้างไปได้อีกหลายชั่วโมง


“งั้นเดี๋ยวกูไปกับไอ้น้องกัน มึงเอาอะไรบ้างแป้ง”


“คุยกันไปก่อนนะกูไปล้างหน้าแป๊บ” ผมลุกขึ้นเดินอย่างคนหิวโหยเข้าห้องน้ำไปก่อนจะวักน้ำขึ้นล้างหน้าให้รู้สึกสดชื่น วันแรกที่ทำงานก็เล่นโต้รุ่งเลย ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะทำถึงเช้าขนาดนี้ด้วย ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปใบหน้าที่ยังมีหยดน้ำเกาะและดูเปียกจากการล้างหน้าเมื่อสักครู่ผ่านเงาสะท้อนในกระจกพร้อมกับฉีกยิ้มให้ภาพออกมาดูขัดกับอารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก่อนจะกดอัปโหลดลงในอินสตาแกรมส่วนตัวของผม



Gunn_gun
ทำแผนสนุกสุดๆ ไปเลย!! ยังไม่ได้นอนไม่เท่าไหร่ เรื่องกินเรื่องใหญ่มากตอนนี้ #ใครใจดีซื้อข้าวมาให้ที




ผมเดินออกจากห้องน้ำหลังจากอัปโหลดรูปและเช็ดหน้าให้แห้งเรียบร้อย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นกับเพื่อนที่นั่งพักเหนื่อยจากการทำงานอย่างหนักหน่วงตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมากันอยู่


“ไอ้พีไปกันได้แล้ว กูหิว”


“เดี๋ยว กูดูงานให้ไอ้แป้งอยู่ มึงรอแป๊บน้องกัน”


“โอเคครับพ่อ” ผมพองลมในปากจนแก้มป่องใส่เพื่อนทั้งสองที่นึกคึกมาขยันทำงานกันได้ตอนตีสี่กว่าๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กว่ามีคนมากดถูกใจหรือแสดงความคิดเห็นอะไรในรูปภาพที่ผมพึ่งลงไปไหม



ตื้ด ~

การแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันสนทนาอย่างไลน์ดังขึ้นระหว่างผมกำลังเล่นอินสตาแกรมอยู่ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันดึกป่านนี้ยังไม่หลับไม่นอนทักมาหาผม


Kumpa.pun : อยู่ไหน?


เอ๊ะ..แล้วทำไมคนอย่างพี่ปั่นถึงยังไม่นอน แล้วเขาไม่โกรธผมแล้วหรือยังไงถึงทักมาคุยแบบนี้ งงไปหมดแล้วนะโว้ยยยย


GunGunktn : คอนโดไอ้แป้ง

GunGunktn : ทำไมยังไม่นอนวะพี่



ผมตอบในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้ไปก่อนจะถามกลับในสิ่งที่ผมอยากรู้เช่นกัน


Kumpa.pun : ไม่เสือก

Kumpa.pun : เดี๋ยวไปหา แชร์โลเคชั่นมา



ปากดีได้แม้กระทั่งตอนตีสี่จริงๆ ไอ้พี่บ้านี่ แล้วอยู่ดีๆ จะมาหาผมเนี่ยนะ ทั้งที่หายหัวไปตั้งแต่คืนนั้น ผมไปหาที่ไหนก็ไม่เจอ เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่วะ


ผมทำการกดแชร์ตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันส่งให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือขึ้นมองเพื่อนทั้งสองที่ยังคงตรวจเช็กความเรียบร้อยของงานในส่วนที่ทำเสร็จแล้วอยู่ นี่พวกมันกะกินข้าวอีกทีตอนหกโมงเช้าเลยหรือยังไง












GunGunktn : หิว

Kumpa.pun : กำลังไป


ผมรู้สึกโคตรดีใจที่อีกฝ่ายยอมคุยกับผมปกติ ไม่ต้องเสียเวลาง้อนานเหมือนพวกผู้หญิงที่ผมเคยคบหรือเคยคุย งอนมาทีนึงนี่ต้องทุ่มทุนง้ออยู่นาน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พี่ปั่นงอนผมด้วย ถ้าหายงอนหายโกรธเองได้แบบนี้ก็ดี ผมจะได้ไม่เหนื่อย


ผมนั่งผละจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาที่ภาพเพื่อนความขยันของเพื่อนสองคนที่ยังไม่มีวี่แววจะเลิกทำงาน ผมไม่กล้าจะงอแงกับเพื่อนสักนิดเพราะดูพวกมันจะจริงจังกันมากๆ ผมได้นั่งรอผู้ที่กำลังจะมาเยือนคนใหม่ ว่าจะมาถึงตอนไหน





“เสร็จสักที ไอ้น้องกันไปได้แล้ว”


“เอ่อ..คือ”




ตื้ด ~

Kumpa.pun :ถึงแล้วลงมา


ผมทำตัวไม่ถูกคิดคำแถไม่ออกว่าจะโกหกเพื่อนอย่างไรให้มันไม่เก็บไปเป็นประเด็นมาล้อผมเรื่องที่ผมกำลังจะไปกับพี่ปั่น ผมก้มเหลือบมองข้อความที่แจ้งเตือนในหน้าจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะลุกขึ้นยืนยิ้มแหยๆ ให้กับเพื่อน


“มึง คือกูมีธุระ”


“ธุระตอนตีห้านี่นะ ขอความจริงไอ้น้องกัน!”


“ไม่เห็นต้องเสียงเข้มเลยนี่ครับพ่อ”


“กัน”


“พี่ปั่นมารับกู ตอนนี้รออยู่ข้างล่างแล้ว” ผมยิ้มให้เพื่อนอย่างเกรงใจพร้อมกับเอามือขึ้นมาเกาหัวแก้เขินอย่างเป็นอัตโนมัติ


“นึกว่าจะงอนเพื่อนกูได้นาน เออไปดิ”


“พวกมึงจะฝากซื้อข้าวไหม กูจะได้ซื้อมาฝาก”


“ไม่ต้อง เดี๋ยวขัดอารมณ์พวกมึง กูไปซื้อมาให้ไอ้แป้งเอง”


“โอเค เดี๋ยวบ่ายเจอกันที่มอนะ” ผมพยักหน้าหงึกๆ ให้กับเพื่อนก่อนจะหยิบกระเป๋าและของสำคัญเดินออกมาจากห้องแล้วกดลิฟต์ลงไปยังลานจอดรถของคอนโด


ผมมองหารถที่ผมคุ้นตาไม่เจอสักคัน แล้วไหนพี่ปั่นบอกว่ามาถึงแล้วยังไง ในขณะที่ผมกำลังจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นโทรหาอีกฝ่าย ประตูฝั่งคนขับรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูทรงสปอร์ตคันหรูตรงหน้าก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่มีออร่าทะลุความมืดและแสงแดดอ่อนๆ ในตอนตีห้าครึ่ง


“จะยืนงงอีกนานไหม ขึ้นรถ”


“อือ”


ผมขึ้นรถไปก่อนจะนิ่งเงียบไม่ได้ชวนอีกฝ่ายคุยอะไรเพราะผมยังคงงงและไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอะไรจากตรงไหนดี แถมพี่ปั่นก็ดูนิ่ง นิ่งกว่าปกติที่เป็นอยู่แล้วเสียจนผมเกร็งไปหมด










รถเคลื่อนออกจากคอนโดของไอ้แป้งวิ่งไปบนถนนที่มีรถสวนไปมาอย่างบางตา ใช่สินี่มันพึ่งตีห้าครึ่งนี่นา ผมนั่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นจากขอบฟ้าผ่านกระจกรถ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายทางที่คนขับจะพาไปคือที่ไหน


“กัน”


“ว่า?”


“คิดถึงกูไหม”


“...” อยู่ดีๆ ก็ดึงเข้าโหมดนี้เสียอย่างนั้น เล่นเอาท้องผมที่ตื่นมาเรียกร้องหาอาหารต้องหยุดพักก่อนเลย เปลี่ยนมาให้หัวใจที่เต้นเสียงดังในอกข้างซ้ายของผมทำงานหนักแทน


“ไม่เลยสินะ”


“อย่าคิดเองเออเองดิ”


“ก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน เหมือนที่มึงพูด”


“คิดถึง” ผมพูดคำคำนั้นออกมาพร้อมกับความร้อนที่เกิดขึ้นในดวงตาของผม และภาพที่พร่ามัวเพราะน้ำใสๆ กำลังเอ่อคลออยู่ในดวงตาของผม ทำไมกันวะ พูดกันดีๆ มันยากหรือยังไง ทำไมต้องประชดวะ


“ร้องทำไม หิวไม่ใช่เหรอ หรือโมโหหิวครับเด็กน้อย”


“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย พี่หายไปไหนมาวะ ผมอุตส่าห์อยากเจอ อยากไปขอโทษเรื่องวันนั้นแท้ๆ หายไปทำไม” ผมสะอื้นพร้อมกับพรั่งพรูคำพูดที่ออกมาพร้อมกับความรู้สึกที่ปะทุขึ้น โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยสักนิด


“กูขอโทษ เลิกร้องก่อน ไม่เท่เลยนะ”


“ผมเท่อยู่แล้ว พี่นั่นแหละ ไม่เท่” ผมปาดหน้าตาลวกๆ ก็จะยิ้มกับมุกที่พี่ปั่นเล่นให้ผมเลิกเศร้า ไม่บ่อยที่คนข้างๆ ผมจะเล่นมุกหรือพูดคุยอย่างอบอุ่นแบบนี้กับผม


“แค่เห็นรูปมึงยิ้มที่พึ่งลงกูก็หายโกรธมึงแล้ว”


“...”


“ที่ถามว่าคิดถึงไหม กูไม่ได้หมายถึงแค่สี่ห้าวันที่กูหายไป แต่ คิดถึงตอนที่เรายังคบกันอยู่ไหม”


“...”


“กูคิดถึงมากเลยนะกัน” ผมจุกในใจกับสิ่งที่พี่ปั่นพูดออกมา เพราะมันคือคำถามเดียวที่ผมคอยถามตัวเองตลอดช่วงสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมาว่า ที่ผมรู้สึกผิดมากครั้งนี้เป็นเพราะผมรักพี่ปั่นและคิดถึงช่วงเวลาที่เราเคยคบกันเคยมีความสุขด้วยกันหรือเปล่า


“คิดถึง..เหมือนกัน”


“มึงอยาก..”


“...”


“กูรู้ว่ากูเคยทำมันพัง แต่ครั้งนี้กูสัญญา..”


“ไว้ค่อยคุยกันได้ไหม”


“โอเค กูจะรอวันที่มึงพร้อมนะเด็กน้อย”


“ขอบคุณนะ” ผมหันไปส่งยิ้มให้กับคนข้างๆ ในขณะที่รถกำลังติดไฟแดงก่อนที่มือหน้าจะลูบที่หัวผมเบาๆ พร้อมกับคนหน้านิ่งที่ส่งรอยยิ้มอย่างอบอุ่นที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยๆ ออกมา











หลังจากผมแทบจะเหมาของกินในร้านสะดวกซื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่ปั่นก็มาส่งผมที่หอก่อนจะขอขึ้นมานอนเล่นที่ห้องผมด้วย ในเวลานี้ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะมาคิดเรื่องอะไรนอกเสียจากการจัดการอาหารและขนมที่อยู่ตรงหน้า ผมแกะห่อขนมพร้อมกับอาหารแช่แข็งที่ถูกอุ่นให้ร้อนด้วยไมโครเวฟตักเข้าปากอย่างไม่รอช้า ส่วนพี่ปั่นก็คลอเคลียกับลูกชายสุดที่รักอย่างเจ้ากำปั้นอยู่บนเตียง


ผมจัดการอาหารและขนมที่ซื้อมาจำนวนมากหมดภายในไม่กี่นาที ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่มีพ่อลูกเขาหยอกล้อกันอยู่


“ง่วงแล้ว”


“อย่านอน พึ่งกินอิ่ม”


“แล้วพี่ทำไมตื่นเช้าจัง”


“กูยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก”


“อ้าว แล้วเป็นคึกอะไรทำไมไม่หลับไม่นอน” ผมถามร่างสูงที่นอนเอาหัวมาหนุนตักผมด้วยความเคยชิน โดยที่ผมเองก็ไม่ได้ห้ามหรือปฏิเสธการกระทำของเขาเพราะผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกอะไร หรือเพราะผมเคยชินเมื่อตอนเคยคบกันก็ไม่รู้


“เพราะคิดเรื่องเด็กหน้ามึนแถวนี้ กูเลยนอนไม่หลับ”


“ไม่ได้ใช้ให้คิด”


“ก็กูพอใจจะคิด”


“...” ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองมันร้อนผ่าวๆ เหมือนมีใครเอาถุงน้ำร้อนมาประคบที่แก้มทั้งสองข้างของผม อย่าบอกว่าผมกำลังเขินพี่ปั่นอยู่นะ


“หน้าแดงเป็นโคมจีนเลยนะมึงอะ”


“ข้าวมันเผ็ดเหอะ พอแล้ว ไปแปรงฟันมานอนดีกว่า”


“เขินก็บอกว่าเขิน หน้ามึนเอ๊ย” ผมลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้น นี่ผมกำลังเขินพี่ปั่นอยู่จริงๆ เหรอ คนอย่างไอ้กันไม่ยอมรับง่ายๆ หรอกน่า ชิ





**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment มาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ bluepaperwater

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เดือนเหนือเดือน
{10}


‘เดือนการตลาด..พีคนดีคนเดิม’




ชีวิตของนิสิตในมหาวิทยาลัยอาจจะมีความหนักหนาสาหัสในด้านการเรียนแตกต่างกันไปตามแนวทางของสาขาวิชาที่เรียน แต่สำหรับผมนั้นการพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า ‘แผนการตลาด’ ในแต่ละครั้งเหมือนกับผมได้เดินไปเยี่ยมท่านยมบาลในนรกเล่น เพราะกว่าแผนแต่ละแผนจะเสร็จออกมาสมบูรณ์ต้องแลกกับเวลาพักผ่อนและการทำงานของสมองที่หนักเสียจนหลังทำแผนเสร็จจะเอ๋อต่อไปหลายวัน


แต่ด้วยตำแหน่งเดือนสาขาวิชาการตลาดของผม ผมต้องทำแผนให้ได้ดีเหมือนหน้าตา จะได้ไม่มีข้อกังขาจากใครว่ามีดีแค่เพียงหน้าตาแต่งานออกมาไม่ได้เรื่อง ด้วยเหตุนี้ผมและเพื่อนสนิทอย่างไอ้แป้งดาวสาขาและไอ้น้องกันรองเดือนเพื่อนรักของผมจึงต้องพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อให้ลบคำสบประมาทของคนอื่น และอีกเหตุผลสำคัญที่เพื่อนทั้งสองของผมจริงจังกับการแข่งขันแผนการตลาดก็เนื่องมาจากเงินรางวัลจำนวนมากที่รออยู่ในตอนท้าย


จริงสิผมลืมแนะนำตัวไปเสียสนิทเลย ผมชื่อพีและผมไม่ใช่คนที่พิเศษใส่ไข่อะไรเพียงแค่ผมได้รับตำแหน่งเดือนสาขาวิชามาทำให้ผมมีคนรู้จักเพิ่มขึ้นมากมายแต่ก็แลกมาด้วยภาระหน้าที่ที่วุ่นวายมากกว่านิสิตคนอื่นๆ ในสาขาวิชา


งานล่าสุดที่พึ่งจบลงไปของทางมหาวิทยาลัยก็ทำเอาผมต้องสละเวลาส่วนตัวไปขลุกอยู่กับกองประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยเนื่องจากรุ่นน้องปีหนึ่งในสาขาการตลาดของผมผ่านเข้าไปประกวดเดือนมหาวิทยาลัยแล้วดันคว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยมาได้สำเร็จอีกด้วย


แต่หลังจากที่งานใหญ่เสร็จสิ้นไปแล้วภาระที่พวกผมต้องดูแลอย่าง ‘ไอ้เหนือ’ เดือนมหาวิทยาลัยคนล่าสุดกลับยังมาวุ่นวายกับชีวิตผมไม่เลิก ซึ่งเหตุผลที่มันยังตามหลอกหลอนผมอยู่ทุกวันนี้ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการซ้อมความสามารถพิเศษของมันก่อนการประกวดได้แม่น











วันนั้นเป็นวันที่ไอ้แป้งไม่สบายและไม่สามารถพาไอ้เหนือไปซ้อมการแสดงได้ผมจึงต้องไปกันสองต่อสองกับไอ้เหนือ การซ้อมเป็นไปอย่างปกติจนกระทั่งหลังจากซ้อมเสร็จผมกับไอ้เหนือต้องกลับหอด้วยกันเพราะไอ้เหนือไม่ได้เอารถมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถวันนั้นผมยังจำได้ขึ้นใจ..









“เป็นยังไงบ้าง ผมทำได้ดีใช่ไหม”


“เออก็ดี เชี่ยแม่งรถติดชิพหาย”


“พูดจาไม่น่ารักเลยครับ” ผมหันไปมองหน้าระรื่นของคนข้างๆ ที่ดูไม่ได้สะทกสะท้านกับปัญหาจราจรที่เกิดขึ้น ผมหันกลับมานั่งกอดอกมองขบวนรถที่หนาตาเต็มท้องถนนยามค่ำคืนอย่างหงุดหงิด


“น่ารักบ้าอะไร กูไม่ใช่ไอ้กัน”


“พี่น่ารัก”


“พ่องดิ”


“ถ้าผมได้เป็นเดือน ผมจะได้อะไร”


“ก็รางวัลจากผู้สนับสนุน ได้เป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์งานของมอ” ผมตอบไปตามสิ่งที่ไอ้เหนือมันอยากรู้ ความจริงแล้วเดือนมหาวิทยาลัยแต่ละปีได้รับรางวัลเยอะเสียจนไล่ให้ฟังคงไล่ไม่หมด


“แล้วผมจะได้ใจพีไหมครับ”


“...”


“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ ผมจะจีบพีจริงๆ”


“กวนตีนแล้วมึงอะ” ผมกลั้วหัวเราะอย่างเจื่อนๆ ผมจำได้คับคล้ายคับคลาว่าไอ้เด็กเหนือนี่เคยเป็นเด็กที่มางานเปิดบ้านของมหาวิทยาลัยในตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่งแล้วเดินมาพูดกับผมว่า ‘ผมจะเข้าสาขานี้ เพราะผมชอบพี่นะครับ’ แต่ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่มันพูดจะเป็นเรื่องจริงจนกระทั่งเริ่มเก็บตัวดาวเดือนมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ระดับคณะ ไอ้เหนือมันก็แสดงตัวว่าอยากอยู่ติดผมตลอดจนหลายครั้งผมต้องปลีกตัวออกมาเพื่อให้ทุกอย่างดูปกติ


“ผมจริงจัง ตอบผมสิว่าถ้าผมได้เป็นเดือนพีจะยอมใจอ่อน”


“ใจอ่อนอะไร?”


“ให้ผมจีบยังไงล่ะ” ไอ้เด็กนี่มันนึกคึกอะไรจะมาจีบผมวะ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ดูน่ารักอะไรเหมือนไอ้กันที่เตี้ยเป็นคนแคระมีดีแค่หน้าที่เหมือนจะหล่อแต่ก็ขายดีกับเพศเดียวกันจนเจ้าตัวเครียดอยู่ทุกวัน ส่วนตัวผมเองก็สูงตามมาตรฐานชายไทยหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้า แถมยังไม่เคยมีความรู้สึกอยากจะคบหากับเพศเดียวกันสักครั้ง หรือ...


...หรือ ไอ้เด็กนี่อยากได้ผมเป็นผัววะ เห้ย แต่มันตัวสูงกว่าผมเป็นสิบเซนติเมตรรสนิยมได้สามีเตี้ยกำลังมาแรงหรือยังไงกันนะ


“มึงประสาทกลับหรืออะไร กูไม่..”


“พี จะไม่ใจอ่อนก็เรื่องของพี ผมจะตามจีบพีจนกว่าพีจะยอม”


“พีพ่องดิ กูพี่มึง”


“พีไม่ใช่พ่อ แต่เป็นอนาคตแฟนต่างหาก” ผมส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอากับพฤติกรรมเหมือนเด็กอยากได้ของเล่นของไอ้เหนือ ผมไม่คิดจะเก็บคำพูดที่ทีเล่นทีจริงของมันมาคิดให้รกสมองเด็ดขาด

















การผ่านพ้นข้ามคืนคืนหนึ่งจะเป็นเรื่องที่ง่ายมากถ้าคุณแค่หลับตาและนอน แต่สำหรับพวกผมที่ต้องนั่งทำงานกันทั้งคืนมันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากที่ต้องอดทนเอาชนะร่างกายของตัวเองให้ได้


หลังจากตรวจงานในส่วนที่ทำเสร็จไปเรียบร้อยไอ้น้องกันมันก็ทิ้งพวกผมไปกินข้าวเช้ากับรุ่นพี่วิศวะอดีตแฟนที่กำลังจะกลับมาทวงคืนตำแหน่งแฟนคนปัจจุบันของมันแล้ว ทำให้ผมและไอ้แป้งต้องจัดการกับความหิวที่อดทนมาตั้งแต่เที่ยงคืน ในขณะที่ไอ้เหนือที่ขอตามมาด้วยก็หลับไปไม่รู้เรื่องอะไรตั้งแต่สี่ห้าทุ่ม ผมควรปลุกมันไปหาอะไรกินด้วยไหมวะ


“เหนือ ไอ้เหนือ”


“...”


“เหนือ ไอ้เวรเหนือ” ผมเขย่าตัวร่างสูงของรุ่นน้องที่หลับอยู่บนโซฟาเพื่อให้เจ้าตัวเป็นคนขับรถพาผมและไอ้แป้งไปหาอะไรกิน เพราะถ้าจะให้ผมขับเองตอนนี้คงได้เอากระโปรงหน้าไปจูบกับก้นรถสักคันบนถนนแน่นอน แต่ไอ้เหนือกลับไม่ลืมตาตื่นมาสักที คนเรามันจะนอนหลับลึกอะไรได้ขนาดนั้นวะ


“...พี”


“เห้ยยยย” ผมล้มตัวลงนอนทับร่างของไอ้เหนืออย่างเสียหลักเพราะแรงดึงจากคนที่นอนอยู่ก่อน แทนที่ผมจะสามารถลุกขึ้นได้ทันทีแต่กลับขยับตัวไปไหนไม่ได้เพราะไอ้เหนือมันดันเอาขาเอาแขนล้อคผมไว้เหมือนเด็กนอนกอดหมอนข้าง


“อุ้ย กูมาผิดเวลา”


“ไอ้แป้งช่วยกู ไอ้เหนือปล่อยย”


“อืมมม พีนิ่งๆ” ผมพยายามดิ้นสุดแรงที่มีในตอนนี้ แต่ด้วยความล้าจากงานและความหิวผมกลับไม่สามารถสู้แรงอันมหาศาลของไอ้เหนือมันได้เลย แถมไอ้แป้งที่พึ่งแต่งตัวเสร็จก็ดันไม่ช่วยอะไรผมเลยเอาแต่หัวเราะคิกคักอยู่นั่น


“กูนับหนึ่ง ถ้าไม่ลุกกูจะ..”


ฟอด~

“ลุกแล้วครับ” ผมถึงกับอึ้งและงงเป็นไก่ตาแตกทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนที่หลับตาอยู่อย่างไอ้เหนือหอมแก้มของผมฟอดใหญ่ก่อนจะปล่อยผมเป็นอิสระ


“กูเชื่อเลยว่ารุกแล้ว รุกจริงๆ รุกหนักมาก เพื่อนกูเขินจนหน้าซีดหมดแล้ว พอ กูหิว ไปกันได้แล้ว ไว้กูจะให้จีบกันต่อ”


“โทษทีครับพี่แป้ง” ผมตบเข้าที่ใบหน้าของตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินตามไอ้แป้งที่เดินออกจากห้องไปก่อนแล้วอย่างล่องลอย ผมควรมีปฏิกิริยาตอบกลับยังไงกับสิ่งที่ไอ้เด็กเวรนี่ทำดี มีผู้ชายมาหอมแก้มผมครั้งแรกแล้วผมควรยังไงดี















“นี่ไอ้พี มึงจะเงียบเหมือนลืมปากไว้ห้องกูอีกนานไหม”


“เปล่าเงียบ กูแค่ง่วง”


“งั้นไอ้เหนือมึงไปส่งกูที่คอนโดแล้วพาเพื่อนกูกลับหอไปนอน ไว้บ่ายมีเรียนกูไปเอง” ผมพยักหน้าหงึกๆ ให้กับเพื่อนหลังอาหารเช้าได้ตกถึงท้องเป็นที่เรียบร้อย ที่ผมเงียบไปไม่ใช่เพราะง่วงหรือเพลียใดๆ มันอาจจะมีเรื่องอาการล้าจากการทำงานบ้างเป็นส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่มาจากเรื่องที่ไอ้เด็กเวรเหนือมันหอมแก้มผมมมม ผมเสียหอมแรกให้กับผู้ชายยย เอ๊ะ แปลกๆ เปล่าวะ


“ได้ครับ”










หลังจากที่ส่งไอ้แป้งที่คอนโดบรรยากาศบนรถในขณะนั่งรถกลับหอกับไอ้เหนือเหมือนมีเมฆสีเทาๆ ลอยอยู่เต็มรถ จนกระทั่งคนข้างๆผมร้องฮัมเพลงทำลายบรรยากาศขึ้นมา แทนที่จะทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น แต่กลับทำให้ผมรำคาญมันมากๆ


“เหนือ กูรำคาญ!”


“ก็เห็นเงียบ ผมก็แค่อยากให้อารมณ์ดีผมผิดเหรอ” แล้วเป็นบ้าอะไรของมันต้องมาทำเป็นงอนอย่างกับเด็กผู้หญิงอายุสิบห้า ผมส่ายหน้าเบาๆอย่างเอือมระอากับการดึงหน้าเศร้าของไอ้เหนือมัน


“คิดว่าน่ารักไหมที่ทำอยู่อะ”


“ไม่คิด เพราะคิดว่าพีน่ารักกว่า”


“กูถามจริงๆนะ มึงจริงจังเหรอวะ”


“จริงจัง? เรื่องไหน” ทำเป็นไม่รู้เรื่อง อย่างกับไม่รู้ว่าที่ผมหมายถึงก็คือเรื่องที่มันกำลังทำอยู่นี่แหละ ผมก็ไม่คิดว่าที่ไอ้เด็กเวรเหนือมันบอกจะจีบผมจะเป็นเรื่องจริงจนกระทั่งที่มันตามติดผมตลอดเวลาแถมยังมีเรื่องเมื่อเช้าอีก


“ก็เรื่องที่มึงบอกว่าจะ..”


“จะ จีบพีสินะ จริงจังสิ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพีผมก็จริงจังหมดแหละ”


“แต่..ถ้ากู”


“ไม่ต้องพูดตอนนี้หรอกน่า ไว้ถึงเวลาพีจะรู้เอง”


“เหรอวะ?” ผมเก็บของลงจากรถหลังจากที่ไอ้เหนือจอดรถที่หอพอดี ถึงเวลาอย่างนั้นเหรอ แล้วเวลานั่นมันคือเวลาไหนกันวะ ผมงงกับคำพูดของมันไปหมดแต่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาสงสัยอะไร ผมเดินขึ้นหออย่างเหนื่อยล้าราวกับไม่ได้เอาวิญญาณมาจากห้องไอ้แป้ง


ขณะเดินผ่านห้องไอ้กันผมก็คิดในใจว่าเพื่อนจะกลับถึงห้องหรือยังนะ ด้วยความที่ผมคอยดูแลทั้งไอ้แป้งไอ้กันมาตั้งแต่แรกก็อดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้ แต่ถ้ามันกลับมาถึงแล้วก็คงอยู่กับพี่ปั่นผมไม่อยากไปรบกวนเวลาส่วนตัวของมัน โดยเฉพาะไอ้พี่ปั่นที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่ ดันมาคิดว่าผมกับไอ้น้องกันคิดอะไรกันมากกว่าความเป็นเพื่อน เอาเป็นว่าขอให้ไอ้กันกลับถึงห้องก็พอ ไว้บ่ายเจอกันที่มหาวิทยาลัยผมถึงจะถามมันอีกทีก็แล้วกัน





ผมเดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนจะแต่งตัวสบายๆ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเพราะกะว่าบ่ายตื่นมาจะได้ตื่นไปเรียนเลยไม่ต้องมาอาบน้ำ ผมไม่ลืมที่จะตั้งเวลาปลุกในโทรศัพท์มือถือและเปิดโหมดเครื่องบินเพื่อป้องกันการถูกรบกวนระหว่างการนอน ถึงผมจะไม่ได้บ้านอนเท่าไอ้กันแต่ผมก็ให้ความสำคัญกับการนอนของตัวเองมากพอๆ กับมัน
















“แป้ง ไอ้น้องกันไปไหนวะ?”


“ไม่รู้ เดี๋ยวคงมามั้ง” ผมพยักหน้าตอบหลังจากถามเพื่อนเมื่อมาถึงห้องเรียนในช่วงบ่าย ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเมื่อเช้ามากหลังจากได้พักผ่อนไป แต่คืนนี้ก็คงต้องเจอกับการทำแผนอย่างหนักอีกรอบเพราะยังเหลืองานหลายส่วนที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี


“แล้วเรื่องไอ้เหนือ มึงจะเอายังไง”


“เอา เอาอะไร?”


“ก็น้องมันดูจริงจังกับมึงมากเลยนะ”


“แต่กูไม่เคยคบกับผู้ชาย กูไม่แน่ใจว่ะ”


“ก็ไม่เห็นจะเสียหาย ดูไอ้กันดิ หัวแข็งกว่ามึงเยอะ จนตอนนี้กลายมาเป็นแมวน้อยเวลาอยู่กับพี่ปั่น กูไม่ได้อยากให้มึงตัดสินใจเพราะคำพูดกูนะพี แต่อยากให้มึงฟังหัวใจมึงแล้วตัดสินใจ กูเอาใจช่วยนะ”


“แป้งผีเข้ามึงเหรอวะ?” ผมยกมือขึ้นมาพนมไหว้หลังจากที่มีคำพูดดีๆหลุดออกมาจากปากไอ้แป้ง นานๆทีเพื่อนรักจะมีคำพูดดีๆออกมากับเขาบ้าง


“เออ ขอหวยไหมล่ะ พัก ไอ้กันมาแล้ว”


“กัน มึงไหวไหมวะ” ผมหันไปสนใจไอ้กันที่พึ่งมาถึงหลังจากขำกับพฤติกรรมแกล้งผีเข้าของไอ้แป้ง ใบหน้าขาวใสที่เคยมีแก้มแดงๆระเรื่อของไอ้น้องกันกลายเป็นหน้าที่ซีดกับใต้ตาที่คล้ำเหมือนหมีแพนด้าคงเป็นผลมาจากที่ทำแผนเมื่อคืน


“ไหว แค่ง่วง คืนนี้ต้องเสร็จนะ กูไม่ไหวแล้ว”


“จะพยายามจ้า นั่งก่อนจ้า เรียนก่อนนะคะคุณกันตินันท์” เสียงตอบรับพร้อมกับคำพูดเหน็บแนมแกมหยอกล้อจากไอ้แป้งดังขึ้นจนไอ้น้องกันหลุดขำออกมาเบาๆ ผมลูบหัวเพื่อนรักอย่างไอ้กันหลังจากมันนั่งลงข้างๆเพื่อเตรียมตัวเรียน
















“ไปห้องกูเลยไหม หรือจะกลับไปเปลี่ยนชุดก่อน”


“เดี๋ยวกลับก่อน กูต้องไปเอาของด้วย ไว้เดี๋ยวตามไป”


“แล้วน้องกัน มึงไปพร้อมกูเลยไหม?”


“ไม่อะ เดี๋ยวตามไป” ผมมองหน้าไอ้กันอย่างสงสัยก่อนจะหันกลับมามองไอ้แป้งที่น่าจะคิดเหมือนกันกับผมว่าทำไมไอ้มันถึงตอบด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างที่มันไม่เคยเป็นมาก่อน


“กันมึงเป็นอะไร?”


“เปล่า กูต้องรอกลับพร้อมพี่ปั่น กูมาพร้อมมัน”


“อ๋อ” ผมร้องอ๋อออกมาพร้อมๆกับไอ้แป้งโดยที่ไม่ได้นัดกันก่อนจะหัวเราะอย่างขำขันกับการที่เพื่อนรักต้องนั่งรอกลับหอพร้อมกันกับเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ไม่ค่อยจะฟังคำสั่งเพื่อนผมสักเท่าไหร่


“กูกลับก่อนนะ เจอกัน” ผมเดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนก่อนจะตรงไปที่รถเพื่อกลับหออาบน้ำเปลี่ยนชุดไปทำแผนต่อที่คอนโดไอ้แป้ง
















หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยผมก็เตรียมของและเสบียงอาหารใส่ในกระเป๋าเพื่อความพร้อมในการทำแผน ก่อนจะปิดไฟและล้อคห้องเดินออกมาเพื่อกดลิฟต์ลงไปชั้นล่างแต่ก็ต้องเจอกับสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะเจอหน้ามันเท่าไหร่ และคิดว่าวันนี้จะไม่เจอกันแล้วเชียว


“พี พีจะไปแล้วเหรอ?”


“อืม”


“รอก่อนสิ ผมพึ่งกลับมาถึง ผมอาบน้ำแต่งตัวก่อน”


“ทำไมต้องรอวะ ไม่ใช่เรื่องของเด็กปีหนึ่ง” ผมยืนมองหน้าคนตัวสูงกว่าอย่างหาเรื่อง ทำไมผมต้องรอมันทั้งๆที่งานที่ทำก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับปีหนึ่งสักนิดแถมเมื่อวานที่บอกว่าจะขอไปดูงานก็กลับเอาแต่นอนจนไม่ได้อะไร


“แต่มันเป็นเรื่องของพี”


“...”


“เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของผมด้วยเหมือนกัน”


“...”


“รอ” มันดึงกระเป๋าของผมไปถือก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องของตัวเอง ซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินตามกระเป๋าและมันไปอย่างเซ็งๆ เพื่อรอไอ้เหนือ








**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
สนุกค่ะ รออ่านต่อ
 o13
 :3123:

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
แผนการของความคิดถึง
{11}



หลังจากผ่านพ้นช่วงทำแผนการตลาดอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมก็ใช้เวลาที่มีทั้งหมดไปกับการพักผ่อนโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าในมหาวิทยาลัยกำลังมีกิจกรรมกีฬามหาวิทยาลัยของปีหนึ่งอยู่ ส่วนไอ้แป้งก็ขลุกตัวนอนอยู่แต่ในห้องไม่ต่างจากผม จะมีก็แต่ไอ้พีที่โดนน้องเทคของผมอย่างไอ้เหนือลากไปดูกีฬาในมหาวิทยาลัย เพราะไอ้เหนือมันเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลให้กับคณะด้วย ผมก็พอจะดูออกแล้วว่าไอ้น้องเทคของผมมันกำลังอยู่ในช่วงทำคะแนนจีบเพื่อนผมอยู่ แต่ไอ้พีกลับดูไม่ได้แสดงออกอะไรว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจกับสิ่งที่ไอ้เหนือทำแต่ละอย่าง


ส่วนถ้าพูดถึงตัวผมเองในช่วงนี้รู้สึกสบายหูสบายตาขึ้นมากเพราะช่วงนี้นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์น่าจะกำลังยุ่งอยู่กับงานกีฬามหาวิทยาลัยโดยเฉพาะกับคุณเฮดว้ากเขาที่ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยของปีหนึ่ง ทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาหาผมเท่าไหร่ จะมีก็แต่คุยกันผ่านทางแชททุกวันเท่านั้น


ที่จริงแล้วเวลานี้พี่ปั่นควรทักมาได้แล้วสิ ทำไมยังไม่ทักมาวะ ตายไปแล้วหรือยังไง เอ๊ะ..แล้วผมทำไมต้องมานั่งรอให้เขาทักมาด้วยล่ะเนี่ย ไหนว่าจะไม่รีบใจอ่อนยังไงล่ะไอ้กันนนน


ผมอุ้มเจ้าแมวอ้วนของผมขึ้นมานอนเล่นบนเตียงด้วยก่อนจะเปิดแอปพลิเคชันเฟสบุ๊กขึ้นมาเพื่อไถหน้าฟีดข่าวดูความเคลื่อนไหวของผู้คนแก้เซ็งก่อนจะสะดุดตากับโพสต์จากเพจหนุ่มโสดของมหาวิทยาลัย




My Single Boys
ข่าวด่วนข่าวร้ายค่าาาาาาาา มีมือดีแอบถ่ายภาพหนุ่มฮอตเจ้าของตำแหน่งเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ระหว่างไปส่งสาวสวยถึงที่หอมาได้ เรียกได้ว่าวงในเม้าท์กันให้แซดว่าสาวคนนี้อาจจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่หนุ่มฮอตของเราเพ้อในไอจีถึงบ่อยๆ แถมสาวสวยคนนี้ยังมีดีกรีดาวพ่วงด้วย แล้วอย่างนี้แอดจะต้องบอกลาหนุ่มฮอตคนนี้เพราะเขากำลังจะไม่โสดแล้วหรือเปล่าคะ #พี่ว้ากโหดอยากให้โสดต่อ#ทวงคืนกลับเพจ#หล่อโคตรโคตรแต่อาจจะไม่โสดแล้ว
MINNIEMIND ไม่นะๆ ๆ ๆ ๆ ใครกันนะ
BBQii หนูจะนอนร้องไห้แล้วนะแอด
PAPANG @กัมปนาทP.ATG เคลียร์กับเพื่อนหนูด่วนๆ ค่ะ





ผมนั่งอ่านคำบรรยายประกอบภาพไปก็รู้สึกหงุดหงิดไป ไม่ใช่หงุดหงิดเพราะคนในภาพเป็นพี่ปั่นหรอกนะ แต่เป็นเพราะเพจบ้านี่ดันเอาเรื่องของผมมาโยงเป็นเรื่องเดียวกันกับพี่รินอะไรนั่น





ตื้ด ~

ทันทีที่ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิด เสียงสั่นแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา และแทบไม่ต้องเดาว่าเป็นใครนอกเสียจากแจ้งเตือนข้อความไลน์จากเจ้าของข่าวใหญ่ที่เพิ่งจะถูกพูดถึงในเพจใหญ่นั่น


Kumpa.pun : กัน
Kumpa.pun : ตื่นรึยัง


ผมนั่งมองข้อความที่ถูกส่งมาอย่างหงุดหงิด ได้ข่าวว่าไปส่งพี่รินถึงหอป่านนี้คงอยู่ด้วยกันในห้องผมต้องตอบไหม หรือควรไม่ตอบอะไรจะได้ไม่รบกวนเวลาของเขาสองคน


Kumpa.pun :เป็นอะไร อ่านไม่ตอบ
GunGunktn :เป็นคน


แล้วทำไมผมต้องมาทำตัวเมื่องอนเป็นแม่สาวแรกแย้มใส่พี่ปั่นด้วยวะ งงตัวเองจริงๆ แต่ไหนไหนก็ไหนไหนแล้วผมคิดว่าผมทำถูกแล้วและควรทำต่อไป


Kumpa.pun :กวนตีน
Kumpa.pun :อย่าบอกว่ามึงกำลังงอนกูอยู่



Kumpa.pun :ไอ้กัน ถ้ามึงยังอ่านไม่ตอบกูจะไปหามึงถึงหอแล้วนะ




Kumpa.pun :โอเคได้



ผมนั่งอ่านข้อความที่พี่ปั่นส่งมาทั้งหมดก่อนจะปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปงนอนต่อ ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมต้องใส่ใจ


เอาเข้าจริงแล้วผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองควรจะเก็บเรื่องบ้าๆนี่มาคิดให้รกสมองเพราะผมเองก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ปั่น อีกอย่างคือผมก็แอบสงสารพี่รินที่ชอบพี่ปั่นเอามากๆเสียจนยอมทำทุกอย่างให้พี่ปั่นสนใจ ทั้งที่เขาทั้งสองคนดูเหมาะสมกันขนาดนั้นแท้ๆแต่ทำไมถึงเป็นผมที่่พี่ปั่นสนใจมากกว่า จะเรียกว่ามากเกินไปเลยก็ได้


ผมนอนอยู่กับความคิดแปลกๆของตัวเองใต้ผ้าห่มไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีวี่แววว่าจะหลับได้ อย่าบอกว่าบรรยากาศและความรู้สึกแบบเดิมๆของผมในช่วงปิดเทอมกำลังจะกลับมา ผมต้องหาอะไรมาทำให้ลืมแล้วสินะ





ในช่วงปีหนึ่งเทอมสองผมจำได้ว่าผมรู้สึกเครียดกับหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตมาก ทำให้ผมแอบไปนั่งฟังเพลงในร้านนั่งชิวช่วงกลางคืนโดยที่ไม่บอกป๊ากับม๊า เวลาที่ผมอยู่กับเสียงเพลงและบรรยากาศแบบนั้นผมรู้สึกมีความสุขได้ระบายเรื่องทุกข์หลายๆ อย่างไปตามทำนองและเนื้อร้องของเพลง แต่แล้วก็เป็นไปตามที่ผมคิดเมื่อป๊ารู้เรื่องเข้าก็สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ผมไปเที่ยวกลางคืนเพราะกลัวผมจะเป็นอันตราย


ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็ทำได้แต่นั่งฟังเพลงกับเจ้ากำปั้นเวลาที่อยู่ห้อง ไม่ได้ไปเที่ยวไปนั่งฟังเพลงที่ร้านเลยสักครั้งแต่ตอนนี้ผมดันรู้สึกเครียดเหมือนตอนนั้นที่ผมตัดสินใจออกไปเที่ยวกลางคืนแล้วสิ หรือผมควรแอบไปโดยที่ไม่ให้ป๊ารู้ดี


เอายังไงดีนะ..











ก๊อก ก๊อก

ผมมุดหัวออกมาจากผ้าห่มหลังจากได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ไอ้พีเพราะคงยังไม่กลับจากดูกีฬามหาวิทยาลัยที่โดนไอ้เหนือลากไป ผมเดินมาที่ประตูห้องก่อนจะเปิดประตูออกช้าๆด้วยความงัวเงียกับสภาพที่ผมก็ไม่ได้เซตให้เป็นทรงดี


“พี่ปั่น”


“งอนอะไร”


“เปล่า” ผมเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงหลังจากที่ปล่อยคนตัวสูงที่ทำหน้ายักษ์ยืนเก๊กโหดอยู่หน้าประตูเดินจามเข้าห้อง ทำไมผมต้องสนใจด้วยก็แค่ตาแก่หน้ายักษ์ที่เอาแต่ทำหน้าดุไปวันๆ


“แล้วกูจะรู้ไหมวะ งอนอะไร”


“ทำอะไร ทำไมจะไม่รู้ตัววะ”


“กูก็เรียนเสร็จ ไปส่ง..”


“หึ”


“กูกับรินไม่ได้มีอะไรมากกว่าเพื่อน มึงก็รู้ไหมกัน”


“อือ” ผมหยิบหมอนขึ้นมากอดเล่นระหว่างฟังพี่ปั่นสาธยายแถเรื่องแก้ตัว ทำไมผมต้องรู้ด้วยว่าเขาสองคนไม่ได้มีอะไรมากกว่าเพื่อนกัน


“จะให้ทำยังไง”


“ไม่ต้อง”


“กัน กันครับ ”


“...”


”กันงอนพี่ปั่นเหรอครับ” ผมถึงกับอึ้งจนตัวแข็งเมื่ออยู่ดีๆ พี่ปั่นก็นั่งลงที่พื้นตรงหน้าผมแถมยังใช้น้ำเสียงที่แทบไม่เคยได้ยินจากคนตรงหน้า


“มะ ไม่ได้งอน”


“อย่าแถดิครับ น้องกันอยากให้พี่ปั่นทำอะไรดีครับ”


“...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อมือของตัวเองอยู่ดีๆ ก็ถูกกุมอยู่ในมือของคนตรงหน้าพร้อมกับน้ำเสียงและสีหน้าออดอ้อนที่ไม่คิดว่าเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์จะแสดงออกมา


“ไปเที่ยวกันไหม ไปกินไอติม”


“ไม่ใช่เด็กสี่ขวบสักหน่อย”


“แล้วน้องกันอยากไปไหนครับ”


“ไปฟังเพลง” ผมตอบพี่ปั่นไปพร้อมกับทำสีหน้ากวนประสาทก่อนจะดึงมือของตัวเองกลับ ผมพึ่งนึกได้ว่าถ้าอยากจะไปเที่ยวกลางคืนนอกจากป๊าาที่ผมต้องระวังแล้วก็พี่ปั่นนี่แหละที่ผมต้องจัดการ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมถือโอกาสมัดมือชกเลยก็แล้วกัน


“คอนเสิร์ตเหรอวะ”


“ไม่ ไปนั่งร้านดิ กล่อมจันทร์”


“ได้”


“เห้ย จริงดิ” ผมกระโดดลุกขึ้นมายืนข้างพี่ปั่นที่เพิ่งจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบล้ม ทำไมพี่ปั่นถึงดูใจดีจังเลยนะ หรือจะมีแผนอะไรบ้าๆ อยู่กันแน่


“คืนเดียวนะ”


“คืนนี้เลยนะ กูจะโทรไปหาพี่ทีมให้จองให้”


“ชั่วโมงเดียวด้วย”


“ก็บ้าแล้ว” ผมที่กำลังกดโทรออกหาพี่ที่ร้านประจำที่ผมเคยไป ถึงกับชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ นิ่งๆ ของคนตัวสูงกว่า ผมคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าใจดีแบบนี้จะต้องมีแผนบ้าๆแบบนี้













“ครับ ครับพี่ทีม เจอกันที่ร้านครับ” ผมวางสายพี่ทีมเจ้าของร้านนั่งชิวที่ผมไปประจำในช่วงปีหนึ่งอย่างร้านกล่อมจันทร์ ก่อนจะหันมามองตามรังสีอำมหิตที่ส่งมาจากพี่ปั่นที่นั่งทำหน้ายักษ์อยู่


“ชั่วโมงเดียว”


“เออน่า จะไปด้วยป่ะเนี่ย”


“มึงคิดว่ากูจะปล่อยมึงไปคนเดียวเหรอ”


“ถ้าเป็นไปได้ก็ดี”


ผมยักคิ้วยียวนกวนประสาทใส่พี่ปั่นก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัวให้พร้อมสำหรับการไปเริงร่าในคืนนี้ ผมจะไม่บอกไอ้พีด้วยเพราะเดี๋ยวไอ้เพื่อนตัวดีจะเอาไปฟ้องป๊าผม







ถึงเวลาเริงร่าของไอ้กันสักทีผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาอีกครั้งหลังไม่ได้ไปเป็นเวลานาน ผมแต่งตัวและเซตผมให้ดูดีที่สุดเพื่อจะได้เป็นจุดสนใจของคนในร้าน ผมไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวลายดาวและจงใจไม่ติดกระดุมสามเม็ดบนพร้อมกับสร้อยคอที่ผมมักจะใส่ในเวลาที่จะออกไปเที่ยวกลางคืน เพราะแสงในตอนกลางคืนตามร้านนั่งชิวมักจะเป็นแสงแบลคไลท์ที่จะทำให้เสื้อสีขาวของผมเรืองแสงขึ้นมาในความมืด







หลังจากที่ไล่พี่ปั่นกลับคอนโดไปแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเพื่อจะได้ไปพร้อมกันเพราะเจ้าตัวยืนยันว่ายังไงก็จะไม่ให้ผมไปคนเดียว ผมก็ให้อาหารแมวอ้วนของผมเต็มถาดอาหารเพราะกะว่าถ้าดื่มไปพรุ่งนี้เช้าคงไม่มีสติพอจะลุกมาให้อาหารเจ้ากำปั้นแน่นอน


ไม่นานพี่ปั่นก็มารับผมที่หอเพื่อไปร้านกล่อมจันทร์ของพี่ทีมตามที่ผมจองโต๊ะไว้ ร้านนี้เป็นร้านนั่งฟังเพลงโฟลคซองชิวๆ ไม่ใช่ร้านที่เน้นเพลงอีดีเอ็มให้คนมาเต้น ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนิสิตปีสูงๆ ที่มานั่งดื่มไปฟังเพลงไปคลายเครียดจากการเรียนและโปรเจคที่แสนจะหนักหน่วง


“แต่งขนาดนี้ มึงจะไปอ่อยใคร”


“อ่อยสาว ถ้าได้สักคนก็ดี” ผมยักไหล่เบาๆ พร้อมกับตอบคำถามของคนข้างๆ ที่เอาแต่มองผม ทำอย่างกับว่าผมแต่งตัวดีอะไรมากมายถึงแม้ในใจลึกๆ ผมก็ตั้งใจแต่งตัวและเซตผมให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะต้องมากับร่างสูงที่กลบออร่าผมหมด ไหนๆก็ไหนๆแล้วกว่าจะได้ออกมาเที่ยวแบบนี้สักทีหนึ่ง


“กูกับมึงใครจะได้ก่อนกัน”


“ก็รอดูนะครับ”


“จะรอดู” ผมล่ะอยากรู้เสียจริงๆว่าพี่ปั่นไม่ม่คิดจะแสดงสีหน้าอื่นนอกจากหน้านิ่งสายตาเย็นชาในที่สาธารณะเลยหรือยังไง ผมเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเช็กทรงผมและเสื้อผ้าให้ดูดีผ่านกระจกรถ




“จะเข้าร้านได้หรือยัง”


“เออน่า รีบจังวะ” ผมรีบเดินต้อยๆตามคนตัวสูงที่เดินนำหน้าเข้าไปแจ้งโต๊ะที่จองไว้กับพนักงานแล้วเรียบร้อย ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะรีบทำไมต้องรีบร้อนแปลกๆด้วย หรือจะมีอะไรเหรอ ไม่หรอกมั้งคิดมากว่ะกัน











หลังจากผมได้โต๊ะและสั่งเครื่องดื่มพร้อมกับอาหารเรียบร้อยผมก็นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศของร้านอาหารที่มีวงดนตรีโฟลคซองเล่นเพลงคลอเบาๆเคล้ากับแสงไฟสลัวๆของร้าน เป็นบรรยากาศที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานและทันทีที่ได้กลับมามันเหมือนกับผมถูกดึงกลับไปอยู่ในช่วงปีหนึ่งเลยไม่มีผิด



ที่แห่งนี้เคยเป็นทั้งที่ที่ทำให้ผมมีความสุขและคลายความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตผม ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ก็เพราะคนข้างๆที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์มือถืออยู่นี่แหละ ผมจำได้ว่าหลังจากผมเปิดใจและตัดสินใจเริ่มคุยศึกษากันและกันกับพี่ปั่นได้พักใหญ่ผมก็ถูกชวนมาที่ร้านแห่งนี้ในช่วงต้นเทอมสองของปีหนึ่ง


แต่การมาร้านแห่งนี้ครั้งแรกในครั้งนั้นกลับไม่ใช่แค่การมานั่งชิวดื่มด่ำกับบรรยากาศทานอาหารฟังเพลงอย่างที่เป็นอยู่เพราะเป็นการปิดร้านฉลองวันเกิดของพี่ปั่นและในวันนั้นเองก็เป็นวันที่ผมและพี่ปั่นเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกว่าพี่น้องกันขึ้น





“อะไรของพี่เนี่ย ข้างล่างกำลังสนุกเลย”


“กัน กูมีเรื่องอยากจะบอก”


“อะ อะไร” ผมถูกคนตัวสูงพาออกจากบรรยากาศการสังสรรค์ที่ครื้นเครงในร้านมาอยู่ในชั้นที่สองของร้านที่เป็นชั้นลอยสามารถมองเห็นด้านล่างได้เพียงแต่ถูกปิดไว้เนื่องจากวันนี้ทางร้านไม่เปิดบริการชั้นสองของร้าน


“วันนี้วันเกิดกู”


“แล้ว?”


“กูรู้ว่ามันอาจจะเร็วไป แต่กูมั่นใจว่าที่กูรู้สึกกับมึงมันชัดเจนมาก มากเสียจนกูไม่อยากให้มึงเป็นของใครนอกจากกูคนเดียว”


“...”


“เป็นแฟนกับกูนะกัน” ผมถึงกับตัวชาหลังจากได้ยินประโยคที่ออกจากปากผู้ชายตรงหน้า ผมกำลังถูกขอคบอย่างนั้นเหรอ ถูกผู้ชายขอคบอย่างนั้นเหรอ ผมควรตอบสิ่งที่รู้สึกอยู่ในใจออกไปสินะ ถ้าตัดสินใจแบบนั้นไปมันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกใช่ไหม..


“...”




“ว่ายังไงครับ”


“ตกลงครับ”


“จริงเหรอวะกัน”


“อือ” จู่ๆ ตัวผมก็ลอยขึ้นจากพื้นเมื่อคนตรงหน้าโผเข้ากอดผมพร้อมกับยกตัวผมขึ้นลอยในอากาศด้วยความยินดี ส่วนผมก็ได้แต่อึ้งพร้อมกับความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นในใจแต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นผมขอนิยามมันว่าความสุขก็แล้วกัน









จู่ๆภาพเก่าๆเหล่านั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวผมเต็มไปหมด ผมพยายามสลัดความทรงจำเก่าๆที่เกิดขึ้นทิ้งก่อนจะหันมามองคนข้างๆที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์มือถือไม่ดื่มหรือทานอะไรสักอย่าง เขาคงมีธุระเรื่องส่วนตัวของเขาผมจะไม่ยุ่งก็แล้วกัน


ผมนั่งฟังเพลงดื่มด่ำกับบรรยากาศไปเรื่อยๆจนกระทั่งรู้ตัวอีกทีกลับมามองนาฬิกาก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว แต่แปลกที่พี่ปั่นไม่บอกผมว่าหมดเวลาหรือได้เวลาต้องกลับแล้วทั้งที่เจ้าตัวเป็นคนบอกว่าอนุญาตให้ผมมาแค่เพียงชั่วโมงเดียวแท้ๆ


“พี่ปั่น”


“อือ มีอะไร”


“ไม่กลับเหรอ”


“ยัง อีกเดี๋ยวค่อยกลับก็ได้” ผมพยักหน้ารับอย่างงุนงงให้พี่ปั่นที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือมาตอบคำถามของผม แต่ก็ดีผมจะได้อยู่ฟังเพลงต่อด้วยไม่ต้องรีบกลับ


ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่ออัดเพลงขณะที่วงดนตรีกำลังเล่นเพลงที่ผมชื่นชอบอยู่ จู่ๆร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปผมคิดแค่ว่าพี่ปั่นคงไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวล่ะมั้ง ไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมันจะเกิดขึ้นตอนนี้..


หลังจากที่เพลงที่ผมชอบจบลงบรรยากาศในร้านก็เงียบลงไม่มีเสียงเพลงที่เล่นอย่างต่อเนื่องหรือแม้แต่เสียงใดๆ นอกจากแค่เพียงคุยกันเบาๆจากโต๊ะต่างๆ ไฟบนเวทีดับลงและสว่างขึ้น ภาพที่ปรากฏบนเวทีทำเอาผมถึงกับอึ้งและงงอย่างบอกไม่ถูก


ตำแหน่งของนักร้องในวงดนตรีถูกแทนที่ด้วยคนที่่เพิ่งจะนั่งอยู่ข้างๆผมเมื่อสักครู่ หลังจากคนในร้านเริ่มสังเกตภาพของคนบนเวทีที่จับกีตาร์ถือไมค์อยู่ก็เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นในร้าน จนกระทั่งเสียงทุกอย่างเงียบลงอีกครั้งเมื่อคำพูดจากพี่ปั่นผ่านเครื่องขยายเสียงดังขึ้น


“สวัสดีครับทุกคน ผมปั่นครับ”






“ทุกคนอาจจะสงสัยว่าผม..ขึ้นมาทำไม ผมอยากขออนุญาตทุกคนร้องเพลงสักหนึ่งเพลงให้กับคนคนหนึ่งฟัง”




เสียงทุ้มๆนุ่มๆของเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างพี่ปั่นที่พูดผ่านไมค์ทำเอาบรรยากาศในร้านเปลี่ยนไปทันที คนที่พี่ปั่นกำลังจะร้องเพลงให้ใช่ผมหรือเปล่า ถ้าใช่ขึ้นมาจริงๆนี่ผมกำลังถูกเซอร์ไพรส์เหรอ








“เพลงๆนี้ผมตั้งใจจะร้องเพื่อบอกกับคนคนนั้นว่า ตลอดเวลาที่เราห่างกันรวมถึงทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยในอย่างไร้สถานะ ผมไม่มีสิทธิ์กอด..ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะทำอะไรเลย สิ่งที่ผมรู้สึกและทำได้มากที่สุดในตอนนี้คือ..”




“..คิดถึง”





“หลับตาลงยังรู้สึก..ท่ามกลางความอ้างว้าง ในหัวใจ

..ค่ำคืนยาวนาน กับความเดียวดาย

และลมหายใจ ที่ว่างเปล่า..”




เสียงกีตาร์เบาๆคลอมากับเสียงทุ้มน่าฟังของพี่ปั่นในประโยคแรกถึงกับทำเอาคนในร้านเงียบและตั้งใจฟัง ส่วนตัวผมเองเหมือนไม่เห็นว่ามีคนรอบข้าง ภาพที่เห็นมีเพียงสายตาจากคนบนเวทีที่นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงพร้อมกับส่งสายตาเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่างมาที่ผม






“..อยากให้เธอได้สัมผัสกับความห่วงใย ที่มีให้เธอ

ได้ยินเสียงของพระจันทร์จะกล่อมเธอฝันดี

ให้เธอได้รู้ตลอดไป..”




ราวกับว่าจังหวะเพลงและเสียงกีตาร์หยุดลงหลังจากท่อนนี้พร้อมกันกับความคิดที่มีในใจของผมทั้งหมด เหลือเพียงความรู้สึกที่ดำเนินไปตามทำนองและเนื้อร้องของเพลง ภาพทั้งหมดที่ปรากฏในสายตาของผมมีเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงอยู่บนเวที ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีใครหรือสิ่งของอะไรอยู่ในสถานที่แห่งนี้นอกจากผมและเขา



“ว่าทุกเวลาที่เราห่างกัน แสนไกล..

ยังมีอีกคำ ในหัวใจที่จะบอกเธอให้เธอได้รู้ และเข้าใจ..

..ว่าคิดถึงเธอเมื่อเราห่างกัน แสนไกลมีคำหนึ่งคำจะพูดไปให้เธอได้รู้..

..จะแทนความหมาย ความห่วงใย”






“..ฉันคิดถึงเธอ..”





“..ฉันมีเพียงเธอ..”





โน้ตตัวสุดท้ายของเพลงจบลงก่อนที่เสียงปรบมือจากคนในร้านจะดังขึ้นกระหึ่มจนผมหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง พี่ปั่นเดินลงจากเวทีส่งกีตาร์คืนให้นักดนตรีก่อนจะเดินหายไปด้านหลัง ผมได้แต่นั่งนิ่งรู้สึกตัวร้อนวูบๆ วาบๆ ก่อนจะเอามือขึ้นมาจับที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเองเพื่อเช็กว่าหัวใจของผมยังเต้นตามปกติอยู่ไหม








เครดิต เพลง คิดถึง โดย พีชเมกเกอร์ PEACEMAKER

https://www.youtube.com/watch?v=fpbcxVvlcUY





**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
พี่ปั่น ตั้งใจง้อนะคะ น้องใจอ่อนไปเยอะแล้ว

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เบื้องหลังแผนการ
{12}


‘ถึงผมจะปั่นประสาทปั่นหัวใจ~
~แต่ผมจะไม่มีวันปันใจให้ใครแน่นอน’




ถ้าคุณอยากบอกสิ่งสำคัญบางอย่างกับคนที่คุณรักคุณอาจจะอยากบอกเขาคนนั้นในสถานที่ที่แสนพิเศษสำหรับคุณสองคน ซึ่งผมเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน แต่ผมยังไม่สามารถหาโอกาสที่จะทำแบบนั้นได้จนกระทั่งเหตุการณ์ประจวบเหมาะที่ไอ้เด็กหน้ามึนของผมมันดันงอนเรื่องที่ผมไปส่งรินดาวคณะของผมที่หอแล้วถูกถ่ายภาพลงเพจเป็นข่าวใหญ่


หลังจากผมตามง้อเด็กหน้ามึนถึงหอผมก็ได้ข้อเสนอจากเจ้าตัวมาว่าอยากไปเที่ยวกลางคืนอย่างที่เคยไป ซึ่งผมก็ไม่รอช้าตอบตกลงทันทีเพราะผมรู้ดีว่าคนอย่างไอ้กันจะไปร้านไหนได้นอกเสียร้านเดิมที่ผมเคยพาไป พี่ทีมเจ้าของร้านเป็นรุ่นพี่ที่จบจากคณะของผมทำให้ผมค่อนข้างสนิทสนมมาก ผมรู้มาว่าหลังจากที่เลิกกันไปไอ้กันก็ไม่ค่อยกลับไปที่ร้านแห่งนี้บ่อยครั้งเหมือนอย่างที่เคย


สำหรับผมและมันที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่แสนพิเศษเพราะเป็นที่ที่เราตกลงที่จะศึกษากันอย่างจริงจังในสถานะที่ชัดเจน แต่ผมกลับพังสถานะนั้นลงเองด้วยความคิดบ้าๆของตัวเอง เพราะฉะนั้นการกลับไปกล่อมจันทร์ในครั้งนี้ ผมอยากทวงคืนความทรงจำดีๆที่เราเคยมีร่วมกันกลับมาอีกครั้ง


ผมตัดสินใจโทรหาพี่ทีมและปรึกษาเพื่อนระหว่างที่ไอ้กันกำลังอาบน้ำแต่งตัว ผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะขอคบกับมันอีกครั้งในวันนี้ แต่ผมแค่เพียงอยากบอกความรู้สึกที่ผมมีมาตลอดช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยู่สถานะที่ชัดเจนด้วยกัน ตลอดเวลาที่ผมไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวของมันว่าผมรู้สึกอย่างไร อยากให้เด็กหน้ามึนของผมได้สบายใจและเชื่อใจผมว่าการกลับมาครั้งนี้ของผม ผมกลับมาด้วยความจริงใจและไม่จำเป็นต้องคิดว่าผมจะมีใคร เพราะทั้งหมดในใจที่ผมมีตอนนี้คือแค่มันเพียงคนเดียว



[พวกกูไม่ว่างไปช่วยนะเว้ย สู้ๆ เพื่อน]


“ขอบใจมึง ไม่เป็นไรกูคุยกับพี่ทีมแล้ว”


[มึงไม่กลัวเป็นข่าวเหรอวะ]


“กลัวทำไมวะ เป็นข่าวก็ดี”


[เออเรื่องของมึงเถอะ โชคดี]


“โอเค ไว้เจอกัน” ผมวางสายไอ้ทัชก่อนจะกลับคอนโดตามคำสั่งไอ้กันเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวมารับมันไปร้านพี่ทีม


หลังจากที่โทรไปผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ทีมฟังเรียบร้อยผมก็ได้คิวจากร้านตามที่พี่ทีมเสนอมาว่าเที่ยงคืนน่าจะเป็นเวลาที่โรแมนติกที่สุด ผมก็ไม่ได้ติดขัดอะไรกับข้อเสนอของพี่มันเพราะจะเวลาไหนก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกันในเมื่อสุดท้ายสิ่งที่ผมอย่างจะบอกไอ้เด็กหน้ามึนของผมก็มีอยู่เพียงแค่อย่างเดียว


ผมแต่งตัวออกจากคอนโดเรียบร้อยและตรงดิ่งไปรับเด็กหน้ามึนถึงหน้าหอทันที ผมรู้สึกว่านอกจากไอ้กันที่ดูตื่นเต้นกับการได้กลับไปเที่ยวฟังเพลงกลางคืนอีกครั้งหลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลานาน ผมก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันกับการต้องทำอะไรพิเศษๆให้กับมัน อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าทุกอย่างจะออกมาดีอย่างที่คิดหรือเปล่า


ทันทีที่คนตัวเล็กเปิดประตูขึ้นรถมาผมถึงกับตะลึงแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้ ทั้งกลิ่นน้ำหอมที่ผมชอบ ทั้งการแต่งตัวที่เจ้าตัวคงคิดว่าหล่อแต่กลับดูน่ารักเอาเสียมากๆในสายตาของผม ทำเอาผมแทบอยากวนรถกลับคอนโดไปนอนกกที่ห้องคนเดียวไม่อยากให้ผู้คนได้เห็นเลย


“แต่งขนาดนี้ มึงจะไปอ่อยใคร”


“อ่อยสาว ถ้าได้สักคนก็ดี”


“กูกับมึงใครจะได้ก่อนกัน” ผมส่ายหัวไปมาเบาๆให้กับความคิดของเด็กที่นั่งอยู่ด้านข้างของผม ถ้าให้พูดตรงๆตามความเป็นจริงมันควรพูดคำว่าอ่อยหนุ่มๆเสียมากกว่าการอ่อยสาวๆ


“ก็รอดูนะครับ”


“จะรอดู” ผมพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทแต่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรไป ก่อนจะจอดรถในบริเวณลานจอดรถหน้าร้านกล่อมจันทร์ของพี่ทีม


“จะเข้าร้านได้หรือยัง”


“เออน่า รีบจังวะ” ผมเดินนำหน้าไอ้กันที่มัวแต่เช็กความหล่อของมันป่านกระจกรถผมไม่หยุด ผมตรงเข้าไปหาพนักงานเพื่อแจ้งว่าจองโต๊ะไว้แล้ว ทีแรกไอ้กันจองโต๊ะที่เป็นโซนด้านหน้าเวทีติดขอบเวทีเพราะเจ้าตัวตั้งใจมาเพื่อฟังเพลงโดยเฉพาะ แต่โต๊ะที่ได้เป็นโต๊ะที่พี่ทีมเป็นคนจัดสรรมาให้ซึ่งเป็นโต๊ะที่อยู่กลางร้านตรงกับเวทีพอดี


หลังจากได้โต๊ะเรียบร้อยผมก็ปล่อยให้คนตัวเล็กจัดการสั่งอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนผมก็นั่งท่องเนื้อเพลงในโทรศัพท์มือถือพร้อมกับปรึกษาแผนการเซอร์ไพรส์กับไอ้ทัชผ่านทางไลน์








“พี่ปั่น”


“อือ มีอะไร”


“ไม่กลับเหรอ”


“ยัง อีกเดี๋ยวค่อยกลับก็ได้” ผมตอบคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆไปโดยที่ไม่ได้เงยหน้าสนใจเพราะมัวแต่ท่องจำเนื้อเพลงที่กำลังจะร้อง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางด้านข้างเวทีเมื่อใกล้ถึงเวลาตามที่นัดกับพี่ทีมไว้












ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนเวทีพร้อมกับไมค์และกีตาร์ในมือตั้งแต่ตอนไหน ด้วยความตื่นเต้นสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเร็วมาก ผมสูดหายใจเข้าให้เต็มปอดก่อนจะพ่นออกมาช้าๆ เพื่อตั้งสติแล้วพูดความรู้สึกที่ผมมีออกมา..




“สวัสดีครับทุกคน ผมปั่นครับ”






“ทุกคนอาจจะสงสัยว่าขึ้นมาทำไม ผมอยากขออนุญาตทุกคนร้องเพลงสักหนึ่งเพลงให้กับคนคนหนึ่งฟัง”




ผมมองตรงไปยังคนที่มาพร้อมกับผมที่นั่งอยู่โต๊ะกลางร้านเพียงคนเดียว สีหน้าที่ดูตกใจและสงสัยของเด็กหน้ามึนที่ผมคุ้นชินทำเอาผมอยากทิ้งกีตาร์วิ่งลงไปกอดมันเอาไว้ในอกแต่ตอนนี้ผมต้องทำในสิ่งที่ผมควรจะทำต่อไป..





“เพลงๆ นี้ผมตั้งใจจะร้องเพื่อบอกกับคนคนนั้นว่า ตลอดเวลาที่เราห่างกันรวมถึงทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยในอย่างไร้สถานะ ผมไม่มีสิทธิ์กอด..ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย สิ่งที่ผมรู้สึกและทำได้มากที่สุดในตอนนี้คือ..”




“..คิดถึง”




ผมเริ่มเกากีตาร์คลอเป็นทำนองก่อนจะเริ่มร้องเพลงที่แทนความรู้สึกของผมในช่วงเวลาที่เราต้องห่างกันและความรู้สึกที่ผมมีในตอนนี้ ผมไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าการได้คนตรงหน้ากลับมาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผมอย่างที่เคยเป็น..






“หลับตาลงยังรู้สึก..ท่ามกลางความอ้างว้าง ในหัวใจ

..ค่ำคืนยาวนาน กับความเดียวดาย

และลมหายใจ ที่ว่างเปล่า..”








“..อยากให้เธอได้สัมผัสกับความห่วงใย ที่มีให้เธอ

ได้ยินเสียงของพระจันทร์จะกล่อมเธอฝันดี

ให้เธอได้รู้ตลอดไป..”







“ว่าทุกเวลาที่เราห่างกัน แสนไกล..

ยังมีอีกคำ ในหัวใจที่จะบอกเธอให้เธอได้รู้ และเข้าใจ..

..ว่าคิดถึงเธอเมื่อเราห่างกัน แสนไกลมีคำหนึ่งคำจะพูดไปให้เธอได้รู้..

..จะแทนความหมาย ความห่วงใย”









“..ฉันคิดถึงเธอ..”





“..ฉันมีเพียงเธอ..”











หลังจากผมขอบคุณพี่ทีมและทีมงานทุกคนในร้านเรียบร้อยผมก็ตรงกลับไปที่โต๊ะเพื่อไปหาเด็กหน้ามึนของผมที่ยังคงนั่งอึ้งอยู่ ผมคว้าคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดทันทีที่นั่งลง ความรู้สึกที่ผมมีในทีแรกทั้งความกลัว ความกังวลต่างๆ ได้หายไปทั้งหมดเหลือเพียงแต่ความสุขที่เกิดจากสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจทำลงไป


นอกจากสิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้ผมโล่งอกกับการได้ปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมาให้คนในอ้อมกอดของผมตอนนี้ได้รับรู้แล้ว ยังสามารถทำให้เด็กน้อยของผมยอมอยู่ใกล้ๆผมอยู่ในอ้อมอกของผมเป็นเวลานานอย่างที่ไม่ได้เป็นมาหลายเดือน ผมรับรู้ได้ว่าอีกหนึ่งความคิดถึงที่ผมมีตอนนี้คือคิดถึงการได้อยู่ใกล้คนที่ตัวเองรักได้ดูแลได้โอบกอดของที่ผมรักชิ้นนี้เอาไว้


“ร้องไห้เลยไหม”


“ไม่ได้จะร้อง แค่ตกใจ”


“ไม่เป็นไรแล้ว กูอยู่กับมึงตรงนี้” ผมลูบหัวคนตัวเล็กที่ซุกอยู่กับอกผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน การกระทำของผมในวันนี้ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่ามันจะไม่ใช่การขอคบหรือขอคืนดี แต่เป็นเพียงการบอกความรู้สึกที่ผมมีให้น้องกันได้รับรู้เพราะฉะนั้นผมถือว่าผมทำสำเร็จแล้ว


“อือ”


“กลับกันไหม ดึกแล้ว”


“ปล่อยก่อนดิ”


“มึงบอกตัวเองรึยังไง เกาะกูเป็นปลิง” ผมหัวเราะเบาๆเพราะขำในคำพูดของเด็กที่กอดผมอยู่เองแต่ดันมาบอกให้ผมปล่อย ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเดินออกจากร้านไปอย่างเขินอาย น่ารักเสียไม่มี

ผมเลือกที่จะไปส่งไอ้กันที่หอแต่ไม่ได้ขอขึ้นไปด้วยหรือชวนมันกลับไปนอนคอนโดด้วยเพราะตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจำเป็นต้องใช้เวลาเกือบทั้งสัปดาห์กับการเข้าประชุมเชียร์ในฐานะพี่ระเบียบและเฮดว้ากนั่นอาจทำให้ผมไม่มีเวลาได้ตามดูแลหรืออยู่ใกล้กับไอ้กันมัน

















คุณคิดว่าคนเราจะใช้ชีวิตโดยขาดคนรักได้นานแค่ไหน ยิ่งสำหรับคนที่มีความรักอยู่แล้วคุณคิดว่าระยะเวลานานเท่าไหร่ที่จะทำให้คุณคิดถึงคนบางคนจนแทบทนไม่ไหว สำหรับผมเวลาเพียงหนึ่งคืนก็นานพอจะทำให้ผมทรมานได้แต่ผมก็จำเป็นต้องอดทนเพื่อทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ตั้งแต่คืนนั้นมาก็ผ่านมาสามวันแล้วที่ผมไม่ได้เจอไอ้กันเลย ไม่ได้เห็นหน้างงๆ มึนๆ ของมัน


ผมนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองระหว่างรอเข้าประชุมระเบียบก่อนจะไปลงระเบียบน้องปีหนึ่งเพราะในตอนนี้มีเพียงผมและเพื่อนไม่กี่คนที่มาถึงอาคารเอนกประสงค์ที่ใช้ในการประชุมเชียร์


แอปพลิเคชันเฟสบุ้กถูกเปิดขึ้นและเลื่อนผ่านหน้าข่าวใหม่ไปเรื่อยๆด้วยความเบื่อหน่ายและไม่มีอะไรทำฆ่าเวลา ครั้นจะทักไปคุยกับเด็กหน้ามึนก็คงกำลังวุ่นกับการทำแผนการตลาดอยู่ ผมสะดุดตากับโพสต์ที่มีคนแชร์มาเป็นจำนวนมากในหน้าฟีด เป็นโพสต์จากเพจที่มีผู้ติดตามมหาศาลซึ่งผมก็พอจะคุ้นกับเพจเพจนี้เนื่องจากเป็นเพจที่มักจะมาขออนุญาตนำรูปของผมไปลง


แต่โพสต์ที่ผมเห็นกลับเป็นคลิปวิดีโอที่ผมเล่นกีตาร์ร้องเพลงในร้านกล่อมจันทร์ในคืนนั้น พร้อมกับคำบรรยายแปลกๆ ที่คิดว่าคงเป็นวิธีการนำเสนอเพื่อดึงดูดใจคนของทางเพจ





My Single Boys
ผู้ชายร้องเพลงเล่นกีตาร์ยั่วๆ ค่าาาาาาาา ทั้งน้ำเสียงทั้งความละมุนทำเอาอยากให้พ่อแม่ยกขันหมากไปสู่ขอเลยจ้า คนที่สามีร้องเพลงให้คือใครกันคะ แอดจะตามหาคนคนนั้นค่ะ ใครรู้มาบอกแอดนะคะ แอดอยากรู้มาก#พี่ว้ากโหดในโหมดละมุน #ตามหาคนพิเศษช่วยกัน#หล่อโคตรโคตรแต่อาจจะไม่โสดแล้ว
MIIND ไม่นะๆ ๆ ๆ ๆ ใครกันนะ
ppoonoi หนูจะนอนร้องไห้แล้วนะแอด
PAPANG @กัมปนาทP.ATG ต๊ายยยยยยย ไม่รู้เรื่องมาก่อน แบบนี้ต้องมีคนเคลียร์ค่ะ




“ดูอะไรอยู่วะ”


“หือ” ผมเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือมามองหน้าเพื่อนอย่างไอ้ทัชที่ทำหน้าทำตาอย่างกับหมางง เล่นเอาผมหลุดขำออกมาทันทีที่เห็น


“มึงขำอะไร?”


“หน้ามึงดิไอ้เวร”


“หน้ากูเป็นอะไร ความหล่อติดเหรอวะ”


“ถุย” ผมส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาในความหลงตัวเองของเพื่อนก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือในมือให้มันดู


“ก็กูเห็นมึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กูก็สงสัย”


“พอใจมึงรึยัง?” ผมรับโทรศัพท์กลับจากไอ้ทัชหลังจากที่เพื่อนรักได้รับรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมดูอยู่เป็นเพียงคลิปที่มีคนอัดมาลง ซึ่งไอ้ทัชก็ดูไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเพราะแผนนี้ผมก็ปรึกษามันตั้งแต่ก่อนลงมือทำแล้ว


“กูก็นึกว่าอะไร”


“อะไร อะไรของมึง ไปประชุมคนมากันจะครบแล้ว” ผมกอดคอเพื่อนรักตรงไปที่วงประชุมที่มีคนนั่งรวมกันอยู่ หวังว่าการที่มีเพจเอาไปลงแบบนี้จะไม่เป็นเรื่องที่ทำให้เด็กน้อยของผมเดือดร้อนหรือเกิดอะไรไม่ดีขึ้น มิฉะนั้นผมจะไม่ปล่อยคนที่ทำไว้แน่นอน













“ถ้าพวกน้องมากันได้แค่นี้ น้องก็ทำแบบนี้ต่อไปทุกวันครับ ไม่มีทางได้ออกจากวงจรแบบนี้ ทราบ!”


“ทราบครับ/ค่ะ!”


“วันนี้พอแค่นี้ ประธาน”


“ปีหนึ่ง สาม สี่!”


“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ผมเดินออกจากอาคารอเนกประสงค์ทันทีหลังจากลงระเบียบปีหนึ่งเสร็จเพื่อจัดการกับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองที่ยังปะทุอยู่ วันนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้เพราะปีหนึ่งบางกลุ่มเริ่มหัวแข็งและไม่เข้าประชุมเชียร์ทำเอาทั้งสตาฟฝ่ายต่างๆที่เตรียมตัวมาหรือแม้แต่ตัวผมเองไม่ได้ทำตามแผนที่วางกันเอาไว้ สุดท้ายต้องจำใจทำโทษและอบรมไปตามระเบียบ




ผมสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆและพยายามสงบสติให้สามารถกลับมาทำตัวปกติได้ ป่านนี้ไอ้กันมันจะทำอะไรอยู่กันนะ ในเวลาที่อารมณ์ไม่ค่อยดีแบบนี้ผมมักจะได้ยินคำพูดจากมันว่า ‘โมโหแล้วได้อะไร’ ประโยคที่ไม่ได้ดูมีอะไรประโยคนี้มักจะทำให้ผมยิ้มออกได้ทุกครั้ง อาจจะไม่ใช่เพราะความหมายของมันแต่เป็นเพราะคนที่พูดมันออกมาต่างหาก











“ปั่น”


“รินมีอะไรกับเราเหรอ”


“คือรินมีเรื่องจะคุยกับปั่น ปั่นไปร้านนั้นกับใคร แล้วคนพิเศษที่ปั่นหมายถึง..คือใคร?” ผมหันตามเสียงเรียกทันทีที่ได้ยินว่ามีคนเรียกชื่อของผม ซึ่งเป็นรินเพื่อนร่วมคณะของผมที่เดินตามออกมาจากในอาคารอเนกประสงค์ก่อนจะถามบางสิ่งน่าจะเป็นความสงสัยที่ผมคิดว่าถึงเวลาที่ผมควรจะบอกเธอไปอย่างชัดเจนได้แล้วว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ


“เราไปกับคนคนนั้น”


“แล้วรินล่ะปั่น ที่ผ่านมาปั่นไม่รับรู้เลยสักนิดเหรอว่ารินชอบปั่นแค่ไหน” รินพุ่งตัวเข้ามาจับแขนของผมพร้อมกับพูดออกมาอย่างผิดหวัง


“ขอโทษนะ เราไม่ได้คิดอะไรกับรินไปมากกว่าเพื่อน”


“แล้วคนคนนั้นเป็นใคร” ระหว่างที่รินกำลังพูดอยู่สายตาผมดันไปสะดุดเข้ากับไอ้กันที่กำลังยืนมองผมและรินจากประตูอาคารอเนกประสงค์ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารด้วยสีหน้าผิดหวัง


“กัน กัน” ผมพยายามจะตามมันไปแต่รินกลับดึงผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้ผมไป


“รินปล่อย เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”


“นี่ปั่นอย่าบอกนะว่าคนพิเศษของปั่นคือเด็กผู้ชายคนนั้น”


“ใช่”


“ปั่นบ้าไปแล้วเหรอ!”


“พอได้แล้วริน ขอโทษนะ” ผมสะบัดรินออกก่อนจะรีบวิ่งตามไอ้กันเข้าไปในอาคารแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนตัวเล็ก ผมวิ่งออกจากอาคารทางอีกประตูหนึ่งและเห็นเพื่อนของผมกำลังยืนคุยกันอยู่


“ไอ้ปั่นมึงไปหนีเสือมาจากไหนวะ”


“กัน ไอ้กันไปไหนแล้ว” ผมก้มหน้าหอบด้วยความเหนื่อยพร้อมกับถามเพื่อนออกมา


“น้องกัน พึ่งจะเดินไปทางนั้นมึง” ผมพยักหน้าขอบคุณไอ้มินก่อนจะวิ่งตามทางที่เพื่อนบอกไปในความมืดของมหาวิทายาลัยในช่วงค่ำคืน


“ระวังด้วยนะมึงทางมันมืด”









เครดิต เพลง คิดถึง โดย พีชเมกเกอร์ PEACEMAKER

https://www.youtube.com/watch?v=fpbcxVvlcUY







**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ไม่น่าคิดผิดเลยจริงจริง
{13}




“กัน”


“...”


“ฟังกูก่อน”


“...” ผมเดินต่อไปในความมืดของทางเดินระหว่างอาคารในมหาวิทยาลัยโดยที่ไม่คิดจะหยุดหรือหันกลับไปตอบกลับเสียงเรียกของพี่ปั่น ผมไม่มีความจำเป็นที่ต้องยอมรับฟังเหตุผลไร้สาระจากคนที่รับปากว่าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมขึ้นอีกแต่เขากลับทำสิ่งนั้นขึ้นมาเองให้ผมเห็นกับตา


“จะหยุดเดินแล้วคุยกันดีๆได้ไหมวะ”


“คุยอะไรวะ”


“ก็หยุดฟังสิวะ”


“...”


“เดินไปมืดๆ ไม่กลัวรึยังไง..” ยังไม่ทันจะจบประโยคของพี่ปั่นผมก็สะดุดเข้ากับของแข็งบางอย่างบนพื้นจนข้อเท้าพลิกล้มลงไปนั่งแหมะอยู่บนพื้น


พรึ่บ !


“โอ๊ย!”


“ก็บอกให้หยุดเดิน มันมืดขนาดนี้มึงก็ยังจะเดินหนีกูอยู่ได้ แล้วเจ็บตัวนี่คุ้มไหมวะ” ผมรู้สึกปวดที่ข้อเท้าข้างที่พลิกมากเสียจนพยายามจะลุกขึ้นก็ลุกไม่ได้ แต่ร่างสูงที่เดินตามมากลับเอาแต่ทำหน้ายักษ์พร้อมกับด่าผมไม่หยุด


“...”


“อย่าพึ่งขยับสิ จะหนีอะไรนักหนาวะ คุยกันดีๆ มันยากเหรอ!” ไอ้เจ็บมันก็โคตรเจ็บแถมยังโดนด่าอีกผมยังไม่ทันจะหายตกใจจากที่สะดุดล้มเลยด้วยซ้ำดันมีคนมาพูดเสียงดังใส่แบบนี้อีก ผมเริ่มรู้สึกควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้จนน้ำใสๆร้อนๆไหลออกจากดวงตาอาบแก้มไม่หยุด


“ไม่ต้องมาจับ”


“ขอดูหน่อย แล้วจะร้องไห้ทำไมหืม?”


“ไม่ได้อยากร้องสักหน่อย” ผมปาดน้ำตาออกลวกๆ ก่อนจะหลับตาด้วยความเจ็บปวดขณะที่มือหนากำลังนวดคลึงบริเวณข้อเท้าของผม


“กลับกัน ไว้ค่อยไปคุยกันที่ห้อง”


“จะกลับยังไง” ผมมองหน้าคนตรงหน้าด้วยความสงสัยก่อนที่คนตัวสูงจะย่อตัวลงนั่งหันหลังให้ผมเพื่อให้ผมขึ้นขี่หลัง ผมต้องขึ้นไปขี่หลังพี่ปั่นจริงๆเหรอ เขาจะไม่หาว่าผมอ่อนแอไม่แมนใช่ไหม หรือผมควรเดินกระเผกๆกลับดี


“ขึ้นมา เร็ว”


“...”


“ฮึบ” ร่างสูงของพี่ปั่นยืนขึ้นเต็มความสูงโดยที่มีผมอยู่บนหลัง


“บอกแล้วว่ามันมืด ก็ดื้อไม่ฟังเอง”


“ก็..”


“รินมาถามกู ว่าใครคือคนพิเศษที่กูหมายถึงในเพลง”


“...” ผมนิ่งฟังสิ่งที่พี่ปั่นเล่าขณะเดินกลับ ก่อนจะฝังหน้าลงบนบ่าหนาของคนตัวสูง ที่จริงแล้วถ้าพี่รินเขายังชอบพี่ปั่นอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะการที่ผู้หญิงคนหนึ่งยอมสารภาพว่าชอบผู้ชายคนหนึ่งได้เขาก็คงรู้สึกมากเสียจนกล้าทำสิ่งนั้นออกมาได้


“กูก็ตอบไปว่าคือมึง แต่รินเขาไม่ยอมจบกับกู กูก็เลยปฏิเสธรินไปตรงๆเลย”


“อือ”


“โอเคไหม กูมีแค่มึงคนเดียวนะ เชื่อใจกูนะ” พี่ปั่นยื่นนิ้วก้อยออกมาจากแขนข้างที่ประคองขาผมอยู่ให้ผมตอบรับ ทำอะไรหวานแหววเสียไม่มี จากชีวิตผู้ชายแมนๆของผมเปลี่ยนมาใช้ชีวิตราวกับสาวน้อยวัยใสไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ




“อือ” ผมยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวพันกับนิ้วของอีกฝ่ายเป็นสัญลักษณ์ของคำสัญญา


“แล้วมาได้ยังไง ไม่ทำแผนเหรอ”


“ก็ทำ แต่..”


“แต่อะไร”




“..คิดถึง” ผมตอบไปเบาๆ ก่อนจะรีบมุดหน้าลงในเสื้อของพี่ปั่นด้วยความเขินอาย ความจริงแล้วผมยังเหลืองานแผนอีกนิดหน่อยที่ต้องทำให้เสร็จแต่ผมบอกไอ้พีกับไอ้แป้งว่าจะกลับมาให้อาหารเจ้ากำปั้นที่หอเพื่อที่จะแอบหนีออกมาจากบรรยากาศเคร่งเครียดในห้อง แทนที่ผมจะให้อาหารแมวเรียบร้อยแล้วกลับไปทำงาน ผมกลับตัดสินใจเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเจอหน้าใครบางคนที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน


“เขินเลย”


“หมายถึงพี่เหรอ..เปล่า ผมนี่แหละที่เขิน ผ่าม!”


ร่างสูงขำไม่หยุดตั้งแต่ผมเล่นมุกฆ่าตัวเองมุกนั้นจนกระทั่งส่งผมที่รถของตัวเองเพราะผมยืนยันว่าสามารถขับรถกลับได้ด้วยการใช้ขาขวาที่ไม่ได้เป็นอะไรในการเหยียบคันเร่งและเบรกรถ ผมไม่อยากจอดรถของตัวเองทิ้งไว้ในมหาวิทยาลัย











ผมจอดรถในลานจอดรถของหอพักและนั่งเล่นอยู่ในรถเพื่อรอให้พี่ปั่นมาช่วยพยุงลงจากรถเป็นเวลานานพอสมควรกว่ารถคันหรูจะมาจอดเทียบข้างรถของผม เขาหายไปไหนของเขามาวะขับรถนี่ใช้ความเร็วยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงหรือยังไง


ร่างสูงตรงเข้ามาช่วงพยุงผมลงจากรถแต่กลับไม่ได้พาผมกลับขึ้นไปบนหอ พี่ปั่นเปิดประตูรถของตัวเองฝั่งด้านข้างคนขับออกก่อนจะช่วยประคองผมให้เข้าไปนั่งได้ ผมไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะคิดว่าพี่ปั่นคงพากลับไปคอนโดล่ะมั้งถ้าเป็นแบบนั้นก็เป็นเรื่องดีที่จะมีคนช่วงประคองผมเดินไปมาเพราะผมรู้สึกว่าไม่อยากกระโดดขาเดียวไปตลอดช่วงที่เจ็บข้อเท้า




“ไปไหนอะ”


“พามึงไปทำงานต่อ”


“เห้ย! ไม่เอา ขี้เกียจแล้ววววววว นะ นะ นะ” ทันทีที่ผมคิดภาพว่าต้องกลับไปนั่งทำแผนพร้อมกับอาการปวดที่ข้อเท้าอย่างทรมานแบบนี้ก็เล่นเอาผมแทบอยากกระโดดลงจากรถวิ่งกระต่ายขาเดียวกลับหอไปนอนกอดเจ้ากำปั้นเลยทีเดียว แล้วไอ้คนข้างผมนี่เขาจะนึกคึกอะไรถึงอยากให้ผมกลับไปทำงานขนาดนั้นกันนะ


“กัน งานจะเสร็จไหม โตแล้วนะ เดี๋ยวกูไปอยู่เป็นเพื่อน งานเสร็จแล้วค่อยกลับ”


“แต่ต้องทายานอนสิจะได้หายเร็วๆ”


“กูไปแวะซื้อยาก่อนมารับมึงแล้ว” เตรียมการดีจริงๆ พ่อคุณ เอาวะไหนไหนก็ไหนไหนกลับไปทำงานให้เสร็จจะได้พักยาวๆจริงๆสักที













เวลาตีสองป่านนี้หลายๆคนคงกำลังมีความสุขกับการหลับฝันดีหรือฝันถึงใครสักคน ถ้าใครฝันร้ายก็คงอยู่ในช่วงที่่เรื่องราวกำลังเข้มข้นน่าติดตามว่าจะถึงตอนจบของเรื่องและสะดุ้งตื่นตอนไหน ในขณะที่ผมพึ่งจะเคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ ผมควรถือว่าการเข้ารอบสองของการแข่งขันแผนการตลาดครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดีหรือเรื่องไม่ดีกันแน่ ผมงมกับงานโดยที่ไม่ได้พักผ่อนมาวันนี้เป็นวันที่สี่แล้ว กว่าจะเสร็จเรียบร้อยได้ก็เล่นเอาเกือบไม่รอด


สภาพไอ้แป้งตอนนี้เหมือนคนที่พึ่งถูกปล่อยออกจากห้องขังครั้งแรกในรอบหลายปีเพราะทันทีที่ตรวจงานเสร็จครบทุกส่วนแล้ว สาวสวยดีกรีดาวการตลาดก็ลุกขึ้นมาเต้นโคฟเวอร์เกาหลีวงที่มันชอบทันทีแต่สภาพผมกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรงและหน้าสดที่ใต้ตาดำเป็นหลินปิงของมันไม่เข้าเพลงเลยสักนิดทำเอาแม้แต่พี่ปั่นที่ดึงหน้านิ่งอยู่ตลอดถึงกับหลุดขำอย่างหนักกับการท่าทางและการกระทำของมัน


ส่วนไอ้พีก็กลับหอไปทันทีที่งานเสร็จเพราะไอ้เหนือมารอรับตั้งแต่เที่ยงคืน ผมรู้สึกว่าคู่นี้มันเริ่มชัดเจนขึ้นมากกว่าตอนแรกมากเพราะทุกวันนี้ไอ้เหนือตามเฝ้าไอ้พีแทบทุกวันแต่เพื่อนผมกลับเอาแต่ทำสีหน้าอย่างกับกินรังผึ้งเข้าไปทุกครั้งที่ไอ้เด็กนั่นมาเฝ้า







ผมเองก็คิดว่าจะชวนพี่ปั่นที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่กลับได้แล้วเพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของไอ้แป้งมัน อีกอย่างหลังจากที่พี่ปั่นทายาและพันผ้ายึดข้อเท้าของผมข้างที่พลิกไว้ผมก็ยังยอมไม่กินยาสักเม็ด เนื่องจากกลัวว่าฤทธิ์ของยาจะทำให้ง่วงเสียจนไม่สามารถทำงานต่อได้ แต่ตอนนี้งานก็เสร็จแล้ว ผมควรรีบกลับไปกินยานอนพักผ่อนสักที



“กลับได้แล้ว”


“เสร็จหมดแล้วเหรอ”


“อือ” ผมพยักหน้าตอบรับพี่ปั่นที่เดินเข้ามาย่อตัวลงถามข้างๆผมพร้อมกับช่วยเก็บข้าวของของผมลงกระเป๋า


“นอนไหน”


“แล้วแต่สิ” ผมตอบไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเพราะตอนนี้ขอแค่ได้นอนไม่ว่าที่ไหนไหนผมก็นอนได้ การที่ไม่ได้นอนมาสี่วันมันทำให้ผมไม่ได้คิดเรื่องอะไรทั้งนั้น ส่วนพี่ปั่นกลับเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกรุ้มกริ่ม ยิ้มอะไรวะ ง่วงโว้ย!


“ใจอ่อนแล้วรึยังไง”


“...”


“เงียบใส่เฉย โอเคกลับๆ” ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเอือมระอาเพราะความเป็นพี่ปั่นที่สามารถคิดเรื่องง้อผมได้ตลอดเวลา ทำไมแค่การที่ผมยอมไปนอนที่คอนโดด้วยจะทำให้เขาเข้าใจว่าผมยอมใจอ่อนแล้วด้วยวะ


“ไม่ได้เงียบเหอะ กลับไปคุยที่ห้อง”


“ครับเจ้านาย”











ทันทีที่ออกจากคอนโดไอ้แป้ง ผมและพี่ปั่นก็ตรงดิ่งกลับคอนโดพี่ปั่นตามความต้องการของเจ้าของห้องที่อ้างว่าหอผมมันไกลไม่อยากวนไปส่ง และอีกสารพัดเหตุผลที่พี่ปั่นให้มาล้วนแล้วแต่ทำให้ผมไม่สามารถขัดได้ สุดท้ายผมก็อยู่ในสภาพชุดนอนตัวโคร่งของพี่ปั่นและนั่งให้คนตัวสูงทายาบริเวณข้อเท้าให้อยู่บนเตียงหลังจากที่ถอดผ้าพันยึดข้อเท้าออกก่อนไปอาบน้ำอย่างทุลักทุเลคนเดียว


“เรียบร้อย”


“ขอบคุณนะ”


“...” คนตรงหน้าเงยหน้ามามองผมพร้อมกับแสดงสีหน้าตกใจปนสงสัย นี่บนใบหน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือยังไง


“อะไรเหรอ”


“เปล่า แค่ตกใจที่มึงพูดเพราะกับกู”


“ไม่ชอบเหรอครับพี่ปั่น” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้พี่ปั่นที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกอยากแกล้งอยากเอาชนะคนตรงหน้า แต่ผมกลับคิดผิดที่ตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปเพราะผม..









จุ๊บ !

ปากหนาทาบปิดที่ริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็วก่อนจะถอนออกช้าๆ ผมนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะรีบเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเองทันทีหลังจากพี่ปั่นถอยออกไปแล้ว นี่ผมเสียจูบให้ไอ้พี่ปั่นแล้วอย่างนั้นเหรอ ถึงมันจะแค่เอาริมฝีปากมาแตะกันก็เถอะ


“ให้กูนอนด้วยไหมครับน้องกัน”


“...”


“เงียบแปลว่าตกลงนะ ฝันดีครับที่รัก”



ฟอด ~

ผมยังไม่ทันจะตอบอะไรออกมาสักคำพี่ปั่นก็ชิงจังหวะหอมแก้มผมแล้วรีบนอนลงด้านข้างพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทันทีทำเอาผมที่กำลังจะพ่นคำด่าออกมาถึงกับอึ้งไปอีกพักใหญ่ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนช้าๆ และไม่ลืมที่จะเอาหมอนข้างมาวางคั่นไว้เพราะกลัวจะถูกคุกคามอีก


วันนี้มันวันอะไรกันวะทั้งโดนจุ๊บปากและหอมแก้มความเป็นผู้ชายของผมที่มีมาหายไปไหนหมดแล้วววว ผมรู้สึกว่าใบหน้าผมยังร้อนผ่าวไม่หยุดตั้งแต่นอนลง จากที่ง่วงและเพลียจากงานผมถึงกับตาค้างนอนไม่หลับต้องนอนหลับตานับแกะที่กระโดดไปมาเพื่อให้ได้พักผ่อนสักที










“กว่าจะมาได้นะมึงไอ้น้องกัน ไม่รอให้อาจารย์มาก่อนเลยล่ะ”


“กูยังเจ็บข้อเท้าอยู่ไงไอ้พวกเวร”


“แล้วพี่ปั่นของมึงไม่มาตามรับตามส่งหรือยังไง”


“ไม่” ผมวางของลงบนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างไอ้พีที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่พร้อมกับตอบคำถามของมัน ที่จริงแล้วตั้งแต่คืนนั้นผมก็ไม่ได้เจอพี่ปั่นบ่อยเท่าไหร่เพราะเจ้าตัวขอเวลาไปจัดการเรื่องรับน้องให้เรียบร้อยเนื่องจากใกล้ช่วงสอบปลายภาคของมหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็ไม่ได้ขัดอะไรเพราะผมเองก็ต้องอ่านหนังสือเหมือนกันอาจจะไม่ได้มีเวลาให้


เห็นผมเป็นคนขี้เกียจ ไม่เอาไหนแบบนี้ผมก็ตั้งใจเรียนนะเพราะผมอยากให้คนมองว่าผมมีดีอีกหลายอย่างนอกจากหน้าตาที่ดีมากแล้ว ที่กล่าวมาข้างต้นผมล้อเล่น ที่จริงแล้วเหตุผลที่ผมต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อทำเกรดดีๆไว้เพราะผลการเรียนของผมมันมีผลต่อค่าขนมของผมในแต่ละเดือนด้วย เพราะฉะนั้นผมจึงต้องทำเพื่อการอยู่รอดของตัวเอง



“ทำตัวเหมือนเป็นแฟนกันขนาดนี้ เมื่อไหร่มึงจะยอมกลับไปคบกับพี่เขาวะ”


“ไม่รู้ดิ”


“ช้ามากระวังหมามันจะคาบไปกินนะลูก”


“...”


“ไอ้แป้งมึงก็ไปพูดให้มันคิดมาก”


“ขอโทษ น้องกันลูก อย่าเครียดนะ” ไอ้แป้งลูบแก้มผมเบาๆ ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างของมันก่อนจะเดินกลับไปนั่งเตรียมเรียนในวิชานี้ ผมเองก็ไม่ได้คิดมากเรื่องของพี่ปั่นขนาดนั้นเพราะตัวผมเองก็เชื่อใจอีกฝ่ายมากในระดับที่คิดว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น











“อาจารย์ขอเช็กชื่อก่อนนะคะนิสิต อย่าพึ่งกลับกันไปหมด” หลังจากการเรียนการในคาบเรียนจบลงอาจารย์สาววัยกลางคนร่างอวบก็ยิ้มอย่างอบอุ่นพร้อมกับขานชื่อนิสิตตามรหัสนิสิตเพื่อเช็กชื่อเข้าเรียนทีละคน ผมมีรหัสนิสิตอยู่ในช่วงท้ายจึงทำให้ต้องนั่งรอพักใหญ่กว่าจะถึงเวลาขานรับเช็กชื่อ




“กันตินันท์”


“มาครับ”


ผมยกมือพร้อมกับขานรับอาจารย์พร้อมกับเก็บของลงกระเป๋าเพื่อกลับหอ





“แล้วพวกมึงจัดกระเป๋ารึยัง”


“จัดกระเป๋า จัดกระเป๋าไปไหน”


“เออจริง ไปไหนวะ” ผมถามขึ้นระหว่างเดินออกจากห้องเรียนเข้าลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่าง โชคดีที่พวกผมออกจากห้องค่อนข้างช้าทำให้ไม่มีคนร่วมลิฟต์โดยสารลงไปชั้นล่าง ว่าแต่กระเป๋าที่ไอ้แป้งหมายถึงคือกระเป๋าที่จะจัดไปไหน ทำไมผมไม่เห็นจะรู้มาก่อนว่าผมมีแผนต้องเดินทางไปที่ไหน


“นี่อย่าบอกกูว่าพวกมึงลืมรับน้องทะเล”


“อ้าวก็หลังสอบไม่ใช่เหรอวะ” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัยเพราะตามตารางที่นัดกันเอาไว้คือรับน้องนอกสถานที่ของสาขาการตลาดจะจัดขึ้นหลังสอบปลายภาค ซึ่งก็เหลือเวลาอีกสามสัปดาห์ทำไมไอ้แป้งมันต้องรีบจัดกระเป๋าขนาดนั้น


“ห้ะ! ไอ้น้องกัน มึงเอาหัวไปมุดหลุมตุ่นที่ไหนมา เขาเลื่อนมาเป็นพรุ่งนี้กันแล้ว เพราะปีหนึ่งโหวตไม่ไปปิดเทอม”


“ไอ้พี มึงรู้ไหมวะ กูไม่ยักรู้มาก่อน”


“เพิ่งจะรู้พร้อมมึง” ผมตกใจมากที่จู่ๆ การรับน้องนอกสถานที่ถูกเลื่อนกำหนดการมาเป็นวันพรุ่งนี้ ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด ข้อเท้าก็ยังไม่ได้หายดีกลับมาสมบูรณ์ยังเดินไม่ค่อยปกติอยู่ อีกทั้งเรื่องนี้ผมยังไม่ได้บอกม๊ากับป๊าว่าต้องไปรับน้องนอกสถานที่ที่ทะเลล่วงหน้าต้องโดนด่าแน่เลย





**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :z2: เค้าง้อขนาดนี้ น้องกันก็เล่นตัวแต่พองามนะลุก

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
การเมารถเป็นเหตุ PP's
{14}



‘~ทะเลที่ใครว่าดี...แต่สำหรับพีมันคือนรก

เพราะใจผมต้องตกเป็นของ...เหนือ~’



การนั่งรถเป็นเวลานานนอกจากจะทำให้รู้สึกเพลียและปวดตูดมากแล้ว สำหรับผมยังมีอีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญมากคือผมเป็นคนเมารถ โดยเฉพาะรถที่เป็นรถโดยสารคันใหญ่เหมือนรถทัวร์ที่ทางสาขาจัดหามาใช้ในการเดินทางไปรับน้องนอกสถานที่ในปีนี้ ผมยังจำได้แม่นว่าเมื่อปีที่แล้วผมอาเจียนตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยได้ครึ่งชั่วโมงยาวไปจนถึงปลายทางทำเอาภาพลักษณ์เดือนสาขาของผมพังลงกลายเป็นผู้ชายที่นั่งหน้าซีดให้ผู้หญิงอย่างไอ้แป้งมาพัดให้และช่วยดูแลตลอดทาง


พอมาในปีนี้ผมก็คิดว่าการเป็นรุ่นพี่จะได้รถที่ดีขึ้นกว่าที่ผมนั่งปีที่แล้ว ซึ่งการคาดการณ์ของผมเป็นจริงครับแต่ดันเป็นจริงกับปีสองแค่จำนวนหนึ่งเพราะรถโดยสารปรับอากาศสำหรับปีสองไม่สามารถรับจำนวนผู้โดยสารได้เท่าจำนวนนิสิตในสาขาที่มีจึงต้องมีส่วนหนึ่งเสียสละอาศัยรถคันเดียวกันกับปีหนึ่งในการเดินทาง


ที่จริงรถที่ปีหนึ่งได้ในปีนี้ไม่ได้ถือว่าแย่เท่าไหร่สภาพรถไม่ได้เก่าและทรุดโทรมเหมือนเมื่อปีก่อน เสียก็แต่ว่าเครื่องปรับอากาศในรถกลับมีปัญหาเสียจนต้องเปิดหน้าต่างกันทุกบานเพื่อรับลมให้มีอากาศหายใจกันภายในรถ


ด้วยความเป็นผู้ชายและศักดิ์ศรีความเป็นเดือนสาขาเก่าผมจึงจำเป็นต้องเป็นหนึ่งในผู้เสียสละที่เดินทางด้วยรถคันเดียวกันกับปีหนึ่ง ผมไม่ได้รู้สึกยินดีอะไรสักนิดและยิ่งมาเห็นว่ารถคันนี้เครื่องปรับอากาศเสียหลังจากเริ่มออกรถไปได้ระยะหนึ่งยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าการตัดสินใจของผมมันผิด แต่กลับกันกับคนบางคนที่พึ่งจะขอเปลี่ยนที่กับเพื่อนผมมานั่งข้างผมที่เอาแต่ยิ้มไม่หุบสักที




“ไม่กินอะไรหน่อยเหรอ”


“ไม่เอา”


“ทำไมหน้าพีซีดๆ ปวดหัวไหม?”


“ไม่ปวด” ผมเอาแต่ส่ายหน้าตอบรับคนที่นั่งอยู่ด้านข้างที่ทั้งยื่นขนมขบเคี้ยวในมือมาให้ผมและอังหลังมือลงบนหน้าผากของผมเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผม ผมยังไม่ได้บอกไอ้เหนือว่าผมเป็นคนที่เมารถง่ายเพราะถ้าบอกไปมันต้องเก็บไปล้อผมแน่นอน


“แล้วทำไมหน้าซีดขนาดนี้”


“กู..”


“พักรถครับ เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวไม่เกินยี่สิบนาทีรีบไปรีบมานะครับ” เสียงประกาศของไอ้ดินแดนดังขึ้นก่อนจะที่รถจะจอดลงในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ผมพุ่งตัวลงจากรถอยากรวดเร็วเพื่อไปปลดปล่อยความกระอักกระอ่วนที่มีในตัวอย่างอึดอัด ผมมั่นใจว่ายังไงผมก็อาเจียนเพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้คือวิ่งเท่านั้น โดยที่ไม่สนใจเสียงเรียกของไอ้เหนือที่ตามมาติดๆ


“พี พีจะไปไหน รอด้วย”








“เห้ออออ”


“เป็นยังไงบ้าง เป็นอะไรทำไมไม่บอก” ผมเดินคอตกออกจากห้องน้ำหลังจากปลดปล่อยทุกอย่างที่กินไปออกมาจนหมดไส้หมดพุงโดยที่มีไอ้เหนือค่อยเดินตามพัดและบีบนวดไหล่มาตลอดทางจนถึงรถ


“พีนั่งติดหน้าต่างไม่เป็นอะไรใช่ไหม ให้ผมนั่งแทนไหม”


“ไม่เป็นไร นั่งลงดิ” ผมตบเบาะข้างๆเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายนั่งลงในขณะที่ตัวเองก็ถือยาดมโบกไปมาอยู่บริเวณจมูกเพื่อบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะที่กำลังเป็นอยู่ แต่ทำไมอีกฝ่ายกลับเอาแต่ยืนยิ้มอยู่ได้ผมนี่งงจริงๆ


“น่ารักว่ะพี”


“อะไร?”


“ก็ที่ทำอยู่ เวลาพีอ่อนแอโคตรน่ารักเลย” ผมถอนใจแรงๆหนึ่งครั้งก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาปิดหน้าพร้อมพิงหัวลงที่หน้าตาด้วยความเพลียและเอือมระอากับการชื่นชมผมว่าน่ารักของไอ้เหนือมัน


“ไม่ปวดคอเหรอ มานี่มา”


“เหนือ..” ผมบ่นออกมาเบาๆแต่ก็ไม่ได้มีแรงขัดขืนกับการที่มือหนาค่อยๆประคองให้ผมซบลงบนไหล่ของมัน ผมไม่มีเวลามาคิดว่าจะมีคนเห็นหรือจะมีคนล้ออะไรเพราะถ้าผมไม่หลับผมจะต้องอยากอาเจียนอีกแน่นอน


“นอนไปนะ”


“อือ”















“พี”


“...”


“พี ถึงแล้ว”


“อือ” ผมลืมตาขึ้นในขณะที่ทุกคนในรถกำลังทยอยเดินขนของสำภาระลงจากรถ ส่วนคนที่นั่งข้างผมกลับไม่ลุกไปไหนนั่งให้ผมซบมาตั้งแต่ครึ่งทางจนถึงที่ มันไม่ปวดไหล่หน่อยหรือยังไง แล้วนี่ผมทำไมไม่รู้สึกตัวให้มันได้ขยับตัวบ้างล่ะเนี่ย


“ไปกัน”


“ขอบใจนะ”


“ไม่เป็นไรหรอก ผมทำให้พีได้ทุกอย่าง” ผมยิ้มให้ร่างสูงที่ยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินนำลงจากรถไป




ปีหนึ่งถูกไอ้ดินแดนและพวกเฮดเรียกไปรวมเพื่อฟังระเบียบในการรับน้องนอกสถานที่ตลอดเวลาสองวันสองคืนนี้ ส่วนผมก็เดินตรงไปหาพวกไอ้กันที่กำลังรับกุญแจห้องพักจากฝ่ายสถานที่อยู่ รถของปีสูงและพี่บัณฑิตกำลังจะทยอยมาถึงทำให้พวกผมต้องรีบเก็บของเข้าที่พักเพื่อออกมาเตรียมตัวรอรับพี่ๆ ปีสูง


สรุปผมไอ้แป้งและไอ้กันก็ตกลงกันว่าจะนอนด้วยกันเพราะไม่อยากไปนอนรวมกับใคร ที่จริงแล้วไอ้แป้งควรไปนอนในห้องที่มีผู้หญิงแต่มันกลับเถียงขาดใจว่ายังไงก็จะนอนกับผมและไอ้กันทำให้ต้องจำใจยอมให้มันเข้ามานอนด้วยในห้องพัก


“ไอ้พีมึงลงไปรับพี่ไหวไหมวะเนี่ย”


“ไหวมั้ง”


“แป้ง มึงจะลงไปเลยไหม?”


“ไปๆ ปล่อยไอ้พีมันนอนพักไปมึง” ผมพยักหน้าตอบรับเพื่อนทั้งสองคนที่จัดของเสร็จและแต่งตัวพร้อมลงไปจัดเตรียมสถานที่ต้อนรับพี่ปีสูงและประชุมกิจกรรมรับน้องในคืนแรกขณะที่ผมนอนแผ่อย่างหมดแรงอยู่บนเตียงโดยมีแก้วน้ำเกลือแร่วางอยู่ใกล้ๆ


“เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงกูมาตามไปตอนมื้อเย็นละกัน” ไอ้กันพูดก่อนจะเดินออกจากห้องและปิดประตูห้องไป


ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น คิดไปคิดมาแล้วในตอนนี้พวกไอ้เหนือคงกำลังถูกพวกเฮดลงระเบียบอยู่สินะ จุดประสงค์หลักของการจัดรับน้องนอกสถานที่ของสาขาการตลาดคือการให้รุ่นกับน้องโดยการทำให้น้องรู้สึกกดดันและทำกิจกรรมกันเป็นทีม เพื่อที่จะสามารถนำไปปรับใช้ในอนาคตการทำแผนการตลาดที่ต้องอาศัยระบบการทำงานเป็นทีมภายใต้สภาวะความกดดันสูงๆ


ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับรุ่นพี่ปีสูงหรือพี่บัณฑิตที่จบไปแล้วหลายคนจากหลากหลายสายอาชีพเผื่อในอนาคตจะสามารถช่วยเหลือกันได้ในสายงานหรือให้คำปรึกษาได้ในหลายๆ เรื่อง


ปีนี้ถือเป็นปีที่ผมยังคงร่วมกิจกรรมรับน้องทะเลอย่างโดดเดี่ยวเช่นเคยเพราะสายเทคของผมไม่มีใครว่างมาสักคนแม้แต่น้องเทคของผมที่ติดธุระด่วนไม่สามารถมารับน้องนอกสถานที่ได้ ต่างจากสายของไอ้กันที่แห่กันมาตั้งรุ่นดึกดำบรรพ์ทุกปีเป็นสายที่น่าอิจฉาสายหนึ่งในสาขาเลย









ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นรัวๆแล้วเงียบลงทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง แต่กลับไม่มีใครเปิดประตูเข้ามาทั้งที่ประตูไม่ได้ถูกล้อคไว้ ถ้าเป็นไอ้กันก็น่าจะรู้สิว่ามันไม่ได้ล้อคหรือจะเป็นไอ้แป้งวะ


“ไม่ได้ล้อค”






แกร่ก

“ตื่นนานแล้วเหรอ”


“อ้าว แล้วไอ้สองคนนั้นอะ” ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของไอ้เหนือที่เดินเข้ามา ผมแอบตกใจนิดหน่อยที่คนที่เข้ามาเป็นมันแต่ก็ไม่ได้มีแรงจะไปต่อล้อต่อเถียงกับมันเหมือนปกติสักเท่าไหร่


“เขาให้ผมมาตามไปข้างล่าง”


“ไม่ได้โดนลงระเบียบอยู่รึยังไง”


“เขาพักทานข้าวกันแล้ว ไม่หิวเหรอ”


“ก็หิว กำลังจะลงไปนี่แหละ” ผมลุกขึ้นนั่งที่ปลายเตียงช้าๆก่อนที่ไอ้เหนือจะมานั่งลงข้างๆผม แปลกดีแฮะที่ผมไม่โวยวายกับความใกล้ชิดที่มากขึ้นของเราสองคน ผมเริ่มรู้สึกการมีมันอยู่ในชีวิตก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน หรือว่าผมจะ..


..ตกหลุมรัก..


..ไอ้เหนือเข้าแล้วอย่างนั้นเหรอบ้าน่า แปลกดีเนอะ ที่ผู้ชายทั้งแท่งอย่างผมที่มีตำแหน่งเป็นถึงเดือนสาขาและรองเดือนคณะอย่างผมไม่ได้สนใจความรักที่ไม่ว่าจะมีใครดูดีหรือสวยแค่ไหนเข้ามาขายขนมจีบให้ แต่จู่ๆกลับมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือการเข้ามาจีบผม


ทีแรกผมปิดกั้นตัวเองจากไอ้เด็กนี่พอสมควรแต่เมื่อผ่านเวลาไปนานๆ การกระทำของตัวมันเองหรือแม้กระทั่งความรู้สึกทุกอย่างที่มันมีให้ผมก็สามารถทำให้ผมเริ่มเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือความจริงและมันเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก ไม่ได้เป็นเหมือนกับสิ่งที่ผมคิดไว้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่นๆ


“ไม่อยากนอนกับเพื่อนเลย”


“อ้าว ทำไม มีปัญหากับเพื่อนเหรอ?”


“เปล่า อยากมานอนดูแลพีต่างหาก” ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนฉ่าเหมือนกระทะร้อนที่ใช้ใส่ผัดไทยหอยทอดขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินประโยคที่ดูไม่ได้หวานซึ้งอะไรจากคนที่นั่งอยู่ด้านข้างแต่กลับทำให้ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ


“เพ้อเจ้อ”


“ไม่ได้เพ้อนะ ก็พีดูไม่ดีขึ้นจากตอนอยู่บนรถเลย”


“แค่เมารถเอง เดี๋ยวกินข้าวกินยาก็ปกติแล้ว กูผู้ชายนะ”


“ถ้าไม่ดีขึ้นผมจะมานอนกับพี”


“เรื่องของมึงเถอะเหนือ” ผมสะบัดหัวไปมาเพื่อให้สลัดความสะลึมสะลือที่มีทิ้งไปก่อนจะเดินออกจากห้องไปก่อนไอ้เหนือที่เอาแต่นั่งยิ้มอยู่บนเตียง












“กว่าจะลงมาได้นะมึง”


“ทำไมวะ ไอ้น้องกันไปไหนของมัน”


“ไม่รู้มันเห็นโดนพี่นายลากไปทางนั้น แล้วมึงเนี่ย”


“หือ?”


“ลงมาช้าขนาดนี้ ไอ้น้องเหนือมันขึ้นไปตามด้วยวิธีไหนกันจ้ะเพื่อน” ผมหรี่ตามองไอ้แป้งที่แสดงท่าทางเขินบิดตัวไปมาเสียจนน่าใช้เท้าผลักมันลงไปเล่นกับทรายที่พื้น ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นผู้หญิงผมคงตบหัวมันไปสักทีสองที










บรรยากาศการรับน้องนอกสถานที่ในคืนแรกซึ่งเป็นคืนที่ปีหนึ่งยังจำเป็นต้องอยู่ในระเบียบอย่างเรียบร้อยก่อน ทำให้ในบริเวณลานจัดปาร์ตี้ที่เตรียมไว้ริมหาดมีแต่พี่ปีสูงและพี่บัณฑิตนั่งคุยสังสรรค์กันตามโต๊ะที่มีแสงไฟสลัวๆเคล้ากับลมทะเลและเสียงคลื่นซัดชายฝั่งเบาๆ


ส่วนปีหนึ่งจะถูกจัดอาหารให้ทานมื้อเย็นกันอยู่ในห้องสัมมนาของทางรีสอร์ตเงียบๆ ผมเดินออกมารับลมทะเลที่หาดใกล้ๆ นอกลานจัดกิจกรรมที่ฝ่ายสถานที่เตรียมไว้หลังจากกินอาหารที่ไอ้แป้งเตรียมไว้ให้ได้เพียงเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าไม่ได้หิวเท่าไหร่






“มึงมานั่งทำอะไรคนเดียววะพี”


“อ้าวน้องกัน”


“กวนตีน ไม่ต้องมาทำหน้าตาคึกคักถ้าสภาพมึงยังเหมือนหมาป่วยอยู่” ไอ้กันนั่งลงข้างผมหันหน้าไปทางทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตาเหมือนกับผม นานแล้วที่ผมกับมันไม่ค่อยได้นั่งคุยกันเงียบๆสองคนแบบนี้ ถ้าเป็นทุกครั้งคงเป็นไอ้เตี้ยข้างผมที่เป็นฝ่ายทำหน้าอมทุกข์มาระบายหรือปรึกษาผมแต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นไอ้กันที่น่าจะต้องมานั่งฟังเรื่องที่ผมกำลังจะปรึกษาเสียมากกว่า..


“กัน มึงว่าผู้ชายกับผู้ชายมันรักกันได้จริงๆเหรอวะ”


“ไม่รู้ดิ”


“แล้วมึงกับพี่ปั่น ไม่ได้รักกันเหรอวะ”


“ก็..”


“แหนะ แหนะ เพื่อนกูรักเขาเข้าแล้วดิ” ผมกอดคอพร้อมกับขยี้หัวเพื่อนรักด้วยความเอ็นดู ทำไมกับเรื่องของไอ้กันผมถึงเอาใจช่วยโดยที่ไม่ได้เก็บเรื่องเพศมาคิด ผมมองข้ามเรื่องเพศไปและมองแค่ความสุขของคนสองที่สมควรจะเป็น แต่กลับเรื่องของตัวเองทำไมผมถึง..



“พูดมากไอ้ห่า แล้วมึงกับไอ้เหนือล่ะ ไม่รักกันเลยดิ”


“กู..ยังไม่ได้รู้สึกขนาดนั้นว่ะ”


“แล้วมึงคิดว่า..”


“กูกลัวน้องมันจะพยายามจนเหนื่อยเปล่าว่ะ กูอาจจะไม่ได้รักมันตามที่มันต้องการ..”


“...”


“..ในเร็วๆ นี้ แต่กูเชื่อว่ามันจะทำให้กูเปิดใจให้มันได้” ผมยิ้มออกมาหลังจากพูดจบประโยค ทำเอาไอ้กันแสดงสีหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว


“กูก็นึกว่ามึงจะไม่ยอมให้โอกาสมัน น้องเทคกูเลยนะเว้ย ถ้าน้องกูอกหักกูจะฆ่ามึงแน่ไอ้พี”


“อย่าเก่งให้มันมากไอ้เตี้ย”


“แหมมึงสูงกว่ากูไม่ถึงสิบเซนต์”


“เออ ไปหาไอ้แป้งกัน” ผมลุกขึ้นปัดทรายที่ติดอยู่ที่กางเกงออกก่อนที่จะดึงมือเพื่อนตัวเล็กให้ยืนขึ้นด้วย ผมรู้สึกว่าการที่ได้มานั่งฟังเสียงลมพัดคลื่นมากระทบฝั่งพร้อมกับพูดเรื่องบางเรื่องกับเพื่อนที่เราเชื่อใจอย่างไอ้กันทำให้ผมได้ปลดปล่อยสิ่งที่หัวใจต้องการออกมาเป็นอิสระและอยู่นอกกรอบที่ตัวเองเคยตั้งไว้






“อ้าว แล้วเหนือไปไหนล่ะ”


“เหนือ?”


“อือ กูให้มันไปตามมึงสองคนที่หาด” ไอ้แป้งถามขึ้นทันทีที่ผมสองคนเดินเข้ามาถึงโต๊ะที่มันนั่งอยู่ ผมกับไอ้กันมองหน้ากันเองอย่างงุนงงเพราะไม่ยักจะเห็นแม้แต่เงาใครสักคนตอนที่พวกผมนั่งคุยกันอยู่ หรือไอ้เหนือมันจะไปตามแล้วหาไม่เจอจนเดินกลับเข้าไปในรีสอร์ตแล้วกันแน่


“ไม่เห็นนะ ช่างมันเถอะ แล้วคืนนี้พี่เขาไม่กินกันเหรอวะ”


“ยังมั้ง เพราะเห็นว่าพรุ่งนี้ต้องรับน้องแต่เช้า” ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะนั่งลงข้างไอ้แป้ง ส่วนไอ้กันก็เดินไปหาของกินเล่นที่ทางรีสอร์ตจัดอาหารว่างไว้รับรองลูกค้ามาให้ผมและตัวมันเอง


ไอ้เหนือมันไปไหนของมันวะ...





**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment มาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด