ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
____________________________________________________________________________________________
SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง - by .ปีกนกฮูก
เรื่องราวที่จบลง จะคงอยู่ตลอดไป..
เพียงเพราะหัวใจยังเรียกหา..
ความ 'คิดถึง' จะพาเรากลับมาพบกัน ..อีกครั้ง
คนที่เป็นแค่แฟนเก่า จะมีอิทธิพลกับชีวิตเราได้มากแค่ไหนกันนะ..
“กลับมาคบกับกูได้รึยัง”
“ห้ะ!”
“เออสิ กลับมาคบกับกู”
_____________________________________________________________________________
*นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติและจินตนาการของผู้เขียน
บุคคลและสถานที่ตามเนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงแต่อย่างใด
*นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายประเภท ชายรักชาย
*นิยายเรื่องนี้อาจมีการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมหรือคำหยาบคาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เริ่มต้น 18 . 06 . 2562
ปล.นิยายเรื่องนี้มีความยาว 22 ตอน ไม่รวมตอนพิเศษ จะมีการทยอยลงวันละ 1-2 ตอน
หากผู้อ่านมีความคิดเห็นหรือคำติชมใดๆ กรุณาตอบกลับมาได้เลยยย
...
สารบัญ
เกริ่นสักหน่อย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3983501#msg3983501)
{1}
ผู้ยินดีในความรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3983695#msg3983695)
{2}
เสื้อตัวนั้นที่ผมคุ้นเคย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3983946#msg3983946)
{3}
เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวนะ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3984168#msg3984168)
{4}
ถุงกระดาษสีน้ำตาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3984231#msg3984231)
{5}
เหมือนหมารอเจ้านาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3984415#msg3984415)
{6}
อย่าเงียบใส่กัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3984725#msg3984725)
{7}
พี่ปั่นคนกาก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3984941#msg3984941)
{8}
ไม่ได้เป็นอะไรกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3985258#msg3985258)
{9}
คิดถึงกันบ้างไหม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3985472#msg3985472)
{10}
เดือนเหนือเดือน PP's (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3986285#msg3986285)
{11}
แผนการของความคิดถึง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3986557#msg3986557)
{12}
เบื้องหลังแผนการ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3986706#msg3986706)
{13}
ไม่น่าคิดผิดเลยจริงจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3986788#msg3986788)
{14}
การเมารถเป็นเหตุ PP's (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3986947#msg3986947)
{15}
ปรับความเข้าใจ PP's (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3986999#msg3986999)
{16}
ระยะห่างระหว่างเรา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3987122#msg3987122)
{17}
รอนานนานมันบั่นทอนหัวใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3987347#msg3987347)
{18}
ก็ป๋าเขาอยากเลี้ยง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3987914#msg3987914)
{19}
พยายามมากพอรึยัง? (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70538.msg3988514#msg3988514)
{20}
ปีใหม่ที่ใจไม่เหงา
{21}
แฟนคลับตัวยง
...
เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวนะ
{3}
“กลับเลยไหมแป้ง?”
“กลับ..แต่กูต้องพาน้องเทคไปเลี้ยงด้วย”
“เออไปพร้อมกูเลยสิ”
“โอเค”
ผมได้แต่นั่งฟังบทสนทนาของเพื่อนทั้งสองคนเงียบๆ เพราะผมไม่มีสิทธิ์เสนอตัวไปกับพวกมันเหมือนอย่างทุกครั้ง เหตุผลหลักๆ ก็มาจากคำพูดของไอ้บ้านั่นคนเดียวแท้ๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่กล้าขัดคำสั่งเขานะแต่ผมกลัวว่าเขาจะตามผมถึงหอจริงอย่างที่ขู่ไว้ เพราะคนอย่างเขาบ้าเสียไม่มีถ้าคิดจะทำอะไรก็คงทำจริง
“ไม่ชวนกูหน่อยเหรอ” ผมส่งสายตาออดอ้อนใส่เพื่อนทั้งสองคนที่กำลังเก็บของลงกระเป๋า รู้ว่าไปไม่ได้แต่ก็อยากไปนี่นา อย่างน้อยก็ชวนกันพอเป็นมารยาทนิดนึงสิเพื่อน
“ชวนแล้วไปไหม?”
“แหะๆ”
“แล้วน้องมึงล่ะ?”
“ไม่รู้” จริงสิแล้วน้องเทคผมมันไม่มาหาผมแล้วมั้ง เล่นหายหัวไปตั้งแต่รับน้องเสร็จเลยหรือว่ามันจะโดนลากไปคุยเรื่องเก็บตัวดาวเดือนกันแน่วะ
“อ้าวแล้วมึงเอายังไง”
“เอ่อ..พีถ้ามึงเจอมันก็พามันไปกับพวกมึงด้วยแล้วกันเดี๋ยวกูเอาเงินคืน” โทษทีไอ้น้องเทคพี่หาทางออกได้ดีที่สุดแค่นี้ไว้พี่จัดการเรื่องตัวเองเสร็จเมื่อไหร่พี่จะเลี้ยงขอโทษ
“โอเค”
“ขอให้สนุกนะจ๊ะน้องกัน”
“สนุกกับมะเขืออะไรแป้ง” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะนั่งลงที่ม้าหินอ่อนตามเดิมเพื่อรอไอ้เฮดว้ากหน้านิ่งที่กำลังลงระเบียบน้องอยู่ ไม่นานเพื่อนๆ ในสาขาและปีหนึ่งก็แยกย้ายไปเลี้ยงสายกันจนเหลือเพียงแค่ผมคนเดียวที่นั่งบริจาคเลือดให้ยุงอยู่ตรงม้านั่งตัวเดิมตัวนี้
“กัน”
“อือ”
“ตื่น”
เสียงทุ้มของคนที่ทำให้ผมต้องนอนฟุบหลับอยู่อย่างนี้ดังขึ้นพร้อมกับวางเสื้อช็อปของเขาลงบนโต๊ะ นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนกันนะลืมตามาอีกทีก็แทบไม่มีคนเหลือเลย
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเพื่อดูเวลาว่าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว ว่าแต่นี่มันกี่โมงแล้วนะ..ผมหลับไปตั้งแต่หกโมงเย็นส่วนตอนนี้ก็..
“เชี่ย!”
“เป็นอะไรของมึง” ผมอุทานเสียงดันจนร่างสูงที่นั่งอยู่ผละจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาจ้องหน้าผมแทน จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงก็นี่มันสามทุ่มครึ่ง สามทุ่มครึ่งเลยนะโว้ยยย นี่ผมนอนบริจาคเลือดให้ยุงไปสามชั่วโมงกว่าๆ เลยเชียวนะ
“ทำไมพี่ไม่ปลุกวะ”
“ก็กูเห็นมึงกำลังหลับสบาย” ไอ้พี่เวรจะมาเป็นคนดีไม่กวนการนอนของผมในเวลาแบบนี้ไม่ได้ แล้วถ้าผมเป็นไข้เลือดออกมาใครจะรับผิดชอบ
“บ้านป้าพี่สิ”
“ไปได้แล้ว”
“ไปไหน?” คนตรงหน้าลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหยิบเสื้อช็อปของตัวเองไปพาดบ่า ว่าแต่เขาจะพาผมไปไหนวะ หรือว่า..เขาจะเอาผมไปให้เพื่อนเขารุมกระทืบที่ผมบอกเลิกเขาไป ชิพหายแล้วไอ้กัน
“กินข้าวสิวะ”
“อ้าวเหรอ”
“เออดิ” ค่อยโล่งหน่อย เกือบแล้วไอ้กันเกือบได้ตายกลางดงตีนวิศวะแล้วไง
ความรู้สึกแปลกประหลาดบนโต๊ะอาหารแบบนี้ไม่ได้มีมานานแค่ไหนแล้วนะ ครั้งล่าสุดที่มีก็แทบจะจำไม่ได้แล้วสิ จะไม่ให้รู้สึกแบบนี้ได้ยังไงในเมื่อสายตาแทบทุกคู่ในร้านจับจ้องที่ผมตลอดเวลา ซึ่งสาเหตุมันไม่ได้มาจากใครนอกเสียจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนี่แหละ เอาเข้าจริงแล้วก็ต้องยอมรับว่านอกจากเพื่อนในคณะไอ้พี่ปั่นมันก็ไม่เคยอยู่ในที่สาธารณะร่วมกับใคร คนที่มองอยู่คงจะสงสัยกันว่าผมเป็นใครทำไมถึงได้มาร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันกับคนที่ใครหลายๆ คนในมหาวิทยาลัยขนานนามว่าเทพบุตรของคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้
“ไม่หิวหรือไง”
“...”
“กัน”
“ทำไมถึงพามากินข้างนอกล่ะ” ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนอย่างพี่ปั่นที่ให้เหตุผลกับผมมาตลอดว่ารำคาญคน ทำให้ไม่อยากเปิดตัวว่าคบกับใครและไม่เคยที่จะชวนผมไปในที่สาธารณะสองต่อสองถึงพาผมออกมากินข้าวในร้านอาหารที่มีคนเยอะแบบนี้
“พร้อมจะฟังกูแล้วรึไง”
“คิดว่าพร้อมไหมล่ะ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทพี่ปั่นมันเหมือนทุกครั้งที่อยู่กับมันสองต่อสอง แปลกจังวะ ทำไมผมถึงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังนั่งกินข้าวกับแฟนเก่าอยู่ทั้งที่ความจริงก็ควรรู้สึกอย่างนั้น
“ยังกวนไม่เลิก”
“จะทำไม”
ป๊อก!
“ไอ้เด็กหน้ามึน” ร่างสูงอาศัยจังหวะที่ผมทำหน้ากวนตีนมันดีดหน้าผากผมอีกครั้ง ไอ้พี่เวรเจ็บนะโว้ย ผมได้แต่เอามือลูบหน้าผากตัวเองปอยๆ
“กลับได้รึยัง?”
“จะฟังกูดีๆ ..หรือจะ..”
“มีอะไรก็พูดมาสิ” ผมชักเริ่มหงุดหงิดกับความเอาแต่ใจของพี่ปั่นมันแล้วนะ ตั้งแต่สั่งให้ผมนั่งรอจนเสี่ยงจะเป็นไข้เลือดออก แถมยังลากผมมากินข้าวด้วยหรือถ้าจะเรียกให้ถูกลากมานั่งเฝ้าตัวเองกินข้าวจะดีกว่า ตั้งแต่มาถึงก็มีแต่พี่ปั่นที่กินเอากินเอาอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนผมก็ปล่อยจานหมูกระเทียมตรงหน้าให้คงสภาพเดิมตั้งแต่ถูกเอามาเสิร์ฟ
“กลับมาคบกับกูได้รึยัง”
“ห้ะ!”
“เออสิ กลับมาคบกับกู” ผมนั่งมองหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยความอึ้งปนสงสัยอย่างมาก ทำไมการมาขอคืนดีของเขาถึงง่ายจังวะ คนตรงหน้าพูดออกมาด้วยสีหน้าปกติของเขาที่ดูไม่ได้จริงจังอะไร แถมยังพูดไปกินข้าวไปนี่นะ
“ไม่!”
“ไอ้เด็กหน้ามึน กูง้อมึงมาสองเดือนแล้ว”
“ง้อบ้านป้าพี่สิ หายไปสองเดือนเรียกง้อเหรอวะ?” ใช่ครับหลังจากวันที่ผมบอกเลิกเขา เขาก็เงียบหายไปเลยประจวบกับช่วงปิดเทอมที่ผมต้องกลับบ้านทำให้ผมไม่เห็นแม้แต่เงาเส้นผมของเขาด้วย ถ้าเขาเรียกการหายไปว่าเป็นการง้อ ผมว่าผมคงต้องกลับไปคบกับแฟนเก่าคนแรกแล้วแหละเพราะเล่นหายไปตั้งหลายปี
“เออสิ”
“ไม่!”
“อย่าเอาแต่ใจตัวเอง”
“พี่สิที่เอาแต่ใจตัวเอง” ช่างกล้าชะมัดพี่ปั่นไอ้เวร มีหน้ามาว่าผมเอาแต่ใจตัวเองทั้งๆ ที่ตัวเองทั้งจู้จี้ขี้บงการออกแต่คำสั่งขนาดนี้
“งั้นจะให้กูทำยังไง”
“ทำ..ทำอะไร?”
“ทำให้มึงกลับมาคบกับกูไง”
“โวะ” อะไรของมันวะ ถ้ามันตอบง่ายขนาดนั้นคงไม่ต้องเลิกกันแล้วมั้งครับ
“หน้ามึน”
“หน้าหล่อมากกว่าเหอะ” กวนชิพหาย ว่าแต่เอาเข้าจริงผมยิ้มออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แถมยังลืมเรื่องเครียดในหัวที่มีมาตลอดช่วงปิดเทอมไปเลย อะไรของผมวะแค่ได้มานั่งกินข้าวกับพี่ปั่นนี่นะ
“ยิ้มอะไร..เขินเหรอ”
“มั่ว!” ผมรีบก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากแก้เขินทันที เดี๋ยวสิ เขินเหรอ นี่ผมเขินเขาเหรอวะบ้าป่ะวะพอเลยไอ้กันตั้งสติโว้ยยยยยยย
หลังจากต้องทนอยู่กับบรรยากาศแปลกๆ ที่มีสายตาหลายสิบคู่จับจ้องตลอดเวลามาพักใหญ่ในร้านอาหารร่วมกับเทพบุตรคณะวิศวกรรมศาสตร์ผมก็พาตัวเองออกมาจากบรรยากาศนั้นได้ แต่กว่าจะลากพี่ปั่นที่ไม่ยอมลุกออกจากร้านอาหารสักทีได้ก็ต้องต่อรองกันนานพอสมควร และผลที่ออกมาเพื่อแลกกับการลุกออกจากร้านของพี่ปั่นก็คือ...
..ผมต้องยอมให้เขาไปส่ง
แทบไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นในรถตลอดระยะทางตั้งแต่ร้านอาหารตามสั่งแถวมหาวิทยาลัยจนเสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือของผมทำลายบรรยากาศตึงๆ ในรถลง ..
“ว่าไงครับพ่อ”
[กลับยังไงมึงอะ]
“ก็..ไม่น่าถาม”
[กูว่าแล้ว]
“รู้ดี แล้วน้องเทคกูล่ะ?” รู้ดี รู้เก่ง รู้ตั้งแต่ยังไม่บอก ผมว่าไอ้พีมันควรไปเรียนโหราศาสตร์นะจะได้จริงจังกับด้านนี้ไปเลย ถุย เพ้อเจ้อว่ะผมเนี่ย
[อยู่กับกูนี่แหละ..น้องมันอยู่หอเดียวกับเรา]
“อ๋อก็ดี”
[แล้วมึงนอนไหนคืนนี้] ถามอะไรแปลกๆ ของมันวะ ไอ้พีมันคิดว่าหน้าอย่างผมจะไปนอนที่ไหนได้อีกมันเมาน้ำยาแอร์รึไง วะ
“ห้องกูไง ถามอะไรแปลกๆ”
[กูนึกว่าพี่ปั่นจะลากมึงไปนอนด้วย]
“ก็เหี้ยละ” ผมเหนื่อยใจกับความคิดประหลาดๆ ของเพื่อนตัวเองขึ้นทุกวัน ถ้าไม่ติดว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันตอนนี้ผมคงตบกบาลเรียกสติสักทีสองทีแล้ว ว่าแล้วผมก็เงยหน้าขึ้นมองถนนที่มีการจราจรติดขัดด้านหน้า ว่าแต่..เอ๊ะ!!
“พี่ปั่น”
“ว่าไง”
“จะพาไปไหน?” ผมมองข้างทางสลับกับด้านหน้าที่แปลกตาออกไปจากเส้นทางกลับหอของผม ไอ้พี่ปั่นก็เอาแต่นั่งตีหน้าเฉยเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น หรือผมจะจำทางผิดเองวะ ไม่สิผมน่ะแม่นทางกลับหอตัวเองที่สุดแล้วต่อให้เมาแค่ไหนก็กลับถูก
[โชคดีนะเพื่อนกูไม่กวนแล้ว]
“ไอ้พี มึง เห้ย!” ไม่ทันที่ผมจะเรียกไอ้พี เจ้าตัวก็ชิงตัดสายไปแล้ว มันทิ้งผมไอ้เพื่อนเวรรรรร
“ไอ้พี่ปั่นผมจะกลับ!”
“ได้” ได้บ้าอะไรของเขาวะ พี่ปั่นยังคงขับรถไปตามทางที่ผมไม่ค่อยคุ้นตาเหมือนเดิมแถมยังทำเป็นไม่สะทกสะท้านกับความหงุดหงิดและการโวยวายของผมสักนิด จนผมต้องหยิบหูฟังขึ้นมาสวมแล้วหลับไปเพราะคิดว่ากว่าจะฝ่ารถติดกลับไปถึงหอได้คงอีกพักใหญ่เวลานอนมันมีค่ามากกว่ามานั่งเถียงกับพี่มัน
“กัน..ไอ้กัน”
“อือ”
“ไอ้เด็กขี้เซา..ถึงแล้ว”
“...” สัมผัสเบาๆ ที่หัวเหมือนมีคนมาลูบหัวผมพร้อมกับเสียงปลุกที่คุ้นเคยทำให้ผมค่อยลืมตาปรับโฟกัสให้มองเห็นได้ชัดเจน
“ลง”
“ขอบคุณที่มาส่งครับ” ผมเปิดประตูลงจากรถพร้อมขยี้ตาเพราะพึ่งตื่นทำให้ตายังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ อีกมือก็หยิบกระเป๋ามาสะพายควานหากุญแจห้องก่อนขึ้นหอ ว่าแต่พี่ปั่นจะลงมาด้วยทำไมวะ??
“มึงตื่นรึยังวะกัน”
“ตื่นแล้ว” ผมตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ก็คนมันพึ่งตื่นจะให้ผมกระโดดเป็นจิงโจ้รึไงเล่าไอ้พี่บ้า เอ๊ะ..ว่าแต่หอผมมียามมาเฝ้าลานจอดรถตั้งแต่ตอนไหนวะ..หรือเจ๊หอมพึ่งจ้างมาวันนี้วันแรก ไม่สิ! ที่นี่มัน..
....ไม่ใช่หอผมมมม!!!!!!
“ไอ้พี่ปั่น ไอ้ชิพหาย!”
“กัน”
“บอกว่าจะกลับแล้วพี่จะพาผมมาทำไมเนี่ย อุ้บ” มือหนาของคนตรงหน้าทาบลงมาปิดปากผมระหว่างที่ผมโวยวายอยู่ทันที ปล่อยผมสิไอ้พี่เวร ผมจะบ่นจะโวยวายเอาให้คนทั้งคอนโดพี่ปั่นตื่นมาฟังความชั่วของเขาไปเลย
“ขึ้นห้อง”
“อ่อยอ๋มอะไออองอี่”
“จะเงียบเองหรือต้องใช้อะไรปิดปาก” โถ่เว้ย สุดท้ายก็ไม่กล้าจริงนี่หว่าไอ้กัน ผมได้แต่เดินหอบกระเป๋าตามพี่ปั่นต้อยๆ ขึ้นลิฟต์คอนโดเขาไป ไม่ใช่ว่าไม่เคยมาแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นมาบ่อย เพราะตลอดเวลาที่คบกันไอ้พี่ปั่นมักจะชอบไปสิงอยู่ที่ห้องเสียผมมากกว่า
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้องความกระจัดกระจายของเสื้อผ้าที่ล้นออกมานอกตะกร้าหรือแม้กระทั่งหมอนอิงบนโซฟาที่ตกลงมาวางอยู่บนพื้น ความเป็นระเบียบของเจ้าของห้องที่ผมเคยรู้จักหายไปไหนกัน ทำไมที่สุดของความเนี้ยบความสะอาดอย่างไอ้พี่ปั่นถึงยอมปล่อยให้ห้องรกได้ขนาดนี้
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาก่อนจะหันไปเจอกระป๋องและขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากวางเรียงกันเป็นแถวอยู่ด้านข้าง นี่พี่ปั่นดื่มขนาดนี้เลยหรอก็ไม่แปลกที่เด็กวิศวะจะดื่มเก่งดื่มหนักแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการไปดื่มที่ร้านกันเป็นกลุ่มเสียมากกว่า จากสภาพที่เห็นผมเดาได้ว่าคนแถวนี้คงดื่มคนเดียวอย่างแน่นอน ดูดูไปแล้วก็..
..เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ
“กัน..ไปอาบน้ำ”
“...”
“ไอ้กัน”
“ทำไมห้องรกวะ?” ผมไม่ฟังด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายสั่งให้ผมไปทำอะไร แต่ผมเลือกที่จะถามสิ่งที่ผมสงสัยมากกว่า อะไรหรือใครที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้กัน
“ไปอาบน้ำ หาชุดไว้ให้แล้ว”
“ถ้าไม่ตอบก็ไม่อาบ”
“แม่บ้านไม่มาทำ..พอใจยัง”
“อือ” ผมรับผ้าเช็ดตัวจากมือพี่ปั่นก่อนจากเดินเข้าห้องน้ำไป แม่บ้านไม่มาทำงั้นเหรอ คนอย่างพี่ปั่นน่ะหรอที่จะปล่อยให้ห้องรกเพียงเพราะแม่บ้านไม่มาทำความสะอาด คงจะเป็นเหตุผลที่บอกผมไม่ได้สินะ
ที่จริงแล้วเวลาสองเดือนที่เลิกกันไปสำหรับผมมันอาจจะสั้นเกินกว่าจะสามารถเปิดใจให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตได้แต่กับคุณกัมปนาทเทพบุตรสุดหล่อเขาคงมีคนเข้ามาในชีวิตมากจนเลือกไม่ถูก แล้วที่เปลี่ยนไปนี่ก็คงมาจากใครคนใดคนหนึ่งสินะ
หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็โทรหาไอ้พีเพื่อให้มันเอากุญแจสำรองห้องผมไปเปิดห้องให้อาหารเจ้ากำปั้นที่ต้องนอนอย่างโดดเดี่ยวที่ห้องตัวเดียว และผมจะไม่มีทางนอนร่วมเตียงเดียวพี่ปั่นเด็ดขาดยังไงก็ไม่มีทาง พี่น้องที่ไหนเขานอนเตียงเดียวกันต่อให้เป็นแฟนเก่าแต่ตอนนี้ก็เลิกกันแล้ว เรื่องแบบนี้ผมถือนะ ต้องไปขอป๊าก่อน ถึงจะไม่ใช่ผู้หญิงแต่ผมก็ต้องรักนวลสงวนตัวนะครับ
“นี่ของพี่”
“มึงเอามาทำไม?”
“ผมจะนอนในห้อง” ผมยื่นหมอนหนึ่งพร้อมผ้าห่มหนึ่งผืนให้ไอ้พี่ปั่นหลังจากพี่มันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ
“ทำไม..กลัวกูปล้ำรึไง?”
“เพ้อเจ้อ” ใครมันไปคิดเรื่องแบบนั้นกันวะ ผมรีบเดินกลับเข้าห้องนอนพร้อมกับไม่ลืมที่จะล็อกห้องยึดเอาห้องนอนและเตียงนอนเป็นของตัวเองโดยปริยาย
แปลกใจจังที่คืนนี้ผมไม่มีความคิดแปลกๆ เข้ามาในหัวเหมือนทุกคืนที่ผ่านมาตลอดสองเดือน ผมไม่เครียดไม่เศร้าไม่รู้สึกอย่างที่เคยรู้สึก ทำไมกันนะ..แค่การได้อยู่ใกล้คนอย่างพี่ปั่นก่อนนอนเหรอที่ทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปหรือเพราะวันนี้ผมเหนื่อยล้าจากกิจกรรมจนไม่มีแรงจะรู้สึกแบบนั้นกันนะ แต่ยังไงก็ตามคืนนี้..ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมกำลังจะเข้านอนอย่างสบายใจที่สุดตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
...ฝันดีนะครับ
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
พี่ปั่นคนกาก
{7}
‘ทั้งปั่นประสาทปั่นหัวใจ~
~ จะเป็นใครถ้าไม่ใช่ผม’
บางคนเรียกผมว่าเทพบุตร บางคนเรียกอนาคตพ่อของลูก อีกหลายๆ คำนิยามที่ผมได้รับมา ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่ได้มาเพราะ...รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีตามฉบับพิมพ์นิยม
ทั้งที่ความจริงแล้วผมกลับรู้สึกว่าผมเป็นแค่นิสิตธรรมดาคนหนึ่งในมหาวิทยาลัย ที่ควรได้รับโอกาสให้ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ไม่ต้องมีคนคอยติดตามว่าชีวิตผมในแต่ละวันทำอะไรไปที่ไหนหรือไปกับใคร ไม่ต้องมีคนโยนภาระและตำแหน่งสำคัญต่างๆ มาให้แบกรับ ผมรู้สึกภูมิใจทุกครั้งคิดย้อนกลับไปวันที่สละตำแหน่งเดือนตอนปีหนึ่งเพราะมันคือการตัดสินใจที่ผมคิดละเลือกทำในสิ่งที่ถูกสำหรับตัวผมเอง แต่แล้วพอขึ้นปีสามผมกลับต้องโดนโยนตำแหน่งที่มีภาระหนักอึ้งกว่ามาให้รับผิดชอบ..
...‘เฮดว้าก’
ผมไม่เคยแม้แต่อยากเก็บเรื่องของคนรอบตัวที่ไม่ใช่คนสำคัญของชีวิตมาใส่ใจ ไม่เคยแม้แต่จะปลิปากด่าใครเพราะการที่ผมจะด่าหรือตำหนิมันต้องเกิดจากความหวังดีและความใส่ใจที่มีให้กับคนคนนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ผมกลับต้องมาทำเรื่องแบบนั้นกับเด็กปีหนึ่งทั้งรุ่น ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้างเพราะผมมีเพื่อนที่สามารถระบายได้ทุกอย่างและเข้าใจสิ่งที่ผมเป็นได้ดีอย่างไอ้ทัช คนรอบตัวหลายๆ คนอาจจะมองว่าไอ้ทัชปากปีจอแต่สำหรับผมมันคือกระบอกเสียงและผู้ช่วยที่ดีที่สุดในการทำงานในตำแหน่งเฮดว้ากของผม
ถ้าถามว่าทำไมภาระใหญ่นี้ถึงตกมาอยู่ที่ผม เหตุผลสั้นๆ กับคำว่า ‘กระแส’ ผมจำเป็นต้องทำตามคำขอของพี่ปีสูง ผนวกกับช่วงที่ผมอกหักกับเรื่องของคนคนหนึ่งอยู่พอดีทำให้การหาอะไรยุ่งๆมาทำน่าจะเป็นทางออกที่ดีในการลืมเรื่องเศร้าๆ ได้บ้าง แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดสิ
ที่จริงแล้วคนอย่างผมไม่ควรมีปัญหาเรื่องความรักมาให้เครียดด้วยซ้ำไปเพราะมีคนที่พร้อมจะเสนอตัวมาพูดคุยคบหากับผมอยู่ตลอด แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าคนเหล่านั้นที่เข้ามาทำให้ผมมีความสุขได้เลยสักคนเดียว ทำให้ผมเลือกที่จะปิดใจตัวเองมาโดยตลอดจนกระทั่งช่วงค่ายอาสาตอนปีสองที่ผมต้องไปเก็บชั่วโมงกิจกรรมร่วมกับปีหนึ่งคณะอื่นด้วยการไปปลูกป่าบนเขา ทำให้ผมเจอกับไอ้เด็กหน้ามึนคนหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะทำให้ผมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้...
ถ้าย้อนไปในช่วงแรกที่เจอกัน ไอ้กันก็แค่เด็กผู้ชายเตี้ยๆ ที่ปากดีคนหนึ่ง แต่ด้วยความที่มันเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องในมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ทำให้มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร หรือถูกพูดถึงมากแค่ไหน ผมก็รู้สึกดีที่มันเห็นผมเป็นรุ่นพี่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ตั้งแต่กลับจากค่ายอาสาในครั้งนั้นผมก็แทบไม่ได้เจอมันอีกเลย จนผมเริ่มรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป อาจจะเป็นเพราะไม่มีเด็กปากดีมาคอยนั่งหน้ามึนกวนตีนผม หรืออาจจะเป็นเพราะผมตกหลุมรักเด็กหน้ามึนคนนนั้นไปแล้วก็ได้
ความจริงคือสิ่งที่ต้องพิสูจน์ ผมตัดสินใจว่าต่อให้การพิสูจน์ครั้งนี้ผลจะออกมาเป็นยังไงไม่ว่าผมจะชอบมันจริงๆ หรือแค่รู้สึกกับมันแค่น้องชาย ผมก็อยากจะลองให้โอกาสหัวใจตัวเองได้พิสูจน์สักครั้ง และคำตอบที่ผมได้จากการพิสูจน์ครั้งนี้ก็คือ...
...ผมรู้สึกกับเด็กผู้ชายคนนี้มากกว่าน้องชาย
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ชายทั้งแท่งอย่างผมจะรู้สึกชอบหรือตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งโดยที่ไม่ได้มองว่าเพศของคนคนนั้นเป็นเพศไหน แต่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมแล้ว และผมคิดว่าถ้าจะปฏิเสธหัวใจตัวเองเพียงเพราะเรื่องเพศผมก็โคตรไม่แมนเลยว่ะ
ผมตัดสินรุกหนักตามจีบไอ้กันทุกวิธีโดยที่มีเพื่อนของผมทั้งกลุ่มช่วยเหลือ ผมไม่เคยจีบใครมาก่อน เพราะแฟนเก่าที่เคยคบมาส่วนใหญ่ก็เข้ามาหาผมเองทั้งนั้น การต้องมาตามจีบใครสักคนจึงเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผม แถมไอ้คนที่ผมจีบก็ดันเป็นผู้ชายด้วยยิ่งยากขึ้นไปใหญ่
หลังจากที่ผมตามวุ่นวายในชีวิตมันอยู่นานด้วยความพยายามอย่างหนักผมก็ตัดสินใจขอคบกับมัน ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ถือว่าแย่เพียงแต่ผมมีกฎอย่างหนึ่งในชีวิตคือผมไม่ชอบความวุ่นวายไม่ชอบให้ใครมาติดตามเรื่องส่วนตัวของผม เพราะฉะนั้นการคบกับไอ้กันคราวนี้ผมก็ไม่ต้องการให้ใครนอกจากเพื่อนสนิทผมรู้ ผมปิดเรื่องทั้งหมดเพราะรำคาญเรื่องที่จะตามมาทำให้ช่วงเวลาที่คบกันกับไอ้เด็กหน้ามึนเป็นทั้งช่วงเวลาที่ผมมีความสุขและช่วงเวลาที่แสนจะอึดอัดไปพร้อมๆ กัน
จนกระทั่งเรื่องบ้าๆ อย่างหนึ่งเข้ามาในชีวิตของผม รินดาวคณะวิศวกรรมศาสตร์รุ่นเดียวกับผมดันมาสารภาพรักกับผมต่อหน้าคนทั้งคณะในวันวาเลนไทน์ ข่าวเรื่องนี้ดังไปทั่วมหาวิทยาลัยจนเป็นกระแสใหญ่ ทั้งๆที่ผมตั้งใจจะพาเด็กหน้ามึนของผมไปกินข้าวที่บ้านในวันครบรอบกับครอบครัวแท้ๆ แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นสิ่งที่ผมได้รับในตอนเย็นของวันนั้นคือ..
“พี่ปั่น”
“อือ”
“เหนื่อยไหม อึดอัดไหม”
“ก็..”
“ผม..เริ่มไม่มีความสุขแล้วว่ะ ผมอยากกลับไปเป็นแค่ไอ้กันที่ไม่ต้องระวังอะไร ไอ้กันที่เป็นคนธรรมดา”
“...” ผมดึงตัวร่างบางที่มีน้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลออกจากตามากอดแน่น อย่าพูดคำนั้นออกมาได้มั้ยวะกัน กูไม่อยากได้ยิน แต่กูก็หาทางออกของเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน
“ผมโคตรไม่เหมาะกับพี่เลย ผมว่าเรา..เลิกกันเถอะ”
“กัน ฟังกูก่อนดิ”
“ไม่เอาแล้ว ผมเหนื่อยกับความอึดอัดแบบนี้แล้ว ขอโทษนะ” ทันทีที่ผมพูดจบมือเล็กๆ ก็ปาดน้ำตาตัวเองออกพร้อมกับเดินออกจากห้องผมไปเลย ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่ง โดนทิ้งมันเจ็บอย่างนี้เองเหรอวะ มิน่าคนเราถึงอินกับเพลงเศร้าได้ขนาดนั้น ตัวมันชาไปหมดจนไม่มีความรู้สึกอะไรแม้แต่การหายใจของตัวเองยังลืมไปเลย
ผมใช้เวลาดื่มด่ำกับช่วงชีวิตที่ไม่เคยพบเจออย่างการอกหักตลอดปิดเทอม วันๆ สิ่งที่ผมทำคือการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมากินบนห้องคนเดียวพร้อมกับเปิดเพลงเศร้าไปเรื่อยๆ จนหลับไปทุกคืน ไอ้ทัชบอกว่าผมทำตัวเหมือนเด็กมัธยมที่อกหักครั้งแรก ก็จริงอย่างที่ไอ้ทัชมันว่า ทั้งที่ยังไม่ได้ผูกพันกันมากขนาดนั้นแต่การจากลาของใครสักคนที่มีค่ามากกับชีวิตทำให้คนคนหนึ่งเป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ
นี่สินะ..การอกหัก
เวลาแต่ละวันผ่านไปช้าราวกับเข็มของนาฬิกาหยุดรอให้ใครสักคนกลับเข้ามาในชีวิตของผม น้ำเน่าเสียไม่มี
จนกระทั่งเปิดเทอมผมได้รับหน้าที่สำคัญจากรุ่นพี่ในการเป็นเฮดว้ากของภาควิชาทำให้ต้องมีการเตรียมตัวและการทำงานที่หนักขึ้นจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องของเด็กคนนั้น ผมทุ่มเทเวลาและความคิดไปกับงานที่ได้รับมอบหมาย แต่แล้วเหมือนผมโดนแกล้ง..
เช้าวันเปิดเรียนผมต้องเอาเอกสารรายงานปิดเทอมไปส่งอาจารย์ที่คณะบริหาร และแน่นอนว่าผมเจอไอ้เด็กหน้ามึนคนนั้น ที่สภาพน่าจะยังง่วงอยู่เดินงัวเงียเข้ามาในตัวอาคาร ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไป
“กัน” ผมเรียกชื่อของมันเบาๆ ในขณะที่ประตูลิฟต์ปิด
หลังจากทำธุระเรื่องเอกสารเสร็จเรียบร้อยผมก็ตัดสินใจนั่งรอไอ้เด็กนั่นที่โรงอาหารของคณะมันโดยที่เพื่อนผมก็ไม่ได้ขัดแถมยังสนับสนุนเสียอีกเพราะจะได้นั่งมองสาวบริหารที่เดินผ่านไปมา
เวลาเที่ยงตรงคนที่ผมอุตส่าห์นั่งรอตั้งแต่คนยังมีไม่กี่โต๊ะจนคนหนาตาก็เข้ามาในโรงอาหาร มากับไอ้เด็กเดือนหน้าหล่อนั่นอีกแล้วเหรอวะ ผมหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นไอ้หน้ามึนของผมอยู่กับเพื่อนมันที่ชื่อพี ต่อให้เป็นแค่เพื่อนกันผมก็ไม่ชอบขี้หน้ามันอยู่ดี
ผมนั่งมองจนเด็กนั่นเดินออกจากโรงอาหารไป สงสัยจะกลับหอแล้ว ผมแทบอยากเดินตามไปให้มันรู้แล้วรู้รอดแต่เพราะคนเต็มโรงอาหารไปหมดเดี๋ยวจะเกิดประเด็นอีก
~ถ้าความคิดถึงมันฆ่าคนได้จริงจริง ให้ทายว่าในวันนี้ฉันจะต้องตาย~
“อยู่ดีๆ เปิดเพลงทำไมวะไอ้ห่าทัช”
“เปิดให้เพื่อนรักกูไง”
“อ๋อ กูรู้เลยใคร รู้ตัวไหมมึงอะไอ้ปั่น” ผมละสายตาจากไอ้กันที่เดินออกจากโรงอาหารไปกลับมามองหน้าเพื่อนเวรอย่างไอ้ทัชที่เปิดเพลงล้อเลียนผม
“รู้ตัวอะไรวะ”
“เปล๊าา” ไอ้ไม้ปฏิเสธเสียงสูงเหมือนคิดว่าผมจะโง่ดูไม่ออกว่าพวกมันนินทาผมอยู่
ช่วงบ่ายหลังจากแยกกับเพื่อนกลับคอนโดผมก็ตัดสินใจกดโทรออกในเบอร์ที่ผมไม่ได้โทรหามาพักใหญ่ ผมไม่คาดหวังว่าอีกฝั่งของสายจะรับสายด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนบางคนได้รู้ว่าผมยังไม่หายไปจากชีวิตมัน และไม่อยากให้มันหายไปจากชีวิตผมเหมือนกัน
[โทรมาเงียบหาอาวุธโบราณอะไรของพี่]
“...” ผมแอบแปลกใจที่อีกฝ่ายรับสายของผม แต่จากน้ำเสียงที่รับสายผมรู้เลยว่าไอ้เด็กนี่กำลังนอนกลางวันอยู่แน่ๆ แต่แปลกจังวะ ปกติถ้ามีคนกวนมันตอนนอนมันต้องดูอารมณ์เสียกว่านี้สิ
[อะไรวะ!]
“...” ไม่ทันเท่าไหร่คำสบถจากไอ้กันที่ผมคุ้นเคยก็ลั่นออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดขั้นสุด แถมยังวางสายไปเลยโดยที่ไม่รอฟังผมด้วยซ้ำ ขำดีว่ะได้แกล้งไอ้หน้ามึนนี่
“เด็กน้อยเอ๊ย” ผมพูดเบาๆ กับตัวเอง
ในช่วงเปิดเทอมของมหาวิทยาลัยที่หลายๆคนสนุกสนานกับบรรยากาศการรับน้องและกิจกรรมต่างๆ แต่ผมเองกับรู้สึกเกลียดช่วงเวลานี้ที่สุดเพราะผมต้องทำหน้าที่ที่เครียดที่สุดในการเป็นเฮดว้าก และแน่นอนว่าคนที่ปีหนึ่งจะเกลียดที่สุดในช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้นผม น่าเบื่อเสียไม่มี
ผมเดินลงจากอาคารกลางหลังจากคุยงานกับพี่ปีสูงเป็นที่เรียบร้อยเพื่อตรงไปยังลานด้านข้างของตัวอาคารกลางที่เป็นจุดรวมพลเปิดกิจกรรมเข้าระเบียบรับน้องเป็นครั้งแรกของภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าที่ผมเรียนอยู่
หลังจากผมเดินมาถึงจุดที่ปีหนึ่งรวมกลุ่มกันฟังปีสองอธิบายเรื่องระเบียบอยู่ผมก็หันไปเจอกลุ่มปีหนึ่งของคณะบริหารที่อยู่ใกล้กับภาคของผม เพียงแต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นสาขาอะไรใช่สาขาของคนบางคนที่ผมอยากเจอหรือไม่ ผมไล่สายตามองปีสองที่ยืนคุมปีหนึ่งของคณะบริหารกลุ่มนั้นอยู่จนกระทั่งผมสายตาผมไปสะดุดเข้ากับไอ้หน้าหล่อเพื่อนไอ้เด็กหน้ามึนที่ยืนคุยกับใครสักคนอยู่ และผมมั่นใจว่าเด็กผู้ชายที่ยืนคุยกับไอ้หน้าหล่ออยู่ตอนนี้ต้องใช่ไอ้เด็กหน้ามึนคนนั้นอย่างแน่นอน
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองคนนั้นทันทีแต่ดูเหมือนไอ้หน้าหล่อนั่นจะรู้ตัวก่อนจนเดินหนีไป เหลือแต่ไอ้เด็กหน้ามึนของผมที่ยังยืนงงอยู่
“กัน”
“อะไร” เสียงขานรับเบาๆ สั่นเครือของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าทำเอาใจผมสั่นไปหมด หมดกันอารมณ์ที่บิ้วมาเพื่อว้ากน้อง โดนเด็กผู้ชายหน้ามึนตรงหน้าพังลงหมดแล้ว
ป๊อก!
ผมดีดหน้าผากเด็กหน้ามึนที่ยืนทำหน้าเหลอหลาอยู่ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ทำแบบนี้กับมันวะ โคตรคิดถึงเลยว่ะอยากดึงมากอดชิพหายแต่ทำได้แค่ดีดกบาลแล้วลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู
“ไอ้!”
“ถ้าเสร็จงานแล้วกูไม่เห็นมึง..กูตามถึงหอแน่” ผมไม่รอให้ไอ้เด็กตรงหน้าด่าผมจนจบประโยค ผมแทรกขึ้นมาทันทีด้วยประโยคขอร้องที่ดูเหมือนจะเป็นประโยคคำสั่งมากกว่าว่าให้มันรอจนกว่าผมจะทำกิจกรรมเสร็จ
ผมเดินกลับภาคของตัวเองที่กำลังดำเนินกิจกรรมไปเรื่อยๆ โดยที่คอยแอบหันไปมองไอ้เด็กนั่นตลอด นี่ผมเป็นถึงขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนกันวะ
ยิ่งเมื่อสักครู่ที่ได้อยู่กับน้องมันสองต่อสองแม้จะแค่ไม่กี่นาทีผมยิ่งรู้เลยว่าความรู้สึกผมที่มีกับไอ้เด็กนี่ยังไม่หมดไป แถมยังเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ ผมควรทำยังไงให้ได้ของที่เคยเป็นของผมกลับมาวะ ค่อยๆ คิดไปละกันไอ้ปั่น
“ไปไหนมาวะ”
“ไม่เสือก” ผมตอบไอ้ทัชที่ทำหน้าล้อเลียนท่าทางของไอ้เด็กหน้ามึนนั่นใส่ผมอยู่ รู้ทั้งรู้ก็ยังจะถามกูไอ้เพื่อนเวร
หลังจากเสร็จกิจกรรมวันแรกและพูดคุยสรุปงานเสร็จผมก็รีบขอตัวเดินมาทางโต๊ะหินอ่อนที่มีเด็กขี้เซานั่งฟุบหลับอยู่ทันที ผมเลือกที่จะไม่ปลุกน้องมันแต่ปล่อยให้มันนอนสักพักใหญ่ๆ โดยที่ผมคอยนั่งพัดไล่ยุงไล่แมงให้เพราะกลัวว่าไปปลุกมันตอนพึ่งหลับแล้วเดี๋ยวตื่นมาจะงอแง
“กัน”
“อือ”
“ตื่น”
ผมวางเสื้อช็อปของตัวเองที่พึ่งถอดลงบนโต๊ะพร้อมกันปลุกคนขี้เซาที่หลับมาพักใหญ่ พอเจ้าตัวลืมตางัวเงียตื่นขึ้นมาก็มองซ้ายมองขวาใหญ่เลยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูเวลาแล้วส่งเสียงดังอย่างกับมีขโมยขึ้นบ้านมัน
“เชี่ย!”
“เป็นอะไรของมึง”
“ทำไมพี่่ไม่ปลุกวะ” ตื่นขึ้นมาก็โวยวายใหญ่เสียจนผมตกสะดุ้ง อะไรของมันวะกวนตอนนอนก็อารมณ์เสีย พอไม่ปลุกก็อารมณ์เสีย งอแงชิพหายเด็กน้อย
“ก็กูเห็นมึงกำลังหลับสบาย”
“บ้านป้าพี่สิ” ด่าป้าผมเฉย ไอ้เด็กเวรนี่ถ้าได้คืนมาเมื่อไหร่นะพ่อจะสั่งสอนให้หลาบจำ
“ไปได้แล้ว”
“ไปไหน?”
“กินข้าวสิวะ” ผมตอบพร้อมกับหยิบเสื้อช้อปขึ้นมาพาดบ่าตัวเอง แล้วลุกขึ้นยืน ส่วนไอ้เด็กหน้ามึนก็เอาแต่ทำหน้าเหมือนหมางง ไม่ลุกสักทีคงได้กินข้าวสักตีสามมั้ง
“อ้าวเหรอ”
“เออดิ”
หลังจากที่ผมพาไอ้เด็กหน้ามึนของผมไปกินข้าวที่ร้านแถวมหาวิทยาลัยแล้ว แถมยังพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าพูดไปด้วยก็คือ ขอให้มันกลับมาคบอีกครั้ง ถึงผมจะดูไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่พูดตอนนั้น แต่ไอ้กันมันก็คงดูออกว่าผมก็ไม่ได้ล้อเล่นกับสิ่งที่มันได้ยินจากปากผมไป
ผมตั้งใจจะพาไอ้เด็กนี่กลับไปนอนที่คอนโดผมด้วย ซึ่งไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากแค่ความคิดถึง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้นอนกอดมันวะ พูดแล้วก็อยากให้รถเหาะข้ามการจราจรที่ติดขัดด้านหน้าไปให้ถึงคอนโดเร็วๆ
ระหว่างทางผมก็ไม่ได้ชวนไอ้กันคุยอะไรเพราะคิดว่าต่อให้ชวนคุยมันก็คงจะวางฟอร์มหลงตัวเองว่าหล่อของมันไม่พูดไม่จากับผมแน่นอน ต้องรอมันชวนคุยเองดีกว่า บรรยากาศในรถจึงเงียบเสียจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของคนข้างๆ จนกระทั่งเพื่อนของมันโทรมาซึ่งก็น่าจะเป็นไอ้หน้าหล่อนั่น
“พี่ปั่น”
“ว่าไง”
“จะพาไปไหน?” สุดท้ายเด็กหน้ามึนมันก็พึ่งสังเกตว่าทางพี่ผมพามันมาไม่ใช่ทางกลับหอตัวเอง ถ้าโดนลักพาตัวคงไม่หือไม่อือจนไปถึงไหนต่อไหนแล้วสินะ ไอ้เด็กบ๊องเอ๊ย
“...”
“ไอ้พี่ปั่นผมจะกลับ!”
“ได้” ผมตอบไปแค่คำว่าได้ ก่อนน้องมันจะหลับไปตามสไตล์เด็กขี้เซาของมัน หลอกง่ายจังวะ ได้คือ..ได้กลับคอนโดกูไงไอ้เด็กน้อย
บรรยากาศตอนเช้าของการเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่สามของผมก็เป็นไปตามปกติ เพียงแต่วันนี้เป็นวันที่ผมรีบมามหาวิทยาลัยเป็นพิเศษเพราะต้องพาไอ้เด็กหน้ามึนไปส่งที่หอในตอนเช้าและเลยมาที่มหาวิทยาลัยเลยจะได้ไม่เสียเวลาขับไปขับมา กว่าเพื่อนผมจะมาถึงมหาวิทยาลัยผมก็ดื่มกาแฟหมดไปสองแก้วแล้ว
“มาเช้าจังวะไอ้ปั่น”
“กูไปธุระมา” ผมตอบไอ้ทัชที่มาถึงเป็นคนที่สองของกลุ่ม หน้าแม่งยังดูสะลึมสะลือชิพหายดูออกเลยว่าเมื่อคืนมันคงจัดหนักโต้รุ่งเล่นเกมตามสไตล์มัน
“ธุระอะไรวะ”
“เหอะน่า”
“อรุณสวัสดิ์พวกมึง” ไอ้มินที่พึ่งมาถึงพร้อมกับไอ้ไม้ยกมือทักทาย ว่าแต่ไอ้สองตัวนี้ช่วงหลังๆ อยู่ด้วยกันบ่อยแปลกๆ ว่ะ แต่ก็ช่างเถอะไอ้ไม้ผู้หญิงงรุมล้อมชิพหายไม่น่าเป็นอย่างที่ผมคิด
“ไอ้ไม้ ไอ้มิน เพื่อนมึงมันไปกกสาวมาแน่นอน”
“จริงหรอวะไอ้ปั่น”
“มึงมั่วแล้วไอ้ห่าทัช” ผมปฏิเสธข้อกล่าวหาไอ้ทัชไป ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปกกสาวว่ะใช้เวลาอยู่กับเด็กผู้ชายหน้ามึนคนนั้นทั้งคืน และแทบจะใช้คำว่ากกไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะดันต้องมานอนโซฟาทั้งๆ ที่เป็นเจ้าของห้อง เวรเสียไม่มี
“มึงหน้าตาดูมีความสุขแปลกๆ แถมยังมามอเช้าผิดปกติอีก”
“กูปกติ”
“เอ๊ะหรือ..กูว่าแล้ว กูเห็นไอ้กันลงจากรถมึงเมื่อเช้าที่หอ” ผมลืมไปสนิทเลยว่าไอ้ทัชมันอยู่หอเดียวกับไอ้กันมัน ชิพหายแล้วผม ไอ้ทัชรู้โลกรู้แน่นอน
“เพื่อนกูมันเด็ดว่ะ ขอคืนดีก็ได้กันตั้งแต่คืนแรกเลยเหรอวะ” ไอ้ไม้พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ได้ก็เหี้ยแล้วเพื่อนคบกันตั้งนานยังได้แค่นอนกอด นี่ขอคืนดี อยู่ใกล้สองเมตรก็บุญกูแล้ว
“หยุดเลยพวกมึง กูยังไม่ได้คืนดีกันและยังไม่...”
“อ๋ออออออ ไอ้ปั่นคนกาก ไอ้ปั่นคนกาก” ไอ้ทัชลุกขึ้นพร้อมกับวิ่งล้อผมไปรอบๆ ห้อง ดีที่อาจารย์ยังไม่มา ไอ้ห่าทัชเดี่ยวเถอะมึง
ยังไงไอ้ปั่นคนกากนี่แหละจะพาเมียมาอวดพวกมึงแน่ รอก่อนเถอะมึง ผมเชื่อว่าผมทำได้ กับแค่เด็กหน้ามึนคนนึงที่เคยเป็นของผม ผมจะเอามันกลับมาเป็นของผมให้ได้ และผมจะไม่มีทางปล่อยมันไปอีกเด็ดขาด
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
เดือนเหนือเดือน
{10}
‘เดือนการตลาด..พีคนดีคนเดิม’
ชีวิตของนิสิตในมหาวิทยาลัยอาจจะมีความหนักหนาสาหัสในด้านการเรียนแตกต่างกันไปตามแนวทางของสาขาวิชาที่เรียน แต่สำหรับผมนั้นการพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า ‘แผนการตลาด’ ในแต่ละครั้งเหมือนกับผมได้เดินไปเยี่ยมท่านยมบาลในนรกเล่น เพราะกว่าแผนแต่ละแผนจะเสร็จออกมาสมบูรณ์ต้องแลกกับเวลาพักผ่อนและการทำงานของสมองที่หนักเสียจนหลังทำแผนเสร็จจะเอ๋อต่อไปหลายวัน
แต่ด้วยตำแหน่งเดือนสาขาวิชาการตลาดของผม ผมต้องทำแผนให้ได้ดีเหมือนหน้าตา จะได้ไม่มีข้อกังขาจากใครว่ามีดีแค่เพียงหน้าตาแต่งานออกมาไม่ได้เรื่อง ด้วยเหตุนี้ผมและเพื่อนสนิทอย่างไอ้แป้งดาวสาขาและไอ้น้องกันรองเดือนเพื่อนรักของผมจึงต้องพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อให้ลบคำสบประมาทของคนอื่น และอีกเหตุผลสำคัญที่เพื่อนทั้งสองของผมจริงจังกับการแข่งขันแผนการตลาดก็เนื่องมาจากเงินรางวัลจำนวนมากที่รออยู่ในตอนท้าย
จริงสิผมลืมแนะนำตัวไปเสียสนิทเลย ผมชื่อพีและผมไม่ใช่คนที่พิเศษใส่ไข่อะไรเพียงแค่ผมได้รับตำแหน่งเดือนสาขาวิชามาทำให้ผมมีคนรู้จักเพิ่มขึ้นมากมายแต่ก็แลกมาด้วยภาระหน้าที่ที่วุ่นวายมากกว่านิสิตคนอื่นๆ ในสาขาวิชา
งานล่าสุดที่พึ่งจบลงไปของทางมหาวิทยาลัยก็ทำเอาผมต้องสละเวลาส่วนตัวไปขลุกอยู่กับกองประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยเนื่องจากรุ่นน้องปีหนึ่งในสาขาการตลาดของผมผ่านเข้าไปประกวดเดือนมหาวิทยาลัยแล้วดันคว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยมาได้สำเร็จอีกด้วย
แต่หลังจากที่งานใหญ่เสร็จสิ้นไปแล้วภาระที่พวกผมต้องดูแลอย่าง ‘ไอ้เหนือ’ เดือนมหาวิทยาลัยคนล่าสุดกลับยังมาวุ่นวายกับชีวิตผมไม่เลิก ซึ่งเหตุผลที่มันยังตามหลอกหลอนผมอยู่ทุกวันนี้ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการซ้อมความสามารถพิเศษของมันก่อนการประกวดได้แม่น
วันนั้นเป็นวันที่ไอ้แป้งไม่สบายและไม่สามารถพาไอ้เหนือไปซ้อมการแสดงได้ผมจึงต้องไปกันสองต่อสองกับไอ้เหนือ การซ้อมเป็นไปอย่างปกติจนกระทั่งหลังจากซ้อมเสร็จผมกับไอ้เหนือต้องกลับหอด้วยกันเพราะไอ้เหนือไม่ได้เอารถมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถวันนั้นผมยังจำได้ขึ้นใจ..
“เป็นยังไงบ้าง ผมทำได้ดีใช่ไหม”
“เออก็ดี เชี่ยแม่งรถติดชิพหาย”
“พูดจาไม่น่ารักเลยครับ” ผมหันไปมองหน้าระรื่นของคนข้างๆ ที่ดูไม่ได้สะทกสะท้านกับปัญหาจราจรที่เกิดขึ้น ผมหันกลับมานั่งกอดอกมองขบวนรถที่หนาตาเต็มท้องถนนยามค่ำคืนอย่างหงุดหงิด
“น่ารักบ้าอะไร กูไม่ใช่ไอ้กัน”
“พี่น่ารัก”
“พ่องดิ”
“ถ้าผมได้เป็นเดือน ผมจะได้อะไร”
“ก็รางวัลจากผู้สนับสนุน ได้เป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์งานของมอ” ผมตอบไปตามสิ่งที่ไอ้เหนือมันอยากรู้ ความจริงแล้วเดือนมหาวิทยาลัยแต่ละปีได้รับรางวัลเยอะเสียจนไล่ให้ฟังคงไล่ไม่หมด
“แล้วผมจะได้ใจพีไหมครับ”
“...”
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ ผมจะจีบพีจริงๆ”
“กวนตีนแล้วมึงอะ” ผมกลั้วหัวเราะอย่างเจื่อนๆ ผมจำได้คับคล้ายคับคลาว่าไอ้เด็กเหนือนี่เคยเป็นเด็กที่มางานเปิดบ้านของมหาวิทยาลัยในตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่งแล้วเดินมาพูดกับผมว่า ‘ผมจะเข้าสาขานี้ เพราะผมชอบพี่นะครับ’ แต่ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่มันพูดจะเป็นเรื่องจริงจนกระทั่งเริ่มเก็บตัวดาวเดือนมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ระดับคณะ ไอ้เหนือมันก็แสดงตัวว่าอยากอยู่ติดผมตลอดจนหลายครั้งผมต้องปลีกตัวออกมาเพื่อให้ทุกอย่างดูปกติ
“ผมจริงจัง ตอบผมสิว่าถ้าผมได้เป็นเดือนพีจะยอมใจอ่อน”
“ใจอ่อนอะไร?”
“ให้ผมจีบยังไงล่ะ” ไอ้เด็กนี่มันนึกคึกอะไรจะมาจีบผมวะ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ดูน่ารักอะไรเหมือนไอ้กันที่เตี้ยเป็นคนแคระมีดีแค่หน้าที่เหมือนจะหล่อแต่ก็ขายดีกับเพศเดียวกันจนเจ้าตัวเครียดอยู่ทุกวัน ส่วนตัวผมเองก็สูงตามมาตรฐานชายไทยหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้า แถมยังไม่เคยมีความรู้สึกอยากจะคบหากับเพศเดียวกันสักครั้ง หรือ...
...หรือ ไอ้เด็กนี่อยากได้ผมเป็นผัววะ เห้ย แต่มันตัวสูงกว่าผมเป็นสิบเซนติเมตรรสนิยมได้สามีเตี้ยกำลังมาแรงหรือยังไงกันนะ
“มึงประสาทกลับหรืออะไร กูไม่..”
“พี จะไม่ใจอ่อนก็เรื่องของพี ผมจะตามจีบพีจนกว่าพีจะยอม”
“พีพ่องดิ กูพี่มึง”
“พีไม่ใช่พ่อ แต่เป็นอนาคตแฟนต่างหาก” ผมส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอากับพฤติกรรมเหมือนเด็กอยากได้ของเล่นของไอ้เหนือ ผมไม่คิดจะเก็บคำพูดที่ทีเล่นทีจริงของมันมาคิดให้รกสมองเด็ดขาด
การผ่านพ้นข้ามคืนคืนหนึ่งจะเป็นเรื่องที่ง่ายมากถ้าคุณแค่หลับตาและนอน แต่สำหรับพวกผมที่ต้องนั่งทำงานกันทั้งคืนมันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากที่ต้องอดทนเอาชนะร่างกายของตัวเองให้ได้
หลังจากตรวจงานในส่วนที่ทำเสร็จไปเรียบร้อยไอ้น้องกันมันก็ทิ้งพวกผมไปกินข้าวเช้ากับรุ่นพี่วิศวะอดีตแฟนที่กำลังจะกลับมาทวงคืนตำแหน่งแฟนคนปัจจุบันของมันแล้ว ทำให้ผมและไอ้แป้งต้องจัดการกับความหิวที่อดทนมาตั้งแต่เที่ยงคืน ในขณะที่ไอ้เหนือที่ขอตามมาด้วยก็หลับไปไม่รู้เรื่องอะไรตั้งแต่สี่ห้าทุ่ม ผมควรปลุกมันไปหาอะไรกินด้วยไหมวะ
“เหนือ ไอ้เหนือ”
“...”
“เหนือ ไอ้เวรเหนือ” ผมเขย่าตัวร่างสูงของรุ่นน้องที่หลับอยู่บนโซฟาเพื่อให้เจ้าตัวเป็นคนขับรถพาผมและไอ้แป้งไปหาอะไรกิน เพราะถ้าจะให้ผมขับเองตอนนี้คงได้เอากระโปรงหน้าไปจูบกับก้นรถสักคันบนถนนแน่นอน แต่ไอ้เหนือกลับไม่ลืมตาตื่นมาสักที คนเรามันจะนอนหลับลึกอะไรได้ขนาดนั้นวะ
“...พี”
“เห้ยยยย” ผมล้มตัวลงนอนทับร่างของไอ้เหนืออย่างเสียหลักเพราะแรงดึงจากคนที่นอนอยู่ก่อน แทนที่ผมจะสามารถลุกขึ้นได้ทันทีแต่กลับขยับตัวไปไหนไม่ได้เพราะไอ้เหนือมันดันเอาขาเอาแขนล้อคผมไว้เหมือนเด็กนอนกอดหมอนข้าง
“อุ้ย กูมาผิดเวลา”
“ไอ้แป้งช่วยกู ไอ้เหนือปล่อยย”
“อืมมม พีนิ่งๆ” ผมพยายามดิ้นสุดแรงที่มีในตอนนี้ แต่ด้วยความล้าจากงานและความหิวผมกลับไม่สามารถสู้แรงอันมหาศาลของไอ้เหนือมันได้เลย แถมไอ้แป้งที่พึ่งแต่งตัวเสร็จก็ดันไม่ช่วยอะไรผมเลยเอาแต่หัวเราะคิกคักอยู่นั่น
“กูนับหนึ่ง ถ้าไม่ลุกกูจะ..”
ฟอด~
“ลุกแล้วครับ” ผมถึงกับอึ้งและงงเป็นไก่ตาแตกทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนที่หลับตาอยู่อย่างไอ้เหนือหอมแก้มของผมฟอดใหญ่ก่อนจะปล่อยผมเป็นอิสระ
“กูเชื่อเลยว่ารุกแล้ว รุกจริงๆ รุกหนักมาก เพื่อนกูเขินจนหน้าซีดหมดแล้ว พอ กูหิว ไปกันได้แล้ว ไว้กูจะให้จีบกันต่อ”
“โทษทีครับพี่แป้ง” ผมตบเข้าที่ใบหน้าของตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินตามไอ้แป้งที่เดินออกจากห้องไปก่อนแล้วอย่างล่องลอย ผมควรมีปฏิกิริยาตอบกลับยังไงกับสิ่งที่ไอ้เด็กเวรนี่ทำดี มีผู้ชายมาหอมแก้มผมครั้งแรกแล้วผมควรยังไงดี
“นี่ไอ้พี มึงจะเงียบเหมือนลืมปากไว้ห้องกูอีกนานไหม”
“เปล่าเงียบ กูแค่ง่วง”
“งั้นไอ้เหนือมึงไปส่งกูที่คอนโดแล้วพาเพื่อนกูกลับหอไปนอน ไว้บ่ายมีเรียนกูไปเอง” ผมพยักหน้าหงึกๆ ให้กับเพื่อนหลังอาหารเช้าได้ตกถึงท้องเป็นที่เรียบร้อย ที่ผมเงียบไปไม่ใช่เพราะง่วงหรือเพลียใดๆ มันอาจจะมีเรื่องอาการล้าจากการทำงานบ้างเป็นส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่มาจากเรื่องที่ไอ้เด็กเวรเหนือมันหอมแก้มผมมมม ผมเสียหอมแรกให้กับผู้ชายยย เอ๊ะ แปลกๆ เปล่าวะ
“ได้ครับ”
หลังจากที่ส่งไอ้แป้งที่คอนโดบรรยากาศบนรถในขณะนั่งรถกลับหอกับไอ้เหนือเหมือนมีเมฆสีเทาๆ ลอยอยู่เต็มรถ จนกระทั่งคนข้างๆผมร้องฮัมเพลงทำลายบรรยากาศขึ้นมา แทนที่จะทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น แต่กลับทำให้ผมรำคาญมันมากๆ
“เหนือ กูรำคาญ!”
“ก็เห็นเงียบ ผมก็แค่อยากให้อารมณ์ดีผมผิดเหรอ” แล้วเป็นบ้าอะไรของมันต้องมาทำเป็นงอนอย่างกับเด็กผู้หญิงอายุสิบห้า ผมส่ายหน้าเบาๆอย่างเอือมระอากับการดึงหน้าเศร้าของไอ้เหนือมัน
“คิดว่าน่ารักไหมที่ทำอยู่อะ”
“ไม่คิด เพราะคิดว่าพีน่ารักกว่า”
“กูถามจริงๆนะ มึงจริงจังเหรอวะ”
“จริงจัง? เรื่องไหน” ทำเป็นไม่รู้เรื่อง อย่างกับไม่รู้ว่าที่ผมหมายถึงก็คือเรื่องที่มันกำลังทำอยู่นี่แหละ ผมก็ไม่คิดว่าที่ไอ้เด็กเวรเหนือมันบอกจะจีบผมจะเป็นเรื่องจริงจนกระทั่งที่มันตามติดผมตลอดเวลาแถมยังมีเรื่องเมื่อเช้าอีก
“ก็เรื่องที่มึงบอกว่าจะ..”
“จะ จีบพีสินะ จริงจังสิ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพีผมก็จริงจังหมดแหละ”
“แต่..ถ้ากู”
“ไม่ต้องพูดตอนนี้หรอกน่า ไว้ถึงเวลาพีจะรู้เอง”
“เหรอวะ?” ผมเก็บของลงจากรถหลังจากที่ไอ้เหนือจอดรถที่หอพอดี ถึงเวลาอย่างนั้นเหรอ แล้วเวลานั่นมันคือเวลาไหนกันวะ ผมงงกับคำพูดของมันไปหมดแต่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาสงสัยอะไร ผมเดินขึ้นหออย่างเหนื่อยล้าราวกับไม่ได้เอาวิญญาณมาจากห้องไอ้แป้ง
ขณะเดินผ่านห้องไอ้กันผมก็คิดในใจว่าเพื่อนจะกลับถึงห้องหรือยังนะ ด้วยความที่ผมคอยดูแลทั้งไอ้แป้งไอ้กันมาตั้งแต่แรกก็อดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้ แต่ถ้ามันกลับมาถึงแล้วก็คงอยู่กับพี่ปั่นผมไม่อยากไปรบกวนเวลาส่วนตัวของมัน โดยเฉพาะไอ้พี่ปั่นที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่ ดันมาคิดว่าผมกับไอ้น้องกันคิดอะไรกันมากกว่าความเป็นเพื่อน เอาเป็นว่าขอให้ไอ้กันกลับถึงห้องก็พอ ไว้บ่ายเจอกันที่มหาวิทยาลัยผมถึงจะถามมันอีกทีก็แล้วกัน
ผมเดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนจะแต่งตัวสบายๆ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเพราะกะว่าบ่ายตื่นมาจะได้ตื่นไปเรียนเลยไม่ต้องมาอาบน้ำ ผมไม่ลืมที่จะตั้งเวลาปลุกในโทรศัพท์มือถือและเปิดโหมดเครื่องบินเพื่อป้องกันการถูกรบกวนระหว่างการนอน ถึงผมจะไม่ได้บ้านอนเท่าไอ้กันแต่ผมก็ให้ความสำคัญกับการนอนของตัวเองมากพอๆ กับมัน
“แป้ง ไอ้น้องกันไปไหนวะ?”
“ไม่รู้ เดี๋ยวคงมามั้ง” ผมพยักหน้าตอบหลังจากถามเพื่อนเมื่อมาถึงห้องเรียนในช่วงบ่าย ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเมื่อเช้ามากหลังจากได้พักผ่อนไป แต่คืนนี้ก็คงต้องเจอกับการทำแผนอย่างหนักอีกรอบเพราะยังเหลืองานหลายส่วนที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี
“แล้วเรื่องไอ้เหนือ มึงจะเอายังไง”
“เอา เอาอะไร?”
“ก็น้องมันดูจริงจังกับมึงมากเลยนะ”
“แต่กูไม่เคยคบกับผู้ชาย กูไม่แน่ใจว่ะ”
“ก็ไม่เห็นจะเสียหาย ดูไอ้กันดิ หัวแข็งกว่ามึงเยอะ จนตอนนี้กลายมาเป็นแมวน้อยเวลาอยู่กับพี่ปั่น กูไม่ได้อยากให้มึงตัดสินใจเพราะคำพูดกูนะพี แต่อยากให้มึงฟังหัวใจมึงแล้วตัดสินใจ กูเอาใจช่วยนะ”
“แป้งผีเข้ามึงเหรอวะ?” ผมยกมือขึ้นมาพนมไหว้หลังจากที่มีคำพูดดีๆหลุดออกมาจากปากไอ้แป้ง นานๆทีเพื่อนรักจะมีคำพูดดีๆออกมากับเขาบ้าง
“เออ ขอหวยไหมล่ะ พัก ไอ้กันมาแล้ว”
“กัน มึงไหวไหมวะ” ผมหันไปสนใจไอ้กันที่พึ่งมาถึงหลังจากขำกับพฤติกรรมแกล้งผีเข้าของไอ้แป้ง ใบหน้าขาวใสที่เคยมีแก้มแดงๆระเรื่อของไอ้น้องกันกลายเป็นหน้าที่ซีดกับใต้ตาที่คล้ำเหมือนหมีแพนด้าคงเป็นผลมาจากที่ทำแผนเมื่อคืน
“ไหว แค่ง่วง คืนนี้ต้องเสร็จนะ กูไม่ไหวแล้ว”
“จะพยายามจ้า นั่งก่อนจ้า เรียนก่อนนะคะคุณกันตินันท์” เสียงตอบรับพร้อมกับคำพูดเหน็บแนมแกมหยอกล้อจากไอ้แป้งดังขึ้นจนไอ้น้องกันหลุดขำออกมาเบาๆ ผมลูบหัวเพื่อนรักอย่างไอ้กันหลังจากมันนั่งลงข้างๆเพื่อเตรียมตัวเรียน
“ไปห้องกูเลยไหม หรือจะกลับไปเปลี่ยนชุดก่อน”
“เดี๋ยวกลับก่อน กูต้องไปเอาของด้วย ไว้เดี๋ยวตามไป”
“แล้วน้องกัน มึงไปพร้อมกูเลยไหม?”
“ไม่อะ เดี๋ยวตามไป” ผมมองหน้าไอ้กันอย่างสงสัยก่อนจะหันกลับมามองไอ้แป้งที่น่าจะคิดเหมือนกันกับผมว่าทำไมไอ้มันถึงตอบด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างที่มันไม่เคยเป็นมาก่อน
“กันมึงเป็นอะไร?”
“เปล่า กูต้องรอกลับพร้อมพี่ปั่น กูมาพร้อมมัน”
“อ๋อ” ผมร้องอ๋อออกมาพร้อมๆกับไอ้แป้งโดยที่ไม่ได้นัดกันก่อนจะหัวเราะอย่างขำขันกับการที่เพื่อนรักต้องนั่งรอกลับหอพร้อมกันกับเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ไม่ค่อยจะฟังคำสั่งเพื่อนผมสักเท่าไหร่
“กูกลับก่อนนะ เจอกัน” ผมเดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนก่อนจะตรงไปที่รถเพื่อกลับหออาบน้ำเปลี่ยนชุดไปทำแผนต่อที่คอนโดไอ้แป้ง
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยผมก็เตรียมของและเสบียงอาหารใส่ในกระเป๋าเพื่อความพร้อมในการทำแผน ก่อนจะปิดไฟและล้อคห้องเดินออกมาเพื่อกดลิฟต์ลงไปชั้นล่างแต่ก็ต้องเจอกับสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะเจอหน้ามันเท่าไหร่ และคิดว่าวันนี้จะไม่เจอกันแล้วเชียว
“พี พีจะไปแล้วเหรอ?”
“อืม”
“รอก่อนสิ ผมพึ่งกลับมาถึง ผมอาบน้ำแต่งตัวก่อน”
“ทำไมต้องรอวะ ไม่ใช่เรื่องของเด็กปีหนึ่ง” ผมยืนมองหน้าคนตัวสูงกว่าอย่างหาเรื่อง ทำไมผมต้องรอมันทั้งๆที่งานที่ทำก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับปีหนึ่งสักนิดแถมเมื่อวานที่บอกว่าจะขอไปดูงานก็กลับเอาแต่นอนจนไม่ได้อะไร
“แต่มันเป็นเรื่องของพี”
“...”
“เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของผมด้วยเหมือนกัน”
“...”
“รอ” มันดึงกระเป๋าของผมไปถือก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องของตัวเอง ซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินตามกระเป๋าและมันไปอย่างเซ็งๆ เพื่อรอไอ้เหนือ
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
แผนการของความคิดถึง
{11}
หลังจากผ่านพ้นช่วงทำแผนการตลาดอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมก็ใช้เวลาที่มีทั้งหมดไปกับการพักผ่อนโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าในมหาวิทยาลัยกำลังมีกิจกรรมกีฬามหาวิทยาลัยของปีหนึ่งอยู่ ส่วนไอ้แป้งก็ขลุกตัวนอนอยู่แต่ในห้องไม่ต่างจากผม จะมีก็แต่ไอ้พีที่โดนน้องเทคของผมอย่างไอ้เหนือลากไปดูกีฬาในมหาวิทยาลัย เพราะไอ้เหนือมันเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลให้กับคณะด้วย ผมก็พอจะดูออกแล้วว่าไอ้น้องเทคของผมมันกำลังอยู่ในช่วงทำคะแนนจีบเพื่อนผมอยู่ แต่ไอ้พีกลับดูไม่ได้แสดงออกอะไรว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจกับสิ่งที่ไอ้เหนือทำแต่ละอย่าง
ส่วนถ้าพูดถึงตัวผมเองในช่วงนี้รู้สึกสบายหูสบายตาขึ้นมากเพราะช่วงนี้นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์น่าจะกำลังยุ่งอยู่กับงานกีฬามหาวิทยาลัยโดยเฉพาะกับคุณเฮดว้ากเขาที่ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยของปีหนึ่ง ทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาหาผมเท่าไหร่ จะมีก็แต่คุยกันผ่านทางแชททุกวันเท่านั้น
ที่จริงแล้วเวลานี้พี่ปั่นควรทักมาได้แล้วสิ ทำไมยังไม่ทักมาวะ ตายไปแล้วหรือยังไง เอ๊ะ..แล้วผมทำไมต้องมานั่งรอให้เขาทักมาด้วยล่ะเนี่ย ไหนว่าจะไม่รีบใจอ่อนยังไงล่ะไอ้กันนนน
ผมอุ้มเจ้าแมวอ้วนของผมขึ้นมานอนเล่นบนเตียงด้วยก่อนจะเปิดแอปพลิเคชันเฟสบุ๊กขึ้นมาเพื่อไถหน้าฟีดข่าวดูความเคลื่อนไหวของผู้คนแก้เซ็งก่อนจะสะดุดตากับโพสต์จากเพจหนุ่มโสดของมหาวิทยาลัย
My Single Boys
ข่าวด่วนข่าวร้ายค่าาาาาาาา มีมือดีแอบถ่ายภาพหนุ่มฮอตเจ้าของตำแหน่งเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ระหว่างไปส่งสาวสวยถึงที่หอมาได้ เรียกได้ว่าวงในเม้าท์กันให้แซดว่าสาวคนนี้อาจจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่หนุ่มฮอตของเราเพ้อในไอจีถึงบ่อยๆ แถมสาวสวยคนนี้ยังมีดีกรีดาวพ่วงด้วย แล้วอย่างนี้แอดจะต้องบอกลาหนุ่มฮอตคนนี้เพราะเขากำลังจะไม่โสดแล้วหรือเปล่าคะ #พี่ว้ากโหดอยากให้โสดต่อ#ทวงคืนกลับเพจ#หล่อโคตรโคตรแต่อาจจะไม่โสดแล้ว
MINNIEMIND ไม่นะๆ ๆ ๆ ๆ ใครกันนะ
BBQii หนูจะนอนร้องไห้แล้วนะแอด
PAPANG @กัมปนาทP.ATG เคลียร์กับเพื่อนหนูด่วนๆ ค่ะ
ผมนั่งอ่านคำบรรยายประกอบภาพไปก็รู้สึกหงุดหงิดไป ไม่ใช่หงุดหงิดเพราะคนในภาพเป็นพี่ปั่นหรอกนะ แต่เป็นเพราะเพจบ้านี่ดันเอาเรื่องของผมมาโยงเป็นเรื่องเดียวกันกับพี่รินอะไรนั่น
ตื้ด ~
ทันทีที่ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิด เสียงสั่นแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา และแทบไม่ต้องเดาว่าเป็นใครนอกเสียจากแจ้งเตือนข้อความไลน์จากเจ้าของข่าวใหญ่ที่เพิ่งจะถูกพูดถึงในเพจใหญ่นั่น
Kumpa.pun : กัน
Kumpa.pun : ตื่นรึยัง
ผมนั่งมองข้อความที่ถูกส่งมาอย่างหงุดหงิด ได้ข่าวว่าไปส่งพี่รินถึงหอป่านนี้คงอยู่ด้วยกันในห้องผมต้องตอบไหม หรือควรไม่ตอบอะไรจะได้ไม่รบกวนเวลาของเขาสองคน
Kumpa.pun :เป็นอะไร อ่านไม่ตอบ
GunGunktn :เป็นคน
แล้วทำไมผมต้องมาทำตัวเมื่องอนเป็นแม่สาวแรกแย้มใส่พี่ปั่นด้วยวะ งงตัวเองจริงๆ แต่ไหนไหนก็ไหนไหนแล้วผมคิดว่าผมทำถูกแล้วและควรทำต่อไป
Kumpa.pun :กวนตีน
Kumpa.pun :อย่าบอกว่ามึงกำลังงอนกูอยู่
Kumpa.pun :ไอ้กัน ถ้ามึงยังอ่านไม่ตอบกูจะไปหามึงถึงหอแล้วนะ
Kumpa.pun :โอเคได้
ผมนั่งอ่านข้อความที่พี่ปั่นส่งมาทั้งหมดก่อนจะปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปงนอนต่อ ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมต้องใส่ใจ
เอาเข้าจริงแล้วผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองควรจะเก็บเรื่องบ้าๆนี่มาคิดให้รกสมองเพราะผมเองก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ปั่น อีกอย่างคือผมก็แอบสงสารพี่รินที่ชอบพี่ปั่นเอามากๆเสียจนยอมทำทุกอย่างให้พี่ปั่นสนใจ ทั้งที่เขาทั้งสองคนดูเหมาะสมกันขนาดนั้นแท้ๆแต่ทำไมถึงเป็นผมที่่พี่ปั่นสนใจมากกว่า จะเรียกว่ามากเกินไปเลยก็ได้
ผมนอนอยู่กับความคิดแปลกๆของตัวเองใต้ผ้าห่มไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีวี่แววว่าจะหลับได้ อย่าบอกว่าบรรยากาศและความรู้สึกแบบเดิมๆของผมในช่วงปิดเทอมกำลังจะกลับมา ผมต้องหาอะไรมาทำให้ลืมแล้วสินะ
ในช่วงปีหนึ่งเทอมสองผมจำได้ว่าผมรู้สึกเครียดกับหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตมาก ทำให้ผมแอบไปนั่งฟังเพลงในร้านนั่งชิวช่วงกลางคืนโดยที่ไม่บอกป๊ากับม๊า เวลาที่ผมอยู่กับเสียงเพลงและบรรยากาศแบบนั้นผมรู้สึกมีความสุขได้ระบายเรื่องทุกข์หลายๆ อย่างไปตามทำนองและเนื้อร้องของเพลง แต่แล้วก็เป็นไปตามที่ผมคิดเมื่อป๊ารู้เรื่องเข้าก็สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ผมไปเที่ยวกลางคืนเพราะกลัวผมจะเป็นอันตราย
ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็ทำได้แต่นั่งฟังเพลงกับเจ้ากำปั้นเวลาที่อยู่ห้อง ไม่ได้ไปเที่ยวไปนั่งฟังเพลงที่ร้านเลยสักครั้งแต่ตอนนี้ผมดันรู้สึกเครียดเหมือนตอนนั้นที่ผมตัดสินใจออกไปเที่ยวกลางคืนแล้วสิ หรือผมควรแอบไปโดยที่ไม่ให้ป๊ารู้ดี
เอายังไงดีนะ..
ก๊อก ก๊อก
ผมมุดหัวออกมาจากผ้าห่มหลังจากได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ไอ้พีเพราะคงยังไม่กลับจากดูกีฬามหาวิทยาลัยที่โดนไอ้เหนือลากไป ผมเดินมาที่ประตูห้องก่อนจะเปิดประตูออกช้าๆด้วยความงัวเงียกับสภาพที่ผมก็ไม่ได้เซตให้เป็นทรงดี
“พี่ปั่น”
“งอนอะไร”
“เปล่า” ผมเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงหลังจากที่ปล่อยคนตัวสูงที่ทำหน้ายักษ์ยืนเก๊กโหดอยู่หน้าประตูเดินจามเข้าห้อง ทำไมผมต้องสนใจด้วยก็แค่ตาแก่หน้ายักษ์ที่เอาแต่ทำหน้าดุไปวันๆ
“แล้วกูจะรู้ไหมวะ งอนอะไร”
“ทำอะไร ทำไมจะไม่รู้ตัววะ”
“กูก็เรียนเสร็จ ไปส่ง..”
“หึ”
“กูกับรินไม่ได้มีอะไรมากกว่าเพื่อน มึงก็รู้ไหมกัน”
“อือ” ผมหยิบหมอนขึ้นมากอดเล่นระหว่างฟังพี่ปั่นสาธยายแถเรื่องแก้ตัว ทำไมผมต้องรู้ด้วยว่าเขาสองคนไม่ได้มีอะไรมากกว่าเพื่อนกัน
“จะให้ทำยังไง”
“ไม่ต้อง”
“กัน กันครับ ”
“...”
”กันงอนพี่ปั่นเหรอครับ” ผมถึงกับอึ้งจนตัวแข็งเมื่ออยู่ดีๆ พี่ปั่นก็นั่งลงที่พื้นตรงหน้าผมแถมยังใช้น้ำเสียงที่แทบไม่เคยได้ยินจากคนตรงหน้า
“มะ ไม่ได้งอน”
“อย่าแถดิครับ น้องกันอยากให้พี่ปั่นทำอะไรดีครับ”
“...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อมือของตัวเองอยู่ดีๆ ก็ถูกกุมอยู่ในมือของคนตรงหน้าพร้อมกับน้ำเสียงและสีหน้าออดอ้อนที่ไม่คิดว่าเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์จะแสดงออกมา
“ไปเที่ยวกันไหม ไปกินไอติม”
“ไม่ใช่เด็กสี่ขวบสักหน่อย”
“แล้วน้องกันอยากไปไหนครับ”
“ไปฟังเพลง” ผมตอบพี่ปั่นไปพร้อมกับทำสีหน้ากวนประสาทก่อนจะดึงมือของตัวเองกลับ ผมพึ่งนึกได้ว่าถ้าอยากจะไปเที่ยวกลางคืนนอกจากป๊าาที่ผมต้องระวังแล้วก็พี่ปั่นนี่แหละที่ผมต้องจัดการ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมถือโอกาสมัดมือชกเลยก็แล้วกัน
“คอนเสิร์ตเหรอวะ”
“ไม่ ไปนั่งร้านดิ กล่อมจันทร์”
“ได้”
“เห้ย จริงดิ” ผมกระโดดลุกขึ้นมายืนข้างพี่ปั่นที่เพิ่งจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบล้ม ทำไมพี่ปั่นถึงดูใจดีจังเลยนะ หรือจะมีแผนอะไรบ้าๆ อยู่กันแน่
“คืนเดียวนะ”
“คืนนี้เลยนะ กูจะโทรไปหาพี่ทีมให้จองให้”
“ชั่วโมงเดียวด้วย”
“ก็บ้าแล้ว” ผมที่กำลังกดโทรออกหาพี่ที่ร้านประจำที่ผมเคยไป ถึงกับชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ นิ่งๆ ของคนตัวสูงกว่า ผมคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าใจดีแบบนี้จะต้องมีแผนบ้าๆแบบนี้
“ครับ ครับพี่ทีม เจอกันที่ร้านครับ” ผมวางสายพี่ทีมเจ้าของร้านนั่งชิวที่ผมไปประจำในช่วงปีหนึ่งอย่างร้านกล่อมจันทร์ ก่อนจะหันมามองตามรังสีอำมหิตที่ส่งมาจากพี่ปั่นที่นั่งทำหน้ายักษ์อยู่
“ชั่วโมงเดียว”
“เออน่า จะไปด้วยป่ะเนี่ย”
“มึงคิดว่ากูจะปล่อยมึงไปคนเดียวเหรอ”
“ถ้าเป็นไปได้ก็ดี”
ผมยักคิ้วยียวนกวนประสาทใส่พี่ปั่นก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัวให้พร้อมสำหรับการไปเริงร่าในคืนนี้ ผมจะไม่บอกไอ้พีด้วยเพราะเดี๋ยวไอ้เพื่อนตัวดีจะเอาไปฟ้องป๊าผม
ถึงเวลาเริงร่าของไอ้กันสักทีผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาอีกครั้งหลังไม่ได้ไปเป็นเวลานาน ผมแต่งตัวและเซตผมให้ดูดีที่สุดเพื่อจะได้เป็นจุดสนใจของคนในร้าน ผมไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวลายดาวและจงใจไม่ติดกระดุมสามเม็ดบนพร้อมกับสร้อยคอที่ผมมักจะใส่ในเวลาที่จะออกไปเที่ยวกลางคืน เพราะแสงในตอนกลางคืนตามร้านนั่งชิวมักจะเป็นแสงแบลคไลท์ที่จะทำให้เสื้อสีขาวของผมเรืองแสงขึ้นมาในความมืด
หลังจากที่ไล่พี่ปั่นกลับคอนโดไปแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเพื่อจะได้ไปพร้อมกันเพราะเจ้าตัวยืนยันว่ายังไงก็จะไม่ให้ผมไปคนเดียว ผมก็ให้อาหารแมวอ้วนของผมเต็มถาดอาหารเพราะกะว่าถ้าดื่มไปพรุ่งนี้เช้าคงไม่มีสติพอจะลุกมาให้อาหารเจ้ากำปั้นแน่นอน
ไม่นานพี่ปั่นก็มารับผมที่หอเพื่อไปร้านกล่อมจันทร์ของพี่ทีมตามที่ผมจองโต๊ะไว้ ร้านนี้เป็นร้านนั่งฟังเพลงโฟลคซองชิวๆ ไม่ใช่ร้านที่เน้นเพลงอีดีเอ็มให้คนมาเต้น ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนิสิตปีสูงๆ ที่มานั่งดื่มไปฟังเพลงไปคลายเครียดจากการเรียนและโปรเจคที่แสนจะหนักหน่วง
“แต่งขนาดนี้ มึงจะไปอ่อยใคร”
“อ่อยสาว ถ้าได้สักคนก็ดี” ผมยักไหล่เบาๆ พร้อมกับตอบคำถามของคนข้างๆ ที่เอาแต่มองผม ทำอย่างกับว่าผมแต่งตัวดีอะไรมากมายถึงแม้ในใจลึกๆ ผมก็ตั้งใจแต่งตัวและเซตผมให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะต้องมากับร่างสูงที่กลบออร่าผมหมด ไหนๆก็ไหนๆแล้วกว่าจะได้ออกมาเที่ยวแบบนี้สักทีหนึ่ง
“กูกับมึงใครจะได้ก่อนกัน”
“ก็รอดูนะครับ”
“จะรอดู” ผมล่ะอยากรู้เสียจริงๆว่าพี่ปั่นไม่ม่คิดจะแสดงสีหน้าอื่นนอกจากหน้านิ่งสายตาเย็นชาในที่สาธารณะเลยหรือยังไง ผมเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเช็กทรงผมและเสื้อผ้าให้ดูดีผ่านกระจกรถ
“จะเข้าร้านได้หรือยัง”
“เออน่า รีบจังวะ” ผมรีบเดินต้อยๆตามคนตัวสูงที่เดินนำหน้าเข้าไปแจ้งโต๊ะที่จองไว้กับพนักงานแล้วเรียบร้อย ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะรีบทำไมต้องรีบร้อนแปลกๆด้วย หรือจะมีอะไรเหรอ ไม่หรอกมั้งคิดมากว่ะกัน
หลังจากผมได้โต๊ะและสั่งเครื่องดื่มพร้อมกับอาหารเรียบร้อยผมก็นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศของร้านอาหารที่มีวงดนตรีโฟลคซองเล่นเพลงคลอเบาๆเคล้ากับแสงไฟสลัวๆของร้าน เป็นบรรยากาศที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานและทันทีที่ได้กลับมามันเหมือนกับผมถูกดึงกลับไปอยู่ในช่วงปีหนึ่งเลยไม่มีผิด
ที่แห่งนี้เคยเป็นทั้งที่ที่ทำให้ผมมีความสุขและคลายความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตผม ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ก็เพราะคนข้างๆที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์มือถืออยู่นี่แหละ ผมจำได้ว่าหลังจากผมเปิดใจและตัดสินใจเริ่มคุยศึกษากันและกันกับพี่ปั่นได้พักใหญ่ผมก็ถูกชวนมาที่ร้านแห่งนี้ในช่วงต้นเทอมสองของปีหนึ่ง
แต่การมาร้านแห่งนี้ครั้งแรกในครั้งนั้นกลับไม่ใช่แค่การมานั่งชิวดื่มด่ำกับบรรยากาศทานอาหารฟังเพลงอย่างที่เป็นอยู่เพราะเป็นการปิดร้านฉลองวันเกิดของพี่ปั่นและในวันนั้นเองก็เป็นวันที่ผมและพี่ปั่นเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกว่าพี่น้องกันขึ้น
“อะไรของพี่เนี่ย ข้างล่างกำลังสนุกเลย”
“กัน กูมีเรื่องอยากจะบอก”
“อะ อะไร” ผมถูกคนตัวสูงพาออกจากบรรยากาศการสังสรรค์ที่ครื้นเครงในร้านมาอยู่ในชั้นที่สองของร้านที่เป็นชั้นลอยสามารถมองเห็นด้านล่างได้เพียงแต่ถูกปิดไว้เนื่องจากวันนี้ทางร้านไม่เปิดบริการชั้นสองของร้าน
“วันนี้วันเกิดกู”
“แล้ว?”
“กูรู้ว่ามันอาจจะเร็วไป แต่กูมั่นใจว่าที่กูรู้สึกกับมึงมันชัดเจนมาก มากเสียจนกูไม่อยากให้มึงเป็นของใครนอกจากกูคนเดียว”
“...”
“เป็นแฟนกับกูนะกัน” ผมถึงกับตัวชาหลังจากได้ยินประโยคที่ออกจากปากผู้ชายตรงหน้า ผมกำลังถูกขอคบอย่างนั้นเหรอ ถูกผู้ชายขอคบอย่างนั้นเหรอ ผมควรตอบสิ่งที่รู้สึกอยู่ในใจออกไปสินะ ถ้าตัดสินใจแบบนั้นไปมันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกใช่ไหม..
“...”
“ว่ายังไงครับ”
“ตกลงครับ”
“จริงเหรอวะกัน”
“อือ” จู่ๆ ตัวผมก็ลอยขึ้นจากพื้นเมื่อคนตรงหน้าโผเข้ากอดผมพร้อมกับยกตัวผมขึ้นลอยในอากาศด้วยความยินดี ส่วนผมก็ได้แต่อึ้งพร้อมกับความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นในใจแต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นผมขอนิยามมันว่าความสุขก็แล้วกัน
จู่ๆภาพเก่าๆเหล่านั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวผมเต็มไปหมด ผมพยายามสลัดความทรงจำเก่าๆที่เกิดขึ้นทิ้งก่อนจะหันมามองคนข้างๆที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์มือถือไม่ดื่มหรือทานอะไรสักอย่าง เขาคงมีธุระเรื่องส่วนตัวของเขาผมจะไม่ยุ่งก็แล้วกัน
ผมนั่งฟังเพลงดื่มด่ำกับบรรยากาศไปเรื่อยๆจนกระทั่งรู้ตัวอีกทีกลับมามองนาฬิกาก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว แต่แปลกที่พี่ปั่นไม่บอกผมว่าหมดเวลาหรือได้เวลาต้องกลับแล้วทั้งที่เจ้าตัวเป็นคนบอกว่าอนุญาตให้ผมมาแค่เพียงชั่วโมงเดียวแท้ๆ
“พี่ปั่น”
“อือ มีอะไร”
“ไม่กลับเหรอ”
“ยัง อีกเดี๋ยวค่อยกลับก็ได้” ผมพยักหน้ารับอย่างงุนงงให้พี่ปั่นที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือมาตอบคำถามของผม แต่ก็ดีผมจะได้อยู่ฟังเพลงต่อด้วยไม่ต้องรีบกลับ
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่ออัดเพลงขณะที่วงดนตรีกำลังเล่นเพลงที่ผมชื่นชอบอยู่ จู่ๆร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปผมคิดแค่ว่าพี่ปั่นคงไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวล่ะมั้ง ไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมันจะเกิดขึ้นตอนนี้..
หลังจากที่เพลงที่ผมชอบจบลงบรรยากาศในร้านก็เงียบลงไม่มีเสียงเพลงที่เล่นอย่างต่อเนื่องหรือแม้แต่เสียงใดๆ นอกจากแค่เพียงคุยกันเบาๆจากโต๊ะต่างๆ ไฟบนเวทีดับลงและสว่างขึ้น ภาพที่ปรากฏบนเวทีทำเอาผมถึงกับอึ้งและงงอย่างบอกไม่ถูก
ตำแหน่งของนักร้องในวงดนตรีถูกแทนที่ด้วยคนที่่เพิ่งจะนั่งอยู่ข้างๆผมเมื่อสักครู่ หลังจากคนในร้านเริ่มสังเกตภาพของคนบนเวทีที่จับกีตาร์ถือไมค์อยู่ก็เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นในร้าน จนกระทั่งเสียงทุกอย่างเงียบลงอีกครั้งเมื่อคำพูดจากพี่ปั่นผ่านเครื่องขยายเสียงดังขึ้น
“สวัสดีครับทุกคน ผมปั่นครับ”
“ทุกคนอาจจะสงสัยว่าผม..ขึ้นมาทำไม ผมอยากขออนุญาตทุกคนร้องเพลงสักหนึ่งเพลงให้กับคนคนหนึ่งฟัง”
เสียงทุ้มๆนุ่มๆของเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างพี่ปั่นที่พูดผ่านไมค์ทำเอาบรรยากาศในร้านเปลี่ยนไปทันที คนที่พี่ปั่นกำลังจะร้องเพลงให้ใช่ผมหรือเปล่า ถ้าใช่ขึ้นมาจริงๆนี่ผมกำลังถูกเซอร์ไพรส์เหรอ
“เพลงๆนี้ผมตั้งใจจะร้องเพื่อบอกกับคนคนนั้นว่า ตลอดเวลาที่เราห่างกันรวมถึงทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยในอย่างไร้สถานะ ผมไม่มีสิทธิ์กอด..ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะทำอะไรเลย สิ่งที่ผมรู้สึกและทำได้มากที่สุดในตอนนี้คือ..”
“..คิดถึง”
“หลับตาลงยังรู้สึก..ท่ามกลางความอ้างว้าง ในหัวใจ
..ค่ำคืนยาวนาน กับความเดียวดาย
และลมหายใจ ที่ว่างเปล่า..”
เสียงกีตาร์เบาๆคลอมากับเสียงทุ้มน่าฟังของพี่ปั่นในประโยคแรกถึงกับทำเอาคนในร้านเงียบและตั้งใจฟัง ส่วนตัวผมเองเหมือนไม่เห็นว่ามีคนรอบข้าง ภาพที่เห็นมีเพียงสายตาจากคนบนเวทีที่นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงพร้อมกับส่งสายตาเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่างมาที่ผม
“..อยากให้เธอได้สัมผัสกับความห่วงใย ที่มีให้เธอ
ได้ยินเสียงของพระจันทร์จะกล่อมเธอฝันดี
ให้เธอได้รู้ตลอดไป..”
ราวกับว่าจังหวะเพลงและเสียงกีตาร์หยุดลงหลังจากท่อนนี้พร้อมกันกับความคิดที่มีในใจของผมทั้งหมด เหลือเพียงความรู้สึกที่ดำเนินไปตามทำนองและเนื้อร้องของเพลง ภาพทั้งหมดที่ปรากฏในสายตาของผมมีเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงอยู่บนเวที ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีใครหรือสิ่งของอะไรอยู่ในสถานที่แห่งนี้นอกจากผมและเขา
“ว่าทุกเวลาที่เราห่างกัน แสนไกล..
ยังมีอีกคำ ในหัวใจที่จะบอกเธอให้เธอได้รู้ และเข้าใจ..
..ว่าคิดถึงเธอเมื่อเราห่างกัน แสนไกลมีคำหนึ่งคำจะพูดไปให้เธอได้รู้..
..จะแทนความหมาย ความห่วงใย”
“..ฉันคิดถึงเธอ..”
“..ฉันมีเพียงเธอ..”
โน้ตตัวสุดท้ายของเพลงจบลงก่อนที่เสียงปรบมือจากคนในร้านจะดังขึ้นกระหึ่มจนผมหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง พี่ปั่นเดินลงจากเวทีส่งกีตาร์คืนให้นักดนตรีก่อนจะเดินหายไปด้านหลัง ผมได้แต่นั่งนิ่งรู้สึกตัวร้อนวูบๆ วาบๆ ก่อนจะเอามือขึ้นมาจับที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเองเพื่อเช็กว่าหัวใจของผมยังเต้นตามปกติอยู่ไหม
เครดิต เพลง คิดถึง โดย พีชเมกเกอร์ PEACEMAKER
https://www.youtube.com/watch?v=fpbcxVvlcUY
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
เบื้องหลังแผนการ
{12}
‘ถึงผมจะปั่นประสาทปั่นหัวใจ~
~แต่ผมจะไม่มีวันปันใจให้ใครแน่นอน’
ถ้าคุณอยากบอกสิ่งสำคัญบางอย่างกับคนที่คุณรักคุณอาจจะอยากบอกเขาคนนั้นในสถานที่ที่แสนพิเศษสำหรับคุณสองคน ซึ่งผมเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน แต่ผมยังไม่สามารถหาโอกาสที่จะทำแบบนั้นได้จนกระทั่งเหตุการณ์ประจวบเหมาะที่ไอ้เด็กหน้ามึนของผมมันดันงอนเรื่องที่ผมไปส่งรินดาวคณะของผมที่หอแล้วถูกถ่ายภาพลงเพจเป็นข่าวใหญ่
หลังจากผมตามง้อเด็กหน้ามึนถึงหอผมก็ได้ข้อเสนอจากเจ้าตัวมาว่าอยากไปเที่ยวกลางคืนอย่างที่เคยไป ซึ่งผมก็ไม่รอช้าตอบตกลงทันทีเพราะผมรู้ดีว่าคนอย่างไอ้กันจะไปร้านไหนได้นอกเสียร้านเดิมที่ผมเคยพาไป พี่ทีมเจ้าของร้านเป็นรุ่นพี่ที่จบจากคณะของผมทำให้ผมค่อนข้างสนิทสนมมาก ผมรู้มาว่าหลังจากที่เลิกกันไปไอ้กันก็ไม่ค่อยกลับไปที่ร้านแห่งนี้บ่อยครั้งเหมือนอย่างที่เคย
สำหรับผมและมันที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่แสนพิเศษเพราะเป็นที่ที่เราตกลงที่จะศึกษากันอย่างจริงจังในสถานะที่ชัดเจน แต่ผมกลับพังสถานะนั้นลงเองด้วยความคิดบ้าๆของตัวเอง เพราะฉะนั้นการกลับไปกล่อมจันทร์ในครั้งนี้ ผมอยากทวงคืนความทรงจำดีๆที่เราเคยมีร่วมกันกลับมาอีกครั้ง
ผมตัดสินใจโทรหาพี่ทีมและปรึกษาเพื่อนระหว่างที่ไอ้กันกำลังอาบน้ำแต่งตัว ผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะขอคบกับมันอีกครั้งในวันนี้ แต่ผมแค่เพียงอยากบอกความรู้สึกที่ผมมีมาตลอดช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยู่สถานะที่ชัดเจนด้วยกัน ตลอดเวลาที่ผมไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวของมันว่าผมรู้สึกอย่างไร อยากให้เด็กหน้ามึนของผมได้สบายใจและเชื่อใจผมว่าการกลับมาครั้งนี้ของผม ผมกลับมาด้วยความจริงใจและไม่จำเป็นต้องคิดว่าผมจะมีใคร เพราะทั้งหมดในใจที่ผมมีตอนนี้คือแค่มันเพียงคนเดียว
[พวกกูไม่ว่างไปช่วยนะเว้ย สู้ๆ เพื่อน]
“ขอบใจมึง ไม่เป็นไรกูคุยกับพี่ทีมแล้ว”
[มึงไม่กลัวเป็นข่าวเหรอวะ]
“กลัวทำไมวะ เป็นข่าวก็ดี”
[เออเรื่องของมึงเถอะ โชคดี]
“โอเค ไว้เจอกัน” ผมวางสายไอ้ทัชก่อนจะกลับคอนโดตามคำสั่งไอ้กันเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวมารับมันไปร้านพี่ทีม
หลังจากที่โทรไปผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ทีมฟังเรียบร้อยผมก็ได้คิวจากร้านตามที่พี่ทีมเสนอมาว่าเที่ยงคืนน่าจะเป็นเวลาที่โรแมนติกที่สุด ผมก็ไม่ได้ติดขัดอะไรกับข้อเสนอของพี่มันเพราะจะเวลาไหนก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกันในเมื่อสุดท้ายสิ่งที่ผมอย่างจะบอกไอ้เด็กหน้ามึนของผมก็มีอยู่เพียงแค่อย่างเดียว
ผมแต่งตัวออกจากคอนโดเรียบร้อยและตรงดิ่งไปรับเด็กหน้ามึนถึงหน้าหอทันที ผมรู้สึกว่านอกจากไอ้กันที่ดูตื่นเต้นกับการได้กลับไปเที่ยวฟังเพลงกลางคืนอีกครั้งหลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลานาน ผมก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันกับการต้องทำอะไรพิเศษๆให้กับมัน อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าทุกอย่างจะออกมาดีอย่างที่คิดหรือเปล่า
ทันทีที่คนตัวเล็กเปิดประตูขึ้นรถมาผมถึงกับตะลึงแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้ ทั้งกลิ่นน้ำหอมที่ผมชอบ ทั้งการแต่งตัวที่เจ้าตัวคงคิดว่าหล่อแต่กลับดูน่ารักเอาเสียมากๆในสายตาของผม ทำเอาผมแทบอยากวนรถกลับคอนโดไปนอนกกที่ห้องคนเดียวไม่อยากให้ผู้คนได้เห็นเลย
“แต่งขนาดนี้ มึงจะไปอ่อยใคร”
“อ่อยสาว ถ้าได้สักคนก็ดี”
“กูกับมึงใครจะได้ก่อนกัน” ผมส่ายหัวไปมาเบาๆให้กับความคิดของเด็กที่นั่งอยู่ด้านข้างของผม ถ้าให้พูดตรงๆตามความเป็นจริงมันควรพูดคำว่าอ่อยหนุ่มๆเสียมากกว่าการอ่อยสาวๆ
“ก็รอดูนะครับ”
“จะรอดู” ผมพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทแต่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรไป ก่อนจะจอดรถในบริเวณลานจอดรถหน้าร้านกล่อมจันทร์ของพี่ทีม
“จะเข้าร้านได้หรือยัง”
“เออน่า รีบจังวะ” ผมเดินนำหน้าไอ้กันที่มัวแต่เช็กความหล่อของมันป่านกระจกรถผมไม่หยุด ผมตรงเข้าไปหาพนักงานเพื่อแจ้งว่าจองโต๊ะไว้แล้ว ทีแรกไอ้กันจองโต๊ะที่เป็นโซนด้านหน้าเวทีติดขอบเวทีเพราะเจ้าตัวตั้งใจมาเพื่อฟังเพลงโดยเฉพาะ แต่โต๊ะที่ได้เป็นโต๊ะที่พี่ทีมเป็นคนจัดสรรมาให้ซึ่งเป็นโต๊ะที่อยู่กลางร้านตรงกับเวทีพอดี
หลังจากได้โต๊ะเรียบร้อยผมก็ปล่อยให้คนตัวเล็กจัดการสั่งอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนผมก็นั่งท่องเนื้อเพลงในโทรศัพท์มือถือพร้อมกับปรึกษาแผนการเซอร์ไพรส์กับไอ้ทัชผ่านทางไลน์
“พี่ปั่น”
“อือ มีอะไร”
“ไม่กลับเหรอ”
“ยัง อีกเดี๋ยวค่อยกลับก็ได้” ผมตอบคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆไปโดยที่ไม่ได้เงยหน้าสนใจเพราะมัวแต่ท่องจำเนื้อเพลงที่กำลังจะร้อง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางด้านข้างเวทีเมื่อใกล้ถึงเวลาตามที่นัดกับพี่ทีมไว้
ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนเวทีพร้อมกับไมค์และกีตาร์ในมือตั้งแต่ตอนไหน ด้วยความตื่นเต้นสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเร็วมาก ผมสูดหายใจเข้าให้เต็มปอดก่อนจะพ่นออกมาช้าๆ เพื่อตั้งสติแล้วพูดความรู้สึกที่ผมมีออกมา..
“สวัสดีครับทุกคน ผมปั่นครับ”
“ทุกคนอาจจะสงสัยว่าขึ้นมาทำไม ผมอยากขออนุญาตทุกคนร้องเพลงสักหนึ่งเพลงให้กับคนคนหนึ่งฟัง”
ผมมองตรงไปยังคนที่มาพร้อมกับผมที่นั่งอยู่โต๊ะกลางร้านเพียงคนเดียว สีหน้าที่ดูตกใจและสงสัยของเด็กหน้ามึนที่ผมคุ้นชินทำเอาผมอยากทิ้งกีตาร์วิ่งลงไปกอดมันเอาไว้ในอกแต่ตอนนี้ผมต้องทำในสิ่งที่ผมควรจะทำต่อไป..
“เพลงๆ นี้ผมตั้งใจจะร้องเพื่อบอกกับคนคนนั้นว่า ตลอดเวลาที่เราห่างกันรวมถึงทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยในอย่างไร้สถานะ ผมไม่มีสิทธิ์กอด..ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย สิ่งที่ผมรู้สึกและทำได้มากที่สุดในตอนนี้คือ..”
“..คิดถึง”
ผมเริ่มเกากีตาร์คลอเป็นทำนองก่อนจะเริ่มร้องเพลงที่แทนความรู้สึกของผมในช่วงเวลาที่เราต้องห่างกันและความรู้สึกที่ผมมีในตอนนี้ ผมไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าการได้คนตรงหน้ากลับมาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผมอย่างที่เคยเป็น..
“หลับตาลงยังรู้สึก..ท่ามกลางความอ้างว้าง ในหัวใจ
..ค่ำคืนยาวนาน กับความเดียวดาย
และลมหายใจ ที่ว่างเปล่า..”
“..อยากให้เธอได้สัมผัสกับความห่วงใย ที่มีให้เธอ
ได้ยินเสียงของพระจันทร์จะกล่อมเธอฝันดี
ให้เธอได้รู้ตลอดไป..”
“ว่าทุกเวลาที่เราห่างกัน แสนไกล..
ยังมีอีกคำ ในหัวใจที่จะบอกเธอให้เธอได้รู้ และเข้าใจ..
..ว่าคิดถึงเธอเมื่อเราห่างกัน แสนไกลมีคำหนึ่งคำจะพูดไปให้เธอได้รู้..
..จะแทนความหมาย ความห่วงใย”
“..ฉันคิดถึงเธอ..”
“..ฉันมีเพียงเธอ..”
หลังจากผมขอบคุณพี่ทีมและทีมงานทุกคนในร้านเรียบร้อยผมก็ตรงกลับไปที่โต๊ะเพื่อไปหาเด็กหน้ามึนของผมที่ยังคงนั่งอึ้งอยู่ ผมคว้าคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดทันทีที่นั่งลง ความรู้สึกที่ผมมีในทีแรกทั้งความกลัว ความกังวลต่างๆ ได้หายไปทั้งหมดเหลือเพียงแต่ความสุขที่เกิดจากสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจทำลงไป
นอกจากสิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้ผมโล่งอกกับการได้ปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมาให้คนในอ้อมกอดของผมตอนนี้ได้รับรู้แล้ว ยังสามารถทำให้เด็กน้อยของผมยอมอยู่ใกล้ๆผมอยู่ในอ้อมอกของผมเป็นเวลานานอย่างที่ไม่ได้เป็นมาหลายเดือน ผมรับรู้ได้ว่าอีกหนึ่งความคิดถึงที่ผมมีตอนนี้คือคิดถึงการได้อยู่ใกล้คนที่ตัวเองรักได้ดูแลได้โอบกอดของที่ผมรักชิ้นนี้เอาไว้
“ร้องไห้เลยไหม”
“ไม่ได้จะร้อง แค่ตกใจ”
“ไม่เป็นไรแล้ว กูอยู่กับมึงตรงนี้” ผมลูบหัวคนตัวเล็กที่ซุกอยู่กับอกผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน การกระทำของผมในวันนี้ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่ามันจะไม่ใช่การขอคบหรือขอคืนดี แต่เป็นเพียงการบอกความรู้สึกที่ผมมีให้น้องกันได้รับรู้เพราะฉะนั้นผมถือว่าผมทำสำเร็จแล้ว
“อือ”
“กลับกันไหม ดึกแล้ว”
“ปล่อยก่อนดิ”
“มึงบอกตัวเองรึยังไง เกาะกูเป็นปลิง” ผมหัวเราะเบาๆเพราะขำในคำพูดของเด็กที่กอดผมอยู่เองแต่ดันมาบอกให้ผมปล่อย ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเดินออกจากร้านไปอย่างเขินอาย น่ารักเสียไม่มี
ผมเลือกที่จะไปส่งไอ้กันที่หอแต่ไม่ได้ขอขึ้นไปด้วยหรือชวนมันกลับไปนอนคอนโดด้วยเพราะตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจำเป็นต้องใช้เวลาเกือบทั้งสัปดาห์กับการเข้าประชุมเชียร์ในฐานะพี่ระเบียบและเฮดว้ากนั่นอาจทำให้ผมไม่มีเวลาได้ตามดูแลหรืออยู่ใกล้กับไอ้กันมัน
คุณคิดว่าคนเราจะใช้ชีวิตโดยขาดคนรักได้นานแค่ไหน ยิ่งสำหรับคนที่มีความรักอยู่แล้วคุณคิดว่าระยะเวลานานเท่าไหร่ที่จะทำให้คุณคิดถึงคนบางคนจนแทบทนไม่ไหว สำหรับผมเวลาเพียงหนึ่งคืนก็นานพอจะทำให้ผมทรมานได้แต่ผมก็จำเป็นต้องอดทนเพื่อทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ตั้งแต่คืนนั้นมาก็ผ่านมาสามวันแล้วที่ผมไม่ได้เจอไอ้กันเลย ไม่ได้เห็นหน้างงๆ มึนๆ ของมัน
ผมนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองระหว่างรอเข้าประชุมระเบียบก่อนจะไปลงระเบียบน้องปีหนึ่งเพราะในตอนนี้มีเพียงผมและเพื่อนไม่กี่คนที่มาถึงอาคารเอนกประสงค์ที่ใช้ในการประชุมเชียร์
แอปพลิเคชันเฟสบุ้กถูกเปิดขึ้นและเลื่อนผ่านหน้าข่าวใหม่ไปเรื่อยๆด้วยความเบื่อหน่ายและไม่มีอะไรทำฆ่าเวลา ครั้นจะทักไปคุยกับเด็กหน้ามึนก็คงกำลังวุ่นกับการทำแผนการตลาดอยู่ ผมสะดุดตากับโพสต์ที่มีคนแชร์มาเป็นจำนวนมากในหน้าฟีด เป็นโพสต์จากเพจที่มีผู้ติดตามมหาศาลซึ่งผมก็พอจะคุ้นกับเพจเพจนี้เนื่องจากเป็นเพจที่มักจะมาขออนุญาตนำรูปของผมไปลง
แต่โพสต์ที่ผมเห็นกลับเป็นคลิปวิดีโอที่ผมเล่นกีตาร์ร้องเพลงในร้านกล่อมจันทร์ในคืนนั้น พร้อมกับคำบรรยายแปลกๆ ที่คิดว่าคงเป็นวิธีการนำเสนอเพื่อดึงดูดใจคนของทางเพจ
My Single Boys
ผู้ชายร้องเพลงเล่นกีตาร์ยั่วๆ ค่าาาาาาาา ทั้งน้ำเสียงทั้งความละมุนทำเอาอยากให้พ่อแม่ยกขันหมากไปสู่ขอเลยจ้า คนที่สามีร้องเพลงให้คือใครกันคะ แอดจะตามหาคนคนนั้นค่ะ ใครรู้มาบอกแอดนะคะ แอดอยากรู้มาก#พี่ว้ากโหดในโหมดละมุน #ตามหาคนพิเศษช่วยกัน#หล่อโคตรโคตรแต่อาจจะไม่โสดแล้ว
MIIND ไม่นะๆ ๆ ๆ ๆ ใครกันนะ
ppoonoi หนูจะนอนร้องไห้แล้วนะแอด
PAPANG @กัมปนาทP.ATG ต๊ายยยยยยย ไม่รู้เรื่องมาก่อน แบบนี้ต้องมีคนเคลียร์ค่ะ
“ดูอะไรอยู่วะ”
“หือ” ผมเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือมามองหน้าเพื่อนอย่างไอ้ทัชที่ทำหน้าทำตาอย่างกับหมางง เล่นเอาผมหลุดขำออกมาทันทีที่เห็น
“มึงขำอะไร?”
“หน้ามึงดิไอ้เวร”
“หน้ากูเป็นอะไร ความหล่อติดเหรอวะ”
“ถุย” ผมส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาในความหลงตัวเองของเพื่อนก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือในมือให้มันดู
“ก็กูเห็นมึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กูก็สงสัย”
“พอใจมึงรึยัง?” ผมรับโทรศัพท์กลับจากไอ้ทัชหลังจากที่เพื่อนรักได้รับรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมดูอยู่เป็นเพียงคลิปที่มีคนอัดมาลง ซึ่งไอ้ทัชก็ดูไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเพราะแผนนี้ผมก็ปรึกษามันตั้งแต่ก่อนลงมือทำแล้ว
“กูก็นึกว่าอะไร”
“อะไร อะไรของมึง ไปประชุมคนมากันจะครบแล้ว” ผมกอดคอเพื่อนรักตรงไปที่วงประชุมที่มีคนนั่งรวมกันอยู่ หวังว่าการที่มีเพจเอาไปลงแบบนี้จะไม่เป็นเรื่องที่ทำให้เด็กน้อยของผมเดือดร้อนหรือเกิดอะไรไม่ดีขึ้น มิฉะนั้นผมจะไม่ปล่อยคนที่ทำไว้แน่นอน
“ถ้าพวกน้องมากันได้แค่นี้ น้องก็ทำแบบนี้ต่อไปทุกวันครับ ไม่มีทางได้ออกจากวงจรแบบนี้ ทราบ!”
“ทราบครับ/ค่ะ!”
“วันนี้พอแค่นี้ ประธาน”
“ปีหนึ่ง สาม สี่!”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ผมเดินออกจากอาคารอเนกประสงค์ทันทีหลังจากลงระเบียบปีหนึ่งเสร็จเพื่อจัดการกับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองที่ยังปะทุอยู่ วันนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้เพราะปีหนึ่งบางกลุ่มเริ่มหัวแข็งและไม่เข้าประชุมเชียร์ทำเอาทั้งสตาฟฝ่ายต่างๆที่เตรียมตัวมาหรือแม้แต่ตัวผมเองไม่ได้ทำตามแผนที่วางกันเอาไว้ สุดท้ายต้องจำใจทำโทษและอบรมไปตามระเบียบ
ผมสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆและพยายามสงบสติให้สามารถกลับมาทำตัวปกติได้ ป่านนี้ไอ้กันมันจะทำอะไรอยู่กันนะ ในเวลาที่อารมณ์ไม่ค่อยดีแบบนี้ผมมักจะได้ยินคำพูดจากมันว่า ‘โมโหแล้วได้อะไร’ ประโยคที่ไม่ได้ดูมีอะไรประโยคนี้มักจะทำให้ผมยิ้มออกได้ทุกครั้ง อาจจะไม่ใช่เพราะความหมายของมันแต่เป็นเพราะคนที่พูดมันออกมาต่างหาก
“ปั่น”
“รินมีอะไรกับเราเหรอ”
“คือรินมีเรื่องจะคุยกับปั่น ปั่นไปร้านนั้นกับใคร แล้วคนพิเศษที่ปั่นหมายถึง..คือใคร?” ผมหันตามเสียงเรียกทันทีที่ได้ยินว่ามีคนเรียกชื่อของผม ซึ่งเป็นรินเพื่อนร่วมคณะของผมที่เดินตามออกมาจากในอาคารอเนกประสงค์ก่อนจะถามบางสิ่งน่าจะเป็นความสงสัยที่ผมคิดว่าถึงเวลาที่ผมควรจะบอกเธอไปอย่างชัดเจนได้แล้วว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ
“เราไปกับคนคนนั้น”
“แล้วรินล่ะปั่น ที่ผ่านมาปั่นไม่รับรู้เลยสักนิดเหรอว่ารินชอบปั่นแค่ไหน” รินพุ่งตัวเข้ามาจับแขนของผมพร้อมกับพูดออกมาอย่างผิดหวัง
“ขอโทษนะ เราไม่ได้คิดอะไรกับรินไปมากกว่าเพื่อน”
“แล้วคนคนนั้นเป็นใคร” ระหว่างที่รินกำลังพูดอยู่สายตาผมดันไปสะดุดเข้ากับไอ้กันที่กำลังยืนมองผมและรินจากประตูอาคารอเนกประสงค์ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารด้วยสีหน้าผิดหวัง
“กัน กัน” ผมพยายามจะตามมันไปแต่รินกลับดึงผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้ผมไป
“รินปล่อย เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
“นี่ปั่นอย่าบอกนะว่าคนพิเศษของปั่นคือเด็กผู้ชายคนนั้น”
“ใช่”
“ปั่นบ้าไปแล้วเหรอ!”
“พอได้แล้วริน ขอโทษนะ” ผมสะบัดรินออกก่อนจะรีบวิ่งตามไอ้กันเข้าไปในอาคารแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนตัวเล็ก ผมวิ่งออกจากอาคารทางอีกประตูหนึ่งและเห็นเพื่อนของผมกำลังยืนคุยกันอยู่
“ไอ้ปั่นมึงไปหนีเสือมาจากไหนวะ”
“กัน ไอ้กันไปไหนแล้ว” ผมก้มหน้าหอบด้วยความเหนื่อยพร้อมกับถามเพื่อนออกมา
“น้องกัน พึ่งจะเดินไปทางนั้นมึง” ผมพยักหน้าขอบคุณไอ้มินก่อนจะวิ่งตามทางที่เพื่อนบอกไปในความมืดของมหาวิทายาลัยในช่วงค่ำคืน
“ระวังด้วยนะมึงทางมันมืด”
เครดิต เพลง คิดถึง โดย พีชเมกเกอร์ PEACEMAKER
https://www.youtube.com/watch?v=fpbcxVvlcUY
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
การเมารถเป็นเหตุ PP's
{14}
‘~ทะเลที่ใครว่าดี...แต่สำหรับพีมันคือนรก
เพราะใจผมต้องตกเป็นของ...เหนือ~’
การนั่งรถเป็นเวลานานนอกจากจะทำให้รู้สึกเพลียและปวดตูดมากแล้ว สำหรับผมยังมีอีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญมากคือผมเป็นคนเมารถ โดยเฉพาะรถที่เป็นรถโดยสารคันใหญ่เหมือนรถทัวร์ที่ทางสาขาจัดหามาใช้ในการเดินทางไปรับน้องนอกสถานที่ในปีนี้ ผมยังจำได้แม่นว่าเมื่อปีที่แล้วผมอาเจียนตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยได้ครึ่งชั่วโมงยาวไปจนถึงปลายทางทำเอาภาพลักษณ์เดือนสาขาของผมพังลงกลายเป็นผู้ชายที่นั่งหน้าซีดให้ผู้หญิงอย่างไอ้แป้งมาพัดให้และช่วยดูแลตลอดทาง
พอมาในปีนี้ผมก็คิดว่าการเป็นรุ่นพี่จะได้รถที่ดีขึ้นกว่าที่ผมนั่งปีที่แล้ว ซึ่งการคาดการณ์ของผมเป็นจริงครับแต่ดันเป็นจริงกับปีสองแค่จำนวนหนึ่งเพราะรถโดยสารปรับอากาศสำหรับปีสองไม่สามารถรับจำนวนผู้โดยสารได้เท่าจำนวนนิสิตในสาขาที่มีจึงต้องมีส่วนหนึ่งเสียสละอาศัยรถคันเดียวกันกับปีหนึ่งในการเดินทาง
ที่จริงรถที่ปีหนึ่งได้ในปีนี้ไม่ได้ถือว่าแย่เท่าไหร่สภาพรถไม่ได้เก่าและทรุดโทรมเหมือนเมื่อปีก่อน เสียก็แต่ว่าเครื่องปรับอากาศในรถกลับมีปัญหาเสียจนต้องเปิดหน้าต่างกันทุกบานเพื่อรับลมให้มีอากาศหายใจกันภายในรถ
ด้วยความเป็นผู้ชายและศักดิ์ศรีความเป็นเดือนสาขาเก่าผมจึงจำเป็นต้องเป็นหนึ่งในผู้เสียสละที่เดินทางด้วยรถคันเดียวกันกับปีหนึ่ง ผมไม่ได้รู้สึกยินดีอะไรสักนิดและยิ่งมาเห็นว่ารถคันนี้เครื่องปรับอากาศเสียหลังจากเริ่มออกรถไปได้ระยะหนึ่งยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าการตัดสินใจของผมมันผิด แต่กลับกันกับคนบางคนที่พึ่งจะขอเปลี่ยนที่กับเพื่อนผมมานั่งข้างผมที่เอาแต่ยิ้มไม่หุบสักที
“ไม่กินอะไรหน่อยเหรอ”
“ไม่เอา”
“ทำไมหน้าพีซีดๆ ปวดหัวไหม?”
“ไม่ปวด” ผมเอาแต่ส่ายหน้าตอบรับคนที่นั่งอยู่ด้านข้างที่ทั้งยื่นขนมขบเคี้ยวในมือมาให้ผมและอังหลังมือลงบนหน้าผากของผมเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผม ผมยังไม่ได้บอกไอ้เหนือว่าผมเป็นคนที่เมารถง่ายเพราะถ้าบอกไปมันต้องเก็บไปล้อผมแน่นอน
“แล้วทำไมหน้าซีดขนาดนี้”
“กู..”
“พักรถครับ เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวไม่เกินยี่สิบนาทีรีบไปรีบมานะครับ” เสียงประกาศของไอ้ดินแดนดังขึ้นก่อนจะที่รถจะจอดลงในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ผมพุ่งตัวลงจากรถอยากรวดเร็วเพื่อไปปลดปล่อยความกระอักกระอ่วนที่มีในตัวอย่างอึดอัด ผมมั่นใจว่ายังไงผมก็อาเจียนเพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้คือวิ่งเท่านั้น โดยที่ไม่สนใจเสียงเรียกของไอ้เหนือที่ตามมาติดๆ
“พี พีจะไปไหน รอด้วย”
“เห้ออออ”
“เป็นยังไงบ้าง เป็นอะไรทำไมไม่บอก” ผมเดินคอตกออกจากห้องน้ำหลังจากปลดปล่อยทุกอย่างที่กินไปออกมาจนหมดไส้หมดพุงโดยที่มีไอ้เหนือค่อยเดินตามพัดและบีบนวดไหล่มาตลอดทางจนถึงรถ
“พีนั่งติดหน้าต่างไม่เป็นอะไรใช่ไหม ให้ผมนั่งแทนไหม”
“ไม่เป็นไร นั่งลงดิ” ผมตบเบาะข้างๆเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายนั่งลงในขณะที่ตัวเองก็ถือยาดมโบกไปมาอยู่บริเวณจมูกเพื่อบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะที่กำลังเป็นอยู่ แต่ทำไมอีกฝ่ายกลับเอาแต่ยืนยิ้มอยู่ได้ผมนี่งงจริงๆ
“น่ารักว่ะพี”
“อะไร?”
“ก็ที่ทำอยู่ เวลาพีอ่อนแอโคตรน่ารักเลย” ผมถอนใจแรงๆหนึ่งครั้งก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาปิดหน้าพร้อมพิงหัวลงที่หน้าตาด้วยความเพลียและเอือมระอากับการชื่นชมผมว่าน่ารักของไอ้เหนือมัน
“ไม่ปวดคอเหรอ มานี่มา”
“เหนือ..” ผมบ่นออกมาเบาๆแต่ก็ไม่ได้มีแรงขัดขืนกับการที่มือหนาค่อยๆประคองให้ผมซบลงบนไหล่ของมัน ผมไม่มีเวลามาคิดว่าจะมีคนเห็นหรือจะมีคนล้ออะไรเพราะถ้าผมไม่หลับผมจะต้องอยากอาเจียนอีกแน่นอน
“นอนไปนะ”
“อือ”
“พี”
“...”
“พี ถึงแล้ว”
“อือ” ผมลืมตาขึ้นในขณะที่ทุกคนในรถกำลังทยอยเดินขนของสำภาระลงจากรถ ส่วนคนที่นั่งข้างผมกลับไม่ลุกไปไหนนั่งให้ผมซบมาตั้งแต่ครึ่งทางจนถึงที่ มันไม่ปวดไหล่หน่อยหรือยังไง แล้วนี่ผมทำไมไม่รู้สึกตัวให้มันได้ขยับตัวบ้างล่ะเนี่ย
“ไปกัน”
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมทำให้พีได้ทุกอย่าง” ผมยิ้มให้ร่างสูงที่ยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินนำลงจากรถไป
ปีหนึ่งถูกไอ้ดินแดนและพวกเฮดเรียกไปรวมเพื่อฟังระเบียบในการรับน้องนอกสถานที่ตลอดเวลาสองวันสองคืนนี้ ส่วนผมก็เดินตรงไปหาพวกไอ้กันที่กำลังรับกุญแจห้องพักจากฝ่ายสถานที่อยู่ รถของปีสูงและพี่บัณฑิตกำลังจะทยอยมาถึงทำให้พวกผมต้องรีบเก็บของเข้าที่พักเพื่อออกมาเตรียมตัวรอรับพี่ๆ ปีสูง
สรุปผมไอ้แป้งและไอ้กันก็ตกลงกันว่าจะนอนด้วยกันเพราะไม่อยากไปนอนรวมกับใคร ที่จริงแล้วไอ้แป้งควรไปนอนในห้องที่มีผู้หญิงแต่มันกลับเถียงขาดใจว่ายังไงก็จะนอนกับผมและไอ้กันทำให้ต้องจำใจยอมให้มันเข้ามานอนด้วยในห้องพัก
“ไอ้พีมึงลงไปรับพี่ไหวไหมวะเนี่ย”
“ไหวมั้ง”
“แป้ง มึงจะลงไปเลยไหม?”
“ไปๆ ปล่อยไอ้พีมันนอนพักไปมึง” ผมพยักหน้าตอบรับเพื่อนทั้งสองคนที่จัดของเสร็จและแต่งตัวพร้อมลงไปจัดเตรียมสถานที่ต้อนรับพี่ปีสูงและประชุมกิจกรรมรับน้องในคืนแรกขณะที่ผมนอนแผ่อย่างหมดแรงอยู่บนเตียงโดยมีแก้วน้ำเกลือแร่วางอยู่ใกล้ๆ
“เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงกูมาตามไปตอนมื้อเย็นละกัน” ไอ้กันพูดก่อนจะเดินออกจากห้องและปิดประตูห้องไป
ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น คิดไปคิดมาแล้วในตอนนี้พวกไอ้เหนือคงกำลังถูกพวกเฮดลงระเบียบอยู่สินะ จุดประสงค์หลักของการจัดรับน้องนอกสถานที่ของสาขาการตลาดคือการให้รุ่นกับน้องโดยการทำให้น้องรู้สึกกดดันและทำกิจกรรมกันเป็นทีม เพื่อที่จะสามารถนำไปปรับใช้ในอนาคตการทำแผนการตลาดที่ต้องอาศัยระบบการทำงานเป็นทีมภายใต้สภาวะความกดดันสูงๆ
ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับรุ่นพี่ปีสูงหรือพี่บัณฑิตที่จบไปแล้วหลายคนจากหลากหลายสายอาชีพเผื่อในอนาคตจะสามารถช่วยเหลือกันได้ในสายงานหรือให้คำปรึกษาได้ในหลายๆ เรื่อง
ปีนี้ถือเป็นปีที่ผมยังคงร่วมกิจกรรมรับน้องทะเลอย่างโดดเดี่ยวเช่นเคยเพราะสายเทคของผมไม่มีใครว่างมาสักคนแม้แต่น้องเทคของผมที่ติดธุระด่วนไม่สามารถมารับน้องนอกสถานที่ได้ ต่างจากสายของไอ้กันที่แห่กันมาตั้งรุ่นดึกดำบรรพ์ทุกปีเป็นสายที่น่าอิจฉาสายหนึ่งในสาขาเลย
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นรัวๆแล้วเงียบลงทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง แต่กลับไม่มีใครเปิดประตูเข้ามาทั้งที่ประตูไม่ได้ถูกล้อคไว้ ถ้าเป็นไอ้กันก็น่าจะรู้สิว่ามันไม่ได้ล้อคหรือจะเป็นไอ้แป้งวะ
“ไม่ได้ล้อค”
แกร่ก
“ตื่นนานแล้วเหรอ”
“อ้าว แล้วไอ้สองคนนั้นอะ” ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของไอ้เหนือที่เดินเข้ามา ผมแอบตกใจนิดหน่อยที่คนที่เข้ามาเป็นมันแต่ก็ไม่ได้มีแรงจะไปต่อล้อต่อเถียงกับมันเหมือนปกติสักเท่าไหร่
“เขาให้ผมมาตามไปข้างล่าง”
“ไม่ได้โดนลงระเบียบอยู่รึยังไง”
“เขาพักทานข้าวกันแล้ว ไม่หิวเหรอ”
“ก็หิว กำลังจะลงไปนี่แหละ” ผมลุกขึ้นนั่งที่ปลายเตียงช้าๆก่อนที่ไอ้เหนือจะมานั่งลงข้างๆผม แปลกดีแฮะที่ผมไม่โวยวายกับความใกล้ชิดที่มากขึ้นของเราสองคน ผมเริ่มรู้สึกการมีมันอยู่ในชีวิตก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน หรือว่าผมจะ..
..ตกหลุมรัก..
..ไอ้เหนือเข้าแล้วอย่างนั้นเหรอบ้าน่า แปลกดีเนอะ ที่ผู้ชายทั้งแท่งอย่างผมที่มีตำแหน่งเป็นถึงเดือนสาขาและรองเดือนคณะอย่างผมไม่ได้สนใจความรักที่ไม่ว่าจะมีใครดูดีหรือสวยแค่ไหนเข้ามาขายขนมจีบให้ แต่จู่ๆกลับมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือการเข้ามาจีบผม
ทีแรกผมปิดกั้นตัวเองจากไอ้เด็กนี่พอสมควรแต่เมื่อผ่านเวลาไปนานๆ การกระทำของตัวมันเองหรือแม้กระทั่งความรู้สึกทุกอย่างที่มันมีให้ผมก็สามารถทำให้ผมเริ่มเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือความจริงและมันเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก ไม่ได้เป็นเหมือนกับสิ่งที่ผมคิดไว้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่นๆ
“ไม่อยากนอนกับเพื่อนเลย”
“อ้าว ทำไม มีปัญหากับเพื่อนเหรอ?”
“เปล่า อยากมานอนดูแลพีต่างหาก” ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนฉ่าเหมือนกระทะร้อนที่ใช้ใส่ผัดไทยหอยทอดขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินประโยคที่ดูไม่ได้หวานซึ้งอะไรจากคนที่นั่งอยู่ด้านข้างแต่กลับทำให้ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ
“เพ้อเจ้อ”
“ไม่ได้เพ้อนะ ก็พีดูไม่ดีขึ้นจากตอนอยู่บนรถเลย”
“แค่เมารถเอง เดี๋ยวกินข้าวกินยาก็ปกติแล้ว กูผู้ชายนะ”
“ถ้าไม่ดีขึ้นผมจะมานอนกับพี”
“เรื่องของมึงเถอะเหนือ” ผมสะบัดหัวไปมาเพื่อให้สลัดความสะลึมสะลือที่มีทิ้งไปก่อนจะเดินออกจากห้องไปก่อนไอ้เหนือที่เอาแต่นั่งยิ้มอยู่บนเตียง
“กว่าจะลงมาได้นะมึง”
“ทำไมวะ ไอ้น้องกันไปไหนของมัน”
“ไม่รู้มันเห็นโดนพี่นายลากไปทางนั้น แล้วมึงเนี่ย”
“หือ?”
“ลงมาช้าขนาดนี้ ไอ้น้องเหนือมันขึ้นไปตามด้วยวิธีไหนกันจ้ะเพื่อน” ผมหรี่ตามองไอ้แป้งที่แสดงท่าทางเขินบิดตัวไปมาเสียจนน่าใช้เท้าผลักมันลงไปเล่นกับทรายที่พื้น ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นผู้หญิงผมคงตบหัวมันไปสักทีสองที
บรรยากาศการรับน้องนอกสถานที่ในคืนแรกซึ่งเป็นคืนที่ปีหนึ่งยังจำเป็นต้องอยู่ในระเบียบอย่างเรียบร้อยก่อน ทำให้ในบริเวณลานจัดปาร์ตี้ที่เตรียมไว้ริมหาดมีแต่พี่ปีสูงและพี่บัณฑิตนั่งคุยสังสรรค์กันตามโต๊ะที่มีแสงไฟสลัวๆเคล้ากับลมทะเลและเสียงคลื่นซัดชายฝั่งเบาๆ
ส่วนปีหนึ่งจะถูกจัดอาหารให้ทานมื้อเย็นกันอยู่ในห้องสัมมนาของทางรีสอร์ตเงียบๆ ผมเดินออกมารับลมทะเลที่หาดใกล้ๆ นอกลานจัดกิจกรรมที่ฝ่ายสถานที่เตรียมไว้หลังจากกินอาหารที่ไอ้แป้งเตรียมไว้ให้ได้เพียงเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าไม่ได้หิวเท่าไหร่
“มึงมานั่งทำอะไรคนเดียววะพี”
“อ้าวน้องกัน”
“กวนตีน ไม่ต้องมาทำหน้าตาคึกคักถ้าสภาพมึงยังเหมือนหมาป่วยอยู่” ไอ้กันนั่งลงข้างผมหันหน้าไปทางทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตาเหมือนกับผม นานแล้วที่ผมกับมันไม่ค่อยได้นั่งคุยกันเงียบๆสองคนแบบนี้ ถ้าเป็นทุกครั้งคงเป็นไอ้เตี้ยข้างผมที่เป็นฝ่ายทำหน้าอมทุกข์มาระบายหรือปรึกษาผมแต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นไอ้กันที่น่าจะต้องมานั่งฟังเรื่องที่ผมกำลังจะปรึกษาเสียมากกว่า..
“กัน มึงว่าผู้ชายกับผู้ชายมันรักกันได้จริงๆเหรอวะ”
“ไม่รู้ดิ”
“แล้วมึงกับพี่ปั่น ไม่ได้รักกันเหรอวะ”
“ก็..”
“แหนะ แหนะ เพื่อนกูรักเขาเข้าแล้วดิ” ผมกอดคอพร้อมกับขยี้หัวเพื่อนรักด้วยความเอ็นดู ทำไมกับเรื่องของไอ้กันผมถึงเอาใจช่วยโดยที่ไม่ได้เก็บเรื่องเพศมาคิด ผมมองข้ามเรื่องเพศไปและมองแค่ความสุขของคนสองที่สมควรจะเป็น แต่กลับเรื่องของตัวเองทำไมผมถึง..
“พูดมากไอ้ห่า แล้วมึงกับไอ้เหนือล่ะ ไม่รักกันเลยดิ”
“กู..ยังไม่ได้รู้สึกขนาดนั้นว่ะ”
“แล้วมึงคิดว่า..”
“กูกลัวน้องมันจะพยายามจนเหนื่อยเปล่าว่ะ กูอาจจะไม่ได้รักมันตามที่มันต้องการ..”
“...”
“..ในเร็วๆ นี้ แต่กูเชื่อว่ามันจะทำให้กูเปิดใจให้มันได้” ผมยิ้มออกมาหลังจากพูดจบประโยค ทำเอาไอ้กันแสดงสีหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
“กูก็นึกว่ามึงจะไม่ยอมให้โอกาสมัน น้องเทคกูเลยนะเว้ย ถ้าน้องกูอกหักกูจะฆ่ามึงแน่ไอ้พี”
“อย่าเก่งให้มันมากไอ้เตี้ย”
“แหมมึงสูงกว่ากูไม่ถึงสิบเซนต์”
“เออ ไปหาไอ้แป้งกัน” ผมลุกขึ้นปัดทรายที่ติดอยู่ที่กางเกงออกก่อนที่จะดึงมือเพื่อนตัวเล็กให้ยืนขึ้นด้วย ผมรู้สึกว่าการที่ได้มานั่งฟังเสียงลมพัดคลื่นมากระทบฝั่งพร้อมกับพูดเรื่องบางเรื่องกับเพื่อนที่เราเชื่อใจอย่างไอ้กันทำให้ผมได้ปลดปล่อยสิ่งที่หัวใจต้องการออกมาเป็นอิสระและอยู่นอกกรอบที่ตัวเองเคยตั้งไว้
“อ้าว แล้วเหนือไปไหนล่ะ”
“เหนือ?”
“อือ กูให้มันไปตามมึงสองคนที่หาด” ไอ้แป้งถามขึ้นทันทีที่ผมสองคนเดินเข้ามาถึงโต๊ะที่มันนั่งอยู่ ผมกับไอ้กันมองหน้ากันเองอย่างงุนงงเพราะไม่ยักจะเห็นแม้แต่เงาใครสักคนตอนที่พวกผมนั่งคุยกันอยู่ หรือไอ้เหนือมันจะไปตามแล้วหาไม่เจอจนเดินกลับเข้าไปในรีสอร์ตแล้วกันแน่
“ไม่เห็นนะ ช่างมันเถอะ แล้วคืนนี้พี่เขาไม่กินกันเหรอวะ”
“ยังมั้ง เพราะเห็นว่าพรุ่งนี้ต้องรับน้องแต่เช้า” ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะนั่งลงข้างไอ้แป้ง ส่วนไอ้กันก็เดินไปหาของกินเล่นที่ทางรีสอร์ตจัดอาหารว่างไว้รับรองลูกค้ามาให้ผมและตัวมันเอง
ไอ้เหนือมันไปไหนของมันวะ...
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment มาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
ปรับความเข้าใจ PP's
{15}
‘~จะทำอย่างไรดี..
เมื่อคนอย่างพีต้องตามง้อ...เหนือ~’
เช้าวันแรกของการจัดรับน้องนอกสถานที่หลังจากที่ปีหนึ่งได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในคืนที่ผ่านมาแล้วเพราะถูกสั่งให้แยกย้ายเข้าห้องตั้งแต่สามทุ่มครึ่งและไม่อนุญาตให้ออกมาเพ่นพ่านช่วงกลางคืน วันนี้กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการทำตามภารกิจที่รุ่นพี่แต่ละชั้นปีเป็นผู้กำหนด ถ้าปีหนึ่งทำภารกิจสำเร็จทั้งหมดก็จะได้รับรุ่น
ผมรู้สึกไปเองหรือว่าไอ้เหนือมันทำเหมือนไม่เห็นผมวะ เพราะตั้งแต่ผมเจอมันเดินลงจากรีสอร์ตมามันก็ไม่ทักทายผมอย่างที่เคยทำแถมยังเดินผ่านผมไปเหมือนผมเป็นแค่อากาศอีก หรือมันจะแค่ผีเข้าผีออกวะ
“แม่งเมื่อคืนก็นอนไม่หลับ”
“โรคประจำตัวเยอะจริงๆ เพื่อนกู”
“แค่ต่างสถานที่มั้ง ช่างมันเถอะ กูค่อยไปหากาแฟดื่มช่วงพักละกัน” ผมตอบไอ้กันที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปทางกลุ่มปีหนึ่งที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่เพื่อรอร่วมกิจกรรมรับน้องโดยมีรุ่นพี่ชั้นปีต่างๆกระจายตัวเตรียมจัดกิจกรรมอยู่รอบๆ ไม่ไกล
“แป้ง มึงแบ่งป้ายชื่อมาเดี๋ยวกูช่วยแจก”
“เอาไปดิ” ผมรับป้ายชื่อปีหนึ่งจำนวนหนึ่งจากไอ้แป้งที่กำลังง่วนอยู่กับการหาป้ายชื่อให้ตรงกับเด็กแต่ละคนก่อนจะเดินเข้าไปถามชื่อน้องแต่ละคนอีกฝั่ง
ผมถามชื่อและแจกป้ายชื่อปีหนึ่งมาเรื่อยๆจนถึงเดือนสาขาและเดือนมหาวิทยาลัยคนล่าสุดอย่างไอ้เหนือที่ไม่มองหน้าผมเลยสักนิดเอาแต่คุยกับเพื่อนอย่างเฮฮาจนผมต้องสะกิดให้เงยหน้ามารับป้ายชื่อ
“เอาไป”
“ขอบคุณครับพี่พี”
“อะไรนะ”
“...”
“เหนือ”
“อะไรครับพี่พี” ผมมองหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าในขณะที่ผมยืนอยู่ ทำไมสายตาที่ส่งออกมาของมันถึงกลายเป็นความเย็นชาที่น่ากลัว ไม่ได้อบอุ่นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“มึงออกมานี่กับกู”
“ครับ” ผมดึงมันให้ลุกขึ้นตามผมออกมาจากบริเวณที่ปีหนึ่งกำลังนั่งรวมกันเพื่อรอรุ่นพี่เตรียมความพร้อมของกิจกรรมกันอยู่
“มึงเป็นอะไรของมึง”
“เปล่าครับ”
“มีอะไรก็พูดสิวะ”
“ไม่มีอะไรต้องพูดครับ เพราะยังไม่ได้รู้สึกขนาดนั้นว่ะ” ผมถึงกับจุกที่อกกับสิ่งที่มันพูดออกมา มันเป็นประโยคเดียวกันกับที่ผมคุยกับไอ้กันเมื่อคืน ไอ้เหนือมันไปได้ยินตอนไหนกันวะ แล้วทำไมถึง...
เอ๊ะ? หรือว่า...
“อ้าว แล้วเหนือไปไหนล่ะ”
“เหนือ?”
“อือ กูให้มันไปตามมึงสองคนที่หาด”
...ภาพเหตุการณ์ตอนที่ผมกลับจากหาดเข้ามาในลานกิจกรรมของรีสอร์ตเมื่อคืนย้อนเข้ามาในหัว หรือว่าที่ไอ้แป้งบอกว่าให้ไอ้เหนือไปตามผมแล้วหายไป จะเป็นเพราะมันได้ยินสิ่งที่ผมพูดกับไอ้กันอย่างนั้นเหรอ
“เดี๋ยว..เหนือ มึงฟังกูก่อนดิ”
“พี่มีอะไรจะพูดกับผมอีกเหรอครับ หรือจะบอกผมว่ากลัวผมจะพยายามจนเหนื่อยเปล่า พี่อาจจะไม่ได้รักผมตามที่ผมต้องการอย่างนั้นเหรอ” คนตรงหน้ากำหมัดแน่นเสียจนน่ากลัวพร้อมกับแสดงสีหน้าที่ดูผิดหวังมาก เป็นสีหน้าที่ผมไม่เคยได้เห็นจากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมสักครั้ง ตลอดเวลาที่อยู่กับผมมันมักจะมอบแต่รอยยิ้มที่มีแต่ความอบอุ่นให้กับผมเสมอ
“...”
“ตอบสิครับ!”
“ขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น”
“แล้วตั้งใจจะพูดอะไร”
“...”
“คิดว่าผมเป็นของเล่นเหรอวะ ทำไมพี่ถึงทำกับผมแบบนี้ สนุกมากไหม!” เสียงตะคอกจากคนตรงหน้าทำเอาผมถึงกับยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออกอีกทั้งสภาพร่างกายที่ยังไม่สมบูรณ์จากการวิงเวียนศีรษะในการเดินทาง และการนอนไม่หลับเมื่อคืน ผมเริ่มรู้สึกว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเริ่มพร่ามัวและดับลงในไม่กี่นาทีต่อมา
“พี!!”
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่บนเตียงในห้องพักของตัวเองแล้วเรียบร้อยโดยที่มีไอ้กันนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ผมค่อยๆเอื้อมมือไปสะกิดเพื่อนตัวเล็กที่จดจ่อกับโทรศัพท์มือถืออยู่เบาๆเพื่อให้มันหันมาเห็นว่าผมตื่นแล้ว หันมามองบ้างไอ้เพื่อนเวร
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?”
“อือ”
“มึงคิดว่ามึงเท่เหรอไอ้พ่อไปนอนหลับกลางหาดแบบนั้น”
“ก็แย่ละไอ้เพื่อนเวร กูไม่รู้จู่ๆภาพมันก็ตัด” ผมผลักหัวไอ้กันที่ล้มตัวลงมานอนคว้ำเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างๆเบาๆด้วยความหมั่นไส้ ว่าแต่ผมมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไงแล้วใครเป็นคนพามาหรือว่าจะเป็น..
“แล้วไปทะเลาะอะไรกันมาล่ะ”
“มึงรู้?”
“อือ เสียงดังขนาดนั้น กูก็นั่งเล่นอยู่แถวนั้น”
“แล้วมันไปไหนแล้ว”
“ไอ้เหนือน่ะเหรอ ไปหาข้าวมาให้มึงล่ะมั้ง กูพึ่งจะขึ้นมาเฝ้าแทนมันพักหนึ่งเอง” ผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ใกล้ๆขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้ประมาณบ่ายสอง นี่ผมหลับไปเกือบหกชั่วโมงเลยเหรอ
“อ๋อ”
“ทำไมวะ คิดถึงไอ้เหนือเหรอ?”
“กวนตีน”
“รู้สึกอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันอีกหรอก เปิดเข้ามาดีๆไอ้เด็กเวรเหนือ แอบฟังเก่ง คิดไปเองเก่ง” ผมมองที่ประตูห้องทันทีที่ไอ้กันพูดเหมือนกับกำลังคุยกับใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องตอนนี้ก่อนที่ประตูห้องที่แง้มอยู่เล็กน้อยจะถูกเปิดออกช้าๆโดยร่างสูงของไอ้เหนือ
“มีตาหลังหรือยังไงวะพี่กัน”
“ไม่เสือก”
“ครับพี่เทคคนหล่อ พี่แป้งให้มาตามด้วยครับ”
“คุยกันดีๆนะพวกมึง ไอ้เหนือถ้ามึงทำเพื่อนกูเดี้ยงอีกกูเอามึงตายแน่”
“ครับผม” ไอ้เหนือวางกล่องอาหารที่ถือมาลงบนโต๊ะก่อนจะโค้งให้ไอ้กันทีเล่นทีจริงพร้อมกับหยอกล้อกันด้วยน้ำเสียงและท่าทางขี้เล่นของมัน ส่วนไอ้กันก็เดินออกจากห้องไปทันทีโดยที่ไม่บอกอะไรผมสักนิดทิ้งผมไว้กับไอ้เด็กนี่เสียอย่างนั้น
“หิวไหมครับ”
“...”
“ขอโทษนะ ผมไม่ฟังเอง ทั้งที่จริงถ้าผมฟังที่พีพูดเมื่อคืนให้จบ..คงไม่เป็นแบบนี้”
“ใครเล่าให้ฟัง”
“พี่กัน” ผมมองหน้าของคนที่ยืนอยู่ปลายเตียงที่แสดงสีหน้าเศร้าสลดกับสิ่งที่พูดออกมาเสียจนผมรู้สึกขำกับหน้าตาเหมือนหมาร้องไห้ของมันจนแทบจะกลั้นขำไว้ไม่ได้ เพราะปกติคนอย่างไอ้เหนือมักจะพกรอยยิ้มที่สดใสและอบอุ่นติดอยู่บนใบหน้าตลอดทำให้ผมรู้สึกว่าหน้าเศร้าแบบนี้ไม่เข้ากับใบหน้าของมันสักนิด
“...”
“พียิ้มอะไร?”
“เปล่า”
“ไม่เชื่อบอกมา จะบอกดีๆไหมหืม?” ผมดิ้นพล่านเพราะโดนมือหนาจี้เข้าที่เอวไม่หยุดเพื่อเค้นเอาคำตอบเรื่องที่ผมยิ้มเพราะกลั้นขำไม่ให้หัวเราะออกมา
“ไอ้เหนือ พอได้แล้ว”
“ไม่พอ บอกมา”
“เอ๊ย พอเถอะยอมแล้ว ยอมแล้ว”
“ยอมจริงๆ ใช่ไหมครับ” ทุกอย่างหยุดนิ่งเมื่อผมเผลอพูดว่ายอมมันแล้วออกไป แต่ไอ้ท่าทางและตำแหน่งที่ผมและหยุดอยู่ตอนนี้กลับดูเสี่ยงต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมาก เพราะผมที่นอนอยู่กำลังถูกไอ้เหนือคร่อมทับอยู่แถมยังใช้มือจับแขนทั้งสองข้างผมเอาไว้อีกด้วย เวรแล้วไอ้พี
“ยอมอะไร”
“ยอมเป็นแฟนผม ได้ไหม”
“ไม่เร็วไปเหรอวะ”
“แล้วเวลาที่พอดีคือเท่าไหร่?”
“ไม่รู้ แต่..”
“สำหรับผมไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานเป็นปี เพราะแค่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาที่รู้จักพี”
“...”
“ไม่สิที่ผมใกล้ชิดกับพี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นโคตรชัดเจนว่าผมรักพี
“...”
“เป็นแฟนกันนะ” สายตาคู่คมตรงหน้าจ้องเข้ามาในดวงตาของผมอย่างมุ่งมั่นพร้อมพูดประโยคเหล่านั้นที่ทำเอาความรู้สึกในใจผมสับสนไปหมด
แต่ผมจำเป็นต้องติดใจ ไม่สิ..ผมอยากตัดสินใจ ผมอยากจะลองทิ้งความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปและเลือกตัดสินใจตามหัวใจตัวเองดูสักครั้ง
“อือ”
“อืออะไร”
“ชิ ก็โอเคไง”
“หลับตาทำไม เขินเหรอ”
“เออสิวะ” ผมหลับตาปี๋หลังจากพูดคำคำนั้นออกไปจากปาก นี่ผมพูดคำนั้นออกไปแล้วจริงๆเหรอ ทั้งที่เมื่อวานผมยังลังเลอยู่เลยว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรผมถึงจะสามารถรักคนคนนี้ได้ แต่ตอนนี้ผมตอบตัวเองได้แล้วว่า ในตอนนี้ เวลานี้ อยากให้ความชัดเจนกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมันแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
“ขอบคุณนะ”
จุ๊บ ~
ผมรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นที่ทาบลงมาบนริมฝีปากของผมจนทำให้ผมลืมตาขึ้นมองช้าๆ ร่างสูงตรงหน้าแช่ปากค้างไว้พักใหญ่ก่อนจะถอนออกช้าๆ ทำไมครั้งนี้ผมถึงรู้สึกว่าไม่ได้ตกใจเหมือนครั้งแรกที่มันจูบผม แถมความรู้สึกและร่างกายกลับสมยอมให้เขาทำไปเสียทุกอย่าง
แต่มันไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้นเพราะไอ้เหนือจูบลงมาที่ริมฝีปากของผมช้าๆอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นเพียงแค่การทาบริมฝีปากค้างไว้เท่านั้น แต่กลับเป็นการจูบที่หนักหน่วงเสียจนทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าตัวผมลอยอยู่อย่างไร้แรงโน้มถ่วงของโลก มือหนาลูบไล้ที่แผ่นหลังของผมไปทั่วๆ
ผมรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมันเร็วเกินไปผมต้องหยุดมันก่อนที่จะเกิดอะไรเกินเลยในตอนนี้ไปเสียก่อน
“พอแล้ว”
“พอแค่นี้เองเหรอ”
“เออ อย่าให้มันเยอะไป หิวจะกินข้าว” ผมแทรกตัวผ่านช่องแขนของคนที่คร่อมอยู่ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยืนยิ้มให้ไอ้เหนือที่เอาแต่ทำหน้าเหมือนเด็กที่พ่อแม่ไม่ซื้อของเล่นให้อยู่บนเตียง
“ก็ได้”
“กินด้วยกันไหม?”
“กินมาแล้ว” ผมเปิดกล่องข้าวที่วางอยู่ออกก่อนจะจ้วงตักข้าวเข้าปากทันทีด้วยความหิวโหย เหมือนจูบเมื่อสักครู่ของไอ้เหนือดูดเอาพลังของผมไปจนหมดไส้หมดพุง ส่วนไอ้เหนือก็นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงและหันมามองผมเป็นพักๆ
บรรยากาศที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับมันตอนนี้ทำให้ผมมีความสุขมากในระดับที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานาน ผมชักมั่นใจการตัดสินใจครั้งนี้ของผมแล้วสิว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกและอีกไม่นานผมคงพูดออกมาได้อย่างเต็มปากและเต็มใจว่า..
...ผมก็รักมันเหมือนกัน
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
ระยะห่างระหว่างเรา
{16}
~ว่าทุกเวลาที่เราห่างกัน แสนไกล..
ยังมีอีกคำ ในหัวใจที่จะบอกเธอให้เธอได้รู้ และเข้าใจ..
..ว่าคิดถึงเธอเมื่อเราห่างกัน แสนไกลมีคำหนึ่งคำจะพูดไปให้เธอได้รู้..
..จะแทนความหมาย ความห่วงใย
..ฉันคิดถึงเธอ.. ~
บรรยากาศริมทะเลในตอนกลางคืนที่มีเสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งเป็นจังหวะเคล้ากับลมทะเลที่พัดผ่านร่างกาย ไฟสลัวจากเสาไฟที่ทางรีสอร์ตตั้งไว้เป็นจุดเพื่อให้ความสว่างกับชายหาดในยามค่ำคืน ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการสังสรรค์ในปาร์ตี้ฉลองการรับรุ่นของปีหนึ่งผมกลับเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในใจเสียจนไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับภายในงานเท่าไหร่ ผมจึงตัดสินเดินออกมายืนรับลมที่หาดใกล้ๆแทน
ระยะเวลานานเท่าไหร่กันนะที่จะทำให้คนคนหนึ่งเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในใจจนไม่ได้สนุกกับงานรื่นเริงสังสรรค์อย่างที่เคย ทั้งที่ถ้าเป็นผมในปีที่แล้วป่านนี้คงถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์พาสติไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ยิ่งมีเพื่อนและรุ่นพี่ที่สนิทเยอะแบบนี้ผมยิ่งควรจะสนุกกับบรรยากาศรอบๆตัวสิ ทำไมผมถึงพาตัวเองออกมายืนอยู่คนเดียวแบบนี้กันวะ
“ว่าไงเจ้าปูน้อย”
ผมนั่งลงบนชายหาดก่อนจะเห็นปูลมตัวน้อยสองตัวเดินผ่านมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมสักครู่แล้วเดินต่อลงไปในน้ำจมหายไป แม้แต่ปูตัวน้อยยังมีคู่เลยทำไมผมถึงต้องมานั่งเหงาคนเดียวแบบนี้ที่ริมหาด มันเท่หรือยังไงวะ เอ๊ย! แต่ผมเป็นคนตัดสินใจเดินออกจากงานมาเองนี่นา เบลอหรือเด๋อไปแล้ววะไอ้กัน.. ท่าจะเป็นเอามากนะผมเนี่ย
“จะนอนรึยังวะ” ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดหน้าจอห้องสนทนาระหว่างผมกับคนคนหนึ่งที่ผมกำลังรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นคนที่จัดการความรู้สึกที่ผมมีตอนนี้ได้ดีที่สุด แต่ผมกลับรู้สึกกลัวที่จะส่งข้อความไปหาหรือโทรหาเขาเพราะเกรงว่าเขาอาจจะอ่านหนังสืออยู่หรือหลับไปแล้ว
เอายังไงดีนะ..
..ไม่เกรงใจละกัน ผมไม่ได้อยากรู้สึกแบบนี้ไปทั้งคืนเสียหน่อย ผมพิมพ์ข้อความส่งหาเจ้าของตำแหน่งเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์คนนั้นทันทีหลังจากตัดสินใจ
GunGunktn : พี่
GunGunktn : ทำอะไรอยู่
ผมนั่งจ้องข้อความของตัวเองที่ส่งออกไปพักใหญ่แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะขึ้นสถานะข้อความที่ถูกอ่านแล้วจากอีกฝ่ายทำให้ต้องทำสิ่งที่คิดว่าควรจะทำในตอนนี้ที่สุด นั่นก็คือ..รัวข้อความ
GunGunktn :พี่ปั่นนนนน
GunGunktn :ไอ้พี่ปั่นนนนนน
GunGunktn :พี่
GunGunktn :ปั่น
GunGunktn :โว้ยยยยยยย
GunGunktn :อ่านเถอะ
GunGunktn :ตอบดิ
GunGunktn :ตอบ!!!!
GunGunktn : TToTT
ผมถอนหายใจออกมาหลังจากรัวกระสุนข้อความหาอีกฝ่ายชุดใหญ่แต่ดูจะไม่ได้มีผลอะไรต่างจากตอนแรกมาก ข้อความจากอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ถูกตอบกลับมารวมถึงข้อความของผมที่ถูกส่งไปก็ไม่ได้เปลี่ยนสถานะเป็นข้อความที่ถูกอ่านแล้วเหมือนเดิม
ผมหยิบเศษหินที่อยู่ใกล้มือที่สุดเขวี้ยงลงน้ำด้วยความหงุดหงิดก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดช้าๆและถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยเพื่อระบายอารมณ์
“แค่ตอบนี้มันยากมากเหรอวะ”
ตื้ด ~
ไม่นานโทรศัพท์มือถือที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเก็บของด้านข้างของกางเกงขาสั้นของผมก็สั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อแจ้งเตือนสายเรียกเข้าจากเบอร์ที่ผมคุ้นเคยแต่ด้วยความน้อยใจทำให้ผมนั่งมองโทรศัพท์มือถือที่สั่นไม่หยุดในมือพร้อมกับหน้าจอที่แสดงชื่อเจ้าของเบอร์ที่ผมบันทึกไว้สักครู่ก่อนจะกดรับสาย
[ว่าไง]
“...”
[เป็นอะไร]
“เปล่า” ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะตัดสินใจตอบอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงปกติที่สุดเพื่อให้บทสนทนาไม่เงียบเสียจนอีกฝ่ายคิดว่าผมละเมอกดรับสาย
[ยังไม่นอนอีกรึยังไง?]
“แล้วไลน์ไปทำไมไม่ตอบ”
[อาบน้ำอยู่]
“อือ”
[มีอะไรรึเปล่า แล้วเพื่อนไปไหนหมด]
“เพื่อนฉลองรุ่นให้ปีหนึ่งกันอยู่”
“ทำไม ถ้าไม่มีอะไรจะวางสายเหรอ”
[มึงหงุดหงิดอะไรเนี่ย คิดถึงกูรึไงหืมเด็กน้อย] ผมลุกขึ้นเดินไปตามหาดเรื่อยๆระหว่างคุยโทรศัพท์กับพี่ปั่น ทำไมวะถ้าไม่ได้มีธุระอะไรผมไม่มีสิทธิ์ทักไปหาหรือโทรหาอย่างนั้นเหรอ
“หงุดหงิดพี่นั่นแหละ”
[ประจำเดือนมารึยังไงวะ แล้วทำไมไม่ไปฉลองกับเขา]
“ก็ไม่อยากไป”
“ห้ามวางสาย อยู่เป็นเพื่อนผมเลย”
[เออๆ แล้วอยู่ไหนเนี่ย?] ผมเดินตรงจากหาดกลับขึ้นห้องพักทันทีโดยที่ไม่ได้สนใจว่าภายในงานกำลังสนุกสนานครึกครื้นกันแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้คือผมต้องการคุยแค่กับคนที่อยู่ในสายเท่านั้น
“กำลังจะขึ้นห้อง”
[ทำไมจู่ๆ มึงงอแงวะ เมื่อวานไม่เห็นจะสนใจกู ทีวันนี้มาคิดถึง]
“ไม่ได้คิดถึงโว้ย คิดเองเออเอง” ผมเปิดประตูเข้าห้องพักก่อนจะรีบหยิบชุดเดินเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับเปิดลำโพงให้ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายชัดเจนโดยที่วางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆตัว
[อ๋อ งั้นกูวางนะ]
“ไม่! ถ้าวางผมจะ..”
[จะทำไม เลิกปากแข็งก่อนสิ เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนทั้งคืนเลยครับน้องกัน]
“อือ..คิดถึง” ผมกลอกตาไปมาก่อนจะถอนหายใจและตอบออกไปตามความจริงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายวางสาย แล้วทำไมผมต้องยอมทำขนาดนี้ด้วยเนี่ย โคตรเสียศักดิ์ศรีเลยว่ะกัน อย่าให้ถึงทีผมก็แล้วกัน
[อาบน้ำรึยัง?]
“เรียบร้อย พร้อมนอน”
[มึงรู้ตัวไหมว่ามึงน่ารักขึ้นเยอะมากนะกัน ถ้าอยู่ใกล้ๆกูคงกอดมึงจนกระดูกแตกไปแล้ว]
“ไม่รู้โว้ยยย หล่อขึ้นมากต่างหาก” ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกำลังร้อนผ่าวๆ เหมือนมีเตาไฟอยู่ในใบหน้าหลังจากได้ยินประโยคนั้นจากอีกฝ่าย
“แล้วไม่นอนเหรอ?”
[น่าจะต้องนอนพร้อมเด็กแถวนี้ว่ะ มันดูคิดถึงกูมากแปลกๆ ว่าไหม]
“ไม่รู้”
“อยากกลับแล้ว”
[กลับพรุ่งนี้แล้วไม่ใช่รึยังไง เดี๋ยวกลับมาก็บ่นอยากไปเที่ยว เด็กน้อย]
“โตแล้วนะเว้ย” ผมพูดเสียงเบาๆก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองให้รู้สึกอุ่นสบาย ทำไมกันนะแค่ได้ยินเสียงของพี่ปั่นแค่นี้ผมก็รู้สึกว่าความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หายไปหมดเหลือเพียงแต่ความสบายใจ
[นอนได้แล้วดึกแล้วพรุ่งนี้จะได้มีแรงเดินทาง]
“ครับป๊า”
[ป๊าของลูกในท้องมึงเหรอ]
“กวนตีน” ผมยิ้มให้กับโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงและดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา ความสบายใจที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกโคตรปลอดภัยที่ผมจะหลับไปตอนนี้โดยที่เหมือนมีอีกฝ่ายอยู่ข้างกาย
PUN's PART
~ จะไม่มีใครคั่นกลางระหว่างเรา..
..เพราะแม้แต่เงาของกันพี่ปั่นก็หวง~
[กวนตีน]
“รีบกลับนะกูคิดถึง”
[...] เสียงจากอีกฝั่งของสายเงียบสนิทมีเพียงเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศเบาๆผ่านเข้ามาในสาย ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าเด็กหน้ามึนของผมน่าจะหลับแล้วเรียบร้อย สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าไอ้กันมันชักเริ่มน่ารักขึ้นทุกวัน แต่ความน่ารักของมันไม่ใช่เพียงเรื่องของหน้าตาหรือรูปลักษณ์ แต่เป็นตัวตนของมันที่เปลี่ยนไปมากทั้งความแข็งกระด้างที่มันเคยเป็นหรือความห้าวของมันที่มี
ผมไม่ได้กดวางสายของเด็กหน้ามึนที่หลับอยู่ไปแต่ผมกลับหลับตาลงพร้อมกับปล่อยให้สายยังคาอยู่ในขณะที่ผมกำลังจะหลับไปเพราะผมรู้สึกว่าผมก็คิดถึงอีกฝ่ายไม่ต่างกันเพียงแต่ผมไม่ได้แสดงออกมากเท่ามัน กลัวว่าไอ้กันมันจะไม่ว่างหรือติดกิจกรรมอยู่ แต่โชคกลับเข้าข้างผมที่อีกฝ่ายดันทนความรู้สึกตัวเองไม่ไหวเสียจนมันทำในสิ่งที่มันไม่ทำบ่อยครั้งออกมา
แสงแดดยามเช้าเริ่มแยงตาทำให้ผมค่อยๆลืมตาปรับโฟกัสของดวงตาช้าๆพร้อมกับบิดเนื้อบิดตัวไปมาให้รู้สึกตื่นตัว ผมมองไปที่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ด้านข้างตัวบนเตียงซึ่งยังคงไม่ได้ถูกตัดสายไปโดยอีกฝ่ายนั่นอาจจะหมายความว่าเด็กหน้ามึนน่าจะยังไม่ตื่น
“กัน”
[อือ]
“ตื่นแล้วเหรอ?”
[ตื่นนานแล้ว]
“ทำไมไม่วางสายไปล่ะ”
[ก็เห็นหลับอยู่ ไม่อยากปล่อยให้นอนคนเดียว] ผมยิ้มให้กับโทรศัพท์มือถือด้วยความเอ็นดูในความน่ารักและความเอาใจใส่ที่เพิ่มมากขึ้นของอีกฝ่าย ถ้ามันอยู่ใกล้ๆ ผมป่านนี้ผมคงฟัดมันจมเขี้ยวไปแล้วแต่นี่ดันอยู่ไกลกัน ผมก็อดไปตามระเบียบ
“จะกลับแล้วเหรอ?”
[กำลังจะขึ้นรถแล้ว ครับพี่นาย ได้ครับ]
“นายไหนวะ” ผมถามขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงไอ้กันมันขานรับเหมือนกำลังสนทนากับเสียงผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ถ้าผมจำไม่ผิดไอ้คนชื่อนายนี่น่าจะเป็นพี่เทคของมันที่ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไหร่
“กัน”
[พี่เทคผมไง ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำไป จะขึ้นรถแล้ว เจอกันที่มอ]
“โอเค เดี๋ยวไปรับ”
ผมกดวางสายก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านออกแล้วอุ้มเจ้ากำปั้นที่เดินงัวเงียเหมือนพึ่งตื่นเช่นเดียวกันกับผมขึ้นมาหยอกล้อเล่นตามปกติ ผมมานอนห้องไอ้กันมันได้เป็นคืนที่สองแล้วเพราะไม่มีใครอยู่เป็นเป็นเพื่อนเจ้าลูกชายของผมอย่างกำปั้น ก็เด็กหน้ามึนดันมีงานนอกสถานที่กะทันหันเอาแมวกลับไปฝากที่บ้านไม่ทัน
ผมวางแมวอ้วนลงบนพื้นหลังจากเทอาหารแมวตามที่เจ้าของห้องได้เตรียมและสั่งเอาไว้ลงในถาดอาหารประจำตัวกำปั้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นผมก็อาบน้ำแต่งตัวเพื่อรอออกไปรับคนที่กำลังเดินทางกลับจากการจัดกิจกรรมรับน้องของสาขา
ผมมานั่งคิดๆ ดูแล้วมันน่าจะถึงเวลาสมควรแก่การขอเด็กหน้ามึนของผมเป็นแฟนได้แล้ว แต่ผมควรใช้วิธีไหนในการขอมันเป็นแฟนดีหรือควรจัดสถานที่อะไรแบบไหนให้เหมาะสมกับการขอมันเป็นแฟนดี ผมนั่งคิดอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจขับรถไปในห้างที่ผมไปเป็นประจำเพื่อไปที่ร้านร้านหนึ่งที่ผมคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะคุณปั่น”
“สวัสดีครับ”
“วันนี้คุณท่านไม่ได้เข้าร้านนะคะ”
“ครับ” ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในร้านอัญมณีร้านใหญ่ที่ผมคุ้นเคยในห้างกลางเมืองผู้จัดการร้านก็ทักทายผมอย่างสนิทสนมทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตรจากพนักงานทุกคนในร้าน ที่จริงร้านนี้เป็นร้านของคุณแม่ของผมเองท่านเป็นคนชื่นชอบและหลงใหลในอัญมณีทุกประเภทมากเสียจนหันมาทำธุรกิจด้านอัญมณีเป็นอีกหนึ่งอาชีพเลยทีเดียว
หลังจากที่ผมได้โทรปรึกษาคุณแม่เรื่องการขอไอ้กันเป็นแฟนแล้วผมก็ได้ข้อสรุปว่าผมควรให้อะไรที่มีค่าเพื่อเป็นเครื่องยืนยันความรักที่ผมมีต่อมัน และคุณแม่ก็ตัดสินใจมอบส่วนหนึ่งของเครื่องเพชรที่ท่านสะสมและน่าจะเข้ากับผู้ชายได้ให้ผมเพื่อไปจองตัวว่าที่คู่ชีวิตของผมไว้
ถึงคุณแม่ของผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างคลั่งไคล้กับอัญมณีและวัตถุโบราณแต่ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดทันสมัยมากและไม่ได้ต่อต้านเรื่องที่ผมจะชอบผู้ชายด้วยกันเองแต่กลับเอาแต่ชื่นชมไอ้เด็กหน้ามึนของผมอยู่ตลอดๆ แม้จะเห็นเพียงในภาพที่ผมส่งให้ท่านดู
“คุณปั่นมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ..คุณแม่ได้ฝากอะไรมาให้ผมไหมครับ”
“เอ๊ะ สักครู่นะคะ”
“ครับ”
“คุณปั่นคะ รบกวนทางนี้ค่ะ”
ไม่นานผู้จัดการร้านก็นำกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งมาวางตรงหน้าผมพร้อมกับโน้ตแผ่นเล็กแผ่นหนึ่งที่มีตัวหนังสือที่ผมคุ้นตาเขียนข้อความสั้นๆ อยู่ว่า..
สร้อยพร้อมจี้เส้นนี้ฝากให้น้องกันนะจ๊ะ
..รักลูก..
แม่..
ผมเปิดกล่องเล็กที่หุ้มด้วยกำมะหยี่ตรงหน้าออกช้าๆ ก่อนจะพบกับเส้นสร้อยเล็กที่ดูเรียบหรูไม่หวือหวาเข้ากับผู้ชายอย่างที่คุณแม่บอกเอาไว้ ที่ปลายสร้อยมีจี้เพชรที่ดูน้ำงามมีประกายมากเม็ดหนึ่งติดอยู่ ผมปิดฝากล่องอย่างดีก่อนจะขอบคุณผู้จัดการร้านและเดินออกจากร้านเพื่อไปรอรับไอ้กันที่มหาวิทยาลัย
**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**