SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง <จบแล้ว>**อัพ21/10/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง <จบแล้ว>**อัพ21/10/62  (อ่าน 12181 ครั้ง)

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ปรับความเข้าใจ PP's
{15}


‘~จะทำอย่างไรดี..
เมื่อคนอย่างพีต้องตามง้อ...เหนือ~’





เช้าวันแรกของการจัดรับน้องนอกสถานที่หลังจากที่ปีหนึ่งได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในคืนที่ผ่านมาแล้วเพราะถูกสั่งให้แยกย้ายเข้าห้องตั้งแต่สามทุ่มครึ่งและไม่อนุญาตให้ออกมาเพ่นพ่านช่วงกลางคืน วันนี้กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการทำตามภารกิจที่รุ่นพี่แต่ละชั้นปีเป็นผู้กำหนด ถ้าปีหนึ่งทำภารกิจสำเร็จทั้งหมดก็จะได้รับรุ่น


ผมรู้สึกไปเองหรือว่าไอ้เหนือมันทำเหมือนไม่เห็นผมวะ เพราะตั้งแต่ผมเจอมันเดินลงจากรีสอร์ตมามันก็ไม่ทักทายผมอย่างที่เคยทำแถมยังเดินผ่านผมไปเหมือนผมเป็นแค่อากาศอีก หรือมันจะแค่ผีเข้าผีออกวะ


“แม่งเมื่อคืนก็นอนไม่หลับ”


“โรคประจำตัวเยอะจริงๆ เพื่อนกู”


“แค่ต่างสถานที่มั้ง ช่างมันเถอะ กูค่อยไปหากาแฟดื่มช่วงพักละกัน” ผมตอบไอ้กันที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปทางกลุ่มปีหนึ่งที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่เพื่อรอร่วมกิจกรรมรับน้องโดยมีรุ่นพี่ชั้นปีต่างๆกระจายตัวเตรียมจัดกิจกรรมอยู่รอบๆ ไม่ไกล






“แป้ง มึงแบ่งป้ายชื่อมาเดี๋ยวกูช่วยแจก”


“เอาไปดิ” ผมรับป้ายชื่อปีหนึ่งจำนวนหนึ่งจากไอ้แป้งที่กำลังง่วนอยู่กับการหาป้ายชื่อให้ตรงกับเด็กแต่ละคนก่อนจะเดินเข้าไปถามชื่อน้องแต่ละคนอีกฝั่ง


ผมถามชื่อและแจกป้ายชื่อปีหนึ่งมาเรื่อยๆจนถึงเดือนสาขาและเดือนมหาวิทยาลัยคนล่าสุดอย่างไอ้เหนือที่ไม่มองหน้าผมเลยสักนิดเอาแต่คุยกับเพื่อนอย่างเฮฮาจนผมต้องสะกิดให้เงยหน้ามารับป้ายชื่อ


“เอาไป”


“ขอบคุณครับพี่พี”


“อะไรนะ”


“...”


“เหนือ”


“อะไรครับพี่พี” ผมมองหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าในขณะที่ผมยืนอยู่ ทำไมสายตาที่ส่งออกมาของมันถึงกลายเป็นความเย็นชาที่น่ากลัว ไม่ได้อบอุ่นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา


“มึงออกมานี่กับกู”


“ครับ” ผมดึงมันให้ลุกขึ้นตามผมออกมาจากบริเวณที่ปีหนึ่งกำลังนั่งรวมกันเพื่อรอรุ่นพี่เตรียมความพร้อมของกิจกรรมกันอยู่












“มึงเป็นอะไรของมึง”


“เปล่าครับ”


“มีอะไรก็พูดสิวะ”


“ไม่มีอะไรต้องพูดครับ เพราะยังไม่ได้รู้สึกขนาดนั้นว่ะ” ผมถึงกับจุกที่อกกับสิ่งที่มันพูดออกมา มันเป็นประโยคเดียวกันกับที่ผมคุยกับไอ้กันเมื่อคืน ไอ้เหนือมันไปได้ยินตอนไหนกันวะ แล้วทำไมถึง...


เอ๊ะ? หรือว่า...




“อ้าว แล้วเหนือไปไหนล่ะ”


“เหนือ?”


“อือ กูให้มันไปตามมึงสองคนที่หาด”





...ภาพเหตุการณ์ตอนที่ผมกลับจากหาดเข้ามาในลานกิจกรรมของรีสอร์ตเมื่อคืนย้อนเข้ามาในหัว หรือว่าที่ไอ้แป้งบอกว่าให้ไอ้เหนือไปตามผมแล้วหายไป จะเป็นเพราะมันได้ยินสิ่งที่ผมพูดกับไอ้กันอย่างนั้นเหรอ


“เดี๋ยว..เหนือ มึงฟังกูก่อนดิ”


“พี่มีอะไรจะพูดกับผมอีกเหรอครับ หรือจะบอกผมว่ากลัวผมจะพยายามจนเหนื่อยเปล่า พี่อาจจะไม่ได้รักผมตามที่ผมต้องการอย่างนั้นเหรอ” คนตรงหน้ากำหมัดแน่นเสียจนน่ากลัวพร้อมกับแสดงสีหน้าที่ดูผิดหวังมาก เป็นสีหน้าที่ผมไม่เคยได้เห็นจากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมสักครั้ง ตลอดเวลาที่อยู่กับผมมันมักจะมอบแต่รอยยิ้มที่มีแต่ความอบอุ่นให้กับผมเสมอ


“...”


“ตอบสิครับ!”


“ขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น”


“แล้วตั้งใจจะพูดอะไร”


“...”


“คิดว่าผมเป็นของเล่นเหรอวะ ทำไมพี่ถึงทำกับผมแบบนี้ สนุกมากไหม!” เสียงตะคอกจากคนตรงหน้าทำเอาผมถึงกับยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออกอีกทั้งสภาพร่างกายที่ยังไม่สมบูรณ์จากการวิงเวียนศีรษะในการเดินทาง และการนอนไม่หลับเมื่อคืน ผมเริ่มรู้สึกว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเริ่มพร่ามัวและดับลงในไม่กี่นาทีต่อมา


“พี!!”











ผมรู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่บนเตียงในห้องพักของตัวเองแล้วเรียบร้อยโดยที่มีไอ้กันนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ผมค่อยๆเอื้อมมือไปสะกิดเพื่อนตัวเล็กที่จดจ่อกับโทรศัพท์มือถืออยู่เบาๆเพื่อให้มันหันมาเห็นว่าผมตื่นแล้ว หันมามองบ้างไอ้เพื่อนเวร


“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?”


“อือ”


“มึงคิดว่ามึงเท่เหรอไอ้พ่อไปนอนหลับกลางหาดแบบนั้น”


“ก็แย่ละไอ้เพื่อนเวร กูไม่รู้จู่ๆภาพมันก็ตัด” ผมผลักหัวไอ้กันที่ล้มตัวลงมานอนคว้ำเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างๆเบาๆด้วยความหมั่นไส้ ว่าแต่ผมมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไงแล้วใครเป็นคนพามาหรือว่าจะเป็น..


“แล้วไปทะเลาะอะไรกันมาล่ะ”


“มึงรู้?”


“อือ เสียงดังขนาดนั้น กูก็นั่งเล่นอยู่แถวนั้น”


“แล้วมันไปไหนแล้ว”


“ไอ้เหนือน่ะเหรอ ไปหาข้าวมาให้มึงล่ะมั้ง กูพึ่งจะขึ้นมาเฝ้าแทนมันพักหนึ่งเอง” ผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ใกล้ๆขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้ประมาณบ่ายสอง นี่ผมหลับไปเกือบหกชั่วโมงเลยเหรอ


“อ๋อ”


“ทำไมวะ คิดถึงไอ้เหนือเหรอ?”


“กวนตีน”


“รู้สึกอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันอีกหรอก เปิดเข้ามาดีๆไอ้เด็กเวรเหนือ แอบฟังเก่ง คิดไปเองเก่ง” ผมมองที่ประตูห้องทันทีที่ไอ้กันพูดเหมือนกับกำลังคุยกับใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องตอนนี้ก่อนที่ประตูห้องที่แง้มอยู่เล็กน้อยจะถูกเปิดออกช้าๆโดยร่างสูงของไอ้เหนือ


“มีตาหลังหรือยังไงวะพี่กัน”


“ไม่เสือก”


“ครับพี่เทคคนหล่อ พี่แป้งให้มาตามด้วยครับ”


“คุยกันดีๆนะพวกมึง ไอ้เหนือถ้ามึงทำเพื่อนกูเดี้ยงอีกกูเอามึงตายแน่”


“ครับผม” ไอ้เหนือวางกล่องอาหารที่ถือมาลงบนโต๊ะก่อนจะโค้งให้ไอ้กันทีเล่นทีจริงพร้อมกับหยอกล้อกันด้วยน้ำเสียงและท่าทางขี้เล่นของมัน ส่วนไอ้กันก็เดินออกจากห้องไปทันทีโดยที่ไม่บอกอะไรผมสักนิดทิ้งผมไว้กับไอ้เด็กนี่เสียอย่างนั้น










“หิวไหมครับ”


“...”


“ขอโทษนะ ผมไม่ฟังเอง ทั้งที่จริงถ้าผมฟังที่พีพูดเมื่อคืนให้จบ..คงไม่เป็นแบบนี้”


“ใครเล่าให้ฟัง”


“พี่กัน” ผมมองหน้าของคนที่ยืนอยู่ปลายเตียงที่แสดงสีหน้าเศร้าสลดกับสิ่งที่พูดออกมาเสียจนผมรู้สึกขำกับหน้าตาเหมือนหมาร้องไห้ของมันจนแทบจะกลั้นขำไว้ไม่ได้ เพราะปกติคนอย่างไอ้เหนือมักจะพกรอยยิ้มที่สดใสและอบอุ่นติดอยู่บนใบหน้าตลอดทำให้ผมรู้สึกว่าหน้าเศร้าแบบนี้ไม่เข้ากับใบหน้าของมันสักนิด


“...”


“พียิ้มอะไร?”


“เปล่า”



“ไม่เชื่อบอกมา จะบอกดีๆไหมหืม?” ผมดิ้นพล่านเพราะโดนมือหนาจี้เข้าที่เอวไม่หยุดเพื่อเค้นเอาคำตอบเรื่องที่ผมยิ้มเพราะกลั้นขำไม่ให้หัวเราะออกมา


“ไอ้เหนือ พอได้แล้ว”


“ไม่พอ บอกมา”


“เอ๊ย พอเถอะยอมแล้ว ยอมแล้ว”


“ยอมจริงๆ ใช่ไหมครับ” ทุกอย่างหยุดนิ่งเมื่อผมเผลอพูดว่ายอมมันแล้วออกไป แต่ไอ้ท่าทางและตำแหน่งที่ผมและหยุดอยู่ตอนนี้กลับดูเสี่ยงต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมาก เพราะผมที่นอนอยู่กำลังถูกไอ้เหนือคร่อมทับอยู่แถมยังใช้มือจับแขนทั้งสองข้างผมเอาไว้อีกด้วย เวรแล้วไอ้พี


“ยอมอะไร”


“ยอมเป็นแฟนผม ได้ไหม”


“ไม่เร็วไปเหรอวะ”


“แล้วเวลาที่พอดีคือเท่าไหร่?”


“ไม่รู้ แต่..”


“สำหรับผมไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานเป็นปี เพราะแค่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาที่รู้จักพี”


“...”


“ไม่สิที่ผมใกล้ชิดกับพี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นโคตรชัดเจนว่าผมรักพี


“...”


“เป็นแฟนกันนะ” สายตาคู่คมตรงหน้าจ้องเข้ามาในดวงตาของผมอย่างมุ่งมั่นพร้อมพูดประโยคเหล่านั้นที่ทำเอาความรู้สึกในใจผมสับสนไปหมด


แต่ผมจำเป็นต้องติดใจ ไม่สิ..ผมอยากตัดสินใจ ผมอยากจะลองทิ้งความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปและเลือกตัดสินใจตามหัวใจตัวเองดูสักครั้ง




“อือ”


“อืออะไร”


“ชิ ก็โอเคไง”


“หลับตาทำไม เขินเหรอ”


“เออสิวะ” ผมหลับตาปี๋หลังจากพูดคำคำนั้นออกไปจากปาก นี่ผมพูดคำนั้นออกไปแล้วจริงๆเหรอ ทั้งที่เมื่อวานผมยังลังเลอยู่เลยว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรผมถึงจะสามารถรักคนคนนี้ได้ แต่ตอนนี้ผมตอบตัวเองได้แล้วว่า ในตอนนี้ เวลานี้ อยากให้ความชัดเจนกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมันแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม






“ขอบคุณนะ”







จุ๊บ ~


ผมรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นที่ทาบลงมาบนริมฝีปากของผมจนทำให้ผมลืมตาขึ้นมองช้าๆ ร่างสูงตรงหน้าแช่ปากค้างไว้พักใหญ่ก่อนจะถอนออกช้าๆ ทำไมครั้งนี้ผมถึงรู้สึกว่าไม่ได้ตกใจเหมือนครั้งแรกที่มันจูบผม แถมความรู้สึกและร่างกายกลับสมยอมให้เขาทำไปเสียทุกอย่าง


แต่มันไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้นเพราะไอ้เหนือจูบลงมาที่ริมฝีปากของผมช้าๆอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นเพียงแค่การทาบริมฝีปากค้างไว้เท่านั้น แต่กลับเป็นการจูบที่หนักหน่วงเสียจนทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าตัวผมลอยอยู่อย่างไร้แรงโน้มถ่วงของโลก มือหนาลูบไล้ที่แผ่นหลังของผมไปทั่วๆ


ผมรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมันเร็วเกินไปผมต้องหยุดมันก่อนที่จะเกิดอะไรเกินเลยในตอนนี้ไปเสียก่อน


“พอแล้ว”


“พอแค่นี้เองเหรอ”


“เออ อย่าให้มันเยอะไป หิวจะกินข้าว” ผมแทรกตัวผ่านช่องแขนของคนที่คร่อมอยู่ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยืนยิ้มให้ไอ้เหนือที่เอาแต่ทำหน้าเหมือนเด็กที่พ่อแม่ไม่ซื้อของเล่นให้อยู่บนเตียง


“ก็ได้”


“กินด้วยกันไหม?”


“กินมาแล้ว” ผมเปิดกล่องข้าวที่วางอยู่ออกก่อนจะจ้วงตักข้าวเข้าปากทันทีด้วยความหิวโหย เหมือนจูบเมื่อสักครู่ของไอ้เหนือดูดเอาพลังของผมไปจนหมดไส้หมดพุง ส่วนไอ้เหนือก็นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงและหันมามองผมเป็นพักๆ


บรรยากาศที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับมันตอนนี้ทำให้ผมมีความสุขมากในระดับที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานาน ผมชักมั่นใจการตัดสินใจครั้งนี้ของผมแล้วสิว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกและอีกไม่นานผมคงพูดออกมาได้อย่างเต็มปากและเต็มใจว่า..




...ผมก็รักมันเหมือนกัน






**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ระยะห่างระหว่างเรา
{16}



~ว่าทุกเวลาที่เราห่างกัน แสนไกล..

ยังมีอีกคำ ในหัวใจที่จะบอกเธอให้เธอได้รู้ และเข้าใจ..

..ว่าคิดถึงเธอเมื่อเราห่างกัน แสนไกลมีคำหนึ่งคำจะพูดไปให้เธอได้รู้..

..จะแทนความหมาย ความห่วงใย

..ฉันคิดถึงเธอ.. ~





บรรยากาศริมทะเลในตอนกลางคืนที่มีเสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งเป็นจังหวะเคล้ากับลมทะเลที่พัดผ่านร่างกาย ไฟสลัวจากเสาไฟที่ทางรีสอร์ตตั้งไว้เป็นจุดเพื่อให้ความสว่างกับชายหาดในยามค่ำคืน ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการสังสรรค์ในปาร์ตี้ฉลองการรับรุ่นของปีหนึ่งผมกลับเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในใจเสียจนไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับภายในงานเท่าไหร่ ผมจึงตัดสินเดินออกมายืนรับลมที่หาดใกล้ๆแทน


ระยะเวลานานเท่าไหร่กันนะที่จะทำให้คนคนหนึ่งเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในใจจนไม่ได้สนุกกับงานรื่นเริงสังสรรค์อย่างที่เคย ทั้งที่ถ้าเป็นผมในปีที่แล้วป่านนี้คงถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์พาสติไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ยิ่งมีเพื่อนและรุ่นพี่ที่สนิทเยอะแบบนี้ผมยิ่งควรจะสนุกกับบรรยากาศรอบๆตัวสิ ทำไมผมถึงพาตัวเองออกมายืนอยู่คนเดียวแบบนี้กันวะ


“ว่าไงเจ้าปูน้อย”


ผมนั่งลงบนชายหาดก่อนจะเห็นปูลมตัวน้อยสองตัวเดินผ่านมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมสักครู่แล้วเดินต่อลงไปในน้ำจมหายไป แม้แต่ปูตัวน้อยยังมีคู่เลยทำไมผมถึงต้องมานั่งเหงาคนเดียวแบบนี้ที่ริมหาด มันเท่หรือยังไงวะ เอ๊ย! แต่ผมเป็นคนตัดสินใจเดินออกจากงานมาเองนี่นา เบลอหรือเด๋อไปแล้ววะไอ้กัน.. ท่าจะเป็นเอามากนะผมเนี่ย




“จะนอนรึยังวะ” ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดหน้าจอห้องสนทนาระหว่างผมกับคนคนหนึ่งที่ผมกำลังรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นคนที่จัดการความรู้สึกที่ผมมีตอนนี้ได้ดีที่สุด แต่ผมกลับรู้สึกกลัวที่จะส่งข้อความไปหาหรือโทรหาเขาเพราะเกรงว่าเขาอาจจะอ่านหนังสืออยู่หรือหลับไปแล้ว


เอายังไงดีนะ..


..ไม่เกรงใจละกัน ผมไม่ได้อยากรู้สึกแบบนี้ไปทั้งคืนเสียหน่อย ผมพิมพ์ข้อความส่งหาเจ้าของตำแหน่งเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์คนนั้นทันทีหลังจากตัดสินใจ


GunGunktn : พี่

GunGunktn : ทำอะไรอยู่



ผมนั่งจ้องข้อความของตัวเองที่ส่งออกไปพักใหญ่แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะขึ้นสถานะข้อความที่ถูกอ่านแล้วจากอีกฝ่ายทำให้ต้องทำสิ่งที่คิดว่าควรจะทำในตอนนี้ที่สุด นั่นก็คือ..รัวข้อความ


GunGunktn :พี่ปั่นนนนน

GunGunktn :ไอ้พี่ปั่นนนนนน



GunGunktn :พี่

GunGunktn :ปั่น

GunGunktn :โว้ยยยยยยย


GunGunktn :อ่านเถอะ



GunGunktn :ตอบดิ



GunGunktn :ตอบ!!!!

GunGunktn : TToTT



ผมถอนหายใจออกมาหลังจากรัวกระสุนข้อความหาอีกฝ่ายชุดใหญ่แต่ดูจะไม่ได้มีผลอะไรต่างจากตอนแรกมาก ข้อความจากอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ถูกตอบกลับมารวมถึงข้อความของผมที่ถูกส่งไปก็ไม่ได้เปลี่ยนสถานะเป็นข้อความที่ถูกอ่านแล้วเหมือนเดิม


ผมหยิบเศษหินที่อยู่ใกล้มือที่สุดเขวี้ยงลงน้ำด้วยความหงุดหงิดก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดช้าๆและถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยเพื่อระบายอารมณ์



“แค่ตอบนี้มันยากมากเหรอวะ”







ตื้ด ~


ไม่นานโทรศัพท์มือถือที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเก็บของด้านข้างของกางเกงขาสั้นของผมก็สั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อแจ้งเตือนสายเรียกเข้าจากเบอร์ที่ผมคุ้นเคยแต่ด้วยความน้อยใจทำให้ผมนั่งมองโทรศัพท์มือถือที่สั่นไม่หยุดในมือพร้อมกับหน้าจอที่แสดงชื่อเจ้าของเบอร์ที่ผมบันทึกไว้สักครู่ก่อนจะกดรับสาย


[ว่าไง]


“...”


[เป็นอะไร]


“เปล่า” ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะตัดสินใจตอบอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงปกติที่สุดเพื่อให้บทสนทนาไม่เงียบเสียจนอีกฝ่ายคิดว่าผมละเมอกดรับสาย


[ยังไม่นอนอีกรึยังไง?]


“แล้วไลน์ไปทำไมไม่ตอบ”


[อาบน้ำอยู่]


“อือ”


[มีอะไรรึเปล่า แล้วเพื่อนไปไหนหมด]


“เพื่อนฉลองรุ่นให้ปีหนึ่งกันอยู่”


“ทำไม ถ้าไม่มีอะไรจะวางสายเหรอ”


[มึงหงุดหงิดอะไรเนี่ย คิดถึงกูรึไงหืมเด็กน้อย] ผมลุกขึ้นเดินไปตามหาดเรื่อยๆระหว่างคุยโทรศัพท์กับพี่ปั่น ทำไมวะถ้าไม่ได้มีธุระอะไรผมไม่มีสิทธิ์ทักไปหาหรือโทรหาอย่างนั้นเหรอ


“หงุดหงิดพี่นั่นแหละ”


[ประจำเดือนมารึยังไงวะ แล้วทำไมไม่ไปฉลองกับเขา]


“ก็ไม่อยากไป”


“ห้ามวางสาย อยู่เป็นเพื่อนผมเลย”


[เออๆ แล้วอยู่ไหนเนี่ย?] ผมเดินตรงจากหาดกลับขึ้นห้องพักทันทีโดยที่ไม่ได้สนใจว่าภายในงานกำลังสนุกสนานครึกครื้นกันแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้คือผมต้องการคุยแค่กับคนที่อยู่ในสายเท่านั้น


“กำลังจะขึ้นห้อง”


[ทำไมจู่ๆ มึงงอแงวะ เมื่อวานไม่เห็นจะสนใจกู ทีวันนี้มาคิดถึง]


“ไม่ได้คิดถึงโว้ย คิดเองเออเอง” ผมเปิดประตูเข้าห้องพักก่อนจะรีบหยิบชุดเดินเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับเปิดลำโพงให้ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายชัดเจนโดยที่วางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆตัว


[อ๋อ งั้นกูวางนะ]


“ไม่! ถ้าวางผมจะ..”


[จะทำไม เลิกปากแข็งก่อนสิ เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนทั้งคืนเลยครับน้องกัน]


“อือ..คิดถึง” ผมกลอกตาไปมาก่อนจะถอนหายใจและตอบออกไปตามความจริงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายวางสาย แล้วทำไมผมต้องยอมทำขนาดนี้ด้วยเนี่ย โคตรเสียศักดิ์ศรีเลยว่ะกัน อย่าให้ถึงทีผมก็แล้วกัน


[อาบน้ำรึยัง?]


“เรียบร้อย พร้อมนอน”


[มึงรู้ตัวไหมว่ามึงน่ารักขึ้นเยอะมากนะกัน ถ้าอยู่ใกล้ๆกูคงกอดมึงจนกระดูกแตกไปแล้ว]


“ไม่รู้โว้ยยย หล่อขึ้นมากต่างหาก” ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกำลังร้อนผ่าวๆ เหมือนมีเตาไฟอยู่ในใบหน้าหลังจากได้ยินประโยคนั้นจากอีกฝ่าย


“แล้วไม่นอนเหรอ?”


[น่าจะต้องนอนพร้อมเด็กแถวนี้ว่ะ มันดูคิดถึงกูมากแปลกๆ ว่าไหม]


“ไม่รู้”


“อยากกลับแล้ว”


[กลับพรุ่งนี้แล้วไม่ใช่รึยังไง เดี๋ยวกลับมาก็บ่นอยากไปเที่ยว เด็กน้อย]


“โตแล้วนะเว้ย” ผมพูดเสียงเบาๆก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองให้รู้สึกอุ่นสบาย ทำไมกันนะแค่ได้ยินเสียงของพี่ปั่นแค่นี้ผมก็รู้สึกว่าความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หายไปหมดเหลือเพียงแต่ความสบายใจ


[นอนได้แล้วดึกแล้วพรุ่งนี้จะได้มีแรงเดินทาง]


“ครับป๊า”


[ป๊าของลูกในท้องมึงเหรอ]


“กวนตีน” ผมยิ้มให้กับโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงและดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา ความสบายใจที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกโคตรปลอดภัยที่ผมจะหลับไปตอนนี้โดยที่เหมือนมีอีกฝ่ายอยู่ข้างกาย














PUN's PART

~ จะไม่มีใครคั่นกลางระหว่างเรา..

..เพราะแม้แต่เงาของกันพี่ปั่นก็หวง~





[กวนตีน]


“รีบกลับนะกูคิดถึง”


[...] เสียงจากอีกฝั่งของสายเงียบสนิทมีเพียงเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศเบาๆผ่านเข้ามาในสาย ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าเด็กหน้ามึนของผมน่าจะหลับแล้วเรียบร้อย สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าไอ้กันมันชักเริ่มน่ารักขึ้นทุกวัน แต่ความน่ารักของมันไม่ใช่เพียงเรื่องของหน้าตาหรือรูปลักษณ์ แต่เป็นตัวตนของมันที่เปลี่ยนไปมากทั้งความแข็งกระด้างที่มันเคยเป็นหรือความห้าวของมันที่มี


ผมไม่ได้กดวางสายของเด็กหน้ามึนที่หลับอยู่ไปแต่ผมกลับหลับตาลงพร้อมกับปล่อยให้สายยังคาอยู่ในขณะที่ผมกำลังจะหลับไปเพราะผมรู้สึกว่าผมก็คิดถึงอีกฝ่ายไม่ต่างกันเพียงแต่ผมไม่ได้แสดงออกมากเท่ามัน กลัวว่าไอ้กันมันจะไม่ว่างหรือติดกิจกรรมอยู่ แต่โชคกลับเข้าข้างผมที่อีกฝ่ายดันทนความรู้สึกตัวเองไม่ไหวเสียจนมันทำในสิ่งที่มันไม่ทำบ่อยครั้งออกมา








แสงแดดยามเช้าเริ่มแยงตาทำให้ผมค่อยๆลืมตาปรับโฟกัสของดวงตาช้าๆพร้อมกับบิดเนื้อบิดตัวไปมาให้รู้สึกตื่นตัว ผมมองไปที่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ด้านข้างตัวบนเตียงซึ่งยังคงไม่ได้ถูกตัดสายไปโดยอีกฝ่ายนั่นอาจจะหมายความว่าเด็กหน้ามึนน่าจะยังไม่ตื่น


“กัน”


[อือ]


“ตื่นแล้วเหรอ?”


[ตื่นนานแล้ว]


“ทำไมไม่วางสายไปล่ะ”


[ก็เห็นหลับอยู่ ไม่อยากปล่อยให้นอนคนเดียว] ผมยิ้มให้กับโทรศัพท์มือถือด้วยความเอ็นดูในความน่ารักและความเอาใจใส่ที่เพิ่มมากขึ้นของอีกฝ่าย ถ้ามันอยู่ใกล้ๆ ผมป่านนี้ผมคงฟัดมันจมเขี้ยวไปแล้วแต่นี่ดันอยู่ไกลกัน ผมก็อดไปตามระเบียบ


“จะกลับแล้วเหรอ?”


[กำลังจะขึ้นรถแล้ว ครับพี่นาย ได้ครับ]


“นายไหนวะ” ผมถามขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงไอ้กันมันขานรับเหมือนกำลังสนทนากับเสียงผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ถ้าผมจำไม่ผิดไอ้คนชื่อนายนี่น่าจะเป็นพี่เทคของมันที่ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไหร่


“กัน”


[พี่เทคผมไง ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำไป จะขึ้นรถแล้ว เจอกันที่มอ]


“โอเค เดี๋ยวไปรับ”


ผมกดวางสายก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านออกแล้วอุ้มเจ้ากำปั้นที่เดินงัวเงียเหมือนพึ่งตื่นเช่นเดียวกันกับผมขึ้นมาหยอกล้อเล่นตามปกติ ผมมานอนห้องไอ้กันมันได้เป็นคืนที่สองแล้วเพราะไม่มีใครอยู่เป็นเป็นเพื่อนเจ้าลูกชายของผมอย่างกำปั้น ก็เด็กหน้ามึนดันมีงานนอกสถานที่กะทันหันเอาแมวกลับไปฝากที่บ้านไม่ทัน


ผมวางแมวอ้วนลงบนพื้นหลังจากเทอาหารแมวตามที่เจ้าของห้องได้เตรียมและสั่งเอาไว้ลงในถาดอาหารประจำตัวกำปั้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นผมก็อาบน้ำแต่งตัวเพื่อรอออกไปรับคนที่กำลังเดินทางกลับจากการจัดกิจกรรมรับน้องของสาขา









ผมมานั่งคิดๆ ดูแล้วมันน่าจะถึงเวลาสมควรแก่การขอเด็กหน้ามึนของผมเป็นแฟนได้แล้ว แต่ผมควรใช้วิธีไหนในการขอมันเป็นแฟนดีหรือควรจัดสถานที่อะไรแบบไหนให้เหมาะสมกับการขอมันเป็นแฟนดี ผมนั่งคิดอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจขับรถไปในห้างที่ผมไปเป็นประจำเพื่อไปที่ร้านร้านหนึ่งที่ผมคุ้นเคย



“สวัสดีค่ะคุณปั่น”


“สวัสดีครับ”


“วันนี้คุณท่านไม่ได้เข้าร้านนะคะ”


“ครับ” ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในร้านอัญมณีร้านใหญ่ที่ผมคุ้นเคยในห้างกลางเมืองผู้จัดการร้านก็ทักทายผมอย่างสนิทสนมทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตรจากพนักงานทุกคนในร้าน ที่จริงร้านนี้เป็นร้านของคุณแม่ของผมเองท่านเป็นคนชื่นชอบและหลงใหลในอัญมณีทุกประเภทมากเสียจนหันมาทำธุรกิจด้านอัญมณีเป็นอีกหนึ่งอาชีพเลยทีเดียว


หลังจากที่ผมได้โทรปรึกษาคุณแม่เรื่องการขอไอ้กันเป็นแฟนแล้วผมก็ได้ข้อสรุปว่าผมควรให้อะไรที่มีค่าเพื่อเป็นเครื่องยืนยันความรักที่ผมมีต่อมัน และคุณแม่ก็ตัดสินใจมอบส่วนหนึ่งของเครื่องเพชรที่ท่านสะสมและน่าจะเข้ากับผู้ชายได้ให้ผมเพื่อไปจองตัวว่าที่คู่ชีวิตของผมไว้


ถึงคุณแม่ของผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างคลั่งไคล้กับอัญมณีและวัตถุโบราณแต่ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดทันสมัยมากและไม่ได้ต่อต้านเรื่องที่ผมจะชอบผู้ชายด้วยกันเองแต่กลับเอาแต่ชื่นชมไอ้เด็กหน้ามึนของผมอยู่ตลอดๆ แม้จะเห็นเพียงในภาพที่ผมส่งให้ท่านดู


“คุณปั่นมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”


“เอ่อ..คุณแม่ได้ฝากอะไรมาให้ผมไหมครับ”


“เอ๊ะ สักครู่นะคะ”


“ครับ”


“คุณปั่นคะ รบกวนทางนี้ค่ะ”


ไม่นานผู้จัดการร้านก็นำกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งมาวางตรงหน้าผมพร้อมกับโน้ตแผ่นเล็กแผ่นหนึ่งที่มีตัวหนังสือที่ผมคุ้นตาเขียนข้อความสั้นๆ อยู่ว่า..


สร้อยพร้อมจี้เส้นนี้ฝากให้น้องกันนะจ๊ะ

..รักลูก..

แม่..




ผมเปิดกล่องเล็กที่หุ้มด้วยกำมะหยี่ตรงหน้าออกช้าๆ ก่อนจะพบกับเส้นสร้อยเล็กที่ดูเรียบหรูไม่หวือหวาเข้ากับผู้ชายอย่างที่คุณแม่บอกเอาไว้ ที่ปลายสร้อยมีจี้เพชรที่ดูน้ำงามมีประกายมากเม็ดหนึ่งติดอยู่ ผมปิดฝากล่องอย่างดีก่อนจะขอบคุณผู้จัดการร้านและเดินออกจากร้านเพื่อไปรอรับไอ้กันที่มหาวิทยาลัย









**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ bluepaperwater

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :o8: พี่ปั่นหาของมาหมั้นน้องหรอ

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
รอนานนานมันบั่นทอนหัวใจ
{17}




คำว่า ‘เหม็นความรัก’ น่าจะเป็นคำที่ผมอยากตะโกนออกมาให้ดังที่สุดในตอนนี้ เพราะตั้งแต่รถออกจากรีสอร์ตริมทะเลที่เราไปจัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่มาไอ้พีและไอ้เหนือที่นั่งด้านหน้าผมก็จู๋จี๋กันไม่หยุด ถึงแม้ไอ้พีจะดูไม่ได้หวานกับไอ้เหนือมากเพราะมันเป็นคนเมารถง่ายแต่การที่ไอ้เหนือมันยิ่งทำตัวเอาใจใส่เพื่อนผมมากเป็นพิเศษยิ่งทำให้ผมหมั่นไส้ไอ้สองตัวนี่มาก


ความจริงไอ้เหนือมันไม่มีสิทธิ์มานั่งรถคันนี้กับพวกผมด้วยซ้ำเพราะรถคันนี้เป็นรถของปีสองที่แม้แต่ปีสองที่มากันก็นั่งกันแทบจะไม่พออยู่แล้ว แต่มันก็ดันมาขอร้องผมให้ไปบอกเพื่อนในรุ่นว่าไอ้พีมันเมารถคันที่นั่งขามาของปีหนึ่งทำให้ต้องย้ายมานั่งรถปีสองแต่ไอ้เหตุผลที่เหลือของมันที่มันจำเป็นต้องตามมาดูแลเพื่อนผมอย่างใกล้ชิดนี่แหละที่ผมต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดให้เพื่อนในรุ่นเข้าใจและยอมเปลี่ยนสลับไปนั่งรถปีหนึ่งแทนมัน ถ้าไม่ใช่น้องเทคตัวเองผมคงด่ามันไปแล้ว


“มึงว่ามันจะงุ้งงิ้งกันอีกนานไหม?”


“มดขึ้นเบาะหมดแล้วมั้ง”


“อย่าให้ถึงทีกูนะ จริงไหมน้องกัน”


“จริงอะไร เลิกเลือกเยอะก่อนมึงอะแป้ง” ผมคุยกับไอ้แป้งที่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมกับแอบกัดคู่รักคู่ใหม่ที่นั่งซบกันคุยกันกระซิบกระซาบไม่หยุดเสียจนพวกผมหมั่นไส้


“เงียบหน่อยครับพี่กัน พีจะนอน”


“โอโหไอ้เหนือ กูพี่เทคมึงนะ เดี๋ยวมึงได้ปลิวลงรถ”


“ไอ้พวกเวรเลิกตีกันโว้ย” ก่อนที่สงครามจะใหญ่ขึ้นกว่านี้ก็มีคนหยุดศึกระหว่างผมกับไอ้เหนือซึ่งไม่ใช่ใครนอกจากไอ้พีที่หลับซบไอ้เหนืออยู่ที่ตื่นขึ้นมาโวยวายด้วยน้ำเสียงงัวเงียก่อนจะหันไปซบหน้าต่างแทนแล้วดึงผ้าขึ้นมาคลุมหัว


“พี ขอโทษ”


“สมน้ำหน้า” ผมแลบลิ้นใส่ไอ้เหนือเพื่อสมน้ำหน้ามันที่โดนไอ้พีรำคาญ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเพลงแล้วสวมหูฟังเพื่อฟังเพลงพักผ่อนระหว่างนั่งรถเดินทางกลับมหาวิทยาลัย


หลังจากใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนานพอสมควรรถโดยสารที่ใช้ในการเดินทางไปจัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่ของสาขาการตลาดก็เข้าสู่บริเวณของมหาวิทยาลัยพร้อมๆกันก่อนจะจอดที่ลานหน้าอาคารบริการกลางของมหาวิทยาลัยเพื่อให้นิสิตทยอยขนของและสัมภาระลงจากรถ


ผมลากกระเป๋าสัมภาระของตัวเองทั้งหมดมารอพี่ปั่นมารับในอาคารบริการกลางของมหาวิทยาลัยพร้อมกับไอ้พีที่มานั่งรอเป็นเพื่อนผม ส่วนไอ้แป้งก็วิ่งแจ้นกลับคอนโดไปตั้งแต่ขนของรถจากรถเสร็จแล้วด้วยเหตุผลว่าต้องรีบกลับไปอาบน้ำนอนดูซีรี่ย์ที่ดูค้างไว้ให้จบก่อนจะต้องเริ่มอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบปลายภาค



“มึงจะกลับพร้อมกูเลยไหมกัน?”


“ไม่เป็นไร ถ้ามึงเพลียก็กลับก่อนเลยเดี๋ยวขับรถไม่ไหว”


“ไอ้บ้านั่นจะขับกูไม่ได้ขับ” ไอ้พีตอบพร้อมกับมองไปทางเดือนมหาวิทยาลัยคนล่าสุดอย่างไอ้เหนือที่กำลังช่วยสาวๆขนย้ายสัมภาระเข้ามาในตัวอาคารอยู่ แหมพ่อคนดีของสังคมจริงๆ


“ดีแล้ว”


“หกโมงเย็นแล้วนะ มึงไม่กลับพร้อมกูเหรอกัน”


“เออน่า กลับไปก่อนเลย กูรู้เวลามึงเมารถมึงจะอยากนอนนิ่งๆ” ผมคะยั้นคะยอให้เพื่อนสนิทกลับหอไปพักผ่อนหลังจากเดินทางมาเป็นเวลานาน ยิ่งเห็นไอ้พีมันดูเพลียจากการเมารถของมันด้วยก็ยิ่งอยากให้มันไปพักไม่ต้องมาเป็นคนดีจะอยู่เป็นเพื่อนผมตอนนี้


“โอเค ถ้ามีอะไรโทรมานะมึง”


“ได้ครับพ่อ” ผมพยักหน้าหงึกๆให้เพื่อนก่อนที่มันจะลุกขึ้นพร้อมกับสะพายกระเป๋าเดินออกไปที่ลานจอดรถพร้อมๆกับไอ้เหนือที่วิ่งมาแบกสัมภาระที่เหลือของไอ้พีตามไปที่ลานจอดรถติดๆ


ผมนั่งเล่นโทรศัพท์โดยที่ใช้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่รองเพื่อฟุบเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ในตัวอาคารบริการกลางที่มีผู้คนเดินไปมาตลอดระหว่างรอว่าเมื่อไหร่คนที่บอกว่าจะมารับจะมาสักที














“กัน”


“ครับ” ผมสะดุ้งตื่นทันทีหลังจากได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังขึ้นโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหนรู้ตัวอีกทีตัวเองก็ฟุบอยู่บนกระเป๋าเดินทางคนเดียวในอาคารบริการกลาง ผมปรับโฟกัสตาช้าๆเพื่อมองไปทางต้นเสียงของคนที่เรียกผม


“มานั่งทำอะไรทำไมยังไม่กลับ”


“เอ่อ..รอกลับหอครับพี่นาย”


“กลับพร้อมพี่ไหม พี่กำลังจะกลับพอดี” ผมก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อดูเวลาก่อนจะส่ายหน้าตอบกลับพี่เทคที่แสนจะอบอุ่นของผมไป นี่ก็จะปาเข้าสามทุ่มไปอยู่แล้วทำไมพี่ปั่นถึงยังไม่มารับผมอีกวะ


“กลับดีๆ นะครับพี่นาย”


“โอเค เราก็รีบกลับนะ”


“ครับ”


ผมกดโทรออกหาคนที่รับปากว่าจะมารับผมทันทีหลังจากบอกลาพี่นายไป ไหนว่าจะมารับวะ คนอะไรขี้โม้ชะมัด ถ้าเรื่องแค่นี้ยังโกหกเบี้ยวนัดเรื่องอื่นจะให้เอาอะไรไปเชื่อใจได้วะ


หนึ่งสายก็แล้ว..


.


สองสายก็แล้ว..


.

.


สามสาย สี่สาย ก็แล้ว..


.

.


ไอ้เวรพี่ปั่นเป็นบ้าอะไรวะโทรไปก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก ผมไม่ได้อยากคุยกับเสียงตอบกลับอัตโนมัติโว้ยยยยย ไปมุดอยู่ในถ้ำที่ไหนวะ


“กัน”


“...”


“โทษที มือถือแบตหมด อาจารย์เรียกไปคุยงานพึ่งเสร็จ” ผมเงยหน้ามามองหน้าร่างสูงที่วิ่งเข้าหยุดตรงหน้าพร้อมกับหอบด้วยความเหนื่อยจากการวิ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วลุกขึ้นกอดอกมองหน้าอีกฝ่ายที่พึ่งมาถึง


“แล้วไม่คิดจะบอกก่อนเหรอวะ”


“ขอโทษครับ พี่ขอโทษ”


“เลิกพูด รำคาญ จะกลับไหม?”


“กลับครับ เดี๋ยวถือของให้ครับคุณชาย เชิญที่รถเลยครับ” ผมเดินนำไปที่รถคันหรูของอีกฝ่ายโดยที่ถือมาแค่โทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์เท่านั้นเพราะตั้งใจทำโทษคนผิดนัดให้ยกของสัมภาระทั้งหมดตามมา


ผมเดินไปนั่งบนรถโดยที่ไม่สนใจว่าพี่ปั่นจะขนของขึ้นรถครบหรือยัง ด้วยความหงุดหงิดที่ต้องรอนานแถมยังตกเป็นอาหารอันโอชะของยุงในมหาวิทยาลัยอีกทำให้ผมโมโหเสียจนเลือดขึ้นหน้าอยากระบายอารมณ์กับอะไรสักอย่างมาก


ทันทีที่พี่ปั่นเปิดประตูรถขึ้นมานั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้วผมก็ดึงแขนอีกฝ่ายมาอยู่ตรงหน้าตัวเองทันทีก่อนจะตัดสินระบายอารมณ์ด้วยวิธีที่น่าจะทำให้หายหงุดหงิดและสะใจมากที่สุดตอนนี้


งับ งั่ม!


“ไอ้กันนนนน โอ้ย! เด็กเวร@$@$##! ^”


“...”


“ฟันคมเป็นหมา เลือดกูออกไหมวะ” ผมถอนเขี้ยวออกจากแขนอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจแรงๆออกมา เอาเข้าจริงมันก็สะใจดีเหมือนกันนะ ร่างสูงลูบแขนตัวเองปอยๆเพื่อบรรเทาความเจ็บปากก็เอาแต่บ่นงุบงิบๆให้ผม


“ทีผมโดนยุงกัดตั้งนาน แดงไปหมดไม่เห็นจะร้องโวยวายเหมือนพี่เลย”


“กูต้องไปฉีดยาพิษสุนัขบ้าไหมวะเนี่ย ไอ้เด็กเวรเอ๊ย” ร่างสูงผลักหัวผมเบาๆก่อนจะเริ่มขับรถออกจากลานจอดรถของมหาวิทยาลัยเพื่อกลับหอ


“ปากดีจะโดนอีกรอบ”


“เก่งมากเหรอมึงอะ”


“มาก รอนานมากด้วย”


“ก็ขอโทษไงครับ เดี๋ยวเลี้ยงหมูกระทะเลยไหม ของโปรดมึงหนิ” มือหนาบีบเข้าที่แก้มของผมไปมาเป็นช่วงจังหวะพอดีกับที่รถติดสัญญาณจราจรพร้อมกับพูดเอาของกินมาหลอกล่อผมก่อนที่สัญญาณไฟจราจรจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวให้รถที่จอดอยู่ออกตัวไปตามเส้นทางบนท้องถนน


“มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วไหม”


“แล้วจะเอาอะไร?”


“ไม่รู้”


“อ้าว ไปกินก่อนกลับหรือกลับก่อนกิน”


“กินก่อนกลับ”


บรรยากาศบนท้องถนนยามหัวค่ำเต็มไปด้วยไฟจากรถที่วิ่งกันอย่างพลุกพล่านและไฟจากตึกรามบ้านช่องที่เรียงรายตามข้างทางผ่านตาผมไปเรื่อยๆจนเริ่มรู้สึกว่าความหงุดหงิดที่มีหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ทำไมผมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้กันนะ ถ้าเป็นผมในอดีตคงโวยวายยังไม่หยุดแน่ๆหรือที่ผมเปลี่ยนไปจะเป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างนั้นเหรอ


ไม่นานรถก็จอดที่หน้าร้านหมูกระทะที่ผมชอบกินกับเพื่อนหลังเลิกเรียนหรือหลังทำกิจกรรมที่หนักหน่วงมาทั้งวัน บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยนักเรียนนักศึกษาเพราะเป็นร้านที่คุณภาพของอาหารดีมากในขณะที่ราคาสวนทางกับคุณภาพ เป็นราคาที่ทำให้นักเรียนนักศึกษาจากทุกสถาบันแห่กันมาอุดหนุนกันแทบทุกวัน


ผมนั่งรอคิวพักใหญ่จนกระทั่งได้โต๊ะก็พุ่งตัวเข้าร้านอย่างรวดเร็วด้วยความหิวกระหายก่อนจะสั่งอาหารชุดใหญ่ที่สุดที่ร้านมีโดยที่ไม่คำนึงว่ามากันแค่สองคน


ร่างสูงที่เดินตามเข้ามานั่งลงฝั่งตรงข้ามพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อสามเม็ดและพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่ที่นั่งอยู่ในร้านตาลุกวาวส่งเสียงซุบซิบกันยกใหญ่


“เป็นอะไร?”


“อะไร”


“ทำหน้าอย่างกับหมาหวงกระดูก”


“หมาบ้านป้าพี่ดิพี่ปั่น”


“ก็หมาตัวเดียวกับที่กัดกูบนรถไง” พี่ปั่นรินน้ำที่พนักงานนำมาเสิร์ฟให้ตัวเองและผมพร้อมกับเอาแต่ยิ้มโปรยเสน่ห์ไปทั่ว ในขณะที่ผมก็ยื่นปากออกมาเป่าผมด้านหน้าที่ตกลงมาของตัวเองเล่นแก้เซ็งไปเรื่อยๆ


“ให้อาหารกำปั้นรึยัง?”


“ให้แล้ว ให้ไว้ตั้งแต่ก่อนออกมารับมึง”


“งั้นคงนานแล้วสิ”


“ยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ”


“เปล่า” ผมคีบหมูที่สุกแล้วจากบนเตามาเป่าสองทีพอเป็นพิธีก่อนจะยัดเข้าปากด้วยความหิวโดยที่ไม่ได้สนใจจะคุยกับคนตรงหน้าเพราะผมจะไม่เสียสละเวลากินที่มีค่าของผมมาพูดคุยกับคนที่ทำให้ผมต้องรอนานจนเลยเวลาอาหารขนาดนี้ ถ้าหุ่นผมไม่ฟิตแอนด์เฟิร์มเหมือนเดิมขึ้นมาแล้วล่ะก็ผมจะถือว่าเป็นความผิดของพี่ปั่นคนเดียว











หลังจากกลับจากร้านอาหารแล้วผมก็ใช้งานเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์แบกสัมภาระทั้งหมดของผมขึ้นหอแลกกับสถานที่ซุกหัวนอนของพี่มันที่ไม่ยอมกลับไปนอนคอนโดตัวเองอ้างแต่ว่าอยากนอนกับกำปั้น เดี๋ยวพ่อจะไล่ไปนอนพื้นกับแมวให้ดูถ้าไม่ไปนอนจริงได้เห็นดีกันแน่


“ถ้ายังไม่อาบน้ำห้ามขึ้นเตียงนะ เดี๋ยวผมอาบก่อน”


“โอเค”


ผมบอกร่างสูงที่นั่งลงไปหยอกล้อกับแมวเล่นอยู่บนพื้นห้องก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อชำระร่างกายอย่างรวดเร็วให้กลิ่นหมูกระทะที่ติดตัวอยู่หายไป ที่จริงแล้วผมเป็นคนที่ชอบกลิ่นที่บริสุทธิ์มาก ยิ่งโดยเฉพาะบนเตียงนอนที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองที่ผมจะไม่ชอบให้มีกลิ่นของคนอื่นหรืออย่างอื่นมาติด


ผมเคยเป็นหนักถึงขั้นที่ช่วงแรกๆผมไม่สามารถให้กำปั้นขึ้นมาเล่นบนเตียงได้แต่พอเริ่มชินกับกลิ่นก็กลายเป็นสามารถให้แมวอ้วนตัวน้อยขึ้นมาเดินเล่นบนเตียงได้แต่ก็ยังไม่สามารถนอนร่วมเตียงเดียวกันได้อยู่ดี เพราะผมเป็นคนไม่ชอบให้มีอุณหภูมิร้อนๆ อุ่นๆของสิ่งมีชีวิตอื่นมาอยู่ใกล้ๆขณะนอนหลับ ไม่อย่างนั้นผมจะหลับไม่สนิท


จนกระทั่งคนคนหนึ่งที่ทำให้ตัวของเขาเองกลายเป็นข้อยกเว้นสำหรับตัวผม แม้แต่ไอ้พีก็ยังงงมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไมผมสามารถใช้ชีวิตในการนอนร่วมกับพี่ปั่นได้โดยที่หลับสนิททุกครั้ง แต่กับเพื่อนสนิทอย่างไอ้พี ผมกลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่ผมเองก็สงสัยอยู่เช่นเดียวกัน และยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับเรื่องนี้ได้นอกจากไอ้แป้งที่มักจะพูดว่า.. ‘ก็เขาเกิดมาเพื่ออยู่เคียงคู่กับมึงทุกเวลาไง’ หรือมันจะจริงอย่างที่ไอ้แป้งพูดกันวะ


หลังจากอาบน้ำแต่งตัวพร้อมเข้านอนเรียบร้อยผมก็นั่งเช็ดหัวตัวเองที่พึ่งสระผมไปหมาดๆอยู่บนเตียงพร้อมกับเปิดโทรศัพท์มือถือดูวีดิโอที่ตัวเองบันทึกไว้ เป็นวีดิโอที่ถูกถ่ายมาลงในเพจดังของมหาวิทยาลัยที่สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากกับคนที่ได้รับชม แต่สำหรับผมมันคือความประทับใจที่ย้อนดูกี่ทีก็ทำให้อมยิ้มได้ทุกครั้ง


“ดูอะไร?”


“เห้ย! เอามา”


“อ๋อ อยากฟังสด สดไหม เดี๋ยวจะร้องให้ฟังชัดๆที่ข้างหูเลย”


“เอาโทรศัพท์ผมคืนมา”


“ขอคืนดีๆ ดิ”


“ไอ้พี่ปั่น ผมนับหนึ่ง”


“นับให้ถึงเก้านะ เราจะได้ก้าวไปพร้อมๆ กัน”


“เลี่ยนมากไอ้พี่เวร”


“เลี่ยนเธอไม่ปั๊ก รักเธอไม่เปลี่ยน” ผมกลอกตามองไปมาด้วยความเอือมระอากับคำพูดสุดจะเสี่ยวที่ไม่รู้ร่างสูงตรงหน้าไปเอามาจากไหน ปกติไม่ยักจะเห็นพูดอะไรแบบนี้นอกจากทำหน้ายักษ์ไปวันๆ


“ไปเอามาจากไหนวะ”


“ไม่รู้ มันเป็นเอง”


“เอาโทรศัพท์มานี่ ฮึบ!” ผมอาศัยจังหวะระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังเผลอไผลอยู่แย่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาจากมือ ก่อนจะรีบดึงผ้าห่มมาคลุมโปงตัวเองไว้แต่ผมดันลืมคิดไปเสียสนิทว่าการคลุมโปงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในตอนนี้เพราะ..




ตุ้บ!


“ผ้าห่มมันดิ้นได้ไงวะ จะไปไหนหืม มานี่” ผมได้แต่ดิ้นกระแด่วๆอยู่ใต้ผ้าห่มเพื่อหนีหลังจากถูกคนตัวสูงกว่ากระโดดลงมาทับพร้อมกับกอดรัดผมที่อยู่ใต้ผ้าห่มเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้


“ปล่อย”


“คิดถึงกูไหม?”


“ไม่”


“ตอบดีๆ”


“หายใจไม่ออก” มือหนาดึงผ้าห่มที่คลุมหัวผมอยู่ออกก่อนจะรีบกอดรัดตัวไว้จนแน่นเหมือนเดิม เพื่อเค้นเอาคำตอบของผมให้ได้


“ตอบ”


“ก็..คิดถึง”


“น่ารักว่ะ”



ฟอด ~


ระหว่างที่ผมยังไม่ทันจะตั้งตัวพี่ปั่นที่ล้อคผมไว้อยู่ก็ฉวยโอกาสอาศัยจังหวะทีเผลอชิงหอมแก้มผม ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่อ้าปากพะงาบๆจะด่าอีกฝ่ายแต่ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมา แล้วนี่ผมต้องโดนพี่ปั่นฉวยโอกาสทำนู่นทำนี่ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองเลยหรือยังไง ทำแบบนี้ผมเสียหายนะเว้ย เป็นผู้ชายต้องรักนวลสงวนตัวหวงเนื้อหวงตัวเพราะม๊าสอนไว้


“พอได้แล้วจะนอน”


“โอเค”


“ปิดไฟด้วย”


“รับทราบครับ” ผมขยับตัวจากกลางเตียงไปนอนทางซ้ายของเตียงเพื่อเหลือพื้นที่ไว้ให้คนตัวสูงที่กำลังเดินสำรวจความเรียบร้อยของห้องทั้งไฟและม่านก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนอนด้านข้างผม ทั้งที่ปกติผมจะต้องหยิบหมอนข้างมาวางคั่นกลางระหว่างผมและอีกฝ่ายก่อนจะเข้านอนแต่คืนนี้ผมกลับรู้สึกว่าหมอนข้างอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป ผมดำดิ่งสู่ห้วงนิทราด้วยความเพลียจากการเดินทางเป็นเวลานานโดยที่ไม่ได้กังวลว่าพี่มันจะมาฉวยโอกาสอะไรผมระหว่างนอนหรือเปล่า เพราะผมก็เชื่อใจคนที่นอนอยู่ด้านข้างผมว่าเขาจะเกียรติผมเหมือนที่เขามักทำเป็นประจำ







**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2019 22:00:37 โดย .ปีกนกฮูก »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ bluepaperwater

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ก็ป๋าเขาอยากเลี้ยง
{18}



เข้าสู่สัปดาห์สอบปลายภาคที่นิสิตทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในคณะหรือวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่กำลังอยู่ในความกดดันและความเครียด แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการสอบเท่าที่ควร ถ้าจะถามว่าผมอยู่ในกลุ่มไหนต้องบอกเลยว่าผมต้องอยู่ในกลุ่มที่เอาจริงเอาจังกับการสอบอยู่แล้วเพราะถ้าหากผมดันทำเกรดออกมาไม่ดีเท่าที่ควรผมต้องโดนหักเงินค่าขนมแน่นอน เพื่อความอยู่รอดของปากท้องผมต้องสู้!


ช่วงเช้าของวันสอบวิชาสุดท้ายที่หลายคนรอคอยกันอย่างจดจ่อ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เฝ้ารอการสอบวิชานี้ในวันนี้เช่นกัน ผมตื่นเช้าที่สุดในรอบสัปดาห์เพื่อมานั่งอ่านหนังสือทวนเนื้อหาที่มหาศาลของวิชาที่กำลังจะสอบบริเวณหน้าตึกคณะบนโต๊ะหินอ่อนประจำและเพื่อรอเพื่อนอีกสองคนที่ยังไม่มาถึงอีกด้วย


ความรู้สึกที่กำลังจะเข้าสอบวิชาสุดท้ายตอนนี้สำหรับตัวผมแทบไม่ต่างกันกับนักโทษคดีที่มีบทลงโทษจำคุกเป็นเวลานานและกำลังจะหมดโทษในวันนี้เพื่อออกจากเรือนจำไปโลดแล่นในโลกกว้างอีกครั้ง อาจจะฟังดูเกินจริงไปสำหรับบางคนแต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนในคาบเรียนสักเท่าไหร่อย่างผมแต่จำเป็นต้องทำผลการเรียนให้อยู่ในระดับท็อปของคนในสาขาผมต้องอดตาหลับขับตานอนทุกคืนเพื่ออ่านทวนเนื้อหาทั้งหมดให้พร้อมสอบทุกวิชา


การสอบวิชาสุดท้ายในวันนี้จะเป็นการสิ้นสุดช่วงเวลาที่แสนทรมานอย่างหนักที่ผมอดทนมานาน สิ่งแรกที่ผมจะทำหลังจากสอบเสร็จแน่นอนว่าไม่มีอื่นใดนอนจากนอน นอน นอน นอน


“น้องกันจ๋า”


“กว่าจะมาได้ ไม่รอให้เขาเริ่มสอบก่อนเลยล่ะ”


“เกินไปมั้ง”


“ไอ้พีไปไหนของมันวะ ปกติมาเช้ากว่านี้” ผมถามเพื่อนสนิทสาวสวยที่นั่งลงตรงข้ามผมพร้อมกับดื่มกาแฟอย่างเป็นกิจวัตรประจำวัน ผมสังเกตที่เอกสารสรุปเนื้อหาตรงหน้าที่ไอ้แป้งพกมามีเพียงสามแผ่นกระดาษซึ่งต่างจากผมที่หอบชีทมาทั้งปึก หรือว่ามันจะซุ่มอ่านมาทั้งคืนแล้ววะ


“ตายยากมากมั้ง มานู่นแล้ว”


“ดีครับพี่แป้ง ดีพี่กัน ไปแล้วนะพีเดี๋ยวเที่ยงเจอกัน” ผมหันตามไอ้แป้งไปทางซ้ายมือก่อนจะเจอไอ้พีที่เดินอย่างช้าๆตามหลังไอ้เหนือที่วิ่งผ่านพวกผมไปอย่างรวดเร็ว และหยุดตรงโต๊ะก่อนจะนั่งลงด้านข้างผม ว่าแต่ไอ้เหนือมันจะรีบไปไหนของมันวะ


“กว่าจะมาได้นะมึง”


“ไอ้เวรเหนือแม่งอ่านโต้รุ่งแล้วดันปลุกไม่ตื่น กว่าจะแต่งตัวเสร็จก็เลยสายอย่างที่เห็น”


“แล้วมันรีบไปไหนวะ?”


“ไปสอบ อีกสิบนาทีสอบ”


“ใช่ ปีหนึ่งสอบก่อนเรา” ผมก็พอจะจำได้ลางๆว่าวันนี้พวกปีหนึ่งมีสอบเช้าวิชาการจัดการกัน


“ดีนะที่ยังมาถึงก่อนเวลาสอบ”


“อ๋อออออออออ เดี๋ยวนี้เขานอนห้องเดียวกันว่ะแป้ง”


“อ๋อออออ” ผมกับไอ้แป้งมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาคิกคักไม่หยุดเสียจนคนที่ถูกล้อเลียนอย่างไอ้พีหน้าขึ้นสีแดงแปร๊ดไปจนถึงหู ก่อนที่ไอ้พีจะตบหัวผมกึ่งหนักกึ่งเบาเพื่อระบายอารมณ์จากความเขินอายของมันเพราะผมดันนั่งอยู่ใกล้มือมันที่สุด


“โอ๊ย! ไอ้เวรพี”


“เกินไป กูตบเบาๆเอง”


“งอน! ตบกูง้อกูเลย”


“ไปบอกพี่ปั่นของมึงนู่นมาง้อ ไอ้น้องกันเอ๊ย”


“...” ผมเอามือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างก่อนจะก้มหน้าอ่านเนื้อหาที่ทวนค้างไว้ตรงหน้าในขณะที่ไอ้พีมันหัวเราะคิกคักเปลี่ยนเรื่องมาเข้าเรื่องผมแทน จะว่าไปแล้วช่วงสอบนี้ผมก็แทบไม่มีเวลาให้พี่ปั่นเลยแถมอีกฝ่ายก็อ่านหนังสือหนักพอสมควรอยู่เหมือนกันทำให้ห่างกันไปพักใหญ่ วันนี้ตอนเช้าก็คุยกันแค่ผ่านทางการส่งข้อความนิดหน่อยก่อนมาสอบเท่านั้น











ทันทีที่ก้าวขาแรกออกจากห้องสอบผมก็รู้สึกถึงอิสรภาพหลังจากการสอบที่แสนทรหดและยาวนานว่าช่างหอมหวานเสียจริงๆ ลมหายใจแรกที่สูดเข้าปอดหลังจากเดินออกจากห้องสอบก็สดชื่นราวกับไปยืนสูดอากาศที่ยอดดอยอินทนนท์ ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งหน้าห้องสอบเพื่อรอเพื่อนสนิททั้งสองคนที่กำลังทยอยส่งแบบทดสอบให้อาจารย์ที่คุมสอบอยู่


“เป็นไงบ้างน้องกัน?”


“ก็ดีมั้ง มึงจะเต็มอีกไหมดินแดน”


“เกินไปๆ กูไปละ ไว้เจอกันมึง” ผมโบกมือลาไอ้ดินแดนเพื่อนร่วมสาขาที่เดินออกจากห้องสอบแล้วตรงไปกดลิฟต์เพื่อลงจากตัวอาคารไปทันที ในขณะที่ไอ้แป้งเดินคอตกออกจากห้องสอบมาพอดี


“ทำได้ไหมมึง?”


“กูจะบ้าตาย เอาอะไรมาเยอะขนาดนี้วะ เขียนจนมือกูเปื้อนหมึกไปหมด”


“ไม่ต่างกัน” ผมชูฝ่ามือที่เปื้อนหมึกปากกาและน้ำยาลบคำผิดจากการเขียนคำตอบในแบบทดสอบสี่หน้ากระดาษด้วยความรวดเร็วให้ทันเวลาที่กำหนดขึ้นมาให้ไอ้แป้งดู


“มึงกูหิว ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับเถอะ”


“กูอยากกลับไปนอน”


“ไม่ได้ มึงต้องรอฟังมติจากที่ประชุม”


“อะไรนะ?” ผมสวนขึ้นทันที


“นี่พี มึงมาพอดี ไปกินก่อนกลับ หรือกลับเลย”


“เอ่อ..ก็เที่ยงแล้วไปกินข้าวก่อนกลับสิ” สุดท้ายผมก็ต้องทำตามมติที่ประชุมที่มีกันเพียงสามคนตามที่ไอ้แป้งมันพูด แทนที่จะได้ไปนอนให้คุ้มค่ากับเวลานอนที่เสียไปทุกคืน ผมก็ต้องลากสังขารตัวเองมาอยู่ในร้านชาบูชื่อดังในย่านมหาวิทยาลัยกับเพื่อนทั้งสองและตัวแถมอย่างไอ้เหนือที่ตามติดไอ้พีมาเช่นเคย










“มีใครเอาอะไรเพิ่มไหม?”


“เอาเท่านี้ก่อน”


“โอเค พี่คะเท่านี้ก่อนค่ะ” ไอ้แป้งส่งเมนูคืนพนักงานหลังจากที่ทำการสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่มันจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอินสตาแกรมเพื่อถ่ายสตอรี่แต่ไม่ถ่ายสักทีเอาแต่เปลี่ยนมุมไปมาใช้กล้องหน้าของโทรศัพท์มือถือราวกับเป็นกระจกเงาส่องหน้า


“สวัสดีค่าาาาาาาาาา”


“อะไรวะ?” ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมามองไอ้แป้งที่นั่งอยู่ด้านข้างที่จู่ๆก็ส่งเสียงดังขึ้นมาก่อนที่ผมจะสังเกตเห็นว่าไอ้แป้งมันกำลังถ่ายทอดสดผ่านทางอินสตาแกรมของมันอยู่แถมยังมีจำนวนผู้เข้าชมที่มากพอสมควรอยู่


“น้องกันเพื่อนรัก ทักทายหน่อย”


“เอ่อ อะไรของมึง”


“ก็สอบเสร็จมีความสุข นิดนึง”


“หวัดดี โสดจีบได้ครับ”


“เหรอออออออ!” ผมพูดสโลแกนที่พูดเล่นเป็นประจำกับเพื่อนพร้อมกับส่งยิ้มที่ฉีกยิ้มสุดๆไปให้หน้าจอโทรศัพท์ของเพื่อนก่อนจะก้มลงเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือของตัวเองต่อระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ


“ก็นะคะ ใครจะจีบเพื่อนแป้งติดต่อผ่านแป้งมาเลยค่ะ ล้อเล่นๆ”


“ไอ้กัน มึงบอกพี่ปั่นรึยังว่ามึงมากับพวกกู”


“บอกทำไม อย่าพึ่งกวนกูกำลังหัวร้อนกับเกม” ผมตอบปัดๆไอ้พีไปก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่อโดยที่ไม่ได้สนใจว่าทำไมจู่ๆมันถึงถามเรื่องพี่ปั่นออกมา




“แป้ง @#$%^&*”


“อุ๊ย!”


“อะไรของพวกมึงกันวะ ซุบซิบๆอะไรกัน” หลังจากจบเกมที่เล่นอยู่เรียบร้อยผมก็เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสองที่มองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่กส่วนไอ้เหนือก็เอาแต่นั่งหัวเราะคิกคักไม่หยุด ทำเอาผมถึงกับงงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วพวกมันคุยอะไรกันอยู่เมื่อสักครู่นี้วะ


“เดี๋ยวมึงรู้เลยกัน”


“อะไรวะ แล้วอาหารนี่เขารอใครทำไมไม่มาเสิร์ฟสักทีวะ”


“ใจเย็นๆดิ พึ่งจะสั่งไปเอง”


“หัวร้อนโว้ย หิวด้วย”


“เก่งนักเหรอมึงอะ?” ผมถึงกับชะงักเมื่อมือหนาของใครคนหนึ่งวางลงบนหัวผมพร้อมกับเสียงเย็นๆที่ผมคุ้นเคยที่ดังมาจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผมเช่นกัน


“อ้าว..”


“อ้าวอะไร ไปไหนมาไหนไม่บอกนะมึงอะ” ผมได้แต่นิ่งมองหน้าพี่ปั่นที่ดึงเก้าอี้โต๊ะข้างๆมานั่งข้างผมอย่างหน้าตาเฉย แล้วทำไมพี่ปั่นถึงมาโผล่ที่นี่ได้วะ ผมมองหน้าเพื่อนทั้งสองไปมาเพื่อคาดคั้นว่าพวกมันได้รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ไหมแต่ทั้งไอ้พีและไอ้แป้งก็เอาแต่ส่ายหน้าไปมารัวๆเป็นคำตอบ


“ก็คิดว่าสอบอยู่”


“อ๋อเหรอ?”


“ใช่ แล้วใครชวนพี่มา จู่ๆก็มานั่งกับเขาเฉย”


“พี่ขอร่วมโต๊ะด้วยนะครับ”


“ได้ค่ะพี่ปั่น แป้งยินดีสุดๆ ไปเลยค่ะ” ร่างสูงที่นั่งข้างผมส่งยิ้มให้กับคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ทันทีหลังจากได้รับการอนุญาตจากไอ้แป้งที่ส่งเสียงออดอ้อนและทำท่าทางเขินสุดตัวจนแทบจะกรี้ดออกมาเสียจนผมนึกขำกับท่าทางของเพื่อนตัวเอง


“น้อยๆหน่อยแป้ง ไอ้น้องกันมันจะงาบหัวมึงเอา”


“ไม่หวงกับเพื่อนสิคะน้องกัน”


“เพ้อเจ้อ” ผมตอบเพื่อนก่อนจะคีบของสดที่พึ่งถูกนำมาเสิร์ฟลงในหม้อ ส่วนคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะด้านข้างผมอย่างพี่ปั่นก็เอาแต่นั่งเล่นมือผมไม่หยุดทำให้ผมต้องใช้มือแค่ข้างเดียวในการเอาของลงไปต้มในหม้อ คนบ้าอะไรมานั่งลูบๆคลำๆมือคนอื่นไม่หยุดวะ แต่ผมก็ไม่ได้ขัดขืนหรือดึงมือออกจากมือของอีกฝ่ายเพราะรำคาญขี้เกียจโวยวายอยากรีบๆกินจะได้กลับไปนอนสักที




“แป้งมึงไม่ไลฟ์ต่อแล้วรึยังไง?”


“เออจริงด้วย เอ๊ยแต่พี่ปั่นจะ..”


“ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลยพี่ก็อยากเปิดตัวเด็กแถวนี้อยู่พอดี”


“เพ้อเจ้อไม่ต่างกันเลย” ผมถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้าไปมากับคำพูดของร่างสูงที่พูดออกมาพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด


“ไม่ดีกว่าค่ะ ให้พี่ปั่นเปิดตัวเองดีกว่า หนูจะรอติดตามนะคะ”


“ก็ต้องถามเด็กแถวนี้นะครับว่าจะใจอ่อนตอนไหน”


“กินๆเข้าไปสักทีจะได้กลับ” ผมยัดหมูที่พึ่งคีบขึ้นมาจากหม้อเข้าปากพี่ปั่นทันทีเพื่อขัดจังหวะบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่แต่ผมดันลืมไปเสียสนิทว่าชิ้นหมูที่ผมยัดเข้าปากของอีกฝ่ายไปยังร้อนอยู่ทำเอาพี่ปั่นถึงกับเบิกตากว้างพร้อมกับรีบกระดกน้ำเย็นตามเข้าปากไปทันที


“ร้อนๆๆ”


“สมน้ำหน้า”


“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ผมก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานต่อโดยที่ไม่ได้สนใจว่าพี่ปั่นจะพูดอะไร









ผมอิ่มท้องกับอาหารเที่ยงโดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียวเพราะเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์เขาดันนึกอยากทำตัวเป็นป๋าเลี้ยงอาหารเที่ยงมื้อนี้พวกผมทุกคนซึ่งก็ถือเป็นผลดีกับตัวผมเอง พักหลังมานี้ตั้งแต่พี่ปั่นกลับเข้ามาในชีวิตของผมเงินค่าขนมรายเดือนที่ป๊าให้ผมก็เหลือเก็บไปซื้อของที่อยากได้มากขึ้นเพราะพี่ปั่นมักจะชอบทำตัวเป็นป๋าแบบนี้อยู่เป็นประจำ


หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนผมก็ตรงกับหอทันทีเพื่อเก็บชั่วโมงนอนที่หายไปในช่วงสอบ ยิ่งหนังท้องตึงแบบนี้หนังตาก็หย่อนขึ้นมาทันที ส่วนพี่ปั่นที่ดูทำตัวแปลกๆก็ขอกลับคอนโดไปก่อนด้วยทีท่าหงุดหงิดแปลกๆ




ตื้ด ~

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่สว่างขึ้นมาพร้อมกับการสั่นแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่องทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ผมกดรับสายที่คุ้นเคยพร้อมกับปิดประตูและถอดรองเท้าออกวางบนชั้นวาง


“ว่า”


[กำลังเข้าไปหา]


“อือ”


[อย่าพึ่งนอน]


“โอเค”




“อ้าว อะไรของเขาวะ?” ทันทีที่สิ้นเสียงของผมสายก็ถูกตัดจากอีกฝ่ายทันทีราวกับกำลังรีบทำอะไรสักอย่างอยู่ ทำตัวแปลกๆอะไรของเขาวะ ผมเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับชุดที่ใส่สบายสำหรับนอนกลางวันเพื่อเปลี่ยนชุดจากชุดนิสิตที่ผมใส่อยู่





ก๊อก ก๊อก!








**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2019 23:20:47 โดย .ปีกนกฮูก »

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
พยายามมากพอรึยัง?
{19}





ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมพึ่งจะเปลี่ยนชุดเสร็จและเดินออกจากห้องน้ำ ผมตรงไปที่ประตูแล้วเปิดออกให้คนที่มาเคาะเข้ามาในห้องโดยที่ไม่ต้องเดาด้วยซ้ำว่าเป็นใครนอกเสียจากพี่ปั่นที่โทรมาบอกเมื่อครู่ว่าจะมาห้องผม


ผมทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิบนเตียงพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันเฟสบุ้คฟีดข่าวใหม่ขึ้นมาเช็กข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่างๆ รอบตัว ในขณะที่ร่างสูงของเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์กำลังเดินไปเดินมาไม่หยุดเสียจนผมเริ่มรำคาญลูกตา


“จะเดินไปเดินมาทำไม”


“เปล่าๆ แล้วมึงทำอะไร”


“เล่นเฟส” ผมหันหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปทางอีกฝ่ายเพื่อยืนยัน พร้อมกับหรี่ตาข้างหนึ่งมองหน้าพี่ปั่นที่ทำตัวลุกลี้ลุกลนแปลกๆ


“สอบเสร็จหมดแล้วเหรอ”


“อือ”


“แล้ว..มึงจะกลับบ้านวันไหน?”


“พรุ่งนี้”


“อะไรนะ!”


“ก็ไม่มีอะไรแล้ว จะให้อยู่ทำไม ตกใจอะไร” ผมมองหน้าพี่ปั่นที่นั่งลงข้างๆ ผมหลังจากที่อีกฝ่ายแสดงอาการตกใจกับการที่ผมจะกลับบ้านพรุ่งนี้อย่างน่าประหลาดใจ ทั้งที่ปกติผมก็กลับบ้านเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วมีก็แต่ช่วงที่มีทำแผนหรือเรียนหนักที่ผมจะไม่ค่อยกลับบ้านบ่อยเท่าที่ควร


“ก็เปล่า แต่กูยังสอบไม่เสร็จ”


“อือ”


“ไม่อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อยเหรอ”


“แก่จนปูนนี้แล้วเหงาอะไร เพื่อนก็เยอะแยะ” ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงในขณะที่คนข้างๆ ยังนั่งคอตกอยู่อย่างนั้น ที่จริงผมก็สงสารอยู่หรอกแต่ถ้าผมไม่กลับบ้านเป็นเวลานานๆ แล้วป๊าต้องโกรธผมมากแน่นอนแถมปิดเทอมนี้ยังตรงกับช่วงวันขึ้นปีใหม่อีก ผมก็มีภารกิจต้องไปรวมญาติเพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าเสียด้วยเพราะฉะนั้นเพื่อความอยู่รอดและค่าขนมพิเศษในช่วงปิดเทอม..ขอโทษนะพี่ปั่น


“ไม่สงสารกูจริงๆ เหรอวะ”


“...”













ผมไม่ได้ตอบกลับอะไรคนข้างๆ ที่นั่งคอตกเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ปลายเตียงไปแต่กลับหันมาสนใจอ่านข้อความและรูปภาพต่างๆ ที่ผ่านตาไปในฟีดข่าวใหม่ของเฟสบุ้คมากกว่าจนผมสะดุดตาเข้ากับรูปภาพของคนคนหนึ่งที่พึ่งถูกโพสต์โดยเพจชื่อดังของมหาวิทยาลัย


My Single Boys

หนุ่มบริหารยั่วๆ ค่าาาาาาาา เขาว่ากันว่าหนุ่มๆ บริหารรูปหล่อพ่อรวยอยากมีคนช่วยดูแลหัวใจ เห็นแล้วอยากไปดูแลหัวใจให้น้องคนนี้เลย น่ารักที่สุดแล้ว #หนุ่มโสดบริหาร#รับน้องทะเลการตลาด #อยากมีกันและกันตลอดไปเลยค่ะ
NOODchaไม่นะๆ ๆ ๆ ๆ ใครกันนะ
BoonThu หนูจะนอนร้องไห้แล้วนะแอด
PAPANG @กันแปลว่าปืน อุ๊ย น้องกันของเจ๊ กรี๊ด!
PP_ @กันแปลว่าปืน มาว่ะเพื่อน เอาแล้วๆ










“แม่เจ้ามะพร้าวเผา!”


“อะไร”


“ดูนี่พี่ปั่น!”


“อะไรวะ เอามาดู” ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นเต้นก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือในมือที่ยังคงเปิดโพสต์ดังกล่าวค้างไว้ให้พี่ปั่นไป


หลังจากที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์มือถือของผมไปดูจากสีหน้าที่ดูจ๋อยไปเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังที่มาพร้อมอารมณ์หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ภาพที่ทางเพจนำมาลงเป็นภาพที่ถ่ายโดยฝ่ายโสตฯ ของทางสาขาที่ถ่ายเก็บบรรยากาศในช่วงกิจกรรมรับน้องทะเลของสาขาการตลาด ภาพที่ออกมาเป็นภาพคณะผมกำลังนั่งเล่นอยู่ที่หาดช่วงเย็นใส่เสื้อกล้ามสีเข้มและกางเกงขาสั้นในมือถือหมวกที่พึ่งถอดพร้อมกับฉีกยิ้มให้กล้อง


“โคตรเท่เลยเนอะ”


“...”


“เดี๋ยวกลับบ้านจะไปอวดป๊า”


“กัน” มือหนาจับเข้าที่ไหล่ผมทั้งสองข้างพร้อมกับเรียกผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“หืม?”


“กูมีเรื่องสำคัญอยากบอก”


“เรื่อง?” ผมนั่งนิ่งฟังและมองหน้าอีกฝ่ายที่มีสีหน้าจริงจังและจ้องผมตาไม่กะพริบก่อนที่คนตรงหน้าจะยื่นกล่อง ใส่ของเล็กๆ กล่องหนึ่งมาให้ผมพร้อมกับพูดบางอย่างออกมา


“ตลอดเวลาที่ผ่านมากูไม่รู้ว่ากูพยายามมากพอหรือยังวะกัน?”


“พยายามอะไรเหรอ?” ผมมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย


“กูไม่รู้ว่ากูทำให้มึงรู้สึกได้มากแค่ไหน..แต่ที่กูรู้ตอนนี้คือกูรู้สึกรักมึงมาก มากที่สุดเลยล่ะมั้ง”


“...”


“แต่กูยังรักมากขึ้นได้อีกเรื่อยๆ เลยนะ”


“ขี้โม้รึเปล่าเนี่ย..” ผมพยายามพูดกวนให้คนตรงหน้ามีอารมณ์ขันเพื่อคลายความตึงของบรรยากาศในขณะนี้แต่กลับไม่เป็นผลเท่าที่คิด


“กูคิดมาพักใหญ่ว่าจะขอมึงเป็นแฟนยังไงดี เวลาไหน หรือสถานที่ไหนที่จะทำให้มันเป็นสิ่งที่น่าจดจำสำหรับมึง แต่รู้ตัวอีกทีกูก็..ไม่อยากให้เวลามันผ่านไปแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ยิ่งมีคนรู้จักมึงมีคนชื่นชมมึงกูยิ่งหวงอยากเป็นเจ้าของมึงแค่คนเดียว แต่กูก็ดันไม่กล้าขอมึงสักที”


“...”


“กัน”


“...”


“เป็นแฟนกับกูนะ” ผมนิ่งและมองคนตรงหน้าที่นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาผมอย่างไม่ละสายตา พี่ปั่นค่อยๆ เปิดกล่องใส่ของใบเล็กตรงหน้าออกให้ผมดูก่อนจะพบว่ามีสร้อยสีดำเส้นเล็กพร้อมกับจี้เพชรเม็ดหนึ่งวางอยู่ในนั้น ผมมองของในมืออีกฝ่ายสลับกับใบหน้าของเขาไปมา แปลกจังที่ครั้งนี้ผมกลับไม่ได้มีความรู้สึกสับสนหรือกังวลใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ทั้งที่กำลังถูกแฟนเก่าตัวเองขอเป็นแฟนอีกครั้งหนึ่งแท้ๆ


“...”


“ได้ไหม?”


“ถ้าบอกว่าไม่..จะเสียใจไหม”


“เสียใจมากแงๆ”


“แก่ขนาดนี้แล้วยังจะปัญญาอ่อนอีก”


“แง”


“อือ”


“อือคือ..”


“ก็ตกลงไง”








พรึ่บ!


“เฮ้ย!!” ผมถึงกับตัวแข็งไปเลยเมื่อร่างสูงของคนตรงหน้าโผเข้ากอดผมอย่างรุนแรงและรวดเร็วจนผมล้มลงไปนอนให้เขากอดอยู่บนเตียง ความรู้สึกที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเหมือนหยุดเต้นไปแบบนี้คืออะไรกันนะ


“รักมึงว่ะ ไอ้เด็กหน้ามึน”


“เหรอ”


“ใช่ครับที่รัก”


“จะอ้วก”


“แค่คบกันก็แพ้ท้องแล้ว แย่จัง” ผมผลักหัวอีกฝ่ายไปแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ก่อนที่พี่ปั่นจะมาหอมหัวหอมแก้มผมไม่หยุด


“ปากดี”


“ดีทุกอย่างเลยนะ ลองได้ หยอกเล่นน่า เอ๊ย..เกือบลืมไปเลย”


“อะไร” ผมมองตามมือของอีกฝ่ายที่ขยับตัวมานั่งพิงหัวเตียงซ้อนหลังผมอยู่พร้อมกับกำลังหยิบสร้อยสีดำในกล่องใบเล็กขึ้นมาชูตรงหน้าผมก่อนจะสวมเข้าที่คอของผมช้าๆ โดยที่ผมก็ปล่อยให้อีกฝ่ายสวมสร้อยให้อย่างไม่ขัดขืน


“แม่กูฝากมา”


“หืม?”


“ใช่ แม่กูฝากมาจองลูกสะใภ้ไว้”


“...”


“อะเขินๆ หน้าแดง”


“เพ้อเจ้อ..ฝากขอบคุณคุณแม่ด้วย”


“ไปขอบคุณเองสิ”


“ที่ไหน?” ผมเงยหน้ามองพี่ปั่นด้วยความสงสัย ผมเองก็เพิ่งจะมารู้วันนี้ว่าคุณแม่ของพี่ปั่นรู้เรื่องผมแล้ว แถมยังฝากของมีค่าขนาดนี้มาให้ผมด้วย นี่พี่ปั่นไม่ได้กำลังปิดบังอะไรผมอยู่ใช่ไหม


“ไม่รู้ ไปประชุมต่างประเทศมั้ง”


“อ๋อ”


“ไว้เดี๋ยวคุณแม่กลับมากูพาไปหาละกัน”


“โอเค”




ผมหลับตาลงก่อนจะใช้ตัวของร่างสูงที่ซ้อนอยู่แทนหมอนก่อนจะค่อยๆ หลับไปด้วยความเพลีย ผมดำดิ่งสู่ห้วงนิทราด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกของการได้กลับมาคบกับแฟนเก่าอีกครั้งผมคงยังไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากไปกว่าแค่คำว่า ‘โคตรมีความสุข’













ผมรู้สึกตัวตื่นมาอีกทีในช่วงหัวค่ำก่อนจะค่อยๆ ปรับโฟกัสตามองไปด้านข้างพบกับร่างสูงของพี่ปั่นที่นอนหันหลังให้ผมกอดตุ๊กตาตัวใหญ่ของผมอยู่ ผมนึกขำในใจกับท่าทางของอีกฝ่ายที่ทำตัวราวกับเป็นเด็กอายุห้าขวบที่นอนกอดตุ๊กตาหลับปุ๋ย


ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปโมเมนท์น่ารักๆ ของอีกฝ่ายก่อนจะโพสต์ลงในอินสตาแกรมส่วนตัวของผมเองเพื่อให้คนที่ติดตามผมอยู่ได้เห็นภาพน่ารักๆ แบบนี้ด้วย




Gunn_gun
เด็กคณะวิศวะเขาอ่านหนังสือหนักไปเหรอครับ#น้องห้าขวบของพี่กันกัน @Kum_punn



ผมเดินหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากห้องโดยที่ไม่ได้ปลุกพี่ปั่นเพื่อไปสั่งข้าวแถวๆ หอมาเผื่ออีกคนที่นอนอยู่ด้วยเพราะตอนนี้ก็เริ่ม จะค่ำแล้วถ้าพี่ปั่นตื่นมาก็คงหิวพอดี ผมก็ขอทำหน้าที่แฟนที่ดีในวันแรกให้เป็นโปรโมชั่นวันแรกที่คบกันสักหน่อยก็แล้วกัน


หลังจากผมสั่งอาหารสำหรับตัวเองและอีกคนที่นอนอยู่บนห้องในร้านอาหารตามสั่งใกล้หอที่ผมกินเป็นประจำเรียบร้อยแล้วผมก็เดินหาที่นั่งในร้านเพื่อรอข้าวกล่องก่อนจะเจอกับไอ้พีและไอ้เหนือที่นั่งกินข้าวอยู่ในร้านสองคน ผมจึงตรงดิ่งเข้าไปนั่งเป็นก้างขวางคอพวกมันทันที


“อ้าว.. มาทำอะไรกันเหรอ?”


“มาร้านข้าว มาส่งผ้าซักมั้งพี่”


“กวนตีน”


“ไม่นอนเฝ้าเด็กห้าขวบของกันกันแล้วหรือยังไง”


“กวนตีนทั้งคู่ไอ้พวกหน้าแมว” ผมมองหน้าพวกมันสองคนอย่างเอือมระอาไอ้คู่ผัวเมียที่ชอบล้อเลียนคนอื่นตลอดเวลาแถมยังกวนตีนไม่แพ้กันอีกต่างหาก แล้วทำไมผมต้องรู้สึกหน้าร้อนผ่าวๆ อย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่ไอ้พีมันล้อผมด้วยวะ


“เดี๋ยวก่อน สร้อยใหม่มาจากไหนครับน้องกัน”


“อะไร กูมีอยู่แล้ว”


“เหรอออออ”


“เออ ไปละกูสั่งข้าวไว้ ไว้เจอกัน”


“โอเค เดี๋ยวกูโทรหานะ อัปเดตกูด้วย”


“ไม่มีอะไร๊เลยจริงๆ”


หลังจากบอกลาไอ้พีและไอ้เหนือเรียบร้อย ผมเดินออกมารับข้าวกล่องที่สั่งไว้พร้อมกับจ่ายค่าข้าวก่อนจะรีบขึ้นหอเพราะไม่อยากให้คนที่นอนหลับอยู่บนห้องต้องรอนาน















ผมเปิดประตูเข้าห้องโดยที่พยายามเปิดและปิดประตูให้เบาที่สุดเพราะกลัวว่าจะไปทำให้คนที่หลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาแต่ยังไม่ทันที่ผมจะถอดรองเท้าเลยร่างสูงของใครบางคนก็พุ่งเข้ากอดผมจากทางด้านหลังขณะที่ผมกำลังปิดประตูห้องอยู่แถมยังกอดไม่ปล่อยสักทีอีกด้วย


“อะไรของพี่?”


“มึงไปไหนมา”


“ซื้อข้าว”


“ทำไมไม่ปลุก” ผมยืนให้อีกฝ่ายกอดอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้ขัดขืนอะไรก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวกลับมามองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างที่ไม่ได้ทำบ่อยๆ


“ก็เห็นกำลังหลับสบาย”


“กูนึกว่ามึงจะหายไปแล้ว”


“เพ้อเจ้อ พอได้แล้วหิวข้าว”


“ซื้ออะไรมาบ้าง หิวแล้ว” พี่ปั่นรับถุงข้าวกล่องจากผมไปก่อนจะไปเปิดอาหารใส่จานมาวางลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่ตั้งอยู่บนพื้นห้อง


ผมทานข้าวไปพร้อมกับนั่งอ่านข้อความที่มีคนแสดงความคิดเห็นในภาพที่ผมพึ่งลงในอินสตาแกรมส่วนตัวไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนสนิทที่มาแซวผมเรื่องที่พี่ปั่นมานอนที่ห้องผม


หลังจากทานข้าวเย็นเรียบร้อยผมก็อุ้มเจ้ากำปั้นที่พึ่งจะกินอาหารเสร็จเหมือนกันมาเล่นด้วยในขณะที่พี่ปั่นก็นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง ผมมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้โคตรมีความสุขเลยจริงๆ ผมไม่เคยคิดว่าความรู้สึกของการถูกเป็นเจ้าของจะมีความสุขขนาดนี้


“ไอ้หน้ามึน”


“ว่า?”


“หมาตัวไหนแอบถ่ายรูปตอนกูหลับ”


“ไม่รู้สิ คิกคิก”


“มานี่เลย มาให้ลงโทษเดี๋ยวนี้” ผมเดินอุ้มเจ้าแมวอ้วนของผมมานั่งลงบนเตียงข้างๆ ร่างสูงที่นั่งทำหน้าโหดใส่ผมอยู่ก่อนจะแลบลิ้นล้อเลียนใส่อีกฝ่าย


“หึ”


“เก่งมากเหรอไอ้หน้ามึนมานี่เลย” ร่างสูงอุ้มเจ้ากำปั้นจากมือผมไปวางลงบนพื้นก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดแน่นเสียจนผมเกือบหายใจไม่ออก


“หายใจไม่ออก”


“กูโคตรมีความสุขเลย”


“..เหมือนกัน”


ถ้าเป็นไปได้ผมอยากหยุดเวลาตรงนี้เอาไว้ไม่อยากให้เวลาเดินต่อเลยสักนิดเพราะผมกลัว..กลัวว่าวันหนึ่งความสุขที่มีแบบนี้จะหายไปเหมือนที่มันเคยหายไป ผมไม่อยากรู้สึกแย่แบบนั้นอีกแล้วความรู้สึกที่มีตอนนั้นถ้าเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองผมต้องรับมันไม่ไหวแน่นอน


ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นคนขี้กลัวขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนเหมือนกัน รู้ตัวอีกทีผมก็กลายเป็นคนขี้กลัวไปทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของคนที่กอดผมอยู่ตอนนี้ ผมกลัวเขาจะหายไปอีก กลัวจะเกิดเรื่องซ้ำรอยกับที่เคยผ่านมาขึ้นมาอีก


“มึงทำหน้าเครียดทำไมไอ้หน้ามึน”


“ก็..กลัวมั้ง”


“กลัวอะไร กูอยู่ตรงนี้ข้างๆ มึง ไม่มีอะไรที่มึงต้องกลัว เชื่อใจกูได้ไหม?”


“อือ”


“ขอบคุณนะ..ที่เชื่อใจกู”


“ขอบคุณเหมือนกัน..ที่ทำให้เชื่อใจ” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะจี้ที่เอวของร่างสูงเบาๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวก่อนที่ไอ้พี่ปั่นจะสะดุ้งโหยงแล้วคลานหนีผมไปแต่ก็หนีไม่พ้นที่ตามไปแกล้งจี้เอวคนบ้าจี้ที่ไม่มีใครรู้มาก่อนอย่างพี่ปั่นอยู่ดี






**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment ตอบกลับมาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :-[ :-[ :-[ ฟินกันไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ปีใหม่ที่ใจไม่เหงา
{20}



คุณมีการฉลองวันขึ้นปีใหม่ของคุณอย่างไรบ้าง กินเลี้ยงกับครอบครัว หรือ สังสรรกับเพื่อนฝูง? สำหรับผมถ้าถามถึงวันขึ้นปีใหม่ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่ากิจกรรมที่ทำเป็นประจำกับครอบครัวอย่างการ..สวดมนต์ข้ามปี


ด้วยความบังเอิญที่ช่วงปิดเทอมหลังสอบปลายภาคของมหาวิทยาลัยคาบเกี่ยวกับช่วงเทศกาลปีใหม่พอดีทำให้ผมได้ใช้ช่วงเวลาสำคัญของปีร่วมกับครอบครัว


ถ้าคุณกำลังจินตนาการภาพของผมที่อิ่มบุญอย่างมีความสุขในตอนนี้อยู่แล้วล่ะก็..คุณคิดผิด สภาพผมตอนนี้ไม่ได้ต่างไปจากตอนที่เข้าเรียนในช่วงเช้าเลยสักนิด หลังจากนั่งพนมมือสัปปะหงกอยู่พักใหญ่จนข้ามเวลาฉลองปีใหม่ที่หลายคนนับถอยหลังจุดพลุกันเฉลิมฉลองวันแรกของปีศักราชใหม่ผมก็ต้องทำหน้าที่ขับรถพาสมาชิกของครอบครัวใหญ่ทั้งหมดของผมกลับบ้านเพื่อพักผ่อนในคืนวันส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่


ผมอาบน้ำอีกครั้งทันทีที่ทานอาหารว่างมื้อดึกเมื่อกลับถึงบ้านเรียบร้อยเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาสักหน่อย ก่อนจะส่งข้อความไปบอกใครคนหนึ่งที่คงกำลังนั่งรอข้อความจากผมอยู่ว่าผมกลับถึงบ้านแล้วและทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว


GunGunktn :ถึงบ้านแล้ว
GunGunktn :ทำอะไ../









ตื้ด~

ยังไม่ทันที่ผมจะพิมพ์ข้อความที่จะส่งไปจบประโยคโทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นแจ้งเตือนการโทรเข้าจากปลายสายคนเดียวกับที่ผมส่งข้อความหาเมื่อสักครู่ขึ้นทันที


[ช้าจังวะ]


“ก็อาบน้ำด้วยไง อยู่ไหนเนี่ย”


[บ้าน นั่งกินเบียร์รอเมียสวดมนต์]


“ใครเมียเหรอ?”


[เดี๋ยวกลับมาได้รู้แน่ใครเมีย]


“เพ้อเจ้อ ไม่ไปฉลองกับสาวที่ไหนเหรอปีนี้”


[อยากฉลองกับเด็กบริหารเตี้ยๆคนหนึ่งว่ะ แต่เขาหนีกูกลับบ้าน เสียใจเลย] ผมหัวเราะออกมาเบาๆกับน้ำเสียงยียวนกวนประสาทที่อีกฝ่ายพูดออกมาพร้อมกับเดินออกจากห้องมาที่ระเบียงเพื่อดูแสงสียามค่ำคืนที่กระทบบนท้องฟ้าในวันปีใหม่เป็นเแดสีไล่ระดับไปราวกับเป็นภาพวาดในหอศิลป์


“น่าสงสารเนอะ”


[ใช่ครับ แล้วจะกลับเข้าหอวันไหน?]
[ให้ไปรับไหม กูเหงาแม่ไปต่างประเทศอีกแล้ว]


“ไม่เป็นไร น่าจะอีกสองสามวันมั้ง” จะว่าไปแล้วช่วงเวลาปิดเทอมนี่ก็ช่างสั้นเสียจริงๆ ผมยังแทบไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ต้องการด้วยซ้ำก็ต้องกลับไปเตรียมตัวเรียนและทำกิจกรรมในภาคเรียนที่สองเสียแล้ว


“จะนอนตอนไหนเนี่ย”


[ง่วงแล้วเหรอหน้ามึน?]
[ถ้าง่วงก็นอนไอ้เด็กน้อย กูคงอีกสักพัก]


“งั้นไม่วางสายนะ” ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กับการที่จะนอนไม่หลับถ้าไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก่อนนอนจนตลอดช่วงปิดเทอมที่กลับมาบ้านสัปดาห์กว่าๆผมต้องโทรหาพี่ปั่นก่อนนอนทุกคืน หรือว่า..ผมจะโดนทำเสน่ห์ใส่กันวะ


[ได้ แต่กูกำลังจะอาบน้ำ ให้เปิดกล้องไหม ฮ่า ฮ่า]


“อุบาทว่ะไอ้พี่เวร”


[อายทำไมก็มีเหมือนกัน หรือคิดอะไรกับกู อะแหนะๆ]


“พูดมากว่ะ ไปอาบได้แล้ว” ผมตัดบทคนหื่นปลายสายที่กำลังพูดจาสองแง่สองง่ามกวนประสาทผมอยู่ แต่ทำไมใบหน้าผมถึงร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีอย่าควบคุมไม่ได้แบบนี้ บ้าน่าไอ้กัน..







ซ่า~

ผมนอนฟังเสียงน้ำที่ไหวออกจากฝักบัวกระทบผิวของพี่ปั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะทำธุระส่วนตัวเสร็จและมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเช่นเดียวกันกับผม


[หลับรึยัง?]


“ยัง”


[นอนดึกนะมึงอะเด็กน้อย]
[อยู่รออะไร?]


“รอหมาอาบน้ำ”


[เข้านอนกัน] ผมดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้อุ่นสบายพร้อมเข้านอนหลังจากที่ได้ยินพี่ปั่นพูดจบ


“อือ”


[สวัสดีปีใหม่นะไอ้เด็กน้อย กูอยากให้มึงอยู่กับกูแบบนี้ไม่ใช่แค่ตลอดปีแต่..ตลอดไปเลยนะ]


“โอเค”


“สวัสดีปีใหม่ ฝันดีครับ”


[ฝันดีเหมือนกันนะครับ]








เขาว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักจะหมดไปโดยแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำและก็เป็นเช่นนั้นจริงเพราะปิดเทอมที่แสนสงบสุขของผมหมดไปอย่างรวดเร็วภายในไม่ถึงสองสัปดาห์ หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่บ้านมาเป็นเวลาสิบวันเต็มผมก็ต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่หอเช่นเคยเพื่อเตรียมตัวเรียนและทำกิจกรรมต่างในภาคเรียนที่สอง


ชีวิตเด็กหอในช่วงก่อนเปิดเทอมสองถึงสามวันคงไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่าการเล่นเกมข้ามคืนหรือการออกไปเที่ยวแล้วกลับมานอนอืดเล่นในห้องอยู่กับเจ้าแมวอ้วนของผมอีกแล้ว นี่คือวันแรกที่ผมกลับเข้าหอหลังจากกลับบ้านไปในช่วงปิดเทอมที่ตรงกับวันขึ้นปีใหม่พอดี


ผมนอนกลิ้งตัวไปมาบนเตียงก่อนจะนึกขึ้นได้และหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกหาเพื่อนรักอย่างไอ้พีเพื่อชวนมันออกไปเที่ยวแก้เซ็งกันสักหน่อย


“อยู่ไหนไอ้พี”


[บนรถ]


“อ้าว..กำลังมาหอเหรอ”


[เปล่า กำลังจะไปหาอะไรกิน กูกลับถึงหอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว]


“ไม่ชวนเพื่อนเลยว่างั้น เออใช่สิตั้งแต่..”


[กูจะรู้ไหมว่ามึงจะมาวันนี้ไอ้น้องกัน มึงก็โทรชวนพี่ปั่นของมึงนู่น แค่นี้ก่อนนะกูจะทะเลาะกับไอ้เวรเหนือต่อ]


“อ๋อ โอเคเพื่อนสู้ๆนะมึง” ผมกดวางสายเพื่อนสนิทอย่างไอ้พี่อย่างงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรจะรบกวนเวลาส่วนตัวของมันระหว่างที่กำลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ลงอยู่










แทนที่จะโทรหาพี่ปั่นตามที่ไอ้พีบอกแต่ผมเลือกที่จะขับรถออกจากหอคนเดียวเพื่อไปหาอะไรกินที่ห้างเพียงลำพัง เพราะคิดว่าคุณชายเขาคงยังไม่ทันกลับจากบ้าน ผมจึงตัดสินใจขอไปเดินห้างคนเดียวชิวๆดีกว่า ผมรู้สึกว่าการกินปิ้งย่างคนเดียวดูเป็นเรื่องที่คนเหงาเท่านั้นที่จะทำแต่ตอนนี้ผมกำลังตั้งใจว่าจะลองทำแบบนั้นอยู่


พอถึงเวลาที่ตัวเองมานั่งกินปิ้งย่างบาร์บีคิวคนเดียวแบบนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติและดูไม่ได้แปลกตาเหมือนกับตอนที่มองคนอื่น ระหว่างนั่งรออาหารที่สั่งไปอยู่ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเพื่อเช็คความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับโพสต์ล่าสุดจากเพจเฟสบุ้คชื่อดังของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเพียงคำบรรยายโดยไม่มีรูปภาพประกอบอย่างที่เคยแต่กลับมีจำนวนการแชร์และการแสดงความคิดเห็นมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว






My Single Boys

สวัสดีปีใหม่ค่าาาาาาาาทุกคน หายกันไปพักใหญ่เลยที่ไม่ได้ลงรูปเพราะว่าแอดไปฉลองปีใหม่มาค่ะ เดี๋ยวหลังจากวันนี้ก็จะเริ่มกลับมาอัพเดตความเคลื่อนไหวของหนุ่มโสดกันต่อแล้ว วันนี้แอดมีอีกเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทุกคนทราบนะคะ แอดจะขออนุญาตทำการลบรูปและโพสต์ที่ในอดีตที่เกี่ยวของกับหนุ่มโสดสองคนออกจากเพจเนื่องจากเจ้าตัวส่งข้อความมาบอกหลังไมค์ว่า ‘ผมไม่โสดแล้วนะครับ’ ตอนแรกแอดก็แอบเศร้าใจและสงสัยนะคะว่าสาวคนไหนกันนะที่ได้ครอบครองหนุ่มโสดสุดหล่อของแอดไป แต่แล้วแอดก็ต้องกรี้ดอย่างบ้าคลั่งพร้อมเลือดสาววายที่สูบฉีดหลังจากที่ได้อ่านข้อความของเขาคนนั้นต่อว่า ‘ช่วยลบรูปแฟนผมด้วยนะครับ’ เรียกได้ว่าเป็นการเสียผู้ชายในเพจที่แอดไม่เสียใจเลยค่าาาาาาา เรียกได้ว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่แอดฟินมาก ขอให้คบกันนานๆนะคะ รักกันมากๆ #พี่ว้ากโหดไม่โสดแล้ว #หนุ่มหล่อบริหารไม่โสดแล้ว #ไม่ได้ใบ้เลยจริงจริงนะแต่ฟินมาก
MINNIEMIND ใคร ใคร แอดทำให้อยากแต่บอกไม่สุดแบบนี้ไม่ได้นะ หนูอยากรู้!!!
AMMY_T พี่ปั่นกับกันเหรอคะ แอดดดดดด โอ้มายก้อด
PAPANG สุดในรุ่น นี่พูดเลย






ผมนั่งอ่านข้อความที่เห็นไปก็แอบขำไปแต่ในใจกลับเกิดความรู้สึกกลัวเล็กน้อยขึ้นมา ผมกลัวว่ากระแสนี้จะเป็นปัญหาอุปสรรคที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของผมพังลงอีกหรือเปล่า ผมพยายามสลัดความรู้สึกและความคิดต่างๆออกจากหัวก่อนจะเริ่มนำของสดที่เพิ่งถูกนำมาเสิร์ฟขึ้นปิ้งบนเตาบาร์บีคิวตรงหน้า เวลาแบบนี้ไม่ควรคิดเรื่องแบบนี้นะโว้ยยไอ้กัน ผมไม่อยากให้เกิดความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นระหว่างทานการทานอาหารโปรดของผมเลย











ตื้ด~


ระหว่างที่ผมกำลังนั่งดื่มด่ำความสุขกับหมูย่างบนเตาบาร์บีคิวตรงหน้าอยู่โทรศัพท์มือถือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นแจ้งเตือนสายเรียกเข้าอย่างต่อเนื่องโดยที่ชื่อที่แสดงขึ้นมาบนหน้าจอก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฮดว้ากคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่พึ่งถูกพูดถึงในข่าวจากเพจชื่อดังเช่นเดียวกันกับผม


[ให้เดาว่ากูอยู่ไหน?]


“จะรู้เหรอ”


[ไม่คิดจะชวนกูเลยเหรอ]


“ชวนอะไร?”


[...]


จู่ๆเสียงในสายของอีกฝ่ายก็เงียบไปอย่างน่าสงสัยพร้อมๆกับร่างสูงของพี่ปั่นที่เดินตรงเข้ามานั่งลงร่วมโต๊ะเดียวกันกับผมบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างน่าตกใจ แล้วพี่ปั่นมาอยู่ในร้านนี้ได้ยังไงกันวะ ผมกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย


“มาได้ยังไงวะ”


“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง มึงนัดผู้ชายที่ไหนมากินด้วย”


“เพ้อเจ้อ มาคนเดียว” ผมส่ายหน้าไปมาใส่คนตรงหน้าที่มองหน้าผมอย่างหาเรื่อง


“ให้มันจริงเถอะ อย่าให้กูรู้นะ”


“แล้วมาได้ยังไง ตอบก่อนสิ”


“มาทำธุระให้แม่ แล้วก็เดินผ่านมาเจอมึงนั่งหน้าโง่กินปิ้งย่างคนเดียวนี่แหละ”


“ทำธุระเสร็จแล้วรึยังไง?”


“อือ แต่คงจะกลับแล้วเพราะไม่มีคนแถวนี้ชวนกินด้วย” พี่ปั่นทำท่าเหมือนจะเก็บของที่ถือมาและเหมือนจะลุกขึ้นยืนก่อนที่ผมจะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความเอือมระอาในอาการแกล้งน้อยใจของเจ้าตัวเสียจนเจ้าตัวต้องนั่งลงเหมือนเดิม


“กินด้วยกันไหมครับพี่ปั่น”


“พูดเพราะแบบนี้ตลอดได้รึเปล่าครับ?” คนตรงหน้าเอียงคอนิดๆพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ถ้าเป็นไอ้แป้งได้ยินคงกรี้ดไปแล้วแต่กับผมมันกลับรู้สึกขนลุกขนพองเสียมากกว่า


“ไม่ได้ครับ แล้ว..จะสั่งอะไรเพิ่มไหม?”









ป๊อก!


“กินไป กูอิ่มแล้ว” มือหนาดีดเข้าที่หน้าผากผมตามเคยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นระหว่างนั่งรอผมทานอาหารอยู่


“แล้วจะกลับตอนไหน?”


“เดี๋ยวกลับคอนโดไปเปลี่ยนชุดแล้วไปหาที่หอ”


“อือ”










หลังจากผมทานอาหารเสร็จเรียบร้อยผมก็ตั้งใจจะไปเดินซื้อของสดและของใช้ที่หมดก่อนกลับห้องคนเดียว ย้ำอีกครั้งว่าคนเดียว แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าตลอดเวลาที่ผมกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่จนชำระเงินค่าสินค้าที่ซื้อเสร็จจนเดินออกมาถึงลานจอดรถกลับเหมือนมีคนกำลังเดินตามผมอยู่ตลอด



ผมเปิดประตูหลังคนขับก่อนจะรีบโยนของทั้งหมดที่ซื้อเข้าไปในรถพร้อมกับรีบปิดประตูและกระโดดเข้ารถไป ผมก็งงว่าทำไมต้องกลัวขนาดนี้แต่รู้ตัวอีกทีผมก็ต้องใช้วิชาความยืดหยุ่นที่เรียนมาในการปีนจากเบาะหลังของรถมานั่งในที่นั่งของคนขับ แต่ยังไม่ทันที่จะสตาร์ทรถก็มีเสียงเคาะกระจกฝั่งด้านข้างคนขับดังขึ้น






ก๊อก ก๊อก



ผมหลับตาปี๋ด้วยความกลัวคิดไปเรื่อยว่าอาจะเป็นโจรที่มาดักปล้นหรือจะเป็นแฟนคลับไอ้พี่ปั่นที่พอรู้เรื่องเข้าจะมาดักทำร้ายร่างกายผม



ก๊อก ก๊อก ก๊อก




เอาวะเป็นไงเป็นกัน!




ผมทำใจดีสู้เสือก่อนจะตัดสินใจลืมตาขึ้นช้าๆพร้อมกับหันไปมองทางหน้าต่างก่อนจะพบกับสิ่งที่ผมรู้สึกผิดหวังมาก ไม่ใช่ผิดหวังกับสิ่งที่เห็น แต่ผิดหวังกับความกลัวปัญญาอ่อนของตัวเองเพราะนอกกระจกนั่นไม่ใช่โจรหรือแฟนคลับพี่ปั่นอย่างที่คิดไว้ แต่กลับเป็นไอ้แป้งที่กำลังยิ้มแป้นให้ผมผ่านกระจกรถอยู่


“แป้ง ไอ้เพื่อนเวร”


“กูขำ ฮ่า ฮ่า” ผมลดกระจกลงเพื่อพูดคุยกับเพื่อนสนิทที่ยืนหัวเราะคิกคักไม่หยุด


“ขำห่าอะไร กูกลัวชิพหาย ทำตัวลับๆล่อๆนะมึงอะ”


“ก็กูบังเอิญเจอมึงพอดี อยากแกล้งน้องกันนิดนึงอะไรอย่างนี้”


“กวนตีน แล้วจะไปไหนต่อเนี่ย”


“กลับห้อง ไปส่งกูทีสิ”


“เออๆ ขึ้นมา”


“เลิศ” ไอ้แป้งพูดก่อนจะเปิดประตูขึ้นรถมานั่งข้างคนขับและโยนของพะลุงพะลังที่มันน่าจะพึ่งช้อปปิ้งมาอย่างหนักหน่วงไปไว้เบาะหลัง











หลังจากออกจากห้างมาได้พักใหญ่แต่ด้วยการจราจรที่ค่อนข้างติดขัดทำให้ผมต้องนั่งฟังไอ้แป้งสาธยายเรื่องราวของมันในช่วงปีใหม่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆจนผมเริ่มรู้สึกเซ็งๆจึงตัดสินใจตัดบทขึ้นมาด้วยเรื่องของตัวเองที่คิดว่าเพื่อนสนิทที่ช่างสอดรู้สอดเห็นของผมก็คงอยากพูดคุยในหัวข้อสนทนานี้เช่นกัน


“มึงเห็นโพสต์ในเพจนั้นรึยัง?”


“โพสต์ไหนวะ..อ๋อ เออมึงแซ่บมาก พี่ปั่นเป็นคนไปบอกแอดมินเหรอวะ”


“ไม่รู้ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้”


“กระแสคือแรงกว่าไอ้เหนือได้เดือนมออะมึง”


“เพ้อเจ้อ เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ”


“แหมจ้า มึงพูดย่างกับพี่ปั่นเป็นคนโนเนมในมอ”


“อะไรๆถึงแล้ว ลงไปเลยมึงอะ” ผมขำเล็กน้อยกับการที่ไอ้แป้งดูจะอยากคุยต่อแต่ดันโชคร้ายที่ผมขับรถมาถึงหน้าคอนโดมันพอดีทำให้มันต้องเก็บของทั้งหมดของมันลงรถไป


“มีอะไรอัพเดตด้วยนะมึง ขาดตอนมาก”


“เออ ไว้เจอกัน”






**ใครรู้สึกหรือมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างก็ Comment มาเลยน้าาาา เรารออ่านอยู่**
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 23:34:03 โดย .ปีกนกฮูก »

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao3: พี่ปั่น หลับมาครบรอบนี้ชัดเจนมาก o13

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ bluepaperwater

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
เจอคำผิดค่ะ ฉิบหาย ค่ะ  ชิพหาย ผิดนะคะ

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เจอคำผิดค่ะ ฉิบหาย ค่ะ  ชิพหาย ผิดนะคะ

ขอโทษด้วยนะครับที่ใช้คำผิด ทราบแล้วครับจะพยายามใช้คำให้ถูกต้องนะครับ//แต่สำหรับบางประโยคที่เป็นภาษาพูดไม่ใช่ภาษาเขียนในบทบรรยายจะขออนุญาตใช้คำภาษาพูดตามเดิมนะครับ :pig4:

ออฟไลน์ suchadaploy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง <20>**อัพ 14.07.62
«ตอบ #46 เมื่อ14-08-2019 16:05:25 »

มาต่อเถอะค่า :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :mew6: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง <20>**อัพ 14.07.62
«ตอบ #47 เมื่อ26-08-2019 12:40:47 »

 :call: :call: :call:

ออฟไลน์ sarahwut032

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง <20>**อัพ 14.07.62
«ตอบ #48 เมื่อ26-08-2019 22:13:45 »

 :-[ :-[

ออฟไลน์ .ปีกนกฮูก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง**อัพ 21.10.62
«ตอบ #49 เมื่อ21-10-2019 22:09:35 »

 :katai4: :katai4: :katai4: ขอโทษที่หายไปนานเลย พอดีเราติดงานที่มหา'ลัยเพิ่งจะว่าง จะมาแจ้งว่า 20 ตอนที่ผ่านมาเรื่องหลักทั้งหมดได้จบไปแล้วนะะะ ส่วนอีก 2 ตอนต่อจากนี้ถือว่าจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง สัญญาว่าจะรีบปั่นมาให้อ่านให้เร็วที่สุดเลยยยย ส่วน special รอกันหน่อยน้าาาา  :katai4: :katai4: :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: SECOND CHANCE - แทนความคิดถึง**อัพ 21.10.62
« ตอบ #49 เมื่อ: 21-10-2019 22:09:35 »





ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด