[END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว - อัพเดท Special CH. - 17/09/2019  (อ่าน 14900 ครั้ง)

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

The Boy Next Home

#เกิดเป็นรักข้ามรั้ว

'ความบังเอิญ' มักจะมีอีกชื่อเรียกว่า 'พรหมลิขิต'


ชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี ขอคอมเม้นท์เป็นกำลังใจ เพื่อเอาไปพัฒนาและปรับปรุงด้วยนะคะ
และฝากติดแฮชแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วย... แวะมาพูดคุยได้ที่แอคทวิต @gade_ka ได้น้า
นิยายเรื่องนี้เป็นฟีลกู๊ดนะคะ อ่านสบายไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอแค่ยิ้มตอนอ่านมันก็พอ

ขอบคุณทุกคนล่วงหน้าเลยค่ะ

@gade_ka
2019.06.15
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2019 17:41:46 โดย Gade_ka »

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
Prologue ... แรกพบสบตา


"พี่ตะวันนนนนน!" เสียงเล็กๆ ร้องตะโกนเรียกพี่ชายลั่นบ้าน ทำเอาเจ้าของชื่อก้าวขาเรียวยาวรีบเดินเร็วๆ ตรงมายังห้องนั่งเล่น ที่ๆ เขาได้ยินเสียงร้องเรียกอันดังสนั่นของน้องชาย

"ว่าไงครับ ว่าไง พี่มาแล้วครับอาทิตย์" ตะวันเดินตรงไปยัวร่างเล็กที่ยืนจังก้ากอดอกอยู่กลางห้อง ท่ามกลางกล่องและลังที่วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

"อาทิตย์หาไอร่อนแมนที่คุณพ่อซื้อให้ไม่เจอ พี่ตะวันช่วยหาหน่อยสิคับ" เจ้าหนูน้อยพูดเสียงเข้มจริงจัง ซึ่งท่าทางที่แสดงออกขัดกับอายุวัยสามขวบกว่าๆ ของตัวเองเป็นอย่างมาก เรื่องแก่แดดทำตัวโตกว่าวัยน่ะ ยกให้เจ้าเด็กคนนี้ได้เลย

คนเป็นพี่สืบเท้าเข้าไปใกล้ๆ น้องชายที่อายุห่างกันเป็นสิบกว่าปี ก่อนจะลดตัวลงนั่งยองๆ เพื่อให้ความสูงระหว่างตนกับน้องเท่ากัน ทั้งที่ความจริงนั้นแทบจะไม่ต้องนั่งยองๆ เลยก็ได้ แค่ย่อเข่าตัวก็แทบจะเสมอเท่ากับน้องชายแล้ว ซึ่งพอพูดถึงเรื่องนี้แล้วตะวันก็ได้แต่เจ็บใจ ก็ใครใช้ให้เขาสูงแค่ร้อยหกสิบปลายๆ แบบนี้กัน จะว่าเป็นกรรมพันธุ์ก็ไม่น่าใช่ เพราะเจ้าอาทิตย์น้องชายของเขาก็สูงเอาๆ ทั้งที่อายุสามขวบกว่าๆ แท้ๆ ตอนนี้สูงแทบจะเลยเอวของเขาอยู่แล้วด้วยซ้ำ

"เดี๋ยวพี่ช่วยกลับมาหาครับ ตอนนี้เราต้องไปซื้อของที่ห้างใกล้ๆ นี้ก่อน" มือเล็กลูบศีรษะทุยของน้องชายอย่างเอ็นดู ยิ่งพอเห็นดวงตาใสแจ๋วของคนเป็นน้องจ้องกลับมาอย่างตั้งใจฟัง ตะวันก็อดอมยิ้มกับท่าทางของเจ้าตัวแสบไม่ได้

"ไปครับไป อาทิตย์อยากไปห้าง" เจ้าหนูน้อยยิ้มแฉ่ง มือเล็กของคนเป็นพี่เลยเอื้อมไปหยิกแก้มนิ่มนั่นเบาๆ

"แต่ต้องรีบไปรีบกลับนะครับ เรายังจัดของกันไม่เสร็จเลย เดี๋ยวคืนนี้ไม่มีห้องนอนแล้วจะยุ่งเนาะ" อาทิตย์พยักหน้าหงึกหงัก ราวกับจะบอกว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายพูดแล้ว

ตะวันจึงจัดการช้อนอุ้มเจ้าดวงอาทิตย์ตัวน้อย แล้วพาออกไปขึ้นรถยุโรปคันหรูที่จอดไว้หน้าบ้าน

"ไปห้าง ไปห้างงง~" เสียงพูดของคนเป็นน้อง และเสียงหัวเราะของพี่ชายดังประสานกันไปจนถึงรถ ก่อนที่ตะวันจะขับรถออกจากบ้านไป

... พลางคิดอย่างเป็นสุขว่า ขอให้วันนี้เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีด้วยเถอะ

.

.

.

“อาทิตย์ครับ มาจูงมือพี่มา เราต้องรีบซื้อของรีบกลับนะ ตามที่ตกลงกันไว้” เจ้าของร่างเล็กพูดย้ำพลางก้าวลงมาจากรถยนต์คันหรู ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อเปิดประตูฝั่งนั่งข้างคนขับ แล้วจัดการอุ้มเด็กน้อยวัยสามขวบกว่าลงจากคาร์ซีท มายืนนิ่งบนพื้นคอนกรีต ข้างรถยนต์ของตัวเองที่จอดนิ่งอยู่ในลานจอดรถของห้องสรรพสินค้าชื่อดัง

“คับ” เจ้าหนูอาทิตย์ ที่แม้จะยังพูดไม่ค่อยชัดเพราะออกเสียงควบกล้ำไม่ได้แต่ก็ช่างรู้ความ เพราะเมื่อได้ยินพี่ชายบอกแบบนั้น มือเล็กๆ ก็ถูกเอื้อมมาจับกับมือขาวนิ่มราวกับมือผู้หญิงของคนเป็นพี่ เป็นผลให้คนที่ถูกน้องชายจับมือแน่นต้องยิ้มกว้างออกมาด้วยความเอ็นดู

“ไปครับ ไปกัน” พอตะวันว่าจบก็จูงมือพาเจ้าหนูน้อยเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เพื่อเลือกซื้อของที่จำเป็นต้องใช้

หนุ่มน้อยสองวัยพากันเดินเข้าช่องนู้น ออกชั้นนี้ จนได้ของครบ และในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปที่แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงินนั้น อาทิตย์ก็เหลือบไปเห็นขนมยี่ห้อโปรดวางอยู่ที่ชั้น เลยกระตุกมือเรียกคนเป็นพี่ให้วุ่น

“พี่ตะวันๆ อาทิตย์อยากกกินขนมอันนั้นคับ”

ตะวันหันมองตามนิ้วเล็กๆ ที่ชี้ไปยังชั้นวางขนม ซึ่งมีขนมยี่ห้อโปรดของน้องชายวางอยู่ แถมยังเหลืออยู่เป็นห่อสุดท้ายอีกต่างหาก พอเห็นดังนั้น พี่ชายที่แสนอย่างตะวันดีจึงรีบจูงมือน้องเพื่อพาไปหยิบขนมห่อที่ว่า แล้วจะได้ไปชำระเงินรวมกับของที่เลือกมา

แต่ในขณะที่สองพี่น้องกำลังจะเดินไปถึงชั้นวางดังกล่าวนั้น จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ จูงมือเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับอาทิตย์ แต่เตี้ยกว่านิดหน่อยเดินตัดหน้า ก่อนจะตรงเข้าไปหยิบขนมที่เหลืออยู่ห่อสุดท้ายนั้นส่งให้เด็กชายคนที่ว่า พร้อมๆ กับที่เสียงเล็กๆ น่ารัก ของเจ้าเด็กน้อยนั่นดังขึ้น

“ขอบคุณคับปะป๊า น้องพีชอบกินอันนี้ๆ”

ตะวันอ้าปากค้าง พร้อมๆ กับที่เสียงของอาทิตย์โวยวายขึ้นอย่างไม่ชอบใจ เมื่อเห็นขนมของโปรด ถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตา

“พี่ตะวัน อันนั้นของอาทิตย์ อาทิตย์เห็นก่อนนะ คุณลุงคนนั้นมาแย่งขนมของอาทิตย์ได้ยังไง”

และแน่นอนว่าเสียงของเจ้าดวงอาทิตย์ตัวน้อยที่กำลังโกรธ ก็ดังมากพอที่จะเรียกความสนใจจากคุณลุงคนที่ว่าให้หันมามองได้ไม่ยากเช่นกัน

“เธอหมายถึงฉันเหรอเจ้าหนู?”

เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่หันกลับมา แล้วจูงเด็กน้อยน่ารักที่กำลังทำหน้าสงสัย เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของตะวันและน้องชาย ซึ่งพอคำนวณจากความสูงแล้ว เขาเทียบผู้ชายคนนั้นไม่ติดเลยสักนิด ตะวันสูงแค่ไหล่ผู้ชายคนนั้นเองด้วยซ้ำ เขาทั้งตัวใหญ่และสูงกว่า จนเจ้าของความสูงร้อยหกสิบกว่าๆ นึกหงุดหงิดที่ต้องแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อเจรจากับคนตรงหน้าให้รู้เรื่อง

และด้วยรูปร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่าย ก็ทำให้เจ้าดวงอาทิตย์ดวงน้อยถึงกับก้าวถอยหลังไปหลบหลังพี่ชายด้วยความกลัว เสียงที่แผดไปก่อนหน้า กลายเป็นเสียงสั่นๆ เรียกชื่อพี่ชายของตัวเองเหมือนเด็กที่ต้องการหาที่พึ่ง

“พี่ตะวัน...” ตะวันหันมองน้องชายด้วยความไม่สบายใจและติดจะไม่พอใจอีกฝ่ายนิดหน่อย...

รู้ก็ทั้งรู้ว่าเด็กกลัว ทำไมต้องมายืนข่มกันขนาดนี้ด้วย เขาเลี้ยงน้องชายมาแต่อ้อนแต่ออก อาทิตย์ไม่เคยมีท่าทางกลัวใครขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ซึ่งพอเห็นน้องชายเป็นแบบนี้ คนเป็นพี่อย่างเขาจึงคิดว่าอยู่เฉยไม่ได้ เลยตั้งใจว่าจะกางปีกปกป้อง และเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องชายอย่างสุดชีวิต

“ไม่เป็นไรนะครับอาทิตย์ ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวพี่จัดการให้ โอเคไหม” คนตัวเล็กกว่าหันไปโอบกอดพลางพูดปลอบคนเป็นน้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนตรงข้ามอีกครั้ง ยังไงขนมห่อนั้นก็ต้องเป็นของน้องชายเขา ...

ในเมื่ออาทิตย์เห็นก่อน อาทิตย์ก็ต้องได้กินสิ

“นี่คุณ” เสียงหวานที่เคยอ่อนโยนยามพูดกับน้อง ถูกปรับให้แข็งขึ้น “ขนมห่อนั้น น้องชายผมเห็นก่อนนะ คุณจะตัดหน้าเอาไปให้ลูกคุณแบบนี้ไม่ได้”

ใบหน้าน่ารักที่คล้ายคลึงกับเจ้าตัวน้อยที่แอบอยู่ด้านหลังพยักเพยิดไปที่เด็กชายอีกคนที่คนตัวโตกว่าจูงอยู่ คล้ายๆ จะบอกว่าให้เอาขนมที่อยู่ในมือเด็กน้อยคนนั้น คืนมาให้กับเขาที่กำลังเรียกร้องความเป็นธรรมที่น้องชายของตัวเองควรได้รับ

“แต่ผมเดินไปหยิบมาก่อนนะครับ” เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่โต้กลับเสียงเรียบ “ผมถึงก่อน หยิบก่อน ได้ของก่อน มันก็ถูกแล้วนี่ครับ”

ตะวันรู้สึกเหมือนเลือดในกายแล่นพล่าน เพราะถึงแม้คำพูดของอีกฝ่ายจะดูเรียบๆ ไม่ได้ประชดประชันอะไร แต่ท่าทางและการแสดงออกทางสีหน้านั้น เขาบอกเลยว่ามันช่างตรงกันข้าม ทั้งดูยียวนและน่าโมโหจนทำให้เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

“ไม่ถูก คุณขี้โกง คุณแค่ขายาวกว่าผมเลยเดินไปถึงก่อน คุณจะมาพูดจาเอาแต่ตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะ” ตะวันแหงนหน้าเถียงใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยอมลดละ

และดูเหมือนว่าเขาจะมุ่งความสนใจไปที่ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้า จนไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าน้องชายตัวน้อย ค่อยๆ ปลดมือออกจากมือของตัวเอง และเดินออกมาจากด้านหลังของเขา ตรงไปยังฝั่งตรงข้าม ตรงที่เด็กน้อยจิ้มลิ้มคู่กรณียืนอยู่

ซึ่งชายหนุ่มผู้เป็นพ่อของเจ้าหนูน้อยก็ไม่ได้รู้ตัวเช่นกันว่าลูกชายของตัวเอง เดินอุ้มห่อขนมออกมายืนห่างจากตัวเองแล้วเหมือนกัน เพราะมัวแต่นึกสนุกที่ได้ลับฝีปากกับเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่ยืนเถียงเค้าฉอดๆ อย่างไม่ยอมแพ้อยู่ตรงนี้

“การที่ผมสูงกว่าคุณเป็นความผิดเหรอครับนี่ ไม่ยักกะรู้เลยแฮะ” มุมปากหยักเป็นกระจับกระตุกยิ้มร้ายกาจ ยิ่งทำเอาคนตัวเล็กกว่าเผลอกำมือแน่นที่ถูกถากถางด้วยปมด้อยเรื่องความสูง

และยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม เมื่อประโยคร้ายกาจประโยคต่อมาหลุดออกมาจาปากของอีกฝ่าย

“ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ ก็คุณ.. อยากเตี้ยและขาสั้นกว่าผมทำไมล่ะครับ?”

“นี่คุณ!!” เสียงหวานถูกแผดออกมาดังลั่นยามเรียกฝั่งตรงข้ามด้วยความเหลืออด

และก่อนที่มหกรรมการถกเถียงระลอกสองจะเริ่มขึ้น เสียงเล็กๆ งุ้งงิ้งๆ ก็ลอยมาให้ได้ยินเสียก่อน ซึ่งนั่นก็ดูเหมือนจะเรียกสติของทั้งสองได้ด้วยเหมือนกัน

“คุณอาทิตย์ชื่ออาทิตย์หยอ? น้องพีชื่อน้องพีนะ” เด็กชายที่กอดห่อขนมไว้เป็นฝ่ายเริ่มทำความรู้จักก่อน “

อื้อ อาทิตย์ชื่ออาทิตย์” ส่วนเด็กชายที่ตัวใหญ่กว่าก็เริ่มพูดบ้าง เมื่อเห็นท่าทีที่เป็นมิตรของอีกฝ่าย “อาทิตย์อยากกินขนมอันนั้นอ่ะ”

น้องพีมองตามนิ้วของอาทิตย์ที่ชี้มายังห่อขนมที่ตัวเองกอดอยู่ ใบหน้าน่ารักดูงงๆ นิดหน่อย แล้วจากนั้นน้องพีจึงเอียงคอคิดประมวลผลอะไรบางอย่างก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาอีกประโยค

“เดี๋ยวน้องพีแบ่งให้คุณอาทิตย์กินด้วยเก๊าะได้” เสียงน่ารักของเด็กคนที่เตี้ยกว่าพูดอย่างฉะฉานราวกับเพิ่งตัดสินใจเรื่องสำคัญของชีวิตได้

“จริงเหรอ? จะให้อาทิตย์กินด้วยจริงๆ เหรอ?” ส่วนเสียงที่ดูตื่นเต้นๆ เสียงต่อมาก็เป็นของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อย ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะอารมณ์ดีกว่าตอนเมื่อกี้อยู่มากโข

“จริงสิ น้องพีไม่หยอก น้องพีแบ่งให้ๆ” เจ้าหนูน้อยน้องพีคนใจดีก็พูดย้ำพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง พลางจับมืออีกฝ่ายแกว่งไปแกว่งมาอย่างน่าเอ็นดู

“ไม่หยอกคืออะไร? หมายถึงไม่หลอกน่ะเหรอ?”

“อื้อ ไม่.. ไม่ หลอก” น้องพีมุ่ยหน้า นึกหงุดหงิดความพูดไม่ชัดของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ เค้นจนพูดคำที่ต้องการสื่อสารหลุดออกมาในที่สุด

“อาทิตย์เชื่อก็ได้ อาทิตย์ขอบคุณน้องพีมากนะ” เด็กชายยิ้มกว้างตอบไมตรีที่อีกฝ่ายมีให้

“งั้นคุณอาทิตย์กับน้องพีมาเป็นเพื่อนกันไหม? เป็นเพื่อนๆ” พอเห็นเขายิ้มให้ ใจเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาก็นึกทึกทักอยากเป็นเพื่อนกับคนตรงหน้า โดยลืมเรื่องราวก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น

“เอาสิ เราสองคนมาเป็นเพื่อนกันนะ” … ซึ่งแน่นอนว่าหนูน้อยอาทิตย์เองก็ไม่ได้ติดขัดอะไร

ส่วนผู้ใหญ่สองคนที่ฟังบทสนทนาก็ได้แต่อ้าปกค้าง ที่เขาทั้งคู่ทะเลาะกันดูเป็นเรื่องไร้สาระขึ้นมาทันที เมื่อเด็กๆ ไม่ไม่ได้ดูเป็นเดือดเป็นร้อนเท่าผู้ใหญ่เลยสักนิด หนำซ้ำตอนนี้ยังเป็นเพื่อนกันไปแล้วอีกต่างหาก

โบราณเขาถึงได้บอกไว้ ว่าเด็กๆ ทะเลาะกันแปปเดียวเดี๋ยวก็ดีกันแล้ว คนเป็นผู้ปกครองไม่ต้องลงไปทะเลาะร่วมด้วยหรอก เพราะไม่เช่นนั้นเหตุการณ์มันก็จะกระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบที่ตะวันและปะป๊าของน้องพีเผชิญอยู่ตอนนี้นี่แหละ

"ปะป๊าๆ น้องพีแกะกินก่อนจ่ายเงินได้ไหมคับ น้องพีหยักแบ่งให้คุณอาทิตย์กินด้วย"

เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา ร้องถามคนเป็นพ่อด้วยความสงสัย ในขณะที่คนเป็นพ่อได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะตอบยังไงเนื่องจากกำลังอึ้งอยู่ แต่ก็อึ้งได้ไม่นาน สุดท้ายก็ต้องหลุดขำความเป็นผ้าขาวของเด็กทั้งสองออกมาอยู่ดี

"น้องพีเอามาให้ป๊าก่อนมาลูกมา เดี๋ยวปะป๊าเดินเอาไปจ่ายเงินให้ แคชเชียร์อยู่ตรงนี้เอง"

เด็กน้อยยิ้มร่าก่อนจะโผเข้าไปหาพ่อตัวเอง แต่ก็ไม่วายหันมากำชับจริงจังกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ

"คุณอาทิตย์รอน้องพีอยู่ตงนี้น้าา เดี๋ยวน้องพีมา แปปเดียวๆ"

แต่ยังไม่ทันได้ออกเดิน คุณป๊าของน้องพีก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อน

"อาทิตย์ไปด้วยกันกับลุงไหมล่ะ เดี๋ยวจ่ายเงินเสร็จแล้วจะแกะได้กินกับน้องพีเลย"

ซึ่งพอตะวันได้ยินไอ้คนตัวโตนั่นชวนน้องชายตัวเองแบบนั้น เขาก็จัดแจงจะพูดขัดทันที

"มะ..ไม่..."

"ไปคับคุณลุง" แต่ก็ไม่ทันอาทิตย์ที่ชิงตอบคนแปลกหน้าก่อนที่ตะวันจะได้เอ่ยจนจบประโยค

หนำซ้ำพอพูดจบเจ้าอาทิตย์ตัวแสบก็วิ่งตัวปลิวไปคว้ามือเล็กๆ ของเพื่อนใหม่อย่างน้องพีขึ้นมาจูง ก่อนจะพากันเดินไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน ปล่อยให้เขายืนอ้าปากค้าง แถมยังได้รับสายตาขบขำล้อเลียน จากไอ้คนตัวโตนั่นกลับมาอีกต่างหาก

ตะวันนึกอย่างหงุดหงิดใจ หงุดหงิดทั้งน้องตัวเองที่ยอมตามคนอื่นไปง่ายๆ กับหงุดหงิดที่เหมือนว่าเขาจะแพ้ผู้ชายคนนั้นอย่างราบคาบ

คอยดูนะ กลับบ้านไปเขาจะต้องจัดการอบรมเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยกใหญ่ ไม่ให้ทำแบบนี้อีก มีอย่างที่ไหนเดินตามคนอื่นไปต้อยๆ แบบนี้ถ้ามีคนมาหลอกลักพาตัวไป จะไม่แย่เอาเหรอ

คนตัวเล็กตัดสินใจเดินตามคนทั้งสามไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ขนมห่อนั้นถูกจ่ายเงินและแกะห่อเรียบร้อยแล้ว โดยที่น้องพีกำลังยื่นขนมหลายชิ้นให้กับอาทิตย์ที่กำลังยิ้มร่าเพราะได้กินของโปรด

"น้องพีแบ่งให้ อ่ะๆ" ขนมยังคงถูกส่งต่อมาที่อาทิตย์เรื่อยๆ จนตะวันเดินมาหยุดยืนข้างน้องชายตัวเองในที่สุด

"ขอบคุณมากนะน้องพี อาทิตย์ชอบกินขนมอันนี้มากๆ เลย"

"น้องพีเก๊าะชอบๆ" แล้วเด็กสองคนหัวเราะสดใสส่งให้กันโดยไม่รู้เลยว่าผู้ใหญ่กลับตรงกันข้าม เพราะกำลังแผ่รังสีอำมหิตใส่กันอยู่

และสุดท้ายก็เป็นตะวันที่ยอมแพ้ เลือกที่จะตัดปัญหาและปล่อยผ่านทุกอย่าง โดยการพาอาทิตย์แยกออกมา เมื่อเห็นว่าน้องชายตัวเอง กินขนมของน้องพีไปหลายชิ้นแล้ว

"พอได้แล้วครับอาทิตย์ เราต้องรีบกลับบ้านนะ พี่บอกอาทิตย์ไว้ว่ายังไง อาทิตย์จำไม่ได้เหรอ" เจ้าตัวน้อยหน้ามุ่ยลงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าจำยอม

และเมื่อตกลงกับคนของตัวเองได้ ตะวันก็ผินหน้ากลับไปที่เด็กอีกคน ก่อนจะนั่งยองๆ ลงเพื่อให้ความสูงของตัวเองเสมอกับน้องพี จากนั้นก็ยกมือเล็กขึ้นลูบบนศีรษะกลมของเด็กน้อยเบาๆ

"พี่ตะวันขอบคุณน้องพีมากเลยนะครับ ที่อุตส่าห์แบ่งขนมให้อาทิตย์ได้กินด้วย" พี่ชายของเจ้าอาทิตย์พูดขอบคุณหนูน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ซึ่งก็สามารถเรียกรอยยิ้มจากน้องพีกลับมาได้ไม่ยาก

"น้องพีเต็มใจคับ! เพราะคุณอาทิตย์เป็นเพื่อนน้องพี" เจ้าหนูตอบเสียงใสอย่างโอบอ้อม ตะวันคิดในใจว่าน้องพีช่างเป็นเด็กน่ารักมากๆ ฉลาด มีน้ำใจ แถมยังสุภาพอีกต่างหาก ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกของผู้ชายหยาบคายคนนี้เลย และในขณะที่นึกนินทาอีกฝ่ายอยู่ในใจ น้องพีก็พูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค ที่ทำเอาตะวันแทบล้มทั้งยืน

"แต่พี่ตะวันครับ .. น้องพีไม่ได้เป็นคนจ่ายค่าขนมนะคับ ปะป๊าเป็นคนจ่าย" และเพราะประโยคนั้นทำให้ตะวันต้องลุกขึ้นยืนและหันไปมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อน้องพีช้าๆ

"ใช่ครับผมเป็นคนจ่าย ที่จริงคุณต้องขอบคุณผมด้วยนะถึงจะถูก" ตะวันได้แต่กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจเพราะมั่นใจว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายแกล้ง

ก็แหม.. จะให้ไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ทำหน้าตากวนประสาทแถมยังกลั้นขำราวกับสะใจมากขนาดนั้น แต่เขาก็โต้ตอบหรือทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากตอบออกไปในที่สุด

"ขอบคุณคุณด้วยนะครับ" ตะวันพูดเสียงกระชาก ก่อนโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่าย เพื่อที่จะกระซิบบอกอีกหนึ่งความตั้งใจของตัวเองที่อยากจะพูดนอกเหนือจากคำขอบคุณ และที่ต้องเข้าใกล้คนตัวโตกว่านั่นก็เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ที่ยังไม่ประสีประสาอะไรได้ยินในสิ่งที่เขากำลังจะพูด เนื่องจากมันเป็นประโยคที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่

"… แต่ทีหลังก็ขอให้ไม่ต้องมาเจอะมาเจอกันอีก บอกตรงๆ ว่าผมโคตรไม่ชอบขี้หน้าคุณเลย กวนประสาท!"

แต่แทนที่คนที่ถูกเกลียดขี้หน้าจะโกรธหรือโวยวายกับคำพูดของตะวัน คุณปะป๊าของน้องพีกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจแทน

"โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนนะครับ เราอาจจะได้เจอกันอีกในเร็ววันก็ได้ ใครจะรู้"

ตะวันเบ้ปาก ไม่ใส่ใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพราะมั่นใจว่าตัวเองและน้องจะต้องไม่ได้เจอคนๆ นี้อีกเป็นแน่ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเตรียมจูงเจ้าอาทิตย์เดินออกมา แต่ก็ไม่วายหันไปลาน้องพีอีกรอบ

"พี่ไปก่อนนะครับน้องพี ไว้คราวหน้ามาเจอกันเนาะ” … ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีอีกแน่ๆ

ขอโทษนะครับน้องพีที่พี่ตะวันโกหก ... เขารู้ว่าการโกหกเด็กน้อยเป็นสิ่งไม่ดี แต่ให้ทำยังไงได้ล่ะ เพราะถึงตะวันจะไม่ชอบคุณปะป๊าของน้องพี แต่คนลูกนั้นตรงกันข้าม ตะวันนึกถูกชะตาและตกหลุมให้กับความน่ารัก สุภาพ และสดใสของน้องพีไม่น้อย

ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับมาเล่นด้วยอีกนานๆ เพราะดูท่าแล้ว เจ้าดวงอาทิตย์ของเขาก็น่าจะชอบน้องพีไม่น้อยเหมือนกัน .. ถ้าดูจากใบหน้าที่มู่ทู่แล้ว มู่ทู่อีก เมื่อเขาพยายามจะพาเจ้าตัวน้อยกลับบ้าน

แต่ก็นั่นแหละ ตะวันไม่ชอบไอ้คุณขี้เก๊กนั่น! ถ้าเป็นไปได้ชาตินี้ไม่ต้องพบเจอกันอีกเลยยิ่งดี

"คับ... บ๊ายบายนะคุณอาทิตย์" น้องพีเองก็บอกลาเขากับน้องเช่นกัน

"บ๊ายบายนะน้องพี"

เจ้าอาทิตย์ตัวแสบถึงกับหงอย เมื่อต้องแยกกับเพื่อนที่ดูเหมือนว่าเขาจะชอบมากๆ เพราะจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ไม่รู้

เมื่อเด็กทั้งสองร่ำลากันเรียบร้อย ตะวันก็พาน้องชายเดินออกมาจากที่ตรงนั้นพร้อมกับก่นด่าและนึกแช่งชักในใจว่า เขาจะไม่มีวันไปพบไปเจอไอ้คนห่วยแตกคนนั้นอีกตลอดชีวิตแน่ๆ

ไม่มีวัน!

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------------------------------

TALK: ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ ฝากพี่ตะวัน คุณปะป๊า คุณอาทิตย์ แล้วก็น้องพีไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยยย

ชอบไม่ชอบยังไง คอมเม้นท์ติชมกันได้น้าาา หรือไม่ก็ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วย แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ขอบคุณทุกๆ คนที่แวะเข้ามามากๆ เลยค่ะ ขอบคุณนะคะ ❤

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
Chapter 1st ... บ้านหลังใหม่



“อาทิตย์รู้ใช่ไหมครับ ว่าวันนี้ตัวเองมีความผิดเรื่องอะไร?” ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ตะวันก็พาน้องชายตัวแสบมานั่งอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่นของบ้าน


ในขณะที่เด็กชายเองก็รู้ตัวดีว่าวันนี้ต้องถูกพี่ชายดุแน่ๆ เลยได้แต่นั่งหน้าหงอย ซึ่งโดยปกติแล้วตะวันเป็นคนใจดี ค่อนจะติดไปทางตามใจเจ้าหนูน้อยเลยด้วยซ้ำ


แต่เมื่อไหร่ที่อาทิตย์ทำความผิด ไม่ว่าความผิดนั้นจะแค่เล็กน้อยหรือใหญ่โตก็ตาม พี่ชายที่แสนใจดีจะกลายร่างเป็นคนเข้มงวดทันที และนี่ถือเป็นกฎเหล็กระหว่างสองคนพี่น้อง ที่ตะวันไม่เคยอ่อนข้อให้เจ้าหนูน้อยน่ารักเลยสักครั้ง


“รู้คับ อาทิตย์ขอโทษนะคับพี่ตะวัน”


อาทิตย์ตอบเสียงหงอย รู้ดีว่าพี่ตะวันต้องไม่ชอบใจมากแน่ๆ ตอนที่เขาวิ่งตามคุณปะป๊าของน้องพีไป


เพราะพี่ตะวันเคยสอนเสมอว่า ห้ามตามคนแปลกหน้าไปไหนเด็ดขาด ซึ่งเจ้าหนูน้อยเองก็ทำตามที่พี่ชายสั่งไว้มาโดยตลอด เพิ่งจะมีแค่ครั้งนี้ที่เขาลืมคิดไป เพราะพอได้เพื่อนใหม่อย่างน้องพี ได้กินขนมที่ตัวเองชอบ อาทิตย์ก็แทบจะลืมสิ้นทุกอย่าง ตามประสาเด็กน้อยที่บางครั้งก็ต้องมีผู้ใหญ่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด


"ทีหลังอาทิตย์ห้ามทำอย่างนี้นะครับ คราวนี้เราโชคดีที่ได้เจอน้องพี แต่ครั้งต่อไปถ้าไปเจอพวกหลอกเด็กไปขาย อาทิตย์จะทำยังไงหื้ม?”


ทันทีที่คำถามของคนเป็นพี่จบลง หน้าที่หงอยอยู่แล้วของเจ้าหนูน้อยก็ยิ่งหงอยลงไปอีก จนทำเอาคนเห็นภาพตรงหน้าอย่างตะวัน อดใจอ่อนไม่ได้


ตะวันขยับตัวทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับน้องชาย ก่อนที่จะจับเด็กชายขึ้นมานั่งบนตัก พลางจูบลงบนขมับเล็กๆ ของเด็กวัยสามขวบกว่า แล้วเริ่มพูดอย่างใจเย็น


“พี่รักอาทิตย์มาก ถ้ามีคนขโมยอาทิตย์ของพี่ไป พี่ต้องใจสลายแน่ๆ ไหนจะคุณพ่อกับคุณแม่อีก พี่จะบอกท่านทั้งสองยังไง แค่น้องชายคนเดียวพี่ก็ดูแลไม่ได้ พวกท่านคงจะทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ อาทิตย์อยากให้เป็นแบบนั้นเหรอครับ?”


คนเป็นพี่ค่อยๆ สอนน้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตะวันรู้ดีว่าโดยพื้นฐานอาทิตย์ไม่ใช่เด็กดื้อ ในทางตรงกันข้ามน้องเชื่อฟังเขาเกือบจะทุกเรื่องเลยด้วยซ้ำ เพราะส่วนใหญ่แล้วก็เป็นตะวันนี่แหละที่เป็นคนเลี้ยงดูอาทิตย์มาตั้งแต่เด็ก


“ไม่คับ อาทิตย์ไม่อยากโดนขโมยไป อาทิตย์อยากอยู่กับพี่ตะวัน อยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่” ใบหน้าเล็กๆ แหงนเงยมองพี่ชาย ก่อนที่ศีรษะกลมจะสะบัดส่ายปฏิเสธให้กับคำถามที่ตะวันถามมาก่อนหน้า


ตะวันเองพอเห็นท่าทางแบบนั้นของน้องก็นึกสงสารอยู่ในใจ จึงกระชับอ้อมกอดฝังเจ้าเด็กน้อยเข้ามากับอก พร้อมกับจูบหน้าผากปลอบประโลมไม่ให้น้องชายตื่นกลัวไปมากกว่าที่เป็น แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงใจดี แบบที่เขาให้กับคนเป็นน้องมาตลอดตั้งแต่อาทิตย์ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้


“เพราะฉะนั้นต่อไปในวันข้างหน้า อาทิตย์ต้องไม่ไปไหนกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าอีกนะครับ ถึงต่อให้อาทิตย์จะรู้จักเขาแล้วแบบที่อาทิตย์รู้จักคุณปะป๊าของน้องพีวันนี้ อาทิตย์ก็ห้ามตามเขาไป ยกเว้นแต่ว่าพี่หรือคนในครอบครัวของเราอนุญาตแล้ว อาทิตย์ถึงจะไปกับคนๆ นั้นได้” ตะวันลูบศีรษะน้องเบาๆ ก่อนจะย้ำ “อาทิตย์เข้าใจที่พี่ตะวันบอกใช่ไหมครับ?”


ดวงตากลมโตใสแจ๋วแบบเดียวกับดวงตาของตะวันจ้องมองคนเป็นพี่อย่างตั้งใจ พร้อมทั้งพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน


“อาทิตย์เข้าใจแล้วครับ อาทิตย์สัญญาว่าจะไม่ไปไหนกับใครอีกมั่วๆ อีก ... พี่ตะวันเชื่ออาทิตย์น้า” เจ้าหนูน้อยออดอ้อนด้วยการเอาศีรษะเล็กๆ ถูกับอกบางของคนเป็นพี่ด้วยท่าทีที่เหมือนลูกแมวก็ไม่ปาน จนทำเอาเจ้าของอกเล็กๆ บางๆ หัวเราะเสียงใสให้กับท่าทางของน้องชายที่เขาได้เห็น


“ฮ่าๆๆ เชื่อครับ เชื่อครับ พี่ตะวันเชื่ออาทิตย์ครับ… เป็นอันว่าเราสองคนสัญญากันแล้วนะ มาๆ เกี่ยวก้อย”


เจ้าดวงอาทิตย์ดวงน้อยยิ้มแฉ่งก่อนจะยื่นนิ้วก้อยเล็กๆ ไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยเรียวของคนเป็นพี่ที่รอท่าอยู่ก่อนหน้าแล้วอย่างตั้งใจ


“สัญญาคับ อาทิตย์จะไม่ดื้อ จะไม่ซน จะเชื่อฟังพี่ตะวันที่สุดในโลกเลย”


ตะวันหัวเราะ ก่อนจะแซวเจ้าเด็กปากหวานอย่างรู้นิสัย “ให้มันจริงเถ๊อะ เจ้าเด็กทะเล้น”


สองพี่น้องกอดกันแน่นโดยที่ตะวันวาดแขนเรียวโอบกอดร่างเล็กของน้องชายใว้ ในขณะที่แขนเล็กๆ ของคนเป็นน้องก็คล้องรอบคอพี่ชายไม่ห่าง เป็นภาพความอบอุ่นที่ทั้งสองมีมาให้กันตลอด แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม


.


.


.


หลังจากพาน้องชายกินข้าวเย็น เก็บของบางส่วน และจัดห้องนอนให้น้องเรียบร้อยแล้ว ตะวันก็พาอาทิตย์อาบน้ำอาบท่าเสียหอมฟุ้ง พอดีกับที่เหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่า ได้เวลาเข้านอนของคนเป็นน้องพอดี เขาจึงจับเจ้าตัวแสบพาไปที่ห้อง ให้ปีนขึ้นเตียงนอน ส่วนตัวเองก็ไปเลือกนิทานเล่มโปรดของเจ้าหนูน้อยมาสองสามเรื่องเพื่อให้เจ้าตัวเลือก ว่าจะให้เขาเล่าเรื่องไหนให้ฟังก่อนเข้านอน


“วันนี้เอาเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์คับพี่ตะวัน”


ตะวันแอบอมยิ้ม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกอาทิตย์เลือกให้เขาอ่านให้ฟังบ่อยที่สุด ไม่รู้จะติดใจอะไรนักหนา


“กาลครั้งหนึ่งนามาแล้ว...”


แล้วตะวันก็เริ่มอ่านนิทานไปตามเรื่องราวในหนังสือที่เขาเกือบจะจำได้ครบทุกตัวอักษร น้ำเสียงหลากหลายถูกนำมาใช้ในการอ่านเพื่อให้น้องได้รู้สึกตื่นเต้น จนอ่านไปได้ไม่ถึงครึ่ง เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็ผล็อยหลับไปทั้งที่มือยังกำอยู่ที่ชายเสื้อเขาแน่น


ตะวันส่งยิ้มเอ็นดูให้น้อง ก่อนที่จะคลายมือของเจ้าหนูน้อยที่กำเสื้อเขาอยู่ออก แล้วจับท่าทางการนอนของอาทิตย์ให้อยู่ในสภาพปกติ พร้อมทั้งห่มผ้า ปิดไฟดวงใหญ่และเปิดโคมไฟดวงน้อยไว้แทน จากนั้นก็ก้มลงจูบหน้าผากเล็กๆ ของน้องเบาๆ อย่างแสนรัก


คนเป็นพี่ยืนมองน้องชายในยามหลับใหลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะคิดได้ว่ามีของบางอย่างที่ยังจัดไม่เรียบร้อย ห้องนอนเขาเองก็ด้วย สงสัยคืนนี้จะต้องมาขอเบียดเบียนเจ้าตัวเล็กนอนด้วยสักคืน


ตะวันเลยตั้งใจว่าจะลงไปจัดข้าวของที่ห้องด้านล่างต่ออีกสักหน่อย ค่อยขึ้นมานอน ไหนๆ ก็มีเวลาว่างพรุ่งนี้อีกทั้งวัน ค่อยทำให้เสร็จในวันพรุ่งนี้ก็ได้


ในขณะที่ครุ่นคิดวางแผนนั่นนี่มากมาย ดวงตากลมใสแจ๋วสีน้ำตาลเข้มแบบเดียวกับเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็เหลือบไปเห็นว่า ไฟของบ้านข้างๆ ยังเปิดสว่างอยู่ นั่นทำให้ตะวันคิดได้ว่า ตัวเขาและน้องยังไม่ได้ไปทำความรู้จักใครหรือบ้านหลังไหนในละแวกนี้ไว้เลย


พอนึกได้แบบนั้นตะวันเลยตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะทำขนมอร่อยๆ สักอย่างแล้วเอาไปฝาก โดยเริ่มจากข้างบ้านนี่ล่ะ จะได้ถือเป็นการทำความรู้จักไปด้วยในตัว อย่างไรเสียเขาก็คงต้องอยู่ที่นี่อีกนาน อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะจนกว่าพ่อและแม่จะกลับมาจากสหรัฐอเมริกาซึ่งตะวันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่


เนื่องจากพวกท่านเองก็บอกเวลาที่แน่นอนไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจให้กับเรื่องราวของพ่อและแม่ตัวเอง พลางมองไปยังร่างเล็กที่หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว ดีแค่ไหนแล้วที่อาทิตย์เป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าครอบครัวเขาจะวุ่นวายมากกว่านี้อีกสักเท่าไหร่ ... แค่คิดตะวันก็เหนื่อยใจแล้ว


.


.


.


พอลงมาถึงด้านล่าง ตะวันก็เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นพลางสะบัดแขนขาเล็กน้อย ก่อนจะลงมือจัดข้าวของต่อก่อนที่เวลาจะล่วงล่วงเลยไปจนดึกมากกว่านี้


เจ้าของร่างเล็กกวาดตามองรอบๆ บ้านอย่างชอบใจ พลางนึกย้อนไปถึงวันที่มาดูบ้านหลังนี้ครั้งแรก เขาชอบมันทันทีที่เห็น ด้วยบริเวณและพื้นที่รอบๆ บ้านที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีทั้งที่จอดรถและสนามหน้าบ้านเล็กๆ เอาไว้ให้เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยวิ่งเล่น นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ตะวันตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ทันที และบอกพ่อกับแม่ว่าที่นี่เป็นที่ๆ เขารู้สึกชอบและถูกใจมากกว่าที่อื่นๆ


ซึ่งนอกเหนือจากบริเวณพื้นที่ในบ้านแล้ว สภาพแวดล้อมโดยรวมก็ถือว่าดีมากๆ ด้วย บ้านแต่ละหลังตั้งห่างกันในระยะที่พอดี ไม่ได้ใกล้ชิดจนเกินไปทำให้รู้สึกถึงความไม่เป็นส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้ไกลเกินกว่าที่จะเดินไปขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน


และจากคาดคะเนของตะวันแล้ว ดูเหมือนบ้านข้างๆ จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการผูกมิตร เพราะวันนี้ทั้งวันตั้งแต่เขาย้ายมา ก็เพิ่งจะได้เห็นว่ามีบ้านหลังติดๆ กันนี่แหละที่มีคนอยู่ และอาจจะเพิ่งกลับมาตอนเย็นๆ เหมือนเขาด้วย เพราะเมื่อกลางวันก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร


ส่วนหลังอื่นๆ นั้นตะวันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ด้วยความที่อยู่ห่างกันพอสมควร เขาเลยตั้งใจว่าหลังจากฝากเนื้อฝากตัวกับบ้านข้างๆเสร็จ อาจจะตระเวนสำรวจละแวกบ้านใกล้ๆ กันด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ไปขอพึ่งพาอาศัยได้ไม่ลำบาก เพราะตัวเขาเองก็อยู่กับเด็กเล็กแค่สองคน และถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นผู้ชาย แต่ตะวันก็ยอมรับและทำใจกับสภาพร่างกายของตัวเองพอสมควร ว่าหุ่นแบบนี้หากเกิดเหตุอะไรไม่คาดฝัน เขาคงเอาตัวรอดได้แค่ส่วนหนึ่งแน่ๆ ถามว่าทำไมน่ะหรอ?


.... นั่นก็เพราะเขาเป็นผู้ชายไซส์มินิ หรือจัดว่าตัวค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับชายหนุ่มในวัยเดียวกัน ... เรียกว่าเตี้ยก็ได้ ไม่ถือ


‘ตะวัน’ หรือ ‘ภานรินทร์ รุ่งวิริยะจรรยา’ เป็นเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดย่างยี่สิบสองปี เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ ในสาขาเกี่ยวกับการทำขนมและอาหาร ครอบครัวของตะวันประกอบด้วยคนสี่คนก็คือตัวเขา พ่อกับแม่ คุณภาสกรและคุณรวิวรรณ รุ่งวิริยะจรรยา และสุดท้ายน้องชายจอมแสบ ‘อาทิตย์’ หรือ ‘เด็กชายภานวีย์ รุ่งวิริยะจรรยา’ ผู้ซึ่งอายุห่างจากเขาถึงสิบแปดปี เป็นพี่น้องที่อีกนิดก็เป็นลูกได้แล้ว


สาเหตุก็เนื่องมาจากพ่อและแม่ของเขาเป็นนักวิจารณ์อาหารชื่อดังในระดับโลก ท่านทั้งสองพบรักกันก็เพราะการวิจารณ์อาหารนี่แหละ ทั้งคู่ตกหลุมรักกันและกันเร็วมาก ศึกษาดูใจกันอยู่ไม่ถึงปีก็แต่งงาน จากนั้นตะวันก็เกิดขึ้นมาในขณะที่พ่อกับแม่อายุยังไม่มากเท่าไหร่ ทั้งสองเลี้ยงดูตะวันแบบเพื่อน ให้อิสระเสรีตะวันทุกอย่าง อิสระมากจนบางทีทั้งคู่ก็บินไปวิจารณ์อาหารที่ประเทศไหนต่อไหน ทิ้งให้เขาอยู่ประเทศไทยคนเดียวได้โดยไม่กังวล


เวลาต้องไปชิมอาหารที่ต่างประเทศ พวกท่านก็จะไปด้วยกันตลอด แรกๆ ก็หนีบเอาตะวันไปด้วย แต่พอบ่อยๆ ครั้งเข้าตะวันก็เริ่มเบื่อเพราะการนั่งเครื่องบินนานๆ และไปเมืองนั้นเมืองนี้บ่อยๆ ทำให้ตะวันนึกเอียน


พอจนถึงวันนึงที่เขาโตพอจะดูแลตัวเองได้ ก็เลยขอพ่อกับแม่ว่าไม่อยากไปด้วยอีก ขออยู่เรียนหนังสือ ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปทำกิจกรรมอื่นๆ แบบที่วัยรุ่นเขาทำกันที่ประเทศไทยดีกว่า ปล่อยให้พ่อกับแม่ไปกันสองคนพอ ดังนั้นตะวันจึงไม่เคยนึกน้อยใจสักครั้งเวลาที่ต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว นั่นเป็นเพราะมันคือสิ่งที่เขาต้องการเอง


แน่นอนว่าพ่อและแม่ของตะวันไม่เคยบกพร่องในการทำหน้าที่ของการเป็นบุพการีและผู้ปกครองให้กับเขาเลยสักครั้ง ตะวันได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่เหมือนเด็กคนอื่น บางทีก็ติดจะมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เพียงแค่พวกท่านอาจจะแปลกกว่าพ่อแม่คู่อื่นๆ อยู่นิดหน่อย ตรงที่พวกท่านรักกันและกันมากเหลือเกิน แต่งงานกันเป็นสิบๆ ปี จนเขาโตเป็นหนุ่ม ทั้งสองก็ยังรักและแสดงความรักต่อกันและกันอย่างเปิดเผย ไม่เคยนึกอายเลยสักครั้ง


และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับครอบครัวเขาจนได้


เพราะไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ไปทัวร์วิจารณ์อาหารกันอีท่าไหน จู่ๆ วันหนึ่งช่วงก่อนที่เขาจะเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย อาจจะสักมัธยมที่ห้าหรือหกนี่แหละ ตอนที่ตะวันกำลังนั่งเล่นเกมส์เพลย์สเตชั่นอยู่ที่ห้องโถงของบ้านหลังใหญ่กลางเมือง พ่อกับแม่ที่น่าจะเพิ่งกลับจากอิตาลี เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับยิ้มกว้างแล้วบอกว่าตอนนี้ตั้งท้องน้องได้สองเดือนกว่าๆ แล้ว ซึ่งสร้างความตกใจให้แก่ตะวันเป็นอย่างมาก เพราะเวลานั้นพวกท่านก็ค่อนข้างมีอายุมากพอสมควรแล้ว


ตะวันกังวลมากเพราะกลัวว่าน้องที่กำลังจะเกิดมาอาจจะไม่สมบูรณ์หรือแข็งแรงเหมือนเด็กอื่น แต่ก็ผิดคาด เพราะแม่คลอดเจ้าอาทิตย์ออกมาได้อย่างปลอดภัย จ้ำม่ำ และดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าเด็กอื่นด้วยซ้ำ ซึ่งคุณหมอบอกว่าอาจจะเป็นเพราะพ่อกับแม่ของตะวันเป็นคนสุขภาพดีและเดินทางไปนั่นมานี่ตลอด ทำให้สภาพร่างกายค่อนข้างและแข็งแรงและกระฉับกระเฉง เลยเป็นเหตุผลให้อาทิตย์คลอดออกมาอย่างสมบูรณ์ ปลอดภัย น่ารักน่าหยิก ให้คนเป็นพี่อย่างตะวันหลงน้องเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น


และหลังจากที่คลอดเจ้าอาทิตย์เด็กน้อยออกมาแล้ว หน้าที่ของการดูแลน้องก็ผูกขาดโดยตะวันอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาติดน้องมาก ซึ่งตอนนั้นตะวันก็เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมาพักหนึ่งแล้ว และเนื่องจากเป็นการเรียนเกี่ยวกับการทำขนมและอาหาร ตะวันจึงพอมีเวลาว่างที่จะเอามาใช้อยู่กับน้องได้มากกว่าพ่อและแม่ ที่ต้องบินไปทำงานที่ต่างประเทศบ่อยๆ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกส่วน เพราะช่วงนั้นพ่อและแม่ของตะวันมีงานเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมากเนื่องจากความมีชื่อเสียง จนทำให้คนทั้งคู่แทบไม่ได้อยู่ติดประเทศเลยด้วยซ้ำ จึงเป็นเหตุผลที่ตะวันต้องเป็นหลักในการเลี้ยงดูอาทิตย์


ซึ่งก็มีพี่เลี้ยงเด็กที่แม่จ้างไว้ให้คอยช่วยเขาเลี้ยงอีกแรง แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ตะวันก็ไม่ค่อยให้น้องชายอยู่กับพี่เลี้ยงตามลำพังสักเท่าไหร่ นอกเสียจากเขาไม่ว่างหรือติดพันเกี่ยวกับเรื่องเรียนจริงๆ ตะวันถึงจะปล่อยให้พี่เลี้ยงรับหน้าที่แทน


ดังนั้น ตั้งแต่อาทิตย์เกิดจนโตเป็นหนุ่มน้อยวัยเตรียมอนุบาลได้อย่างแข็งแรงและสดใสนี่ก็เพราะฝีมือของพี่ชายอย่างตะวันทั้งสิ้น


และในวันนี้เมื่อพ่อกับแม่ของเขาถูกจ้างให้ไปเป็นนักวิจารณ์อาหารประจำอยู่ที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา โดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่าต้องอยู่นานแค่ไหน จึงไม่ได้ทำให้เขาเครียดสักเท่าไหร่ เพียงต้องวางแผนการใช้ชีวิตของเขากับน้องให้รัดกุมมากกว่าเดิมก็แค่นั้น


ตะวันคิดตรึกตรองอยู่นาน สุดท้ายเขาก็บอกความต้องการของตัวเองให้พ่อกับแม่รู้ เพราะช่วงที่พ่อกับแม่ต้องไปประจำอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเป็นช่วงที่ตะวันเพิ่งเรียนจบ รวมไปถึงร้านอาหารที่เขายืมเงินพ่อกับแม่มาลงทุนก็เสร็จเป็นรูปเป็นร่างพอดี นั่นจึงไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะเขามีอาชีพที่มั่นคงพอที่จะเลี้ยงตัวเองและน้องได้ ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินในกรณีที่พ่อกับแม่ไม่สามารถส่งเงินมาให้ได้ หรือส่งเงินมาไม่ทัน


ตะวันวางแผนทุกอย่างไว้ตั้งแต่ตอนเรียน เขารู้ตัวเองมาตลอดว่าชอบทำอะไรและไม่ชอบทำอะไร ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ในเรื่องของการเป็นนักชิมอาหารจะถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม เพราะตะวันมีลิ้นที่ยอดเยี่ยม รู้ว่าอาหารแบบไหนที่จะถูกปากหรือไม่ถูกปากคนชิม ซึ่งเขาก็เอาจุดนี้มาเป็นข้อได้เปรียบแล้วเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารโดยตรง เนื่องจากเป็นความชอบส่วนตัว


ดังนั้นตอนเรียนมหาวิทยาลัยเขาจึงเลือกเรียนทางด้านนี้ รวมถึงฝึกฝนเองจากการเรียนรู้ผ่านทั้งทางสื่อออนไลน์ และออฟไลน์ต่างๆ


พอขึ้นปีสามตะวันก็รู้ตัวเองว่าความฝันของเขาคือการมีร้านอาหารเล็กๆ สักร้าน ขายทั้งอาหารและขนมที่เขาชอบทำ มันจะเป็นอาหารและขนมสูตรใหม่ๆ ที่เขานำมาประยุกต์และคิดค้นเอง ซึ่งเมื่อเอาเรื่องนี้มาปรึกษาพ่อกับแม่ แน่นอนว่าพวกท่านไม่คัดค้าน เพราะอย่างที่เคยบอกไปว่าพ่อกับแม่ของตะวันทำหน้าที่ของบุพการีได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง สิ่งที่ตะวันต้องการ อิสะเสรีที่ตะวันเลือก พ่อและแม่ไม่เคยขัดแถมยังให้การสนับนุน ขอแค่เรื่องที่ตะวันจะทำนั้น ไม่ทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเดือดร้อนก็พอ


ซึ่งนอกเหนือจากให้การสนับสนุนทางความคิดแล้ว พ่อกับแม่ยังให้ตะวันยืมเงินลงทุนไปสร้างร้านอาหารก่อนอีกต่างหาก เพื่อที่ว่าพอตะวันเรียนจบแล้วก็จะสามารถเข้าบริหารและเปิดกิจการได้ทันที ซึ่งตะวันเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนี้ของพ่อแม่ เพราะนี่มันหมดยุคของการสร้างอุดมการณ์ ยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองแล้ว ก็ในเมื่อเขาพอที่จะมีต้นทุนในการสร้างพื้นฐานให้ตัวเอง แล้วจะมีเหตุผลอะไรให้เขาไม่เลือกใช้มัน


ตะวันไม่ใช่คนหยิ่งหรืออวดดี ในเมื่อพ่อแม่เขามีเงินมากพอและเต็มใจจะให้การสนับสนุนตะวันก็จะรับไว้ ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะตอบแทนพ่อกับแม่ด้วยการทำมันอย่างเต็มที่ ไม่ให้พวกท่านผิดหวัง และเมื่อถึงวันหนึ่งที่ตะวันพอที่จะตั้งตัวได้ หรือกิจการไปได้ด้วยดีจนมีเงินเก็บ เขาก็จะทยอยคืนเงินที่พ่อกับแม่ออกเป็นเงินทุนให้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง


ดังนั้น เมื่อเรื่องร้านลงตัว สิ่งต่อมาที่ตะวันบอกพ่อกับแม่ไปก็คือ เขาอยากจะพาอาทิตย์ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกด้วยกัน เพราะบ้านหลังใหญ่ที่อยู่กันปัจจุบัน หลังที่เป็นของพ่อกับแม่มันอยู่กลางเมืองเกินไป


ตะวันไม่เถียงว่ามันจะสะดวกสบายมากในแง่ของความเจริญ แต่ข้อเสียคือรถมันติด หนำซ้ำยังอยู่ไกลแถมยังคนละทางกับร้านอาหารของเขาและโรงเรียนอนุบาลของอาทิตย์ด้วย


ตะวันจึงตระเวนออกหาบ้านใหม่ที่อยู่ใกล้กับละแวกโรงเรียนอนุบาลของน้องและร้านอาหารของเขา และเขาตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ทันทีที่เห็นและได้สำรวจ เนื่องจากทำเลตรงกับความต้องการ และพ่อกับแม่ก็เห็นชอบด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลทั้งหมด ที่เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดของเข้าบ้านใหม่หลังนี้ เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เขาและน้องย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ และจะต้องอยู่อีกสักพักใหญ่ หรือจนกว่าพ่อและแม่จะกลับมาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งอย่างน้อยตะวันก็หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นดีจนกว่าจะถึงเวลานั้น...


ตะวันคิดนั่นคิดนี่ พร้อมๆ กับที่มือก็จัดของไปอย่างเพลิดเพลินจนล่วงเข้าเวลาของวันใหม่ สุดท้ายเจ้าของความสูงร้อยหกสิบปลายๆ ก็ตัดสินใจหยุดมือ พลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อย เขาตั้งใจว่าจะอาบน้ำแล้วจะเข้าไปนอนห้องน้อง เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาทำอาหารใส่บาตรและเอาไปฝากข้างบ้าน เพื่อให้เกิดสิริมงคลที่ดี และเพื่อให้อยู่ที่นี่อย่างราบรื่น ไม่มีอะไรติดขัด


.


.


.


"อาทิตย์ครับ ตื่นได้แล้วครับ ตื่นมาใส่บาตรกับพี่เร็ว"


ตะวันเขย่าตัวเจ้าหนูร่างเล็กที่กำลังหลับปุ๋ย วาดแขนวาดขาไปบนเตียงกว้างอย่างน่าเอ็นดู อาทิตย์ค่อนข้างเป็นเด็กขี้เซาอยู่ไม่น้อย นี่ขนาดว่าตะวันตื่นขึ้นมาก่อนพักใหญ่ จนทำกับข้าว และขนมที่เตรียมใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าดวงอาทิตย์ดวงน้อยยังนอนหลับอุตุก้นโด่งไม่ตื่นเลย


"งื้อออ.."


เสียงเล็กครางหงุงหงิงดังขึ้นด้วยความขัดใจ เมื่อถูกมือนิ่มของพี่ชายเขย่าปลุกไม่หยุด


ตะวันเรียกน้องจนรู้สึกเหนื่อย เมื่อเห็นว่าอาทิตย์ไม่ยอมลุกขึ้นเสียที และอีกไม่นานพระก็จะมาแล้วด้วย เขาจึงต้องใช้ไม้ตายขั้นเด็ดขาด ด้วยการจับช้อนตัวน้องชายที่สะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับลูบหน้าลูบตา ลูบผม เจ้าเด็กขี้เซาให้เข้าที่ อาทิตย์จะได้ตื่นเต็มตาเสียที


"ตื่นได้แล้วครับเด็กดี เดี๋ยวสาย แล้วจะไม่ทันพระนะ"


อาทิตย์ค่อยๆ ตื่นเต็มตา และพอรู้สึกตัวแล้ว เจ้าหนูน้อยก็โผเข้าหา กอดพี่ชายร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างกันบนเตียง


"ฮื่ออ.. พี่ตะวัน" ตะวันอมยิิ้มในขณะที่ร่างเล็กซุกอยู่กับอกเขาอย่างออดอ้อน และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยทักเจ้าหนูในอ้อมกอดไปเช่นกัน


"อรุณสวัสดิ์ครับอาทิตย์ เมื่อคืนหลับสบายไหมหื้มตัวแสบของพี่"


เจ้าของฉายาเจ้าตัวแสบพยักหน้าหงึกหงักอยู่กับอกของตะวัน ก่อนที่ตะวันจะอุ้มเจ้าหนูขี้อ้อนเข้าไปในห้องน้ำ จับร่างเล็กให้ยืนบนขั้นบันไดเล็กๆ ที่ไว้ใช้สำหรับยืนแปรงฟันหน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าของเจ้าตัว จากนั้นก็บีบยาสีฟันลงบนแปรง แล้วส่งให้อาทิตย์จัดการทำความสะอาดช่องปากด้วยตัวเอง ก่อนที่เขาจะออกไปจัดการเก็บที่นอนพับผ้าห่มให้เรียบร้อย


"แปรงฟันขึ้นลงให้สะอาดนะครับอาทิตย์ เดี๋ยวพี่เก็บที่นอนเสร็จแล้วจะมาช่วย"


อาทิตย์พยักหน้าหงึกหงักในขณะที่มือก็ถูแปรงสีฟันขึ้นลงตามคำบอกของคนเป็นพี่ไม่หยุด และหลังจากตะวันเก็บผ้าเก็บที่นอนเรียบร้อย เขาก็มาจับน้องชายที่ตอนนี้กำลังล่อนจ้อนอาบน้ำ เสียงหัวเราะยามเช้าดังก้องไปทั่ว กว่าจะจัดการจับน้องแต่งตัวเสร็จ พระก็เดินมาถึงหน้าบ้านพอดี


ตะวันกับอาทิตย์ช่วยกันใส่บาตรร่วมกันอย่างน่าเอ็นดู เด็กชายตัวน้อยพยายามจะใช้มือเล็กๆ ของตัวเองใส่ถุงแกงลงไปในบาตร ซึ่งเป็นภาพที่เรียกรอยยิ้มให้กับคนที่กำลังมองดูได้ไม่ยาก


หลังจากใส่บาตรเสร็จ สองคนพี่น้องก็ยืนส่งพระท่าน จนท่านเดินไปลับตา ก่อนที่จะพากันข้าบ้าน และทันทีที่มาถึงห้องนั่งเล่น เสียงเล็กๆ ที่ติดจะงอแงของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็ดังขึ้นทันที


"พี่ตะวัน อาทิตย์หิวข้าวแล้วคับ"


ตะวันเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาแปดโมงตรง พลางยิ้มขำให้กับความกระเพาะเถรตรงของน้องชาย ถึงเวลาทีไรบ่นประท้วงว่าหิวตลอด แถมยังประท้วงได้ตรงเวลาทุกวัน ทุกมื้อ แทบจะไม่ต้องพึ่งการมองนาฬิกาเลยด้วยซ้ำ


"โอเคครับคุณอาทิตย์ กระผมนายตะวันตื่นมาทำอาหารเช้าเป็นข้าวต้มกุ้งไว้รอคุณอาทิตย์เรียบร้อยแล้ว เชิญคุณอาทิตย์นั่งรอที่โต๊ะอาหารได้เลยครับ เดี๋ยวกระผมจะไปเสิร์ฟให้ถึงที่เลยครับผม"


อาทิตย์หัวเราะคิก เมื่อเห็นท่าทางล้อเลียนของพี่ชาย ซึ่งพอตะวันเห็นน้องชายขำจนตาหยีก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปกอดฟัด และจากเสียงหัวเราะคิกคักแค่จากอาทิตย์คนเดียว ก็กลายมาเห็นเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากดังลั่นบ้านของสองคนพี่น้องแทน


.


.


.

- อ่านต่อด้านล่างค่ะ -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบนค่ะ -

หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย ตะวันกับอาทิตย์ก็มานั่งผึ่งพุงกันที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ทีวีช่องสารคดีถูกเปิดไว้เพื่อไม่ให้เหงา ในขณะที่ตอนนี้เจ้าหนูน้อยอาทิตย์ก็ปีนขึ้นมานั่งบนตักเล็กๆ ของคนเป็นพี่แล้วเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

"พี่ตะวันๆ วันนี้เราสองคนจะทำอะไรกันดีคับ"

ตะวันยิ้มให้กับคำถามของน้อง ก่อนจะลูบศีรษะกลมของคนช่างพูดเบาๆ จากนั้นก็ร่ายโปรแกรมวันนี้ให้น้องฟัง

"วันนี้มิชชั่นของเรามีสามเรื่องครับ เรื่องแรก ... วันนี้เราต้องเก็บที่อยู่ในลังทั้งหมดเอาเข้าที่ให้เรียบร้อย เพราะพรุ่งนี้วันจันทร์ พี่ต้องเข้าร้าน"

"รับทราบคับ" เจ้าหนูน้อยรับคำแข็งขัน พร้อมกับตั้งใจฟังต่อ

"ส่วนเรื่องที่สอง.. วันนี้เราต้องไปทำความรู้จักคุณคนข้างบ้าน เพื่อผูกมิตรและฝากเนื้อฝากตัว" อาทิตย์จ้องพี่ชายตาแป๋ว แสดงถึงความตั้งใจฟังขั้นสุดแม้จะไม่รู้ว่าความหมายของคำว่าฝากเนื้อฝากตัวก็ตาม "ซึ่งเราจะไม่ไปเยี่ยมบ้านใครมือเปล่า เพราะมันเสียมารยาท ดังนั้นภารกิจที่สามจึงเกิดขึ้น วันนี้ก่อนเที่ยงพี่จะเข้าครัวทำขนม แล้วเอาไปให้คุณคนข้างบ้านกัน อาทิตย์ต้องช่วยพี่นะ โอเคไหม?"

อาทิตย์ยิ้มกว้าง หลังจากได้ยินพี่ชายบอกว่าจะเข้าครัวทำขนม เด็กน้อยชอบขนมที่พี่ตะวันทำมาก เพราะมันอร่อยที่สุดในโลก

"ได้เลยคับ" เด็กชายทำหน้าจริงจัง "เดี๋ยวอาทิตย์จะเป็นคนช่วยชิมขนมให้พี่ตะวันเอง"

ตะวันหลุดขำพรืด เจ้าลูกหมูเอ๊ย ให้ช่วยทำดันจะมาช่วยกินแทนเสียอย่างนั้น นี่ก็กินจนพุงกลมไปหมด ขนาดว่าเพิ่งอิ่มข้าวไป ยังนึกจะกินอีกแล้ว อาทิตย์นี่มันอาทิตย์จริงๆ

พอนึกได้แล้วตะวันก็มันเขี้ยวเลยก้มลงไปฟัดพุงของเจ้าหนูน้อยเบาๆ เขาไม่ค่อยกล้าเล่นแรง เดี๋ยวจะพาลให้น้องจุกแล้วอาจจะอาเจียนออกมาได้

"คิกๆๆ พี่ตะวัน ฮ่าๆๆๆ อาทิตย์จั๊กจี๋"

คนเป็นพี่ที่ได้ยินน้องหัวเราะแล้วก็ได้แต่หัวเราะตาม สุดท้ายก็ต้องเลยเลิกเล่น เพราะกลัวว่าน้องจะหัวเราะจนขาดใจเอา

"อ่ะๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว" ตะวันว่าพลาง ก้มลงไปหอมแก้มนิ่มที่ตอนนี้แดงปลั่ง เพราะเล่นหัวเราะจนเหนื่อยของน้องชายแรงๆ ซึ่งเจ้าตัวน้อยเองก็ยังคงขำคิกๆ ไม่เลิก

"ไปครับคนเก่ง ไปเตรียมของในครัวกัน รีบทำ จะได้รีบเอาไปให้คุณคนข้างบ้านก่อนเที่ยงเนาะ"

"คับ"

อาทิตย์กระวีกระวาดลุกจากตักคนเป็นพี่ ก่อนจะปีนลงโซฟา แล้ววิ่งตื๋อไปเข้าห้องครัว โดยมีตะวันเดินตามไปช้าๆ พลางเหลือบมองผ่านหน้าต่างกระจกบานกว้างในครัว เพื่อดูว่าคนที่รั้วบ้านไม่ห่างกันมากมีคนอยู่หรือเปล่า วันนี้วันอาทิตย์ก็คงน่าจะไม่ไปไหน แล้วตะวันก็ได้ใจชื้นที่เห็นว่ามีีรถคันเดียวกับที่เห็นเมื่อคืนจอดอยู่

ตอนแรกตะวันตั้งใจว่าจะทำอาหารเช้าไปฝากให้ข้างบ้าน แต่ก็นึกเกรงใจเพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งคนในบ้านอาจจะยังพักผ่อนอยู่ได้ เลยเปลี่ยนแผนมาเป็นทำขนมไปให้ในช่วงกลางวันแทน ซึ่งแบบนี้น่าจะดีกว่า

ทาร์ตผลไม้ เป็นขนมที่ตะวันเลือกทำในวันนี้ เนื่องจากเพิ่งย้ายเข้ามาที่บ้านหลังนี้เมื่อวานอุปกรณ์ในการทำขนมต่างๆ ก็ยังไม่ได้จัดเข้าที่ให้เรียบร้อยเท่าไหร่ ยังดีที่ตอนซื้อบ้านเสร็จใหม่ๆ ตะวันให้คนเข้ามาติดตั้งเตาอบไว้ตั้งแต่แรก มันเลยค่อนข้างพร้อมใช้งานกว่าสิ่งอื่น และอีกอย่างก็เพิ่งไปซื้อพวกของสด ผลไม้สดเข้าบ้านมาเมื่อวาน .. ดังนั้นทาร์ตผลไม้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของวันนี้

ตะวันชะงักมือที่กำลังตระเตรียมอุปกรณ์เล็กน้อย เพราะพอหยิบถุงใส่ผลไม้ที่มีโลโก้ของห้างดังที่เขาไปมาเมื่อวาน ก็ให้พาลนึกถึงเหตุการณ์บ้าบอนั่น ใบหน้าน่ารักมู่ทู่ขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าหล่อเหลาที่ติดจะเย็นชาที่ปรากฎเข้ามาในความคิด

ตะวันยอมรับ ว่าคุณปะป๊าของน้องพีหน้าตาดีไม่น้อย แต่แล้วยังไงล่ะ ถ้าหน้าตาดี แต่นิสัยกวนประสาทแบบนั้นก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ แล้วทุกความคิดของตะวันก็หยุดลง เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของอาทิตย์ถามนั่นถามนี่ไม่หยุด คนเป็นพี่ได้แต่ส่ายศีรษะน้อยๆ อย่างนึกเอ็นดู และสุดท้ายความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดก็หายไป เมื่อตะวันหันมาจดจ่อและให้ความสนใจกับขนมที่ทำอย่างเต็มที่

เขาตั้งใจทำเพราะอยากให้มันอร่อย ให้คนได้รับประทับใจ เพราะอย่างน้อยการพบกันครั้งแรกของคนที่จะมาอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันถือเป็นสิ่งที่สำคัญ และตะวันก็อยากให้คุณคนข้างบ้าน รู้สึกอย่างนั้นกับตัวเอง

.

.

.

ทาร์ตผลไม้สดที่ทำเสร็จเรียบร้อยถูกตกแต่งอย่างน่ากินสมกับเป็นฝีมือของเจ้าของร้านอาหารและขนม อาทิตย์กลืนน้ำลายลงคอหลายอึกติดๆ กันเมื่อมองไปทาร์ตชิ้นเล็กๆ หลายชิ้นที่วางเรียงกันอยู่ด้วยความอยากกิน ซึ่งตะวันที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของน้องชายแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ ก่อนจะเอ่ยแซว

"อาทิตย์ครับ พี่ว่าอาทิตย์ชิมไปหลายชิ้นแล้วนะ ทำไมยังกลืนน้ำลายอยู่อีกล่ะหื้ม?"

เจ้าหนูน้อยละสายตาจากขนมจานที่ว่ามาที่ใบหน้าของพี่ชายก่อนจะเอ่ยเสียงอ้อน "ก็มันอร่อยอ่ะคับพี่ตะวัน อาทิตย์อยากชิมอีก"

ตะวันได้ฟังคำตอบของน้องแล้วก็ได้แต่หัวเราะเสียงใส เพราะระหว่างที่ทำก่อนหน้านี้ เจ้าน้องชายตัวแสบที่รับปากว่าจะมาเป็นผู้ช่วยชิมก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมด้วยการกินขนมที่ตะวันทำไปหลายชิ้น

พอตะวันท้วง เจ้าตัวแสบก็อ้าวว่าต้องชิมหลายๆ รอบจะได้แน่ใจว่าอร่อยแล้ว โชคดีที่ตะวันรู้นิสัยของน้องชายตัวเอง จึงทำเผื่อไว้ค่อนข้างมากพอสมควร ตั้งใจจะแบ่งเอาไว้ให้อาทิตย์กินเย็นนี้ด้วย เพราะเด็กชายตัวน้อยชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมที่ตะวันทำ อาทิตย์จะยิ่งกินได้มากเป็นพิเศษ

"ฮ่าๆ หมูอ้วนเอ๊ย" ตะวันลูบศีรษะคนอยากกินขนมอย่างเอ็นดู "พี่ทำเผื่ออาทิตย์ไว้แล้วครับ อยู่ในจานนู้น.. ส่วนจานนี้ เราจะเอาไปให้คุณคนข้างบ้านกัน โอเคไหมครับ"

"โอเคครับพี่ตะวัน" เด็กน้อยยิ้มกว้าง เมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้กินขนมอีก "คุณลุงคนที่อยู่ข้างบ้านเราต้องชอบขนมของพี่ตะวันแน่ๆ เลย"

ตะวันขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถามน้องชายในขณะที่กำลังยกจานขนม โดยมีเจ้าอาทิตย์ดวงน้อย เดินจูงมืออีกข้างที่ว่างของเขาออกมาด้วยกัน เพื่อตรงไปยังบ้านหลังข้างๆ ที่เป็นเป้าหมายของคนทั้งคู่

"อาทิตย์รู้ได้ยังไงครับ ว่าข้างบ้านมีคุณลุงอยู่?" ตะวันนึกแปลกใจ เพราะตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ข้างบ้านเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

"ก็อาทิตย์เห็นคุณลุงเดินแว๊บๆ ตอนที่เราทำขนมอยู่ในครัว"

คนเป็นน้องตอบ ให้คนเป็นพี่ได้พยักหน้าเข้าใจ ซึ่งเป็นตอนเดียวกับที่สองคนพี่น้องเดินมาถึงประตูรั้วสูงของบ้านข้างๆ แล้ว ตะวันเดินไปยังประตูบ้านเล็กข้างๆ รั้ว ก่อนจะกดออดเรียกคนในบ้านเพื่อให้รู้ว่ามีแขกมายืืนรอ


ติ๊งหน่อง


เสียงออดดังขึ้นไม่นาน อินเตอร์คอมที่ติดอยู่ข้างก็ดังขึ้นในเวลาต่อมา

"ใครครับ?" เสียงทุ้มดังอู้อี้มาตามลำโพงให้ตะวันได้ยิน เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยตอบไปอย่างสุภาพ

“สวัสดีครับ ผมชื่อตะวันนะครับ ... พอดีเพิ่งย้ายมาใหม่ครับ อยู่ข้างบ้านคุณ เลยอยากมาทำความรู้จักกันไว้”

"อ้อ..." ปลายสายรับคำ "งั้นรอสักครู่นะครับ"

ผู้ชายจริงๆ ด้วย ตะวันนึกอย่างดีใจ เพราะอย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องอึดอัดใจมากเพราะเป็นเพศเดียวกัน อีกอย่างถ้าจะขอความช่วยเหลืออะไรยามฉุกเฉินจะได้วางใจได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะช่วยได้มากแน่ๆ ตะวันกระชับมือที่จับจูงน้องชายอย่างตื่นเต้น เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยเองก็ไม่ต่าง สองคนพี่น้องได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากอีกฝั่งของประตูรั้วก็ยิ้มกว้างคอยท่า ตั้งใจว่าอีกฝ่ายต้องประทับใจแน่ๆ... แอ็ด เสียงประตูเล็กข้างรั้วเปิดออก พร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์คุ้นตาที่ตะวันไม่มีวันลืม

"นี่คุณ!!!" ตะวันทำหน้าเหวอค้าง ในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มร่า ทำหน้าทำตากวนโมโหไม่หยุด

"เจอกันอีกแล้วนะครับ ... ผมบอกแล้วว่าเราต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ"

และตะวันก็ได้รู้ว่าความประทับใจแรกพบนั้นไม่เคยมีอยู่จริง

.

.

.

To Be Continue

----------------------------------------

Talk: ชอบไม่ชอบ ฝากคอมเม้นท์และติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ❤

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #4 เมื่อ19-06-2019 06:12:06 »

 :pig2:
 :katai2-1:
ติดตามค่ะ
 :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #5 เมื่อ21-06-2019 08:03:54 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #6 เมื่อ21-06-2019 10:27:40 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 2nd - บ้านหลังข้างๆ ::


"ปะป๊าคับ ปะป๊า"

เสียงเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อย ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เรียกให้คนเป็นพ่อที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการอ่านเอกสาร ต้องเงยขึ้นไปมองลูกน้อยวัยสามขวบกว่าที่นั่งเล่นของเล่นอยู่บนพื้นพรหมตรงหน้า

"ว่าไงครับน้องพี อยากได้อะไรเหรอครับลูก"

หนูน้อยเจ้าของชื่อเรียกน้องพียิ้มแฉ่ง พลางส่ายศีรษะเล็กๆ ไปมา ก่อนจะเอ่ยตอบคนเป็นพ่ออย่างไร้เดียงสา

"น้องพีไม่อยากได้อะไยคับ น้องพีเยียกเพราะคิดถึงปะป๊าเฉยๆ"

คนเป็นพ่อได้ยินสิ่งที่ลูกชายเอ่ยตอบแล้วก็ได้แต่ยิ้มกว้าง เขามองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ พลางคิดในใจว่าวันนี้ยังมีเวลาว่างอีกเยอะ ค่อยมาอ่านต่อตอนไหนก็ได้ แต่เจ้าลูกน้อยที่กำลังอ้อนได้น่าฟัดน่ากอดนี่สิ รอไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องลุกขึ้นไปจูบปากเล็กๆ ช่างเจรจานั่นตั้งแต่ตอนนี้เลย

พอคิดได้แบบนั้น ชายหนุ่มเจ้าของรูปร่างร้อยแปดสิบปลายๆ ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นพรหมข้างลูกชายตัวจ้อย ก่อนจะอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นวางบนตัก แล้วจับฟัดพุงจนเสียงหัวเราะคิกคักของน้องพีดังไปทั่วทั้งห้อง

"น้องพี.. คิกๆๆๆๆ ปะป๊าาาาา คิกๆๆๆๆ" น้องพีพูดไปขำไปจนฟังไม่รู้เรื่อง ตัวปะป๊าของเจ้าหนูเองก็ใช่ย่อย ไม่รู้เพราะอายุเยอะหรือทำงานหนัก ฟัดพุงลูกได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกเหนื่อย เลยต้องเปลี่ยนไประดมจูบแก้มนิ่มๆ กลมๆ กับ ปากเล็กๆ สีแดงสดแทน

"ปะป๊าแกล้งน้องพี" เจ้าหนูตัวน้อยตัดพ้อคนเป็นพ่อด้วยเสียงเหนื่อยหอบ เพราะใช้พลังไปกับการหัวเราะก่อนหน้ามากพอสมควร คนถูกลูกต่อว่ายิ้มขำ เขาไม่คิดปฏิเสธข้อหาที่ลูกตั้งให้ เพราะพลัฏฐ์เองก็ชอบแกล้งลูกจริงๆ นั่นล่ะ ว่าแล้วก็หาเรื่องแหย่ลูกอีกสักรอบ

"อ่ะ ปะป๊าให้น้องพีจุ๊บคืนก็ได้ จะได้หายกัน"

ด้วยความที่ยังเป็นเด็กน้อย เลยรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของพ่อตัวเอง เพราะพอน้องพีได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้าง พลางขยับตัวลุกขึ้นยืนบนตักกว้างของคนเป็นพ่อ มือเล็กสองข้างเกาะบ่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของพ่อแน่น ก่อนจะก้มลงใช้ปากเล็กๆ จุ๊บลงไปเบาๆ บนแก้มสากและริมฝีปากหยักลึกรูปกระจับอย่างตั้งใจ

เสียงทุ้มหัวเราะอยู่ในลำคอด้วยความชอบใจต่อการกระทำที่แสนน่ารักของลูกชายตัวเอง จนอดจับเจ้าหนูน้อยนอนลงบนตักแล้วฟัดหอมอีกรอบไม่ได้

พอน้องพีถูกปล่อยเป็นอิสระ เจ้าหนูก็หน้ามุ่ย ปีนลงจากตักคนเป็นพ่อด้วยความงอน ทำเอาปะป๊าหัวเราะร่วนที่แกล้งลูกได้สำเร็จ น้องพีพลิกหนีพ่อด้วยการหันไปเล่นตัวต่อต่อ ปล่อยให้คนหลงลูกนั่งอมยิ้มมองเจ้าตัวน้อยนิ่ง

‘น้องพี’ หรือ ‘เด็กชายพีรยสถ์ วัฒนไพศาลกุล’ เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของ ‘พลัฎฐ์ วัฒนไพศาลกุล’ เขากับน้องพีคนเป็นลูก อาศัยอยู่กันสองคนในบ้านหลังขนาดกลางที่แสนอบอุ่น แม้จะมีกันแค่สองคนพ่อลูกแต่พลัฎฐ์ก็ไม่เคยทำให้ลูกรู้สึกว่าขาด เขารักน้องพีมาก ไม่ว่าตัวเองจะทำงานยุ่งขนาดไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องของน้องพี พลัฎฐ์จะมีเวลาให้เสมอ นั่นเพราะน้องพีเป็นเด็กน่าสงสาร เกิดมาได้ไม่นาน อายุไม่ถึงขวบเต็มเลยด้วยซ้ำ พ่อกับแม่แท้ๆ ของน้องพีก็มาด่วนจากไปเสียก่อน

... แน่นอนว่า พลัฎฐ์ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของน้องพี

ในความเป็นจริงแล้ว พลัฎฐ์มีศักดิ์เป็นเพียงแค่อาของน้องพีเท่านั้น พ่อของน้องพี เป็นพี่ชายแท้ๆ ของพลัฎฐ์ ดังนั้นเมื่อพี่ชายและพี่สะใภ้เกิดมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จากไปก่อนวัยอันควรทั้งคู่ พลัฎฐ์จึงตัดสินใจรับหลานแท้ๆ ของตัวเองมาเป็นลูก ซึ่งการกระทำดังกล่าวของชายหนุ่ม ได้รับความเห็นชอบจากทั้งพ่อแม่ของเขา และครอบครัวของพี่สะใภ้แล้ว

เนื่องจากทางครอบครัวของพี่สะใภ้มีลูกสาวเพียงคนเดียว จึงไม่สามารถที่จะรับดูแลน้องพีเป็นทางการได้ ดังนั้นเมื่อพลัฎฐ์เอ่ยปากขอรับน้องพีเป็นลูก ครอบครัวทางฝั่งนั้นจึงไม่ขัดข้องอะไรแถมยังสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ เพราะยังไงการมีพ่อแม้เพียงแค่คนเดียว อาจจะทำให้น้องพีรู้สึกอุ่นใจมากกว่าไม่เหลือใครเป็นพ่อหรือเป็นแม่สักคน

แม้ตอนนี้น้องพีจะยังเด็ก และยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่พลัฎฐ์ก็มอบความรักและความอบอุ่นให้เจ้าหนูน้อยเต็มที่ ทดแทนให้ในส่วนของพี่ชายและพี่สะใภ้ที่ไม่มีโอกาสได้ให้กับลูก พลัฎฐ์ไม่ได้ถึงกับตามใจแต่ก็ไม่เคยทำให้น้องพีรู้สึกขาดหรือว่าสับสน น้องพียังคงมีพ่อ มีคุณตา คุณยาย คุณปู่ คุณย่าเหมือนเดิม .. อาจจะขาดก็แต่แม่ แต่พลัฎฐ์มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำให้ลูกมีความสุขได้ เขาเป็นได้ทั้งพ่อและแม่ของน้องพี ต่อให้ต้องเสียสละอะไรอีกเท่าไหร่ พลัฎฐ์ก็ไม่แคร์ เขารู้แค่ว่าถ้าจะต้องรับใครเพิ่มเข้ามาในชีวิตสักคน คนๆ นั้นก็ต้องรับเงื่อนไขที่เป็นเรื่องของน้องพีได้ ไม่ถึงขั้นกับว่าต้องรักมากเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง แต่ขอให้เปิดใจพร้อมที่จะเดินเคียงข้างกันไปก็พอ

ก่อนหน้านี้บ้านหลังนี้ไม่ได้มีแค่พลัฎฐ์และน้องพีอาศัยอยู่เท่านั้น แต่ยังมีคุณปู่คุณย่าหรือ พ่อและแม่ของพลัฏฐ์ คุณพศินและคุณลินลดา วัฒนไพศาลกุล อาศัยอยู่ด้วย แต่เนื่องด้วยครอบครัววัฒนไพศาลกุลของพลัฎฐ์เป็นเจ้าของนิตยสารชื่อดังที่มีคนอ่านอยู่ทั่วทุกมุมโลก เพราะตีพิมพ์หลายภาษา รวมทั้งมีบริษัทลูกอยู่ในหลายประเทศ ‘ดับบลิว.เวิลด์’ เป็นนิตยสารที่มีความหลากหลายทางด้านเนื้อหาเบ็ดเสร็จในเล่ม ทั้งความรู้วิชาการ ศิลปะ ท่องเที่ยว บันเทิง อาหารการกิน หรือแม้กระทั่งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่กำลังได้รับความนิยมในสังคม นั่นทำให้นิตยสารของตระกูลวัฒนไพศาลกุลอยู่มั่นคงกว่านิตยสารลักษณะอื่นๆ ทั่วไปที่ทยอยปิดตัวลงกว่าหลายสำนัก ซึ่งกว่าที่ดับบลิว.เวิลด์จะมั่นคงได้ขนาดนี้ก็ต้องยอมรับเลยว่าต้องมีการปรับตัว ปรับโครงสร้าง ปรับสไตล์กันหลายต่อหลายครั้ง ล้มลุกคลุกคลานจนสามารถขึ้นเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมเดียวกันได้

ซึ่งก่อนหน้านี้พลัฎฐ์กับพี่ชายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนช่วยกันทำหน้าที่บริหาร สลับกันไปประจำการในประเทศต่างๆ ในบางช่วงเวลา แต่หลังจากพี่ชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลง พลัฎฐ์จึงต้องเข้ามาทำงานเต็มตัวมากขึ้นในฐานะรองประธานกรรมการฯ ของบริษัทฯ ที่ปัจจุบันคุณพศิน บิดาของพลัฎฐ์ยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการฯ อยู่ และโดยส่วนใหญ่แล้วท่านจะบริหารงานอยู่ที่ไทยร่วมกับพลัฎฐ์ นอกเสียจากว่าบริษัทลูกตามสาขาต่างๆ จะมีปัญหา ซึ่งในเวลานี้สาขารองจากไทยคือที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ แม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่มันเป็นปัญหายาวสะสมและรอการแก้ไขมานานพอสมควร จะปล่อยให้มันล่วงเลยไปกว่านี้ไม่ได้ ดังนั้นคุณพศิน และคุณลินลดาภรรยาจึงจำเป็นต้องไปดูแลบริษัทอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาสักระยะ

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ปัจจุบันพลัฎฐ์อาศัยอยู่กับบุตรชายที่บ้านหลังนี้สองคนแทน โดยปกติแล้วช่วงก่อนหน้าน้องพีจะอยู่กับคุณปู่คุณย่าในช่วงเวลาที่พลัฎฐ์ออกไปทำงาน แต่เวลาอื่นนอกเหนือจากนั้นพลัฎฐ์จะมอบให้กับลูกชายทั้งหมด แต่หลังจากที่ท่านทั้งสองย้ายไปประจำที่สหรัฐอเมริกาก็ดูเหมือนว่าตารางการดำเนินชีวิตของสองพ่อลูกจะต้องถูกปรับยกใหญ่ เนื่องจากฝั่งคุณตากับคุณยายของน้องพีก็ไม่สะดวก เพราะอย่างที่บอกไป ว่าหลังจากที่แม่ของน้องพีซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวเสียไป ก็ทำให้คุณตากับคุณยายต้องลงมาดูแลธุรกิจของครอบครัวด้วยตัวเอง ดังนั้น เหตุการณ์ของครอบครัวอีกฝั่งจึงไม่ได้สะดวกเท่าไหร่ และถ้าเทียบกันแล้วทางฝั่งครอบครัวของพลัฎฐ์ น่าจะดูดีกว่าอยู่มากโข เพราะยังไงก็ยังมีพลัฎฐ์คอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ

แต่โชคยังดีก็ยังพอมีอยู่บ้าง เพราะช่วงที่คุณปู่และคุณย่าของน้องพีจะย้ายไปสหรัฐอเมริกานั้น เป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะกับที่น้องพีต้องเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลพอดี แต่ก็ยังอีกหลายอาทิตย์กว่าที่โรงเรียนจะเปิด

ดังนั้น ช่วงระยะนี้พลัฎฐ์จึงต้องพาลูกไปอยู่ที่ทำงานด้วย โดยให้คุณฝ้าย ฟารีดา เลขาฯ ของเขาช่วยดูแลในระหว่างที่พลัฎฐ์เข้าประชุมหรือต้องออกไปทำงานข้างนอก แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาอื่นๆ พลัฎฐ์จะไม่ยอมให้ใครเข้ามายุ่มย่ามกับลูกชายตัวเองทั้งนั้น เพราะเขาเป็นคนค่อนข้างหวงลูกพอสมควร แต่ที่ไว้ใจให้คุณฝ้ายดูแล นั่นเพราะเธอมีประสบการณ์ของการเป็นแม่อยู่แล้ว เธอเป็นผู้หญิงอายุสามสิบปลายๆ ที่ทั้งเก่ง กระฉับกระเฉง และทำงานเข้าขารู้ใจพลัฎฐ์เป็นอย่างดี เธอจึงได้รับความไว้ใจจากชายหนุ่มให้ช่วยดูแลลูก รวมไปถึงงานในหน้าที่ต่างๆ ตามสมควร

ซึ่งก่อนหน้าที่บิดาและมารดาของเขาจะไปอเมริกา ท่านทั้งสองก็เคยแนะนำให้เขาจ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแลน้องพีในระหว่างที่เขาต้องไปทำงาน แต่พลัฎฐ์ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ฝากลูกชายของตัวเองไว้กับใครที่เขาไม่รู้จักหรือไม่ไว้ใจทั้งนั้น เพราะฉะนั้นประเด็นการใช้พี่เลี้ยงจึงถูกตีตกไป และมาลงตัวที่พลัฎฐ์หอบหิ้วน้องพีมาทำงานด้วยแทน เพราะมันก็ช่วงสั้นๆ ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่น้องพีเปิดเทอมก็แค่นั้นเอง

การพาน้องพีมาทำงานด้วยนั้นไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่ เนื่องจากน้องพีเป็นเด็กว่าง่าย ไม่ค่อยดื้อแต่ติดจะซนและช่างพูดช่างเจรจาไปสักหน่อย พลัฎฐ์จะต้องหัวเราะเสียงดังทุกครั้งเมื่อกลับมาจากประชุมหรือออกไปข้างนอก แล้วได้รับรายงานจากเลขาฯ ว่า วันนี้เธอคอแห้งไปหมด เพราะต้องคอยตอบคำถามน้องพีทุกๆ สิบนาที หรือบางทีก็มีฟ้องว่าวันนี้หูเธอค่อนข้างอื้อ เนื่องจากฟังน้องพีเล่านั่นเล่านี่ ให้ฟังไม่หยุด

พลัฎฐ์รู้ดีว่าน้องพีเป็นเด็กสดใส ตรงไปตรงมา และเข้ากับคนอื่นง่าย ซึ่งเป็นนิสัยที่คล้ายกับพี่ชายของเขา แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็แทบจะตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ

พลัฎฐ์ วัฒนไพศาลกุล ทายาทของคุณพศิน วัฒนไพศาลกุล เจ้าของนิตยสารชื่อดัง วัยยี่สิบแปดปี ในสายตาของคนทั่วไปเขาเป็นคนเคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง ซึ่งโดยรวมแล้วนิสัยของพลัฎฐ์ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทจะรู้ว่าพลัฎฐ์มีนิสัยจริงๆ ที่ลึกกว่านั้น เขาเป็นคนร้ายเงียบ ติดจะเจ้าเล่ห์และช่างวางแผนการ ไม่เคยมีสิ่งไหนที่พลัฎฐ์ต้องการแล้วไม่ได้ ภายใต้ท่าทางนิ่งเฉย พลัฎฐ์ซับซ้อนกว่านั้นเยอะมาก เขาไม่ใช่คนที่จะชอบแสดงออกว่าสนใจอะไรหรือสิ่งไหนนอกหน้า เพียงแต่ถ้าถูกใจแล้วเขาจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่ตัวเองหมายตาหลุดมือ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวพลัฎฐ์ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองพลาด ไม่งั้นเขาคงไม่ยืนหยัดขึ้นเป็นรองประธานกรรมการฯ ดูแลพนักงานเป็นหลายพันชีวิตได้ทั้งที่อายุยังน้อยแบบนี้หรอก

แต่ไม่ว่านอกบ้านหรือในสังคมการทำงานพลัฎฐ์จะเป็นอย่างไร แต่เมื่อกลับถึงบ้านเขาจะเป็นคุณพ่อที่น่ารักของลูกชายทันที ดังนั้นในบ้านหลังใหญ่ที่มีแค่เขากับน้องพีอาศัยอยู่ด้วยกันสองคน จึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรักเสมอ

ตอนนี้พลัฎฐ์กับน้องพีก็อยู่ด้วยกันมาได้สักระยะแล้ว เหลือก็แค่รอเวลาให้น้องพีเปิดเรียนซึ่งก็คืออีกในสองอาทิตย์ข้างหน้า ตัวเจ้าหนูน้อยเองก็ดูตื่นเต้นอยู่พอสมควร เพราะพอปะป๊าบอกว่าการไปโรงเรียนเที่ยวนี้ น้องพีจะมีเพื่อนใหม่เยอะขึ้นมาก เด็กชายก็เอาแต่ถามคนเป็นพ่อทุกวันว่าเมื่อไหร่จะได้ไปโรงเรียนจนพลัฎฐ์หมดแรงที่จะตอบ สุดท้ายเลยต้องใช้เทคนิคเบนความสนใจเจ้าตัวยุ่ง ให้ไปนับถอยหลังในปฎิทินแทน ไม่งั้นมีหวังได้ตอบคำถามกันทุกวันจนกว่าโรงเรียนจะเปิดแน่ๆ

“ปะป๊า อีก...หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...” จู่ๆ เจ้าตัวน้อยที่กำลังนั่งเล่นตัวต่ออยู่กันหันมานับนิ้วใส่คนเป็นพ่อที่กำลังนั่งมองลูกอยู่ด้วยสายเอ็นดู ทำเอาพลัฎฐ์ถึงกับแปลกใจ เพราะไม่รู้ความต้องการของลูกชาย

“หื้ม?... น้องพีนับอะไรครับ” พลัฎฐ์ถาม ให้น้องพีได้ยิ้มแฉ่งเห็นฟันขาวเกือบทุกซี่ก่อนจะเอ่ยตอบ

“อีกเท่านี้วัน จะได้ไปโยงเยียนแย้วคับ”

น้องพียกนิ้วขึ้นมาสิบนิ้ว ทำเอาพลัฎฐ์แอบอมยิ้มกับคำพูดบางคำที่น้องพียังพูดได้ไม่ชัดเท่าไหร่ ซึ่งส่วนใหญเป็นคำที่ออกเสียงด้วย ร. เรือ และ ล.ลิง แทบทั้งนั้น

“โรงเรียนครับ โรง เรียน ไหนน้องพีลองพูดช้าๆ สิลูก”

น้องพีจ้องหน้าพ่อเขม็ง ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนที่ได้จากแม่แท้ๆ ของเจ้าหนูมาเต็มๆ มองนิ่งไปที่ริมฝีปากเป็นกระจับของคนที่กำลังสอนเขาออกเสียง ก่อนที่ปากเล็กๆ จะขยับตาม

“โยง เยียน.. งื้อออ ทำไมไม่เห็นเหมือนที่ปะป๊าพูดเยยย” เด็กน้อยงอแง และรู้สึกขัดใจที่ออกเสียงไม่ได้แบบที่พ่อสอน เดือดร้อนให้พลัฎฐ์ต้องอุ้มเจ้าตัวยุ่งขึ้นมานั่งบนตักพร้อมกับเอ่ยปลอบ

“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ เดี๋ยวพอไปโรงเรียน คุณครูก็จะสอนน้องพีเอง” คนเป็นพ่อว่า ก่อนจะกดริมฝีปากหยักลงไปที่ขมับเล็กๆ ของลูกชาย “ถ้าน้องพีตั้งใจฟังที่คุณครูสอน สักพักน้องพีก็จะพูดได้ชัดเอง ตกลงไหมครับ”

เจ้าหนูยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งของปะป๊าที่แสนใจดี ก่อนจะซุกหน้าลงกับอก พลางพูดจาออดอ้อนน่ารัก ทำเอาพลัฎฐ์หัวใจแทบละลายเพราะความน่ารักของลูก

“ตกยงคับ น้องพีจะตั้งใจเยียนแบบที่ปะป๊าบอก โตขึ้นน้องพีจะได้เก่งๆ เก่งแบบปะป๊าพะลัดของน้องพี”

คนที่ถูกลูกอวยถึงกับยิ้มไม่หุบ อ้อมแขนแข็งแรงได้แต่กระชับตัวเจ้าเด็กน้อยไว้กับอกแน่น น้องพีน่ารักขนาดนี้ ช่างพูดช่างจาขนาดนี้จะไม่ให้เขาหลงลูกตัวเองหัวปักหัวปำได้ยังไง

พลัฎฐ์ไม่เคยจินตนาการถึงชีวิตในอนาคตข้างหน้าของเขาที่ไม่มีน้องพีเลยสักครั้ง พลัฎฐ์ไม่เคยคาดหวังว่าลูกของเขาจะต้องเก่ง ต้องเลิศเลอเหนือใครๆ เขาขอแค่ให้ลูกมีความสุขมากพอที่จะยิ้มได้ในทุกๆ วันก็พอ พลัฎฐ์ไม่เคยมีลูก ไม่รู้ว่าสายใยระหว่างพ่อลูกจะถูกถักทอแบบไหน แต่เขาเลี้ยงน้องพีมาตั้งแต่ยังแบเบาะ ตั้งแต่แกสูญเสียพ่อกับแม่แท้ๆ ไป พลัฎฐ์ก็มอบเวลาทุกวินาทีในชีวิตให้กับน้องพี

แน่นอนว่าเขาเองก็เป็นผู้ชายและยังหนุ่มยังแน่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ถวิลหาชีวิตที่อยากจะมีคนข้างกายไว้ดูแล แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงหรือไม่ผู้ชายที่เข้ามาหาเขาล้วนชื่นชอบในหน้าตา ฐานะ หรือชื่อเสียงทางสังคมของเขาทั้งนั้น และแทบจะไม่มีคนไหนยอมรับเรื่องน้องพีได้เลย เพราะเพียงแค่เขาบอกว่าเขามีเด็กชายตัวน้อยอีกคนที่ต้องดูแล ทุกคนก็ล้วนตีตัวออกห่างหรือถึงแม้จะรับได้และคบกันต่อ ก็ไม่มีสักคนที่เข้ากันได้กับน้องพี ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่เคยลังเลเลยสักครั้งที่จะหันหลังให้คนเหล่านั้นแล้วเลือกลูกชายตัวน้อยแทน เพราะสำหรับเขาแล้วน้องพีคือชีวิตและหัวใจ ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะไม่รักและเป็นห่วงเจ้าหนูน้อยที่น่าสงสารคนนี้ ถึงแม้น้องพีจะไม่ใช่ลูกในไส้ของเขาก็ตาม

.

.

.

ติ๊งหน่อง

เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นในช่วงเที่ยงของวันในขณะที่พลัฎฐ์กำลังง่วนกับการอุ่นอาหารที่แม่บ้านทำทิ้งไว้ให้เมื่อตอนเช้า พลัฎฐ์จ้างให้คนมาดูแลบ้านแบบรายวัน คือโดยปกติจะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดบ้านให้พลัฏฐ์ทุกเช้าหลังจากที่เขาออกไปทำงานแล้ว และจะทำอาหารเย็นของวันนั้นและอาหารเช้าของวันถัดไปใส่ไว้ให้ในตู้เย็น แล้วเวลาที่พลัฏฐ์หรือน้องพีจะกินเขาก็จะนำออกมาอุ่นร้อนเอง แต่ในวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้จะมีอาหารกลางวันพ่วงขึ้นมาอีกมื้อ

พลัฎฐ์เป็นคนค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัว เพราะฉะนั้นทุกเช้าวันหยุด พลัฏฐ์จะสั่งให้แม่บ้านทำความสะอาดและทำอาหารให้เสร็จก่อนช่วงสายของวัน จากนั้นก็ให้กลับได้เลย ซึ่งอาจจะทำเฉพาะในจุดที่เขาและน้องพีต้องใช้งานบ่อยๆ ส่วนจุดอื่นๆ ค่อยให้มาทำในวันธรรมดาที่เขาและน้องพีออกจากบ้านไปแล้ว ยกเว้นอาทิตย์ไหนที่พลัฎฐ์พาน้องพีออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา แม่บ้านจะทำความสะอาดนานแค่ไหนก็ได้แต่ต้องเสร็จก่อนเขากลับมาก็แค่นั้น ดังนั้น ช่วงวันหยุดจึงถือเป็นวันพักผ่อนของคุณพ่อและคุณลูกที่แท้จริง

และเมื่อมีเสียงออดดังในช่วงเที่ยงวันแบบนี้ เจ้าของบ้านก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะแม่บ้านก็เพิ่งกลับไปเมื่อสักชั่วโมงที่แล้ว และส่วนใหญ่พลัฎฐ์ไม่ได้ให้ใครรู้เท่าไหร่ว่าเขาพักที่ไหน เลยพาลให้สงสัยนิดหน่อยว่าใครกันที่มากดออดหน้าบ้านเขาแบบนี้

พลัฎฐ์เดินไปที่วีดีโออินเตอร์คอมที่ติดอยู่ตรงใกล้ๆ กับประตูบ้าน ก่อนจะมองไปที่จอแล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง

... นั่นมัน

"ใครครับ?" พลัฎฐ์ตัดสินใจกรอกเสียงถามลงไปในอินเตอร์คอม โดยมีเจ้าลูกชายตัวจิ๋ววิ่งพรวดออกมาจากห้องนั่งเล่นเมื่อได้ยินเสียงออดจากหน้าบ้านดังมาแว่วๆ เพราะนึกว่าคุณตากับคุณยายมาเยี่ยมมาหาตัวเอง

“ปะป๊าๆ คุณตากับคุณยายมาหาน้องพีหยอคับ” พลัฎฐ์อุ้มลูกชายขึ้นมาแนบอก ทำให้เด็กน้อยสามารถจ้องไปที่จออินเตอร์คอมได้ถนัด แต่สุดท้ายคิ้วเล็กๆ ก็ต้องขมวดเป็นปม ... น้องพีมองไม่ชัดเลยว่าคนที่อยู่หน้ารั้วบ้านเป็นใคร

(สวัสดีครับ ผมชื่อตะวันนะครับ ... พอดีเพิ่งย้ายมาใหม่ครับ อยู่ข้างบ้านคุณ เลยอยากมาทำความรู้จักกันไว้)

น้ำเสียงสดใสปนตื่นเต้นถูกส่งมายังอีกฝั่งของอินเตอร์คอม พลัฎฐ์จ้องมองที่จอก่อนจะหลุดยิ้มออกมาบางๆ เมื่อตั้งใจมองคนที่กำลังยืนรออยู่หน้าบ้าน ใบหน้าน่ารัก รอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนริมฝีปากบางสีสด แก้มป่องๆ ที่แดงระเรื่อเล็กน้อยน่าจะเพราะอากาศจากด้านนอก แล้วไหนจะท่าทางตื่นเต้นทั้งที่มืออีกข้างกำลังกุมมือเล็กๆ ของเด็กชายที่วัยไล่เลี่ยกับน้องพีไว้อีก

พลัฎฐ์นึกอย่างแปลกใจว่าคนอะไรทำไมถึงได้ดูสดใสขนาดนั้น อีกทั้งท่าทางร่าเริงยังเหมือนน้องพีไม่มีผิด และคนๆ นี้ก็เป็นคนเดียวกับที่เขาเจอที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน... ไม่รู้จะเรียกว่าโลกกลมหรือพรหมลิขิตดี ซึ่งพลัฎฐ์ยังนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าเขาออกไปและคนที่ยืนรอทำความรู้จักอยู่เห็นว่าเขาเป็นใคร ยังยินดีจะรู้จักกับเขาอยู่ไหมนะ... แค่คิดก็สนุกแล้ว

"อ้อ... งั้นรอสักครู่นะครับ" พลัฎฐ์รับคำ ก่อนจะปล่อยเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดวางลงกับพื้น "น้องพี หนูรอปะป๊าอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวปะป๊าไปเปิดประตูให้แขกก่อนนะ"

"ใครมาหยอคับปะป๊า?" เด็กน้อยเอียงคอถามเสียงใส พลัฎฐ์ไม่ตอบแต่กลับยกมือขึ้นลูบศีรษะกลมๆ พร้อมยิ้มออกมาน้อยๆ แทน ก่อนจะเดินออกไปเปิดประตูให้ เพื่อนบ้านคนใหม่ที่ยืนรออยู่ด้านนอก

เขาเปิดประตูเล็กข้างรั้วออก ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางมองไปยังสายตาตกตะลึงของคนตรงหน้าขำๆ

"นี่คุณ!!!"

"เจอกันอีกแล้วนะครับ บอกแล้วไงว่ายังไงเราก็ต้องได้เจอกันอีก"

เจ้าของร่างเล็กกว่าที่มือหนึ่งถือจานขนม และอีกมือจูงเจ้าหนูน้อยอาทิตย์เพื่อนคนใหม่ของน้องพีที่เจอกันที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน และไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้งเร็วขนาดนี้ เบิกตากว้างขึ้นพลางจ้องหน้าพลัฎฐ์นิ่ง ในขณะที่คนเป็นพี่ยังตะลึงค้างไม่เลิก เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอคู่กรณีคนเมื่อวาน แต่เจ้าหนูอาทิตย์กลับเอียงคอน้อยๆ มองเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าด้วยสายตาฉงน คิ้วเข้มของเด็กน้อยขมวดเป็นปม ก่อนจะร้องออกมาด้วยน้ำเสียงยินดีเมื่อจำได้

"คุณปะป๊าของน้องพี อาทิตย์จำได้!! คุณปะป๊าของน้องพีไงพี่ตะวัน"

มือเล็กข้างที่กุมมือเรียวของพี่ชายอยู่กระตุกรัวจนคนเป็นพี่ได้สติ สะดุ้งโหย่ง หันมองน้องชายที มองคนข้างบ้านที สุดท้ายก็เลยถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างคนทำอะไรไม่ได้ แล้วจึงตัดสินใจยื่นจานทาร์ตผลไม้ให้อีกฝ่ายแทน

"ผมทำมาฝากครับ" พลัฎฐ์แอบอมยิ้ม ตอนที่เอื้อมมือไปรับน้ำใจของอีกฝ่าย "ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ข้างบ้านคุณเมื่อวาน คิดว่าควรจะมาทำรู้จักกันไว้ ... อย่างน้อยก็เพื่อนบ้านกัน"

ประโยคสุดท้ายคนตัวเล็กกว่าพูดขมุบขมิบ แต่พลัฏฐ์กลับได้ยินชัดเจนในสิ่งที่ปากเล็กๆ สีสดนั่นเจรจา

"ขอบคุณครับ" เจ้าของบ้านหลังติดกันเอ่ยตอบ "ยินดีที่ได้รู้จักและเป็นเพื่อนบ้านกับคุณนะครับ... คุณตะวัน"

เจ้าของชื่ออ้าปากพะงาบๆ เพราะอีกฝ่ายเอ่ยทักชื่อเขาแล้ว ทั้งที่เขาเองกลับลืมแนะนำตัวเองไปเสียสนิท

"เอ่อ ขอโทษครับ ผมเองก็ลืมแนะนำตัวเอง"

"ไม่เป็นไรครับ เพราะเจ้าหนูอาทิตย์แนะนำให้เสร็จสรรพแล้ว" คนตัวโตกว่าว่าพลางลูบศรีษะกลมๆ ของเจ้าตัวน้อยที่กำลังยิ้มร่าให้เขาอย่างน่าเอ็นดู

"ส่วนผมพลัฎฐ์ครับ" มือใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้าทำให้ดวงตาสีเดียวกันกับของอาทิตย์เกิดลังเลขึ้นมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยื่นมือเรียวของตัวเองไปสัมผัสกับอีกฝ่าย แล้วดึงออกช้าๆ ไม่ให้ดูเสียมารยาทเกินไป

"ครับคุณพลัฎฐ์ ยังไงผมกับน้องฝากตัวด้วยนะครับ" พอตะวันพูดจบก็หันไปหาน้องชาย "อาทิตย์ครับ สวัสดีครับคุณปะป๊าของน้องพีรึยังครับ"

เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยิ้มแฉ่งสดใส ก่อนจะปล่อยมือที่จับจูงพี่ชายตัวเอง แล้วพุ่มมือไหว้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทน

"สวัสดีครับคุณลุง คุณปะป๊าของน้องพี"

"สวัสดีครับอาทิตย์ ลุงดีใจนะที่ได้เจอเราอีก"

พลัฎฐ์ยิ้มรับคำทักของเจ้าหนูอาทิตย์ แต่ในใจกลับนึกไปถึงมือของตะวันแทน เขาคิดว่ามือของตะวันนิ่ม นิ่มกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก และก่อนที่จะตากแดดกันนานไปกว่านี้ เสียงเล็กๆ ของเด็กคนเดียวที่ยืนอยู่ในที่นี้ก็ดังขึ้น

"แล้วน้องพีล่ะครับ อาทิตย์อยากเจอน้องพี" ตะวันได้แต่ยิ้มแห้ง ไม่คิดเลยว่าน้องชายจะโพล่งถามถึงเด็กน้อยอีกคนขึ้นมาแบบนี้ เขาอึดอัดจะแย่ที่ต้องมาเผชิญกับคนที่เพิ่งจะเป็นประเด็นเผ็ดร้อนกันไปเมื่อวาน แต่วันนี้กลับกลายมาเป็นเพื่อนบ้านกันเสียแบบนั้น

และพอได้ยินอาทิตย์ถามถึงน้องพีแบบนั้น ตะวันก็นึกรู้ทันทีว่าเด็กน้อยอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้จะอยู่ที่ไหน ... ถ้าไม่ใช่ในบ้าน

"น้องพีอยู่ในบ้านครับอาทิตย์ อาทิตย์อยากเข้าไปเล่นกับน้องพีไหมครับ" นั่นไงทำไมตะวันถึงแทงหวยไม่ถูกกันนะ

"ไม่ดีกว่าครับ รบกวน นี่ก็จะเที่ยงแล้ว ผมต้องกลับไปทำอาหารให้อาทิตย์ทานกลางวันด้วย พอดีแกกระเพาะตรงเวลาน่ะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวหิวละจะงอแง เอาไว้คราวหน้าแทนแล้วกันนะครับ"

เจ้าหนูน้อยหน้ามุ่ยทันทีที่ได้ยินพี่ชายบอกแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้คิดจะพูดแย้งแม้ตัวเองจะอยากเจอน้องพีแค่ไหนก็ตาม

"งั้นพอดีเลยครับ ผมกับน้องพีกำลังจะทานกลางวันกันพอดี คุณกับอาทิตย์มาทานด้วยกันก็ได้นะครับ"

พลัฎฐ์พูดหน้าตาเฉย เขารู้ดีว่าตะวันต้องการที่จะเลี่ยงและหลบหน้าเขา แต่เขากลับตีหน้าตาย มัดมือชกชวนอีกฝ่ายเข้ามากินข้าวด้วยกันแทน

"แต่..." ตะวันเตรียมจะปฏิเสธ แต่เจ้าของบ้านเอ่ยขัดเสียก่อน

"มาเถอะครับ มาทานด้วยกัน คุณบอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าอาทิตย์กระเพาะตรงเวลา นี่ก็จะเที่ยงแล้ว กว่าคุณจะกลับไปทำ กว่าอาทิตย์จะได้ทาน หิวแย่พอดี"

ตะวันอ้าปากพะงาบๆ เพราะหาคิดหาคำมาบอกปัดอีกฝ่ายไม่ทัน ในขณะที่พลัฎฐ์มองท่าทางเลิ่กลั่กของอีกฝ่ายอย่างชอบใจ เขากลั้นยิ้มทำหน้านิ่งจนแก้มปวดไปหมด

พลัฎฐ์มองความน่ารักของคนตรงหน้าอย่างถูกใจ ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะปกติมันไม่ใช่นิสัยที่เขาจะมาสนใครที่ไม่ใช่คนใกล้ตัวขนาดนี้ แต่ทำไมถึงจงใจแกล้งเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้านัก ก่อนที่พลัฎฐ์จะได้รับคำตอบว่า ... ท่าทางน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย ช่างถูกใจเขาเหลือเกืน

และก่อนที่คนถูกแกล้งจะนึกคำมาปฏิเสธเขาได้ทัน คนตัวโตกว่าก็ตัดสินใจรวบรัดทันที

"เข้ามาเถอะครับ ถือว่าผมเลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่และขอตอบแทนเรื่ิองขนมจานนี้ก็ได้" ก่อนที่พลัฎฐ์จะงัดไม้ตายขึ้นมาอีกประโยค "อีกอย่างอาทิตย์จะได้เจอน้องพีด้วย ดีไหมครับ"

เจ้าเด็กที่ถูกพาดพิงถึงกับตาโตเพราะได้ยินชื่อเพื่อนใหม่ที่เขาอยากเจอ มือเล็กๆ ของเด็กชายจึงกระตุกเข้าที่ชายเสื้อของคนพี่ไม่หยุด จนสุดท้ายตะวันก็ใจอ่อน

"โอเคครับ กินก็กิน" ตะวันยิ้มแหย ก่อนจะหันไปหาเพื่อนบ้านคนใหม่ด้วยสภาวะจำยอม "ยังไงผมขอรบกวนด้วยนะครับ"

พลัฎฐ์ยิ้มรับ ก่อนจะเปิดประตูบ้านให้กว้างขึ้น เพื่อต้อนรับสองพี่น้องต่างวัยให้เข้ามาในตัวบ้านด้วยท่าทางยินดี

"เชิญครับ"

.

.

.

To Be Continue

------------------------------

Talk: ฝากคอมเม้นท์ติชมด้วยนะคะว่าชอบหรือไม่ชอบยังไง และสามารถติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ได้ด้วยย

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ แม้ไม่มากไม่มาย แต่ทำให้เรายิ้มได้ และมีความสุขทุกครั้งที่เห็นเลย .. ขอบคุณค่ะ ❤

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #8 เมื่อ25-06-2019 07:52:30 »

เห็นความสุขลอยฟุ้งเต็มไปหมดเลยค่ะ กับเด็กน้อยสองคน 

เรางงเองอ่ะ เด็กสองคนอายุเท่ากันมั้ยนะ

รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 3rd - ยินดีที่ได้รู้จัก ::

ตะวันจับจูงมือเล็กของน้องชายเข้ามาในบ้านหลังขนาดเท่ากับของตัวเอง แต่การตกแต่งภายในแทบจะเรียกว่าแตกต่างกันสิ้นเชิง บ้านของพลัฎฐ์ให้กลิ่นไอของคำว่าครอบครัวสุดๆ ทุกอย่างดูเรียบง่ายแต่หรูหรา ทันสมัยแต่ไม่ฉูดฉาด เป็นความลงตัวที่ตะวันอดยอมรับไม่ได้ว่ามันดูดี

“น้องพี น้องพีๆๆๆ”

เสียงสดใสของอาทิตย์ทำเอาตะวันยิ้มขำ เจ้าหนูเงยหน้ามองพี่ชายด้วยสายตาออดอ้อน ไม่บอกก็รู้ว่าอยากได้อะไร ตะวันยิ้มใจดี พลางปล่อยมือน้องชายให้หลุดจากการเกาะกุม ก่อนจะตบที่ก้นเล็กๆ เบาๆ พร้อมทั้งออกแรงดันเล็กน้อย

“ป่ะครับ พี่อนุญาต แต่อาทิตย์ห้ามเล่นซนจนข้าวของในบ้านคุณลุงเสียหายนะ”

“คับ” เด็กชายพยักหน้าและตกปากรับคำ ก่อนจะวิ่งถลาไปหาเด็กอีกคนของบ้านที่กำลังกระโดดโลดเต้นดีอกดีใจอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะวิ่งมาหยุดยืนไม่ห่างจากตะวันเท่าไหร่นัก

“พี่ตะวัน น้องพีสวัสดีคับ” เจ้าเด็กตัวน้อยพุ่มมือขึ้นไหว้คนอายุมากกว่า ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้กับเพื่อนใหม่ที่รู้จักที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน

“สวัสดีครับน้องพี เจอกันอีกแล้วเนาะ”

ตะวันยิ้มแห้งแล้งส่งให้เด็กชาย ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่ได้เจอเด็กน่ารักอย่างน้องพีอีกครั้ง เพียงแต่ตะวันไม่ได้ทำใจว่าจะต้องมาเจอคู่กรณีในฐานะคนข้างบ้านแบบนี้

“น้องพีดีใจมากๆ เยยคับที่ได้เจอคุณอาทิตย์อีก”

“อาทิตย์ก็ดีใจ อาทิตย์อยากเจอ อยากเล่นกับน้องพี”

ดูเหมือนว่าตอนนี้ผู้ใหญ่ทั้งคู่จะกลายเป็นอากาศไปเสียแล้ว เมื่อเด็กทั้งสองหันไปจับมือกันแล้วกระโดดไปรอบๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดู ทำเอาตะวันและพลัฎฐ์ที่มองภาพนั้นอดยิ้มตามออกมาไม่ได้ และในจังหวะที่กำลังยิ้มค้างให้กับความสดใสทั้งสอง สายตาของสองคู่ของผู้ใหญ่ก็เลื่อนมาสบกันพอดี ซึ่งนั่นก็ทำให้ตะวันถึงกับเลิ่กลั่กเพราะทำตัวไม่ถูกไปพักใหญ่ สุดท้ายจึงต้องรีบเบือนสายตาไปทางอื่น เลยไม่ทันได้เห็นสีหน้าขบขันของคนอายุมากกว่า

พลัฎฐ์จึงใช้จังโอกาสนี้ลอบสังเกตคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเงียบๆ ตะวันเป็นเด็กหนุ่มผิวขาวสะอาด รูปร่างผอมบางถึงกับค่อนไปทางตัวเล็กไม่ต่างจากที่เขาเคยล้อเลียนอีกฝ่ายไว้เมื่อวาน เพราะถ้าคำนวณจากสวยตาแล้วตะวันสูงไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบด้วยซ้ำ ใบหน้าติดจะไปทางน่ารักมากกว่าที่จะหล่อ โดยเฉพาะเครื่องหน้าจุ๋มจิ๋มที่ดูลงตัวไปหมด ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่คนเป็นน้องชายถอดแบบมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จมูกโด่งแต่ปลายรั้นนิดหน่อยบ่งบอกถึงนิสัยของคนเป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ไหนจะริมฝีปากบางสีสดที่มักจะขมุบขมิบค่อนขอดเขา ให้รู้สึกเอ็นดูปนขำทุกครั้งที่ได้ยิน แต่ที่ติดใจพลัฎฐ์ที่สุดเห็นจะเป็นแก้มป่องๆ ของคนที่พยายามทำตัวปกติโดยการมองไปรอบๆ ซึ่งไม่เนียนสักนิด และตอนนี้เจ้าแก้มที่ว่าก็ขึ้นสีแดงระเรื่อน่าจะเพราะจากไอแดดข้างนอกเมื่อสักครู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ามองของมันน้อยลงไปสักนิด ตรงกันข้ามพลัฎฐ์กลับจากสัมผัสแก้มกลมๆ ของอีกฝ่ายสักครั้ง เขาอยากรู้ว่ามันจะนิ่มเหมือนที่ตัวเองจินตนาการไว้หรือเปล่า

ยอมรับแบบไม่อายก็ได้ เขาคิดว่าตัวเองกำลังถูกใจตะวัน เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ... ทั้งที่ก่อนหน้าเรื่องคิดว่าตัวเองจะมองหาใครไม่มีในหัวสักนิด แต่แล้วคนข้างบ้านที่ย้ายมาใหม่ ก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ แต่ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะจ้องนานไปหน่อยจนคนถูกมองรู้ตัวเลยหันมาเลิกคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงถาม

“มีอะไรหรือเปล่าครับ? เห็นคุณมองหน้าผม”

เสียงหวานติดจะสะบัดน้อยๆ ตามประสาคนมีคดี แม้อีกฝ่ายจะมองว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่ดูเหมือนตะวันจะเจ้าคิดเจ้าแค้นผูกใจเจ็บพอสมควร ... เด็กน้อยจริงๆ เลย อยากจะรู้เหลือเกินว่าอายุเท่าไหร่กัน ถ้าให้พลัฏฐ์เดาก็คิดว่าคงไม่เกินยี่สิบต้นๆ แน่ๆ

เจ้าของบ้านยังรักษาท่าทีนิ่งเฉยภายใต้ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งที่ในใจรู้สึกสนุกจะแย่ จากนั้นก็เอ่ยกับคนข้างบ้านเรียบๆ

“แค่จะถามครับ ว่าคุณกับอาทิตย์หิวหรือยังผมจะได้ไปเตรียมอาหารออกมาให้”

ตะวันพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงว่ารับรู้ก่อนจะโพล่งถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

“เอ่อ.. คุณให้ผมไปช่วยก็ได้นะครับ ผม.. พอจะหยิบจับอะไรเป็นอยู่บ้าง”

ตะวันเอ่ยปากอาสา อันที่จริงแล้วที่นี่มันก็บ้านของพลัฎฐ์ เจ้าของบ้านอยากจะต้อนรับขับสู้ก็คงไม่แปลก แต่จะให้เขานั่งรอกินเฉยๆ ก็อดไม่ได้ เพราะเกรงใจ และอีกอย่าง ถ้าเป็นเรื่องอาหารตะวันทำได้ดีเสมอ เลยอยากจะเสนอตัวช่วย

“งั้นก็เชิญทางนี้เลยครับ ห้องครัวอยู่ทางนี้”

เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่เดินนำคนตัวเล็กกว่าตรงไปยังส่วนในสุดของบ้าน ผ่านเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่นั่งคุยงุ้งงิ้งกันอยู่ที่หน้าโซฟากลางห้องนั่งเล่น รอบตัวเต็มไปด้วยเลโก้ตัวต่อ กับหุ่นยนต์ตัวเล็กตัวใหญ่ที่น้องพีไปขนมาวางให้เพื่อนใหม่เล่น เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากของเด็กน้อยดังไปดังไปทั่วบ้าน ... ตะวันชะโงกหน้าไปมองพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าน้องชายตัวแสบไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้เจ้าของบ้าน

“น้องพีๆ อาทิตย์เล่นอันนี้ได้ไหม”

“ได้ๆ คุณอาทิตย์เล่นอันนี้ได้เยย ของน้องพีอันนี้ เดี๋ยวน้องพีจะต่อตัวต่อให้คุณอาทิตย์ดูนะ”

“อาทิตย์ครับ เล่นกับน้องพีดีๆ ห้ามแกล้ง ห้ามชวนน้องพีทะเลาะนะ”

คนเป็นพี่ก็ไม่วายกำชับน้องชายอย่างจริงจังเสียก่อนที่จะมองตามเจ้าของบ้านที่เดินลิ่วๆ เข้าไปในครัวก่อน ซึ่งก็ได้รับคำมั่นสัญญาที่น่ารักตอบกลับมาเป็นอย่างดี

“คับพี่ตะวัน อาทิตย์จะไม่ดื้อ ไม่ซนเลย” พอได้ยินแบบนั้นเขาก็เบาใจขึ้น เลยตัดสินใจปล่อยเด็กทั้งสองให้เล่นกันลำพัง ส่วนเขาก็เดินไปช่วยอีกคนในครัว

“มาครับ ผมช่วย”

ตะวันเดินไปฉวยหม้อเล็กๆ ที่ใส่แกงไว้จากมือของพลัฎฐ์มาถือไว้เมื่อเห็นท่าทีเก้ๆ กังๆ ของอีกฝ่าย สงสัยเหลือเกินว่าท่าทางของพลัฎฐ์ไม่เห็นเหมือนคนทำอาหารเป็น แต่อาหารที่อยู่ในหม้อกลับดูน่ากินเกินกว่าจะเชื่อว่าคนตรงหน้านี่เป็นคนทำได้

“คุณดูคล่องนะ” คนเป็นเจ้าของบ้านว่า พลางขยับถอยมายืนอีกฝั่งของเคาน์เตอร์ ก่อนจะจ้องมองมือเรียวที่หยิบนั่นจับนี่ เผลออีกทีคนตัวเล็กกว่าก็เอาหม้อใส่แกงที่ว่าวางลงไปบนเตาแก๊ส ท่าทางไหลรื่นไม่ติดขัด

“ส่วนคุณ...” ตะวันหันหลับมาเผชิญหน้าอีกฝ่าย พลางฉวยทัพพีมาไว้ในมือ “ดูทำอะไรไม่เป็นนะ... ผมกำลังสงสัยว่าแกงหม้อนี้คุณทำเองแน่เหรอ?”

คนอายุน้อยกว่าหรี่ตาถาม ทำเอาคนที่ถูกจับได้หลุดยิ้ม ก่อนจะรับสารภาพตาใส

“แม่บ้านน่ะครับ แกจะทำไว้ให้ทุกวัน พอจะทานผมก็แค่เอามาอุ่น ... นี่ก็เพิ่งกลับไปเมื่อกี้เอง”

ตะวันพยักหน้ารับช้าๆ ดูเหมือนว่าความสงสัยจะได้รับการคลี่คลาย อีกฝ่ายเลยหันไปดูแกงในหม้อที่เริ่มเดือด ก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง

“ถ้าเป็นแกงกะทิ หรือแกงที่ทำทิ้งไว้ข้ามคืน ผมแนะนำว่าให้คุณอุ่นโดยใช้เตาแก๊สนะครับ ถ้าใช้แค่ไมโครเวฟมันไม่พอ”

เสียงใสเริ่มพูดเจื้อยแจ้วตามประสาคนชอบเข้าครัว ในขณะที่คนไม่เคยแม้แต่จะหั่นผักตั้งใจฟังอีกฝ่ายพูดเต็มที่ เขาไม่คิดเลยว่าตะวันจะรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารมากขนาดนี้ ... แต่ถ้ามองจากทาร์ตผลไม้ที่อีกฝ่ายถือมาให้ถึงบ้าน ก็ดูไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ มันไม่เหมือนของที่ซื้อมาจากร้าน เพราะถ้าซื้อมาพวกผลไม้สดที่วางเรียงสวยงามอยู่บนทาร์ตก็ไม่น่าจะมากและดูน่ากินขนาดนี้ ถ้าให้เดาเขาคิดว่าเจ้าตัวคงเข้าครัวทำเองเสียมากกว่า

“คุณดูทำอาหารเก่ง... ทาร์ตนี่คุณตะวันก็ทำเองใช่ไหมครับ” พลัฎฐ์ถามแม้จะพอเดาคำตอบได้อยู่แล้ว

“ครับ ผมทำเอง อยากให้คุณลองชิมดู น้องพีก็น่าจะทานได้ ... แต่ไม่แน่ใจว่าจะถูกปากรึป่าวนะครับ”

จบคำที่อีกฝ่ายว่า คนเป็นเจ้าของบ้านก็หยิบทาร์ตผลไม้ที่เขาวางไว้ในจานบนเคาน์เตอร์เข้าปากหนึ่งชิ้นตามคำชวนของคนทำมาฝาก

“อร่อยมากครับ”

พลัฎฐ์เอ่ยปากชม เขาไม่ได้ชมตามมารยาทแต่ขนมที่ตะวันทำมาฝากนั้นอร่อยจริงๆ ฝีมือคนที่กำลังง่วนอยู่กับแกงในหม้อเทียบเท่ากับขนมในร้านอาหารหรูๆ ได้เลย

ตะวันมายิ้มกว้างให้กับคำชมที่ได้รับจากอีกฝ่าย นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาชอบที่สุด เพราะสำหรับคนชอบทำอาหารแล้ว ไม่มีอะไรจะมีความสุขมากไปกว่าการที่คนที่กินอาหารชอบและชมและอาหารของเรา

“ขอบคุณครับ แม้คุณจะชมเป็นมารยาทก็ตาม” เด็กหนุ่มเย้าเสียงใส เขารู้ดีว่าพลัฎฐ์ชมจากใจจริง เพราะค่อนข้างมั่นใจในฝีมือตัวเองพอสมควร

“อ่าว ผมก็ว่าผมเนียนแล้วนะ คิดว่าคุณจะจับไม่ได้เสียอีกว่าผมชมไปตามมารยาท”

ตะวันเม้มปากหน้าตึง หันไปมองค้อนคนที่กำลังทำหน้าตายยอมรับในข้อกล่าวหาของเขา ยอมรับก็ได้ว่าลึกๆ ก็มีหวั่นใจบ้าง เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองใส่ส่วนผสมอะไรผิดสูตรหรือเปล่า หรือขนมอาจจะไม่อร่อยจริงๆ ... ในขณะที่คุณเจ้าของร้านอาหารคนเก่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะพยายามนึกให้ออกว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดระหว่างการทำทาร์ตจานนี้ คนที่แกล้งให้คนอื่นเสียความมั่นใจก็ขำคิก จนอีกฝ่ายได้ยินเสียงหัวเราะนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าถูกแกล้งเข้าให้

“คุณนี่มัน!!!...”

พี่ชายเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยจิ๊ปาก ก่อนจะหันไปเทแกงจากหม้อลงถ้วย และจัดการอุ่นอาหารจานอื่นๆ ต่อ เพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับพวกที่ชอบกวนโทสะคนอื่น

“ฮ่ะๆๆ โอเคๆ ผมขอโทษ ผมล้อเล่นครับ” พลัฎฐ์หยุดขำและแสร้งทำหน้าขรึม ทั้งที่ดวงตาพราวระยับเต็มไปด้วยความขบขัน “ขนมคุณอร่อยมาก.. ผมชมจริงๆ ไม่ได้แกล้งชม”

เจ้าของบ้านยกมือขึ้นสองข้างในท่ายอมแพ้ เมื่อเห็นดวงตากลมโตตวัดมามองอย่างแค้นเคือง

“คุณมันกวนประสาทเป็นบ้า” ปากเล็กๆ บางๆ ของตะวันบ่นมุบมิบ แต่ในขณะเดียวกันมือเรียวก็ยังคงไม่หยุดหยิบจับ จนอาหารทุกจานที่แม่บ้านทำไว้ถูกอุ่นเรียบร้อยทั้งหมด

พลัฎฐ์อดแปลกใจในความคล่องแคล่วของอีกฝ่ายยามอยู่ในครัวไม่ได้ ตะวันกับการทำอาหารดูเข้ากันได้ดีจนเข้าขั้นมีเสน่ห์ และนั่นก็ทำให้คนที่เฝ้ามองการกระทำของคนตัวเล็กกว่ามาตั้งแต่แรก อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาสนใจตะวันมากขึ้น มากกว่าเมื่อกี้อีกด้วยซ้ำ ... เด็กผู้ชายคนนี้จะทำให้เขาหยุดมองสักวินาทีไม่ได้เลยสินะ

.

.

.

อาหารมื้อกลางวันของบ้านวัฒนไพศาลกุลจบลงไปแล้ว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทานของคาวและของหวานกันเสียจนอิ่มตื้อ โดยเฉพาะเจ้าหนูอาทิตย์ดวงน้อยที่ถึงกับลูบพุงป้อยๆ พลางอ้อนพี่ชายไม่หยุด

“พี่ตะวันคับ อาทิตย์อิ่มมากๆ เลย ขนมของพี่ตะวันอร่อย”

คนเป็นพี่ได้แต่ยิ้มขำ ขนมที่เขาเอามาฝากพลัฎฐ์ถูกเจ้าน้องชายจอมยุ่งแย่งกินไปเสียเกือบครึ่ง ตอนแรกตะวันก็พยายามปราม แต่พอได้ยินเจ้าของขนมอนุญาตให้อาทิตย์กิน ก็พูดขัดไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายอ้างว่าถ้าอาทิตย์กิน น้องพีจะได้กินตามด้วย เพราะปกติน้องพีเป็นเด็กกินยาก พอพลัฎฐ์เห็นว่าน้องพีกินขนมของตะวันได้มากกว่าปกติเลยอยากจะสนับสนุนให้กินเยอะๆ

“น้องพีเก๊าะอิ่ม ขนมของพี่ตะวันอะหย่อยยย วันหยังพี่ตะวันทำมาให้น้องพีกินอีกนะคับ” พอเด็กน้อยขอ มีหรือที่ตะวันจะปฏิเสธ เขารีบรับปากทันทีทันใด

“ได้สิครับ คราวหน้าพี่ตะวันจะทำพายบลูเบอร์รี่มาให้ น้องพีอยากกินไหมครับ”

เด็กน้อยไม่รู้หรอกว่าขนมที่ตะวันพูดถึงหน้าตาเป็นยังไง เขารู้เพียงแค่ว่าตะวันจะทำมาให้กิน และขนมที่ตะวันเอามาให้กินนั้นอร่อย เพราะฉะนั้นยังไงขนมที่พี่ชายของอาทิตย์เอามาก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว

“หยักกินครับ” เด็กน้อยพุ่มมือไหว้อย่างมีมารยาท “น้องพีขอบคุณนะคับพี่ตะวัน”

คนถูกไหว้ถึงกับยิ้มกว้าง เพราะถูกใจในความน่ารักและเป็นเด็กดีของอีกฝ่าย ขนาดที่ว่ายังไม่ได้กินเลย เพียงแค่เขาเอ่ยปากว่าจะทำให้เท่านั้น เจ้าหนูน้อยก็ชิงขอบคุณเสียแล้ว

“น้องพีๆ พี่ตะวันอ่ะ ทำขนมอร๊อยอร่อยมากเลยนะ ทำข้าวก็อร่อย คุณอาทิตย์น่ะชอบกินมากๆ เลย วันหลังน้องพีไปกินข้าวที่พี่ตะวันทำที่บ้านคุณอาทิตย์กันไหม?”

“จริงหยอคุณอาทิตย์” และพอตื่นเต้นก็เป็นประจำที่น้องพีจะเริ่มพูดไม่ชัด และครั้งนี้ก็เช่นกัน “น้องพีไป น้องพีหยักไปบ้านพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์”

ตะวันตาโต ส่วนพลัฎฐ์ก็กลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ย ฟังจากที่ได้น้องพีกับคุณอาทิตย์คุยกัน ด้วยคำพูดคำจาแบบนี้คงเตรียมนัดแนะกันเรียบร้อย

“พี่ตะวันคับ” เจ้าน้องชายตัวแสบหันมาทางคนเป็นพี่ที่นั่งยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ “ให้น้องพีไปกินข้าวที่บ้านเราได้ไหมคับ?”

ตะวันคิดในใจว่าทุกอย่างดูผิดแผนไปหมด จากที่แค่จะเอาขนมมาฝากคนข้างบ้าน ไหงเลยเถิดเป็นคนข้างบ้านกลายเป็นคู่กรณีที่เพิ่งตีกันไปเมื่อวาน หนำซ้ำยังมานั่งกินอาหารบ้านเขา และล่าสุดดูเหมือนจะต้องเชิญเขาไปกินอาหารที่บ้านคืนด้วย

แต่ก็เอาเถอะ ดูๆ ไปแล้วพลัฎฐ์หนุ่มพ่อลูกติดก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร และยิ่งไปกว่านั้นน้องพีก็น่ารักมาก แถมเข้ากับเจ้าน้องชายตัวแสบของเขาได้ดีสุดๆ และอย่างน้อยถ้าอาทิตย์มีเพื่อนก็น่าจะทำให้น้องชายเขาปรับตัวได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น มองๆ ไปแล้วการผูกมิตรกับบ้านนี้น่าจะมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ดังนั้นตะวันจึงตัดสินใจเอ่ยปาก

“ถ้างั้น.. สัปดาห์หน้าผมเชิญคุณพลัฎฐ์กับน้องพีที่บ้านนะครับ ถือว่าเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่แล้วก็เลี้ยงขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ด้วย”

“เย่ๆๆ”

เจ้าหนูน้อยอาทิตย์ปรบมือชอบอกชอบใจทันทีที่ได้ยินพี่ชายเชิญคุณปะป๊าของน้องพีไปที่บ้าน ในขณะน้องพีก็นั่งยิ้มแฉ่ง มือเล็กๆ ยื่นไปเกาะที่แขนเรียวของตะวัน พลางเอาศีรษะเล็กๆ มาถูไถ ราวกับกำลังจะออดอ้อน ทำเอาตะวันอดไม่ได้ที่จะอุ้มลูกของคนข้างบ้านมาฟัดจูบที่แก้มนิ่มเบาๆ

ทำไมน้องพีถึงได้น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ก็ไม่รู้ ซึ่งตะวันบอกเลยว่าอย่าถามหาอะไรแบบนี้จากอาทิตย์เลย ถ้าไม่อ้อนขอขนม หรือขอให้ทำอะไรให้ก็ไม่มีทางได้เห็นหรอก

“มาอยู่กับพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์ไหมครับน้องพี พี่ตะวันจะทำขนมให้หนูกินทุกวันเลย” ตะวันพูดหลอกล่อ ยอมรับตามตรงว่าอยากเอาน้องพีกลับไปเลี้ยงที่บ้านมาก

“ไปได้หยอคับ?” น้องพีถามตาใส ก่อนจะหันไปทางปะป๊าที่กำลังมองภาพความสนิทสนมของลูกตัวเองกับคนข้างบ้านหน้านิ่ง ทั้งที่ความจริงแล้วใจเหลวไปหมด เหมือนความน่ารักของทุกสิ่งในโลกมารวมกันอยู่ที่ตะวันกับน้องพี

“แต่ถ้าน้องพีไปอยู่กับพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์แย้วปะป๊าจะอยู่กับใครอ่ะคับ ปะป๊าต้องเหงาแน่ๆ เยย”

พลัฎฐ์เองพอได้ยินแบบนั้นก็แกล้งทำหน้าเศร้าใส่ลูกชาย “น้องพีจะทิ้งปะป๊าไปเหรอครับลูก? น้องพีไม่รักปะป๊าแล้วเหรอครับ?”

เท่านั้นแหละเด็กชายตัวน้อย โผเข้าไปกอดคนเป็นพ่อที่นั่งอยู่บนโซฟาทันที ปากเล็กๆ ระดมจูบแก้มสากราวกับง้องอน ทำเอาพลัฏฐ์แทบจะอดใจไม่ไหว อยากจับลูกชายมาฟัดจูบต่อหน้าคนข้างบ้านเสียให้ได้

“น้องพีรักปะป๊านะ งั้นเราไปอยู่บ้านพี่ตะวันด้วยกันไหมคับปะป๊า ไปอยู่ด้วยกันหมดเยย พี่ตะวันทำขนมอะหย่อย”

ดูเหมือนตัวหนูน้อยจะตื่นเต้นกลัวพ่อเสียใจ พูดไม่ชัดเกือบทุกคำ ยกเว้นคำบอกรักพ่อคำเดียวที่พูดชัดเจน พลัฎฐ์หลุดขำพรืดในขณะที่ตะวันหน้าตาเหรอหรา แต่ในขณะที่ไม่รู้จะบอกเลี่ยงยังไง เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยกลับโพล่งขึ้นมาเสียก่อน

“พี่ตะวัน อาทิตย์ปวดฉี่ๆ”

ตะวันหันมามองเจ้าของบ้านด้วยสายตาทันทีว่าห้องน้ำอยู่ไหน ซึ่งพลัฏฐ์เองก็เอ่ยตอบโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถามออกเสียง “ซ้ายมือ ข้างห้องครัวครับ”

ตะวันจูงมือเล็กๆ ของน้องชายพากันวิ่งตรงไปยังจุดที่พลัฎฐ์บอก

“พี่ตะวันนน วิ่งเร็วๆๆๆ อาทิตย์ปวดฉี่”

“พี่ก็เร็วแล้วเนี่ย อาทิตย์ใจเย็นสิครับ”

“น้องปวดฉี่ ปวดฉี่ ปวดฉี่”

กว่าเสียงจะเงียบและกว่าเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยจะได้เข้าห้องน้ำ พลัฏฐ์ก็มองตามความวุ่นวายของสองคนพี่น้องที่วิ่งไปเถียงกันไปอยู่พักใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ฮ่าๆๆ"

"คิกๆ ปะป๊าๆ คุณอาทิตย์ปวดฉี่แหยะ”

และคนที่ถูกเรียกปะป๊าก็ต้องหลุดขำออกมามากกว่าเดิมเมื่อลูกชายพูดประโยคเมื่อครู่จบพร้อมด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก ... ดูเหมือนว่าตั้งแต่ตะวันกับอาทิตย์ก้าวเข้ามาในบ้านจะทำให้เขาและลูกหัวเราะได้มากว่าการหัวเราะทั้งอาทิตย์รวมกันเสียอีก

.

.

.

“แล้วนี่คุณอยู่กับอาทิตย์สองคนเหรอครับ”

หลังจากทานมื้อกลางวันที่บ้านของพลัฎฐ์ตามด้วยทาร์ตผลไม้ที่เขาเป็นคนทำมาฝากเสร็จ ผู้ใหญ่สองคนก็แยกมานั่งจิบกาแฟคุยกัน ในขณะที่เด็กน้อยทั้งสองที่ตอนนี้เขาขากันได้ดียิ่งกว่าอะไรก็นั่งเล่นอยู่บนพื้นใกล้ๆ ส่งเสียงเรียกน้องพีๆ คุณอาทิตย์ๆ อยู่ไม่ห่าง

“ใช่ครับ พอดีคุณพ่อกับคุณแม่ผมต้องไปทำงานต่างประเทศ ผมก็เลยย้ายออกมาอยู่กับอาทิตย์สองคนข้างนอก เพราะบ้านเดิมอยู่ไกล แถมรถติดอีกต่างหาก แล้วคุณล่ะครับ อยู่กับน้องพีแค่สองคนเหรอ?”

พอเริ่มสนิมสนมกันมากขึ้น ตะวันก็พบว่าพลัฎฐ์เป็นคนที่ใช้ได้พอสมควร เขาสุภาพ เขาดูเป็นผู้ใหญ่ เขาใจเย็น อาจจะมีบ้างที่ดูกวนๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกบ่อยอะไรเท่าไหร่นัก

“ที่จริงอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยครับ แต่พวกท่านไปเคลียร์งานของบริษัทที่ต่างประเทศ ตอนนี้เลยมีผมอยู่กับน้องพีสองคน”

ตะวันกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับพึมพำ ไม่ได้จะแสดงความเห็นอะไรจริงจัง

“มิน่า... บ้านคุณกว้างแต่ก็ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านมาก ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนบ้านคุณพ่อลูกติดเท่าไหร่” พอหลุดปากออกไปแล้วก็แต่ตาโต รีบยกมือเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมาปิดปาก และพอได้สบตากับคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงข้ามแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยขอโทษออกมาเสียงแผ่วให้กับความเสียมารยาทของตัวเอง

“ขอโทษครับ ผมไม่ควรเสียมารยาทวิพากษ์วิจารณ์คุณและบ้านของคุณ”

คนเป็นเจ้าของบ้านที่ถูกพาดพิงทำหน้าเรียบเฉย ขัดกับความรู้สึกภายในอกที่วูบวาบไปหมดเพราะความถูกใจ เขามองใบหน้าน่ารักที่สลดลงเล็กน้อย ตากลมๆ โตๆ ที่เดี๋ยวก็หลุบมองพื้น เดี๋ยวก็เหลือบมองเขาสลับไปมา คงรู้สึกผิดกับเขาแทบแย่ เป็นเด็กที่มารยาทดีมากๆ เลย

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไร” พลัฎฐ์ยิ้มบางๆ เพระไม่อยากให้ใบหน้าน่ารักของอีกฝ่ายสลดมากไปกว่านี้ เขาชอบตะวันที่สดใสร่างเริงมากกว่า “ผมจ้างแม่บ้านแบบไปเช้าเย็นกลับ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็ให้ทำแค่ตอนเช้า เพราะไม่อยากให้ใครรบกวนเวลาอยู่กับลูกน่ะครับ”

เจ้าของบ้านเฉลยในสิ่งที่ตะวันสงสัย คนอายุน้อยกว่าพยักหน้ารับ ก่อนที่เสียงเล็กๆ ของน้องพีจะดังขัดขึ้น พร้อมกับร่างเล็กๆ ที่ถลามาเกาะอยู่ตรงตักของคนตัวโต

“ปะป๊าคับ ปะป๊า” เจ้าตัวน้อยปีนขึ้นมานั่งคุกเข่าอยู่บนตักกว้างของพลัฎฐ์อย่างเชี่ยวชาญ ท่าทางจะทำบ่อย

“หืม? ว่าไงครับ น้องพีอยากได้อะไรลูก?” พลัฎฐ์ลูบศรีษะกลมของลูกชาย พลางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แล้วคุณอาทิตย์ล่ะครับ?”

ตะวันมองภาพตรงหน้าแล้วหลุดยิ้มออกมาบางๆ ภาพของผู้ชายตัวโตอย่างพลัฎฐ์ยามอยู่กับลูกชายเป็นอะไรที่ดูน่ารักและอ่อนโยนมากๆ อาจจะเป็นเพราะการเจอกันครั้งแรกของเราสองคนไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่ ทำให้ตะวันติดภาพและมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีกับพลัฎฐ์

แต่พอได้มาเจอ มาพูดคุยกับอีกฝ่ายวันนี้ และถ้าหากตัดความอคติส่วนตัวออกไป ตะวันก็คิดว่าพลัฎฐ์ไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิดสักนิด ตรงกันข้ามเขาเป็นคนดีมากพอสมควรเลยด้วยซ้ำ เว้นแต่ตอนกวนประสาทน่ะนะ

พลัฎฐ์เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ เขาน่าจะสูงมากกว่าตะวันสักเกือบยี่สิบเซ็นต์ได้ กะโดยสายตาแล้วเกินหนึ่งร้อยแปดสิบห้าแน่ๆ เพราะถ้าได้ยืนคุยกันเมื่อไหร่ตะวันต้องแหงนหน้าขึ้นทุกครั้ง และแน่นอนว่าพลัฎฐ์ไม่ได้แค่สูง แต่กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ที่ควรต้องมี เขาก็มีมันในแบบที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ต้นแขน หน้าอก ต้นขา และถ้าให้เดา กล้ามหน้าท้องที่ผู้ชายส่วนใหญ่ใฝ่ฝันจะมี คนๆ นี้ต้องมีมันในรูปแบบที่เชื่อได้ว่าใครเห็นก็ต้องอิจฉา ยิ่งใบหน้าของพลัฎฐ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คำว่าหล่อเหลา ไม่ได้เกินจริงเลยสำหรับคนๆ นี้ ตอนแรกตะวันแค่อคติก็เลยยอมรับไปในใจส่งๆ ว่าพลัฏฐ์ค่อนข้างที่จะดูดี ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาหล่อมาก ... ใบหน้าคร้ามคม สันกรามชัดเจน จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาเรียวรีคมปราด รับกับคิ้วเข้มปลายตัดที่เฉียงขึ้นเล็กน้อย ทำให้เขาดูหล่อเจ้าเล่ห์เพียงแค่กระตุกยิ้มด้วยริมฝีปากเป็นกระจับคู่นั้น แต่ถ้าหากเขาทำหน้าเฉยๆ เขาก็จะดูหล่อเย็นชาขึ้นมาทันที

แต่แปลกที่น้องพีแทบจะไม่เหมือนพลัฎฐ์เลยสักนิด ไม่ใช่ว่าน้องพีหน้าตาไม่ดี แต่น้องพีกลับดูน่ารัก มีแววตากลมๆ ที่สดใส ริมฝีบางและยิ้มเก่ง ... บางทีเด็กชายอาจจะเหมือนคุณแม่ คุณแม่ที่ตะวันไม่กล้าถามถึง เพราะถ้าเขาเอ่ยถึงขึ้นมามันจะดูเสียมารยาทมาก มากยิ่งกว่าตอนที่เขาวิจารณ์เรื่องบ้านของพลัฎฐ์เสียอีก

“น้องพีก็ถามพี่ตะวันดูสิลูก เพราะปะป๊าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ตะวันได้สติรู้สึกตัวหลังจากมองหน้าอีกฝ่ายเพลิน จึงได้สะดุ้งและหันมามองตรงไปยังน้องพี ที่ส่งเสียงเรียกเขาเจื้อยแจ้ว พร้อมๆ กับที่อาทิตย์วิ่งตื๋อเข้ามาหาเขาด้วย

“พี่ตะวันคับ พี่ตะวัน” น้องพีเรียก ในขณะที่อาทิตย์ก็ปีนขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างๆ เขา

“ว่าไงครับน้องพี มีอะไรจะถามพี่เหรอครับ”

“น้องพีอยากยู้ว่าคุณอาทิตย์เยียนที่ โยง เยียน.. ฮื่ออ โยงเยียนไหนหยอคับ”

พอพูดจบเจ้าหนูน้อยก็หน้ามุ่ยโดยที่ตะวันไม่รู้สาเหตุ แต่ดูเหมือนพลัฎฐ์จะเข้าใจอาการหงุดหงิดของลูกชายได้เป็นอย่างดี เพราะตะวันเห็นพลัฏฐ์แอบอมยิ้มก่อนจะกระซิบปลอบลูก

“น้องพีก็รู้นี่ครับ ว่าเวลาน้องพีตื่นเต้น น้องพีจะพูดไม่ชัด” ปากเป็นกระจับกดลงกลางกระหม่อมคนเป็นลูกเบาๆ “ค่อยๆ พูดนะครับ ใจเย็นๆ พี่ตะวันเขารอฟังน้องพีได้ ไม่ต้องรีบ”

“น้องพีจะถามพี่ว่าคุณอาทิตย์เรียนที่โรงเรียนไหนใช่ไหมครับ” ตะวันรีบพูดแสดงออกว่าเขาเข้าใจเจ้าหนูน้อย เพราะไม่อยากให้น้องพีเสียความมั่นใจ

“ใช่คับ น้องพีอยาก... อยาก... รู้” เจ้าหนูยิ้มร่า เพราะค่อยๆ พูดออกมาจนชัดจนได้

“ใช่ๆ พี่ตะวัน อาทิตย์ก็อยากรู้ อาทิตย์อยากเรียนโรงเรียนเดียวกับน้องพี”

ตะวันตาโตพอได้ยินน้องชายถาม นี่สนิทกันจนอยากเรียนโรงเรียนเดียวกันแล้วเหรอเนี่ย และพอเจอดวงตากลมๆ สองคู่ของเด็กสองคนกดดัน ตะวันก็เกิดจะพูดไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ

"เอ่อ.. คุณอาทิตย์เรียนที่อนุบาลxx ครับ ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ซึ่งพี่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่โรงเรียนเดียวกับที่น้องพีเรียนหรือเปล่า"

น้องพีทำหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างสงสัย และสุดท้ายก็ต้องหันไปพึ่งปะป๊าที่ตัวเองนั่งซ้อนตักอยู่

"ปะป๊าคับ ปะป๊า แล้วน้องพีเยียนโยงเยียนอะไยคับ"

เจ้าตัวเล็กฮึดฮัดนิดหน่อย แต่ความอยากรู้มีมากกว่าจะคิดแก้ไขคำพูดที่ไม่ชัดของตัวเอง ส่วนตะวัน ถึงกับร้องอ้าวในใจ ไอ้เขาก็นึกว่าน้องพีรู้อยู่แล้วเสียอีกว่าตัวเองเรียนที่ไหน โถ... เด็กหนอเด็ก อยากจะเรียนที่เดียวกัน แต่ไม่มีใครรู้ชื่อโรงเรียนตัวเองเลยสักคน

"อนุบาลxx ครับลูก" คนเป็นพ่อตอบพลางยิ้มเอ็นดู แถมยังยิ้มเผื่อแผ่ไปให้กับตะวันที่กำลังอมยิ้มอยู่เหมือนกัน ในขณะที่เด็กทั้งคู่กำลังสบตาและสื่อสารซึ่งกันและกันอยู่

"แล้วมันโยงเยียนเดียวกับของคุณอาทิตย์ไหมคับปะป๊า"

... ใช่ มันคือโรงเรียนเดียวกัน

"ใช่ครับลูก โรงเรียนเดียวกัน น้องพีกับคุณอาทิตย์ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันครับ"

"เย่ๆๆ/เย่ๆๆ"

เด็กทั้งสองตะโกนออกมาด้วยความดีใจทั้งคู่ ก่อนที่เจ้าหนูน้อยจะต่างคนต่างปีนผละออกจากผู้ปกครองตัวเองมาจับมือกันแล้วก็คุยงุ้งงิ้ง คุณอาทิตย์ๆ น้องพีๆ กันต่อ

- อ่านต่อด้านล่าง -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -

พลัฎฐ์ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ได้รู้ว่าเจ้าหนูน้อยที่เพิ่งย้ายมาอยู่ข้างบ้านเรียนที่ไหน เพราะอนุบาลที่เขาพูดถึงเป็นอนุบาลที่ดีที่สุดติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศ และการที่่ตะวันยอมย้ายออกจากบ้านหลังเก่ามาอยู่แถวนี้ เพราะให้เหตุผลว่าบ้านหลังเดิมไกลและรถติด นั่นทำให้พลัฎฐ์พอเดาได้อยู่ว่า ไม่โรงเรียนของอาทิตย์ก็ต้องที่ทำงานของตะวัน หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ไม่งั้นตะวันคงไม่ย้ายมาหรอก

และโรงเรียนอนุบาลที่ว่าก็อยู่ในละแวกนี้พอดี ดังนั้น พลัฎฐ์จึงไม่แปลกใจสักนิดที่อาทิตย์กับน้องพีจะเรียนที่เดียวกัน เพราะตัวเขา ก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกไม่ต่างจากที่ตะวันเลือกให้น้องชายเลย และพอได้รู้ในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้แล้ว เจ้าหนูน้อยทั้งสองก็ผละออกไปเล่นกันต่อ ปล่อยให้ผู้ใหญ่ที่เพิ่งได้เห็นอีกความบังเอิญได้คุยกัน

"แล้วนี่คุณตะวันไปรับไปส่งอาทิตย์เองใช่ไหมครับ หรือให้รถโรงเรียนมารับ" พลัฏฐ์เอ่ยปากถาม

"ผมไปส่งอาทิตย์เองครับ ที่ย้ายมาอยู่แถวนี้ก็เพราะจะได้สะดวกเรื่องโรงเรียนของอาทิตย์นี่แหละครับ อีกอย่างร้านของผมก็อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ด้วย"

ตะวันอธิบายยาว พลางมองไปที่น้องชายด้วยสายตารักใคร่ จนไม่ทันได้สังเกตเห็นความสงสัยที่อีกฝ่ายส่งมา

"ร้านเหรอครับ?"

"อ้อ ... ผมลืมบอก" ตะวันเกาคอแก้เก้อ ก่อนจะตอบความสงสัยของพลัฎฐ์ "ผมเปิดร้านอาหารน่ะครับ ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ถ้าว่างๆ เชิญคุณพลัฎฐ์นะครับ"

"ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่" เจ้าของบ้านยิ้มน้อยๆ พลางนึกถึงภาพของเด็กหนุ่มตอนอยู่ในครัวเมื่อครู่ ก็แทบจะตอบข้อสงสัยได้ทั้งหมด "ดีจังนะครับ ท่าทางคุณจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ... ว่าแต่อยู่แถวไหนล่ะครับ ผมจะได้ไปอุดหนุน"

"ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมถึงร้านแล้วจะแชร์โลเคชั่นไปให้นะครับ ... ที่จริง ก็เพิ่งจะเปิดวันแรกพรุ่งนี้นี่แหละ" ตะวันยิ้มกว้างยามพูดถึงร้านอาหารของตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ "ว่าแต่พรุ่งนี้คุณว่างไหมครับ ผมอาจจะมีเลี้ยงฉลองเปิดร้านนิดหน่อย อยากให้คุณกับน้องพีไปด้วย"

พลัฎฐ์ยิ้มรับคำชวน "ถ้าตอนเย็นพอเลิกงานก็พอได้ครับ"

ตะวันยิ้มกว้าง "งั้นเชิญนะครับ สะดวกกี่โมงก็เชิญได้เวลานั้นเลย"

"ว่าแต่พรุ่งนี้อาทิตย์จะไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ กว่าโรงเรียนจะเปิดก็อีกตั้งสองสัปดาห์" คนตัวโตกว่าถาม พลางจ้องมองไปยังเด็กทั้งสอง ก่อนจะนึกคำนวณอยู่ในใจแล้วถามออกมา "คุณตะวันจะฝากอาทิตย์ไว้ที่กับผมก็ได้นะครับ ระหว่างรอเปิดเทอมผมต้องพาน้องพีไปที่ออฟฟิศทุกวันอยู่แล้ว ที่นั่นมีเลขาฯ ของผมคอยดูแลอยู่ น้องพีจะได้ไม่เหงา แล้วคุณจะได้ไม่ต้องห่วงอาทิตย์ด้วย"

คนอายุมากกว่าเสนออย่างใจดี จนทำเอาตะวันอดละอายใจไม่ได้ ที่เมื่อวานเผลออาละวาดใส่อีกฝ่ายไปเสียยกใหญ่

"ผมว่าอย่าดีกว่าครับ รบกวนคุณพลัฎฐ์เปล่าๆ กลัวเจ้าตัวแสบของผมจะไปทำให้ออฟฟิศคุณวุ่นวาย แล้วจะเดือดร้อนคุณไปอีก"

ทั้งที่ยังไม่ทันรู้เลยว่าพลัฎฐ์ทำงานที่ไหน ตำแหน่งหน้าที่อะไร แต่ได้ยินว่ามีเลขาฯ ก็คงมีหน้ามีตาพอสมควร เกิดให้น้องเขาไปแล้วไปป่วนอีกฝ่ายจนยุ่งน่าจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่ ถ้าเป็นที่ร้านเขาก็ว่าไปอย่าง เพราะตะวันออกแบบพื้นที่หลังร้านไว้เพื่ออาทิตย์โดยเฉพาะ ให้เป็นที่พักผ่อนของน้องชายในยามที่เลิกจากโรงเรียน

จริงสิ! ... ไปออฟฟิศของคุณพลัฏฐ์ไม่เหมาะ แต่ไปที่ร้านเขาได้นี่นา

"เอาแบบนี้ดีกว่าครับคุณพลัฏฐ์ ให้น้องพีไปอยู่กับอาทิตย์ที่ร้านผมดีกว่า" และในขณะที่อีกฝ่ายจะอ้าปากแย้ง ตะวันก็ชิงพูดต่อก่อน "ไม่ต้องกังวลหรือเกรงใจอะไรเลยครับ ที่ร้านมีห้องพักผ่อนของอาทิตย์ที่ผมสร้างไว้เผื่อเจ้าตัวแสบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ตัดกังวลเรื่องว่าจะวุ่นวายในร้านผมได้เลย"

พอเห็นพลัฏฐ์นิ่งคิด ตะวันก็เอ่ยย้ำ "ดีกว่านะครับคุณพลัฏฐ์ ไหนๆ ตอนเย็นคุณก็ต้องมาที่ร้านผมอยู่แล้ว ฝากน้องพีไว้กับผมก็ได้ ผมสัญญาจะดูแลให้อย่างดี"

คนเป็นพ่อมองไปยังลูกชายที่ตอนนี้หัวเราะเอิ้กอ้ากอยู่กับคุณอาทิตย์เพื่อนใหม่อย่างสนุกสนาน อีกอย่างพาน้องพีไปให้คุณฝ้ายดูแลตลอดเขาก็เกรงใจเธอไม่ใช่น้อย เพราะถึงจะได้โอที แต่งานเธอก็ย่อมหนักมากกว่าเดิม เพราะต้องเจียดเวลามาดูแลน้องพีด้วย เมื่อคำนวณทุกอย่างในใจเขาก็เห็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย เลยตัดสินใจทำตามที่ตะวันบอก

"เอางั้นก็ได้ครับ" เจ้าของบ้านถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะถามย้ำ "ว่าแต่ไม่รบกวนคุณตะวันแน่นะครับ"

คนถูกเกรงใจยิ้มกว้าง ก่อนจะยืนยัน "ไม่หรอกครับ ดีเสียอีก อาทิตย์จะได้มีเพื่อนเล่น และที่ร้านก็มีคนช่วยดูแลอยู่ คุณพลัฎฐ์ไม่ต้องกังวลนะครับ"

คนถูกกำชับว่าไม่ให้กังวลก็ยิ้มออก ก่อนจะมองคนที่กำลังลุกขึ้นยืนเดินตรงไปยังเด็กทั้งสองแล้วนั่งเล่นกับพวกแกด้วยสายตาอ่อนโยน

พลัฎฐ์อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะคิดได้ว่าเหตุการณ์ตอนนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อวานอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่ทะเลาะกันแทบตาย ตอนนี้กลับมาช่วยกันนั่งเลี้ยงเด็กๆ แทนเสียแล้ว แถมคนตัวเล็กกว่าที่พลัฎฐ์นึกติดใจตั้งแต่แรกเห็นกลับทำให้เขาถูกใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงหวานก็แว่วเรียกขึ้นมา

"ว่าแต่คุณพลัฎฐ์ครับ"

ใบหน้าหล่อเหลาหันไปตามเสียงเรียก ก่อนที่จะเห็นว่าเจ้าของเสียงกำลังนั่งหันหน้ามาทางเขาโดยมีน้องพี ลูกชายตัวน้อยของเขานั่งอยู่บนตักเล็กของอีกฝ่าย แถมยังซุกหน้าอ้อนอยู่ที่อกของตะวันด้วย ... ท่าทางจะอยากนอนกลางวัน แต่ยังเล่นติดพันไม่อยากเลิกแน่ๆ

"ผมควรไปทำความรู้จักบ้านไหนอีกไหมครับ พอดียังไม่ได้เดินสำรวจรอบๆ เลย ไม่แน่ใจว่าบ้านหลังไหนมีคนอยู่ ไม่มีคนอยู่บ้าง"

พลัฎฐ์ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปทรุดนั่งข้างๆ เจ้าของคำถาม ก่อนตอบ

"ไม่มีแล้วครับ ส่วนใหญ่ซื้อกันไว้แต่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามา บ้านที่มีคนอยู่ก็อยู่ห่างจากคุณไปหลายหลังพอสมควร แถมเขายังออกเช้า กลับดึกด้วย"

ตะวันพยักหย้ารับรู้พร้อมกับขำเบาๆ "สรุปมีแค่ผมกับคุณสินะครับเนี่ย"

คนข้างบ้านหัวเราะออกมาด้วย ก่อนจะยื่นแขนออกไปหมายจะอุ้มเจ้าลูกชายตัวน้อยออกจากอกของตะวัน

"มาครับ ท่าทางน้องพีจะง่วงแล้ว เดี๋ยวผมพาลูกไปนอนก่อน"

ตะวันก้มลงมองเจ้าหนูในอ้อมกอดที่เมื่อกี้ยังเจื้อยแจ้วคุยเล่นกับอาทิตย์อยู่เลย แต่ตอนนี้ตากลับปรือปรอยจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อยู่แล้ว

"ฮ่ะๆ จริงด้วยครับ" ตะวันส่งน้องพีให้กับปะป๊าของแก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเรียกอาทิตย์ที่ตอนนี้มองตามน้องพีตาปริบๆ "ป่ะครับอาทิตย์ เรากลับกันดีกว่า น้องพีง่วงแล้ว"

"อ่าว น้องพีจะไปนอนแล้วเหรอคับคุณลุง" เสียงเล็กถาม ติดจะเสียดายน้อยๆ ท่าทางจะยังเล่นไม่จุใจ

"ใช่ครับ เอาไว้พรุ่งนี้มาเล่นกันใหม่นะครับอาทิตย์"

ถึงอาทิตย์จะเสียดาย แต่ก็ไม่งอแง มือเล็กยื่นไปจับพี่ชายเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะกลับบ้านแล้ว

"แต่คุณตะวันกับอาทิตย์จะนั่งเล่นที่นี่ต่อก็ได้นะครับ"

แต่ก็เหมือนว่าคนที่งอแงจะกลายเป็นคนตัวโตที่สุดในนี้แทน เพราะเสียดายยังไม่อยากให้คนตัวเล็กกว่าช่างพูดช่างคุยกลับสักเท่าไหร่

"ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมยังจัดบ้านไม่เสร็จด้วย ขอตัวกลับไปจัดของต่อดีกว่า"

พลัฎฐ์พยักหน้าเข้าใจ แต่ลึกๆ ก็อดเสียดายไม่ได้ "โอเคครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะ"

เขาเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างใจดี ในขณะที่อ้อมแขนแข็งแรงก็โอบอุ้มลูกชายที่กำลังหลับไว้พาดบ่าพร้อมกับโยกตัวไปมาเบาๆ เพื่อขับกล่อมให้เจ้าหนูหลับสบาย

"ได้ครับคุณพลัฎฐ์ ขอบคุณมากนะครับสำหรับอาหารมื้อนี้ แล้วก็ขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อวานด้วย" คนเด็กกว่าหัวเราะแห้งๆ ให้คนอายุมากกว่าได้รู้สึกเอ็นดูมากกว่าเดิม

"ผมเองก็ขอบคุณคุณมากสำหรับทาร์ตผลไม้ ... และก็ยินดีต้อนรับครับคุณเพื่อนบ้านคนใหม่"

พลัฎฐ์พูดตอบราวกับไม่ได้ถือสาอะไร หนำซ้ำยังกล่าวต้อนรับให้ตะวันได้ยิ้มกว้าง ก่อนจะจูงน้องชายเดินออกมาทางประตูหน้าโดยมีเจ้าของบ้านที่อุ้มลูกชายที่กำลังหลับเดินมาส่ง

"เช่นกันครับ" ตะวันโบกมือไล่อีกฝ่าย "คุณพาน้องพีไปนอนเถอะครับ ผมกับอาทิตย์กลับได้"

"โอเคครับ เดินกลับดีๆ นะ" ประโยคหลังหันไปพูดกับเจ้าหนูอาทิตย์ "ไว้เจอกันนะครับอาทิตย์"

"สวัสดีครับคุณปะป๊าของน้องพี" เด็กน้อยพุ่มมือยกไหว้คุณพ่อของเพื่อนใหม่ ก่อนจะจูงมือพี่ชายไว้แน่น

"พรุ่งนี้ตอนเช้า คุณพาน้องพีไปที่บ้านผมเลยก็ได้นะครับ ผมน่าจะออกจากบ้านประมาณแปดโมง"

พลัฎฐ์พยักหน้ารับ "โอเคครับ เจอกันครับคุณตะวัน" "

เจอกันครับคุณพลัฎฐ์"

เจ้าของบ้านมองตามร่างเล็กที่จูงน้องชายออกไปจนพ้นประตูบ้านพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณเพื่อนบ้านคนใหม่...

.

.

.

To Be Continue

----------------------

Talk: ฝากคอมเม้นท์ติชม และติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ได้นะคะ ... ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ แม้จะเข้ามาอ่านเฉยๆ เราก็ดีใจแล้วค่า❤

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #11 เมื่อ25-06-2019 20:24:27 »

เห็นความสุขลอยฟุ้งเต็มไปหมดเลยค่ะ กับเด็กน้อยสองคน 

เรางงเองอ่ะ เด็กสองคนอายุเท่ากันมั้ยนะ

รออ่านต่อนะคะ

เด็กๆ อายุเท่ากันค่ะ เป็นเพื่อนกันแค่น้องพีพูดไม่ชัดเฉยๆ   o18
ขอบคุณมากนะคะสำหรับการติดตาม ดีใจ ><

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #12 เมื่อ25-06-2019 21:00:50 »

 :pig4:
 :กอด1:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #13 เมื่อ26-06-2019 06:45:11 »

ลุ้นน้องพีตอนพูด อยากให้น้องพีพูดชัดๆ  ฮือออ น้องพีค่อยๆ หัดไปนะคะ

เด็กๆ น่าร้ากกก

รออ่านต่อนะคะ  :3123:

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 4th - The Sun's restaurant ::


ติ๊งหน่อง


“พี่ตะวันคับ น้องพีมาแล้วๆๆ”

เสียงอึกทึกครึกโครมของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยดังลั่นบ้านแต่เช้า ตะวันได้แต่ส่ายศีรษะน้อยๆ พร้อมกับอมยิ้มให้ท่าทางตื่นเต้นเกินขนาดของเจ้าตัวยุ่ง เพียงแค่เขาบอกว่าวันนี้คุณปะป๊าของน้องพี จะพาน้องพีมาฝากไว้ให้อยู่ที่ร้านเล่นกับอาทิตย์ เจ้าตัวยุ่งก็จัดแจงตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ทั้งที่ปกตินั้นขี้เซากว่าใคร แถมยังกระวีกระวาดแต่งตัวหล่อมานั่งคอยน้องพีที่ห้องนั่งเล่นเสร็จสรรพ ... ไม่ค่อยเห่อเลยนะที่จริง

“ครับๆ เดี๋ยวพี่ออกไปเปิดประตูก่อน อาทิตย์ไปนั่งคอยที่โต๊ะกินข้าวก็ได้นะ”

“ไม่เอาคับ อาทิตย์จะรอไปพร้อมน้องพี เดี๋ยวอาทิตย์นั่งรอพี่ตะวันนิ่งๆ ตรงนี้เลย”

ตะวันได้แต่นึกหมั่นไส้น้องชายตัวเอง ปกติกว่าจะเคี่ยวเข็ญให้ทำอะไรแต่ละอย่างได้นี่ช่างยากเย็น แต่พอได้สนิทสนมรู้จักกับน้องพีเมื่อวาน ดูเหมือนว่าจะทำอะไรว่องไวขึ้นเยอะ ซึ่งอาจจะต้องวงเล็บไว้สักนิดว่า เรื่องนั้นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องพีนะ เจ้าอาทิตย์ถึงจะยอมขยับแบบไม่มีอิดออด

คนตัวเล็กเดินผ่านประตูในบ้านตรงไปที่รั้วใหญ่ด้านนอก หลังจากมองผ่านวีดีโออินเตอร์คอมแล้วเห็นว่าคนที่กดออดเมื่อกี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณพลัฎฐ์เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังอุ้มน้องพีตัวน้ออยไว้ในอ้อมแขน

“เชิญครับคุณพลัฎฐ์”

หลังจากเปิดประตูเจ้าของบ้านร่างเล็กก็เบี่ยงตัวหลบทาง ก่อนจะเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามา

“ขอบคุณครับคุณตะวัน”

พลัฎฐ์ที่วันนี้อยู่ในชุดสูททางการเตรียมพร้อมกำลังจะไปทำงาน ก้าวเรียวขาแข็งแรงเข้ามาในอาณาเขตของบ้านพี่น้องต่างวัย ในขณะที่น้องพีที่อยู่ในวงแขนของคุณพ่อก็แต่งตัวด้วยชุดเอี๊ยมยีนส์กางเกงขาสั้น เสื้อสีหลืองสดใสยิ่งขับให้ผิวขาวของน้องพีสว่างมากขึ้นไปอีก ดูแล้วน่าฟัดแก้มยุ้ยๆ นั้นให้จมจมูกจริงๆ

“สวัสดีคับพี่ตะวัน น้องพีมาแย้วคับ” เจ้าหนูน้อยพูดเสียงใส พร้อมพุ่มมือไหว้พี่ชายของเพื่อนสนิทอย่างน่าเอ็นดู

“สวัสดีครับน้องพี น้องพีกินข้าวเช้ามาหรือยังครับ?” ตะวันเอ่ยถามอย่างใจดี

"ยังคับ เพราะปะป๊าสายแย้ว ต้องยีบไปทำงานคับพี่ตะวัน" เจ้าหนูน้อยแจกแจงให้พลัฎฐ์ได้เขิน ก่อนที่คนที่ถูกลูกชายพาดพิงจะรีบอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง

"คือพอผมจะพาน้องพีมาฝากคุณ ผมก็กังวลเช็คของใช้ลูกหลายรอบมาก กลัวจะขาด จะลืมอะไร เอาแต่เช็คไปเช็คมาจนสายนี่ล่ะครับ" ตะวันยิ้มขำ สงสารก็สงสาร เอ็นดูก็เอ็นดู

"งั้นคุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา"

มือเล็กฉวยหยิบกระเป๋าใส่ของใบขนาดย่อมจากมือใหญ่ของอีกฝ่าย ก่อนจะถือเดินจ้ำอ้าวเข้าไปด้านในห้องครัวของบ้านที่มีลักษณะภายในคล้ายๆ กับบ้านของพลัฏฐ์ ติดแต่ตะวันแต่งบ้านได้สดใสมากกว่า เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นแบบโมเดิร์นลอฟท์มองแล้วสดชื่น แถมตะวันยังอุทิศมุมหนึ่งของบ้านเป็นสถานที่ประดับควาทรงจำของครอบครัว เพราะมันถูกตกแต่งด้วยรูปโพลารอยด์เล็กๆ หลายสิบใบ มีทั้งรูปเจ้าของบ้าน รูปเจ้าหนูอาทิตย์ รูปรวมสี่คนที่อีกสองท่านในภาพน่าจะเป็นพ่อกับแม่ของอีกฝ่าย ในขณะที่น้องพีกลับกวาดตามองไปรอบ ราวกับมองหาใครอยู่ ... ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นเพื่อนสนิทเขานั่นแหละ

“ปะป๊าคับ น้องพีหยักเจอคุณอาทิตย์คับ” พลัฎฐ์เดาผิดที่ไหน แต่ก่อนที่คนเป็นพ่อจะได้ตอบคำถามของลูกชาย ตะวันก็เดินกลับออกมาจากห้องครัวด้านในพร้อมกับกล่องใส่อาหารเล็กๆ ในมือ

“คุณอาทิตย์รออยู่ที่ห้องนั่งเล่นด้านในครับน้องพี เดี๋ยวไปพร้อมพี่ตะวันเนาะ” ตะวันว่าก่อนจะยื่นกล่องใส่อาหารไปตรงหน้าของคนตัวโต

“อะไรเหรอครับ?” คนถูกยื่นกล่องใส่อาหารให้ทำหน้างงๆ พลัฎฐ์มองไม่เห็นว่ามันมีอะไรอยู่ด้านใน เพราะมันเป็นกล่องแบบทึบเลยมองไม่เห็น

“แซนด์วิชครับ ผมทำไว้ให้ เพราะรู้ว่าคุณน่าจะไม่ได้กินอะไรก่อนออกจากบ้านแน่ๆ”

จบคำบอกเล่าของคนใจดี ก้อนเลือดในอกข้างซ้ายของพลัฎฐ์ก็อุ่นวาบ แถมยังเต้นตึกตักผิดจังหวะแบบไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เขาก็ยังคงควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้ดี เพราะนอกจากยิ้มให้อีกฝ่ายแล้ว พลัฎฐ์ก็ไม่ได้มีทีท่าอะไรอื่นอีก

... เพราะนายพรานที่ดีจะไม่ทำให้ลูกกวางที่ตนหมายตาตื่นตกใจจนหนีหาย สิ่งที่นายพรานที่ดีต้องทำนั่นคือ หลอกให้ลูกกวางน้อยไว้ใจ วางใจ ขุดกับดักไว้ให้ลึก เวลาที่ลูกกวางน้อยพลัดตกลงมาในกับดักที่นายพรานวางไว้ มันจะได้ตะกายหนีไปไม่ได้ และนายพรานก็จะได้ในสิ่งที่ตนเองอยากครอบครอง ...

แน่นอนว่าพลัฎฐ์เป็นนายพรานที่ดี เขาไม่สนใจว่าตะวันจะเคยชอบใคร สนใจใคร หรือมีใครอยู่ในใจไหมในตอนนี้ ถ้าตะวันโสด พลัฎฐ์ถือว่าโอกาสเป็นของเขา และแน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ตะวันหลุดมือ

“ขอบคุณนะครับ คุณใจดีกับผมมาก ทั้งตัวผม ทั้งลูกผม กลายเป็นรบกวนคุณไปเสียทุกอย่างเลย” พลัฎฐ์เอ่ยอย่างเกรงใจ แต่ตะวันกลับยิ้มกว้าง พลางโบกมือปัดไม่ให้อีกฝ่ายคิดมาก

“กังวลเกินไปแล้วครับคุณพลัฎฐ์ เรื่องแค่นี้นิดหน่อยเอง บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ไม่ได้ลำบากอะไรผมขนาดนั้นหรอก” และหลังจากเอากล่องใส่อาหารไปวางรวมกับกระเป๋าแล็ปท็อปและเอกสารต่างๆ ที่เขาต้องถือไปทำงานแล้ว พลัฎฐ์ก็ปล่อยลูกชายสุดที่รักให้ยืนลงกับพื้น ก่อนจะพูดย้ำกับน้องพีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“น้องพีครับ วันนี้น้องพีต้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซน เชื่อฟังพี่ตะวันนะครับ”

“ได้คับปะป๊า น้องพีจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะเชื่อฟังพี่ตะวัน เดี๋ยววันนี้น้องพีกับคุณอาทิตย์จะเป็นคนดูแยพี่ตะวันเอง”

ตะวันและพลัฎฐ์หลุดยิ้มขำทันทีที่เจ้าตัวน้อยพูดจบ ตัวก็กระเปี๊ยกนึงแถมยังพูดไม่ชัด ยังอุตส่าห์บอกจะดูแลคนอื่นอีก โถ... เด็กน้อย ทำไมน่าเอ็นดูได้ขนาดนี้

“ดีมากครับ น้องพีของปะป๊าโตแล้ว ดูแลพี่ตะวันได้แล้ว แต่น้องพีต้องไม่ลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าพากันซนกับคุณอาทิตย์จนได้แผลได้เลือดนะลูก”

พลัฎฐ์ยื่นใบหน้าหล่อเหลาไปใกล้ๆ ใบหน้าเล็กๆ ของลูกชาย ก่อนจะกดริมฝีปากหยักลงบนหน้าผากเล็กๆ ของเด็กน้อยที่หัวเราะคิกคักชอบใจเมื่อถูกคนเป็นพ่อจูบ

“ไม่งอแงนะคับปะป๊า เดี๋ยวเย็นนี้ก็ได้เจอกันแย้ว”

ผู้ใหญ่สองคนที่ได้ยินถ้อยคำเจรจาของเด็กน้อยก็กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม โดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาว่างอแง เพราะตอนนี้ลูกชายตัวดีของเขาโอบแขนเล็กๆ โน้มรั้งกอดเขาไว้แน่น ราวกับจะปลอบประโลมที่เขาต้องห่างกับเจ้าตัวดีช่างเจรจาคนนี้

“ครับๆ ปะป๊าจะไม่งอแง” พลัฎฐ์กอดตอบร่างเล็กของคนเป็นลูกแน่น ก่อนจะผละออกแล้วฟัดแก้มนิ่มของน้องพีเบาๆ “อย่าลืมคิดถึงปะป๊านะครับ”

“อื้อ!” เจ้าหนูน้อยครางตอบพลางพยักหน้ารับแข็งขัน ก่อนที่จะผละเข้ากอดขาของตะวันไว้แทนเมื่อเห็นว่าคนเป็นพ่อถอยออกไปหยิบข้าวของที่วางรวมกันไว้ รวมถึงกล่องใส่อาหารที่ใส่แซนด์วิชที่ตะวันให้ไปมาถือไว้ด้วยกัน

“รบกวนด้วยนะครับคุณตะวัน” ตะวันยิ้มรับ พร้อมกับอุ้มเจ้าตัวน้อยช่างพูดขึ้นมากอดแนบอก

“ยินดีครับคุณพลัฎฐ์” ตะวันว่าก่อนจะหันไปหาเด็กน้อยในอ้อมแขน “น้องพีลาคุณปะป๊าสิครับ”

“สวัสดีคับปะป๊า บ๊ายบาย” มือเล็กโบกให้คนเป็นพ่อด้วยท่าทางน่ารัก ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ยกมือโบกตอบลูกชาย

“บ๊ายบายลูก... เย็นนี้เจอกันครับ”

พลัฎฐ์หมุนตัวเดินไปที่ประตูบ้านของตะวัน ภาพที่ลูกชายเขายิ้มกว้างอยู่ในอ้อมกอดของตะวันที่ส่งยิ้มบางๆ มาให้ ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่น่าให้อภัย มุมปากหยักยกยิ้มกับตัวเองและกล่องใส่อาหารในมือ พาลให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขาได้เห็นภาพแบบนี้ก่อนออกจากบ้านและหลังกลับถึงบ้านในทุกๆ วันมันจะดีแค่ไหนกัน... พลัฎฐ์รู้ว่าเขาไม่มีทางรู้ได้เลย นอกเสียจากว่าจะทำให้มันเกิดขึ้นจริง ซึ่งก็คงไม่น่าจะยากเกินไปถ้าเขาตั้งใจจะทำ

.

.

.

“เอ้า! ไปครับเด็กๆ ขึ้นรถกัน”

ตะวันที่ยกของใช้ต่างๆ ของเด็กทั้งสองมาเก็บที่ท้ายรถยุโรปคันหรูของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็จัดการจูงมือของเจ้าอาทิตย์กับน้องพีมาคนละข้าง เด็กทั้งคู่เดินๆ กระโดดๆ ตามตะวันมาด้วยท่าทางร่าเริงสดใส โดยเฉพาะเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะได้ไปเห็นร้านของพี่ตะวันครั้งแรกแล้ว เขายังมีน้องพีเป็นเพื่อนเล่นไปทั้งวันอีกต่างหาก

“น้องพี วันนี้เราจะไปร้านพี่ตะวันกันแหละ พี่ตะวันของคุณอาทิตย์เปิดร้านขนมใหญ่มาก มีข้าวขายด้วยนะ อร่อยทุกอย่างเลย”

อาทิตย์โม้ประโยคนี้ให้น้องพีฟังเป็นรอบที่ร้อยของเช้านี้ได้ เจ้าตัวน้อยอวดอ้างสรรพคุณของคนเป็นพี่ด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจ ซึ่งน้องพีก็แสนน่ารักเพราะหนูน้อยก็มีท่าทางตื่นเต้นทุกครั้งที่อาทิตย์พูดแบบนี้ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการตื่นเต้นให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่เป็นความตื่นเต้นจริงๆ ที่ดูเหมือนจะได้เกิดขึ้นทุกครั้งไม่ว่าเจ้าน้องชายจอมยุ่งของตะวันจะพูดอะไรขึ้นมาก็ตาม

“จิงหยอคุณอาทิตย์ ย้านพี่ตะวันใหญ่มากๆ เยยหยอ?” ก็บอกแล้วว่าตื่นเต้นจริง เพราะตอนนี้น้องพีพูดไม่ชัดออกมาหลายคำทีเดียว

“ใหญ่มากกกกกกกก ใหญ่เท่านี้เลย” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยยังไม่หยุดโม้ ทำให้ตะวันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะในขณะที่เขากำลังจับอาทิตย์ที่เข้าไปนั่งในคาร์ซีทเพื่อคาดเข็มขัด เจ้าหนูก็ยุกยิกกางแขนออกกว้างประกอบท่าทางการเล่าได้สมจริงราวกับตัวเองเป็นนักแสดง

“โอ้โห น้องพีหยักเห็นแย้วว” น้องพีก็ตาโตอู้หูอ้าหาไม่หยุด นี่ขนาดฟังเจ้าอาทิตย์โม้เล่าไม่รู้จักกี่รอบต่อกี่รอบ น้องพีก็ยังคงคอนเซ็ปต์ตื่นตาตื่นใจได้ทุกรอบ

“น้องพี มาครับเดี๋ยวพี่ตะวันคาดเข็มขัดให้” เด็กชายหันมามองพี่ชายเพื่อนซี้ด้วยประกายตาแวววับ พลางขยับตัวนั่งบนคาร์ซีทที่ปะป๊าหยิบติดมือมาด้วยเมื่อเช้าให้ดี เพื่อที่ตะวันจะได้คาดเข็มขัดให้ตัวเองสะดวก ก่อนจะถามพี่ชายเพื่อนซี้ด้วยน้ำเสียงสดใส แววตากลมวาววับน่าเอ็นดู

“พี่ตะวันคับ ให้น้องพีไปย้านพี่ตะวันด้วยได้ไหมคับ?”

ตะวันตรวจตราดูความเรียบร้อยของคาร์ซีทของอาทิตย์และน้องพีที่เบาะหลังของรถยนต์คันหรูเรียบร้อยแล้วจึงยิ้มออกมาก ก่อนจะยกมือลูบศีรษะกลมๆ ของน้องพีเบาๆ พลางเอ่ยตอบ

“ได้สิครับ เนี่ย... พี่ตะวันกำลังจะพาน้องพีไปที่ร้านของพี่ตะวัน แต่ไม่รู้ว่าน้องพีจะชอบร้านของพี่ตะวันหรือเปล่านะ เพราะมันไม่ได้ใหญ่เท่าที่คุณอาทิตย์โม้ไว้หรอก”

เจ้าของร้านใหญ่มากที่อาทิตย์พูดถึงรีบออกตัวเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยผิดหวัง แต่น้องพีก็คือน้องพีวันยังค่ำ ... น่ารักอะไรขนาดนี้ไม่รู้

“น้องพีหยักไปๆ เยาไปกันเถอะคับพี่ตะวันนน” น้องพีตะโกนเสียงก้องในรถ ทำเอาอาทิตย์ก็ร้องเย่ๆ ออกมาดังๆ ไม่แพ้กัน

ในขณะที่ตะวันได้แต่ขำกับท่าทางตื่นเต้นของเด็ก ๆ ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งตรงคนขับ แล้วประจำขึ้นนั่ง เพื่อขับฝ่าบรรดารถยนต์ที่ล้อมหน้าล้อมหลังหลายร้อยคัน จนคนนั่งหลังพวงมาลัยได้แต่ส่ายหัวเบาๆ โชคยังดีที่มีเสียงพูดคุยหัวเราะของเจ้าหนูทั้งสองดังประกอบอยู่ด้านหลัง จนทำเอาเขาที่เกือบจะหงุดหงิด อดอมยิ้มออกมาไม่ได้... จะว่าไปการมีเจ้าหนูสองคนนี่อยู่เป็นเพื่อนก็ถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อยสำหรับตะวันในเช้านี้จริงๆ

.

.

.

“โอ้โห นี่ย้านพี่ตะวันหยอคับ? ย้านที่คุณอาทิตย์บอกน้องพีว่ามีขนมอะหย่อยๆ”

น้องพีที่เพิ่งถูกอุ้มลงมาจากรถยืนอยู่หน้าร้านอาหารขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดริมถนน ทำเลที่ตั้งถือว่าดีเยี่ยม เพราะเป็นจุดที่คนสัญจรผ่านไปมาทั้งวัน หนำซ้ำบริเวณโดยรอบ ร้านของตะวันก็ดูดึงดูดน่าเข้าและเด่นสะดุดตากว่าร้านอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน

“ใช่แล้ว” แทนที่จะเป็นตะวันตอบ ก็กลายเป็นเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยโพล่งตอบออกมาแทน หลังจากที่ตะวันปลดเข็มขัดที่คาร์ซีทออกให้ “คุณอาทิตย์บอกน้องพีแล้ว ว่าร้านพี่ตะวันใหญ่มาก น้องพีก็ไม่เชื่อ”

“ป่าวน้าคุณอาทิตย์ น้องพีป่าวไม่เชื่อน้า” มือเล็กๆ ของน้องพีโบกไปโบกมาปฏิเสธเจ้าหนูอาทิตย์ให้วุ่น ในขณะที่ตะวันที่กำลังขนของของน้องพีกับอาทิตย์ลงจากรถก็ได้แต่ยิ้มขำกับการสนทนากันของเด็กทั้งสอง เจ้าน้องชายเขาก็ขี้โม้ ส่วนน้องพีก็ขี้ตื่นเต้น ... วันนี้เห็นท่าจะคุยกันเรื่องนี้ทั้งวันไม่เลิก

“ก็เมื่อกี้คุณอาทิตย์บอกน้องพี น้องพีก็ยังไปถามกับพี่ตะวันอีก แบบนี้แปลว่าน้องพีไม่เชื่อคุณอาทิตย์”

พอได้ฟังเพื่อนคนสนิทตัดพ้อ เด็กชายพีรยสถ์ก็ใจเสียไปหมด สมองน้อยๆ ค้นหาวิถีทางที่จะง้ออีกฝ่ายในทันที เพราะเขาไม่ชอบเลยเวลาที่คุณอาทิตย์โกรธ น้องพีชอบให้คุณอาทิตย์ยิ้มๆ กับน้องพีมากกว่า และแล้วน้องพีก็คิดออกว่าจะทำแบบไหน คุณอาทิตย์ถึงจะยอมดีด้วย วิธีนี้น้องพีใช้กับปะป๊าทุกครั้ง โกรธสิบครั้งก็ยอมคืนดีกับน้องพีทั้งสิบครั้งเลย ว่าแล้วก็ค่อยๆ พาร่างเล็กๆ ของตัวเองที่เตี้ยกว่าคุณอาทิตย์นิดหน่อยไปใกล้ๆ อีกฝ่ายทันที มือเล็กของน้องพีเกาะที่แขนของคุณอาทิตย์แน่น ก่อนที่ศีรษะกลมๆ ที่เต็มไปด้วยกลุ่มผมสีเข้มนุ่มหอม จะถูไปที่ไหล่เล็กๆ ของเด็กชายภานวีย์ที่ตอนนี้ดูเหมือนแก้มยุ้ยๆ จะขึ้นสีแดงปลั่งไปเรียบร้อยแล้ว

“น้องพีขอโทษคุณอาทิตย์น้า คุณอาทิตย์ไม่โกรธๆ ดีกันๆ” นิ้วก้อยเล็กๆ ของเด็กชายพีรยสถ์ถูกยื่นมาตรงหน้าของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยที่ตอนนี้แก้มแดงก่ำเพราะเขินที่น้องพีเข้ามาง้อด้วยท่าทางน่ารักๆ แบบนี้

“กะ.. ก็ได้ ไม่โกรธก็ได้” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยพูดตะกุกตะกักเพราะเขินจะแย่ แต่ก็ยังทำเป็นตึงๆ ใส่น้องพีอยู่

“ไม่โกรธก็ต้องยื่นนิ้วก้อยมาดีกันสิคุณอาทิตย์” น้องพีเลิกเอาศีรษะถูไถไหล่ของอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนมาใช้ตากลมๆ มองช้อนอ้อนอาทิตย์แทน เล่นเอาเจ้าตัวแสบรีบยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวไว้แทบไม่ทัน เจอสายตาแบบนั้นของน้องพี... ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่มีทางรอด

“กะ.. เกี่ยวแล้ว พอใจหรือยังล่ะน้องพี” อาทิตย์พูดพลางเกาแก้มตัวเองไปพลาง ในขณะที่น้องพีกลับหัวเราะคิกคักชอบใจที่คุณอาทิตย์ยอมหายโกรธแล้ว

“ดีกันๆ ไม่โกรธกันแย้วน๊าคุณอาทิตย์”

“อื้อ ไม่โกรธแล้ว”

ตะวันที่ยืนพิงรถตัวเองมองภาพง้องอนของเด็กทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วก็ได้แต่แอบขำ เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยของเขาทำเป็นขึงขังโกรธน้องพี เพราะอยากให้น้องพีง้อ แต่พอโดนน้องพีง้อเข้าหน่อยก็เขินเสีนจนแก้มแดง บอกเลยว่าน้อยครั้งมากที่ตะวันจะได้เห็นน้องชายตัวเองมีท่าทางแบบนี้ ... สงสัยกับน้องพีนี่จะมวยถูกคู่ เจ้าหนูน้อยนั่นได้ปราบเจ้าดวงอาทิตย์ของเขาจนละลายกลายเป็นดวงจันทร์แน่ๆ คนเป็นพี่คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำ พลางยกของขึ้นเต็มสองมือแล้วเดินตามเด็กชายทั้งสองที่จูงมือกันวิ่งเข้าร้านไปก่อนหน้านี้แล้ว

.

.

.

The Sun's restaurant เปิดให้บริการเมื่อสิบนาทีที่แล้ว และตอนนี้ลูกค้าก็แน่นร้านเต็มไปหมด เนื่องด้วยโปรโมชั่นฉลองการเปิดตัว และความอยากลิ้มอยากลองอาหารของลูกค้าในละแวกนี้ ทำให้ตะวันค่อนข้างหัวหมุนไม่น้อย โชคยังดีที่น้องพีกับอาทิตย์ไม่ได้ออกมาอยู่ข้างนอก สองเด็กน้อยกำลังนั่งเล่นกันอยู่ในห้องพักด้านหลัง โดยมีขนมเค้กชิ้นใหญ่ที่ตะวันทำไว้วางขายแบ่งไปให้เจ้าหนูทั้งคู่ชิม

"น้ำตาลเอาอาหารไปเสิร์ฟโต๊ะแปดให้พี่หน่อย เดี๋ยวพี่จะยกน้ำดื่มตามไปเอง"

"ค่ะ พี่ตะวัน"

ตะวันร้องสั่งเด็กในร้าน ก่อนที่มือเรียวจะยกถาดน้ำดื่มตามเด็กในร้านไปติดๆ จากนั้นเจ้าของร้านก็หันมองสำรวจรอบๆ ว่ายังมีโต๊ะไหนไม่ได้อาหารหรือขนมที่สั่งไว้หรือเปล่า และเมื่อเห็นว่าเรียบร้อยตะวันก็เดินเข้าไปดูในครัวที่มีป้าวันดี กุ๊กใหญ่ประจำร้านกำลังผัดนั่นผัดนี่เป็นมือระวิง

"มาครับป้าวันดี ตะวันช่วย" ตะวันว่าพลางหยิบผ้ากันเปื้อนและหมวกคลุมผมมาใส่ ก่อนจะหันดูกระดาษเมนูที่เด็กในร้านเอามาติดบนบอร์ดไว้ว่าอาหารจานต่อไปที่ต้องทำคืออะไร

ตะวันหยิบฉวยหม้อ และทัพพีมาทำต้มยำโป๊ะแตกตามรายการที่ลูกค้าสั่ง ความคล่องแคล่วทำให้เมษหรือเมษา เด็กหนุ่มที่เป็นผู้ช่วยป้าวันดีในครัว ถึงกับตาลุกวาว

"โห พี่ตะวัน อย่างคล่องเลยครับ ผมเพิ่งเคยเห็นพี่ตะวันทำอาหารครั้งแรกเลยนะเนี่ย"

คนถูกยอยิ้มขำ ก่อนจะยิ่งยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของป้าวันดี

"ที่เห็นน่ะยังน้อยนะเจ้าเมษ เรื่องทำอาหาร คุณตะวันนะ... อย่างนี่" ป้าวันดีหันมาวางจานปูผัดผงกะหรี่ที่ตักเพิ่งตักขึ้นจากกระทะสดๆ ร้อนๆ ไว้บนเคาน์เตอร์ให้เมษาเตรียมจัดตกแต่งจาน พลางยกนิ้วโป้งให้ชายหนุ่มดูประกอบคำพูดตัวเอง

"โหย ป้าพูดเสียจนผมอยากลองชิมเลย"

ตะวันหัวเราะขำ ก่อนจะตอบ "เดี๋ยวเย็นนี้พี่ทำให้ชิม แต่ตอนนี้เราออกไปช่วย น้ำตาลกับพี่มีนาข้างนอกก่อนไป เดี๋ยวในครัวนี่พี่ช่วยป้าวันดีเอง"

"ค้าบ เจ้านาย" เมษาว่าพลางถือจานปูผัดผงกระหรี่ออกไปเสิร์ฟ และออกไปช่วยสองสาวประจำร้านที่กำลังวุ่นๆ อยู่หน้าร้านตามคำสั่งของตะวันทันที และพอเด็กในร้านออกไปก็เหลือแค่ตะวันอยู่กับป้าวันดีสองคน เมนูอาหารที่ต้องทำเสิร์ฟลูกค้าเสร็จสิ้นหมดแล้ว ตะวันเลยผละออกจากหน้าเตา เดินอ้อมไปอีกฝั่งของครัวที่ไว้ใช้ทำขนมหวาน

เขาตั้งใจจะทำมาการองเพิ่มเพราะเช้านี้ลูกค้าสั่งทานและซื้อกลับบ้านกันมากพอสมควร ตะวันจึงกลัวว่าจะเหลือพอไม่ถึงกลางวัน ... หลังจากบีบส่วนผสมของฝามาการองที่ตะวันทำไว้ก่อนหน้าลงแผ่นรองอบเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านอาหารคนเก่งก็เอาแผ่นรองอบเข้าเตาอบพร้อมทั้งตั้งอุณหภูมิและเวลาไว้ตามสูตรที่เคยทำ และในขณะที่รอป้าวันดีก็พูดขึ้น

"ดีจังเลยนะคะคุณตะวัน ร้านเปิดเป็นรูปเป็นร่าง เป็นทางการแล้ว ป้านี่อดตื่นเต้นไม่ได้" ตะวันยิ้มพลางเอ่ยตอบ "ลูกค้าแน่นด้วยครับป้า ตะวันก็ได้แต่หวังว่ารสชาติอาหารจะถูกปากทุกคน เขาจะได้เอาไปบอกต่อ โปรโมทให้ร้านเรากัน" ป้าวันดีพยักหน้าพร้อมยิ้มกว้าง ถึงแม้ตั้งแต่เช้ามาป้าวันดีจะยังไม่หยุดมือ แต่ภายใต้ความเหน็ดเหนื่อยนั้น ตะวันรู้ดีว่าป้ามีความสุขมากที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

ป้าวันดีเป็นเคยเป็นกุ๊กในร้านอาหารใหญ่ที่พ่อกับแม่ของตะวันเคยไปลองชิมและวิจารณ์ รสชาติอาหารจากฝีมือของป้าวันดีทำให้พ่อและแม่เขาแทบจะซื้อตัวให้มาทำอาหารให้กินที่บ้าน แต่ติดอยู่ที่ว่าป้าวันดียังไม่สามารถลาออกจากที่เก่าได้ เนื่องจากติดสัญญากันอยู่

ดังนั้น พอตะวันมาเปิดร้านอาหารเอง พ่อกับแม่ก็เป็นธุระติดต่อป้าวันดีให้มาช่วย ประกอบกับเป็นช่วงเดียวกับที่ร้านอาหารใหญ่ที่ป้าวันดีเป็นกุ๊กอยู่ประสบปัญหาภายในจนมีการปรับลดพนักงาน และสัญญาของป้ากับร้านนั้นก็สิ้นสุดลงพอดี ป้าวันดีจึงลาออก และตัดสินใจมาอยู่ที่ร้านของตะวันแทนโดยผ่านการติดต่อของคุณพ่อและคุณแม่ของตะวัน

ซึ่งตะวันถือว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ป้าวันดีมาเป็นฐานกำลังสำคัญในร้าน เพราะป้าวันดีทำทั้งอาหารไทยและอาหารต่างประเทศได้อร่อยมาก อันนี้ตะวันพิสูจน์แล้ว เพราะเมนูเด็ดและเมนูแนะนำของร้านส่วนใหญ่ตะวันกับป้าวันดีก็ช่วยกันชิม ช่วยกันทำ ช่วยกันลองผิดลองถูกมาแล้วนับไม่ถ้วนก่อนจะเปิดร้านจริงจัง ดังนั้นครัวอาหารคาวตะวันจึงไว้ใจและยกให้เป็นหน้าที่ของป้าวันดี กุ๊กใหญ่ประจำร้านดูแลเกือบทั้งหมด เว้นเสียแต่ว่าลูกค้าเยอะ ทำไม่ทัน ตะวันก็จะลงครัวมาช่วยแบบวันนี้ เพราะหน้าที่หลักของตะวันส่วนใหญ่ นอกเหนือจากการคุมหน้าร้านแล้วก็คือลงครัวของหวาน ทั้งทำตามออเดอร์และทำวางโชว์ในตู้ขนมหน้าร้านพร้อมขาย

ดังนั้นหน้าที่หลักๆ ในครัว จึงตกเป็นของสองหัวเรือใหญ่ของร้าน ในขณะที่หน้าที่รับลูกค้า จดออเดอร์อาหาร เสิร์ฟอาหาร คิดเงินบ้างในบางครั้ง ตะวันจะมอบให้กับน้ำตาลและมีนาเป็นคนดูแล น้ำตาลเป็นหลานสาวของป้าวันดีที่ป้าเรียกตัวมาจากต่างจังหวัดเพราะเห็นว่ากำลังจะหางานทำ เพื่อเอาไปเรียนต่อ เนื่องจากพ่อแม่ส่งเรียนไม่ไหว ตะวันได้ยินแล้วก็อดสงสารไม่ได้ จึงรับเข้าไว้ทำงาน เพราะเห็นว่าน้ำตาลเป็นเด็กดีและมีใจมุมานะที่จะเรียน ซึ่งน้ำตาลเองก็รับปากกับตะวันว่าหลังจากร้านเข้าที่เข้าทางแล้ว น้ำตาลจะไปสมัครเรียนมหาวิทยาลัยเปิดเพราะอยากจะทำงานที่ร้านไปด้วยและเรียนไปด้วย ซึ่ีงตะวันเองก็สนับสนุนและเห็นดีด้วย โดยที่เจ้าของร้านก็กำชับนักหนาว่าถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกตนได้

ส่วนมีนาและเมษาเป็นสองพี่น้องที่มาจากร้านอาหารเดียวกับป้าวันดี ที่ป้าวันดีชักชวนมาด้วยกันเพราะเห็นว่าขยันและไว้ใจได้ ซึ่งทั้งสองคนพี่น้องอายุไม่ห่างจากตะวันมาก แต่ด้วยความที่อยากให้เกียรติเจ้าของร้าน คนทั้งคู่จึงมักเรียกตะวันว่าพี่ จนอีกฝ่ายเคยปากเลยเลยตามเลยกลายเป็นพี่ของทุกคนในร้าน เว้นแต่ป้าวันดีเพียงคนเดียวเท่านั้น

ตะวันบอกกับทุกคนเสมอว่าเราอยู่กันแบบพี่น้อง เพราะตะวันเองก็ไม่ได้อายุมากกว่าใครสักเท่าไหร่ เขาอยากให้อยู่กันแบบครอบครัวและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมากกว่า บางอย่างตะวันเก่ง บางอย่างตะวันก็ไม่เก่ง เช่นเรื่องบัญชี เรื่องตัวเลขนี่ตะวันแทบจะขอลา ในขณะที่มีนาคล่องและชำนาญทางด้านนี้มาก ส่วนเมษาก็แรงดี ยก หาม แบก เสิร์ฟอะไรก็คล่องแคล่วไปเสียหมด ดังนั้นข้อดีของแต่ละคนจึงเป็นเหมือนกำลังสำคัญของร้าน ที่ตะวันอยากให้ทุกคนคิดเสียว่าร้านนี้เป็นร้านของทุกคนไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่งเท่านั้น

.

.

.

เวลาล่วงเลยไปจนถึงพักกลางวัน ตะวันและป้าวันดียังไม่หยุดมือในครัว และดูเหมือนว่าจะยิ่งวุ่นหนัก เมื่อมีลูกค้ากลุ่มใหญ่จากบริษัทตึกข้างๆ เข้ามาใช้บริการฝากท้องในช่วงมื้อกลางวันนี้

“พี่ตะวันครับ มากันกลุ่มใหญ่เลย เกือบสิบคนได้ ไหวไหมครับพี่”

เมษาชะโงกหน้าเข้ามาถามแม่ครัวและพ่อครัวประจำร้าน ตะวันหันมองเมนูในบอร์ด ก็เห็นว่าเหลืออาหารไม่กี่จานที่ต้องทำออกไปเสิร์ฟ หลังจากนี้ก็ไม่มีแล้ว เลยพยักหน้ารับกับเมษา พร้อมร้องสั่งอีกอย่าง ด้วยความที่เป็นห่วงเด็กน้อยทั้งสองที่นั่งเล่นกันอย่างสงบอยู่ในส่วนของห้องพักหลังร้าน

“รับออเดอร์มาได้เลยเมษ อ้อ! แล้วพี่ฝากไปดูอาทิตย์กับน้องพีทีนะว่าทำอะไรกันอยู่ ไม่รู้ว่าหิวหรือยัง พี่ฝากถามหน่อยนะ”

“ได้ครับพี่ตะวัน”

ตะวันง่วนอยู่หน้าเตา จนกระทั่งรายการอาหารเซ็ทล่าสุดของพนักงานกลุ่มใหญ่เสร็จสิ้น เหลือก็แต่ออเดอร์เล็กๆ น้อยๆ ที่ป้าวันดีบอกว่าจัดการเองได้ ตะวันจึงตัดสินใจออกมาจากครัวแล้วเดินเลยไปที่ส่วนห้องพักหลังร้าน พอเปิดเข้าไปก็เห็นอาทิตย์กำลังไถรถแข่งเล่นอย่างสนุกสนาน โดยมีน้องพีปรบมือเอาใจช่วย

“คุณอาทิตย์สู้ๆ สู้ๆ คุณอาทิตย์

“มาเล้ยยย น้องพีรอดูเลยยย เดี๋ยวคุณอาทิตย์จะเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งให้ดู” ตะวันแอบยิ้มขำ ก็เล่นแข่งอยู่คนเดียว จะไม่เข้าเส้นชัยที่หนึ่งได้ยังไงกัน

“เด็กๆ หิวกันหรือยังครับ หื้ม?” ตะวันส่งเสียงถาม และพอเด็กชายทั้งสองหันมาก็ยิ้มร่า โผเข้ามากอดขาตะวันคนละข้าง

“หิวแย้วคับ/หิวแล้วคับ”

ตะวันยิ้มกว้างให้กับความน่าเอ็นดูของเด็กทั้งคู่ ก่อนจะจับจูงมือเจ้าหนูคนละข้าง พาออกมาทานข้าวที่หน้าร้าน เพราะเขาไม่อยากให้ทั้งน้องพีและอาทิตย์อุดอู้อยู่แต่ในห้องหลังร้านทั้งวัน

“ไปครับ งั้นไปหาอะไรทานกัน” ตะวันพาเด็กชายพีรยสถ์และเด็กชายภานวีย์มานั่งที่โต๊ะข้างเคาน์เตอร์คิดเงินที่เขาสั่งให้น้ำตาลเตรียมเก้าอี้เด็กวางไว้เรียบร้อยแล้ว

“น้ำตาล พี่วานไปยกอาหารของอาทิตย์กับน้องพีในครัวให้หน่อยสิ” น้ำตาลหันมายิ้มให้กับตะวันและเด็กทั้งสอง ก่อนจะรับคำ

“ได้ค่ะพี่ตะวัน”

และในขณะที่รอให้อาหารยกมาเสิร์ฟอยู่นั้น อาทิตย์กับน้องพีก็แย่งกันเล่าใหญ่ว่าสองคนทำอะไรกันบ้างช่วงที่ตะวันยุ่งๆ อยู่ในครัว ตะวันฟังไปหัวเราะไปจนกระทั่งได้ยินเสียงคุ้นหูเรียกอยู่ด้านหลังให้ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสองต้องหันไปมองด้วยความประหลาดใจ

“คุณตะวัน?” และก็เป็นเสียงของน้องพีที่ดังขึ้นอย่างดีใจก่อนใครเพื่อน

“ปะป๊า!”

“คุณพลัฎฐ์” ตะวันเองก็ดูงงๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเจอพลัฏฐ์ในเวลานี้ เพราะตามจริงเขานัดอีกฝ่ายไว้ตอนเย็น ไม่คิดว่าพลัฏฐ์จะมาตอนกลางวันแทน

“อย่าบอกนะครับว่านี่ร้านคุณตะวัน” พลัฎฐ์ว่า ก่อนจะหันไปยิ้มให้ลูกชายตัวน้อยที่ตอนนี้สองแขนชูกว้าง รอให้คนเป็นพ่อเข้ามาอุ้ม

“ครับ นี่ร้านผมเอง ผมก็นึกว่าคุณพลัฎฐ์จะมาตอนเย็นเสียอีก ทำไมมาก่อนเวลาได้ล่ะครับ?”

ตะวันถามออกไปงงๆ ก่อนที่พลัฎฐ์ที่ก้มลงไปอุ้มเด็กชายพีรยสถ์มาไว้ในอ้อมแขนจะหัวเราะเบาๆ กับความบังเอิญที่ไม่สิ้นสุดระหว่างเขาทั้งสองคน

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


“ที่จริงคือผมมากินอาหารกับทีมบริหารน่ะครับ ได้ข่าวว่ามีร้านเปิดใหม่ พวกผู้บริหารท่านอื่นเลยชวนผมมาลองชิม เพราะเห็นว่าพนักงานที่ซื้อไปกินกันเมื่อเช้าบอกว่าอร่อย ผมก็เลยมา ไม่รู้หรอกครับว่าเป็นร้านคุณตะวัน”

“อ้าว.. ฮ่าๆๆ” ตะวันขำให้กับเรื่องบังเอิญอีกเรื่องระหว่างเขากับคนข้างบ้าน และก่อนที่จะได้คุยอะไรกันต่อ อาหารของอาทิตย์กับน้องพีก็ถูกยกมาวาง เด็กน้อยทั้งสองมองของกินตรงหน้าพลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ท่าทางจะหิวกันไม่ใช่เล่น

“คุณพลัฎฐ์ไปกินข้าวต่อเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการให้” ตะวันหันไปมองที่โต๊ะใหญ่กลางร้าน น่าจะเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดียวกับที่เข้ามาตอนที่เมษาเข้ามาบอก เขาจึงได้เห็นว่าพลัฎฐ์น่าจะยังทานอาหารไม่เสร็จ อีกทั้งผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะมองหาท่านรองประธานฯ ของตัวเองให้วุ่น

พลัฎฐ์ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับอุ้มน้องพีเดินกลับไปยังโต๊ะอาหารที่ว่า ก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยน้องพีนั่งลงบนเก้าอี้เด็ก จากนั้นก็ทรุดลงนั่งข้างๆ ลูกชาย พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรครับ ผมขอกินพร้อมเด็กๆ ดีกว่า” พูดจบคนตัวโตก็ลูบศีรษะลูกชายตัวเองเบาๆ เลยได้รับรอยยิ้มกว้างน่ารักจากน้องพีตอบแทน

“น้องพีคิดถึงปะป๊า” เจ้าหนูขี้อ้อนยื่นศีรษะกลมๆ ไปถูไถที่ไหล่คนเป็นพ่ออย่างน่าเอ็นดู แน่นอนว่าคนหลงลูกอย่างพลัฎฐ์มีหรือจะไม่ใจอ่อนระทวย

“ปะป๊าก็คิดถึงน้องพีครับ” พูดจบก็หอมแก้มยุ้ยๆ ของลูกชายฟอดใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากเด็กชายได้เป็นอย่างดี “ว่าแต่หนูดื้อกับพี่ตะวันหรือเปล่าลูก?”

“น้องพีไม่ดื้อเยย ไม่เชื่อปะป๊าถามคุณอาทิตย์เก๊าะได้” น้องพีว่าพลางพยักเพยิดไปที่คุณอาทิตย์เพื่อนสนิท ที่ตอนนี้กำลังตักข้าวเข้าปากอย่างน่าเอร็ดอร่อย

“ว่าไงครับคุณอาทิตย์ วันนี้น้องพีดื้อหรือเปล่า? ถ้าดื้อลุงจะได้จัดการ” พลัฎฐ์แกล้งทำเสียงเข้ม ในขณะที่อาทิตย์ที่ข้าวเต็มปาก ก็รีบเคี้ยวอาหารอย่างละเอียด และเมื่อกลืนลงคอเรียบร้อย เจ้าหนูก็ตอบคำถามของพลัฎฐ์ด้วยท่าทีจริงจัง

“ไม่เลยคับคุณลุง น้องพีไม่ดื้อเลย คุณอาทิตย์ยังดื้อกว่าน้องพีอีก” จบคำบอกกล่าวของเด็กแสบ ก็ทำเอาตะวันเผลอร้องออกมาอย่างมึนงง

“อ่าว ทำไมแบบนั้นล่ะอาทิตย์” ตะวันถึงกับจับเก้าอี้ของน้องชายหันมาทางตนแทบไม่ทัน “ไหนดื้ออะไร บอกพี่ซิ”

เจ้าหนูน้อยอมยิ้มก่อนจะเฉลยด้วยท่าทางอายๆ

“ก็ขนมที่พี่ตะวันให้พี่น้ำตาลเอาไปให้... อาทิตย์กินคนเดียวหมดเลย น้องพีกินไปชิ้นเดียวเอง”

ตะวันได้แต่หลับตาลงอย่างปลงตก เขารู้ว่าน้องชายตัวเองกินเก่ง แต่ไม่นึกว่าจะเก่งจนแย่งขนมเพื่อนกินจนไม่เหลือสักชิ้นแบบนี้ และในขณะที่คนเป็นพี่กำลังจะเอ่ยปากต่อว่าคนเป็นน้อง เด็กชายพีรยสถ์ก็ส่งเสียงพูดขึ้นมาราวกับเป็นเทวดาตัวน้อยๆ

“น้องพีให้คุณอาทิตย์ช่วยกินคับ น้องพีกินไม่หมด เยยแบ่งให้คุณอาทิตย์กินด้วย”

“แต่แบบนี้น้องพีจะไม่อิ่มนะครับ พี่ตะวันว่า..” และก็ยังไม่ทันที่คุณเจ้าของร้านอาหารจะได้พูดจบประโยค คุณปะป๊าของน้องพีก็เอ่ยสวนขึ้นมาก่อนอย่างใจดีเช่นกัน

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณตะวัน น้องพีเป็นเด็กกินน้อยอยู่แล้ว” ว่าแล้วก็ยิ้มก่อนจะหันไปลูบศีรษะเด็กกินเก่งเบาๆ “ดีเสียอีกได้คุณอาทิตย์ชวนกิน ไม่งั้นก็คงได้เหลือทิ้งแน่ๆ”

“เฮ้อ.. ปกป้องอาทิตย์ทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะครับ” ตะวันแสร้งถอนหายใจเสียงดัง แต่ก็ไม่วายพูดเสียงเข้ม “แต่ยังไงอาทิตย์ก็ต้องถูกดุครับ”

เจ้าหนูอาทิตย์หน้าจ๋อย แต่ก็เงยหน้ามองพี่ชายตาแป๋ว เตรียมรับการถูกดุด้วยท่าทางน่าเอ็นดู จนคนเป็นพี่เห็นแล้วเกือบจะอดใจอ่อนไม่ได้

“คราวหน้าไม่แย่งขนมน้องพีกินแบบนี้แล้วนะครับอาทิตย์” เสียงหวานๆ ของคนเป็นพี่ ถึงแม้จะกำลังดุน้องชาย แต่ก็ไม่ได้กระโชกโฮกฮากหนำซ้ำกลับตรงกันข้าม เพราะดูอ่อนโยนจนพลัฎฐ์อดมองไปที่ปากเล็กๆ บางๆ สีแดงสดที่กำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะการพูดของอีกฝ่ายไม่ได้

“ถึงน้องพีจะกินไม่หมด อาทิตย์ก็ต้องไม่เอามากินเองจนหมดแบบนี้ เกิดน้องพีหิวขึ้นมา อาทิตย์จะเอาอะไรให้น้องพีกินล่ะครับ... พี่สอน ไม่ใช่เพราะพี่งกไม่อยากให้อาทิตย์กิน แต่พี่สอน เพราะอยากให้อาทิตย์ดูแลคนที่อาทิตย์รักและเป็นห่วงได้ น้องพีเป็นเพื่อนของอาทิตย์ อาทิตย์อยากเห็นน้องพีหิวเพราะอาทิตย์แย่งขนมของน้องพีไปกินหมดเหรอครับ?”

“ไม่อยากครับพี่ตะวัน คราวหลังอาทิตย์จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ” เจ้าดวงอาทิตย์ดวงน้อย อ้าแขนโผเข้าหาคนเป็นพี่ ให้ตะวันต้องลุกขึ้นยืนอุ้มน้องมากอดไว้แนบอก

“เด็กดีของพี่ ขอบคุณมากนะครับที่สารภาพความผิด อาทิตย์ของพี่เก่งที่สุดเลยรู้ไหม”

ตะวันกอดน้องแน่นในขณะที่อาทิตย์พยักหน้ารับ คนเป็นพี่พรมจูบไปทั่วแก้มนิ่มของคนเป็นน้อง ซึ่งส่วนใหญ่หลังจากดุน้องแล้ว ตะวันก็มักจะทำแบบนี้ทุกครั้ง การแสดงความรักเล็กๆ น้อยๆ ชื่มชมเล็กๆ น้อยๆ หลังจากการว่ากล่าวตักเตือน จะทำให้เด็กไม่รู้สึกว่าถูกลงโทษ และทำให้เจ้าหนูน้อยสำนึกความผิดได้ดีกว่าการต่อว่าแรงๆ หรือสาดอารมณ์ใส่ ซึ่งวิธีที่ตะวันทำอยู่นั้นได้ผลดีกับอาทิตย์เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตะวันกอดน้อง คุยงุ้งิ้งกับน้อง จนไม่ได้สังเกตเห็นแววตาอ่อนโยนของผู้ใหญ่อีกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ แววตาที่ทอดมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาหลงใหลและนับถืออย่างไม่ปิดบัง

ถ้าเมื่อวานนี้พลัฎฐ์รู้สึกว่าตัวเองถูกใจตะวันมากแล้ว วันนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะถูกใจเด็กหนุ่มตรงหน้าได้มากยิ่งกว่าเมื่อวานไปอีก ... ถูกใจจนพลัฎฐ์ไม่แน่ใจว่ามันข้ามขั้นคำว่าถูกใจไปไกล จนกลายเป็นคำว่า ‘ชอบ’ ได้หรือยัง?

.

.

.

“ยินดีด้วยกับร้านใหม่นะตะวัน”

ร่างระหงของชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในร้านของตะวันหลังจากที่ปิดให้บริการไปได้แล้วครึ่งชั่วโมง ส่งเสียงทักทาย ในมือเรียวของอีกฝ่ายถือกระเช้าดอกไม้เล็กๆ มาด้วย ... ดอกไม้ที่ดูแล้วช่างเข้ากันได้ดีกับคนถือเสียเหลือเกิน

“อ้าว มาแล้วเหรอ ‘ชาร์ม’ เข้ามาก่อนสิ ฉันกำลังเตรียมอาหารอยู่เลย”

ตะวันยิ้มทักเจ้าของชื่อ ‘ชาร์ม’ ที่เดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม เรียกสายตาของคนอื่นๆ ในร้านให้มองตามได้ไม่ยาก โดยเฉพาะรอยยิ้มสวยๆ จากปากบางๆ นั่น

“ฉันมาเร็วไปหรือเปล่า ดูเหมือนนายเพิ่งจะเก็บร้านเอง”

‘ชาร์ม ชนกันต์’ ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง มีกล้ามเนื้อน้อยๆ ผู้ที่มีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ของตะวัน เอ่ยถามอย่างเกรงใจ เพราะเขาเองก็มาก่อนเวลานัดหมาย เนื่องจากมาทำธุระแถวร้านของตะวันพอดีเลยเลยมาทีร้านเลย ไม่คิดว่ารถจะไม่ติด ทำให้มาถึงก่อนเวลาที่ตะวันนัดเลี้ยงฉลองเปิดร้านใหม่ อยู่นานพอควรเลยทีเดียว

“ไม่หรอก นี่ทำกับข้าวอีกไม่กี่อย่างก็เสร็จแล้ว เข้ามานั่งเล่นกับอาทิตย์รอก่อนสิ”

เจ้าของชื่อชนกันต์เดินปรี่ไปหาเจ้าหนูอาทิตย์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่อาทิตย์เองก็อ้าแขนรอให้ชนกันต์เข้ามาโอบกอดด้วยท่าทางร่างเริงน่าเอ็นดู

“ไหน หมูอ้วน โตขึ้นอีกหรือเปล่าเนี่ย พี่ชาร์มว่าเจอครั้งที่แล้วยังไม่ตัวใหญ่เท่านี้เลยนะ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงบางไม่พูดเปล่า แต่ก้มลงหอมแก้มนิ่มๆ ของคนเป็นลูกผู้น้องด้วยความหมั่นเขี้ยวด้วย

“อาทิตย์ไม่ได้อ้วนขึ้นนะครับพี่ชาร์ม พี่ตะวันบอกว่า หุ่นแบบนี้กำลังหล่อเลย” เจ้าเด็กรู้มากพูดอวดชมตัวเอง พลางโอบกอดร่างบางของพี่ชายคนโปรดอีกหนึ่งคนไว้แน่น ทำเอาตะวันที่จัดของอยู่ใกล้ๆ ต้องหันมามองพลางลอบยิ้มให้กับคำตอบของน้องชายที่ช่างพูดเสียเหลือเกิน

“หล่อจ้าหล่อ เรื่องหลงตัวเองเนี่ยขอให้บอก”

สองหนุ่มต่างวัยหอมฟัดกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้ม สีเดียวกับทั้งของตะวันและอาทิตย์จะเหลือบไปเห็นเด็กน้อยอีกคนที่นั่งอยู่ เจ้าของหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาสงสัย ปนๆ อยากรู้จัก

“ว่าไงครับหนุ่มน้อย หนูเป็นเพื่อนอาทิตย์เหรอครับ?”

ชนกันต์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหวาน เขาเป็นผู้ชายที่จัดว่ามีใบหน้าสวยหวานเฉี่ยวราวกับผู้หญิง ขนาดตะวันที่ว่าหน้าหวานแล้ว ยังหวานสู้ชนกันต์ไม่ได้ ... และแน่นอนว่าลูกพี่ลูกน้องของตะวันคนนี้ไม่ชอบผู้หญิง เขาค่อนข้างชัดเจนเรื่องรสนิยม เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูง และนี่คือเสน่ห์ของชนกันต์ เสน่ห์ที่แม้แต่เด็กน้อยอย่างพีรยสถ์ยังหลงใหลได้

“คับ น้องพีชื่อน้องพี เด็กชายพีรยสถ์ เป็นเพื่อนกับคุณอาทิตย์คับ” เจ้าหนูตอบเสียงดังฟังชัด ดูเหมือนชื่อจริงของเด็กชาย จะเป็นสิ่งที่เจ้าหนูสามารถออกเสียงได้ชัดเจนมากทีเดียว

“อ๋ออ น้องพีเป็นเพื่อนกับคุณอาทิตย์นี่เอง” มือเรียวถูกยื่นไปลูบศีรษะเล็กๆ อย่างใจดี “พี่ชื่อพี่ชาร์มนะครับ เป็นพี่ชายของคุณอาทิตย์ พี่ชาร์มยินดีที่ได้รู้จักน้องพีนะครับ”

น้องพียิ้มตาหยีส่งให้อีกฝ่าย ก่อนจะพุ่มมือยกขึ้นไหว้ชนกันต์ด้วยท่าทีนอบน้อม “สวัสดีคับพี่ชาร์ม”

และหลังจากทำความรู้จักกันเสร็จเรียบร้อย ก็ดูเหมือนว่าตะวันจะจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยพอดี ทุกคนจึงยกโขยงไปยังโต๊ะที่จัดวางอยู่กลางร้าน มีอาหารมากมายวางเรียงเต็มไปหมด โดยมีป้าวันดี น้ำตาล มีนา และเมษา นั่งรออยู่พร้อมหน้าพร้อมตา รอให้ตะวันพาอาทิตย์ น้องพี และลูกพี่ลูกน้องอย่างชนกันต์มานั่งตามเก้าอี้ที่จัดเตรียมรอไว้ให้

“เอ๊ะ มีเก้าอี้ว่างอีกตัวนี่ นายเตรียมไว้รอใครหรือเปล่าตะวัน” จบคำถามของลูกพี่ลูกน้องคนสนิท ตะวันก็ชะเง้อมองไปที่ประตูร้านสลับกับก้มลงดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง

ตะวันคิดอย่างสงสัยเพราะไม่แน่ใจว่าพลัฎฐ์ลืมหรือยังไม่เสร็จงานหรือเปล่า เพราะนี่ก็ถึงเวลานัดแล้ว แต่ยังไม่เห็นปะป๊าของน้องพีมาถึงเลย และในขณะที่เจ้าของร้านอาหารกำลังลังเลว่าจะโทรตามอีกฝ่ายดีไหม ประตูร้านก็ถูกผลักเข้ามาด้วยมือของเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ดูติดจะเหนื่อยหอบนิดๆ

“ขอโทษนะครับคุณตะวันที่ผมที่มาสาย พอดีประชุมเลิกเสร็จช้าน่ะครับ” พอเห็นหน้าเจ้าของร้าน พลัฎฐ์ก็เอ่ยขอโทษขอโพยอีกฝ่ายทันที เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุให้คนอื่นรอ

“ไม่เป็นไรครับคุณพลัฎฐ์ เชิญครับ ผมเพิ่งจะจัดโต๊ะเสร็จเมื่อสักครู่เอง” ตะวันลุกขึ้นยืน พลางเชื้อเชิญแขกคนสุดท้ายลงนั่งตรงเก้าอี้ว่างข้างน้องพี ซึ่งเด็กชายพอเห็นพ่อมาถึงแล้วก็ยิ้มกว้าง พลางเอ่ยทักอย่างยินดี

“เย่! มาแย้วๆ... สวัสดีคับ” เด็กน้อยพีรยสถ์พุ่มมือขึ้นไหว้คนเป็นพ่อ ซึ่งเจ้าหนูถูกสอนให้ทำแบบนี้ทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังพลัฎฐ์กลับจากทำงาน

“สวัสดีคับคุณลุง” อาทิตย์เองก็ไม่ได้น้อยหน้า เขายกมือขึ้นไหว้พลัฎฐ์โดยไม่ต้องรอให้ตะวันบอกเลยด้วยซ้ำ

“สวัสดีคับน้องพี สวัสดีคับคุณอาทิตย์” มือใหญ่ถูกยื่นไปลูบศีรษะเด็กทั้งสองเบาๆ “รอนานไหม ขอโทษนะครับที่มาช้า”

พลัฎฐ์พยายามจะหันไปขอโทษทุกคนรอบตัว เขากวาดสายตาไปรอบๆ เพราะพอจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง แต่ไม่รู้จักชื่อพลัฎฐ์ไล่มองมาเรื่อยจนถึงคนสุดท้ายก็ชะงักไป ... รอยยิ้มสวยที่ถูกส่งมาจากริมฝีปากหยักบาง ของคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก และดูเหมือนตะวันจะเข้าใจสายตาสงสัยของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี เขาจึงเริ่มแนะนำสมาชิกบนโต๊ะอาหารให้พลัฎฐ์รู้จักรายคน

“คุณพลัฎฐ์ครับ นี่ป้าวันดีครับเป็นแม่ครัวใหญ่ของร้านอาหารผม ส่วนสามคนนี้ น้ำตาล พี่มีนา และเมษาเป็นเด็กในร้านครับ”

ทุกคนยกมือไหว้พลัฎฐ์ ในขณะที่พลัฎฐ์เองยกมือไหว้ตอบป้าวันดีเช่นกัน ทำเอาป้าวันดีปลาบปลื้มไม่น้อยที่คนระดับผู้บริหารของบริษัทใหญ่มีมารยาทให้ความนับถือคนตามวัยวุฒิ

“ส่วนนี่” ตะวันผายมือไปยังฝั่งตรงข้ามที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยแนะนำ “ชนกันต์ครับ ลูกพี่ลูกน้องของผม”

พลัฎฐ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับชนกันต์ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างยื่นมืออกมาจับ เพื่อทำความรู้จักกัน

“เรียกชาร์มก็ได้ครับ” ใบหน้าสวยหวานส่งยิ้มบอกอีกฝ่ายเสียงใส

“ผมพลัฎฐ์ครับ” คนตัวโตเองก็ส่งยิ้มตอบ ก่อนจะแอบดึงมือกลับเนียนๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือเขาเสียที

ชนกันต์มองอีกฝ่ายตาเยิ้ม เขารู้สึกว่าอาหารบนโต๊ะแทบจะหมดความน่ากินไปทันที เมื่อพลัฎฐ์ปรากฎตัวขึ้นมา ก็อย่างที่บอกไปว่าชนกันต์ค่อนข้างชัดเจนกับรสนิยมตัวเอง ... เขาชอบผู้ชาย และผู้ชายตรงหน้าก็ช่างดึงดูดสายตาเหลือเกิน ทั้งรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา การแต่งกายก็ภูมิฐาน ทุกอย่างช่างดูดีไปหมดจนกระทั่ง

“ปะป๊าคับปะป๊า น้องพีหิวแย้ว”

หนุ่มน้อยพีรยสถ์ที่ชนกันต์เพิ่งได้รู้จักไปเมื่อครู่เอ่ยขึ้น ทำเอาเจ้าของหน้าสวยหวานหุบยิ้มแทบไม่ทัน เรียกปะป๊าเสียขนาดนี้... ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าเป็นอะไรกัน

ชนกันต์หันไปตักอาหารใส่จานของตัวเองทันที และหมดความสนใจกับคนตรงหน้าไปอย่างสิ้นเชิง ถึงจะโสดแต่มีลูกติด ชนกันต์ก็ไม่ไหวหรอก เขาเลี้ยงเด็กไม่เก่ง ถ้าให้เล่นประเดี๋ยวประด๋าวแบบที่เล่นกับเจ้าอาทิตย์น่ะได้ แต่ถ้าให้เลี้ยงจริงจังเอามาเป็นลูกนี่คงต้องขอบาย ไม่ไหวจริงๆ

“ไหนครับ น้องพีของปะป๊าอยากทานอะไร ... อาหารของพี่ตะวันน่ากอนทุกอย่างเลย” พลัฎฐ์พูดด้วยรอยยิ้ม สายตาและท่าทางบ่งบอกว่าชื่นชมคนที่นั่งห่างออกไปสองเก้าอี้เด็กกั้นอย่างหมดสิ้น ทำเอาคนถูกชมแก้มแดงขึ้นเล็กน้อยอย่างน่ามอง และแน่นอนว่าชนกันต์เห็นทุกอย่าง มันชัดเจนจนน่าสงสัย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหาคำตอบ

“คุณพลัฎฐ์เป็นผู้ปกครองของน้องพีเหรอครับ?” ชนกันต์ชวนคุยและเอ่ยถามอย่างสุภาพ ถามแบบไม่ให้ดูสอดรู้สอดเห็นจนเกินไป

“ครับ น้องพีเป็นลูกชายผมเองครับ” พลัฎฐ์เอ่ยตอบสบายๆ ไม่ได้มีท่าทีปิดบังอะไร ทำให้ชนกันต์เลือกที่จะถามต่อแบบสบายๆ เช่นกัน

“ว่าแต่ไปรู้จักกับตะวันได้ยังไครับนี่?”

“คุณพลัฎฐ์อยู่บ้านติดกับบ้านหลังใหม่ของฉันน่ะ เมื่อวานนี้ฉันแวะไปทำความรู้จักคุณพลัฎฐ์มา แล้วน้องพีกับอาทิตย์ก็เกิดจะติดอกติดใจกลายเป็นเพื่อนสนิทกันขึ้นมา วันนี้ฉันเลยชวนคุณพลัฎฐ์เขามาด้วย ยังไงก็บ้านใกล้เรือนเคียง”

ตะวันร่ายยาวตอบ ในขณะที่ชนกันต์พยักหน้าหงึกหงักราวกับเข้าใจ แม้เขาจะสงสัยหน่อยๆ ว่า ทำไมคนอย่างตะวันที่หวงพื้นที่ส่วนตัวเป็นที่สุด จะยอมสนิทสนมกับคนข้างบ้านที่รู้จักกันไม่ทันข้ามคืน จนถึงขั้นชวนกันมางานเปิดร้านขนาดนี้

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” ชนกันต์ครางรับ “ถ้าอย่างนั้นผมก็ฝากน้องชายของผมทั้งสองคนด้วยนะครับ มีคุณพลัฎฐ์ที่ดูพึ่งพาได้อยู่ใกล้ๆ ผมก็อุ่นใจ เพราะตะวันน่ะ ตัวเล็กจิ๋วขนาดนั้น เกิดเรื่องอะไรมาผมล่ะกลัวจะเอาตัวไม่รอดจริงๆ”

ตะวันพอได้ยินแบบนั้นก็ค้อนคนที่มีศักดิ์เป็นพี่เข้าให้ ทำเอาพลัฎฐ์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนที่อีกฝ่ายเลือกที่จะถามชนกันต์กลับบ้าง

“ว่าแต่คุณชาร์ม ทำไมไม่มาอยู่กับคุณตะวันล่ะครับ ดูท่าทางคุณสองคนน่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันน่าดู” ชนกันต์ยิ้มสวย ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ร้านผมอยู่ห่างจากบ้านใหม่ตะวันเป็นโยชน์เลยครับ ไม่สะดวกเลย”

พลัฎฐ์ขมวดคิ้วมุ่น พลางนึกสงสัยว่าทำไมคนครอบครัวนี้ถึงมีกิจการอะไรกันเองทั้งหมด

“ร้านเหรอครับ?”

“ร้านทำผมน่ะครับ” อีกครั้งที่ตะวันเป็นคนเฉลย “ชาร์มเป็นช่างทำผมครับคุณพลัฎฐ์ เป็นมาตั้งแต่อายุยังไม่ยี่สิบเลยด้วยซ้ำ... ชาร์มเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านนี้ ที่บ้านเลยสนับสนุนเปิดร้านให้มาหลายปีแล้ว ลูกค้าเยอะเชียวครับ”

คนมีศักดิ์เป็นน้องเอ่ยแซวคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ขำๆ แต่ถ้าจะคิดว่าชนกันต์จะถ่อมตนอะไรแบบนั้น ขอให้รู้เลยว่าคิดผิด อย่าให้ท่าทีสวยหวาน น่ามอง นั่นหลอกตาได้เชียว นิสัยจริงๆ ของชนกันต์ไม่ได้มุ้งมิ้งอย่างที่เห็นหรอก ตะวันรู้ดี

“ว่าได้ที่ไหนล่ะ ก็ฉันมันดันเก่งจริงๆ เสียด้วยสิ” เจ้าของร้านทำผมยักไหล่น้อยๆ ราวกับจะไม่ปฏิเสธคำอวดอ้างสรรพคุณของตัวเอง ทำเอาพลัฎฐ์หลุดขำออกมาพรืดใหญ่

“อ่ะๆ เรื่องของร้านทำผมฉันน่ะเอาไว้ก่อนเถอะ วันนี้มายินดีให้กับร้านใหม่ของนายดีกว่าตะวัน”

ชนกันต์ว่าพลางยกแก้วไวน์ของตัวเองมาถือไว้มั่น ก่อนจะเป็นคนเริ่มเอ่ยอวยพรให้น้องชายสุดที่รักของตัวเอง

“ยินดีด้วยนะตะวัน ขอให้ร้านพระอาทิตย์ของนายประสบความสำเร็จ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยนะ”

“ใช่ครับ ผมก็ขอให้กิจการร้านพระอาทิตย์ของคุณตะวันเป็นไปอย่างราบรื่นนะครับ” พลัฎฐ์เองก็เอ่ยอวยพรให้อีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ตะวันยิ้มรับ ก่อนจะยกแก้วไวน์ดื่มเป็นคนแรกแทนคำขอบคุณ

“ขอบคุณทุกๆ คนมากนะครับ”

... The Sun’s แปลว่าของพระอาทิตย์ ชื่อของเขาและของอาทิตย์ทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงล้วนมีความหมายถึงความเจิดจ้าที่เป็นเสมือนแหล่งพลังงานชั้นยอดของโลกอย่างพระอาทิตย์ซ่อนอยู่ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมตะวันถึงตั้งชื่อร้านอาหารว่า The Sun’s

ทุกคนยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มพร้อมกัน โดยมีเจ้าหนูทั้งสองยกแก้วเลียนแบบโดยที่ในแก้วเซรามิคลายการ์ตูนมีเพียงน้ำเปล่าเท่านั้น

“เย่ๆ ชนๆ”

เด็กน้อยผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก เห็นผู้ใหญ่ทำท่าเลี้ยงฉลองก็ทำบ้างอย่างน่าเอ็นดู ทำเอาตะวันกับพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากันเมื่อมองไปยังเด็กทั้งสองที่นั่งกั้นกลางระหว่างพวกเขาอยู่

ทั้งคู่มองกันและกันเหมือนถูกดึงดูดทำให้ละสายตาออกจากกันไม่ได้ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่บนริมฝีปากของคนทั้งสอง และทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของชนกันต์ทั้งหมด ใบหน้าสวยหวานยกยิ้มบางๆ คำถามที่ได้รับการสงสัยก่อนหน้า ดูเหมือนว่าจะได้รับคำตอบที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วในตอนนี้ เขาคิดในใจอย่างโล่งอกว่า ดีนะที่เขาถอนตัวจากพลัฎฐ์ทัน ไม่งั้นสงสัยมีหวัง อกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มจีบอีกฝ่ายแน่ๆ

.

.

.

To Be Continue

--------------------------

Talk: ตอนนี้ทำไมยาวจัง ฮ่าๆๆ ...

ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ แล้วก็ฝากคอมเม้นท์ติดชมด้วยยย ชอบไม่ชอบยังไงบอกได้น้า

ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ❤

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #16 เมื่อ28-06-2019 20:30:39 »

ป๊ะป๊าน้องพีต้องคิดใหม่ละนะ ใครจะตกหลุมใครกันแน่

คู่เด็กนี่ น่าร้ากกก  :-[

รออ่านต่อค่ะ

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 5th - ตัวเล็กของพี่ ::


“วันนี้กลางวันผมไปทานข้าวด้วยนะครับคุณตะวัน”

ล่วงเลยมาจนถึงวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากสี่วันที่ผ่านมาที่พลัฎฐ์มักจะพาลูกชายมาส่งให้กับตะวันก่อนออกไปทำงาน

และก็ดูเหมือนจะเป็นเช้าวันที่สี่แล้ว ที่พลัฎฐ์บอกแบบนี้มาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง

“เอ่อ... คุณจะว่างลงมาเหรอครับ ให้ผมทำแล้วให้เมษขึ้นไปส่งให้คุณดีไหมครับ”

และก็เป็นเช้าวันที่สี่แล้วเช่นกัน ที่ตะวันถามพลัฎฐ์กลับแบบนี้ทุกครั้ง ซึ่งก็ดูเหมือนคำตอบที่เจ้าของร้านอาหารได้รับจะเป็นเหมือนเดิม

“ไม่เป็นไรครับ ผมลงมาทานที่ร้านคุณดีกว่า จะได้เจอน้องพีด้วย”

ตะวันไม่กล้าแย้งอะไรต่อ พอพลัฎฐ์อ้างว่าอยากมาเจอลูกชาย ทั้งๆ ที่ตอนเย็นเขาก็ต้องได้เจอน้องพีอยู่แล้ว ซึ่งตะวันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมพลัฎฐ์ต้องพาตัวเองมาลำบากทั้งที่งานก็ล้นมือขนาดนั้น

ช่วงสองวันแรกพลัฎฐ์ลงมาอุดหนุนอาหารกลางวันที่ร้านของตะวันทุกวัน และก็เป็นทุกวันที่ชายหนุ่มจะต้องถูกโทรตามจากทั้งเลขาฯ จากบรรดาผู้บริหาร จากลูกค้า หรือแม้กระทั่งจากคุณพ่อคุณแม่ที่โทรมาคุยเรื่องงานจากต่างประเทศ ทำให้บางครั้งพลัฎฐ์แทบไม่มีเวลาแตะอาหารเลยด้วยซ้ำ กว่าจะคุยเคลียร์จบก็แทบจะเลยเวลาพักแล้ว ซึ่งพลัฎฐ์ก็ต้องเผื่อเวลาเดินกลับไปออฟฟิศอีก ตะวันจึงเห็นว่าไม่มีกลางวันของวันไหนเลย ที่พลัฎฐ์จะได้ทานเต็มมื้อโดยไม่ถูกขัดจังหวะหรือรบกวน ตะวันเลยคิดว่ามันน่าจะดีกว่าหากพลัฎฐ์เลือกกินอาหารอยู่บนออฟฟิศ ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเดินกลับ ถึงจะโดนรบกวนโทรตามเรื่องงาน แต่พลัฎฐ์ก็น่าจะกินอาหารได้สะดวกกว่าลงมากินที่ร้านเขาแบบนี้

แต่ก็อย่างที่เห็น เพราะถึงแม้ตะวันจะพยายามท้วงเพียงใด แต่พลัฎฐ์ก็จะยืนยันแบบเดิมทุกครั้งว่าเขายินดีที่จะลงมา ซึ่งยิ่งพอพลัฎฐ์เอาความอยากเจอลูกมาอ้าง ตะวันยิ่งทำอะไรไม่ได้ นอกจากให้ขนม แซนด์วิช หรือผลไม้ติดมืออีกฝ่ายกลับไปในทุกๆ กลางวันแทน

"ปะป๊าไปแล้วนะครับน้องพี อยู่กับพี่ตะวันไม่ดื้อไม่ซนนะครับ แล้วเดี๋ยวกลางวัน ปะป๊าไปทานข้าวด้วย"

"คับปะป๊า"

หลังจากสั่งลูกลายตัวน้อยเรียบร้อย พลัฎฐ์ก็ขอตัวไปทำงาน และพอคล้อยหลังคนข้างบ้าน ตะวันก็ได้แต่สงสัยและคิดไม่ตก พักหลังมานี้ครอบครัวเขาและพลัฎฐ์แทบจะตัวติดกันเป็นแฝดสยาม นอกจากจะเห็นน้องพีที่ไหนเห็นอาทิตย์ที่นั่นแล้ว ยังเห็นตะวันที่ไหนเห็นคุณพลัฎฐ์ที่นั่นต่างหากด้วย

.

.

.

ร้านอาหารของตะวันกำลังไปได้สวย เพราะลูกค้าแน่นร้านทุกวัน โดยเฉพาะช่วงกลางวันและช่วงเย็น

บรรดาอาหารคาวทั้งหลาย ได้รับคำชมจากลูกค้าไม่ขาดปาก ทำเอาป้าวันดีหน้าบานยิ้มไม่หุบอยู่หลายวัน ส่วนขนมที่ตะวันทำก็ขายหมดตู้วันต่อวันทุกวัน บางวันก็ขายไม่พอ ต้องทำเพิ่มมาเสริมอยู่บ่อยๆ ทำให้คนเป็นเจ้าของร้านอย่างเขานึกปลื้มใจที่ร้านได้รับความนิยมขนาดนี้

"เย็นนี้ปิดร้านเวลาเดิมหรือเปล่าครับคุณตะวัน"

พลัฎฐ์ถามขึ้นในขณะที่เขาทั้งสี่คนนั่งทานอาหารกลางวันด้วยกัน ที่จริงจะเรียกว่าอาหารกลางวันก็ไม่ถูก เพราะนี่มันก็เกือบจะบ่ายแล้ว พลัฎฐ์เล่นลงมาถึงที่ร้านของตะวันเกือบเที่ยงครึ่ง จนเด็กๆ ทานข้าวไปเสร็จแล้ว และกว่าพลัฎฐ์จะได้ลงมือทานข้าวจริงจัง ทั้งน้องพีและอาทิตย์ก็จัดการเค้กก่อนน้อยๆ กันไปได้ครึ่งทางแล้วเช่นกัน

"น่าจะเวลาเดิมครับ ถ้าไม่มีลูกค้าหลงเข้ามาก่อนปิด"

ตะวันตอบพลางใช้กระดาษทิชชู่เช็ดปากที่เลอะครีมเค้กให้น้องพีอย่างเบามือ "คุณพลัฎฐ์มีอะไรรึป่าวครับ?"

"ไม่มีอะไรมากครับ ผมกะจะชวนคุณตะวันไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนิดหน่อยน่ะครับ"

ตะวันคิดคำนวณ ที่จริงร้านอาหารปิดตอนสองทุ่มครึ่ง แต่บางวันตะวันก็อยู่ไม่ถึงเวลานั้น ส่วนใหญ่ก็ไหว้วานให้เด็กในร้านปิดสลับๆ กันไป หรือไม่ถ้าวันไหนอาทิตย์ไม่งอแงว่าง่วง ตะวันก็จะอยู่ปิดร้านเอง แต่ถ้าเป็นไปได้ตะวันจะไม่ค่อยอยากให้อาทิตย์นอนดึกนัก ดังนั้นพอลูกค้าเริ่มซา ตะวันก็มักจะพาอาทิตย์และน้องพีกลับบ้านไปพักผ่อนก่อน

“ได้ครับ ถ้าคุณพลัฎฐ์เลิกงานแล้วโทรมาบอกนะครับ เดี๋ยวผมจะเก็บของรอ เรื่องร้านอาจจะให้พี่มีนาช่วยปิดให้ คุณพลัฎฐ์ไม่ต้องเป็นห่วง”

ตะวันยิ้มหวานหลังจากตอบจบ พลัฎฐ์ไม่อยากจะยอมรับเลยว่านับวันที่ได้ใกล้ชิดคนตัวเล็กกว่าเขายิ่งห้ามใจตัวเองได้ยากขึ้นทุกที บางครั้งที่เห็นตะวันยิ้ม เห็นตะวันทำอะไรน่ารักๆ ริมปากหยักก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามทุกครั้ง ความสดใส ความเป็นตัวของตัวเองของตะวันทำให้เขารู้สึกอยากอยู่ใกล้ แต่จะออกตัวว่าชอบอีกฝ่ายจนออกนอกหน้าก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าเขาไม่เคยจีบผู้ชายมาก่อน แต่มันไม่ใช่เรื่องยากหรอก ถ้าเขาจะเดินหน้าสานสัมพันธ์กับตะวันอย่างจริงจัง แต่สิ่งที่เขาไม่มั่นใจก็คือความรู้สึกของอีกฝ่ายต่างหาก ตะวันจะชอบเขาไหม ความรักระหว่างชายหนุ่มสองคนเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายรับได้หรือเปล่า และที่สำคัญพี่ชายของอาทิตย์มีใครคนอื่นอยู่ในใจหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่พลัฎฐ์ไม่เคยรู้เลย

พลัฎฐ์ยอมรับว่าที่หาทางอยู่ใกล้ตะวันทุกวันแบบนี้ก็เพราะเขาอยากรู้ความเป็นไป อยากรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายในทุกๆ เรื่องที่เป็นไปได้ แต่งานของเขาก็รัดตัวมากเกินกว่าที่จะมานั่งเฝ้า นั่งเอาอกเอาใจ นั่งติดตามคอยมองว่ามีใครเข้ามาจีบหรือติดพันตะวันหรือเปล่า แค่ปลีกตัวลงมาทานข้าวกลางวันด้วยกันในหลายๆ วันที่ผ่านมาก็ทำเอาเขาโดนโทรตามจนแทบไม่เป็นอันอยู่อันกิน แล้วแบบนี้จะมีเวลาที่ไหนไปสืบ ไปจับตามองเรื่องของอีกฝ่ายกัน

“ปะป๊าคับ กินอันนี้ไหม น้องพีให้ปะป๊า” ลูกชายตัวน้อยน่ารักยื่นช้อนที่มีเค้กคำเล็กๆ มาให้คนเป็นพ่อด้วยท่าทางน่าเอ็นดู ทำเอาพลัฎฐ์ที่กำลังคิดเรื่องของตะวันชะงัก และคิดอะไรดีๆ ขึ้นได้ เมื่อเห็นใบหน้าน่ารักของลูกชายอยู่ในกรอบสายตา

“อ้ามๆ ปะป๊าอ้าปากสิ น้องพีป้อน” พลัฎฐ์อ้าปากกว้างรับเอาช้อนเล็กๆ ที่ลูกชายยื่นมาจ่อเข้าปาก ก่อนจะกล่าวขอบคุณเจ้าเทวดาตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ขอบคุณครับลูก ปะป๊าอร่อยมากเลย” มือใหญ่ยื่นไปลูบศีรษะกลมของคนเป็นลูกอย่างเบามือ หน้าตาท่าทางนิ่งๆ สงบๆ ที่แสดงออกมาให้ตะวันเห็นนั้น ขัดกับแผนการที่คนตัวโตกำลังวางอย่างแยบยลอยู่ในสมอง

“อะหย่อยๆ พี่ตะวันทำอะหย่อย น้องพีชอบกินมาก” เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มตาหยีให้คนเป็นพ่อ โดยที่มีครีมเค้กเปื้อนอยู่ที่มุมปากให้พลัฎฐ์ต้องเอานิ้วโป้งปาดออกเพื่อทำความสะอาดให้ลูกชายก่อนที่จะส่งนิ้วโป้งนั้นเข้าปากของตัวเอง

ซึ่งการกระทำที่ว่าของพลัฎฐ์อยู่ในสายตาของตะวันทั้งสิ้น... และจู่ๆ ใจเขาก็เต้นแรงขึ้นแบบไม่มีสาเหตุ

ไม่อยากจะยอมรับ แต่การทำแบบนั้นของคุณคนข้างบ้านมันเซ็กซี่เป็นบ้า ขนาดว่าตะวันเป็นผู้ชายยังรู้สึกเลยว่าหน้าของเขาร้อนไปหมด ร้อนจนต้องยกมือขึ้นมาพัดโบกให้ความเย็นแก่หน้าตัวเอง

“พี่ตะวันเป็นอาราย?” เจ้าน้องชายตัวแสบของตะวันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยานคางเพราะกำลังดึงช้อนที่ใช้ตักเค้กออกจากปาก

“หือ? พี่เป็นอะไรเหรออาทิตย์” ตะวันย้อนถามน้องเพราะไม่รู้ถึงความผิดปกติของตัวเอง

อาทิตย์เอียงคอเล็กน้อย เพราะไม่เข้าใจท่าทางของคนเป็นพี่ เนื่องจากเจ้าหนูน้อยเห็นพี่ชายตัวเองมีท่าทางแปลกๆ แถมแก้มยังแดงก่ำ เลยเป็นห่วงกลัวว่าพี่ตะวันจะไม่สบาย เพราะเวลาที่อาทิตย์ไม่สบาย พี่ตะวันมักจะบอกว่าอาทิตย์หน้าแดงๆ ตัวแดงๆ เหมือนกุ้ง อาทิตย์ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าเป็นยังไง แต่เจ้าหนูเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นเหมือนที่พี่ตะวันเป็นตอนนี้ แดงไปหมดทั้งหน้า แดงลามมายันคอเลยด้วยซ้ำ

“ก็พี่ตะวันหน้าแดง แล้วพี่ตะวันก็ทำมืองี้ๆ ด้วยอ่ะคับ” เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยว่า พลางทำโบกมือๆ สะบัดๆ ตรงหน้าตัวเองเลียนแบบพี่ชาย ทำเอาตะวันยิ่งหน้าแดงหนักกว่าเดิม ดูเหมือนเขาจะเพิ่งรู้ตัวว่าไอ้อาการหน้าร้อนของเขาเนี่ยมันดันไปโชว์ให้คนอื่นเห็นโดยผ่านสีหน้าแดงๆ ของตัวเอง

และพอดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นว่าพลัฎฐ์กำลังจะหันมาทางตัวเอง ตะวันก็ลุกขึ้นยืนพรวดพราด ทำเอาเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยถึงกับสะดุ้งตกใจ เพราะเมื่อกี้เจ้าหนูยังเอียงคอมองพี่ชายตัวเองอย่างสงสัยปนเป็นห่วงอยู่เลย

“คุณตะวันครับ?”

พลัฎฐ์เองก็ตกใจ เขามองตามร่างเล็กที่ตอนนี้ยืนเต็มความสูงและกำลังหันไปทางอื่นด้วยสายตางุนงง ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกักเหมือนคนมีพิรุธก็ไม่ปาน

“ผะ.. ผมต้องไปช่วยป้าวันดีในครัว” ตะวันพูดไม่มองหน้าปะป๊าของน้องพี ก่อนที่หันไปหาน้องชายตัวเอง พลางก้มหน้าลงไปกดจมูกบนแก้มนิ่มของน้อง “พี่ตะวันไม่ได้เป็นอะไรครับ แค่ร้อนนิดหน่อย อาทิตย์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

ด้วยความที่เห็นน้องมองตัวเองตาไม่กะพริบ เลยไม่อยากหลีกเลี่ยง ขืนไม่ตอบเจ้าหนูน้อย มีหวังอาทิตย์ได้ร้องตามเขาเข้าไปในครัวแน่ๆ เห็นอายุแค่นี้ แต่สังเกตความรู้สึกคนอื่นเก่งน่าดู ตะวันเลยต้องรีบก้มลงไปตอบ เพราะไม่อยากให้น้องสงสัยไม่เลิก

“อ๋อครับ เดี๋ยวยังไงผมพาเด็กๆ เข้าไปที่ห้องพักด้านหลังเอง คุณตะวันไปทำงานเถอะครับ”

ตะวันพยักหน้ารับ เขาหันแค่เสี้ยวหนึ่งของหน้าตัวเองมามองพลัฎฐ์ ก่อนจะหันหลังเดินเร็วๆ ออกไปทางห้องครัว เพราะกลัวคนตัวโตกว่าจะสังเกตเห็นว่า จนถึงเวลานี้หน้าเขายังไม่ได้หายแดงแม้แต่นิดเดียว

ตะวันเดินเข้าไปในครัวแล้ว ในขณะที่เด็กชายสองคนยังคงนั่งคุยกันงุ้งงิ้งอยู่ข้างๆ พลัฎฐ์ ชายหนุ่มมองเด็กทั้งคู่ด้วยสายตาอ่อนโยน โดยเฉพาะกับเจ้าตัวเล็กของเขา ... ไม่น่าเชื่อว่าอีกแค่สัปดาห์เดียวน้องพีจะเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว เด็กตัวแดงๆ ที่เขาเคยอุ้มเมื่อสมัยยังแบเบาะ เติบโตขึ้นมาได้มากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“น้องพี บ่ายนี้เล่นต่อเลโก้กันไหม พี่ตะวันเพิ่งซื้อเลโก้ให้คุณอาทิตย์ใหม่ บอกให้เอามาแบ่งกันเล่นกับน้องพี”

“เอาสิ เย่นกัน น้องพีอยากต่อเยโก้เป็นยูปเคื่องบิน คุณอาทิตย์ช่วยน้องพีต่อด้วยน๊า”

พลัฎฐ์แอบขำเมื่อได้ยินน้องพีพูดโต้ตอบเด็กชายข้างบ้าน ดูเหมือนว่าเด็กน้อยของเขาก็ยังคงเป็นเด็กน้อยวันยังค่ำ ล.ลิง กับ ร.เรือ เป็นอุปสรรคในการออกเสียงของเจ้าลูกชายเขาไม่เปลี่ยนแปลง

“ไปครับเด็กๆ เดี๋ยวปะป๊าไปส่งที่ห้องทำงานพี่ตะวัน นั่งตรงนี้เดี๋ยวขวางทางลูกค้าเนอะ”

พลัฎฐ์ว่าพลางอุ้มน้องพีที่กางแขนทั้งสองข้างให้อย่างรู้งานขึ้นแนบอก ส่วนอาทิตย์ดวงน้อยก็ฉลาดเฉลียวมากพอที่จะค่อยๆ ปีนลงเก้าอี้เด็กที่เขานั่งอยู่ และพอเท้าน้อยๆ แตะยืนบนพื้นได้มั่นคง มือเล็กๆ ของเด็กชายของบ้านก็เอื้อมมาจับกับมือใหญ่ของพลัฎฐ์ที่ยื่นไว้รอท่าอยู่แล้วเช่นกัน

เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่อุ้มเด็กชายหนึ่งคนและจูงเด็กชายอีกหนึ่งคนไปส่งที่ห้องทำงานของตะวัน และก่อนที่จะหมุนตัวออกจากห้องทำงาน ก็ได้ยินเสียงใสๆ ของเจ้าหนูอาทิตย์ดังขึ้นมาเสียก่อน

“ขอบคุนคับคุณลุง”

สองเท้าชะงักกึก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาทิตย์เรียกเขาว่า ‘ลุง’ แต่เป็นครั้งแรกที่พลัฎฐ์รู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ในใจ...

อาทิตย์เป็นน้องชายของตะวัน ถ้าอาทิตย์เรียกเขาว่าลุง แบบนี้ไม่เท่ากับเขาเป็นลุงของตะวันด้วยเหรอ?

พลัฎฐ์ผู้ซึ่งไม่เคยมีปัญหากับสรรพนามเรียกขานของอาทิตย์มาก่อน กลับไม่รู้สึกแบบนั้นอีก เขาหันหลังขวับกลับมาหาอาทิตย์ทันที ซึ่งดูเหมือนว่าหลังจากที่เจ้าหนูน้อยขอบคุณเขาเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ได้สนใจเขาอีก เพราะเด็กทั้งคู่กำลังหัวเราะต่อกระซิกให้กับกล่องเลโก้ที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า

“อาทิตย์ครับ ไหนมาหาลุงหน่อยมา” เด็กน้อยหันมามองเจ้าของเสียงเรียก ก่อนจะลุกเดินเตาะแตะมาหาพลัฎฐ์ที่อ้าแขนออกกว้าง แล้วเกี่ยวเอวของเจ้าหนูเข้ามาโอบกอดไว้ พลางเอ่ยคุยด้วยน้ำเสียงใจดี

“คับคุณลุง” เด็กชายภานวีย์เอียงคออีกฝ่ายมองด้วยความสงสัย เพราะไม่รู้ว่าถูกเรียกมาด้วยเรื่องอะไร

“ลุงไม่อยากให้อาทิตย์เรียกลุงว่าลุงเลย ลุงดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

อาทิตย์เอียงคอมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย สีหน้าสงสัยของเด็กวัยเกือบสี่ขวบทำเอาพลัฎฐ์ใจแป้ว

หรือเขาจะดูแก่จนเป็นลุงได้จริงๆ .. บอกตรงๆ ว่าเขาเสียความมั่นใจไปมากโขทีเดียว

“ไม่นะคับ คุณลุงไม่แก่.. แต่อาทิตย์ไม่รู้จะเรียกคุณลุงว่าอะไรดี” เสียงใสๆ พูดเจื้อยแจ้วอย่างฉลาดเฉลียว ทำเอาพลัฎฐ์ต้องยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความเอ็นดู

“งั้นเรียกลุงว่าปะป๊าแบบน้องพีดีไหมครับ?” พลัฎฐ์ลองเสนอ และก็ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะชอบสรรพนามนี้ไม่น้อย

“คุณลุงก็จะเป็นปะป๊าให้อาทิตย์แบบที่เป็นปะป๊าให้น้องพีใช่ไหมคับ” อาทิตย์ยิ้มกว้างอย่างชอบใจ เขาอยากให้ลุงพลัฎฐ์เป็นปะป๊า อยากเรียกลุงพลัฎฐ์แบบเดียวกับที่น้องพีเรียก

“ใช่ครับ อาทิตย์อยากเรียกลุงแบบนั้นไหม?” พลัฎฐ์ถามย้ำ และยิ่งพอเห็นแววตาตื่นเต้นดีใจของเด็กน้อยแล้วเขายิ่งรู้สึกดี

“อยากคับ ปะป๊าพะลัด” เสียงทุ้มหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เพราะถึงแม้อาทิตย์จะเรียกชื่อเขาไม่ชัด แต่สรรพนามนี้น่าฟังกว่าคำว่า ‘ลุง’ เป็นไหนๆ

“ดีมากครับอาทิตย์ ต่อไปเรียกปะป๊าแบบนี้นะ ตกลงไหม?”

พลัฎฐ์ยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า ก่อนที่อาทิตย์จะยิ้มตาหยีส่งนิ้วก้อยของตัวเองมาเกี่ยวกับปะป๊าคนใหม่ ถือเป็นการทำสัญญาลูกผู้ชายระหว่างหนุ่มน้อยกับหนุ่มใหญ่สองวัย

“ปะป๊ากับคุณอาทิตย์ทำอะไยกันน?” เด็กชายพีรยสถ์เงยหน้าจากเลโก้ขึ้นมามองหาเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะหายไปนานเกินไป เลยได้เห็นว่าสองคนกำลังเกี่ยวก้อยทำสัญญากันอยู่ เจ้าตัวน้อยเลยลุกพรวดจากที่นั่ง แล้วกระโดดรวดเดียวมาเกาะขาคนเป็นพ่อ ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ เป็นเชิงอ้อน

“ให้น้องพีเกี่ยวก้อยด้วยสิปะป๊า เกี่ยวด้วยๆ” พลัฎฐ์ยิ้มก่อนที่จะเกี่ยวเอวลูกชายเข้ามาที่อกตัวเองด้วยแขนอีกข้างที่ว่าง แล้วทั้งสามก็ทำการเกี่ยวก้อยสัญญาพลางหัวเราะคิกคัก ทั้งที่น้องพีเองก็ไม่ได้รู้หรอกว่าพ่อกับเพื่อนข้างบ้านสัญญาอะไรกัน รู้แค่ว่าคุณอาทิตย์ทำอะไร น้องพีจะทำด้วย เพราะเราเป็นเพื่อนกัน

“น้องพีครับ ต่อไปนี้คุณอาทิตย์จะเรียกปะป๊าว่าปะป๊าแบบนี้พีนะ น้องพีโอเคใช่ไหมลูก”

พลัฎฐ์หยั่งเชิงถามลูกชายตัวน้อยที่เขาเลี้ยงมากับมือ แม้รู้ดีว่าคำตอบที่ได้จะเป็นยังไง แต่คนเป็นพ่อก็อยากถามลูกให้แน่ใจก่อน เพราะไม่อยากให้มีปัญหาภายหลัง

“เยียกเหมือนกันเยยหยอปะป๊า?” เจ้าหนูมองหน้าพ่อตัวเองสลับกับมองคุณอาทิตย์ พอคนเป็นพ่อพยักหน้ารับ เจ้าหนูก็หัวเราะคิกอย่างชอบใจ

“เอาๆ เยียกปะป๊าเหมือนกันๆ น้องพีชอบๆ” มือเล็กๆ ของเด็กชายพีรยสถ์จับไปบนมือที่ใหญ่กว่ามือตัวเองนิดหน่อยของเด็กชายภานวีย์ “คุณอาทิตย์เยียกปะป๊าเหมือนน้องพีนะ เยียกเหมือนกันๆ”

“อื้อ...” อาทิตย์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดกับน้องพีด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่น้องพีต้องพูดว่า เรียก ไม่ใช่เยียก... ลองพูดใหม่สิ พูดช้าๆ นะ”

พลัฎฐ์มองอาทิตย์อึ้งๆ คำพูดคำจาเจ้าเด็กวัยสามขวบกว่าทำให้เขานึกทึ่งที่ตะวันสอนน้องให้เป็นเด็กมีไหวพริบได้ดีมากจริงๆ เจ้าหนูจำสิ่งที่เขาพูดกับน้องพีไม่กี่ครั้ง ไปพูดเลียนแบบได้อย่างไม่มีที่ติ

“เยียก.. งื้อ คุณอาทิตย์” น้องพีงอแง เพราะพูดไม่ได้ตามที่คุณอาทิตย์บอก แต่อาทิตย์ก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดหวัง ทำให้น้องพีหยุดร้องและพยายามพูดอีกครั้ง “ยะ.. เยียก ฮื่อ เอาใหม่ๆ ระ.. เรียก เรียก”

เด็กชายพีรยสถ์ตาโต เมื่อพูดคำที่ต้องการได้สำเร็จ “น้องพีเก่งมาก เก่งที่สุดในโลกเลย”

อาทิตย์เอ่ยชมในขณะที่ปรบมือให้อีกฝ่าย ทำให้คนที่ได้รับการชื่นชมยิ้มกว้างจนแทบหุบไม่ได้

พลัฎฐ์มองเด็กทั้งสองด้วยสายตาเอ็นดู พลางคิดในใจว่าตอนนี้ก็จัดการกับสรรพนามที่คนน้องเรียกให้แสลงใจไปได้แล้วหนึ่ง ต่อไปก็เหลือคนพี่ เขาจะต้องกำจัดความเหินห่างระหว่างเขากับพี่ชายของเจ้าอาทิตย์ดวงน้อยให้ได้ เพียงเพราะหวังว่าจะได้เข้าใกล้กันอีกก้าวกว่าที่เคยเป็น

และในขณะที่พลัฎฐ์ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เขาก็ไม่ได้รู้เลยว่ามีสายตาอ่อนโยนของคนที่เขากำลังคิดถึงแอบมองอยู่มุมหนึ่งของหน้าประตูห้องทำงาน ... สายตาแบบที่พลัฎฐ์ต้องไม่คาดคิดแน่ๆ ว่าจะได้เห็นจากภานรินทร์

.

.

.

“ลุงไม่อยากให้อาทิตย์เรียกลุงว่าลุงเลย ลุงดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ไม่นะคับ คุณลุงไม่แก่.. แต่อาทิตย์ไม่รู้จะเรียกคุณลุงว่าอะไรดี"

“งั้นเรียกลุงว่าปะป๊าแบบน้องพีดีไหมครับ?”

“คุณลุงก็จะเป็นปะป๊าให้อาทิตย์แบบที่เป็นปะป๊าให้น้องพีใช่ไหมคับ”

“ใช่ครับ อาทิตย์อยากเรียกลุงแบบนั้นไหม?”

“อยากคับ ปะป๊าพะลัด”

“ดีมากครับอาทิตย์ ต่อไปเรียกปะป๊าแบบนี้นะ ตกลงไหม?”


ตะวันนึกถึงบนสนทนาที่ได้ยินเมื่อชั่วโมงที่แล้ว แล้วอดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้

... ไม่น่าเชื่อว่าพลัฎฐ์จะมีมุมน่ารักแบบนั้นกับเขาด้วย วันๆ ก็เห็นเอาแต่ทำหน้านิ่ง จะเห็นยิ้มก็เฉพาะตอนอยู่กับน้องพีเท่านั้น จนพอตะวันได้เห็นอีกฝ่ายในแง่มุมที่ต่างออกไป มันเลยทำให้เขาได้มองเห็นความน่ารักที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีจากคนตัวโตกว่าได้ค่อนข้างชัดเจน

ตอนนี้ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้วที่พลัฎฐ์เดินกลับไปทำงาน แต่ตะวันยังคงหยุดยิ้มไม่ได้ ยิ่งคิดถึงยิ่งยิ้ม และยิ่งนึกไพล่ไปถึงตอนที่คนตัวโตเอานิ้วที่เพิ่งปาดครีมออกจากปากน้องพีเข้าปากตัวเองก็ยิ่งทำให้ตะวันรู้สึกวูบวาบ เขาตอบตัวเองไม่ถูกเลยว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรกันอยู่แน่

เหตุการณ์ที่ตะวันไปแอบได้ยินบนสนทนานี้มานั้นเป็นเพราะ ช่วงหลังจากที่พลัฎฐ์อาสาไปส่งเด็กๆ ที่ห้องพักด้านหลังร้าน จนตะวันเดินออกมาหน้าร้านแล้วก็ยังไม่เห็นพลัฎฐ์กลับออกมา จึงตัดสินใจเดินเข้าไปตามอีกฝ่ายเนื่องจากเห็นว่าบ่ายคล้อยแล้ว อีกอย่างตะวันเองก็ไม่แน่ใจว่าเด็กๆ เผลอแผลงฤทธิ์อะไรใส่ท่านรองประธานฯ บริษัทตึกข้างๆ หรือเปล่า เพราะจนป่านนี้ยังไม่เห็นกลับไปทำงานเสียที

และพอตะวันเดินไปถึง ก็ได้ยินเสียงแจ้วๆ ของน้องชายตัวเองกำลังคุยกับพลัฎฐ์พอดี เขาจึงหยุดยืนอยู่หลังบานประตูที่ถูกเปิดกว้างไว้ไม่ได้ปิด เพราะโดยปกติถ้าเขาปล่อยให้น้องพีอยู่กับอาทิตย์สองคน ประตูบานนี้ก็ไม่เคยถูกปิดอยู่แล้ว เพราะตะวันจะเดินมาดูเจ้าหนูทั้งคู่อยู่เป็นระยะๆ ไม่เคยปล่อยให้อยู่ลำพังกันนานเกินไป

และเพราะประตูเปิดอยู่ ทำให้ตะวันแอบได้ยินและได้เห็นสิ่งที่เขาอมยิ้มมาจนถึงตอนนี้

... ภาพตอนพลัฎฐ์อยู่กับเด็กทั้งสอง ทำให้ตะวันแทบละสายตาไม่ได้ คนตัวโตที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบเซ็นต์กลับดูเข้ากันได้ดีกับเด็กชายตัวจ้อยที่สูงแทบจะไม่พ้นเอวอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

ยิ่งคิด หัวใจของตะวันยิ่งเต้นตึกตักแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองเป็นอะไร แต่แม้ลึกๆ จะพยามปฏิเสธหัวใจตัวเองแค่ไหน แต่ตะวันก็รู้ดีแก่ใจว่าเขารู้สึกดีกับพลัฎฐ์มากกว่าวันที่รู้จักกันแรกๆ มากขึ้นทุกวัน โดยที่เขาไม่แน่ใจเลยว่าอีกฝ่ายจะคิดหรือรู้สึกแบบที่เขารู้สึกอยู่หรือเปล่า ตะวันไม่แน่ใจเลย

.

.

.

“รอนานไหมครับคุณตะวัน” ร่างสูงของพลัฎฐ์ปรากฎตัวเข้ามาในร้านตอนหกโมงเย็นของวันศุกร์ “ว่าไงเด็กๆ รอปะป๊านานไหมครับ?”

“ไม่นานคับปะป๊า/ไม่นานคับปะป๊าพะลัด”

ตะวันเลิกคิ้วแสร้งทำเป็นแปลกใจตอนได้ยินน้องชายตัวเองเรียกพลัฎฐ์ว่าปาปะป๊า ... เรื่องเนียนไว้ใจภานรินทร์ได้

“หือ? อาทิตย์ครับ ทำไมเรียกคุณลุงว่าปะป๊าล่ะ ปะป๊านั่นน้องพีเค้าเอาไว้เรียกคุณพ่อเค้าไม่ใช่เหรอ หรือพี่ตะวันพลาดอะไรไปครับ?”

เด็กชายภานวีย์หัวเราะคิกเมื่อเห็นท่าทางงุนงงของพี่ชาย ก่อนที่จะเฉลยตามประสาซื่อ ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนอย่างที่เด็กเป็น

“ปะป๊าพะลัดบอกว่า เรียกคุณลุงแก่ไปคับ ปะป๊าพะลัดอยากให้อาทิตย์เรียกว่าปะป๊าพะลัดแบบน้องพี เพราะเราเป็นเพื่อนกันคับพี่ตะวัน”

และถึงแม้จะรู้อยู่แล้วตะวันก็หลุดขำออกมาไม่ได้ เมื่อน้องชายตัวดีบอกเหตุผลของคนอายุมากกว่าที่ไม่อยากถูกเรียกว่าลุงออกมาอีกรอบ ก่อนจะครางร้องออกมาราวกับเห็นใจอีกฝ่าย

“โถ่ คุณพลัฎฐ์ ฮ่าๆๆ”

คนขี้เก็บอาการที่มักจะทำตัวดูดีเสมอต่อหน้าตะวันกำลังเสียอาการอย่างเห็นได้ชัดกับคำพูดของอาทิตย์ คนตัวโตเกาคอแก้เก้อ ก่อนที่จะตัดพ้ออีกฝ่ายอย่างน่าสงสาร แต่กลับน่ามองมากสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นพลัฎฐ์เป็นแบบนี้มาก่อนอย่างตะวัน

“คุณตะวันก็พูดได้สิครับ ก็น้องพีเรียกคุณตะวันว่าพี่ตลอด ในขณะที่อาทิตย์เรียกผมว่าลุง ทั้งที่เราอายุห่างกันไม่กี่ปีแท้ๆ”

คนถูกกล่าวหาว่าอายุมากทำหน้างอเสียจนตะวันนึกสงสาร เลยต้องเอ่ยปลอบ

“ครับๆ เข้าใจแล้ว คุณพลัฎฐ์ไม่แก่หรอกครับ ออกจะยังหนุ่มยังแน่นด้วยซ้ำ”

พอถูกชมเข้าหน่อย คนที่หน้างอเมื่อกี้ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้ และยิ่งน่าหมั่นไส้กว่าเดิมเมื่อเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กทั้งสองดังประกอบขึ้นมา

“ปะป๊าของน้องพีหย่อที่สุด หย่อมากๆ เยยย”

“ใช่ๆ ปะป๊าพะลัดหล่อที่สุดในโลกกก ไม่แก่สักหน่อยเนาะน้องพีเนาะ”

“อื้อๆ ใช่ๆ คุณอาทิตย์ ปะป๊าไม่แก่ หย่อมากด้วย”

ตะวันแอบขำ แต่ผ่านไปไม่ถึงนาทีคนตัวเล็กกว่าก็แกล้งตีหน้าเครียด ถามเด็กทั้งสองด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แล้วพี่ตะวันล่ะครับอาทิตย์น้องพี? พี่ตะวันไม่หล่อเหรอ?”

ตะวันพยามทำหน้าในแบบที่คิดว่าหล่อจนละลายใส่เด็กทั้งสอง ให้เจ้าหนูน้อยทั้งคู่หันไปมองหน้ากันและกัน และหันกลับมามองตะวันอีกครั้งพร้อมส่ายหน้า

... เดี๋ยวนะ ส่ายหน้านี่หมายความว่าไม่หล่อเหรอ? ใช่เหรอ?

“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงทุ้มของพลัฎฐ์หัวเราะออกมาจนตะวันหน้าตึง จึงหันไปคาดคั้นเอาจากเจ้าหนูน้อยเสียงเครียด

“ส่ายหน้าหมายความพี่ตะวันไม่หล่อเหรอครับ? ทำไมทำกับพี่แบบนี้ล่ะ”

ใบหน้าหวานงอง้ำ ก่อนที่เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยคนเป็นน้อง จะโผเข้ามาเกาะแขนพี่ชายพลางยกยิ้มเห็นฟันเกือบครบทุกซี่ใส่คนเป็นพี่

“พี่ตะวันน่ารัก น่ารักมาก มากๆๆๆ เวลาพี่ตะวันยิ้มแบบนี้” ว่าพลางสาธิตด้วยการยิ้มกว้างแบบพี่ชายให้ดู “อาทิตย์ชอบมากๆ เลย เพราะพี่ตะวันน่ารัก น่ารักแบบน้องพีเลย”

“อื้อๆ พี่ตะวันน่ายัก” จากที่หน้าตึงๆ ก็หลุดขำทันทีที่ได้ยินคำว่าน่ายักของน้องพี “งื้อออ น้องพีพูดไม่ชัด น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์”
 ดูเหมือนความหมองใจของตะวันเมื่อกี้ละลายหายสิ้นเพราะคำพูดคำจาของเจ้าหนู

"น้องพีรู้จักคำว่าคิ้วท์ด้วยเหรอครับ" ตะวันถามพลางลูบแก้มเจ้าเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู

"ยู้จักคับ ปะป๊าสอน ซี ยู ที อี อ่านว่าคิ้วท์ แปลว่าน่ายักคับ"

ตะวันจับเจ้าหนูมากอดแนบอก ก่อนจะก้มลงไปฟัดแก้มยุ้ยๆ ของพีด้วยความเอ็นดูปนมันเขี้ยว

"เก่งมากเลยครับ น้องพีเก่งมาก"

แน่นอนว่าไม่ใช่มีแค่คำชมของตะวัน แต่ยังมีเสียงปรบมือของอาทิตย์ประกอบด้วย

รวมไปถึงมีใบหน้าหล่อเหลาของคนเป็นพ่อยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ

และก่อนที่จะคุยกันแล้วเวลาล่วงเลยไปกว่านี้พลัฎฐ์ก็ชวนทุกคนออกเดินทางไปซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ ก่อนที่จะดึกและเด็กๆ อาจจะง่วงนอน

"เราไปกันเถอะครับคุณตะวัน เดี๋ยวจะดึกมากไปกว่านี้"

"ไปครับ เดี๋ยวผมขอไปบอกพี่มีนาก่อนนะครับ ให้ช่วยปิดร้านให้"

พลัฎฐ์จัดการยกข้าวของ รวมทั้งกระเป๋าของทั้งอาทิตย์และน้องพีไปที่รถ และเป็นจังหวะเดียวกับที่ตะวันเดินกลับมาพอดี

คนตัวเล็กกว่าเป็นคนจูงเด็กทั้งสองไปขึ้นรถของพลัฎฐ์ เพราะวันนี้ตะวันต้องออกจากบ้านแต่เช้ามาทำขนมที่มีคนออเดอร์ไว้ คนอายุมากกว่าจึงเสนอให้นั่งรถออกมาพร้อมกัน ตะวันจะได้ไม่ต้องขับ เพราะยังไงขากลับพลัฎฐ์ก็ต้องมารับน้องพีอยู่แล้ว กลับพร้อมกันไปเลยก็ได้

- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -

พอถึงรถ ตะวันก็จับอาทิตย์ขึ้นนั่งคาร์ซีทที่เบาะหลัง พลัฎฐ์เองก็เช่นกัน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า ทั้งรถของเขาและตะวันจะต้องมีคาร์ซีทสองอันวางไว้ที่เบาะหลัง เพราะไม่รู้ว่าวันไหนจะใช้รถใคร มีติดทิ้งไว้ดีทั้งคู่เลยดีกว่า ถ้าไม่ต้องใช้ค่อยยกเก็บหลังรถเอา

และแน่นอนว่าเบาะหน้าเป็นของผู้ใหญ่ที่ตอนนี้กำลังพูดคุยกันว่าจะซื้ออะไรบ้าง

"ของสดผมหมดเกลี้ยงตู้เลย รบกวนคุณตะวันไปช่วยเลือกหน่อยนะครับ"

ตะวันหันไปยิ้มพร้อมกับหยักหน้ารับ

"รบกงรบกวนอะไร เรื่องแค่นี้เอง ผมช่วยได้ ไม่ยุ่งยากอะไรเลย"

พลัฎฐ์ขำออกมาเบาๆ เพราะดูเหมือนทั้งเขาและตะวันจะเกรงใจกันไปเกรงใจกันมาตลอด ทั้งที่น้องพีและอาทิตย์ตัวติดกันมาก แล้วก็พลอยให้เขาสองคนสนิทสนมตามไปด้วย แต่ก็ยังมีความเกรงใจซึ่งกันและกันมากมายอยู่ดี

"นั่นสิครับ ความจริงแล้วเราน่าจะต้องเลิกเกรงใจกันได้แล้วนะครับ ฮ่าๆ" ตะวันเองก็ขำ แต่ก็อดถามออกมาไม่ได้ "ว่าแต่ เราจะเริ่มจากตรงไหนดี"

พลัฎฐ์หยุดคิดไปไม่ถึงเสี้ยวนาที ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ เมื่อคิดออก ... คำถามของตะวัน ช่างเข้าทางเขาเสียจริง

"งั้นเริ่มจาก สรรพนามระหว่างเราสองคนเป็นไงครับ?"

ตะวันเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามติดตลก "แต่ผมไม่ได้เรียกคุณพลัฎฐ์ว่าลุงนะครับ ต้องเปลี่ยนคำเรียกด้วยเหรอ?"

คนถูกแซวหน้าตึง ทำเอาตะวันอดหัวเราะออกมาไม่ได้กับท่าทางเง้างอดที่ช่างไม่เข้ากับตัวโตๆ ของพลัฎฐ์เอาเสียเลย

"คุณตะวัน"

"ฮ่าๆ ผมล้อเล่นครับ ว่าแต่ผมต้องเรียกคุณพลัฎฐ์ว่าอะไรดีที่ดูไม่เป็นทางการเกินไป"

"อืม... คุณตะวันอายุน้อยกว่าผม เอาเป็นพี่ดีมั๊ยครับ พี่พลัฎฐ์"

ตะวันหันไปมองคนที่กำลังเลี้ยวรถเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยหัวใจที่จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ

... พี่พลัฎฐ์งั้นเหรอ?

ความจริงมันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้เขิน แต่ตะวันรู้สึกหน้าร้อนเป็นบ้า แค่จินตนาการเสียงเรียกของตัวเองที่เปล่งออกมาว่า 'พี่พลัฎฐ์' แล้ว เขาก็รู้สึกคันยิบยับไปทั่วอกโดยไม่มีสาเหตุ

"ว่าไงครับ พี่พลัฎฐ์ คุณตะวันว่าดีไหม"

"เอ่อ.. คือ ก็ได้ครับ พะ.. พี่พลัฎฐ์"

คนถูกเรียกว่าพี่กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม ยามได้ยินเสียงหวานเอื้อนเอ่ยเรียกตัวเอง มันไพเราะกว่า น่าฟังกว่า และดูสนิทสนมมากว่าคุณพลัฎฐ์เป็นไหนๆ

และในขณะที่คนตัวโตกว่าที่ตอนนี้แววตาพราวระยับจนน่าหมั่นไส้กำลังถอยจอดรถอยู่นั้น ตะวันก็โพล่งถามขึ้นมาบ้าง

เรื่องอะไรมาให้เขาอายอยู่คนเดียว ตะวันรู้หรอก ถึงแม้ว่าพลัฎฐ์จะไม่ได้ยิ้มออกมาโต้งๆ แต่ประกายในดวงตาคมนั่นบอกได้ดีเลยแหละว่าคนถูกเรียกว่าพี่ถูกอกถูกใจมากแค่ไหน

"แล้วผมล่ะครับ พี่ เอ่อ.. พี่พลัฎฐ์จะเรียกผมว่าอะไร ผมก็ไม่เอาคุณตะวันแล้วเหมือนกันนะ”

พลัฎฐ์ยิ้ม ในขณะที่ถอยรถเข้าจอด ก่อนจะพูดในสิ่งที่ใจคิด และตั้งใจไว้ว่าอยากจะเรียกอีกฝ่ายแบบนี้

"ตัวเล็ก"

หลังเสียงทุ้มพูดคำที่ตั้งใจจบ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาดับรถพอดี เสียงในรถเงียบกริบ ดูเหมือนเด็กๆ กำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมพร้อมจะลงรถ

ในขณะที่ตะวันเองก็หันมาหาพลัฎฐ์ในทันทีที่ปลดเข็มขัดออกเช่นกัน เขาได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ จึงต้องถามย้ำ

"หือ? เมื่อกี้ว่าไงนะครับ"

พลัฎฐ์ยิ้มก่อนจะย้ำ

"ตัวเล็กครับ ตะวันคือตัวเล็กครับ พี่อยากเรียกแบบนี้"

ตะวันหน้าร้อนวาบ ถ้าพี่พลัฎฐ์เมื่อกี้ว่าเขินแล้ว เจอตัวเล็กเข้าไปตะวันไปไม่เป็นยิ่งกว่าเดิมอีก

"...."

"ว่าไงครับ ดีไหม"

แววตาของพลัฎฐ์พราวระยับยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนว่าปฏิกริยาของตะวันตอนนี้ช่างถูกใจเขาเหลือเกิน

"ผะ.. ผมไม่ได้ตัวเล็กสักหน่อย!"

คนถูกตั้งฉายาเริ่มพูดตะกุกตะกัก ยืนยันที่จะเถียงว่าตัวเองไม่ได้ตัวเล็กอย่างที่พลัฎฐ์กล่าวหา แต่ดูเหมือนว่าหลักฐานที่เป็นสภาพร่างกายของเขามันช่างคาตาเสียเหลือเกิน

"ไม่เอาผม ไม่เอาคุณแล้วครับตัวเล็ก ขนาดพี่ยังแทนตัวเองว่าพี่เลย ตัวเล็กก็ต้องแทนตัวเองว่าตะวันด้วยสิครับ ไหนว่าไม่อยากได้อะไรที่เป็นทางการไง"

พอเห็นคนข้างกายอ้ำอึ้งหน้าแดงก่ำจนเหมือนเลือดทั้งร่างกายมากองรวมกันที่สองแก้มขาวแล้วพลัฎฐ์ยิ่งอยากแกล้ง

แต่เหมือนตะวันจะไหวตัวทันเลยแกล้งทำเป็นหันไปหาเด็กทั้งสองเพื่อกลบเกลื่อน แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างตะวันสักเท่าไหร่
นัก เมื่อเสียงงุ้งงิ้งของน้องพีพูดขึ้น

"ปะป๊าเยียกพี่ตะวันว่าตัวเย็กแหยะคุณอาทิตย์ ตัวเย็กคืออะไย?"

เจ้าหนูถามเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย ซึ่งอาทิตย็ก็ไม่ทำให้น้องพีผิดหวัง

"ตัวเล็กคือเตี้ยแหละมั้ง คุณอาทิตย์ก็ไม่แน่ใจ ไว้เดี๋ยวถามพี่ตะวันให้นะ"

ตะวันได้ยินบทสนทาของเด็กน้อยแล้วน้ำตาแทบไหล และพอเหลือบตาไปมองพลัฎฐ์ที่กลั้นขำจนไหล่สั่นแล้วยิ่งเขิน เลยแสร้งทำเป็นปึงปังลงจากรถไปก่อน

"พะ.. พี่พาเด็กๆ ลงจากรถด้วยนะครับ เดี๋ยว ตะ.. ตะวันไปเอากระเป๋าของของอาทิตย์หลังรถก่อน"

"หึๆ ได้ครับตัวเล็ก"

พอจบประโยคตะวันก็พาตัวเองและแก้มแดงๆ ลงไปจากรถก่อนจะเผลอทำตัวน่าอายไปมากกว่านี้แค่ประโยคเมื่อกี้กว่าจะกลั้นใจพูดได้ก็เขินแทบแย่ ถึงแม้พอพูดออกไปแล้วจะรู้สึกอุ่นวาบๆ ในอกก็เถอะ

คนตัวเล็กกว่าจัดแจงเปิดกระโปรงท้ายรถขึ้นจนสุด เพื่อหยิบกระเป๋าของน้องชายมาสะพายไว้ที่ไหล่เล็กของตัวเอง และพอหยิบของเรียบร้อยคนที่สูงร้อยหกสิบกว่าๆ ก็พยายามที่จะเอื้อมจนสุดแขนเพื่อเกี่ยวเอาประโปรงท้ายรถที่ลอยอยู่สูงปิดลงมาให้เรียบร้อยโดยไม่ได้รู้เลยว่ามีใครยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

พลัฎฐ์แอบอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของคนที่เขาตั้งฉายาที่ไว้เรียกเฉพาะตัวเอง คนที่พยายามเถียงคอเป็นเอ็นว่าตัวเองไม่ได้ตัวเล็ก แต่กลับเกี่ยวเอากระโปรงหลังรถลงมาปิดไม่ได้

"ฮึบ.."

ตะวันเขย่งจนแทบจะสุดเท้า ในขณะที่พลัฎฐ์ก็ลอบยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอื้อมมือไปประกบหลังมือของคนที่พยายามอยู่นานแล้วเกี่ยวเอากระโปรงท้ายรถลงมาปิดได้สำเร็จ

ตะวันหันไปมอง และดูเหมือนว่าตอนนี้ร่างกายสูงใหญ่ของอีกฝ่ายจะยืนซ้อนเขาไว้โดยมีแขนยาวๆ กักเท้าไว้ที่กระโปรงหลังรถ โดยมีเขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างแขนทั้งสองข้างของพลัฎฐ์ ... ไม่ต่างจากการกอดเลยสักนิด

"ก็บอกแล้วว่าเรียกตัวเล็กน่ะเหมาะแล้ว .. ตัวเล็กของพี่"

ตะวันหน้ารู้สึกเหมือนเลือดทั้งร่างมากองรวมกันที่ใบหน้าของตัวเอง เขาหันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก พลัฎฐ์เองเห็นแบบนั้นเลยไม่อยากจะแกล้งอีกฝ่ายต่อ จึงยกมือออกจากการกักกั้นร่างบางไว้ ให้ตะวันได้ทีก็รีบเขยิบออก แล้วเดินไปหาเด็กๆ ที่ยืนจับมือกันรออยู่ข้างรถทันที

"ไปกันเถอะครับเด็กๆ"

ตะวันจูงมือพาเด็กๆ โกยอ้าวเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่หันหลังมองคนขี้แกล้งอย่างพลัฎฐ์เลยสักนิด ทำเอาคนถูกทิ้งไว้ข้างหลังยิ้มชอบใจไม่หยุด

"ตัวเล็กครับ รอพี่ด้วยสิครับตัวเล็ก"

พลัฎฐ์ตะโกนเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง ทำเอาตะวันชะงักเท้าแปปหนึ่ง แล้วก็ออกโกยอ้าวไม่คิดชีวิตต่อ ซึ่งภาพที่เห็นก็ทำเอาพลัฎฐ์ยิ้มกว้างจนหุบไม่ลง
ก็กะจะไม่แกล้งแล้วเชียว แต่ทำตัวน่ารักขนาดนี้ ใครจะอดใจไหวกัน

... โถ่ ขี้อายก็ไม่บอก ตัวเล็กของพี่

.

.

.

To Be Continue

-----------------------------

Talk: ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ชอบไม่ชอบคอมเม้นท์บอกกันบ้างน๊าาา แล้วก็ขอบคุณมากๆ ที่แวะเข้ามาอ่านและเป็นกำลังใจให้ ... แล้วเจอกันตอนหน้าค่า❤

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #19 เมื่อ05-07-2019 20:29:56 »

:: Chapter 6th - เหมือนพี่ตะวันจะไม่สบาย ::


ในเช้าวันอาทิตย์ที่สดใสเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจหลังจากตรากตรำทำงานมาทั้งสัปดาห์สำหรับคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่กับพลัฎฐ์ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่ตื่นนอน ไม่สิ.. ตั้งแต่เมื่อวานแล้วด้วยซ้ำ ในขณะที่ลูกชายตัวน้อยของเขาก็นั่งระบายสีอยู่ข้างๆ ไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ที่ขมุกขมัวของคนเป็นพ่อเท่าไหร่ ซึ่งสาเหตุของอาการที่พลัฎฐ์เป็นก็ไม่ใช่เพราะใครอื่นไกล แต่เป็นเด็กหนุ่มบ้านข้างๆ ที่เพิ่งย้ายมาใหม่นั่นแหละ

... ตะวันหลบหน้าเขา เมื่อวานทั้งวัน ตะวันไม่แม้แต่จะเฉียดเข้ามาใกล้รั้วบ้าน หายจ้อยไปทั้งพี่ทั้งน้อง ขนาดว่าน้องพีวีดีโอคอลไปหา เพราะอยากชวนอาทิตย์มาเล่นที่บ้าน ตะวันก็หลบเลี่ยงพูดนู่นพูดนี่จนเขาต้องยอมแพ้ แม้แต่จะไปรบกวนอีกฝ่ายที่บ้านเขายังไม่กล้าทำเลย

พลัฎฐ์เข้าใจดีว่าตะวันคงทำตัวไม่ถูก เมื่อวันก่อนก็ดูเมือนว่าเขาจะรุกอีกฝ่ายหนักไปหน่อย เพราะตั้งแต่สรรพนาม ‘ตัวเล็ก’ ถูกเขาเอามาใช้เรียกแทนตัวอีกฝ่าย ตะวันก็หายไปเลยหนึ่งวันเต็มๆ อย่างที่เห็น จนตอนนี้พลัฎฐ์ยังคิดไม่ออกว่าจะหาวิธีง้ออีกฝ่ายยังไงดี ไม่ให้ดูจู่โจมจนเกินไป เดี๋ยวตะวันจะตกใจจนพาลไม่มาให้เขาเจอหน้ายิ่งกว่าเดิม

คิดไปคิดมาก็หาทางออกไม่เจอ จนต้องเผลอถอนใจออกมาหนักๆ อยู่หลายต่อหลายรอบ จนเทวดาตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ ชักจะสงสัย จึงลุกขึ้นเดินเตาะแตะมาหาคนเป็นพ่อ แล้วปีนขึ้นนั่งบนตักกว้างอย่างเคยชิน

“หื้ม? ว่าไงครับน้องพี”

พลัฎฐ์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อหันมาอีกทีแล้วลูกชายก็ปีนขึ้นมานั่งจ้องหน้าตาแป๋วอยู่บนตักเรียบร้อยแล้ว นี่เขาเหม่อจนไม่รู้ว่าลูกลุกมาหาเลยสักนิด ท่าทางจะอาหารหนักไม่ใช่เล่น

“ปะป๊าเป็นอะไยคับ น้องพีได้ยินเสียง เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ แบบนี้ตั้งหยายยอบแย้ว” พูดไม่พูดเปล่า เจ้าหนูตัวน้อยยังอุตส่าห์เลียนแบบท่าทางการถอนหายใจให้คุณปะป๊าได้เห็นด้วย ทำเอาพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ

“ฮ่ะๆ ปะป๊าไม่ได้เป็นอะไรครับ” พลัฎฐ์เลี่ยงจะตอบ เรื่องของผู้ใหญ่ที่น่าสับสน ไม่ใช่สิ่งที่เด็กควรต้องเอามาใส่ใจด้วย ไว้เดี๋ยวเขาค่อยคิดหาทางแก้เอา ตอนนี้คงต้องสนใจเจ้าตัวจิ๋วตรงหน้านี่ก่อน ท่าทางจะเหงา เพราะคุณอาทิตย์ของน้องพี ไม่มาเล่นด้วยสองวันแล้ว

“แล้วน้องพีล่ะลูก เป็นอะไรรึป่าวครับ เหมือนจะอ้อนๆ ปะป๊ายังไงไม่รู้” ว่าจบเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มหน้าผากตัวเองลงไปแตะเบาๆ กับหน้าผากของลูกชาย เมื่อเห็นว่าใบหน้าน่ารักของลูกชายมู่ทู่ลงเหมือนมีเรื่องขัดใจ

“น้องพีคิดถึงคุณอาทิตย์กับพี่ตะวัน น้องพีเหงา ไม่มีเพื่อนเย่น”

และก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด ท่าทางซึมเซาของเจ้าหนูมีสาเหตุมาจากคนข้างบ้านจริงๆ ด้วย เป็นหนักทั้งพ่อทั้งลูกเลยทีนี้


ติ๊งหน่อง

และไม่ทันที่พลัฎฐ์จะได้พูดหรือหาทางแก้อะไร เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขัดการสนทนาของสองคนพ่อลูกเสียก่อน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเด็กชายพีรยสถ์จะนึกรู้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเดินไปดูวีดีโออินเตอร์คอมว่าคนที่มากดออดอยู่นอกรั้วบ้านคือใคร เพราะร่างเล็กของเจ้าหนูผุดลุกขึ้นยืนบนตักคนเป็นพ่อ แล้วใช้สองแขนโอบรอบคอแกร่งไว้ในท่าเตรียมพร้อมจะถูกอุ้ม ทำเอาพลัฎฐ์ต้องส่ายหัวออกมาเบาๆ กับความตื่นเต้นของลูกชาย ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วเขาก็ตื่นเต้นไม่แพ้น้องพีหรอก ได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้คนที่เขาและลูกรอเจอ เป็นคนเดียวกับที่กดออดยืนรออยู่หน้าบ้านตอนนี้

“ปะป๊าไปเปิดประตูกันเย็ววว คุณอาทิตย์มาแน่ๆ คุณอาทิตย์แน่ๆ เยย”

“ครับๆ ไปเปิดประตูกันครับ”

พลัฎฐ์ยิ้มให้เด็กชายตัวน้อยในอ้อมกอด ก่อนจะอุ้มพาลูกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วกว่าปกตินิดหน่อย

“มาแย้วคับมาแย้ว รอสักครู่น้าคับ” น้องพีตะโกนบอกคนที่ยืนรอหน้าบ้านเสียงใส

และทันทีที่ประตูเล็กตรงรั้วบ้านเปิดออก พลัฎฐ์ก็เจอกับคนที่เขาอยากเจอมาตลอดหนึ่งวันเต็มๆ

“อะ.. เอ่อ อาทิตย์อยากมาเล่นกับน้องพีครับ พี่.. พี่พลัฎฐ์”

คนตัวโตกว่าอึ้งๆ นิดหน่อย ที่ได้เห็นหน้าคนที่คิดถึงหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งวันเต็ม และยิ่งอึ้งหนักเข้าไปอีกเมื่ออีกฝ่ายเรียกเขาว่าพี่ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่วันก่อน ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามที่เขาเป็นคนตั้งให้ได้เหมือนกันสินะ

ของอย่างนี้ ไม่ลองไม่รู้หรอก เสี่ยงดูสักตั้งจะเป็นไร

“งั้นเข้ามาก่อนสิตัวเล็ก นี่น้องพีก็บ่นคิดถึงอาทิตย์กับพี่ไม่ขาดปากเลย” พลัฎฐ์พูดคุยออกมาอย่างลื่นไหล ใบหน้าหล่อเหลาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน “ดูสิ เมื่อกี้ยังหงอยอยู่เลย ตอนนี้ยิ้มหน้าบานเชียว”

คนตัวโตกว่าบุ้ยใบ้ไปยังลูกชายที่เขาอุ้มกอดอยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าน่ารักที่ก่อนหน้านี้เคยซึมเศร้าเพราะอยากเจอเพื่อนสนิท ในตอนนี้นั้นกลับแทบจะตรงกันข้าม เพราะปากเล็กๆ นั่นส่งยิ้มกว้างจนแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว

“คุณอาทิตย์มาแย้วจริงๆ ด้วยยย น้องพีคิดถึงคุณอาทิตย์ คิดถึงๆ”

น้องพีขยับตัวเบาๆ เป็นการบอกพลัฎฐ์ว่าเจ้าหนูน้อยต้องการจะถูกปล่อยออกจากอ้อมกอดและลงไปยืนที่พื้น และดูเหมือนว่าทันทีที่เท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างของเด็กชายแตะลงกับพื้นราบ น้องพีก็วิ่งเตาะแตะเข้าไปหาเพื่อนสนิทที่เพิ่งถูกปล่อยมือจากพี่ชายพอดีเหมือนกัน

เด็กน้อยทั้งคู่จับจูงมือกันไว้แน่น ทำเอาผู้ใหญ่อย่างตะวันถึงกับหน้าจ๋อย เพราะดูเหมือนว่าเขาจะทำให้เจ้าหนูทั้งคู่คิดถึงกันและกันมากเหลือเกิน

“พี่ตะวันขอโทษนะครับน้องพี ที่เมื่อวานไม่ได้พาคุณอาทิตย์มาหา” เจ้าของบ้านหลังข้างๆ กล่าวเสียงหงอย เมื่อเห็นท่าทางดีใจยามที่เด็กน้อยทั้งคู่ได้เจอกัน

“ไม่เป็นไยคับพี่ตะวัน น้องพีเย่นกับคุณอาทิตย์วันนี้เก๊าะได้”

“ไปกันเถอะน้องพี ไปเล่นระบายสีกัน เมื่อวานที่น้องพีส่งรูปมาให้คุณอาทิตย์ดู คุณอาทิตย์ชอบมากๆ เลย อยากระบายบ้าง”

“อื้อ.. น้องพีแบ่งยูปไว้ให้คุณอาทิตย์แย้วว ไปเย่นกันๆ”

ว่าแล้วเด็กชายทั้งสองก็พากันจูงมือเดินเข้าบ้านไป โดยไม่ได้สนใจความบรรยากาศแปลกๆ ดูกระอึดอัดและกระอักกระอ่วนเล็กน้อยของผู้ใหญ่ทั้งสองที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ตรงประตูเล็กหน้าบ้านเลยสักนิด

ภานรินทร์มีท่าทีลุกลี้ลุกลน ในขณะที่พลัฎฐ์ตีสีหน้านิ่งสงบได้อย่างเคย ทั้งที่ในใจนึกอยากจะขำความทำตัวไม่ถูกของอีกฝ่ายเป็นที่สุด และเพื่อไม่ให้ตะวันหลุดมาดมากไปกว่านี้ พลัฎฐ์จึงเชื้อเชิญคนตัวเล็กกว่าเข้ามาในบ้าน

“เข้ามาก่อนสิครับ... ตัวเล็ก”

ตะวันสะดุ้งโหย่งตอนได้ยินเจ้าของบ้านเรียก จากนั้นจึงรีบก้าวเท้าเร็วๆ เดินผ่านเขาไป พร้อมกับอ้อมแอ้มกล่าวขอบคุณ

“ขะ..ขอบคุณครับ”

พลัฎฐ์กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้อยากแกล้งคนตัวเล็กกว่าสักเท่าไหร่ แต่เวลาเห็นแก้มขาวๆ ของตะวันขึ้นสีแดงระเรื่อแล้วมันอดไม่ได้ ยิ่งมองยิ่งน่าเอ็นดู

เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ก้าวขาแข็งแรงตามอีกฝ่ายไปติดๆ และพอเข้าไปถึงห้องรับแขกแล้ว ตะวันก็เลือกที่จะพาตัวเองไปนั่งรวมกับเด็กๆ ที่ตอนนี้กำลังระบายสีกันอยู่อย่างขะมักเขม้น

พลัฎฐ์ตัดสินใจเดินตามเข้าไปนั่งด้วย เขาไม่อยากปล่อยให้เรื่องราวระหว่างเขากับตะวันดูอึดอัดไปมากกว่านี้ จึงคิดว่าควรจะพูดคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าตะวันไม่โอเคกับสรรพนามที่เขาเป็นคนตั้งให้ เขาก็อยากให้อีกฝ่ายบอกออกมาตรงๆ เพราะถึงแม้พลัฎฐ์จะชอบคำนี้มากแค่ไหน แต่ถ้าตะวันไม่โอเคเขาก็ยินดีที่จะไม่เรียกหรือไม่ทำในสิ่งที่ตะวันไม่ชอบ

“ตัวเล็กครับ..” เป็นอีกครั้งที่ตะวันสะดุ้ง พร้อมกับหันมามองพลัฎฐ์พร้อมกับแก้มแดงๆ ทำเอาคนที่ตั้งใจจะพูดในที่สิ่งต้องพูดถึงกับเผลอถอนหายใจให้กับความน่ารักของอีกฝ่ายเฮือกใหญ่ “เฮ้อ... ถ้าคุณตะวันไม่ชอบให้ผมเรียกแบบนี้ บอกผมได้นะครับ ผมไม่อยากให้คุณอึดอัดใจจนต้องหลบหน้าผมแบบนี้”

น้ำเสียงตัดพ้อ แววตาคมที่หม่นแสงลง ใบหน้าหล่อเหลาที่เศร้าสร้อย แถมการเปลี่ยนมาใช้สรรพนามที่เป็นทางการแบบเดิมทำเอาตะวันใจหายวาบ เขาส่ายศีรษะจนกลุ่มผมสีดำของตัวเองสะบัดไปตามแรงคลอน ตากลมๆ เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เสียงหวานที่พลัฎฐ์ชอบฟังจะเอ่ยตะกุกตะกักออกมาพร้อมกับการโบกปฏิเสธข้อหาที่ตัวเองเพิ่งได้รับมือเป็นระวิง

“ไม่ใช่นะครับพี่พลัฎฐ์ ตะ.. ตะวันไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ตะวันไม่ได้อึดอัด ไม่ได้ไม่ชอบ พี่พลัฎฐ์อย่าคิดแบบนั้นสิครับ”

ปลายเสียงของคนตัวเล็กกว่าอ่อนลง ด้วยเพราะกังวลว่าคนตัวโตกว่าจะไม่เชื่อ

“ไม่ได้ไม่ชอบ แต่คุณตะวันก็หลบหน้าผม... มันเลยทำให้ผม...”

“ตะวันเขิน ที่ตะวันหลบหน้า เพราะแค่เขินเท่านั้นเองครับ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย พี่พลัฎฐ์อย่าคิดมากสิ”

คนใจร้อนตัดสินใจพูดสวนโดยไม่รอให้พลัฎฐ์พูดจบเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด เพราะในความเป็นจริงแล้วตะวันไม่ได้ไม่ชอบหรืออึดอัดอะไร เพียงแต่เขาแค่เขิน เลยยังทำใจมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ ไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าจะทำให้พลัฎฐ์คิดมากไปถึงขนาดนี้

“ค่อยยังชั่ว ผม...”

“พี่ครับ.. พี่พลัฎฐ์ต้องแทนตัวเองว่าพี่"

ตะวันรีบพูดแก้ เพราะรู้สึกไม่ดีที่อีกฝ่ายกลับไปใช้สรรพนามที่เป็นทางการอีกครั้ง ทำเอาคนถูกท้วงต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มแทบไม่ทัน

“ครับ ตอนแรกพี่ก็กังวล กลัวตัวเล็กจะไม่พอใจ แต่ถ้าแค่เขินเฉยๆ พี่ก็ค่อยโล่งใจหน่อย”

พลัฎฐ์แสร้งทำเป็นพูดเรื่อยๆ สบายๆ แต่รูปประโยคก็ยังคงทำให้ตะวันเขินมากจนเผลอขบฟันตัวเองลงบนปากล่างเบาๆ

และภาพที่เห็นก็สั่นไหวหัวใจชายหนุ่มอย่างพลัฎฐ์ได้ไม่น้อย ..

“ตะวันแค่ยังไม่ชินเฉยๆ และอีกอย่างคำที่พี่พลัฎฐ์เรียก มันก็ดูไม่ค่อยเหมาะกับตะวันเท่าไหร่ มันดู...”

“น่ารัก... ใช่ไหม?” พลัฎฐ์ชิงถาม ให้ตะวันได้พยักหน้ารับอายๆ “โถ่ ตัวเล็ก ถ้าคำนี้ไม่เหมาะกับตะวันพี่ก็ไม่รู้แล้วว่าคำไหนจะเหมาะ”

ใจจริงพลัฎฐ์อยากจะเถียงออกไปให้หัวชนฝาเลยด้วยซ้ำ ว่าตะวันเหมาะกับคำนี้มากที่สุดในโลก ทำไมเจ้าตัวถึงไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ารักขนาดไหน ... เอาง่ายๆ ว่านี่ขนาดพลัฎฐ์เพิ่งจะรู้จักอีกฝ่ายมาได้ไม่นาน แต่ก็ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กตรงหน้านี่ เขย่าหัวใจคนตัวใหญ่เป็นยักษ์อย่างเขาไปแล้วไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วยังจะมาบอกอีกว่าคำนี้ไม่เหมาะกับตัวเอง

“แต่ตะวันเป็นผู้ชายนะพี่พลัฎฐ์ มันดูมุ้งมิ้งไปอ่ะ ไม่รู้สิครับ”

คนเถียงไม่ขึ้นเริ่มงอแง เดือดร้อนให้พลัฎฐ์ต้องหาตัวช่วย ด้วยการเรียกน้องพีกับอาทิตย์มาเป็นพวกกับตัวเอง

“น้องพีครับ คุณอาทิตย์ครับ ปะป๊าถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

สิ้นเสียงเรียก เจ้าหนูทั้งคู่ก็เงยหน้าขึ้นจากสมุดภาพระบายสีแล้วหันมาทางพลัฎฐ์ทันที

“ได้คับปะป๊าพะลัด”

“ได้ค้าบปะป๊า”

คนถูกเรียกว่าปะป๊ายิ้มกริ่ม ก่อนจะเอ่ยถามเด็กน้อยทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม

“หนูสองคนว่าพี่ตะวันน่ารักไหมครับ”

เป็นน้องพีที่ตอบออกมาก่อน ตอบโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว

“น้องพีเคยบอกไปแย้ว” คำตอบของเด็กน้อยทำเอาผู้ใหญ่ทั้งคู่สงสัย แต่แล้วก็ต้องเข้าใจ เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเด็กชาย “เมื่อวันนั้นไงคับ ที่น้องพีบอกว่าที่ตะวันน่ายัก น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์”

คำตอบที่เหมือนจะติดไม่พอใจน้อยๆ ของลูกชายทำเอาพลัฎฐ์หลุดขำออกมายกใหญ่ ตะวันเองก็ไม่ต่าง เมื่อนึกขึ้นมาได้ถึงประโยคที่น้องพีเคยชมเขาเมื่อวันก่อนที่ร้านอาหาร

น้องพีกับอาทิตย์บอกว่าเขาไม่ใช่คนหล่อ แต่เป็นคนน่ายัก น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์

และก็ต้องมายิ้มกว้างจนแทบหุบไม่ลงกับคำพูดของน้องชายตัวเองอีก

“ใช่ พี่ตะวันของอาทิตย์น่ารักที่สุด น่ารักมากว่าใครในโลกเลย” แต่แล้วจู่ๆ อาทิตย์ก็ชะงักไป ตอนมองไปที่น้องพีที่กำลังก้มหน้าก้มตาระบายสีอยู่ ทำเอาตะวันอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจู่ๆ อาทิตย์ก็เงียบไป

“แต่.. ที่จริงคุณอาทิตย์ว่าพี่ตะวันน่ารักเท่าน้องพี น่ารักที่สุดในโลกกันสองคน”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ”

และด้วยประโยคนั้นเองก็ทำเอาพลัฎฐ์หลุดมาด หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ในขณะเดียวกันตะวันเองก็รู้สึกขำน้องชายตัวเองไม่น้อย

โถ... อยากจะชมพี่ตัวเองให้เหนือกว่าใครคนอื่นๆ แต่พอกลับไปมองเพื่อนสนิทตรงหน้าแล้วเกิดเปลี่ยนใจ เลยให้น่ารักเท่ากันก็ได้ ดูเหมือนอาทิตย์จะสะดวกใจแบบนี้มากกว่า

รักกันจริงๆ นั่นแหละ สองคนนี้

ตะวันน้องมองเด็กทั้งสองพลางยิ้มอย่างเอ็นดู ประเด็นที่ว่าน่ารักไม่น่ารักถูกทำให้หายข้องใจด้วยคำพูดที่ไร้เดียงสาของเด็กสองคน ทำให้ตะวันไม่ได้ขัดเขินมากเท่าตอนแรกอีก ในขณะเดียวกันก็มีสายตาอีกคู่ที่มองมายังตะวัน สายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ตะวันไม่ทันได้เห็น

เจ้าของสายตาคมที่ทอดมองไปยังคนตัวเล็กกว่าเป็นแววตาแบบเดียวกับที่ตะวันมองเด็กชายตัวน้อยทั้งสอง เพียงแต่ว่าสายตาของพลัฎฐ์ติดจะดูเจ้าเล่ห์กว่า มีชั้นเชิงมากกว่า และแน่นอนว่าเด็กน้อยแบบตะวันจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

เพราะเอาเข้าจริงแล้ว พลัฎฐ์ค่อนข้างจะรู้ผลลัพธ์ดีว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ เขาไม่ได้คิดจะกลับไปเรียกตะวันด้วยสรรพนามที่เป็นทางการแบบนั้นอีกตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาต้องกระตุ้นให้อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกออกมามากหน่อย จะได้รู้ว่าน้องชอบหรือไม่ชอบในการที่เขาพยายามจะเป็นมากกว่าเพื่อนข้างบ้าน

พลัฎฐ์ต้องแกล้งทำเป็นตัดพ้อ น้อยใจ เพื่อดูปฏิกริยาของอีกฝ่าย เพราะสิ่งหนึ่งที่พลัฎฐ์พูดจริงคือ ถ้าตะวันไม่ชอบในสิ่งที่เขาขอ เขาจะหยุดและไม่ทำให้อีกฝ่ายอึดอัด แต่พลัฎฐ์คิดว่าตัวเองมั่นใจว่าตะวันไม่ได้ไม่ชอบหรือไม่โอเคกับสรรพนาม ‘ตัวเล็ก’ แน่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตะวันคิดยังไง และมันก็ไม่โอเคมากๆ กับการที่ตะวันหลบหน้ากันแบบนี้

เพราะฉะนั้นพลัฎฐ์จึงจำเป็นที่จะต้องทำให้ตะวันเปิดใจและเปิดความรู้สึกให้กับเขามากกว่านี้ ถึงแม้ว่าจะต้องวางแผนหน่อยๆ ล่อหลอกตะวันน้อยๆ พลัฎฐ์ก็ต้องทำ และก็ต้องทำอย่างแนบเนียนไม่ให้ตะวันจับได้ด้วย

ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาน่าพอใจอย่างที่เห็น ... และต่อไปนี้เขากับตะวันก็จะสามารถใช้สรรพนามแทนกันได้อย่างไม่กระดาก เหมือนตัวเขาเองได้ขยับเข้าใกล้ตะวันไปอีกก้าว โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ

.

.

.

น้องพีกับอาทิตย์ขลุกอยู่ด้วยกันจนถึงตอนเย็น โดยมีพลัฎฐ์นั่งดูแลไปทำงานไปอยู่ข้างๆ ในขณะที่ตะวันขอตัวกลับไปทำบัญชีของร้านอยู่ที่บ้านของตัวเอง เนื่องจากเขาไม่ค่อยเก่งเรื่องตัวเลขเลยต้องใช้สมาธิมากกว่าปกติ ตะวันจึงตัดสินใจฝากอาทิตย์ไว้ที่บ้านของพลัฎฐ์ โดยที่ปะป๊าของน้องพีเองก็รับปากว่าจะช่วยดูแลอาทิตย์ให้ ตะวันไม่ต้องเป็นห่วง และพอตกเย็น ตะวันก็มากดออดที่หน้าบ้านพลัฎฐ์อีกครั้ง พร้อมกับจานคุกกี้ที่เขาอบทิ้งไว้เมื่อบ่าย

"โถ่ตัวเล็ก ไม่เห็นต้องลำบากทำมาเลย" พลัฎฐ์ว่าตอนออกมาเปิดประตูให้อีกฝ่าย และช่วยถือจานคุ้กกี้เข้ามาในบ้าน

"ไม่ได้ลำบากเลยครับ พอดีตะวันต้องอบเอาไว้ให้อาทิตย์กินอยู่แล้ว เลยทำมาเผื่อพี่พลัฎฐ์ด้วย จะได้เอาไว้ให้น้องพีกินตอนหิวๆ"

คนตัวโตกว่าที่เดินตามหลังตะวันต้อยๆ ก็ได้แต่แอบอมยิ้ม รู้สึกใจเต้นแรงกับความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ ก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อเจอคำถามของตะวันที่กระตุ้นให้เขาเพิ่งนึกขึ้นได้

"ว่าแต่วันนี้แม่บ้านพี่ทำกับข้าวแล้วเก็บไว้ที่ไหนเหรอครับ เดี๋ยวตะวันอุ่นให้ เสร็จแล้วจะได้พาอาทิตย์กลับไปทำอะไรกินที่บ้าน"

คนตัวโตกว่ายกมือข้างที่ว่างขึ้นมาเกาคอ ก่อนจะยิ้มแห้งใส่อีกฝ่าย

"วันนี้แม่บ้านไม่ได้ทำกับข้าวไว้ให้ครับ"

"อ้าว ทำไมล่ะครับ?" ตะวันถามด้วยความสงสัย เพราะปกติแม่บ้านของพลัฎฐ์จะไม่เคยบกพร่องเรื่องนี้ เว้นเสียแต่ว่าพลัฎฐ์จะสั่งว่าไม่ต้องทำ ถึงจะไม่ทำ

เอ๊ะ! เดี๋ยว...

"อย่าบอกนะครับ ว่าพี่พลัฎฐ์สั่งให้แม่บ้านไม่ต้องทำกับข้าว"

ดูเหมือนรอยยิ้มแห้งแล้งของเจ้าของบ้านจะยืนยันในสิ่งที่ตะวันคิดได้อย่างดี

"เมื่อเช้าพี่หงุดหงิดนิดหน่อย เลยให้แม่บ้านทำแค่ความสะอาด กะว่าจะพาน้องพีไปหาอาทิตย์กับตัวเล็กที่บ้าน ไปง้อขอกินข้าวด้วย"

พอได้ยินคำสารภาพที่แสนน่ารักของอีกฝ่ายก็ทำเอาตะวันใจอ่อนยวบ ไม่อยากจะนึกเข้าข้างตัวเองว่า ที่พลัฎฐ์หงุดหงิดเมื่อเช้ามีสาเหตุมากจากที่การเขาหลบหน้าไม่ยอมมาหาอีกฝ่ายหนึ่งวันเต็มๆ

แม้สายตาของพลัฎฐ์จะบอกว่าเป็นแบบนั้นก็เถอะ

และเพื่อไถ่โทษรวมถึงทำตามความตั้งใจของพลัฎฐ์ ตะวันจึงตัดสินใจเข้าครัวทำอาหารให้สองพ่อลูกรวมถึงตัวเขากับน้องชายทาน เพราะไหนๆ เขากับอาทิตย์เองก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน

ตะวันเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าเหลืออีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นของเด็กทั้งสอง ถ้าทำกับข้าวสักสี่อย่างสำหรับคนสี่คนก็น่าจะทันอยู่

"งั้นเดี๋ยวตะวันทำอาหารให้ครับ แต่อาจจะต้องรบกวนขอเราสองคนพี่น้องฝากท้องด้วย พี่พลัฎฐ์โอเคใช่ไหมครับ"

พลัฎฐ์ยิ้มกว้างเหมือนเด็ก ก่อนจะพยักหน้ารับรัวๆ อย่างชอบใจ

"ยินดีอย่างยิ่งครับ พี่สิที่ต้องรบกวนตัวเล็ก เราสองคนพ่อลูกรอดตายเพราะตัวเล็กเลยนะครับ"

น้ำเสียงอ่อนโยนที่พลัฎฐ์มักจะใช้กับน้องพีบ่อยๆ ถูกเอามาใช้กับตะวัน จนคนฟังหัวใจอ่อนยวบไปหมด ยิ่งพอมันเอามารวมกับคำว่า 'ตัวเล็ก' แล้ว ยิ่งทำให้ตะวันไปไม่เป็นยิ่งกว่าเดิม

และเพื่อป้องกันไม่ให้หัวใจดวงเล็กๆ ของตะวันเต้นเร็วเฉียบพลันมากไปกว่านี้ เขาจึงเสทำเป็นไหว้วานให้คนตัวโตกว่าไปทำอย่างอื่น

"พี่พลัฎฐ์ไปหุงข้าวนะครับ เดี๋ยวตะวันไปดูในตู้เย็นก่อนว่ามีของสดที่พอจะทำอะไรได้บ้าง"

ตะวันเลี่ยงพาตัวเองและแก้มแดงๆ ไปที่ตู้เย็น หวังว่าไอเย็นที่พุ่งออกมากระทบใบหน้าจะช่วยทำให้อาการหน้าร้อนของตัวเองลดน้อยลงไปได้บ้าง

ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลนิดหน่อย และพอตะวันกวาดตามองในตู้เย็นแล้ว เขาก็นึกเมนูออกได้สามอย่าง แล้วก็กะจะทำไข่ตุ๋นให้เด็กๆ ทานง่ายๆ อีกอย่างด้วย

มือเรียวหยิบนั่นจับนี่อย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาไม่นาน ผัดหน่อไม้น้ำใส่กุ้ง กับผัดฉ่าหมูหมัก และต้มจืดลูกรอกก็เสร็จเรียบร้อย ซึ่งมีพลัฎฐ์คอยยกไปวางบนโต๊ะอาหารให้ โดยมีเด็กๆ เดินตามเป็นลูกปู เพราะอยากรู้ว่าตะวันจะทำอะไรให้ตัวเองกิน

และเมื่อเจ้าของบ้านอย่างพลัฎฐ์เห็นว่าเหลือกับข้าวอย่างสุดท้ายนั่นก็คือไข่ตุ๋นที่ตะวันกำลังรอเวลาอยู่ พลัฎฐ์จึงจับเด็กชายทั้งสองขึ้นนั่งรอบนเก้าอี้ แล้วตัวเขาก็เข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อดูว่าคนที่กำลังง่วนในครัวใกล้จะเสร็จหรือยัง

พลัฎฐ์เดินเข้าไปก็เห็นตะวันก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงหม้อนึ่งที่หน้าเตา เขาจึงเดืนไปยืนซ้อนหลังอีกฝ่าย เพื่อดูว่าเจ้าไข่ตุ๋นที่ตะวันกำลังตั้งอกตั้งใจทำนั้นใกล้สำเร็จหรือยัง ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ตะวันกำลังจะหันมาหยิบถุงมือกันความร้อนสวมพอดี

และการหันตัวกะทันหันของตะวันทำให้พลัฎฐ์ที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเบี่ยงตัวหลบไม่ทัน ผลก็คือ ปลายจมูกโด่งของพลัฎฐ์กดลงบนแก้มนิ่มของตะวันเต็มแรง ร่างสูงตกใจเล็กน้อย แต่ก็มีสติมากพอที่ทันได้สูดดมความหอมหวานที่เป็นผลพวงมาจากความบังเอิญที่เขาแสนจะยินดีจากอีกฝ่ายเบาๆ

ในขณะที่ตะวันนิ่งค้าง ตาโต ขาตายสนิท ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

พลัฎฐ์ผละออกจากคนที่มีแก้มหอมกลิ่นหวานๆ อย่างจำใจ เพราะเขาไม่อยากให้คนที่เพิ่งจะหายเขินวันนี้ กลับไปเขินแล้วหลบหน้าหลบตาเขาอีก

คนตัวโตกว่าถือคติ ได้ชิมนิดชิมหน่อย แต่หลายๆ รอบ ดีกว่าได้แค่ครั้งเดียวแล้วอดตลอดไป ดังนั้น ทำให้ตะวันดวงน้อยๆ วางใจในตัวเขาไว้ก่อนน่ะดีที่สุดแล้ว

"พอดีพี่จะเดินมาถามว่าตัวเล็กเสร็จรึยังครับ พี่จะได้ช่วยยกออกไปให้"

พลัฎฐ์แสร้งถามหน้าซื่อตาใส ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้แนบเนียนสุดๆ เพราะไม่เขาไม่อยากให้ตะวันรู้สึกอึดอัดหรือทำตัวไม่ถูกเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้

"อะ.. เอ่อ เสร็จแล้วครับ ตะวันกำลังจะเอาออกจากหม้อนึ่ง" คนตัวเล็กกว่าตอบ ตอบทั้งที่ต่างฝ่ายต่างกำลังยืนประจันหน้ากัน "ขอ.. ขอตะวันหยิบถุงมือกันความร้อนหน่อยได้ไหมครับ"

ใบหน้าน่ารักพร้อมกับแก้มแดงปลั่ง พยักเพยิดไปที่ถุงมือที่ว่า ทำให้พลัฎฐ์รู้ตัวว่าเขากำลังขวางทางของอีกฝ่ายอยู่

พลัฎฐ์ตัดสินใจเบี่ยงหลบไปทางขวา เพื่อให้ตะวันได้หยิบถุงมือ แต่กลายเป็นว่าตะวันเองก็ขยับเบี่ยงตัวไปทิศทางเดียวกับพลัฎฐ์ ทำให้ต่างฝ่าย ต่างขวางทางกันอีกรอบ

พลัฎฐ์จึงตัดสินใจขยับหนีมาทางซ้ายใหม่ และตะวันเองก็ดันขยับหนีตามอีกครั้ง ผลก็ออกมาแบบเดิม คือต่างคนต่างไปยืนขวางทางกันอีกรอบ สุดท้ายทั้งคู่ต่างก็หลุดหัวเราะออกมากับความใจตรงกันของตัวเอง สุดท้ายพลัฎฐ์จึงยื่นมือไปจับต้นแขนเล็กๆ ของตะวันไว้ พลางบอก

"ตัวเล็ก ยืนนิ่งๆ ครับ เดี๋ยวพี่ขยับหนีให้"

ตะวันยิ้มทั้งที่ยังเขินอยู่ และสุดท้ายพลัฎฐ์ก็ขยับตัวเบี่ยงหลบให้ ทำให้ตะวันหยิบถุงมือกันความร้อนได้ในที่สุด

ในที่สุดเจ้าของบ้านตัวโตก็ยกไข่ตุ๋นที่ทำเสร็จใหม่ๆ ออกมาได้สำเร็จ โดยมีรอยยิ้มบางๆ ติดอยู่ที่ริมฝีปาก อาการไม่ต่างจากพ่อครัวที่เป็นคนทำอาหารสักนิด

ดูเหมือนว่าวันนี้อาหารเย็นน่าจะหวานกว่าทุกวัน ... อาจจะไม่ได้หวานที่รสชาติ แต่หวานที่บรรยากาศและสถานการณ์โดยรอบ ที่ดูอบอุ่นและมีความสุขกว่าทุกวัน

.

.

.

หลังจากอิ่มหนำ และนั่งพักท้องด้วยการดูการ์ตูนกับเด็กๆ จบไปหนึ่งตอน ก็ดูเหมือนเด็กชายทั้งสองจะเกิดคึกคักกันขึ้นมา เลยชวนคนเป็นพ่อกับคนเป็นพี่หาอะไรเล่น ก่อนที่จะได้เวลาอาบน้ำเข้านอน

"ปะป๊าๆ น้องพีอยากเย่นไอ้ที่ดึงๆ แท่งไม้อ่ะคับ"

ตะวันขมวดคิ้วงง ซึ่งพลัฎฐ์เองก็ไม่ต่าง แต่พักหนึ่งเขาก็คิดออก

"น้องพีหมายถึงเจงก้าเหรอครับ"

พลัฎฐ์ว่าพลางเดินไปหยิบกล่องแท่งไม้เจงก้ามาชูให้ลูกชายดู พอน้องพีพยักหน้ารับว่าใช่พร้อมยิ้มร่า คนเป็นพ่อก็เดินถือกล่องไม้ที่ว่ามาวางที่โต๊ะกลางห้องรับแขก ในขณะที่สองเด็กน้อยกับหนึ่งเด็กตาใส นั่งรอกันอยู่ที่พื้นพรหมพร้อมกับล้อมโต๊ะไว้นิ่ง ใจจดใจจ่อรอจะได้เล่นสุดๆ โดยเฉะพาะน้องพี ที่แทบจะยื่นหน้าเข้ามาอยู่กลางโต๊ะ

ตะวันเองก็คงเห็น เลยเกี่ยวเอวเด็กชายพีรยสถ์มานั่งบนตักตัวเอง พลางลูบศีรษะกลมเบาๆ เพื่อให้เด็กน้อยรู้จักใจเย็นและมีความอดทนที่จะรอมากขึ้น

"มานั่งรอกับพี่ตะวันดีกว่าครับน้องพี เดี๋ยวรอให้ปะป๊า เอาแท่งไม้ออกมาเรียงวางก่อนเนาะ"

"คับๆ น้องพียอได้"

ปากก็บอกว่ารอได้ แต่เจ้าตัวเล็กนั่งก้นแทบไม่ติดตักตะวัน ในขณะที่อาทิตย์ก็มาปีนป่ายตัวตะวันขณะที่กำลังรอ ทำเอาพลัฎฐ์ที่เห็นภาพดังกล่าวต้องยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความเอ็นดู

"อ่า.. เสร็จแล้วครับ" พลัฎฐ์ว่าพลางดันกล่องเจงก้าที่บรรจุแท่งไม้ไว้เรียบร้อยแล้วไว้กลางโต๊ะ ก่อนที่มือใหญ่ของพลัฎฐ์จะค่อยๆ ดึงออกกล่องไม้ที่ครอบออก ให้เหลือแต่แท่งไม้เปลือยวางเรียงกันแทน

- อ่านต่อด้านล่าง -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
« ตอบ #19 เมื่อ: 05-07-2019 20:29:56 »





ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบนค่ะ -

"แต่ก่อนอื่นเราต้องกติกากันก่อนไหมครับ"

"เอาคับๆ" เด็กชายภานวีย์กระตือรื้อร้น เพราะเป็นเด็กที่ชอบอะไรที่ตื่นเต้น และรักการแข่งขันเป็นที่สุด

"คนแพ้ทำอะไรดีครับ?" ตะวันแกล้งถาม ให้น้องพีได้ยกสุดแขน ก่อนจะเสนอ

"คนแพ้เยี้ยงไอติมคับ"

เจ้าหนูดูภูมิอกภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองตั้งกติกาขึ้นมาเหลือเกิน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะลืมคิดไปนิดว่าถ้าตัวเองแพ้จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อไอศครีมเลี้ยงคนอื่นๆ แต่ก็เอาเถอะ กติกาที่น้องพีบอก เหมือนสร้างขึ้นมาเฉยๆ เพื่อให้เกมสนุกแค่นั้น ยังไงเสียสุดท้ายแล้วพลัฎฐ์ก็ต้องเป็นคนพาทุกคนไปทานไอศครีมอยู่ดี

"โอเคครับ คนแพ้เลี้ยงไอติม.." คนอายุมากที่สุดเป็นคนสรุป "อ่ะ มาเลย ใครเริ่มก่อนดี"

"น้องพีๆ ให้น้องพีดึงคนแยกนะคับ"

"ได้ๆ คุณอาทิตย์ให้"

ผู้ใหญ่สองคนมองหน้าก่อนจะหลุดหัวเราะ เมื่อเจออาทิตย์สปอยล์น้องพีขั้นสุด อนุญาตเองยอมเองทั้งหมด แต่สุดท้ายผู้ใหญ่ทั้งสองก็พยักหน้าพร้อมกันยอมให้น้องพีเป็นคนดึงแท่งไม้ออกจากฐานคนแรก และเจ้าหนูก็ทำได้สำเร็จ ทำเอาดีอกดีใจยกใหญ่ วิ่งมากอดคนเป็นพ่ออย่างพลัฎฐ์ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

คนที่ได้ดึงแท่งไม้ต่อจากน้องพีคืออาทิตย์ ท่าทางเอาจริงเอาจังของน้องทำให้ตะวันเกือบจะหลุดขำ เจ้าหนูน้อยชอบการแข่งขันมาก และก็ดูเหมือนว่าอาทิตย์จะมือนิ่ง มีสมาธิ และทำได้ดีจนตะวันอดภูมิใจไม่ได้

ถัดจากอาทิตย์ก็เป็นตะวันและพลัฎฐ์ตามลำดับ ผู้ใหญ่ทั้งสองดึงแท่งไม้ออกจากฐานง่ายๆ ไม่ได้ยากอะไร ต่างกับเด็กๆ ที่ลุ้นแล้วลุ้นอีกกว่าจะได้ฤกษ์ดึง ซึ่งเกมการแข่งขันก็งวดขึ้นเรื่อยๆ แท่งไม้ถูกดึงออกจนแหว่งไปหลายจุดทำให้ฐานเริ่มไม่มั่นคง โงนเงนและพร้อมจะล้มได้ทุกเมื่อ

และตอนนี้เป็นตาของตะวันที่ต้องดึง เขามั่นใจมากกว่าถ้าตัวเองผ่านตานี้ไปได้ คนถัดไปก็คือพลัฎฐ์ที่ดึงยังไงก็ต้องล้มแน่ๆ ดังนั้นตะวันจึงค่อนข้างตั้งใจอย่างมากที่จะจบเกมนี้ให้ลง

"พี่ตะวันๆ ดึงอันนี้คับอันนี้ เชื่อน้องพีนะ" เด็กชายพีรยสถ์ที่นั่งตรงข้ามกับตะวัน ชี้ไปที่แท่งไม้ตรงหน้าของตัวเองที่ยื่นออกมาน้อยๆ ซึ่งถ้าตะวันสะกิดเอามันออกมาสำเร็จ โอกาสที่จะชนะก็มีเยอะมาก

เจ้าของร่างเล็กพาตัวเองหมุนตัวเองไปมารอบแท่งไม้เจงก้า พยายามมองหามุมที่ดีที่สุด และแท่งไม้ที่น่าจะเอาออกได้ง่ายที่สุด

ซึ่งสมาธิของตะวันถูกพุ่งตรงไปที่บรรดาแท่งไม้กลางโต๊ะจนหมดสิ้น โดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีแววตาคมของพลัฎฐ์ทอดมองมาที่ใบหน้าน่ารักที่กำลังเอาจริงเอาจังของตัวเองด้วยความเอ็นดู

พลัฎฐ์จ้องมองริมฝีปากบางสีสดมี่กำลังขยับมุบมิบราวกับกำลังคำนวณอะไรอะไรสักอย่าง มองดวงตากลมที่จดจ้องไปยังแท่งไม้แท่งต่างๆ อย่างใช้ความคิด มองปลายจมูกรั้นที่เชิดขึ้นราวกับจะบอกถึงนิสัยไม่ยอมแพ้ของเจ้าตัว

และที่สำคัญพลัฎฐ์กำลังมองแก้มขาวๆ นุ่มๆ ที่เมื่อกี้เขาได้มีโอกาสกดจมูกตัวเองลงไปสูดดมความหอมหวานที่ยังติดตรึงอยู่ที่ปลายรสสัมผัส ... และนั่นทำให้เขาเกิดอยากลิ้มลองความรู้สึกนั้นอีกครั้งถ้าเป็นไปได้

ซึ่งความเป็นไปได้นั้นเราสามารถสร้างมันขึ้นได้ด้วยตัวเอง ...

พอคิดได้ เจ้าของร่างกายใหญ่โตก็แสร้งขยับตามการเคลื่อนไหวของตะวันอย่างแนบเนียน เขาทำทีเป็นก้มๆ เงยๆ มองแท่งไม้เหมือนกำลังมองหาโอกาสในการดึงแท่งไม้คนถัดไปได้โดยที่ตะวันไม่นึกเฉลียวใจ

พลัฎฐ์กำลังพยายามหาโอกาสจรดจมูกตัวเองลงบนแก้มนิ่มของตะวันอีกครั้ง และในขณะที่ตะวันตัดสินใจได้แล้วว่าจะดึงแท่งไม้แท่งไหน พลัฎฐ์ก็แสร้งก้มลงไปมองก่อนที่จะทำทีเป็นเสียหลัก และยื่นจมูกลงไปหอมแก้มขาวของตะวันเต็มฟอด

โครม!!

ตะวันตกใจจนตาค้างอีกครั้ง แล้วครั้งนี้มันก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้สมาธิของคนถูกหอมแก้มแตกกระเจิง เจงก้าที่ตะวันกำลังจะดึงออกล้มพังไม่เป็นท่า ในขณะที่คนต้นเหตุ กำลังเอ่ยปากบอกขอโทษตะวันให้จ้าละหวั่น

"ขอโทษนะครับตัวเล็ก พี่ขอโทษ .. แขนพี่เสียหลักนิดหน่อยเลยล้มลงไป ตัวเล็กเจ็บตรงไหนไหมครับ"

พลัฎฐ์แสร้งถาม เพราะไม่อยากให้ตะวันเห็นพิรุธที่โผล่ออกมาเต็มใบหน้าหล่อเหลา

... เพราะมันดูเบิกบานมากกว่าที่จะสำนึกผิดใดๆ

ตะวันกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะได้สติ สะบัดศีรษะทุยเล็กน้อย พลางบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

"มะ ไม่เป็นไรครับพี่พลัฎฐ์ ตะวันไม่ได้เจ็บตรงไหน"

พลัฎฐ์ได้ยินแบบนั้นก็ยื่นมือใหญ่มาลูบศีรษะทุยของตะวันเบาๆ "พี่ขอโทษครับ... ขวัญมานะครับตัวเล็ก"

ตะวันแก้มแดงก่ำ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ "พี่ก็... ตะวันไม่ใช่เด็กสักหน่อย"

พลัฎฐ์หัวเราะ ก่อนจะแสดงสปิริต "เอางี้ พี่เป็นคนทำตัวเล็กตกใจจนสมาธิหลุดเลยดึงพลาด" ใบหน้าหล่อเหลา หันไปทางเด็กๆ ก่อนบอก "งั้นเดี๋ยวปะป๊าเป็นคนเลี้ยงไอติมเอง ดีไหมครับ"

"ดีคับดี"

"ดีคับปะป๊า"

เจ้าหนูน้อยทั้งสองแย่งกันตอบเสียงใส และดูเหมือนว่าบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อกี้จะดีขึ้นบ้าง ตะวันเลยจัดการเก็บแท่งไม้ใส่กล่องตามเดิม โดยมีพลัฎฐ์ช่วยอยู่อีกแรง

แต่แล้วสิ่งที่ตะวันพยายามจะทำเป็นลืมก็ลอยเข้าหูมาจนได้

"คุณอาทิตย์ เมื่อกี้คุณอาทิตย์เห็นยึป่าว ปะป๊าจุ๊บๆ แก้มพี่ตะวันด้วย คิกๆ จุ๊บแบบจุ๊บน้องพีเยย"

"เห็นสิ แต่คุณอาทิตย์รู้สึกเหมือนพี่ตะวันจะไม่สบายเลย" เด็กชายภานวีย์ทำหน้าเครียด เพราะห่วงว่าพี่ชายจะป่วย

"ทำไมหยอ พี่ตะวันไม่ฉะบายหยอ" น้องพีถามพาซื่อในขณะที่คำตอบของอาทิตย์ก็ซื่อไม่ต่าง แต่ทำเอาตะวันหันรีหันขวางหนักยิ่งกว่าเดิม

"ก็พอถูกจุ๊บๆ เสร็จ พี่ตะวันก็แก้มแดงแปร๊ดเลย .. เพราะเวลาคุณอาทิตย์ไม่สบายพี่ตะวันก็บอกว่าคุณอาทิตย์จะตัวแดงหน้าแดง คุณอาทิตย์เลยไม่รู้ว่าพี่ตะวันป่วยหรือเปล่าน่ะสิ"

และคำตอบนั้นก็ทำเอาน้องพีเคร่งเครียดตามเพื่อนสนิทไปด้วย

"งั้นให้ปะป๊า พาพี่ตะวันไปหาคุณลุงหมอดีไหม ฉีดยาๆ จะได้หายเย็วๆ"

เท่านั้นแหละ ดูเหมือนคนที่แอบฟังอยู่อีกคนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังจนตะวันที่เขินอยู่แล้วยิ่งเขินหนัก เลยยื่นมือไปฟาดเข้าให้ที่ไหล่ของอีกฝ่ายไม่แรงนัก

"ฮ่าๆๆๆ"

"นี่พี่พลัฎฐ์! ยังจะมาขำอีก"

เด็กทั้งสองมองผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังมีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้อาทิตย์รู้แค่ว่ายังไงก็ต้องให้พี่ตะวันไปหาหมอให้ได้ เพราะตอนนี้แก้มของพี่ชายเขาแดงยิ่งกว่าตอนแรก และดูเหมือนว่าจะแดงลามไปยันคอเลยด้วยซ้ำ

"คุณอาทิตย์จะดูแลพี่ตะวันให้หายป่วยเองนะน้องพี ไม่ต้องเป็นห่วง"

น้องพีเองก็พยักหน้าตามหงึกหงัก เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิท "คุณอาทิตย์สู้ๆ คุณอาทิตย์ดูแลพี่ตะวันให้หายป่วยเยย"

ตะวันได้ยินยิ่งอยากเอาหน้าซุกลงไปใต้พื้นพรหม

โถ่...เอ๊ยเด็กน้อย พี่ตะวันไม่ได้ไม่สบาย พี่ตะวันแค่เขิน เขินที่ถูกปะป๊าน้องพีหอมแก้มเป็นรอบที่สองของวัน เขินจนหน้าแดงไปหมดเท่านั้นเอง

.

.

.

To Be Continue

------------------------------

Talk: จะค่อยๆ อัพเกรดความน่ารักขอคนทั้งสี่ขึ้นเรื่อยๆ นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามน้า ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นท์บอกได้เลยนะคะ ... อยากจะขอบคุณสักหลายๆ ครั้งสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจที่มีให้น้า ฝากติดแท๊ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยเน้อ

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ ^^

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 7th - เข้าบ้านผีสิงยังไงให้เหมือนขึ้นรถไฟเหาะตีลังกา ::


“พี่ตะ.. ตะวัน.. ”

“พี่ตะวัน... วัน... ตะวันครับ”

“พี่ตะวันครับ พี่ตะวัน!!!”

“ห๊ะ? ห๊ะ! อะไรนะ? มีอะไร??”

ตะวันกระพริบตาปริบๆ พลางลุกขึ้นยืนขานรับอย่างตกใจ ก่อนจะหันไปโวยวายกับเจ้าเด็กหนุ่มตัวโตที่เรียกเขาด้วยเสียงอันดังคับร้าน เล่นเอาสะดุ้งโหย่งจนแทบตกเก้าอี้

“เมษ! ตกอกตกใจหมด เรียกเบาๆ ก็ได้ จะตะโกนทำไมหา?”

ตะวันดุหนุ่มใหญ่ผู้ช่วยในร้านเสียงหลง ในขณะที่คนถูกดุทำหน้าเอือมนิดๆ ใส่เจ้านาย ก่อนจะกลอกตาแล้วตอบคนอายุมากกว่าแต่ตัวเล็กกว่าเขาเกือบครึ่งด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ

“พี่ก็กล้าพูดนะครับ ผมเรียกพี่ด้วยโทนเสียงปกติจนคอเจ็บไปหมด พี่ก็ไม่หือไม่อือเลยสักนิด” เจ้าหนุ่มใหญ่จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจับผิด “ผมเห็นพี่นั่งเหม่อมาตั้งแต่เช้าแล้ว มีอะไรหรือเปล่าครับพี่ตะวัน? หรือพี่คิดจะไล่ผมออก? ไม่นะ.. ม่ายยย”

เจ้าเด็กทะเล้นทำท่าเสียใจระคนตกใจแบบโอเวอร์แอคติ้ง ทำให้ตะวันได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความปลงตก จะมีลูกจ้างทั้งทีก็ดันสติไม่ปกติเหมือนคนอื่นเขาอีก

“ถ้านายไม่เลิกแอคติ้งแล้วไปทำงานนะ ได้โดนพี่ไล่ออกจริงๆ แน่เอาไหม?” คนตัวเล็กกว่าแต่มีอำนาจมากกว่าแกล้งขู่เสียงจริงจัง ทำเอาเจ้าเมษคนโอเวอร์ได้แต่หัวเราะแหะๆ ก่อนจะรีบชี้แจงบอกเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปทำงานอย่างที่ควร

“โถ่ พี่ตะวัน พี่ไม่คิดจะถามผมหน่อยเหรอครับ ว่าผมมาเรียกพี่ทำไม.. เอะอะก็ขู่จะไล่กันออกอย่างเดียวเลย ถึงเมษจะตัวใญ่แต่ก็ขี้ใจน้อยนะครับ”

ตะวันยิ้มๆ พลางถอนใจในความเล่นใหญ่ของอีกฝ่าย แต่ก็อดถามออกมาไม่ได้อยู่ดี เพราะเมื่อกี้เขาก็เหม่อจนไม่ได้ยินในสิ่งที่เมษาจะบอกจริงๆ นั่นแหละ

“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา” และพอเมษจะเอ่ยตอบ ตะวันก็แกล้งเบรคอีกฝ่ายไว้ก่อน “เอาเนื้อๆ นะ ไม่เอาน้ำ ไม่ต้องเล่นใหญ่ด้วย.. บอกมา”

เจ้าเมษทำหน้าเซ็งหน่อยๆ ที่แกล้งตะวันต่อไม่ได้ก่อนจะรีบพูดเมื่อเห็นดวงตากลมของคนเป็นเจ้านายจ้องมาอย่างคาดโทษ

“คุณพลัฎฐ์โทรมาครับ เห็นว่าโทรเข้ามือถือแล้วพี่ไม่ได้รับ”

ตะวันหันซ้ายหันขวามองหามือถือ แต่ก็พบว่าโทรศัพท์ตัวเองไม่ได้อยู่แถวนั้น เขาเลยเดาว่าตัวเองน่าจะวางลืมเอาไว้ในห้องทำงานหลังร้านที่เจ้าหนูน้อยพีรยสถ์กับเด็กชายภานวีย์ใช้เป็นฐานทัพประจำการ กิน นอน เล่น ระหว่างรอโรงเรียนเปิดเทอม

“สงสัยพี่ลืมมือถือไว้ที่ห้องทำงาน” เมษพยักหน้ารับหงึกหงัก ในขณะที่ตะวันสาวเท้าเดินไปยังเคาน์เตอร์หน้าร้าน เพื่อไปรับโทรศัพท์

คนตัวเล็กเดินไปรับโทรศัพท์ที่อยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน เขายอมรับว่าใจเต้นแรงขึ้นอีกนิด ตอนได้ยินเสียงทุ้มของคนที่ทำให้เขาต้องคิดมากจนเหม่อลอยในช่วงสองสามวันมานี้

และใช่... เมื่อกี้ตอนที่เมษาเรียกแล้วเขาไม่ได้ยิน ก็มีสาเหตุมาจากเขากำลังคิดมากฟุ้งซ่านเรื่องของคนที่อยู่ข้างบ้านนั่นแหละ

ไม่รู้ว่าทำไม แต่พักนี้ว่างเป็นไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาของพลัฎฐ์มักจะเวียนวน วนเวียนมาปรากฎในมโนสำนึกของตะวันตลอด ทำเอาเขารู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย

“สวัสดีครับพี่พลัฎฐ์” ตะวันเอ่ยทัก มุมปากยกยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ยามเอ่ยชื่อคู่สนทนา

“สวัสดีครับตัวเล็ก พี่โทรเข้ามือถือไม่เห็นมีคนรับ ไม่แน่ใจว่าตัวเล็กยุ่งอยู่หรือเปล่า เลยลองโทรมาถามหน้าร้านดู”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่ได้ยินจากปลายสาย ยิ่งทำให้หัวใจตะวันเต้นแรงขึ้นจนเจ็บอก เขาบอกตามตรงว่าไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าความรู้สึกพวกนี้คืออะไร นั่นเพราะตัวเขาเองก็เพิ่งรู้จักพลัฎฐ์ได้ไม่นาน เลยพูดได้ไม่เต็มปากว่ากำลังหวั่นไหวหรือเปล่าเพราะอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ดูว่าจะมีท่าทีอะไร ตะวันเลยอยากจะทบทวนหัวใจตัวเองให้แน่ใจเสียก่อน ก็แค่นั้น

“ยุ่งนิดหน่อยครับ วันนี้ลูกค้าเข้าร้านเรื่อยๆ” ตะวันตอบ “ส่วนเรื่องโทรศัพท์ ตะวันน่าจะลืมไว้ในห้องทำงาน เลยไม่ได้รับสายพี่”

“อ่อ อย่างนี้นี่เอง” พลัฎฐ์ครางรับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “เออ จริงสิ พี่ก็เกือบลืมเลยว่าโทรมาหาตัวเล็กทำไม”

“นั่นสิครับ พี่พลัฎฐ์มีอะไรด่วนหรือเปล่า” ตะวันถาม ก่อนจะได้รับประโยคตัดพ้อกึ่งๆ หยอกเย้าที่ดูเหมือนจะสั่นคลอนหัวใจเขาได้ไม่น้อยกลับมา

“ถ้าไม่มีอะไรด่วน แต่พี่โทรหาตัวเล็กเพราะคิดถึง... แบบนี้จะได้ไหมครับ” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ที่นานๆ ครั้งจะได้ยินพลัฎฐ์ถูกนำเอาออกมาใช้ ทำให้ตะวันไม่รู้จะตอบยังไง เพราะตอนนี้เขินจนมือไม้สั่นไปหมด สุดท้ายเลยต้องแกล้งเปลี่ยนเรื่อง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกเค้นคอถามในสิ่งที่ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะตอบแบบไหนเหมือนกัน

“พี่พลัฎฐ์ทำไมชอบแกล้งตะวัน” คนถูกเย้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “พี่จะโทรหาน้องพีหรือเปล่าครับ?”

คนอีกฝั่งของปลายสายยิ้มกว้างจนปวดแก้ม เมื่อได้ยินตะวันบ่ายเบี่ยง ก่อนจะรีบบอกถึงวัตุประสงค์ที่โทรมาเพราะกลัวอีกฝ่ายจะชิงวางสายก่อน

“เปล่าครับ พี่โทรมาหาตัวเล็กนั่นแหละ” พลัฎฐ์ย้ำ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “พี่จะถามตัวเล็กว่าวันเสาร์นี้ตัวเล็กว่างไหมครับ”

ตะวันเหลือบมองปฏิทินที่วางอยู่ข้างโต๊ะ เมื่อเห็นว่าตารางในวันนั้นยังไม่มีอะไร เสียงหวานจึงบอกให้พลัฎฐ์รู้

“วันเสาร์นี้ไม่ติดอะไรครับ แต่ตอนเย็นๆ ตะวันอาจจะพาอาทิตย์ไปซื้อพวกอุปกรณ์การเรียนเพิ่ม เพราะเดี๋ยววันจันทร์หน้าก็จะเปิดเรียนแล้ว พี่พลัฎฐ์มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

คนตัวเล็กกว่าบอกถึงความตั้งใจของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้ ซึ่งพลัฎฐ์เองก็เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบ

“พี่ว่าจะพาเด็กๆ กับตัวเล็กไปสวนสนุกครับ พาไปเด็กๆ เล่นของเล่น ไปทานไอศครีมที่ติดไว้เมื่อวันอาทิตย์” ตะวันเกิดหน้าร้อนขึ้นมาดื้อๆ เมื่อพลัฎฐ์พูดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้คนตัวโตกว่าต้องเลี้ยงไอศครีม และเหตุการณ์นั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาคิดเรื่องของอีกฝ่ายวนไปวนมาจนวันนี้

เพราะสัมผัสจากปลายจมูกของพลัฎฐ์ยังคงติดอยู่ที่ข้างแก้มของตะวัน ไม่ได้ลบเลือนออกไปจากใจเลยสักนิด

“ตัวเล็กครับ.. ตัวเล็ก” พลัฎฐ์เรียกย้ำ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป พอตะวันได้สติที่พักนี้เขามักจะทำหล่นหายบ่อยๆ ก็รีบตอบ

“ครับ ครับๆ ตะวันฟังอยู่ครับ”

“ว่าไงครับ ไปด้วยกันไหมครับ ถ้าน้องพีได้ไปกับอาทิตย์ แกคงจะสนุกน่าดู” ตะวันอ้ำอึ้ง เพราะรู้สึกเกรงใจก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คือความรู้สึกของเขาเอง

.. ถามว่าเขาไม่อยากไปกับพลัฎฐ์ใช่ไหม ตะวันตอบตรงนี้เลยไม่ใช่ ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะพักหลังมานี้เขารู้สึกเหมือนอยากจะพาตัวเองไปอยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายตลอด เพียงแต่มันติดตรงที่ว่าเขายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย เลยไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้พลัฎฐ์มากนัก ไม่งั้นได้เกินคำว่าหวั่นไหวไปไกลแน่ๆ

“ตะวันเกรงใจครับ อีกอย่างตะวันต้องพาอาทิตย์ไปซื้ออุปกรณ์การเรียนอย่างที่บอกด้วย” คนตัวเล็กกว่าเสียงอ่อย ยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีเลยสักนิดที่ต้องปฏิเสธพลัฎฐ์

“ไม่เกรงใจสิครับ พี่ว่าพี่เคยพูดเรื่องนี้กับตัวเล็กหลายครั้งแล้วนะ” เสียงถอนหายใจดังแผ่วๆ มาตามสาย ทำเอาตะวันรู้สึกหนักในอกแปลกๆ “พี่อยากพาเด็กๆ ไปพักผ่อนก่อนเปิดเทอม ส่วนเรื่องไปซื้อของ เราไปหลังจากกลับจากสวนสนุกก็ได้ เดี๋ยวพี่พาไป ... เว้นแต่ตัวเล็กไม่อยาก..”

“ไม่ครับ ไม่ใช่อย่างที่พี่พลัฎฐ์คิด ตะวันแค่เกรงใจจริงๆ” ยิ่งเสียงของพลัฎฐ์หงอยลงมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ตะวันใจเสียมากเท่านั้น และโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ตะวันก็พูดสวนพลัฎฐ์ออกไป เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดว่าเขาไม่อยากไปด้วย ซึ่งเขาไม่อยากให้พลัฎฐ์คิดแบบนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วมันแทบจะตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ

“ถ้าแค่เกรงใจ พี่ก็บอกไปแล้ว ตกลงว่า?..”

“ก็ได้ครับ ไปสวนสนุกกัน ตะวันก็ไม่ได้ไปมานานแล้ว ... งานนี้บัตรรวมเครื่องเล่นเท่านั้นนะครับ พี่พลัฎฐ์จ่ายไหวไหม”

เสียงหัวเราะสดใสตรงกันข้ามกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนดังมาตามสาย ทำเอาตะวันใจชื้นและอดยิ้มตามออกมาไม่ได้

“ระดับพี่แล้ว เลี้ยงข้าวด้วยยังได้ ไม่ต้องกังวลเลย”

“ครับๆ เชื่อแล้วครับ” ต่างฝ่ายต่างเงียบไป แต่ในความเงียบคือความรู้สึกดีที่อธิบายไม่ได้ มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากคนทั้งคู่เท่านั้นที่ตอบสถานการณ์ตอนนี้ได้ดีที่สุด

“งั้นพี่ถือว่าตะวันตกลงแล้วนะครับ” พลัฎฐ์ถามย้ำ เพื่อความแน่ใจ ก่อนที่คำตอบที่เขาอยากได้ยินจะหลุดออกมาผ่านเสียงหวานๆ ของตะวัน

“ครับ ไปครับ แต่เรื่องบัตรรวมเครื่องเล่น ตะวันพูดเล่นนะ ในส่วนของอาทิตย์กับตะวัน เดี๋ยวตะวันจัดการเอง แค่พี่พลัฎฐ์พาไปก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

คนตัวโตกว่าขมวดคิ้วมุ่น ยามได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายขอ ก่อนจะปฏิเสธออกมาโดยไม่ต้องคิด

“ไม่เอาครับ เรื่องแค่นี้เอง แค่ตัวเล็กรับปากว่าจะพาอาทิตย์ไปให้เป็นเพื่อนเล่นน้องพี พี่ก็ดีใจจะแย่แล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยให้พี่จัดการเถอะนะครับ”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่โน้มน้าวมาตามสายทำเอาใจตะวันอ่อนยวบ แต่ยังไงเสียเขาก็คิดว่ามันไม่ถูกที่จะให้พลัฎฐ์ทั้งพาไป ทั้งจ่ายค่านั่นค่านี่ให้ คนตัวเล็กกว่าเลยเตรียมจะแย้ง

“แต่ตะวันว่า...”

“พี่แค่อยากดูแล... อย่าปฏิเสธพี่เลยนะครับ”

ตะวันเม้มปากแน่นจนแทบจะกลายเป็นเส้นตรง เขารู้ดีว่าถ้าคลายริมฝีปากออกเขาต้องยกยิ้มเหมือนคนเป็นบ้าแน่ๆ คำพูดคำจาของพลัฎฐ์ทำเอาเขาอุ่นวาบในอกอย่างที่ไม่เคยเป็น ตะวันไม่คิดจะปฏิเสธเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายทำให้ตัวเองรู้สึกดีมากขนาดไหน

“ก็ได้ครับ” พี่ชายของอาทิตย์อ้อมแอ้มตอบเสียงเบา แน่นอนว่าไม่ได้ไม่พอใจอะไร เพียงแต่เขินมากจนแทบจะทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว

“ตัวเล็กของพี่น่ารักมากๆ ... แล้วเย็นนี้เจอกันครับ เดี๋ยวพี่ไปรับ”

พลัฎฐ์วางสายไปแล้ว แต่ตะวันกลับยังคงถือโทรศัพท์ของร้านค้างอยู่ที่หูด้วยอาการนิ่งอึ้ง แก้มขาวที่ระเรื่อขึ้นด้วยสีแดงจางๆ เพราะประโยคที่ว่า ‘พี่อยากดูแล’ ยังไม่ทันจางหาย ตอนนี้มันกลับแดงหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิมเหมือนคนไม่สบาย เพราะพลัฎฐ์ดันพูดว่า ‘ตัวเล็กของพี่น่ารักมากๆ’ ออกมานี่อีก

สงสัยเขาต้องไปหาหมออย่างที่อาทิตย์บอกแล้วล่ะ... ก็ไอ้อาการหัวใจเต้นแรงจนเจ็บอก หน้าแดงเหมือนคนป่วยนี่มันชักจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน

จนน่ากลัวจะเป็นไข้ใจ

.

.

.

“อาทิตย์ครับ มาเอากระเป๋าไปสะพายก่อนเร็ว เดี๋ยวพี่ตะวันปิดบ้านก่อน”

เจ้าเด็กชายตัวน้อยวิ่งตื๋อมาหาพี่ชายก่อนหันหลังให้คนเป็นพี่สอดหูกระเป๋าทั้งสองข้างเข้าเกี่ยวกับไหล่เล็กๆ นั่นอย่างรู้งานและหลังจากตะวันปิดประตูรั้วบ้านและล็อคเรียบร้อย ทั้งคู่ก็เตรียมจะเดินไปบ้านข้างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ทันได้ออกก้าวไปไหน รถยนต์ยุโรปคันหรูของพลัฎฐ์ก็มาจอดเทียบตรงหน้าเสียก่อน

“ตัวเล็กครับ พาอาทิตย์ขึ้นรถได้เลย พี่ขยับคาร์ซีทมาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”

ตะวันพยักหน้ารับงงๆ เพราะไม่คิดว่าพลัฎฐ์จะมารับถึงหน้าบ้าน คนตัวเล็กจัดแจงพาน้องชายเดินอ้อมมาอีกฝั่งของรถ และพอเปิดประตูได้ เสียงเจื้อยแจ้วของน้องพีก็ดังจนแทบจะทะลุออกมานอกรถ

“คุณอาทิตยยยยย์ คุณอาทิตย์มาแย้วๆ”

ใบหน้าน่ารักดูตื่นเต้นจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ แถมปากเล็กๆ ของเด็กชายที่คอยส่งเสียงเจื้อยแจ้วยังมีรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยี ดูก็รู้ว่าเด็กชายพีรยสถ์อารมณ์ดีมากแค่ไหนที่จะได้ไปสวนสนุกในวันนี้

แต่ก็ไม่ใช่แค่น้องพีคนเดียวหรอกที่ตื่นเต้น เพราะตอนนี้เด็กชายภานวีย์ก็ดูเหมือนจะออกอาการตามไปติดๆ แล้วเหมือนกัน

“น้องพี คุณอาทิตย์มาแล้ววว วันนี้ไปสวนสนุกๆ”

ตะวันได้แต่อมยิ้มแล้วส่ายหน้าให้กับอาการม้าคึกของเด็กทั้งสอง โดยที่สองมือเรียวก็พยายามที่จะคาดเข็มขัดให้น้องชายตัวน้อย ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเอาแต่เอนตัวไปหาน้องพี ไม่ยอมอยู่นิ่งๆ เลยสักนิด

“อาทิตย์ครับ นั่งดีๆ ให้พี่ตะวันคาดเบลท์ให้ก่อนครับ แล้วพอเสร็จแล้วค่อยคุยกับน้องพีนะ”

“คับ” อาทิตย์เอนตัวกลับมานั่งหลังพิงคาร์ซีทนิ่งๆ ให้คนเป็นพี่จัดการเรื่องที่นั่งของตัวเองให้เรียบร้อย

“อ่ะ เรียบร้อยแล้วครับเจ้าเด็กอ้วน” เด็กน้อยที่ถูกกล่าวหาว่าอ้วนยู่หน้าใส่คนเป็นพี่ทันที ให้ตะวันได้หลุดขำออกมาเบาๆ ตอนบีบไปที่พุงน้อยๆ ที่เริ่มจะยื่นออกมาของคนเป็นน้อง

“อาทิตย์ไม่ได้อ้วนสักหน่อยนะพี่ตะวัน” เด็กชายผู้ไม่ยอมรับความจริงเถียง ในขณะที่ตะวันที่พาตัวเองมานั่งเบาะด้านหน้าข้างคนขับรถกิตติมศักดิ์หัวเราะชอบใจที่ได้แหย่น้อง และก็ต้องหัวเราะดังมากกว่าเดิม เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอีกคนดังมาผสมโรง โดยมีพลัฎฐ์ประสานเสียงหัวเราะตามมาด้วยอีกคน

“ใช่ๆ คุณอาทิตย์ไม่ได้อ้วนเยย คุณอาทิตย์หย่อที่สุด หย่อเท่าปะป๊า ส่วนน้องพีน่ายัก น่ายักที่แปลว่าคิ้วท์แบบพี่ตะวัน”

และแน่นอนว่าเจ้าเด็กอ้วนที่ได้ยินคำเยินยอจากเพื่อนคนสนิทแล้วก็ได้แต่ยิ้มหวาน ชอบอกชอบใจที่น้องพีบอกว่าตัวเองหล่อเท่าปะป๊าพลัฎฐ์ เพราะว่าปะป๊าพลัฎฐ์น่ะหล่อมากๆ หล่อที่สุด หล่อมากกว่าคุณพ่อของอาทิตย์เสียอีก

แล้วจะไม่ให้คนถูกชมหน้าบานได้ยังไง

“เอ้าๆ ไปกันดีกว่าเนาะคนหล่อคนน่ารัก เดี๋ยวปะป๊าจะพาไปหาข้าวเช้าทานด้วย”

พลัฎฐ์ตัดบท ก่อนจะเคลื่อนรถออกจากหมู่บ้าน โดยมีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของเด็กชายทั้งสอง ดังประกอบเป็นซาวด์เอฟเฟ็กต์อยู่ข้างหลัง แต่น่าแปลกที่มันไม่ได้น่าเบื่อหรือน่ารำคาญเลยสักนิดสำหรับคนเป็นพ่อและคนเป็นพี่ ตรงข้ามมันกลับน่าฟังมากยิ่งกว่าเสียงไหนๆ บนโลกใบนี้ ... ก็มีใครบ้างล่ะ ที่จะไม่ชอบเวลาเห็นคนที่ตัวเองรักมีความสุข ซึ่งตอนนี้ความสุขของเด็กน้อยทั้งคู่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงเล็กๆ ที่ติดจะตื่นเต้นน้อยๆ นั่นแล้ว

“พี่พลัฎฐ์ไม่น่าลำบากขับรถมาแวะรับเลยครับ ตะวันกับอาทิตย์กำลังจะเดินไปหาพอดี”

ตะวันเริ่มพูดขึ้นบ้าง เมื่อตอนนี้เสียงของเด็กๆ เริ่มเงียบไป น่าจะกำลังเล่นของเล่นกันอยู่

“เล็กน้อยน่ะครับตัวเล็ก ยังไงพี่ก็ต้องขับออกมาอยู่แล้ว แวะรับแค่นี้สบายมาก บ้านเราไม่ได้ไกลกันสักหน่อย”

คนที่ถูกชมว่าหล่อที่สุดในโลกหันมาพูดกับตะวันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และรอยยิ้มบางๆ ที่ปาก ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ของคนที่ไม่ค่อยจะประสีประสาเรื่องความรักเท่าไหร่สั่นระรัว ความอบอุ่นของอีกฝ่ายแผ่ซ่านไปทั่วอก

นี่สินะที่พลัฎฐ์บอกว่าอยากจะดูแล... ความรู้สึกของการถูกดูแลเป็นแบบนี้นี่เอง

ด้วยความที่ตะวันเป็นพี่ และเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวที่พ่อกับแม่ค่อนข้างจะยุ่ง เรื่องการดูแลจึงกลายเป็นเรื่องที่ตะวันถนัดและเคยชินตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมา เมื่อได้ถูกดูแลบ้าง เขาก็ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าโคตรรู้สึกดี ซึ่งตอนนี้พลัฎฐ์กำลังทำให้เขารู้สึกแบบนั้น และแน่นอนว่ามันทำให้ตะวันหวั่นไหวมากจนเผลอหลุดปากพูดออกมา

“พี่กำลังทำให้ตะวันเคยตัวนะครับ” พลัฎฐ์หันมาทำหน้าสงสัยน้อยๆ ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมา “ถ้าอีกหน่อยไม่มีพี่คอยดูแล ตะวันจะทำยังไงดี?”

พอพูดออกไปแล้วก็เพิ่งได้สติ คนตัวเล็กได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ ขณะที่เหลือบมองคนที่กำลังขับรถเห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มกว้าง ตะวันยิ่งเขิน และก็ต้องเขินหนักกว่าเดิม เมื่อได้ยินพลัฎฐ์พูดประโยคถัดมา

“ตัวเล็กเอาแต่ใจกับพี่ได้ งองแงกับพี่ได้ เรียกร้องจากพี่ได้ พี่ยินดีจะตามใจ เอาใจทุกอย่าง เพราะมันคือสิ่งที่พี่อยากทำ เข้าใจไหมครับ?”

“เอ่อ.. อ่ะ คือ.. เข้าใจครับ” ตะวันตอบรับทั้งที่หน้าแดงก่ำ หัวใจที่เต้นรัวจนเจ็บอกเมื่อได้ยินประโยคนั้นทำให้ตะวันต้องทำทีหันไปมองนอกหน้าต่าง เพราะไม่รู้จะวางตัวยังไงดี ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ถ้อยคำที่พลัฎฐ์พูดบอกทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยที่กำลังถูกจีบยังไงไม่รู้

ตะวันพยายามที่จะไม่คิดเข้าข้างตัวเองเพราะหลายๆ สาเหตุ เขายอมรับว่าเขากลัวถ้ามันไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะถ้าเกิดคิดไปแล้วมีแค่เขาจริงจังแค่คนเดียว คนที่จะเจ็บหนักที่สุดก็คือตัวเขาเอง ตะวันพยายยามบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าที่พลัฎฐ์ดูแลเขาดีขนาดนี้นั่นเป็นพราะเอ็นดูเขากับอาทิตย์เหมือนเป็นน้องข้างบ้านก็เท่านั้น

แม้ว่าการที่จะพยายามทำให้ใจตัวเองคิดแบบนั้นมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เมื่อเจอกับถ้อยคำและการกระทำที่อีกฝ่ายทำให้เขาหวั่นไหวบ่อยๆ แบบนี้

.

.

.

หลังจากแวะทานข้าวเช้าเรียบร้อย ทั้งสี่ก็เดินทางมาถึงสวนสนุกในตอนสายๆ โชคดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อน แดดก็ไม่ค่อยมี แถมยังมีลมอ่อนๆ โชยมาให้รู้สึกไม่อึดอัด ดังนั้นอารมณ์ที่ดีอยู่แล้วของเด็กๆ ก็ดียิ่งขึ้นไปอีก

เจ้าตัวน้อยสองคนกระโดดดึ๋งๆ ในขณะที่ยืนจับมือตะวันไว้คนละข้าง ตอนนี้สามหนุ่มต่างวัยกำลังยืนรอพลัฎฐ์ที่ไปซื้อบัตรผ่านประตู รวมไปถึงบัตรรวมเครื่องเล่นสำหรับเขาทั้งสี่คนอยู่ เพราะถึงแม้ว่าเด็กๆ จะยังเล็กและสามารถเล่นได้แค่เครื่องเล่นบางอย่าง แต่พลัฎฐ์ก็ไม่อยากที่จะต้องไปเสียเวลาต่อแถวรอซื้อบัตรหน้าเครื่องเล่น ซื้อไปเสียแต่แรกเลยดีกว่า พอถึงเวลาอยากไปเล่นอะไร จะได้ไปต่อคิวรอเล่นได้เลย

“คุณอาทิตย์ๆ ไปเย่นยดไฟคุณปู่กับน้องพีไหม น้องพีอยากเย่นๆ”

น้องพีกับอาทิตย์ที่เดินจูงมือกันอยู่ตรงกลาง โดยมีผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างพลัฎฐ์และตะวันเดินจูงมือขนาบข้าง ฟังเด็กทั้งสองคุยกันด้วยความเอ็นดู

“ไปสิ เล่นอะไรก็ได้ คุณอาทิตย์ให้น้องพีเลือก”

“คุณอาทิตย์ใจดีที่สุดเยย งั้นไปเย่นทุกอย่างเยยนะ ยกเว้นอันที่มันเหวี่ยงๆ หมุนๆ อันนั้นไม่เย่น เพราะน้องพีกลัว”

เด็กชายพีรยสถ์ตัวน้อยทำท่าสั่นศีรษะเมื่อนึกถึงเครื่องเล่นอันที่ว่า โดยที่ตะวันกับพลัฎฐ์ยังนึกไม่ออกเลยว่าของเล่นชิ้นที่น้องพีว่าคือเครื่องเล่นอันไหน แต่ถึงนึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร เพราะเครื่องเล่นบางชนิดที่หวาดเสียวเกินไปเด็กสองคนเล่นไม่ได้อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่า..

“ตะวันว่าน้องพีต้องหมายถึงเฮอริเคนแน่เลยพี่พลัฎฐ์” คนตัวเล็กกว่าพูดด้วยใบหน้าติดเสียดายนิดๆ

“อ้อ! พี่ก็นึกตั้งนานว่าอะไร เหวี่ยงๆ หมุนๆ” มือใหญ่ของคนเป็นพ่อยื่นไปลูบศีรษะกลมๆ ของลูกเบาๆ “แต่ถึงยังไงน้องพีกับอาทิตย์ก็เล่นเครื่องเล่นพวกนั้นไม่ได้อยู่แล้วแหละ ความสูงไม่ถึง”

“แต่ความสูงของตะวันถึงนะ...” เสียงหวานพูดงุ้งงิ้งเบาๆ กะว่าพลัฎฐ์ไม่ได้ยินแน่ แต่ผิดคาดที่คนตัวโตกว่าได้ยินชัดเจน

“ตัวเล็กอยากเล่นเหรอครับ” พลัฎฐ์ถาม และสีหน้าเลิ่กลั่กร้อนตัวของอีกฝ่ายก็เป็นคำตอบได้อย่างดี

“ก็.. คือ..” ตะวันอึกอัก ก่อนจะยอมรับเสียงอ่อย “นิดนึงอ่ะครับ ไหนๆ ก็ได้มาแล้ว แหะๆ”

พลัฎฐ์หัวเราะทันทีที่ได้เห็นท่าทางเด็กน้อยของอีกฝ่าย เพราะปกติตะวันจะเนี๊ยบตลอดเวลาอยู่ที่ร้าน สมกับบทบาทของการเป็นเจ้าของที่มีคนในปกครองต้องคอยดูแล

แต่ตะวันที่พลัฎฐ์เห็นในตอนนี้เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ที่ยังรักสนุก และอยากมีอิสระในการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ซึ่งแน่นอนว่าเขายินดีจะสนับสนุนความสุขของอีกฝ่ายเต็มที่ รวมถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

“ตัวเล็กอยากเล่นอะไรก็เล่นเลยครับ เดี๋ยวพี่ดูแลเด็กๆ เอง” พลัฎฐ์อาสา เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากเล่นอะไรเป็นพิเศษ ที่มาก็เพราะอยากพาเด็กๆ ทั้งเด็กเล็กเด็กโตมาพักผ่อนคลายเครียดก็เท่านั้น ดังนั้น เขาจึงรู้สึกยินดีมากถ้าหากเจ้าตัวเล็กของเขาจะมีความสุขไปกับสิ่งที่เขามอบให้

“ไม่เอาครับ ตะวันจะเห็นแก่ตัวทิ้งพี่ไว้กับเด็กๆ ได้ไง” เด็กโตยู่หน้า ก่อนจะพูดต่อด้วยประโยคที่พลัฎฐ์คิดว่าน่ารักสุดๆ ออกมา “เล่นก็เล่นด้วยกัน ไม่เล่นก็ไม่เล่นด้วยกัน ไม่ใช่พี่คนเดียวสักหน่อยที่อยากให้ตะวันสนุก ตะวันก็อยากให้พี่สนุกเหมือนกัน ทำงานมาเครียดๆ จะมาให้ตะวันหนีไปคลายเครียดคนเดียวได้ยังไงล่ะครับ”

อ่า... ถ้าจับคนตรงหน้ามาจูบลงไปแรงๆ บนปากเล็กๆ ช่างเจรจาน่ารักนั่น จะเป็นอะไรไหมนะ?

พลัฎฐ์นึกถามตัวเองด้วยประโยคคล้ายๆ แบบนี้มาสักร้อยครั้งได้แล้วหลังจากที่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับตะวัน

นับวันเจ้าเด็กโตตรงหน้านี่ชักจะน่ารักขึ้นทุกวัน น่ารักจนเขาชักจะห้ามใจตัวเองไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าจะรุกมากไปกว่านี้เพราะกลัวอีกฝ่ายจะตกใจ เพราะที่ทำทุกวันนี้ก็ถือว่าเสี่ยงจะโดนโกรธโดนเกลียดมากพอตัวแล้ว

ทั้งหลอกหอมแก้ม ทั้งหลอกพามาเที่ยว แล้วไหนจะหลอกให้ตะวันทำกับข้าวให้กินอีก

แถมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหมือนเฒ่าหัวงูมากขึ้นไปทุกวัน แต่ทำยังไงได้เขาดันมีความรู้สึก ‘พิเศษ’ กับตะวันไปแล้ว และพลัฎฐ์ก็ไม่อยากจะหลอกตัวเอง

“เอางี้ดีไหมครับ ถ้าเครื่องเล่นไหนที่เขาปล่อยให้เด็กๆ ขึ้นไปเล่นเองได้ พี่จะเป็นคนอยู่เฝ้าเอง แล้วตัวเล็กก็ไปเล่นอะไรที่ตัวเล็กอยากเล่น ระหว่างที่เด็กๆ กำลังเล่นอยู่ แต่ถ้าเครื่องเล่นไหนที่ต้องมีผู้ใหญ่ขึ้นไปประกบ ตัวเล็กก็มาประกบอาทิตย์ ส่วนพี่ประกบน้องพี แล้วเราก็ขึ้นไปเล่นด้วยกันสี่คน ... แบบนี้โอเคไหมครับ”

ตะวันครุ่นคิด ในใจก็รู้สึกว่าเหมือนจะเอาเปรียบพลัฎฐ์เล็กๆ อยู่ดี เขาเลยตัดสินใจจะแย้ง

“แต่ตะวันว่า..”

“ไม่เอาสิครับตัวเล็ก พี่อายุมากแล้ว ขึ้นไปเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวไม่ไหวหรอก” พูดแล้วพลัฎฐ์ก็สะท้อนในอกเบาๆ กับความจริงที่ว่าเขาอายุมากกว่าตะวันอยู่หลายปีพอสมควร แต่ก็เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องรู้สึกผิดมาก เขาเลยต้องพูดแบบนี้ “เอาอย่างที่พี่บอกแหละ คนละครึ่งทาง ถ้าตัวเล็กรู้สึกไม่ดี ก็คิดเสียว่าตัวเล็กช่วยเล่นให้คุ้มกับค่าบัตร พี่จะได้ไม่ต้องเสียเงินฟรี แบบนี้ดีไหมครับ”

คนตัวเล็กของพลัฎฐ์นิ่งคิดไปพักหนึ่ง และสุดท้ายก็พยักหน้ายอมตกลง

“ตะวันจะไปเล่นก็เฉพาะตอนระหว่างรอเด็กๆ เล่นเครื่องเล่นนะครับ ถ้าเครื่องเล่นอันไหนต้องมีผู้ใหญ่ต้องดูแล ตะวันจะไปกับน้องด้วย พี่พลัฎฐ์ห้ามเหมานะ โอเคไหม”

คนที่เตี้ยกว่าพลัฎฐ์เกือบยี่สิบเซนติเมตรพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาคนตัวโตกว่านึกเอ็นดูกับท่าทางที่ขัดกับขนาดร่างกายเหลือเกิน

“โอเคครับ พี่ตกลง ทีนี้ก็ไปเล่นกันได้แล้วเนาะ”

หลังจากที่พวกผู้ใหญ่ที่ตกลงกันเสร็จก็พากันจูงมือเด็กน้อยสองคนออกเดินต่อ โดยในขณะที่รอผู้ใหญ่คุยกัน ทั้งน้องพีและอาทิตย์ก็วางแผนไว้หมดแล้วว่าจะไปเล่นอะไรบ้าง ซึ่งน้องพีตัวน้อยก็เป็นคนร่ายยาวให้คนเป็นพ่อฟัง

“ปะป๊า น้องพีนะอยากเย่นเมืองหิมะด้วย คุณอาทิตย์บอกว่าเมืองหิมะเย็นม๊ากมาก ปะป๊าเคยเย่นไหมคับ”

พลัฎฐ์ยิ้มในขณะที่ตอบคำถามลูกชาย “เคยครับ แต่ถ้าน้องพีกับคุณอาทิตย์อยากเล่น เดี๋ยวปะป๊ากับพี่ตะวันจะพาไปเล่น วันนี้ปะป๊าตามใจเราสองคนทุกเรื่องเลยดีไหมครับ”

“คิกคิก ปะป๊าใจดี น้องพียะ.. ฮื่อ พูดใหม่ พูดช้าๆ นะน้องพี” เด็กน้อยบอกกับตัวเอง ด้วยท่าทางจริงจัง ทำเอาคนเป็นพ่อแทบใจละลายเมื่อเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของลูกตัวเอง “น้องพี ระ.. รัก รักปะป๊าคับ”

เด็กน้อยกระโดดเกาะขาคนเป็นพ่อด้วยท่าทางดีอกดีใจที่ตัวเองพูดคำว่ารักออกมาได้ชัดเจน ขนาดที่อาทิตย์กับตะวันยังเอ่ยปากชม

“เย่ๆ น้องพีพูดได้ชัดมากเลย น้องพีเก่งๆ” อาทิตย์ปรบมือเปาะแปะให้เพื่อนสนิท เด็กชายพีรยสถ์จึงผละออกมาจากการเกาะขาปะป๊า แล้วหันมายิ้มให้กับอาทิตย์พลางเข้าไปเอาศีรษะเล็กๆ ถูแขนของเด็กชายอีกคนที่ตัวสูงกว่าตัวเอง

“น้องพีเก่ง คุณอาทิตย์ชมด้วย” สีหน้าเขินๆ ของเด็กชายตัวน้อย ทำเอาผู้ใหญ่ใจแทบละลาย “ขอบคุณคุณอาทิตย์มากน๊า”

“ใช่แล้วครับ น้องพีเก่งมากเลย” ตะวันทรุดลงนั่งยองๆ กอดจะเกี่ยวเอวเล็กของเด็กน้อยเข้ามา พลางกดจมูกลงไปแรงๆ บนแก้มนิ่ม

ฟอด~

“เก่งขนาดนี้ พี่ตะวันต้องให้รางวัลหนึ่งฟอด” น้องพียิ้มกว้าง ชอบอกชอบใจที่ถูกหอมแก้ม ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะลอยหวือเข้าสู่อ้อมกอดคนเป็นพ่อที่ยกลูกน้อยลอยขึ้นมาแนบอก

“ไม่ได้การแล้ว ปะป๊าก็ต้องให้รางวัลน้องพีด้วยอีกหนึ่งฟอด... จัดการเลยละกัน”

“คิกๆ ปะป๊า คิก”

เด็กชายพีรยสถ์หัวเราะคิกคักเพราะจั๊กกะจี๋ แถมยังยื่นหน้าตัวเองให้ปะป๊าจูบ หอม ฟัด ไม่เลิกอีกต่างหาก แล้วแทนที่ว่าน้องพีจะเขินที่คนเป็นพ่อแสดงความรักใส่เขาออกนอกหน้า ก็กลายเป็นว่าคนเขินคือตะวันเสียเอง

ก็พลัฎฐ์เล่นหอมแก้มน้องพีข้างเดียวกับที่เขาหอม ขนาดว่าน้องพีหันแก้มอีกข้างให้พลัฎฐ์ก็ไม่ยอมหอม จ้องแต่จะหอมจะฟัดข้างเดียวกับของตะวันนั่นแหละ แถมสายตาเจ้าชู้ที่พลัฎฐ์ส่งมาให้เขาอีก

... ทำแบบนี้ตะวันอดคิดไม่ได้เลยว่าเหมือนถูกอีกฝ่าย ‘จูบทางอ้อม’ ยังไงไม่รู้

ตะวันแสร้งทำเป็นไม่เห็น ก่อนจะจูงมืออาทิตย์ออกเดินให้พลัฎฐ์อุ้มน้องพีเดินตามมา

“รีบไปเล่นกันเถอะครับ ตรงนี้เริ่มร้อนแล้วด้วย”

- อ่านต่อด้านล่าง -

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2019 19:21:17 โดย Gade_ka »

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -

พลัฎฐ์ยิ้มขำ ดูก็รู้ว่าแก้มแดงๆ ของเด็กโตนั่นน่ะ ไม่ใช่เพราะอากาศร้อนหรอก แต่มันเป็นความร้อนจากภายในร่างกายเพราะความเขินอายมากกว่า

เฮ้อ... น่ารักอะไรขนาดนี้นะภานรินทร์

.

.

.

อาทิตย์กับน้องพีตระเวนเล่นเครื่องเล่นอันนั้นที อันนี้ที โดยไม่มีท่าทางว่าจะเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสองแทบจะหอบ สุดท้ายพลัฎฐ์จึงได้ข้อสรุปว่าตอนนี้ก็บ่ายคล้อยแล้ว พวกเขาควรไปหาที่นั่งพัก และหาอะไรรองท้องให้เด็กทั้งคู่ทานด้วย และหลังจากที่ได้ที่นั่งและอาหารมาพร้อมแล้ว ผู้ปกครองทั้งคู่ก็ได้ฤกษ์นั่งฟังน้องพีที่ยังคงพูดเจื้อยแจ้วโดยมีอาทิตย์คอยพูดเสริมเป็นระยะๆ เข้าขาอะไรกันดีขนาดนี้ก็ไม่รู้

“คุณอาทิตย์เห็นยื้อป่าว ตอนที่ขึ้นไปบนอันนั้นที่สูงๆ อ่ะ มองยงมาข้างย่างนะ โอ๊ยน้องพีวาบๆ ในพุงสุดๆ เยย”

อาทิตย์หัวเราะ ในขณะที่ผู้ใหญ่ยังสงสัยอยู่เลยว่าสิ่งที่น้องพีพูดถึงคืออะไร

“ใช่ๆ คุณอาทิตย์ก็วูบๆ ในพุง มันสูงมาก แต่คุณอาทิตย์ก็ชอบมากเหมือนกัน”

“น้องพีเก๊าะชอบ คุณอาทิตย์ชอบอะไย น้องพีชอบด้วย”

เด็กน้อยสองคนยิ้มให้กันอย่างน่ารัก ก่อนที่น้องพีจะหันมาชวนตะวันคุย

“พี่ตะวัน ปลาบินๆ สนุกไหมคับ น้องพีกลัวนิดนึงแต่ตอนหยังเก๊าะไม่กลัว เพราะปะป๊ายูบหัวน้องพีตะหยอดเยย”

ตะวันยิ้ม ก่อนจะตอบเด็กชายข้างบ้านด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ตอนแรกก็กลัวนิดๆ ครับ คุณอาทิตย์ก็กลัวนะ แต่พอนั่งไปนานๆ ก็คุ้น เลยหายกลัว”

เขาผสมโรงว่ากลัวเหมือนๆ กับน้องพี เพราะไม่อยากให้เด็กน้อยคิดว่าตัวเองแปลกประหลาดคนเดียว การทำตัวเป็นพวกเดียวกันจะทำให้เด็กอุ่นใจมากกว่าสร้างความแปลกแยกจากอีกฝ่าย ซึ่งคำตอบของตะวันก็ทำให้น้องพียิ้มกว้าง

“ใช่คับ สนุกๆ ตอนหยังเยยไม่กลัวแย้ว”

“อื้อ! น้องพีไม่ต้องกลัวนะ ไปเล่นกับคุณอาทิตย์ คุณอาทิตย์จะดูแลน้องพีเอง เหมือนตอนเล่นสไลเดอร์ในเมืองหิมะไง” อาทิตย์ก็ยังคงเป็นคุณอาทิตย์ที่ปกป้องและดูแลน้องพีได้เสมอ ตะวันฟังแล้วอดภูมิใจในตัวน้องชายตัวเองไม่ได้

“ใช่ คุณอาทิตย์ดูแยน้องพี น้องพีสนุกมากกกก ตอนยื่นๆ ลงมาในเมืองหิมะนะ” น้องพีทำท่าทำทางอวดคนเป็นพ่อ ก่อนจะเล่าต่อ “น้องพีจับมือคุณอาทิตย์ไว้ ไม่กลัวเยยปะป๊า”

รอยยิ้มน่ารักที่ถูกส่งมาทำให้พลัฎฐ์นึกขอบคุณเจ้าเด็กตัวน้อยข้างบ้านไม่ได้ อายุก็แค่นี้รู้จักเป็นห่วงเป็นใยดูแลคนอื่นเสียแล้ว มือใหญ่จึงยื่นไปลูบศีรษะทุยๆ ของเด็กชายพลางเอ่ยขอบคุณ

“ปะป๊าพลัฎฐ์ขอบคุณคุณอาทิตย์มากเลยนะครับที่ช่วยดูแลน้องพี”

“คับ น้องพีกับคุณอาทิตย์เป็นเพื่อนกันคับปะป๊าพะลัด”

แล้วน้องพีกับอาทิตย์ก็ผลัดกันคุยถึงเครื่องเล่นหลายชิ้นที่ตัวเองไปเล่นกันมา ทั้งที่ไปเล่นด้วยกัน แต่ก็นั่นแหละ สำหรับเด็กแล้ว ทุกอย่างมันดูแปลกใหม่ น่าตื่นตาตื่นใจ พูดได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ

“แล้วตัวเล็กล่ะครับ เป็นไงบ้าง? เฮอริเคน?” พลัฎฐ์ถามตะวันที่ไปเล่นเฮอริเคนมาตอนที่เด็กๆ นั่งรถไฟดรีมเวิลด์ทัวร์ และด้วยคำถามนั้นเอง คนตัวโตกว่าก็เห็นประกายวิบวับในดวงตาเด็กโตตรงหน้า

“สนุกมากเลยครับพี่พลัฎฐ์ โหย ไม่ได้เล่นนานแล้วนึกว่าจะไม่สนุก ที่ไหนได้! ตะวันร้องดังมากจนคนข้างๆ หันมามองเลย ฮ่าๆๆ”

ตะวันเล่าไปขำไปด้วยแววตาเป็นสุข ซึ่งเห็นแค่นี้พลัฎฐ์ก็คิดว่าคุ้มค่ามากแล้วกับการที่เขาได้พาทุกคนมาเที่ยวในวันนี้ เขาชอบรอยยิ้มของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยยิ้มเจิดจ้าของตะวันดวงน้อยตรงหน้าเขา

“แล้วเดี๋ยวเสร็จจากนี้แล้วจะกลับกันเลยไหมครับ หรืออยากเล่นอะไรต่อ?” พลัฎฐ์ถามขึ้น เขาบอกแล้วว่าจะตามใจทุกคน ถ้าอยากเล่น ก็เล่นต่อ ถ้าเหนื่อยแล้วอยากกลับ ก็กลับ

และแล้วก็เป็นเจ้าของเสียงที่เจื้อยแจ้วมาตลอดทั้งวันเป็นคนตอบ ซึ่งคำตอบที่ได้ยินก็ทำเอาคนเป็นพ่อถึงกับงงไม่น้อย ส่วนคนข้างบ้านนั้นถึงกับหน้าซีด

“น้องพีอยากไปเย่นบ้านผีสิง ปะป๊าพาไปหน่อยได้ไหมคับ” เด็กน้อยพูดอย่างร่าเริง ทำเอาพลัฎฐ์ต้องถามซ้ำ เพราะไม่แน่ใจว่าลูกชายรู้หรือเปล่าว่าบ้านผีสิงคืออะไร

“น้องพีอยากเล่นเหรอลูก? น้องพีรู้หรือเปล่าครับว่าบ้านผีสิงที่น้องพีอยากไปเป็นยังไง?”

“ยู้ๆ น้องพีอยากเย่นบ้านผีสิง ที่มันมีผีกุ๊กๆ กู๋อ่ะคับปะป๊า”

เมื่อเห็นว่าลูกชายเข้าใจถูกและรับรู้ว่าเป็นยังไงแล้วยังคงอยากเล่น พลัฎฐ์จึงไม่อยากขัดใจเลยหันไปถามเด็กจากบ้านข้างๆ ว่าจะอยากไปเล่นด้วยกันไหม

“อาทิตย์อยากเล่นไหมครับ กลัวหรือเปล่า หื้ม?”

อาทิตย์ยิ้มกว้าง โดยไม่ทันต้องตอบพลัฎฐ์ก็รู้เลยว่าคำตอบจะเป็นยังไง

“อยากเล่นคับปะป๊าพะลัด ไปๆ อาทิตย์ไปเล่นด้วย”

ตรงข้ามกับตะวันที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดไปแล้ว “เอ่อ.. คือ...”

และท่าทีอ้ำอึ้งนั้นก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าคำตอบคืออะไร ... กลัวผีสินะ เจ้าตัวเล็กของพี่ และเพื่อไม่ให้น้องต้องลำบากใจ พลัฎฐ์เลยตัดสินใจบอก

“ไม่เป็นไรนะ ตัวเล็กไม่อยากเล่นก็เป็นไร เดี๋ยวพี่เข้าไปดูเด็กๆ ให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง”

คนตัวโตกว่ายิ้มอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่าย ยิ่งทำให้ตะวันรู้สึกไม่ดี เพราะตกลงกันไว้แล้วว่าถ้าเครื่องเล่นชิ้นไหนต้องประกบเด็กๆ พวกเขาต้องไปด้วยกัน

“ไม่เป็นไรครับ ตะวันไม่ได้กลัวขนาดนั้น ตะวันเข้าได้ พี่พลัฎฐ์ดูเด็กๆ สองคนทีเดียวพร้อมกันไม่ไหว เกิดพวกแกวิ่งขึ้นมา เดี๋ยวจะตามจับกันไม่ทัน” ตะวันให้เหตุผลที่พลัฎฐ์ปฏิเสธไม่ได้ เขาจึงยอมตามใจอีกฝ่ายในที่สุด

“เอางั้นก็ได้ครับ แต่ถ้ากลัวมากๆ ก็บอกพี่นะ ไม่ต้องเกรงใจ” ตะวันพยักหน้ารับพลางแสดงสีหน้ามั่นใจให้อีกฝ่ายได้เห็นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งที่ความจริงข้างในคือแข้งขาอ่อนไปหมด

ให้นั่งเฮอริเคนสิบรอบตะวันยังไม่หนักใจเท่าให้เข้าบ้านผีสิงเลย ให้ตาย

.

.

.

‘เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหมนะ’

ตะวันถามตัวเองเป็นรอบที่ล้านในขณะที่ยืนขาสั่นอยู่หน้าบ้านผีสิง

พลัฎฐ์เองที่เห็นอาการของตะวันก็เข้าใจเป็นอย่างดี เพราะตะวันในตอนนี้มีท่าทีตรงข้ามกับเด็กน้อยสองคนเหลือเกิน

"ปะป๊า เข้าไปกันได้ยึยังคับ? น้องพีอยากเข้าไปดูผีกุ๊กกู๋แย้ว"

"ใช่ๆ คับปะป๊าพะลัด คุณอาทิตย์ก็อยากดูผีของปลอม ไม่น่ากลัวหรอก"

ตะวันได้แต่กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ เขานึกสมเพชตัวเองอยู่ในใจ ว่าในขณะที่เด็กสามขวบกว่า ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหวาดกลัว แต่เขากลับกลัวจนขาสั่น ทั้งที่รู้ไม่ต่างจากเด็กๆ เลยว่าผีข้างในไม่ใช่ของจริง

และด้วยท่าทีรีๆ รอๆ ของตะวัน ทำให้พลัฎฐ์ต้องหาทางออกให้กับเรื่องนี้

"เดี๋ยวเราจะเข้าไปกันแล้วคับ แต่ต้องตกลงกันก่อน ปะป๊าถึงจะพาน้องพีกับคุณอาทิตย์เข้าไป"

เด็กน้อยทั้งสองเอียงคอมองพลัฎฐ์ในขณะที่ตะวันเองก็ลุ้นระทึกไม่ต่าง

"น้องพีกับคุณอาทิตย์ต้องยอมให้ปะป๊ากับพี่ตะวันอุ้ม เพราะข้างในมันมืดมาก จูงมือกันแค่อย่างเดียวไม่น่าจะพอ ปะป๊ากลัวพวกหนูสองคนหกล้ม"

พลัฎฐ์อ้าง เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะความปลอดภัยของเด็กๆ แต่อีกส่วนนั้น…

"เดี๋ยวตัวเล็กอุ้มน้องพีให้พี่นะครับ เพราะน้องพีตัวเล็กกว่าคุณอาทิตย์ ส่วนคุณอาทิตย์เดี๋ยวพี่อุ้มเอง"

"ครับ" ตะวันรับคำอย่างงุนงง เพราะยังไม่เข้าใจว่าพลัฎฐ์จะทำอะไร

"แล้วเดี๋ยวพอเข้าไป พี่กับตัวเล็กต้องจูงมือกันไว้ตลอด จะได้ช่วยดูแลเด็กๆ ได้"

ตะวันเข้าใจทุกอย่างในทันที พลัฎฐ์รู้ว่าเขากลัวเลยให้จับมือไว้ จะได้อุ่นใจว่าพลัฎฐ์อยู่ตรงนั้น ข้างๆ กันไม่ได้ไปไหน

"ตกลงไหมครับเด็กๆ" พลัฎฐ์หันไปถามเจ้าหนูทั้งสอง ซึ่งเด็กชายทั้งคู่ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี

"ตกลงคับปะป๊าพะลัด"

ผู้ใหญ่ทั้งสองต่างอุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมกอด โดยที่มือเรียวของตะวันยึดมือใหญ่ของพลัฎฐ์ไว้แน่น และมือที่เย็นเฉียบของอีกฝ่าย ทำให้พลัฎฐ์ต้องก้มลงไปกระซิบข้างหูคนตัวเล็กกว่า

"ถ้ากลัว ก็จับมือพี่ไว้แน่นๆ นะครับตัวเล็ก พี่จะคอยอยู่ข้างๆ ตัวเล็กวางใจได้นะ"

ตะวันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ

ในที่สุดทั้งสองก็พากันเดินเข้าไปในบ้านผีสิง บรรยากาศมืดๆ โดยรอบ และผีปลอมๆ ที่ยืนอยู่ตามมุมต่างๆ ทำให้เด็กๆ ทั้งกรี๊ดด้วยความตกใจ สลับกับการหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ในขณะที่ตะวันเหงื่อแตกพลั่กและหลับตาปี๋เป็นระยะๆ ด้วยความกลัว

มือเรียวยึดมือของพลัฎฐ์ไว้แน่น โดยที่พลัฎฐ์ก็กระชับมือตอบ ทั้งสองเดินกันมาเรื่อยๆ จนตะวันเห็นแสงตรงทางออกอยู่รำไร เขาเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อีกนิดนึงก็จะได้ออกไปข้างนอกแล้ว เขาปลอบตัวเองแบบนี้ขณะที่ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ

และในขณะที่กำลังจะเดินไปถึงทางออก จู่ๆ ตรงแยกก่อนจะพ้นประตู ผีปลอมที่แอบอยู่ก็ปรากฏตัวออกมา ทำเอาทั้งเด็กๆ และตะวันตกใจจนแทบล้มทั้งยืน เพราะมันเป็นระยะประชิด และไม่มีใครได้ทันตั้งตัว เพราะเข้าใจว่าจะถึงทางออกแล้ว

พลัฎฐ์กระตุกดึงมือตะวันเข้าหาตัวทันทีตามสัญชาตญาณ ในขณะที่น้องพีกรี๊ดลั่น พร้อมกับโผเข้ากอดคอคนเป็นพ่อทั้งที่ตะวันอุ้มอยู่ด้วยความตกใจ

ทุกอย่างชุลมุนไปหมดเพราะแขนเล็กๆ ของน้องพีกำลังโน้มคอของพลัฎฐ์ให้เกี่ยวลงมา และในณะเดียวกันก็รั้งตัวตะวันให้เขย่งขึ้นไป

พอรู้ตัวอีกที ริมฝีปากหยักของพลัฎฐ์ก็ปะทะเข้ากับริมฝีปากบางสีสดของตะวันเข้าอย่างจัง ต่างฝ่ายต่างตะลึงงันไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะผละออกจากกัน หลังได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กชายที่อยู่ในอ้อมกอดของพวกเขาแทน

และพอออกมาข้างนอกที่มีแสงสว่างปกติแล้วเด็กน้อยทั้งสองก็พูดขึ้น

"คิกๆ คุณอาทิตย์ เห็นผีกุ๊กกู๋เมื่อกี้มั้ย น้องพีตกใจหมดเยย"

"เห็นๆ ฮ่าๆ คุณอาทิตย์ก็กลัว แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว"

ท่ามกลางเสียหัวเราะของเด็กๆ เจ้าหนูทั้งสองไม่ได้สังเกตเลยว่า สถานการณ์ของผู้ใหญ่ดูกระอักกระอ่วนแค่ไหน

... เพราะตอนนี้ตะวันหน้าแดงก่ำ ในขณะที่พลัฎฐ์ก็กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม

และนี่เป็นครั้งที่ทำให้ตะวันได้รู้ว่าการเข้าบ้านผีสิงทำให้หัวใจเต้นแรงได้ขนาดที่ว่า ขึ้นเฮอริเคนก็เทียบไม่ติดเลยแม้แต่นิดเดียว

... ให้ตาย บ้านผีสิงนี่น่ากลัวกว่าที่คิดจริงๆ

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------

Talk: ชอบไม่ชอบคอมเม้นท์บอกได้นะคะ แล้วก็ขอบคุณมากที่แวะเข้ามาอ่านและเม้นท์ให้กำลังใจนะคะ .. ฝากติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ด้วยน้าา

เจอกันตอนหน้าค่ะ .. รักมากๆ ❤

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #23 เมื่อ09-07-2019 22:22:28 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #24 เมื่อ11-07-2019 11:54:46 »

คุคิ ผีหน้ากลัวววว

แค่น้องน่ารัก

รบกวนใส่หัวขอตอนอัปเดทหน่อนนะ เราพลาดไม่ได้เขามาอ่านเพราะไม่รู้ว่าอัปแล้ว :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
Re: The Boy Next Home #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว
«ตอบ #25 เมื่อ11-07-2019 16:14:23 »

คุคิ ผีหน้ากลัวววว

แค่น้องน่ารัก

รบกวนใส่หัวขอตอนอัปเดทหน่อนนะ เราพลาดไม่ได้เขามาอ่านเพราะไม่รู้ว่าอัปแล้ว :L2: :pig4:

ได้ค่า เราเองก็มือใหม่เพิ่งเคยลงในเล้า อาจจะมีพลาดๆ ไปบ้าง เดี๋ยวครั้งหน้าจะไม่ลืมค้าบบ

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ❤

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
:: Chapter 8th - เปิดเทอมวันแรก ::


“เรียบร้อยแล้วครับหนุ่มหล่อ หล่อขนาดนี้วันนี้ได้เพื่อนใหม่เพียบแน่ๆ”

ตะวันจัดปกเสื้อนักเรียนของน้องชายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตบลงบนก้นเล็กๆ ของเด็กน้อยเบาๆ เป็นเชิงว่าการแต่งตัวของเด็กชายอาทิตย์ อนุบาลหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว

“อาทิตย์มีน้องพีเป็นเพื่อนแล้ว เพื่อนใหม่ไม่มีก็ได้คับ”

เด็กน้อยตอบประสาซื่อ เพราะความสนิทสนมกับเด็กชายข้างบ้านทำให้อาทิตย์ไม่ได้คิดถึงการมีเพื่อนใหม่ เพราะถึงจะมีแค่น้องพีเป็นเพื่อนแค่คนเดียว อาทิตย์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็นปัญหาอะไร เขาชวนน้องพีเล่นได้ทุกอย่าง แถมน้องพียังน่ารัก ขนาดพูดไม่ชัดยังน่ารักเลย อาทิตย์จึงเฉยๆ เรื่องเพื่อนใหม่มาก

ตะวันได้แต่ลอบยิ้ม ตอนนี้ทำมาเป็นพูดดี เดี๋ยวพอไปถึงโรงเรียนแล้วได้รู้แน่ ทั้งของเล่น ทั้งเพื่อนใหม่ ทั้งสภาพแวดล้อมใหม่ๆ อาทิตย์คงได้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แต่ตะวันก็ไม่ได้พูดเสริมอะไร เขาคิดว่าให้น้องไปเรียนรู้ด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า

โชคดีที่อาทิตย์ไม่ใช่เด็กที่เข้ากับคนยาก แค่อาจจะเรื่องมากเพราะเป็นคนช่างเลือกเกินกว่าเด็กทั่วไปสักนิด ลองคนไหนที่เจ้าตัวได้ถูกใจ รับรองเกาะติดกันไม่เลิก แต่ถ้าบทจะไม่เอา ไม่ชอบ ก็คือไม่ยุ่งเลย

อย่างน้องพีเนี่ย เรียกได้ว่าขนมสื่อมิตรภาพแท้ๆ ลองถ้าน้องพีไม่มีน้ำใจหยิบยื่นของกินให้น้องชายเขาในวันนั้น มีหรือเด็กชายภานวีย์จะยอมเข้าหา ยอมพาตัวเองไปผูกพันจนสนิทสนมกันอย่างทุกวันนี้

“เอาเถอะครับ ไว้เดี๋ยวพอไปถึงโรงเรียนแล้วอาทิตย์จะเข้าใจเอง” ตะวันเลือกที่จะปล่อยผ่าน ให้น้องชายได้ไปตัดสินใจด้วยตัวเองเอาเมื่อถึงเวลา “ไปครับ กินข้าวเช้ากัน เดี๋ยวพี่ตะวันไปส่งที่โรงเรียน”

“คับพี่ตะวัน”

เด็กชายตัวน้อยในชุดนักเรียนทำให้ตะวันรู้สึกอิ่มเอมใจมากกว่าทุกวัน เขารู้สึกเหมือนน้องชายที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่ยังแบเบาะโตขึ้นไปอีกขั้น เดี๋ยวอีกหน่อยก็คงสูงทันเขาแล้ว .. พอนึกถึงตรงนี้คนเป็นพี่ก็ได้แต่ยู่หน้า อยู่ๆ ก็รู้สึกขัดแย้งกันเองในความรู้สึก ทั้งอยากจะให้น้องไวๆ แต่อีกใจก็อยากจะหยุดเวลาไว้ให้อาทิตย์ตัวแค่นี้ไม่ต้องเปลี่ยน

แต่ในที่สุดเขาก็ได้นึกรู้ว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งวันเวลาได้ สิ่งที่ตะวันต้องทำก็คือยอมรับ และอยู่กับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอนาคตให้ได้ ไม่ว่าอาทิตย์จะโตขึ้นเป็นแบบไหนก็ตาม

แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ชายอย่างเขามั่นใจคือ ... อาทิตย์จะต้องเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่ดีแน่ ซึ่งดีในที่นี้ของตะวันอาจจะไม่ได้หมายถึงเพอร์เฟ็กต์เหนือใคร แต่เขาหมายถึง อาทิตย์จะดีในแบบของอาทิตย์เอง เป็นคนที่พึ่งพาได้ เป็นคนที่ปกป้องดูแลคนที่เขารักได้ และ... จะเป็นน้องชายที่ดีของครอบครัว

พอพูดถึงครอบครัวแล้วก็ตะวันก็นึกถึงพ่อกับแม่ เขาไม่แน่ใจเรื่องเวลา เพราะตอนนี้ท่านทั้งสองอาจจะกำลังนอนอยู่ ดังนั้นเขาเลยเลือกที่จะใช้วิธีที่จะรบกวนบิดามารดาที่อยู่ต่างประเทศให้น้อยที่สุด ทำยังไงได้ เขาอยากจะอวดอาทิตย์น้อยในชุดนักเรียนให้พ่อกับแม่เห็นจะแย่ ว่าแล้วตะวันก็ตั้งใจจะแอบถ่ายรูปเจ้าเด็กน้อยที่ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเองที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ติดเสียว่าออดหน้าประตูบ้านจะดังขึ้นเสียก่อน


ติ๊งหน่อง


ตะวันชะงักมือ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าใครมากดออดที่หน้าประตูบ้าน เพราะปกติบ้านที่เขาไปมาหาสู่ด้วยบ่อยๆ ก็มีแต่บ้านของน้องพี และก็จะเป็นเขาที่จูงมือน้องชายไปหาพ่อกับลูกบ้านนู้นทุกครั้ง

เอ๊ะ! หรือว่า

“อาทิตย์รอพี่แปปนึงนะครับ เดี๋ยวพี่ไปเปิดประตูก่อน ไม่รู้ใครมา”

เด็กชายชะเง้อคอยาว แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากกำแพง

“น้องพีหรือเปล่าครับพี่ตะวัน อาทิตย์อยากไปโรงเรียนพร้อมน้องพี”

ตะวันขวดคิ้วมุ่น เพราะไม่แน่ใจว่าที่มากดออดหน้าบ้านใช่พลัฎฐ์กับน้องพีหรือเปล่า

“งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปดูก่อนนะ อาทิตย์รออยู่ตรงนี้ อย่าเพิ่งปีนลงมาจากเก้าอี้นะครับ”

เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก พลางชะเง้อคอมองอย่างใจจดจ่อ ขอให้เป็นน้องพีด้วยเถอะ อาทิตย์อยากไปโรงเรียนพร้อมน้องพี เพราะถ้าให้อาทิตย์ไปคนเดียว อาทิตย์ต้องเหงาแน่ๆ และเจ้าตัวน้อยก็เชื่อได้ว่าน้องพีก็จะเหงามากแน่ๆ เหมือนกัน

ในขณะเดียวกันตะวันก็ก้าวขาเรียวเดินตรงไปยังประตูบ้านบานเล็กข้างรั้ว และพอเปิดประตูออกก็ได้เจอกับเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่และลูกชายที่อยู่ในอ้อมกอดที่กำลังส่งยิ้มแป้นตาหยีมาให้เขา

“พี่ตะวันค้าบบบ” เด็กน้อยพุ่มมือขึ้นพนมไว้อย่างนอบน้อมโดยที่ไม่ต้องรอให้พลัฎฐ์บอก “สวัสดีคับพี่ตะวัน”

“อรุณสวัสดิ์ครับตัวเล็ก” ตะวันอึ้งๆ ไปนิดหน่อย แล้วจู่ๆ แก้มสองข้างก็แดงขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในบ้านผีสิงที่สวนสนุก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำนิ่ง ตะวันก็เลยต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บ้าง แต่คนตัวเล็กกว่าที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเปิดประตูรั้วให้อ้ากว้างกว่าเดิมไม่ทันเห็นว่าอีกฝ่ายแอบอมยิ้มเพราะนึกชอบใจกับแก้มแดงๆ ของตะวัน แก้มแดงๆ ที่ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะตะวันกำลังนึกถึงเหตุการณ์ไหนระหว่างเขาสองคนอยู่

พลัฎฐ์ยอมรับเลยว่าสัมผัสของริมฝีปากนุ่มๆ ที่เขาได้ลิ้มลองไปเมื่อวันก่อนนั้น ยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึก คนอายุมากกว่าเคยจินตนาการถึงริมฝีปากสีสดนี่หลายครั้งต่อหลายครั้งว่ามันจะเป็นยังไง แต่เมื่อได้ลองสัมผัสแล้วพลัฎฐ์ก็ยอมรับว่ามันห้ามใจได้ยากที่จะไม่นึกถึงหรืออยากลิ้มลองอีก เขาอยากสัมผัสริมฝีปากของตะวันแบบที่อีกฝ่ายเต็มใจ ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุหรือเพราะความไม่ทันได้ตั้งตัวของอีกฝ่ายแบบนั้น

ดังนั้นในครั้งนี้ พลัฎฐ์จึงจำเป็นต้องทำเป็นนิ่งไว้ ถ้าอยากหวังผลระยะยาว ตอนนี้เขาอยากค่อยเป็นค่อยไปกับตะวันมากกว่าที่จะพุ่งเข้าใส่จนคนตัวเล็กกว่าตกใจ เตลิดหนีไปเสียก่อน เพราะอย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้มีใคร หลังจากเทียวไล้เทียวขื่อกันอยู่เกือบสองอาทิตย์เต็ม


โอกาสยังเป็นของพลัฎฐ์ เพียงแต่พลัฎฐ์ต้องใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป และไม่วู่วาม


ส่วนเจ้าลูกกระต่ายตัวน้อยอย่างตะวันก็ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า คนข้างบ้านมีแผนการพิชิตใจเขาไว้ในหัวอย่างไรบ้าง เพราะตะวันในตอนนี้ทั้งสับสน ทั้งวางตัวไม่ถูก ... แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าในทุกๆ ความสับสนที่เขากำลังเป็นนั้น มันมีความรู้สึกดีซ่อนตัวอยู่ ... ความใจดีของพลัฎฐ์ ความอ่อนโยน หรือแม้กระทั่งความดูแลเอาใจใส่ของอีกฝ่าย ทำให้ตะวันรู้สึกปลอดภัยและรู้ดีว่าตัวเองมีที่พึ่งพา

คนตัวเล็กกว่าพยายามขจัดความว้าวุ่นในใจ และทำตัวให้ปกติที่สุด แม้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ตะวันก็คิดว่าตัวเองทำได้ดี ยกเว้นไอ้เรื่องแก้มแดงๆ นี่แหละ ที่ห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้เลยสักที

“พี่พลัฎฐ์ น้องพี อรุณสวัสดิ์ครับ” ตะวันกล่าวทักทายคนทั้งสอง ก่อนจะหันหน้าไปทางคนพ่อที่เดินตามเขามาก้าวต่อก้าว “ตะวันนึกว่าพี่พลัฎฐ์พาน้องพีออกไปโรงเรียนแล้วเสียอีก”

พลัฎฐ์ยิ้ม ก่อนจะพยักเพยิดไปทางเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขน “ก็น้องพีน่ะสิ ไม่ยอมท่าเดียว ร้องบอกพี่ว่าอยากจะไปพร้อมคุณอาทิตย์ พี่ก็ไม่อยากจะให้แกงอแงตั้งแต่เปิดเทอมวันแรก ก็เลยจะมาขอตัวเล็กว่าให้อาทิตย์ไปพร้อมพี่ได้ไหมครับ”

ตะวันมีสีหน้าลำบากใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบอกไปตรงๆ ตอนที่ทั้งคู่เดินเข้ามาถึงในตัวบ้านแล้วเรียบร้อย

“คือ.. วันนี้เปิดเทอมวันแรก ตะวันเลยตั้งใจว่าจะไปส่งอาทิตย์ให้ถึงหน้าห้องเลยน่ะครับ” คนตัวเล็กพูดต่อในสิ่งที่คิดไว้แล้ว “ตะวันอยากรู้ว่าใครเป็นครูประจำชั้นน้อง น้องเรียนห้องไหน ตึกไหน ตารางสอนมีอะไรบ้าง?”

ตะวันรีบเบรกเมื่อเห็นว่าพลัฎฐ์จะพูดขัด เพราะตั้งใจอยากจะพูดทั้งหมดให้จบในทีเดียว

“ไม่ใช่ว่าตะวันไม่ไว้ใจพี่นะ แต่พี่พลัฎฐ์เข้าใจตะวันใช่ไหมครับ” น้ำเสียงออดอ้อนถูกงัดออกมาใช้โดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้ตัวเพราะความเคยชิน ทำเอาหัวใจหนุ่มใหญ่กระตุกวูบจนเกือบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

“พี่เข้าใจครับ” ตอนนี้พลัฎฐ์ปล่อยลูกชายลงจากอ้อมแขนแล้ว เมื่อเข้ามายืนอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านตะวัน และน้องพีก็เคยชินมากเสียจนวิ่งไปที่โต๊ะอาหารที่อยู่ก่อนถึงห้องครัว เพราะรู้ว่าเพื่อนที่ตัวเองอยากเจออยู่ที่นั่น

“พี่ก็เลยจะบอกกับตะวันว่า ถ้าแบบนั้นเราไปพร้อมกันเลยไหม เพราะยังไงบางวันพี่ก็อาจจะต้องวานตะวันรับน้องพีแทนพี่ หรือถ้าพี่ว่างพี่ก็อาจจะไปรับอาทิตย์มาให้ตะวัน พี่ว่าเราควรไปแจ้งกับทางโรงเรียนไว้ ในกรณีฉุกเฉิน เราสองคนจะได้รับเด็กๆ แทนกันได้ โดยไม่ต้องกังวล”

ตะวันคิดตามก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ เพราะจากที่ได้ยินน้องชายตัวเองบ่นเมื่อกี้ แล้วยิ่งได้เห็นน้องพีมาหาถึงบ้านแบบนี้แล้วด้วย อีหรอบนี้ก็คงเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ

และยังไม่ทันที่ผู้ปกครองของเด็กทั้งสองจะเดินเข้าไปถึงโต๊ะกินข้าว ก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยทั้งคู่ที่กำลังพูดคุยดังออกมา

“คุณอาทิตย์น้องพีใส่ชุดนักเยียนหย่อไหมๆ” เสียงเริงร่าของเด็กชายที่ตัวเล็กกว่า ยืนถามอยู่ข้างเก้าอี้ของเด็กชายอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งสูงจากพื้นพอสมควร

“ไม่หล่อ” อาทิตย์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตามคำสั่งของพี่ชาย ตอบเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำเอาเจ้าตัวเล็กที่ได้ฟังคำตอบถึงกับหน้าคว่ำ

“ทำไมย่ะ น้องพียังชมคุณอาทิตย์ว่าหย่อเยยนะ” แขนเล็กๆ ถูกยกขึ้นมาไขว้กลางหน้าอก บ่งบอกถึงความไม่พอใจ เพราะตัวเขาเองยังบอกว่าคุณอาทิตย์หล่อเลย แล้วทำไมคุณอาทิตย์ไม่ชมเขากลับบ้างล่ะ คุณอาทิตย์น่ะใจร้ายที่สุด น้องพีงอนมากๆ ด้วย

“ก็คุณอาทิตย์หล่อจริงๆ แบบที่น้องพีว่าไง” ยิ่งได้ยินคำตอบของคนเป็นเพื่อน น้องพียิ่งหน้ามุ่ย “แต่น้องพีอ่ะไม่หล่อ น้องพีน่ารัก น่ารักมากกกก”

ผู้ใหญ่สองคนที่ยืนแอบฟังอยู่หลังกำแพงไม่ห่างไปจากโต๊ะอาหารมากเท่าไหร่นักได้ฟังก็ต้องหลุดยิ้ม ขนาดเด็กน้อยที่เมื่อกี้ยังยืนกอดอกหน้าบึ้งตึงก็ยังเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาเสียกว้าง กว้างจนตากลมยิบหยีบิดเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์

“น้องพีน่ายักหยอคุณอาทิตย์” เด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่ายืนเกาะเก้าอี้ของอีกฝ่ายพลางถามเสียงอ้อน

“ใช่ น่ารัก น้องพีน่ารัก น่ารักที่แปลว่าคิ้วท์ไง”

แล้วเด็กทั้งสองก็หัวเราะคิกคัก ผลัดกันชมว่าหล่อ ว่าน่ารักไม่หยุด พาลให้ผู้ใหญ่ที่แอบยืนดูอยู่ไม่ไกลได้เห็นภาพนั้นก็ต้องยิ้มตาม

ตะวันยืนเอาตัวแนบกำแพงชะโงกหน้าไปทางโต๊ะกินข้าว แล้วมองเด็กๆ คุยกันอย่างมีความสุข ในขณะที่คนตัวสูงกว่าอย่างพลัฎฐ์ก็ยืนซ้อนหลังตะวันอยู่อีกที เจ้าของร่างสูงทำตีเนียนอาศัยช่วงที่ตะวันไม่ทันได้รู้สึกตัวถึงความใกล้ชิดระหว่างเขากับตัวเองขยับเข้าใกล้คนตัวเล็กกว่าอีกนิด กลิ่นกายหอมหวานคล้ายๆ กลิ่นขนมลอยวนอยู่ตรงจมูกของพลัฎฐ์ เขาไม่รู้ว่านี่เป็นกลิ่นจากน้ำหอมของตะวัน หรือเป็นกลิ่นประจำตัวปกติของอีกฝ่าย เขารู้แต่เพียงว่ามันหอมเสียจนเขาเผลอตัว ลดใบหน้าลงใบใกล้ต้นคอของคนข้างหน้าเพื่อสูดกลิ่นที่ทำให้สติและการควบคุมตัวเองของเขาลดน้อยถอยกระเจิงจนน่ากลัวแบบนี้

และในจังหวะเดียวกันตะวันก็หันมา คนตัวเล็กกว่าตั้งใจว่าจะหันมาชี้ชวนให้พลัฎฐ์ดูท่าทีออดอ้อนของน้องพี เลยมีเหตุต้องให้ชะงัก เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาของคนตัวโตกว่าที่น่าจะอยู่สูงกว่านี้เพราะขนาดตัวที่แตกต่างกัน กลับลดลงมาอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าเขา และตอนนี้ใบหน้าของคนทั้งคู่ก็อยู่ห่างกันไม่กี่เซ็นต์

ห่างกันน้อยมากจนถึงขนาดที่ว่าปลายจมูกเฉียดชนกันได้แบบไม่ตั้งใจ


“ปะป๊าพะลัดดด พี่ตะวันนน มากันหรือยังคับ คุณอาทิตย์กับน้องพีหิวแล้ว”

ตะวันที่ตัวแข็งค้างเพราะตกอยู่ในภวังค์ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงเรียกของน้องชายพุ่งทะลุโสตประสาทเข้ามาประทะอย่างจัง คนตัวเล็กกว่ากะพริบตาปริบๆ เหมือนเพิ่งได้สติหลังจากจ้องมองใบหน้าเหล่อเหลาตรงหน้าได้เกือบนาที และเมื่อสังเกตเห็นความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น ขาเรียวก็ก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วจนเผลอสะดุดขาตัวเอง

โชคดีที่ท่อนแขนกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของอีกฝ่าย เอื้อมมารับตวัดคล้องไปที่เอวบางไว้ได้ทัน ไม่งั้นตะวันมีหวังได้หงายหลังลงไปนอนแน่ๆ

ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นทำให้ตะวันหน้าแดง คอแดง ใบหูแดงก่ำไปทั่ว พลัฎฐ์ได้แต่มองภาพคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจนแทบปิดไม่มิด เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นด้วยความลืมตัว จากที่ตั้งใจว่าจะลอบสูดดมกลิ่นกายหอมหวานของอีกฝ่าย กลับกลายมาเป็นได้กอดร่างนุ่มนิ่มไว้ทั้งตัวแทน

งานนี้คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

“อะ.. เอ่อ พี่พลัฎฐ์ครับ” ตะวันขยับตัวเพื่อเรียกสติของเจ้าของอ้อมกอด เขาเขินเกินกว่าจะสบตาคมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกคู่นั้นได้

ตะวันไม่แน่ใจความหมายของสายตาที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อเท่าไหร่ แต่ที่ตะวันแน่ใจคือเขาร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกนอกอก มันน่าอายมากถ้าหากร่างกายเขาและผู้ชายบ้านข้างๆ ยังใกล้ชิดกันแบบนี้ เพราะอีกไม่นานพลัฎฐ์จะต้องได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นรัวแน่ๆ เพราะฉะนั้นการผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่นนี้นั้น จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

“...” อีกฝ่ายยังคงนิ่งงัน ตะวันจึงต้องบังคับเสียงตะกุกตะกักของตัวเองให้ดูจริงจังกว่าเดิม

“พะ.. พี่พลัฎฐ์ครับ ตะ ตะวันต้องไปดูอาหารเช้าให้เด็กๆ แล้วครับ”

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลดีสักเท่าไหร่ เขาก็ยังพูดอึกๆ อักๆ อยู่ดี แต่เที่ยวนี้ดูเหมือนพลัฎฐ์จะได้ยิน และปล่อยเขาออกให้ตามคำขอ

ความรู้สึกอบอุ่นที่โอบล้อมรอบกายเมื่อก่อนหน้าหายไป จนตะวันนึกเสียดาย พลัฎฐ์กำลังทำให้เขาถอนตัวไม่ขึ้นจากความรู้สึกวกวนที่ตัวเองกำลังเผชิญ

“ตัวเล็ก.. เจ็บตรงไหนไหม หื้ม?” พลัฎฐ์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อบอุ่น

“ไม่.. ไม่ครับ ตะวันไม่ได้เจ็บตรงไหน” คนตัวเล็กกว่าตั้งสติก่อนตอบ จากนั้นมือเรียวบางก็ยกขึ้นพุ่มตรงอกตัวเอง ตามด้วยการค้อมศีรษะลงอย่างมีมารยาท “ขอบคุณพี่พลัฎฐ์มากนะครับที่ช่วยให้ตะวันไม่หงายหลังลงไป”

พลัฎฐ์ยิ้ม เป็นยิ้มที่เจ้าตัวก็ตอบไม่ถูกว่าเขายิ้มเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ ความน่ารักของตะวันน่าจะคือสาเหตุหลัก และมีสาเหตุรองๆ ลงมาเป็นความมีมารยาท น่าเอ็นดู ที่ถึงแม้ว่าตะวันจะเขินกับการกระทำของพลัฎฐ์แค่ไหน แต่คนที่ถูกอบรมและสั่งสอนมาดี ก็เลือกที่จะไหว้ขอบคุณคนที่อายุมากกว่า ที่ได้ช่วยเหลือตนเอาไว้

พลัฎฐ์ยื่นมือใหญ่ไปกุมรอบมือเรียวบางที่กำลังยกขึ้นไหว้ ก่อนที่เสียงทุ้มจะกล่าวเอ่ย

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องดูแลตัวเล็ก พี่ยินดี "

คนตัวโตกว่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้าที่ไม่ได้ยิ้มแย้มอะไร แต่ประกายในแววตาคมกลับทำให้ตะวันใจเต้นแรงอีกรอบ

“ตะ.. ตะวันไปจัดการอาหารให้เด็กๆ ก่อนนะครับ” ใบหน้าหวานหันรีหันหันขวาง เขากลัวว่าพลัฎฐ์จะจับความรู้สึกตัวเองได้จึงรีบผลุนผลันออกไปจากจุดเกิดเหตุโดยเร็ว โดยมีเสียงหัวเราะเบาๆ ไล่ตามร่างบางที่เดินจ้ำอ้าวไม่เหลียวหลังกลับมาเลยสักนิด

.

.

.

“อ่า.. ถึงโรงเรียนแล้วครับคุณอาทิตย์ น้องพี”

ทันทีที่รถยุโรปสุดหรูของพลัฎฐ์หยุดจอดอยู่ที่หน้าโรงเรียนอนุบาล เด็กน้อยที่ดูตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดคาร์ซีท ก็ดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม

“พี่ตะวันคับ อาทิตย์อยากลงแล้วว”

“ใช่ๆ คับ น้องพีเก๊าะอยากยง ปะป๊าๆ พายงหน่อยคับ”

ผู้ใหญ่ทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วหลุดขำ แต่ดูเหมือนจะจ้องกันนานเพลินไปหน่อย เพราะจู่ๆ ตะวันก็แก้มขึ้นสี เพราะดันไปนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะออกจากบ้านมา

คนตัวเล็กกว่าหันหน้าหนีพร้อมกับปลดสายเบลท์ออก เสียงหวานเอ่ยตะกุกตะกัก ก่อนจะเปิดประตูรถ

“ตะ.. ตะวันไปพาเด็กๆ ลงก่อนนะครับ” พลัฎฐ์แอบอมยิ้มตอนที่มองท่าทีมีพิรุธของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยสบายๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรแต่แอบล้อเลียนอยู่ในที

“ไม่ต้องรีบครับตัวเล็ก เดี๋ยวก็สะดุดล้มอีก”

คำว่าสะดุดล้ม ยิ่งทำให้ตะวันเขินอายยิ่งกว่าเดิม จึงรีบพาร่างกายและหน้าร้อนๆ ของตัวเองลงจากรถ

“มาครับ น้องพี คุณอาทิตย์เดี๋ยวพี่ตะวันพาลงจากรถให้นะ”

มือเรียวจัดการปลดสายคาดเบลท์ของน้องชายตัวเองออกก่อนเพราะอยู่ใกล้มือกว่า ก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กของเด็กชายลงจากรถมายืนที่พื้นด้านข้างตัวเอง จากนั้นก็จูงอาทิตย์มาเปิดประตูอีกฝั่งที่เด็กชายพีรยสถ์นั่งอยู ่

“พี่ตะวันคับ น้องพีอยากยงแย้วว” ยิ่งเด็กชายตื่นเต้น การออกเสียงยิ่งไม่ชัดเจน แต่กลับไม่ได้ดูน่าตลกเลยสักนิด เพราะสำหรับตะวันแล้วเวลาน้องพีพูดไม่ชัดนั้นกลับน่าเอ็นดูเป็นพิเศษเสียอีก

“ครับๆ เดี๋ยวพี่ตะวันพาลงนะ” ตะวันปลดสายคาดเบลท์ที่คาร์ซีทออก ก่อนจะอุ้มเด็กชายที่ดูจะตัวเล็กเสียยิ่งกว่าน้องชายเขาลงมายืนข้างรถ และเมื่อจัดการให้เด็กๆ สะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กน่ารักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตะวันก็หันไปคุยกับเจ้าของรถคันหรูที่ยังประจำการนั่งอยู่หลังพวงมาลัย

“พี่พลัฎฐ์ไปหาที่จอดรถเถอะครับ เดี๋ยวตะวันกับเด็กๆ จะยืนรอพี่อยู่ตรงนี้”

คนตัวโตกว่าพยักหน้า “ครับ งั้นพี่ฝากน้องพีไว้กับตัวเล็กแปปนึงนะ” จากนั้นก็หันไปกำชับลูกชาย “น้องพี อยู่ตรงนี้กับพี่ตะวันดีๆ นะลูก อย่าซนรู้ไหม เดี๋ยวปะป๊าจอดรถเสร็จแล้วจะมาหา”

“คับปะป๊า น้องพีไม่ซน น้องพีเป็นเด็กดี”

เด็กชายพูดพลางยิ้มกริ่มภูมิใจในตัวเอง เพราะใครๆ ก็บอกว่าน้องพีเป็นเด็กดี เพราะฉะนั้นปะป๊าเชื่อน้องพีได้ น้องพีไม่โกหก

ตะวันลูบศีรษะกลมของเด็กชายพีรยสถ์ด้วยความเอ็นดู สายตาที่ทอดมองไปยังร่างเล็กข้างกายเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เป็นสายตาแบบเดียวกับที่พลัฎฐ์มองลูก ... และเป็นสายตาแบบที่พลัฎฐ์มองหามาโดยตลอด หากเขาจะมีใครข้างกายสักคน

พลัฎฐ์ละสายตาจากกระจกหลังที่แอบสังเกตการณ์ตะวันอยู่เงียบๆ ท่าทีที่ตะวันมีต่อลูกชายเขา และท่าทีที่ลูกชายเขามีต่ออีกฝ่ายทำให้พลัฎฐ์สบายใจ .. บางทีอะไรมันอาจจะง่ายกว่าที่เขาคิดก็ได้

คนเจ้าแผนการนึกคำนวนทุกอย่างในใจเงียบๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่น เพราะรู้สึกว่าวิธีที่จะเอาชนะใจตะวันนั้นมันจะดูขี้โกงไปสักหน่อย .. แต่ก็หน่อยเดียวจริงๆ นั่นแหละ เขาแค่อยากได้ตัวช่วย เพื่อให้เรื่องของเขากับตะวันง่ายขึ้นกว่าเดิม

.

.

.

หลังจอดรถ คนตัวโตรูปร่างสูงใหญ่ก็เดินกลับไปหาเด็กโตและเด็กน้อยทั้งสามที่ยืนรออยู่ เขาหรี่ตา ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าเจ้าของร่างเล็กที่เขาคุ้นเคย ร่างเล็กที่กำลังจับจูงเด็กทั้งสองไว้ด้วยมือคนละข้าง ยืนคุยอยู่กับใครสักคน ที่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ผอม ท่าทางยิ้มแย้มและการพูดคุยโดยไม่ถือตัวของตะวันทำให้พลัฎฐ์นึกไม่ชอบใจ แต่ก็พยายามข่มความงี่เง่าของตัวเองไว้ด้วยท่าทางสงบนิ่ง เขาควบคุมตัวเองได้ดีเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ เขากับตะวันยังไม่เป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้น การทำให้ตะวันวางใจเมื่อยามอยู่ใกล้เขาจึงเป็นเป้าหมายแรกที่พลัฎฐ์ควรทำให้สำเร็จเสียก่อน


… พยายามนิ่งไว้ นั่นคือสิ่งที่พลัฎฐ์บอกกับตัวเอง


“พี่มาแล้วครับตัวเล็ก รอนานไหม?” พลัฎฐ์เดินเข้าไปหาทั้งสามคน ก่อนจะลูบเบาๆ ลงไปบนศรีษะของคนที่เตี้ยกว่า จากนั้นก็หันไปอุ้มเด็กชายพีรยสถ์ขึ้นมากอดแนบอก


แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแสดงความสนิทสนมที่เหนือกว่าให้คนแปลกหน้าเห็นไม่ได้นี่ จริงไหม ...


คนนิสัยไม่ดีเหลือบตาคมมองตะวันที่ตอนนี้กำลังก้มหน้างุด ไม่บอกก็รู้ว่าเขินกับสิ่งที่เขาแสดงออกเมื่อกี้แน่ๆ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้พลัฎฐ์ยิ้มกริ่ม เพราะยิ่งตะวันมีท่าทีเขินอายมากแค่ไหน นั่นยิ่งหมายความว่าโอกาสย่อมเป็นของเขามากขึ้นเท่านั้น

“ปะป๊ามาแย้ว ไปกันๆ” เสียงน้องพีช่วยดึงความสนใจของทุกคนให้กลับมา ก่อนที่เสียงของคนแปลกหน้าที่พลัฎฐ์ยังไม่รู้จักเลยว่าเป็นใครก็ดังขึ้น

“ให้ผมนำไปไหมครับ เผื่อคุณตะวัน และคุณผู้ปกครองของน้องพี จะยังไม่คุ้นเคยทาง”

หึ! คุณผู้ปกครองของน้องพีเหรอ?

พลัฎฐ์คิดว่าอีกฝ่ายกำลังส่งสาส์นท้ารบเขาเงียบๆ

“ผมพลัฎฐ์ครับ เป็นพ่อของน้องพีและเป็นผู้ปกครองของอาทิตย์ ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท ไม่ได้แนะนำตัวแต่แรก”

คนตัวโตกว่าพูดพลางยิ้มมุมปากในแบบที่ตะวันมองแล้วรู้สึกว่าร้ายกาจยังไงไม่รู้ หนำซ้ำตอนนี้พลัฎฐ์ยังโมเมเหมารวมเป็นผู้ปกครองของอาทิตย์น้องชายเขาไปแล้วด้วย ตะวันจะแย้งก็ไม่ใช่ที่ เพราะจากที่คุยกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้าน ทั้งเขาและพลัฎฐ์ก็ตกลงกันแล้วว่าอาจต้องผลัดกันมารับเด็กๆ ดังนั้นเด็กทั้งสองจึงต้องมีทั้งเขาและพลัฎฐ์เป็นผู้ปกครองทั้งคู่ เพียงแต่ตะวันไม่ติดว่าพลัฎฐ์จะพูดออกมาโต้งๆ ในเวลานี้ เพราะดูยังไงแล้วการบอกให้คนตรงหน้านี้รู้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นเท่าไหร่

แต่ที่เหลือร้ายที่สุดในประโยคก่อนหน้าของพลัฎฐ์ ตะวันคิดว่าคงเป็นประโยคสุดท้าย ที่พลัฎฐ์พูดขอโทษอีกฝ่ายที่เสียมารยาทเพราะไม่ได้แนะนำตัว นั่นเพราะ ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ได้แนะนำตัวกับพลัฎฐ์เลยสักคำ จะเรียกว่าพูดแดกดันผู้ชายอีกคนก็คงจะไม่ต่างสักเท่าไหร่นัก

“สวัสดีครับคุณพลัฎฐ์ ผมกวินทร์ครับ เรียกสั้นๆ ว่าครูวินก็ได้ ผมเป็นครูประจำอยู่ที่โรงเรียนนี้ครับ”

พลัฎฐ์ไม่ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ดูไม่ได้เต็มใจจะยิ้มเท่าไหร่ ก่อนที่เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ที่อุ้มลูกชายไว้ในอ้อมกอดจะหันมาหาตะวัน พลางเอื้อมมือไปจับจูงมือเล็กข้างที่ว่างของอีกฝ่าย ข้างที่ไม่ได้จูงเด็กชายภานวีย์ไว้ในมือ

“ไปครับ เราน่าจะพาเด็กๆ ไปที่ห้องอำนวยการก่อน เพราะพี่กับตัวเล็กต้องไปแจ้งความจำนงเป็นผู้ปกครองของทั้งน้องพีแล้วก็คุณอาทิตย์ จะได้ไม่มีปัญหาเวลามารับมาส่ง”

พลัฎฐ์พูดกับตะวันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันมายิ้มทางการให้กับครูวินที่เหมือนจะถูกลืมไปสักพักก่อนหน้านี้

“ขอบคุณครูกวินทร์มากนะครับ แต่ผมพอจะรู้ทางอยู่บ้าง ขอไม่รบกวนคุณดีกว่า วันนี้ท่าทางผู้ปกครองจะเยอะ คงมีคนไม่รู้ทาง หลงทางพอสมควร ผมคิดว่าคุณน่าจะไปให้ความช่วยเหลือผู้ปกครองเหล่านั้นแทน... ส่วนพวกเรา ผมดูแลเองได้ครับคุณไม่ต้องห่วง แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”

ท่าทางสุภาพและคำพูดที่เป็นทางการที่พลัฎฐ์เอามาใช้ทำให้ตะวันพูดไม่ออก เพราะถึงแม้ถ้อยคำเสียดสีจะชัดเจนในรูปประโยค แต่ไม่ได้มีท่าทีไหนของพลัฎฐ์ที่จะเอามาต่อว่าได้ ... นี่สินะ เจ้าของนิยามของคำว่าปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอที่แท้จริง

ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนครูกวินทร์จะอึ้งไปเลยจริงๆ เหมือนกัน

“ถ้างั้น... ผมขอตัวนะครับ”

พลัฎฐ์พูดพร้อมกับจูงตะวันที่กำลังจูงอาทิตย์อยู่เดินออกมาเงียบๆ เพื่อเดินไปยังห้องอำนวยการที่อีกฝ่ายว่า

ตะวันอ้าปากจะเอ่ยถามพลัฎฐ์อยู่หลายต่อหลายครั้งว่าท่าทีของพลัฎฐ์ที่มีต่อเขามันหมายความว่ายังไง เหตุการณ์เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ตะวันดูไม่ออกว่าพลัฎฐ์อยากจะกันท่าครูหนุ่มคนนั้นให้ออกห่างจากเขา เพียงแต่ตะวันไม่สามารถมั่นใจในตัวเองขนาดนั้นได้ เพราะเท่าที่ได้อยู่กับพลัฎฐ์สองต่อสองที่ผ่านมา ท่าทีเจ้าชู้ของอีกฝ่ายก็ไม่มีให้เห็น จนทำให้ตะวันตอนนี้ ไม่แน่ใจอะไรในตัวอีกฝ่ายเลยสักนิด

.

.

.


- อ่านต่อด้านล่าง -

ออฟไลน์ Gade_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-4
- ต่อจากด้านบน -


“เรียบร้อยแล้วค่ะ ดิฉันทำเรื่องไว้แล้วว่าต่อไปนี้ผู้ปกครองที่จะมารับเด็กชายภานวีย์และเด็กชายพีรยสถ์ ก็คือคุณพลัฎฐ์กับคุณภานรินทร์นะคะ ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงรบกวนคุณทั้งสอง แจ้งให้ทางโรงเรียนทราบด้วย อย่างที่พวกคุณทราบดีว่าโรงเรียนเราค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ บางทีอาจจะมีเคร่งครัดไปบ้าง แต่ก็เพื่อให้ผู้ปกครองวางใจว่าเราจะดูแลเด็กๆ ให้ดีที่สุดอย่างเต็มความสามารถค่ะ”

อาจารย์สาวที่อายุน่าจะประมาณสี่สิบต้นๆ พูดจากระฉับกระเฉงน่าเชื่อถือ ทำให้ตะวันค่อนข้างสบายใจว่าถ้าน้องชายเขาอยู่ที่นี่น่าจะได้รับการดูแลที่ดีอย่างที่อีกฝ่ายบอก เพราะเท่าที่ดูมาตรการอะไรต่างๆ ก็เข้าท่าดี

“ถ้างั้นผมพาเด็กๆ ไปส่งที่ห้องเรียนได้เลยใช่ไหมครับ” พลัฎฐ์ถามขึ้นหลังจากเขาทั้งสี่ทำเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย โดยมีครูเจ้าหน้าที่เดินออกมาส่งหน้าห้อง

“ใช่ค่ะ คุณทั้งสองพาเด็กชายพีรยสถ์กับเด็กชายภานวีย์ไปที่ห้องได้เลยค่ะ เด็กๆ อยู่ห้องเดียวกันพอดี”

ตะวันยิ้ม ก่อนจะก้มลงไปกระซิบบอกเด็กชายทั้งสองที่ตอนนี้เขาจูงมือเด็กทั้งคู่ไว้คนละข้าง

“น้องพีครับ อาทิตย์ครับ หนูสองคนได้เรียนห้องเดียวกันนะครับ ดีใจไหม?”

พอได้ยินตะวันบอกจบน้องพีและคุณอาทิตย์ก็ยิ้มกว้าง พลางกระโดดโลดเต้นอย่างยินดี โดยเฉพาะเจ้าหนูคนที่ตัวเล็กกว่า ที่เหวี่ยงตัวเองไปยืนข้างหน้าคุณอาทิตย์ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างของตัวเองจับไปที่มือข้างที่ว่างของอาทิตย์ พลางเขย่าไปมาเบาๆ

“น้องพีดีใจ น้องพีอยากอยู่กับคุณอาทิตย์มากๆ เยย” น้องพียิ้มตาหยี ให้อาทิตย์เองได้ยิ้มตอบ

“คุณอาทิตย์ก็ดีใจ เราจะได้เรียนหนังสือด้วยกัน”

ผู้ใหญ่ทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงนั้นอดยิ้มเอ็นดูให้กับท่าทีของเด็กทั้งสองไม่ได้ จนสุดท้ายพลัฎฐ์ก็ตัดบท

“งั้นไปกันเถอะครับเด็กๆ ไปดูห้องเรียนกัน ไปดูคุณครูประจำชั้นด้วยว่าเป็นใคร ปะป๊ากับพี่ตะวันจะได้ปรึกษาถูกคน”

“เย่ๆ ไปๆ” น้องพียกแขนชูจนสุด ก่อนจะหันมาพุ่มมือไหว้คนที่ยืนอยู่อีกข้าง “สวัสดีคับคุณครู น้องพีไปนะคับ”

“สวัสดีครับคุณครู”

เด็กทั้งสองคนบอกลาครูเจ้าหน้าที่ พลางเดินลากแขนทั้งสองข้างของตะวันออกมาด้วยเรี่ยวแรงน้อยๆ ของตัวเอง

“ผมไปก่อนนะครับ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณคุณครูมากครับ” พลัฎฐ์บอกลา ในขณะที่ตะวันหันมาค้อมศีรษะให้อีกฝ่าย เพราะตอนนี้เขาไม่ว่างยกมือขึ้นไหว้ เนื่องจากถูกจับจองจากเด็กๆ ทั้งสองข้างแล้ว

ทั้งสี่คนเดินจูงมือเรียงหน้ากระดานตรงไปยังห้องเรียนของเด็กชายทั้งสอง น้องพีกับอาทิตย์ดูตื่นเต้นมากๆ ตากลมของเด็กทั้งคู่สอดส่ายไปมา มองไปตามทางข้างๆ ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ให้คนเป็นพ่อและคนเป็นพี่อดเหลือบมองด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“อ่า ปะป๊าว่าน่าจะถึงแล้วนะ” พลัฎฐ์มองไปยังป้ายเล็กๆ ที่แขวนอยู่หน้าห้อง


อนุบาลหนึ่งเอ ห้องปลาโลมา


“น้องพีกับอาทิตย์อยู่ห้องนี้แหละครับ ห้องคุณปลาโลมา” ตะวันบอก พลางนึกอย่างชอบใจในไอเดียการตั้งชื่อห้องเป็นสัตว์ต่างๆ ให้เด็กๆ จำได้ ถือว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่งที่ตะวันนึกชม

“น้องพีชอบคุณปลาโยมา ปะป๊าเคยพาไปดูที่สวนสัตว์คับ”

“งั้นน้องพีต้องจำเอาไว้นะครับว่าอยู่ห้องนี้ เวลาคุณครูหรือใครถามว่าน้องพีอยู่ห้องไหน น้องพีจะตอบว่า...?”

คนเป็นพ่อแกล้งถาม ให้ลูกชายได้ฝึกความจำ

“น้องพีอยู่ห้องคุณปลาโยมาคับ”

“เก่งมากครับ งั้นเดี๋ยวเราเข้าไปดูในห้องกันดีกว่าเนอะ”

พลัฎฐ์จูงน้องพีเดินตามตะวันที่จูงอาทิตย์เข้าไปก่อน และพอประตูห้องเรียนปิดลง พลัฎฐ์ก็นึกชังความบังเอิญที่เกิดขึ้นไม่รู้จักเวล่ำเวลาแบบในตอนนี้ที่สุด

“อ้าวคุณครู...” ตะวันร้องทัก ให้พลัฎฐ์ได้มองตามก่อนที่จะเห็นคนที่ไม่ถูกชะตาแบบเต็มๆ

“อ้าว คุณตะวัน” ครูหนุ่มร้องทัก พลางยิ้มกว้าง “อาทิตย์เรียนห้องนี้เหรอครับ”

“ใช่ครับอาทิตย์เรียนห้องนี้ ชื่อจริงของแกคือ เด็กชายภานวีย์ครับ” ตะวันตอบอย่างอัธยาศัยดี น้ำเสียงหวานพูดอย่างน่าฟัง ไหนจะรอยยิ้มกว้างที่สว่างไสวอีก ครูหนุ่มอย่างกวินทร์ยอมรับเลยว่าเขารู้สึกเคลิ้มไม่น้อย เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนมีรอยยิ้มที่สวยและสดใสขนาดนี้มาก่อน

รอยยิ้มของตะวันทำให้เขาเห็นแล้วอยากยิ้มตาม

แต่แล้วรอยยิ้มของครูหนุ่มก็ต้องค่อยๆ หุบลง เมื่อเห็นเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ที่ได้ประทะอารมณ์กันก่อนหน้า เคลื่อนตัวเนียนๆ มายืนข้างตะวัน

“เจอกันอีกแล้วนะครับคุณครู” พลัฎฐ์พูดอย่างเป็นทางการ เขาไม่เรียกแม้แต่ชื่อเล่นของกวินทร์ด้วยซ้ำ แม้ก่อนหน้ากวินทร์จะเอ่ยอนุญาตแล้ว ที่เขาทำแบบนี้เพราะอยากเน้นย้ำถึงสถานะให้อีกฝ่ายทราบ

ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนกับคุณครูประจำชั้น ... การคงไว้ซึ่งมารยาทจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนเป็นครูควรมี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ปกครองคนนั้นเป็นตะวัน เขาไม่มีวันยอมให้ใครมาสนิทสนมออกนอกหน้ามากแน่ๆ

“น้องพีของผมก็เรียนห้องนี้ครับ ยังไงรบกวนฝากคุณครูช่วยดูแลแกด้วยนะครับ”

พลัฎฐ์ยังคงพูดด้วยรอยยิ้มจาง ในขณะที่น้องพีที่เขาจับจูงนั้นดูจะตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เจอคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน

“คุณครูๆ คุณครูคนเมื่อกี้นี่นาคุณอาทิตย์” เจ้าตัวน้อยเจื้อยแจ้วปากยื่นปากยาวไปหาเพื่อนตัวน้อยที่อยู่อีกฝั่ง ทำให้ตะวันต้องปล่อยมือที่จูงอาทิตย์ออก เพราะเห็นว่าตอนนี้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัยเช่นในห้องเรียนแล้ว

และแน่นอนว่าเจ้าน้องชายตัวแสบของเขาก็ถลาไปหาเด็กชายที่ตัวเองสนิททันที

“อื้อ คุณครูคนเมื่อกี้ น้องพีไปนั่งเรียนข้างคุณอาทิตย์นะ”

พูดไม่พูดเปล่า มือเล็กๆ ของเด็กชายอาทิตย์ยังจับจูงมือที่เล็กกว่าของเด็กชายพีรยสถ์แน่น ให้ลูกชายตัวน้อยของคุณพลัฎฐ์ต้องเหลือบมองคนเป็นพ่อให้อนุญาต

“โอเคครับ ปะป๊าอนุญาต”

พลัฎฐ์ปล่อยมือออกจากมือน้องพี และเตรียมจะปล่อยให้เด็กๆ ไปเลือกหาที่นั่งเพื่อเตรียมเรียน

“ไปๆ น้องพีจะนั่งเยียนกับคุณอาทิตย์ ให้คุณอาทิตย์สอนวาดยูป คุณอาทิตย์วาดยูปสวยมากๆ”

น้องพียังเจื้อยแจ้วพูดจาเอาใจอาทิตย์อย่างน่าเอ็นดู แต่ก่อนที่เด็กทั้งสองจะเดินพ้นไปจากตรงที่พวกเขายืนอยู่ ตะวันก็ลดตัวลงนั่งยองๆ เพื่อให้ความสูงของตัวเองเสมอกับน้องชาย ก่อนจะจับไหล่เล็กๆ ของอาทิตย์แน่น พลางเอ่ยสั่งสอน

“อาทิตย์ครับ จำที่พี่ตะวันสอนได้ไหมครับ” ตะวันถามน้อง และอาทิตย์ก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น เท่าที่เด็กวัยสามขวบกว่าจะสามารถ

“จำได้คับ พี่ตะวันสอนว่า มาเรียน ห้ามวิ่งเล่นหนีไปหนีมา คุณครูพูดอะไรก็ต้องเชื่อฟัง” อาทิตย์พูดตอบได้แม่นยำไม่มีตกหล่น

“แล้วอะไรอีกครับ” ตะวันถามต่อ ใบหน้าน่ารักของเด็กชายเอียงไปเอียงมานิดหน่อยก่อนจะยิ้มราวกับนึกออก

“อาทิตย์ต้องตั้งใจเรียน ต้องไม่ดื้อ และที่สำคัญ อาทิตย์ต้องดูแลน้องพีอย่างดี เพราะน้องพีตัวเล็ก อาทิตย์ตัวใหญ่กว่า อาทิตย์ต้องปกป้องน้องพีดีๆ คับ”

เด็กชายตอบฉะฉาน ให้คนเป็นพี่ได้ภูมิใจ มือเรียวลูบศีรษะกลมของน้องชายด้วยความรักความเอ็นดู ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าหาและกดจมูกลงบนแก้มยุ้ยๆ ของเด็กชายภานวีย์เบาๆ

ฟอด ~

“เก่งมาครับอาทิตย์ของพี่ ตั้งใจเรียนนะครับ ดูแลน้องพีด้วย แล้วเย็นนี้พี่จะมารับ”

เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปยกมือไหว้พลัฎฐ์

“ปะป๊าพะลัดสวัสดีครับ” แล้วก็หันมาทางพี่ชายตัวเอง “พี่ตะวันสวัสดีคับ เจอกันตอนเย็นคับ”

ในขณะเดียวกันที่พลัฎฐ์ลดตัวลงไปนั่งยองๆ และยื่นหน้าไปจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากแคบของเด็กชายพีรยสถ์เบาๆ

จุ๊บ ~

“เรียนวันแรกสู้ๆ นะลูก ตั้งใจเรียน ปะป๊าเอาใจช่วย คนก่งของปะป๊า”

น้องพียิ้มกว้างก่อนจะยกแขนเล็กๆ โอบรอบคอคนเป็นพ่อ แล้วยื่นริมฝีปากช่างเจื้อยแจ้วนั่นไปจูบเบาๆ ที่แก้มสากของพลัฎฐ์เบาๆ

จุ๊บ ~

“น้องพีจะตั้งใจเยียน บ๊ายบายคับ” เด็กชายยกมือขึ้นพุ่ม ก่อนจะก้มศีรษะ พลางเอ่ยลาปะป๊าและพี่ชายคนโปรดข้างบ้าน “สวัสดีคับปะป๊า สวัสดีคับพี่ตะวัน”

พอยกไหว้เสร็จเด็กทั้งคู่ก็จับจูงมือกันเดินไปที่ที่นั่งของตัวเอง เป็นภาพที่เห็นแล้วก็อดปลื้มใจไม่ได้ เพราะวันนี้ทั้งน้องพี ทั้งอาทิตย์ไม่มีวี่แววว่าจะงอแงหรือตื่นกลัวเลยสักนิด ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่กระจองงอแงเพราะยังปรับตัวไม่ได้ การเปิดเรียนวันแรกสำหรับเด็กบางคนนั้นค่อนข้างน่ากลัว เพราะนั่นหมายถึงการต้องห่างจากพ่อแม่และครอบครัว การต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นชิน

ซึ่งพลัฎฐ์และตะวันค่อนข้างแน่ใจว่าที่เด็กๆ ไม่แสดงอาการต่อต้านการมาโรงเรียนนั่นก็เพราะเด็กทั้งสองมีกันและกันเป็นเพื่อน ทั้งคู่เลยมั่นใจว่าตัวเองจะอยู่ที่โรงเรียนได้ไม่มีปัญหา เพราะอย่างน้อยเขาก็มีกันและกันอยู่ข้างกายให้ไม่ต้องรู้สึกเหงา หรือแปลกแยก ถึงไม่มีพลัฎฐ์หรือตะวันอยู่ข้างๆ ถึงจะต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมมาอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นชิน แต่อย่างเขาทั้งสองก็ยังมีกัน นั่นเลยไม่ทำให้เด็กทั้งคู่กังวล

และพอส่งเด็กทั้งสองเข้าเรียนเรียบร้อย ทั้งพลัฎฐ์และตะวันก็ตั้งใจจะกลับไปทำงาน แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กกว่าจะนึกอะไรขึ้นได้เลยหันหลังกลับมาอีกรอบ ทำเอาคนตัวโตกว่าเดินตามมาแทบไม่ทัน

“เอ่อ.. คือผมเพิ่งนึกขึ้นได้น่ะครับ ผมขอแอบถ่ายรูป อาทิตย์กับน้องพีหน่อยได้ไหมครับ พอดีจะส่งให้คุณพ่อกับคุณแม่ที่ต่างประเทศดู”

คุณครูหนุ่มพยักหน้าอนุญาตพลางยิ้มกว้าง ตะวันกล่าวขอบคุณก่อนจะยกโทรศัพท์มือขึ้นมาถ่ายรูปตอนที่อาทิตย์กับน้องพีกำลังก้มหน้าก้มตาชี้ชวนกันดูภาพประกอบในหนังสือเรียนด้วยรอยยิ้มกว้าง ทำเอาคนที่กำลังเก็บภาพอดยิ้มตามด้วยไม่ได้

ตะวันรัวชัตเตอร์อยู่สองสามรูปก็เปลี่ยนมาเลื่อนเช็คภาพ เมื่อเป็นที่พอใจแล้วก็เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง

คุณครูหนุ่มที่เห็นสบโอกาสที่จะสานสัมพันธ์กับผู้ปกครองของเด็กนักเรียนในความดูแล ก็ตรงปรี่เข้ามาจะขอช่องทางการติดต่อไว้เผื่อมีปัญหา แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะช้ากว่าอีกคน ที่คอยจับตาดูตะวันอยู่ทุกฝีก้าว

“คุณตะวันครับ ถ้าผมจะรบกวนขอเบอร์โทรศัพท์ หรือช่องทางอื่นๆ ไว้ติดต่อ คุณจะ...”

“เอาของผมไว้ก็ได้ครับ นี่นามบัตร” พลัฎฐ์เดินตรงเข้ามาแทรกกลาง ก่อนจะยื่นกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมมาตรฐานใส่มือของคนได้ชื่อว่าเป็นครูประจำชั้นของเด็กๆ “ติดต่อผมได้ตลอดครับ เพราะผมมีเลขาฯ คอยรับเรื่อง บางทีตัวเล็ก... อ่อ ผมหมายถึงตะวันน่ะครับ เขาอาจจะไม่ค่อยว่างรับสาย เอาเบอร์ผมไปน่าจะดีกว่า”

คนตัวโตกว่ายิ้มให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ แต่สายตาคมนั่น ถ้าสังเกตดีๆ มันไม่สุภาพสักนิด ซึ่งคนที่เห็นไม่ใช่ตะวันเพราะฉะนั้นพลัฎฐ์ไม่แคร์

และหลังจากจ้องตากับคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่เกลียดขี้หน้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบเสร็จ พลัฎฐ์ก็ปรับท่าทีและอารมณ์ในดวงตา ก่อนจะหันไปหาคนตัวเล็กกว่าที่ตอนนี้มองมาที่เขางงๆ

“กลับกันเถอะตัวเล็ก... เดี๋ยวรถติด” ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ยังเอื้อมไปจับข้อมือเล็กมาจูง ก่อนจะพาเดินออกจากบริเวณห้องเรียน ก่อนที่เด็กๆ จะหันมาเห็นว่าพวกเขายังไม่กลับ จากที่ไม่งอแงก็อาจจะงอแงกันขึ้นมาได้

ตะวันเดินตามแรงจูงของพลัฎฐ์ออกมาที่รถทั้งที่สติยังกลับไม่เข้าที่เต็มร้อย คนตัวเล็กกว่ายอมรับว่างุนงงไม่น้อยที่จู่ๆ พลัฎฐ์ก็เข้ามาแทรก ไม่ยอมให้ตะวันให้เบอร์โทรศัพท์กับคุณประจำชั้น ดังนั้นเมื่อขึ้นรถกันมาเรียบร้อย เขาก็เปิดฉากถามทันที

“ทำไมพี่พลัฎฐ์ไม่ยอมให้ตะวันเอาเบอร์โทรศัพท์ให้ครูกวินทร์ไปล่ะครับ เกิดมีเรื่องเร่งด่วนขึ้นมาจะทำยังไง”

เสียงหวานต่อว่าไม่จริงจัง ติดจะไม่เข้าใจมากกว่าโกรธเคือง พลัฎฐ์สัมผัสได้

“ให้เขาติดต่อพี่ก็ได้นี่ครับ ที่ร้านตัวเล็กบางวันยุ่งจะตาย ของพี่เนี่ยยังไงก็มีเลขาฯ คอยรับ ไม่พลาดสักสายแน่ๆ”

พลัฎฐ์หว่านล้อมพลางชักแม่น้ำทั้งห้า เพราะไม่อยากให้ตะวันสงสัยว่าที่เขาไม่ยอมให้เนื่องจากกลัวไอ้ครูหน้าหยกจะลักลอบติดต่อตะวันนอกเหนือจากเรื่องเด็กๆ ... พลัฎฐ์ไม่ชอบ เขาหวง หวงมากเสียด้วย หวงทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่แหละ

ตะวันนิ่งคิด เหมือนจะคลายสงสัย แต่ก็ยังไม่คลายสงสัย สุดท้ายก็ถามออกมาอีกจนได้

“แต่มีเบอร์ตะวันด้วยก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ พี่พลัฎฐ์น่าจะ..”


“มีเบอร์พี่คนเดียวก็พอ ของตัวเล็กไม่ต้องให้มีหรอก... พี่หวง”


พลัฎฐ์สวนออกมาด้วยประโยคที่ไม่คาดคิด สวนออกมาโดยที่ตะวันยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ

และดูเหมือนว่าประโยคนั้นจะทำเอาตะวันนิ่งไปเลย เขาพูดไม่ออก ที่ทำได้มีเพียงนั่งหน้าแดงเงียบๆ ตอนที่พลัฎฐ์กำลังจะเคลื่อนรถออกจากโรงเรียน

พลัฎฐ์เหลือบมองคนข้างตัวที่ตอนนี้นั่งเงียบไปแล้ว คนตัวเล็กกว่าที่ตัวขาวเป็นทุน ตอนนี้แก้มแดงก่ำลามมายันคอ มองแล้วน่ารังแกไม่น้อย ซึ่งความคิดนั้นก็ทำเอาคนขี้แกล้งหลุดขำออกมาเบาๆ

คนตัวโตกว่าละสายตาออกมาจากคนที่เพิ่งถูกฮุคด้วยประโยคเด็ดกลับมามองถนน เขาครุ่นคิดมองถนนสลับกับมองตะวัน เพราะตอนแรกพลัฎฐ์ตั้งใจว่าจะค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ พาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของตะวัน ให้อีกฝ่ายค่อยๆ เปิดรับเขาทีละนิด แต่เขากลับลืมคิดไปว่า ตะวันเป็นคนน่ารัก สดใส เขาอยู่ใกล้ไม่นานยังตกหลุมรักได้แบบไม่รู้ตัว ... แล้วคนประเภทตะวันก็มักจะดึงดูดผู้คนได้ไม่ยากด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือครูประจำชั้นของเด็กทั้งสองในวันนี้

เพราะฉะนั้น เห็นทีพลัฎฐ์คงจะชักช้าต่อไปไม่ไหว วันนี้เขาปล่อยหมัดแรกไปแล้ว ต่อจากนี้คงถอยหลัง หรือรีๆ รอๆ ไม่ได้อีก มีแต่ต้องเดินหน้าเท่านั้น และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจมากว่าตัวเองจะทำได้

เพราะอะไรน่ะหรอ?

ก็อย่างที่พลัฎฐ์เคยบอกไปนั่นแหละว่าเขามีตัวช่วยพิเศษ ตัวช่วยที่คนอื่นไม่มีเหมือนเขา สงสัยได้เวลาเบิกตัวช่วยมาใช้แล้ว ถ้าอยากได้ตะวันมาเคียงข้าง พลัฎฐ์ก็ต้องเดินหน้าต่อ รั้งรอไม่ได้อีกต่อไป

.

.

.

To Be Continue

------------------------------------

Talk: ปะป๊าพลัฎฐ์จะรุกละน้าพี่ตะวัน เตรียมตัวให้ดีเด้อ กิกิ ><

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และการติดตามนะคะ ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นท์บอกหรือติชมได้เลยยยย หรทอจะติดแท็ก #เกิดเป็นรักข้ามรั้ว ในทวิตเตอร์ก็ได้นะคะ ... รออ่านอยู่เสมอค้าบบบ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด