#Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 16: กลับบ้านใหญ่ [14-1-20] คห.69
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #Newyou #สามสิบวันรับประกันคุณคนใหม่ Day 16: กลับบ้านใหญ่ [14-1-20] คห.69  (อ่าน 23904 ครั้ง)

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Day 8: อ่านหนังสือ




“ปราณอยากให้พี่ทำอะไรกับปราณดีครับวันนี้”



“อะ...อะไรนะครับ?” ผมหันขวับไปหาคนที่ยืนทำกับข้าวอยู่ในครัว ไม่มั่นใจว่าได้ยินอีกฝ่ายถูกต้องหรือไม่



“เรื่องบทเรียนไงครับ” พี่ต้าหันมายิ้มให้ผม “ปราณอยากให้พี่สอนอะไรเหรอครับ?”




ผมว่าการอยู่กับพี่ต้ามากเกินไปทำให้สมองของผมเริ่มเปลี่ยนคำพูดของพี่เขาไปในทางที่ตัวเองต้องการจะได้ยินขึ้นเรื่อยๆยังไงก็ไม่รู้แฮะ




“วันนี้เราแค่ไปฟิตเนสกันเฉยๆได้มั้ยครับ พี่ต้าใกล้สอบแล้วนี่ครับ เดี๋ยวจะอ่านหนังสือไม่ทันเอา” ผมเอาเรื่องสอบกลางภาคมาอ้าง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าหัวใจผมแค่เหนื่อยเกินกว่าจะรับการกระทำสองแง่สามง่ามของอีกฝ่ายได้มากกว่านี้



“เอาอย่างนั้นก็ได้นะ” พี่ต้าวางจานข้าวหมูย่างและสลัดถ้วยใหญ่ลงบนโต๊ะ “แต่ปราณไม่ต้องห่วงเรื่องพี่หรอกนะ พี่จัดการตัวเองได้ แต่ปราณก็ใกล้จะสอบเหมือนพี่แล้วใช่มั้ย? เราพักอ่านหนังสือสอบกันสักระยะก็ได้”



ผมยิ้มให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณ ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องอ่านไม่ทัน แต่การได้พักจากบทเรียนที่ทำให้ใจผมไม่สงบสุขไปสักระยะก็ดูจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย



“แล้วพี่ต้าอ่านถึงไหนแล้วเหรอครับ?” ผมชวนคุย ช่วยจัดโต๊ะอาหารเมื่อเห็นว่าพ่อครัวชั่วคราวของผมใกล้ทำอาหารเสร็จแล้ว พี่ต้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และนั่นเรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี



“ไม่ถึงไหนเลย ปีสองชีทเรียนมีแต่ภาษาอังกฤษ พี่ก็โง่อังกฤษด้วย กว่าจะอ่านจบก็นานกว่าชาวบ้านเขา”



“เอ๊ะ...แต่พี่ต้า..” ผมขมวดคิ้ว พยายามทบทวนความทรงจำว่าพี่ต้าจบมัธยมปลายที่ไหน “ผมเห็นไอ้เต้อยู่นานาชาติกับพวกผม ผมเลยเข้าใจว่าพี่ต้าก็อยู่นานาชาติเหมือนกัน...”



“เปล่า มีแค่ไอ้เต้แหละที่อยู่นานาชาติ” พี่ต้าตอบ “แต่ก็ดีแล้วล่ะ พี่โง่อังกฤษขนาดนี้ อยู่ไปก็จะเรียนไม่จบเอา”




“ถ้า…ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ ให้ผมช่วยแปลก็ได้นะครับ” ถึงอย่างไรผมก็เรียนสายนี้อยู่แล้ว



ดวงตาของคนตรงหน้าเป็นประกายวาววับกับข้อเสนอ ผมได้รับรางวัลของการทำดีเป็นรอยยิ้มกว้างสว่างสดใสจนผมแสบตาจากความเจิดจ้านั่น



“ขอบคุณนะครับปราณ มีใครเคยบอกมั้ยว่าปราณน่ารักมากเลย”



“ก็มีแต่พี่ต้านี่แหละครับที่บอกผมเช้าเย็น” ผมยิ้มขำ รินนำเปล่าลงในแก้วทั้งสองใบ ก่อนจะเกือบทำเหยือกน้ำหลุดมือเมื่อคนที่ไม่รู้เข้ามาใกล้ผมตอนไหนวางคางลงบนไหล่ของผม กระซิบเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกอ่อนยวบไปทั้งร่าง
“แล้วพี่ก็จะบอกปราณไปเรื่อยๆแบบนี้จนกว่าปราณจะเชื่อพี่”



เล่นแบบนี้ไม่แฟร์เลยซักนิด!




“พี่ต้า หนักครับ” ผมพึมพำ เบือนหน้าหนีคนที่ชอบยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
อีก




“โทษทีๆ” อีกฝ่ายรีบผละออกไปเมื่อได้ยินดังนั้น แม้จะรู้สึกเสียดายความอบอุ่นของร่างข้างๆ แต่ผมคิดว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้



บางทีผมก็สงสัยนะ ว่าพี่ต้าใจดีขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที









“ปราณๆ ตรงนี้แปลว่าอะไรเหรอ?”



พี่ต้ายื่นชีทของตัวเองให้ผมดูส่วนที่ไฮไลท์ไว้ ผมไม่รู้ว่าพวกเรามาลงเอยกันที่การอ่านหนังสือเตรียมสอบบนเตียงของผมทั้งคู่ได้อย่างไร แต่ภาพที่เหมือนกับหลุดออกมาจากห้วงความฝันนี้ทำให้ผมรู้สึกอายกับความคิดอกุศลของตัวเองต่อจากนี้จนแทบอยากจะเอาหน้าซุกหมอนแล้วไม่โผล่กลับขึ้นมา



“อันนี้ใช่มั้ยครับ? เป็นเรื่องพลังงานที่ได้จากคาร์โบไฮเดรต...” เสียงของผมถูกลืนหายลงไปในลำคอเมื่อพี่ต้ายื่นหน้าเข้ามาดูชีทด้วยกันกับผม ถึงแม้ผมจะเริ่มเคยชินกับความชื่นชอบสกินชิพของพี่เขาแล้ว แต่บางทีก็ยังอดไม่ได้ที่จะชะงักกับความไร้พื้นที่ส่วนตัวของคนข้างๆ



“ปราณนี่เก่งจังเนอะ พี่ต้องทำยังไงถึงจะเก่งเหมือนปราณเนี่ย” พี่ต้าชมผมด้วยน้ำเสียงจริงใจ ผมก้มหน้าเกาศีรษะแก้เก้อพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเขินอาย



“ไม่หรอกครับ พี่ต้าก็เก่งตั้งหลายเรื่อง”



“แล้วเรื่องของปราณ...ปราณว่าพี่เก่งมั้ยครับ?” ผมหันไปมองหน้าพี่ต้าอย่างประหลาดใจ คนพูดยิ้มก่อนจะขยายความ “ในฐานะเทรนเนอร์ ปราณคิดว่าพี่รู้เรื่องปราณดีพอรึยังครับ?”



“โห พี่ต้ารู้มากกว่าที่ผมรู้จักตัวเองอีกมั้งครับ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ “ถ้ารู้มากกว่านี้พี่ต้าก็รู้แล้วว่าตอนนี้ผมใส่กางเกงในสีอะไร”



“ชมพู” พี่ต้าตอบหน้าตาย เล่นเอาผมสะดุ้งรีบหันไปมองด้านหลังว่ามีขอบกางเกงชั้นในของตัวเองโผล่ออกมาหรือไม่ “ก็ข้าวของของปราณมีอยู่สีเดียวนี่นา ตอนหาชุดให้ปราณใส่พี่เห็นทั้งลิ้นชักมีแต่สีชมพู ปราณชอบสีชมพูขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”



โอ๊ย ม๊านะม๊า หมดกันความแมนของไอ้ปราณ



“หม่าม๊าผมชอบครับ ผมไม่ค่อยอยากขัดใจท่าน”




“เหรอ…” พี่ต้าลากเสียง เอียงคอมองผมด้วยแววตาใคร่รู้ “แล้วปราณชอบสีอะไรล่ะ?”




“ก็ไม่มีสีที่ชอบเป็นพิเศษหรอกครับ เป็นแนวสีพาสเทลซะส่วนใหญ่” ผมชอบสีที่มันสบายตา ดูแล้วมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



“พี่ก็ชอบนะ ดูแล้วมันสบายตาดี” พี่ต้าเอ่ยสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาอีกครั้ง รสนิยมที่คล้ายคลึงกันในแทบทุกด้านของพวกเราทำให้ผมกับพี่ต้าไม่เคยหมดเรื่องที่จะพูดคุยกัน และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเราเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้



อย่างเช่นมือของอีกฝ่ายที่ผมเพิ่งสังเกตว่ากำลังวางอยู่บนต้นขาของผมเป็นต้น



“เอ่อ…แอร์เย็นจังนะครับ…” ผมโน้มตัวไปหยิบผ้าห่มที่วางอยู่ปลายเตียง ทำให้มือของพี่ต้าหล่นลงไปจากตักของผมตามแรงโน้มถ่วง




“นั่นสิ พี่ก็หนาวเหมือนกัน” พี่ต้าพยักหน้าเห็นด้วย แย่งผ้าห่มไปจากมือผมแล้วคลี่ออกตวัดคลุมรอบตัวพวกเราทั้งคู่ กลายเป็นว่าขอบเขตของผ้าผืนนุ่มบังคับให้ผมกับพี่ต้าต้องขยับเข้ามาใกล้กันกว่าที่เป็นอยู่ “ไงครับ? อุ่นขึ้นมั้ย?”




ผมทำได้เพียงพยักหน้าหงึกหงักแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อ ซ่อนใบหน้าที่ขึ้นสีเรื่อใต้เงามืดของผ้าห่มผืนหนา



“นี่ก็…เป็นบทเรียนของพี่ต้าด้วยรึเปล่าครับ?”




พี่ต้าชะงักไปกับคำถาม ผมไม่เห็นสีหน้าของพี่ต้าเนื่องจากยังคงจดจ่ออยู่กับหน้ากระดาษ แต่เสียงของคนข้างๆฟังดูแปลกไปจากเดิม



“นั่นสินะ…บทเรียนที่ดีที่สุด คือบทเรียนที่เราไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเรียนอยู่นี่แหละ ปราณว่ามั้ย?”



ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกว่าพี่ต้ากำลังพูดกับตัวเอง มากกว่ากำลังพูดอยู่กับผม



Rrrrrr




ผมหยิบโทรศัพท์มาดูเหมือนได้ยินเสียงเรียกเข้า ชื่อของพี่เจษฎ์ที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอทำให้ผมหันไปหาพี่ต้าด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย



“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมมา”



“ไม่ต้องรีบ พี่รอปราณอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนหรอกครับ” พี่ต้ายิ้มให้ผมด้วยแววตาเศร้าๆที่ผมไม่มั่นใจว่าเกิดจากอะไร
ผมเดินออกมานอกระเบียงแล้วกดรับสาย ไอ้พี่เจษฎ์โทรมาทำไมดึกดื่นป่านนี้



“ครับ?”




“อ้ายปราณณณ~ น้องร้ากกกของเพ่” น่าน เสียงเมาเหมือนหมามาเลยครับ “นอนด้วยยยย”




“หา? ไม่ได้ พี่เจษฎ์ วันนี้ผมไม่สะดวก” ปกติพี่เจษฎ์ก็ขอมาค้างห้องผมบ้าง แต่ปกติพี่แกจะโทรมาก่อนล่วงหน้าอย่างน้อยก็วันนึง



“ไรว้าาาา ซุกผู้ไว้อ่อออ” พี่เจษฎ์แซวเสียงยานคาง “กูนอนห้องเล็กก้อด้ายยย อุดหู~”



“พี่อยู่ไหนครับเนี่ย?” ผมถาม เมาขนาดนี้จะขับรถมาที่ห้องผมได้ยังไง



“ร้านเฮียเต็งงง”



“พี่ทีอยู่ไหนครับ? อยู่ด้วยกันรึเปล่า?” แม้ผมจะคิดว่าหากพี่นทีอยู่ด้วย อีกฝ่ายคงไม่โทรมาขอค้างห้องผมแบบนี้ แต่มันก็ยังแปลกอยู่ดีที่พี่นทีจะไม่อยู่กับเพื่อนสนิท



มาคิดๆดูแล้ว พี่เจษฎ์ก็มักจะมาค้างห้องผมหรือห้องตัวเองเวลารู้ว่าจะเมาเหมือนหมาแบบนี้ คงเกรงใจคุณชายอย่างพี่นทีที่จะต้องมาดูแลล่ะมั้ง



“ม่ายยย กูอยู่โคนเดียวววว”



“รออยู่ที่นั่นนะครับ เดี๋ยวผมโทรให้พี่ต้าไปรับ อย่าไปไหนนะครับ” ผมกำชับเสียงหนักแน่น กลัวว่าคนเมาจะอุตริขับรถออกมาจริงๆ



“เออ! กูม่ายปายหนายหรอก เอื้อก!” พี่เจษฎ์สะอึก “กูม่ายมีที่ปายอ่าาา”



เชี่ย พี่กูเมาจนพูดไม่เป็นคำแล้ว ซัดไปกี่ขวดวะเนี่ย



“พี่ต้าครับ! พี่เจษฎ์เมาอยู่ร้านพี่เต็งหนึ่งอ่ะ เมาเป็นหมาเลยพี่ ผมว่าเราต้องไปรับแล้วล่ะครับ” ผมรีบกลับไปหาพี่ต้าทันทีที่ตัดสาย คนบนเตียงขมวดคิ้ว ก่อนจะรีบตวัดผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง



“แล้วทีล่ะ?”



“ไม่ได้อยู่ด้วยกันครับ พี่เจษฎ์อยู่คนเดียว”



“โอเค งั้นเดี๋ยวเอามันกลับหอพี่” พี่ต้าคว้ากุญแจรถกับกุญแจห้องที่วางอยู่ในห้องนั่งเล่น ผมปิดแอร์ปิดไฟแล้วคว้าคีย์การ์ดของตัวเองพร้อมกระเป๋าเงิน ได้แต่หวังว่าพี่เจษฎ์จะมีสติพอที่จะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างการขับรถออกมาในสภาพแบบนั้น
พวกเรามาถึงร้านไม่กี่นาทีหลังจากนั้น สภาพของร้านแทบไม่มีลูกค้าเหลืออยู่และพนักงานกำลังเริ่มเก็บโต๊ะเตรียมปิดร้าน มีเพียงร่างร่างหนึ่งที่ฟุบอยู่กับโต๊ะในมุมอับของร้านที่ไม่ค่อยมีใครอยากนั่ง



“เฮ้ย พี่เจษฎ์ ทำไมสภาพเป็นแบบนี้เนี่ย”ผมพยายามปลุกอีกฝ่าย ส่วนพี่ต้าแยกตัวไปเคลียร์บิลค่าเหล้า พี่เจษฎ์สะลึมสะลือตื่น เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้มจากฤทธิ์เหล้าที่กินเข้าไป



”อ้ายอ้วนนนน คิดถึงงงง” คนเมากอดพุงผมไว้แน่น ถูไถใบหน้าไปมาเตรียมใช้พุงนุ่มนิ่มของผมแทนหมอน กว่าจะแกะออกได้แทบต้องใช้คีมง้างออก



“ไม่ต้องมาเรียกเลย ลุกเร็ว เดี๋ยวผมพากลับหอ”



“งือออ กูเหงาาาา”



“เดี๋ยวคืนนี้กูนอนหอ กลับกันได้แล้ว ปราณเขาง่วงแล้วเนี่ย” พี่ต้าที่กลับมาสมทบเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ คว้าแขนของรูมเมทมาพาดคอตัวเองแล้วดึงให้ไอ้พี่เจษฎ์ลุกขึ้น ผมช่วยประคองร่างที่โซเซไปมาไปที่รถของพี่ต้าอย่างยากลำบาก




“เออ! ร้ากกานข้าวปาย” พี่เจษฎ์โวยวาย ผมกับพี่ต้าช่วยกันยัดพี่แกเข้าไปในเบาะหลังของรถ ผมเข้าไปนั่งประกบด้วยกลัวคนเมาจะทำอะไรพิเรนทร์เช่นการเปิดประตูพรวดออกไปขณะที่รถกำลังวิ่ง “กูมันหมาาาา หมาหัวเน่าาาา”



เอาเข้าไป พรุ่งนี้ตอนพี่มันแฮงค์จนคลานมาเรียนผมจะหัวเราะสมน้ำหน้าให้










กว่าจะฉุดกระชากลากถูไอ้พี่เจษฎ์ขึ้นไปบนหอได้เล่นเอาผมเหงื่อท่วม พี่ต้ากับผมแทบจะโยนคนเมาลงไปกองบนเตียง เทรนเนอร์ผู้หวังดีของผมบอกให้ผมรออยู่ข้างเตียงของพี่เจษฎ์แล้วเดินหายไปในห้องน้ำ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูผืนเล็ก พี่ต้ายื่นทุกอย่างให้ผม ขยิบตาพร้อมรอยยิ้มหยอกล้อ



“ได้โอกาสแล้วนะปราณ พี่ไปรอข้างนอกนะ”



เฮ้ย! เดี๋ยวสิครับ! นี่พี่ต้าดูละครมากไปรึเปล่า?




พี่ต้าวาร์ปหายไปจากห้องก่อนผมจะได้ทักท้วงอะไร ผมก้มมองกะละมังในมือแล้วถอนหายใจออกมา ไม่อยากจะพูดเลยว่าผมเคยเช็ดตัวให้ไอ้พี่เจษฎ์ตอนเมาเยี่ยงหมาคลานสี่ขากลับเข้าบ้านมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ...และนอกจากความรำคาญใจแล้วไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยสักครั้ง



“งึม…อ้วนเหรอ...” พี่เจษฎ์สะลึมสะลือถามเมื่อผมเริ่มถอดเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่ายออก




“จะใครซะอีกล่ะครับ วันๆสร้างแต่ความเดือดร้อนให้น้องจริงๆ” ผมบ่นไปเอาผ้าขนหนูขัดหน้าพี่มันไป ขัดแรงๆมันจะได้สร่างไวๆ




“โอ๊ย เชี่ย พอๆๆ” คนที่นอนแผ่หลาบนเตียงร้องโอดโอย จับมือผมไว้ก่อนที่ผมจะขัดชั้นผิวหนังหนาๆหลุดติดมือมาด้วย “มือหนักแบบนี้ไอ้ต้าไม่ช้ำตายเหรอ”



“ก็ถ้าเป็นพี่ต้าผมก็ไม่มือหนักแบบนี้อ่ะครับ” ผมตอบหน้าตาย พี่เจษฎ์เบ้หน้า แม้จะสร่างเมาขึ้นมาบ้างแต่เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์เหล้าในกระแสเลือดยังคงมีมากเกินความจำเป็น



“เออ…ใช่สิ กูมันไม่ใช่เสป็คใครเลยนี่ กูไม่ได้เป็นหนุ่มตี๋บอยแบนด์ ก็ไม่ได้เป็นแด๊ดดี้ฝรั่ง เหอะ ไมวะ ของไทยมันไม่ดีตรงไหนถึงได้อยากแดกของนอกกันนัก แม่งงงง”



สภาพแบบนี้คงไปโดนสาวที่ไหนหักอกมาล่ะสิท่า




“รสนิยมมันบังคับกันได้ที่ไหนล่ะครับพี่เจษฎ์” แม้จะรู้ว่าพูดกับคนเมาไปก็เท่านั้นแต่ผมก็อดตอบไม่ได้ พี่เจษฎ์ออกจะหล่อ มี
แต่สาวๆวนเวียนมาขายขนมจีบซ้ายขวาขนาดนี้ ไปแพ้แด๊ดดี้ฝรั่งที่ไหนมา




“เออ เขานิยมของนอกนี่ เมดอินไทยแลนด์อย่างกูถ้าไม่รู้จักเขาก็คงไม่พูดกับกูด้วยซ้ำ”




คนเมาพึมพำด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เสียงของพี่เจษฎ์เบาลงเรื่อยๆจนกระทั่งมีเพียงลมหายใจสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายหลับไปดื้อๆทั้งอย่างนั้น ผมวางกะละมังไว้บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเหนื่อยหน่ายใจแล้วเปิดประตูออกไปหาพี่ต้า





คนที่ผมกำลังตามหานั่งคุดคู้อยู่ข้างประตูห้อง โอบแขนรอบเข่าของตัวเองที่ถูกดึงเข้ามาชิดอก ใบหน้าคมก้มชิดเข่าจนผมไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับอยู่หรือไม่ เลยลองเอื้อมมือไปแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆ




“พี่ต้าครับ...”



“เสร็จแล้วเหรอปราณ?” พี่ต้าเงยหน้าขึ้นถามผมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า สงสัยคงจะแแอบงีบอยู่จริงๆ นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย




“ครับ พี่เจษฎ์หลับไปแล้ว เท่าที่ฟังคงโดนสาวหักอกมา” ผมไหวไหล่ “เรากลับกันดีกว่าครับ พี่ต้าจะได้พักผ่อน”



“ไม่ต้องห่วงพี่หรอกปราณ ถ้าคืนนี้ปราณอยากอยู่ดูแลเจษฎ์ พรุ่งนี้พี่ค่อยกลับมารับก็ได้” พี่ต้าเสนอ ทั้งที่สภาพของตัวเองก็
ดูอิดโรยไม่ได้ต่างจากเพื่อนมากนัก ผมย่อตัวลงข้างๆคนที่ผมแอบชอบมานับปี นึกสงสัยว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้เป็นคนดี
ที่คิดถึงทุกคนก่อนตัวเองเสมอได้ขนาดนี้



“แต่คืนนี้ผมอยากดูแลพี่ต้ามากกว่าครับ เรากลับกันดีกว่า พี่ต้าจะได้พักผ่อนสักที”



ผมแตะหลังมือลงบนหน้าผากรุมๆของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง กลับไปคงต้องกินยาแก้ไข้กันไว้




พี่ต้าไม่พูดอะไร แค่นั่งจ้องผมตาโตอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน จนผมเริ่มกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอะไรร้ายแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา




“พี่ต้า? ไหวมั้ยครับ”




“ไหว…พี่ไหว” รอยยิ้มอ่อนโยนเป็นเอกลักษณ์ต่อยๆกลับคืนสู่ริมฝีปากของอีกฝ่าย “มีปราณอยู่ตรงนี้ พี่ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”



“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันดีกว่านะครับ”




ผมลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้คนที่นั่งอยู่บนพื้นใช้พยุงตัว พี่ต้าเอื้อมมือมาจับมือของผมเพื่อลุกขึ้น ทว่าเรี่ยวแรงมหาศาลของคนเล่นกีฬาเป็นประจำทำให้ผมเป็นฝ่ายถูกดึงกลับลงไป



“ขะ…ขอโทษครับ!” โชคดีที่ผมยันตัวเองไว้ได้ก่อนที่จะล้มทับพี่ต้าซี่โครงหักไส้แตก ใบหน้าคมที่อยู่ห่างจากผมเพียงลมหายใจคั่นซึ่งในตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ผมเริ่มคุ้นชินส่ายหน้ายิ้มๆ แววตาที่มองตรงมาทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะ




“ถ้าเป็นปราณ พี่ยินดีเสมอครับ”



ยินดีเป็นเบาะให้ผมทับรึไงครับ?




ผมสรุปได้ว่าคุณพี่ของผมน่าจะเครื่องช็อตไปเรียบร้อยแล้วในวันนี้ หลังจากลุกขึ้นยืนกันได้ในที่สุด พวกผมจึงกลับไปที่รถที่พี่ต้าจอดไว้ในลานจอดรถของหอพัก หากจะให้พูดตามตรง ผมไม่สนใจนักว่าพี่เจษฎ์จะเป็นอย่างไรในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ตอนนี้ ผมอยากพาคนข้างๆกลับไปนอนพักสักงีบก่อนที่ไข้หวัดอะไรก็ตามที่อีกฝ่ายเป็นจะทำให้คนข้างๆผมนี้ทำตัวประหลาดกว่าเดิม


------------------

 :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
เมื่อไหร่จะเข้าใจกันละคู่นี้
พอกันทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ KYLM_s

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่ต้านางชอบน้องแน่ๆแล้วแหละ แต่คือพี่บอกน้องไปเล้ยย แอบหยอดปราณนางไม่รู้ตัวหรอกก รอวันเค้าคบกันชั้นว่ามันต้องน่ารักก ส่วนทางพี่เจษฎ์ชอบเค้าก็บอกเค้าได้แล้วเนี่ยมาเมาอยู่คนเดียวทีเค้าไม่รู้เด้ออ ส่วนคู่ภีมรออ่านต่อเลยค่าา

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Day 9: แฟนเก่า

ผมอ้าปากหาวหวอดเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากแต่งตัวเสร็จ เมื่อเช้าพี่ต้าพาไปวิ่งเหยาะๆรอบสวนสาธารณะแค่สองสามรอบแล้วพาผมกลับมาที่ห้อง ซึ่งผมค้นพบว่าถ้าเทียบกับสองสามวันแรกแล้ว ระยะทางที่วิ่งไปนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยหอบเลยสักนิด



แต่เพราะเรื่องวุ่นวายเมื่อคืน ทำให้ผมยังคงง่วงเหงาหาวนอนอยู่อย่างนี้ทั้งๆที่ออกกำลังกายและอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ต้ายังคงอยู่ในห้องครัวเช่นทุกวัน ผมเปิดโทรทัศน์แล้วหันไปชงกาแฟ เริ่มเคยชินกับกาแฟดำร้อนไม่ใส่น้ำตาลที่พี่ต้าบังคับให้ผมดื่มแทนกาแฟใส่นมและน้ำตาลสองก้อนของผมมากขึ้น



“…มาถึงข่าวใหญ่ในวงการธุรกิจกันบ้างนะคะ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลายรายของบริษัท W Media ต่างพากันเทขายหุ้นที่ถืออยู่ในมือ คาดเกิดเหตุทุจริตภายในบริษัท ซึ่งบริษัท W Media นี้เป็นบริษัทในเครือวิสุทธ..”



พี่ต้าหยิบรีโมทมากดเปลี่ยนไปช่องภาพยนตร์ ถึงแม้ผมจะไม่ได้ตั้งใจจะดูข่าว แต่การกระทำนั้นก็ยังคงเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายผิดปกติสำหรับคนอย่างพี่ต้าอยู่มาก



“ข่าวเวลานี้มีแต่เรื่องไร้สาระ ปราณอย่าดูเลย” พี่ต้าหันมาอธิบายยิ้มๆ



แม้จะรู้สึกว่ามันประหลาด แต่ผมแค่พยักหน้าให้อีกฝ่ายแล้วก้มหน้าลงกินอาหารเช้าเงียบๆ




บริษัท W media เป็นบริษัทสถานีวิทยุโทรทัศน์และสื่อขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่แม้จะไม่ใช่ธุรกิจหลัก แต่ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจ
ของตระกูลวิสุทธรากร ท่าทีของพี่ต้าเมื่อครู่ประกอบกับโทรศัพท์จากลูกชายคนโตของตระกูลที่ดังบ่อยขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมอดรู้สึกตะหงิดในใจขึ้นมาไม่ได้ มันเหมือนกับมีเรื่องบางอย่างกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าจะเอาชิ้นส่วนทั้งหมดมาต่อให้เป็นแผ่นเดียวกันได้อย่างไร



“จริงสิ เสาร์หน้าปราณว่างมั้ย?”



ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่จู่ๆก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะพยักหน้า



“ว่างครับ พี่ต้ามีอะไรรึเปล่าครับ?”



“พี่ลงวิ่งมาราธอนการกุศลกับไอ้เจษฎ์น่ะ” พี่ต้ายกมือขึ้นเกาหลังคอพร้อมรอยยิ้มเจื่อน เหมือนไม่รู้ว่าจะพาบทสนทนาไปทางไหน “คือ...ยังไงถ้าปราณสนใจ...”



“ครับ! ผมไปดูแน่ๆ เดี๋ยวผมชวนพี่นทีไปด้วย”



คิดว่าผมจะพลาดโอกาสได้เห็นพี่ต้าเหงื่อโทรมกายเสื้อผ้าลู่ติดแนบชิดตามเรือนร่างสมส่วนที่ทำให้คนมองน้ำลายหกถึงจะได้เห็นเขาแทบจะแก้ผ้าเดินทุกวันน่ะเหรอครับ? ฝันไปเถอะ



เดี๋ยวติดรถพี่นทีไปดูดีกว่า รายนั้นน่ะไม่เคยพลาดซักการแข่งของพี่เจษฎ์ เรียกได้ว่ายิ่งกว่าคุณแม่ๆที่ไปออกันเตรียมถ่ายรูปลูกเวลาแข่งกีฬา แม่พี่เจษฏ์เลิกพยายามจะทำตัวว่างมาดูด้วยซ้ำเพราะรู้ว่าถึงยังไงพี่นทีก็ถ่ายการแข่งขันเก็บไว้ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ดี



“พี่รู้ว่าปราณไม่พลาดหรอก” แววตาของพี่ต้าอ่อนลงเล็กน้อย ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่สีหน้าของอีกฝ่ายดูหงอยลงอย่างบอกไม่ถูก “ปราณไม่เคยพลาดทุกกิจกรรมของไอ้เจษฎ​์เลยนี่นา”



นั่นมันเพราะพี่ต้าก็ลงกิจกรรมด้วยทุกอันต่างหากล่ะครับ



ผมไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้กับความเข้าใจผิดของคนตรงหน้า พี่ต้ากัดริมฝีปาก ขมวดคิ้วมุ่นจนคิ้วเข้มๆแทบจะกลายเป็นเส้นตรง ก่อนที่ผมจะได้ถามว่าเป็นอะไร คนตรงหน้าก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน



“...ยังไง...”



“ครับ?”



“ถึงยังไงไอ้เจษฎ์ก็มีนทีคอยเชียร์อยู่แล้ว ขอแค่วันนั้น...ปราณช่วยเชียร์พี่แทนไอ้เจษฎ์ได้มั้ยครับ?”



ผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองต้องได้ยินอะไรสักอย่างในประโยคนั้นผิด แต่สีหน้าประหม่าและรอคอยคำตอบของพี่ต้าทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคิดเช่นนั้น



“แล้ว...บรรดาแฟนคลับของพี่ต้าล่ะครับ” ผมเบี่ยงประเด็น “พี่ต้าน่าจะมีคนรอเชียร์เยอะแยะเต็มไปหมดอยู่แล้วนะครับ”


“พี่แค่...อยากให้ปราณอยู่ตรงนั้น” พี่ต้าตอบเสียงแผ่ว ผมเห็นพี่ต้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจอยู่เสมอดูเศร้าๆแบบนี้แล้วก็ไม่นึกอยากจะขัดใจ เลยพยักหน้ารับปาก แม้ว่าทุกครั้งที่ผ่านมา พี่ต้าจะเป็นเพียงคนเดียวที่ผมเชียร์อยู่ในใจก็ตาม



“ได้สิครับ”




พี่ต้ายิ้ม




รอยยิ้มกว้างที่ทำให้ผมรู้สึกมือไม้อ่อนขึ้นมาแค่ได้มอง รอยยิ้มที่ควรขึ้นทะเบียนเป็นอาวุธชีวภาพและไม่สมควรถูกนำออกมาใช้พร่ำเพรื่อ รอยยิ้มที่มีพลังทำลายล้างสูงจนผมต้องคว้าขอบโตีะไว้ไม่ให้ตัวเองไหลยวบลงไปกองกับพื้นเหมือนเป็นของเหลวชนิดหนึ่ง



แม่เจ้าโว้ย!!! ทำไมมนุษย์หนึ่งคนถึงสามารถมีรอยยิ้มแบบนี้ได้ครับ?! มันไม่ยุติธรรมกับคนอื่นๆบนโลกเลยสักนิด!




“ขอบคุณครับปราณ รับรองพี่จะชนะไอ้เจษฎ์ให้ดู”



เดี๋ยวๆๆพี่ นี่มันมาราธอนการกุศลไม่ใช่เหรอครับ?



ผมได้แต่ยิ้มแห้งให้กับคนที่ประกาศด้วยสีหน้ามุ่งมั่น อยากจะบอกพี่ต้าเหลือเกินว่าผมไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากการไปส่องกล้ามพี่แกเลยสักนิด



“จริงสิ วันนี้พี่ว่าจะพาปราณไปดูหนัง ปราณมีเรื่องที่อยากดูมั้ยครับ?”



“ทำไมจู่ๆถึงอยากไปดูหนังล่ะครับ?” ผมถาม จริงอยู่ที่ภาคต่อของหนังโปรดของผมเพิ่งเข้าโรงไปเมื่อวาน แต่ผมไม่คิดว่าพี่ต้าจะรู้เรื่องนี้



“บทเรียนต่อไปไง” เห็นมั้ย ก็แค่เรื่องงานเท่านั้นแหละ




“มีเรื่องที่ผมอยากดูอยู่พอดี แต่ไม่รู้ว่าพี่ต้าจะชอบมั้ย…”




“ถ้าปราณอยากดู พี่ก็ชอบหมดนั่นแหละครับ” พี่ต้ายิ้ม



ผมยังคงยืนยัน ว่ารอยยิ้มของผู้ชายคนนี้เป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดในโลก









“จริงๆพี่ต้าแค่หาเรื่องอยากมาเที่ยวใช่มั้ยครับ”




ผมอดถามไม่ได้ ก็ใครให้อีกฝ่ายดูระริกระรี้จนน่าหมั่นไส้ขนาดนี้ล่ะ แถมวันนี้ยังอัพเดทความเสื้อคู่ไปอีกระดับด้วยการขุดเอาเสื้อยืดสีชมพูอ่อนสกรีนคำว่า ‘No one’ ออกมาใส่ แต่ที่พีคไปยิ่งกว่านั้น คือการที่เสื้อยืดสีชมพูของผมดันมีลายสกรีนสิขาวเป็นฟ้อนท์เดียวกันที่เขียนว่า ‘but you’ อยู่ด้วย ทำไมผมถึงจำไม่เห็นได้เลยว่าหม่าม๊าซื้อเสื้อผ้าแบบนี้มา



ผมทักเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้ว แต่พี่ต้าเพียงแค่หันมามองผมด้วยสีหน้าซื่อๆ




‘งั้นเหรอ พี่ไม่ได้สังเกต ไม่เป็นไรหรอก ปราณใส่แล้วน่ารักดีออก’ ร่างสูงยิ้ม ‘เรารีบไปกันเถอะเดี๋ยวไม่ทันรอบหนัง’
เพราะเหตุนั้นพวกผมจึงออกมาเดินเตรดเตร่อยู่ในห้างสรรพสินค้าในชุดเสื้อคู่สีชมพูหวานที่ทำให้คนเหลียวหลังกลับมามองเป็นแถว พี่ต้ายิ่งสาดน้ำมันใส่กองไฟด้วยการจูงมือผมอย่างสบายใจราวกับเป็นสิ่งที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน



“โธ่ ปราณ ทำไมมองพี่เป็นคนแบบนั้นล่ะครับ” พี่ต้าแสร้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ “แบบนี้ต้องติวเข้มแล้วล่ะสิ”



“ติวเข้…!” ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาใกล้จนผมไม่ทันตั้งตัวผงะไปอย่างตกใจ พี่ต้าหัวเราะเบาๆในลำคอเมื่อเห็นว่าแกล้งผมได้สำเร็จ



“ใช่ พี่จะติวให้เข้มเลยล่ะ ว่าจะอ่อยผู้ชายในโรงหนัง เขาทำกันยังไง”



ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ยังคงทำใจให้ชินกับการเห็นพี่ต้าพูดคำว่า ‘อ่อยผู้ชาย’ ได้อย่างไม่กระดากปากไม่ได้เสียที



“อยากกินป๊อบคอร์นมั้ย?” พี่ต้าหันมาถามเมื่อพวกเราเดินมาถึงหน้าโรงภาพยนตร์


“เอ๊ะ? ได้เหรอครับ?” ผมถามอยากแปลกใจ



“กล่องเล็กนะ แบ่งพี่กินด้วย” พี่ต้ากำชับ


แหน่ะ ที่แท้ก็อยากกินเองล่ะสิ



ผมกอดกล่องป็อบคอร์นเดินตามพี่ต้าไปยังที่นั่งที่พี่ต้าจองไว้ก่อนหน้า ซึ่งเป็นที่นั่งโซฟาชั้นบนสุด พี่ต้ายังคงจัดหนักจัดเต็มในแต่ละบทเรียนจนผมล่ะกลัวเขาล้มละลายหลังจบคอร์สลดน้ำหนักนี่จริงๆ



“หนาวมั้ยครับปราณ” พี่ต้าถามหลังจากใช้ผ้าห่มคลุมขาผมไว้ ผมส่ายหน้า แม้จะแอบหนาวอยู่ แต่ไม่ใช่อะไรที่ผมทนไม่ได้
ทว่าพี่ต้ากลับส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ



“บอกว่าหนาวสิ” ท่อนแขนแข็งแรงโอบรอบไหล่ของผม เสียงทุ้มกระซิบต่ำข้างหู “ว่าไงครับปราณ เริ่มหนาวรึยัง?”



“หนะ…หนาวครับ” ผมพึมพำตอบแต่โดยดี ได้รางวัลเป็นอ้อมกอดอุ่นที่กระชับแน่นขึ้น และศีรษะที่เอนซบลงมาบนไหล่ แม้จะไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงมา แต่ความใกล้ชิดและกลิ่นแชมพูหอมๆที่ลอยมาแตะจมูกก็มากพอที่จะทำให้ผมใจสั่น



เริ่มบทเรียนแล้วสินะ…



พี่ต้าเอื้อมมือมาหยิบป็อปคอร์นที่อยู่ในกล่องบนตักของผม แม้จะไม่ได้พูดอะไรระหว่าที่หนังฉาย แต่ตัวตนของอีกฝ่ายหนักแน่นข้างกายชนิดที่ผมไม่สามารถเมินเฉยได้แม้จะพยายามแค่ไหนก็ตาม



ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือไม่ แต่ช่วงหนึ่งในระหว่างที่หนังฉาย ผมรู้สึกว่าศีรษะที่เเนพิงผมอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมองผม ปลายจมูกโด่งเป็นสันปัดผ่านผิวบางบริเวณซอกคอที่ทำให้ขนอ่อนของผมลุกชันขึ้นมาทั่วร่างพร้อมกัน



“หนาวเหรอครับ?” พี่ต้ากระซิบถามอีกครั้งมือใหญ่ลูบไปตามท่อนแขนที่มีตุ่มขนขึ้นอย่างชัดเจนของผมหวังช่วยถ่ายโอนความอบอุ่น หารู้ไม่ว่านั้นยิ่งทำให้จิตใจผมเตลิดเปิดเปิงไปกว่าเดิม



ผมส่ายหน้า ก่อนจะหยุดชะงักครึ่งทางแล้วเปลี่ยนเป็นพยักหน้าแทน



พี่ต้าที่เห็นว่าผมเริ่มเข้าใจบทเรียนมากขึ้นแล้วขยับยิ้ม หันไปสนใจหนังต่อทั้งที่มืออุ่นยังคงลูบแขนของผมอยู่อย่างนั้น







“สนุกดีนะ”




พี่ต้าเอ่ยขึ้นหลังจากพวกเราออกมาจากโรงแล้ว




“นั่นสิครับ ผมไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะสนุกขนาดนี้” ผมไม่ได้คาดหวังอะไรสูงจากภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ถูกทำขึ้นโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กน้อยวัยเลขหลักเดียวอยู่แล้ว แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเอาผมยิ้มแก้มปริและน้ำตาซึมเคล้ากันไปตลอดเรื่อง “ผมชอบฉากที่พ่อแม่ลูกเจอกันมากเลย พี่ต้าชอบฉากไหนเหรอครับ?”



“พี่เหรอ?” พี่ต้านิ่งคิด ก่อนจะยิ้มอย่างขบขัน “พี่ชอบฉากที่ใครบางคนร้องไห้ตอนเห็นพ่อแม่ลูกเจอกัน...อุ๊บ”



ผมควักข้าวโพดคั่วหนึ่งกำมือยัดใส่ปากคนพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ ใครจะไปรู้ว่าพี่ต้าหันมามองผมตอนนั้นกันเล่า?!



“โอ๋…พี่ล้อเล่นน่า พี่ว่ามาดูหนังแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ผ่อนคลายหัว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเครียดๆดี” คนข้างผมเอ่ยขึ้นหลังจากกลืนป็อปคอร์นลงไปหมด



“มีแต่พี่ต้าเท่านั้นแหละครับที่คิดเหมือนผม ขนาดหม่าม๊ายังไม่ยอมมาดูหนังกับผมแล้วเลย บอกว่ามันเด็กไป” ผมถอน
หายใจ ผิดด้วยเหรอที่คนเราจะชอบอะไรสนุกสนานแบบเด็กๆบ้าง ผมเพิ่งอายุสิบแปด จะให้รีบโตไปไหนกัน



“ถ้าอย่างนั้น ต่อไปนี้พี่จะมาดูกับปราณทุกเรื่องเลย ดีมั้ยครับ?” พี่ต้าถามพร้อมรอยยิ้มอวดลักยิ้มบุ๋ม การให้ความหวังเรี่ยราดที่ผมควรจะคุ้นชินได้แล้วยังคงทำให้ผมใจไม่สงบเช่นเคย



“สัญญากับคนอื่นมั่วซั่วแบบนี้ ระวังมีแฟนขึ้นมาจริงๆแล้วจะโดนโกรธเอานะครับ” ผมเตือนด้วยความหวังดี แววตาของพี่ตาหม่นลงวูบหนึี่ง ก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็วจนผมไม่มั่นใจว่ามันเป็นเพียงการเล่นตลกของแสงหรือไม่



“พี่ว่าคนที่่น่าจะหนีไปมีแฟนก่อนจนทิ้งพี่ให้มาดูหนังการ์ตูนแบบนี้คนเดียวน่าจะเป็นปราณมากกว่านะ”



“มั่นใจในฝีมือของตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ผมอดเหน็บไม่ได้ ถึงไอ้พี่เจษฐ์จะไม่ได้เป็นดอกฟ้าดอกสวรรค์ที่คนต่างหมายปอง แต่ก็ให้เครดิตพี่มันหน่อยเถอะครับ เห็นความมั่นใจผิดๆของเทรนเนอร์ตัวเองแบบนี้แล้วผมสงสารพี่ชายข้างบ้านของตัวเองขึ้นมาถนัดใจ



“แน่นอน ปราณของพี่น่ารักขนาดนี้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีคนขโมยไปจากพี่แน่ๆ” เสียงของพี่ต้าหงอยลงจนผมอยากจะเข้าไปลูบหัวลูบหาง ฮือออ เอ็นดูว้อยยยย



“ผมนับวันรอแล้วครับ” ผมเอ่ยทีเล่นทีจริง พอสนิทกันมากขึ้น ผมก็เริ่มกล้าที่จะล้อเล่นกับอีกฝ่ายมากขึ้น



แต่ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นคำพูดที่ผิด เพราะรอยยิ้มที่พี่ต้าส่งมาให้ผมนั้นมันดูแข็งค้างอย่างน่าประหลาด



“ปราณ...นั่นปราณใช่มั้ย?”



แต่ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไร เสียงที่ผมไม่ได้ยินมาเกือบสามปีเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ และนั่นทำให้ผมรีบหันกลับไปทันที



“อาร์ม!” ผมยิ้มกว้าง เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นคนที่ผมคิดไว้จริงๆ



เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมยิ้มกว้างไม่แพ้กัน หน้าตาซื่อๆบ้านๆของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ถึงแม้ว่าความสูงที่เคยไล่เลี่ยกับผมจะแซงหน้ากันไปอย่างข้ามหน้าข้ามตาก็ตาม ผ่านมาสามปีที่มันไปเรียนต่อที่เยอรมนีตามบ้านที่ย้ายรกรากไปอยู่ที่นั่น ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เจอมันอีก



“ไอ้อ้วนนน กูคิดถึงมึงที่สุดเลยรู้มั้ย?”


ไอ้อาร์มดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดแน่น นอกจากส่วนสูงแล้ว แขนขาที่เคยผอมเก้งก้างของมันก็ดูจะมีกล้ามเนื้อให้ยึดเกาะขึ้นมาบ้าง แม้ใจไม่ได้เจริญหูเจริญตาอย่างคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องของผมตอนนี้ก็ตาม



“ปราณ นี่ใครเหรอครับ?”



คนเจริญหูเจริญตาที่ว่าเอ่ยขึ้น ผมที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามัวแต่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับอาร์มอยู่กลางห้างอย่างไม่แคร์สายตาประชาชีผละออกจากมันเล็กน้อย แม้ว่าแฟนของอาร์มจะยังคล้องอยู่ที่เอวของผมไม่ปล่อยก็ตาม



“ขอโทษครับ ผมลืมแนะนำไปเลย นี่อาร์ม เพื่อนผม”



“โห เกลียดสถานะว่ะ เพื่อนเพิ่นอะไร” ไอ้อาร์มผลักหัวผมเบาๆอย่างไม่พอใจ ผมกลอกตาอย่างเหนื่อยใจกับความปัญญาอ่อนของมัน



“แล้วคำว่า’แฟนเก่า’นี่มึงชอบมากงั้นสิ?”



“ชอบดิ กูดูเป็นคนพิเศษ แค่เพื่อนใครก็เป็นได้ป่ะวะ” ไอ้อาร์มยืดอกอย่างภูมิใจจนผมอดยิ้มขำกับคำพูดของมันไม่ได้
ครับ...ไอ้บ้าที่ยืนอยู่ข้างๆผมนี้คือแฟนคนแรกและคนเดียวในชีวิตผม พวกเราเริิ่มจากการเป็นเพื่อนร่วมชั้น นั่งเรียนติดกัน จับ
คู่กับทำงานในห้องมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น จนกระทั่งเริ่มคบกันหลังจากที่พวกเราเริ่มรู้ว่าตัวเองไม่ได้สนใจเพศตรงข้ามอย่างคนอื่นเขาในช่วงที่กำลังจะเรียนจบมัธยมต้น



มันเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นจากมิตรภาพ เป็นสิ่งที่พวกผมในตอนนั้นยังคงไม่มั่นใจว่าที่เราคบกันในตอนนั้น เป็นเพราะพวกเราบังเอิญเป็นเด็กผู้ชายสองคนที่ชอบผู้ชายเหมือนกัน หรือเพราะเรารู้สึกดีๆต่อกันจริงๆ



แต่หลังจากคบกันมาครึ่งปี พวกผมก็ค้นพบความจริงที่ว่า การเป็นเพื่อนที่รักกันนั้นแตกต่างจากการเป็นคนรักกันอย่างสิ้นเชิง และพวกผมก็ชอบสถานะที่พวกผมเป็นอยู่ก่อนนั้นมาก



พวกเราตัดสินใจที่จะกลับไปเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม้ว่าหลังจากนั้นครอบครัวของอาร์มจะต้องย้ายไปที่ประเทศเยอรมนี ผมจำได้ว่าพวกเราร้องไห้เ็นเต่าเผาที่สนามบิน สัญญาเสียดิบดีว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป แต่ด้วยระยะทางและความเหลื่อมล้ำของเวลา รวมไปถึงภาระความรับผิดชอบในการเรียนที่เพิ่มขึ้นของทั้งสองฝ่าย ทำให้ข้อความส่งหากันเริ่มสั้นลง แม้จะไม่ได้คุยกันทุกวัน แต่ผมยังคงส่งข้อความไปสุขสันต์วันเกิดมันบ้าง ส่วนมันก็มาไลค์โพสต์ของผมบ้าง ถึงไม่สนิทแต่ก็ยังคงเป็น
คนที่มีความสุขที่ได้เจอ



ไม่คิดเลยว่ามันจะกลับมาไทยแล้ว



“กลับมาไม่บอกนะมึง” ผมบ่นอุบ



“ก็กูจะเซอร์ไพร์สมึงไง นี่กูอุตส่าห์บากหน้าไปถามอาเจ้มึงมาเลยนะว่าคอนโดมึงอยู่ไหน ว่าจะโผล่ไปจ๊ะเอ๋หน้าห้องซะหน่อย” อาร์มหัวเราะร่า



ผมว่าถ้ามันมาจริงๆ คนที่น่าจะได้เจอกับเซอร์ไพร์สในห้องผมน่าจะเป็นมันมากกว่า



“พอเลย ใครจะให้มึงเข้าห้อง ห้องกูมีมาตรฐาน” ผมแขวะ  แต่ดูเหมือนไอ้อาร์มจะเข้าใจความหมายของผมผิดไป เพราะมันหันไปมองพี่ต้าพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่ยังคงยิ้มมุมปากอย่างเป็นมิตร ผิดกับพี่ต้ากอดอกมองมันตาขวางจนแวบแรกผมยังตกใจ



“มาตรฐานสูงจริงว่ะ สวัสดีครับพี่” ไอ้อาร์มยื่นมือให้พี่ต้าจับ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ปรายตามองนิ่ง



“ตลกละ จะคิดอะไรดูเหง้าหน้ากูด้วย” ผมบ้องหัวไอ้คนขี้มโนไปหนึ่งดอก “นี่พี่ต้า พี่ที่มหาลัย รูมเมทพี่เจษฐ์”



“อ๋อ….” ไอ้อาร์มลากเสียงยาวจนหน้าหมั่นไส้ ตายังคงมองสลับไปมาระหว่างพวกผมสองคน และนั่นทำให้ผมนึกได้ถึงเสื้อคู่เจ้าปัญหาของพวกเราขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ชี้แจง ไอ้อาร์มก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปแล้ว



“กูขอเบอร์มึงหน่อยดิ กูเปลี่ยนเบอร์ใหม่อ่ะ ไว้วันหลังไปกินข้าวกัน”



นิสัยง่ายๆไม่ค่อยติดใจอะไรกับใครเขาของมันเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบ ผมหยิบโทรศัพท์ให้มันไปจัดการโดยไม่นึกหวง ไอ้อาร์มพิมพ์รหัสผ่านอย่างคล่องแคล่วเพระารู้ว่าถึงยังไงผมก็ไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านโทรศัพท์ของตัวเองอยู่แล้ว




“อ่ะ เจอกันมึง”



“เออๆ เจอกัน” ผมโบกมือให้มันพร้อมรอยยิ้ม นึกดีใจที่ได้เพื่อนอีกคนกลับมาอยู่ใกล้ตัว



“ปราณ...ชอบแบบนั้นเหรอ?”



พี่ต้าถามขึ้นหลังจากไอ้อาร์มเดินหายไปแล้ว ดูท่าความเป็นเทรนเนอร์จะทำให้อีกฝ่ายเริ่มเก็บข้อมูล แต่ผมยังคงติดใจเล็กๆกับหางเสียงห้วนสั้นไม่คุ้นหูนั้น



“ครับ” ไม่มมีประโยชน์อะไรจะปฏิเสธ ถ้าผมไม่ชอบแบบนั้นก็คงไม่ได้คบกันตั้งแต่แรก “ผมชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วสบาายใจ”




“เหมือนไอ้เจษฐ์” พี่ต้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผมที่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายหุบยิ้มนานขนาดนี้เริ่มชักจะรู้สึกหวั่นใจ



“พี่ต้า...เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”




“เปล่า..” พี่ต้าส่ายหน้า รอยยิ้มเล็กๆเริ่มกลับมาแต่งแต้มมุมปากอีกครั้ง “แค่เก็บข้อมูลน่ะ”




ผมพยักหน้าแม้จะรู้สึกว่าคนตรงหน้ามีอะไรที่ไม่ยอมพูดออกมา แต่มันไม่ใช่กงการอะไรของผมที่จะไปเซ้าซี้



พี่ต้าคว้ามือผมไปอีกครั้ง คราวนี้ผมรู้สึกว่ามือที่จับมือผมนั้นกุมแน่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แววตาที่มองมาที่ผมมุ่งมั่นกับบางสิ่งที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร





“กลับห้องเรากันดีกว่านะครับ ปราณ”


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Day 10: คำว่าเรา

ภวัตกำลังปัดฝุ่นโต๊ะทำงานของนคินทร์เมื่อซองเอกสารสีน้ำตาลที่วางอยู่ชั้นบนสุดของกองหนังสือหล่นร่วงลงบนพื้น ร่างโปร่งรีบทรุดตัวลงเก็บมันขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าภายในซองนั้นนอกจากเอกสารปึกหนา จะมีรูปถ่ายของเด็กหนุ่มร่างอวบคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าเป็นแขกของคุณนทีที่มาร่วมงานวันเกิดของคุณชายรองของบ้านด้วย
รูปถ่ายที่ว่าไม่ได้มีใบเดียว แต่เป็นรูปแอบถ่ายของเด็กหนุ่มในอิริยาบถต่างๆในสถานที่ที่แตกต่างกัน ดูก็รู้ว่าเป็นฝีของนักสืบฝีมือดี เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักแม้ว่าจะดูมีน้ำมีนวลไปสักหน่อย แต่รูปหลังๆที่สัดส่วนของอีกฝ่ายเริ่มดูกระชับขึ้นบ้างทำให้ภวัตเริ่มเห็นแนวโน้มของเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง


‘ปราณ ศิรโชติ’



ทำไมคุณคินถึงได้มีของแบบนี้อยู่บนโต๊ะทำงาน?


“ทำอะไรอยู่?” เสียงทักของเจ้าของห้องทำให้คนที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งอย่างตกใจ มือเรียวปล่อยให้ซองเอกสารร่วงหลุดมือไปอีกครั้ง



“ขะ..ขอโทษครับคุณคิน”



นคินทร์ในชุดนักศึกษาส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา ก้าวเข้ามาช่วยภวัตเก็บเอกสารที่ร่วงกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ดวงตาคมสะดุดกับรูปถ่ายของปราณ ถามคนข้างๆพร้อมรอยยิ้มมุมปาก



“จะไม่ถามกูหน่อยเหรอ?”



“เด็กคนนี้...ใครกันเหรอครับ?” ภวัตถามด้วยน้ำเสียงที่เก็บซ่อนอารมณ์ไว้อย่างมิดชิด นคินทร์ยิ้ม ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงขบขัน



“หลักประกันความมั่นคง”



“เอ๊ะ?” สีหน้างุนงงที่ตามมากับคำตอบนั้นของภวัตทำให้คุณชายใหญ่ของบ้านหลุดขำออกมา ริมฝีปากได้รูปกดจูบหนักๆลงบนริมฝีปากเรียวที่เผยออ้าอย่างสับสนอย่างมันเขี้ยวแล้วถามด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี



“ทำไม? หึงเหรอ?”



ภวัตเบือนหน้าหนี พยายามควบคุมแววตาของตัวเองไม่ให้แสดงออก แต่ก็รู้ดีว่านคินทร์่อ่านเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ร่างสูงหัวเราะอย่างชอบใจ ช้อนคางเรียวให้หันกลับมารับจุมพิตดูดดื่มเป็นรางวัลอีกครั้ง ภวัตหลับตาพริ้มเผยอปาากรับลิ้นร้อนดุดันอย่างเคยชิน แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมีความสุขอะไรหนักหนาก็ตาม



“ดี…” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากถอนริมฝีปาก แม้ว่าภวัตจะยังคงรู้สึกถึงสัมผัสที่ปัดผ่านริมฝีปากของคนทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับพูดก็ตาม “กูชอบ เวลามึงหึงแล้วน่ารักดี”



“….” ภวัตถอนหายใจอย่างจนด้วยคำพูด ทำไมคุณคินถึงได้มีรสนิยมชอบอะไรแปลกๆแบบนี้อยู่เรื่อยเลยนะ?



“หึงได้ กูไม่ว่า แต่มึงรู้ใช่มั้ย...” นิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่ายไล้เบาๆไปตามริมฝีปากที่ยังคงเคลือบด้วยของเหลวสีใส แล้วประทับริมฝีปากตามลงไปเบาๆ “ว่ากูมีมึงแค่คนเดียว”



ใช่ เขารู้



เขารู้ว่านคินทร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเขา ทุกย่างก้าวของชายหนุ่มมีเพียงผู้คนที่จ้องคอยจะแทงข้างหลัง ฉุดลากนคินทร์ให้เปื้อนดินโคลนด้วยเหตุผลเพียงรสนิยมทางเพศที่ไม่เหมือนคนหมู่มาก ต่อให้อยาก นคินทร์ก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะมีใครนอกจากเขา



ภวัตสงสารคุณคินจนเจ็บไปหมดทั้งหัวใจ แต่ส่วนลึกที่เห็นแก่ตัวยังคงอยากจะเก็บคุณชายใหญ่ของตนไว้คนเดียวให้นานกว่านี้อีกสักนิด



“คิดอะไรอยู่” นคินทร์ถามขึ้นเมื่อเห็นคนรับใช้แต่ในนามจ้องหน้าตนนิ่งอยู่นานสองนาน เมื่อเห็นภวัตส่ายหน้าเบาๆจึงดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับตัวเอง “ป่ะ ไปซื้อของกัน”


“เอ๊ะ?” ภวัตเอียงคออย่างประหลาดใจกับคำชวน ปกติเวลาเย็นๆหลังเลิกเรียนที่ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทแบบนี้ นคินทรืมักจะใช้เวลาไปกับการนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา โดยมีเขาเป็นทั้งหมอนรองศีรษะและคนอ่านหนังสือนิยายกำลังภายในที่อีกฝ่ายชื่นชอบให้ฟัง น้อยครั้งที่จะอยากออกไปข้างนอก ไม่ต้องพูดถึงการซื้อของเข้าบ้าน เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของภวัตแต่แรกอยู่แล้ว



“คุณคินจะออกไปซื้ออะไรเหรอครับ?”


“เสื้อผ้า” นคินทร์ตอบ ภวัตพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถึงแม้ความเรียบร้อยภายในห้องเขาจะเป็นคนดูแลทั้งหมด แต่นคินทร์มักจะเลือกซื้อเสื้อผ้าเองอยู่เป็นประจำ ภาพลักษณ์ที่ดีมักจะต้องแลกด้วยการลงทุน ชายหนุ่มสอนเขาไว้อย่างนั้น



“คุณคินจะทานอะไรรองท้องก่อนมั้ยครับ?“


“ทานมึงได้มั้ยครับ?” นคินทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ดึงอีกฝ่ายเข้ามาซบอกกว้าง มือใหญ่ที่วางอยู่บนเอวบางเคลื่อนลงมาบีบสะโพกกลมกลึงภายใต้กางเกงขายาวอย่างเต็มไม้เต็มมือ



“คุณคิน…” ภวัตช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างเว้าวอน อยากให้คนใจร้ายเห็นใจสะโพกที่ยังช้ำระบมจากการเป็น ‘ของว่างยามเช้า’ ก่อนไปเรียนให้ร่างสูง แต่ดูจากดวงตาสีรัตติกาลที่เข้มขึ้น ผลที่ได้น่าจะตรงกันข้ามเสียมากกว่า



“อย่าเรียกกูเสียงหวานแบบนั้นดิวะถ้าไม่อยากโดน” นคินทร์เตือนด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์ แม้จะอยากขย้ำคนในอ้อมกอดแค่ไหน แต่เขารู้ว่าหากทำลงไปจริงๆ คงไม่ได้ออกไปไหนกันพอดี



พวกเขามาถึงห้างสรรพสินค้าก่อนพระอาทิตย์ตกดินไม่นาน แน่นอนว่านคินทร์เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ตผ้านิ่มสีเลือดหมูที่ภวัตรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัว เลยเวลาเรียนมาแล้วหากมีคนมาเห็นคุณชายนคินทร์ยังอยู่ในชุดนักศึกษาคงจะดูไม่งามเท่าไหร่นัก
ส่วนภวัตที่เป็นผู้ติดตามก็เปลี่ยนมาเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่นคินทร์เคยซื้อให้ ต่อให้เขาไม่มีชื่อเสียงต้องรักษาแต่เขายังคงมีสถานะเป็นคนรับใช้ของนคินทร์ จะให้แต่งเสื้อย้วยกางเกงยืดเดินตามก็จะทำให้รัศมีของอีกฝ่ายหมองจนเกินไปสักหน่อย



“ภีม เดินไหวมั้ย?” เมื่ออยู่ข้างนอก คุณชายนคินทร์ผู้อ่อนโยนที่ผู้คนต่างชินตาจึงกลับมาอีกครั้ง “ถ้ายังปวดตัวอยู่นายจะนั่ง
พักรอก็ได้นะ”



แม้ประโยคนั้นจะดูใสซื่อไร้พิษภัย แต่สำหรับคนที่รู้ความนัยของมันดีกวาดตามองรอบกายอย่างหวาดระแวง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่มีใครให้ความสนใจของพวกเขา



“ผมไม่เป็นไรครับคุณคิน”



พวกเขาเดินไปตามร้านรวงต่างๆโดยที่ภวัตเว้นระยะห่างจากร่างสูงหนึ่งช่วงแขนตามมารยาท นคินทร์เดินดูของไปเรื่อยๆ หยิบเสื้อผ้าที่ตนต้องการลองยื่นให้ภวัตถือไว้จนพอใจ ก่อนจะเดินนำร่างโปร่งไปยังห้องลองชุดซึ่งเปิดประตูอ้าไว้ทุกห้อง


ก่อนที่ภวัตจะได้หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้รอ เสียงของนคินทร์ก็ดังขึ้นจากภายในห้องลองชุด


“ภีม เข้ามาช่วยฉันหน่อย”



“ครับคุณคิน” แม้จะสงสัยว่านคินทร์มีเรื่องอะไรให้ตนช่วย แต่ร่างโปร่งก็ลุกไปยังห้องลองชุดที่นคินทร์แง้มประตูให้ “มี
อะไร…!”



ท่อนแขนแกร่งดึงเขาเข้าไปในห้องลองชุดแล้วล็อคประตูปิดไล่หลังอย่างรวดเร็ว ร่างของภวัตถูกดันชิดกระจกห้องลองชุดโดยมีร่างสูงใหญ่คร่อมไว้ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มกว้าง


“กูเลือกชุดมาให้ ลองให้กูดูหน่อย” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู


“คุณคินครับ ถ้าใครเข้ามา…”


“เชื่อกูสิ” ร่างสูงเอ่ยขัด “ไม่มีใครเข้ามาหรอก”



ถึงอีกฝ่ายจะพูดแบบนั้นแต่ภวัตยังคงไม่คลายกังวล คิ้วเรียวยังคงขมวดมุ่นเมื่อร่างโปร่งเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกทีละชิ้น แสงไฟสีส้มนวลตาส่องกระทบผิวสีน้ำผึ้งซึ่งแม้จะดูออกยากแต่หากเพ่งมองดีๆจะเห็นรอยรักสีกุหลาบที่นคินทร์ฝากไว้ใต้ร่มผ้า ภวัตลองเสื้อผ้าแต่ละตัวให้คุณชายใหญ่ของตนดู และค้นพบว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่นคินทร์หยิบมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นของที่อีกฝ่ายเลือกมาให้ตน


ดูจากแววตาพึงพอใจของคนที่กอดอกเอนพิงผนังมองเขาไม่วางตาในห้องลองชุดแคบๆนั้น ภวัตคิดว่าตัวเองน่าจะกลับบ้านไปพร้อมกับเสื้อผ้าทุกตัวในห้องนี้



“ชุดนี้เป็นไง?”


นคินทร์ถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วหยิบเสื้อยืดสีดำเรียบๆตัวหนึ่งมาสวม ด้วยเนื้อผ้ายืดพอดีตัวทำให้เสื้อตัวนี้รับกับสัดส่วนของชายหนุ่มโดยไม่ได้รัดแน่นจนเกินไป แม้จะเป็นรูปแบบการแต่งตัวที่ดูแปลกตา แต่ต้องยอมรับว่านคินทร์ดูดีมากจริงๆ


“…ดีครับ” ร่างโปร่งพยักหน้าตอบอย่างจริงใจ


“แค่ดีเองเหรอ?” คุณชายใหญ่แสร้งทำเสียงน้อยใจ ภวัตทำสีหน้าลำบากใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากให้เขาตอบว่าอย่างไร
ขายาวๆเพียงแค่ก้าวเดียวก็ย่นระยะห่างระหว่างพวกเขาจนแทบไม่เหลือ นคินทร์จับข้อมือบางให้มือเรียวของภวัตวางทาบบนหน้าท้องที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามผ่านเสื้อสีดำแนบเนื้อของตัวเอง


“แบบนี้ล่ะ ยังแค่ดีอยู่มั้ย?”


“คุณคิน…ชะล่าใจเกินไปแล้วนะครับ” ภวัตเบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนแววตาหวั่นไหว บิดมือของตัวเองออกจากการเกาะกุม “ถ้าคุณคินเริ่มประมาทแบบนี้ จะถูกจับได้เอานะครับ”



ทั้งที่สามปีที่ผ่านมานคินทร์ไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้เลยแท้ๆ ทำไมช่วงนี้ เกราะป้องกันที่ร่างสูงสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากถึงได้ถดถอยลงไปจนน่าตกใจแบบนี้ล่ะ?


“ปล่อยให้กูเป็นห่วงเรื่องนั้นคนเดียวเถอะน่า”



นคินทร์ว่าก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะทาบทับลงมาบนริมฝีปากของเขาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ภวัตหลับตาพริ้ม ยังคงตักตวงความสุขจากรสจูบหวานล้ำอย่างโหยหาราวกับเป็นครั้งสุดท้ายเช่นทุกครั้ง






อย่างที่เขาคิด นคินทร์ซื้อชุดทั้งหมดนั่นให้เขาจริงๆ


ภวัตถือถุงเสื้อผ้าเดินตามนคินทร์ออกมาจากร้าน ถึงแม้ว่าคุณชายใหญ่จะอยากช่วยอีกฝ่ายถือแค่ไหน แต่รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมในสถานะของพวกเขา



“กลับกันเถอะ” นคินทร์หันมาบอกคนข้างหลัง ภวัตเอียงคออย่างงุนงง


“ไม่ทานอะไรก่อนเหรอครับคุณคิน”
ร่างสูงส่ายหน้า


“นายทำให้สะดวกกว่า”


‘ฉันอยากกลับไปกินข้าวกับนายมากกว่า’ ความนัยของประโยคที่แฝงมาทำให้ภวัตยิ้มออกในที่สุด เพราะคนบ้านวิสุทธรากรย่อมไม่มีทางร่วมโต๊ะอาหารกับคนรับใช้ มีเพียงในห้องของพวกเขาที่คนทั้งคู่จะได้ทานอาหารด้วยกันจริงๆ


“อ้าว พี่คิน บังเอิญจังเลยครับ”


เสียงของคุณชายรองของบ้านทำให้ท่าทีสนิทสนมให้ระดับใดก็ตามของภวัตและนคินทร์หายไปในทันที ร่างสูงหันไปหาน้องชายที่โบกมือให้เขาพร้อมรอยยิ้ม ข้างกายมีเจษฎาที่ยกมือไหว้พี่ชายของเพื่อนสนิทอย่างนอบน้อม


“ที เจษฎ์ มาทำอะไรกันที่นี่?” นคินทร์ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“พาเจษฎ์มาซื้อรองเท้าฟุตบอลน่ะครับ” นทีตอบยิ้มๆ เหลือบมองเพื่อนตัวสูงที่เกาหลังคอด้วยสีหน้าเก้อๆ “ใช้จนพังอีกแล้ว”


“ไม่ได้ใช้พังบ่อยขนาดนั้นซักหน่อย…” เจษฎาพึมพำตอบไม่เต็มเสียง


“เราเพิ่งมาซื้อกันเดือนที่แล้วเองนะเจษฎ์” นทีเอ่ยเสียงจนใจ แต่รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้ถือสาที่ต้องมากับเพื่อนสนิท


“ได้ข่าวว่าเป็นดาวรุ่งทีมมหาลัยเลยนี่เรา” นคินทร์เอ่ยชมพร้อมรอยยิ้มที่ละม้ายคล้ายคลึงกับน้องชาย “ว่างๆไปเล่นกับพี่บ้างสิ ทีมพี่กำลังขาดคน”


“ครับ!”


เจษฎาที่ดูประหม่าเมื่อครู่พยักหน้ารับคำชวนอย่างกระตือรือร้น ภวัตเข้าใจเด็กหนุ่มดี สองพี่น้องตระกูลวิสุทธวรากรเป็นคนประเภทที่ใครก็อยากได้รับการยอมรับจากคนทั้งคู่ โดยเฉพาะนคินทร์ที่อยู่สูงเสียดฟ้า จนไม่ว่าใครก็อดเงยหน้ามองด้วยความชื่นชมไม่ได้


“จริงสิ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไปกินข้าวกันนะครับพี่คิน” นทีเอ่ยขึ้นเสียงใส เกาะแขนพี่ชายบุญธรรมของตนอย่างออดอ้อน
“ไม่ให้ปฏิเสธนะครับ”


แววตาของนคินทร์อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อก้มมองน้องชายของตัวเอง นทีคือแก้วตาดวงใจของทุกคนในบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าคนในบ้านนั้นย่อมรวมถึงพี่ชายที่ทั้งรักทั้งหลงน้องชายของตัวเองอย่างกับอะไรดี ถึงโตแล้วจะยอมปล่อยๆคุณนทีไปบ้าง แต่สมัยเด็กๆภวัตจำได้ว่าคุณนคินทร์ไปไหนจะต้องกระเตงคุณนทีไว้ที่เอวเหมือนลูกหมีโคอาล่าจนเป็นภาพชินตาของ
บรรดาคนรับใช้


“เอาสิ”


ดวงตาสีรัตติกาลเหลือบกลับมามองภวัตเล็กน้อยอย่างเป็นกังวล นทีที่เพิ่งสังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่หลังพี่ชายของตนยิ้มทักทายภวัต แล้วเอาถุงข้าวของจากในมือของเจษฎามายื่นให้ร่างโปร่ง


“พี่ภีม รบกวนฝากนี่ไปเก็บที่รถพี่คินหน่อยนะครับ แล้วก็…” ธนบัตรสีม่วงใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า “หาอะไรทานรอนะครับ เดี๋ยวจะหิว”



นี่คือสิ่งที่ภวัตคุ้นเคยดีในฐานะคนรับใช้ของบ้าน เวลาที่ตามคุณนารา ท่านเจ้าสัว หรือคุณชายทั้งสองของบ้านออกมาข้างนอก พวกเขามักจะปลีกตัวออกมาหาอะไรทานรอระหว่างที่เจ้านายอยู่ในร้านอาหาร ซึ่งบ้านวิสุทธวรากรก็ไม่เคยต้องให้คนรับใช้ควักเงินจ่ายเองในห้างสรรพสินค้าที่ราคาอาหารสูงลิ่วจนน่าปวดใจ การกระทำของนทีนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ค่อนไปทางความใจกว้างของคุณหนูตระกูลร่ำรวยเช่นนี้



“ขอบคุณครับคุณชา…คุณนที” ภวัตรีบแก้ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้เรียกว่าคุณชายรองนอกบ้าน ร่างโปร่งโค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงลาแล้วหอบข้าวของไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกล



เขาวางข้าวของทั้งของนคินทร์และนทีลงในกระโปรงท้ายรถของร่างสูง มือเรียวที่ยังคงจับอยู่บนฝากระโปรงรถกำแน่นจนเห็นข้อนิ้วสีขาว



เขารู้…ว่าสิ่งที่นทีทำนั้นเป็นเรื่องปกติ


เขารู้…ว่าในสถานะของตัวเองนั้น สิ่งที่นคินทร์ปฏิบัติกับเขาต่างหากที่เรียกว่ามากเกินกว่าคนรับใช้คนหนึ่งจะรับไว้


เขารู้…ว่าการคาดหวังมากเกินไปกว่าสิ่งที่ได้รับจะทำให้เป็นเขาเองที่ทุกข์ทรมาน


ภวัตปิดฝากระโปรงรถลงแล้วเดินไปเปิดประตูหน้าของรถคันโปรดของร่างสูง ก้าวเข้าไปในที่นั่งข้างคนขับซึ่งเป็นที่ประจำของเขา ปิดประตูรถอย่างเบามือ แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา






“พี่คิน เป็นอะไรรึเปล่าครับ? พี่ดูเหม่อๆไปนะ” นทีถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล มือเรียวเอื้อมไปกุมมือของพี่ชายที่วางอยู่บนโต๊ะไว้หลวมๆ



พวกเขาสนิทกันมาก ต่อให้ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่พวกเขายังคงรักกันไม่ต่างจากพี่น้องคู่อื่นๆ ดีไม่ดีจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ



เพราะต้องการชดเชยความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ไม่มีอยู่จริง นคินทร์กับนทีจึงไม่เคยอายที่จะบอกรักกันและกันมาตั้งแต่จำความได้ นคินทร์มักจะอุ้มน้องน้อยมานั่งตัก อ่านหนังสือนิทานให้ฟัง ทั้งกอดทั้งหอมน้องทุกทุกวันจนคนมองกลัวแก้มกลมนุ่มนิ่มของคุณชายรองจะช้ำไปเสียก่อน ถึงทุกวันนี้ นทีจะไม่ได้ออดอ้อนขอนั่งตักพี่ชายเหมือนเด็กๆแล้ว แต่พวกเขายังคงรักกันแน่นแฟ้นอยู่เช่นเดิม



นคินทร์ส่ายหน้า ยิ้มกลบเกลื่อนให้น้องชายของตนสบายใจ แม้ว่าในใจจะร้อนรนอยากตามคนที่เดินเอาของไปเก็บที่รถไปแค่ไหนก็ตาม



“เดี๋ยวนี้ยังจับมือพี่ได้อยู่เหรอ? แฟนไม่หวงเหรอ?” ร่างสูงพยักเพยิดไปทางเจษฎาที่นั่งอยู่ข้างน้องชาย



“มะ…ไม่ใช่แฟนซักหน่อย” นทีแก้ตัวเสียงตะกุกตะกัก นคินทร์เลิกคิ้ว เหลือบมองเจษฎาที่ควรจะเป็นคนรีบลุกลี้ลุกลนแก้ตัวแต่กลับไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม “จริงสิครับ ผมได้ยินแม่คุยกับเพื่อนว่าจะพาลูกสาวมาให้พี่คินดูตัวอีกแล้ว”


นคินทร์ลอบถอนหายใจ แม้ว่าหน้ากากภายนอกของตนนั้นจะยังคงยิ้มให้น้องชายแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ


“ถ้าเป็นคนที่คุณแม่เห็นว่าเหมาะสม คบหาไว้เป็นเพื่อนก็คงไม่เสียหาย”



“ถ้าพี่คินยังไม่มีคนที่ชอบ ลองคบดูก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนี่ครับ” นทีถามเสียงซื่อ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างเป็นกังวล “ผมน่ะ ไม่อยากให้พี่คินอยู่คนเดียวแบบนี้เลย”


“พี่ไม่ได้อยู่คนเดียวซักหน่อย” นคินทร์ยิ้ม “พี่มีทีอยู่ทั้งคนนี่นา”



นทียิ้มรับ แม้ว่าแววตาของเด็กหนุ่มจะยังคงไม่คลายความกังวล


“ว่าแต่พี่ เราเถอะ เมื่อไหร่จะพาแฟนมากราบพ่อกับแม่” นคินทร์เปลี่ยนหัวข้อสนทนา บ้านของเขาทั้งบ้านรับรู้ถึงความรู้สึกที่นทีมีต่อเจษฎาดี แม้ว่าพวกเขาจะรู้เช่นกันว่าความรักข้างเดียวของน้องชายในครั้งนี้น่าจะล้มเหลวไม่เป็นท่าจากการที่เจษฎาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าชอบผู้หญิง แต่มารดาของเขานั้นพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสดงออกถึงความสนับสนุน ส่วนบิดาของพวกเขาเพียงแค่มองดูอยู่ห่างๆ แม้จะไม่ได้คิดก้าวก่าย แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจ ซึ่งนั่นก็มากเกินกว่าที่นคินทร์จะหวังได้แล้ว



น้องชายของเขารีบส่ายหน้าพรืดอย่างร้อนรน



“ยังไม่มีซักหน่อย”



นคินทร์ลอบมองเจษฎาที่ก้มหน้าก้มตามองจานของตัวเองแล้วก็อดช่วยน้องไม่ได้



“แล้วมีใครมาจีบบ้างรึยัง ระวังเถอะ เดี๋ยวคุณแม่จะหาผู้ชายมาให้นายดูตัวด้วยอีกคน”



เขาสังเกตว่ามือของเจษฎาที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว



น่าสนใจ...


“โธ่ พี่คิน ทีดูแลตัวเองได้น่า” นทีบ่นอุบ “แค่นี้ก็ปฏิเสธไม่ทันแล้ว”



หากตะเกียบที่เจษฎากำอยู่นั้นไม่ได้ทำมาจากโลหะ มันคงจะหักสองท่อนคามือเด็กหนุ่มไปแล้ว


“เสน่ห์แรงเหมือนเดิมเลยนะน้องพี่” นคินทร์ขยี้ผมน้องชายเบาๆอย่างเอ็นดู


“พี่คิน...” แววตาของนทีดูหมองลงเล็กน้อย “ไม่เหงาจริงๆใช่มั้ยครับ”


“เรื่องแบบนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนอะไรเลยนี่” นคินทร์สอนน้องด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ถ้าเราเจอคนที่ใช่ เราก็รู้เองนั่นแหละ”


ชายหนุ่มเกือบจะหลุดขำออกมาเมื่อเห็นน้องชายเหลือบมองเจษฎาที่ยังคงก้มหน้านิ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
นทีรู้ว่าเมื่อวันนั้นมาถึง นคินทร์จะพาคนที่ใช่คนนั้นมาแนะนำให้เขารู้จักเอง



ก็พี่คินน่ะ...ไม่เคยมีความลับกับเขาเลยนี่นา








ภวัตกำลังนั่งสัปหงกอยู่ในโซนนั่งพักของห้างเมื่อมือใหญ่แตะลงบนไหล่ของเขาเบาๆ ร่างโปร่งรีบยืดตัวขึ้นตรงแล้วหันไปมอง หวังจะได้เห็นคนที่กำลังรออยู่


ก่อนจะคอตกอย่างผิดหวังเมื่อเห็นว่าเป็นแค่เพื่อนในคณะของเขาเท่านั้น



“อะไรของมึง หลับจนน้ำลายยืดหมดแล้ว มานั่งรอใครวะเนี่ย” เต็งหนึ่งถามเสียงกลั้วหัวเราะ


ถึงแม้นคินทร์จะไม่เคยห้ามเขาให้คบค้าสมาคมกับใคร แต่ภวัตยังคงถือว่าหน้าที่หลักของเขาในการมาเรียนมหาวิทยาลัยคือการดูแลรับใช้คุณคินให้ดีที่สุด การสร้างมิตรภาพในห้องเรียนจึงไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความสนใจของเขาเท่าไหร่นัก


จะมีก็แต่คนว่างๆอย่างไอ้เต็งหนึ่งนี่แหละที่ไม่มีอะไรทำมากพอจะมาตามตื๊อขอเป็นเพื่อนกับเขาตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง ภวัตที่ไม่อยากปฏิเสธให้เสียน้ำใจจึงพยักหน้ารับไปส่งๆ คิดไปว่าหลังจากนี้คนอัธยาศัยดีอย่างมันคงมีเพื่อนเยอะจนลืมเขาไปเอง
 ใครจะคิดว่าสามปีมาแล้ว ไอ้เต็งหนึ่งก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขาไม่ไปไหน


“ฮั่นแน่ รอจนหลับแบบนี้ คอยผัวชัวร์เลยมึงอ่ะ”


“ไอ้เต็ง! กูบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเรียกคุณคินแบบนั้น! ถ้าใครเข้าใจผิดขึ้นมามึงจะว่าไง” ภวัตด่าเพื่อนด้วยน้ำเสียงกระชากอย่างไม่สบอารมณ์ที่เขาไม่มีวันให้นคินทร์ได้ยิน เต็งหนึ่งยิ้มเผล่ บีบนวดไหล่ของเพื่อนอย่างเอาอกเอาใจ นิสัยชอบล้อเล่นของอีกฝ่ายทำให้ถูกคนไม่ดุใครอย่างภวัตด่าไปหลายครั้งแล้ว


“อ่า โทดๆ กูลืมไปว่าแตะไม่ได้”


“อย่าลืมบ่อยก็แล้วกัน” ภวัตเอ่ยเสียงเย็น


“ขอโทษนะ ฉันมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า?”


เสียงของคนในหัวข้อสนทนาที่ดังขึ้นทำให้ภวัตนิ่งค้างไป ก่อนจะรีบปรับสีหน้าของตนให้กลับมาเป็นปกติ


“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณคิน”


“สวัสดีครับคุณคิน” เต็งหนึ่งทักอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม แม้ว่าเพื่อนของภวัตจะไม่มีเหตุอะไรให้ต้องเรียกนคินทร์แบบนั้น แต่การเรียกอย่างหยอกล้อตามเพื่อนในวันวานทำให้เต็งหนึ่งคุ้นชินไปเสียแล้ว


“ขอโทษทีนะเต็งหนึ่ง พอดีพวกเรามีธุระต่อ คงต้องขอตัวก่อน” นคินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ “ไปกันเถอะภีม”
“ครับคุณคิน”


ภวัตเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษในมือของนคินทร์มาถือไว้อย่างรู้งาน เดินตามโดยทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้เช่นเดียวกับที่ทำในขามา


“ขอโทษนะครับคุณคิน” ภวัตเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในรถของร่างสูงแล้ว นคินทร์ที่กำลังสตาร์ทรถเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ผมปล่อยให้เต็งหนึ่งจับ...”


นคินทร์ขี้หวงขนาดไหน ของเล่นอย่างเขามีหรือจะไม่รู้


ทว่านคินทร์เพียงส่ายหน้า


“กูเชื่อใจมึง” ชายหนุ่มว่า รถยนต์คันหรูค่อยๆออกตัวจากลานจอดรถ “ถึงกูจะไม่ชอบที่มันแตะต้องมึง แต่กูเชื่อใจมึง”


ภวัตไม่คิดว่านคินทร์จะเข้าใจว่าความเชื่อใจของตนมีความหมายกับเขามากแค่ไหน ร่างโปร่งก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มและสีหน้าเปี่ยมสุขของตัวเองให้พ้นจากสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะนึกได้ว่าถุงกระดาษขนาดเล็กที่เขาถือให้อีกฝ่ายนั้นยังคงอยู่ในมือ


“เปิดดูสิ” นคินทร์ว่า ภวัตหยิบกล่องกระดาษสีขาวดำประทับสัญลักษณ์ของแบรนด์เครื่องประดับชื่อดังออกมาเปิดออก ดวงตาของร่างโปร่งเบิกกว้างเมื่อเห็นต่างหูเพชรน้ำงามคู่หนึ่งนอนนิ่งอยู่ในนั้น


“คุณคิน...”


“ชอบมั้ย?” น้ำเสียงของชายหนุ่มราวกับเด็กเล็กๆที่รอคำชมจากผู้ปกครอง


“ของแพงๆแบบนี้....”


“ไม่ต้องห่วง เงินทุกบาททุกสตางค์ที่กูหามาได้ กูให้มึงหมดจริงๆ” นคินทร์รีบเอ่ยขึ้น “คู่นี้กูเก็บเงินจากเงินเดือนที่มึงให้กูมาซื้อ ไม่ได้เอามาจากเงินเก็บของเราแน่นอน”


คำว่า ‘เงินเก็บของเรา’ ของอีกฝ่ายมีค่ามากกว่าต่างหูที่อยู่ในมือของภวัตจนประมาณค่าไม่ได้ ร่างโปร่งหยิบต่างหูขึ้นมาใส่ทีละข้าง รู้ตัวว่ารอยยิ้มของตนนั้นกว้างจนแก้มแทบปริ


“ชอบมั้ย?” นคินทร์ถามย้ำ คราวนี้ภวัตได้ยินความประหม่าอยู่ในน้ำเสียงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน


“ชอบครับ ผมชอบมากเลย” ภวัตตอบเสียงใส ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกกับคำตอบนั้น มือใหญ่ข้างหนึ่งละจากพวงมาลัยมากุมมือที่วางอยู่บนตักของเขาไว้หลวมๆ ภวัตพลิกหงายฝ่ามือ สอดประสานมือของพวกเขาทั้งคู่ไว้ด้วยกันตลอดระยะทางไปจนถึงคอนโดของร่างสูง


---------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
คุณคินน่ารักมากกกกกกกกก :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Day 11: พรุ่งนี้เอาใหม่




“โห…จะใส่ไม่ได้แล้วอ่ะ”



ปกติคำพูดนั้นจะมาพร้อมกับขอบกางเกงที่รัดตึงจนแน่นปริ บ่งบอกถึงเวลาที่ผมจะต้องไปช้อปปิ้งตะลุยหาเสื้อผ้าใหม่ที่สามารถยัดร่างกลมๆของตัวเองเข้าไปได้ แต่ในครั้งนี้ ผมได้แต่กุมขอบกางเกงที่ย้วยยานจนกางเกงตัวนั้นจะร่นลงไปกองกับพื้นอย่างจนใจ เอียงตัวมองหน้าท้องที่แม้จะไม่ได้แบนราบแต่กลับไม่ค่อยเห็นก้อนเนื้อกลมๆอย่างที่เคยมีเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เสื้อผ้าของตัวเองจะหลวมจนต้องคิดหาซื้อเสื้อผ้าที่ไซส์เล็กลงแบบนี้



“นั่นสินะครับ ไว้วันหลังเราไปซื้อเสื้อผ้ากันนะ”



แขนของพี่ต้าโอบรอบเอวทำให้ผมยืนตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะลอบถอนหายใจเมื่อเห็นสายวัดในมือของอีกฝ่ายที่ตีวัดรอบเอวผมอย่างชำนาญ



“ปกติมันจะลดเร็วขนาดนี้เลยเหรอครับพี่ต้า” ผมอดถามอย่างเป็นกังวลไม่ได้



“อื้อ บางคนถ้าบวมน้ำบวมเกลือ ก็จะรู้สึกว่าน้ำหนักลดเร็วในช่วงแรกๆ จริงๆก็แค่อาการบวมตามร่างกายลดลง ไม่ต้องตกใจ” พี่ต้าอธิบาย คุกเข่าลงวัดต้นขาของผมทั้งสองข้าง “เก่งมากเลยครับปราณ”



“มีพี่ต้าช่วยนี่ครับ” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างขอบคุณ ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีวันที่รู้สึกว่าร่างกายเป็นของตัวเองอีกครั้งแบบนี้



“อย่าหักโหมมากนะ” พี่ต้าเงยหน้าขึ้นมองผมอย่างเป็นกังวล “อะไรที่เร็วไปก็ไม่ดีนะครับปราณ พี่อยากให้ปราณทำเพื่อตัวเองนะครับ”



“ครับ” ผมพยักหน้ารับ “พี่ต้าอยากให้ผมทำอะไรก็บอกมาเลย ผมเชื่อพี่ต้าทุกอย่างอยู่แล้ว”



“ถ้าอย่างนั้น ซิทอัพให้พี่เพิ่มซักห้าสิบนะครับ”



พี่ต้ายิ้มหวาน แต่สิ่งที่พูดออกมานั้นช่างโหดร้ายจนผมอยากร้องไห้ออกมา






“ฮือ ไม่ไหวแล้ว”



ผมงอแง ถึงแม้ว่าจะทำทุกอย่างบรรลุตามเซ็ทออกกำลังกายที่พี่ต้าจัดไว้ในวันนี้เรียบร้อยแล้วก็ตาม



“เสร็จแล้วครับปราณ ยืดตัวก่อนจะได้ไม่ปวด” พี่ต้าช่วยดัดแขนดัดขาให้ผมที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นอย่างอ่อนเพลีย ส่วนตัวผมที่แทบจะไหลไปมาบนพื้นเป็นเยลลี่ก็ช่วยขยับตามเท่าที่ทำได้ “เย็นนี้อยากทานอะไรครับคนเก่ง”



“อ๊ะ ผมลืมบอกไป” ผมรีบเด้งตัวขึ้นจากพื้น พนมมือขอโทษขอโพยอีกฝ่ายอย่างสำนึกผิด “พอดีไอ้อาร์มมันชวนไปกินข้าวด้วยเย็นนี้น่ะครับ ผมรับปากมันไปแล้ว แต่พี่ต้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะเลือกอาหารดีๆ ไม่กินเยอะแน่นอน”



“…” สีหน้าของพี่ต้ามืดครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด ให้ตายเถอะ เรื่องแบบนี้ทำไมผมถึงลืมบอกเขาไปได้นะ



“ขอโทษนะครับ คราวหลังผมจะรีบบอก” ผมรีบสัญญา



“ยังมีคราวหลังอีกเหรอ…” อีกฝ่ายพึมพำไม่ได้ศัพท์  แต่พอผมถาม พี่ต้าเพียงแค่ส่ายหน้า “เปล่าครับ ไม่มีอะไร ไปกับเพื่อนเถอะ”



“จริงๆแล้ว…ผมมีเรื่องอยากรบกวนน่ะครับ” ผมเกาแก้มอายๆ ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายมากไปรึเปล่า “พี่ต้าช่วยผมเลือกชุดหน่อยได้มั้ยครับ ผมอยากดูดีกับเขาบ้าง…”



ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แฟนเก่า ต่อให้ไม่อยากรีเทิร์นผมก็ยังอยากจะให้ไอ้อาร์มเห็นว่าผมดูดีขึ้นจากแต่ก่อนมาก เรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ก็คงไม่ผิด



“…ได้สิ” พี่ต้าหันมาตอบผมพร้อมรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายดูแข็งกว่าปกติเล็กน้อย


คงยังโกรธที่ผมลืมบอกว่าจะออกไปข้างนอกสินะ



หลังจากนั้นผมจึงเอาเสื้อผ้าที่เลือกไว้ออกมาลองให้พี่ต้าดู ถึงแต่ก่อนการแต่งตัวของผมจะไม่ได้จัดอยู่ในประเภทที่ดูไม่ได้ แต่ผมก็ยังคงเชื่อเซ้นส์ของพี่ต้ามากกว่าของตัวเอง ก็คุณชายท่านเล่นจับผมแต่งตัวเป็นตุ๊กตากระดาษทุกวันเลยนี่นา



“ไม่เหมาะ”


“ไม่ดี”


“ไม่เอา”


แต่วันนี้ดูเหมือนไม่ว่าผมจะเลือกชุดไหนก็ดูจะขัดหูขัดตาที่ต้าไปเสียหมด สุดท้ายแล้วผมจจึงมาลงเอยที่เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำ ดูแล้วไม่ต่างจากชุดนักศึกษาที่ผมใส่เป็นประจำเท่าไหร่



“พี่ต้าแน่ใจเหรอครับ?” ผมอดถามไม่ได้



“ปราณไม่เชื่อใจพี่เหรอ?” คำถามนั้นมาพร้อมกับสีหน้าน้อยอกน้อยใจที่ทำให้ผมต้องรีบส่ายหน้าพรืด


“ไม่ให้เชื่อพี่ต้าแล้วจะให้ผมเชื่อใครล่ะครับ”


“ไม่รู้สิ พี่ว่าอาร์มเขาก็คงแนะนำได้ล่ะมั้ง เรื่องเสื้อผ้าเนี่ย” อีกฝ่ายพึมพำ ก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์ของตัวเอง



“โธ่ อย่างไอ้อาร์มแค่ใส่เสื้อกับกางเกงให้ไปทางเดียวกันยังทำไม่ได้เลยครับ" ผมยิ้มขำ “สมัยที่คบกันผมยังต้องช่วยมันเลือกเสื้อผ้าเวลาจะไปเที่ยวกันเลย”



“พี่ขอตัวก่อนนะ พอดีมีธุระ” พี่ต้าตัดบทด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างงงๆ ไม่รู้ว่าวันนี้พี่ต้าเป็นอะไร ทำไมถึงได้ดูผีเข้าผีออกขนาดนี้



ไอ้อาร์มมารับผมที่หน้าคอนโดหลังจากนั้นไม่นาน ยังคงคอนเซ็ปท์เสื้อผ้าไม่เข้าคู่ของตัวเองอย่างเหนียวแน่น เจ้าตัวยิ้มร่า ก้าวออกมาจากรถแล้วดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด ผมกอดตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนคนตรงหน้า
ก็ยังทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจได้เสมอ



“ป่ะ กูหิวละ” ไอ้อาร์มว่า


“เออ ไปร้านเดิมป่ะ ที่มึงชอบกินก่อนไปเยอรมันอ่ะ”



“ยังอยู่อีกเหรอวะ?”



“อยู่ๆ กูเพิ่งไปกับพี่เจษฎ์มา”



ผมกับไอ้อาร์มตกลงหาที่กินกันขณะเดินไปที่รถ ไม่ได้เห็นสายตาของใครบางคนที่มองตามพวกเราไปจากระเบียงของห้องจนลับสายตา







”กินเข้าไปเยอะๆหน่อยสิอ้วน มึงแดกแค่นี้เจ้าของร้านร้องไห้แล้ว”



ไอ้อาร์มบ่น ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ถึงจะไม่ได้สนใจเรื่องการลดน้ำหนักกระเพาะของผมที่ถูกฝึกมาจนเริ่มชินก็เริ่มรู้สึกว่าไม่สามารถรองรับอาหารได้เท่ากับปกติแล้ว ต่อให้ไอ้อาร์มพยายามยัดของกินใส่จานกองพะเนินเทินทึก ผมก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถยัดมันลงท้องได้อยู่ดี



“มึง กูอิ่ม”



“หะ? แค่นี้อ่ะนะอิ่ม? นี่มึงไปตัดกระเพาะมาใช่ป่ะ?” ไอ้อาร์มถามอย่างไม่อยากเชื่อ นี่แต่ก่อนผมเป็นคนกินหนักขนาดนั้นเลย
เหรอ?



“ก็กูอิ่มนี่นา” ผมยังคงยืนกราน ยัดเข้าไปมากกว่านี้ได้มีขย้อนกลับออกมาแน่



“เอ้าๆ อิ่มก็อิ่ม” คนตรงหน้าผมถอนหายใจ ขยี้หัวผมแรงๆอย่างหมั่นไส้ “เหอะ กูจะจำไว้ เดี๋ยวนี้มีลดน้ำหนักเพื่อผู้ชาย ทีกูชวนไปวิ่งนั่งร้องไห้อยู่หน้าร้านลูกชิ้น”



“ลดเพื่อผู้ชายอะไรวะ กูก็แค่อึดอัดป่ะ ชุดมันคับ” ผมเถียงด้วยความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ไอ้อาร์มนี่สิดูจะไม่เชื่อซะเต็มร้อย
“อย่ามา คุณพี่ต้ามึงอ่ะ ตัวติดกันขนาดนั้นมึงเห็นกูโง่มากว่างั้น?”



“…” ผมถอนหายใจ เมื่อมาคิดดูดีๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ผมปิดบังมัน “พี่ต้าเขาเป็นเทรนเนอร์กู เจ๊ปายซื้อคอร์สให้เป็นของขวัญวันเกิด”



ไอ้อาร์มอ้าปากค้างเป็นรูปตัวโอ ก่อนจะลากเสียง’อ๋ออออ’ อย่างเข้าอกเข้าใจจนน่าหมั่นไส้



“มิน่าล่ะ กูก็ว่าอยู่ว่าทำไมคนอย่างนั้นถึงมาอยู่กับมึง”



“ทำไม? อยู่กับกูมันทำไม?” ผมขมวดคิ้ว แม้จะรู้ว่ามันเป็นความคิดของคนส่วนใหญ่เวลาเป็นผมอยู่กับพี่ต้า แต่ก็ยังอดรู้สึกไม่พอใจไม่ได้



“อย่าเข้าใจผิดนะอ้วน กูไม่ได้ว่ามึง” ไอ้อาร์มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใจเย็น “แต่คนแบบนั้นอยู่คนละโลกกับคนอย่างพวกเรา มึงเป็นคนดี มึงเป็นคนน่ารัก แต่คนอย่างพี่เขาหาคนดีคนน่ารักเหมือนมึง แต่หน้าตาดีกว่ามึง หุ่นดีกว่ามึง เหมาะสมกับเขามากกว่ามงได้ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน กูไม่อยากให้มึงเจ็บกับความหวังลมๆแล้งๆ”



“กูรู้น่า มึงคิดว่ากูเป็นเด็กเมื่อวานซืนรึไง” ผมกลอกตาใส่อีกฝ่าย แม้ว่าในความเป็นจริงนั้น ความคิดที่อีกฝ่ายว่าค่อยๆเริ่มถูกลืมเลือนไปหลังจากใช้ชีวิตอยู่กับพี่ต้ามา



เขากับผม...มองยังไงก็ไม่เหมาะสมกันจริงๆนั่นแหละ









ผมกลับมาถึงห้องด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ไม่เคยคาดหวัง แต่ทำไมพอรู้ว่าไม่มีหวังถึงได้เจ็บไปหมดขนาดนี้ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ



“ปราณ กลับมาแล้วเหรอ? พี่ซื้อหนังที่ปราณบอกว่าอยากดูมาด้วยล่ะ ปราณดูกับพี่...”


“พี่ต้า ขอโทษนะครับ วันนี้ด้วยเพลียมากจริงๆ” ผมเอ่ยตัดบทคนที่กระวีกระวาดเข้ามาหาผมตั้งแต่ยังเปิดประตูไม่ถึงครึ่งบ้าน ตัวตนแสนสว่างไสวของอีกฝ่ายตอนนี้แยงตาจนผมปวดหัวไปหมด



“อ๋อ…งั้นปราณพักผ่อนเถอะ พี่ไม่กวนปราณดีกว่า”


เสียงของพี่ต้าอ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ตัวผมในตอนนี้เพียงแค่อยากจะล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเอง หนีไปจากโลหแห่งความเป็นจริงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยังดี



ผมเดินผ่านพี่ต้าเข้าไปในห้องนอน แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าชุดที่พี่ต้าใส่อยู่นั้นไม่ใช่ชุดที่อีกฝ่ายใส่ก่อนผมออกไป แต่เขาคงแค่อาบน้ำเปลี่ยนชุดหลังออกกำลังกายเสร็จ ถึงแม้ว่าชุดที่พี่ต้าใส่จะดูดีเกินกว่าจะเป็นชุดที่ใส่อยู่บ้านก็ตาม



แต่พี่ต้าใส่ชุดอะไรก็ดูดีเกินกว่าจะเป็นชุดที่ใส่อยู่บ้านอยู่แล้วน่ะนะ







ทางด้านของคฑา ร่างสูงได้แต่มองตามร่างของคนที่ตัวเองลงทุนอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่คิดว่าดูดีที่สุดเพื่อรออีกฝ่ายกลับมาไปตาละห้อย ก้มลงมองแผ่นดีวีดีในมือแล้วถอนหายใจ ตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่ห้องของตัวเอง



ภายในห้อง บนเตียงของคฑามีช่อดอกไม้ที่เขาหุนหันออกไปซื้อด้วยความร้อนรน กลัวว่าหากไม่รีบทำอะไรซักอย่าง ไอ้เด็กอาร์มนั่นจะทำคะแนนทิ้งห้างเขาไปจนตัวเองไม่สามารถไล่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายมีภาษีมากกว่าเขาด้วยการเคยก้าวไปอยู่ในจุดที่คฑายังไม่สามารถเอื้อมไขว่คว้าถึง



ร่างสูงทิ้งช่อดอกไม้ช่อใหญ่ลงในถึงขยะ ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาที่ใครต่างก็บอกว่าเหมือนมีมนต์สะกดให้คนมองหลงใหลแต่กลับใช้ไม่ได้กับคนที่เขาต้องการเหม่อมองเพดนอย่างใจลอย พึมพำออกมาราวกับจะให้กำลังใจตัวเอง



“พรุ่งนี้ค่อยเอาใหม่แล้วกันนะไอ้ต้า”




เสียงหอบหายใจถี่กระชั้นของคนที่พยายามสะกดกลั้นเสียงครางตั้งแต่การเริ่มกิจกรรมของพวกเขาเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาทำให้เจษฎานึกหงุดหงิด เขารู้ว่านทีกำลังทำเพื่อเขา เพราะอีกฝ่ายกลัวว่าเขาจะหมดอารมณ์ขึ้นมาหากได้ยินเสียงของตน แต่ในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาอยากได้ยินไปมากกว่าเสียงของนทีที่ร้องเรียกชื่อเขาสลับกับเสียงครางแว่วหวานตอบรับสะโพกสอบที่ขยับสาวจังหวะร้อนแรง



เด็กหนุ่มร่างสูงกัดฟันกรอด สับสนกับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้กับคนในอ้อมกอด


ทันใดนั้นผ้าผืนนิ่มที่คาดปิดดวงตาของเจษฎารู้สึกเหมือนโซ่ตรวนที่เด็กหนุ่มนึกอยากดึงกระชากมันออกไปแต่ทำไม่ได้
แต่สิ่งที่เขาทำได้ คือการละมือจากสะโพกมนที่ไม่ต้องสงสัยว่าตอนนี้คงมีรอยประทับสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือของเขาติดผิว
กายขาวเนียน แล้วกอบกุมเอาส่วนอ่อนไหวที่ไม่มีใครให้ความสนใจไว้ในมือ



“เจษฎ์!…อี่ก…”


นทีเผลอร้องออกมาอย่างตกใจกับการกระทำของเพื่อนสนิท ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองไว้แน่นเมื่อมือใหญ่ขยับประสานจัวหวะเข้ากับสะโพกสอบที่จงใจกระแทกย้ำให้คนตัวบางจิกผ้าปูเตียงแน่นเพื่อระบาย เสียงของนทีนั้นทำให้เลือดลมของคนฟังสูบฉีดพล่านไปทั่วร่าง



“ที…ร้องออกมา…” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูของเพื่อนสนิท ขบเม้มใบหูของนทีอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ “กูอยากได้ยินเสียงมึง…”



ทีแรก นทียังดื้อจะไม่ยอมท่าเดียว ทว่าจังหวะที่เร่งเร้าราวกับจะกลั่นแกล้งให้เขายอมจำนนทำให้เสียงหวานดังลอดออกมาจากริมฝีปากที่ปิดสนิทในที่สุด



“อ๊ะ…อะ…อ๊า!!”


“เรียกชื่อกูสิที กูอยากได้ยินมึงเรียกชื่อกู…”



เจษฎาเรียกร้อง กายเสียงหวานนั้นราวกับคนโลภไม่รู้จักพอ



เขาไม่เคยทำแบบนี้กับนที อาจเป็นเพราะความกลัวหรือความไม่สนิทใจในตอนแรกที่ทำให้เขาละเลยการใช้มือช่วยร่างโปร่งให้ถึงฝั่ง ซึ่งในตอนแรกเจษฎาก็รู้สึกประหลาดเล็กน้อยอย่างที่คาดไว้ แต่ความรู้สึกที่ว่านั้นกลับถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยความภาคภูมิใจที่ทำให้นทีสะท้านเฮือก เสียงหวานเร่าร้องเรียกชื่อเขาซ้ำไปมาราวกับแผ่นเสียงตกร่องใต้ร่างหนาได้สำเร็จ ช่องทางอ่อนนุ่มก็ตอบแทนการดูแลของเจษฎาด้วยการโอบรัดตัวตนของเด็กหนุ่มจนเขารู้สึกว่าตัวเองจะไม่สามารถแยกจากนทีได้อีกตลอดชีวิต และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือเจษฎาไม่ได้รู้สึกเสียใจกับความคิดนั้นสักนิด



เขี้ยวคมงับลงบนหัวไหล่มนก่อนลิ้นร้อนจะแลบเลียปลอบประโลมรอยนั้นอย่างลุ่มหลง แม้ไม่ได้เรียกเลือดแต่ก็รู้ดีว่ารอยประทับบนเรือนร่างขาวจะคงอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อยก็หนึ่งวันเต็มๆ แค่ความคิดนั้นก็มากพอที่จะทำให้สะโพกสอบเร่งเร้าเสียจนร่างข้างใต้โยกคลอนไปตามแรง


“อ๊ะ…อ๊า!!!”



ร่างสองกระตุกเกร็งพร้อมกัน ความอ่อนนุ่มที่ตอดรัดจนแทบขาดใจทำให้ภาพรอบกายของเจษฎาขาวโพลนไปชั่วขณะ ร่างสูงรวบคนตัวเล็กกว่าเข้ามาในอ้อมกอดแน่น ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายอยู่ห่างจากตัวเองแม้สักวินาที



จมูกโด่งซุกไซร้ซอกคอขาวอย่างลุ่มหลง ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่เขาจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเคยฉีด กลิ่นหวานๆที่แม้จะไม่ฉุนแสบจมูกแต่ก็ยังพอแยกออกว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ทำขึ้นเพื่อหญิงสาวโดยเฉพาะ เขารู้ว่านทีไม่ชอบกลิ่นพวกนี้ ดังนั้นคำอธิบายที่พอจะนึกได้สำหรับนิสัยของเพื่อนสนิท คงจะเป็นการที่อีกฝ่ายอยากให้เขาสามารถจินตนาการว่าตัวเองกำลังมีอะไรกับผู้หญิงได้สะดวกขึ้น



เจษฎากัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด ความคิดที่ว่าคนในอ้อมกอดต้องการให้เขาคิดถึงคนอื่นในระหว่างที่กำลังกอดอีกฝ่ายบนเตียงทำให้เขานึกอยากจะกระชากผ้าปิดตาบ้าๆนี่ออกแล้วพิสูจน์ให้คนตรงหน้ารู้ว่าสมองของเขาไม่สามารถคิดอะไรได้มากไปกว่าเรื่องของนที



ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย และไม่สามารถอธิบายกระบวนความคิดของตัวเองได้ แต่ในตอนนี้อารมณ์ของเจษฎาอยู่นอกเหนือเหตุผลทั้งปวง



“ที…กูขออีกรอบนะ”



“เอ๊ะ…ทำไม…” เสียงหวานฟังดูสับสน เจษฎาไม่เคยเป็นฝ่ายขอเขาตรงๆแบบนี้



“กูขออีกรอบ…” เจษฎาเอ่ยย้ำ สะโพกสอบขยับเร้าจุดไวสัมผัสภายในเบาๆเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายเริ่มมีอารมณ์ร่วมขึ้นมาอีกครั้ง



เขาอาจจะไม่ได้ช่ำชองที่สุด แต่เจษฎามั่นใจว่าเขารู้ทุกซอกทุกมุมของเรือนร่างของเพื่อนสนิทมากที่สุด และจากร่างเล็กกว่าที่สั่นระริกกับฝ่ามือใหญ่ที่ปัดป่ายไปทั่ว ความั่นใจนั้นยิ่งได้รับการเต็มเติมจนเขายังหมั่นไส้ตัวเอง



และไม่นานนัก เสียงหวานที่เขาได้ยินเท่าไหร่ก็ยังคงไม่รู้จักพอก็ดังสะท้อนไปทั่วห้องพักกว้างในคอนโดของร่างโปร่งอีกครั้ง เจษฎากอดรัดร่างบอบบาง แนบชิดแผงอกแกร่งกับแผ่นหลังเนียนเพื่อให้กลิ่นของตัวเองกลบกลิ่นหวานเลี่ยนที่เขาไม่คุ้นเคยจากอีกฝ่ายให้หมด



เขายังไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อนทีในตอนนี้เรียกว่าอะไร แต่สิ่งที่เขามั่นใจ คือเขาจะไม่พอใจจนกว่ากลิ่นของเขาจะจับจองทุกตารางนิ้วบนร่างกายของอีกฝ่ายในเช้าวันต่อมา


---------

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
อะไร ยังไง จะทำอะไร ก็รีบทำ
ต้ายังไงล่ะ ชอบน้อง เลยมาเป็นเทรนเนอร์ให้
แต่อยู่ใกล้กันแบบนี้ ต้องคืบหน้าบ้างนะ
อย่ามาทำหงอย บางทีปราณก็ซื่อ ก็งง

ปราณดูอาการพี่ออก แต่ปราณก็ไม่เข้าใจ
และไม่เข้าข้างตัวเอง

เอิ่ม อาร์มคะ มาวันเดียว ทำปราณเฟลหนักมาก
พี่ก็เตรียมแต่งหล่อให้น้องมอง ที่ไหนได้ พี่ก็มาเฟลไปอีก

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Day 12: สับสน

ศึกเมื่อคืนอาจจะหนักหน่วงไปสักหน่อยสำหรับนที เพราะเมื่อเจษฎาลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความมืดมิดอันคุ้นเคย ลมหายใจอุ่นที่รินรดแผ่นอกกว้างและร่างที่ขดตัวกลมซุกเข้าหาไออุ่นจากเขาทำให้ร่างสูงระบายยิ้มออกมา เจษฎายกมือขึ้นปลดผ้า
คาดตาของตนออก กระพริบตาปรับแสงให้โฟกัสกับภาพตรงหน้า



นทียังคงหลับตาพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อน แผ่นอกแบนราบที่ยังเหลือร่องรอยสีกุหลาบกระจายประหรายสะท้อนขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ ริมฝีปากเรียวแดงก่ำจากการถูกบดขยี้อย่างไร้ความปราณีในคืนก่อนหน้า แก้มเนียนใสขึ้นสีเลือดฝาดระเรื่อน่าฟัด ร่องรอยที่เจษฎาฝากไว้ยังคงกระจายแต่งแต้มผิวกายขาว



ร่างสูงก้มลงขโมยจุมพิตไปจากริมฝีปากนิ่มอย่างอดใจไม่ไหว เมื่อเห็นว่านทียังคงหลับสนิทยิ่งได้ใจ พรมจูบไปทั่วใบหน้าขาวเนียนอย่างหลุ่มหลง จนกระทั่งคนที่นอนหลับอยู่เริ่มขยับตัว



ดวงตาสีน้ำตาลซึ่งซ่อนอยู่ใต้แพขนตางอนหนาปรือขึ้นทีละน้อย ก่อนจะเบิกกว้างพร้อมกับร่างโปร่งที่ผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ




“ขะ…ขอโทษนะ เราเผลอหลับไป…”



“ขอโทษทำไม นี่เตียงมึง”



เจษฎายิ้มขำกับสีหน้าลุกลี้ลุกลนของเพื่อนสนิท เอื้อมมือไปหมายจะปัดเส้นผมชื้นเหงื่อออกจากหน้าผากใส แต่ต้องชะงัก
กึกเมื่อนทีขยับหลบด้วยสีหน้ากังวลใจ แถมยังดึงผ้าห่มผืนหนามาห่อร่างของตัวเองไว้จนกลายเป็นก้อนกลมๆน่ารักน่าเอ็นดูหนึ่งก้อน แต่คนที่โดนบดบังทัศนียภาพรู้สึกอยากจะกระตุกผ้าห่มออกจากร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์



“เรา…เราไปอาบน้ำก่อนนะ”



“เดี๋ยว” เจษฎาคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ก่อนที่นทีจะหนีหน้าเขาได้ “น้ำหอมนี่น่ะ เลิกใช้ได้แล้ว ไม่เหมาะกับมึงซักนิด”



“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราซื้อขวดใหม่…” นทีหน้าเสีย



“ไม่ต้อง กลิ่นเดิมของมึงก็ดีอยู่แล้ว” ร่างสูงขัดเสียงห้วน



“…อื้อ…”




นทีรับคำด้วยสีหน้าสลดลง ไม่รู้ทำไม แต่เจษฎารู้สึกว่าทุกการกระทำและทุกคำพูดของตนดูจะทำร้ายอีกฝ่ายไปเสียหมด
ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้งหลังจากที่อีกฝ่ายก้าวเข้าไปในห้องน้ำ เหม่อมองเพดานด้วยความรู้สึกสับสนที่ตีกันอยู่ในหัว
โทรศัพท์ของนทีสั่นครืดๆบนตู้หัวเตียงของร่างโปร่ง เจษฎาขมวดคิ้ว หยิบโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทมาดูชื่อที่แสดงบนหน้าจอ คิ้วเข้มยิ่งผูกเป็นปมเมื่อเห็นชื่อที่ตนไม่คุ้นเคย แต่ใบหน้าของไอ้ฝรั่งขี้นกนั่นเขาคุ้นเคยดี



“ไอ้ที คนชื่อชาลส์โทรมา” ร่างสูงตะโกนบอกคนในห้องน้ำ รู้สึกได้ว่าความไม่พอใจของตนถูกส่งผ่านไปทางน้ำเสียงอย่างชัดเจน



“อื้อ ปล่อยไปเลย ไม่ต้องรับหรอก” คนในห้องน้ำร้องกลับมา



“…” เจษฎาทำตามอย่างว่าง่าย กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพึงพอใจที่เห็นว่านทีไม่มีทาาทีจะรีบร้อนมารับโทรศัพท์ ทั้งที่เวลาเป็นเขาโทรหา ต่อให้ทำอะไรอยู่ นทีก็จะรับสายราวกับรอเขาโทรมาอยู่เสมอ



เหอะ ของนอกจะมาสู้ของโอทอปได้ไง จับต้องง่ายใช้จ่ายสะดวก



สักพักโทรศัพท์ของนทีก็สั่นขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงเดาะลิ้นอย่างรำคาญใจ แต่ชื่อและรูปภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้นกลับเป็นชายหนุ่มคนละคน คราวนี้เป็นหนุ่มแขกตาน้ำข้าวหน้าตาคมคายจมูกยิ่งกว่าสันเขื่อน เจษฎากัดฟันกรอด ก่อนจะตะโกนอีกครั้ง



“ไอ้ที! ฟารุคโทรมา!”



“อื้อ ไม่ต้องรับ” คนในห้องน้ำร้องออกมาอีกครั้ง ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกคุกรุ่นของนข้างนอก แทบจะในทันทีที่ชายปริศนาคนที่สองวายสายไป เสียงเรียกเข้าจากชายคนที่สามก็ดังขึ้นแทบจะในทันที คราวนี้เจษฎาจำหน้าของคนปลายสายได้จากปก
อัลบั้มที่เขาเป็นคนซื้อแต่ไม่ได้ให้นทีอย่างชัดเจน



“ไอ้ที!”



“อื้อ...มาแล้ว” ร่างโปร่งนวยนาดออกมาจากห้องน้ำในผ้าขนหนูหนึ่งผืน หยิบโทรศัพท์ออกมากดรับสายแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า



“Hello? Yeah, it’s 10 AM here, but feel free to call whenever you want. I’m usually up anyway.(ฮัลโหล? ใช่ ตอนนี้ประมาณสิบโมงที่นี่ แต่จริงๆนายโทรมาตอนไหนก็ได้นะ ปกติฉันตื่นอยู่ตลอดอ่ะ)” เสียงหวานพูดคุยกับนักร้องดังปลายสายอย่างสนิทสนม ความสนิทสนมที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายสงวนไว้้ให้กับคนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คนเช่นเขา “You know I love all your songs. Thanks for the present, by the way.(นายก็รู้ว่าฉันชอบทุกเพลงของนาย อ้อ ขอบใจสำหรับของขวัญนะ)”



ทั้งสองคุยกันเรื่องสัพเพเหระขณะที่นทีแต่งตัว แม้เนื้อหาจะไม่ได้บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มีอะไรน่าสงสัย แต่นั่น
กลับยิ่งทำให้เจษฎาสงสัยมากขึ้นไปอีก



แค่เพื่อนทำไมต้องโทรมาคุยกันข้ามทวีปแบบนี้ แถวนั้นไม่มีเพื่อนรึไงวะ?



ร่างสูงที่เริ่มทนไม่ไหวลุกขึ้นจากเตียง ยังคงไร้อาภรณ์สักชิ้นคลุมกาย มือใหญ่คว้าโทรศัพท์ที่นทีหนีบไว้กับไหล่แล้วแนบข้างหูให้เพื่อนสนิทคุยสะดวก จงใจขยับกายแนบชิดคนที่กำลังแต่งตัวอยู่ นทีสะดุ้งกับสัมผัสของผิวกายเปลือยเปล่าจากด้านหลัง เสียงหวานสั่นขึ้นเล็กน้อยอย่างมีพิรุธ เจษฎาขยับยิ้มมุมปาก พึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้



“รีบวางได้แล้ว กูหิว” เสียงทุ้มกระซิบแนบชิดใบหูขาวน่ากัด น้ำเสียงแหบพร่าที่เจษฎาจงใจให้อีกฝ่ายนึกคิดไปถึงความหมายแฝงในคำพูดของตนทำให้นทีกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ร่างโปร่งพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติทว่าไม่เป็นผล เจษฎาได้ยินเสียงปลายสายแว่วถามว่าเขาโทรมากวนเวลาของนทีกับคนพิเศษหรือไม่



“No, he’s just a friend. (เปล่า แค่เพื่อนน่ะ)” นทีรีบตอบ คำว่าเพื่อนทั้งที่เป็นสถานะของพวกเขามาตั้งแต่ต้นยามนี้กลับแสลงหูจนเจษฎาไม่อยากได้ยิน “I have to go. (ฉันต้องไปแล้ว)”



กว่าจะยอมวาง...



เจษฎาคิดอย่างไม่พอใจ



เขาไม่เคยสังเกตว่านทีมีชายหนุ่มติดพันมากมายขนาดนี้ แถมแต่ละคนตัวใหญ่ไซส์ฝรั่งตามสเป็กของเพื่อนของเขาเป๊ะๆอย่างที่เจษฎาเทียบไม่ติด ยิ่งคิดมันยิ่งทำให้ร่างสูงนึกอยากจะฝากกลิ่นของตนให้ติดบนเรือนร่างที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมราคาแพงในตอนนี้



“เจษฎ์...ขยับออกไปหน่อย” นทีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลำบากใจกับความใกล้ชิดในตอนนี้ “หิวไม่ใช่เหรอ? เราแต่งตัวเสร็จแล้วเดี๋ยวไปหาอะไรกิน...”



“เปล่า กูไม่ได้หิวข้าว...” ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำให้ตอนนี้นั้นก้าวข้ามข้อตกลงไร้เสียงที่พวกเขาเคยทำไว้ แต่ในหัวของเจษฎามีเพียงความคิดที่จะแสดงอาณาเขตของตนไม่ให้ตัวผู้ตัวอื่นยุ่มย่ามเข้ามาหาเพื่อนสนิท ร่างเปลือยเปล่าแนบชิดกับร่างที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนบางพันรอบเอว ความเป็นชายที่เรียกร้องแสดงความต้องการนาบสนิทไประหว่างก้อนเนื้อกลมกลึงทั้งสองราวกับถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน “กูหิวมึง”



“จริงสินะ ตอนเช้า จะรู้สึกก็ไม่แปลก...” ร่างโปร่งพึมพำ คนฟังส่งเสียงในลำคออย่างหงุดหงิดใจ แต่ก่อนที่จะได้แก้ไขความเข้าใจผิด ภาพตรงหน้าของเขาก็มืดลงจากผ้าผืนหนึ่งที่ถูกผูกคาดดวงตาของเขาไว้อย่างชำนาญ



“ไอ้ที...” นิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากของเขา บ่งบอกว่าในตอนนี้ เป็นตอนที่เจษฎาต้องนึกภาพสาวในฝันขึ้นมาได้แล้ว
แต่ในหัวเขามีเพียงภาพของคนตรงหน้าที่ทรุดกายลงบนพื้น มือเรียวกำรอบความใหญ่โตที่พองขยายขึ้นมาเพียงแค่นึกภาพร่างเปลือยเปล่าของนที ก่อนที่ริมฝีปากนุ่มจะครอบลงมาทีละน้อยอย่างใจเย็น



“เชี่ย...ไอ้ที....” เจษฎาหลุดครางเสียงต่ำออกมาอย่างพึงพอใจ มือใหญ่ขยุ้มกลุ่มผมนุ่มมือ สาวสะโพกเร่งจังหวะให้คนที่ชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อของตนหลุดออกมาจากริมฝีปากของเพื่อน แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน แต่นทียังคงอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ว่าาร่างสูงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่เรียกชื่อเขาออกมา



ไม่ได้รู้เลยว่าเป็นความจงใจของเจษฎาล้วนๆ



“ที…ปากมึงโคตรนุ่ม...โคตรอุ่น...อึ่ก...รู้สึกดีชะมัด” มือเรียวของนทีที่เกาะต้นขาแกร่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิกแน่น ลิ้นเรียวเล็กตวัดไล้หวังรีดเอาคำชมเชยออกมาจากปากของอีกฝ่ายให้มากที่สุด




“ที…อึ่ก...สุดยอด…” สะโพกสอบขยับสวน เร่งเร้าให้เจ้าของโพรงปากอุ่นเริ่มเร่งจังหวะให้ทันคนที่เป็นฝ่ายคุมเกมส์ เจษฎากัดฟันกรอด หากเป็นปกติเขาคงจะเอ่ยเตือน คงจะดึงให้ร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้นผละออกไป แต่ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของนที ให้ร่องรอยของเขาหลงเหลืออยู่บนร่างโปร่งให้มากที่สุด



“แค่ก…”



…และเสียงไอค่อกแค่กอย่างน่ารักน่าเอ็นดูที่มีสาเหตุมาจากเขายิ่งทำให้ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกฝ่ายในตัวของเจษฎามีมากขึ้นไปอีก



“ที…กูเปิดตานะ”



“ดะ…เดี๋ยว…แค่ก…”




ร่างสูงไม่ฟังเสียงห้ามของคนที่ยังไอไม่หยุด ยกมือขึ้นแกะผ้าผูกตาของตนออก





ภาพของนทีที่ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นไอค่อกแค่กหน้าแดงก่ำ หยาดน้ำคลอหน่วยตาใสอย่างน่ากลั่นแกล้งเป็นที่สุดปรากฏแก่สายตา เจษฎาย่อกายลงตรงหน้าของเพื่อนสนิท นทีในตอนนี้แตกต่างจากนทีที่เขาคุ้นเคย และใกล้เคียงกับนทีที่เขาจินตนาการถึงถี่ขึ้นเรื่อยๆในชั่วโมงเปลี่ยวเหงา




นิ้วหัวแม่มือของเจษฎาปาดคราบหลักฐานความเป็นเจ้าของของตนจากมุมปากของเพื่อนสนิทเบาๆ ดวงตาสีเข้มถูกเสน่ห์ที่เขาไม่เคยมองเห็นตรึงไว้กับที่ ดวงตาของนทีช้อนขึ้นสบกับตาของเขา แววตาเหม่อลอยราวกับยังตกอยู่ในห้วงภวังค์ ก่อนที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจะเผยออ้า ครอบครองนิ้วของเขาเข้าไปในโพรงปากอุ่นแล้วดูดดุนเบาๆด้วยสีหน้าที่คนไร้วาทศิลป์อย่างเจษฎาสามารถบรรยายได้เพียงว่า ‘โคตรอีโรติก’



หากเจษฎายังไม่รู้ตัวว่าหลงอีกฝ่ายจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วในตอนนี้ เขาคงไม่มีทางรู้ตลอดชีวิต



“ระ…เราขอโทษ…”




สีหน้าตกตะลึงของร่างสูงทำให้นทีหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเองในที่สุด ร่างโปร่งผละจากเขาอย่างร้อนรน รีบลุกจากพื้นแล้วคว้าเสื้อผ้าในตู้ลวกๆก่อนจะรีบพุ่งกลับไปยังห้องน้ำราวกับว่ามันเป็นสถานที่ปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวของตน
เจษฎาก้มมองมือของตัวเอง แล้วเงยหน้ามองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
จะเปลี่ยนมาชอบผู้ชายทั้งที ทำไมคนที่เขาชอบถึงได้เป็นดอกฟ้าที่มีแต่หมานั่งเครื่องบินรุมจีบขนาดนี้ด้วยวะ





มีสิ่งหนึ่งที่เจษฎาตระหนักเกี่ยวกับดอกฟ้าของเขา




นทีไม่ได้แค่เนื้อหอมในหมู่แดดดี้เงินหนาตาน้ำข้าว นทีเนื้อหอมในหมู่ตัวผู้ทุกสปีชี่ย์ และถึงแม้ภาพของคนที่มาขอเบอร์ร่างโปร่งจะไม่ใช่สิ่งแปลกตา แต่ในตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตว่ามีบุคคลากรส่วนหนึ่ง แม้จะมีเพียงแค่หยิบมือแต่ก็มากเกินพอ ที่ได้รับช่องทางติดต่อไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรหรือไอดีโซเชียลมีเดียของร่างโปร่งติดไม้ติดมือกลับไป



“ไหนมึงบอกว่าไม่สนใจ?” น้ำเสียงของเขาไม่คิดซ่อนโทสะที่คุกรุ่น แต่เพื่อนสนิทที่เพิ่งให้เบอร์โทรกับเดือนมหาวิทยาลัยปีสี่ไปพร้อมรอยยิ้มหวานไม่ได้เอะใจอะไรสักนิด



“ก็ไม่ได้สนใจ…” นทีแลบลิ้นอย่างซุกซน “เก็บไว้คุยเล่นแก้เบื่อ”



“มึงคุยกับกูก็ได้นี่” เจษฎากล่าวอย่างดื้อดึง



“ไม่เหมือนกันซักหน่อย” ดอกฟ้าของเขาตอบยิ้มๆ “บางทีมันก็รู้สึกดีนะที่มีคนมองว่าเราน่ารักบ้าง”



“กูก็มองว่ามึงน่ารัก” ร่างสูงเถียงเสียงแข็ง แต่คนฟังเพียงแต่ส่ายหน้ายิ้มๆ อธิบายด้วยน้ำเสียงที่ใช้กับเด็กน้อยไม่รู้ความ



“เชื่อสิว่าเจษฎ์ไม่ได้มองเราด้วยสายตาแบบที่คนพวกนี้มองหรอก”



นทีไม่ได้รู้เลยว่ากำลังเข้าใจผิด


ปัญหามันอยู่ตรงที่เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาแบบเดียวกันไม่ผิดเพี้ยนต่างหาก








เจษฎาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิดใจตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวในโรงอาหารกับเพื่อนสนิท นึกอยากจะลากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมานั่งบนตักของตัวเองแล้วกอดไว้ไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง ร่างสูงยังคงหงุดหงิดใจหลังจากส่งนทีขึ้นตึกเรียนไปแล้ว และอารมณ์ยังคงไม่หายขุ่นมัวตอนที่เขาโทรเรียกไอ้ต้าออกมาที่ห้องสมุดคณะที่เขาใช้เป็นมุมหลับนอนประจำของตัวเอง



“เป็นอะไรมึง ทำหน้าอย่างกับโดนเหยียบหางมา” คฑาที่นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามทัก เจษฎามองเพื่อนตาขวางอย่างไม่สบ
อารมณ์



“สัด กูคน ไม่ใช่กระต่าย”



“หมามั้ยล่ะมึง” คฑาย้อนเสียงกลั้วหัวเราะ แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่เล่นด้วยจึงยอมเข้าโหมดจริงจังตามเจษฎาที่ไม่ได้ทำให้เห็นบ่อยนัก “แล้วมึงมีอะไร เรียกกูมาทำไม?”



“ต้า…กูถามมึงจริงๆนะ” เจษฎาจ้องหน้ารูมเมทของตัวเองด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง “มึงว่า...คนอย่างกูจะชอบผู้ชายได้ป่ะวะ?”



“ทำไมจู่ๆถึง...”



คฑามีสีหน้าสับสนกับคำถามนั้น ที่เจษฎาเลือกที่จะปรึกษาอีกฝ่าย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขารู้ว่าไอ้ต้าชอบปราณ ถึงในตอนแรกจะเป็นแค่ความเอ็นดูตามประสาคนชอบเทคแคร์ดูแลคนอื่น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แววตาที่เพื่อนของเขามองน้องชายข้างบ้านดูแปลกไป รู้ตัวอีกที เขาก็กลายเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้คนท่ามากทั้งสองซะเอง แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่างานของตัวเองจะดูไร้ความคืบหน้าสิ้นดีก็ตาม



“กู…กูไม่เคยรู้สึกกับใครเหมือนที่รู้สึกกับมันมาก่อน” เจษฎาถอนหายใจ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่เขาคิดว่าคฑาน่าจะรู้ว่าเขากำลังหมายถึงใคร “ทั้งที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้กูไม่เคยคิดจะหันไปมอง แต่พอมองแล้ว...กูหยุดไม่ได้ กูหยุดคิดถึงมันไม่ได้ทั้งที่กูไม่เคยชอบผู้ชาย แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะชอบผู้ชาย แต่พอเป็นมัน...เรื่องผู้หญิงผู้ชายอะไรนั่นแม่งโดนโยนหายไปเลยว่ะ”



“….ตั้งแต่เมื่อไหร่?” หากเขาไม่ได้คิดไปเอง เจษฎาคิดว่าเสียงของคฑาฟังคล้ายกับอีกฝ่ายกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไว้อย่างสุดความสามารถ



“เอาจริงๆก็คงตั้งแต่วันเกิดมันอ่ะ กูคงแค่ยังไม่รู้ตัว” เจษฎายกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างหงุดหงิดใจ “เชี่ย...ต้า กูไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน กูจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว แค่คิดว่ามันยิ้มให้ใครนอกจากกูกูก็หายใจไม่ออกแล้ว กูต้องทำไงวะ”



“สรุปคือมึงก็ยังไม่รู้ว่ามึงชอบผู้ชายมั้ย?” คฑาถามทวนเสียงเรียบ



“กูรู้ว่ากูไม่ได้รังเกียจ...ต้า กูสับสนว่ะ”



“เขาไม่ใช่เครื่องทดลองความสับสนของมึง” สายตาของรูมเมทของเขาเย็นเยียบจนเจษฎารู้สึกหนาวยะเยือก เขาไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน “ถ้ามึงอยากจะเริ่มจีบเขา กูก็ไม่มีสิทธิ์จะห้ามมึง แต่มึงอย่าลืมว่ามีคนอีกมากที่ชอบเขามาก่อนมึง คนที่ไม่ได้สับสน คนที่รู้ตัวดีว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วก็พร้อมจะให้ทุกอย่างกับเขามากกว่าที่มึงจะยอมให้”
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าไอ้ต้าจะเป็นห่วงความรู้สึกของไอ้ทีขนาดนี้




แต่เจษฎายังคงมั่นใจในแต้มต่อของตัวเอง ต่อให้มีคนมากมายที่อยากเข้าหาไอ้ที คนที่มีพร้อมกว่าเขาในทุกๆด้าน แต่คนพวกนั้นยังคงไม่มีสิ่งหนึ่งที่เจษฎาถือไว้ในมือ




นั่นคือหัวใจของดอกฟ้าของเขา



“กูรู้จักมันมากี่ปีต้า ภาษีกูเหนือกว่าพวกมันเยอะ อีกอย่าง...กูรู้ว่ามันชอบกู ขอแค่กูเคลียร์ความรู้สึกของตัวเองได้ กูเชื่อว่ามันไม่มีทางเลือกคนอื่นนอกจากกู”




คฑาเบิกตากว้างกับคำพูดของรูมเมท ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ



“มึงรู้ได้ยังไง?”



“กูรู้ก็แล้วกัน” เจษฎาไหวไหล่ ไม่นึกอยากเล่าย้อนอดีตในคืนแรกของตนกับนทีให้อีกฝ่ายฟังมากนัก




“ยังไงมึงก็อ้างว่าเขาชอบแล้วทำแบบนั้นไม่ได้ มันไม่ยุติธรรมกับคนอื่น” คฑายังคงเถียง คนฟังขมวดคิ้ว อะไรของมันวะ?




“มันชอบกู กูชอบมัน ทำไมกูต้องปล่อยให้หมาที่ไหนคาบไปแดกวะ”




“ก็หมาพวกนั้นมันพยายามมากกว่ามึงไง?! หมาพวกนั้นพยายามแทบตายเพราะอยากให้เขามีความสุข แล้วมึงเป็นใคร? เห็นว่าเขาชอบก็ไม่คิดจะทำอะไร แค่กระดิกนิ้วเขาก็วิ่งมาหา มึงว่ามันยุติธรรมกับเขาเหรอที่ต้องมาตกหลุมคนอย่างมึง?!”
เหมือนจะมีเหตุผล แต่เจษฎายังคงสับสนว่าไอ้หล่อตรงหน้ามาของขึ้นอะไรใส่เขา



“เออ! จีบก็จีบดิวะ! ถ้าทำให้มันมั่นใจว่ากูดีพอสมกับที่มันชอบได้ จะได้ไม่มีใครมาว่ากูอีก!” คนพูดดูเหมือนจะลืมความลังเลในตอนแรกไปจนหมดสิ้น คฑามองเขาตาขวาง ก่อนจะลุกขึ้นทิ้งท้ายด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์อย่างหาดูได้ยากยิ่ง



“ทำอะไรก็ทำ”



แม้จะงงกับท่าทีเหมือนไปแดกรังแตนของเพื่อน แต่ในตอนนี้เจษฎามีเรื่องสำคัญกว่าที่จะต้องคิด ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกเบอร์โทรด่วนที่ตนเมมไว้ตั้งแต่ปลายสายได้โทรศัพท์เครื่องแรกมา



“ไอ้อ้วน กูมีเรื่องให้ช่วย”




เขาเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้อีกฝ่ายมาตั้งนาน คราวนี้ถึงตาไอ้ปราณช่วยเขาจีบดอกฟ้าของเขาบ้างแล้ว


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ถึงผมจะเชียรเจษฏา แต่ว่าต่อให้มั่นมากเกินไปมันก็ไม่ได้นะครับ บางครั้ง การจะเห็นค่าของความสัมพันธ์ มันไม่ใช่การเอาเปรียบมุมมองความสัมพันธ์ด้านเดียว (เห็นว่าอีกฝ่ายชอบ เลยจะเล่นตัวยังไงก็ได้) แต่มันคือการปรับตัวเพื่อให้เข้าใจในมุมมองของอีกฝ่าย เพื่อที่จะทำให้เราเห็นค่าของ partner คนนั้นได้อย่างลึกซึ้ง มีมิติ และเข้าใจคนๆนั้นกว่าคนทั่วๆไปที่จะมาจีบ (อย่างเคสนที คำถามคือทำไมสเปกของนทีถึงเป็นคนแดดดี้ รูปร่างสูงใหญ่ละครับ? เซ็กซ์มันก็แค่เซ็กซ์ แต่ว่านทีอยากได้คนปกป้องรึเปล่า อยากได้คนที่พร้อมจะดูแลแล้วสร้าง aura of protection ด้วยความใจดี เข้าใจ อบอุ่นแต่เข้มแข็ง ให้กับตัวเองรึเปล่า คำถามคือเจษฏามีตรงนี้ไหมล่ะครับ? ถ้าไม่มีก็ต้องฝึก ออกกำลังกายมาขึ้น build รูปร่างให้ดีขึ้นเพื่อให้เราเข้าใกล้สิ่งที่เขาต้องการ การชอบสักพักมันก็เลิกได้ ถ้าเจอคนอื่นที่เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจริงๆน่ะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2019 11:20:49 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Maple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เอ้าพี่ต้าา​ ราศีคนนกตกใส่แล้วพี่​เย็นไว้นะพี่เขาไม่ได้ชอบก๊านนน

มาอัพเร้ววว

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Day 13: จีบได้มั้ย

“พี่ต้าครับ วันนี้พี่ต้ากลับห้องไปก่อนเลยก็ได้นะครับ พอดีผมมีธุระนิดหน่อย”


ผมรีบโทรบอกพี่ต้าหลังจากวางสายจากพี่เจษฎ์ด้วยกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยกับครั้งของไอ้อาร์ม “พอดีพี่เจษฎ์เขามีธุระให้ผมไปด้วย แต่ผมจะกลับมาให้ทันฟิตเนสตอนเย็นนะครับ”



จู่ๆไอ้พี่เจษฎ์ก็โทรมาบอกผมว่ามีเรื่องด่วนให้ช่วย เดี๋ยวมันมารับหน้าคณะหลังเลิกเรียน ซึ่งถึงแม้ผมจะอยากปฏิเสธ แต่คนอย่างไอ้พี่เจษฎ์สะกดคำว่าไม่เป็นกับใครเขาที่ไหน



แถมในครั้งนี้พี่มันยังทำเสียงจะเป็นจะตายจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ คนที่ไม่ค่อยเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเวลาแตกตื่นขึ้นมาคนรอบข้างก็ตกใจอยู่นะครับ



“ครับปราณ ไม่ต้องรีบนะ พี่เข้าใจ” เสียงทุ้มตอบกลับมาจากปลายสาย ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าพี่ต้าเขาเข้าใจอะไร ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไอ้พี่เจษฎ์ต้องเรียกผมไปหา



ไอ้พี่เจษฎ์โบกมือให้ผมหยอยๆจากรถของตัวเองที่จอดอยู่หน้าคณะ ไร้วี่แววของพี่นทีที่นัวติดกับอีกฝ่ายแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ขนาดคนไม่ฉลาดอย่างผมยังรู้เลยว่าเรื่องที่ทำให้พี่มันร้อนรนแบบนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของพี่นทีเป็นแน่



ไปทำอะไรให้พี่ทีโมโหเข้าล่ะสิ








“กูชอบไอ้ทีว่ะ”



ผมนึกขอบคุณพี่เจษฏ์ที่เลือกจะพูดขึ้นมาหลังจาดผมดื่มน้ำหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้พ่นพรวดออกมาเต็มหน้ารถพี่แกแล้ว


“อะ….อะไรนะครับ?”



“กูบอกว่ากูชอบไอ้ที อย่าให้พูดบ่อยได้มั้ยวะ พี่มึงเขินนะ” พี่เจษฎ์โวยวายใส่ผม แม้ว่าตาจะยังคงจดจ้องอยู่กับถนนเบื้องหน้าก็ตาม



“เชี่ย พี่เจษฎ์ จริงป่ะเนี่ย?!”



“กูจะโกหกหาพี่มึงเหรอ"



“ลามปามอ่ะ” ผมตีแขนไอ้พี่เจษฎ์ไปหนึ่งทีเป็นการทวงความยุติธรรมให้เจ้ปาย “แล้วนี่ไปเบิกเนตรเป็นธรรมเอาตอนไหนล่ะครับ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมีท่าทีอะไรเลย”



หากให้ผมมองสองคนนั้นแล้วเดาว่าใครชอบใคร ผมคงเอาหัวเป็นประกันว่าพี่นทีเป็นฝ่ายแอบชอบเพื่อนสนิทของตัวเองแน่นอน ส่วนไอ้พี่เจษฎ์นั้น วันๆม่อสาวเป็นงานอดิเรก ให้ผมนึกถึงว่าอิพี่เจษฎ์แอบชอบพี่นทีที่ตามใจตัวเองไปซะทุกอย่างแถมยังดูไม่เล่นตัว ไม่ท้าทายความสามารถสักนิดแบบนั้น ผมมองไม่ออกจริงๆ



“มึง…เคยรู้สึกแบบนี้กับไอ้ต้าป่ะวะ แค่มอง...แค่เห็นแค่เสี้ยวหน้าก็เจ็บในอกไปหมด แค่เห็นมันยิ้มให้ใครที่ไม่ใช่กูก็อยากหาเรื่องกระทืบคนไปทั่ว ยิ่งเห็นว่าคนที่มาสนใจมันแม่งดีกว่ากูจนกูเทียบไม่ติดกูยิ่งโมโห ปราณ...กูไม่เคยรู้สึกเหมือนหมาวัดขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ”


“หมาวัดมันยังมีโอกาสกว่าพี่เลย อย่างน้อยพี่ทีก็ขี้ใจอ่อน ชอบให้คนใช้คลุกข้าวไปให้หมาจรจัดกิน แต่ผมว่าพี่ไม่น่าเอ็นดู
ขนาดที่คนใช้พี่ทีจะคลุกข้าวให้ว่ะ”



“นี่กูคิดถูกใช่มั้ยที่มาปรึกษามึง” พี่เจษฎ์กลอกตาอย่างเหนื่อยใจ  “เรื่องของเรื่องคือ...กูรู้ว่าไอ้ทีชอบกู มันบอกกูตอนวันเกิด”



“….หะ?”


“กูบอกว่า...”


“พอๆๆ ผมได้ยินตั้งแต่่รอบแรกแล้ว” ผมรีบยกมือเบรก “แล้วพี่มาเครียดทำไมเนี่ย ใจตรงกันแบบนี้ก็บอกพี่เขาไปก็จบนี่ครับ”



“กูไม่อยากให้เขารู้สึกว่ากูไม่พยายาม กูไม่อยากให้เขาคิดว่ากูเห็นเขาเป็นของตาย...”


“นานๆทีจะเห็นมีสมองกับเขาบ้างนะครับเนี่ย” ผมพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พี่เจษฎ์เหลือบมองผมแล้วหันไปสนใจถนนตรงหน้าต่อ



“แล้ว...กูต้องทำยังไง?”



“ผมว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครช่วยพี่ได้หรอกครับ” นอกจากพี่จะจ้างบริษัทติวเข้มที่ส่งเทรนเนอร์ส่วนตัวมาวางกลยุทธิ์พิชิตใจเป้าหมายอย่างที่เจ้ปายซื้อคอร์สให้ผมน่ะนะ “อาจจะเป็นคำแนะนำที่ไม่ช่วยอะไร แต่ผมว่าใช้ใจทำให้เต็มที่ พี่ทีไม่มีทางไม่รับรู้หรอกครับ”



“มึงนี่มันไร้ประโยชน์จังวะ” มือใหญ่ผลักหัวผมเบาๆอย่างหมั่นไส้ แต่ผมยังคงเห็นรอยยิ้มจางบนมุมปากของอีกฝ่าย
ทำไมเรื่องของคนอื่นผมถึงได้รู้สึกว่ามันง่ายนักนะ








หลังจากโดนพี่เจษฎ์ลากไปเลี้ยงขนมขอบคุณอย่างไม่เต็มใจ ผมกลับมาถึงห้องหลังเวลาออกกำลังกายไปพอสมควร ถึงแม้จะโทรมาบอกพี่ต้าไว้ก่อนแล้ว แต่ผมยังคงรู้สึกผิดที่ช่วงนี้ต้องผิดนัดกับพี่ต้าบ่อยๆ



หวังว่าจะไม่โดนโกรธหรอกนะ



ผมแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องเข้าไป คาดหวังว่าจะได้พบพี่ต้าในชุดออกกำลังรอให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปฟิตเนสด้วยกันอย่างทุกวัน



ผมเจอพี่ต้า...


แต่สิิ่งที่ผมไม่เห็นใจลานสายตาคือเสื้อออกกำลังของพี่



แผงอกล่ำๆที่มีแต่จะชวนน้ำลายสอขึ้นทุกวันเป็นจดโฟกัสแรกของสายตา ผมยืนค้างอยู่หน้าห้องอย่างไม่มั่นใจว่าตัวเองโผล่มาในเวลาที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ พี่ต้าที่กำลังกรอกน้ำใส่กระติกเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูแล้วยิ้มให้ผม



“กลับมาแล้วเหรอครับปราณ ไปกับไอ้เจษฎ์สนุกมั้ย?”


“ก็…ปกติครับ” ผมตอบอ้อมแอ้มอย่างขอไปที ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากพูดควมลับของพี่เจษฎ์ออกไป อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะสติผมยังกลับมาไม่เต็มร้อยตราบใดที่สายตายังไม่สามารถละจากแผงอกตรงหน้าได้ “พี่ต้า เสื้อล่ะครับ...”



“ยังซักไม่แห้งเลยปราณ สงสัยคงต้องลงไปแบบนี้” พี่ต้าไหวไหล่ “ไม่เป็นไรหรอก เวลานี้ไม่มีคน ไม่มีใครเห็นหรอก”
ผมไงครับ เฮลโลวววว ผมเห็นชัดแจ่มแจ้งแบบฟูลเอชดีไปถึงไฝเส้นผ่านศูนย์กลางสองมิลลิเมตรใต้หัวนมซ้ายที่หกนาฬิกาเลยครับ



“คะ…ครับ ผมไปเปลี่ยนชุดนะครับ”


ผมต้องการจุดพักสายตาจากภาพตรงหน้าอย่างรวดเร็วที่สุด ยิ่งเห็นทุกวันแทนที่ภูมิต้านทานจะยิ่งสูง ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองจะเส้นเลือดเปราะกำเดาพุ่งง่ายขึ้นไปทุกวัน



ผมเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายแล้วค่อยๆแง้มเปิดประตูออกมา หายใจเข้าออกเตรียมตัวอยู่หลายครั้งเมื่อเห็นแวบๆว่าพี่ต้าตั้งใจจะลงไปทั้งอย่างนั้นๆจริงอย่างที่ว่า ก่อนจะก้าวออกไปพร้อมรอยยิ้ม



“ไปกันเถอะครับ”


“อื้ม” พี่ต้ายิ้มตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน ผิดกับกล้ามเนื้อตึงแน่นเป็นลูกคลื่นบนหน้าท้องที่ไม่อ่อนโยนกับจิตใจผมเลยสักนิด “พี่ว่าปราณคงชินที่เราทำกันอยู่ทุกวันแล้ว วันนี้พี่จะรุนแรงกับปราณแล้วนะ”


ว้อท?!



เมื่อกี้ผมเผลอล้มหัวฟาดพื้นหรือเลือดกำเดาไหลเข้าภาวะช็อคไปแล้วรึเปล่า ทำไมบทพูดพี่เขาถึงได้ดูติดเรทสิบแปดบวกแบบนั้นกัน



“อะ…อะไรนะครับ?”


“พี่บอกว่า ก่อนหน้านี้พี่เตรียมร่างกายปราณดีมากแล้ว” อีกฝ่ายย่างสามขุมเข้ามาหาผมพร้อมกับกระติกน้ำลายลูกหมูสีชมพูหวานในมือ แม้จะอยากถอยกรูดชิดติดผนังแต่ขาเจ้ากรรมกลับก้าวไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น พี่ต้ายิ้ม แม้ว่าบางอย่างในรอยยิ้มนั้นจะให้ความรู้สึกแปลกไปจากปกติอยู่มาก “วันนี้ถ้าเสร็จแล้วอาจจะขาสั่นยืนไม่อยู่ก็ไม่ต้องตกใจนะ พี่เป็นคนทำ พี่จะรับผิดชอบปราณเอง รับรองว่าเสร็จทุกท่าแล้วพี่จะส่งถึงเตียงแน่นอน”



ฮือออ ผมร้องเรียนพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพนักงานกับใครได้บ้างอ่ะ


 






ปกติแล้วเจษฎาเป็นคนที่เรียกได้ว่าโสโครกพอสมควร ร่างสูงมักจะล้มตัวลงนอนกลิ้งบนเตียงหลังจากซ้อมหรือแข่งฟุตบอลเสร็จโดยไม่คิดจะอาบน้ำ ที่หอพักของเขา ไอ้ต้าคนสะอาดเพียงแค่ปรายตามองอย่างรังเกียจแต่ก็ไม่เคยบ่นว่าอะไรเพราะมันเป็นเตียงของเขา



แต่สิ่งที่เจษฎาคิดว่าแปลกมาโดยตลอดคือการที่คุณหนูรักสะอาดอย่างนทีก็ไม่เคยว่าอะไรเขาเช่นกัน เป็นเจษฎาเสียอีกที่ล้างตัวมาจากสนามและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยด้วยเกรงใจผ้าปูที่นอนแพงๆนั้น



แต่ในวันนี้ ร่างสูงเลือกที่จะตรงไปยังห้องอาบน้ำเป็นที่แรก สร้างความประหลาดใจใฟ้กับนทีที่เดินตามมาเป็นอย่างมาก
ร่างโปร่งถอดเนคไทค์และเข็มขัดของตนออก ทรุดตัวลงบนเตียงแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา แม้จะได้รับ
โทรศัพท์เป็นของขวัญหลายเครื่องในแทบทุกเทศกาล แต่นทีไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนมือถือบ่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อมูลในเครื่องที่สำหรับเขาแล้วประเมินค่าเป็นเงินไม่ได้



ทั้งประวัติแชททั้งหมดที่เจษฎาเคยส่งให้เขา ทั้งรูปถ่ายและคลิปวีดีโอต่างๆที่เขาถ่ายเจ้าตัวไว้มากมายจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้โดยง่าย



อย่างเช่นวันนี้ รูปถ่ายทั้งภาพนิ่งและวิดีโอของอีกฝ่ายโลดแล่นในสนามหญ้ากว้างของมหาวิทยาลัยหากดูผ่านๆก็น่าจะเกินร้อยรูปแล้ว นทียิ้มอย่างพึงพอใจในความคมชัด ตำแหน่งที่เขานั่งเป็นพื้นที่ที่ถูกจัดไว้ให้ครอบครัวของนักกีฬาและผู้
เกี่ยวข้อง กำลังใจของนักแข่งในนัดนี้ประกอบไปด้วยคนรักของนักกีฬาเป็นส่วนใหญ่ นทีถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาหญิงสาวที่กรีดร้องเรียกชื่อคนรักในสนามได้แต่นั่งยิ้มเจื่อนๆและยกกล้องถ่ายรูปไปตามประสา อยากจะสั่งป้ายไฟ ทีมแปรอักษร และ
เครื่องบินไอน้ำมาเขียนข้อความเชียร์เพื่อนสนิทแต่รู้ว่านั่นไม่ใช่สิทธิที่เพื่อนคนหนึ่งจะสามารถทำได้



แม้ว่าเพื่อนอย่างเขาจะขย่มกายบนตักแกร่งของศูนย์หน้าร่างสูงที่มีกองเชียร์ส่วนตัวเกือบค่อนสนามเป็นสาวน้อยเฟรชชี่มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ตาม



ไม่ใช่ว่านทีไม่หึงหวง แต่เขาทำใจรับความเป็นจริงมานานแล้ว



เจษฎาเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ในวันหนึ่งข้างหน้าความใจดีของอีกฝ่ายก็ต้องจบลง และข้างกายของร่างสูงจะต้องมีหญิงสาวแสนดีที่เพียบพร้อมคล้องแขนไว้พร้อมกับลูกน้อยในอ้อมกอด เป็นครอบครัวสุขสันต์ที่นทีรู้ตัวว่าไม่สามารถมอบให้อีกฝ่ายได้



ในวันนั้น หากอีกฝ่ายยังยอมให้เขาอยู่ในชีวิต นทีจะยังคงอยู่ตรงนี้ เป็นรอยยิ้ม เป็นที่พักใจ ไม่ว่าหัวใจของเขาจะแหลกสลายเพียงใดก็ตาม



“ดูอะไรอยู่?”



“รูปเจษฎ์น่ะ แข่งวันนี้เจษฎ์เท่มากๆเลยนะ” นทีอวดรูปถ่ายของคนที่หันมาโบกมือให้เขาพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างพอดิบพอดีอย่างภาคภูมิใจ ร่างสูงที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นสบู่อาบน้ำนั่งลงบนเตียงกว้างแล้วรับรูปถ่ายนั้นมาพิจารณา



แม้กลิ่นสบู่บนตัวร่างสูงจะหอมแค่ไหน นทียังอดเสียดายกลิ่นเหงื่อผสมไอดินที่ติดตัวเจษฎามาจากสนามไม่ได้ จะหาว่าเขาบ้าก็เอาเถอะ แต่กลิ่นของเจษฎาเปรียบเสมือนฟีโรโมนที่ทำให้เขามัวเมาจนแทบสิ้นสติทุกครั้งที่ได้กลิ่น



มาคิดๆดูก็อาจจะดีแล้วก็ได้ที่อีกฝ่ายรีบอาบน้ำ



คุณชายรองแห่งบ้านวิสุทธรากรไม่ได้รู้เลยว่าที่เพื่อนสนิทของตนอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณจนผิวกายแทบถลอกปอกเปิกเป็นเพราะเจษฎาอยากให้อีกฝ่ายมองตนดีขึ้นอีกสักนิด



อยากให้นทีชอบเขามากขึ้นอีกสักนิดก่อนที่เขาจะเริ่มทำตามสิ่งที่ตนวางแผนไว้



“เก่งจังวะที มึงถ่ายมุมไหนกูก็หล่อ”


“นั่นเพราะทีหล่ออยู่แล้วต่างหาก” นทีแย้ง เจษฎาหัวเราะเสียงต่ำรับคำชม


“หล่อแล้วชอบมั้ย”


“อื้อ” คนที่ไม่เคยปิดบังความรู้สึกหลังจากได้บอกความในใจตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง



“เล่นหน่อยนะ”


ร่างสูงกล่าวถึงโทรศัพท์ในมือซึ่งทำหน้าที่เป็นที่บรรจุเกมส์ให้กับเจษฎาอยู่แล้ว นทีจึงพยักหน้าอย่างไม่ได้คิดอะไร คนตัวสูงกว่าทิ้งตัวลงบนตักนิ่ม ไถโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายสางผมที่ยังคงเปียกชื้นเล็กน้อยให้อย่างเบามือ



“เบอร์ผู้ชายเยอะจังวะเครื่องมึงอ่ะ” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของเจษฎาทำให้นทียิ้มออก ถึงแม้เขาจะรู้ว่าที่อีกฝ่ายแสดงอาการแบบนี้เป็นเพราะไม่อยากให้เขาไปยุ่งเกี่ยวกับคนไม่ดี แต่เขายังคงอยากเข้าข้างตัวเองว่าส่วนหนึ่งของเจษฎาอาจจะกำลังหึง
หวงเขาอยู่บ้าง…



“ไม่เยอะหรอก คัดออกไปเยอะแล้ว” คุณชายรองของบ้านวิสุทธธรากรตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ได้มาก็ไม่โทรหรอก เสียเวลา”



“เวลาอะไรวะ?”



“เวลาอยู่กับเจษฎ์ไง” นทีตอบเสียงซื่อ



คนฟังเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนสนิทที่ไร้วี่แววของการล้อเล่น ก่อนจะเลื่อนกลับขึ้นมาหยุดที่ชื่อของตัวเองซึ่งถูกปักเป็นรายชื่อโทรด่วนที่สี่ต่อจากบิดามารดาและพี่ชายของอีกฝ่าย



…แล้วกดลบเบอร์โทรของตัวเองออกจากเครื่องของอีกฝ่าย



“เจษฎ์! ทำอะไรน่ะ?!” ร่างโปร่งเบิกตากว้างอย่างตกใจ พยายามแย่งโทรศัพท์คืนมาจากเจษฎาทว่าสายไปเสียแล้ว นทีจ้องโทรศัพท์ในมือที่ไร้ซึ่งรายชื่อของเพื่อนสนิทในนั้น ของเหลวอุ่นเอ่อคลอหน่วยตาใสอย่างไม่เข้าใจว่าตนไปทำสิ่งใดให้อีกฝ่ายโกรธขนาดนั้น เจษฎาที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีผุดลุกจากตักนิ่มแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาให้คนที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อเห็น กดลบเบอร์ของนทีออกจากรายชื่อเช่นกัน



“เจษฎ์…ฮึก…ทำไม…”



หยาดน้ำใสไหลรินลงมาตามพวงแก้มขาว สีหน้าราวกับโลกทั้งใบกำลังแตกสลายของเจ้าตัวทำให้เจษฎานึกอยากจะเขกกระโหลกตัวเองแรงๆที่ไม่ได้คิดวางแผนให้รอบคอบกว่านี้



เจษฎาหยิบโทรศัพท์ของตัวให้คนขอบตาแดงก่ำที่มองมาที่เขาด้วยแววตาเหมือนคนใจสลายก่อนที่อีกฝ่ายจะร้องไห้ออกมาจริงๆ



“ขอเบอร์หน่อยได้มั้ย?”



“อะ…อะไรนะ?”



“ขอเบอร์” ร่างสูงวางโทรศัพท์ลงบนมือเรียวด้วยท่าทีประหม่า “ได้มั้ย?”



นทีที่ยังคงไม่เข้าใจว่าเพื่อนเล่นอะไรกดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงในเครื่องของอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย เจษฎาก้มลงมอง
ตัวเลขสิบหลักบนหน้าจอมือถือ ก่อนจะกดโทรออกแล้วยื่นโทรศัพท์ของนทีกลับไปให้เจ้าตัว นทีกดรับสายทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากเจษฎา ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


“ฮัลโหล?”



“สวัสดีครับ นี่เบอร์นทีใช่มั้ยครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกหน้าร้อนๆ



“เจษฎ์ เล่นอะไร...”


“นี่เบอร์นทีใช่มั้ยครับ?” เจษฎาถามย้ำ


“อื้อ...”


“นี่เจษฎานะ เราเคยเจอกันที่งานปฐมนิเทศน์ตอนขึ้นมอปลาย จำได้มั้ย”



“อื้อ” จำได้สิ...เรื่องของเจษฎา มีอะไรที่เขาจำไม่ได้กัน


“ขอโทษนะ ฉันอาจจะโทรมาช้าไปหน่อย” คราวนี้เจษฎาเป็นฝ่ายกระดากอายบ้าง ร่างสูงเกาศีรษะของตัวเองพร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าภายในจิตใจว้าวุ่นเพียงใด “แต่ฉันขอถามอะไรนายหน่อยได้มั้ย?”


“อื้อ...” ถ้าเป็นเจษฎ์ จะถามอะไรก็ได้อยู่แล้ว...


“นาย…มีแฟนรึยัง?”



“เอ๊ะ...”


“ว่าไงครับ?”


“มะ…ไม่มีหรอก” จะไปมีได้ยังไง ในเมื่อทุกค่ำคืนมีเพียงคนตรงหน้าที่ตักตวงเอาพลังชีวิตไปจากเขาอย่างเอาแต่ใจขึ้นทุกวันจนนทีเริ่มสับสนแล้วว่าใครเป็นฝ่ายช่วยใครกันแน่


คนใจร้ายที่ทำเขาเหนื่อยสายตัวแทบขาดทุกคืน ยังจะกล้ามาถามเขาอีกเหรอว่ามีใครอยู่รึเปล่า


“ถ้าอย่างนั้น...” เจษฏากัดริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยถามออกไปตรงๆ “จีบได้มั้ย?”



คำถามนั้นราวกับหยุดห้วงเวลารอบกายร่างโปร่งไว้ รู้สึกเหมือนนาฬิกาทุกเรือนบนโลกหยุดเดินพร้อมๆกัน มีเพียงเสียงหัวใจของเขาที่เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งกับคำถามของคนตรงหน้า



“เจษฎ์...เล่นอะไร เราไม่ตลกด้วยนะ” นทีเอ่ยเสียงสั่นเครือ



เขาไม่เข้าใจ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขารู้สึกอย่างไร ทำไมเจษฎาถึงกล้าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น



“กูไม่ได้เล่น” มือใหญ่คว้ามือของเขาไปกุมไว้ เจษฎาจ้องลึกเขาไปในดวงตาคู่สวยไหวระริกนั้นอย่างหนักแน่น “กูรู้ว่ากูไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่กูก็รู้เหหมือนกันว่ากูชอบมึง ต่อให้มึงจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง อะมีบา พารามีเซียม กูก็ชอบมึง กูไม่เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น มึงก็รู้”



“เจษฎ์แค่สับสน...”


“สับสนเชี่ยอะไรจะเอากับมึงได้ทุกวัน?! มึงคิดว่าที่กูขอเบิ้ลรอบสองรอบสามทุกวันนี่กูสับสนมึงกับดาวมหาลัยรึไง?!” เจษฎากุมขมับอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงอย่างเหนื่อยใจ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่มึงบอกให้กูนึกภาพผู้หญิงตอนที่ทำกับมึง ในหัวกูแม่งมีแต่ภาพมึงจนกูจะกลายเป็นบ้า อยากได้ยินเสียงมึงครางชื่อกูดังๆ อยากจะดึงไอ้ผ้าบ้าๆนั่นออก อยากเห็นสีหน้าของมึงตอนที่มึงขย่มลงมา...”



“พอแล้ว! เรา...เราเชื่อแล้ว” คนหน้าบางกระทันหันรีบปรามเพื่อนสนิท คนอะไรไม่อายฟ้าอายดินสักนิด



เจษฎาตาเป็นประกายอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินดังนั้น ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้เจ้าของห้อง รอคอยคำตอบจากปากของเพื่อนสนิทที่ยังคงมีสีหน้าเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง



 “แล้ว...ตกลงกูจีบมึงได้มั้ย?”



“เจษฎ์ก็รู้ว่าเรารู้สึกยังไง ไม่เห็นจะต้องจีบเราเลย” คุณชายรองของบ้านเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ เจษฎาเกาศีรษะ เอาจริงๆเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจกระบวนความคิดที่พาเขามาถึงจุดนี้นัก แต่เขาอยากที่จะให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาก็มีดีไม่แพ้กับคู่แช่งตคนอื่นๆของตัวเอง แค่อาจจะมีเงินในบัญชีน้อยกว่าคนพวกนั้นไปซักหลายพันล้านก็เท่านั้น



“มึงไม่อยากให้กูจีบเหรอ”



“โ่ธ่เจษฎ์...เราเพ้อเรื่องนั้นมาตั้งแต่อายุสิบหก ทำไมเราถึงจะไม่อยาก” นทีถอนหายใจ “เราแค่คิดว่ามันเสียเวลาเจษฎ์เปล่าๆ”



“กูอยากจีบมึง” ร่างสูงยังคงยืนยันเสียงหนักแน่น “ต่อให้รู้ว่ายังไงมึงก็ยอม แล้วไง? ไม่ได้หมายความว่ากูจะทิ้งๆขว้างๆทำเหมือนมึงเป็นของตายได้ป่ะ”



“เจษฎ์…” นทีอมยิ้มกับความดื้อดึงนั้น “รู้ใช่มั้ยว่าแต่ละคนที่มาจีบเรา ประวัติเขาเป็นยังไงกันบ้าง”



“….”



“ทั้งคุณชายตระกูลใหญ่ นักธุรกิจหมื่นล้าน เจ้าของบ่อน้ำมัน ดารานักร้องก็มี” ร่างโปร่งไล่นิ้วนับอย่างไม่หวาดไม่ไหว “เจษฎ์จะสู้จริงเหรอ?”



“เออ กูมันหมาวัด!” เจษฎาตัดพ้อคนที่ยิ้มขำกับท่าทีของเขาอย่างฟัดน่าเอ็นดูจนถึงเช้าเป็นที่สุด “แต่หมาวัดอย่างกูจะเด็ดดอกฟ้าก่อนหมาบนเครื่องบิน มึงคอยดูเลยนะไอ้ดอกฟ้า!”



“อื้อ...” เสียงหวานเจือไปด้วยความขบขันแม้นทีจะรู้ว่าตัวเองไม่มีทางสนใจบรรดา ‘หมาบนเครื่องบิน’ที่อีกฝ่ายว่า แต่การได้เห็นไฟศึกของเจษฎาลุกโชนเพราะตัวเองก็ทำให้หัวใจของเขาสูบฉีดดีไม่น้อย “รอมาตั้งหลายปี รออีกแป๊บก็ได้”



เจษฎาพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ


“ว่าแต่...” ร่างโปร่งเอียงคอ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “แล้วเรื่อง...นั้น....ล่ะ”



ดวงตาสีเข้มของเจษฎาไล่ตามสายตาของนทีไปจนเห็นผ้าคาดตาสีดำที่คุ้นเคยบนหัวเตียง



แม้จะอยากลั่นขาเตียงสั่งลาสักยกสิบยก แต่เจษฎารู้ว่าปณิธานแน่วแน่ของตนคงพังทลายไม่เหลือชิ้นดีหากได้ลิ้มรสความ
หอมหวานนั้นในตอนนี้



“พักไปก่อน จีบติดแล้วค่อยว่ากัน”



ชั่วขณะหนึ่งนทีมีสีหน้าเหมือนกับจะงอแงออกมากับคำตอบนั้น แต่คุณชายร่างโปร่งเพียงแต่พยักหน้ารับ



ทว่าก่อนที่เจษฎาจะได้ลุกจากเตียง ดอกฟ้าของเขากลับตวัดขาคร่อมตักแข็งไว้อย่างชำนิชำนาญ กอดคอเจษฎาไว้กันตกแล้วยิ้มให้ร่างสูงด้วยรอยยิ้มดีใจที่เจษฎาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นมันเจิดจ้าขนาดนี้คือเมื่อไหร่



“ชอบนะ...ชอบเชษฎ์มากๆเลยนะ” เสียงหวานไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ แต่เจษฎายังคงได้ยินทุกคำไม่มีตกหล่น “จีบเราให้ติดไวๆนะ”



“ระดับนี้แล้ว สามวันก็ติดแล้วป่ะ” เจษฎาหยอก รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นโดยไม่รู้ตัวอย่างเอ็นดูเจ้าตัวน่ารักบนตัก “แล้ว
ก็...ชอบนะครับ ชอบทีมากๆเหมือนกัน”



“งื้อ...ใจร้าย ยิ้มแบบนี้เดี๋ยวก็say yes ตอนนี้ซะหรอก” คนโดนดาเมจระยะประชิดไม่แพ้กันซุกหน้ากับไหล่กว้างเพื่อลดความรุนแรงของการปะทะ



“หึหึ บอกแล้วว่าหมาวัดมันเสน่ห์แรง”



เจษฎาหัวเราะ ซุกหน้าลงบนกลุ่มผมนิ่มหอมแชมพูอ่อนๆที่เริ่มจะเสพติดจนถอนตัวไม่ขึ้น สูดกลิ่นหอมๆนั้นเข้าไปจนเต็มปอดทั้งที่อยากทำมากกว่านี้อีกหลายกระบวนท่า



เอาล่ะ มาดูกันว่าเขาจะจีบดอกฟ้าติดก่อนที่เจ้าดอกฟ้ากลิ่นหอมอบอวลดอกนี้จะมนไม่ไหวโน้มตัวลงมางาบเขาลงท้องหรือไม่


----------------

หายไปนานเบยยยย ซอรี่ฮับ ฮืออออ

ออฟไลน์ Maple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮืออออ​ อัพแล้วน้ำตาจะไหลล​ กดดูทุกวันเลยยยย​ ดีงามมม​ยิ้มมมม​ แหม​เจษ จังหวะจะง่ายก็ง่ายจังนะเรา​ไวเชียว​  น้องต้าพี่จะเป็นไวต่อคะ​เนี่ยนน วงวารคู่นี้

ออฟไลน์ tae1234

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
 :mew6:หายนานไปนิดนะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
คู่นั้นยังไม่ไงกันเลย รอลุ้นเด้อ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด