ตอนที่ ๑๗
๕๐%
“คุณน้าแสนคนดีหายไปไหนมาตั้งนาน หนูยิ่งคิดถึง” หนูยิ่งที่เห็นผู้เป็นน้าก้าวขึ้นมาบนเรือนก็ทิ้งของเล่นที่กำลังเล่นกับอโณทัยวิ่งมาสวมกอดเอวของผู้เป็นน่าทันที หนูแสนส่งถาดอาหารที่ตนเองถือมาจากเรือนให้บ่าวเอาไปจัดสำรับก่อนจะนั่งลงกอดหลานชายตัวน้อยไว้
“น้าแสนก็คิดถึงหนูยิ่งนะคะ”
“ถ้าคิดถึงทำไมไม่มาตั้งนาน” หนูยิ่งทำหน้าอ้อนผู้เป็นน้าจนหนูแสนหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“ก็น้าแสนต้องไปดูแลตาทวดนี่คะ หนูยิ่งอยู่กับคุณย่าซนหรือเปล่า?” แสร้งทำเสียงขรึมเอ่ยถามหลานชาย เจ้าตัวเล็กรีบส่ายหน้า
“หนูยิ่งกับพี่อโณไม่ดื้อไม่ซนเลย แต่คุณย่าก็ยังเอ็ดไล่ให้หนูยิ่งกับพี่อโณไปเล่นไกล ๆ คุณย่ารำคาญ” หนูยิ่งเอ่ยฟ้องผู้เป็นน้า
“คุณย่าไม่สบายก็เลยอารมณ์ไม่ดีเป็นธรรมดา น้าแสนเอาขนมมาฝากหนูยิ่งกับอโณ เดี๋ยวไปนั่งกินกันตรงนู้นนะคะ เดี๋ยวน้าแสนเข้าไปหาคุณย่าก่อน” หนูแสนลูบผมของหลานชายก่อนจะเดินตรงไปที่หน้าประตูห้องของคุณหญิงผกา สูดลมหายใจรวบรวมความกล้าแล้วจึงส่งเสียงเข้าไปก่อนเพื่อให้คนด้านในรู้ตัว
“คุณป้าคะ หนูแสนมาเยี่ยมค่ะ”
“จะเข้าก็เข้ามาสิ ปกติไม่อนุญาตก็เข้ามาอยู่แล้วนี่” หนูแสนยิ้มให้กับคำประชดนั้นเปิดประตูเข้าไปด้านใน คุณหญิงผกานั่งพิงหัวเตียงหน้าตาไม่ทุกข์ไม่ร้อนเรียบเฉยเช่นเดิม
แต่มีบางอย่างที่หนูแสนรู้สึกว่าคุณหญิงผกาในวันนี้ไม่เหมือนเช่นทุกวันก็คือแววตาที่มองหนูแสน
“คุณป้าสบายดีมั้ยคะ?”
“อืม...ก็ดี” คุณหญิงผกาตอบกลับ แต่เป็นคำตอบที่ทำให้หนูแสนแปลกใจ เพราะปกติคุณหญิงผกาจะไม่ตอบหรือไม่ก็พูดเหน็บจนหนูแสนชิม
“มองอะไรล่ะ จะนั่งก็นั่ง ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ไม่งาม” คุณหญิงผกาส่งเสียงเอ็ดจนหนูแสนต้องรีบนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง เกิดความเงียบปกคลุมจนรู้สึกอึดอัด หนูแสนเองก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาทำเพียงแสร้งหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาพลิกหาหน้าที่คั่นไว้เมื่อครั้งก่อน
“เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดา” หนูแสนชะงักมือที่กำลังพลิกหน้าหนังสือ ดวงตากลมเงยขึ้นสบตากับคุณหญิงผกา ผู้อาวุโสกว่ามองหนูแสนด้วยสายตาที่หายไปนานนับปี
“ไม่มีใครหนีความตายพ้น หักห้ามใจหักห้ามความทุกข์โศกเสียเถอะนะหนูแสน” คุณหญิงผกายื่นมือมาลูบศีรษะของเด็กตรงหน้า หนูแสนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองอุ่นวาบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ขอบตาร้อนผ่าวไม่ได้เกิดจากความเศร้าเสียใจ หากแต่เป็นความปีติยินดีที่ค่อยๆ เพิ่มพูนใน
“คุณป้าหายโกรธหนูแสนแล้วหรือคะ?” เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ แม้จะคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าคุณหญิงผกากลับมาเป็นคุณป้าผู้ใจดีเหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์แต่ก็ขอถามเพื่อความแน่ใจ คุณหญิงผกาดึงมือที่ลูบบนศีรษะของหนูแสนออก ดวงตาที่มีแววโรยราไม่ว่าด้วยตามวัยหรือด้วยประสบการณ์ชีวิตทั้งสุขและเศร้าที่ได้รับมาชั่วชีวิตนั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ต้นสายหยุดที่ออกดอกเหลืองเต็มต้นส่งกลิ่นหอมเย็นๆ ยามเช้ามืดนั้น คุณหญิงให้บ่าวเอามาปลูกเมื่อครั้นออกเรือนกับท่านเจ้าคุณใหม่ๆ
เป็นต้นสายหยุดต้นเดิม หากแต่ไม่เหมือนเดิม มันสูงใหญ่ออกดอกไสวต่างจากต้นที่เอามาใหม่ ทั้งเล็กและดูเปราะบาง บัดนี้มันเปลี่ยนแปลง เติบโตและแข็งแรง
ชีวิตคนก็เช่นกัน ไม่มีอะไรคงเดิมมีแต่จะเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ วัน แต่ตัวคุณหญิงเองกับจมปลักในวังวนแห่งความเคียดแค้นชิงชัง
เมื่อได้อยู่กับตัวเองลองนึกทบทวนตรึกตรองดูแล้วจึงทำให้ค่อย ๆ คิดได้ทีละนิดว่าแท้ที่จริงแล้วความทุกข์ที่เสมือนไฟกองใหญ่คอยเผาใจให้ร้อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นนั้นมันเกิดขึ้นจากหล่อนทั้งสิ้น
หนูแสนปล่อยให้คุณหญิงผกาได้คิดทบทวน ไม่ได้เร่งเร้าจะเอาคำตอบ หรือหากแม้นคุณหญิงผกาไม่ตอบก็จะไม่เซ้าซี้ จะปล่อยให้มันผ่านไป หากแต่อีกครู่หนึ่งเหมือนคุณหญิงผกาตกตะกอนความคิดของตัวเองเสร็จแล้วท่านก็หันมาทางหนูแสน
“ที่ผ่านมา ป้าขอโทษหนูแสนนะ” คำขอโทษถูกเอ่ยออกจากปากคนแก่กว่า หนูแสนเพิ่งรู้ว่าความปลื้มปีตินั้นรู้สึกอย่างไรก็วันนี้ เด็กหนุ่มกราบลงบนตักของผู้อาวุโสก่อนจะเงยหน้ามาเอ่ยถ้อยคำหวานหู
“หนูแสนต่างหากค่ะที่ต้องกราบขอโทษคุณป้า ที่ผ่านมาหนูแสนคงทำตัวไม่น่ารักไปหลายครั้ง คุณป้ายกโทษให้หนูแสนด้วยนะคะ”
“อย่ามาชิงขอโทษป้าเลย ถึงป้าจะแก่กว่าก็ใช่ว่าจะขอโทษเด็กไม่ได้ ในเรื่องนี้ป้าผิดป้าก็คิดว่าป้าควรเป็นฝ่ายขอโทษ โกรธคนหนึ่งพาลมาฟาดงวงฟาดงากับอีกคนมันใช้ได้ที่ไหน ใคร ๆ เตือนก็ไม่ฟังหาว่าเขาไม่เห็นใจ สุดท้ายเขาเบื่อเขารำคาญเขาเหนื่อยจะพูดก็ตีตัวออกหากกันไปหมด”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะคุณป้า” หนูแสนบีบมือคุณหญิงผกาอย่างให้กำลังใจ
“ไม่ต้องมาปลอบป้าหรอก ป้ารู้ดีว่าสิ่งที่ป้าทำมันแย่มาก ๆ ดูสิ” คุณหญิงผกากวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง
“เมื่อก่อนมีผู้คนห้อมล้อมป้ามากมาย แต่ตอนนี้ไม่เหลือใครเลย” ปลายน้ำเสียงนั้นแผ่วจนน่าใจหาย หนูแสนรู้ดีว่าคุณหญิงผกานั้นจะรู้สึกอ้างว้างเพียงใด
“เมื่อก่อนตอนลูกๆ ยังเด็กป้าก็คิดว่าการที่ท่านเจ้าคุณไปเรือนแม่ชื่นหรือแม่มณีนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยป้ายังมีลูกๆ จนกระทั่งพ่อใหญ่ถูกส่งไปเมืองฝรั่ง แม่กลางก็เข้าไปถวายตัวเป็นนางในจากนั้นก็ออกเรือนป้าก็ยังคิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังเหลือตาเล็ก แต่พอตาเล็กจากไปอีกคนป้าก็เหงาเสียยิ่งกว่าเหงา เรือนที่เคยว่าอยู่กันแบบพอดีตัวมันก็กว้างเสียจนป้ารู้สึกโดดเดี่ยว มองไปทางไหนก็ไม่เหลือลูกหลานให้เลี้ยงดูพูดคุยให้ชื่นใจ จนพ่อใหญ่กลับมาป้าถึงรู้สึกว่าความสุขมันกลับมาอีกหน” คุณหญิงผกายิ้มให้กับภาพลูกชายคนโตที่จะต้องแวะมากอดมาหอมแก้มมาพูดคำหวานให้หล่อนทุกวันหลังเลิกงาน
“พ่อใหญ่เป็นคนปากหวาน สรรหาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังต่าง ๆ นานามันก็ช่วยให้คลายเหงาขึ้นมาได้บ้าง จนพ่อให้มาบอกว่าจะแต่งงานกับแม่สน ขอบอกตามตรงว่าจริงๆ แล้วป้าค้านหัวชนฝา อย่าหาว่าป้าดูถูกแม่สนเลยนะ แต่เห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกก็รู้ๆ นิสัยกันอยู่ว่าเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจหัวสมัยไม่ยอมใคร ร้อนกับร้อนเจอกันก็มีแต่พัง แต่ในเมื่อพ่อใหญ่ยืนยันว่าจะเอาคนนี้ก็ต้องตามใจ สุดท้ายก็พังจริง ๆ” แววตาของคุณหญิงผกาหม่นแสงลงยามนึกถึงเรื่องราวชีวิตของลูกชายคนโต หนูแสนเม้มริมฝีปากแน่น ในสมองก็คิดว่าตนเองควรจะพูดขอโอกาสให้กับพี่สาวหรือไม่
จะว่าไปแล้วเราทุกคนล้วนเคยทำเรื่องผิดพลาด ตอนนี้แต่ละคนได้รับผลจากความผิดพลาดนั้นแล้ว คุณสนก็เช่นกัน ดังนั้นหนูแสนจึงตัดสินใจขอโอกาสให้พี่สาวอีกครั้ง
“คุณป้าขา...ยกโทษให้พี่สนได้มั้ยคะ หนูแสนอยากพาพี่สนมากราบขอโทษคุณป้า ได้ไหมคะ?” คุณหญิงผกามองหน้าหนูแสนที่สบตาไม่ได้หลบ ในหัวใจหนักอึ้ง
“เอาเป็นว่าป้ายกโทษให้ แต่อย่าพามาเจอเลย”
“ทำไมล่ะคะ” หนูแสนถามอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อยกโทษให้กันได้ทำไมถึงไม่ยอมให้มากราบขอโทษด้วยตัวเอง
“หนูแสนไม่เคยมีลูก หนูแสนไม่รู้หรอกว่าหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่สูญเสียลูกไปน่ะมันช้ำแค่ไหน วันหนึ่งถ้ามีลูกเป็นของตัวเองก็คงจะเข้าใจ” คุณหญิงผกาทิ้งท้ายคำพูดไว้เพียงเท่านั้น หากแต่ประโยคที่ว่าวันหนึ่งหากหนูแสนมีลูกหนูแสนจะเข้าใจกลับกลายเป็นคำพูดที่ทำให้ใจดวงน้อยนั้นสั่นจนน่ากลัว
หนูแสนจะมีลูกได้อย่างไร...ในเมื่อหนูแสนเป็นผู้ชาย เมื่อรักคุณเล็กแล้วก็ไม่คิดจะไม่ออกเรือนกับหญิงใด เรื่องผู้สืบสกุลก็ไม่เห็นเป็นสำคัญด้วยมีตาอ้นลูกของคุณพี่เสนเป็นผู้สืบสกุลรุ่นถัดไปแล้ว
แต่คุณเล็กเล่า?
หากวันหนึ่งคุณเล็กอยากมีทายาทขึ้นมาจะทำอย่างไร...
หลังเสร็จงานศพเจ้าคุณพิพิธได้ไม่กี่วันคุณพะยอมกับบ่าวก็ต้องมาเร่งมือทำน้ำอบน้ำปรุงส่งลูกค้าที่มากขึ้นแบบปากต่อปาก หลังๆ มานี้หนูยิ่งพาอโณทัยข้ามมาหาน้าแสนบ่อยครั้งจึงได้อยู่กินขนมพูดคุยกับผู้เป็นยาย หนูหยกดีใจที่พี่ชายมาหามาเล่นด้วย เด็กๆ พากันเล่นซนรวมทั้งลูกๆ ของคุณเสน บ้านที่เงียบก็พลันสดใสขึ้นด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะของเด็กๆ เฟื้องพาคุณสนออกมานั่งเล่นตรงชานเรือนเหมือนเช่นทุกวัน
“เสียงเด็กที่ไหนเล่นกันเสียงขรม” คุณสนเอ่ยถามพลางชะโงกหน้ามองหาต้นเสียง นังเฟื้องไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงเดินตามนายสาวไปเรื่อยๆ ใจหวังให้คุณสนจำคุณยิ่งได้แต่ก็นึกชังอโณทัยลูกแหม่มแอนนาจับจิต
“ตายจริง ลูกใครนั่นมีเด็กฝาหรั่งด้วยหน้าตาน่าเอ็นดู เด็กผู้ชายคนใกล้ ๆ ก็น่ารัก” คุณสนออกปากชมหนูยิ่งผู้เป็นลูกชายด้วยนึกเอ็นดูและถูกชะตา นังเฟื้องได้ทีจึงดันให้ผู้เป็นนายลองเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“ลูกใครกันหรือคะแม่” เอ่ยถามคุณพะยอมที่นั่งมองหลาน ๆ เล่นกัน เด็กๆ หันมามองคุณสน หนูยิ่งที่ไม่ได้เจอแม่นานแต่ก็โตพอจะรู้ความและจำผู้เป็นแม่ได้มองคุณสนด้วยความคิดถึง เด็กชายวัยหกขวบวิ่งถลาเข้ามากอดเอวผู้เป็นแม่ด้วยความรัก
“แม่จ๋า แม่สนของหนูยิ่ง หนูยิ่งคิดถึงแม่” เด็กน้อยร้องบอกผู้เป็นแม่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มือเล็กเช็ดน้ำตาป้อยๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ไหลออกมา
คุณพ่อเคยบอกไว้ว่าลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้
แต่ทำไมน้ำตามันไม่ยอมหยุดไหลก็ไม่รู้
คุณสนที่ชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความตกใจที่อยู่ ๆ เด็กชายแปลกหน้าก็วิ่งเข้ามากอดย่อกายลงนั่งให้เสมอกับหนูยิ่ง รอยยิ้มถูกมอบให้อย่างใจดี มือสวยคว้ามือเล็กของเด็กน้อยแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บไว้ตรงเข็มขัดนากออกมาซับน้ำตาให้เบา ๆ
“อย่าใช้มือขยี้ตาสิคะ ประเดี๋ยวตาจะเจ็บได้” หนูยิ่งมองดูแม่ที่บรรจงเช็ดหน้าให้ตนเองไม่ละดวงตาไปไหน
นานเท่าไหร่แล้วหนอที่ไม่เคยได้พบเจอแม่
ภาพของแม่ในวันนี้คล้ายจะเป็นคนละคนกับในวันวาน
แม่ที่เคยเอิบอิ่มสวยงามใบหน้าเคยมีสีสันบัดนี้กลับเรียบนิ่งดูสงบไร้ซึ่งสีสันฉูดฉาดชินตา
แม่ที่บางครั้งก็เผลอเกรี้ยวกราดยามทะเลาะกับคุณพ่อมาวันนี้กลับดูใจดีอย่างน่าประหลาด
แต่ไม่ว่าแม่จะเป็นแบบไหนหนูยิ่งก็รัก
ร่างเล็กของเด็กชายโผเข้ากอดแม่อย่างที่โหยหาและปรารถนาจะทำมาโดยตลอด แขนเล็กโอบรั้งรอบลำคอของแม่ ใบหน้าซุกกับอกแม่ร้องไห้โฮ
ช่างเรื่องของลูกผู้ชายปะไร
หนูยิ่งรู้เพียงว่าหนูยิ่งเป็นลูกของแม่เท่านั้น
“คิดถึงคุณแม่ คิดถึงมาก ๆ เลย” เด็กชายเอ่ยด้วยเสียงเจือสะอื้น ท่ามกลางสายตาของยาย น้าและบ่าวไพร่ หนูยิ่งไม่สนและไม่นึกอายที่ต้องเป็นเด็กอ่อนแอ ความคิดถึงเอ่อล้น อยากเจอแม่มาตลอดปีกว่าแต่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ข้ามบานประตูไม้ข้ามเขตมาจนกระทั่งคุณย่าดีกันกับน้าแสน
หนูแสนมองภาพแม่ลูกที่กอดกันกลมแล้วก็ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความปลื้มใจ พลันความอุ่นที่ฝ่ามือก็ทำให้ต้องเงยหน้ามอง คุณเล็กที่น่าจะเพิ่งเสร็จจากงานที่หอบมาทำในวันหยุดมาถึงตอนไหนก็ไม่รู้ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างแล้วกุมมือหนูแสนไว้
คุณสนที่ถูกสวมกอดโดยไม่ทันตั้งตัวไม่ได้ผลักไสเด็กชายออก ปล่อยให้หนูยิ่งกอดจนพอใจ มือเรียวก็ลูบหลังเล็กนั้นอย่างใจดี เมื่อเด็กชายสงบลงจึงดันร่างเล็กให้ห่างตัว หญิงสาวส่งยิ้มเอ็นดูเจือแววเวทนาเด็กน้อยอยู่ในที
“คิดถึงแม่หรือคะ?” เอ่ยถามเด็กตรงหน้า หนูยิ่งที่ร้องไห้จนตาหูแดงพยักหน้า
“แม่ไปไหนเสียล่ะคะ?” คำถามที่ถูกถามออกมาทำเอาเด็กน้อยงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมที่จ้องมองผู้เป็นแม่มีแววสลดวูบ ทุกคนในที่นั้นลอบถอนหายใจเบา ๆ
“ก็แม่ไงจ๊ะ แม่เป็นแม่ของหนูยิ่ง” เด็กน้อยร้องตอบอย่างไม่เข้าใจท่าทีของแม่
“ฉันไม่ใช่แม่ของหนูหรอกจ้า ฉันมีลูกคนเดียวคือหนูหยก นั่นไงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นั่น” คุณสนชี้มือมาทางหนูหยกที่ยืนรวมกับพี่ๆ หนูยิ่งมองแม่ด้วยดวงตาไม่เข้าใจและผิดหวัง หนูแสนเห็นท่าทางของหลานชายก็ให้นึกสงสารจึงเดินเข้าไปดึงหนูยิ่งออกจากผู้เป็นแม่
“หนูยิ่งมากับน้าแสนก่อนนะ” เมื่อหนูแสนดึงหนูยิ่งให้เดินกลับมาที่ม้านั่งคุณสนสิ่งยิ้มให้เด็กชายอีกครั้งแล้วก็เดินกลับไปนั่งเล่นที่ชานเรือนตามเดิม ทิ้งความเสียใจของเด็กน้อยไว้ข้างหลังอย่างคนที่ไม่เหลือความทรงจำในวันเก่า
“คุณแม่ไม่รักหนูยิ่งแล้วคุณน้าแสน” เด็กน้อยร้องบอกอย่างเสียใจ หนูแสนสวมกอดร่างเล็กไว้แน่นอย่างสงสาร
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหนูยิ่ง หนูยิ่งคนดีฟังน้าแสนนะคะ ไม่ใช่ว่าคุณแม่ไม่รักหนูยิ่ง คุณแม่รักทั้งหนูยิ่งหนูหยก แต่ตอนนี้คุณแม่ป่วย ความทรงจำของคุณแม่หายไปคุณแม่เลยจำใครไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าคุณแม่จำหนูยิ่งไม่ได้แค่คนเดียวนะ คุณยาย คุณก๋ง หนูหยก น้าแสน รวมทั้งคนอื่น ๆ คุณแม่ก็จำใครไม่ได้เลยสักคน”
“แต่คุณแม่บอกว่ามีน้องหยกเป็นลูกแค่คนเดียว แปลว่าคุณแม่จำน้องได้น่ะสิน้าแสน”
“เปล่าเลย แม้แต่หนูหยกคุณแม่ก็จำไม่ได้ ทุกคนในตอนนี้คือครอบครัวใหม่ที่คุณแม่ต้องจดจำ ตอนนี้หนูยิ่งเข้ามาอยู่ในความทรงจำอันใหม่ของคุณแม่แล้วหนูยิ่งต้องไม่ถอดใจนะคะ ถ้าคุณแม่ยังจำไม่ได้ก็ต้องค่อยๆ เข้าไปหาเธอทีละนิด” หนูแสนอธิบายให้หลานชายฟังอย่างใจเย็น คุณเล็กปล่อยให้หนูแสนเป็นคนรับหน้าที่นี้ไปเพราะหนูแสนนั้นรู้สถานการณ์ในเรือนตัวเองดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องอารมณ์หรือความทรงจำของคุณสน ดังนั้นคุณเล็กจึงไม่ก้าวเข้าไปปลอบหลานชาย หนูยิ่งได้ฟังดังนั้นก็คิดตามสิ่งที่น้าชายพูด แต่เด็กน้อยก็เกิดความไม่แน่ใจ
“แม่จะจำหนูยิ่งได้จริงๆ เหรอครับน้าแสน”
“ถ้าแม่จำไม่ได้ก็มาสร้างความทรงจำใหม่กับแม่กันดีมั้ยคะ ตอนนี้หนูยิ่งมาเที่ยวเล่นบ้านคุณก๋งได้แล้วก็มาหาแม่บ่อย ๆ น้าเชื่อว่าวันหนึ่งแม่ก็จะรักหนูยิ่งเหมือนที่รักหนูหยก ดีมั้ยคะ?” กระชับกอดหลานตัวน้อยแล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้บังคับให้หลานมาหากแต่ถือความสมัครใจของหนูยิ่งเป็นที่ตั้ง เด็กน้อยสวมกอดน้าชาย พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“คุณแม่จำใครไม่ได้เลยน่าสงสารนะครับ หนูยิ่งสัญญาโตขึ้นหนูยิ่งจะเป็นหมอแล้วมารักษาคุณแม่ให้หายดี ถึงวันนั้นวันที่แม่จำได้ แม่จะได้รักหนูยิ่งเพราะรู้ว่าหนูยิ่งเป็นลูกจริงๆ” เด็กน้อยบอกผู้เป็นน้าอย่างมุ่งมั่น หนูแสนลูบผมหลานชายอย่างเอ็นดู
“เอาเลย หนูยิ่งอยากทำอะไรทำเลย อยากเรียนอะไรก็เรียนเลย น้าแสนคุณอาเล็กหรือแม้แต่คุณก๋งคุณยายก็จะส่งให้หนูยิ่งเรียน เพราะอะไรรู้มั้ย” หนูแสนทิ้งจังหวะ มองหน้าหลานชายด้วยสายตาที่แสดงความรักอย่างจริงใจ
“เพราะพวกเรารักหนูยิ่ง หนูยิ่งไม่ได้ขาดความรักเลยเห็นมั้ยคะ” หนูแสนชี้มือให้หนูยิ่งมองไปทางคุณเล็ก คุณพะยอมและหลานๆ คนอื่นที่มองมาอย่างห่วงใย หนูยิ่งมองตามมือผู้เป็นน้าก็รู้สึกอุ่นใจและเห็นจริงตามที่น้าแสนบอก ทุกสายตาที่มองมามีแต่ความรักความห่วงใยโดยที่เด็กน้อยก็สัมผัสได้ ไม่มีใครเกลียดหนูยิ่งเลยสักนิด เด็กชายซบลงกับไหล่ผู้เป็นน้าเอ่ยคำหวานให้คนข้างๆ จนหนูแสนยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“หนูยิ่งก็รักน้าแสน รักอาเล็ก รักคุณยาย รักทุก ๆ คนเหมือนกัน” คุณเล็กมองภาพสองน้าหลานที่นั่งคุยกันกะหนุงกะหนิงด้วยหัวใจที่เป็นสุข ในใจนั้นคิดเรื่องสำคัญ เรื่องที่ตนเองควรเข้าไปพูดกับท่านเจ้าคุณสรอรรถกับคุณหญิงผกาให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที เวลาผ่านมาเนิ่นนานและคนทั้งคู่นั้นผ่านอะไรร่วมกันมาทั้งสุขและทุกข์มาพอสมควร พ่อและแม่ของเขาควรรับรู้เรื่องที่ตนเองกับหนูแสนรักกันได้แล้ว อย่างน้อยเขาก็อยากให้เกียรติหนูแสนและครอบครัว ลิขิตไม่อยากแอบคบหากันโดยที่พ่อแม่ของตนเองไม่รับรู้ไปอย่างนี้เรื่อย ๆ
เด็กๆ แยกตัวออกไปเล่นด้วยกันโดยมีนายมีและนายพันคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง คุณพะยอมกับยายแช่มก็ง่วนอยู่กับการผสมดอกไม้ชนิดต่างๆ หนูแสนปลีกตัวมานั่งเล่นที่เรือนแพของคุณเล็กตามคำชวนของคนรัก ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน คุณเล็กทำเพียงนอนหนุนตักเจ้าน้องน้อยมองใบหน้าพริ้มเพราอย่างแสนรัก หนูแสนเองถูกมองเท่าไหร่ก็หาได้ชินกับสายตาระยิบระยับที่คุณเล็กมองมาเสียที แสร้งเบนสายตาหลบมองไปยังผิวน้ำเบื้องหน้า
“เขินเหรอคะ?” แสร้งถามทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งรู้
“ไม่แกล้งหนูแสนสิคะ”
“คุณเล็กแกล้งหนูแสนตรงไหนคะ ก็หนูแสนกำลังเขินคุณเล็กจริง ๆ ดูสิคะแก้มแดงเป็นลูกตำลึงแล้ว” ไม่พูดเปล่ายิ่งส่งมือไปลูบแก้มของน้องเบา ๆ
“ถ้าไม่กลัวจะมีใครเข้ามาเห็น คุณเล็กก็อยากจะขอจูบหนูแสนสักที”
.................................
คิดถึงกันหรือไม่เจ้าคะ
ว่าที่แม่ผัวลูกกะไพ้เขาคุยกันแร้วน้า
ครึ่งหลังไปคุยกับเจ้าคุณพ่อคุณหญิงแม่เรื่องของเรากันนะคะ
เม้นท์เยอะจะรีบมาพิมพ์ก่อนไปโรงพยาบาล ไม่งั้นก็เจอกันหลังกลับจากโรงพยาบาลนะคะ
เป็นกำลังใจให้โรคสงบด้วยนะคะ