ปกติเพื่อนเก่า เพื่อนกัน มันควรจะพบปะแบบ ‘ครบกลุ่ม’ กันอย่างน้อยก็ปีละครั้ง สองครั้งใช่ไหมละครับ อันนี้พูดในฐานะคนทั่วไป ตามแต่วาระ ตามแต่เวรตามกรรม ว่าใครจะปลีกตัวมาได้ไม่ได้
สมัยมหาวิทยาลัย ผมมีเพื่อนสนิทอยู่สองกลุ่ม รวมๆ แล้วก็นับหัวได้ราวสิบคน ถ้าถามว่าสนิทขนาดไหน ก็อาจจะเรียกได้ว่า เพื่อนตายเลยก็ได้ม้ังครับ เพราะเอาจริงๆ ในช่วงจบปีสุดท้าย จนถึงช่วงสามขวบปีของวัยแรกแย้มการทำงาน ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์บ้านเมือง ผีป่าช้าแตกอะไรขึ้น เราก็กลมเกลียวมาก กริ๊งเดียวเท่านั้น เราพร้อมหน้า
นัดกันดูเกมส์ ออฟ โทรน ทุกซีซันด้วยกันทุกคืนวันจันทร์ (เพราะมันฉายเช้าวันจันทร์ไทย ดูทันทีไม่ได้)
นัดดูบอลบิ๊ก แมตช์ ด้วยกันแม้ว่าจะเชียร์คนละทีมกันสะเปะสะปะสิ้นดี
ใครทะเลาะกับผัว กับเมีย จะมีหน่วยเก็บกู้ ตามไปรับถึงบ้าน บางคนเป็นสายเคลียร์ เคลียร์ให้ บางคนสายบวก สายแท้งก์พร้อมชน ก็ชนยับ
จัดทริปเที่ยวต่างประเทศกันยกแก๊งค์ เมาป่วนจนโดนค่าปรับ เราก็ทำมาแล้ว
จบมหาวิทยาลัยมาได้สิบเอ็ดปี พวกเรา แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันมากมายเหมือนแต่ก่อนนัก แต่ละคนก็มีชีวิตที่ต้องเลือกเดิน แต่คนที่ยังมีเวลาว่างอยู่ ไม่มีภาระ พันธะใดๆ ก็ยังได้เจอกันทุกสัปดาห์ ทุกเดือน
ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว พวกผมสิบคน ก็จะรวมตัวกันทุกไตรมาส เพราะมันจะมีเทศกาลให้ได้เจอกันตลอด อาทิ
หนึ่ง ปีใหม่
สอง สงกรานต์
สาม พรีเมียลีก
สี่ ลอยกระทง
คือเอาเป็นว่า ทุกๆ สองสามเดือน เราจะพบกันพร้อมหน้าครับ อาจจะไม่ใช่ร้านเหล้าเหมือนเดิม เป็นร้านอาหารกึ่งผับกึ่งเรสเตอรองเสียมากกว่า หรือไม่ก็ไปทำกับข้าวกินบ้านใครสักคนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นบ้านผม หรือบ้านเพื่อนรักอีกคนที่ชื่อย่อว่าแยม (ย่อทำไมวะ) ประมาณนี้
แต่ในการรวมตัวครั้งนี้ มันไม่เหมือนเดิมครับ มันต่างออกไปด้วยสถานที่ ด้วยบรรยากาศ ด้วยชุดที่พวกเราสวมใส่
เรารวมตัวกันในงานศพสิบสองปีที่แล้ว วันที่ผมพบรักแท้ของชีวิต ชื่อย่อว่าโฟล์ค เป็นช่วงเวลาประมาณนี้เหมือนกัน… มันเป็นช่วงที่ลมหนาวมาเยือน แรง เร็ว และ เหน็บหนาวกว่าทุกปี
เรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในระยะเวลาสั้นๆ สิบสี่วันนั่น และดำเนินมาเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ที่พวกเรายังอยู่ด้วยกันแบบนี้
“อะ กะเพาะปลา” เสียงแหบห้าวของเพื่อนสนิทของแฟน ที่ปัจจุบันผมสนิทกับมันมากกว่าก็ว่าได้ เอ่ยขึ้น ก่อนหยิบกะเพาะปลาร้อนๆ ในถ้วยพลาสติกใบเล็กสีชมพูส่งมาให้ นินแม่งเหมือนแวมไพร์เลยครับ นี่พวกเราอายุปาไปสามสิบสามแล้วนะ แหม๋นนน นินยังหน้าตา รูปร่างเท่าเดิม เปลี่ยนไปแค่ทรงผม หรือรอยสักและรอยเจาะที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น
นินสวมเชิ้ตดำปิดกระดุมถึงคอ กับยีนขาเดฟสีดำ คิ้วซ้ายเจาะจิวสีเงินไว้ หน้าตามันดูสะอาดเกลี้ยงเกลาเวลาใส่เสื้อผ้าปกปิดมิดชิด เหลือแค่ดวงหน้าแบบนี้ แต่ที่พูดนี่ ไม่ใช่ผมไม่ชอบมันเลอะเทอะรอยสักหรอกนะครับ นินเป็นแบบไหน มันก็เพื่อนผมอยู่ดี เพื่อนที่มาอาศัยแอร์ ไฟ น้ำ บ้านกูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เหยดแหม่
มันทำดีเพื่อสังคมด้วยการยกถาดอาหารสำหรับเลี้ยงแขกมาเสิร์ฟครับ ใกล้ๆ กัน ผัวมัน ชื่อย่อภัทร ก็เดินเสิร์ฟอีกถาด แต่ดูท่าจะได้รับความนิยมดีกว่านิน เพราะสาวๆ หน้าตาดีที่อายุราวคราวเดียวกันแต่ยังโสด พากันรับกะเพาะปลาจากภัทรไปถ้วยแล้วถ้วยเล่า
ปกตินินขี้หึงมากนะครับ นี่ผมก็แอบงงหน่อยๆ เหมือนกันว่าทำไมวันนี้มันถึงอยู่เงียบๆ ได้ หรือเพราะมันก็แก่แล้วครับ ฮอร์โมนเลยไม่เหวี่ยงกระจุยกระจายเหมือนในอดีต มันก็ทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ
ส่วนผมที่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรน่ะเหรอครับ ไม่ใช่ว่าทำตัวเป็นคนกินแรงเพื่อนหรืออะไรหรอกนะ แต่ว่า...
“อะ อีกถ้วย ของเพ่ยเพ่ย กินไหมครับ” นินถามเด็กหญิงตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตักผม ดวงตากลมโตที่ได้มาจากมารดา และจมูก ปาก ที่ได้มาจากบิดา ทำให้สาวน้อยเกือบหมวยคนนี้ น่ารักน่าชังในสายตาของทุกๆ คน
“กินค่าอานิน”
“มึงเอามาถ้วยเดียวพอ เดี๋ยวหก” ผมบอกนินเพื่อนรัก มันพยักหน้ารับรู้ก่อนว่า
“เออ เดี๋ยวกูห่อใส่ถุงกลับบ้านให้ กลางคืนพวกมึงก็หิว หาแดกอีก”
“แดกแปลว่าอะไรคร้า”
“เฮ้ย เพ่ย อาขอโทษ คำไม่ดีอะอย่าจำเลย” นินตบหน้าผากตัวเองดังปั่ก เมื่อรู้สึกตัวว่าหลุดคำหยาบต่อหน้าเด็กวัยกำลังจำ
“ไม่เป็นไรค่า มันเป็นคำม่ายดี”
ผมมองหนูน้อยบนตัก ลูบหัวกลมๆ อย่างเอ็นดู นึกสงสารหนูน้อยที่ต้องมาเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก ขณะที่ตัวพ่อเองแม้จะยังทำใจไม่ได้เท่าไหร่นัก แต่ก็พยายามจะเข้มแข็ง
ตัดภาพไปที่หน้าโลงศพ ชายหนุ่มสามสี่คนในชุดสูทช่วยกันอำนวยความสะดวกให้แขกไหว้ลาหญิงสาวที่นอนอย่างสงบเงียบในโลงศพ เจ้าภาพงานมีสีหน้าอิดโรย แต่ก็ยิ้มและยกมือไหว้ขอบคุณที่มา เสียงจ้อกแจ้กจอแจค่อยๆ เงียบหายลงไปเรื่อยๆ เมื่อแขกทั้งหลายพากันเดินทางกลับบ้าน เมื่อความวุ่นวายเลือนหาย รอยยิ้มที่ต้องปั้นแต่งมาทั้งวันก็ค่อยๆ เลือนหายไปด้วย
“ป๊ะป๋า” เพ่ยเพ่ยตะโกนเรียกพ่อของตัวเองที่เดินเข้ามาหาลูกสาว หลังจากที่ส่งแขกคนสุดท้ายกลับไป และเหลือเพียงคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทเท่านั้นที่อยู่ในศาลา
เด็กน้อยถดตัวลงจากตักผม วิ่งไปหาพ่อของตัวเอง ซึ่งก็คือเพื่อนรักของผมนั่นแหละ ปอม ไอ้หนุ่มตี๋ ลุคเท่ สุดคูล สุดหล่อ พูดน้อยสมัยเรียน ที่ปัจจุบันเป็นสถาปนิกอนาคตไกล และกำลังจะเปิดบริษัทร่วมกับเพื่อนในคณะอีกไม่ไกลนี้ ในวัยสามสิบสาม ปอมมันอ้วนขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ภูมิฐาน ดูดีในแบบฉบับคุณชายของมัน
ปอมปลดสูทออก พาดมันไว้บนเก้าอี้ ก่อนก้มลงอุ้มลูกสาววัยช่างจ้อขึ้นมากอดเอาไว้ ส่วนสามหนุ่มที่ไปยืนช่วยเพื่อนรับแขก อันได้แก่กาย เป๊ก และไอ้โฟล์ค ก็เดินปาดเหงื่อกลับมาพร้อมกับเรียกหาของกินไปด้วย
“หิวอะ มีไรเหลือแดกบ้างเนี่ย” กายทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ น้ำชา พร้อมหลุดคำไม่ดีออกมา จนหนูเพ่ยหันขวับ
“ทำไมอากายพูดไม่เพราะ”
“อุ๊บ” กายยกมือปิดปาก ขณะที่คนอื่นๆ ซึ่งยืนล้อมวงกันต่างหัวเราะในความฉลาดพูดของสาวน้อย “อาขอโทษนะคะเพ่ยเพ่ย จะไม่ทำอีกแล้วน้า” ไอ้กาย เป็นผู้ชายในกลุ่มคนเดียวที่เหลือรอด ยังไม่ลงหลักปักฐานกับใครเท่าไหร่นัก ตามสไตล์หนุ่มนักออกแบบอารมณ์ดี (คือมึงก็ไหลลื่นมาตั้งแต่สมัยเรียน โตมาอายุเพิ่มแต่สมองไม่เพิ่มตามอะ) ทั้งๆ ที่แฟนเก่ามันแต่ละคนก็เจ๋งๆ ทั้งนั้น แต่ก็นั่นแหละ เวลาคงเป็นคำตอบให้กับคนกะล่อนอย่างมันเอง ปัจจุบันกายมันก็เลยยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน ขณะที่เพื่อนมีเมียและลูกไปแล้ว ทำให้มันก็เป็นอีกคนที่วนเวียนมาขอส่วนบุญที่บ้านผมอยู่เป็นประจำ
“มีกะเพาะปลาเหลือ เอาไหม เดี๋ยวเราไปหยิบให้” ไอที่เก็บแก้วพลาสติกใช้แล้วลงถุงขยะอย่างขะมักเขม้นหันมาบอก
“เฮ้ย ไม่ต้องไอ เดี๋ยวเราไปเอาเอง” กายรีบโบกมือใหญ่ “แต่ถ้ามึงกำลังจะเดินไปครัว หยิบให้กูด้วยนะ” ปฏิเสธไอ แต่หันไปบอกนินทีกำลังจะเดินไปที่ครัวหลังศาลากับแยม ไอ้นินเลยหันกลับมาโชว์นิ้วกลางหราให้ทันที
“เหนื่อยไหมมึง” ผมถามไอ้ปอม ที่อุ้มลูกที่เริ่มคอพับคออ่อนมานั่งข้างผม ส่วนโฟล์คเดินออกไปออกไปสูบบุหรี่กับภัทร ไอ้โฟล์คนี่ก็ดูดๆ เลิกๆ บุหรี่เป็นรายไตรมาส หรือรายอารมณ์มัน อะไรก็ไม่รู้ บางทีบ่นก็ไม่มีผล เพราะผมก็ยืมมันดูดด้วย
“เพลียๆ ว่ะ” ปอมว่า “วันนี้คงต้องขอไปค้างบ้านมึงอีก ขี้เกียจกลับบ้านว่ะ ไม่มีคนดูเพ่ยด้วย”
“เออได้ดิวะ สบายมาก” ลินดา ภรรยาไอ้ปอม สาวสวยที่ร่วมทุกข์ สุข ด้วยกันมาสี่ปีเต็ม พบเนื้อร้ายในตับเมื่อครึ่งปีก่อน โชคร้ายที่มันแพร่กระจายเร็วมาก และพวกเขารู้ตัวช้าไป ลินดาจากไปในช่วงเวลาที่เธอจะไม่ได้เห็นลูกเติบโตอีกแล้ว และนั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ใจสลายที่สุด ทั้งสำหรับลินดา และสำหรับปอมเองด้วย
งานศพของลินดา คนที่ผมเองก็ชื่นชมว่าเข้มแข็งมาก เพราะเธอยิ้มเสมอไม่ว่าใครต่อใครไปเยี่ยม และยิ้มให้กระทั่งโชคชะตาที่เล่นตลกกับชีวิตของเธอ จัดขึ้นที่วัดฝั่งเดียวกับโซนบ้านผม เพราะลินดาบ้านอยู่ถัดจากบ้านที่ปัจจุบันผมอยู่กับโฟล์คออกไปสักราวสองเขตเท่านั้น ช่วงอาทิตย์นี้ปอมเลยขอมาอาศัยอยู่ด้วย
“มึงไม่เอาไปฝากบ้านแม่มึงเลี้ยงเหรอ มึงดูจะไม่ไหวนะเนี่ย บางทีกูก็กลัวมึงน็อก” เข้าวันที่ห้าของการสวดอภิธรรมศพ ปอมแม่งดูอิดโรยจริงครับ ผมซื้อสปอนเซอร์กับเอ็มร้อยให้มันแดกทุกวัน ลูกก็ต้องเลี้ยง งานศพเมียก็ต้องดูแล
“กูอยากดูแลเพ่ยเองว่ะ แม่กูแกก็ขี้แพนิกด้วย เอาจริงกูกลัวแกสปอยเพ่ยเกินไป กูไม่ได้อยากให้ลูกต้องถูกประคบประหงมขนาดนั้น ยิ่งช่วงนี้ด้วย กูอยากอยู่กับเพ่ย แล้วก็อยากให้เพ่ยอยู่กับความจริงแล้วใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้”
ผมฟังปอมมันพูด ก่อนตบบ่ามันเบาๆ “เลี้ยงลูกโหดนะมึง แต่ก็นะ ชีวิตคนเราแม่งโหดร้ายจริงๆ ว่ะ”
อัพเดทกันหน่อยนะครับ คราวที่แล้ว ผมอัพเดทให้ฟังจนถึงช่วงอายุยี่สิบแปด ที่ผมกับโฟล์คมีบ้าน มีหมาเป็นของตัวเอง แถบชานเมือง เพราะเราไม่ชอบความพลุกพล่าน และเพื่อนหลายๆ คนก็เริ่มเติบโตตามเส้นทางชีวิตการงานของตัวเอง
ปอมเป็นเพื่อนหนึ่งคนของผม ที่กราฟชีวิตมันก็ค่อนข้างนิ่ง ถ้าเทียบความโลดโผน ผมบอกเลยไม่เทียบกายหรือไอ้นินแน่นอน ปอมเป็นคนที่...ไม่ได้รักสนุก แต่ก็ยังคงไม่ได้จะผูกมัดกับใครละมั้งในช่วงนั้น มันก็มีสาวเข้ามาเรื่อยๆ อ้อ มันทำงานในแวดวงสถาปนิกนี่แหละครับ ส่วนลินดา เธอเป็นอดีตนางแบบลูกครึ่งสุดฮ็อต ที่มีใจรักในเรื่องของกาแฟ เธอเลยออกมาเปิดร้านกาแฟแบบสเปเชียลลิสต์กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเธอ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากออฟฟิศไอ้ปอม ก็นั่นแหละครับ โป๊ะเช๊ะ
ช่วงแรกๆ ปอมมันก็ไม่พูดอะไรมากตามประสาผู้ชาย แต่พอมันจะเล่า มันก็เล่ายาวเลย แล้วมาถามพวกผมกับโฟล์คว่า คนนี้จะโอเคไหม จะรอดไหม มันดูตื่นเต้นแหละครับ น่าจะตกหลุมรักจริงๆ เพราะงั้นพอลินดาท้อง ซึ่งเป็นการท้องก่อนแต่ง ทุกอย่างเลยลงล็อก ปอมตกลงปลงใจกับลินดาในวัยสามสิบ และมีลูกสาวสุดแสนจะวิเศษในวัยย่างขวบสามสิบเอ็ด จากนั้นช่วงเวลาสามปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพ่ยเพ่ยเป็นเด็กน่ารัก เรียนรู้ไว แล้วที่สำคัญคือติดบรรดาอาๆ มาก โดยเฉพาะอานินกับอาน้ำชา ก็คือกูนี่แหละ อาจจะเพราะปอมมันชอบพามาเจอบ่อย หรือบางทีก็พามาฝากเลี้ยง อย่างกับบ้านกูเป็นเนอสเซอรี ทั้งๆ ปกติบ้านกูก็เป็นแหล่งซ่องสุมของพวกไม่ทำงานประจำอยู่แล้ว
ในช่วงชีวิตที่เรากำลังเติบโตจากวัยรุ่นเข้าสู่ผู้ใหญ่เลขสาม มีหลายอย่างที่ผมได้เรียนรู้ บางคนชีวิตเรื่อยๆ เรียงๆ แต่พอโชคชะตามันจะอัดซ้อมเราเท่านั้นแหละ มันก็เล่นงานเราไม่ยั้ง แต่กับบางคน ที่มาแรงมาเร็วพร้อมกับความ แต่สุดท้ายมันก็ต้องเตรียมใจรอรับความผิดหวังด้วย ผมกำลังพูดถึงเพื่อนที่แต่งงานไปแล้วอีกคนครับ ไอ้เต ซี้ไอ้โฟล์ค ที่แต่งงานคนแรกของกลุ่มเลยในอายุยังไม่เลยหลักเลขสอง แต่นั่นแหละ คนเราตั้งใจอะไรมากมันไม่ค่อยจะเกิด หลังจากปลุกปล้ำ (แบบปล้ำจริงๆ) กับน้องพริม ภรรยาดีกรีนางฟ้าสายการบินแห่งชาติมาร่วมสี่ปี หวังจะมีทายาท แต่ก็ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่มันจะลองวิธีธรรมชาติ เพราะป๊าม๊ายื่นคำขาดแล้วว่าถ้าไม่มีก็ต้องพึ่งแพทย์ลูกเดียว
ถามว่าผมรู้ได้ไง ไอ้สัส ก็มันมานั่งคอตกกันบ้านผมทั้งผัวทั้งเมีย มาตรวจครรภ์อะครับ บอกว่าอยากมีคนลุ้นด้วย ไม่อยากผิดหวังกันสองคน แต่ปริศนาธรรมคือ กูต้องรู้ไหมเนี่ย แต่เอาเถอะครับ ก็สงสารมันนั่นแหละ ผมกับโฟล์คมันคนมีลูกไม่ได้นี่ คงจะไปรู้สึกร่วมอะไรมากก็ไม่ได้ แต่ก็ต้องอิ๊บ ทำเป็นเซ็งไปด้วย จริงๆ ก็เซ็งแหละครับ อยากได้หลานอีกสักคน มันสนุกดี
“นี่ใครจะค้างบ้านกูบ้างวันนี้” โฟล์คที่เดินกลับมาเอ่ยปากถามรอบวง “นอกจากเพ่ย และพ่อของเพ่ย”
“หึ” เต ภัทร นิน ส่ายหัว พวกนี้บ้านอยู่ใกล้ๆ แถบนี้แหละครับ ชาวฝั่งธนรักแม่น้ำ รักคลอง เตยังอยู่บ้านพ่อแม่ เพราะบ้านมันก็ใหญ่มากจริงๆ จะไปซื้อใหม่ให้เสียเงินเปล่าปี้ทำไม เดินรอบบ้านยังไม่มีทีท่าว่าจะเจอหน้ากันเลยเพราะห้องแม่งเยอะจัด ส่วนภัทรกับนิน ด้วยความที่ไอ้นินมันติดผมมากครับหลังเรียนจบ แล้วมันก็ทำงานฟรีแลนซ์ตัดต่อด้วยจนถึงปัจจุบัน มันเลยชอบมาป้วนเปี้ยนบ้านผม เอาง่ายๆ มาใช้ชีวิต กินอยู่หลับนอน ราวกับเป็นผัวกูอีกคนซะงั้น ซึ่งผมก็ทำงานอิสระเหมือนกัน ทำให้มันมาชนิดแบบ เอิ่ม มาทุกวัน ไม่ก็มาวันเว้นวัน แดกข้าวบ้านกูจนมันไม่ซื้อของสดเข้าห้องตัวเองแต่ซื้อของสดเข้าบ้านกูอะ คิดดูเอา หลังจากไปๆ มาๆ จากคอนโดที่ไกลโพ้นอีกฝั่งของเมืองอยู่นาน กอปรกับภัทรอยากได้คอนโดที่พื้นที่มากขึ้น นินมันเลยถือ
โอกาสใช้หลากหลายข้ออ้าง บีบคอไอ้ภัทรซื้อคอนโดติดแม่น้ำเจ้าพระยา จากที่ตอนแรกคุยซะดิบดีว่าเอาแถวเอกมัย เพราะแม้จะบ้านนอกกว่าแต่สะดวกขับรถมาบ้านผมมากกว่า
ด้วยประการละฉะนี้ สองหน่อก็เลยลงเอยมาอยู่แถวบ้านผมตั้งแต่ห้าหกปีที่แล้ว ส่วนภัทรก็ทำงานกับโฟล์คครับ ทำหนัง กำกับซีรีย์ แล้วก็เปิดเฮ้าส์ของตัวเองกันมาได้หลายๆ ปีแล้ว ปั้นเด็กใหม่ๆ ขึ้นมาในวงการภาพยนตร์เรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่า ไอ้นินก็เป็นฟรีแลนซ์ให้บริษัทผัวมันนั่นแหละ ซับซ้อนไหมครับ ครับ งงไหมครับ ผมก็งง
“เรากับเป๊กก็กลับ ทิ้งแม่นอนคนเดียวมาหลายคืนแล้ว” แยมพึมพำขึ้นมาบ้าง คนนี้น่ารักไม่เปลี่ยน แล้วก็เป็นอีกหนึ่งแขกประจำบ้านผม เพราะทำงานฟรีแลนซ์เหมือนกัน บ้านแยมกับบ้านผมก็ไปมาหาสู่กันได้เช่นกันครับ หลักๆ ที่มาบ้านผมบ่อยๆ ก็ไอ้นินกับไอ้ภัทร รองมาก็เป๊กกับแยมนี่แหละ
“ไออาจจะนอนด้วยนะ มันดึกแล้ว เดี๋ยวให้พี่สิงห์มารับพรุ่งนี้ทีเดียว” ส่วนคนที่น่ารักที่สู้ดดด อย่างน้องไอ ปัจจุบันก็มีเจ้าของหัวใจแล้วครับ แต่ยังไม่บอกว่าใคร และยังไง เดี๋ยวไม่ลุ้น อิอิ
“แต่ไปรวมตัวบ้านมึงก่อนดีกว่าว่ะ ขี้เกียจขับรถกลับ เหนื่อย” เตพูดขึ้น วันนี้ภรรยามันมีบิน เลยไม่ได้มาด้วย ไอ้เตก็ทำงานกับพวกโฟล์คนี่แหละครับ เปิดเฮ้าส์โปรดักชันด้วยกัน
คือจริงๆ ผมกับโฟล์คก็เคยบอกเตกับน้องพริมหลายครั้งแล้ว ว่าให้น้องพริมลาออกมาอยู่เฉยๆ คือสิ่งแวดล้อมการงานของน้องพริมแม่งไม่เอื้อจะให้มีลูกเลยอะครับ แต่น้องพริมก็สองจิตสองใจ ไอ้เตก็กลัวเมียอยู่บ้านจะเบื่อ ตอนนี้น้องพริมเลยต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ แต่ถ้ามีลูกแล้ว น้องพริมคงต้องลาออกจริงๆ นั่นแหละ
“กูไปด้วย” ไอ้นินยกมือคนแรก เรื่องแบบนี้มันเก่งนัก
“ไปอะไปได้ แต่กูบอกเลยนะว่า พวกมึงเชิญไปแดกกันที่ครัวนะ อย่าเสียงดังในบ้านให้เพ่ยนอน” ผมคาดโทษไว้แต่แรกเลย
“กูไปด้วยเดะ มีแบล็กอยู่หลังรถครึ่งขวด เฮ้ย พรุ่งนี้วันเสาร์ ถ้ากูแดกเหล้าเมาแล้วนอนค้างบ้านมึงได้ไหม”
“แล้วแต่มึงไอ้สัส” ผมส่ายหัว คือเหมือนกูห้ามบอกให้พวกมึงไม่แดกเหล้า แล้วกลับบ้านไปซะไป แล้วพวกมึงจะฟังอะ
“งั้นไปเลยแล้วกัน ปอมมึงมารถกูไหม” โฟล์คหันไปถามพ่อลูกหนึ่ง ที่ตอนนี้สาวน้อยคอพับคออ่อนไปแล้ว ไอ้ปอมทิ้งรถไว้บ้านผมหลายวันแล้ว ผม (กับไอ้นิน ให้เครดิตมันนิดหนึ่ง) เป็นเบบี้ซิสเตอร์กันมาหลายวันเช่นกัน คอยรับส่ง สรรหาอาหารให้กับพ่อลูกกิน สงสารมันอะครับ แล้วพวกผมก็สไตล์คนว่างงานบ้าง ไม่ว่างบ้าง ช่วงนี้งานก็ไม่เดือดอะไร เกาะแฟนกินไปวันๆ
-----
ไฟบ้านเราสว่างโร่เลยครับ คือไอ้กาย เปิดทุกดวงที่มีให้เปิดได้ ตั้งแต่หน้าบ้านยันไฟหิ้งพระ โห เปิดจนไอ้โฟล์คจะเบิ๊ดกะโหลกแตก สรุปไม่มีใครกลับบ้านครับ ก่อนหน้านี้หลายวัน ทุกคนก็ไม่ได้สามารถมาร่วมงานศพกันได้ทุกวันเหมือนผม แยม และไอ้นิน ที่สไตล์ฟรีแลนซ์มีเวลาอะนะ วันนี้เป็นวันศุกร์ ทุกคนจึงเต็มใจมา และเต็มใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่าจะได้เจอกันพร้อมหน้า แม้จะเป็นในช่วงเวลาที่เศร้าโศกก็ตามทีเถอะ
เอาจริงๆ บ้านผมก็เป็นแหล่งรวมคนเสมอนะครับ อาจจะเพราะว่ามันเป็นศูนย์กลางของหลายๆ คนที่อยู่ละแวกเดียวกัน และมันพร้อมที่สุดในการสังสรรค์ อย่างบ้านแยมที่อยู่ริมน้ำบรรยากาศดี ก็ติดที่ว่าอยู่กับแม่ บ้านเตก็อยู่หลายคน ของนินกับภัทรก็เป็นคอนโดที่พื้นที่ไม่ใหญ่โตนัก ส่วนคนอื่นก็กระจัดกระจาย
หรือไม่ก็เพราะจริงๆ ผมกับนิน และแยม ก็สนิทกันจริงๆ นั่นแหละตั้งแต่จบมา มีเรื่องให้แชร์กันได้ไม่รู้จบ และผมกับโฟล์ค แม้เราจะรักพื้นที่ส่วนตัว แต่พื้นที่ส่วนตัวนั้นคือพื้นที่ที่รวมเพื่อนเข้าไปด้วยเรียบร้อย ทำให้เราไม่เคยรังเกียจรังงอนอะไรเลยครับ หากใครอยากจะมาบ้านเรา มานั่งบ่น นั่งคุย นั่งปรับทุกข์ จะมาเมาเรื้อนอะไรก็ตามแต่ เรายินดีต้อนรับหมด
“น้ำแข็งๆ” นี่คือตัวอย่างครับ คนที่พร้อมจะทิ้งตัวตลอดเว ไอ้กาย ผู้ชายที่มี*มอยกับรอยยิ้มให้ทุกคนเสมอ มันมาถึงไม่พูดพร่ำ เดินหยิบแก้ว โซดา น้ำเปล่า มาตั้งเรียง นี่ขนาดไม่ได้มาบ้านกูบ่อยยังจำได้ว่าอะไรอยู่ไหน จากนั้นมันร้องหาน้ำแข็งต่อทันที
“ตู้เย็นอีกตู้อะ ตรงประตูหลังบ้าน” ที่บ้านกูต้องมีตู้เย็นสองหลังเพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะว่าพวกมึงที่ไม่ค่อยใช้ชีวิตที่บ้านตัวเองกันไง
“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้กินเหล้าเลยว่ะ” เตบ่นขึ้น หลังจากโฟล์คยืนชงเหล้าส่งให้ และปอมลงมาสบทบพอดีหลังจับลูกสาวเข้านอนเรียบร้อย
“เออ แดกเหล้าเยอะมีลูกยาก มันแบบ ทำลายเชื้อ” กายเสริม แหม ผู้รู้มากมั้งไอ้สัส
“แต่ใช้กับไอ้ปอมไม่ได้นะ ปาร์ตี้ยับ ได้มาหนึ่งหัวดำ” ภัทรแซว ทำเอาคนโดนแซวหัวเราะออกมาจนได้ ไม่ค่อยเห็นมันยิ้มเลยครับหลายวันมานี้ เอาจริงผมว่ามันไม่มีเวลากระทั่งจะใส่ใจตัวเองเลย มันต้องจัดการเอกสารมากมาย จัดการงานศพ จัดการเรื่องลูก จัดการต่างๆ นาๆ ที่กลืนกินชีวิตส่วนตัวไปสิ้น “มึงแดกเหล้าปะ”
“เออสักแก้วก็ดี เพ่ยคงไม่ตื่นแล้วละมั้ง” ปอมพยักหน้า
“อะ ของไอ ได้ข่าวกินเหล้าเก่งขึ้น” โฟล์คหันไปเย้าคนตัวเล็กที่สุดของวงที่นั่งเท้าคางฟังบทสนทนาบ้าง ไอยู่หน้า
“โห โฟล์ค เดือนก่อนไปปักกิ่งกับบ้านพี่สิงห์ ไอยังอ้วกโชว์ป๊าพี่สิงห์อยู่เลย”
“ฮ่าๆๆ เออ พี่สิงห์ส่งมาเป็นคลิปเลยไอ” โฟล์คเฉลย ทำเอาคนน่ารักหน้าเหวอ แล้วกำหมัดหน้าดำหน้าแดง
“พี่สิงห์นะพี่สิงห์ เดี๋ยวกลับไปไอต้องคิดบัญชีหน่อยแล้ว หลายเรื่องละนะ”
“แยม อย่าทำทาโร่ไหม้นะ เป๊ก มึงดูเมียมึงด้วย แยมแม่งเป็นโรคไม่ถูกกับเครื่องใช้ไฟฟ้าเท่าไหร่” ไอ้กายเอาอีกละ ปากดีเสมอเมื่อเจอกัน มันระรานคนไปทั่วอะครับ ไม่ว่าผัวเขาหรือเมียเขาจะอยู่หรือไม่ มันก็ทั่วถึงจริงๆ ล่าสุดพอเสียงจ้อกแจ้กเบาลง มันก็หันไปแซวแยมที่กำลังเอาทาโร่เข้าเตาอบ
“มึงนี่ก็พูดเก่งงง” ผมส่ายหัว ยกเหล้ากระดกเข้าปาก
“โหย กูมีความสุขนี่หว่า ได้เจอกันพร้อมหน้าแบบนี้ จริงๆ ถ้าน้องพริมกับพี่สิงห์มาด้วยก็ดีนะ สายรั่วเลยน้องพริมอะ” กายยิ้มแป้น อืม นั่นแหละ กลับมารวมกันทีไร ผมก็รู้สึกสุขใจแบบไอ้กายนั่นแหละ
“น้องพริมสายรั่ว แล้วพี่สิงห์อะมึง” เตที่ยืนโยนเฟรนฟรายส์ที่แวะซื้อก่อนเข้ามาเข้าปาก ถามแหย่ไอ้คนพูดมาก ไอ้กายชะงักก่อนยกมือโบก
“โอ้ย คนนั้น กูขอละไว้ในฐานที่ไม่พูด เอ๊ย ฐานที่เข้าใจจ้า”
จบประโยค ทุกคนก็ฮาครืน โดยเฉพาะไอ ก็นั่นแหละ พี่สิงห์หวงไออย่างกับอะไรดี ตอนแรกๆ ที่สองคนนี้เขาเกี้ยวๆ จีบๆ กันแต่ไม่เปิดตัว ไอ้กายก็ตามประสากายรักทุกคนอย่างทั่วถึง มันก็ชอบไปคอมเมนต์แซวเชิงจีบไอในเฟซบุ๊ก พอวันที่ไอพาตัวจริงมาเจอเท่านั้นแหละ พี่สิงห์ถามเลยใครชื่อกาย ประเด็นคือ พี่สิงห์แม่งเสือกหน้าตาน่ากลัวจริงด้วยไง ไอ้สาส คือหล่อนะ แต่ก็สไตล์ผู้ชายแมนๆ คุยกัน รับจบ อะไรแบบนี้เลยอะ
หลังจากนั้น ไอ้กายก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจทันที
นี่แหละครับ วัยสามสิบสามปีของพวกเรา พวกเราที่ยังเป็นพวกเรา
พวกเราที่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา เราผ่านอะไรมามากมาย
แน่นอนว่า มีหลายเรื่องที่พวกคุณยังไม่รู้
และแน่นอน คุณอยากรู้อย่างสุดหัวใจ
คิดถึงพวกผมไหมครับ
ผมคิดถึงพวกคุณเหลือเกิน
TBC.
เซอร์ไพรส์ค่า อย่างที่เคยบอก ลี่เขียนเรื่องสั้นของสองคู่จากรักชาชาไว้แล้ว แต่คิดว่า เขียนถึงทุกคนเลยดีกว่า ตะกี้เกิดอารมณ์พล่าน เลยมานั่งเคาะๆ เขียนๆ อินโทรทีี่จะนำไปสู่เรื่องราวของพวกเขา ให้ได้อ่านกัน แล้วลี่จะทยอยลงเรื่องราวของน้ำชา โฟล์ค และผองเพื่อน ให้อ่านคู่กับเรื่องสั้นไปด้วย ดีไหมคะ? ช่วงแรกๆ อาจจะลงอาทิตย์ละสองตอน หลังจากนั้นเหลืออาทิตย์ละตอน ตามกำลัง
มานั่งเขียนถึงแก๊งค์น้ำชา เพราะคิดถึงจริงๆ แหละ กลับมาเขียนแค่อินโทร ก็ไหลลื่นราวกับติดสเก็ต ราวกับว่าพวกเขายังอยู่รอบตัวไคลี่ แบบมีชีวิตจริงๆ เสมอเลย
ลี่จะเริ่มลงจากนินภัทร/ เป๊กแยม/ พี่สิงห์น้องไอ/ พี่โฟล์คหลิว แล้วก็อีกคู่ ซึ่งจะยังเป็นความลับ ให้รอดูว่าจะเป็นคู่ใครกับใคร ซึ่งเกือบทุกคู่ จะเป็นเรื่องราวย้อนโทรวแบล็ก กลับไปสมัยที่เรียนกันค่ะ (คือได้กันตั้งแต่เรียนนั่นเอง)
ถ้าคิดถึงกัน คอมเมนต์ให้อ่านกันหน่อยน้า