[END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19  (อ่าน 71889 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
«ตอบ #90 เมื่อ31-05-2019 16:00:37 »

มารอจ้ะ

ออฟไลน์ gungchan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
«ตอบ #91 เมื่อ31-05-2019 19:16:40 »

ก็ไม่รู้จะให้กำลังใจใครก่อนดี ทุกๆ คนล้วนพัวฟัน ผูกพัน กับแสง และ พลีส นอกจากนั้น แสงกับพลีสเองก็มีเหตุให้ต้องเกี่ยวข้องมีกรรมต่อกัน เลยทำให้วิญญาณสลับกันแบบนี้
ขำหน่อยๆ ตรงที่แสงมึนจนคิดว่าวิญญาณพลีสมาสิงในร่างของเจ้าหมาน้อย
อ่านมาจนตอนที่๘ เดาว่าพลีสพยายามจะฆ่าตัวตาย ส่วนหนึ่งพลีสเป็นโรคซึมเศร้าด้วยไหม ยังดีที่มีพี่หน่อยเนอะ
ชอบน้องข้าวปั้น กวนๆ น่ารักดี สงสัยจะชอบพลีส ไหนจะ พี่ต่ออีก
 :call:

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
«ตอบ #92 เมื่อ31-05-2019 22:55:20 »

ดิ่งมาก :monkeysad:

ออฟไลน์ beedy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
«ตอบ #93 เมื่อ02-06-2019 17:10:02 »

มายังอ่ะ รอนานละนะครับ อ้อนนักเขียน :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
«ตอบ #94 เมื่อ06-06-2019 23:57:11 »

น้ำตาแตกอีกแย๊ววว  :sad4: :o12:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #95 เมื่อ08-06-2019 20:23:29 »

ตอนที่ 9
กุหลาบดอกนั้นมันหลุดมือไปซะแล้ว

 

เป็นอีกเย็นที่ผมกลับบ้านช้าเพราะต้องไปเรียนวิชาคณิตฯ เพิ่มเติม ที่เก่าเวลาเดิมแต่เพื่อนร่วมชะตากรรมดันโดดเรียน ไอ้ปั้นเอาการซ้อมฟุตบอลมาเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะไม่ต้องเข้าเรียน ไม่รู้มันจะซ้อมอะไรของมันนักหนา ปีหน้าจะลงแข่งบอลโลกหรือไง เพราะงั้นวันนี้จึงมีแค่ผมคนเดียว การเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวในวันนี้ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีความรู้วิชาคณิตฯ ติดตัวไว้ทำไมในเมื่อตัวเองตายไปแล้ว บางทีถ้ามีสอบครั้งหน้า ผมอาจจะออกไปจากร่างนี้แล้วก็ได้

"วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ แต่ว่าครูมีการบ้านมาให้ เอาไปทำแล้วเอามาส่งครูในคาบหรือที่โต๊ะครูก็ได้"

"ครับ"

"ครูฝากให้ปณิธานด้วยนะ"

ใจก็อยากจะแย้งว่าให้มันมาเอาเองไม่ได้หรือไง แต่ก็กลัวจะดูแล้งน้ำใจจึงรับชีทอีกชุดหนึ่งมาจากมือครูเพื่อเก็บไปให้ไอ้ปั้น

ผมเดินลงจากตึกหลังครูปล่อยให้กลับบ้าน บรรยากาศในโรงเรียนตอนนี้เงียบสงบเพราะนักเรียนกลับบ้านกันหมดแล้ว จะเหลือก็แต่พวกนักกีฬาที่ยังซ้อมไม่เลิก ได้ยินว่าจะมีการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาช่วงนี้นักกีฬาเลยซ้อมกันหนัก  ในตอนที่ผมเดินผ่านโรงยิมก็มองไปเห็นกลุ่มนักฟุตบอลกลุ่มเดิมที่กำลังเดินเข้าไปในนั้น ไอ้ปั้นก็น่าจะอยู่ตรงนั้นด้วยก็เลยเดินเข้าไปหา โผล่หน้าเข้าไปในห้องพักนักกีฬาที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่ก็เลยได้เห็นภาพเดิมอย่างคราวก่อน

ว้าว...ว้าว...ว้าว

"เฮ้ย"

ผมสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วหันไปหาคนที่เดินเข้ามาสะกิดเรียก ก่อนจะเห็นว่าเป็นหนุ่มนักกีฬาตัวโตที่สูงจนต้องแหงนมอง

"มาแอบดูอะไรพวกกู โรคจิตเหรอ"

"เปล่า! มาหาไอ้ปั้น"

"อยู่ทางโน้น" อีกฝ่ายพยักหน้าไปอีกทางเพื่อบอกกับผมว่าไอ้ปั้นอยู่ทางนั้น ผมเดินออกมาจากหน้าห้องพักนักกีฬาแล้วเดินหาไอ้ปั้น ก่อนเห็นมันกำลังยืนจับกลุ่มอยู่กับเพื่อนอีกคน ไม่มีใครหันมาสนใจผมเพราะมัวแต่สนใจสาวน้อยนักกีฬาว่ายน้ำที่กำลังเดินผ่านมา ผมค่อยๆ ย่องไปหาไอ้ปั้นไม่ให้มันรู้ตัว แอบฟังบทสนทนาที่พวกมันกำลังคุยกันอยู่

"มะนาวมาแล้วมึง เข้าไปคุยดิไอ้ปั้น"

"แต่เพื่อนเขาอยู่ด้วยนะเว้ย"

"มึงจะเขินอะไร"

"ใครเขิน ไม่มีโว้ย!"

ตอนที่ไอ้ปั้นกำลังโวย หนึ่งในกลุ่มสาวพวกนั้นก็หันมองไอ้ปั้น อมยิ้มนิดๆ ดูท่าทางเขินอาย เดาไม่ผิดผู้หญิงคนนั้นก็คงจะรอให้ไอ้ปั้นเดินเข้าไปทักอยู่

ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อยืนดูสถานการณ์อยู่สักพัก ก่อนที่ความคิดชั่วร้ายจะสั่งให้ผมทำอะไรบางอย่างเพื่อกลั่นแกล้งไอ้ปั้น คนอย่างมันต้องเจอแบบนี้ซะบ้าง 

"ข้าวปั้น!" ผมตะโกนลั่นโรงยิมพลางก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาไอ้ปั้น ยกสองมือขึ้นโอบคอมันแล้วใช้ร่างกายเล็กๆ ของพลีสซบเข้าไปที่อกแน่นๆ ของไอ้ปั้น แน่นอนว่าทั้งกลุ่มเพื่อนของมันและกลุ่มสาวๆ พวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียว

"คิดถึงตัวเองจัง ซ้อมเหนื่อยไหม เค้าให้กำลังใจนะ" ทำเสียงสะดีดสะดิ้งแล้วจุ๊บแก้มมันซ้ายทีขวาที ยอมเค็มเหงื่อเพื่อให้ทุกคนในที่นี้ตะลึงงันไปพร้อมๆ กัน

"ไอ้พลีส! ทำเหี้ยอะไร!"

ผมถูกสะบัดออกมาด้วยแรงควายๆ ของคนตัวโต แต่ยังไม่วายเล่นละครต่อด้วยการทำหน้ายู่ๆ กับน้ำเสียงอ้อนๆ

"เค้าให้กำลังใจแฟน เค้าผิดด้วยเหรอ"

"เชี่ยไรเนี่ย" เพื่อนไอ้ปั้นพูดออกมาพร้อมกันพลางกระพริบตาถี่คล้ายว่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมยิ่งเล่นใหญ่ด้วยการพูดเสียงดัง หวังจะให้สาวๆ พวกนั้นได้ยินด้วย

"ไม่รู้เหรอว่าเราเป็นแฟนข้าวปั้น ช็อกล่ะสิ เรื่องนี้ยังไม่เคยบอกใครเลยนะ"

สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ไอ้ปั้นชอบดูเปลี่ยนไป แล้วหันสะกิดเพื่อนชวนกันเดินออกไป

"ไอ้พลีส! มึงมานี่เลย!" ไอ้ปั้นใช้แขนล็อกคอผมแล้วลากผมออกมาจากตรงนั้น เรี่ยวแรงของมันมีมากพอที่จะลากผมออกมาจนตัวลอยแบบที่ผมไม่ต้องเดินเลย

"โอ๊ย! อย่ารุนแรงกับเค้า เค้าเจ็บ เมื่อคืนทำเค้าระบมไปทั้งตัวยังไม่พอใจอีกเหรอ ตัวเอง เค้าเจ็บ!"

"มานี่!"

"ไอ้ปั้น กูเจ็บ!" แน่ใจว่าพ้นสายตาคนอื่นแล้วผมจึงสะบัดตัวออกมาจากท่อนแขนของไอ้ปั้นแล้วโวยลั่น แต่ไอ้ปั้นโวยดังกว่า

"มึงเล่นบ้าอะไรวะ! ทำแบบนี้ทำไม!"

"สนุก"

"ไอ้พลีส"

"ทำไม"

"มึงรู้ไหมกูจีบมะนาวมานานแค่ไหนอะ"

"ไม่รู้ ไม่อยากรู้ แต่ที่กูอยากให้มึงรู้ มึงจะได้เข้าใจว่าเวลาโดนแกล้งแล้วมึงจะรู้สึกยังไง"

"ไอ้เหี้ยพลีส!"

"มึงแกล้งเพื่อนเพราะเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ แต่คนถูกแกล้งเขาไม่สนุกกับมึงหรอกนะ บางทีสิ่งที่มึงแกล้งเขาอะ อาจจะฝังใจเขาไปจนตายก็ได้นะปั้น"

"มึงก็เวอร์ กูไม่ได้ฆ่าใครตายซะหน่อย"

"ถ้าวันนั้นกูกระโดดตึกตาย เหตุผลเพราะทนที่มึงแกล้งไม่ได้ มึงจะยังคิดแบบนี้อยู่ไหม"

"แค่โดนแกล้งขำๆ คงไม่ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะกูหรอก"

"ใช่ เขาอาจจะไม่ได้ฆ่าตัวตายแค่เพราะถูกแกล้ง แต่ข้าวปั้น มึงไม่เคยรู้ว่าชีวิตคนอื่นเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง สำหรับคนที่เจอเรื่องหนักๆ ในชีวิตมาเยอะแล้ว การที่มึงไปแกล้งเขาก็เหมือนเพิ่มเหตุผลที่ทำให้เขาอยากตายมากขึ้น มันอาจจะทำให้เขาตัดสินใจที่จะตายได้ง่ายขึ้น มึงเข้าใจป่ะ"

ไอ้ปั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาสบตากับผม

"ไอ้พลีส"

"อะไร"

"กูถามมึงจริงๆ นะ มึงเป็นอะไรของมึงวะ พักนี้มึงดูแปลกไปมากเลยนะ แค่อยู่ดีๆ มึงมาพูดขึ้นมึงขึ้นกูกับกูนี่ก็แปลกแล้ว"

"อ้าว ปกติไม่พูดเหรอ"

"เออดิ มึงสุภาพจนกูหมั่นไส้เลยแหละ ตกลงมึงเป็นอะไรกันแน่วะ มันโคตรไม่ใช่ตัวมึงเลยอะ"

"ก็ผีเข้าไง"

"เอาดีๆ สิวะ กูซีเรียส"

"ก็...สมองกระทบกระเทือนไง กูก็เลยเป็นแบบนี้" ผมพูดไปส่งๆ แต่ไอ้ปั้นก็ดูเหมือนว่าจะเชื่อจริงๆ

"แล้วมึงจะหายไหมวะ"

"หายดิ เดี๋ยวก็หาย"

"ถ้ามึงหาย ก็จะกลายเป็นมึงคนเดิมใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนอีกฝ่ายจะเงียบไป เห็นว่าไอ้ปั้นไม่พูดอะไรต่อ ผมจึงเอ่ยปากขึ้นมาแทน

"ข้าวปั้น"

"เรียกปั้นเฉยๆ เหอะไอ้เหี้ย เรียกแบบนี้กูดูน่ารักไปเลยเนี่ย"

"เออ ปั้น"

"อะไร"

"ถ้ากูหายแล้ว ถ้ากูคนเดิมกลับมา"

"..."

"ช่วยทำดีกับกูหน่อยนะ"

"..."

"อย่าแกล้งกูเลย กูก็มีความรู้สึกเหมือนกัน"

ไอ้ปั้นนิ่งกว่าที่เคย หันมองผมแต่พอสบตาก็รีบหลบตา กระทั่งมันเดินออกไปจากตรงนี้โดยไม่มีคำพูดอะไร ผมเองก็ได้แต่หวังว่าคำขอของผมจะมีความหมายสำหรับมันบ้าง เผื่อว่าในตอนที่พลีสกลับมา...จะได้ไม่ต้องถูกแกล้งอีก

 

...

 

ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ผมติดอยู่ในร่างของพลีส ผมตั้งคำถามขณะที่ยังไม่มีคำตอบ กำลังคิดอยู่ว่าถ้าพลีสกลับมาแล้วพบว่าเวลาหนึ่งเดือนของตัวเองถูกผมขโมยมาใช้ พลีสจะทำยังไง ผมเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตพลีสไปบ้าง ในตอนที่เขากลับมาเป็นพลีสคนเดิมทุกคนคงเกิดคำถาม พลีสจะรับมือกับความสับสนเหล่านั้นได้ไหม ผมรู้สึกเป็นห่วง และอีกเรื่องที่ผมกำลังกังวลใจ ผมกำลังกลัวตัวเอง กลัวว่าการที่ได้กลับมาเป็นคนมันจะทำให้ผมโลภมาก อยากอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ กลัวว่าตัวเองจะจมดิ่งไปกับความคิดเห็นแก่ตัว ไม่ยอมจากไป

"เขี้ยวกุด!"

ยิ่งในเวลาที่มีตามอยู่ด้วย ยิ่งไม่อยากไปไหนเลย...     

"พี่ตาม"

ความสนิทสนมระหว่างผมกับตามในตลอดหนึ่งเดือนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะความรู้สึกผูกพันที่ผมมีต่อตามอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกเลยว่าเราต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ เราเจอกันบ่อยครั้งทั้งที่โบสถ์ ระหว่างทางกลับบ้าน ร้านสะดวกซื้อ แน่นอนว่าไม่มีครั้งไหนเกิดจากความบังเอิญ นอกเสียจากครั้งนี้ที่บังเอิญเจอกันหน้าคลินิกของพี่ต่อโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจมารอตาม

"มาทำฟันเหรอ"

"ครับ" ผมตอบสั้นๆ ในตอนที่ตามเปิดประตูให้ ผมไม่ได้ถามกลับว่าตามมาทำอะไรที่นี่ เดาไม่ผิดคงมาก่อกวนอะไรพี่ต่ออย่างทุกวัน เปิดประตูเข้าไปก็เจอกับพี่ต่อเข้าพอดี ตามรีบโผเข้าไปเกาะไหล่พี่ต่อ เอาหัวซบแล้วออดอ้อนด้วยน้ำเสียงงอแง

"พี่ต่อ ขอตังค์กินข้าวหน่อย"

"อีกแล้วเหรอ"

"อีกแล้วอะไร ไม่ได้ขอบ่อย"

"เหมือนเพิ่งให้ไปเมื่อวันก่อนเอง"

"วันก่อนของพี่ต่อคือสองอาทิตย์ที่แล้วนะ ตามเพิ่งจ่ายค่าหอไป ไม่มีตังค์แล้ว ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวาน ไม่สงสารเหรอ พี่ต่อไม่เห็นใจน้องชายคนเดียวของพี่เหรอ"

"ไม่น่ามีน้องชายแบบนี้เลย"

ตามทำหน้าย่นไม่พอใจ สะบัดหน้าใส่พี่ต่อหันไปอีกทางแต่ก็ยังยื่นมือข้างหนึ่งมาแบมือทำท่าขอเงิน พี่ต่อยิ้มนิดๆ แล้วยกมือตัวเองตีมือตามเบาๆ ก่อนจะหยิบเงินให้ เมื่อได้เงินแล้วที่งอนอยู่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง หันมาเกาะไหล่พี่ต่อ ขอบคุณแล้วขอบคุณอีกด้วยเสียงงุ้งงิ้งเหมือนเด็กๆ

"ขอบคุณนะ ตามรักพี่ต่อมากๆ เลย"

"ถ้ารักพี่ต่อ ก็เลิกขอตังค์พี่แล้วไปหางานทำได้แล้ว รู้ไหม"

"เกาะพี่กินง่ายกว่าหางานทำตั้งเยอะ"

"เด็กบ้า"

ผมเผลอยิ้มไปกับบทสนทนาของทั้งคู่ จนตามหันมามองหน้าจึงรู้ตัวว่าคงจะยิ้มกว้างเกินไปหน่อย หุบยิ้มเนียนๆ แล้วหันไปมองพี่ต่อที่กำลังหันมาพูดกับผมพอดี

"น้องเลือกสียางเลย"

ผมหันมองกล่องยางจัดฟันที่ถูกยกขึ้นมาให้เลือก สีสันละลานตา แบ่งเฉดจากอ่อนไปเข้ม เหมือนรวมทุกสีที่มีบนโลกเอาไว้หมดแล้ว นับจากสายตาคงไม่ถ้วนว่ามีทั้งหมดกี่สี   

"เลือกได้ไหม หรือจะให้พี่เลือกให้"

"ให้พี่..."

"เอาสีนี้ดิ สวย" คำพูดผมชะงักตอนที่กำลังจะบอกให้พี่ต่อเป็นคนเลือก แต่ตามที่ยังยืนอยู่ข้างๆ แทรกขึ้นมาก่อน พร้อมกับชี้สียางจัดฟันเป็นสีฟ้าอ่อนๆ สีนั้นจึงสวยขึ้นมาทันทีเพราะตามเป็นคนเลือก

"ครับ เอาสีนี้ก็ได้ครับ"

"โอเค"

"ตามไปก่อนนะ เดี๋ยวเข้างานไม่ทัน ไปนะเขี้ยวกุด" ผมยกมือโบกให้ตามที่หันมาบอกลา ขณะที่อีกคนกำลังจะเดินออกไปพี่ต่อก็เรียกเอาไว้ก่อน

"ตาม"

"ฮึ?"

"วันหลังอย่าอดข้าวอีก ถ้าหิวก็กลับไปกินข้าวที่บ้าน"

สีหน้าของตามนิ่งไปนิดหนึ่งตอนที่พี่ต่อพูดแบบนั้น ก่อนที่จะพยักหน้ารับหน่อยๆ แล้วเดินออกไป พี่ต่อจึงหันมาเรียกผมให้เข้าไปในห้องทำฟัน

"น้องเข้ามาเลยครับ"

ผมพยักหน้ารับพี่ต่อแล้วเดินตามเข้าไป จากประสบการณ์ครั้งที่แล้วลดความกลัวของผมลงครึ่งหนึ่งเพราะรู้ว่าการเปลี่ยนยางจัดฟันนั้นไม่เจ็บเลยสักนิด ผมเลยทำตัวผ่อนคลาย กระทั่งพี่ต่อนั่งลงแล้วก้มลงมองผมที่อยู่บนเตียงที่ปรับลงให้นอนราบแล้ว ทั้งสายตาและใบหน้าของคุณหมอคนนี้อยู่ใกล้กว่าที่คิด ความผ่อนคลายหายวับเป็นอาการเกร็งขึ้นมาซะเฉยๆ

พี่ต่อนี่...โคตรหล่อเลยนะ 

"อ้าปากเลยครับ"

"..."

"น้อง"

"ครับ ครับพี่"

"กลัวเหรอ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วอ้าปากอย่างที่พี่ต่อสั่งอีกรอบ ผมไม่รู้จะเอาสายตาไปวางเอาไว้ตรงไหนจึงได้แต่กลอกสายตาไปมา ตอนที่พี่ต่อกำลังจดจ่ออยู่กับช่องปากของผม

"วันนี้พี่จะดึงเชนให้ มันจะตึงๆ นิดหนึ่งนะครับ เหมือนคราวที่แล้วเนอะ"

พยักหน้ารับไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเหมือนกับคราวที่แล้วมันคืออะไร ผู้ช่วยทันตแพทย์ที่อยู่ข้างๆ เอาผ้ามาปิดหน้าก่อนที่พี่ต่อจะลงมือเปลี่ยนยางจัดฟัน ขณะที่ชวนผมคุยไปด้วย แต่การที่กำลังอ้าปากค้างอยู่อย่างนี้จึงโต้ตอบอะไรไม่ได้ พลางนึกขำอยู่ในใจ พี่ต่อจะให้ผมตอบยังไงเหรอ   

ใช้เวลาไม่นานก็จัดการทุกอย่างเสร็จ ผมได้รู้ในตอนจบว่าเชนคือยางจัดฟันที่ลักษณะคล้ายโซ่ ไม่ได้เป็นวงกลมๆ ที่ติดซี่ต่อซี่เหมือนทุกครั้ง แต่จะติดยาวๆ ไปสามสี่ซี่เพื่อดึงให้ฟันเข้ามาชิดกัน พี่ต่อบอกว่ามันจะตึงๆ ในตอนแรกก็รู้สึกแบบนนั้น แต่ผ่านไปสักพักมันไม่ใช่เลย มันเจ็บฉิบหายวายวอด เหมือนฟันทุกซี่กำลังเคลื่อนที่ออกจากเหงือกด้วยความเจ็บปวดระดับสุดท้าย ร้าวรานตั้งแต่ริมฝีปากยันรากฟัน   

"พี่ต่อ ทำไมมันเจ็บจัง"

"เจ็บเหรอครับ"

"เจ็บมากเลย"

เพิ่งรู้ว่าเจ็บจนน้ำตาไหลนั้นมีอยู่จริงก็ตอนที่น้ำตาไหลลงมาเป็นเม็ดเพราะทนกับความเจ็บปวดนั่นไม่ไหว พี่ต่อดูตกใจที่ผมกำลังร้องไห้

"ร้องไห้ทำไมครับ อย่าร้องสิครับ"

"เจ็บอ่า! พี่ต่อทำอะไรผมเนี่ย!"

"พี่ขอโทษ ไม่ร้องนะ ไม่ร้องนะครับ"

ผมยกมือปาดน้ำตาทิ้ง กระนั้นความเจ็บปวดก็ยังไม่หายไปง่ายๆ ในตอนที่กำลังหน้ายุ่งเพราะไม่ชอบใจยางจัดฟันนั่น พี่ต่อก็พูดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ชวนให้ผมงุนงง

"ไปกินไอติมกันไหมครับ"

"ครับ?"

"กินไอติมไง"

"กินไอติมแล้วมันจะหายเจ็บหรือไงครับ"

"ของหวานเยียวยาได้ทุกอย่างนะ"

"แต่ผมคงเคี้ยวไม่ได้"

"ไอติมไม่ต้องเคี้ยว เดี๋ยวมันก็ละลาย"

ผมชั่งใจว่าจะไปหรือไม่ไปดี แต่ประโยคถัดไปของพี่ต่อ ก็ทำเอาตัดสินใจได้ง่ายๆ

"เดี๋ยวพาไปกินร้านที่ตามทำงาน อร่อยมากเลยนะ"

การที่พี่ต่อชวนผมไปไหนมาไหนมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ผมควรจะปล่อยโอกาสนี้ไว้ให้เป็นของพลีสในวันหลัง แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวเพียงเพราะได้ยินชื่อของตาม ผมก็ไม่ลังเล 

"รอพี่แป๊บหนึ่งนะ"

ผมพยักหน้ารับตอนที่พี่ต่อหันไปคุยกับผู้ช่วยที่เคาน์เตอร์ แล้วจึงถอดเสื้อกาวน์ออก ทันทีที่ไม่มีเสื้อกาวน์ตัวใหญ่ๆ นั่นคลุม ผมจึงได้เห็นรูปร่างที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ จากคุณหมอที่เรียบร้อยแสนสุภาพ ก็กลายเป็นนายแบบเสื้อผ้าแฟชั่นซึ่งกำลังสวมเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาวดำ กางเกงยีนส์เข้ารูปกับช่วงยายาวๆ และรองเท้าผ้าใบสลิปออนสีขาวสะอาด ดูเรียบง่ายแต่ไม่อ่อนโยนกับใจเลยครับ...

"ไปครับน้อง"

ด้วยรูปร่างหน้าตาและคำพูดคำจาที่สุภาพและไพเราะพวกนั้น ผมจึงไม่อาจคิดว่าพี่ต่อนั้นเป็นมนุษย์...เทพบุตรแน่นอน เทพบุตรชัดๆ 

 

...

 

พี่ต่อพาผมมาถึงร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกลจากคลินิกมากนัก ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็มองเห็นตามเป็นคนแรก ซึ่งกำลังยืนอยู่ในเคาน์เตอร์ เปลี่ยนไปสวมชุดที่เรียบร้อยกว่าปกติกับผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอ่อนดูน่ารักผิดหูผิดตา ผมแอบอมยิ้มนิดๆ ตอนที่เดินตามพี่ต่อเข้าไปยังหน้าเคาน์เตอร์

"มาทำไมเนี่ย"

"ทำน้องเจ็บฟัน เลยต้องพามาเลี้ยงไอติมปลอบใจ"

"อ๋อ เอาอะไรอะ"

"ไอติมไมโลที่ตามเคยสั่งให้พี่กินอะ เอาแบบนั้น"

"ไมโลซันเดย์นะ"

"น้องเอาน้ำอะไรครับ"

"โกโก้ปั่นครับ" ผมเอ่ยปากบอกโดยไม่ได้ดูเมนูในร้าน แต่เป็นเพราะชอบเมนูนั้นเลยไม่ได้เลือก

"ส่วนพี่เอาอะไรก็ได้ที่ไม่หวาน"

"น้ำเปล่าละกันงั้นอะ"

พี่ต่อยื่นมือไปเขกหัวตามแต่อีกคนโยกหัวหลบทันอย่างกับว่าโดนบ่อยจนรู้ทันคนเป็นพี่ไปแล้ว มองดูสองคนนี้หยอกกันด้วยใบหน้ากวนๆ ผมก็พลันยิ้มออกมาอีกรอบ แกล้งกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมีลูกค้าอีกคนเข้ามาต่อคิว ตามจึงเลิกเล่นแล้วหันไปคิดเงินพร้อมส่งใบเสร็จให้พี่ต่อ

"ทั้งหมดหกร้อยแปดสิบห้าบาท"

"เดี๋ยว! ทำไมมันแพงจังอะ"

"ตามบวกค่ากาแฟที่ตามค้างจ่ายไปด้วย ขอบคุณครับ" ว่าแล้วก็รีบดึงแบงก์พันจากมือพี่ต่อไปอย่างฉับไว จัดการทอนเงินก่อนจะเชิญให้เราไปนั่งรอ ได้ยินพี่ต่อด่าตามไปคำหนึ่ง อาจจะเป็นคำด่าที่หยาบที่สุดเท่าที่พี่ต่อคิดได้ แต่สำหรับคนฟังแน่นอนว่ามันไม่มีทางสะทกสะท้าน ส่วนผมเผลอคิดว่าคำด่านั่น น่ารักเป็นบ้าเลย

"ไอ้ลูกหมา!"

            ระหว่างที่นั่งรอของที่สั่ง พี่ต่อชวนผมคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ผ่านน้ำเสียงนุ่มและถ้อยคำแสนสุภาพ เหมือนผมได้พูดคุยกับคนที่ดูมีมารยาทดีมากๆ เลยรู้สึกเกร็งแปลกๆ หรือเปล่านะ หรือไม่บางทีผมอาจจะไม่ทันได้สนใจเรื่องราวเหล่านั้น เพราะบ่อยครั้งที่สายตาแอบเผลอมองตามในบทบาทพนักงานร้านกาแฟที่ดูแปลกตา

            เอาจริงๆ ตอนที่ผมยังมีชีวิตและได้ใกล้ชิดกับตามจนรู้นิสัยใจคอมากพอระดับหนึ่ง ตามไม่ใช่คนที่ผมคิดว่าเขาจะขยันวิ่งทำงานหลายๆ ที่เพื่อหาเงินแบบนี้แน่ๆ ตามเรียนเก่งและเป็นลูกคนรวย มีชีวิตที่สุขสบายมากพอที่จะไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้ ทุกครั้งที่เห็นภาพทำงานแบบนี้จึงคิดสงสัย ด้วยเหตุใดที่ทำให้ตามเลือกใช้ชีวิตแบบนี้กันนะ

"พี่ต่อครับ"

"ครับ?"

"พี่ต่อรู้ไหมว่าทำไมพี่ตามเขาไม่ทำงานประจำ ทั้งๆ ที่ก็เรียนจบมาแล้ว"

"ตามเคยบอกว่าทำงานประจำไม่ค่อยมีเวลา จะลางานนานๆ หรือบ่อยๆ ก็ไม่ได้"

"ทำไมต้องลางานนานๆ ด้วยครับ"

"ตามชอบเที่ยวน่ะ เก็บเงินได้ก็เอาไปเที่ยว ทำงานประจำลางานยากก็เลยทำพาร์ทไทม์ไปเรื่อยๆ ถ้าลางานไม่ได้ก็ลาออกเลยแล้วก็ไปเที่ยว เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรียนจบแล้วล่ะครับ"

"ไปเที่ยวเหรอครับ"

"ครับ ชอบบอกว่าไปกับแฟน แต่ตามขี้โม้อะ พี่ต่อยังไม่เคยเห็นแฟนตามสักครั้งเลย"

 

"ตาม ถ้าเรียนจบแล้ว เราเก็บเงินไปเที่ยวกันไหม"

"ไม่ไป ขี้เกียจ"

"จะให้เราไปคนเดียวเหรอ"

"ไม่ให้ไป เป็นห่วง"

"งั้นก็ไปด้วยกันสิ"

"เธออยากไปเหรอ"

"อื้อ อยากไปเที่ยวไกลๆ กับเธอ"

"ก็ได้ งั้นก็ไปด้วยกัน รอบโลกเลย"


 

คิดถึงบทสนทนาในวันเก่าขึ้นมาซะเฉยๆ และเป็นเพราะว่าผมรู้ว่าความรู้สึกของตามยังไม่เคลื่อนไหวไปไหน จึงรู้ว่าแฟนของตามที่พี่ต่อพูดถึงนั่นคือใคร ขณะมองเหม่อลอย ผมพลันพูดชื่อของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัว

"แสงไงครับ"

"..."

"แสงเทียน"

"แสงเทียน?"

"..."

"คือใครเหรอครับ"

สติผมกลับมาในตอนที่พี่ต่อโต้ตอบกลับมาแบบนั้น ความงุนงงปรากฏชัดตอนที่ทบทวนคำพูดของพี่ต่ออีกครั้ง ตอนยังมีชีวิต ผมได้เจอกับพี่ต่ออยู่บ่อยครั้งและเขาต้องจำผมได้ ไม่น่าจะลืมกันไปง่ายๆ แบบนี้ แต่พี่ต่อพูดเหมือนคนไม่เคยพบกัน...

"โกโก้ปั่นได้แล้วค่ะ" เสียงของพนักงานดังขัดความสงสัยของผมไป ก่อนที่จะได้ถามหรือพูดอะไร ความสงสัยข้อนั้นก็พลันหายไปตอนที่พี่ต่อชวนคุยเรื่องอื่นแล้ว เราใช้เวลาอยู่ในร้านเกือบๆ ชั่วโมง ก่อนที่พี่ต่อจะชวนผมกลับ ใจจริงอยากรอให้ตามเลิกงานแล้วกลับพร้อมกันแต่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรนั่งอยู่ตรงนี้ไปจนถึงสามทุ่ม ก็เลยเป็นอันต้องบอกลาตามตรงนั้นแล้วให้พี่ต่อไปส่งที่บ้าน

"ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ขอบคุณที่เลี้ยงไอติมด้วย"

"ยินดีครับ"

"งั้นผมเข้าบ้านก่อนนะ"

"น้องครับ"

"ครับ?"

"ถ้าน้องยังไม่หายเจ็บฟัน มาให้พี่ต่อเลี้ยงไอติมไถ่โทษอีกนะครับ"

ผมพยักหน้ารับก่อนที่พี่ต่อจะขับรถออกไป ยิ้มกว้างออกมาซะเฉยๆ ตบหัวใจตัวเองเบาๆ เพราะอยากบอกให้พลีสรับรู้ พี่ต่อเขาชอบพลีส รับรู้ไว้ด้วยนะ เจ้าหัวใจของน้องพลีส

แต่ถึงอย่างนั้นความสงสัยก็วนกลับเข้ามาอีกครั้งตอนที่นึกถึงคำพูดของพี่ต่อที่ร้านกาแฟ ทำไมพี่ต่อถึงลืมชื่อผมไป...ทำไมพี่ต่อถึงไม่รู้จักผม

 

 

...

 
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
«ตอบ #96 เมื่อ08-06-2019 20:23:55 »


ผมรับรู้ในตอนที่เติบโตขึ้น ว่าความบังเอิญนั้นสร้างมันได้ด้วยตัวเอง เป็นอีกวันที่ผมแกล้งออกมารอตามเพราะรู้เวลาเลิกงาน เดินเตร็ดเตร่มาเรื่อยๆ จนถึงร้านสะดวกซื้อที่ตามทำงานอยู่ คำนวณเวลาได้อย่างแม่นยำตอนที่มองไปเห็นตามเดินออกมาจากร้านพอดีๆ ตามไม่ทันได้มองเห็นผมเพราะกำลังสนใจของกินที่อยู่ในมือ หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าร้านแล้วกัดโดนัทเข้าไปคำโต 

"พี่ตาม"

"อ้าว เขี้ยวกุด"

"เพิ่งเลิกงาน..."

"กินเร็ว" ตามยื่นโดนัทชิ้นหนึ่งจ่อถึงปากก่อนที่ผมจะพูดจบ

"ฮะ! ไม่เอา ไม่หิว"

"มันจะหมดอายุในอีก ห้า! สี่! สาม!"

"อื้อ!" ผมงับโดนัทชิ้นนั้นเข้าปากตอนที่ตามเร่งเวลาพาให้ผมตกใจไปด้วย ทันทีที่กัดเข้าไปแล้วตามก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

"หมดอายุพอดี"

"พี่ตาม! หลอกให้กินเหรอ!"

"ล้อเล่น เพิ่งซื้อมา" ตามว่าพลางเอาโดนัทที่เหลือครึ่งอันยัดใส่กระพุ้งแก้มแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่กับของกินทีไรน่ารักจนอยากหยิกแก้มทุกที แต่ด้วยใบหน้าที่ดูซูบผอม แก้มของตามจึงไม่พองเท่าเมื่อก่อน ร่างกายของตามเปลี่ยนแปลงไปจากคนตัวนุ่มๆ ที่มีความสุขกับการกินมากกว่าการออกกำลังกาย ตอนนี้ผอมลงจนเห็นสันกรามชัด แขนก็เล็กลงจนข้อมือเหลือนิดเดียว เป็นเพราะเธอทำงานหนักเกินไปหรือเปล่านะ...

"ทำไมถึงผอมจัง"

"ฮึ?"

"พี่ตามน่ะ ผอมลงไปเยอะเลยนะ กินเยอะๆ สิครับ"

"เลี้ยงข้าวพี่ดิ"

"ครับ?"

"เออ เราติดเลี้ยงข้าวไข่เจียวพี่อยู่นะ"

"เรื่องกินนี่ไม่เคยลืมเลยนะ"

"เพื่อของกินแล้วพี่พร้อมเสมอ เมื่อไรดี"

"วันอาทิตย์ได้ไหมครับ พี่ไม่ต้องทำงานใช่ไหม"

ตามพยักหน้าหงึกๆ เพราะปากเต็มไปด้วยโดนัทชิ้นใหม่ที่กัดเข้าไปเต็มปากอีกที

ความน่ารักของคนที่กำลังเคี้ยวเป็นกระต่ายทำเอาผมหลุดยิ้ม และด้วยความพลั้งเผลอ ผมยื่นปลายนิ้วหัวแม่มือเช็ดริมฝีปากที่เลอะเศษขนมปังออกให้ ตามชะงักตัวไปนิดหนึ่ง ผมจึงรู้ตัวแล้วรีบดึงมือกลับ

"คือ...ปากพี่เลอะน่ะครับ"

ตามพยักหน้าหน่อยๆ ยกแขนเสื้อตัวเองเช็ดริมฝีปากทีหนึ่ง เราไม่ได้พูดอะไรต่อกระทั่งเราทั้งคู่หันไปให้ความสนใจกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินจูงหมาโกลเด้นท์ตัวใหญ่มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ ชี้นิ้วสั่งให้หมาตัวนั้นนั่งลงพลางกำชับเสียงดุ

"นั่งรอตรงนี้ แม่เข้าไปซื้อของแป๊บหนึ่ง อย่าตามมานะ"

"โฮ่ง!"

"ไม่เอา อย่าตามมาสิ นั่งตรงนี้ นั่งลง!"

"เดี๋ยวผมจับไว้ให้ก็ได้ครับ" ผมเสนอตัวเพราะชื่นชอบหมาเป็นพิเศษอยู่แล้ว

"ได้เหรอคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ ฝากแป๊บหนึ่งนะคะ"

"ตามสบายครับ"

เจ้าของหมาเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ผมนั่งลงตรงหน้าหมาตัวใหญ่ เจ้าหมาตัวนี้ก็เชื่องพอที่จะยอมให้ผมลูบหัวเบาๆ นั่งลงอย่างนิ่งๆ ดูเป็นหมาใจดีพาให้นึกถึงเจ้ายู่ที่อยู่ที่ร้านลุงหมี

"เหมือนยู่เลย" ผมหันมองตามที่คิดเหมือนกันแล้วตอบออกไปด้วยความไม่ยั้งคิด

"ใช่ไหม กำลังคิดอยู่เลย"

"พลีสรู้จักยู่ด้วยเหรอ"

"คือ...เอ่อ...ผมไปร้านกาแฟตรงนั้นบ่อย ก็เลยเห็นยู่บ่อยๆ น่ะครับ"

ตามพยักหน้าหน่อยๆ ดูไม่ได้คลาแคลงใจอะไร ก่อนจะย่อตัวลงนั่งแล้วยื่นมือมาทำท่าจะลูบหัวหมา แต่ผมรีบห้ามเอาไว้ก่อน

"นี่! แพ้ขนหมาไม่ใช่หรือไง"

"รู้ได้ไง"

นะ...นั่นสิ

"พี่ต่อบอก" เผลอทีไรก็โยนให้พี่ต่อเอาไว้ก่อน

"พี่ต่อบอกอีกแล้ว ไปบอกตอนไหน"

"ตอนทำฟันไง"

"ทำฟันแค่ไม่กี่นาทีมีเวลาเล่าชีวประวัติพี่เยอะแยะ นี่พลีสรู้จักพี่มากกว่าพี่รู้จักตัวเองอีกนะ"

"บ้า!"

"แล้วไม่มีเรื่องอื่นจะคุยเหรอ ถึงได้คุยแต่เรื่องพี่เนี่ย"

ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนที่ตามจะใช้จังหวะนั้นยื่นมือมาขยี้หัวหมาทำท่าล้อเล่นแต่ดูจะรุนแรงไปหน่อย ผมยกมือตัวเองตีมือตามไปทีหนึ่ง

"อย่าแกล้งน้อง"

ตามไม่สนใจคำต่อว่าของผม พลางยื่นมือมาแตะหัวหมาอีกครั้ง คราวนี้แค่วางมือลงเบาๆ มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้า ก่อนจะดึงมือตัวเองออกไปช้าๆ

คิดถึงอะไรอยู่เหรอตาม...คิดถึงเราหรือเปล่านะ

เจ้าของหมาเข้าไปซื้อของครู่เดียวอย่างที่บอก ก่อนจะเดินออกมา ผมส่งหมาคืนให้ก่อนจะบอกลา เธอขอบคุณผมสองสามครั้งแล้วพาเจ้าหมาตัวใหญ่เดินออกไป ผมหันมองตามที่ยกมือค้างเพราะกำลังบ๊ายบายหมาอยู่ เมื่อหันมาเห็นผมก็ดึงมือตัวเองลงแล้วหันมาบอกผม

"กลับบ้านกัน"

"ครับ"

"แล้วนี่มาทำอะไรเนี่ย มารอพี่เหรอ"

"มาหาอะไรกินต่างหาก ทำไมผมต้องมารอพี่ด้วย มั่วๆ"

"อ๋อเหรอ เห็นพี่เลิกงานทีไรเจอเราทุกที นึกว่ามารอรับพี่กลับบ้านซะอีก"

"บ้าดิ"

อย่างที่บอกว่าความสนิทระหว่างเรามีมากขึ้นทุกวัน ผมจึงพูดคุยกับตามได้อย่างไม่ติดขัด เราพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ตลอดทางด้วยเรื่องสัพเพเหระ ตามเล่าเรื่องที่ทำงานบ้าง ผมเล่าเรื่องที่โรงเรียนบ้าง เราผลัดกันพูดจนบทสนทนาของเราไม่ขาดตอน กระทั่งมาถึงร้านดอกไม้ที่ตามจะต้องแวะทุกวัน ควักเงินจากกระเป๋ากางเกงจำนวนหนึ่งแล้วตรงเข้าไปในร้าน ครู่เดียวก็ออกมาพร้อมดอกกุหลาบในมือ แต่วันนี้สีของดอกกุหลาบทำเอาผมแปลกใจนิดหน่อย คงเห็นว่าผมมองแบบนั้นอีกฝ่ายก็บอกออกมาก่อน

"สีแดงหมดน่ะ เหลือแต่สีขาว"

"อ๋อ"

ตามทำหน้ายุ่งๆ มองดูดอกกุหลาบสีขาวในมือแล้วพูดออกมาเบาๆ

"จะชอบหรือเปล่าก็ไม่รู้"

"ชอบสิ เธอให้อะไรก็ชอบหมดแหละ"

"ฮึ?"

"หมายถึงแฟนพี่ตามต้องชอบสิ พี่ตามให้อะไรแฟนพี่ก็ชอบหมดแหละ เชื่อผม"

"ก็หวังว่าจะชอบแหละ"

"ผมยังชอบเลย"

"ชอบเหรอ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่ตามจะยกกำกุหลาบขึ้นมอง หยิบดอกที่ใหญ่ที่สุดในกำนั้นออกมาแล้วยื่นให้ผม

"พี่ให้"

"..."

"ไม่เอาเหรอ"

"เอาครับ!" ผมรีบตอบ ก่อนจะรับกุหลาบดอกนั้นมา จากครั้งสุดท้ายที่ได้รับกุหลาบจากมือตามมันก็นานมากๆ แล้ว ผมเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มเพื่อไม่ให้ตามเห็นว่าผมกำลังดีใจมากขนาดนี้ กำดอกกุหลาบดอกนั้นเอาไว้แน่น แล้วก้าวเท้าเดินตามตามไป มองแผ่นหลังของคนตรงหน้าแล้วก็พลันคิดอะไรผิดบาปอยู่ในใจ

เมื่อการได้พบตามไม่ใช่ความฝัน ผมก็เริ่มอยากโกงชีวิต อยากโกงพลีส ไม่อยากออกจากร่างนี้แล้ว ไม่อยากไปไหนเลย...

ผมเดินมาส่งตามถึงที่หอ แล้วก็แยกกันตรงนั้น จริงๆ ผมเดินกลับบ้านได้แต่นั่งรถเมล์ไม่กี่ป้ายก็ไวกว่า ขณะกำลังเดินออกจากหน้าหอของตาม เสียงมือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นมา เดาว่าเป็นพี่หน่อยโทรตามแน่ๆ แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด

(น้องพลีส จะกลับหรือยังคะ ดึกแล้วนะ)

"กำลังจะกลับแล้วครับ"

(หน่อยออกไปรอที่หน้าปากซอยนะคะ รีบมานะคะ)

"ครับผม"

ผมกดวางสายจากพี่หน่อย ขณะสายตามองไปเห็นรถเมล์อีกฝั่งพอดี รีบร้อนวิ่งข้ามถนน ไม่ทันได้มองรถอีกเลนส์ที่วิ่งตรงมาและในตอนนั้นความประมาทเลินเล่อของตัวเองก็กำลังสร้างเรื่องให้แล้ว

 

"โครม!"

 

แรงกระแทกจากรถที่เบรกไม่ทันชนร่างผมลอยเคว้งก่อนกระแทกกับพื้นถนน วินาทีเดียวเท่านั้นทุกอย่างก็พลันอื้ออึงจนรับรู้สิ่งใดรอบตัวไม่ได้ ฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้งลืมขึ้นช้าๆ ภาพเดียวที่เห็นตรงหน้าคือกุหลาบขาวดอกนั้นหลุดลอยจากมือหล่นสู่พื้นถนน รถคันหนึ่งวิ่งเหยียบจนกลีบกุหลาบปลิวกระจาย

แม้ผมจะไม่รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนเลย แต่ทุกอย่างกำลังมืดมิดลงช้าๆ เปลือกตาหนักเกินกว่าจะฝืนกระทั่งมันปิดลงพร้อมสติที่ตัดดับไปชั่วขณะ สลบคาที่ ฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล...

 

วิญญาณออกจากร่างเรียบร้อย...

 

To be continued.

 

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #97 เมื่อ08-06-2019 20:50:40 »

 :ling3:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #98 เมื่อ08-06-2019 21:34:55 »

อ้าว ๆ ออกจากร่างพลีสแล้วไปไหนล่ะ
พลีสจะได้กลับมาหรือเปล่า

ออฟไลน์ wanida023

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #99 เมื่อ08-06-2019 21:41:20 »

 :serius2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
« ตอบ #99 เมื่อ: 08-06-2019 21:41:20 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Seilong2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #100 เมื่อ08-06-2019 21:50:56 »

 :katai1: :katai1: :katai1: ยังไงเนี่ยยยย !

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #101 เมื่อ08-06-2019 22:59:49 »

 :a5:
 :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #102 เมื่อ09-06-2019 00:55:36 »

 :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ Hayvril

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #103 เมื่อ09-06-2019 05:49:08 »

 :katai1: :ling1:  :katai4: คุณคะ เรากรี้ด

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #104 เมื่อ09-06-2019 10:53:43 »

 :sad4: คืออะไร มันคืออะไร พลีสจะได้กลับมาแล้วหรอ

สงสารแสงเทียนนะ แต่เหมือนตามรู้ ถึงให้กุหลาบมา

ใจคอไม่ดีแล้วค่ะ ไม่รู้ใครจะอยู่ ใครจะไป

ออฟไลน์ Miawncha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
«ตอบ #105 เมื่อ11-06-2019 11:47:21 »

ออกจากร่างแล้ววววว จะเป็นยังไงต่อละเนี่ย พลีสจะกลับมาไหม แล้วตามจะได้รู้มั้ยว่าพลีสก่อนหน้านี้คือแสง แงงงงงง

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่10-- 19/06/19
«ตอบ #106 เมื่อ19-06-2019 23:55:03 »

ตอนที่ 10
เด็กชายผู้ไม่เคยเปลี่ยนสียางจัดฟัน


พลีส :

 

เพราะเป็นคนตื่นง่ายด้วยเสียงนาฬิกาปลุกเพียงแค่ครั้งเดียว ในทุกๆ เช้าผมจึงไม่เคยตื่นสายหรือต้องรีบร้อนที่จะเตรียมตัวไปโรงเรียน เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วเดินลงมาข้างล่างก็เห็นหน่อยกำลังเตรียมอาหารเช้าไว้รออยู่แล้ว ผมนั่งลงที่โต๊ะอาหารมองแซนด์วิชไส้ทูน่าที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กพอดีคำกับนมรสจืดกล่องหนึ่ง

เบื่อแซนด์วิชของหน่อยชะมัด

ผมเลือกดื่มแค่นมแล้วปล่อยแซนด์วิชให้คาอยู่ในจานแบบนั้น เมื่อคนทำหันมาเห็นว่าผมไม่แตะต้องสักชิ้นก็อ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจด้วยการหันไปหาแม่ที่เดินลงมาจากบันไดพอดี เสียงเรียกของผมหยุดแม่ที่กำลังดูรีบร้อนนั่นเอาไว้

"แม่"

"ว่าไงลูก"

"วันนี้แม่จะไปงานประชุมผู้ปกครองของพลีสหรือเปล่า"

เดาได้จากการที่แม่นิ่งไปครู่หนึ่งนั้น แน่นอนว่าแม่ลืม

"วันนี้แม่มีประชุมสำคัญมาก พ่อก็คงจะยุ่ง ให้หน่อยไปแทนก็แล้วกัน"

"หน่อยเป็นผู้ปกครองพลีสหรือไง"

"เอาน่า หน่อยรู้เรื่องพลีสดีทุกอย่างนั่นแหละ ฝากด้วยนะหน่อย"

หน่อยรับคำก่อนที่แม่จะเดินออกไป จริงอย่างแม่ว่า แม้ไม่ใช่บุพการีแต่หน่อยก็รู้เรื่องของผมดีกว่าพ่อแม่ซะอีก แล้วงานประชุมผู้ปกครองของปีนี้ก็เป็นอย่างเช่นทุกครั้ง หน่อยไปทำหน้าที่แทนพ่อกับแม่ แม้ความจริงผมอยากให้พ่อกับแม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมบ้างแต่ก็เรียกร้องอะไรไม่ได้เลย

 

งานประชุมผู้ปกครองจัดขึ้นตอนบ่าย กินเวลาเนิ่นนานจนต้องงดการเรียนการสอนในช่วงบ่ายไป หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมผมจึงรอกลับพร้อมหน่อย ดูเหมือนว่าหน่อยจะชอบงานที่โรงเรียนมากถึงได้พูดถึงไม่หยุด

"ประชุมวันนี้สนุกดีนะคะ ได้เจอผู้ปกครองของเพื่อนๆ น้องพลีสเยอะเลย คุณครูประจำชั้นของน้องพลีสปีนี้ก็ดูใจดีมากๆ ด้วย คุณครูบอกว่าตอนอยู่ที่โรงเรียนน้องพลีสไม่มีปัญหาอะไร ได้ยินแบบนั้นหน่อยก็สบายใจค่ะ"

หึ...ครูจะไปรู้อะไร

"หน่อยได้ฟังเรื่องโครงการส่งเสริมกิจกรรมหลังเลิกเรียนแล้ว ฟังดูน่าสนใจนะคะ ถ้าน้องพลีสไม่อยากไปเรียนพิเศษ ก็น่าจะเข้าร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนนะคะ หน่อยเอาเอกสารที่คุณครูแจกมาด้วย น้องพลีสลองดูสิคะว่าชอบชมรมไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้าเบื่อพวกวิชาการแล้วลองดูเป็นชมรมศิลปะไหมคะ ชมรมถ่ายรูปก็น่าสนใจ น้องพลีสจะได้ออกไปถ่ายรูปสถานที่สวยๆ ด้วย น่าจะสนุกนะคะ แล้วก็..."

"หน่อย"

"คะ?"

"หยุดพูดเถอะ"

"..."

"พลีสรำคาญ"

"ค่ะๆ" สิ้นเสียงรับคำ ในรถก็เงียบกริบไปตลอดทางอย่างที่ผมต้องการ จริงๆ แล้ว ผมมีเรียนพิเศษทุกวันหลังเลิกเรียน ตามบัญชาของแม่ที่สั่งให้หน่อยจัดการสมัครเรียนให้โดยที่ไม่เคยถามผมก่อน สะสมความเบื่อหน่ายและเหน็ดเหนื่อยมานานสักพักหนึ่ง ความอดทนของผมก็สิ้นสุดลงด้วยการตัดสินใจโดดเรียนไปซะดื้อๆ ทุกๆ วัน ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีรายชื่อในคลาสอีกต่อไป

ผมบอกให้หน่อยรู้และขอร้องไม่ให้บอกกับแม่ เล่นละครด้วยการออดอ้อนนิดๆ หน่อยๆ คนใจอ่อนอย่างหน่อยก็ยอมช่วยปกปิดเรื่องนี้ให้ แต่ถึงแม้จะไม่มีเรียนแล้วก็ใช่ว่าจะกลับบ้านเร็วได้ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ทุกๆ วันผมจึงต้องหาเรื่องไปอยู่ที่อื่นก่อนที่จะถึงเวลากลับบ้าน ผมไม่มีเพื่อนหรือกิจกรรมอะไรให้ทำมากนัก ชีวิตจึงมักวนเวียนอยู่ไม่กี่ที่ บ่อยที่สุดก็ร้านหนังสือ ร้านกาแฟและคลินิกทำฟัน

"จะให้หน่อยมารับไหมคะ"

"พลีสกลับเองครับ"

"ดูเหมือนว่าฝนจะตก น้องพลีสพกร่มไปด้วยสิคะ มีร่มอยู่หลังรถ เดี๋ยวหน่อยไปหยิบ..."

"ปึง"

ผมปิดประตูรถก่อนที่หน่อยจะพูดอะไรต่อ และไม่ได้รอร่มคันนั้นเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น หน่อยดูแลผมมาตั้งแต่เกิด ดูแลดีเสียยิ่งกว่าคนเป็นพ่อแม่ แต่ขณะเดียวกันหน่อยก็ทำเหมือนกับว่าผมไม่เคยโตขึ้นเลย จึงมีหลายครั้งที่ผมรู้สึกรำคาญใจ เพราะผมไม่ใช่เด็กห้าขวบที่ทำอะไรไม่เป็นอีกแล้ว

 

วันนี้ผมเลือกที่จะใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสือ เดินวนอยู่ในร้าน เปิดอ่านหนังสือเล่มที่สนใจผ่านๆ อย่างไม่จริงจัง ก่อนที่จะมองไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่กำลังถูกหลายคนพูดถึงอยู่ในโซเชี่ยล เป็นหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่นำเสนอในมุมมองที่แตกต่างจากหนังสือนำเที่ยวปกติ ผมเคยอ่านบทความตัวอย่างแล้วพบว่ามันน่าสนใจ จึงไม่ลังเลที่ยกมือขึ้นหยิบเล่มนั้นมาดู 

"โอ๊ะ!"

มือของผมชะงัก พอๆ กับคนข้างๆ ที่ดึงมือตัวเองออกไปตอนที่เขากำลังจะหยิบหนังสือเล่มเดียวกับผมพอดี หนังสือยังวางอยู่บนชั้น ผมกับเขามองหน้ากันไปมา แล้วหันมองหนังสือเล่มนั้นพร้อมกัน

เหลืออยู่เล่มเดียว

พนักงานบอกกับเราอย่างนั้นตอนที่ผมเป็นคนเดินไปถาม และตอนนี้หนังสืออยู่ในมือของผู้ชายคนนั้น เขามองมันแล้ว มองมันอีก คิดว่าคงลังเลอยู่ไม่น้อยที่จะยกมันให้กับผม

"น้องเอาไปก็ได้"

"ไม่เป็นไรครับ พี่หยิบก่อนนี่"

"เอาไปเถอะ ดูราคาแล้วมันแพงไปหน่อย พี่คงไม่ซื้อ"

เขาพูดแค่นั้นแล้วยื่นหนังสือใส่มือผม ก่อนจะเดินออกจากร้านไป ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือหลอกเรื่องราคาที่บอกว่าแพงไป แต่ก็รู้สึกขอบคุณอยู่ในใจที่เขายกหนังสือเล่มนี้ให้เป็นของผม

 

ผมได้หนังสือเล่มนั้นมาเป็นเพื่อนระหว่างรอ นั่งอ่านไปได้สักพักก็ถึงเวลากลับบ้าน เก็บกระเป๋าออกมาจากห้างก็เห็นว่าฝนกำลังตกปรอยๆ ในใจก็เกิดก่นด่าตัวเองขึ้นมาซะเฉยๆ น่าจะเชื่อหน่อยแล้วเอาร่มมาหรือไม่ก็น่าจะให้หน่อยมารับสิ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงต้องยอมเปียกฝนนิดหน่อยแล้วเดินไปขึ้นรถเมล์

กลับถึงบ้านก็ตั้งใจจะรีบขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่หน่อยจะเห็นเข้า ไม่อย่างนั้นคงเอาแต่บ่นอีกแน่ๆ

"โฮ่ง!" สิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่หันมาทักทายผมคือมันแกว เจ้าหมาตัวโปรด ขาสั้นๆ วิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามาหาพร้อมส่งเสียงเรียกไม่หยุด

"ชู่ว!" ผมสั่งให้มันเงียบขณะก้มลงจุ๊บหัวมันเบาๆ กระซิบบอกว่าเดี๋ยวจะลงมาเล่นด้วย แล้วรีบวิ่งขึ้นห้องอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ผมเดินไปหยิบผ้าขนหนู เสียงเรียกของแม่ก็ดังขึ้นที่หน้าห้อง

"พลีส! พลีส!"

ไม่รู้แม่โวยวายอะไร จึงเปิดประตูออกไปหา

"พลีส!"

"มีอะไรครับ" ผมเอ่ยถามตอนที่เห็นแม่กำลังแสดงสีหน้าโกรธๆ กับเสียงเรียกที่ดังกว่าเดิม ข้างๆ กันก็เห็นหน่อยที่เดินตามมาด้วยทำหน้าซีด เมื่อผมหันมองก็ก้มหน้าหนีไปซะเฉยๆ

"วันนี้แม่ไปที่เรียนพิเศษพลีสมา แต่เพื่อนพลีสบอกว่าพลีสไม่ได้ไปเรียน"

"ฝนมันตก พลีสเลยไปเรียนไม่ทัน"

"อย่ามาโกหกแม่นะพลีส แม่รู้หมดแล้วว่าพลีสไม่ได้ไปเรียนเลย ไม่มีรายชื่อพลีสในคลาสเรียนด้วยซ้ำ!"

คิดอยู่แล้วว่าสักวันความจริงคงถึงหูแม่แน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เตรียมที่จะรับมือ ผมหมดทางที่จะโกหกต่อแล้วก็เลยต้องรับความจริงอย่างตรงไปตรงมา

"ครับ พลีสไม่ได้ไปเรียน"

"พลีสทำแบบนี้ทำไม"

"ก็พลีสไม่อยากเรียน ขี้เกียจ เหนื่อย ไม่ชอบ"

"แล้วทำไมไม่พูดกับแม่ตรงๆ ไม่ใช่มารวมหัวกับหน่อยหลอกแม่แบบนี้!" เป้าหมายของแม่หันไปที่หน่อย คนที่ถูกดุกลายเป็นหน่อยและหน่อยก็ไม่เคยเถียงอะไรแม่ได้เลยนอกจากคำขอโทษจากความผิดของผม

"ทำไมไม่บอกฉัน"

"ขอ...ขอโทษค่ะ"

"พลีสสั่งไม่ให้บอก ก็เลยไม่บอกงั้นเหรอ ตกลงนี่เชื่อฟังพลีสมากกว่าฉันแล้วเหรอ รับเงินเดือนจากพลีสหรือไงฮะ หน่อย!"

"หน่อยขอโทษค่ะ"

"ตามใจพลีสจนเคยตัว รู้ไว้เลยนะถ้าพลีสเสียคนมันก็เป็นเพราะหน่อย!"

"แม่ พลีสผิดก็ด่าพลีสสิ"

"ก็ทั้งคู่นั่นแหละ!"

"เสียงดังอะไรกัน" เราทั้งหมดหันมองพ่อที่เดินเข้ามา ผมไม่ได้พยายามที่จะขอความช่วยเหลือจากพ่อ เพราะรู้อยู่แล้วว่าพ่อคงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แล้วอีกอย่าง พ่อก็ไม่มีความสามารถพอที่จะหยุดยั้งแม่ตอนที่กำลังโกรธได้เลย 

"ก็พลีสน่ะสิ  โกหกว่าไปเรียนพิเศษทุกวัน แต่จริงๆ ไม่ได้ไปเลยสักวัน"

"ทำไมทำอย่างนั้นล่ะพลีส"

"ก็พลีสไม่อยากไปเรียน เรียนไปก็ไม่เห็นจะได้อะไรเลย"

"จะไม่ได้อะไรได้ยังไง ใครๆ เขาก็เรียนกันทั้งนั้น เรียนพิเศษน่ะดีกว่าเรียนในห้องเรียนปกติเป็นไหนๆ คนที่เรียนเขาก็เกรดดีขึ้นทั้งนั้นแหละ"

"พลีสไม่ได้เรียนก็เกรดดีอยู่แล้ว คะแนนเต็มร้อยพลีสก็ทำได้ร้อย เรียนพิเศษไปก็ใช่ว่าจะได้มากกว่านั้นซะหน่อย"

"ก็จริงอย่างลูกว่า พลีสก็ได้คะแนนดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียนก็ค่าเท่ากัน"

"แล้วถ้าไม่เรียนแล้วจะเอาเวลาไปทำอะไร ไปเที่ยวเล่นไร้สาระน่ะเหรอ"

"ก็ลูกไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องไปเรียนสิ คุณก็เอาแต่กดดันลูกอยู่นี่แหละ"

"กดดันเหรอ นี่ว่าฉันเหรอ"

"ก็ใช่น่ะสิ"

"ที่ฉันต้องกดดันก็เป็นเพราะฉันห่วงลูก ไม่ใช่เอาแต่ละเลยลูกอย่างคุณนี่ ลูกพูดอะไรคุณก็เชื่อไปหมด เคยคิดอะไรเองได้ไหม หรือเคยคิดที่จะทำอะไรเพื่อลูกบ้างไหม!"

"อย่ามาพาลได้ไหมคุณ!"

"ก็มันจริงนี่!"

เมื่อไรที่พ่อแม่ถกเถียงกัน มันจะนำไปสู่การทะเลาะที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้ง ผมเบื่อที่จะฟัง เบื่อที่จะเห็นอะไรแบบนี้จึงเปิดประตูเข้าห้องแล้วล็อกแน่นสนิท ทว่าเสียงทะเลาะจากห้องของพ่อและแม่ก็ยังดังเข้ามาให้ได้ยินอยู่ หูฟังชนิดครอบหูกับเพลงที่เปิดดังสุดความสามารถของเครื่องเล่นเพลงในมือถือ เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้ผมหลุดพ้นจากเสียงเหล่านั้นได้

ไม่รู้กี่เพลงต่อกี่เพลงที่เล่นต่อเนื่องไปยาวนานจนกระทั่งจิตใจผมสงบลง รู้สึกหนาวขึ้นมาตอนที่เพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังนอนขดอยู่ข้างเตียงบนพื้นห้องขณะที่เนื้อตัวยังเปียกชื้น ผมปิดเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม แล้วยันตัวเองขึ้นนั่งพิงเตียง ถอนหายใจออกมาเบาๆ

ผมหันมองประตูห้องที่ล็อกอยู่ ผมรู้ว่าหน่อยจะยังอยู่ตรงนั้นจนกว่าผมจะออกไปเปิด คิดได้เช่นนั้นจึงลุกไปเปิดประตู และเป็นไปอย่างที่คิด หน่อยนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วลุกขึ้นยืน เสียงบ่นอันเป็นนิสัยก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน

"น้องพลีส ทำไมยังไม่อาบน้ำอีกคะ เดี๋ยวก็ไม่สบายจนได้"

"กำลังจะไปอาบแล้ว"

"งั้นหน่อยจะอยู่ที่นี่จนกว่าน้องพลีสจะอาบน้ำเสร็จเลย"

"หน่อย"

"จะอยู่ตรงนี้ค่ะ" ยืนยันคำเดิมพร้อมกับเดินเข้าห้องผมแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง ไม่รู้จะจัดการยังไงกับคนคนนี้ดี ทำได้แค่เดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วตรงเข้าห้องน้ำ ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่พักหนึ่ง พอเดินออกจากห้องน้ำ หน่อยก็ยังอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มมาคือถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ

"น้องพลีสยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย"

"พลีสไม่หิว เอาลงไปเถอะ อยากนอนแล้ว"

"แต่หน่อยทำไก่ทอดเอาไว้ให้นะคะ"

"..."

"ทอดสุดฝีมือเลยนะ"

"..."

"ถ้าน้องพลีสไม่กิน คนทำเขาก็คงเสียใจ"

หน่อยเป็นแบบนี้ทุกทีเลย!

ผมจงใจถอนหายใจแรงๆ เพื่อให้อีกคนได้ยิน ทิ้งผ้าขนหนูลงบนเตียงแล้วขยับไปนั่งที่โต๊ะหนังสือเพื่อกินข้าวที่หน่อยยกมาให้ ไก่ทอดถูกฉีกเป็นชิ้นพอดีคำอย่างที่หน่อยทำให้เสมอ แม้ผมจะยอมกินข้าวแล้วแต่ก็ยังมีเรื่องอื่นให้หน่อยบ่นไม่หยุด

"ต้องเช็ดผมให้แห้งก่อนนอนนะคะ"

"พลีสรู้"

"รู้ แต่ก็ทำไม่ได้" พูดขำๆ แล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่ผมโยนไว้นั่นขึ้นมา ก่อนจะใช้มันเช็ดผมให้ ผมปล่อยให้หน่อยเป็นคนเช็ดผมให้ ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ มือของหน่อยที่โอบอุ้มผมมาตั้งแต่เด็กๆ ค่อยๆ ขยี้ผมเบาๆ ด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมือเปล่าที่ลูบหัวผมเบาๆ

"คืนนี้นอนให้สบาย หลับให้สนิท ไม่ต้องคิดมากเรื่องไหนนะคะ"

"..."

"จะมีหน่อยอยู่กับน้องพลีสตรงนี้เสมอเลยค่ะ"

หน่อยพูดแค่นั้นแล้วเดินเอาผ้าขนหนูไปตากที่ราว ผมหันมองแผ่นหลังของคนตรงนั้นแล้วโต้ตอบอยู่ในใจ เป็นคำที่ไม่เคยพูดออกไปตรงๆ ไม่เคยพูดให้หน่อยได้ยินสักครั้งเลย...

 

ขอบคุณนะครับ

 

...

 

ไม่ค่อยมีเหตุผลที่ทำให้ผมอยากมาโรงเรียน ที่นี่ไม่มีแม้แต่เพื่อนสักคนเลย อาจเป็นเพราะผมอายุมากกว่านักเรียนในห้อง ด้วยเหตุที่ต้องหยุดเรียนไปถึงสองปี บวกกับนิสัยที่ไม่ค่อยสุงสิงหรือพูดคุยกับใครได้นานนัก ก็คงมีส่วนทำให้ผมมักจะถูกกีดกันออกจากสังคมในห้องเรียนอยู่เสมอ ผมไม่เคยถูกเลือกเมื่ออาจารย์สั่งให้จับคู่ทำงาน ไม่เคยได้กินข้าวในโรงอาหารหรือใช้ชีวิตอย่างปกติในโรงเรียนเหมือนที่คนอื่นเขาทำกัน

และต่อให้อายุมากกว่า แต่ตัวเล็กที่สุดในบรรดาเพื่อนผู้ชายในห้อง ร่างกายก็ดูไร้เรี่ยวแรงจนเหมือนจะลุกขึ้นยืนไม่ไหวด้วยซ้ำไป ผมมักถูกกลั่นแกล้งโดยไม่มีเหตุผล ซ้ำไปซ้ำมาจนไม่รู้สึก...

"ตุ้บ!"


สองขาหยุดชะงักตอนที่บอลลูกหนึ่งกระแทกเข้าที่กลางหลัง ก็เจ็บแต่ไม่ได้ร้องออกมา ทำได้แค่ก้มลงเก็บลูกบอลแล้วโยนกลับไปให้ไอ้ปั้นกับเพื่อนที่ยืนหัวเราะอยู่ในสนาม

...จนไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว 

เดินผ่านสนามฟุตบอลหน้าโรงอาหารไปซื้อนมหนึ่งกล่องสำหรับมื้อกลางวันของตัวเอง หนึ่งชั่วโมงสำหรับชั่วโมงพัก ยาวนานกว่าความเป็นจริง เพราะผมไม่รู้จะทำอะไรในหนึ่งชั่วโมงนั้น เมื่อดื่มนมหมดกล่องก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ส่งการบ้านวิชาฟิสิกส์ จึงเดินไปยังห้องพักครูหมวดวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีใครอยู่เลย ผมเลื่อนสายตามองบนโต๊ะของครูประจำวิชาแต่ไม่เห็นว่ามีรายงานของคนอื่นวางอยู่เลย แต่ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะผมมักจะเป็นคนแรกที่ส่งงานในทุกๆ วิชาอยู่แล้ว ส่งรายงานเสร็จก็เดินกลับไปที่ห้องเรียน ก่อนความเงียบในชั่วโมงพักถูกแทนที่ด้วยเสียงเอะอะของคนในห้องเมื่อถึงเวลาเรียนคาบต่อไปแล้ว

            ผมมักได้รับคำชื่นชมจากครูเสมอว่าเป็นคนตั้งใจเรียน สนใจในสิ่งที่ครูสอนและไม่เคยพูดคุยในเวลาเรียนเลย แม้เป็นคำชื่นชมแต่ผมกลับรู้สึกเวทนาในตัวเองอยู่เล็กน้อย นั่นเป็นเพราะ...ผมไม่มีเพื่อนสักคนให้พูดคุยด้วยต่างหาก

ชั่วโมงเรียนในคาบบ่ายดำเนินไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งถึงวิชาสุดท้าย ซึ่งเป็นวิชาฟิสิกส์ เมื่อครูเดินเข้ามาในห้องแล้ว แต่เสียงพูดคุยยังไม่หยุดลง นักเรียนบางคนยังหันมาคุยกับเพื่อนที่โต๊ะหลัง อ่านหนังสือวิชาอื่นหรือแม้กระทั่งนั่งเล่นมือถือ ครูประจำวิชาฟิสิกส์เป็นครูผู้ชายวัยใกล้เกษียณ สวมแว่นอันใหญ่ ผมหงอกขาว เคลื่อนไหวเชื่องช้าและมักจะพูดจาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ คงเป็นเพราะลักษณะนิสัยที่ดูใจดีนั้นทำให้นักเรียนส่วนใหญ่หลงลืมที่จะเกรงกลัวครูท่านนี้ไป

"ก๊อกๆๆ"

เสียงปากกาเคาะโต๊ะสองสามครั้งเป็นสัญญาณบอกว่าครูพร้อมที่จะสอน แม้ไม่เกรงกลัวแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคารพกัน เด็กในห้องจึงเงียบเพื่อที่จะเริ่มต้นการเรียนการสอนในวิชานี้ บทเรียนถูกสอนไปเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาและเนื้อหาที่ไม่ได้น่าสนใจนัก นักเรียนบางคนฟุบหลับ บางคนยกหนังสือขึ้นกางเพื่อบดบังว่ากำลังเล่นเกมในมือถือ บางคนก็ก้มทำงานวิชาอื่น

"รายงานที่สั่งไปคราวก่อน ครูนัดส่งวันนี้ใช่ไหม"

ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ แต่ไม่ได้รับความสนใจเพราะเสียงใสๆ ของนักเรียนหญิงหน้าห้องคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาก่อน

"อาทิตย์หน้าค่ะ"

"ใช่ค่ะ อาทิตย์หน้า"

"ครูบอกอาทิตย์หน้าครับ"

ทั้งหมดในห้องเออออกันเป็นเสียงเดียวราวกับนัดกันมาแล้ว

"แล้วทำไมถึงมีคนเอามาส่งครูวันนี้" ครูหยิบรายงานของผมขึ้นดู ขยับแว่นหรี่ตามองชื่อที่แสดงอยู่หน้าปก ก่อนอ่านออกเสียงเบาๆ

"พันธกานต์"

"เชี่ย..." เสียงสบถจากไอ้ปั้นที่นั่งอยู่ด้านหลังดังขึ้นทันทีที่ครูอ่านชื่อผมออกมา นักเรียนในห้องทุกคนก็หันมองเป็นตาเดียวราวกับว่าผมได้ทำเรื่องผิดพลาดเรื่องใหญ่ไปแล้ว

"สรุปว่าครูนัดส่งวันนี้ใช่หรือไม่"

ไม่มีเสียงตอบจากใครเลย ก่อนที่ครูจะเป็นคนหาคำตอบด้วยตัวเองด้วยการเปิดกองชีทบนโต๊ะ เดาว่าครูคงจะจดมันเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง สายตาเพื่อนในห้องยังมองไม่ละ ขณะที่ครูเองก็พบคำตอบนั้นแล้ว

"นี่ไง ครูจดเอาไว้ว่าส่งวันนี้ นี่คิดจะโกหกงั้นเหรอ"

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนคนอื่นๆ จะนัดกันเลื่อนส่งงานด้วยเหตุผลที่ว่าครูมักจะจำไม่ได้ว่าตัวเองสั่งงานเอาไว้หรือมีกำหนดส่งวันไหน แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้ การส่งรายงานตามกำหนดที่ควรจะเป็นเรื่องปกติของนักเรียน จึงกลายเป็นเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ผมกำลังสร้างความเดือดร้อนให้ทุกคนในห้องเข้าแล้ว

"คิดว่าครูจำไม่ได้ก็นัดกันไม่ส่งงานงั้นเหรอ เอาล่ะ ทุกคนไปทำเพิ่มกันมาอีกคนละเล่ม ยกเว้นพันธกานต์"

"โห่!"

"ไม่ต้องมาโห่ เอามาส่งวันศุกร์ ครูจะจดไว้ตัวใหญ่ๆ ตรงนี้เลย"

เมื่อครูเดินออกจากห้องไปแล้ว เสียงจอแจของเพื่อนในห้องก็ดังขึ้นในประเด็นที่ผมตกเป็นผู้ราย ไอ้ปั้นที่นั่งอยู่ข้างหลังถีบเก้าอี้ผมทีหนึ่งเพื่อให้หันไปหามัน

"ไงล่ะมึง คนเขานัดกันบอกครูว่าเลื่อน มึงเสือกไปส่งทำเหี้ยอะไร"

"สาระแนชิบหาย"

"อยากเป็นนักเรียนดีเด่นมากเหรอ"

"ทำคนอื่นเขาเดือดร้อน"

"สมควรแล้วที่ไม่มีใครคบอะ"

มีบางคนที่ก่นด่าอย่างไม่พอใจ บางคนที่เกลียดชังอยู่แล้วก็เพิ่มเหตุผลที่จะเกลียดเข้าไปอีก บางคนก็นิ่งเฉยไม่สนใจ แต่ไม่มีคนไหนเลย...ที่จะเห็นใจกันบ้าง

ผมถอนหายใจเบาๆ เก็บของใส่กระเป๋าลวกๆ แล้วลุกออกจากโต๊ะ ไม่ทันจะเดินไปไหน ไอ้ปั้นก็ดึงแขนผมเอาไว้ก่อน

"ทำผิดแล้วหนีเลยเหรอวะ"

"นั่นดิ ไม่ขอโทษพวกกูสักคำเหรอ"

จากที่ทนเงียบมานานก็จำเป็นต้องพูดอะไรออกไปบ้าง แม้มันจะแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดผมก็ควรได้รับความยุติธรรม

"เราไม่รู้ว่าทุกคนนัดกัน"

"มึงไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มหรือไงวะ"

"นั่นดิ เขาก็พูดกันชัดแล้วนะ"

"หรือมึงไม่สนใจอ่านวะ"

ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วโต้ตอบด้วยความใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้

"เราไม่ได้อยู่ในกลุ่มไลน์"

"..."

"ในกลุ่มนั้นน่ะ..."

"..."

"ไม่มีเรา"

 

...

มีต่อค่ะ

 

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #107 เมื่อ19-06-2019 23:55:51 »




ผมเคยมีเพื่อน เคยมีคนที่ผมรัก เคยมีทุกอย่างที่คนอื่นมี แต่น่าเสียดาย...มันกลายเป็นอดีต ถึงแม้ว่าในตอนนี้ผมจะสามารถมีทุกอย่างที่ผมต้องการหากว่าสิ่งนั้นมันหามาได้โดยการใช้เงินซื้อ แต่หากเป็นสิ่งอื่นที่หัวใจผมโหยหาก็ไม่อาจได้มาครอบครองแม้เพียงอย่างเดียว

ผมถูกพ่อแม่โกหกด้วยคำหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ มีรูปลักษณ์ที่ไม่ได้น่าเกลียด มีครอบครัวที่ไม่ขัดสน มีผลการเรียนที่ดี มีชีวิตที่ใครๆ ก็ควรอิจฉา ด้วยภาพลวงหลอกตาเหล่านั้น ทำให้คนที่ไม่รู้จักต่างปักใจเชื่อว่าชีวิตของผมนั้นดีพอแล้ว แต่ความจริงสวนทางทุกอย่างที่คนอื่นคิด ไม่ว่าข้างนอกจะแสดงออกมาว่าเป็นเช่นไร แต่ข้างในกลับกลวง ย่อยยับไม่มีชิ้นดี ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้ตัวอีกที...โลกมันก็ใจร้ายกับผมทุกเรื่องไปแล้ว

 

หลังจากที่แม่รู้ความจริงเรื่องที่ผมไม่ได้ไปเรียนพิเศษแล้ว ผมก็สามารถกลับบ้านเวลาไหนก็ได้โดยไม่ต้องโกหกอีก แม้ว่าแม่จะยังโกรธเรื่องนั้นอยู่บ้าง ซ้ำยังกำชับให้ผมทำคะแนนสอบให้ดีอย่างที่พูดไปว่าไม่ต้องเรียนพิเศษก็ทำได้ แต่วันนี้ผมก็ยังไม่อยากกลับบ้าน จึงเดินเล่นไปเรื่อยๆ ในวันที่อากาศไม่ร้อนเพราะเมฆฝนเหล่านั้น ผมมาหยุดอยู่ที่สนามเด็กเล่นหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเครื่องเล่นเก่าๆ กับบรรยากาศเงียบงันเพราะไม่มีใครเลย ผมจึงตั้งใจที่จะเดินเข้าไปนั่งเล่นที่นี่

"ปรื้ด!"


"เหวอ!"  ตกใจร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งลื่นลงมาจากสไลด์เดอร์อันใหญ่นั่น ตอนที่ผมกำลังเดินผ่านไปตรงนั้นพอดี เราต่างคนต่างตกใจผงะกันไปทั้งคู่ ก่อนอีกฝ่ายหันมาให้เห็นหน้าชัดๆ ผมจึงจำได้ว่าเขาคือผู้ชายที่ยกหนังสือให้ผมวันก่อน เขาเองก็คงจะจำผมได้เช่นกันจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน

"อ้าว น้อง"

ผมทำได้แค่ก้มหัวให้ด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนเราทั้งคู่เอาแต่มองหน้ากันไปมา ก่อนที่ผมจะเดินไปนั่งลงที่ชิงช้าตัวหนึ่ง เขาเองก็นั่งลงที่ชิงช้าอีกตัวหนึ่ง ผมมองดูผู้ชายคนข้างๆ ที่สวมเสื้อพละของโรงเรียนแห่งหนึ่งแต่ใส่กางเกงกีฬาขาสั้น กับรองเท้าแตะ ดูจากทรงผมหรือว่าหน้าตานั้นแล้ว เดาไปเองว่าเขาน่าจะเลยวัยที่จะเป็นเด็กม.ปลายแม้ว่าจะอยู่ในชุดนั้นก็ตาม

เรามองหน้าแล้วก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็มองหน้า ดูเหมือนว่าเราทั้งคู่จะไม่มีความสามารถเรื่องการเข้าหาคนเหมือนกัน คงอึดอัดที่จะเอาแต่เงียบเฉย สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายชวนผมคุยก่อน

"บ้านอยู่แถวนี้เหรอครับ"

"ครับ"

"แล้ว...ไม่กลับบ้านเหรอ"

"อยากนั่งเล่นก่อนน่ะครับ"

"อ๋อ"

แล้วก็พากันเงียบอีกครั้ง คนข้างๆ เริ่มขยับชิงช้าแล้วโยกตัวเบาๆ ขณะที่ผมก็เอาแต่มองฟ้าครึ้มๆ ที่ภาวนาอย่าให้ฝนตกลงมาตอนนี้ ขณะนั้นเองก็คิดขึ้นมาได้ว่า วันนี้ผมเอาหนังสือเล่มที่เขายกให้วันนั้นติดมาด้วย และผมเพิ่งจะอ่านจบไปเมื่อกลางวันเลยคิดที่จะส่งต่อมันให้กับเขา เปิดกระเป๋าแล้วล้วงเข้าไปหยิบ แต่ในจังหวะนั้นปลายนิ้วก็ถูกจิ้มกับอะไรสักอย่างที่อยู่ในกระเป๋า จนเผลอร้องออกมาจนคนข้างๆ ตกใจไปด้วย   

"โอ๊ย!"

"เป็นอะไรครับ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ หยิบต้นเหตุของความเจ็บนั่นออกมาดูก็เห็นว่ามันเป็นปากกาที่ไม่น่ามีพิษภัย อาจเป็นเพราะตอนที่เก็บกระเป๋าลวกๆ จึงไม่ได้กดเก็บปลายปากกา แค่เพียงปลายปากกานั่นปนเปกับจังหวะซวยๆ ของชีวิต นิ้วผมก็ได้แผลจนเลือดซึมออกมาเป็นจุด

"เลือดเลย" ผมพูดออกมาเบาๆ แต่คนข้างๆ ตกใหญ่เสียใหญ่โต

"เลือดเหรอ!"

ผมยังไม่ทันได้ตอบรับ อีกฝ่ายก็ลุกจากชิงช้าแล้ววิ่งพรวดออกไปจากตรงนี้ท่ามกลางความงุนงงของผม

"ฟึบ!"

"ปะ...ไปไหน..."

ผมมองตามผู้ชายคนนั้นที่วิ่งข้ามถนนไปจนลับตา ไม่เข้าใจว่ารีบร้อนอะไร ก่อนจะยกมือเช็ดเลือดที่ปลายนิ้วออก เลือดไหลออกมาแค่นั้นและไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลย ผมนั่งอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนหันไปเห็นคนที่วิ่งออกไป กำลังวิ่งกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบแล้วยื่นบางอย่างให้ผม

"อะไรครับ"

"พลาสเตอร์ไง เอาไว้แปะแผล"

"ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"

"เลือดออกไม่ใช่เหรอ"

"ก็แค่นิด..."

"มันหยุดไหลหรือยัง!" อีกคนสวนกลับมาเสียงดังตอนที่ผมกำลังจะยื่นนิ้วตัวเองให้ดู ไม่รู้ว่าท่าทีร้อนรนนั่นคืออะไร แต่มันกลับทำให้ผมเผลออมยิ้มออกมาซะเฉยๆ รวบฝีปากกลั้นรอยยิ้มแล้วรับพลาสเตอร์มาจากเขา

"มันหยุดไหลแล้ว ขอบคุณนะครับ"

สีหน้ายังดูกังวลแปลกๆ แต่ก็พยักหน้ารับ แล้วหย่อนตัวลงนั่งที่ชิงช้าตัวเดิม เรายังคงนั่งอยู่ด้วยกัน แต่ก็เงียบใส่กันไปเรื่อยๆ ผมเริ่มไกวชิงช้าเบาๆ อย่างที่เขาทำ เงยหน้ามองท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ

ผมก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนอย่างทุกวัน


"น้อง"

"ครับ"

"กลับบ้านช้าแบบนี้ พ่อแม่ไม่ว่าเอาเหรอ"

"ไม่ว่าหรอกครับ"

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ครับ?"

"เห็นทำหน้าเศร้าๆ"

"พี่แอบมองหน้าผมเหรอ"

"อือ"

เขายอมรับออกมาตรงๆ แม้ว่าผมตั้งใจจะพูดเล่น อีกฝ่ายหลุดยิ้มกว้าง ด้วยนิสัยที่ผมเป็น มันทำให้ผมเข้ากับคนได้ยากมากๆ เป็นปกติอยู่แล้ว การพูดคุยกับคนรู้จักยังเป็นเรื่องยากเลย ยิ่งถ้าต้องพูดคุยกับคนแปลกหน้า ผมยิ่งไม่กล้า แต่วันนี้ด้วยความอัดอั้นตันใจหรืออะไรก็ตาม มันทำให้ผมเลือกที่จะพูดกับคนคนนี้ออกไปอย่างเปิดเผย

"ผมถูกเพื่อนที่โรงเรียนเกลียด ทุกคนเกลียดผมครับ"

"มีเหตุผลหรือเปล่า"

"ไม่รู้สิครับ แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่า..."

คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาจากปากกลับดูยากเย็นและกลืนหายไปซะเฉยๆ ผมสูดลมหายใจเบาๆ แล้วกลั้นใจพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มันเป็นปกติทั้งๆ ที่ผมเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

"เหมือนกับว่าผมต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่จงใจทำร้ายผม ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย"

"..."

"สาบานได้ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยจริงๆ นะครับ"

ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หันมองคนข้างๆ ที่กำลังยื่นมือเข้ามาจนเกือบจะถึงหัวของผม พลันรู้ตัวผมจึงถอยหนีมือของเขาด้วยความตกใจ อีกฝ่ายก็ดูตกใจไปด้วยจึงดึงมือตัวเองกลับไป

"แค่...แค่อยากจะปลอบใจน่ะ"

"ขอโทษครับ ผมตกใจ"

เขาพยักหน้ารับยิ้มๆ เมื่อฝ่ามือนั้นถูกดึงกลับไป การปลอบใจจึงกลายเป็นคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ออกมาแทน

"พี่ปลอบใจใครไม่ค่อยเก่ง แต่เข้าใจนะ"

"..."

"รู้ว่ามันยากแต่...สู้ๆ นะ"

"..."

"ต้องสู้นะ โอเคไหม"

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ปลอบใจใครไม่เก่งอย่างที่บอกจริงๆ ด้วย ความพยายามที่จะปลอบใจด้วยท่าทางเหล่านั้นทำให้ผมยิ้มรับแล้วกล่าวคำขอบคุณอีกครั้ง กระทั่งเห็นว่าเย็นมากแล้วจึงเป็นฝ่ายขอตัวกลับก่อน ไม่ลืมที่จะล้วงลงไปในกระเป๋าแล้วหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาอีกครั้ง

"ผมอ่านจบแล้ว มันเป็นหนังสือที่ดีมากเลย ถ้าเก็บไว้อ่านคนเดียวคงรู้สึกผิดแน่ๆ ผมให้พี่ครับ"

"ให้พี่เหรอ"

"ครับ"

"ขายต่อ?"

"ให้ครับ"

            ผมยื่นหนังสือให้แต่ความเกรงใจถูกแสดงออกผ่านใบหน้าเก้ๆ กังๆ ที่จะรับนั่น ผมจึงยัดหนังสือเล่มนั้นใส่มือเขาไปเลย

"แลกกับพลาสเตอร์ครับ"

ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกมา หันไปมองอีกครั้งในตอนที่ได้ยินเสียงของเขาดังไล่หลังมา

"ขอบคุณนะครับ"

ผมเพิ่งเข้าใจ คำว่าขอบคุณมันมีค่ามากขนาดนี้...ขนาดที่ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเลย 

 

...

 

เย็นวันนี้ผมมีนัดทำฟัน และอาจจะเป็นเพราะว่าผมกำลังรู้สึกรอคอย ตอนเย็นของวันนี้จึงมาช้ากว่าทุกวัน ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดูครั้งแล้วครั้งเล่า ทันทีที่ได้เวลาจึงรีบไปให้ถึงคลินิกอย่างไม่รอช้า ใช่ว่าผมจะชอบการทำฟันที่เจ็บปวดนั่นเท่าไรนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางสิ่งบางอย่างที่นี่กำลังดึงดูดผม สักพักใหญ่ๆ ที่ผมรอคอยอย่างใจจดใจจ่อเพื่อจะพาตัวเองมาที่นี่แม้เพียงเดือนละครั้ง และมันก็เป็นหนึ่งครั้งที่ทำให้ทั้งเดือนของผมมีความสุขขึ้นมาซะเฉยๆ 

ใช่...อาจจะเป็นเพราะคุณหมอคนนั้น

"น้องพลีส"

ชื่อเรียกของผมผ่านเสียงของคุณหมอนั้นคุ้นหู ผมยิ้มบางๆ แล้วยกมือไหว้อย่างทุกครั้ง

"มาเร็วจังเลยนะครับ"

ผมไม่ได้ตอบ ได้แต่พยักหน้า ยอมรับว่ายังหุบยิ้มไม่ลง

"เลือกสียางไหม"

"เอาสีเดิมครับ"

"อีกแล้วเหรอ พี่เลือกให้ไหม"

"ไม่เอาครับ"

"สีชมพูไหม"

"สีเทาครับ"

"ฟ้าก็สวยนะ"

"สีเทาครับ"

"ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง"

"สีเทาครับ"

"ยอมแล้ว!" คุณหมอแกล้งทำหน้าบึ้งใส่ พยักหน้าให้ผมเดินตามเข้าไปในห้องทำฟัน ผมนอนลงที่เก้าอี้ทำฟัน ตอนที่คุณหมอกับผู้ช่วยกำลังเตรียมการอะไรบางอย่าง ครู่เดียวเสียงนุ่มทุ้มหูของคุณหมอด้วยประโยคเดิมที่ได้ยินทุกครั้งก็ดังขึ้นข้างๆ หู

"อ้าปากเลยครับ"

แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยชิน น้ำหอมกลิ่นเดิมจากตัวของคุณหมอบอกให้ผมรู้ตัวว่าเราอยู่ใกล้กันแค่นี้ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หัวใจผมพลันเต้นตึกตักทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ ผมจึงหลับตาลง คิดเรื่องอื่น เพื่อไม่ให้จิตใจจดจ่ออยู่ตรงนี้ พาความคิดไปให้ไกลจากตรงนี้ สมมติว่าเราไม่ได้อยู่ใกล้กัน ไม่ได้กำลังใกล้ชิดกับคุณหมอ...ไม่มีเขาอยู่ตรงนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องจริง

 


ดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนไข้คนสุดท้ายในวันนี้ ทันทีที่เสร็จจากเคสของผม พนักงานในคลินิกก็เตรียมตัวเก็บของและปิดคลินิก ผมหันไปมองคุณหมออีกทีขณะที่กำลังจ่ายเงิน คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นดึงหน้ากากอนามัยลงเพื่อให้ผมได้เห็นรอยยิ้มกว้างๆ ที่ดูใจดีอยู่เสมอ

คนคนนั้นน่ะ...น่ารักที่สุดเลย

ผมกลั้นยิ้มไม่อยู่ ริมฝีปากจึงหลุดอมยิ้มออกมานิดๆ จนกระทั่งเดินออกมาจากประตู รอยยิ้มจึงหุบลงอัตโนมัติตอนที่เห็นว่าฝนกำลังตก ผมยกกระเป๋าขึ้นบังฝนแล้ววิ่งข้ามถนนไปยังป้ายรถเมล์ แต่ชั่วโมงฝนตกแบบนี้รถติดหนัก รถเมล์มาช้า แท็กซี่ก็หายากตามตามแบบฉบับ จึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องยืนหลบอยู่ใต้หลังคาป้ายรถเมล์ที่ไม่ได้คุ้มฟ้าคุ้มฝนได้ดีเท่าไรนัก ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดซ้ำยังตกหนักกว่าเดิมจนเม็ดฝนเริ่มสาดกระเซ็นให้ผมเปียก ผมถอยหลังอีกก้าวเพื่อพยายามที่จะหลบฝน ขณะเดียวกันก็มองเห็นเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามายืนข้างๆ เงยขึ้นมองหน้าเจ้าของเท้าคู่นั้นที่กำลังยิ้มกว้างพลางยื่นร่มในมือบังฝนให้

"คุณหมอ"

"เรียกพี่ต่อสิ"

"ครับ?"

"บอกกี่ทีแล้วให้เรียกพี่ต่อ เรียกคุณหมออยู่ได้"

"เป็นคุณหมอนี่นา ไม่ได้เป็นพี่ซะหน่อย" ผมเถียงเบาๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือนิ้วมือเรียวที่จิ้มเข้าเบาๆ ที่หน้าผากพร้อมคำตำหนิกวนๆ

"ดื้อที่สุดในโลก"

พูดจบก็ขยับเข้ามาใกล้ผมอีกนิดเพื่อให้ร่มในมือของเขาได้กันฝนให้ทั้งผมและตัวเขา แต่ด้วยความใกล้ชิดอันไม่เคยชินนั้น เป็นเหตุให้ผมต้องขยับเท้าห่างออกมาจากเขาก้าวหนึ่ง คุณหมอหันมองด้วยใบหน้างงๆ แล้วก็ขยับตามมาอีก เมื่อผมขยับหนีอีกก้าว เขาก็ตามมาอีกจนผมหมดทางหนีเพราะตรงนี้ไม่มีหลังคาป้ายรถเมล์ช่วยกันฝนแล้วจึงต้องเอ่ยปากห้าม

"อย่าตามมาสิครับ"

"เดี๋ยวก็เปียกหรอก"

"ผมไม่เป็นไร"

"แล้วจะหนีพี่ไปไหนอะ"

"คือ...ผม..."

"เข้ามาเร็ว"

มือข้างหนึ่งของผมถูกดึงให้เข้าไปอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน ขณะที่เราใกล้จนไหล่ชนกันไม่มีช่องว่าง คุณหมอก็ไม่ยอมปล่อยมือผมออก หัวใจเต้นแรงขึ้นราวกับไม่มีขีดจำกัดที่จะสิ้นสุดความรุนแรงนั้น และก่อนที่มันจะระเบิดผมต้องพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ก่อน พลันสายตาหันไปเห็นรถเมล์ที่เข้ามาจอดเทียบพอดี ผมดึงมือออกจากมือคุณหมอแล้ววิ่งขึ้นรถเมล์โดยไม่ได้เอ่ยคำลา เมื่อหันไปมองอีกครั้ง คุณหมอยังคงยืนยิ้มและโบกมือให้ ก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป แม้แต่จะยิ้มก็ยังทำไม่ได้...เป็นแบบนี้ไม่ดีเลย

ผมกลับมาถึงบ้านในสภาพที่เนื้อตัวเปียกฝนนิดหน่อยเพราะระยะทางจากป้ายรถเมล์มาถึงนี่ไม่มีร่มอะไรที่จะคุ้มกันฝนได้เลย เมื่อหน่อยหันมาเห็นก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ ใส่อารมณ์เกินกว่าเหตุ

"น้องพลีส ทำไมเปียกแบบนี้ล่ะคะ หน่อยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้พกร่มไปด้วย"

"ลืม"

"แล้วทำไมไม่โทรให้หน่อยไปรับคะ"

"รถมันติด กว่าหน่อยจะไปถึงก็ช้า พลีสขี้เกียจรอ"

"งั้นรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยค่ะ ถ้าไม่สบายขึ้นมาเดี๋ยวจะแย่"

"ไม่เป็นอะไรซะหน่อย"

"จะไม่เป็นอะไรได้ยังไงคะ น้องพลีสไม่สบายง่ายจะตาย โดนฝนนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นหวัดแล้ว ไปอาบน้ำเลยค่ะ เดี๋ยวนี้ค่ะ"

"ไปแล้ว ไปแล้วนี่ไง โอเคไหม" ตัดปัญหาเสียงบ่นมากมายนั่นด้วยการทำตามคำสั่งก็จบ ผมจึงตรงเข้าห้องตัวเองเพื่อจะไปอาบน้ำ เท้าก้าวได้ช้าลงตอนที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวเองลงนั่งที่ปลายเตียงขณะที่สมองกำลังคิดถึงเรื่องอื่น

 

"แล้วจะหนีพี่ไปไหนอะ"
"เข้ามาเร็ว"


 

ผมยกมือของตัวเองขึ้นมองอยู่อย่างนั้น พลันหัวใจก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะชื่นชอบหรือเคอะเขิน แต่เป็นเพราะอาการต่อต้านที่เกิดจากเหตุผลบางอย่างซึ่งฝังลึกอยู่ในใจ

ผมลุกจากที่นอน ตรงเข้าห้องน้ำแล้วเปิดน้ำล้างมือตัวเอง ทั้งล้าง ทั้งถู ขยี้เสียรุนแรงเพื่อหวังว่าจะลบล้างความรู้สึกที่กำลังเกิดอยู่ในใจได้

ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ไม่ชอบการถูกแตะเนื้อต้องตัว และแน่นอนว่าไม่ชอบ...ที่มันเป็นเช่นนั้น ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลยแต่อาการบ้าๆ นั่น ก็ก่อเกิดขึ้นมาทุกครั้งที่ตัวเองเริ่มรู้สึกกับใครและไม่เคยเอาชนะมันได้ ไม่เคยก้าวผ่านมันไปได้ แม้ว่าคนที่ใกล้ชิดกับผมจะเป็นเขา แม้ว่าจะเป็นคุณหมอ...เป็นพี่ต่อ


เป็นคนที่ผมชอบเขาเหลือเกิน...


 

To be continued.

 


 ___________________________________________________________________________________

แวะมาทักทายกันนิดหน่อย ในที่สุดก็กลายเป็นนิยายรายเดือนอีกจนได้นะคะ น่ารักที่สุด 555555

 

วันนี้ อยากพูดถึงฉากหนึ่งในตอนนี้ที่รู้สึกติดค้างอยู่ในใจมานาน เป็นฉากที่เพื่อนในห้องของพลีสรุมด่าด้วยเหตุผลที่ว่าพลีสเอางานไปส่งก่อนโดยไม่รู้ว่าเพื่อนนัดกันไว้ เหตุการณ์นี้เรานำมาจากเรื่องจริงตอนเรียนม.ปลายเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผ่านไปแล้วสิบปีแต่ยังจำได้ไม่เคยลืมเลย ยาวหน่อยนะคะ อัดอั้นมาก 5555

ในห้องเรียนหนึ่งห้อง มักจะมีนักเรียนที่เรียนเก่งๆ คนหนึ่งแล้วตกเป็นที่หมั่นไส้อยู่ตลอด ไม่รู้สมัยนี้ยังจะมีไหม นะคะ แต่สมัยที่เราเรียน คนที่เป็นเด็กเรียนหนึ่งคนจะถูกคนในห้องไม่ชอบด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้

เรื่องมันเกิดขึ้นในคาบฟิสิกส์ ด้วยความที่อาจารย์เป็นคนใจดีมาก สั่งงานแล้วก็ชอบลืมว่านัดส่งวันไหน แล้ววันหนึ่งก็มีงานชิ้นหนึ่งขึ้นมา จำได้ว่ามันเป็นรายงานแต่ไม่รู้แล้วว่าเกี่ยวกับอะไร เหมือนว่ามันจะยากหรือเยอะมากจนทำไม่ทันกันสักคนอะไรประมาณนี้ค่ะ แกนนำในห้องก็เสนอขึ้นมาว่าจะเลื่อนส่งโดยบอกว่าอาจารย์นัดวันอื่น ทุกคนตกลงกันเรียบร้อย แต่เด็กเรียนดีคนนั้นไม่รู้ เพราะเขาไม่มีเพื่อนเลย ใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ตลอด ก็เอางานไปส่งปกติ จนอาจารย์จับได้ว่าทั้งหมดในห้องโกหกเลยถูกทำโทษ จริงๆ ตอนนั้นเพื่อนในห้องโดนตีค่ะ (สมัยนั้นยังครูยังตีนักเรียนได้อยู่) ฟาดกันไปคนละที ก็กลายเป็นความโกรธเคืองกัน จบคาบก็รุมด่าเด็กนักเรียนคนนั้นด้วยถ้อยคำหยาบคาย เรื่องบานปลายไปจนถึงครูที่ปรึกษา ครูเรียกไปคุยกันเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมนักเรียนในห้องถึงไม่ชอบเด็กเรียนดีคนนั้น เรียกถามทีละคน ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองก็สาดใส่กันเต็มที่ เด็กเรียนดีคนนั้นนั่งฟังเฉยๆ โดยไม่โต้ตอบอะไร บอกให้คนรู้ว่าฟังอยู่ด้วยการพยักหน้ารับตามทุกประโยคที่เพื่อนพูดเลย จนกระทั่งครูเปิดโอกาสให้เขาพูดบ้าง จำได้ไม่ชัดนักแต่เขาพูดประมาณว่า ถ้าทุกคนไม่ชอบเรา มันก็แปลว่าเราไม่ดีนั่นแหละ ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงเหมือนกันแต่ก็ขอโทษนะ หลังจบเทอมนั้นแล้วเปิดเทอมใหม่ ทุกคนไม่เจอเด็กเรียนดีคนนั้นแล้วเพราะเขาย้ายโรงเรียนไปโดยไม่บอกใคร เด็กคนนั้นถูกลืมโดยไม่มีใครพูดถึงอีกเลย บางครั้งบางคราวเราก็เกือบไปแล้วว่าเขาชื่ออะไร

อย่างที่บอกในเรื่องค่ะ ในหนึ่งห้องเรียนจะมีเด็กเรียนดี มีเด็กเรียนไม่ค่อยดี มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ ที่เป็นแกนนำความคิดเห็นต่างๆ มีคนที่เอาแต่เกลียดคนอื่นแล้วด่าทอ มีคนที่เกลียดคนอื่นเพราะเพื่อนเกลียด มีคนที่ทำได้แค่นั่งมองเฉยๆ โดยไม่คิดเห็นอะไร

และเราเป็นหนึ่งในคนที่นั่งมองอยู่เฉยๆ ค่ะ ทั้งๆ ที่ เราเองก็คุยกับเด็กคนนั้นบ่อยกว่าใคร ทั้งๆ ที่เราต่างคนต่างชอบอ่านนิยายและมักจะแชร์กันเสมอ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนแรกที่อ่านนิยายที่เราเขียน ทั้งๆ ที่เราน่าจะเข้ากันได้ดีแท้ๆ แต่เขาก็ค่อยๆ ถอยห่างเราออกไปแล้วใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ตลอด วันที่อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกไปคุย เราจำไม่ได้เลยว่าเราพูดอะไรออกไปบ้าง แต่วันที่เพื่อนรุมด่าหรือว่ามีปัญหากันทุกครั้ง เรามักจะนั่งมองเฉยๆ โดยไม่พูดอะไรเลย บางครั้งบางคราวเราไม่ได้สนใจด้วยซ้ำไป กระทั่งมาคิดได้เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี อยู่ดีๆ เราก็คิดถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา พยายามหาทางติดต่ออยู่หลายๆ ครั้งแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนนี้เขาจะทำอะไร อยู่ที่ไหน

เราคิดมาตลอดว่า วันนั้นเราน่าจะพูดอะไรสักอย่าง เราน่าจะทำให้เขารู้ว่าอย่างน้อยๆ มีเราที่อยากเป็นเพื่อนเขา มีเราที่ไม่ได้เกลียดเขา เผื่อว่ามันจะช่วยเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ต้องย้ายโรงเรียนไปด้วยความทรงจำแย่ๆ แบบนั้น  ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้ง จะยังจำกันได้ไหม แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากจะขอโทษแล้วก็อยากจะอวดว่า เด็กบ้านิยายที่ลองเขียนให้แกอ่านวันนั้น มีหนังสือเป็นของตัวเองแล้วนะ เจ้าเพื่อนบ้า. 

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #108 เมื่อ20-06-2019 01:10:12 »

 :pig4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #109 เมื่อ20-06-2019 12:33:27 »

ทำไมพี่ต่อจำแฟนน้องไม่ได้นะ
หรือจริงๆอะไรๆมันสลับกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
« ตอบ #109 เมื่อ: 20-06-2019 12:33:27 »





ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #110 เมื่อ20-06-2019 15:54:10 »

สงสารน้องพลีส  :katai1: เราก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้เหมือนกันค่ะ เพื่อนในกลุ่มไม่ชอบใคร เราก็ไม่ชอบตามเค้าไปด้วย ทั้งที่จริงๆเราก็ไม่ได้ไม่ชอบเค้า นคกแล้วก็เสียใจเหมือนกันค่ะ :hao5: ว่าแต่พี่แสงไปไหนแล้วเนี้ยย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #111 เมื่อ20-06-2019 20:11:10 »

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #112 เมื่อ20-06-2019 21:33:49 »

เป็นพลีสไม่ง่ายเลยเนาะ
ยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะเลย

นี่ก็ผ่านชีวิตมัธยมมานานมาก ๆ สุขหรือทุกข์ก็จำไม่ได้แล้ว

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #113 เมื่อ21-06-2019 01:29:45 »

สงสารตาม สงสารพลีส  :ling3:  :ling3:

จริงๆ แหละ เพื่อนเรียนดีในห้องมักถูกเพื่อนๆหมั่นไส้
ยิ่งถ้าเป็นคนเงียบๆ ไม่สมาคมกับใครด้วยแล้วยิ่งโดนรุม  :m15:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #114 เมื่อ21-06-2019 12:25:04 »

อ่านแล้วเราก็อยากให้พลีสกลับมาเข้าร่างค่ะ แต่ก็สงสารแสงด้วย

แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม แง้

ออฟไลน์ Seilong2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #115 เมื่อ21-06-2019 13:17:52 »

แสงจะได้กลับมาไหม พลีสก็น่าสงสาร

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #116 เมื่อ23-06-2019 00:49:28 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #117 เมื่อ23-06-2019 07:46:25 »

อยู่บนความสมบูรณ์แบบที่เป็นของนอกกาย
แต่ใจกลับไม่เคยได้รับการเติมเต็ม
มีทั้งพ่อแม่ มีทั้งเงินทอง พร้อมทุกอย่าง เสียดาย

สงสารพลีสนะคะ น้องต้องเจอกับอะไรที่ร้ายแรงมากนะ
คนๆหนึ่งจะอยู่กับเรื่องนี้คนเดียว ลำพัง และก้าวผ่านไป
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และคงถึงขีดสุดแล้ว
น้องถึงเลือกทางแห่งความตาย

ปัญหาที่เป็นอยู่ไม่ได้แก้ไข พลีสต้องเจออะไรมานะกับอดีต
ขนาดแค่การสัมผัสจากคนที่รัก พลีสยังทำใจรับไม่ได้เลย

แสงเทียนจะปลอดภัยไหม หรือจะหายไปอยู่ตรงไหนอีก
พลีสจะได้กลับมาใช้ชีวิตอีกไหม จะได้เจอคนที่รักและเข้าใจ

บางทีก็สับสน ตามจำแสงได้ พี่หมอก็รู้จัก แต่พอถามถึงแสงเทียน
ทำไมทำเหมือนไม่รู้ ระหว่างทาง เกิดอะไรขึ้นกันนะ

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #118 เมื่อ24-06-2019 10:32:13 »

สนุกมากๆค่ะ รอมาต่อน้าาาา

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Miawncha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #119 เมื่อ28-06-2019 01:48:18 »

แต่ละคนโตมาในสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกัน จึงโตมามีความคิดและนิสัยต่างกัน ตัวเราเองไม่ได้เป็นแบบพลีสก็ไม่ค่อยเข้าใจ ส่วนตัวคิดว่าบางทีเพื่อนก็มักจะได้มาจากการที่เราลองเขาหาคนอื่นบ้าง ทำให้ตัวเองมีสภาพภายนอกน่าเข้าใกล้สักหน่อย ซึ่งดูแล้วพลีสไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่พลีสก็ไม่ผิดหากจะอยากใช้ชีวิตอยู่คนเดียวจริงๆ และสังคมก็ไม่ควรรุมแกล้งเค้ามันใจร้ายกับเค้ามากจริงๆ


//รอๆอ่านต่อไปคับบ รายเดือนก็รอ เค้าก็อ่านช้าเหมือนกันขอโทษเรื่องนี้ด้วย555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด