[END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19  (อ่าน 71572 ครั้ง)

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
«ตอบ #30 เมื่อ01-05-2019 23:35:56 »

แงงงงงงง อ่านต่อๆๆๆๆ :L1: :3123: :katai1:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
«ตอบ #31 เมื่อ02-05-2019 00:53:29 »

ตอนที่ 3
เห็นแก่ตัวสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร



ในเช้าวันเสาร์ที่ไม่ต้องไปโรงเรียนแต่ผมกลับตื่นเร็วด้วยความเคยชิน เดินจากห้องนอนลงมาถึงชั้นล่างก็ยังไม่เจอใครสักคนเลย เท่าที่มีชีวิตเป็นพลีสมาสองสัปดาห์ผมเจอหน้าพ่อกับแม่ของพลีสเพียงไม่กี่ครั้ง แม่จะออกไปทำงานแต่เช้าแล้วกลับเข้ามามืดๆ บางครั้งผมก็ขึ้นห้องนอนไปแล้ว ส่วนพ่อทำงานอยู่ในบ้านแท้ๆ แต่แทบจะไม่ได้เจอกัน

ผมออกมาเดินเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน มองดูต้นไม้ดอกไม้ไปเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงประตูรั้วที่เปิดค้างเอาไว้  แหงนหน้ามองฟ้าที่ดูครึ้มคล้ายว่าฝนจะตกแต่เช้า ขณะกำลังคิดอะไรวนเวียนอยู่ในหัว พลันสายตามองไปเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งกำลังเดินผ่านหน้าบ้าน สองขาจึงรีบพาตัวเองออกไปหาท่านด้วยความรวดเร็ว พลางเรียกเสียงดัง

"หลวงพ่อครับ!"

ดูเหมือนว่าหลวงพ่อจะตกใจนิดหน่อยที่ผมโผล่พรวดออกไปเช่นนั้น ผมยกสองมือขึ้นพนมแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหลวงพ่อ

"มีอะไรรึโยม"

"หลวงพ่อช่วยผมด้วยครับ ผมติดอยู่ในนี้ ออกไปไม่ได้"

"..."

"วิญญาณผม...ติดอยู่ในนี้"

"..."

"ช่วยผมด้วยนะครับ"

ผมกระพริบตาปริบๆ มองหลวงพ่อที่เอาแต่เงียบ กระทั่งท้ายที่สุดท่านก็พูดบางคำออกมา

"แล้วแต่เวรแต่กรรมเถิดโยม" ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะหันเดินออกไปอีกทาง ผมถอนหายใจอย่างไร้ความหวัง มองดูหลวงพ่อที่เดินออกไปไกลแล้วก่อนจะลุกขึ้นยืน ทบทวนคำพูดของหลวงพ่อก็พอจะเข้าใจได้ ที่ต้องติดอยู่แบบนี้...คงมีเวรมีกรรมมากนักสินะ

ผมไม่ได้ดีใจเลยที่ได้กลับมามีชีวิต กลับกัน ยิ่งนานวันยิ่งกังวล ผมจะออกไปจากร่างนี้ได้ยังไงแล้วตอนนี้วิญญาณของพลีสอยู่ที่ไหนกัน

ผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน ยังคงไม่เจอมนุษย์คนไหนนอกจากเจ้ามันแกวที่นอนขวางทางอยู่ หมาตัวนี้เกลียดผมอย่างกับอะไรดี หลังจากผงกหัวขึ้นมามองหน้าก็ทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วเมินสายตาไปทางอื่น ทั้งๆ ที่พี่หน่อยบอกกับผมว่าก่อนหน้านี้มันแกวจะสนิทกับพลีสคนเดียวโดยไม่สนใจใครเลย แต่ตอนนี้กลับเมินไม่มองแม้แต่หน้า...เอ๊ะ?

ความคิดผมสะดุดในตอนที่กำลังจะเดินผ่านมันแกวไป ผมย่อตัวลงนั่งตรงหน้า มันไม่ได้ลุกหนีไปไหนแต่ก็ไม่ได้สนใจกัน ผมพลันคิด ที่มันแกวไม่เล่นกับพลีสเหมือนเคยเพราะมันน่าจะรู้ว่าผมไม่ใช่พลีส หรือไม่บางที...

"อยู่ในนี้ใช่ไหม!"

สองมือยกขึ้นจับคอมันแกวที่ไม่ได้ขัดขืนแล้วเขย่าเจ้าหมานี่เบาๆ

"พลีสอยู่ในนี้ใช่ไหม ออกมาเลยนะ!"

"..."

"กลับมาเข้าร่างตัวเองสิ จะไปอยู่ในร่างหมาทำไม"

"..."

"ออกมานะ! ออกมาเลย! ออกมาเดี๋ยวนี้!"

"น้องพลีส!"

ทุกการกระทำหยุดกึกตอนที่พี่หน่อยปรากฏตัวขึ้น ผมปล่อยมือออกจากคอมันแกวช้าๆ แล้วหันมองหน้าพี่หน่อยที่ดูงงๆ

"น้องพลีสทำอะไรคะ"

"ผมเล่นกับมันแกวครับ"

"แต่หน่อยเห็นน้องพลีส...บีบคอมัน"

"บีบคออะไร เล่นกันครับ เล่นกันสนุกดี เนอะมันแกวเนอะ" ยกมือเคาะหัวเจ้ามันแกวสองสามที ก่อนที่หมาหน้าบูดจะเดินสะบัดตูดออกไปจากตรงนี้ ทิ้งให้ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ใส่พี่หน่อย ยังไม่วายที่จะเลิกคิดว่าวิญญาณพลีสอาจจะติดอยู่ในนั้นก็ได้ มันแกวถึงได้เกลียดขี้หน้าผมนักเพราะผมขโมยร่างของเขามา

"น้องพลีสไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วค่ะ เดี๋ยวสายนะ"

"วันนี้วันเสาร์นะครับ"

"วันเสาร์ก็ต้องเรียนพิเศษไงคะ"

"เรียนพิเศษ?"

"ใช่ค่ะ แหม ทำเป็นลืม ปกติน้องพลีสชอบไปเรียนพิเศษมากกว่าไปโรงเรียนวันธรรมดาซะอีก ไปเตรียมตัวค่ะ แล้วเดี๋ยวลงมาทานข้าวเช้านะ"

พี่หน่อยยกสองมือจับไหล่ผมหมุนแล้วผลักให้เดินไปที่บันได ไม่รู้ว่าเป็นคนยังไง ถึงได้หลงใหลการเรียนพิเศษ แค่ผมต้องไปโรงเรียนในวันธรรมดามาเป็นอาทิตย์ก็เบื่อจนแทบจะเป็นบ้า ถ้าต้องไปเรียนพิเศษอีก สมองน้องพลีสคงได้ระเบิดก่อนที่วิญญาณจะกลับมาแน่ๆ

คิดได้อย่างนั้นจึงเริ่มแผนการที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องไปนั่งเรียนพิเศษ ด้วยความสามารถด้านการแสดงที่ไม่เคยยอมใคร สถานการณ์นี้ งานสำออยต้องมา

"พี่หน่อยครับ ผมปวดหัว"

"คะ"

"ปวดหัวมากเลยครับ โอ๊ย!" ยกมือข้างหนึ่งแตะขมับทำท่าเหมือนในละครตอนนางเอกปวดหัว แล้วแกล้งเซถลาไปที่โซฟาเพื่อทิ้งตัวลงนอน ร้องโอดโอยให้ดูทรมานที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

"ปวดมากหรือเปล่าคะ"

"มากครับ มากจนจะทนไม่ไหวแล้ว"

"งั้นหน่อยพาไปโรงพยาบาลนะคะ เดี๋ยวหน่อยโทรบอกคุณวิทย์กับคุณกานต์ก่อน ไม่สิ หน่อยเรียกรถพยาบาลให้นะคะ น้องพลีสอดทนไว้นะคะ!"

หืม?

ผมผงกหัวขึ้นมองพี่หน่อยที่รีบร้อนควักโทรศัพท์ออกมากดโทรหารถพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก

"สวัสดีค่ะ ช่วยส่งรถพยาบาลมาที่..."

"เดี๋ยวครับ!" ผมลุกพรวดแล้วจงใจจะคว้าโทรศัพท์ของพี่หน่อยเพื่อขัดขวางการโทรนั่น แต่พี่หน่อยไวกว่า ยกโทรศัพท์หนีได้ก่อนในตอนที่ผมต้องสารภาพออกมาตรงๆ   

"ผมแค่แกล้งเฉยๆ ไม่ได้ปวดหัวจริงๆ ซะหน่อย"

"หน่อยก็ไม่ได้โทรจริงๆ ซะหน่อย" ว่าแล้วก็โชว์หน้าจอมือถือที่ไม่ได้โทรออกหาใคร ผมเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่ากำลังโดนหลอก

"พี่หน่อย!"

"น้องพลีสขี้โกงก่อนนี่นา"

"พี่รู้ได้ยังไงเนี่ย"

"หน่อยเลี้ยงน้องพลีสมาตั้งแต่เกิดนะคะ"

ผมเงียบไปในจังหวะนั้น ถ้ารู้จักพลีสดีขนาดนั้น ก็น่าจะรู้สิว่าผมไม่ใช่พลีส

"ไม่งอแงสิคะคนเก่งของหน่อย ไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ เดี๋ยวหน่อยทำกับข้าวอร่อยๆ ให้ทานนะ" 

"ครับ" ตอบรับอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะขึ้นห้องไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวเช้า ก่อนที่พี่หน่อยจะไปส่งผมที่เรียนพิเศษ ขณะกำลังเดินเข้ามาในตึกอย่างงงๆ หลงเพราะไม่รู้ต้องไปทางไหน เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาเรียก

"พลีส"

"หวัดดี"

"พลีสเป็นยังไงบ้าง แม่เราบอกว่า...พลีสประสบอุบัติเหตุ" ผมรู้ว่าเด็กคนนี้รู้เรื่องที่พลีสกระโดดตึก แต่เลี่ยงใช้คำอื่น ด้วยน้ำเสียงที่ดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะถาม ผมจึงพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ เด็กผู้ชายอีกคนก็เดินเข้ามาเรียกอีก

"ไง พลีส หายดีแล้วเหรอ"

"อะ...อืม"

เรื่องของพลีสคงไม่ใช่ความลับเพราะดูเหมือนทุกคนจะรับรู้กันหมด ไม่รู้กันเองในกลุ่มเพื่อน ก็คงจะเป็นผู้ปกครองที่กระจายข่าวออกไป แต่เพื่อนของพลีสทั้งสองคนนี้ก็ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ นอกจากพาผมเดินเข้าไปในห้องเรียน บรรยากาศในคลาสเรียนพิเศษทำให้ผมสบายใจกว่าที่โรงเรียน จึงเข้าใจที่พี่หน่อยบอกว่าพลีสเองก็ชอบที่เรียนพิเศษมากกว่า อย่างน้อยๆ อยู่ที่นี่...พลีสก็มีตัวตน   

 

...

 

อากาศเย็นๆ ในเช้าวันอาทิตย์ทำให้ผมตื่นสายกว่าทุกวัน แล้ววันนี้ก็เป็นอีกเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองยังคงอยู่ในร่างของพลีส ไม่รู้ว่าถอนหายใจทิ้งไปเป็นครั้งที่เท่าไร ในความรู้สึกอื้ออึงและมืดแปดด้าน ผมสูดลมหายใจเรียกสติแล้วลุกออกจากเตียง แปรงฟัน แล้วลงไปข้างล่าง

วันนี้บ้านหลังใหญ่ก็เงียบสงบเหมือนทุกวัน ผมเดินเข้าไปในครัวก่อนเป็นอันดับแรก เพราะคิดว่าพี่หน่อยน่าจะอยู่ในนั้น แล้วก็เป็นไปตามคาด พี่หน่อยที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหารที่หน้าเตาหันมามองตอนที่ผมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนดวงตาทั้งสองข้างจะเบิกกว้างแล้วเรียกชื่อเสียงดัง   

"น้องพลีส!"

"ครับๆ" ผมตอบรับงงๆ ไม่รู้พี่หน่อยตกใจอะไร

"แต่งตัวอะไรคะเนี่ย!"

ผมก้มมองตัวเองที่กำลังสวมบอกเซอร์ตัวเดียว เมื่อคืนผมนอนชุดนี้แล้วก็ยังไม่ได้อาบน้ำ คิดว่าเดินอยู่ในบ้านไม่น่าจะเป็นปัญหาเพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย แต่กลับถูกพี่หน่อยตำหนิด้วยน้ำเสียงดุๆ 

"ไม่เรียบร้อยเลยนะคะ"

"ก็อยู่ในบ้านเฉยๆ นี่นา ไม่มีใครเห็นซะหน่อย"

"แต่หน่อยเห็นค่ะ"

"ไหนว่าเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ก็น่าจะเห็นไปหมดทุกอย่างแล้วนี่" ผมแกล้งพูดพึมพำ แน่นอนว่าพี่หน่อยได้ยินชัดเจนดีจึงดุผมอีกครั้ง

"น้องพลีส!"

ผมควรสำนึกตอนโดนดุ แต่กลับทำตรงกันข้ามด้วยการแกล้งถามอย่างหยอกล้อ

"ทำไมครับ พี่หน่อยเขินเหรอ"   

"หน่อยจะไปเขินอะไร"

"เขินผมไง ร่างกายเปลือยเปล่า เซ็กซี่ไหมครับ"

พี่หน่อยหลุดหัวเราะแล้วสวนกลับมา

"ร่างกายที่หยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่ม.สาม ไม่ทำให้หน่อยเขินหรอกค่ะ"

ผมก้มมองร่างกายของพลีสอีกครั้ง ก็จริงอย่างที่พี่หน่อยบอก มันบอบบางเสียจนไม่อาจจะมองว่าเป็นร่างกายของผู้ชายด้วยซ้ำไป ผมละความสนใจจากร่างกายของพลีส แล้วเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงอาหารที่พี่หน่อยกำลังทำอยู่

"วันนี้มีอะไรกินครับ"

"ข้าวต้มกุ้งค่ะ"

ผมชะโงกมองข้าวต้มในหม้อที่กำลังเดือด กุ้งตัวใหญ่เรียกร้องความสนใจจนละสายตาไม่ได้ แสดงออกทางสีหน้าว่าอยากกินเต็มที่ ผมคิดว่าพี่หน่อยจะตักข้าวต้มให้หลังจากที่ปิดแก๊สแต่กลับหยิบฝาหม้อมาปิดแล้วหันมาพูดกับผม

"ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนค่ะ"

"ขอกินก่อนได้ไหมอะ" 

"ไม่ได้ค่ะ"

"ผมหิวแล้ว"

"ไม่ได้ค่ะ"

พี่หน่อยยื่นคำขาดแต่ผมขี้เกียจตะเกียกตะกายขึ้นบันไดไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ อีกอย่างแต่งตัวแบบนี้มันก็สบายดีออก ด้วยความขี้เกียจจึงคิดที่จะต่อรองด้วยการออดอ้อน

"ขอกินก่อนนะ นะครับ นะครับพี่หน่อย"

"..."

"กินเสร็จแล้วเดี๋ยวรีบไปเปลี่ยนเลย นะครับ น้า"

ผมคิดว่าความน่ารักจากใบหน้าของพลีสทำให้พี่หน่อยแพ้จนหลุดยิ้มออกมาแล้วอนุญาตให้ผมกินข้าวขณะยังอยู่ในชุดนี้ได้ ผมเดินไปรอที่โต๊ะกินข้าว ก่อนพี่หน่อยจะเอาข้าวต้มกุ้งตัวโตๆ ยกมาเสิร์ฟให้ แค่ได้สูดกลิ่นหอมกรุ่นของมันก็อร่อยจนลอยไปดาวอังคารแล้ว

ก่อนที่ผมจะลงมือกิน ก็หันไปมองพี่หน่อยที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ผมกินข้าว พี่หน่อยจะยืนอยู่ไม่ห่าง ยกน้ำดื่มมาให้ จากนั้นก็รอให้ผมกินเสร็จแล้วก็เก็บชาม ผมไม่เคยเห็นพี่หน่อยกินข้าวเลยด้วยซ้ำไป

"พี่หน่อยครับ"

"คะ"

"ปกติแล้ว ผมจะสั่งให้พี่หน่อยทำอะไรก็ได้ใช่ไหมครับ"

"ได้ทุกอย่างค่ะ อยากได้อะไรบอกหน่อยค่ะ"

"กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย"

"คะ?"

"กินข้าวด้วยกันนะครับ"

"แต่ปกติแล้วน้องพลีสไม่ชอบทานข้าวพร้อมใครนี่คะ"

"ตอนนี้มันไม่ปกติครับ"

"..."

"ผมไม่อยากกินข้าวคนเดียว"

ตั้งแต่อยู่ในร่างของพลีสมา ทั้งที่บ้านหรือที่โรงเรียน ผมจะต้องกินข้าวคนเดียวตลอดแล้วก็ไม่ชิน วันนี้เลยอยากให้พี่หน่อยกินด้วยกันจึงพูดออกไปแบบนั้น เป็นคำขอร้องพี่หน่อยคงปฏิเสธ แต่พอเป็นคำสั่งพี่หน่อยจึงยอมตามใจผมด้วยการไปตักข้าวต้มมานั่งกินด้วยกัน

ข้าวต้มกุ้งฝีมือพี่หน่อยอร่อยจนตาโตตั้งแต่คำแรก หรืออาจเป็นเพราะผมเพิ่งจะได้รับรู้รสชาติของมันหลังจากที่ไม่ได้กินมานานก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรข้าวต้มชามนั้นก็คือสวรรค์ของผมในตอนนี้ ขณะกำลังตั้งหน้าตั้งตากินอย่างอร่อย ผมเงยหน้าพี่หน่อยที่กำลังมองผมอยู่ เมื่อเงยขึ้นไปสบตา พี่หน่อยก็รีบหลบตาแกล้งทำเป็นตักข้าวใส่ปาก 

"พี่หน่อยมองผมทำไม"

"เปล่าค่ะ"

"เปล่าอะไร เห็นอยู่ว่ามอง"

"คือ..."

"พูดมาเถอะครับ"

"หน่อยแค่รู้สึกว่า น้องพลีสเป็นน้องพลีสที่ดูไม่เหมือนน้องพลีสเลย"

เป็นคำพูดที่ดูกำกวมแต่ผมเข้าใจความหมายที่พี่หน่อยต้องการจะสื่อ เป็นไปอย่างที่ผมเคยคิดว่าพี่หน่อยรู้จัก
พลีสดีกว่าใคร จึงเป็นไปได้ที่เขาจะรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่พลีส หากลืมเรื่องหัวสมองกระทบกระเทือนจนความจำสับสน พี่หน่อยคงรู้ว่าพลีสเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแน่ๆ แต่ด้วยความที่เรื่องราวมันเหลือเชื่อเกินกว่าที่ผมจะบอกกับเขา ผมจึงเลือกที่จะเงียบแทนที่จะอธิบาย ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งจะต้องหลุดออกมาจากร่างนี้ได้แล้วเมื่อถึงวันนั้นน้องพลีสคนเดิมของพี่หน่อยก็จะกลับมา

"น้องพลีสรีบทานเถอะค่ะ จะได้ไปอาบน้ำแต่งตัว เดี๋ยวจะสาย"

"เดี๋ยวสาย? นี่ผมต้องไปไหนเหรอครับ อย่าบอกนะว่าต้องไปเรียนพิเศษอีกแล้ว!"

"วันนี้วันอาทิตย์ ไปโบสถ์ค่ะ"

"อ๋อ ครับๆ"

ผมพยักหน้ารับ แม้ไม่รู้เลยว่าจะต้องไปทำอะไรที่โบสถ์ แต่ด้วยความที่เอียนกับการเรียนแล้ว จังหวะนี้ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่เรียนพิเศษอะ

 

พี่หน่อยพาผมมาที่โบสถ์ซึ่งค่อนข้างไกลจากบ้าน ผมนับถือพุทธมาตั้งแต่เกิด พอได้ยินเกี่ยวกับศาสนาคริสต์มาบ้างแต่ก็ไม่เคยรู้ลึกถึงพิธีกรรมอะไรทางศาสนาเลย ผมจึงทำได้เพียงนั่งเฉยๆ ในตอนที่คนอื่นกำลังประกอบพิธี นั่งอยู่ตรงนั้นใจผมก็สงบลงไปด้วยเพราะไม่ได้คิดอะไรเลย

จนกระทั่งเสร็จพิธี พี่หน่อยขอตัวไปคุยกับเพื่อน ส่วนผมตั้งใจจะเดินออกไปรอพี่หน่อยข้างนอก ผมเงยหน้ามองสถาปัตยกรรมของโบสถ์ที่ดูสวยงามอย่างน่าสนใจ หันมองไม้กางเขนอันใหญ่แล้วคิดอะไรเล่นๆ อยู่ในใจ

คล้ายว่าผมกำลังฉีกทุกกฎของการเป็นผี ไม่กลัวพระ ไม่กลัวไม้กางเขน ไม่มีอะไรขับไล่วิญญาณผมได้เลย ไม่รู้ว่าจะต้องดีใจที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้ หรือจะต้องร้องไห้ดีเพราะหาทางออกจากร่างไม่เจอ 

"เขี้ยวกุด"

ผมหันขวับมองเสียงที่กระซิบเรียกข้างหู ร่างกายหยุดชะงักกะทันหัน พลันหลุดปากเรียกชื่อคนที่เข้ามาทักด้วยความตกใจ

"ตาม"

"ตามอะไร เพื่อนเล่นเหรอ"

"ฮะ?"

"พี่ตามดิ นี่พี่ตาม"

"ครับ...พี่...พี่ตาม" ผมอึกอักที่จะเรียกตามแบบนั้น อายุเท่ากันให้มาเรียกพี่ก็เลยขัดกับความรู้สึกนิดหน่อย เมื่อถูกเรียกว่าพี่แล้ว ตามก็พยักหน้ารับยิ้มๆ 

"ดีมากเขี้ยวกุด"

ไม่รู้ทำไมตามถึงเรียกพลีสแบบนั้น ใจจริงก็อยากถามแต่ความสนใจของผมมันกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น ผมยืนมองใบหน้าของตามที่ไม่ได้เห็นชัดๆ มานาน ถ้าตอนนี้ผมเป็นแสง คงโผเข้าไปกอด แต่พลีสคงไม่ทำเช่นนั้น ผมจึงทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมอง ผ่านไปเกือบสามปีที่ไม่ได้เจอกัน เดาเอาว่าตามคงไม่ดูแลตัวเองเลย รูปร่างดูซูบผอม ใบหน้าก็ดูโทรมลงไปจากแต่ก่อน ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตามไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม หยิบอะไรได้ก็สวมเข้าไปแบบไม่คิดมาก วันนี้ตามสวมเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงวอร์มปักตราโรงเรียน สามปีผ่านไปก็ยังใส่กางเกงตัวนี้อยู่ ตามก็ยังคงเป็นตาม...เป็นคนที่ผมรัก

"นี่จะกลับแล้วเหรอ"

เสียงของตามดึงผมออกจากความคิด แล้วจึงตอบกลับไป

"ยังครับ แล้วพี่...พี่มาทำอะไรที่นี่เหรอ" คำถามโคตรโง่ ตามเองก็คงรู้สึกอย่างนั้นจึงหันมาหัวเราะเบาๆ

"ถามทำไมเนี่ย ก็รู้อยู่แล้วว่ามาทำไม"

ตามเองก็นับถือคริสต์นี่นา

"เออ อาทิตย์ที่แล้วไม่เห็นมา เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ไม่ค่อยสบายน่ะครับ"

หล่นจากตึกห้าชั้นหัวแตกเย็บหกเข็ม เรียกว่าไม่ค่อยสบายได้แหละเนอะ

"พี่ตาม!" เสียงของคนที่ปรากฏตัวขึ้นเรียกตามจากหน้าโบสถ์ ได้ยินเช่นนั้นตามจึงหันมาบอกลาผม แล้ววิ่งไปหาเด็กคนนั้น ผมยังคงยืนอยู่กับที่ มองดูตามที่กำลังยืนพูดคุยอยู่ตรงนั้น

"น้องพลีส"

เสียงเรียกของพี่หน่อยดึงความสนใจผมให้หันไปมอง

"เป็นไงคะ สบายใจขึ้นไหม"

"ครับ"

"งั้นเรากลับกันเลยนะคะ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนก้าวเท้าเดินออกไปพร้อมพี่หน่อย ขณะเดียวกันพี่หน่อยก็หันมาเรียกผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"น้องพลีสคะ"

"ครับ"

"หน่อยขอพูดถึงเรื่องวันนั้นได้ไหมคะ"

"วันนั้น?"

"วันที่น้องพลีส..."

ผมพยักหน้ารับในตอนที่เพิ่งจะเข้าใจว่าพี่หน่อยคงอยากพูดถึงวันที่พลีสตกลงมาจากตึกนั่น

"ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุ หน่อยอยากบอกให้น้องพลีสระวังมากกว่านี้ แต่ถ้าน้องพลีสตั้งใจ..."

"..."

"หน่อยอยากขอร้อง อย่าทำแบบนั้นอีกนะคะ"

"..."

"สัญญาได้ไหมคะ คนดีของหน่อย"

มันควรจะเป็นพลีส ที่ได้รับรู้ความรู้สึกของพี่หน่อยในตอนนี้ ความรักและเป็นห่วงมากล้นจนผมเองยังรู้สึกได้ว่าพลีสสำคัญกับพี่หน่อยขนาดไหน ผมไม่อาจสัญญาด้วยคำพูดของตัวเอง ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ในตอนที่พี่หน่อยกำลังเอาแต่โทษตัวเอง

"หน่อยผิดเองที่ดูแลน้องพลีสไม่ดี"

"..."

"เป็นเพราะหน่อยเอง"

"..."

"ถ้าวันนั้นหน่อยอยู่ด้วย เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้"

 

"ถ้าวันนั้นเราอยู่ด้วย เธอก็คงไม่ต้องจากไปแบบนี้"

 

ผมหลับตาแน่นในตอนที่คำพูดของพี่หน่อยคล้ายกันกับคำพูดของตามที่ผมเคยได้ยินในวันที่ผมกลับไปหา อยู่ๆ มันก็ผุดขึ้นมาในหัวพร้อมกับเรื่องราวของตามอีกเป็นร้อยเป็นพันความคิด   
ผมกลับไปหาตามแค่ครั้งเดียวหลังจากที่ผมตาย ผมทำใจไม่ได้ที่ต้องรับรู้ว่าตัวเองได้ตายจากเขาไปแล้ว แค่คิดว่าไม่มีวันที่จะได้พบกันอีกแล้ว ผมก็ร้องไห้ไม่หยุด ถ้าต้องไปเจอตามแต่ทำไม่ได้แม้แต่จะแตะต้องหรือสัมผัส มันก็เจ็บจนแทบจะขาดใจ และไม่รู้ว่าในวันนี้...ตามจะลืมผมไปหรือยังนะ


"เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ"

ผมพยักหน้ารับพี่หน่อยแล้วก้าวเท้าเดินตาม ขณะในใจกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอย่างร้อนรน จนกระทั่งทนไม่ได้

"พี่หน่อยครับ"

"คะ?"

"พี่รอผมแป๊บหนึ่งนะครับ เดี๋ยวผมมา"

"น้องพลีสจะไปไหน อ้าว..."

ผมไม่รอให้พี่หน่อยพูดจบแล้วรีบก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้นก่อน กวาดสายตามองหาตามที่ไม่รู้ว่าเดินไปไหนแล้ว ผมกำลังคิดเห็นแก่ตัว ในตอนนี้ผมไม่ใช่แสงแต่เป็นพลีส ผมมีตัวตน ผมแตะต้องตามได้ ทำทุกอย่างที่มนุษย์ทำได้ มันจะผิดมากไหม หากผมจะขอใช้ร่างของพลีสเพื่อให้ผมได้ใกล้ชิดกับตาม แค่วันเดียวก็ยังดี แค่วันเดียวก็ได้...ความคิดตีกันในหัว กระทั่งความโหยหาเอาชนะทุกข้อโต้แย้ง ไม่อาจควบคุมความคิดที่เกินสติจะฉุดรั้ง...ผมยอมเห็นแก่ตัว

"เธอ"

"..."

"ตาม"

"..."

"พี่ตาม!"

เสียงดังของผมเรียกตามให้หยุดเดิน ขณะที่ผมรีบวิ่งเข้าไปหา

"มีไร เรียกดังเชียว"

"อาทิตย์หน้าพี่จะมาที่นี่ไหมครับ"

"ทำไมอะ"

"พี่จะมาไหมครับ"

"มีอะไรเปล่า"

"ผมถามว่าพี่จะมาไหม!"

"แล้วเราจะทำไม"

"ผมอยากเจอพี่!"

"ฮะ?"

"ผมอยากคุยกับพี่ อยากคุยกับพี่อีกสักครั้ง อีกแค่ประโยคเดียวก็ยังดี"

แม้ตามจะแสดงออกด้วยใบหน้าที่ดูงุนงงแต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ฝ่ามือของตามวางลงบนหัว แม้ร่างกายเป็นของคนอื่น แต่ความรู้สึกเป็นของผม ผมจึงรับรู้ถึงสัมผัสนั่นได้ ตามลูบหัวผมเบาๆ แล้วตอบคำถามที่ผมรออยู่ 

 

"พี่จะมาครับ"


 

To be continued.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2019 07:49:39 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
«ตอบ #32 เมื่อ02-05-2019 01:40:53 »

เหมือนจะเห็นดราม่าลอยอยู่ไกลๆ :m15:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
«ตอบ #33 เมื่อ02-05-2019 02:18:52 »

 :pig4:
 :กอด1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
«ตอบ #34 เมื่อ02-05-2019 02:19:38 »

 :pig4:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
«ตอบ #35 เมื่อ02-05-2019 06:43:01 »

น่าสงสาร บรรยากาศของทุกคนไม่ปกติเลย

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
«ตอบ #36 เมื่อ02-05-2019 08:51:01 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
«ตอบ #37 เมื่อ02-05-2019 19:39:29 »

 :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4 -- 7/05/19
«ตอบ #38 เมื่อ07-05-2019 00:01:21 »

ตอนที่ 4
ถ้าน้ำตาจะไหล ก็ต้องปล่อยให้มันไหลออกมา

           

ตอนที่ยังมีชีวิตผมเป็นนักศึกษาคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกฝรั่งเศส หลังจากที่เข้ามหาวิทยาลัย ผมจึงไม่ได้เรียนวิชาคำนวณอย่างพวกคณิตฯ ฟิสิกส์ หรือวิชาในหมวดวิทยาศาสตร์เลย เพราะฉะนั้นการที่ผมต้องมานั่งเรียนในวิชาที่ได้กล่าวมาแบบตลอดทั้งวัน จึงต้องใช้พลังงานชีวิตสูงมาก หลังจากจบคาบสุดท้ายร่างกายก็หมดเรี่ยวแรง

ผมลากเท้าตัวเองเดินตามเพื่อนร่วมชั้นออกมานอกห้องเรียนหลังจากที่ครูปล่อยกลับบ้าน ทั้งบทเรียนที่ไม่เข้าใจสักนิด ทั้งผู้คนมากมายที่เดินวนไปวนมา เสียงดังจอแจของเด็กนักเรียน รวมถึงบาดแผลที่หัวที่อยู่ๆ ก็เจ็บแปลบขึ้นมาซะเฉยๆ ทั้งหมดนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเหนื่อยล้าจนอยากกลับบ้านเร็วๆ ใจลอยนึกไปถึงที่นอนนุ่มๆ ในห้องแอร์เย็นๆ ขณะในหัวกำลังคิดถึงเรื่องอื่น ผมจึงไม่ทันได้มองไอ้ปั้นที่ยืนอยู่ข้างหน้า แล้วแกล้งยกขาตัวเองขึ้นขัดขาผมตอนที่เดินผ่าน ด้วยเหตุนั้นผมจึงล้มหน้าทิ่ม ล้มคนเดียวไม่ว่า ดันพุ่งตัวไปโดนเด็กผู้หญิงข้างหน้าจนล้มคว่ำไปพร้อมกัน

"เฮ้ย!" ผมร้องลั่นพลันเบิกตากว้างตอนที่เห็นสภาพของผู้หญิงเคราะห์ร้ายที่ถูกผมล้มเข้าใส่อย่างไม่ได้ตั้งใจเป็นเหตุให้กระโปรงนักเรียนของเธอเปิดขึ้นอย่างน่าอาย

"ไอ้พลีส! ไอ้บ้า!" 

"เพียะ!"

หน้าผมหันไปอีกทางเพราะแรงตบจากฝ่ามือของผู้หญิงคนนั้น

"ขอ..." เธอวิ่งออกไปจากตรงนี้ก่อนที่คำขอโทษของผมจะพูดจบด้วยซ้ำไป ผมหันขวับมองเสียงหัวเราะของไอ้ตัวต้นเหตุที่เห็นเป็นเรื่องสนุก

"ไอ้พลีส ไอ้หื่น เปิดกระโปรงคนอื่นหน้าไม่อาย"

"..."

"มองอะไรเล่า ไปดิ!" ไอ้ปั้นตะคอกเสียงใส่ผม ยกมือตบหัวผมทีหนึ่งแล้วเดินออกไปอย่างไม่รู้สำนึกผิด สองมือผมกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ จากที่เคยคิดว่าผมจะไม่ใช้ร่างของพลีสทำอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่ความอดทนของผมมีไม่มากพอ ก้าวเท้าเร็วๆ เดินตามไอ้ปั้นที่เดินนำออกไปก่อน ใช้จังหวะที่มันไม่ทันได้สนใจ ง้างมือขึ้นสูงแล้วฟาดเข้าไปที่ท้ายทอยมันเต็มแรง

"ป้าบ!"


"โอ๊ย!" คนถูกตบร้องลั่นแล้วหันขวับมาหาผม

"ไอ้พลีส! มึงตบกูทำไมเนี่ย!"

"กูตบมึง มึงเจ็บไหม"

"เจ็บสิวะ!"

"แล้วเวลามึงตบกู คิดว่ากูไม่เจ็บหรือไง ไอ้บ้า!"

"มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย ผีเข้าเหรอ!"

"เออ! ผีเข้า! เข้าแล้วออกไม่ได้ด้วยโว้ย!" เสียงดังของผมบวกกับการกระทำเหนือความคาดหมายของผมทำให้นักเรียนที่อยู่ตรงนี้หันมามองเป็นตาเดียว ในตอนที่ไอ้ปั้นมันกำลังงุนงง ผมรีบพาตัวเองเดินออกมาจากตรงนั้น ทำตัวเท่ๆ เดินออกมานิ่งๆ แต่ความจริงต้องการหนี แม้ว่าใจจะกล้าแต่ว่าร่างบอบบางของพลีสคงสู้อะไรกับไอ้ปั้นไม่ได้แน่ๆ ก่อนที่มันจะตั้งสติแล้วสวนผมกลับสักที ก็คงต้องหนีไปก่อน

"ครืด...ครืด..."

ผมหันไปมองไอ้ปั้นเพื่อแน่ใจว่ามันไม่ได้ตามมา ก่อนจะละความสนใจจากตรงนั้นมารับโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง

"ครับพี่หน่อย"

(น้องพลีสคะ หน่อยรถเสียอยู่กลางทาง คงจะไปรับน้องพลีสช้า รอหน่อยอยู่ที่โรงเรียน อย่าไปไหนนะคะ)

"ผมกลับเองก็ได้ครับ"

(เอาอย่างนั้นเหรอคะ)

"ครับ ผมกลับเองได้"

(ถ้าอย่างนั้น ถึงบ้านแล้วโทรหาหน่อยนะคะ)

"ครับผม"

ผมตอบรับพี่หน่อย ก่อนจะพาตัวเองออกไปที่หน้าโรงเรียน ในระหว่างที่เดินผ่านกลุ่มนักเรียน สองหูก็ได้ยินบทสนทนาของเด็กๆ เหล่านั้นไปด้วย ผมจำได้ว่าผมผ่านช่วงเวลามัธยมไปอย่างมีความสุขที่สุด ในหัวพลันคิดไปถึงเพื่อนๆ ร่วมชั้น...พวกมันจะเป็นยังไงกันบ้างนะ แล้วถ้าผมยังมีชีวิตอยู่...ตอนนี้จะกำลังทำอะไรนะ

ตลอดเวลาทั้งชีวิต ไม่เคยมีวันไหนที่ผมไม่มีความสุขเลย ผมมีครอบครัว มีเพื่อน และมีคนรักที่ดี ทั้งๆ ที่มันเป็นชีวิตที่ดีและมีความสุขขนาดนั้น แต่กลับเป็นชีวิตที่แสนสั้นจนน่าใจหาย...ทำไมโชคชะตาถึงให้เวลาผมน้อยจังเลย

ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์ อากาศวันนี้ก็ดูครึ้มๆ บ่งบอกชัดว่าเป็นฤดูฝน ผมหย่อนตัวลงนั่งที่ป้ายรถเมล์ มองสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างเลื่อนลอย 

เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้นะ...

ตายไปแล้วด้วยซ้ำแต่กลับไปเกิดใหม่ไม่ได้ หนักกว่านั้นคือวิญญาณเข้ามาติดในร่างของคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลใดที่จะอธิบายเรื่องราวบ้าๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมได้เลย

เฮ้อ...

นั่งเหม่ออยู่ที่ป้ายรถเมล์ครู่หนึ่ง ก่อนตั้งใจจะกลับบ้าน ทางกลับบ้านของพลีสกับบ้านผมเป็นทางเดียวกัน ผมจึงรู้ดีว่าจะต้องขึ้นรถเมล์สายไหน แต่ในขณะที่กำลังรอรถเมล์อยู่ฝนก็ลงเม็ดลงมาซะเฉยๆ จากที่ตั้งใจจะกลับรถเมล์จึงเปลี่ยนใจไปเรียกแท็กซี่แทน 

ฝนตกปรอยๆ ตลอดทางที่นั่งรถกลับบ้าน ผมเหม่อลอยมองเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบกระจกแล้วไหลลงไปเป็นทาง ไม่ทันได้สนใจถนนหนทางรอบข้างกระทั่งแท็กซี่พาผมมาถึงทางแยก จึงพลันคิดขึ้นมาได้ว่ามีที่ที่หนึ่งที่อยากไปจึงรีบเอ่ยปากบอกแท็กซี่

"พี่ครับ! เลี้ยวซ้ายข้างหน้าเลยครับ!"

ผมลงจากแท็กซี่ตอนที่ขับมาถึง ปลายทางไม่ใช่บ้านพลีสแต่เป็นบ้านของผม ด้วยความคิดถึงจึงตัดสินใจมาที่นี่ และเพราะผมอยู่ในร่างของพลีส คนที่บ้านจะไม่มีทางรู้ว่าผมเป็นใคร

ผมยืนรวบรวมสติอยู่ที่หน้าร้านกาแฟของแม่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไป เสียงกริ่งที่แขวนอยู่ตรงประตูดังขึ้น เจ้าของร้านที่ยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ก็หันมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้าง

"เชิญเลยค่ะ"

ผมนิ่งมองแม่ ขณะที่อีกฝ่ายก็ยิ้มรับอยู่อย่างนั้น

แสงเองนะแม่...

"เชิญนั่งได้เลยค่ะ" คงเห็นว่าผมยืนอยู่นานแม่จึงบอกเช่นนั้น ในร้านที่มีลูกค้าแค่สองโต๊ะ ร้านจึงว่างจนเลือกนั่งได้ตามใจ ผมเลือกโต๊ะตัวที่มองเห็นแม่ได้ชัดที่สุดเมื่อแม่ยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ แม่เป็นคนเอาเมนูมาให้ผมด้วยตัวเอง ผมบังคับมือที่กำลังสั่นเทาขึ้นรับเมนูนั้นมา

"เลือกดูก่อนได้เลยนะคะ"

ผมพยักหน้ารับแล้วเปิดเมนูนั้นดูผ่านๆ หันสบตากับแม่ที่เดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ เมื่อเห็นว่าผมมองอยู่นานแม่คงคิดว่าผมพร้อมที่จะสั่งจึงทำท่าจะเดินมารับออร์เดอร์ แต่ผมรีบบอกออกไปเลย

"ขอโกโก้ปั่น..."

"ใส่โอริโอ้ไหมคะ"

"ครับ โกโก้ปั่นใส่โอริโอ้ครับ"

เมนูเด็ดของร้านแม่เลย ผมจำรสชาติมันได้ดี ถ้าได้กินอีกทีคงมีร้องไห้กันบ้าง ผมเผลอมองแม่ที่กำลังจัดการเมนูนั้นให้ผมอยู่ แม่ดูมีความสุขทุกครั้ง รอยยิ้มมักปรากฏอยู่บนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ยิ้มของแม่...สวยที่สุดในโลกสำหรับผมเสมอ

ขณะที่ผมละสายตาออกจากแม่ไม่ได้ สายป่านก็เดินลงมาจากบันไดแล้วเดินเข้าไปหาแม่ พูดคุยพึมพำได้ยินไม่ชัดนัก ขณะที่แม่ทำโกโก้โอริโอ้ปั่นให้ผมแล้ว จังหวะที่จะหมุนตัวไปหยิบแก้วก็ชนโครมเข้ากับถ้วยสำหรับใส่ไอติม

"โครม!"

"แม่!"

จอมซุ่มซ่ามของพ่อเขาล่ะ โชคดีที่มันเป็นพลาสติกจึงไม่แตก สายป่านที่ตะโกนเรียกแม่ได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วก้มลงเก็บถ้วยพวกนั้นก่อนเป็นคนอาสาเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ผมด้วยตัวเอง

"ได้แล้วค่ะ"

"ขอบคุณครับ" ผมตอบรับ ขณะที่สายป่านกำลังจะวางแก้วลงตรงหน้าแต่กลับหยุดชะงัก หัวคิ้วขมวดตอนผมเงยหน้าขึ้นมอง

"พี่..."

หัวใจผมกระตุกวูบเมื่อถูกเรียกเช่นนั้น

"พี่ที่ทักหนูว่าอ้วนในโรงอาหารใช่ป่ะ"

"เอ่อ...ครับ"

"วันนั้นหนูตกใจมากเลยนะพี่"

"ขอโทษครับ ขอโทษที่เรียกว่าอ้วนด้วย"

"โอ๊ย ไม่โกรธหรอกค่ะ ก็อ้วนจริงๆ แต่ตกใจมากกว่า เพราะคนที่เรียกหนูว่าอ้วนมีคนเดียวในโลก"

ผมเอง...

"พี่ชายหนูน่ะค่ะ"

ผมได้แต่พยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนที่สายป่านจะเดินกลับเข้าไปในเคาน์เตอร์ มองแม่กับสายป่านยืนคุยกันขณะอ้าปากดูดโกโก้โอริโอ้ปั่นฝีมือแม่

อยากกอดแม่กับน้องจัง...คิดถึงมากๆ เลย

"หนู"

"..."

"หนูจ้ะ"

"ครับ?" ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ที่ยกมือจับไหล่ผมอยู่

"เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ร้องไห้ทำไม"

ขณะที่สติกำลังเลื่อนลอยไปไกล ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ยกมือปาดน้ำตาแล้วใช้ศาสตร์สาขาการแสดงแกล้งพูดแก้ตัวไปส่งๆ

"โกโก้อร่อยมากเลยครับ"

"..."

"อร่อยจนน้ำตาไหลเลย"

"..."

"ไม่เคยกินอะไรอร่อยเท่านี้มาก่อนเลยครับ"

แม่กลับหัวเราะออกมาแล้วตบไหล่ผมเบาๆ สองสามที

"ถ้าอร่อย ก็มาทานบ่อยๆ นะคะ"

"ครับ"

ผมตอบรับ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าโอกาสหน้าจะได้มาอีกสักครั้งไหม แม่ละไปจากผมตอนที่ลูกค้าอีกโต๊ะเรียกเก็บเงิน ผมยังคงมองตามแม่พลางคิดอะไรอยู่ในหัว ในโลกที่ไม่มีผม ชีวิตของพ่อกับแม่และน้องก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างปกติเพราะเรารู้ดีว่าเราทำอะไรไม่ได้ แม่เอาชีวิตผมกลับมาไม่ได้ ผมพาตัวเองกลับไปหาแม่ไม่ได้ ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้นอกจากคิดถึงกัน แม้ว่าบางครั้ง...ความคิดถึงมันจะทำให้ผมเจ็บปวดจนแทบขาดใจก็ตาม 

 

ฝนหยุดตกแล้วในตอนที่ผมเดินออกมาจากร้านแม่แล้วตั้งใจจะกลับไปบ้านพลีส ด้วยความที่มันไม่ไกลมากจึงคิดว่าน่าจะเดินไหว แต่ร่างกายไม่คิดอย่างนั้น เหนื่อยหอบจนต้องมองหาที่นั่งพัก ผมไม่เคยถามพี่หน่อยว่าพลีสมีโรคประจำตัวอะไรไหม ร่างกายถึงเปราะบางง่ายไม่เป็นดั่งใจสักอย่าง ผมยกมือทาบอกเพื่อปลอบหัวใจให้เต้นช้าลงหน่อย ขณะนั้นพลันมองไปเห็นคนที่ปรากฏตัวขึ้นในสายตา หัวใจผมก็เดือดพล่านหนักกว่าเก่า

เธอ...

อีกฝ่ายหันมาเห็นผมเข้าพอดี ยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาหา

"ไง เขี้ยวกุด"

เขี้ยวกุดคืออะไรวะเธอ...

"เลิกเรียนแล้วยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ"

"ยัง...ครับ" ปกติแล้วผมจะไม่ใช้คำว่ามึงกูกับตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พูดจาหยาบคายใส่กันเลย การที่ผมต้องกลายมาเป็นเด็กที่อ่อนกว่าเขาหลายปี ต้องเรียกพี่แถมยังต้องพูดเพราะมันก็รู้สึกไม่ชินแฮะ

"แล้วพี่ตามมาทำอะไรแถวนี้เหรอ"

"หาอะไรกิน"

ผมพยักหน้ารับ ผมคิดว่าพลีสคงไม่ได้สนิทกับตามมากมายนัก เพราะทุกครั้งที่เจอก็เพียงแค่ทักทาย มีบทสนทนาระหว่างกันไม่กี่คำตามมารยาท อีกฝ่ายก็ต้องขอตัวออกไปก่อน ครั้งนี้ก็เช่นกัน

"พี่ไปก่อนนะ"

ไม่ให้ไป...

ผมคิดในใจแต่สองมือของตัวเองกลับยกขึ้นดึงมือของตามเอาไว้ซะอย่างนั้น อีกคนหันมองพลางเลิกคิ้วขึ้นแล้วถาม

"มีอะไรเปล่า"

"ผม...ผมหิว ขอไปกินข้าวด้วยได้ไหม"

"ฮึ?"

"นะครับ"

"ได้ดิ"

ผมลุกพรวดขึ้นอย่างดีใจแล้วเดินไปกับตาม เราเดินมาหยุดอยู่ที่ริมถนนในตอนที่กำลังจะข้ามไปอีกฝั่ง ตามหันมองรถแล้วรอจังหวะข้าม เมื่อได้โอกาสก็ยื่นมือมาจับมือผมข้ามไปด้วย สองเท้าของผมจึงเดินตามเขาไปอย่างอัตโนมัติ สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือที่จับกันอยู่พาให้ผมคิดถึงเรื่องราวของเรา

ถ้าวันนั้นเราไม่ตายจากเธอไป...วันนี้เราจะยังได้จับมือกันอยู่แบบนี้ใช่ไหมตาม...

"เขี้ยวกุดอยากกินอะไร"

"ครับ?"

"อยากกินอะไร"

"หมูทอดกับข้าวไข่เจียว"

ตามหลุดหัวเราะตอนที่ผมบอกเมนูนั้นไป

"หัวเราะอะไร"

"เป็นลูกคุณหนู กินข้าวไข่เจียวเป็นด้วยเหรอ"

"ไม่เห็นจะเกี่ยว ใครๆ ก็กินได้ทั้งนั้นแหละ"

จะว่าไปตั้งแต่เป็นพลีสมาก็ยังไม่เคยได้กินไข่เจียวจริงๆ นั่นแหละ พี่หน่อยให้กินแต่ของดีๆ แต่บางทีชีวิตผมก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากข้าวไข่เจียวร้อนๆ กับซอสมะเขือเทศ อยากกินชะมัด

"หมูทอดไม่รู้จะพาไปกินที่ไหน แต่ข้าวไข่เจียวมีร้านหนึ่งเด็ด"

"ไข่เจียวหน้าธนาคาร"

"เฮ้ย รู้ได้ไง"

"ก็ร้านประจำของเราไง!"

ตามขมวดคิ้วนิดๆ ตอนได้ยินผมพูดเช่นนั้น ผมจึงรีบหาข้อแก้ตัวแบบมั่วสุดๆ

"ร้านประจำของพี่หน่อยกับผมครับ"

"อ๋อ"

คลายความสงสัยของตามผมก็เดินนำเขาเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านที่ว่า แต่ถูกตามเรียกเอาไว้ก่อน

"ไปไหนพลีส"

"ก็ไปร้านข้าวไข่เจียว"

"ทางนี้" ตามชี้ไปอีกทาง แต่ผมเถียง

"ทางนี้ไม่ใช่เหรอ มันอยู่หน้าธนาคารไง"

"เขาย้ายไปเป็นปีแล้ว ไปอยู่ไหนมาเนี่ย ไหนว่าร้านประจำ มานี่!" ผมถูกตามดึงมือให้เดินกลับไปอีกทาง ตอบคำถามของตามอยู่ในใจว่าผมไปอยู่ที่ไหนมา ไปตายไงตาม ตายแล้วเลยไม่ได้ไปกินนาน 

ตอนที่เรียนมหาลัย ผมกับตามแทบจะฝากชีวิตเอาไว้ที่ร้านข้าวไข่เจียว มันง่ายและสะดวกแถมราคาถูก เด็กจนๆ อย่างผมต้องประหยัด ขณะที่ลูกคนรวยอย่างตามก็ถูกผมล้างสมองให้มาคลั่งไคล้ไข่เจียวทรงเครื่องด้วยกัน ผมจำเมนูไข่เจียวที่ตามชอบสั่งได้ดี ความเคยชินสั่งให้ผมพูดออกไปอย่างลืมตัว

"ใส่ปูอัดกับไส้กรอกใช่ไหม"

"รู้ได้ยังไงว่าพี่ชอบ"

คิดไม่ทัน...

แถไม่ทัน...

เอาไงดี...

"พลีสรู้ได้ยังไง"

"ผมก็ชอบเหมือนกัน จะสั่งแบบนี้แหละ พี่ตามอยากสั่งอะไรก็สั่งไปดิ" ผมร่ายยาว หยิบกระดาษจดเมนูแผ่นใหม่ให้ตามแล้วทำเป็นลืมเรื่องเมื่อครู่ไปดื้อๆ

เรานั่งรอกันอยู่ครู่หนึ่ง ข้าวไข่เจียวทรงเครื่องที่สั่งเหมือนกันก็ถูกยกมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมของมันทำให้ผมยิ้มหน้าบาน หันมองขวดซอสมะเขือเทศที่วางอยู่บนโต๊ะ เพราะรู้ดีว่าตามไม่กินซอสมะเขือเทศจึงเป็นคนลุกไปหยิบซอสพริกที่โต๊ะข้างๆ มาส่งให้ตาม...ด้วยความลืมตัว อีกแล้ว

"รู้ด้วยว่าพี่ไม่กินซอสมะเขือเทศ"

"เปล่า ไม่รู้"

"แล้วหยิบซอสพริกให้พี่ทำไม"

"เปล่าหยิบให้พี่ กินเองต่างหาก"

"ส่งให้พี่อยู่ชัดๆ"

"ไม่ได้ส่ง ใครบอกส่ง ไม่ได้ส่งซะหน่อย เอามากินเองต่างหาก" ผมแก้ตัวข้างๆ คูๆ รู้ว่าไม่เนียนแต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว คว้าขวดซอสพริกแล้วเทใส่ไข่เจียว โธ่...ทั้งๆ ที่ชอบกินซอสมะเขือเทศแท้ๆ ผมวางขวดซอสหลังจากที่เทใส่จนพอใจแล้ว แต่ตามยังขมวดคิ้วมองหน้าผมอยู่

"มองทำไม"

"แปลกๆ นะเราเนี่ย เป็นอะไรหรือเปล่า"

"เป็นอะไรครับ"

"ไม่รู้ดิ มันดูแปลกๆ ไปไง เมื่อก่อนแทบจะไม่พูดจนพี่คิดว่าเป็นใบ้ วันนี้พูดเก่งจัง แถมยังตามพี่มากินข้าวด้วย ปกติเหรอ ถามจริง?"

"ก็..."

"ผีเข้าเหรอ"

"เปล่า!"

"เบาๆ" ตามยกมือปิดปากผมที่ปฏิเสธเสียงดังไปหน่อย ผมจับมือตามออกจากปากแล้วปฏิเสธอีกครั้ง

"เปล่า"

"ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า"

สองมือผมกุมช้อนกับส้อมแล้วเขี่ยข้าวในจานไปๆ มาๆ ก่อนที่จะติดสินใจอธิบายให้ตามฟัง จริงบ้าง เท็จบ้าง หวังว่าเขาจะเข้าใจ

"คือผมเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย"

"เฮ้ย เป็นอะไรมากเปล่า"

"ก็บอกว่านิดหน่อยไง"

"อ๋อ เออ ต่อสิ"

"หัวผมถูกกระแทกแรงมาก กระทบกระเทือนจนทำให้ความทรงจำของผมสับสน ผมก็เลยเป็นแบบนี้ ดูไม่เป็นตัวเอง"

"..."

"แต่อีกไม่นานก็จะหาย แล้วถ้าผมหายพลีสคนเดิมก็จะกลับมา"

"..."

"เดี๋ยวพลีสคนเดิมก็กลับมา...เขาจะกลับมาตอนที่ผมหายไปครับ"

"พูดไรอะ งง"

"มันน่างงตรงไหนไม่ทราบ!"

"ไม่รู้ดิ กำกวม พูดเหมือนตัวเองไม่ใช่พลีส"

"เอางี้ คิดว่าผมเป็นพลีสอีกเวอร์ชั่นหนึ่งก็แล้วกันครับ"

"มีหลายเวอร์ชั่นไปอีก"

"เออน่า กินข้าวเถอะ"

ตามพยักหน้ารับแล้วตักข้าวไข่เจียวใส่ปาก ตามเป็นผู้ชายหน้าตาแมนๆ ที่น่ารักเวลากินข้าว ผมชอบเวลาตามยัดอาหารเข้าไปในกระพุ้งแก้มแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ เหมือนกระต่าย อดยิ้มออกมาไม่ได้   

เพราะไม่เคยไปหาตามเลยหลังจากที่ตาย ก็เลยไม่รู้ว่าชีวิตของตามเป็นยังไงบ้าง อยู่ที่ไหน ทำงานอะไร มีแฟนใหม่หรือยัง เพราะตอนนี้ผมกำลังเป็นพลีส มีโอกาสได้คุยกับเขาก็เลยลองถาม

"พี่ตาม"

"ฮึ?"

"พี่ตามทำงานอะไร"

"ทำพาร์ทไทม์อยู่สองสามที่"

"พาร์ทไทม์?"

"อือ"

"พี่จบวิศวะมาไม่ใช่เหรอ"

"รู้อีกและ รู้ได้ไงเนี่ย" 

"ก็..พี่ต่อ...พี่ต่อเคยพูดให้ฟัง" โกหกแทบจะทุกห้านาที แบบนี้นรกคงรอผมอยู่แน่ๆ เลย

"พี่ต่อเนี่ยนะ"

"อื้อ พูดให้ฟังตอนไปทำฟันกับพี่ต่อไง"

"พี่ต่อขี้นินทาว่ะ "

"ไม่ได้นินทาซะหน่อย แค่พูดถึงเฉยๆ แล้วทำไมไม่ไปหางานทำแบบจริงๆ จังๆ ล่ะครับ"

"ขี้เกียจ เกาะพี่ต่อกินก็สบายดีอยู่แล้ว"

"เธอนี่มันน่าตีจริงๆ" ผมส่ายหัวยิ้มๆ ขณะที่ตามยั้งมือที่กำลังจะตักข้าวใส่ปากแล้วมองหน้าผม

"มีอะไรครับ"

"เมื่อกี้พลีสเรียกพี่ว่า...เธอ"

"ไม่ใช่ซะหน่อย ได้ยินผิดแล้ว หูไม่ค่อยดีนะพี่เนี่ย"

ตามพยักหน้ารับหน่อยๆ ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ ผมจึงปล่อยผ่านแล้วเตือนสติตัวเองว่าอย่าหลุดบ่อย ไม่งั้นคงลำบากหาเรื่องมาแก้ตัวไม่ทันแน่ๆ รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนดีกว่า

"แล้วทำไมพี่ตามถึงเรียกผมว่าเขี้ยวกุดเหรอ"

"ก็เมื่อก่อนเรามีเขี้ยวสองข้างไง ตอนนี้พี่ต่อมันดึงเข้าไปแล้วใช่ไหม ไหนยิ้มสิ"

ผมขยับปากยิ้มตามคำสั่ง

"เออ เนี่ย ไม่มีเขี้ยวแล้ว เขี้ยวกุดไง"

ผมพยักหน้ารับหลังจากเข้าใจสักทีว่าทำไมถึงถูกเรียกแบบนั้น แล้วก็รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้พลีสต้องติดไอ้เหล็กจัดฟันอันสุดแทนทรมานนี้เอาไว้ในปากเพราะอยากให้เขี้ยวหายไปนี่เอง

ผมพูดคุยกับตามในระหว่างที่นั่งกินข้าวไข่เจียวจนหมดจาน เวลาที่อยู่ด้วยกันรวดเร็วจนรู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดไปแล้วเรียบร้อย ตามอาสาเดินไปส่งผมที่บ้าน ในระหว่างนั้นก็หาเรื่องมาคุยกันต่อ เป็นผมที่เอาแต่ถามนั่นถามนี่เพราะอยากรู้ว่าชีวิตของตามเป็นยังไงบ้าง แต่เรื่องเดียวที่ไม่กล้าถาม...ไม่รู้ว่าตามลืมผมไปหรือยัง

"พลีส รอพี่แป๊บ"

ผมพยักหน้ารับตอนที่ตามบอกให้หยุดยืนรอ อีกคนเดินไปที่ร้านขายดอกไม้ครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมดอกกุหลาบแดงกำหนึ่ง ผมมองดอกไม้นั่นสลับกับมองหน้าตาม แล้วเอ่ยปากถาม

"ซื้อให้ใครอะ"

"ยุ่ง"

"เอ้า!"

ตามยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินนำผมไป ยังอดไม่ได้ที่จะแซวต่อ

"ให้แฟนเหรอ"

"ฮึ?"

"ซื้อดอกไม้ให้แฟนเหรอ"

"อือ"

"..."

"ให้แฟน"

ผมยิ้มรับในคำตอบนั้น ทำใจเอาไว้แล้วว่าวันหนึ่งตามก็จะต้องมีคนอื่นเข้ามาเป็นคนรักแทนที่ผม ไม่ใช่ว่าผมไม่รักตามแล้ว แต่ผมเข้าใจ แม้ว่าวันหนึ่งตามจะค่อยๆ ลืมเรื่องราวของเราไปช้าๆ ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ผมก็ไม่เป็นอะไร ตามยังต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกนาน ชีวิตตามยังต้องดำเนินไปข้างหน้า ดีกว่าจมปลักอยู่กับความรักที่ไม่มีตัวตนแล้วอย่างผม และหวังว่าเขาคนนั้นจะอยู่กับตามได้นานเท่าชีวิต ส่วนเรากับเธอ...

 

เอาไว้ชาติหน้า ค่อยมาแก้ตัวกันใหม่นะ

 

To be continued.

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
«ตอบ #39 เมื่อ07-05-2019 01:34:38 »

อยากอ่านอีก​

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
« ตอบ #39 เมื่อ: 07-05-2019 01:34:38 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
«ตอบ #40 เมื่อ07-05-2019 02:09:08 »

 :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
«ตอบ #41 เมื่อ07-05-2019 04:11:31 »

 :hao7: :mew1:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
«ตอบ #42 เมื่อ07-05-2019 16:27:15 »

เจ็บแทนแสง อยากให้อัพทุกๆวันเลยค่า55555 :hao5:

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
«ตอบ #43 เมื่อ07-05-2019 16:45:48 »

หวังแค่ว่า แฟนจอวตามจะหมายถึงแสง  :sad4:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
«ตอบ #44 เมื่อ07-05-2019 20:46:41 »

ได้เจอกันแล้วต้องทำเหมือนไม่รู้จักกัน มันทรมานจัง

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
«ตอบ #45 เมื่อ08-05-2019 18:03:41 »

เศร้า จาง ^^

ออฟไลน์ Miawncha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
«ตอบ #46 เมื่อ09-05-2019 00:11:37 »

มาตาอ่านแล้วค้าบบบบ ยุ่งเหลือเกินช่วงนี้
ฮือออออ อยากรู้แล้วจะเป็นไงต่อ จะเป็นอย่างที่คิดไว้มั้ย หรือจะม่าอีกมั้ยเรื่องนี้

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
«ตอบ #47 เมื่อ09-05-2019 21:18:19 »

ตอนที่ 5
เสียงที่ดังที่สุด คือเสียงที่อยู่ในใจ


"ตกลงว่าวันอาทิตย์พี่จะไปโบสถ์ใช่ไหมครับ"

"ไปดิ มีคนบางคนเรียกร้องขนาดนั้น"

คนบางคนที่ว่านั่นหมายถึงผม คนขี้เล่นอย่างตามแกล้งทำเสียงล้อเลียนคำพูดผมในวันนั้น

"ผมอยากเจอพี่ อยากคุยกับพี่ อีกประโยคเดียวก็ยังดี"

"พี่ตาม!"

"จะจีบพี่เหรอ"

"บ้า!"

"จีบไม่ได้นะ พี่มีแฟนแล้ว"

"รู้น่า!"

ตามหัวเราะก่อนยกมือเคาะหัวผมเบาๆ สัมผัสจากตามทำให้ผมแอบยิ้มอยู่เสมอ ตามติดนิสัยชอบแตะเนื้อต้องตัวคนอื่น ทั้งผม ทั้งเพื่อน หรือแม้แต่พ่อแม่และพี่ต่อ เผลอๆ ก็เดินเข้ามากอด มาเล่นหัว เอามือมาโอบ มาจับมือ เวลานอนด้วยกันก็ต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสกันเอาไว้ให้อุ่นใจ...ในตอนนี้ ผมอยากกอดตามที่สุดเลย

"พี่กลับก่อนนะ" ตามหันหน้ามาบอกตอนที่เดินมาส่งผมถึงที่หน้าบ้าน

"ครับ"

"เจอกันวันอาทิตย์"

ผมพยักหน้ารับก่อนตามจะหันหลังเดินกลับไปทางเดิม คำพูดที่ย้ำชัดว่าเราจะได้เจอกันอีกเป็นเหตุให้ผมหลุด รอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้...อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์จัง

แต่เอาเข้าจริงๆ พลีสอาจจะไม่ชอบใจก็ได้ที่ผมใช้ร่างของเขามาใกล้ชิดกับตามแบบนี้ แต่ความรู้สึกผิดที่มีต่อพลีสก็ถูกตีกระเจิงด้วยความคิดละโมบและเห็นแก่ได้ ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆ ตาม...แค่นั้นเอง

"น้องพลีส!" เสียงของพี่หน่อยเรียกผมดังลั่นตอนที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เจ้าของเสียงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้วยุ่งคล้ายกำลังโกรธ ผมกระพริบตาปริบๆ มองหน้าพี่หน่อย ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรให้โมโห กระทั่งพี่หน่อยพูดมันออกมา

"น้องพลีสหายไปไหนมา ทำไมกลับบ้านช้าขนาดนี้ แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์หน่อย"

ลืมสนิท...

ผมไม่ได้สนใจโทรศัพท์เลย ซ้ำยังลืมไปว่าพี่หน่อยรอให้ผมโทรหาหลังจากที่ถึงบ้านแล้ว ด้วยความผิดที่ไม่มีข้อแก้ตัวผมจึงทำได้แค่เอ่ยปากขอโทษ

"ขอโทษครับ"

"จะไปไหนทำไมไม่บอกหน่อยก่อน วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ"

ผมก้มหน้ารับความผิด ขณะที่พี่หน่อยก็ยังคงสีหน้ายุ่งๆ ในความโกรธมีความเป็นห่วงเจือปนอยู่อย่างรู้สึกได้ ไม่ว่าจะโกรธกันแค่ไหนพี่หน่อยก็ยังคงไม่ละเลยหน้าที่ที่ต้องดูแลพลีสอย่างดี จึงหันมาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่

"ทานข้าวมาหรือยังคะ"

"กินแล้วครับ"

"โอเคค่ะ" ตอบรับแค่นั้นแล้วหันหลังให้ทำท่าจะเดินเข้าไปในครัวแต่ผมรีบยกสองมือของตัวเองโอบร่างพี่หน่อยเอาไว้จากด้านหลัง การกระทำนั้นเป็นเหตุให้คนถูกก่อนหยุดชะงักอยู่กับที่ แล้วเอ่ยปากถาม

"น้องพลีสทำอะไรคะ"

"ง้อพี่หน่อย"

"ง้อ?"

"ก็พี่หน่อยกำลังโกรธผมนี่นา"

"..."

"ผมขอโทษครับ วันหลังจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว พี่หน่อยอย่าโกรธเลยนะ นะครับ" ออดอ้อนอยู่ครู่เดียว พี่หน่อยก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้ ผมคลายกอดออกจากพี่หน่อยเพื่อขยับไปมองหน้าพี่หน่อยที่ยิ้มออกแล้ว

"ไม่โกรธแล้วใช่ไหมครับ"

"หน่อยไม่ได้โกรธค่ะ แค่เป็นห่วง" 

"ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ" ผมว่าแล้วยกแขนขึ้นกอดพี่หน่อยอีกครั้ง มือข้างหนึ่งของพี่หน่อยยกลูบหัวผมเบาๆ 

"น้องพลีสไม่เคยกอดหน่อยเลยสักครั้ง"

"..."

"วันนี้...ดีใจจัง"

แม้ไม่ใช่พลีสแต่การที่ทำให้พี่หน่อยดีใจได้ผมก็มีความสุขไปด้วย กระชับกอดพี่หน่อยให้แน่นขึ้น วันนี้ผมเป็นคนผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงต้องขอโทษพี่หน่อยอีกครั้ง แต่ในตอนที่ได้มองเห็นหน้าพี่หน่อยชัดๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า...พี่หน่อย หน้าตาคุ้นๆ แฮะ

 

...

 

ผมเริ่มชินกับการกลับไปใช้ชีวิตเป็นนักเรียน แม้ว่าจะไม่มีเพื่อนเลยสักคนก็ตาม ผมเคยตั้งคำถามแต่หาคำตอบไม่ได้ว่าพลีสเป็นคนยังไง ผมจึงใช้ชีวิตในโรงเรียนในแบบที่เป็นตัวผม แน่นอนว่ามันอาจจะดูแปลกไปบ้างในสายตาของเพื่อนในห้อง แต่การที่ผมเป็นผม มันก็ทำให้ไอ้ปั้นกลั่นแกล้งผมที่อยู่ในร่างของพลีสน้อยลง...น้อยลงแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่แกล้งเลย

"เฮ้ย!"

ผมหันขวับมองเสียงดังจากสนามฟุตบอล แน่นอนว่าเป็นไอ้ปั้นที่กำลังจะแกล้งเตะบอลมาโดนหัวผม ด้วยความไวที่ไหวตัวทัน ผมจึงยกมือคว้าบอลที่กำลังพุ่งเข้ามาได้พอดี

"ตุ้บ!"

"แม่ง เสือกรับได้อีก! ส่งคืนมาดิ!" มันตะโกนสั่งแต่ผมทำกลับกัน หันหน้าไปอีกฝั่ง โยนฟุตบอลขึ้นสูงแล้วเตะไปยังฝั่งตรงข้ามของสนามฟุตบอลด้วยแรงทั้งหมดที่มี บอลลูกนั้นจึงลอยปลิวไปไกลอย่างที่ใจคิด ตอนประถมก็เคยเป็นนักบอลเหมือนกันโว้ย!     

"ไอ้พลีส! มึงไปเก็บมาเลยนะ!"

"เก็บเองดิ"

"ไอ้พลีส!"

ผมยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงอาหาร ข้าวกลางวันคือความสุขเดียวที่ทำให้ผมอยากมาโรงเรียน วันนี้ก็ฝากท้องไว้ที่ร้านป้าพุกเหมือนเคย วันนี้ผมสั่งไข่พะโล้กับหมูทอดที่กินได้ไม่เบื่อ เดินไปซื้อน้ำแล้วก็หาที่นั่งว่างๆ กินข้าวคนเดียว มันก็เหงานิดหน่อยแต่ความอร่อยทำให้ลืมว่าตัวเองโดดเดี่ยวไปชั่วครู่ 

"พี่"

ผมเงยหน้าขึ้นมองเสียงเรียก แม้ไม่มั่นใจว่าเป็นตัวเองเพราะไม่รู้จักใคร แต่พอเงยขึ้นไปก็เห็นว่าเป็นสายป่าน สัญชาตญาณเอ่ยปากเรียกอย่างลืมตัว

"สายป่าน"

"พี่รู้จักชื่อหนูด้วยเหรอ"

"วันนั้นได้ยินแม่เรียกที่ร้านน่ะ" ดูเหมือนว่าความสามารถด้านการโกหกจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่ใช้เวลาแค่วินาทีเดียวคิดคำตอบได้กะทันหัน

"นั่งด้วยได้ไหมคะ"

ผมพยักหน้ารับสายป่าน โต๊ะที่นั่งได้หกที่พอดีกับจำนวนสมาชิกในกลุ่มของน้อง สายป่านเลือกที่นั่งตรงข้ามผม แล้วหลุดหัวเราะตอนที่หันมาเห็นจานข้าวของผม

"กินเหมือนกันเลย"

ผมเองได้แต่หัวเราะตามก่อนที่สายป่านจะหันไปคุยกับเพื่อน ผมมองดูน้องกินข้าวอย่างอร่อยก็มีความสุขแล้ว ดีใจที่น้องเติบโตมาได้อย่างดี เป็นเจ้าอ้วนที่น่ารักเสมอ

ผมเลื่อนสายตามองสายป่านที่กำลังใช้ช้อนผ่าไข่พะโล้แล้วตักเอาแต่ไข่แดงกิน สายป่านชอบกินไข่แดง ขณะที่ผมชอบกินไข่ขาว คราวนี้ผมไม่ได้ลืมตัวแต่ตั้งใจ ตักไข่แดงในจานตัวเองให้สายป่าน

"พี่ให้"

"ให้ทำไม พี่ไม่กินเหรอ"

"พี่ไม่กินไข่แดง แต่เห็นว่าเราชอบ"

"ชอบค่ะ"

ไม่เคยปฏิเสธเรื่องกินเลยนะอ้วน

"งั้นพี่ก็คงไม่รังเกียจไข่ขาวของหนูใช่ไหม"

"เอามาเลย" ผมตอบก่อนที่สายป่านจะตักไข่ขาวในจานตัวเองส่งให้แลกกับไข่แดง ผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่สุด ได้กินข้าวกับน้องอีกครั้ง...แค่นี้ก็ดีแล้ว

 

...

 

ในที่สุดวันอาทิตย์ที่ผมรอคอยก็มาถึง ผมตื่นแต่เช้า เตรียมตัวพร้อมสำหรับการไปโบสถ์ เดินลงมาหาพี่หน่อยในครัว เห็นกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหาร ผมตั้งใจจะแกล้งด้วยการค่อยๆ ย่องเข้าไปหา กะว่าพี่หน่อยคงจะตกใจ แต่ไม่ทันเนถึง คนที่ยืนอยู่หน้าเตาก็หันขวับมาก่อน

"เฮ้ย!" กลายเป็นผมที่ตกใจจนร้องลั่น

"คิดจะแกล้งหน่อยเหรอคะ"

"รู้ได้ยังไงครับเนี่ย"

พี่หน่อยชี้ไปที่ตู้เหนือเคาน์เตอร์ครัว วัสดุสีเงินเงาวับสะท้อนให้เห็นตัวเองราวกับกำลังส่องกระจก ผมทำหน้ายุ่งเพราะแกล้งพี่หน่อยไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนเรื่องไปหาของกินแทน เห็นอาหารที่พี่หน่อยกำลังเตรียมอยู่ ดูเยอะเกินกว่าที่จะทำให้ผมกินคนเดียวจึงตั้งคำถาม

"ทำไมวันนี้ทำกับข้าวเยอะจังเลยครับ"

"วันนี้คุณวิทย์กับคุณกานต์หยุดงานทั้งคู่ จะทานมื้อเช้าด้วยกันค่ะ"

"อ๋อ" ผมพยักหน้ารับ แทบจะไม่ได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ของพลีสเลยด้วยซ้ำ ผมอาสาเป็นลูกมือช่วยพี่หน่อยทำกับข้าว เรื่องทำอาหารผมไม่เอาไหนเลย อย่างเก่งก็ต้มมาม่าใส่ไข่ได้ จึงทำได้แค่ช่วยหยิบจับนั่นนี่แล้วตักอาหารที่เสร็จพร้อมทานใส่จานไปวางรอบนโต๊ะ

"พี่หน่อยครับ กินข้าวเสร็จเราจะไปโบสถ์กันใช่ไหมครับ"

"วันนี้เราไม่ไปโบสถ์ค่ะ"

"อ้าว!"

"คุณวิทย์กับคุณกานต์จะพาน้องพลีสไปข้างนอก เห็นว่าจะพาไปดูหนังแล้วก็กินมื้อเที่ยงนอกบ้านค่ะ"

"แต่ผมอยากไปโบสถ์มากกว่า"

"ไม่ดื้อสิคะคนดี นานๆ ทีคุณวิทย์กับคุณกานต์จะมีเวลาว่างตรงกัน น้องพลีสไม่ได้ดูหนังมานานแล้วด้วย ไปดูหนังกับคุณพ่อคุณแม่เนอะ"

"อยากไปโบสถ์"

"ไปดูหนังค่ะ"

"ไปโบสถ์ก่อนไม่ได้เหรอ ไปแป๊บเดียวก็ได้ ไปแล้วก็รีบกลับไง โห่!"

งอแงให้ตายแค่ไหนก็ไม่เป็นผล ท้ายที่สุดผมก็ต้องออกไปข้างนอกกับพ่อแม่ของพลีสเพื่อดูหนังอย่างที่บอก

ผมแทบไม่ได้สนใจเรื่องราวของหนังเลยเพราะเอาแต่คิดไปว่า ตัวเองกำลังผิดนัดกับตามทั้งที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าจะไปเจอกัน โอกาสที่จะได้เจอตามมันมีไม่มาก แล้ววันนี้ผมก็เสียโอกาสนั้นไปแล้ว

หลังจากดูหนังเสร็จก็ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี พ่อกับแม่ขัดแย้งกันนิดหน่อยเรื่องร้านอาหาร พ่ออยากกินปิ้งย่าง ขณะที่แม่อยากกินอาหารญี่ปุ่น สุดท้ายลงเอยด้วยการให้ผมเป็นคนเลือก ผมจึงพาเดินเข้าร้านสเต็กที่อยู่ตรงหน้าในขณะนั้นพอดี

ผมกับแม่เป็นคนสั่งอาหารเผื่อพ่อด้วย เพราะพ่อยังยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าร้าน นานครู่หนึ่งพ่อจึงเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายุ่งๆ เดาว่างานคงไม่ราบรื่นจนทำให้พ่อดูอารมณ์เสีย ทั้งๆ ที่เป็นวันอาทิตย์แท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจให้พ่อได้หยุดงาน

"มีอะไรหรือเปล่าคุณ"

"ลูกค้าเขาอยากให้ผมแก้แบบนิดหน่อย คงต้องรีบกลับไปทำ"

"เขาไม่รู้เหรอว่าวันนี้คุณหยุด"

"เอาจริงๆ แล้วเนี่ย งานอย่างผมมันไม่มีวันหยุดหรอกนะ"

"ถึงได้ยุ่งจนไม่มีเวลาให้ลูกเลยสินะ"

"นี่คุณ ทำอย่างกับคุณมีเวลาว่างมากนัก เรามันก็บ้างานพอๆ กันนั่นแหละ"

"ก็พยายามหาเวลาให้ลูกอยู่นี่ไง แล้วที่ฉันต้องทำงานหนัก ฉันก็ทำเพื่อลูกทั้งนั้น"

"ทำเพื่อลูกหรือเพื่อตัวเองกันแน่ คุณคงอยากได้ตำแหน่งผู้บริหารก่อนที่พี่น้องคนอื่นจะแย่งไปล่ะสิ"

"นี่คุณจะมาชวนทะเลาะทำไม"

"ผมแค่พูดเฉยๆ"

"ถ้าการพูดเฉยๆ ของคุณมันทำให้เราต้องทะเลาะกัน คุณก็ไม่ต้องพูด"

"แล้วคุณ..."

"หยุดเถอะครับ" ผมเอ่ยปากเป็นประโยคแรกหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน โชคดีที่เสียงของผมทำให้พ่อกับแม่เงียบลงได้ทั้งคู่ แต่หน้าตาดูไม่สบอารมณ์ พ่อหันหน้าไปทาง แม่หันหน้าไปอีกทาง ดูโมโหกันทั้งคู่

พ่อกับแม่ของผมไม่เคยทะเลาะกันเลย เถียงกันแรงที่สุดก็ตอนที่ตกลงกันไม่ได้ว่าจะตั้งชื่อสายป่านว่าอะไร ด้วยความที่ผมไม่มีประสบการณ์ว่าต้องรับมือยังไงในเวลาที่พ่อแม่ทะเลาะกัน ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยื่นมือตัวเองทั้งสองข้างไปจับมือพ่อกับแม่เอาไว้ ทั้งสองคนหันมองหน้าผม พลีสคงไม่เคยทำแบบนี้ แต่ผมเชื่อว่าความรู้สึกที่ส่งผ่านฝ่ามืออุ่นนั้นจะทำให้พวกเขาเข้าใจ ความเงียบทำให้ใจของทั้งคู่เย็นลง ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากออกมาเป็นคนแรกในตอนที่สถานการณ์สงบแล้ว

"ผมรักพ่อกับแม่นะครับ"

"..."

"อย่าทะเลาะกันเลย"

"..."

"ผมขอร้อง"

หวังว่าคำขอร้องของผมจะมีความหมาย ในตอนที่พลีสกลับมา พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก ผมทำเพื่อพลีสและตอบแทนเขาได้เพียงเท่านี้จริงๆ

 

...

 

ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนเย็น ผมยังคงค้างคาใจที่วันนี้ไม่ได้ไปหาตาม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะติดต่อเขายังไง วันนี้ทั้งวันจึงเป็นวันเปื่อยๆ ที่ความคิดเลื่อนลอยไปไหนไม่รู้

ผมนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา แต่สายตามองไปยังมันแกวที่นอนนิ่งๆ อยู่หน้าประตู อยากเล่นกับหมาแต่หมาไม่ชอบขี้หน้าผมมันจึงไม่เล่นด้วย ผมเลื่อนสายตาไปมองพี่หน่อยที่กำลังเดินเอาเสื้อผ้านักเรียนของผมที่รีดแล้วขึ้นไปเก็บในตู้บนห้องนอน ตอนมีชีวิตผมต้องทำหน้าที่พวกนั้นเองทั้งหมดเพื่อแบ่งเบาภาระของแม่ แต่พอกลายมาเป็นพลีส ความสะดวกสบายถาโถมเข้าใส่จนผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น ไม่อยากให้พี่หน่อยต้องเหนื่อยเกินไปผมจึงลุกพรวดจากโซฟาแล้ววิ่งไปหาพี่หน่อยที่ขึ้นบันไดไปได้สองสามขั้น

"พี่หน่อยครับ!"

"คะ"

"เดี๋ยวผมเอาไปเก็บเองครับ"

"เดี๋ยวหน่อยไปเก็บให้ค่ะ หน้าที่หน่อย ไม่ต้องลำบากเลยค่ะ"

"ก็ผมอยากช่วยนี่"

"ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง ไปนั่งรอหน่อยที่โซฟา เดี๋ยวเราต้องออกไปตัดผมกันนะคะ"

"ตัดผม?"

"ใช่ค่ะ ผมน้องพลีสเริ่มยาวแล้ว เดี๋ยวคุณครูจะดุเอา หน่อยเอาเสื้อผ้าไปเก็บแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวลงมาค่ะ"

"งั้นผมไปเองก็ได้ครับ"

"เดี๋ยวหน่อยพาไปค่ะ"

"ผมขอไปเอง แค่งานในบ้านพี่หน่อยก็เหนื่อยแย่แล้ว เดี๋ยวก็ได้เวลาทำอาหารเย็นอีก ผมไปเองดีกว่า แค่ตัดผมเอง ผมไปได้ครับ"

"เอาอย่างนั้นเหรอคะ"

"เอาอย่างนั้นครับ"

"ถ้าอย่างนั้นรีบไปรีบมานะคะ"

"ครับๆ" ผมรับคำ แล้วเดินออกจากบ้านตรงไปยังร้านตัดผม มีร้านหนึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ร้านประจำที่ไปตัดบ่อย ปักหมุดเป้าหมายไว้ที่นั่นแล้วเดินไปอย่างสบายๆ เพราะอากาศที่เย็นกำลังดี

 

"กริ๊ง"

 

เสียงกริ่งหน้าประตูร้านตัดผมดังขึ้นตอนที่ผมเป็นคนเปิดเข้าไป ก่อนที่คนในนั้นจะหันมาเอ่ยปากต้อนรับ

"สวัสดีครับ...เขี้ยวกุด!"

"เธอ!"

"ฮะ?"

"พี่ตาม"

ก็หลุดปากทุกทีที่เจอหน้าแล้วเรียกตามว่าเธอ ความเคยชินเรื่องนี้มันแก้ไขยาก เพราะผมเรียกตามแบบนั้นมาตั้งหลายปีก่อนที่จะตาย จะให้เปลี่ยนกันง่ายๆ คงไม่ได้เพราะเรื่องแบบนี้มันต้องการเวลา ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่า จะเหลือเวลาอีกเท่าไรที่จะได้มีโอกาสเรียกตามแบบนี้

"มาทำอะไร" ตามเอ่ยถามผมก่อน

"มาตัดผม แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่"

"ทำงานสิ"

"งานพาร์ทไทม์ที่บอกเหรอ"

"อือ นั่งเลย"

"พี่เป็นคนตัดเองเหรอ"

"ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องผมแหว่งก็จะตัดให้"

"เฮ้ย"

"ล้อเล่นๆ เจ้าของร้านไม่อยู่ นั่งรอก่อนสิ"

ผมพยักหน้ารับแล้วนั่งลงข้างๆ ตามก่อนอีกฝ่ายจะลุกพรวดขึ้นเมื่อคิดขึ้นมาได้

"เออ มาสระผมก่อนดีกว่า"

"สระผม?"

"ใช่ มาเร็ว"

"พี่เป็นคนสระ?"

"ใช่ดิ"

"ไม่เอา" ผมปฏิเสธ 

"สระเถอะ พี่อยากมีงานทำ นี่ว่างจนเจ้านายจะไล่ออกอยู่แล้วเนี่ย"

"แต่ว่า..."

"มาเร็ว เดี๋ยวพี่สระให้" ตามดึงผมไปยังเตียงสระผม ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วจึงยอมให้ตามสระผมให้ นึกขึ้นมาได้ว่าหัวมีแผลยังไม่หายดี ผมจึงบอกกำชับกับตาม   

"หัวมีแผลอยู่ สระเบาๆ นะ"

"ครับ คุณลูกค้า" พูดล้อเล่นด้วยรอยยิ้มก่อนจะเริ่มสระผมให้ ไม่เคยมีใครสระผมให้มาก่อนก็เลยรู้สึกแปลกๆ อุณหภูมิน้ำอุ่นๆ กำลังดี กับสองมือของตามที่ขยี้ผมอย่างเบามือตามที่ผมบอก สบายชะมัดเลย

"แหม เคลิ้มเลยนะ"

"เคลิ้มอะไร"

"เพลินล่ะสิ"

ก็จริง...เถียงไม่ได้เลยต้องยอมรับด้วยการพยักหน้าหงึกๆ

"แล้วทำไมวันนี้ไม่ไปโบสถ์"

ผมขยับหน้ามองตามที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

"นัดพี่ไว้ไม่ใช่เหรอ"

"คือ...ผม..."

"โกรธนะเนี่ย"

"อย่าโกรธนะ"

"โกรธไปแล้ว พี่รอเราตั้งนาน"

"ขอโทษ"

"ไหนบอกสิว่าจะง้อพี่ยังไง"

"เลี้ยงข้าวไข่เจียวเอาไหม"

"เอาดิ"

"ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ"

"พี่จนอะ ปฏิเสธของกินไม่ได้หรอก เดี๋ยวอดตาย"

"จนอะไร พ่อแม่พี่รวยจะตาย"

"พ่อแม่พี่น่ะรวย แต่พี่จนไงครับ"

ตามหลุดหัวเราะ ขณะที่เรามองหน้ากันอยู่ สองมือของตามละออกจากหัวของผม ก่อนยื่นมือข้างหนึ่งมาแตะเข้าเบาๆ ที่ข้างแก้ม สัมผัสจากปลายนิ้วของตามทำเอาหัวใจผมเต้นตึกตัก เป็นมนุษย์มันก็มหัศจรรย์ตรงนี้ ตรงที่หัวใจเต้นได้หลายจังหวะตามสถานการณ์ของอารมณ์ ผมกำลังจะเอ่ยถามว่าตามทำแบบนั้นทำไม แต่อีกฝ่ายก็พูดออกมาก่อน

"ฟองมันติดหน้าน่ะ"

"อ๋อ...ครับ"

"หน้าแดงเลยนะ แพ้ฟองเหรอ"

"เปล่า!"

"งั้นก็แปลว่าเขินน่ะสิ"

"บ้า"

ได้ยินเสียงตามหัวเราะอยู่ในลำคอ คงสนุกที่ได้แกล้งก่อนจะลงมือสระผมต่อ ผมไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหนจึงหลับตาลง พลันคิดถึงเรื่องราวระหว่างผมกับตาม ภาพจำสุดท้ายก่อนที่ผมจะตาย คือวันที่ตามร้องไห้เพราะเราทะเลาะกัน ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้ตามโกรธ คิดว่าเอาไว้ขอโทษวันหลังก็คงไม่เป็นอะไร แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายจึงไม่มีโอกาสได้แก้ตัว วันนี้ผมอยากให้ตามได้ยิน อยากให้ตามได้ยินจริงๆ แม้ว่าเสียงของผมมันจะทำได้เพียงดังก้องอยู่ในใจ...

 

เราขอโทษนะตาม

 

To be continued.

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
«ตอบ #48 เมื่อ09-05-2019 21:52:08 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Miawncha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
«ตอบ #49 เมื่อ09-05-2019 23:32:10 »

มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างน้ออออ ในอดีตของแสงกับตาม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
« ตอบ #49 เมื่อ: 09-05-2019 23:32:10 »





ออฟไลน์ 15magnitude

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
«ตอบ #50 เมื่อ10-05-2019 20:04:01 »

อยากรู้ไปหมดทุกเรื่องเลย ทั้งเรื่องแสง เรื่องพลีส  รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ Wanwann

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
«ตอบ #51 เมื่อ10-05-2019 20:43:13 »

ทำไมแสงถึงตายอ่ะ อาการอยากอ่านต่อพุ่งปรี๊ดเลยยย รอนะคะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
«ตอบ #52 เมื่อ11-05-2019 00:09:13 »

เป็นเราทนมองตามที่มีแฟนใหม่ไม่ไหวอ่ะ ปวดใจ จะร้อง  :o12:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
«ตอบ #53 เมื่อ11-05-2019 11:16:26 »

 :3123: :pig4: :3123:


 o13

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
«ตอบ #54 เมื่อ11-05-2019 12:02:55 »

คุยกันหลายหนแล้ว แสงน่าจะค่อย ๆ บอกความจริง น่าสงสารตามเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
«ตอบ #55 เมื่อ11-05-2019 23:48:44 »

 :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
«ตอบ #56 เมื่อ15-05-2019 19:54:47 »

ตอนที่ 6
อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้มันดีกว่านี้


 

"แสง วันนี้เธอทำตัวไม่น่ารักเลยนะ"

"เราทำอะไร"

"ทำเป็นหวงเรา ต่อหน้าพี่นัท"

"เราไม่มีสิทธิ์หวงหรือไง ใครๆ เขาก็รู้ว่าไอ้พี่นัทมันชอบเธอ"

"แต่ใครๆ เขาก็รู้ว่าเธอเป็นแฟนเรา เราจะไปชอบคนอื่นได้ยังไง"

"ไม่รู้แหละ เราโมโห เราไม่ชอบ"

"ไม่น่ารัก"

"ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารัก"

"มาให้เรากอดนี่มา"

"ไม่ ไม่ต้องมากอดเรา ก็บอกว่าไม่ไง ปล่อย! ออกไป!"

"ไม่ปล่อย"

"วันนี้เราไม่รักเธอแล้ว"

"แต่พรุ่งนี้จะกลับมารักใช่ไหม"

"ใช่"

"โอเค งั้นยอมให้เกลียดวันหนึ่งก็ได้"

"เออ"

"แสง เธอไม่ต้องรักเราทุกวันก็ได้นะ"

"..."

"แต่ขออย่างเดียว ให้เราแก่ตายไปด้วยกัน"

"..."

"ตกลงไหม"

 


 

"ว้าย!"

 

พรวด!

ผมลุกพรวดจากที่นอนหลังจากได้ยินเสียงร้องลั่นที่ปลุกให้ผมตื่น เสียงกรีดร้องชัดสมจริงจนไม่ได้คิดว่ามันเป็นความฝัน ผมรีบลุกจากที่นอนเปิดประตูออกไปดูว่าเป็นเสียงของใคร ก่อนก้าวเท้าไปที่บันไดก็เห็นพี่หน่อยนอนแอ้งแม้งอยู่ที่บันไดขั้นแรกพร้อมเสียงโอดโอย

"พี่หน่อย! เป็นอะไรครับ!"

"หน่อยก้าวขาพลาด ก็เลยตกบันไดลงมาค่ะ"

"ลุกไหวไหมครับ"

"ไหวค่ะ ไหว โอ๊ย!" คำพูดสวนทางกับสิ่งที่เป็น พี่หน่อยน่าจะเจ็บหนักจนลำบากที่จะลุกขึ้นยืน ผมรีบตรงเข้าไปช่วย แต่ด้วยพัฒนาการทางร่างกายที่หยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่ตอนที่สัดส่วนร่างกายยังไม่สมบูรณ์ ร่างของพลีสจึงตัวเล็กเกินกว่าจะช่วยอุ้มพี่หน่อยได้ จึงทำได้แค่พยุงร่างพี่หน่อยที่บาดเจ็บบริเวณข้อเท้าจากบันไดไปยังโซฟาด้วยความทุลักทุเล

"เจ็บมากไหมครับ"

"สงสัยข้อเท้าจะแพลงน่ะค่ะ"

"ไปหาหมอกันนะครับ"

"ไม่เป็นไรค่ะ หน่อยไหว น้องพลีสไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะค่ะ เดี๋ยวหน่อยจะไปเตรียมอาหารเช้าให้"

"มันใช่เวลามาเตรียมอาหารเช้าไหม เจ็บขนาดนี้ยังจะบอกว่าไหวอีก" คำพูดเจือปนด้วยความโมโหนิดๆ ทำให้พี่หน่อยเถียงอะไรไม่ออก ยังดื้อรั้นไม่ยอมให้ผมพาไปหาหมอ จึงทำได้แค่หายามาทาให้ไปก่อน พี่หน่อยบอกว่าถ้าไม่ดีขึ้นจะไปหาหมอเอง ส่วนวันนี้ผมก็ต้องไปโรงเรียนด้วยตัวเอง

เผื่อเวลารอรถเมล์จึงออกจากบ้านแต่เช้ากว่าปกติ วันนี้จึงมาถึงโรงเรียนเร็ว มีเวลาพอที่จะไปหาอะไรกินที่โรงอาหารตอนเช้า ผมมองหาของกินง่ายๆ อย่างขนมปังไส้หมูหย็องหนึ่งชิ้นกับน้ำเปล่าอีกขวด เดินกินไปในระหว่างทางจากโรงอาหารมุ่งหน้าไปตึกเรียน มัวแต่สนใจความอร่อยของขนมปังจนไม่ได้สนใจสิ่งใดรอบตัว ในตอนที่ผมกำลังก้าวเท้าเดินเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ก็ถูกใครบางคนที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังแล้วแกล้งผลักผมเต็มแรงจนหลุดสบถคำหยาบออกมาอย่างตกใจ

"เชี่ย!"

สองเท้าของผมยันตัวเองเอาไว้ได้จึงไม่ล้ม แต่ขนมปังหลุดมือจนหล่นไปกองกับพื้น ผมหันขวับไปเห็นไอ้ปั้นที่ยืนหัวเราะหน้าระรื่น

"ว้าย อดแดกเลย"

"ทำแบบนี้ทำไมวะ"

"สนุก"

"สนุกบ้านมึงสิ เก็บเลย!" ผมชี้ซากขนมปังที่พื้นให้มันเก็บเอาไปทิ้ง

"เรื่องอะไร มึงทำหล่นมึงก็เก็บเองดิ" ไอ้เด็กสันดานเสียยักไหล่เบาๆ อย่างไม่รู้ไม่ชี้ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไปจากตรงนี้ แต่ผมไม่ยอมง่ายๆ ยกเท้าตัวเองขัดขามันเอาไว้ อีกคนที่ไม่ทันระวังตัวก็เกือบจะล้มหน้าทิ่ม พลางหันมาโวยลั่น

"ทำเหี้ยอะไรเนี่ย"

"เก็บ!" ผมชี้ไปที่ขนมปังอีกครั้ง

"กูไม่เก็บ"

"กูบอกให้มึงเก็บ"

"กูบอกว่าไม่เก็บไง โอ๊ย!" ไอ้ปั้นร้องลั่นตอนที่ผมยกมือขึ้นกำเส้นผมบนหนังหัวของมันแล้วดึงกลับมาก่อนที่มันจะเดินหนี ชี้ซากขนมปังแล้วพูดกับมันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

"เก็บ ไป ทิ้ง"

"ไอ้พลีส! ไอ้ผีเข้า!"

"เออ กูผีเข้า มึงรีบเก็บก่อนไปทิ้งก่อนที่ผีในตัวกูจะทำอะไรมากกว่านี้"

"มึงจะทำอะไรกู"

"กูจะบีบคอมึงให้ตาย เอาคัตเตอร์กรีดผิวแล้วถลกหนังมึงออก กูจะเอาปากกาทิ่มตามึงให้บอดทั้งสองข้าง แล้วถีบมึงตกจากชั้นห้าของอาคารเรียน กระดูกมึงจะแหลกละเอียดเป็นท่อนๆ จากนั้นกูจะสับร่างมึงเป็นชิ้นๆ..."

"ไอ้โรคจิต! กูเก็บก็ได้!" ไอ้ปั้นสะบัดตัวไปจากการเกาะกุมของผม ก้มลงเก็บขนมปังแล้วโยนใส่ถังขยะที่อยู่ใกล้ๆ พอดี

"พอใจยัง!"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของมัน ขณะที่สายตามองไปยังนมสตรอว์เบอร์รี่กล่องหนึ่งที่ถูกยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อของมัน

"มึงมองอะไร"

"มึงทำให้กูไม่มีข้าวเช้ากิน มึงควรจะให้นมกล่องนั้นกับกู"

"กูไม่ให้!" ไอ้ปั้นใช้สองมือกุมกล่องนมในกระเป๋าเสื้อแล้วรีบก้าวเท้าออกไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็วจนแทบจะวิ่ง ทิ้งให้ผมหลุดหัวเราะออกมาคนเดียวอย่างขำๆ ไอ้อันธพาลหวงนมสตรอว์เบอร์รี่ น่ากลัวตายล่ะ...ไอ้เด็กเวรเอ๊ย

 

ผมเลิกเรียนคณิตฯ ตั้งแต่ตอนที่จบม.ปลาย จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่คิดเลขโดยไม่ใช้เครื่องคิดเลขมันเกิดขึ้นตอนไหน การที่ต้องมานั่งเรียนคณิตฯ ใหม่ ทำให้หนึ่งชั่วโมงในคาบเรียนนั้นยาวนานเหมือนหนึ่งปี ตอนเรียนยังพอไหว เปิดหนังสือตามไปด้วย ฟังครูอธิบายไปด้วยก็ยังพอถูไถไปได้ แต่ตอนสอบนี่นรกชัดๆ ผมเพิ่งผ่านการสอบเก็บคะแนนในวิชาคณิตฯ เพิ่มเติมไปเมื่อต้นคาบ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากลอกโจทย์ลงมาเขียนซ้ำเพื่อให้กระดาษไม่ว่าง ผลสอบออกอย่างรวดเร็วในตอนท้ายคาบ เมื่อกระดาษคำตอบถูกส่งคืนผมก็รีบยัดมันใส่กระเป๋าเพราะรับไม่ได้กับคะแนนที่เขียนด้วยปากกาสีแดงบนหัวกระดาษ เลขศูนย์ตัวใหญ่ๆ ชัดๆ ย้ำให้รู้ว่าผมทำให้พลีสสอบตกอย่างช่วยไม่ได้

"ใครที่คะแนนสอบไม่ถึงครึ่ง มาเรียนซ่อมกับครูเย็นวันพุธนะครับ รู้ตัวนะ" ผมสบตากับครูพอดีในตอนที่ครูกำลังพูดประโยคสุดท้าย รีบก้มหน้าหนีแล้วสวนกลับอยู่ในใจ...รู้ตัวครับ

หมดคาบคณิตก็ถึงชั่วโมงวิชาสังคม คาบเรียนวิชานี้พอให้หายใจหายคอได้สะดวกหน่อยเพราะผมค่อนข้างถนัดและทำคะแนนได้ดีตอนสมัยเรียน แถมครูที่สอนก็ยังเป็นคนเดิมที่เคยสอนผมด้วย วิธีการสอนที่ทำให้นักเรียนสนุกจึงไม่รู้สึกเบื่อ ผมนั่งฟังครูไปเพลินๆ เผลอแป๊บเดียวก็เกือบจะหมดคาบ ก่อนที่จะหมดเวลา ครูก็สั่งการบ้านพร้อมกับแจกเอกสารเกี่ยวกับงานชิ้นนั้น ผมรับชีทพวกนั้นมาจากเพื่อนโต๊ะหน้าแล้วส่งไปยังโต๊ะหลังซึ่งเป็นไอ้ปั้น แต่กลับหันไปเจอโต๊ะว่างๆ ไม่ทันออกปากถาม เพื่อนโต๊ะข้างๆ ไอ้ปั้นก็เอ่ยปากบอกก่อน

"ไอ้ปั้นมันใช้สิทธิ์นักกีฬาโดดเรียนไปซ้อมฟุตบอล"

"อ๋อ"

"มึงเก็บชีทไว้ให้มันด้วยก็แล้วกัน"

"ฮะ?" ไม่ทันที่ผมจะได้แย้งอะไรต่อ เสียงจากครูก็ดึงความสนใจทำให้ผมต้องเงียบปากแล้วหันไปฟัง

"งานนี้เป็นงานคู่นะคะ จับคู่กันเองได้เลย แล้วมาแจ้งชื่อกับครูนะคะ"

เมื่อถูกอนุญาตให้จับคู่กันเองได้ นักเรียนที่เป็นเพื่อนกันก็จับคู่กันได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่ก็จะเลือกเพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆ กันอยู่แล้ว คงมีแต่ผม ที่ไม่มีเพื่อนโต๊ะข้างๆ จึงไม่มีคู่

"ไหนใครยังไม่มีคู่คะ"

มือของผมยกขึ้นช้าๆ ตอนที่นักเรียนในห้องแทบจะไม่ได้หันมาสนใจเลย นั่นทำให้ผมคิด การที่พลีสจะถูกดีดให้กลายเป็นเศษเกิน มันคงเป็นเรื่องธรรมดา

"ถ้างั้นพันธกานต์ เธอคู่กับปณิธานก็แล้วกันนะ"

ผมมองหน้าครูเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าปณิธานคือใคร กำลังจะเอ่ยปากถามแต่ไอ้เด็กที่นั่งอยู่ด้านหลังก็สะกิดบอกผมก่อน

"คู่กับไอ้ปั้น ดีใจด้วยนะมึง"

"เชี่ย!" หลุดสบถคำหยาบในตอนที่ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกสายตาจึงหันมามองผมเป็นตาเดียว รวมถึงครูด้วย ทำได้แค่ยกมือไหว้ขอโทษแล้วก้มหน้าลงเงียบๆ

 

ตอนเย็นหลังเลิกเรียน พี่หน่อยโทรมาบอกให้ผมกลับบ้านเองเพราะอาการข้อเท้าแพลงของพี่หน่อยหนักหนากว่าที่คิด ถึงกับต้องใส่เฝือกและพักการใช้งานเท้าข้างนั้นไปสักพัก พี่หน่อยจึงกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเองเพื่อจะได้มีคนดูแล เพราะฉะนั้นช่วงหนึ่งในระยะนี้ผมจะต้องไปกลับโรงเรียนเอง ซึ่งคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

ผมกะจะบอกไอ้ปั้นพรุ่งนี้ว่ามีรายงานที่ต้องทำคู่กัน แต่ก่อนที่จะกลับบ้านผมเดินผ่านโรงยิมแล้วเห็นกลุ่มนักกีฬาฟุตบอลเดินเข้าไปในนั้นพอดี จึงตัดสินใจเดินตามไปเพื่อหาไอ้ปั้น ไม่มีใครหันมาสนใจผมเลยจนตอนที่เดินไปถึงห้องพักนักกีฬา และทุกคนสามัคคีกันถอดชุดฟุตบอลออกในตอนนั้น

โอ้...มาย..ก้อด

แก้ผ้ากันอย่างนี้เลยเหรอ หนุ่มนักกีฬา ผิวแทน กลิ่นเหงื่อ...

"ไอ้พลีส!"

ขณะกำลังตื่นตะลึงกับบรรดานักกีฬาที่แก้ผ้ากันอยู่ เสียงของไอ้ปั้นก็เรียกผมให้หันไปมอง

"มึงมาทำอะไร"

"มาหามึงไง ออกมาคุยกันหน่อย"

"กูใส่เสื้อผ้าก่อน"

ไม่ต้อง...ก็ได้ม้าง...

หุ่นไอ้ปั้นนี่มันไม่ธรรมดาเลยแฮะ...ขณะกำลังยืนเกาะประตูกวาดสายตามองสิ่งที่น่าสนใจในห้องพักนักฟุตบอล เสียงไอ้ปั้นก็ดังลั่นขึ้นอีกที

"ไอ้พลีส!"

"อะไร!"

"ออกไปรอข้างนอก!"

"เออ!"

ผมตอบรับแล้วหมุนตัวออกมารอข้างนอก ครู่หนึ่งไอ้ปั้นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมา หน้าตากวนประสาทดูรำคาญนิดๆ กระแทกเสียงถาม

"มีไร"

"กูต้องทำรายงานวิชาสังคมคู่กับมึง"

"ก็ดีดิ"

อ้าว...ผมคิดว่ามันจะไม่พอใจซะอีกที่ต้องคู่กับผมซึ่งไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่โดนตอบกลับมาอย่างนั้นผมเลยงง ก่อนความสงสัยถูกคลี่คลายด้วยประโยคถัดไปของมัน

"มึงก็ทำแล้วใส่ชื่อกูไปด้วย โอเคนะ" มันพูดแค่นั้นแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้ แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มันง่ายๆ เลยเดินตามมันออกไปด้วย ด้วยส่วนสูงที่มีน้อยและช่วงขาที่สั้นกว่าผมจึงรีบก้าวไวๆ ให้ทันมัน

"โอเคบ้าอะไร งานคู่ก็ต้องทำด้วยกันดิ"

"มึงเก่งจะตาย ทำไมต้องให้กูช่วย"

"งั้นกูไม่ใส่ชื่อมึงนะ"

"มึงกล้าก็ลองดูดิ"

"คิดว่ากูไม่กล้าเหรอ"

"หรือมึงจะเอา"

"มึงจะให้อะไรล่ะ"

"อย่ามากวนตีน"

"กูจะกวน ทำไม กูจะกวน กูจะ...ปึง!" คำพูดผมหยุดชะงักตอนที่ไอ้ปั้นมันผลักร่างผมให้ติดกับกำแพงตึก แล้วเอาตัวเองบังร่างผมไว้ ก่อนที่บาสฯ ลูกหนึ่งซึ่งลอยมาจากไหนไม่รู้จะกระแทกเข้าที่หลังของมันจนดังลั่น

"ตุ้บ!"


"โทษทีพี่!"

"ไม่เป็นไร" ไอ้ปั้นหันไปตอบเจ้าของลูกบาส ก่อนยกมือยันกำแพง คล้ายว่ากำลังใช้ท่อนแขนทั้งสองข้างกักขังผมเอาไว้ให้อยู่ในนั้นไม่ให้ขยับ ทำอะไร คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกนิยายรักวัยรุ่นเหรอ สะเหล่อ เดิมทีหน้าตาปกติของมันก็กวนตีนอยู่แล้ว ยิ่งตอนที่มันยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มยิ่งรู้สึกว่ากวนตี๊น กวนตีน 

"ถ้ากูไม่ช่วย หัวกบาลมึงแตกอีกรอบแน่ ขอบคุณกูหรือยัง"

"ทำเป็นช่วยกู ทั้งๆ ที่มึงพยายามจะเตะบอลอัดหน้ากูทุกวันเนี่ยนะ เรื่องอะไรต้องขอบคุณคนอย่างมึงด้วย"

"ทำไมเดี๋ยวนี้มึงขี้เถียงจังวะ ผีเข้าแล้วไม่ยอมออกเหรอ"

"เออ มันไม่ยอมออก"

ไอ้ปั้นหลุดหัวเราะ ก่อนสบตากับผมอีกครั้งแล้วยกมือตบหัวผมเบาๆ ด้วยสัญชาตญาณผมจึงสวนกลับในแบบเดียวกัน

"ไอ้พลีส!"

"มึงตบกูก่อนอะ!"

"กูตบเบาๆ"

"ก็หัวกูเป็นแผล กูเจ็บ"

ไอ้ปั้นทำท่าโมโหฟึดฟัดแล้วชี้หน้าผมพลางกัดฟันพูด

"ถ้าไม่ติดว่าหัวกบาลมึงแตกอยู่ กูจะตบให้ผีออกเลย ไอ้ห่า! ไอ้ผีเข้า!"

ผมหลุดหัวเราะก่อนทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินต่อไป เอาจริงๆ ก็สวนกลับมันอยู่ในใจ กูก็อยากออกไปเหมือนกันแหละ แต่มันออกไม่ได้โว้ย!

 

...

 

ผมกลับมาถึงที่บ้านหลังใหญ่ที่เงียบสนิท ปกติก็เงียบอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีพี่หน่อยอยู่ด้วยยิ่งเงียบจนน่ากลัว รถของแม่ไม่อยู่ ส่วนพ่อนั่งทำงานอยู่ในห้องที่กำชับนักกำชับหนาว่าอย่ารบกวนถ้าไม่จำเป็น ความสัมพันธ์ของคนในบ้านหลังนี้ทำให้ผมรู้สึกแย่อยู่นิดหน่อย ถ้ามันต้องเงียบเหงาเช่นนี้ทุกวัน ความรู้สึกของพลีสก็คงจะโดดเดี่ยวน่าดู

ผมเดินขึ้นห้องแล้วหย่อนตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ มีการบ้านวิชาภาษาไทยเลยตั้งใจจะทำให้เสร็จ ในระหว่างที่หยิบสมุดกับหนังสือภาษาไทยออกมา กระดาษคำตอบวิชาคณิตฯ ที่ได้ศูนย์คะแนนก็ติดออกมาด้วย

ให้แม่พลีสเห็นไม่ได้เด็ดขาด ขนาดผิดข้อเดียวก็เท่ากับศูนย์ แล้วถ้าเจอศูนย์ของจริงแบบนี้คงโดนเฆี่ยนหลังลายแน่ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รีบคิดหาที่ซ่อนก่อนเพื่อความปลอดภัย ผมดึงลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ หยิบข้าวของในนั้นออกมาก่อนแล้วยัดกระดาษคำตอบไว้ให้ลึกที่สุด ในตอนที่กำลังจะเอาของที่หยิบออกมาใส่กลับไปที่เดิม มือผมก็ไปปัดเข้ากับไดอารี่สีดำเล่มเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ ก้มลงหยิบไดอารี่เล่มนั้นที่หล่นพื้นแล้วเปิดไปที่หน้าหนึ่งของไดอารี่ ความสนใจของผมจึงพุ่งตรงไปที่ข้อความพวกนั้น ในหน้าแรกๆ ของไดอารี่มีข้อความที่อ่านดูแล้วรู้สึกหดหู่อย่างที่ผมเคยบอก แต่ผมไม่ทันเห็นว่ามันมีหน้าที่ซ่อนอยู่กลางๆ เล่ม เป็นข้อความสั้นๆ ที่ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา

 

12/04 ได้เจอพี่หมออีกแล้ว

20/05 เดือนนี้พี่หมอไม่มา

17/06 วันนี้โดนพี่หมอดุนิดหน่อย ขอโทษครับผม

21/07 พี่หมอซื้อไอติมให้กินด้วย

คุณหมอ...

พี่ต่อ...

น่ารักที่สุดเลย...

 

เป็นข้อความที่อ่านแล้วก็พอจะรู้ว่าพลีสคงเฝ้ารอที่จะเจอพี่ต่อเดือนละครั้ง เข้าใจได้ว่าพลีสคงชอบพี่ต่อสินะ ต้องบอกว่าไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะพี่ต่อเป็นคนดีมากคนหนึ่งผมเคยรู้จักมา เป็นคนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วรู้สึกอบอุ่น มีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยกัน คนที่มองโลกในแง่บวกแล้วก็มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ภาพจำของผมที่มีต่อพี่ต่อ...มันก็เป็นเช่นนั้น

ผมไม่อยากก้าวก่ายชีวิตหรือความคิดของพลีสมากนักจึงปิดไดอารี่แล้วใส่ลิ้นชักไว้อย่างเดิม เมื่อผมได้ออกจากร่างนี้เมื่อไร พลีสก็จะได้กลับมาเจอพี่ต่อเหมือนเดิม ผมคิดเช่นนั้นก่อนรีบทำการบ้านวิชาภาษาไทย เสร็จแล้วก็เดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอน นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานจนเกือบหลับ ก่อนที่กระเพาะจะลั่นเสียงร้องออกมาด้วยความหิวโหย

"โครก"

อ่า ยังไม่ได้กินข้าวเย็น

ผมเดินลงมาจากห้องตอนเกือบจะสี่ทุ่ม เห็นบ้านทั้งหลังมืดสนิท นอกจากแสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องทำงานของพ่อ ทุกพื้นที่ก็มืดสนิท ผมเดินไปเปิดไฟแล้วก้าวเท้าไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำงานพ่อ เคาะสองสามครั้งแต่ไม่มีใครเปิดให้ เห็นว่าประตูไม่ได้ล็อกจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง พ่อนั่งอยู่หน้าจอคอมพ์ดูไม่ได้สนใจอะไรเลยแม้แต่ผมที่เดินเข้าไปถึงตัว

"พ่อครับ"

"อ้าว พลีส มีอะไรหรือเปล่า จะเอาอะไร"

"พ่อกินข้าวหรือยังครับ"

"พ่อไม่กิน พลีสกินก่อนเลย"

"ครับ"

"เป็นอะไรหรือเปล่า ปกติไม่มาถามพ่อแบบนี้"

            ผมค่อยๆ รู้จักพลีสผ่านคำพูดของคนอื่นอยู่เรื่อยๆ พลีสคงเป็นเด็กเงียบๆ แล้วก็แสดงออกไม่เป็น แม้แต่พ่อกับแม่ของตัวเองก็ตาม ถ้ามีโอกาสได้คุยกับพลีส คงมีหลายอย่างที่ผมอยากให้เขาปรับปรุงพฤติกรรมของตัวเอง แต่ก็รู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ ผมยิ้มให้พ่อนิดๆ แล้วบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป คิดไปว่าในระหว่างนี้ผมจะทำหน้าที่ของลูกแทนพลีสชั่วคราว

"ผมเป็นห่วงพ่อน่ะครับ"

สีหน้าของพ่อเปลี่ยนไปทันทีตอนที่ผมพูดแบบนั้น ก่อนมุมปากขยับเป็นรอยยิ้มแล้วดึงมือผมให้เดินเข้าไปใกล้กว่านั้น

"ไม่ต้องห่วงพ่อนะ พลีสไปหาอะไรกินเถอะ เดี๋ยวพ่อเสร็จงานแล้วจะกินทีหลังนะ"

"ครับ" ผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องทำงานของพ่อ ก่อนที่ประตูจะปิดสนิทผมได้ยินพ่อพูดอีกประโยคออกมาเบาๆ

"ขอบคุณนะลูก"

การกระทำและคำขอบคุณนั้น พลีสควรจะรับรู้เอาไว้ เพื่อให้พลีสได้รู้ว่า...เขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้

 

            เพราะพี่หน่อยไม่อยู่ ที่บ้านจึงไม่มีอะไรกินเลย ผมไม่มีความสามารถในการทำอาหาร เก่งสุดก็ต้มมาม่า แต่ว่าที่บ้านไม่มีอาหารสำเร็จรูปพวกนั้นเลย จึงเลือกที่จะออกมาหาอะไรกินนอกบ้าน ร้านสะดวกซื้อเป็นทางเลือกแรกของผมเพราะสะดวกซื้อสมชื่อ วันนี้ก็แค่อยากกินอะไรง่ายๆ อย่างมาม่ารสต้มยำกุ้งกับไข่ต้มสักใบหนึ่ง

"สวัสดีครับ เชิญครับ...เขี้ยวกุด!"

ขาผมชะงักตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปในร้าน ไม่ได้สนใจคำทักทายของพนักงานในประโยคแรก แต่พอถูกเรียกชื่อแบบนั้นก็รีบหันขวับไปมองที่เคาน์เตอร์

"พี่ตาม" แม้ตกใจแต่คุมสติได้จึงไม่หลุดปากเรียกเธออย่างที่เคย ผมเบิกตากว้างมองตามที่อยู่ในชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อพลางเดินเข้าไปหา

"งานพาร์ทไทม์อีกแล้วเหรอ"

"อื้อ"

"ทำไมผมต้องเจอพี่ทุกที่ที่ผมไปเลย"

"อะไร พี่อยู่ของพี่ดีๆ เรานั่นแหละแอบตามพี่หรือเปล่า"

"จะบ้าเหรอ แค่มาหาอะไรกิน"

"อ๋อ เชิญครับคุณลูกค้า" ทำท่าล้อเล่นผายมือให้ผมไปเดือนเลือกซื้อของ ผมก้าวเท้าไปหยุดอยู่ที่หน้าชั้นวางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กวาดสายตาลวกๆ มองหารสต้มยำกุ้ง หยิบมาหนึ่งกระป๋องแล้วเอาไปเติมน้ำร้อน ไม่ลืมที่จะหันไปหยิบไข่ต้มต้มอีกหนึ่งฟอง ก่อนจะเดินกลับมาจ่ายเงินกับตาม 

"ของกินเยอะแยะ แต่จะกินมาม่าเนี่ยนะ"

"มาม่าผิดตรงไหนอะ" ผมเถียง

"จะอิ่มเหรอ เอาขนมจีบเพิ่มเปล่า"

"ขายเก่ง"

"ซื้อสองไม้ลดราคาอยู่นะ ไม่ซื้อไม่ได้แล้วป่ะ"

ผมหลุดหัวเราะ ยอมใจพนักงานขายที่เกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ ผมจึงได้ขนมจีบกุ้งมาสองไม้ในราคาพิเศษ

"วันนี้ที่บ้านไม่มีข้าวกินเหรอ"

"ครับ ไม่มีคนทำกับข้าว"

"ไม่ไปกินข้าวไข่เจียวล่ะ"

"มันมืดแล้ว ไม่มีคนไปกินเป็นเพื่อนด้วย"

"อ๋อ งั้นเอาขนมจีบอีกสักสองไม้ไหมล่ะ จะได้อิ่มๆ"

"พอเหอะ! จะขายให้ผมคนเดียวทั้งตู้เลยหรือไง"

ผมคุยกับตามที่หน้าเคาน์เตอร์อยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งมีลูกค้าคนอื่นมาต่อแถวรอจ่ายเงิน ตามจึงรีบคิดเงินให้ผมก่อน มองดูตามหยิบจับสินค้าและคิดเงินอย่างคล่องแคล่วดูชำนาญ เดาว่าคงทำงานที่นี่มานานแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ เคยถามแล้วแต่อีกคนไม่ตอบ ทำไม่ไปหางานประจำทำ ถ้าหากว่าผมมีชีวิตอยู่แล้วเห็นตามวิ่งทำงานพาร์ทไทม์ที่นั่นที่นี่แบบนี้ผมคงจะบ่นจนตามหูชาแน่ๆ เลย

ผมบอกลากับตามเพื่อปล่อยให้อีกคนได้ทำงาน ส่วนตัวเองเดินออกมาที่หน้าร้าน มีเก้าอี้ให้นั่งพอดีเลยหย่อนตัวลงตรงนั้น ฉีกซองไข่ต้มใส่ไปในถ้วยมาม่าที่เส้นพองได้ที่แล้ว จากนั้นก็ลงมือกินทันที ความหิวบวกกับการที่ไม่ได้กินของแบบนี้มาเกือบสามปี อาหารง่ายๆ แบบนี้ก็กลายเป็นอร่อยจนแก้มปริ ได้ขนมจีบกุ้งไปอีกสองไม้ก็อิ่มแปล้

หลังจากกินเสร็จ ผมก็ตั้งใจจะกลับบ้าน ชะเง้อหน้าไปมองตามที่กำลังทำงานอยู่จึงไม่ได้บอกลาเพราะไม่กล้าเข้าไปรบกวน ผมเดินกลับบ้านทางเดิม ในความมืดยังพอมีแสงไฟริมทางกับรถที่ขับผ่านอยู่บ้างจึงไม่รู้สึกกลัว จนกระทั่งมาถึงถนนก่อนเข้าหมู่บ้าน ไม่มีรถสักคันแถมยังเงียบจนผมได้ยินแค่เสียงฝีเท้าของตัวเอง

ผมก้าวเท้าให้ไวกว่าเดิมนิดหน่อย เพื่อที่จะให้ถึงบ้านเร็วๆ แต่ในตอนที่กำลังก้าวเท้าให้ไว ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนดังมาจากด้านหลัง เมื่อผมหยุดเดินกะทันหัน เสียงนั้นก็หยุดไปด้วย เกิดเป็นความกลัวจนหัวใจเต้นตึกตัก ผมก้าวเท้าเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง คนด้านหลังก็วิ่งตาม สองขาของร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงวิ่งได้ไม่เร็วเท่าที่ใจคิด ผมสะดุดกับขาตัวเองจนล้มกลิ้งในตอนที่คนข้างหลังตามมาถึงตัวพอดี

"จะหนีไปไหน"

"..."

"มีเงินไหม"

"..."

ผมได้แต่อึกอัก ขยับตัวถอยหลังหนีชายร่างสูงที่ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ๆ ไม่มีใครผ่านมาทางนี้เพื่อให้ผมขอความช่วยเหลือเลย หัวใจผมเต้นแรงกว่าเดิมตอนที่สองมือของชายคนนี้ตรงเข้ามาจับตรงนั้นตรงนี้เพื่อหากระเป๋าสตางค์ ในที่สุดกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงก็ถูกอีกฝ่ายดึงเอาไปจนได้ ผมไม่มีแรงแม้แต่จะตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือ หรือกระทั่งลุกขึ้นวิ่งหนี ร่างกายแข็งทื่อจนเกือบหยุดหายใจ

"มีแค่นี้เหรอ"  มันว่าพลางดึงเงินในกระเป๋าสตางค์ของผมใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง

"..."

"ถามก็ตอบสิวะ"

ผมร้องไห้แทนที่จะตอบคำถามของมัน ความรู้สึกเดียวที่มีในตอนนี้คือความหวาดกลัว ผมจึงพูดออกไปได้แค่นั้น

"ผมกลัวแล้ว"

"..."

"อย่าทำอะไรผมเลย"

"พลีส!"

ตาม...

"มึงทำอะไรวะ!"

"เหี้ยเอ๊ย!" เสียงสบถของชายคนนี้ดังลั่นก่อนที่มันจะโยนกระเป๋าสตางค์ใส่หน้าผมแล้ววิ่งออกไป ไวเกินกว่าที่ตามจะวิ่งตามไปได้ทัน ตามจึงละความสนใจจากมันแล้วรีบหันกลับมาหาผม

"พลีส"

"เธอ เรากลัว! ช่วยเราด้วย เรากลัว" ผมบอกกับตามทั้งที่ยังร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด สติหลุดหายจนไม่ได้สนใจว่าผมใช้สรรพนามไหนกับตาม กระทั่งตามเองก็คงจะไม่ได้สนใจเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ที่ผมกำลังกลัวจนรีบโผเข้ากอดเขาเอาไว้แน่น ตามจึงต้องปลอบผมก่อน

"ไม่เป็นไรนะพลีส"

"เรากลัว"

"ไม่เป็นอะไรแล้ว"

"เรากลัวจริงๆ"

"พี่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไร"

ลมหายใจติดขัด เจ็บปวดที่หน้าอกจนเหมือนแทบจะขาดใจ มันไม่ใช่ความผิดปกติทางร่างกายที่ส่งผลให้ผมมีอาการแบบนั้น แต่มันเป็นเพราะความเจ็บปวดในอดีตที่กำลังตอกย้ำด้วยความทรงจำ ภาพเหตุการณ์ในวันตายของผมวนมาฉายซ้ำ แม้ไม่ต้องย้ำเตือน ก็ฝังใจไม่เคยลืม...

 

...ว่าวันนั้นผมตายยังไง

 

To be continued.

 


ออฟไลน์ Evilkun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
«ตอบ #57 เมื่อ15-05-2019 20:07:34 »

ฮืออ แสงถูกฆ่าตายหรอ ;;
ไม่เอาไม่ต้องกลัวนะลูก แงง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
«ตอบ #58 เมื่อ15-05-2019 21:37:55 »

 :hao5:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
«ตอบ #59 เมื่อ15-05-2019 22:12:43 »

 :mew6: :mew6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด