แผ่นที่ 20“โปสการ์ดนี่ คุณส่งมาใช่หรือเปล่า”
หลังจากที่พบกับภาพโพลารอยด์ใบนั้น ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยในลายมือ เขาก็เอาลายมือหวัดๆ ในกระดาษโน้ตหลังภาพมาเทียบกับลายมือหวัดๆ ในโปสการ์ด และแน่ใจในทันทีว่าทั้งหมดน่าจะมาจากคนที่ยืนตรงหน้าเขา แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของหลงต่อการมาของเขาพร้อมโปสการ์ดไม่ได้เป็นอย่างที่อัชฌาคาดคิด เพราะเมื่อเขาถาม อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือปฏิเสธ ซ้ำยังพยักหน้ารับทันทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ครับ”
“คุณส่งมาทำไม”
“การส่งจดหมายก็ต้องไว้เพื่อส่งข้อความอยู่แล้วนี่ครับ”
“นี่มันไม่ใช่จดหมาย และผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีข้อความอะไรที่ดูอยากจะส่ง”
คู่กรณีเอื้อมมือมาจับที่หลังมือด้านขวาของอัชฌา มือซึ่งกำลังถือโปสการ์ดอยู่ ก่อนจะจับฝ่ามือนั้นหงายขึ้น อาการของมืออีกฝ่ายกำลังรองอยู่ใต้ฝ่ามืออัชฌา เพื่อเผยให้โปสการ์ดทั้งหมดที่ถือ ก่อนที่นิ้วชี้ในมืออีกข้างของหลงจะชี้ลงบนภาพของโปสการ์ดแผ่นบนสุด
“นี่ไงครับ ข้อความที่อยากจะส่ง”
อัชฌาที่กำลังอึ้งในการกระทำนั้นของอีกฝ่าย ทำท่าจะชักมือออกให้เป็นอิสระ แต่ฝ่ามือใหญ่ฝ่ายนั้นบีบเบาๆ กักกุมอิสระของฝ่ามือเขาไปโดยปริยาย
สายตาของอัชฌาที่ตวัดแหงนขึ้น สบเข้ากับสายตาที่มองตรงมาที่เขา แม้ว่าช่วงเวลาอาจจะผ่านไปเพียงไม่นาน แต่ในความรู้สึกของอัชฌาตอนนี้ อากาศรอบๆ ตัวเหมือนไม่หมุนวน บรรยากาศประหนึ่งถูกหยุดให้ชะงักงัน เสียงความวุ่นวายในสำนักงานกลายเป็นไม่ได้เข้าสู่โสตประสาท จนเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง
“ผมอยากส่งให้คุณนะครับ”
อัชฌาที่เปลี่ยนมาขมวดคิ้วทำท่าสงสัย จึงเอ่ยถาม
“ส่งเพื่ออะไร”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ เขาจึงถามซ้ำ
“ว่าไงคุณหลง ส่งเพื่ออะไร”
“เพื่อให้เป็นข้อความของคุณครับ”
คำตอบเหมือนไม่ตั้งใจตอบ กำลังทำให้เขาหงุดหงิด ขณะที่คิดจะเอ่ยห้ามไม่ให้อีกฝ่ายส่งโปสการ์ดมาอีก แต่เพราะได้ยินคำตอบต่อมาเข้าก่อน ทำให้เขาตัดสินใจกลืนสิ่งที่กำลังจะพูดกลับลงคอ
“คุณจะได้มีข้อความที่เป็นของคุณส่งถึงเสมอ”
ข้อความที่เป็นของเขา ที่ส่งถึงเสมอเช่นนั้นหรือ.
.
.
อาจจะเพราะข้อความของคำตอบจากหลงนี้ สะกิดเข้ากับความรู้สึกของเขาจนไม่มีข้อความใดๆ โต้ตอบกลับในการสนทนาอีก และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นการเงียบในบทสนทนาเป็นเสมือนคำอนุญาตจากเขาในการส่งโปสการ์ดให้เขาต่อไปได้
เพราะโปสการ์ดยังคงถูกส่งมาอย่างสม่ำเสมอ ถึงทีละใบบ้าง รวมกันมาบ้าง ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเพราะเกิดจากอารมณ์ผู้ส่ง หรือเป็นไปตามอารมณ์การนำจ่ายของไปรษณีย์
อัชฌาจึงให้ข้อสรุปแก่ตัวเองเพื่อความสบายใจว่า อย่างน้อยก็รู้ที่มาที่ไปแล้วว่าใครเป็นคนส่ง ส่วนคนอยากส่ง จะทำอะไร เขานั้นขี้เกียจจะไปพูดห้ามแล้ว หรือจริงๆ เขาเชื่อว่าถึงพูดอีกฝ่าย ก็อาจจะไม่ได้ผลอะไร
ในวันนั้น เมื่อเดินกลับมาจากการไปสอบสวนผู้ต้องสงสัย พี่มลซึ่งเหมือนจะรอถามความคืบหน้าก็ไม่รอช้าที่จะสอบถามในทันที
“สรุปว่าใช่คุณช่างภาพคนนั้นไหม”
“ครับ”
“แล้วเขาส่งมาจีบหรือเปล่า”
“ไม่ทราบครับ ไม่ยอมตอบอะไรนอกจากบอกว่า ‘เพื่อให้เป็นข้อความของคุณครับ คุณจะได้มีข้อความที่เป็นของคุณส่งถึงเสมอ’ แค่นี้ครับ“
“โอ๊ย ตายแล้ว ตอบแบบนี้จริงหรือ”
“ครับ ตอบแบบนี้ กวนประสาทมาก”
“บ้าแล้วอัช ข้อความขนาดนี้ เขาเรียกว่าจีบแล้ว”
“พี่มลครับ ตรงไหนที่เรียกว่าจีบครับ เรียกว่าโรคจิตน่าจะใกล้เคียงกว่าหรือเปล่า”
“อัชฌา หนูความรู้สึกช้าหรือคะ ถ้าเขาโรคจิต เขาจะยอมรับหรือว่าส่งมาหาขนาดนี้ เขาก็ต้องทำแอบๆ หรือแสดงท่าทีคุกคามอะไรแบบนั้นแล้ว นี่แค่ส่งโปสการ์ดมา ภาพก็สวย เรียกว่าอารมณ์ศิลปินเถอะคะ”
“ผมคิดว่า สังคมนี้ควรรณรงค์การใช้คำว่าอารมณ์ศิลปินให้ถูกต้องนะครับ และเราไม่ควรเอาคำว่าอารมณ์ศิลปินมาอธิบายอารมณ์ไร้ตรรกะ หรือการกระทำที่ไม่มีเหตุผลหรือเปล่าครับ”
“แต่คุณอัชฌาคะ เขาก็ให้เหตุผลของเขามาแล้วนี่ ไม่เห็นมีอะไรไร้เหตุผลเลย”
“แล้วพี่มลจะไปเป็นทนายเถียงแทนเขาทำไมครับ”
“ก็เขาน่ารัก ไม่สิ หน้าตาดีมาก ฝีมือถ่ายภาพก็ดี แถมพูดจามีอารมณ์ศิลปิน คือสเปคมาก อยากได้แฟนอารมณ์ติสท์งี้เลยอะ คุณโปสการ์ดงี้ โรแมนติคสุด”
อัชฌาได้แต่ส่ายหน้าให้กับปฏิกิริยาและการแสดงความคิดเห็นของพี่มล แล้วก้มมองโปสการ์ดในมือ พร้อมๆ กับคิดถึงคำตอบที่อีกฝ่ายให้เขาขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อให้เป็นข้อความของคุณครับ คุณจะได้มีข้อความที่เป็นของคุณส่งถึงเสมอเช่นนั้นเขารับเอาไว้ก็ได้ ข้อความที่ถูกส่ง แต่ไม่มีคนรับ มันออกจะน่าเศร้าและน่าสงสารเกินไป
ถ้าคนส่งเขาอยากส่ง คนรับอย่างเขาก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไรในการรับนี่นะ
.
.
.
ความคุ้นเคยจากการรับโปสการ์ดที่ผ่านมาเป็นปีๆ แล้ว ฝ่ายผู้ส่งดูยังมีความสม่ำเสมอในการส่งโปสการ์ดไร้การลงนาม ไร้วันที่ และไร้ที่มา ถึงการปฏิสัมพันธ์ของหลงกับอัชฌาหลังจากนั้น ไม่สามารถเรียกได้ว่าพัฒนาดีขึ้นเป็นความสนิท แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับถามคำตอบคำเช่นเคย อาจจะเพราะโปสการ์ดทำให้เขาสนทนากับอีกฝ่ายมากขึ้นเมื่อพบหน้าในส่วนพื้นที่สำนักงาน หรือเวลางานออกกองที่ฝ่ายเขาต้องมาทำงานร่วมกับแผนกช่างภาพบ้าง
“คราวนี้ไปไหนมาอีกล่ะคุณหลง”
“ไปหลายที่ครับ”
อัชฌาถอนหายใจให้กับวิธีการให้คำตอบของอีกฝ่าย
“ถ้าคุณจะตอบแบบธรรมดาๆ นี่คือเกินความสามารถมากเลยใช่ไหม หรือว่ามันจะหลุดคอนเซปการใช้ชีวิตหรือ”
“ผมก็ตอบตามปกตินะครับ”
“ครับๆ ปกติมากครับ ผมขอโทษเองแล้วกันที่ถามแบบไม่ปกติ ไม่ถามแล้ว”
และเมื่อเลือกตัดบท อีกฝ่ายกลับเป็นคนเรียกเขากลับสู่การสนทนา
“คุณครับ”
“อะไรอีกละ ผมไม่ถามแล้วไง”
“คือ หลังเสร็จจากนี่ ให้ไปส่งที่คอนโดไหมครับ”
อัชฌากลายเป็นฝ่ายแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมากับการขันอาสาที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนี้ แต่ก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธกลับไป
“ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว พอดีที่บ้านมีคนไม่พอ เลยต้องไปช่วย เลยไม่ได้เช่าแล้ว ย้ายออกแล้วน่ะ”
“งั้นผมไปส่งที่บ้านนะครับ”
ความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายสร้างความแปลกใจกับอัชฌาไม่น้อย ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมไปเยี่ยมจูเนียร์ก็ได้”
“นี่คุณรู้จักแมวผมได้ไง”
“คุณบอกครับ”
“บอกตอนไหน”
“วันที่ผมเคยไปส่งคุณครับ คุณบอกว่า จูเนียร์ เมี้ยวๆ”
คราวนี้อัชฌาหัวเราะขำออกมา เมี้ยวๆ งั้นหรือ นั่นเรียกว่าบอกหรือไงนะ คนๆ นี้มีระดับความสามารถในการสื่อสารต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกินไปละ
“ว่าไป ผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณจริงๆ จังๆ เลยนะที่ไปส่งวันนั้น ผ่านไปเป็นปีละ ยังไงก็ขอบคุณนะที่เคยไปส่ง ให้ผมเลี้ยงข้าวตอบแทนไหม ท่าทางตอนนั้นผมจะเป็นภาระ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เป็นภาระเลย”
“งั้นเอางี้ ไปกินข้าวที่บ้านผมเลยแล้วกัน แต่คงต้องรีบออกกันแล้วล่ะ เดี๋ยวจะเลยเวลาอาหารเย็นแล้วจะไม่มีอะไรกิน ไป เก็บของเลยคุณ”
อัชฌากลับกลายเป็นฝ่ายเร่งให้ช่างภาพเก็บข้าวของ ก่อนที่จะเดินตามอีกฝ่ายไปที่รถของคนที่อาสาส่งกลับบ้าน
.
.
.
สถานที่ปลายทางที่อัชฌาเรียกว่า “บ้าน” และชวนให้เขามากินข้าวเย็นด้วยนั้น ทำให้หลงเกิดความประหลาดใจ เพราะว่าปลายทางที่เขากำลังเลี้ยวผ่านรั้วเขามา มีแผ่นป้ายติดอยู่ว่า “บ้านอุปถัมภ์”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ไถ่ถาม หรือคิดสงสัยในเรื่องใดต่อ เสียงเรียกของอัชฌากำลังเร่งการกระทำของเขา
“จอดตรงนี้เลยก็ได้ ไป รีบลงมา เดี๋ยวเลยเวลาอาหารจะไม่มีอะไรกินนะคุณ”
หลงที่ลงจากรถ เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปใน “บ้าน” ก็ได้ยินเสียงจอแจร้องทักผู้ที่กลับมา
“พี่อัชกลับมาแล้ว”
ต่อด้วยเสียงของอัชฌาที่ส่งปราม พร้อมบอกกับสมาชิกในบ้านเหล่านั้นให้เอ่ยทักทายเขา
“เด็กๆ มีแขกมา ต้องทำไงครับ”
“สวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ” เสียงประสานจากเด็กหลายคนตรงหน้ากล่าวประโยคทักทายเขา
“เดี๋ยวคุณเล่นกับเด็กๆ รอ หรือว่าเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมไปดูข้าวเย็นก่อน เสร็จละเดี๋ยวมาเรียก”
หลงที่แม้ยังคงมีความสงสัย แต่ก็เลือกที่จะพยักหน้าให้กับอีกฝ่าย จนเมื่อเห็นอัชฌาหมุนกายเดินไปแล้ว เขาจึงมองไปมาเด็กๆ ทั้งกลุ่มที่กำลังจ้องมาที่เขาด้วยความสงสัย
“เพื่อนพี่อัชมากินข้าวเย็นด้วยหรือครับ”
หลงพยักหน้าให้กับเด็กชายเจ้าของคำถามแล้วตอบรับสั้นๆ
“ครับ”
“ยังไม่ถึงเวลาข้าวเย็น มาเล่นกันก่อนครับ” อีกฝ่ายเสนอทางเลือก แล้วก็เข้าไปจูงมือเขาให้เดินตามไปยังห้องกว้างด้านใน ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่เอาไว้ใช้ทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง เพราะมีทั้งของเล่น และชั้นหนังสืออยู่ตามมุมต่างๆ ของห้อง ส่วนผนังรอบๆ ห้องก็ประดับด้วยภาพถ่ายใส่กรอบจำนวนมาก
“ไม่เล่นหรือครับ” เด็กน้อยคนเดิมที่กำลังนั่งลงสมทบกับเพื่อนท่ามกลางบลอคไม้ กวักมือเรียกเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเลือกที่จะตอบปฏิเสธ
“เล่นกันไปเลยครับ พี่ขอเดินดูภาพนะ”
เด็กชายพยักหน้ารับทราบ และไม่ได้สนใจแขกผู้มาเยือนเช่นเขาอีกต่อไป
หลงเดินดูภาพถ่ายใส่กรอบที่ติดประดับอยู่รอบๆ ห้อง ล้วนเป็นภาพของกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่ เพราะในภาพเห็นมีผู้คนมากหน้าหลายตาถ่ายร่วมกับเด็กๆ ซึ่งน่าจะเป็นสมาชิกในบ้านแห่งนี้ ซึ่งพื้นหลังของภาพส่วนใหญ่คือหน้าอาคารที่เขาจอดรถเมื่อสักครู่
แล้วการขยับค่อยๆ ไล่ชมภาพก็หยุดนิ่งลง เพราะเขาได้สังเกตเห็นคนในภาพๆ หนึ่ง ชายหนุ่มในภาพที่ยิ้มกว้างท่ามกลางเด็กๆ หลายคน ภาพที่คงเป็นการถ่ายภาพหมู่ที่ระลึกหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม เพราะไม่ได้มีองค์ประกอบอื่นใดในภาพเป็นพิเศษ
เพียงแต่ว่านั่นเป็นภาพของคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี แม้สายตาจะมองที่ภาพ แต่หัวใจดูเหมือนจะเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกหวนเข้าสู่การระลึก ความคิดถึงกำลังท่วมท้นเข้ามาจิตใจ ปากก็ขยับเปล่งเสียงชื่อของคนในห้วงคิดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“พี่ภีม”
------------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ถ้าเข้าไปใน twitter ก็แวะไปคุยกันที่
https://twitter.com/PlusOneNovel ได้นะคะ