#คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]  (อ่าน 10081 ครั้ง)

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 18 (29/4/2562)
«ตอบ #30 เมื่อ29-04-2019 23:06:10 »

หลงอยู่ส่วนไหนของโลกเนี่ย ดูจับต้องไม่ได้  :katai1:

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 19 (30/4/2562)
«ตอบ #31 เมื่อ30-04-2019 03:45:16 »

แผ่นที่ 19

หลังจากลืมตาตื่นมาในเช้าวันใหม่ แม้จะได้อ่านข้อความจากภาพโพลารอยด์แปะกระดาษโน้ตใบนั้นแล้ว
อัชฌาที่ไม่มีงานส่วนที่ต้องไปเกี่ยวกับแผนกภาพก็ไม่ได้มีโอกาสได้เจอกับคุณหลง ช่างภาพของพี่ก้องคนนั้นอีก ถึงว่าจะได้ทราบจากพี่มลว่า อีกฝ่ายเป็นคนแบกเขาที่ภาพตัด แถมไปส่งถึงคอนโดในคืนวันฉลอง
แม้จะคิดว่าตามมารยาทควรขอบคุณ แต่มาคิดอีกครั้งว่าต้องไปเจอคนกวนประสาทขนาดนั้น ใจก็คิดไปว่า เอาไว้บังเอิญเจอหน้างานค่อยขอบคุณก็คงได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องบุญคุณใหญ่โตอะไร
แล้วเรื่องของคุณช่างภาพหน้านิ่งคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ห้วงความคิดของเขาอีกต่อไป

“อัช โปสการ์ดถึงอัช”
พี่มลส่งเสียงร้องทัก แล้วยื่นกระดาษหนาแผ่นหนึ่งมาให้

“ครับ?” เขาตอบรับปนสงสัย โปสการ์ดหรือ

“อือ ก็เขียนชื่อกรุณาส่งถึง คุณอัชฌา นี่”

“ขอบคุณครับ” แม้มือจะเอื้อมไปรับ แต่ใจก็ยังสงสัย ใครกันนะ จะว่าเพื่อนเขา ก็ไม่มีใครที่บอกกล่าวว่าเดินทางท่องเที่ยวช่วงนี้ แถมส่งมาที่ทำงาน ถ้าเป็นเพื่อนทำไมไม่ส่งไปที่บ้าน หรือคอนโด

“คุณครับ
บ่อน้ำพุร้อนของที่นี่ดีต่อสุขภาพมาก
นอกจากแช่รักษาโรคได้แล้ว
ความร้อนมันยังต้มไข่สุกได้ด้วย”


ใครกัน?
ความสงสัยแรกที่เกิดขึ้น กับคำถามที่ไม่รู้จะต้องถามใคร
อัชฌาจึงได้แต่พลิกโปสการ์ดไปมาหน้าหลัง พยายามดูอย่างละเอียดเท่าไรก็ไม่อาจจะคลายข้อสงสัย
ด้านหนึ่งเป็นภาพถ่ายที่ล้างอัดในกระดาษอัดรูปตามปกติ
ส่วนอีกด้านหนึ่งเอากระดาษที่มีความหนาพอสมควรแปะแล้วแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ด้านซ้ายเป็นข้อความไม่กี่บรรทัดที่ขึ้นด้วย คุณครับ ส่วนฝั่งขวาเป็นชื่อของเขา แม้ไม่ได้ระบุนามสกุล แต่ที่อยู่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานแห่งนี้ชัดเจน

อัชฌาเงยหน้าขึ้นจากโปสการ์ด แล้วหันไปหาเพื่อนร่วมงานเพื่อถามและขอความคิดเห็น
“พี่มล เขาส่งผิดหรือเปล่าครับ”

“ชื่อหราอยู่ขนาดนั้น ที่นี่ก็มีอัชฌาเดียวหรือเปล่า เอาจริงๆ คือทั้งบริษัทในเครือ พี่ก็ว่ามีอัชฌาเดียวเถอะ ชื่อก็ไม่ได้โหลขนาดนั้นไหม”

“คือ ผมไม่ทราบว่าใครส่งมา”

“ไม่ได้ลงชื่อหรือ”

“ไม่ครับ มีแต่ชื่อผู้รับคือชื่อผม แถมเขียนแค่ชื่อด้วย”

“พี่ว่าไม่น่าสงผิดนะอัช ถ้าเขียนชื่อสะกดถูกได้ขนาดนี้”

“แต่ก็ไม่ทราบว่าจากใครอยู่ดี ไม่ใช่โปสการ์ดที่ซื้อมาด้วย เป็นภาพถ่ายบนกระดาษอัดภาพแปะมาบนกระดาษอีกทีครับ”
เขาที่ชูโปสการ์ดแผ่นดังกล่าวขึ้นให้พี่มล หวังให้อีกฝ่ายช่วยพิจารณาเพิ่มเติม

“ทำมือจริงด้วย ข้อความก็ไม่มีอะไรพิเศษ แค่พี่ว่าส่งไม่ผิดหรอก เพราะเขียนชื่อถูกขนาดนี้ แค่ว่าใครส่งนี่ไม่รู้จริงๆ แฮะ แต่มันแค่โปสการ์ด ไม่มีอะไรหรอกมั้ง ถึงส่งผิด สมมติมีอีกอัชฌาก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เอกสารสำคัญอะไร”

“ไม่ดีหรอกครับพี่มล คนส่งสารเขาก็คงอยากให้ถึงมือผู้รับ เดี๋ยวยังไงผมลองไปถามฝ่ายบุคคลดู เผื่อว่าบริษัทในเครือจะมีชื่อคนซ้ำกัน เพราะไม่ได้เขียนนามสกุลด้วย”

พี่มลพยักหน้ากับการตัดสินใจของเขา แล้วก็หันหลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ
มีเพียงเขาที่เพ่งมองโปสการ์ดแผ่นนั้นอีกครั้ง

การส่งสารที่ไม่อาจจะถึงมือผู้รับมันไม่มีอะไรดีหรอก เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดี
เข้าใจยิ่งกว่าใครๆ สารที่ไม่มีวันไปถึง มันอาจจะน่าเศร้า
แต่เพราะความเศร้ามันยังทำให้หัวใจมีความรู้สึก
สำหรับเขา ทั้งความเศร้า และความคิดถึง มันไม่ได้น่ารังเกียจเกินไป
ความไม่เศร้า ไม่คิดถึง ไม่อาจจะรู้สึกต่างหากที่จะทำให้จิตใจของเขาเดินถอยหลัง
เขาที่ให้สัญญากับคนๆ นั้นไว้แล้ว จะไม่มีวันเดินถอยหลังอีก
ผมจะไม่มีวันเดินถอยหลังอีก ผมสัญญาครับพี่ภีม

.
.
.
โปสการ์ดมาอีกแล้ว ในเดือนนี้นี่เป็นแผ่นที่ 4 แล้ว

“โปสการ์ดประจำสัปดาห์ป่ะเนี่ยอัช” พี่มลที่ยื่นโปสการ์ดมาให้เช่นเคยทักขึ้น “มาสม่ำเสมอมาก”

และเช่นเคย มันไม่มีชื่อผู้ส่ง มีแต่ชื่อผู้รับที่เป็นชื่อของเขา ระบุที่อยู่ชัดเจนเช่นเคย ส่วนข้อความก็สั้นๆ ห้วนๆ เปิดด้วยคำว่า คุณครับ แล้วก็ต่อด้วยข้อความไร้ทิศทาง นอกจากนั้นยังไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเนื้อความอีกด้วย
ภาพที่ส่งมายังคงเป็นภาพที่มาจากการล้างอัดบนกระดาษอัดภาพเช่นเคย แต่ที่น่าสังเกตคือ ภาพทั้งหมด เป็นภาพแลนด์สเคป ส่วนฝีมือในการถ่ายภาพ ก็ต้องยอมรับว่า น่าสนใจทีเดียว เขาในฐานะคนทำงานสายสื่อที่เห็นงานภาพมาพอสมควร อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่า ภาพทุกภาพที่ส่งมานั้น มีความน่าสนใจและสวยมาก มากเพียงพอที่จะทำให้เขายั้งใจไม่เขวี้ยงโปสการ์ดไร้ชื่อทุกใบเหล่านี้ลงถังขยะ แต่เลือกเก็บมันไว้ในลิ้นชักของโต๊ะทำงานแทน

“โดนใครจีบหรือเปล่าเนี่ยอัช”

“ถ้าจะจีบแบบนี้ ผมว่าวิธีนี้ไม่น่าจะรอดนะครับ ใกล้ๆ กับการเป็นสตอคเกอร์ไปนิด”

“พี่ว่ามันก็ออกจะโรแมนติคอยู่นะ”
.
.
.
แม้จะบอกว่าไม่ใส่ใจแล้ว แต่โปสการ์ดจากคนปริศนาก็ยังถูกส่งมาอย่างสม่ำเสมอ
แม้ไม่สม่ำเสมอขนาดเป็นโปสการ์ดรายสัปดาห์เช่นที่พี่มลว่า แต่ก็ถูกส่งมาถึงเขาเสมอ
ไม่มีชื่อผู้ส่ง ไม่ลงสถานที่ที่มันมา ไม่มีแม้แต่วันที่ที่ถูกเขียน ทุกอย่างในโปสการ์ดเหมือนเดิม คือ ภาพ และข้อความที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ข้อความห้วนๆ และที่อยู่ผู้รับ
ในบางครั้งที่มันทิ้งห่างไป แต่สักพักมันก็เดินทางมาพร้อมกัน 2 ใบ บางครั้งก็ 3 ใบ
อัชฌาเลือกวิธีสังเกตตราประทับของไปรษณีย์ต้นทาง ซึ่งก็อ่านได้ชัดเจนบ้าง ไม่ได้บ้าง
ภาพบางภาพเป็นสถานที่ที่เขาก็พอจะรู้จัก แต่บางสถานที่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นที่ใด และเมื่อพิจารณาร่วมกับตราประทับก็พบว่ามันไม่ได้สอดคล้องกัน เช่นภาพที่ถ่ายวิหารและเมืองจากมุมหนึ่งบนพื้นที่สูงของกรุงปราก มุมที่เขาเองก็เคยไปเยือน แต่ตราประทับกลับมาจากภายในประเทศ ระบุชื่อเป็นจังหวัดในเขตชายแดนใต้สุดของประเทศ ในขณะที่บางครั้ง ภาพเป็นทะเลที่คาดว่าน่าจะถ่ายแถวอันดามัน เพราะมีองค์ประกอบของเรือประมงพื้นบ้านขนาดเล็กอันเป็นเอกลักษณ์ประกอบอยู่ ดวงตราไปรษณีย์ที่แปะกลับเป็นของเนปาล เขาจึงเลิกวิเคราะห์หาความเชื่อมโยงในเรื่องนี้แล้ว แต่เรื่องที่ใครส่งมานั้น ก็ยังเป็นเรื่องที่ยังติดอยู่ในใจ
.
.
.
“ขอบคุณนะครับกรที่มาช่วยย้ายของ”

“ไม่เป็นไรเลยครับอัช บอกมาตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจ”

“กรไม่ได้ไปร้าน มาช่วยผมย้ายของ จะไม่เกรงใจได้ไงครับ”

“ผมเต็มใจเสมอ” กรส่งรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์จากรอยบุ๋มที่ข้างแก้มนั้นให้อัชฌาแล้วถามเตือนอีกฝ่าย “มีอะไรต้องเก็บอีกไหมครับ”

“ตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วครับ”

“งั้นผมช่วยดูอีกครั้งจะได้ไม่ลืมอะไร”

“ขอบคุณครับกร”

อัชฌาที่ปล่อยให้กรช่วยสำรวจความเรียบร้อยของข้าวของที่แพ็คใส่กล่องเตรียมขนย้ายในพื้นที่ด้านนอก ส่วนตัวเองเดินเข้าไปในพื้นที่ของห้องนอนเพื่อตรวจสอบ เมื่อไล่เปิดลิ้นชักของโต๊ะเตี้ยข้างเตียงนอน เขาพบภาพโพลารอยด์ใบหนึ่งที่เคยถูกทิ้งอยู่ด้านในนั้น
เมื่อเอื้อมมือหยิบออกมา และพลิกไปที่ด้านหลัง ก็เตือนความทรงจำของเขาถึงเหตุการณ์ในงานฉลองร่วมกับทีมพี่ก้องเมื่อหลายเดือน ซึ่งนานน่าจะเกือบครบปีแล้ว คนที่มาส่งเขาที่ห้อง ซึ่งทิ้งภาพและโน้ตนี่ไว้ ลายมือในโน้ตหวัดๆ ที่สะกิดความรู้สึกคุ้นเคย ทำให้อัชฌาขมวดคิ้ว
แต่ก่อนที่จะคิดทบทวนต่อ เสียงของกรซึ่งเรียกอยู่ด้านนอกก็ดังขึ้นก่อน
“อัชครับ ทีมขนมาแล้วนะครับ”
สุดท้าย เขาจึงเลือกเก็บภาพแผ่นนั้นลงในกระเป๋าแล้วหมุนตัวออกไปจากห้องนอน
.
.
.
“หลง มีคนมาหา”
เสียงเรียกของสมาชิกในแผนกช่างภาพ ช่วยทำให้ร่างสูงที่กำลังเพ่งอยู่ที่หน้าจอละสายตาและกำลังหันหน้าไปทางต้นเสียง
แต่อัชฌาที่ไม่รอช้า ก้าวมาถึงโต๊ะของคู่กรณีเรียบร้อยแล้ว พร้อมโปสการ์ดจำนวนหนึ่งในมือที่ถือชูขึ้นมาให้อีกฝ่ายเห็น

“คุณหลง ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยนะ”

************************
ยังไม่จบเรื่องราวในอดีต ก็ปล่อยให้คุณหลงไปตามทางชีวิตของเค้าสักครู่นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจริงๆ ค่ะ และอยากบอกว่าทุกคอมเม้น แม้แต่สติกเกอร์ที่มาเคลื่อนไหวใต้นิยายเรื่องนี้ มันมีความหมายกับความรู้สึกของเรามากจริงๆ ค่ะ

ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel








ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 19 (30/4/2562)
«ตอบ #32 เมื่อ30-04-2019 05:07:18 »

สงสารภีม จากกันแบบนี้มันทรมานเนอะ อย่างน้อยได้เห็นร่างก็ยังดี
สงสารอัชที่อยู่กับความทรงจำที่จับต้องไม่ได้

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 20 (1/5/2562)
«ตอบ #33 เมื่อ01-05-2019 03:50:21 »

แผ่นที่ 20

“โปสการ์ดนี่ คุณส่งมาใช่หรือเปล่า”
หลังจากที่พบกับภาพโพลารอยด์ใบนั้น ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยในลายมือ เขาก็เอาลายมือหวัดๆ ในกระดาษโน้ตหลังภาพมาเทียบกับลายมือหวัดๆ ในโปสการ์ด และแน่ใจในทันทีว่าทั้งหมดน่าจะมาจากคนที่ยืนตรงหน้าเขา แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของหลงต่อการมาของเขาพร้อมโปสการ์ดไม่ได้เป็นอย่างที่อัชฌาคาดคิด เพราะเมื่อเขาถาม อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือปฏิเสธ ซ้ำยังพยักหน้ารับทันทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ครับ”

“คุณส่งมาทำไม”

“การส่งจดหมายก็ต้องไว้เพื่อส่งข้อความอยู่แล้วนี่ครับ”

“นี่มันไม่ใช่จดหมาย และผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีข้อความอะไรที่ดูอยากจะส่ง”

คู่กรณีเอื้อมมือมาจับที่หลังมือด้านขวาของอัชฌา มือซึ่งกำลังถือโปสการ์ดอยู่ ก่อนจะจับฝ่ามือนั้นหงายขึ้น อาการของมืออีกฝ่ายกำลังรองอยู่ใต้ฝ่ามืออัชฌา เพื่อเผยให้โปสการ์ดทั้งหมดที่ถือ ก่อนที่นิ้วชี้ในมืออีกข้างของหลงจะชี้ลงบนภาพของโปสการ์ดแผ่นบนสุด
“นี่ไงครับ ข้อความที่อยากจะส่ง”

อัชฌาที่กำลังอึ้งในการกระทำนั้นของอีกฝ่าย ทำท่าจะชักมือออกให้เป็นอิสระ แต่ฝ่ามือใหญ่ฝ่ายนั้นบีบเบาๆ กักกุมอิสระของฝ่ามือเขาไปโดยปริยาย
สายตาของอัชฌาที่ตวัดแหงนขึ้น สบเข้ากับสายตาที่มองตรงมาที่เขา แม้ว่าช่วงเวลาอาจจะผ่านไปเพียงไม่นาน แต่ในความรู้สึกของอัชฌาตอนนี้ อากาศรอบๆ ตัวเหมือนไม่หมุนวน บรรยากาศประหนึ่งถูกหยุดให้ชะงักงัน เสียงความวุ่นวายในสำนักงานกลายเป็นไม่ได้เข้าสู่โสตประสาท จนเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง
“ผมอยากส่งให้คุณนะครับ”

อัชฌาที่เปลี่ยนมาขมวดคิ้วทำท่าสงสัย จึงเอ่ยถาม
“ส่งเพื่ออะไร”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ เขาจึงถามซ้ำ
“ว่าไงคุณหลง ส่งเพื่ออะไร”

“เพื่อให้เป็นข้อความของคุณครับ”

คำตอบเหมือนไม่ตั้งใจตอบ กำลังทำให้เขาหงุดหงิด ขณะที่คิดจะเอ่ยห้ามไม่ให้อีกฝ่ายส่งโปสการ์ดมาอีก แต่เพราะได้ยินคำตอบต่อมาเข้าก่อน ทำให้เขาตัดสินใจกลืนสิ่งที่กำลังจะพูดกลับลงคอ
“คุณจะได้มีข้อความที่เป็นของคุณส่งถึงเสมอ”

ข้อความที่เป็นของเขา ที่ส่งถึงเสมอเช่นนั้นหรือ
.
.
.
อาจจะเพราะข้อความของคำตอบจากหลงนี้ สะกิดเข้ากับความรู้สึกของเขาจนไม่มีข้อความใดๆ โต้ตอบกลับในการสนทนาอีก และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นการเงียบในบทสนทนาเป็นเสมือนคำอนุญาตจากเขาในการส่งโปสการ์ดให้เขาต่อไปได้
เพราะโปสการ์ดยังคงถูกส่งมาอย่างสม่ำเสมอ ถึงทีละใบบ้าง รวมกันมาบ้าง ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเพราะเกิดจากอารมณ์ผู้ส่ง หรือเป็นไปตามอารมณ์การนำจ่ายของไปรษณีย์
อัชฌาจึงให้ข้อสรุปแก่ตัวเองเพื่อความสบายใจว่า อย่างน้อยก็รู้ที่มาที่ไปแล้วว่าใครเป็นคนส่ง ส่วนคนอยากส่ง จะทำอะไร เขานั้นขี้เกียจจะไปพูดห้ามแล้ว หรือจริงๆ เขาเชื่อว่าถึงพูดอีกฝ่าย ก็อาจจะไม่ได้ผลอะไร

ในวันนั้น เมื่อเดินกลับมาจากการไปสอบสวนผู้ต้องสงสัย พี่มลซึ่งเหมือนจะรอถามความคืบหน้าก็ไม่รอช้าที่จะสอบถามในทันที
“สรุปว่าใช่คุณช่างภาพคนนั้นไหม”

“ครับ”

“แล้วเขาส่งมาจีบหรือเปล่า”

“ไม่ทราบครับ ไม่ยอมตอบอะไรนอกจากบอกว่า ‘เพื่อให้เป็นข้อความของคุณครับ คุณจะได้มีข้อความที่เป็นของคุณส่งถึงเสมอ’ แค่นี้ครับ“

“โอ๊ย ตายแล้ว ตอบแบบนี้จริงหรือ”

“ครับ ตอบแบบนี้ กวนประสาทมาก”

“บ้าแล้วอัช ข้อความขนาดนี้ เขาเรียกว่าจีบแล้ว”

“พี่มลครับ ตรงไหนที่เรียกว่าจีบครับ เรียกว่าโรคจิตน่าจะใกล้เคียงกว่าหรือเปล่า”

“อัชฌา หนูความรู้สึกช้าหรือคะ ถ้าเขาโรคจิต เขาจะยอมรับหรือว่าส่งมาหาขนาดนี้ เขาก็ต้องทำแอบๆ หรือแสดงท่าทีคุกคามอะไรแบบนั้นแล้ว นี่แค่ส่งโปสการ์ดมา ภาพก็สวย เรียกว่าอารมณ์ศิลปินเถอะคะ”

“ผมคิดว่า สังคมนี้ควรรณรงค์การใช้คำว่าอารมณ์ศิลปินให้ถูกต้องนะครับ และเราไม่ควรเอาคำว่าอารมณ์ศิลปินมาอธิบายอารมณ์ไร้ตรรกะ หรือการกระทำที่ไม่มีเหตุผลหรือเปล่าครับ”

“แต่คุณอัชฌาคะ เขาก็ให้เหตุผลของเขามาแล้วนี่ ไม่เห็นมีอะไรไร้เหตุผลเลย”

“แล้วพี่มลจะไปเป็นทนายเถียงแทนเขาทำไมครับ”
 
“ก็เขาน่ารัก ไม่สิ หน้าตาดีมาก ฝีมือถ่ายภาพก็ดี แถมพูดจามีอารมณ์ศิลปิน คือสเปคมาก อยากได้แฟนอารมณ์ติสท์งี้เลยอะ คุณโปสการ์ดงี้ โรแมนติคสุด”

อัชฌาได้แต่ส่ายหน้าให้กับปฏิกิริยาและการแสดงความคิดเห็นของพี่มล แล้วก้มมองโปสการ์ดในมือ พร้อมๆ กับคิดถึงคำตอบที่อีกฝ่ายให้เขาขึ้นมาอีกครั้ง

เพื่อให้เป็นข้อความของคุณครับ คุณจะได้มีข้อความที่เป็นของคุณส่งถึงเสมอ

เช่นนั้นเขารับเอาไว้ก็ได้ ข้อความที่ถูกส่ง แต่ไม่มีคนรับ มันออกจะน่าเศร้าและน่าสงสารเกินไป
ถ้าคนส่งเขาอยากส่ง คนรับอย่างเขาก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไรในการรับนี่นะ
.
.
.
ความคุ้นเคยจากการรับโปสการ์ดที่ผ่านมาเป็นปีๆ แล้ว ฝ่ายผู้ส่งดูยังมีความสม่ำเสมอในการส่งโปสการ์ดไร้การลงนาม ไร้วันที่ และไร้ที่มา ถึงการปฏิสัมพันธ์ของหลงกับอัชฌาหลังจากนั้น ไม่สามารถเรียกได้ว่าพัฒนาดีขึ้นเป็นความสนิท แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับถามคำตอบคำเช่นเคย อาจจะเพราะโปสการ์ดทำให้เขาสนทนากับอีกฝ่ายมากขึ้นเมื่อพบหน้าในส่วนพื้นที่สำนักงาน หรือเวลางานออกกองที่ฝ่ายเขาต้องมาทำงานร่วมกับแผนกช่างภาพบ้าง

“คราวนี้ไปไหนมาอีกล่ะคุณหลง”

“ไปหลายที่ครับ”

อัชฌาถอนหายใจให้กับวิธีการให้คำตอบของอีกฝ่าย
“ถ้าคุณจะตอบแบบธรรมดาๆ นี่คือเกินความสามารถมากเลยใช่ไหม หรือว่ามันจะหลุดคอนเซปการใช้ชีวิตหรือ”

“ผมก็ตอบตามปกตินะครับ”

“ครับๆ ปกติมากครับ ผมขอโทษเองแล้วกันที่ถามแบบไม่ปกติ ไม่ถามแล้ว”
และเมื่อเลือกตัดบท อีกฝ่ายกลับเป็นคนเรียกเขากลับสู่การสนทนา
“คุณครับ” 

“อะไรอีกละ ผมไม่ถามแล้วไง”

“คือ หลังเสร็จจากนี่ ให้ไปส่งที่คอนโดไหมครับ”

อัชฌากลายเป็นฝ่ายแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมากับการขันอาสาที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนี้ แต่ก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธกลับไป
“ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว พอดีที่บ้านมีคนไม่พอ เลยต้องไปช่วย เลยไม่ได้เช่าแล้ว ย้ายออกแล้วน่ะ”

“งั้นผมไปส่งที่บ้านนะครับ”

ความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายสร้างความแปลกใจกับอัชฌาไม่น้อย ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมไปเยี่ยมจูเนียร์ก็ได้”

“นี่คุณรู้จักแมวผมได้ไง”

“คุณบอกครับ”

“บอกตอนไหน”

“วันที่ผมเคยไปส่งคุณครับ คุณบอกว่า จูเนียร์ เมี้ยวๆ”

คราวนี้อัชฌาหัวเราะขำออกมา เมี้ยวๆ งั้นหรือ นั่นเรียกว่าบอกหรือไงนะ คนๆ นี้มีระดับความสามารถในการสื่อสารต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกินไปละ
“ว่าไป ผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณจริงๆ จังๆ เลยนะที่ไปส่งวันนั้น ผ่านไปเป็นปีละ ยังไงก็ขอบคุณนะที่เคยไปส่ง ให้ผมเลี้ยงข้าวตอบแทนไหม ท่าทางตอนนั้นผมจะเป็นภาระ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เป็นภาระเลย”

“งั้นเอางี้ ไปกินข้าวที่บ้านผมเลยแล้วกัน แต่คงต้องรีบออกกันแล้วล่ะ เดี๋ยวจะเลยเวลาอาหารเย็นแล้วจะไม่มีอะไรกิน ไป เก็บของเลยคุณ”
อัชฌากลับกลายเป็นฝ่ายเร่งให้ช่างภาพเก็บข้าวของ ก่อนที่จะเดินตามอีกฝ่ายไปที่รถของคนที่อาสาส่งกลับบ้าน
.
.
.
สถานที่ปลายทางที่อัชฌาเรียกว่า “บ้าน” และชวนให้เขามากินข้าวเย็นด้วยนั้น ทำให้หลงเกิดความประหลาดใจ เพราะว่าปลายทางที่เขากำลังเลี้ยวผ่านรั้วเขามา มีแผ่นป้ายติดอยู่ว่า “บ้านอุปถัมภ์”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ไถ่ถาม หรือคิดสงสัยในเรื่องใดต่อ เสียงเรียกของอัชฌากำลังเร่งการกระทำของเขา
“จอดตรงนี้เลยก็ได้ ไป รีบลงมา เดี๋ยวเลยเวลาอาหารจะไม่มีอะไรกินนะคุณ”

หลงที่ลงจากรถ เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปใน “บ้าน” ก็ได้ยินเสียงจอแจร้องทักผู้ที่กลับมา
“พี่อัชกลับมาแล้ว”

ต่อด้วยเสียงของอัชฌาที่ส่งปราม พร้อมบอกกับสมาชิกในบ้านเหล่านั้นให้เอ่ยทักทายเขา
“เด็กๆ มีแขกมา ต้องทำไงครับ”

“สวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ” เสียงประสานจากเด็กหลายคนตรงหน้ากล่าวประโยคทักทายเขา

“เดี๋ยวคุณเล่นกับเด็กๆ รอ หรือว่าเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมไปดูข้าวเย็นก่อน เสร็จละเดี๋ยวมาเรียก”

หลงที่แม้ยังคงมีความสงสัย แต่ก็เลือกที่จะพยักหน้าให้กับอีกฝ่าย จนเมื่อเห็นอัชฌาหมุนกายเดินไปแล้ว เขาจึงมองไปมาเด็กๆ ทั้งกลุ่มที่กำลังจ้องมาที่เขาด้วยความสงสัย
“เพื่อนพี่อัชมากินข้าวเย็นด้วยหรือครับ”

หลงพยักหน้าให้กับเด็กชายเจ้าของคำถามแล้วตอบรับสั้นๆ
“ครับ”

“ยังไม่ถึงเวลาข้าวเย็น มาเล่นกันก่อนครับ” อีกฝ่ายเสนอทางเลือก แล้วก็เข้าไปจูงมือเขาให้เดินตามไปยังห้องกว้างด้านใน ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่เอาไว้ใช้ทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง เพราะมีทั้งของเล่น และชั้นหนังสืออยู่ตามมุมต่างๆ ของห้อง ส่วนผนังรอบๆ ห้องก็ประดับด้วยภาพถ่ายใส่กรอบจำนวนมาก

“ไม่เล่นหรือครับ” เด็กน้อยคนเดิมที่กำลังนั่งลงสมทบกับเพื่อนท่ามกลางบลอคไม้ กวักมือเรียกเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเลือกที่จะตอบปฏิเสธ
“เล่นกันไปเลยครับ พี่ขอเดินดูภาพนะ”
เด็กชายพยักหน้ารับทราบ และไม่ได้สนใจแขกผู้มาเยือนเช่นเขาอีกต่อไป

หลงเดินดูภาพถ่ายใส่กรอบที่ติดประดับอยู่รอบๆ ห้อง ล้วนเป็นภาพของกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่ เพราะในภาพเห็นมีผู้คนมากหน้าหลายตาถ่ายร่วมกับเด็กๆ ซึ่งน่าจะเป็นสมาชิกในบ้านแห่งนี้ ซึ่งพื้นหลังของภาพส่วนใหญ่คือหน้าอาคารที่เขาจอดรถเมื่อสักครู่
แล้วการขยับค่อยๆ ไล่ชมภาพก็หยุดนิ่งลง เพราะเขาได้สังเกตเห็นคนในภาพๆ หนึ่ง ชายหนุ่มในภาพที่ยิ้มกว้างท่ามกลางเด็กๆ หลายคน ภาพที่คงเป็นการถ่ายภาพหมู่ที่ระลึกหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม เพราะไม่ได้มีองค์ประกอบอื่นใดในภาพเป็นพิเศษ
เพียงแต่ว่านั่นเป็นภาพของคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี แม้สายตาจะมองที่ภาพ แต่หัวใจดูเหมือนจะเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกหวนเข้าสู่การระลึก ความคิดถึงกำลังท่วมท้นเข้ามาจิตใจ ปากก็ขยับเปล่งเสียงชื่อของคนในห้วงคิดออกมาโดยไม่รู้ตัว

“พี่ภีม”

 ------------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถ้าเข้าไปใน twitter ก็แวะไปคุยกันที่ https://twitter.com/PlusOneNovel ได้นะคะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2019 23:42:42 โดย plusoneproject »

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 20 (1/5/2562)
«ตอบ #34 เมื่อ01-05-2019 07:09:23 »

พี่ภีมคงรู้จักกับอัชที่นี่ใช่มั้ยเนี่ย
อยากให้รู้ความจริงและเปิดใจกันเร็วๆจัง อดีตมันบีบหัวใจจังเลย

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 21 (2/5/2562)
«ตอบ #35 เมื่อ01-05-2019 23:59:33 »

แผ่นที่ 21

“สวัสดีครับ เพื่อนน้องอัชหรือ”

เสียงเรียกจากด้านหลัง ทำให้หลงที่หมุนตัวกลับไปได้พบกับผู้หญิงรูปร่างผอม ใบหน้าที่มีร่องรอยแห่งวัยประดับอยู่บ่งบอกอายุของอีกฝ่ายที่คงไม่น้อยนัก แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้เขานั้นช่างดูอ่อนโยน จนสามารถผ่อนคลายความอึดอัดในการเริ่มบทสนทนากับคนที่พบหน้ากันครั้งแรกแก่เขาได้ไม่น้อย

“สวัสดีครับ”
หลงยกมือขึ้นไหว้เพื่อตอบรับการทักทายของอีกฝ่าย ในขณะที่กำลังคิดว่าจะแนะนำตัวกับอีกฝ่ายว่าเขาเป็นใคร เด็กชายคนเดิมที่จูงมือเขาเข้ามาในห้อง ก็ลุกวิ่งเข้ามาช่วยคลายข้อสงสัยให้อีกฝ่ายแทน

“เพื่อนพี่อัชครับแม่ นั่น ขับรถคันนั้นมา แล้วพี่เขาก็จะมากินข้าวเย็นที่บ้านด้วยครับ”

ผู้ที่ถูกเรียกว่า “แม่” ก้มมองเด็กน้อย ก่อนยกมือลูบศีรษะของอีกฝ่าย
“งั้นหรือ แล้วน้องแทนสวัสดีพี่เขาแล้วหรือยังครับ”

“สวัสดีแล้วครับ เพราะน้องแทนเป็นเด็กดี” เด็กชายยิ้มกว้างขณะรายงานกลับอีกฝ่ายซึ่งตอบรับด้วยการยิ้มกว้างเช่นกัน ก่อนที่จะหันกลับมาเอาใจใส่ผู้มาเยือนเช่นเขาอีกครั้ง

“รอทานข้าวเย็นสักครู่นะคะ น้องอัชน่าจะกำลังช่วยน้องๆ เตรียมอยู่ในครัว”

“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ เอ่อ คุณแม่” หลงขันอาสาเมื่อได้ยินว่าคนที่ชวนมานั้นกำลังเตรียมอาหาร แต่ปลายเสียงที่แผ่วเบาในตอนท้าย เกิดเพราะไม่แน่ใจว่าควรเรียกขานอีกฝ่ายว่าอะไร

“เรียก แม่ ก็ได้ครับ เรียกเหมือนที่น้องๆ เรียกได้เลย”

“ผมชื่อ หลงครับ เป็นเพื่อน เอ่อ เพื่อนร่วมงานที่บริษัทเดียวกันครับ”

“งั้นหรือ น้องหลงเป็นนักเขียนเหมือนกันหรือครับ”

“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นช่างภาพครับ”

“งั้นหรือๆ มิน่าเมื่อกี้เห็นกำลังยืนดูภาพ แต่ภาพในนี้ไม่ค่อยมีอะไรหรอกนะจ๊ะ เป็นภาพถ่ายของคนที่เคยมาทำกิจกรรมที่นี่ทั้งนั้น”

“นี่ด้วยหรือครับ” หลงหันกลับไปพร้อมชี้นิ้วไปที่ภาพถ่ายกรอบหนึ่ง กรอบที่มีคนคุ้นเคยของเขาอยู่ร่วมเป็นองค์ประกอบในภาพนั้น

“ใช่ครับ ภาพนั้นน่าจะเป็นกิจกรรมของพี่ๆ ชมรมนักเขียนล่ะมั้ง แม่จำได้ไม่แน่ชัดนัก แต่พี่ๆ ในนั้นหลายคน หลังจากการมาทำกิจกรรมแล้ว ก็ยังมีแวะมาเยี่ยมมาหา มาคุยกันตลอด ทุกวันนี้ก็ยังแวะกันมาเลยนะ ยกเว้นอยู่คนหนึ่ง เมื่อก่อนแวะมาบ่อยๆ เป็นพี่ที่น้องๆ รักมากเลยล่ะ เพราะพี่เล่านิทานเก่ง เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ เล่าเรื่องการผจญภัย การเดินทางไปโน่นไปนี่ของตัวเขาเอง แล้วยังมาสอนน้องๆ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เขียนนิทานด้วยนะ”

หลงที่ได้ยืนฟัง และมองกลับไปที่ยังภาพถ่ายกรอบนั้นอีกครั้ง อดที่จะคิดไม่ได้ว่า ลักษณะของคนๆ นั้นที่ถูกเล่าออกมา คนที่ชอบทำกิจกรรมเพื่อคนอื่นเช่นนั้น เอาเรื่องมาคุยมาเล่า มาชวนอ่านชวนเขียน ช่างคล้ายนิสัยของพี่ชายเขา

และเมื่อแม่ของบ้านชี้นิ้วไปที่ภาพ คนที่อยู่ตรงปลายนิ้วก็เป็นคนที่เขากำลังคิดถึงจริงๆ

“นี่ คนนี้ พี่ภีม แต่ตอนนี้พี่เขาไปอยู่บนฟ้าเสียแล้ว น่าเสียดายจริงๆ คนดีๆ คนน่ารักๆ ทำไมถึงถูกชวนไปอยู่บนฟ้าเร็วนักนะ”

หลงยังคงมองไปที่พี่ภีมในภาพ ตอนนี้เหมือนพี่ภีมมาช่วยไขความสงสัยเรื่องหนึ่งในใจเขา เรื่องที่เขาเคยคิดและสงสัยว่า พี่ภีมนั้นรู้จักกับอัชได้อย่างไร แต่ว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายนั้นต้องเขียนบันทึกให้พี่ชายเขา เขาเองยังไม่อาจจะทำความเข้าใจได้ และยังไม่มีความกล้าเพียงพอที่จะลองถาม
ยิ่งวันนี้เขาได้มาเจอพี่ภีมที่นี่ ความสัมพันธ์ระหว่างอัชฌากับพี่ชายเขาที่พอจะเดาได้ดูจะยิ่งสร้างความลำบากในการเปิดประเด็นสนทนาเพื่อคลายข้อสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก 
 
การสนทนาระหว่างเขากับแม่ได้หยุดลงด้วยเสียงเรียกของอัชฌาที่กำลังเดินเข้ามา
“คุณหลง อาหารพร้อมแล้วนะ อ้าว แม่ มาอยู่ที่นี่เองครับ กำลังจะมาทำอะไรอีกแล้วใช่ไหม ทำไมไม่เคยนั่งพักนิ่งๆ บ้างเลยนะ เดี๋ยวหลังก็ปวดขึ้นมาอีก”

“แม่ไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อยน้องอัช”

“ไม่รู้ล่ะครับแม่ แม่ควรจะต้องเคลื่อนไหวน้อยๆ ไม่ต้องมาเล่นกับเจ้าพวกลิงนี่ด้วย ห้ามเหนื่อย ไปทานข้าวครับ ข้าวเย็นพร้อมแล้ว”

หลงที่ยืนอยู่ระหว่างบทสนทนาของผู้แทนตัวว่าแม่ กับ น้องอัชของผู้เป็นแม่ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม จนอีกฝ่ายสังเกตเห็นได้ในทันที
“ยิ้มอะไรกันคุณหลง ออ นี่รู้จักแม่แล้วใช่ไหม แม่ครับนี่คุณหลง เพื่อนที่ทำงานครับ พอดีติดคำขอบคุณที่เคยช่วยเหลือ เลยชวนมากินข้าวเป็นการขอบคุณไปด้วยเลย”

“น้องอัช ถ้าจะเลี้ยงขอบคุณทำไมไม่พาเพื่อนไปเลี้ยงที่ร้านดีๆ ล่ะครับ” คราวนี้เสียงของแม่ดังขึ้นเชิงตำหนิแก่อัชฌา

“ไม่เป็นไรครับ ผมทานอะไรก็ได้” และเป็นหลงที่ชิงตอบสนองก่อนที่อัชฌาจะได้เอ่ยอธิบายอะไร

“ข้าวในบ้าน มีน้องๆ ทานด้วย รสชาติมันจะไม่อร่อยถูกปากนะสิครับ เพราะทำเผ็ดกับปรุงรสไม่ได้มาก”

“ผมทานได้ทุกอย่างครับ เวลาเดินทางผมก็ทานอาหารทุกแบบ ทุกท้องถิ่น ทุกประเทศเป็นประจำอยู่แล้ว ปรุงรสแบบไหน หรืออะไรผมก็ทานได้ครับ

ผู้เป็นแม่ซึ่งกลายเป็นฝ่ายสนใจกับคำตอบของหลง จึงได้ซักถามต่อ
“น้องหลงชอบเดินทางหรือจ๊ะ”

“ผมต้องออกไปถ่ายภาพน่ะครับ” หลงตอบกลับเพียงเท่านั้น และต้องชะงักเมื่อได้ยินความคิดเห็นตอบกลับของแม่ที่ไม่ได้เอ่ยกับเขา แต่เอ่ยกับอัชฌา

“ชอบเหมือนพี่ภีมเลยนะน้องอัช” 

หลงสังเกตเห็นอัชฌาที่กำลังมองมายังคนในภาพถ่ายที่อยู่ในกรอบเดียวกับเขา และเอ่ยตอบผู้เป็นแม่เพียงแผ่วเบา
“ครับ”

“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ น้องหลงก็น่าจะหิวแล้วใช่ไหม ไปครับทุกคน ไปครับน้องอัช”

ก่อนที่ทุกคนในห้องจะเคลื่อนย้ายตามคำชวนของผู้เป็นแม่ไปยังห้องทานอาหาร หลงชะงักเท้า เพื่อที่จะเดินตามทุกคนออกไปเป็นคนสุดท้าย หันกลับไปหาภาพถ่ายของพี่ชายอีกครั้ง พึมพำคำถามที่เขาเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจ เสียงที่เอ่ยนั้นแผ่วเบาในระดับที่มีเพียงตัวเขา และคนในภาพเท่านั้นที่จะได้ยิน

“พี่ภีมครับ เขากำลังรอพี่ภีมอยู่หรือเปล่า”

------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับความเห็น คอมเม้น และการแวะเข้ามาอ่านนะคะ ทุกๆ สิ่งนั้นมีความหมายกับความรู้สึกของเรามากจริงๆ

ถ้าเข้าไปใน twitter ก็แวะไปคุยกันที่ https://twitter.com/PlusOneNovel ได้นะคะ ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-05-2019 10:53:39 โดย plusoneproject »

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 22 (2/5/2562)
«ตอบ #36 เมื่อ02-05-2019 16:59:33 »

แผ่นที่ 22


พี่ภีมครับ
วันนี้ผมเจอกับเจ้าของโปสการ์ดแล้วนะ จำได้ไหมที่ผมเคยเล่าให้ฟังไปวันก่อน
สรุปว่ามันคือของช่างภาพคนนั้นจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้บอกผมว่าทำไมถึงส่งถึงผม
ไม่สิ จะว่าไม่บอกก็ไม่ถูก เพราะเขาบอกมาว่า “เขาอยากส่งให้ผม เพื่อให้เป็นข้อความของผม และจะได้มีข้อความที่เป็นของผมส่งถึงเสมอ” พอผมได้ยินคำตอบ ผมเลยปฏิเสธไม่ออกว่าไม่อยากให้เขาส่งมาอีก

เขาดูเป็นคนแปลกๆ ใช่ไหมครับ อย่าเพิ่งดุผมนะ ผมจำที่พี่ภีมเคยบอกได้ ว่าเราต้องไม่ตัดสินคนอื่นด้วยคำว่าแปลก เพียงเพราะเขาไม่เหมือนเรา และเรายังไม่ได้รับฟังเหตุผลใดๆ ของเขา แต่ที่คนๆ นั้นตอบเรียกว่าเหตุผลหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ แต่พอเขาตอบมาแบบนั้น มันก็ทำให้ผมอึ้งไปจริงๆ แต่ก็แค่เป็นคนรับโปสการ์ด มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรละมั้ง เนาะ ถ้าเขาไม่ได้มาทำอะไรวุ่นวายหรือเกินเลยไป ผมก็คิดว่าคงเหมือนมีเพื่อนทางจดหมายเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งก็แล้วกัน

.
.
.
“พี่เก๋บ่นใหญ่ที่อัชไม่ยอมไปฝรั่งเศสด้วย”
กรส่งรอยยิ้มและเสียงคำถามเชิงทักทายทันทีที่เห็นอัชฌาก้าวเข้ามาในบริเวณร้านเดอะฟิวชั่น

อัชฌาเลือกหย่อนตัวที่เก้าอี้เดี่ยวทรงสูงหน้าบาร์ ก่อนจะปลดกระเป๋าสายออกจากไหล่และวางมันลงบริเวณใกล้ๆ ก่อนเอ่ยตอบการถามของอีกฝ่าย
“ผมไม่ชอบเดินทางครับ”

กรเลิกคิ้วตอบกลับมา และถามต่อด้วยความสงสัย
“อัชกลัวเครื่องบินหรือ”

“เปล่าครับ น่าจะเรียกว่ากลัวการเดินทางมากกว่า”
อัชฌาตอบกลับอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น แต่นั่นเพียงพอที่จะทำให้กรละทิ้งงานในมือ และเดินอ้อมออกมาจากพื้นที่หลังบาร์ มานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ แล้วส่งสายตาจ้องตรงมายังอีกฝ่าย
“ทำไมหรือครับ”

อัชฌาเม้มกัดริมฝีปากล่าง สูดหายใจเข้าแรงขึ้นครั้งหนึ่งก่อนผ่อนมันออกมาแรงๆ อาการที่แสดงความตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด คู่สนทนาเอื้อมมือมาสัมผัสฝ่ามือเขาที่กำแน่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังหรือเปล่าอัช”

เมื่อความอบอุ่นจากฝ่ามือสัมผัส อัชฌาเหมือนจะรู้ตัวและปรับอารมณ์ที่แสดงออกมาให้กลับสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว พร้อมส่งรอยยิ้มจางๆ ไปแทนคำตอบ
“มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ”

“อัชครับ เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปีละนะ คุณไม่คิดจะให้ผมได้แบ่งเบาความรู้สึกของคุณบ้างเลยหรือ”

อัชฌาที่ยังนิ่งเงียบ แต่สายตาที่สบกับสายตาอีกฝ่ายกลับวูบไหวเมื่อปะทะเข้ากับสายตาที่จริงจังของคนเป็นเพื่อน เขาจึงเลือกที่จะเอ่ยตอบออกไปสั้นๆ
“เพราะการเดินทางมักจะพรากคนสำคัญของผมไป”
.
.
.
“สวัสดีครับ แม่”

“สวัสดีค่ะพี่ภีม วันนี้แวะมาเล่านิทานอีกหรือเปล่า”

“ก็ไม่เชิงนิทานหรอกครับ ผมก็เล่าเรื่องของผม เรื่องงานที่ผมทำเท่านั้นล่ะครับ”

“น้องๆ บอกว่าพี่ภีมเล่านิทานสนุก รอพี่ภีมมาหาตลอดล่ะ”

“ครับแม่ งั้นวันนี้ผมมาฝากท้องที่นี่เลยนะครับ”

“ทำไมจะไม่ได้ละครับ เดี๋ยวข้าวเสร็จแม่มาตามนะ จะไปนั่งเล่าเรื่องกันที่ไหนละวันนี้”

“วันนี้อากาศไม่ร้อน ว่าจะชวนน้องๆ ออกมากันที่สนามหน้าบ้านน่ะครับ”

“เอาเลยครับ ตามสบายเลย ออ พี่ภีมครับ แม่มีน้องคนหนึ่งอยากฝากให้ช่วยดู คือ น้องอัชเพิ่งมาอยู่กับแม่เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน”

“ครับ” แม้ภีมวัจน์จะรับคำแก่คนตรงหน้า แต่ปลายน้ำเสียงก็ติดสงสัย

“คือน้องอัชเพิ่งเสียทุกคนในครอบครัวไป ตั้งแต่มาน้องก็ไม่ร่าเริงเท่าไรเลยครับ นั่งเงียบๆ มองท้องฟ้ามากกว่าที่จะพูดคุยกับคนอื่นๆ เวลาคุยก็ถามคำตอบคำเท่านั้น แม่ก็เป็นห่วงอยู่ แต่ว่ามันมีงานอยู่หลายอย่างที่ต้องดูแล พี่ภีมลองช่วยแม่ดูน้องหน่อยสิครับ”

ภีมวัจน์มองตามไปยังทิศทางที่ผู้เป็นแม่ชี้ จึงได้เห็นเด็กชายผอมบางในวัย 15 คนหนึ่งที่แม่แนะนำประวัติคร่าวๆ ให้รับทราบกำลังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่บริเวณสนามหน้าบ้าน นอกจากใบหน้าแหงนมองไปที่ท้องฟ้าแล้ว ก็ไม่มีอาการขยับเขยื้อนอื่นใด

“วันนี้เมฆสวยดีนะ” ภีมวัจน์ที่เดินออกจากตัวอาคารตรงมายังเป้าหมาย ลองเอ่ยทักในสิ่งที่เขามั่นใจว่าน่าจะอยู่ในสายตาของเด็กชาย
น้องอัชของแม่ขยับตัว และหันสายตามามองเขาเล็กน้อย พร้อมยกมือไหว้ทำความเคารพ ก่อนที่ท่าทางจะกลับสู่สภาพเดิมไม่ผิดเพี้ยน ไม่ได้ให้ความใส่ใจอื่นใดกับชายหนุ่มตรงหน้า

“พี่ชื่อ พี่ภีมนะ” แล้วภีมวัจน์ก็ทรุดกายนั่งลงที่ข้างๆ ก่อนเอ่ยขออนุญาตขึ้น “พี่นั่งดูเมฆด้วยได้ไหม”

เด็กชายไม่ได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ ไม่แม้แต่เอ่ยเสียงใดๆ ออกมา ทำเพียงขยับใบหน้าลงเล็กน้อย คล้ายพยักหน้า และกิจกรรมการดูเมฆระหว่างทั้งสองก็ดำเนินการไป โดยที่มีแม่ของบ้านยืนมองอยู่ห่างๆ จากตัวอาคาร
.
.
.
“พี่ภีม เล่าเรื่องภูเขาไฟระเบิดอีก”

“ไม่เอาแล้ว วันนี้เล่าเรื่องชนเผ่าเลี้ยงสัตว์ที่สู้กันบนหลังม้าดีกว่า”

“มีแต่เรื่องน่ากลัว พี่ภีมเล่าเรื่องงานแต่งงานกับเรื่องเจ้าสาวแสนสวยของคนในเส้นทางสายไหมดีกว่าค่ะ”

เสียงเด็กหญิง เด็กชายสมาชิกวัยต่างๆ ของบ้านต่างส่งเสียงเรียกร้องแก่ชายหนุ่ม ที่ทำได้เพียงตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ เพราะไม่อาจจะทำตามข้อเรียกร้องของทุกคนได้ครบถ้วนในทันที

พี่ภีม หรือ ภีมวัจน์ ได้มีโอกาสมารู้จักกับบ้านอุปถัมภ์แห่งนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะชมรมที่เขาสังกัดได้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมเล่าและสอนน้องเขียนนิทาน เขาที่มีน้องชายซึ่งต้องดูแลเป็นพิเศษมากกว่าน้องชายของครอบครัวอื่นๆ จึงกลายเป็นคนที่มีความสามารถในการดูแล พูดคุยและเข้ากับเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี และส่วนหนึ่งเพราะความสนใจของตัวเขาเองที่มีต่อกิจกรรมอาสาเช่นนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ภีมวัจน์จึงกลายเป็นแขกประจำ จนกลายมาเป็นพี่ภีมของน้องๆ เรื่อยมา แม้ว่าการมาเยือนจะไม่ได้สม่ำเสมอนักเมื่อมีภาระทางการเรียนหรือการสอบ จนจบการศึกษาและทำงานแล้ว เมื่อใดที่มีเวลาว่าง เขาก็จะเลือกมาเล่าเรื่อง และทำกิจกรรมต่างๆ เสมอ พร้อมความสามารถและเรื่องเล่าที่ดึงดูดน้องๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการเดินทางในฐานะนักเขียนสารคดี

“พี่จะค่อยๆ เล่าหมดทุกเรื่องเลย แต่วันละเรื่องแล้วกันนะ ให้พวกเราเป่ายิ้งฉุบกันดีไหม ใครชนะจะได้เป็นคนขอเรื่องที่อยากฟังก่อน”

สมาชิกของบ้านที่กำลังส่งเสียงจอแจ เพราะกำลังจะลงมือตัดสินแพ้ชนะตามวิธีที่พี่ภีมเสนอก็ต้องหยุดชะงักลงด้วยเสียงห้ามปรามของพี่ใหญ่อีกคนของบ้าน
“หยุดเลยทุกคน กวนพี่ภีมมากไปละนะ จะได้เวลาทานข้าวแล้ว ไปล้างมือเตรียมตัว แล้วไปที่ห้องอาหารเดี๋ยวนี้เลย ปฏิบัติ”

“พี่อัชมาเรียกแล้วทุกคน ไปกัน ไปกินข้าวดีกว่านะ ท้องอิ่มแล้วค่อยมาฟังพี่เล่าเรื่องก็ได้”

เมื่อสมาชิกวัยเยาว์ทั้งหลายได้ยินดั้งนั้น ก็พยักหน้าตอบรับแล้วพากันวิ่งไปทำกิจกรรมตามที่ถูกบอกโดยไม่อิดออด ในบริเวณนั้นจึงเหลือเพียงชายหนุ่มสองคนที่ยืนรั้งอยู่
“พี่ภีมตามใจน้องๆ มากไปแล้วครับ”
 
“นานๆ พี่จะแวะกลับมาสักที ก็ตามใจน้องๆ หน่อย ดีซะอีก เรื่องเล่าของพี่จะได้ไม่เป็นหมัน มีคนรอฟังตั้งเยอะแยะ” ภีมวัจน์หัวเราะพร้อมตอบกลับอีกฝ่าย

“แล้วอัชเป็นไงบ้าง เรียนจะจบแล้ว จะเอาไงต่อ”

“ผมว่าจะสมัครงานเป็นนักเขียนครับ”

“งั้นหรือ” มือใหญ่ของภีมวางลงบนศีรษะของคนอายุน้อยกว่า พร้อมยิ้มแย้ม “เขียนเก่งแล้วสินะ”

“พี่ภีม ผมจะจบปริญญาด้านวรรณกรรมและภาษาแล้วนะครับ” อัชฌาที่ส่งเสียงตอบ ติดเง้างอนผู้เป็นพี่เล็กน้อย เนื่องจากรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังถามเหมือนเขายังคงเป็นเด็กน้อยอายุ 15 เช่นวันวาน

“พี่รู้ๆ อัชฌาทำได้เห็นไหม เขียนเก่งแล้วจริงๆ แล้วนี่ยังเขียนไดอารี่อยู่ไหม”

คนเด็กกว่าพยักหน้าตอบรับ

“ไม่เห็นเอามาให้พี่อ่านเลย เมื่อก่อนยังให้อ่านอยู่เลย นี่ละนะ พอน้องโตแล้วก็ไม่เห็นพี่ชายอยู่ในสายตา”

“ไม่ให้อ่านครับ พอเลยพี่ภีม ไปทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวแม่กับน้องๆ รอ”

ภีมวัจน์หัวเราะให้ท่าทางฮึดฮัดเง้างอนของอัชฌา ในสายตาเขา อัชฌาก็ยังคงเป็นเด็กน้อยคนนั้นเสมอ เพียงแต่เป็นไม่ใช่เด็กน้อยที่จิตใจแหลกสลายแหงนหน้ามองก้อนเมฆเพียงลำพังอีกแล้ว แต่เป็นเด็กน้อยที่เติบโตขึ้นด้วยจิตใจที่ทั้งอ่อนโยนและแข็งแรง ไม่เพียงเข้มแข็งที่จะดูแลตัวเองได้ แต่ยังช่วยแบ่งเบาภาระดูแลคนอื่นได้แล้ว

*************************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

ถ้าเข้าไปใน twitter ก็แวะไปคุยกันที่ https://twitter.com/PlusOneNovel ได้นะคะ ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 23 (2/5/2562)
«ตอบ #37 เมื่อ02-05-2019 18:25:58 »

แผ่นที่ 23

“พี่ภีม ผมทำงานเป็นนักเขียนแล้วนะ ถึงจะไม่ได้เป็นนักเขียนสารคดีเหมือนพี่ แต่ก็ทำงานเขียนเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ให้คนอื่นได้อ่านเหมือนกัน วันนี้ผมเอาไดอารี่มาให้พี่ภีมอ่านด้วยนะ ปีที่ผ่าน มีหลายเรื่องเลยที่ผมได้ลองทำในการเขียนงานเป็นอาชีพ”

อัชฌาวางสมุดบันทึกเล่มหนึ่งลงที่ป้ายหินแกรนิตสีขาวที่เขียนชื่อนามสกุลของพี่ภีมไว้

เพราะการเดินทางไม่เคยสิ้นสุด
ภีมวัจน์ เกียรติวิญญ์ธร
15 มีนาคม 25XX - 8 มีนา 25xx

ชื่อและนามสกุลของพี่ภีมที่เขาก็เพิ่งได้รู้จัก

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่อายุ 15 ที่เข้ามาเป็นสมาชิกของบ้าน มาเป็นลูกของแม่ และได้รู้จักกับพี่ภีม ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ช่วยประคับประคองชีวิตที่ไม่เหลืออะไรเลยของเขาให้กลับลุกขึ้นมาใหม่ได้

พ่อแม่ที่เดินทางเพื่อจะไปท่องเที่ยวพักผ่อน ได้เลือกช่วงเวลาเดียวกับที่เขาสมัครไปเข้าค่ายภาษากับทางโรงเรียนหนึ่งสัปดาห์ การไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยในครั้งนั้นทำให้เขารอดจากเหตุเครื่องบินตกอย่างไม่คาดฝันจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่ เขาที่ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ได้รับการส่งตัวมายังบ้านอุปถัมภ์ของแม่ ที่กลายมาเป็นบ้านอีกหลัง แม้ว่าจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง เพราะเขาในวัยนั้นไม่ได้เด็กจนไม่สามารถเข้าใจเหตุผลและความสูญเสียได้ แต่เพราะเป็นการสูญเสียในวัยรุ่นที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ย่อมมีผลกระทบกับสภาพจิตใจและความทรงจำของเขาไม่น้อย

เขารู้สึกว่าโลกในวันนั้นหยุดนิ่ง ไม่สามารถจะหายใจ หัวเราะ หรือพูดคุยได้อย่างเป็นปกติอีกต่อไป ครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นสมาชิกได้ย้ายไปอยู่บนฟ้าในพริบตาโดยที่ไม่ได้ร่ำลากัน แต่ในวันที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำหรือจะเป็นอย่างไรต่อไป อัชฌาได้พบกับพี่ภีม ที่เข้ามานั่งดูก้อนเมฆเป็นเพื่อนเขา ชวนเขาให้ไปนั่งฟังเรื่องเล่าการเดินทางของอีกฝ่ายร่วมกับน้องๆ และสิ่งที่อัชฌาคิดว่ามันมีความหมายมากสำหรับตัวเขาคือ พี่ภีมสอนให้เขาเขียน
มันไม่ใช่การสอนเพื่อเรียนรู้ตัวหนังสือ แต่เป็นการสอนให้เขียนเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกที่สะสมอยู่ในใจ
.
.
.
“ถ้าอัชไม่อยากเล่า ไม่อยากอธิบายมันออกมาด้วยคำพูด อัชลองเขียนไหม เขียนเป็นไดอารี่ก็ได้ แบบเขียนบันทึกชีวิตประจำวัน”

อัชฌาที่ยังนิ่งเงียบ แต่ขยับส่งสายตาสบไปยังพี่ชายของบ้านคล้ายแสดงอาการไม่เข้าใจต่อสิ่งที่อีกฝ่ายแนะนำ

“งั้นเอางี้ ง่ายสุด คิดว่ามาเขียนเล่าให้พี่ฟังเป็นไง”

สายตาของอัชที่มองนิ่งทำให้พี่ภีมเลือกที่จะอธิบายต่อ
“คือเวลาที่อัชเจออะไร ก็เอามาเขียนในสมุดบันทึกนี่ไง แล้วก็ถ้าเราไม่รู้จะเขียนแบบไหน เริ่มเขียนอย่างไร ก็คิดซะว่า เรากำลังเขียนจดหมายถึงพี่ก็ได้ แล้วค่อยเอามาให้พี่อ่าน เป็นไง น่าสนุกใช่ไหม”

อัชฌาก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คนโตกว่ากำลังเสนอนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนุกหรือไม่ แต่เขาที่เลือกรับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งมาจากมือพี่ภีมก็ได้เริ่มลงมือเขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวัน โดยคิดว่ากำลังเล่าเรื่องให้พี่ภีมฟัง และเมื่อพี่ภีมแวะมาหาที่บ้าน เขาก็เอาสมุดเล่มนั้นยื่นให้อีกฝ่ายเปิดอ่าน และเขาก็จะได้คำชื่นชม และรอยยิ้มกลับมา พร้อมกับบทสนทนาในเรื่องต่างๆ และคำกระตุ้นให้เขาลองไปทำโน่นทำนี้ โดยให้เหตุผลว่า “อัชจะได้มีเรื่องเขียนบันทึกไง”

เขาจำไม่ได้แล้วว่า เลิกเอาสมุดบันทึกมาให้พี่ภีมอ่านเพื่อรอคำชมตั้งแต่เมื่อไร แต่เขารู้สึกได้ว่าความวูบโหว่งในหัวใจมันค่อยๆ หายไป การสนทนากับน้องๆ ในบ้าน หรือแม้กระทั่งกับแม่ ไม่ได้ติดขัด หรืออึดอัดอีกต่อไปแล้ว ชีวิตประจำวันในบ้านกลายเป็นภาระที่เขาซึ่งอายุมากกว่าค่อยๆ ช่วยแบ่งเบา ไม่ว่าจะเรื่องการดูแลน้องๆ เตรียมอาหาร หรือการทำกิจกรรมร่วมกับผู้ที่มาเยี่ยมเยือน

จนวันหนึ่ง อัชฌาที่กลับมาจากการทำงาน ไปพบกับเพื่อนของพี่ภีมจากชมรมนักเขียนซึ่งมาทำกิจกรรมร่วมกับรุ่นน้องรุ่นปัจจุบันของมหาวิทยาลัย และกำลังยืนคุยกับแม่ อัชฌาเดินเข้าไปทักทายอีกฝ่ายตามปกติ แต่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของแม่ที่ซีดขาว จึงเอ่ยสอบถาม
“แม่ไม่สบายหรือเปล่าครับ”

“เปล่าครับน้องอัช พอดีพี่ไมล์เพื่อนพี่ภีมมาแจ้งข่าวครับ”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” คราวนี้อัชฌาเลือกส่งคำถามกลับไปยังพี่ไมล์ที่ยืนอยู่ข้างๆ แทน

“คือ อัชได้ยินข่าวเครื่องบินหายสาปสูญไปเมื่อวันก่อนไหม”

“ครับ”

“ภีมมันมีรายชื่อเดินทางด้วยเที่ยวบินนั้นด้วย ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างไร”
และนั่นเป็นข่าวสุดท้ายของพี่ภีมที่เขาได้รับทราบ

ทำไมการเดินทางถึงชอบพรากคนสำคัญของเขาไปนักนะ
.
.
.
“คุณครับ ไหนจูเนียร์หรือครับ”
หลังจากกินข้าวร่วมกันสมาชิกในบ้าน อัชฌาก็เดินนำหลงออกมายังบริเวณหน้าบ้านที่รถของอีกฝ่ายจอดอยู่

“ไม่รู้เหมือนกัน”

สีหน้าฉงนกับคำตอบของอัชฌา ทำให้อีกฝ่ายต้องให้คำอธิบายเพิ่ม
“จูเนียร์มันเป็นแมวจร แม่เคยช่วยมันตอนที่ไปฟัดกับใครก็ไม่รู้มา แผลเต็มตัว หลังจากนั้นมันก็มาอยู่กินที่นี่ นอนที่นี่บ้าง อ้อนคนนั้นคนนี้ แต่พอสักพักก็หายตัวไป แล้วก็กลับมา ตามความพอใจของมันนั่นแหละ มันคงเป็นแมวนักเดินทาง” เสียงปลายคำตอบตรงคำว่านักเดินทางแผ่วลง และสายตาของอัชฌาเลื่อนไปที่ท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว

หลงที่นิ่งฟังจึงมองตามสายตาอีกฝ่าย และได้เห็นเพียงท้องฟ้าสีดำสนิท มีดวงดาวเพียงดวงเดียวที่ส่องกระพริบอยู่ อัชฌาที่เป็นฝ่ายละสายตาก่อนเอ่ยกับอีกฝ่าย
“ไปเถอะ มืดแล้วคุณ ขอบคุณมากที่เล่นกับน้องๆ”

“คุณจะอยู่ที่นี่ ไม่ย้ายไปอยู่คอนโดแล้วหรือครับ”

“ไม่หรอก ที่ย้ายกลับมาช่วยแม่เพราะว่าเจ้าหน้าที่ลาออกน่ะ ยังไม่ได้เจ้าหน้าที่ใหม่เลย เดี๋ยวทางมูลนิธิหาเจ้าหน้าที่ใหม่ได้แล้ว ผมก็คงกลับไปหาเช่าคอนโดตามเดิม อยู่ที่นี่ไม่สะดวกเท่าไร ผมโตเกินที่จะนอนเตียงของบ้านละ”

แม้อัชฌาจะหัวเราะกับคำตอบของตัวเอง แต่หลงก็รู้สึกได้ถึงความเหงาในน้ำเสียงของอีกฝ่าย
.
.
.
“พี่ภีมครับ
ผมมีเรื่องจะปรึกษา ตอนนี้โปสการ์ดที่ได้รับมันแปลกๆ ไป จากที่เคยส่งมาเป็นปีๆ ด้วยลายมือยุกยิกมาตลอด โปสการ์ดในช่วง 2-3 เดือนนี้มันแปลกไปมากจริงๆ ครับ คนๆ นั้นไม่น่าจะใช้เครื่องพริ้นในการพิมพ์ข้อความแล้วแปะมาแบบนี้ เขาไม่ถูกกับตัวอักษรบนแป้นพิมพ์มากๆ ขนาดนั้น จำนวนโปสการ์ดที่ส่งมามันก็ทิ้งห่างไปมากกว่าปกติ
ตอนนี้ ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรรู้สึกอย่างไร มันแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าจะเรียกมันว่าอย่างไรดี
ผมควรทำอย่างไรดีครับ คือ ความกระวนกระวายใจแบบนี้มันทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
จะว่าห่วงมันก็ไม่รู้จะใช่ไหม จะเรียกว่าเป็นพิเศษก็บอกไม่ได้ แต่ผมรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นโปสการ์ดแบบนั้นมากกว่า เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลยใช่ไหมครับ มันอึดอัดเกินไป และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงรู้สึกกับเพื่อนคนนี้มากกว่าคนอื่น”


อัชฌาหยุดปลายปากกา และยกมันจากสมุดบันทึก นิ่งมองออกไปที่นอกหน้าต่าง พร้อมกับตัดสินใจปิดสมุด และลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน
.
.
.
“พี่ก้องครับ”

“ว่าไงอัช”

“ตอนนี้คุณหลงไปอยู่ที่ไหนครับ”

“มาถามแบบนี้ แสดงว่ามีคำตอบให้พี่แล้วใช่ไหม”

อัชฌาส่ายหน้า “ไม่มีครับ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรสามารถตอบพี่ก้องได้ทั้งนั้น”

“ไม่มีของแลกเปลี่ยนแล้วจะมาขอคำตอบจากพี่หรือ” การยักคิ้ว และยิ้มมุมปากน้อยๆ ของพี่ก้องทำให้อัชฌามั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นอยากจะให้คำตอบแก่เขา เพียงแต่รอการต่อรอง

“พี่ก้องบอกผมมาเถอะครับ แล้วผมอาจจะมีคำตอบให้พี่ก้องหลังจากนั้น ผมสัญญาว่าจะบอกพี่ก้องทุกอย่างเมื่อผมเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง”

“สัญญากับพี่มาอย่างหนึ่งก่อน”

“ครับ”

“ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าไปโกรธใคร ถ้าจะโกรธใครสักคนให้มาโกรธพี่นะ”

“ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมต้องโกรธพี่ก้อง”

“เอาน่า สัญญาสิ”

“สัญญาครับ”

“โอเค รักษาสัญญาแล้วนะ อะ นี่ตอนนี้หลงมันอยู่ที่นี่ เมืองแมว”

อัชฌาส่งสีหน้าประหลาดใจ พร้อมกับยื่นมือไปรับแผ่นกระดาษจากมือพี่ก้องก่อนก้มดู
ที่อยู่มันจะประหลาดอย่างไร ตอนนี้กลับไม่ได้ดึงดูดความสนใจของอัชฌาเท่ากับชื่อนามสกุลที่เขียนอยู่เหนือที่อยู่อีกแล้ว

ภัทรชนน เกียรติวิญญ์ธร

ทำไมคนๆ ถึงนี้นามสกุลเดียวกับพี่ภีม

*****************************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

ถ้าเข้าไปใน twitter ก็แวะไปคุยกันที่ https://twitter.com/PlusOneNovel ได้นะคะ ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2019 02:09:50 โดย plusoneproject »

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 24 (3/5/2562)
«ตอบ #38 เมื่อ03-05-2019 03:26:11 »

แผ่นที่ 24

อัชฌาเคยบอกกับเขาว่าไม่ชอบการเดินทาง เพราะการเดินทางคือช่วงเวลาที่พรากคนสำคัญของอัชฌาไป
คนที่ปฏิเสธการเดินทางเพื่อไปร่วมทำงานต่างๆ ที่ต่างประเทศตามที่บก. ใหญ่อย่างพี่เก๋ออกปากชวน จนหลายคนในกองบ่นอุบด้วยความอิจฉาแกมไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงยอมทิ้งโอกาสในการไปทำงานที่โดดเด่น ซึ่งใครๆ ก็อยากจะเสนอตัวไป

แต่วันนี้ กลายเป็นเขาที่กำลังยืนอยู่ที่สนามบิน เพราะเมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายจะเดินทาง เขาก็บอกกับอัชฌาว่าจะมาส่งในวันออกเดินทาง เพียงเพื่อได้รับสิ่งตอบแทนคือ คำขอบคุณและรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งให้มา
“ขอบคุณครับกร ขอบคุณที่มาส่ง”

“ผมคงรออัชไม่ได้แล้วใช่ไหม” เขาถาม
เพราะเขารู้ และหลายเรื่องที่ค่อยๆ ได้รู้ เรื่องราวในชีวิตของอัชฌา ทั้งจากปากเจ้าตัวเอง หรือบางส่วนที่ได้รู้จากพี่ชายพี่สาวบ้าง ผ่านไปกว่า 4 ปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัชฌาก็ยังคงเป็น “เพื่อน” อีกฝ่ายเหมือนมีกำแพงกางกั้นต่อความพยายามในการพัฒนาความสัมพันธ์เสมอ และไม่ใช่เพียงแค่กับกร อัชฌาไม่ใช่คนที่อัธยาศัยบกพร่อง หรือไม่มีความสามารถในการเข้าสังคมกับผู้อื่น แต่เขารู้สึกว่าการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดมา ไม่อาจจะเข้าถึงจิตใจและความคิดของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง

“การรอมันไม่สนุกหรอกครับกร คุณเป็นคนที่ดีและสมบูรณ์แบบมากๆ ดีจนไม่ควรมาจมอยู่กับคนที่เว้าแหว่งอย่างผม ผมเหมือนทำคุณเสียเวลา เสียโอกาสมามากไปแล้ว กรเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเลยนะ เป็นคนดีที่สุดเท่าที่ผมได้รู้จักมาคนหนึ่งเลย ผมเชื่อว่ากรจะต้องได้รับสิ่งดีๆ ได้เจอกับคนดีที่เหมาะกับกรแน่ๆ ครับ”

แม้คำตอบของอัชฌาจะไม่ได้บรรลุต่อความคาดหวัง แต่กรยังคงยิ้มให้อีกฝ่าย
เป็นรอยยิ้มที่เขาตั้งใจส่งมอบ เพื่อแสดงความยินดีกับการเติบโต และจิตใจที่ไม่ลังเลอีกต่อไปแล้วของอีกฝ่าย
ในวันนี้ คำตอบของอัชฌาไม่มีท่าทีลังเลอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่อัชฌาในวันที่เขาเคยขอรอ แต่อีกฝ่ายมีท่าทีอึกอัก หรืออัชฌาที่ปฏิเสธการขอพัฒนาความสัมพันธ์ด้วยความรู้สึกไม่อยากเปลี่ยนแปลงใดๆ
อย่างน้อยวันนี้คนที่เขารักก็เติบโตขึ้นแล้ว แม้ความน่ายินดีจะกลายเป็นความเศร้าของเขาก็คงไม่เป็นไร
กรวิชญ์สังเกตมาเสมอ และเคยคิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงมีใครในใจ แต่ก็ไม่เคยมีความกล้าที่จะไถ่ถาม
กรเคยเชื่อมั่นในความใส่ใจที่สักวันคงจะซึมเข้าไปในความรู้สึกของอีกฝ่าย
และได้รู้ว่า มีใครอีกคนกำลังใส่ใจและพยายามแทรกซึมเข้าไปในใจของอีกฝ่าย ผ่านแผ่นภาพโปสการ์ดเหล่านั้นเช่นกัน
เขาเคยคิดว่าเขามีแต้มต่อในความใกล้ชิด ในขณะที่คู่แข่งออกเดินทางเสมอ
เขาเลือกที่จะเล่นเกมชิงความใส่ใจแบบแฟร์ๆ ด้วยการไม่ก้าวก่ายหรือไถ่ถามเกี่ยวกับอีกฝ่ายกับอัชฌา
อัชฌาคิดว่าเขาไม่รู้จักคนๆ นั้น ทั้งๆ ที่เขารู้ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ที่เขารู้ และค่อยๆ ได้รู้ ทั้งจากพี่ชายตัวเอง ทั้งจากการสังเกต มันปรากฏสัญญะของความพ่ายแพ้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในวันที่อัชฌาชวนเขาไปพบกับคนสำคัญ คนที่ถูกเล่าว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตที่แตกสลายของเขามากเพียงใด และที่หน้าป้ายสุสานนั้นเอง เขาจึงทราบว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นการเขียนไดอารี่ของอัชฌา มันไม่ใช่การเขียนบันทึกทั่วๆ ไป และเจ้าตัวทำมันมาตลอดจากการเขียนเพื่อแบ่งเบาภาระทางจิตใจ เพื่อระบายและบอกเล่าความรู้สึก จนกลายมาเป็นการเขียนเพื่อระลึกถึงคนสำคัญมาได้ครบปีที่ 7 แล้ว

กรคาดว่าการพาเขาไปพบคนสำคัญที่จากไปแล้ว และเล่าเรื่องราวในชีวิตของตัวเองให้ฟังน่าจะเป็นสัญญาณที่ดี จึงตัดสินใจขออีกฝ่ายพัฒนาความสัมพันธ์ ด้วยความเชื่อมั่นในความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายมากว่า 3 ปี
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า เหตุผลที่ว่า คุณดีเกินไป มันทำใจรับได้ยากอย่างนี้นี่เอง

กรได้รู้จากพี่ก้องว่าคนที่ส่งโปสการ์ดเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทของพี่ก้อง แต่มากกว่านั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจจะหาข้อมูลเพิ่มเติม จนมาถึงวันนี้ ใจหนึ่งเขาก็คิดโกรธตัวเองที่ทำตัวเป็นพระเอก ไม่แทรกแซง ไม่ก้าวก่าย เล่นแฟร์เกมแล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายก็กลายมาเป็นคนที่เขาไม่เลือก และใจหนึ่งเขาก็ชื่นชมตัวเองเล็กๆ ที่ยังสามารถยืนยิ้มอยู่ตรงนี้ได้

“ได้ ผมสัญญาจะเป็นเพื่อนที่ดีให้กับอัชเสมอนะครับ ไม่ว่าใครมารังแกหรือว่ามาหักอก บอกผมเลยนะ พร้อมจะไปจัดการทุกคนที่ทำให้อัชเสียใจ”

แล้วเขาก็ได้เห็นอัชฌาหัวเราะ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเป็นเข้ามากอดเขา พร้อมส่งเสียงพึมพำขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเครือ และสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นเล็กๆ บริเวณอกของเขาที่มีใบหน้านั้นซุกซบอยู่
“ขอบคุณครับกร ขอบคุณมากจริงๆ ผมผิดกับกรมากจริงๆ ผมไม่ควรเห็นแก่ตัวทำให้กรเสียเวลากับผมมาขนาดนี้เลย”

กรยกมือขึ้นลูกผมของอีกฝ่าย พร้อมๆ กับที่กระชับแขนโอบแผ่นหลังให้แนบชิดกับหน้าอกของเขามากขึ้น
“ไม่เอาครับ ไม่ขี้แยสิ กำลังจะเดินทาง เดี๋ยวเทพธิดานำโชคในการเดินทางตกใจบนหนีไปจะทำไง ผมอุตสาห์จับมาให้อัชเลยนะ”

เสียงฝ่ายหัวเราะขำ ปนสะอื้น พยายามกลั้นน้ำตาทั้งที่ใบหน้ายังคงแนบอยู่ กรลูบหลังอีกฝ่ายจนคิดว่าน่าจะได้เวลาที่ควรเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการด้านในของผู้โดยสารขาออก จึงได้เปลี่ยนเอามือทั้งสองไปจับไหล่ของคนในอ้อมกอดให้ผละออก แล้วก็ก้มลงมอบจูบเบาๆ ที่หน้าผาก
“โชคดีในการเดินทางนะครับ มีทั้งเทพธิดา ทั้งเทวดาอยู่เคียงข้างขนาดนี้ รับรองว่าการเดินทางจะไม่มีวันน่ากลัวอีกต่อไป”
.
.
.
เที่ยวบินของอัชฌาออกเดินทางไปเรียบร้อยแล้ว
กรวิชญ์ยังไม่ได้เดินทางกลับในทันที แต่กำลังยืนทอดสายตามองออกไปที่หน้าต่างกระจกใสของสนามบิน
“เมืองแมว” งั้นหรือ
เมืองแห่งนั้นที่ตะวันตกมาบรรจบกับตะวันออก แล้วคนที่เขารักจะได้บรรจบกับคำตอบที่ต้องการหรือเปล่านะ
แต่อื่นใดนั้น เขาได้แต่หวังว่า พี่ชายของตัวเองจะให้ข้อมูลที่ไม่ปิดบัง และไม่ได้แกล้งวางแผนอะไรให้เรื่องมันซับซ้อนวุ่นวายไปอีก ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกบอกให้ออกเดินทางไกลไปถึง “อิสตันบูล” คงกลับมาแหกอกพี่ชายเขาแน่ๆ

***********************************
ขอเคลียร์ความอึดอัดให้พระรองที่แสนดีก่อนนะคะ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ เพราะมีคนอ่าน เรื่องนี้ถึงเดินมาได้ไกลขนาดนี้ ขอบคุณจากใจเลยค่ะ

ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel 


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 24 (3/5/2562)
«ตอบ #39 เมื่อ03-05-2019 09:14:57 »

 :L2: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 24 (3/5/2562)
« ตอบ #39 เมื่อ: 03-05-2019 09:14:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 25 (7/5/2562)
«ตอบ #40 เมื่อ07-05-2019 15:57:13 »

แผ่นที่ 25

ตั้งแต่เครื่องออกจากสนามบิน ผ่านมาเกือบจะ 10 ชั่วโมงแล้ว อัชฌาที่พยายามจะข่มตาลงเพื่อพักผ่อน กลับไม่สามารถหลับลงได้อย่างที่ใจคิด แต่เพราะอีกไม่นานก็จะถึงปลายทางแล้ว อัชฌาจึงเลือกที่จะพักสายตาด้วยการมองออกไปนอกหน้าต่างโดยที่ไม่ได้แตะต้องหน้าจออุปกรณ์ให้ความบันเทิงประจำที่นั่งที่มี และก็เป็นอีกครั้งที่เขาจะต้องขอบคุณกร ซึ่งเป็นธุระเรื่องตั๋วในการเดินทางครั้งนี้ เพราะการจองเที่ยวบินบินตรงให้ ถือว่าได้ช่วยลดภาระความเมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยไปได้มาก ไม่ต้องเจอกับการเปลี่ยนเครื่อง หรือการนั่งรอเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้อีกฝ่ายทำให้เขาด้วยเหตุผลที่แสนดีเช่นเคย
“ผมไม่อยากให้อัชเหนื่อย ถือว่าเป็นของขวัญให้เพื่อน หรือถ้าอัชไม่อยากรับในฐานะเพื่อน ให้รับในฐานะพนักงานดีเด่นเดินทางไปพักร้อนก็ได้ ค่าใช้จ่ายเดี๋ยวผมจะให้พี่ก้อง พี่เก๋จ่ายให้เอง”
รอยยิ้มพร้อมลักยิ้มตามแบบฉบับ มาพร้อมเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อาจจะปฏิเสธความหวังดีนั้นได้เลย

จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังเป็นแต่เพียง “ผู้รับ” จากกรวิชญ์เสมอ เพราะเมื่ออัชฌาเอ่ยปากว่าจะตอบแทน อีกฝ่ายก็มักจะตอบกลับเพียงว่า ไม่ต้องการอะไร
กรที่แสนดี สมบูรณ์แบบ ทั้งหน้าตา ฐานะ ครอบครัว เขาไม่เคยจำเป็นต้องให้อะไรอีกฝ่ายเพิ่มเติมเลยจริงๆ
 
ที่พี่มลเคยถาม และอย่างที่หลายๆ คนรอบๆ ตัวสงสัย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับกร ซึ่งเกือบทุกครั้ง อัชฌาได้แต่ยิ้ม พร้อมกับการให้คำตอบเบี่ยงประเด็นไปว่า อีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรกับเขา ทั้งๆ ที่รู้ และเข้าใจนัยที่กรวิชญ์ตั้งใจสื่อออกมาทั้งทางตรงและทางอ้อมเสมอ
และเขาเชื่อว่า ทุกคนนั้นอยากจะถามด้วยความสงสัยว่า ผู้ชายที่แสนดีมาอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ รู้จักกันมาก็นานหลายปี และอีกฝ่ายก็แสดงออกชัดเจนขนาดนี้  แล้วทำไมเขาจึงไม่เลือกกร

“เพราะกรดีเกินไป”
อัชฌากลัวว่าถ้าพูดเหตุผลนี้ออกไป จากที่คนอยากได้คำตอบเพื่อเข้าใจเขา จะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกหมั่นไส้ พร้อมอยากจะเบ้ปากใส่เขาเป็นแน่ แต่เพราะดีเกินไปนั่นแหละ ดีมากเสียจนสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง จนทำให้อัชฌาไม่อาจจะตอบรับอีกฝ่ายได้เต็มร้อยเสียที

กรวิชญ์ไม่เคยขัดใจ ไม่เคยทำให้เขาอารมณ์เสีย ไม่เคยแม้แต่จะเพิกเฉยต่อเขา ความใส่ใจที่อีกฝ่ายมีให้ และเขาได้รับมันเสมอๆ จนความรู้สึกหนึ่งในใจจะบอกว่า มันทำให้รู้สึกอบอุ่น และปลอดภัย เพราะกรเหมือนเป็นที่พักใจที่แสนดีแก่เขาในทุกสถานการณ์

ในทางกลับกัน คนที่เขากำลังเดินทางเพื่อไปตามหา กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่กรวิชญ์ทำให้เขาทุกอย่าง
ไม่เคยมาคอยตามใจ ไม่เคยมาคอยพะเน้าพนอ ไม่เคยมาตั้งคำถามไถ่ถามชีวิตความเป็นอยู่ บางครั้งที่ได้คุยกัน ออกจะกวนประสาทมากไปเสียด้วยซ้ำ

เขายังไม่มีคำตอบให้พี่ก้องว่า ความสัมพันธ์ของเขากับหลงคืออย่างไร แต่เขามีคำตอบให้กับความสัมพันธ์ของเขากับกรไปเรียบร้อยแล้วว่า เขาไม่ได้อยากจะเป็นผู้รับไปตลอดชีวิต
ดังนั้น เรื่องของเขากับกรไม่มีวันที่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์เป็นอื่นไปได้ ภาวะพึ่งพามันไม่อาจจะเรียกได้ว่า ความรัก
ความสมบูรณ์แบบของกร ไม่มีส่วนใดเลยที่เขาจำเป็นต้องไปเติมเต็ม ความอบอุ่นและห่วงใยของกร ที่สร้างให้พื้นที่ปลอดภัยให้กับอัชฌา ทุกอย่างเหล่านี้ มันไม่มีอะไรไม่ดี 
แต่ในความรู้สึกที่นิ่งเงียบมานาน เหมือนถูกแช่แข็งหัวใจจากเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต มันกลับเคลื่อนไหวเพราะคนอีกคน
ตอนนี้เขาเหมือนยืนอยู่ตรงทางเลือกที่จะอยู่กับความปลอดภัย นิ่งสงบ หรือเคลื่อนไหว เพื่อไปเจอกับความไม่แน่นอนในอนาคต

ในวันที่ถามตัวเองเช่นนี้ และเขียนบันทึกถึงพี่ภีมอยู่นั้น บทสนทนาหนึ่งในความทรงจำก็ย้อนกลับมา และเหมือนกลายเป็นคำตอบให้แก่อัชฌา
.
.
.
“พี่ภีมครับ”

“ว่าไงอัช”

“เวลาพี่เดินทางไปที่นั่นที่นี่ พี่เคยคิดถึงบ้านไหมครับ”

“อืม จะว่าไงดีล่ะ จะบอกว่าไม่คิดถึงเลยมันก็คงไม่ใช่ทั้งหมดละนะ”

อัชฌาที่นั่งลงข้างๆ เอียงคอทำหน้าสงสัยส่งกลับไปยังภีมวัจน์ ด้วยไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อสาร พี่ชายที่แสนดีจึงเอามีขยี้ผมของอัชฌาเบาๆ ก่อนที่จะตอบ
“มันก็คิดถึง คนเรามีความรู้สึก เราไม่ใช่ตัวคนเดียว มีครอบครัว มีเพื่อน ย่อมมีความรู้สึกผูกพันเป็นธรรมดา เวลาไม่เห็นไม่เจอ เราก็ต้องรู้สึกห่วงหา หรือว่ากังวลใช่ไหมล่ะ แต่ความรู้สึกนั้น มันไม่อาจจะแทนที่ความรู้สึกที่พี่อยากเดินทางไปได้ล่ะนะ พี่ถึงยังเลือกที่จะออกเดินทางอยู่”

“พี่ภีมกลัวไหม ว่าเมื่อเดินทางแล้ว จะไม่ได้กลับมาอีก”
คำถามของอัชฌาทำให้ภีมวัจน์ยิ้มออกมา เพราะรู้ว่าการพลัดพรากของเด็กหนุ่มตรงหน้ากับครอบครัวนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร

“ไม่นะ งั้นพี่ถามอัชก่อน อัชว่า คนเราเนี่ย ความรู้สึกแบบไหนน่าเศร้าที่สุด”

“การจากลา มั้งครับ” อัชฌาตอบคำด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเจือความเศร้า

“ไม่ใช่เลย ความรู้สึกที่น่าเศร้าที่สุด คือไม่รู้สึกต่างหาก”

“ไม่รู้สึกคืออย่างไรครับ”

“สมมตินะ อัชไม่เจอพี่ แต่อัชคิดถึง ระลึกถึง หรือมีพี่อยู่ในความคิด อันนี้คืออัชมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ใช่ไหม ต่อให้พี่อยู่ตรงนี้ หรืออยู่ที่ไหน พี่ก็จะยังคงอยู่เสมอ แต่ในทางกลับกัน ถ้าวันหนึ่ง อัชไม่รู้สึกอะไร แบบไม่มีความห่วงใย ไม่คิดถึง ก็คือไม่รู้สึกอะไรเลย ต่อให้พี่อยู่ตรงนี้ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“แล้วอย่างไรครับ”

“ก็นั่นแหละสิ่งที่พี่จะบอก คือพี่ไม่เคยกลัวว่าพี่จะหายไป เพราะพี่ไม่มีวันหายไป ตราบเท่าที่พี่ยังมีตัวตนอยู่ในความทรงจำของอัช ของน้องๆ ของทุกๆ คน ไม่ว่าพี่จะอยู่ตรงนี้ หรืออยู่ที่ไหนของโลก พี่ก็ยังอยู่ไง แต่ถ้าอัชไม่มีความรู้สึกอะไรให้พี่แล้ว ต่อให้พี่อยู่ด้วยกันตรงหน้า ก็ไม่มีตัวตน”

“ผมไม่มีทางลืมพี่ภีมแน่นอน น้องๆ ด้วย แม่ด้วย ไม่มีทางครับ”

“งั้นพี่ก็ไม่กลัวแล้วละว่า พี่จะหายไป ใช่ไหม” ภีมหัวเราะให้กับคำถามที่ส่งกลับแก่อัชฌา “พี่ชอบคำๆ หนึ่งที่พี่เคยอ่านเจอนะ ว่า ความปลอดภัยไม่ทำให้ใครเติบโต สำหรับพี่การที่จะเติบโตได้ พี่เลือกการเดินทาง การเดินทางที่จะพาพี่ไปหาสังคมที่แตกต่าง แบบที่พี่เคยบอก คือพี่อยากสร้างสะพานในการทำความเข้าใจระหว่างสังคม การเดินทางของพี่ก็มีไว้เพื่อการนั้นแหละ”

“ผมจะเติบโตขึ้นแบบพี่ภีมได้ไหม”

“ไม่รู้สินะ เพราะว่าอัชก็ต้องหาวิธีการออกจากพื้นที่ปลอดภัยเพื่อความเติบโตของอัชเอง ใครก็บอกอัชไม่ได้ พี่ก็บอกอัชไม่ได้หรอก”

“แต่บางครั้ง ผมก็กลัวการเติบโต กลัวการเปลี่ยนแปลง อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยมันอาจจะดีก็ได้นะครับ”

“นั่นก็ไม่ผิดครับ วันนี้อัชอาจจะรู้สึกแบบนี้ แต่เวลาที่ความรู้สึกของอัชรู้สึกอยากเคลื่อนไหวบ้าง อัชอาจจะคิดแบบอื่นก็ได้นะ ไม่ต้องรีบ ให้ทุกๆ อย่างมันค่อยๆ เติบโต และค่อยๆ เรียนรู้ ทั้งความรู้สึกของตัวเอง และประสบการณ์ในการใช้ชีวิต เนาะ”
.
.
.
เขาที่เลือกทิ้งพื้นที่ปลอดภัย และกำลังออกเดินทาง
การเดินทางที่เขานั้นไม่เคยนึกชอบ เพราะมันมักพรากคนที่เขารักไปเสมอ
คนที่ทำให้ความรู้สึกของเขาเคลื่อนไหว จะเป็นคำตอบให้เขาได้เติบโตหรือเปล่าก็ยังไม่อาจจะรู้
ตอนนี้ เขารู้เพียงแต่ว่า นี่น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตเขา
การถูกผลักดันครั้งนี้ ไม่ว่าจะเพราะความเป็นห่วง หรือเพราะความอยากรู้คำตอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหลงกับพี่ภีม เขาก็มาถึงที่นี่แล้ว 
ที่ที่มีชายหนุ่มร่างสูงกำลังยกกล้องขึ้นถ่ายรูปแมว ซึ่งเดินเล่นอยู่เต็มเมือง โดยไม่ได้สนใจคนรอบๆ ตัว แถมดูสบายดีเกินไปด้วยซ้ำ

อัชฌาตัดสินใจส่งเสียงเรียกฝ่ายตรงข้ามออกไป และนั่นทำให้อีกฝ่ายละสายตาจากการกระทำที่กำลังจดจ่อ และหันกลับมาทางต้นเสียงในทันที

“คุณภัทรชนน เกียรติวิญญ์ธร ผมว่าเรามีเรื่องที่จะต้องคุยกันนะ”

**********************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ

ฝาก #คุณโปสการ์ด ต่ออีกนิดนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel 

ปล. ข้อความที่ว่า "ความปลอดภัยไม่ทำให้ใครเติบโต" มาจากงานเขียนของนิ้วกลม นะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2019 16:00:48 โดย plusoneproject »

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 26 (10/5/2562)
«ตอบ #41 เมื่อ10-05-2019 16:23:44 »

แผ่นที่ 26

หน้าป้ายหินแกรนิตสีขาวของภีมวัจน์ในวันที่ไม่ได้เป็นทั้งวันครบรอบ หรือเป็นวันสำคัญอะไรเกี่ยวกับเจ้าของชื่อบนป้าย แต่กลับมีชายหนุ่มในผมทรงแมนบันนั่งทำหน้านิ่ว ใบหน้าเข้มจากหนวดเคราบางๆ ที่ประดับใบหน้า กำลังส่งสายตามองตรงไปที่แผ่นป้าย พร้อมแก้วไวน์หนึ่งใบในมือ ส่วนอีกใบที่รินเครื่องดื่มไว้ในนั้นแล้ว ถูกวางไว้ให้กับเจ้าของพื้นที่

“ภีม มึงนี่นะ ก่อนจะไปไหน ก็ไม่เคยจะเล่า ไม่เคยบอกอะไรกับเพื่อนไว้บ้าง” ก้องยกแก้วขึ้นรินเครื่องดื่มลงคอ จะเอ่ยต่อ “เรื่องง่ายมันเลยยากไปหมดละเนี่ย”

“แล้วก็นะ มึงคอยจัดการอยู่หรือเปล่า ทั้งเรื่องที่อัชมาทำงานกับเก๋ บังเอิญมาเจอกับเจ้าหลงที่คอยตามหาคนที่เขียนไดอารี่ให้พี่มัน แล้วเจ้ากรอีก มึงจำกรได้ใช่ไหม น้องชายกูไง ดันมาชอบอัชไปอีก นั่นก็ตามจีบมาหลายปีแล้ว แล้วดูเหมือนหลงมันก็ชอบอัชไปอีก เฮ้อ วุ่นวายไปหมด”

ก้องวางแก้วเปล่าของเขาลงเคียงข้างแก้วของเพื่อน แล้วถอนหายใจ
“แล้วสิ่งที่กูทำเนี่ย มันจะช่วยใช่ไหมวะ ฝากมึงคอยดูทีเถอะ ให้น้องมึงทั้งสองคน ทั้งอัช ทั้งหลง มีความสุขบ้างได้แล้ว ไม่ใช่แช่อยู่อย่างนี้ ถึงคนรอมันบอกไม่เหนื่อย แต่คนที่คอยดูแลแบบกูนี่เหนื่อยแทนละ”

แล้วเขาก็แหงนหน้าขึ้น ประหนึ่งจะมองไปยังอีกฟากของท้องฟ้าที่เขาส่งให้ใครบางคนได้ออกเดินทางไป
.
.
.
แรงปะทะจากร่างกายของคู่สนทนาที่เขาทักทายไปเมื่อครู่เกิดขึ้นในทันทีทันใดแบบที่อีกฝ่ายไม่ได้ให้เขาตั้งตัว
หลงพุ่งตัวเข้ามากอดเขา ในขณะที่อัชฌาในตอนนี้ กลายเป็นนิ่งอึ้งกับปฏิกิริยาตอบกลับของอีกฝ่ายที่คาดไม่ถึง

ก่อนที่เขาจะออกเดินทางมา หลังจากที่ได้ที่อยู่จากพี่ก้อง เขาก็พยายามถามไถ่เกี่ยวกับอีกฝ่าย แต่พี่ก้องก็ตัดบทเพียงแค่คำว่า อัชไปดูมันเอาเอง ในตอนนั้น อัชฌาคิดไปต่างๆ นานาว่าอีกฝ่ายจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหนักหนา อาจจะเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้มือไม้ใช้การไม่ได้ หรือ ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล
แต่เมื่อพิจารณาที่อยู่ที่พี่ก้องยื่นให้ นอกจากเรื่องที่อึ้งไปกับนามสกุลที่เขาคุ้นเคย เขาก็พบว่าที่อยู่ที่อีกฝ่ายให้นั้นเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งในอิสตันบูล ไม่ได้เป็นโรงพยาบาล หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยใดๆ
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาเบาใจ และยังคิดไปว่า หรืออีกฝ่ายกำลังพักฟื้น จึงไม่อาจจะเดินทางกลับมายังประเทศบ้านเกิดได้ในทันที

จนกระทั่งเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนที่รถแท็กซี่จากสนามบินนำเขาเดินทางมาถึงที่พัก และเมื่อเอากระดาษจดชื่อที่อยู่ยื่นให้กับพนักงานต้อนรับของโรงแรมขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่กลางเมืองแห่งนี้ ก็ต้อนรับราวกับรู้ว่าเขากำลังเดินทางมาพบมิสเตอร์เกียรติวิญญ์ธรล่วงหน้าแล้ว เพราะอีกฝ่ายแจ้งว่า อัชฌาสามารถเอากระเป๋าสัมภาระขึ้นไปเก็บบนห้องพักได้เลย พร้อมยื่นกุญแจห้องพักให้เสร็จสรรพ
อัชฌาที่ยังตั้งตัวไม่ถูกจึงเลือกที่จะทำตามคำแนะนำ เอากระเป๋าขึ้นไปบนห้องพักที่ได้รับกุญแจมา และได้พบว่า ห้องพักนั้น แม้ไม่มีคนอยู่ แต่พื้นที่ในห้องถูกจับจอง และเต็มไปด้วยข้าวของของตากล้องวางอยู่
ไม่มีคนป่วยนอนพักฟื้นอย่างที่เขากำลังกังวล แล้วอีกฝ่ายเป็นอะไรไปกันแน่

หลังจากวางสัมภาระ เดินสำรวจและมาหยุดที่หน้าต่างของห้องพัก อัชฌาก็พบว่า คู่กรณีที่เขาคิดไปต่างๆ นานาๆ ว่าอีกฝ่ายมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น กำลังก้มๆ เงยๆ เอากล้องถ่ายรูปเดินตามเก็บภาพแมวที่กำลังเดินเล่นอยู่ตามท้องถนนไม่ห่างจากโรงแรมนัก และนั่นทำให้เขาเลือกที่จะออกจากห้องฟังและมุ่งหน้าไปหาอีกฝ่าย 
.
.
.

อัชฌาผลักร่างของอีกฝ่ายออกให้ห่างจากร่างกายของตัวเองเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ดูคุณสบายดีนะ”

หลงไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมาที่เขา แม้จะละอ้อมกอดออกจากอัชฌาแล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมถอยห่างไปมาก มือยังคงจับอยู่ที่ต้นแขนทั้งสองของคนที่สูงน้อยกว่า และยังคงนิ่ง มีเพียงสายตาที่จ้องมายังใบหน้าของอัชฌา
และเป็นอัชฌาเองที่เลือกทำลายความเงียบและหันเหตัวเองออกจากสายตาที่อีกฝ่ายไม่ยอมละไปจากเขา
“ไปคุยกันที่ห้องพักเถอะ”

อีกฝ่ายไม่ตอบด้วยถ้อยคำ และเปลี่ยนเป็นย้ายมือมาจับเข้าที่ฝ่ามือเขาแล้วหมุนตัวออกเดินเพื่อกลับไปยังห้องพักตามที่อัชฌาเสนอ

“สรุป คุณไม่ได้เป็นอะไรเลย สบายดีทุกอย่าง”

อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ปลายเตียง ประจันหน้ากับอัชฌาที่เลือกเอาเก้าอี้มานั่งห่างออกมา เอ่ยตอบกลับมาเบาๆ
“สบายดีครับ”

“เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันหลายเรื่อง ตอนแรกก็น่าจะเรื่องเดียว แต่ก่อนจะมามีเพิ่มอีกเรื่องละ”
สายตาอัชฌาใช้มองหลงในตอนนี้ พร้อมน้ำเสียงที่เข้มขึ้น ทำให้อีกฝ่ายเรียกกลับเบาๆ

“คุณครับ”

“ไม่ต้องมา คุณครับ ยังไงวันนี้ต้องคุยให้รู้เรื่อง”

“ครับ” แล้วก็เป็นหลงที่น้ำเสียงในการรับคำเปลี่ยนมาเป็นเสียงแผ่วเบา

“เรื่องแรก สบายดีแล้วทำไมโปสการ์ดที่ส่งไปมันแปลกๆ”

“แปลกอย่างไรหรือครับ”

“ก็คุณไม่เขียน นี่ไง” อัชฌาเอื้อมมือไปยังกระเป๋าสะพายของตัวเอง แล้วหยิบแผ่นโปสการ์ดจำนวนหนึ่งออกมา ยื่นกลับไปให้อีกฝ่ายรับเพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองกำลังกล่าวถึง

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่า คุณหลง”

หลงที่กำลังก้มมองแผ่นโปสการ์ดจำนวนนั้น พลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังของบางแผ่น แล้วก็เอ่ยตอบกลับแก่อัชฌา
“นี่ผมไม่ได้ทำครับ”

คราวนี้เป็นฝ่ายอัชฌาที่นิ่งอึ้งไปกับคำตอบที่คาดไม่ถึง สรุปว่า โปสการ์ดในช่วงหลังที่ผิดปกตินี้ ไม่ใช่ของอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ

“ไม่ใช่ของคุณ”

“ของผมครับ แต่ผมไม่ได้ทำ”

อัชฌากำลังหงุดหงิด คำตอบบ้าอะไร สรุปว่าเขาถามไม่ดี หรือว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจคำถาม
ไม่สิ อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เขาถามแน่ๆ แต่คำตอบมันย้อนแย้งแบบนี้ได้อย่างไร
ทำให้เสียงของอัชฌาที่ดังขึ้นสะท้อนอารมณ์กรุ่นๆ ของตนตอนนี้ กำลังจะกลายเป็นการตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย
“คุณหลง ผมเดินทางมา 10 กว่าชั่วโมง ด้วยความรู้สึกสงสัยหลายเรื่องเต็มไปหมด แล้วผมก็กำลังหัวเสียด้วยความไม่เข้าใจ และผมคิดว่าคุณจะต้องตอบสิ่งที่ผมกำลังสงสัยได้ แต่แล้วพอผมเจอคุณ นอกจากคุณจะโคตรสบายดีแล้ว คุณกำลังมีความสุขกับการถ่ายภาพแมว ไม่มีอะไรทุกข์ร้อน เพราะฉะนั้น ก่อนที่ผมจะหงุดหงิดจนไม่คุยกับคุณอีกต่อไป ถ้าผมถามอะไร ถามแล้วกรุณาตอบ ตอบแบบให้รู้เรื่อง อธิบายให้ชัดเจนด้วย ไม่ใช่ถามคำตอบคำ แถมคำตอบย้อนแย้งไปมาแบบนี้ เข้าใจไหม”

“คุณครับ”

“ไม่ต้องมาเรียกคุณครับอะไรทั้งนั้น มีหน้าที่ตอบก็ตอบอย่างเดียว”

หลงที่พยักหน้า และไม่เรียกเขาออกมาอีก ทำให้อัชฌาลดระดับความดังของเสียง และความขุ่นมันในน้ำเสียงลงเล็กน้อย
“เรื่องแรก อธิบายเรื่องโปสการ์ดนี้มาก่อน”

“ผมก็ส่งโปสการ์ดให้คุณตามปกติครับ”

“แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่า ของคุณ แต่คุณไม่ได้ทำ คืออะไร”

“โปสการ์ดนี้เป็นภาพของผมทั้งหมดครับ แต่ตรงนี้” หลงชี้ไปที่ตัวอักษรที่พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ และพิมพ์ออกจากเครื่องพิมพ์ที่แปะอยู่อีกด้าน “ผมไม่ได้ทำครับ”

“สรุปว่า คุณไม่ได้พิมพ์”

“ครับ ยกเว้นแผ่นนี้ ผมให้เพื่อนช่วยพิมพ์ตามที่ผมบอก เพราะตอนนั้น พอดีประสบอุบัติเหตุมือเคล็ด ผมเขียนไม่ได้” หลงเลือกหยิบโปสการ์ดแผ่นหนึ่งแยกออกจากกอง เป็นโปสการ์ดที่เหมือนกับใบอื่นๆ ที่มีข้อความพิมพ์ และแปะลงในด้านหลังของภาพถ่าย

“ส่วนใบอื่นๆ ผมไม่ทราบ เพราะว่าผมไม่ได้ทำ”

“แล้วภาพพวกนี้ของคุณหรือเปล่า”

“ของผมครับ” หลงพยักหน้ายืนยัน

“แล้วถ้าคุณไม่ได้พิมพ์ ไม่ได้ให้ใครพิมพ์ แล้วทำไม โปสการ์ดช่วงหลังๆ มันถึงกลายเป็นแบบนี้ทั้งหมดล่ะ”
อัชฌาที่กำลังงงงันกับคำตอบที่ไม่คาดว่าจะได้รับ ถึงกับคิดต่อไม่ออก ไปต่อไม่ถูก
หลงไม่ทำ แล้วโปสการ์ดเปลี่ยนไปได้อย่างไร ด้วยนิสัยคนตรงหน้า ไม่น่าจะโกหก หรือหลอกลวงอะไรเขาเพียงแค่เรื่องโปสการ์ดนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลมาเข้าใจได้อยู่ดีว่า เพราะอะไร หรือเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้อัชฌาจึงได้แต่ตอบกลับด้วยการถอนหายใจออกมาแรงๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยต่อ

“เรื่องโปสการ์ดนี่ก็เรื่องหนึ่ง แต่มีอีกเรื่องหนึ่งสำคัญกว่า”

หลงที่เหมือนจะเดาออกว่าอีกฝ่ายจะถามเขาเรื่องอะไร ละสายตาจากกองโปสการ์ด แต่ไม่ได้จ้องกลับมาที่เขา กลับเลือกที่จะหลบสายตามองลงต่ำแทน

“คุณรู้ใช่ไหม ว่าผมจะถามเรื่องอะไร คุณภัทรชนน”

หลงเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ก่อนลุกขึ้นจากปลายเตียง พร้อมดึงเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอยู่มาหยุดตรงหน้าของอัชฌา แล้วนั่งลงประจันหน้า เก้าอี้ที่วางไม่ห่างกัน ทำให้เข่าของคนสองคนแตะสัมผัสกัน อัชฌาเอื้อมมือมาดึงฝ่ามือทั้งสองของอัชฌาไปกุมไว้ แรงบีบเบาๆ ที่ฝ่ามือ สัมผัสได้เหมือนอีกฝ่ายกำลังเผชิญกับความกดดันในใจ หรือไม่ก็คงกำลังรวบรวมความกล้า
อัชฌาส่งสายตากลับไปที่คู่สนทนา แต่ไม่ได้ออกปากห้ามปรามการกระทำนี้ของอีกฝ่าย
และเป็นหลงที่ส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“คุณครับ”

“ผมบอกแล้วไง ว่าถ้าไม่ตอบคำถามให้ชัดเจน ก็ไม่ต้องมาเรียก”

“ผมจะตอบสิ่งที่คุณถามทุกอย่าง แต่ผมอยากถามคุณก่อนว่า ทำไมคุณถึงตามมาหาผมถึงที่นี่”

****************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ

ฝาก #คุณโปสการ์ด ต่ออีกนิดนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel 

 

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 26 (10/5/2562)
«ตอบ #42 เมื่อ12-05-2019 10:58:12 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 26 (10/5/2562)
«ตอบ #43 เมื่อ12-05-2019 20:46:16 »

ใครแอบส่งให้อัชโดยที่หลงไม่รู้เหรอ
ใครคนนั้นต้องสนิทขนาดไหน
ถึงสามารถเอารูปที่หลงถ่ายไปได้ แถมรู้ที่อยู่อีกต่างหาก
ต้องเป็นเพื่อนคนที่หลงเคยให้พิมพ์ให้แน่เลย
แล้วระหว่างนั่น ทำไมไม่มีโปสการ์ดตัวจริงจากหลงเลยล่ะ
หรือหลงคิดที่จะหยุดส่งให้อัชแล้ว

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
«ตอบ #44 เมื่อ14-05-2019 02:00:50 »

แผ่นที่ 27

ภายในห้องพัก เหมือนความเงียบก้าวเข้ามาทดแทนพื้นที่ว่างทุกตารางนิ้ว คนสองคนบนเก้าอี้สองตัวมีแต่ความนิ่งให้แก่กัน ฝ่ายหนึ่งไม่ละสายตา อีกฝ่ายหนึ่งก็ให้การจับจ้อง ฝ่ายหนึ่งออกแรงกุมมือ อีกฝ่ายก็ตอบรับน้ำหนักมือนั้นไว้

แม้อัชฌายังเลือกความเงียบเป็นคำตอบให้กับคำถามที่รุกไล่ แต่ภายในความคิดกลับไม่ได้ชะงักงัน
เขาควรมีคำตอบให้คนตรงหน้าอย่างไร
เขาไม่อาจจะยุดยื้อไม่ให้คำตอบเช่นที่เคยตอบพี่ก้อง ไม่อาจจะเบี่ยงประเด็นเหมือนที่ตอบพี่มล
เพราะคนตรงหน้ามีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะถาม เช่นเดียวกับที่กรมีสิทธิ ขอให้เขามอบคำตอบให้แก่ความสัมพันธ์
ทำไมสำหรับกร ความสัมพันธ์เชิงพึ่งพาที่แสนดี เขาสามารถให้คำตอบปฏิเสธเพื่อตัดขาดได้อย่างไม่ยากเย็น แต่พอมาความสัมพันธ์ที่มีกับคนตรงหน้า กลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ทำไมเขาไม่อยากปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่า อยากจะตอบรับ
สุดท้าย ชั้นเชิงต่อรองของเขาจะมาจนมุมให้กับคนๆ นี้งั้นหรือ

อัชฌาจึงเลือกคำถามเพื่อทำลายความอึดอัดในการกดดันเอาคำตอบของอีกฝ่ายลงเสีย
“คุณมีสิทธิอะไรมาถามผมก่อนคุณหลง”

หลงที่ไม่ละสายตา กลับเหมือนจะพ่ายแพ้ให้กับการร้องถามสิทธินั้น ตาคมจึงหลบต่ำลง แต่เพราะยังคงนิ่งเงียบ ทำให้อัชฌาเปลี่ยนบทสนทนาเป็นฝ่ายรุกไล่
“ตอบมา”

และในที่สุดคำยืนยันที่รอก็ออกจากปาก
“ผมเป็นน้องชายพี่ภีมครับ”

แต่อัชฌาไม่พอใจกับคำตอบเพียงเท่านี้ เพราะเรื่องนี้ เขามั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว
สิ่งที่เขาต้องการรู้มันมากกว่านี้ เป็นความอยากรู้ที่เขาเองก็ไม่อาจบอกได้ว่าควรตั้งคำถามกับอีกฝ่ายอย่างไร
ในขณะที่จมอยู่ในห้วงคิด ระหว่างมองหาคำถามมาเค้นเอาคำตอบเพื่อตอบสนองความสงสัย
มือของหลงที่กุมอยู่ที่มือเขาก็ปล่อยคลายและย้ายเลื้อยขึ้นที่ข้างแก้ม
สายตาของอัชฌากำลังสูญเสียโฟกัสจากระยะมอง เพราะสายตาอีกฝ่ายกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
ลมหายใจกำลังจะขาดเพราะถูกช่วงชิง ริมฝีปากที่ถูกแนบลงได้ดึงเอาความสนใจในการสูดเอาอากาศไปเสียแล้ว ปากที่เผยอทดแทนจึงกลายเป็นช่องว่าง เสมือนอนุญาตให้อีกฝ่ายได้ล่วงล้ำ

ต่อจากการแลกเปลี่ยนของริมฝีปาก หลงได้ขยับให้ร่างกายลุกจากเก้าอี้ที่นั่ง เข่าที่ชนจึงละสัมผัส พร้อมกับย้ายมืออีกข้างกดไปที่ไหล่ของอัชฌาแทน ร่างที่สูงกว่าเพราะการลุกยืน จึงกลายเป็นโน้มก้มลงหาอัชฌาที่แหงนใบหน้าขึ้นเล็กน้อยให้กิจกรรมที่เรียกว่าจูบได้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

ความเงียบยังคงเป็นเจ้าของห้องพัก ไม่มีคำถามจากฝ่ายใด พอๆ กับที่ไม่มีคำตอบที่ส่งเสียงบอกออกมา สองร่างยังคงให้พื้นที่กับการแลกเปลี่ยนลมหายใจ และเป็นหลงที่เลื่อนแขนทั้งสองโอบรัดทั้งร่างของอัชฌาให้แนบสัมผัสไม่เหลือช่องว่างราวหวงแหน ก่อนที่จะช้อนตัวของอีกฝ่ายไปที่พื้นที่ว่างของเตียง วางลงอย่างแผ่วเบา แล้วจึงผละออกเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเอง ก่อนที่จะพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังทำในสิ่งเดียวกัน เป็นคำอนุญาตให้เรื่องราวดำเนินต่อไปตามครรลอง

เครื่องปรับอากาศในห้องดูจะไม่สามารถทำให้อุณหภูมิของความรักที่กำลังเพิ่มขึ้นลดลงได้
ริมฝีปากหนึ่ง มีอีกริมฝีปากหนึ่งแนบชิด
ฝ่ามือหนึ่งก็มีอีกฝ่ามือหนึ่งเกาะกุม
ส่วนที่เป็นช่องว่างของอีกฝ่าย ก็กำลังได้รับการเติมเต็มจากอีกคน
การเคลื่อนไหวกำลังถูกตอบสนองด้วยการเคลื่อนไหว
เสียงหอบครางของคนใต้ร่างกำลังถูกประสานด้วยเสียงกัดฟัน
ตอบสนองแก่กันและกันแทนทั้งคำถามและคำตอบให้แก่ความเงียบงัน
.
.
.
“สรุป มีอะไรจะบอก จะเล่าอีก”
อัชฌาที่หนุนแขนในอ้อมกอดของอีกฝ่ายเลือกที่จะเปิดประโยคสนทนาอีกครั้งด้วยคำถามปลายเปิด
ถามก็ไม่ค่อยจะตอบ ก็ให้เล่ามาเองก็แล้วกัน

อีกฝ่ายเอื้อมมือมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้า พร้อมก้มเอาริมฝีปากมาสัมผัสกับหน้าผากเบาๆ แล้วตอบรับด้วยคำชวน
“ไปเดินเล่นกันไหมครับ”

อัชฌาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“นี่จะบ่ายเบี่ยงอะไรอีก”

“ผมจะเล่าเรื่องของผมให้ฟังจริงๆ ครับ แต่เราไปเดินเล่นกันดีกว่า”

“ก็ได้ แต่ถ้าไม่เล่าให้เข้าใจคราวนี้ คุณอย่าได้หวังว่าผมจะคุยกับคุณอีกเลยนะ”

แล้วอัชฌาก็พอใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าลงเบาๆ
.
.
.
ทิวทัศน์ของเมืองชวนให้อัชฌาตื่นตาไม่น้อย พอๆ กับเหล่าแมวจรที่เข้ามาทักทายโดยไม่หวาดกลัว
ที่ถนนหน้าไม่ไกลจากโรงแรม อัชฌากำลังย่อตัวลงเอามือข้างหนึ่งลูบเจ้าแมวส้มที่เข้ามาทักทาย ในขณะที่มืออีกข้างก็กำลังเกาพุงเจ้าแมวลายเสือที่มานอนหงายคล้ายเชื้อเชิญให้ดูแลมัน

“นี่มันเมืองแมวจริงๆ สินะ”

“ครับ แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมที่นี่ถึงมีแมวเยอะ”

“คุณหลง นี่กำลังถามนักเขียนประจำคอลัมน์ทราเวลของเดอะแมกกาซีนเพื่อลองภูมิใช่หรือเปล่า”

“แล้วที่คุณทราบเพราะอะไรครับ”

“ก็ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางที่เรือสินค้ามาจอด แล้วในเรือก็จะมีการเอาแมวขึ้นเรือด้วย ทั้งความเชื่อ และประโยชน์ในการจับหนูแหละ พอเรือมาจอดแมวบางตัวที่ขึ้นจากเรือก็อยู่ที่นี่ไม่กลับไป ที่นี่เลยเป็นเมืองที่มีสายพันธ์แมวมากที่สุดในโลกไง”

“แล้วคุณคิดว่าแมวมันอยากจะอยู่ หรืออยากจะกลับบ้านไปกับเรือที่มันมา”

อัชฌาละสายตาจากเหล่าแมวที่เข้ามารุมล้อม มองกลับมาที่คู่สนทนาที่ยืนนิ่งมองเขาเล่นกับแมว พร้อมกล้องถ่ายรูปในมือที่ขยับเป็นระยะๆ
“คุณต้องการจะเล่าอะไร เล่ามาตรงๆ ได้ไหม ผมขี้เกียจตีความละ”

“ไม่จำเป็นต้องตีความเลยครับ”

อัชฌาเปลี่ยนลุกยืนขึ้นเต็มความสูงเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับถ้อยสนทนาอีกฝ่ายให้ถนัดถนี่
“คุณต้องการจะพูดอะไร”

“ผมแค่กำลังคิดว่า เราไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่มันจากบ้าน มันจะมีความทรงจำเกี่ยวกับบ้านและครอบครัวมันไหม จนคิดถึงอยากกลับไปบ้านหรือเปล่า หรือว่ามันดีใจแล้วที่ได้เดินทางมาอยู่ที่นี่ มีเพื่อนพ้องมากมาย มีชีวิตที่น่าอิจฉาไปอีกแบบ”

และเป็นอีกครั้งที่การโต้ตอบของอัชฌากลายเป็นการขมวดคิ้ว และนิ่งฟังให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“ผมรู้จักคุณมาก่อนที่ผมจะได้เจอคุณที่ที่ทำงานครับ”

“รู้จักได้ไง”

“ผมไปทำความสะอาดที่สุสานก่อนวันครบรอบ และได้เห็นบันทึกของพี่ภีมครับ”

อัชฌามองหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง เสียงถอนหายใจเบาๆ เกิดขึ้นก่อนการเอ่ยถาม
“แล้วไงต่อ”

“ในปีแรก ผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณเขียนเพราะอะไร ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนปีต่อมาคุณก็เอามาวางอีก ผมก็เลยไปนั่งรอในปีที่ 3 แต่ก็ไม่เจอคุณ มาเจอแต่ไดอารี่ของคุณในอีกวัน แล้วปีนั้นพ่อกับแม่ก็แนะนำว่าให้ลองไปหาคำตอบในห้องพี่ภีม ผมก็ได้เจอการ์ดลายมือคุณ ดีที่คุณลายมือสวย ผมก็เลยจำได้”

“ออ เหรอ ผมว่าถ้าเป็นลายมือคุณผมก็จำได้เหมือนกันเถอะ”

หลงส่งยิ้มให้กลับให้อัชฌาคล้ายจะตอบรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเย้า
“ผมก็เจอภาพที่คาดว่าน่าจะเป็นคุณ พอครบรอบปีต่อไป ผมก็แอบมองคุณอยู่ แล้วก็ไปเจอคุณอีกครั้งที่ตึกที่ทำงานนี่แหละครับ เลยคิดว่าจะไปดักรอที่นั่น จนถูกพี่ก้องหลอกให้ไปทำงานด้วย แล้วก็ได้ทำงานที่ได้เจอคุณ จนได้ไปส่งคุณในวันนั้นนั่นแหละครับ”

“เดี๋ยวนะ คุณเคยคิดจะไปดักรอเพื่ออะไร”

“ผมก็คิดว่า ผมอยากลองคุย ลองถามคุณครับ แต่ก็ไม่กล้าสักที”

“ถามว่าอะไร”

“ทำไมคุณถึงเขียนบันทึกให้พี่ภีมหรือครับ”

**************************************************
ยังคุยเรื่องแมวไม่จบ ค่อยมาคุยต่อนะคะ
มันเริ่มเป็นนิยายฟีลกู๊ดแล้วๆ ก็มันคือนิยายฟีลกู๊ดนี่ ทำไมต้องรู้สึกหน่วง ^^!
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ

ฝาก #คุณโปสการ์ด ต่ออีกนิดนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel 



ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
«ตอบ #45 เมื่อ14-05-2019 05:17:14 »

คุณหลงร้ายมากใช้ภาษากายแทนคำพูด​

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
«ตอบ #46 เมื่อ14-05-2019 08:30:05 »

 o13
 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
«ตอบ #47 เมื่อ14-05-2019 17:48:01 »

ไม่พอๆๆๆๆๆ ชักดิ้นชักงอ 5555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
«ตอบ #48 เมื่อ16-05-2019 08:34:42 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 28 (17/5/2562)
«ตอบ #49 เมื่อ17-05-2019 03:40:18 »

แผ่นที่ 28
 

“ทำไมคุณถึงเขียน ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ภีมไม่มีวันจะได้อ่าน”

คำถามของหลงทำให้อัชฌานิ่งงัน
เพราะไม่เคยคิดว่าใครจะถามถึงเหตุผลของการเขียนกับตัวเขาตรงๆ เช่นนี้
แต่นั่นอาจจะเพราะไม่เคยมีใครรู้ว่าสิ่งที่เขาเขียนลงสมุดบันทึกนั้น ไม่ใช่เขียนไดอารี่เพื่อเตือนความจำถึงตัวเขาเองอย่างที่ทุกคนเข้าใจกันไป
ทุกคนอาจจะคิดว่าเขาชอบการเขียน ชอบจดบันทึก และนั่นก็เป็นกำแพงกางกั้นชั้นดีในการไม่ต้องอธิบายรายละเอียดอะไร และด้วยมารยาทก็ไม่มีใครมาขอเปิดอ่านเนื้อหาบันทึกที่ถูกมองเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาอย่างแน่นอน
ทำให้ไม่มีใครเคยถามเช่นที่อีกฝ่ายกำลังถามเขาอยู่เช่นนี้

“เปลี่ยนมาเป็นคำถามอีกแล้ว ทำไมผมต้องตอบคุณหรือคุณหลง คุณติดคำอธิบายกับผมอยู่นะ ลืมไปหรือเปล่า”

“คุณครับ”

“เรียกแบบนี้อีกแล้ว ทำไมกันนะ”

“ผมอยากรู้จักคุณจริงๆ ไม่ใช่คุณที่ผ่านในไดอารี่พี่ภีม ไม่ใช่คุณที่เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ผมอยากรู้จักคุณ คุณที่เป็นคุณ คุณที่อธิบายความเป็นคุณให้ผมเข้าใจ ให้ผมได้เข้าใจคุณได้ไหมครับ”

“เข้าใจไปทำไม”

“จะได้เรียกคุณด้วยชื่อคุณได้อย่างเข้าใจ”

“คุณหลง เราจะคุยกันดีๆ แบบคนทั่วๆ ไปคุยไม่ได้เลยใช่ไหม แบบถามตอบตรงไปตรงมา ไม่ต้องวกไปวนมา เล่นคำ หรือว่าพูดเป็นปรัชญาให้ตีความน่ะ หา”

“นะครับคุณ ให้ผมได้เข้าใจคุณ บอกผมหน่อยว่าคุณคิดอะไร ทำไมถึงเขียน”

อัชฌาถอนหายใจยาวออกมาแรงๆ พร้อมกับทำสีหน้าระอาคล้ายยอมเป็นฝ่ายแพ้
“เฮ้อ สุดท้ายคุณก็ชนะอีกแล้วสินะ”

“ผมไม่เคยคิดเอาชนะคุณ”

“ใช่ ไม่เคยคิด แต่ทำอยู่เสมอ แล้วผมก็แพ้ความรั้นของคุณอีกแล้วสินะ ไม่ว่าจะเรื่องส่งโปสการ์ด มาเรื่องตอบคำถามนี้อีก”

หลงคลี่ยิ้มกว้างให้แก่อัชฌา คล้ายยินดีในการตอบรับข้อเรียกร้องของอีกฝ่าย
.
.
.
บนเรือล่องชมช่องแคบบอสฟอรัสที่มีนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ และภาษาร่วมโดยสารเรือ
อัชฌากำลังยืนอยู่กาบเรือด้านหนึ่งเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศสองทวีปของเมืองจากกลางสายน้ำตามที่หลงชักชวน ราวกับหลอกมาให้ค่าตอบแทนที่เขาพ่ายแพ้ในการต่อรอง
ส่วนคู่กรณีผู้ไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องใด กำลังยกกล้องถ่ายภาพคู่กาย กดชัตเตอร์เก็บภาพเขาราวกับช่างภาพข่าว
“หยุดยิ้ม แล้วก็หยุดถ่ายรูปผมได้แล้ว คุณจะถ่ายอะไรนักหนา คุณถ่ายไม่หยุดจนคนมองเพราะคิดว่าผมเป็นดารามาถ่ายแฟชั่นแล้ว”

“ก็ผมอยากมีคุณอยู่ในความทรงจำ”

“นั่นก็พอก่อน จะจีบอะไรนักหนาคุณ”

อีกฝ่ายชะงักมือที่กำลังจะกดชัตเตอร์ในทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของอัชฌา
“คุณรู้”

“คุณหลงครับ ผมไม่ใช่เด็กประถมนะ ถึงจะไม่รู้ว่าใครคิดกับผมแบบไหน ผมว่าผมก็ไม่เคยแสดงอาการหรือบอกว่าเป็นคนใสขนาดนั้นนะ ผมดูเป็นคนแบบนั้นหรือ”

“คุณเป็นคนน่าสนใจ”

“ผมว่าคุณกับกรนี่นะ บ้าพอกัน คนแบบผมไม่ได้จัดอยู่ในประเภทน่าสนใจอะไรเลย”

“กับกร”

อัชฌาที่สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงขาดความมั่นใจของอีกฝ่ายเมื่อได้เอ่ยชื่อของบุคคลที่สามออกมา จึงได้ชิงอธิบายเรื่องราวให้อีกฝ่ายได้รับฟัง
“ผมบอกกับกรไปแล้ว ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ต่อ ก็ถือเป็นการให้ความยุติธรรมกับเขาด้วย เขาเองก็จะได้ไม่ต้องมาจมอยู่กับผม ผมคิดว่ากับเขา ควรจะเป็นเพื่อน แบบเพื่อนเฉยๆ มีมิตรภาพที่ดีต่อกันนี่ละ ดีที่สุด”

รอยยิ้มกว้างที่ปรากฏบนใบหน้าของหลง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรของวันนี้แล้ว แม้ชวนให้หมั่นไส้อยู่บ้าง แต่อัชฌาก็ว่ามันน่ามอง เพราะคนนิ่งๆ ที่ไม่ค่อยได้ยิ้มกว้างๆ เป็นแบบนี้ก็แปลกตาไม่น้อย
“พอ ไม่ต้องยิ้ม ไม่ได้จะเป็นอะไรกับกร แต่ไม่เคยบอกว่าจะเป็นอะไรกับคุณนะ”

แม้จะเป็นคำพูดที่ดูทำร้ายจิตใจ แต่ทว่า มันไม่ได้ทำลายรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าอีกฝ่ายลงเลย
“บ้าไปแล้วหรือคุณ ยิ้มไม่หุบขนาดนี้”

“ครับ คงบ้าไปแล้ว”

“พอ สรุปเราควรต้องคุยกันต่อให้จบไหม”

“ครับ แล้วแต่คุณเลยครับ”

อัชฌาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง จนในใจคิดว่า เขาคุยกับคนคนนี้ เขาถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้งกันนะ
“ผมเริ่มเขียนไดอารี่ให้พี่ภีมอีกครั้ง ตอนที่รู้ข่าวการจากไปของพี่ภีม คุณก็เห็นแล้วนี่ บ้านที่ผมอยู่น่ะ”

หลงพยักหน้าน้อยๆ ให้อัชฌารู้ว่าเขากำลังตั้งใจฟังทุกคำพูดที่อีกฝ่ายกำลังถ่ายทอดออกมา
“ผมเสียคนสำคัญให้การเดินทางเสมอ ทั้งครอบครัว ทั้งผู้มีพระคุณ ผมชอบบอกว่า ผมเกลียดการเดินทาง เอาจริงๆ ผมก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมเกลียดคือการเดินทางหรือเปล่า หรือผมแค่เอามันมาเป็นผู้ร้ายเพื่อให้รู้สึกดีที่ได้โทษอะไรสักอย่างก็ได้ เพราะจริงๆ ผมสนุกมากนะที่ได้ทำงาน เขียนงานเรื่องการท่องเที่ยว แต่ใจหนึ่งผมก็ไม่ชอบเห็นผู้คนที่รู้จักเดินทาง เพราะว่ากลัวว่าพวกเขาจะไม่กลับมาอีก ตลกดีไหม”

อัชฌาละสายตาจากผืนน้ำที่เพ่งมองระหว่างเล่า หันไปหาคู่สนทนาที่ยังคงจับต้องมาที่เขาตลอดเวลา สบตาอีกฝ่าย แล้วจึงเอ่ยปากว่าเรื่องราวต่อ
“วันที่ผมเสียครอบครัว ผมได้เจอพี่ภีม พี่ภีมสอนให้ผมเขียนเพื่อให้ได้ถ่ายทอดความรู้สึกเพื่อให้ผมดีขึ้น คล้ายๆ เยียวยาละมั้ง เขียนเพื่อแบ่งเบาภาระจิตใจ แต่ตอนนั้นผมยังเด็กมาก เวลาจะเขียนมันก็ไม่ง่ายนักหรอก พี่ชายคุณบอกให้ผมเขียนให้เขาอ่าน ในบันทึกตอนนั้น ทุกๆ วันผมจึงเขียนโดยคิดว่าเป็นเสมือนจดหมายให้พี่ภีมอ่าน พอชีวิตมันเริ่มปรับตัวได้ ยุ่งๆ เรื่องเรียน ยุ่งๆ เรื่องมหาวิทยาลัย มีทั้งเรื่องช่วยแม่ดูแลน้องๆ ในบ้านอีก ตอนนั้นก็ห่างหายการเขียนไดอารี่ไปเลย พี่ภีมก็คงเห็นผมโตแล้ว ดีขึ้นแล้ว ก็ไม่ได้ดูแลเหมือนตอนเด็กๆ คอยมาทวงไดอารี่เพื่ออ่านอะไรอีก”

อัชฌาหยุดเพื่อพักอารมณ์อยู่เพียงครู่ ก็เอ่ยปากเล่าต่อ
“แต่ผมชอบเขียนนะ นั่นน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตผมเลย จนมาทำมันเป็นอาชีพนี่ไง ส่วนเรื่องที่ทำไมกลับมาเขียนให้พี่ภีม ก็คงเพราะตอนนั้น ตอนที่ได้ข่าวพี่คุณหายสาบสูญไป มันเหมือนเรื่องที่ผมเคยกลัวมันวนกลับมาในชีวิตผมอีกครั้ง การเดินทางที่พรากสิ่งสำคัญของผมไป”

มือข้างหนึ่งของหลงละจากกล้อง เอื้อมมาวางบนบ่าของอัชฌาในทันทีที่น้ำเสียงในการเล่าเรื่องเริ่มมีความแผ่วเครือ
“นี่ไง เล่าออกมาแล้วต้องมาสะเทือนใจซ้ำ”

“ผมขอโทษ”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้ารู้สึกผิด อัชฌาจึงซ้ำด้วยการเอ่ยถาม
“ขอโทษแล้วผมไม่ต้องเล่าต่อแล้วใช่ไหม”

“เล่าต่อเถอะครับ”
และเป็นอีกฝ่ายที่ส่งเสียงแผ่วเบาอ้อนวอนออกมา

“ก็นั่นแหละ ชีวิตผมเหมือนหลุดเข้าไปในวงโคจรของบาดแผลในใจเรื่องเดิมๆ เกือบเสียศูนย์ แล้วคุณรู้ไหม จู่ๆ น้องๆ ก็รื้อข้าวของเล่นกัน แล้วไดอารี่ของพี่ภีมที่ผมเคยเขียนก็ถูกรื้อออกมาเล่น พอได้เห็นไดอารี่ปุ๊บ ผมก็คิดไปว่า พี่ภีมกำลังมาเตือนผมอย่างไรอย่างนั้นเลย ว่าห้ามหยุดอยู่กับที่เหมือนอย่างเคย ผมในวันนี้ไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่มีที่พึ่ง ช่วยเหลือดูแลตัวเองไม่ได้อีกแล้ว หลังจากวันนั้น ผมก็เริ่มเขียนไดอารี่ถึงพี่ภีมอีกครั้งอย่างที่คุณเห็นนั้นล่ะ”

“สรุปคือ คุณไม่ได้หลงรักพี่ภีมใช่ไหมครับ”

อัชฌาหันขวับ และจ้องสบไปยังสายตาของผู้ถาม แล้วก็ขึ้นเสียงหนักใส่คำถามที่ส่งกลับ
“เดี๋ยวนะ นี่คุณให้ผมเล่าให้ฟังตั้งมากตั้งมาย คุณสงสัยแค่นี้น่ะหรือ”

หลงแสร้งหลบสายตาลงต่ำ ไม่ได้ตอบคำถาม และก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
แต่เป็นอัชฌาเองที่เห็นรอยแดงปรากฎขึ้นที่บนใบหน้า ลามยาวไปถึงใบหู

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน สรุปความสงสัยขนาดตามอ่านไดอารี่ของเขามาตั้ง 6 ปี ตามหาเขา แล้วก็ตามจีบแบบแปลกๆ เพียงต้องการจะรู้แค่ว่า เขาแอบชอบพี่ภีมหรือเปล่าเนี่ยนะ   
คนๆ นี้นี่มัน สมควรถีบลงแม่ทะเลดำให้มันจมลงไปดีกว่าไหมนี่

**********************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ
เดี๋ยวมาคุยเรื่องแมวๆ ต่ออีกนิด แล้วกลับบ้านกันเถอะนะ อยู่ต่างประเทศนานมันเปลืองเงิน

ฝาก #คุณโปสการ์ด ต่ออีกนิดนะคะ จะจบแล้วววววว
มีคอมเม้นต์ ติชม และฝากกันช่วยติดตามทวิตได้ที่ https://twitter.com/PlusOneNovel นะคะ
 
ปล. มีไปเขียนเรื่องสั้นไว้ 1 เรื่อง ชื่อเรื่อง “กลับบ้าน” (ตอนเดียวจบ) ถ้าว่างๆ ฝากลองไปอ่านกันดูได้นะคะ
ที่นี่เลยจ้า https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70306.msg3974535#msg3974535
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 28 (17/5/2562)
« ตอบ #49 เมื่อ: 17-05-2019 03:40:18 »





ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 28 (17/5/2562)
«ตอบ #50 เมื่อ17-05-2019 04:37:09 »

คุณหลงชักแม่น้ำมา5สายแต่อยากรู้แค่อย่างเดียว  ถามตรงๆก็จบป่ะ​ 55
แต่ก็เป็นคำถามที่คาใจเราเหมือนกันนะว่าคุณเค้าคิดยังไงกะภีม

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 28 (17/5/2562)
«ตอบ #51 เมื่อ17-05-2019 08:29:30 »

ใจเย็นมากมายเลยนะคุณหลง

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 29 (22/5/2562)
«ตอบ #52 เมื่อ22-05-2019 10:41:42 »

แผ่นที่ 29


“คุณหลงมาพอดี จะได้เอานี่กลับไปด้วย”
พี่มลหยิบกองโปสการ์ดจำนวนหนึ่งยื่นให้แก่ชายหนุ่มทันทีที่สังเกตเห็นเขาเดินเข้ามาในบริเวณแผนก

“ทำไม”
 
“เปล่าๆ ไม่ใช่อัชไม่รับ แต่ไม่อยู่รับแล้วต่างหาก”
 
“...”
 
“ก็อัช เขาลาออกไปแล้ว ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าอัชมันไม่ได้บอกอะไรเลยใช่ไหมเนี่ย”
 
“ครับ” ตอนนี้หลงที่ยื่นมือไปรับโปสการ์ดกลับมา ได้แต่ยังคงยืนนิ่ง จนพี่มลเอ่ยถาม
 
“คุณหลง เป็นอะไรไปหรือเปล่า ยืนเหม่อเชียว”
 
หลงส่ายหน้าให้กับอีกฝ่าย ก้มหน้ามองเหล่าแผ่นโปสการ์ดในมือแล้วก็ได้แต่ตอบกลับเพียงแค่สั้นๆ
“ขอบคุณครับ”
 
พี่มลที่เหมือนจะสังเกตท่าทางของเขาได้ไม่ยากนัก หลังจากยิ้มตอบแล้ว เมื่อเห็นหลงไม่ได้พูดอะไรออกมา พี่มลก็ไม่ได้พูดหรือซักถามอะไรเพิ่มเช่นกัน แล้วกลับสู่ความสนใจกับงานตรงหน้า โดยไม่ได้แสดงความสนใจใดๆ กับหลงอีก
.
.
.
“พี่ก้องครับ อัชฌาลาออก”
หลงพูดกับพี่ชายคนสนิททันทีที่เปิดประตูเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของอีกฝ่าย

“เฮ้ย อะไรอีก แกอย่ามามองพี่แบบนั้น พี่ไม่รู้แล้วจริงๆ อัชฌามันลูกน้องโดยตรงของเก๋ ไม่ใช่ของพี่ ลาออกก็ไม่ต้องมาลากับพี่ แล้วพี่ก็ไม่ใช่ HR ไม่รู้เรื่องจริงๆ เว้ย“
 
“ทำไม เขาถึงไป”

“เอ้า แล้วมาถามพี่แล้ว พี่จะถามใครต่อ แกนี่ก็แปลก สรุป พี่ช่วยไปขนาดนั้น สนับสนุนขนาดค่าตั๋วเครื่องบินก็ออกให้แล้ว ล่อหลอกจนอีกฝ่ายก็ตามไปขนาดนั้น ทำไมถึงออกมาเป็นอีหรอบนี้อีกวะ แล้วถามคนในฝ่ายทางนั้นเขาไหม ว่าอัชมันลาออกไปไหน”
 
“ไม่ได้ถามครับ”
 
“เอ้า ไม่ถามแล้วจะได้รู้ไหม”
 
“ผมไม่แน่ใจว่าเขาอยากให้รู้ เขาไม่ได้พูดอะไรกับผมเลย”
 
“เขาไม่ได้พูด หรือว่าไม่รู้จะพูดตอนไหน หรือจริงๆ พูดไปแล้วแต่แกไม่เข้าใจ เอ้า ทำหน้าหมาหงอยอีก แกมันก็เป็นซะแบบนี้ แล้วจะเอาไงต่อ”
 
“ไม่ทราบครับ”
หลงตอบพี่ก้องเพียงเท่านั้น ตอนนี้เขาคงตอบได้เพียงเท่านี้จริงๆ เพราะไม่เข้าใจเลยว่า เรื่องที่มันเป็นเหมือนหมอกควันในใจของอีกฝ่ายก็ได้คลี่คลายหมดแล้ว สิ่งที่เขาควรจะเล่าก็ได้เล่าให้อีกฝ่ายฟังไปหมดแล้ว อีกฝ่ายเสียอีกที่ยังไม่ได้ตอบคำถามในสิ่งที่เขาถามไว้เลย
ก่อนที่จะกลับมา หลายวันที่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดูเหมือนจะได้คุย ได้เรียนรู้ และรู้จักกันและกันมากขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเพราะอะไร ทำไมอีกฝ่ายถึงมาลาออก แล้วหายหน้าไปจากเขา
.
.
.
“วันนี้เป็นอะไรไปลูก หน้าตาไม่สดชื่นเลย เหนื่อยจากการเดินทางหรือเปล่า”
 หลงส่ายหน้าให้กับมารดา แล้วพยายามยิ้มบางๆ กลับให้อีกฝ่ายคลายความกังวล

พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบของพี่ภีม และถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาเดินทางกลับมาอยู่กับครอบครัวในช่วงเวลานี้เสมอ
ถ้าเป็นปีก่อนๆ วันนี้จะเป็นวันหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญและตื่นเต้นกับการได้เจอกับสมุดบันทึกของพี่ภีม แต่วันนี้ อัชฌาลาออกจากงานไปแล้ว โดยที่เขาก็ไม่กล้าถามว่าอีกฝ่ายไปอยู่ที่ใด
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่แล้วเช่นนี้ วันนี้ของปีนี้ จากที่เคยกระตือรือร้นที่จะไปสุสานมาตลอด 7 ปี กลายเป็นความเฉื่อยชาไปเสียดื้อๆ  ใจมันก็พาลไม่อยากลุกไปทำหน้าที่เตรียมพื้นที่ทำความสะอาดที่สุสานเช่นเคย เพราะคนที่เขารอ ไม่รู้ไปอยู่เสียที่ไหนแล้ว
.
.
.
“แล้วจากนี้ จะยังต่อดี”

เสียงอัชฌาที่เอ่ยถามขึ้นมา ทำให้หลงเงยหน้าขึ้นจากการหลบหน้าคู่สนทนาหลังจากเรื่องเล่าทั้งหลายได้จบลง
ใช่ ตอนนี้เขาได้รู้หลายๆ เรื่องที่ค้างคาใจ และไม่เคยกล้าเอ่ยถาม แต่ความกล้ามันกลับเกิดขึ้นในวันที่อีกฝ่ายเดินทางมาหาเขา

“ก็จบยัง เรื่องสงสัยของคุณต่อเรื่องของผมน่ะ”

“ครับ”

“ดี งั้นตาคุณบ้างละ มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม”

หลงนิ่งไปสักพัก แล้วก็ส่ายหน้าแทนคำตอบให้อีกฝ่าย
อัชฌาถอนหายใจใส่คู่สนทนาอีกครั้ง
“คุณนี่นะ มันก็เป็นซะอย่างนี้ แน่ใจในคำตอบแล้วนะ ว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้วน่ะ”
.
.
.
ขณะที่ในใจนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับอัชฌาไปพลาง ซึ่งทบทวนดูอย่างไร เขาเองก็ไม่เข้าใจถึงเหตุผลของการลาออกและหายหน้าไปของอัชฌาอยู่ดี
ส่วนร่างกายก็กำลังเดินฝ่าแสงแดดจ้า เพื่อไปยังที่พำนักของพี่ชายด้วยจิตใจหดหู่ แกมอ่อนล้า

แต่เมื่อสายตาที่มองตรงไปยังหน้าพื้นที่หน้าป้ายหินสีขาวได้สะดุดเข้ากับบางสิ่งที่เขาแสนคุ้นเคย ทำให้ขายาวสาวเท้าก้าวเดินให้เร็วขึ้น
ไดอารี่ของพี่ภีม กำลังวางอยู่ที่เดิมที่แสนคุ้นเคย
ในใจหนึ่งเขาก็คิดสงสัย ว่าเหตุใดจึงมีไดอารี่อีก ส่วนอีกใจกลับคิดยินดี เพราะการที่มีบันทึกมาวางเช่นนี้ แสดงว่าอัชฌาไม่ได้จากไปไหนไกล
 
และเมื่อหลงก้มลงหยิบ และเปิดมันขึ้นอ่าน  สิ่งที่เขาได้เห็น ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดว่าจะได้เจอ
ตัวอักษรที่เรียงร้อย ยังคงเกิดจากลายมือสละสวย บรรจงเขียนด้วยความเป็นระเบียบ และขึ้นต้นด้วยคำว่า “พี่ภีมครับ”
หลงพลิกมันอ่านทีละหน้า ทีละหน้า ข้อความในนั้นยังเป็นเช่นทุกปี คือเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน เหตุการณ์ และผู้คน

หลงที่ยังคงไล่เปิดอ่านไปเรื่อยๆ จนมาถึงบันทึกหน้าหนึ่ง
ใจที่กำลังจดจ่อกับการอ่าน พลันเต้นแรงขึ้น
สิ่งที่เขากำลังอ่าน กำลังเห็น เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็น
บันทึกที่มีวันที่ลงไว้นั้น ทำให้เขาได้รู้ว่า มันมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น เริ่มต้นในวันหลังจากการเดินทางกลับมาของอัชฌา
วันที่ เดือน ปี และตามด้วยเหตุการณ์ กิจกรรมที่ทำ และผู้คนที่ได้พบ ยังคงเป็นอัตลักษณ์ของผู้บันทึก
วิธีเล่าเรื่องราว ตลอดไปจนถึงการเขียนข้อความ ใส่ความเห็นสั้นๆ ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรแตกต่าง

สิ่งที่ต่างไปมากที่สุดก็คือ ประโยคขึ้นต้นที่ไม่มีพี่ภีมอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “คุณโปสการ์ด”

หลงรู้สึกว่า มือของตนที่กำลังถือบันทึกกำลังสั่น ยิ่งอ่านไปมากเท่าใด ทั้งใจและมือ กลับรู้สึกหวั่นไหว สั่นเทามากขึ้นเท่านั้น
แม้จากวันที่มีความเปลี่ยนแปลงคำขึ้นต้น จนถึงวันนี้ จะมีบันทึกเพียงไม่กี่หน้า ไม่กี่วัน แต่มันกลับทำให้หลงที่อ่านไป มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้ากว้างขึ้น กว้างขึ้นทุกที
จนมาถึงหน้าสุดท้าย ที่การขึ้นต้นบันทึกยังคงเป็นคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปจากชื่อพี่ชายที่อยู่ตรงหน้า

คุณโปสการ์ด

อ่านมาถึงตรงนี้ ให้ผมเดานะ ตอนนี้คุณคงกำลังสงสัยล่ะสิว่าทำไมผมลาออก หรือผมหายไปไหน
และผมก็ให้ผมเดาอีกนะ ว่าคุณคงไม่ได้ถามใครที่แผนกผม ทั้งๆ ที่วิธีหาคำตอบของความสงสัย มันง่ายแสนง่าย แต่คุณเองชอบทำให้มันยากไปเอง
แต่ก็นั่นละนะ ถ้าทำอะไรง่ายๆ มันก็คงขาดเสน่ห์ความเป็นคุณไป

ว่าไงคุณภัทรชนน
ตอนนี้ผมหาคำตอบในสิ่งที่ผมสงสัยได้หมดแล้ว แล้วคุณล่ะ ไม่มีข้อสงสัย หรือคำถามอะไรเหลืออยู่จริงๆ หรือ

ออ เรื่องหนึ่ง คุณเคยพูดกับผมเรื่องเวลา
ผมว่าผมคิดต่างจากคุณนะ
ในบันทึกของผม ต่างจากโปสการ์ดของคุณ ตรงมันมีเวลาประทับอยู่เสมอ เพราะความทรงจำของผมมีอดีต ปัจจุบัน และจะมีอนาคต
เวลาของผม มันอาจจะเคยเป็นของพี่ภีม เป็นของกร หรืออาจจะเป็นของคุณ นั่นขึ้นอยู่กับคำถามที่คุณจะตั้งเพื่อหาคำตอบแล้วล่ะ

คราวนี้ เป็นเทิร์นของผมบ้างแล้ว

“คุณคิดว่าแมวมันอยากจะอยู่ หรืออยากจะกลับบ้านไปกับเรือที่มันมา มันคิดถึงอยากกลับบ้าน หรือว่ามันดีใจแล้วที่ได้เดินทาง”

อัชฌา

******************************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ
มีเรื่องที่ยังสงสัยที่โปสการ์ดเปลี่ยนไปใช่ไหมคะ แต่บางคนน่าจะเดาได้แล้วเนาะ แต่ให้ดีมาฟังอัชฌาเล่าในตอนหน้าที่กำลังจะจบก็ได้ค่ะ ^^

มีคอมเม้นต์ ติชม และฝากกันช่วยติดตามทวิตได้ที่ https://twitter.com/PlusOneNovel นะคะ
 
ปล. มีไปเขียนเรื่องสั้นไว้ 2 เรื่อง ชื่อเรื่อง “กลับบ้าน” กับ “เหงา” ถ้าว่างๆ ฝากลองไปอ่านกันดูได้นะคะ
ที่นี่เลยจ้า >> จิ้ม >> กลับบ้าน

>> เหงา




ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 29 (22/5/2562)
«ตอบ #53 เมื่อ22-05-2019 12:24:15 »

ถึงเวลาต้องเลือกแล้วแหล่ะคุณหลงว่าอยากมีอนาคตกับตัวเอง กับคนอื่น หรือกับอัชฌา

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 29 (22/5/2562)
«ตอบ #54 เมื่อ23-05-2019 12:21:45 »

เอาแร้วววววว โดนเองแร้วววว

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 30 (31/5/2562)
«ตอบ #55 เมื่อ31-05-2019 11:14:55 »

แผ่นที่ 30


สิ่งแรกที่อัชฌาคิดว่าจะทำหลังจากกลับมาก็คือ จัดการเรื่องค้างคาในใจอีกหนึ่งเรื่อง และนั่นคือเหตุผลที่เขาเดินมาเคาะประตูห้องของหัวหน้าใหญ่ของแผนกช่างภาพอยู่ในตอนนี้

“พี่ก้องครับ”


“อ้าว อัช ว่าไง มีธุระอะไรกับแผนกพี่หรือเปล่า”


“ไม่มีกับแผนกพี่ครับ” อัชฌาตอบอีกฝ่าย ขณะที่มือดึงประตูห้องให้ปิดลงแล้ว “แต่มีกับพี่”


คู่สนทนาที่กำลังจะตกเป็นจำเลยในการซักไซ้ของเขา ละมือจากกองภาพที่อยู่ตรงหน้า สบสายตากลับมาโดยที่ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านกับการเปิดบทสนทนาด้วยท่าทีคุกคามของอัชฌาแต่อย่างใด อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากยังไม่พอ ยังแถมด้วยการถามเอ่ยเย้ากลับมา

“มีกับพี่งั้นหรือ อืม เกี่ยวกับโบนัสตั๋วเดินทางพักร้อนหรือเปล่าล่ะ แมวที่นั่นน่ารักไหม แล้วว่าแต่ เจอแมวที่ตามหาอยู่หรือเปล่าล่ะ”


“พี่ก้องครับ ผมขอร้อง ผมปวดหัวกับความเจ้าปรัชญา สำบัดสำนวน วกไปวนมาของลูกน้องพี่คนหนึ่งแล้ว กว่าจะได้รู้เรื่อง ผมเหมือนจะใช้ความพยายามไปทั้งชีวิตที่จะเข้าใจ ถ้าพี่ก้องจะกรุณาช่วยตอบคำถามผมอย่างตรงไปตรงมา ผมจะขอบคุณมาก”


“ฮะๆๆ นี่แสดงว่าคุยกับเจ้าหลงรู้เรื่องแล้วงั้นสิ ถ้าคุยรู้เรื่องแล้วทำไมกลับมาคนเดียว นี่พี่คาดหวังความก้าวหน้านะ น้องชายพี่ลงทุนเป็นพระรองที่แสนดีขนาดนั้นแล้ว ไม่มีอะไรอัพเดทพี่หน่อยหรือ”


อัชฌารู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตัวเองกำลังเปลี่ยนเปลี่ยนจากราบเรียบเป็นกรุ่นๆ และพร้อมที่จะเปลี่ยนสถานะเป็นจุดเดือดที่อุณหภูมิของห้องในไม่ช้า

ทำไมกันนะ ไม่ว่าจะหลง หรือพี่ก้องก็ตาม คนพวกนี้ชอบทำตัวยึกยัก ทำเหมือนรู้ทุกอย่าง เห็นทะลุปรุโปร่งกับทุกเรื่อง แล้วก็ปิดบังนั่นนี่ ทำเรื่องง่ายๆ ให้มันยุ่งยาก ไม่ถามก็ไม่ตอบ ไม่ซักไซร้ ก็แสร้งทำไม่รู้ เหมือนต้องการจะให้เขาเล่นบทนักสืบให้คอยหาคำตอบทุกอย่างด้วยตัวเอง สนุกที่จะเล่นกับความรู้สึกอึกๆ อักๆ ของคนอื่นกันเสียเหลือเกิน


“พี่ก้องครับ ผมขอร้อง ถ้าพี่ไม่เล่าเรื่องที่ผมควรรู้มาดีๆ จะมาหาว่าผมไม่เกรงใจพี่ไม่ได้นะ”


อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่สีหน้าไม่ได้แสดงความแปลกใจอย่างจริงจังเอาเสียเลย

“บอกอะไรกัน แล้วพี่รู้อะไรกัน”


สิ่งที่ตอบมา เรียกได้ว่า ไม่ได้ต่างจากที่อัชฌาคิดสักเท่าใดนัก และเมื่ออีกฝ่ายตอบมาเช่นนั้น ไม้ตายในฐานะลูกรักของบก. เดอะแมกกาซีนก็ควรจะถูกหยิบเพื่อใช้ตอบโต้

“พี่จะไม่เล่าจริงๆ ใช่ไหม ได้ครับ งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะอยู่ที่นี่อีก นี่ครับ ใบลาออกของผม ผมขออนุญาตลาออกกับพี่ก้องในฐานะผู้บริหารอีกคนเลยก็แล้วกันนะครับ ฝากพี่ก้องเรียนแจ้งพี่เก๋ด้วย ขอบคุณครับ”


นอกจากซองจดหมายสีขาวที่เตรียมมาไว้จะถูกหยิบมาวางบนโต๊ะแล้ว พอสิ้นคำ อัชฌาก็ทำท่าหมุนตัวหันหลังกลับ และในขณะที่จะเอื้อมมือไปจะลูกบิดประตูเพื่อจากไป เสียงร้องของคู่สนทนาที่แสดงท่าทีเหนือกว่าเมื่อครู่ก็ส่งเสียงดังขึ้นเพื่อขัดจังหวะการกำลังจะจากไปของเขา

“เฮ้ยๆๆๆ เดี๋ยว อัช ใจเย็นก่อน”


อัชฌาชะงักมือที่ลูกบิด ขณะที่ยังไม่ได้หันหน้ากลับไป และสิ่งที่พี่ก้องไม่มีโอกาสได้เห็นก็คือ แววตาเป็นประกาย และรอยยิ้มที่ยกขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมันหายวับไปจากใบหน้าทันทีที่อัชฌาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคู่กรณีของเขาอีกครั้ง


ขณะในใจก็มั่นใจในชัยชนะที่เขากำลังจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ‘ตอนนี้บทมันเปลี่ยนแล้วครับพี่ก้อง เทิร์นของผม ผมจะไม่ยอมเสียเวลากับความติสท์แตก วกวนของพี่หรือของลูกน้องพี่ทั้งนั้น’

อัชฌาก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายบ่นอุบ

“อะไรวะ ให้ไปพักร้อนแปบเดียว พัฒนาความสามารถด้านการต่อรองแบบก้าวกระโดดเลยหรือ”


“พร้อมจะตอบคำถามผมหรือยังครับ”


“เออๆ แล้วเก็บไปเลยนะใบลาออกนี่อะ เก๋รู้ว่าอัชลาออกเพราะพี่ มีหวังมันโวยพี่หูแตก”


อัชฌายิ้มและเลิกคิ้วใส่อีกฝ่าย

“มันขึ้นกับพี่ก้องแล้วละครับ ว่าจะตอบคำถามผมดีๆ ได้หรือยัง”


อีกฝ่ายถอนหายใจยาวออกมาและเริ่มขยับพูด

“แล้วหลงมันเล่า ยังรู้ไม่ครบอีกหรือ”


“เขาบอกว่า เขาไม่ได้พิมพ์โปสการ์ด แต่ภาพในนั้นเป็นของเขา มาคิดๆ ดู ในสำนักงานนี้ จะมีใครที่อยากจะยุ่งเรื่องนี้ หรือจะมาสนใจเรื่องโปสการ์ดที่ส่งหาผม และรู้ด้วยว่าเป็นโปสการ์ดของใคร”


อัชฌานิ่งไปเล็กน้อย ขณะเปลี่ยนสายตาให้แข็งกร้าวขึ้นและสบตรงไปที่คู่สนทนาที่เขากับไล่เรียง

“นอกจากพี่”


“ก็นะ”


“ก็นะ อะไรครับ สรุปพี่ทำอะไร”


“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกฝ่ายออฟฟิตว่าให้เอาโปสการ์ดที่ส่งถึงอัชมาส่งที่พี่ก่อน แล้วก็เอาข้อความพิมพ์ลงกระดาษแปะทับลายมือมันในโปสการ์ดช่วงหลังๆ ให้อัชเท่านั้นล่ะ”


นี่สินะ เจ้าแผนการตัวจริง ที่เขาละเลยไป

“แล้วพี่ก้อง จะทำอย่างนั้นทำไมครับ”


“ก็มันน่ารำคาญ”


“รำคาญอะไรครับ”


“รำคาญเจ้าหลงก็ส่วนหนึ่ง รำคาญการไม่พัฒนาอะไรขึ้นเลยของเรื่องของอัชก็ส่วนหนึ่ง พี่คิดว่านะ ถ้าภีมมันยังอยู่ มันก็ทำแบบพี่นั้นล่ะ”


ชื่อที่ไม่คาดว่าจะมาอยู่ในเรื่องราวที่พี่ก้องเอ่ยถึงทำให้อัชฌาชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็ไม่พ้นสายตาคนมากประสบการณ์จับสังเกต

“เอ้า สรุป นี่เจ้าหลงมันไม่ได้เล่าหรือว่าพี่เป็นอะไรกับไอ้ภีม”


“ไม่ครับ”


“เวร สรุปรู้เรื่องอะไรมาบ้างละนี่”


“ก็รู้แค่เขาเป็นน้องพี่ภีม และเก็บสมุดบันทึกของผมที่เขียนถึงพี่ภีมไว้ เลยอยากรู้จักผมครับ”


“ไอ้เชี่ยหลง เมื่อไรมันจะอธิบายอะไรให้มันจบๆ นะ”

เห็นพี่ก้องสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด อัชฌาก็ไม่ได้แสดงความเห็นใจหรือหยุดการซักถาม


“ไม่ต้องไปหวังพึ่งคนๆ นั้นละครับ พี่ก้องนั่นแหละอธิบายมา สรุปพี่รู้จักพี่ภีมหรือยังไง แล้วพี่ทำอะไรอีก”


“ไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ ทำแค่นั้นแหละ”


“แล้วทำไมพี่รู้จักพี่ภีม”


“รู้จักมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาลละ พี่ก็เลยเจอหลงมันมาตั้งแต่เกิด หลงมันก็เลยเหมือนน้องพี่อีกคน ดูแลมันมาตั้งแต่เด็กกับภีม พี่ชายมันนั่นแหละ”


“แล้วไงต่อครับ”


“ก็ไม่แล้วไง ก็มันอะคอยตามหาคนเขียนบันทึกให้พี่มัน พอเจอก็ไม่กล้าทัก พอรู้จักก็ไม่กล้าออกมาเจอ พี่ก็แค่ช่วยให้ได้คุยกัน ทำงานด้วยกัน แต่เพราะมันเป็นคนแบบนั้นไง พอจะจีบก็เหมือนเด็กป.4 เขียนจดหมายหาเพื่อน เขียนโปสการ์ดบ่นขิงบ่นข่าเชี่ยไรก็ไม่รู้ เมื่อไรมันจะพัฒนา พอครั้งนึงที่มันเจ็บมือ แล้วมันให้คนพิมพ์ข้อความแปะโปสการ์ดมันส่งมา พี่ก็เลยคิดได้ว่า ต้องลองทำอะไรสักอย่างละ เรื่องของเราจะได้จบๆ เสียที”


“พี่ก็เลยเปลี่ยนข้อความบนโปสการ์ด”


“อย่าเรียกว่าเปลี่ยน ปกติมันเขียนอะไรมาก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอยู่ละ ทำอะไรนิดหน่อยให้อัชสังเกตก็ไม่ใช่เรื่องยาก”


“พี่มั่นใจได้ไงว่าผมจะสนใจ”


“อัชฌาเอ้ย ดูถูกพี่ว่ะ”


อัชฌาไม่เข้าใจคำปรามาสของอีกฝ่าย จึงเลือกความเงียบเป็นการโต้ตอบ เพื่อให้อีกฝ่ายอธิบายความเข้าใจเพิ่มเติมแก่เขาเอง


“นี่ใครครับ ลูกชายคนโตเจ้าพ่อวงการสื่อไหมครับ ความสามารถในการมองคนไม่ได้ได้มาเพราะโชคนะครับ แต่มันอยู่ในพรสวรรค์”


“ผมว่าความสามารถในการยุ่งเรื่องชาวบ้านแบบนี้ ไม่ต้องมีก็ได้ครับพี่” คำโต้ตอบเจ็บแสบของอัชฌาที่เขารู้ว่าพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่มีทางขุ่นเคือง ก็ถูกตอบรับด้วยเสียงหัวเราะในทันที


“เถอะน่า ผลก็ออกมาดีไม่ใช่หรือไง อัชกับหลงก็ลงเอยกันในที่สุด ถึงกรมันจะอกหัก แต่ก็ไม่เป็นไร ความรักก็งี้พี่เข้าใจ”


อัชฌาหน้านิ่งให้กับข้อสันนิษฐานนั้น พร้อมถามกลับในทันที

“ใครบอกพี่ก้องครับ ว่าผมกับเขาลงเอยกัน”


“เชี่ย อะไรอีก ขนาดนี้ยังไม่ลงเอยอีกหรือ พี่ว่าพี่ก็มองไม่ผิดนะ ว่าเราสองคนก็น่าจะใจตรงกัน”


“ก็อาจจะครับ แต่ไม่ลงเอย”


“อะไรของแก นี่อัชติดเชื้อมึนมาจากหลงมันหรือไง หมายความว่าไง”


“ไม่ต้องห่วงครับพี่ก้อง ไว้น้องรักพี่ก้องเรียนรู้ที่ตั้งคำถามให้ตรงประเด็นเมื่อไร ผมก็จะตอบคำถามนั้นเมื่อนั้นแหละครับ”


“คำถามอะไร”


“พี่ก้องไม่ต้องทราบตอนนี้หรอกครับ แต่ผมมีเรื่องจะขอ”


“ขออะไร”


“รับปากมาครับ ว่าผมขออะไรก็จะทำ อย่างน้อยพี่ก็ควรจะต้องไถ่โทษที่มายุ่งเรื่องของผมใช่หรือเปล่า”


“พูดขนาดนี้คือพี่ต้องรับปากใช่ไหม”


“ใช่ครับ รับปาก และสัญญามาด้วยว่าตั้งแต่นี้ จะไม่เข้ามาแทรกแซง ไม่เข้ามาช่วย ถ้าเขามาถามอะไรพี่ พี่ก็ต้องปล่อยให้เขาพยายามคิดและจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองเขาเอง ไม่ต้องไปมาตามห่วง และสำคัญที่สุดไม่ต้องให้คำปรึกษาอะไรเขาอีก ได้ไหมครับ”


“ขนาดนั้นเลย เอาเถอะ คิดจะทำอะไรพี่จะไม่ถามแล้ว แต่อัช พี่ขออย่างหนึ่งเถอะ หลงมันอาจจะวิธีคิดไม่เหมือนใครอยู่บ้าง บางครั้งเรื่องง่ายๆ มันทำให้ยากเพราะระบบคิดมันอาจจะซับซ้อนไป แต่มันไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นหรอก เข้าใจมันเยอะๆ ให้โอกาสมันเยอะๆ หน่อยนะ”


อัชฌาพยักหน้าน้อยๆ คล้ายจะเข้าใจในสิ่งที่พี่ใหญ่ตรงหน้าต้องการสื่ออสาร

“ผมไม่ได้จะทำอะไรให้ยาก แต่จะทำอะไรให้ง่ายต่างหาก คนๆ นี้ต้องเรียนรู้ที่จะทำอะไรให้ง่าย ทำอะไรให้ตรงไปตรงมาบ้างเท่านั้นครับ เมื่อไรที่เขาลองหัดทำอะไรให้ง่ายๆ คิดอะไรให้ง่ายๆ ทำอะไรให้ตรงไปตรงมา ไม่ต้องวุ่นวายซับซ้อน เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ง่ายเองนั่นแหละครับ”


และนั่นคือทั้งหมดที่เขาจะลงมือทำสั่งสอนให้คนชอบคิดซับซ้อนได้ลองทำอะไรตรงไปตรงมาแบบง่ายๆ บ้างละ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถจัดการที่ปรึกษาที่ดูจะเป็นปัจจัยเสริมความซับซ้อนของอีกฝ่าย และของความสัมพันธ์นี้ออกไปได้ละ ส่วนระหว่างพวกเขาก็คงต้องมาลองดูกันสักตั้งว่าต่อจากนี้ การสั่งสอนให้อีกฝ่ายลองทำเรื่องง่ายๆ จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปได้แค่ไหน





************

จบเนื้อหาของแผ่นที่ 30 ตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ เดี๋ยวมันจะยาวกว่าตอนอื่น ตัดไปจบอีกตอนละกันนะคะ


มีเรื่องจะอวดนิดนึง คือ หลังจากตัดสินใจอยู่หลายวัน ก็ได้ติดต่อนักวาดที่ชอบงานเค้าคนนึงไป เพราะอยากมีภาพให้ #คุณโปสการ์ด และเขารับวาดด้วยอ่า ดีใจจัง (p〃д〃q) เพราะงั้นก่อนเรื่องนี้จะจบ อาจจะได้เห็นภาพประกอบนั้น หรือไม่ก็อาจจะเห็นหลังจากจบแล้วก็ไม่รู้ค่ะ (ฮา) ถือเป็นที่ระลึกสำหรับตัวเราเอง จริงๆคิดจะเอาภาพนั้นทำโปสการ์ดส่งกลับไปให้คนอ่านด้วยเลย ไม่คิดเหมือนกันค่ะ ว่าจะมีคนมาอ่านจนถึงวันนี้จำนวนเกินร้อย ดีใจสุดๆ จะอยากได้โปสการ์ดที่ไม่ลงชื่อกันบ้างหรือเปล่าคะ ไปบอกกล่าวกันได้ที่ทวิต ก็ได้น้า >>https://twitter.com/PlusOneNovel

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 30 (31/5/2562)
«ตอบ #56 เมื่อ31-05-2019 12:27:08 »

 :mew1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 30 (31/5/2562)
«ตอบ #57 เมื่อ01-06-2019 07:44:45 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 30 (31/5/2562)
«ตอบ #58 เมื่อ01-06-2019 10:15:43 »

แจ่มมากจ้าอัชฌา

ออฟไลน์ plusoneproject

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
แผ่นสุดท้าย


“พี่อัช มีคนมาหาครับ”
เสียงร้องเรียกขึ้นจากเจ้าหน้าที่คนหนึ่งทำให้อัชฌาละจากกิจกรรมเล่านิทานที่กำลังดำเนินอยู่ร่วมกับเด็กๆ สมาชิกของค่ายพักผู้อพยพแห่งนี้ แล้วถามไถ่กลับไป
“ใครหรือ”

“ไม่ทราบครับ แต่หัวหน้าให้เขาไปรออยู่ที่เต้นท์พักของพี่ แล้วให้มาบอกพี่นี่ล่ะครับ”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปดูเอง ขอบคุณครับ”
แม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่เพราะว่าตั้งแต่มาเริ่มงานที่นี่ในฐานะครู และเจ้าหน้าที่ด้านกิจกรรมเด็ก ทำให้มีแขก ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานส่วนกลาง หรืออาสาสมัครจากที่ต่างๆ มาติดต่ออยู่เสมอ อัชฌาจึงไม่ได้สนใจไถ่ถามข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมอีก เพียงแต่หันไปแจ้งยุติกิจกรรมกับเด็กๆ ที่กำลังนั่งรายล้อมอยู่
“งั้นวันนี้ เราพอแค่นี้ก่อนนะทุกคน เดี๋ยวพี่อัชไปพบแขกก่อน”

ก่อนเสียงตอบรับด้วยการขอบคุณจากสมาชิกรุ่นจิ๋วทั้งหลายจะดังขึ้นเช่นทุกครั้ง และวงกิจกรรมก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
อัชฌายิ้มน้อยๆ มองส่งสมาชิกของห้องเรียนกลางแจ้งที่วิ่งจากไป แล้วจึงเก็บข้าวของต่างๆ เพื่อกลับเต็นท์ที่พักเพื่อไปพบแขกตามที่ได้รับแจ้ง
.
.
.
“พล แขกพี่อยู่ที่ไหนล่ะ ไม่เห็นเจอใครเลย”
อัชฌาที่ยืนอยู่หน้าเต็นท์ของตัวเอง ตะโกนร้องถามเจ้าหน้าที่ผู้มาแจ้งข่าว เมื่อพบว่าไม่มีแขกรออยู่ตามที่อีกฝ่ายบอก

“ไม่ทราบครับพี่ เมื่อกี้ผมพาเขามาที่นี่แล้ว หรือเขาออกไปเดินเล่นรอบๆ นี้หรือเปล่า”

“งั้นหรือ หรืออาจจะไปคุยธุระกับคนอื่น พลจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ เดี๋ยวพี่นั่งทำงานรออยู่นี่แหละ”

เมื่อคู่สนทนาจากไปแล้ว อัชฌาหมุนตัวกลับเข้าด้านในของเต็นท์ที่พักชั่วคราว เพื่อไปจัดการเตรียมกิจกรรมต่างๆ แก่สมาชิกรุ่นจิ๋วของค่ายแห่งนี้อย่างเคย
บนกระดานไม้ที่เต็มไปด้วยกระดาษแปะ ทั้งผลงานของเด็กๆ ที่สร้างสรรค์เป็นภาพวาด และชิ้นงานต่างๆ ทั้งกระดาษโน้ตที่ตัวเขาเองทำไว้เพื่อบันทึกลักษณะกิจกรรมที่จะใช้เพื่อเสริมทักษะ และสร้างการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสมาชิกในช่วงวัยต่างๆ ของค่ายแห่งนี้
แล้วอัชฌาที่กำลังหยิบกระดาษโน้ตสีสดเขียนบันทึก เพื่อแปะลงไปบนบอร์ดก็ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งเรียกขึ้นมาด้านหลัง
“คุณครับ”

แม้ได้ยินเสียงนั้น ก็ม่ได้เลือกที่จะหมุนตัวกลับไปในทันที แต่มือที่กำลังจะเคลื่อนไหวนั้นชะงักนิ่งไปเสียแล้ว
ท่ามกลางความเงียบหลังเสียงเรียก อัชฌารู้สึกราวว่ากำลังได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองส่งเสียงเต้นรัว พร้อมๆ กับความเคลื่อนไหวที่บริเวณอกด้านซ้ายที่รุนแรงขึ้นจนดันให้เกิดความรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างเสียจนเจ้าตัวยังรู้สึกแปลกใจ
แม้การตอบสนองอื่นใดยังคงเป็นความเงียบ แต่อัชฌารู้สึกได้ถึงการก้าวเท้าของอีกฝ่ายที่กำลังขยับเข้ามาใกล้แผ่นหลังของตน

“ผมมีคำถามมาให้คุณแล้วครับ”
เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นอีกครั้ง และมันใกล้ ใกล้จนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจที่ถ่ายออกมาขณะเปล่งเสียง
ริมฝีปากนั้นไม่ได้แม้แต่สัมผัสพื้นที่ส่วนใดบนร่างกาย เช่นเดียวกับทั้งร่างของอีกฝ่ายที่ยังยืนห่างมีช่องว่างเป็นระยะกับร่างกายเขา แต่ถ้อยความที่เปล่งออกจากปากนั้นก็เกิดขึ้นไม่ไกลนักจากบริเวณโสตประสาทรับเสียง

อีกฝ่ายเลือกที่จะยืนอยู่เบื้องหลัง ทาบร่างของตนซ้อนร่างของอัชฌา ไม่ได้รุกล้ำ ไม่ได้ล่วงเกิน ไม่ได้มีแม้แต่ส่วนใดของร่างกายสัมผัสกัน
ทว่า การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้อัชฌาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตอนนี้เกิดความรู้สึกคล้ายมีไฟฟ้าแล่นไหลผ่านไปทั่วร่าง รู้สึกเหมือนขนอ่อนนั้นลุกไปทั่ว
ความรู้สึกขณะนี้ แม้ไม่ได้สัมผัส แต่กลับรู้สึกยิ่งกว่าถูกโอบกอด
แม้ไม่ได้ล่วงเกิน แต่กลับรู้สึกได้คล้ายอีกฝ่ายกำลังล่วงล้ำ  คุกคามเข้ามาในพื้นที่จิตใจ และกำลังจะทำให้เขากลายเป็นผู้ยอมจำนน

อัชฌาที่ยังคงยืนนิ่ง ยังไม่ได้คิดจะหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า เช่นเดียวกันกับที่คู่กรณีก็ไม่คิดขยับตัว ยังคงทำเพียงยืนซ้อนร่างเขานิ่งๆ เฉกเช่นเดียวกัน
และเป็นเขาเองที่ยอมส่งเสียงขึ้นคล้ายเอ่ยอนุญาตให้เรื่องราวได้ดำเนินต่อไป
“ถามมาสิ”
แม้การตอบกลับเป็นเพียงประโยคที่สั้นแสนสั้น แต่อัชฌาคล้ายต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติในการบังคับไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่นไหวไปตามความรู้สึกที่ปรากฏเพราะอีกฝ่าย

แล้วเสียงคำถามแรกก็ดังขึ้น
“คุณลาออกทำไมครับ”

ใบหน้าของอัชฌาที่อีกฝ่ายไม่ได้เห็น กำลังขมวดคิ้วเป็นปมกลางหน้าผาก
ช่างเป็นคนที่ชวนหงุดหงิดไม่เปลี่ยนจริงๆ
ทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้ แต่อัชฌาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย และส่งเสียงกลับไป
“นั่นคือสิ่งที่คุณอยากถามที่สุดงั้นหรือ”

“ก็ยังไม่ใช่ครับ”

“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องตอบ”

ถ้ามีใครเข้ามาในเต็นท์ที่พักของเขาตอนนี้ คงได้มาพบกับวิธีสนทนาที่แสนประหลาดระหว่างคนสองคน ที่คู่สนทนา ยืนหันหน้าไปทางเดียวกัน แต่บทสนทนาก็ยังดำเนินต่อไป
“คุณครับ”

“ถ้าเรียกอย่างนี้อีก ผมจะไม่คุยต่อละนะ”
อัชฌาได้ยินเสียงถอนหายใจหลักอยู่เบื้องหลัง เมื่อเขาเลือกที่จะขัดจังหวะการเรียกขานของอีกฝ่าย

แล้วความเงียบที่ชนะในการครอบครองพื้นที่เสมอ ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับการเรียกที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นซึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง

“อัชฌา”

ความเงียบที่ถูกขับไล่ให้แพ้พ่าย ไม่ต่างอะไรกับใจของอัชฌาที่พ่ายแพ้อ่อนยวบลงเช่นกัน
เสียงเรียกชื่อ ดึงความสนใจให้คนใจแข็งหันกลับหลัง เพื่อจะได้พบกับใบหน้าของคนที่คิดว่าตัวเองกำลังท้าทาย ซึ่งกำลังมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ที่ใบหน้า ส่วนแววตาฉายจ้าเปล่งประกายระยิบระยับราวแสดงความยินดีในชัยชนะโดยไม่ปิดบัง

เพียงเพราะอีกฝ่ายมาอยู่ใกล้ๆ เรียกชื่อ และแย้มยิ้มง่ายๆ ทำให้ตัวเขาพ่ายแพ้เสียแล้วหรือ
อัชฌาคิดว่ารู้เท่าทันใจตัวเองมากพอ แต่จะเปิดเผยความรู้สึกให้รู้ง่ายๆ นั่นก็ดูจะง่ายดายเกินไปกับอีกฝ่ายที่เขาจะสั่งสอน การรักษาใบหน้าให้ราบเรียบ และเอ่ยเสียงเย็นกลับๆ ไปจึงเป็นกลายเป็นทางออก
“ถามมา”

“คุณคิดว่าแมวมันอยากจะอยู่ หรืออยากจะกลับบ้านไปกับเรือที่มันมา มันคิดถึงอยากกลับบ้าน หรือว่ามันดีใจแล้วที่ได้เดินทาง”

เมื่อฟังคำถามจบ รอยยิ้มขำผุดขึ้นที่ใบหน้าของอัชฌาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป พร้อมใบหน้าที่ส่ายน้อยๆ

เขาเลือก...เลือกที่เดินทางออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองก็เพราะคนๆ นี้ 
ถึงจะบอกว่าอยากจะสั่งสอนให้คนๆ นี้คิดอะไรง่ายๆ ทำอะไรง่ายๆ
เขาอาจจะทำอะไรที่ฝืนตัวตนของอีกฝ่ายไปมากจริงๆ
แมวน่ะ อย่างไรก็คงเป็นแมว รักอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
แต่นั่นก็เพราะมันเป็นแมวไม่ใช่หรือ ถึงมีเสน่ห์ในการใช้ชีวิตเช่นนั้น


เมื่อคำถามเดิมถูกถามขึ้นมา ครั้งนี้คำตอบจากอัชฌาจึงมีให้อีกฝ่าย พร้อมๆ กับใบหน้าและรอยยิ้มที่ยังไม่จางไป
“มันก็ยังไม่ได้อยากกลับบ้าน ดีใจที่ได้เดินทางเสียด้วย มันเคยอยู่ติดบ้านมานาน แต่ไม่ได้แปลว่ามันไม่อยากเดินทาง และก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่รักและคิดถึงคนที่บ้านของมัน”

คู่สนทนาของเขากำลังยิ้ม ยิ้มที่กว้างขึ้นอีก ยิ้มจนเห็นฟันขาวที่เรียงตัวสวย
สายตาที่จ้องมองมา ก็เปล่งประกายขึ้นอีก เจิดจ้าขึ้นราวไม่คิดปิดบังความรู้สึกใดๆ อีกต่อไป
แล้วสุดท้าย ช่องว่างระหว่างร่างกายทั้งสองก็ได้เลือนหายไป
ในเสี้ยววินาทีที่สบสายตา ร่างของอัชฌาถูกดึงเข้าชิดร่างของอีกฝ่ายราวมีแม่เหล็กดึงดูด
แขนสองข้างของหลงกำลังโอบทั้งร่างของเขาไว้
ใบหน้าของอีกฝ่ายกำลังซบลงที่ไหล่ของเขาราวกำลังหวงแหน
ริมฝีปากของคู่สนทนากำลังสูดกลิ่นกายของเขาอยู่ตรงแนวกราม และขยับเบาๆ อยู่ข้างแก้ม

แม้จะยืนนิ่งให้อีกฝ่ายโอบกอด แต่อัชฌาก็ยังเอ่ยทวงสิทธิในคำตอบของเขา
“แล้วคำตอบของคุณละคุณหลง แมวมันอยากกลับบ้านหรืออยากเดินทาง”

“มันยังรักการเดินทาง และมันก็รักบ้านของมันครับ มันดีใจที่ได้เดินทางไปเจอสถานที่ใหม่ๆ เจอแมวตัวใหม่ แต่มันยังคงคิดถึง และรักทั้งบ้าน และคนที่บ้านของมันเสมอ มันเคยคิดว่า บ้านของมัน ไม่ใช่สถานที่เพียงที่ใดที่หนึ่ง แต่บ้านของมันคือทุกๆ ที่ที่มีคนที่มันรักอาศัยอยู่ มันอาจจะชอบเดินทาง แต่สุดท้ายมันหวังเสมอว่าจะกลับมาหาบ้าน”

รอยยิ้มที่ผุดขึ้นที่ใบหน้าของอัชฌาที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เห็น แต่ได้สัมผัส เพราะคำตอบถูกตอบรับด้วยการยกแขกทั้งสองข้างขึ้นกอดร่างสูงในอ้อมกอด 

นั่นสิ เขากำลังคาดหวังอะไรกันนะ
นี่มันคนที่คอยเก็บและอ่านไดอารี่ของพี่ภีมกว่า 7 ปี
นี่มันคนที่เขียนโปสการ์ดให้เขาโดยไม่คาดหวังการตอบรับมาเกือบ 3 ปี
นี่มันคนที่เขียนโปสการ์ดส่งถึงเขา และทำให้เขาเลือกออกเดินทางอีกครั้ง
คำตอบตรงๆ น่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนอื่น แต่คงไม่ใช่สำหรับคนในอ้อมกอดเขานี่
ความสัมพันธ์ที่ไม่อาจจะนิยาม แต่ไม่ได้พร่ามัวกับคนๆ นี้อาจจะไม่เลวนักก็ได้


“นั่นสินะ” แล้วคำพึมพำจากอัชฌาทำให้อีกฝ่าขยับคลายอ้อมกอดเล็กน้อย เพื่อกลับมาสบสายตา และทำหน้าฉงนเล็กน้อยกับวลีของเขา
“คุณว่าอะไรนะครับ”

“ผมว่า ผมยังไม่ได้คำถามที่พอใจละมั้ง”

อัชฌาเห็นอีกฝ่ายคลี่ยิ้มบางๆ ขยับริมฝีปากถาม
แล้วตัวเขาเองก็ได้ผุดรอยยิ้มตาม จากคำถามที่ได้ยิน
คำถามของอีกฝ่ายที่ในที่สุด ก็น่าพอใจ...

“มาเป็นปลายทางของการเดินทาง
มาเป็นปลายทางให้โปสการ์ดไปถึง
มาเป็นบ้านของผมได้ไหมครับ”




[จบ]
ทว่า การเดินทางจะดำเนินต่อไป ให้โปสการ์ดได้เดินทาง และหน้าบันทึกจะได้ถูกเติมเต็ม


**************************************
เขียนจบแล้วค่า ขอบคุณการเดินทางที่พาเรามาถึงจุดนี้
ขอบคุณคนอ่านมากๆ เลยนะคะ
จริงๆ แพลนว่าจะเขียนตอนหลังจากนี้อีกเล็กน้อย ทั้งไดอารี่ และโปสการ์ด แต่ตอนหลักจบเท่านี้ละค่ะ ซึ่งในเล้าคงปิดไว้แค่นี้ค่ะ >>ถ้าสนใจสามารถติดตามได้ที่ช่องทางอื่นๆ ดูในทวิตได้เลยค่ะ เพราะว่าไม่รู้ว่ามันจะได้เขียนตอนไหน

อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว เราไปคอมมิชภาพประกอบเรื่องนี้ไว้ วาดโดย mr.x คือเราชอบมากๆ เลย จึงตั้งใจจะส่งเป็นโปสการ์ดให้คนอ่านทุกคนเมื่อภาพลงสีเสร็จ สามารถดูรูป อ่านรายละเอียดและลงที่อยู่ได้ที่ form เลยค่า ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ค่ะ>> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdM-ZRuPmrKDRBQZwW7fU-R2FXfBC2YNoXpsVyeysYZJ0GUJg/viewform
**สามารถกรอกได้เรื่อยๆ จนกว่าฟอร์มจะปิดเลยค่ะ

มีคอมเม้นต์ ติชม และฝากกันช่วยติดตามทวิตได้ที่ https://twitter.com/PlusOneNovel นะคะ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะที่ทำให้คุณโปสการ์ดเดินทางถึงวันนี้ ฝากติดตามเรื่องใหม่ในคราวหน้า และเรื่องสั้นๆ ที่เขียนคั่นเวลาเรื่อยๆ ด้วยนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2019 10:23:45 โดย plusoneproject »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด