Bake my Day : กรุ่นรักล้นใจ SP# My Drunkard Lover (24/06/19) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Bake my Day : กรุ่นรักล้นใจ SP# My Drunkard Lover (24/06/19) [END]  (อ่าน 17083 ครั้ง)

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP18 : Displease Diner

          เสื้อผ้าบุรุษเรียงรายอยู่บนราวแขวน กางเกงสีเทาผ้าเนื้อดีเตะตาคนที่เดินซื้อหาเสื้อผ้า เต้ยเดินเข้าไปหยิบกางเกงขึ้นทาบกับตัว ทว่าเมื่อพลิกดูป้ายราคาเขาก็วางกางเกงกลับเข้าที่แทบไม่ทัน

          “ไม่ไหวว่ะสกาย แพงจัดกูไม่มีตังค์”

          สกายได้ฟังดังนั้นจึงหยิบป้ายราคาขึ้นดู กางเกงตัวนี้ราคาเกินตัวเกินไปจริงๆสำหรับคนตัวเล็ก ชายทั้งสองจึงตัดสินใจเดินออกจากร้าน

          “เฮ้อ...ทำไมต้องเป็นสีเทาชมพูด้วยวะ...”

          เต้ยถอนหายใจขึ้นบ่นพึมพำ งานแต่งงานของพี่สาวข้างบ้านที่กระชั้นเข้ามาทำเอาเขาต้องตาลีตาเหลือกหาเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปงาน โดยที่งานกำหนดแนวทางการแต่งกายของผู้ร่วมงานไว้ว่า “เทา ชมพู”

          “สกาย...มึงว่ากูแค่ใส่เสื้อผ้าที่กูมีแล้วก็หาอะไรที่เป็นสีเทาหรือชมพูใส่เข้าไปได้มั้ยวะ?”

          ริมฝีปากอิ่มยิ้มขำขึ้นเล็กน้อย สำหรับคนอย่างสกาย เขาเป็นชายที่รู้สึกสนุกกับการแต่งตัว ในขณะที่เต้ยดูจะเหนื่อยหน่ายกับเรื่องนี้ น่าเสียดายที่ร่างกายของเขากับร่างเล็กดูจะต่างสัดส่วนไปหน่อย เลยเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแบ่งปันเสื้อผ้าของเขาให้รุ่นพี่ยืมสักชุดสองชุด

          “งานพี่บัวเค้าจัดตอนเย็นในสวนใช่มั้ยล่ะ? ก็คงไม่ต้องเป็นทางการนักหรอก พี่เต้ยก็ใส่แค่เสื้อเชิ้ตแขนยาวผูกเนกไทก็พอ ส่วนกางเกงเราก็ไปซื้อตัวที่ราคาไม่แพงเอาก็ได้”

          “งั้นไปช่วยกูเลือกเนกไทหน่อยดิ”

          เต้ยเอ่ยขึ้นอย่างขี้เกียจ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้สกายจับเขาแต่งตัวเสียเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดนั่งหาแบบนี้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ไปร่วมงานมงคลสังสรรค์แบบนี้ ชีวิตเขาวนเวียนอยู่แค่ ปีใหม่ ตรุษจีน เชงเม้ง ไหว้เจ้า ส่วนงานแต่งงานเป็นอะไรที่ห่างหายไปนาน ด้วยวัยที่คนรอบตัวยังไม่พร้อมที่จะมีครอบครัว

          ‘Rrrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น คนที่กำลังเดินลอยไปลอยมาในแผนกเสื้อผ้าชายจึงหยุดลงพลางล้วงกระเป๋ากางเกงรับสายโทรศัพท์ที่สั่นจนน่ารำคาญ

          “ว่าไงมึง?”

          สกายหันมองชายหนุ่มที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคู่สนทนาคือใคร

          “กูหรอ...? กูอยู่ที่ห้างเนี่ย แผนกเสื้อผ้าผู้ชาย”

          เนกไทหลากสีม้วนเรียงรายอยู่ในกระบะทรงสี่เหลี่ยมเล็ก สกายไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปเลือกดู โดยที่คนตัวเล็กเดินตามหลังมาติดๆ

          “เออๆ ...ก็มาดิ เดี๋ยวกูรอนี่แหละ...”

          สกายหยิบเนกไทสีชมพูตุ่นขึ้นมาทาบบนอกของคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เต้ยเองก็เหลือบมองลงดูเนกไทเส้นนั้น

          “โอเค! เดี๋ยวเจอกัน แค่นี้นะ”

          “พี่เต้ยอยากลองมั้ย เดี๋ยวผมผูกให้”

          สกายเอ่ยถามในขณะที่เต้ยวางสายโทรศัพท์ไปพอดี

          “อืม...เอาดิ”

          พูดจบมือเรียวก็ไม่รอช้าที่จะติดกระดุมคอให้ถึงเม็ดบนสุด สกายจับปกเสื้อตั้งขึ้นจากนั้นจึงนำเนกไทสีหวานขึ้นคล้องคอของคนตรงหน้า เขาค่อยๆ สอดสายสีชมพูทับขึ้นทับลงอย่างชำนาญ ครู่เดียวเนกไทก็ถูกจัดแต่งเป็นระเบียบอยู่ใต้ปกเสื้อ

          “มึงผูกสวยจังวะสกาย ไม่เหมือนเวลากูทำ แม่งเป็นก้อนๆ อะไรก็ไม่รู้ กูเลยไม่ผูกแม่งละ”

          เต้ยเอ่ยขึ้นพลางขำตัวเองไปด้วย สกายมองตามจากนั้นจึงยิ้มสดใสขึ้นก่อนจะเอ่ย

          “งั้นวันหลังผมจะคอยผูกให้พี่เต้ยเอง”

          “โห! มึงนี่พูดเหมือนเวลาม้ากูพูดกับป๊าเลย”

          พูดจบเต้ยก็นิ่งอึ้งไปกับคำพูดของตัวเอง จู่ๆ เขาก็นึกเขินขึ้นมาที่เขาก็เอาตัวเองกับผู้ชายตัวโตสูงชะลูดตรงหน้าไปเปรียบเทียบกับพ่อและแม่ของตน แถมคู่สนทนาของเขายังคงยืนยิ้มหน้าบานดูมีความสุขพิกล ทำเอาเขาต้องกระแอมขึ้นแก้เขิน

          “อะ...เอ่อ แล้วเนกไทเส้นนี้มันกี่บาทวะ กูขอดูราคาก่อน”

          “มึงจะซื้อทำไมให้เปลืองเงินวะไอ้เต้ย?”

          เจ้าของเสียงที่เอ่ยขึ้นไม่ใช่ใครที่ไหน ชายหนุ่มที่ทำให้สกายหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็ว จากสีหน้าชื่นมื่นเมื่อครู่ กลายเป็นมืดตึงราวกับพายุเข้า ถ้าเขาจำไม่ผิดเมื่อครู่เต้ยกำลังคุยโทรศัพท์กับคนๆหนึ่งอยู่ ซึ่งสกายก็ไม่ได้เอะใจว่าจะเป็น “ภีม” ที่สำคัญหนุ่มหน้าสวยคนนี้ปรากฏตัวขึ้นเร็วมากราวกับเปิดวาร์ปมา

          “มึงหาเสื้อผ้าไปงานอยู่ก็ไม่บอกกู บ้านกูมีให้ยืมเยอะแยะ”

          ร่างบางเดินเข้าใกล้คนตัวเล็ก มือเรียวสวยไม่รอช้าที่จะแกะเนกไทที่ถูกผูกไว้อย่างประณีตออก ภาพที่เห็นทำให้สกายหัวเสียไม่น้อย ราวกับว่าสิ่งที่เขาตั้งอกตั้งใจทำมาเพื่อเต้ยทั้งหมด ถูกชายหนุ่มตรงหน้าทำลายลง

          “มึงกับกูก็ตัวพอๆกัน มึงไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่มีชุดใส่”

          ภีมเอ่ยขึ้นพลางส่งเนกไทคืนให้กับพนักงาน แขนข้างหนึ่งก็พลางยกขึ้นโอบคอเพื่อน

          “เออว่ะ...กูลืมนึกถึงไปเลย”

          “เออ! งั้นมึงก็เลิกเดินหาได้ละ ไปแดกข้าวกันกูหิว!”

          ภีมที่โอบคอเต้ยอยู่เดินนำพลางลากร่างเล็กๆไป แต่เขาก็ไม่วายที่จะชะเง้อหันหลังมาถามคนข้างหลังที่ยืนหน้าบูดบึ้งอยู่ ใบหน้าสวยยียวนเล็กน้อย

          “จะไปกินด้วยกันมั้ยครับ? น้องสกาย...”

          ถึงแม้จะน่าหงุดหงิดที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้า แต่สกายจะไม่ยอมปล่อยให้เต้ยไปกับภีมแค่สองคนเป็นอันขาด เขาจึงเร่งฝีเท้าตามชายสองคนที่เดินนำไปอย่างไม่เต็มใจนัก



          ในร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำดูร่วมสมัย ภายในแน่นขนัดไปด้วยลูกค้าเนื่องจากชื่อเสียงและความนิยมของ ชายหนุ่มสามคนนั่งล้อมกันอยู่ที่โต๊ะสี่เหลี่ยม ซึ่งถูกประดับด้วยดอกไม้สีขาวน่ารักในแจกันใส หากแต่บรรยากาศของสมาชิกภายในโต๊ะกลับไม่น่ารักตาม

          “มื้อนี้เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง!”

          ภีมเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มสวย ในขณะที่สกายยังไม่เลิกทำหน้าบึ้งตึง ร่างบางจึงเอ่ยขึ้นย้ำกำชับ

          “นะครับ...น้องสกาย”

          แม้จะฟังดูสุภาพ หากแต่น้ำเสียงกลับยียวนไม่น้อย คิ้วเข้มก็เลิกขึ้นโดยที่ดวงตาคมสวยช้อนมอง ไหนจะรอยยิ้มที่มุมปากนั้นอีก ทำเอาคนฟังหงุดหงิดไม่ใช่เล่น

          “ไม่เป็นไรครับ ผมจ่ายเองได้ ผมไม่ชอบติดหนี้ใคร!”

          “สกาย! ทำไมพูดอย่างงั้นล่ะวะ? ให้ไอ้ภีมมันเลี้ยงก็เหมือนให้กูเลี้ยงนั่นแหละอย่าคิดมาก มันรวยกว่ากูตั้งเยอะ!”

          เต้ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ความซื่อของเต้ยมันหนักหนาเสียจนอ่านบรรยากาศไม่ออกว่าชายสองคนกำลังเขม่นกันอยู่ สกายได้ฟังดังนั้นก็ได้แต่หรี่ตามองพลางถอนหายใจหนักใส่คนพูด ส่วนภีมเองก็หัวเราะขำขึ้นอย่างอดไม่ได้

          บริกรหญิงเดินมาขัดจังหวะชายทั้งสาม เธอวางเมนูลงบนโต๊ะพลางเตรียมปากกาและกระดาษ สกายคว้าเมนูขึ้นมาจากนั้นจึงเอ่ยถามคนที่นั่งตรงข้าม

          “พี่เต้ยอยากกินอะไรครับ?”

          “กูหรอ? ...อืม...”

          โดยที่ไม่ต้องรอให้เต้ยคิด ภีมคว้าเมนูอีกเล่มหนึ่งขึ้นมา เขาเปิดอย่างคล่องแคล่วจากนั้นจึงสั่งอาหารโดยไม่ต้องนั่งนึกให้เสียเวลา

          “เอาหอยลายอบเนยกระเทียม ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ยำถั่วพู ขาหมูเยอรมัน ข้าวสวยโถนึง น้ำเปล่าสามที่ครับ”

          “โห...ไอ้ภีม! รู้ใจกูตลอด”

          “อ้าวแน่นอนสิ! นี่ใคร? ภีมเพื่อนรักมึงไง!”

          ตอนนี้สกายเหมือนถูกเขี่ยออกจากวงสนทนา เขารู้สึกว่าตัวเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่เขารักเลย ยิ่งเจอภีมบ่อยครั้งขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกพ่ายแพ้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สกายไม่สามารถปั้นหน้ามีความสุขได้แม้แต่น้อย ใจหนึ่งอยากจะลุกออกจากโต๊ะไปให้พ้นๆ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเขาไม่อยากกลายเป็นไอ้ขี้แพ้อยู่เช่นนี้

          “ส่วนน้องสกายอยากจะสั่งอะไรเพิ่มก็ตามสบายได้เลยนะครับ”

          ภีมเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพพลางพิจารณาทีท่าของชายตรงหน้า ตอนนี้เขารู้สึกสนุกมากกว่าจะมานั่งหวงคนที่เขา “เคย” แอบรัก ภีมรู้สึกได้อย่างหนึ่งว่าการที่เขาได้มาพบกับสกายนั้นได้พิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเขาเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสกายชอบเต้ยขนาดไหน ทีท่าของชายหนุ่มนั้นชัดเจนมาก ถ้าบนโลกนี้จะมีใครที่ดูไม่ออกก็คงจะมีแค่เต้ยเพื่อนเซ่อของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น และที่สำคัญไปกว่านั้นคือภีมกลับไม่ได้รู้สึกกลัวว่าเต้ยจะถูกสกายแย่งไป ตอนนี้เขาสามารถปล่อยมือจากความรักในอดีตของเขาไปได้แล้วโดยไม่รู้สึกติดค้างในใจ



          หลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสามจัดการอาหารบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง ภีมได้เอ่ยขอเมนูจากบริกรอีกรอบจากนั้นจึงสั่งอาหารเพื่อนำกลับ

          “เอาเค้กมะพร้าวสี่ที่ครับ แล้วก็สปาเก๊ตตี้กุ้งแม่น้ำ ปลากะพงทอดน้ำปลา ปลาหมึกนึ่งมะนาว ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ทั้งหมดนี่เอากลับบ้านนะครับ”

          “มึงซื้อกลับไปไหนเยอะแยะวะไอ้ภีม?”

          “กูซื้อกลับไปฝากบ้านโอม”

          “โห...มึงนี่ดูแลน้องเค้าโคตรดี! น้องรักมึงเลยสินะ กูนี่กลายเป็นหมาหัวเน่าไปละ”

          “เออ...โอมมันน้องรักกู...ส่วนมึงก็เพื่อนรักกูไง! ฮ่าๆ ๆ ๆ”     

          ภีมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะกวน ไม่รู้ทำไมเต้ยถึงรู้สึกว่าเวลาภีมเอ่ยถึงโอม ใบหน้านั้นจะเจือรอยยิ้มเขินน้อยๆ แต่ในขณะที่เอ่ยถึงเขามันดูเป็นปกติแถมยียวนไม่เคยเปลี่ยน

          สกายเงียบกริบตลอดช่วงเวลาที่กินอาหารกลางวันด้วยกัน อาการแบบนี้ของร่างสูงทำให้เต้ยกังวลอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มเลือกที่จะสนใจหน้าจอโทรศัพท์มือถือมากกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สกายก็ยังยิ้มแย้มร่าเริงเป็นปกติ

          ไม่นานอาหารที่สั่งกลับบ้านก็ถูกนำมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ ภีมยื่นบัตรเครดิตให้แก่พนักงาน จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหาใครสักคนก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “เดี๋ยวกูกลับก่อนแล้วกัน กูจะรีบไปบ้านโอม”

          “เออ! ขับรถดีๆนะมึง”

          ภีมที่ขณะนี้กำลังเซ็นชื่อลงในสลิปบัตรเครดิตเอ่ยขึ้นกับสกายพลางยิ้มไปด้วย

          “น้องสกายครับ! พี่ฝากดูแลเพื่อนพี่ด้วยนะครับ”

          สิ้นคำพูดนั้นคนที่ถูกพาดพิงก็เหลือบตาขึ้นจากโทรศัพท์ของตนไปจ้องขึงสบกับดวงตาสวยคมอย่างไม่สบอารมณ์ แถมเจ้าของดวงตานั้นกำลังยิ้มกวนเขาอยู่อีกด้วย     

          “ดูแลเหี้ยอะไร มึงนี่พูดมากชิบหาย รีบๆไปได้ละ!”

          เต้ยเห็นท่าทางยียวนของเพื่อนจึงเริ่มเอ่ยไล่ ภีมหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง ใบหน้าสวยฉีกยิ้มกว้างพลางหัวเราะน้อยๆ จากนั้นจึงเดินออกจากร้านไป



          ระหว่างทางกลับบ้านบนรถสีตะกั่วคันย่อม ชายสองคนที่นั่งอยู่เบาะหน้าไร้ซึ่งบทสนทนาใด มีเพียงเสียงกระแอมไอเบาๆ ของคนหลังพวงมาลัยให้ได้ยินบ้างเป็นครั้งคราว สีหน้าของสกายดูอึดอัดเล็กน้อย หากแต่เขาก็ยังตีท่านิ่งเฉย

          เต้ยสังเกตเห็นก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ไหนจะท่าทางหงุดหงิดของสกายอีก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

          “สกายมึงเป็นอะไรรึเปล่าวะ? กูเห็นมึงไอไม่หยุดเลย”

          “ผมไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย”

          สกายเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ เต้ยได้ฟังดังนั้นจึงเฉยครู่หนึ่งจากนั้นก็จึงพูดขึ้นต่อ

          “แล้ว...ช่วงนี้มึงมีอะไรรึเปล่าวะ? ทำไมมึงดูหงุดหงิดอารมณ์เสียบ่อยๆ...”

          ดวงตาเรียวเหลือบมองคนที่เอ่ยถามเล็กน้อยจากนั้นจึงถอนลมหายใจยาว ชายหนุ่มตอบกลับน้ำเสียงเรียบ

          “ไม่มีอะไรหรอกครับ...”

          เต้ยรู้สึกยอมแพ้ที่สกายไม่ยอมเปิดปากตอบเขาอย่างตรงไปตรงมาสักเรื่อง เขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย

          “เออสกาย...งานแต่งพี่บัวมะรืนนี้เราไปเจอกันที่งานเลยนะ เพราะคืนก่อนนั้นกูจะกลับไปนอนบ้าน ต้องกลับไปทำเค้กแต่งงาน”

          “...ได้ครับ”

          นี่เป็นครั้งแรกที่สกายได้รู้ว่าเต้ยจะทำเค้กแต่งงานให้แก่หญิงสาว แม้ว่าเขาจะตอบกลับไปอย่างเรียบเฉย แต่ความจริงแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจว่าคนตัวเล็กที่นั่งข้างเขาตอนนี้รู้สึกเช่นไร ถ้าเป็นเขาคงไม่ยอมไปร่วมงานแต่งงานแล้วแน่ๆ เรื่องทำเค้กแต่งงานให้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หรือเต้ยจะยังตัดความรู้สึกจากหญิงสาวไม่ขาดกันแน่

          แค่คิดเช่นนั้นในอกของร่างสูงก็ยิ่งอึดอัดทรมาน ไหนจะหญิงสาวที่เต้ยหลงรักมาอย่างยาวนาน แม้เธอคนนั้นกำลังจะแต่งงานแต่มันไม่ได้มีสิ่งใดยืนยันว่าหัวใจของชายหนุ่มจะละทิ้งเธอออกไปจากใจได้จริงๆ ไหนจะเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของเต้ยที่ปรากฏตัวขึ้นและมีทีท่าราวกับพร้อมจะแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพยายามไขว่คว้าและใฝ่ฝัน

          ตอนนี้ในหัวของสกายมีแต่ความสับสน ทั้งความกลัว ความเสียใจ ความริษยา มันปนเปกันจนเขารู้สึกมืดมนไปหมด ฝ่าเท้าที่ยังคงเหยียบคันเร่งให้รถวิ่งไปตามเส้นทางเบื้องหน้าช่างไม่แตกต่างจากหัวใจของเขาที่กำลังมุ่งไปตามทิศทางที่ได้วาดหวัง ทว่าปลายทางของรถสีตะกั่วคันนี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ในขณะที่หัวใจของชายหนุ่มกลับยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด





          เสียงประตูเลื่อนขึ้นให้เห็นแสงสลัวภายในบ้าน หญิงสาวร่างผอมสูงผมดำยาวแทรกตัวเข้ามาพลางหิ้วรองเท้าส้นสูง ปลายเท้าข้างหนึ่งกดลงดัดกับพื้นคลายความเมื่อยขบจนมีเสียงดังเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองทำให้เห็นว่าภายในบ้านมีชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา

          “สกาย! แกมานั่งทำอะไรมืดๆ เนี่ย?”

          หญิงสาวเห็นว่าความสว่างจากไฟดวงเล็กแค่ดวงเดียวนั้นไม่เพียงพอ จึงเดินนำไปเปิดเพิ่มขึ้นอีกดวง ตอนนี้ภาพตรงหน้าของเธอชัดเจนขึ้น น้องชายของเธอกำลังหอบหายใจอย่างทรมาน พลางจับหลอดยาขึ้นพ่นเข้าทางปาก

          “เฮ้ย! แกหอบกำเริบหรอวะ? นานแล้วนะเว้ยที่แกไม่มีอาการ เกิดอะไรขึ้น? แกไปแพ้อะไรมา?”

          สมายเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจและเป็นห่วง เธอไม่รอช้าที่จะทิ้งตัวลงนั่งข้างน้องชายที่กำลังหอบทรมานอยู่

          “ช่วงนี้ผมเครียดๆน่ะพี่สมาย...”

          สกายนำขวดยาออกจากปากก่อนจะเอ่ยขึ้น ดวงตาเรียวหลุบลงอย่างเศร้าหมอง คนเป็นพี่เห็นเช่นนั้นจึงยกมือขึ้นแตะไหล่น้องชายอย่างอ่อนโยน

          “ปกติพี่เห็นแกร่าเริงมีความสุขดีออก...เกิดอะไรขึ้นวะ? แกจะปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ถ้าแกเครียดแกเศร้าโรคมันก็จะกำเริบอยู่แบบนี้”

          “ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้หรอก...แต่ผมทนไม่ไหวแล้วพี่ ผมรักพี่เต้ยเค้าจริงๆ...”

          หญิงสาวนิ่งอึ้งไป สมายไม่ได้ตกใจเรื่องที่น้องชายของเธอชอบผู้ชาย เพราะเธอเองก็รู้สึกได้ว่าสกายเป็นผู้ชายที่ดูกำกวม เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนจริงจัง แค่เห็นใครน่ารักก็คุยด้วยไปหมด แถมยังชอบเพียงไม่นานก็เบื่อ ยังดูจะติดเพื่อนเสียมากกว่า แต่ที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นชายหนุ่มคลั่งไคล้ผู้ชายคนไหนมาก่อนเช่นกัน ทำให้เธอเข้าใจว่าน้องชายของเธอเป็นคนไม่ใส่ใจเรื่องความรักแบบชู้สาว ที่ไหนได้ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าน้องชายของเธอดันไปหลงรักผู้ชายเข้าจริงๆเสียแล้ว

          “พี่สมาย...ผมควรจะทำยังไงดี? ผมอึดอัด ผมอยากให้พี่เค้ารู้ว่าผมรู้สึกยังไง แต่ผมก็กลัว...กลัวจะถูกปฏิเสธ...กลัวจะถูกรังเกียจ...กลัวจะเสียพี่เค้าไป...”

          “แล้วแกยอมได้มั้ยล่ะถ้าเกิดว่าแกบอกรักเค้าไปแล้วมันจะไม่สมหวัง? แกทนได้มั้ย? แกเตรียมใจไว้รึเปล่า? ถ้าแกพูดแล้วสบายใจ ไม่เหลืออะไรค้างคาก็บอกไป”

          ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังจ้องดวงตารีเล็กอยู่ไม่วางตา สายตาของพี่สาวจริงจังขึ้น มือบอบบางของเธอยังคงวางปลอบอยู่บนไหล่กว้างของเขาอยู่อย่างนั้น

          “ถ้าไม่บอก...โอกาสมันก็จะกลายเป็นศูนย์ แต่ถ้าแกตัดสินใจพูดออกไป...แม้จะมีโอกาสแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็คือโอกาส! แกก็ลองชั่งใจดูแล้วกัน”

          พูดจบเธอก็ลุกขึ้นจากโซฟาเดินขึ้นบันไดไป ปล่อยให้ชายหนุ่มจมอยู่กับห้วงความคิด หากตัดสินใจบอกรักไปแล้วต้องเสียใจ เขายังควรจะทำมันอยู่ไหม หรือจะขอเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ในใจและขออยู่เคียงข้างคนๆนี้ต่อไปเพื่อรอว่าวันหนึ่งเขาอาจจะได้รับความรักกลับมา

          หรือไม่ก็อาจถูกลืมเลือนไร้ตัวตนไปในที่สุด...





          เตาอบขนาดใหญ่ของบ้านตอนนี้กำลังถูกชายร่างเล็กยึดครองไว้ เต้ยกำลังง่วนกับการทำงานใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาซึ่งก็คือ “เค้กแต่งงาน” หลังจากที่เขาเอาแบบเค้กที่ร่างไว้ให้บัวดู เธอรู้สึกดีใจและแทบจะอดทนรอไม่ไหวที่จะได้เห็นเค้กของจริง

          เต้ยตั้งใจจะทำเค้กแต่งงานสามชั้นซึ่งทุกชั้นเป็นเค้กจริง โดยที่แต่ละชั้นจะมีรสชาติที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่ามันจะดูเล็กและไม่หรูหรา แต่ก็สวยงามและน่ารักพอสำหรับงานแต่งงานในสวน

          ชายหนุ่มบดเนื้อเค้กให้ป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย เขานำมันลงไปผสมกับบัตเตอร์ครีม ใช้พายยางคนจนเข้ากัน จากนั้นจึงนำไปปาดลงบนเค้กที่อบเสร็จแล้วจนขึ้นขอบคมสวยงาม

          เขายกเค้กที่เพิ่งปาดครีมเสร็จขึ้นอย่างเบามือ จากนั้นจึงนำเข้าแช่ในตู้เย็นเพื่อรอให้เค้กเซ็ทตัวก่อนจะลงมือทำต่อ ระหว่างนี้เต้ยนำการ์ดอวยพรงานแต่งงานที่เคยซื้อเก็บไว้ออกมา จากนั้นจึงลงมือเขียนอย่างบรรจงเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกในใจลงไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทว่าดวงตาฉายแววเศร้าหมอง

          สำหรับชายหนุ่ม มันคือจดหมายลาฉบับแรกและฉบับสุดท้ายที่เขาจะเขียนให้แก่เธอ...



++++++++++++++++



         ขอพูดถึงพี่สมายซักหน่อย สมายเป็นตัวละครหญิงที่น่ารักสำหรับเรามากๆนะคะ เธอรู้ไส้รู้พุงน้องชายเป็นอย่างดี แถมยังเป็นคนสบายๆแมนๆ คอยเตือนสติน้องชายของเธอให้อยู่กับร่องกับรอย หวังว่านักอ่านทุกท่านก็คงจะมองเห็นความน่ารักของพี่สาวคนนี้เหมือนกันนะคะ

         จากตอนนี้จะเห็นแล้วนะคะว่าเต้ยกำลังจะเดินหน้าต่อไปแล้ว เป็นเรื่องน่าดีใจที่คนทื่อๆช้าๆอย่างเต้ยกำลังพัฒนาตัวเองไปในทิศทางที่ดี แล้วมาเอาใจช่วยทั้งคู่ต่อในตอนหน้านะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP19 : The Wedding Cake

         บรรยากาศแห่งความสุขที่ฟุ้งกระจายอยู่บริเวณสวนที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้และดวงไฟ สายลมเย็นพัดโชยชื่นใจ สีเขียวของพืชพรรณที่ถูกอาบย้อมไปด้วยแสงสีส้มดูอบอุ่น โต๊ะทรงกลมที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าขาววางเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ ด้านหน้ามีซุ้มดอกไม้นานาพรรณแข่งกันอวดความสวยงามอยู่ผืนผ้าสลวย หญิงสาวที่ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยสีสวยงามในชุดพลิ้วไหวสีขาวบริสุทธิ์ บนศีรษะประดับด้วยมงคลดอกไม้ขนาดเล็กดูน่ารัก ยืนยิ้มสดชื่นอยู่เคียงข้างชายหนุ่มคมเข้มในชุดสูทสีดำสง่าที่ประดับดอกไม้ช่อเล็กจิ๋วบนอกเสื้อ

          “น้องสกาย! มานี่เร็ว!”

          เจ้าสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูดสีเทาเดินเส้นลายทางสีชมพูทึบตัดกัน เสื้อเชิ้ตด้านในเป็นสีชมพูพาสเทล ประดับด้วยเนกไทสีเลือดหมู การแต่งกายที่ฉูดฉาดนี้ดูเข้ากันกับชายหนุ่มอย่างน่าประหลาดจนขับให้เขาโดดเด่นกว่าใครในงาน

          “แต่งตัวซะหล่อเชียว มาๆมาถ่ายรูปกัน!”

          “พี่บัวก็สวยมากเหมือนกันครับ ยินดีด้วยนะครับ”

          ได้ฟังดังนั้นหญิงสาวก็ฉีกยิ้มกว้าง ทำเอาเจ้าบ่าวที่ยืนข้างๆยิ้มตามไปด้วย

          “แล้วนี่มาคนเดียวหรอ พี่คิดว่าสกายจะมาพร้อมเต้ยซะอีก”

          “เดี๋ยวพี่เต้ยคงมาพร้อมกับที่บ้านน่ะครับ”

          สกายยืนยิ้มสุขุมอยู่เคียงข้างเจ้าสาว โดยมีช่างภาพเรียกให้มองกล้อง ความโดดเด่นของชายหนุ่มได้สะกดทุกสายตาของผู้ร่วมงานที่เดินผ่านไปมา

          “เดี๋ยวสกายเข้าไปรอในงานสิ พี่จัดที่ไว้ให้แล้ว นั่งโต๊ะเดียวกับบ้านเต้ยแล้วกันเนอะ”

          “ได้ครับพี่ แต่เดี๋ยวผมรอเข้างานพร้อมพี่เต้ยก็ได้ครับ”

          “เอางั้นก็ได้จ้ะ ตามสบายนะ”

          พูดจบหญิงสาวก็หันไปต้อนรับแขกชุดใหม่ที่เดินเข้างานมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น สกายเห็นดังนั้นจึงผละตัวออกมายืนอยู่ไกลๆ เพียงครู่หนึ่งเขาก็เห็นกลุ่มคนจำนวนมากเดินเข้ามา

          “พี่สกาย!”

          เสียงเจื้อยแจ้วนี้ไม่ใช่ของใครที่ไหน แต่เป็นเสียงของ “หมิง” เด็กสาวผมยาวที่ในชุดกระโปรงพองฟูสีชมพูดูน่ารัก เดินคู่มากับตี้ เด็กสาวผมสั้นในชุดออกงานสีเทากับกางเกงขายาวทรงพลิ้ว

          “พี่สกายหล่อจัง”

          เด็กสาวตรงรี่เข้ามาหาชายร่างสูงที่ยืนยิ้มอ่อนอยู่ ในขณะที่เด็กสาวผมสั้นอีกคนได้แต่ยืนส่ายหน้า ส่วนชายวัยกลางคนเดินย่นคิ้วหรี่ตามองหลานสาวตามหลังมาพร้อมกับหญิงวัยกลางคนใบหน้ายิ้มละไมในชุดทางการ

          “เยอะอีกแล้วนะอาหมิง!”

          “ทำไมล่ะแปะ ก็หมิงพูดความจริงนี่นา”

          “สวัสดีครับป๊าม้า”

          ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะกล่าวทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองพลางยกมือไหว้

          “ตี้ไม่ยักรู้ว่าพี่สกายรู้จักกับพี่บัวด้วย?”

          เด็กสาวยักคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย เธอแปลกใจไม่น้อยที่เห็นชายหนุ่มมาร่วมงานนี้เช่นกัน

          “ก็พอรู้จักนิดหน่อยน่ะตี้...แล้ว...พี่เต้ยล่ะ?”

          “นั่นไง เดินตามมานู่นแล้ว!”

          ดวงตารีจับไปเห็นชายร่างเล็กกำลังเดินจูงมือเด็กชายตัวน้อยๆอยู่ เต้ยในชุดสูทสีเทาอ่อน ที่คอเสื้อผูกเนกไทสีชมพูละมุนทับอยู่บนเสื้อสีขาวสะอาด เส้นผมที่ยามปกติดูอ่อนนุ่ม วันนี้ถูกเสยขึ้นโดยมีผมปรกหน้าผากเพียงบางเบา เผยให้เห็นใบหน้าใสชัดเจนขึ้น ทำเอาสกายได้แต่มองค้าง ความน่ารักของคนตรงหน้าทำเอาหัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา

          ทว่าคนที่เดินตามหลังมานอกจากจะมี “ต้าร์” พี่สาวของเต้ยที่แต่งกายสวยงามพลางหัวเราะยิ้มกว้างแล้ว ยังมีชายหนุ่มหน้าสวยอีกคนที่มาในชุดสูทสีเทากางเกงสีเข้ม เสื้อด้านในสีชมพูตุ่นทับด้วยเนกไทสีกรมท่า กำลังเดินยิ้มแย้มพูดคุยกับหญิงสาวตามหลังเต้ยมาด้วย

          “พี่ภีมก็หล่อ...เฮ้อ...”

          เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลางถอนหายใจสีหน้าเพ้อฝัน คราวนี้หมิงเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นชายหนุ่มร่างบางแทน ตอนนี้เธอรู้สึกเลือกไม่ได้เลยจริงๆว่าอยากจะยืนข้างใคร ถ้าเลือกได้อยากจะขอเก็บชายหนุ่มเอาไว้ทั้งสองคน

          ในขณะเดียวกันใบหน้าสดชื่นของสกายได้หดตูมลงอีกครั้ง ชีวิตของเขาช่วงนี้ต้องเจอภีมแทบจะทุกครั้งที่เขาอยู่กับเต้ย เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายรำคาญแต่ก็ไม่มีปัญญาจะเขี่ยภีมออกไปให้พ้นจากพี่เต้ยของเขา

          “เฮ้ยสกาย! เป็นไงมึง? มาถึงนานยังวะ?”

          คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นทักทาย เขายิ้มสดชื่นขึ้นพลางมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ได้แต่ทึ่งในความดูดีของคนตรงหน้า

          “เพิ่งมาถึงไม่นานนี้เองครับ ผมรออยู่นี่กะจะเข้าไปในงานพร้อมพี่เต้ยเลย”

          “อ้าวงั้นหรอวะ โทษทีนะเว้ยที่ให้รอ ป่ะ! เข้าไปข้างในกัน”

          พูดจบเต้ยก็เอาแขนโอบหลังรุ่นน้องหนุ่มพลางเดินนำเข้าไปในงาน โดยสมาชิกที่เหลือก็เดินตามเข้ามาพลางพูดคุยกันไปด้วยอย่างสนุกสนาน

          “เต้ย!”

          เสียงบัวเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นพลางกวักมือเรียกพวกเขาให้เดินไปทางซุ้ม เต้ยมองตามเสียงเรียกและเหลือบไปเห็นเจ้าบ่าวที่ยืนนิ่งอยู่เขาจึงขออยู่ห่างๆไม่เข้าไปใกล้เสียน่าจะดีกว่า

          “สวัสดีค่ะทุกคน! ดีใจจัง มากันครบทุกคนเลย ขอบคุณนะคะ”

          หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุข ทุกคนยืนเรียงรายถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาว ส่วนเต้ยก็ได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ

          “เต้ย! มาถ่ายรูปกับพี่บัวเค้าสิลูก”

          คนเป็นแม่เอ่ยขึ้นเรียกลูกชายอย่างคนไม่รู้ว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้าง

          “ไม่เอาอ่ะม้า เต้ยไม่ชอบถ่ายรูป”

          ได้ฟังดังนั้นเจ้าสาวก็หน้าเจื่อนลงเล็กน้อย สายตาเศร้าสร้อยปรากฏฉายขึ้นให้เห็น เธอรู้ตัวดีว่าความจริงแล้วไม่ใช่เพราะเต้ยไม่ชอบถ่ายรูป แต่เป็นเพราะเธอและสามีต่างหาก แค่ชายหนุ่มยอมมาร่วมงานด้วยเธอก็ควรจะรู้สึกยินดีมากพอแล้ว

          “เข้ามาถ่ายด้วยกันสิเต้ย...”

          อาจจะฟังดูน่าตกใจ แต่คนที่เอ่ยขึ้นกลับเป็น “ปั้น” เจ้าบ่าวที่ยืนตีหน้าเรียบเฉยอยู่ เนื่องจากเขาเห็นสีหน้าเศร้าหมองของบัว เขาจึงหวังจะทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ลง ส่วนคนที่ถูกเรียกตอนนี้ได้แต่ยืนอึ้งไป มือของเขาได้ขยี้กำลงบนแขนสูทของคนที่ยืนอยู่เคียงข้างโดยไม่รู้ตัว

          “พี่เต้ย...เข้าไปสิ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน”

          สกายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นทีท่าของรุ่นพี่ของเขา เต้ยสบตากับดวงตาเรียวเล็กน้อยแววตาของเขาเจือด้วยความกังวล สกายจึงยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงเดินนำไปทางซุ้ม

          “มองกล้องนี้นะครับ หนึ่ง สอง สาม”

          เสียงช่างภาพเอ่ยขึ้น เต้ยมองกล้องอย่างอึกอัก เขารู้สึกไม่สะดวกใจที่จะเข้ามายืนตรงนี้ แต่เขาก็ไม่อยากทำให้คนอื่นเสียบรรยากาศจึงยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ แสงแฟลชที่สาดส่องเข้าดวงตาใสทำเอาทุกอย่างดูพร่าเลือนไปหมด ก้อนเนื้อในอกของเขาเจ็บหน่วงอยู่ภายใน เขาได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าทนไว้แค่อึดใจเดียว แล้ววันนี้ทุกอย่างก็จะจบลง โดยไม่ทันรู้ตัวมือเรียวยาวของคนที่ยืนข้างๆ คว้าเข้าที่มือซึ่งวางอยู่ข้างตัว ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าจับกระชับให้กำลังใจแน่น ดวงตาเรียวสบลงมองดวงตาสดใสพลางส่งรอยยิ้มอบอุ่นจางๆให้แก่เขา

          ไม่รู้ทำไมหัวใจที่เจ็บปวดอยู่เมื่อครู่...ตอนนี้กลับสั่นไม่เป็นจังหวะอยู่ข้างใน



          ภายในงานที่เต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่น ดูเหมือนว่าโต๊ะของครอบครัวเต้ยจะดูคึกคักเป็นพิเศษ ตอนนี้ “สกาย” และ “ภีม” ถูกสมาชิกครอบครัวของเขาล้อมหน้าล้อมหลังพลางซักนู่นถามนี่กันไม่ให้หายใจหายคอ คนๆเดียวที่ดูจะสนใจเต้ยคงจะมีแต่ “เหวิน” หลายชายตัวน้อยๆของเขา

          “กู๋เต้ย เหวินป้อนนะ”

          เด็กน้อยใช้ส้อมจิ้มเอาไส้กรอกขึ้นมาพลางส่งมือขึ้นไปตรงริมฝีปากบาง ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อยเนื่องจากแขนสั้นๆของเด็กเล็ก จากนั้นจึงงับไส้กรอกเข้าปาก

          “อย่อยมั้ยกู๋เต้ย”

          เหวินยิ้มขึ้นจนตาปิด เต้ยที่กำลังเคี้ยวอยู่พยักหน้ารับพลางเอ่ยขึ้นเสียงอู้อี้

          “อร่อยครับผม เหวินให้กู๋เต้ยป้อนมั่งนะ”

          เต้ยจิ้มไส้กรอกขึ้นอีกชิ้นพลางส่งเข้าปากเด็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าชิ้นจะโตไปหน่อยสำหรับปากเล็กๆ ทำให้ไส้กรอกครึ่งหนึ่งหล่นลงบนพื้น เหวินทำท่าจะเอามือหยิบขึ้นมา เต้ยจึงได้แต่เอ็ดห้ามไว้

          “ไม่เอาๆ อย่าไปเก็บขึ้นมากินนะเหวินมันสกปรก เดี๋ยวกู๋เอาให้ใหม่”

          พูดจบเต้ยก็เอาส้อมจิ้มไส้กรอกใส่จานพลางตัดให้เล็กลงครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เด็กชายได้ปีนขึ้นมานั่งบนตักของคนตัวเล็กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

          ครู่หนึ่งคู่บ่าวสาวก็เดินเคียงข้างกันเข้ามาในงาน กลุ่มเพื่อนเจ้าสาวยืนเรียงกันโปรยดอกไม้กระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ ภาพตรงหน้าเต้ยคือใบหน้าชื่นมื่นของคนทั้งสองที่กำลังเดินตรงไปบนเวที

          “กู๋เต้ยๆ เหวินอยากกินเค้ก”

          เด็กน้อยเอ่ยขึ้นพลางชี้ไปที่เค้กแต่งงานหน้าตาสวยงามที่เต้ยเป็นผู้ทำขึ้น ซึ่งถูกจัดวางไว้บริเวณกลางงาน ชายหนุ่มมองตามนิ้วมือเล็กๆนั้นไปจากนั้นจึงพูดตอบ

          “รอแป๊ปนึงนะ เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว”

          ตอนนี้บนเวทีกำลังฉายภาพเรื่องราวความรักของคู่บ่าวสาว เนื้อหาที่ร้อยเรียงขึ้นตั้งแต่วันแรกที่พบกันจนถึงวันนี้สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงานไม่น้อย ส่วนเต้ยเองก็ซึมซับเรื่องราวเหล่านั้นอย่างตั้งอกตั้งใจเช่นกัน

          “ทำไมกู๋เต้ยตาแดง?”

          เหวินเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย ตอนนี้เด็กน้อยได้ใช้สองมือจับใบหน้าของชายหนุ่มพลางยืนขึ้นบนเก้าอี้

          “กู๋เต้ยแสบตาไงครับ”

          เต้ยเอ่ยขึ้นกลบเกลื่อน ความจริงแล้วหากใครสังเกตก็คงรู้ว่าเขากำลังเจ็บปวดใจอยู่ คนที่เขาจะหลอกได้คงมีแค่ตัวเองกับเด็กวัยสี่ขวบเท่านั้น

          “เหวินอย่าไปกวนกู๋เค้าสิลูก กลับมานั่งกับม้าดีๆมา”

          ต้าร์เห็นลูกชายเริ่มเกาะแกะวุ่นวายจึงเรียกเด็กน้อยให้กลับมานั่งที่ ซึ่งเหวินก็เชื่อฟังอย่างดี ร่างกายเล็กๆค่อยๆปีนลงจากเก้าอี้พลางวิ่งซุกซนไปหาแม่ของเขา ส่วนเต้ยก็ได้แต่ยิ้มตามภาพที่เห็นตรงหน้า

          ตอนนี้พิธีกรกำลังสัมภาษณ์คู่บ่าวสาวที่อยู่บนเวที เต้ยตั้งใจมองใบหน้าสวยงามที่อาบน้ำตาแห่งความสุขของหญิงสาว เขายิ้มจางๆ เจือความเศร้าเล็กน้อย เพราะเขาตั้งใจไว้แล้วว่า นับจากวันนี้ไป เขาจะไม่ขอพบกับผู้หญิงคนนี้อีก วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่เต้ยจะขอยืนยันให้เห็นกับตาว่าหญิงสาวที่เคยเป็นดวงใจของเขา ได้มีความสุขจริงๆเสียที

          มือแข็งแกร่งของเจ้าบ่าวกำลังประคองมือบอบบางของหญิงสาวช่วยกันตัดเค้กแต่งงานสีขาวนวลตกแต่งสวยงาม ของขวัญแต่งงานที่เต้ยตั้งใจทำให้แก่หญิงสาวอย่างสุดความสามารถ

          ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เขาจะมอบให้แก่หญิงสาว...

          ...ของขวัญแทนคำบอกลาความรักอันโง่เขลาตลอดแปดปีของเขา

          ภาพตรงหน้าตอนนี้เจ้าสาวแสนงดงามกำลังตักเค้กป้อนชายที่เป็นดวงใจของเธอ สายตาหวานละมุนถูกส่งให้กัน รอยยิ้มสุขใจสดใสที่สุดตั้งแต่ที่เต้ยเคยเห็นมา ร่างเล็กผละตัวออกจากโต๊ะไปเงียบๆ จากนั้นจึงเดินออกจากงานไปอย่างเชื่องช้า โดยทิ้งบรรยากาศแสนสุขนั้นเอาไว้เบื้องหลังและเก็บความหมองเศร้าทั้งหมดไว้ที่ตัวเขาเพียงคนเดียว



          “ทุกคนดูสิ หมิงรับช่อดอกไม้ได้ล่ะ!”

          เด็กสาวยิ้มหน้าบาน ดวงตาเป็นประกาย ตอนนี้กำลังเรียกร้องความสนใจจากสมาชิกร่วมโต๊ะ ทว่าลุงของเธอกำลังเดินอวดเค้กฝีมือลูกชายไปทั่วงาน ป้าสะใภ้กับลูกพี่ลูกน้องสุดที่รักก็ดันหายไปเข้าห้องน้ำพร้อมกัน แล้วยังจะต้าร์กับเหวินที่ได้กลับไปก่อนแล้วเนื่องจากเด็กน้อยเริ่มงอแงและง่วงนอน ส่วนภีมก็หายตัวไปหลังจากที่สังเกตเห็นเต้ยลุกเดินออกไปข้างนอก ที่เหลืออยู่ตรงหน้าก็มีเพียงแค่ “สกาย” เพียงคนเดียวเท่านั้น

          “พี่สกายมาถ่ายรูปเซลฟี่กัน”

          ‘ยังจะถ่ายอีกหรอวะ?’

          นับตั้งแต่ที่สกายสังเกตเห็นว่าเต้ยหายไปจากโต๊ะ เขาก็ไม่มีโอกาสปลีกตัวจากเด็กสาวเพื่อออกไปตามหาคนตัวเล็กเลย จนภีมลุกตามออกไปแล้วเขาก็ยังคงถูกรั้งอยู่เช่นนี้ ตอนนี้สกายได้แต่ยิ้มแห้งอยู่หน้ากล้องโทรศัพท์มือถือของเด็กสาว ในใจก็กระวนกระวายถึงเต้ย เขากลัวว่าตอนนี้ทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกัน เขาต้องหาทางตามออกไปให้เร็วที่สุด

          “ตี้! ตี้ดูสิว่าหมิงได้อะไรมา? ช่อดอกไม้เจ้าสาวไง!”

          ตอนนี้นับว่าเป็นโอกาสดีที่สกายจะปลีกตัวไปเมื่อเด็กสาวผมสั้นกับแม่ของเธอเดินกลับมาที่โต๊ะพอดี จังหวะที่หมิงกำลังวอแวตี้อยู่นั้น สกายก็รีบพรวดพราดออกจากโต๊ะไป ทำเอาเด็กสาวถึงกับงอแงส่งเสียงไล่หลังมา

          “เดี๋ยวพี่สกาย! กลับมาก่อน! หมิงขอถ่ายรูปด้วยอีกนิด...”



          ก่อนหน้านี้เต้ยได้มานั่งทอดอารมณ์อยู่บนขั้นบันไดหน้าสวนสวยที่ถูกจัดประดับประดาเพียงเงียบๆคนเดียวภายนอกงาน สายลมพัดเอาความเย็นปะทะร่างของเขาจนหนาวเหน็บขึ้นไปถึงหัวใจ ครู่หนึ่งเขารู้สึกได้ถึงร่างๆหนึ่งที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ชายหนุ่มบอบบางใบหน้าสวยหันมายิ้มน้อยๆ ให้กับเต้ย

          “มึงมานั่งทำอะไรตรงนี้วะไอ้เต้ย?”

          ภีมเอ่ยขึ้นถามอย่างเข้าใจ ภาพตรงหน้าของเขาคือดวงตาใสที่ย้อมสีแดงฉ่ำ แถมยังหลบลงไม่มองคู่สนทนา

          “มึงโอเคมั้ยวะ?”

          “กูไม่เป็นไร...ทุกอย่างมันจบไปแล้ว กูถอยออกมาแล้วกูก็ต้องเดินไปตามทางของกู กูไม่ขอจมปลักอยู่กับเรื่องนี้อีกแล้ว...”

          ภีมเห็นคนตัวเล็กเอ่ยขึ้นเช่นนั้นก็คว้าเอาหัวของเพื่อมาซบบนไหล่ มือเรียวก็พลางลูบเส้นผมนุ่มอย่างเบามือ ทว่าใบหน้ากับน้ำเสียงกลับยียวน

          “โอ๋ๆนะมึง ไม่ร้องนะ!”

          “ร้องเหี้ยอะไรของมึง? กูไม่ได้ร้อง!”

          เต้ยรีบผละตัวออกด้วยความหงุดหงิดรำคาญ ใบหน้าก็บูดเบี้ยวไปหมด ส่วนคนขี้แกล้งก็ฉีกยิ้มกว้างพลางหัวเราะชอบใจ แถมยังเอามือโยกหัวเพื่อนจนคลอนน้อยๆอย่างเอ็นดู

          ภาพตรงหน้าทำเอาชายคนที่เดินตามออกมาเห็นรู้สึกเคืองขุ่นและเจ็บปวดใจ สกายจึงตัดสินใจเดินออกจากตรงนั้นไป...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2019 08:51:18 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP20 : Goodbye My Cupcake

          ชายหนุ่มสองคนที่กำลังนั่งหยอกล้อกันอยู่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากทางด้านหลัง ทั้งสองเหลือบไปมองพร้อมกันก็เห็นเด็กสาวผมสั้นเดินตรงมาทางพวกเขา

          “เฮียเต้ย ที่บ้านจะกลับกันแล้วนะ?”

          “อ้าวหรอ? ไม่เป็นไรกลับกันไปก่อนเลย พรุ่งนี้มีเรียนเช้าเฮียจะกลับหอ เดี๋ยวกลับพร้อมกับสกายมันก็ได้”

          “แต่พี่สกายกลับไปซักพักแล้วนะเฮีย...”

          เต้ยได้ยินดังนั้นก็นิ่งไป เขาได้แต่แปลกใจที่สกายจากไปโดยไม่มาบอกลาเขาก่อน ซึ่งผิดวิสัยเอามากๆ

          “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปส่งมึงที่หอเอง...น้องตี้กลับไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวให้ไอ้เต้ยมันกลับกับพี่”

          ภีมเอ่ยขึ้นกับเต้ยจากนั้นจึงหันไปกล่าวกับเด็กสาว ตี้พยักหน้ารับจากนั้นจึงเอ่ยลา

          “ขอบคุณนะคะพี่ภีม เฮีย...ตี้ไปก่อนนะ!”

          เต้ยหันไปพเยิดหน้าใส่ตี้น้อยๆแทนการบอกลา เขากลับมานั่งเงียบจมกับความคิดตัวเองพลางคิดถึงชายร่างสูงที่ช่วงนี้เขารู้สึกเข้าไม่ถึงความคิดของคนๆนั้น บางทีสกายก็อารมณ์ดีจนแผ่กลิ่นอายความสุขมาถึงคนรอบตัว แต่จู่ๆก็อารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดบึ้งตึงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูก

          ‘มึงเป็นอะไรของมึงกันแน่วะสกาย?’



          รถยนต์หลังคามนสีดำกำลังแล่นฝ่าความมืดไปตามท้องถนนโดยมีแสงไฟหน้ารถและจากเสาไฟเรียงรายคอยนำทางให้ แม้จะค่ำมากแล้วแต่เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับแห่งนี้ยังคงมีรถวิ่งอยู่อย่างพลุกพล่าน

          ชายหนุ่มร่างเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสารมีสีหน้าที่ไม่ว่าใครเห็นก็รู้ว่ากำลังมีเรื่องค้างคาใจ คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยจึงเอ่ยถามขึ้น

          “มึงยังไม่เลิกดราม่าอีกหรอวะไอ้เต้ย?”

          แค่เปิดประโยคมาก็ทำเอาคนถูกถามหน้าหงิก เต้ยไม่ได้เคืองที่ถูกถาม แต่เคืองเพราะการใช้คำพูดมากกว่า

          “กูไม่ได้ดราม่า! มึงไม่กวนตีนกูซักวันจะตายป่ะไอ้ภีม?”

          “เออๆ ไม่กวนก็ได้วะ แล้วมึงคิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ? เรื่องพี่บัวหรอวะ?”

          เต้ยเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนลง สีหน้าก็ยังหมองหม่นอยู่อย่างนั้น

          “เปล่า...กูก็บอกมึงไปแล้วไงว่าเรื่องพี่บัวกูปล่อยตัดแล้ว!”

          “แล้วมึงคิดเรื่องใคร?”

          สิ้นคำถาม เต้ยก็เงียบไปพลางไม่มองคนข้างๆ ริมฝีปากที่เอ่ยพูดอยู่เมื่อครู่หุบลงทีท่าอ้ำอึ้ง

          “ให้กูเดาป่ะ?”

          เต้ยไม่ตอบแต่กลับเหลือบมองเสี้ยวหน้าสวยของคนที่กำลังมองตรงไปตามถนนแทน

          “คิดเรื่องสกายใช่ป่ะ?”

          พูดจบภีมก็เหล่มองเพื่อนพลางยิ้มกวนขึ้น ซึ่งภาพที่เห็นคือคนตรงหน้ากำลังอึกอักอ้ำอึ้ง เหมือนอยากจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ออกยังไงอย่างงั้น

          “กะ...ก็...กูเห็นว่าช่วงนี้ไอ้สกายมันแปลกๆ มันเงียบๆแล้วก็หงุดหงิดบ่อยๆ กู...ก็เลย...สงสัย...แค่นั้นเอง!”

          คนได้ฟังยิ้มขึ้นพลางขำเบาๆ ท่าทางของเต้ยดูผิดจากปกติไปโข

          “แล้วมึงจะพูดตะกุกตะกักทำห่าอะไรวะไอ้เต้ย กูแทบจะฟังมึงพูดไม่รู้เรื่องอยู่ละ!”

          “กูเปล่าตะกุกตะกัก ไอ้สัส!”

          “เนี่ยดูดิ! พอด่ากูนะคล่องชิบหาย!”

          เต้ยหัวเสียที่เพื่อนเอาแต่หยอกเขา เวลาอยากปรับทุกข์ทีไรภีมมักจะเล่นจนลืม กว่าจะเข้าเรื่องได้ทำเอาคนตัวเล็กต้องด่าไปหลายชุดอยู่เป็นประจำ

          “เออๆ กูไม่ล้อมึงละ...มึงอยากจะเล่าอะไรก็เล่ามาดิวะ”

          เต้ยได้ฟังดังนั้นก็เริ่มเอ่ยขึ้นอย่างอึกอัก

          “มึงดูดิ...วันนี้สกายมันทิ้งกูกลับบ้านเฉยเลย...ทั้งๆที่ปกติมันติดกูจะตาย...”

          ภีมได้ฟังดังนั้นก็ทำตาโต ปากหยักนั้นก็ยังคงเอ่ยกวนเพื่อนไม่เลิก

          “หูย...ไอ้เต้ย เดี๋ยวนี้มึงพัฒนาขึ้นนี่หว่า มึงงอนคนอื่นเป็นแล้วหรอวะ?”

          “งอนเหี้ยอะไรของมึง? กูไม่ได้งอนกูแค่งง!”

          “งงบ้านพ่อมึงดิ! แบบนี้เค้าเรียกงอน น้อยใจอ่ะมึงรู้จักป่ะ?”

          “ไอ้ภีม!”

          เต้ยขึ้นเสียงใส่คนหน้าสวย ตอนนี้คนตัวเล็กไม่มีอารมณ์จะมาเล่นอยู่แบบนี้ เรื่องของสกายรบกวนจิตใจเขามาหลายวันแล้ว และมันกระทบต่อความรู้สึกของเขามากกว่าที่คิด เขาอยากให้สกายกลับมาร่าเริงยิ้มแย้มกับเขาเช่นเดิม แต่ไม่รู้ทำไมนับวันอะไรๆ มันยิ่งดูแย่ลง ทั้งๆที่พวกเขาสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งใกล้เหมือนยิ่งห่าง

          “มึงมันโง่ไงไอ้เต้ย”

          ภีมเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเรียบ น่าแปลกที่คนตัวเล็กไม่ตอบโต้กลับมาทันที แต่กลับนั่งฟังเพื่อนพูดอย่างตั้งใจ

          “สกายมันดูออกง่ายจะตาย กูถามจริงๆ เถอะ...มึงไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่วะ?”

          เต้ยนิ่งพลางใช้ความคิดกับตัวเอง เพราะเขาไม่ใช่คนอ่อนไหวง่าย เรื่องที่จะให้เขาเข้าอกเข้าใจความคิดของคนอื่นนับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

          “อ้าว...แล้วสกายมันเป็นอะไรล่ะวะ?”

          “โอ๊ย! ไอ้เต้ย! ถ้ามึงจะทำตัวโง่อยู่อย่างนี้นะก็เรื่องของมึงละ กูขี้เกียจยุ่งเรื่องของคนอื่น!”

          ภีมโวยขึ้นอย่างรำคาญ ทำไมเพื่อนของเขาถึงเข้าใจอะไรที่มันอ้อมค้อมไม่เป็น ต้องให้คอยบอกตรงๆไปเสียทุกเรื่องถึงจะเข้าใจ

          “อ้าวเฮ้ยไอ้ภีม! มึงอย่าเทกูอย่างงี้ดิวะ มีอะไรจะบอกกูก็บอกมาให้หมดๆก่อน!”

          “ไอ้เต้ย! มึงช่วยแหกตาดูคนรอบๆตัวมึงบ้าง ไม่ใช่สนใจแต่ตัวเอง!”

          “เอ้า! มึงด่ากูทำไมวะไอ้ภีม?!”

          “กูไม่ได้ด่า! กูแค่เตือนสติ!”

          เต้ยนิ่งไปอีกครั้ง เขาเริ่มใช้ความคิดมากขึ้นพลางตั้งใจฟังสิ่งที่ภีมกำลังจะบอก

          “เอาง่ายๆนะเว้ย มึงลองคิดดูเอาเองว่าเวลาที่สกายมันมีความสุขเนี่ยเพราะใคร? แล้วเวลามันทุกข์ใจเนี่ยเพราะใคร? เพราะมึงรึเปล่า? มึงเคยสังเกตบ้างมั้ย? หรือมึงรู้แค่ว่ามึงมีมันอยู่แล้วมึงมีความสุขอยู่ฝ่ายเดียวแค่นั้นพอ”

          “ทำไมมึงพูดงี้วะ ฟังดูแบบ...กูแม่งโคตรเห็นแก่ตัวเลยว่ะ...”

          “นั่นไง...มึงยอมรับว่ามึงมีมันแล้วมึงมีความสุข”

          ภีมเอ่ยขึ้นพลางยิ้มที่มุมปาก ดวงตาสวยคมเหลือบมองดูคนนั่งข้างก็พบว่าเต้ยไม่ตอบโต้ แถมยังย่นคิ้วอย่างใช้ความคิดอีกด้วย เขาเห็นเช่นนั้นจึงเริ่มพูดต่อ

          “กูดีใจนะเว้ยที่มึงมีความสุขขึ้น เมื่อก่อนมึงชอบทำหน้าเหมือนมึงแบกโลกทั้งโลกเอาไว้คนเดียว”

          “...ก็เรื่องมันเยอะนี่หว่า...ไหนป๊าจะไม่ยอมให้กูทำตามความฝันกู ไหนจะพี่บัวยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตกู แล้วก็มึงด้วยไอ้ภีม! มึงยังจะทิ้งกูไปเรียนเมืองนอกอีก!”



          เต้ยเอ่ยขึ้นคิ้วก็พลางขมวดไป ปากก็ง้ำงอบึ้งตึง แต่เมื่อเขาเริ่มพูดต่อ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยน รอยยิ้มจางๆแทรกเข้ามาแทนที่ ดวงตาฉายแววอ่อนโยนสุกใส ใบหน้าอิ่มเอมมีความสุข

          “แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว จะว่าไปก็ต้องขอบคุณไอ้สกายมันเหมือนกัน เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีแต่มันนี่แหละที่คอยอยู่เคียงข้างกู...คอยช่วยเหลือกูมาตลอด ทุกวันนี้กูยังงงๆอยู่เลยว่ากูไปสนิทกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่...”

          ภีมได้ยินด้งนั้นก็เข้าใจได้ทันที เขายิ้มร่าจากนั้นก็พูดโพล่งขึ้นมา

          “กูรู้สึกได้นะเว้ย…ว่ามึง...โคตรชอบมันเลยนี่หว่า!”

          ไม่มีคำโต้เถียงจากคู่สนทนา มีเพียงแค่ใบหน้าใสๆที่ตอนนี้กำลังร้อนวูบขึ้นจนหน้าหูแดง เป็นปฏิกิริยาที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น อย่าว่าแต่ภีมเลย เต้ยเองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่า…

          แค่คำว่า “ชอบ” จะทำให้เขานึกเขินขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้





          ในห้องนั่งเล่นที่ได้รับแสงสว่างสาดเข้ามาจากหน้าต่างที่แง้มไว้เล็กน้อย สายลมเอื่อยโชยพัดเข้ามาพลางทำให้ม่านสีขาวพลิ้วไหว หญิงสาวบอบบางรวบขมวดผมขึ้นให้เห็นต้นคอระหง เธอกำลังบรรจงคัดแยกสิ่งของที่ได้รับมาจากงานแต่งงานเมื่อคืน

          ดวงตาสวยหวานเหลือบไปเห็นซองจดหมายฉบับหนึ่งจ่าหน้าถึงเธอ เมื่อเปิดออกดูก็พบการ์ดอวยพรลายดอกไม้ชวนฝัน ลายมือที่เขียนอยู่ในนั้นเป็นลายมือที่เธอจำได้เป็นอย่างดี ลายมือของน้องชายข้างบ้านที่หวังดีต่อเธอเสมอ “เต้ย”



ถึง พี่บัว

          พี่บัวเต้ยดีใจด้วยนะที่เรื่องราวทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เต้ยดีใจที่เห็นพี่บัวมีความสุขจริงๆซักที ต่อไปนี้เต้ยก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรพี่บัวอีกแล้ว เต้ยเชื่อว่าพี่ปั้นจะต้องดูแลพี่บัวได้ดีแน่ๆ

          จากนี้ไปหากพี่บัวมีอุปสรรคอะไร เต้ยขอให้พี่บัวผ่านมันไปได้...โดยที่ไม่ต้องมีเต้ย เต้ยต้องขอโทษที่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้พี่บัวได้อีก ขอโทษที่ไม่สามารถอยู่เคียงข้างพี่บัวได้ เต้ยคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เต้ยจะต้องไปจากพี่บัว…ไปตามทางของเต้ย หวังว่าพี่บัวจะไม่เสียใจหากเราสองคนจะไม่ได้พบกันอีก

          เต้ยต้องขอบคุณที่พี่บัวได้สอนให้เต้ยรู้จักกับความรัก...รักโดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน พี่บัวสอนให้เต้ยได้รู้จักการให้ที่แท้จริง แม้ว่าสุดท้ายเต้ยจะต้องเสียใจ แต่เต้ยไม่เคยเสียดายที่ครั้งนึงในชีวิตเต้ยได้รู้จักและรักผู้หญิงอย่างพี่บัว

          สุดท้ายนี้เต้ยอยากจะบอกกับพี่บัวว่าถึงแม้จากนี้ไปเต้ยจะไม่สามารถอยู่ในชีวิตพี่บัวได้อีก แต่เต้ยก็ยังคงหวังดีกับพี่บัวอยู่เสมอ…ลาก่อนนะครับ...พี่สาวที่น่ารักของเต้ย

จาก เต้ย



          น้ำตาที่รื้นขึ้นทำเอาภาพตรงหน้าพร่าไปหมด น้ำใสๆหยดลงบนกระดาษจนทำเอาน้ำหมึกละลายเลือนออกไป บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาเธอได้ทำร้ายหัวใจของผู้ชายคนหนึ่งมามากขนาดไหน แม้ว่าเธอจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม น้ำตาไหลอาบนองพวงแก้มใส ลมหายใจสะดุดขาดห้วงไปพร้อมกับหัวใจที่ร้าวราน จากนี้ไปเธอคงจะไม่มีหน้าไปพบกับชายหนุ่มที่เธอรักเสมือนน้องคนนี้ได้อีกแล้ว

          “เต้ย...พี่ขอโทษ...ขอโทษนะ...”

          ริมฝีปากสวยได้แต่เอ่ยขอโทษซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น โดยที่รู้ตัวดีว่าเธอไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว และคงต้องยอมตามให้ทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้





          แป้งหนาที่ถูกนวดพักไว้ ถูกพิมพ์โลหะทรงกลมกดลงเป็นก้อนนุ่ม ชายหนุ่มนำก้อนแป้งเหล่านั้นมาวางเรียงรายเอาไว้ในถาดที่รองด้วยกระดาษไข แปรงขนาดเล็กจุ่มลงในไข่ที่ผสมไว้กับนมสด จากนั้นจึงทาลงบนก้อนแป้งบางๆดูชุ่มฉ่ำ เต้ยนำถาดเข้าใส่ในเตาอบ เขาตั้งไฟกะอุณหภูมิให้ได้ที่ จากนั้นจึงผละตัวออกมา

          วันนี้เป็นวันที่ “ภีม” เพื่อนรักของเขากำลังจะเดินทางกลับแล้ว เต้ยจึงตั้งใจอบสโคนไปให้เป็นของขวัญอำลา ชายหนุ่มได้นัดเพื่อนเอาไว้ที่สนามบิน คิดได้ดังนั้นร่างเล็กก็นึกถึงคนๆหนึ่งที่ช่วงนี้อารมณ์เสียอยู่บ่อยๆ เขาตั้งใจจะชวนสกายไปด้วยกัน เพราะตั้งแต่หลังงานแต่งงานเขาก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับรุ่นน้องคนนี้เลย เต้ยเองตั้งใจทำขนมส่วนหนึ่งไว้ให้ด้วย เขาได้แต่หวังว่าของกินอาจจะช่วยให้ร่างสูงอารมณ์ดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

          เขาไม่รอช้าที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พลางกดโทรหาคนที่กำลังนึกถึงอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องให้รอนาน ปลายสายตอบรับโดยพลัน

          “ฮัลโหล สกาย!”

          เต้ยเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนอย่างสดใส แต่อีกฝ่ายกลับมีน้ำเสียงโต้ตอบกลับมาเรียบเฉยกว่าที่คิดไว้

          [ว่าไงครับพี่เต้ย?]

          “เอ่อ...วันนี้ไปส่งไอ้ภีมที่สนามบินด้วยกันมั้ย?”

          สกายนิ่งเงียบไป ทำเอาคนตัวเล็กเตรียมใจไว้แล้วว่าจะถูกปฏิเสธ ครู่หนึ่งคู่สนทนาก็ตอบกลับมา

          [ได้สิครับ...เดี๋ยวผมไปรับที่ห้อง พี่เต้ยจะไปกี่โมงล่ะ?]

          “งั้นเจอกันซักบ่ายสองแล้วกันนะ! ขอบใจมากนะเว้ยที่ยอมไปเป็นเพื่อนกู!”

          [ครับ...]

          ร่างสูงพูดจบก็วางสายไป วันนี้เต้ยตั้งใจไว้แล้วว่าเต้ยจะต้องรู้ให้ได้ว่าสกายมีปัญหาอะไร เขาจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สกายกลับมาร่าเริงดังเดิม


ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP21 : Dumped Scone
         
          ชายหนุ่มกำลังนอนทอดร่างเหม่อลอยออกไปอยู่บนโซฟานุ่ม โทรทัศน์ถูกเปิดคาทิ้งเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ สกายอยู่ในสภาพนี้มานานกว่าชั่วโมงแล้ว ในใจก็คิดสับสนว้าวุ่น ตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะกล้าๆ กลัวๆ เมื่อคิดจะรุกเดินหน้าแต่ก็ดันชะงักงัน แต่เมื่อคิดจะถอยหลังใจกลับบอกให้เดินต่อไปเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะจัดการยังไงกับหัวใจดวงนี้ดี ยิ่งคิดกลับยิ่งมืดบอดไม่เห็นทาง

          ใบหน้าใสๆของคนที่เขาหลงรักผุดขึ้นในห้วงความคิด การตกหลุมรักมันช่างทรมาน ยิ่งมันเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นต่อคนที่เขายากจะอ่านความคิดด้วยแล้ว ทุกอย่างมันดูน่ากลัวไปหมด เต้ยเป็นผู้ชายธรรมดาที่ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งมาแสนนาน คิดดูยังไงก็ดูไม่มีหนทางที่ชายหนุ่มเช่นเขาจะเข้าไปแทรกได้เลย นี่ยังไม่นับเพื่อนสนิทของคนตัวเล็กที่คอยก่อกวนกันท่าเขาอยู่ร่ำไป

          ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือข้างหนึ่งยกขึ้นก่ายหน้าผากพลางทอดสายตามองขึ้นไปบนเพดาน ในใจอึดอัดจนแทบจะระเบิดออกมา

          ‘Rrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเรียกสติชายหนุ่มจากความคิดว้าวุ่น คนที่เขากำลังคิดถึงจนเจ็บหน่วงในใจนั่นเองที่เป็นฝ่ายโทรมา

          [ฮัลโหล สกาย!]

          น้ำเสียงสดใสเอ่ยขึ้น เป็นเสียงที่แค่ได้ฟังหัวใจเขาก็เต้นแรง

          “ว่าไงครับพี่เต้ย?”

          [เอ่อ...วันนี้ไปส่งไอ้ภีมที่สนามบินด้วยกันมั้ย?]

          “ภีม” ชื่อนี้อีกแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นชื่อของคนที่ไม่ชอบขี้หน้าแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ไอ้คนหน้าสวยคนนั้นจะไปให้พ้นๆเสียที เขารู้สึกยินดีที่จะไปให้เห็นกับตาว่าไอ้หมอนั่นกำลังจะกลับไปจริงๆ

          “ได้สิครับ...เดี๋ยวผมไปรับที่ห้อง พี่เต้ยจะไปกี่โมงล่ะ?”

          [งั้นเจอกันซักบ่ายสองแล้วกันนะ! ขอบใจมากนะเว้ยที่ยอมไปเป็นเพื่อนกู!]

          “ครับ...”

          ถึงแม้ว่าจะดีใจที่จะได้พบกับคนตัวเล็ก แต่ทว่าเขากลับรู้สึกเจ็บอยู่ข้างในลึกๆ มันร้าวรานทรมาน ราวกับว่าร่างกายของเขากำลังจะดับลงเพราะพิษร้าย

          พิษที่เรียกว่า “ความรัก”





          “ไอ้ภีม!”

          ร่างเล็กเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนที่ยืนไกลๆ อยู่หน้าเคาท์เตอร์โหลดกระเป๋าด้วยน้ำเสียงร่าเริง เวลานี้ที่สนามบินมีนักเดินทางพลุกพล่าน ผู้คนต่อแถวกันยาวเหยียดอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มร่างบาง ภีมยกมือขึ้นทักทายตอบ ริมฝีปากสวยยิ้มสว่างขึ้น ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บนกระเป๋าลากใบยักษ์ก็หันมามองพลางมอบรอยยิ้มสดใสให้

          ครู่หนึ่งชายทั้งสองก็จัดการกับกระเป๋าใบโตของพวกเขาเรียบร้อย ภีมและโอมเดินตรงมาหาคนที่กำลังยืนรอเขาอยู่

          “พ่อกับแม่มึงไปไหนแล้ววะไอ้ภีม?”

          “กลับไปก่อนแล้ว”

          เต้ยได้ยินดังนั้นก็เหลือบไปมองเด็กหนุ่มอีกคนอย่างสงสัย โอมเห็นก็เข้าใจสายตาที่ตั้งคำถามนั้นได้ทันที

          “พ่อแม่โอมก็กลับไปก่อนแล้วเหมือนกันครับ”

          “อ๋อ...”

          เต้ยเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะแหะ จากนั้นเขาก็ไม่รอช้าคว้าขนมที่แพ็คใส่กล่องอย่างดียื่นให้คนตรงหน้า

          “อ่ะ...กูทำสโคนมาให้ ข้างในมีแยมกระปุกเล็กกับครีมชีสด้วย เอาไว้กินตอนเดินทาง”

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไอ้เต้ยมึงกลัวพวกกูหิวหรอวะ? บนเครื่องเค้าก็มีของกินให้ป่าววะ?”     

          ภีมหัวเราลั่นทั้งยังพูดจายียวน จนคนที่ตั้งใจทำขนมมาให้ถึงกับหน้าหงิกไปอีกรอบ เด็กหนุ่มที่ยืนข้างๆเห็นดังนั้นจึงรีบเอาศอกกระทุ้งพลางรับกล่องขนมมาอย่างรวดเร็ว

          “ขอบคุณมากนะครับพี่เต้ย อุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้ โอมจะกินให้เกลี้ยงเลยครับ”

          เต้ยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มสดชื่นขึ้น โอมที่เห็นรอยยิ้มของคนตัวเล็กก็นึกถึงวันแรกที่เขาสองคนพบกันจึงเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด

          “วันแรกที่โอมเสียมารยาทกลับไปก่อนโอมต้องขอโทษพี่เต้ยด้วยจริงๆ นะครับ...อาหารที่ร้านพี่เต้ยอร่อยมาก คราวหน้าโอมจะพาที่บ้านมาอุดหนุนนะครับ”

          “ไม่เป็นไรพี่เข้าใจ ตอนเย็นรถมันติดมากจริงๆ โอมก็คงจะเหนื่อยแล้วด้วย รีบกลับไปพักผ่อนก็ถูกแล้ว”

          โอมอมยิ้มน้อยๆที่เต้ยเข้าใจผิดไปเต็มๆ แต่มันก็คงจะดีแล้วที่ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น ดวงตาสวยคมเหลือบมองชายสองคนที่สนทนากันอยู่อย่างขำๆ ก่อนจะมองเลยคนตัวเล็กไปเห็นว่าเบื้องหลังมีชายร่างสูงกำลังยืนหน้าถมึงทึงอยู่เงียบๆ

          “น้องสกายครับ! หวังว่าพี่จะได้เจอน้องสกายอีกนะครับ...คราวหน้าน้องสกายช่วยยิ้มให้พี่บ้างนะครับ”

          สกายได้ฟังเช่นนั้นก็สนองให้คนพูดโดยไม่ต้องรอครั้งหน้า ดวงตารีจ้องขึงไปตาขวาง ริมฝีปากอิ่มแดงนั้นก็ยิ้มแสยะขึ้นจนทำให้ภีมขนลุกไปหมด

          “ไอ้ภีมมึงก็กวนตีนอยู่นั่นแหละ ดูแลตัวเองดีๆนะเว้ย กูละห่วงจริงๆว่าซักวันนึงมึงจะโดนฝรั่งมันกระทืบเอา!”

          “กระทืบเหี้ยอะไร! อยู่ที่นู่นมีแต่คนมารุมเอาอกเอาใจกู จริงมั้ยโอม?”

          โอมหรี่ตามองพลางขมวดคิ้วเข้มๆใส่ชายหนุ่มที่พูดไม่หยุด

          “พอเลยมึงกูชักจะรำคาญ! ไปได้ละ...เดินทางปลอดภัยนะมึง”

          พูดจบทั้งสองก็โผเข้ากอดกันอย่างแนบแน่นอบอุ่น ใบหน้าของทั้งคู่เปื้อนรอยยิ้มสดชื่น สำหรับภีม ครั้งนี้นับเป็นการจากลาที่ดี โดยไม่มีความเศร้าและเจ็บปวดอีกต่อไป

          “เต้ย...มึงอย่าลืมสิ่งที่กูบอกมึงไปนะเว้ย! อย่าลืมมองไปรอบๆ ตัวมึงบ้าง มึงจะได้หายโง่ซักที! ...เออ...แล้วก็อีกอย่าง...”

          สกายที่กำลังตั้งใจฟังสิ่งที่ชายหนุ่มร่างบางกำลังพูดถึงกับต้องตะลึงไปกับภาพตรงหน้า ความโกรธเกรี้ยวระคนความริษยาปะทุขึ้น เมื่อเห็นคนหน้าสวยส่งริมฝีปากกระจับหยักประทับลงบนแก้มใสของคนตัวเล็ก เต้ยตาค้างขึ้นตกใจพลางจับที่ใบหน้าหลังจากที่ริมฝีปากถูกถอนออก ภีมกระหยิ่มยิ้มขึ้นพลางส่งสายตายียวนมาทางสกาย

          “ไอ้เหี้ยภีม มึง! ...แม่งกูขนลุก!”

          “กูไปล่ะ!”

          ภีมหัวเราะขึ้นเสียงดังพลางฉีกยิ้มกว้าง ส่วนโอมที่เดินตามไปติดๆ ตอนนี้หน้าหงิกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ เพียงครู่เดียวชายร่างเล็กและร่างสูงก็หายลับไปจากสายตา



          “...ทำไมพี่ภีมต้องทำแบบนั้นด้วย?”

          โอมเอ่ยขึ้น พลางทำตาขวางชักสีหน้าใส่ชายหนุ่มที่เดินอยู่เคียงข้าง

          “พี่กวนตีนสกายมันเฉยๆ...แค่ดูก็รู้แล้วป่ะว่าสกายมันชอบไอ้เต้ยอ่ะ!”

          พูดจบภีมก็หัวเราะขึ้นอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ คว้าเอาฮู้ดบนเสื้อขึ้นมาคลุมบนเส้นผมดำสลวย โอมใช้สองมือจับกระชับเนื้อผ้าที่ครอบปกคลุมอยู่บริเวณใบหน้าเนียน จากนั้นจึงกระชากคนตรงหน้าเข้าหา

          “จูบเก่งนักใช่มั้ย?! มานี่เลย!”

          ดวงตาคมสวยเบิกโตขึ้นด้วยความตกใจเมื่อริมฝีปากได้รูปจูบเม้มลงบนริมฝีปากอิ่มสวยของเขา ร่างบางเกือบจะเคลิ้มไปเมื่อเด็กหนุ่มบดริมฝีปากนิ่มอย่างละมุนละไม เขาตั้งสติพลันผลักตัวเด็กหนุ่มตรงหน้าออกก่อนจะโวยวายขึ้น

          “ทำอะไรเนี่ยโอม?! ไม่อายมั่งหรือไง? คนตั้งเยอะตั้งแยะ!”

          “อายทำไมอ่ะ? ทีพี่ภีมยังไม่เห็นอายเลย”

          “มันไม่เหมือนกันป่าววะ? เมื่อกี้มันจูบแก้ม...นี่มันจูบปาก!”

          คราวนี้เป็นทีของเด็กหนุ่มที่ส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับไป ทำเอาภีมปั้นหน้าไม่ถูก ใบหน้าสวยร้อนวูบขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเดินนำไปด้านในอย่างรวดเร็ว ส่วนโอมก็รีบวิ่งตามหลังไปพลางคว้าแขนบางๆเดินตัวเบียดติดกับภีมอยู่อย่างนั้น





          ‘เงียบอีกแล้ว...’

          ตลอดทางบนรถคันเล็กๆมีแต่บรรยากาศน่าอึดอัด เป็นอีกครั้งที่คนสองอยู่ด้วยกันโดยไร้ซึ่งบทสนทนา จวนจะถึงปลายทางแล้วสกายก็ยังไม่เอ่ยคำพูดใดแม้ว่าเต้ยจะพยายามเรียกร้องความสนใจแค่ไหนก็ตาม

          คนหลังพวงมาลัยเหยียบเบรกเมื่อขับรถมาถึงหน้าอาคารที่พัก ถึงเวลาที่จะต้องลงจากรถแล้ว แต่เต้ยก็ยังอ้อยอิ่งอยู่ เขาลองเอ่ยขึ้นเพื่อดึงความสนใจจากสกายอีกครั้ง

          “เอ่อ...สกาย! มึงหิวป่าววะ? กูทำสโคนไว้ให้มึงด้วยนะเว้ย”

          “ไม่หิวครับ...”

          ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าคู่สนทนา คำตอบนี้ทำให้คนตัวเล็กหงอยลงเล็กน้อย

          “งั้นหรอ...ไม่เป็นไร...งั้นมึงเอากลับบ้านก็ได้ กูตั้งใจทำไว้ให้...เดี๋ยวกูขึ้นไปเอามาให้นะรอแป๊ปนึง”

          สกายได้ฟังดังนั้นก็นึกใจอ่อนขึ้นมา เขาคว้าแขนเต้ยเอาไว้ก่อนที่จะเปิดประตูลงจากรถไป

          “ถ้างั้นผมกินเลยก็ได้...”



          เต้ยนำขนมก้อนกลมกึ่งนุ่มกึ่งกรอบเนื้อสัมผัสร่วน ที่ถูกอุ่นจนหอมออกจากเตาอบ เขาวางสโคนลงบนโต๊ะคู่กับแยมหลากรส วิปครีม และครีมชีส

          “สกาย มึงจะเอาชา กาแฟ โกโก้อะไรพวกนี้มั้ย? เดี๋ยวกูไปชงให้”

          “ไม่ต้องหรอกครับ...ผมจะรีบกินรีบกลับ”

          เต้ยได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกน้อยใจ เขารู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวและตัดสินใจเอ่ยขึ้นถาม

          “สกาย...กูถามจริงๆช่วงนี้มึงมีอะไรรึเปล่าวะ? ทำไมมึงถึงดูหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีบ่อยๆ?”

          “ไม่มีอะไรหรอกครับ...”

          “มึงอย่าตอบแบบนี้ดิวะ! ครั้งที่แล้วกูถามมึงก็ตอบแบบนี้ มึงคิดว่ากูจะเชื่อป่ะ?”

          ใบหน้าใสๆ เริ่มใส่อารมณ์ขึ้นอย่างหัวเสีย กลับกลายเป็นเขาที่เป็นฝ่ายหงุดหงิดเสียเอง เมื่อคู่สนทนาเอาแต่พูดบ่ายเบี่ยง

          “เป็นเพราะกูหรอวะ? เพราะเวลามึงอยู่กับกูทีไรมึงก็เป็นแบบนี้ตลอด...กูไปทำอะไรให้มึงวะ? มึงมีอะไรก็บอกกูมาดิ!”

          สกายได้ฟังดังนั้นจึงสบตาคนที่กำลังอารมณ์เสียอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

          “เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่น่าฟังหรอกครับ...”

          “ก็ถ้าไม่เล่ามันก็ไม่เข้าใจป่าววะ?!”

          ในขณะที่เต้ยเริ่มใส่อารมณ์มากขึ้น สกายกลับเป็นฝ่ายเงียบลงเรื่อยๆ เขาตัดสินใจที่จะเลิกสนใจคนตรงหน้าแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะโดยที่ยังไม่ได้แตะต้องขนมแม้แต่ชิ้นเดียว

          “สกาย! มึงอย่าหนีกูดิ! มาคุยกันก่อน!”

          เต้ยกระชากรั้งแขนของรุ่นน้องจนเซน้อยๆ แต่สกายกลับดึงแขนของตนออกจากมือที่จับอยู่และเดินมุ่งไปทางประตู เมื่อเห็นดังนั้นเต้ยจึงไม่รอช้ารีบเดินไปขวางหน้าพลางผลักอกของคนที่ตัวใหญ่กว่าถลาไปด้านหลัง

          “กูไม่ให้มึงกลับจนกว่ากูจะรู้ว่ามึงเป็นอะไร!”

          “พี่เต้ยอย่ามาเซ้าซี้ผมได้ป่ะ!”

          ชายหนุ่มขึ้นเสียงใส่ นี่เป็นครั้งแรกที่สกายมีท่าทีก้าวร้าวต่อคนตัวเล็ก ทำเอาเต้ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้

          “ที่กูถามก็เพราะกูห่วงมึง กูสนใจว่ามึงรู้สึกอะไร คิดอะไรอยู่ มันเซ้าซี้ยังไงวะ?!”

          “พี่เต้ยเนี่ยนะสนใจผม?”

          สกายหัวเราะหึ พลางยิ้มเหยียดใส่คนตรงหน้า แววตาก้าวร้าวจ้องขึงกลับไป

          “พี่เต้ยรู้ป่ะ? ถึงผมจะไม่ชอบขี้หน้าไอ้พี่ภีม แต่ผมก็เห็นด้วยกับเค้านะที่บอกว่าพี่มันโง่ สนใจแต่ตัวเองไม่ยอมมองไปรอบๆตัวบ้าง!”

          “มึงด่ากูทำไมวะ? !”

          “ก็พี่เต้ยโง่ไง! ถึงได้จมปลักอยู่กับพี่บัวมาตั้งแปดปี!”

          ประโยคนี้ทำเอาคนได้ฟังถึงกับเดือดดาล ทั้งๆที่มันเป็นอดีตที่เขาพยายามจะลบมันทิ้งไป แต่คนที่เขาใส่ใจกลับนำมันมาขยี้ให้รู้สึกเจ็บแปลบข้างใน

          “ไอ้สกาย! มึงชักจะลามปามแล้วนะเว้ย! มึงจะเอาเรื่องของคนอื่นมาซ้ำเติมทำไมวะ?!”

          “พี่เต้ยไม่รู้หรอว่าพี่ภีมเค้าชอบพี่? ก็เพราะเป็นแบบนี้ไงเลยดูไม่ออก!”

          เต้ยถึงกับงงในสิ่งที่สกายเอ่ยขึ้น คิ้วเรียวขมวดเข้า เต้ยรู้สึกว่าตอนนี้คนตรงหน้าชักพูดไม่รู้เรื่อง ใบหน้าฉายแววรู้สึกยุ่งยากชัดเจน

          “ชอบเหี้ยอะไร? มึงไปกันใหญ่แล้ว! กูกับไอ้ภีมเป็นเพื่อนสนิทกัน เล่นแบบนี้กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว! ...ทีมึงอ่ะไอ้สกาย มึงเองก็ทั้งจับมือ ทั้งกอด ทั้งจูบแก้มกู! ไม่เห็นต่างกันเลยป่ะ?”

          สิ้นคำพูดร่างสูงถึงกับนิ่งอึ้งไป ใบหน้าชาราวกับถูกตบ ฝ่ามือเรียวเย็นชื้นเหงื่อ เขาตกใจมากเพราะไม่คิดว่าคืนนั้นเต้ยจะรู้ถึงสิ่งที่เขาลอบกระทำลงไป ความอับอายและโกรธเกรี้ยวตีกันอยู่ในความคิด สกายเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเย็น

          “คืนนั้น...พี่เต้ยไม่ได้หลับอยู่หรอกหรอ...?”

          คนตัวเล็กสงบลงเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้นอุบอิบ

          “ก็...กู...ยังหลับไม่สนิท...”

          ได้ฟังดังนั้นความโกรธก็พุ่งปะทุอีกครั้ง เขาชิงชังความรู้สึกที่ถูกปฏิบัติราวกับเป็นคนโง่เช่นนี้ เขาเกลียดที่คนที่เขารักทำเหมือนกับมองไม่เห็นความรู้สึกที่เขามีให้

          “...พี่เต้ย...พี่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ได้ยังไง...ต้องให้ผมทำขนาดไหนพี่เต้ยถึงจะเข้าใจ?!”

          ความโกรธเกรี้ยวระเบิดออกไปพร้อมๆกับแรงปรารถนา มือเรียวกระชากคนตรงหน้าเข้าหา ริมฝีปากอิ่มแดงบดเบียดลงบนริมฝีปากบางอย่างรุนแรง ร่างสูงขบเม้มริมฝีปากของคนตรงหน้าจนสั่นเทาไปทั้งร่าง ลมหายใจของคนถูกรุกล้ำถูกกระชากขาดเป็นห้วงๆ ดวงตาปิดหลับแน่น ในใจหวามไหวไร้แรงต่อต้านทว่าเจ็บปวดบาดลึกร้าวราน

          สกายผ่อนอารมณ์ลง ชายหนุ่มละเลียดริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยนก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาทั้งสองสบมองกัน ตาเรียวร้อนผะผ่าวแดงชื้นสั่นไหว ทำเอาดวงตาใสที่จับจ้องอยู่สลดลง เขาเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเครือ

          “พี่ต้องให้ผมบอกว่า...ผมรักพี่ก่อนใช่มั้ย?...พี่ถึงจะเข้าใจ...?”

          คนได้ฟังถึงกับนิ่งอึ้งไป “รัก” คำที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ฟังจากคนตรงหน้าทำเอาหัวใจสั่นระรัว เมื่อเห็นว่าคนที่เพิ่งประดับรอยจูบบนริมฝีปากของเขาเมื่อครู่กำลังเดินจากไป ทำไมหัวใจกลับสับสนทรมาน คิดจะรั้งไว้ก็กลับก้าวขาไม่ออก อยากจะเอ่ยเรียกไม่ให้ไปแต่กลับไม่มีเสียง

          ประตูห้องค่อยๆปิดลงสนิทเงียบงัน ร่างสูงรู้สึกเหมือนได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพยายามหล่อเลี้ยงมายาวนานภายในเสี้ยววินาที เจ็บปวดขนาดนี้น้ำตายังไม่ไหล สกายหายใจขัดขึ้นอย่างอึดอัดทรมาน แม้แต่โรคภัยก็ยังไม่เห็นใจ ชายหนุ่มได้แต่ลากร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงออกไป

          และปล่อยให้สโคนที่ถูกอุ่นส่งกลิ่นหอมอยู่เมื่อครู่เย็นชืดไปอย่างน่าเสียดาย...



++++++++++++++++



          สวัสดีค่า รอบนี้อัพช้าไปหน่อยขอขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ ^^

          ในที่สุดสกายก็ได้ระเบิดตัวเองตายไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเต้ยแล้วล่ะค่ะ ว่าจะชี้เป็นชี้ตายยังไง

          อีกไม่กี่ตอนก็จะถึงตอนจบแล้วนะคะ ฝากทุกคนเอาใจช่วยทั้งคู่ไปจนถึงตอนสุดท้ายด้วยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP22 : Sour Sore

          “เต้ย...เจ้าเต้ย!”

          “คะ...ครับป๊า?”

          “เหม่ออะไรอยู่ น้ำมันในกระทะจะไหม้อยู่แล้ว!”

          ชายหนุ่มได้ยินเสียงเรียกจากผู้เป็นพ่อถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นว่าตอนนี้กระทะที่เขาตั้งน้ำมันไว้เริ่มจับควันโขมง เต้ยทำอะไรไม่ถูกนอกจากปิดแก๊สเพื่อลดความร้อนลง

          “ถ้าแกเหนื่อยแกก็ไปพักเถอะ เดี๋ยวป๊าจัดการเอง”

          “ครับป๊า...”

          ความตั้งใจที่จะมาช่วยงานในครัวต้องล้มเลิกไป เนื่องจากคนตัวเล็กสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เต้ยถอดผ้ากันเปื้อนออกแขวน จากนั้นจึงผละออกจากห้องไป



          ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มภายในห้องของเขา ชายหนุ่มถอนหายใจยาวระบายความอัดอั้นข้างใน สายตาก็ล่องลอยไป เขาได้แต่คิดวนเวียนถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างเขากับรุ่นน้องหนุ่ม ทั้งความหอมหวานและสัมผัสของริมฝีปากอิ่มนั้นยังไม่จางหายไปไหน ราวกับมันถูกบันทึกลงไปในร่างกายของเขาและไม่มีทางลบเลือนออกไปได้

          ‘ทำไมสกายถึงมารักผู้ชายอย่างเรา?’

          เขาได้แต่ถามตัวเองแบบนี้ซ้ำๆอยู่หลายครั้ง แต่ใครจะตอบคำถามได้ดีเท่าสกาย ทว่าร่างเต้ยก็ยังไม่มีความกล้าพอที่จะติดต่อกลับไป

          ‘แล้วทำไมเราถึงไม่รู้สึกรังเกียจ?’

          นี่เป็นคำถามสำหรับตนเองที่ตอบได้ยากยิ่งกว่า ตั้งแต่เกิดมาในหัวใจของเต้ยมีแต่หญิงสาวชื่อบัว แต่ทำไมพอเขาเริ่มจะเปิดใจให้คนอื่น คนๆนั้นกลับกลายเป็น “ผู้ชาย” ไปเสียได้

          ใบหน้าของร่างสูงผุดขึ้นในความคิดของเต้ย ทุกครั้งที่สกายยิ้มเต้ยก็รู้สึกสดชื่นตาม ริมฝีปากอิ่มแดงที่ฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวที่หรี่ลงจนเป็นสระอิมองยังไงก็น่าเอ็นดู หรือเวลาที่สกายทำหน้าเหวอก็ทำเอาเขายิ้มขำจนหุบไม่ลง เวลาหน้าบูดบึ้งถึงจะดูน่ากลัว ทว่ากลับมีเสน่ห์น่ามอง แม้ยามเศร้าก็ดูน่าเห็นใจจนเขาอยากจะเข้าไปกอดปลอบ

          ‘เดี๋ยวนะ...นี่กูเป็นเอามากเลยนะเนี่ย...’

          เต้ยถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่พลางดึงหมอนมาปิดหน้าตัวเอง ตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น เขาอยากระบายเรื่องนี้กับใครซักคน และคนที่เขานึกถึงก็คือ “ภีม”

          ชายหนุ่มไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาเพื่อนที่อยู่ต่างแดนของเขา

          ‘ไอ้ภีม...มึงหลับยังวะ?’

          เพียงครู่เดียวคู่สนทนาก็ตอบกลับมา

          ‘ยังอ่ะ มึงมีไรป่าววะ?’

          ‘มึงสะดวกคุยป่ะ กูอยากวีดีโอคอลไปหา’

          จบประโยคปลายสายก็เป็นฝ่ายโทรมาโดยไม่ต้องให้รอ ในจอปรากฏภาพของชายหนุ่มใบหน้าสวยเกลี้ยงเกลาเพื่อนซี้ของเขา โดยเบื้องหลังมีโอมกับชายร่างผอมสูงเป็นของแถม

          [Hi! I’ m Derek, P’ Peam and Ohm’ s friend! Nice to meet you!] (สวัสดี! ผมชื่อดีเรคเป็นเพื่อนของพี่ภีมกับโอม! ยินดีที่ได้รู้จักครับ!)

          เสียงเด็กหนุ่มผอมสูงตะโกนลั่นเข้ามาในโทรศัพท์ ทำเอาภีมส่ายหัวดิก

          “ไอ้ภีม...กูมีเรื่องอยากปรึกษามึงว่ะ...”

          [Shut up Derek! You are so annoyed!] (หุปปากไปเลยดีเรค! มึงแม่งโคตรน่ารำคาญ!)

          อีกเสียงหนึ่งตะโกนลอดลั่นเข้ามา เป็นเสียงของโอมนั่นเอง

          [แป๊บนึงนะเว้ยไอ้เต้ย กูขอกลับห้องก่อน ถ้าอยู่ตรงนี้พอดีไม่ได้คุย]

          ภีมพูดจบก็หันไปเอ่ยกับเด็กหนุ่มอีกสองคนพลางลุกขึ้นยืน

          [I’ m gotta go to my room, don’ t even think to follow okay?] (พี่จะกลับห้องละ อย่าแม้แต่คิดที่จะตามมาเลยนะ โอเคป่ะ?)

          ตอนนี้เสียงวุ่นวายเงียบหายไปแล้วหลังจากที่ภีมเดินออกจากห้องมา ร่างบางสังเกตสีหน้าไม่สบายใจของเพื่อนจึงเอ่ยถามขึ้น

          [ไอ้เต้ย...มึงเป็นไรป่าววะ? ทำไมทำหน้าเหมือนกินของเน่ามาอย่างงั้นอ่ะ?]

          “กวนตีน...”

          เต้ยก็ยังคงเป็นเต้ยที่อดไม่ได้ที่จะต้องต่อปากต่อคำกับเพื่อน ทว่าครั้งนี้กลับดูหงอยชอบกล

          [อ่ะๆ กูจริงจังละ มึงเป็นไร?]

          “กู...”

          ภีมเห็นท่าเพื่อนอึกอักอ้ำอึ้งดูน่าขัดใจ แต่เขาเองก็ไม่อยากจะคาดคั้น

          [...เรื่องสกายป่ะ?]

          แค่เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา คนตัวเล็กคู่สนทนาก็ดูมีพิรุธสุดๆ ดวงตาใสกลอกไปมา คิ้วเรียวก็ขมวดยุ่งขึ้น

          “อะ...เออ...ทำไมถึงรู้ล่ะวะ..”

          [ก็เดาไม่ยากป่าววะ?]

          ภีมเอ่ยขึ้นพลางยิ้มขึ้นที่มุมปาก ดวงตาคมสวยก็จ้องคู่สนทนาอย่างตั้งใจรอฟัง

          “คือ...”

          ภีมเลิกคิ้วขึ้น สายตาก็ไม่ละไปจากใบหน้าใสๆตรงหน้า เขารอคนตัวเล็กพูดต่ออย่างใจจดใจจ่อ

          “คือ...แบบว่า...”

          [คือไรวะ?]

          “คือกูกับ...”

          [ไอ้เหี้ยเต้ย! มึงเล่ามาซักทีดิวะ! มึงจะอ้ำอึ้งอีกนานป่ะ? จะให้กูรอฟังถึงพรุ่งนี้เลยมั้ยวะ?]

          “เออๆ! กูเล่าแล้ว...คือ...ไอ้สกายมันสารภาพรักกับกู...”

          ภีมได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มร่าขึ้นมาอย่างยียวน จากนั้นจึงคาดคั้นคนตรงหน้าให้พูดต่อ

          [แล้วไงต่อวะ?]

          “ก็ไม่แล้วไง...ก็แค่นั้นแหละ จบ...”

          [หรอวะ? ไอ้สัส! กูเชื่อมึงตายห่าแหละไอ้เต้ย มึงเล่ามาให้จบ! ไม่งั้นกูวาง!]

          “อ้าวเฮ้ย! มึงอย่าทำงี้ดิวะ! ฟังกูก่อน...”

          [จะให้กูฟังเหี้ยอะไรล่ะ? ก็มึงไม่เล่าอ่ะ!]

          คนตัวเล็กได้ฟังดังนั้นจึงยอมเอ่ยขึ้นต่อน้ำเสียงค่อย ปากก็พูดขมุบขมิบ

          “สกายมัน...จู...”

          [อะไรของมึงเนี่ยกูไม่ได้ยิน!]

          “ไอ้สกายมันจูบกู!”

          เต้ยขึ้นเสียงดังด้วยความรำคาญ ทว่าพูดเองก็เขินเอง ใบหน้าใสๆ ตอนนี้ร้อนฉ่าแดงจนถึงหู ทำเอาคู่สนทนาหัวเราะลั่น

          [โอ๊ย! พวกโง่เอ๊ย! โง่ชิบหายทั้งคู่เลย]

          “ไม่กวนตีนดิมึง...”

          [กูไม่ได้กวน...แล้วมึงรู้สึกยังไงล่ะ? รังเกียจป่ะ?]

          คำถามนี้อีกแล้ว คำถามที่เขาเองก็เพียรถามตัวเองเป็นร้อยเป็นพันหน เต้ยนิ่งขึ้นพลางประมวลเหตุผล เขาคิดว่าตนเองรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

          “เอาจริงๆนะเว้ย...กูไม่ได้รังเกียจเลยเว้ย แต่กูตกใจแล้วก็งงมากกว่า...ถึงมึงจะบอกว่ากูโง่ แต่เอาจริงๆกูก็พอรู้สึกได้ว่าสกายมันปฏิบัติกับกูต่างจากคนอื่น แต่กูก็รู้สึกดีนะเว้ยที่มันเป็นแบบนี้กับกู...”

          [อ้าว! มึงก็ไปบอกมันดิ มันจะได้ดีใจ มึงควรจะเลิกตีมึนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่มันได้ละ]

          “แต่กูกับมันเป็นผู้ชายทั้งคู่นะเว้ย!”

          [ผู้ชายทั้งคู่แล้วไงวะ? มึงดูกูกะโอมดิ!]

          “ห๊ะ? !”

          เต้ยเบิกตาโตขึ้น เขาแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองรู้จักเพื่อนคนนี้ดีที่สุดแล้ว ทว่าความจริงแล้วเขาอาจจะแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภีมเลยก็เป็นได้

          [เออ...กูกะโอมเป็นแฟนกัน...กูอยากบอกมึงนะเว้ย แต่กูหาโอกาสพูดไม่ได้ซักที]

          “เฮ้ย! อะไรยังไง? เมื่อไหร่วะ? กูไม่เห็นเคยรู้เลยว่ามึงเป็น”

          [โอ๊ยไอ้ควาย! ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องกู เอาเรื่องมึงก่อน]

          สีหน้าตื่นตูมเมื่อครู่พลันสงบลง ตอนนี้เต้ยขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดอีกครั้ง

          “กู...ไม่รู้ว่ะ...กูควรทำไงดีวะ?”

          [มึงอย่ามาถามกูเลย...มึงถามใจตัวเองก่อนดีกว่า]

          ถ้าถามหัวใจเต้ยตอนนี้ เขาคงอยากจะสารภาพตามตรงว่าเขายังหยุดคิดถึงสกายไม่ได้เลย ทั้งอยากเจออยากคุยด้วยใจแทบขาด แต่มันอาจจะเป็นเพียงความสับสนชั่วคราวก็เป็นได้

          “ไม่รู้ละกูไปดีกว่า...แค่นี้นะไอ้ภีม...”

          [อ้าวหนีเฉย! มึงหนีไปให้ได้ตลอดเหอะไอ้เต้ย!]

          “กูไม่ได้หนี! กูคิดอยู่...มึงไปนอนได้ละไอ้สัส!”

          พูดจบคนตัวเล็กก็กดตัดสายพลางทิ้งตัวลงนอนเช่นเดิม ดวงตากลมสดใสหลับลงช้าๆพลางนึกถึงใบหน้าของสกายตลอดเวลา

          ‘ทำไมกูหยุดคิดถึงมึงไม่ได้เลยวะสกาย...’





          ‘สกายหายไป...’

          เวลาล่วงเลยมาหลายวัน เต้ยที่เอาแต่กังวลไม่กล้าเป็นฝ่ายติดต่อไปหาสกายก่อนได้แต่เลื่อนนิ้วดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ไม่มีข้อความใดๆ ส่งมาจากคนที่เขากำลังคิดถึง ไม่มีสายที่ไม่ได้รับ ไม่ว่าจะสื่อโซเชียลใดๆก็ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือว่าสกายต้องการจะหนีหน้าหายไปดื้อๆเสียอย่างนั้น แค่คิดก้อนเนื้อในอกก็เจ็บแปลบขึ้นมา

          ‘แล้วเราควรจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้หรอวะ?’

          ก็ไม่เสียหายอะไรหากเขาจะเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อน คนตัวเล็กไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก ทว่าเสียงปลายสายที่ตอบกลับมาทำให้ชายหนุ่มต้องผิดหวัง

          [ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้]

          ดูเหมือนว่าโทรศัพท์จะถูกปิดไว้ ความกังวลก่อตัวขึ้นกัดกินภายใน เมื่อคิดจะติดต่อไปกลับทำไม่ได้ เต้ยจึงได้แต่ส่งข้อความทิ้งไว้

          ‘สกาย...กูอยากเคลียร์กับมึง’



          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          เสียงทุบประตูดังขึ้นทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้ง เต้ยลุกขึ้นพลางลากขาหนักๆ ของเขาไปเปิดประตู ภาพที่เห็นคือพี่สาวของเขาและเด็กชายตัวน้อยยืนยิ้มแป้นแล้นอยู่หน้าประตู

          “กู๋เต้ย วันนี้เหวินกับหม่าม้าจะมาค้างที่นี่ ให้เหวินมานอนห้องกู๋เต้ยได้มั้ยคับ?”

          หญิงสาวผู้เป็นแม่ขยับตัวเข้ามาใกล้เต้ยพลางเอ่ยกระซิบกระซาบ

          “...เดี๋ยวเหวินหลับเมื่อไหร่เจ๊ค่อยพากลับไปนอนที่ห้อง...”

          เด็กชายตัวน้อยจ้องมองน้าชายของเขาตาใสแป๋ว เหวินกระโจนขึ้นเตียงของชายหนุ่มโดยไม่รอให้เขาอนุญาต อีกทั้งยังหยิบผ้าห่มขึ้นคลุมตัวอย่างรวดเร็ว

          “เหวินนอนก่อนนะคับหม่าม๊า กู๋เต้ย ฝันดีนะคับ”

          พูดจบดวงตากลมๆก็ปิดลง เด็กน้อยพยายามหลับอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองคนอดยิ้มไม่ได้ หญิงสาวคุกเข่านั่งลงกับพื้นพลางลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยน

          “เต้ย...ช่วงนี้ซึมไปนะเรา...”

          “หม่าม๊าอย่าคุยเสียงดังสิคับ เหวินจะนอน...”

          เด็กน้อยที่นอนอยู่เอ็ดขึ้นทั้งๆที่หลับตาอยู่ คนทั้งสองได้ยินดังนั้นจึงมองหน้ากัน จากนั้นก็อมยิ้มขำขึ้น

          “ถ้างั้นม้ากับกู๋เต้ยจะออกไปคุยกันข้างนอกนะจ๊ะ เหวินกล้านอนคนเดียวมั้ยล่ะ?”

          “เหวินโตแล้วคับเหวินนอนคนเดียวได้ กู๋เต้ยคุยเสร็จแล้วรีบกลับมานะคับ บ๊ายบายคับ”

          สองพี่น้องดูจะงงเล็กน้อยที่จู่ๆก็ถูกเด็กตัวเล็กๆไล่ออกจากห้อง หญิงสาวตั้งใจจะเลี้ยงให้ลูกชายของเธอพึ่งพาตัวเองได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องรีบโตขนาดนี้

          “เหวินน่าเอ็นดูดีนะเจ๊ต้าร์”

          “น่าเอ็นดูอะไรล่ะ แก่แดดจะตาย”

          คนเป็นพี่เอ่ยตอบพลางยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงทีท่าลูกชายของตน

          “เต้ยรู้มั้ยว่าสำหรับคนเป็นแม่ ลูกชายก็เหมือนเป็นดวงใจ...แต่ถ้าหนุ่มโสดอย่างเต้ยก็คงจะเป็นอย่างอื่น...”

          ชายหนุ่มได้แต่ทำหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินพี่สาวของเขาเอ่ยดังนั้น ทำไมเธอถึงพูดราวกับกับไปรู้อะไรมา

          “เต้ยกำลังมีความรักอยู่ใช่รึเปล่า?”

          “พูดอะไรน่ะเจ๊ต้าร์!”

          “เต้ยเจ๊ดูออกน่ะ! ช่วงนี้เต้ยเหม่อลอยบ่อยๆ ไม่เจริญอาหาร แถมไม่ค่อยพูดค่อยจา อาการป่วยทางใจชัดๆ”

          ชายหนุ่มเถียงไม่ออก เขาหลบสายตาจากพี่สาวทิ้งไว้เพียงความเงียบ

          “หัวใจของเต้ยเปลี่ยนไปแล้วใช่มั้ย? ตอนนี้เต้ยมีคนอื่นอยู่ในใจซึ่งไม่ใช่บัวแล้วใช่รึเปล่า?”

          ชายหนุ่มพยักหน้ารับเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากพี่สาวของเขาจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี บัวถือว่าเป็นน้องสาวข้างบ้านที่สนิทกับต้าร์ในระดับหนึ่ง และด้วยประสบการณ์ชีวิตของคนเป็นพี่ทำให้เธอเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่รู้ก็ตามว่าใครกันที่ได้หัวใจของน้องชายเธอไป

          “เต้ยรู้มั้ยว่าถึงชีวิตรักของพี่จะล้มเหลว แต่พี่ก็เชื่อนะว่าความรักมีอยู่จริง ตอนที่พี่แต่งงาน ตอนที่พี่ตัดสินใจจะมีเหวิน ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความรักจริงๆ”

          หญิงสาวสีหน้าหมองลงเมื่อเริ่มต้นพูดถึงเรื่องราวในอดีต ทว่าใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มอยู่

          “พี่กับอดีตสามีของพี่ไม่รู้จักรักษาความรักเอาไว้ บางอย่างกว่าเราจะเห็นคุณค่าของมันก็ตอนที่เราได้สูญเสียมันไปแล้ว...ตอนนี้ชีวิตพี่มันแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับมันและเดินหน้าต่อไปเท่านั้น”

          ได้ฟังดังนั้นคนเป็นน้องก็สบตาตอบกับพี่สาวก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมองสับสน

          “เต้ยเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน ตอนที่คนๆนั้นอยู่ข้างๆ เต้ยชอบทำเหมือนมองไม่เห็นความรู้สึกที่เค้ามีให้ แต่พอเค้าหายไป...ทำไมความรู้สึกของเต้ยมันกลับชัดเจนขึ้นมา...”

          “แล้วความรู้สึกที่มันชัดเจนขึ้นมามันคือความรักใช่รึเปล่า? แล้วเต้ยได้พยายามรักษามันไว้แล้วรึยัง? หรือว่าเต้ยได้สูยเสียมันไปแล้ว?”

          คำว่า “สูญเสีย” ทำเอาคนฟังรู้สึกเจ็บจุกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกกลัวหากเขาต้องสูญเสียสกายไป แค่คิดว่าวันหนึ่งจะไม่มีคนๆนี้ความเจ็บปวดเสียใจก็เอ่อล้นออกมา คงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง และเผชิญหน้ากับความรักใหม่อีกครั้งหนึ่ง





          ทว่า...

          สัปดาห์กว่าๆผ่านไปก็ยังไม่มีการติดต่อจากชายร่างสูงกลับมา เต้ยส่งข้อความไปหลายต่อหลายครั้งก็ไม่มีการอ่านหรือตอบกลับ โทรหานับสิบหนปลายสายก็ปิดเครื่อง ในสื่อโซเชียลของสกายยังคงนิ่งเหมือนเช่นเคย ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

          ตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่คิดว่าเขาอาจจะถูกสกายหนีหน้า เบอร์โทรศัพท์ของเขาอาจจะถูกบล็อก ข้อความก็เช่นกัน ทุกอย่างมืดบอดไปหมด เขาไม่รู้ว่าจะหาทางติดต่อสกายได้อย่างไร

          ครู่หนึ่งเขาก็นึกขึ้นได้ เต้ยมีที่อยู่ของสกายที่เคยส่งขนมไปให้ทางไปรษณีย์ เขาไม่รอช้าเปิดข้อความเก่าอ่านดู และสิ่งที่ค้นหาอยู่ก็ปรากฏแก่สายตา

          ชายหนุ่มยิ้มขึ้นด้วยความยินดี เขาคว้ากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์จากนั้นจึงพรวดพราดออกไป เต้ยรีบโบกแท็กซี่ที่เปิดไฟว่างผ่านมา จากนั้นจึงจัดแจงบอกจุดหมายปลายทางที่เขาต้องการจะไป





          ในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่เงียบสงัดไร้วี่แววผู้คน คนตัวเล็กพยายามกดกริ่งหน้าบ้านพลางชะเง้อมองเข้าไปแต่ก็ไม่มีใครสักคนเดินออกมา มีเพียงหญิงวัยกลางคนที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่บ้านข้างๆ เต้ยจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นถาม

          “ขอโทษนะครับ ที่บ้านนี้ปกติเค้าจะกลับกันมากี่โมงหรอครับ?”

          หญิงกลางคนเหลือบมองอย่างสงสัย แต่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

          “บ้านนี้เค้าเข้าออกกันไม่เป็นเวลาหรอก แล้วเค้าก็ไม่อยู่บ้านกันมาหลายวันแล้วด้วย มาหาใครล่ะหนู?”

          “เอ่อ...ผมมาหาเพื่อนน่ะครับ...”

          “อ๋อ เพื่อนใครล่ะ? คนพี่หรือคนน้อง? ถ้าเจอป้าจะได้ไปบอกให้”

          “งั้นถ้าคุณป้าเจอสกายผมฝากบอกเค้าด้วยนะครับว่าผมมาหา ขอบคุณนะครับ”

          พูดจบเต้ยก็เดินจากไปอย่างท้อแท้ ขนาดมาตามหาถึงที่บ้านก็ยังไม่เจอ แล้วช่วงนี้ก็ปิดเทอมอยู่ คงเป็นเรื่องยากหากจะไปหาที่มหาวิทยาลัย ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาพอจะทำได้คือการอดทน ทนรอจนกว่าจะมีการติดต่อกลับมา หรือรอจนกว่าจะสามารถติดต่อร่างสูงได้

          ทว่า...การรอคอยโดยไม่มีจุดหมายคือการทรมานที่โหดร้ายที่สุด...



++++++++++++++++



          เต้ยกำลังจะลงแดงตายแล้วค่า! มานั่งคิดดูตั้งแต่ที่เราเขียนเรื่องนี้มา เรารู้สึกได้ว่าเต้ยเป็นตัวละครที่ถูกเรารังแกมากที่สุดเลย อาจเป็นเพราะนิสัยเอาจริงเอาจัง ทำให้เวลามีปัญหาเต้ยจะดูหนักหนากว่าตัวละครอื่น แถมความที่ปากหนักพูดน้อย เวลามีอะไรก็เลยจบยากตลอด

          ขอขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
       
EP23 : Loner Gingerbread

         ชายหนุ่มร่างสูงพิงศีรษะเข้ากับหน้าต่างรถพลางเสียบหูฟังสดับเสียงดนตรีเคล้าอารมณ์ สายตาล่องลอยออกไปภายนอก เสียงเจี๊ยวจ๊าวภายในรถบัสคันใหญ่ไม่สามารถขัดจังหวะความคิดของเขาได้เลย

          ‘เมื่อวานเราทำอะไรลงไป?’

          เรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นฝังรากลึกลงไปในจิตใจ ริมฝีปากบางแสนอ่อนนุ่มที่เขาลิ้มลองมาเมื่อวานทำเอาชายหนุ่มโหยหาต้องการมากขึ้นไปอีก ราวกับร่างกายเสพติดคนในห้วงความคิด เมื่อต้องพรากห่างออกมาก็รู้สึกทุรนทุรายทรมาน ความรู้สึกอยากครอบครองกำลังครอบงำเขาจนทำเอาควบคุมตัวเองแทบไม่ได้

          ‘เรารักพี่เต้ยมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?’

          มานั่งคิดย้อนกลับไป คนตัวเล็กที่เขามองว่า “น่ารัก” เป็นเพียงแค่ความรู้สึกอยากรู้จัก เพียงได้รับมิตรภาพตอบกลับมาเป็นพี่เป็นน้องกันแค่นั้นก็พอใจแล้ว ทว่ายิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้สัมผัสตัวตนของคนๆ นั้น ความโลภของเขากลับเพิ่มขึ้น แค่เห็นหน้าก็ใจเต้นแรง ยามสุขเขาก็สุขตาม ยามทุกข์หัวใจของเขาก็ร้าวราน ทุกอย่างอ่อนไหวไปหมด

          ตอนนี้มีเพียงรูปของเต้ยตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาได้พบครั้งแรก ภาพชายหนุ่มสวมที่คาดผมหูกระต่ายทำหน้าง้ำหน้างอที่เขาแอบเก็บไว้ในโทรศัพท์ให้ได้ดูคลายคิดถึง ระหว่างที่สกายกำลังเพ้อเจ้อคิดถึงกระต่ายหนุ่มของเขาอยู่นั้น ร่างๆหนึ่งทิ้งน้ำหนักลงบนเบาะนั่งข้างๆ มือก็พลางดึงหูฟังข้างหนึ่งออกจากหูของสกายแล้วเสียบเข้ากับหูของตัวเอง ในปากก็ดูดชานมสีอ่อนที่มีเม็ดแป้งกลมนุ่มหยุ่นสีดำอยู่ภายใน คิ้วเรียวขมวดมองคนนั่งข้าง ดวงตากลมโตสดใสหรี่ลงอย่างไม่เข้าใจ

          “สกาย เพลงนี้วนมาอีกรอบแล้วนะ”

          ซันเอ่ยขึ้นในปากก็เคี้ยวตุ้ยๆไป ไม่ได้มีเพียงแค่สกายกับซัน วันนี้นักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังออกเดินทางไปทำกิจกรรมครูอาสาบนดอยกัน ซึ่งก่อนหน้านี้สกายลืมเรื่องนี้ไปสนิทจนกระทั่งเมื่อคืนที่เพื่อนเตี้ยของเขาโทรมา



เมื่อคืน 21.50 นาที

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นรบกวนชายที่กำลังนอนทอดร่างเป็นผีตายซากอยู่บนเตียง มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นรับอย่างเฉื่อยชา

          “ว่าไงซัน...”

          [สกายจัดกระเป๋าเสร็จยัง?]

          “จัดกระเป๋าอะไรวะ?”

          [ก็พรุ่งนี้ไง เราจะไปเข้าค่ายครูดอยกัน สกายจำไม่ได้หรอ?]

          ‘ลืมไปสนิทเลย!’

          เมื่อนึกขึ้นได้เขาก็กระเด้งตัวออกจากเตียงพลางหนีบโทรศัพท์ไว้ข้างหู สกายลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้าพลางรื้อค้นข้าวของที่จำเป็นออกมา

          [เราเพิ่งเช็คอากาศมา ตอนกลางคืนหนาวมากๆ เราเลยจะถามว่าสกายมีเสื้อกันหนาวให้เรายืมมั่งมั้ย? ของที่เรามีมันบางเกินไป]

          “มีๆ เดี๋ยวเราเอาไปให้ แต่ตัวใหญ่หน่อยนะ”

          [ไม่เป็นไรแค่มีก็พอ เพราะเสื้อผ้าของเราส่วนใหญ่อยู่บ้านที่สระบุรี จะให้ไปเอาก็คงไม่ทันละ ขอบใจมากๆนะสกาย]

          ‘ทำไมต้องไปพรุ่งนี้แล้วด้วยวะ?’

          ต้องเดินทางไกลหลังจากที่มีปัญหาคาใจเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มยอมรับไม่ได้ เขาไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรในเวลานี้ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะล้มเลิกทุกอย่างแล้วขังตัวเองไว้เงียบๆในห้องสี่เหลี่ยมนี้

          ...แต่คิดอีกแง่หนึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่เขาจะหายไปสักพักเผื่อบรรเทาความว้าวุ่นใจ



          ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล...

          เมื่อคืนเขาแทบจะไม่ได้นอนเพราะมัวแต่คิดฟุ้งซ่านถึงเจ้าของริมฝีปากนั่น จนเอาตัวขึ้นมานั่งบนรถก็แล้ว เพื่อนมาชวนเล่นชวนคุยด้วยก็แล้ว แต่ไม่มีอะไรมาดึงดูดความสนใจเขาไปจากเหตุการณ์เมื่อวานได้เลย ความอึดอัดใจที่ล้นขึ้นเต็มอกทำให้เขาตัดสินใจเอ่ยพูดขึ้นกับ “ซัน” เพื่อนเตี้ยของเขา

          “ซัน...ถ้าเราไปจูบคนอื่นโดยที่เค้าไม่เต็มใจนี่มันผิดมากมั้ยวะ?”

          “แค่ก!” เสียงคนตัวเล็กสำลักขึ้นจนตัวโยน ความน่ากลัวคือมันไม่ใช่แค่ชา แต่มันยังมีไข่มุกก้อนนุ่มที่ซันกำลังดูดเข้าปากพยายามจะเข้าไปอุดติดหลอดลมให้คนเตี้ยแทบจะขาดอากาศตาย คนตัวเล็กไอเสียงดัง จากนั้นจึงหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่ไข่มุกเจ้ากรรมหลุดออกมาและไหลลงคอไป

          “เอ่อ...ถ้าเค้าแจ้งความขึ้นมา...สกายก็โดนข้อหาล่วงละเมิดทางเพศน่ะ...”

          คนฟังถึงกับหน้าเหวอขึ้นมาพลางหันไปมองคนข้างๆที่ตอบนี้กำลังกระแอมน้อยๆเนื่องจากระคายเคืองในลำคอ ซันเห็นเพื่อนแสดงสีหน้าแบบนั้นก็เลยพูดขึ้นแหยๆ     

          “แต่สกายหน้าตาดี...เค้าอาจจะไม่แจ้งความก็ได้นะ...มั้ง?”

          เป็นความคิดที่งี่เง่าที่สุดสำหรับสกายที่คิดจะเอ่ยปรึกษาเพื่อนเซ่อแบบซัน คงจะเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้เพื่อนเตี้ยของเขาวิ่งเล่นอยู่ในโลกของเด็กน้อยต่อไป ส่วนเขาก็ได้แต่นั่งพิงหัวกับหน้าต่างเหม่อลอยออกไป โดยที่ไม่สนใจจะเปลี่ยนเพลงแม้ว่ามันจะเล่นวนอยู่อย่างนั้นมาเป็นชั่วโมงแล้วก็ตาม...





          บนยอดภูเขาสูงที่มีอากาศเบาบางทว่าบริสุทธิ์ชื่นใจ ชายหนุ่มร่างสูงนั่งอยู่บริเวณลานกว้างที่มีหลังคามุงไว้อย่างง่ายๆ รอบตัวของเขามีเด็กชายหญิงเนื้อตัวมอมแมมท่าทางซุกซนล้อมรอบเต็มไปหมด มือเรียวเปิดหนังสือปกแข็งพลางอ่านออกเสียงให้เด็กๆที่นั่งอยู่ตรงนั้นฟัง

          “เด็กหญิงจำใจต้องเดินด้วยเท้าเปล่าท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บอย่างช่วยไม่ได้ หิมะได้กัดฝ่าเท้าบอบบางของเด็กหญิงจนเป็นสีแดงคล้ำช้ำขึ้น เธอก้มตัวลงอย่างทุลักทุเลพลางเก็บไม้ขีดไฟที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา...”

          เหล่าเด็กน้อยตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องราวที่ชายหนุ่มกำลังเล่า ดวงตาเป็นประกายสดใสจับจ้องไปที่คนๆเดียวไม่วางตา

          “ด้วยความหนาวเหน็บเกินกว่าที่ร่างกายเล็กๆของเด็กหญิงจะต้านทานไหว เธอจึงตัดสินใจจุดไม้ขีดไฟขึ้นมาหนึ่งก้าน แสงไฟดวงน้อยๆมอบความอบอุ่นแก่ร่างกายที่สั่นเทาอยู่นั้น ภาพของเตาผิงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นต่อสายตาอันอ่อนล้าของเธอ ฝ่าเท้าน้อยยืดออกไปอังรับความอบอุ่นได้เพียงครู่เดียวภาพเตาผิงนั้นก็พลันดับวูบลงไปพร้อมๆกับแสงไฟจากไม้ขีด”

          “จุดต่อเร็วๆสิ”

          เด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่งฟังอยู่เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น สกายละสายตาขึ้นจากหนังสือพลางมองออกไปด้วยรอยยิ้มจางๆ

          “เด็กหญิงไม่รอช้าจุดไม้ขีดไฟก้านที่สองขึ้น ก็ปรากฏให้เห็นโต๊ะตัวยาวที่ถูกปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตา บนโต๊ะนั้นมีอาหารนานาเรียงรายส่งกลิ่นหอมเชิญชวนให้ลิ้มลอง ทว่าเมื่อเธอตั้งใจจะเอื้อมมือไปคว้าไว้ไม้ขีดไฟกลับดับมอดลงพร้อมกับภาพที่เลือนหายไปเสียอย่างนั้น”

          “โธ่...น่าสงสารจัง...”

          ในขณะเดียวกันชายร่างผอมสูงกับชายร่างเตี้ยอีกคนกำลังเดินตรงเข้ามาทางสกาย เขาเห็นกลุ่มเด็กๆนั่งฟังอย่างสนใจ จึงนั่งลงปะปนกับเด็กเหล่านั้น

          “ไม้ขีดไฟก้านที่สามถูกจุดขึ้นต่อโดยพลัน ภาพของมารดาที่จากไปแล้วของเด็กน้อยปรากฏขึ้น ความอบอุ่นจากแม่ที่เด็กหญิงถวิลหา มือพลางไขว่คว้าภาพตรงหน้าน้ำตาคลอ...”

          “ทำไมสกายมันเล่านิทานดราม่าจังวะไอ้ซัน?”

          อ้อเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้ว ในขณะที่ซันนั่งฟังอยู่เงียบๆดูยังไงนิทานเรื่อง “หนูน้อยขายไม้ขีดไฟ” ก็ไม่น่าจะจรรโลงใจสักนิด แม้จะเป็นนิทานที่ให้ข้อคิดได้ดี ทว่าตอนจบแสนเศร้าเกินจะบรรยาย

          “ไม้ขีดไฟอีกก้านหนึ่งถูกจุดขึ้น ภาพของยายผู้ชรายิ้มขึ้นให้แก่เด็กหญิงอย่างอารี น้ำตาจากดวงตาอ่อนล้าพรั่งพรูออกมา เด็กหญิงที่ทุกข์ทรมานเนื่องจากคนที่เธอรักล้วนได้ทอดทิ้งเธอไปจากโลกนี้ เหลือเพียงบิดาผู้โหดร้ายที่ทุบตีเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

          สกายเอ่ยเล่าเรื่องราวต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสดงเก่งหรือว่ากำลังคิดถึงใครอยู่กันแน่

          “คุณยายขา คุณยายจริงๆด้วย หนูคิดถึงคุณยายเหลือเกิน...”

          “ไอ้สกายมันคิดถึงยายมันหรอวะ? แม่งเล่าซะโคตรอิน!”

          ซันได้แต่มองหน้าคนพูดเป็นเชิงตอบกลับไป เพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจเพื่อนคนนี้เช่นกัน ถึงแม้เขาจะพอรู้ก็ตามว่าสกายมีทีท่าไม่ปกติตั้งแต่วันแรกที่มาถึง

          “เด็กหญิงตัดสินใจคว้ามือเหี่ยวย่นอันอบอุ่นของหญิงชราพลางเดินล่องลอยตามไป ร่างกายบอบบางกระชับกอดกับหญิงชราแนบแน่น ดวงตาอ่อนล้าปรือหลับลงช้าๆ ใบหน้ามอมแมมฉายรอยยิ้มเป็นสุข ก่อนจะทิ้งร่างไร้วิญญาณให้จมกองหิมะอยู่เบื้องหลัง...”

          สกายบรรจงปิดหนังสือนิทานลง เบื้องหน้าเหล่าเด็กๆหลายคนเบะปากน้ำตาคลอไปกับบทสรุปที่ไม่สวยงามของนิทานเรื่องนี้

          “ทำไมหนูน้อยขายไม้ขีดไฟต้องตายด้วยอ่ะ!”

          พูดจบเด็กหญิงก็ส่งเสียงร้องไห้จ้ากระจองอแง ทำเอาชายสองคนที่นั่งฟังอยู่ตรงนั้นถึงกับต้องลุกพรวดพราดขึ้นมา

          “เฮ้ยไอ้สกาย! ทำไมมึงเล่านิทานดาร์กจังวะ? มึงจะไปไหนก็ไปเลยไป”

          อ้อเอ่ยขึ้นพลางผลักตัวรุ่นน้องแสนดราม่าออกจากกลุ่มเด็กๆ ในขณะที่ซันเองพยายามเข้าไปแทนที่เพื่อควบคุมสถานการณ์

          “ฮะๆ...น้องๆครับเดี๋ยวพี่เล่านิทานเรื่องใหม่ให้ฟัง คราวนี้เอาเรื่องสนุกๆเลยนะ นี่ไงเรื่องนี้ดีกว่า ราชสีห์กับหนู!”

          สกายค่อยๆลากร่างกายอันเซื่องซึมของเขาออกมา ตอนนี้ชายหนุ่มไม่มีกะจิตกะใจจะทำเรื่องบันเทิงเริงใจใดๆทั้งสิ้น เขาคิดถึงคนๆนั้นใจจะขาด บนยอดภูเขาสูงเช่นนี้สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ทำให้เขาขาดการติดต่อจากคนตัวเล็กไปโดยปริยาย วันๆก็เอาแต่เหม่อลอยนึกเสียใจในสิ่งที่เขาทำลงไป ใจหนึ่งเขาก็อยากกลับไปเจอกลับไปคุยกับเต้ยให้รู้เรื่อง แต่อีกใจหนึ่งเขากลับกลัวว่าเขาจะไม่ได้รับการให้อภัยจนรู้สึกอยากจะติดอยู่บนดอยแบบนี้ตลอดไป





          ยามราตรีที่ความมืดคืบคลานเข้ามา มีเพียงแสงจากตะเกียงไฟฟ้าที่สกายเตรียมมาช่วยให้ความสว่าง อากาศหนาวเย็นลงเหลือเพียงเลขตัวเดียว ชายสองคนในเสื้อกันหนาวตัวหนากำลังกางมุ้งอย่างทุลักทุเล

          “ซันนายช่วยเราจับชายมุ้งตรงด้านนู้นหน่อยดิ มันม้วนอยู่อ่ะ”

          “เฮ้ยไอ้ซัน ไอ้สกาย!”

          อ้อตะโกนเรียกเสียงดังมาแต่ไกลท่าทางตื่นเต้น มือข้างหนึ่งก็ถือไฟฉายเดินตรงเข้ามาหาคนทั้งสอง

          “พี่อ้อเบาๆหน่อย ดึกแล้วหนวกหูชาวบ้านเค้า...”

          “เออว่ะ...กูลืมตัว ขอโทษๆ”

          ซันกับอ้อตอบโต้กันน้ำเสียงกระซิบกระซาบ อ้อไม่รอช้ารีบช่วยคนทั้งสองกางมุ้งต่อพลางเอ่ยชวน

          “เออพวกมึง เดี๋ยวกางมุ้งเสร็จแล้วออกไปข้างนอกกัน กูมีอะไรดีๆจะให้พวกมึงดู”



          เพียงครู่เดียวชายหนุ่มทั้งสามก็มายืนอยู่ภายใต้ท้องฟ้ามืดสนิทที่พริบพราวไปด้วยทะเลดาว มันช่างสวยงามจนไม่อาจจะบรรยายได้ ราวกับดวงดาวนับหมื่นพันล้านดวงพร้อมใจกันมาทักทายพวกเขาในราตรีนี้ เป็นภาพที่ไม่มีโอกาสได้เห็นหากพวกเขายังอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีและตึกระฟ้า

          “โห...สวยมากเลยอ่ะพี่อ้อ...”

          ซันเอ่ยขึ้นแววตาเป็นประกาย ในดวงตากลมโตนั้นมีแสงระยิบระยับจากดวงดาวสะท้อนอยู่ ชายที่ยืนอยู่หลังขาตั้งกล้องยิ้มขึ้นน้อยๆก่อนจะเอ่ยตอบ

          “เออ...กูออกมาถ่ายรูปแล้วไม่อยากจะเห็นภาพนี้คนเดียว กูอยากให้พวกมึงได้เห็นด้วย”

          ชายอีกคนที่กำลังแหงนมองท้องฟ้า กำลังทอดอารมณ์ออกไป หากเป็นไปได้มีคนอีกคนหนึ่งที่เขาอยากให้มาเห็นภาพนี้ด้วยกัน คนที่เขาคิดถึงจนเจ็บปวด คนที่เขาหลงรักจนหมดใจ

          “สกาย...มึงเป็นไรวะ? ทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้...”

          “ผมก็อยากร้องไห้จริงๆนั่นแหละพี่อ้อ...”

          ดวงตาเรียวเศร้าหมองลง แม้ตอนนี้จะมืดมาก แต่ก็พอมองเห็นแสงสะท้อนจากหยดน้ำที่คลออยู่ในเบ้าตาของชายหนุ่ม ทำเอาคนอีกสองคนตกใจแตกตื่นไปหมด

          “เฮ้ย! อย่าร้องนะเว้ย กูอุตส่าห์ชวนมาดูของสวยๆงามๆ”

          “สกายเป็นอะไรอ่ะ? คิดถึงบ้านหรอ?”

          พูดจบมือหยาบๆก็ลอยมาผลักหัวคนเตี้ยอย่างไม่สบอารมณ์ ซันเอามือลูบหัวตัวเองป้อยๆพลางถอยห่างผู้ชายที่แสนดุร้ายคนนี้

          “ไอ้ซันมึงมันปัญญาอ่อน! เพื่อนมึงไม่ใช่เด็กประถมแล้วมั้ย? ถามไปได้!”

          สกายขำท่าทางของคนสองคน ทำให้ความเศร้าในใจของเขาทุเลาลงเล็กน้อย แขนผอมๆของคนตัวสูงเอื้อมเข้ามาโอบไหล่กว้าง อ้อเขย่าไหล่ของคนข้างๆพลางเอ่ยปลอบ

          “มึงคิดถึงใครวะ?”

          สกายพยายามมองสบตาของรุ่นพี่ที่อยู่ในความมืดนั้น เขาแปลกใจเล็กน้อยที่คนอย่างอ้อจะมานั่งปลอบใจเขาเช่นนี้ แต่มาคิดดูดีๆ ชายที่มีศิลปะในหัวใจย่อมเป็นคนละเอียดอ่อนเป็นธรรมดา

          “พี่อ้อดูออกด้วยหรอ?”

          “ดูออกสิวะ! ตั้งแต่ตอนที่มึงเล่านิทานละ แต่กูว่ามึงไม่น่าจะคิดถึงยาย”

          อ้อพูดจบก็หัวเราะขึ้นในลำคอ จากนั้นจึงพูดต่อ

          “มึงมีอะไรค้างคาใจมึงก็รีบๆจัดการให้เรียบร้อย คนเราเกิดมาแป๊บเดียวก็ตาย อย่ามามัวเสียเวลาลังเลใจอยู่ อย่าให้ความกลัวมาฉุดรั้งเราไว้ มีอะไรมึงก็ลุยดะไปเลย แล้วถ้าสุดท้ายผลลัพธ์มันไม่เป็นอย่างที่หวังมึงค่อยเสียใจก็ไม่สาย”

          เมื่อได้ฟังนั้นมันยิ่งทำให้สกายอยากรีบกลับไปเจอกับเต้ยให้เร็วที่สุด อย่างน้อยเขาก็แค่อยากจะเอ่ยคำขอโทษกับคนๆนั้น ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเต้ยจะยกโทษให้เขาหรือไม่ แต่เขาก็จะยอมรับผลของการกระทำแต่โดยดี

          “ทำไมวันนี้พี่อ้อพูดจาดีจัง?”

          “มึงกวนตีนกูหรอห๊ะไอ้ซัน! มึงอยากรีบเข้านอนใช่มั้ย? มึงมาๆ”

          อ้อพุ่งตัวเข้าไปล็อกคอรุ่นน้องร่างเตี้ยของเขา พลางลากซันไปทางบ้านพัก เสียงเจี๊ยวจ๊าวหยอกล้อของคนสองคนค่อยๆห่างจนเงียบสนิทไป ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนเดียวดายท่ามกลางท้องฟ้ากว้าง สกายสูดลมหายใจเข้าช้าๆพลางหลับตาเรียวลง สายลมเย็นอันเงียบงันโชยปะทะใบหน้า เส้นผมปลิวล้อลม

          หัวใจหนาวเหน็บราวกับจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย





          “พี่ครับๆ”

          กลุ่มเด็กชายหญิงสองสามคนมายืนเรียกชายหนุ่มอยู่หน้าบ้านพัก สกายไม่รอช้าที่จะลุกเดินไปหาเสียงเรียกนั้น พลันหัวโขกเข้ากับชายขอบบ้านเสียงดังลั่น เขาอยู่ที่นี่มากว่าสัปดาห์แล้ว จนวันสุดท้ายก็ยังหลบคานเตี้ยๆโง่ๆนี่ไม่พ้น

          “มีอะไรหรอ?”

          “พี่ช่วยไปดึงประตูให้พวกผมได้มั้ยครับ? เหมือนประตูมันจะตก เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก”

          “ได้สิ”

          กลุ่มเด็กๆเดินนำชายหนุ่มไปอีกทางห่างจากตัวบ้าน ภาพตรงหน้าคือกระท่อมไม้ขนาดเล็กที่เริ่มผุพัง สกายเดินตรงเข้าไปพลางขยับประตูเบาๆ แต่ก็เปิดไม่ออก

          เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงออกแรงดันแต่ประตูก็ช่างดื้อด้านเหลือเกิน เขาเขย่าประตูแรงๆพลางใช้ร่างทั้งร่างกระแทกกับบานประตูผุๆนั้นซึ่งมันก็ได้ผล ทว่าทั้งตัวเขาและประตูทั้งบานหลุดล้มลงเข้าไปข้างในกระท่อมนั้น ทำเอาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างในตกใจตีปีกร้องขันกันพรึ่บพรั่บ

          ‘ไก่!’

          ขนไก่ฟุ้งกระจุยกระจายอยู่ด้านใน ชายหนุ่มที่พยายามเอาร่างของเขาออกจากพื้นที่นั้นดูเหมือนจะไม่ทันการณ์ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว เสียงหายใจหวีดดังขึ้นอย่างอึดอัดทรมาน ชายหนุ่มหอบขึ้นจนตัวโยน พลางลุกขึ้นช้าๆพยุงร่างของตนขึ้น เหล่าเด็กๆตกใจกันหน้าตื่น คนหนึ่งรีบวิ่งออกไปตามคนมาช่วย ส่วนเด็กคนอื่นๆที่เหลือพยายามต้อนไก่ไม่ให้ออกจากเล้า

          ‘ยาอยู่ที่บ้านพัก’

          สกายพยายามลากร่างกายที่หนักอึ้งไปทางที่พัก เบื้องหน้าของเขามีชายสองคนวิ่งหน้าตาตื่นออกมา อ้อพุ่งตัวเข้าพยุงร่างที่กำลังหอบขาดอากาศอยู่นั้น ส่วนซันถือยาพ่นรักษาอาการหอบหืดติดมือมาด้วย เขารีบพ่นยาเข้าทางปาก ทว่ายาที่ควรจะออกฤทธิ์เร็วกลับไม่เป็นผล

          “พี่...ผมว่าผมต้องไปโรงพยาบาล...”

          “ไอ้ซัน! มึงรีบไปบอกประธานสโมฯ ว่าขอเอารถออกไปอนามัยที เร็วๆ!”

          คนตัวเล็กได้ฟังดังนั้นจึงรีบวิ่งออกไปตามคำสั่ง ร่างกายหอบโยนไร้กำลังพยายามก้าวขาไปตามการนำของคนพยุง ตอนนี้สกายได้แต่คิดถึงสิ่งที่อ้อพูดกับเขาเมื่อคืน

          ‘พี่เต้ย...ผมอยากเจอพี่...’



++++++++++++++++



          ในที่สุดเราก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่าสกายติดดอยอยู่นี่เอง คนอย่างสกายนี่ถ้าเอาจริงๆคงทำใจแข็งหนีเต้ยไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ นอกจากจะโดนเต้ยไล่ไปจริงๆ ฮ่าาาาา

          Gingerbread ที่เป็นชื่อตอนนี้หมายถึงสกายผู้เดียวดายนั่นเองค่ะ (ถึงอ้อกับซันจะคอยป่วนจนแทบไม่เหงาเลยก็เถอะ) ถ้าใครเคยอ่านนิทานเรื่องมนุษย์ขนมปังขิงก็จะรู้ว่าเจ้าขนมขิงเนี่ยมันหนีออกจากบ้านจนไปโดนหมาป่ากินเป็น sad ending ซะอย่างนั้น ส่วนสกายของเราก็หนีเต้ยมาเจอไก่ หอบกินไปจ้า ถึงที่คุยมาจะเกี่ยวกันบ้างไม่เกี่ยวบ้างแต่ตอนหน้าจะได้รู้กันแล้วล่ะค่ะ ว่าคู่รักสปีดจักรยานแม่บ้านจะลงเอยยังไง

          ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ ขอบคุณค่า ^^

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP24 : Kissing Yum Yum

          หลังจากที่อาการดีขึ้นจนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ในที่สุดร่างสูงก็ได้ออกจากห้องผู้ป่วยภาวะวิกฤต สกายถูกย้ายมาพักในห้องเดี่ยว และหมออนุญาตให้เขากลับบ้านได้ในวันรุ่งขึ้น

          “สกายเดี๋ยววันนี้แม่คงต้องล่วงหน้ากลับไปก่อน แม่ติดถ่ายละคร สมายดูแลน้องด้วยนะลูก”

          หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นพลางลูบหัวลูกชายด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่ชายหนุ่มเข้าค่ายครูอาสาจนกระทั่งถูกนำส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัด ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปกว่าสองอาทิตย์แล้ว เป็นช่วงเวลาอันแสนยาวนานสำหรับเขาโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้บ้าง

          “แม่ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้หนูกับน้องก็ได้กลับแล้ว แม่ตั้งใจทำงานนะคะเดี๋ยวทางนี้หนูดูแลให้เอง”

          “งั้นแม่ไปสนามบินก่อนนะลูก อยู่กันดีๆนะ”

          น้ำมนต์หอมแก้มลูกชายเบาๆหนึ่งที จากนั้นจึงโอบกอดลูกสาวแนบแน่นก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไป

          “สกายหิวน้ำป่าว? เดี๋ยวพี่เอาให้”

          คนป่วยพนักหน้าเบาๆ ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อยแต่ก็ดูแข็งแรงกว่าที่คิด ป่านนี้ทางมหาวิทยาลัยคงจะเปิดเทอมแล้ว หวังว่าซันคงจะช่วยตามงานให้เขาได้บ้าง

          ‘เออใช่โทรศัพท์มือถือ!’

          เมื่อนึกขึ้นได้ สกายก็เอ่ยถามหาของสำคัญของเขาทันที

          “พี่สมายมือถือผมอยู่ไหนอ่ะ?”

          “มือถือแกหรอ...?”

          หญิงสาวทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอจึงเบิกตาเล็กๆ กว้างขึ้นราวกับคิดอะไรออก

          “แม่เป็นคนเก็บไว้ให้แกว่ะ! สงสัยจะเผลอเอาติดตัวไปด้วย...”

          เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดถูกต้อง สมายไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาน้ำมนต์อย่างรวดเร็ว ไม่นานคนเป็นแม่ก็รับสาย

          [ว่าไงจ๊ะสมาย?]

          “แม่ แม่เอามือถือของสกายติดไปด้วยรึเปล่า?”

          [เอ๊ะ! เดี๋ยวแม่ขอหาก่อนนะ]

          เสียงของหญิงวัยกลางคนเงียบหายไปครู่หนึ่ง คาดว่าเธอคงกำลังรื้อค้นสัมภาระอยู่เป็นแน่

          [ตายแล้ว! อยู่กับแม่จริงๆด้วย ขอโทษทีนะลูก]

          “พี่สมายผมขอสายแม่หน่อย”

          สกายเอ่ยขึ้นกับผู้เป็นพี่ จากนั้นจึงรับโทรศัพท์จากมือบอบบางมา

          [จะให้แม่ย้อนกลับเอาไปคืนให้มั้ยลูก?]

          “ไม่เป็นไรครับแม่ ผมกลัวแม่จะตกเครื่อง แม่เอากลับไปที่บ้านแล้วเก็บใส่ลิ้นชักห้องผมไว้ก็ได้ครับ ผมฝากแม่ชาร์จแบตให้ก็พอ”

          [เอางั้นก็ได้จ๊ะ! แม่ขอโทษด้วยนะลูก หายไวๆ นะสกาย เดี๋ยวแม่วางสายก่อนพอดีทางกองถ่ายโทรมา แค่นี้นะจ๊ะ]

          ปลายสายวางหูไป ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างถึงทำให้เขาต้องขาดการติดต่อไปอีกวัน สกายได้แต่คิดในแง่ดีว่านี่อาจจะเป็นโอกาสให้เขาได้ดูแลตนเองให้แข็งแรงที่สุดก่อนจะไปเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่กำลังรอเขาอยู่ในวันรุ่งขึ้น





          “สกาย...สกาย...ถึงบ้านแล้วนะ”

          เสียงหญิงสาวที่เอ่ยเรียกทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวพลางลืมตาขึ้นช้าๆ ขณะนี้รถที่เขาและพี่สาวโดยสารมาได้จอดอยู่หน้าบ้านที่แสนคิดถึง สกายหลับมาตลอดทางเนื่องจากความอ่อนเพลีย เขางัวเงียเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป

          ‘โทรศัพท์มือถือ!’     

          นี่เป็นสิ่งแรกที่เขานึกขึ้นได้ ชายหนุ่มรีบร้อนเข้าไปในบ้าน เขาวิ่งตึงตังขึ้นชั้นบนไปจากนั้นจึงรีบเปิดลิ้นชักออกดูก็พบของมีค่าของเขาอยู่ในนั้น

          สกายไม่รอช้าเปิดหน้าจอโทรศัพท์ดูก็พบว่า มีสายที่ไม่ได้รับอีกทั้งข้อความแจ้งเตือนมากมายปรากฏอยู่ในนั้น ชายหนุ่มค่อยๆ ไล่เรียงดู ส่วนหนึ่งก็มีเพื่อนๆของเขาทักทายมา อีกส่วนหนึ่งก็เป็นข้อความจากสื่อโซเชียลต่างๆ แต่ที่น่าตกใจคือในบรรดาการแจ้งเตือนเหล่านั้น เกินครึ่งมาจาก “เต้ย” คนที่เขาคิดถึง

          ‘สกาย...กูอยากเคลียร์กับมึง’

          ‘มึงโกรธกูหรอวะ? ทำไมไม่อ่านเลย?’

          ‘มึงหายไปไหนวะ? มึงจะหนีหน้ากูไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย!’

          ‘มึงบล็อกกูหรอวะ? มึงอย่าทำแบบนี้ดิวะ!’

          ร่างสูงไล่เรียงอ่านข้อความที่ถูกส่งมาเกือบทุกวัน เขายิ้มขึ้นจางๆที่ได้รู้ว่าอย่างน้อย คนตัวเล็กยังพยายามติดต่อเขาอยู่ แม้ว่าตอนนี้จะเข้าใจผิดไปโขแล้ว จนกระทั่งมาถึงข้อความล่าสุดคือเมื่อสองวันที่แล้ว

          ‘สกาย...กูอยากเจอมึง’

          เมื่อเห็นข้อความเช่นนั้น สกายก็รีบกดโทรศัพท์เพื่อติดต่อกลับไป ทว่าปลายสายกลับไม่มีคนรับ ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มจะร้อนรนทนไม่ไหว กดโทรแล้วโทรอีกก็ไม่มีใครรับสาย เขาจึงตัดสินใจคว้ากระเป๋าสตางค์ กุญแจรถกับกุญแจอีกพวงหนึ่งซึ่งคล้องไว้กับพวงกุญแจรูปกระต่ายนุ่มหยุ่นสีขาว พลางพรวดพราดออกจากห้องไป

          “สกายแกจะไปไหนวะ?”

          “เดี๋ยวผมมานะพี่!”

          หญิงสาวไม่ทันจะเอ่ยห้าม น้องชายของเธอก็วิ่งแน่บออกจากบ้านไปแล้ว เธอได้แต่ส่ายหน้า จากนั้นจึงกลับไปสนใจภาพในจอโทรทัศน์ต่อ





          “ก๊อก ก๊อก ก๊อก”

          เสียงเคาะประตูดังขึ้นหากมีเพียงแค่ความเงียบส่งตอบกลับมา ร่างสูงลองขยับลูกบิดประตูเล็กน้อยจึงรู้ว่าห้องล็อกเอาไว้

          ‘พี่เต้ยคงไปเรียนอยู่...’

          ชายหนุ่มถือวิสาสะไขกุญแจที่ได้รับมาพลางเข้าไปในห้อง ด้านในปิดไฟมืดเงียบเหงา กลิ่นขนมอบจางๆถูกทิ้งไว้คละคลุ้ง เมื่อมองตรงเข้าไปก็พบว่าโทรศัพท์มือถือถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร

          ‘ลืมมือถือนี่เอง...’

          สกายขยับตัวอย่างเชื่องช้าเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งบริเวณปลายเตียง เขากวาดสายตามองไปรอบๆห้อง และได้แต่คิดว่าช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ความรู้สึกของคนตัวเล็กจะเป็นอย่างไรบ้าง คำว่า “อยากเจอ” อาจจะไม่ได้มีความหมายในแง่ดีก็เป็นได้ ชายหนุ่มพยายามจะไม่คิดลบแม้ว่ามันจะเป็นการยากก็ตาม เขาถอนหายใจยาว และตัดสินใจรอเต้ยอยู่ที่นี่จนกว่าจะกลับมา





          วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เต้ยต้องกลับห้องมาด้วยความสิ้นหวัง ชายหนุ่มไปตามหาสกายที่คณะแต่ก็ไม่พบ แม้แต่ “ซัน” เพื่อนตัวเล็กของสกายก็หายตัวไปไหนไม่รู้ เอ่ยถามอะไรกับ “น้ำ” เพื่อนของเขาก็ตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง เขาลากร่างกายอันหนักอึ้งมาถึงหน้าห้องก็พบว่ามีแสงไฟลอดออกมาจากประตู

          ‘เราลืมปิดไฟหรอวะ?’

          ทว่าเมื่อจับขึ้นที่ลูกบิดประตูก็พบว่าห้องไม่ได้ล็อก

          ‘เราล็อกห้องแล้วแน่ๆ จำได้!’

          ความหวาดระแวงเริ่มก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของชายหนุ่ม ตัวของเขาไม่มีอาวุธอะไรนอกจากร่างกายของตน เต้ยเอาหูแนบกับประตูห้องแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใด เขาค่อยๆแง้มประตูห้องออกด้วยใจหวาดหวั่น

          ภาพที่เห็นตรงหน้าคือความว่างเปล่า ร่างเล็กตัดสินใจก้าวเข้ามาในห้องโดยเบาเสียงฝีเท้าให้มากที่สุด จากนั้นจึงพบว่ามีชายคนหนึ่งกำลังหลับอย่างมีความสุขอยู่บนเตียงของเขา

          “ไอ้สกาย!”

          เสียงเรียกตะเบ็งดังขึ้นจนทำเอาคนที่กำลังหลับอยู่สะดุ้งตื่น เต้ยไม่รอช้าพุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อฉุดร่างที่กำลังนั่งอยู่ให้ผุดลุกขึ้น สกายใจหายวาบ หน้าซีดพลางหลับตาปี๋ มือสองข้างก็ยกขึ้นอย่างยอมแพ้

          “เหวอ! พี่เต้ย! ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกห้องพี่…”

          ตอนนี้สกายกำลังนึกถึงแรงหมัดระดับเก้าพันคะแนนของเต้ย ถ้าเขาโดนชกเข้าไปมีหวังได้กลับไปใช้ชีวิตต่อในโรงพยาบาลแน่ๆ ทว่าคนที่กำลังกระชากคอเสื้อของเขาอยู่กลับเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน

          “มึงหายไปไหนมา...”

          สิ่งที่สะกดสายตาของเขาตอนนี้คือใบหน้าทุกข์ใจของคนตัวเล็ก แววตาเศร้าสั่นระริก เต้ยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก มือที่กำคอเสื้อแน่นอยู่นั้นค่อยๆผ่อนแรงลงพลางซบศีรษะลงกับแผ่นอกกว้าง ท่าทางเช่นนี้ทำเอาสกายถึงกับใจสั่น เขารับรู้ได้ในทันทีว่าคนตรงหน้า “คิดถึง” เขามากขนาดไหน

          ดวงตาเรียวจับจ้องคนตรงหน้าอย่างหลงใหล สกายยกมือขึ้นสัมผัสลูบไล้เส้นผมนุ่มอย่างเบามือ เขาก้มหน้าลงช้าๆก่อนจะกดจมูกโด่งคมลงบนศีรษะอย่างอ่อนโยน

          “มึงหอมหัวกูทำไมเนี่ย?!”

          เต้ยเงยหน้าจากอกกว้างพลางบ่นขึ้นเสียงขุ่น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อย ทว่าคนที่หอมหัวเขาไปเมื่อครู่กลับส่งยิ้มอ่อนหวานกลับมา

          “ผมคิดถึงพี่...”

          ประโยคนี้ทำเอาคนฟังหน้าร้อนวูบขึ้นมา สีแดงระเรื่อค่อยๆจับขึ้นบนใบหน้า ตอนนี้เต้ยทำหน้าไม่ถูก เขาจึงเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน

          “...แล้ว...มึงจะตอบกูได้ยังว่ามึงหายไปไหนมาตั้งสองอาทิตย์?”

          “ผมไปเป็นครูอาสาบนดอยมา แล้วก็หอบหืดกำเริบจนเข้าไอซียู ก็เลยหายไปติดต่อไม่ได้”

          “แล้วมึงเป็นยังไงบ้างวะ...? ดีขึ้นรึยัง?”

          ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง เขาแสร้งทำเป็นอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง ทำเอาคนตัวเล็กหน้าเสียด้วยความกังวล

          “ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยพี่ ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายอีกแล้ว...”

          “เฮ้ย...แล้วมึงเอายามารึเปล่าวะ? มีอะไรให้กูช่วยบอกได้นะเว้ย”

          เต้ยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงพลางทิ้งตัวลงนั่งข้าง สกายส่งมือเรียวของเขาคว้าเข้ากับมือคนตัวเล็ก จากนั้นจึงนำมือนั้นลงมาทาบบนอกข้างซ้ายที่ก้อนเนื้อด้านในกำลังเต้นพริ้วไหวไม่เป็นจังหวะ

          “ผมไม่สบายตรงนี้ต่างหาก...”

          ตอนนี้คนที่ใจเต้นจนแทบจะหลุดออกมากลายเป็นเต้ยเสียอย่างนั้น เขาเขินจนแทบอยากจะวิ่งออกจากห้อง ทว่ากลับทำได้แค่เอ่ยขึ้นอุบอิบ

          “พะ...พูดอะไรของมึง…ฟังแล้วโคตรจักจี้เลย...”

          ริมฝีปากแดงอิ่มยิ้มขึ้น ดวงตาเรียวก็พลางส่งสายตาหวานเชื่อมให้ ทำเอาคนที่สบตาอยู่เมื่อครู่ถึงต้องหลบสายตาไปด้วยความขวยเขิน

          “พี่เต้ยรู้มั้ย? ที่ผมมาหาพี่ก็เพราะผมเห็นพี่ติดต่อมาเยอะมาก ไหน? พี่มีอะไรจะพูดกับผม?”

          ดวงตาใสกลับมามองตอบคนที่เอ่ยถามอีกครั้ง เต้ยอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา

          “ก็...กูก็แค่สงสัยว่ามึงหายไปไหน...กูคิดว่ามึงหลบหน้ากู...พยายามหายไปจากชีวิตกู...”

          “แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆ ล่ะ?”

          คนตัวเล็กขมวดคิ้วขึ้นพลางเอ่ยตอบขึ้นทันควัน

          “ก็กูยอมให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้ไง! กูถึงทั้งโทร ทั้งไลน์ ไปตามหาถึงบ้านถึงคณะมึงอ่ะ! มึงรู้ป่ะว่ากูเครียดไปหมด กินไม่ลง นอนก็ไม่หลับ จะเป็นบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย!”

          สกายเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจก่อนจะยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข เต้ยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เขากำลังพูดออกมามันไม่ต่างจากคำสารภาพรักอันแสนอ่อนหวาน

          “พี่เต้ยรู้มั้ย? ว่าที่พี่เป็นถึงขนาดนี้เพราะพี่เต้ย...รัก...ผมเข้าแล้วไง!”

          ร่างสูงเน้นเอ่ยคำว่า “รัก” คำนี้ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าเหวอขึ้นอย่างน่าเอ็นดู

          “รักหรอวะ?”

          สกายถอนหายใจแรงพลางกลอกตาอย่างเสียอารมณ์ ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มันเป็นยังไง บื้อจริงหรือแกล้งบื้อก็ไม่รู้ ตัวเองพูดมาขนาดนี้แล้วก็ยังจะตีหน้าเซ่ออยู่อีก

          “พี่เต้ย…ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรอ? งั้นเอางี้!”

          พูดจบก็เคลื่อนใบหน้าเข้าหาแก้มใส จากนั้นจึงกดจมูกลงขโมยหอมฟอดใหญ่ชื่นใจ ส่วนคนตัวเล็กก็ได้แต่ตกใจ ใบหน้าร้อนวูบแดงขึ้นมาอีกครั้งพลางยกมือขึ้นเช็ดแก้มเบาๆ

          “พี่เต้ยรู้สึกยังไง?”

          “ทำอะไร...?”

          ทั้งๆที่เขินแทบตายแต่ก็ยังคงปากแข็งเอ่ยถามบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย สกายเห็นดังนั้นจึงไม่รีรอที่จะเคลื่อนริมฝีปากแดงอิ่มของเขาจรดลงบนหน้าผากของคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา

          “แล้ว...แบบนี้ล่ะ?”

          เต้ยสบตาคนตรงหน้าที่กำลังจ้องมาแบบไม่ละไปไหน ตอนนี้เขาไม่รู้จะทำหน้ายังไง ได้แต่ขยับตัวหนีออกไป แต่เหมือนสกายจะไม่ยอม แขนแข็งแรงทั้งสองข้างรวบเอวคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ ใบหน้าห่างกันแค่คืบ

          “...อะไร?”

          คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นอุบอิบใบหน้ายู่ยี่พลางขยับใบหน้าหนีสกายเล็กน้อย คนไม่ยอมแพ้เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีก ก่อนจะจุมพิตลงบนเปลือกตาของคนตรงหน้าอย่างอ่อนหวาน เขาถอนริมฝีปากออกจากเปลือกตาบอบบางก่อนจะเอ่ยถามขึ้นเสียงอ่อน

          “...ทำแบบนี้แล้ว...พี่เต้ยรังเกียจมั้ย...?”

          ดวงตากลมหลุบลงด้วยความประหม่า เกิดมาเขาเพิ่งจะรู้ว่าความเขินสามารถฆ่าคนได้ ร่างเล็กปิดปากเงียบไม่เอ่ยตอบ คนที่กำลังกอดจึงส่งมือเรียวมาเชยคางคนตรงหน้าขึ้นพลางสบตาจ้องลึกลงไป ดวงตาสดใสถูกสะกดไว้ไม่ให้ละไปไหน

          ร่างสูงปรือตาลงพลางเคลื่อนริมฝีปากอิ่มเข้าหา ใบหน้าหมดจดของชายหนุ่มสะกดอีกฝ่ายให้นิ่งงัน จิตใจล่องลอยคล้อยตาม ดวงตาสดใสค่อยๆ หลับลง ริมฝีปากบางถูกแตะสัมผัสครอบครอง สกายบดจูบอย่างทะนุถนอมคนตรงหน้า ส่วนเต้ยก็เม้มจูบกลับไปอย่างเคอะเขิน

          รสจูบแสนหวานทำเอาร่างกายเบาหวิว ริมฝีปากทั้งสองแตะสลับบดเบียดแลกเปลี่ยนความรู้สึกระหว่างกัน ร่างสูงละเลียดริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยนก่อนจะถอนออกช้าๆ เปลือกตาที่ปิดอยู่เมื่อครู่เปิดขึ้นทีละน้อย ดวงตาทั้งสองสบกันหวานซึ้ง จากนั้นร่างสูงจึงเอ่ยขอเต้ยเสียงอ่อน

          “พี่เต้ย...คบกับผมนะ...”

          ใบหน้าใสจ้องมองสกายอย่างหวั่นไหว ความรู้สึกบางอย่างล้นขึ้นเต็มหัวใจ ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าเขา “หลงรัก” ผู้ชายคนนี้จนหมดใจ ดังนั้นคำตอบของเขาก็คงจะมีเพียงคำว่า “ตกลง” เพียงคำตอบเดียวเท่านั้น

          คนตัวเล็กหลบตาไปพลางพยักหน้าน้อยๆ ดูเหมือนว่าการให้คำตอบแบบนี้จะทำให้คนขอไม่พอใจสักเท่าไหร่ เขาจึงเอ่ยถามคาดคั้นอีกครั้ง

          “พี่เต้ยว่าอะไรนะ? ผมไม่เห็นได้ยินเลย...”

          คนตัวเล็กได้ฟังดังนั้นก็นิ่งไปพักนึง เขารวบรวมความกล้าทั้งหมดก่อนจะเปล่งเสียงออกไป

          “อืม...คบก็ได้...”

          คราวนี้เต้ยเอ่ยตอบเสียงค่อยขวยเขิน สกายดีใจโถมตัวเข้าใส่คนตัวเล็กจนล้มลงบนเตียงนุ่ม เขาพรมจูบไปทั่วใบหน้า ทำเอาคนที่ถูกทับอยู่รำคาญน้อยๆโวยวายเสียงลั่น

          “ไอ้สกาย! มึงพอได้แล้ว!”

          สกายยอมตามแต่โดยดี เขามองคนตรงหน้าอย่างมีความสุข ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองความรักที่เขาโหยหาต้องการ ราวกับเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่เขาได้มาอย่างยากลำบาก สิ่งที่สำคัญนับจากนี้ไปคือการรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ให้ยั่งยืนมั่นคง

          “พี่เต้ย...ผมรักพี่เต้ยนะครับ...”

          ดวงตาสดใสจ้องมองกลับไป ในใจอ่อนระทวยกับคำบอกรักของชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นตอบพลางเขิน

          “...กู...ก็เหมือนกัน...”

          คำพูดเพียงแค่นี้ทำเอาคนฟังใจแทบละลาย เขาเกือบอดใจไม่ไหวกับความน่ารักน่าเอ็นดูของคนๆนี้ สกายก้มตัวลงจูบเต้ยอีกครั้งอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล เต็มไปด้วยความรัก

          “ความรัก” ที่มอบให้แก่ “เต้ย” แค่เพียงผู้เดียว



++++++++++++++++



          สวัสดีค่า ขอบคุณสำหรับการติดตามเหมือนเดิมนะคะ ในที่สุดคู่นี้ก็แฮปปี้เอ็นดิ้งซักที ถึงเต้ยจะยังชอบปากแข็งขี้เขินอยู่เหมือนเดิมก็เถอะ

          ตอนหน้าจะเป็นตอนจบแล้วค่ะ หวังว่านักอ่านทุกท่านจะรู้สึกมีความสุขกับบทสรุปของเต้ยกับสกายไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่า                       


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

EP25 : Bake My Day     
   

          ‘กลิ่นอะไรหอมๆ...?’

          ชายหนุ่มที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของคนรักรู้สึกตัวตื่นขึ้นเนื่องจากไอกรุ่นของอาหารลอยมาเตะจมูกจากภายนอกห้อง สกายยันตัวลุกขึ้นนั่งสะลึมสะลือปากก็พลางหาวไปด้วย

          เขาเดินไปยังห้องน้ำวักน้ำล้างหน้าให้รู้สึกตื่นตัวสดชื่นขึ้น แล้วจึงหยิบแปรงสีฟันที่ถูกวางไว้ในแก้วน้ำเนื้อหนาเคียงคู่กับแปรงอีกอันจากนั้นจึงบีบยาสีฟันลงไป

          สกายออกจากห้องน้ำเดินตามกลิ่นหอมไปยังส่วนห้องอาหาร ภาพตรงหน้าคือคนตัวเล็กที่ยังอยู่ในชุดนอนกำลังตะล่อมไข่สีเหลืองนวลนุ่มในกระทะให้เป็นรูปทรงเรียวรี แสงจากหน้าต่างสาดเข้าใส่จนเปล่งประกายตาพร่าไปหมด ไม่รู้เป็นอะไรทุกครั้งที่เขาตื่นมาเห็นหน้าคนๆนี้ เขาถึงได้ตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งไป ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้คนที่กำลังง่วนกับการทำมื้อเช้าโดยไม่ส่งเสียง

          “หอมจัง”

          สกายเอ่ยขึ้นพลางฉีกยิ้มกว้าง จากนั้นจึงกดจมูกลงบนแก้มใสของคนที่กำลังตักออมเล็ตใส่จานอยู่ เต้ยสะดุ้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยไล่

          “ทำอะไรของมึง?! เดี๋ยวจะโดนกูทุบด้วยกระทะ! ไปนั่งรอที่โต๊ะเลย!”

          “ก็ได้ๆ...ทำไมโหดจัง...”

          สกายทำท่าเง้างอดไม่สมตัวพลางเดินไปนั่งลงเรียบร้อยอย่างเชื่อฟัง ด้วยความที่เต้ยเป็นคนขี้อายจึงมักจะแก้เขินด้วยการทำเป็นนิ่งหรือดุใส่เขาเสมอ สกายตั้งใจมองคนที่กำลังทำอาหารอย่างทะมัดทะแมงอยู่ ใบหน้าที่ควรจะนิ่งขรึมของเขายิ้มแฉ่งขึ้นแข่งกับดวงอาทิตย์ เขารู้สึกมีความสุขเหมือนคู่แต่งงานใหม่ยังไงอย่างงั้น

          เต้ยนำจานที่มีไข่นุ่มผสมด้วยผักหั่นทรงลูกเต๋าวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับขนมปังปิ้งอีกสามสี่แผ่น และแฮมสไลด์เนื้อดี เมื่อเห็นคนกำลังนั่งยิ้มไม่หุบจึงเอ่ยถามขึ้น

          “มึงยิ้มอะไร?”

          “เปล่า...”

          “งั้นก็รีบๆกินเดี๋ยวกูต้องรีบไปเรียน วันนี้มีอบรมกับเชฟขนมฝรั่งเศสด้วย!”

          เต้ยเก็บเงินได้มากพอที่จะไปเรียนเพิ่มเติมในวันเสาร์อาทิตย์ ตอนนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของเขาในชั้นปีที่สี่แล้ว เขามีความตั้งใจว่าจะไปลงเรียนทำขนมหลักสูตรเต็มเวลาหลังจากจบการศึกษา จึงตัดสินใจย้ายมาเช่าที่พักใกล้กับสถาบันใหม่มากขึ้นและก็กว้างขวางเป็นสัดเป็นส่วนขึ้นอีกด้วย





          รถคันย่อมสีตะกั่วชะลอจอดที่หน้าอาคารสีขาวสะอาดตา บริเวณนั้นมีผู้คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน เต้ยไม่รอช้าจะเปิดประตูออกจากรถทว่าแฟนหนุ่มยังไม่ได้ปลดล็อกให้เขา

          “เดี๋ยวสิพี่เต้ย...จะรีบไปไหน?”

          “มีอะไรวะสกาย?”

          สกายทำแก้มป่องจากนั้นจึงชี้ลงที่แก้มขาวๆของตน ส่วนคนที่กำลังตื่นเต้นอยากลงจากรถได้แต่มองเสี้ยวหน้านั้นคิ้วขมวด

          “ไม่เอาด้วยหรอกคนตั้งเยอะตั้งแยะ...น่าอายจะตาย...”

          “โถ่พี่เต้ย! ดูฟิล์มรถผมซะก่อน...อย่างมืด! ใครเค้าจะมาเห็น?”

          “กูไม่เชื่อมึงหรอก! ไม่ต้องมาหลอกกูเลย กูไปล่ะ...”

          เต้ยไม่สนใจ เขาจัดแจงปลดล็อกรถด้วยตนเอง แต่สกายชิงคว้าแขนร่างเล็กเอาไว้ก่อนจากนั้นจึงขโมยจูบลงบนแก้มใสไปอย่างมันเขี้ยว เล่นเอาเสียคนตัวเล็กหน้าร้อนวูบแดงเหมือนมะเขือเทศจิ๋วน่ากิน

          “โชคดีนะครับตั้งใจเรียนนะ เดี๋ยวเย็นนี้ผมมารับ”

          คนขี้ขโมยเอ่ยขึ้นพลางโบกมือลาน้อยๆ ส่วนผู้เสียหายก็มัวแต่ทำหน้าเลิ่กลั่กกลัวจะมีคนมาเห็นเข้า จากนั้นจึงรีบผละตัวลงจากรถไป

          สกายขับรถกลับไปตามเส้นทางเดิมอย่างอารมณ์ดี วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่เขากับเต้ยตกลงปลงใจเป็นคนรักกัน เขาตั้งใจจะทำเซอร์ไพรส์เล็กๆให้กับเต้ย สกายได้แต่หวังว่าวันนี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามความตั้งใจของเขา





          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่เต้ยกำลังพักกลางวันอยู่พอดี เมื่อมองจอก็พบว่าคนรักของเขานั่นเองที่เป็นคนโทรมา

          “ว่าไงสกาย”

          [พี่เต้ย...วันนี้ผมคงไปรับพี่ไม่ได้แล้วนะ ผมต้องไปธุระด่วนกับที่บ้าน...]

          “อ้าวหรอวะ? เออไม่เป็นไร กูกลับเองได้”

          [งั้นผมรบกวนพี่อย่างนึงสิ]

          “อะไรวะ?”

          คนตัวเล็กมุ่ยหน้าถามอย่างสงสัย

          [พอเลิกเรียนแล้วพี่รีบกลับห้องเลยได้มั้ยอ่ะ? ผมปั่นผ้าทิ้งไว้ ยังไม่ได้ตากเลยเนี่ย...]

          “เออ...ได้ดิวะ”

          [โอเค...รีบกลับเลยนะ! อย่าไปเถลไถลที่ไหนนา...]

          “เออ! กูรู้แล้ว!”

          [แฟนผมน่ารักจัง งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ]

          เต้ยยิ้มขึ้นน้อยๆหลังจากสกายตัดสายไป ไม่ใช่ว่าเต้ยไม่ชอบที่สกายมักจะเกาะแกะ หรือปากหวานใส่เขาบ่อยๆ เพียงแต่ว่ามันทำตัวไม่ถูกมากกว่าเวลาอยู่ต่อหน้าคนรักของเขา เต้ยรู้สึกเหมือนจะตายได้วันละหลายๆครั้งเพราะความเขิน





          ในที่สุดคลาสห้าชั่วโมงของเต้ยก็จบลง เขาลากร่างกายอันเหนื่อยล้ามาที่ประตูห้อง เมื่อเปิดเข้าไปก็ปะทะกับไอเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ เขาเอื้อมมือเปิดไฟก็พบว่าในห้องตอนนี้ถูกประดับประดาไปด้วยลูกโป่งสีหวานที่ทั้งแขวนไว้ ทั้งตั้งพื้น ล้นทะลักไปหมดจนแทบไม่มีที่เดิน

          ร่างเล็กเดินลุยทะเลลูกโป่งเข้าไปด้านในอย่างยากลำบาก เขาค่อยๆก้าวอย่างเชื่องช้าเนื่องจากกลัวว่าลูกโป่งจำนวนมหาศาลพวกนี้จะระเบิดแตกเสียก่อน

          บนโต๊ะเล็กหน้าโซฟามีดอกไม้ช่อเล็กน่ารักวางอยู่ ดอกยิปโซฟิลล่าสีขาวเล็กจิ๋วถูกจัดเป็นช่อห่อไว้ในกระดาษสีเนื้อเรียบง่าย เต้ยวางข้าวของลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา จากนั้นจึงหยิบช่อดอกไม้ขึ้นมาแล้วก็พบว่าข้างใต้มีการ์ดขนาดเล็กเสียบเอาไว้

          ‘เข้าไปในห้องนอน’

          นี่คือข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ในการ์ด เต้ยยิ้มขึ้นพลางส่ายหัวน้อยๆ จากนั้นจึงเดินลุยลูกโป่งต่อไปจนถึงประตูห้อง

          ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากกองทัพลูกโป่ง ในห้องนอนมีเพียงโทรทัศน์ที่ถูกเปิดเอาไว้คลอด้วยเสียงดนตรีเบาๆ ในจอปรากฏภาพของเต้ยกับสกายที่ถ่ายด้วยกันมากมายมาตลอดระยะเวลาหนึ่งปี

          เต้ยทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงโดยที่ในมือยังถือดอกไม้ช่อน้อยอยู่ ตากลมจดจ้องหน้าจออย่างตั้งใจ ภาพบางภาพก็ตลกเสียจนทำเอาชายหนุ่มหัวเราะขำเสียงดัง คนตัวเล็กนั่งอมยิ้มอย่างมีความสุข พลางซึมซับกับสิ่งที่ฉายอยู่ตรงหน้า

          “แม่ง...ทำอะไรหวานแหววชิบหาย...”

          ริมฝีปากบางยิ้มขึ้นไม่หยุด ในใจรู้สึกอบอุ่นและประทับใจกับสิ่งที่คนรักของเขาตั้งใจทำให้

          ทันใดนั้นเอง...

          “เหวอ!”

          มือเย็นๆฉวยเข้าที่ข้อเท้า เต้ยตกใจร้องลั่นสะดุ้งพรวดพลางชักขาที่ห้อยอยู่ขึ้นบนเตียง ส่วนคนขี้แกล้งที่มุดอยู่ข้างใต้ก็สะดุ้งตามจนหัวโขกขอบเตียงดังลั่น

          “โอ๊ย! จะ...เจ็บๆ ๆ”

          “ไอ้เหี้ยสกาย! มึงเล่นอะไรของมึงวะ? กูตกใจแทบตาย!”

          คนที่เล่นงี่เง่าค่อยๆคลานออกมาจากใต้เตียงหัวยุ่งกระเซอะกระเซิง เขาผุดลุกขึ้นยืนพลางขยี้หัวบริเวณที่เจ็บปวดป้อยๆ

          “แม่ง...กูกำลังซึ้งเลยมึงเสือกเล่นอะไรปัญญาอ่อน!”

          “ก็ผมกลัวว่ามันจะโรแมนติกเกินจนเลี่ยนไง”

          สกายนั่งลงบนเตียงข้างๆเต้ยพลางหัวเราะชอบใจอย่างมีความสุข เต้ยเห็นผมที่กระเจิงอยู่ของคนตรงหน้าจึงช่วยจัดแต่งให้อย่างเบามือ เขาเองก็นึกขำในความบ้าๆบอๆของคนๆนี้อยู่เหมือนกัน

          “เออพี่เต้ยผมมีอะไรจะให้”

          ชายหนุ่มล้วงมือขยุกขยิกเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางดึงกล่องกระดาษที่ยับยู่ออกมา เนื่องจากคนตัวสูงเล่นพิเรนทร์มุดลงไปอยู่ใต้เตียงเมื่อครู่

          “มึงเอาขยะมาให้กูทำไมวะ?”

          “ไม่ใช่ขยะเว้ยพี่!”

          เมื่อแกะกล่องกระดาษเน่าๆออกดู เต้ยก็พบถุงผ้าเนื้อลื่นขนาดย่อมหนึ่งใบภายในนั้นมีแหวนเกลี้ยงวงจิ๋วสีเงินสะท้อนแวววาวสะดุดตา

          “แหวน? ทำไมมันเล็กจังวะ?”

          “มานี่ผมใส่ให้!”

          สกายบรรจงสวมแหวนวงน้อยลงบนนิ้วก้อยข้างซ้ายของคนตัวเล็ก หลังจากนั้นเขาก็ชูนิ้วก้อยของตนที่สวมแหวนแบบเดียวกันขึ้นมาพลางเกี่ยวนิ้วทั้งสองเข้าด้วยกัน

          “เกี่ยวก้อยสัญญารัก!”

          “พรื่ด! ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

          เต้ยถึงกับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เขาอดขำกับทีท่าเพ้อเจ้อของคนตรงหน้าไม่ได้จริงๆ เสียงหัวเราะลั่นของเต้ยทำเอาสกายหงอยหน้าง้ำไปเลย

          “สกาย! ทำไมมึงมุ้งมิ้งจังวะ?”

          “ก็ผมรักพี่เต้ยนี่นา...”

          “เออ...กูรู้แล้ว ขอบใจนะเว้ย...”

          เมื่อได้ฟังดังนั้น สกายก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาปิดเป็นสระอิ เต้บสบตามองคนตรงหน้าจากนั้นจึงเอ่ยความในใจต่อคนที่เขารัก

          “สกาย...ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่มึงทำเพื่อกู ตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกันจนถึงวันนี้ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าตอนนั้นกูไม่ได้รู้จักมึง ชีวิตกูตอนนี้จะเดินไปในทิศทางไหน...”

          เต้ยลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยขึ้น

          “มึงรอนี่แป๊บนึง กูมีอะไรจะให้”

          คนตัวเล็กเดินลุยกองลูกโป่งออกไปทางห้องนั่งเล่นอีกครั้ง จากนั้นเขาก็กลับมาพร้อมขนมกล่องหนึ่ง

          “กูให้มึง”

          ร่างสูงเปิดกล่องขนมออกดูก็พบว่าภายในเป็นมาการงรูปหัวใจหลากสี สกายอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้รับของขวัญจากคนรัก ไม่ว่าเต้ยจะให้อะไรกับเขา เขาก็รู้สึกปลื้มปริ่มยินดีกับทุกสิ่ง

          “กู...แสดงความรักไม่เก่ง พูดหวานๆก็ไม่ค่อยเป็น แถมยังไม่โรแมนติกอีก แต่มาการงกล่องนี้กูตั้งใจทำให้มึงจริงๆนะเว้ย กูใส่ความรักลงไปทุกชิ้นเลย มึงลองกินดูแล้วมึงจะเข้าใจ...”

          เต้ยพูดเองก็เขินเองเสียอย่างนั้น ทำเอาสกายอดใจไม่ไหวโผเข้ากอดคนตรงหน้าแนบแน่น ส่วนร่างเล็กเองก็กอดตอบคนตัวสูงอย่างอบอุ่นกลับไปเช่นกัน ใบหน้าของคนทั้งคู่เปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข

          “เออพี่เต้ย...ผมมีอะไรจะสารภาพ”

          คนที่อยู่ในอ้อมกอดทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินคนรักของเขาเอ่ยขึ้น

          “พี่เต้ยจำตอนที่ผมขับรถเกือบชนพี่ได้รึเปล่า?”

          “อืม...จำได้ดิ ทำไมวะ?”

          “คือตอนนั้นน่ะ...มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ผมจงใจ...”

          เต้ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ส่วนสกายยิ้มแหะแบบเกรงๆ

          “พี่...โกรธรึเปล่า?”

          เต้ยนิ่งเงียบไม่มีคำตอบ ทำให้สกายชักจะหวั่นใจว่าเขาอาจจะคิดผิดที่เปิดปากเล่าความจริงที่เขาเคยกระทำโง่ๆกับผู้ชายคนนี้มาก่อน

          “เพราะผมอยากรู้จักพี่ อยากคุยกับพี่ แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง...”

          เต้ยจ้องสกายตาไม่กะพริบหลุดยิ้มขำขึ้น

          “มึงนี่มัน...โคตรสกายเลยว่ะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ”

          คนตัวเล็กหัวเราะไม่หยุดจนตัวพับตัวงอ ถูกแล้ว เขาขำที่รุ่นน้องคนนี้มักจะทำอะไรโง่ๆงี่เง่าอย่างคาดไม่ถึง แต่จะทำยังไงได้...

          “ถ้ากูรู้ความจริงตั้งแต่แรกกูก็คงจะโกรธนั่นแหละ แต่พอดีกูมารู้ทีหลัง...กูก็เลยไม่โกรธ”

          ...ก็เพราะเขาหลงรักคนๆนี้ไปแล้วนี่นา

          สกายยิ้มกว้างเมื่อเห็นทีท่าของคนที่เขารัก เขาหยิบช่อดอกไม้ที่ถูกวางอยู่บนเตียงขึ้นมาชื่นชมพลางเอ่ยถาม

          “พี่เต้ยรู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่ผมให้พี่มีความหมายว่ายังไง?”

          “ไม่รู้หรอก...มึงบอกกูมาดิ”

          “มันหมายถึง รักแรกพบ”

          อยู่ๆหัวใจของคนฟังก็เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะขึ้นมาดื้อๆ ตาเรียวจับจ้องเข้าไปในดวงตาสดใสลึกซึ้ง ชายหนุ่มขยับใบหน้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็กก่อนจะเอ่ยต่อ

          “เป็นความรู้สึกของผมตั้งแต่ที่เจอพี่เป็นครั้งแรก...และทุกวันนี้พี่ก็ทำให้ผมรู้สึกตกหลุมรักได้ทุกวันไม่เคยเปลี่ยน...”

          มือเรียวช้อนมือของร่างเล็กขึ้นจุมพิตลงบนแหวนที่ถูกสวมอยู่บนนิ้วก้อยอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน

          “ผมรักพี่เต้ยนะครับ...”

          แววตาสดใสสั่นระริกไปพร้อมกับใบหน้าที่ร้อนขึ้น คำๆหนึ่งที่ร่างเล็กก็อยากจะเอ่ยบอกคนตรงหน้าใจจะขาดหากแต่มันจุกอยู่ในลำคอ ทำให้เขาต้องเค้นความกล้าทั้งหมดและเอ่ยมันออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

          “พี่ก็...รักสกายเหมือนกัน...”

          ดวงตาที่มองสบกันอยู่หลับลงช้าๆ ริมฝีปากอิ่มประกบลงบนริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา ร่างสูงละเมียดลิ้มรสริมฝีปากบางอย่างละมุนละไม ความหอมหวานจากรสจูบของคนรักทำให้ร่างกายสั่นไหว มือของคนทั้งสองเกาะกุมกันแน่น ลิ้นอุ่นเกี่ยวกระหวัดแลกรสสัมผัสระหว่างกันให้ในใจมันหวิวเบาๆ

          หากวันนั้นสกายตัดสินใจที่จะเก็บความรู้สึกของตนเอาไว้ไม่ถ่ายทอดมันออกไป เขาอาจจะไม่ได้มีความสุขเช่นวันนี้...

          ...วันที่เป็นวันที่ดีสำหรับคนสองคน โดยมีแหวน ดอกไม้ และขนมหวาน ทำหน้าที่ราวกับเป็นสักขีพยานคำสาบานรักที่ทั้งสองจะมีให้แก่กัน

          ...นับจากนี้และตลอดไป...



++++++++++++++++



          สวัสดีค่าทุกๆท่าน ในที่สุดนิยายแสนเรียบง่ายเรื่องนี้ก็จบลงโดยสมบูรณ์แล้วค่า ขอขอบคุณที่คอยติดตามอ่านนิยายเรื่องแรกที่เปรียบเสมือนแบบฝึกหัดของเรามาโดยตลอด อยากบอกว่าทุกยอดวิว ยอดบวกที่กดให้ รวมถึงคอมเม้นมีความหมายและเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับเรามากๆเลยค่ะ

          สุดท้ายนี้เราจะลงตอนพิเศษเพิ่มอีกสองตอน ยังไงก็ฝากติดตามกันต่ออีกซักนิดนะคะ


ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
SP# You are my Cherry Blossom [Ohm x Peam]

          “Hey…Ohm! Don’ t make a long face. I’ m gonna win this for you!” (เฮ้ย! ไอ้โอม...อย่าทำหน้าบูดเป็นตูดแบบนั้นดิวะ คอยดูนะกูจะชนะเพื่อมึงให้ได้เลย!)

          นี่เป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ “ดีเรค” ซึ่งเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยจะออกเดินทางไปแข่งขันว่ายน้ำที่อีกซีกฟากหนึ่งของประเทศ ในขณะที่โอมตกรอบคัดตัว

          เด็กหนุ่มนั่งหน้าซึมกะทือไม่มีกระจิดกะใจจะทำอะไร ในใจก็ได้แต่พร่ำตอกย้ำดูแคลนตนเองว่าช่างไร้ความสามารถ ทำเอาชายหนุ่มร่างบางที่มองอยู่อดเป็นห่วงไม่ได้

          “โอม...อย่าไปคิดมากเลยนะ โอกาสหน้ายังมี”

          โอมสบตาคนพูดจากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูเหมือนว่าคำปลอบใจจะไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น

          “เอางี้มั้ยไหนๆเราก็มีโอกาสได้อยู่กันแค่สองคน เราไปเที่ยวค้างคืนด้วยกันเป็นไง?”

          ภีมเสนอหวังจะให้คนรักของเขาสดชื่นขึ้นบ้าง ทว่าเด็กหนุ่มก็ได้แต่พยักหน้าแค่สองสามทีแล้วก็นิ่งเฉยอยู่เหมือนเดิม ใบหน้าสวยฉายแววกังวล อย่างน้อยถ้าการไปเที่ยวครั้งนี้ทำให้โอมร่าเริงขึ้นได้ก็คงจะดี



          ยิ่งกว่าได้ผล หลังจากที่คนทั้งสองเดินทางมาถึงจุดหมาย ดวงตาซื่อใสของเด็กหนุ่มก็ลุกวาวขึ้น เมื่อเขาเห็นต้นแบบของเครื่องบินลำแรกที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลก

          “พี่ภีมที่นี่โคตรเจ๋งอ่ะ! โอมอยากมาตั้งนานแล้ว เพราะโอมชอบพวกเครื่องบินแล้วก็อวกาศมากๆเลย”

          ริมฝีปากหยักยิ้มขึ้นอย่างพอใจเมื่อได้เห็นท่าทีของเด็กหนุ่ม ไม่เสียแรงที่เขาขับรถมาไกลถึงเมืองหลวงของประเทศแห่งนี้ ใบหน้าสดชื่นของโอมทำให้ภีมมีความสุขไปด้วย ขณะนี้เด็กหนุ่มกำลังก้มๆเงยๆอ่านคำอธิบายในพิพิธภัณฑ์อย่างตั้งใจ ส่วนคนที่เคยมาที่นี่หลายหนแล้วได้แต่เดินตามไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

          “พี่ภีมๆ มาดูอันนี้เร็ว! ห้องบังคับการของยานอพอลโล โอมคิดว่ามันจะใหญ่กว่านี้ซะอีก เบียดกันเข้าไปได้ยังไงก็ไม่รู้เนอะ?”

          โอมลากแขนบางๆให้มายืนข้างๆพลางชี้วัตถุขนาดใหญ่รูปทรงกรวยสามเหลี่ยม ที่ด้านในเต็มไปด้วยแผงควบคุมเข้าใจยากและเก้าอี้นั่งสำหรับนักบินอวกาศอย่างตื่นเต้น ท่าทางคึกคักไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มทำให้ภีมรู้สึกมันเขี้ยวเอ็นดูอยู่ไม่น้อย แต่ชายหนุ่มก็ยังสงบใจเดินตามคนรักต่อไปอย่างมีความสุข

          เด็กหนุ่มยังคงตระเวนรอบพิพิธภัณฑ์โดยที่พละกำลังแทบจะไม่ลดลงเลย ในขณะที่ภีมเริ่มจะเหนื่อยและเบื่อขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่าสิ่งเดียวที่ยังรั้งให้เขามีแรงเดินอยู่ได้คือความสดใสของโอม

          ‘โครก...’

          เสียงท้องร้องลั่นดังขึ้น เวลาล่วงเลยช่วงกลางวันมาไกลมากแล้ว ถึงร่างกายจะตื่นเต้นสนุกสนานแค่ไหนแต่กระเพาะน้อยๆ ก็จะไม่ยอมอ่อนให้ ริมฝีปากได้รูปยิ้มแห้งขึ้นก่อนจะเอ่ยถามแก้เก้อ

          “พี่ภีม...พี่ภีมหิวรึยัง? ไปกินข้าวกัน”

          “นิดนึง...แต่ไม่เท่าโอมหรอก ท้องร้องซะดัง!”

          ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมสวยมองสบตาใสซื่อของอีกฝ่ายที่มีทีท่าเขินเล็กๆ จากนั้นทั้งสองจึงพากันเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ไป



          อาหารมื้อนี้คือแซนด์วิชง่ายๆที่พวกเขาซื้อมานั่งกินบริเวณม้านั่งด้านนอกอาคาร เวลานี้ผู้คนพลุกพล่านจนทุกพื้นที่แน่นขนัดไปหมด ในขณะที่โอมกับภีมคุยเล่นหยอกล้อกันอยู่นั้นก็มีหญิงสาวสองคนเดินปรี่เข้ามา คนหนึ่งเป็นสตรีผมสีแดงฉาน ดวงตาสีเขียวสดใส ในขณะที่อีกคนเป็นชาวเอเชียทำผมสีน้ำตาลอมเทาดูโฉบเฉี่ยว

          "Can we sit here? " (ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ?)

          "Sure" (ได้ครับ)

          หญิงสาวผมเทาเอ่ยขึ้น เธอยิ้มให้ชายทั้งสองเล็กน้อยจากนั้นจึงนั่งลงข้างๆ จากนั้นหญิงสาวผมสีแดงก็นั่งลงตาม

          "Hi I'm Myra and She is Chloe nice to meet you." (สวัสดีเราชื่อไมร่า ส่วนอีกคนชื่อโคลอี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ)

          ริมฝีปากบางที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีน้ำตาลอมส้มฉ่ำเอ่ยขึ้นในขณะเดียวกันดวงตาสีเขียวสดใสก็พลางจับจ้องดวงตาใสซื่อของเด็กหนุ่มผิวเข้มไม่วางตา

          "Hi I'm Ohm and this is Peam nice to meet you too." (สวัสดีเราชื่อโอมนะ ส่วนนี่ภีม ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน)

          "Where are you guys from? " (พวกนายเป็นคนที่ไหนหรอ?)

          โคลอี้เอ่ยถามขึ้นอย่างสนอกสนใจ ในขณะที่ไมร่าส่งสายตาและรอยยิ้มที่มีความนัยให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่ลดละ ภีมที่เห็นทีท่าของฝรั่งผมแดงก็ได้แต่กลอกตามองเบาๆ

          "We are Thai." (พวกเราเป็นคนไทยน่ะ)

          "I have been there before. I'm completely falling for the sea and sunshine." (เราเคยไปที่นั่นมาก่อน เราหลงรักทะเลกับแสงแดดของที่นั่นเข้าเต็มเปาเลย)

          หญิงสาวตาชั้นเดียวเอ่ยขึ้นพลางเชิญชวนหญิงสาวอีกคนอย่างกระตือรือร้น

          "You should go there once in your life Myra. You will love it." (ไมร่า เธอต้องไปที่นั่นให้ได้ซักครั้งนึงในชีวิต รับรองว่าเธอจะหลงรัก)

          "Wow it's sound like fun. Will you be the guide for me then? " (ฟังดูน่าสนุกดีนะ แล้วนายจะมาเป็นไกด์ให้เราได้รึเปล่า?)

          ไมร่าเอ่ยขึ้นกับโอม ซึ่งเด็กหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มตอบไปเล็กน้อยพลางพยักหน้าเบาๆ ส่วนภีมเหมือนจะเลิกสนใจบทสนทนานี้ไปแล้ว เขาตั้งใจเอาแซนด์วิชหน้าตาน่ากินใส่ปากอย่างเดียว โคลอี้เห็นท่าทางของคนหน้าสวยจึงเอ่ยขึ้น

          "Seem like you enjoy your meal so much. Hey Peam can you show me where the food stall is? " (ภีมดูนายจะอร่อยมากเลยเนอะ ช่วยพาเราไปดูหน่อยสิว่ามันขายอยู่ร้านไหน?)

          "Ok..." (โอเค...)

          ภีมตอบไปอย่างไม่ยี่หระพลางผุดลุกขึ้นยืน หญิงสาวผมสีเทาไม่รอช้ารีบลุกขึ้นตาม จากนั้นจึงหันมาเอ่ยขึ้นกับคนทั้งสองที่ยังนั่งอยู่

          "We will right back." (เดี๋ยวพวกเรามานะ)

          ใบหน้าสวยหันมาอมยิ้มให้กับเด็กหนุ่มน้อยๆก่อนเดินจากไป ทำเอาโอมได้แต่มองตาม ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกแปลกๆระคนกังวลใจกับทีท่าของหญิงสาวผมสีเทา ส่วนทางด้านหญิงสาวผมแดงเห็นคนสองคนเดินจากไปจึงถือโอกาสจู่โจมเด็กหนุ่ม

          "Ohm...do you have girlfriend? " (โอม...นายมีแฟนรึยัง?)

          "No" (ยังนะ)

          หญิงสาวยิ้มขึ้นอย่างดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แน่นอนว่าคำตอบมันต้องเป็นแบบนี้เพราะแฟนของเขาเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง

          "Oh really?! " (โอ๊ะ จริงหรอ?!)

          ทว่าเด็กหนุ่มดูเหมือนจะไม่ได้สนใจสิ่งที่คู่สนทนาพูด ตอนนี้โอมรู้สึกร้อนรนเล็กน้อยที่หญิงสาวอีกคนหนึ่งจงใจชวนคนรักของเขาออกไปด้วยกันสองต่อสอง ความหวาดระแวงก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าใครหน้าไหนที่พยายามเข้ามาใกล้ชิดรุ่นพี่หนุ่มของเขา เขาก็ยอมไม่ได้ทั้งนั้น

          "It's that ok if I ask for your..." (จะเป็นอะไรมั้ยถ้าเราจะขอ...)

          "Excuse me" (ขอตัวก่อนนะ)

          ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ เด็กหนุ่มกลับขอตัวพลางลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไปเฉยๆเสียอย่างนั้น ส่วนทางหญิงสาวก็ได้แต่งงจากนั้นจึงลุกตามไปอย่างรีบร้อน

          "Hey Ohm! wait! " (โอม! รอด้วย!)



          อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มร่างบาง กับหญิงสาวท่าทางมาดมั่นยืนซื้อของอยู่ด้วยกันที่หน้าซุ้มขายอาหาร โคลอี้เห็นว่าทางสะดวกจึงเอ่ยขึ้นพูดกับชายหนุ่ม

          "Peam can you help us for something? " (ภีมช่วยพวกเราอย่างนึงได้มั้ย?)

          "Just say it." (ว่ามาสิ)

          "Seem like… Myra have a crush on Ohm. We followed you guys from the museum." (ดูเหมือนว่า...ไมร่าจะชอบโอมเอามากๆ พวกเราก็เลยตามนายสองคนมาตั้งแต่ในพิพิธภัณฑ์แล้ว)

          "So? " (แล้ว?)

          "Is it possible if I ask you to left them together? " (จะเป็นไปได้มั้ยถ้าเราจะขอให้นายปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน?)

          เมื่อหญิงสาวพูดจบ ชายหนุ่มก็ได้เหยียดยิ้มขึ้นพลางสบตาคนตรงหน้า ภีมเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

          "Actually Ohm is dating with someone." (จริงๆแล้วตอนนี้โอมมีคนที่คบด้วยอยู่แล้วน่ะ)

          “Oh…I see…but…” (อ๋อ...อย่างนั้นหรอ...แต่ว่า...)

          "พี่ภีม! "

          คนที่ถูกเอ่ยถึงส่งเสียงเรียกชายหนุ่มมาแต่ไกล โดยที่มีหญิงสาวผมแดงเดินตามมาติดๆ โอมคว้าแขนภีมพลางดึงกระชากให้รุ่นพี่หนุ่มห่างออกมาจากโคลอี้ จากนั้นจึงรีบเดินลิ่วๆไป ทำเอาหญิงสาวทั้งสองคนได้แต่งงมองตาปริบๆ

          "That's me! " (คือเราเอง!)

          ภีมเอ่ยตะโกนทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะถูกโอมลากออกไป ราวกับระเบิดลูกใหญ่ถูกทิ้งไว้ให้หญิงสาวทั้งสองได้แต่ช็อคยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น เขาเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หัวเราะมาตลอดทาง ทำให้โอมที่อารมณ์เสียเล็กๆหันขวับมาถาม

          "พี่ภีมจะขำอะไรนักหนา? โอมหึงอยู่นะเว้ย! "

          "โอมจะหึงพี่ทำไม คนที่เค้าจะจีบคือโอม...ไม่ใช่พี่! "

          เด็กหนุ่มอึ้งไปเมื่อได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความหึงหวงครอบงำตัวเขาจนตามืดบอดไปหมด เขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกผู้หญิงจีบอยู่ เมื่อเขาคิดได้ขาทั้งสองจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีทิวทัศน์ข้างหน้าก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว

          ตอนนี้รอบๆตัวของคนทั้งสองถูกล้อมรอบไปด้วยดอกเชอร์รี่บลอสซั่มสีชมพูจางจนเกือบขาวที่ผลิบานอยู่เต็มต้น สายลมปลิวไหวพัดพาเอากลีบดอกไม้น้อยล่องลอยตาม ความสวยงามสะกดให้ดวงตาใสจับจ้องไม่ละไปไหน

          "สวยจัง...พี่ภีมโอมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่จะปลูกซากุระเยอะขนาดนี้"

          "ญี่ปุ่นส่งมาเป็นของขวัญเจริญสัมพันธไมตรีน่ะ"

          เด็กหนุ่มเดินสัมผัสบรรยากาศสวยหวานละมุนท่ามกลางมวลดอกไม้ ในสายตาของภีมมันดูเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ กิ่งที่ประดับไปด้วยดอกไม้น้อยๆสีหวานกับคนรักของเขาเป็นภาพที่มองแล้วสบายตาชวนฝัน ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มให้กับเหล่าดอกไม้ที่ไหวไปตามสายลมเอื่อย

          มือเรียวคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายภาพคนตรงหน้า ภาพที่สะท้อนเข้ามาฉายให้เห็นความหลงใหลของคนเบื้องหน้าที่ส่งสายตามาทางคนรักได้เป็นอย่างดี ภาพแล้วภาพเล่าได้ถูกกดบันทึกเก็บไว้ คนในกล้องค่อยๆเดินเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้าพลางเอื้อมมือสัมผัสลงบนเส้นผมดำสนิทสลวยของชายหนุ่ม

          "พี่ภีม...ดอกไม้ติดผมน่ะ..."

          เด็กหนุ่มลูบผมของคนที่รักอย่างทะนุถนอม กลีบดอกไม้เล็กๆถูกเขี่ยออกอย่างเบามือ ดวงตาสวยคมจับจ้องไปยังใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มละไมด้วยใจสั่นไหว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โอมสูงขึ้นขนาดที่ภีมต้องเงยหน้าเล็กน้อยยามสบตา

          ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนเคลิบเคลิ้ม ภีมเขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะแตะริมฝีปากกระจับของเขาลงบนริมฝีปากได้รูปอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมสวยหลับพริ้มลง เด็กหนุ่มที่ถูกประทับจูบโดยไม่ทันตั้งตัวปรือตาลงก่อนจะจุมพิตตอบกลับอย่างนุ่มนวล เมื่อทั้งสองผละออกจากกัน ภีมก็ส่งรอยยิ้มอ่อนหวานให้แก่คนตรงหน้า พลางเอ่ยความในใจทั้งหมดออกไป

          “โอม...พี่รักโอมนะ...”

          นี่เป็นครั้งแรกที่โอมได้ฟังคำว่า “รัก” จากปากของภีม เป็นคำพูดที่คนๆนี้ไม่เคยเอ่ยกับเขาอย่างจริงจังมาก่อน ความรู้สึกเป็นสุขยินดีก่อตัวขึ้นในหัวใจของเด็กหนุ่ม เขาแทบอยากจะโผตัวเข้ากอดรุ่นพี่หนุ่มเดี๋ยวนี้ ทว่าภีมกลับเป็นฝ่ายคว้ามือของเขาทั้งสองข้างขึ้นมาเสียก่อน

          “มือโอมเย็นจัง...”

          มือเรียวทั้งสองข้างกอบกุมให้ไออุ่นแก่เด็กหนุ่ม จากนั้นภีมจึงจับมือข้างหนึ่งของโอมซุกลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทไปพร้อมๆกับมือของตน     

          “เดินจูงมือกันไปแบบนี้ดีมั้ย?”

          ภีมยิ้มสว่างขึ้นอีกครั้ง พลางสบตาคนรักของเขาอย่างอ่อนหวาน

          “พี่ภีมรู้ตัวมั้ยว่านี่เป็นครั้งแรกที่พี่ภีมบอกรักโอม...?”

          “ไม่จริงมั้ง? โอมมั่วแล้ว!”

          ภีมย่นคิ้วขึ้นพลางปฏิเสธทันควัน

          “จริงๆ ...นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ภีมบอกรักโอมตรงๆ ...”

          ภีมนิ่งคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เมื่อตรองดูดีๆแล้วก็จริงอย่างที่โอมพูด เขายังไม่เคยเอ่ยคำว่า “รัก” กับเด็กหนุ่มจริงๆจังๆเสียที นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกของเขาล้นออกมาจนต้องพูดมันออกไป

          “แล้ว...ไม่ดีหรอ?”

          ภีมเอ่ยขึ้นพลางหลบสายตาเด็กหนุ่ม หากเขาได้เห็นใบหน้าของตัวเองตอนนี้เขาคงจะตกใจที่สีแดงระเรื่อได้ฉาบไปถึงหูแล้ว

          “ดี...ดีที่สุดเลย...”

          โอมยกแขนแข็งแรงทั้งสองขึ้นโอบร่างกายบอบบางแนบแน่น ไออุ่นจากร่างของคนทั้งคู่ถ่ายทอดให้แก่กัน ลมพัดไหวให้กลิ่นอายแห่งความรักลอยฟุ้งไปทั่ว ในที่สุดวันที่โอมรอคอยก็มาถึง วันที่เขาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของคนๆ นี้ วันที่ภีมเอ่ยบอกคำว่า “รัก” แก่เขาจากหัวใจ

          วันที่ “โอม” ได้ครอบครองพื้นที่ทั้งหมดในหัวใจของ “ภีม”



++++++++++++++++



          ตอนพิเศษมาแล้วค่า ซึ่งเป็นเนื้อหาง่ายๆสบายๆของโอมกับภีม สำหรับเราตอนนี้เหมือนเป็นตอนจบที่แท้จริงของสองคนนี้ค่ะ ส่วนตอนพิเศษตอนต่อไปก็คงไม่พ้นคู่เอกของเรา ยังไงฝากติดตามกันอีกซักนิดนะคะ


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
SP# My Drunkard Lover [Sky x Toey]

         บรรยากาศอึกทึกท่ามกลางความมืดสลัวที่มีแสงสีวูบวาบชวนให้ลายตา ชายหนุ่มและหญิงสาวกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมกันอยู่บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยแอลกอฮอล์และกับแกล้ม บ้างก็ตะโกนคุยกันเสียงดัง บ้างก็โยกตัวไปตามเสียงเพลง ส่วนคนตัวเล็กที่มักจะสงบนิ่งเสมอในกลุ่มเพื่อนตอนนี้กำลังกระดกเครื่องดื่มรสขมลิ้นลงคออย่างสบายอารมณ์

          “เต้ย! หมดแก้วอีกแล้วหรอ?”

          “ทำไมหรอ?”

          “เต้ยคอแข็งกว่าที่เราคิดมาก เพราะปกติเราไม่ค่อยเห็นเต้ยออกมากินเหล้ากับเพื่อนน่ะ”

          ใบปอเอ่ยขึ้น เธอได้แต่ทึ่งกับท่าทีไม่รู้สึกรู้สาของชายร่างเล็กพลางชงเหล้าแก้วใหม่ให้

          “ใบปอชงอ่อนไปป่าว แบบนี้นะไอ้เต้ยกินให้ตายมันก็ไม่เมาหรอก”

          “ไม่นะน้ำ เราก็ชงปกตินะ”

          “ทำไมวะไอ้น้ำ? มึงอยากเห็นกูเมาหรือไง? กูบอกเลยว่ามึงทำไม่สำเร็จหรอก”

          เต้ยเอ่ยขึ้นพลางยิ้มขำเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยออกมาดื่มสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูงมากนัก แต่ชายหนุ่มคุ้นเคยกับการใช้เหล้าประกอบอาหารเป็นอย่างดี ที่บ้านของเขานอกจากเหล้าจีนสำหรับทำอาหารแล้วยังใช้ไวน์แดงและบรั่นดีในหลายๆ เมนูอีกด้วย นานๆ ทีนึกครึ้มนำเอาออกมานั่งดื่มกับพวกพ่อครัวที่บ้านก็เคยมาแล้ว

          “งั้นวันนี้กูจะล้มมึงให้ได้ไอ้เต้ย!”

          น้ำเอ่ยขึ้นอย่างท้าทาย วันนี้เขาจะต้องได้เห็นสภาพเพื่อนของเขาตอนเมาปลิ้นให้ได้ ชายหนุ่มหน้าตาคมคายหายตัวไปทางบาร์เทนเดอร์อย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็เดินกลับมาพร้อมเครื่องดื่มในมือ

          “อ่ะ! มึงแดกอันนี้ก่อนเลย!”

          สีหน้าเจ้าเล่ห์ถูกฉายไปทางคนตัวเล็ก เต้ยได้แต่มุ่ยหน้าขึ้นพลางตอบโต้กลับไป

          “กูบอกไปตอนไหนวะ...ว่ากูจะเล่นกับมึงอ่ะ?”

          “อ้าว! ได้ไงวะ กูสั่งมาแล้วมึงก็ต้องกินดิ...เอางี้ถ้ามึงยอมกินนะ กูจะยอมเป็นขี้ข้ามึงเดือนนึงเต็มๆ เลยอ่ะ!”

          “คุ้มหรอวะ?”

          “เราว่าคุ้มนะเต้ย ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่กินเหล้าแล้วก็จะได้จิกหัวใช้น้ำยังไงก็ได้ตั้งเดือนนึง เป็นเรา เราก็ทำ”

          หญิงสาวเอ่ยขึ้นสนับสนุน หากเต้ยคอแข็งจริงแค่การดื่มเหล้าที่เพื่อนจัดให้ไปเรื่อยๆ ก็ถือว่าไม่ได้ยากเกินความสามารถ คนตัวเล็กรับแก้วใสที่ใส่เครื่องดื่มสีเหลืองทองไว้จนเต็มจากนั้นจึงยกขึ้นจิบเบาๆ

          “อันนี้อะไรวะ? กระทิงแดงหรอ?”

          “มึงอย่าจิบดิวะ มึงต้องกระดกหมดแก้ว!”

          “เพื่อไรวะมึง?”

          “กูท้ามึงอยู่นะเว้ย!”

          “ปัญญาอ่อนชิบหาย...”

          ถึงคนตัวเล็กจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ก็ทำตามแต่โดยดี เขากระดกแก้วดื่มแบบรวดเดียวหมด ความซ่าผสมรสหวานอมขม ทำเอาเต้ยร้อนวูบขึ้นเล็กน้อย ส่วนชายหญิงที่จ้องอยู่ก็ตั้งใจมองท่าทีของคนตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียง

          “วอดก้าผสมกระทิงแดงหรอวะ?”

          “เออ! เป็นไง?”

          “ก็ดีนะ ร้อนๆดี”

          ชายหนุ่มเอ่ยตอบโดยที่รู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนขึ้นอย่างชัดเจน เหล้าแรงๆ ยิ่งดื่มเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเมาไวเท่านั้น ทว่าเต้ยยังคงคุมสติได้อยู่สบายๆ

          “งั้นตาเราบ้าง!”

          หญิงสาวเริ่มเล่นกับเขาบ้าง ตอนนี้ใบปอเดินหายไปทางบาร์เทนเดอร์อีกคนหนึ่งแล้ว เธอกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มสีข้นเข้มผสมนมในมือ

          “อ่ะเต้ย กิน!”

          เต้ยรับแก้วขึ้นมาพลางดมกลิ่นเล็กน้อย กลิ่นของเหล้ากับกาแฟและครีมตีผสมกันหอมหวานน่าลิ้มลอง คราวนี้ชายหนุ่มไม่อิดออดยกขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว

          “อันนี้อร่อยดี เรียกว่าอะไรหรอใบปอ?”

          “ไวท์รัซเซียนน่ะ เต้ยชอบป่ะ?”

          “ชอบ! เราไม่เคยกินเหล้าที่เหมือนขนมแบบนี้มาก่อนเลย”

          “มึงชอบใช่ป่ะ? งั้นมึงหรอเดี๋ยว...”

          ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายหายตัวไปอีกรอบ คราวนี้เขาชวนหญิงสาวให้เดินไปด้วยกัน จากนั้นทั้งคู่จึงเดินกลับมาพร้อมกับแก้วเหล้าคนละแก้วในมือ

          “มึงๆแดกอันนี้ก่อนกูจุดไฟมา!”     

          น้ำเสียบหลอดลงในแก้วที่ของเหลวภายในแยกตัวออกเป็นชั้นๆ ที่ชั้นบนสุดมีเปลวไฟสีน้ำเงินติดอยู่ ร่างเล็กรีบดูดเครื่องดื่มสีสวยจนหมดในรวดเดียว รสชาติหอมหวานของกาแฟ ครีมนม และรสส้มอบอวลอยู่ในปาก ทว่าตอนนี้ในท้องของชายหนุ่มกลับร้อนวูบขึ้นมาอย่างน่าตกใจ

          “มึงเอาอะไรมาให้กูแดกวะไอ้น้ำ?”

          “ของกูอ่ะนะ บีห้าสิบสอง (B – 52) อ่ะมึง”

          ในขณะที่ร่างเล็กเอ่ยถาม ตอนนี้เขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่านัยน์ตาที่เคยสดใสของเขากำลังแดงก่ำฉ่ำเยิ้มขึ้น สติเริ่มควบคุมได้ยากเมื่อเพื่อนของเขาประเคนเครื่องดื่มตัวแรงให้เขากินแบบไม่หยุดพัก

          “เต้ยๆ กินอันนี้ด้วย!”

          ใบปอเอ่ยขึ้นก่อนจะค่อยๆหย่อนแก้วช็อตที่ใส่เครื่องดื่มสีขาวนวลลงในแก้วใบใหญ่ที่บรรจุเครื่องดื่มสีดำ สีทั้งสองผสานกันออกมาเป็นเหมือนนมข้นเจือสีน้ำตาลเข้ม เมื่อคนตัวเล็กยกขึ้นดื่มก็ได้สัมผัสกับรสชาติหอมมันทว่าขมลิ้มจนต้องหลับตาปี๋

          “อึก...อันนี้อะไรอีกวะเนี่ย?”

          “อันนี้คือ ไอริชคาร์บอมบ์น่ะเต้ย”

          ตอนนี้สติของคนตัวเล็กเลือนรางเต็มที ก่อนที่เขาจะมาพบจุดจบเช่นนี้เขาก็ได้ดื่มไปหลายแก้วแล้ว ทว่าเต้ยก็ไม่ยอมจำนนให้กับฤทธิ์ของสุรา เขาฝืนตัวขึ้นยืนจากนั้นจึงเอ่ยกับเพื่อนๆเสียงดังลั่น

          “กูจะกลับบ้าน!”

          “เฮ้ย! มึงจะหนีแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย!”

          “เรื่องของกู! กูจะกลับแล้ว!”

          “เฮ้ยอย่าพึ่งกลับดิวะ! ถ้ามึงกลับกูก็ต้องกลับด้วย ลืมไปแล้วหรอวะว่าคืนนี้กูต้องไปค้างห้องมึงอ่ะ?”

          “มึงก็กลับห้องมึงไปดิวะ...”

          “กลับได้ไงวะ? ป่านนี้แล้วหอกูปิด กูเข้าไม่ได้!”

          ใช่แล้ว...เต้ยนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาและเพื่อนๆที่คณะมาดื่มฉลองจบการศึกษาด้วยกัน และน้ำเพื่อนชั่วของเขาก็มาขอค้างคืนที่ห้องด้วย ทำให้ “สกาย” ต้องถูกอัปเปหิกลับไปนอนที่บ้านเสียอย่างนั้น

          “กูไปล่ะ...อึก...”

          “เหี้ย...มึงเมาแล้วนี่หว่า...”

          “กู...ไม่ได้เมา!”

          พูดจบเต้ยก็เดินโซเซออกจากประตูไป เขาไม่รอช้าโบกมือเรียกแท็กซี่ที่จอดรอรับผู้โดยสารอยู่ ส่วนน้ำก็รีบวิ่งตามออกมาติดๆ

          “เดี๋ยวไอ้เต้ยมึงรอกูด้วย! ...ใบปอเราฝากเคลียร์ตรงนี้ก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเราโอนเงินให้!”

          “จ้า! เดี๋ยวเราไลน์ไปบอกนะ”

          ตอนนี้เต้ยได้คลานเข้าไปนอนที่เบาะหลังพลางบอกจุดหมายที่เขาต้องการจะไปเสร็จสรรพ ส่วนน้ำไม่รอช้าเปิดประตูเข้าไปนั่งฝั่งคนขับอย่างรวดเร็ว ทว่าเส้นทางที่รถโดยสารกำลังนำพาพวกเขาไปกลับไม่ใช่เส้นทางเดิมที่คุ้นเคย

          “ไอ้เต้ย! มึงบอกให้คุณแท็กซี่เค้าพามึงไปไหนวะเนี่ย?”

          น้ำชะโงกตัวมาเอ่ยถามคนที่กำลังเมาแอ๋นอนกลิ้งอยู่ที่เบาะหลัง ส่วนเต้ยที่ยังพอคุมสติได้อยู่นั้นก็เอ่ยตอบขึ้นมา

          “ไปบ้านไอ้สกาย...”



          รถยนต์สีเขียวเหลืองหยุดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง น้ำจ่ายค่าโดยสารให้แก่คนขับจากนั้นจึงพยุงร่างไร้เรี่ยวแรงของเต้ยลงมาจากรถ เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาชายหนุ่มเจ้าของบ้าน แต่ดูเหมือนจะช้าเกินไป ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังรัวนิ้วกดกริ่งหน้าบ้านอย่างไม่เกรงใจ

          “ไอ้เต้ย! ดึกป่านนี้แล้วมึงจะกดกริ่งทำไมวะ?! เดี๋ยวเค้าก็แห่กันออกมาหมดบ้านหรอก”

          เป็นไปอย่างที่คิด เจ้าของบ้านคนแรกที่ปรากฏตัวคือหญิงสาวร่างผอมบาง กำลังเดินงัวเงียมาที่ประตูรั้ว เมื่อเธอเห็นคนตรงหน้าก็ทักขึ้น

          “น้องเต้ยนี่...มาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้?”

          “เอ่อ...สวัสดีครับผมน้ำเป็นเพื่อนเต้ยกับสกายนะครับ พอดีไอ้เต้ยมันเมาน่ะครับพี่ ผมต้องขอโทษจริงๆที่มารบกวน แล้ว...สกายล่ะครับ?”     

          น้ำเอ่ยขึ้นถามสมายด้วยท่าทางเกรงใจ เพียงครู่เดียวคนที่ถูกถามถึงก็ปรากฏตัวออกมา

          “ใครมาหรอพี่สมาย?”

          ร่างสูงเดินงัวเงียมาอีกคน เมื่อเขาเห็นสภาพของคนที่ยืนอยู่นอกประตูรั้วก็ถึงกับตาสว่าง ชายร่างเล็กยืนโซเซตัวแดงก่ำ ผมนุ่มก็ยุ่งเหยิงขึ้น ไหนจะดวงตาที่ลืมแบบปรือๆนั่นอีก

          “ไอ้เต้ยมันเรียกรถให้มาส่งที่นี่ว่ะสกาย กูก็งงมันเหมือนกันว่าทำไมมันไม่ยอมกลับห้อง”

          หญิงสาวได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง เธอเอ่ยขึ้นกับน้องชายพลางยิ้มกริ่มไปด้วย

          “หืม...เข้าใจล่ะ งั้นพี่ไปนอนก่อนนะ สกายดูแลเพื่อนไปแล้วกัน”

          “โทษทีนะพี่...เลยต้องตื่นไปด้วย”

          “ไม่เป็นไร แค่...หลังจากนี้อย่าเสียงดังก็พอ...”

          สมายหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินจากไป สกายดูเขินๆเมื่อถูกคนเป็นพี่หยอกเย้า ส่วนน้ำไม่ได้สนใจในบทสนทนาเมื่อครู่เท่าไรนัก ชายหนุ่มเปิดไขประตูบ้านให้ผู้มาเยือนทั้งสองเข้ามา คนตัวเล็กไม่รอช้าโผตัวเข้าซบชายคนรักอย่างมีความสุข

          “สกาย...กูมาหามึงแล้ว...อึก”

          “ไหวมั้ยวะมึงไอ้เต้ย? สกายเดี๋ยวกูพาไอ้เต้ยกลับห้องมันก็ได้นะ เกรงใจมึง”

          “ไม่เป็นไรครับพี่ ให้พี่เต้ยเค้านอนบ้านผมก็ได้”

          “อ้าวแล้วกูล่ะ?”

          น้ำเอ่ยขึ้นถาม ซึ่งคนที่กำลังยืนมึนอยู่นั้นไม่รอช้าที่จะล้วงกุญแจห้องในกระเป๋ากางเกงพลางส่งให้เพื่อนของเขา

          “มึงกลับห้องกูไป...อึก...ส่วนกูจะนอนที่นี่!”

          “เฮ้ย! อะไรของมึงวะไอ้เต้ย มึงให้กูกลับไปนอนห้องมึง ส่วนตัวมึงจะมานอนค้างบ้านคนอื่นเนี่ยนะ? มึงนี่ท่าจะเมาหนักแล้วว่ะ!”

          “กูบอกว่ากูไม่ได้เมา! แล้วสกายก็ไม่ได้เป็นคนอื่น! แต่กูกับมัน...”

          สกายหน้าตาตื่นรีบยกมือขึ้นปิดปากของคนตัวเล็กก่อนจะพูดมากไปกว่านี้

          “ไม่เป็นไรครับพี่น้ำ ผมสบายมาก พี่น้ำกลับห้องพี่เต้ยไปเถอะครับเดี๋ยวทางนี้ผมดูแลเอง”

          “เอางั้นหรอวะ? อืม...ก็ได้ งั้นกูไปก่อนนะ...ฝากไอ้เต้ยมันด้วยแล้วกัน”

          “ครับพี่ กลับดีๆนะครับ”



          สกายพยุงร่างของคนตัวเล็กที่ทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่ขึ้นบันไดไปอย่างทุลักทุเล เขาเปิดประตูห้องออกจากนั้นจึงทิ้งร่างของคนตัวเล็กลงบนเตียงนุ่ม เต้ยได้แต่ขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งพลางนอนกลิ้งตัวไปมาบนที่นอนจนผ้าปูยับยุ่งไปหมด

          “พี่เต้ยรอแป๊ปนะ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”

          สกายผละตัวออกจากห้องไป ส่วนเต้ยผุดตัวลุกขึ้นนั่งพลางขยับตัวไปทางหัวเตียง เขารื้อค้นข้าวของที่อยู่บริเวณนั้นอย่างไม่เกรงใจ ราวกับต้องการหาอะไรบางอย่าง

          “มือถือกูไปไหนวะ...อึก”

          แน่นอนว่าโทรศัพท์มือถือก็อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเต้ยนั่นแหละ แต่ด้วยความมึนเมาจึงทำให้เขาหลงๆลืมๆ ในขณะที่เปิดตู้นู้นเปิดลิ้นชักนี้ เขาก็ได้ไปพบกับของชิ้นหนึ่งเข้า ที่คาดผมรูปหูกระต่ายสีขาวปุกปุยดูน่ารักถูกเก็บไว้ตรงหัวเตียงเป็นอย่างดี

          “อ๋อ...กูเคยใส่ของแบบนี้มาก่อน...กูจำได้...”

          เต้ยหยิบหูกระต่ายขึ้นมาถือไว้ เขาตั้งอกตั้งใจพิจารณาสิ่งของที่อยู่ในมือจากนั้นจึงนั่งหัวเราะไม่หยุด ในขณะนั้นเองสกายที่เดินถือขวดน้ำขึ้นมาก็ได้แต่ตกใจตาค้างกับภาพตรงหน้า

          ‘หูกระต่ายอันนั้น! ซวยแล้ว...’

          ที่คาดผมหูกระต่ายอันนี้สกายตั้งใจซื้อมาเพียงแค่หวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะมีโอกาสได้เห็นคนตัวเล็กสวมมันให้ดูอีกครั้ง แต่เขาก็ได้แต่หวัง สกายไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยขอให้เต้ยลองสวม เพราะเขารู้ดีว่ายังไงคนรักของเขาก็ไม่มีวันยอมทำแน่ๆ

          มือเรียวรีบวางขวดน้ำลง จากนั้นจึงคลานขึ้นเตียงไปหวังจะนำสิ่งของที่อยู่ในมือของคนตัวเล็กออก ทว่าเต้ยกลับสวมหูกระต่ายนั้นลงบนศีรษะอย่างรวดเร็วพลางฉีกยิ้มกว้างน่ามันเขี้ยว

          “สะ...กาย...น้องต่ายมาแล้ว...อึก”

          คนตัวเล็กที่ยิ้มกว้างอยู่นั้นลุกขึ้นคร่อมลงบนตักของร่างสูง สองแขนโอบขึ้นคล้องคอคนรักของเขาพลางจ้องมองดวงตาเรียวไม่วางตา

          “สกายรักน้องต่ายมั้ย...?”

          ราวกับถูกกระตุ้นให้รู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นอาการเช่นนี้ของคนรัก ความน่ารักที่แทบจะทนไม่ไหว หัวใจเต้นแรงเหมือนในอกจะระเบิด

          “ทำไมไม่ตอบอะไรเลยล่ะ? น้องต่ายรักสกายมากเลยน้า...”

          เต้ยทำหน้าบูดบึ้งขึ้น น้ำเสียงก็เง้างอด ถ้าเต้ยไม่เมาชาตินี้สกายก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้แน่ๆ เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายภาพคนที่กำลังนั่งอยู่บนตัก ในขณะเดียวกันคนตัวเล็กก็ซุกซนพยายามเอามือปัดป่ายโทรศัพท์ที่กีดขวางคนเบื้องหน้าออกก่อนจะกดจมูกลงตรงซอกคอขาวของคนรัก ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ความรู้สึกต้องการเข้าควบคุมเขาไปทั้งร่างกายและจิตใจ

          ‘ไม่ไหวแล้วโว้ย!’

          ริมฝีปากแดงอิ่มเคลื่อนเข้าหาริมฝีปากบางตรงหน้าทีละน้อย ทว่าคนตัวเล็กกลับรีบยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของคนที่เขานั่งคร่อมอยู่ เต้ยยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยเสียงแข็ง

          “มึงจะทำอะไรน้องต่ายวะ? ห๊า?”

          ดวงตาฉ่ำแดงมองสบลงกับดวงตาเรียวอย่างเอาเรื่อง เขาผลักคนรักล้มลงจากนั้นจึงคร่อมตัวขึ้นพลางใช้ริมฝีปากบางฉกเข้าขโมยจูบอย่างรวดเร็ว เร่าร้อน รุนแรง ลิ้นอุ่นควานเกี่ยวกระหวัดให้คนที่ถูกจับกดหอบหายใจสั่นเทิ้ม ริมฝีปากบางดูดเม้มอย่างกระหาย คนตัวเล็กถอนริมฝีปากออกเล็กน้อยก่อนเลียแตะสัมผัสริมฝีปากแดงเบาๆ จากนั้นจึงบดริมฝีปากลงไปอีกครั้งไม่ให้อีกฝ่ายได้หยุดพักหายใจ

          ร่างสูงจูบตอบริมฝีปากบางอย่างเร่าร้อน ฝ่ามือเรียวยึดคอเสื้อของคนที่คร่อมอยู่ให้ตัวโน้มลงแนบแน่นใกล้ชิดยิ่งขึ้น คนทั้งสองหายใจกระเส่าหอบกระหาย ริมฝีปากบางเคลื่อนมาจูบลงที่ลำคอระหง เลื่อนเรื่อยมาที่แผ่นอกกว้าง พลางปลดกระดุมชุดนอนผ้าเนื้อดีมือไม้สั่น จากนั้นก็...

          “คร่อก...”

          เสียงกรนเบาๆดังขึ้น คนที่อารมณ์พลุ่งพล่านอยู่เมื่อครู่หลับไปเสียดื้อๆ อย่างนั้น ปล่อยให้คนโดนรุกอารมณ์ค้างอย่างไม่น่าให้อภัย สกายจับเต้ยลงนอนหนุนหมอนพลางห่มผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเสียอารมณ์





          แสงแดดแรงส่องลอดผ้าม่านสีอ่อนเข้ามากระทบใบหน้าใสที่กำลังหลับอยู่ คนที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มขยับตัวน้อยๆ ในหัวของเขาตอนนี้หนักอึ้งไปหมด เต้ยลืมตาขึ้นช้าๆ มือก็ควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา

          ‘บ่ายโมงแล้วหรอวะ...’

          เขาผุดตัวขึ้นนั่งจากนั้นก็มองไปรอบๆ มันคือห้องนอนที่เขาคุ้นเคยทว่ากลับเป็นห้องของคนอื่นซึ่งเจ้าของห้องหายไปไหนก็ไม่รู้ เต้ยจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ลางๆ อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร

          “พี่เต้ยตื่นแล้วหรอ? หิวมั้ย?”

          คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้าห้องมาเอ่ยถามขึ้น พลางส่งขวดน้ำพร้อมยาแก้เมาให้กับคนที่กำลังนั่งเบลออยู่

          “เป็นยังไงบ้างพี่ ปวดหัวมากมั้ย?”

          “ไม่แย่เท่าไหร่ แค่หนักๆอึนๆนิดหน่อย”

          “โห! แฟนผมคอแข็งไม่เบานะเนี่ย”

          เต้ยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะหึขึ้นมา จากนั้นจึงเอ่ยถามคนตรงหน้า

          “เมื่อคืนกูทำอะไรไปบ้างวะ? กูจำไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่ากูเรียกแท็กซี่มาบ้านมึงแล้วไอ้น้ำก็ตามมาด้วย แล้วมันหายไปไหนอะไรยังไงวะ?”

          “อ๋อ...เมื่อคืนพี่บอกว่าจะค้างบ้านผมส่วนพี่น้ำก็ให้ไปนอนที่ห้องพี่ แล้วก็ให้กุญแจไปด้วย”

          คนตัวเล็กผงกหัวสองสามทีเป็นอันว่ารับรู้ เขาพยายามลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วทว่ากลับเซล้มลงกลับไปนั่งที่เดิม

          “พี่เต้ยค่อยๆลุก ไหวมั้ยเนี่ย...”

          “เออกูว่ากูแย่กว่าที่คิดว่ะ...หึๆ”

          คนตัวเล็กหัวเราะตัวเองอย่างสมเพช ส่วนสกายได้แต่ตัดพ้อขึ้นน้อยๆ

          “แย่ดิพี่...ทำเอาผมแย่ไปด้วย...”

          “กู...ทำอะไรมึงวะ?”

          ดวงตาอ่อนล้าเบิกโตขึ้นเมื่อได้ฟังดังนั้น เพราะสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้อย่างชัดเจนคือตอนที่เขาคลานลงจากรถมายืนอยู่หน้าบ้านของสกาย

          “ทำ...เยอะเลย...”

          สกายแสร้งทำเป็นเอ่ยขึ้นอย่างเหนียมอาย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตนยื่นให้คนตรงหน้าดู

          “ดู!”

          ภาพของเต้ยฉีกยิ้มร่าใบหน้าแดงก่ำ บนศีรษะกำลังสวมที่คาดผมหูกระต่ายปรากฏแก่สายตา คิ้วเรียวขมวดขึ้นก่อนจะโวยวาย

          “ไอ้สกาย! มึงฉวยโอกาสตอนกูเมาเอามาให้กูใส่หรอวะ? แล้วยังจะเสือกถ่ายรูปไว้อีก ลบแม่ง!”

          “เฮ้ยๆๆ ลบเลิบอะไร เอาคืนมาเลย!”

          สกายรีบแย่งโทรศัพท์คืนมาจากคนที่กำลังเกรี้ยวกราด เขาคงยอมไม่ได้หากเขาจะต้องสูญเสียภาพอันมีค่าภาพนี้ไป

          “แล้วผมก็ไม่ได้เป็นคนเอาหูกระต่ายมาใส่ให้พี่ด้วย พี่หยิบมาใส่เอง”

          ตอนนี้แก้มใสๆกำลังแดงจัดด้วยความอาย คนตัวเล็กไม่รอช้ารีบยื่นมือไปหมายจะแย่งคว้าโทรศัพท์มาทว่าสกายก็ไม่ยอมรีบดึงมือออกพลางหลบอย่างว่องไว

          “แถมเมื่อคืนนะพี่ก็ถามผมใหญ่เลยด้วยว่ารักพี่มั้ย?”

          “ไอ้สกายมึงพอ!”

          สกายยืดแขนที่ถือภาพหลักฐานจนสุดทำให้คนตัวเล็กเอื้อมไม่ถึง จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นหนีออกจากเตียง เต้ยก็รีบลุกตามพลางไล่คว้าโทรศัพท์ ทว่าขาที่ไร้เรี่ยวแรงกลับไม่ยอมตาม เขาทรุดล้มลงที่พื้นอย่างรวดเร็ว

          “นั่นไง! ไม่ไหวแต่ก็ยังฝืน”

          สกายรีบเก็บโทรศัพท์ไปให้พ้นมือเต้ย จากนั้นจึงเข้าประคองคนที่นั่งพับอยู่บนพื้นขึ้นมานั่งบนเตียงอีกครั้ง เขาหัวเราะยิ้มยียวนก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “พี่เต้ยรู้มั้ย? ถ้าเราออกกำลังกายตอนเมาค้างเนี่ย...แอลกอฮอล์จะถูกขับออกทางเหงื่อด้วยนะ”

          “อะไรวะ?”

          “ก็...”

          ร่างสูงขยับขึ้นคร่อมคนตรงหน้าทีละน้อย ริมฝีปากอิ่มยิ้มเหยียดขึ้นพลางส่งสายตาเชิญชวนให้คนตัวเล็ก ทว่าคนที่ถูกคร่อมอยู่กลับนิ่วหน้าขึ้นพลางบ่นเสียงอ่อน

          “มึงจะบ้าหรอ...จะฆ่ากูหรือไง...?”

          สกายยิ้มขึ้นพลางหัวเราะน้อยๆ เขาขยับใบหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกแทบจะชนกัน ดวงตาเรียวมองสบลึกเข้าไป จากนั้นจึงกระซิบขึ้นอย่างแผ่วเบา

          “อืม...ผมจะเอาพี่ให้ตายแล้วส่งขึ้นสวรรค์ไปเลย...ดีมั้ย?”

          “ไอ้…!”

          เต้ยอยากจะด่าออกไปแต่ก็พูดไม่ออก แค่นี้เขาก็เขินจนจะตายอยู่แล้ว ส่วนสกายเห็นท่าทางอึกอักเลิ่กลั่กของคนรักก็ขำขึ้นอย่างอดไม่ได้

          “ล้อเล่นน่า! ผมไม่ใจร้ายกับคนป่วยหรอกน่ะ”

          เขาผละตัวออกจากคนตัวเล็กก่อนจะมองสบตาดวงตาสดใสนั่นพร้อมยิ้มละไมส่งไป

          “ที่พี่ถามผมเมื่อคืน...ผมยังไม่ได้ตอบพี่เลย”

          “กูถามอะไรมึงวะ?”

          “ผมรักพี่เต้ยนะ”

          หัวใจไม่รักดีสั่นแรงราวกับจะออกมาวิ่งเล่นข้างนอก สกายเป็นคนที่ทำให้เต้ยเขินได้วันละเป็นสิบเป็นร้อยรอบ ใบหน้าใสร้อนวูบแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง เขาทำหน้าไม่ถูก อยากจะยิ้มแก้มแทบแตกทว่ากลับฝืนทำหน้านิ่งไว้จนดูตลกสิ้นดี

          “พี่เต้ยอยากจะยิ้มก็ยิ้มออกมาดิ จะฝืนทำไมเนี่ย?”

          สกายเอ่ยขึ้นพลางขำท่าทางของคนตรงหน้า ส่วนเต้ยตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้างุดจากนั้นจึงเหลือบตามองคนรักเล็กน้อย เขาเอ่ยขึ้นเสียงค่อย

          “จริงๆแล้ว...มึงไม่ต้องใจดีกับกูมากก็ได้นะเว้ย...”

          เต้ยหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยต่อ

          “มึง...อยากจะทำอะไร...ก็ทำ...”

          แค่คำพูดเพียงประโยคเดียวทำเอาคนฟังสติแทบแตกกระเจิดกระเจิง ความรู้สึกอยากกระหายเข้าคุกคามชายหนุ่มอีกครั้ง ทว่าเขากลับพยายามทำทีเป็นนิ่งสงบข่มตนเองไว้

          “พี่อนุญาตแล้วนะ...”

          ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นหยั่งเชิง ส่วนคนกำลังเขินก็ได้แต่ผงกหัวน้อยๆ สกายโถมตัวเข้าหาเต้ย เขาส่งริมฝีปากอิ่มที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มจุมพิตลงบนริมฝีปากบางอย่างละเมียดละไม คนตัวเล็กเม้มจูบตอบเบาๆก่อนจะพูดขึ้น

          “กู...รักมึงนะเว้ย”     

          คำบอกรักอันแสนอ่อนหวานทำให้คนฟังได้แต่ยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข ดวงตาทั้งสองมองสบกันหวานซึ้งจากนั้นจึงหลับลงช้าๆ ริมฝีปากแตะสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา คนทั้งคู่แลกเปลี่ยนรสจูบกันอย่างอบอุ่นหอมหวาน เนิ่นนาน...

          “กรุ่นไปด้วยความรักล้นใจ”



++++++++++++++++



          สกายกับเต้ยมาแล้วค่า!!! ตอนนี้จะทำให้เห็นเลยนะคะว่าหลังจากที่สองคนนี้เป็นแฟนกันแล้วจะเป็นคู่รักแบบไหน ดูเหมือนว่าเต้ยเองจะถูกสกายละลายพฤติกรรมจนเป็นคนที่ละเอียดอ่อนขึ้นและแข็งทื่อน้อยลง ส่วนสกายเองก็น่าสงสารเหมือนเคย เพราะโดนเต้ยปั่นซะขนาดนั้นแต่ดันหลับคาอกเป็นเด็กน้อยซะอย่างนั้น ^^"

          ก่อนจะจากกันไปเราขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายของเรามาตลอดอีกครั้งนะคะ หวังว่าตอนพิเศษทั้งสองตอนจะทำให้ทุกคนสนุกได้ไม่มากก็น้อย แล้วพบกันใหม่เรื่องถัดไปซึ่งเราจะเริ่มลงเร็วๆนี้ ยังไงก็ขอฝากติดตามด้วยค่ะ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด