พิมพ์หน้านี้ - #คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: plusoneproject ที่ 15-04-2019 23:51:13

หัวข้อ: #คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 15-04-2019 23:51:13
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*******************************************************

“เวลาส่งโปสการ์ด คุณเคยกลัวมันส่งมาแล้วไม่ถึงผมบ้างไหม”

“ก็ไม่นะครับ”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ คุณไม่กลัวไปรษณีย์มันจะทำตกหล่นหรือว่าทำหายไปบ้างหรือไง”

“ก็ถ้ามันถึง คุณก็จะได้อ่าน ก็ถือว่าส่งสารประสบความสำเร็จ”

“แล้วถ้าไม่ถึงล่ะ”

“คุณก็ไม่ได้อ่าน ก็ถือว่าส่งสารไม่สำเร็จ”

“คุณไม่เสียดายข้อความกับภาพที่หายไปหรือ”

“แล้วคุณจะใส่ใจกับสิ่งที่หายไปทำไมล่ะครับ ใส่ใจกับสิ่งที่จะมาถึงไม่ดีกว่าหรือ”

#คุณโปสการ์ด


-------------------------------------------------------------------------------------------------------


สวัสดีค่ะ นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายทดลองแต่งที่เขียนๆ ลบๆ แก้ๆ เคยลงในเด็กดีแล้วก็ปิดตอนไปครั้งนึง และก็เอามาแก้ในครั้งนี้ ตั้งใจว่าจะเขียนให้จบให้ได้ อย่างไรก็ลองอ่านแล้วมีอะไรอยากแสดงความคิดเห็น คนเขียนก็รออยู่นะคะ

หรือไปเจอกันที่ทวิตเตอร์ https://twitter.com/PlusOneNovel ก็ได้นะคะ เราอยากให้นิยายเรื่องนี้เป็นการเดินทางผ่านแผ่นกระดาษที่เรียกว่า โปสการ์ด ถ้าในทวิต เราจะได้เจอกัน ก็ติด #คุณโปสการ์ด ไว้หน่อยนะคะ ^^ ขอบคุณค่ะ

 

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 16-04-2019 00:03:18
แผ่นที่ 1


“อะ โปสการ์ดของอัช”

“ขอบคุณครับ”

คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมาจากกองงาน พร้อมเอื้อมมือไปรับกระดาษแผ่นหนึ่ง
ภาพถ่ายจากด้านหนึ่งของกระดาษแผ่นนั้นเป็นสิ่งแรกที่กระทบเข้าสายตา ก่อนที่จะได้ยินเสียงให้ความเห็นที่ตรงกันกับที่ตัวเขาก็คิด

“ภาพสวยอีกแล้ว”
 
คนรับไม่ได้ตอบกลับความเห็นนั้น ทำเพียงแค่ยิ้มรับ ก่อนที่จะก้มลงมอง และพลิกแผ่นภาพนั้นดูอีกด้านที่มีลายมือหวัดๆ เขียนอยู่ด้านซ้ายถัดจากบริเวณที่เขียนที่อยู่ของผู้รับ

 
“คุณครับ
กรุงเทพฯ อากาศหนาวไหม
ที่นี่หนาว ไม่สิ หนาวโคตรๆ
หมอกที่นี่ในตอนเช้าหนามาก
ไม่ได้อยากตื่นมาดูหรอกนะ
แต่หนาวจนตื่นขึ้นเอง”



เหมือนเดิม
สั้นๆ ใจความห้วนๆ
และลายมือหวัดๆ

 
“โปสการ์ดของสัปดาห์นี้เป็นภาพที่ไหน”

“ไม่ทราบเหมือนกันนะครับ มีแค่ภาพถ่าย กับข้อความที่ไม่เกี่ยวกับภาพเหมือนเคย ไม่เคยบอกว่าภาพของที่ไหน หรือถ่ายอะไรมาเหมือนเคย”

“อัชน่าจะทำอัลบั้มรวมภาพจากโปสการ์ดขายเนาะ”

คนถูกเย้าก้มมองแผ่นภาพอีกครั้ง ถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้า
“พี่มลก็ล้อเล่นไป ภาพจากที่ไหน ผมยังไม่รู้เลย แถมไม่ใช่คนถ่ายด้วย เดี๋ยวเจ้าของเค้าก็มาฟ้องลิขสิทธิ์เอาหรอก”

“โถ ให้เขามาปรากฏตัวเพื่อฟ้องก่อนดีไหม พี่เห็นมาแต่โปสการ์ดเถอะ” พี่มลคนออกความเห็นยังไม่วายจะเย้าต่อ

นั่นสิ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เขาไม่เห็นเจ้าของภาพถ่ายที่แปรรูปมันมาเป็นโปสการ์ด

คิดถึง?
จู่ๆ ทำไมถึงมีคำนี้ขึ้นมาในใจตอนนี้นะ
ยังไม่ทันที่จะคิดคำตอบ เสียงคำถามที่ดังขึ้นต่อเนื่อง ดึงให้สายตาเหลือบกลับไปมองคนถาม

“แล้วอัชเคยติดต่อกลับ หรือตอบจดหมายเค้าบ้างหรือเปล่า”

อัชฌา เงยหน้าขึ้นมองหน้าหญิงสาวที่นั่งตรงข้าม ซึ่งกั้นไว้เพียงพาร์ติชั่นเตี้ยๆ 
ก่อนส่ายหน้า และยิ้มบางๆ พร้อมคำตอบที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึกเกินความคาดหมาย

 
“ไม่นะครับ”

“แล้วก็เป็นฝ่ายรับโปสการ์ดเค้าอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้อะนะ”

“ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบไปที่ไหนเหมือนกันพี่ บางครั้งก็มาจากต่างประเทศ บางครั้งก็มีจากในประเทศ แต่ต่างจังหวัด ก็ไม่รู้จะตอบยังไง”


“คนส่งนี่ก็แปลกคน นี่มันพ.ศ.ไหนแล้ว ศตวรรษไหนแล้วเถอะ ยังจะส่งโปสการ์ดมาอยู่ได้”

อัชฌาได้แต่ส่งยิ้มตอบบางๆ อีกครั้ง เพราะตัวเขาเองไม่รู้ว่าควรตอบสนองต่อความเห็นของหญิงสาวอย่างไรดี


“เดี๋ยวนี้ไปไหนเค้าต้องเช็คอินกันแล้วป่ะ”

“นี่ก็น่าจะเป็นวิธีเช็คอินแบบหนึ่งของเค้าละมั้งครับ”

“เอาเถอะจ้า พ่อคนติสต์ คนส่งก็ติสต์ คนรับก็ติดเชื้อติสต์ไปด้วยอีก”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

“เนี่ย พี่ถามจริง เคยกลัวไม่ได้รับบ้างไหม แบบทางนั้นส่งมา แล้วก็ไม่ถึงงี้ ไปรษณีย์ยิ่งไม่ค่อยจะน่าเชื่อถืออยู่ด้วย ส่งแบบแปะแสตมป์ธรรมดาๆ เนี่ย”

“ก็เคยคิดนะครับ ว่าจะมีที่ตกหล่นไปบ้างหรือเปล่า”

“นั่นดิ ก็คิดใช่ไหม”
 
“แต่คนส่งเค้าเคยบอกว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของความน่าสนใจในการส่งโปสการ์ดนะครับ”
 
“โอ้ยยยยย จะบ้าตาย ถ้าส่งแล้วไม่ถึงจะส่งไปทำไมล่ะ”

.

นั่นสิ เขาก็เคยสงสัย ถ้าส่งแล้วไม่ถึงจะส่งไปทำไมกัน
เขาก็เคยตั้งคำถามนี้กับคนส่ง
แต่คำตอบในครั้งนั้น ทำให้เขาไม่ถามอีกเลย
ไม่ใช่ไม่สงสัยนะ แต่ขี้เกียจจะสงสัยมากกว่า

.
.
.

“เวลาส่งโปสการ์ด คุณเคยกลัวมันส่งมาแล้วไม่ถึงผมบ้างไหม”

“ก็ไม่นะครับ”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ คุณไม่กลัวไปรษณีย์มันจะทำตกหล่นหรือว่าทำหายไปบ้างหรือไง”

“ก็ถ้ามันถึง คุณก็จะได้อ่าน ก็ถือว่าส่งสารประสบความสำเร็จ”

“แล้วถ้าไม่ถึงล่ะ”

“คุณก็ไม่ได้อ่าน ก็ถือว่าส่งสารไม่สำเร็จ”

“คุณไม่เสียดายข้อความกับภาพที่หายไปหรือ”

“แล้วคุณจะใส่ใจกับสิ่งที่หายไปทำไมล่ะครับ ใส่ใจกับสิ่งที่จะมาถึงไม่ดีกว่าหรือ”

“...”


ก็เหตุผลจากคำตอบแบบนั้นล่ะ ทำให้เขาไม่คิดอยากจะถามอีกเลย
เพราะว่าใส่ใจกับสิ่งที่มาถึง ที่มีอยู่
จะไปกังวลกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ทำไมกันล่ะ

.

.

.

“คนส่งเค้าเคยบอกว่า ให้ใส่ใจกับสิ่งที่มาถึงมากกว่าสิ่งที่หายไปครับ”

“โอ้ย นอกจากติสต์แล้ว ยังปรัชญาอีก พอๆ ฟังแล้วปวดหัว ตรวจต้นฉบับต่อดีกว่า”

ชายหนุ่มได้แค่ยิ้มตอบ มองโปสการ์ดในมืออีกครั้ง ก่อนเปิดลิ้นชักโต๊ะแล้วหย่อนมันลงไปในกล่องไม้ที่มีกระดาษประกอบภาพถ่ายแบบเดียวกัน ที่ทุกใบมีลายมือหวัดๆ เขียนอยู่ด้านหลังนอนนิ่งอยู่ก่อนหน้า 

แล้วก็ก้มหน้าลงกับกองงานต้นฉบับเช่นเดิม
.
.
นั่นสินะ
เราควรอยู่กับสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่หายไป
แล้วคุณล่ะ
ตอนนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ หรือ สิ่งที่หายไป


หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 16-04-2019 00:10:32
แผ่นที่ 2

“คุณครับ
อาหารที่นี่เต็มไปด้วยนม
ผมไม่ไหวจริงๆ เวียนหัวกับกลิ่น
แต่ผมกลับคิดว่าคุณน่าจะชอบ
กินอะไรไม่ได้งี้ ผมต้องผอมลงแน่ๆ ไม่ก็ท้องเสียจนผอมซูบ”



คราวนี้ไปอยู่ที่ไหนกันนะ
เขาเคยอยากจะลองถามว่า
กำลังจะไปที่ไหน หรือ ตอนนี้อยู่ที่ไหน
แต่มาคิดอีกที มันก็ดูก้าวก่ายเกินไปหรือเปล่านะ
เราเป็นอะไรกัน?
 

เรารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้วนะ
เอ จะเรียกว่า “รู้จัก” ได้หรือเปล่านะ
หรือแค่คนเคยพบหน้า เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เขารู้จักอีกฝ่ายจริงๆ หรือเปล่านะ
อายุ บ้านเกิด ครอบครัว งานอดิเรก หนังที่ชอบ...

.
.
.

“ผมเกิดปีมะโรงครับ เลยชื่อ หลง”
 
“นี่ถ้าไม่บอก ผมคิดว่าคุณชื่อ หลง เพราะไม่ค่อยกลับบ้านนะเนี่ย แบบหลงทางไรงี้”
 
อัชฌา เห็นอีกฝ่ายมีรอยอมยิ้มขบขัน ก่อนที่เอ่ยถามเขาเหมือนสิ่งที่เขาถามเป็นเรื่องที่น่าขันเสียเต็มประดา

“คุณคิดใครจะตั้งชื่อลูกว่า หลง แบบหลงทางกันครับ คุณก็เป็นคนมีอารมณ์ขันนะเนี่ย”

“ก็ดูคุณสิ ทำเหมือนโฮมเลส ไม่มีบ้านมีช่องให้กลับ ไปเรื่อยอะ”

“บ้านของผมก็คือโลกไงครับ อยู่ที่ไหนก็คือบ้าน”

“นี่คุณคิดว่า คุณเป็นกัปตันอยู่บนยานเอนเทอร์ไพรส์หรือไง แบบกำลังคุยกับประชากรจากดาวดวงอื่นในแกแลกซี่อื่นไรงี้ แล้วก็บอกเค้าว่า มาจากโลก ประสาท”

อีกฝ่ายที่ยังมองตรงมาที่เขา ทำตาเบิกโตแสดงความแปลกใจขึ้นเล็กน้อย ก่อนเลิกคิ้วทำสีหน้าประหลาดใจ

“ไม่คิดว่าคุณ รู้จักยานเอนเทอร์ไพรส์กับเค้าด้วย”

“หนังเค้าออกจะดังไหมละคุณ ใครๆ ก็ต้องเคยเล่นเป็นกัปตันเคิร์กสักครั้งไหมละ”

“ผมว่าไม่นะ ผมว่าคุณนี่เข้าขั้นแฟนระดับติ่ง”

“หือ คนแบบคุณ รู้จักคำว่า ติ่ง กับเค้าด้วย”

“จริงๆ ไม่เชื่อคุณลองไปถามใครในที่ทำงานของคุณดูว่า รู้จักยานชื่อนี้ไหม หรือรู้จักกัปตันเคิร์กไหม ผมรับรองได้ว่าไม่มีใครรู้จักแน่ครับ”

“ไม่จริงอะ”

“จริง นี่คุณอย่าบอกนะว่า ปกติทำมือเป็นสัญลักษณ์ Live Long and Prosper ได้ด้วย”

มือของอัชฌาที่ยกขึ้น ชิดนิ้วเป็นคู่ และโชว์ให้อีกฝ่ายดู

“นี่ไง ทำได้สิ นี่มันออกจะเป็นท่าพื้นฐาน”

และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือ สายตาที่มองตรงมาที่เขาบอกกับรอยยิ้มที่ฉีกกว้างขึ้นไปอีก และเสียงหัวเราะที่ไม่ค่อยจะได้ยินจากอีกฝ่าย
.

ตอนที่อีกฝ่ายพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
กับรอยยิ้มแบบนั้น ดูสดใสจริงๆ
เป็นยิ้มที่ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนกับอะไรในโลกนี้
เหมือนจะขึ้นยานอวกาศแล้วออกไปนอกโลกได้ง่ายๆ
ผู้ชายที่รักอิสระ และการผจญภัยสินะ


.
.
.

“นั่งเหม่ออะไรคะคุณอัชฌา”

“เปล่าครับ แค่คิดอะไรเพลินๆ”

“นั่งดูโปสการ์ดแล้วเหม่องี้ น่าจะคิดถึงคนส่งละมั้ง”

“พี่มล”

“เสียงดังอะไรคะ พี่ก็พูดไปตามที่เห็น”

“ผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ”

ชายหนุ่มหันไปแก้ตัวกับคนที่กำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะของตน พร้อมกับคว่ำโปสการ์ดด้านตัวอักษรลงบนโต๊ะ
ก่อนเอ่ยถามธุระที่อีกฝ่ายเอ่ยเรียก

“แล้วพี่มลเรียกผมมีอะไรครับ”

“มีสิคะ เห็นท่าน บก. ยืนอยู่นี่ไหมคะคุณอัช”

เสียงของพี่มล ทำให้เขาเพิ่มสังเกตเห็นพี่เก๋ บก. ใหญ่ของนิตยสารที่เหมือนจะยืนรอเขาอยู่

“ขอโทษครับพี่เก๋ มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมไม่โทรเรียกผมเข้าไปในห้องก็ได้”

“ไม่เป็นไร พี่ก็เดินออกมาพักพอดี คืองี้ ต้นฉบับกับอาร์ตส่วนของเดือนนี้ พี่ว่ามันยังไม่ค่อยว้าวน่ะ อัชลองดูให้พี่หน่อยว่าตรงคอลัมน์คอลเล็คชั่นใหม่ กับส่วนสัมภาษณ์เซเลป มันน่าจะมีอะไรอีกหน่อยไหม”

บก. สาวเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นปึกเอกสารให้อัชฌา

“ได้ครับ เดี๋ยวผมช่วยดูอีกครั้ง”

“ขอบใจนะจ๊ะ เออ ว่าแต่โปสการ์ดเรานี่ ภาพสวยมาก ส่งมาจากไหนหรือ”


คำตอบยังไม่ทันออกจากปากเขา พี่มลก็แย่งไปตอบเสียแล้ว
“พี่เก๋ อย่าไปถามค่ะ เพราะนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าส่งมาจากไหน”

“แล้วทำไมคุณนฤมลถึงรู้ดีคะ”

“พี่เก๋อะ หนูก็ไม่ได้จะเผือกนะคะ แต่ว่าโต๊ะติดกันไง เลยได้เห็น ได้สัมผัส ได้ดูบ่อยๆ เลยรู้”

อัชฌายิ้มรับกับคำตอบของนฤมล แล้วก็ให้คำยืนยันกับบก.สาวใหญ่

“งั้นแหละครับพี่เก๋ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าส่งมาจากไหน”

“ภาพสวยมาก คนส่งถ่ายเองหรือเปล่า พี่เห็นเหมือนเป็นภาพที่อัดแล้วเอามาแปะลงกระดาษ ไม่น่าจะใช่ภาพพิมพ์”

“น่าจะนะครับ”


“ถ่ายเองแน่นอนพี่เก๋”
เป็นพี่มลอีกครั้งที่ช่วยให้ข้อมูลแทนเขา ส่วนเขาก็ได้แต่ยิ้มบางๆ และพยักหน้าให้พี่เก๋ได้ทราบว่า สิ่งที่พี่มลตอบนั้นเป็นความจริง


“หือ ยังไงคะคุณนฤมลรู้เก่ง”

“ก็คนที่ส่งมา มันเป็นช่างภาพไงพี่”

“นี่อะนะ ไม่เผือก พี่ว่านะมล นี่มลรู้เยอะกว่าตัวอัชเค้าอีกละมั้ง”

“พี่เก๋อะ หนูไม่เล่าละ”


อัชฌานั่งฟังบทสนทนาของหญิงสาวทั้งสองเกี่ยวกับตัวเอง ก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มจางๆ
นั่นสิ เขารู้อะไรอีกบ้างนะเกี่ยวกับเจ้าของโปสการ์ด

.
.

“ทำไมคุณชอบถ่ายภาพ”

“ผมเขียนไม่เก่งเหมือนคุณไง”

“แล้วไงอะ ไม่ใช่ทุกคนต้องเขียนเก่งนี่นา”

“ก็ผมเขียนไม่เก่ง แต่อยากเล่าให้คนอื่นฟังเกี่ยวกับความทรงจำที่ผมมี ผมก็เลยเล่าผ่านภาพไง”

“คูลมากคุณ นี่คิดเองหรือเปล่าคำตอบนี้ ผมขอเอาไปใส่ในงานเขียนได้ไหม”

“ไม่เห็นจะเท่อะไรเลย ผมก็แค่พูดไปตามจริง”

“คุณก็ถ่อมตัว ผมว่าคุณเขียนได้นะ คิดได้ขนาดนี้”

“เขียนไม่เก่งจริงๆ ครับ ไม่ได้ถ่อมตัว”

แชะ

แชะ



เสียงชัตเตอร์ที่กดลง กับเลนส์กล้องที่หันมาทางอัชฌา

“ถ่ายอะไร”
 
“ถ่ายคุณครับ”

“ถ่ายทำไม”

“ก็ผมเขียนไม่เก่ง”

“แล้ว…”

“ผมก็เลยชอบบันทึกความทรงจำด้วยการถ่ายภาพไงครับ”

“...”

“และตอนนี้ ผมอยากมีคุณในความทรงจำ”

.
.
.

เสียงเรียกชื่อเขา ทำให้หลุดจากภวังค์ความคิด และกลับมาสู่บทสนทนาของสองหญิงสาวอีกครั้ง

“สรุป คนที่ส่งมาเป็นช่างภาพ ช่างภาพคนไหน พี่รู้จักไหมอัช”

“รู้จักดิพี่เก๋”

“รู้เก่งอีกแล้วนะคุณนฤมล”

“เชอะ ไม่รู้แล้วก็ได้”

“สรุปว่าไงอัช ช่างภาพคนไหน พี่รู้จักไหม”

“ก็น่าจะรู้จักครับ ผู้ช่วยของพี่ก้องที่เคยมาถ่ายภาพคอลเลคชั่นฤดูใบไม้ผลิให้เราไงครับ”

“คนไหนน้า นึกหน้าตาไม่ออก แต่ถ้าเป็นผู้ช่วยก้อง ช่างภาพแฟชั่นหรือ แต่นี่ภาพแลนด์สเคปนี่”

“มาช่วยพี่ก้องครับ แต่เขาไม่ใช่ช่างภาพแฟชั่น”

“งั้นหรือ ภาพมีมิติน่าสนใจดีนะ เผื่อมีโอกาสมาร่วมงานน่าจะดี”

“หวังยากค่ะพี่เก๋ ให้โผล่มาทั้งตัว ไม่ได้มาแค่โปสการ์ดก่อนดีกว่าไหม”

“แล้วคุณนฤมลไปรู้ดีอะไรกับเค้าอีกละคะ”

“ก็รู้ดีว่า คุณโปสการ์ดจะมาทุกสัปดาห์ หรือบางทีอาจจะ 2 สัปดาห์ค่อยมา แต่บางครั้งไปรษณีย์อาจจะส่งช้า ตกค้างบ้าง บางสัปดาห์ก็รวบมา 2-3 ใบ แต่โดยเฉลี่ยเดือนหนึ่งจะมีมา 4 ใบ นั่นเท่ากับคนส่งน่าจะส่งมาทุกสัปดาห์ค่ะ”

“ตายแล้ว คุณนฤมล นี่พี่จ้างเธอมาทำงาน หรือมาเผือกเรื่องชาวบ้านละเนี่ย รู้ละเอียดพร้อมเก็บสถิติขนาดนี้”

“ผิดค่ะพี่เก๋ มลเป็นนักเขียน เพราะงั้น สิ่งที่เห็นทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบ”

“ค่ะๆๆ ขอให้เป็นวัตถุดิบกับคอลัมน์ในนิตยสารได้เถอะค่ะ เอาเถอะ พี่ฝากด้วยนะอัช ไปละ คุยกับคุณนฤมลแล้วพี่เวียนหัว”

อัชฌานั่งอมยิ้ม และพยักหน้ารับคำท่ามกลางบทสนทนาของหัวหน้าและลูกน้องที่มีเรื่องของตัวเองเป็นประเด็น

.
.

โปสการ์ดประจำสัปดาห์หรือ
แค่บังเอิญ หรือคุณส่งสม่ำเสมออย่างนั้นจริงๆ
นี่ผมรู้อะไรเกี่ยวกับคุณบ้างนะ


------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

twitter https://twitter.com/PlusOneNovel

#คุณโปสการ์ด



หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 16-04-2019 00:48:37
แผ่นที่ 3

“สัปดาห์นี้ยังไม่มีโปสการ์ดมาส่งแฮะ”

อัชฌาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ส่งเสียงทัก
“ไม่ได้ส่งมามั้งครับ”

“น่าจะส่ง แต่ไปรษณีย์น่าจะช้า นี่ละน้าระบบไปรษณีย์ไทย”

“พี่มลทราบได้ยังไงละครับว่าจะส่งมา”
ชายหนุ่มอดที่จะถามกลับไม่ได้ พร้อมเสียงหัวเราะ

“ส่งสิ คนที่ส่งโปสการ์ดมาสม่ำเสมอขนาดนั้นเป็นปีๆ ทำไมจู่ๆ จะไม่ส่งล่ะ”

“ก็อาจจะแค่...ขี้เกียจส่งแล้ว”
ปลายคำตอบที่น้ำเสียงแผ่วเบาลง ถูกแทนที่ด้วยความเห็นของพี่มลที่เสียงดังกว่าขึ้นทันที

“ไม่มีทาง”

“มีเถียงแทนด้วย”
อัชฌามองหน้าพี่สาว เพื่อนร่วมงานคนสนิทพร้อมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

“แน่นอน คุณโปสการ์ดเค้าต้องส่งมาแน่นอน แต่น่าจะดองอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่เดียวก็มา 3-4 ใบแบบเดือนก่อนนั่นไง”

“เค้าชื่อ หลง ครับ ไม่ใช่คุณโปสการ์ด”

“เรียกคุณโปสการ์ดสิ โรแมนติคจะตาย”

“แล้วทำไมต้องโรแมนติคครับ”

“ก็ทำขนาดนี้ ต้องคิดไรมั่งไหมละ”

“ไม่นะครับ ไม่ได้คิด”

“อัชไม่ได้คิด แล้วอีกฝ่ายล่ะ คิดหรือเปล่า ไม่งั้นจะทำอะไรแบบนี้ทำไม”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าอีกฝ่ายคิดหรือไม่คิด”
.
.
ใช่ ไม่รู้จริงๆ ว่าคิด หรือไม่คิด
คิดเกี่ยวกับเขาว่าอย่างไร
หรือความสัมพันธ์ระหว่างเราเรียกว่าอะไร
เพื่อน ก็อาจจะได้ละมั้ง แต่เพื่อนมันต้องมีมิตรภาพ ความผูกพัน
หรือมีกิจกรรมความสนใจร่วมกันหรือเปล่านะ
อย่างน้อยควรเคยแชร์อะไรร่วมกัน แบบเพื่อนร่วมห้อง ต้องแชร์ห้องเรียนกัน อะไรอย่างนั้น
แล้วเขากับหลง เคยแชร์อะไรร่วมกันบ้างนะ
ห้องนอน
เตียง
ค่ำคืนที่เร่าร้อน…
งั้น “เพื่อน” ก็น่าจะเรียกได้ละนะ

.
.
.
“เอ้า ชน ขอบคุณมากนะทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกันจนงานผ่านไปได้ด้วยดี คืนนี้เต็มที่ได้เลย”

“พี่ก้องเลี้ยงใช่ไหมครับ”

“เออ เอาให้เต็มที่ พี่จัดการเอง”

หลังจบเสียงประกาศของพี่ก้อง ก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงเฮดังลั่นของทีมงานทุกคน
“อัช ตามสบายเลยนะ เต็มที่ๆ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณครับพี่ก้อง แต่ความจริงผมไม่ได้มีส่วนในงานนี้เท่าไรเลย”

“เฮ้ยไม่ต้องเกรงใจ พี่ถือว่าทำมากทำน้อย ทำส่วนไหน ก็มีความเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของงานทั้งนั้น”

“งั้นผมไม่เกรงใจละครับ ขอบคุณพี่อีกครั้ง”

“ได้เลยไอ้น้อง”

หลังจากนั้นพี่ก้องก็ยกแก้วขึ้นชนไม่หยุด
อัชฌาเองก็ถูกทีมงานหลายคนวนเวียนมาชนแก้ว
บางคนก็เป็นทีมงานที่คุ้ยเคย เพราะเคยร่วมงานด้วยกันมาหลายครั้งแล้ว
พี่ก้องถือเป็นหนึ่งในพี่ใหญ่ของทีมงานภาพที่น่ารัก ซึ่งทางกองของเขาร่วมงานด้วยอยู่บ่อยๆ ทีมงานหลายคนเลยคุ้นหน้าไปโดยปริยาย

“ขอชนแก้วด้วยได้ไหมครับ”
เสียงจากใบหน้าที่ไม่คุ้นเอ่ยทักขึ้น ทำให้อัชฌาตอบรับด้วยการยกแก้วในมือขึ้นสัมผัสกับแก้วอีกฝ่ายตามมารยาท

“ครับ”

“คุณชื่อ อัชฌา”

เสียงทักพร้อมชื่อของเขา ทำให้อัชฌาออกจะแปลกใจว่าเคยพบกับชายหนุ่มคนนี้ที่ไหน และเมื่อไร
“ครับ แต่เรียกแค่ อัช ก็ได้ครับ”

เสียงพึมพำจากอีกฝ่ายทำให้เขาอดแปลกใจไม่ได้ ชื่อเขามีปัญหาอะไรกันนะ
จะเอ่ยถามตรงๆ ก็กลัวเสียมารยาท
แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพึมพำน่าจะเกี่ยวกับตัวเขา ถ้าจะถามก็คงไม่เสียมารยาทแล้วละ

“ครับ” 
อีกฝ่ายรับคำสั้นๆ แต่สายตายังจับจ้องที่เขาอยู่

“ครับ?”
คราวนี้เป็นฝ่ายอัชฌาที่ส่งเสียงสั้นๆ เชิงคำถามกลับไปหาอีกฝ่ายบ้าง
เขามั่นใจว่าน่าจะเคยรู้จักคนๆ นี้ครั้งแรก การโต้ตอบแบบนี้ออกจะเสียมารยาทไปหน่อยหรือเปล่านะ
แต่อัชฌาก็เลือกที่จะถามออกไปในที่สุด

“คุณสงสัยอะไรในชื่อผมหรือเปล่า”

“...”
คู่สนทนาไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมา

“ถ้าสงสัย ควรถามดีกว่ามายืนมองหน้ากันอย่างนี้นะครับ”

“... อัชฌา แปลว่าอะไรหรือครับ”

“หือ ผมว่าเวลาคนเราทักทายกัน สิ่งแรกคือควรแนะนำชื่อตัวเองแก่อีกฝ่ายหรือเปล่าครับ ไม่น่าจะใช่การถามความหมายของชื่ออีกฝ่าย”

“หลง ครับ”

คำตอบสั้นๆ ถึงจะมีหางเสียงลงท้ายแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อัชฌามีความรู้สึกหงุดหงิดใจน้อยลงเลย

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณหลง ส่วนชื่อผมสามารถหาความหมายได้ตามพจนานุกรมครับ ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร ผมขอตัว”
อัชฌาบอกไม่ได้ว่าทำไมต้องหงุดหงิด แต่ตอนนี้ เขารู้สึกหงุดหงิดกับคนตรงหน้าไปแล้วนี่สิ
หนทางที่จะรักษามารยาทไว้ ก็ได้แต่ขอตัวไปจากบทสนทนานี่แหละ

“คุณ”
เสียงเรียกสั้นๆ หยุดการหมุนตัวของอัชฌาไว้ให้
อัชฌาขมวดคิ้ว หันหลับไปแหงนจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย
ในแสงสลัวยังรู้เลยว่าใบหน้าคมเข้ม มีเค้าของความหน้าตาดีอยู่ไม่น้อย
แต่แล้วยังไง ไม่ได้แปลว่า ระดับความอดทนของเขาจะมีมากเพียงพอที่จะต่อบทสนทนากับคนแปลกหน้าที่พูดนับคำได้หรอกนะ

แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไปอีก เสียงพี่ก้องดังขัดขึ้นมาก่อน
“หลง กำลังคุยกับอัชอยู่หรือ”

“ครับ พี่ก้อง”

“รู้จักกันแล้วใช่ไหม อัช นี่หลง ผู้ช่วยพี่”

“ครับ เพิ่งคุยกันเมื่อสักครู่”

“พี่ขอมันมาช่วยโปรเจคนี้ ปกติมันไม่รับงานแฟชั่นหรอกนะ”

“ครับ สวัสดีครับคุณหลง”
อัชฌาเลือกที่จะทักกลับต่อหน้าพี่ก้อง ราวกับทั้งสองเพิ่งเจอหน้ากัน และเมื่อสักครู่ไม่ได้มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างพวกเขาเกิดขึ้น

แต่ก่อนที่พี่ก้องจะได้แนะนำคนตรงหน้าต่อ เสียงเรียกให้ไปขนแก้วจากทีมงานอีกโต๊ะหนึ่งดังขึ้น
“พี่ก้อง มาชนทางนี้กันครับ”

“เออๆ ไปๆ งั้นสองคนคุยกันไปก่อน อัช พี่ฝากหลงด้วย มันไม่ค่อยคุ้นกับงานแปบนี้ แต่มันเป็นคนเก่ง งานมันก็น่าสนใจนะ เออๆ ไปแล้วๆ นี่ก็เร่งจริง”

พี่ก้องเดินจากไปแล้ว เหลือให้เขาสองคนยืนเกาะโต๊ะกลมเล็ก ประจันหน้ากัน
อัชฌารู้สึกว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์คุกรุ่นๆ นิดๆ จากบทสนทนากวนประสาทเมื่อครู่ ผสมฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป
ทำให้ดูเหมือนระดับอารมณ์ และความอดทนของเขาจะต่ำลงกว่าปกติ

อัชฌาไม่ใช่คนคอแข็ง และไม่ใช่คนชอบสังสรรค์
ไม่ถึงกับดื่มไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะดื่มเป็นกิจวัตร
แล้วมาถูกเติมความหัวร้อนด้วยคนประหลาดที่พูดสั้นประหนึ่งกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากนี่อีก

“สรุปว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับผมหรือเปล่า”

“... เปล่าครับ”

อัชฌารู้สึกว่าเขากำลังถูกท้าทายความอดทนเข้าจริงๆ แล้ว
หรืออีกฝ่ายมีงานอดิเรกชอบกวนตีนชาวบ้าน
แต่นี่เราก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กับขนาดที่ว่า จะให้อีกฝ่ายมากวนได้โดยไม่โกรธหรือเปล่า

“นี่คุณเมาหรือเปล่า”
อัชฌาลองถามหยั่งเชิงอีกฝ่าย เผื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะฤทธิ์น้ำเมา
เขาจะได้ถือคติ อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมาเช่นกัน

“ไม่นะ”

“นั่น ชัวร์ ผมว่าคุณเมา คนเมามักจะบอกว่าตัวเองไม่เมานี่แหละ”

“งั้นผมเมาก็ได้ ถ้าคุณอยากให้ผมเมา”

ถ้าคุยนานกว่านี้ อัชฌาเริ่มมั่นใจแล้วว่า จะต้องมีเรื่องแน่ๆ
และน่าจะเริ่มเรื่องที่เขานี่แหละ เพราะตอนนี้ เริ่มมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่รู้สึกกับคนตรงหน้าคือ หงุดหงิด ในระดับที่มากพอละ

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พอพูดตัดบทไปแล้ว อัชฌาจึงหมุนตัวอย่างเร็ว และเดินเลี่ยงไปหากลุ่มทีมงานอีกทาง
อย่างน้อยอยู่กับทีมงานที่คุ้นหน้าคุ้นตา น่าจะดีกว่าคุยกับคนบ้าที่พูดไม่รู้เรื่อง
.
.
.
“อย่า จั๊กจี๋นะ…”

“จูเนียร์ ไม่เอา อย่าเลีย”

“ดื้อหรือ มาๆ อยากนอนด้วยกันก็มา”

“อื้อ จูเนียร์ อย่าเล่น”

“อื้อ…อ๊ะ

“อือ”
.
.
.
#คุณโปสการ์ด

---------------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

twitter https://twitter.com/PlusOneNovel

#คุณโปสการ์ด
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 16-04-2019 01:38:57
แผ่นที่ 4

“คุณ
เลี้ยงแมวด้วยหรือครับ
ได้รู้จักชื่อแมวของคุณแล้วสิ
จูเนียร์น่าจะน่ารัก
เห็นคุณอ้อนมันขนาดนั้น”


ข้อความหวัดๆ สั้นๆ รูปประโยคไม่สื่อความ
จะถาม หรือจะบอกเล่าก็ไม่รู้
นี่ถ้าเป็นนักเขียนในกอง น่าจะโดนเขาไล่ไปเขียนใหม่

คนเพิ่งลืมตาตื่นอ่านข้อความจบแล้วก็พลิกดูอีกด้าน
ภาพโพลาลอยด์?
วิวดูแสนจะคุ้นเคย

เมื่อมือยกภาพขึ้นเทียบกับทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
ก็ภาพจากมุมระเบียงชั้น 28 ห้องเขาเองนี่นา
ต่างก็แค่แสงสว่างที่อยู่ในภาพ น้อยกว่าแสงสว่างที่สาดเข้าสายตาในเวลานี้
บ่ายแล้วสินะ

ก่อนจะหยิบมือถือมากดอ่านข้อความที่ยังไม่ได้อ่านที่ขึ้นเตือน
เห็นข้อความจากพี่มลและเพื่อนคนอื่นๆ
‘กลับถึงห้องเรียบร้อยดีไหม’
‘หลับแล้วหรือ’


ใครมาส่งกันนะ
หลังจากดื่มไปอีกหลายแก้ว เพราะชนกับทีมงานที่สนิทกัน
เหมือนภาพจะตัด ลืมตาตื่นก็เห็นเพดานห้องของตัวเองแล้วนี่สิ


แต่เดี๋ยวนะ “คุณ” หรือ
อัชฌาหยิบภาพโพลาลอยด์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาดูอีกครั้ง
เหมือนได้ยินเหมือนเสียงเรียกเขาว่า “คุณ”
เสียงเหมือนคนบ้าพูดสั้นที่มากวนประสาทเขาเมื่อคืน

แล้วเขาทำอะไรลงไปบ้างละนี่
พูดอะไรออกไป ถึงขั้นอีกฝ่ายรู้ว่าเขาเลี้ยงแมว ซ้ำยังรู้ชื่อแมวอีกด้วย

อัชฌาคิดทบทวนไปมา แล้วก็ก้มดูเสื้อผ้าที่ใส่
เสื้อผ้ายังอยู่ครบ เป็นชุดเดิมกับเมื่อคืน
เอาเถอะ ไม่ใช่สาวน้อยสักหน่อย จะมากังวลเรื่องเสียตัวก็ไม่ใช่เรื่อง
.
.
.
นั่นน่าจะเป็นโปสการ์ดแผ่นแรกที่เขาได้รับจากหลง
หลังจากนั้นยังไงต่อนะ


แล้วความคิดก็ชะงักลงด้วยเสียงเรียกจากเพื่อนร่วมงานฝั่งตรงข้าม

“อัช ไปกินข้าวกัน”

“เดี๋ยวผมทำตรงนี้อีกนิดพี่มล”

“ไป กิน ข้าว เดี๋ยวนี้ ทำต่ออีกนิดของอัช นั่งจนบ่ายอะ พี่หิวแล้ว ไป อยากลงไปกินอาหารเวียดนาม”
เสียงพี่มลย้ำคำจนทำให้เขาต้องวางมือ ไม่อย่างนั้น เสียงคุณนฤมลก็คงกวนจนเขาไม่ได้ทำงานต่ออยู่ดี

“เดี๋ยวนี้ค่ะคุณอัชฌา นั่งทำต่อ หรือกลับมาทำ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ต้นฉบับปิดวันนี้หรอก”
ระหว่างกำลังกดปุ่มสแตนบายแลปทอปตรงหน้า เสียงเร่งจากพี่มลอีกครั้ง ทำให้อีกฝ่ายยิ้มขำ

“พี่เก๋มาได้ยิน เดี๋ยวเป็นเรื่องนะพี่มล”

“เสียงนินทาไม่ดังไปถึงฝรั่งเศสหรอกค่าคุณน้อง”

“ไปครับ เสร็จละ”
.
.
.
“อ้าว อัช สวัสดีครับพี่มล”

“แหม คุณกร พี่ตัวเล็กมากสินะคะ ถึงเลือกทักอัชก่อนจะเห็นพี่”

เสียงทักทายจากเจ้าของร้านที่ถูกเอ่ยแซว แทนที่ด้วยเสียงหัวเราะ
“งั้นแหละครับ ผมก็ทักตามลำดับไหล่ เชิญนั่งก่อนครับ วันนี้มาทานอะไรดีครับ”

“วันนี้วันพฤหัส คิวอาหารเวียดนามนี่เนาะ พี่อยากทานเฝอ”

“อัชละครับ ทานอะไร”

“เอาอย่างพี่มลก็ได้ครับ”

“ได้เลยครับอัช รับเครื่องดื่มอะไรเพิ่มไหม วันนี้มีเมล็ดกาแฟเพิ่งเข้านะครับ ลองดูหน่อยไหม ทั้งกลิ่น ทั้งรสชาติไม่เลวเลย เอามาชงแบบดิป เอามาดื่มหลังอาหาร สดชื่นตลอดบ่ายแน่นอนครับ”

“ได้ครับ พี่มลเอาด้วยไหม”

“ค่าคุณกร ต้องลองสิ คุณกรแนะนำเองขนาดนี้”

“รับทราบครับผม”
ชายหนุ่มในผ้ากันเปื้อนคาดเอวยิ้มรับคำก่อนเดินไปยังเคาเตอร์ของร้านเพื่อสั่งรายการ



“พี่ว่านะ คุณกรต้องชอบอัช”

“หืม”
อัชฌาชะงัก ถึงกับเงยหน้าจากโทรศัพท์ที่กำลังสไลด์อ่านข่าวสารไปเรื่อย

“จริงๆ อัชดู ความใส่ใจ ความแนะนำ ความเห็นก่อนระยะ 500 เมตร”

“พี่มลก็ไปเรื่อย กำลังแต่งนิยายใช่ไหมช่วงนี้ หรือเอาเวลางานไปแอบอ่านนิยาย”

“ตลกละอัช พี่พูดจริง ดู ดู นี่ไม่รู้สึกบ้างหรือ ความใส่ใจที่มันพุ่งมากระแทกหน้าเนี่ย”

“ก็เป็นการบริการตามปกติของร้านนะ”

“ไม่ใช่สิ การทักทายเอย การแนะนำเอย สายตาเอย ดูสิดู”

“ยังไงครับ ก็ทักทายตามปกติ กรก็ทักพี่มล”

“เนี่ย เรียก กร”

“ก็กรเค้าบอกว่า เรียกชื่อไปเลย ดูไม่แก่ดี อายุเราก็ต่างกันไม่มาก”

“ไม่เห็นเค้าบอกพี่ว่างั้นเลยป่ะ ‘ว่าพี่มลครับเรียกผมว่ากรเฉยๆ ก็ได้ครับ’ พี่เรียกคุณกร เค้าก็ให้เรียกคุณกร”

อัชฌามองท่าทางของพี่สาวคนสนิทแล้วก็ยิ้มปนขำออกมา
“พี่มลลองเปลี่ยนไปเขียนนิยายท่าจะรุ่งกว่าเขียนคอลัมน์ในนิตยสารนะครับ”

“เออ น่ามาดูกันว่าพี่ดูผิดหรือเปล่า”



อัชฌาไม่ได้ตอบรับ
และก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อสันนิษฐานนั้น
ถ้าพี่มลสังเกตดีๆ คงจะเห็นแววตาเขาที่วูบไหวไปเล็กน้อย
ใช่ แค่เล็กน้อย
ก็มันมีความจริงอยู่ในสิ่งที่พี่มลพูดนี่นา
แต่ก็แค่บางส่วนนะ
.
.
.
“อัชกำลังรอ”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้รอ”

“รอสิ สิ่งที่อัชกำลังทำอยู่เรียกว่า การรอ”

“ทำไมกรคิดอย่างนั้นละ”

“อัชฌาครับ เด็กมัธยมยังรู้เลยว่าสิ่งที่อัชกำลังเป็นอยู่นี่เรียกว่า การรอ”

กรเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าของคู่สนทนา
อัชฌาเหลือบไปมองนิ้วยาวที่กำลังไล้ตามโครงหน้า แก้ม และริมฝีปาก

“งั้นอัชก็คงกำลังรออย่างที่กรว่าจริงๆ”

“แล้วกรล่ะ รออัชได้ไหม”

“ผมก็ไม่รู้”

รองั้นหรือ
นั่นสิ หรือความรู้สึกนี้มันมันเรียกว่า การรอ
.
.
.
“ผมชอบการส่งโปสการ์ด”

“ทำไม”

“สำหรับผมที่เขียนไม่เก่ง มันไม่ใช่แค่ผมจะส่งความทรงจำให้คุณ แต่เพราะมันต้องรอ”

“ก็แน่ละ จดหมายมันเดินทางช้านี่ วันหลังก็ส่งไฟล์ภาพมาแทนสิ”

“เพราะรอนี่ละครับ ถึงสำคัญ”

“ทำไม”

“คุณสนใจด้วยหรือครับ”
คนถามอมยิ้มน้อยๆ

“จะตอบหรือไม่ตอบครับ”
อัชฌาเลือกที่จะถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เริ่มติดขุ่นเคือง
คนๆ นี้ ถ้าจะต้องตอบอะไรตามปกติ มันจะหายใจไม่ออกใช่ไหมนะ

“ก็การรอ สำหรับผม มันช่วยทำให้เวลามีค่ามากขึ้นละมั้ง”

“คุณตอบในมุมของคนที่ให้คนอื่นรอ คนไม่ได้เป็นฝ่ายรอก็พูดง่าย”

“ไม่จริงหรอก ผมว่า การรอมันเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่ากับทั้งสองฝ่ายนะ ผมว่ามันเหมือนการจัดการความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย ให้สิ่งที่ไม่แน่ใจกลายเป็นมั่นคง ให้สิ่งที่อยู่ระหว่างตัดสินใจกลายเป็นชัดเจน คล้ายๆ การบ่มละมั้ง”

“คุณครับ ความรู้สึกนะไม่ใช่มะม่วง ต้องบ่มด้วย”

“ครับ”

อัชฌาจำรอยยิ้มที่ส่งมาพร้อมกับว่าครับได้
รอยยิ้มที่รู้ว่าส่งมาให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ไม่แน่ใจว่าสุขหรือเศร้า
รอยยิ้มที่ไม่แน่ใจในความหมายที่มักจะฉายอยู่บนใบหน้าของคนๆ นี้เสมอ
.
.
.
รองั้นหรือ
เขากำลังรอใช่ไหม
แล้วความรู้สึกกำลังถูกบ่มอยู่หรือ
ความไม่แน่ใจจะกลายเป็นความมั่นคง
และสิ่งที่ไม่แน่ใจจะชัดเจนจริงๆ หรือ
งั้นเขาจะลอง “รอ”


-----------
#คุณโปสการ์ด

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

twitter https://twitter.com/PlusOneNovel


หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 4 (16/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-04-2019 16:39:10
ขอบคุณค่าาาา เขียนดีมากเลย เราชอบมู้ดแอนด์โทนของเรื่องมากเลย โรแมนติกผสมหน่วงนิดๆ อะไรก็ไม่รู้บอกไม่ถูก แต่อยากบอกว่าชอบมาก เป็นกำลังใจให้เขียนต่อไปนะคะ  :3123:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 5 (17/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 17-04-2019 20:11:25
แผ่นที่ 5

“คุณครับ
อากาศทางนี้แย่จัง
ฝนบ้าง ลูกเห็บบ้าง พายุบ้าง
นี่รอลุ้นว่าภูเขาไฟจะประทุหรือเปล่า
แต่ถ้าได้เห็นก็น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดี”


ภูเขาไฟประทุเนี่ยนะ
นี่เขาไปอยู่ส่วนไหนของโลกกันละนี่
แล้วทำไมคนเราจะต้องดีใจที่ภูเขาไฟระเบิดด้วย
คนประหลาด

อัชฌาอ่านข้อความในโปสการ์ดแล้วก็ถอนใจออกมาเล็กน้อย
พลิกดูภาพถ่ายที่แปะบนกระดาษอีกฝั่งอย่างเคย
ภาพกับเนื้อหาไม่ไปด้วยกันอีกละ
ภาพถ่ายก็คงเกิดจากฝีมือกดชัตเตอร์ของเจ้าของลายมือหวัดๆ ไม่ผิดแน่
ถ้าคนๆ นี้ ตั้งใจจะเขียนเนื้อหาหลังภาพให้มันสัมพันธ์กันกว่านี้
เขายังเคยอยากจะลองเอาโปสการ์ดของคุณเขาลงเป็นเนื้อหาในนิตยสารอยู่เลย

สายฝนนอกหน้าต่าง ดึงสายตาของอัชฌามองทอดออกไปด้านนอกกระจกใสของห้องทำงานบนตึกสูงกลางเมืองหลวง
อยู่ชั้นสูงๆ ก็ดีตรงที่ไม่มีอะไรมาบดบังสายตานี่แหละ
ฝนตกงั้นหรือ ตอนนี้อยู่ที่ไหนกันนะ ฝนตกเหมือนกันเลย
ไม่สิ อาจจะไม่เหมือน เพราะโปสการ์ดส่งมาตั้งแต่วันไหนเขาก็ไม่รู้
.
.
.
“ทำไมคุณไม่ลงวันที่ในเอกสารเนี่ย”

“ขอโทษครับ ผมชิน”

“ชินอะไร”

“ที่ไม่ลงวันที่”

“คุณนี่พิลึก เขียนเอกสาร เขียนงานลงวันที่นี่มันเรื่องปกติมากเลยไหม”

“...”

“คราวนี้มีเหตุผลอะไรอีกครับคุณหลง การไม่ลงวันที่มีอะไรสำคัญอีกครับ”

“เปล่าครับ ไม่ได้สำคัญอะไร”

“ว่าไป เวลาคุณส่งโปสการ์ดมา ก็ไม่เคยลงวันที่ ก็เลยชินงั้นหรือ”

“ก็เวลาเขียนโปสการ์ดแล้วลงวันที่ เวลาในโปสการ์ดมันก็จะหยุดอยู่ที่วันที่นั้นเท่านั้นนี่ครับ”

“เอ้า แล้วไม่ลงมันต่างกันหรือยังไง เวลามันก็เดินผ่านวันเวลานั้นไปแล้ว”

“ต่างครับ”

“ต่างยังไงกันคุณช่างภาพ”

“ถ้าผมไม่ลงวันที่ เวลาในโปสการ์ดมันจะคงเดิม”

“หลักคิดคุณประหลาดเกินไปแล้ว”

“งั้นหรือครับ”

“ใช่สิคุณ เวลาในวันที่เขียน กับ เวลาในวันที่อ่านมันก็เป็นคนละเวลาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ถึงจะมีวันที่ หรือไม่มีวันที่”

“สำหรับผม ไม่ใช่ครับ เวลาของผมในวันที่เขียน จะกลายเป็นเวลาของคุณในวันที่อ่าน ณ ตอนนั้น เวลาของเราจะเป็นเวลาเดียวกันเสมอ”

“ในความเป็นจริง เวลามันไม่ได้หยุดเดินหรอกนะคุณ ไม่ว่าคุณจะเขียนไม่เขียนวันที่ เพราะงั้นเวลาของคุณที่เขียน กับ เวลาของผมที่อ่าน ไม่มีทางเป็นเวลาเดียวกัน”

“แต่ในความรู้สึกของผม เวลาของผมเป็นเวลาของคุณเสมอนะครับ”
.
.
.
เวลาของผม กับเวลาของคุณ งั้นหรือ
คนที่พูดไว้อย่างนั้น ก็ยังเป็นคนบ้าที่ส่งโปสการ์ดไม่ลงวันที่ เวลา หรือแม้แต่สถานที่มาให้เขาอย่างนี้สินะ
บางทีอัชฌาก็คิด คิดว่าตัวเองก็อาจจะเป็นคนบ้าบอ
ไม่สิ เรียกว่าติดเชื้อบ้าบอติสต์แตกมาจากการสนทนากับคนบ้าบอมากกว่า



“ไหน คราวนี้คุณโปสการ์ดส่งมาว่าไงบ้าง”
เสียงเรียกให้ตื่นจากภวังค์ยังเป็นเสียงพี่มลเช่นเคย

นี่ไง มันต้องมีอยู่จริงๆ แน่ๆ เชื้อบ้าบอติสต์แตกเนี่ย พี่มลก็น่าจะติดไปด้วยอีกคน
ตอนนี้ถึงได้กลายเป็นแฟนคลับโปสการ์ดไปเรียบร้อยละ
“ก็เหมือนเคยครับ ประโยคบอกเล่าไม่มีประธาน ใช้กริยาเขียนวลีสั้นๆ ลายมือหวัดๆ ห่วยๆ เหมือนเดิม”

“คุณอัชฌา นี่ไม่ได้ตรวจงานน้องในกองนะคะ ไม่ต้องชี้แจงไวยกรณ์ หรือแนวทางการเขียนค่ะ”

“ก็เหมือนเดิมครับ ชีวิตประจำวัน บ่นลมบ่นฟ้า คราวนี้มาเพิ่มภูเขาไฟระเบิด”

“ตายแล้ว นี่อยู่ที่ซีกโลกไหนเนี่ย ภูเขาไฟระเบิดด้วย อันตรายนะเนี่ย”

“คนส่งเค้ายังไม่คิดว่าอันตรายเลยครับ เขียนมาว่าน่าตื่นเต้น เป็นประสบการณ์ที่ดีเสียด้วยซ้ำ”

“คุณโปสการ์ดนี่ก็แปลกคนเนาะ ใช้ชีวิตสบายๆ ก็ได้แท้ๆ ทำไมถึงต้องออกไปใช้ชีวิตโลดโผนขนาดนี้นะ”

อัชฌาที่ฟังความคิดเห็นของพี่มล ก็นิ่งคิด
นั่นสินะ ต้องเป็นคนแบบไหนกันนะ ถึงเลือกเส้นทางชีวิตแบบนี้
ชีวิตที่วิ่งเข้าหาภูเขาไฟบ้าง
วิ่งเข้าพื้นที่ที่ไม่มีใครเคยไปบ้าง
พื้นที่ที่แทบจะไม่คนอาศัยบ้าง
ทำไมต้องผจญภัยขนาดนั้นกันนะ
.
.
.
“กล้องนี่มันแพงมากเลยหรือ”

“ก็ไม่นะครับ ทำไมหรือ ส่วนที่แพงน่าจะเป็นเลนส์มากกว่า”

“ก็ไม่ทำไม กำลังคิดอยู่ว่าช่างภาพแบบคุณนี่ก็ต้องรวยเนาะ ซื้ออุปกรณ์อะไรต่ออะไร”

“ครับ”

“วันก่อนอ่านกระทู้ เป็นโจ๊กหรือเรื่องจริงก็ไม่รู้นะ แบบแฟนซื้อเลนส์กล้องมาแล้วโกหกอีกฝ่ายว่าราคาเลนส์ไม่กี่พัน แล้วผู้หญิงก็เอามาตั้งกระทู้ถามราคาในห้องแชท ก็มีแต่คนรับมุขว่าราคาถูกงั้นงี้ ตลกมาก ซื้อของแพงแล้วต้องมาโกหก”

“ผมว่าเรื่องอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับความชอบนะครับ ถ้าเป็นเรื่องที่ชอบ มันก็คุ้มราคาที่จ่าย ก็ไม่มีอะไรแพงหรอก”

“งั้นแสดงว่าเลนส์คุณต้องแพงมากแน่ๆ งี้ผมขโมยเอาไปตั้งขายดีกว่า แบบไปตั้งถามราคาแล้วปล่อยบ้าง”

“ถ้าคุณอยากได้เงินขนาดนั้น บอกผมก็ได้ครับ ผมยกบัญชีให้คุณก็ได้”


“โห คนรวย นี่เป็นตากล้องเงินเดือนเยอะขนาดนั้นเลยหรือ”

สมุดบัญชีธนาคารเล่มหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
อัชฌาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะถามอีกฝ่าย
“อะไร”

“บัญชีของผมครับ”

“แล้ว...”

“ให้คุณไว้ไง จะได้ไม่ต้องขโมยเลนส์ไปตั้งขายให้ยุ่งยาก”

“ผมล้อคุณเล่นเข้าใจเนี่ย คุณนี่นะ นี่ซื้อบื้อจริง หรือว่าอะไร”

“ไม่ล้อเล่นครับ ให้ไว้จริงๆ บัญชีนี้สามารถเบิกได้จากบัตรใบนี้ รหัสจดไว้ด้วยกัน”

“เดี๋ยว นี่คุณไม่เคยถูกสอนหรือไงว่าอย่าจดรหัสเอทีเอ็มไว้กับบัตร”

“ผมไม่ได้พกติดตัวอยู่แล้วครับ เอาไว้ที่คุณได้เลย”

“นี่คุณ ผมไม่ได้เป็นคนดีอะไรทั้งนั้นนะ เดี๋ยวผมก็เบิกเงินคุณออกมาใช้หมดหรอก”

“ถ้าคุณจะใช้ก็เอามาใช้ได้เลยครับ ผมไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว”

“นี่เป็นป๋าใช่ไหมเนี่ย”

“คุณอยากให้ผมเป็นป๋า ผมก็จะพยายามหาเงินมาให้นะครับ”

“โอ้ย ปวดหัว ไม่คุยด้วยแล้ว คุยกับคุณแล้วโคตรปวดหัว”
.
.

จนวันนี้ สมุดธนาคารเล่มนั้น พร้อมบัตรเอทีเอ็มสำหรับเบิกเงินก็ยังถูกเก็บอยู่ที่เขา
วันก่อนเขาลองเอาสมุดไปอัพเดทให้ ยอดเงินที่เข้ามา ทำให้เขาออกจะแปลกใจว่า ช่างภาพนี่มันรายได้ดีขนาดนั้นเลยหรือ แล้วคุณเจ้าของบัญชีมันไม่ต้องใช้เงินอะไรเลยหรือไงนะ 
นี่คุณหลงเขาจะทำตัวเป็นเสี่ยเลี้ยงจริงๆ หรือไงเนี่ย
ยิ่งคิดก็ยิ่งตลก
ใครจะบ้าให้เลี้ยงกันเล่า ถึงเขาไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ข้นแค้นขนาดต้องเกาะใครกินนะ
แล้วคนๆ นั้นเป็นคนแบบไหนกันที่ทิ้งสมุดธนาคาร เงินเก็บพร้อมบัตรให้เขาไว้แล้วตัวเองก็ออกเดินทางไปโดยที่ไม่มีสินทรัพย์ติดตัวงั้นหรือ

สรุปว่าคนๆ นั้นเป็นแบบไหนกันนะ
เป็นคนบ้าบอที่กำลังลากเขาให้กลายเป็นคนบ้าบอไปด้วย
หรือเชื้อบ้าบอติสต์แตกมันจะมีจริงๆ นะ


------------------------------

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ให้มาด้วยค่ะ

twitter https://twitter.com/PlusOneNovel
#คุณโปสการ์ด
[/color]
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 6 (17/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 17-04-2019 21:27:30
แผ่นที่ 6

“คุณครับ
ตอนนี้รู้สึกคิดถึงหมูกระทะขึ้นมานิดหน่อย
เจอแต่อาหารจากผัก ถึงรสชาติจะไม่เลว
แต่คิดถึงสุดก็คงจะเป็นอาหารที่ทานกับคุณ”

.
.
.
ความเห็นของพี่มลคนดี แฟนคลับคุณโปสการ์ดดังขึ้นหลังจากยื่นมือมาขอโปสการ์ดในมือเขา
“หืม อาหารที่ทานกับคุณด้วย”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว และเหลือบสายตาขึ้นมอง
“ครับ?”

“นี่ไง คุณโปสการ์ดเค้าบอกว่าคิดถึง”

หลังจากที่เอื้อมมือไปรับแผ่นกระดาษกลับมา
แล้วก้มมองภาพถ่ายในอีกด้าน พลิกไปดูลายมือหวัดๆ นั้นอีกหน
ก็ตอบกลับความเห็นของพี่มลไป
“คิดถึงอาหารครับพี่มล ไม่ได้คิดถึงผม”

“อัชเอ๊ย เอาจริง นี่เข้าใจงั้นจริงดิ”

“ข้อความแค่ไหน ก็เข้าใจแค่นั้นแหละครับ”

“น้องอัชคะ น้องอัช คุณเป็นนักเขียนนะคะ เราทำงานกับตัวหนังสือ ตีความได้ซื่อบื้อเกินไปแล้ว ไม่เคยได้ยินหรือคะคุณน้องอัช ระหว่างบรรทัดมันมีความนัยซ่อนอยู่”

อัชฌาหยิบโปสการ์ดแผ่นเดิมชูขึ้นตรงหน้าอีกฝ่าย แล้วทำท่าเพ่งมอง
“ระหว่างบรรทัด ก็เห็นมีแต่รอยเปื้อนน้ำหมึกนะครับ”

“โอ๊ย พี่ไม่คุยกับอัชละ เบื่อ”

อัชฌาหัวเราะให้กับความเห็นของพี่มล จนอีกฝ่ายเบ้ปากแล้วถอยกลับไปก้มหน้าหาต้นฉบับของตัวเอง
แต่ก็ไม่วายสบตาแล้ว ส่งเสียงจิ๊ปากให้เขาอีกครั้ง

ระหว่างบรรทัดงั้นหรือ
ถ้าจะมี ระหว่างพวกเขา
รอยน้ำหมึกยังมากไปเลยล่ะ
ที่น่าจะมีก็คงแค่...ความว่างเปล่า

.
.
.

“ต้องเดินทางไปโน่นนี่ไม่หยุด เคยเบื่อบ้างไหม”
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมาจากเลนส์กล้องหลากหลายขนาดที่กำลังดูแล

“คุณอ่านหนังสือกองใหญ่ๆ เยอะๆ นั่นเคยเบื่อบ้างไหมครับ”

“นี่คุณ ผมถามคุณก่อน ไม่ใช่ให้คุณมาถามกลับ”

“ไม่ได้ถามกลับครับ ผมตอบต่างหาก”

“ยังไงอีกคุณนักปรัชญา”

อัชฌาเหมือนเห็นอีกฝ่ายอมยิ้ม คล้ายจะขบขันในท่าทีที่มีต่อคำตอบของเขา
แต่ก็ได้ยินเสียงคำตอบที่คาดหวังตามมา

“ผมคิดว่า การเดินทางของผมมันน่าจะเหมือนกันกับการอ่านหนังสือของคุณนั่นแหละครับ”

“เหมือนตรงไหน”

“มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและตัวตนไปแล้วน่ะครับ”

“...”

“จะให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็คงยาก”
.
.
.
นิสัยคนจะให้เปลี่ยนก็คงยากจริงๆ นั่นล่ะ
แล้วใจของคนล่ะ
เปลี่ยนยากไหม

.
.
.
“อัช ทางนี้ๆ”

หญิงสาวในชุดเดรสสั้นสีดำ สะท้อนบุคลิกมั่นใจเต็มเปี่ยม ส่งเสียงเรียกพร้อมโบกไม้โบกมือให้กับอัชฌาที่เดินเข้ามาในร้านอาหารฟิวชั่นชื่อดังที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคารสำนักงานกลางย่านธุรกิจ
“สวัสดีครับคุณเก๋”

“เรียกพี่เก๋เถอะ เราจะมาร่วมงานกันแล้ว เรียกสบายๆ กันเองนี่แหละ”

“ครับ พี่เก๋”

“แล้วเราจะมาเริ่มงานกับพี่เมื่อไร”

อัชฌาถึงกับส่งสีหน้าแปลกใจกลับไปให้คู่สนทนาเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย
“พี่เก๋ไม่สัมภาษณ์ หรือดูพอร์ตงานที่ผมเตรียมมาเพิ่มก่อนหรือครับ วันนี้ผมเตรียมมาเพิ่มจากที่เคยส่งไปให้ดูด้วยครับ”
อัชฌาพูดพลางก็หยิบแฟ้มงานที่หอบมาด้วยวางที่โต๊ะก่อนเลื่อนไปให้อีกฝ่าย
หญิงสาวคู่สนทนาของเขาเอื้อมมือมารับแฟ้ม พร้อมยิ้มกว้าง
“อัชคิดว่าพี่รับอัชเข้าทำงานเพราะอะไร”

“ก็ป้าไก่แนะนำผมมา บอกว่าทางพี่เก๋อยากขยายทีมกองของนิตยสาร พี่เก๋รับผมเพราะว่าจะให้มาช่วยรับงานเขียนในคอลัมน์ที่เพิ่มขึ้นครับ”

“ใช่ นั่นละ แล้วอัชคิดว่า ก่อนที่พี่จะเรียกเรามาวันนี้พี่ไม่ได้เห็นงานอัชหรือ หรือคิดว่าพี่รับเพราะเกรงใจป้าไก่”

“นั่นสินะครับ ผมก็เกร็งไปหน่อย ผมเชื่อครับว่าพี่เก๋ไม่ใช่คนรับคนทำงานเพราะเกรงใจใคร”

“งั้นแหละ ป้าไก่น่าจะเล่าเรื่องพี่ให้อัชฟังบ้างแล้วละมั้ง”

“ครับ ก็เล่า”

“งั้นพี่ก็ไม่ต้องแนะนำตัวให้มาก เอาเป็นว่าเรามาเอ็นจอยการทำงานให้นิตยสารเรายอดขายทะลุกันไปเลยดีกว่านะจ๊ะ”
อัชฌายิ้มขำกับท่ายกมือสูงประกอบการสนทนาของอีกฝ่าย ก่อนที่จะหันหน้าไปยังชายหนุ่มใส่ผ้ากันเปื้อนคาดเอวคนหนึ่งที่เดินมาที่โต๊ะของพวกเขา
น่าจะพนักงานของทางร้าน หรือเพราะโต๊ะเขาเสียงดังเกินไป
“คุณลูกค้าครับ ลดเสียงสักหน่อยได้ไหมครับ มันเป็นการรบกวนลูกค้าท่านอื่น”

นั่นประไร คิดไม่ผิดจริงๆ ด้วย ท่าเสียงของพี่เก๋จะดังเกินไปจริงๆ
“ขอโทษด้วยครับ” อัชฌารีบเอ่ยขอโทษ
ในขณะที่ฝ่ายที่ถูกเขากังวลกลับพูดขึ้นด้วยเสียงดังกว่าเดิม

“ทำไมยะ คุยเสียงแค่นี้ ดังตรงไหน”

“ตรงนี้แหละครับ” พนักงานหนุ่มคนเดิมตอบกลับ


อัชฌาหน้าเสียกว่าเดิม เพราะฟังจากป้าไก่มาว่าพี่เก๋เป็นคนเก่ง และเป็นที่กล่าวขวัญเรื่องความมั่นใจในตัวเอง ก็เข้าใจล่ะว่าคงเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะมั่นใจมากขนาดนี้

“ขอโทษจริงๆ ครับ เดี๋ยวพวกผมจะระวังการใช้เสียงให้มากขึ้น”

“อัช ไปขอโทษทำไมเนี่ย”

อัชฌาทำหน้าเหวอ แต่ก็ไม่รู้จะตอบกลับเจ้านายคนใหม่สดๆ ร้อนๆ คนนี้อย่างไร จะบอกว่า ‘พี่เก๋ครับ พี่เสียงดังจริงๆ ครับ’ ก็กลัวเป็นการหักหน้า หรือทำให้อับอายหรือเปล่า

“กร หยุดเลยนะ ทำไม พี่จะคุยงานในร้านแค่นี้ มันจะมีปัญหาอะไร”

“ไม่มีหรอกครับ แต่พี่เก๋เบาเสียงลงหน่อย ลดแอคติ้งลงนิด คนอื่นในร้านตกใจหมดแล้ว

“ไม่ย่ะ นี่ร้านชั้น ชั้นจะคุยกับใคร ออกแอคติ้งยังไงก็ได้”

อัชฌาที่นั่งฟังบทสนทนาของเจ้านายคนใหม่กับพนักงานหนุ่มถึงกับแสดงอาการงุนงง จนอีกสองคนที่กำลังตอบโต้กันรู้สึกตัว
จนเจ้านายคนใหม่หันกลับมาให้คำอธิบายแก่เขา

“อัช นี่กร น้องชายพี่ นี่อัชฌา นักเขียนคนใหม่ของพี่”

“สวัสดีครับคุณกร”

อัชฌาที่กำลังจะยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท แต่โดนเสียงอีกฝ่ายทักไว้ก่อน
“อย่าเพิ่งไหว้ครับคุณอัช ผมไม่ได้แก่ขนาดนั้น ให้พี่เก๋เค้าแก่คนเดียวพอแล้ว”

“ตลกละกร เดี๋ยวจะโดน มาพูดคำว่าก่ง คำว่าแก่กับพี่”

กรหัวเราะเสียงดังขึ้น พร้อมยกสองมือขึ้นทำท่ายอมแพ้แก่บก. สาว
“ไม่แก่ครับไม่แก่ คุณเก๋แห่งเดอะแมกกาซีน เจ้าแม่นิตยสารแฟชั่นอันดับหนึ่งของเมืองไทยจะแก่ได้ยังไง”

“ถ้าแกพูดคำว่าแก่ขึ้นมาอีกครั้ง ชั้นไล่แกออกจากร้านแน่ๆ”

“โถ คุณพี่สาวครับ ถ้าไล่ผมออกแล้วผมจะเอาอะไรกินละคร้าบ”

อัชฌาที่ยังนั่งนิ่งมองทั้งสองโต้ตอบกันไปมา เอ่ยถามขึ้นกลางบทสนทนา
“นี่ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันหรือครับ”

“งั้นแหละครับ ผมเป็นลูกจ้างพี่เก๋ พี่สาวคนสวยคนนี้แหละครับ”

“ยังไม่เลิกเล่นนะกร”
หญิงสาวหันไปปรามน้องชาย แล้วหันหน้ากลับมาหาอัชฌาอีกครั้ง

“กรเป็นเจ้าของร้านนี้จ๊ะอัช เป็นเชฟด้วย ดูแลร้านด้วย คอนเซปร้านอะไรต่ออะไร ก็กรนี่แหละที่คิด”

“นอกจากทำอาหาร ก็มีทำความสะอาด ล้างจาน ขัดห้องน้ำ เช็ดกระจก เสิร์ฟก็ทำนะครับ”
ชายหนุ่มพูดเสริมขึ้นมา พร้อมขยิบตาซ้ายให้เขาเมื่อบทสนทนาจบ

อัชฌาอึ้งไปเล็กน้อยกับกิริยาที่อีกฝ่ายส่งมา
พอมองดีๆ แล้วก็ไม่เหมือนเด็กเสิร์ฟธรรมดาจริงๆ นั่นล่ะ
สูง สมส่วน มีกล้ามเนื้อแบบคนดูแลตัวเอง ทรงผมตัดเซ็ตเป็นอย่างดี
เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ เป็นเสื้อเชิ๊ตแต่มีแบรนด์ รองเท้าก็ใช่ นาฬิกาที่ข้อมืออีก
นี่เข้าขั้นออกรายการ หรือเอามาเขียนคอลัมน์เป็นพ่อค้าแซ่บ คิ้วกุ๊ก หรือพ่อครัวเจ้าเสน่ห์ได้เลยนะเนี่ย

แย่ละ เสียมารยาทไปแล้วสิ ประเมินอะไรกัน
สายตาคอลัมนิสต์นี่นะ ออกจะนิสัยเสียไปหน่อย
เมื่อรู้สึกตัว อัชฌาจึงหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น

“อัช”

“สงสัยคุณอัชเมาเสียงพี่เก๋ไปแน่ๆ แล้ว”
มือของคุณกรโบกมาที่ใบหน้าเขา ทำท่าคล้ายจะช่วยเรียกสติ

“ครับ”

“ตะลึงความหล่อของผมหรือเปล่าครับ”

“แหวะ กร เชิญไปก้นครัวเถอะ พี่จะได้คุยงานกับอัชต่อ”

“ฮะๆ เชิญตามสบายนะครับคุณอัช ผมไปละ”

“เรียกผมว่า อัช เฉยๆ ก็ได้ครับคุณกร”

“งั้นอัชก็เรียกผมว่า กร เฉยๆ เถอะครับ เรารู้จักกันแล้วเนาะ”

อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง ที่มองดีๆ จะเห็นรอยบุ๋มที่แก้มข้างขวาให้เขาก่อนเดินจากไป

“โทษทีอัช กรมันก็ชอบแกล้ง ชอบแซวไปเรื่อย เรามาคุยกันเรื่องงานของเราต่อดีกว่า”

“ครับ”

แล้วบทสนทนาเกี่ยวกับบุคคลที่สามได้จบลงและถูกแทนที่ด้วยขอบเขตงานใหม่ที่เขาต้องรับผิดชอบในเร็วๆ นี้อย่างรวดเร็ว
.
.
.
“ตายละ นี่กี่โมงละเนี่ย อัชหิวหรือยัง”

อัชฌาเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารที่กำลังเป็นประเด็นสนทนาระหว่างเขากับเจ้านาย

“นิดหน่อยครับ วันนี้ผมยังไม่ได้ทานข้าวเช้ามาด้วย”

“ไป ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

อีกฝ่ายพูดพลางปิดแลปทอปตรงหน้าลง พร้อมเอ่ยชวน
“ไปอัช ลงไปที่ร้านกัน”

ทั้งสองออกจากที่ออฟฟิตเดอะแมกกาซีน กดลิฟต์ลงมาที่ชั้นล่างสุดของตึกเดียวกัน และเดินตรงเข้าไปยังร้านอาหารปลายทางที่เป็นที่รู้กันดีว่าคือร้านเดอะฟิวชั่นของคุณกร น้องชายสุดหล่อของพี่เก๋

บก. สาวเปิดประตูเข้าไป แล้วก็ส่งสายตาพลางกวักมือเรียกน้องชายที่กำลังยืนจัดข้าวของอยู่ตรงเคาร์เตอร์บาร์ของร้าน
“กร มานี่สิ”

ฝ่ายที่สังเกตเห็นคนที่มาใหม่ ยิ้มกว้าง ก่อนเอ่ยทักพร้อมๆ กับที่เดินตรงเข้ามาหา
“คร้าบ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับคุณเก๋”

“พี่หิวละ วันนี้วันอะไร”

“วันพฤหัสบดีครับ”

“พฤหัสหรือ งั้นก็อาหารอินเดีย กินอะไรดีน้า”
.
.
ถ้าเป็นแขกที่มาเยือนร้านแห่งนี้เป็นครั้งแรก อัชฌาเชื่อว่า จะต้องแปลกใจกับรูปแบบการบริการของร้านเช่นเขาในครั้งแรกที่มาเจอรูปประโยคคำถามเกี่ยวกับเมนูอาหารเช่นนี้แน่นอน

ในครั้งแรกที่ได้เจอคอนเซปร้าน และวิธีการบริการอาหารของที่นี่
เขารู้สึกทั้งแปลกใจ และชอบใจในความคิดสร้างสรรค์ของอีกฝ่าย

“ร้านของผมน่ะ จะขายอาหารเป็นธีมตามวันเท่านั้นครับ อย่างวันนี้วันพฤหัสใช่ไหม ทางร้านเราก็จะบริการเป็นอาหารอินเดียครับ แต่เราก็มีหลายเมนูให้เลือกนะครับ”

ในตอนนั้น อัชฌาจำได้ว่า เขาคงแสดงท่าทางประหลาดใจกับคำตอบจนเห็นได้ชัดทางสีหน้า จนเจ้าของร้านหนุ่มเอ่ยปากอธิบาย
“ถ้าอัชอยากทราบว่าทางร้านเรามีอาหารอะไรบ้าง ก็ต้องแวะมาทุกวันสิครับ จะได้เข้าใจถึงแนวคิดของเดอะฟิวชั่น”

เขาหัวเราะกับคำตอบและตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“สงสัยผมต้องลองมาทุกวันอย่างที่กรว่าแล้วล่ะครับ น่าสนใจจริงๆ”

“น่าสนใจก็เชิญมาศึกษาได้เลยครับ ทั้งร้าน ทั้งผม”
อีกฝ่ายตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
.
.
.

“วันนี้สรุปว่าจะทานอะไรครับคุณลูกค้าทั้งสอง”

“พี่เอาชุดแกงปลา กับข้าวอัญชัญ ละกัน อัชล่ะ”

“ผมขอตามพี่เก๋แล้วกันนะครับ ฟังดูน่าสนใจ”

“ได้ครับ รับทราบ รอสักครู่นะครับ”
กรรับฟังความต้องการของแขกทั้งสองก่อนเดินไปสั่งอาหาร
ปล่อยให้เจ้านายลูกน้องสองคนอยู่ในบทสนทนาเรื่องงานนิตยสารกันตามลำพังอีกครั้ง
.
.
มานั่งคิดๆ ดู อัชฌาจำได้ว่า เขาเคยถามกรว่า แรงบันดาลใจในการคิดคอนเซปร้าน โดยที่เปลี่ยนธีมอาหารไปตามแต่ละวันคืออะไร
“ทำไมต้องเปลี่ยนเมนูไปตามแต่ละวันครับ”


“ก็ไม่เชิงเมนูนะครับ เรียกว่า ธีมตามวันน่าจะถูกกว่า”

“ทำไมหรือครับ”

“เป็นแก่นของนิยามคำว่า ฟิวชั่น หรือ ผสมผสานไงครับ”

“ผสมผสานแปลว่าเสิร์ฟอาหารหลายๆ ธีมในวันเดียวก็ได้นี่ครับ”

อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ก่อนที่จะตอบเขา
“ผมคิดว่า จะได้ไม่จำเจไงครับ เวลามาทาน นอกจากจะได้ความหลากหลายแล้ว เรายังได้รับประสบการณ์จากอาหารหลายๆ ชนิด หลายๆ ชาติด้วย”

“ไม่จำเจงั้นหรือครับ”

“ใช่ครับ ไม่จำเจ ทำไมเราต้องกินอะไรซ้ำ ทำอะไรซ้ำๆ ด้วยล่ะ ใช่ไหมครับ เบื่อแย่เลย”

อีกฝ่ายตอบพร้อมขยิบตาให้เขาอีกแล้ว
อัชฌาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ
มีเสน่ห์ดึงดูด และเป็นคนในแบบที่เขาเองไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์นัก
มั่นใจในตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ดูหลงตัวเองจนน่าเกลียดไป
ก็มีเสน่ห์ให้ใจสั่นนิดๆ
.
.
.
ประสบการณ์จากความไม่จำเจงั้นหรือ
ออกจะแตกต่างจากชีวิตของเขาไปสักหน่อย
หรือรับความไม่จำเจที่เข้ามาบ้าง
ก็อาจจะน่าสนใจดีนะ


---------------------------------------------------
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

twitter https://twitter.com/PlusOneNovel
#คุณโปสการ์ด

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 6 (17/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 17-04-2019 22:49:16
ทำไมเหมือนจะเศร้านะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 7 (17/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 17-04-2019 23:12:35
แผ่นที่ 7

ร้านฟิวชั่นของกรที่ตั้งอยู่ใต้ตึกที่ทำงานแห่งใหม่ของอัชฌาได้กลายเป็นร้านอาหารประจำของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
จากที่เคยคิดว่าวิธีการบริการอาหารของร้านตามธีมแต่ละวันเป็นเรื่องแปลก
ตอนนี้กลับกลายเป็นวิถีชีวิตปกติไปเสียแล้ว
วันจันทร์ อาหารจีน
วันอังคาร อาหารญี่ปุ่น
วันพุธ อาหารเวียดนาม
วันพฤหัสบดี อาหารอินเดีย
วันศุกร์ อาหารตะวันตก
วันเสาร์ อาหารไทย
วันอาทิตย์ อาหารมังสวิรัต
ครบ 7 วันใน 1 สัปดาห์
วันทำงานที่ไม่ค่อยเป็นเวล่ำเวลาของอัชฌา จึงดูเหมือนจะถูกเตือนให้รู้วันเวลาด้วยมื้ออาหารของร้านฟิวชั่นแห่งนี้ไปโดยปริยายเวลาลงมาฝากท้อง
คิดๆ ไปแล้ว หลงลืมวันได้ เหมือนเขาเป็นคนบ้างานไปแล้วสินี่

“สวัสดีครับ อัช”

“สวัสดีครับ กร”

“วันนี้ทานอะไรดี อาหารมังสวิรัตวันนี้ ได้ผักสดใหม่ส่งตรงมาจากภาคเหนือ ปลอดสารพิษ 100% ดีต่อสุขภาพแน่นอนครับ”

“ออ วันนี้วันอาทิตย์นี่เนาะ”

“โห คุณทำงานจนจำวันไม่ได้อีกแล้ว”
กรทำตาโตใส่เขา พร้อมคำตำหนิที่ส่งมา

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ วันที่น่ะจำได้ ยิ่งวันที่ต้องปิดต้นฉบับส่งนี่ยิ่งจำได้ดี”
“พอเลยครับ ตอนนี้คุณควรหยุด แล้วรื่นรมย์กับอาหารเพื่อสุขภาพที่แสนดี”

“รับทราบครับ”
อัชฌายิ้มรับกับคำแสดงความห่วงใย ก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้พ่อครัวหนุ่มได้ดูแลมื้ออาหารของเขา
“กรทำมาเลยครับ เมนูอะไรก็ได้ ผมเชื่อมือเชฟร้านนี้ว่าทำอะไรก็อร่อยทุกอย่าง”

“ไม่ใช่แค่อาหารนะครับ เชฟก็อร่อย”

อัชฌาหัวเราะขึ้นมาเบาๆ รับคำเจ้าของร้านที่ตอนนี้หมุนตัวเข้าไปในส่วนครัวเรียบร้อยแล้ว

นั่นล่ะคุณกร แห่งเดอะฟิวชั่น ไม่เกินจริงหรอก เชฟก็อร่อยจริงๆ
ร้านของกร จึงมีรายการทีวีเอย เพจรีวิวเอย นิตยสารต่างๆ เอย มาขอทำคอลัมน์ ขอสัมภาษณ์อยู่เสมอๆ
แต่ดูเหมือนเจ้าของร้านไม่ค่อยจะยินดียินร้าย หรือรู้สึกว่าควรจะโปรโมทตัวเอง
เวลาที่มีคนมาติดต่อ คนที่ออกหน้าก็จะเป็นผู้จัดการร้านเท่านั้น
ก็เป็นธรรมดาล่ะนะ ร้านนี้ไม่ใช่แค่อาหารอร่อย การบริการที่มีสไตล์
แต่คุณเชฟควบเจ้าของร้านก็ไม่ใช่ธรรมดา

หลายคนรู้ว่า กรเป็นน้องชายของพี่เก๋ เซเลปคนดังเจ้าของนิตยสารหัวใหญ่ของเมืองไทย
แต่นั่นยังไม่ได้น่าสนใจเท่ากับฝีไม้ลายมือทำอาหารที่กรมี
เชฟหนุ่มผู้ไปร่ำเรียนฝึกปรือการทำอาหารมาจากหลายประเทศ ทั้งในระบบ ทั้งนอกระบบ ทั้งจากสถาบันชื่อดัง และในร้านอาหารต่างๆ
เห็นว่าไปฝึกฝนกับเชฟชื่อดังระดับมิชเชอลินสตาร์มาก็แล้ว แต่เจ้าตัวกลับบอกว่า ชอบการฝึกปรือฝีมือกับร้านอาหารเก่าแก่ที่ซ่อนตัวอยู่มากกว่า
กรเคยเล่าให้เขาฟังอย่างออกรสเกี่ยวกับประสบการณ์ในหลายๆ ประเทศที่ได้ไปใช้ชีวิตผ่านมา

“ผมเคยไปขอทำงานในร้านอาหารหนึ่งที่เวียดนาม ตอนนั้นต้องทำทุกอย่างเลย เคยให้ฆ่าไก่ด้วยมือเปล่าด้วยนะครับ”

อัชฌาเบิกตาโตกับประสบการณ์ที่ชายหนุ่มถ่ายทอดให้ฟัง
“มือเปล่าหรือครับ”

“ครับ ออกจะน่ากลัวไปนิดใช่ไหม แต่การได้เรียนรู้วัตถุดิบในแต่ละที่มันสนุกมากจริงๆ ทำให้ผมรู้ว่า อาหารมันเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ แถมต้องเรียนรู้แบบไม่รู้จบ ความอร่อยไม่ใช่เรื่องตายตัว ผมเลยไม่ค่อยจะชอบเรื่องการมอบรางวัลการันตีอะไรนั่นเท่าไร รางวัลที่ดีที่สุดของอาหารสำหรับผมคือ คนทานมีความสุขไปกับมันนั่นละครับ”

“ประโยคนี้ต้องจดเลยครับ ผมเอาไปเขียนงานบ้างดีกว่า”

กรหัวเราะ ต่อด้วยยิ้มกว้าง จนลักยิ้มเปี่ยมเสน่ห์นั่นปรากฎประดับใบหน้า
“เชิญเลยครับ”

“แล้วกรไม่อยากลองถ่ายทอดสูตรอาหารเป็นงานเขียนบ้างหรือครับ หรือประสบการณ์ที่คุณเดินทางไปชิมอาหารอะไรแบบนั้นก็ได้ เขียนลงเดอะแมกกาซีนไหมครับ เปิดสักคอลัมน์ พี่เก๋น่าจะสนใจ”

“ไม่ไหวหรอกครับ ผมเล่าไม่ได้หรอก”

“ทำไมจะไม่ได้ครับ สิ่งที่คุณเล่าให้ผมฟังนี่ มันน่าตื่นเต้นมากๆ เลยนะ”

“นั่นเพราะเล่าให้อัชฟังไงครับ ผมเลยเล่าได้”

“ก็เหมือนกันนั่นแหละครับ เล่าให้ผมฟัง หรือเล่าให้คนอื่นฟัง มันก็คือการถ่ายทอดออกมาแบบเดียวกันนั่นละ”

“ไม่เหมือนครับ”

“ทำไมจะไม่เหมือน”

“เพราะคุณไม่เหมือนคนอื่นครับ ที่เล่าให้ฟังเพราะคุณพิเศษ”

“...”

“อัชพิเศษสำหรับผมแล้ว แล้วเมื่อไรผมจะพิเศษสำหรับคุณบ้างน้า”
อัชฌาฟังคำเย้าที่ดูไม่ได้มีความล้อเล่นเจืออยู่ในน้ำเสียง
“กรล้อเล่นอีกแล้ว”

“ผมไม่เคยล้ออัชเล่นเลยนะ”

“....”

“ทานข้าวเถอะครับ”
อัชฌารู้ กรเลือกที่จะพูดตัดบทตัวเอง หลังจากเห็นเขาเงียบไป

“ครับ”
และเขาก็เลือกที่จะรับคำเสียงแผ่ว แล้วทำทีสนใจอาหารตรงหน้ามากกว่าเจ้าของร้านที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
.
.
.
“คุณครับ
ได้เจอหัวหน้าเผ่าที่บอกว่าจะยกลูกสาวให้
เกือบจะได้เป็นลูกเขยแล้วสิ
นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวพรากผู้เยาว์
น่าจะได้เป็นเจ้าของหมู่บ้านนี่ละล่ะ”


“คุณโปสการ์ดกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนน้า”

“กำลังจะแต่งงานมั้งครับพี่มล”

“หะ ว่าไงนะ”
พี่มลที่กำลังจะทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะเดียวกันกับเขา อุทานเสียงดังขึ้นมาในร้านเดอะฟิวชั่น ซึ่งแม้จะเป็นวันหยุดตามปกติของคนทำงานทั่วไปก็มิได้มีลูกค้าบางตาเลย

“นี่ไงครับ กำลังจะแต่งงานจริงๆ”
อัชฌายื่นแผ่นกระดาษประดับภาพถ่ายที่เพิ่งอ่านข้อความจบให้คู่สนทนาดู

“ไหนยะ”
พี่มลรับโปสการ์ดในมือไปกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็วแล้วก็ร้องขึ้น
“จะบ้าหรือไง พี่ก็ตกใจ คิดว่าส่งการ์ดแต่งงานมาเนี่ย”

“ก็ไม่แน่นะครับ เจอกันคราวหน้าอาจจะมาพร้อมลูกสามเมียสี่”

“พูดดีไปเถอะ เขามีลูกมีเมียขึ้นมาจริงๆ ขี้คร้านคนแถวนี้จะนั่งร้องไห้”
พูดพลาง พี่มลก็ยื่นแผ่นโปสการ์ดคืนกลับมาให้เขา แล้วหันไปสนใจกับรายการอาหารตรงหน้า
ส่วนคนรับโปสการ์ดคืนพลิกอ่านลายมือในข้อความดูอีกครั้ง
.
.
ร้องไห้งั้นหรือ
เขาร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันนะ
แล้วเขาจะร้องไห้ให้คนคนนั้นทำไมกัน
ถ้าอีกฝ่ายมีคู่ครอง มีลูกมีเมีย แล้วเกี่ยวอะไรกับเขา
เราเป็นอะไรกัน

.
.
.
“อัชครับ”

“ครับกร”

“เราลองมาคบกันไหม”

“...”
อัชฌาเลือกความเงียบส่งแทนคำตอบ

“ผมจริงจังนะ”

“กร ผม…”

“อัช ติดอะไรหรือเปล่า มีคนที่คบด้วย หรือว่ายังไง”

“ไม่มีครับ ผมไม่มีคนที่คบด้วย”

“เราก็รู้จักกันมานานแล้วนะ อัชน่าจะรู้จักนิสัยใจคอของผมพอสมควรอยู่แล้ว และที่ผ่านมาเราก็ดูจะคุยกันได้ดี”

ใช่ คุยกันได้ดี
เข้ากันได้ดีทีเดียว
กรไม่งี่เง่า ไม่งอแง ไม่เรียกร้องการแสดงออกที่เกินจำเป็น
ออกจะเป็นคนคุยในอุดมคติ ที่ไม่ใกล้กับคำว่าน่ารำคาญเลยสักนิด
ไม่สิ ไม่ใช่แค่ไม่น่ารำคาญ ออกจะเพอร์เฟคมากเลยทีเดียว
เทคแคร์ดี สุภาพอ่อนโยน
อ่อนโยนมากๆ เลยด้วยนี่สิ

“อัชครับ”
กรที่เห็นเขานิ่งไป จึงเรียกชื่อเขาขึ้นอีกครั้ง

“ครับ”

“ลองเก็บไปคิดดูนะครับ”

“กรไม่ชอบความสัมพันธ์ตอนนี้หรือครับ”

“ก็ไม่เชิงไม่ชอบครับ แต่ผมอยากให้อัชรู้ว่าผมจริงจัง”

“ผมรู้ว่ากรจริงจัง”

จริงจังมากๆ ด้วยนี่สิ
หรือเขาไม่ควรจะยุ่งกับคนที่จริงจังนะ
ไม่ทันแล้วสิ ก็ยุ่งไปแล้ว
ไปมากแล้วด้วยนี่สิ

“ผม...ผมยังไม่แน่ใจว่าพร้อมกับสถานะอื่น นอกจากนี้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่เอาคำตอบจากอัชวันนี้หรอกนะ แต่เก็บเอาไปคิดนะครับ กรจะรอคำตอบจากอัชเสมอ”

“...”
และสุดท้าย เขาก็ยังเลือกความเงียบเป็นคำตอบส่งกลับให้กับกร
.
.
.
เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์งั้นหรือ จริงจังหรือ
เขาก็ไม่ได้คิดว่าความสัมพันธ์ตอนนี้ไม่จริงจังนะ ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ ด้วย
แต่ว่า ความจริงจังของเขาดูเหมือนจะอยู่ในคนละระนาบกับความจริงจังของอีกฝ่ายนี่สิ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์นี่มันยุ่งยากจัง
เขาคิดว่า ณ ตอนนี้ ความสัมพันธ์แบบนี้มันก็ไม่เลวนะ และยังไม่มีจุดที่อยากเป็นแบบอื่นยังไงก็ไม่รู้
เขาเข้าใจกร ว่ามันออกจะหาตรรกะมาอธิบายแบบปกติ...ยากสักหน่อย
ว่าเราเป็นอะไรกัน



---------------------------------------------------
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ
นักเขียนเป็นคนใจบางมากๆ เลยค่ะ แม้เรื่องมันจะเดินไปช้าๆ แต่ว่าความเป็นจริงในชีวิตมันก็แบบนั้นไม่ใช่หรือคะ
ความสุขในบางครั้ง ไม่ได้มาจากการตกหลุมรักแบบใจเต้นแรงเสมอน้า แต่มันต้องค่อยๆ เดินทางและเติบโต
มาเดินทางด้วยกันเถอะนะคะ ถ้ามีอะไรติชมก็จะขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

twitter https://twitter.com/PlusOneNovel
#คุณโปสการ์ด

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 8 (18/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 18-04-2019 00:38:04
แผ่นที่ 8


“คุณครับ
อากาศดีมาก
อาหารก็ดี
ผู้คนก็น่ารัก”


‘แปลก’
ความรู้สึกแวบแรกที่ปรากฎขึ้นในใจภายหลังจากที่รับแผ่นโปสการ์ดจากมือพี่มล ซึ่งเอ่ยประโยคออกมาตรงกับความคิดของเขา
“แปลกนะอัช”

“ครับ”

“ก็คราวนี้ พิมพ์มา ไม่ใช่ลายมือ”

ใช่ แปลก
แปลกมากๆ ทีเดียว

“ปกติเขียนด้วยลายมือตลอด ไม่เคยเห็นจะพิมพ์”
พี่มลไม่ว่าเปล่า เอื้อมมือมาหยิบโปสการ์ดที่เขาวางลงบนโต๊ะไปช่วยพิจารณาอีกครั้ง

“ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนไปนี่ครับ ภาพกับเนื้อหาไม่มีความสัมพันธ์กันเหมือนเดิม คราวนี้ก็แค่พิมพ์มา”
อัชฌาตอบกลับด้วยคำตอบที่ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ากำลังคิดอย่างที่พูดออกไปจริงหรือไม่

“พิมพ์จากคอมพิวเตอร์แล้วตัดมาแปะ ยากกว่าเขียนด้วยลายมืออีกนะ ปกติคุณโปสการ์ดไม่น่าจะทำอะไรหลายขั้นตอนอย่างนี้นะ”
พี่มลดูยังไม่ละความพยายาม เพราะไม่ใช่แค่พิจารณา แต่อีกฝ่ายกำลังพูดกับแผ่นกระดาษโปสการ์ดแผ่นนั้น ราวกับจะฝากคำถามให้มันเป็นสื่อกลาง ส่งความสงสัยกลับไปยังคนส่ง

“พี่มลพูดกับใครครับ”

“พูดกับตัวเอง ไม่เคยดูในหนังนักสืบหรือไง คิดอะไรได้ ก็ต้องพูดออกมา”

“แล้วสืบเรื่องอะไรอยู่ครับ นี่เรียกองค์แม่อกาธา คริสตี้ประทับร่าง จะเปลี่ยนไปเขียนนิยายสืบสวนแล้วหรือครับ”

“เฮ้ย อัช น่าสนใจ พี่ว่าเขียนเรื่อง สืบจากโปสการ์ด นี่เลยดีไหม แรงจูงใจ และปมปริศนาที่มาพร้อมกับโปสการ์ดที่วางบนร่างเหยื่อ...ตลก! นี่เห็นพี่เป็นตลกซิทคอมหรือยังไงคุณอัชฌา”

อัชฌาส่งรอยยิ้มขำจางๆ ให้กับอีกฝ่าย
“ก็พี่มลตลก”

“พอเลยๆ มาดูโปสการ์ดของคุณเขาดีกว่า”

“ทำไมครับ”

“เอาจริง อัชไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกไปบ้างหรือไง”

แปลกสิ
อัชฌารู้สึกตั้งแต่ที่ได้เห็นเนื้อความที่พิมพ์แล้วเอามาแปะลงในโปสการ์ดแทนการเขียนลายมือหวัดๆ ละ
แต่เขาเลือกส่งคำตอบเบี่ยงประเด็นให้กับพี่มล
“เขาอาจจะนึกขึ้นได้ว่าลายมือแย่ อ่านยากละมั้งครับ”

“เอาอีกละ คุณนักเขียนคิดน้อย”

“พี่มล มันแค่โปสการ์ดครับ จะให้คิดมากไปขนาดไหน พี่อ่านนิยายสืบสวนมากไปแล้วครับ”

“เอาเถอะค่ะ ตามใจคุณอัชฌา ไม่คิดก็ไม่คิด น่าเบื่อจัง”

อัชฌาส่ายหน้าเบาๆ ให้กับเพื่อนร่วมงานฝั่งตรงข้าม แล้วรับโปสการ์ดกลับมา
เมื่อก้มมองที่แผ่นกระดาษฝั่งตัวอักษรอีกครั้ง
สมองเขากลับครุ่นคิดตามคำของพี่มล
หัวใจของเขา เหมือนจะรู้สึกหวิวๆ
แปลกสิ เขารู้ดีที่สุดว่า มันแปลกมาก
.
.
.
“คุณหลง กรุณาพิมพ์ปรีฟงานด้วยคอมพิวเตอร์ แล้วส่งมาทางเมล์จะได้ไหมครับ”

“ผมเขียนไม่ได้หรือครับ”

“มันก็ได้ครับ ถ้าลายมือของคุณหลงมันดีเพียงพอที่จะส่งต่อให้คนอื่นอ่านโดยไม่ลำบากขนาดนี้ แต่นี่ลายมือคุณห่วยมาก อ่านก็ยาก คุณคิดถึงคนที่ต้องมางมอ่านปรีฟงานของคุณบ้างสิ”

“...”

อัชฌาที่เห็นอีกคู่สนทนาเงียบไป ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อ
“คุณหลง คุณมีปัญหาอะไรกับการใช้คอมพิวเตอร์หรือเปล่าครับ”

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษทำไม ไปแก้งานเถอะคุณ กองรองานปรีฟจากคุณอยู่”

อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้โต้ตอบอะไรกับเขาต่อ
พออัชฌาเห็นอีกฝ่ายนั่งลงตรงหน้าแลปทอป ก็ตัดสินใจเดินเลี่ยงไปอีกฝั่ง ตั้งใจว่าจะไปชงกาแฟดับอารมณ์กรุ่นๆ  ก็ได้เจอกับพี่ก้อง หัวหน้าช่างภาพใหญ่ยืนอยู่ตรงมุมเครื่องชงกาแฟก่อนแล้ว จึงส่งเสียงทักทาย

“สวัสดีครับพี่ก้อง”

“หวัดดีอัช พี่เห็นกำลังดุเจ้าหลงมันอยู่เลยใช่ไหม”

“ก็ไม่ได้ดุหรอกครับ ผมแค่ให้เขาไปพิมพ์ปรีฟด้วยคอมพิวเตอร์เท่านั้นเอง”

“น่าจะยากหน่อยนะ”

“ทำไมหรือครับ เขาใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้หรือครับ แต่ผมเคยเห็นเขาใช้คอมนั่งแต่งภาพงานอยู่นะครับ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เรารู้จักโรคดิสเล็กเซีย หรือเปล่า”

“ครับ?”
อัชฌาส่งเสียงสูงกลับไปหาพี่ก้องแทนคำตอบ ไม่ใช่เขาไม่เคยได้ยินชื่อโรคนี้
อาชีพนักเขียน ทำให้เขาเคยได้อ่านผ่านตาเกี่ยวกับข้อมูลของโรคที่ไม่ธรรมดานี้อยู่บ้าง
โรคดิสเล็กเซีย ที่ทำให้คนๆ นั้นไม่สามารถมองเห็นตัวอักษรได้อย่างเป็นปกติ

“นั่นแหละ”
พี่ก้องพูด และยื่นแก้วกาแฟที่ถืออยู่ชี้ไปตรงที่มีช่างภาพในบทสนทนานั่งอยู่

อัชฌาอึ้งไปกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับ และในใจมีความรู้สึกผิดเข้ามาแทนที่
นี่เขาพูดอะไรไปบ้างละนี่

“เฮ้ย ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น” พี่ก้องที่ดูเหมือนจะสังเกตสีหน้าเขาได้ รีบเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“หลงมันไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น มันแค่อาจจะไม่มีความสามารถในการมองตัวพิมพ์ และอ่านหนังสือแบบอัช หรือคนอื่นๆ แต่คนเป็นโรคนี้ก็มีความสามารถอย่างอื่นทดแทนเยอะแยะ”

“...”
พี่ก้องที่เห็นอัชฌายังคงนิ่งอึ้ง แต่สายตาจับจ้องไปที่คนหน้าแลปทอป ซึ่งเหมือนกำลังพยายามจิ้มแป้นพิมพ์อยู่

“แบบไอน์สไตร์ไง หรือ ปีกัสโซ่ ก็เป็นโรคนี้นะ แต่ก็เป็นอัฉริยะโลกไม่ลืมไม่เห็นหรือ ส่วนรายนี้ ก็เก่งเรื่องถ่ายภาพไง มันโชคดีที่พ่อแม่เข้าใจตั้งแต่เด็ก เลยจัดการ และพยายามหาความสามารถ ดึงศักยภาพด้านอื่นๆ ออกมาไง”


อัชฌาที่ถือแก้วกาแฟกลับมาที่โต๊ะ เอ่ยเรียกช่างภาพหนุ่มที่ดูเหมือนกำลังพยายามจิ้มแป้นพิมพ์อย่างช้าๆ
“คุณหลง”

เสียงเรียกที่ดูเหมือนจะดังกว่าปกติ ดึงความสนใจให้หลงละสายตาจากหน้าจอทันที

“ผมขอโทษ”

“ครับ?” อีกฝ่ายส่งเสียงถาม พร้อมส่งสายตาแปลกใจในคำขอโทษนั้นกลับมาที่เขา

“ผมไม่ทราบว่าคุณไม่สะดวกที่จะพิมพ์งานด้วยคอมพิวเตอร์จริงๆ”

หลงทำท่าเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าอัชฌาน่าจะได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับตัวเขามา จึงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยการปฏิเสธ
“ผมพิมพ์ได้ครับ แต่อาจจะช้ามากหน่อย ผมค่อยๆ ฝึกมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”

อัชฌาได้ถอนใจออกมาแรงๆ ลืมไปสนิทว่าคนตรงหน้านั้นรั้นขนาดไหน
“งั้นเอางี้ คุณพูดให้ผมฟังได้ไหมว่าต้องการเขียนว่าอะไร เดี๋ยวผมพิมพ์ให้เอง”

อีกฝ่ายยิ้มกว้าง แล้วขยับเก้าอี้เลื่อนออกไปด้านข้าง ให้เขาเอาลากเอาเก้าอี้อีกตัวมาแทนที่หน้าแลปทอป
“เอ้า เลิกยิ้ม แล้วพูดมาครับ”

“ครับ”
.
.
.
สิ่งที่เกี่ยวกับคนๆ นั้นที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ไม่รู้
คนที่ไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ขนาดนั้น ทำไมถึงพิมพ์ตัวอักษรแปะโปสการ์ดส่งมาให้เขากันนะ
แปลก แปลกมากจริงๆ


---------------------------------------
ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ

ส่วนใครสนใจเรื่องโรคดิสเล็กเซีย ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่นะคะ  https://www.dyslexia.com/
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 9 (18/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 18-04-2019 01:15:12
แผ่นที่ 9

“คุณครับ ผมรบกวนช่วยตรวจดูไฟล์ภาพนี้หน่อย พี่ก้องบอกว่า พี่เก๋ต้องการใช้ด่วนตอนนี้”

“...”
อัชฌาเงยหน้าขึ้นสบสายตาของร่างสูงที่มายืนอยู่ข้างโต๊ะ
เอื้อมมือไปรีบ external hard disk ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ นำมาเสียบเข้ากับแลปทอปตรงหน้า โดยที่ไม่ได้เอ่ยตอบรับ หรือตอบสนองด้วยคำพูดใดๆ
แม้ในใจก็คิดว่า ฝ่ายของพี่ก้องนี่ไม่มีคนแล้วหรือยังไงนะ ถึงต้องให้ช่างภาพมาส่งงานด้วยตัวเองขนาดนี้
แล้วช่างภาพเอย ผู้ช่วยเอยก็มีตั้งหลายคน ต้องให้คนพูดน้อย แบบกลัวดอกพิกุลจะร่วงมาประสานงาน แถมมาส่งงานอีก
แถมจะเรียกชื่อ ก็ดูลำบากเสียเหลือเกิน
เรียกคุณเนี่ย ไม่ต้องตอบกลับได้ไหมนะ ถือว่าเรียกใครก็ได้ จะได้ไหม

“ไฟล์ภาพเป็นไงบ้างครับ”

“...”
อัชฌายังไร้เสียงตอบกลับใดๆ คืนแก่คนถาม
การตอบสนองมีเพียงสายตาที่จ้องมองไปที่ภาพถ่ายบนจอซึ่งจะถูกนำมาใช้ประกอบคอมลัมน์ในนิตยสารของเดือนนี้
แล้วสุดท้ายก็ต้องหันหน้าไปหาคนที่ไม่มีท่าทีจะขยับตัวไปจากข้างๆ โต๊ะของเขา

“คุณหลงครับ คุณสามารถไปนั่งรอได้ที่โซฟาด้านนั้นก่อนได้ ไม่ต้องมายืนรอตรงนี้ก็ได้นะครับ”

อีกฝ่ายทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ยังคงยืนนิ่ง แต่ส่งเสียงสอบถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ไฟล์มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับคุณ”

อัชฌาสูดหายใจเข้า แล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าให้อีกฝ่าย

“อัช เป็นอะไรน่ะ เจ็บคอหรือ คุณหลงเค้าถามอะไรไม่ตอบ”
พี่มล กลายเป็นฝ่ายทนดูเขาพยักหน้าอยู่อย่างเดียวไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาแทน

“เปล่าครับพี่มล”

“อ้าว ก็ตอบได้นี่นา แล้วทำไมไม่ตอบออกมาล่ะว่าภาพใช้ได้หรือไม่ได้”

“ไม่มีอะไรครับ ผมคิดว่าเขาไม่ได้พูดกับผม ผมเลยไม่จำเป็นต้องตอบ”
อัชฌาละสายตาจากหน้าจอ ตอบคำถามพี่มล แต่หางตาเหลือบไปมองคนที่ยังยืนอยู่ข้างโต๊ะแบบไม่ขยับไม่ไหน

“หลงเขาก็คุยกับอัชไหมล่ะ มีกันอยู่แค่นี้ในห้องนี้ เขาไม่ได้คุยกับพี่ ก็ต้องคุยกับอัชอยู่แล้ว จะไปคุยกับแมวที่ไหนล่ะ”

“ไม่ทราบครับ เพราะว่าถ้าคุยกับผม เค้าก็ควรเรียกชื่อ ไม่ใช่เรียกว่าคุณขึ้นมาลอยๆ”
คำตอบที่ให้กับพี่มล เขาตั้งใจส่งสารกระทบกระเทียบอีกฝ่ายไปในที

“อัช”
เสียงเรียกแผ่วๆ จากคนยืนดังขึ้น

“ครับ คุณหลง ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ”

“อ้าว ทีอย่างนี้แล้วตอบ อัชฌาจ๊ะ หนูเป็นอะไรไปคะ หงุดหงิดอะไร หรือว่าเมื่อคืนนอนไม่พอคะ”

“พี่มล”
คราวนี้จำเลยกลายเป็นเพื่อนร่วมงาน เมื่ออัชฌาหันไปเรียกชื่ออีกฝ่ายแทน
ทำไมจะต้องไปช่วยเป็นฝ่ายคุณหลงคนนี้ด้วยนะ

“ขา” เสียงตอบของพี่มลไม่ได้แสดงความรู้สึกสะทกสะท้านใดๆ ต่อน้ำเสียงของเขา
แล้วอัชฌาก็ได้แต่หันไปมองค้อนพี่มล แล้วหันไปส่งสายตาที่เจือด้วยอารมณ์หงุดหงิดใส่อีกฝ่าย ที่ยังยืนนิ่งเป็นหุ่นค้ำเหนือโต๊ะทำงานเขา แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มราวขบขันเพิ่มเข้ามา
ดูมีความสนุกกับบทสนทนาชวนเวียนหัวนี่เสียเต็มประดา
.
.
.
“คุณเลิกเรียกผมว่า คุณเฉยๆ จะได้ไหม”

“ทำไมละครับ”

“ผมว่าจะเลิกคุยกับคุณจริงๆ แล้วนะ”

“ไม่นะครับคุณ”

“นี่ยังไม่รู้อีกใช่ไหม ว่านี่หงุดหงิดอะไร”

“ผมไม่ได้ทำอะไร”

“ทำ โคตรทำ ตั้งแต่ชื่อเรียก ก็หงุดหงิดละ มันเหมือนคุณแดกดันผมตลอดเวลาด้วยชื่อเรียกยังไงก็ไม่รู้ ขอร้องเถอะนะ เรียกผมว่า อัชฌา หรือ อัช ก็ได้ ได้ไหม”

อีกฝ่ายมองจ้องตรงกลับมาปะทะกับสายตาของอัชฌา
ให้อัชฌาได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในแก้วตาใสสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย
“ไม่ได้ครับ”

สายตาที่ไม่ยอมแพ้จ้องกลับ ประหนึ่งเล่นเกมจ้องตา พร้อมเอ่ยถาม
“ทำไม”

มือหนา พร้อมกับรอยหยาบกร้านที่ตรงข้อนิ้วเอื้อมาลูบแก้มขาวๆ ที่เจือด้วยสีแดงของเลือดฝาด
ไล่เรื่อยลงมาที่ลำคอ ไล้ไปตามร่องรอยรักที่ทิ้งไว้จนถึงไหล่ ก่อนโอบประคองอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้
จนอัชฌาเอ่ยห้าม ขณะที่จะรั้งตัวออกห่าง
“พอเลย ไม่ต้องมาจับ พูดไม่รู้เรื่อง ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องมาคุยละ เบื่อ”

อีกฝ่ายยังคงกระชับร่างที่ดึงเข้ามาแนบแผ่นอกหนา
“...”

แล้วสุดท้ายก็บทสนทนาก็ชะงักลงด้วยความเงียบ

อัชฌาในอ้อมแขนก็ได้แค่ผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมาครั้งหนึ่ง เหมือนจะปล่อยวางกับความดื้อรั้นไม่มีเหตุผลของคนตรงหน้า ก่อนดันร่างตัวเองออกมาสบตากลับไปยังดวงตาของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้อีกครั้ง
“อยากเรียกอะไรก็เรียกเถอะ ขี้เกียจจะสนแล้ว ชื่อผมมันแย่ขนาดไม่อยากเรียกก็ไม่บังคับละ แต่ขอร้องเถอะ เวลาทำงานช่วยเรียกชื่อตามปกติแบบคนอื่นเขาเรียกจะได้ไหม เรียกคุณๆ ต่อหน้าคนอื่น ผมรู้สึกว่ามันงี่เง่ามาก เหมือนถูกแดกดันด้วยการเรียกโดยไม่มีนามยังไงก็ไม่รู้”

แล้วอัชฌาก็เห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของอีกฝ่าย ราวกับผู้ได้ชัยชนะในการต่อสู้อันยืดเยื้อ
“ครับ คุณ”
คำเอ่ยตอบรับ มาพร้อมด้วยการดึงร่างของอัชฌาเข้าไปจมกับอกอีกครั้ง


ในตอนนั้นอัชฌาคิดเอาว่า
คุณ ถือเป็นฉายาไปก็แล้วกัน
เหมือนช่วงวัยเด็กที่เรามักจะมีชื่อเล่นที่ไม่ใช่ชื่อเล่นจริงๆ จากครอบครัว แต่เป็นชื่อที่เพื่อนใช้เรียกเพิ่มขึ้นอีกชื่อ
แม้ว่าคราวนี้ คนเรียกจะไม่ใช่เพื่อน
ไม่ใช่สิ ก็เพื่อนนั่นล่ะ
เพื่อนร่วมงาน
เพื่อนร่วม...
แต่ก็เพื่อนนั่นล่ะ

---------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 9 (18/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 18-04-2019 19:19:19
Mood and Tone ดีมากเลยค่ะ แต่มันหน่วงจังเลย เห้อ ถ้าคุณหลงยังไม่กลับมา บางทีคนรอมันก็ทรมานเหมือนกันนะ จะเริ่มใหม่ก็ติดๆขัดๆ จะรอก็ไม่รู้เค้าจะกลับมาเมื่อไหร่ กับคุณกรนี่คงอึดอัดกันน่าดูทั้งคู่ น้องอัชก็ดันรู้สึกดีแต่ไปไม่สุด กับคุณหลงรายนั้นก็น่าจะมีความสัมพันธ์ด้วยน้องถึงได้รอขนาดนี้ละนะ
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 9 (18/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 18-04-2019 21:39:35
……


สไตล์การเขียนแบบนี้ก้อชอบนะ มันก้อฟินๆอึนๆ ลุ้นหลงอ่ะ


 :o8:  :-[  :impress2:  :o8:  :-[  :impress2:  :o8:  :-[  :impress2:



………
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 10 (20/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 20-04-2019 00:43:02
แผ่นที่ 10

“คุณครับ
คุณสบายดีไหม
ที่นี่สวยมาก
จนอยากให้คุณมาเที่ยวด้วยกันเลยครับ”

อัชฌารู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดกับความแปลกที่เกิดขึ้นกับโปสการ์ด
แผ่นล่าสุดที่ส่งมาก็เช่นกัน มันถูกพิมพ์มาแทนลายมืออีกแล้ว
แถมรูปประโยคมันก็ชวนให้หงุดหงิดเหลือเกิน
เที่ยวบ้าอะไรกันล่ะ
คนๆ นั้นน่ะหรือจะมาชวนเขาเที่ยวด้วยการเขียนโปสการ์ดมา

ตอนนี้อัชฌามั่นใจแล้วว่านี่ไม่ใช่การเขียนของเจ้าของภาพถ่ายแน่ๆ
นอกจากเรื่องที่สงสัยเพราะการพิมพ์
รูปประโยคคำถามแบบนั้น
เขารู้สึกได้ว่ามันไม่ได้สะท้อนความเป็นตัวตนของผู้ชายคนนั้นเลย

ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมาในใจมีแต่คำถาม
ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ
และความรู้สึกที่ชื่อว่า ความกังวล
แต่กังวลอะไรล่ะ

กังวลถึงตัวเจ้าของโปสการ์ด
หรือกังวลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่กำลังเกิดขึ้นภายในใจของเขาเอง
เขาก็ยังไม่แน่ใจ
มันอาจจะเป็นสิ่งที่อธิบายออกมาตอนนี้ไม่ได้
หรือต่อให้อยากพยายามจะอธิบาย
เขาก็คิดว่าคงจะหาคำมานิยามความรู้สึกในตอนนี้ให้ชัดเจนไม่ได้
เพราะมันยังมีทั้งคำว่า ใช่ และไม่ใช่ ทะเลาะกันอยู่ภายใน
สุดท้ายแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะบอกได้ว่า เข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของตัวเองตอนนี้จริงๆ หรือไม่
.
.
.
โปสการ์ดทุกใบที่ส่งมาจากหลงถูกหยิบมาวางกองเต็มอยู่บนโต๊ะ
เขาก็ไม่เคยนับว่ามันมีจำนวนเท่าไร
เพราะการเดินทางมาของมันไม่ได้สม่ำเสมอ
ทั้งอาจจะเพราะการส่งจากต้นทาง ระยะเวลาระหว่างการเดินทาง หรือจะเพราะการนำจ่ายปลายทางก็ไม่อาจจะรู้ได้
และพวกมันไม่เคยมีวันที่ลงกำกับไว้ เพราะเจ้าของเคยให้เหตุผลเรื่องเวลาไว้อย่างนั้น
ดังนั้นแล้ว อัชฌาไม่รู้เลยจริงๆ ว่า ใบไหนถูกส่งมาก่อนมาหลัง หรือภาพที่ส่งมาจะเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่คนส่งอยู่หรือไม่

เพราะความกังวล จะจากความรู้สึกอะไรซึ่งก็ยังไม่รู้จะสรุปว่าอย่างไรนั้น ทำให้เขาเอาโปสการ์ดทั้งหมดมานั่งพิจารณาอยู่อย่างนี้
ถ้าเป็นพลอตในนิยายหรือในหนัง เขาต้องเอาโปสการ์ดมาเรียงตามวันที่ที่คนส่งส่งมา แล้วก็ค่อยๆ พลิกดูภาพ ไล่เส้นทางการเดินทาง และเดาปลายทางที่เขาจะติดต่อกลับไปหาอีกฝ่าย
แต่นี่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่พระเอกนิยายที่โรแมนติคอย่างนั้นน่ะสิ ภาพเหล่านี้ ปนเปสิ้นดี ไม่มีทิศทาง ไม่ทราบเวลา ไม่มีวันที่ เอามาเรียงตามการส่งมา หรือได้รับก็ไม่ใช่ว่าจะใช่หนทางที่จะได้คำตอบ

ไม่สิ วิธีหาคำตอบ ไม่ใช่ว่าจะไม่มี
เขาเองก็ไม่ใช่นางเอกในนิยายที่จะมานั่งรอเปิดตู้ไปรษณีย์สีแดง ยื่นชะโงกหน้ามองหาบุรุษไปรษณีย์ หรือรับโปสการ์ดมาอ่านแล้วเอามาแนบอก เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง มองท้องฟ้าแล้วนั่งรอหน้าเตาผิง
เขารู้ว่าจะหาคำตอบได้จากที่ไหน
วิธีที่จะหาคำตอบ มันง่ายนิดเดียว
แต่สิ่งที่ไม่ง่ายคือ เขากำลังจะหาคำตอบไปเพื่ออะไร
.
.
.
“พี่ก้องครับ”
อัชฌาที่ตั้งใจมาดักรอหัวหน้าช่างภาพอยู่ที่หน้าห้องแผนกภาพเอ่ยเรียกเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเจ้าของชื่อ

คู่สนทนายิ้มรับก่อนเอ่ยถาม
“ว่าไงอัช วันนี้มีอะไรกับฝ่ายพี่หรือเปล่า”

“เปล่าครับ ไม่สอครับ ก็มี แต่คือ...ก็ไม่เชิงว่าเป็นธุระ”

น้ำเสียงที่ดูลังเลใจในการตอบของอัชฌา ทำให้คู่สนทนาตั้งข้อสังเกต และอีกตั้งคำถามขึ้นมาใหม่ พร้อมเสนอให้เปลี่ยนสถานที่สนทนา
“มีอะไรหรือเปล่าอัช หรือไปนั่งคุยที่ห้องรับรองไหม”

อัชฌามองสบตาหัวหน้าช่างภาพ ก่อนพยักหน้า และตอบรับข้อเสนอ
“ครับ”

“ว่าไง มีอะไรจะคุยกับพี่”
พี่ก้องเลือกจะเปิดบทสนทนาทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้าสู่บริเวณห้องรับรอง ซึ่งแยกออกมาจากพื้นที่ที่พนักงานของแต่ละฝ่ายใช้ทำงาน

“ผมอยากมาถามพี่ก้องว่า พี่ก้องทราบใช่ไหมครับว่า หลง เอ่อ คุณหลงตอนนี้เดินทางไปที่ไหน”

อัชฌาได้เห็นแววตาแสดงความแปลกใจที่ปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่ายแบบไม่ปิดบัง
ตามมาด้วยรอยยิ้ม ที่เขาก็ไม่แน่ใจว่าต้องการสื่อความหมายกับเขาว่าอะไร
แต่เขามั่นใจว่านั่นไม่ใช่รอยยิ้มของคนแสดงความประหลาดใจ อย่างที่คำถามแสดงออกมา
“หืม เราสองคนสนิทกันขนาดนั้นเลยหรือ”

อัชฌาจึงเลือกที่จะตอบคำถามดังกล่าวด้วยความเงียบ

เขารู้ว่าพี่ใหญ่ของแผนกช่างภาพน่ะ น่าจะรู้ทุกเรื่อง
ต้องบอกว่า คุณนฤมลที่ทุกคนคิดว่ารู้เก่ง เอาจริงๆ แล้วน่าจะแพ้คนตรงหน้าเขาคนนี้อย่างแน่นอน
เพียงแค่คนๆ นี้ไม่ได้พูดในทุกสิ่งที่รู้ให้ทุกคนรู้เท่านั้นล่ะ
ก็คนๆ นี้เป็นทั้งผู้บริหาร พี่ชายคนโตของครอบครัวเจ้าของเดอะแมกกาซีน
สายเลือดคนทำสื่อ ที่เป็นผู้บริหารแต่เลือกที่จะลงมาทำงานคลุกคลีกับลูกน้องทุกคนจนเป็นที่รักขนาดนี้
เรียกได้ว่า แทบจะไม่มีอะไรที่น่าจะเล็ดลอดสายตาของพี่ก้องไปได้
แต่ที่ลูกน้องไม่ได้กลัว แม้ว่าจะรู้ว่าพี่ก้องเป็นผู้บริหารก็เพราะพี่ก้องก็ไม่เคยแสดงการข่มขู่ หรือทำตัวบ้าอำนาจจนทุกคนรู้สึกแปลกแยกกับแกก็เท่านั้น
แต่เรื่องรู้น่ะ คนๆ นี้รู้ทุกเรื่อง ทุกเรื่องจริงๆ อัชฌามั่นใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกร น้องชายคนเล็กของเจ้าตัวก็น่าจะรู้
แล้วเรื่องระหว่างเขากับหลง ช่างภาพของแผนกพี่ก้องเอง
อัชฌาก็ไม่คิดว่าจะหลุดรอดสายตาของพี่ก้องไปได้


“พี่ก้องครับ ผมอยากทราบจริงๆ”
น้ำเสียงแผ่วๆ ติดอ้อนวอน นัยหนึ่งก็หวังว่าอีกฝ่ายจะหยุดส่งสายตาบอกว่า ‘อ่านออกทุกเรื่อง’ นั่น มาล้อเขาเสียที

“เอ้า ทำไมละ นี่พี่ก็ถามจริงๆ พี่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าอัชกับหลงสนิทกันขนาดอยากจะรู้ว่ามันไปไหน”
รอยยิ้มมุมปากที่ยกขึ้น คราวนี้นัยชัดเจน สื่อความมาชัดๆ เลยว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะไล่ต้อนเขาให้จนมุมให้ได้

แต่อัชฌาก็คิดมาก่อนแล้วว่า ต้องมาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้แน่ๆ 
ถ้าเตรียมใจมาขนาดนี้แล้ว ถ้าจะมายอมให้พี่ก้องไล่ต้อนกันง่ายๆ แบบนี้ มันออกจะไร้ชั้นเชิงไปหน่อย
เขาจึงตัดสินใจเลือกคำตอบที่มั่นใจว่า เดี๋ยวอีกฝ่ายจะต้องยอมแพ้ และมอบคำตอบมาให้เขาเอง

“ถ้าพี่ไม่สะดวกบอก ก็ไม่เป็นไรครับ มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น อย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”
อัชฌาพูดแค่นั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย แล้วก็หมุนตัวกลับในทันที
ในขณะที่เท้าพาเขามาเกือบถึงหน้าบานประตู และมือกำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิด ก็เป็นดังคาด
เสียงเรียกของอีกฝ่ายดังขึ้นจริงๆ

“เฮ้ย เดี๋ยวๆ เรานี่นะ ให้พี่ได้เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าอีกสักนิดไม่ได้เลยใช่ไหมอัช ไม่สนุกเอาซะเลย”

อัชฌาหันกลับในทันที เดินกลับไปหาอีกฝ่ายพร้อมยกรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
ประหนึ่งสัญญะแสดงท่าทางกำชัยชนะในการต่อรองสั้นๆ ต่ออีกฝ่าย
“พี่บอกผมมาตามตรงแต่แรกก็จบไปแล้ว ทำไมต้องมาแกล้งต่อรองกันครับ”

“เออๆ พี่มันตากล้อง สำบัดสำนวนชั้นเชิงจะไปสู้คุณนักเขียนคนเก่งของเก๋มันได้ยังไงละคร้าบ”

“สรุปพี่จะตอบคำถามผมได้หรือยังครับ”

“ยัง ก่อนตอบพี่ขอถามอีกคำถามก่อน”

“ครับ?”
คราวนี้เป็นฝ่ายอัชฌาเองที่เริ่มขมวดคิ้วตึงเครียดขึ้น เพราะสายตาของพี่ก้องที่ส่งตรงมาที่เขา แสดงสีหน้าจริงจัง ที่ปกติแม้แต่ช่วงเวลาทำงานก็ไม่ค่อยจะได้เห็นนัก

“อัช คิดยังไงกับเจ้ากร”

อัชฌายืนนิ่งไป เพราะเขาเองก็ไม่คาดคิด
ไม่คิดว่าค่าตอบแทนของคำถามที่เขาอยากรู้จะต้องจ่ายด้วยคำตอบของคำถามนี้

“ผม…”

พี่ก้องเหมือนรับรู้ได้ถึงความลังเลในปลายน้ำเสียงเขา จึงเลือกที่จะผ่อนคลายความตึงเครียดของบทสนทนาลง
“จริงๆ พี่ก็ไม่ได้อยากรู้คำตอบหรอกนะ เรื่องของกร ถึงมันจะเป็นน้องพี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะต้องเข้าไปยุ่งกับชีวิตมัน โตๆ กันแล้ว อัชด้วย พี่ก็แค่อยากให้อัชลองไปทบทวนและถามตัวเองดูด้วยคำถามของพี่เมื่อกี้ ไม่ใช่ว่าแค่คิดยังไงกับเจ้ากรนะ แต่คิดจะยังไงต่อกับหลงมันด้วย”

สายตาของอัชฌาเลื่อนมองออกไปที่กระจกหน้าต่าง แทนที่การจับจ้องที่คู่สนทนา
แม้สายตาจะเห็นท้องฟ้า แต่เสียงของพี่ก้องยังดังเข้าสู่โสตประสาทของเขา
“พี่เป็นห่วงเรานะ พี่รู้ว่ามีหลายเรื่องที่ยังติดอยู่ในใจเรา พี่ก็พอรู้เรื่องของเรามาบ้าง แต่อัชฌา เชื่อพี่เถอะ การอยู่กับเวลาที่ผ่านไปแล้ว ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ เรื่องที่มันเกิดและผ่านไปแล้ว มันเรียกว่า อดีตและความทรงจำ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เจ็บปวดหรือมีความสุข มันก็ผ่านไปแล้ว คนทุกคนมีสิทธิที่จะเดินหน้าต่อเพื่อความสุขและรอยยิ้มในปัจจุบันและอนาคตนะ อย่างไรก็ลองเอากลับไปคิดดู แล้วถ้าเราคิดตกเมื่อไร ค่อยมาคุยกับพี่อีกครั้งแล้วกัน”

พี่ก้องที่เดินออกไปจากห้อง พร้อมเสียงบานประตูที่ปิดลง เป็นสัญญาณให้อัชฌากระพริบสายตาออกจากการนิ่งค้างอยู่กับก้อนเมฆและท้องฟ้านอกหน้าต่าง
.
.
.
ความทรงจำที่มีทั้งทุกข์และสุขงั้นหรือ
ใครกันนะบอกว่า ความทรงจำเป็นสิ่งที่จางหายได้ง่ายๆ
ถ้าเราไม่อยากจะจำ กลไกในสมองมันจะช่วยซ่อนและค่อยๆ ลืมเลือน
แล้วทำไมความทรงจำที่เขาอยากลืมเลือนมันจึงไม่หายไปเสียทีนะ


--------------------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และคนที่เข้ามาคอมเม้นนะคะ
ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 10 (20/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 20-04-2019 02:46:05
……


อะไรนะอัชฌา มันมีอะไรกับอดีตเหรอ ทำให้อัชไม่อยากยอมรับความรู้สึกของตัวเอง


แต่ที่แต่ๆมันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับหลงแน่นวลลล


 :katai4:  :katai5:  :katai4:   :katai5: :katai4:  :katai5: :katai4:  :katai5:  :katai4:  :katai5:



……
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 10 (20/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 20-04-2019 09:41:55
ฮื่อ อัชมีความหลังกับพี่หลงแน่ๆ แต่เรื่องอะไรนี่สิ
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 11 (23/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 23-04-2019 17:38:05
แผ่นที่ 11

ถ้ามนุษย์มีประเภทที่ถูกเรียกว่า คนโชคร้าย กับคนโชคดี
ชีวิตของกรวิชญ์ ก็มักถูกใครๆ จัดให้อยู่ในประเภทของคนโชคดีมาโดยตลอด
เพราะอะไรนะหรือ

อาจจะเพราะเขาเกิดมาในครอบครัวที่เป็นเจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์รายใหญ่
ตั้งแต่รุ่นปู่ สืบทอดมาจนถึงรุ่นพ่อ ที่ถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อวงการน้ำหมึก
มีพี่น้องซึ่งสนใจในธุรกิจวงการสิ่งพิมพ์ พี่เก๋ แห่งเดอะแมกกาซันที่เปิดนิตยสารขึ้นมาฉบับก็เติบโตเป็นนิตยสารชั้นแนวหน้า แถมมีอิทธิพลตั้งแต่วงการบันเทิง ไปจนถึงวงสังคม เรียกได้ว่าความซบเซาของสิ่งพิมพ์ที่ทำให้นิตยสารหัวอื่นปิดตัว ไม่ได้ระคายต่อธุรกิจของเดอะแมกกาซีนได้เลย

ส่วนพี่ก้อง พี่ชายอีกคน แม้ว่าจะสนใจถ่ายภาพมากกว่างานบริหาร แต่ก็ไม่ได้เป็นศิลปินติสท์แตกจนไม่หยิบจับอะไร แต่เป็นทั้งผู้บริหารและทำงานคุมทีมภาพของเดอะแมกกาซีน ช่วยพี่เก๋ทั้งงานถ่ายภาพ และบริหารส่วนของนิตยสารไม่พอ ยังช่วยคุณพ่อดูงานฝั่งหนังสือพิมพ์อีกงานหนึ่งด้วย

เขาเลยไม่มีแรงกดดันอะไรเลย แม้ไม่ถึงขนาดว่าจะลอยตัวใช้เงินของครอบครัวไปวัน
แต่ก็ไม่ได้ถูกกดดันว่าจะต้องมารับภาระงานของครอบครัวจนกระดิกตัวทำอะไรไม่ได้
หรือถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้นคือ ทำตามใจตัวเองได้สบายๆ แถมมีคนสนับสนุนอย่างเต็มที่อีกต่างหาก
เขาก็เลยได้ใช้ชีวิตแบบที่ใครๆ ได้ฟังก็มักจะพูดว่าโคตรจะน่าอิจฉา

กรก็ไม่คิดว่ามันจะต้องเล่าเพื่ออวด หรือเพื่อโชว์ชีวิตของตัวเองกับใครๆ
เขาไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำว่ามันควรจะหน้าอิจฉา ชีวิตของใคร มันก็ควรจะถูกออกแบบโดยคนๆ นั้นไม่ใช่หรือ
จะมีประโยชน์อะไรกันนะที่จะพยายามใช้ชีวิตแบบคนอื่น แล้วเวลาทำไม่ได้ก็มาคิดว่าน่าอิจฉา
เขาคิดว่า แบบนั้นมันจะเรียกว่าการใช้ชีวิตได้อย่างไรกัน

เส้นทางที่เขาเลือกตั้งแต่เรียนจบเกรด 12 คือ ไปเรียนทำอาหาร
เขาจำได้ว่าที่เขาเลือกเช่นนั้นเป็นเพราะคำถามจากพ่อที่มักจะถามลูกๆ ทุกคนเวลาใกล้ถึงทางเลือกของชีวิต
พ่อให้เขาคิดตามว่า มี passion กับเรื่องอะไร
พ่อบอกกับลูกๆ ทุกคนว่า ถ้าเรามีแรงขับ ต่อให้เราต้องเผชิญกับอะไร ชีวิตเราจะไม่มีวันถึงทางตัน และไม่มีวันที่จะมีชีวิตที่น่าเบื่อ
พ่อเป็นมนุษย์ที่ตั้งคำถามเรื่องความสุขของชีวิตให้กับตัวเองและลูกๆ ทุกคนเสมอ
พ่อเชื่อว่า ชีวิตมันยาวนาน ชีวิตที่มีแต่ความทุกข์นั้นไม่อาจเรียกว่าชีวิตได้ แต่ชีวิตที่จะมีความสุข ก็ไม่ใช่เพราะคนอื่นทำให้ แต่ตัวเราเองต้องหา passion และขับเคลื่อนมันไป
และตอนนี้ช่วงเวลาของคำถามนั้นกำลังมาถึงตัวเขา

ในตอนนั้น กรจำได้ว่าเขานั่งคิดอยู่หลายเดือนทีเดียวว่า passion ในชีวิตของเขาคืออะไร ความสุขที่จะได้อยู่กับมันคืออะไร
สุดท้ายในช่วงเดือนสุดท้ายของชีวิตวัยมัธยม เขาได้คำตอบที่จะไปบอกกับพ่อ
และเมื่อเขาตอบ การเตรียมการจากครอบครัวในการส่งเขาไปร่ำเรียนในโรงเรียนทำอาหารชื่อดังที่มีหลักสูตรซึ่งได้รับการยอมรับระดับโลกก็เริ่มขึ้น
เขาถูกส่งไปเตรียมตัวด้วยหลักสูตรในประเทศก่อน และต่อด้วยการเรียนในคอร์สและระดับปริญญาของสาขาที่ฝรั่งเศส จนจบทั้งหลักสูตรสายปฏิบัติในฐานะคนทำอาหาร และสายวิชาการ จนได้ปริญญาตรีในสาขา Business in culinary art
วันที่ฉลองปริญญา กรได้ตัดสินใจบอกกับครอบครัวว่า เขาจะออกเดินทางไปฝึกปรือตัวเองในฐานะเซฟที่ร้านอาหารต่างๆ
ตอนนั้นพี่ก้องยังแซวเขาอยู่เลยว่า นี่มันวิถีทางเซฟหรือจอมยุทธ์ ที่จะต้องเดินทางท่องยุทธจักร
และก็อีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวไม่มีใครเอ่ยคัดค้าน

กรวิชญ์จึงเริ่มต้นชีวิตที่ไปฝากตัวเป็นเด็กฝึกงานในร้านอาหาร ตั้งแต่ร้านหรูระดับมิชเชอลินสตาร์ ทำงานทุกรูปแบบในครัว ตั้งแต่เตรียมวัตถุดิบ เลื่อนขั้นมาจนถึงการเป็นผู้ช่วยหลักในห้องครัว
จนความรู้สึกมันเริ่มเฉื่อยชา เขาก็เลือกที่จะออกเดินทางไปขอเป็นเด็กฝึกงานในร้านอาหารรูปแบบอื่นๆ ต่อ
จนสุดท้าย เขาจึงได้ฝึกงานในร้านตั้งแต่หรูหรา ไปจนถึงร้านอาหารในท้องถิ่นของประเทศต่างๆ ที่แม้ไม่มีดาวการันตี แต่กลับเป็นร้านที่หล่อเลี้ยงผู้คนในสังคมนั้นๆ มาอย่างยาวนาน

ในวันที่เขาเลือกเดินทางกลับมาเปิดร้านเดอะฟิวชั่น ที่ประเทศบ้านเกิด ก็ไม่ใช่เพราะครอบครัวกดดัน หรือเรียกให้กลับเสียด้วยซ้ำ
แต่เพราะเขาได้รับข่าวจากอีเมล์ของพี่เก๋ที่เล่ามาว่า โรคหัวใจของคุณพ่อจะต้องเข้ารับการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ
ในวันนั้น การแจ้งข่าวทางอีเมล์ที่ไม่มีความเร่งร้อน แถมยังเป็นแค่การบอกเล่า เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกขอบคุณต่อครอบครัวที่ไม่เคยกดดันเร่งเร้าอะไรต่อเขาเลย แถมสนับสนุนในทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไม่เคยคาดหวังการตอบแทน
แม้การผ่าตัดของพ่อจะไม่ได้มีปัญหาหรืออะไรน่าห่วงเลย และผลหลังการผ่าตัดยังออกมาดีชนิดที่ว่า พ่อซึ่งเคยเหนื่อยง่าย กลับมารู้สึกร่าเริงและมีกำลังวังชาทำงานมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
แต่สุดท้าย ด้วยทุกความรู้สึกและเหตุผล ก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเดินทางกลับประเทศมาอยู่กับครอบครัวอย่างถาวร

แต่คนที่เป็นไม่เคยช่วยงานหรือศึกษางานด้านสิ่งพิมพ์ของครอบครัวมาก่อนอย่างเขา
เมื่อได้รับการสอบถามว่ากลับมาเมืองไทยแล้วจะทำอะไรต่อไป
คำตอบเพียงอย่างเดียวที่ให้กับครอบครัวก็คือ
“ผมจะเปิดร้านอาหารครับ”

“เอาสิ”
นั่นประไร คำตอบอย่างที่คาดคิด ครอบครัวเขานี่นะ ไม่เคยที่จะมีคำตอบปฏิเสธให้เขาเลย

“ใช้พื้นที่ชั้น 1 ของที่ตึกพี่ไหมกร” เป็นพี่เก๋ที่เสนอขึ้นมา “ร้านที่เคยมาเช่าด้านล่าง กำลังจะหมดสัญญาพอดี กว่าแกจะเตรียมการย้ายกลับอะไรเรียบร้อย ช่วงเวลาก็น่าจะพอดีกัน”

“ใต้ตึกมันจะเหมาะกับร้านอาหารหรือเก๋” ความเห็นของคุณพ่อดูจะเป็นกังวลใจเรื่องขนาดของร้านเขาไปเสียแล้ว “หรือจะทำร้านแยกออกไปเลย ไม่ต้องมาอยู่ที่ใต้ตึกก็ได้นะกร ที่ว่างๆ เราก็มี ทำร้านให้ใหญ่หน่อย”

แต่เพราะกรวิชญ์ตัดสินใจล่วงหน้ามาแล้วว่า ร้านอาหารของเขาจะเป็นร้านอาหารที่ขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะว่าคอนเซปร้านที่เขาตั้งใจจะทำ เขาคิดว่าการควบคุมคุณภาพอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเขาเองในช่วงแรกเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมาก
“ทำที่ใต้ตึกของเราก่อนก็ดีครับคุณพ่อ”

“ดี นี่ไงคะคุณพ่อ หนูจะได้มีร้านอาหารที่บริการได้ตามใจหนูทุกอย่างมาบริการถึงที่ทำงานแล้ว”

กรหัวเราะกับความเอาแต่ใจอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่สาวตัวเอง และบอกแนวคิดเรื่องร้านที่ได้วางแผนไว้ไปให้สมาชิกในครอบครัวได้รับรู้
“ร้านของผม คนที่จะมาใช้บริการต้องตามใจผมสิ”

“ยังไงนะกร แกทำอาชีพบริการ ทำอาหารนี่จะมาตามใจเจ้าของร้านได้หรือ”

“ได้ครับพี่เก๋ เพราะร้านของผม จะบริการอาหารเป็นธีมตามวันเท่านั้น”

“อธิบายมาสิยะ”

“คืองี้ครับ ผมตั้งใจว่าผมจะเอาความรู้ที่ไปฝึกฝนมาใช้ให้ได้สูงสุด เพราะอาหารของแต่ละชาติ แต่ละประเทศ แต่ละพื้นที่ มันมีวัฒนธรรมและสิ่งที่ประกอบขึ้นมาด้วยกันอยู่ ผมอยากจะถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกมาในอาหารที่ผมทำ และเสิร์ฟให้ทุกคนได้กิน เพราะอย่างนั้น อาหารที่ร้านของผมจะเสิร์ฟโดยเปลี่ยนธีมเมนูไปในแต่ละวัน โดยมีรายละเอียดของอาหารให้เลือกนะครับ แต่ว่าจะคงธีมในการเสิร์ฟของแต่ละวันที่แตกต่างกันออกไปทั้ง 7 วัน”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ The Fusion concept restaurant ที่กรวิชญ์ได้วางแผนไว้
.
.
.
“สวัสดีครับอัช วันนี้รับอะไรดีครับ”

“ว่าแต่วันนี้วันอะไรครับ”

“โห อัช ทำงานจนลืมวันเวลาอีกแล้ว วันนี้วันศุกร์ครับ ขอเชิญคุณลิ้มลองมื้ออาหารตามสไตล์ชาวโบฮีเมีย หมูอบ ราดด้วยซอสสูตรต้นตำรับที่ผมขโมยสูตรมาจากพ่อครัวร้านเด็ดในปราก อร่อยจนคุณจะต้องร้องไห้แทนพ่อครัวที่วันนี้เขาต้องปิดร้านเพราะไม่มีสูตรทำอาหารแน่ๆ”

เมื่อได้ฟังจบ รอยยิ้มหวานๆ จากริมฝีปากบางของอัชฌาก็จุดขึ้นอย่างที่กรวิชญ์คาดไว้
“ผมเชื่อใจเชฟครับ จัดมาได้เลย”

“รับทราบครับผม ว่าแต่ต้องการรับอะไรทานแกล้มไหมครับ”

อีกฝ่ายละสายตาจากเมนู กลับมาที่เขาพร้อมเอ่ยถาม
“วันนี้มีอะไรพิเศษหรือครับ”

“บริการพิเศษสำหรับคุณลูกค้า วันนี้มีเครื่องทานแกล้ม ชื่อ กรวิชญ์ ครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการรับด้วยไหมครับ”

แล้วรอยยิ้มก็เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ
“กรครับ ถ้าคุณจะมานั่งทานกับผมด้วย ผมจะไปว่าอะไรได้ครับ ที่นี่ร้านของคุณ”

“ครับ ร้านของผม แต่ลูกค้าไม่ใช่ของผมนี่สิ เมื่อไรลูกค้าจะสนใจกลายเป็นส่วนหนึ่งของร้านเสียทีละครับ”

กรวิชญ์เลือกที่จะส่งสายตาตรงไปที่อีกฝ่าย ความหมายที่เขาสื่อ ไม่เคยไม่ตรง
เขาไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่มี รวมทั้งเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจ
แต่แล้ว คำตอบที่กลับมาหาเขาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
“เลิกล้อเล่นได้แล้วครับกร ผมว่าผมเริ่มรู้สึกหิวแล้ว เรามาทานอาหารด้วยกันดีกว่า”

กรเลือกที่จะยิ้มจนเกิดรอยที่แก้ม เพื่อไม่ให้ความรู้สึกของอีกฝ่าย และบรรยากาศโดยรวมที่จะเกิดระหว่างมื้ออาหารนี้อึดอัดจนเกินไป
.
.
.
เมื่อไรกันนะ คำตอบที่ได้รับกลับจากอีกฝ่ายมันจะเปลี่ยนไปบ้าง
ใครๆ ที่มักบอกว่าเขาเป็นคนโชคดี ในทุกๆ เรื่อง
เขาเองก็เคยแอบคิดเห็นด้วยอย่างนั้น
จนกระทั่งวันนี้ เขาอาจจะโชคดีในหลายๆ เรื่อง
แต่ทำไมตอนนี้เขารู้สึกสุดแสนจะอับโชคในเรื่องหัวใจนี่สิ

--------------------------------------------------
สลับมาฟังคุณกรเล่าก่อนนะคะ ^^

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และคนที่เข้ามาคอมเม้นนะคะ
ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 11 (23/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 23-04-2019 18:55:00
สงสารทั้ง 3 คนอ่ะ อัชจะเริ่มใหม่ก็ยังยึดอยู่กับหลง แต่กับหลงก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์คืออะไร เฮ้อ
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 12 (24/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 24-04-2019 01:20:13
แผ่นที่ 12

“สวัสดีครับอัช”

กรวิชญ์ส่งเสียงทักชายหนุ่ม ซึ่งเขาจดจำได้อย่างแม่นยำ
ไม่ใช่เพียงเพราะว่าอีกฝ่ายเคยมานั่งคุยงานกับพี่สาวของเขาในร้านเมื่อหลายวันก่อน
แต่น่าจะเพราะว่า ความสนใจส่วนตัว

คนที่กำลังตกเป็นเป้าหมายความสนใจของกรวิชญ์
ละปากกาจากแผ่นกระดาษ พร้อมๆ กับเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดบันทึก
“สวัสดีครับคุณกร”

“กร เฉยๆ สิครับ ผมบอกแล้วไง เรารุ่นเดียวกันนะ”

“ครับ กรเฉยๆ”
อัชฌาส่งรอยยิ้มกลับมาพร้อมคำตอบเชิงล้อเล่นที่กรเองก็คาดไม่ถึง

“โห ไปไม่ถูกเลยผม”

“ขอโทษครับ ผมล้อเล่นเฉยๆ”
รอยยิ้มที่ยังแต้มอยู่ที่มุมปากของอีกฝ่าย ทำให้กรวิชญ์เริ่มคิดว่า คนตรงหน้าอาจจะไม่ใช่คนที่ดูเรียบร้อยและพูดน้อยอย่างที่เขาประเมินในการพบครั้งแรก
หรือว่าวันนั้น เพราะพี่เก๋อยู่ด้วยในบทสนทนากันนะ ทุกคนก็เลยดูพูดน้อยไปเสียหมด

“วันนี้ต้องการบริการอาหาร หรือเครื่องดื่มอะไรให้ทางเดอะฟิวชั่นได้รับใช้ครับ”

“โห คุณเจ้าของร้านมาต้อนรับเองขนาดนี้ ผมรู้สึกเป็นเซเลปขึ้นมาเลยนะนี่”
ตอนนี้คำพูดหยอกเย้าจากอัชฌากำลังทำให้กรวิชญ์อารมณ์ดี
เขาถูกใจอีกฝ่ายในครั้งแรกที่รูปลักษณ์ภายนอกก็จริง
แต่การได้สนทนากันตามลำพังครั้งแรก ได้สร้างบรรยากาศการเริ่มต้นระหว่างกันที่ดีทีเดียว

“จะเซเลป หรือคนธรรมดา ปกติผมก็ต้อนรับลูกค้าทุกคนด้วยมาตรฐานเดียวกันอยู่แล้วครับ”

“รู้สึกเสียใจนิดหน่อยนะครับ เพราะถ้าผมได้รับการบริการที่พิเศษกว่าคนอื่นที่เดอะฟิวชั่น โดยเจ้าของร้านเซเลบริตี้หนุ่มหล่อของวงสังคมแล้วละก็ ผมก็จะได้เป็นรีวิวเวอร์คนแรกที่ได้เขียนบทความสุด exclusive ลงเดอะแมกกาซีนแน่ๆ”

กรวิชญ์ยิ้มกลับให้กับถ้อยความชื่นชมเกินจริงที่อีกฝ่ายตั้งใจสรรคำมาเย้าเขา
และเลือกที่จะนำเสนอความพิเศษ ซึ่งเขายังไม่เคยคิดว่าจะเสนอให้กับใครในทันที
“งั้นนักเขียนคนเก่งของเดอะแมกกาซีนสนใจเมนูพิเศษจากสูตรลับที่สาบสูญของชาวอานนาม ที่แอบส่งต่อมายังเซฟผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นได้แอบถ่ายทอดมาอีกต่อยังเชฟหนุ่มรูปหล่อที่ไปอ้อนวอนคุกเข่าอยู่หน้าสำนักเพื่อขอเรียนรู้ เมนูที่มีเพียงหนึ่งเดียว อาหารที่เดิมทำถวายเพียงแค่จักรพรรดิ และถ่ายทอดมาในราชสำนัก ยาวนานมาตั้งแต่ราชวงศ์เล จนถึงราชวงศ์เหวียนเท่านั้นไหมครับ”

อัชฌาส่งเสียงหัวเราะหึในลำคอ อาจจะเพราะขบขันกับท่าทางของเขาขณะนำเสนอเมนูอาหารด้วยท่าทีประหนึ่งโฆษกที่กำลังกล่าวเปิดตัวการแสดงโชว์ มือทั้งสองที่ผายออกข้างลำตัว และท่าจบที่ปัดมือและแขนขวามาแตะไหล่ซ้าย แล้วค้อมตัวลงขนานกับพื้น
เขาก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถามขึ้น
“เดี๋ยวครับกร สรุปว่าเมนูที่หายสาบสูญ แต่ยังแอบส่งต่อ แล้วมันจะสาบสูญยังไงกันละครับ”

“โห ทำเอาผมไปต่อไม่เป็นเลย”

“ขอโทษครับ ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะคุณนะ”

“ไม่รู้ล่ะ ผมงอนอัชแล้ว เมนูที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอานนามที่ส่งต่อมายังเชฟรูปหล่อเสียหายหมด”
แล้วกรวิชญ์ที่ทำริมฝีปากล่างยื่นยาวออกมา ก็ได้รับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเป็นการตอบแทน

“ขอโทษครับกร ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ผมก็แค่ขำท่าทางของคุณตอนนำเสนอเมื่อกี้ แถมประโยคที่ย้อนแย้งนั่นอีก ถามจริงๆ เถอะ มีคนตกหลุมการนำเสนอเมนูนี้มากี่คนแล้วครับ”

“ศูนย์ครับ”

“ไม่จริงน่า ผมว่ามันน่าสนใจออกนะ ทำไมละ หรือเมนูของคุณมันแย่เอามากๆ จนคนกินต้องวิ่งหนี”

กรเลือกใช้น้ำเสียงที่จริงจังขึ้นในการเอ่ยประโยคนี้ออกไป
“เปล่าครับ เพราะผมไม่เคยนำเสนอให้ใครฟังมาก่อนเลย อัชเป็นคนแรก”

กรจำได้ว่าในวันนั้น อัชฌาส่งสายตาและสีหน้าแปลกใจมากๆ กลับมาให้เขา แล้วบทสนทนาก็จบลงที่ตรงนั้น และตามด้วยการที่เขาให้เวลานัดหมายเพื่อให้อัชฌากลับมาที่ร้านอีกครั้งหลังจากเลิกงาน
ในวันนั้น เมนูพิเศษเริ่มต้นที่ห้องครัวในคอนโดของกรวิชญ์ ด้วยเมนูอาหารเวียดนามที่เขารังสรรค์ขึ้นจริงๆ
แต่ต่อจากนั้น ความพิเศษก็คือการได้ถักทอความสัมพันธ์ที่นอกเหนือบทสนทนาร่วมกัน

และอัชฌาก็ได้ทำให้เขารู้สึกถึงคำว่าเกินความคาดหมายอีกครั้ง
หรือจะว่าคนเราไม่ควรจะประเมินคนอื่นแต่เพียงด้วยสายตาก็ได้
เพราะมันอาจจะทำให้เราแปลกใจ

เหตุการณ์ตอนนั้น ในวันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและอัชฌาได้เริ่มต้นขึ้น
ตอนที่ทั้งเขาและอัชฌาจัดการอาหารในจานเรียบร้อย บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารลื่นไหลตามปกติ
แล้วอัชฌาก็เสนอตัวว่าจะล้างทำความสะอาดภาชนะ ก่อนจะยืนขึ้น และเริ่มลงมือเก็บจานชามในทันที
แต่กรก็ตัดสินใจห้าม พร้อมยื่นมือไปห้ามการกระทำนั้นด้วยการวางมือของตัวเองลงบนมือของอีกฝ่าย

กิจกรรมการจะเก็บกวาดจานจึงหยุดลง ในเวลาเดียวกับที่เขาเพิ่มน้ำหนักมือที่เกาะกุมอยู่บนมือของอัช
สายตาของอัชพุ่งตรงมาที่สายตาเขา และอาจจะเพราะความสูงที่น้อยกว่าของอีกฝ่าย
สายตาที่ส่งมาจึงกลายเป็นแหงนหน้าหาเขาไปโดยปริยาย
แล้วภาพในสายตาของกรวิชญ์ก็เปลี่ยนเป็นค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงมา
พร้อมๆ กับใบหน้าที่โน้มลงมา และดวงตาก็ไม่ใช่อวัยวะที่พวกเขาใช้ในการรับรู้อีกต่อไป

มันเปลี่ยนเป็นสัมผัส
สัมผัสของริมฝีปากที่เลื่อนมาจากขมับ
ไรผม และกดลงที่ข้างแก้ม
ขบเม้มเบาๆ ที่สันกราม
เลื่อนมากดเน้นที่ริมฝีปากบาง
ก่อนที่ปลายลิ้นจะแทรกเข้าไปทักทาย
ไล้เลีย ไล่ต้อน และแลกเปลี่ยนทำความรู้จักกัน

กรยกตัวของอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอด
โอบร่างแนบกับอก และประคองยกสะโพกขึ้น
อัชฌาตอบรับด้วยการเกี่ยวขาทั้งสองเข้ากับเอวของเขา
ร่างที่ผละจากกันเพื่อเปลี่ยนท่าในการเตรียมเคลื่อนไหว ดึงดูดเข้ามาหากันอีกครั้งด้วยริมฝีปาก
การจูบยังคงดำเนินต่อไป ทั้งเชื่องช้าอ้อยอิ่ง สลับขมเม้มเร่งเร้า
การเคลื่อนไหวของกรที่นำทั้งสองมาสู่พื้นที่ส่วนตัวด้านในซึ่งมีที่นอนหลังใหญ่ พื้นที่กว้างรอรองรับทั้งสองอยู่

ทันทีที่กรวิชญ์วางร่างของอัชฌาสัมผัสกับที่นอน
ร่างของเขาที่จำต้องผละออกมาเล็กน้อย พร้อมการปล่อยให้ริมฝีปากของอีกคนเป็นอิสระ
เขาได้ยินเสียงเรียกร้องข้อตกลงจากอีกฝ่ายว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นจะเป็นเพียงความสัมพันธ์ทางกายที่ไม่มีเรื่องอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้อง
ณ ตอนนั้น สำหรับกร Friends with benefits ก็ไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ที่เขารู้สึกติดขัดอะไร
การตอบตกลงจึงไม่ใช่เงื่อนไขขัดขวางกิจกรรมที่ควรจะดำเนินอีกต่อไป
.
.
.
“พักก่อนครับคุณนักเขียน วันนี้เชฟขอเสนอแพนเค้กซูเฟล่ครับผม”

“น่ากินอีกแล้ว ขอบคุณครับกร”
อัชฌาละสายตาและมือขึ้นจากสมุดบันทึก
สายตาในมุมเงยมองที่สะท้อนมาที่เขา
สายตาของอัชฌาที่ดึงดูดเขาเสมอ
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างในสายตา แต่ก็บอกไม่ได้แน่ชัดว่าคืออะไร
และเขาเองก็ไม่กล้าตัดสินอัชฌาจากสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาอีกแล้ว

“เขียนไดอารี่อีกแล้ว นักเขียนนี่ต้องขยันเขียนขนาดนี้เลยหรือ ผมเห็นคุณเขียนบันทึกตลอดเวลาเลย”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

“ขนาดนั้นแหละครับ อัชรู้ไหม ผมว่าคุณติดไดอารี่มากพอๆ กับที่ชาวบ้านติดเล่นมือถือเลยล่ะ ผมไม่เคยเห็นคุณให้ไดอารี่ห่างมือเลย”

“ผมก็แค่เล่า”
กรรู้สึกว่า แวบหนึ่งสายตาของฝ่ายมองเหม่อ และน้ำเสียงก็ชะงักไป
แต่มันก็ถูกแทนที่ด้วยเนื้อเสียงปกติและต่อบทสนทนา
“ก็แค่เขียนนั่นแหละครับ วันๆ หนึ่ง มีเรื่องให้เจอเยอะแยะจะตาย ไม่เขียนไว้อาจจะลืมไปก็ได้นะครับ”

“ขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าต้องเขียนทุกวันแบบคุณ ผมว่า ไดอารี่ของผมคงมีแค่คำว่า ตื่น อาบน้ำ กินข้าว ทำงาน อาบน้ำ นอน แค่เท่านั้น”

“ไม่จริงหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับว่ากรจะใส่ใจรายละเอียดในเรื่องรอบๆ ตัวมากแค่ไหนมากกว่า ในทุกๆ วันมีความทรงจำให้เป็นเรื่องเล่าที่แตกต่างกันออกไปเสมอล่ะครับ”

“อาจจะเพราะคุณเป็นนักเขียนหรือเปล่า มุมมองความคิดเลยอาจจะแตกต่างไปจากคนทั่วๆ ไป”

อัชฌายิ้มตอบให้ความคิดเห็นของเขา
“ผมก็คนธรรมดาทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ แถมออกจะธรรมดาเกินไปเสียด้วยซ้ำ”
 
“ไม่ธรรมดาครับ คุณพิเศษสำหรับผมเสมอ”
และกรก็เลือกที่จะส่งคำตอบที่ย้ำความรู้สึกของเขาเช่นนี้กลับไปแก่อีกฝ่าย...อีกครั้ง
.
.
.
กรวิชญ์บอกได้เพียงว่าเขาคิดว่าอัชฌานั้นพิเศษ
อาจจะพิเศษเพราะความธรรมดาที่ดูไม่ธรรมดา
เป็นคนที่ประเมินไม่ออกจากเพียงสายตา เพราะเมื่อได้สัมผัสกลับแตกต่าง
หรืออาจจะเพราะสายตาในมุมเงยที่เขาชอบมอง มันสะท้อนความคิดที่เขาเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจ แต่ก็ยังไม่กล้ารุกล้ำด้วยคำถาม
ความสัมพันธ์ที่เขามีให้กัน สำหรับกรมันจึงพิเศษ แม้ว่ากับอีกฝ่ายมัน จะเรียกมันความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ที่ตกลงขอบเขตไว้แล้ว
กรวิชญ์ก็บอกไม่ได้ว่าเริ่มรู้สึกพิเศษกับอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไร
อาจจะเพราะเวลาเห็นอัชฌาอยู่คนเดียว เขาจะเห็นอีกฝ่ายนั่งเขียนบันทึกอยู่เสมอ
เขาสังเกต จนเขาเองเป็นฝ่ายจดจ้องพฤติกรรมธรรมดาๆ นั้นจนติดอยู่ในใจ
การเขียนไดอารี่นั้นมันมีอะไรพิเศษหรือเปล่านะ
ใจหนึ่งก็อยากถาม แต่ใจหนึ่งก็มองเห็นกำแพงความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายก่อเอาไว้
ถ้าวันนี้การข้ามกำแพงมันอาจจะทำลายความสัมพันธ์
เช่นนั้นเขาขอเลือกอยู่หลังกำแพงแบบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน

-------------------------------
ฟังมุมคุณกรเล่ากันต่ออีกนิดนะคะ ^^

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และคนที่เข้ามาคอมเม้นนะคะ

ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 12 (24/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-04-2019 12:20:43
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 13 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 25-04-2019 19:12:22
แผ่นที่ 13

ถ้าความเห็นอกเห็นใจ และความสงสารเป็นหนึ่งในสิ่งที่มนุษย์มักจะมอบให้ผู้อื่นเพื่อแสดงความสูงส่งของจิตใจแล้วละก็ หลงก็คงเป็นคนในฝ่ายผู้รับ ซึ่งมักจะได้รับคำว่าน่าสงสาร ด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจอยู่เสมอ
แม้ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองน่าสงสารหรือโชคร้ายอะไรขนาดนั้น
เขาได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองเป็นมาตั้งแต่จำความได้
คำอธิบายที่ครอบครัวบอกแก่เขา มันไม่ใช่เรื่องที่เรียกว่าน่าสงสาร หรือเพราะเวรกรรมแต่ชาติปางก่อนอะไรทั้งนั้น
แต่เป็นเพราะว่าความผิดปกติซึ่งติดมากับร่างกายตั้งแต่กำเนิดที่อยู่ในระดับเซลล์ และพันธุกรรม
การอธิบายจากครอบครัวทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเป็นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถขวางกั้นการใช้ชีวิตและความสามารถของเขาได้
“มันไม่ใช่โรค ที่รักษาได้ด้วยยา แต่ถ้าลูกฝึกฝน ลูกก็จะสามารถเข้าใจและอยู่กับมันได้ตามปกตินะ”

ในช่วงวัยเด็ก ต้องขอบคุณครอบครัวที่เข้าใจและหมั่นสังเกตพฤติกรรมที่ไม่ปกตินักซึ่งเขาแสดงออกมา
การชอบฟัง แต่ไม่ชอบอ่าน ไม่ใช่เพราะว่าขี้เกียจ กว่าที่เขาจะเข้าใจว่าตัวเขาเองมองเห็นตัวอักษรซึ่งเข้าสู่สายตาแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ก็เมื่อวันที่ครอบครัวพาไปพบกับหมอ
นับจากนั้น ไม่เพียงแต่เขา แต่ทั้งพ่อและแม่ รวมถึงพี่ชาย เหมือนได้เข้าคอร์สฝึกอบรมร่วมกัน เพื่อฝึกฝนและช่วยเหลือเขาในด้านพัฒนาการ
การค่อยๆ หากิจกรรมที่ทำได้ดี กลายเป็นโอกาสที่ทำให้เขาได้พบกับความชื่นชอบในการถ่ายภาพ
และได้เรียนรู้ว่า การบันทึกความทรงจำ หรือการบอกเล่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวอักษรอย่างเดียวอีกต่อไป
แม้เขาเขียนไม่เก่ง แต่การบันทึกภาพช่วยได้

หลงได้ค้นพบว่า การถ่ายภาพเพราะความชอบนั้น ไม่เพียงมีคุณค่าในฐานะวิธีการเล่าเรื่อง
ในตอนนั้น ในวันที่พี่ก้อง เพื่อนของพี่ชาย แขกผู้แวะมาเยี่ยมเยือนกันจนเป็นคนคุ้นหน้า ได้มาเห็นภาพที่เขาถ่าย ก็ออกปากชื่นชม
คำชมในครั้งนั้นของเพื่อนพี่ชายซึ่งเป็นทายาทของเจ้าของสื่อหนังสือพิมพ์รายใหญ่ได้เปิดโอกาสให้เขาได้รู้จักกับโลกที่กว้างขึ้น
“ส่งประกวดเลยเชื่อพี่”

หลงจำได้ว่าเขาส่ายหน้ากลับเป็นคำตอบในทันที

“ทำไมล่ะ ภาพดีขนาดนี้ ส่งไปสนุกๆ ถือว่าส่งไปอวดให้คนอื่นนอกบ้านให้ได้ดูบ้าง อย่าไปเครียดสิ ได้รางวัลไม่ได้รางวัลถือว่าไปหาประสบการณ์”

เขาที่เงียบฟังพี่ก้องชักชวน ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว พี่ก้องกับพี่ชายเขาเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเลือกภาพส่งเข้าไปประกวดในงานประกวดภาพถ่ายระดับประเทศงานหนึ่ง
.
.
.
“เห็นไหม ชนะจริงด้วย”
เสียงพี่ก้องดังขึ้นข้างๆ ตัวเขา ซึ่งกำลังยืนดูภาพถ่ายที่อัดใส่กรอบแขวนอยู่ตรงหน้า
ภาพน่ะไม่มีอะไรแปลกหรอก ก็เพราะมันเป็นภาพที่หลงลั่นชัตเตอร์เอง
แต่ณ ตอนนี้ ภาพมันกลับมีป้ายแสดงข้อความ “รางวัลชนะเลิศ ประเภทเยาวชน” แปะอยู่ด้านข้างป้ายชื่อผู้ถ่ายเพิ่มเข้ามา

“ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณทำไม ฝีมือก็ฝีมือแก ไม่ใช่พี่ถ่ายสักหน่อย”

“ยังไงก็ขอบคุณครับ”

“แกนี่นะ เลิกขอบคุณได้แล้ว ไปฉลองกันดีกว่า ภีมมันบอกว่าเลิกเรียนแล้วจะตามไปที่ร้านเลย วันนี้พี่ท่าทางจะได้ลาภลอยกินฟรีจากแกนี่แหละ ไป ไปกัน”

แล้วเพื่อนพี่ชายก็เอาแขนพาดไหล่เขาก่อนชวนให้เดินออกจากพื้นที่จัดแสดงภาพไปพร้อมๆ กัน
.
.
.
“มาทำงานกับพี่ไหม”

พี่ก้องที่ไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลานานได้เอ่ยชวนขึ้น

“ครับ”

“เป็นช่างภาพไง ตอนนี้พี่มาช่วยงานที่บ้านจริงๆ แล้ว แต่ว่าดูงานส่วนภาพให้นิตยสารอยู่ด้วย จำพี่เก๋ได้หรือเปล่า”

“ครับ”

“สนใจไหม ฝีมือแกน่ะ มาเป็นช่างภาพให้พี่ได้สบายๆ ไม่ชอบถ่ายคน จะไปภาพประกอบก็ได้นะ หรือถ้าอยากจะลองมาถ่ายแฟชั่นก็มาลอง อาจจะชอบ เอาไหม”

เมื่อเห็นเขานิ่ง พี่ก้องก็ไม่แสดงการเร่งรัดอีก
“เอาเถอะ ถ้าตัดสินใจยังไงก็บอกพี่ แกก็น้องพี่คนหนึ่ง ตั้งแต่รู้จักกับภีมมา พี่ก็เห็นแกมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะยังไง พี่อยากให้แกเห็นพี่เป็นพี่ชายคนหนึ่ง จะแทนภีมก็ได้ มีอะไรมาคุย มาหาพี่ได้เสมอ”

“ขอบคุณครับ”
คำชักชวนของพี่ก้องซึ่งเขายังไม่ได้ให้การตอบรับ เกือบจะเลือนหายไปจากความทรงจำเสียแล้ว
จนกระทั่งวันหนึ่งวันนั้นที่หลงได้เห็นอัชฌาที่ตึกสำนักงานของพี่ก้อง
นั่นทำให้เขาตัดสินใจเอ่ยคำตอบรับคำชวนที่ผ่านมาเนิ่นนาน
“พี่ก้องครับ เรื่องมาเป็นช่างภาพ”

“ว่าไงๆ อยากมาทำงานกับพี่แล้วใช่ไหม”

“ครับ แต่แค่มาเป็นผู้ช่วยได้ไหม”

“เอาดิ อยากเป็นอยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ มานั่งที่โต๊ะว่างๆ เฉยๆ ให้เปลืองแอร์ออฟฟิตก็ยังได้”

หลงพยักหน้าให้กับคำตอบรับกลั้วเสียงหัวเราะของพี่ก้อง

แม้จะนิ่ง ไปแต่ในความคิดและในใจของเขากำลังเคลื่อนไหว
ความคิดและในใจของหลงได้แต่หวัง
หวังว่ามันจะมีสักวันที่การรอคอยของเขาจะสิ้นสุดลง
และคงจะดี ถ้ามันจะสิ้นสุดลงด้วยการตัดสินใจในครั้งนี้
หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

.
.
.
“พี่ก้องครับ คนๆ นั้นอยู่ที่นี่”

“หะ ใครนะ”

“เจ้าของไดอารี่ของพี่ภีม”

“คนไหน แล้วแกเจอเขาได้อย่างไร”

“ผมเห็นเขาที่นี่ วันที่ผมตัดสินใจมาบอกพี่ก้องเรื่องทำงาน”

“เห็นว่าทำงานที่ตึกนี้หรือ หรือว่าเห็นมากินข้าวที่ร้านอาหารของกรด้านล่าง”

“ไม่ทราบครับ ผมแค่เห็น”

“แค่เห็นเนี่ยนะ เลยตัดสินใจมาทำงาน คือแกคิดว่าจะได้เจอเขาอีก เลยมาดักรอหรือไง แล้วถ้าสมมติเขาแค่มาทำธุระที่ตึกนี้ล่ะ”

“ก็รอต่อครับ”

“แกนี่นะ พี่ละเป็นห่วงแกจริงๆ เลย มีน้อง 2 คน ยังไม่เคยห่วงเท่าน้องเพื่อนคนเดียวเลยโว้ย”

แล้วพี่ก้องก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนที่ว่าต่อ
“เดี๋ยวพี่ช่วยดูให้ ถ้าทำงานที่ตึกนี้ เดี๋ยวก็น่าจะเจอกันอีก หรือถ้ามากินข้าวที่ร้าน ก็ไม่น่าจะยาก เพราะว่าส่วนใหญ่ลูกค้าที่ร้านไม่ได้มาแค่ครั้งเดียวอยู่ละ เอาวะ ถือว่าช่วยเสือกเพื่อน้องสักครั้ง”

หลงได้แต่ก้มหัวลงเป็นเชิงขอบคุณโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
.
.
.
เขากำลังจะได้พบแล้วใช่ไหม
การรอมันจะใช้เวลาสักเท่าไร
แต่มันจะสำคัญอะไร ถ้ามันมีความหวังที่ปลายทางบ้างแล้ว
ก็นั่นแหละ หลงก็ได้แต่หวัง หวังว่าการรอของเขา มันจะสิ้นสุดลงเสียที


********************************
เปลี่ยนมาฝั่งหลงเล่าเรื่องกันก่อนนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และเข้ามาคอมเม้นนะคะ

ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 14 (26/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 26-04-2019 00:27:55
แผ่นที่ 14

“อย่าร้องเลยครับแม่ ภีมมันอยู่ระหว่างทาง เดี๋ยวมันจะกังวลใจนะครับ”
เสียงพี่ก้องที่พูดปลอบใจแม่ของเขาดังขึ้น พร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมือของแม่เอาไว้
แทนที่จะเป็นเสียงของเขาผู้เป็นลูกชายอีกคน
แต่หลงพูดไม่ออก หรือจะบอกว่าพูดไม่ถูกก็ไม่แน่ใจ
เขารู้ว่าแม่เครียด เสียใจ และยังเตรียมตัวเตรียมใจไม่ได้
แขนและมือของพ่อวาดมาสัมผัสแผ่นหลัง และลูบปลอบตัวเขาเบาๆ
เขาคิดว่าถ้าความสูงของเขาเท่ากับตอนประถม ฝ่ามือของพ่อคงได้ลูบอยู่บนศีรษะของเขาแทน
แม้พ่อจะไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น แต่เขารู้ดีว่าพ่อก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากแม่มากนัก
และเขาในฐานะลูก ดูเหมือนจะทำในสิ่งที่ควรทำไม่ได้ครึ่งหนึ่งของพี่ก้องเสียด้วยซ้ำ

“แม่ครับ”

ใบหน้าที่ยังเปื้อนคราบน้ำตา และดวงตาที่แดงก่ำเงยขึ้นสบกับสายตาของเขา
“ครับลูก”

แล้วเขาก็โอบกอดแม่ไว้แนบกับอก แม่ที่ส่วนสูงเพียงแค่อกเขา ไม่เคยดูตัวเล็ก และเปราะบางเท่าวันนี้เลย
แผ่นหลังของแม่สั่นไหวอีกครั้ง
ความตั้งใจที่จะปลอบดูเหมือนจะไปกระตุ้นน้ำตาให้ไหลออกมาอีกครั้ง
หลงเรียกแม่ขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่จะพยายามเอ่ยคำที่เขาคิด
“พี่ภีมยังอยู่กับเราเสมอไม่ใช่หรือครับแม่ แม่เคยบอกเองว่า ถ้าเรายังมีความทรงจำ จะไม่มีใครสามารถพรากเวลา ผู้คนและความสุขไปจากเราได้ทั้งนั้น วันนี้เรายังมีพี่ภีมอยู่ในความทรงจำของพวกเราไม่ใช่หรือครับ”

ร่างของแม่ในอ้อมกอดผละออกจากตัวเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะเอื้อมมือขึ้นมาลูบข้างแก้มของเขาเบาๆ
“นั่นสินะ จริงด้วย แม่นี่แย่จริง”

“เดี๋ยวพี่ภีมต้องเอ็ดแม่แน่ๆ”

“นั่นสินะ พี่ชายเขายิ่งไม่ชอบน้ำตาอยู่ด้วย”

แล้วแม่ก็ยิ้มให้เขาบางๆ ก่อนที่พ่อจะเอ่ยปากชวนทุกคนให้หมุนตัวกลับ
ปล่อยให้ความเงียบเข้าแทนที่ในพื้นที่ที่พวกเขายืน
ทิ้งเบื้องหลังไว้เพียงแผ่นหินจารึกแผ่นหนึ่งตั้งประดับไว้ และข้อความที่อยู่บนนั้น

เพราะการเดินทางไม่เคยสิ้นสุด
ภีมวัจน์ เกียรติวิญญ์ธร
15 มีนาคม 25XX - 8 มีนา 25xx

.
.
.
ร่างสูงที่เดินเข้ามายังพื้นที่สุสานเพื่อทำความสะอาดพื้นที่ก่อนวันครบรอบการตาย
ไม่สิ จะเรียกว่าการตายก็ไม่ถูกนัก เพราะพี่ภีมไม่ได้กลับมาจากการเดินทางครั้งนั้นอีกเลย
การหายสาบสูญพร้อมเครื่องบินเที่ยวหนึ่ง และข่าวใหญ่ที่ใครๆ ก็ต้องเคยได้ยินเรื่องราว เกิดขึ้นกะทันหันมาก
มากเสียจนทุกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน เพราะไม่มีใครในครอบครัวเคยคาดคิดเลยว่าเรื่องราวเช่นนี้จะมาเกิดกับสมาชิกผู้เป็นที่รัก
ในวันที่สายการบินประกาศหยุดค้นหา ครอบครัวจึงถือเอาวันที่ได้รับข่าวการสาบสูญเป็นวันออกเดินทางอีกครั้งของพี่ชาย
วันที่จารึกอยู่บนป้ายหินใต้ชื่อของพี่ภีม

ขณะที่เดินมาถึงหน้าป้ายหินแกรนิตสีขาว
สิ่งที่เขาคิดว่าไม่ควรมีอยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็ดึงดูดสายตาของเขาขึ้นมา
หนังสือ ไม่สิ สมุดหรือ
สมุดบันทึกของใครกันที่วางอยู่ที่หน้าที่พักพิงของพี่ชายเขา
ถ้าจะบอกว่ามีคนมาวางลืมไว้ สถานที่แห่งนี้ก็ดูจะไม่เหมาะที่จะบังเอิญมานั่งพักสักเท่าไร
ดังนั้นหลงจึงคิดได้อย่างเดียวว่า มีใครตั้งใจนำมาวางไว้
แต่ใครกัน อย่างน้อยเขาแน่ใจว่าไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวแน่ๆ หรือถ้าจะบอกว่าเป็นญาติที่แวะมาเยี่ยมเยือนก็ไม่น่าจะวางสมุดบันทึกเช่นนี้ไว้
เขาจึงตัดสินใจก้มลงหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นขึ้นมา และเปิดมันขึ้น

ตัวอักษรเป็นระเบียบที่เขียนด้วยลายมืออัดแน่นอยู่บนแผ่นกระดาษทุกๆ หน้า
เรียงลำดับตามการเขียนโดยลงวันที่ในรอบหนึ่งปีที่ผ่าน
เขาเปิดไล่ดูทีละหน้าคร่าวๆ ไปเรื่อยๆ
บันทึกไม่ได้เกิดขึ้นในทุกวัน จากวันที่ที่ลงกำกับไว้ แต่เนื้อหาที่บรรจุอยู่ในทุกบรรทัด เขามั่นใจว่าคนเขียนตั้งใจเขียนให้กับพี่ชายของเขาแน่นอน
เพราะทุกวันที่มีการบันทึก ใต้บรรทัดที่ระบุวันที่ จะเริ่มการเขียนด้วยคำว่า “พี่ภีมครับ” เสมอ
พระอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำ และแสงสว่างที่กำลังจะจากไป ทำให้หลงตัดสินใจเก็บสมุดบันทึกดังกล่าวลงในเป้ซึ่งเขาสะพายมาด้วย ก่อนที่จะลงมือทำความสะอาดพื้นที่ก่อนที่ความมืดจะเข้ามาแทนที่
.
.
.
พี่ภีมครับ
วันนี้ผมได้เดินทางไป....

พี่ภีมครับ
งานในวันนี้....

พี่ภีมครับ
วันนี้ได้เจอกับ....

หลงที่กลับมาถึงบ้าน หยิบเอาสมุดบันทึกออกมาเปิด และค่อยๆ ไล่อ่านอีกครั้ง
เขาพบว่า เรื่องราวที่บันทึกประหนึ่งไดอารี่
แต่จะเรียกว่าไดอารี่ก็ไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะว่าการบันทึกไม่ได้เกิดขึ้นทุกๆ วัน
บางครั้งจากวันหนึ่งแล้วก็หายไปเกือบสัปดาห์ แล้วการบันทึกก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
บางวันในบางสัปดาห์ก็บันทึกข้อความสั้นๆ เล่าเรื่องในชีวิตประจำวัน
บางวันก็เป็นกิจกรรมที่มีหลักฐาน เช่นบันทึกเกี่ยวกับการไปดูภาพยนตร์ ก็จะมีตั๋วภาพยนตร์เรื่องนั้นแปะอยู่ด้วย พร้อมข้อความที่เขียนถึงภาพยนตร์ แถมคำวิจารณ์ หรือติชมประกอบด้วย

ใครกันนะที่เขียนข้อความเหล่านี้ถึงพี่ชายเขา
เขียนเรื่องราวถึงอีกฝ่าย เสมือนตั้งใจส่งให้อีกฝ่ายได้อ่าน
ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ว่าพี่ภีมคงไม่ได้มีโอกาสได้เปิดอ่าน
เขาคิดว่า อีกฝ่ายก็น่าจะรู้เช่นกัน เพราะการที่เอามันมาวางที่หน้าป้ายในสุสานได้ ก็ต้องทราบเรื่องราวของพี่ชายเขาพอสมควรแล้ว
เพื่อนของพี่ภีมหรือ
แต่อีกฝ่ายเรียกพี่ชายเขาว่า พี่ภีม ก็น่าจะอายุน้อยกว่าพี่ชายของเขา
.
.
.
“พี่ก้องครับ”

หลงตัดสินใจทักพี่ก้องไปทางโปรแกรมสนทนา และได้รับการตอบกลับจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“ว่าไง ตัดสินใจจะมาทำงานกับพี่แล้วหรือ”

“ไม่ใช่ครับ”

“โถ่ แล้วมีไร ทักพี่มา ให้พี่มีความหวังวะ”

“พี่ก้องเคยเห็นสมุดบันทึกนี้หรือเปล่าครับ”
เขาถามพร้อมส่งรูปถ่ายสมุดบันทึกเล่มดังกล่าวไป พร้อมภาพถ่ายเนื้อหาภายในเล่มอีก 2-3 ภาพ

“หือ เขียนถึงไอ้ภีมด้วย แกไปเอามาจากไหน”

“ผมพบมันวางอยู่ที่สุสานครับ”

“พี่ก็ไม่แน่ใจนะ ดูเท่านี้มันก็บอกยาก ไว้เอามาเจอกันแล้วค่อยเอามาให้พี่ดูอีกทีได้ไหม”

“ได้ครับ ขอบคุณครับพี่ก้อง”
แล้วการสนทนาเรื่องสมุดบันทึกระหว่างเขากับพี่ก้องในตอนนั้นก็หยุดลงเพียงเท่านั้น
.
.
.
สุดท้ายแล้ว เวลาผ่านไป เขาก็ไม่เคยได้หยิบเอาสมุดบันทึกเล่มดังกล่าวไปหาพี่ก้องเลย
ทั้งเพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะยุ่งเพราะงาน และเขาเองก็ไม่มีธุระอะไรเพียงพอที่จะเดินทางไปหาเพื่อนของพี่ชายอย่างจริงๆ จังๆ
การปฏิสัมพันธ์ทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบก็เกิดขึ้นบ้างด้วยโปรแกรมสนทนา และประเด็นเรื่องสมุดบันทึกก็ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาในบทสนทนาอีก

จนเวลาหมุนวน ใกล้มาถึงวันครบรอบการเดินทางของพี่ภีมอีกครั้ง
หลงที่เดินทางที่สุสานเพื่อเตรียมทำความสะอาด ก็ได้พบกับสมุดบันทึกอีกเล่มวางอยู่เช่นเดิม
รูปลักษณ์ภายนอกของสมุดแตกต่างจากเล่มของปีที่แล้ว แต่เนื้อหาด้านใน มีโครงสร้างการเขียนไม่ต่างกัน
การบันทึกประจำวันที่ไม่ประจำวัน เขียนบันทึกเรื่องราวเล่าเรื่องต่างๆ ให้แก่พี่ชายของเขาได้รับรู้
.
.
.
คุณเป็นใครกันนะ
แล้วทำไมถึงเขียนบันทึกให้พี่ภีม
ผ่านไปกว่า 2 ปีแล้ว คุณก็ยังเขียนอยู่หรือ
พี่ภีมยังคงเดินทางอยู่ในความคิดของคุณใช่ไหม
แม้จะมีความสงสัยอยู่หลายเรื่อง
แต่หลงก็เลือกที่จะเก็บสมุดบันทึกเล่มล่าสุดเข้ากระเป๋าก่อนที่จะเริ่มลงมือทำความสะอาดบริเวณที่พำนักสุดท้ายของพี่ชาย

-------------------------------------
ฟังหลงเล่ามันก็จะกลายเป็นบรรยายมากหน่อยนะคะ แทบจะไม่มีการสนทนาตามประสาคนพูดไม่ค่อยเก่งแต่ค่อยๆ มาฟังเรื่องราวต่างๆ เพิ่มกันทีละนิดๆ นะคะ เรื่องเล่ายังไม่จบ เดี๋ยวค่อยมาฟังกันต่อนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และเข้ามาคอมเม้นนะคะ

ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ หรือฝากช่วยติดตามกันในทวิตเตอร์นะคะ ที่ https://twitter.com/PlusOneNovel

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 15 (27/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 27-04-2019 03:50:17
แผ่นที่ 15

แม้หน้าที่ในการดูแลที่พำนักสุดท้ายของพี่ภีมในตอนนี้เป็นของเขาในฐานะน้องชายอาจจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ
แต่ตอนนี้สิ่งที่หลงรอกลับเป็นหนึ่งวันก่อนวันครบรอบการเดินทางของพี่ชายที่เขาคาดว่าเจ้าของสมุดน่าจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อนำสมุดบันทึกมาวาง
ในวันนี้ เขาจึงเลือกที่จะมานั่งรออยู่ที่บริเวณสุสานตั้งแต่เช้าตรู่
ขณะที่นั่งกอดเข่าอยู่หน้าป้ายหิน สายตามองเมฆที่ลอยเคลื่อนช้าๆ  ความคิดก็ตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาว่า ปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้วที่พี่ภีมไม่อยู่แล้ว คนๆ นั้นจะยังเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ในปีที่ผ่านมานี้อยู่หรือเปล่ากันนะ
แล้วสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ ก็ชักชวนให้เขาเข้าสู่ห้วงความคิดที่ดำดิ่งลง
.
.
.
“พ่อหนุ่ม”
เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในห้วงนินทราสะดุ้งตัวเล็กน้อย ใบหน้าที่กดลงกับเข่าขยับเงยขึ้น พร้อมหันไปหาต้นเสียง ซึ่งก็คือชายชราที่เขาจำได้ว่าเป็นคนดูแลพื้นที่ของโบสถ์
“มานอนอะไรตรงนี้ เย็นย่ำขนาดนี้แล้ว”

หลงเห็นสีท้องฟ้าที่กำลังถูกย้อมด้วยสีแสดจากแสงพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำ แล้วก็มองไปรอบๆ ตัว และบริเวณหน้าป้ายหินสีขาว
“มองหาอะไรรึพ่อหนุ่ม”

สิ่งที่เขารอไม่ได้มีมาวางอยู่เช่น 2 ปีก่อน ไม่มีสมุดบันทึก ไม่มีสิ่งของใดๆ ที่มาวางให้พี่ภีม ไม่แม้กระทั่งตัวคนที่มาปรากฏตัวดังที่เขารอคอย
เขาลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะส่ายหน้าเป็นคำตอบแก่ผู้ดูแล และเดินจากไปเงียบๆ จากพื้นที่สุสาน

นั่นสินะ บางครั้งเขาอาจจะคาดหวังมากเกินไป
ใครจะรอคนที่ไม่มีวันกลับมาได้นานขนาดนั้น
สองปีก็ถือว่าเป็นเวลาที่นานพอดูที่จะทำให้คนคนหนึ่งลืมได้แล้วสินะ

.
.
.
“เอ๊ะ มีอะไรวางอยู่ที่หน้าป้ายของพี่ชายน่ะลูก”
เสียงของแม่ทำให้คนที่เดินรั้งท้ายอยู่กับพ่อ ก้าวเท้าเร็วขึ้น แซงหน้าผู้เป็นแม่ไปยังบริเวณหน้าป้ายในทันที

สมุดบันทึกมาแล้ว
ดูจากภายนอก เป็นสมุดบันทึกที่มีดีไซน์ของเล่มไม่เหมือนเดิม
แต่เขามั่นใจว่าสมุดเล่มนี้น่าจะเป็นของคนคนเดิมแน่นอน
เมื่อเปิดหน้าแรกขึ้น และได้อ่านลายมือที่บันทึกอยู่ในนั้น ก็ทำเขาคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา จนผู้เป็นแม่สังเกตเห็น
“สมุดของใครกันคะลูก”

“ผมก็ไม่ทราบครับ แต่ว่านี่เป็นปีที่สามแล้วที่เขามาวางให้พี่ภีม”
หลงตอบแม่ ก่อนจะเริ่มเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปที่ได้เจอสมุดบันทึก และเรื่องราวของเนื้อความที่ถูกบันทึกอยู่ในนั้น

“สามปีแล้วหรือ”

“ครับแม่ ปีละเล่ม”

“เขาเป็นใครกันนะ แล้วทำไมต้องทำแบบนี้นะ ”

“ผมก็ไม่ทราบครับ”

“ลูกไม่ลองไปดูในห้องพี่เขา เผื่อว่าจะเจออะไรบ้าง” พ่อที่ยืนฟังบทสนทนาระหว่างแม่ลูกได้เอ่ยขึ้น “พ่อคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ต้องรู้จักภีมนั่นล่ะ”

“ผมลองถามพี่ก้องดูแล้วครับ พี่ก้องก็ว่าไม่ทราบ”

“อาจจะไม่ใช่เพื่อนเก่าหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นคนที่มหาวิทยาลัยที่ก้องอาจจะไม่รู้จัก พ่อว่าเขารู้จักกับภีมนั่นละ แต่จะรู้จักอย่างไร เมื่อไรอันนั้นให้เดาคงยาก”

“กลับไป เดี๋ยวผมจะลองไปดูในห้องพี่ภีมครับ”
ซึ่งเขาก็หวัง เผื่อว่าจะเจออะไรที่พอจะทำให้รู้จักเจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้ขึ้นมาบ้าง
.
.
.
หลงคิดว่าเขาพบแล้ว คนที่เขาคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของสมุดบันทึก
ในห้องของพี่ภีมที่ครอบครัวเก็บรักษาทุกอย่างไว้เหมือนเดิม ไม่ยากเกินไปในการค้นหา
กล่องเก็บของใบหนึ่งของพี่ชายมีการ์ดหลายใบอยู่ในนั้น
เป็นการ์ดที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยมือ เพื่อมอบให้วันสำคัญ วันปีใหม่บ้าง วันเกิดบ้าง
รวมไปถึงมีการ์ดอีกหลายใบที่เขียนขอบคุณในเหตุการณ์ต่างๆ มีทั้งเล็กน้อยแบบช่วยยกของ ช่วยจัดของ ไปจนถึงขอบคุณสำหรับของขวัญที่มอบให้และความใส่ใจดูแล
เจ้าของลายมือลงชื่อว่า อัชฌา บ้าง และ อัช เฉยๆ บ้าง ซึ่งเขาเดาได้ว่านั่นคงเป็นชื่อจริง และชื่อเล่น
และการค้นข้าวของที่เก็บไว้ของพี่ชายต่อทำให้เขาได้พบกับภาพถ่ายของอัชฌาในที่สุด
หลงรู้สึกได้ว่า หัวใจเขาเต้นแรงและเร็วขึ้นเมื่อได้ค้นเจอภาพถ่าย และในใจเหมือนจะสนทนากับคนในภาพว่า “คุณนั่นเอง ได้พบหน้ากันเสียทีนะครับ”
แล้วเขาก็รู้สึกว่าริมฝีปากของตัวเองยกขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้ม
ยิ้มที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่ามีความหมายว่าอะไร
เพราะความสงสัยที่ได้รับการคลี่คลาย หรือเพราะความดีใจที่ได้พบกับคนๆ หนึ่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วเขายังไม่แม้แต่ได้พบหน้า
“ปีหน้า ผมจะรอพบคุณนะครับ”
และนั่นคือเสียงแผ่วๆ คล้ายคำสัญญาที่หลงพูดขึ้นกับภาพถ่ายแผ่นนั้น
.
.
.
เขาได้เห็นตัวเจ้าของสมุดบันทึกแล้ว
แม้ในใจจะร้องเช่นนั้นด้วยความดีใจ แต่เขาก็ยืนออกมาห่างอยู่พอสมควร
เพราะคืนก่อนที่จะมาที่นี่เพื่อทำความสะอาดพื้นที่สุสานก่อนวันครบรอบ เขาฉุกคิดและทบทวนว่าเหตุใดเมื่อปีที่ผ่านมา สมุดจึงถูกวางช้าไปหนึ่งวัน นั่นอาจจะเพราะปีที่แล้ว เขานั่งเฝ้าจนหลับอยู่ที่หน้าป้ายของพี่ภีม จนคนๆ นั้นไม่กล้าเดินเข้ามา
ดังนั้น แทนที่จะรออยู่ที่เดิม เขาจึงเลือกที่นั่งซึ่งหลบมุมอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ปิดบังตัวเอง และรอ
และเป็นดังที่คาด เมื่อเขาไม่อยู่บริเวณนั้น คนคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพี่ภีม
ชายหนุ่มที่มาพร้อมกับใบหน้าเรียบเฉย มองไปที่ป้ายชื่อของพี่ชายเขา พร้อมเปิดกระเป๋าที่สะพายมา
สมุดบันทึกเล่มหนึ่งถูกหยิบออกมาวางที่หน้าป้ายสุสาน
คนๆ นั้นดูเหมือนจะไม่ได้พูดอะไร หรืออาจจะเพราะเขาอยู่ไกลเกินการรับรู้
ในเวลาไม่นาน คนๆ นั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากบริเวณสุสาน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายจากไปไกลเกินสายตา หลงจึงเดินออกไปที่ยังหน้าป้าย และก้มตัวลงหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นขึ้นมา

ได้เจอตัวคุณแล้ว
โอกาสหน้าผมจะได้คุยกับคุณบ้างไหม
ผมอยากถามคุณว่าทำไมคุณถึงเขียนบันทึกให้พี่ภีม
และทำไมคุณถึง “รอ”

**********************************
เรื่องราวทุกอย่างมันจะค่อยๆ ถูกเล่าออกมานะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจริงๆ ค่ะ

ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ

https://twitter.com/PlusOneNovel

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 16 (28/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 28-04-2019 13:45:13
แผ่นที่ 16

ความฝันของพี่ภีมคือ การเป็นนักเขียนสารคดี
พี่ชายพูดกับเขาเสมอถึงความฝันนั้น พร้อมบอกเหตุผลว่าปรารถนาจะเชื่อมโลกกับผู้คนผ่านการเขียนของตัวเอง
“คนบางคนอาจจะมีโอกาสได้ออกเดินทางด้วยข้อจำกัดต่างๆ  แต่การอ่านจะช่วยเปิดประสบการณ์ให้เขาแทนได้ พี่อยากจะเป็นคนที่สร้างสะพานเชื่อมผู้คน และแนะนำสังคมแต่ละสังคมให้ได้มีโอกาสรู้จักและได้เรียนรู้กันและกัน”
 
หลงพยักหน้ารับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายคิดและวางแผน และรู้สึกว่าความฝันของพี่ชายช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินในสายตาเขา
พี่ภีมเป็นพี่ชายที่น่าภูมิใจสำหรับน้องอย่างเขาเสมอ  ไม่ว่าจะการดูแลในฐานะพี่ คอยสอน และสังเกตพัฒนาการของเขา เรียกได้ว่าทำแทนพ่อแม่ในเวลาที่ทั้งสองอาจจะมีภาระอื่นๆ ต้องรับผิดชอบ
พี่ชายจึงเป็นมากกว่าแค่พี่ชายทั่วๆ ไป เขาไม่มีความทรงจำการทะเลาะเบาะแว้ง ถูกพี่ชายรังแก หรือแย่งของเล่น แย่งขนมอย่างพี่น้องบ้านอื่นๆ เขามีกัน อาจจะเพราะมีปัจจัยเรื่องความต่างของอายุเป็นส่วนหนึ่ง  แต่เขาคิดว่าเพราะนิสัยและความคิดของพี่ภีมเองที่เป็นคนที่มีเหตุผล และมีวิธีที่คิดที่ยอดเยี่ยมคอยสอนให้เขาได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ เสมอๆ 
แม้กระทั่งแนวคิดในการใช้ชีวิต ไปจนถึงอนาคตที่ตั้งใจจะยึดเป็นอาชีพการงานที่อีกฝ่ายคุยกับเขา มันจึงยังตราตรึงในความทรงจำเสมอ

“เรียนรู้กันแล้วอย่างไรครับ”
 
“อ้าว ไอ้น้องชาย อันนี้ตั้งใจถามจริงๆ ใช่ไหม ไม่ได้จะกวนกันใช่ไหม” พี่ชายถามเสียงกลั้วหัวเราะ
 
เขารู้ว่าพี่ชายเข้าใจในสิ่งที่เขาตั้งคำถาม แม้จะกล่าวหยอกเย้า แต่สุดท้ายก็ตอบกลับความสงสัยของเขาโดยไม่ได้อิดออด
“พี่ถามแกหน่อย แกคิดว่าทุกวันนี้ที่ผู้คนทะเลาะกัน หรือบาดหมางระหว่างกัน หรือเกิดสงครามเป็นเพราะอะไร”

หลงส่ายหน้าให้กับพี่ชายที่ยังคงมีรอยยิ้ม พร้อมเอ่ยเฉลยสิ่งที่คิดให้เขาฟัง
“เพราะไม่เข้าใจกันไง จำเรื่องหอคอยบาเบลได้ไหม”

คราวนี้เขาพยักหน้า
หอคอยที่มนุษย์กำลังสร้าง และหวังจะสร้างให้สูงเสียดฟ้าจนพระเจ้าโกรธ จึงบันดาลให้มนุษย์มีหลายภาษาจนสื่อสารระหว่างกันไม่เข้าใจ
เรื่องเล่าในโบสถ์ที่ทุกคนย่อมได้ฟังมาตั้งแต่วัยเยาว์

“...มาเถิด ให้พวกเราสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่งและก่อหอคอยให้ยอดของมันไปถึงฟ้าสวรรค์ และให้พวกเราสร้างชื่อเสียงของพวกเราไว้ เกรงว่าพวกเราจะกระจัดกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดินโลก
และพระเยโฮวาห์เสด็จลงมาทอดพระเนตรเมืองและหอคอยนั้นซึ่งบุตรทั้งหลายของมนุษย์ได้ก่อสร้างขึ้น
และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด คนเหล่านี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และพวกเขาทั้งปวงมีภาษาเดียว และพวกเขาเริ่มทำเช่นนี้แล้ว และบัดนี้จะไม่มีอะไรหยุดยั้งพวกเขาได้ในสิ่งที่พวกเขาคิดจะทำ
มาเถิด ให้พวกเราลงไปและทำให้ภาษาของพวกเขาสับสนที่นั่น เพื่อไม่ให้พวกเขาพูดเข้าใจกันได้
ดังนั้น พระเยโฮวาห์จึงทรงทำให้พวกเขากระจัดกระจายจากที่นั่นไปทั่วพื้นแผ่นดินโลก และพวกเขาก็เลิกสร้างเมืองนั้น
เหตุฉะนั้น จึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่า บาเบล เพราะว่าที่นั่นพระเยโฮวาห์ทรงทำให้ภาษาของทั่วทั้งแผ่นดินโลกสับสน และ ณ จากที่นั่นพระเยโฮวาห์ได้ทรงทำให้พวกเขากระจัดกระจายออกไปทั่วพื้นแผ่นดินโลก - ปฐมกาล 11:1–9”



“ความวุ่นวายของโลกและสังคมตอนนี้ เกิดเพราะมนุษย์ไม่อาจจะสื่อสารกันให้เข้าใจกัน และพอเราเกิดความไม่รู้ เราก็จะกลัวคนที่แตกต่างจากเราได้ง่าย ทั้งภาษา การกิน วิถีชีวิต เราอาจจะมองสิ่งเป็นอยู่ปกติ เป็นสิ่งที่ธรรมดาของคนอื่น หรือสังคมอื่นกลายเป็นเรื่องแปลก เพราะนั่น เราเอาสิ่งที่เราเป็น เอาสิ่งที่เราอยู่ และเอาความคิดและมาตรฐานในชีวิตเราไปเป็นมาตรวัดตัดสินคนอื่นง่าย”

หลงนิ่งฟังเหตุผลของพี่ชาย ซึ่งยังอธิบายความตั้งใจ
“ตรงนี้ล่ะที่สำคัญ ถ้าเราเข้าใจคนอื่นได้ง่ายๆ ว่าเขาเป็นใคร เขากินอยู่อย่างไร มีชีวิต มีวัฒนธรรมอย่างไร ให้ได้รู้เรื่องราวที่ไม่เคยได้รู้ ให้เข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยได้เข้าใจ เท่านั้นล่ะ ความคิด การรังเกียจระหว่างกันและกัน หรือสายตาหยามเหยียดดูถูกผู้อื่นก็จะลดลง”

“งั้นพี่ภีมจะทำอย่างไรครับ”

“ก็บอกละไง พี่จะสร้างสะพานความเข้าใจผ่านงานเขียน เผยแพร่ออกไปให้คนได้อ่าน ไม่ใช่แค่เข้าใจ แต่อ่านแล้วได้ความสนุกและความสุขใจที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สำหรับพี่การได้ไปเขียนงานสารคดีนี่ล่ะจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้พี่บรรลุความตั้งใจ และเป้าหมายนี้ได้”

หลงพยักหน้าตอบรับแก่คำตอบและเป้าหมายของพี่ชาย ก่อนที่พี่ภีมจะมาช่วยวางอนาคตให้เขา ที่จะได้เดินทางไปกับความฝันของตัวเอง
“แกมาเป็นช่างภาพให้พี่ไหม เราพี่น้องจะได้เดินทางไปด้วยกัน แบบเป็นสองพี่น้องที่จับปากกาและสะพายกล้องเดินทางท่องโลก น่าจะสนุกไม่น้อย”

หลงพยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง และนอกจากจะสัญญากับตัวเองในใจว่าจะพัฒนาฝีมือการถ่ายภาพของตัวเองให้ดีที่สุดแล้ว เขาขอบคุณพรสวรรค์ที่ครอบครัวช่วยเขาค้นพบในการถ่ายภาพ เพราะถ้าความสามารถของเขานั้นจะมีประโยชน์ และได้เดินทางตามฝันเพื่อสนับสนุนพี่ชาย หลงก็คิดว่ามันคงจะดีอยู่ไม่น้อย
และเหมือนพี่ภีมจะสามารถเข้าใจความจริงใจ และความตั้งใจของเขาที่สะท้อนออกมาผ่านแววตา อีกฝ่ายเอื้อมมือมาขยี้ผม และยิ้มให้เขาอย่างที่เคยยิ้มให้เสมอมาตลอดชีวิต
.
.
.
“คุณครับ”

อัชฌาเงยน้าขึ้นตอบสนองกับเสียงเรียก พร้อมๆ กับละมือออกจากแผ่นกระดาษในสมุดบันทึกที่กำลังเขียนอะไรสักอย่างอยู่
“มาฝ่ายผม มีอะไรต้องการให้ช่วยครับคุณหลง” เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตอบรับเขาด้วยน้ำเสียงติดประชด

“พี่ก้องให้เอานี่มาให้ครับ”

“ขอบคุณครับ แต่วันหลังคุณให้แม่บ้านเดินทางก็ได้นะครับ ไม่ต้องลำบาก เดี๋ยวแม่บ้านจะไม่มีงานทำเอา”

“ไม่เป็นไรครับ” แม้จะตอบกลับไปเพียงเท่านั้น แต่ในใจเขาคิดว่า “อยากมาพบคุณ”

“แค่นี้ใช่ไหมครับ เสร็จแล้วก็ไปสิคุณ มายืนรออะไร ผมจะได้ทำงานต่อ”

“คุณกำลังเขียนบันทึกอยู่หรือครับ” หลงได้ลองเอ่ยถามในสิ่งที่ติดอยู่ในใจ

“เสียมารยาทนะคุณหลง คุณมองอะไรเนี่ย ผมจะเขียนอะไรมันก็เรื่องของผม”
อัชฌาส่งเสียงเอ็ดขึ้นมา พร้อมกับเอามือปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นในทันที

“ไม่ต้องไปถามอัชมันหรอกคะ คนนี้นะเขียนบันทึกตลอดเวลา สมุดบันทึกไม่เคยห่างมือ”
เป็นเสียงของหญิงสาวเพื่อนร่วมงานของอีกฝ่ายช่วยอธิบายกับเขาแทน เขาจำได้ว่าคนๆ นี้ชื่อพี่มล เพื่อนร่วมงานและพี่ที่สนิทกับอัชฌาค่อนข้างมาก เพราะเขามักจะเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเสมอ

หลงพยักหน้าให้กับพี่มล เพื่อขอบคุณสำหรับคำตอบ และตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณเขียนให้ใครหรือครับ”

เขาได้เห็นอัชฌาแสดงอาการชะงัก และหันใบหน้ากลับมาจ้องเขาในทันที
“เขียนให้ใครคืออะไร สมุดบันทึกก็ต้องเขียนไว้อ่านเองสิคุณ ถามอะไรแปลกๆ”

“ครับ”

“อะไรของคุณกันนะ นี่ผมไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่าคุณหลง ผมรู้สึกเหมือนว่าคุณคอยกวนประสาทผมตลอดเวลา”

“ผมขอโทษครับ ผมพูดไม่ค่อยเก่ง”

“...”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

แล้วบทสนทนาระหว่างเขากับอัชฌา คนที่เขาคาดว่าคือเจ้าของสมุดบันทึกก็ไม่ราบรื่น...อีกครั้ง

----------------------------------------
รอไม่นาน เรื่องในอดีตกำลังจะจบลงแล้วค่ะ แล้วตัวละคร กับโปสการ์ดที่หายไปจะได้กลับมาซะที
ว่าแต่หายไปไหนกันนะ ^^ ขอบคุณที่รอนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจริงๆ ค่ะ

ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 17 (28/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 28-04-2019 15:36:10
แผ่นที่ 17

“เขาชื่อ อัช อัชฌา อย่างที่รู้แล้วนั่นแหละ ตอนนี้มาทำอยู่เดอะแมกกาซีน เป็นนักเขียนในการดูแลของเก๋”

หลงพยักหน้ารับกับข้อมูลของพี่ก้อง ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ
“เพราะงั้น ถ้าอยากจะเอาใกล้ แกต้องมาช่วยงานภาพฝ่ายแฟชั่น”

เขารู้สึกเหมือนว่ากำลังโดนพี่ก้องล่อหลอกให้ทำงานด้วยเงื่อนไขที่รู้แน่ว่าเขายากที่จะปฏิเสธ
หลงไม่ได้มีปัญหากับการเป็นช่างภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถถ่ายงานทุกอย่างออกมาได้ดีอย่างที่อีกฝ่ายคาดหวัง
เขาไม่มีความมั่นใจที่จะถ่ายทอดความรู้สึกของคนออกมาในภาพถ่าย และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่เขาเลือกที่จะถ่ายภาพ landscape มากกว่า portrait

“แน่ะ ทำหน้าแบบนั้นเตรียมจะปฏิเสธพี่งั้นใช่ไหม” พี่ก้องชิงพูดดักคอขึ้นมาก่อน

“ผม…”

“เถอะน่า คนเรามันต้องลองในสิ่งที่ไม่เคยลองทำดูบ้างสิ ชีวิตมันถึงจะเป็นชีวิต แกจะออกไปถ่ายภาพอะไรยังไง จะไปถ่ายอีกกี่ที่ กี่ประเทศ พี่ก็ไม่ได้ว่าให้แกหยุดถ่าย แต่ว่าลองมาถ่ายภาพแฟชั่นดูหน่อยจะเป็นไร นี่ เริ่มจากนี่เลย งานจากทีมเก๋ คอลเล็กชั่นใหม่”
แล้วพี่ก้องก็ยื่นปรีฟงานปึกหนึ่งให้กับเขาที่เอื้อมมือมารับด้วยใจหนักอึ้ง

“ทำหน้าเหมือนจะไปรบ ยังไงก็มาเป็นผู้ช่วยพี่อยู่แล้วน่า สมมติว่าเขาด่าก็ไม่ได้เกี่ยวกับแก เถอะน่า มาลอง ได้ถือโอกาสมาพบปะอย่างเป็นทางการไง สนไหม เดี๋ยวพี่แนะนำแบบเนียนๆ เลย ยังไงแกก็ไม่คิดจะเดินไปหาเขาแล้วถามอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”

หลงส่ายหน้า เพราะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ว่าในใจว่าแน่ใจเจอกับอีกฝ่ายแล้ว แต่จะให้พุ่งตัวเข้าไปหาแล้วถามว่า คุณเป็นเจ้าของสมุดบันทึกหรือเปล่านั้น เขาคงไม่สามารถทำได้จริงๆ

“นั่นละๆ มาทำงานด้วยกันนี่แหละ เจอกันเนียนๆ ค่อยๆ คุยกันไป สงสัยอะไรแล้วค่อยว่ากัน นี่แหละดีสุด เชื่อพี่”

แล้วคำว่า “เชื่อพี่” ของพี่ก้องก็บรรลุเป้าหมาย ในการทำให้เขาได้มาช่วยงานตามที่อีกฝ่ายโน้มน้าว
.
.
.
หลงไม่ชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ แต่ที่ยอมตอบรับมาในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะเกรงใจพี่ก้อง แต่เพราะว่าคนคนนั้นมาร่วมงานด้วย
สำหรับคนอื่น อาจจะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาในการสนทนาและชนแก้วสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน แต่คนที่พูดไม่ค่อยเก่ง สื่อสารไม่ค่อยจะเก่ง มันออกจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่ไม่น้อย

ตอนนี้เขาเห็นอัชฌายืนอยู่เพียงลำพัง
การตัดสินใจเดินเข้าไปหาทำให้เขาไม่รู้ว่าต้องเริ่มบทสนทนาอย่างไร แต่เมื่อได้สังเกตเครื่องดื่มในมืออีกฝ่าย เขาจึงเลือกประโยคมาตรฐานที่ใช้ทักทายในการสังสรรค์
“ขอชนแก้วด้วยได้ไหมครับ”

อีกฝ่ายตอบรับด้วยการยกแก้วขึ้นมาสัมผัสตามมารยาทและการกระทำที่ควรจะเป็น
ก่อนที่หลงจะเอ่ยถ้อยความที่เขาคิดว่าควรจะมีเพื่อความมั่นใจต่อเรื่องที่เขาสงสัย
“คุณชื่อ อัชฌา”

“ครับ แต่เรียกแค่ อัช ก็ได้ครับ” อีกฝ่ายตอบรับเขาตามปกติ ด้วยน่าจะเข้าใจว่าเขาต้องการการแนะนำตัว

“ครับ”

แล้วเขาควรจะต้องถามอะไรต่อไปดีนะ ถามว่า คุณรู้จักพี่ภีมใช่ไหมครับ หรือว่า คุณเขียนบันทึกไปให้พี่ภีมใช่ไหมครับ หรือว่าควรจะเอ่ยถามแบบไหนดีนะ
ระหว่างสบสายตาของอีกฝ่าย แต่สมองที่กำลังคิดทบทวนประโยคคำถาม กิริยาจึงดูเหมือนกำลังพึมพำ ทำให้อีกฝ่ายเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ครับ? คุณสงสัยอะไรในชื่อผมหรือเปล่า”

“...” หลงไม่ได้ตอบคำถามนั้น ทำได้เพียงยืนนิ่ง

“ถ้าสงสัย ควรถามดีกว่ามายืนมองหน้ากันอย่างนี้นะครับ”

“... อัชฌา แปลว่าอะไรหรือครับ” แม้จะได้เอ่ยคำถามขึ้นในที่สุด แต่ก็มารู้สึกตัวเองได้ว่า ได้พูดคำถามที่คนฟังน่าจะเข้าใจผิดได้ง่าย และดูเสียมารยาทออกไปเสียแล้ว

น้ำเสียงของอัชฌาที่เขาจับความไม่พอใจได้แสดงความคิดเห็นและถามเขากลับมา
“หือ ผมว่าเวลาคนเราทักทายกัน สิ่งแรกคือควรแนะนำชื่อตัวเองแก่อีกฝ่ายหรือเปล่าครับ ไม่น่าจะใช่การถามความหมายของชื่ออีกฝ่าย”

“หลง ครับ” เขาจึงได้ตอบชื่อ

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณหลง ส่วนชื่อผมสามารถหาความหมายได้ตามพจนานุกรมครับ ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร ผมขอตัว”

น้ำเสียงของอีกฝ่ายหงุดหงิดไปเรียบร้อยแล้ว และหลงก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไรต่อ เพราะตอนนี้อีกฝ่ายกำลังจะหมุนตัวจากไป จึงตัดสินใจเรียกเพื่อหยุดอีกฝ่ายไว้
“คุณ”

แม้สำเร็จ อัชฌาหยุดการเคลื่อนไหว แต่ส่งสายตาที่หันกลับมาส่งมุมเงยจ้องกลับมาที่เขา แสงสลัวไม่ได้ปิดบังความหงุดหงิดในใบหน้าและสายตาไปได้เลย และก่อนหลงที่ไม่รู้ว่าจะต้องพูด ต้องทำอะไรต่อไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาช่วยชีวิต
“หลง กำลังคุยกับอัชอยู่หรือ”

“ครับ พี่ก้อง” เป็นอัชฌาที่ตอบรับ

“รู้จักกันแล้วใช่ไหม อัช นี่หลง ผู้ช่วยพี่”

“ครับ เพิ่งคุยกันเมื่อสักครู่” อัชฌาตอบให้ข้อมูลพี่ก้องต่อ

“พี่ขอมันมาช่วยโปรเจคนี้ ปกติมันไม่รับงานแฟชั่นหรอกนะ”

“ครับ สวัสดีครับคุณหลง” การทักทายที่ไร้เยื่อใยเพื่อตอบสนองกับการแนะนำตัวจากพี่ก้อง ทำให้เขาส่งสายตาไปทางพี่ชายคนสนิทเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เพราะนี่คืองานสังสรรค์ พี่ก้องที่ใครๆ ก็อยากจะสนทนาด้วย ก็ถูกเรียกตามขึ้นมา พี่ก้องจึงช่วยเหลือโดยการเอ่ยทิ้งเกี่ยวกับตัวเขาให้แก่อีกฝ่าย
“เออๆ ไปๆ งั้นสองคนคุยกันไปก่อน อัช พี่ฝากหลงด้วย มันไม่ค่อยคุ้นกับงานแปบนี้ แต่มันเป็นคนเก่ง งานมันก็น่าสนใจนะ เออๆ ไปแล้วๆ นี่ก็เร่งจริง”

พี่ก้องเดินจากไปแล้ว เหลือให้เขาสองคนยืนเกาะโต๊ะกลมเล็กประจันหน้ากัน
หลงรู้สึกถึงอารมณ์กรุ่นๆ ของอีกฝ่าย แม้ว่าเขาจะชินกับปฏิกิริยาเช่นนี้เวลาสนทนากับคนอื่น แต่กับคนตรงหน้าตอนนี้ เขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย เขาอยากทำความรู้จักอีกฝ่ายให้มากกว่านี้
แต่ตอนนี้ ระหว่างเขาและอัชฌาดูเหมือนจะมีแค่ความเงียบ และเป็นคู่สนทนาที่ทำลายความมันลงก่อนด้วยคำถาม
“สรุปว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับผมหรือเปล่า”

“... เปล่าครับ” เขาตอบกลับสั้นๆ ทั้งที่ในใจเริ่มนึกโกรธตัวเองเหลือเกินที่ไม่อาจจะสรรคำเพื่อต่อประโยคสนทนาได้ดีกว่านี้

“นี่คุณเมาหรือเปล่า” เสียงอัชฌาถามหยั่งเชิงเขา

“ไม่นะ”

“นั่น ชัวร์ ผมว่าคุณเมา คนเมามักจะบอกว่าตัวเองไม่เมานี่แหละ” อัชฌาเลือกสรุปประเด็นสนทนา และวิเคราะห์ว่าเขานั้นไม่มีสติเพราะน้ำเมาไปเรียบร้อยแล้ว

“งั้นผมเมาก็ได้ ถ้าคุณอยากให้ผมเมา”

และสุดท้าย หลังจากอัชฌาขมวดคิ้วให้แก่คำตอบ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก นอกจากคำว่า
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” และหมุนตัวจากการสนทนานี้ไป
.
.
.
“ไปส่งอัชสิ” พี่ก้องที่กวักมือเรียกเขาให้เข้าไปหาเอ่ยขึ้น แล้วพยักพเยิดไปทางร่างของอัชฌาซึ่งตอนนี้นอนกองรวมอยู่กับทีมงานบางส่วนที่เก้าอี้ตัวยาว เห็นได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนไปเรียบร้อยแล้ว

“...”

“โอกาสดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้วนะ” พี่ก้องที่ยังกระตุ้นให้เขารับภาระนี้ ให้เหตุผลเพิ่มเข้าไปอีก “ไปส่งเขาเฉยๆ น่า อย่าคิดมาก แล้วพอส่งเสร็จ แกก็จะได้แอบดูห้องเขานิดหนึ่งไง มันอาจจะทำให้ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น แบบในละครไง”

“ผม…”

แล้วหลงที่ยังลังเล ก็ถูกมัดมือชกโดยการสั่งการต่อจากนั้นของพี่ก้อง
“เฮ้ย หิ้วอัชมานี่มา หลงมันไปทางเดียวกัน เดี๋ยวให้มันไปส่งอัชที่คอนโด”
.
.
.
ตอนนี้ในรถของหลงที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ มีผู้โดยสารที่ไม่ได้คาดคิดติดมาด้วย และกำลังขมวดคิ้วห่อตัวด้วยการกอดอกแน่น
หลงจึงขยับเอื้อมไปหยิบเสื้อของตัวเองที่เบาะหลังของรถ หวังจะมาคลุมร่างให้ความอบอุ่นแก่อีกฝ่าย เสื้อที่ปัดผ่านใบหน้า และบริเวณคอระหว่างที่เขาขยับจัดท่าให้อีกฝ่ายเพื่อให้อยู่ในลักษณะที่สบายขึ้น มือของเขาที่โดนแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ ทำให้มีเสียงตอบรับดังขึ้นมา

“อย่า จั๊กจี๋นะ…”

หลงสะดุ้งตัวเล็กน้อย คิดว่าอีกฝ่ายตำหนิเขา แต่เมื่อได้ยืนเสียงเรียกชื่ออีกชื่อ มีที่สัมผัสแก้มจึงไม่ได้ละไปไหน
“จูเนียร์ ไม่เอา อย่าเลีย ดื้อหรือ มาๆ อยากนอนด้วยกันก็มา”

อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาสัมผัสสิ่งที่คิดว่าเป็นจูเนียร์แล้วลูบเบาๆ เพียงแต่ว่าตอนนี้สิ่งนั้นเป็นหลังมือของหลง เขาจึงได้ออกแรงเบาๆ หวังจะดึงมือกลับ แต่คู่กรณีดูจะไม่ยอม ทั้งยังดุหลังมือเขากลับมา
“อื้อ จูเนียร์ อย่าเล่น”

จนเมื่อได้ลูบเบาๆ จนพอใจแล้ว การกระทำนั้นก็ได้นิ่งไป ซึ่งหลงคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเข้าสู่ห้วงนิทราลึกเรียบร้อยแล้ว จึงออกแรงดึงฝ่ามือของตัวเองออกจากบริเวณแก้วของอีกฝ่าย แล้วให้ความสนใจกับเส้นทางตรงหน้า

“อื้อ…อ๊ะ อือ”
คราวนี้เป็นเสียงครางที่ดังขึ้นข้างตัว ทำให้คนขับละสายตาจากเส้นทางเพื่อหันหน้ามามอง
อีกฝ่ายดูกระสับกระส่าย พึมพำและขมวดคิ้ว เหมือนกำลังฝันร้าย
แต่เขาละสายตาจากถนนไม่ได้ จึงเลือกที่ส่งฝ่ามือซ้ายไปลูบที่ศีรษะของอัชฌาเบาๆ
และเหมือนอีกฝ่ายได้รับรู้ถึงสัมผัส และความอบอุ่นจากฝ่ามือ เสียงครางพึมพำจึงหยุดลง หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากัน ค่อยคลายออกแล้ว การหลับใหลเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้งจนเดินทางถึงที่พักของอีกฝ่าย

-------------------
อีกนิดนะคะอีกนิด
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจริงๆ ค่ะ

ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel

 

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 18 (29/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 29-04-2019 03:18:28
แผ่นที่ 18

“อัชมันอยู่คอนโด xxx ห้อง 12xx ชั้น 28 ค่ะพี่ก้อง”

“รู้จักไหมหลง”

เขาพยักหน้าตอบพี่ก้อง ในตอนที่หนึ่งในทีมงานประคองอีกฝ่ายขึ้นไปยังที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว
และตอนนี้เขาเอาอีกฝ่ายขึ้นหลังและแบกมาถึงหน้าห้องดังกล่าวแล้ว
หลังจากล้วงหาคีย์การ์ดจากกระเป๋าสะพายของอีกฝ่ายไว้แล้ว การเข้าสู่พื้นที่คอนโดที่ต้องทั้งสแกนบัตรผ่านตรงประตูทางเข้า หรือสแกนเพื่อเปิดประตูห้องพักของคนเมาที่เขาแบกอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ในความจริงแล้ว เขาไม่ต้องมาหาการยืนยันใดๆ ตามที่พี่ก้องยุส่งก็ได้ เพราะตอนนี้ เขาคิดว่าเขามีหลายสิ่งที่ยืนยันตัวตนของคนๆ นี้ว่าเป็นคนที่เขียนบันทึกถึงพี่ภีมแน่นอนแล้ว
เช่นกระเป๋าสะพายใบนี้ ที่เจ้าตัวใช้ติดตัวอยู่เสมอ และที่ทำให้เขาแน่ใจว่าไม่มีทางผิดตัวแน่ๆ ก็คือ สมุดบันทึกของปีนี้ที่นำไปวางให้พี่ภีมในวันครบรอบ เป็นเล่มเดียวกับที่อีกฝ่ายถือติดมือ และเขาเฝ้าสังเกตในช่วงที่เข้ามาทำงานกับพี่ก้องแน่นอน

ในวันก่อนวันครบรอบของปีที่ 5 นี้ เขาเลือกเวลาให้ล่าช้าออกไปในการเดินทางไปยังพื้นที่สุสานเช่นเคย เพราะหากไปถึงเร็วเกินไปแล้ว อีกฝ่ายเห็นเขาก็อาจจะไม่ยอมปรากฏตัวอีกเหมือนในปีก่อนหน้า
แล้วสมุดก็มารอให้เขามาพบตามที่คาด
นั่นเป็นวันที่เขาแน่ใจว่า เจ้าของสมุดบันทึกคืออัชฌาคนนี้อย่างแน่นอน แม้ว่ายังไม่เคยไถ่ถามใดๆ แต่เพราะยังไม่ได้อัพเดทเรื่องราวกับพี่ก้องอย่างละเอียด พี่ก้องจึงยังคิดว่าต้องหาหลักฐานมายืนยันตัวตนคนๆ นี้เพิ่มเติม 


ขณะที่เขาปล่อยอัชฌาลง ร่างของคนที่ยังไม่ได้สติก็โงนเงนพิงอยู่กับชั้นเก็บรองเท้าตรงหน้าประตู ส่วนเขาก็กำลังมองหาสวิตซ์ไฟ
เมื่อแสงไฟจ้าขึ้นมาในห้องมืด ความสว่างดูจะรบกวนให้เจ้าของห้องส่งเสียงพึมพำไม่ได้ศัพท์
ห้องขนาดไม่ใหญ่นั้นไม่เป็นอุปสรรคในการมองหาประตูห้องนอน เขาที่สอดแขนโอบประคองอีกฝ่ายสามารถตรงไปเปิดประตูห้องนอนได้ในทันที ก่อนจะวางอัชฌาลงบนพื้นที่เตียงซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง

เมื่อเครื่องปรับอากาศเริ่มทำงานได้สักพัก คนบนเตียงที่ได้สัมผัสอากาศซึ่งเย็นลงก็ขยับตัวนอนคู้กอดอกตัวเองไว้แน่น  ทำให้หลงที่กำลังมองสำรวจในพื้นที่ห้องหันกลับมาสนใจคนบนเตียง ซึ่งกำลังนอนทับผ้าห่มที่วางอยู่ปลายเท้า
เขาที่เอื้อมมือไปสัมผัสที่ปลายขาเพื่อยกขึ้นพร้อมขยับผ้าห่มกลายเป็นฝ่ายสะดุ้งตกใจจนนิ่งค้าง เพราะมือของคนที่เขาคิดว่าหลับ กำลังสัมผัสมาที่ข้อมือเขา และคนที่เขาคิดว่าไร้สติกำลังลุกขึ้นนั่งและมองมาที่เขา
“จูเนียร์ อย่ามากวนนะ นอนนะนอน เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว นอนนะคนเก่ง”
ฝ่ามือที่ลูบเข้าที่ข้อมือและแขนเขา ขยับไปมา หลังส่งเสียงเรียกจูเนียร์ อีกฝ่ายที่ยังลากแขนและข้อมือเขาไว้ ก็ได้ล้มตัวลงนอนหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเสียงร้องเลียนแบบ เขาคิดว่าจูเนียร์คงจะเป็นแมวที่อีกฝ่ายเลี้ยง
หลงที่คิดว่าควรจบภารกิจการส่งคนตามที่พี่ก้องมอบหมาย กำลังจะดึงแขนของตัวเองออกจากการเกาะกุม

เพี๊ยะ
กลับโดนอีกฝ่ายตีเบาๆ แทน พร้อมเสียงเอ็ดจากคนที่ยังไม่ลืมตา
“พี่บอกแล้วไงจูเนียร์ ว่าอย่ากวน นอนดีๆ นะคนเก่ง กอดๆ กันนะ”
มือและแขนของหลงจึงกลายเป็นจูเนียร์ คนเก่งของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
.
.
.
กว่าที่อีกฝ่ายจะปล่อยมือและแขนเขาให้เป็นอิสระ เพราะแสงที่รบกวนการนอนทำให้อีกฝ่ายขยับตัว ก็คือช่วงเวลาเดียวกับที่เขาเห็นแสงรำไรจากขอบฟ้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน
หลงที่เป็นอิสระจากการเกาะกุม ตัดสินใจจะออกจากห้องไปก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา
แต่ขณะที่ยืนขึ้นเต็มความสูง มุมมองและแสงนอกหน้าต่างดึงดูดให้เขายืนนิ่ง ก่อนที่จะขยับหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า

แชะ

สิ้นเสียงกดชัตเตอร์ ก็มีภาพโพลาลอยด์ใบย่อมไหลออกมาจากตัวเครื่อง
ช่างภาพสะบัดภาพใบนั้น 2-3 ที ก่อนที่ภาพที่อยู่ในสายตาของเขาเมื่อสักครู่ได้ย้ายพื้นที่มาปรากฏอยู่บนกระดาษ
หลงมองภาพด้วยความพอใจ ก่อนทีจะหยิบกระดาษโน้ตที่มีติดในกระเป๋าออกมา
แล้วครุ่นคิดว่า เขาควรจะเขียนข้อความว่าอะไรดีนะ เพื่อให้อีกฝ่ายอ่านแล้วไม่รู้สึกกังวลเกินไป ไม่หงุดหงิด และไม่ทำให้เข้าใจเขาผิดอย่างที่เกิดระหว่างบทสนทนาเมื่อคืน
เรื่องอะไรที่ดูเป็นเรื่องทั่วๆ ไป และกลางๆ และอีกฝ่ายจะอยากสนทนากับเขาด้วย

“คุณ
เลี้ยงแมวด้วยหรือครับ
ได้รู้จักชื่อแมวของคุณแล้วสิ
จูเนียร์น่าจะน่ารัก
เห็นคุณอ้อนมันขนาดนั้น”


หลังจากค่อยๆ จรดปากกาเพื่อเขียนอย่างช้าๆ จนเสร็จ เพื่อระวังไม่ให้ลายมือและตัวอักษรของเขาอ่านยากเกินไป หลงก็อ่านทวนข้อความอีกครั้ง
และคิดสรุปว่า ประมาณนี้น่าจะได้ล่ะนะ คุยเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องแมว อีกฝ่ายชอบแมว พูดถึงแมวของอีกฝ่าย จะได้ไม่รู้สึกว่าเขาละลาบละล้วงเกินไป
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลงก็เอากระดาษโน้ตแผ่นนั้นแปะไว้ที่ด้านหลังภาพ ให้เหมือนเป็นโปสการ์ดแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่ง แล้ววางมันลงที่ข้างหมอนของเจ้าของห้อง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
.
.
.
พี่ก้องที่ดูอารมณ์ดีเกินไป กวักมือเรียกให้เดินเข้าไปหาที่โต๊ะของอีกฝ่ายทันทีที่เห็นเขาเดินเข้าที่ห้องของแผนกภาพ พร้อมเสียงทักทายที่แสดงจุดประสงค์ชัดเจน
“เป็นไงบ้างน้องชาย เมื่อคืนได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมไหม”

เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“อ้าวเฮ้ย ไปถึงถ้ำเสือขนาดนั้นแล้ว ไม่ลองค้นห้องดูหน่อยเลยหรือไง”

หลงขมวดคิ้วส่งให้เพื่อนพี่ชาย แม้ว่าเขานั้นเคารพนับถือและยอมรับคนๆ นี้เหมือนพี่ชายคนหนึ่ง แต่หลายครั้ง และในบางเรื่อง เขาก็รู้สึกว่าคนๆ นี้ทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เล่นซนไปเสียทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกตอบอีกฝ่ายเพื่อชี้แจงข้อสงสัย
“ไม่ต้องค้นแล้วก็ได้ครับ เป็นคนๆ นี้แน่ๆ ครับ”

“ทำไมแน่ใจขนาดนั้นแล้ว แค่เพราะเห็นหน้าไกลๆ กับในภาพ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ”

“ปีนี้ ไดอารี่ที่วางไว้คือเล่มที่เขาเขียนมาตลอด ผมสังเกตมาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่มาทำงานที่นี่”

“แน่ใจขนาดนั้นทำไมไม่ถามวะ ว่าเขียนอะไรมาตั้ง 5 ปี”

“...”

“อยากรู้ไหม ให้พี่ถามให้เอาหรือเปล่า”

หลงส่ายหน้าให้กับข้อเสนอนั้น
“ไม่ดีกว่าครับ ถึงจะรู้ว่าเป็นไดอารี่เป็นของใครแล้ว ถ้าเขาจะยังเขียน ผมก็จะเก็บมันขึ้นมาอ่านแทนพี่ภีมเหมือนเดิม”

“แล้วก็จะอยู่แบบนี้ ไม่ไปบอกเขาล่ะว่าเราเป็นใคร”

“นั่นก็อย่าดีกว่าเหมือนกันครับพี่ก้อง ผมอยากรู้จักเขา ในฐานะที่ผมเป็นผม ไม่ใช่เป็นน้องพี่ภีม อยากจะค่อยๆ ทำความรู้จัก และทำความเข้าใจว่าทำไมคนๆ นั้นถึงเขียนบันทึกให้พี่ภีมมาตลอดเลย”

“เออ เอา ตามใจแก แกอยากจะลองทำอะไร คุยอะไรกับเขาก็เอา พี่ก็ได้แค่สงสัยละนะ แต่ถ้าแกว่าอย่างนั้นก็เรื่องของแก พี่จะไม่ไปแทรกแซงอะไรหรอก ว่าไปก็ดีซะอีกนะที่คนๆ นี้มาทำงานที่นี่ พี่เลยกำไรได้ช่างภาพฝีมือดีมาใช้งานเพิ่มอีกคน”
พี่ก้องหัวเราะเสียงดัง ประหนึ่งฉลองการบรรลุเป้าหมายที่ดึงเขามาทำงานกับตัวเองได้ แถมได้ชวนทำงานที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะทำ แต่เพราะงานนั้นมันทำให้ได้ลองขยับเข้าไปใกล้คนๆ นั้น การได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ก็ไม่เลวนัก

“แล้วนี่ยังไงต่อ เดือนนี้ตั้งใจจะไปไหนอีก”
พี่ก้องเปลี่ยนประเด็นสนทนาเข้าสู่เนื้อหางานในส่วนที่เขารับผิดชอบ ในฐานะช่างภาพสารคดี 
จริงๆ แล้วตัวเขาเองไม่เคยนิยามว่าตัวเองว่าเป็นใคร หรืออยู่ในตำแหน่งอะไร เขาคิดเพียงแค่ออกไปถ่ายภาพ แต่ทุกครั้งที่ภาพของเขาได้ตีพิมพ์ ตำแหน่งแห่งที่ที่อยู่ตรงชื่อเขาถูกเรียกเช่นนั้น
ด้านหนึ่ง มันทำให้เขารู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตส่วนหนึ่งร่วมกับฝันของพี่ภีม
แต่ด้านหนึ่ง มันก็ทำให้เขารู้สึกเศร้าที่คนร่างฝันนั้นไว้ไม่อาจจะมาต่อเติมมันให้เป็นรูปร่างได้อีกต่อไปแล้ว


คนที่จากไป ย่อมเป็นคนที่จากไป สิ่งที่จากไป ก็ย่อมเป็นสิ่งที่จากไป ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลง
ความเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดได้กับสิ่งที่อยู่ คนที่อยู่เท่านั้น
เพราะฉะนั้นแล้ว เขาจึงหวังว่าคนๆ นั้นจะได้พบกับความเปลี่ยนแปลงบ้าง
ไม่ยึดติดกับสิ่งที่จากไป คนที่จากไปจนตัวเองเศร้าหมอง
ถ้าเป็นพี่ภีม หลงก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายก็ต้องพูด ก็ต้องคิดเช่นนั้น


คุณมีความทุกข์เพราะสิ่งที่จากไป
กังวลในสิ่งที่ไม่มีวันเดินทางกลับมาอยู่ใช่ไหม
วังวนของความทุกข์ในการรอแบบนั้นมันน่าเศร้านะ
คุณกำลังรอเพราะอะไร
ในวันที่จะได้รู้เหตุผลนั้น จะเป็นวันที่คุณเปลี่ยนแปลงใช่ไหม
ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะ “รอ”

---------------------------------------------------

#คุณโปสการ์ด
บางครั้งเพราะพูดไม่ค่อยเก่ง เวลาสื่อสารมันเลยยิ่งน่าหงุดหงิดเข้าไปกันใหญ่เนาะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

twitter  https://twitter.com/PlusOneNovel
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 18 (29/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-04-2019 18:15:23
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 18 (29/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 29-04-2019 21:36:04
เป็นความสัมพันธ์ที่ดูยุ่งเหยิงไปหมดเลย เศร้าๆหน่วงๆ
ป่านนี้หลงจะเป็นไงบ้างนะ
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 18 (29/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 29-04-2019 22:14:50
……


แล้วตอนนี้หลงอยู่ส่วนไหนในโลกนี้นะ. ยังอยู่ใช่ไหม

แล้วทำไมไม่เขียน  ทำไมใช้การพิมพ์. …

อืมเนอะ.  ไม่ใช่อัชคนเดียวที่อยากรู้ เราก้ออยากรู้เหมือนกัน


  :katai4:  :katai5:  :katai4: :katai5:  :katai4:   :katai5: :katai4:  :katai5:



…………
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 18 (29/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-04-2019 23:06:10
หลงอยู่ส่วนไหนของโลกเนี่ย ดูจับต้องไม่ได้  :katai1:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 19 (30/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 30-04-2019 03:45:16
แผ่นที่ 19

หลังจากลืมตาตื่นมาในเช้าวันใหม่ แม้จะได้อ่านข้อความจากภาพโพลารอยด์แปะกระดาษโน้ตใบนั้นแล้ว
อัชฌาที่ไม่มีงานส่วนที่ต้องไปเกี่ยวกับแผนกภาพก็ไม่ได้มีโอกาสได้เจอกับคุณหลง ช่างภาพของพี่ก้องคนนั้นอีก ถึงว่าจะได้ทราบจากพี่มลว่า อีกฝ่ายเป็นคนแบกเขาที่ภาพตัด แถมไปส่งถึงคอนโดในคืนวันฉลอง
แม้จะคิดว่าตามมารยาทควรขอบคุณ แต่มาคิดอีกครั้งว่าต้องไปเจอคนกวนประสาทขนาดนั้น ใจก็คิดไปว่า เอาไว้บังเอิญเจอหน้างานค่อยขอบคุณก็คงได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องบุญคุณใหญ่โตอะไร
แล้วเรื่องของคุณช่างภาพหน้านิ่งคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ห้วงความคิดของเขาอีกต่อไป

“อัช โปสการ์ดถึงอัช”
พี่มลส่งเสียงร้องทัก แล้วยื่นกระดาษหนาแผ่นหนึ่งมาให้

“ครับ?” เขาตอบรับปนสงสัย โปสการ์ดหรือ

“อือ ก็เขียนชื่อกรุณาส่งถึง คุณอัชฌา นี่”

“ขอบคุณครับ” แม้มือจะเอื้อมไปรับ แต่ใจก็ยังสงสัย ใครกันนะ จะว่าเพื่อนเขา ก็ไม่มีใครที่บอกกล่าวว่าเดินทางท่องเที่ยวช่วงนี้ แถมส่งมาที่ทำงาน ถ้าเป็นเพื่อนทำไมไม่ส่งไปที่บ้าน หรือคอนโด

“คุณครับ
บ่อน้ำพุร้อนของที่นี่ดีต่อสุขภาพมาก
นอกจากแช่รักษาโรคได้แล้ว
ความร้อนมันยังต้มไข่สุกได้ด้วย”


ใครกัน?
ความสงสัยแรกที่เกิดขึ้น กับคำถามที่ไม่รู้จะต้องถามใคร
อัชฌาจึงได้แต่พลิกโปสการ์ดไปมาหน้าหลัง พยายามดูอย่างละเอียดเท่าไรก็ไม่อาจจะคลายข้อสงสัย
ด้านหนึ่งเป็นภาพถ่ายที่ล้างอัดในกระดาษอัดรูปตามปกติ
ส่วนอีกด้านหนึ่งเอากระดาษที่มีความหนาพอสมควรแปะแล้วแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ด้านซ้ายเป็นข้อความไม่กี่บรรทัดที่ขึ้นด้วย คุณครับ ส่วนฝั่งขวาเป็นชื่อของเขา แม้ไม่ได้ระบุนามสกุล แต่ที่อยู่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานแห่งนี้ชัดเจน

อัชฌาเงยหน้าขึ้นจากโปสการ์ด แล้วหันไปหาเพื่อนร่วมงานเพื่อถามและขอความคิดเห็น
“พี่มล เขาส่งผิดหรือเปล่าครับ”

“ชื่อหราอยู่ขนาดนั้น ที่นี่ก็มีอัชฌาเดียวหรือเปล่า เอาจริงๆ คือทั้งบริษัทในเครือ พี่ก็ว่ามีอัชฌาเดียวเถอะ ชื่อก็ไม่ได้โหลขนาดนั้นไหม”

“คือ ผมไม่ทราบว่าใครส่งมา”

“ไม่ได้ลงชื่อหรือ”

“ไม่ครับ มีแต่ชื่อผู้รับคือชื่อผม แถมเขียนแค่ชื่อด้วย”

“พี่ว่าไม่น่าสงผิดนะอัช ถ้าเขียนชื่อสะกดถูกได้ขนาดนี้”

“แต่ก็ไม่ทราบว่าจากใครอยู่ดี ไม่ใช่โปสการ์ดที่ซื้อมาด้วย เป็นภาพถ่ายบนกระดาษอัดภาพแปะมาบนกระดาษอีกทีครับ”
เขาที่ชูโปสการ์ดแผ่นดังกล่าวขึ้นให้พี่มล หวังให้อีกฝ่ายช่วยพิจารณาเพิ่มเติม

“ทำมือจริงด้วย ข้อความก็ไม่มีอะไรพิเศษ แค่พี่ว่าส่งไม่ผิดหรอก เพราะเขียนชื่อถูกขนาดนี้ แค่ว่าใครส่งนี่ไม่รู้จริงๆ แฮะ แต่มันแค่โปสการ์ด ไม่มีอะไรหรอกมั้ง ถึงส่งผิด สมมติมีอีกอัชฌาก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เอกสารสำคัญอะไร”

“ไม่ดีหรอกครับพี่มล คนส่งสารเขาก็คงอยากให้ถึงมือผู้รับ เดี๋ยวยังไงผมลองไปถามฝ่ายบุคคลดู เผื่อว่าบริษัทในเครือจะมีชื่อคนซ้ำกัน เพราะไม่ได้เขียนนามสกุลด้วย”

พี่มลพยักหน้ากับการตัดสินใจของเขา แล้วก็หันหลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ
มีเพียงเขาที่เพ่งมองโปสการ์ดแผ่นนั้นอีกครั้ง

การส่งสารที่ไม่อาจจะถึงมือผู้รับมันไม่มีอะไรดีหรอก เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดี
เข้าใจยิ่งกว่าใครๆ สารที่ไม่มีวันไปถึง มันอาจจะน่าเศร้า
แต่เพราะความเศร้ามันยังทำให้หัวใจมีความรู้สึก
สำหรับเขา ทั้งความเศร้า และความคิดถึง มันไม่ได้น่ารังเกียจเกินไป
ความไม่เศร้า ไม่คิดถึง ไม่อาจจะรู้สึกต่างหากที่จะทำให้จิตใจของเขาเดินถอยหลัง
เขาที่ให้สัญญากับคนๆ นั้นไว้แล้ว จะไม่มีวันเดินถอยหลังอีก
ผมจะไม่มีวันเดินถอยหลังอีก ผมสัญญาครับพี่ภีม

.
.
.
โปสการ์ดมาอีกแล้ว ในเดือนนี้นี่เป็นแผ่นที่ 4 แล้ว

“โปสการ์ดประจำสัปดาห์ป่ะเนี่ยอัช” พี่มลที่ยื่นโปสการ์ดมาให้เช่นเคยทักขึ้น “มาสม่ำเสมอมาก”

และเช่นเคย มันไม่มีชื่อผู้ส่ง มีแต่ชื่อผู้รับที่เป็นชื่อของเขา ระบุที่อยู่ชัดเจนเช่นเคย ส่วนข้อความก็สั้นๆ ห้วนๆ เปิดด้วยคำว่า คุณครับ แล้วก็ต่อด้วยข้อความไร้ทิศทาง นอกจากนั้นยังไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเนื้อความอีกด้วย
ภาพที่ส่งมายังคงเป็นภาพที่มาจากการล้างอัดบนกระดาษอัดภาพเช่นเคย แต่ที่น่าสังเกตคือ ภาพทั้งหมด เป็นภาพแลนด์สเคป ส่วนฝีมือในการถ่ายภาพ ก็ต้องยอมรับว่า น่าสนใจทีเดียว เขาในฐานะคนทำงานสายสื่อที่เห็นงานภาพมาพอสมควร อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่า ภาพทุกภาพที่ส่งมานั้น มีความน่าสนใจและสวยมาก มากเพียงพอที่จะทำให้เขายั้งใจไม่เขวี้ยงโปสการ์ดไร้ชื่อทุกใบเหล่านี้ลงถังขยะ แต่เลือกเก็บมันไว้ในลิ้นชักของโต๊ะทำงานแทน

“โดนใครจีบหรือเปล่าเนี่ยอัช”

“ถ้าจะจีบแบบนี้ ผมว่าวิธีนี้ไม่น่าจะรอดนะครับ ใกล้ๆ กับการเป็นสตอคเกอร์ไปนิด”

“พี่ว่ามันก็ออกจะโรแมนติคอยู่นะ”
.
.
.
แม้จะบอกว่าไม่ใส่ใจแล้ว แต่โปสการ์ดจากคนปริศนาก็ยังถูกส่งมาอย่างสม่ำเสมอ
แม้ไม่สม่ำเสมอขนาดเป็นโปสการ์ดรายสัปดาห์เช่นที่พี่มลว่า แต่ก็ถูกส่งมาถึงเขาเสมอ
ไม่มีชื่อผู้ส่ง ไม่ลงสถานที่ที่มันมา ไม่มีแม้แต่วันที่ที่ถูกเขียน ทุกอย่างในโปสการ์ดเหมือนเดิม คือ ภาพ และข้อความที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ข้อความห้วนๆ และที่อยู่ผู้รับ
ในบางครั้งที่มันทิ้งห่างไป แต่สักพักมันก็เดินทางมาพร้อมกัน 2 ใบ บางครั้งก็ 3 ใบ
อัชฌาเลือกวิธีสังเกตตราประทับของไปรษณีย์ต้นทาง ซึ่งก็อ่านได้ชัดเจนบ้าง ไม่ได้บ้าง
ภาพบางภาพเป็นสถานที่ที่เขาก็พอจะรู้จัก แต่บางสถานที่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นที่ใด และเมื่อพิจารณาร่วมกับตราประทับก็พบว่ามันไม่ได้สอดคล้องกัน เช่นภาพที่ถ่ายวิหารและเมืองจากมุมหนึ่งบนพื้นที่สูงของกรุงปราก มุมที่เขาเองก็เคยไปเยือน แต่ตราประทับกลับมาจากภายในประเทศ ระบุชื่อเป็นจังหวัดในเขตชายแดนใต้สุดของประเทศ ในขณะที่บางครั้ง ภาพเป็นทะเลที่คาดว่าน่าจะถ่ายแถวอันดามัน เพราะมีองค์ประกอบของเรือประมงพื้นบ้านขนาดเล็กอันเป็นเอกลักษณ์ประกอบอยู่ ดวงตราไปรษณีย์ที่แปะกลับเป็นของเนปาล เขาจึงเลิกวิเคราะห์หาความเชื่อมโยงในเรื่องนี้แล้ว แต่เรื่องที่ใครส่งมานั้น ก็ยังเป็นเรื่องที่ยังติดอยู่ในใจ
.
.
.
“ขอบคุณนะครับกรที่มาช่วยย้ายของ”

“ไม่เป็นไรเลยครับอัช บอกมาตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจ”

“กรไม่ได้ไปร้าน มาช่วยผมย้ายของ จะไม่เกรงใจได้ไงครับ”

“ผมเต็มใจเสมอ” กรส่งรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์จากรอยบุ๋มที่ข้างแก้มนั้นให้อัชฌาแล้วถามเตือนอีกฝ่าย “มีอะไรต้องเก็บอีกไหมครับ”

“ตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วครับ”

“งั้นผมช่วยดูอีกครั้งจะได้ไม่ลืมอะไร”

“ขอบคุณครับกร”

อัชฌาที่ปล่อยให้กรช่วยสำรวจความเรียบร้อยของข้าวของที่แพ็คใส่กล่องเตรียมขนย้ายในพื้นที่ด้านนอก ส่วนตัวเองเดินเข้าไปในพื้นที่ของห้องนอนเพื่อตรวจสอบ เมื่อไล่เปิดลิ้นชักของโต๊ะเตี้ยข้างเตียงนอน เขาพบภาพโพลารอยด์ใบหนึ่งที่เคยถูกทิ้งอยู่ด้านในนั้น
เมื่อเอื้อมมือหยิบออกมา และพลิกไปที่ด้านหลัง ก็เตือนความทรงจำของเขาถึงเหตุการณ์ในงานฉลองร่วมกับทีมพี่ก้องเมื่อหลายเดือน ซึ่งนานน่าจะเกือบครบปีแล้ว คนที่มาส่งเขาที่ห้อง ซึ่งทิ้งภาพและโน้ตนี่ไว้ ลายมือในโน้ตหวัดๆ ที่สะกิดความรู้สึกคุ้นเคย ทำให้อัชฌาขมวดคิ้ว
แต่ก่อนที่จะคิดทบทวนต่อ เสียงของกรซึ่งเรียกอยู่ด้านนอกก็ดังขึ้นก่อน
“อัชครับ ทีมขนมาแล้วนะครับ”
สุดท้าย เขาจึงเลือกเก็บภาพแผ่นนั้นลงในกระเป๋าแล้วหมุนตัวออกไปจากห้องนอน
.
.
.
“หลง มีคนมาหา”
เสียงเรียกของสมาชิกในแผนกช่างภาพ ช่วยทำให้ร่างสูงที่กำลังเพ่งอยู่ที่หน้าจอละสายตาและกำลังหันหน้าไปทางต้นเสียง
แต่อัชฌาที่ไม่รอช้า ก้าวมาถึงโต๊ะของคู่กรณีเรียบร้อยแล้ว พร้อมโปสการ์ดจำนวนหนึ่งในมือที่ถือชูขึ้นมาให้อีกฝ่ายเห็น

“คุณหลง ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยนะ”

************************
ยังไม่จบเรื่องราวในอดีต ก็ปล่อยให้คุณหลงไปตามทางชีวิตของเค้าสักครู่นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจริงๆ ค่ะ และอยากบอกว่าทุกคอมเม้น แม้แต่สติกเกอร์ที่มาเคลื่อนไหวใต้นิยายเรื่องนี้ มันมีความหมายกับความรู้สึกของเรามากจริงๆ ค่ะ

ถ้าแวะไปเจอกันในทวิต twitter ก็ฝากแท็ก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel







หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 19 (30/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 30-04-2019 05:07:18
สงสารภีม จากกันแบบนี้มันทรมานเนอะ อย่างน้อยได้เห็นร่างก็ยังดี
สงสารอัชที่อยู่กับความทรงจำที่จับต้องไม่ได้
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 20 (1/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 01-05-2019 03:50:21
แผ่นที่ 20

“โปสการ์ดนี่ คุณส่งมาใช่หรือเปล่า”
หลังจากที่พบกับภาพโพลารอยด์ใบนั้น ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยในลายมือ เขาก็เอาลายมือหวัดๆ ในกระดาษโน้ตหลังภาพมาเทียบกับลายมือหวัดๆ ในโปสการ์ด และแน่ใจในทันทีว่าทั้งหมดน่าจะมาจากคนที่ยืนตรงหน้าเขา แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของหลงต่อการมาของเขาพร้อมโปสการ์ดไม่ได้เป็นอย่างที่อัชฌาคาดคิด เพราะเมื่อเขาถาม อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือปฏิเสธ ซ้ำยังพยักหน้ารับทันทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ครับ”

“คุณส่งมาทำไม”

“การส่งจดหมายก็ต้องไว้เพื่อส่งข้อความอยู่แล้วนี่ครับ”

“นี่มันไม่ใช่จดหมาย และผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีข้อความอะไรที่ดูอยากจะส่ง”

คู่กรณีเอื้อมมือมาจับที่หลังมือด้านขวาของอัชฌา มือซึ่งกำลังถือโปสการ์ดอยู่ ก่อนจะจับฝ่ามือนั้นหงายขึ้น อาการของมืออีกฝ่ายกำลังรองอยู่ใต้ฝ่ามืออัชฌา เพื่อเผยให้โปสการ์ดทั้งหมดที่ถือ ก่อนที่นิ้วชี้ในมืออีกข้างของหลงจะชี้ลงบนภาพของโปสการ์ดแผ่นบนสุด
“นี่ไงครับ ข้อความที่อยากจะส่ง”

อัชฌาที่กำลังอึ้งในการกระทำนั้นของอีกฝ่าย ทำท่าจะชักมือออกให้เป็นอิสระ แต่ฝ่ามือใหญ่ฝ่ายนั้นบีบเบาๆ กักกุมอิสระของฝ่ามือเขาไปโดยปริยาย
สายตาของอัชฌาที่ตวัดแหงนขึ้น สบเข้ากับสายตาที่มองตรงมาที่เขา แม้ว่าช่วงเวลาอาจจะผ่านไปเพียงไม่นาน แต่ในความรู้สึกของอัชฌาตอนนี้ อากาศรอบๆ ตัวเหมือนไม่หมุนวน บรรยากาศประหนึ่งถูกหยุดให้ชะงักงัน เสียงความวุ่นวายในสำนักงานกลายเป็นไม่ได้เข้าสู่โสตประสาท จนเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง
“ผมอยากส่งให้คุณนะครับ”

อัชฌาที่เปลี่ยนมาขมวดคิ้วทำท่าสงสัย จึงเอ่ยถาม
“ส่งเพื่ออะไร”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ เขาจึงถามซ้ำ
“ว่าไงคุณหลง ส่งเพื่ออะไร”

“เพื่อให้เป็นข้อความของคุณครับ”

คำตอบเหมือนไม่ตั้งใจตอบ กำลังทำให้เขาหงุดหงิด ขณะที่คิดจะเอ่ยห้ามไม่ให้อีกฝ่ายส่งโปสการ์ดมาอีก แต่เพราะได้ยินคำตอบต่อมาเข้าก่อน ทำให้เขาตัดสินใจกลืนสิ่งที่กำลังจะพูดกลับลงคอ
“คุณจะได้มีข้อความที่เป็นของคุณส่งถึงเสมอ”

ข้อความที่เป็นของเขา ที่ส่งถึงเสมอเช่นนั้นหรือ
.
.
.
อาจจะเพราะข้อความของคำตอบจากหลงนี้ สะกิดเข้ากับความรู้สึกของเขาจนไม่มีข้อความใดๆ โต้ตอบกลับในการสนทนาอีก และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นการเงียบในบทสนทนาเป็นเสมือนคำอนุญาตจากเขาในการส่งโปสการ์ดให้เขาต่อไปได้
เพราะโปสการ์ดยังคงถูกส่งมาอย่างสม่ำเสมอ ถึงทีละใบบ้าง รวมกันมาบ้าง ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเพราะเกิดจากอารมณ์ผู้ส่ง หรือเป็นไปตามอารมณ์การนำจ่ายของไปรษณีย์
อัชฌาจึงให้ข้อสรุปแก่ตัวเองเพื่อความสบายใจว่า อย่างน้อยก็รู้ที่มาที่ไปแล้วว่าใครเป็นคนส่ง ส่วนคนอยากส่ง จะทำอะไร เขานั้นขี้เกียจจะไปพูดห้ามแล้ว หรือจริงๆ เขาเชื่อว่าถึงพูดอีกฝ่าย ก็อาจจะไม่ได้ผลอะไร

ในวันนั้น เมื่อเดินกลับมาจากการไปสอบสวนผู้ต้องสงสัย พี่มลซึ่งเหมือนจะรอถามความคืบหน้าก็ไม่รอช้าที่จะสอบถามในทันที
“สรุปว่าใช่คุณช่างภาพคนนั้นไหม”

“ครับ”

“แล้วเขาส่งมาจีบหรือเปล่า”

“ไม่ทราบครับ ไม่ยอมตอบอะไรนอกจากบอกว่า ‘เพื่อให้เป็นข้อความของคุณครับ คุณจะได้มีข้อความที่เป็นของคุณส่งถึงเสมอ’ แค่นี้ครับ“

“โอ๊ย ตายแล้ว ตอบแบบนี้จริงหรือ”

“ครับ ตอบแบบนี้ กวนประสาทมาก”

“บ้าแล้วอัช ข้อความขนาดนี้ เขาเรียกว่าจีบแล้ว”

“พี่มลครับ ตรงไหนที่เรียกว่าจีบครับ เรียกว่าโรคจิตน่าจะใกล้เคียงกว่าหรือเปล่า”

“อัชฌา หนูความรู้สึกช้าหรือคะ ถ้าเขาโรคจิต เขาจะยอมรับหรือว่าส่งมาหาขนาดนี้ เขาก็ต้องทำแอบๆ หรือแสดงท่าทีคุกคามอะไรแบบนั้นแล้ว นี่แค่ส่งโปสการ์ดมา ภาพก็สวย เรียกว่าอารมณ์ศิลปินเถอะคะ”

“ผมคิดว่า สังคมนี้ควรรณรงค์การใช้คำว่าอารมณ์ศิลปินให้ถูกต้องนะครับ และเราไม่ควรเอาคำว่าอารมณ์ศิลปินมาอธิบายอารมณ์ไร้ตรรกะ หรือการกระทำที่ไม่มีเหตุผลหรือเปล่าครับ”

“แต่คุณอัชฌาคะ เขาก็ให้เหตุผลของเขามาแล้วนี่ ไม่เห็นมีอะไรไร้เหตุผลเลย”

“แล้วพี่มลจะไปเป็นทนายเถียงแทนเขาทำไมครับ”
 
“ก็เขาน่ารัก ไม่สิ หน้าตาดีมาก ฝีมือถ่ายภาพก็ดี แถมพูดจามีอารมณ์ศิลปิน คือสเปคมาก อยากได้แฟนอารมณ์ติสท์งี้เลยอะ คุณโปสการ์ดงี้ โรแมนติคสุด”

อัชฌาได้แต่ส่ายหน้าให้กับปฏิกิริยาและการแสดงความคิดเห็นของพี่มล แล้วก้มมองโปสการ์ดในมือ พร้อมๆ กับคิดถึงคำตอบที่อีกฝ่ายให้เขาขึ้นมาอีกครั้ง

เพื่อให้เป็นข้อความของคุณครับ คุณจะได้มีข้อความที่เป็นของคุณส่งถึงเสมอ

เช่นนั้นเขารับเอาไว้ก็ได้ ข้อความที่ถูกส่ง แต่ไม่มีคนรับ มันออกจะน่าเศร้าและน่าสงสารเกินไป
ถ้าคนส่งเขาอยากส่ง คนรับอย่างเขาก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไรในการรับนี่นะ
.
.
.
ความคุ้นเคยจากการรับโปสการ์ดที่ผ่านมาเป็นปีๆ แล้ว ฝ่ายผู้ส่งดูยังมีความสม่ำเสมอในการส่งโปสการ์ดไร้การลงนาม ไร้วันที่ และไร้ที่มา ถึงการปฏิสัมพันธ์ของหลงกับอัชฌาหลังจากนั้น ไม่สามารถเรียกได้ว่าพัฒนาดีขึ้นเป็นความสนิท แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับถามคำตอบคำเช่นเคย อาจจะเพราะโปสการ์ดทำให้เขาสนทนากับอีกฝ่ายมากขึ้นเมื่อพบหน้าในส่วนพื้นที่สำนักงาน หรือเวลางานออกกองที่ฝ่ายเขาต้องมาทำงานร่วมกับแผนกช่างภาพบ้าง

“คราวนี้ไปไหนมาอีกล่ะคุณหลง”

“ไปหลายที่ครับ”

อัชฌาถอนหายใจให้กับวิธีการให้คำตอบของอีกฝ่าย
“ถ้าคุณจะตอบแบบธรรมดาๆ นี่คือเกินความสามารถมากเลยใช่ไหม หรือว่ามันจะหลุดคอนเซปการใช้ชีวิตหรือ”

“ผมก็ตอบตามปกตินะครับ”

“ครับๆ ปกติมากครับ ผมขอโทษเองแล้วกันที่ถามแบบไม่ปกติ ไม่ถามแล้ว”
และเมื่อเลือกตัดบท อีกฝ่ายกลับเป็นคนเรียกเขากลับสู่การสนทนา
“คุณครับ” 

“อะไรอีกละ ผมไม่ถามแล้วไง”

“คือ หลังเสร็จจากนี่ ให้ไปส่งที่คอนโดไหมครับ”

อัชฌากลายเป็นฝ่ายแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมากับการขันอาสาที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนี้ แต่ก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธกลับไป
“ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว พอดีที่บ้านมีคนไม่พอ เลยต้องไปช่วย เลยไม่ได้เช่าแล้ว ย้ายออกแล้วน่ะ”

“งั้นผมไปส่งที่บ้านนะครับ”

ความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายสร้างความแปลกใจกับอัชฌาไม่น้อย ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมไปเยี่ยมจูเนียร์ก็ได้”

“นี่คุณรู้จักแมวผมได้ไง”

“คุณบอกครับ”

“บอกตอนไหน”

“วันที่ผมเคยไปส่งคุณครับ คุณบอกว่า จูเนียร์ เมี้ยวๆ”

คราวนี้อัชฌาหัวเราะขำออกมา เมี้ยวๆ งั้นหรือ นั่นเรียกว่าบอกหรือไงนะ คนๆ นี้มีระดับความสามารถในการสื่อสารต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกินไปละ
“ว่าไป ผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณจริงๆ จังๆ เลยนะที่ไปส่งวันนั้น ผ่านไปเป็นปีละ ยังไงก็ขอบคุณนะที่เคยไปส่ง ให้ผมเลี้ยงข้าวตอบแทนไหม ท่าทางตอนนั้นผมจะเป็นภาระ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เป็นภาระเลย”

“งั้นเอางี้ ไปกินข้าวที่บ้านผมเลยแล้วกัน แต่คงต้องรีบออกกันแล้วล่ะ เดี๋ยวจะเลยเวลาอาหารเย็นแล้วจะไม่มีอะไรกิน ไป เก็บของเลยคุณ”
อัชฌากลับกลายเป็นฝ่ายเร่งให้ช่างภาพเก็บข้าวของ ก่อนที่จะเดินตามอีกฝ่ายไปที่รถของคนที่อาสาส่งกลับบ้าน
.
.
.
สถานที่ปลายทางที่อัชฌาเรียกว่า “บ้าน” และชวนให้เขามากินข้าวเย็นด้วยนั้น ทำให้หลงเกิดความประหลาดใจ เพราะว่าปลายทางที่เขากำลังเลี้ยวผ่านรั้วเขามา มีแผ่นป้ายติดอยู่ว่า “บ้านอุปถัมภ์”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ไถ่ถาม หรือคิดสงสัยในเรื่องใดต่อ เสียงเรียกของอัชฌากำลังเร่งการกระทำของเขา
“จอดตรงนี้เลยก็ได้ ไป รีบลงมา เดี๋ยวเลยเวลาอาหารจะไม่มีอะไรกินนะคุณ”

หลงที่ลงจากรถ เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปใน “บ้าน” ก็ได้ยินเสียงจอแจร้องทักผู้ที่กลับมา
“พี่อัชกลับมาแล้ว”

ต่อด้วยเสียงของอัชฌาที่ส่งปราม พร้อมบอกกับสมาชิกในบ้านเหล่านั้นให้เอ่ยทักทายเขา
“เด็กๆ มีแขกมา ต้องทำไงครับ”

“สวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ” เสียงประสานจากเด็กหลายคนตรงหน้ากล่าวประโยคทักทายเขา

“เดี๋ยวคุณเล่นกับเด็กๆ รอ หรือว่าเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมไปดูข้าวเย็นก่อน เสร็จละเดี๋ยวมาเรียก”

หลงที่แม้ยังคงมีความสงสัย แต่ก็เลือกที่จะพยักหน้าให้กับอีกฝ่าย จนเมื่อเห็นอัชฌาหมุนกายเดินไปแล้ว เขาจึงมองไปมาเด็กๆ ทั้งกลุ่มที่กำลังจ้องมาที่เขาด้วยความสงสัย
“เพื่อนพี่อัชมากินข้าวเย็นด้วยหรือครับ”

หลงพยักหน้าให้กับเด็กชายเจ้าของคำถามแล้วตอบรับสั้นๆ
“ครับ”

“ยังไม่ถึงเวลาข้าวเย็น มาเล่นกันก่อนครับ” อีกฝ่ายเสนอทางเลือก แล้วก็เข้าไปจูงมือเขาให้เดินตามไปยังห้องกว้างด้านใน ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่เอาไว้ใช้ทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง เพราะมีทั้งของเล่น และชั้นหนังสืออยู่ตามมุมต่างๆ ของห้อง ส่วนผนังรอบๆ ห้องก็ประดับด้วยภาพถ่ายใส่กรอบจำนวนมาก

“ไม่เล่นหรือครับ” เด็กน้อยคนเดิมที่กำลังนั่งลงสมทบกับเพื่อนท่ามกลางบลอคไม้ กวักมือเรียกเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเลือกที่จะตอบปฏิเสธ
“เล่นกันไปเลยครับ พี่ขอเดินดูภาพนะ”
เด็กชายพยักหน้ารับทราบ และไม่ได้สนใจแขกผู้มาเยือนเช่นเขาอีกต่อไป

หลงเดินดูภาพถ่ายใส่กรอบที่ติดประดับอยู่รอบๆ ห้อง ล้วนเป็นภาพของกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่ เพราะในภาพเห็นมีผู้คนมากหน้าหลายตาถ่ายร่วมกับเด็กๆ ซึ่งน่าจะเป็นสมาชิกในบ้านแห่งนี้ ซึ่งพื้นหลังของภาพส่วนใหญ่คือหน้าอาคารที่เขาจอดรถเมื่อสักครู่
แล้วการขยับค่อยๆ ไล่ชมภาพก็หยุดนิ่งลง เพราะเขาได้สังเกตเห็นคนในภาพๆ หนึ่ง ชายหนุ่มในภาพที่ยิ้มกว้างท่ามกลางเด็กๆ หลายคน ภาพที่คงเป็นการถ่ายภาพหมู่ที่ระลึกหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม เพราะไม่ได้มีองค์ประกอบอื่นใดในภาพเป็นพิเศษ
เพียงแต่ว่านั่นเป็นภาพของคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี แม้สายตาจะมองที่ภาพ แต่หัวใจดูเหมือนจะเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกหวนเข้าสู่การระลึก ความคิดถึงกำลังท่วมท้นเข้ามาจิตใจ ปากก็ขยับเปล่งเสียงชื่อของคนในห้วงคิดออกมาโดยไม่รู้ตัว

“พี่ภีม”

 ------------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถ้าเข้าไปใน twitter ก็แวะไปคุยกันที่ https://twitter.com/PlusOneNovel ได้นะคะ



หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 20 (1/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 01-05-2019 07:09:23
พี่ภีมคงรู้จักกับอัชที่นี่ใช่มั้ยเนี่ย
อยากให้รู้ความจริงและเปิดใจกันเร็วๆจัง อดีตมันบีบหัวใจจังเลย
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 21 (2/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 01-05-2019 23:59:33
แผ่นที่ 21

“สวัสดีครับ เพื่อนน้องอัชหรือ”

เสียงเรียกจากด้านหลัง ทำให้หลงที่หมุนตัวกลับไปได้พบกับผู้หญิงรูปร่างผอม ใบหน้าที่มีร่องรอยแห่งวัยประดับอยู่บ่งบอกอายุของอีกฝ่ายที่คงไม่น้อยนัก แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้เขานั้นช่างดูอ่อนโยน จนสามารถผ่อนคลายความอึดอัดในการเริ่มบทสนทนากับคนที่พบหน้ากันครั้งแรกแก่เขาได้ไม่น้อย

“สวัสดีครับ”
หลงยกมือขึ้นไหว้เพื่อตอบรับการทักทายของอีกฝ่าย ในขณะที่กำลังคิดว่าจะแนะนำตัวกับอีกฝ่ายว่าเขาเป็นใคร เด็กชายคนเดิมที่จูงมือเขาเข้ามาในห้อง ก็ลุกวิ่งเข้ามาช่วยคลายข้อสงสัยให้อีกฝ่ายแทน

“เพื่อนพี่อัชครับแม่ นั่น ขับรถคันนั้นมา แล้วพี่เขาก็จะมากินข้าวเย็นที่บ้านด้วยครับ”

ผู้ที่ถูกเรียกว่า “แม่” ก้มมองเด็กน้อย ก่อนยกมือลูบศีรษะของอีกฝ่าย
“งั้นหรือ แล้วน้องแทนสวัสดีพี่เขาแล้วหรือยังครับ”

“สวัสดีแล้วครับ เพราะน้องแทนเป็นเด็กดี” เด็กชายยิ้มกว้างขณะรายงานกลับอีกฝ่ายซึ่งตอบรับด้วยการยิ้มกว้างเช่นกัน ก่อนที่จะหันกลับมาเอาใจใส่ผู้มาเยือนเช่นเขาอีกครั้ง

“รอทานข้าวเย็นสักครู่นะคะ น้องอัชน่าจะกำลังช่วยน้องๆ เตรียมอยู่ในครัว”

“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ เอ่อ คุณแม่” หลงขันอาสาเมื่อได้ยินว่าคนที่ชวนมานั้นกำลังเตรียมอาหาร แต่ปลายเสียงที่แผ่วเบาในตอนท้าย เกิดเพราะไม่แน่ใจว่าควรเรียกขานอีกฝ่ายว่าอะไร

“เรียก แม่ ก็ได้ครับ เรียกเหมือนที่น้องๆ เรียกได้เลย”

“ผมชื่อ หลงครับ เป็นเพื่อน เอ่อ เพื่อนร่วมงานที่บริษัทเดียวกันครับ”

“งั้นหรือ น้องหลงเป็นนักเขียนเหมือนกันหรือครับ”

“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นช่างภาพครับ”

“งั้นหรือๆ มิน่าเมื่อกี้เห็นกำลังยืนดูภาพ แต่ภาพในนี้ไม่ค่อยมีอะไรหรอกนะจ๊ะ เป็นภาพถ่ายของคนที่เคยมาทำกิจกรรมที่นี่ทั้งนั้น”

“นี่ด้วยหรือครับ” หลงหันกลับไปพร้อมชี้นิ้วไปที่ภาพถ่ายกรอบหนึ่ง กรอบที่มีคนคุ้นเคยของเขาอยู่ร่วมเป็นองค์ประกอบในภาพนั้น

“ใช่ครับ ภาพนั้นน่าจะเป็นกิจกรรมของพี่ๆ ชมรมนักเขียนล่ะมั้ง แม่จำได้ไม่แน่ชัดนัก แต่พี่ๆ ในนั้นหลายคน หลังจากการมาทำกิจกรรมแล้ว ก็ยังมีแวะมาเยี่ยมมาหา มาคุยกันตลอด ทุกวันนี้ก็ยังแวะกันมาเลยนะ ยกเว้นอยู่คนหนึ่ง เมื่อก่อนแวะมาบ่อยๆ เป็นพี่ที่น้องๆ รักมากเลยล่ะ เพราะพี่เล่านิทานเก่ง เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ เล่าเรื่องการผจญภัย การเดินทางไปโน่นไปนี่ของตัวเขาเอง แล้วยังมาสอนน้องๆ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เขียนนิทานด้วยนะ”

หลงที่ได้ยืนฟัง และมองกลับไปที่ยังภาพถ่ายกรอบนั้นอีกครั้ง อดที่จะคิดไม่ได้ว่า ลักษณะของคนๆ นั้นที่ถูกเล่าออกมา คนที่ชอบทำกิจกรรมเพื่อคนอื่นเช่นนั้น เอาเรื่องมาคุยมาเล่า มาชวนอ่านชวนเขียน ช่างคล้ายนิสัยของพี่ชายเขา

และเมื่อแม่ของบ้านชี้นิ้วไปที่ภาพ คนที่อยู่ตรงปลายนิ้วก็เป็นคนที่เขากำลังคิดถึงจริงๆ

“นี่ คนนี้ พี่ภีม แต่ตอนนี้พี่เขาไปอยู่บนฟ้าเสียแล้ว น่าเสียดายจริงๆ คนดีๆ คนน่ารักๆ ทำไมถึงถูกชวนไปอยู่บนฟ้าเร็วนักนะ”

หลงยังคงมองไปที่พี่ภีมในภาพ ตอนนี้เหมือนพี่ภีมมาช่วยไขความสงสัยเรื่องหนึ่งในใจเขา เรื่องที่เขาเคยคิดและสงสัยว่า พี่ภีมนั้นรู้จักกับอัชได้อย่างไร แต่ว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายนั้นต้องเขียนบันทึกให้พี่ชายเขา เขาเองยังไม่อาจจะทำความเข้าใจได้ และยังไม่มีความกล้าเพียงพอที่จะลองถาม
ยิ่งวันนี้เขาได้มาเจอพี่ภีมที่นี่ ความสัมพันธ์ระหว่างอัชฌากับพี่ชายเขาที่พอจะเดาได้ดูจะยิ่งสร้างความลำบากในการเปิดประเด็นสนทนาเพื่อคลายข้อสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก 
 
การสนทนาระหว่างเขากับแม่ได้หยุดลงด้วยเสียงเรียกของอัชฌาที่กำลังเดินเข้ามา
“คุณหลง อาหารพร้อมแล้วนะ อ้าว แม่ มาอยู่ที่นี่เองครับ กำลังจะมาทำอะไรอีกแล้วใช่ไหม ทำไมไม่เคยนั่งพักนิ่งๆ บ้างเลยนะ เดี๋ยวหลังก็ปวดขึ้นมาอีก”

“แม่ไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อยน้องอัช”

“ไม่รู้ล่ะครับแม่ แม่ควรจะต้องเคลื่อนไหวน้อยๆ ไม่ต้องมาเล่นกับเจ้าพวกลิงนี่ด้วย ห้ามเหนื่อย ไปทานข้าวครับ ข้าวเย็นพร้อมแล้ว”

หลงที่ยืนอยู่ระหว่างบทสนทนาของผู้แทนตัวว่าแม่ กับ น้องอัชของผู้เป็นแม่ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม จนอีกฝ่ายสังเกตเห็นได้ในทันที
“ยิ้มอะไรกันคุณหลง ออ นี่รู้จักแม่แล้วใช่ไหม แม่ครับนี่คุณหลง เพื่อนที่ทำงานครับ พอดีติดคำขอบคุณที่เคยช่วยเหลือ เลยชวนมากินข้าวเป็นการขอบคุณไปด้วยเลย”

“น้องอัช ถ้าจะเลี้ยงขอบคุณทำไมไม่พาเพื่อนไปเลี้ยงที่ร้านดีๆ ล่ะครับ” คราวนี้เสียงของแม่ดังขึ้นเชิงตำหนิแก่อัชฌา

“ไม่เป็นไรครับ ผมทานอะไรก็ได้” และเป็นหลงที่ชิงตอบสนองก่อนที่อัชฌาจะได้เอ่ยอธิบายอะไร

“ข้าวในบ้าน มีน้องๆ ทานด้วย รสชาติมันจะไม่อร่อยถูกปากนะสิครับ เพราะทำเผ็ดกับปรุงรสไม่ได้มาก”

“ผมทานได้ทุกอย่างครับ เวลาเดินทางผมก็ทานอาหารทุกแบบ ทุกท้องถิ่น ทุกประเทศเป็นประจำอยู่แล้ว ปรุงรสแบบไหน หรืออะไรผมก็ทานได้ครับ

ผู้เป็นแม่ซึ่งกลายเป็นฝ่ายสนใจกับคำตอบของหลง จึงได้ซักถามต่อ
“น้องหลงชอบเดินทางหรือจ๊ะ”

“ผมต้องออกไปถ่ายภาพน่ะครับ” หลงตอบกลับเพียงเท่านั้น และต้องชะงักเมื่อได้ยินความคิดเห็นตอบกลับของแม่ที่ไม่ได้เอ่ยกับเขา แต่เอ่ยกับอัชฌา

“ชอบเหมือนพี่ภีมเลยนะน้องอัช” 

หลงสังเกตเห็นอัชฌาที่กำลังมองมายังคนในภาพถ่ายที่อยู่ในกรอบเดียวกับเขา และเอ่ยตอบผู้เป็นแม่เพียงแผ่วเบา
“ครับ”

“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ น้องหลงก็น่าจะหิวแล้วใช่ไหม ไปครับทุกคน ไปครับน้องอัช”

ก่อนที่ทุกคนในห้องจะเคลื่อนย้ายตามคำชวนของผู้เป็นแม่ไปยังห้องทานอาหาร หลงชะงักเท้า เพื่อที่จะเดินตามทุกคนออกไปเป็นคนสุดท้าย หันกลับไปหาภาพถ่ายของพี่ชายอีกครั้ง พึมพำคำถามที่เขาเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจ เสียงที่เอ่ยนั้นแผ่วเบาในระดับที่มีเพียงตัวเขา และคนในภาพเท่านั้นที่จะได้ยิน

“พี่ภีมครับ เขากำลังรอพี่ภีมอยู่หรือเปล่า”

------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับความเห็น คอมเม้น และการแวะเข้ามาอ่านนะคะ ทุกๆ สิ่งนั้นมีความหมายกับความรู้สึกของเรามากจริงๆ

ถ้าเข้าไปใน twitter ก็แวะไปคุยกันที่ https://twitter.com/PlusOneNovel ได้นะคะ ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
 

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 22 (2/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 02-05-2019 16:59:33
แผ่นที่ 22


พี่ภีมครับ
วันนี้ผมเจอกับเจ้าของโปสการ์ดแล้วนะ จำได้ไหมที่ผมเคยเล่าให้ฟังไปวันก่อน
สรุปว่ามันคือของช่างภาพคนนั้นจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้บอกผมว่าทำไมถึงส่งถึงผม
ไม่สิ จะว่าไม่บอกก็ไม่ถูก เพราะเขาบอกมาว่า “เขาอยากส่งให้ผม เพื่อให้เป็นข้อความของผม และจะได้มีข้อความที่เป็นของผมส่งถึงเสมอ” พอผมได้ยินคำตอบ ผมเลยปฏิเสธไม่ออกว่าไม่อยากให้เขาส่งมาอีก

เขาดูเป็นคนแปลกๆ ใช่ไหมครับ อย่าเพิ่งดุผมนะ ผมจำที่พี่ภีมเคยบอกได้ ว่าเราต้องไม่ตัดสินคนอื่นด้วยคำว่าแปลก เพียงเพราะเขาไม่เหมือนเรา และเรายังไม่ได้รับฟังเหตุผลใดๆ ของเขา แต่ที่คนๆ นั้นตอบเรียกว่าเหตุผลหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ แต่พอเขาตอบมาแบบนั้น มันก็ทำให้ผมอึ้งไปจริงๆ แต่ก็แค่เป็นคนรับโปสการ์ด มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรละมั้ง เนาะ ถ้าเขาไม่ได้มาทำอะไรวุ่นวายหรือเกินเลยไป ผมก็คิดว่าคงเหมือนมีเพื่อนทางจดหมายเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งก็แล้วกัน

.
.
.
“พี่เก๋บ่นใหญ่ที่อัชไม่ยอมไปฝรั่งเศสด้วย”
กรส่งรอยยิ้มและเสียงคำถามเชิงทักทายทันทีที่เห็นอัชฌาก้าวเข้ามาในบริเวณร้านเดอะฟิวชั่น

อัชฌาเลือกหย่อนตัวที่เก้าอี้เดี่ยวทรงสูงหน้าบาร์ ก่อนจะปลดกระเป๋าสายออกจากไหล่และวางมันลงบริเวณใกล้ๆ ก่อนเอ่ยตอบการถามของอีกฝ่าย
“ผมไม่ชอบเดินทางครับ”

กรเลิกคิ้วตอบกลับมา และถามต่อด้วยความสงสัย
“อัชกลัวเครื่องบินหรือ”

“เปล่าครับ น่าจะเรียกว่ากลัวการเดินทางมากกว่า”
อัชฌาตอบกลับอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น แต่นั่นเพียงพอที่จะทำให้กรละทิ้งงานในมือ และเดินอ้อมออกมาจากพื้นที่หลังบาร์ มานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ แล้วส่งสายตาจ้องตรงมายังอีกฝ่าย
“ทำไมหรือครับ”

อัชฌาเม้มกัดริมฝีปากล่าง สูดหายใจเข้าแรงขึ้นครั้งหนึ่งก่อนผ่อนมันออกมาแรงๆ อาการที่แสดงความตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด คู่สนทนาเอื้อมมือมาสัมผัสฝ่ามือเขาที่กำแน่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังหรือเปล่าอัช”

เมื่อความอบอุ่นจากฝ่ามือสัมผัส อัชฌาเหมือนจะรู้ตัวและปรับอารมณ์ที่แสดงออกมาให้กลับสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว พร้อมส่งรอยยิ้มจางๆ ไปแทนคำตอบ
“มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ”

“อัชครับ เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปีละนะ คุณไม่คิดจะให้ผมได้แบ่งเบาความรู้สึกของคุณบ้างเลยหรือ”

อัชฌาที่ยังนิ่งเงียบ แต่สายตาที่สบกับสายตาอีกฝ่ายกลับวูบไหวเมื่อปะทะเข้ากับสายตาที่จริงจังของคนเป็นเพื่อน เขาจึงเลือกที่จะเอ่ยตอบออกไปสั้นๆ
“เพราะการเดินทางมักจะพรากคนสำคัญของผมไป”
.
.
.
“สวัสดีครับ แม่”

“สวัสดีค่ะพี่ภีม วันนี้แวะมาเล่านิทานอีกหรือเปล่า”

“ก็ไม่เชิงนิทานหรอกครับ ผมก็เล่าเรื่องของผม เรื่องงานที่ผมทำเท่านั้นล่ะครับ”

“น้องๆ บอกว่าพี่ภีมเล่านิทานสนุก รอพี่ภีมมาหาตลอดล่ะ”

“ครับแม่ งั้นวันนี้ผมมาฝากท้องที่นี่เลยนะครับ”

“ทำไมจะไม่ได้ละครับ เดี๋ยวข้าวเสร็จแม่มาตามนะ จะไปนั่งเล่าเรื่องกันที่ไหนละวันนี้”

“วันนี้อากาศไม่ร้อน ว่าจะชวนน้องๆ ออกมากันที่สนามหน้าบ้านน่ะครับ”

“เอาเลยครับ ตามสบายเลย ออ พี่ภีมครับ แม่มีน้องคนหนึ่งอยากฝากให้ช่วยดู คือ น้องอัชเพิ่งมาอยู่กับแม่เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน”

“ครับ” แม้ภีมวัจน์จะรับคำแก่คนตรงหน้า แต่ปลายน้ำเสียงก็ติดสงสัย

“คือน้องอัชเพิ่งเสียทุกคนในครอบครัวไป ตั้งแต่มาน้องก็ไม่ร่าเริงเท่าไรเลยครับ นั่งเงียบๆ มองท้องฟ้ามากกว่าที่จะพูดคุยกับคนอื่นๆ เวลาคุยก็ถามคำตอบคำเท่านั้น แม่ก็เป็นห่วงอยู่ แต่ว่ามันมีงานอยู่หลายอย่างที่ต้องดูแล พี่ภีมลองช่วยแม่ดูน้องหน่อยสิครับ”

ภีมวัจน์มองตามไปยังทิศทางที่ผู้เป็นแม่ชี้ จึงได้เห็นเด็กชายผอมบางในวัย 15 คนหนึ่งที่แม่แนะนำประวัติคร่าวๆ ให้รับทราบกำลังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่บริเวณสนามหน้าบ้าน นอกจากใบหน้าแหงนมองไปที่ท้องฟ้าแล้ว ก็ไม่มีอาการขยับเขยื้อนอื่นใด

“วันนี้เมฆสวยดีนะ” ภีมวัจน์ที่เดินออกจากตัวอาคารตรงมายังเป้าหมาย ลองเอ่ยทักในสิ่งที่เขามั่นใจว่าน่าจะอยู่ในสายตาของเด็กชาย
น้องอัชของแม่ขยับตัว และหันสายตามามองเขาเล็กน้อย พร้อมยกมือไหว้ทำความเคารพ ก่อนที่ท่าทางจะกลับสู่สภาพเดิมไม่ผิดเพี้ยน ไม่ได้ให้ความใส่ใจอื่นใดกับชายหนุ่มตรงหน้า

“พี่ชื่อ พี่ภีมนะ” แล้วภีมวัจน์ก็ทรุดกายนั่งลงที่ข้างๆ ก่อนเอ่ยขออนุญาตขึ้น “พี่นั่งดูเมฆด้วยได้ไหม”

เด็กชายไม่ได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ ไม่แม้แต่เอ่ยเสียงใดๆ ออกมา ทำเพียงขยับใบหน้าลงเล็กน้อย คล้ายพยักหน้า และกิจกรรมการดูเมฆระหว่างทั้งสองก็ดำเนินการไป โดยที่มีแม่ของบ้านยืนมองอยู่ห่างๆ จากตัวอาคาร
.
.
.
“พี่ภีม เล่าเรื่องภูเขาไฟระเบิดอีก”

“ไม่เอาแล้ว วันนี้เล่าเรื่องชนเผ่าเลี้ยงสัตว์ที่สู้กันบนหลังม้าดีกว่า”

“มีแต่เรื่องน่ากลัว พี่ภีมเล่าเรื่องงานแต่งงานกับเรื่องเจ้าสาวแสนสวยของคนในเส้นทางสายไหมดีกว่าค่ะ”

เสียงเด็กหญิง เด็กชายสมาชิกวัยต่างๆ ของบ้านต่างส่งเสียงเรียกร้องแก่ชายหนุ่ม ที่ทำได้เพียงตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ เพราะไม่อาจจะทำตามข้อเรียกร้องของทุกคนได้ครบถ้วนในทันที

พี่ภีม หรือ ภีมวัจน์ ได้มีโอกาสมารู้จักกับบ้านอุปถัมภ์แห่งนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะชมรมที่เขาสังกัดได้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมเล่าและสอนน้องเขียนนิทาน เขาที่มีน้องชายซึ่งต้องดูแลเป็นพิเศษมากกว่าน้องชายของครอบครัวอื่นๆ จึงกลายเป็นคนที่มีความสามารถในการดูแล พูดคุยและเข้ากับเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี และส่วนหนึ่งเพราะความสนใจของตัวเขาเองที่มีต่อกิจกรรมอาสาเช่นนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ภีมวัจน์จึงกลายเป็นแขกประจำ จนกลายมาเป็นพี่ภีมของน้องๆ เรื่อยมา แม้ว่าการมาเยือนจะไม่ได้สม่ำเสมอนักเมื่อมีภาระทางการเรียนหรือการสอบ จนจบการศึกษาและทำงานแล้ว เมื่อใดที่มีเวลาว่าง เขาก็จะเลือกมาเล่าเรื่อง และทำกิจกรรมต่างๆ เสมอ พร้อมความสามารถและเรื่องเล่าที่ดึงดูดน้องๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการเดินทางในฐานะนักเขียนสารคดี

“พี่จะค่อยๆ เล่าหมดทุกเรื่องเลย แต่วันละเรื่องแล้วกันนะ ให้พวกเราเป่ายิ้งฉุบกันดีไหม ใครชนะจะได้เป็นคนขอเรื่องที่อยากฟังก่อน”

สมาชิกของบ้านที่กำลังส่งเสียงจอแจ เพราะกำลังจะลงมือตัดสินแพ้ชนะตามวิธีที่พี่ภีมเสนอก็ต้องหยุดชะงักลงด้วยเสียงห้ามปรามของพี่ใหญ่อีกคนของบ้าน
“หยุดเลยทุกคน กวนพี่ภีมมากไปละนะ จะได้เวลาทานข้าวแล้ว ไปล้างมือเตรียมตัว แล้วไปที่ห้องอาหารเดี๋ยวนี้เลย ปฏิบัติ”

“พี่อัชมาเรียกแล้วทุกคน ไปกัน ไปกินข้าวดีกว่านะ ท้องอิ่มแล้วค่อยมาฟังพี่เล่าเรื่องก็ได้”

เมื่อสมาชิกวัยเยาว์ทั้งหลายได้ยินดั้งนั้น ก็พยักหน้าตอบรับแล้วพากันวิ่งไปทำกิจกรรมตามที่ถูกบอกโดยไม่อิดออด ในบริเวณนั้นจึงเหลือเพียงชายหนุ่มสองคนที่ยืนรั้งอยู่
“พี่ภีมตามใจน้องๆ มากไปแล้วครับ”
 
“นานๆ พี่จะแวะกลับมาสักที ก็ตามใจน้องๆ หน่อย ดีซะอีก เรื่องเล่าของพี่จะได้ไม่เป็นหมัน มีคนรอฟังตั้งเยอะแยะ” ภีมวัจน์หัวเราะพร้อมตอบกลับอีกฝ่าย

“แล้วอัชเป็นไงบ้าง เรียนจะจบแล้ว จะเอาไงต่อ”

“ผมว่าจะสมัครงานเป็นนักเขียนครับ”

“งั้นหรือ” มือใหญ่ของภีมวางลงบนศีรษะของคนอายุน้อยกว่า พร้อมยิ้มแย้ม “เขียนเก่งแล้วสินะ”

“พี่ภีม ผมจะจบปริญญาด้านวรรณกรรมและภาษาแล้วนะครับ” อัชฌาที่ส่งเสียงตอบ ติดเง้างอนผู้เป็นพี่เล็กน้อย เนื่องจากรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังถามเหมือนเขายังคงเป็นเด็กน้อยอายุ 15 เช่นวันวาน

“พี่รู้ๆ อัชฌาทำได้เห็นไหม เขียนเก่งแล้วจริงๆ แล้วนี่ยังเขียนไดอารี่อยู่ไหม”

คนเด็กกว่าพยักหน้าตอบรับ

“ไม่เห็นเอามาให้พี่อ่านเลย เมื่อก่อนยังให้อ่านอยู่เลย นี่ละนะ พอน้องโตแล้วก็ไม่เห็นพี่ชายอยู่ในสายตา”

“ไม่ให้อ่านครับ พอเลยพี่ภีม ไปทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวแม่กับน้องๆ รอ”

ภีมวัจน์หัวเราะให้ท่าทางฮึดฮัดเง้างอนของอัชฌา ในสายตาเขา อัชฌาก็ยังคงเป็นเด็กน้อยคนนั้นเสมอ เพียงแต่เป็นไม่ใช่เด็กน้อยที่จิตใจแหลกสลายแหงนหน้ามองก้อนเมฆเพียงลำพังอีกแล้ว แต่เป็นเด็กน้อยที่เติบโตขึ้นด้วยจิตใจที่ทั้งอ่อนโยนและแข็งแรง ไม่เพียงเข้มแข็งที่จะดูแลตัวเองได้ แต่ยังช่วยแบ่งเบาภาระดูแลคนอื่นได้แล้ว

*************************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

ถ้าเข้าไปใน twitter ก็แวะไปคุยกันที่ https://twitter.com/PlusOneNovel ได้นะคะ ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 23 (2/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 02-05-2019 18:25:58
แผ่นที่ 23

“พี่ภีม ผมทำงานเป็นนักเขียนแล้วนะ ถึงจะไม่ได้เป็นนักเขียนสารคดีเหมือนพี่ แต่ก็ทำงานเขียนเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ให้คนอื่นได้อ่านเหมือนกัน วันนี้ผมเอาไดอารี่มาให้พี่ภีมอ่านด้วยนะ ปีที่ผ่าน มีหลายเรื่องเลยที่ผมได้ลองทำในการเขียนงานเป็นอาชีพ”

อัชฌาวางสมุดบันทึกเล่มหนึ่งลงที่ป้ายหินแกรนิตสีขาวที่เขียนชื่อนามสกุลของพี่ภีมไว้

เพราะการเดินทางไม่เคยสิ้นสุด
ภีมวัจน์ เกียรติวิญญ์ธร
15 มีนาคม 25XX - 8 มีนา 25xx

ชื่อและนามสกุลของพี่ภีมที่เขาก็เพิ่งได้รู้จัก

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่อายุ 15 ที่เข้ามาเป็นสมาชิกของบ้าน มาเป็นลูกของแม่ และได้รู้จักกับพี่ภีม ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ช่วยประคับประคองชีวิตที่ไม่เหลืออะไรเลยของเขาให้กลับลุกขึ้นมาใหม่ได้

พ่อแม่ที่เดินทางเพื่อจะไปท่องเที่ยวพักผ่อน ได้เลือกช่วงเวลาเดียวกับที่เขาสมัครไปเข้าค่ายภาษากับทางโรงเรียนหนึ่งสัปดาห์ การไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยในครั้งนั้นทำให้เขารอดจากเหตุเครื่องบินตกอย่างไม่คาดฝันจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่ เขาที่ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ได้รับการส่งตัวมายังบ้านอุปถัมภ์ของแม่ ที่กลายมาเป็นบ้านอีกหลัง แม้ว่าจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง เพราะเขาในวัยนั้นไม่ได้เด็กจนไม่สามารถเข้าใจเหตุผลและความสูญเสียได้ แต่เพราะเป็นการสูญเสียในวัยรุ่นที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ย่อมมีผลกระทบกับสภาพจิตใจและความทรงจำของเขาไม่น้อย

เขารู้สึกว่าโลกในวันนั้นหยุดนิ่ง ไม่สามารถจะหายใจ หัวเราะ หรือพูดคุยได้อย่างเป็นปกติอีกต่อไป ครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นสมาชิกได้ย้ายไปอยู่บนฟ้าในพริบตาโดยที่ไม่ได้ร่ำลากัน แต่ในวันที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำหรือจะเป็นอย่างไรต่อไป อัชฌาได้พบกับพี่ภีม ที่เข้ามานั่งดูก้อนเมฆเป็นเพื่อนเขา ชวนเขาให้ไปนั่งฟังเรื่องเล่าการเดินทางของอีกฝ่ายร่วมกับน้องๆ และสิ่งที่อัชฌาคิดว่ามันมีความหมายมากสำหรับตัวเขาคือ พี่ภีมสอนให้เขาเขียน
มันไม่ใช่การสอนเพื่อเรียนรู้ตัวหนังสือ แต่เป็นการสอนให้เขียนเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกที่สะสมอยู่ในใจ
.
.
.
“ถ้าอัชไม่อยากเล่า ไม่อยากอธิบายมันออกมาด้วยคำพูด อัชลองเขียนไหม เขียนเป็นไดอารี่ก็ได้ แบบเขียนบันทึกชีวิตประจำวัน”

อัชฌาที่ยังนิ่งเงียบ แต่ขยับส่งสายตาสบไปยังพี่ชายของบ้านคล้ายแสดงอาการไม่เข้าใจต่อสิ่งที่อีกฝ่ายแนะนำ

“งั้นเอางี้ ง่ายสุด คิดว่ามาเขียนเล่าให้พี่ฟังเป็นไง”

สายตาของอัชที่มองนิ่งทำให้พี่ภีมเลือกที่จะอธิบายต่อ
“คือเวลาที่อัชเจออะไร ก็เอามาเขียนในสมุดบันทึกนี่ไง แล้วก็ถ้าเราไม่รู้จะเขียนแบบไหน เริ่มเขียนอย่างไร ก็คิดซะว่า เรากำลังเขียนจดหมายถึงพี่ก็ได้ แล้วค่อยเอามาให้พี่อ่าน เป็นไง น่าสนุกใช่ไหม”

อัชฌาก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คนโตกว่ากำลังเสนอนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนุกหรือไม่ แต่เขาที่เลือกรับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งมาจากมือพี่ภีมก็ได้เริ่มลงมือเขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวัน โดยคิดว่ากำลังเล่าเรื่องให้พี่ภีมฟัง และเมื่อพี่ภีมแวะมาหาที่บ้าน เขาก็เอาสมุดเล่มนั้นยื่นให้อีกฝ่ายเปิดอ่าน และเขาก็จะได้คำชื่นชม และรอยยิ้มกลับมา พร้อมกับบทสนทนาในเรื่องต่างๆ และคำกระตุ้นให้เขาลองไปทำโน่นทำนี้ โดยให้เหตุผลว่า “อัชจะได้มีเรื่องเขียนบันทึกไง”

เขาจำไม่ได้แล้วว่า เลิกเอาสมุดบันทึกมาให้พี่ภีมอ่านเพื่อรอคำชมตั้งแต่เมื่อไร แต่เขารู้สึกได้ว่าความวูบโหว่งในหัวใจมันค่อยๆ หายไป การสนทนากับน้องๆ ในบ้าน หรือแม้กระทั่งกับแม่ ไม่ได้ติดขัด หรืออึดอัดอีกต่อไปแล้ว ชีวิตประจำวันในบ้านกลายเป็นภาระที่เขาซึ่งอายุมากกว่าค่อยๆ ช่วยแบ่งเบา ไม่ว่าจะเรื่องการดูแลน้องๆ เตรียมอาหาร หรือการทำกิจกรรมร่วมกับผู้ที่มาเยี่ยมเยือน

จนวันหนึ่ง อัชฌาที่กลับมาจากการทำงาน ไปพบกับเพื่อนของพี่ภีมจากชมรมนักเขียนซึ่งมาทำกิจกรรมร่วมกับรุ่นน้องรุ่นปัจจุบันของมหาวิทยาลัย และกำลังยืนคุยกับแม่ อัชฌาเดินเข้าไปทักทายอีกฝ่ายตามปกติ แต่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของแม่ที่ซีดขาว จึงเอ่ยสอบถาม
“แม่ไม่สบายหรือเปล่าครับ”

“เปล่าครับน้องอัช พอดีพี่ไมล์เพื่อนพี่ภีมมาแจ้งข่าวครับ”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” คราวนี้อัชฌาเลือกส่งคำถามกลับไปยังพี่ไมล์ที่ยืนอยู่ข้างๆ แทน

“คือ อัชได้ยินข่าวเครื่องบินหายสาปสูญไปเมื่อวันก่อนไหม”

“ครับ”

“ภีมมันมีรายชื่อเดินทางด้วยเที่ยวบินนั้นด้วย ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างไร”
และนั่นเป็นข่าวสุดท้ายของพี่ภีมที่เขาได้รับทราบ

ทำไมการเดินทางถึงชอบพรากคนสำคัญของเขาไปนักนะ
.
.
.
“คุณครับ ไหนจูเนียร์หรือครับ”
หลังจากกินข้าวร่วมกันสมาชิกในบ้าน อัชฌาก็เดินนำหลงออกมายังบริเวณหน้าบ้านที่รถของอีกฝ่ายจอดอยู่

“ไม่รู้เหมือนกัน”

สีหน้าฉงนกับคำตอบของอัชฌา ทำให้อีกฝ่ายต้องให้คำอธิบายเพิ่ม
“จูเนียร์มันเป็นแมวจร แม่เคยช่วยมันตอนที่ไปฟัดกับใครก็ไม่รู้มา แผลเต็มตัว หลังจากนั้นมันก็มาอยู่กินที่นี่ นอนที่นี่บ้าง อ้อนคนนั้นคนนี้ แต่พอสักพักก็หายตัวไป แล้วก็กลับมา ตามความพอใจของมันนั่นแหละ มันคงเป็นแมวนักเดินทาง” เสียงปลายคำตอบตรงคำว่านักเดินทางแผ่วลง และสายตาของอัชฌาเลื่อนไปที่ท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว

หลงที่นิ่งฟังจึงมองตามสายตาอีกฝ่าย และได้เห็นเพียงท้องฟ้าสีดำสนิท มีดวงดาวเพียงดวงเดียวที่ส่องกระพริบอยู่ อัชฌาที่เป็นฝ่ายละสายตาก่อนเอ่ยกับอีกฝ่าย
“ไปเถอะ มืดแล้วคุณ ขอบคุณมากที่เล่นกับน้องๆ”

“คุณจะอยู่ที่นี่ ไม่ย้ายไปอยู่คอนโดแล้วหรือครับ”

“ไม่หรอก ที่ย้ายกลับมาช่วยแม่เพราะว่าเจ้าหน้าที่ลาออกน่ะ ยังไม่ได้เจ้าหน้าที่ใหม่เลย เดี๋ยวทางมูลนิธิหาเจ้าหน้าที่ใหม่ได้แล้ว ผมก็คงกลับไปหาเช่าคอนโดตามเดิม อยู่ที่นี่ไม่สะดวกเท่าไร ผมโตเกินที่จะนอนเตียงของบ้านละ”

แม้อัชฌาจะหัวเราะกับคำตอบของตัวเอง แต่หลงก็รู้สึกได้ถึงความเหงาในน้ำเสียงของอีกฝ่าย
.
.
.
“พี่ภีมครับ
ผมมีเรื่องจะปรึกษา ตอนนี้โปสการ์ดที่ได้รับมันแปลกๆ ไป จากที่เคยส่งมาเป็นปีๆ ด้วยลายมือยุกยิกมาตลอด โปสการ์ดในช่วง 2-3 เดือนนี้มันแปลกไปมากจริงๆ ครับ คนๆ นั้นไม่น่าจะใช้เครื่องพริ้นในการพิมพ์ข้อความแล้วแปะมาแบบนี้ เขาไม่ถูกกับตัวอักษรบนแป้นพิมพ์มากๆ ขนาดนั้น จำนวนโปสการ์ดที่ส่งมามันก็ทิ้งห่างไปมากกว่าปกติ
ตอนนี้ ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรรู้สึกอย่างไร มันแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าจะเรียกมันว่าอย่างไรดี
ผมควรทำอย่างไรดีครับ คือ ความกระวนกระวายใจแบบนี้มันทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
จะว่าห่วงมันก็ไม่รู้จะใช่ไหม จะเรียกว่าเป็นพิเศษก็บอกไม่ได้ แต่ผมรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นโปสการ์ดแบบนั้นมากกว่า เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลยใช่ไหมครับ มันอึดอัดเกินไป และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงรู้สึกกับเพื่อนคนนี้มากกว่าคนอื่น”


อัชฌาหยุดปลายปากกา และยกมันจากสมุดบันทึก นิ่งมองออกไปที่นอกหน้าต่าง พร้อมกับตัดสินใจปิดสมุด และลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน
.
.
.
“พี่ก้องครับ”

“ว่าไงอัช”

“ตอนนี้คุณหลงไปอยู่ที่ไหนครับ”

“มาถามแบบนี้ แสดงว่ามีคำตอบให้พี่แล้วใช่ไหม”

อัชฌาส่ายหน้า “ไม่มีครับ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรสามารถตอบพี่ก้องได้ทั้งนั้น”

“ไม่มีของแลกเปลี่ยนแล้วจะมาขอคำตอบจากพี่หรือ” การยักคิ้ว และยิ้มมุมปากน้อยๆ ของพี่ก้องทำให้อัชฌามั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นอยากจะให้คำตอบแก่เขา เพียงแต่รอการต่อรอง

“พี่ก้องบอกผมมาเถอะครับ แล้วผมอาจจะมีคำตอบให้พี่ก้องหลังจากนั้น ผมสัญญาว่าจะบอกพี่ก้องทุกอย่างเมื่อผมเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง”

“สัญญากับพี่มาอย่างหนึ่งก่อน”

“ครับ”

“ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าไปโกรธใคร ถ้าจะโกรธใครสักคนให้มาโกรธพี่นะ”

“ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมต้องโกรธพี่ก้อง”

“เอาน่า สัญญาสิ”

“สัญญาครับ”

“โอเค รักษาสัญญาแล้วนะ อะ นี่ตอนนี้หลงมันอยู่ที่นี่ เมืองแมว”

อัชฌาส่งสีหน้าประหลาดใจ พร้อมกับยื่นมือไปรับแผ่นกระดาษจากมือพี่ก้องก่อนก้มดู
ที่อยู่มันจะประหลาดอย่างไร ตอนนี้กลับไม่ได้ดึงดูดความสนใจของอัชฌาเท่ากับชื่อนามสกุลที่เขียนอยู่เหนือที่อยู่อีกแล้ว

ภัทรชนน เกียรติวิญญ์ธร

ทำไมคนๆ ถึงนี้นามสกุลเดียวกับพี่ภีม

*****************************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

ถ้าเข้าไปใน twitter ก็แวะไปคุยกันที่ https://twitter.com/PlusOneNovel ได้นะคะ ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ






หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 24 (3/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 03-05-2019 03:26:11
แผ่นที่ 24

อัชฌาเคยบอกกับเขาว่าไม่ชอบการเดินทาง เพราะการเดินทางคือช่วงเวลาที่พรากคนสำคัญของอัชฌาไป
คนที่ปฏิเสธการเดินทางเพื่อไปร่วมทำงานต่างๆ ที่ต่างประเทศตามที่บก. ใหญ่อย่างพี่เก๋ออกปากชวน จนหลายคนในกองบ่นอุบด้วยความอิจฉาแกมไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงยอมทิ้งโอกาสในการไปทำงานที่โดดเด่น ซึ่งใครๆ ก็อยากจะเสนอตัวไป

แต่วันนี้ กลายเป็นเขาที่กำลังยืนอยู่ที่สนามบิน เพราะเมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายจะเดินทาง เขาก็บอกกับอัชฌาว่าจะมาส่งในวันออกเดินทาง เพียงเพื่อได้รับสิ่งตอบแทนคือ คำขอบคุณและรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งให้มา
“ขอบคุณครับกร ขอบคุณที่มาส่ง”

“ผมคงรออัชไม่ได้แล้วใช่ไหม” เขาถาม
เพราะเขารู้ และหลายเรื่องที่ค่อยๆ ได้รู้ เรื่องราวในชีวิตของอัชฌา ทั้งจากปากเจ้าตัวเอง หรือบางส่วนที่ได้รู้จากพี่ชายพี่สาวบ้าง ผ่านไปกว่า 4 ปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัชฌาก็ยังคงเป็น “เพื่อน” อีกฝ่ายเหมือนมีกำแพงกางกั้นต่อความพยายามในการพัฒนาความสัมพันธ์เสมอ และไม่ใช่เพียงแค่กับกร อัชฌาไม่ใช่คนที่อัธยาศัยบกพร่อง หรือไม่มีความสามารถในการเข้าสังคมกับผู้อื่น แต่เขารู้สึกว่าการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดมา ไม่อาจจะเข้าถึงจิตใจและความคิดของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง

“การรอมันไม่สนุกหรอกครับกร คุณเป็นคนที่ดีและสมบูรณ์แบบมากๆ ดีจนไม่ควรมาจมอยู่กับคนที่เว้าแหว่งอย่างผม ผมเหมือนทำคุณเสียเวลา เสียโอกาสมามากไปแล้ว กรเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเลยนะ เป็นคนดีที่สุดเท่าที่ผมได้รู้จักมาคนหนึ่งเลย ผมเชื่อว่ากรจะต้องได้รับสิ่งดีๆ ได้เจอกับคนดีที่เหมาะกับกรแน่ๆ ครับ”

แม้คำตอบของอัชฌาจะไม่ได้บรรลุต่อความคาดหวัง แต่กรยังคงยิ้มให้อีกฝ่าย
เป็นรอยยิ้มที่เขาตั้งใจส่งมอบ เพื่อแสดงความยินดีกับการเติบโต และจิตใจที่ไม่ลังเลอีกต่อไปแล้วของอีกฝ่าย
ในวันนี้ คำตอบของอัชฌาไม่มีท่าทีลังเลอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่อัชฌาในวันที่เขาเคยขอรอ แต่อีกฝ่ายมีท่าทีอึกอัก หรืออัชฌาที่ปฏิเสธการขอพัฒนาความสัมพันธ์ด้วยความรู้สึกไม่อยากเปลี่ยนแปลงใดๆ
อย่างน้อยวันนี้คนที่เขารักก็เติบโตขึ้นแล้ว แม้ความน่ายินดีจะกลายเป็นความเศร้าของเขาก็คงไม่เป็นไร
กรวิชญ์สังเกตมาเสมอ และเคยคิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงมีใครในใจ แต่ก็ไม่เคยมีความกล้าที่จะไถ่ถาม
กรเคยเชื่อมั่นในความใส่ใจที่สักวันคงจะซึมเข้าไปในความรู้สึกของอีกฝ่าย
และได้รู้ว่า มีใครอีกคนกำลังใส่ใจและพยายามแทรกซึมเข้าไปในใจของอีกฝ่าย ผ่านแผ่นภาพโปสการ์ดเหล่านั้นเช่นกัน
เขาเคยคิดว่าเขามีแต้มต่อในความใกล้ชิด ในขณะที่คู่แข่งออกเดินทางเสมอ
เขาเลือกที่จะเล่นเกมชิงความใส่ใจแบบแฟร์ๆ ด้วยการไม่ก้าวก่ายหรือไถ่ถามเกี่ยวกับอีกฝ่ายกับอัชฌา
อัชฌาคิดว่าเขาไม่รู้จักคนๆ นั้น ทั้งๆ ที่เขารู้ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ที่เขารู้ และค่อยๆ ได้รู้ ทั้งจากพี่ชายตัวเอง ทั้งจากการสังเกต มันปรากฏสัญญะของความพ่ายแพ้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในวันที่อัชฌาชวนเขาไปพบกับคนสำคัญ คนที่ถูกเล่าว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตที่แตกสลายของเขามากเพียงใด และที่หน้าป้ายสุสานนั้นเอง เขาจึงทราบว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นการเขียนไดอารี่ของอัชฌา มันไม่ใช่การเขียนบันทึกทั่วๆ ไป และเจ้าตัวทำมันมาตลอดจากการเขียนเพื่อแบ่งเบาภาระทางจิตใจ เพื่อระบายและบอกเล่าความรู้สึก จนกลายมาเป็นการเขียนเพื่อระลึกถึงคนสำคัญมาได้ครบปีที่ 7 แล้ว

กรคาดว่าการพาเขาไปพบคนสำคัญที่จากไปแล้ว และเล่าเรื่องราวในชีวิตของตัวเองให้ฟังน่าจะเป็นสัญญาณที่ดี จึงตัดสินใจขออีกฝ่ายพัฒนาความสัมพันธ์ ด้วยความเชื่อมั่นในความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายมากว่า 3 ปี
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า เหตุผลที่ว่า คุณดีเกินไป มันทำใจรับได้ยากอย่างนี้นี่เอง

กรได้รู้จากพี่ก้องว่าคนที่ส่งโปสการ์ดเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทของพี่ก้อง แต่มากกว่านั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจจะหาข้อมูลเพิ่มเติม จนมาถึงวันนี้ ใจหนึ่งเขาก็คิดโกรธตัวเองที่ทำตัวเป็นพระเอก ไม่แทรกแซง ไม่ก้าวก่าย เล่นแฟร์เกมแล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายก็กลายมาเป็นคนที่เขาไม่เลือก และใจหนึ่งเขาก็ชื่นชมตัวเองเล็กๆ ที่ยังสามารถยืนยิ้มอยู่ตรงนี้ได้

“ได้ ผมสัญญาจะเป็นเพื่อนที่ดีให้กับอัชเสมอนะครับ ไม่ว่าใครมารังแกหรือว่ามาหักอก บอกผมเลยนะ พร้อมจะไปจัดการทุกคนที่ทำให้อัชเสียใจ”

แล้วเขาก็ได้เห็นอัชฌาหัวเราะ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเป็นเข้ามากอดเขา พร้อมส่งเสียงพึมพำขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเครือ และสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นเล็กๆ บริเวณอกของเขาที่มีใบหน้านั้นซุกซบอยู่
“ขอบคุณครับกร ขอบคุณมากจริงๆ ผมผิดกับกรมากจริงๆ ผมไม่ควรเห็นแก่ตัวทำให้กรเสียเวลากับผมมาขนาดนี้เลย”

กรยกมือขึ้นลูกผมของอีกฝ่าย พร้อมๆ กับที่กระชับแขนโอบแผ่นหลังให้แนบชิดกับหน้าอกของเขามากขึ้น
“ไม่เอาครับ ไม่ขี้แยสิ กำลังจะเดินทาง เดี๋ยวเทพธิดานำโชคในการเดินทางตกใจบนหนีไปจะทำไง ผมอุตสาห์จับมาให้อัชเลยนะ”

เสียงฝ่ายหัวเราะขำ ปนสะอื้น พยายามกลั้นน้ำตาทั้งที่ใบหน้ายังคงแนบอยู่ กรลูบหลังอีกฝ่ายจนคิดว่าน่าจะได้เวลาที่ควรเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการด้านในของผู้โดยสารขาออก จึงได้เปลี่ยนเอามือทั้งสองไปจับไหล่ของคนในอ้อมกอดให้ผละออก แล้วก็ก้มลงมอบจูบเบาๆ ที่หน้าผาก
“โชคดีในการเดินทางนะครับ มีทั้งเทพธิดา ทั้งเทวดาอยู่เคียงข้างขนาดนี้ รับรองว่าการเดินทางจะไม่มีวันน่ากลัวอีกต่อไป”
.
.
.
เที่ยวบินของอัชฌาออกเดินทางไปเรียบร้อยแล้ว
กรวิชญ์ยังไม่ได้เดินทางกลับในทันที แต่กำลังยืนทอดสายตามองออกไปที่หน้าต่างกระจกใสของสนามบิน
“เมืองแมว” งั้นหรือ
เมืองแห่งนั้นที่ตะวันตกมาบรรจบกับตะวันออก แล้วคนที่เขารักจะได้บรรจบกับคำตอบที่ต้องการหรือเปล่านะ
แต่อื่นใดนั้น เขาได้แต่หวังว่า พี่ชายของตัวเองจะให้ข้อมูลที่ไม่ปิดบัง และไม่ได้แกล้งวางแผนอะไรให้เรื่องมันซับซ้อนวุ่นวายไปอีก ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกบอกให้ออกเดินทางไกลไปถึง “อิสตันบูล” คงกลับมาแหกอกพี่ชายเขาแน่ๆ

***********************************
ขอเคลียร์ความอึดอัดให้พระรองที่แสนดีก่อนนะคะ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ เพราะมีคนอ่าน เรื่องนี้ถึงเดินมาได้ไกลขนาดนี้ ขอบคุณจากใจเลยค่ะ

ฝาก #คุณโปสการ์ด ด้วยนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel 

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 24 (3/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-05-2019 09:14:57
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 25 (7/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 07-05-2019 15:57:13
แผ่นที่ 25

ตั้งแต่เครื่องออกจากสนามบิน ผ่านมาเกือบจะ 10 ชั่วโมงแล้ว อัชฌาที่พยายามจะข่มตาลงเพื่อพักผ่อน กลับไม่สามารถหลับลงได้อย่างที่ใจคิด แต่เพราะอีกไม่นานก็จะถึงปลายทางแล้ว อัชฌาจึงเลือกที่จะพักสายตาด้วยการมองออกไปนอกหน้าต่างโดยที่ไม่ได้แตะต้องหน้าจออุปกรณ์ให้ความบันเทิงประจำที่นั่งที่มี และก็เป็นอีกครั้งที่เขาจะต้องขอบคุณกร ซึ่งเป็นธุระเรื่องตั๋วในการเดินทางครั้งนี้ เพราะการจองเที่ยวบินบินตรงให้ ถือว่าได้ช่วยลดภาระความเมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยไปได้มาก ไม่ต้องเจอกับการเปลี่ยนเครื่อง หรือการนั่งรอเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้อีกฝ่ายทำให้เขาด้วยเหตุผลที่แสนดีเช่นเคย
“ผมไม่อยากให้อัชเหนื่อย ถือว่าเป็นของขวัญให้เพื่อน หรือถ้าอัชไม่อยากรับในฐานะเพื่อน ให้รับในฐานะพนักงานดีเด่นเดินทางไปพักร้อนก็ได้ ค่าใช้จ่ายเดี๋ยวผมจะให้พี่ก้อง พี่เก๋จ่ายให้เอง”
รอยยิ้มพร้อมลักยิ้มตามแบบฉบับ มาพร้อมเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อาจจะปฏิเสธความหวังดีนั้นได้เลย

จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังเป็นแต่เพียง “ผู้รับ” จากกรวิชญ์เสมอ เพราะเมื่ออัชฌาเอ่ยปากว่าจะตอบแทน อีกฝ่ายก็มักจะตอบกลับเพียงว่า ไม่ต้องการอะไร
กรที่แสนดี สมบูรณ์แบบ ทั้งหน้าตา ฐานะ ครอบครัว เขาไม่เคยจำเป็นต้องให้อะไรอีกฝ่ายเพิ่มเติมเลยจริงๆ
 
ที่พี่มลเคยถาม และอย่างที่หลายๆ คนรอบๆ ตัวสงสัย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับกร ซึ่งเกือบทุกครั้ง อัชฌาได้แต่ยิ้ม พร้อมกับการให้คำตอบเบี่ยงประเด็นไปว่า อีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรกับเขา ทั้งๆ ที่รู้ และเข้าใจนัยที่กรวิชญ์ตั้งใจสื่อออกมาทั้งทางตรงและทางอ้อมเสมอ
และเขาเชื่อว่า ทุกคนนั้นอยากจะถามด้วยความสงสัยว่า ผู้ชายที่แสนดีมาอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ รู้จักกันมาก็นานหลายปี และอีกฝ่ายก็แสดงออกชัดเจนขนาดนี้  แล้วทำไมเขาจึงไม่เลือกกร

“เพราะกรดีเกินไป”
อัชฌากลัวว่าถ้าพูดเหตุผลนี้ออกไป จากที่คนอยากได้คำตอบเพื่อเข้าใจเขา จะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกหมั่นไส้ พร้อมอยากจะเบ้ปากใส่เขาเป็นแน่ แต่เพราะดีเกินไปนั่นแหละ ดีมากเสียจนสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง จนทำให้อัชฌาไม่อาจจะตอบรับอีกฝ่ายได้เต็มร้อยเสียที

กรวิชญ์ไม่เคยขัดใจ ไม่เคยทำให้เขาอารมณ์เสีย ไม่เคยแม้แต่จะเพิกเฉยต่อเขา ความใส่ใจที่อีกฝ่ายมีให้ และเขาได้รับมันเสมอๆ จนความรู้สึกหนึ่งในใจจะบอกว่า มันทำให้รู้สึกอบอุ่น และปลอดภัย เพราะกรเหมือนเป็นที่พักใจที่แสนดีแก่เขาในทุกสถานการณ์

ในทางกลับกัน คนที่เขากำลังเดินทางเพื่อไปตามหา กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่กรวิชญ์ทำให้เขาทุกอย่าง
ไม่เคยมาคอยตามใจ ไม่เคยมาคอยพะเน้าพนอ ไม่เคยมาตั้งคำถามไถ่ถามชีวิตความเป็นอยู่ บางครั้งที่ได้คุยกัน ออกจะกวนประสาทมากไปเสียด้วยซ้ำ

เขายังไม่มีคำตอบให้พี่ก้องว่า ความสัมพันธ์ของเขากับหลงคืออย่างไร แต่เขามีคำตอบให้กับความสัมพันธ์ของเขากับกรไปเรียบร้อยแล้วว่า เขาไม่ได้อยากจะเป็นผู้รับไปตลอดชีวิต
ดังนั้น เรื่องของเขากับกรไม่มีวันที่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์เป็นอื่นไปได้ ภาวะพึ่งพามันไม่อาจจะเรียกได้ว่า ความรัก
ความสมบูรณ์แบบของกร ไม่มีส่วนใดเลยที่เขาจำเป็นต้องไปเติมเต็ม ความอบอุ่นและห่วงใยของกร ที่สร้างให้พื้นที่ปลอดภัยให้กับอัชฌา ทุกอย่างเหล่านี้ มันไม่มีอะไรไม่ดี 
แต่ในความรู้สึกที่นิ่งเงียบมานาน เหมือนถูกแช่แข็งหัวใจจากเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต มันกลับเคลื่อนไหวเพราะคนอีกคน
ตอนนี้เขาเหมือนยืนอยู่ตรงทางเลือกที่จะอยู่กับความปลอดภัย นิ่งสงบ หรือเคลื่อนไหว เพื่อไปเจอกับความไม่แน่นอนในอนาคต

ในวันที่ถามตัวเองเช่นนี้ และเขียนบันทึกถึงพี่ภีมอยู่นั้น บทสนทนาหนึ่งในความทรงจำก็ย้อนกลับมา และเหมือนกลายเป็นคำตอบให้แก่อัชฌา
.
.
.
“พี่ภีมครับ”

“ว่าไงอัช”

“เวลาพี่เดินทางไปที่นั่นที่นี่ พี่เคยคิดถึงบ้านไหมครับ”

“อืม จะว่าไงดีล่ะ จะบอกว่าไม่คิดถึงเลยมันก็คงไม่ใช่ทั้งหมดละนะ”

อัชฌาที่นั่งลงข้างๆ เอียงคอทำหน้าสงสัยส่งกลับไปยังภีมวัจน์ ด้วยไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อสาร พี่ชายที่แสนดีจึงเอามีขยี้ผมของอัชฌาเบาๆ ก่อนที่จะตอบ
“มันก็คิดถึง คนเรามีความรู้สึก เราไม่ใช่ตัวคนเดียว มีครอบครัว มีเพื่อน ย่อมมีความรู้สึกผูกพันเป็นธรรมดา เวลาไม่เห็นไม่เจอ เราก็ต้องรู้สึกห่วงหา หรือว่ากังวลใช่ไหมล่ะ แต่ความรู้สึกนั้น มันไม่อาจจะแทนที่ความรู้สึกที่พี่อยากเดินทางไปได้ล่ะนะ พี่ถึงยังเลือกที่จะออกเดินทางอยู่”

“พี่ภีมกลัวไหม ว่าเมื่อเดินทางแล้ว จะไม่ได้กลับมาอีก”
คำถามของอัชฌาทำให้ภีมวัจน์ยิ้มออกมา เพราะรู้ว่าการพลัดพรากของเด็กหนุ่มตรงหน้ากับครอบครัวนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร

“ไม่นะ งั้นพี่ถามอัชก่อน อัชว่า คนเราเนี่ย ความรู้สึกแบบไหนน่าเศร้าที่สุด”

“การจากลา มั้งครับ” อัชฌาตอบคำด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเจือความเศร้า

“ไม่ใช่เลย ความรู้สึกที่น่าเศร้าที่สุด คือไม่รู้สึกต่างหาก”

“ไม่รู้สึกคืออย่างไรครับ”

“สมมตินะ อัชไม่เจอพี่ แต่อัชคิดถึง ระลึกถึง หรือมีพี่อยู่ในความคิด อันนี้คืออัชมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ใช่ไหม ต่อให้พี่อยู่ตรงนี้ หรืออยู่ที่ไหน พี่ก็จะยังคงอยู่เสมอ แต่ในทางกลับกัน ถ้าวันหนึ่ง อัชไม่รู้สึกอะไร แบบไม่มีความห่วงใย ไม่คิดถึง ก็คือไม่รู้สึกอะไรเลย ต่อให้พี่อยู่ตรงนี้ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“แล้วอย่างไรครับ”

“ก็นั่นแหละสิ่งที่พี่จะบอก คือพี่ไม่เคยกลัวว่าพี่จะหายไป เพราะพี่ไม่มีวันหายไป ตราบเท่าที่พี่ยังมีตัวตนอยู่ในความทรงจำของอัช ของน้องๆ ของทุกๆ คน ไม่ว่าพี่จะอยู่ตรงนี้ หรืออยู่ที่ไหนของโลก พี่ก็ยังอยู่ไง แต่ถ้าอัชไม่มีความรู้สึกอะไรให้พี่แล้ว ต่อให้พี่อยู่ด้วยกันตรงหน้า ก็ไม่มีตัวตน”

“ผมไม่มีทางลืมพี่ภีมแน่นอน น้องๆ ด้วย แม่ด้วย ไม่มีทางครับ”

“งั้นพี่ก็ไม่กลัวแล้วละว่า พี่จะหายไป ใช่ไหม” ภีมหัวเราะให้กับคำถามที่ส่งกลับแก่อัชฌา “พี่ชอบคำๆ หนึ่งที่พี่เคยอ่านเจอนะ ว่า ความปลอดภัยไม่ทำให้ใครเติบโต สำหรับพี่การที่จะเติบโตได้ พี่เลือกการเดินทาง การเดินทางที่จะพาพี่ไปหาสังคมที่แตกต่าง แบบที่พี่เคยบอก คือพี่อยากสร้างสะพานในการทำความเข้าใจระหว่างสังคม การเดินทางของพี่ก็มีไว้เพื่อการนั้นแหละ”

“ผมจะเติบโตขึ้นแบบพี่ภีมได้ไหม”

“ไม่รู้สินะ เพราะว่าอัชก็ต้องหาวิธีการออกจากพื้นที่ปลอดภัยเพื่อความเติบโตของอัชเอง ใครก็บอกอัชไม่ได้ พี่ก็บอกอัชไม่ได้หรอก”

“แต่บางครั้ง ผมก็กลัวการเติบโต กลัวการเปลี่ยนแปลง อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยมันอาจจะดีก็ได้นะครับ”

“นั่นก็ไม่ผิดครับ วันนี้อัชอาจจะรู้สึกแบบนี้ แต่เวลาที่ความรู้สึกของอัชรู้สึกอยากเคลื่อนไหวบ้าง อัชอาจจะคิดแบบอื่นก็ได้นะ ไม่ต้องรีบ ให้ทุกๆ อย่างมันค่อยๆ เติบโต และค่อยๆ เรียนรู้ ทั้งความรู้สึกของตัวเอง และประสบการณ์ในการใช้ชีวิต เนาะ”
.
.
.
เขาที่เลือกทิ้งพื้นที่ปลอดภัย และกำลังออกเดินทาง
การเดินทางที่เขานั้นไม่เคยนึกชอบ เพราะมันมักพรากคนที่เขารักไปเสมอ
คนที่ทำให้ความรู้สึกของเขาเคลื่อนไหว จะเป็นคำตอบให้เขาได้เติบโตหรือเปล่าก็ยังไม่อาจจะรู้
ตอนนี้ เขารู้เพียงแต่ว่า นี่น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตเขา
การถูกผลักดันครั้งนี้ ไม่ว่าจะเพราะความเป็นห่วง หรือเพราะความอยากรู้คำตอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหลงกับพี่ภีม เขาก็มาถึงที่นี่แล้ว 
ที่ที่มีชายหนุ่มร่างสูงกำลังยกกล้องขึ้นถ่ายรูปแมว ซึ่งเดินเล่นอยู่เต็มเมือง โดยไม่ได้สนใจคนรอบๆ ตัว แถมดูสบายดีเกินไปด้วยซ้ำ

อัชฌาตัดสินใจส่งเสียงเรียกฝ่ายตรงข้ามออกไป และนั่นทำให้อีกฝ่ายละสายตาจากการกระทำที่กำลังจดจ่อ และหันกลับมาทางต้นเสียงในทันที

“คุณภัทรชนน เกียรติวิญญ์ธร ผมว่าเรามีเรื่องที่จะต้องคุยกันนะ”

**********************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ

ฝาก #คุณโปสการ์ด ต่ออีกนิดนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel 

ปล. ข้อความที่ว่า "ความปลอดภัยไม่ทำให้ใครเติบโต" มาจากงานเขียนของนิ้วกลม นะคะ

หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 26 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 10-05-2019 16:23:44
แผ่นที่ 26

หน้าป้ายหินแกรนิตสีขาวของภีมวัจน์ในวันที่ไม่ได้เป็นทั้งวันครบรอบ หรือเป็นวันสำคัญอะไรเกี่ยวกับเจ้าของชื่อบนป้าย แต่กลับมีชายหนุ่มในผมทรงแมนบันนั่งทำหน้านิ่ว ใบหน้าเข้มจากหนวดเคราบางๆ ที่ประดับใบหน้า กำลังส่งสายตามองตรงไปที่แผ่นป้าย พร้อมแก้วไวน์หนึ่งใบในมือ ส่วนอีกใบที่รินเครื่องดื่มไว้ในนั้นแล้ว ถูกวางไว้ให้กับเจ้าของพื้นที่

“ภีม มึงนี่นะ ก่อนจะไปไหน ก็ไม่เคยจะเล่า ไม่เคยบอกอะไรกับเพื่อนไว้บ้าง” ก้องยกแก้วขึ้นรินเครื่องดื่มลงคอ จะเอ่ยต่อ “เรื่องง่ายมันเลยยากไปหมดละเนี่ย”

“แล้วก็นะ มึงคอยจัดการอยู่หรือเปล่า ทั้งเรื่องที่อัชมาทำงานกับเก๋ บังเอิญมาเจอกับเจ้าหลงที่คอยตามหาคนที่เขียนไดอารี่ให้พี่มัน แล้วเจ้ากรอีก มึงจำกรได้ใช่ไหม น้องชายกูไง ดันมาชอบอัชไปอีก นั่นก็ตามจีบมาหลายปีแล้ว แล้วดูเหมือนหลงมันก็ชอบอัชไปอีก เฮ้อ วุ่นวายไปหมด”

ก้องวางแก้วเปล่าของเขาลงเคียงข้างแก้วของเพื่อน แล้วถอนหายใจ
“แล้วสิ่งที่กูทำเนี่ย มันจะช่วยใช่ไหมวะ ฝากมึงคอยดูทีเถอะ ให้น้องมึงทั้งสองคน ทั้งอัช ทั้งหลง มีความสุขบ้างได้แล้ว ไม่ใช่แช่อยู่อย่างนี้ ถึงคนรอมันบอกไม่เหนื่อย แต่คนที่คอยดูแลแบบกูนี่เหนื่อยแทนละ”

แล้วเขาก็แหงนหน้าขึ้น ประหนึ่งจะมองไปยังอีกฟากของท้องฟ้าที่เขาส่งให้ใครบางคนได้ออกเดินทางไป
.
.
.
แรงปะทะจากร่างกายของคู่สนทนาที่เขาทักทายไปเมื่อครู่เกิดขึ้นในทันทีทันใดแบบที่อีกฝ่ายไม่ได้ให้เขาตั้งตัว
หลงพุ่งตัวเข้ามากอดเขา ในขณะที่อัชฌาในตอนนี้ กลายเป็นนิ่งอึ้งกับปฏิกิริยาตอบกลับของอีกฝ่ายที่คาดไม่ถึง

ก่อนที่เขาจะออกเดินทางมา หลังจากที่ได้ที่อยู่จากพี่ก้อง เขาก็พยายามถามไถ่เกี่ยวกับอีกฝ่าย แต่พี่ก้องก็ตัดบทเพียงแค่คำว่า อัชไปดูมันเอาเอง ในตอนนั้น อัชฌาคิดไปต่างๆ นานาว่าอีกฝ่ายจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหนักหนา อาจจะเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้มือไม้ใช้การไม่ได้ หรือ ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล
แต่เมื่อพิจารณาที่อยู่ที่พี่ก้องยื่นให้ นอกจากเรื่องที่อึ้งไปกับนามสกุลที่เขาคุ้นเคย เขาก็พบว่าที่อยู่ที่อีกฝ่ายให้นั้นเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งในอิสตันบูล ไม่ได้เป็นโรงพยาบาล หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยใดๆ
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาเบาใจ และยังคิดไปว่า หรืออีกฝ่ายกำลังพักฟื้น จึงไม่อาจจะเดินทางกลับมายังประเทศบ้านเกิดได้ในทันที

จนกระทั่งเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนที่รถแท็กซี่จากสนามบินนำเขาเดินทางมาถึงที่พัก และเมื่อเอากระดาษจดชื่อที่อยู่ยื่นให้กับพนักงานต้อนรับของโรงแรมขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่กลางเมืองแห่งนี้ ก็ต้อนรับราวกับรู้ว่าเขากำลังเดินทางมาพบมิสเตอร์เกียรติวิญญ์ธรล่วงหน้าแล้ว เพราะอีกฝ่ายแจ้งว่า อัชฌาสามารถเอากระเป๋าสัมภาระขึ้นไปเก็บบนห้องพักได้เลย พร้อมยื่นกุญแจห้องพักให้เสร็จสรรพ
อัชฌาที่ยังตั้งตัวไม่ถูกจึงเลือกที่จะทำตามคำแนะนำ เอากระเป๋าขึ้นไปบนห้องพักที่ได้รับกุญแจมา และได้พบว่า ห้องพักนั้น แม้ไม่มีคนอยู่ แต่พื้นที่ในห้องถูกจับจอง และเต็มไปด้วยข้าวของของตากล้องวางอยู่
ไม่มีคนป่วยนอนพักฟื้นอย่างที่เขากำลังกังวล แล้วอีกฝ่ายเป็นอะไรไปกันแน่

หลังจากวางสัมภาระ เดินสำรวจและมาหยุดที่หน้าต่างของห้องพัก อัชฌาก็พบว่า คู่กรณีที่เขาคิดไปต่างๆ นานาๆ ว่าอีกฝ่ายมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น กำลังก้มๆ เงยๆ เอากล้องถ่ายรูปเดินตามเก็บภาพแมวที่กำลังเดินเล่นอยู่ตามท้องถนนไม่ห่างจากโรงแรมนัก และนั่นทำให้เขาเลือกที่จะออกจากห้องฟังและมุ่งหน้าไปหาอีกฝ่าย 
.
.
.

อัชฌาผลักร่างของอีกฝ่ายออกให้ห่างจากร่างกายของตัวเองเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ดูคุณสบายดีนะ”

หลงไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมาที่เขา แม้จะละอ้อมกอดออกจากอัชฌาแล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมถอยห่างไปมาก มือยังคงจับอยู่ที่ต้นแขนทั้งสองของคนที่สูงน้อยกว่า และยังคงนิ่ง มีเพียงสายตาที่จ้องมายังใบหน้าของอัชฌา
และเป็นอัชฌาเองที่เลือกทำลายความเงียบและหันเหตัวเองออกจากสายตาที่อีกฝ่ายไม่ยอมละไปจากเขา
“ไปคุยกันที่ห้องพักเถอะ”

อีกฝ่ายไม่ตอบด้วยถ้อยคำ และเปลี่ยนเป็นย้ายมือมาจับเข้าที่ฝ่ามือเขาแล้วหมุนตัวออกเดินเพื่อกลับไปยังห้องพักตามที่อัชฌาเสนอ

“สรุป คุณไม่ได้เป็นอะไรเลย สบายดีทุกอย่าง”

อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ปลายเตียง ประจันหน้ากับอัชฌาที่เลือกเอาเก้าอี้มานั่งห่างออกมา เอ่ยตอบกลับมาเบาๆ
“สบายดีครับ”

“เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันหลายเรื่อง ตอนแรกก็น่าจะเรื่องเดียว แต่ก่อนจะมามีเพิ่มอีกเรื่องละ”
สายตาอัชฌาใช้มองหลงในตอนนี้ พร้อมน้ำเสียงที่เข้มขึ้น ทำให้อีกฝ่ายเรียกกลับเบาๆ

“คุณครับ”

“ไม่ต้องมา คุณครับ ยังไงวันนี้ต้องคุยให้รู้เรื่อง”

“ครับ” แล้วก็เป็นหลงที่น้ำเสียงในการรับคำเปลี่ยนมาเป็นเสียงแผ่วเบา

“เรื่องแรก สบายดีแล้วทำไมโปสการ์ดที่ส่งไปมันแปลกๆ”

“แปลกอย่างไรหรือครับ”

“ก็คุณไม่เขียน นี่ไง” อัชฌาเอื้อมมือไปยังกระเป๋าสะพายของตัวเอง แล้วหยิบแผ่นโปสการ์ดจำนวนหนึ่งออกมา ยื่นกลับไปให้อีกฝ่ายรับเพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองกำลังกล่าวถึง

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่า คุณหลง”

หลงที่กำลังก้มมองแผ่นโปสการ์ดจำนวนนั้น พลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังของบางแผ่น แล้วก็เอ่ยตอบกลับแก่อัชฌา
“นี่ผมไม่ได้ทำครับ”

คราวนี้เป็นฝ่ายอัชฌาที่นิ่งอึ้งไปกับคำตอบที่คาดไม่ถึง สรุปว่า โปสการ์ดในช่วงหลังที่ผิดปกตินี้ ไม่ใช่ของอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ

“ไม่ใช่ของคุณ”

“ของผมครับ แต่ผมไม่ได้ทำ”

อัชฌากำลังหงุดหงิด คำตอบบ้าอะไร สรุปว่าเขาถามไม่ดี หรือว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจคำถาม
ไม่สิ อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เขาถามแน่ๆ แต่คำตอบมันย้อนแย้งแบบนี้ได้อย่างไร
ทำให้เสียงของอัชฌาที่ดังขึ้นสะท้อนอารมณ์กรุ่นๆ ของตนตอนนี้ กำลังจะกลายเป็นการตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย
“คุณหลง ผมเดินทางมา 10 กว่าชั่วโมง ด้วยความรู้สึกสงสัยหลายเรื่องเต็มไปหมด แล้วผมก็กำลังหัวเสียด้วยความไม่เข้าใจ และผมคิดว่าคุณจะต้องตอบสิ่งที่ผมกำลังสงสัยได้ แต่แล้วพอผมเจอคุณ นอกจากคุณจะโคตรสบายดีแล้ว คุณกำลังมีความสุขกับการถ่ายภาพแมว ไม่มีอะไรทุกข์ร้อน เพราะฉะนั้น ก่อนที่ผมจะหงุดหงิดจนไม่คุยกับคุณอีกต่อไป ถ้าผมถามอะไร ถามแล้วกรุณาตอบ ตอบแบบให้รู้เรื่อง อธิบายให้ชัดเจนด้วย ไม่ใช่ถามคำตอบคำ แถมคำตอบย้อนแย้งไปมาแบบนี้ เข้าใจไหม”

“คุณครับ”

“ไม่ต้องมาเรียกคุณครับอะไรทั้งนั้น มีหน้าที่ตอบก็ตอบอย่างเดียว”

หลงที่พยักหน้า และไม่เรียกเขาออกมาอีก ทำให้อัชฌาลดระดับความดังของเสียง และความขุ่นมันในน้ำเสียงลงเล็กน้อย
“เรื่องแรก อธิบายเรื่องโปสการ์ดนี้มาก่อน”

“ผมก็ส่งโปสการ์ดให้คุณตามปกติครับ”

“แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่า ของคุณ แต่คุณไม่ได้ทำ คืออะไร”

“โปสการ์ดนี้เป็นภาพของผมทั้งหมดครับ แต่ตรงนี้” หลงชี้ไปที่ตัวอักษรที่พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ และพิมพ์ออกจากเครื่องพิมพ์ที่แปะอยู่อีกด้าน “ผมไม่ได้ทำครับ”

“สรุปว่า คุณไม่ได้พิมพ์”

“ครับ ยกเว้นแผ่นนี้ ผมให้เพื่อนช่วยพิมพ์ตามที่ผมบอก เพราะตอนนั้น พอดีประสบอุบัติเหตุมือเคล็ด ผมเขียนไม่ได้” หลงเลือกหยิบโปสการ์ดแผ่นหนึ่งแยกออกจากกอง เป็นโปสการ์ดที่เหมือนกับใบอื่นๆ ที่มีข้อความพิมพ์ และแปะลงในด้านหลังของภาพถ่าย

“ส่วนใบอื่นๆ ผมไม่ทราบ เพราะว่าผมไม่ได้ทำ”

“แล้วภาพพวกนี้ของคุณหรือเปล่า”

“ของผมครับ” หลงพยักหน้ายืนยัน

“แล้วถ้าคุณไม่ได้พิมพ์ ไม่ได้ให้ใครพิมพ์ แล้วทำไม โปสการ์ดช่วงหลังๆ มันถึงกลายเป็นแบบนี้ทั้งหมดล่ะ”
อัชฌาที่กำลังงงงันกับคำตอบที่ไม่คาดว่าจะได้รับ ถึงกับคิดต่อไม่ออก ไปต่อไม่ถูก
หลงไม่ทำ แล้วโปสการ์ดเปลี่ยนไปได้อย่างไร ด้วยนิสัยคนตรงหน้า ไม่น่าจะโกหก หรือหลอกลวงอะไรเขาเพียงแค่เรื่องโปสการ์ดนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลมาเข้าใจได้อยู่ดีว่า เพราะอะไร หรือเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้อัชฌาจึงได้แต่ตอบกลับด้วยการถอนหายใจออกมาแรงๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยต่อ

“เรื่องโปสการ์ดนี่ก็เรื่องหนึ่ง แต่มีอีกเรื่องหนึ่งสำคัญกว่า”

หลงที่เหมือนจะเดาออกว่าอีกฝ่ายจะถามเขาเรื่องอะไร ละสายตาจากกองโปสการ์ด แต่ไม่ได้จ้องกลับมาที่เขา กลับเลือกที่จะหลบสายตามองลงต่ำแทน

“คุณรู้ใช่ไหม ว่าผมจะถามเรื่องอะไร คุณภัทรชนน”

หลงเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ก่อนลุกขึ้นจากปลายเตียง พร้อมดึงเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอยู่มาหยุดตรงหน้าของอัชฌา แล้วนั่งลงประจันหน้า เก้าอี้ที่วางไม่ห่างกัน ทำให้เข่าของคนสองคนแตะสัมผัสกัน อัชฌาเอื้อมมือมาดึงฝ่ามือทั้งสองของอัชฌาไปกุมไว้ แรงบีบเบาๆ ที่ฝ่ามือ สัมผัสได้เหมือนอีกฝ่ายกำลังเผชิญกับความกดดันในใจ หรือไม่ก็คงกำลังรวบรวมความกล้า
อัชฌาส่งสายตากลับไปที่คู่สนทนา แต่ไม่ได้ออกปากห้ามปรามการกระทำนี้ของอีกฝ่าย
และเป็นหลงที่ส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“คุณครับ”

“ผมบอกแล้วไง ว่าถ้าไม่ตอบคำถามให้ชัดเจน ก็ไม่ต้องมาเรียก”

“ผมจะตอบสิ่งที่คุณถามทุกอย่าง แต่ผมอยากถามคุณก่อนว่า ทำไมคุณถึงตามมาหาผมถึงที่นี่”

****************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ

ฝาก #คุณโปสการ์ด ต่ออีกนิดนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel 

 
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 26 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-05-2019 10:58:12
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 26 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 12-05-2019 20:46:16
ใครแอบส่งให้อัชโดยที่หลงไม่รู้เหรอ
ใครคนนั้นต้องสนิทขนาดไหน
ถึงสามารถเอารูปที่หลงถ่ายไปได้ แถมรู้ที่อยู่อีกต่างหาก
ต้องเป็นเพื่อนคนที่หลงเคยให้พิมพ์ให้แน่เลย
แล้วระหว่างนั่น ทำไมไม่มีโปสการ์ดตัวจริงจากหลงเลยล่ะ
หรือหลงคิดที่จะหยุดส่งให้อัชแล้ว
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 14-05-2019 02:00:50
แผ่นที่ 27

ภายในห้องพัก เหมือนความเงียบก้าวเข้ามาทดแทนพื้นที่ว่างทุกตารางนิ้ว คนสองคนบนเก้าอี้สองตัวมีแต่ความนิ่งให้แก่กัน ฝ่ายหนึ่งไม่ละสายตา อีกฝ่ายหนึ่งก็ให้การจับจ้อง ฝ่ายหนึ่งออกแรงกุมมือ อีกฝ่ายก็ตอบรับน้ำหนักมือนั้นไว้

แม้อัชฌายังเลือกความเงียบเป็นคำตอบให้กับคำถามที่รุกไล่ แต่ภายในความคิดกลับไม่ได้ชะงักงัน
เขาควรมีคำตอบให้คนตรงหน้าอย่างไร
เขาไม่อาจจะยุดยื้อไม่ให้คำตอบเช่นที่เคยตอบพี่ก้อง ไม่อาจจะเบี่ยงประเด็นเหมือนที่ตอบพี่มล
เพราะคนตรงหน้ามีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะถาม เช่นเดียวกับที่กรมีสิทธิ ขอให้เขามอบคำตอบให้แก่ความสัมพันธ์
ทำไมสำหรับกร ความสัมพันธ์เชิงพึ่งพาที่แสนดี เขาสามารถให้คำตอบปฏิเสธเพื่อตัดขาดได้อย่างไม่ยากเย็น แต่พอมาความสัมพันธ์ที่มีกับคนตรงหน้า กลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ทำไมเขาไม่อยากปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่า อยากจะตอบรับ
สุดท้าย ชั้นเชิงต่อรองของเขาจะมาจนมุมให้กับคนๆ นี้งั้นหรือ

อัชฌาจึงเลือกคำถามเพื่อทำลายความอึดอัดในการกดดันเอาคำตอบของอีกฝ่ายลงเสีย
“คุณมีสิทธิอะไรมาถามผมก่อนคุณหลง”

หลงที่ไม่ละสายตา กลับเหมือนจะพ่ายแพ้ให้กับการร้องถามสิทธินั้น ตาคมจึงหลบต่ำลง แต่เพราะยังคงนิ่งเงียบ ทำให้อัชฌาเปลี่ยนบทสนทนาเป็นฝ่ายรุกไล่
“ตอบมา”

และในที่สุดคำยืนยันที่รอก็ออกจากปาก
“ผมเป็นน้องชายพี่ภีมครับ”

แต่อัชฌาไม่พอใจกับคำตอบเพียงเท่านี้ เพราะเรื่องนี้ เขามั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว
สิ่งที่เขาต้องการรู้มันมากกว่านี้ เป็นความอยากรู้ที่เขาเองก็ไม่อาจบอกได้ว่าควรตั้งคำถามกับอีกฝ่ายอย่างไร
ในขณะที่จมอยู่ในห้วงคิด ระหว่างมองหาคำถามมาเค้นเอาคำตอบเพื่อตอบสนองความสงสัย
มือของหลงที่กุมอยู่ที่มือเขาก็ปล่อยคลายและย้ายเลื้อยขึ้นที่ข้างแก้ม
สายตาของอัชฌากำลังสูญเสียโฟกัสจากระยะมอง เพราะสายตาอีกฝ่ายกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
ลมหายใจกำลังจะขาดเพราะถูกช่วงชิง ริมฝีปากที่ถูกแนบลงได้ดึงเอาความสนใจในการสูดเอาอากาศไปเสียแล้ว ปากที่เผยอทดแทนจึงกลายเป็นช่องว่าง เสมือนอนุญาตให้อีกฝ่ายได้ล่วงล้ำ

ต่อจากการแลกเปลี่ยนของริมฝีปาก หลงได้ขยับให้ร่างกายลุกจากเก้าอี้ที่นั่ง เข่าที่ชนจึงละสัมผัส พร้อมกับย้ายมืออีกข้างกดไปที่ไหล่ของอัชฌาแทน ร่างที่สูงกว่าเพราะการลุกยืน จึงกลายเป็นโน้มก้มลงหาอัชฌาที่แหงนใบหน้าขึ้นเล็กน้อยให้กิจกรรมที่เรียกว่าจูบได้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

ความเงียบยังคงเป็นเจ้าของห้องพัก ไม่มีคำถามจากฝ่ายใด พอๆ กับที่ไม่มีคำตอบที่ส่งเสียงบอกออกมา สองร่างยังคงให้พื้นที่กับการแลกเปลี่ยนลมหายใจ และเป็นหลงที่เลื่อนแขนทั้งสองโอบรัดทั้งร่างของอัชฌาให้แนบสัมผัสไม่เหลือช่องว่างราวหวงแหน ก่อนที่จะช้อนตัวของอีกฝ่ายไปที่พื้นที่ว่างของเตียง วางลงอย่างแผ่วเบา แล้วจึงผละออกเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเอง ก่อนที่จะพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังทำในสิ่งเดียวกัน เป็นคำอนุญาตให้เรื่องราวดำเนินต่อไปตามครรลอง

เครื่องปรับอากาศในห้องดูจะไม่สามารถทำให้อุณหภูมิของความรักที่กำลังเพิ่มขึ้นลดลงได้
ริมฝีปากหนึ่ง มีอีกริมฝีปากหนึ่งแนบชิด
ฝ่ามือหนึ่งก็มีอีกฝ่ามือหนึ่งเกาะกุม
ส่วนที่เป็นช่องว่างของอีกฝ่าย ก็กำลังได้รับการเติมเต็มจากอีกคน
การเคลื่อนไหวกำลังถูกตอบสนองด้วยการเคลื่อนไหว
เสียงหอบครางของคนใต้ร่างกำลังถูกประสานด้วยเสียงกัดฟัน
ตอบสนองแก่กันและกันแทนทั้งคำถามและคำตอบให้แก่ความเงียบงัน
.
.
.
“สรุป มีอะไรจะบอก จะเล่าอีก”
อัชฌาที่หนุนแขนในอ้อมกอดของอีกฝ่ายเลือกที่จะเปิดประโยคสนทนาอีกครั้งด้วยคำถามปลายเปิด
ถามก็ไม่ค่อยจะตอบ ก็ให้เล่ามาเองก็แล้วกัน

อีกฝ่ายเอื้อมมือมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้า พร้อมก้มเอาริมฝีปากมาสัมผัสกับหน้าผากเบาๆ แล้วตอบรับด้วยคำชวน
“ไปเดินเล่นกันไหมครับ”

อัชฌาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“นี่จะบ่ายเบี่ยงอะไรอีก”

“ผมจะเล่าเรื่องของผมให้ฟังจริงๆ ครับ แต่เราไปเดินเล่นกันดีกว่า”

“ก็ได้ แต่ถ้าไม่เล่าให้เข้าใจคราวนี้ คุณอย่าได้หวังว่าผมจะคุยกับคุณอีกเลยนะ”

แล้วอัชฌาก็พอใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าลงเบาๆ
.
.
.
ทิวทัศน์ของเมืองชวนให้อัชฌาตื่นตาไม่น้อย พอๆ กับเหล่าแมวจรที่เข้ามาทักทายโดยไม่หวาดกลัว
ที่ถนนหน้าไม่ไกลจากโรงแรม อัชฌากำลังย่อตัวลงเอามือข้างหนึ่งลูบเจ้าแมวส้มที่เข้ามาทักทาย ในขณะที่มืออีกข้างก็กำลังเกาพุงเจ้าแมวลายเสือที่มานอนหงายคล้ายเชื้อเชิญให้ดูแลมัน

“นี่มันเมืองแมวจริงๆ สินะ”

“ครับ แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมที่นี่ถึงมีแมวเยอะ”

“คุณหลง นี่กำลังถามนักเขียนประจำคอลัมน์ทราเวลของเดอะแมกกาซีนเพื่อลองภูมิใช่หรือเปล่า”

“แล้วที่คุณทราบเพราะอะไรครับ”

“ก็ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางที่เรือสินค้ามาจอด แล้วในเรือก็จะมีการเอาแมวขึ้นเรือด้วย ทั้งความเชื่อ และประโยชน์ในการจับหนูแหละ พอเรือมาจอดแมวบางตัวที่ขึ้นจากเรือก็อยู่ที่นี่ไม่กลับไป ที่นี่เลยเป็นเมืองที่มีสายพันธ์แมวมากที่สุดในโลกไง”

“แล้วคุณคิดว่าแมวมันอยากจะอยู่ หรืออยากจะกลับบ้านไปกับเรือที่มันมา”

อัชฌาละสายตาจากเหล่าแมวที่เข้ามารุมล้อม มองกลับมาที่คู่สนทนาที่ยืนนิ่งมองเขาเล่นกับแมว พร้อมกล้องถ่ายรูปในมือที่ขยับเป็นระยะๆ
“คุณต้องการจะเล่าอะไร เล่ามาตรงๆ ได้ไหม ผมขี้เกียจตีความละ”

“ไม่จำเป็นต้องตีความเลยครับ”

อัชฌาเปลี่ยนลุกยืนขึ้นเต็มความสูงเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับถ้อยสนทนาอีกฝ่ายให้ถนัดถนี่
“คุณต้องการจะพูดอะไร”

“ผมแค่กำลังคิดว่า เราไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่มันจากบ้าน มันจะมีความทรงจำเกี่ยวกับบ้านและครอบครัวมันไหม จนคิดถึงอยากกลับไปบ้านหรือเปล่า หรือว่ามันดีใจแล้วที่ได้เดินทางมาอยู่ที่นี่ มีเพื่อนพ้องมากมาย มีชีวิตที่น่าอิจฉาไปอีกแบบ”

และเป็นอีกครั้งที่การโต้ตอบของอัชฌากลายเป็นการขมวดคิ้ว และนิ่งฟังให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“ผมรู้จักคุณมาก่อนที่ผมจะได้เจอคุณที่ที่ทำงานครับ”

“รู้จักได้ไง”

“ผมไปทำความสะอาดที่สุสานก่อนวันครบรอบ และได้เห็นบันทึกของพี่ภีมครับ”

อัชฌามองหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง เสียงถอนหายใจเบาๆ เกิดขึ้นก่อนการเอ่ยถาม
“แล้วไงต่อ”

“ในปีแรก ผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณเขียนเพราะอะไร ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนปีต่อมาคุณก็เอามาวางอีก ผมก็เลยไปนั่งรอในปีที่ 3 แต่ก็ไม่เจอคุณ มาเจอแต่ไดอารี่ของคุณในอีกวัน แล้วปีนั้นพ่อกับแม่ก็แนะนำว่าให้ลองไปหาคำตอบในห้องพี่ภีม ผมก็ได้เจอการ์ดลายมือคุณ ดีที่คุณลายมือสวย ผมก็เลยจำได้”

“ออ เหรอ ผมว่าถ้าเป็นลายมือคุณผมก็จำได้เหมือนกันเถอะ”

หลงส่งยิ้มให้กลับให้อัชฌาคล้ายจะตอบรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเย้า
“ผมก็เจอภาพที่คาดว่าน่าจะเป็นคุณ พอครบรอบปีต่อไป ผมก็แอบมองคุณอยู่ แล้วก็ไปเจอคุณอีกครั้งที่ตึกที่ทำงานนี่แหละครับ เลยคิดว่าจะไปดักรอที่นั่น จนถูกพี่ก้องหลอกให้ไปทำงานด้วย แล้วก็ได้ทำงานที่ได้เจอคุณ จนได้ไปส่งคุณในวันนั้นนั่นแหละครับ”

“เดี๋ยวนะ คุณเคยคิดจะไปดักรอเพื่ออะไร”

“ผมก็คิดว่า ผมอยากลองคุย ลองถามคุณครับ แต่ก็ไม่กล้าสักที”

“ถามว่าอะไร”

“ทำไมคุณถึงเขียนบันทึกให้พี่ภีมหรือครับ”

**************************************************
ยังคุยเรื่องแมวไม่จบ ค่อยมาคุยต่อนะคะ
มันเริ่มเป็นนิยายฟีลกู๊ดแล้วๆ ก็มันคือนิยายฟีลกู๊ดนี่ ทำไมต้องรู้สึกหน่วง ^^!
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ

ฝาก #คุณโปสการ์ด ต่ออีกนิดนะคะ
https://twitter.com/PlusOneNovel 


หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 14-05-2019 05:17:14
คุณหลงร้ายมากใช้ภาษากายแทนคำพูด​
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-05-2019 08:30:05
 o13
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-05-2019 17:48:01
ไม่พอๆๆๆๆๆ ชักดิ้นชักงอ 5555
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 27 (14/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-05-2019 08:34:42
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 28 (17/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 17-05-2019 03:40:18
แผ่นที่ 28
 

“ทำไมคุณถึงเขียน ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ภีมไม่มีวันจะได้อ่าน”

คำถามของหลงทำให้อัชฌานิ่งงัน
เพราะไม่เคยคิดว่าใครจะถามถึงเหตุผลของการเขียนกับตัวเขาตรงๆ เช่นนี้
แต่นั่นอาจจะเพราะไม่เคยมีใครรู้ว่าสิ่งที่เขาเขียนลงสมุดบันทึกนั้น ไม่ใช่เขียนไดอารี่เพื่อเตือนความจำถึงตัวเขาเองอย่างที่ทุกคนเข้าใจกันไป
ทุกคนอาจจะคิดว่าเขาชอบการเขียน ชอบจดบันทึก และนั่นก็เป็นกำแพงกางกั้นชั้นดีในการไม่ต้องอธิบายรายละเอียดอะไร และด้วยมารยาทก็ไม่มีใครมาขอเปิดอ่านเนื้อหาบันทึกที่ถูกมองเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาอย่างแน่นอน
ทำให้ไม่มีใครเคยถามเช่นที่อีกฝ่ายกำลังถามเขาอยู่เช่นนี้

“เปลี่ยนมาเป็นคำถามอีกแล้ว ทำไมผมต้องตอบคุณหรือคุณหลง คุณติดคำอธิบายกับผมอยู่นะ ลืมไปหรือเปล่า”

“คุณครับ”

“เรียกแบบนี้อีกแล้ว ทำไมกันนะ”

“ผมอยากรู้จักคุณจริงๆ ไม่ใช่คุณที่ผ่านในไดอารี่พี่ภีม ไม่ใช่คุณที่เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ผมอยากรู้จักคุณ คุณที่เป็นคุณ คุณที่อธิบายความเป็นคุณให้ผมเข้าใจ ให้ผมได้เข้าใจคุณได้ไหมครับ”

“เข้าใจไปทำไม”

“จะได้เรียกคุณด้วยชื่อคุณได้อย่างเข้าใจ”

“คุณหลง เราจะคุยกันดีๆ แบบคนทั่วๆ ไปคุยไม่ได้เลยใช่ไหม แบบถามตอบตรงไปตรงมา ไม่ต้องวกไปวนมา เล่นคำ หรือว่าพูดเป็นปรัชญาให้ตีความน่ะ หา”

“นะครับคุณ ให้ผมได้เข้าใจคุณ บอกผมหน่อยว่าคุณคิดอะไร ทำไมถึงเขียน”

อัชฌาถอนหายใจยาวออกมาแรงๆ พร้อมกับทำสีหน้าระอาคล้ายยอมเป็นฝ่ายแพ้
“เฮ้อ สุดท้ายคุณก็ชนะอีกแล้วสินะ”

“ผมไม่เคยคิดเอาชนะคุณ”

“ใช่ ไม่เคยคิด แต่ทำอยู่เสมอ แล้วผมก็แพ้ความรั้นของคุณอีกแล้วสินะ ไม่ว่าจะเรื่องส่งโปสการ์ด มาเรื่องตอบคำถามนี้อีก”

หลงคลี่ยิ้มกว้างให้แก่อัชฌา คล้ายยินดีในการตอบรับข้อเรียกร้องของอีกฝ่าย
.
.
.
บนเรือล่องชมช่องแคบบอสฟอรัสที่มีนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ และภาษาร่วมโดยสารเรือ
อัชฌากำลังยืนอยู่กาบเรือด้านหนึ่งเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศสองทวีปของเมืองจากกลางสายน้ำตามที่หลงชักชวน ราวกับหลอกมาให้ค่าตอบแทนที่เขาพ่ายแพ้ในการต่อรอง
ส่วนคู่กรณีผู้ไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องใด กำลังยกกล้องถ่ายภาพคู่กาย กดชัตเตอร์เก็บภาพเขาราวกับช่างภาพข่าว
“หยุดยิ้ม แล้วก็หยุดถ่ายรูปผมได้แล้ว คุณจะถ่ายอะไรนักหนา คุณถ่ายไม่หยุดจนคนมองเพราะคิดว่าผมเป็นดารามาถ่ายแฟชั่นแล้ว”

“ก็ผมอยากมีคุณอยู่ในความทรงจำ”

“นั่นก็พอก่อน จะจีบอะไรนักหนาคุณ”

อีกฝ่ายชะงักมือที่กำลังจะกดชัตเตอร์ในทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของอัชฌา
“คุณรู้”

“คุณหลงครับ ผมไม่ใช่เด็กประถมนะ ถึงจะไม่รู้ว่าใครคิดกับผมแบบไหน ผมว่าผมก็ไม่เคยแสดงอาการหรือบอกว่าเป็นคนใสขนาดนั้นนะ ผมดูเป็นคนแบบนั้นหรือ”

“คุณเป็นคนน่าสนใจ”

“ผมว่าคุณกับกรนี่นะ บ้าพอกัน คนแบบผมไม่ได้จัดอยู่ในประเภทน่าสนใจอะไรเลย”

“กับกร”

อัชฌาที่สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงขาดความมั่นใจของอีกฝ่ายเมื่อได้เอ่ยชื่อของบุคคลที่สามออกมา จึงได้ชิงอธิบายเรื่องราวให้อีกฝ่ายได้รับฟัง
“ผมบอกกับกรไปแล้ว ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ต่อ ก็ถือเป็นการให้ความยุติธรรมกับเขาด้วย เขาเองก็จะได้ไม่ต้องมาจมอยู่กับผม ผมคิดว่ากับเขา ควรจะเป็นเพื่อน แบบเพื่อนเฉยๆ มีมิตรภาพที่ดีต่อกันนี่ละ ดีที่สุด”

รอยยิ้มกว้างที่ปรากฏบนใบหน้าของหลง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรของวันนี้แล้ว แม้ชวนให้หมั่นไส้อยู่บ้าง แต่อัชฌาก็ว่ามันน่ามอง เพราะคนนิ่งๆ ที่ไม่ค่อยได้ยิ้มกว้างๆ เป็นแบบนี้ก็แปลกตาไม่น้อย
“พอ ไม่ต้องยิ้ม ไม่ได้จะเป็นอะไรกับกร แต่ไม่เคยบอกว่าจะเป็นอะไรกับคุณนะ”

แม้จะเป็นคำพูดที่ดูทำร้ายจิตใจ แต่ทว่า มันไม่ได้ทำลายรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าอีกฝ่ายลงเลย
“บ้าไปแล้วหรือคุณ ยิ้มไม่หุบขนาดนี้”

“ครับ คงบ้าไปแล้ว”

“พอ สรุปเราควรต้องคุยกันต่อให้จบไหม”

“ครับ แล้วแต่คุณเลยครับ”

อัชฌาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง จนในใจคิดว่า เขาคุยกับคนคนนี้ เขาถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้งกันนะ
“ผมเริ่มเขียนไดอารี่ให้พี่ภีมอีกครั้ง ตอนที่รู้ข่าวการจากไปของพี่ภีม คุณก็เห็นแล้วนี่ บ้านที่ผมอยู่น่ะ”

หลงพยักหน้าน้อยๆ ให้อัชฌารู้ว่าเขากำลังตั้งใจฟังทุกคำพูดที่อีกฝ่ายกำลังถ่ายทอดออกมา
“ผมเสียคนสำคัญให้การเดินทางเสมอ ทั้งครอบครัว ทั้งผู้มีพระคุณ ผมชอบบอกว่า ผมเกลียดการเดินทาง เอาจริงๆ ผมก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมเกลียดคือการเดินทางหรือเปล่า หรือผมแค่เอามันมาเป็นผู้ร้ายเพื่อให้รู้สึกดีที่ได้โทษอะไรสักอย่างก็ได้ เพราะจริงๆ ผมสนุกมากนะที่ได้ทำงาน เขียนงานเรื่องการท่องเที่ยว แต่ใจหนึ่งผมก็ไม่ชอบเห็นผู้คนที่รู้จักเดินทาง เพราะว่ากลัวว่าพวกเขาจะไม่กลับมาอีก ตลกดีไหม”

อัชฌาละสายตาจากผืนน้ำที่เพ่งมองระหว่างเล่า หันไปหาคู่สนทนาที่ยังคงจับต้องมาที่เขาตลอดเวลา สบตาอีกฝ่าย แล้วจึงเอ่ยปากว่าเรื่องราวต่อ
“วันที่ผมเสียครอบครัว ผมได้เจอพี่ภีม พี่ภีมสอนให้ผมเขียนเพื่อให้ได้ถ่ายทอดความรู้สึกเพื่อให้ผมดีขึ้น คล้ายๆ เยียวยาละมั้ง เขียนเพื่อแบ่งเบาภาระจิตใจ แต่ตอนนั้นผมยังเด็กมาก เวลาจะเขียนมันก็ไม่ง่ายนักหรอก พี่ชายคุณบอกให้ผมเขียนให้เขาอ่าน ในบันทึกตอนนั้น ทุกๆ วันผมจึงเขียนโดยคิดว่าเป็นเสมือนจดหมายให้พี่ภีมอ่าน พอชีวิตมันเริ่มปรับตัวได้ ยุ่งๆ เรื่องเรียน ยุ่งๆ เรื่องมหาวิทยาลัย มีทั้งเรื่องช่วยแม่ดูแลน้องๆ ในบ้านอีก ตอนนั้นก็ห่างหายการเขียนไดอารี่ไปเลย พี่ภีมก็คงเห็นผมโตแล้ว ดีขึ้นแล้ว ก็ไม่ได้ดูแลเหมือนตอนเด็กๆ คอยมาทวงไดอารี่เพื่ออ่านอะไรอีก”

อัชฌาหยุดเพื่อพักอารมณ์อยู่เพียงครู่ ก็เอ่ยปากเล่าต่อ
“แต่ผมชอบเขียนนะ นั่นน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตผมเลย จนมาทำมันเป็นอาชีพนี่ไง ส่วนเรื่องที่ทำไมกลับมาเขียนให้พี่ภีม ก็คงเพราะตอนนั้น ตอนที่ได้ข่าวพี่คุณหายสาบสูญไป มันเหมือนเรื่องที่ผมเคยกลัวมันวนกลับมาในชีวิตผมอีกครั้ง การเดินทางที่พรากสิ่งสำคัญของผมไป”

มือข้างหนึ่งของหลงละจากกล้อง เอื้อมมาวางบนบ่าของอัชฌาในทันทีที่น้ำเสียงในการเล่าเรื่องเริ่มมีความแผ่วเครือ
“นี่ไง เล่าออกมาแล้วต้องมาสะเทือนใจซ้ำ”

“ผมขอโทษ”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้ารู้สึกผิด อัชฌาจึงซ้ำด้วยการเอ่ยถาม
“ขอโทษแล้วผมไม่ต้องเล่าต่อแล้วใช่ไหม”

“เล่าต่อเถอะครับ”
และเป็นอีกฝ่ายที่ส่งเสียงแผ่วเบาอ้อนวอนออกมา

“ก็นั่นแหละ ชีวิตผมเหมือนหลุดเข้าไปในวงโคจรของบาดแผลในใจเรื่องเดิมๆ เกือบเสียศูนย์ แล้วคุณรู้ไหม จู่ๆ น้องๆ ก็รื้อข้าวของเล่นกัน แล้วไดอารี่ของพี่ภีมที่ผมเคยเขียนก็ถูกรื้อออกมาเล่น พอได้เห็นไดอารี่ปุ๊บ ผมก็คิดไปว่า พี่ภีมกำลังมาเตือนผมอย่างไรอย่างนั้นเลย ว่าห้ามหยุดอยู่กับที่เหมือนอย่างเคย ผมในวันนี้ไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่มีที่พึ่ง ช่วยเหลือดูแลตัวเองไม่ได้อีกแล้ว หลังจากวันนั้น ผมก็เริ่มเขียนไดอารี่ถึงพี่ภีมอีกครั้งอย่างที่คุณเห็นนั้นล่ะ”

“สรุปคือ คุณไม่ได้หลงรักพี่ภีมใช่ไหมครับ”

อัชฌาหันขวับ และจ้องสบไปยังสายตาของผู้ถาม แล้วก็ขึ้นเสียงหนักใส่คำถามที่ส่งกลับ
“เดี๋ยวนะ นี่คุณให้ผมเล่าให้ฟังตั้งมากตั้งมาย คุณสงสัยแค่นี้น่ะหรือ”

หลงแสร้งหลบสายตาลงต่ำ ไม่ได้ตอบคำถาม และก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
แต่เป็นอัชฌาเองที่เห็นรอยแดงปรากฎขึ้นที่บนใบหน้า ลามยาวไปถึงใบหู

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน สรุปความสงสัยขนาดตามอ่านไดอารี่ของเขามาตั้ง 6 ปี ตามหาเขา แล้วก็ตามจีบแบบแปลกๆ เพียงต้องการจะรู้แค่ว่า เขาแอบชอบพี่ภีมหรือเปล่าเนี่ยนะ   
คนๆ นี้นี่มัน สมควรถีบลงแม่ทะเลดำให้มันจมลงไปดีกว่าไหมนี่

**********************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ
เดี๋ยวมาคุยเรื่องแมวๆ ต่ออีกนิด แล้วกลับบ้านกันเถอะนะ อยู่ต่างประเทศนานมันเปลืองเงิน

ฝาก #คุณโปสการ์ด ต่ออีกนิดนะคะ จะจบแล้วววววว
มีคอมเม้นต์ ติชม และฝากกันช่วยติดตามทวิตได้ที่ https://twitter.com/PlusOneNovel นะคะ
 
ปล. มีไปเขียนเรื่องสั้นไว้ 1 เรื่อง ชื่อเรื่อง “กลับบ้าน” (ตอนเดียวจบ) ถ้าว่างๆ ฝากลองไปอ่านกันดูได้นะคะ
ที่นี่เลยจ้า https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70306.msg3974535#msg3974535
 
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 28 (17/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 17-05-2019 04:37:09
คุณหลงชักแม่น้ำมา5สายแต่อยากรู้แค่อย่างเดียว  ถามตรงๆก็จบป่ะ​ 55
แต่ก็เป็นคำถามที่คาใจเราเหมือนกันนะว่าคุณเค้าคิดยังไงกะภีม
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 28 (17/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 17-05-2019 08:29:30
ใจเย็นมากมายเลยนะคุณหลง
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 29 (22/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 22-05-2019 10:41:42
แผ่นที่ 29


“คุณหลงมาพอดี จะได้เอานี่กลับไปด้วย”
พี่มลหยิบกองโปสการ์ดจำนวนหนึ่งยื่นให้แก่ชายหนุ่มทันทีที่สังเกตเห็นเขาเดินเข้ามาในบริเวณแผนก

“ทำไม”
 
“เปล่าๆ ไม่ใช่อัชไม่รับ แต่ไม่อยู่รับแล้วต่างหาก”
 
“...”
 
“ก็อัช เขาลาออกไปแล้ว ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าอัชมันไม่ได้บอกอะไรเลยใช่ไหมเนี่ย”
 
“ครับ” ตอนนี้หลงที่ยื่นมือไปรับโปสการ์ดกลับมา ได้แต่ยังคงยืนนิ่ง จนพี่มลเอ่ยถาม
 
“คุณหลง เป็นอะไรไปหรือเปล่า ยืนเหม่อเชียว”
 
หลงส่ายหน้าให้กับอีกฝ่าย ก้มหน้ามองเหล่าแผ่นโปสการ์ดในมือแล้วก็ได้แต่ตอบกลับเพียงแค่สั้นๆ
“ขอบคุณครับ”
 
พี่มลที่เหมือนจะสังเกตท่าทางของเขาได้ไม่ยากนัก หลังจากยิ้มตอบแล้ว เมื่อเห็นหลงไม่ได้พูดอะไรออกมา พี่มลก็ไม่ได้พูดหรือซักถามอะไรเพิ่มเช่นกัน แล้วกลับสู่ความสนใจกับงานตรงหน้า โดยไม่ได้แสดงความสนใจใดๆ กับหลงอีก
.
.
.
“พี่ก้องครับ อัชฌาลาออก”
หลงพูดกับพี่ชายคนสนิททันทีที่เปิดประตูเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของอีกฝ่าย

“เฮ้ย อะไรอีก แกอย่ามามองพี่แบบนั้น พี่ไม่รู้แล้วจริงๆ อัชฌามันลูกน้องโดยตรงของเก๋ ไม่ใช่ของพี่ ลาออกก็ไม่ต้องมาลากับพี่ แล้วพี่ก็ไม่ใช่ HR ไม่รู้เรื่องจริงๆ เว้ย“
 
“ทำไม เขาถึงไป”

“เอ้า แล้วมาถามพี่แล้ว พี่จะถามใครต่อ แกนี่ก็แปลก สรุป พี่ช่วยไปขนาดนั้น สนับสนุนขนาดค่าตั๋วเครื่องบินก็ออกให้แล้ว ล่อหลอกจนอีกฝ่ายก็ตามไปขนาดนั้น ทำไมถึงออกมาเป็นอีหรอบนี้อีกวะ แล้วถามคนในฝ่ายทางนั้นเขาไหม ว่าอัชมันลาออกไปไหน”
 
“ไม่ได้ถามครับ”
 
“เอ้า ไม่ถามแล้วจะได้รู้ไหม”
 
“ผมไม่แน่ใจว่าเขาอยากให้รู้ เขาไม่ได้พูดอะไรกับผมเลย”
 
“เขาไม่ได้พูด หรือว่าไม่รู้จะพูดตอนไหน หรือจริงๆ พูดไปแล้วแต่แกไม่เข้าใจ เอ้า ทำหน้าหมาหงอยอีก แกมันก็เป็นซะแบบนี้ แล้วจะเอาไงต่อ”
 
“ไม่ทราบครับ”
หลงตอบพี่ก้องเพียงเท่านั้น ตอนนี้เขาคงตอบได้เพียงเท่านี้จริงๆ เพราะไม่เข้าใจเลยว่า เรื่องที่มันเป็นเหมือนหมอกควันในใจของอีกฝ่ายก็ได้คลี่คลายหมดแล้ว สิ่งที่เขาควรจะเล่าก็ได้เล่าให้อีกฝ่ายฟังไปหมดแล้ว อีกฝ่ายเสียอีกที่ยังไม่ได้ตอบคำถามในสิ่งที่เขาถามไว้เลย
ก่อนที่จะกลับมา หลายวันที่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดูเหมือนจะได้คุย ได้เรียนรู้ และรู้จักกันและกันมากขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเพราะอะไร ทำไมอีกฝ่ายถึงมาลาออก แล้วหายหน้าไปจากเขา
.
.
.
“วันนี้เป็นอะไรไปลูก หน้าตาไม่สดชื่นเลย เหนื่อยจากการเดินทางหรือเปล่า”
 หลงส่ายหน้าให้กับมารดา แล้วพยายามยิ้มบางๆ กลับให้อีกฝ่ายคลายความกังวล

พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบของพี่ภีม และถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาเดินทางกลับมาอยู่กับครอบครัวในช่วงเวลานี้เสมอ
ถ้าเป็นปีก่อนๆ วันนี้จะเป็นวันหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญและตื่นเต้นกับการได้เจอกับสมุดบันทึกของพี่ภีม แต่วันนี้ อัชฌาลาออกจากงานไปแล้ว โดยที่เขาก็ไม่กล้าถามว่าอีกฝ่ายไปอยู่ที่ใด
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่แล้วเช่นนี้ วันนี้ของปีนี้ จากที่เคยกระตือรือร้นที่จะไปสุสานมาตลอด 7 ปี กลายเป็นความเฉื่อยชาไปเสียดื้อๆ  ใจมันก็พาลไม่อยากลุกไปทำหน้าที่เตรียมพื้นที่ทำความสะอาดที่สุสานเช่นเคย เพราะคนที่เขารอ ไม่รู้ไปอยู่เสียที่ไหนแล้ว
.
.
.
“แล้วจากนี้ จะยังต่อดี”

เสียงอัชฌาที่เอ่ยถามขึ้นมา ทำให้หลงเงยหน้าขึ้นจากการหลบหน้าคู่สนทนาหลังจากเรื่องเล่าทั้งหลายได้จบลง
ใช่ ตอนนี้เขาได้รู้หลายๆ เรื่องที่ค้างคาใจ และไม่เคยกล้าเอ่ยถาม แต่ความกล้ามันกลับเกิดขึ้นในวันที่อีกฝ่ายเดินทางมาหาเขา

“ก็จบยัง เรื่องสงสัยของคุณต่อเรื่องของผมน่ะ”

“ครับ”

“ดี งั้นตาคุณบ้างละ มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม”

หลงนิ่งไปสักพัก แล้วก็ส่ายหน้าแทนคำตอบให้อีกฝ่าย
อัชฌาถอนหายใจใส่คู่สนทนาอีกครั้ง
“คุณนี่นะ มันก็เป็นซะอย่างนี้ แน่ใจในคำตอบแล้วนะ ว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้วน่ะ”
.
.
.
ขณะที่ในใจนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับอัชฌาไปพลาง ซึ่งทบทวนดูอย่างไร เขาเองก็ไม่เข้าใจถึงเหตุผลของการลาออกและหายหน้าไปของอัชฌาอยู่ดี
ส่วนร่างกายก็กำลังเดินฝ่าแสงแดดจ้า เพื่อไปยังที่พำนักของพี่ชายด้วยจิตใจหดหู่ แกมอ่อนล้า

แต่เมื่อสายตาที่มองตรงไปยังหน้าพื้นที่หน้าป้ายหินสีขาวได้สะดุดเข้ากับบางสิ่งที่เขาแสนคุ้นเคย ทำให้ขายาวสาวเท้าก้าวเดินให้เร็วขึ้น
ไดอารี่ของพี่ภีม กำลังวางอยู่ที่เดิมที่แสนคุ้นเคย
ในใจหนึ่งเขาก็คิดสงสัย ว่าเหตุใดจึงมีไดอารี่อีก ส่วนอีกใจกลับคิดยินดี เพราะการที่มีบันทึกมาวางเช่นนี้ แสดงว่าอัชฌาไม่ได้จากไปไหนไกล
 
และเมื่อหลงก้มลงหยิบ และเปิดมันขึ้นอ่าน  สิ่งที่เขาได้เห็น ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดว่าจะได้เจอ
ตัวอักษรที่เรียงร้อย ยังคงเกิดจากลายมือสละสวย บรรจงเขียนด้วยความเป็นระเบียบ และขึ้นต้นด้วยคำว่า “พี่ภีมครับ”
หลงพลิกมันอ่านทีละหน้า ทีละหน้า ข้อความในนั้นยังเป็นเช่นทุกปี คือเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน เหตุการณ์ และผู้คน

หลงที่ยังคงไล่เปิดอ่านไปเรื่อยๆ จนมาถึงบันทึกหน้าหนึ่ง
ใจที่กำลังจดจ่อกับการอ่าน พลันเต้นแรงขึ้น
สิ่งที่เขากำลังอ่าน กำลังเห็น เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็น
บันทึกที่มีวันที่ลงไว้นั้น ทำให้เขาได้รู้ว่า มันมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น เริ่มต้นในวันหลังจากการเดินทางกลับมาของอัชฌา
วันที่ เดือน ปี และตามด้วยเหตุการณ์ กิจกรรมที่ทำ และผู้คนที่ได้พบ ยังคงเป็นอัตลักษณ์ของผู้บันทึก
วิธีเล่าเรื่องราว ตลอดไปจนถึงการเขียนข้อความ ใส่ความเห็นสั้นๆ ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรแตกต่าง

สิ่งที่ต่างไปมากที่สุดก็คือ ประโยคขึ้นต้นที่ไม่มีพี่ภีมอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “คุณโปสการ์ด”

หลงรู้สึกว่า มือของตนที่กำลังถือบันทึกกำลังสั่น ยิ่งอ่านไปมากเท่าใด ทั้งใจและมือ กลับรู้สึกหวั่นไหว สั่นเทามากขึ้นเท่านั้น
แม้จากวันที่มีความเปลี่ยนแปลงคำขึ้นต้น จนถึงวันนี้ จะมีบันทึกเพียงไม่กี่หน้า ไม่กี่วัน แต่มันกลับทำให้หลงที่อ่านไป มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้ากว้างขึ้น กว้างขึ้นทุกที
จนมาถึงหน้าสุดท้าย ที่การขึ้นต้นบันทึกยังคงเป็นคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปจากชื่อพี่ชายที่อยู่ตรงหน้า

คุณโปสการ์ด

อ่านมาถึงตรงนี้ ให้ผมเดานะ ตอนนี้คุณคงกำลังสงสัยล่ะสิว่าทำไมผมลาออก หรือผมหายไปไหน
และผมก็ให้ผมเดาอีกนะ ว่าคุณคงไม่ได้ถามใครที่แผนกผม ทั้งๆ ที่วิธีหาคำตอบของความสงสัย มันง่ายแสนง่าย แต่คุณเองชอบทำให้มันยากไปเอง
แต่ก็นั่นละนะ ถ้าทำอะไรง่ายๆ มันก็คงขาดเสน่ห์ความเป็นคุณไป

ว่าไงคุณภัทรชนน
ตอนนี้ผมหาคำตอบในสิ่งที่ผมสงสัยได้หมดแล้ว แล้วคุณล่ะ ไม่มีข้อสงสัย หรือคำถามอะไรเหลืออยู่จริงๆ หรือ

ออ เรื่องหนึ่ง คุณเคยพูดกับผมเรื่องเวลา
ผมว่าผมคิดต่างจากคุณนะ
ในบันทึกของผม ต่างจากโปสการ์ดของคุณ ตรงมันมีเวลาประทับอยู่เสมอ เพราะความทรงจำของผมมีอดีต ปัจจุบัน และจะมีอนาคต
เวลาของผม มันอาจจะเคยเป็นของพี่ภีม เป็นของกร หรืออาจจะเป็นของคุณ นั่นขึ้นอยู่กับคำถามที่คุณจะตั้งเพื่อหาคำตอบแล้วล่ะ

คราวนี้ เป็นเทิร์นของผมบ้างแล้ว

“คุณคิดว่าแมวมันอยากจะอยู่ หรืออยากจะกลับบ้านไปกับเรือที่มันมา มันคิดถึงอยากกลับบ้าน หรือว่ามันดีใจแล้วที่ได้เดินทาง”

อัชฌา

******************************************
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านเช่นเคยนะคะ
มีเรื่องที่ยังสงสัยที่โปสการ์ดเปลี่ยนไปใช่ไหมคะ แต่บางคนน่าจะเดาได้แล้วเนาะ แต่ให้ดีมาฟังอัชฌาเล่าในตอนหน้าที่กำลังจะจบก็ได้ค่ะ ^^

มีคอมเม้นต์ ติชม และฝากกันช่วยติดตามทวิตได้ที่ https://twitter.com/PlusOneNovel นะคะ
 
ปล. มีไปเขียนเรื่องสั้นไว้ 2 เรื่อง ชื่อเรื่อง “กลับบ้าน” กับ “เหงา” ถ้าว่างๆ ฝากลองไปอ่านกันดูได้นะคะ
ที่นี่เลยจ้า >> จิ้ม >> กลับบ้าน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70306.msg3974535#msg3974535)

>> เหงา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70331.msg3975194#msg3975194)



หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 29 (22/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 22-05-2019 12:24:15
ถึงเวลาต้องเลือกแล้วแหล่ะคุณหลงว่าอยากมีอนาคตกับตัวเอง กับคนอื่น หรือกับอัชฌา
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 29 (22/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 23-05-2019 12:21:45
เอาแร้วววววว โดนเองแร้วววว
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 30 (31/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 31-05-2019 11:14:55
แผ่นที่ 30


สิ่งแรกที่อัชฌาคิดว่าจะทำหลังจากกลับมาก็คือ จัดการเรื่องค้างคาในใจอีกหนึ่งเรื่อง และนั่นคือเหตุผลที่เขาเดินมาเคาะประตูห้องของหัวหน้าใหญ่ของแผนกช่างภาพอยู่ในตอนนี้

“พี่ก้องครับ”


“อ้าว อัช ว่าไง มีธุระอะไรกับแผนกพี่หรือเปล่า”


“ไม่มีกับแผนกพี่ครับ” อัชฌาตอบอีกฝ่าย ขณะที่มือดึงประตูห้องให้ปิดลงแล้ว “แต่มีกับพี่”


คู่สนทนาที่กำลังจะตกเป็นจำเลยในการซักไซ้ของเขา ละมือจากกองภาพที่อยู่ตรงหน้า สบสายตากลับมาโดยที่ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านกับการเปิดบทสนทนาด้วยท่าทีคุกคามของอัชฌาแต่อย่างใด อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากยังไม่พอ ยังแถมด้วยการถามเอ่ยเย้ากลับมา

“มีกับพี่งั้นหรือ อืม เกี่ยวกับโบนัสตั๋วเดินทางพักร้อนหรือเปล่าล่ะ แมวที่นั่นน่ารักไหม แล้วว่าแต่ เจอแมวที่ตามหาอยู่หรือเปล่าล่ะ”


“พี่ก้องครับ ผมขอร้อง ผมปวดหัวกับความเจ้าปรัชญา สำบัดสำนวน วกไปวนมาของลูกน้องพี่คนหนึ่งแล้ว กว่าจะได้รู้เรื่อง ผมเหมือนจะใช้ความพยายามไปทั้งชีวิตที่จะเข้าใจ ถ้าพี่ก้องจะกรุณาช่วยตอบคำถามผมอย่างตรงไปตรงมา ผมจะขอบคุณมาก”


“ฮะๆๆ นี่แสดงว่าคุยกับเจ้าหลงรู้เรื่องแล้วงั้นสิ ถ้าคุยรู้เรื่องแล้วทำไมกลับมาคนเดียว นี่พี่คาดหวังความก้าวหน้านะ น้องชายพี่ลงทุนเป็นพระรองที่แสนดีขนาดนั้นแล้ว ไม่มีอะไรอัพเดทพี่หน่อยหรือ”


อัชฌารู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตัวเองกำลังเปลี่ยนเปลี่ยนจากราบเรียบเป็นกรุ่นๆ และพร้อมที่จะเปลี่ยนสถานะเป็นจุดเดือดที่อุณหภูมิของห้องในไม่ช้า

ทำไมกันนะ ไม่ว่าจะหลง หรือพี่ก้องก็ตาม คนพวกนี้ชอบทำตัวยึกยัก ทำเหมือนรู้ทุกอย่าง เห็นทะลุปรุโปร่งกับทุกเรื่อง แล้วก็ปิดบังนั่นนี่ ทำเรื่องง่ายๆ ให้มันยุ่งยาก ไม่ถามก็ไม่ตอบ ไม่ซักไซร้ ก็แสร้งทำไม่รู้ เหมือนต้องการจะให้เขาเล่นบทนักสืบให้คอยหาคำตอบทุกอย่างด้วยตัวเอง สนุกที่จะเล่นกับความรู้สึกอึกๆ อักๆ ของคนอื่นกันเสียเหลือเกิน


“พี่ก้องครับ ผมขอร้อง ถ้าพี่ไม่เล่าเรื่องที่ผมควรรู้มาดีๆ จะมาหาว่าผมไม่เกรงใจพี่ไม่ได้นะ”


อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่สีหน้าไม่ได้แสดงความแปลกใจอย่างจริงจังเอาเสียเลย

“บอกอะไรกัน แล้วพี่รู้อะไรกัน”


สิ่งที่ตอบมา เรียกได้ว่า ไม่ได้ต่างจากที่อัชฌาคิดสักเท่าใดนัก และเมื่ออีกฝ่ายตอบมาเช่นนั้น ไม้ตายในฐานะลูกรักของบก. เดอะแมกกาซีนก็ควรจะถูกหยิบเพื่อใช้ตอบโต้

“พี่จะไม่เล่าจริงๆ ใช่ไหม ได้ครับ งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะอยู่ที่นี่อีก นี่ครับ ใบลาออกของผม ผมขออนุญาตลาออกกับพี่ก้องในฐานะผู้บริหารอีกคนเลยก็แล้วกันนะครับ ฝากพี่ก้องเรียนแจ้งพี่เก๋ด้วย ขอบคุณครับ”


นอกจากซองจดหมายสีขาวที่เตรียมมาไว้จะถูกหยิบมาวางบนโต๊ะแล้ว พอสิ้นคำ อัชฌาก็ทำท่าหมุนตัวหันหลังกลับ และในขณะที่จะเอื้อมมือไปจะลูกบิดประตูเพื่อจากไป เสียงร้องของคู่สนทนาที่แสดงท่าทีเหนือกว่าเมื่อครู่ก็ส่งเสียงดังขึ้นเพื่อขัดจังหวะการกำลังจะจากไปของเขา

“เฮ้ยๆๆๆ เดี๋ยว อัช ใจเย็นก่อน”


อัชฌาชะงักมือที่ลูกบิด ขณะที่ยังไม่ได้หันหน้ากลับไป และสิ่งที่พี่ก้องไม่มีโอกาสได้เห็นก็คือ แววตาเป็นประกาย และรอยยิ้มที่ยกขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมันหายวับไปจากใบหน้าทันทีที่อัชฌาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคู่กรณีของเขาอีกครั้ง


ขณะในใจก็มั่นใจในชัยชนะที่เขากำลังจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ‘ตอนนี้บทมันเปลี่ยนแล้วครับพี่ก้อง เทิร์นของผม ผมจะไม่ยอมเสียเวลากับความติสท์แตก วกวนของพี่หรือของลูกน้องพี่ทั้งนั้น’

อัชฌาก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายบ่นอุบ

“อะไรวะ ให้ไปพักร้อนแปบเดียว พัฒนาความสามารถด้านการต่อรองแบบก้าวกระโดดเลยหรือ”


“พร้อมจะตอบคำถามผมหรือยังครับ”


“เออๆ แล้วเก็บไปเลยนะใบลาออกนี่อะ เก๋รู้ว่าอัชลาออกเพราะพี่ มีหวังมันโวยพี่หูแตก”


อัชฌายิ้มและเลิกคิ้วใส่อีกฝ่าย

“มันขึ้นกับพี่ก้องแล้วละครับ ว่าจะตอบคำถามผมดีๆ ได้หรือยัง”


อีกฝ่ายถอนหายใจยาวออกมาและเริ่มขยับพูด

“แล้วหลงมันเล่า ยังรู้ไม่ครบอีกหรือ”


“เขาบอกว่า เขาไม่ได้พิมพ์โปสการ์ด แต่ภาพในนั้นเป็นของเขา มาคิดๆ ดู ในสำนักงานนี้ จะมีใครที่อยากจะยุ่งเรื่องนี้ หรือจะมาสนใจเรื่องโปสการ์ดที่ส่งหาผม และรู้ด้วยว่าเป็นโปสการ์ดของใคร”


อัชฌานิ่งไปเล็กน้อย ขณะเปลี่ยนสายตาให้แข็งกร้าวขึ้นและสบตรงไปที่คู่สนทนาที่เขากับไล่เรียง

“นอกจากพี่”


“ก็นะ”


“ก็นะ อะไรครับ สรุปพี่ทำอะไร”


“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกฝ่ายออฟฟิตว่าให้เอาโปสการ์ดที่ส่งถึงอัชมาส่งที่พี่ก่อน แล้วก็เอาข้อความพิมพ์ลงกระดาษแปะทับลายมือมันในโปสการ์ดช่วงหลังๆ ให้อัชเท่านั้นล่ะ”


นี่สินะ เจ้าแผนการตัวจริง ที่เขาละเลยไป

“แล้วพี่ก้อง จะทำอย่างนั้นทำไมครับ”


“ก็มันน่ารำคาญ”


“รำคาญอะไรครับ”


“รำคาญเจ้าหลงก็ส่วนหนึ่ง รำคาญการไม่พัฒนาอะไรขึ้นเลยของเรื่องของอัชก็ส่วนหนึ่ง พี่คิดว่านะ ถ้าภีมมันยังอยู่ มันก็ทำแบบพี่นั้นล่ะ”


ชื่อที่ไม่คาดว่าจะมาอยู่ในเรื่องราวที่พี่ก้องเอ่ยถึงทำให้อัชฌาชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็ไม่พ้นสายตาคนมากประสบการณ์จับสังเกต

“เอ้า สรุป นี่เจ้าหลงมันไม่ได้เล่าหรือว่าพี่เป็นอะไรกับไอ้ภีม”


“ไม่ครับ”


“เวร สรุปรู้เรื่องอะไรมาบ้างละนี่”


“ก็รู้แค่เขาเป็นน้องพี่ภีม และเก็บสมุดบันทึกของผมที่เขียนถึงพี่ภีมไว้ เลยอยากรู้จักผมครับ”


“ไอ้เชี่ยหลง เมื่อไรมันจะอธิบายอะไรให้มันจบๆ นะ”

เห็นพี่ก้องสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด อัชฌาก็ไม่ได้แสดงความเห็นใจหรือหยุดการซักถาม


“ไม่ต้องไปหวังพึ่งคนๆ นั้นละครับ พี่ก้องนั่นแหละอธิบายมา สรุปพี่รู้จักพี่ภีมหรือยังไง แล้วพี่ทำอะไรอีก”


“ไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ ทำแค่นั้นแหละ”


“แล้วทำไมพี่รู้จักพี่ภีม”


“รู้จักมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาลละ พี่ก็เลยเจอหลงมันมาตั้งแต่เกิด หลงมันก็เลยเหมือนน้องพี่อีกคน ดูแลมันมาตั้งแต่เด็กกับภีม พี่ชายมันนั่นแหละ”


“แล้วไงต่อครับ”


“ก็ไม่แล้วไง ก็มันอะคอยตามหาคนเขียนบันทึกให้พี่มัน พอเจอก็ไม่กล้าทัก พอรู้จักก็ไม่กล้าออกมาเจอ พี่ก็แค่ช่วยให้ได้คุยกัน ทำงานด้วยกัน แต่เพราะมันเป็นคนแบบนั้นไง พอจะจีบก็เหมือนเด็กป.4 เขียนจดหมายหาเพื่อน เขียนโปสการ์ดบ่นขิงบ่นข่าเชี่ยไรก็ไม่รู้ เมื่อไรมันจะพัฒนา พอครั้งนึงที่มันเจ็บมือ แล้วมันให้คนพิมพ์ข้อความแปะโปสการ์ดมันส่งมา พี่ก็เลยคิดได้ว่า ต้องลองทำอะไรสักอย่างละ เรื่องของเราจะได้จบๆ เสียที”


“พี่ก็เลยเปลี่ยนข้อความบนโปสการ์ด”


“อย่าเรียกว่าเปลี่ยน ปกติมันเขียนอะไรมาก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอยู่ละ ทำอะไรนิดหน่อยให้อัชสังเกตก็ไม่ใช่เรื่องยาก”


“พี่มั่นใจได้ไงว่าผมจะสนใจ”


“อัชฌาเอ้ย ดูถูกพี่ว่ะ”


อัชฌาไม่เข้าใจคำปรามาสของอีกฝ่าย จึงเลือกความเงียบเป็นการโต้ตอบ เพื่อให้อีกฝ่ายอธิบายความเข้าใจเพิ่มเติมแก่เขาเอง


“นี่ใครครับ ลูกชายคนโตเจ้าพ่อวงการสื่อไหมครับ ความสามารถในการมองคนไม่ได้ได้มาเพราะโชคนะครับ แต่มันอยู่ในพรสวรรค์”


“ผมว่าความสามารถในการยุ่งเรื่องชาวบ้านแบบนี้ ไม่ต้องมีก็ได้ครับพี่” คำโต้ตอบเจ็บแสบของอัชฌาที่เขารู้ว่าพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่มีทางขุ่นเคือง ก็ถูกตอบรับด้วยเสียงหัวเราะในทันที


“เถอะน่า ผลก็ออกมาดีไม่ใช่หรือไง อัชกับหลงก็ลงเอยกันในที่สุด ถึงกรมันจะอกหัก แต่ก็ไม่เป็นไร ความรักก็งี้พี่เข้าใจ”


อัชฌาหน้านิ่งให้กับข้อสันนิษฐานนั้น พร้อมถามกลับในทันที

“ใครบอกพี่ก้องครับ ว่าผมกับเขาลงเอยกัน”


“เชี่ย อะไรอีก ขนาดนี้ยังไม่ลงเอยอีกหรือ พี่ว่าพี่ก็มองไม่ผิดนะ ว่าเราสองคนก็น่าจะใจตรงกัน”


“ก็อาจจะครับ แต่ไม่ลงเอย”


“อะไรของแก นี่อัชติดเชื้อมึนมาจากหลงมันหรือไง หมายความว่าไง”


“ไม่ต้องห่วงครับพี่ก้อง ไว้น้องรักพี่ก้องเรียนรู้ที่ตั้งคำถามให้ตรงประเด็นเมื่อไร ผมก็จะตอบคำถามนั้นเมื่อนั้นแหละครับ”


“คำถามอะไร”


“พี่ก้องไม่ต้องทราบตอนนี้หรอกครับ แต่ผมมีเรื่องจะขอ”


“ขออะไร”


“รับปากมาครับ ว่าผมขออะไรก็จะทำ อย่างน้อยพี่ก็ควรจะต้องไถ่โทษที่มายุ่งเรื่องของผมใช่หรือเปล่า”


“พูดขนาดนี้คือพี่ต้องรับปากใช่ไหม”


“ใช่ครับ รับปาก และสัญญามาด้วยว่าตั้งแต่นี้ จะไม่เข้ามาแทรกแซง ไม่เข้ามาช่วย ถ้าเขามาถามอะไรพี่ พี่ก็ต้องปล่อยให้เขาพยายามคิดและจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองเขาเอง ไม่ต้องไปมาตามห่วง และสำคัญที่สุดไม่ต้องให้คำปรึกษาอะไรเขาอีก ได้ไหมครับ”


“ขนาดนั้นเลย เอาเถอะ คิดจะทำอะไรพี่จะไม่ถามแล้ว แต่อัช พี่ขออย่างหนึ่งเถอะ หลงมันอาจจะวิธีคิดไม่เหมือนใครอยู่บ้าง บางครั้งเรื่องง่ายๆ มันทำให้ยากเพราะระบบคิดมันอาจจะซับซ้อนไป แต่มันไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นหรอก เข้าใจมันเยอะๆ ให้โอกาสมันเยอะๆ หน่อยนะ”


อัชฌาพยักหน้าน้อยๆ คล้ายจะเข้าใจในสิ่งที่พี่ใหญ่ตรงหน้าต้องการสื่ออสาร

“ผมไม่ได้จะทำอะไรให้ยาก แต่จะทำอะไรให้ง่ายต่างหาก คนๆ นี้ต้องเรียนรู้ที่จะทำอะไรให้ง่าย ทำอะไรให้ตรงไปตรงมาบ้างเท่านั้นครับ เมื่อไรที่เขาลองหัดทำอะไรให้ง่ายๆ คิดอะไรให้ง่ายๆ ทำอะไรให้ตรงไปตรงมา ไม่ต้องวุ่นวายซับซ้อน เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ง่ายเองนั่นแหละครับ”


และนั่นคือทั้งหมดที่เขาจะลงมือทำสั่งสอนให้คนชอบคิดซับซ้อนได้ลองทำอะไรตรงไปตรงมาแบบง่ายๆ บ้างละ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถจัดการที่ปรึกษาที่ดูจะเป็นปัจจัยเสริมความซับซ้อนของอีกฝ่าย และของความสัมพันธ์นี้ออกไปได้ละ ส่วนระหว่างพวกเขาก็คงต้องมาลองดูกันสักตั้งว่าต่อจากนี้ การสั่งสอนให้อีกฝ่ายลองทำเรื่องง่ายๆ จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปได้แค่ไหน





************

จบเนื้อหาของแผ่นที่ 30 ตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ เดี๋ยวมันจะยาวกว่าตอนอื่น ตัดไปจบอีกตอนละกันนะคะ


มีเรื่องจะอวดนิดนึง คือ หลังจากตัดสินใจอยู่หลายวัน ก็ได้ติดต่อนักวาดที่ชอบงานเค้าคนนึงไป เพราะอยากมีภาพให้ #คุณโปสการ์ด และเขารับวาดด้วยอ่า ดีใจจัง (p〃д〃q) เพราะงั้นก่อนเรื่องนี้จะจบ อาจจะได้เห็นภาพประกอบนั้น หรือไม่ก็อาจจะเห็นหลังจากจบแล้วก็ไม่รู้ค่ะ (ฮา) ถือเป็นที่ระลึกสำหรับตัวเราเอง จริงๆคิดจะเอาภาพนั้นทำโปสการ์ดส่งกลับไปให้คนอ่านด้วยเลย ไม่คิดเหมือนกันค่ะ ว่าจะมีคนมาอ่านจนถึงวันนี้จำนวนเกินร้อย ดีใจสุดๆ จะอยากได้โปสการ์ดที่ไม่ลงชื่อกันบ้างหรือเปล่าคะ ไปบอกกล่าวกันได้ที่ทวิต ก็ได้น้า >>https://twitter.com/PlusOneNovel
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 30 (31/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 31-05-2019 12:27:08
 :mew1:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 30 (31/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-06-2019 07:44:45
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นที่ 30 (31/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 01-06-2019 10:15:43
แจ่มมากจ้าอัชฌา
หัวข้อ: #คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: plusoneproject ที่ 09-06-2019 02:20:10
แผ่นสุดท้าย


“พี่อัช มีคนมาหาครับ”
เสียงร้องเรียกขึ้นจากเจ้าหน้าที่คนหนึ่งทำให้อัชฌาละจากกิจกรรมเล่านิทานที่กำลังดำเนินอยู่ร่วมกับเด็กๆ สมาชิกของค่ายพักผู้อพยพแห่งนี้ แล้วถามไถ่กลับไป
“ใครหรือ”

“ไม่ทราบครับ แต่หัวหน้าให้เขาไปรออยู่ที่เต้นท์พักของพี่ แล้วให้มาบอกพี่นี่ล่ะครับ”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปดูเอง ขอบคุณครับ”
แม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่เพราะว่าตั้งแต่มาเริ่มงานที่นี่ในฐานะครู และเจ้าหน้าที่ด้านกิจกรรมเด็ก ทำให้มีแขก ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานส่วนกลาง หรืออาสาสมัครจากที่ต่างๆ มาติดต่ออยู่เสมอ อัชฌาจึงไม่ได้สนใจไถ่ถามข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมอีก เพียงแต่หันไปแจ้งยุติกิจกรรมกับเด็กๆ ที่กำลังนั่งรายล้อมอยู่
“งั้นวันนี้ เราพอแค่นี้ก่อนนะทุกคน เดี๋ยวพี่อัชไปพบแขกก่อน”

ก่อนเสียงตอบรับด้วยการขอบคุณจากสมาชิกรุ่นจิ๋วทั้งหลายจะดังขึ้นเช่นทุกครั้ง และวงกิจกรรมก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
อัชฌายิ้มน้อยๆ มองส่งสมาชิกของห้องเรียนกลางแจ้งที่วิ่งจากไป แล้วจึงเก็บข้าวของต่างๆ เพื่อกลับเต็นท์ที่พักเพื่อไปพบแขกตามที่ได้รับแจ้ง
.
.
.
“พล แขกพี่อยู่ที่ไหนล่ะ ไม่เห็นเจอใครเลย”
อัชฌาที่ยืนอยู่หน้าเต็นท์ของตัวเอง ตะโกนร้องถามเจ้าหน้าที่ผู้มาแจ้งข่าว เมื่อพบว่าไม่มีแขกรออยู่ตามที่อีกฝ่ายบอก

“ไม่ทราบครับพี่ เมื่อกี้ผมพาเขามาที่นี่แล้ว หรือเขาออกไปเดินเล่นรอบๆ นี้หรือเปล่า”

“งั้นหรือ หรืออาจจะไปคุยธุระกับคนอื่น พลจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ เดี๋ยวพี่นั่งทำงานรออยู่นี่แหละ”

เมื่อคู่สนทนาจากไปแล้ว อัชฌาหมุนตัวกลับเข้าด้านในของเต็นท์ที่พักชั่วคราว เพื่อไปจัดการเตรียมกิจกรรมต่างๆ แก่สมาชิกรุ่นจิ๋วของค่ายแห่งนี้อย่างเคย
บนกระดานไม้ที่เต็มไปด้วยกระดาษแปะ ทั้งผลงานของเด็กๆ ที่สร้างสรรค์เป็นภาพวาด และชิ้นงานต่างๆ ทั้งกระดาษโน้ตที่ตัวเขาเองทำไว้เพื่อบันทึกลักษณะกิจกรรมที่จะใช้เพื่อเสริมทักษะ และสร้างการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสมาชิกในช่วงวัยต่างๆ ของค่ายแห่งนี้
แล้วอัชฌาที่กำลังหยิบกระดาษโน้ตสีสดเขียนบันทึก เพื่อแปะลงไปบนบอร์ดก็ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งเรียกขึ้นมาด้านหลัง
“คุณครับ”

แม้ได้ยินเสียงนั้น ก็ม่ได้เลือกที่จะหมุนตัวกลับไปในทันที แต่มือที่กำลังจะเคลื่อนไหวนั้นชะงักนิ่งไปเสียแล้ว
ท่ามกลางความเงียบหลังเสียงเรียก อัชฌารู้สึกราวว่ากำลังได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองส่งเสียงเต้นรัว พร้อมๆ กับความเคลื่อนไหวที่บริเวณอกด้านซ้ายที่รุนแรงขึ้นจนดันให้เกิดความรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างเสียจนเจ้าตัวยังรู้สึกแปลกใจ
แม้การตอบสนองอื่นใดยังคงเป็นความเงียบ แต่อัชฌารู้สึกได้ถึงการก้าวเท้าของอีกฝ่ายที่กำลังขยับเข้ามาใกล้แผ่นหลังของตน

“ผมมีคำถามมาให้คุณแล้วครับ”
เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นอีกครั้ง และมันใกล้ ใกล้จนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจที่ถ่ายออกมาขณะเปล่งเสียง
ริมฝีปากนั้นไม่ได้แม้แต่สัมผัสพื้นที่ส่วนใดบนร่างกาย เช่นเดียวกับทั้งร่างของอีกฝ่ายที่ยังยืนห่างมีช่องว่างเป็นระยะกับร่างกายเขา แต่ถ้อยความที่เปล่งออกจากปากนั้นก็เกิดขึ้นไม่ไกลนักจากบริเวณโสตประสาทรับเสียง

อีกฝ่ายเลือกที่จะยืนอยู่เบื้องหลัง ทาบร่างของตนซ้อนร่างของอัชฌา ไม่ได้รุกล้ำ ไม่ได้ล่วงเกิน ไม่ได้มีแม้แต่ส่วนใดของร่างกายสัมผัสกัน
ทว่า การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้อัชฌาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตอนนี้เกิดความรู้สึกคล้ายมีไฟฟ้าแล่นไหลผ่านไปทั่วร่าง รู้สึกเหมือนขนอ่อนนั้นลุกไปทั่ว
ความรู้สึกขณะนี้ แม้ไม่ได้สัมผัส แต่กลับรู้สึกยิ่งกว่าถูกโอบกอด
แม้ไม่ได้ล่วงเกิน แต่กลับรู้สึกได้คล้ายอีกฝ่ายกำลังล่วงล้ำ  คุกคามเข้ามาในพื้นที่จิตใจ และกำลังจะทำให้เขากลายเป็นผู้ยอมจำนน

อัชฌาที่ยังคงยืนนิ่ง ยังไม่ได้คิดจะหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า เช่นเดียวกันกับที่คู่กรณีก็ไม่คิดขยับตัว ยังคงทำเพียงยืนซ้อนร่างเขานิ่งๆ เฉกเช่นเดียวกัน
และเป็นเขาเองที่ยอมส่งเสียงขึ้นคล้ายเอ่ยอนุญาตให้เรื่องราวได้ดำเนินต่อไป
“ถามมาสิ”
แม้การตอบกลับเป็นเพียงประโยคที่สั้นแสนสั้น แต่อัชฌาคล้ายต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติในการบังคับไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่นไหวไปตามความรู้สึกที่ปรากฏเพราะอีกฝ่าย

แล้วเสียงคำถามแรกก็ดังขึ้น
“คุณลาออกทำไมครับ”

ใบหน้าของอัชฌาที่อีกฝ่ายไม่ได้เห็น กำลังขมวดคิ้วเป็นปมกลางหน้าผาก
ช่างเป็นคนที่ชวนหงุดหงิดไม่เปลี่ยนจริงๆ
ทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้ แต่อัชฌาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย และส่งเสียงกลับไป
“นั่นคือสิ่งที่คุณอยากถามที่สุดงั้นหรือ”

“ก็ยังไม่ใช่ครับ”

“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องตอบ”

ถ้ามีใครเข้ามาในเต็นท์ที่พักของเขาตอนนี้ คงได้มาพบกับวิธีสนทนาที่แสนประหลาดระหว่างคนสองคน ที่คู่สนทนา ยืนหันหน้าไปทางเดียวกัน แต่บทสนทนาก็ยังดำเนินต่อไป
“คุณครับ”

“ถ้าเรียกอย่างนี้อีก ผมจะไม่คุยต่อละนะ”
อัชฌาได้ยินเสียงถอนหายใจหลักอยู่เบื้องหลัง เมื่อเขาเลือกที่จะขัดจังหวะการเรียกขานของอีกฝ่าย

แล้วความเงียบที่ชนะในการครอบครองพื้นที่เสมอ ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับการเรียกที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นซึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง

“อัชฌา”

ความเงียบที่ถูกขับไล่ให้แพ้พ่าย ไม่ต่างอะไรกับใจของอัชฌาที่พ่ายแพ้อ่อนยวบลงเช่นกัน
เสียงเรียกชื่อ ดึงความสนใจให้คนใจแข็งหันกลับหลัง เพื่อจะได้พบกับใบหน้าของคนที่คิดว่าตัวเองกำลังท้าทาย ซึ่งกำลังมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ที่ใบหน้า ส่วนแววตาฉายจ้าเปล่งประกายระยิบระยับราวแสดงความยินดีในชัยชนะโดยไม่ปิดบัง

เพียงเพราะอีกฝ่ายมาอยู่ใกล้ๆ เรียกชื่อ และแย้มยิ้มง่ายๆ ทำให้ตัวเขาพ่ายแพ้เสียแล้วหรือ
อัชฌาคิดว่ารู้เท่าทันใจตัวเองมากพอ แต่จะเปิดเผยความรู้สึกให้รู้ง่ายๆ นั่นก็ดูจะง่ายดายเกินไปกับอีกฝ่ายที่เขาจะสั่งสอน การรักษาใบหน้าให้ราบเรียบ และเอ่ยเสียงเย็นกลับๆ ไปจึงเป็นกลายเป็นทางออก
“ถามมา”

“คุณคิดว่าแมวมันอยากจะอยู่ หรืออยากจะกลับบ้านไปกับเรือที่มันมา มันคิดถึงอยากกลับบ้าน หรือว่ามันดีใจแล้วที่ได้เดินทาง”

เมื่อฟังคำถามจบ รอยยิ้มขำผุดขึ้นที่ใบหน้าของอัชฌาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป พร้อมใบหน้าที่ส่ายน้อยๆ

เขาเลือก...เลือกที่เดินทางออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองก็เพราะคนๆ นี้ 
ถึงจะบอกว่าอยากจะสั่งสอนให้คนๆ นี้คิดอะไรง่ายๆ ทำอะไรง่ายๆ
เขาอาจจะทำอะไรที่ฝืนตัวตนของอีกฝ่ายไปมากจริงๆ
แมวน่ะ อย่างไรก็คงเป็นแมว รักอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
แต่นั่นก็เพราะมันเป็นแมวไม่ใช่หรือ ถึงมีเสน่ห์ในการใช้ชีวิตเช่นนั้น


เมื่อคำถามเดิมถูกถามขึ้นมา ครั้งนี้คำตอบจากอัชฌาจึงมีให้อีกฝ่าย พร้อมๆ กับใบหน้าและรอยยิ้มที่ยังไม่จางไป
“มันก็ยังไม่ได้อยากกลับบ้าน ดีใจที่ได้เดินทางเสียด้วย มันเคยอยู่ติดบ้านมานาน แต่ไม่ได้แปลว่ามันไม่อยากเดินทาง และก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่รักและคิดถึงคนที่บ้านของมัน”

คู่สนทนาของเขากำลังยิ้ม ยิ้มที่กว้างขึ้นอีก ยิ้มจนเห็นฟันขาวที่เรียงตัวสวย
สายตาที่จ้องมองมา ก็เปล่งประกายขึ้นอีก เจิดจ้าขึ้นราวไม่คิดปิดบังความรู้สึกใดๆ อีกต่อไป
แล้วสุดท้าย ช่องว่างระหว่างร่างกายทั้งสองก็ได้เลือนหายไป
ในเสี้ยววินาทีที่สบสายตา ร่างของอัชฌาถูกดึงเข้าชิดร่างของอีกฝ่ายราวมีแม่เหล็กดึงดูด
แขนสองข้างของหลงกำลังโอบทั้งร่างของเขาไว้
ใบหน้าของอีกฝ่ายกำลังซบลงที่ไหล่ของเขาราวกำลังหวงแหน
ริมฝีปากของคู่สนทนากำลังสูดกลิ่นกายของเขาอยู่ตรงแนวกราม และขยับเบาๆ อยู่ข้างแก้ม

แม้จะยืนนิ่งให้อีกฝ่ายโอบกอด แต่อัชฌาก็ยังเอ่ยทวงสิทธิในคำตอบของเขา
“แล้วคำตอบของคุณละคุณหลง แมวมันอยากกลับบ้านหรืออยากเดินทาง”

“มันยังรักการเดินทาง และมันก็รักบ้านของมันครับ มันดีใจที่ได้เดินทางไปเจอสถานที่ใหม่ๆ เจอแมวตัวใหม่ แต่มันยังคงคิดถึง และรักทั้งบ้าน และคนที่บ้านของมันเสมอ มันเคยคิดว่า บ้านของมัน ไม่ใช่สถานที่เพียงที่ใดที่หนึ่ง แต่บ้านของมันคือทุกๆ ที่ที่มีคนที่มันรักอาศัยอยู่ มันอาจจะชอบเดินทาง แต่สุดท้ายมันหวังเสมอว่าจะกลับมาหาบ้าน”

รอยยิ้มที่ผุดขึ้นที่ใบหน้าของอัชฌาที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เห็น แต่ได้สัมผัส เพราะคำตอบถูกตอบรับด้วยการยกแขกทั้งสองข้างขึ้นกอดร่างสูงในอ้อมกอด 

นั่นสิ เขากำลังคาดหวังอะไรกันนะ
นี่มันคนที่คอยเก็บและอ่านไดอารี่ของพี่ภีมกว่า 7 ปี
นี่มันคนที่เขียนโปสการ์ดให้เขาโดยไม่คาดหวังการตอบรับมาเกือบ 3 ปี
นี่มันคนที่เขียนโปสการ์ดส่งถึงเขา และทำให้เขาเลือกออกเดินทางอีกครั้ง
คำตอบตรงๆ น่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนอื่น แต่คงไม่ใช่สำหรับคนในอ้อมกอดเขานี่
ความสัมพันธ์ที่ไม่อาจจะนิยาม แต่ไม่ได้พร่ามัวกับคนๆ นี้อาจจะไม่เลวนักก็ได้


“นั่นสินะ” แล้วคำพึมพำจากอัชฌาทำให้อีกฝ่าขยับคลายอ้อมกอดเล็กน้อย เพื่อกลับมาสบสายตา และทำหน้าฉงนเล็กน้อยกับวลีของเขา
“คุณว่าอะไรนะครับ”

“ผมว่า ผมยังไม่ได้คำถามที่พอใจละมั้ง”

อัชฌาเห็นอีกฝ่ายคลี่ยิ้มบางๆ ขยับริมฝีปากถาม
แล้วตัวเขาเองก็ได้ผุดรอยยิ้มตาม จากคำถามที่ได้ยิน
คำถามของอีกฝ่ายที่ในที่สุด ก็น่าพอใจ...

“มาเป็นปลายทางของการเดินทาง
มาเป็นปลายทางให้โปสการ์ดไปถึง
มาเป็นบ้านของผมได้ไหมครับ”




[จบ]
ทว่า การเดินทางจะดำเนินต่อไป ให้โปสการ์ดได้เดินทาง และหน้าบันทึกจะได้ถูกเติมเต็ม


**************************************
เขียนจบแล้วค่า ขอบคุณการเดินทางที่พาเรามาถึงจุดนี้
ขอบคุณคนอ่านมากๆ เลยนะคะ
จริงๆ แพลนว่าจะเขียนตอนหลังจากนี้อีกเล็กน้อย ทั้งไดอารี่ และโปสการ์ด แต่ตอนหลักจบเท่านี้ละค่ะ ซึ่งในเล้าคงปิดไว้แค่นี้ค่ะ >>ถ้าสนใจสามารถติดตามได้ที่ช่องทางอื่นๆ ดูในทวิตได้เลยค่ะ เพราะว่าไม่รู้ว่ามันจะได้เขียนตอนไหน

อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว เราไปคอมมิชภาพประกอบเรื่องนี้ไว้ วาดโดย mr.x คือเราชอบมากๆ เลย จึงตั้งใจจะส่งเป็นโปสการ์ดให้คนอ่านทุกคนเมื่อภาพลงสีเสร็จ สามารถดูรูป อ่านรายละเอียดและลงที่อยู่ได้ที่ form เลยค่า ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ค่ะ>> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdM-ZRuPmrKDRBQZwW7fU-R2FXfBC2YNoXpsVyeysYZJ0GUJg/viewform
**สามารถกรอกได้เรื่อยๆ จนกว่าฟอร์มจะปิดเลยค่ะ

มีคอมเม้นต์ ติชม และฝากกันช่วยติดตามทวิตได้ที่ https://twitter.com/PlusOneNovel นะคะ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะที่ทำให้คุณโปสการ์ดเดินทางถึงวันนี้ ฝากติดตามเรื่องใหม่ในคราวหน้า และเรื่องสั้นๆ ที่เขียนคั่นเวลาเรื่อยๆ ด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-06-2019 07:14:36
ไม่ต้องละทิ้งความเป็นตัวตน
ถ้าไม่ใช่อัชฌา ก็คงจะหาไม่ได้แล้วล่ะหลงเอ้ย
เพราะอัชฌาไม่เคยเรียกร้องในสิ่งที่คุณโปสการ์ดไม่เต็มใจ
หัวข้อ: Re: คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 16-06-2019 19:59:20
  เป็นคนเข้าใจยากจริงๆเลยอ่ะหลง ไม่ใช่อัชฌาจะเข้าใจมั้ยเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-06-2019 14:25:06
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 17-06-2019 20:11:03
เรื่องนี้ตัวละครน่ารักโดยเฉพาะพี่ก้อง
หัวข้อ: Re: คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tonson777 ที่ 18-06-2019 03:44:37
เป็นอีกเรื่องที่หลากรสจริงๆ ในตอนแรกที่อ่านมันจะรู้สึกถึงความอึนๆหน่วงๆ เพราะสำหรับรีดนั้นการรออะไรสักอย่างนั้นมันเป็นทั้งความทรมานและความสุข พอคิดว่าถึงการรอที่ไม่แน่ชัดของแต่ละตัวละครมันก็ทำให้รู้สึกหน่วงแทน  แต่พอถึงในตอนที่ทุกอย่างเริ่มกระจ่างกับรู้สึกหลงเสน่ห์ของการรอของตัวละครแทน
ขอบคุณไรท์ที่ทำให้เราเข้าใจความหมายขอการรอในอีกรูปแบบหนึ่ง  :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 18-06-2019 15:07:47
เหมือนได้ดูหนังดีๆซักเรื่องเลยค่ะ เพิ่งได้มีโอกาสอ่านตอนที่เรื่องนี้โพสต์จนจบแล้ว ถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่งเพราะจะได้ไม่ต้องกระวนกระวายที่จะต้องรออ่านตอนต่อไป

เป็นเรื่องที่อ่านแล้วเหมือนจะเรื่อยๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอึดอัด กังวล เพราะกลัวเรื่องจะไม่จบด้วยดี อยากให้แฮปปี้เอนดิ้ง ดีใจที่ได้อ่านจนจบในรวดเดียวค่ะ ตัวละครดูมีที่มาที่ไปและเรียบเรียงการปล่อยเรื่องราวแต่ละอย่างออกมาได้ดีมากค่ะ อ่านแล้วก็ค่อยๆเห็นภูมิหลังของตัวละครแต่ละตัวที่ค่อยๆเฉลยออกมา อ่านแล้วรู้สึดถึงความลื่นไหลของเนื้อเรื่องดีค่ะ

แต่ในบางที่อาจจะมีคำพิมพ์ตกบ้างในบทสนทนา ถ้าได้ทำออกขายแล้วมีการแก้ไขอีกรอบจะดีมากเลยค่ะ

ชอบมากค่ะเป็นเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจจริงๆ รออ่านตอนพิเศษของทั้งคู่นะคะ
หัวข้อ: Re: คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-06-2019 21:11:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 22-06-2019 22:44:29
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกหน่วง ๆ เศร้า ๆ แต่กลับละมุนรักไปด้วยความห่างของระยะทาง ความสัมพันธ์แบบที่ไม่มีชื่อเรียก รวมถึงการพัฒนาความรู้สึกของหลงอัชที่ลุ้นมากว่าจะะจบลงแบบไหน และการตัดสลับกันกับความคิดในอดีตกับปัจจุบันก็ลื่นไหลดี ไม่งง..ชอบมาก  o13

มาเขียนเรื่องใหม่ ๆ เพิ่มอีกนะคะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Geawgard ที่ 27-06-2019 22:09:28
เวลาหลงมาอยู่กับอัช มีให้ความรู้สึกเหมือนจะอ้อนตลอดเวลา เนื้อเรื่องมีอึมครึมบ้างเเต่อ่านเพลินเลยค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: #คุณโปสการ์ด - แผ่นสุดท้าย (9/6/2562) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:32:00
 :pig4: