บทที่ ๖
ย้อนวัย : นิสัยที่เริ่มเปลี่ยน
พ.ศ. ๒๔๗๑
ผ่านไปหนึ่งเดือน หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๕ถึงแม้ว่าการไปโรงเรียนจะได้เจอกับไฟเกือบทุกวัน ทว่า เราทั้งคู่ได้เริ่มตัดสินใจทำเป็นไม่สนิทกันเพราะพ่อสั่งให้คนมาตามจับดูเราทั้งสองคนอยู่ตลอดเวลา ส่วนไฟเองก็ยังคงมาหาที่ห้องในเวลากลางคืนเนื่องจากความมืดมันช่วยให้พรางตัวได้ดีรวมถึงไม่มีคนคอยมาเฝ้าแถวห้องของเขามากเพราะพวกนั้นจะไปเฝ้าแถวโกดังสินค้ากับแถวห้องของพ่อซะส่วนใหญ่
ตลอดปีที่ผ่านมาสิงห์ได้รู้จักลูกค้าของพ่อเกือบทุกคน ดูเหมือนว่าพ่อมักจะให้เขาออกไปพบลูกค้าด้วยบ่อย ๆ ทั้งยังสอนงานและแนะนำอะไรอีกหลายอย่าง
เมื่อก่อนการจะขออะไรสักอย่างหรือการเข้ามาในห้องทำงานของพ่อแทบไม่มีสิทธิ์ แต่เดี๋ยวนี้กลับทำได้เสียอย่างนั้น
“ว่ายังไง มีอะไรจะพูด” เสี่ยพันธ์เอ่ยถามในขณะที่ตัวเองกำลังก้มเขียนอะไรอยู่
สิงห์ที่วันนี้อยากจะมาขออะไรบางอย่างกับพ่อแต่ก็ยังไม่ได้บอกไปก่อนว่าเรื่องอะไร เพราะเรื่องที่จะมาขอนั้นมันอาจจะทำให้พ่อโกรธเอาได้ “ผมจะมาขออนุญาตครับ”
พ่อเงียบไปชั่วอึดใจคล้ายกำลังคิดอะไร ก่อนจะถามต่อ “เรื่องอะไร”
เด็กหนุ่มใจสั่นด้วยความกลัวฝ่ามือชื้นเหงื่อจากการบีบเข้าหากัน “ผมขอ.. ไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ไหมครับ”
กึกเพียงแค่เสียงปากกาตกก็ทำให้สิงห์สะดุ้ง เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังของพ่อตนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านกำลังทำสีหน้ายังไง แต่รอบกายในตอนนี้มีแต่ความเงียบ
มันเงียบจนน่ากลัว
“เพราะอะไรทำไมถึงอยากเรียน” น้ำเสียงก็ดูนิ่งจนทำให้สิงห์มือสั่น
“ผม...ผมแค่อยากเห็นการทำงานของตำรวจ”
“เห็นการทำงานของตำรวจ?” เสี่ยพันธ์หันหน้ามาเส้นเลือดปูดตามขมับทว่ายังคงรักษาอารมณ์ “ไม่ใช่เพราะไอ้เด็กนั่นที่เรียนห้องเดียวกับมึงชวนให้ไปด้วยกันหรือไง”
“ค..ใครกันหรือครับ”
“ยังจะกล้าทำเป็นไม่รู้อีกนะ!” ความอดทนหมดลงมือหยาบกร้านก็ตบเข้าที่หน้าลูกชายทันที “กูพูดแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้เห็นเป็นครั้งที่สาม”
“มันไม่ใช่นะพ่อ”
“ออกไป! ก่อนที่กูจะทนไม่ไหว”
“พ่อ—”
“ออกไปไอ้ลูกเนรคุณ!” เสี่ยพันธ์ตะคอกเสียงดัง
“ออกมาก่อนเถอะครับคุณสิงห์” ภพที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ รีบจับไหล่แล้วพาเดินออกจากห้องทำงานของเสี่ยพันธ์เพื่อไม่ให้เจ้านายต้องโมโหไปมากกว่านี้ แต่แทนที่จะออกมาส่งแค่นอกห้องกลับพาลงไปถึงชั้นล่างและเดินออกไปด้านนอกทั้งยังหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองใคร
“จะพาผมไปไหน”
ภพยังไม่ได้เอ่ยตอบหันมองรอบกายอีกครั้งพอเห็นว่าแถวนี้ไม่มีคนจึงหันมาหาลูกชายของเจ้านาย “คุณอยากจะเป็นตำรวจใช่ไหม”
เด็กหนุ่มนึกแปลกใจ “คุณสนใจด้วยหรือ”
ภพเค้นยิ้ม “ผมสนใจตรงที่ การจะให้คุณได้ไปเป็นตำรวจมันอาจจะดีกับทางเรา”
“นี่คุณหมายถึง...”
“คุณเป็นเด็กหัวไวนะคุณสิงห์ เพราะอย่างนั้นผมจึงอยากให้ความรู้และสิ่งที่คุณมีในตัวได้เข้าเป็นตำรวจเพื่อช่วยเหลือพ่อของคุณ”
สิงห์อยากจะเถียงแต่ก็ต้องเงียบเอาไว้
“อยากจะให้ผมเป็นตำรวจเพื่อเป็นสายให้พ่ออย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว มันดีใช่ไหมล่ะ จุดประสงค์ของคุณมันคือการเป็นตำรวจเพราะอย่างนั้น.. ถ้าคุณช่วยเหลือพ่อของคุณ... บางทีเสี่ยพันธ์อาจจะเห็นด้วย”
เด็กหนุ่มนึกคิดตาม การโกหกพ่อโดยใช้เรื่องพวกนี้ไปมันก็น่าจะดี อีกอย่างการทำเป็นเห็นด้วยกับภพ ก็คงจะให้ภพได้ช่วยพูดกับพ่อได้
“ผมไม่คิดนะว่าพ่อจะยอม เขาเกลียดตำรวจซะขนาดนั้นเรื่องที่ช่วยได้ก็คงไม่มีความหมาย หากพ่อยังไม่เห็นด้วย” สิงห์ยังคงพูดลองเชิง
ภพหัวเราะในลำคอ “นั่นสิครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยพูดให้”
สิงห์ขมวดคิ้ว “คุณน่ะเหรอจะช่วยพูด ผมว่าไม่ได้หรอก”
“อ่า มันอาจจะไม่ได้เพราะพ่อคุณกำลังวางมือเพื่อจะให้คุณทำงานต่อจากท่าน ดูจากวันนี้เขาพยายามเก็บอารมณ์เพื่อไม่ให้คุณต้องดูเสียหน้าต่อลูกน้อง ท่านพยายามจะยกทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณเป็นคนดูแลต่อ”
สิงห์ไม่ได้ตกใจเพราะยังไงสักวันพ่อก็ต้องทำแบบนี้ “เห็นไหมล่ะคุณยังพูดเลยว่ามันอาจจะไม่ได้”
“แต่ผมจะพยายามเกลี้ยกล่อม ถึงท่านจะเริ่มวางมือแต่คงต้องรออีกหลายปี บางทีในเวลานี้ที่ยังไม่ได้รับช่วงต่อก็คงจะหาทางคุยกับท่านได้”
“ทำไมคุณถึงต้องช่วยซะขนาดนั้นด้วย”
ภพยิ้มบาง ๆ “เพราะพ่อคุณลากผมออกมาจากเรือนจำ ผมก็ต้องตอบแทนท่านอยู่แล้ว”
สิงห์ครุ่นคิดก่อนจะยิ้มให้ “น่าดีใจนะที่พ่อผมมีลูกน้องอย่างคุณ”
เขายังเคยจำได้ดีเมื่อตอนนั้นที่เขาอายุสิบสองปีกำลังเข้าเรียนมัธยมปีที่หนึ่ง พ่อได้พาคนสามคนเข้ามาในบ้าน ทั้งสามคนที่ออกมาจากเรือนจำ แต่ก็ไม่รู้ว่าไปได้มายังไง
ภพเป็นหนึ่งในนั้นและเป็นคนที่คอยติดตามพ่ออยู่เสมอเพราะเป็นคนที่พ่อไว้ใจที่สุด ส่วนอีกสองคน อย่างเทิดกับมั่น เห็นว่าเทิดเป็นพวกทำงานเบื้องหลังไปเก็บคนอื่นตามคำสั่งของพ่อ ส่วนมั่นไอ้คนนี้นี่แหละที่คอยทำให้เขาได้ยินเสียงร้องไห้และร้องขอชีวิตอยู่เกือบทุกวัน มันมักจะจับพวกสายตำรวจและสายของคู่อริพ่อมาทรมานเพื่อเค้นความจริง แถบโกดังสินค้าเองมันก็เป็นคนดูแล
สามคนนี้ที่พ่อพาเข้ามาล้วนแล้วแต่เป็นโจรชื่อดัง ๆ เทิดเป็นนักฆ่าเห็นว่าแต่ละคนที่มันฆ่าล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตมีลูกน้องนับสิบคอยคุ้มกันแต่กลับไม่มีใครเคยจับไอ้เทิดได้ ส่วนไอ้มั่นเป็นฆาตกรโรคจิตเพราะอย่างนี้มันถึงชอบทรมานคน ส่วนภพเห็นว่าเป็นฆาตกรเช่นกันแถมยังฆ่าเพื่อนร่วมห้องขังทุกคนแล้วเหลือมันเพียงแค่คนเดียว
ทุกคนรู้ว่าพ่อเขาฉลาดเลือกคน ไม่แปลกที่คุณหลวงรวีชัยจะแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่อจะให้ตัวเองเหนือกว่า
“ผมก็ดีใจที่ได้เข้ามาที่นี่” ภพว่าเพียงเท่านั้นก็ก้มหัวขอตัวกลับไปที่ห้องทำงาน
เด็กหนุ่มยังคงขมวดคิ้ว ความรู้สึกของเขามันบอกว่าสิ่งที่อีกคนพูดมันมีนัยบางอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่ที่บอกว่าดีใจแต่มันเป็นทุกคำตั้งแต่ที่ภพออกมาพูดข้างนอก
ผู้ชายคนนี้ ไม่น่าจะใช่แค่ฆาตกรธรรมดาสิงห์ถอนหายใจไม่อยากจะคิดเรื่องอื่นให้ปวดหัวมากกว่านี้แค่เก็บเอาไว้แล้วค่อยมาคิดทีหลังเอาก็ได้ เพราะงานเอกสารก็เต็มห้องจะให้เอาแต่คิดเรื่องนี้คงทำไม่เสร็จหรอก
ทว่า พอเดินเข้าบ้านมาได้สักพักก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุยกันมาจากห้องเก็บของ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่สนใจนักหรอกแต่เพราะสิงห์เป็นคนชอบสังเกตและชอบฟังคนพูดจึงเดินไปหลบมุมเพื่อไม่ให้คนด้านในเห็น
“เข้ามาทำงานที่นี่แล้วก็อย่าทำอะไรขัดใจเสี่ยพันธ์ล่ะ” เสียงนี้เป็นของภพอย่างแน่นอน เจ้าตัวคงจะยังไม่ได้ขึ้นไปที่ห้องทำงานของพ่อ
“ว่าแต่งานที่ถูกสั่งมา ทำไมถึงต้องใช้เวลานานขนาดนี้ล่ะครับ” ผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้วยไม่คุ้นหน้าสักเท่าไรบางทีอาจจะเป็นเด็กใหม่ที่เข้ามาทำงาน แต่สองคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง ถึงได้พูดคุยคล้ายรู้จักกันมาก่อน
“อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง”
“อ่า นั่นสิ คงลำบากน่าดูเลยนะครับ”
“จะว่าลำบาก มันก็ลำบากหลายเรื่องล่ะนะ แต่ก็ถือว่าการที่อยู่ที่นี่ก็ได้รู้อะไรต่อมิอะไรเยอะเลย”
“ผมเองก็เพิ่งจะเข้ามา ยังไงผมจะพยายามทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ”
“ไม่ต้องทางการขนาดนั้น ให้คิดว่ากูก็แค่มือขวาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง”
“ขอโทษครับ”
“เรียกกูอย่างที่เคยให้เรียกซะ”
“อ่อ ได้ครับพี่”
“ถ้างั้นก็ไปทำงานได้แล้วไป”
“ครับ”
สิงห์รีบเข้าไปหลบด้านหลังของกล่องสินค้า เขาส่ายหัวสบถกับตัวเองจากที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้คิดทีหลังก็ต้องเอากลับมาคิดทันที
สองคนนี้เป็นใครกันแน่แล้วกำลังวางแผนอะไรกันอยู่ คิดถูกจริง ๆ ที่คิดว่าภพไม่น่าจะใช่แค่ฆาตกรธรรมดา
สิงห์ฟังเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดไป ก็รออยู่หลายนาทีเพื่อให้แน่ใจว่าภพจะต้องเข้าห้องพ่อแล้ว จึงเดินขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อเข้าห้องของตัวเอง
“อยู่ไหนนะ” เด็กหนุ่มพึมพำเพราะพ่อให้เอกสารหลาย ๆ อย่างเพื่อให้เขาทำความเข้าใจรวมถึงเอกสารประวัติของลูกน้องที่เอาเข้ามาทำงานเพื่อจะได้ให้เขารู้จัก ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเจอประวัติของภพเข้า
“นาย ภพ ศิริกันต์ อายุยี่สิบเก้าปี เกิดที่จังหวัดชัยนาท ฆาตกรขึ้นชื่อ โดยที่นายภพให้เหตุผลแค่ว่าเป็นความสนุกส่วนตัว ต้องทำการจับขังคุกเดี่ยวเพราะได้ทำการสังหารเพื่อนร่วมห้องไปสิบคน ทางอธิบดีส่งเรื่องให้ศาลตัดสินและในเวลาต่อมาก็ได้ถูกโทษสั่งประหารแต่กลับหายตัวไปจากเรือนจำอย่างไม่พบร่องรอย”
“ไม่มีครอบครัว ไม่มีญาติ ไม่มีประวัติใดใดนอกจากประวัติจากการถูกจับที่ชัยนาทเพราะฆ่าคน แต่ก็ถูกปล่อยตัวจนกลับมาทำอีก ทำให้ต้องเข้าเรือนจำที่พระนคร”
สิงห์ถอนหายใจลองหาเอกสารอื่น ๆ ดูแต่ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม “ไม่มีประวัติอะไรมากกว่านี้เลยหรือไง”
หมับ!
“อ๊ะ!” จากที่กำลังเครียด ๆ อยู่ก็ต้องตกใจเมื่อมีคนเข้ามากอดจากด้านหลัง แต่พอหันหน้าไปมองก็ต้องพ่นลมหายใจ “ไฟ! ทำตกอกตกใจหมด”
“ไฟเข้ามาตั้งนานแล้วนะแต่สิงห์ก็เอาแต่อ่านอะไรก็ไม่รู้” ไฟบ่นเล็กน้อยก่อนจะหอมแก้มอีกคน
“นี่ ไม่ต้องเลย ปล่อยก่อน”
“ไฟไม่ได้มาตั้งหลายอาทิตย์ ไม่คิดถึงกันเลยหรือไง” พูดไปก็หาว่าขี้น้อยใจ แต่มันก็น่าน้อยใจเพราะสิงห์เอาแต่ทำงานแล้วก็ทำงาน บางทีมาถึงก็เห็นว่าหลับจากความเพลียจึงไม่ค่อยได้คุยกันเลย
“คิดถึงสิ แต่ตอนนี้ปล่อยก่อนได้ไหม” สิงห์รีบปลอบพร้อมกับตบหลังมืออีกคนเบา ๆ “พอดีมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดนิดหน่อย”
“ก็ได้” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังคงทำหน้าง้ำหน้างอเดินไปนั่งคอตกอยู่ปลายเตียง
“ไฟ” สิงห์ลองขานเรียก แต่ว่าคนที่ถูกเรียกนั้นเอาแต่หัวคิ้วมุ่นและยังหันหน้าหนี เขาเลยได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปกอดแล้วกดศีรษะอีกคนให้ซบกับอก “อย่าน้อยใจเลยนะ”
“สิงห์มัวทำแต่งานแล้วยังจะชอบคิดแต่เรื่องอื่น พวกเราไม่ได้เจอกันบ่อยนะ พอเจอกันก็น่าจะพูดคุยกันบ้างสิ”
“ขอโทษครับ สิงห์จะไม่คิดเรื่องอื่นแล้ว” พูดเสร็จก็จับหน้าอีกคนให้เงยขึ้น “อย่าน้อยใจสิงห์เลยนะ”
“ช่างมัน ยังไงงานก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว” ไฟยังคงหันมองทางอื่น
“ไม่เอาหน่าไฟ” สิงห์ใช้นิ้วโป้งลูบแก้มสากอย่างเบามือก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปาก “ดีกันเถอะนะ”
ไฟทำหน้าเซ็งยกแขนกอดอกเหมือนเด็กไม่มีผิด
“สิงห์สัญญาว่าจะไม่คิดเรื่องอื่นอีก” ให้คำมั่นแล้วกดจมูกลงบนแก้ม “ไฟ”
เรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาสอดประสาน จมูกเสียดสีกันเล็กน้อย บางครั้งก็ขยับปากคลอเคลีย บางครั้งก็ผละออกมามองหน้า วนอยู่อย่างนั้นจนไฟอดใจไม่ไหวต้องกอดเอวแล้วกัดปากทำโทษ
“อื้อ เจ็บนะ” ถึงจะบ่นแต่ก็ยังยอมให้อีกคนทำตามใจ
“ถ้ายังไม่สนใจกันอีกล่ะก็ จะได้โดนมากกว่านี้แน่”
“ฮ่ะ ๆ เข้าใจแล้ว” สิงห์อมยิ้มหยิกแก้มอีกคนด้วยความมันเขี้ยว หยอกล้อกันไปมาจนเผลอนั่งตักไปโดยไม่รู้ตัว
“คุยกับพ่อหรือยัง”
“อืม คุยแล้วล่ะแต่พ่อยังไม่อนุญาตเลย”
“อ่าว แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อล่ะ”
“ไม่รู้สิ คงต้องโกหกท่านว่าที่ไปเรียนเพราะอยากจะไปเป็นสายในการช่วยพ่อ”
“ต้องทำอย่างนั้นด้วยหรือ” ไฟขมวดคิ้ว
“จำภพมือขวาของพ่อที่เคยเล่าให้ฟังได้ไหม เขาเป็นคนมาบอกว่าจะช่วยคุยให้หากสิงห์ยอมช่วยเหลือในระหว่างที่เป็นตำรวจ”
ไฟส่ายหัวเอือมระอา “บังคับกันชัด ๆ”
“ไม่หรอก เขาไม่ได้บังคับแต่แค่ออกความเห็น สิงห์ว่ามันก็เป็นเหตุผลที่ดีนะ” สิงห์เคาะนิ้วกับไหล่อีกคน “เคยบอกไปแล้วหนิว่าการโกหกพ่อคือทางออกที่ดีที่สุด มันไม่มีทางไหนอีกแล้วนะ”
“งั้นสิงห์ก็จะต้องเป็นสายให้พ่อหรือ”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องทำให้พ่ออนุญาตให้ได้ก็พอ”
“อย่างนั้นหรือ” ไฟพยักหน้า “เอาเป็นว่าไฟจะรอจนกว่าเสี่ยพันธ์จะอนุญาต”
“ถ้ายังไม่ได้จริง ๆ ไฟก็ไปเรียนก่อนเถอะ สิงห์ไม่อยากให้ไฟต้องมาทนรอนาน”
“ไม่เป็นไร ไฟจะรออยู่กับสิงห์.. เราต้องไปพร้อมกัน”
สิงห์ได้แต่คิดว่าคงไม่มีใครที่จะมาแทนที่ไฟได้อีก คงไม่มีใครที่ยอมทนอยู่กับเขาได้ถึงขนาดนี้ นับวันยิ่งหลงรักผู้ชายที่ชื่อเพลิงกาฬจนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้ว
พ่ายโลกันตร์
๑ ปี กับอีก ๖ เดือน
พ.ศ. ๒๔๗๓สิงห์ในวัยสิบแปดปีกำลังนั่งเคาะนิ้วลงบนโต๊ะไม้ทรงกลมด้วยใบหน้าเรียบเฉยทว่าทำคนมองกดดัน ตรงหน้าเขามีลูกค้าของพ่อที่กอดอกวางมาดใบหน้าเขม่นเพราะคิดว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้จะไปทำอะไรได้
“นายคือภพใช่ไหม” เสี่ยตะวันเอ่ยถามมือขวาของพ่อที่รับหน้าที่มาพบลูกค้าพร้อมกับสิงห์
“ครับเสี่ย” ภพก้มหัวตอบ
“รู้ไหมว่ามันเสียมารยาทมากเลยนะที่เอาเด็กอายุเท่านี้มาพบฉันน่ะ” ในตอนแรกก็คิดว่าอาจจะอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ เพราะแต่งตัวตัดสูทอย่างดี สิงห์เองเป็นเด็กตัวสูงกว่าใคร จัดผมอีกนิดก็ดูโตแล้ว พอรู้ว่าเป็นลูกชายของเสี่ยพันธ์ที่ได้ข่าวว่าเพิ่งจะสิบแปดก็ต้องมีโมโหที่เสี่ยพันธ์กล้าส่งเด็กมาคุย
“เสี่ยครับ ในเวลาที่ต้องการยาเพื่อส่งข้ามประเทศตั้งขนาดนั้นไม่ว่าจะคุยกับใครก็อย่าเกี่ยงไปเลยนะ เพราะถ้าหากทางผมไม่ขายให้ขึ้นมา เสี่ยจะเดือดร้อนเอานะครับ” เด็กหนุ่มเองที่ได้พบเจอคนมากหน้าหลายตาซึมซับคำพูดและความคิดของหลาย ๆ คนเข้าตัวเองจนกลายเป็นเด็กที่น่ากลัวเหมือนดั่งพ่อตนที่ไม่เคยคิดจะก้มหัวหรือยอมให้ใคร
“ไอ้เด็กนี่!” เสี่ยตะวันกัดฟันกรอดทุบโต๊ะเสียงดัง
สิงห์ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือว่าต้องไปสนใจกับการกระทำโง่ ๆ อย่างนั้น เด็กหนุ่มทำเพียงกระดิกนิ้วให้ภพเอาเอกสารที่ตนได้สั่งให้เทิดไปสืบมา ไปวางไว้ตรงหน้าของเสี่ยตะวัน “นี่คือเอกสารประวัติการเซ็นสัญญากับทางลูกค้าต่างประเทศที่เสี่ยส่งขายออกไป ทางเอกสารนั้นมีเพียงชื่อเสี่ยตะวันที่เป็นพ่อค้าและได้กำหนดว่าสินค้าที่ส่งออกไปทั้งหมดตนเป็นคนหามาเองกับมือ ไม่ได้บอกว่าซื้อต่อจากพวกผม”
เขายิ้มขันที่เห็นสีหน้าหวั่นวิตกของไอ้แก่หน้าเลือด “คงเข้าใจนะครับว่าผมหมายถึงอะไร” เพราะถ้าหากไอ้เสี่ยตะวันไม่ส่งของตามกำหนดก็เป็นมันคนเดียวที่เดือดร้อน
สุดท้ายการค้าขายก็จบลงถึงแม้ว่าอาจจะไม่ลงรอยกับเสี่ยตะวันมากเท่าใด แต่มันก็คงไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านี้
“คุณสิงห์นี่สุดยอดจริง ๆ เลยนะครับ ทำเอาเสี่ยตะวันเงียบไปเลย” เกื้อที่มาด้วยชมยอแต่คนฟังกลับไม่แสดงอารมณ์ใดใด จนเจ้าตัวต้องหุบปากฉับแล้วทำหน้าที่ขับรถต่อไป
“เรื่องที่ขอเสี่ยพันธ์ผมคุยให้แล้วนะครับ” เพียงภพพูดเรื่องนั้นคนที่นิ่งเงียบมานานก็ขยับตัวรอฟังต่อ “ท่านเห็นด้วยเรื่องที่จะให้คุณสิงห์ไปเป็นสายในกรมตำรวจ คงเพราะผลงานเด่น ๆ จากการที่คุณไปคุยกับลูกค้าด้วยตัวเองมาตลอดปีจึงทำให้ท่านเริ่มยอมรับ”
“แล้วตกลงพ่อจะให้ฉันไปเรียนตำรวจหรือเปล่า” คำสรรพนามนั้นสิงห์เองเพิ่งมาเปลี่ยนตอนที่ต้องออกไปพบปะกับลูกค้า ทางภพแนะนำให้พูดอย่างนี้เพื่อจะได้ดูน่านับถือมากขึ้นโดยไม่ต้องเกี่ยงอายุ
“พอถึงบ้านแล้วคุณสิงห์ลองไปคุยดูสิครับ”
สิงห์พยักหน้า “อืม”
เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านไม้สวยงาม สิงห์ลงจากรถโดยมีภพที่เปิดประตูให้ ลูกน้องที่เฝ้าตามพื้นที่ต่างก้มหัวต้อนรับกลับแต่ก็ยังมีพวกที่ยังคงไม่ค่อยอยากจะแสดงความเคารพเพราะสิงห์นั้นดูอายุน้อยไม่น่าเกรงขามเหมือนเสี่ยพันธ์
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนักหรอก
“กลับมาแล้วหรือ” เสี่ยพันธ์ที่นั่งอยู่ห้องรับแขกเอ่ยทักทาย
“ครับพ่อ” เด็กหนุ่มเดินไปนั่งข้างกาย ส่วนภพกับเกื้อก็วางกระเป๋าที่บรรจุแบงค์เงินนับหมื่นลงบนโต๊ะ
“ได้มาอีกแล้วรึ เก่งจริงลูกพ่อ” เสี่ยพันธ์หัวเราะชอบใจกอดไหล่ลูกชายแล้วเปิดกระเป๋าดูเงิน
สิงห์หันไปสบตากับภพ ก่อนที่ภพจะดึงตัวเกื้อให้ออกไปอย่างรู้ความนัย “ผมมีอะไรจะคุยด้วยครับ”
“ว่ามาสิ” พ่อที่ชอบดุลูกชายและไม่เคยคิดจะยิ้มให้แต่บัดนี้กลับทำทุกอย่างเพียงเพราะเขาได้ทำงานสำเร็จทุกครั้งโดยไม่มีอะไรต้องเสียหาย
เห็นแล้วน่าขันสิ้นดี
“เรื่องไปเรียนตำรวจน่ะครับ” สิงห์เองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากเด็กที่เอาแต่สั่นและผวาเวลาพ่อดุ ทั้งหมดนั้นมันไม่หลงเหลืออีกแล้ว
มันเหมือนกับว่าชีวิตที่ต้องพบในแต่ละวันกำลังบั่นทอนจิตใจให้เด็กหนุ่มที่เคยร่าเริงกลายเป็นเด็กที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา
“อยากเข้าเรียนขนาดนั้นเชียว”
“ครับ” เขาตอบทันทีดวงตาไม่ไหวหวั่นจนเสี่ยพันธ์ต้องพยักหน้าอย่างปลื้มใจที่ลูกชายดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นตอบพ่อมาตรง ๆ ข้อหนึ่ง” เสี่ยพันธ์หันมาพร้อมใบหน้าเคร่งขรึม “กับลูกไอ้อนงค์ จะไปเรียนด้วยกันใช่ไหม”
แต่มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้นที่ทำให้สิงห์ยังคงเป็นสิงห์เหมือนเดิมที่สั่นไหวทุกครั้งเวลามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย “ครับ” เขาตอบตามตรง ก่อนจะจ้องพ่ออย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน “ผมแค่อยากสานสัมพันธ์เอาไว้ การทำงานจะได้ราบรื่น ไฟมันยังมีประโยชน์เพราะมันเป็นคนที่เชื่อสุดใจว่าผมนั้นไม่ได้ไปพัวพันกับพวกอาวุธและยา”
เสี่ยพันธ์ดูไม่ค่อยเชื่อนักแต่ที่พูดมามันก็มีเหตุผลอยู่ เพราะเดี๋ยวนี้ตนปล่อยให้สิงห์ไปยุ่งกับไอ้เด็กนั่นได้แล้ว แต่สิงห์เองก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเสมอและไหนจะทำให้ลูกค้าที่เคยคุยกับสิงห์หลายคนชื่นชมและอยากร่วมงานด้วยอีก “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี เอาเป็นว่ามึงอยากทำอะไรก็ตามใจ แต่พอถึงเวลาที่เข้าเป็นตำรวจเมื่อไรก็อย่าลืมส่งข่าวมาด้วย”
“ครับ ขอบคุณครับพ่อ” สิงห์พนมมือไหว้ไม่ได้อยู่คุยต่อรีบลุกขึ้นไปบนห้องแต่ก็พบกับแม่ที่นั่งดูกระดาษอะไรบางอย่างอยู่ “แม่”
“อ่าวสิงห์” พิมพ์อรเปรยยิ้มให้ก่อนจะพับกระดาษแผ่นนั้นไว้
“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“แม่ได้ยินว่าลูกจะไปเรียนตำรวจใช่ไหม” คงจะได้ยินที่คุยกันสินะ
“ครับ ถ้าผมได้ไปเรียนก็คงจะต้องค้างอยู่ที่นั่นเลย” ทางคุณลุงอนงค์ทำเรื่องไว้ตั้งนานแล้วรอแค่ให้เขาและไฟไปเรียนเท่านั้น
“แม่กับต้นอ้อคงเหงาแย่เลย” เธอดูหม่นลงแต่ก็ยิ้มออกมาเพื่อให้ลูกชายคลายกังวล “เรียนกี่ปีหรือลูก”
“อาจจะสามสี่ปีครับ บางทีอาจจะมากกว่านั้นเพราะคงได้ทำงานที่อื่น”
“ไว้กลับมาเยี่ยมที่บ้านบ้างนะลูก”
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาได้หลังจากที่ไม่ได้แสดงอารมณ์มานาน “ครับ ถ้าว่างก็จะกลับมา”
“แล้วจะไปตอนไหนหรือ” เธออ้าแขนโอบกอดลูกชายพร้อมโยกตัวเบา ๆ
“คงสองสามวัน”
“ไปยังไงล่ะ เตรียมของหรือยัง”
“ไปกับไฟครับ ส่วนของไว้ค่ำแล้วค่อยเตรียมก็ได้”
“เดี๋ยวแม่เตรียมให้ไหม คงขนไปเยอะน่าดู”
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมเตรียมเองดีกว่า” สิงห์ผละกอดออกว่าจะจัดเอกสารอีกสักนิดแล้วค่อยนอนเอาแรงมาจัดเสื้อผ้า
“ถ้าอย่างนั้นแม่ไปทำกับข้าวนะ เดี๋ยวจะขึ้นมาเรียก”
“ผมว่าจะของีบเสียหน่อย กินกันก่อนเลยก็ได้นะครับ”
“ได้จ้ะ” พิมพ์อรยิ้มบาง ๆ รีบออกจากห้องเพราะไม่อยากกวนลูกชาย แต่เธอก็คงไม่รู้ตัวว่าลืมของอะไรไว้
“หื้อ?” สิงห์เอียงตัวหยิบกระดาษที่ตัวเองนั่งทับขึ้นมาดูพลิกไปมาอย่างนึกสงสัยก่อนจะคลี่ออกเพื่ออ่านเนื้อความด้านใน พลันร่างกายก็นิ่งงัน จ้องมองข้อความในกระดาษด้วยดวงตาแข็งกร้าว
พิมพ์อรที่รัก ที่พี่เขียนลงในจดหมายนี้เพราะอยากบอกน้องว่า... พี่เพียงขอเวลาอีกสักนิด พี่สัญญาว่าจะรีบพาพิมพ์อรและหนูต้นอ้อหนีไปด้วยกัน รอพี่เถอะนะ...
สมาน.
“หนีหรือ?” สิงห์กัดฟันกรอดรีบเดินไปหยิบไฟแช็กพร้อมกับจุดไฟเผากระดาษนั้นทิ้ง “คิดง่ายเกินไปแล้ว”
พ่ายโลกันตร์
เวลาล่วงเลยมาจนถึงพลบค่ำแต่สิงห์ก็ยังไม่ได้นอน หลังจากอ่านเนื้อความที่อยู่ในกระดาษและรีบไปคุยกับแม่ เป็นครั้งแรกที่สิงห์รู้สึกโกรธอย่างถึงที่สุด โกรธจนนึกตกใจที่ตัวเองกลายเป็นเด็กน่ากลัวต่อหน้าผู้เป็นแม่ขึ้นมา
“เฮ้อ” เด็กหนุ่มถอนหายใจนวดคลึงระหว่างหัวคิ้วเพื่อคลายความเครียดที่สะสมมาตลอดเกือบทั้งวัน ไม่รู้ว่าเพราะมัวแต่คิดเรื่องจดหมายนั่นตลอดเวลาหรือเปล่าถึงไม่ได้ยินเสียงอะไร พอรู้ตัวอีกทีปากก็ถูกปิดด้วยความอุ่นร้อนที่คล้ายกัน
“อืม” แต่พอเห็นว่าเป็นใครสิงห์ก็ยกมือขึ้นขยุ้มผมสีเข้มของอีกฝ่ายพร้อมกับเอียงหัวรับจูบอย่างไม่อิดออด เพียงปลดปล่อยไปตามอารมณ์ความเครียดพวกนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง เขานึกขอบคุณที่ไฟมาได้ถูกเวลาเพราะเขาไม่อยากจะคิดเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว
“คิดถึง” เสียงทุ้มต่ำก้มกระซิบ ดวงแพรวพราวในตอนที่มองกัน
“คิดถึงเหมือนกัน” สิงห์กระซิบตอบเอาแขนโอบรอบคอในตอนที่ปากถูกสัมผัสอีกครั้ง
เราแลกเปลี่ยนความคิดถึงให้กันและกันจนพอใจไฟก็เขยิบตัวลงมานอนข้างกาย เขี่ยปอยผมของคนรักแล้วก้มลงหอมแก้ม
“มีข่าวดีจะบอก”
“หื้อ อะไรหรือ” ไฟก้มถามคนที่ซุกอก
“พ่ออนุญาตแล้วนะ”
“อ่อ... ห๊ะ!!” ไฟร้องเสียงหลงจนเจ้าของห้องต้องรีบเอามือปิดปากให้เงียบ
“ตกใจอะไรขนาดนั้น” เด็กหนุ่มหัวเราะแล้วเอามือออก
“กะ..ก็มันน่าตกใจไหมล่ะ” ไฟหลับตา ใบหน้าปริ่มเปรม “สมแล้วที่รอจนกว่าเสี่ยพันธ์จะอนุญาต”
“แต่มันก็นานมากเลย ขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไมกัน ตอนนี้ถ้าอยู่ด้วยกันได้ก็อยากจะอยู่ด้วยนาน ๆ พ่อบอกมาว่าหากไปเรียนแล้วไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันอาจจะเจอกันบ้าง แต่ถ้าเรียนจบ ถึงเวลาทำงานจริงอาจจะไม่ได้เข้ากรมเดียวกันจนแทบไม่ได้พบหน้าเลยก็เป็นได้”
“นั่นสิ” สิงห์เคาะนิ้วบนอกของไฟในตอนที่กำลังคิดอะไรอยู่ในหัว เหมือนทำเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ไฟเองก็พอเข้าใจได้ดีจึงนอนรอฟัง “หลังจากที่ได้เรียนก็ไว้ค่อยดูกันอีกที บางทีพอเรียนจบอาจจะอยู่กรมเดียวกันก็ได้”
“ขอให้ทำงานที่เดียวกัน สาธุ” ไฟยกมือขึ้นเหนือหัวทำให้คนที่นอนมองอยู่ได้แต่หัวเราะ
“ถ้าเกิดไม่ได้อยู่ด้วยกันก็อย่าไปคิดมากเลยนะ งานที่เราทำถึงจะอาชีพเดียวกันแต่ใช่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบเดียวกันตลอด ห่างกันบ้างคงเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่เกือบทุกคนต้องพบเจอ”
“พูดเป็นคนแก่อีกแล้วนะ ใครบ้างล่ะที่ไม่อยากอยู่กับคนที่ตัวเองรักน่ะ” ไฟย่นหน้า
“แค่บอกไว้ ถ้าห่างกันก็อย่าไปคิดมาก ถึงเราจะคบกันแต่เรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะนะไฟ”
“ไฟรู้… แต่การเป็นตำรวจมันเป็นงานเสี่ยงนะ ยังไงสิ่งแรกที่ต้องเจอเหมือนกันก็คือพวกโจร ไฟก็ต้องเป็นห่วงสิงห์อยู่แล้ว” ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะฉลาดและเก่งด้านต่อสู้หลากหลายอย่างมากกว่าก็เถอะ...
คนนอนฟังได้แต่ยิ้ม ยื่นหน้าหอมแก้มเป็นการขอบคุณที่อีกคนห่วงใยตนถึงเพียงนี้
“แต่ก็อย่างที่ว่านะ” เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ไฟจะเรียนจบไหม”
“ฮ่า ๆ” สิงห์เผลอหัวเราะออกมาเสียงดังจนต้องรีบเอามือปิดปากไว้ “ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า”
“ก็ไฟไม่ถูกกับด้านวิชาการหนิ ถ้าทางปฏิบัติก็ว่าไปอย่าง”
“เรียนตำรวจมันก็ต้องทำทั้งสองอย่างไม่ใช่หรือไง ถ้าทำวิชาการไม่ได้ก็ไม่เป็นไรไว้สิงห์จะคอยสอนให้ ไม่ต้องดีเลิศกว่าใครขอแค่ได้เรียนรู้ไว้ สิงห์เชื่อว่าไฟทำได้ ไม่เก่งด้านวิชาไม่ได้แปลว่าเราโง่หรือเราเรียนไม่เก่ง อย่าไปโทษตัวเอง เราแค่มีความสามารถกันคนละด้าน”
ไฟถึงกับไถลตัวลงเปลี่ยนเป็นนอนซุกคอสิงห์แทนเพราะเหมือนกำลังฟังพ่อหรือแม่พูดก็ไม่ปราย
ส่วนสิงห์ได้แต่ขยี้ผมสีเข้มของคนที่ทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อยก่อนจะกอดแล้วกดจมูกย้ำ ๆ บนหัวทุย ๆ “ไฟเก่งเรื่องมวยมากกว่าสิงห์นะ แล้วยังเก่งเรื่องกีฬาอีก การเป็นตำรวจต้องมีสมรรถภาพที่ดี ไฟเองก็มีเต็มเปี่ยม เรื่องวิชาการก็ไม่ได้แย่มากถือว่าดีซะด้วยซ้ำ อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ดูแค่ว่าเราเก่งเรื่องอะไรให้มุ่งจุดสนใจและทำสิ่งนั้นซะ”
“ครับแม่”
“นี่ไงชอบเล่นไปเรื่อยแล้วก็มาบ่น ๆ”
“อะไร ก็ฟังอยู่นี่ไง” น้ำเสียงไฟดูออดอ้อนหัวก็ขยับไถเหมือนแมวที่ชอบมาคลอเคลีย
“เอาเถอะ ก็อย่าลืมเก็บไปคิดด้วยนะ ไฟน่ะเก่งที่สุดสำหรับสิงห์อยู่แล้ว”
“มันต้องแน่นอนอยู่แล้ว”
สิงห์นักหมั่นไส้ เมื่อกี้ยังโอดโอยอยู่เลย “นี่ไฟ”
“จ๋า”
“เราต้องเรียนจบไปด้วยกันนะ”
ไฟเหลือบมองอย่างพินิจก่อนจะยิ้มออกมาเพื่อให้ความมั่นใจ “ก็ต้องเรียนจบอยู่แล้ว”
เขามองดวงตาสีนิลที่สั่นไหวเล็กน้อย แม้ว่าสิงห์จะก้มมองมาแต่กลับเหมือนกำลังเหม่อคิดเรื่องอื่นในหัวอยู่
ยังจะมีอะไรให้ต้องคิดมากอีกกันนะ...
จบบทที่ ๖