บทที่ ๒๔
เริ่มแผนการ
ณ พระนครสารวัตรนนท์และสารวัตรอิฐที่ตอนนี้เดินไปพร้อมกับทางจเรตำรวจเพื่อไปยังห้องทำงานของอธิบดีวาริน ตำรวจภายในกรมต่างหันมองด้วยความสงสัยก่อนที่สารวัตรนนท์จะเป็นคนเปิดประตูเข้าไป
“อธิบดีวารินคุณต้องไปกับเรา”
อธิบดีวารินเงยหน้ามอง ดวงตาเบิกเล็กน้อยก่อนจะสงบลง “มีอะไรกันหรือ”
“คุณถูกสงสัยว่าร่วมมือกับโจรและยึดฝิ่นยึดของกลางเพื่อไปหมุนเงินอีกที โดยมีความช่วยเหลือจากหลวงศรีรวีชัยและเจ้าสัวเหวย”
“จะมากล่าวหากันโต้ง ๆ แบบนี้ไม่ได้นะสารวัตร” อธิบดีวารินขมวดคิ้วมือซ้ายหยิบหูโทรศัพท์ออกมาวางกับโต๊ะ คนอื่นไม่มีใครเห็นเพราะว่ามีกองงานที่บดบังอยู่ ในระหว่างที่หมุนเลขที่คุ้นดีก็ยังคงมีท่าทีสงบ
“ผมมีหลักฐานเกี่ยวกับคุณจากเสี่ยพันธ์ที่ให้หลักฐานเพิ่มมาและสายของเราที่เอามาจากเจ้าสัวเหวยและรวมถึงลูกชายบุญธรรมของคุณ”
พอได้ยินชื่อของคนที่เคยหลอกใช้ก็มีแววตากรุ่นโกรธขึ้นมาแต่ยังคงไม่แตกตื่น “หลักฐานพวกนั้นมันก็ปลอมแปลงได้ไม่ใช่หรือ” วารินเห็นว่าปลายสายคงจะรับแล้วจึงใช้นิ้วเคาะโต๊ะสามครั้งเป็นการส่งข้อความลับให้
“เราตรวจกันมาแล้วว่าไม่ใช่เอกสารที่ปลอมแปลง ทุกอย่างล้วนเป็นของจริง และคุณเคยส่งลูกชายบุญธรรมอย่างหมวดจันเพื่อเข้าไปเป็นหนอนบ่อนไส้ในข้าราชการให้กับทางเสี่ยพันธ์และหลวงศรีรวีชัย” ว่าแล้วก็ชูจดหมายฉบับหนึ่งกางออกก็จะเห็นตรารอยนิ้วมือประทับกับชื่อที่เซ็น “หมวดจันได้ยอมรับและส่งจดหมายนี้ให้กับทางรองอนงค์ ว่าคุณร่วมมือกับโจรภาคกลางจริง ๆ”
วารินจ้องเขม็งก่อนจะพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับพวกนาย”
นนท์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าอธิบดีวารินยอมกันง่าย ๆ แต่ก็เป็นอันเข้าใจเพราะวารินเป็นคนใจเย็น คงมีแผนอยู่สินะ “เอาตัวไปเลยครับ” หันบอกทางจเรตำรวจ
“ฉันขอเดินไปเฉย ๆ โดยไม่ต้องรวบฉันได้ไหม ถือว่าเห็นแก่ฉัน”
อิฐพยักหน้าให้นนท์เลยจำเป็นต้องทำตาม ในตอนที่กำลังออกจากห้องนนท์ก็เหลียวมองที่โต๊ะทำงานด้วยความสงสัยก่อนจะออกจากห้องไปเมื่อไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ...
ตัดมาทางคนรับที่ฟังก็คลี่ยิ้มออกมา “ลื้อไปจัดเตรียมของซะ เราจะไปพระนครกัน” บอกกับไอมั่นที่กลายเป็นมือขวาแล้ววางหูโทรศัพท์และมองไปยังคนสองคนที่ถูกมัดตัวและปิดปากเอาไว้ “เมื่อกี้นี้อธิบดีวารินโทรศัพท์มาบอกข่าวคราวว่าถูกจับมีหลักฐานในเรื่องที่ช่วยกู แต่หลักฐานที่บอกว่าเอามาจากเจ้าสัวเหวยนี่ พวกมึงใช่ไหมที่เอาไปให้ตำรวจ”
กฤษตัวสั่นจากทั้งความโกรธและความกลัวหันมองพ่อสมหมายที่ตอนนี้ดูนิ่งจนแปลก
“แน่มากเลยนะที่มาเป็นสายให้พวกมัน” เจ้าสัวเหวยยิ้มแต่เป็นยิ้มที่น่ารังเกียจสำหรับคนมอง “กูคงไม่รู้ตัว หากว่าวันนั้นลูกน้องกูไม่ไปเห็นมึงที่บาร์เพื่อคุยกับเจ้าสิงห์ กูยอมปล่อยไปก่อนให้พวกมึงตายใจ จะได้รู้ว่าการมาหักหลังกูมันเป็นยังไง”
กฤษกำมือแน่นจ้องเขม็งมัน
“แค้นกูใช่ไหมล่ะไอกฤษ” เจ้าสัวเหวยว่าเสร็จก็เดินมาทางคนข้าง ๆ ที่ดูจะไม่เกรงกลัว น่าเสียดายที่อยู่อีกฝั่งไม่อย่างนั้นคงให้เป็นคนสนิทอีกคน “ลุงสมหมายดูเตรียมใจมาแล้วสินะ”
กฤษรีบหันมองก่อนจะดิ้นไปมา “อื้อ ๆ!!”
“น่าเสียดายนะ แต่กูคงต้องเชือดไก่ให้ลิงดู” พูดไปมือก็หยิบปืนออกมา
“อื้อ!!!!” กฤษดิ้นแรงกว่าเดิมจนข้อมือแดงและเลือดซิบเบิกตากว้างเมื่อมันจ่อปืนไปทางพ่อสมหมาย
“กูจะเก็บมึงไว้นะไอกฤษ และส่งพ่อมึงไปสู่นรกเอง” พูดเสร็จก็เอาผ้าจากปากของตาสมหมายออก “เผื่ออยากจะพูดอะไรก่อนตายนะ ดูสิว่ากูใจดีกับพวกมึงแค่ไหน”
ตาสมหมายเงยหน้ามองไม่มีความไหวหวั่นก่อนจะหันมองลูกตัวเองพร้อมยิ้ม “ลูกต้องรอดนะ พ่อขอโทษที่อยู่ด้วยไม่ได้—”
ปัง!“อื้อ!!!!” กฤษร้องออกมาน้ำตาไหลพรั่งพรู จากนิ่งงันกลายเป็นสั่นจากสั่นกลายเป็นคลุ้มคลั่ง ดิ้นจนเก้าอี้ล้มกับพื้น กฤษได้แต่ตะโกนอย่างไม่มีเสียงใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาแดงฉานขยับไปหาพ่อตัวเองทั้ง ๆ ที่โดนมัดกับเก้าอี้
พ่อ!
กฤษอยากจะตะโกนคำนี้ออกมาแต่มันทำไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟาย “อื้อ!”
“หึ ทีนี้เข้าใจรึยังว่าการหักหลังกูมันเป็นยังไง” เจ้าสัวเหวยนั่งย่อตัวลงแล้วใช้ปืนเกลี่ยหัว หัวเราะอย่างสะใจเมื่อเห็นแววตาโกรธแค้นที่มองมา “อย่างนั้นแหละดี โกรธเข้าไป แล้วก็โกรธไอคนที่มันส่งพวกมึงมาด้วย ที่ทำให้ชีวิตพวกมึงเลยลงเอยแบบนี้”
กฤษตัวสั่นเทิ้มมองตามมันที่เดินออกไปจนลับสายตาก่อนจะหันมองพ่อ น้ำสีใสยังไหลไม่หยุดถึงแม้จะเจ็บที่เชือกรัดแน่นแต่ก็คลานเข้าไปใกล้ให้ศีรษะตรงกับเท้าก่อนจะก้มให้หัวแนบลงเป็นการกราบแทน เพราะมือก็ถูกเชือกมัดอยู่
ได้แต่ขอโทษในใจที่ทำอะไรไม่ได้ เขาไม่ได้โกรธคุณสิงห์เลย ไม่สักนิด เพราะเป็นพวกเขาที่อาสากันมาเองเพื่อที่จะตอบแทนคุณสิงห์และอาจจะลบบาปที่เคยฆ่าคนในตอนที่ยังเป็นลูกน้องเสี่ยพันธ์ แต่บาปหนักเกินไปสินนะผลกรรมเลยถูกทำให้เป็นแบบนี้ ได้พรากคนสำคัญไปคนหนึ่ง ทำให้ต้องเหมือนตกนรกทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิต
นี่สินะความรู้สึกของคนที่มีคนสำคัญตายไป
นี่สินะความรู้สึกของคนที่มองเราในวันที่เราฆ่าคนของเขา
บาปนี้ต่อให้ชดใช้ทั้งชาติมันก็ไม่พอ
กฤษหลับตาสะอึกสะอื้นปลายหน้าผากที่ถูกเท้าพ่อสั่นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดและความเศร้าโศรกนี้ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะจบลงเมื่อใด...
พ่ายโลกันตร์
ฝั่งทางอยุธยานั้นเสืออัธได้มาถึงที่แล้วและอยู่ที่บ้านของอนงค์ ไฟออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่สิงห์ส่งโจรมาช่วย แน่นอนว่าเขาเกือบจะมีเรื่องกันแล้วเพราะยกปืนจ่อพวกนี้ ถึงแม้จะเข้าใจแผนแล้วแต่ก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย
“จะเริ่มเมื่อไหร่ กูจะได้กลับสักที” เสืออัธพูดพลางกระดิกตีนที่พาดบนโต๊ะ
ไฟจ้องเขม็ง “มึงรีบหรือวะ”
“ก็ใช่ไง มึงก็รีบไม่ใช่รึไง”
“เรื่องของกู”
“อ่าวไอห่านี่อยากมีเรื่อง”
“มึงก็เงียบแล้วรอเฉย ๆ ไม่ได้เหรอวะ”
“เอ้า นั่นก็เรื่องของกูเหมือนกัน”
ไฟลุกขึ้นทันทีตั้งท่าจะหาเรื่องและเสืออัธก็ลุกขึ้นเช่นกัน ลูกน้องที่มาด้วยได้แต่ถอนหายใจและปล่อยให้ทะเลาะกันต่อไป เข้าใจพี่เอี้ยงแล้วว่าทำไมต้องบอกว่าให้เตือนน้องชายตัวเองด้วย
“ใครมา” ลูกน้องเสืออัธพูดขึ้นเพราะเห็นรถคันหนึ่งขับมาจอดที่ข้างหน้าบ้าน
“พวกของกูเอง” ไฟรีบบอกมองเสืออัธด้วยสายเชือดเฉือนก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอก “ว่าไงหมวดกล้า จ่านิด จ่าเฉิ่ม จ่าตาล มากันครบเลยนะ”
“แน่นอนสิครับ” จ่าเฉิ่มว่า
“นั่นพวกเสืออัธหรือหมวด” หมวดกล้าถามพลางพยักพเยิดไปข้างในบ้าน
ไฟพยักหน้า “ใช่ เอาเป็นว่าเข้าไปข้างในกันเถอะ”
“นี่หมวดกล้า จ่าเฉิ่ม จ่าตาล จ่านิด รู้จักไว้” ไฟแนะนำก่อนจะเริ่มคุยกันเรื่องแผน
“คิดว่ารอให้เย็นกว่านี้ค่อยไปจัดการดีไหม” หมวดกล้าบอก
“นานไป”
ไฟหันมองเสืออัธด้วยความรำคาญแต่ถึงอย่างนั้นมันก็นานไปจริง ๆ เพราะว่าต้องรีบกลับสิงห์บุรีจะได้ไปสมทบกับสิงห์ทัน “ก็อยากรอให้มันมืดกว่านี้ แต่ก็ต้องรีบกลับสิงห์บุรี”
พอได้ยินอย่างนั้นหมวดกล้าก็พยักหน้า “นั่นสิ ถ้าอย่างนั้นแล้วแต่หมวดไฟเลยแล้วกัน”
“ตอนนี้ไอทัพมันยังอยู่กรมตำรวจ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ระวังไม่ทำร้ายตำรวจที่ไม่รู้เรื่อง”
“เหอะ”
ไฟถอนหายใจ “ถ้ามึงมีปัญหามากก็กลับไปซะ”
“มึงจะอะไรกับกูหนักหนาวะ”
“เอ่อ...” จ่านิดเกาหัว
“เป็นแบบนี้มานานแล้ว” ลูกน้องเสืออัธคนหนึ่งเอ่ยบอก กลุ่มคนที่เพิ่งมาใหม่จึงถอนหายใจไปตาม ๆ กัน
“ถ้ายังเป็นแบบนี้งานก็จะไม่เสร็จแล้วก็จะไม่ได้ไปช่วยทางผู้กองสิงห์นะ” หมวดกล้าว่า
ไฟระงับโทสะทันที “ขอโทษที แต่ว่าอย่างที่บอกไป เรามาเพื่อจัดการไอทัพกับพวกของมัน คนอื่นไม่เกี่ยวข้อง”
“แล้วหมวดรู้ไหมครับว่ามีพวกของอธิบดีทัพกี่คน” จ่าตาลถาม
“มีอยู่เก้าคน เป็นตำรวจเจ็ดคนอีกสองคนอยู่ที่บ้านอธิบดีทัพและไม่ได้เป็นตำรวจ”
“เงินมันหอมเลยยอมเลียขาคนเหี้ย ๆ”
ไฟไม่ฟังเสียงนกเสียงกาก่อนจะวางรูปของตำรวจทั้งเจ็ดคนไว้ “เจ็ดคนนี้คือพวกอธิบดีทัพ นอกนั้นไม่เกี่ยว แต่ถึงจะเกี่ยวก็อยากทำให้สลบไว้ดีกว่า เดี๋ยวเรื่องจะบานปลาย”
“ทีพวกกูยอมฆ่าทันที แต่กับพวกตัวเองดันเห็นใจหรือวะ”
“จะพอได้รึยัง อย่าให้กูหมดความอดทนกับมึงนะไออัธ”
เมื่อเห็นว่าต่อให้เอาช้างมาฉุดก็หยุดพวกนี้ไม่ได้ หมวดกล้าจึงลุกขึ้น “ถ้าหากพวกคุณยังเป็นอยู่แบบนี้ ผมจะไปกันเอง คุณสองคนก็อยู่เฉย ๆ ไปซะ”
“อะไรวะ”
“เดี๋ยวหมวดกล้า”
ทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่งกันอยู่หน้าบ้านหลังจากที่ลูกน้องเสืออัธและลูกน้องสิงห์ทิ้งหนีออกไปกันหมด
“เพราะมึง” ไฟชี้หน้าก่อนจะไปรถอีกคันที่พ่อทิ้งไว้
“อ่าว เฮ้ย! มึงจะทิ้งกูไว้ไม่ได้นะเว้ย” ว่าแล้วก็รีบวิ่งไปขึ้นรถด้วยจึงมีฝีปากกันไปอีกรอบ
หลังจากมาถึงก็พบว่าคนของเสืออัธยังอยู่ในรถ พอถามไถ่ก็พบว่าเพราะหมวดกล้าและคนอื่นเป็นตำรวจจึงไม่เด่นในสายตาใครคงคิดว่ามาพบหาเฉย ๆ
“ถ้าอย่างนั้นพวกมึงรอกันตรงนี้ก่อนแล้วกัน” พูดเสร็จก็รีบวิ่งเข้าไปข้างใน เสืออัธเลยได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ
ทุกคนดูตกใจที่ยังเห็นไฟ บางคนกลัวจนวิ่งหนีกัน บางคนก็เข้ามาทัก ไฟตอบแค่เป็นงานจากนั้นก็ตรงไปยังห้องของอธิบดีทัพ
“พวกมึงกล้ามากนะที่ทำกับกูแบบนี้!! เป็นแค่ไอพวกยศน้อยอย่าเก่งให้มาก!!”
ไฟมองคนโวยวายที่ถูกจับใส่กุญแจมือและลูกน้องมันอีกสี่คนที่ถูกทำให้สลบและลากไปกองอยู่ที่เดียวกันมุมห้อง ก่อนจะถามไถ่เรื่องคนที่ยังไม่เห็น “มีแค่นี้หรือ”
“ใช่ครับ คนอื่น ๆ หมวดกล้ากับจ่าเฉิ่มไปหาอยู่”
“มึงไอไฟ!? มึงยังไม่ตายเหรอวะ” ทัพเบิกตาโต
ไฟก้มมองคนที่ถูกจับให้หน้าแนบกับโต๊ะ “ใช่ กูยังไม่ตายและกูก็จะมาจัดการมึงไอทัพ คงจำได้นะว่ามึงทำเหี้ยอะไรไว้ที่สิงห์บุรีบ้าง”
ทัพดูกลัวแต่ก็ยังคงปากกล้า “พวกมึงไม่ตายดีแน่ที่มายุ่งกับกู พวกมึงแม่งโง่กันหมด”
“มึงน่ะสิโง่” ว่าแล้วก็ขอซัดหมัดใส่หน้ามันสักที
“ใจเย็นครับหมวด” จ่าตาลรีบห้าม
ไฟยอมผละออกก่อนจะเดินไปทางประตูแง้มออกเล็กน้อยเพื่อมองข้างนอก “เราต้องเอาตัวพวกนี้ออกไป แล้วค่อยให้พวกเสืออัธจัดการ”
“แต่เราก็ต้องหาพวกของอธิบดีทัพก่อน ไม่อย่างนั้นคงเสียแผน”
จ่านิดพยักหน้าเห็นด้วย
“พวกมึงร่วมมือกับเสือเอี้ยงหรือวะ” ทัพตกใจไม่น้อย “พวกมันไปร่วมมือกับมึงได้ไง”
ไม่มีใครตอบอะไร จากที่ตะโกนด่ากลายเป็นนิ่งเงียบ ความกลัวเริ่มกินจิตใจ “พ..พวกมึง ถ้าปล่อยกูไปกูจะบอกทุกอย่างเอง”
ไฟถึงกับขมวดคิ้วหันมองมันที่ยอมง่าย “เหอะ อย่างมึงน่ะเหรอ พอกลัวแล้วก็หมาดี ๆ นี่เอง”
“มึงอยากได้อะไรกันบอกมา กูพร้อมยกให้ แค่ปล่อยกูไป อย่าฆ่ากู”
คนฟังถึงกับส่ายหน้า “เก่งให้เหมือนกับตอนที่กดหัวคนอื่นหน่อย เห็นแบบนี้แล้วสมเพชว่ะ”
ทัพกัดฟันกรอด
ปัง ๆ ๆ ๆ“เสียงปืน!” จ่านิดตกใจ
“ทั้งสองคนอยู่นี่ดูมันไว้ เดี๋ยวผมมา”
“ครับ!!”
ไฟรีบวิ่งออกไปก็เห็นว่าคนในกรมวุ่นวายกันหมด ก่อนจะวิ่งไปทางข้างนอกเพราะตำรวจคนอื่นวิ่งไปทางนั้นกัน
“เฮ้ย! พวกเสือเอี้ยงมา!” นายตำรวจคนหนึ่งตะโกน ก็พบว่าเป็นพวกของอธิบดีทัพ
“หมวดไฟ” จ่าเฉิ่มรีบวิ่งมาหา “พวกมันคนหนึ่งรอดไปได้”
“ผมเห็นแล้วแหละ นั่นไง” ว่าเสร็จก็ชี้
“ห่าเอ้ย ทำทั้งกรมแตกตื่นหมด มันสินะที่ยิงปืน”
ไฟขมวดคิ้วก่อนจะนึกอะไรได้ “ในเวลานี้ก็รีบไปทางข้างหลังแล้วเอาตัวพวกไอทัพไปเลยแล้วบอกหมวดกล้าให้ไปเอากุญแจรถของกรมตำรวจซ่อนไว้ก่อน”
“ได้ครับ”
ไฟมองตามจ่าเฉิ่มไปก่อนจะหันมองคนต้นเรื่องที่พูดเสร็จก็ยิงใส่รถของเสืออัธ มีรถของทางหมวดกล้าที่หายไปเหลือแต่รถเขาและรถของเสืออัธที่เป็นที่บดบัง
ไฟส่งสัญญาณมือให้เป็นเชิงบอกว่าให้เรียกความสนใจเอาไว้ ดีนะที่ไอลูกน้องทัพคนนี้มันไม่รู้แผน เพราะอย่างนั้นการเรียกคนอื่นเพื่อคิดจะจับพวกเสืออัธนั้นมันเข้ากับแผนของพวกเขาที่ต้องการให้คนรู้ว่าทัพถูกจัดการเพราะเสือเอี้ยง
เพียงไม่นานจ่าเฉิ่มก็ออกมาส่งสัญญาณว่าเรียบร้อยแล้ว ไฟเลยบอกทางเสืออัธให้รีบหนีไปก่อน ส่วนตนก็ปลีกตัวตามคนต้นเรื่องและจัดการลูกน้องทัพคนนั้น พร้อมกับแบกขึ้นบ่าอ้อมไปข้างหลัง
“กุญแจรถไปไหนหมด!”
“มีพวกมันเข้ามาในกรม! ท่านอธิบดีทัพถูกจับไปแล้ว!”
ไฟที่หลบตำรวจคนอื่นอยู่ก็ต้องหันมองทางเสียงเรียก
“หมวดทางนี้!” หมวดกล้าตะโกนบอก ไฟจึงรีบขึ้นไปบนรถคันนั้นทันที
“เกือบไปแล้ว” ไฟพรูลมหายใจ ขับออกมาไกลพอควรก็มีรถเสืออัธและรถเขาที่ตามมา
“เราจะเอามันไปที่ไหนครับ”
“ไปสิงห์บุรีเลยก็ได้”
“ห๊ะ!?”
“แวะซื้อเชือกมัดพวกมันเอาไว้ที่หลังรถ”
“เอาไปที่สิงห์บุรีด้วยทำไมล่ะหมวด?” หมวดกล้างุนงง
“จะได้จัดการทีเดียว” พูดเสร็จก็ยื่นแขนออกหน้าต่างกวักมือเรียกรถของเสืออัธ
“เราจะไปสิงห์บุรีกันเลย”
“ถ้าอย่างนั้นพวกมึงนำกันไปก่อน เดี๋ยวกูมา” เสืออัธที่อยู่บนรถของเขาพูดขึ้น
“มึงจะไปไหน มึงถูกไล่ล่าอยู่นะ”
“เออหน่า ไปจัดการไอสองคนที่เหลือไง ฆ่าได้ใช่ไหม”
“เดี๋ยวดิ เฮ้ย!” ไฟสบถเมื่อมันเอารถเขาไปพร้อมกับลูกน้องมัน
“ปล่อยไปเถอะครับ” จ่าตาลว่า
พ่ายโลกันตร์
ในระหว่างทางต้องปรับเปลี่ยนคนขับและเปลี่ยนคนไปดูข้างหลัง ซึ่งหลังจากซื้อเชือกไฟก็ขออาสาดูเองมาตลอด
มีบางคนตื่นกันมาแล้วแต่ก็ไม่กล้าขยับมากเพราะไฟจ่อปืนไว้
“มึงอยากรู้เรื่องของจันไหม”
ไฟอดตกใจไม่ได้ “มึงรู้อะไร”
ทัพหันมอง “ก็เพื่อนมึงน่ะเป็นสายให้พวกกูไง”
พอได้ยินเรื่องที่รู้แล้วไฟก็ได้แค่เค้นเสียง “กูรู้แล้ว และจันก็เป็นคนบอกพวกกูด้วย หลักฐานที่ว่ามึงกับไอวารินร่วมมือกับเจ้าสัวเหวยและหลวงศรีรวีชัย จันก็เอามาให้”
“ถ้างั้นมึงก็รู้แล้วสินะว่าทำไมไอจันมันโกรธแค้นพ่อมึง”
“ใช่ มึงน่ะหุบปากไปเถอะ พวกกูรู้เรื่องหมดแล้ว”
ทัพสบถแต่ก็สงสัยเหมือนกันว่ารู้ขนาดนี้ทำไมไม่โกรธ ทัพเลยได้ใจบ่นความอัดอั้นออกมา “รู้แบบนี้กูฆ่ามันตั้งแต่วันนั้นก็ดีแล้ว”
“ว่าไงนะ?” ไฟก้มมองก่อนจะดึงคอเสื้อ “มึงหมายความว่าไง”
“ก็แค่จะบอกว่ากูควรฆ่ามันตั้งแต่ตอนยังเด็ก โตมาแล้วแทนที่จะสำนึกบุญคุณดันหักหลัง เสียดาย”
“ไอเหี้ย!” ไฟใช้กระบอกปืนทุบหน้ามัน
“หมวด ๆ พอได้แล้วครับ” จ่านิดที่นั่งมาด้วยรีบจับแขนห้าม
“ถุ้ย” ทัพถุ้ยเลือดทิ้งก่อนจะหัวเราะ
“มึงขำห่าอะไรวะ!” ไฟโกรธจัด
“ก็ขำเรื่องไอจันไง ตายไปแล้วมันจะรู้ไหมว่าคนที่ฆ่าครอบครัวมันคือกูไม่ใช่ไออนงค์ โกรธแค้นคนผิดจนถึงตอนนี้ตายไปแล้วก็คงไม่รู้ ฮ่า ๆ”
ไฟตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ น้ำตาเริ่มคลอ มันเพราะความเดือดดาลทั้งนั้น โกรธจนร้องไห้เป็นยังไงก็เพิ่งรู้
“พวกมึงมันเหี้ย!!” ไฟไม่ทนอีกต่อไปทั้งมือทั้งเท้าหยุดให้ไปกระทืบมันไม่ได้
“หมวด! พอ!” จ่านิดรีบบัง
“แค่ก ๆ มึงจะโมโหทำไมวะ ไหนบอกรู้เรื่องแล้วไง”
“เรื่องอื่นน่ะรู้ แต่เรื่องนี้กูเพิ่งจะรู้!” ไฟกำหมัดแน่นมือที่ถือปืนอีกข้างก็สั่น
ทัพเลิกคิ้วก่อนจะค่อย ๆ สงบปากเมื่อเห็นว่าไปทำมันโกรธเข้าแล้ว ห่าเอ้ยก็คิดว่ารู้ไปแล้วไม่เห็นแสดงท่าทีอะไร
“หมวด” จ่านิดจับบ่า
“มึงสินะที่ฆ่าครอบครัวของเพื่อนกู มึงแม่ง!! ไอสัสเอ้ย!” ไฟถีบมันก่อนที่จ่านิดจะรีบล็อคตัวของไฟเอาไว้ “มึงรู้ไหมว่ามันคิดไปแล้วว่าพ่อกูฆ่าครอบครัวมัน! มันมองไอวารินเป็นผู้มีพระคุณ ทั้ง ๆ ที่พวกมึง!!”
ไฟกัดกราม น้ำตายังคงไหลเมื่อนึกถึงเพื่อน
ทัพกุมหน้าและไม่ต่อปากต่อคำเพื่อหวังว่ามันจะสงบไปเอง แต่เปล่าเลย…
“คนที่สมควรตายคือมึง! ไม่ใช่จัน!” ไฟตะคอกเสียงดังและเพราะความกรุ่นโกรธเลยหลุดจากจ่านิดได้และยกปืนจ่อคนใต้ตีน
“อย่า ๆ ไม่! อย่—”
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ“หมวด!!!”
จ่าตาลที่เป็นคนขับรถรีบจอดทันทีก่อนที่คนอื่น ๆ จะลงรถมาดู
“หมวด…” จ่าเฉิ่มกลืนน้ำลาย รีบเสหน้าหลบ
เพราะทัพตายคาที่แล้วโดนทั้งยิงหัวและลำตัวจนน่าสยดสยอง ทำให้คนเห็นต้องพากันอ้วก ลูกน้องทัพบางคนรีบเขยิบหนีไฟเพราะกลัวและบางคนก็อ้วกกับภาพที่เห็น
ไฟหอบหายใจแรง มือที่ยิงยังสั่นอยู่อย่างนั้น ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นกระบะ ยกมือกุมหัวตัวเองไว้
“จ่านิดเอาปืนออกมา เดี๋ยวผมอยู่ที่นี่กับเขาเอง” หมวดกล้าเอ่ยบอก ก่อนที่จะเดินทางอีกครั้งและแวะซื้อผ้าคลุมเพื่อมาคลุมศพเอาไว้แต่กลิ่นเลือดก็ยังคละคลุ้ง
“ผมไม่เสียใจหรอกนะที่ทำ” ไฟมองมันด้วยแววตาเย็นชาแม้น้ำตายังคงไหลไม่หยุด “แต่ที่ผมร้องไห้ เพราะเพื่อนผมไม่มีวันรู้ว่าไอพวกเหี้ยนี่มันทำอะไรไว้บ้าง”
“เฮ้อ คุณเป็นคนโมโหร้ายจริง ๆ หมวดไฟ”
ไฟพยักหน้าอย่างเหม่อลอย “ผมไม่มีวันยอมใจอ่อนกับคนพวกนี้ ที่จริงแม่งควรถูกทรมานก่อน มันจะได้สาสมกับสิ่งที่ทำมาตลอดนับสิบ ๆ ปี”
หมวดกล้ากลัวความคิดนั้นอยู่แต่ก็เข้าใจเพราะเสียเพื่อนที่สำคัญไป ไหนจะการหลอกลวงของพวกวารินและทัพยังทำให้หมวดไฟกับหมวดจันบาดหมางกันอีก ใคร ๆ ก็ต่างรู้จักกลุ่มเพื่อนสี่คนที่สนิทกันมาก ไม่คิดว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างนี้
“ถึงมันจะสมควรโดน แต่ก็ไม่อยากให้คุณเหมือนพวกมันที่ทำอะไรโดยไม่คิดอีก”
“ผมก็เคยคิดอย่างนั้น... ผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่ทีมลับเขาทำกันแล้ว พวกที่มันไม่มีความสำนึกไม่รู้จะเอาไว้ไปทำไม” หมวดไฟถอนหายใจ “ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ผมทำมันถูก และผมก็ไม่ได้บอกว่าผมจะเป็นคนขาวสะอาดขนาดนั้น กับสิ่งที่ทำเพราะเคยถูกกระทำเลยแค้น บางคนยอมปล่อยไปได้ แต่ไม่ใช่ผม... เพราะมันทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้”
หมวดกล้าไม่พูดอะไรออกมาไฟจึงพูดต่อ
“บางทีการยอมเป็นเหมือนพวกมันเพื่อฆ่าพวกมันอีกที ผมก็ยอมได้ แต่จะไม่เหมือนตรงที่ว่าพวกที่ผมฆ่าก็ไม่อยากจะนับว่าเป็นคน เพราะพวกมันไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว” ไฟมองผ้าคลุมศพ “พวกนี้มันก็แค่เห็นแต่ตัวเอง หลอกลวงประชาชน เข้ารับราชการเพราะจะอยากสุขสบายและเป็นใหญ่มากกว่าการดูแลประชาชนจริง ๆ”
ต่างคนต่างความคิดสิ่งที่ถูกต้องคืออะไรสิ่งที่ผิดคืออะไร?
ในยุคสมัยที่มีแต่การฆ่าแกงเป็นชีวิตประจำวัน ไม่รู้สึกผิดหรือนึกคิดกับสิ่งที่ทำ แต่ทุกคนล้วนมีทั้งขาวและดำปะปนกันไป
ทุกคนก็ต่างมีความคิดอยากจะฆ่าใครสักคน ฆ่าคนนั้นวนอยู่ในหัวแต่ไม่ทำก็มีและทำเลยก็มี จิตใจมนุษย์เราปรับเปลี่ยนกันง่ายไม่มีใครเหมือนเดิมตลอด ความคิดก็เช่นกัน
ความโกรธซึ่งนำพาความหายนะมา
คำนี้ไม่เกินเลยจริง ๆ
เมื่อมาถึงที่หมายก็ค่ำเสียแล้ว ทางนี้ขับรถเข้าที่ไร่อัครเดชได้เลยเพราะเห็นว่าจับพวกสายของไอมั่นได้หมดแล้ว
“ลงไป” หมวดกล้ากระดิกปืนให้พวกของอธิบดีทัพลงก่อนจะหันมองหมวดไฟที่ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น
“พวกนายนี่ มาจนได้” สิงห์เดินออกมาพร้อมคลี่ยิ้มก่อนทำหน้าเหยเก “กลิ่นฉุนขนาดนี้ไปทำอะไรกันมา”
“ผู้กอง...” จ่านิดเอ่ยเสียงเบา
“มีอะไรหรือ ไฟล่ะ”
“อยู่หลังรถครับ” หมวดกล้าว่าอย่างนั้น “ฝากดูเขาหน่อย”
สิงห์ขมวดคิ้วแล้วเดินอ้อมไปยังหลังรถพร้อมกับเบิกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นกองเลือดมากมายและกลิ่นฉุนที่ว่า “ไฟ...”
คนที่นิ่งไปนานหันมอง “สิงห์”
“ไฟ เป็นอะไร” สิงห์รีบขึ้นไปดูพร้อมกับลูบใบหน้าที่เปื้อนเลือด
“จัน...”
“จันทำไม”
“พวกวารินมันหลอกใช้จันมาตลอด” ไฟก้มหน้าแนบกับไหล่อีกคน
สิงห์ลูบผมคนรักพร้อมกับเอื้อมมือเปิดผ้าอดไม่ได้ที่จะหันหนีและรีบคลุมผ้ากลับที่เดิม “ใช่ พวกมันหลอกใช้มาตลอด จันไม่ควรโดนแบบนี้”
“สิงห์รู้หรือเปล่าเรื่องจัน”
“อะไรหรือ?” สิงห์ผละออกมามองหน้า
“ที่จริงแล้วจันมันแค้นผิดคน พวกที่ฆ่าครอบครัวจันจริง ๆ เป็นไอทัพไม่ใช่พ่อไฟ”
สิงห์ตกใจไม่น้อยมือเริ่มสั่น “เรื่องจริงเหรอ...”
ไฟพยักหน้า “มันยังเป็นลูกของจิตษาที่เป็นพี่น้องกับพ่อด้วย”
กลายเป็นว่าคนที่นิ่งไปเป็นสิงห์แทนและคนที่เริ่มร้องไห้ออกมาก็เป็นสิงห์ คนเล่าความจริงจึงได้แต่กอดคนรักเอาไว้ด้วยความตกใจ
“สิงห์ไม่น่าฆ่าเลย สิงห์ไม่น่าทำ สิงห์น่าจะรู้เรื่องก่อน” แผลที่กินในจิตใจเริ่มกลับมา ภาพที่ยิงเพื่อนตัวเองวนฉายซ้ำ ๆ คล้ายดั่งอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา
“ไม่เป็นไรสิงห์ ไม่เป็นไรนะ” ไฟตบหลังเบา ๆ
“ฮือออ ขอโทษ ๆ ๆ” สิงห์เริ่มไม่มีสติและปล่อยให้ตัวเองต่อยพื้นกระบะจนเปื้อนเลือดของศพไปหมด
ไฟเริ่มลนลานก่อนจะอุ้มคนรักออกจากหลังรถเพื่อขึ้นไปยังชั้นสอง ทุกคนที่อยู่ข้างในไม่ได้เอ่ยเรียกอะไรเพราะเข้าใจสถานการณ์ดี
“สิงห์ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้อง” ไฟปล่อยให้คนรักยืนดี ๆ “สิงห์ล้างเนื้อล้างตัวก่อน”
ไฟรีบล้างเนื้อล้างตัวถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออกก่อนจะล้างตัวให้สิงห์เช่นกัน ตอนนี้สิงห์กำมือแน่นมากและยังจิกเล็บด้วยไฟเลยรีบเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้และพาไปนั่งที่ปลายเตียง
เขาคุกเข่ากับพื้นลูบมือนั้นให้คลายออกก่อนจะสอดมือเข้าไปจับ “สิงห์มองไฟ” เขาว่าพร้อมจับหน้าให้ก้มมอง “ไม่เป็นไรแล้วนะ”
ไม่อยากคิดเลยว่าตลอดเวลาที่สิงห์อยู่ตัวคนเดียวเป็นอย่างไรบ้างจะหนักกว่านี้ไหม เพราะมันเป็นแผลลึกใหญ่ที่ไม่มีวันหาย ถึงขั้นจ่าธงมาดูตอนนั้นคงจะหนักมากสินะ รู้อย่างนั้นเขาก็ยังจะพูดเรื่องนี้ให้สิงห์รู้สึกผิดอีก
“เรื่องมันผ่านมาแล้ว จันไม่โกรธสิงห์หรอก”
“แต่สิงห์ทำผิด” และคงไม่รู้ตัวสิงห์จึงเผลอจิกเล็บลงกับหลังมือของไฟจนเลือดเริ่มซิปออก
ไฟใช้มืออีกข้างลูบแก้มอีกคนก่อนจะหลับตาสักพักทำให้สงบลงอย่างน่าแปลก เขาเปิดเปลือกตาขึ้น “ทุกคนผิดหมดไม่มีใครทำถูก... แต่สิงห์คิดหรือว่าจันมันต้องการอย่างนี้? ถ้าจันอยู่คงจะถูกมันด่าแล้วก็บอกว่าถ้าอยากสำนึกผิดก็อยู่ต่อไปแล้วทำอะไรแทนมันก็พอแต่อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้”
คนฟังเริ่มสงบลงบ้างแต่มือยังคงจิกอยู่อย่างนั้น ไฟเลยใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบา ๆ
“สิงห์... หลังจากจบเรื่องนี้เราจะทำบุญให้จันทุกวันนะ แบบนี้ดีไหม”
มือที่จิกเริ่มคลายออกก่อนที่สิงห์จะพยักหน้า
“ดีมาก” ไฟคลี่ยิ้มก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งข้างกายและกอดเอาไว้โยกไปมาเปรียบเสมือนเป็นเด็กแต่ก็กลับเป็นการปลอบที่ดี
ผ่านไปหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกันที่สิงห์เริ่มได้สติและกลับมาเป็นตัวของตัวเอง
“ขอโทษ เจ็บไหม” ว่าแล้วก็จับมือหนานั้นไว้จูบปลายแผลเบา ๆ
“เจ็บสิ สิงห์ต้องดูแลนะแบบนี้”
“ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร แค่สัญญากับไฟก็พอว่าอย่าทำแบบนี้อีก ไฟไม่อยากให้สิงห์ต้องเจ็บนะ”
สิงห์พยักหน้า
ก๊อก ก๊อก ก๊อกทั้งคู่หันมองก่อนที่จะเป็นไฟไปเปิดประตู “หมวดภพ มีอะไรหรือเปล่า”
ภพหนักใจ “นายกฤษกลับมาแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ สิ—”
“เดี๋ยวครับ” ภพรีบจับแขน “คือ... ลุงสมหมายแกเสียชีวิตแล้ว เพราะถูกจับได้ว่าเป็นสายให้คุณสิงห์”
ไฟเงียบลงก่อนจะพยักเป็นเชิงเข้าใจ “แล้วตอนนี้นายกฤษเป็นอย่างไรบ้าง”
“สะบักสะบอมพอตัวครับ นายกฤษถูกปล่อยตัวออกมาเพื่อจะให้พวกเรารู้ว่าพวกมันรู้แผนกันหมดแล้ว เห็นว่าจะไปพระนครด้วยคงจะไปช่วยวาริน”
“ถ้ารู้ขนาดนี้คงเตรียมการกันหมดแล้ว โทรศัพท์บอกสารวัตรนนท์หรือยัง”
“ยังเลยครับ เพิ่งจะฟังจบก็รีบขึ้นมาบอกพวกคุณ”
“งั้นก็โทรศัพท์บอกเลย ผมจะคุยกับสิงห์ให้”
“ได้ครับ”
พอภพเดินลงไปยังข้างล่างแล้วไฟก็เดินกลับมาหาคนรัก “เมื่อกี้นี้ ได้ยินหรือเปล่า”
“ได้ยิน” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็พรูลมหายใจหลับตาเพื่อจะขจัดความคิดแย่ ๆ ออก “สิงห์ไม่เป็นไรแล้ว”
“แน่นะ”
“แน่สิ ถ้ามัวแต่ชักช้าอยู่แบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงพังหมด”
เมื่อเห็นว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากไฟก็จับมือคนรัก “เราต้องรอดไปด้วยกันนะ”
“อือ เราจะรอด”
จบบทที่ ๒๔
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เนื้อหาตอนนี้รุนแรงมากเลย อยากให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านกันนะคะ และขอไม่ส่งเสริมวิธีนี้ที่ไฟใช้
ถ้าเป็นปัจจุบันเราคงคิดว่าสิงห์อาจจะมีโรคประจำตัว แต่เพราะว่าสมัยนั้นไม่มีการแพทย์ที่ดีขนาดนี้เลยได้แต่มีแสดงอาการแต่ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรเท่านั้น และสุดท้าย... ตอนหน้าคิดว่าจะจบแล้วค่ะ ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ