พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓/๑.๔/๑.๕ ครบ {จบบริบูรณ์}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓/๑.๔/๑.๕ ครบ {จบบริบูรณ์}  (อ่าน 26041 ครั้ง)

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อบทที่ ๑๒


ถึงเวลาเลิกงานไฟก็ชวนสิงห์ไปกินข้าวที่บ้านเพราะแม่เป็นคนเอ่ยปากชวน ไฟตกใจจนแทบไม่เชื่อหูแต่พอรู้ว่าแม่ไปรู้เรื่องอะไรเข้า ก็เข้าใจดี ลึก ๆ แม่ยังคงห่วงสิงห์เพราะเห็นมาตั้งแต่เล็ก แถมพ่อเองก็กลับไปที่กรมตำรวจเวลาจะทำอะไรก็ไม่ต้องคอยปิดบัง เพราะแม่ก็เริ่มยอมรับได้แล้วเพียงแต่พ่อยังคงไม่ยอมรับจึงพูดอะไรมากไม่ได้

“คุณน้า” สิงห์ยกมือไหว้ทันทีเมื่อมาถึง

“จ้ะลูก มานั่งข้าง ๆ แม่มา” ฤดีตบพื้นที่ข้าง ๆ ทั้งคำแทนตัวนั้นจนสิงห์ต้องหันมองคนรัก

“ไปนั่งข้างแม่สิ” ไฟแตะเอวคนรักแล้วยิ้มให้

“มาเร็วลูก” รอยยิ้มใจดีที่เคยให้ตั้งแต่เจอกันจนถึงวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม สิงห์เดินไปนั่งข้างท่านอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

“เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้นะ” ไฟว่าเพียงเท่านั้นก็เดินออกไปปล่อยให้แม่กับคนรักได้พูดคุยกัน

“เป็นยังไงบ้างลูก งานหนักไหม”

“คือ...” สิงห์อึกอัก

ยิ่งเห็นสิงห์เป็นอย่างนี้ฤดีก็นึกโทษตัวเองที่เคยคิดไม่ยอมรับ “แม่มาคิดแล้วว่าหากรักกันจริง ๆ ก็ไม่อยากขัดขวาง ในฐานะแม่ก็อยากให้ลูกทั้งสองมีคนรักที่ดีและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขจริง ๆ แล้วก็เห็นแล้วล่ะ ว่าตาไฟน่ะรักและห่วงสิงห์มากแค่ไหน”

พอได้ยินอย่างนั้นสิงห์ก็ร้อนไปทั่วหน้า

“ทุกวันนะบอกให้แม่ทำกับข้าวเผื่อตั้งเยอะเพื่อเอาไปให้สิงห์กินด้วยกันตอนเที่ยง ไหนจะแอบย่องไปไหนดึก ๆ ดื่น ๆ กลับมาทีก็เกือบเช้า” สิงห์ถึงกับหลบตาแทบไม่ทัน

“แม่นินทาอะไร” ไฟเดินถือขันน้ำมาหาพร้อมกับนั่งข้างคนรัก

“นินทาอะไรกัน เห็นแม่เป็นคนยังไง ฮึเรา” ฤดีจะเขกหัวลูกชายแต่ก็ดันหลบหลังสิงห์ซะอย่างนั้น “ดูซินั่น ยังจะไปหลบหลังเขาอีก”

ไฟหัวเราะยอมออกมาให้โดนเขกหัวแต่โดยดีแม้ว่าจะเป็นการสะกิดมากกว่าเขกก็เถอะ

“ว่าแต่สิงห์ ที่สถานีเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า” ฤดีหันมาทำหน้าจริงจัง

“เรื่องอะไรหรือครับ?” สิงห์ขมวดคิ้วแล้วหันมองหน้าคนรักที่มีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกัน “มีอะไรไฟ”

ไฟมองผู้เป็นแม่ที่พยักหน้าเป็นเชิงให้พูด “สิงห์รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้มีข่าวแพร่ไปทั่วพื้นที่แล้วว่าสิงห์ช่วยเสี่ยพันธ์ในการค้าอาวุธกับยา วันนี้ไฟไปจับโจรก็ได้ยินชาวบ้านคุยกัน แม่เองก็ไปเอาเสื้อผ้าที่สั่งตัดมาเจ้าของร้านก็พูดเรื่องนี้ ดูเหมือนข่าวมั่ว ๆ พวกนี้จะถูกใครเอามาปล่อย”

สิงห์นิ่งไปสักพัก ได้แต่คิดว่ามันจะเป็นใครได้อีกนอกจากคนของพวกสารวัตร “ช่างมันเถอะ ตอนนี้สิงห์เองก็อยากตามหาคนที่ช่วยพ่อตัวจริงเหมือนกัน และต้องหาหลักฐานมาจับให้ได้ ในเวลาหนึ่งเดือน”

“หนึ่งเดือนหรือ ทำไมต้องกำหนดเวลาด้วยล่ะ”

“สิงห์ได้เอกสารมาจากสารวัตรที่ถูกส่งมาจากทางกรมภูธรอีกที ทางอธิบดีให้เวลาสิงห์เพียงเดือนเดียวในการตามหาสายภายใน หากไม่ทันเวลาอาจถูกออกจากราชการ”

“ว่าไงนะ!” ไฟขบฟัน “แม่... พ่อรู้เรื่องนี้ไหม”

ฤดีตกใจไม่แพ้กัน “แม่ไม่รู้จริง ๆ พ่อไม่ได้ส่งจดหมายมาบอกอะไรเลย”

“พ่ออยู่ที่นั่นทำไมถึงปล่อยให้เป็นแบบนี้”

“ใจเย็น ๆ ก่อนไฟ” สิงห์รีบห้าม

“ใช่ลูก ใจเย็นลงก่อนบางทีพ่ออาจจะช่วยแล้วแต่คงช่วยไม่ได้เพราะท่านอธิบดีจัดการเอกสารมาเองขนาดนี้”

ไฟกำมือแน่น “เรื่องแค่นี้ถึงกับให้ออกราชการเลยหรือไง หลักฐานก็ไม่มีนอกจากข่าวมั่วที่คนมาใส่ความ ท่านอธิบดีน่ะหรือจะเป็นคนคิดเรื่องแบบนี้ เห็นพ่อบอกว่าท่านเป็นคนมีเหตุผลมากกว่านี้ไม่ใช่หรือไง เป็นหัวหน้าที่ดี แล้วนี่มันคืออะไร”

ฤดีก้มหน้าคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ เคยพบท่านอธิบดีบ่อย ๆ เพราะเคยเป็นทั้งหัวหน้าสถานีอ้อยขวางจนตอนนี้เป็นถึงท่านอธิบดีในกรมตำรวจภูธร เขต ๑ ก็ยังคงเป็นคนที่มีเหตุผล และยังเป็นคนที่น่านับถือ หากไม่คิดเรื่องใดและไตร่ตรองดูก่อนก็คงไม่ส่งเอกสารหรือสั่งอะไรที่มันไม่ยุติธรรมกับคนโดนอย่างนี้แน่

“ท่านอาจมีเหตุผล” ฤดีเงยหน้า

สิงห์เองก็คิดอย่างนั้นเพราะวันจบการศึกษานายร้อยตำรวจก็เป็นท่านที่มาอภิปรายและมอบของให้ในฐานะนายตำรวจดีเด่นประจำรุ่นนั้น ได้พูดคุยกันอยู่บ้างและท่านเองก็เคยช่วยเหลือในเรื่องตามสืบเกี่ยวกับโจรที่อ่างทอง ประสานงานด้วยกันจนเขาจับพวกมันได้ ท่านไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้

“ผมต้องคุยกับพ่อ”

“ไฟลูก”

“ไฟ” สิงห์บีบแขนคนรักเบา ๆ ให้คลายอารมณ์โกรธ “ไม่ว่าจะเป็นยังไงท่านก็เป็นคนหนึ่งที่สิงห์นับถือนะ ท่านช่วยอะไรสิงห์ตั้งมากมาย สิงห์เชื่อว่าท่านต้องมีเหตุผล ใจเย็น ๆ เถอะนะ ทางที่ดีตอนนี้รีบหาหลักฐานมัดตัวคนที่ทำจริง ๆ ก่อน”

“ทำตามที่สิงห์บอกนะไฟ แม่ไม่อยากให้ลูกต้องมาบาดหมางกับพ่อมากกว่านี้เลยนะลูก”

ไฟยอมอ่อนลงแต่ก็คงไม่ยอมง่าย ๆ หากเรื่องนี้ยังไม่คลี่คลาย

“ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอโทษคุณน้าจริง ๆ ที่อยู่กินข้าวด้วยไม่ได้ ถ้าเรื่องมันแดงขนาดนี้ผมกลัวว่าไฟและคุณน้าจะเดือดร้อนไปด้วย เอาเป็นว่าผมจะรีบกลับไปที่บ้านเพื่อหาหลักฐานมาก่อน” สิงห์ลุกขึ้นพร้อมพนมมือไหว้

“สิงห์มาที่บ้านนี้ได้เสมอนะ มานอนกับไฟก็ได้ลูก ไม่ต้องคิดมากนะ” ฤดีลูบแขนอีกฝ่ายเพื่อปลอบ

สิงห์ยิ้มอย่างนึกขอบคุณจากใจจริง “ขอบคุณมากนะครับคุณน้า ไว้ผมจะมานะครับ”

“จ้ะลูก”

“สิงห์” ไฟขมวดคิ้ว

ฤดีเห็นอย่างนั้นจึงปล่อยให้ทั้งสองได้คุยกัน

สิงห์หันมองน้าฤดีเดินหายไปจนลับตาก็ยกมือสางผมของอีกฝ่าย “ใจเย็น ๆ สิงห์รู้ว่าไฟรู้สึกยังไง”

“ไอ้สารวัตรใช่ไหมที่เป็นตัวการ”

“สิงห์ไม่รู้ สิงห์ยังไม่มีหลักฐานถึงต้องกลับไปที่บ้านไง”

“ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใครได้อีก ก่อนหน้านี้ก็ช่วยพวกโจรให้พ้นตาราง จะมาช่วยเสี่ยพันธ์ด้วยก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง เป็นถึงสารวัตรแท้ ๆ ได้ยศมาได้ยังไงวะ” ไฟส่ายหน้า

“แต่ไฟก็ต้องใจเย็นหน่อยสิ ถ้าอยากช่วยเหลือสิงห์ก็ช่วยตามสืบจากชาวบ้านให้หน่อยได้ไหม เดี๋ยวสิงห์จัดการที่บ้านสิงห์เอง” ว่าพลางเกลี่ยแก้มสากทั้งสองข้าง หากทำแบบนี้บ่อย ๆ ก็เหมือนคอยเอาน้ำลูบ เพราะไฟแพ้เวลาเขาทำอย่างนี้เสมอ

แล้วก็เป็นจริงเมื่อไฟเริ่มมีสีหน้าอ่อนลง “ก็ได้ แต่สิงห์อย่าทำอะไรจนเกินไปให้มันเป็นอันตรายกับตัวเองนะ”

“เข้าใจแล้ว” สิงห์ยิ้มรับเอียงตัวมองทางด้านหลังเป็นระยะก่อนจะหอมแก้มคนรักเป็นการบอกลา “สิงห์กลับบ้านก่อนนะ”

ไฟพยักหน้าแล้วก้มจูบหน้าผากมนเป็นหนสุดท้ายถึงจะเดินลงไปส่งถึงข้างล่างเพราะสิงห์ดันขอเอารถมาเองจึงไม่ได้ไปส่งเหมือนเคย

“ฝันดีนะ”

“ครับ ขับรถกลับดี ๆ นะ” ไฟยืนจับประตูไว้พอคนรักเข้านั่งเรียบร้อยก็ปิดประตูรถให้มองจนลับสายตาก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะขึ้นบนบ้านสักที

ฤดีที่ได้ยินเสียงรถก็เดินออกมาดูยิ่งเห็นลูกที่ดูเป็นห่วงคนรักมากขนาดนี้ก็นึกทอดถอนใจ

ทำไมโชคชะตาคนเราถึงได้เป็นอย่างนี้นะ คงจะดีหากทั้งคู่ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพะวงเรื่องใด

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

ผ่านไปเดือนกว่าหลังจากที่แยกย้ายกันสืบหาตัวการที่แท้จริงกับหาหลักฐานมา แต่ผ่านพ้นไปเพียงสามอาทิตย์เท่านั้นอยู่ดี ๆ สิงห์ก็ไม่มาที่สถานีอีก ยิ่งกว่านั้นก็ยังไม่สามารถไปที่บ้านได้เพราะมีคนเฝ้า แม้แต่น้องต้นอ้อกับน้าพิมพ์อรก็ไม่เจอ

“เกิดอะไรขึ้นวะ” จันที่เพิ่งกลับมาจากพระนครเมื่อวานเอ่ยถามเมื่อมาตรวจดูที่หมู่บ้านแต่ก็เห็นคนซุบซิบอะไรกันแล้วยังมองมาทางที่พวกเขาอยู่บ่อย ๆ

“สิงห์ถูกหาว่าช่วยพ่อขนอาวุธกับยา ข่าวมันแพร่มาหลายเดือน แล้วนี่สิงห์หายไปไม่บอกกู ไม่มาทำงาน คนก็ยิ่งเชื่อไปทางนั้น”

“เดี๋ยวสิวะ มันจะเกิดขึ้นได้ไง แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงวะเนี่ย” จันขมวดคิ้วแน่น “ไอ้สิงห์น่ะหรือจะช่วยพ่อมัน ไอ้ห่าต่อให้อมพระมาพูดกูก็ไม่เชื่อ”

“ก็มันเป็นอย่างนั้นไปแล้ว จะให้ทำไงเพราะคนทำจริง ๆ มันลอยนวล” จ่าธงที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยเอ่ยเสียงเรียบ

“เหอะ ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง” ไฟสบถ

“นี่อยากจะบอกอะไรให้ ข้าเคยพูดคำนี้กับเจ้าสิงห์ไปตอนเจอมันครั้งสุดท้าย มันพูดกับข้าว่าไงพวกเอ็งรู้ไหม” จ่าธงจ้องหน้าทั้งสองคนสลับกัน “มันบอกข้าว่าคำพวกนั้นไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว เพราะว่า... ปลามันไม่ได้มีแค่ตัวเดียวมันจึงเหม็นไปทั้งประเทศไงล่ะ”

เพียงจบคำพูดนั้นก็ยิ่งสร้างความสงสัย

“หมายความว่าไงลุง”

“ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่เจ้าสิงห์มันบอกแบบนี้ก่อนจะไม่มาทำงานอีกเลย” จ่าธงยักไหล่

“ตั้งแต่วันไหนลุงธง ทำไมฉันไม่รู้”

“เมื่ออาทิตย์ก่อน”

พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็หม่นลงเพราะอาทิตย์ก่อนเขาก็เจอ แม้สิงห์จะพูดคุยปกติแต่ก็ดูออกว่ามีอะไรในใจยิ่งวันสุดท้ายที่พบกันก่อนจะเงียบหายไป สิงห์ก็หยุดงานครึ่งวันพาเขาออกไปขับรถเล่นทั้ง ๆ ที่สิงห์ไม่เคยคิดจะปลีกวิเวกไปไหนในเวลางาน เราใช้เวลาในครึ่งวันด้วยกัน สิงห์ยังคงยิ้มให้แม้จะเป็นยิ้มที่เศร้า พอถามอะไรก็ขอร้องไม่ให้ถาม...

‘สิงห์ขอร้อง วันนี้เราอยู่ด้วยกันแค่สองคน ไม่อยากให้ต้องเอาเรื่องอื่นมาปนกันให้เครียดเสียเปล่านะ ขอแค่วันนี้เท่านั้นสิงห์ขอได้ไหมไฟ’

นั่นเป็นคำพูดเดียวที่เขาเข้าใจดีแล้วว่าสิงห์ต้องเจอเรื่องอะไรจากที่บ้านมาจนเป็นแบบนี้เป็นแน่ แต่เพราะยอมและมัวแต่คิดว่าพรุ่งนี้จะมาถาม แต่มันก็ไม่ทันการเสียแล้ว...

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนทำ” จันถามขึ้นมา

“จะใครซะอีกล่ะ ก็ไอ้สารวัตรนั่นไง” ไฟทุบโต๊ะ

“เบา ๆ สิวะไอ้นี่” จ่าธงเอ็ด

“เออไม่น่าตกใจหรอกหากเป็นคนนี้” จันส่ายหัวแต่พอนึกอีกทีก็ถอนหายใจ “สิงห์หาหลักฐานไม่ได้หรือวะ ให้เวลาไปเดือนกว่าคงต้องมีบ้างแหละ”

ไฟที่ยังคงคุกรุ่นแทบไม่สนใจอะไรบางอย่างที่ควรจะสะกิดใจบ้าง... “อย่างมันไม่น่ามาเป็นตำรวจหรอก ถ้ามีหลักฐานแล้วจับตายได้กูจะเป็นคนยิงหัวแม่งเอง”

“เฮ้ย ใจเย็น” จันบีบไหล่เพื่อนก่อนจะรีบลุกขึ้นเมื่อมีคนมาเรียก “งั้นกูไปดูก่อน มึงอย่าใจร้อนล่ะ”

ไฟไม่ตอบได้แต่นั่งฟึดฟัด ส่วนจ่าธงที่เงียบมาก็เค้นหัวเราะออกมา

“ขำอะไรลุงธง”

“เปล๊า ข้าแค่คิดว่าเอ็งควรจะระงับอารมณ์เสียบ้างเผื่อจะสังเกตอะไร แต่ก็นะข้าเข้าใจว่าเอ็งเป็นคนยังไงแต่ลองสงบสติเสียบ้างแล้วมองและฟังรอบตัวดู เผื่อจะตงิดตรงไหนสักส่วน”

“อะไรของลุง” ไฟยังคงไม่เข้าใจ

“ก็ลองทำตามที่ข้าพูดดูสิ มัวแต่ใจร้อนแบบนี้มันจะไปตามทันใครเขา อย่างพวกชาวบ้านที่กระซิบกันใกล้ ๆ โต๊ะก็ฟังเสียบ้างนะ หรือแม้แต่คนร่วมโต๊ะก็ด้วย” ว่าแล้วก็ชี้ไปทางชาวบ้านที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟก่อนจะลุกขึ้น “ข้าก็พูดกับเอ็งได้เท่านี้ ไว้เก็บไปคิดดูแล้วกัน ใจร้อนมากไปก็ไม่ดีกับตัวหรอกนะไอ้ไฟ”

“เดี๋ยวลุงธง!” ไฟค้างมือไว้เมื่อจ่าธงเดินออกไป ก่อนจะมานั่งคิดกับตัวเอง จะให้ใจเย็นได้ยังไงกัน สิงห์หายไปทั้งคนนะ...






จบบทที่ ๑๒
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 11:12:15 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

บทที่ ๑๓

ย้อนวัย : อดีตตำรวจ


 

๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

กรมตำรวจภูธร เขต ๑


“ด้วย ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ตำแหน่งรองผู้กำกับการอำเภออ้อยขวาง จังหวัดสิงห์บุรี ถูกต้องสงสัยว่าได้ช่วยเหลือบิดาในการค้าอาวุธสงครามและยาฝิ่น กรมตำรวจพิจารณาแล้วเห็นว่า ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ได้เป็นบุคคลที่น่าสงสัยและอาจร่วมมือกับบิดาของตนเอง จึงเห็นควรลงโทษให้พักราชการอย่างไม่มีกำหนด ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” สิ้นเสียงพูดก้องทั่วห้องเอกสารก็ถูกตราประทับเหมือนกับเหล็กมาทุบกลางอก

สิงห์ที่หายหน้าไปนานออกมารับโทษในวันนี้อย่างเงียบ ๆ อดีตผู้กองหนุ่มตะเบ๊ะให้กับคนที่เคยเอ็นดูและดูแลตนมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเดียวกับที่อ่านเอกสารและลงตราประทับในการให้เขาพักราชการ

แววตานั้นที่เคยอ่อนโยนกลับเรียบนิ่ง สิงห์เข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นโจรเต็มตัวต่อสายตาลุงอนงค์เสียแล้ว

“สิงห์” น้ำเสียงคุ้นหูเรียกขึ้น หลังจากที่เดินออกมาได้ไม่นานพอหันไปมองก็พบกับนนท์ที่ไม่พบหน้าคาตากันนาน “ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้”

สิงห์เพียงยิ้มบาง ๆ “มันเกิดไปแล้วและฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไง”

“มันต้องแก้ได้สิ” นนท์นึกห่วงก่อนจะเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นมาแต่ไกลก็รีบยกมือเรียก

“ไฟ..” สิงห์พูดเสียงเบาเมื่อเห็นใครก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิท “นนท์! เป็นคนบอกไฟใช่ไหม”

“นายจะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้นะสิงห์ รู้ไหมว่าไฟเป็นห่วงนายมากแค่ไหน หายเงียบไปอย่างนั้นนึกถึงใจคนรักหน่อยได้ไหม” เป็นครั้งแรกที่นนท์ตะคอกเสียงดัง

“แต่ไม่ใช่วันนี้...”

“นายหายไปนานขนาดนี้ยังจะพูดคำนี้อีกหรือ” นนท์นึกโกรธที่เพื่อนตนดูกลายเป็นคนไม่กล้าสู้หน้าใครไปเสียแล้ว “สิงห์ที่ฉันรู้จักไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หรอกนะ”

ยิ่งเห็นไฟวิ่งมาทางนี้ก็หัวใจก็เจ็บปวด “ฉันเหนื่อยนนท์... เหนื่อยมานาน ฉันแค่ทำเก่งแต่ฉันรู้สึกท้อทุกครั้งที่เจอเรื่องพวกนี้ ฉันไม่เคยเข้มแข็งได้สักครั้ง ฉันได้แต่ปลอบตัวเองว่ามันจะผ่านไป คนที่นายรู้จักมันเป็นคนขี้แพ้มานานแล้ว ที่มาได้จนทุกวันนี้ก็เพราะคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวฉัน มันเพราะมีคนฉุดฉันขึ้นมาจากขุมนรก ฉันถึงผ่านมันมาได้” ดวงตาเรียวสั่นระริกเมื่อมองคนรักก่อนจะยอมรับอ้อมกอดที่โผล่เข้าหาตัว

“หายไปไหนมา ทำไมถึงไม่บอกไฟ” ไฟกอดอีกฝ่ายแน่นเหมือนกลัวว่าจะหายไปอีกใบหน้าคมคายดูกระวนกระวาย ดวงตาก็แดงก่ำ ก่อนจะผละกอดออกมาลูบหน้าลูบตาคนตรงหน้าอย่างเป็นห่วง “เสี่ยพันธ์ทำอะไรหรือเปล่า ไปเจอเรื่องอะไรมาถึงคิดเงียบไป มาอยู่กับไฟเถอะนะสิงห์ ไม่ต้องอยู่บ้านนั้นแล้ว”

สิงห์กัดปากกลั้นเสียงร้องปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาได้แต่กำเสื้อคนรักไว้แน่นไม่อยากปล่อยเพราะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของตัวเองได้ แต่... เมื่อนึกถึงสถานะของตนก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำให้มาแปดเปื้อนเพราะตัวเขาเช่นกันเพราะอย่างนั้นจำจึงต้องปล่อยไป

“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวไปรับน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อออกมาด้วยกัน สิงห์จะได้ไม่ต้องกังวลอะไร” ไฟพยายามพูดเกลี้ยกล่อมแม้ว่าสิงห์จะส่ายหัวไม่หยุดและพยายามดันอกเขาไม่ให้กอด

นนท์เห็นแล้วก็หลับตาเผินหน้าหนี นึกสงสารเพื่อนแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้

“สิงห์มาอยู่กับไฟนะ ไม่ต้องห่วง ไฟจะไม่ให้ใครมาทำอะไรสิงห์” ไฟลูบหัวคนรักที่ตัวสั่นจากการร้องไห้อยากจะกอดแต่ก็ถูกดันออก

“พอแล้ว... หยุด” สิงห์พูดเสียงสั่น

“สิงห์เชื่อไฟนะ ไฟปกป้องสิงห์ได้” ไฟพยายามจะเช็ดน้ำตาให้แต่ก็ถูกปัดมือออก

“บอกให้หยุดไง!” สิงห์ตะคอกจนไฟนิ่งค้างไป “เลิกยุ่งกับสิงห์เถอะ ตอนนี้สิงห์เป็นโจรเต็มตัวแล้ว”

“อย่าพูดอย่างนั้นได้ไหม” ไฟจะเอื้อมมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาให้แต่ก็ถูกปัดอีกครั้ง “สิงห์...”

“มาเอะอะเสียงดังอะไรกันตรงนี้ ไม่อายคนหรือไง” น้ำเสียงทุ้มต่ำแทรกขึ้นมาจนทำให้ทั้งสามหยุดชะงัก

“ท่านรอง” นนท์ก้มหัว

“นึกว่าจะดีใจที่ได้ออกจากการเป็นตำรวจไปแล้วซะอีก”

“พ่อ!” ไฟรีบบังตัวคนรัก “พูดอะไรออกมา”

“เคยเอ็นดู เคยชุบเลี้ยงมา แต่สุดท้ายก็ยังไปเป็นโจร”

“หยุดพูด!” ไฟทำตัวทรามชี้หน้าพ่อตนเอง “พ่อก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่คนอื่นคิด ทำไมถึงไปเชื่อไอ้สารวัตรนั่น”

อนงค์ไม่ได้สนใจเรื่องที่ลูกชายพูดนอกจากนิ้วชี้ที่จ่าหน้าตนเมื่อกี้ “มึงกล้ามากนะที่ชี้หน้ากูไอ้ไฟ มึงยังเห็นกูเป็นพ่ออยู่ไหม!”

“ผมยังเห็นพ่อเป็นพ่อผมเสมอหากมีเหตุผลมากกว่านี้ ไม่ใช่ไปฟังคนอื่นจนกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดไปแล้ว!”

“ไอ้ไฟ!” อนงค์เค้นเสียง

“ถ้าพ่อยังพูดไม่คิดใส่สิงห์อีกผมไม่ไว้หน้าพ่อแน่” ไฟจ้องเขม็ง

“มึง!” อนงค์ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อลูกชาย

“ท่านรองใจเย็นครับ” นนท์รีบห้ามส่วนสิงห์ก็รีบจับแขนไฟเช่นกัน

“มึงนั่นแหละที่หูหนวกตาบอดไอ้ไฟ! หลงพวกป่าไม้เดียวกันจงโงหัวไม่ขึ้นแล้วหรือไงวะ!”

“เลิกดูถูกความรักของผมสักทีจะได้ไหม เพียงคบกันเท่านี้ก็ทำให้เปลี่ยนความคิดพ่อจนเป็นแบบนี้เลยหรือ ทำให้คนบริสุทธิ์คนหนึ่งต้องมาแบกรับอะไรหลายอย่างเพียงเพราะอคติแค่นี้จริง ๆ เหรอพ่อ” ไฟมีสีหน้าผิดหวังและเสียความรู้สึกจนอยากจะร้องไห้ออกมา เขาไม่ได้อยากทะเลาะกับพ่อเลยสักนิด แต่สิ่งที่พ่อทำเขาไม่อาจปล่อยไปเฉย ๆ ได้

อนงค์ที่เห็นลูกน้ำตาคลอก็หันหน้าหนีก่อนจะจ้องคนด้านหลังที่ตัวสั่นไม่หยุด “นายไปคุยกับฉันเป็นการส่วนตัว”

“ไม่!” ไฟยืนขวาง

“มึงอย่ามายุ่งไอ้ไฟ ออกไป” เหมือนภาพย้อนซ้ำอย่างกับวันที่บอกความจริงเรื่องที่คบกันเพียงแต่คราวนี้ไม่ได้มีการเห็นใจ...

“พ่อนั่นแหละอย่ามายุ่ง!”

“ไอ้ไฟ!” อนงค์ง้างมือจะตบลูกชายแต่ดันพลาดเพราะสิงห์เข้ามาบังจนเป็นคนโดนเสียเอง

“สิงห์” ไฟรีบดูอีกฝ่ายก่อนจะจ้องพ่อตัวเอง “เลิกบ้าได้แล้วพ่อ!”

อนงค์ที่ตกใจก็จ้องลูกตนเองกลับที่มันยอมเพื่อคนอื่นขนาดนี้ “กูเป็นพ่อมึงนะไอ้ไฟ คำพูดคำจาส่อสันดานจริง ๆ กูไม่เคยสั่งสอนอะไรแบบนี้ให้มึงสักครั้ง ยอมคนอื่นจนด่าพ่อตัวเองได้เลยหรือวะ!”

ไฟรู้ว่าเวลาตัวเองโกรธปากมันจะพาเสียไปหมดแต่เพราะตอนนี้สิงห์ไม่มีที่พึ่ง สิงห์มีเพียงเขาเท่านั้น

“พ่อเลิกยุ่งกับสิงห์ซะ แล้วก็เลิกยุ่งกับความสัมพันธ์ของพวกผมด้วย”

“กูเป็นคนทำให้มึงเกิดมา รักมึง ห่วงมึงมาตลอด มึงกลับปากพล่อยชี้หน้าพ่อตัวเองเพราะคนอื่นหรือไงวะไอ้ไฟ!” อนงค์กำมือแน่นจนสั่นไปหมด “กูผิดหวังในตัวมึงมากนะ กับครอบครัวตัวเองไม่เห็นหัวเลยหรือไง!”

ไฟหันหนีน้ำสีใสไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนจะหลับตากลั้นใจพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจบอกตอนนี้ได้ “ขอบคุณที่ทำให้ผมเกิดมา ผมจะตอบแทนทุกอย่างอยู่แล้วไม่ต้องห่วง และผมรักพ่อกับแม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเรื่องเรียนเรื่องงานผมยอมพ่อได้เสมอ แต่ยกเว้นเรื่องเดียว... แค่เรื่องเดียวเท่านั้น” ไฟหันมองพ่อตนเอง “ขอผมรักคนคนนี้ต่อไปได้ไหมพ่อ ผมขอร้อง”

อนงค์จ้องลูกตัวเองไม่วางตาแล้วผันหน้าไปมองคนข้างหลังที่ยังคงก้มหน้าร้องไห้ “สิงห์ไปคุยกับฉันที่ห้อง แค่คนเดียว คนอื่นห้ามมา”

“พ่อ” ไฟเรียกเสียงอ่อนอย่างท้อใจ

“นนท์ ฝากด้วย” อนงค์สั่งลูกน้องตนเองก่อนจะเดินออกไปก่อน

“สิงห์” ไฟรีบจับแขนคนรักที่กำลังเดินตามพ่อไป

“ขอโทษ แต่ปล่อยสิงห์เถอะนะ” สิงห์ร้องขอ พอมือคนรักคลายลงก็รีบเดินออกไป

“สิงห์!”

“ไฟอย่า” นนท์รีบห้าม

“ทำไมวะ!”

“ปล่อยให้ทั้งสองคุยกันเถอะ”

“โธ่เว้ย!” ไฟทิ้งหัวตนเองจ้องทางเดินที่คนรักไปเมื่อกี้ด้วยความอัดอั้น

จะไปคุยอะไรกันอีก จะทำให้สิงห์ต้องรับเรื่องแย่ ๆ พวกนี้ไปอีกนานแค่ไหนทุกคนถึงจะพอใจ

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 
๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

สถานีอ้อยขวาง


ผ่านไปหกวันหลังจากที่สิงห์ถูกพักราชการ เขาได้ไปส่งสิงห์ถึงบ้าน แต่ระหว่างทางสิงห์แทบไม่คุยอะไรเลยนอกจากเงียบ จนเกือบจะถึงที่หมาย สิงห์ก็พูดขึ้นมาในสิ่งที่อีกฝ่ายคงอัดอั้นมานาน

‘เกิดมาเป็นลูกโจรนี่มันน่าสมเพชเสียจริง’

เขาคิดว่าพ่อตนเองต้องไปพูดอะไรที่สะเทือนใจใส่คนรักเป็นแน่ พอถามไถ่สิงห์ก็แสดงออกว่าเหนื่อยที่จะพูดและอธิบายให้ใครฟัง ก่อนจะลงรถก็ขอกอดและจูบกันหนสุดท้าย 

มันทั้งขมขื่นและไร้อารมณ์ความรู้สึก

นับตั้งแต่นั้นไฟก็ได้แต่รอตกกลางคืนและรอให้สิงห์ออกจากบ้าน ทว่า... มันไม่มีทางไหนไปได้เลย ทั้งบ้านเสี่ยพันธ์ที่มีคนมาเฝ้าและโลกภายนอกที่ไม่พบแม้แต่เงา

“หมวดครับ” จ่าคมเดินเข้ามาเรียกสติของผู้หมวดหนุ่มที่เหม่อลอยอยู่หลายหนจนเกือบพลาดงานไปหลายรอบ

“ว่าไง”

“โทรเลขจากกรมตำรวจภูธรเขตหนึ่งครับ”

ไฟนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้าแล้วหยิบมาเปิดอ่าน

“มีอะไรวะไอ้ไฟ” จันที่นั่งข้าง ๆ ถามขึ้น

ไฟอ่านอย่างละเอียดก่อนจะตอบ “จะมีสารวัตรคนใหม่เข้ามาประจำตำแหน่งประมาณอาทิตย์หน้า”

“ห๊า? สารวัตรคนใหม่หรือวะ จะเป็นใครวะเนี่ย”

“ก็ขอให้ไม่ใช่แบบไอ้สารวัตรทัพนั่น”

“เฮ้ย พูดเสียงดัง” ว่าแล้วก็จุ๊ปาก

“หึ คนช่วยเหลือพวกเสี่ยพันธ์ก็เป็นมัน ขนาดหาหลักฐานไม่ได้ก็สั่งมั่วซั่วมาจับคนอื่น ผลงานเน่า ๆ ก็ยังทำให้เลื่อนขั้นไปเป็นรองอธิบดีในกรมตำรวจนครบาลได้เลยหรือวะ”

“อันนี้กูเห็นด้วย คนที่ไม่มีสมองคิดได้แต่กัดคนอื่นไปทั่วทำไมถึงได้เป็นรองอธิบดี” จันส่ายหัวพลางเค้นเสียงเหอะ

“หากพูดถึงสารวัตรคนใหม่เห็นพ่อเอ็งบอกว่าชื่อสารวัตรโขม” จ่าธงที่นั่งพิมพ์เอกสารเอ่ยบอก

“ใครกัน” ไฟขมวดคิ้ว

“ข้าเคยเจอครั้งหนึ่ง ยังดูหนุ่มอยู่เลย เป็นคนเก่ง ไม่เหมือน...” จ่าธงเว้นไว้ให้ทั้งสองคิด

“ถ้างั้นก็ดีจะได้ไม่ต้องมารับเรื่องปวดหัวของหัวหน้าที่ไม่ได้เรื่อง” จันพูดขึ้น

พูดยังไม่ทันหายลืมก็ผ่านไปอาทิตย์กว่าก็มีรถคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบท่าหน้าสถานี หมวดไฟที่ตอนนี้ถือว่าเป็นหัวหน้าสูงสุดแทนสารวัตรที่จะมาดำรงตำแหน่ง เดินออกไปดูรถราชการก็เป็นอันเข้าใจว่าสารวัตรคนใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้ว

หมวดไฟสั่งนายตำรวจทั้งสถานีคอยยืนต้อนรับด้านบน ส่วนเขา จัน แล้วก็จ่าธง จะลงไปข้างล่าง

“ยินดีต้อนรับครับสารวัตร” หมวดไฟตะเบ๊ะให้บุคคลตรงหน้าที่ดูสูงภูมิฐาน มองแวบแรกก็คิดแล้วว่าคนคนนี้เหมาะสมกับชุดตำรวจเสียจริง

“คุณ.. หมวดไฟใช่ไหม” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถามพลางยิ้ม

“ครับ ผมร้อยตำรวจตรีเพลิงกาฬ ไตรษิณย์ เป็นคนดูแลที่นี่แทนชั่วคราว”

สารวัตรใหม่พยักหน้าก่อนจะทักทายคนอื่น ๆ ตามลำดับและยังมีของมาให้ตั้งมากมายทั้ง ๆ ที่ฝ่ายต้อนรับต้องเตรียมของมาแท้ ๆ และนั่นเป็นความน่าชื่นชมในการพบปะกันครั้งแรก ของสารวัตรคนใหม่กับนายตำรวจเก่า

การทำงานผ่านไปหลายวันก็เริ่มเข้าที่เข้าทางกันดีแถมไฟยังได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องดีของจังหวัดนี้และภายในสถานีอ้อยขวางที่มีสารวัตรหน้าใหม่เป็นคนที่น่านับถือสมกับเป็นหัวหน้าอย่างแท้จริง

“ผมได้รู้เรื่องโจรและพื้นที่ต่าง ๆ มาจากท่านรองอธิบดีมาบ้างแต่คงจะดีหากได้สำรวจรอบ ๆ และเห็นหน้าคาตาบุคคลที่ข่าวลือทั่วไปที่คนในพื้นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างเสี่ยพันธ์ เสือเอี้ยง หรือแม้แต่เจ้าสัวเหวย แล้วก็ข้าราชการคนหนึ่งที่อาจจะพัวพันกับโจรด้วย” สารวัตรพูดขึ้น ตอนนี้นายตำรวจที่ว่างงานกำลังนั่งดื่มกาแฟตรงข้ามกับสถานีมีทั้งหมวดไฟ จ่าธง สารวัตรและจ่าคม

“พูดถึงเรื่องนั้นสารวัตร” จ่าคมที่ร่วมวงด้วยว่าแล้วกระซิบ “ข้าราชการคนนั้นเห็นมีข่าวมาว่าจะไปพบกับคุณหลวงธารานันท์คุยเกี่ยวกับเรื่องกงสุลของอังกฤษอะไรสักอย่างเนี่ยแหละครับ”

สารวัตรทำหน้าสงสัย “เท่าที่รู้มาที่นี่มีข้าราชการสองคนที่ได้รับบรรดาศักดิ์จากการทำงาน แต่ว่าพวกท่านไม่ได้ถูกกันหรอกหรือ ทำไมถึง...”

“ไม่ถูกกันน่ะถูกแล้วครับสารวัตร” จ่าธงเสริม

“ที่จริงแล้วคุณหลวงธารานันท์ท่านเป็นข้าราชการที่ดีคนหนึ่งและไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณหลวงอีกท่านทำ” ไฟอธิบาย “อย่างที่รู้กันดีว่าท่านทั้งสองมักจะนัดพบพูดคุยกันอยู่เสมอ แต่เป็นฝ่ายคุณหลวงศรีรวีชัยที่นัดตลอดเพราะต้องการให้คุณหลวงธารานันท์มาเข้าพวกกับตน”

เรื่องนี้มีแต่คนในจังหวัดเท่านั้นที่ทราบกันดีแต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรข้าราชการหลวงคนนี้ได้

“อาจจะได้ไปดูแลความปลอดภัยให้คุณหลวงนะครับ” จ่าคมว่า

“อ้อ อันนี้ผมก็รู้มาจากท่านรองเหมือนกันว่างานทุกงานหรือแม้แต่นัดพบก็ต้องไปดูแลความปลอดภัย หรือต่อให้ไม่ถูกสั่งเราก็ต้องไป เพราะยังไงที่นั่นก็มีพวกเสือที่คอยคุ้มกันเหมือนกัน ในเมื่อเสือมาเราก็ต้องดักไว้”

ทุกคนพยักหน้าเป็นการเข้าใจก่อนที่นายตำรวจคนหนึ่งจะวิ่งมาหา “สารวัตรครับ”

“ว่าไงหมู่เริง”

หมู่เริงยื่นจดหมายให้แล้วอธิบาย “จดหมายนี้เป็นของคุณหลวงศรีรวีชัย ท่านต้องการให้สารวัตรไปพูดคุยที่บ้านท่าน ตามเนื้อความด้านในและที่อยู่”

สารวัตรโขมขมวดคิ้วเปิดกระดาษอ่านก็เป็นเข้าใจดีว่าการมารับราชการที่นี่เริ่มมีเรื่องใหญ่เข้ามาเสียแล้ว

“หมวดไฟ จ่าธงไปกับผม ส่วนจ่าคม ถ้าหมวดจันกลับมาจากปฏิบัติหน้าที่แล้วให้ดูแลทางสถานีแทนก่อนนะ”

“ครับสารวัตร!” พูดจบเพียงเท่านั้นก็เดินไปทางรถจิ๊บของไฟ

“มีอะไรหรือครับสารวัตร” หมวดไฟถามขึ้นเมื่อออกรถมาได้สักพัก

สารวัตรถอนหายใจ “ผมคิดว่าเราต้องระวังตัวมากขึ้นแล้วล่ะ...”

“ทำไมหรือครับ”

“ก็ในจดหมายแจ้งว่าให้ผมช่วยยกเลิกคำสั่งในการลาดตระเวนในเขตของคุณหลวง”

เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวมาว่าคุณหลวงกำลังคิดทำการใหญ่เขาจึงส่งตำรวจไปดูลาดเลาแต่คงคิดง่ายเกินไปเพราะตำรวจที่สั่งก็ทำให้ลูกน้องฝั่งนั้นจำหน้าได้

“หากผมปฏิเสธเราอาจมีภัย คนน้อย ๆ มันก็ดีตรงที่ไม่พาคนอื่นมาเสี่ยงมากและพวกคุณก็เป็นคนที่ผมไว้ใจที่สุด ยังไงผมว่าเราเตรียมทางหนีทีไล่ก่อนเถอะ” ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าการเชิญชวนไปที่บ้านต้องมีแผนอะไรบางอย่าง

“ดีเหมือนกันครับผมก็สังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเหมือนกัน” หมวดไฟเอ่ยว่าแล้วลองสำรวจพื้นที่แถวเขตคุณหลวงไปพลาง ถึงเขาจะเป็นคนจังหวัดนี้ตั้งแต่เกิดแต่ใช่จะรู้ทางทุกพื้นที่ โดยเฉพาะที่นี่ที่เขาแทบไม่เคยผ่านมาดู

เพียงไม่นานกับขับมาถึงเรือนไม้หลังโตมีลูกน้องคุณหลวงยืนอยู่เต็มพื้นที่ ก่อนที่ไฟจะหยุดชะงักเมื่อเห็นรถคุ้นหน้าคุ้นตาจอดอยู่ข้างหน้า และลูกน้องที่คุ้นหน้าบ้าง... ทั้งรถนั้นกับลูกน้องที่ยืนอยู่ที่รถคือของเสี่ยพันธ์ทั้งหมด

“เชิญ” คนตรงขั้นบันไดว่าเสียงห้วนแล้วพยักพเยิดให้ขึ้นไปข้างบน หึ ใบหน้าไม่รับแขกกันทุกคนจริง ๆ

“มาแล้วหรือสารวัตรคนใหม่” ถึงจะแทบไม่เคยเจอแต่ก็จำน้ำเสียงนี้ได้แม่น เขาล่ะอยากจะดับหูนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด น้ำเสียงนี้ทั้งเย้ยหยัน วางท่า เหอะ

หมวดไฟหงุดหงิดได้ไม่เท่าไหร่เดินเข้าไปด้านในจนลูกน้องที่ยืนล้อมค่อย ๆ แหวกออกก็เหมือนคนมาหยุดเวลาเมื่อเห็นใครบางคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานนับเดือนได้ และทำให้เขาเกือบจะเป็นบ้าตายไปแล้ว

“สิงห์...” เสียงของเขาช่างเบาหวิวเหมือนกับไม่รู้ว่าคนตรงหน้านั้นใช่คนรักเขาจริงหรือเปล่า

แล้วทำไมสิงห์ถึงมาอยู่ที่นี่กับคนพรรค์นี้ได้ล่ะ

“ยินดีที่ได้พบขอรับคุณหลวง” สารวัตรโขมยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้ามท่านกับอดีตนายตำรวจที่เขาเคยเห็นในข่าว

“ต้องขอบคุณสารวัตรที่มาตามคำขอนะ” คุณหลวงยิ้ม

“ถือว่าเป็นเกียรติมากกว่าขอรับที่กระผมได้รับเชิญจากคุณหลวง”

คุณหลวงยิ้มพอใจคิดว่าคงคุยง่ายจึงเข้าเรื่องไม่รีรอสิ่งใด “ถ้าอย่างนั้นเรามาทำข้อตกลงกันดีไหมสารวัตร”

ในระหว่างที่สารวัตรทบทวนเกี่ยวกับทางหนีและคำนวณลูกน้องคุณหลวงว่ามีกี่คนก็ต้องถอนหายใจตั้งแต่พบหน้าอดีตตำรวจดีเด่นคนนี้ จะหนียากก็คราวนี้... จึงหันมองจ่าธงเป็นการบอกนัย ๆ ว่าเราถูกล้อมจริง ๆ พอจะหันไปมองหมวดไฟ ผู้หมวดนั้นกลับเอาแต่มองอดีตเพื่อนตนไม่วางตา

ก็พอรู้มาว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก... คงจะยังไม่ยอมรับเรื่องที่ว่าเพื่อนตนนั้นกำลังนั่งร่วมวงกับคนที่เป็นถึงข้าราชการที่พัวพันเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย

“ข้อตกลงอะไรหรือขอรับ” ตอนนี้ก็คงทำได้แค่ตามน้ำไปก่อน

“สารวัตรอยากได้เงินพิเศษไหม” เปรยมาเท่านี้ก็รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว สารวัตรอดหัวเราะไม่ได้ มันจะดูถูกเขาเกินไปแล้ว “ขำอะไร?”

“ขอโทษขอรับ กระผมแค่คิดว่าคุณหลวงช่างตรงไปตรงมาเสียจริง”

คุณหลวงมองพิจารณาอีกครั้งก่อนจะว่าต่อ “ถ้าหากสนใจก็บอกได้ แล้วก็อีกเรื่องคือช่วยเอาตำรวจที่มาสอดส่องแถวนี้ออกไปด้วยก็ดี คนอื่นจะไม่มามองว่าข้าราชการอย่างฉันมีตำรวจมาคอยลาดตระเวนแถวบ้าน”

สารวัตรโขมมองคุณหลวงไม่วางตาก่อนจะมองลูกน้องคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่เต็มเรือน แม้จะยืนห่างออกไปแต่ก็ดูออกว่าเตรียมพร้อมวิ่งเข้ามาจับพวกเขา

“เรื่องเงินพิเศษกระผมต้องขออภัยที่ไม่อาจรับไว้ได้ เพราะผมไม่ชอบให้ใครมาติดสินบน” สารวัตรโขมว่าเพียงเท่านั้นคุณหลวงก็เริ่มหงุดหงิด “ส่วนเรื่องคนมาลาดตระเวนในเขตคุณหลวง ถ้าเกิดแถวนี้ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยกระผมจะสั่งยกเลิกทันที”

“ฉันว่าฉันพูดกับสารวัตรให้เข้าใจแล้วนะ” คุณหลวงจ้องเขม็ง

“กระผมก็คิดว่ากระผมพูดกับคุณหลวงชัดแล้วเหมือนกันขอรับ” สิ้นคำพูดนั้นคุณหลวงก็ทุบโต๊ะยืนขึ้นเอาไม้เท้าชี้หน้าและคิดว่าคุณหลวงจะทำอะไรทั้งจ่าธงกับหมวดไฟที่อึ้งไปชั่วขณะกลับมาคุมสติหยิบปืนจ่อทางคุณหลวงทันที

แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อคนรักของเขาลุกขึ้นยกปืนจ่อใส่เขาเหมือนกัน ไฟหน้าเสียก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกบีบรัด ตั้งแต่เข้ามายันเอาแต่นั่งมองหน้าคนตรงข้าม สิงห์ก็แทบไม่มองหน้าเขาเลยสักนิดคล้ายกับคนที่ไม่รู้จักกัน แล้วนี่คืออะไร ทำไมถึงหันปืนใส่เขากัน...

ทำไม...

“สารวัตรไม่อยากอยู่ที่นี่อย่างสบายใช่ไหม”

สารวัตรโขมคิดหนักเมื่อมีกระบอกปืนจ่อมาทางนี้มากมาย ลูกน้องตนสองคนที่มาที่นี่ด้วยก็ต้องอาจบาดเจ็บกลับไป หรือบางทีอาจจะไม่รอด

“วางปืนลงซะ” น้ำเสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินมานานเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ทำให้ไฟยิ่งไม่เข้าใจจนลดมือลง

“สิงห์ทำไม...” เขามองคนรักอย่างเจ็บปวดและสับสน

สิงห์มองคนตรงข้ามด้วยแววตาเรียบนิ่งแล้วลดมือลงก่อนจะหันไปทางคุณหลวง “กระผมว่าคุณหลวงอย่าไปสนใจพวกเขาเลยขอรับ ถ้าพวกเขาไม่สนใจก็ช่างพวกเขาไป ทางเราก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักกับแค่ตำรวจยศน้อยไม่กี่คน”

ทำไมถึงคุยกันอย่างนั้นได้ “สิงห์…”

“รีบตัดสินใจเถอะขอรับ กระผมต้องรีบไปเตรียมของ ยังไงต้องขอตัวกลับก่อน”

“จะไปแล้วหรือ” คนที่หงุดหงิดเมื่อกี้หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเมื่อแขกกิตติมศักดิ์ที่สุดกำลังจะกลับ

“ไว้เราค่อยมาคุยกันใหม่นะขอรับ” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็เดินออกไปกับลูกน้องสามสี่คนที่มาด้วย

“เดี๋ยวสิงห์!” ไฟรีบตามไปจนจ่าธงต้องกุมหน้าผาก ที่หลานตัวดีปล่อยตนกับสารวัตรไว้ที่นี่สองคน

“สิงห์! หยุด!” ไฟปรี่เข้าไปหาแต่ลูกน้องก็มายืนกันไว้ “สิงห์มาคุยกับไฟก่อน!”

คนถูกเรียกหันมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะปัดมือให้ลูกน้องถอยออก ไฟจึงรีบเข้าไปจับแขนคนรัก “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสิงห์ถึงมาที่นี่ ถูกเสี่ยพันธ์บังคับใช่ไหม”

แววตาที่เคยเรียบนิ่งสั่นไหวเล็กน้อยกลายเป็นเหนื่อยล้าที่ส่งผ่านออกมาจนคนมองสัมผัสมันได้ สิงห์หลับตานิ่งงันก่อนจะตอบ “ไม่มีใครบังคับทั้งนั้น ฉันมาด้วยตัวเอง”

“ไม่ มันไม่จริงหรอกไฟรู้ สิงห์... ออกมาจากที่นั่นเถอะนะ ไฟดูแลสิงห์ได้จริง ๆ นะ”

สิงห์กำมือแน่น “ช่างเถอะ ปล่อยได้แล้วฉันจะกลับ”

“ไม่สิงห์” ไฟอยากจะกอดเพื่อรั้ง แต่ลูกน้องของสิงห์ก็กักตัวไว้ “ปล่อยสิวะ!”

“หยุดตามหา หยุดวิ่งตาม ต่างคนต่างอยู่เถอะนะ ถือว่าเราไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว” สิงห์พูดเพียงเท่านั้นก็ขึ้นรถอย่างไม่รีรอใดใด

“สิงห์! ไม่! ปล่อยดิวะไอสัส!” ไฟดิ้นจนหลุดออกมาจะวิ่งตามรถก็ไปไม่ทันในเมื่อมันขับไปไกลแสนไกล รถอีกคันของลูกน้องสิงห์ก็ขับออกไปจนไฟได้แต่สบถกับตัวเอง “โธ่เว้ย!!”

“หมวด! มีอะไรหรือเปล่า” สารวัตรที่ลงมาตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้เอ่ยถามไถ่

“เปล่าครับ” ไฟตอบแม้ตาจะมองทางที่รถนั้นขับออกไป

“ถ้าไม่มีอะไรเรารีบไปเถอะ ถึงจะถูกปล่อยตัวออกมาง่ายแต่คงไม่จบแค่นี้”

“ไปเถอะหมวด เรื่องอื่นไว้ค่อยคิด” จ่าธงดึงสติก่อนจะเป็นคนขับแทนเจ้าไฟเพราะมันคงไม่มีสมาธิขับอย่างแน่นอน

แต่พอขับออกมาได้ไม่ไกลนักก็มองเห็นได้ทันทีว่ามีคนขับรถตามเป็นพวกลูกน้องคุณหลวงไม่ผิดแน่

“นั่น! ระเบิด! รีบหลับเร็ว!” สารวัตรที่เห็นหนึ่งในพวกมันกำลังปาระเบิดมาก็รีบบอกแล้วกระโดดออกจากรถไปพร้อม ๆ กับคนอื่น ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกสะเก็ดระเบิดและยังกลิ้งไปกับพื้นไม่หยุดเพราะลงจากรถที่ขับออกมากะทันหัน ถึงแม้จะตรวจดูทางหนีแต่มันก็ไม่ทัน

“นี่แค่เตือนนะไอ้สารวัตร!” ลูกน้องที่เป็นคนโยนระเบิดตะโกนบอกพลางหัวเราะก่อนที่รถคันนั้นจะวนกลับไปเมื่อทำหน้าที่เสร็จสิ้น

“หมวดเป็นอะไรไหม” สารวัตรรีบลุกมาดูเพราะไฟกระโดดเป็นคนสุดท้ายและยังไปทางที่ดินขรุขระน่าจะกระแทกเศษหินไม่มากก็น้อย

“ไม่เป็นไรครับ” ไฟดันตัวขึ้นช้า ๆ จับแขนตัวเองแล้วมองรถที่พ่อซื้อไว้ให้ ค่อย ๆ มีไฟลุกท่วมทั้งตัวรถ กว่าจะได้เงินซื้อรถทั้งทีมันยากลำบากแค่ไหนเขารู้ดี เงินเดือนเขาทั้งปีหรือสองปีก็ยังไม่มีพอซื้อเลยด้วยซ้ำ รถนี้ยังเป็นคันแรกที่พ่อต้องการให้เป็นของขวัญ ถึงจะมีเรื่องทะเลาะรุนแรงกันมาหมาด ๆ แต่ไฟยอมรับว่าสิ่งของทุกชนิดที่พ่อให้มา เขาก็อยากจะดูแลให้ดีทั้งหมด

แต่วันนี้มันกลับถูกระเบิดโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย

“เอาเป็นว่าพวกเรารีบขอชาวบ้านแถวนี้ไปส่งที่โรงพยาบาลก่อนเถอะครับ” จ่าธงพูดขึ้นเพราะเป็นห่วงหลานเต็มทน เจอคนรักเก่าที่ผันตัวเปลี่ยนเป็นโจรเต็มที่ไม่พอ ยังต้องมาเสียรถที่พ่อซื้อให้อีก

“หมวดไฟลุกไหวไหม” สารวัตรเอ่ยถาม

“ครับ” ไฟตอบรับเสียงแผ่วลุกขึ้นโดยมีสารวัตรช่วยพยุง เขามองรถที่เผาไหม้อย่างใจหายถึงจะยอมเดินออกไปกับทั้งคู่



จบบทที่ ๑๓

-----------------------------------------------------------------------------------
ตอนหน้าก็จบภาคย้อนวัยแล้วนะคะ จะเป็นตอนที่ ๑๕ ที่จะเข้าสู่ช่วงปัจจุบันแล้ววว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 11:15:26 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทที่ ๑๔

ย้อนวัยสุดท้าย : ฆ่าเพื่อน

 

๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒

สถานีอ้อยขวาง


“พี่ไฟคะ” เด็กสาวเอ่ยเรียกพี่ชายคนสนิทเป็นรอบที่สามของวันเพราะมัวแต่นั่งเหม่อจนเธอมาถึงที่นี่นานแล้วก็ยังไม่เห็นว่าอีกคนจะสนใจสิ่งใดเลยนอกจากเรื่องในหัว

“หื้อ?” ไฟรีบหันมองก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ต้นอ้อหรอกหรือ” จำได้ว่าตอนที่ต้นอ้อมาที่สถานีครั้งแรก เขาตกใจเป็นอย่างมากที่ต้นอ้อออกมาข้างนอกได้หลังจากที่ถูกห้ามไว้ก่อนหน้านี้ แต่พอพูดคุยจนรู้เรื่องก็เข้าใจดีแล้วว่าเป็นสิงห์ที่ขอร้องเสี่ยพันธ์ให้น้องได้เรียนต่อ

ต้นอ้อพยักหน้าแล้วยื่นขนมที่ทำมาให้ “กล้วยบวชชีค่ะ”

“ขอบคุณนะ” ไฟยิ้ม รับขนมไว้เหมือนดั่งทุกครั้งที่ต้นอ้อเอามาฝากก่อนไปเรียนทุกเช้า “แล้วสิงห์ล่ะ..”

แล้วก็เป็นทุกครั้งที่เขาถามถึงคนรัก ต้นอ้อจึงพรูลมหายใจเพราะตนก็อดเป็นห่วงพี่ชายตัวเองไม่ได้ “เหมือนเดิมค่ะ ไม่กินข้าว ไม่ออกจากห้องหากไม่ไปทำงานเกี่ยวกับ...อะไรพวกนั้น ต้นอ้อไปเคาะห้องอยู่หลายครั้งก็ถูกไล่ให้ไปนอนทุกที”

ดวงตาคมหม่นลง “สิงห์ไม่ออกมาคุยกับแม่แล้วก็ต้นอ้อเลยหรือ”

ต้นอ้อเม้มปาก “ค่ะ ไม่ออกมาเลย เจอกันแค่ตอนที่พี่สิงห์ออกไปข้างนอกแต่ว่าคุยกันนับประโยคได้”

ไฟถอนหายใจ “ฝากดูสิงห์ด้วยนะ อย่าปล่อยให้สิงห์อยู่คนเดียว”

“ได้ค่ะ หนูเองก็อยากให้พี่สิงห์กลับมาเป็นเหมือนเดิม”

อยากจะพูดไปว่านี่แหละสิงห์คนเดิมที่คิดมากและมักจะเอาตัวเองไปอยู่ในสิ่งที่คิดว่าดีต่อผู้อื่น แต่คนเดิมนั้นก็ยังบอกยังพูดให้รู้ว่ามีเรื่องอะไรในใจ เหมือนครั้งที่ถูกเสี่ยพันธ์ทำร้ายร่างกาย วันที่เขาบอกให้สิงห์พูด นับตั้งแต่นั้นอีกฝ่ายก็บอกทุกเรื่องตลอด

แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่เกิดเรื่องจากการถูกสงสัยว่าช่วยเหลือพ่อตัวเองก็ไม่เคยบอกกันเลยสักคำ

“พี่ก็อยากให้สิงห์ออกมาจากนรกนั่น”

ต้นอ้อมองคนรักของพี่ชายด้วยความรู้สึกที่เข้าใจก่อนจะยิ้มบาง ๆ “พี่ไฟก็อย่าเป็นห่วงไปเลยนะคะ ต้นอ้อจะช่วยดูแลพี่สิงห์ให้เอง”

ไฟหันมองน้อง “ขอบคุณมาก ๆ นะ”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอไปเรียนก่อนนะคะ” ว่าแล้วก็ยกมือไหว้

“ตั้งใจเรียนนะ” ไฟลูบหัวน้องมองจนต้นอ้อลับสายตาถึงจะเดินเข้าห้องทำงานนั่งลงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า

เขาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน มันออกจะยับและดูจะขาดอยู่รอมร่อ ทว่าก็ไม่ได้นึกสนใจ เนื้อหาด้านในจั่วหัวข่าวว่าเมื่อสองสามเดือนก่อน อดีตฉายาสิงห์ปืนไวผู้กองดีเด่นของสิงห์บุรีกำลังสั่งเข่นฆ่าชาวบ้านที่ไม่ยอมจำนนต่อตนเองและยังทำการขนส่งอาวุธและยาแทนบิดาที่ยกหน้าที่ทั้งหมดให้นายสิงห์

เป็นหัวข่าวที่หลายคนต่างสนใจ เมื่อตำรวจที่ชาวบ้านต่างยกย่องนับถือดันกลายมาเป็นโจรเสียเอง จึงถูกสาปแช่ง รวมถึงก่นด่าสารพัด กลายเป็นว่าหนึ่งในโจรร้ายในภาคกลางนั้นมีชื่อ ‘นายสิงห์’ รวมอยู่ด้วย ค่าหัวก็เยอะตามข่าวที่ดังเรื่อย ๆ จนมีหลายคนคิดจะเด็ดหัวหนึ่งในโจรร้ายผู้นี้แต่ก็ถูกฆ่าและแขวนคอประจานหากใครคิดลอบฆ่านายสิงห์อีก

‘ไม่น่าเชื่อว่าอดีตตำรวจที่ยุติธรรมที่สุดในวันนั้นกลับโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่เคยพบมา’ นั่นคือคำที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ที่ไม่เคยทำใจชินกับมันลงเสียที

“เลิกอ่านได้แล้ว ข่าวมันก็จบไปตั้งแต่หลายเดือนก่อนยังจะเก็บมันไว้อีก” จันที่นั่งมองอยู่นานพูดขึ้นแล้วจับบ่าเพื่อนสนิท

เจ้าตัวยอมวางหนังสือพิมพ์ลงก่อนจะลูบหน้าตัวเอง “กูไม่เข้าใจเลย สิงห์ทำไปเพื่ออะไรกัน”

“มันคงมีเหตุผล”

ไฟเงยหน้ามองเพดานห้อง มีน้ำสีใสแห่งความอัดอั้นเอ่อคลอ “ทำไมสิงห์ต้องหนีกูไปอยู่เรื่อยเลยวะ จะทำอะไรก็ไม่เคยบอก ไม่เคยพูด เอาแต่เก็บไว้คนเดียว บางทีกูก็คิดนะว่ากูยังสำคัญอยู่ไหม” เวลาที่อยู่คนเดียวเขาเอาแต่กินเหล้าแล้วก็ร้องไห้ทำลายข้าวของจนแม่ห่วงพลอยทำให้แม่ร้องไห้ไปด้วยเพราะไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้ เขารู้สึกผิดกับแม่แต่มันห้ามไม่ได้เลย ทุกคืนเขาเอาแต่ร้องไห้ ก็พยายามพูดกับตัวเองว่าโตแล้วควรจะคิดเยอะ ๆ บ้าง

สุดท้าย... ก็ทำไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเลยสักนิด ยังคิดอยู่เลยว่าเพิ่งจบมอปลายมาหรือเปล่านะ ก่อนหน้านี้ยังได้ยิ้มได้หัวเราะกับสิงห์อยู่เลย

เมื่อก่อนมีความสุขแค่ไหนเขารู้ดี ช่วงเวลาที่มีสิงห์อยู่ข้าง ๆ เหมือนเป็นพลังชีวิตที่ทำให้เขามีกำลังใจขึ้นมา

แต่กำลังใจนั้น... ได้หายไปจากเขาอีกแล้ว

ไฟลูบแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างเหม่อลอยกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นอะไรเพื่อนสนิทก็เขย่าไหล่ด้วยสีหน้าที่ตกใจ

“มึงร้องไห้ทำไม”

คนที่ได้สติกลับมายกมือจับแก้มที่ยังคงมีความเปียกชื้นก็ได้แต่พรูลมหายใจ เอาอีกแล้ว เป็นแบบนี้ทีไรก็ไม่เคยกลั้นความรู้สึกได้สักที พูดคุยอยู่ดี ๆ มีอันต้องเหม่อกลัดกลุ้มเรื่องของคนรักตลอด

“กูเพลีย ๆ ว่ะ”

“ลาสักครึ่งวันไหมเดี๋ยวกูบอกสารวัตรให้” จันยังคงห่วง

“ไม่เป็นไร”

จันถอนหายใจ “ไปพักเถอะเชื่อกู มึงทำงานต่อไม่ได้หรอก ดูแลตัวเองบ้างดิวะ”

ไฟก้มหน้าอย่างคนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรก่อนจะพยักหน้าด้วยความเชื่องช้า “อืม ขอโทษนะวันนี้มึงคงรับงานหนักแทนกู”

“เออไม่เป็นไร มึงไปพักซะเดี๋ยวกูไปส่ง” จันว่า

ไฟเตรียมลุกขึ้นก่อนที่จะมีนายตำรวจหลายคนชุลมุนวุ่นวายจนเห็นสารวัตรเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเครียดขมึง “ยกกำลังไปดักจับรถเสี่ยพันธ์ จะมีการส่งล็อตใหญ่ ทุกนายเตรียมตัวพร้อมขนอาวุธไปด้วย อาจมีการปะทะ”

“ไอ้ไฟเดี๋ยว!” จันรีบเรียกเพื่อนตนที่เดินออกไปไม่รอ “มึงไปไม่ได้นะไอ้ไฟ”

“กูจะไปหาสิงห์”

“มึงจะรู้ได้ไงว่าสิงห์มันไปด้วย สารวัตรพูดแล้วว่าจะมีการปะทะกัน ถึงมึงไปก็มีแต่ทำให้ตัวเองไปตายเปล่า ๆ นะเว้ย มึงดูสะภาพตัวเองสิวะ!” จันชี้หน้า “ไปทั้ง ๆ แบบนี้มึงจะทำอะไรได้ อาจจะไม่ได้เห็นมันเพราะมึงตายก่อนก็ได้นะไอ้ไฟ”

“ขอร้องนะจัน ให้กูไป”

จันกัดฟัน “ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ มึงนี่มันชอบทำให้กูเป็นบ้าอยู่เรื่อย” ไฟไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูดแต่ก็ใจชื้นเมื่อเห็นว่ามันมีสีหน้าอ่อนลง “จะไปก็ไป กูไม่มีสิทธิ์สั่งห้ามได้อยู่แล้ว แต่อย่าได้วู่วามล่ะ”

“ขอบใจ” ไฟยิ้มได้แล้วขึ้นรถไปกับคนอื่น ๆ ไม่สนว่าตัวเองจะมีจิตใจที่ฟุ้งซ่านแค่ไหน

ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เริ่มชะลอความเร็วและจอดห่างออกไปจากจุดที่ได้รับแจ้งมาจากตำรวจที่ตรวจพื้นที่ เพราะด้านในนั้นเป็นป่าทึบคาดเดาได้ไม่ยากว่าพวกมันคงจะเตรียมการส่งจากทางนี้

“หมวดจัน จ่าคมและคนอื่น ๆ ไปทางนั้น ส่วนหมวดไฟ จ่าธงมากับผม” สารวัตรสั่งก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปแต่ละพื้นที่ของตัวเอง คล้อยหลังไม่ไกลนักจันหันมองไฟด้วยความเป็นห่วงและไฟก็รู้ดีจึงหันมองแล้วพยักหน้าให้เพื่อนมั่นใจ จันถึงจะนำทีมของตนเองออกไป

“คราวนี้พวกมันส่งให้ใครกันหรือครับสารวัตร” จ่าธงเอ่ยถาม

สารวัตรที่เดินนำหันมองทั่วก่อนจะตอบ “คงจะเป็นพวกเจ้าสัวเหวย หรือไม่ก็พวกที่ส่งของออกนอกประเทศ”

“ส่งล็อตใหญ่แปลว่าเสี่ยพันธ์ต้องมาด้วยตัวเองสินะครับ”

“ผมกลัวว่าจะไม่ใช่เสี่ยพันธ์น่ะสิจ่า”

พอได้ยินอย่างนั้นคนที่เดินตามเงียบ ๆ พลันใจกระตุกขึ้นมา ดีใจหรือ? คงใช่ หากเป็นคนรัก เขาคงดีใจ แต่ก็หนักใจเจ็บหน่วงไปทั้งอก เกิดมีการปะทะไม่แน่เขาอาจตายเพราะไม่กล้ายิงสู้กลัวสิงห์ถูกลูกหลง

นึกแล้วก็น่าขัน ผู้หมวดหนุ่มที่ไม่มีคำว่าไว้ชีวิตกับพวกนอกกฎหมายกลับต้องคิดที่จะไม่ยิงทันทีเมื่อคิดว่าคนรักของตัวเองไปอยู่รวมในนั้นด้วย ไม่แม้แต่จะลังเลที่จะยอมตกเป็นเป้าดีกว่าเป็นมือปืน

“เงียบขนาดนี้เกรงว่าจุดที่ส่งจะอยู่ทางหมวดจันนะครับสารวัตร”

“ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ว่าไม่แน่อาจจะเป็นทางนี้ เดินสอดส่องดูก่อนเผื่อเจออะไร”

“ครับ” จ่าธงตอบรับ

ทั้งสามเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก็ไม่พบสิ่งใดแม้แต่เสียงพูดคุยหรือเสียงขนของนอกจากเสียงนกเสียงแมลง คำสันนิษฐานของจ่าธงคงจะถูก... ทว่า ยังไม่ทันที่สารวัตรจะเอ่ยคำสั่งใดพลันมีเสียงปืนดังขึ้นมาจากตรงที่ไม่ไกลมาก ราวกับจุดชนวนสงครามขนาดย่อม

“ไป!” สิ้นเสียงสั่ง ทั้งสามก็รีบวิ่งไปทางที่เกิดเสียงปืนทันที หมวดไฟที่ดูเชื่องช้ากว่าใครบัดนี้กลับวิ่งนำหน้าทั้งสองไปอย่างไม่รีรอ หัวใจเต้นถี่ไปด้วยความกลัว... มันกลัวที่จะต้องสู้กับสิงห์ เหมือนฟ้าไม่เป็นใจคิดอะไรได้เพียงครู่เดียวพลันร่างกายก็หยุดชะงักเมื่อพบกับภาพตรงหน้า

ต่อให้พูดว่าไม่เชื่อ ทว่า หลักฐานก็ตำตาจนปฏิเสธไม่ได้

“ต้องการแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม” จันยิ้มฝืนดวงตาแดงก่ำมองเพื่อนสนิทที่จ่อปืนทางตนเอง ใบหน้านิ่งเรียบนั้นไม่แม้แต่จะตอบสิ่งใด จันมองแล้วมิอาจพูดคำใดออกนอกจากพยักหน้าอย่างจำยอม

“สิงห์อย่า..” ไฟเพิ่งค้นหาเสียงตัวเองพบเมื่อเห็นว่าคนรักกำลังง้างนกเตรียมยิง

จันหันมองเพื่อนสนิทอีกคนแล้วยิ้มเจ็บปวด “หวังว่าชาติหน้าจะได้เป็นเพื่อนกับพวกมึงอีก...” สิ้นคำนั้นเสียงปืนนัดถัดมาก็จ่อเข้าที่กลางอกทันที...

“ไอ้จัน!!” ไฟร้องเสียงหลงน้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่จะวิ่งเข้าไปก็ถูกจ่าธงกับสารวัตรที่เพิ่งมาถึงกักตัวเอาไว้

“ใจเย็นหมวด” สารวัตรรัดตัวอีกฝ่ายแน่นเมื่อไฟทั้งดีดดิ้นร้องคำรามไม่เป็นภาษาเหมือนคนเสียสติ

“ไม่! ไอ้จัน! ไอ้จัน!” ไฟตะโกนจนเสียงแหบแห้งอารมณ์ที่ปะทุทำให้ร่างกายมีกำลังกว่าคนอื่นจนคนที่กักตัวไว้เริ่มล้าที่แขนเกือบจะหยุดไฟไม่ได้ จนมีเสียงคนวิ่งมาเพิ่มเป็นทางฝั่งพวกมันและตำรวจในทีมหมวดจันที่เพิ่งมา

“เกิดอะไรขึ้นครับ” จ่าคมเอ่ยถามร้อนรนแต่พอมองเห็นร่างสิ้นลมหายใจของคนที่นำทีมตนก่อนหน้าก็พลันเบิกตาโพล่ง

“จับตัวหมวดไฟพาออกไปจากที่นี่ เร็ว!” สารวัตรสั่ง คนอื่น ๆ เลยออกจากอาการตกใจมาช่วยอีกแรง

ทางด้านลูกน้องที่มาเพิ่มก็ตกใจไม่แพ้กันและเป็นภพที่ถามขึ้น “มีอะไรครับนาย”

“ไอ้หมวดไฟกับสารวัตรนั่นเผลอยิงมาเลยเกิดปะทะนิดหน่อย ส่วนมันก็ถูกลูกหลง” มันที่ว่านอนแน่นิ่งสนิทจนคนที่ฟังอยู่ถึงกับโมโห

“ถูกลูกหลงเหี้ยอะไร!!” ไฟตะโกนอย่างเหลืออด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธนั้นดวงตากลับวูบไหวเจ็บปวด ก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกขย้ำบดขยี้แม้จะแหลกไปแล้วก็ยังถูกสับเป็นชิ้น ๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง “มึงเป็นเหี้ยอะไรวะสิงห์! ทำแบบนี้ทำไม!”

สิงห์เพียงปรายตามองก่อนจะเก็บปืนไม่พูดอะไรออกมา ลูกน้องคนหนึ่งจะยกปืนยิงแต่ภพก็ห้ามมือไว้พลางส่ายหน้า

“นั่นมีลูกของรองอธิบดีกรมตำรวจภูธรอีกคน อย่าได้คิดยิง ไม่อย่างนั้นเกิดเรื่องมากกว่าเดิม”

“รีบไปเถอะ” เพียงนายสั่งทุกคนก็รีบทำตาม แม้จะเห็นโอกาสแต่หมวดไฟที่คลุ้มคลั่งตะโกนไม่หยุดก็ทำให้ต้องถอยอย่างเดียว

“สิงห์! หยุด!”

“ข้าขอโทษนะเว้ยไอ้ไฟ” จ่าธงใช้สันมือกระแทกหลังคอเพื่อให้อีกคนสลบก่อนจะพยักหน้ากับสารวัตรแล้วสั่งถอยพร้อมกับให้นายตำรวจคนที่เหลือไปเอาร่างหมวดจันออกมาด้วย

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

งานพิธีศพถูกจัดขึ้นที่วัดแถวพระนคร ไฟที่กว่าจะสงบลงได้ก็ต้องให้แม่มาพูดด้วยอยู่นาน แต่เพราะมีงานศพของจัน ไฟจึงมาช่วยที่งานและยอมหยุดลง นนท์ที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับภรรยาเดินตรงมาทางเพื่อนตนที่ยืนเหม่ออยู่ด้านนอกคนเดียว

“ไฟ” นนท์เรียกพร้อมกับจับบ่า เห็นเพื่อนยังคงยืนนิ่งก็ได้แต่มองหน้าปิ่นอย่างหาทางช่วย

แต่ปิ่นทำเพียงส่ายหน้าจับแขนสามีให้เดินไปอีกทางเพื่อจะได้ไปคุยกับสารวัตรของสถานีอ้อยขวาง ถามไถ่เรื่องราวจนจบก็ได้แต่นิ่งเงียบหนักอกหนักใจคร้านจะเอ่ยคำใดก็มิอาจเอ่ยออกมาได้

“มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงคะ คุณสิงห์ไม่ทำแบบนั้นแน่” ปิ่นถึงแม้จะตกใจทว่าไม่เชื่อกับสิ่งที่หูได้ยิน

“ถ้าพูดให้ถูกคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดคงจะเป็นหมวดไฟ เพราะเขาวิ่งนำผมไปก่อน” สารวัตรเอ่ยบอกครูสาวก่อนจะเงยหน้าสบมองกับผู้กองนนท์ที่มองมาเช่นกัน “ผมกับจ่าธงห้ามไว้แล้ว อารมณ์ร้อนอย่างเขาก็ทำเอาผมเครียดเหมือนกัน”

นนท์ถอนหายใจกำมือแน่นมีไม่กี่ครั้งที่เขาจะโกรธ “ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย คิดอะไรกันอยู่”

สารวัตรก็คิดเหมือนกันว่าเรื่องนี้เกินจะรับไหว “ผมไม่เข้าใจหรอกครับ แต่ว่ามันเกิดขึ้นไปแล้วก็ต้องอยู่ตั้งรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นมา”

นนท์ดวงตาแข็งกร้าวทันควันจนปิ่นต้องลูบแขนเพราะนนท์เองก็ออกมาอยู่ข้างนอกการกักเก็บบุคลิกที่ดีของท่านชายจึงเริ่มลดลงและแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้ามากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นผลดีมากนัก “ตั้งรับหรือ เรื่องแบบนี้คงไม่ใช่ผมกับไฟที่จะยอมรับมันง่ายขนาดนั้น”

สารวัตรเองหนักใจไม่แพ้กัน “ผมควรจะคิดให้รอบคอบมากกว่านี้”

“คุณมาพูดตอนที่มันสายไปแล้วหรือ โทษตัวเองแล้วได้อะไรขึ้นมาในเมื่อหนึ่งชีวิตจบไปโดยที่ทิ้งความเจ็บปวดให้คนที่อยู่แบบนี้เพราะความคิดตื้น ๆ ของพวกคุณ!” นนท์ชี้หน้า

“นนท์คะ” ปิ่นรีบจับมือคนรัก “นี่งานศพนะคะให้เกียรติคุณจันด้วย”

นนท์ยอมอ่อนลงแต่ก็ยังคงด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น “เพื่อนผมต้องมาแบกรับเรื่องพวกนี้ก็เพราะพวกคุณ”

“สารวัตร...” จ่าธงที่เดินมาเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ตะเบ๊ะ “ผู้กองนนท์”

“คุณเห็นเขาเป็นหลานหรือเปล่า” นนท์ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อคนคุ้นเคยมาถึง

จ่าธงก้มหน้า “ผมเห็นเขาเป็นหลานเสมอ”

นนท์หลับตาพยักหน้า “งั้นก็ดูแลเขาให้ดีเถอะครับ อย่าปล่อยให้ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้”

“ครับ”

เพียงชั่วครู่ไฟที่ยืนอยู่คนเดียวเดินกลับเข้ามาด้านในมองบรรยากาศอึมครึมของเพื่อนร่วมรุ่นกับสารวัตรและจ่าธงแล้วก็ได้แต่สงสัย “มีอะไรกันหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก หมวดเถอะพักบ้างนะช่วยงานมาทั้งวันแล้ว” สารวัตรเอ่ยก่อนที่จ่าธงจะขอตัวเดินออกไปเหลือเพียงสี่คน

“ผมพักไม่ได้หรอกครับ” ไฟยิ้มบาง ๆ แล้วพยักหน้าให้นนท์ “ขอโทษนะที่ไม่ได้ทัก มัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“ไม่เป็นไร”

ไฟพยักหน้าขอบคุณแล้วหันมองภรรยาเพื่อน “คุณปิ่นยินดีที่ได้พบครับ ไม่เจอกันเสียนาน”

“ยินดีเช่นกันค่ะ พอดีปิ่นวุ่นกับเรื่องเจ้าปราชญ์เลยไม่ได้ออกไปไหน”

“แล้วตอนนี้ปราชญ์อยู่กับใครหรือครับ ผมว่าหากว่างจะไปหาเสียหน่อย”

“เฟื้องมาดูแลให้แทนน่ะ ฉันเลยมางานกับปิ่นได้” นนท์ตอบให้

“งั้นหรือ” ไฟยิ้ม แต่เป็นใครก็ดูออกว่าตอนนี้อีกคนฝืนมากแค่ไหนที่ทำให้ตัวเองร่าเริง

“หมวดไฟครับ หมวดจันมีญาติหรือเปล่า” จ่าคมเดินมาถามนั่นจึงทำให้ทุกคนเงียบลงก่อนที่ไฟจะส่ายหน้า

“ไม่มี”

“ถ้าอย่างนั้นหมวดไฟถือรูปหมวดจันนะครับ ตอนนี้กำลังทำการเคลื่อนศพไปที่เมรุก่อน”

ไฟตอบรับทันทีโดยที่ไม่ขัดข้องใดใดก่อนจะพยักหน้ากับนนท์ให้เดินไปช่วยคนอื่น ๆ ทางนนท์ จ่าธงจ่าคมและสารวัตรเป็นคนแบกโลงศพที่มีผ้าธงชาติคุมไว้อยู่ พิธีดำเนินการอย่างไม่เร่งรีบจนถึงเวลาเดินรอบเมรุทุกคนก็ประจำที่

ไฟก้มมองรูปเพื่อนสนิทด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะหันไปมองทางด้านหลังที่เป็นโลงศพเพื่อน ตั้งแต่มาช่วยงานเขาไม่มีน้ำตาสักหยด แต่พอใกล้จะถึงพิธีเผากลับอดกลั้นไม่ไหว เขามองเห็นนนท์ที่เป็นเหมือนกับตนไม่ต่างกันก็ได้แต่มองหน้ากันอย่างเข้าใจ

ช่วงบ่ายสามครึ่งน่าจะร้อนอบอ้าวทว่ากลับมีลมพัดผ่านเย็นไปทั่วกาย เดินจบครบรอบก็ทำพิธีต่อไปโดยที่มีไฟและนนท์เป็นญาติไปก่อน ในตอนที่แบกศพจริงเข้าเผา ไฟกับนนท์ไม่ได้กลัวเลยสักนิด ยิ่งเห็นแบบนี้น้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง

“ไปสู่สุคตินะจัน” ไฟยืนมองไม่ไปไหนก่อนที่ตำรวจหนุ่มทั้งคู่จะตะเบ๊ะพร้อมกัน

“ไม่ว่าเรื่องไหนที่เคยจะทำ ฉันจะทำต่อให้เอง” นนท์พูดขึ้นมา เห็นคนข้าง ๆ หันมองอย่างต้องการคำตอบก็คลายความสงสัยให้ “เรื่องแม่กับน้อง”

“ถ้าอย่างนั้นฉันทำด้วย”

พอได้ยินอย่างนั้นนนท์ก็ส่ายหัวทันที “ไว้ค่อยทีหลังเถอะนะ นายควรพักก่อน ยังไงเรื่องก็เกิดที่พระนคร ฉันจะตรวจสอบดูก่อนได้เรื่องแล้วจะมาบอกอีกที”

ไฟถอนหายใจแต่ก็จำยอม เดินออกจากเมรุก็พบกับท่านอธิบดีคนใหม่ของพระนครหรือก็คือท่านอธิบดีวาริน อดีตรองอธิบดีที่เลื่อนตำแหน่งไปไม่กี่ปีก่อน ไฟตะเบ๊ะให้ท่านที่ทำเพียงยิ้มบาง ๆ

“เสียใจด้วยนะหมวด งานนี้มันเหมือนยืนบนเส้นด้ายคล้ายเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับความตายตั้งแต่เริ่มทำงาน แต่คงจะดีหากไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” ท่านว่าพลางจับบ่า

“จันคงจะได้พักแล้วล่ะขอรับ เขาไม่ต้องมาเหนื่อยแล้ว”

“นั่นสินะ” ท่านเหม่อมองควันที่พวยพุ่งขึ้นฟ้าก่อนที่จะตบบ่าไฟอีกสองหน “นายก็อยู่ต่อไปนะ ไม่อยากให้ตำรวจไทยต้องเสียคนดี ๆ ไปเพิ่ม”

“ขอรับ” ไฟรอให้ท่านเดินออกไปก่อนจะเดินไปหานนท์ที่ยืนมองอยู่นาน

“คุยอะไรกัน”

“ท่านมาแสดงความเสียใจเฉย ๆ น่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นไปที่บ้านฉันไหม”

“ปิ่นว่าจะทำอาหารให้ทานน่ะค่ะ เจ้าปราชญ์เองก็จะอยากพบคุณไฟด้วยเหมือนกัน”

ไฟเข้าใจความหวังดีของทั้งคู่จึงตอบรับไปเพราะเขาเองก็ไม่อยากจมปรักกับความทุกข์มากนัก ช่วยทางวัดจนเสร็จเรียบร้อยไฟก็ติดรถไปพร้อมกับนนท์ คาดว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาทำบุญให้จันเสร็จแล้วก็กลับอ้อยขวางเลยเพราะสารวัตรสั่งมาเขาก็ต้องทำตาม

“น้องปราชญ์ อย่าวิ่งครับ” เสียงเฟื้องดังมาแต่ไกลพร้อมกับเสียงเด็กน้อยหัวเราะทำให้ความเครียดทั้งวันผ่อนคลายลงอย่างน่าแปลก

“โอ๊ย” เด็กน้อยร้องเสียงดัง หงายหลังจนก้นกระแทกพื้น มือน้อย ๆ ลูบหน้าผากตัวเองปอย ๆ

“ซนจังเลยนะปราชญ์ วิ่งชนคุณลุงเขาแล้วเห็นไหม” นนท์เอ่ยดุเพียงเล็กน้อยแล้วปัดก้นให้ลูกชาย

“ขอโทษคับ” เด็กน้อยรู้มารยาทพนมมือไหว้จนไฟได้แต่จับมือนั่นไว้แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้า

“ไม่เป็นไรครับ แต่อย่าวิ่งแบบนี้อีกนะเดี๋ยวจะบาดเจ็บเอาได้”

“ปราชญ์เข้าใจแล้ว” เด็กชายพยักหน้าแล้วถอยหลังต้อย ๆ ยื่นมือให้คุณพ่อจับ

“ขอโทษแทนลูกด้วยนะคะ แกชอบวิ่งเล่นบ่อย ๆ ห้ามกี่ทีก็ซน”

ไฟเค้นยิ้ม “ไม่เป็นไรครับคุณปิ่น ให้เล่นไปเถอะ เป็นเด็กร่าเริงดีกว่านิ่งเหมือนพ่อ”

พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็หัวเราะทันที นนท์ยิ้มขำพลางส่ายหน้าก่อนจะดึงมือลูกให้เดินเข้าบ้านแต่เด็กน้อยก็ไม่เข้าสักที

“ปราชญ์ต้องไหว้คุณลุงคับ” เด็กชายเงยหน้าพูดกับผู้เป็นพ่อแล้วปล่อยมือก้มหัวไหว้คุณลุงไฟจนเกือบหน้าทิ่ม

“ฮ่ะ ๆ ไหว้พระ ๆ” ทักทายพอเป็นพิธีก็นั่งคุยกันในบ้านรอปิ่นกับเฟื้องทำกับข้าว ไม่เจอกันนานปราชญ์ก็อายุสามขวบแล้วใบหน้าเด็กชายดูคล้ายแม่มาก แต่ก็ดูออกว่าได้ดวงตามาจากพ่อ กิริยามารยาทคงไม่ต้องพูดถึง แม้จะมีซนเหมือนเด็กทั่วไปแต่ก็รู้ไปลามาไหว้

“แล้วนายออกมาอยู่กับปิ่นถาวรเลยหรือ” ไฟถามตาก็มองเด็กน้อยที่พ่อสั่งให้นั่งเล่นห้ามเสียงดังก็ทำตามอย่างไม่อิดออด

“คิดว่าอย่างนั้นแหละ ชีวิตตอนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร”

“หม่อมสร้อยกับท่านชายภัสคงอยากจะให้ครอบครัวนายไปอยู่ที่วัง”

นนท์ยิ้มแล้วถอนหายใจ “ก็อย่างที่บอกเสด็จพ่อไม่ประสงค์ให้ฉันเข้าวัง แม้จะเห็นเงียบไปบ้างแต่พระองค์ไม่ล้มเลิกเรื่องเสกสมรสหรอก”

“หากพระองค์ทรงเห็นปราชญ์อาจจะอ่อนใจลง”

“ไม่ง่ายเพียงนั้นหรอก”

“เฮ้อ ชีวิตคนเรานี่ก็นะ ไม่มีใครมีสุขไปตลอดจริง ๆ”

ไม่รู้ว่าหลังจากจบเรื่องวันนี้ยังจะมีเรื่องอะไรอีกไหม ทุกอย่างกำลังจะกลับไปเป็นอดีตแต่ก็เหมือนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในหัวตนตลอดเวลา เป็นภาพจำที่มิอาจลืมเลือนและมิอาจลบล้างออกไปจากใจได้

หากภายภาคหน้าต้องเจ็บช้ำอีกก็ขอให้ตัวเองลุกขึ้นมาใหม่มุ่งไปแต่ข้างหน้า ไม่สนแม้แต่ว่าจะเกิดอะไร หากมันเป็นภัยก็ให้มันเป็นไป

ก็เพียงแค่ชีวิตเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่มีคนผู้นั้นอยู่ข้าง ๆ แต่จะไม่ลืมความทรงจำที่เคยกระทำด้วยกัน ไม่ลืมแม้กระทั่งว่ายังรักคนคนนั้นอยู่สุดขั้วหัวใจ




จบบทที่ ๑๔

---------------------------------------------------------------------------------------------
จบพาร์ทอดีตสักที ฮืออออ เดี๋ยวอาจจะมีแก้ปีแต่ละปีเล็กน้อย(แก้ปีเดียว แหะ) แก้อายุหนูปราชญ์ด้วยอันนี้ก็ไม่ได้เยอะแค่แก้อายุอย่างเดียวค่ะ

แล้วก็อาจจะมีแก้เนื้อหาสำหรับตอนที่ ๑-๓ บางส่วน(ตอนอื่น ๆ อาจจะมีด้วยค่ะเพื่อให้เนื้อเรื่องมันดีขึ้น ดีไม่ดีอาจถึงกับรีไรท์เกือบทุกตอน) หากแก้แล้วจะบอกอีกทีนะคะ

ขอบคุณนักอ่านที่หลงเข้ามามาก ๆ เลยนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 11:19:17 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า:L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๕

เบาะแสสำคัญ





ปัจจุบัน

๔ ปีให้หลัง พ.ศ. ๒๔๘๗


“พรุ่งนี้จะไปแล้วหรือ” เสียงเอ่ยถามดังขึ้นทำให้ผู้หมวดหนุ่มที่กำลังนั่งพิมพ์เอกสารต้องหยุดมือลงเพื่อเงยหน้ามอง

“ใช่ กว่าจะขอได้ต้องรอเสียนาน” ไฟจุดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มพิมพ์งานต่อ

สารวัตรนนท์มองอย่างอ่อนใจ ตั้งแต่ไฟถูกส่งตัวมาที่พระนครก็แทบจะไม่ทำงานอื่นใดนอกจากงานเอกสาร มีบ้างที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ด้านนอก แต่รวม ๆ แล้วไฟมักจะอยู่กับที่ห้องทำงานเสียมากกว่า สี่ปีนี้เกิดเรื่องมากมายไม่มีวันไหนที่จะได้หยุดพักเลย สารวัตรหน้าใหม่อย่างเขาที่เพิ่งรับตำแหน่งไม่กี่เดือนก่อนแต่กลับไม่ได้สุขใจในยศนี้เพราะต้องแลกมากับการสูญเสียลูกน้องในทีมที่อาสาเสียสละชีพช่วยเหลือตน

สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะการสูญเสียแบบไหนก็ช่างหนักหนาและเกิดขึ้นราวกับใบไม้ร่วงหล่นเสียจริง

“กลับไปแล้วอย่าได้ใจร้อนอีกล่ะ” นนท์เตือนด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเป็นอะไรด้วยอีกคน เขาสูญเสียคนใกล้ตัวมามากเกินพอแล้ว...

“เข้าใจแล้วครับสารวัตร” ไฟพูดติดตลกแต่พอเห็นใบหน้าซึมเศร้าของเพื่อนก็ได้แต่ทอดถอนใจ “เอาล่ะ ตอนนี้ฉันเสร็จงานแล้วว่าจะไปหาปราชญ์เสียหน่อย คงจะอยากให้ฉันสอนศิลปะป้องกันตัวต่อ คนเป็นพ่องานเยอะแบบนี้คงมีแต่ลุงไฟกับพี่เฟื้องที่อยู่เล่นด้วย”

สารวัตรหนุ่มมองสบเพื่อนด้วยความขอบคุณ

“การสูญเสียมันยอมรับยาก... นายอาจจะทนไม่ไหวจนทิ้งลูกไปอีกคน แต่ฉันก็อยากให้นายเข้มแข็งเพื่อลูกนะนนท์ และฉันเองก็จะเข้มแข็งขึ้นเพื่อคนที่ห่วงฉันด้วย เราต่างมีหน้าที่ที่ต้องแบกรับ ฉันไม่ห้ามหากนายจะคิดอะไร แต่จงเชื่อมั่นไว้ว่านายยังมีปราชญ์ ฉัน เจ้าเฟื้องคอยอยู่ข้าง ๆ เสมอ” ไฟคลี่ยิ้มบาง ๆ จัดเอกสารให้เสร็จเรียบร้อยถึงจะลุกขึ้นแล้วตบบ่าเพื่อนที่เงียบลงเพราะใช้ความคิด “มันจะมีสักเสี้ยววิที่นายไม่คิดจะสนคนรอบตัวและหายไป ฉันเองก็เคยเป็น จนลองตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ให้ตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ฉันถึงยอมอยู่กับชีวิตแบบนี้ ฉันเองก็ไม่เข้าใจไอ้เรื่องพวกนี้นักหรอก พูดตามตรงก็หวั่นใจกับความคิดของตัวเองเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันคิดเสมอคือไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นในสิ่งที่ต้องพรากตัวเราไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะคนไหนก็ตาม มันทรมานจะตายไป”

ที่เขาต้องพูดเตือนสติเพราะนนท์ได้สูญเสียคนที่รักไปแล้ว... คุณปิ่นเสียเพราะสงครามที่มีมายาวนาน และเป็นการถูกทิ้งระเบิดที่วัดสร้อยทองเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เธอมีเหตุจำเป็นต้องไปและก็ไม่คาดคิดว่าในวันนั้นจะมีการทิ้งลูกระเบิดครั้งแรกที่นอกเขตของพวกญี่ปุ่นอยู่ คนที่อยู่แถวนั้นหรือแม้แต่ครูปิ่นก็เสียชีวิตลงอย่างน่าสลด นนท์จึงจำต้องพาลูกกลับไปอยู่ที่วัง

สงครามมิอาจหยุดได้ง่ายและบ้านเมืองก็เข้าสู่เศรษฐกิจล่มจม คนในพระนครต่างหลบหนีลูกระเบิดที่มิรู้ว่าจะเกิดขึ้นกับบ้านตัวเองเมื่อใด อยู่ที่นี่เขาและนนท์ต่างก็มีความเสี่ยงมาก ยิ่งราชการตำรวจเข้าไปยุ่งกับพวกทหารญี่ปุ่นเข้าแล้วยิ่งเกิดความเสี่ยงมากขึ้น แต่นั่นก็เป็นการตัดสินใจของคนใหญ่คนโตเขา ยศน้อย ๆ อย่างเรา ๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ารับคำสั่ง

ทางวังของนนท์นั้นยังอยู่ดีและคิดว่าปลอดภัยมากกว่ากรมตำรวจนครบาลแห่งนี้เสียอีก เขาไปอยู่ที่บ้านเดิมทุกครั้งที่ทำงานที่นี่ ความทรงจำต่าง ๆ ก็ไหลเข้ามา คิดเป็นห่วงคนอีกจังหวัดที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง เขาเองก็ยังหาหนังสือพิมพ์อ่านอยู่ตลอด แม้ว่าข่าวทุกฉบับจะมีเพียงเรื่องสงครามโลกกับเสือร้ายของแต่ละภาคเท่านั้น เขาก็ยังหาอ่านทุกวันเผื่อเจอเรื่องของอีกฝ่ายบ้าง

“ไว้เจอกันที่วังแล้วกัน ฉันจะกลับไปเก็บของก่อน ส่วนปราชญ์ไว้เก็บของเสร็จฉันจะไปหา”

“อืม ขอบคุณมาก” เราต่างพยักหน้าให้กันด้วยความเข้าใจก่อนจะแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่น

จวบจนมาถึงบ้านไม้หลังเก่า ไฟก็ขึ้นบนบ้านจัดเตรียมเก็บเสื้อผ้าและของใช้ คงต้องใช้เวลานานอยู่พอสมควรเพราะอยู่สี่ปีก็เหมือนย้ายบ้าน หากเป็นแม่ของเขาก็คงเก็บเสร็จภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ไอ้เขาก็คงจะเก็บนานเป็นวัน เพราะเก็บตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่เสร็จ

“ลุงไฟครับ อยู่ไหมครับ” เสียงเล็กเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ต้องเห็นหน้าก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร ผู้เป็นลุงอมยิ้มน้อย ๆ นนท์คงจะโทรศัพท์เข้าที่วังบอกเจ้าปราชญ์ให้มาช่วยเขาเก็บของเหมือนดั่งเมื่อวานเป็นแน่ อดสอนศิลปะป้องกันตัวแล้วล่ะทีนี้เพราะของที่ต้องเก็บมีเยอะเต็มทน

“ว่าไง ขึ้นมาสิ” ไฟเดินไปชะโงกหน้ามองทางหน้าต่างห้อง เห็นเด็กน้อยในชุดสะอาดสะอ้านเรียบร้อยพร้อมแว่นตาประดับหน้าจึงกวักมือเรียก เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างเด็กน้อยวัยแปดขวบ

“ขอเข้าไปนะครับ”

“มาเลยมา ต้องการคนช่วยพอดี” ไฟคิดเกรงใจหลานอยู่แต่ในเมื่อมาช่วยแล้วก็ไม่อยากห้าม แลกกับการสอนศิลปะป้องกันตัวคงจะเป็นข้อแลกเปลี่ยนให้ได้

“ลุงไฟจะไปแล้วหรือครับ” เด็กน้อยถามตาซื่อ ใบหน้าหงอย ๆ นั้นทำเอาคนเป็นลุงใจอ่อนยวบ

“เดี๋ยวถ้าลุงว่างเมื่อไหร่ ลุงจะแวะมาหาที่วังด้วย ดีไหม”

พอได้ยินอย่างนั้นเด็กน้อยก็พยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วพับเสื้อผ้าที่ดีกว่าเขาอยู่หลายโข คุณปิ่นสอนมาแท้ ๆ เลยเชียว

“ว่าแต่เจ้าเฟื้องหายไปไหน เห็นแวะมาที่วังแล้วก็กลับบ้านตลอด เจอกันก็อึกอักเหมือนคนปิดบังอะไร”

ปราชญ์เอียงคอ แว่นขยับตามคิ้วที่ขมวด “ปราชญ์ไม่ทราบเลยครับ พี่เฟื้องเป็นอย่างนั้นด้วยหรือครับ”

ไฟถอนหายใจ “เอาเถอะ แล้วกินอะไรมาหรือยัง”

“ทานเรียบร้อยแล้วครับ หม่อมย่าทำพะแนงหมูของโปรดปราชญ์ด้วยล่ะครับลุงไฟ”

ไฟหัวเราะ “กินแต่พะแนงหมูนะ ไม่เผ็ดหรือไง”

“หม่อมย่าทำไม่เผ็ดมากครับ ปราชญ์พอทานได้”

“กินได้แต่อย่ากินมาก อายุเพียงเท่านี้กินเผ็ดมาก ๆ ท้องไส้จะไม่ดีเอา”

“ปราชญ์เข้าใจแล้วครับ” เด็กน้อยยิ้มตาหยีก่อนจะหยุดมือเมื่อหยิบเจอรูปถ่ายที่ดูเก่าเสียซะแทบมองคนในรูปไม่ออกแต่ก็พอเห็นว่ามีเสด็จพ่อกับลุงไฟอยู่ด้วย แต่อีกสองคนนี่ใครกัน “ลุงไฟครับ คุณลุงสองคนนี้คือเพื่อนของลุงไฟกับเสด็จพ่อหรือครับ”

ไฟชะงักมือ เงียบไปสักพักก่อนจะหยิบรูปนั้นมาดู “ใช่... เพื่อนท่านชายนนท์กับลุงเอง”

“เหมือนปราชญ์จะจำได้ลาง ๆ ว่าเคยเจอคุณลุงสองคนนี้ แต่ปราชญ์จำชื่อไม่ได้เลยครับ”

“คุณลุงคนนี้ชื่อลุงจัน” ไฟชี้ที่เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ริมสุดฝั่งขวามือข้างเขา “ส่วนคนนี้ชื่อลุงสิงห์” ก่อนจะขยับเล็กน้อยไปทางซ้ายมือที่สิงห์ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเขาและนนท์

“อ๋อ แม่ปิ่นเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่าลุงจันกับลุงสิงห์ชอบมาหาปราชญ์ตอนไม่กี่ขวบ” เด็กน้อยยิ้มกว้าง แม้จะจำไม่ค่อยได้แต่ก็ยินดีที่จะเจอกันอีก “ว่าแต่ลุงทั้งสองไปไหนหรือครับ ทำงานตำรวจที่อื่นหรือ”

ไฟมองเด็กน้อยสลับกับรูปในมือ ก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกบีบรัด เขาตาแดงขึ้นมาแต่ก็เก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกแล้วเปรยยิ้มให้เด็กตรงหน้า ปราชญ์จะได้ไม่ตกใจ “ลุงจันคงจะอยู่บนฟ้า ส่วนลุงสิงห์... เขามีงานมากมายคงไม่ได้เจอกัน”

เพียงแค่คำว่าอยู่บนฟ้าก็เหมือนกับแม่ปิ่น เด็กน้อยจึงก้มหน้า “ขอโทษครับลุงไฟ ปราชญ์ไม่ควรถาม”

ไฟยิ้มแล้วลูบผมเด็กน้อยให้คลายกังวล “ถามได้เลย ลุงไม่ว่าหรอก ลุงก็อยากเล่าให้ฟังนะว่าสมัยก่อนเราสี่คนเนี่ยเป็นยังไง จะบอกให้ว่าลุงกับพ่อหนูเคยทะเลาะกันด้วยแหละ”

ปราชญ์ตาโตอยากรู้จนนั่งตัวตรงแต่ก็อ้อมแอ้มไม่กล้าถาม จนไฟต้องเปิดปากเล่าตั้งแต่เราทั้งสี่พบกันพลอยให้ปราชญ์หัวเราะแล้วก็ตกใจไปด้วย หากจันอยู่ก็คงจะมาแกล้งหยอกเจ้าปราชญ์และหากสิงห์ไม่เปลี่ยนไปก็คงจะโอ๋มาอยู่กับปราชญ์ทุกวันจนเขาเป็นหมาหัวเน่าก็เป็นได้

เด็กคนนี้ที่สิงห์เคยเลี้ยงเมื่อก่อนกำลังจะโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ ลืมไปแล้วหรือยัง... อยากจะมาพบหน้าเจ้าปราชญ์ไหม

ไฟยิ้มเอ็นดูให้ปราชญ์ที่เล่าเรื่องของตนเองบ้างว่าเกือบตกบันไดเพราะสายตาสั้น ดูเหมือนว่าจะมองไม่ค่อยชัดมานานแล้วแต่เพิ่งจะเข้าใจเมื่อช่วงสี่ขวบ กลายเป็นคุณชายที่ดูเรียบร้อยทันตา พอเข้าวังมาก็ต้องแต่งตั้งเป็นหม่อมราชวงศ์ เห็นว่าพระองค์วายุภักษ์เอ็นดูคุณชายปราชญ์ไม่หยอก

“เมื่อวันก่อนพี่เฟื้องเอาบัวลอยไข่หวานกับกล้วยบวชชีมาให้ด้วยล่ะครับ จะชวนลุงไฟมาทานด้วยแต่ลุงไฟไปทำงาน”

“น่าเสียดายเสียจริง คงจะเป็นป้าบัวที่ทำ ตอนกินอาหารที่วังป้าบัวก็ทำกับข้าวอร่อยแต่ลุงก็ไม่อยากรบกวนทางวังเยอะมาก เกรงใจ” ไฟป้องปาก

“ถ้าลุงไฟอยากทาน เดี๋ยวปราชญ์บอกป้าบัวทำอาหารเผื่อลุงไฟด้วย”

“ฮ่า ๆ เด็กดี” อดไม่ได้ที่จะยีหัวไปที “ไม่เป็นไรหรอก บางทีลุงอยู่ที่กรมตำรวจทั้งวัน เดี๋ยวจะเสียดายของเอา”

คุยอะไรกันอยู่นานก็ได้ฤกษ์เก็บของให้เข้าที่สักที ไฟบอกให้เด็กน้อยกลับบ้านเสียก่อนเพราะมันเริ่มค่ำแล้ว ก่อนกลับก็ให้ตะกุดที่สิงห์เคยให้ไว้ตั้งแต่ตอนไปทำงานที่ สุราษฎร์ ฯ คงจะดีหากเอาไว้เตือนใจให้ระวังตัวไว้เพราะทั้งการทิ้งระเบิดที่ไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อใดและยังโจรร้ายนั่นอีก ถือเป็นของที่ระลึกสำหรับเขาและสิงห์...

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากทางเข้า หันไปมองก็พบกับนนท์ที่ยังคงใส่ชุดราชการ

“เพิ่งเลิกงานหรือ”

นนท์พยักหน้าแล้วนั่งลงโต๊ะไม้ข้าง ๆ “เก็บของเสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้ว ดีที่เจ้าปราชญ์มาช่วย”

“อืม แต่ก่อนจะกลับฉันมีอะไรจะให้ดูหน่อย”

ไฟเลิกคิ้วปิดวิทยุมองเพื่อนข้างกายที่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ เขารับมาแล้วคลี่ออก

‘ไม่มีผลการชันสูตรศพ เรื่องถูกปิดเงียบ’

“หมายความว่าไง?”

“ศพของคุณน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ...” ไฟนิ่งไปสักพักตั้งแต่รู้ว่าศพของผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงทั้งคู่ก็ไม่มีใครส่งข่าวอะไรมาอีกเลย “นายไปเอาจดหมายนี้มาจากไหน”

นนท์ถอนหายใจ “ฉันไปคอยตามสืบเรื่องนี้มาว่าศพที่เสียชีวิตใช่ทั้งสองจริงหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าฉันจะทำได้เท่านี้”

ไฟก้มมองกระดาษในมือ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

“นายคงจะไม่เชื่อเหมือนกันใช่ไหมล่ะไฟ”

ไฟเงียบไปครู่ “แต่หมอรัตน์บอกมาว่าศพทั้งสองเป็นผู้หญิงทั้งคู่”

“ใช่ เป็นผู้หญิงทั้งคู่ แต่จะรู้ได้ยังไงว่านั่นคือศพของทั้งสองคนจริง ๆ”

“ฉันเห็นมาแล้วว่าศพจริง ก็ฉันเป็นคนไปตรวจดูเอง”

นนท์ส่ายหน้า “นายเห็นเพียงว่าศพทั้งสองคือศพคนจริง ๆ แต่ดูไม่ออกว่าเป็นคุณน้าพิมพ์อรกับต้นอ้อไม่ใช่หรือ”

ไฟนึกคิดตามก่อนจะใจเต้นระรัวอย่างมีความหวัง

“ตามที่นายเล่าเหตุการณ์มาตั้งแต่ตรวจที่เกิดเหตุจนไปถึงที่บ้านสิงห์ทำให้ได้แผลมาและช่วงตอนกลางคืนนั่นอีก นายไม่คิดว่ามันแปลก ๆ หรือไฟ”

“ฉันว่ามันแปลก เพียงแต่... ฉันคิดไม่ออกว่ามันแปลกเพราะอะไรได้แต่เชื่อตามความรู้สึก”

“กลับไปแล้วอย่าลืมถามเรื่องนี้กับหมอรัตน์ด้วย แต่ก็ระวังไว้ก็ดีอย่าให้ใครรู้เรื่องที่ฉันไปสืบมา”

“แล้วหากเกิดว่าหมอรัตน์เป็นคนปิดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจะทำไปเพื่ออะไร”

นนท์ทำหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด “อาจจะรู้เห็นกับสิงห์...”

“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าศพทั้งคู่อาจไม่ใช่..”

“ฉันไม่รู้ แต่... ฉันบอกนายได้แค่นี้ ฉันช่วยนายไม่ได้เพราะมีงานสำคัญอยู่ที่นี่ กลับไปแล้วก็มีสติมากกว่านี้ อย่าใจร้อน คิดให้รอบคอบ อีกอย่างนะ... นายควรสังเกตรอบตัวด้วยว่ามันมีสิ่งผิดปกติอะไรหรือเปล่า ไม่ว่าจะคนไหน... นายควรมองให้ทะลุ มองให้ออก ทุกคำพูดและการกระทำ ทุกคนที่ใกล้ตัวนาย

“ฉันไม่เข้าใจ”

“ทำตามที่ฉันบอก แล้วก็ไปตรวจดูสถานที่เกิดเหตุอีกทีแล้วกัน”

“สถานที่เกิดเหตุ?”

“อย่างสิงห์น่ะรู้เรื่องอาวุธดีแค่ไหน ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงพูดออกมาว่าลูกน้องตัวเองปาระเบิดใส่ตามที่นายเล่าให้ฟัง”

‘ที่จริงกูบอกพวกมันว่าให้ยิงก็พอแต่ดันเอาระเบิดไปปาใส่รถด้วย ฮ่า ๆ แม่งซวยซะจริง’

“มันอาจจะพลาดเพราะลูกน้องสิงห์ไม่รู้...”

“ใช่ มันอาจจะผิดพลาด แต่อย่าลืมสิคนที่ยิงปืนใหญ่ได้ก็ต้องรู้เรื่องปืนพอควรนะ แล้วอีกอย่างลูกน้องจะโง่ถึงขนาดเห็นปืนใหญ่เป็นลูกระเบิดเลยหรือไง ถ้าสิงห์รู้เรื่องระเบิดลูกน้องก็ต้องกลับไปรายงานอยู่แล้วสิว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง”

ไฟมองกระดาษในมือพลางขบคิดเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีต ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีก็ยังคงจำคำพูดและสถานการณ์ที่เกิดได้แม่น

‘ยังมีชาวบ้านให้การอีกว่า คนที่สั่งฆ่าทั้งสองแม่ลูกไม่ใช่เสี่ยพันธ์ครับ’

“ชาวบ้านสองคนนั้น?”

นนท์ขมวดคิ้ว “คิดอะไรออกแล้วหรือ”

ไฟตาโต “ที่เกิดเหตุตอนนั้น! รถอยู่กลางถนน รอบข้างเป็นพื้นที่โปร่ง...”

“หมายถึงอะไร?”

“ฉันว่าฉันเจอเบาะแสสำคัญอย่างหนึ่งแล้ว ขอบคุณที่เตือนนะนนท์”

ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้าและพูดคุยอะไรกันอีกนิดหน่อย เฟื้องก็มาตามนนท์ให้ไปทำธุระข้างนอกต่อ ไฟถึงจะกลับมาคิดเรื่องที่ตนไม่ได้สนใจในวันที่เกิดเหตุตอนนั้น

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

สถานีอ้อยขวาง

ตั้งแต่เมื่อคืนไฟก็คิดแต่เรื่องที่เกิดเหตุของคุณน้าพิมพ์อรกับต้นอ้อว่ามันออกจะแปลกไปหลายส่วน จนแม่ที่จัดของให้เสร็จเรียบร้อยต้องบอกให้ไปนอนเพราะวันนี้จะต้องมารายงานตัวบรรจุที่นี่

ไฟจอดจักรยานคันโปรดไว้ที่เดิม ตอนมาถึงก็มีแต่แม่ที่รู้เรื่องอยู่คนเดียวขนาดลุงธงอยู่บ้านข้าง ๆ แกยังไม่รู้เลย ไม่ได้สังเกตเห็นรถหรือว่าอะไร หากนั่นไม่ใช่รถเขาแล้วดันเกิดอะไรขึ้นกับแม่จะทำไง บ่นในใจได้ไม่นานก็ต้องแวะหยุดทักคนรู้จักหน้าเดิม ๆ แต่ก็ไม่เห็นนายตำรวจบางคน คงเป็นเพราะเกิดเหตุตอนปฏิบัติหน้าที่แล้วก็อาจจะได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น

“เฮ้ยยย! ไอ้ไฟเว้ย!” เสียงโหวกเหวกโวยวายของจ่าธงดังขึ้นทำให้ไฟอดหัวเราะไม่ได้

“สวัสดีครับลุงธง ไม่เจอกันนาน” ไฟยกมือไหว้ทันที

“กลับมาเมื่อไหร่วะ ทำไมข้าไม่รู้เรื่อง”

“โธ่ลุง รถจอดทิ่มตำตาขนาดนั้นลุงยังไม่เห็น แบบนี้ดูแลแม่ผมจริงหรือเปล่าเนี่ย”

“ก็ข้าคิดว่า...” ลุงธงอ้าปากพะงาบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจ “นึกว่าพ่อเอ็งกลับมาแล้ว”

“ลุงนี่ไม่ไหวเลย” ไฟส่ายหน้า

“เออหน่าข้าขอโทษเว้ย ไว้เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเป็นไง”

“ผมให้อภัยก็ได้” ไฟหัวเราะ

“เอ๊ะ ไอ้นี่ เห็นแก่กินนี่หว่า”

ไฟยิ้มขำก่อนจะกลับมาทำหน้าจริงจัง “เดี๋ยวผมมาแล้วกันนะ พอดีมีเรื่องจะถามด้วย”

“เออ ๆ ไว้จะรอที่ห้องทำงาน”

ไฟพยักหน้าให้จ่าธงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานของสารวัตรโขม เห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ “มารายงานตัวครับสารวัตร”

สารวัตรโขมเงยหน้ามอง ดูตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มออกมา “กลับมาแล้วหรือ เป็นยังไงบ้าง เห็นข่าวทิ้งระเบิดปาว ๆ ก็นึกห่วงอยู่” ว่าแล้วก็เก็บเอกสารทันทีและผายมือให้นั่งเก้าอี้

“ก็อันตรายพอควรครับ ยังดีที่พระองค์วายุภักษ์คอยให้ที่หลบ”

“แล้วหมวดกินอะไรมาหรือยัง ได้พักบ้างไหม”

“กินมาแล้วครับ กลับมาตั้งแต่เมื่อวานได้พักเต็มที่แล้วครับไม่ต้องห่วง”

“ดีแล้ว เอาเป็นว่าเดี๋ยวมีอะไรจะบอกอีกที หากมีงานด่วนอะไรเข้ามา หมวดก็ทำทันทีเลยแล้วกัน”

“ครับ” ไฟพยักหน้าแต่ยังไม่ยอมลุกไปไหนสารวัตรจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “เอ่อ... คือผมอยากถามเรื่องคดีของคุณพิมพ์อรกับต้นอ้อน่ะครับ”

สารวัตรเงียบไปครู่ก่อนจะก้มหยิบแฟ้มคดีจากในลิ้นชักขึ้นมายื่นให้ ไฟจึงเปิดดูไปพลาง “ผลชันสูตรไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นทั้งคู่จริงหรือไม่ แต่เสื้อผ้าและของมีค่าที่เก็บได้นั้นเป็นของทั้งคู่จริง ๆ ไหนจะมีพยานจากชาวบ้านที่เห็นทั้งสองขึ้นรถคันนั้นอีก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง”

“ใครเป็นคนบอกหรือครับว่าเสื้อผ้านี้และสร้อยกับแหวนเป็นของทั้งคู่” ไฟมองภาพแหวน สร้อย รวมถึงเสื้อผ้าที่ไหม้แทบมองไม่ออก

“หมอรัตน์บอกว่ามีคนบอกมาอีกที”

ไฟขมวดคิ้วแน่น “แล้วสารวัตรก็เชื่อหรือครับ”

สารวัตรถอนหายใจ “หมอรัตน์ไม่เคยโกหก”

“แล้วใครเป็นคนทำคดีต่อจากผม”

“จ่าธงขอรับทำต่อ นี่คือหลักฐานทั้งหมดที่จ่าธงไปหามาได้”

ไฟอ่านเอกสารดูอีกครา “สรุปแล้วเป็นปืนสงคราม M1A1 จริง ๆ”

“ใช่ ผมคิดไม่ถึงว่าพวกมันจะมีถึงขั้นอาวุธสงครามที่ร้ายแรงขนาดนั้น”

“ผมไม่ได้ตกใจตรงนั้นหรอกครับ” ไฟมองสบกับสารวัตร “ตกใจตรงที่ว่า เรื่องทุกอย่างมันมีแต่ช่องโหว่”

สารวัตรขมวดคิ้ว “หมวดหมายถึงอะไร?”

ไฟวางแฟ้มแล้วชี้ที่รูปภาพของรถที่อยู่กลางถนน และรอบข้างเป็นพื้นที่โล่ง เขาจำได้ว่าระยะทางที่ไปตอนนั้นก็มีแต่พื้นที่ราบไม่มีแม้แต่บ้านคน ต้นไม้หรือพุ่มหญ้าสักที่ แต่ก็ต้องโทษตัวเองที่ใช้แต่อารมณ์ไม่ยอมตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดี และไม่ยอมสังเกตให้รอบคอบดั่งที่นนท์ว่า

“ชาวบ้านที่ให้การว่าได้ยินพวกนั้นคุยกันและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตามที่ได้บันทึกไว้ในแฟ้มนี้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมนึกถึงเรื่องอื่นไปจนไม่ได้ถามต่อ แต่ตอนนี้ก็มีจุดบอดให้เห็นเยอะเลยครับ”

“อย่างนั้นหรือ แล้วชาวบ้านทั้งสองคนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องยังไง”

“ก็ใครที่ไหนจะไม่เห็นชาวบ้านสองคนนี้ในพื้นที่โล่งขนาดนี้ล่ะครับ แล้วจะพูดได้ไงว่าหลบอยู่ ในเมื่อพื้นที่ตอนนั้นไม่มีสิ่งใดให้แอบได้เลย”

สารวัตรหน้าเปลี่ยน หยิบแฟ้มก้มมาดูอีกที “จริงด้วย”

“รูปในนี้ก็เป็นหลักฐานชั้นดีเหมือนกัน ต้องขอบคุณจ่าธงที่ถ่ายรอบ ๆ ให้ด้วย เรื่องนี้ยังไงซะมันก็ยังไม่ถึงขั้นปิดคดี เอาเป็นว่าผมขอสืบคดีนี้ต่อได้ไหมครับ”

สารวัตรคิดหนักก่อนจะพยักหน้า “ได้ ถ้ามีอะไรน่าสงสัยอีกอย่าลืมรายงานผมด้วย”

“ครับ” ไฟลุกขึ้นตะเบ๊ะพร้อมกับหยิบแฟ้มคดีออกไปด้วย ต้องเลิกคิดเรื่องอื่นและสืบเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น อย่างน้อยหากสืบเรื่องนี้อาจจะรู้อะไรอีกหลายอย่าง

“ว่าไงล่ะ ไปอยู่ที่นู่นตั้งนานได้เมียไหมวะ”

ไฟส่ายหัวหน่าย ๆ “ได้อะไรล่ะ จะถูกระเบิดทับตายอยู่แล้ว”

“หาเมียบ้างสิวะ อยากเหี่ยวตายหรือไง”

คนฟังได้แต่ถอนหายใจ “ผมมีเมียคนเดียว”

ลุงธงเลิกคิ้วก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย “มันไม่อยากเป็นเมียมึงแล้ว”

“ก็ช่างสิ”

“เอ้อ ไอ้นี่ ดูสงบขึ้นเยอะเลยเว้ย” ลุงธงยิ้มอย่างชอบใจ

“ถ้ายังเป็นเหมือนแต่ก่อน ผมคงไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

“จนตอนนี้ก็ยังดูไม่รู้เรื่องเลยนี่หว่า”

ไฟขมวดคิ้ว “พอ ๆ เลิกพูด ผมว่าจะถามเรื่องคดีของน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อหน่อย ลุงธงเป็นคนทำคดีนี้ต่อใช่ไหม”

“ใช่ มีอะไรวะ” จ่าธงถามแล้วเดินมาก้มดูแฟ้มที่ตัวเองทำ

“ลุงธงรู้ไหมว่าชาวบ้านสองคนนี้อยู่ที่ไหน”

“รู้ มันทำงานกับยายพรเป็นพวกเก็บผักไปขาย”

“แล้วนอกจากคำให้การนี้ ลุงธงได้ถามอะไรอีกไหม”

“ข้าก็ถามตามที่สงสัยหมดแล้ว มันมีอะไรผิดพลาดหรือไง”

“ลุงธงพาผมไปหาสองคนนี้ได้ไหม”

“ไปทำไมวะ”

“เออหน่าลุง ไปเถอะ สารวัตรมอบหมายให้ผมสืบเรื่องนี้ต่อแล้ว”

“อ่าวเดี๋ยวสิวะ อธิบายให้ข้าฟังก่อน” จ่าธงโวยวายเสียงดังก่อนจะยอมเดินไปด้วยอย่างว่าง่าย ลุงธงเป็นคนขับรถแทนเพราะไฟต้องการเก็บรายละเอียดในแฟ้มคดีอีกที

“ลุงธงไม่แปลกใจเลยหรือ”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ลุงก็เห็นหนิว่าแถวนั้นเป็นพื้นที่โล่ง แต่พวกนั้นบอกว่าหลบคนของเสี่ยพันธ์ มันจะเป็นไปได้ยังไง”

จ่าธงตาเหลือก “เออว่ะ ลืมคิดเรื่องนี้ แต่เอ็งนี่ก็น่าจะปิดคดีนี้ได้แต่ดันทำเสียเรื่องเพราะอารมณ์ร้อน”

ไฟยิ้มแหย “ขอโทษครับ”

“แล้วเป็นไงมาไง ถึงกลับมาทำเรื่องนี้ต่อ”

“อะไรหลาย ๆ อย่างมันชวนให้อยากกลับมาทำน่ะลุง”

“หากทำครั้งนี้ เอ็งจะไม่เป็นเหมือนเดิมใช่ไหม”

“คงจะรับปากไม่ได้ แต่ผมจะพยายามไม่ใจร้อน”

จ่าธงถอนหายใจ “แล้วแบบนี้จะไปรอดไหม ฮึ”

“ไม่รอดก็ต้องรอดแหละลุง อุตส่าห์ได้หลักฐานจับผิดชิ้นโตมาที ก็ต้องเอาให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว”

“ฮ่า ๆ” จ่าธงส่ายหัว “อย่าแพ้ต่อความใจร้อนของตัวเองก็แล้วกันล่ะ”

ไฟยิ้ม “ครับ”

เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านยายพรที่ตั้งอยู่กลางสวนของตัวเองที่มีไม่มากนัก เห็นเด็กสองคนที่กำลังยุ่งอยู่ที่สวน จ่าธงบอกว่าเป็นหลานชายของแก

“ไอ้กล้าไอ้แก้ว ยายพรอยู่ไหม” จ่าธงตะโกนถามเด็ก ๆ ทั้งคู่หันมามองใบหน้าดูตกใจจนมองออก อาการที่หวั่นวิตกนั้นปิดไม่มิดเลยสักนิด “แค่จะมาถามยายพรไม่กี่เรื่องหรอก หากแกอยู่ก็เรียกให้แกมาพบหน่อยได้ไหม”

“มึงไปดิ”

“พี่ไม่ไปล่ะพี่แก้ว”

“มึงนั่นแหละ ไปสิวะ”

“แต่—”

“กูบอกให้มึงไปไงไอ้กล้า” ไฟเห็นท่าไม่ดีไอ้คนพี่ทำท่าจะตบหัวคนน้องอยู่รอมร่อจึงเข้าไปห้าม

“พอแล้ว น้องชายทั้งคนนะ” ไฟว่าเล็กน้อยถึงจะถามชื่อ “ชื่อแก้วใช่ไหม”

“จ้ะ” แก้วตอบเสียงเบา พออยู่กับผู้ใหญ่ก็ดูเรียบร้อยดีแท้ ๆ

ไฟยิ้มเพื่อให้เด็กเลิกกลัว “ไปตามยายพรให้หน่อยได้ไหม พี่อยากจะถามยายแกเรื่องคนงานสองคนก่อนหน้านี้น่ะ”

“ได้ ๆ จ้ะ” แก้วพยักหน้าหงึกหงักรีบวางกระบวยลงกับถังน้ำและวิ่งเข้าไปในบ้านหลังเล็ก

“กล้า”

“จ๊ะ!” กล้าตอบรับเสียงดังไม่รู้ว่ากลัวอะไรนัก

“ใจเย็น ๆ นะ พี่ไม่ได้มาทำอะไรหรือมาจับใคร” ไฟลูบหัวเด็กน้อยที่ตัวเท่าไหล่ “พี่แค่มาถามแล้วก็จะกลับเลย”

กล้าพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจและเริ่มสงบลงก็เป็นพอดีกับที่เห็นแก้วเดินออกมา

“ยายบอกว่าให้เข้าไปหาได้เลยจ้ะ”

ไฟหันไปพยักหน้ากับจ่าธงถึงจะเดินเข้าไปในบ้าน

“สวัสดีครับยายพร” ไฟยกมือไหว้

ยายพรไม่ได้มีท่าทีใด ๆ นอกจากพยักหน้าเป็นการรับไหว้ “ฉันรู้ว่าคุณ ๆ จะมาถามเรื่องอะไร แต่ขอร้องอย่างเดียวอย่าโทษเด็กสองคนนี้เลยนะ”

“จ่าธงรู้เรื่องนี้ไหม” ไฟกระซิบถาม

“วันนั้นข้ามาถามยายพรเฉย ๆ ตอนนั้นก็เจอไอ้สองคนนั้น ข้าก็ถามตามที่บันทึกไว้ในแฟ้มคดีนั่นแหละ”

ไฟขมวดคิ้วในแฟ้มก็ให้การตามที่เคยได้ยินในวันที่เกิดเหตุเป๊ะ ๆ “ยายพอจะบอกได้ไหมว่าที่ยายพูดหมายถึงอะไรครับ”

ยายพรเรียกให้เด็กทั้งสองมานั่งข้าง ๆ บนโต๊ะแคร่ไม้ไผ่ “เด็กสองคนนี้เป็นคนขอให้ยายรับสองคนนั้นเข้ามาช่วยทำงานเอง”

เพียงพูดจบเด็กทั้งคู่ก็ร้องไห้ออกมาทันทีเพราะความกลัว ไฟได้แต่หันมองกับจ่าธงแล้วถอนหายใจ “บอกได้ไหมครับว่าทำไม”

“เมื่อวันนั้นแก้วกับกล้ามาขอร้องยายให้ช่วยรับทั้งสองคนเข้าทำงาน ยายก็คิดว่าพวกนั้นไม่มีงานทำจริง ๆ แต่พอมาทำงานด้วยกลับไม่ยอมรับเงินสักแดง ยายก็เพิ่งมารู้ในวันที่กฤษกับตาสมหมายหายไปแล้ว เจ้าแก้วกับเจ้ากล้าก็มาบอกว่ากฤษกับตาสมหมายเคยช่วยชีวิตจากการถูกพวกเสี่ยพันธ์จับไปทำร้ายเพราะไปเห็นพวกมันกำลังส่งของเข้า”

“แปลว่าสองคนนั้นตั้งใจจะทำอย่างนี้อยู่แล้ว” ไฟหันไปคุยกับจ่าธงทันทีที่ได้ฟัง

“แล้วมันจะทำเพื่ออะไร”

“หากเจาะจงว่าสิงห์เป็นคนทำ ก็ต้องเป็นสิงห์ที่ส่งมา” ไฟยิ้มออกมาอย่างมีความหวังแต่มันออกจะแปลกสำหรับคนที่ไม่รู้จึงผงกหัวขอโทษยายพรแล้วถามต่อ “แล้วสองคนนั้นมาขอร้องกับกล้าและแก้วยังไงหรือครับ”

ยายพรจับมือหลานชายคนโต “แก้วบอกคุณตำรวจเขาหน่อยลูก”

แก้วเม้มปากแน่นไม่กล้าแม้แต่จะมองตาได้แต่พูดเสียงสั่น “พี่กฤษกับลุงสมหมายบอกว่าอยากทำงานที่นี่”

“แค่นั้นหรือ”

“จ้ะ พวกเขาบอกกับแก้วแค่นี้ แต่ว่า...” แก้วหันมองยายตนเองเพื่อหาที่พึ่งพาคลายความกลัวพอได้รับมืออุ่น ๆ ลูบหัวก็ยอมตอบออกมา “พี่กฤษกับลุงสมหมายเป็นคนของเสี่ยพันธ์ที่ช่วยแก้วกับกล้าจ้ะ”

“สองคนนั้นเป็นคนของเสี่ยพันธ์อยู่แล้ว!?”

“ใช่จ้ะ”

“ลุงธง” ไฟหันเรียกคนข้างกาย ถึงจะหันกลับมาพูดกับยายพรต่อ “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับ หากทั้งคู่มาสอบถามหรือมาหาช่วยแจ้งกับทางเราด้วยนะยาย”

“จะจับพวกเขาหรือ!” กล้าตะโกนเสียงดัง

“เราจะถามเท่านั้น” จ่าธงตอบแล้วเดินออกไปก่อน

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะ พวกเราจะเก็บเป็นความลับไว้” ไฟยิ้มใจดีให้เด็กทั้งสองก่อนจะยกมือไหว้ลายายพร

“จะไปไหนต่ออีกไหม” ลุงธงถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหลานตนขึ้นรถแล้ว

ไฟเปิดแฟ้มดูรูปศพ “ไปหาหมอรัตน์”






จบบทที่ ๑๕

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 11:25:29 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
รอตอนต่อไปจ้า  :L2:

ออฟไลน์ spy_2003

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รออยุ่เด้อออ :a5:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 
 

บทที่ ๑๖

ผลชันสูตร






ไฟมองคนไข้ที่มารักษากับหมอรัตน์อยู่ราว ๆ ชั่วโมงกว่าได้แล้วก็ยังไม่มีเวลาเข้าไปคุยด้วย เพราะหมอเองก็บอกไว้ว่าหากคนไข้หมดจะออกมาคุย แต่ในเมื่อที่นี่มีหมออยู่แค่สองคนคงกินเวลาทั้งวัน

“กลับก่อนไหมวะ รอหมอแกว่างจริง ๆ ค่อยไปคุยก็ได้” จ่าธงคะยั้นคะยอ

“มาถึงขนาดนี้แล้วลุง ต้องถามให้ได้”

จ่าธงถอนหายใจ “งานมันไม่ได้มีแค่เรื่องนี้นะโว้ย ป่านนี้ที่สถานีจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

ไฟคิดหนักแต่ก็ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นหมอหนุ่มเดินออกมา “หมอรัตน์”

“ครับหมวด ผมคุยได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมถามแค่ไม่กี่อย่าง” พอเห็นว่าหมอรัตน์พยักหน้าไฟจึงเดินตามไปที่ห้องทำงานของอีกฝ่าย

คุณหมอผายมือให้นั่งเก้าอี้ตรงข้ามถึงจะเปิดปากถาม “หมวดมีอะไรจะถามหรือครับ”

“ผมจะถามเรื่องศพคุณพิมพ์อรและคุณต้นอ้อน่ะครับ”

หมอรัตน์พยักหน้า “ตามที่ผมเคยบอกจ่าธงและส่งรายงานไป ศพไม่มีการถูกทำร้ายร่างกายที่อื่นจากภายนอก มีเพียงแต่ถูกระเบิดที่ทำให้ศีรษะขาดจนมองไม่ออก ร่างกายเองก็ถูกเผาทำให้เนื้อไหม้เกรียมแห้ง แข็ง จากที่ตรวจดูศพน่าจะเสียชีวิตทันทีที่เกิดเหตุ ของใช้ที่ติดตัวก็ตามที่เขียนรายงานไป”

“ผมอยากรู้ว่าของใช้ที่ติดตัวของทั้งคู่ หมอรัตน์ทราบได้อย่างไรหรือครับว่าเป็นของใช้ของผู้เสียชีวิตจริง ๆ”

หมอรัตน์เงียบไปครู่ สีหน้าไม่ได้แสดงออกใดใด “นายภพเป็นคนบอกมา”

ไฟตกใจ “ทำไมถึงมาบอกล่ะครับ ไปคุยกันเมื่อไหร่”

“เขามาหาผมในที่พักและขอดูของใช้ที่ติดตัวของทั้งคู่ จากนั้นเขาก็บอกว่าเป็นของทั้งคู่จริง ๆ และสิ่งหนึ่งที่เขาพูดขึ้นมาทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าใดนัก...”

“อะไรหรือครับ”

“นายภพบอกว่า ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นและไม่อยากให้ทั้งคู่ตายเพราะทั้งคู่ดีต่อนายภพมาก”

ไฟเงียบลงไปแทน

“ทำไมไม่เขียนในรายงานล่ะหมอ” จ่าธงถามขึ้นทำให้หมอรัตน์ขมวดคิ้วแน่น

“รายงานเพียงต้องการรายละเอียดคร่าว ๆ ไม่ใช่หรือครับ หากจ่าอยากรู้เพิ่มเติมก็สามารถถามผมได้เสมอ แล้วทำไมจ่าถึงไม่ยอมถามล่ะครับ”

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถามไม่ใช่หรือ เพราะยังไงก็สมควรรายงานทุกอย่างอยู่แล้ว จรรยาบรรณแพทย์น่ะหมอ”

ไฟมองทั้งคู่ที่ทำให้บรรยากาศผิดแปลกไป ไม่เคยเห็นจ่าธงเป็นแบบนี้ ทั้งยังหมอรัตน์ที่กักเก็บอารมณ์และสีหน้าได้เสมอกลับดูหงุดหงิดขึ้นจนมองออก “ใจเย็นเถอะครับ ทั้งคู่เลย” ไฟปราม “แล้วหมอมีอะไรเพิ่มเติมจากที่ทางเราไม่ได้ถามไหมครับ”

“ไม่มีแล้วครับ มีเพียงแค่นั้น”

“ขอบคุณมากครับ” ไฟลุกขึ้นแล้วตะเบ๊ะให้ถึงจะเดินออกจากห้อง

“ถือว่าคดีปิดหรือยัง”

“มันจะปิดได้ยังไงลุง ในเมื่อตัวคนร้ายเรายังไม่ได้เลย คิดจะปล่อยเงียบไปแบบนี้หรือ”

“เอ็งก็รู้ไม่ใช่เรอะว่าคนร้ายคือใคร”

ไฟนิ่งไป จ่าธงจึงพูดต่อ

“ต่อให้เรารู้ คิดว่าเราทำอะไรได้ไหมไฟ ถึงจะน่าสมเพชในฐานะตำรวจที่ทำอะไรไม่ได้เลย เพียงแต่มันไม่มีทางอื่นแล้ว”

“ก็เพราะแบบนี้ พวกคนชั่วถึงเหิมเกริมกันทั่วบ้านทั่วเมือง” ไฟจ้องด้วยดวงตาแข็งกร้าวจนทำให้จ่าธงหน้าเสีย “ผมจะเอาโทษให้ถึงที่สุด และรวมถึงสองคนนั้นที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน ยังไงก็ต้องเอาให้คดีปิด ไม่ว่าจะต้องจับใครก็ตาม”

หากเป็นเรื่องจริงคงจะดีกว่าถ้าจับตัวไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องไปทำบาปทำกรรมเพิ่มกับใครเขาอีก

“แน่ใจใช่ไหมว่าเอ็งกล้าจับไอ้สิงห์”

“ผมไม่รู้...”

“ไม่เปลี่ยนไปเลยนะไอ้ไฟเอ๊ย” จ่าธงบีบบ่าเบา ๆ

“ผมรับปากไม่ได้ว่าจะจับสิงห์ได้ไหม แต่วิธีนี้คงจะเป็นผลดีกับเจ้าตัว”

“เฮ้อ ข้าก็อยากให้เอ็งทั้งคู่ไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้หรอกนะ” จ่าธงขึ้นรถรอจนไฟขึ้นตามถึงจะพูด “ต่อไปนี้ไว้ข้าจะคอยช่วยเหลือเอ็งอีกแรงก็แล้วกัน จะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะ”

“ขอบคุณนะลุง”

ไฟยิ้มขึ้นมาก้มมองแฟ้มในมือที่มีรูปจั่วหัวเป็นภาพของสิงห์ที่ถูกถ่ายมาติดไว้ ทั้งภาพในอดีตสมัยยังเป็นตำรวจและภาพปัจจุบัน อธิบายไว้ว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ มันก็เป็นได้แค่นั้น เพราะไม่มีใครดำเนินเรื่องต่อและปล่อยให้เงียบไปเฉย ๆ

 

 

พ่ายโลกันตร์


 
 

หนังสือพิมพ์เปิดหน้าแล้วหน้าเล่า ดวงตาเรียวคมมองผ่านกระดาษตรงหน้าไปทางมุมอับที่มีผ้าม่านสีแดงปลิวไสว ข้างหน้ามีคนยืนเฝ้าสองคน เห็นไกล ๆ ก็พบว่ามีหญิงบริการอยู่ในนั้นหัวเราะต่อกระซิกกับเจ้าของบ่อนที่ถูกต้องสงสัยว่าแอบเอาวัตถุโบราณไปขายให้ต่างประเทศ

“ทางหน้าห้องมีสองคน และเดินอยู่ทั่วร้านอีกสอง” หมวดไฟเอ่ยบอกนายตำรวจที่มาด้วยกันสองคน และอยู่ในชุดทั่วไปไม่ใช่ชุดราชการ ไฟได้กลับไปเปลี่ยนที่บ้านเพื่อจะมานั่งในร้านบาร์แห่งนี้เพราะจะต้องตามจับตามอง เสี่ยโก้ ตามที่สารวัตรสั่งการมา

“หมู่ไปเบี่ยงเบนความสนใจสองคนนั้นที่เดินอยู่ในร้าน ส่วนจ่า... ไว้ถ้าสองคนนั้นติดกับเมื่อไหร่ก็จัดการสองคนหน้าทางเข้าทันที ผมจะช่วยสนับสนุนห่าง ๆ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน”

“ครับ” ทั้งคู่ตกปากรับคำหมู่ก็เดินออกไปจนเกือบหน้าห้องของเสี่ยโก้พร้อมกับโวยวายไปด้วยแกล้งเป็นคนเมาที่เริ่มอาละวาด ก่อนจะดึงมีดออกมาทำให้ทั้งสองคนที่เป็นลูกน้องของเสี่ยโก้เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เพราะคงสงสัยและป้องกันไว้ก่อน เห็นว่าเรียกอีกสองคนที่อยู่ภายในร้านให้ลากออกไป

พอสามคนนั้นออกจากร้านได้ ไฟก็พยักหน้าให้จ่าที่เดินไปรอไว้แล้ว

“กรี๊ดดด!” เพียงชั่ววิเท่านั้นที่จ่าเริ่มทำให้สองคนนั้นสลบก่อนจะเข้าไปจับกุมเสี่ยโก้ทันที ไฟที่มองอยู่ห่าง ๆ เตรียมปืนไว้พร้อมเพราะหากสองคนนั้นมีท่าทีอันตรายเมื่อใดจะยิงทันที

“นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบด้วย!” ไฟสั่งเสียงดังทุกคนถึงจะสงบลงและหมอบไว้

“จับตัวได้แล้วครับหมวด” จ่าลากเสี่ยโก้ออกมาที่ดูจะสั่นกลัวเป็นอย่างมาก

“เอาไปไว้ที่สถานีเลย อีกสองคนนั้นไปเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นมารวบ แล้วก็ตรวจคนที่นี่ด้วยเผื่อมีพวกมันเล็ดลอดออกไป”

“ครับ” จ่าตะเบ๊ะให้และเดินออกไปพร้อมกับเสี่ยโก้ ไฟมองคนในร้านที่ดูจะหน้าซีดเซียว แม้จะไม่เกี่ยวข้องแต่ก็คงตรวจไว้เผื่อดีกว่าแก้

แต่ก่อนจะเดินไปตรวจที่ห้องของเสี่ยโก้ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นห้องด้านในสุดอีกห้องที่มองตรงที่เขานั่งจะไม่เห็น แต่ว่าในห้องนั้นยังมีคนนั่งอยู่ด้านในสามคน ผ้าเป็นสีดำที่แทบจะมองไม่ออกเหมือนดั่งผ้าสีแดง

“ขอโทษนะครับ พวกคุณ—” ไฟที่เลิกผ้าม่านออกได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบกับคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ใจของชายหนุ่มเต้นระรัว ปากหุบบ้างอ้าบ้างคล้ายจะอยากพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก

“หมวดไฟ?” หนึ่งในคนภายในห้องพูดขึ้น “ถ้าจะมาจับหรือถามอะไร ขอบอกว่าทางเราไม่เกี่ยวข้องกับเสี่ยโก้” ภพเอ่ยตอบแทนเจ้านายที่ยังนั่งนิ่งมองผู้มาใหม่ที่ตอนนี้ตกใจจนแม้แต่เสียงตนก็คงจะไม่ได้สนใจ

“ไม่เจอกันนาน แผลหายรึยังผู้หมวด” เกื้อผู้ที่เคยไปส่งผู้หมวดที่โรงพยาบาลถามขึ้นอย่างนึกขัน

ไฟสะบัดหน้าเล็กน้อยเพื่อเรียกสติถึงจะเข้าไปยืนนิ่ง ๆ มองดวงตาเรียวเรียบนิ่งที่จ้องมาก็ได้แต่ถอนหายใจ “ต้องขอโทษด้วยที่พวกผมมารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ แต่ยังไงก็ขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ หากไม่มีใครเกี่ยวข้องกับเสี่ยโก้จริง ๆ ผมจะปล่อยไปไม่ต้องห่วง”

ลูกน้องทั้งสองพยักหน้าอย่างว่าง่ายและดื่มกันต่อ เว้นเพียงเจ้านายที่ไม่ตอบโต้ใดใดนอกจากก้มหน้าอ่านอะไรในมือ

ตัวเขานั้นมีอะไรอยากจะพูดกับอีกฝ่ายมากมายแต่สถานการณ์และสถานะในตอนนี้มันไม่สามารถพูดคุยกันได้ และเขาคิดว่าลองปล่อยไปเสียบ้าง มันคงจะทำให้เขาเลิกคิดมากน้อยลง

คิดได้อย่างนั้นไฟก็เดินออกไปทันทีสร้างความประหลาดใจให้แก่คนในห้องที่ดูเหมือนว่า ข่าวลือเรื่องหมวดไฟอารมณ์ร้อนและไหนจะวันที่บุกมาถึงไร่อัครเดชนั่นอีก พอมาดูตอนนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิม แทบไม่เหลือเค้าโครงของผู้หมวดใจร้อนคนเก่าเลยสักนิด

“เขาดูใจเย็นขึ้นนะครับ” ภพพูดขึ้น

“วันนั้นยังคิดจะบุกไปหาคุณสิงห์ให้ได้ ผมนี่แทบจะอยากวิ่งออกไปแทน ถูกปืนรุมจ่อขนาดนั้นยังจะกล้า” เกื้อส่ายหน้า

สิงห์ที่ไม่ได้อ่านกระดาษในมือเข้าหัวก็พับเก็บไว้ในเสื้อก่อนจะมองออกไปยังด้านนอกที่ตอนนี้คนรักเก่ากำลังทำหน้าที่ตำรวจโดยไม่กลับมาตามบุกและสนใจตนมากอย่างที่เคยพูดไว้ “ช่างมันเถอะ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วหนิ”

“หึหึ งั้นหรือครับ” ภพหัวเราะในลำคอ พอไม่ได้ยินเสียงตอบรับอะไรก็เป็นเกื้อที่เปลี่ยนเรื่องคุยแทน

ไฟขมวดคิ้วเมื่อใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยอมรับว่าตอนนี้ไม่มีสมาธิจะทำงานตรงหน้าเพราะใจมันลอยไปหาสิงห์หมดแล้ว อยากจะพูด อยากจะคุยให้มากกว่านี้แต่เขารู้ว่าทำไม่ได้ เขาต้องทำหน้าที่ให้เสร็จเสียก่อน

สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่วู่วาม ไม่ใจร้อนอีก เรื่องแค่นี้คงทำได้ แม้จะหันไปมองบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปหาแล้วทิ้งงานไว้เหมือนแต่ก่อน

“หมวดครับ” หมู่ตะเบ๊ะให้หลังจากจับกุมตัวสองคนที่ลากตนที่แกล้งเมาออกไปได้

“ว่าไง ข้างนอกเรียบร้อยใช่ไหม”

“ครับ สองคนนั้นยอมรับสารภาพว่าเสี่ยโก้แอบลักลอบขนส่งวัตถุโบราณให้ต่างแดนจริง ๆ และเพิ่งส่งออกไปเมื่อสามวันก่อนตามที่สายรายงานมาครับ”

“อืม ดีมาก เสร็จแล้วรีบกลับสถานีเลย”

“ครับ!”

ไฟมองลูกน้องที่เดินออกไปแล้วตนถึงจะเดินกลับไปที่ห้องเดิม... ห้องของนายสิงห์

“ขอเชิญทั้งสามคนด้านนอกด้วยครับ ให้ความร่วมมือกับทางตำรวจสักครู่”

“เฮ้อ” เกื้อถอนหายใจเสียงดังถึงจะลุกออกไปก่อนตามด้วยภพและสิงห์ที่เดินออกมาอย่างว่าง่าย ไฟเผลอจับข้อแขนตอนที่สิงห์กำลังออกจากห้อง พอรับสายตาหงุดหงิดมาก็จำต้องปล่อยออก

“ขอโทษครับ” ไฟก้มหัวแล้วยอมเดินออกไปรอทั้งสามเพื่อสอบปากคำ

แต่ยังไงก็ตามทั้งสามก็ถูกปล่อยตัวเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสี่ยโก้จริง ๆ ถึงจะมีคดีติดตัวมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะจับได้เลย ตำรวจหลายนายออกจะเสียดายที่จับนายสิงห์ไม่ได้ ไฟเองก็เสียดายไม่น้อยที่เจอกันเพียงน้อยนิด เขาก็จะต้องกลับสถานีไปรายงานสารวัตรอีกเพิ่มเติม

“รอผมครู่หนึ่ง” ไฟหันไปบอกจ่าที่ทำหน้าที่ขับรถ ก่อนจะวิ่งไปทางรถที่จอดอยู่ไกล ๆ “สิงห์!” ไฟตะโกนเรียกก่อนที่อีกคนจะขึ้นรถ

“เฮ้ย ๆ ไหนบอกไม่มีอะไรแล้วไง” เกื้อที่เปิดประตูรถให้เจ้านายถึงกับโวย

“ขอคุยกับสิงห์เพียงนิดเดียว”

“ไม่ได้ ๆ นาย—”

“มึงไปรอกูในรถ ปล่อยให้มันพูด” สิงห์สั่ง เกื้อเลยทำเป็นชี้หน้าผู้หมวดถึงจะอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ “มีอะไรก็รีบ ๆ พูด”

ไฟคลี่ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ดีใจลึก ๆ ที่สิงห์ยอมคุยด้วย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองจะมาพูดก็ต้องค่อย ๆ หุบยิ้มเปลี่ยนเป็นเศร้าชั่วครู่ถึงจะทำหน้าจริงจัง

“กูจะไม่ขอร้องให้มึงหยุดทำอีกแล้ว ต่อไปนี้กูจะตามจับมึงเข้าตารางเอง” ไฟขมวดคิ้วไม่มีแววตาล้อเล่น

“งั้นหรือ” สิงห์จ้องตากลับอย่างไม่ยอมแพ้ “หากมึงจับกูได้จริง คงไม่รอจนถึงวันนี้หรอก”

“ใช่ แต่ก่อนกูมันโง่เอง แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กูจะจับมึง... เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้มึงเลิกทำชั่วได้”

สิงห์เค้นเสียงแล้วตบบ่าอีกฝ่าย “ก็ขอให้มึงทำได้ดั่งที่ใจหวังก็แล้วกัน” ไม่พูดอะไรให้มากความกว่านี้สิงห์ก็เปิดประตูขึ้นรถของตัวเองไป ไฟมองจนอีกฝ่ายลับสายตาถึงจะกลับไปที่รถโดยไม่หันกลับไปมองที่ทางเดิมอีก

ในเมื่อตอนนี้ต่างคนต่างเส้นทาง ไม่ว่าเรื่องทุกอย่างจะจบยังไง สิ่งสุดท้ายที่รู้ได้ก็คือ...

เราทั้งคู่ไม่มีวันที่จะกลับไปมีชีวิตสุขเดิมได้อีกแล้ว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 
 


พ่ายโลกันตร์


 


มือหนาลูบใบหน้าให้คลายความเครียดที่สะสมมาทั้งวัน มองรูปคู่ที่ถ่ายกับสิงห์ มันถูกใส่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมขนาดเล็กบนโต๊ะทำงาน ไฟหยิบมาถือใช้นิ้วโป้งลูบวนตรงใบหน้าของคนรักเก่า เขาถอนหายใจออกมาเมื่อคิดถึงสิงห์อีกแล้วก่อนจะยกมือข้างซ้ายขึ้น แสงแวววับของแหวนสะท้อนตา มองจนพอใจถึงจะเลื่อนลงมากุมที่กลางอก จับแหวนอีกวงที่สวมไว้กับสร้อยเส้นดำ

ขอบตาระรื่นไปด้วยน้ำสีใส เพียงแค่เห็นหน้าวันนี้ก็คิดถึงใจจะขาด ชายหนุ่มยิ้มฝืนเมื่อตนเองจะต้องจริงจังกับการจับคนรักเก่าคงไม่มีวันที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้

“มึงทำได้ไอ้ไฟ” ให้กำลังใจตัวเองเหมือนดั่งทุกวันที่ทำ เผื่อจะกล้าขึ้นบ้าง

เรื่องหาความจริงในคดีน้าพิมพ์อรเขายังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะทุกอย่างมันดูไม่ถูกต้อง แต่ถึงจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นสุดท้ายก็ยังคงต้องจับสิงห์อยู่ดี เพราะสิงห์เริ่มก้าวขาเข้าวงการผิดกฎหมายตั้งแต่ถูกพักราชการ มีคดีติดตัวในวันที่ยิงเพื่อนตัวเอง และไหนจะคดีที่ส่งของให้คนนอกรวมถึงคนใน

ถึงจะหาความจริงเรื่องของน้าพิมพ์อรได้ก็ใช่ว่าสิงห์จะพ้นโทษ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ไฟ” คนถูกเรียกหันมองทางประตูก่อนจะตะโกนตอบผู้เป็นแม่ เพียงสักพักถึงจะได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก “ไปกินข้าวกันลูก” เธอจับบ่าลูกชายพร้อมกับมองกรอบรูปที่เจ้าตัวเพิ่งจะวางลงไว้ที่เดิม

“ครับ” ไฟเงยหน้ายิ้มให้แม่และลูบมือที่บ่าให้หายเป็นห่วง

“มันก็ผ่านมาหลายปีแล้วสินะ” เธอว่าลูบหัวลูกชายไปด้วย “แม่...”

ไฟขมวดคิ้วที่อยู่ ๆ แม่ก็เงียบไป “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ฤดียิ้มให้ “เปล่าลูก ป่ะ ลงไปกินข้าวกันเดี๋ยวจะเย็นหมด”

ไฟพยักหน้ามองดูรูปอีกสักพักถึงจะออกไป

“อ่าวลุง” ไฟตกใจเล็กน้อยที่มีคนมานั่งร่วมด้วยก่อนจะยกมือสวัสดีเมียแก “สวัสดีครับป้าสาย”

“สวัสดีจ้ะ”

“ไหน ๆ บ้านก็อยู่ใกล้กัน เลยถือโอกาสมาร่วมวงด้วย” ลุงธงเอ่ยบอก

ไฟคลี่ยิ้ม “เอาสิครับ จะได้ไม่เหงากัน”

“มากินด้วยกันทุกวันเลยก็ได้นะพี่สายจ่าธง” ฤดีว่า

“ก็ดีนะจะได้ไม่ต้องล้างจาน”

“เดี๋ยวเถอะตาลุงนี่” ป้าสายขมวดคิ้ว

“จ้า ๆ กลัวแล้วจ้า” จ่าธงออดอ้อนเมียไม่สนสายตาผู้อื่นก่อนจะหันมาทางไฟ “แล้วตอนที่อยู่พระนคร เป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ปวดหัวนิดหน่อยน่ะลุง”

“ยังดีที่ไม่ถูกส่งให้ไปเข้าร่วมกับกองกำลังที่ชายแดนใต้ ทั้งตำรวจ ทหาร ชาวบ้านที่อาสาไปก็ต่างล้มตาย”

“ผมไม่อยากให้คิดว่าเป็นโชคเลยลุงถ้านับกับคนที่เสียไป”

“นั่นสินะ”

“อะไรกันสองคนนี้ มาคุยเรื่องแบบนี้ตอนกินข้าวได้ยังไง” ฤดีเอ็ดเล็กน้อย

“ขอโทษครับ” ไฟลูบบ่าคนข้างกาย

“เออแล้วเห็นว่าวันนี้ เอ็งพบกับไอ้สิงห์เรอะ” จ่าธงถามขึ้นเมื่อตักข้าวเข้าปากไปสองสามคำ

“จ่าธง” ฤดีส่ายหน้า

“นี่ถามอะไร ห๊ะ!” ป้าสายรีบหยิกแขนจนลุงแกร้อง

“เจอกันเพียงครู่เดียว ผมต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อ ไม่ได้คุยอะไรกันมากครับ”

“บ๊ะ!” ลุงธงตบเข่าฉาด “ไอ้ไฟคนเก่าหายไปไหนวะ”

“คนเราก็ต้องเปลี่ยนบ้างหรือเปล่าลุง”

“อย่างเอ็งเนี่ยนะ”

“โธ่ลุง”

“มันก็ดีแล้วไม่ใช่รึ” ป้าสายว่า

“ฮ่ะ ๆ ดีสิดี นึกว่าจะถูกยิงมาอีกรอบ”

ไฟส่ายหน้า “ผมไม่เป็นแบบเดิมหรอก”

“หมวด ๆ หมวดไฟอยู่ไหมครับ!” ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันอีกก็มีคนมาตะโกนหน้าบ้าน ดูเร่งรีบทำให้ไฟและจ่าธงต่างพยักหน้าแล้วเดินลงไปข้างล่างทันที

“อ่าว จ่าคม มีอะไร” ไฟถาม

“สารวัตรโขมโดนลอบฆ่าครับ”

“ว่าไงนะ!” ไฟตาโต “จ่าธงนำหน้าผมไปก่อนเลย เดี๋ยวผมตามไป”

“ได้ ไปไอ้คม” จ่าธงรีบขึ้นรถเพราะตนเองก็ยังไม่ได้ถอดชุดและยังคงพกปืนตลอดเวลา

“มีอะไรลูก”

“สารวัตรถูกลอบทำร้ายครับ แม่กับป้าสายอยู่ด้วยกันก่อนนะ ผมจะรีบกลับ” พูดเสร็จก็รีบเข้าห้องไปเอาปืนพร้อมกับกุญแจรถ

เพียงไม่นานไฟก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านหลังเล็ก มีรถของจ่าคมก่อนหน้านี้และรถของคนอื่น ไฟไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที

“สารวัตรเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เป็นอะไรมากครับ ถูกยิงเฉียดเอวไปนิดเดียวเท่านั้น” หมอรัตน์เอ่ยบอกแทน

ไฟพยักหน้าให้หมอเป็นเชิงขอบคุณถึงจะหันไปถามจ่าคม “จับคนร้ายได้ไหม”

“ถูกฆ่าแล้วครับ”

“สารวัตรทำหรือ”

“เปล่าครับ เห็นบอกว่าเป็นสายสืบที่มาช่วยทัน”

“ขอบคุณมาก” ไฟพยักหน้าแล้วไปห้องที่สารวัตรอยู่ เห็นมีจ่าธงและใครอีกคนที่ใส่ผ้าปิดหน้าปิดตาอยู่ภายในห้องด้วย

“เป็นยังไงบ้างครับ”

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะหมวด” สารวัตรยิ้มให้

“แล้วรู้ไหมครับ ว่าใครสั่งพวกนั้นมา”

“เจ้าสัวเหวย”

ไฟขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะครับ”

“ที่จริงผมตามสืบเรื่องพวกมันอย่างลับ ๆ แต่ดันมีคนไปบอก พอพวกมันรู้เลยคิดจะตามเก็บผม แต่หมวดไม่ต้องคิดมากหรอกนะ เพราะยังไงตั้งแต่ผมมาประจำที่นี่ก็เหมือนจะมีเจ้าถิ่นอยากทำให้หัวผมหลุดจากบ่าไม่รู้ตั้งกี่คน”

“เครียดบ้างก็ดีนะครับสารวัตร” ไฟยิ้มบาง

“เครียดแล้วมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกหมวด ผมว่าเอาเวลาที่เครียดเนี่ยน่าจะไปสู้ตอบพวกมันดีกว่า”

“บางทีสารวัตรก็เหมือนหมวดไฟในช่วงบ้างานนะครับ” จ่าธงหัวเราะ

“ฮ่า ๆ ผมก็ว่างั้นนะ”

“โธ่ เรื่องมันก็นานแล้วนะลุง”

“โอ๊ย ขนาดจะจับไอ้สิงห์มันก็ยังไม่รู้ว่าจะกล้าจับไหม รักขนาดนี้”

“มาพูดอะไรตรงนี้ล่ะลุง” ไฟรีบปรามเพราะไม่ได้มีแค่เขากับจ่าธง แต่มีสารวัตรกับใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย พอเห็นอย่างนั้นก็นึกว่าตัวเองเสียมารยาทเกินไปที่ไม่ทักทาย “เอ่อคนนี้ใช่สายของสารวัตรหรือเปล่าครับ”

“อ่อใช่ แต่บอกชื่อไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวมีใครมาได้ยิน”

“ผมเข้าใจครับ” ไฟพยักหน้าก่อนจะหันไปผงกหัวเป็นการทักทายซึ่งอีกคนก็ทำตอบ

“ถ้าอย่างนั้น ไว้มีเรื่องอะไรอีกก็ช่วยรายงานผมด้วยนะ” สารวัตรเอ่ยบอกสายของตนเอง “สำหรับวันนี้ขอบคุณมากที่มาช่วย คุณไปเถอะเดี๋ยวพวกมันจะสงสัย”

ชายปิดใบหน้าผงกหัวแล้วรีบออกไปตามที่บอก เพียงแต่ออกไปทางข้างหลังแทน

“ไปซะแล้ว น่าเสียดาย” จ่าธงส่ายหัว

“ดีนะครับที่มีคนมาช่วย ผมว่าสารวัตรมาอยู่ที่บ้านผมก่อนดีกว่าไหมครับ เจ็บแบบนี้ให้อยู่บ้านคนเดียวมันจะอันตราย”

สารวัตรคิดหนักอยู่พอควร เพราะหากตนไปนอนบ้านใครสักคน หากพวกมันตามมาลอบฆ่าอีกรอบ กลัวว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องจะเดือดร้อนไปด้วย

“ถ้าเรื่องนั้น ให้สารวัตรไปอยู่ที่บ้านผมแทนก็ได้ครับ” เสียงหนึ่งดังมาจากหน้าห้อง หมอรัตน์ก้าวเท้าเข้ามายืนข้างหมวดไฟ

“แน่ใจหรือครับหมอ” ไฟถามย้ำ

“คงจะปลอดภัยไม่มากก็น้อย แต่คงไม่มีใครคิดว่าสารวัตรมาอยู่ที่เดียวกับผมหรอกครับ”

“ก็มีเหตุผล” จ่าธงลูบคาง

“เพราะยังไงสารวัตรก็ต้องคอยทำความสะอาดแผลอยู่แล้ว มีผมคอยช่วยน่าจะดีที่สุด”

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ รบกวนด้วยนะหมอ” สารวัตรว่า

“ยินดีครับ” หมอยิ้มบาง

“ไว้เดี๋ยวผมไปส่ง จะไปกันเลยไหมครับ” พอตกลงกันเสร็จ หมอรัตน์อาสาช่วยสารวัตรเก็บเสื้อผ้าส่วนจ่าธงรอช่วยอีกแรง

ไฟถอนหายใจเมื่อเดินออกมาข้างนอกและรวมถึงบอกให้คนอื่นกลับบ้าน ส่วนข้าวของที่พังไปสารวัตรบอกไว้ว่าค่อยมาเก็บตอนหายดี แต่ยังไงเขาก็จะอาสามาเก็บให้อยู่ดี

“กลับก่อนนะครับหมวด” จ่าคมตะเบ๊ะให้

“ขับรถดี ๆ นะจ่า” หมวดไฟโบกมือ พอคนหายข้างกายก็เงียบทันตา ไฟหันมองรอบ ๆ ก่อนจะผงะและจับกระบอกปืนที่ข้างเอว “ใคร!”

เงาตะคุ่มที่หลบอยู่ข้างบ้านยกมือขึ้นเหนือหัวพร้อมกับเดินออกมา พอเห็นว่าเป็นสายของสารวัตก็ต้องพรูลมหายใจอย่างโล่งอก

“มาทำอะไรตรงนี้มืด ๆ ครับ นึกว่ากลับไปแล้ว” ไฟถามมองคนตรงหน้าที่ออกมายืนพร้อมกับหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในเสื้อ

‘ผมรอไปส่งสารวัตรที่บ้านหมอ’

ไฟอ่านตามก่อนจะยิ้ม “เข้าใจแล้วครับ แปลว่าคุณไม่ได้กลับไปตามที่สารวัตรสั่งตั้งแต่แรก แต่กลับยืนฟังพวกเราอยู่”

รอสักพักอีกคนถึงจะเขียนเสร็จ ‘ขอโทษครับ แต่เพื่อความปลอดภัย’

ไฟพยักหน้า รู้สึกคุ้น ๆ ลายมืออย่างน่าแปลก “คุณนี่ลายมือสวยมากเลยนะครับ  เหมือน...” ไฟเผลอเงียบไปทันตา ก้มหน้ายิ้มกับตัวเองเมื่อคิดถึงแต่คนรักเก่า จะไปชี้ใครเขาทั่วว่าคือสิงห์ก็คงไม่ได้ “ขอโทษทีครับ”

อีกฝ่ายก็เงียบไปเหมือนกันก่อนที่จะก้มเขียนอะไรสักอย่าง

‘ดูแลตัวเองด้วย’

ไฟตกใจเล็กน้อย เป็นข้อความสั้น ๆ แต่กลับทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นแรง รู้สึกอุ่นวาบไปทั่วกาย ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกัน หรือเพราะแค่คิดว่าลายมือเหมือนกันแล้วจะคิดไปเองว่าคนตรงหน้าคือสิงห์หรือไร

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริง ๆ” ไฟยิ้มกว้างแม้ดวงตาจะคลอเล็กน้อย

ไม่มีใครพูดอะไรมากกว่านี้เมื่อทั้งสามคนในบ้านเดินออกมา ไฟแอบยกหลังมือเช็ดตาอย่างรีบ ๆ ถึงจะหันไปมองทั้งสามคน

“อ่าว ทำไมถึงยังไม่กลับ” สารวัตรถามขึ้น

“เขาบอกจะรอไปส่งสารวัตรน่ะครับ เพื่อความปลอดภัย” ไฟตอบให้แทน

สารวัตรโขมมองทั้งคู่สลับกันก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินไปที่รถของไฟโดยมีหมอรัตน์ช่วยพยุง

“คุยกันถูกคอรึเปล่าล่ะ พวกเอ็ง” จ่าธงเท้าเอวถาม มืออีกข้างมีกระเป๋าเสื้อผ้าของสารวัตรพ่วงด้วย

“ถูกคออยู่ครับ” ไฟหัวเราะ

“เออดี ๆ” จ่าธงพยักหน้าแล้วเดินไปเก็บกระเป๋าไว้ข้างหลัง

“แล้วคุณจะไปด้วยกันไหมครับ” ไฟถามขึ้นแล้วก็ได้คำตอบโดยกุญแจรถที่อีกฝ่ายชูขึ้น “ถ้างั้นผมไปก่อนนะ”

รอจนอีกคนพยักหน้าไฟถึงจะเดินไปขึ้นรถและทำหน้าที่คนขับ ซึ่งคนที่นั่งข้างกายคือจ่าธง ส่วนหมอรัตน์กับสารวัตรนั่งอยู่ข้างหลัง และแสงสีส้มที่วาบขึ้นจากรถมอเตอร์ไซค์ BSA ที่ขับตามหลัง ทำให้ดูอุ่นใจยิ่งกว่าเดิม





จบบทที่ ๑๖

--------------------------------------------------------------------

รถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ BSA goldstar clubman ผลิตขึ้นเมื่อปี 1937 หรือเทียบเท่า 2480 ของไทยเราเองค่ะ

หากใครนึกภาพไม่ออกนะคะ
อยากดูรูปรถจิ้มตรงนี้ได้เลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2020 11:30:58 โดย IMYean. »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สิงห์รึปล่าว

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน โอยทั้งหน่วง อารมณ์หลากหลายเลย ชอบมากๆ
จะรอตอนต่อไปนะจ๊ะ
 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ spy_2003

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สิงห์หรอ ต้องเป็นสิงห์แน่ๆ :hao5:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


บทที่ ๑๗
ทีมลับ





สถานีดูคึกคักเป็นพิเศษเพราะถูกเรียกให้นายตำรวจสามนายไปดูแลหลวงธารานันท์ ที่ต้องเดินทางไปพบกับหลวงรวีชัยเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการเมืองในช่วงนี้ จากข่าวหลายแห่งบอกว่านายกรัฐมนตรีจะลาออก รวมถึงพูดคุยเรื่องผลประโยชน์ที่คนต้องการคงจะเป็นหลวงรวีชัย

“เอาล่ะ ยังไงก็ฝากสถานีด้วยนะจ่า” สารวัตเอ่ยปาก

“ครับสารวัตร” จ่าคมตะเบ๊ะพร้อมเดินออกไป

“สารวัตรไม่พักแน่นะครับ” หมวดไฟถามอย่างนึกห่วง

“แค่ไปดูแลท่าน พวกมันคงไม่นึกลงมือตอนนี้หรอก ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องจัดการคุณหลวงธารานันท์ หากทำขึ้นมาพวกมันก็ต้องเจอผลเสียในเรื่องผลประโยชน์ เพราะยังไงคุณหลวงธารานันท์ก็เป็นถึงผู้ว่าฯ พูดไปก็หาว่า ว่าท่านเพียงแต่ที่ทุกวันนี้พวกมันยังรอดได้ก็เพราะคุณหลวงธารานันท์ยังไม่คิดจะดำเนินเรื่อง”

“มันคงยากนะครับ การจะจัดการพวกคนชั่วที่เดินอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองอย่างนี้” จ่าธงเอ่ย

“ไม่ว่ายังไงก็ตามผมว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือเราอย่าเพิ่งเร่งรีบในการจับพวกมัน ไม่อย่างนั้นแผนที่วางมาทั้งหมดจะล่มเอาได้”

“แผนหรือครับ?” หมวดไฟขมวดคิ้ว “นอกจากเรื่องของเจ้าสัวเหวยแล้ว ยังมีคุณหลวงรวีชัยอีกหรือครับ ไม่อันตรายไปหน่อยหรือครับสารวัตร เราดักศัตรูสองทางไม่ไหวหรอกนะครับ”

สารวัตรหันมองก่อนจะถอนหายใจ “เรื่องนี้อาจจะไม่ลับ และอาจจะลับ แต่ว่า... ทั้งสองคนนี้ดูจะร่วมมือกันอยู่”

พอได้ยินอย่างนั้นหมวดไฟก็ได้แต่ตกใจ เมื่อตัวร้ายหลักของจังหวัดทั้งสองมาร่วมมือกันอย่างนี้ เป็นเรื่องร้ายแรงที่อาจจะหยุดพวกมันไม่อยู่ก็เป็นได้

“สารวัตรรู้มานานหรือยังครับ”

“หลายปีได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนพอ เพราะว่าหลวงรวีชัยยังมีพวกเสือเอี้ยงคอยคุ้มครองตัวเองอยู่ หากหลวงรวีชัยกับเจ้าสัวร่วมมือกันจริง เสือเอี้ยงมันคงไม่อยู่ด้วย แต่ที่ที่เราไปคุณหลวงธารานันท์บอกว่า ฝั่งนั้นเขาเอาเสือเอี้ยงมาคุม”

“หรือไม่แน่ว่าหลวงรวีชัยอาจจะหลอกไอเสือเอี้ยงไปด้วย” จ่าธงกอดอก

“ก็เป็นไปได้ ในเมื่อเสือเอี้ยงมันเกลียดเจ้าสัวเข้าไส้มาแต่ไหนแต่ไร”

“หากเป็นแบบนี้ เราควรรายงานท่านอธิบดีไหมครับ” หมวดไฟถาม

“รอเรื่องชัดเจนกว่านี้ ผมจะรายงานท่านทันที แต่คงเป็นท่านรองดีกว่า”

หมวดไฟพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนที่ทั้งสามคนจะลงจากสถานีไปที่รถ จ่าธงอาสาขับให้ ส่วนหมวดไฟนั่งข้างคนขับและสารวัตรที่นั่งเบาะหลัง

“นอกจากเสือเอี้ยงยังมีใครมาอีกไหมสารวัตร” จ่าธงถามขึ้น

สารวัตรนั่งเงียบไปชั่วครู่ “ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง ว่าใครที่มาด้วยอีกคน”

จ่าธงเลิกคิ้วหันมองหลานชายข้างกายที่มองมาเช่นกัน “หวังว่าจะไม่ใช่คนที่ข้าคิดนะ”

ไฟพอเข้าใจว่าลุงธงหมายถึงอะไร ทว่า หลวงรวีชัยมีส่วนเกี่ยวข้องยังไง ในแง่ไหน เคยเห็นว่าเสี่ยพันธ์กับหลวงรวีชัยไม่กินเส้นกันอยู่ในอดีต แต่ในตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไง

จะว่าไปตั้งแต่เกิดเรื่องของน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อขึ้นก็ไม่มีใครเห็นหน้าคาตาของเสี่ยพันธ์เลย หายเงียบราวกับไม่ได้ออกไปไหน มีแค่ลูกชายที่ทำหน้าที่แทนอยู่ตลอด กลายเป็นว่าเสี่ยพันธ์สิ้นชื่อ มีเพียงนายสิงห์ที่ขึ้นแท่น

ข่าวจากหลายแหล่งบ้างก็ว่าเสี่ยพันธ์ตรอมใจตายเรื่องเมียกับลูก บ้างก็ว่าถูกลูกชายตัวเองเก็บเพราะคิดจะตั้งตัวเองเป็นใหญ่ ไฟพอฟังผ่าน ๆ แต่เรื่องของเสี่ยพันธ์ยังไงก็ต้องรู้ไว้ก่อน จิตใจคนเราไม่เหมือนกัน สิงห์ที่ตนเคยรู้จักอาจจะไม่หลงเหลืออีกต่อไป

ข่าวลือบางข่าวอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ในเมื่อไม่มีใครได้เห็นกับตาตัวเอง

“จะว่าไป สารวัตรคิดแผนพวกนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่หรือครับ แล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้าง” หมวดไฟถามขึ้นเมื่อเป็นเรื่องที่ตนสงสัยมานาน

“ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คงตั้งแต่ย้ายมาประจำที่นี่นั่นแหละ ท่านอธิบดีในตอนนั้นมอบหมายให้ผมมาจับตามองพวกมัน แต่ว่าหลังจากที่ได้แต่งตั้งท่านอธิบดีคนใหม่ เป็นท่านอธิบดีทัพเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา...” พอได้ยินชื่อนี้ไฟก็ได้แต่เค้นเสียง เพราะมันที่ทำให้สิงห์ถูกพักราชการ อดีตสารวัตรทัพผู้ที่เคยดูแลสถานีอ้อยขวางที่ไม่มีใครเขานับถือ “จากนั้นท่านรองอนงค์ก็รับหน้าที่ดูแลทีมนี้อย่างลับ ๆ แม้แต่กรมตำรวจนครบาลก็ยังไม่มีใครทราบ เพราะยังไงพวกนี้ก็อยู่ในเขตกรมตำรวจภูธรเขตเราก็ต้องให้หน้าที่ทางเรารับผิดชอบอยู่แล้ว ส่วนทางพระนครเขาก็ยุ่งกับที่ของเขาไป ส่วนทางท่านอธิบดีเราก็ยังไม่ให้ทราบเรื่องนี้เหมือนกัน”

“แล้วที่มีข่าวลือว่ามีคนในกรมตำรวจอยู่ช่วยเบื้องหลังด้วย ที่ช่วยเสี่ยพันธ์น่ะครับ สารวัตรพอจะทราบไหมครับว่าคือใคร เกี่ยวข้องกันที่ว่าทางท่านรองถึงไม่รายงานให้ทางส่วนกลางและท่านอธิบดีทัพรู้ด้วยหรือเปล่าครับ อาจเป็นไปได้ว่าท่านอธิบดีทัพและใครอีกคนที่อยู่ในกรมตำรวจนครบาลรวมหัวกันอยู่”

สารวัตรลูบคางใบหน้าเหมือนฟังเรื่องที่เหลือเชื่อเป็นอย่างมาก “หมวดนี่ หากตั้งใจทำงาน ก็เป็นคนเก่งคนหนึ่งเลยนะ มองออกทุกอย่างได้แต่เพิ่งจะทำจริง ๆ จัง ๆ น่าเสียดาย ไม่อย่างนั้นคุณคงเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในทีมนี้แล้ว”

หมวดไฟถึงกับยิ้มแห้ง “โธ่ สารวัตร”

“โอ๊ย ก็แต่ก่อนมัวแต่ใจร้อนไงครับสารวัตร ตอนนี้ถึงเพิ่งจะดูเป็นการเป็นงานกับเขาขึ้นมาจริง ๆ” จ่าธงส่ายหน้า

สารวัตรโขมอมยิ้มเล็กน้อยถึงจะพูดต่อ “ที่หมวดพูดมา มันถูกทุกอย่าง มีคนในกรมตำรวจนครบาลรวมหัวด้วย แลว่าจะดูเป็นคนตำแหน่งสูงนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางโยกย้ายให้ท่านอธิบดีทัพมาดำรงตำแหน่งที่กรมตำรวจภูธร เขตหนึ่ง แทนท่านรองอนงค์ได้หรอก”

“ผมนึกไม่ออกเลยครับ แต่ว่าทางนั้นยังมีสารวัตรนนท์กับท่านอธิบดีวารินอยู่ คงจับได้แน่”

สารวัตโขมขมวดคิ้ว “เรายังไว้ใจใครไม่ได้หรอกหมวด แม้แต่ท่านอธิบดีวารินเองก็ตาม ผมเข้าใจนะว่าคุณนับถือท่านวารินมาก เพราะท่านเองก็เป็นตำรวจที่เก่งมากคนหนึ่ง แต่คนที่ไว้ใจได้มีแค่ทีมเราเท่านั้น”

“ในทีมนี้มีใครบ้างหรือครับ แม้แต่สารวัตรนนท์ก็ห้ามไว้ใจหรือครับ”

สารวัตรคิดหนักมองผ่านกระจกหลังเห็นจ่าธงที่มองมาเช่นกัน “ไม่หรอก สารวัตรนนท์...”

 

 

“ก็อยู่ในทีมนี้เช่นกัน”



 
พ่ายโลกันตร์


 

รถมากหน้าหลายคันจอดเทียบกับหน้าเรือนหลังใหญ่ที่เป็นของคุณหลวงธารานันท์ นายตำรวจทั้งสามต่างลงรถและขึ้นไปบนเรือน เห็นพวกเสือเอี้ยงที่ยืนคุมอยู่และรวมถึงพวกของนายสิงห์ที่มาด้วยเช่นกัน

“มาแล้วหรือ” หลวงธารานันท์เผยยิ้ม “ขอบคุณที่มากันนะ”

“ยินดีครับ” สารวัตรโขมผงกหัวแล้วเดินอ้อมไปยืนข้างหลังโต๊ะรับแขกที่มีคุณหลวงทั้งสองนั่งประจันหน้ากันอยู่และยังมีเสือเอี้ยงที่นั่งขวามือหลวงรวีชัยและนายสิงห์ที่นั่งทางซ้ายมือ

ไฟสบตาอีกฝ่าย ที่อยู่ตรงข้ามกันก่อนจะเป็นสิงห์ที่หันหน้าไปสนใจคุณหลวงธารานันท์ก่อน

“งั้นเข้าเรื่องต่อเลยนะ” หลวงรวีชัยว่า “กระผมเนี่ยอยากให้คุณหลวงเข้าร่วมกับทางเรา ร่วมมือช่วยกันสร้างบ้านเมือง คุณหลวงว่าดีไหมขอรับ”

“แน่หรือขอรับว่าจะดีจริง ๆ”

“อ่าว คุณหลวง ร่วมมือกับกระผมมันไม่ดีอย่างไร กระผมมาถึงที่นี่ถือว่าให้เกียรติท่านมากแล้วนะ”

หลวงธารานันท์หันมองลูกน้องของหลวงรวีชัยก็ได้แต่หัวเราะ “โดยการพาลูกน้องตัวเองมาเป็นโขยงอย่างนี้หรือ”

หลวงรวีชัยหันมองรอบ ๆ ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องร้ายแรง “ทีคุณหลวงยังเอาตำรวจมาเลยนี่ขอรับ ทำแบบนี้ถือว่าไม่ไว้หน้ากระผมนะ”

“แล้วใครกันที่เคยบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกโจร ทำไมถึงได้มานั่งด้วยกันหรือขอรับคุณหลวง” หมวดไฟยิ้มในขณะถาม

“ก็ดีกว่าไอพวกข้าราชการที่เห็นเงินดีกว่าความปลอดภัยของประชาชนล่ะวะ” เสือเอี้ยงเอ่ยว่า

ไฟกัดฟันกรอดเพราะเถียงอะไรไม่ได้ หลังจากเกิดสงครามโลก ข้าวยากหมากแพง ข้าราชการหลายคนเริ่มคดโกงประชาชนกันถ้วนหน้า แต่ถึงจะไม่มีอย่างนี้แต่ก็ยังคดโกงมาเนิ่นนาน “ข้าราชการดี ๆ ยังมี การที่เอาตัวเองไปเป็นโจรมาว่าข้าราชการเยี่ยงนี้แล้วตั้งตัวเองว่าเป็นบุรุษที่ช่วยเหลือประชาชน มันไม่ได้ต่างจากโจรชั่วตามบ้านเมืองเลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ขโมยของจากผู้อื่นมา”

“มึง!” เสือเอี้ยงชี้หน้า

“ใจเย็นก่อน วันนี้วันดี มึงไม่อยากทำให้บ้านเมืองมันดีขึ้นแล้วหรือไง” หลวงรวีชัยตบเข่าคนข้างกายเพื่อปราม

“ถึงอย่างนั้น ข้าราชการก็ฮุบของกลางเป็นของตัวเอง ในฐานะที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน คงต้องบอกตรง ๆ ว่าเห็นหมดทุกอย่าง เป็นตำรวจก็ไม่ต่างจากโจร พวกคนใหญ่คนโตที่มีมาได้จนทุกวันนี้ก็รับเงินใต้โต๊ะกันทั้งนั้น ดีไม่ดีอาจจะอยู่เบื้องหลังเองก็ได้” สิงห์ที่เงียบมานานพูดขึ้นและหันมองตำรวจผู้ผดุงความยุติธรรมอย่างไฟ

“ผมรักในอาชีพตำรวจ และขอพูดตรงนี้ว่าไม่ใช่ตำรวจทุกคนที่จะสนใจสิ่งของนอกกาย เพราะอย่างนั้นผมถึงบอกกับตัวเองว่าจะจับพวกที่คิดคดโกงประชาชนเข้าตารางให้หมด ไม่ว่าจะใหญ่โตมาจากไหน เป็นใคร” ไฟเน้นย้ำและจ้องหน้าคนรักเก่า “ผมก็จะจับพวกมันไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว”

“ก็ได้แค่พูดล่ะวะ กูเห็นใครตบหัวด้วยเงินก็คลานเข่าไปเลียแข้งเลียขาทั้งนั้น”

ไฟจะพูดอีกรอบแต่ก็มีแขนของสารวัตมาบังไว้ “สรุปแล้วที่มาพูดกันวันนี้ จะมาหาความยุติธรรมและเหตุผลที่ดีของตัวเอง หรือมาเพราะเรื่องอะไรกันแน่หรือครับ หากไม่มีอะไรก็ควรจะกลับกันนะครับ เพราะผมเองก็ไม่มีเวลาว่างมากนักทางสถานีเองก็มีเรื่องเข้ามาเยอะ คงอยู่ที่นี่นานไม่ได้”

“จะอยู่ทำไมล่ะครับคุณตำรวจ ก็กลับไปซะสิ คนที่จะคุยคือคุณหลวงไม่ใช่พวกคุณ” เสือเอี้ยงยิ้มมุมปาก

“คุณก็เงียบเถอะครับ เพราะคุณเองก็ไม่เกี่ยวข้อง” สิงห์หันมอง

“เหอะ มึงมันก็พวกไอเจ้าสัวยังจะกล้ามาเข้าร่วม ถ้าไม่ใช่เพราะหลวงรวีชัยเมตตา มึงก็แค่พวกขี้ข้าปลายแถว”

“หยุดได้แล้ว! ไม่อายบ้างหรือไงวะ แม่งกัดกันเป็นหมาไปได้” หลวงรวีชัยโกรธจัดก่อนจะถอนหายใจ “ต้องขอโทษแทนลูกน้องกระผมด้วยนะขอรับคุณหลวง มันก็แค่พูดไปเรื่อย”

หลวงธารานันท์พยักหน้า “เข้าใจขอรับ”

“กระผมว่าเรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า ยังไงหากคุณหลวงอยากเข้าร่วมด้วย กระผมจะคอยช่วยเหลือคุณหลวงอีกมือ คุณหลวงจะได้ไม่งานล้นมือ ให้เป็นตำแหน่งรองกระผมก็ยินดี เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข”

หลวงธารานันท์ก้มหน้ายิ้มก่อนจะเงยหน้ามอง “ไม่ล้นมือสักนิดเลยขอรับ กระผมสบายดี ยังเหลือสิ่งที่ต้องกำจัดไปบ้างในจังหวัดนี้ แต่กระผมก็ทำเองได้ ยังไงยังมีสารวัตรโขมคอยช่วยปราบปรามพวกคนชั่วด้วย เรื่องนี้กระผมคงไม่ต้องห่วง ส่วนเรื่องเศรษฐกิจในบ้านเมืองนี้ กระผมเองก็ดูแลกับคนของกระผมอยู่ ไม่ต้องหาใครมาเพิ่มก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงหรอกขอรับ”

หลวงรวีชัยถึงกับหน้าถมึงทึงแม้จะไม่พูดชื่อ แต่ก็ดูถูกกันมาก “คิดว่าคุยด้วยแล้วจะคุยง่ายเสียอีก ไม่คิดว่าคนที่ยังปราบปรามโจรในพื้นที่ไม่ได้จะมานั่งพูดมั่นใจอย่างนี้”

“คนของคุณก็คงพูดถูก ว่ายังมีข้าราชการบางคนมันคดโกงคนอื่นโดยการร่วมมือกับพวกคนชั่ว เพราะอย่างนี้ทางกระผมก็ทำงานลำบากเหมือนกัน” หลวงธารานันท์ทำตัวสบายพิงหลังอย่างไม่นึกกังวลสิ่งใด “แต่กระผมให้คำมั่นอย่างหมวดไฟแน่นอน ว่าจะจับพวกข้าราชการที่เป็นขี้ข้าโจรเข้าตารางให้หมดเช่นกัน จะสั่งยุบข้าราชการบางคนก็ยังทำได้ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น”

“หึ ถือว่ากระผมเตือนคุณแล้วนะคุณหลวง” หลวงรวีชัยลุกขึ้น

“ไม่จำเป็นหรอกขอรับ” หลวงธารานันท์ยืนส่งและยิ้มให้

“ไป! กลับ!” หลวงรวีชัยสั่งลูกน้องด้วยความหัวเสีย

“เดี๋ยวก่อนสิงห์” หลวงธารานันท์เอ่ยเรียกลูกศิษย์ที่ตนเคยสอนมาหลายอย่างและเห็นเปรียบเสมือนเป็นลูกชายของตัวเอง

สิงห์พยักหน้าบอกหลวงรวีชัยเป็นเชิงว่าให้ไปก่อน “ขอรับ”

“อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลยนะลูก” หลวงธารานันท์ดูเศร้าสร้อย “พ่อไม่อยากให้ลูกต้องแบกรับเรื่องพวกนี้ บางทีลูกควรจะบอก—”

“พอเถอะขอรับ” สิงห์สั่งเสียงแข็ง “กระผมต้องขอบคุณ คุณหลวงที่หวังดีแต่กระผมเลือกแล้ว”

“อย่างน้อยคนที่สำคัญกับลูกก็ควรจะรู้”

สิงห์หันหน้าหนี “อย่ายุ่งกับชีวิตกระผมเลยขอรับ”

“พ่อเห็นเอ็งเหมือนลูกนะสิงห์”

“ในเมื่อคิดอย่างนั้น ก็อย่ายุ่งกับกระผม ถือว่าลูกขอแล้วกันขอรับ” สิงห์หันมองก่อนจะเดินออกไปไม่ฟังเสียงเรียกของหลวงธารานันท์เลยสักนิด

“เรื่องที่คุณหลวงพูด หมายถึงอะไรหรือขอรับ” ไฟถามขึ้น หากไม่ได้ตาฝาดเขาเห็นว่าสิงห์น้ำตาคลออยู่บ้าง

หลวงธารานันท์หันมองอย่างนึกอึดอัด แต่ก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ไม่มีอะไรหรอก”

“คุณหลวง—”

“กลับกันเถอะหมวด” สารวัตรทักขึ้น

“แต่...”

“ไปเถอะ” จ่าธงตบบ่า

“ขอบคุณมาก ๆ ถึงจะคุยกันไม่นานแต่ก็ยังมา”

“ไม่เป็นไรครับ ผมทำตามหน้าที่” สารวัตรก้มหัวก่อนที่จะออกไปขึ้นรถ

“คุณหลวง” หมวดไฟหันกลับมา “ไม่มีอะไรแน่นะขอรับ”

คุณหลวงถอนหายใจ “สักวันหมวดจะรู้เอง ผมไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้”

ไฟพยักหน้าอย่างจำยอมพร้อมตะเบ๊ะให้ท่านและรีบลงไปขึ้นรถ

“สารวัตรครับ” หมวดไฟขานเรียกเมื่อขึ้นมานั่งกับที่บนรถ “ทีมลับที่ว่า ผมสามารถเข้าร่วมได้หรือเปล่า”

“ไม่ได้” สารวัตรรีบห้ามก่อนที่จะกระแอ่มไอ “หมวดต้องขอกับท่านรองเอาเอง ผมไม่สามารถรับใครเข้าทีมได้”

“แล้วจ่าธงได้อยู่ด้วยหรือเปล่า”

“อยู่”

หมวดไฟตาโต “ทีมนี้จัดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลย แถมยังมีพ่อ... ไม่สิ ท่านรอง รวมถึงทั้งสารวัตรนนท์ สารวัตรโขมแล้วยังจ่าธงอีก ผมเคยเห็นสารวัตรนนท์ดูมีปากเสียงกับสารวัตรตั้งแต่งานศพจัน... ไม่คิดว่าจะอยู่ในทีมเดียวกัน แถมสารวัตรนนท์ก็อยู่ที่พระนคร ทำไมถึงได้เข้าร่วมด้วยได้” ไฟขมวดคิ้วก่อนจะนึกขึ้นได้ “หรือเพราะคิดว่ามีพวกของเสี่ยพันธ์อยู่ในกรมนครบาลจึงให้นนท์จับตาดูหรือเปล่าครับ”

ทั้งสองหันมองทางกระจกหลังกันอีกครั้ง จ่าธงหน้าเสียและทำหน้าที่ขับรถปล่อยให้สารวัตรจัดการ

“หมวด”

“ครับ”

“นี่คุณไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้ใช่ไหม” สารวัตรถามอย่างเคร่งเครียด

“ก็ตามที่ผมคิดและปะติดปะต่อมาทั้งหมด ที่จริงผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าสารวัตรนนท์จะเกี่ยวข้องยังไง จนสารวัตรบอกว่าสารวัตรนนท์อยู่ทีมเดียวกัน เข้ากับเรื่องที่ว่าผมถามสารวัตรในเรื่องคนที่ช่วยเสี่ยพันธ์ในกรมตำรวจ หากสารวัตรนนท์อยู่ในทีม ก็คงจะช่วยดูทางนั้น”

“แล้วคิดอะไรได้มากกว่านี้ไหม”

ไฟเงียบไปสักพัก “สมองผมก็ได้เท่านี้แหละครับ หากเป็นสารวัตรนนท์หรือ...” สิงห์ “ก็คงจะคิดได้เยอะกว่านี้ ดีไม่ดี อาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าใครบ้างที่อยู่ในทีมบ้างและแผนจะเป็นยังไง”

สารวัตรพยักหน้า “ที่จริงคนตั้งทีมนี้คือท่านอธิบดีคนก่อนกับท่านรองอนงค์ ท่านเลือกคนที่ไว้ใจเท่านั้น ทุกคนต่างได้รับเลือกเมื่อหกปีที่แล้ว ที่ผมถูกส่งมาที่นี่ก็ถือว่าเป็นแผนหนึ่ง”

“หกปีที่แล้ว...” ปีที่สิงห์ถูกพักราชการหรือ

“ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าวันไหนถึงจะจับพวกมันได้สักที ดูเหมือนจะง่ายแค่จับ ๆ ไป บุกเข้าไปเลยก็จบ แต่ทีมเรามีเพียงไม่กี่คน แล้วยังต้องปิดบังท่านอธิบดีทัพ เราแทบไม่มีพวกบุกเข้าหาพวกมันเลย ทำได้แค่ส่งคนสอดแนมให้ไปเป็นสายด้านในแทน เพื่อจะได้รวบรวมหลักฐานทั้งคนใหญ่คนโตหรือพวกคหบดี ข้าราชการที่ร่วมมือกับพวกมันให้ได้มากที่สุด”

“แต่อีกไม่นานหรอก พวกเราจะจับพวกมันได้แน่” จ่าธงพูด

“ผมตกใจจริง ๆ นะ ที่มารู้เรื่องทีมลับนี้”

“ผมขอแค่หมวดอย่าไปบอกใครหรืออยากรู้อะไรไปมากกว่านี้เลย ทั้งผมและจ่าธงเองก็หนักใจที่ไม่ได้บอกคุณ แต่ทุกคนเห็นว่าคุณยังไม่สามารถเข้าร่วมได้ คงรู้ใช่ไหมว่าเพราะอะไร”

ไฟยิ้มบาง “ครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถพอที่จะเข้าร่วม ไหนจะเรื่องการควบคุมอารมณ์ ความคิดอีก ต่อให้ตอนนี้ผมไปขอท่านรอง ท่านก็คงไม่ให้”

“เพราะแบบนั้นเอ็งก็ต้องเข้าใจด้วยนะไฟ ไม่ว่าจะรู้เรื่องอะไรมา ทุกคนต่างมีเหตุผลที่จะทำ” จ่าธงหันมองคนข้างกายเพียงครู่ถึงจะหันไปขับรถต่อ

“ที่ผมเล่าให้ฟังเรื่องทีมลับนี้ มันเป็นเพราะว่าคุณควบคุมตัวเองได้ดีกว่าเมื่อก่อน และคุณก็เป็นตำรวจคนหนึ่งที่พวกเราไว้ใจ คุณมีไหวพริบ จดจำและเอามาปะติดปะต่อให้ถูกกับเหตุการณ์ ถือว่าสมควรจะรับเข้าทีมนะ แต่แน่นอนว่าคงไม่ได้ เพราะยังไงท่านรองเป็นคนตัดสินไม่ใช่พวกผม”

“ผมเข้าใจครับและขอบคุณที่บอกผมในเรื่องนี้ ผมดีใจที่คนสำคัญของผมทุกคนอยู่ในทีมนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ทีมลับก็คือทีมลับ ไม่ต้องเล่าหรือบอกอะไรมากกว่านี้หรอกครับ หากวันใดผมได้เข้าร่วมไว้ค่อยบอกผมก็ได้” ไฟยิ้มขึ้น

“หวังว่าสักวันคุณจะได้เข้าร่วมนะ ผมเองก็อึดอัดเหมือนกันที่จะไม่พูดอะไรต่อหน้าคุณ... ใช่ไหมจ่าธง”

“ฮ่า ๆ คงอย่างนั้นแหละครับสารวัตร ผมเองก็อึดอัดแทบตาย แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้เหมือนกัน”

“ไว้ผมจะขอท่านรองเรื่องนี้ ทั้งสารวัตรแล้วก็จ่าจะได้ไม่ต้องอึดอัดกันอีก”

“เอาให้ได้ล่ะเอ็ง ข้าขี้คร้านจะปิดบังแล้ว”

“แต่คุณก็จำเอาไว้นะ การที่คุณไม่รู้มันก็คือหนึ่งในแผนของเราเช่นกัน หากถึงวันที่ควรจะรู้ เดี๋ยวจะมีคนมาบอกคุณเอง”

“ครับ...” ไฟคลี่ยิ้ม

 
‘สักวันหมวดจะรู้เอง ผมไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้’

‘หากถึงวันที่ควรจะรู้ เดี๋ยวจะมีคนมาบอกคุณเอง’



มันจะมีความเกี่ยวข้องกันบ้างหรือเปล่านะ กับคำพูดที่คล้ายกันนี้


 


จบบทที่ ๑๗


ออฟไลน์ spy_2003

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สิงห์อยู่ในทีมลับแน่ๆ อยากให้มาอัพบ่อยๆจัง เข้ามาส่องทุกวันว่าเมื่อไหร่จะอัพนะ แต่ไม่เป็นไรค่ะจะรอติดตามเรื่อยๆขอร้องอย่าทิ้งเรื่องนี้ก้พอค่ะ :hao5:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อยากรู้ตอนต่อไปแล้วนะ ไฟกับสิงห์ จะไปทางไหนต่อ สงสารทั้งคู่

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 :L2: :pig4: :3123:

สวัสดีปีใหม่จ้า

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๘

สัตว์เดรัจฉาน




เข้าสายของวันผู้หมวดหนุ่มที่ตอนนี้นั่งอยู่ในบ้านหลังเล็กของยายพร ผู้ที่เคยรับนายกฤษกับนายสมหมายเข้ามาทำงานด้วย แก้วพี่ชายคนโตมาหาเขาถึงสถานีเมื่อได้เจอกับทั้งสองคนนั้น เห็นว่ามาหายายพรที่บ้านนี้พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบเฉย ๆ และยายเองก็ไม่ได้บอกเรื่องที่ทั้งเขาและจ่าธงมาหาที่บ้าน และมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากหากสองคนนั้นยังไม่รู้และคิดว่าเราไม่ได้ทำคดีต่อ

“ตาสมหมายบอกว่ามีงานใหม่ทำแล้ว แต่บอกไม่ได้ว่าทำอะไร” ยายพรบอก

“แล้วพอจะรู้ไหมครับยายว่าแกทำที่ไหน จะมีอะไรที่บอกได้ว่าสามารถไปหาแกได้ที่นั่น”

ยายคิดก่อนจะตอบ “ยายก็ไม่รู้หรอก เพราะมาเพียงครู่เดียวก็กลับกันแล้ว”

ไฟถอนหายใจ ยังดีที่รู้ว่าทั้งสองยังคงอยู่ภายในจังหวัดนี้ “ขอบคุณมากนะครับที่ให้ความร่วมมือ”

“จ้ะ ยายแค่หวังว่าจะไม่ลงโทษอะไรพวกเขาเลย”

“ผมจะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะครับ ไม่ต้องห่วง” ไฟยิ้มให้และยกมือไหว้ลายายพร เดินออกไปข้างนอกพร้อมสวมหมวกแต่หางตาก็หันไปมองเด็กทั้งสองคนที่หันมาทางนี้ แต่ก็รีบหันหนีอย่างรวดเร็ว

ไฟหันมองรอบ ๆ รวมถึงในบ้านถึงจะเดินไปหาทั้งคู่ “ไงเด็ก ๆ”

“สะ...สวัสดีจ้ะ” แก้วยกมือไหว้ คนน้องเลยยกมือขึ้นตาม

“สวัสดีครับ” ไฟคลี่ยิ้ม “ขอถามเรื่องตาสมหมายกับพี่กฤษได้หรือเปล่า” เป็นอันเข้าใจได้ทันทีเมื่อเด็กทั้งสองรีบก้มหน้าหลบตา

“ทั้งสองคนได้บอกอะไรกับพวกหนูหรือเปล่า ไม่ต้องกลัว พี่แค่ถามเฉย ๆ พี่อาจจะช่วยพวกเขาทั้งสองคนได้ พี่ไม่อยากให้ตำรวจคนอื่นมารู้นะ ไม่งั้นตาสมหมายกับพี่กฤษของแก้วและกล้าอาจจะโดนโทษหนักได้” ไฟใช้คำหลอกล่อ ดูผิดไปเสียหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องจริง ถ้าตำรวจคนอื่นมารับทำต่อและคิดว่าทั้งสองสมรู้ร่วมคิดฆ่าน้าพิมพ์อรกับต้นอ้อ คงโดนโทษหนัก

ดูได้จากที่แก้วถูกยายบังคับให้มาบอกเขาที่สถานี ตำรวจที่อยู่ข้างล่างต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กคนนี้มายืนใกล้สถานีทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ มาร่วมนาที หากไฟไม่ลงไปดู แก้วก็คงไม่ขึ้นมาบอก

“จริงเหรอ” กล้ารีบโพล่งจนถูกแก้วตวาด

“ไอกล้า! เงียบ”

“ก็ตำรวจเขาบอก”

“หุบปากไปเลย”

“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน” ไฟยกมือปราม “ถ้าไม่มีอะไรจะบอกพี่ งั้นพี่กลับก่อนนะ หวังว่าจะไม่มีตำรวจคนอื่นมาจับตาสมหมายกับพี่กฤษไปนะ” ไฟทำหน้าเศร้าตั้งท่าจะเดินกลับแต่ถูกดึงเสื้อไว้

“เดี๋ยวก่อน” แก้วเม้มปาก

“ว่าไง”

“อย่าให้ตำรวจคนอื่นมาจับพี่กฤษกับตาสมหมายนะ” แก้วอ้อนวอนให้ผู้ที่มีพระคุณ

ไฟพยักหน้า “พี่สัญญา พี่จะไม่ให้ใครมาจับทั้งคู่หรอก” พูดเสร็จก็ชูนิ้วก้อย พอแก้วทำตามก็ดึงนิ้วเล็กไว้ยังไม่ให้ปล่อย “แต่แก้วกับกล้าจะต้องสัญญากับพี่ด้วยนะ… ว่าจะไม่บอกเรื่องพี่กับพวกเขา และหากทั้งสองคนกลับมาที่นี่อีกต้องเล่าให้พี่ฟังด้วยนะ”

แก้วหันมองน้องชายที่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว ตกลงข้อเสนออะไรก็ได้ที่ทำให้ตาสมหมายกับพี่กฤษปลอดภัย

“ก็ได้จ้ะ แก้วสัญญา”

“ห้ามผิดสัญญานะ”

“จ้ะ”

ไฟยิ้มกว้างถึงจะพากันไปนั่งบนแคร่ใกล้สวน ถามได้คร่าว ๆ ว่า นายกฤษแท้จริงเป็นลูกของตาสมหมาย และชอบมาเล่นกับแก้วและกล้า เล่าเรื่องของตัวเองเหมือนเล่านิทานให้เด็กฟัง ครั้งล่าสุดที่มาก็เล่าว่า ต้องไปทำงานที่เสี่ยงอันตรายแต่ก็ดีใจที่ได้ทำ ภูมิใจที่ได้เป็น ไฟไม่ทราบว่าเป็นในที่นี้มันคืออะไร เพราะแก้วก็พูดเท่าที่เด็กเข้าใจ เห็นบอกว่ารู้สึกผิดกับใครสักคน แต่แก้วดันคิดไม่ออกว่ากฤษพูดถึงใคร

งานเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ไม่ได้ทำกับเสี่ยพันธ์ แก้วเองก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าคืออะไร แต่ไฟก็ดีใจที่แก้วบอกว่าพรุ่งนี้ช่วงเย็นกฤษจะไปบาร์นิรินทร์ หรือบาร์ที่จับเสี่ยโก้ไปหมาด ๆ ซึ่งพรุ่งนี้ของแก้วก็คือวันนี้เพราะทั้งคู่มาหายายพรเมื่อวาน อย่างน้อยถ้าไฟไปแถวนั้นอาจจะเจอ ยังไงรูปที่จ่าธงถ่ายยังติดอยู่ในแฟ้มคดีเขาเองก็จำได้แม่นแล้ว เป็นอีกทางที่พอจะระบุตัวของสองคนนี้ได้

“ขอบคุณมาก ๆ นะ” ไฟยีหัวเด็กทั้งสองบอกลากันเสร็จสรรพไฟถึงจะตีรถกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะอยู่ใกล้กว่าสถานี ยังไงวันนี้ทั้งวันก็ขอสารวัตรมายุ่งกับคดีนี้อยู่แล้ว จึงไม่ห่วงอะไรมาก
 

 

พ่ายโลกันตร์




ไฟอยู่ในชุดลำลองธรรมดาพร้อมกับหมวกติงลี่สีน้ำตาลเข้ม แว่นตาสีชาขยับตามใบหน้าที่หันมองรอบร้าน ไฟยกมือเรียกเด็กบริการจ่ายค่าห้องส่วนตัวที่มีผ้าม่านปิด เป็นห้องเก่าที่ตนเคยจับเสี่ยโก้ในนี้ คงจะดีกว่าหากอยู่หลบมุม ไม่อย่างนั้นคนในร้านบางคนอาจจะจำได้ว่าตนเคยมาที่นี่

ไฟเรียกหญิงบริการคนหนึ่งมาคอยรินเหล้ากับนวดไหล่เพื่อไม่ให้ดูสะดุดตา ต้องควักเงินจ่ายอีกรอบเมื่อบอกให้เธอแค่ปรนนิบัติธรรมดาเท่านั้น

รออยู่นานไฟก็ต้องรีบลุกขึ้นนั่งดี ๆ เมื่อคนที่ต้องการเจอเดินเข้ามาในร้านแล้ว ในรูปไม่มีหนวดเครา ทว่า ไม่เจอนานคงจะไว้หนวดเหนือปากดูไม่ค่อยคล้ายในรูป แถมยังมีรอยบากที่หัวคิ้ว น่าจะเป็นรอยแผลใหม่ ดูท่านายสมหมายจะไม่มาด้วย คนที่เดินเข้ามาจึงมีเพียงนายกฤษเท่านั้น

ไฟตกใจอยู่นิดหน่อยที่เห็นว่านายกฤษเดินมาทางนี้ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่งก็ได้แต่นึกโล่งใจ สาวเจ้ามองยังงุนงงไฟจึงบอกให้เธอไปเอาเหล้ามาเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่มีอยู่ยังไม่ลดสักนิด แต่การบริการก็ต้องทำต่อไม่มีสิทธิ์ต่อรอง

ตำรวจหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเธอเดินออกไปแล้วจึงเอนหลังพิงพนักโซฟา ไม่รู้ว่าโชคหล่นทับหรืออย่างไรที่นายกฤษเข้าห้องข้าง ๆ เขา แต่ก็ยังไม่ได้มองว่าเป็นใครบ้าง

“ขอบคุณที่มานะ” เสียงหนึ่งคนในห้องนั้นพูดขึ้น ไฟคิดว่าคุ้นหูพอตัวแต่ก็จำต้องนั่งฟังทั้ง ๆ ที่ นั่งหันหลังใส่

“มันยากมากเลยครับกว่าผมจะออกมาได้ ไอมั่นมันถามย้ำอยู่นั่น” เสียงนี้น่าจะเป็นนายกฤษที่บ่นออกมา ไฟขมวดคิ้วเมื่อคิดได้ว่าไอมั่นที่นายกฤษว่าจะใช่คนเดียวกับที่เคยเป็นลูกน้องของเสี่ยพันธ์หรือเปล่า ได้ข่าวมาว่าไอมั่นฆาตกรโรคจิตมันไม่ชอบเจ้านายคนใหม่อย่างสิงห์จึงหันไปเลียขาเจ้าสัว เพราะความโหดเหี้ยมของมันที่ทำกับเหยื่อมันถึงขั้นได้เป็นมือขวาที่เจ้าสัวไว้ใจ

จะว่าไปสามฆาตกรที่หนีออกจากเรือนจำในพระนครมาได้ก็มีไอมั่น ไอเทิด และไอภพ ดูเหมือนว่าสามคนนี้จะเดินเส้นทางแตกต่างกัน ถึงจะไม่รู้ก็ตามว่าไอเทิดที่เคยอยู่กับเสี่ยพันธ์มันหายไปไหนเสียแล้ว เชื่อว่าหากใครไม่นึกถึงสามฆาตกรนี่ก็คงไม่นึกถึงไอเทิดที่ไม่มีใครเห็นหน้าตาเหมือนคนตายไปแล้ว

ไฟตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ในเมื่อไอมั่นอยู่กับเจ้าสัวแล้วนายกฤษพูดถึงมันก็แปลว่างานอันตรายนี้ก็คือเป็นลูกน้องเจ้าสัวอย่างนั้นหรือ?

“ระวังไว้แล้วกัน ไอมั่นไม่ใช่พวกบ้าไร้สมอง มันฉลาด ยังไงหลังจากวันนี้ไปมึงไม่ต้องออกมาแล้วก็ได้” คนฟังแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะหันไปมองอีกห้อง

“ผมก็คิดงั้นพี่ ไม่งั้นนะ ไอมั่นคงบอกเจ้าสัว ผมยิ่งอยู่ต่อหน้าเจ้าสัวแทบไม่ไหว บ้าหนักกว่าไอมั่นหลายโข”

“เฮ้อ ดีแล้วที่อยู่นี่”

“โธ่มึง สบายล่ะสิไม่ต้องพะวงว่าจะโดนจับได้แล้ว”

“แน่นอน นายใหม่กูดีก็แบบนี้แหละ”

“พวกมึงอะต่างก็เสี่ยงกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้มีไอกฤษกับลุงสมหมายที่เสี่ยงกว่าใคร ไม่ช่วยก็คงไม่ได้”

“ไม่เป็นไรพี่ ถือซะว่าได้ลดบาปบ้าง จะเสี่ยงแค่ไหนก็ไม่เท่ากับตอนที่มือเปื้อนเลือดหรอกพี่”

“กูเข้าใจนะกฤษ เพราะพวกกูเองต่างก็มือเปื้อนเลือดกันทั้งหมด สัตว์ร้ายอย่างพวกมันก็ต้องเจอสัตว์ที่ร้ายเหมือนกัน พวกเราทำได้เท่าที่ทำ กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานทั้ง ๆ ที่ไม่อยากเป็น”

“นั่นสิพี่ ถ้าไม่มีพ่ออยู่นะผมคงโมโหยกปืนยิงไอมั่นตอนมันทรมานคนแล้ว แม่ง”

ไฟยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมพวกข้างในนั้นพูดเหมือนตัวเองไม่อยากเป็นโจรอย่างไรอย่างนั้นแหละ

“แล้วตอนนี้มีข่าวอะไรเพิ่มอีกไหม” เสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหลังจากฟังอีกสองคนพูดกับกฤษมานาน มันเป็นเสียงคุ้นหูที่ทักนายกฤษแรกเริ่ม มันคุ้นจนไฟแทบอยู่ไม่สุข

“จะมีลูกน้องเสี่ยตะวันส่งยาให้ทางใต้น่าจะที่ชลบุรี คงจะไปกันหลายคน เสี่ยตะวันไปด้วยเพราะต้องเจอลูกค้ารายใหญ่ที่นั่น ไม่รู้ว่ามันจะไปกันกี่โมงแต่จะไปวันมะรืนครับ”

“อืม เข้าใจแล้ว”

“เอาไงครับ เราจะไปเองหรือส่งข่าว”

“กูไปเอง อย่างน้อยปลาเล็กตัวนี้ตายไปก็เหลือแค่ปลาใหญ่อีกสองตัวที่ต้องจัดการ เรื่องทุกอย่างจะได้จบสักที”

ไฟหันมองสาวเจ้าที่เข้ามาก่อนจะนึกอะไรได้จึงจับเหล้าจากมือเธอวางลงแล้วผลักให้อีกคนนอนลงบนโซฟาส่วนตนก็ลงทาบทับ

“นี่! ถ้าจะทำต้องจ่ายเพิ่มนะ!”

“รู้แล้ว ๆ เดี๋ยวให้เงิน” ไฟว่าก่อนจะปล่อยให้เธอทำตามใจชอบส่วนตนก็เงยหน้าขึ้นมองอีกห้อง

“ยังไงมึงก็ไปพาลุงสมหมายออกมาซะ ก่อนที่พวกมันจะไหวตัวทัน” ไฟตาโตเมื่อเห็นหน้าคนพูด ถึงแม้ผ้าจะบดบัง ทว่า ก็พอมองออก ตำรวจหนุ่มได้แต่นิ่งค้างผิดกับก้อนเนื้อในอกที่เต้นรัวแรง

“ครับคุณสิงห์

“อืม ไปเถอะ เดี๋ยวมีใครมาเจอ” กฤษพยักหน้าและรีบเดินออกไป ไฟที่แทบคิดอะไรไม่ออกก็ต้องจำยอมลุกออกจนหญิงบริการโวย เลยควักเงินให้อีกแดง หันมองอีกห้องด้วยความรู้สึกมากมายแต่ก็ต้องเดินเลี่ยงไปทางที่นายกฤษออกไปแทน

“ไปไหนแล้ววะ” ไฟสบถเมื่อตามมาติด ๆ มันเข้าไปในซอยเปลี่ยวที่มืดและไม่มีคน เพียงแค่พริบตาเดียวมันก็หายไป

กริ๊ก

“มึงตามกูมาทำไม ใครส่งมึงมา”

ไฟเหล่มองข้างหลังตนก่อนจะยกมือขึ้นเหนือหัวทั้งสองข้างเมื่อถูกปืนจ่อหัวไว้ “รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่ต้องถามมาก มึงตอบกูมาก่อนไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน” กฤษสั่งเสียงแข็งพร้อมกับกระแทกปืนเล็กน้อย

“กูเป็นตำรวจ” ไฟตอบตามจริง ความรู้สึกมันบอกว่ากฤษจะไม่ยิงตัวเอง หลังจากฟังเรื่องพวกนั้นมา มองยังไงก็เหมือนโจรที่เป็นชื่อที่ถูกตั้งใส่คนที่ไม่คิดอยากจะเป็น เหมือนดั่งที่ภพพูดว่าไม่อยากเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไฟเริ่มเข้าใจดีแล้วว่าคนไหนพูดอะไร สามคนที่นัดกฤษมา คือภพ เกื้อและสิงห์ ในเมื่อพูดกันขนาดนี้ คงหวังได้ใช่ไหมว่าสิงห์จะไม่ใช่สัตว์ร้ายตามที่ใครเขาว่ากัน

อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้ไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่

“กูไม่เชื่อ”

ไฟสงบลงได้อย่างน่าแปลก รู้สึกสะท้อนใจที่กฤษไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขเพราะต้องพัวพันธ์กับเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นแก้วกับกล้าคงมีพี่ชายที่แสนดีใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว

“กูหมวดไฟ มึงคงรู้จักใช่ไหม” ไฟรู้สึกถึงแรงสั่นจากปลายกระบอก “กูรู้ว่ามึงไม่ทำร้ายใคร”

“หุบปาก!”

“ใจเย็น ๆ นะ” ไฟค่อย ๆ หันตัว เมื่อเห็นหน้าคาตากฤษก็มือสั่นอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไร กูไม่ได้จับมึง กูแค่มาถาม”

“ถามอะไร! กูไม่มีอะไรจะตอบมึงทั้งนั้น!”

ไฟลดแขนลง “มึงไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก”

“อย่าทำเป็นรู้ดี!”

“กูได้ยินหมดแล้วในห้องนั้น”

“มึง…” กฤษสบถกับตัวเองแล้วถีบกำแพงเพื่อระบายอารมณ์ “มึงรู้ได้ไงว่ากูจะมาที่นี่ ใครบอกมึง”

“แก้ว”

“มึงทำอะไรแก้ว” เพียงชั่วครู่ที่กฤษกลับมาจ่อปืนที่หน้าผาก ใบหน้าดูโมโหและไฟเองก็เข้าใจดี คงคิดว่าเขาไปขู่อะไรเด็กพวกนั้น

“กูไม่ได้ทำอะไรเลย กูสัญญากับแก้วว่าจะไม่จับมึงแลกกับการเล่าเรื่องของมึงให้ฟังเท่านั้น” ถึงแม้ว่าสัญญานั้นจะมีได้ไม่นานในเมื่อเจ้าตัวรู้แล้วว่าเขาไปหาแก้ว แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขาคิดถูกที่บอกไปแบบนั้น เพราะกฤษคล้ายคนปลงตกเก็บปืนไว้พร้อมกับใบหน้าที่ดูเศร้าหมอง

“อย่าทำอะไรเด็กพวกนั้น เด็กมันไม่เกี่ยว”

ไฟพยักหน้าและยิ้ม “แก้วกับกล้าเป็นเด็กดี เป็นห่วงคนที่เปรียบเสมือนพี่อย่างมึงมาก”

กฤษเหมือนอึดอัด ใบหน้าที่ดูน่ากลัวนั้นบิดเบี้ยวไปด้วยความทรมานที่กินจิตใจ เมื่อได้ยินว่าน้องชายเป็นห่วงก็ได้แต่พิงกำแพงไถลตัวลงอย่างคนอ่อนแรง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

“พวกมันคงผิดหวังที่ไอพี่คนนี้เป็นโจร”

“ไม่เลย มึงไม่ได้อยากเป็น กูเชื่อว่าแก้วกับกล้าเองก็รู้ดี”

“กูอยากหนี อยากหนีไปให้พ้นจากที่นี่ ไปกับแก้วกับกล้า พาพวกมันไป แต่กูทำไม่ได้” ไฟคอยยืนฟังอีกฝ่ายระบายออกมาเงียบ ๆ “กูคิดแต่ว่าทำยังไงถึงจะอยู่กับเด็กพวกนี้ได้ ทำยังไงถึงจะดูแลพวกมันให้เติบใหญ่ วันที่กูช่วยพวกมันออกมา เด็กมันกอดกูแน่น แค่กูเห็นกูก็อยากจะพาพวกมันออกไปจากที่ที่มีแต่พวกชั่วชั้นต่ำ แต่เพราะกูเกิดมาในดงโจร กูทำงานเป็นโจร กูต้องฆ่าคนบริสุทธิ์เพื่อปากท้อง กูไม่สามารถหนีไปไหนโดยไม่ไถ่บาปให้คนที่กูฆ่าได้”

“ตอนนี้มึงทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว มึงไม่ได้เป็นคนเดิมที่ฆ่าใคร มึงช่วยเหลือคนอื่นและมึงก็ยังช่วยกำจัดพวกโจรร้าย มึงมอบตัวกับกูได้และกูจะบอกว่ามึงเป็นสายให้ตำรวจ โทษจะลด มึงก็จะได้อยู่กับเด็กพวกนั้น”

“มึงได้ยินทั้งหมด...”

“ใช่” ไฟเดินไปนั่งลงข้าง ๆ “ที่บอกเรื่องเสี่ยตะวัน เพราะจะกำจัดพวกมันใช่ไหม”

กฤษคิดหนักมือหนากุมขมับตัวเอง “มึงฟังมึงก็น่าจะรู้”

ไฟยิ้มขึ้นได้แล้วค่อย ๆ ถาม “แล้วที่บอกว่าจะส่งข่าว ส่งไปให้ใคร ตำรวจหรือเปล่า”

“กูตอบไม่ได้”

“ไม่เป็นไร” ตอบไม่ได้ก็ถือว่าใช่ “ถ้างั้นบอกกูได้ไหม เรื่องสิงห์น่ะ”

กฤษหันมองก่อนจะส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่ได้ กูพูดไม่ได้”

“สิงห์ก็ไม่ได้อยากเป็นโจรเหมือนอย่างที่มึงคิดใช่ไหม แค่บอกกูเรื่องนี้ ขอร้อง” ไฟจับไหล่คนข้างกาย

กฤษได้แต่หันหน้าหนี ส่ายหน้าและพึมพำว่าไม่ได้อยู่หลายหน

“ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกเรื่องรถระเบิดผู้หญิงสองคน คุณพิมพ์อรกับต้นอ้อ มึงรู้อะไรใช่ไหม”

“อย่าถามกูเลย กูตอบอะไรไม่ได้จริง ๆ”

“กฤษ… ช่วยกูสักครั้งเถอะ อย่าให้กูทรมานอีกเลย มึงแค่บอกกูมาว่ามึงเห็นพวกเขาตายจริงหรือเปล่า” ไฟกำไหล่อีกฝ่ายใบหน้าเคร่งเครียดจนกฤษมองออก คนที่อึดอัดและอัดอั้นคงจะไม่ได้มีแค่เขา

แต่ก็พูดไม่ได้…

“กูขอโทษนะเว้ย” กฤษตัดสินใจลุกออกแต่ไฟก็ดึงแขนไว้และลุกตาม

“กฤษ บอกกู”

“ไม่ได้” กฤษตั้งท่าจะวิ่งออกไฟเลยจำต้องเตะข้อพับให้อีกคนคุกเข่า

“กูไม่อยากทำร้ายมึงนะ”

“กูพูดไม่ได้จริง ๆ มึงปล่อยกูเถอะ”

“แต่—”

“เฮ้ย ทำไรวะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ไฟรีบหันไปมองก็พบกับเกื้อตามด้วยภพและสิงห์

“หมวดไฟ?” ภพรีบลดปืนลง “มาอยู่ที่นี่ได้ไง”

ไฟกัดฟันก่อนจะทำเป็นจับกฤษไว้ “ผมต่างหากที่ถามพวกคุณว่ามาทำไมกัน ผมกำลังจะจับคนที่ให้การเท็จเรื่องคดีที่ผมทำอยู่ พวกคุณรู้จักเขาหรือไง”

กฤษเริ่มเข้าใจแต่หากเป็นการขอโทษที่ตอบอะไรไม่ได้จึงต้องทำได้แค่นั่งเอาแขนไพล่หลังไว้

“เปล่า ไม่รู้จัก” สิงห์ตอบทันที ใบหน้าที่ดูตกใจเมื่อกี้หายไปแล้ว

“ถ้าไม่รู้จักก็อย่ามายุ่งนะครับ เพราะถ้าหากว่ายุ่ง จะถือว่าสมรู้ร่วมคิดกัน”

ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างหนักใจ กฤษใช้โอกาสที่ไฟไม่ได้จับแขนตนแน่นสลัดออกแล้ววิ่งออกไป

“เฮ้ยหยุด” ไฟตะโกนเสียงดังจะวิ่งตามไปแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อเกื้อกับภพวิ่งมาบังไว้ “อะไรของพวกคุณวะ”

“คือมีโจรขโมยของไป ช่วยไปจับให้ทีได้ไหมคุณตำรวจ” เกื้อเอ่ยออกมาแทนความเงียบ และภพก็ได้แต่ถอดถอนใจ

“คิดว่าจะเชื่อหรือไง” หมวดไฟผู้ใจร้อนคนเดิมกลับมาชั่วคราว

“พวกผม...” ภพจะพูดแต่เมื่อเห็นเจ้านายยกมือห้ามก็ต้องเบี่ยงตัวออก

“จะไปขวางภารกิจสำคัญของเขาทำไม นาน ๆ ที จะได้เห็นคนทำงานเป็นสักที ไม่ใช่เอาแต่หัวร้อนกับเรื่องไร้สาระ”

ไฟหันมองก่อนจะเดินไปผลักให้สิงห์ติดกำแพง “สนุกมากรึไง!”

สิงห์ใช้มือกวักไล่ให้ลูกน้องทั้งสองออกจากตรงนี้ถึงจะพูดกับคนตรงหน้า “ก็แค่ลูกน้องกูเผลอไปยืนบังมึงเอง จะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร”

“เหอะ” ไฟยิ้มอย่างนึกสมเพชตัวเอง “กูแม่งโง่ฉิบหายที่ดูพวกมึงไม่ทัน ว่าโกหกอะไรกูบ้าง”

สิงห์นิ่งไปทันตา แต่ก็ยังคงเล่นละครตบหน้า “คิดเองเออเองอีกแล้วนะผู้หมวด ไหนบอกจะตามจับไง นี่หรือตามจับ หรือตามตัดพ้อไอเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนี่นะเหรอ”

ไฟหลับตาระงับโทสะที่แทบจะทะลุออกมา ทำไมถึงยังโกหก ทำไมถึงยังพูดจาว่าร้ายอย่างหน้าตาเฉยชาอย่างนี้ ทำไมถึงทำเหมือนว่าสิ่งที่พูดไปไม่ได้รู้สึกผิด ทำไมถึงชอบทำให้คิดว่าความหวังเมื่อกี้มันจะดับลงอีกแล้ว “มึงเหนื่อยไหมสิงห์”

พอเห็นว่าไม่ตอบอะไรไฟจึงพูดต่อ “ตอนนี้กูไม่มั่นใจอะไรในตัวเองแล้ว ว่ากูจะคิดว่ามึงเลือกเดินทางไหนกันแน่ ทุกครั้งที่กูคาดหวัง ก็จะเป็นมึงที่มาทำลายความหวัง ที่กูถามว่าเหนื่อยไหม กูก็ไม่รู้ว่ากูอยากได้คำตอบแบบไหน คำตอบที่บอกกว่าเหนื่อยจริง ๆ หรือคำพูดที่ทำลายความรู้สึกกูเพิ่มเพื่อให้กูตัดสินใจ ว่าจะไม่เชื่อในตัวมึงอีกแล้ว”

ต่างคนต่างเงียบไปกับความคิดของตัวเอง ใบหน้าตำรวจหนุ่มมีแต่ความเจ็บปวด มือที่บีบไหล่อีกคนแน่นค่อย ๆ คลายลงและปล่อยลงในที่สุด ไฟผละออกมายืนห่าง มองใบหน้าคนรักเก่าที่ไม่แม้แต่จะแสดงความรู้สึกใดใดผ่านสีหน้าหรือแววตาออกมาให้เห็น

“กูเข้าใจแล้ว” ไฟพยักหน้า “ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก เพราะมึงแสดงให้กูเห็นหมดแล้ว” ตำรวจหนุ่มกำมือแน่นก้าวขาเดินออกไปด้วยความผิดหวังที่เหนื่อยเกินจะพูดอะไรอีกต่อไป

โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ยังอยู่ที่เดิมกลับนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียว...




จบบทที่ ๑๘


-------------------------------------------------------------

สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังค่าาาา


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โว๊ะ...สิ่งที่แสดงออก ทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย สิงห์ใจแข็งมากนะ
 :undecided:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๑๙

เรื่องของจัน

 


“ไอไฟ ๆ เฮ้ย” จ่าธงสะกิดไหล่หลานชายที่นั่งเหม่อคนเดียวมาตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าไปเจออะไรมาถึงได้นั่งทำหน้าอมทุกข์แบบนี้

“ขอโทษทีลุง” ไฟยิ้มบางเขยิบลุกขึ้นมานั่งดี ๆ “มีอะไรหรือเปล่า”

“เออ จะมาบอกว่าสารวัตรนนท์โทรมา กำลังรอสายอยู่”

“ขอบคุณครับ” ไฟผงกหัวและรีบลุกไปที่โทรศัพท์ของสถานี “ว่าไงนนท์”

(ขอโทษทีนะ ไม่ได้ติดต่อไปเลยตั้งแต่นายกลับไป)

“อืม ไม่เป็นไรหรอก แล้วมีอะไรหรือเปล่า”

(ฉันตามสืบเรื่องของจันมาแล้วนะ)

ไฟตาโต “เป็นยังไงบ้าง เจออะไรไหม”

ได้ยินเสียงกุกกักดังจากปลายสายคิดว่านนท์กำลังค้นอะไรอยู่ (ฉันเพิ่งไปดูจากประวัติในแฟ้ม จันบอกเองว่าพ่อเป็นตำรวจมาก่อนและเป็นลูกน้องของท่านอธิบดีวาริน แต่ในนามสกุลเก่าของจัน ไม่มีตำรวจคนไหนใช้นามสกุลนี้เลย มันคงเป็นไปได้ว่าจันอาจจะใช้นามสกุลแม่ แต่ว่าจากที่ฉันไปสืบมาอีก คนที่ใช้นามสกุลนี้คืออดีตโจรร้ายในจังหวัดนายที่ท่านรองอนงค์เคยตามจับ อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นญาติกัน)

ไฟพยักหน้า “แล้วโจรที่ว่านั่นคือใคร เผื่อที่สถานีจะยังมีคดีเก่า ๆ อยู่ในคลัง”

(ชื่อนายจิตษา หรือที่คนมักเรียกว่าไอษาน่ะ)

“คนนี้...” สมัยเด็กไฟจำได้ว่าข่าวนี้ดังเป็นอย่างมากที่มีโจรชื่อษาบุกปล้นไปทั่วและไม่มีใครตามจับได้ แต่สุดท้ายก็โดนพ่อของเขาจับไป ถ้าให้ขุดก็คงยากเพราะเรื่องนี้จบไปนานแล้วและตอนนั้นเขายังเป็นแค่เด็กนักเรียนจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก แล้วยังเป็นช่วงที่เจอสิงห์ครั้งแรก ความสนใจจึงอยู่ที่สิงห์มากกว่า “ตอนนั้นฉันเพิ่งจะขึ้นมัธยมหนึ่งเอง แต่ก็จำได้ว่าพ่อเคยจับคนนี้... จริง ๆ ฉันก็แทบไม่ได้พูดคุยเรื่องคนในครอบครัวกับจันเลย แม่กับน้องสาวที่หายไปก็ไม่ได้รู้อะไรมากแม้กระทั่งชื่อหรือหน้าตา เรื่องพ่อจันที่เป็นตำรวจก็เพิ่งจะมารู้จากนาย”

(ฉันเองก็ไม่เข้าใจ แล้วฉันก็ไม่ได้บอกนายไว้ว่าก่อนที่จันจะไปประจำที่เดียวกับพวกนาย จันบอกกับฉันเองว่าพ่อเป็นตำรวจแล้วยังเป็นลูกน้องของท่านอธิบดีวาริน)

“น่าตกใจอยู่เหมือนกันนะที่คนที่จันเคยบอกว่ารับมันไปเลี้ยงคือท่านอธิบดีวาริน แต่ฉันก็แทบดูไม่ออกเลยนะ ที่งานศพท่านอธิบดีก็ไม่เห็นจะมาแสดงชื่อตนว่าเป็นญาติของจัน ถึงจะไม่ใช่ญาติแท้ ๆ แต่ก็ถือว่ารับเลี้ยงมาแล้ว”

(ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้หรอก ฉันว่าจันคงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร แต่เพราะว่าฉันเคยเห็นจันลงรถคันเดียวกันกับท่านอธิบดีอยู่หลายครั้งและดูพูดคุยสนิทสนมกันตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนนายร้อย ตอนนั้นฉันถึงถามว่าใครกันที่คอยส่งจันเรียน จนก่อนจันจะย้ายฉันเลยถามอีกครั้งตรง ๆ จนได้คำตอบทุกอย่างที่ฉันสงสัย)

“อ๋อ เข้าใจแล้ว พอพูดถึงเรื่องนั้นไอฉันก็พาลคิดว่านายหาเรื่องจันมัน” ไฟยิ้มขำพร้อมส่ายหัวกับความใจร้อนของตัวเอง

(ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว แต่เรื่องจันน่ะยังไงก็ฝากลองค้นแฟ้มเก่า ๆ ดูนะว่ามีไหม หรือลองถามใครสักคนที่เคยช่วยการจับนายจิตษาตอนนั้นด้วยก็ได้)

“ลุงธงก็เคยตามจับพร้อมพ่อ”

(ลองถามดูแล้วกัน เรื่องนานขนาดนี้คงจะค้นแฟ้มเก่า ๆ ยาก)

“ขอบคุณมากนะที่โทรมาบอก”

(ยินดีเสมอ)

“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

นนท์เงียบไปนานก่อนจะพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับคนอย่างนนท์ (ฉันไปทำคนท้อง)

“ห๊ะ! พูดล้อเล่นอะไรอยู่วะ ไม่ขำนะเว้ยนนท์”

(ฉันถูกใส่ยา)

“ได้ยังไง นายไม่ระวังตัวเลยหรือ”

(ฉันไปรับท่านหญิงแหวนเพื่อไปเต้นรำที่งานเลี้ยงตามคำสั่งเด็จพ่อ ตอนไปก็ดีอยู่แต่ว่าท่านหญิงบอกอยากกลับฉันจึงจะไปส่ง แต่ตอนนั้นฉันรู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองเลยรู้ว่าโดนวางยา ฉันจึงต้องรีบจอดรถ แต่ก็มีคนแอบขับรถตามมาพาฉันกับท่านหญิงไปที่บ้านหลังหนึ่ง พวกมันจับฉันมัดและกรอกเหล้าเข้าปาก ถึงจะจำอะไรไม่ได้แต่ก็รู้ว่าต้องทำอะไรแย่ ๆ กับท่านหญิง เป็นฉันที่ผิดเองด้วยที่ปกป้องตัวเองและท่านหญิงไม่ได้ เพราะเธอก็ถูกบังคับ ฉันกับท่านหญิงเคยพูดเรื่องนี้กันแล้วว่าฉันยังไม่ลืมปิ่นและไม่คิดจะเริ่มต้นใหม่ เธอเองก็ไม่อยากถูกพ่อบังคับ แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น)

ไฟนิ่งค้างไปกับข่าวใหม่ที่ทำเอาไปต่อไม่ถูก “ท่านหญิงแหวนที่ว่าคือคนที่พระองค์วายุภักษ์อยากให้เสกสมรสด้วยหรือเปล่า”

(ใช่ คนนี้แหละ เราได้กลับมาคุยกันอีก สำหรับฉันท่านหญิงแหวนเป็นน้องสาวที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง แต่พ่อของเธอ... เฮ้อ ฉันเองก็หนักใจ แต่ฉันต้องรับผิดชอบ)

“นานหรือยังเรื่องนี้”

(เดือนกว่าได้ ฉันบอกเสด็จพ่อแล้ว พระองค์เลยตัดหางอีกฝั่งที่หักหลังตัวเองแล้วรับดูท่านหญิงแหวน เพราะท่านหญิงก็ไม่อยากอยู่กับคนในสายเลือดที่เห็นเธอเป็นของใช้แทนที่จะเป็นลูก)

“โธ่นนท์ คุณปิ่นเพิ่งเสีย...”

(ฉันรู้ ฉันทำอะไรไม่ได้ไฟ ฉันต้องรับผิดชอบ)

“ถึงจะถูกวางยาจัดฉากมาซะอย่างดีแบบนี้ แต่ยังไงคนผิดก็นายด้วย ฉันว่านายควรจะบวชสักพรรษาหรือทำบุญเสียหน่อยไหมวะ”

ปลายเสียงหัวเราะเล็กน้อยคงจะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อไฟพูดล้อ (คงอย่างนั้นแหละ เรื่องของฉันไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง ส่วนเรื่องจันฝากนายทำต่อด้วยแล้วกัน มีอะไรก็ไว้ติดต่อมา ฉันคงยุ่งกับทางนี้ยาวทั้งงานทั้งวงศ์ตระกูล)

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก ๆ ที่บอกกัน แล้วก็ต่อไปนี้หัดระวังตัวไว้บ้างแล้วกัน อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”

(อืม จะระวัง)

“เฮ้อ” ไฟถอนหายใจยาว วันนี้มีหลายเรื่องประดังเข้ามาจนหัวรับแทบไม่ทัน ยังดีที่ทำให้ลืมเรื่องเมื่อวานไปได้เยอะจะได้มีอะไรทำแทนที่จะมานั่งเปลืองเวลางานอย่างนี้

“เป็นไงบ้างล่ะ คุยนานเชียว อย่าลืมจ่ายค่าโทรศัพท์ด้วยนะเว้ย” พอเห็นหลานเดินกลับมาจ่าธงก็บ่นทันที

“ไม่กี่นาทีเองลุง” ไฟส่ายหัวแล้วนั่งที่โต๊ะทำงาน “ว่าแต่ลุงรู้จักโจรที่ชื่อจิตษาหรือเปล่า”

จ่าธงดูตกใจ “เอ็งไปรู้มาจากไหนวะ”

“เถอะหน่าลุง เล่าให้ผมฟังทีว่าจิตษาเนี่ยมันเป็นยังไง”

แกมีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วพยักพเยิดไปทางข้างนอก “ไปนั่งร้านกาแฟ”

ไฟพยักหน้าและลุกออกไปพร้อมกับลุงธง ที่ดูท่าจะไม่ใช่แค่โจรธรรมดา


 

พ่ายโลกันตร์


 

“ตกลงลุงจะเล่าให้ผมฟังหรือยัง” ไฟคะยั้นคะยอ เพราะตั้งแต่ลงมาที่นี่ ลุงธงก็เอาแต่เงียบและบอกให้รอได้กาแฟก่อน จนตอนนี้กินกันไปจะครึ่งแก้วแล้วแกก็ยังไม่คิดจะเอ่ยปากพูดอะไรนอกจากใบหน้าที่ดูเครียดจริง ๆ

“เรื่องนี้มันนานแล้ว เอ็งจะอยากรู้ไปทำไมวะ”

“มีความลับที่ไม่ได้เปิดเผยไว้หรือไง ถึงได้ไม่ยอมเล่าเสียที” ไฟขมวดคิ้ว

“เฮ้อ สัญญากับข้าก่อนว่าถ้าเล่าไปเอ็งจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร”

“แล้วจะให้ผมไปเล่าให้ใครฟังล่ะ”

“เออช่างเถอะ ยังไงเอ็งก็ควรจะรู้ความจริง เพราะยังไงก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อเอ็งด้วย”

พอเห็นว่าหลานพยักหน้าจ่าธงจึงเปิดปากเกริ่น

“ข้าจะเล่าตั้งแต่ต้นแล้วกัน ตอนนั้นพ่อเอ็งกับคนที่ชื่อจิตษาถือว่าเป็นพี่น้องกันแม้จะคนละสายเลือด...” ถึงจะตกใจแต่ก็รอให้ลุงธงได้เล่าต่อ “ทั้งจิตษาและอนงค์ต่างก็เป็นเด็กกำพร้าทั้งคู่ แต่ได้พระยาเศกสรรค์รับไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ทั้งคู่สนิทสนมเสมือนพี่น้องแท้ ๆ อนงค์เหมือนพี่ชาย จิตษาเหมือนน้องชาย แต่หลังจากพระยาสิ้น ทั้งคู่ได้สมบัติคนละครึ่ง อนงค์เจอกับฤดี ส่วนจิตษาเจอกับเริงรันย์ ทั้งคู่เลยต่างแยกย้ายกันไปมีครอบครัวแต่ก็ไปมาหาสู่กันเสมอ อนงค์ได้เป็นตำรวจตามที่ฝัน แต่เป็นได้ไม่นานก็มีข่าวว่าบ้านของจิตษาถูกรื้อค้นโดยตำรวจสันติบาล เพราะรูปโจรสมัยนั้นมันดูยากเลยดันไปคล้ายกับจิตษา อนงค์พยายามช่วยแต่เพราะตอนนั้นตำรวจมันคิดจะขืนใจเมียจิตษา มันเองเลยหมดความเชื่อในตัวตำรวจ ไม่ฟังพี่ชายของมัน หนีไปหลบคนเดียวและปล้นพวกคหบดีหรือข้าราชการรวย ๆ ไปแจกชาวบ้าน จนมีพวกโจรในชุมชนเข้าไปอยู่เป็นลูกน้องของมันกัน”

แกถอนหายใจเมื่อนึกถึงอดีต “ข้ารู้จักทั้งคู่ดีเพราะข้าก็อยู่บ้านใกล้อนงค์มานาน ได้คุยกันหลายหนได้รู้เรื่องเก่า ๆ เยอะ จนข้าเพิ่งได้เป็นตำรวจหลังพ่อเอ็ง มันอยู่ในช่วงที่ทางกรมตำรวจต้องการจับตายจิตษา เอ็งก็คงรู้ว่าตอนนั้นพ่อเอ็งเป็นหัวหน้าตำรวจสถานีอ้อยขวาง ส่วนคนเป็นรองก็คือไอทัพ”

“สารวัตรทัพน่ะหรือ”

“ใช่ มันนั่นแหละ ตอนนั้นข้ากับอนงค์จะไปหาจิตษากันแค่สองคนแต่ไม่รู้ว่าตำรวจคนอื่นหาเจอได้ยังไง จนมันชุลมุน จิตษาก็คิดว่ายกคนมาฆ่าพวกตัวเองเลยมีการปะทะกันเกิดขึ้น อนงค์กับข้าหาทางเลือกไม่ได้เลยจะไปหาจิตษาเพื่อพาหนี แต่ตอนนั้นไอทัพมันดันตัดหน้ายิงจิตษาไปก่อนเสียแล้ว” ลุงธงดูหนักใจ “จิตษาไม่เคยขอร้องอะไรอนงค์เลย แต่ก่อนที่จะตายมันขอให้อนงค์พาลูกกับเมียมันหนีไป”

“จิตษามีลูกด้วยหรือ”

ลุงธงพยักหน้า “ลูกชายกับลูกสาวน่ะ”

“แล้วชื่ออะไร ตอนนี้หาเจอกันหรือยัง” ไฟร้อนรนทำไมอะไรหลาย ๆ อย่าง ถึงทำให้คิดว่าจันอาจจะเป็นลูกของจิตษา...

“ไม่มีวันนั้นแล้วแหละไฟ เพราะสุดท้ายตำรวจที่ไปด้วยตอนนั้นยิงตายไปแล้วและทั้งสามก็ร่วงลงน้ำ ศพก็คงจะจมหรือไม่ก็ลอยไปกับสายน้ำแล้วล่ะ อนงค์โกรธจนไล่ตำรวจพวกนั้นออก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

“ไม่ใช่หรอกหรือ...” ไฟถอนหายใจ “ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ถ้าเกิดตอนนั้นผมสนใจคงจะได้เจออาของตัวเองแล้ว”

“ข้าเอ็งก็ลืมไม่ลงหรอก จิตษามันเป็นคนดี คำขอสุดท้ายของมันยังไม่ทันไรข้ากับอนงค์ก็ทำมันพังเสียแล้ว”

ไฟนึกเห็นใจทั้งลุงธงและพ่อตน “ไม่เป็นไรหรอกลุง เรื่องมันนานมากแล้ว”

“หากว่าพ่อเอ็งคิดอะไรหรือห่วงเอ็งเกินเหตุ เอ็งก็อย่าไปโทษอนงค์มันเลยนะ มันไม่อยากเสียใครไปอีก ที่ทำเพราะอยากปกป้องเอ็งกับฤดี”

“ผมเข้าใจ”

“ถ้ารู้อะไรจากนี้ก็อย่าโกรธอนงค์มันเลยนะ”

ไฟขมวดคิ้วแต่ก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “ไม่โกรธหรอก ผมรู้ว่าพ่อห่วงผมกับแม่ แต่ถ้าเรื่องไหนมันมากไปก็อยากให้พ่อคุยกับผมกับแม่ก่อนก็ดี”

จ่าธงพยักหน้า “ข้าก็อยากให้อนงค์มันพูดกับเอ็งบ้าง นิสัยใจร้อน บุ่มบ่ามนี่ข้าบอกเลยว่าเอ็งได้มาจากไออนงค์แท้ ๆ เชียว”

“ผมก็คิดงั้น” ไฟยิ้มขำก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าจะถามเรื่องจิตษามีญาติไหม “แล้วลุงรู้ไหมว่าอาจิตษาเนี่ยมีญาติอื่นอีกหรือเปล่าที่มีนามสกุลเดียวกันน่ะ”

“จะมีได้ไง บอกไปแล้วว่าจิตษามันเป็นเด็กกำพร้า นามสกุลนี้พระยาเศกสรรค์เป็นคนตั้งให้”

“อ่าว แล้วทำไมพ่อกับอาจิตษาถึงใช้คนละนามสกุลล่ะ”

“นามสกุลพ่อเอ็งก็เป็นของปู่เอ็งไง” จ่าธงเห็นหลานไม่เข้าใจจึงอธิบาย “ก็ปู่กับย่าเอ็งเสียไปตั้งแต่อนงค์เกิดได้ไม่กี่เดือนเอง กลายเป็นเด็กกำพร้าให้พระยารับเลี้ยง ปู่เอ็งถือว่าเป็นคนที่พระยาไว้ใจมาก เป็นที่ปรึกษาให้พระยาก็ว่าได้ท่านเลยให้ใช้นามสกุลปู่เอ็งเหมือนเดิม ส่วนนามสกุล ‘เศิกสรรค์’ ก็ได้มาจากชื่อ เศกสรรค์ของพระยา”

ไฟก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีเพราะในเมื่อนามสกุลนี้พระยาตั้งให้แล้วจันทำไมถึงมีนามสกุลนั้น “แล้วหลังจากนั้นมีใครมีนามสกุลเศิกสรรค์อีกไหม”

จ่าธงนึกสักพัก “ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่คงไม่มีแล้วล่ะมั้ง ข้าว่าพระยาให้แค่จิตษาคนเดียวแหละ”

“อ่อ” ไฟพยักหน้าแต่ก็ยังสงสัย คงต้องรอถามนนท์อีกที

 


พ่ายโลกันตร์


 

ไฟขออยู่เวรแทนเพราะยังมีเรื่องจะคุยกับนนท์ต่อ หลังจากโทรศัพท์ไปก็เล่าให้ฟังทุกอย่างที่ลุงธงได้เล่าไว้ นนท์คิดเหมือนกันว่าจันอาจจะเป็นลูกของจิตษา แต่เพราะลุงธงบอกว่าทั้งสามคนตายไปแล้วจึงไม่อยากตัดสินใจ

(ถ้าเป็นลูกของคุณจิตษาจริง ฉันว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องใหญ่)

“ฉันก็ว่าอย่างนั้น เสียดาย... หากจันยังอยู่คงคุยกับจันได้” ไฟนึกถึงเพื่อนก็ยิ่งเศร้า ภาพก่อนที่จันตายยังคงติดตามาจนถึงทุกวันนี้

(ฉันก็อยากจะรู้นะ ว่าถ้าเกิดท่านรองมารู้ว่าจันใช้นามสกุลเดียวกับน้องชายตัวเอง ท่านจะรู้สึกยังไง)

“แล้วหากจันเป็นลูกของอาจิตษา... ฉันคงรู้สึกผิดที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย และไม่ถามอะไรจัน”

(อย่าโทษตัวเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาทำผิดพลาดกัน ฉันว่าฉันน่าจะเริ่มรู้อะไรบางอย่างแล้ว)

เสียงของนนท์ดูนิ่งเรียบ ทว่า ก็ดูคุกรุ่นจนคนฟังทางไกลยังรู้สึก “เป็นอะไรหรือเปล่าวะนนท์”

(ฉันล่ะอยากให้นายรู้ความจริงทั้งหมด นายคงจะเอะใจเหมือนฉัน)

“ความจริงอะไร”

(ขอถามนายก่อนว่าเจอเบาะแสอะไรเกี่ยวกับคุณพิมพ์อรหรือยัง)

“เจอแล้วล่ะ” ไฟเล่าตอนที่เจอกับนายกฤษ “ฉันคิดว่าสี่คนนั้นต้องวางแผนอะไรกันอยู่ แต่ว่าสิงห์ก็มักจะทำให้ฉันไม่กล้าจะคิดไปทางนั้น”

คนปลายสายถอนหายใจ (สิงห์นะสิงห์... เอาเป็นว่าเรื่องทั้งหมดนายจะกระจ่างได้ หากลองไปพบกับท่านรองและบอกว่าจันใช้นามสกุลเดียวกับจิตษา)

ไฟขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง”

(ฉันคิดว่าท่านรองคงจะต้องพูดแน่ เรื่องจริงที่นายตามหามาตลอด)

“ที่บอกคงหมายถึงเรื่องสิงห์ใช่ไหม”

(ใช่ ฉันขอโทษนะไฟที่ช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะต้องทำตามหน้าที่ ขอโทษจริง ๆ)

ไฟเงียบไปทันตา มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย “นนท์...”

(ลองไปถามท่านรองเอาเองเถอะนะ)

“มีใครรู้บ้าง” ไฟเริ่มเสี่ยงสั่น

(ทุกคน...)

“นานแค่ไหน”

(...)

 

 

(ตั้งแต่สิงห์พักราชการ)

 


พ่ายโลกันตร์


 

ไฟอยู่ในชุดลำลองธรรมดาหลังจากรู้เรื่องก็ได้รีบออกบ้านตั้งแต่ออกเวร คนอารมณ์ร้อนคนเดิมกลับมาไม่ฟังแม้แต่สารวัตรหรือแม่ เปลี่ยนแค่ชุดไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าเผื่อนอน บึ่งรถมาด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นตั้งแต่เมื่อคืน

ไฟบีบพวงมาลัยจนมือแดง กัดฟันจนเจ็บกรามไปเสียหมด โกรธจนจะร้องไห้ก็คงจะเป็นอย่างนี้

ขับรถเกือบสามชั่วโมงได้ ถึงจะมาที่กรมตำรวจภูธร เขต ๑ ไฟรีบลงรถเข้าไปด้านใน บางคนที่คุ้นหน้าตะเบ๊ะให้ และจะเข้ามาถามแต่ก็โดนไฟผลักออกและตรงไปยังห้องของท่านรองของกรมตำรวจ

ปัง!

“ไฟ...” อนงค์ขมวดคิ้ว สารวัตรโขมโทรมาบอกแล้วแต่ไม่คิดว่าจะมาถึงนี่ “มีอะไรก็พูดดี ๆ อย่ามาทำแบบนี้”

ไฟจ้องพ่อเขม็ง “พ่อรู้อะไรบอกผมมาให้หมด”

“พูดอะไรของเอ็งวะ”

“เรื่องของสิงห์บอกผมมา” ไฟกดเสียงต่ำ

อนงค์ดูตกใจเล็กน้อย “พูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่”

“พ่อ บอกผมมา”

“กลับบ้านไปเสีย พ่องานยุ่ง”

“บอกผมสิพ่อ! จะปิดไปอีกนานแค่ไหน พ่อเห็นผมเป็นลูกหรือเปล่าวะ” น้ำสีใสไหลออกมาไม่หยุดเป็นเพราะความโกรธหรือเสียใจก็ยังไม่รู้

“ก็เห็นเป็นลูกไงวะ กูทำทุกอย่างก็เพื่อมึง”

“งั้นหรือ” ไฟพยักหน้า “ผมถามหน่อยนะว่าคนที่ชื่อจิตษา นามสกุลเศิกสรรค์ใช่ไหม”

“มึงรู้ได้ไง” อนงค์ถึงกับลุกขึ้นดูตื่นตระหนกจนเห็นได้ชัด

“ลุงธงเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว”

อนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่สบถ “งั้นก็จำเอาไว้ว่าที่พ่อทำมันทำเพื่อเอ็ง ถ้าไม่มีธุระไรแล้วก็กลับไปเถอะ”

“ผมถามพ่อ” ไฟขึ้นเสียง “อาจิตษาใช้นามสกุลเศิกสรรค์ใช่ไหม”

“เออใช่ มันทำไมนัก”

“พ่อคงรู้จักเพื่อนผมที่ชื่อจันสินะ” ไฟกำหมัดแน่น “นามสกุลเก่าของจันคือเศิกสรรค์ มันบอกผมว่าอยากตามหาแม่กับน้องที่หายไป แล้วอาจิตษามีเมียและลูกชายกับลูกสาว พ่อคิดว่ายังไงล่ะ”

อนงค์นิ่งค้าง เบิกตาโต ตัวสั่นเทิ้มไปกับความจริงที่เพิ่งรู้ “จันน่ะเหรอ...”

“ใช่ จันเพื่อนผม จันที่ถูกสิงห์ฆ่า นนท์บอกผมว่าจันถูกท่านอธิบดีวารินรับเลี้ยงและนามสกุลเก่าเหมือนกับอาจิตษา”

“ไม่จริง” อนงค์ส่ายหน้ามือทั้งสองค้ำโต๊ะไว้ “ไฟอย่าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น”

“ผมไม่ได้ล้อเล่น พ่อต่างหากที่คิดอะไรอยู่ ผมไม่อยากจะคิดแล้วว่าทำไมจันถึงนามสกุลเหมือนอาจิตษาเพราะจันก็เคยบอกว่ามีน้องสาวกับแม่ที่หายไป มันตรงกันหมด ผมไม่อยากหลอกตัวเองแล้วว่าก็แค่ญาติทั้ง ๆ ที่ จันอาจจะเป็นลูกของอาจิตษา” ไฟพรั่งพรูออกมาก่อนจะตกใจเมื่อเห็นพ่อตนเองทรุดลงนั่งคุกเข่า ใบหน้าที่ดูเกรงขามกลับบิดเบี้ยวจากความเสียใจ

“ไม่จริง! กูไม่เชื่อ!” อนงค์ตะโกนเสียงดัง คนที่ดูเข้มแข็งกลับร้องไห้ออกมา

“พ่อ...” ไฟเริ่มสงบสติค่อย ๆ เดินไปนั่งประคองพ่อตนเอง

“บอกพ่อทีว่าไม่ใช่เรื่องจริง” อนงค์ตาแดงก่ำมือเหี่ยวแห้งจับแขนลูกชายถามย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น

“ผมขอโทษ...” ไฟก้มหน้า

“โธ่เว้ย! ทำอะไรของมึงวะไออนงค์!” ผู้เป็นพ่อต่อยมือลงพื้นอยู่หลายหนจนเลือดซึม ไฟพยายามห้ามแต่ก็ถูกผลักออก ยิ่งมองก็ยิ่งคล้ายตัวเองตอนที่โมโหจัด ไฟรีบโทรบอกทางสารวัตรโขมให้พาแม่มาที่นี่ส่วนตนก็ไปเรียกคนอื่นมาช่วยหยุดพ่ออีกแรง เพราะรู้ว่าคนโกรธจะมีแรงกว่าปกติ

เกือบชั่วโมงที่พ่อเริ่มสงบ ไฟพากลับบ้านที่พ่อซื้อเอาไว้หลังจากท่านคลุ้มคลั่งมานาน แกนั่งนิ่งเหม่อลอยมองท้องฟ้าแม้จะเห็นว่าใบหน้ายังคงมีรอยน้ำตาที่ยังคงไหลอยู่อย่างนั้น ไฟถอนหายใจ ยิ่งเห็นพ่อตนเป็นแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิด โทสะที่กักเก็บไม่ได้มันทำร้ายใครหลายคนจริง ๆ

นั่งรออีกหลายชั่วโมงถึงจะเห็นแม่รีบวิ่งมาทางนี้พร้อมกับลุงธง

“พ่อเป็นอะไรลูก” ฤดีรีบถามไถ่กอดสามีทันทีที่มาถึง

“ผมขอโทษครับ ผมรีบร้อนเลยพูดอะไรไม่สิ้นคิด”

“อะไรของเอ็งไอไฟ” ลุงธงดูโมโห

“พี่ธง” อนงค์เอ่ยเรียกพี่คนสนิท

“อะไรวะ ลูกเอ็งทำไรบอกกูมา กูจะสั่งสอนให้ไอเด็กคนนี้”

อนงค์ยิ่งร้องหนัก “จัน... จันมันเป็นลูกของไอษา”

“ว่าไงนะ!” จ่าธงตะโกนเสียงดัง

“จริงหรือพี่” ฤดีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เพื่อนของไฟคนนั้นน่ะเหรอ

“มึงแน่ใจใช่ไหมอนงค์”

“นามสกุลเก่าของจันคือเศิกสรรค์ครับ” ไฟตอบให้

“แล้วเอ็งไปได้มาจากไหน”

“จากผมครับ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นหันไปก็เป็นนนท์ที่มาที่นี่ด้วยชุดลำลองไม่ต่างกัน “ผมตามสืบเรื่องจันกับไฟเพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขา ผมไปเจอแฟ้มนี่ที่ห้องอธิบดีวาริน” นนท์ยื่นให้จ่าธงก่อนที่แกจะตกใจ

“เรื่องจริงหรือ” ฤดีรับมาดูกับสามี

“ที่ผมบอกให้ไฟมาถามท่านรอง เพราะผมคิดว่ามันควรจะถึงเวลาแล้ว เพราะท่านรองได้ตัดสินใจผิดพลาดไปและผมคิดว่ามันหนักเกินไปที่จะต้องมีคนคนเดียวคอยแบกรับเรื่องที่ตัวเองก็ไม่รู้”

“อนงค์” จ่าธงหันมอง

“ผมเองก็ผิดที่รีบตัดสินใจให้ไฟมาหา เพราะผมก็เพิ่งนึกได้ว่าทั้งท่านรองและจ่าธงดูจะไม่รู้จริง ๆ ว่าจันคือลูกของคุณจิตษา ถึงจะมีส่วนน้อยที่คิดว่าไม่ใช่แต่เมื่อผมคิดว่าสิ่งที่จันเคยขู่ท่านรองว่าจะแก้แค้นแทนแม่กับน้องสาวที่ท่านรองฆ่า ผมเลยคิดว่ามันมีส่วนมากกว่า”

ไฟที่เพิ่งรู้รีบหันมองพ่อตน “จริงเหรอพ่อ จันน่ะเหรอพูดอย่างนั้น”

“เฮ้อ” จ่าธงเริ่มปลงตก “ยังมีอีกหลายเรื่องที่เอ็งไม่รู้ไอไฟ จันเพื่อนเอ็งน่ะเคยคิดจะฆ่าเอ็งหลายหน และยังจะฆ่าฤดีอีก”

“ทำไมล่ะลุง ผมไม่เชื่อหรอก”

“จันบอกว่าท่านรองเคยฆ่าแม่กับน้องสาวทั้ง ๆ ที่ปล่อยไปก็ได้ มันก็เข้าเค้ากับที่ว่าเมียและลูกของคุณจิตษาถูกลูกน้องของท่านรองยิงตายและตกน้ำไป” นนท์พูดต่อ

“เรื่องนั้นมัน...”

“ข้าว่าไอวารินมันต้องใส่สีตีไข่ให้จันมันเพิ่ม รับไปเลี้ยงทั้งที่รู้ว่าจันมันเป็นลูกใคร เลวจริง ๆ”

“เดี๋ยวก่อนลุงธง ลุงพูดอะไร”

“ไอวาริน กูจะฆ่ามัน!” อนงค์ใจร้อนรีบลุกออกทั้งสี่คนจึงต้องรีบปรามทันที

“พี่ใจเย็นก่อนสิ” ฤดีรีบห้าม

“ใจเย็นสิวะอนงค์” จ่าธงขึ้นเสียง

“เพราะมัน! ไอชาติชั่ว!” อนงค์คำรามลั่นจนฤดีใจเสียเธอร้องไห้กอดปลอบสามีที่ดูเสียสติไปแล้ว

“พี่ใจเย็นเถอะนะ อย่าทำแบบนี้”

“กูขอโทษไอษา กูฆ่าลูกมึง กูขอโทษ” อนงค์ก้มหน้าร้องไห้ออกมาดูไม่เหมือนพ่อที่ไฟรู้จัก

“ไม่เป็นไรพี่ ใจเย็น ๆ นะ” ฤดีลูบหลังปลอบ

“นนท์ฝากดูอนงค์หน่อยอย่าให้ไปไหน” ลุงธงเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าเรื่องมันเลยเถิดมาไกลเสียแล้ว

“ครับ”

“ไฟ มากับลุง” ลุงธงหันมองด้วยดวงตาแดงก่ำ “ลุงจะบอกเอ็งทุกเรื่อง”




จบบทที่ ๑๙

--------------------------------------------------------------------------------

โทรศัพท์ที่ใช้เป็นหน้าปัดแบบหมุนนะคะ โทรศัพท์ถูกสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1876 หรือเทียบเท่า พ.ศ. 2419 ของไทยค่ะ โดยAlexander Graham bell

นี่คือหน้าตาโทรศัพท์ประจำสถานีหรือกรมตำรวจที่ไฟกับนนท์ใช้เป็นตัวอย่างค่ะเผื่อใครนึกภาพไม่ออก
จิ้มดูรูปตรงนี้


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ทำไม ไปๆ มาๆ เรื่องมาวนในพวกเดียวกัน แต่ก็นะ บางอย่างเหนือความคาดหมายกว่าที่คิด
อยากรู้เรื่องที่ลุงธงเล่าแล้วละ มาต่อไวๆ น้าาา
 :L2: :L2:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทที่ ๒๐

ความจริง



ไฟอยู่ในห้องรับแขกกับจ่าธง แกถอนหายใจไปรอบก่อนจะเปิดปาก “ที่จริงแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังในการช่วยเหลือเสี่ยพันธ์ ก็คือจัน”

“ทำไมถึงเป็นมัน”

“เอ็งก็รู้มาแล้วว่าไอวารินมันรับเลี้ยงจันเป็นลูกบุญธรรม วารินมันเลยให้ไอจันเข้ามาเป็นสาย วารินมันก็รู้เรื่องที่พ่อเอ็งกับไอษาเป็นพี่น้องกันคงจะให้ลูกชายของทั้งคู่มาเข่นฆ่ากันเอง แม่งชั่วจริง ๆ”

คนที่ตนนับถือมากเป็นคนแบบนี้หรอกหรือ “แล้วทำไมถึงไม่บอกผม บางทีผมอาจจะช่วยคุยกับจันได้”

“ข้าถามจริง ๆ  นะ ตั้งแต่เอ็งไปประจำที่สุราษฎร์จนมาที่อ้อยขวางเอ็งไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง”

ไฟขมวดคิ้ว “ทำไม?”

“เอ็งรู้ไหมว่าคนที่สั่งไอพวกเสือเม็ดมันก็คือไอจัน และลูกน้องที่รอดไปได้จนมาถูกเก็บทีหลังมันคือลูกน้องของเจ้าสัว กระสุนที่ถูกยิงคือกระสุนที่เอ็งก็เคยใช้ยิงพวกเสือเม็ด มันใช่อันเดียวกับที่ไอสิงห์ให้เอ็งหรือเปล่า”

“ใช่... แล้วผมก็ให้จันไปด้วย”

“นั่นแหละที่ข้าจะบอก ข้ารู้เรื่องราววันนั้นหมดแล้ว อย่างไอจันน่ะเหรอจะไม่มีสติ ถึงภายนอกจะดูบ้า ๆ บอ ๆ แต่ก็เป็นคนมีสติมากกว่าใคร ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นถึงหัวหน้าคุมคนอื่นหรือ”

“ผมไม่อยากจะเชื่อเลย” ไฟพูดอย่างอ่อนแรง

“แล้วเอ็งจำวันที่สิงห์มันถูกใส่ร้ายเรื่องช่วยพ่อมันค้ายาได้ไหม” ไฟพยักหน้าจ่าธงจึงพูดต่อ “ทั้งเดือนนั้นจันมันต้องไปทำงานที่พระนคร เอ็งเล่าให้มันฟังแค่ว่าสิงห์ถูกใส่ร้ายแล้วก็เรื่องข่าวลือ มันพูดเหมือนไม่รู้เรื่อง แต่กลับบอกว่าสิงห์หาหลักฐานไม่ได้ ให้ไปตั้งเดือนกว่า มันจะไปรู้มาจากไหนถ้าไม่มีคนอย่างไอทัพไปบอก”

“วันนั้นลุงถึงบอกให้ผมสังเกตคนรอบตัวงั้นหรือ”

“ก็เออน่ะสิ ถ้าไม่มัวแต่ใจร้อน ป่านนี้เอ็งรู้เรื่องแล้ว” ลุงธงเหนื่อยหน่ายใจ

“แล้วตกลงสิงห์ถูกพักราชการเพราะจันมันหรือ...” ไฟบีบมือตัวเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“จะบอกว่าใช่ก็ไม่ถูก เพราะว่าท่านอธิบดีหลวงศักดิ์กลมต้องการอย่างนั้นเอง เพราะท่านก็ตั้งทีมลับกับอนงค์อย่างที่สารวัตรโขมเคยบอกเอ็ง พูดง่าย ๆ เลย มันเป็นเวลาเหมาะเจาะที่จะให้คนไปเป็นเส้นสายที่ใหญ่กว่าสายธรรมดา และวันนั้นมันก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มแผน”

“หมายความว่าสิงห์ถูกพักราชการก็แค่ฉากบังหน้าหรือลุง” คนถามตกใจไม่น้อย

ลุงธงพยักหน้า ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังแล้ว “ตอนนั้นสิงห์มันก็ไม่รู้หรอก ข้าพูดตรง ๆ ว่าอนงค์มันก็ทำตามใจ หลังจากรู้ว่าเอ็งถูกจันมันหมายหัว อนงค์ก็เร่งที่จะจบให้ไวไม่แม้แต่จะเห็นหัวใคร รวมถึงสิงห์ก็ด้วย” แกหน้าเครียด “ข้าต้องคอยบอกให้พ่อเอ็งใจเย็น ให้นึกถึงคนอื่นเสียบ้าง ตอนนี้ก็รับผลกรรมแล้ว”

“พ่อ...”

“คนที่สั่งให้ฆ่าไอจันมันก็คือพ่อเอ็ง”

“ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วย จันมัน...” ไฟส่ายหน้า จากที่รู้ว่าตนถูกจันจะฆ่าก็น้ำท่วมปาก

“ก็จันมันจะเปลี่ยนไปฆ่าแม่เอ็งด้วย รู้ไหมว่ามีหลายครั้งที่ฤดีถูกทำร้ายตอนไปตลาดหรือไปสอน บ้างก็รถเฉี่ยว บ้างก็มีคนเดินตาม ล้วนแล้วเป็นแต่ไอจัน แต่เรื่องนี้ฤดีบอกแค่ข้าไม่กล้าบอกเอ็งเพราะกลัวเอ็งจะเป็นห่วง”

เป็นอีกครั้งที่ไฟพูดไม่ออก เพื่อนของเขามันคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ

“เพราะแบบนั้นอนงค์เลยใจร้อนสั่งให้สิงห์ฆ่า แม้ไอสิงห์จะไม่อยาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงตัดสินใจทำ เรื่องนี้เอ็งต้องไปถามมันเอาเอง”

“ทั้งหมดนี่มันเรื่องจริงใช่ไหมลุง ไม่ได้โกหกผมอีกแล้วใช่ไหม”

ลุงธงพยักหน้า “เรื่องจริงสิ ข้าไม่อยากปิดบังอะไรแล้ว ข้าเหนื่อย ข้าอึดอัด”

“งั้นสิงห์ก็อยู่ในทีมลับนี้ด้วย”

“ใช่ มีหมวดภพ กับจ่าเกื้อที่ไปเป็นสายนานแล้ว”

ไฟคิดไม่ผิด “ผมก็ว่าทำไมสองคนนี้แปลก ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นตำรวจ”

“ทั้งสองเป็นคนที่พ่อเอ็งส่งไปจับตาดูไอพันธ์ทั้งนั้น รวมถึงไอเทิด มันไม่ได้เป็นตำรวจแต่ก็อยากกำจัดพวกที่ทำบ้านเมืองเสื่อมเสีย เลยให้มาอยู่ในทีมนี้”

“แล้วไอมั่นล่ะ”

ลุงธงส่ายหน้าทันควัน “มันน่ะฆาตรกรของจริง ไปอยู่กับเจ้าสัวคงชอบใจพอดู”

“ผมพูดไม่ถูกเลยลุง จะดีใจก็ดีใจไม่สุด มัน... ไม่รู้สิ เรื่องมันเยอะจนผมไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงแล้ว”

“เฮ้อ กว่าจะมารู้เรื่องทั้งหมดก็ผ่านความเสียใจมานาน ข้านับถือใจเอ็งจริง ๆ ว่ะ ไอไฟที่ทนมาจนถึงตอนนี้ได้”

ไฟยิ้มขืน อยากจะบอกว่าเกือบจะทนไม่ได้อยู่หลายครั้ง คิดด้วยซ้ำว่าถ้าจับสิงห์ได้เมื่อไหร่ก็คงจะไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกแล้วก็เป็นได้

“ผมขอถามเรื่องน้าพิมพ์อรกับต้นอ้อได้ไหม”

ลุงธงพยักหน้า “เรื่องนี้สิงห์กับนนท์เป็นคนวางแผนกัน เพื่อให้พิมพ์อรกับหนูต้นอ้อหนีออกมาได้โดยไม่ต้องมีใครตามล่าอีก ในวันนั้นสิงห์มาขอให้ข้า สารวัตรและหมอรัตน์ไปช่วยอำพรางคดี หลอกเสี่ยพันธ์ว่าสมานที่เป็นชู้ของพิมพ์อรเข้าไปช่วย แต่แผนก็เกือบพลาดเพราะสมานเผลอยิงเสี่ยพันธ์จนตอนนี้มันเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ ภพเป็นคนไปส่งเสี่ยพันธ์ให้หมอรัตน์รวมถึงพาสมานหนีออกไป แล้วสั่งให้จ่าเกื้อกับลูกน้องคนอื่นขับรถตามพิมพ์อรที่ขับรถหนีไปก่อนหน้า คนที่ยิงปืนใหญ่ก็คือจ่าเกื้อ และที่สิงห์เป็นคนบอกให้พิมพ์อรขับรถไปทางตลาดเพราะชาวบ้านจะได้เห็นว่าใครอยู่ในรถจะได้เอาพูดต่อได้ จากนั้นก็จะขับไปทางลัดเพื่อให้พิมพ์อรกับต้นอ้อไปที่รถอีกคันที่สารวัตรกับนนท์เตรียมไว้ให้”

ไฟนึกขันที่นนท์มันก็รู้แต่ทำเหมือนไม่รู้แล้วยังจะมาช่วยเขาพาสืบเรื่องนี้ โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนใจมันด้านชา แม้แต่ความยินดีหรือดีใจที่รู้ความจริงก็แทบไม่มีเหลือ

“ส่วนข้าก็ไปหาศพมาอำพราง เอาศพของคนที่ไม่มีญาติมา จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอก แต่ก็ต้องทำ”

“หลอกซะผมเชื่อมาหลายปี สมกับเป็นทีมลับกันจริง ๆ”

ลุงธงหน้าเสีย “ข้าขอโทษนะเว้ยไอไฟ ข้าขอโทษจริง ๆ”

ไฟโบกมือ “ไม่เป็นไรลุง อย่างน้อยมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่ผมคิด”

“ขอโทษครับ” นนท์เดินเข้ามา “ผมขอคุยกับไฟหน่อยได้ไหม”

ลุงธงหันมองหลานตนก่อนจะพยักหน้าแล้วไปดูอนงค์แทน

“หลอกเก่งดีนะ”

นนท์มีสีหน้าหนักใจ “ขอโทษ”

“ช่างมัน มีอะไรล่ะ”

“จะมาบอกว่า น้าพิมพ์อรเขาอยู่ที่วัง”

ไฟพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”

“จ่าธงเล่าแล้วหรือ” พอเห็นเพื่อนพยักหน้าก็ได้แต่ถอนหายใจ “ทั้งกับข้าวหรือขนมทั้งหมดนั้นจริง ๆ แล้ว น้าพิมพ์อรเป็นคนทำให้กิน เผื่อนายจะเอะใจบ้าง ส่วนเฟื้องที่แทบไม่ได้ไปให้เห็นหน้าเพราะกลัวว่าจะปิดความลับไม่ได้ สิงห์ไปขอร้องทุกคนไม่ให้บอก”

ไฟเค้นเสียง “ตอนที่กูขอร้อง ไม่เห็นมีใครทำบ้าง กูต้องทนรับกับเรื่องพวกนี้มาตั้งกี่ปีวะนนท์”

นนท์หลบตา รู้สึกผิดมาตลอด “ถึงทุกคนจะมีเหตุผลของตัวเอง แต่ฉันรู้ว่ามันผิด มันหนักหนาเกินไป แต่ทุกคนไม่อยากปิดบังนายหรอกนะไฟ มัน...”

“มันจำเป็นใช่ไหม” ไฟกัดฟันกรอด น้ำสีใสเริ่มคลอ บอกว่าไม่เป็นไรแต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย “มันจำเป็นถึงขนาดให้กูรอมานานขนาดนี้เลยหรือวะ เห็นกูเป็นหินหรือไง ถึงจะทุบกันแหลกแค่ไหนก็ได้”

“ฉันพยายามช่วยนาย จ่าธงเองก็พยายามจะบอกอ้อม ๆ รวมถึงน้าพิมพ์อรที่คอยให้คนเอาขนมไปให้ ทุกคนอยากจะบอกนายนะ”

“ขอบใจที่เคยทำแบบนั้น”

“จะโกรธพวกเราก็ได้ แต่ขอร้อง... อย่าโกรธสิงห์”

ไฟเงยหน้ามองด้วยดวงตาแดงก่ำ “กูไม่รู้หรอกนนท์ ตอนนี้กูบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง ทั้ง ๆ ที่กูรู้เรื่องแล้วแต่กูก็ยังไม่อยากจะไปเจอหน้าสิงห์”

นนท์หมดหนทางใช้มือกุมหน้าตัวเอง “มันเพราะแผนบ้า ๆ พวกนี้ พวกนายถึงเจอแต่เรื่องแย่ ๆ กันมาตลอด”

“ขอกูอยู่คนเดียวสักพักนะ”

“ไฟ ไฟ” นนท์มองตามหลังของเพื่อนที่เดินขึ้นไปชั้นบน

ไฟนั่งลงปลายเตียง นั่งก้มหน้ามองมือที่กุมกันของตัวเอง ก่อนที่มือนั้นจะค่อย ๆ บีบแรงขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงใบหน้าที่บิดเบี้ยวน้ำตาหยดลงพื้นอยู่หลายรอบ ได้แต่กลั้นเสียงเอาไว้จากอารมณ์ที่สับสนอยู่ข้างใน

ทำไมถึงเสียใจมากกว่าดีใจ ทำไมถึงรู้สึกว่างเปล่ามากกว่าเห็นทางออก เขาควรจะยอมรับและเดินหน้าใหม่สิ

ไฟร้องไห้อยู่นานจนเพลียหลับไปก่อนที่จะตื่นขึ้นจากเสียงเคาะประตู “ไฟ พ่อขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”

คนเพิ่งตื่นสะลึมสะลือปาดน้ำตาที่เหือดแห้งตามแก้มก่อนจะลุกไปปลดล็อคประตูก็พบกับพ่อที่ดูโทรมเล็กน้อยเดินเข้ามา

“พ่อขอโทษ”

ไฟพยักหน้า “ครับ”

“โกรธพ่อหรือเปล่า”

ไฟถอนหายใจ “ครับโกรธ”

“งั้นเหรอ” แกมองออกนอกหน้าต่างที่พระจันทร์สาดส่องเพียงครึ่งเสี้ยว “พ่อก็โกรธตัวเองที่ไม่คิดก่อนทำ จนต้องทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

ไฟไม่ได้ตอบอะไร อนงค์จึงพูดต่อ “ทุกสิ่งที่สิงห์ทำ พ่อเป็นคนบังคับ มันเป็นเพราะพ่อเอง ให้ความโกรธทั้งหมดลงแค่ที่พ่อได้ไหมไฟ”

“เรื่องสิงห์ไว้ผมค่อยคุยกับเขา... แต่เรื่องจัน ยังไงผมก็ให้อภัยใครไม่ได้ คำสุดท้ายก่อนตายที่มันบอกกับผมว่าชาติหน้าขอให้เกิดเป็นเพื่อนกันอีก คนแบบนั้นน่ะเหรอที่อยากจะทำลายผมกับแม่ ผมเชื่อไม่ลง”

อนงค์หลับตายอมรับในสิ่งที่ลูกพูด “พ่อรู้ แต่มันก็สายไปแล้ว พ่อทำลายชีวิตเด็กคนนั้นไปแล้ว ไอษาคงสาปแช่งพ่ออยู่ที่ดันจำลูกมันไม่ได้”

“ผมเกลียดคำว่าสายไปแล้ว เกลียดที่มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เกลียดที่ผมเป็นคนรู้คนสุดท้าย เกลียดที่ทำไมไม่ใช่ผมที่เป็นคนไปคุยกับมันด้วยตัวเองก่อนที่มันจะตาย มันเหมือนเพื่อนเหมือนพี่น้องอย่างที่พ่อรู้สึกกับอาษา”

คนเป็นพ่อที่เข้าใจดีเพราะษาก็นิสัยคล้ายจัน “พ่อขอโทษนะลูก ถ้าจบจากเรื่องนี้เมื่อไหร่ พ่อจะขอบวชให้จันตลอดชีวิต หากเป็นไปได้ฝากดูแลแม่ด้วยนะ”

ถึงอย่างนั้นไฟก็ไม่สามารถโกรธใครลงได้จริง ๆ ยิ่งเห็นพ่อตนรู้สึกผิดขนาดนี้แล้ว “เข้าใจแล้วครับ”

อนงค์ยิ้มฝืนกอดลูกชายตัวเองต่างคนต่างปลอบกันให้กับเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ฤดีที่ยืนมองนอกประตูได้แต่ปิดปากร้องไห้มองสองพ่อลูกที่ยอมเปิดเผยความรู้สึกออกมาจริง ๆ

 


พ่ายโลกันตร์




วันรุ่งขึ้นไฟยืนอยู่ในห้องรับแขกพร้อมกับนนท์ รวมถึงลุงธงและพ่อ หลังจากต่างคนต่างเข้าใจกันดี ไฟก็มาคุยเรื่องแผนทั้งหมดตามที่พ่ออยากให้มาฟัง

“แผนที่เราวางไว้คือจะจับพวกมันทีละเล็กทีละน้อยจนไปจับพวกตัวการใหญ่ ตอนนี้เสี่ยตะวันที่เหลือเพียงตัวสุดท้าย สิงห์ก็กำจัดไปแล้ว จึงเหลือเพียงหลวงศรีรวีชัย เจ้าสัวเหวยและอธิบดีทัพกับอธิบดีวาริน” อนงค์เอ่ยบอกลูกชาย “ตอนนี้ยังติดขัดเรื่องเสือเอี้ยงที่มันยังคิดว่าหลวงรวีชัยไม่คบค้ากับเจ้าสัวเหวย มันมองพลาดจนไปช่วยเหลือคนผิด ตอนนี้เราต่างพยายามหาหนทางกันอยู่แต่มันก็ยากเพราะเสือเอี้ยงมันเกลียดตำรวจและไม่ฟังใครนอกจากหลวงรวีชัย”

“แถมพวกเสี่ยพันธ์คนเก่าบางคนมันคอยจับตาดูสิงห์ตลอดเวลา รวมถึงพวกที่เคยก้มหัวให้ไอมั่น เจ้านายมันคงบอกให้คอยดูไว้ สิงห์เลยทำอะไรได้ไม่มาก แม้ว่าตอนนี้พวกของเสี่ยพันธ์หลายคนจะยอมเชื่อฟังสิงห์บ้างแล้ว แต่ยังไงบารมีเก่าเสี่ยพันธ์ก็ยังคงอยู่ รวมถึงการซื้อชีวิตของไอเจ้าสัวเหวย มันคงซื้อไปได้หลายคน แม้แต่สิงห์เองในตอนนี้ก็เป็นอันตรายไม่ต่างจากคนที่อยู่ในถ้ำเสือ” ลุงธงว่าต่อ

ไฟนึกห่วง “ผมขอเข้าไปหาสิงห์ได้ไหม”

“มันอันตรายนะไฟ” อนงค์ขมวดคิ้ว “หากพวกมันรู้ขึ้นมา สิงห์ก็จะเป็นอันตรายไปด้วย”

“แค่ปิดหน้าปิดตา ทำเป็นลูกน้องของสิงห์ก็ได้ ผมคงปล่อยเขาไว้คนเดียวไม่ได้”

อนงค์ถอนหายใจ “ถ้าเป็นแต่ก่อนตอนที่ไอพันธ์มันยังอยู่ พ่อคงไม่ให้ แต่ว่าตอนนี้ทางมันสะดวกอยู่ พ่อจะให้เอ็งไปคอยช่วยสิงห์แล้วกัน”

ไฟยิ้มขึ้นได้ก่อนจะค่อย ๆ หุบยิ้มเมื่อพ่อบอกเรื่องที่เพิ่งจะรู้

“แต่ฟังพ่อนะไฟ ห้ามเอ็งเดือดดาลจนทำแผนเสีย หากไปอยู่แล้วต้องเห็นพวกมันทำร้ายใครต่อหน้าต่อตา ก็ห้ามโมโหจนไปห้ามมัน”

“แล้วแบบนี้ต้องทนดูพวกมันข่มเหงคนบริสุทธิ์งั้นเหรอ” ไฟขมวดคิ้ว อย่าบอกนะว่าสิงห์ก็ต้องทนดูมาตลอด

“ใช่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกจะไม่มีใครตายแน่นอนเพราะเดี๋ยวพวกของสิงห์จะพาหนี” ลุงธงอธิบายให้ “ถึงจะช่วยตอนที่ถูกรังแกไม่ได้ แต่ช่วยไว้ไม่ให้ตายได้”

“ถึงได้พยายามจะจบเรื่องให้เร็วที่สุด แต่กว่าจะทำได้มันก็ยากเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังมันรับข้าราชการกันทั้งนั้น แถมยศใหญ่เสียด้วย” อนงค์ส่ายหัว

“ผมได้รับจดหมายของสิงห์เมื่อหลายวันก่อน เรื่องเส้นทางน้ำ ที่สิงห์บุรีมีเส้นทางน้ำหลายเส้นทาง สิงห์วาดแค่ทางน้ำและบอกว่าจะมีของส่งไปที่พระนคร” นนท์พูดขึ้นและหยิบกระดาษออกมา

อนงค์รับมาดูก่อนจะนึกได้ “สิงห์บุรีมีเส้นทางน้ำย่อยที่ไหลจากเจ้าพระยา สิงห์คงบอกกลาย ๆ ว่า พวกมันจะใช้เส้นทางนี้ส่งของ”

“ของรอบนี้คงสำคัญมาก ฝากนายกลับไปดูที่พระนครด้วย ให้หมวดกล้าเข้าไปสืบแถว ๆ ท่าเรือดู ทุกแห่ง”

“ครับ!” นนท์ตะเบ๊ะให้ก่อนจะตบบ่าไฟ “ฉันต้องกลับก่อน ฝากสิงห์ด้วยนะ”

ไฟพยักหน้า “ขับรถกลับดี ๆ”

“หมวดไฟ” อนงค์ขานเรียกก่อนที่ไฟจะเริ่มเข้าใจจึงยืนตรงเอาแขนแนบลำตัว

“ครับท่านรอง”

“ผมขอสั่งให้คุณได้เข้าร่วมทีมลับนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ช่วยผู้กองสิงห์ในการจับพวกโจรร้ายภาคกลาง รับทราบปฏิบัติ!”

“ทราบ!”

“คงต้องขอความร่วมมือจากทางนักข่าวเสียหน่อย” ลุงธงลูบคาง “เสียรถอีกคันจะเป็นไรไหมวะอนงค์”

“รถคันหนึ่งไม่ใช่ถูก ๆ แต่เอาเถอะ ฝากด้วยแล้วกัน”

“อะไรกันหรือครับ”

“เดี๋ยวเอ็งก็รู้” ลุงธงว่า

 

‘เมื่อช่วงเที่ยงของวันมีคนพบรถพลิกคว่ำตกลำธาร ผู้เสียชีวิตคาดว่าเป็นร้อยตำรวจตรีเพลิงกาฬ ไตรษิณย์ ตำรวจของสถานีอ้อยขวาง จังหวัดสิงห์บุรี ทางมารดาบอกว่าลูกชายจะเดินทางไปทำธุระที่พระนครแต่ดันเกิดเหตุร้ายขึ้นเสียก่อน งานศพจะจัดขึ้นในอีกห้าวันในจังหวัดสิงห์บุรี’

มือหนามองหนังสือพิมพ์ในมือที่ขึ้นรูปและข่าวของตัวเองก่อนจะจับหมวกปิดใบหน้ารวมถึงลูบนวดเคราที่ทำขึ้นเพื่อปลอมตัว รถโดยสารคันเก่าที่มีคนนั่งอยู่มากจอดเทียบกับทางเดินเข้าไปยังหมู่บ้านในจังหวัดสิงห์บุรี

ไฟกระชับกระเป๋าให้แน่นขึ้นก่อนจะเดินไปเรื่อย ๆ นั่งรถต่ออีกหน่อยจนมาถึงที่หมาย ชาวบ้านใจดีส่งแค่ภายนอกเพราะกลัว ไฟเลยต้องเดินไปมาทางหน้ารั้วที่มีคนยืนเฝ้าด้วยตัวเอง

“มาทำไม มีธุระอะไร”

ไฟยกมือขึ้น “กูอยากพบนายสิงห์”

พวกมันหันมองหน้ากัน “นายสิงห์ไม่อยู่ ออกไปตั้งแต่เช้ายังไม่กลับ มีอะไรเดี๋ยวบอกให้”

“กูไม่มีที่ไป อยากทำงานด้วย”

“ชื่ออะไร เอาประวัติมึงมา”

ไฟทำท่าจะค้นกระเป๋าแต่ก็มีเสียงคนขัดขึ้นจากข้างใน “เอามันเข้ามา”

“มันไม่น่าไว้ใจเลยนะพี่”

“เออเอาเข้ามาเดี๋ยวกูไปถามมันข้างใน” ภพเอ่ยบอก ลูกน้องทั้งสองเลยจำยอมเปิดประตูให้

“ขอบคุณ” ไฟกระซิบ

“ถ้าจะเอาคืนก็เล่นแรงมากนะครับ คุณสิงห์คลั่งจนเกือบทำแผนล่ม”

ไฟไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้นก็รีบปฏิเสธ “ผมก็เพิ่งรู้ เรื่องนี้ท่านรองเป็นคนคิด ผมต้องขอโทษจริง ๆ”

ภพพยักหน้า “ตอนนี้ผมจำต้องขังเขาไว้ในห้อง เพราะคุณสิงห์จะออกไปหาคุณให้ได้ ยังไม่ได้บอกเรื่องที่ว่าคุณเข้ามาในทีมลับแล้ว เพราะท่านรองเพิ่งจะโทรมาบอกเมื่อครู่พอดีกับที่คุณมาถึงที่นี่”

ไฟพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะพยักให้กับจ่าเกื้อที่ยืนรออยู่ด้านใน “ไม่คิดว่าจะเจอกันในสถานการณ์อย่างนี้เลยนะครับหมวด”

ไฟยิ้มให้ “ยินดีที่ได้ร่วมงานนะจ่า”

“นี่กุญแจครับ” หมวดภพยื่นให้ ไฟจึงผงกหัวแล้วเดินขึ้นไปด้านบนตรงไปยังห้องของสิงห์ ได้ยินเสียงของแตกก็ต้องรีบไขเข้าไป

“ปล่อยกูออกไป” สิงห์คำรามลั่นเห็นประตูเปิดก็จะวิ่งออกไปแต่กลับถูกแขนของไฟรวบเอาไว้ “ปล่อยกู!”

ไฟกอดอีกฝ่ายแน่นที่ดีดดิ้นอย่างรุนแรง ใบหน้าดูผ่านการร้องไห้หนักมายาวนานจนใจชายหนุ่มอ่อนยวบ ไม่รอช้าคนปลอมตัวรีบถอดหมวกออก “สิงห์ใจเย็น นี่ไฟเอง”

สิงห์นิ่งไปทันตา “ไฟ...”

“ใช่ ไฟเอง ไฟยังไม่ตาย” เขาวางกระเป๋าลง แม้จะมีหนวดติดรอบปากแต่สิงห์ก็ยังจำได้

“ไฟจริง ๆ ใช่ไหม” คนถามยกมืออันสั่นเทาขึ้นทาบแก้มคนรัก น้ำสีใสไหลออกมาเมื่อมั่นใจว่าคนตรงหน้าเป็นใคร “ขอโทษ สิงห์ขอโทษ อย่าทิ้งสิงห์ไปไหนนะ”

ไฟยิ้มบางโอบกอดคนรักเอาไว้ “ไม่ทิ้งหรอก ไฟจะอยู่กับสิงห์ตลอดไป”

“ขอโทษ” สิงห์ยังคงพร่ำบอกอยู่อย่างนั้นกว่าจะสงบก็นานหลายชั่วโมง พอควบคุมสติได้สิงห์ก็นั่งมองอยู่อย่างนั้นไม่แม้แต่จะเอ่ยอะไรออกมา

“ไฟรู้เรื่องหมดแล้วนะ”

สิงห์พยักหน้า

“ไฟโกรธมากเลยนะรู้ไหม”

คนฟังพยักหน้าอีกรอบ

“ถ้างั้นไฟขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า” แล้วก็เป็นดั่งเคยคล้ายฉายภาพซ้ำ “พร้อมที่จะเล่าเรื่องจันให้ไฟฟังไหม”

สิงห์เม้มปากหลบตาไปชั่วครู่ถึงจะหันกลับมาตอบเสียงเบา “ได้”

 

พ.ศ. ๒๔๘๒

สิงห์ยืนมองคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนอย่างจันกำลังนั่งเหม่อคล้ายคิดอะไรในหัว ดวงตาว่างเปล่า ล่องลอย คล้ายคนที่ไม่อยากใช้ชีวิตบนโลกนี้อีกแล้ว

“เรียกกูมาทำไม” สิงห์ถามขึ้น

“มึงจะฆ่ากูไหม”

“ไม่ กูบอกแล้วว่าจะหยุดเรื่องพวกนี้ ถ้ามึงทำผิดก็รอรับผลในคุก ไม่ใช่หนีปัญหา”

จันเค้นเสียง “มึงว่ากูจะทำตามมึงเหรอ ทางเดียวที่จะทำให้มึงฆ่ากูได้คงต้องไปฆ่าแม่ไอไฟนั่นแหละ”

“อย่ามายุ่งกับคนสำคัญของกู” สิงห์จ้องเขม็ง

“กูไม่อยากอยู่บนโลกนี้ตั้งแต่รู้ว่าแม่กับน้องตาย ที่กูเข้าเรียนนายร้อยเพราะกูอยากจะฆ่าคนสำคัญของไออนงค์ไงให้มันได้รู้ว่าการสูญเสียคนในครอบครัวมันเป็นยังไง แต่เรื่องเหี้ยก็คือกูดันคิดฆ่าไอไฟไม่ลง กูเคยเกือบฆ่ามันได้แต่กูดันเสียใจ พอมันรอดกูกลับโล่งใจ กูเลยรู้ตั้งแต่นั้นมาว่ากูแก้แค้นให้ครอบครัวไม่ได้แน่ ๆ”

“แล้วยังไง มึงยังมีโอกาส หากมึงคุยกับไฟเรื่องนี้ไฟมันคงช่วยมึงได้ ยังมีอีกหลายวิธีที่มึงเลือกทำได้นะจัน”

จันหันมอง “ไม่ได้ กูทำเพื่อครอบครัวก็จริงแต่กูก็ทำเพื่อพ่อริน... เขารับเลี้ยงกูมา ดูแลกูดีมาตลอด กูต้องตอบแทนเขา หากกูฆ่าใครสักคนที่เกี่ยวพันธ์กับไออนงค์ กูขอเลือกเมียมัน”

สิงห์สบถ “มึงคิดตื้นเกินไปแล้ว วารินมันรักใครเป็นที่ไหน”

“มึงไม่ได้อยู่กับเขาตั้งแต่เด็กมึงไม่รู้หรอก”

“มึงไม่คิดบ้างเหรอว่ามันหลอกใช้มึงทำเรื่องพวกนี้”

“กูรู้ แต่หากไม่มีพ่อ กูก็ไม่รู้ว่าจะได้ออกไปดูโลกข้างนอกไหม กูดีใจนะที่ได้พบเจอใครหลายคน กูดีใจที่มีพวกมึงเป็นเพื่อน” จันมองท้องฟ้าที่ดูครึ้ม “แต่กูคงทำให้พวกมึงผิดหวังกับสิ่งที่กูเป็น กูเคยโมโหไอทัพที่มันด่าแต่มึงว่าเป็นลูกโจร ไอกูที่เป็นลูกโจรเหมือนกันก็โมโหไม่ต่างกัน แต่กูก็ยังจะบอกมึงนะว่ากูเลือกทางนี้แล้ว”

“ถ้าเห็นพวกกูเป็นเพื่อนมึงจะไม่เลือกทางนี้”

“ถือว่ากูขอร้องแล้วกัน มึงฆ่ากูเถอะ กูไม่อยากไปฆ่าใคร ไม่อยากทำลายชีวิตไอไฟ” จันขอร้อง “กูไม่ได้ขู่ แต่กูทำแน่สิงห์ กูถึงมานั่งขอร้องให้มึงฆ่ากูซะ”

“ไม่ ถ้ามึงไม่อยากทำก็ไปมอบตัว ไปขังตัวเองไว้ในคุก” สิงห์ตั้งท่าจะเดินออกแต่ก็ดันถูกจับแขนเอาไว้

“ถ้างั้นกูจะบอกความจริงกับพ่อแล้วก็เจ้าสัว บอกเรื่องความสัมพันธ์ของมึงกับไอไฟ พวกเขาก็จะหมายหัวไอไฟไว้”

สิงห์อดกลั้นไม่ไหวจนต้องดึงคอเสื้อมัน “มึงเป็นบ้าอะไรวะจัน!”

“กูมีหนทางให้มึงเลือก ระหว่างฆ่ากูหรือปล่อยกูไปฆ่าคนสำคัญของมึง” แม้คำพูดจะดูโหดร้ายแต่แววตาของจันทั้งเศร้าหมองและเหนื่อยล้า

“มึงก็เพื่อนกูนะจัน มึงคิดว่าไฟจะรู้สึกยังไง”

“กูไม่ไหวแล้วสิงห์ ตอนนี้กูทำได้ทุกอย่าง กูเห็นแต่ตัวเองกูอยากพาตัวเองออกไปจากที่นี่จนกูสามารถทำทุกอย่างที่กูไม่คิดว่าจะทำได้แล้ว” จันน้ำตาคลอ

“อย่าคิดอีก” สิงห์ผลักอีกคนก่อนจะเดินออกไป

จนมาถึงอีกวันที่สิงห์จำต้องรับโทรศัพท์ของอนงค์

(วันนี้รีบฆ่ามันซะ)

“นั่นเพื่อนผม”

(แต่ยังมีอีกสองคนที่มันจะฆ่า หรืออยากให้ไอไฟมันตาย)

สิงห์กัดฟัน “ผมทำไม่ได้”

(ทำไม่ได้ก็ต้องทำ แล้วให้ไฟมันเห็นด้วยตอนที่ฆ่าไอจัน)

“ทำไม ลุงคิดอะไรอยู่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ”

(มันจะได้ตามแผน ไอไฟจะได้ไม่ไปยุ่งกับเอ็งอีก เพราะถ้าเกิดใครรู้เรื่องพวกเอ็งสองคน ไม่คิดว่าไอไฟจะตกอยู่ในอันตรายรึไง)

“ผมว่าลุงใจร้อนเกินไป”

(งั้นก็จำไว้ด้วยว่าถ้าฤดีกับไอไฟตกอยู่ในอันตรายมันก็เพราะเอ็ง คงไม่ลืมวันที่ไอจันตั้งใจจะขับรถชนฤดีกับพยายามหาทางฆ่าไอไฟหรอกใช่ไหม)

สิงห์กำมือแน่น “ถ้าท่านต้องการอย่างนั้น ผมทำให้ก็ได้ แล้วท่านก็จำไว้ด้วยว่าสิ่งท่านทำมันจะส่งผลทีหลัง” พูดเสร็จก็วางสายทันที เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครยกเว้นจัน

“มึงแน่ใจแล้วใช่ไหม”

“ทำไมกูต้องมาปรึกษากับคนที่กูจะต้องฆ่าวันนี้วะ”

จันจับบ่า “คิดให้ดี กูจะมาหามึงคนเดียว อย่างน้อยก็ดีกว่าให้ไฟมันมาเห็นกับตา”

สิงห์มองเพื่อนจนลับสายตาก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง สิงห์ยิงปืนนัดหนึ่งขึ้นฟ้าเพราะอนงค์โทรมาบอกว่าได้ให้สารวัตรกับจ่าธงเข้าร่วมแผนแล้ว

จันดูตกใจก่อนจะขมวดคิ้วที่เห็นพวกไฟวิ่งมาแต่ไกล “ทำอะไรของมึง”

“กูคงโง่เองแหละจัน” สิงห์มือสั่นเล็กน้อยในตอนที่ยกปืนจ่อเพื่อน

จันตาคลอ “ต้องการแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม” แน่แล้วหรือที่จะแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้ สงสารเพื่อนทั้งสองแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นน้ำตาของสิงห์ที่ไหลข้างเดียวเป็นข้างที่ไฟไม่เห็น จึงพูดอะไรไม่ออกได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอมแล้วหันไปบอกไฟเป็นครั้งสุดท้าย “หวังว่าชาติหน้าจะได้เป็นเพื่อนกับพวกมึงอีก...”

ขอโทษที่ทำให้พวกมึงต้องเจอเรื่องแบบนี้

ปัง

สิงห์ยังจำได้ดีว่าหลังจากนั้นเขาก็ขังตัวเองไว้ในห้อง ร้องไห้อยู่หลายอาทิตย์จนพลอยให้ลุงธงแอบมาหาเพื่อปลอบ เป็นตราบาปที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต...


 

ไฟลูบมือคนรักที่เล่าไปร้องไห้ไป พูดขอโทษจนไฟคร้านจะบอกให้พอ

“ถือว่าปลดปล่อยมันแล้วกันนะ” ไฟพูดเสียงสั่นกอดคนรักเอาไว้ “ไม่เป็นไรนะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

“สิงห์ผิดเอง ที่ไม่คิดให้ดี”

ไฟหลับตาพรูลมหายใจออกมา เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงได้บอกว่าให้โกรธแค่เจ้าตัว “แค่รู้ว่าสิงห์ไม่ได้ตั้งใจก็ดีแล้ว หลังจากนี้ก็คอยทำบุญให้จัน ไฟไม่โทษสิงห์หรอก เพราะสิงห์เองก็ชดใช้ความผิดมาเยอะแล้ว”

ยอมแบกรับเรื่องทั้งหมดให้คนเกลียด ยอมห่างเขา ทำร้ายเขาที่เหมือนจะกลายเป็นการทำร้ายตัวเองทางอ้อม กลับไปอยู่ขุมนรกที่แม้แต่จะพูดก็พูดไม่ได้ จะเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเข้าใจ

“เรากลับมาเริ่มใหม่ได้ไหมสิงห์”

พอได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้สิงห์รู้สึกผิดขึ้นไปอีกจนได้แต่กำเสื้อคนรักไว้แน่น

“สิ่งที่สิงห์ทำมันเกินไปสำหรับไฟ สิงห์ไม่อยากให้ไฟต้องเจ็บปวด”

ไฟเกลี่ยแก้มอีกคน “ถ้าไฟต้องเจ็บปวดก็เป็นเพราะไม่ได้อยู่ข้างสิงห์” ก่อนจะจูบหน้าผากมน "อย่าหนีไฟไปไหนอีก อย่าไล่กันอีก อยู่ข้างกันต่อไปจะได้ไหม”

สิงห์เลื่อนแขนไปกอดพยักหน้าเป็นการตอบ

“คราวนี้อย่าให้ไฟต้องมาถามอะไรอีกนะ”

“อือ สิงห์จะไม่ปิดบังอะไรอีกแล้ว”





จบบทที่ ๒๐

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ยังมีคำผิดที่ต้องแก้อีกไว้ถ้าว่างจะไปแก้ให้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนที่รู้ความจริง ที่เคยบอกว่าที่ย้อนอดีตให้อ่านเพราะมันเกี่ยวโยงกับปัจจุบันค่ะ ทุกอย่างถูกตั้งให้เป็นแบบนี้หมดแล้ว อาจจะตกใจเล็กน้อย แต่ยีนส์คิดมาแบบนี้ตั้งแต่เริ่มแต่งค่ะ เครียดพอตัวเหมือนกันว่ามันจะดีไหม แต่สุดท้ายก็ทำให้เป็นเรื่องแบบนี้จะดีกว่า เอาตามที่เคยคิดเอาไว้ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตามเรื่องนี้นะคะ :pig4:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๒๑

กำจัดปลาน้อยอีกครั้ง



“ผมจะอธิบายให้ฟังนะครับ หมวดจะได้เข้าใจ” ภพพูดขึ้นขณะที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกพร้อมหน้าพร้อมตากับเทิดและสิงห์

ไฟมองไอเทิดที่หาตัวจับได้ยากมันดูนิ่งเงียบ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา อายุคงใกล้เคียงกับภพ ทั้งรอยแผลตามใบหน้าหรือลำแขนดูออกเลยว่าบุกบ่าฝ่าฟันมาเยอะ

“เทิดเนี่ยเป็นคนคอยตามสืบและเป็นสายลับ ๆ ให้พวกเรา รวมถึงเป็นสายให้สารวัตรโขม” ไฟพยักหน้าคนที่สารวัตรบอกเป็นสายลับคือคนนี้สินะ

“แต่ว่าวันที่สารวัตรโดนลอบฆ่าน่ะ เทิดบาดเจ็บพอดีคุณสิงห์เลยไปช่วยแทน”

“ก็ว่าอยู่ทำไมรู้สึกคุ้นเคย” ผู้หมวดหันมองคนรักที่คลี่ยิ้มบาง ๆ

“หากเจอกันภายนอกก็อย่าทำเป็นรู้จักกัน เพราะวงในจะรู้ว่าเทิดออกจากการเป็นลูกน้องของคุณสิงห์แล้ว”

“แล้วตอนนี้เทิดทำงานกับใคร” ไฟหันไปถาม

“ผมทำกับเสือเอี้ยง มันยังไม่ไว้ใจผม แต่มันก็รู้ว่าผมเองก็ไม่ชอบเจ้าสัวเลยรับผมไว้”

สิงห์ที่เห็นคนรักขมวดคิ้วไม่เข้าใจจึงอธิบายเพิ่ม “เพราะว่าเราต้องการให้เสือเอี้ยงรู้ว่าคนที่มันนับถือกำลังร่วมมือกับเจ้าสัวอยู่ เทิดจึงเป็นคนที่ช่วยเรื่องนี้ได้ ถึงแม้ว่าเสือเอี้ยงมันจะทำผิดกฎหมายแต่ก็อยากให้มาร่วมมือกัน เพราะคนของเราน้อยเกินไป”

“มันจะยอมหรือ”

“ต้องดูไปสักระยะ อย่างน้อยเรื่องที่ผมพูดกับมันเรื่องวีรกรรมหลวงศรีรวีชัยพวกมันก็ฟังบ้าง” เทิดเอ่ย

“แล้วเรื่องที่ว่าร่วมมือกัน รู้ตั้งแต่ตอนไหน”

“นานแล้ว ตั้งแต่ออกไปส่งของล็อตใหญ่กับพ่อ” สิงห์ยังจำได้ดีในวันนั้น...

 

พ.ศ.๒๔๗๐

รถขนของคันใหญ่ขับนำหน้า ตามมาด้วยรถJakobที่ไม่มีหลังคาขับตามโดยภพ และเบาะหลังที่มีเสี่ยพันธ์และลูกชายอย่างสิงห์นั่งอยู่ด้วยกัน

“มึงทำตัวให้ดีล่ะ” เมื่อถึงที่หมายเสี่ยพันธ์ก็สั่งลูกชายตนเองทันที

สิงห์พยักหน้าแม้ในใจจะหวั่น ๆ เพราะฟังเรื่องราวของคนนี้มาเยอะแต่ก็ยังเดินลงจากรถขนาบข้างกับผู้เป็นพ่อ

ภาพตรงหน้าคือคนนับสิบที่ถืออาวุธมากมายร่างกายบึกบึนสมกับที่ใคร ๆ ก็บอกว่าเจ้าสัวรับแต่พวกถึกทน

สิงห์หันมองคนที่กำลังเดินออกมา ร่างสูงใหญ่ใบหน้าขาวใสดั่งคนจีน ในหัวของสิงห์คือจะอ้วนลงพุง ดูขี้ริ้วขี้เหร่แต่กลับผิดคาดเมื่อพ่อตนยกมือไหว้สวัสดีคนตรงหน้า

“สวัสดีครับเจ้าสัว” สิงห์จำต้องยกมือไหว้ตามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“ของครบไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถาม

“ครบครับ” เสี่ยพันธ์เลียแข้งเลียขาเต็มที่สั่งให้ลูกน้องเปิดหลังรถให้ดู

เจ้าสัวพยักหน้าอย่างพอใจแล้วสายตาก็เบี่ยงเบนไปทางลูกชายที่ยืนมองอยู่ “ลูกชายที่ว่าหรือ”

สิงห์รีบก้มหน้าไม่กล้าสบตา “ใช่ครับ ลูกชายผมเองพามันมาดูงานเผื่อโตไปมันจะได้รับช่วงต่อแทนผม ก็เลยอยากให้รู้จักกับเจ้าสัวไว้ครับ” ไม่ว่าเปล่ายังดันตัวลูกชายให้ไปยืนข้างหน้า

“พอใช้ได้” เจ้าสัวลูบคางก่อนจะเดินมายืนประจันหน้า ขนาดตัวผู้ใหญ่กับเด็กต่างกันจนสิงห์ตัวสั่น “กลัวฉันเหรอ”

สิงห์กลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างนี้ หากเป็นไปได้ไม่อยากให้สนใจตนเลย

“อย่าเงียบสิวะ คุยกับเจ้าสัวสิ” เสี่ยพันธ์ตะคอก

“ไม่เป็นไร เด็กคงกลัว” เจ้าสัวยกมือห้าม

สิงห์เงยหน้ามองเห็นรอยยิ้มที่ดูไม่มีพิษมีภัย ทำให้เกิดนึกสงสัยว่าคนที่โหดร้ายขนาดนี้ทำหน้าอย่างนี้เป็นด้วยหรือ และสิงห์เองก็เข้าใจได้ทันที กับคำว่ารู้หน้าไม่รู้ใจมันมีอยู่จริง

“ฉันขอคุยกับเด็กคนนี้หน่อยได้หรือเปล่า”

“ได้ครับ ได้เลย” เสี่ยพันธ์ผายมือแต่เด็กหนุ่มกลับส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากพ่อตน

แน่นอนว่ามันไม่ได้ผล

“รู้จักหลวงศรีรวีชัยหรือเปล่า”

สิงห์หันมาอึกอักอยู่ครู่ถึงจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“งั้นหรือ ดีเลย” เจ้าสัวคลี่ยิ้ม เป็นยิ้มที่คนภายนอกไม่รู้ด้านมืดก็คงเป็นรอยยิ้มธรรมดาที่เหมือนยิ้มให้เด็ก แต่เพราะสิงห์รู้ความมืดดำในจิตใจของคนนี้... เลยให้ความรู้สึกน่าขนลุก น่าขยะแขยงกับรอยยิ้มนี้ขึ้นมาจนต้องถอยห่างเล็กน้อย

เจ้าสัวเลิกคิ้วก่อนจะจับแขนให้เด็กตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ “ฉันชอบกระซิบคุยกันมากกว่าเสียงดังให้ใครได้ยินนะ” ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นทันตามือหนากำรอบแขนจนสิงห์หน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บ

“ถ้าอยากร่วมมือกับฉัน ให้คุยกับหลวงศรีรวีชัยซะ พ่อแบบนั้นไม่ต้องเอาไว้หรอก” เจ้าสัวกระซิบ “ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามันให้ตาย แล้วเธอจะได้เป็นใหญ่เป็นโต”

สิงห์น้ำตาคลอแขนที่ถูกกำปวดจนชาและเริ่มอ่อนแรง เด็กหนุ่มกัดปากจนห้อเลือด ความกลัวกัดกินจิตใจจนทำเพียงส่ายหัวอย่างเดียว

“เด็กน้อย ชู่ว” เจ้าสัวใช้นิ้วแตะริมฝีปาก “ไม่ต้องกลัว ฉันเห็นแววตาของเธอนะ ถึงจะกลัวแต่ก็ยังมีความพยศ ฉันชอบแบบนี้แหละ ชอบคนที่กล้าทำสายตารังเกียจใส่ฉัน”

เจ้าสัวยิ้มมุมปากและพูดต่อ “ดีไม่ดี โตอีกนิดเธออาจจะเป็นคนปลิดชีพพ่อของตัวเองก็ได้ ใครจะไปรู้ และถ้าหากเกิดขึ้นจริงก็บอกหลวงศรีรวีชัยนะ”

สิงห์ก็ยังคงเป็นสิงห์แม้จะกลัวแค่ไหนแต่ก็จดจำคำพูดนั้นไว้ ว่าเจ้าสัวเหวยมันร่วมมือกับหลวงศรีรวีชัยมานานแล้ว

 

“แม่งเลวจริง ๆ” ไฟกำมือแน่น ไม่คิดเลยว่าสิงห์จะต้องเจออะไรแบบนี้โดยที่เขาไม่รู้ แค่เรื่องในบ้านก็แย่พอตัวแล้ว

“ไม่เป็นไรแล้ว” สิงห์กุมมือคนรักไว้ใช้นิ้วโป้งลูบให้คลายมือลง

“หลังจากนั้นคุณสิงห์ก็บอกท่านรองไว้ เพราะอย่างนั้นเกื้อเลยได้เข้ามาร่วมเป็นสายด้วยเพื่อจะได้ดูแลคุณสิงห์”

“จริงหรือ” ไฟตกใจเล็กน้อย

สิงห์พยักหน้า “จริง ๆ สิงห์ก็ไม่รู้ว่าจ่าเกื้อกับหมวดภพมีความสัมพันธ์กันยังไง คิดว่าจ่าเกื้อเป็นคนที่พ่อรับเข้ามาใหม่ ตอนนั้นก็ได้แค่สงสัย จนมารู้ความจริงตอนที่ประชุมวางแผนกันน่ะ”

ไฟทำหน้าเหลือเชื่อมีหลายเรื่องจนแทบรับไม่ทัน แต่พอนึกถึงคนเป็นพ่อของคนรักตั้งแต่มาก็ยังไม่เห็นหน้าเลย “แล้วเสี่ยพันธ์ไปไหน”

สิงห์เงยหน้ามองชั้นบนถึงจะหันกลับมา “พ่ออยู่บนห้องตลอด ไม่พูด ไม่กินอะไร ตอนแรกก็โวยวายจะออกไปให้ได้ แต่หลังจากนั้นก็เงียบอย่างเดียว”

“เห็นลุงธงบอกว่าเป็นอัมพาตหรือ”

“ใช่ อัมพาตท่อนล่าง เดินไม่ได้”

“เขารู้ความจริงเรื่องภพกับเกื้อหรือยัง”

สิงห์พยักหน้า “หลังจากรักษาได้สักพัก สิงห์ก็เป็นคนบอกกับเขาเอง”

“ไม่เป็นไรนะ” ไฟกุมมือคนรัก

“อือ มีไฟอยู่ตรงนี้ทั้งคน”

“อะแฮ่ม ๆ เอ่อ... คือผมจะแจ้งข่าว” เกื้อโบกมือไปมาหลังจากที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นานเพราะรอให้พูดคุยกันเสร็จเสียก่อน

“อ่อ ว่ามาสิ” สิงห์ยิ้มเล็กน้อยหันไปฟังเกื้อแม้มือยังกุมกับคนรักอยู่

“ไอเสี่ยตะวันมันกลบดานอยู่ที่ตลาดในเมือง จะไปจับมันไหมครับ”

สิงห์ขมวดคิ้ว “มันคิดจะอยู่ถ้ำเสือเพราะคิดว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดสินะ”

“ไม่แน่ มันอาจจะคิดว่าเจ้าสัวยังคุ้มกะลาหัวอยู่” ภพเอ่ยก่อนจะเป็นเทิดที่พูดต่อ

“หึ ถูกตัดหางปล่อยวัดตั้งแต่วันที่เราไปดักฆ่าแล้วมันคงไม่รู้ตัว”

สิงห์ทำหน้าจริงจังแล้วลุกขึ้นทันที “เทิดไปดูลาดลาว เกื้อไปบอกให้พวกสารวัตรโขมให้ไปช่วยเทิดอีกที ฉันกับภพจะไปดักทางลัดรีบตามมาด้วย ล่อพวกมันออกมาให้ห่างจากบ้านคนมากที่สุด หากมีเรื่องในนั้นเดี๋ยวชาวบ้านจะโดนลูกหลงไปด้วย”

“ครับ!”

“เดี๋ยว” ไฟรีบจับแขนคนรัก “ให้ไฟไปด้วย”

สิงห์พยักหน้า “ปิดหน้าปิดตาด้วย แค่หนวดปลอม ๆ มันดูง่าย”

“ได้”


 

พ่ายโลกันตร์

 


เมื่อถึงตลาดในเมืองที่ตอนนี้เงียบเชียบเนื่องจากไม่ใช่วันที่ต้องขายของ เทิดที่ปิดหน้าปิดตาตามส่องในห้องเช่า มีลูกน้องมันอยู่ข้างหน้าคนเดียว เทิดรอมันหันหลังก่อนจะย่องเสียงเบาไปใกล้ ๆ

อั่ก

เพียงแค่สะบั้นคอเท่านั้นก่อนที่เทิดจะรับร่างของมันไม่ให้ตกลงพื้น แบกไว้บนบ่าแล้วเอาไว้ที่ซอกเล็ก ๆ ไม่ให้ใครเห็น รวมถึงใส่เสื้อของมันและหมวกที่มันใส่อยู่ เพื่อจะปลอมตัวเป็นมันเข้าไปข้างในห้องเช่า

“เฮ้ยพวกมึง มีคนน่าสงสัยอยู่ทางปากซอยว่ะ” เทิดพูดเพียงเท่านั้นลูกน้องอีกสามคนก็วิ่งออกไปทันที

“ไอเหี้ยพวกนั้นมาอีกแล้วแน่ ๆ เลย”

เทิดขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นคนที่ต้องการ หากจัดการได้ในตอนนี้มันก็จะดีกว่า

“มีคนบุกมา!” เทิดถอนหายใจเมื่อพวกสารวัตรโขมมากันแล้วก่อนที่ตนจะทำเป็นวิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับพวกมัน

“รีบพาเสี่ยหนี!” หนึ่งในลูกน้องที่วิ่งออกไปพูดขึ้นก่อนที่เทิดจะวิ่งตามไปหาและพบว่าเสี่ยตะวันมันอยู่ในรถอยู่แล้ว

“มึงคอยยิงพวกมันเดี๋ยวกูพาเสี่ยหนี”

เทิดขมวดคิ้วเมื่อถูกสั่งอย่างนั้น “กูจะพาหนีเอง”

“อะไรของมึงวะ กลัวตายรึไง”

คนถูกพูดอย่างนั้นถึงกับหัวเราะ ใครกันแน่ที่กลัวตาย ทำเป็นเลียตีนเจ้านายปกป้องจนสุดชีวิตเพื่อจะได้เอาเงิน รู้ว่าเจ้านายใช้ตัวเองเป็นตัวล่อ หากตำรวจเข้าไปจับพวกมันในห้องเช่า เสี่ยตะวันที่เห็นความวุ่นวายก็คงบึ่งรถหนี ก็เหมือนกับมันที่หน้ามืดลงไปกับความชั่วใช้คนอื่นเป็นโล่ป้องกันตัวเองอีกที

“ถ้ามึงไม่กลัวตายก็ให้กูพาหนีสิวะ”

มันหัวเสียพอตัวจนคนในรถต้องชะโงกหน้าออกมา “ทำห่าอะไรกันอยู่วะ พ่อมึงแห่กันมาหมดแล้ว”

พอเห็นคนที่ต้องการเทิดค่อย ๆ จับปืนออกมา ก่อนจะหันปืนไปทางเสี่ยตะวัน

“เฮ้ย!” ลูกน้องคนเดิมรีบถีบเทิดออก แม้จะเตรียมยิงแต่กลับต้องหลบกระสุนของตำรวจแทบหัวหมุนจนต้องขึ้นรถแล้วขับออกไป

“แม่งเอ้ย!” เทิดต่อยพื้นด้วยความคุกรุ่นก่อนจะรีบลุกออกไปหลบพวกตำรวจ เพราะยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้

“ถูกยิงรึเปล่าวะไอเทิด” จ่าธงที่เห็นรีบแอบมาหา

“ไม่เป็นไรพี่ ไม่ได้ถูกยิง รีบล่อให้พวกมันไปทางคุณสิงห์เถอะ”

“เออ ๆ” จ่าธงตบบ่าแล้วรีบวิ่งออกไปทันที พร้อมบอกกับสารวัตรโขม

ตำรวจทุกนายต่างรีบขึ้นรถ ขับตามรถสามคันที่คล้ายกันเพราะการนี้ รอจนพ้นบ้านคนอื่นก็รีบยิงสกัดทันที

“สารวัตรครับมันแยกกันครับ”

“ตามคันนั้นไป” สารวัตรบอกคันที่ขับไปคันเดียวส่วนอีกสองคันให้พวกสิงห์เป็นคนจัดการเพราะมันไปทางสิงห์พอดี

เพียงไม่นานก็มีรถที่ขับมาสองคันทางนี้ตามที่คิดไว้ “มันมาแล้ว” สิงห์ที่นั่งหลบกับไฟอยู่กระบะหลังเอ่ยบอกก่อนจะเป็นคนหยิบกระสุนปืนใหญ่ใส่แล้วแบกขึ้นบ่า

ตู้ม!

เพราะรถมันขับมาอย่างเร็วจึงพลาดท่าจนรถทั้งสองหักเลี้ยวเข้าไปทางป่า สิงห์สบถแล้วโยนปืนใหญ่ออกก่อนจะตบหลังคารถ

“ตามมันไป!”

รถกระบะคันใหญ่ขับตามเข้าไปทันที เสียงปืนยิงกันระงม ด้านหน้ามีรถเก๋งอยู่สองคันที่กำลังพยายามขับหนีอย่างรวดเร็ว บุคคลที่ตายไปแล้วจากในข่าวหยิบระเบิดออกมา ดึงจุกมันออกแล้วเขวี้ยงไปด้านหน้าทันที

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับควันโขมง รถเก๋งคันหนึ่งเบี่ยงหลบจนไปชนต้นไม้ ก่อนที่ภพที่เป็นคนขับกระบะตามดึงเบรคจอดรถทันที

“ลงไปจับ” สิงห์ตะโกน เร่งให้ลูกน้องสองคนลงไปกักตัวพวกนั้นไว้ ก่อนที่สิงห์จะลงจากรถกระโดดขึ้นกระบะหลังของรถเกื้อที่ขับตามมาพร้อมกับรับปืนใหญ่จากไฟที่ขึ้นหลังรถตาม “ภพจัดการตรงนี้”

“ครับ” ภพพยักหน้ารีบออกจากรถและจ่อปืนให้คนในรถเก๋งสองคนลงมา เกื้อที่เห็นว่าตรงนี้เรียบร้อยแล้วจึงเร่งเครื่องขับตามรถเก๋งคันหน้าไป

สิงห์แบกปืนใหญ่ m1a1 ขึ้นบ่าอีกรอบ ก่อนที่ไฟจะยัดกระสุนใส่ให้ “เรียบร้อย” เพียงเท่านั้นสิงห์ก็หรี่ตาเล็งไปทางรถข้างหน้าที่เริ่มล่นระยะห่างเรื่อย ๆ จนถึงระยะพอดีก็ยิงปืนใหญ่ใส่ทันที

รถคันหน้าเกิดระเบิดจนรถพลิกคว่ำกลิ้งตะหลบและหยุดลงในที่สุด เกื้อรีบจอดห่างเล็กน้อยทั้งสามคนถึงจะลงไปดูคนด้านใน

“แม่ง มีแค่คนขับ ไม่ใช่ไอเสี่ยตะวัน” สิงห์สบถ ทุกคนที่ยืนอยู่ใส่ผ้าปิดหน้าปิดตาเพราะต้องการมาลอบฆ่าเสี่ยตะวันเพราะมันดันหนีรอดมาได้กับลูกน้องอีกห้าหกคนจากการจับผิดพลาดในวันที่มันไปส่งของที่ชลบุรี

“จะเอาไงต่อดีครับ” เกื้อถามขึ้น

“รอดูว่าสารวัตรจับทางนู้นได้ไหม แล้วก็ไปถามไอพวกที่จับได้ซะว่าเจ้านายพวกมันจะไปไหน”

“ครับ”

ไฟมองสถานการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้ใหม่ สิงห์ก็ไม่ใช่คนที่ดูใจดีอย่างเคยจนไฟได้แต่ขนลุกเกลียว ยามมองใบหน้านั้นเกรี้ยวกราดคิ้วที่ขมวดเข้าหากันตลอดเวลา แววตาดั่งสัตว์ร้ายที่ตามล่าเหยื่อ

“ขึ้นรถ” คล้ายลืมตัวสิงห์เลยสั่งคนรักตัวเองเสียงแข็งจนไฟรีบตอบรับขึ้นรถตามทันที

 


พ่ายโลกันตร์




โกดังใหญ่ที่เคยเอาไว้ตุนของบัดนี้กลับมีแต่ตำรวจที่มาเป็นสาย พร้อมลูกน้องของเสี่ยพันธ์ที่ยอมรับในตัวสิงห์มาอยู่ด้วย

ไฟมองทางสารวัตรโขมกับจ่าธงที่แต่งตัวปิดหน้าปิดตาเข้ามาอยู่ในนี้ด้วย เพราะทางสารวัตรก็ดันจับพวกมันพลาดเหมือนกัน

“พวกมึงออกไปดูต้นทาง เผื่อพวกไอมั่นยังอยู่” สิงห์สั่งลูกน้องของตนให้ออกไปทั้งหมดให้เหลือเพียงทีมลับเท่านั้นก่อนที่ดวงตาเรียวคมจะหันมาจ้องตัวการสองตัวที่จับมาได้และถูกมัดกับเก้าอี้ “คราวนี้ จะจัดการกับพวกมึงยังไงดี”

“อย่าทำอะไรฉันเลย”

“ใช่ ๆ ฉันจะบอกทุกอย่างแต่อย่าฆ่าฉันเลยนะ”

สิงห์เลิกคิ้ว ดูง่ายกว่าที่คิด “กูจะรู้ได้ไงว่าพวกมึงจะพูดความจริง”

“พูดสิ ฉันพูดแน่ เจ้านายอย่าทำอะไรฉันเลยนะ”

“ให้พวกฉันเป็นลูกน้องเจ้านายก็ได้นะ พวกฉันยอมทำตามทุกอย่าง”

“ได้” เพียงแค่สิงห์ตอบรับพวกมันก็ดีใจกันยกใหญ่ “ถ้าอย่างนั้นพวกมึงรู้กันไหมว่าเป็นพวกกูที่ไปลอบฆ่าตั้งแต่วันนั้น”

พวกมันมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าแล้วคนทางซ้ายมือเอ่ยตอบ “ไม่รู้เลยเจ้านาย พวกฉันก็คิดว่ามีสายไปบอกตำรวจ เสี่ยตะวันก็สงสัย”

“เอ้อ แต่เห็นบอกว่าสงสัยเจ้านายด้วย” คนทางขวาที่เพิ่งนึกได้พูดขึ้น

“แล้วมึงรู้ไหมว่าเจ้าสัวตัดหางเสี่ยตะวันแล้ว”

“จริง ๆ พวกฉันก็ไม่เชื่อ แต่พอเสี่ยตะวันพูดว่าเจ้านายไปลอบฆ่าพวกฉันสองคนเลยคิดว่าจะหนีกันแล้วปล่อยให้เสี่ยตะวันไปกับคนอื่น พวกฉันจะได้หนีสบาย”

“ก็ไม่ได้โง่หนิพวกมึง” เทิดพูดขึ้น

“หุบปากไปเลยมึง”

“เอาล่ะ ๆ” สิงห์ยกมือปราม “แล้วรู้ไหมว่าเสี่ยตะวันจะไปที่ไหนอีก”

คราวนี้พวกมันมองหน้ากันด้วยความกลัวเล็กน้อย สีหน้าดูเคร่งเครียดก่อนที่คนซ้ายจะเริ่มตอบ “ม...ไม่รู้เลยครับเจ้านาย”

สิงห์ลูบคาง “แน่ใจนะ”

“ครับ” พวกมันตอบเสียงเบาพร้อมกับหลบตา

“เสี่ยตะวันไม่ได้บอกอะไรพวกมึงแน่ใช่ไหม” สิงห์ถามย้ำอีกครั้งเพื่อกดดันก่อนที่ภพและเกื้อจะเดินเข้าล้อมพร้อมกับของมีคมเพื่อให้รู้ว่าถ้าไม่บอกจะไม่ฆ่าให้ตายแต่จะทรมานจนกว่าจะพูด

“คือ...บอกแค่ว่าจะไปหาคุณหลวงรวีชัย”

“มึงจะพูดทำไม” คนทางซ้ายรีบด่า

“ไม่เห็นต้องปิดกันเลยหนิ” สิงห์กอดอก “คุณหลวงก็เปรียบเสมือนพ่อกู คิดหรือว่าท่านจะฟังคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง”

“ไม่เลยเจ้านาย ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะ” คนทางซ้ายเอาหน้าอีกคราแม้จะเสียไปแล้ว

“งั้นกูขอถามครั้งสุดท้าย พวกมึงจะยอมกลับตัวกลับใจไหม ถ้ากูบอกว่าจะช่วยพวกมึงหากมาช่วยพวกกูจับพวกนั้นเข้าคุก”

พวกมันตกตะลึง “เจ้านาย... ไม่ได้เลิกเป็นตำรวจหรอกเหรอ”

สิงห์เหลือบตามองสารวัตรชั่วครู่ “ใช่ กูยังเป็นตำรวจ หากพวกมึงช่วยกูจับ กูจะลดโทษให้และพวกมึงต้องกลับตัวกลับใจไม่ทำชั่วอีก ต้องรับผลตามกฎหมาย”

“พวกฉัน...”

“หรืออีกทางเลือก มึงจะไปไหนก็ได้ แต่ห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกเสี่ยตะวัน”

“ฉัน ๆ ขอไป”

“ใช่ฉันด้วย”

“จะหนีไปและไม่บอกใคร แต่ต้องไม่ปล้นหรือฆ่าใครอีกด้วยนะ”

คราวนี้พวกมันเงียบอีกครามองหน้ากันอยู่นานก่อนที่คนซ้ายจะยิ้มและตอบ “ได้ครับเจ้านาย”

“อืม เข้าใจแล้ว” สิงห์พยักหน้าเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เสแสร้งนั่นและผงกหัวให้เกื้อกับภพแก้มัดพวกมัน “พวกมึงเลือกเองนะ”

พวกมันดีใจยกมือไหว้กันให้ว่อง ทั้งคู่รีบเดินตรงไปประตูโกดังก่อนจะเป็นสิงห์ที่หยิบปืนมายิงพวกมันกลางหัวอย่างแม่นยำโดยที่พวกมันก็ไม่รู้ตัว

ไฟตกใจนิ่งค้างกับสิ่งที่เกิดทันทีเมื่อไม่คิดว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ “ทำไมทำอย่างนั้นล่ะสิงห์”

สิงห์ชะงักหันมองทางคนรัก แววตาที่เหมือนสัตว์ค่อย ๆ คลายลง “สิงห์ต้องปิดปากไม่อย่างนั้นพวกมันคงเอาไปบอกเสี่ยตะวัน”

“ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ พวกมันก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าจะหนีไปไม่บอกใคร”

“คือสิงห์...”

“ใจเย็นเว้ย” จ่าธงถอดผ้าปิดปากออกแล้วบีบบ่าหลานชาย “มันจำเป็น ดูก็รู้แล้วว่ามันยังไม่เลิกก้มหัวให้ไอเสี่ยตะวัน คนคิดได้อะไรจะตัดสินใจนานก็แค่บอกว่าห้ามไปฆ่าไปปล้นอีก มันยังช่างใจกันอยู่เลย”

“หมวดอย่าลืมว่าที่นี่ยังมีพวกของมั่นที่คอยจับตาสิงห์อยู่ หากปล่อยมันไว้ที่นี่พวกมันอาจสงสัยได้ หรือต่อให้จับไปขังคุกก็ต้องมีคนไปแหกคุกพวกมันออกมาและยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีกว่าตำรวจรู้ที่อยู่ได้ยังไง” สารวัตรพูดด้วยสีหน้าหนักใจ

“แล้วทำแบบนี้มันต่างอะไรกับสิ่งที่พวกมันทำกัน”

“ผมไม่เข้าใจหรอกนะกับสิ่งที่หมวดพูด แต่พวกมันไม่มีความเป็นคนแล้ว มันเห็นแต่ตัวเอง รอดไปได้ก็ยังคงสันดานเดิม กลับไปฆ่าคน ข่มเหง ปล้น ไม่สนแม้แต่ว่านั่นจะเด็กหรือคนแก่”

“กฎหมายมันไม่ยุติธรรมแล้วในยุคนี้ ยุคที่มีแต่โจรเป็นผู้นำทั้งนอกและในข้าราชการ” ภพพูดขึ้นต่อ

ไฟเงียบลงทันตา แม้จะปฏิเสธไม่ได้ แต่ทำไมต้องเป็นสิงห์ที่ทำ “ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังทนกับสภาพอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเริ่มต้นจับพวกมันได้แล้ว ในเมื่อก็มีหลักฐานมากมายขนาดนั้นจะปล่อยไว้ทำไม”

“หลักฐานเอาไปให้ตอนนี้ก็เสียเปล่า เราต้องทำทีละขั้นตอน เราใช้เวลามาหลายปีแล้วก็จริงแต่ทุกเวลาที่เราทำกันกว่าจะจับจุดหรือหาหลักฐานมันไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะรู้แต่ละเรื่องเราผ่านอะไรกันมาเยอะ แต่มันจะจบแน่นอน” สารวัตรโขมพูดขึ้น

“แม้จะไม่ได้เป็นตำรวจแต่ผมก็ถือว่าอยู่ในทีม ในเรื่องเสือเอี้ยงอย่างที่บอกไปผมเพิ่งจะได้เข้าไปคุยก็เมื่อไม่นาน เพราะผมต้องตระเวนไปเป็นสายที่อื่นกว่าจะมาเป็นคนที่ขัดใจกับคุณสิงห์มันยาก” เทิดอธิบายเสริม

“พวกผมยังไม่อยากให้หมวดไฟต้องเร่งรีบเข้าใจพวกเรา แต่หมวดไฟช่วยฟังพวกผมหน่อยนะ คุณเป็นตำรวจเหมือนกันก็น่าจะรู้ดีว่างานบางงานมันยากจนต้องใช้เวลาวางแผนกันนับหลายปี เหมือนกับงานนี้ถือว่าเป็นงานใหญ่งานหนึ่ง ที่เราต้องจับตัวการใหญ่ที่เปรียบเสมือคนคุมจังหวัดนี้ กับตัวการใหญ่ที่มันเป็นข้าราชการ เส้นสายมีเยอะและโยงกันไปทั่ว มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ต้องเร่ง ๆ แล้วให้จับเลย” ภพพูดต่อ

“บางเรื่องมันก็หนักอย่างที่เอ็งว่านะ แต่ไม่มีใครเขาต้องการแบบนี้มันแค่ต้องทำเท่านั้น เพื่อคนอื่นแล้ว เราจะทนทุกข์แบบนี้ก็ไม่แปลก สาบานกินน้ำลอยมะลิไปแล้วหนิว่าจะปกป้องประชาชน” จ่าธงตบหลัง “ถึงจะโหดร้ายไปหน่อย แต่ถือว่าข้าคนหนึ่งขอไม่นับไอพวกมารสังคมว่าเป็นประชาชนที่ต้องปกป้อง”

“แบบนี้มันดีแล้วหรือ” ไฟถามย้ำเสียงเบา

“ข้าไม่ได้บอกว่ามันดี มือเปื้อนเลือดขนาดนี้ถึงจะเป็นตำรวจมันก็เหมือนเป็นฆาตรกรไปแล้ว” จ่าธงถอนหายใจ “อย่างน้อยไอคนที่มันกลับใจจริง ๆ และไม่คิดจะทำตั้งแต่แรกพวกมันก็ยอมมาช่วยเป็นสาย บ้างก็หลบหนีที่ถูกพวกเจ้าสัวตามล่าแล้วขอให้สิงห์มันดูแลลูกเมีย หลังจากจบเรื่องถึงจะมามอบตัว ข้าบอกเลยว่าที่หลบซ่อนของไอสิงห์มันจะเหมือนรับเลี้ยงคนไร้บ้านแล้ว เราไม่ได้ฆ่าใครเรื่อยเปื่อย ฆ่าเพราะจำเป็นเท่านั้น”

ไฟก้มหน้าขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้ามองทางคนรักที่ดูก็เสียใจกับสิ่งที่เกิด “เพราะมีเรื่องแบบนี้ถึงไม่อยากบอกผมด้วยหรือเปล่า”

จ่าธงยักไหล่ “มันก็เกี่ยวล่ะนะ เอ็งมันก็ตามคนไม่ทัน ถ้าเอ็งมองและสังเกตดี ๆ เอ็งก็น่าจะรู้ว่าพวกมันสองคนน่ะไม่มีวันทำตามที่สิงห์บอกหรอก ก็เหมือนกับที่เอ็งฆ่าพวกโจรเพราะรู้ว่ามันต้องกลับไปทำอีกนั่นแหละ มันไปไหนแล้ววะไอหมวดไฟที่ไม่ปราณีโจรสักตัวน่ะ”

“ไอไฟคนนั้น... มันคงหายไปตั้งแต่เกิดเรื่องนั่นแหละ” ไฟพูดพร้อมกับมองคนรักที่หันมามองกัน

จ่าธงมองทั้งคู่สลับกันแล้วผละออก “เอาล่ะ ไว้ไปคุยกันเอาเอง พวกข้าไปก่อน”

ทุกคนต่างแยกย้ายตามที่จ่าธงว่า ส่วนศพจ่าธงกับสารวัตรรวมถึงเทิดออกไปด้วยกันเพื่อนำไปเผา ส่วนภพกับเกื้อจัดฉากว่าลองปืนเพื่อไม่ให้พวกของไอมั่นสงสัย

“ขอโทษนะ” หลังจากที่เข้ามาในห้องและไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกสิงห์ก็เอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยความอึดอัด “สิงห์ทำเกินไปจริง ๆ”

ไฟที่เพิ่งถอดหนวดออกเหลือบตามองคนรักผ่านกระจก “ไฟแค่ไม่อยากให้สิงห์ต้องมาแบกรับเรื่องพวกนี้”

“สิงห์รู้...”

ผู้หมวดหนุ่มถอนหายใจลุกขึ้นไปนั่งปลายเตียงข้างคนรัก “ต้องทนมาตั้งกี่ปี เหนื่อยมากไหม”

เพียงคำพูดนี้คนฟังกลับน้ำตาคลอ มือหนาที่ลูบแก้มมันกลับช่วยให้อุ่นวาบไปทั่วอก “เหนื่อยมาก... เหนื่อยเหลือเกิน”

ไฟเกลี่ยน้ำตาออกพรหมจูบอย่างอ่อนโยนและให้ไหล่เป็นที่พักพิง “ไม่เป็นไรนะ ไฟอยู่กับสิงห์แล้ว ไม่ต้องแบกอะไรไว้คนเดียวแล้วนะส่งมันมาให้ไฟบ้าง... ให้ไฟได้ช่วยแบกรับมันด้วย”

สิงห์พยักหน้ามือเรียวขย้ำเสื้อคนรักปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่ทนรับมาตลอดหลายปี เป็นการร้องไห้ที่ไม่กลั้นเสียงเป็นครั้งแรก และมันช่างสบายใจยิ่งกว่านั่งร้องไห้ในห้องคนเดียวเงียบ ๆ เป็นไหน ๆ





จบบทที่ ๒๑

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นี่คือหน้าตาของรถ Jakob (ov4, "jakob",pv4 sedan introduce) นะคะ ผลิตขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ.1927 หรือเทียบเท่า พ.ศ.2470 ของไทยค่ะ เอามาเป็นหน้าตาให้ดูเผื่อใครนึกภาพไม่ออก แม้ไทยเราจะไม่ได้รับรถคันนี้เข้ามาจริง ๆ
อยากเห็นรูปจิ้มตรงนี้


ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทที่ ๒๒

ถูกสงสัย

 


ผลัดไปอีกวันมีสารนัดคุยจากหลวงรวีชัย สิงห์จำเป็นต้องไปตามนัด คงจะพูดเรื่องที่เสี่ยตะวันโดนตามล่า ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าให้ภพและเกื้อ

“เกื้อไปเตรียมรถซะ”

“ครับ”

“ส่วนไฟต้องไปอีกคันนะ” หันมองคนรักที่ปกปิดตัวเองด้วยหนวดเหมือนเดิม

“มันจะรู้หรือเปล่าว่าเป็นพวกสิงห์” ไฟขมวดคิ้ว

“อาจจะรู้แต่คงไม่แน่ใจ แต่ไอตะวันมันคงไม่มีหลักฐาน เพราะวันที่ถูกตามล่าก็เป็นพวกตำรวจเท่านั้นที่มันเห็น”

“แต่เห็นเทิดด้วยไม่ใช่หรือครับ” ภพถามขึ้น

สิงห์หน้าเครียด “จริงด้วยสิ เทิดจะฆ่าได้อยู่แล้วก็ดันพลาด แต่ยังดีเพราะไอตะวันมันจำหน้าเทิดไม่ได้ อาจจะคิดว่าเป็นพวกสายตำรวจก็ได้”

“ลูกน้องมันก็บอกว่าสงสัยคุณสิงห์แบบนี้ หมายความว่าที่ผ่านมาพวกมันไม่ได้เชื่อใจคุณสิงห์เต็มร้อยเลย”

“นั่นน่ะสิ ก็ยากหน่อยนะคนเคยเป็นตำรวจ อีกอย่าง... จันที่เคยเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นถูกฉันฆ่าคงสงสัยกันอยู่บ้าง”

ไฟเผลอเสหน้าหลบเมื่อได้ยินชื่อของเพื่อนที่ล่วงลับไปแล้ว เขาพรูลมหายใจเมื่อคิดได้ว่ามันคงไม่กลับมาแล้ว

“ไปกันเถอะ” เมื่อเกื้อขับรถมาจอดเทียบหน้าบ้านสิงห์ก็เอ่ยสั่ง ก่อนที่ไฟจะไปนั่งรถอีกคัน

เพียงไม่นานก็มาถึงเรือนของหลวงรวีชัย เกื้ออ้อมมาเปิดประตูให้อย่างเคย สิงห์เดินขึ้นเรือนทันทีโดยไม่ต้องโดนสั่งห้ามเปรียบเสมือนที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง

มองเห็นหลวงรวีชัยที่นั่งอยู่กับตัวการที่กำลังพูดอะไรไม่หยุดก่อนจะชักสีหน้าใส่คนมาใหม่พร้อมกับเงียบลงไป

“เรียกกระผมมาทำไมหรือขอรับ” สิงห์เอ่ยถามและนั่งลงตรงข้าม

“ได้รู้เรื่องที่เสี่ยตะวันถูกลอบฆ่าไหม”

คนถูกถามพยักหน้า “ได้ยินมาบ้างขอรับ แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะเสี่ยตะวันหรือจะให้ฉันช่วยคุ้มกัน?” สิงห์ถามลองเชิง แต่ดูออกว่ามันไม่ได้ต้องการอย่างนั้น เพราะมันสงสัยในตัวเขาอยู่

“เหอะ ให้คนที่คิดจะฆ่ากูมาช่วยกูน่ะเหรอ”

“สำรวมหน่อยนะ” หลวงรวีชัยจ้องเขม็งมันถึงจะเงียบปาก “ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีสายตำรวจเยอะ ถึงจะไม่ได้คุยกันบ่อยแต่อย่างน้อยเสี่ยตะวันก็เป็นถึงคนเคยคบค้าสมาคมด้วย เลยอยากให้สิงห์ช่วยลุงหน่อย”

“ช่วยอะไรหรือขอรับ”

“หาสายตำรวจที่มันคอยสืบเสี่ยตะวัน”

สิงห์เงียบลงมองทางเสี่ยตะวันที่ดูตกใจเหมือนกัน “ได้สิขอรับ”

“แต่คุณหลวง กระผมไม่สามารถไว้ใจมันได้”

“ถ้าไว้ใจสิงห์ไม่ได้ ก็หมายความว่าไว้ใจฉันไม่ได้สินะ”

เสี่ยตะวันหน้าซีดเผือด เหงื่อตามขมับไหลออกมา มองคนตรงข้ามที่นั่งมองด้วยใบหน้าเรียบนิ่งขนก็ลุกซู่ขึ้นมาอย่างน่าแปลก ทำไมถึงมีความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยขึ้นมากันนะ สายตาของคนคนนี้น่ะหรือคือคนเดียวกับเด็กอายุสิบแปดเมื่อวันนั้น อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าตอนที่มันยังเด็กเขาไม่กลัวมันเลย แต่ตอนนี้ดูแตกต่างเกินไป

ถึงมันจะฉลาดเหมือนเดิมที่ทำเขาเสียศูนย์ แต่ก็เพิ่มมาด้วยความโหดเหี้ยมที่คิดว่าคนอย่างมันก็ทำได้โดยไม่ต้องนึกคิดให้เสียเวลา

“ผม...”

“เสี่ยตะวันน่าจะรู้แล้วนะว่าเจ้าสัวเขาตัดหางแล้ว” เพียงหลวงรวีชัยพูดเท่านั้นเสี่ยตะวันก็ถึงกับจุกไปทั้งอก “ฉันเห็นว่าเสี่ยตะวันเคยดีกับฉันมาก่อน ฉันจึงช่วยแล้วยังให้หลานของฉันมาช่วยอีกแรง เสี่ยตะวันจะไม่รับน้ำใจก็ไม่เป็นไรนะ แต่เสี่ยคงรู้... ว่าหลังจากที่เสี่ยไม่มีใครคุ้มกะลาหัวจะเป็นยังไง”

คนถูกขู่กลืนน้ำลายมองแววตาดั่งสัตว์ร้ายก็ได้แต่กำมือแน่นก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ถูกกำหนดโดยคนอื่น “เข้าใจแล้วขอรับ”

“อืมก็ดี อยู่กับสิงห์ไม่ถูกลอบฆ่าง่าย ๆ หรอก” หลวงรวีชัยพูดก่อนจะหันมายิ้มให้คนตรงข้าม “ใช่ไหมหลานรัก”

สิงห์ยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ใส่หน้ากากเข้าหาดั่งเช่นเคย “ขอรับคุณหลวง”

“เอาเป็นว่าเสี่ยตะวันจะอยู่ที่นี่ก่อน ถ้าออกไปไหนจะให้ลูกน้องสิงห์พาไป”

“ขอรับ...” เสี่ยตะวันได้แต่จำยอม แน่นอนว่าเขาไม่ออกไปไหนแน่ อย่างน้อยก็อุ่นใจได้อยู่ที่เรือนคุณหลวง

“ถ้างั้นเสี่ยตะวันไปพักเสียเถอะ ฉันจะคุยธุระอีกนิดหน่อย”

“ขอรับคุณหลวง” เสี่ยตะวันก้มหัว ก่อนจะลุกออกไม่วายหันมองคนตรงข้ามด้วยสายตาเกลียดชัง

“ทำไมคุณหลวงถึงยังปกป้องมันอยู่” สิงห์ถามขึ้นทันทีเมื่อมันเดินออกไปแล้ว

“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าเสี่ยตะวันก็ดีกับลุง”

“แน่หรือขอรับ ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นจนมันถูกจับตัวไปแล้วปล่อยความลับของเราขึ้นมา มันจะแย่เอานะขอรับ”

“ฮ่ะ ๆ ช่างมันเถอะ ลุงบอกแล้วว่าถ้าได้สิงห์ช่วยคงไม่ถูกจับง่าย ๆ หรอก”

สิงห์ขมวดคิ้ว “คุณหลวงก็สงสัยกระผมหรือขอรับ”

คนที่หัวเราะเมื่อครู่เงียบไปแต่ก็ยังคงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

“เพราะถ้าเป็นปกติแล้ว คุณหลวงคงจะเก็บมันทันทีไม่มาช่วยอะไรแบบนี้ ในเมื่อมันไร้ประโยชน์ต่อคุณหลวง หรือเพราะคุณหลวงเชื่อว่ากระผมไม่น่าไว้ใจดั่งที่มันบอก”

หลวงรวีชัยหุบยิ้มสีหน้าเปลี่ยนทันที “ลุงไว้ใจเอ็งนะสิงห์ แต่ลุงก็ต้องให้เอ็งสร้างความเชื่อใจอีกครั้งโดยการช่วยเสี่ยตะวัน”

สิงห์พยักหน้าแล้วเอนหลังพิง “ความคิดนี้เป็นของเจ้าสัวหรือขอรับ”

พอได้ยินอย่างนั้นหลวงรวีชัยก็ขมวดคิ้วแต่ไม่พูดอะไร

“กระผมยอมรับนะว่านับถือเขา แต่เขาจะไม่เชื่อใจคนที่ทำงานด้วยมานานก็ดูจะยโสโอหังกันเกินไปแล้ว ดีไม่ดีต่อไปเขาอาจจะไม่เชื่อใจแม้กระทั่งคุณหลวง”

“พูดเยอะไปแล้ว” คุณหลวงดูกลัวเล็กน้อย

“กระผมแค่พูดในสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ คุณหลวงคิดดูนะ ทุกวันนี้ใครกันที่ถูกสนับสนุนมากที่สุดจากท่านอธิบดีวาริน”

“อธิบดีวารินก็ต้องสนับสนุนทุกคนอยู่แล้ว”

“จริงหรือขอรับ กระผมบอกเลยนะว่าที่กระผมยังดีกับเจ้าสัวได้ ก็เพราะคุณหลวงทั้งนั้น ถ้าเกิดมันหักหลังขึ้นมาล่ะก็ กระผมคงไม่ยอมรามือแน่ เพราะมันมาทำลายผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลุงของกระผม”

หลวงรวีชัยดูเครียดเล็กน้อย “แต่อย่างน้อยก็มีพวกเสือเอี้ยงช่วยถ้าเกิดอะไรขึ้นมา”

“คุณหลวง” สิงห์ทำสีหน้าเหมือนเห็นใจเต็มประดาถึงแม้ในใจอยากจะยัดลูกกระสุนใส่สมองของมัน “แล้วถ้าเกิดพวกเสือเอี้ยงมันรู้ว่าคุณหลวงร่วมมือกับเจ้าสัวขึ้นมา คิดหรือว่ามันจะช่วยในเมื่อมันถูกหลอกมาตั้งหลายปี”

“แล้วเจ้าสัวจะหักหลังลุงทำไม เพราะลุงก็ยังช่วยอะไรได้หลายอย่าง ยังช่วยเรื่องที่จะให้เป็นนายกได้”

“คุณหลวงคิดกับเสี่ยตะวันยังไง เจ้าสัวก็คงคิดอย่างนั้นกับคุณหลวง” สิงห์ส่ายหน้าอย่างนึกเพลียใจ “นี่ล่ะหนาความคิดคน กระผมน่ะอยากให้คุณหลวงคอยระวังตัวเอาไว้ คนที่ถูกเขี่ยทิ้งคนต่อไปอาจจะเป็นคุณหลวงก็ได้ อย่างเจ้าสัวน่ะคงทำได้ง่าย ๆ”

หลวงรวีชัยกัดฟันกรอดยังคิดหนักอยู่อย่างนั้น สิงห์ได้ใจจึงคลี่ยิ้มชั่ววิถึงจะทำสีหน้าจริงจัง

“ขนาดกระผมที่ช่วยงานเจ้าสัวตั้งเยอะเขายังไม่ไว้ใจกระผมเลย ยังให้คุณหลวงรับภาระในการดูเสี่ยตะวันอีก ไหนจะท่านอธิบดีวาริน... ก็อย่างที่คุณหลวงรู้ว่าท่านอธิบดีน่ะหากใครที่ดูมีอำนาจมากกว่าก็พร้อมย้ายฝั่งอยู่แล้ว” สิงห์ถอนหายใจ “คุณหลวงจะคิดยังไงก็แล้วแต่เลยนะขอรับ กระผมไม่บังคับ แต่กระผมจะอยู่ข้างคุณหลวงเสมอ” คนมาตามนัดเตรียมลุกออกก่อนจะยืนนิ่งเมื่อถูกเรียก

“เดี๋ยว” หลวงรวีชัยเงยหน้าแกเครียดอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเอ่ยบอกในสิ่งที่สิงห์ก็พอจะเดาได้ “จริง ๆ เจ้าสัวสงสัยเอ็ง อธิบดีวารินก็เช่นกัน”

สิงห์ผงกหัว “ขอบพระคุณมากขอรับที่บอกกัน กระผมไม่สนใจหรอกขอรับว่าใครจะสงสัยในตัวกระผม เพียงแค่คุณหลวงเพียงคนเดียวที่ไม่สงสัยในตัวกระผมก็เพียงพอแล้ว”

“ลุงไม่ได้อยากสงสัยเอ็งเลยนะ ลุงเห็นเอ็งเหมือนลูกเหมือนหลานแท้ ๆ แต่ลุงต้องทำเพราะเจ้าสัวสั่งมา”

คนถูกตั้งสถานะอยากจะสำรอกออกมาแต่ก็ต้องทำเพียงเค้นยิ้ม “กระผมก็เห็นคุณหลวงเปรียบเสมือนพ่อเช่นกันขอรับ”

พูดเพียงเท่านั้นสิงห์ก็ขอตัว เมื่อขึ้นรถได้สิงห์ก็มีแววตาเรียบเฉยทันที “ก็พอจะเดาได้ว่าพวกมันสงสัยฉัน แต่คงจะสายเกินไปที่จะสงสัยแล้วล่ะ”

“แล้วเรื่องไอตะวันจะเอาไงหรือครับ” ภพถามขึ้น

“ปล่อยมันไปก่อน ในเมื่อเล่นแบบนี้ฉันก็จะยอมตามน้ำไป แต่ก็ต้องเด็ดหัวอะไรที่ใหญ่กว่าไอตะวันให้ได้ในระหว่างที่มันพุ่งความสนใจมาแค่เรื่องนี้”

“ใครหรือครับ” ภพถามย้ำ

“ไอทัพ”

“จะดีหรือครับ” เกื้อตกใจไม่น้อย

“คงต้องขอความช่วยเหลือจากคนคนหนึ่ง”

ภพขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจ “แต่ว่าเทิดเพิ่งจะได้คุยกับพวกนั้นนะครับ”

สิงห์ยิ้มมุมปาก “ ถ้าเป็นไอทัพ เสือเอี้ยงต้องยอมอยู่แล้ว เสือเอี้ยงมันรู้แค่ว่าไอทัพเป็นพวกเดียวกับเจ้าสัว ไหนจะเคยทำลายชุมชนที่เสือเอี้ยงเคยอยู่ ฉันจะให้เทิดไปลอบฆ่า อย่างน้อยเสือเอี้ยงมันคงช่วย”

“มันอันตรายนะครับ พวกปลาใหญ่มันคงจะเริ่มเคลื่อนไหวหนักกว่านี้”

“มันได้นกหลายต่อนะ นอกจากจะกำจัดไอทัพได้แล้ว พวกอธิบดีวารินกับเจ้าสัวคงเพ่งเล็งไปที่เสือเอี้ยง ถึงมันจะดูไม่ดีหน่อย แต่คนที่แตกหักก็คงจะเป็นหลวงรวีชัยกับเจ้าสัว รวมถึงถ้าเสือเอี้ยงรู้ความจริงว่ามันถูกหลวงรวีชัยหลอก หลวงรวีชัยก็จะไม่มีใครคุ้มกะลาหัว กำจัดมันได้อีกหนึ่ง อย่างน้อยถ้าเกิดได้เสือเอี้ยงมาเป็นพวกคงสู้กับพวกเจ้าสัวไหว เพราะนนท์ก็จัดการให้ที่พระนครร่วมกับท่านรองอนงค์อยู่แล้ว”

“อ่า สุดยอดจริง ๆ ครับ” เกื้ออดชมไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นทางท่านรองจะไปเปิดโปงเรื่องของอธิบดีวารินพร้อมกับสารวัตรนนท์หรือครับ”

“ใช่ หลักฐานเรื่องไอทัพก็เช่นกัน ในวันที่ประชุมกันฉันคิดไว้ว่าวันที่ต้องปะทะกับเจ้าสัวต้องเป็นวันเดียวกับที่ท่านรองอนงค์และนนท์ไปให้หลักฐานกับทางอัยการเรื่องของไอทัพและวาริน พวกมันจะได้ไม่ต้องมาช่วยเหลือเจ้าสัวทัน”

ภพพยักหน้า “เรื่องนี้ก็คิดมานานแล้วใช่ไหมครับ”

“อืม ฉันกับนนท์คิดเผื่อแผนล่ม ถ้าทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จก็คิดแผนสำรองมาไว้ตลอด จะได้จับพวกมันได้สักที”

“แล้วถ้าเกิดมันไม่เป็นไปตามนั้นล่ะครับ หากพวกเสือเอี้ยงไม่ยอมช่วยเทิดเพราะงานใหญ่เกินไป”

สิงห์คิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “ก็ทำให้มันรู้ซะว่ามันถูกหลวงรวีชัยหลอก หลังจากนั้นก็คงต้องขอความร่วมมือให้มันทำเป็นญาติดีกับหลวงรวีชัยไปก่อน จากนั้นก็เด็ดหัวไอทัพกัน ไม่ว่าตอนนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น การเด็ดหัวไอทัพก็พาให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนเราหมด”

“แบบนี้จะไม่เป็นปัญหาหรือครับ ทำเกินกว่าเหตุอย่างนี้”

“ถ้าเป็นเรื่องไอทัพ ทางกรมตำรวจคงทำอะไรไม่ได้เพราะคนที่ฆ่าคือโจร ส่วนเราก็แค่เอาหลักฐานเรื่องไอทัพไปให้ เรายังมีอธิบดีอัยการที่ช่วยเรื่องนี้อยู่ ดีนะที่หลวงศักดิ์กลมคอยดำเนินเรื่องให้แม้จะออกจากตำแหน่งอธิบดีไปแล้ว”

“เสียดายอย่างเดียว ไอทัพดันขึ้นมารับตำแหน่งแทนท่านรอง” เกื้อส่ายหน้า

“แต่ก็มีอีกแผน หลังจากเด็ดหัวไอทัพแล้ว พอหลวงรวีชัยไม่มีคนคุ้มกันก็จับเป็นไว้และพาส่งศาลพร้อมกับหลักฐานของพวกไอทัพและไอวาริน หลังจากนั้นเจ้าสัวมันก็จะเตรียมหนีเพราะไม่มีตำรวจช่วย ทางเราที่เหลือจะดักพวกมันไว้ ให้มันคิดว่าเรากำลังทำเรื่องศาลอยู่ไม่มีเวลามาไล่จับมันทัน”

“เหมือนดักมันได้ทุกทางเลยครับ”

“ก็เรามีหลักฐานกันครบแล้ว เหลือก็แค่เวลาที่ต้องรอจะทำลายพวกมัน ก็คงต้องบอกล่ะนะว่าขึ้นอยู่กับพวกเสือเอี้ยง”

“ผมรู้นะว่าพวกคุณวางแผนเก่ง แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่สำเร็จหากเราพึ่งแต่เสือเอี้ยง”

สิงห์พยักหน้า “ฉันเองก็ไม่อยากต้องพึ่งโจรหรอกเพราะเราเป็นตำรวจก็ต้องทำด้วยตัวเอง แต่ยังไงก็ตามเราก็ต้องเอาเสือเอี้ยงมาเป็นพวกให้ได้ เพราะตำรวจด้วยกันเองที่จะช่วยก็มีไม่เยอะเลยสักนิด เพราะเลียขาคนยศใหญ่ที่ทำชั่วกันหมด”

รู้สึกขมขื่นที่ต้องพูดอย่างนั้นแต่มันคือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เงินทองมันคงหอมหวานมากถึงได้หน้ามืดตามัวลุ่มหลงไปกับอำนาจ สิงห์คิดไม่ตกว่าหากเรากำจัดพวกนี้ไปได้ ในภายภาคหน้ามันจะมีอีกหรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยกันมาตั้งขนาดนี้ พวกเขาคงอยู่ไม่ถึงที่จะช่วยเหลืออะไรได้อีกแล้ว

ยังไงกับเจ้าสัวก็ต้องสู้เพราะคนอย่างเจ้าสัวเหวยมันไม่ยอมมอบตัวดี ๆ อยู่แล้ว และพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะรอดหรือเปล่า...   

เมื่อกลับถึงบ้านสิงห์ก็ได้อธิบายแผนการทั้งหมดให้คนรักฟังรวมถึงส่งจดหมายเรื่องแผนให้ทางสารวัตรโขม

อีกไม่กี่วันนี้ทางตาสมหมายกับกฤษก็จะมารวมกันที่นี่ คงได้แต่ภาวนาให้หนีออกมาจากพวกเจ้าสัวให้ได้

“ถ้าจะเกิดการปะทะแบบนี้ต้องระวังตัวด้วยนะ” ไฟหน้าเครียด

“เข้าใจแล้ว ไฟก็เหมือนกัน”

“เฮ้อ จะได้ปิดบัญชีพวกนั้นแล้วสินะ”

สิงห์พยักหน้าแม้ในใจยังคงรู้สึกหวั่น ๆ ขึ้นมาอย่างน่าแปลก “แต่สิงห์รู้สึกกลัวยังไงไม่รู้”

“ทำไม?”

“สิงห์กลัวว่าไฟจะเกิดอันตราย”

ไฟถอนหายใจก่อนจะลูบผมคนรัก “ไม่ต้องห่วงหรอก ไฟจะไม่เป็นอะไร”

“ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาดนะ”

“สัญญาเลย”

ทว่า คำสัญญานี้จะมีผลก็ต่อเมื่อ จบเรื่องทั้งหมด


 


พ่ายโลกันตร์


 

ตกค่ำสิงห์ถือถาดข้าวต้มขึ้นไปยังห้องอีกฝั่งที่เป็นคนละทางกับห้องของตัวเอง เคาะอยู่สองสามครั้งก็เปิดเข้าไป เห็นร่างของชายวัยกลางคนที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ข้าวต้มครับพ่อ”

คนเป็นพ่อหันหน้ามามองเล็กน้อยก่อนจะวางหนังสือลง “เรื่องจบรึยังล่ะ”

สิงห์ช่วยยกถ้วยให้แกถือก่อนจะนั่งเก้าอี้ด้านข้าง “ยังครับ แต่ก็ใกล้แล้ว”

“งั้นเหรอ” พันธ์ตักข้าวต้มเข้าปากก่อนจะเหม่อมองไปยังด้านหน้า “ไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่ในจุดนี้”

สิงห์อ้าปากจะพูดแต่ก็เงียบลง

“ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ก็ให้พ่อไปบอกความจริงด้วยละกันนะ”

คนเป็นลูกนั่งนิ่งก่อนจะกัดปาก น้ำสีใสคลอหน่วยตา “ทำไม...”

พันธ์หันมองเมื่อได้ยินเสียงสั่นของลูก ถ้วยข้าวต้มถูกวางไว้โดยไม่ได้แตะอีก

“ทำไมพ่อไม่เลิกทำไปตั้งแต่แรก ทำไมพ่อถึงเพิ่งจะมาเปลี่ยนตัวเอง” สิงห์ก้มหน้าร้องไห้ “ถ้าเกิดพ่อกลับใจเร็วกว่านี้ ทุกอย่างมันคงไม่เป็นแบบนี้”

“พ่อขอโทษ”

“ฮึก ผมไม่เคยเกลียดพ่อลงเลย จนถึงตอนนี้ผมก็ยังสงสารที่พ่อต้องเดินไม่ได้ ต้องอยู่คนเดียวในห้อง ทั้ง ๆ ที่พ่อทำร้ายผมมาตลอด ผมก็ไม่เคยเกลียดลงเลยสักนิด ได้แต่โกรธกับน้อยใจที่พ่อไม่สนใจเท่านั้น”

“พ่อมันแย่เอง พ่อยอมรับนะว่าถ้าเกิดพ่อไม่ได้มาเป็นแบบนี้พ่อจะสำนึกได้ไหม ก็คงเป็นคนบ้าอำนาจ คลั่งเงินทองจนไม่สนแม้แต่ครอบครัวตัวเอง” มือเหี่ยวย่นลูบหัวลูกชาย “ไม่ต้องยกโทษให้พ่อหรอกนะ เรื่องที่ผ่านมาพ่อทำเกินไปจริง ๆ”

สิงห์ได้แต่สะอึกสะอื้นก้มหัวให้ผู้เป็นพ่อลูบหัวปลอบ

“มันอาจจะสายไปในหลาย ๆ อย่าง แต่พ่อก็อยากทำอะไรให้ลูกบ้าง” พูดเพียงเท่านั้นก็หยิบเอกสารที่ให้สิงห์เอามาให้เมื่อหลายเดือนก่อน “ที่พ่อให้ลูกไปเอาให้ มันคือเอกสารการส่งของกลางจากอธิบดีวารินให้กับเจ้าสัวเหวย”

สิงห์รับมาดูพร้อมกับเปิดดูด้วยความตกใจ เพราะตอนเอามาให้ สิงห์ไม่ได้เปิดดูสักนิดก็คิดเหมือนกันว่าไม่ใช่เอกสารธรรมดาแต่ว่าตอนนั้นไม่ได้นึกถึงเรื่องหลักฐาน เพราะเขานั้นเอาเอกสารที่จะเป็นหลักฐานส่งไปให้ลุงอนงค์หมดแล้ว

“แล้วก็มีเรื่องของเสมียนบัญชีที่ร่วมมือกับอธิบดีทัพโดยการหุบของกลางเอาไว้ พ่อคิดว่าสิงห์ไม่น่าจะเห็นเพราะมันอยู่ใต้เพดานห้อง”

สิงห์ที่ไปเอามาให้เปิดอ่านแต่ละหน้าอย่างละเอียด นี่จะเป็นอีกหลักฐานที่จับพวกมันได้เลย “ทำไมพ่อถึงเก็บไว้”

“ไม่รู้สิ ที่พ่อชอบเก็บเอกสารทั้งหมดนี้คงเพราะวันนี้ล่ะมั้ง เป็นหลักฐานชิ้นดีเลยใช่ไหมล่ะ”

“ขอบคุณครับ”

ทั้งคู่เงียบไปนานพอควรก่อนจะเป็นพันธ์ที่เอ่ยก่อน “ระวังตัวด้วยนะ พวกมันเล่ห์เหลี่ยมเยอะ โดยเฉพาะไอเจ้าสัวเหวย” สิงห์พยักหน้าผู้เป็นพ่อจึงพูดต่อ “เจ้าสัวเหวยมันคงจะทำได้ทุกอย่างเพื่อชีวิตตัวเอง ถ้าเกิดต้องสู้กัน... ต้องเอาให้ถึงตายนะ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ยอมง่าย ๆ”

“ครับพ่อ”

“ดูแลตัวเองด้วยนะสิงห์”

สิงห์คลี่ยิ้มออกมาได้ “ครับ”

พอเก็บถ้วยและให้กินน้ำกับยาสิงห์ก็เดินลงไปข้างล่าง เห็นไฟกับภพกำลังคุยกันอยู่ ก่อนที่ภพจะขอตัวออกไป

“ทำไมตาแดง ๆ” ไฟถามขึ้นพร้อมกับเกลี่ยแก้ม

“ขยี้แรงไปน่ะ แล้วคุยอะไรกันอยู่”

“เรื่องพวกลูกน้องของไอมั่นน่ะ พวกมันชอบมาเดินแถวหน้าบ้านแล้วมองเข้ามา”

“อือ ระวังด้วยนะ”

ไฟพยักหน้า “แล้วเป็นไงบ้างเรื่องพ่อ”

สิงห์ยิ้มบาง “คุยกันแล้วล่ะ แถมให้หลักฐานมาเพิ่มด้วย” ว่าเสร็จก็ชูเอกสารก่อนจะเดินไปหลบมุมไม่ให้คนนอกเห็นได้

“ให้ไฟเอาไปให้พ่อแทนไหม”

“ฝากด้วยนะบอกลุงอนงค์เรื่องแผนด้วย”

ไฟพยักหน้าพร้อมหยิบเอกสารไป “ไฟจะรีบกลับมา”

“จะไปเลยเหรอ มันดึกแล้วนะ”

“ไปถึงที่นั่นก็เช้าพอดี รีบไปจะได้รีบกลับมารวมตัวไง”

“ก็ได้ งั้นขับรถดี ๆ ล่ะ” สิงห์ลูบหน้าคนรักก่อนจะหลับตารับจูบที่หน้าผาก

“ไปก่อนนะ”

สิงห์เดินไปส่งไม่ได้เพราะเดี๋ยวคนสงสัยได้แต่ยืนมองแผ่นหลังที่เดินหายไป ส่วนเขานั้นก็ยังมีอะไรให้ทำ ว่าแล้วก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองห้องทำงานของพ่อเปลี่ยนมาเป็นของเขา หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะหมุนปัดตัวเลขที่คุ้นเคย

รอสายอยู่ไม่นานทางปลายสายก็รับ (สวัสดีครับ)

“นนท์นี่ฉันเอง”

(อ่าวสิงห์ มีอะไรหรือ)

“เตรียมการไว้เลยนะ ถ้าไม่มีอะไรคาดเคลื่อนคงสองสามวันนี้ที่จะไปจัดการไอทัพ”

(อืมได้ ทางฉันพร้อมแล้วแหละเหลือแค่รอทางจเรตำรวจกับอัยการช่วยดำเนินเรื่อง)

“งั้นไว้จะโทรศัพท์บอกอีกที”

(เข้าใจแล้ว ฝั่งนายก็ระวังตัวด้วยนะ)

“อืม จะระวัง” สิงห์วางหูก่อนจะเดินไปทางหน้าต่างมองไปยังข้างล่างเห็นพวกของไอมั่นห้าหกคนที่เดินป้วนเปี้ยนไปเหมือนทำเป็นเฝ้าระวังให้ แต่จริง ๆ กลับคอยเอาแต่สอดส่องเข้ามาข้างในบ้าน

“หึ กูจะจับพวกมึงให้หมด”





จบบทที่ ๒๒

-------------------------------------------------------------------------------------

ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกสองสามตอนก็คิดว่าจะจบแล้วค่ะ... ;___;

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เนื้อเรื่องงวดเข้ามาแล้ว ยังไงก็ขอให้ปลอดภัยทุกคนนะ แต่ก็อย่างว่านะ ตำรวจ โจร พ่อค้ายา และข้าราชการทุจริต เมื่อเจอกันก็ต้องมีการบาดเจ็บอยู่ดีนะ สู้ๆ นะไฟกับสิงห์

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

บทที่ ๒๓

ปืนของผู้ที่ล่วงลับ


 

ถึงวันที่ต้องเริ่มดำเนินแผนได้ข่าวจากเทิดว่าทางเสือเอี้ยงไม่ได้ช่วย ในวันนี้สิงห์จึงจะเดินทางไปหาเสือเอี้ยงถึงที่ สิงห์ให้ภพอยู่ที่นี่เพื่อคอยรับข่าวสารจากคนอื่นแทน ส่วนไฟก็ยังอยู่ที่กรมตำรวจกับลุงอนงค์คงจะกลับมาถึงที่นี่ช่วงหัวค่ำ เลยมีเกื้อกับลูกน้องอีกสองสามคนที่ยอมกลับตัวเมื่อรู้ว่าสิงห์ยังไม่ได้เลิกเป็นตำรวจมาด้วยกัน

“เข้าไปในถิ่นมันอย่างนี้ จะไม่โดนมันยิงเอาเหรอครับ” เกื้อถาม เหงื่อแตกพลั่ก ๆ

“คงเป็นวิธีเดียวนั่นแหละ เพราะเสือเอี้ยงมันคิดว่างานนี้ใหญ่เกินไปสำหรับมัน แต่ถ้ามีคนมาร่วมมันอาจจะยอม”

“ผมกลัวว่ามันจะไม่ยอมน่ะสิครับ”

“ถ้าไม่ได้จริง ๆ คงต้องเล่าทุกอย่างให้มันฟัง” อาจจะได้ผลไม่มากก็น้อย

หลังจากมาถึงที่หมาย สิ่งแรกที่ถูกต้อนรับคือ ปืนนับสิบกระบอกที่จ่อรถสองคัน จนทุกคนต้องลงรถอย่างห้ามไม่ได้

“มึงมาทำไม” เสืออัธ น้องเสือเอี้ยงรีบถามทันทีพร้อมกับปืนที่จ่อหน้าผาก

“กูมาคุยกับพี่มึง”

“คุยเรื่องอะไร กูไม่เห็นจะจำได้ว่าพี่กูญาติดีกับมึงจนต้องมาคุยกันได้”

สิงห์ถอนหายใจ ทั้งพี่ทั้งน้องนิสัยเหมือนกันไม่มีผิด “ถ้ากูบอกว่ามาคุยเรื่องหลวงรวีชัย พวกมึงจะฟังกูไหม”

เสืออัธขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไรวะ จะมาส่งงานใหม่ของคุณหลวงรึไง ทำไมพวกมึงถึงมาแทน”

“ไม่ใช่” สิงห์จ้องตามันทั้ง ๆ ที่หน้าผากถูกปืนจ่ออย่างไม่นึกเกรงกลัว “กูจะมาบอกว่า หลวงรวีชัยมันหลอกพวกมึงมาตลอด”

คนที่ได้ยินต่างตกใจกันหมด เสืออัธถึงกับดันปืนจนสิงห์ต้องถอยหลังเล็กน้อย “พูดเหี้ยอะไรของมึง พวกกูคุ้มกันคุณหลวงได้ แล้วคุณหลวงจะมาหลอกพวกกูให้เสียคนไปทำไม”

“มึงไม่รู้จริง ๆ เหรอ ว่าหลวงศรีรวีชัยก็มีเส้นสายของเขาอยู่” พอเห็นว่ามันไม่ตอบจึงเปรยออกไป “เส้นสายที่ใหญ่กว่าพวกมึงและคุ้มครองได้ดีกว่า เป็นคนที่พวกมึงเกลียดเข้าไส้”

“กูจำเป็นต้องเชื่อคนอย่างมึงที่เลียขาให้ไอชาติชั่วนั่นเหรอวะ” ไฟแค้นสะสมมานานนับสิบปี เสืออัธโกรธทุกครั้งที่ใครพูดถึงไอเหวย ที่มันมาทำให้พ่อกับแม่เขาตาย พี่สะใภ้ก็ถูกพวกมันข่มขืนจนตาย พี่เอี้ยงเลยได้แต่ทุกข์กับเรื่องนี้มาตลอด ไอพวกตำรวจเฮงซวยก็ช่วยห่าอะไรไม่ได้เลย ไปแจ้งความก็ให้รับเงินเป็นค่าทำขวัญแทนการจับพวกมันเข้าตาราง

สิงห์เห็นว่าปืนอีกฝ่ายสั่นเล็กน้อยก็พอเข้าใจประวัติพวกนี้มาบ้าง นึกเห็นใจอยู่เหมือนกัน แต่โจรก็คือโจร ทุกอย่างที่ทำมันผิดกฎหมาย “มึงไม่ต้องเชื่อกูก็ได้ แต่กูขอได้เล่าความจริงให้พวกมึงฟังสักครั้ง มึงจะคิดยังไงก็เชิญเลย ถ้ากูโกหกกูยอมให้พวกมึงมาเด็ดหัวกูได้เลย”

“นายครับ!” ลูกน้องทุกคนต่างแย้งทันที

สิงห์ยกมือเป็นเชิงให้หยุดก่อนจะมองเสืออัธด้วยความจริงจัง “ขอแค่ให้กูเล่าเรื่องความชั่วของพวกมัน กูไม่อยากให้พวกมึงโดนหลอกแบบนี้”

พวกมันดูลังเลอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะมีตัวช่วยที่ทำให้สิงห์คลี่ยิ้มออกมาได้

“พี่เอี้ยงสั่งให้พาพวกเขาเข้ามา” เทิดเดินออกมา ลูกน้องเสือเอี้ยงที่เห็นต่างก็เก็บปืนกันหมด

“หึ” เสืออัธยอมเก็บปืนบ้างก่อนจะเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด

“เสือเอี้ยงยอมแล้วหรือ” สิงห์ถามพร้อมกับเดินตามหลัง

“ผมบอกความจริงเรื่องที่ผมเป็นสายให้คุณสิงห์แล้วครับ”

สิงห์ตกใจ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็หลังจากเปรยเรื่องที่จะไปฆ่าไอทัพน่ะครับ... จริง ๆ ผมว่าพี่เอี้ยงแกไม่ได้โง่ แกดูออกแค่ไม่พูด” เทิดดูนับถือคนคนนี้มากแม้จะเข้ามาไม่ถึงปี

“ถ้าเรื่องรักพวกพ้อง รักครอบครัว ฉันก็นับถืออยู่นะ ยกเว้นนิสัยชอบจิกกัด”

เทิดยิ้มบางก่อนจะทำหน้าสำนึก “ผมต้องขอโทษคุณสิงห์จริง ๆ นะครับ ที่ทำอะไรไม่บอกก่อน”

“อย่าคิดมาก” สิงห์ตบบ่า พอเข้าไปในหมู่บ้านก็เห็นทั้งเด็กและผู้หญิงรวมถึงคนอื่น ๆ ที่ดูเหมือนว่าเสือเอี้ยงจะช่วยให้พ้นจากพวกโจรจากที่อื่น

“จะดีมากเลยนะครับ ถ้าที่นี่เป็นแค่หมู่บ้านธรรมดา” เกื้อกระซิบ ซึ่งสิงห์เองก็เห็นด้วย หากว่าพวกคนที่เหลือไม่ได้ไปเป็นโจร มันคงจะดีกว่านี้

“คนอื่นห้ามเข้า” พอมาถึงก็มีลูกน้องเสือเอี้ยงที่ยืนอยู่ไกลออกไปมาบอก สิงห์เห็นแล้วว่าเสือเอี้ยงมันนั่งอยู่ตรงริมหน้าผากับน้องชายของมัน

“จะเกินไปแล้ว”

สิงห์เอาแขนกั้นคนอื่นพร้อมกับส่ายหน้า “อืม เข้าใจแล้ว” พูดกับลูกน้องเสือเอี้ยงคนนั้นก่อนจะหันไปบอกลูกน้องตัวเอง “อยู่นี่ ไม่ต้องห่วงหรอก”

“ครับ” ลูกน้องตอบรับอย่างว่าง่าย สิงห์เลยเดินตามลูกน้องของเสือเอี้ยงไป ยังมีเทิดที่เดินมาด้วยกัน

“พวกตำรวจมันห่วยขนาดนั้นเลยเหรอวะ ถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากโจร” ทักทายคำแรกก็ทำเอาสิงห์เข็ดฟันแต่จำเป็นต้องเอาน้ำลูบไม่ให้ไฟโหมไปมากกว่านี้

“ยอมรับว่ามีห่วย ๆ แต่ที่ขอมันก็จำเป็นจริง ๆ” สิงห์นั่งลงตรงไม้ที่มีคนตัดไว้สำหรับทำเป็นที่นั่ง

“เหอะ แดกภาษีคนอื่นไปวัน ๆ ไม่ทำห่าอะไรเลย” สิงห์ไม่เถียงใดใดทั้งสิ้น เสือเอี้ยงเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง

“ไหนมึงลองว่ามา เกี่ยวกับไอคุณหลวงนั่น”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะเล่าตั้งแต่ตอนที่เจอหลวงรวีชัยตั้งแต่เริ่มแรกรวมถึงวันที่เจอเจ้าสัว ความรู้สึกอัดอั้นพูดออกมาจนหมดสายตาที่เกลียดชังสะท้อนให้คนมองรู้สึกได้ถึงความกรุ่นโกรธที่อยู่ในใจมานานนับหลายปี ถึงจะไม่ใช่สถานการณ์เดียวกัน แต่ความรู้สึกไม่ต่างกันเลย “จะด่าจะว่าพวกข้าราชการอะไรก็ได้ กูไม่ว่าเลย แต่กูอยากให้พวกมึงร่วมมือกับกูกำจัดไอเศษสวะพวกนั้น มองกูเป็นพวกคนหนึ่งไม่ใช่ตำรวจก็ได้ ชาวบ้านเขาเดือดร้อนกันหมด กูรับเลี้ยงคน ให้โอกาสโจรที่กลับตัว แต่มันก็ไม่พอจะไปสู้กับคนอย่างพวกมัน แล้วกูก็ไม่สามารถรับเลี้ยงใครไหวอีก”

เสือเอี้ยงตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อฟังเรื่องราวของคนที่คิดว่าเลียขาให้เจ้าสัว แต่ก็ยังคงไม่ได้ไว้วางใจถึงขนาดต้องเอาชีวิตพวกพ้องไปเสี่ยงด้วย “แค่คำลมปากกูไม่ไว้ใจมึงหรอกนะ ทางกูเองก็มีคนต้องดูแล กูจะรู้ได้ไงว่าถ้าร่วมมือกับมึงแล้วมึงจะไม่หักหลังกู ขนาดไอคุณหลวงมันยังหักหลังกูได้”

“พี่เอี้ยง พี่เชื่อมันเหรอ” คนน้องรีบค้าน

“ก็พอจะเดานิสัยไอคุณหลวงได้อยู่ แต่กูก็เจ็บใจที่มันหลอกกูมานานขนาดนี้”

“คุณหลวงเนี่ยนะพี่”

“กูก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันไออัธ แต่ทุกอย่างมันทำให้กูเถียงห่าอะไรไม่ได้” พอคนพี่พูดขนาดนี้คนน้องจึงจำต้องยืนเงียบ ๆ แม้จะขัดใจแต่ก็ยอมรับว่าที่อีกฝ่ายพูดมันดูจริง รวมถึงเทิดที่เล่าออกมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่พบกัน

“ถ้าอย่างนั้นช่วยกูจัดการไอทัพก็พอ ส่วนพวกเจ้าสัวพวกกูจัดการเอง และกูก็จะไม่ให้ใครรู้ว่าพวกมึงมาช่วย พวกมึงก็จะไม่ถูกหมายหัว ให้เป็นแค่พวกกูที่โดน”

สองพี่น้องมองหน้ากัน เสือเอี้ยงขมวดคิ้วมุ่นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังและพร้อมจะเสียสละอย่างแท้จริง คนเป็นผู้นำคนอื่นมีหน้าที่ต้องแบกรับชีวิตพวกพ้องแค่มองตาก็เข้าใจกัน ว่าไอสิงห์มันเอาจริง “ถ้าแบบนั้นก็ได้ แต่...”


 
“ไอหลวงรวีชัยกูขอเป็นคนฆ่ามันเอง”

 


พ่ายโลกันตร์


 

ทางนนท์ที่ตอนนี้อยู่กับสารวัตรอิฐที่เข้าร่วมเหมือนกันพร้อมกับลูกน้องสิงห์คนเก่าอย่างหมวดกล้า จ่าเฉิ่ม จ่านิดและจ่าตาล ทั้งหกคนอยู่ในชุดลำลองเพราะต้องทำงานร่วมกัน มันเป็นเรื่องที่ดีที่สามารถมาคุยกันได้โดยไม่ต้องถูกสงสัย

“ตอนนี้ทางผู้กองสิงห์กำลังดำเนินแผนอยู่ คิดว่าคงวันสองวันนี้ที่อธิบดีทัพจะถูกฆ่า” นนท์อธิบายแผนการตอนนี้พวกเขาจับโจรกันเรียบร้อยหมดแล้ว ทำเป็นจะเคลียร์พื้นที่แต่แท้จริงมาเพื่อคุยกันเท่านั้น

“ผู้กองชอบพาตัวเองไปที่เสี่ยง ๆ ตลอดเลย” หมวดกล้าส่ายหน้า หัวหน้าเขายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

 “มันจะไม่เป็นอะไรแน่หรือสารวัตร” สารวัตรอิฐถามอย่างสงสัย “ทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องตามกระบวนการกฎหมายนะ แถมตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เรื่องคดีที่อธิบดีทัพทำเลย”

 “ถ้าให้พูด ก็คงต้องบอกว่าเสี่ยงพอตัวครับ ในตอนแรกสิงห์คิดจะจับเพื่อดำเนินคดีพร้อมหลักฐานแต่มันก็เสี่ยงที่จะมีคนมาช่วย”

“ถึงแม้ว่าแผนจะวางกันมานานแต่แผนเรื่องฆ่าอธิบดีทัพผมว่ามันเปลี่ยนได้นะ อย่างน้อยเราก็เอาหลักฐานไปบอกให้ทางจเรตำรวจจัดการให้”

นนท์ขมวดคิ้วพร้อมพยักหน้า “ผมจะคุยกับสิงห์อีกทีในเรื่องนี้ แต่ว่าพรุ่งนี้นี้เราต้องเอาหลักฐานของพวกมันไปให้ทางอัยการ รวมถึงสายข่าวที่ท่านรองจัดการเปิดเผยเรื่องพวกนี้ลงหนังสือพิมพ์”

“แบบนั้นก็ดีครับ ทุกคนจะได้รู้ความชั่วของพวกคนใหญ่คนโตที่หลงในอำนาจ” หมวดกล้าเห็นด้วย

“ถ้าอย่างนั้นผมคิดว่าต้องมีคนไปช่วงทางผู้กองสิงห์บ้าง พวกผมไปได้นะ” จ่าเฉิ่มเอ่ย

“ใช่ครับ ให้พวกผมไปเถอะ” จ่านิดพูดอีกคน จ่าตาลเองก็พยักหน้าเสริม

“แต่มันเป็นทางกรมภูธรเขาต้องจัดการน่ะสิ ของเราจำกัดแค่ทางพระนคร” สารวัตรอิฐหน้าเครียด เพราะอยากไปช่วยเหมือนกัน ถ้าเทียบกับไอแค่ลงหลักฐานและจัดการในศาลยังดีกว่าไปสู้กับพวกเจ้าสัวเหวยที่อาวุธครบมือที่ไม่รู้จะมีโอกาสรอดหรือเปล่า

“รู้แบบนี้ผมย้ายตามผู้กองไปด้วยแล้ว” จ่าตาลว่า

“จริง ๆ มันก็ไม่ได้ทำไม่ได้ เพียงแต่มีสามทางเลือก” สารวัตรนนท์ว่า “ทางเลือกแรก คือถูกส่งตัวโดยคำสั่งของอธิบดีหรือรองอธิบดี แน่นอนว่ามันไม่ได้— ส่วนอีกทางเลือก ต้องไปแบบปกปิดตัวตนให้คนอื่นคิดซะว่าเป็นลูกน้องเสี่ยพันธ์ที่กลับตัวกลับใจก็ได้”

“แล้วทางเลือกที่สามล่ะครับ” หมวดกล้าขมวดคิ้ว

“ทางเลือกที่สาม ไปโดยไม่มีคำสั่ง อาจโดนโทษที่ทำอะไรโดยพลการ แต่ทางเลือกนี้ต้องไปโดยไม่ให้ทางกรมรู้เด็ดขาด เอาง่าย ๆ เลยว่า รู้ตัวอีกทีก็จับตัวพวกนั้นหมดแล้ว”

“ผมขอทางที่สาม” จ่าเฉิ่มเริ่ม คนอื่น ๆ ก็ตามมา

“ผมเลือกทางที่สามเหมือนกัน อย่างน้อยก็จะได้ให้คนเขารู้ว่าพวกผมคือลูกน้องของผู้กองที่ใช้ยศและหน้าที่ในการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เป็นประกันได้ ว่าหัวหน้าผมยังคงเป็นตำรวจที่ทำเพื่อประชาชน” หมวดกล้าว่าอย่างนั้นทุกคนก็พยักหน้า

นนท์คลี่ยิ้มอย่างดีใจแทนเพื่อนที่มีลูกน้องดี ๆ แบบนี้ “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นทางนี้ผมกับสารวัตรอิฐจะเป็นคนดำเนินเรื่องเอง ส่วนทางผู้กองสิงห์ขอฝากพวกคุณด้วยนะ”

“ครับสารวัตร!!!!” ทั้งสี่คนตะเบ๊ะให้

“ตอนนี้หมวดไฟเพิ่งจะถึงที่อยุธยาเพื่อหาท่านรองที่กรมตำรวจ พวกคุณไปสมทบกับหมวดไฟเลยก็ได้ เดี๋ยวผมให้ยืมรถไป”

“ครับผม”

“เดี๋ยวจะเขียนหมายลาไว้ให้ ระวังตัวด้วยล่ะ”

“ขอบคุณครับสารวัตรอิฐ”

“ฝากสิงห์ด้วยนะ” นนท์พูดขึ้นทั้งสี่คนจึงยิ้มออกมาและพยักหน้าก่อนที่จะต่างคนต่างแยกย้ายไปเก็บของและเจอกันอีกทีที่นัดหมายโดยใช้รถของสารวัตรนนท์

ตัดมาทางสิงห์ที่ตอนนี้กำลังยืนคุยเรื่องแผนกับเสือเอี้ยงโดยในห้องมีเกื้อ เทิด และเสืออัธร่วมด้วย

“คงต้องมีกลุ่มหนึ่งที่ไปอยุธยาเพื่อจะไปเก็บไอทัพและอีกกลุ่มอยู่รอจัดการหลวงรวีชัยที่นี่” สิงห์ว่า

“กูก็อยากจัดการเหมือนกันนะไอทัพเนี่ย ทำกูไว้เยอะเหมือนกัน” เสือเอี้ยงคิ้วมุ่นก่อนจะหันมองน้อง “ไออัธ มึงไปกับไอสิงห์ก็ได้”

“อะไรวะพี่! ให้ไปกับมันเนี่ยนะ”

“ก็ถือว่าไปแก้แค้นมันไง”

“ไม่พี่ ผมไม่ไว้ใจมัน”

“เอาล่ะ ๆ” สิงห์ยกมือปรามทั้งคู่ “กูบอกแล้วว่ากูจะจัดการไอทัพเอง พวกมึงก็จัดการหลวงรวีชัยเถอะ”

เกื้อถึงกับหันมองหัวหน้าตนเองก่อนจะกระซิบ “ไหนผู้กองบอกว่าจะให้พวกมันจัดการทัพไงครับ”

สิงห์ถอนหายใจ “มันไม่เป็นตามนั้นน่ะสิ”

“แล้วแบบนี้ก็แย่น่ะสิครับ ผมไม่ได้กลัวว่าพวกเจ้าสัวจะเพ็งเล็งมาทางเราแต่ผมกลัวว่าจะกลายเป็นทำอะไรเกินกฎหมายกำหนดแล้วจะเข้าทางอธิบดีวาริน”

คนฟังเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็ต้องรอคุยกับทางลุงอนงค์และนนท์อีกที เพราะวันนี้ลงรายละเอียดคร่าว ๆ ว่าใครจะจัดการยังไง แต่เริ่มจริงคงวันสองวันนี้

เสือเอี้ยงมองสักพักเพราะได้ยินที่พวกนั้นพูดก่อนจะเคาะนิ้วกับโต๊ะเพื่อนึกคิดสักพัก “ไอสิงห์”

“ว่าไง”

“ออกไปคุยกับกู”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะเดินตามออกไปอย่างว่าง่าย พอห่างจากบ้านพักที่ร่วมวางแผนพอสมควรเสือเอี้ยงจึงพูดขึ้นมา

“เรื่องจัดการไอทัพ ให้เป็นชื่อกู”

“หมายความว่าไง”

“ก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละ” เสือเอี้ยงถอนหายใจมองไปทางป่าข้างล่างหน้าผาก่อนที่จะเงยหน้ามองแสงอาทิตย์ที่ลอยเด่นข้างบน “มึงคงรู้มาตลอดว่ากูเกลียดพวกข้าราชการมากขนาดไหน แต่มึงรู้ไหมว่ามีตำรวจคนหนึ่งที่ทำให้กูนับถือเขาได้”

“ใคร?” สิงห์ขมวดคิ้วทันทีเพราะไม่คิดว่าเสือเอี้ยงจะมาบอกเรื่องแบบนี้และที่น่าตกใจกว่าคือเสือเอี้ยงเคยนับถือตำรวจด้วยหรือ

“สารวัตรโขมไง”

“จริงหรือวะ” สิงห์หัวเราะ “ทั้ง ๆ ที่เวลาสารวัตรโขมถูกเรียกไปที่เรือนคุณหลวง มึงก็ด่าแซะข้าราชการไม่ใช่หรือไง”

เสือเอี้ยงอดหัวเราะบ้างไม่ได้ “ก็นะ กูมันพวกปากมาก กูน่ะ— นับถือเขาตั้งแต่วันที่รู้ว่าไอคุณหลวงมันเรียกให้ไปหาเพื่อจะให้สารวัตรเลียขาตัวเอง แต่สารวัตรกลับไม่ทำ"

สิงห์ไม่ได้พูดอะไรและฟังมันเล่าต่อ

“เป็นครั้งแรกที่กูรู้สึกว่า ตำรวจดี ๆ ก็มี แต่ทิฐิมันบังตากู เพราะกูถูกพวกห่านั่นมาทำลายความศรัทธาพวกข้าราชการหมด แต่มึงรู้ไหมว่ายุคที่มีพวกมึงที่เป็นสามบุรุษอ้อยขวางกับยุคที่มีสารวัตรโขมมาดูแล กูเหมือนมีความหวัง”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามึงเคยคิดแบบนี้” สิงห์ส่ายหน้าแม้ปากยังไม่ได้หยุดยิ้มเลยสักนิด

“พวกมึงเป็นตำรวจที่ดีนะ” เสือเอี้ยงหันมา “ถึงมึงจะเคยทำให้กูหมดศรัทธาอีกคนเพราะข่าวออกมาว่ามึงช่วยพ่อตัวเองแล้วยังไปเลียขาไอเจ้าสัวเหวยอีก”

“มันก็แค่ข่าวหลอก”

“เออนั่นแหละ กูถึงตกใจตอนที่มึงมาเล่าให้ฟังเรื่องนี้ไง”

“กูไม่คิดเลยว่าจะได้ยินสิ่งพวกนี้มาจากปากของมึงเอง”

“กูก็ไม่คิดว่ากูจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาเหมือนกันว่ะ แต่พอกูฟังเรื่องราวของมึง กูดันสงสาร มันเหมือนเห็นตัวเองอีกคน ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันมึงกับกูไม่ต่างกันเลย”

สิงห์พยักหน้าและพูดสิ่งที่ตัวเองคิดบ้าง “จริง ๆ แล้ว ที่กูจะชวนพวกมึงไปฆ่าไอทัพเพราะว่าจะให้ทางอธิบดีวารินกับเจ้าสัวเหวยมันเล็งมึง และทางกรมจะได้ไม่เอาผิดอะไรได้เพราะเป็นโจรที่ฆ่าไอทัพ”

“ความคิดมึงชั่วดี” ถึงจะได้ยินอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ “แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจล่ะ”

“จะว่าเปลี่ยนใจก็ไม่เชิง มันไม่เป็นไปตามแผนต่างหาก” สิงห์พรูลมหายใจ “แต่ทั้ง ๆ ที่มึงเสนอชื่อมึงให้เป็นคนฆ่าขนาดนี้ กูกลับถามและยังไม่ตอบรับ มันเพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือกูเองก็เห็นใจมึงอย่างที่มึงเห็นใจกู”

ทั้งสองเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเป็นเสือเอี้ยงที่พูดขึ้น “กูบอกเลยนะ ว่ากูไม่ยอมให้ครอบครัวกูต้องมอบตัวกับเรื่องนี้”

“แต่กูก็คงบอกเหมือนกันว่ากูเองก็ต้องทำตามกฎหมาย แต่จะให้ชื่อว่าพวกมึงช่วยเหลือราชการ โทษจะได้ลด”

“เข้าใจ” เสือเอี้ยงพยักหน้าก่อนจะหันมายืนประจันหน้าที่ไม่ใช่สาดซัดคำครหาหรือคำด่าใส่กันอีกแต่เป็นการร่วมมือและเห็นเป็นพวกคนหนึ่ง “กูเลยอยากให้มึงสัญญาอะไรกับกูสักข้อหน่อย”

“อะไรวะ?”

“ดูแลพวกชาวบ้านและปล่อยลูกน้องกู”

สิงห์ขมวดคิ้ว

“จับกูไปคนเดียวพอ”

“มันไม่ได้—“

“สิงห์ กูขอร้อง”

สิงห์คิดหนักพอควร “กูคงรับปากมึงไม่ได้ แต่จะพยายาม”

“ขอบคุณมึงมาก”

สิงห์ไม่คิดว่าจะทำได้จริง ๆ ไม่คิดว่าคนที่ทะเลาะกันตลอดจะมาขอร้องอะไรอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย คงไม่แปลกใจที่เทิดเข้ามาได้ไม่นานก็นับถือเสือเอี้ยงขนาดนี้ เพราะมันดีกับคนที่ดีกับมันจริง ๆ เรียกว่าให้ใจเต็มร้อยไม่สนแม้แต่ชีวิตตัวเองที่ยอมเสี่ยงเพื่อคนอื่น

ถึงจะนับถือขึ้นมาแล้วบ้างแต่กับสิ่งที่มันทำมาทั้งหมดก็ยังคงผิดกฎหมายอยู่ดี เพราะอย่างนั้นสิงห์ถึงคิดหนัก อย่างน้อยคนอื่นก็สมควรจะรับโทษตามกฎหมายจะได้ไม่ต้องมีปัญหาอื่นตามมา

“กูถามมึงได้ไหม ว่าทำไมถึงไม่อยากให้คนอื่นถูกจับ”

“พวกมันมีลูกมีเมียต้องดูแล ถ้าให้พวกมันติดคุกไปด้วย กว่าจะได้ออกลูกกับเมียมันจะอยู่กันยังไง”

“แล้วมาเป็นโจรทำไม”

“มันมีหนทางอื่นหรือวะกับคนที่ไม่มีห่าอะไรเลยอย่างพวกกู ไม่มีเงินทองไปเรียนไปทำอะไรอย่างคนอื่นเขา ถึงจะเคยมีแต่ก็ถูกพวกโจรที่อื่นกับพวกข้าราชการมันเอาไปหมดแล้ว”

สิงห์ถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้า “เข้าใจมึงนะ แต่ถ้าใครในลูกน้องมึงมีทั้งชื่อและรูปที่เคยลงในหนังสือพิมพ์หรือค่าหัว กูขอบอกตรงนี้ว่าอาจจะช่วยไม่ได้มากเพราะถือว่าอยู่ในรายชื่อคนผิดกฎหมายที่ต้องถูกหมายจับ คงต้องถูกจับสถานเดียว”

“ไม่มีทางอื่นจริง ๆ หรือวะ” เสือเอี้ยงเครียดเพราะก็มีหลายคนเหมือนกันที่มีรายชื่อและค่าหัวอยู่

“กูอยากช่วยพวกมึงบ้างนะ แต่เรื่องนี้มันเกินไปสำหรับกูหรืออย่างน้อยก็ให้กูดูแลครอบครัวพวกเขาก่อน หลังจากพ้นโทษค่อยมาหากู”

“มึงก็รับคนไปดูเยอะแล้วไม่ใช่หรือวะ”

“หลวงธารานันท์ช่วยกูอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ท่านรับคนไปดูแลโดยให้ดูพวกสวนพวกไร่และเอาไปขายในตลาดหรือต่างจังหวัด แล้วก็ที่พระนครมีไร่ต้นตาลกับนาข้าวที่ตอนนี้ลุงกับแม่กูทำอยู่ที่นั่นก็มีบางคนไปอยู่นู่น ถ้าเป็นคนของพวกมึงก็ยังรับได้อยู่ ไหน ๆ กูว่าหลังจากจบเรื่องนี้คงพัฒนาไปได้อีก ก็คงต้องการคนงานเพิ่มเหมือนกัน”

เสือเอี้ยงโล่งใจขึ้นทันที “ดีเลย คนที่นี่ทำงานเป็น ถึกทนทั้งนั้นไม่แม้แต่ผู้หญิงเพราะสอนให้ทำงานเป็นจะได้ไม่มีใครมาดูถูก”

“งั้นก็มีคนที่ทำงานหนัก ๆ ได้ใช่ไหม”

“เออ มีอยู่เยอะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา งานที่ให้ทำก็มีตากแดดตากลมซะส่วนใหญ่กลัวว่าจะไม่ไหวกัน จะมีบ้างที่เย็บปักถักร้อยที่วังหรือเป็นแม่ครัว คนรับใช้สำหรับคนที่อาจจะป่วยง่ายหรือร่างกายอ่อนแอมาแต่เกิดให้ไปทำที่วังได้”

“วังหรือวะ?” เสือเอี้ยงตาโต

“อืม วังของเพื่อนกูเอง แต่ก็เกรงใจเหมือนกันคงรับได้ไม่กี่คนนะ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็บุญหัวพวกมันแล้ว ขอบคุณมึงมากจริง ๆ ว่ะสิงห์” เสือเอี้ยงจับบ่า

“ยินดีเสมอ ขอแค่พวกมึงรับโทษตามกฎหมายและรอปล่อยตัวมันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

“ไออัธคงโวยวายว่าทำไมพี่มันยอมง่ายขนาดนี้” เสือเอี้ยงหัวเราะ ก่อนจะยิ้มบาง “มันเองก็มีลูกมีเมีย ยิ่งมารู้ว่ามึงยอมช่วยเหลือขนาดนี้ กูก็ไม่อยากเสียคนในครอบครัวไปอีกแล้วว่ะ กูแม่งคิดมาตลอด คิดตั้งแต่ไอเทิดเปรยเรื่องไอหลวงรวีชัย”

“ยังดีที่มึงคิดได้ทันก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้”

เสือเอี้ยงหันมองก่อนจะจับบ่า “กูก็ยังพูดเหมือนเดิมว่ากูเกลียดข้าราชการ ยกเว้นพวกมึงที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง สักวันพวกเขาจะเห็นอย่างที่กูเห็นว่ามึงก็เป็นตำรวจที่ดีคนหนึ่ง”

“ขอบคุณมึงมากที่ยอมร่วมมือกับกูและเปิดใจยอมรับแม้ว่าข้าราชการคนอื่นจะทำเหี้ย ๆ ไว้กับพวกมึงก็ตาม”

“ช่างพวกมันเถอะ กูก็ทำมามากพอละ จบเรื่องนี้เมื่อไหร่ไว้มึงกับกูมาแดกเหล้ากัน”

สิงห์ตบบ่าคนข้างกาย “เออ ไว้มาแดกเหล้ากัน”

 


พ่ายโลกันตร์

 


กลับถึงบ้านได้ไม่นานก็ต้องคุยกับภพเรื่องที่ว่านนท์โทรศัพท์มาหาเพื่อเปลี่ยนแผนไม่ต้องจัดการอธิบดีทัพ สิงห์จึงต้องโทรศัพท์หาอีกรอบและพูดคุยกัน โดยมีสารวัตรอิฐที่คุยด้วยเพราะทั้งคู่อยู่ด้วยกันในตอนนี้

“เสือเอี้ยงมันยอมตกลงที่จะให้เป็นชื่อมันแล้วก็ส่งตัวน้องชายกับพรรคพวกอีกเจ็ดแปดคนมาร่วมด้วย” สิงห์ว่าก่อนจะคิดหนัก “แต่ว่าการทำแบบนี้พวกเสือเอี้ยงอาจจะโดนโทษเพิ่มได้”

(จะช่วยพวกเสือเอี้ยงจริง ๆ ใช่ไหมสิงห์) นนท์เอ่ยถาม

“อืม ฉันรับปากไปแล้ว”

(ได้บอกเรื่องนี้ไหมว่าพวกมันจะถูกโทษเพิ่มได้)

“บอกแล้วแหละ ถ้าเป็นอย่างนั้นเสือเอี้ยงมันก็จะยอมรับโทษคนเดียว” สิงห์นวดขมับ “ถ้าจบเรื่องแล้ว ฉันจะลองต่อรองดู”

(ยังไงล่ะ)

“ฉันมีวิธีอยู่ ส่วนเรื่องที่ต้องฆ่าไอทัพมันยังคงเดิม แผนเดิมของเรา”

(ถ้าผู้กองคิดว่าดีผมก็เอาตามนั้น) เสียงสารวัตรอิฐแว่วเข้ามาก่อนจะเป็นนนท์ที่พูด (กว่านายจะกลับสิงห์บุรีพวกเจ้าสัวมันจะไม่เตรียมพร้อมเสร็จแล้วหรือ มันอันตรายนะ อย่างน้อยนายอยู่จัดการหลวงรวีชัยดีกว่าไหม)

“ไม่หรอก ฉันไม่ได้ไปแล้วล่ะ”

(อ่าว แล้วจะปล่อยให้พวกเสืออัธไปหรือ พวกมันยอมหรือไง)

“ก็มีไฟอยู่ที่นั่นไง ฉันโทรศัพท์บอกท่านรองไว้ก่อนแล้วแหละว่าให้ไฟอยู่ที่นั่นก่อน”

(ให้คนหัวร้อนง่ายสองคนอยู่ถ้ำเดียวกันเนี่ยนะสิงห์) สารวัตรนนท์ว่าเสียงเอื่อย

“นั่นสินะ แต่ไฟก็เปลี่ยนไปเยอะแล้ว”

(เฮ้อ เอาเถอะ ฉันส่งคนในทีมเก่านายไปด้วย บอกจะไปช่วยให้ได้)

“ว่าไงนะ? พวกหมวดกล้าเหรอ”

(ใช่)

“มันอันตรายนะ ส่งมาทำไม”

(ก็เพราะมันอันตราย พวกนั้นถึงเป็นห่วงหัวหน้าอย่างนายไงสิงห์)

สิงห์เงียบไปครู่ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง “ถ้ามาถึงนะจะสั่งสอนสักที”

(ฮ่า ๆ คงเตรียมใจกันไว้แล้วแหละ)

“ถ้าอย่างนั้นไว้แค่นี้ก่อนนะ หลังจากเสืออัธถึงอยุธยาคืนนี้ก็จัดการอธิบดีทัพเลย แล้วก็ท่านรองก็จะเดินทางไปพระนครแล้วพวกนายเตรียมหลักฐานฝั่งพวกนายไว้แล้วกัน”

(ได้ ดูแลตัวเองด้วยนะสิงห์ ห้ามตายเด็ดขาด)

“รับทราบครับสารวัตร” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็วางสายก่อนจะถอนหายใจเมื่อวันนี้วางแผนกันเสร็จเรียบร้อย รอเพียงแค่จุดระเบิดลูกใหญ่ที่คงจะมาถึงในเร็ววัน

สิงห์ที่พิงพนักเก้าอี้อยู่ยกมือลูบใบหน้าให้หายเครียด ในชั่วจังหวะหนึ่งที่กำลังลูบหน้าและนวดขมับก็เผลอมองกรอบรูปหนึ่งที่มีรูปของนายตำรวจสี่คนยืนถ่ายรูปด้วยกัน เมื่อมองผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเลยเลื่อนลิ้นชักออกมาก็พบกระบอกปืนลูกโม่ที่สลักชื่อว่า ‘จัน’ ไว้ โดยที่สารวัตรโขมเก็บไว้ให้

 “กูขอใช้ปืนมึงนะจัน กูจะเป็นตัวแทนมึงเอง” สิงห์น้ำตาคลอเล็กน้อยก่อนจะทำหน้ามุ่งมั่น “นับตั้งแต่บัดนี้ กระผม... ผู้กองสิงห์ขอรับปืนหมวดจันไปจัดการพวกเจ้าสัวเหวย”

เสียงลมพัดเอื่อย ๆ ทางหน้าต่างคล้ายกลับรับรู้และคอยเป็นกำลังใจให้คนที่อยู่ภายในห้อง พระจันทร์คืนนี้เต็มดวงส่องแสงสะท้อนกับปืนและชื่อที่สลักไว้ทำให้เด่นอยู่ในสายตาผู้ที่ถือ

“คิดถึงมึงนะจัน...”




จบบทที่ ๒๓

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ทุกคนย่อมมีมุมดี มุมเลวในตัวเอง บางคนเลวโดนเหตุการณ์บังคับ แต่ยังไงก็รักครอบครัว และห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทที่ ๒๔

เริ่มแผนการ

 


ณ พระนคร

สารวัตรนนท์และสารวัตรอิฐที่ตอนนี้เดินไปพร้อมกับทางจเรตำรวจเพื่อไปยังห้องทำงานของอธิบดีวาริน ตำรวจภายในกรมต่างหันมองด้วยความสงสัยก่อนที่สารวัตรนนท์จะเป็นคนเปิดประตูเข้าไป

“อธิบดีวารินคุณต้องไปกับเรา”

อธิบดีวารินเงยหน้ามอง ดวงตาเบิกเล็กน้อยก่อนจะสงบลง “มีอะไรกันหรือ”

“คุณถูกสงสัยว่าร่วมมือกับโจรและยึดฝิ่นยึดของกลางเพื่อไปหมุนเงินอีกที โดยมีความช่วยเหลือจากหลวงศรีรวีชัยและเจ้าสัวเหวย”

“จะมากล่าวหากันโต้ง ๆ แบบนี้ไม่ได้นะสารวัตร” อธิบดีวารินขมวดคิ้วมือซ้ายหยิบหูโทรศัพท์ออกมาวางกับโต๊ะ คนอื่นไม่มีใครเห็นเพราะว่ามีกองงานที่บดบังอยู่ ในระหว่างที่หมุนเลขที่คุ้นดีก็ยังคงมีท่าทีสงบ

“ผมมีหลักฐานเกี่ยวกับคุณจากเสี่ยพันธ์ที่ให้หลักฐานเพิ่มมาและสายของเราที่เอามาจากเจ้าสัวเหวยและรวมถึงลูกชายบุญธรรมของคุณ”

พอได้ยินชื่อของคนที่เคยหลอกใช้ก็มีแววตากรุ่นโกรธขึ้นมาแต่ยังคงไม่แตกตื่น “หลักฐานพวกนั้นมันก็ปลอมแปลงได้ไม่ใช่หรือ” วารินเห็นว่าปลายสายคงจะรับแล้วจึงใช้นิ้วเคาะโต๊ะสามครั้งเป็นการส่งข้อความลับให้

“เราตรวจกันมาแล้วว่าไม่ใช่เอกสารที่ปลอมแปลง ทุกอย่างล้วนเป็นของจริง และคุณเคยส่งลูกชายบุญธรรมอย่างหมวดจันเพื่อเข้าไปเป็นหนอนบ่อนไส้ในข้าราชการให้กับทางเสี่ยพันธ์และหลวงศรีรวีชัย” ว่าแล้วก็ชูจดหมายฉบับหนึ่งกางออกก็จะเห็นตรารอยนิ้วมือประทับกับชื่อที่เซ็น “หมวดจันได้ยอมรับและส่งจดหมายนี้ให้กับทางรองอนงค์ ว่าคุณร่วมมือกับโจรภาคกลางจริง ๆ”

วารินจ้องเขม็งก่อนจะพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับพวกนาย”

นนท์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าอธิบดีวารินยอมกันง่าย ๆ แต่ก็เป็นอันเข้าใจเพราะวารินเป็นคนใจเย็น คงมีแผนอยู่สินะ “เอาตัวไปเลยครับ” หันบอกทางจเรตำรวจ

“ฉันขอเดินไปเฉย ๆ โดยไม่ต้องรวบฉันได้ไหม ถือว่าเห็นแก่ฉัน”

อิฐพยักหน้าให้นนท์เลยจำเป็นต้องทำตาม ในตอนที่กำลังออกจากห้องนนท์ก็เหลียวมองที่โต๊ะทำงานด้วยความสงสัยก่อนจะออกจากห้องไปเมื่อไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ...

ตัดมาทางคนรับที่ฟังก็คลี่ยิ้มออกมา “ลื้อไปจัดเตรียมของซะ เราจะไปพระนครกัน” บอกกับไอมั่นที่กลายเป็นมือขวาแล้ววางหูโทรศัพท์และมองไปยังคนสองคนที่ถูกมัดตัวและปิดปากเอาไว้ “เมื่อกี้นี้อธิบดีวารินโทรศัพท์มาบอกข่าวคราวว่าถูกจับมีหลักฐานในเรื่องที่ช่วยกู แต่หลักฐานที่บอกว่าเอามาจากเจ้าสัวเหวยนี่ พวกมึงใช่ไหมที่เอาไปให้ตำรวจ”

กฤษตัวสั่นจากทั้งความโกรธและความกลัวหันมองพ่อสมหมายที่ตอนนี้ดูนิ่งจนแปลก

“แน่มากเลยนะที่มาเป็นสายให้พวกมัน” เจ้าสัวเหวยยิ้มแต่เป็นยิ้มที่น่ารังเกียจสำหรับคนมอง “กูคงไม่รู้ตัว หากว่าวันนั้นลูกน้องกูไม่ไปเห็นมึงที่บาร์เพื่อคุยกับเจ้าสิงห์ กูยอมปล่อยไปก่อนให้พวกมึงตายใจ จะได้รู้ว่าการมาหักหลังกูมันเป็นยังไง”

กฤษกำมือแน่นจ้องเขม็งมัน

“แค้นกูใช่ไหมล่ะไอกฤษ” เจ้าสัวเหวยว่าเสร็จก็เดินมาทางคนข้าง ๆ ที่ดูจะไม่เกรงกลัว น่าเสียดายที่อยู่อีกฝั่งไม่อย่างนั้นคงให้เป็นคนสนิทอีกคน “ลุงสมหมายดูเตรียมใจมาแล้วสินะ”

กฤษรีบหันมองก่อนจะดิ้นไปมา “อื้อ ๆ!!”

“น่าเสียดายนะ แต่กูคงต้องเชือดไก่ให้ลิงดู” พูดไปมือก็หยิบปืนออกมา

“อื้อ!!!!” กฤษดิ้นแรงกว่าเดิมจนข้อมือแดงและเลือดซิบเบิกตากว้างเมื่อมันจ่อปืนไปทางพ่อสมหมาย

“กูจะเก็บมึงไว้นะไอกฤษ และส่งพ่อมึงไปสู่นรกเอง” พูดเสร็จก็เอาผ้าจากปากของตาสมหมายออก “เผื่ออยากจะพูดอะไรก่อนตายนะ ดูสิว่ากูใจดีกับพวกมึงแค่ไหน” 

ตาสมหมายเงยหน้ามองไม่มีความไหวหวั่นก่อนจะหันมองลูกตัวเองพร้อมยิ้ม “ลูกต้องรอดนะ พ่อขอโทษที่อยู่ด้วยไม่ได้—”

ปัง!

“อื้อ!!!!” กฤษร้องออกมาน้ำตาไหลพรั่งพรู จากนิ่งงันกลายเป็นสั่นจากสั่นกลายเป็นคลุ้มคลั่ง ดิ้นจนเก้าอี้ล้มกับพื้น กฤษได้แต่ตะโกนอย่างไม่มีเสียงใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาแดงฉานขยับไปหาพ่อตัวเองทั้ง ๆ ที่โดนมัดกับเก้าอี้

พ่อ!

กฤษอยากจะตะโกนคำนี้ออกมาแต่มันทำไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟาย “อื้อ!”

“หึ ทีนี้เข้าใจรึยังว่าการหักหลังกูมันเป็นยังไง” เจ้าสัวเหวยนั่งย่อตัวลงแล้วใช้ปืนเกลี่ยหัว หัวเราะอย่างสะใจเมื่อเห็นแววตาโกรธแค้นที่มองมา “อย่างนั้นแหละดี โกรธเข้าไป แล้วก็โกรธไอคนที่มันส่งพวกมึงมาด้วย ที่ทำให้ชีวิตพวกมึงเลยลงเอยแบบนี้”

กฤษตัวสั่นเทิ้มมองตามมันที่เดินออกไปจนลับสายตาก่อนจะหันมองพ่อ น้ำสีใสยังไหลไม่หยุดถึงแม้จะเจ็บที่เชือกรัดแน่นแต่ก็คลานเข้าไปใกล้ให้ศีรษะตรงกับเท้าก่อนจะก้มให้หัวแนบลงเป็นการกราบแทน เพราะมือก็ถูกเชือกมัดอยู่

ได้แต่ขอโทษในใจที่ทำอะไรไม่ได้ เขาไม่ได้โกรธคุณสิงห์เลย ไม่สักนิด เพราะเป็นพวกเขาที่อาสากันมาเองเพื่อที่จะตอบแทนคุณสิงห์และอาจจะลบบาปที่เคยฆ่าคนในตอนที่ยังเป็นลูกน้องเสี่ยพันธ์ แต่บาปหนักเกินไปสินนะผลกรรมเลยถูกทำให้เป็นแบบนี้ ได้พรากคนสำคัญไปคนหนึ่ง ทำให้ต้องเหมือนตกนรกทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิต

นี่สินะความรู้สึกของคนที่มีคนสำคัญตายไป

นี่สินะความรู้สึกของคนที่มองเราในวันที่เราฆ่าคนของเขา

บาปนี้ต่อให้ชดใช้ทั้งชาติมันก็ไม่พอ

กฤษหลับตาสะอึกสะอื้นปลายหน้าผากที่ถูกเท้าพ่อสั่นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดและความเศร้าโศรกนี้ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะจบลงเมื่อใด...


 

พ่ายโลกันตร์

 

 
ฝั่งทางอยุธยานั้นเสืออัธได้มาถึงที่แล้วและอยู่ที่บ้านของอนงค์ ไฟออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่สิงห์ส่งโจรมาช่วย แน่นอนว่าเขาเกือบจะมีเรื่องกันแล้วเพราะยกปืนจ่อพวกนี้ ถึงแม้จะเข้าใจแผนแล้วแต่ก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย

“จะเริ่มเมื่อไหร่ กูจะได้กลับสักที” เสืออัธพูดพลางกระดิกตีนที่พาดบนโต๊ะ

ไฟจ้องเขม็ง “มึงรีบหรือวะ”

“ก็ใช่ไง มึงก็รีบไม่ใช่รึไง”

“เรื่องของกู”

“อ่าวไอห่านี่อยากมีเรื่อง”

“มึงก็เงียบแล้วรอเฉย ๆ ไม่ได้เหรอวะ”

“เอ้า นั่นก็เรื่องของกูเหมือนกัน”

ไฟลุกขึ้นทันทีตั้งท่าจะหาเรื่องและเสืออัธก็ลุกขึ้นเช่นกัน ลูกน้องที่มาด้วยได้แต่ถอนหายใจและปล่อยให้ทะเลาะกันต่อไป เข้าใจพี่เอี้ยงแล้วว่าทำไมต้องบอกว่าให้เตือนน้องชายตัวเองด้วย

“ใครมา” ลูกน้องเสืออัธพูดขึ้นเพราะเห็นรถคันหนึ่งขับมาจอดที่ข้างหน้าบ้าน

“พวกของกูเอง” ไฟรีบบอกมองเสืออัธด้วยสายเชือดเฉือนก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอก “ว่าไงหมวดกล้า จ่านิด จ่าเฉิ่ม จ่าตาล มากันครบเลยนะ”

“แน่นอนสิครับ” จ่าเฉิ่มว่า

“นั่นพวกเสืออัธหรือหมวด” หมวดกล้าถามพลางพยักพเยิดไปข้างในบ้าน

ไฟพยักหน้า “ใช่ เอาเป็นว่าเข้าไปข้างในกันเถอะ”

“นี่หมวดกล้า จ่าเฉิ่ม จ่าตาล จ่านิด รู้จักไว้” ไฟแนะนำก่อนจะเริ่มคุยกันเรื่องแผน

“คิดว่ารอให้เย็นกว่านี้ค่อยไปจัดการดีไหม” หมวดกล้าบอก

“นานไป”

ไฟหันมองเสืออัธด้วยความรำคาญแต่ถึงอย่างนั้นมันก็นานไปจริง ๆ เพราะว่าต้องรีบกลับสิงห์บุรีจะได้ไปสมทบกับสิงห์ทัน “ก็อยากรอให้มันมืดกว่านี้ แต่ก็ต้องรีบกลับสิงห์บุรี”

พอได้ยินอย่างนั้นหมวดกล้าก็พยักหน้า “นั่นสิ ถ้าอย่างนั้นแล้วแต่หมวดไฟเลยแล้วกัน”

“ตอนนี้ไอทัพมันยังอยู่กรมตำรวจ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ระวังไม่ทำร้ายตำรวจที่ไม่รู้เรื่อง”

“เหอะ”

ไฟถอนหายใจ “ถ้ามึงมีปัญหามากก็กลับไปซะ”

“มึงจะอะไรกับกูหนักหนาวะ”

“เอ่อ...” จ่านิดเกาหัว

“เป็นแบบนี้มานานแล้ว” ลูกน้องเสืออัธคนหนึ่งเอ่ยบอก กลุ่มคนที่เพิ่งมาใหม่จึงถอนหายใจไปตาม ๆ กัน

“ถ้ายังเป็นแบบนี้งานก็จะไม่เสร็จแล้วก็จะไม่ได้ไปช่วยทางผู้กองสิงห์นะ” หมวดกล้าว่า

ไฟระงับโทสะทันที “ขอโทษที แต่ว่าอย่างที่บอกไป เรามาเพื่อจัดการไอทัพกับพวกของมัน คนอื่นไม่เกี่ยวข้อง”

“แล้วหมวดรู้ไหมครับว่ามีพวกของอธิบดีทัพกี่คน” จ่าตาลถาม

“มีอยู่เก้าคน เป็นตำรวจเจ็ดคนอีกสองคนอยู่ที่บ้านอธิบดีทัพและไม่ได้เป็นตำรวจ”

“เงินมันหอมเลยยอมเลียขาคนเหี้ย ๆ”

ไฟไม่ฟังเสียงนกเสียงกาก่อนจะวางรูปของตำรวจทั้งเจ็ดคนไว้ “เจ็ดคนนี้คือพวกอธิบดีทัพ นอกนั้นไม่เกี่ยว แต่ถึงจะเกี่ยวก็อยากทำให้สลบไว้ดีกว่า เดี๋ยวเรื่องจะบานปลาย”

“ทีพวกกูยอมฆ่าทันที แต่กับพวกตัวเองดันเห็นใจหรือวะ”

“จะพอได้รึยัง อย่าให้กูหมดความอดทนกับมึงนะไออัธ”

เมื่อเห็นว่าต่อให้เอาช้างมาฉุดก็หยุดพวกนี้ไม่ได้ หมวดกล้าจึงลุกขึ้น “ถ้าหากพวกคุณยังเป็นอยู่แบบนี้ ผมจะไปกันเอง คุณสองคนก็อยู่เฉย ๆ ไปซะ”

“อะไรวะ”

“เดี๋ยวหมวดกล้า”

ทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่งกันอยู่หน้าบ้านหลังจากที่ลูกน้องเสืออัธและลูกน้องสิงห์ทิ้งหนีออกไปกันหมด

“เพราะมึง” ไฟชี้หน้าก่อนจะไปรถอีกคันที่พ่อทิ้งไว้

“อ่าว เฮ้ย! มึงจะทิ้งกูไว้ไม่ได้นะเว้ย” ว่าแล้วก็รีบวิ่งไปขึ้นรถด้วยจึงมีฝีปากกันไปอีกรอบ

หลังจากมาถึงก็พบว่าคนของเสืออัธยังอยู่ในรถ พอถามไถ่ก็พบว่าเพราะหมวดกล้าและคนอื่นเป็นตำรวจจึงไม่เด่นในสายตาใครคงคิดว่ามาพบหาเฉย ๆ

“ถ้าอย่างนั้นพวกมึงรอกันตรงนี้ก่อนแล้วกัน” พูดเสร็จก็รีบวิ่งเข้าไปข้างใน เสืออัธเลยได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ

ทุกคนดูตกใจที่ยังเห็นไฟ บางคนกลัวจนวิ่งหนีกัน บางคนก็เข้ามาทัก ไฟตอบแค่เป็นงานจากนั้นก็ตรงไปยังห้องของอธิบดีทัพ

“พวกมึงกล้ามากนะที่ทำกับกูแบบนี้!! เป็นแค่ไอพวกยศน้อยอย่าเก่งให้มาก!!”

ไฟมองคนโวยวายที่ถูกจับใส่กุญแจมือและลูกน้องมันอีกสี่คนที่ถูกทำให้สลบและลากไปกองอยู่ที่เดียวกันมุมห้อง ก่อนจะถามไถ่เรื่องคนที่ยังไม่เห็น “มีแค่นี้หรือ”

“ใช่ครับ คนอื่น ๆ หมวดกล้ากับจ่าเฉิ่มไปหาอยู่”

“มึงไอไฟ!? มึงยังไม่ตายเหรอวะ” ทัพเบิกตาโต

ไฟก้มมองคนที่ถูกจับให้หน้าแนบกับโต๊ะ “ใช่ กูยังไม่ตายและกูก็จะมาจัดการมึงไอทัพ คงจำได้นะว่ามึงทำเหี้ยอะไรไว้ที่สิงห์บุรีบ้าง”

ทัพดูกลัวแต่ก็ยังคงปากกล้า “พวกมึงไม่ตายดีแน่ที่มายุ่งกับกู พวกมึงแม่งโง่กันหมด”

“มึงน่ะสิโง่” ว่าแล้วก็ขอซัดหมัดใส่หน้ามันสักที

“ใจเย็นครับหมวด” จ่าตาลรีบห้าม

ไฟยอมผละออกก่อนจะเดินไปทางประตูแง้มออกเล็กน้อยเพื่อมองข้างนอก “เราต้องเอาตัวพวกนี้ออกไป แล้วค่อยให้พวกเสืออัธจัดการ”

“แต่เราก็ต้องหาพวกของอธิบดีทัพก่อน ไม่อย่างนั้นคงเสียแผน”

จ่านิดพยักหน้าเห็นด้วย

“พวกมึงร่วมมือกับเสือเอี้ยงหรือวะ” ทัพตกใจไม่น้อย “พวกมันไปร่วมมือกับมึงได้ไง”

ไม่มีใครตอบอะไร จากที่ตะโกนด่ากลายเป็นนิ่งเงียบ ความกลัวเริ่มกินจิตใจ “พ..พวกมึง ถ้าปล่อยกูไปกูจะบอกทุกอย่างเอง”

ไฟถึงกับขมวดคิ้วหันมองมันที่ยอมง่าย “เหอะ อย่างมึงน่ะเหรอ พอกลัวแล้วก็หมาดี ๆ นี่เอง”

“มึงอยากได้อะไรกันบอกมา กูพร้อมยกให้ แค่ปล่อยกูไป อย่าฆ่ากู”

คนฟังถึงกับส่ายหน้า “เก่งให้เหมือนกับตอนที่กดหัวคนอื่นหน่อย เห็นแบบนี้แล้วสมเพชว่ะ”

ทัพกัดฟันกรอด

ปัง ๆ ๆ ๆ

“เสียงปืน!” จ่านิดตกใจ

“ทั้งสองคนอยู่นี่ดูมันไว้ เดี๋ยวผมมา”

“ครับ!!”

ไฟรีบวิ่งออกไปก็เห็นว่าคนในกรมวุ่นวายกันหมด ก่อนจะวิ่งไปทางข้างนอกเพราะตำรวจคนอื่นวิ่งไปทางนั้นกัน

“เฮ้ย! พวกเสือเอี้ยงมา!” นายตำรวจคนหนึ่งตะโกน ก็พบว่าเป็นพวกของอธิบดีทัพ

“หมวดไฟ” จ่าเฉิ่มรีบวิ่งมาหา “พวกมันคนหนึ่งรอดไปได้”

“ผมเห็นแล้วแหละ นั่นไง” ว่าเสร็จก็ชี้

“ห่าเอ้ย ทำทั้งกรมแตกตื่นหมด มันสินะที่ยิงปืน”

ไฟขมวดคิ้วก่อนจะนึกอะไรได้ “ในเวลานี้ก็รีบไปทางข้างหลังแล้วเอาตัวพวกไอทัพไปเลยแล้วบอกหมวดกล้าให้ไปเอากุญแจรถของกรมตำรวจซ่อนไว้ก่อน”

“ได้ครับ”

ไฟมองตามจ่าเฉิ่มไปก่อนจะหันมองคนต้นเรื่องที่พูดเสร็จก็ยิงใส่รถของเสืออัธ มีรถของทางหมวดกล้าที่หายไปเหลือแต่รถเขาและรถของเสืออัธที่เป็นที่บดบัง

ไฟส่งสัญญาณมือให้เป็นเชิงบอกว่าให้เรียกความสนใจเอาไว้ ดีนะที่ไอลูกน้องทัพคนนี้มันไม่รู้แผน เพราะอย่างนั้นการเรียกคนอื่นเพื่อคิดจะจับพวกเสืออัธนั้นมันเข้ากับแผนของพวกเขาที่ต้องการให้คนรู้ว่าทัพถูกจัดการเพราะเสือเอี้ยง

เพียงไม่นานจ่าเฉิ่มก็ออกมาส่งสัญญาณว่าเรียบร้อยแล้ว ไฟเลยบอกทางเสืออัธให้รีบหนีไปก่อน ส่วนตนก็ปลีกตัวตามคนต้นเรื่องและจัดการลูกน้องทัพคนนั้น พร้อมกับแบกขึ้นบ่าอ้อมไปข้างหลัง

“กุญแจรถไปไหนหมด!”

“มีพวกมันเข้ามาในกรม! ท่านอธิบดีทัพถูกจับไปแล้ว!”

ไฟที่หลบตำรวจคนอื่นอยู่ก็ต้องหันมองทางเสียงเรียก

“หมวดทางนี้!” หมวดกล้าตะโกนบอก ไฟจึงรีบขึ้นไปบนรถคันนั้นทันที

“เกือบไปแล้ว” ไฟพรูลมหายใจ ขับออกมาไกลพอควรก็มีรถเสืออัธและรถเขาที่ตามมา

“เราจะเอามันไปที่ไหนครับ”

“ไปสิงห์บุรีเลยก็ได้”

“ห๊ะ!?”

“แวะซื้อเชือกมัดพวกมันเอาไว้ที่หลังรถ”

“เอาไปที่สิงห์บุรีด้วยทำไมล่ะหมวด?” หมวดกล้างุนงง

“จะได้จัดการทีเดียว” พูดเสร็จก็ยื่นแขนออกหน้าต่างกวักมือเรียกรถของเสืออัธ

“เราจะไปสิงห์บุรีกันเลย”

“ถ้าอย่างนั้นพวกมึงนำกันไปก่อน เดี๋ยวกูมา” เสืออัธที่อยู่บนรถของเขาพูดขึ้น

“มึงจะไปไหน มึงถูกไล่ล่าอยู่นะ”

“เออหน่า ไปจัดการไอสองคนที่เหลือไง ฆ่าได้ใช่ไหม”

“เดี๋ยวดิ เฮ้ย!” ไฟสบถเมื่อมันเอารถเขาไปพร้อมกับลูกน้องมัน

“ปล่อยไปเถอะครับ” จ่าตาลว่า




พ่ายโลกันตร์


 

ในระหว่างทางต้องปรับเปลี่ยนคนขับและเปลี่ยนคนไปดูข้างหลัง ซึ่งหลังจากซื้อเชือกไฟก็ขออาสาดูเองมาตลอด

มีบางคนตื่นกันมาแล้วแต่ก็ไม่กล้าขยับมากเพราะไฟจ่อปืนไว้

“มึงอยากรู้เรื่องของจันไหม”

ไฟอดตกใจไม่ได้ “มึงรู้อะไร”

ทัพหันมอง “ก็เพื่อนมึงน่ะเป็นสายให้พวกกูไง”

พอได้ยินเรื่องที่รู้แล้วไฟก็ได้แค่เค้นเสียง “กูรู้แล้ว และจันก็เป็นคนบอกพวกกูด้วย หลักฐานที่ว่ามึงกับไอวารินร่วมมือกับเจ้าสัวเหวยและหลวงศรีรวีชัย จันก็เอามาให้”

“ถ้างั้นมึงก็รู้แล้วสินะว่าทำไมไอจันมันโกรธแค้นพ่อมึง”

“ใช่ มึงน่ะหุบปากไปเถอะ พวกกูรู้เรื่องหมดแล้ว”

ทัพสบถแต่ก็สงสัยเหมือนกันว่ารู้ขนาดนี้ทำไมไม่โกรธ ทัพเลยได้ใจบ่นความอัดอั้นออกมา “รู้แบบนี้กูฆ่ามันตั้งแต่วันนั้นก็ดีแล้ว”

“ว่าไงนะ?” ไฟก้มมองก่อนจะดึงคอเสื้อ “มึงหมายความว่าไง”

“ก็แค่จะบอกว่ากูควรฆ่ามันตั้งแต่ตอนยังเด็ก โตมาแล้วแทนที่จะสำนึกบุญคุณดันหักหลัง เสียดาย”

“ไอเหี้ย!” ไฟใช้กระบอกปืนทุบหน้ามัน

“หมวด ๆ พอได้แล้วครับ” จ่านิดที่นั่งมาด้วยรีบจับแขนห้าม

“ถุ้ย” ทัพถุ้ยเลือดทิ้งก่อนจะหัวเราะ

“มึงขำห่าอะไรวะ!” ไฟโกรธจัด

“ก็ขำเรื่องไอจันไง ตายไปแล้วมันจะรู้ไหมว่าคนที่ฆ่าครอบครัวมันคือกูไม่ใช่ไออนงค์ โกรธแค้นคนผิดจนถึงตอนนี้ตายไปแล้วก็คงไม่รู้ ฮ่า ๆ”

ไฟตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ น้ำตาเริ่มคลอ มันเพราะความเดือดดาลทั้งนั้น โกรธจนร้องไห้เป็นยังไงก็เพิ่งรู้

“พวกมึงมันเหี้ย!!” ไฟไม่ทนอีกต่อไปทั้งมือทั้งเท้าหยุดให้ไปกระทืบมันไม่ได้

“หมวด! พอ!” จ่านิดรีบบัง

“แค่ก ๆ มึงจะโมโหทำไมวะ ไหนบอกรู้เรื่องแล้วไง”

“เรื่องอื่นน่ะรู้ แต่เรื่องนี้กูเพิ่งจะรู้!” ไฟกำหมัดแน่นมือที่ถือปืนอีกข้างก็สั่น

ทัพเลิกคิ้วก่อนจะค่อย ๆ สงบปากเมื่อเห็นว่าไปทำมันโกรธเข้าแล้ว ห่าเอ้ยก็คิดว่ารู้ไปแล้วไม่เห็นแสดงท่าทีอะไร

“หมวด” จ่านิดจับบ่า

“มึงสินะที่ฆ่าครอบครัวของเพื่อนกู มึงแม่ง!! ไอสัสเอ้ย!” ไฟถีบมันก่อนที่จ่านิดจะรีบล็อคตัวของไฟเอาไว้ “มึงรู้ไหมว่ามันคิดไปแล้วว่าพ่อกูฆ่าครอบครัวมัน! มันมองไอวารินเป็นผู้มีพระคุณ ทั้ง ๆ ที่พวกมึง!!”

ไฟกัดกราม น้ำตายังคงไหลเมื่อนึกถึงเพื่อน

ทัพกุมหน้าและไม่ต่อปากต่อคำเพื่อหวังว่ามันจะสงบไปเอง แต่เปล่าเลย…

“คนที่สมควรตายคือมึง! ไม่ใช่จัน!” ไฟตะคอกเสียงดังและเพราะความกรุ่นโกรธเลยหลุดจากจ่านิดได้และยกปืนจ่อคนใต้ตีน

“อย่า ๆ ไม่! อย่—”

ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ

“หมวด!!!”

จ่าตาลที่เป็นคนขับรถรีบจอดทันทีก่อนที่คนอื่น ๆ จะลงรถมาดู

“หมวด…” จ่าเฉิ่มกลืนน้ำลาย รีบเสหน้าหลบ

เพราะทัพตายคาที่แล้วโดนทั้งยิงหัวและลำตัวจนน่าสยดสยอง ทำให้คนเห็นต้องพากันอ้วก ลูกน้องทัพบางคนรีบเขยิบหนีไฟเพราะกลัวและบางคนก็อ้วกกับภาพที่เห็น

ไฟหอบหายใจแรง มือที่ยิงยังสั่นอยู่อย่างนั้น ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นกระบะ ยกมือกุมหัวตัวเองไว้

“จ่านิดเอาปืนออกมา เดี๋ยวผมอยู่ที่นี่กับเขาเอง” หมวดกล้าเอ่ยบอก ก่อนที่จะเดินทางอีกครั้งและแวะซื้อผ้าคลุมเพื่อมาคลุมศพเอาไว้แต่กลิ่นเลือดก็ยังคละคลุ้ง

“ผมไม่เสียใจหรอกนะที่ทำ” ไฟมองมันด้วยแววตาเย็นชาแม้น้ำตายังคงไหลไม่หยุด “แต่ที่ผมร้องไห้ เพราะเพื่อนผมไม่มีวันรู้ว่าไอพวกเหี้ยนี่มันทำอะไรไว้บ้าง”

“เฮ้อ คุณเป็นคนโมโหร้ายจริง ๆ หมวดไฟ”

ไฟพยักหน้าอย่างเหม่อลอย “ผมไม่มีวันยอมใจอ่อนกับคนพวกนี้ ที่จริงแม่งควรถูกทรมานก่อน มันจะได้สาสมกับสิ่งที่ทำมาตลอดนับสิบ ๆ ปี”

หมวดกล้ากลัวความคิดนั้นอยู่แต่ก็เข้าใจเพราะเสียเพื่อนที่สำคัญไป ไหนจะการหลอกลวงของพวกวารินและทัพยังทำให้หมวดไฟกับหมวดจันบาดหมางกันอีก ใคร ๆ ก็ต่างรู้จักกลุ่มเพื่อนสี่คนที่สนิทกันมาก ไม่คิดว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างนี้

“ถึงมันจะสมควรโดน แต่ก็ไม่อยากให้คุณเหมือนพวกมันที่ทำอะไรโดยไม่คิดอีก”

“ผมก็เคยคิดอย่างนั้น... ผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่ทีมลับเขาทำกันแล้ว พวกที่มันไม่มีความสำนึกไม่รู้จะเอาไว้ไปทำไม” หมวดไฟถอนหายใจ “ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ผมทำมันถูก และผมก็ไม่ได้บอกว่าผมจะเป็นคนขาวสะอาดขนาดนั้น กับสิ่งที่ทำเพราะเคยถูกกระทำเลยแค้น บางคนยอมปล่อยไปได้ แต่ไม่ใช่ผม... เพราะมันทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้”

หมวดกล้าไม่พูดอะไรออกมาไฟจึงพูดต่อ

“บางทีการยอมเป็นเหมือนพวกมันเพื่อฆ่าพวกมันอีกที ผมก็ยอมได้ แต่จะไม่เหมือนตรงที่ว่าพวกที่ผมฆ่าก็ไม่อยากจะนับว่าเป็นคน เพราะพวกมันไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว” ไฟมองผ้าคลุมศพ “พวกนี้มันก็แค่เห็นแต่ตัวเอง หลอกลวงประชาชน เข้ารับราชการเพราะจะอยากสุขสบายและเป็นใหญ่มากกว่าการดูแลประชาชนจริง ๆ”

ต่างคนต่างความคิดสิ่งที่ถูกต้องคืออะไรสิ่งที่ผิดคืออะไร?

ในยุคสมัยที่มีแต่การฆ่าแกงเป็นชีวิตประจำวัน ไม่รู้สึกผิดหรือนึกคิดกับสิ่งที่ทำ แต่ทุกคนล้วนมีทั้งขาวและดำปะปนกันไป

ทุกคนก็ต่างมีความคิดอยากจะฆ่าใครสักคน ฆ่าคนนั้นวนอยู่ในหัวแต่ไม่ทำก็มีและทำเลยก็มี จิตใจมนุษย์เราปรับเปลี่ยนกันง่ายไม่มีใครเหมือนเดิมตลอด ความคิดก็เช่นกัน

ความโกรธซึ่งนำพาความหายนะมา

คำนี้ไม่เกินเลยจริง ๆ

เมื่อมาถึงที่หมายก็ค่ำเสียแล้ว ทางนี้ขับรถเข้าที่ไร่อัครเดชได้เลยเพราะเห็นว่าจับพวกสายของไอมั่นได้หมดแล้ว

“ลงไป” หมวดกล้ากระดิกปืนให้พวกของอธิบดีทัพลงก่อนจะหันมองหมวดไฟที่ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น

“พวกนายนี่ มาจนได้” สิงห์เดินออกมาพร้อมคลี่ยิ้มก่อนทำหน้าเหยเก “กลิ่นฉุนขนาดนี้ไปทำอะไรกันมา”

“ผู้กอง...” จ่านิดเอ่ยเสียงเบา

“มีอะไรหรือ ไฟล่ะ”

“อยู่หลังรถครับ” หมวดกล้าว่าอย่างนั้น “ฝากดูเขาหน่อย”

สิงห์ขมวดคิ้วแล้วเดินอ้อมไปยังหลังรถพร้อมกับเบิกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นกองเลือดมากมายและกลิ่นฉุนที่ว่า “ไฟ...”

คนที่นิ่งไปนานหันมอง “สิงห์”

“ไฟ เป็นอะไร” สิงห์รีบขึ้นไปดูพร้อมกับลูบใบหน้าที่เปื้อนเลือด

“จัน...”

“จันทำไม”

“พวกวารินมันหลอกใช้จันมาตลอด” ไฟก้มหน้าแนบกับไหล่อีกคน

สิงห์ลูบผมคนรักพร้อมกับเอื้อมมือเปิดผ้าอดไม่ได้ที่จะหันหนีและรีบคลุมผ้ากลับที่เดิม “ใช่ พวกมันหลอกใช้มาตลอด จันไม่ควรโดนแบบนี้”

“สิงห์รู้หรือเปล่าเรื่องจัน”

“อะไรหรือ?” สิงห์ผละออกมามองหน้า

“ที่จริงแล้วจันมันแค้นผิดคน พวกที่ฆ่าครอบครัวจันจริง ๆ เป็นไอทัพไม่ใช่พ่อไฟ”

สิงห์ตกใจไม่น้อยมือเริ่มสั่น “เรื่องจริงเหรอ...”

ไฟพยักหน้า “มันยังเป็นลูกของจิตษาที่เป็นพี่น้องกับพ่อด้วย”

กลายเป็นว่าคนที่นิ่งไปเป็นสิงห์แทนและคนที่เริ่มร้องไห้ออกมาก็เป็นสิงห์ คนเล่าความจริงจึงได้แต่กอดคนรักเอาไว้ด้วยความตกใจ

“สิงห์ไม่น่าฆ่าเลย สิงห์ไม่น่าทำ สิงห์น่าจะรู้เรื่องก่อน” แผลที่กินในจิตใจเริ่มกลับมา ภาพที่ยิงเพื่อนตัวเองวนฉายซ้ำ ๆ คล้ายดั่งอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา

“ไม่เป็นไรสิงห์ ไม่เป็นไรนะ” ไฟตบหลังเบา ๆ

“ฮือออ ขอโทษ ๆ ๆ” สิงห์เริ่มไม่มีสติและปล่อยให้ตัวเองต่อยพื้นกระบะจนเปื้อนเลือดของศพไปหมด

ไฟเริ่มลนลานก่อนจะอุ้มคนรักออกจากหลังรถเพื่อขึ้นไปยังชั้นสอง ทุกคนที่อยู่ข้างในไม่ได้เอ่ยเรียกอะไรเพราะเข้าใจสถานการณ์ดี

“สิงห์ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้อง” ไฟปล่อยให้คนรักยืนดี ๆ “สิงห์ล้างเนื้อล้างตัวก่อน”

ไฟรีบล้างเนื้อล้างตัวถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออกก่อนจะล้างตัวให้สิงห์เช่นกัน ตอนนี้สิงห์กำมือแน่นมากและยังจิกเล็บด้วยไฟเลยรีบเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้และพาไปนั่งที่ปลายเตียง

เขาคุกเข่ากับพื้นลูบมือนั้นให้คลายออกก่อนจะสอดมือเข้าไปจับ “สิงห์มองไฟ” เขาว่าพร้อมจับหน้าให้ก้มมอง “ไม่เป็นไรแล้วนะ”

ไม่อยากคิดเลยว่าตลอดเวลาที่สิงห์อยู่ตัวคนเดียวเป็นอย่างไรบ้างจะหนักกว่านี้ไหม เพราะมันเป็นแผลลึกใหญ่ที่ไม่มีวันหาย ถึงขั้นจ่าธงมาดูตอนนั้นคงจะหนักมากสินะ รู้อย่างนั้นเขาก็ยังจะพูดเรื่องนี้ให้สิงห์รู้สึกผิดอีก

“เรื่องมันผ่านมาแล้ว จันไม่โกรธสิงห์หรอก”

“แต่สิงห์ทำผิด” และคงไม่รู้ตัวสิงห์จึงเผลอจิกเล็บลงกับหลังมือของไฟจนเลือดเริ่มซิปออก

ไฟใช้มืออีกข้างลูบแก้มอีกคนก่อนจะหลับตาสักพักทำให้สงบลงอย่างน่าแปลก เขาเปิดเปลือกตาขึ้น “ทุกคนผิดหมดไม่มีใครทำถูก... แต่สิงห์คิดหรือว่าจันมันต้องการอย่างนี้? ถ้าจันอยู่คงจะถูกมันด่าแล้วก็บอกว่าถ้าอยากสำนึกผิดก็อยู่ต่อไปแล้วทำอะไรแทนมันก็พอแต่อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้”

คนฟังเริ่มสงบลงบ้างแต่มือยังคงจิกอยู่อย่างนั้น ไฟเลยใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบา ๆ

“สิงห์... หลังจากจบเรื่องนี้เราจะทำบุญให้จันทุกวันนะ แบบนี้ดีไหม”

มือที่จิกเริ่มคลายออกก่อนที่สิงห์จะพยักหน้า

“ดีมาก” ไฟคลี่ยิ้มก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งข้างกายและกอดเอาไว้โยกไปมาเปรียบเสมือนเป็นเด็กแต่ก็กลับเป็นการปลอบที่ดี

ผ่านไปหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกันที่สิงห์เริ่มได้สติและกลับมาเป็นตัวของตัวเอง

“ขอโทษ เจ็บไหม” ว่าแล้วก็จับมือหนานั้นไว้จูบปลายแผลเบา ๆ

“เจ็บสิ สิงห์ต้องดูแลนะแบบนี้”

“ขอโทษ”

“ไม่เป็นไร แค่สัญญากับไฟก็พอว่าอย่าทำแบบนี้อีก ไฟไม่อยากให้สิงห์ต้องเจ็บนะ”

สิงห์พยักหน้า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ทั้งคู่หันมองก่อนที่จะเป็นไฟไปเปิดประตู “หมวดภพ มีอะไรหรือเปล่า”

ภพหนักใจ “นายกฤษกลับมาแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ สิ—”

“เดี๋ยวครับ” ภพรีบจับแขน “คือ... ลุงสมหมายแกเสียชีวิตแล้ว เพราะถูกจับได้ว่าเป็นสายให้คุณสิงห์”

ไฟเงียบลงก่อนจะพยักเป็นเชิงเข้าใจ “แล้วตอนนี้นายกฤษเป็นอย่างไรบ้าง”

“สะบักสะบอมพอตัวครับ นายกฤษถูกปล่อยตัวออกมาเพื่อจะให้พวกเรารู้ว่าพวกมันรู้แผนกันหมดแล้ว เห็นว่าจะไปพระนครด้วยคงจะไปช่วยวาริน”

“ถ้ารู้ขนาดนี้คงเตรียมการกันหมดแล้ว โทรศัพท์บอกสารวัตรนนท์หรือยัง”

“ยังเลยครับ เพิ่งจะฟังจบก็รีบขึ้นมาบอกพวกคุณ”

“งั้นก็โทรศัพท์บอกเลย ผมจะคุยกับสิงห์ให้”

“ได้ครับ”

พอภพเดินลงไปยังข้างล่างแล้วไฟก็เดินกลับมาหาคนรัก “เมื่อกี้นี้ ได้ยินหรือเปล่า”

“ได้ยิน” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็พรูลมหายใจหลับตาเพื่อจะขจัดความคิดแย่ ๆ ออก “สิงห์ไม่เป็นไรแล้ว”

“แน่นะ”

“แน่สิ ถ้ามัวแต่ชักช้าอยู่แบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงพังหมด”

เมื่อเห็นว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากไฟก็จับมือคนรัก “เราต้องรอดไปด้วยกันนะ”

“อือ เราจะรอด”




จบบทที่ ๒๔

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เนื้อหาตอนนี้รุนแรงมากเลย อยากให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านกันนะคะ และขอไม่ส่งเสริมวิธีนี้ที่ไฟใช้
ถ้าเป็นปัจจุบันเราคงคิดว่าสิงห์อาจจะมีโรคประจำตัว แต่เพราะว่าสมัยนั้นไม่มีการแพทย์ที่ดีขนาดนี้เลยได้แต่มีแสดงอาการแต่ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรเท่านั้น และสุดท้าย... ตอนหน้าคิดว่าจะจบแล้วค่ะ ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด