φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)  (อ่าน 26592 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

มหาบุรุษแห่งครีตัน
-chomin-

Status : Fantasy / Minoan civilization / Greek mythology

หมายเหตุ : นิยายเรื่องนี้เน้นอ้างอิงเนื้อเรื่องตามตำนานหนึ่งในปกรฌัมกรีกและอารยธรรมมิโนอัน
ดังนั้นเนื้อหาบางส่วนจะไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ค่ะ เช่น เอเธนส์และมิโนอันไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันค่ะ


--------------------------------------------------------

เมื่อสงครามระหว่างเอเธนส์และครีตันอุบัติขึ้น แต่ทว่ากลับจบลงด้วยการนำส่งเชลยทุก ๆ ปี
ชะตาชีวิตของเธเซียสจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย!

ร่วมติด Hashtag : #มหาบุรุษแห่งครีตัน ในทวิตได้นะคะ

--------------------------------------------------------

♥ ผลงานอื่นๆ ♥

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2020 21:48:54 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
บทนำ

1450 ปีก่อนคริสตกาล

เสียงดังโหวกเหวกอื้ออึงเคล้าคลอเสียงร้องขอชีวิตของชายหนุ่มวัยกระเตาะ ทว่ากลับมิมีผู้ใดสนใจ มิรู้เป็นเพราะเสียงนั้นแผ่วเบาเกินไป หรือทุกผู้ต่างไม่กล้ายื่นมือเข้ามาสอด เดิมทีเรื่องดังกล่าวย่อมถือเป็นเรื่องในครัวเรือน แต่หากจะกล่าวว่าเป็นเรื่องของบ้านเมืองก็มิผิด เพราะจุดเริ่มต้นของปัญหา เกิดจากความแพ้ไม่เป็นของบรรพบุรุษ จนเลยเถิดไปถึงการลอบสังหารเจ้าชายแอนโดรเจียส กลางงานแข่งขันกีฬาแพแนเธเนีย ณ นครรัฐเอเธนส์
นับแต่นั้นสงครามระหว่างเอเธนส์และครีตันจึงอุบัติขึ้น ทว่าท้ายที่สุดกลับจบลงด้วยการนำส่งเชลยให้กับอาณาจักรครีตันทุก ๆ หนึ่งปี โดยมีข้อกำหนดว่าเอเธนส์จะต้องส่งเชลยชายหญิงจำนวน 7 คน พร้อมชักใบเรือด้วยผ้าสีดำรอนแรมผ่านทะเลอีเจียน ดังนั้นชะตาชีวิตของชายหนุ่มที่กำลังถูกกลุ้มรุมทุบตีจนเลือดกระอัก จึงจบลงด้วยการถูกโยนละลิ่วลงเรือลำหนึ่งที่ชักใบเรือสีดำโต้คลื่นลมอยู่ตรงท่าเรือราวกับซากศพไร้ค่าก็มิปาน ทว่าลมหายใจรวยรินกลับบ่งบอกได้ดีว่า เขายังมิอาจได้รับอนุญาตให้สละชีพในตอนนี้ ดวงตาอันอ่อนล้าจึงปิดสนิทราวกับยอมรับโชคชะตาที่ถูกยัดเยียด

กระทั่งแนวร่มไม้เริ่มทอดระยะลงบนตัวเธเซียส ดวงตาคมแสนอ่อนล้าจึงกระพริบปริบปรือเพียงครู่ จากนั้นชายหนุ่มจึงมองสำรวจรอบ ๆ ลำเรือด้วยท่าทีเหม่อลอย ริมหูแว่วเสียงพูดคุยด้วยภาษาพื้นเมืองของชาวครีตัน ดวงตาคมกริบจึงไล่ระดับจากแนวพุ่มไม้เรื่อยไปจนถึงโครงสร้างอาคารอันใหญ่โตโอ่อ่าที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ในระยะไกลลิบ ไม่นานจากนั้นเรือลำดังกล่าวก็ลอยล่องรอดใต้ทางเชื่อม แล้ววกเข้าสู่อาณาเขตของป่าใบเขียวอีกครั้ง ใบหน้าและลำตัวของเธเซียสจึงถูกปกคลุมด้วยแนวร่มไม้อันเย็นฉ่ำ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิดราวกับเดินทางเข้ามายังถ้ำหิน
แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังสติดีพอจะรับรู้ว่า..
โครงสร้างดังกล่าวคือห้องใต้ดินของพระราชวังคนอสซุสแห่งเกาะครีต

“ลงไปให้หมด! อย่าชักช้า!” เสียงดุดันของเหล่าทหารกล้าดังก้องกังวาน ส่งผลให้เชลยไร้ค่าจากเอเธนส์ ต่างกระวีกระวาดลงจากลำเรืออย่างรวดเร็ว แต่ทว่าความรวดเร็วดังกล่าวยังมิอาจทันใจผู้กวาดต้อน เชลยผู้โชคร้ายจึงถูกถีบคว่ำลงกับพื้นอย่างมิใยดี
ส่วนเธเซียสที่ได้รับบาดเจ็บก็มิอาจได้รับข้อยกเว้น ส่งผลให้ชายหนุ่มจากต่างแดน ถึงคราวต้องกระอักเลือดขึ้นมาอีกครา

กระทั่งเหล่าเชลยถูกนำส่งยังห้องใต้ดินจนครบถ้วน ทหารกล้าตรงหน้าประตูเมืองต่างรีบจรลีจากไปเป็นการด่วน ราวกับอยู่ที่นี่เนิ่นนานกว่านี้อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
เธเซียสจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยดังกล่าวไว้

ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงใช้โอกาสนี้ สำรวจรอบ ๆ บริเวณอย่างถี่ถ้วน พบว่าห้องใต้ดินแห่งนี้มีทางออกอยู่เพียงทางเดียวคือเส้นทางที่นำพาพวกเขามายังสถานที่แห่งนี้

“น้ำลึกมาก” เชลยชายรายหนึ่งหย่อนเท้าลงน้ำทะเลที่ถูกขุดเป็นคูคลองเชื่อมกับเส้นทางเดินเรืออันกว้างใหญ่   
“เส้นทางด้านในทั้งมืดและซับซ้อนมาก พวกเรามิมีทางหลบหนีได้!”  เชลยหญิงรายหนึ่งรีบวิ่งหน้าตาตื่นออกจากมุมมืดที่อยู่ลึกเข้าไป ส่งผลให้ใบหน้าของทุกผู้ในบริเวณนั้น ซีดเผือดอย่างมิอาจยอมรับชะตากรรม

“พวกท่านได้โปรดสงบจิตสงบใจสักนิด แล้วตามเรามาทางนี้เถิด” สุ้มเสียงนุ่มนวลบวกอากัปกิริยาอันแสนสุภาพอ่อนโยนของผู้มาใหม่ เพียงพริบตาเดียวการสื่อสารด้วยภาษากรีกแบบชาวเอเธนส์ที่ค่อนข้างกระท่อนกระแท่น ก็เรียกร้องความสนใจจากเหล่าเชลยนับสิบได้อย่างมากมาย
เห็นจะมีก็แต่เธเซียสที่มิไว้วางใจชายหนุ่มร่างสูงกำยำ ผู้มีใบหน้าอ่อนหวานรับกับเส้นผมสีดำยาวสลวยเป็นลอนคลื่นประดับด้วยเครื่องทองวิจิตรงดงาม ส่วนการแต่งกายของชายคนดังกล่าวล้วนเป็นการสวมใส่ตามสมัยนิยมทั้งสิ้น เพราะเขาสวมใส่ผ้าเตี่ยวและกระโปรงคิลท์ลวดลายสุดประณีตบ่งบอกถึงสถานะอันสูงส่ง

“น้องชาย เจ้าเดินไหวหรือไม่ ?” แต่แล้วความคิดของเธเซียสก็ถูกหญิงสาวรายหนึ่งขัดขึ้น เขาจึงได้แต่ส่งยิ้มอ่อนล้ากลับไป จากนั้นนางก็ช่วยประคองร่างกายอันบอบช้ำ เดินไปตามเส้นทางวกวนและคดเคี้ยวอย่างยากลำบาก
ทำเอาเธเซียสนึกสงสัยไม่น้อยว่าชายหนุ่มหน้าหวานผู้นั้น จดจำเส้นทางเหล่านี้ได้อย่างไร

“ดาฟเน่เจ้าเตรียมเรือพร้อมแล้วหรือไม่ ?” เมื่อก้าวเดินมาจนถึงปลายทางอีกด้านหนึ่งของห้องใต้ดิน ชายหนุ่มผู้สูงส่งจึงเอ่ยถามนางกำนัลคนสนิทที่กำลังนั่งหมอบอยู่ตรงปากทางด้วยภาษาพื้นเมือง แต่ทว่าการสื่อสารดังกล่าวกลับมิเป็นอุปสรรคต่อการสอดแนมของเธเซียส เพราะเดิมทีเขาก็เป็นหนึ่งในตระกูลพ่อค้า จึงต้องรอนแรมทั้งทางบกและทางทะเล ทำให้มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาติดตัว
“เรียบร้อยแล้วเพคะ” นางกำนัลคนสนิทเอื้อนเอ่ยอย่างนอบน้อม ขณะเดียวกันเธเซียสก็เริ่มมองเห็นความมีสมัยนิยมของอาณาจักรครีตันทีละนิด เพราะการแต่งกายของนางกำนัลสาว มีความคล้ายคลึงกับบุรุษผู้นั้นมิน้อย เพียงแต่นางจะสวมใส่ผ้าคลุมเผยทรวงอกอย่างเด่นหรา ส่วนเนื้อผ้าของเครื่องนุ่งห่มกลับมิได้มีลวดลายประณีตอันใด

“เช่นนั้นเราฝากเจ้าดูแลทางนี้ด้วย” กระทั่งสองนายบ่าวเจรจากันลงตัว เหล่าเชลยชายหญิงจึงถูกนำตัวออกไปยังท่าเรือขนาดเล็กที่ค่อนข้างลับตาผู้คน เธเซียสที่ร่างกายยังคงบอบช้ำจึงต้องก้าวย่างอย่างระมัดระวัง พร้อมใช้สายตาคมกริบปราดมองเหนือผิวน้ำอย่างพิจารณา จึงทราบว่าคูน้ำสายนี้มิใช่น้ำทะเลอย่างที่คิด เพราะมิมีเกลียวคลื่นกระทบฝั่ง เท่ากับว่าเส้นทางน้ำเส้นนี้ อาจเป็นเส้นทางที่มอบชีวิตใหม่ให้กับเชลยอย่างพวกเขา 
เพียงแต่ในขณะที่เธเซียสกำลังก้าวเดินขึ้นไปยังลำเรืออันโคลงเคลง อาการหน้ามืดวิงเวียนก็มาเยือน
ส่งผลให้ร่างของชายหนุ่มผู้ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล ร่วงดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอย่างรวดเร็ว



----------------------------------------------

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น]

แวะมาเปิดเรื่องใหม่แบบใจร้อน เพราะเป็นพล็อตในฝันที่เราอยากจะเขียนมานานแล้ว เรื่องนี้เป็นแนวย้อนยุคไปไกลมาก เรื่องราวจะเกี่ยวกับอาณาจักรนึงที่ตั้งอยู่บนเกาะครีต หรือก็คือเกาะที่อยู่ในประเทศกรีซในปัจจุบัน เดี๋ยวเราจะค่อย ๆ เฉลยไปเรื่อย ๆ ว่าอาณาจักรนี้คืออาณาจักรที่เป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมอะไร และมีเรื่องราวใดเก็บซ่อนไว้
เรายังไม่ขอให้คำจำกัดความของแนวนิยายเรื่องนี้แล้วกัน รอเฉลยปมออกมาก่อน คิดว่าทุกคนน่าจะเข้าใจ 555
สำนวนอาจยังไม่ลงตัวนัก แต่จะพยายามปรับปรุงเรื่อย ๆ ค่ะ เพราะเราเองก็ไม่แน่ใจว่าสำนวนย้อนยุคสมัยนี้ควรต้องเป็นแบบไหนดี เราเลยเอาแบบก้ำกึ่งให้อ่านง่ายน่าจะดีกว่า เรื่องนี้อาจจะใช้เวลาปั่นช้าเหมือนเรื่องในป่าสน เพราะเป็นแนวยากอีกแล้ว 5555 แต่ไม่มีวิเคราะห์จนเครียดแน่นอน
ปล. เรื่องนี้อาจจะไม่มีข้อมูลอ้างอิงอะไรมากค่ะ เพราะว่าเราเลือกเขียนจากอาณาจักรที่ปัจจุบันค้นพบหลักฐานเพียงน้อยนิด แต่ถ้าอันไหนเราเอามาใช้จริง เราจะเขียนอ้างอิงไว้

การแต่งกายของอาณาจักรนี้ก็จะประมาณนี้ค่ะ https://i.imgur.com/kYRGcet.jpg
Cr : ancientgreeceimages.com

อันนี้คือภาพรวมของตัวพระราชวังนะคะ https://i.imgur.com/DlRmaW2.jpg
Cr : linearbknossosmycenae.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2019 10:46:01 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 1

กลิ่นโอสถหอมหวนลอยโฉบอยู่ตรงปลายจมูกของเธเซียสระยะหนึ่งแล้ว ดวงตาคมกริบจึงกระพริบปริบปรือเพียงครู่ พลางมองทอดสายตาไปยังรอบ ๆ บริเวณ พบว่าตนเองกำลังล้มหมอนนอนเสื่ออยู่ตรงปากทางเข้าห้องใต้ดินอันซับซ้อน ลมทะเลเหนียวหนืดพาลพาให้ร่างกายรู้สึกไม่สบายตัว หากแต่ความนุ่มนิ่มที่รองรับร่างกายของผู้บาดเจ็บ กลับบ่งบอกได้ดีว่าเชลยศึกอย่างเขากำลังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ความสงสัยจึงยิ่งเกาะกุมหัวใจ เพราะสถานะของเชลยศึกมิน่าได้รับเกียรติมากมายถึงเพียงนี้ บวกกับท่าทีของเหล่าทหารกล้า ล้วนมีแต่พิรุธทั้งสิ้น
ชายหนุ่มจึงอดวิเคราะห์มิได้ว่า..
เชลยศึกถูกนำส่งมาเพื่อเหตุใด อีกทั้งการช่วยเหลือของชายหนุ่มผู้นั้นมีจุดประสงค์เพื่อสิ่งใด

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?” สุ้มเสียงของผู้มาใหม่ปลุกเธเซียสให้ตื่นจากภวังค์
“อาการของข้าเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว” ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บเอ่ยตอบพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย เพียงแต่หน้าตายังคงไร้แววสดใส

“เช่นนั้นเจ้าดื่มยานี่สักหน่อย” นางกำนัลนามว่าดาฟเน่กล่าว พลางส่งถ้วยโอสถอันร้อนระอุให้กับเธเซียสที่บัดนี้ลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนได้สักพักใหญ่แล้ว
“ข้าหลับไปนานเท่าใด ?” บุรุษผิวคล้ำแดดจากการเดินทางรอนแรมไปทั่วสารทิศเอ่ยถามนางกำนัลด้วยความสงสัย เพราะร่างกายของเขามิได้หนักอึ้งเท่ากับช่วงแรก

“สามวันเห็นจะได้” นางกำนัลดาฟเน่ยังคงตอบคำถามอย่างประหยัดคำพูด เธเซียสจึงได้แต่คาดคะเนอาการของตนเองว่าเขาอาจจะไข้ขึ้นหลังจากตกลงไปในแม่น้ำ บวกกับบาดแผลของการถูกกลุ้มรุมทุบตีจากบุพการี ทำให้ร่างกายอ่อนล้าอย่างที่มิควรเป็น
“ข้าเตรียมเรือให้เจ้าแล้ว รีบตามข้ามาเถิด” สิ้นคำบอกกล่าวของนางกำนัล สมองของเธเซียสก็เริ่มคิดหาทางหนีทีไล่ เนื่องจากการได้รับการปลดปล่อย มิต่างจากการอยู่หรือตายที่นี่สักนิด เพราะเดิมทีเขาเป็นบุตรคนเล็ก การเรียนรู้ด้านการค้าขายจึงยังไม่ประสีประสา นับได้ว่าสถานะของตนในช่วงเวลานี้ ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ดังนั้นหากต้องตัดขาดจากใครสักคนตามกฎระเบียบของบ้านเมือง
ผู้ที่มีประโยชน์ต่อวงศ์ตระกูลน้อยที่สุด ย่อมเป็นผู้ถูกเลือก
ดังนั้นชายหนุ่มผู้แสนอาภัพ จึงนั่งชั่งใจอยู่เนิ่นนาน

“ข้ามิไปมิได้หรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามในจังหวะที่นางกำนัลหันกลับมามองว่าเหตุใดเขาจึงทำตัวอืดอาดยืดยาด
“มิได้” นางยื่นคำขาดพร้อมส่งสายตาดุดันมาให้บุรุษร่างสูงอย่างมินึกเกรงกลัว เนื่องจากสถานะของเธเซียสนับว่าต่ำต้อยกว่านางมาก

“แต่ข้า..” เธเซียสยังคงรบเร้าแม้ว่าท่าทีดุดันของนางกำนัลดาฟเน่จะพุ่งสูง
“มีอันใดกันหรือ ?” แต่แล้วในวินาทีที่บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความขุ่นมัว สุ้มเสียงนุ่มนวลของผู้มาใหม่ก็ดังก้อง จากนั้นร่างสูงสง่าของชายหนุ่มหน้าหวานที่ในวันนี้ยังคงแต่งกายด้วยเนื้อผ้าลวดลายประณีตก็ปรากฏ เพียงแต่วันนี้แตกต่างจากวันวาน เนื่องจากชายหนุ่มคนดังกล่าว รวบเส้นผมราวกับลอนคลื่นด้วยเครื่องทองเหลืองอร่าม จึงทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูคล่องตัวยิ่งขึ้น

“หม่อมฉันเตรียมเรือตามบัญชาเรียบร้อยแล้วเพคะ” เมื่อผู้เป็นนายเยื้องย่างเข้ามาใกล้ นางกำนัลผู้แสนดุดันจึงรีบแปรเปลี่ยนกริยาวาจาอ่อนน้อม พร้อมทรุดตัวหมอบลงกับพื้น
“เจ้าคงพบปัญหาหนักอกกระมัง ถึงได้ทำหน้าตาเคร่งเครียดเพียงนี้” ชายหนุ่มหน้าหวานยังคงเอ่ยปากอย่างใจเย็น อาจเพราะสองนายบ่าวเฝ้ารับใช้มาเนิ่นนานจึงรู้อกรู้ใจกันดี

“ประเดี๋ยวเราจัดการทางนี้เอง เจ้ามีอันใดก็รีบไปทำเถิด”
“เพคะ” สิ้นคำตอบรับ นางกำนัลผู้นั้นยังมิวายหันมาถลึงตาใส่เธเซียสที่บังอาจสร้างเรื่องราวน่าลำบากใจให้กับนาง
แต่กระนั้นก็นับว่านางมิใช่คนปากพล่อย
เพราะนางไม่แม้แต่จะรายงานความประพฤติอันนอกลู่นอกทางของเชลยหนุ่มแต่อย่างใด

กระทั่งภายในห้องใต้ดินอันเปรียบเสมือนเขาวงกต มีเพียงบุรุษสองชีวิตที่มิได้รู้จักมักคุ้นกัน ความเงียบงันจึงตรงเข้ามาครอบงำเพียงชั่วพริบตา บวกกับเธเซียสมิอยากทำตัวเป็นคนรู้มาก เขาจึงได้แต่ทำหน้าโง่งม เหตุเพราะบุรุษตรงหน้ามิใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป แต่อาจจะมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายสักองค์ของจักรวรรดิครีตัน
ดังนั้นชะตาชีวิตของเธเซียสจึงมิต่างกับถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย

“เหตุใดเจ้าถึงมิต้องการอิสระจากเรา ?” บุรุษผู้สูงส่งเอ่ยถามขณะที่เขากำลังยืนเอามือไพล่หลัง พร้อมมองไปยังเส้นทางน้ำตรงปากทางเข้าห้องใต้ดินอันลึกลับที่มีเกลียวคลื่นซัดสาดเป็นระยะ
“มิใช่ข้ามิต้องการอิสระ เพียงแต่ข้ามิมีที่ไป ดังนั้นการอยู่เป็นหรืออยู่ตายที่ใด ล้วนมิมีความจำเป็นสำหรับข้า” เธเซียสกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ยังมิไว้วางใจชายผู้นี้มากนัก

“เพราะเหตุใดเจ้าถึงคิดในแง่ร้ายเช่นนั้น” ชายหนุ่มผู้สูงส่งหากแต่มิได้ถือตัวหันมาเอ่ยถามเธเซียสที่ยังคงนั่งอยู่ตรงพรมขนสัตว์ ส่งผลให้เส้นผมสีดำลอนคลื่นปลิวไสวเพียงเบา ๆ
เสริมสร้างให้ภาพลักษณ์ของผู้ถามดูงดงามมากขึ้นอีกเท่าตัว

“อาการบาดเจ็บของข้า เกิดจากฝีมือของบุพการี เช่นนั้นข้าจะกลับไปยังที่ที่ข้าจากมาได้อย่างไร ?” สิ้นคำถามจากบุรุษผู้มีใบหน้าคมคายอย่างเธเซียส ความเงียบงันก็ตรงเข้ามาครอบงำอีกครา
“เจ้ามิคิดบ้างหรือ บางทีการได้รับอิสระจากเรา อาจนำพาให้เจ้าได้พบเจอกับชีวิตใหม่ที่ดีกว่า” ฝ่ายบุรุษหน้าหวานที่มีโครงร่างสูงใหญ่กว่าเธเซียสหลายขุม เอ่ยถามราวกับต้องการให้เขาไตร่ตรองดูอีกครั้ง ซึ่งความหวังดีดังกล่าว อาจทำให้เธเซียสซาบซึ้งใจอย่างมหาศาล
หากพิรุธหลาย ๆ อย่างยังมิก่อเกิด

“ข้ามิได้กล้าหาญชาญชัยเช่นนั้น อาจเพราะข้าเป็นบุตรคนเล็กจึงถูกพี่ชายโอบอุ้มมาตลอด หากต้องเดินทางรอนแรมเพียงลำพัง คาดว่าชะตาชีวิตคงมิต่างจากการเป็นเชลยอยู่ที่นี่กระมัง” เธเซียสกล่าวพลางมองบุรุษตรงหน้าเพียงครู่ ราวกับต้องการจะสบตาให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า..
‘การตาย’ คือชะตาชีวิตที่ตนก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี

“เหตุใดเจ้าจึงรู้ภาษาถิ่นเรา ?” แต่แล้วบุรุษหน้าหวานก็เอ่ยถามราวกับต้องการจะเปลี่ยนเรื่อง
“คงเพราะข้าต้องเดินทางรอนแรมเพื่อไปค้าขาย จึงเผลอซึมซับมาบ้างกระมัง” เธเซียสกล่าวพลางลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง แล้วเดินเข้าไปหยุดยืนเคียงข้างคู่สนทนาที่สูงกว่าตนไปมากโข

“นับได้ว่าเจ้าเป็นคนช่างสังเกต” บุรุษหน้าหวานผู้มีร่างกายแข็งแรงกำยำราวกับได้รับการฝึกฝนวิชาการต่อสู้อยู่บ่อยครั้งกำลังยิ้มพรายด้วยความชื่นชม

“ท่านเป็นคนแรกที่เอ่ยชื่นชมข้าเช่นนี้ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” เธเซียสกล่าวด้วยรอยยิ้ม ส่งผลให้ใบหน้าคมคายดูงดงามยิ่งกว่าคราใด
“เราล้วนพูดไปตามสิ่งที่เห็น มิได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด” ฝ่ายบุรุษผู้สูงส่งเอื้อนเอ่ยอย่างถ่อมตัว พลางผิวปากร้องเรียกอะไรบางอย่าง จากนั้นไม่นานโลมายักษ์ตัวหนึ่งก็แหวกว่ายโต้คลื่นลมอย่างเริงรื่น ราวกับยินดีปรีดาที่ได้พบผู้เป็นนาย

“เรื่องของเจ้า..” หลังจากความเงียบงันปกคลุมอยู่รอบกาย ชายหนุ่มผู้สูงส่งที่กำลังหยอกเย้ากับสัตว์ทะเลแสนฉลาด พูดเกริ่นนำอย่างนุ่มนวล
“…”

“หากเจ้าตัดสินใจดีแล้ว เราก็มิขัดข้อง” สิ้นคำอนุญาต เธเซียสรู้สึกลิงโลดในอก พลางแสดงท่าทีตื้นตันด้วยการหมอบลงกับพื้นมิต่างกับนางกำนัลดาฟเน่
บ่งบอกถึงความยินดีที่ได้เป็นข้ารองบาทของชายผู้นี้

จากนั้นชายหนุ่มผู้ไร้ซึ่งที่มาที่ไปอย่างกระจ่างแจ้งก็นำทางเธเซียสออกมายังนอกบริเวณเขาวงกต ใกล้กับท่าเรือขนาดเล็กที่เขาเคยดำดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำ ส่งผลให้เชลยหนุ่มจำต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย เนื่องจากภายในห้องใต้ดินมิมีแม้แต่แสงสว่างอันใด
กระทั่งเดินทางลัดเลาะเข้ามายังตัวอาคารอันหรูหรา แววตาของเธเซียสก็ยิ่งเป็นประกาย เหตุเพราะพระราชวังคนอสซุส คือพระราชวังที่มีความทันสมัยและสะดวกสบาย
แต่ทว่าพระราชวังแห่งนี้ กลับมิมีกำแพงเมือง
นับว่าง่ายต่อการโจมตีของข้าศึก

“เจ้าเป็นชาวเอเธนส์ใช่หรือไม่ ?” บุรุษหน้าหวานเอ่ยถามเชลยศึกที่กำลังจะมีสถานะใหม่ในเวลาอันใกล้นี้ ขณะกำลังก้าวย่างบนทางเดินขั้นบันไดอันทอดยาวที่มีเสาทรงกลมต้นใหญ่สีแดงขนาบข้าง
“เหตุใดท่านจึงถามเช่นนั้น ?” เธเซียสนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะยอมเอ่ยถามบุรุษผู้มีสถานะสูงส่งด้วยความสงสัย

“เจ้าดูมิเหมือนชาวเอเธนส์สักเท่าใด” บุรุษร่างสูงผู้มีใบหน้าหวานเอามือไพล่หลัง พลางย่างเท้าอย่างสม่ำเสมอ พร้อมแย้มยิ้มและกลั้วหัวเราะเพียงเล็กน้อย
“หรือนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้า จำต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอเนจอนาถเช่นนี้ ?” อดีตเชลยกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ แต่กระนั้นเหตุการณ์ในวันวานก็ยังสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจมิใช่น้อย

“นอกจากการค้าขายแล้ว เจ้าทำสิ่งใดเป็นอีกบ้าง ?” บุรุษผู้สูงสง่าเอ่ยถามราวกับต้องการประเมินผล
“ข้าพอจะอ่านออกเขียนได้ หรือจะงานใช้แรงข้าก็มิเกี่ยง” เธเซียสกล่าวอย่างฉะฉาน เพราะเขามิใช่คนหยิบหย่ง

“ความสามารถเช่นเจ้า มิใช่พอจะอ่านออกเขียนได้กระมัง..”
“เจ้านี่นอกจากจะเป็นคนช่างใฝ่รู้ ยังเป็นคนช่างถ่อมตัวอีกหรือ ?” ชายหนุ่มผมดำราวกับลอนคลื่น หันมาเอ่ยถามเธเซียสที่กำลังก้าวเดินอย่างนอบน้อมอยู่ข้างหลัง
ฝ่ายอดีตเชลยจึงได้แต่แย้มยิ้มบาง

“ตระกูลของเจ้าคงจะเคยมาค้าขายที่ครีตันบ่อยกระมังถึงได้เชี่ยวชาญภาษาไลเนียร์เอ ราวกับชนพื้นเมือง” บุรุษผู้มีใบหน้าและรอยยิ้มอันงดงาม เอ่ยถามพลางก้าวเดินลงบันไดทีละขั้นอย่างระมัดระวัง
“เป็นเช่นนั้นเพราะการค้าขายที่ครีตันเจริญรุ่งเรืองมาก อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมสินค้าชั้นดีจากหัวเมืองต่าง ๆ เรียกได้ว่าหากเดินเรือมาที่นี่ ล้วนได้รับสิ่งของที่ต้องการจนครบถ้วน” เธเซียสกล่าวอย่างกระตือรือร้น โดยมิได้ต้องการเพียงแค่เอาอกเอาใจผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน
เพราะเดิมทีจักรวรรดิครีตันนับว่ามีอิทธิพลต่อการทำมาค้าขายเป็นอย่างยิ่ง

“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักครีตันดีกว่าเราเสียอีก” ชายหนุ่มผู้มีกิริยาวาจางดงามกล่าวพลางแย้มยิ้ม ขณะที่ทั้งคู่กำลังก้าวเดินออกมายังสวนหย่อมด้านนอกอาคารเพื่อมุ่งตรงไปยังจุดหมาย
“หามิได้ ข้าเพียงแต่พูดไปตามสิ่งที่เห็น”

“ครั้งหน้าหากเราวางแผนจะเดินทางออกนอกวัง คงต้องให้เจ้าเป็นผู้นำทางกระมัง ?”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง” เธเซียสกล่าวพลางค้อมตัวอย่างนอบน้อม เมื่อบุรุษที่กำลังเดินนำหน้าหันกลับมาสบสายตา

กระทั่งทั้งคู่เดินมาจนถึงเรือนพำนักของเหล่าข้าหลวง เธเซียสก็ถูกส่งตัวให้แก่หัวหน้านางกำนัลอย่างดาฟเน่ โดยหน้าที่ใหม่ของเขาคือช่างปั้นดินเผา นับว่าเป็นหน้าที่ที่มิค่อยคุ้นชิน เหตุเพราะที่ผ่านมาเขามักจะคลุกคลีอยู่กับการทำมาค้าขาย
ส่วนงานด้านเอกสารเห็นทีคงเป็นไปได้ยาก เพราะงานดังกล่าวล้วนต้องได้รับความไว้วางใจ
ดังนั้น ‘งานปั้นดินเผา’ จึงเหมาะกับเชลยศึกอย่างเขาเป็นที่สุด



φ


[1] อักษรไลเนียร์เอ มีสัญลักษณ์ 60 ตัวแสดงพยางค์ และอีก 60 ตัวแสดงเสียงและสื่อถึงความหมาย วิธีเขียนจะเขียนในแนวนอนจากซ้ายไปขวา
Cr : wikipedia

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น]

https://i.imgur.com/hWlAYCM.jpg
cr : www.thoughtco.com

ในส่วนที่เรากล่าวถึงปลาโลมานั้น เป็นเพราะชาวครีตันรู้จักเจ้าปลาตัวนี้เป็นอย่างดี และมีการวาดภาพจิตรกรรมเอาไว้ด้วยค่ะ
https://i.imgur.com/NYUhb22.jpg
Cr : http://piasa.info

เสาสีแดงที่เรากล่าวถึงหน้าตาจะเป็นแบบนี้ ซึ่งเสาต้นใหญ่แบบนี้ถือเป็นจุดเด่นของพระราชวังเลย เพราะมีอยู่หลายจุดมาก
https://i.imgur.com/GaaG6iH.jpg
Cr : kladostours.gr

ช่วงแรก ๆ เนื้อเรื่องอาจจะยังไม่มีอะไรมาก เพราะเราอยากจะปูสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้พอจินตนาการภาพออกก่อน แล้วค่อย ๆ ใส่เนื้อเรื่องอันจริงจังเข้าไป แต่ในส่วนที่คิดว่าไม่มีอะไร มันก็มีอะไรซ่อนอยู่นะ แต่ทุกคนอาจจะยังมองไม่ออก 5555
ปล. 1 สำนวนโอเคไหมคะ เรื่องนี้เรารู้สึกมึนงงกับสำนวนตัวเองแปลกๆ ถ้าหากคิดว่าคำปัจจุบันคำไหนไม่ควรเขียนลงไป บอกเราได้นะ บางทีเราอาจลืมนึกไป
ปล. 2 เราขอยังไม่ลงอ้างอิงอะไรมาก เพราะว่าถ้าทุกคนรู้ว่าเนื้อเรื่องคืออารยธรรมอะไร อาจจะเดาปมบางอย่างที่เราจะเขียนออก 555
ปล. 3 เราต้องทำงาน 7 วัน ไม่มีเวลาพักใด ๆ คงลงได้แค่อาทิตย์ละ 1 ตอนนะคะ T__T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 16:18:08 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 2

การเป็นข้าราชบริพารส่วนพระองค์จำเป็นต้องทราบแผนผังภายในพระราชวังแห่งเมืองนอสซัส หรือเมืองหลวงของจักรวรรดิครีตัน ดังนั้นเช้าวันนี้หัวหน้านางกำนัลอย่างดาฟเน่ จึงต้องคอยแนะนำสถานที่ปฏิบัติงานให้กับข้าหลวงฝึกหัดอย่างเธเซียส โดยเริ่มทำความรู้จักตั้งแต่เรือนพักรับรองของเหล่าข้าหลวงที่อยู่ทางทิศใต้ ข้ามผ่านบันไดที่มีเสาสีแดงต้นใหญ่เรียงรายในระยะ 50 เมตร ทะลุเข้าสู่ทางเดินอันเรียบหรูที่ประดับตกแต่งด้วยภาพวาดเฟรสโก สีสันสดใสบนฝาผนังทั้งสองด้าน บอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตในท้องทะเล นางระบำ และการบูชาวัว
กระทั่งข้าหลวงทั้งสองก้าวเดินผ่านโพรพิเลอา ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ห้องเก็บธัญญาหารขนาดใหญ่ก็ปรากฏ ส่วนฝั่งขวามือเป็นห้องเก็บของขนาดเล็ก
บริเวณถัดมาคือลานประกอบพิธีกรรมขนาดมิใหญ่นัก
“ถนนเส้นนั้น เจ้าห้ามไปเดินเพ่นพ่านเป็นอันขาด” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวอย่างจริงจัง พลางชี้ไปยังถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งทอดตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น ฝ่ายอดีตเชลยที่ได้รับการยกระดับเป็นนายข้าหลวง จึงรีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เนื่องจากถนนเส้นดังกล่าวคือถนนสำหรับราชวงศ์แห่งครีตัน
หัวหน้านางกำนัลจึงเดินนำทางต่อไป จนกระทั่งพบกับโพรพิเลอาประจำทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถัดมาคือโรงเก็บภาษีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับห้องเก็บธัญญาหาร จากนั้นทั้งสองก็เดินตรงมายังห้องโถงขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่มักจะใช้เป็นอาณาบริเวณในการจัดเลี้ยง เนื่องจากชาวครีตันค่อนข้างโปรดปรานงานรื่นเริง และนิยมชมชอบความหรูหรา

“ห้องนี้เป็นห้องสำหรับเก็บเครื่องปั้นดินเผา” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวพลางเดินเข้ามายังห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยเครื่องปั้นดินเผาลวดลายวิจิตรงดงามประเภทต่าง ๆ เช่น แจกัน คนโท
“ส่วนห้องถัดไปเป็นห้องปฏิบัติงานของเจ้า” สิ้นคำแนะนำของนางกำนัลที่คราแรกธีเซียสคาดว่าอายุมิน่าจะมากมายนัก แต่ในความเป็นจริงอายุของนางเทียบเท่ากับมารดาของเขาแล้ว

“เหตุใดห้องปฏิบัติงานจึงใหญ่โตถึงเพียงนี้ ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากความใหญ่โตโออ่าเทียบเท่ากับโรงเก็บภาษี และจำนวนของผู้ปฏิบัติงานก็นับว่ามากเกินไป
“เพราะเครื่องปั้นดินเผาโดยเฉพาะแจกัน เป็นสินค้าส่งออกอันขึ้นชื่อของอาณาจักรครีตัน” หัวหน้านางกำนัลที่มีศักดิ์เป็นถึงพระพี่เลี้ยงของเจ้าชายมิโนส โอรสองค์โตของกษัตริย์ไมนอส หรือก็คือชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีนิลราวกับเกลียวคลื่นในยามราตรี ยังคงตอบคำถามอย่างฉะฉาน

“นับได้ว่าจักรวรรดิครีตันมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง” เธเซียสเอ่ยชื่นชมอย่างตรงไปตรงมา เพราะเดิมทีเขาทราบเพียงแค่ครีตันขึ้นชื่อเรื่องการส่งออกอาหาร ไม้สน เหล้าองุ่น ลูกเกด น้ำมันมะกอก ผ้าขนสัตว์ สมุนไพร และสีย้อมผ้าเท่านั้น
“ครีตันมิใช่เพียงอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่ยังมีกองทัพเรือและกองทัพบกอันแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นแหล่งส่งออกศาสตราวุธนำสมัย” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“ด้วยเหตุนี้อาณาจักรครีตันจึงมิจำเป็นต้องสร้างกำแพงเมืองหรือป้อมปราการเฉกเช่นอาณาจักรอื่นใช่หรือไม่ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างคิดวิเคราะห์ เนื่องจากความแข็งแกร่งของกองทัพเรือและกองทัพบก ล้วนสอดคล้องกับความประมาทเลินเล่อ อีกทั้งการเป็นผู้นำทางด้านศาสตราวุธ ย่อมส่งผลให้มีความเหิมเกริม เนื่องจากคงมิมีผู้ใดรู้จักศาสตราวุธได้ดีกว่าผู้ผลิต
“เป็นเช่นนั้น เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริง” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวอย่างชื่นชม ราวกับถูกอกถูกใจในความเฉลียวฉลาดของอดีตผู้สร้างปัญหาหนักอก

“ภาพวาดเฟรสโกเหล่านี้ เป็นผลงานของช่างมือฝีท่านใดหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ ขณะก้าวเดินลงบันไดตรงช่องรับแสง เนื่องจากปลายทางอันเป็นเป้าหมายอยู่ตรงชั้นล่างเพียงแต่มิใช่ล่างสุด เพราะพระราชวังแห่งนี้ยังมีห้องใต้ดินอันลึกลับซับซ้อน อีกทั้งแผนผังของตัวพระราชวัง ยังให้ความรู้สึกราวกับเดินวนเวียนอยู่ในเขาวงกตไร้ซึ่งทางออก
“ล้วนเป็นฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนส” นางกำนัลพระพี่เลี้ยงเอ่ยไขข้อข้องใจด้วยความภาคภูมิ

“ทรงมีพระอัจฉริยภาพเป็นล้นพ้น” เธเซียสกล่าวยกยอปอปั้นอย่างกระตือรือร้น เพียงแต่มิได้ทำเพื่อเอาใจ เนื่องจากฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนสล้วนหาผู้ใดเทียบเคียงมิได้
“เป็นเช่นนั้น เดิมทีพระราชวังคนอสซุสเกิดอัคคีภัยจนราบคาบ เจ้าชายมิโนสทรงเป็นผู้บูรณะด้วยพระองค์เอง เจ้าสังเกตหรือไม่ เส้นทางในพระราชวังค่อนข้างคดเคี้ยว หากผู้ใดมิคุ้นชินอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่เป็นแน่ มิหนำซ้ำพระราชวังของเรายังมีระบบสุขาภิบาลและระบบบำบัดน้ำเสียอันยอดเยี่ยม” นางกำนัลดาฟเน่ยังคงเอื้อนเอ่ยอย่างชื่นชมในพระปรีชาสามารถของเจ้าชายผู้มีกิริยาวาจางดงาม
 
“หากเป็นเช่นนี้ นับได้ว่าจักรวรรดิครีตันเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าอาณาจักรบาบิโลเนียกระมัง ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น เนื่องจากเขาเคยได้ยินมาว่าพระราชวังของพระเจ้าซาร์กอนแห่งบาบิโลเนีย นำสมัยยิ่งกว่าพระราชวังของอาณาจักรใด เนื่องจากพระราชวังบาบิโลเนียมีกำแพงเมืองถึง 700 ฟุต และยังมีความหนาค่อนข้างมาก อีกทั้งส่วนบนของกำแพงยังกว้างขวางพอที่จะให้รถเทียมด้วยม้าศึก 4 ตัว วิ่งผ่านไปมาได้
“คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ข้าเองก็อยู่แต่ในรั้วในวังมาเนิ่นนาน มิเคยต้องออกเดินทางรอนแรมเช่นเจ้า” นางกำนัลดาฟเน่เอ่ยตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ส่งผลให้เธเซียสได้แต่ก้าวเดินพลางอมยิ้มพร้อมสำรวจรอบ ๆ บริเวณอย่างอารมณ์ดี

ขณะที่ในหัวเริ่มคิดตีความข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับ จึงทราบว่าชาวครีตันนอกจากจะนิยมชมชอบงานรื่นเริงและความสะดวกสบายแล้ว ยังรักสิ่งแวดล้อมอีกด้วย มิเช่นนั้นพวกเขาคงมิคิดค้นระบบบำบัดน้ำเสีย
อีกทั้งภาพวาดบนฝาผนังยังเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลอีกมากมาย

“ด้านนี้เป็นห้องปั้นดินเผาอีกห้องหนึ่ง ถัดมาเป็นห้องตัดหินและห้องผลิตศาสตราวุธ” นางกำนัลดาฟเน่ยังคงแนะนำสถานที่ปฏิบัติงานให้แก่เธเซียสอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ถึงคราวที่ข้าหลวงหมาด ๆ ต้องเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน ซึ่งก่อนจะลงมือทำจริง เธเซียสต้องผ่านการทดสอบอยู่หลายขั้น เริ่มจากการทดสอบทักษะการหล่อเครื่องปั้นดินเผา จบลงที่การวาดลวดลายอันสวยงาม เธเซียสจึงค้นพบว่าตนมีความสามารถทางด้านศิลปะมิใช่น้อย
เพราะเขาสามารถวาดภาพเปลือกหอย ปะการัง และท้องทะเลราวกับมืออาชีพ

“แจกันใบนั้นเป็นฝีมือของผู้ใดหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามเคออส พลางชี้ไปยังแจกันที่มีสามหูตรงบริเวณคอแจกัน
“งดงามใช่หรือไม่” เคออสมิยอมตอบ แต่กลับย้อนถามราวกับภาคภูมิใจ เธเซียสจึงพยักหน้าอย่างแข็งขัน โดยสองมือของเขายังคงแต่งแต้มลวดลายให้กับแจกันยอดนิยมที่มีรูปร่างแปลกตา

“แจกันใบนี้และคนโทใบนั้นล้วนเป็นฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนส” สิ้นคำตอบของอีกฝ่าย เธเซียสจึงเริ่มพิจารณาความงดงามของเครื่องปั้นดินเผาชนิดดังกล่าว พบว่าสีสันที่นิยมใช้คือสีน้ำตาลหรือสีดำบนพื้นผิวสีอ่อน
ส่วนภาพที่นิยมวาดล้วนเป็นภาพจากธรรมชาติและภาพเกี่ยวกับท้องทะเล 

“เจ้าชายมิโนสทรงพระปรีชารอบด้านเสียจริง” เธเซียสกล่าวพลางแย้มยิ้ม ฝ่ายเคออสได้ยินเช่นนั้นจึงรีบพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“ช่วงเทศกาลล่าสัตว์ ข้าเคยเห็นพระองค์ทรงธนู นับว่าเป็นบุญตาอย่างยิ่ง” เคออสกล่าวเสริมด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม

“ด้านศาสตราวุธก็ยังมิเป็นสองรองใครอีกหรือนี่ ทรงมีพระอัจฉริยภาพเสียจริง” เธเซียสกล่าวพลางขบคิดคาดเดาว่าเจ้าชายผู้มีเมตตาพระองค์นั้น คงจะมีบทบาททางด้านการศึกและการว่าราชการมิใช่น้อย
เรียกได้ว่าสถานะของพระองค์
อาจเป็นว่าที่กษัตริย์ผู้ปกครองนครครีตันก็เป็นได้

กระทั่งยามอาทิตย์อัสดง เหล่านายข้าหลวงต่างพากันจุดคบไฟจนทั่วบริเวณพระราชวังอันใหญ่โตโออ่าที่อยู่ท่ามกลางภูเขาและแมกไม้ ความหรูหราสว่างไสวจึงแผ่กำจายอย่างน่าเกรงขาม
เธเซียสจึงถือโอกาสนี้ทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับแผนผังของพระราชวังคนอสซุสแห่งเกาะครีต

“เธเซียสเจ้าช่วยไปจุดคบไฟทางโน้นให้ข้าที” เคออสกล่าวพลางชี้ไปยังบริเวณทางเชื่อมระหว่างตัวพระราชวังกับที่ดินของเหล่าพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ซึ่งสภาพบ้านเมืองของจักรวรรดิครีตันค่อนข้างแปลกแยก เนื่องจากบ้านเรือนของชาวพื้นเมืองจะอยู่ติดกับตัวพระราชวัง
แต่หากเป็นอาณาจักรอื่นจะมิสร้างใกล้ชิดถึงเพียงนี้

“การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เจ้าคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ ?” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มของผู้มาใหม่ดังขึ้นท่ามกลางแสงไฟสลัว ส่งผลให้อดีตเชลยอย่างเธเซียสที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันถึงกับใจหายใจคว่ำ
“กระหม่อม..” กระทั่งตั้งสติได้ นายข้าหลวงฝึกหัดจึงกล่าวอย่างกระท่อนกระแท่น เนื่องจากการพบเจอในครั้งนี้ มิใช่การพบเจอด้วยสถานะดังเช่นวันวาน

“เจ้าปฏิบัติกับเราเหมือนที่เคยทำเถิด เรามิได้ถือสา” บุรุษหนุ่มผู้มีเส้นผมสีนิลรัตติกาลโบกสะบัดไปตามแรงลม เหตุเพราะวันนี้เขามิได้รวบเส้นผมให้มองดูทะมัดทะแมง
แต่กลับปล่อยยาวสยายราวกับต้องการจะปล่อยวางพิธีรีตองจนหมดสิ้น

“กระหม่อมมิบังอาจเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสละล่ำละลักพลางทรุดตัวลงกับพื้น
“ตกลงว่าเจ้าตัดสินใจถูกหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสยังคงตรัสถามเมื่อมิได้รับคำตอบ ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จไปยังทิศทางที่มีแต่ความมืดมิด เธเซียสจึงรีบกระวีกระวาดเข้าไปจุดคบไฟ

“กระหม่อมตัดสินใจถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงฝึกหัดเอ่ยตอบพลางเยื้องย่างอย่างนอบน้อม โดยเว้นระยะห่างระหว่างผู้เป็นนายเหนือหัว
“มะรืนนี้เราจะออกนอกวัง” เจ้าชายมิโนสกล่าวด้วยสุรเสียงเนิบช้า พลางหันกลับมาสบตาเธเซียสที่กำลังก้าวเดินอยู่ข้างหลัง ส่งผลให้มุมมองที่ข้าหลวงมือใหม่เห็น คือเสี้ยวหน้าอ่อนหวานสะท้อนกับแสงสว่างสีเหลืองนวลจากคบไฟ

“เราอยากให้เจ้าไปกับเรา” บุรุษผู้สูงส่งกล่าวพลางแย้มสรวลละมุนตา พร้อมทอดมองอาณาบริเวณของป่าใบเขียวที่ปกคลุมเส้นทางทะเล พระเกศาสีดำสลวยจึงปลิวสยายราวกับนางระบำกำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางสายลม
“พ่ะย่ะค่ะ”

กระทั่งบุรุษผู้สวมใส่ฉลองพระองค์ลวดลายประณีตก้าวเดินจากไป เธเซียสจึงรีบจุดคบไฟจนถึงสุดปลายทางเชื่อม พลางแหงนมองฟากฟ้าในยามราตรีแน่นิ่ง สายตาจึงสบกับเหยี่ยวทะเลทรายตัวหนึ่งกำลังบินฉวัดเฉวียนเล่นลม ราวกับตื่นตาตื่นใจที่ได้ข้ามผ่านน่านฟ้าอันแสนคุ้นชิน

“ครูส” อดีตเชลยเป่าปากหวีดหวิวพลางยื่นแขนออกไปกลางอากาศ จากนั้นไม่นานนกเหยี่ยวตัวดังกล่าวก็บินโฉบเข้ามาเกาะยังบริเวณถุงมือหนังที่เธเซียสมักจะพกติดตัว
“ฝากเจ้าด้วย” เธเซียสใช้เวลาทักทายนกเหยี่ยวนามว่าครูสเพียงครู่ จากนั้นเขาก็ผูกม้วนกระดาษปาปิรัส แผ่นเล็กไว้กับขาของเจ้าครูส และปล่อยให้มันโบยบินอยู่บนฟากฟ้า
ก่อนจะเดินกลับเรือนของเหล่าข้าหลวงอย่างเงียบเชียบ


φ


[1] ภาพวาดเฟรสโก ในสมัยโบราณจะวาดลงบนปูนปลาสเตอร์ที่ผนังหรือกำแพงโบสถ์ ซึ่งการผสมสีจะต้องใช้สีผสมกับนํ้า และต้องวาดในขณะที่พื้นผิวของปูนปลาสเตอร์ยังคงเปียกอยู่ หรือยังเปียกหมาดๆ ส่วนการทำปูนปลาสเตอร์จะใช้ปูนขาว ทราย หรือผงหินอ่อนนำมาผสมกัน ที่สำคัญปูนขาวจะต้องนำไปตากให้แห้ง มิฉะนั้นจะทำให้เกิดการตกผลึกของพื้นผิวของสีเฟรสโกซึ่งจะทำให้เกิดฟองอากาศ
[2] Propylaea (โพรพิเลอา) คือทางเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์
[3] กระดาษปาปิรัส ทำจากต้นกกชนิดหนึ่งที่เจริญงอกงามอยู่ในเขตแม่น้ำไนล์ของประเทศอียิปต์ เริ่มใช้ตั้งแต่ 2500 ปีก่อนพุทธกาล

หมายเหตุ : อัจฉริยภาพ หมายถึงความเป็นผู้มีปัญญาความสามารถเกินกว่าระดับปกติ (เอาคำแปลมาลงเพิ่ม เผื่อมีคนไม่รู้)
Cr : sanook

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น]

แจกันและคนโทที่เราพูดถึง
https://i.imgur.com/Oz2He4Q.jpg
Cr : veniceclayartists

บทความที่เกี่ยวข้อง

- ภาพวาดเฟรสโก
http://oknation.nationtv.tv/blog/phaen/2007/12/09/entry-1

- กระดาษปาปิรัส
https://www.baanjomyut.com/library/knowledge_of_encyclopedias/432.html

เราขอลงข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรครีตันที่เราเขียนก่อนนะคะ รอให้เราเผยปมบางอย่างก่อน เดี๋ยวเราจะแปะบทความต่าง ๆ ให้ แต่ก็ไม่ได้มีเยอะมากค่ะ เพราะอาณาจักรนี้ล่มสลายโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทั้ง ๆ ที่เจริญรุ่งเรืองมาก แต่กลับหายไปจนเกือบไร้ร่องรอย สำหรับตอนนี้ทุกคนน่าจะมองเห็นภาพรวมของอาณาจักรนี้มากขึ้นว่ามีความทันสมัย หรูหรา สะดวกสบายมากแค่ไหน ตอนต่อไปเราจะพาไปรู้จักกับความทรงอิทธิพลทางด้านการค้าขายค่ะ เพราะครีตันเป็นอาณาจักรที่ทรงอิทธิพลในย่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาก ๆ
ปล. 1 หากมีคำแนะนำสำหรับการเขียนแนวย้อนยุคก็แนะนำได้นะคะ เผื่อเราจะได้เอาไปปรับใช้ แต่โดยรวมเราอยากเขียนให้เข้าถึงง่ายเลยใช้คำที่ไม่ยากน่าจะดีกว่า และเราจะพยายามใส่รายละเอียดลงไปให้มากกว่านี้ เพราะมันค่อนข้างเป็นเรื่องไกลตัวพอสมควร
ปล 2 เรื่องนี้แรก ๆ อาจจะเป็นตอนสั้น ๆ เพราะยังไม่มีปมจะให้เล่นเท่าไหร่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 16:20:39 โดย Chomin »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 3

การเดินทางออกนอกเขตพระราชฐานของเจ้าชายมิโนสเป็นไปอย่างมิมีพิธีรีตอง จึงมีเพียงเธเซียสและทหารองครักษ์อีก 2 นายเป็นผู้ติดตาม โดยการเดินทางในครั้งนี้ บุรุษผู้สูงส่งเลือกใช้เส้นทางสำหรับราชวงศ์ ซึ่งจะเชื่อมจากตัวพระราชวังมุ่งสู่เขตที่อยู่อาศัยของชาวครีตัน กระทั่งเดินเข้ามายังอาณาบริเวณที่มีสิ่งปลูกสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ปลูกติดกันถึงสองสามชั้น เจ้าชายมิโนสจึงเสด็จเลี่ยงไปยังตรอกแคบที่มีขั้นบันไดเป็นระยะเพื่อมิให้เป็นที่สังเกต
แต่กระนั้นสง่าราศีที่มิอาจปกปิดก็ร้องเรียกสายตาจากทุกผู้ทุกราย บุรุษหน้าหวานที่กำลังสวมใส่รองเท้าหนังชาร์มัว  ทรงสูงถึงปลีน่องที่มีลวดลายสุดประณีต เยื้องย่างอยู่ข้างหน้าพลางแย้มยิ้มให้กับทุกผู้ที่ได้พบเจออย่างเป็นกันเอง
ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่ที่มิเคยสบพักตร์ ถึงกับอ่อนระทวยไปตาม ๆ กัน 

กระทั่งเดินลัดเลาะผ่านเขตชุมชนขนาดย่อม มาจนถึงเขตท่าเรือแห่งเกาะครีต ความวุ่นวายก็ตรงเข้ามาครอบงำ เสียงพูดคุยด้วยภาษาอันหลากหลายดังก้องเป็นระยะ ร้านรวงต่าง ๆ วางตั้งสินค้าแบกะดินเป็นทิวแถว มีทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหาร ผ้าลินิน ทองคำ งาช้าง กล่องน้ำหอมที่ทำจากหิน รถม้าแบบประกอบเอง และทาสบูเบียนำเข้าจากอียิปต์
ขณะเดียวกันเรือสินค้าของจักรวรรดิครีตันที่กำลังจอดเทียบท่า ต่างบรรทุกสินค้าส่งออกจนเต็มลำเรือ เพื่อนำไปค้าขายทางแถบเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออก
โดยแลกเปลี่ยนกับทองแดง ทองคำ เงิน และเพชรพลอย

“เจ้าทราบหรือไม่ เรือสินค้าลำใดส่งออกสินค้าจากสำนักราชวัง ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวกับต้องการทดสอบภูมิความรู้และความช่างสังเกต
“เรือลำโน้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางชี้ไปยังเรือลำหนึ่งที่จอดเทียบท่ามิไกลนัก

“เพราะเหตุใด ?”
“ในระหว่างที่คนงานกำลังขนย้ายโถใบใหญ่ กระหม่อมสังเกตเห็นตราประทับของพระราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ เพราะเขาเคยประทับตราแห่งราชวงศ์ครีตันลงบนพื้นผิวของเครื่องปั้นดินเผา

เจ้าชายมิโนสทรงแย้มโอษฐ์เพียงครู่ จากนั้นจึงรีบเสด็จไปยังแผงขายยุทโธปกรณ์อย่างรวดเร็ว แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่พระองค์สนพระทัยหาใช่อาวุธเหล่านั้น

“อัสซีเรียมิได้ใช้ทองแดงและสำริดทำอาวุธหรอกหรือ ?” บุรุษหน้าหวานเอ่ยถามพ่อค้าชาวครีตันที่มักจะเดินทางรอนแรมไปทั่วสารทิศอย่างสนพระทัย เนื่องจากข่าวสารดังกล่าวถือเป็นเรื่องราวสุดแสนมหัศจรรย์
“พ่ะย่ะค่ะ ชาวอัสซีเรียทำสงครามด้วยอาวุธที่ทำจากเหล็ก อีกทั้งยังมีม้าและรถศึกอันแข็งแกร่ง นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม”

“เหล็กคือสิ่งใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามตรงใจเธเซียสยิ่ง เนื่องจากมิเคยมีชนชาติใดสร้างอาวุธจากเหล็กมาก่อน
“กระหม่อมทราบเพียงแต่ พวกเขาใช้ก้อนหินฝนปลายให้แหลมคมเพื่อทำเป็นอาวุธพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นไปได้อย่างไร..” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างเลื่อนลอย ซึ่งอาการดังกล่าวมิได้แตกต่างจากเธเซียส เหตุเพราะพวกเขายังมองภาพมิออก
“กระหม่อมคิดว่าก้อนหินดังกล่าว คงมิใช่ก้อนหินธรรมดาอย่างที่พวกเราเข้าใจเป็นแน่” องครักษ์คู่ใจนายหนึ่งกล่าวทูลแก่นายเหนือหัวอย่างคนเจนสนามรบ
แม้ว่าอันที่จริงอาณาจักรครีตันจะอยู่อย่างสงบร่มเย็นมาเนิ่นนาน

“เราก็คิดเช่นนั้น” บุรุษผู้มีพระเกศาราวกับระลอกคลื่นแห่งท้องทะเลตรัสอย่างจริงจัง ขณะที่เธเซียสกำลังขบคิดเรื่องราวดังกล่าวอย่างมุ่งมั่น
“…”   

“โครนัส เจ้ารีบไปสืบความให้เราที พวกอัสซีเรียใช้ก้อนหินแบบใด” สิ้นรับสั่ง พ่อค้าที่มิใช่พ่อค้าก็รีบร้อนเก็บข้าวของจากไป เธเซียสจึงเข้าใจจุดประสงค์ของการออกนอกเขตพระราชฐานในครั้งนี้
ภาพลักษณ์ของชาวครีตันที่ประทับอยู่ในใจ จึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยน เพราะเดิมทีเธเซียสเข้าใจว่าชาวครีตันรักความสะดวกสบายและความหรูหรามั่งคั่ง มิสนใจเรื่องการรบราฆ่าฟัน มุ่งแต่จะทำการค้า และจัดงานเลี้ยงรื่นเริงเพียงอย่างเดียว

“เจ้าพอจะทราบหรือไม่ว่าเป็นหินแบบใด” กระทั่งก้าวเดินออกมาจากมุมดังกล่าว บุรุษผู้สง่างามยังคงสนพระทัยแต่เรื่องเดิม ๆ
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ประสบการณ์ในการค้าขายของกระหม่อมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จึงมิทราบข้อมูลดังกล่าว” เมื่อบุรุษผิวคล้ำเล็งเห็นว่าคำถามดังกล่าวถูกส่งมายังตน จึงรีบทูลความจริงอย่างนอบน้อม

“แต่กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าชาวอัสซีเรียกระหายเลือดเป็นอย่างยิ่ง หลายปีมานี้ดินแดนของบาบิโลเนีย ซีเรีย และจักรวรรดิอียิปต์บางส่วนถูกรุกรานอย่างหนัก” เธเซียสกล่าวเสริม
“เรื่องนี้เราเองก็ทราบดี” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างแผ่วเบา ขณะที่เธเซียสก็มิได้แปลกใจแต่อย่างใด เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในราชวงศ์อันสูงส่ง ย่อมต้องมีสายสืบราชการลับนับไม่ถ้วน อีกทั้งจักรวรรดิครีตันยังมีความสัมพันธ์อันดีกับจักรวรรดิอียิปต์
แน่นอนว่าเรื่องราวดังกล่าว จะมิเข้าพระเนตรพระกรรณได้อย่างไร

“นอกจากภาษาไลเนียเอแล้ว เจ้ายังรู้ภาษาของชาวอียิปต์อีกหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามด้วยความแปลกพระทัย เมื่อทรงเห็นเธเซียสรีบรุดไปยังร้านขายขนมปังจากอียิปต์อย่างกระตือรือร้น แล้วยังสนทนาด้วยเรื่องราวอันใดอย่างออกรสก็มิทราบ
“กระหม่อมทราบเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างถ่อมตัว แต่กระนั้นสิ่งที่เขาพูดก็มิได้เกินจริง

“อ๊าก!” หลังจากเคี้ยวหงุบหงับได้เพียงมินาน เธเซียสถึงกับร้องลั่นน้ำตาเล็ด
“ก้อนกรวดมากมายนัก เจ้าอย่ากินมูมมามนักเลย” บุรุษผู้มิได้ถือตัวตรัสพลางสรวล แต่กระนั้นก็สร้างความเก้อเขินให้แก่เธเซียสมิใช่น้อย
เพราะความน่าอับอายดังกล่าว ยังสร้างอารมณ์ขันให้กับราชองครักษ์อีกสองนายด้วยเช่นกัน

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่คิดถึงวิถีชีวิตในระหว่างที่กำลังเดินทางรอนแรมกับครอบครัวเท่านั้น จึงมิทันได้สำรวมกิริยา” บุรุษผิวคล้ำเอ่ยแก้ตัวขณะที่สองข้างแก้มยังคงเต็มไปด้วยก้อนแป้งเนื้อหยาบผสมก้อนกรวดเม็ดละเอียด เนื่องจากชาวอียิปต์มักจะบดแป้งด้วยเครื่องโม่หิน โดยตั้งใจใส่ก้อนกรวดเล็ก ๆ ลงไปเพื่อให้บดง่ายขึ้น
“เรามิได้ถือสา เพียงแต่เกรงว่าฟันของเจ้าจะหักเสีย..” บุรุษหน้าหวานยังตรัสมิทันจบประโยค กลับถูกใครบางคนกระโจนใส่ โชคยังดีที่เขามีความสามารถทางด้านการต่อสู้ จึงพอจะหลบหลีกได้ทันท่วงที

“เจ้าหัวขโมย!” เธเซียสตะโกนลั่นพลางเขวี้ยงขนมปังสุดโปรดทิ้งอย่างมิใยดี พร้อมกระโจนเข้าหาโจรชั่วที่บังอาจวิ่งราวอย่างน่ารังเกียจ เพียงครู่เดียวอดีตเชลยก็ตะครุบเหยื่อเอาไว้ได้
แต่กระนั้นทั้งคู่กลับตะลุมบอนจนมิอาจแยกแยะ
ข้าวของที่ขโมยมากลับถูกทิ้งขว้างอย่างมิใยดี

“เหตุใดจึงคอยแต่ลักเล็กขโมยน้อยเช่นนี้หา!” เพียงเสี้ยววินาทีเธเซียสเริ่มกลายเป็นผู้ได้เปรียบ ร่างของเจ้าหัวขโมยนั่นจึงอยู่ภายใต้ร่างของเธเซียส ขณะเดียวกันเลือดพ่อค้าผู้ทำมาค้าขายอย่างสุจริตก็พุ่งปราด ปฏิกิริยาทางอารมณ์จึงพุ่งสูง
เสียงประณามแผดลั่นจึงเรียกร้องความสนใจจากทุกผู้ทุกราย

แต่แล้วเจ้าหัวขโมยกลับอาศัยช่วงเวลาดังกล่าว ฝากฝังหมัดหนักลงบนใบหน้าของเธเซียส ส่งผลให้กรงขังเนื้อมนุษย์จำต้องคลายออก เพียงแต่เธเซียสมิได้เสียจังหวะในการตั้งรับเนิ่นนานอย่างที่คิด
การต่อสู้ในระดับสูสีจึงก่อเกิดขึ้น

“ระวัง!” เสียงแผดลั่นจากบุรุษหน้าหวานดังขึ้นในจังหวะที่เจ้าหัวขโมยผู้แสนดื้อด้านชักกริชปลายแหลมออกมาจากที่ซ่อน ฝ่ายเธเซียสก็รีบเอี้ยวตัวหลบจากรัศมีอันตรายอย่างคล่องแคล่ว
ราวกับได้รับการฝึกฝน

กระทั่งได้โอกาสเหมาะ ปลายเท้าของเธเซียสจึงตวัดร่างของเจ้าหัวขโมยจนล้มตึงลงกับพื้น แต่กระนั้นเจ้าโจรมืออาชีพกลับตั้งรับได้อย่างทันท่วงที ร่างกายของมันจึงกลับมายืนอย่างสง่าผ่าเผย พร้อมกวัดแกว่งปลายกริชไปรอบ ๆ กาย
ราวกับสร้างกำแพงค่ายกลชั้นดี
ส่งผลให้คู่ต่อสู้ยากจะปราบปราม

แต่แล้วกำแพงค่ายกลจากปลายกริชกลับถูกเธเซียสถีบคว่ำในจังหวะหนักแน่น ส่งผลให้กริชเล่มสวยกระเด็นกระดอนออกห่างจากลานต่อสู้ เจ้าหัวขโมยผู้แสนหน้าหนากลับเหลือบซ้ายแลขวาอย่างพินิจพิเคราะห์สถานการณ์
จากนั้นก็รีบฉวยผ้าลินินผืนสวยนำเข้าจากอียิปต์หลบหนีไป

“เจ้านี่เลือดร้อนมิเบา” องครักษ์ผู้สวมใส่รองเท้าหนังชาร์มัวทรงสูงถึงปลีน่อง โดยมีสายหนังรัดรึงเหนือบริเวณข้อเท้ากล่าวขึ้น
“เป็นเช่นนั้น เพราะข้าทนมิได้ที่เห็นเจ้าหัวขโมยนั่นเอาเปรียบพ่อค้าสุจริต เลือดพ่อค้าของข้าคงแรงกล้ากระมังถึงได้เดือดดาลอย่างที่เห็น” เธเซียสกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ พร้อมปัดเศษหินดินทรายบนเนื้อตัว

หลังจากเสวนากับองครักษ์ทั้งสองนายครู่ใหญ่ เธเซียสจึงทราบว่าสถานะของทั้งสอง มิใช่ทหารกล้าผู้ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่กลับเป็นถึงขุนพลผู้เก่งกล้า โดยสังเกตจากรองเท้าที่สวมใส่ เนื่องจากนักรบจะสวมใส่รองเท้าหนังชาร์มัวสีขาว เพียงแต่ทหารผู้มีบรรดาศักดิ์ใหญ่จะสวมใส่รองเท้าสุดประณีตมีสายหนังรัดรึงเหนือข้อเท้า
ขณะที่เหล่าข้าหลวงและราษฎร์ชาวครีตัน จะมิสวมใส่รองเท้าในเขตที่อยู่อาศัย แต่จะสวมใส่ก็ต่อเมื่อก้าวเดินออกจากบ้าน ส่วนชนชั้นสูงอย่างเจ้าชายมิโนส จะมิเคยปรากฏตัวสู่สาธารณชนโดยมิสวมรองเท้า
เนื่องจากเหล่านักรบเปรียบเสมือนตัวแทนของฉลองพระบาท

“รางวัลของเจ้า” เจ้าชายมิโนสเสด็จกลับมาพร้อมขนมปังอบใหม่ พลางตรัสราวกับมีเมตตาให้แก่อดีตเชลยผู้นี้มิใช่น้อย
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสตอบกลับอย่างนอบน้อมและแผ่วเบา พร้อมรับก้อนแป้งหอมกรุ่นชิ้นใหญ่ส่งเข้าปากพลางเคี้ยวหงุบหงับอย่างเอร็ดอร่อย ส่งผลให้สองข้างแก้มของนายข้าหลวงฝึกหัดพองลมราวกับสัตว์ป่าตัวน้อยกำลังเคี้ยวเอื้อง

“เห็นเจ้าโปรดปรานการกินถึงเพียงนี้ ทำให้เรานึกถึงแอนโดรเจียสขึ้นมาทันควัน..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเดินเยื้องย่างเข้าสู่เขตพระราชฐานด้วยเส้นทางเดิม
“…” ฝ่ายเธเซียสที่ได้ยินเช่นนั้นกลับทำได้เพียงแย้มยิ้มอย่างไร้ข้อคิดเห็น เนื่องจากกรณีของเจ้าชายแอนโดรเจียส นับว่าเป็นความบาดหมางอันยิ่งใหญ่ระหว่างเอเธนส์และครีตัน
ดังนั้นหัวข้อสนทนาดังกล่าวจึงถือว่ากระอักกระอล่วนมิใช่น้อย

“หน่วยก้านของเจ้านับว่าเหมาะแก่การต่อสู้ เห็นทีงานช่างฝีมือคงมิเหมาะกับเจ้ากระมัง ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามอย่างหยอกเย้า
“กระหม่อมเพียงแค่ต่อสู้เป็นเท่านั้น มิได้มีความเชี่ยวชาญอันใดพ่ะย่ะค่ะ” ธีเซียสกล่าวอย่างถ่อมตน

“เรื่องเช่นนั้นมิใช่ปัญหา เราสามารถฝึกฝนเจ้าได้” บุรุษหน้าหวานกล่าวพลางแย้มยิ้มชื่นมื่น ราวกับหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่า อนาคตเธเซียสจะมิได้เป็นเพียงช่างฝีมือกระจอกงอกง่อย
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ฝ่ายบุรุษผู้ได้รับความเมตตากล่าวอย่างนอบน้อมและซาบซึ้งที่ได้รับความกรุณา
พร้อมระลึกอยู่เสมอว่าความเมตตาดังกล่าว..
อาจจะเกี่ยวข้องกับภาพทับซ้อนระหว่างตนและเจ้าชายแอนโดรเจียส


φ

[1] ชาร์มัว คือ เลียงผา

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น
edit 19/06/2019 แก้คำราชาศัพท์ คำว่า แย้มสรวล ที่แปลว่า ยิ้ม เป็น สรวล ที่แปลว่า หัวเราะ]

บทความที่เกี่ยวข้อง
 เข้าครัวไอยคุปต์ ตะลอนชิมอาหารยุคฟาโรห์ http://www.gypzyworld.com/article/view/923
- ชาวอัสซีเรีย https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/mesopotamia-ancient/mesopotamia03/meso04
- เหล็กคืออะไร https://bit.ly/2TYzWJR

วันนี้เห็นมีคนคอมเมนต์เรื่องนี้แล้วดีใจมากกกกก เพราะเราชอบเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ กรีกโบราณ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับแนว ๆ นี้ เลยอยากลองเขียนเองบ้าง แต่คนอ่านแนวนี้อาจจะน้อย 5555 มีคนเดียวก็ดีใจมากแล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะ เรารู้สึกมีแรงใจในการเขียนอีกเยอะเลยค่ะ วันนี้เราก็เลยรีบมาอัพตอนใหม่อย่างไว 555555 จะว่าเราเห่อก็ได้ >.<
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับเหล็กที่เราเขียนให้เรียกก้อนหิน เราอ้างอิงจะเว็บที่ให้ข้อมูลไปค่ะ เพราะจริงๆ ในยุคโบราณเขาใช้ก้อนหินที่มีแร่เหล็กในการทำอาวุธ
ปล 1. ตอนที่แล้วเราเรียกอาณาจักรบาบิโลเนียว่าบาบิโลนด้วยความเคยชิน แต่จริงๆ ชื่ออาณาจักรบาบิโลเนียนะคะ มีเมืองหลวงชื่อบาบิโลน เราเลยแก้ไขใหม่
ปล 2. พยายามจะเขียนฉากต่อสู้อย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ได้แบบนี้ 555
ปล 3. ตอนหน้าจะเริ่มเดินเนื้อเรื่องที่เป็นปมหลักแล้วค่ะ จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าเป็นปมสักเท่าไหร่ เพียงแต่เป็นความลับที่สามารถบอกแนวเรื่องของนิยายเรื่องนี้ได้ว่าจะเดินไปในทิศทางที่เป็นแนวจุดเริ่มต้นของกรีกโบราณอย่างเดียวหรือไม่

ขนมปังของอียิปต์โบราณ (แต่อันนี้เป็นแบบที่อยู่ในหลุมฝังศพเลยจะแห้งๆ แข็ง ๆ หน่อย)
https://i.imgur.com/TZS8GSN.jpg

บ้านเรือนของผู้คนในครีตันจะเป็นประมาณนี้ค่ะ แต่อันนี้เราเอาเมืองอื่นมาให้ดูก่อน เมืองนี้จะแออัดกว่าเพราะไม่มีพระราชวัง เดี๋ยวเฉลยปมก่อน เราจะเอาอีกภาพนึงให้ดู จะเห็นชัดกว่าภาพนี้
https://i.imgur.com/3aTify5.jpg
Cr : pinterest

ส่วนอันนี้เป็นรองเท้าที่ทางอาณาจักรครีตันมอบเป็นเครื่องบรรณาการให้กับฟาโรห์แห่งอียิปต์ค่ะ จะเห็นได้ว่าชาวครีตันมีความสามารถในการทำรองเท้าเป็นอย่างมาก (ข้อมูลตรงนี้เอาไว้เราจะมาลงอีกทีค่ะ เราไปหาอ่านจากเว็บอิ้ง เว็บไทยรู้สึกจะไม่ค่อยมีข้อมูลเท่าไหร่)
https://i.imgur.com/w7QdXxi.jpg
Cr : pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 16:32:03 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 4

หลังจากบุรุษหน้าหวานลั่นวาจาเช่นนั้น ช่วงเย็นเธเซียสจำเป็นต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง เพื่อที่วิชาการต่อสู้จะได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันเธเซียสยังต้องทำหน้าที่ช่างฝีมือต่อไป
ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อ
นายข้าหลวงฝึกหัดผ่านการคัดเลือกตามกฏระเบียบของกองทัพ

หลายวันมานี้ร่างกายของเธเซียสรู้สึกอ่อนล้าเป็นพิเศษ พอถึงเวลาพักผ่อนหย่อนกาย เขาจึงรีบหลับนอนอย่างมิมีอิดออด เพียงแต่ในค่ำคืนนี้บรรยากาศรอบกายกลับวิเวกวังเวงอย่างน่าประหลาด  แต่ในเสี้ยววินาทีความเงียบสงบกลับถูกแทนที่ด้วยเสียงอสนีบาต ฟาดฟันลงบนผืนดินและจบลงที่ต้นไม้สูงใหญ่หักโค่น เกลียวคลื่นของน้ำทะเลภายในคูคลองเรียบเขตพระราชฐานม้วนตัวอย่างน่าเกรงขาม ก่อนจะกระทบฝั่งราวกับทวยเทพกำลังพิโรธ
พลันเสียงกรีดร้องโหยหวนของหญิงสาวดังลอยลมอย่างน่าหวาดผวา

เธเซียสจึงผุดลุกนั่งบนพรมขนสัตว์ที่ใช้รองนอน พลางเงี่ยหูฟังเสียงหวีดหวิวอยู่นานสองนาน แต่จนแล้วจนรอดกลับมิมีเรื่องราวผิดปกติอันใด บุรุษผู้เหนื่อยล้าจึงล้มตัวลงนอนอีกครา
เพียงแต่ในหัวกลับเอาแต่ครุ่นคิดถึงเสียงประหลาด
เนื่องจากเธเซียสรู้สึกว่าการนำส่งเชลยอาจมีความเกี่ยวข้องกับเสียงร้องดังกล่าว

กระทั่งย่ำรุ่งเหล่าข้าหลวงต่างเริ่มออกปฏิบัติงาน แต่เพราะเช้าวันนี้มีการจัดส่งสินค้าจากสำนักพระราชวัง ช่างฝีมือแขนงต่าง ๆ จึงต้องทยอยขนย้ายสินค้าที่ตนเองรับผิดชอบ ออกมาวางตั้งตรงท่าเรือขนาดเล็กที่เคยใช้เป็นเส้นทางเพื่อการปลดปล่อยอิสรภาพของเชลยจากเอเธนส์ ฝ่ายเธเซียสที่ต้องคอยตรวจตราสินค้าตรากตรำทำงานได้เพียงครู่ สายตาก็สบกับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังหอบหิ้วอะไรบางอย่างด้วยความน่าสงสัย บุรุษผิวคล้ำจึงมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย
ฉับพลันใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด
เพราะคนกลุ่มนั้นกำลังหอบหิ้ว ‘ซากศพ’ อันน่าสยดสยองออกมาจากห้องใต้ดิน

“เธเซียส!” อดีตเชลยจากเอเธนส์ตกตะลึงได้เพียงครู่ เมื่อเคออสร้องเรียกสติจึงหวนคืนกลับมา แต่กระนั้นสายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังซากศพราวกับต้องมนตร์ เพราะแววตาของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายเหลือกโตจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า ริมฝีปากอ้าค้างราวกับผ่านการกรีดร้องอย่างเจ็บปวด สองฝ่ามือหงิกงอราวกับผ่านการระบายความเจ็บปวดจนนับครั้งมิถ้วน
ขณะเดียวกันเนื้อตัวกลับเละเทะจนเครื่องในหลุดเลื่อนอย่างน่าสยดสยอง

“สภาพศพเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?” เธเซียสเอ่ยงึมงำราวกับสติยังมิอาจหวนคืน ขณะที่สองมือและสองเท้ายังคงขนย้ายเครื่องปั้นดินเผาไปยังลำเรือที่มาจอดเทียบท่า ส่วนสมองยังคงคิดวิเคราะห์อย่างมิว่างเว้น
“บูชายัญ”

“หา ?” เธเซียสเลิกคิ้วราวกับต้องการจะให้เคออสกล่าวย้ำอีกครั้ง
“ศพนั่นเกิดจากการบูชายัญต่อโอรสของเจ้าแม่” คำอธิบายจากเคออสสร้างความกระจ่างให้แก่เธเซียสเพียงเสี้ยวหนึ่ง เนื่องจากบุรุษจากต่างแดนทราบเป็นอย่างดีว่าชาวครีตันเคารพนับถือ ‘เจ้าแม่’ ยิ่งกว่าสิ่งใด เหตุเพราะรูปปั้นของหญิงสาวในลักษณะเปลือยอก มักจะปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง และด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงส่งผลให้สังคมของชาวครีตันเคารพยกย่องสตรียิ่งกว่าบุรุษ
ดังนั้นบทบาทสำคัญทางศาสนาจึงเป็นหน้าที่ของสตรี
กระทั่งมีการสร้างพระเจ้าขึ้นมา แต่ก็ยังมีสถานะเป็นรองจากเจ้าแม่

“แต่สภาพศพดูมิเหมือนการถูกบูชายัญสักเท่าใด” เธเซียสเอ่ยแย้ง เนื่องจากการบูชายัญ สภาพศพมิได้น่าสยดสยองถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำลักษณะการตายของหญิงสาว ราวกับถูกสัตว์ร้ายฉีกกระชากเรือนร่างจนขาดวิ่น พร้อมทั้งลิ้มชิมเครื่องในอย่างหิวกระหาย
อีกทั้งสุ้มเสียงหวีดหวิวของเมื่อค่ำคืนวาน ยังสร้างความน่าสงสัยให้กับประเด็นนี้

“เท่าที่ข้าทราบการทำพิธีบูชายัญเป็นพิธีกรรมทางศาสนา ต้องประกอบพิธีตามถ้ำในภูเขาสูง หรืออาจจะทำกันในห้องประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่อยู่ในเขตพระราชฐาน..” เธเซียสกล่าวอย่างคนมีความรู้รอบตัว พร้อมยืนกอดอกเฝ้ารอสินค้าชุดใหม่ถูกขนย้ายมายังท่าเรือ
“เช่นนั้นห้องใต้ดินจะมิใช่สถานประกอบพิธีกรรมได้อย่างไร เจ้านี่ช่างสงสัยเสียจริง” เคออสกล่าวพลางกลั้วหัวเราะอย่างมิได้ถือสา เพราะเขาเข้าใจดีว่า เรื่องราวบางอย่างคนต่างบ้านต่างเมืองอาจมิมีวันเข้าใจ

เธเซียสมิได้กล่าวโต้แย้งด้วยถ้อยคำอันใดอีก เพราะเขาสัมผัสได้ว่าการตายด้วยสภาพศพเช่นนั้น ดูเป็นเรื่องราวชินตาของเหล่าข้าราชบริพาร แต่ในทางกลับกันหากเคออสเคยล่วงล้ำเข้าไปยังห้องใต้ดินอันลึกลับ เหตุการณ์เมื่อครู่คงไม่มีทางปล่อยผ่านได้ง่าย ๆ เนื่องจากสภาพของห้องใต้ดิน มิมีสิ่งใดใกล้เคียงกับห้องประกอบพิธีกรรมทางศาสนา อีกทั้งลักษณะการตายยังเป็นการตายที่น่าอเนจอนาถ บวกกับนางกำนัลดาฟเน่เคยแนะนำให้เธเซียสรู้จักทุกซอกทุกมุมของพระราชวัง เขาจึงทราบตำแหน่งของห้องประกอบพิธีกรรมทางศาสนา อีกทั้งซากศพที่เกิดจากการบูชายัญต่อเทพเจ้าจะต้องบรรจุลงในโถใบใหญ่ และฝังอยู่ตรงใต้ถุนใกล้ ๆ กับห้องเก็บพืชพันธุ์ธัญญาหาร   
มิหนำซ้ำเชลยชาวเอเธนส์ยังถูกส่งมาที่ห้องใต้ดิน แต่กลับได้รับความเมตตาจากเจ้าชายมิโนส เช่นนั้นแล้วหญิงสาวที่กลายร่างเป็นซากศพ อาจเป็นหนึ่งในเชลยที่เดินทางมาจากนครรัฐเอเธนส์ เพียงแต่มิได้เดินทางมาพร้อมกับเธเซียส
บางทีเชลยศึกอาจมิได้รับความช่วยเหลืออย่างที่คิด
มิเช่นนั้นกลุ่มคนดังกล่าวจะกลายร่างเป็นซากศพอยู่ที่ห้องใต้ดินได้อย่างไร

ความไม่น่าไว้วางใจจึงมิอาจทำให้เธเซียสปล่อยวาง ส่งผลให้ทักษะในการต่อสู้เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ หลายครั้งหลายคราปลายกริชแหลมของเจ้าชายมิโนส เกือบจะบั่นคอศิษย์เอกเสียให้ได้

“เจ้ากำลังครุ่นคิดสิ่งใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางเก็บกริชลวดลายสุดประณีต เข้าคมฝักที่คาดอยู่ตรงบั้นพระองค์  พร้อมเหวี่ยงกายประทับบนกำแพงสูง สายลมโบกสะบัดในยามอาทิตย์อัสดงจึงอาบไล้เนื้อตัวของบุรุษผู้งามสง่า ทำให้พระเกศาและเนื้อผ้าพลิ้วไหวราวกับนางระบำกำลังร่ายรำ
“กระหม่อมเพียงแต่ยังปรับตัวมิได้ ความเหนื่อยล้าจึงทำให้เสียสมาธิพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวโป้ปด เนื่องจากเรื่องราวที่เขากำลังขบคิด มิอาจบอกกล่าวแก่คนผู้นี้

“เช่นนั้นเจ้าพักเหนื่อยเสียเถิด ที่ผ่านมาเราคงเร่งรัดเจ้ามากเกินไป” เจ้าชายมิโนสกล่าวพลางทรุดวรกายประทับบนกำแพงสูง พร้อมตบพระหัตถ์ลงบนพื้นที่ว่างข้าง ๆ ตัว ราวกับประสงค์ให้เธเซียสทิ้งกายลงนั่งเคียงข้าง
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างนอบน้อม เพราะก่อนฝึกกระบวนท่า เจ้าชายมิโนสทรงหยิบยื่นความเมตตาให้แก่เขาอย่างเหลือล้น ดังนั้นการปฏิบัติตนในระหว่างที่มิมีผู้ใดคอยสังเกตการณ์ ย่อมเป็นไปอย่างเรียบง่าย

กระทั่งเธเซียสกระโดดขึ้นไปนั่งบนกำแพงทรงเตี้ย ภาพของจักรวรรดิครีตันจึงปรากฏสู่สายตา แววตาคมกริบดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงทอดมองไปยังเส้นทางน้ำที่ถูกปกคลุมด้วยป่าใบเขียว พลางอนุมานภาพของเรือลำหนึ่งที่ตนเคยโดยสาร โดยเรือลำนั้นชักใบเรือสีดำลอยล่องเข้ามายังอาณาบริเวณของจักรวรรดิครีตัน
จึงพบว่าสถานที่แห่งนี้คือหอสังเกตการณ์ชั้นดี
ดังนั้นครีตันจึงมิมีความจำเป็นต่อการสร้างป้อมปราการเฉกเช่นอาณาจักรอื่น

“เจ้ากับแอนโดรเจียสมีนิสัยค่อนข้างคล้ายกัน…” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มโอษฐ์ พร้อมทอดพระเนตรออกไปยังทิศทางที่ไกลแสนไกล ราวกับ ณ จุดนั้นปรากฏร่างของพระอนุชาในความทรงจำ
“คล้ายกันอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?”

“พวกเจ้าสองคนล้วนมีความมุ่งมั่น หากตั้งใจทำสิ่งใดแล้วจะต้องทำให้สำเร็จลุล่วง แต่หากมีเรื่องราวคอยรบกวนจิตใจ สิ่งที่เคยทำได้ดีกลับกลายเป็นย่ำแย่” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยน้ำเสียงเนิบช้า พลางแย้มโอษฐ์ขณะที่กำลังกล่าวถึงพระอนุชา ฝ่ายเธเซียสก็มิได้โต้แย้งอันใด เนื่องจากสิ่งที่บุรุษผู้สูงส่งบอกกล่าวล้วนเป็นความจริง
เพราะเวลานี้เขากำลังมีเรื่องราวก่อกวนจิตใจ
ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจส่งผลต่อภารกิจอันใหญ่หลวง

“อีกไม่นานจะมีพิธีการคัดเลือกบุรุษฝีมือดีเข้ารับราชการทหาร” เจ้าชายมิโนสตรัสหลังจากความเงียบงันก่อเกิดขึ้น
“ครีตันคัดเลือกทหารฝีมือดีจากการล่าสัตว์ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามด้วยความสงสัย เนื่องจากเรื่องราวของกองทัพครีตันถือเป็นเรื่องไกลตัว เหตุเพราะภาพลักษณ์ของชาวครีตัน มิใช่ชนเผ่าผู้แข็งแกร่งและบ้าระห่ำเฉกเช่นชาวอัสซีเรีย แต่กลับเป็นชนเผ่าที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเดินเรือ อีกทั้งยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลในด้านการค้าขาย บวกกับภาพลักษณ์สุดหรูหราสุขสบาย
ส่งผลให้ผู้คนต่างเข้าใจธรรมชาติของชาวครีตันแบบผิด ๆ

“มิใช่ พวกเราคัดเลือกจากการละเล่นกับวัวกระทิง” คำปฏิเสธของเจ้าชายมิโนสสร้างความฉงนให้แก่เธเซียสเป็นอย่างมาก เนื่องจากวัวกระทิงถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา
แล้วเหตุใดสัตว์ประเภทนี้จึงกลายสภาพเป็น ‘เหยื่อ’ ไปได้เล่า

“นักรบถือเป็นรองเท้าของกษัตริย์ เช่นนั้นการใช้วัวกระทิงซึ่งเป็นบริวารของเจ้าแม่ ย่อมถือเป็นการแสดงความจริงใจ” บุรุษหน้าหวานกล่าวอย่างเชื่อมั่นในประเพณีอันดีงาม
“การละเล่นที่พระองค์ตรัสถึง คือการละเล่นแบบใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามด้วยความงุนงงพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างจริงจัง เพราะเดิมทีเขาเข้าใจว่าการคัดเลือกทหารคงมิต่างจากชาวไมซีเนียน เจ้าชายมิโนสจึงหยิบยื่นวิชาการต่อสู้ด้วยอาวุธให้แก่เขา ความเข้าใจผิดจึงยิ่งเลยเถิด

“ตามเรามาสิ” สิ้นคำถามของศิษย์เอก เจ้าชายมิโนสไม่รอช้ารีบเหวี่ยงกายยืนบนพื้นอย่างสง่างาม ฝ่ายเธเซียสเห็นดังนั้นจึงรีบกระวีกระวาดพลิกตัวลงจากกำแพงหอสังเกตการณ์ พร้อมก้าวเดินตามบุรุษผู้สูงส่งด้วยท่าทีอันสุภาพเรียบร้อย
สองนายบ่าวเดินลัดเลาะจากบันไดชั้นบนสุดลงสู่ล่างสุดอย่างมิต้องหวั่นเกรงว่าจะเกิดอันตราย เนื่องจากตัวพระราชวังได้มีการสร้างช่องรับแสงขนาดใหญ่ ก่อนจะสืบเท้าไปตามทางลาดประจำทิศเหนือ ทะลุสู่ลานโล่งกว้างที่ใช้ประกอบพิธีกรรม ซึ่งลานดังกล่าวจะอยู่ใจกลางของตัวพระราชวัง
จากนั้นปลายเท้าของทั้งคู่ก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าภาพเฟรสโกขนาดใหญ่

ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพราวกับพิธีกรรมบางอย่าง โดยมีบุรุษผิวสีน้ำตาลไหม้กำลังตีลังกาอยู่บนแผ่นหลังของวัวกระทิง ขณะเดียวกันหญิงสาวผิวขาวสะอาดนางหนึ่งกำลังหลอกล่อกับ ‘เหยื่อ’ อย่างเสี่ยงอันตราย
ส่วนอีกนางหนึ่งกำลังออกท่าทางราวกับประกอบพิธีกรรมบางอย่างที่คงจะเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้กล้ามาร่วมกองทัพ

“กระหม่อมเกรงว่าจะมิมีความสามารถถึงเพียงนั้น” เธเซียสกล่าวพลางละสายตาจากภาพกิจกรรมที่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะเขามิเคยต่อสู้กับสัตว์ที่มีกำลังวังชาดังเช่นวัวกระทิง
“เราเชื่อว่ามิเคยมีผู้ใดมีความสามารถเหนือชั้นมาตั้งแต่เกิด..” วาจาเฉียบคมจากบุรุษผู้มีความคิดความอ่าน ทำให้เธเซียสจำต้องเห็นด้วย เพราะมันคือถ้อยคำที่ค่อนข้างมีเหตุผล

“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากการฝึกฝนและการใฝ่รู้” เจ้าชายมิโนสตรัสเป็นถ้อยคำสุดท้ายก่อนจะเสด็จจากไป ฝ่ายเธเซียสจึงได้แต่เฝ้ามองภาพวาดเฟรสโกอย่างครุ่นคิด
กระทั่งทั่วทั้งบริเวณหลงเหลือเพียงแค่ตน..
รอยยิ้มมุมปากแห่งความพึงใจจึงปรากฏ 


φ

[1] บั้นพระองค์ คือ บั้นเอว

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น]

สำหรับตอนนี้มีเรื่องซากศพเข้ามาเกี่ยวข้อง ลองเดากันดูค่ะว่าเป็นซากศพจากการบูชายัญจริง ๆ หรือว่าเป็นพิธีกรรมอะไรกันแน่
ปล. ปมไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่อาจจะค่อย ๆ เผยออกมาทีละนิด

ภาพเฟรสโกที่เรากล่าวถึงในเรื่องคือภาพนี้ค่ะ

https://i.imgur.com/n0SIovR.jpg

จากที่เราอ่านข้อมูลจากเว็บอิ้งมา ดูเหมือนว่าภาพนี้ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าเป็นการทำพิธีกรรมทางศาสนา หรือว่าเป็นกีฬาที่ชาวครีตันนิยมกันแน่ เพราะว่าอักษรไลเนียเอ ปัจจุบันยังไม่มีใครถอดความได้ จึงยังไม่ได้รับความกระจ่างในจุดนี้ ทุกอย่างจึงเป็นเพียงการคาดเดา เราเลยปรับตรงจุดนี้ให้เข้ากับเนื้อหาของเรื่องค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 16:35:58 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 5

สองวันมานี้เธเซียสรู้สึกกระสับกระส่าย เนื่องจากเขากำลังต้องการที่ปรึกษา แต่ทว่าข่าวสารที่เคยส่งผ่านนกเหยี่ยวประจำตัว กลับเงียบหายราวกับตายจาก บุรุษผิวเข้มจึงเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ไม่ว่าอะไรใด ๆ ล้วนขวางหูขวางตาทั้งสิ้น

“เจ้านี่แปลกคนเสียจริง” เคออสกล่าวในขณะที่ทั้งคู่กำลังก้าวเดินออกจากโรงภาษี เพื่อรับค่าแรงประจำเดือนจากสคริป ที่เป็นผู้ดูแลบัญชีผลิตผลของราชวัง ซึ่งค่าแรงดังกล่าวจะจ่ายเป็น ถั่ว ผลไม้ตากแห้ง น้ำมันมะกอก และเหล้าองุ่น
“แปลกอย่างไร ?” เธเซียสเอ่ยถามขณะที่สองมือยังคงประคองโถค่าแรงเลี้ยงชีพอย่างทะนุถนอม

“ผู้อื่นเขามีแต่จะดีใจที่ได้รับค่าแรง แต่ดูเจ้าสิ กลับทำสีหน้าเช่นนี้” เคออสกล่าวพลางพยักพเยิดหน้าไปทางเธเซียส ด้วยเพราะสองมือกำลังโอบกอดโถดินเผาใบใหญ่
“เจ้านี่ช่างจับผิดเสียจริง” เธเซียสว่าเหน็บพลางกลั้วหัวเราะ หลังจากนั้นสองสหายต่างรีบนำข้าวของไปเก็บยังเรือนพักพิง ก่อนจะกลับมาทำงานอย่างแข็งขัน เนื่องจากในกาลข้างหน้าฟาโรห์แห่งอียิปต์จะเสด็จมายังพระราชวังคนอสซุส เพื่อร่วมทอดพระเนตรพระราชพิธีแห่งการคัดเลือกนายทหาร
เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างครีตันและจักรวรรดิอียิปต์เป็นไปอย่างแน่นแฟ้น

ทว่าเธเซียสกลับมิได้มีใจทุ่มเทให้กับการเตรียมงานใด ๆ จึงกล่าวโป้ปดกับเคออส ด้วยคำกล่าวอ้างว่าตนมิอยากทำให้เจ้าชายมิโนสต้องเสียหน้า หากพลาดพลั้งโอกาสอันดีในครั้งนี้ เนื่องจากทุกผู้ทุกรายต่างรับรู้กันดีว่า บุรุษผู้สูงส่งคาดหวังและส่งเสริมอดีตเชลยผู้นี้มากเพียงใด
กระทั่งข้ออ้างดังกล่าวสำเร็จผล เธเซียสจึงรีบเร้นกายไปตามเส้นทางแห่งราชวงศ์ ที่เชื่อมกับเขตที่อยู่อาศัยของชาวครีตัน โดยเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่มิเคยมีการจัดเวรยาม 
การหลบหนีจึงเป็นไปอย่างง่ายดาย

บุรุษหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามตรอกแคบ พร้อมแฝงตัวอยู่ตรงมุมลับตา พลางแปลงโฉมเป็นชาวเอเธนส์ด้วยการสวมใส่เสื้อซิตอน รัดเอวยาวคลุมสะโพก และสวมผ้าคลุมแบบสั้นพร้อมกลัดด้วยซาลามี เหมือนตอนที่เดินทางมายังครีตันเป็นครั้งแรก เพียงแต่สภาพของเครื่องนุ่งห่มกลับมิได้สวยงามเข้ารูปดังเช่นวันวาน เนื่องจากผ้าผืนดังกล่าวเป็นผ้าผืนใหม่ที่ได้มาจากการติดตามเจ้าชายมิโนสออกจากวัง อีกทั้งยังมิได้ตัดเย็บอย่างประณีต เพราะเขาทำเพียงแค่ดัดแปลงเครื่องนุ่งห่มให้พอสวมใส่
จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังเขตท่าเรือ โดยเป้าหมายของเธเซียสคือร้านขายผ้าที่เคยถูกโจรกรรมเมื่อครั้งก่อน พร้อมคอยระแวดระวังบุรุษที่มิใช่พ่อค้า แต่อาจจะเป็นสายลับจากทางราชการ แต่กระนั้นผู้เฝ้าระวังหรือจะสู้ผู้ที่คอยจับตาดูไปได้
ซึ่งเธเซียสทราบถึงจุดนี้ดี เพียงแต่เขามิมีทางเลือก
เรียกได้ว่าการออกนอกเขตพระราชฐานเป็นไปอย่างสุ่มเสี่ยง

แต่ถึงอย่างนั้นความใจเย็นและความรอบคอบของเธเซียสยังมีอยู่อีกมาก เพราะแทนที่เขาจะพุ่งเป้าไปยังร้านขายผ้าเป็นอันดับแรก กลับกลายเป็นร้านขายขนมปังจากอียิปต์ เพลานี้เธเซียสจึงเดินเคี้ยวหงุบหงับไปยังร้านเป้าหมาย พลางหยิบผ้าลินินผืนหนึ่งอย่างสนใจ กระทั่งสบโอกาสเหมาะเขาจึงสอดกระดาษเหมือนกับคราก่อน จากนั้นจึงทำเป็นสนใจผ้าผืนดังกล่าว ฝ่ายเจ้าของร้านจึงเริ่มแนะนำสรรพคุณของสินค้า กระทั่งสบโอกาสเหมาะ สารลับจึงตกถึงมือผู้รับอย่างปลอดภัย
จากนั้นเธเซียสก็มิได้รีรออันใดอีก เพราะธุระของเขาหมดลงแต่เพียงเท่านี้
พลางภาวนาในใจว่า ‘สารลับ’ จะต้องได้รับการตอบกลับ เนื่องจากการส่งสารมีเพียงสองวิธีเท่านั้น

เธเซียสใช้เวลาแปลงโฉมกลับสู่สภาพเดิมเพียงครู่ จากนั้นจึงเดินทางเข้าวังด้วยเส้นทางแห่งราชวงศ์ครีตัน แต่ทว่าการเลือกใช้เส้นทางดังกล่าวเริ่มมีอุปสรรค บุรุษผิวเข้มจึงรีบซ่อนกายอยู่ภายใต้พุ่มไม้อันรกครึ้ม ปลายสายตาปรากฏขบวนของหญิงสูงศักดิ์นางหนึ่ง ห่มคลุมร่างด้วยเนื้อผ้าชั้นดีลวดลายประณีต ชายขอบขลิบทองอย่างหรูหรา

“สวนของท่านพี่งดงามนัก” หญิงสาวผู้มีใบหน้าสวยหวานกล่าวชื่นชมราวกับมิค่อยได้เห็นความงดงามดังกล่าว เนื่องจากพระราชวังแห่งนี้ดูเหมือนจะมีเพียงเจ้าชายมิโนสหรือเสด็จพี่ของนางประทับอยู่ แต่พอวันข้างหน้าจะมีการจัดงานรื่นเริง เหล่าสมาชิกแห่งราชวงศ์จึงต้องเสด็จมาตระเตรียมด้วยพระองค์เอง
ขณะเดียวกันเธเซียสถึงกับใจหายวาบ เมื่อพระหัตถ์ขาวผ่องของเจ้าหญิงตรงหน้า เอื้อมผ่านช่วงตัวของเขาที่กำลังแอบซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้ เพียงแต่เป็นพุ่มไม้ที่มีดอกสีขาวบริสุทธิ์ชนิดเดียวกับที่เห็นในภาพวาดเฟรสโกตามฝาผนังและเครื่องปั้นดินเผา

“แอริแอดเน”
“เพคะ เสด็จแม่” เธเซียสถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเจ้าหญิงแอริแอดเน เริ่มถอยห่างจากบริเวณที่เขาใช้เป็นที่หลบซ่อน

“อย่ามัวแต่พิรี้พิไร เรายังมีงานต้องจัดการอีกมาก” พระราชินีแห่งจักรวรรดิครีตันตรัสสั่ง พลางทอดพระเนตรพระธิดาอย่างจริงจัง ส่งผลให้เจ้าหญิงแอริแอดเนรีบรุดไปยังปลายเส้นทางของสวนดอกไม้

กระทั่งขบวนเสด็จของหญิงสูงศักดิ์เคลื่อนจากไป ความเงียบสงบจึงเริ่มรายล้อมอยู่รอบกาย แต่ทว่าเธเซียสกลับมิได้ชะล่าใจ จึงรีบผละกายออกจากสวนดอกไม้ของเจ้าชายมิโนส ก่อนจะหายลับเข้าไปยังเรือนพักพิงอันเงียบสงัดของเหล่าข้าหลวงอย่างระทึกใจ เพราะตลอดทางเขาจำเป็นต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ตั้งแต่ทิศเหนือลงมายังทิศใต้
เนื่องจากเขายังมิอาจตัดใจละทิ้งผ้าลินินอันเป็นประโยชน์ต่อการพรางตัว

หลังจากนอนแผ่บนพรมขนสัตว์ในห้องของตนเองได้เพียงครู่ เธเซียสจำต้องรีบรุดออกจากเรือนนอนอย่างเร่งด่วน เพราะการหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่มิใช่เรื่องดี เนื่องจากเวลานี้เหล่าข้าหลวงต่างรวมตัวกันเพื่อจัดเตรียมงานสำคัญอย่างแข็งขัน
ดังนั้นเขาจึงมิอาจทำตัวแปลกแยก

“เจ้ากลับมาล้างตัวหรือ ?” เธเซียสสะดุ้งกายเล็กน้อย แม้จะพยายามแฝงตัวไปกับกลุ่มข้าหลวงที่กำลังขุดลอกบ่อน้ำใกล้ ๆ ลานกว้างที่ใช้ประกอบพิธีคัดเลือกทหารกล้า เพราะเจ้าชายมิโนสประสงค์จะนำบัวจากอียิปต์เข้ามาปลูก
“เอ่อ..” เธเซียสมัวแต่ยืนอ้ำอึ้งราวกับคิดอะไรไม่ออกพร้อมทั้งหลงลืมการปฏิบัติตัวต่อหน้าสาธารณชนเป็นปลิดทิ้ง เนื่องจากเขาเป็นคนมีความผิดติดตัว แต่กระนั้นแววตาของเขากลับมิได้ล่อกแล่กอย่างคนขี้ขลาดตาขาว
เพราะเขากำลังใช้ดวงตาคมคู่นั้นกวาดมองรอบ ๆ กายเพื่อหาทางออก

“ดูท่าทางเจ้าคงจะแอบหนีงานกระมัง” หลังจากเจ้าชายมิโนสส่งสายตาให้เธเซียสก้าวเดินตามพระองค์ไปยังมุมร้างไร้ผู้คน บุรุษผู้สูงส่งที่ในวันนี้ปล่อยพระเกศายาวสยาย ตรัสอย่างตรงไปตรงมา แต่กระนั้นกลับทำให้เธเซียสรู้สึกใจหล่นวูบ พลางมองสำรวจบุรุษตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมหันมาสำรวจตนเอง จึงกระจ่างแจ้งแก่ใจ
เนื่องจากเนื้อตัวของเธเซียสมิได้เปียกชื้น
ดังนั้นการขุดลอกสระบัวจึงมิใช่หน้าที่ของเขา

“หากเจ้ามิผ่านการคัดเลือก เห็นทีเราคงต้องลงโทษเจ้า” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มโอษฐ์ พร้อมเอื้อมหัตถ์ลูบไล้โหนกแก้มของเธเซียสที่กำลังยืนอยู่บนขั้นบันไดที่สูงกว่า ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของบุรุษตรงหน้าดูอ่อนโยนมากขึ้นอีกเท่าตัว เพราะเวลานี้ช่องรับแสงกำลังส่องสะท้อนรอยยิ้มของบุรุษผู้สูงส่ง อีกทั้งสัมผัสนุ่มนวลยังก่อกวนจิตใจของเธเซียสอย่างแรงกล้า เนื่องจากเขามิเคยได้รับการปรนนิบัติราวกับทะนุถนอมจากผู้เป็นพี่ดังเช่นที่เคยโป้ปดมาเนิ่นนาน
“กระทำผิดอันใด โปรดอย่าละทิ้งหลักฐาน” แต่กระนั้นช่วงเวลาแห่งความอ่อนไหวกลับต้องหยุดลง เมื่อเจ้าชายมิโนสทรงยื่นปลายพระดรรชนี[4]ที่เปรอะเปื้อนละอองเกสรของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสวนอันเป็นเส้นทางแห่งราชวงศ์

“เรามักจะสอนแอนโดรเจียสเช่นนี้เสมอ” เจ้าชายมิโนสยังคงตรัสต่อไป พลางก้าวเดินลงบันไดอันเล็กแคบ โดยมีจุดหมายปลายทางที่เธเซียสมิอาจหยั่งรู้ ขณะเดียวกันบุรุษผิวเข้มที่ยังอ่อนเดียงสากว่าบุรุษตรงหน้า กลับเอาแต่ขบคิดถ้อยคำอันตรายอย่างเคร่งเครียด เนื่องจากเขารับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่าง เพียงแต่มิอาจแน่ชัดว่ามันดีหรือร้าย
“เพราะเหตุใดพระองค์จึงให้ท้ายพระอนุชาเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสพยายามทูลถามอย่างคนอยากรู้อยากเห็นดังเช่นวันวาน เพื่อปกปิดความเคลือบแคลงสงสัยที่อีกฝ่ายมีต่อตนเอง

“เพราะแอนโดรเจียสเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ เขาจึงต้องอยู่ภายใต้กรอบและกฎเกณฑ์ตั้งแต่ยังเด็ก เราจึงอยากเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ให้เขาได้พักพิง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ ส่งผลให้เธเซียสนึกสงสัยว่าบุรุษผู้สูงส่งกำลังแสดงสีหน้าอย่างไร
เพราะนับแต่นั้นเจ้าชายมิโนสกลับมิยอมปริปากอันใดอีก
ราวกับเจ้าตัวกำลังดำดิ่งลงสู่ภวังค์แห่งอดีตที่มิอาจลืมเลือน

“ตอนที่แอนโดรเจียสยังเด็ก เราเคยแปลงกายเป็นบริวารของเจ้าแม่ แล้วเขาก็กระโดดข้ามช่วงตัวของเราที่กำลังนั่งหมอบสี่ขาอย่างสนุกสนาน ท่วงท่าของเขาในตอนนั้น สง่างามราวกับนายทหารฝีมือดีของเสด็จพ่อ” กระทั่งทั้งคู่ก้าวเดินมาจนถึงเส้นทางแห่งราชวงศ์ เจ้าชายมิโนสจึงบอกเล่าเรื่องราวของพระอนุชาที่เป็นบ่อเกิดแห่งสงครามระหว่างเอเธนส์และครีตัน จากนั้นพระองค์จึงทรุดวรกายลงกับผืนดิน ท่ามกลางหมู่มวลบุปผารูปร่างแปลกตาที่มีกิ่งก้านเกสรสีเหลืองยื่นออกมาจากกลีบดอกสีขาว
“กระโดดข้ามเราสิ ตอนนี้เราคือบริวารของเจ้าแม่” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสีหน้าแช่มชื่น แต่ทว่าเธเซียสกลับพูดมิออกบอกมิถูก เนื่องจากการกระทำของบุรุษผู้สูงส่ง ทำให้เขามิกล้าอาจเอื้อม

“เจ้าอยากถูกเราทำโทษนักหรือ ?” เจ้าชายมิโนสคะยั้นคะยอด้วยสีหน้าแกมดุ ขณะเดียวกันเธเซียสก็สามารถรับรู้ได้ถึงกระแสความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีให้ตนได้อย่างชัดเจน
เพราะความปรารถนาดีดังกล่าว..
ล้วนมาจากภาพทับซ้อนระหว่างตนและเจ้าชายแอนโดรเจียส

“หากกระหม่อมทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บอย่างมิได้ตั้งใจ ขอโปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วย”  เธเซียสนิ่งคิดเพียงครู่ จากนั้นไม่นานเขาก็ตอบตกลงอย่างใจเรียกร้อง เนื่องจากความอบอุ่นและความใจดีของบุรุษหน้าหวาน ส่งผลให้เขานึกถึงพี่ชายผู้ล่วงลับ
เพลานี้จึงเป็นครั้งแรกที่เธเซียสมองเห็นภาพซ้อนทับระหว่างพี่ชายสุดแสนใจดีกับเจ้าชายมิโนส

ชายหนุ่มวัยสิบหกปีบริบูรณ์จึงกระโดดข้ามแผ่นหลังของชายหนุ่มวัยสิบแปดปี ด้วยท่วงท่าอันงดงามและคล่องตัว พร้อมหลบเลี่ยงบุรุษผู้เปรียบเสมือนบริวารของเจ้าแม่อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันใบหน้าของทั้งคู่กลับเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
ราวกับหลงใหลอยู่ในวังวนของอดีตกาล

“เจ้าคิดว่าจะหนีข้าได้หรือ ?” เธเซียสกล่าวอย่างสมบทบาท พลางวิ่งไล่บุรุษผู้เปรียบเสมือนกระทิงป่าผู้แข็งแกร่ง ส่งผลให้ทุ่งดอกลิลลี่สีขาวโอบล้อมอยู่รอบกายของทั้งคู่
“เจ้าแพ้แล้ว!” บุรุษผิวเข้มตะโกนก้องพลางกระโจนเข้าใส่บุรุษหน้าหวานอย่างประกาศศักดา
ผู้พ่ายแพ้จึงต้องยอมจำนนอยู่กับที่

“ขอประทานอภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางค้อมกายอย่างนอบน้อม พร้อมทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างบุรุษที่กำลังนอนทอดกายอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่พระองค์ประคบประหงมเองกับมือ
โดยมิได้หวาดกลัวว่ามันจะเสียหายแต่อย่างใด

“วันพรุ่งเราจะพาเจ้าไปเผชิญหน้ากับบทเรียนอันยากลำบาก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางโน้มกิ่งลิลลี่ที่อยู่ไม่ไกลจากพระองค์นัก ก่อนจะดอมดมอย่างหลงใหล ส่งผลให้ภาพใบหน้าที่แสนงดงามแต่ทว่ากลับแฝงความแข็งแกร่งดังเช่นบุรุษ ดึงดูดสายตาของเธเซียสได้เป็นอย่างดี
“เราขอเตือน.. บริวารของเจ้าแม่มิได้อ่อนหัดดังเช่นเราในวันนี้..”   


φ

[1] สคริป (Scribes) ทำหน้าที่จดบันทึกและทำบัญชีผลิตผลของพระราชวัง โดยจดลงในแผ่นดินเหนียว
[2] ซิตอน (Chiton) คือ ชุดทูนิคแคบ ๆ รัดเอว เป็นชุดของชาวกรีกโบราณ
[3] ซาลามี (Chlamys) คือ เครื่องเกาะเกี่ยวด้วยไหล่
[4] พระดรรชนี แปลว่า นิ้วชี้

บทความที่เกี่ยวข้อง
- ประวัติศาสตร์กรีก https://bit.ly/2WEHIpO
- ดอกลิลลี่ ประวัติและความหมายสื่อใจของดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์ https://horoscope.kapook.com/view205958.html
- ความหมายของดอกลิลลี่ (MEANING OF LILY) https://bit.ly/2WHQAeh

ชุดที่เธเซียสใส่พรางตัวตอนออกไปที่ท่าเรือจะเป็นแบบสั้น (ขวามือ)
https://i.imgur.com/wDP2MPC.jpg

ส่วนดอกลิลลี่ที่เรากล่าวถึง เป็นดอกไม้ที่มีต้นกำเนิดอยู่บนเกาะครีต แต่พันธุ์นี้จะมีกลิ่นหอมค่ะ  จริงๆ ภาษากรีกของดอกลิลลี่คือ Leiron แต่เราไม่แน่ใจว่าอ่านอย่างไร เราเลยใช้ทับศัพท์ไปแทนนะคะ ที่สำคัญดอกไม้ชนิดนี้ปรากฏอยู่ในภาพเฟรสโกและเครื่องปั้นดินเผาด้วยค่ะ เราเลยใส่รายละเอียดต่าง ๆ ลงในเนื้อเรื่องเพื่อเสริมภาพจินตนาการให้ชัดเจนขึ้น
อย่างภาพนี้ชื่อ The Prince Of the Lillies เป็นภาพที่เจ้าชายกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน จะเห็นได้ว่าภาพวาดมีความคล้ายคลึงกับดอกลิลลี่ 

https://i.imgur.com/rADOGM1.jpg
Cr . pinterest

https://i.imgur.com/NZ2LrU0.jpg
Cr. veniceclayartists.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 17:14:18 โดย Chomin »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 6

ยิ่งใกล้ถึงหมายกำหนดการของงานรื่นเริงมากเพียงใด ผู้คนก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามายังเขตพระราชฐานอย่างล้นหลาม เพราะพวกเขาจะต้องนำพืชพันธุ์ธัญญาหารและของจำเป็นอื่น ๆ มาถวายให้แก่ราชวัง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนงานของเหล่าคหบดีผู้มั่งคั่งที่ก่อร่างสร้างเมืองขนาดย่อมเอาไว้อีกฟากฝั่งหนึ่งของตัวพระราชวัง โดยเส้นทางที่พวกเขาใช้ขนย้ายสินค้ามากคุณภาพ คือทางเชื่อมขนาดใหญ่ที่เรือบรรทุกเชลยเคยลอดผ่าน

“มิน่าเชื่อว่าเจ้าจะขี่ม้าเป็น” เจ้าชายมิโนสยังคงตรัสอย่างเหลือเชื่อ พลางจับจูงอาชาสีนิลเดินไปตามทางเชื่อมระหว่างพระราชวังและเมืองขนาดย่อมของเหล่าคหบดี
โดยจุดหมายปลายทางของพระองค์คือทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ทางทิศตะวันตกของพระราชวัง

“ครอบครัวของกระหม่อมเป็นวาณิช ก็จริง แต่มิได้เดินทางด้วยเรือเพียงอย่างเดียวพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวเสริมอย่างจริงจัง เพราะครอบครัวของเขาแท้ที่จริงเริ่มทำการค้าตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเรื่อยมาจนถึงบริเวณแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ และบริเวณแถบคาบสมุทรอนาโตเลีย

“เช่นนั้นเจ้าคงเคยเข้าร่วมกองคาราวานในทะเลทรายมาบ้างกระมัง ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามด้วยความสนพระทัย เนื่องจากประสบการณ์ในทางปฏิบัติยังคงเป็นรองเธเซียสอยู่มาก
“พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนั้นกระหม่อมจึงเคยขี่ทั้งอูฐและอาชา”

“เราเคยได้ยินมาจากสหาย ทะเลทรายในตอนกลางคืนหนาวเย็นจับใจนัก มิหนำซ้ำสุ้มเสียงของเหล่าวิญญาณร้ายยังคอยโอบล้อมอยู่รอบกาย หากผู้ใดหนีเตลิดวันพรุ่งย่อมกลายเป็นศพ”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยเกือบจะเอาชีวิตมิรอดมาแล้ว เพียงแต่กระหม่อมมิได้จะสิ้นชีพเพราะถูกเหล่าภูตผีลักซ่อนดังเช่นผู้อื่น” เธเซียสกล่าวพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างคับแค้นใจ เมื่อภาพของความเวิ้งว้างกลางทะเลทรายยังคงติดตา อีกทั้งความน่าหวาดผวาของเสียงหวีดหวิวราวกับเหล่าภูติผีปีศาจกำลังข่มขวัญยังคงตรึงใจ มิหนำซ้ำภาพของโครงกระดูกอันมากมาย ล้วนสร้างความตื่นตระหนกให้แก่เธเซียสในวัยเยาว์เป็นอย่างยิ่ง
แต่กระนั้นก็ยังมิอาจเทียบเท่ากับความเจ็บแค้นที่ยังคงอัดแน่น..

“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าโชคร้ายเพราะเหตุใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามอย่างสนพระทัย พลางมองจ้องบุรุษที่กำลังชักจูงอาชาสีน้ำตาลอ่อนไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ป่าเขียวชอุ่มทางทิศตะวันตก เนื่องจากพวกเขาต่างก้าวเดินออกจากอาณาบริเวณของเหล่าคหบดีได้เพียงครู่
“นังหญิงแพศยาต้องการสังหารกระหม่อมเหมือนอย่างที่เคยทำกับท่านแม่และท่านพี่”

“โชคดีที่กระหม่อมได้รับความเมตตาจากกองคาราวานที่กำลังมุ่งหน้าสู่อียิปต์ กระหม่อมจึงติดตามพวกเขาจวบจนกระทั่งย้อนกลับมายังเอเธนส์” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำ เพราะความอดทนอดกลั้นมิให้น้ำตารินไหล เนื่องจากสิ่งที่เขาระบายล้วนเป็นความจริง
แต่ทว่ากลับมีเพียงสิ่งเดียวที่มิใช่เรื่องจริง

คือ..
เขาเป็นชาวเอเธนส์

“ชะตากรรมของเจ้าช่างน่าเห็นใจ..” บุรุษผู้มีใบหน้าหวานแย้มโอษฐ์เพียงนิดพลางเอื้อมหัตถ์ข้างที่ว่างโยกศีรษะของเธเซียสราวกับต้องการปลอบขวัญ ขณะเดียวกันแววตาของทั้งคู่ต่างสบประสาน ส่งผลให้เธเซียสทราบถึงกระแสความเศร้าผ่านดวงเนตรคู่นั้น
ราวกับมันกำลังบ่งบอกว่า..
ชะตากรรมของพวกเขาอาจมิแตกต่างกัน

“เราสองแข่งกันควบม้าดีหรือไม่ ?” กระทั่งหมดหัวข้อสนทนา ทั้งคู่จึงเหวี่ยงกายขึ้นนั่งบนหลังอาชาคู่ใจ ขณะเดียวกันสองฝ่ามือต่างกุมบังเหียนไว้แน่น
บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญ

“พระองค์จะเดิมพันด้วยสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางบังคับอาชาสีน้ำตาลอ่อนเหยียบย่ำลงบนผืนดินอย่างเชื่องช้า
“ดื่มเหล้าองุ่นพร้อมชมจันทร์บนหอสังเกตการณ์เป็นอย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางแย้มโอษฐ์ ขณะวรกายของพระองค์ที่กำลังประทับบนหลังอาชากลับดูสง่าผ่าเผย

“กระหม่อมขอต่อรองเป็นเหล้าองุ่นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ได้หรือไม่ ?” เธเซียสทูลถามอย่างอาจหาญในการต่อรอง

“ย่อมได้” สิ้นคำตอบของบุรุษผู้สูงส่ง เธเซียสจึงเริ่มตั้งคำถามต่อไป เนื่องจากกฎกติกายังมิอาจได้ข้อสรุป
“หากกระหม่อมพ่ายแพ้ ต้องทำสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ?”

“เราสองเป็นพี่น้องร่วมสาบานดีหรือไม่ ?”
“เป็นเกียรติของกระหม่อมแล้ว ขอน้อมรับด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับจิตใจของเธเซียสมิอาจอยู่กับเนื้อกับตัว เนื่องจากข้อต่อรองดังกล่าวทำให้เขารู้สึกสับสน เพราะความแสนดีที่อีกฝ่ายมอบให้ เป็นความแสนดีที่มิเคยได้รับมาเนิ่นนาน แต่กระนั้นชายผู้นี้ยังมีอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างคลุมเครือ ทว่าความไม่กระจ่างแจ้งกลับมิอาจเทียบเท่าได้กับความปั่นป่วนทางความคิด
เนื่องจากจุดประสงค์ในการแฝงกายปะปนไปกับเชลยชาวเอเธนส์
คือชนวนสงครามในกาลข้างหน้า

เดิมทีเธเซียสมิอยากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อความไว้วางใจจากท่านพ่อเริ่มหดหาย เขาจึงต้องดิ้นรนหาวิธีกอบกู้ความเชื่อใจจากสิ่งที่ท่านกำลังสนใจ
ซึ่งก็คือการครอบครองจักรวรรดิครีตัน

แรกเริ่มเธเซียสมิได้ตั้งใจจะสวมบทบาทของชายหนุ่มผู้แสนอาภัพจนสมบทบาทเช่นนี้ แต่ทว่าความฉลาดเป็นกรดของเขามิเคยมีใครรับรู้ ท่านพ่อจึงมิอาจไว้วางใจ ครอบครัวจอมปลอมจากการจัดหาของพี่ชายต่างมารดาจึงก่อเกิดขึ้น ส่งผลให้เธเซียสถูกกลุ้มรุมทุบตีจนเลือดกระอัก แต่กระนั้นความเคราะห์ร้ายกลับกลายเป็นความโชคดี เพราะเธเซียสสามารถหยิบยกเรื่องราวดังกล่าวมาเป็นข้ออ้าง จนกระทั่งแฝงตัวเข้ามาอยู่ในสถานะไส้ศึกได้สำเร็จ แถมยังส่งแผนที่ของตัวพระราชวังและการจัดแจงเวรยามได้อีกด้วย

ทว่าศึกสายเลือดดันโหมกระหน่ำ ความฉลาดเฉลียวของเธเซียสจึงกลับกลายเป็นความขี้ขลาด เนื่องจากท่านพ่อชื่นชอบความฮึกเหิม เพราะชาวไมซีเนียนถือเป็นชนชาติที่มีความสามารถทางด้านการรบและการค้า ข้อเสนอของท่านพี่ลูซีอัสจึงมีความสอดคล้องต่อความต้องการของท่านพ่อมากที่สุด เพียงแต่เธเซียสมองเห็นอันตรายในความเรียบหรูของจักรวรรดิครีตัน จึงพยายามห้ามปรามฝ่ายตนมิให้พลีพลาม เนื่องจากชาวครีตันมิใช่ศัตรูที่ควรสบประมาท
เพราะพวกเขามักจะใช้เปลือกนอกของความเรียบหรู ซ่อนเร้นความแข็งแกร่งอย่างมิดชิด

“เจ้าแพ้แล้ว” ทันทีที่ฝีเท้าม้าหยุดลง เจ้าชายมิโนสจึงตรัสด้วยสุรเสียงดีพระทัยอย่างเหลือล้น ส่งผลให้เธเซียสราวกับถูกปลุกจากภวังค์ เขาจึงรีบกระชากบังเหียนอย่างรุนแรงจนทำให้ม้าพันธุ์ดีร้องประท้วงก่อนจะหยุดนิ่งอย่างเชื่อฟัง จากนั้นบุรุษผิวเข้มจึงมองสำรวจรอบกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าตนควบม้าจนมาถึงลานเขียวขจีอันกว้างใหญ่ ฉับพลันเธเซียสก็หลุดถอนหายใจเสียยืดยาว เมื่อตนเดินทางมาจนถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
เนื่องจากป่าอันเขียวชอุ่มแห่งนี้ ต้นไม้มิได้ขึ้นอย่างเป็นระเบียบ

“กระหม่อมมิรู้ธรรมเนียมของชาวครีตัน ขอพระองค์โปรดชี้แนะ” เธเซียสกล่าวพลางเหวี่ยงตัวลงมายืนอย่างสง่างามพร้อมจับจูงม้าพันธุ์ดีไปตามทิศทางที่บุรุษหน้าหวานชักนำ สายลมพลิ้วไหวชักพาให้เธเซียสรู้สึกเย็นฉ่ำ ขณะที่ชายผ้าคลุมของเจ้าชายมิโนสกำลังไหวระริก
“ครีตันก็มิได้มีธรรมเนียมนี้เช่นกัน สาบานด้วยใจคงพอกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับพระองค์เชื่อใจในความสัมพันธ์ฉันพี่น้องในครั้งนี้

“บทเรียนของวันนี้เป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?” กระทั่งทั้งคู่ล่ามม้าพันธุ์ดีไว้กับต้นไม้ใหญ่มิไกลจากลานกว้างมากนัก เธเซียสที่กำลังทรุดกายลงนั่งกับพื้นหญ้าเพื่อรอเวลาให้บริวารของเจ้าแม่ปรากฏตัวจึงเอ่ยถามบุรุษหน้าหวานอย่างมิรอช้า
“เจ้าเพียงแค่ต้องจับเขาของวัวกระทิงให้มั่น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางขยับวรกายเข้าหาเธเซียส พร้อมช้อนปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นในระดับสายตา

“จากนั้นก็เหวี่ยงตัวเองขึ้นไปยืนอยู่บนแผ่นหลังของมันให้ได้ พร้อมกับลงมาหยุดยืนอยู่บนพื้นอย่างสง่างาม เจ้าถึงจะได้รับการคัดเลือก” ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางข้างขวาของเจ้าชายมิโนสทำท่าทางราวกับคนกำลังตีลังกาอยู่บนแผ่นหลังของกระทิงตัวใหญ่
“ขอให้เจ้าเรียนรู้จากเราให้มาก”  เจ้าชายมิโนสตรัสเพียงแค่นั้น แล้วพระองค์ก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงพร้อมเหยียบย่ำลงบนผืนหญ้าอย่างมั่นคง
โดยจุดหมายของพระองค์คือหนทางข้างหน้าที่มีกระทิงป่ากำลังเล็มหญ้าอย่างหิวกระหาย

ฝ่ายเธเซียสเห็นดังนั้นจึงจับจ้องภาพตรงหน้าด้วยความสนใจ แววตาของเขาจึงมิคิดวอกแวก แม้กระทั่งแมลงกัดขาก็มิคิดจะสน เนื่องจากเพลานี้ภาพของเจ้าชายมิโนสที่กำลังหลอกล่อบริวารผู้แข็งแกร่งช่างดูตื่นตาตื่นใจ และทุกคราที่พระองค์ก้าวย่างเข้าไปใกล้กระทิงป่าสีดำขลับ เธเซียสก็มักจะเผลอเกร็งตัวอย่างอดมิได้ ยิ่งสัตว์ใหญ่ต้องการจะใช้อาวุธร้ายที่มีแต่กำเนิดจัดการเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ฝ่ามือของเธเซียสก็ยิ่งกำแน่น สองขาพลันละล้าละลังว่าจะเข้าไปช่วยหรือจะยืนนิ่งอยู่กับที่
“ระวังพ่ะย่ะค่ะ!!” เธเซียสยกมือขึ้นป้องปากพลางตะโกนก้องอย่างใจหายใจคว่ำ เมื่อเจ้าชายมิโนสขยับเข้าไปใกล้กระทิงป่าตัวใหญ่ พร้อมยึดเรียวเขาอันโค้งงอไว้ข้างหนึ่ง และพยายามจะดีดวรกายลอยขึ้นกลางอากาศ
แต่ทว่าบริวารของเจ้าแม่กลับมิยินยอม
มันจึงสะบัดหัวอย่างรุนแรง ส่งผลให้ร่างของเจ้าชายมิโนสถูกเหวี่ยงไปมาอย่างน่าหวาดหวั่น

กระทั่งฝ่ายที่ต้องยอมแพ้กลับกลายเป็นเจ้าชายมิโนส แต่ทว่าพระองค์เพียงแค่ถอยออกมาตั้งหลักเท่านั้น หนึ่งบุรุษและหนึ่งสัตว์ใหญ่ต่างมองจ้องกันราวกับดูเชิง ส่งผลให้เธเซียสที่กำลังยืนชมการละเล่นที่คิดว่ามันคือการต่อสู้ถึงกับหยุดกลั้นหายใจ เหตุเพราะทันทีที่เจ้าชายมิโนสเหยียบย่างไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กระทิงตัวนั้นกลับพุ่งเข้าใส่อย่างมีน้ำโห
ราวกับการดูเชิงสร้างความหงุดหงิดให้แก่มันมิใช่น้อย

แต่ทว่าเจ้าชายมิโนสกลับอาศัยจังหวะนั้น จับยึดเรียวเขาของคู่ต่อสู้อย่างแน่นหนา พร้อมเหวี่ยงกายขึ้นกลางอากาศในลักษณะครึ่งวงกลมและหยุดยืนอยู่บนแผ่นหลังของวัวกระทิงด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะม้วนตัวตีลังกากลางอากาศเพื่อทรงยืนบนพื้นอย่างมั่นคง
ขณะที่กระทิงตัวดังกล่าวคล้ายกับหมดแรงจึงล้มตึงอย่างมิทันตั้งตัว

“พระองค์ฆ่ามันหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้บุรุษผู้สามารถสยบกระทิงป่าได้อย่างสง่างาม

“มิเคยแม้แต่จะคิด” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางทรุดองค์ลงนั่งพร้อมลูบไล้คู่ต่อสู้อย่างอ่อนโยน
“แล้วเหตุใด ?”

“เราเพียงแค่ใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาสลบเท่านั้น”
“แต่มิได้หมายความว่าวันที่เจ้าเข้ารับการทดสอบ จะสามารถใช้ยาสลบเหมือนเราได้” วาจาของอีกฝ่ายสร้างความกระจ่างให้แก่เธเซียสเป็นอย่างดีว่าชะตาชีวิตของผู้เปรียบเสมือนบริวารของเจ้าแม่จะจบลง ณ ที่ใด

“น้องพี่..”
“คู่ฝึกของเจ้าอยู่ทางนั้น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางรั้งกายของเธเซียสให้ยืนขึ้น พร้อมมองตรงไปยังปลายดรรชนี ที่ปรากฎภาพของกระทิงป่าตัวเล็ก

“เจ้าทำสำเร็จแน่.. เราเชื่ออย่างนั้น..” สุรเสียงแผ่วกระซิบข้างใบหูด้วยความเชื่อมั่น
นำพาให้จิตใจของเธเซียสเต็มตื้นด้วยความฮึกเหิม
ร่างสูงของบุรุษวัยสิบหกปีบริบูรณ์ จึงทะยานไปข้างหน้าอย่างสง่างาม



φ



[1] วาณิช แปลว่า พ่อค้า

[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการยืนและการนั่ง / นั่งจะใช้คำว่าประทับ (ไม่ต้องมีคำว่านั่งต่อท้าย เพราะประทับแปลว่านั่งในตัวอยู่แล้ว) ส่วน ยืน จะใช้คำว่าทรงยืน (ไม่ใช้คำว่าประทับยืน)]

ตอนนี้เฉลยปมน้องเธเซียสเรียบร้อยแล้วค่า น้องเป็นไส้ศึก ไม่ใช่ชาวอียิปต์ แต่เป็นชาวไมซีเนียนที่จะเข้ามายึดครองครีตันเป็นลำดับต่อไปตามหน้าประวัติศาสตร์จ้า เพราะครีตันสู้รบไม่เก่ง แต่ในเรื่องเราแอบดัดแปลง 5555
คุณพี่ก็จะเอ็นดูน้องมากหน่อย มีความใกล้ชิดอีกนิดนึง

ปล. เราแอบมึนข้อมูลเล็กน้อย เราเลยไปแก้อันเก่า เพราะว่าพระราชวังครีตันเนี่ย จริงๆ มีต้นแบบมาจากวังของพระเจ้าซาร์กอน ตอนนั้นยังไม่ได้สร้างสวนลอยเลย กราบประทานอภัยคนอ่าน จูนสวนลอยทิ้งไป T_T
เราสั่งหนังสือมาอ่านละ กะว่าจะเอามาตรวจอย่างละเอียดอีกที ตรงจุดเล็กๆ น้อยๆ หลังจากนี้จะระวังมากขึ้นค่ะ T^T


ฉากกับวัวกระทิงให้นึกถึงมาทาดอร์เข้าไว้นะคะ คล้าย ๆกัน 5555
อันนี้คือรูปภาพสาธิตการกระโดด
https://i.imgur.com/CHCy3Wg.jpg
https://i.imgur.com/aUd8Tut.jpg
Cr : antiquatedantiquarian

แผนที่ก็จะประมาณนี้
https://i.imgur.com/OzATjWS.jpg
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 18:23:53 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 7

การเล่นกายกรรมของชาวครีตันมิใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด แม้ว่ากระทิงป่าตัวที่เธเซียสต้องคอยรับมือในระยะที่ผ่านมาจะมีขนาดเล็ก แต่ทว่าฤทธิ์เดชของมันมิได้เล็กตามตัว กว่าเธเซียสจะใช้เขาของมันเพื่อเป็นหลักยึดได้สำเร็จ ภาพชินตามักจะกลายเป็นท้องฟ้าสีแดงอมส้ม
ยอดหญ้าสีเขียวขจีจึงอาบไล้แสงตะวันจนกลับกลายเป็นเหลืองอร่าม

สองบุรุษต่างบรรดาศักดิ์ล้มตัวลงนอนบนผืนหญ้า พลางหอบหายใจกอบโกยอากาศบริสุทธิ์เหมือนทุกคราที่บทเรียนท่ามกลางบริวารของเจ้าแม่ได้สิ้นสุดลง เพียงแต่วันนี้เธเซียสเริ่มฝึกรับมือกับวัวกระทิงในระดับแม่พันธุ์
พละกำลังจึงถูกใช้สอยอย่างไร้ขีดจำกัด
เนื่องจากประเพณีดังกล่าวมิใช่เรื่องคุ้นชินของชนชาติอื่น

“ดูเจ้าสิ หมดสภาพอะไรเช่นนี้” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางสรวลอย่างขบขัน
“โธ่! พระองค์.. กระหม่อมมิได้เชี่ยวชาญด้านการโลดโผนโจนทะยานดังเช่นชาวครีตันพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสโอดครวญราวกับผู้เยาว์กำลังร้องไห้กระจองอแง พร้อมเอ่ยแก้ตัวอย่างมิเกินจริงแต่อย่างใด เพราะการรับมือกับบริวารของเจ้าแม่ ถือเป็นเรื่องยากเย็นกว่าการเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบ
เรียกได้ว่าความสามารถของชาวไมซีเนียน
แทบมิมีประโยชน์อันใด

“ถึงเจ้าจะโอดครวญเช่นนี้ แต่หารู้ไม่ว่าการเรียนรู้ของเจ้า ก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าแอนโดรเจียสมากนัก”
“ก้าวหน้าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามอย่างไม่รอช้า เพราะการฝึกซ้อมทำให้เขารู้สึกสนุกสนานและมีอารมณ์ร่วมไปกับการคัดเลือกที่ใกล้จะถึงนี้

“อย่างน้อยการที่เจ้ามิร่วงลงมานั่งก้นจ้ำเบ้าดังเช่นน้องชายของเราก็นับว่าก้าวหน้ามากแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางสรวลอย่างหนัก
“โธ่! พระองค์..” เธเซียสโอดครวญเสียงอ่อน เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่นกับตนเข้าให้แล้ว เพราะการฝึกฝนในวันนี้เธเซียสยังมิอาจห้อยโหนเรียวเขาของเจ้าสัตว์ขี้โมโหได้อย่างสง่างาม ส่งผลให้ทันทีที่มันถูกพันธนาการจึงรีบสะบัดหัวอย่างมิยินยอม ร่างกายของเธเซียสจึงแกว่งไกวอย่างแรงกล้า ท้ายที่สุดบุรุษจากต่างแดนก็เริ่มมึนหัว เขาจึงปลดปล่อยพันธการอย่างจำยอม
กระทิงป่าตัวดังกล่าวจึงแทบจะบดร่างของเขาให้แหลกเป็นจุล

“ที่เราให้เจ้าฝึกศาสตราวุธ รู้หรือไม่ว่ามันเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกผู้กล้าอย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามคล้ายกับต้องการลองภูมิ
“เพราะศาสตราวุธทำให้กระหม่อมเคลื่อนไหวด้วยความกระฉับกระเฉงใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสย้อนถามอย่างมิค่อยมั่นใจ เพราะเดิมทีเขาเข้าใจว่าทักษะในการต่อสู้
มิอาจเป็นประโยชน์ต่อการรับมือกับบริวารของเจ้าแม่

“เป็นเช่นนั้น ไหวพริบของเจ้าค่อนข้างดีทีเดียว”
“น้อมรับคำชมเชยพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมว่าพระองค์ควรรีบกลับพระราชวัง เพราะในยามราตรีการเดินทางค่อนข้างลำบาก” เธเซียสแสดงความคิดเห็นอย่างนอบน้อมพลางลุกขึ้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง พร้อมมองตรงไปยังบุรุษผู้สูงส่งที่กำลังนอนเอ้อระเหยอย่างมิเร่งรีบ

“เรามิได้รีบร้อน” บุรุษผู้มีใบหน้าหวานกล่าวเนิบช้าพลางสอดหัตถ์รองใต้ศีรษะอย่างสุนทรีย
“...”

“หากเราถือโอกาสนี้ เฝ้าดูดวงดาราคงจะมิรบกวนเจ้าเกินไปกระมัง ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางแย้มโอษฐ์เพียงนิด
“เหตุใดพระองค์จึงทำตัวราวกับยังทรงเยาว์วัยเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางล้มตัวลงนอนดังเดิม

“เจ้าหมายถึงสิ่งใด ?”
“กระหม่อมเชื่อว่าพระองค์เข้าใจความหมายนั้นดีพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยตอบพลางส่งยิ้มแกมเจ้าเล่ห์ เพราะเขาเฝ้าดูพฤติกรรมของเจ้าชายพระองค์นี้มาเนิ่นนานแล้ว

“เราคงยังเยาว์วัยดังเช่นที่เจ้าว่ากระมัง” เจ้าชายมิโนสเอ่ยตอบด้วยสุรเสียงเลื่อนลอย ขณะที่ดวงเนตรกำลังเหม่อมองท้องนภาในยามราตรีอันเต็มไปด้วยแสงจันทร์สีเหลืองนวล
“พระองค์กำลังหลีกหนีสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความฉงน แต่กระนั้นเขาก็มิได้คาดหวังในคำตอบ

“แล้วเจ้าคิดว่าเราหลีกหนีสิ่งใด ?” เจ้าชายมิโนสย้อนถามอย่างไว้เชิง แต่ทว่าเธเซียสกลับมองออกว่าอีกฝ่ายต้องการระบายเรื่องราวบางอย่าง
“พระองค์กำลังหลีกหนีองค์ราชินีหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสอาศัยจังหวะที่แมลงน้อยใหญ่หยุดแผดเสียงเอ่ยอย่างตรงประเด็น เนื่องจากหลายวันมานี้เจ้าชายมิโนสมักจะพาเขาเถลไถลอยู่นอกวัง

“อาจเป็นเช่นนั้นกระมัง เรามิรู้ว่าตนเองกำลังหลีกหนีสิ่งใดกันแน่” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางถอนหายใจอย่างหนักอก
“กระหม่อมช่างโง่เขลา มิอาจเข้าใจความนัยแอบแฝงพ่ะย่ะค่ะ”

“ตั้งแต่แอนโดรเจียสถูกลอบสังหาร เรารู้สึกว่าความผิดส่วนหนึ่งเป็นของเรา” บุรุษผู้สูงส่งสูดลมหายใจเข้าเพียงครู่ ก่อนจะผ่อนลมออกอย่างเนิบช้า พร้อมเกริ่นนำเรื่องราวหนักอก
“…” ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวทะเลทรายจึงทอดมองบุรุษเจ้าของเรื่องอย่างพินิจพิเคราะห์

“เสด็จพ่อกับเสด็จแม่คงจะคิดเช่นนั้น เราเลยต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาจนถึงบัดนี้” เจ้าชายผู้มีเส้นผมยาวสยายไปกับผืนหญ้า ตรัสพลางแย้มยิ้มแกมเศร้า
“หากทั้งสองพระองค์ทรงคิดเช่นนั้น คงมิเกิดการนำส่งเชลยจากเอเธนส์หรอกพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างคิดวิเคราะห์ ขณะเดียวกันความเห็นใจและความเข้าใจก็บังเกิด
เนื่องจากตัวเขาก็ประสบเหตุมิต่างกัน

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?” บุรุษผู้สูงส่งตรัสถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ราวกับประเด็นดังกล่าวคือเรื่องต้องห้าม

“กระหม่อมหมายถึงเพราะเรื่องดังกล่าวเป็นความผิดของผู้มิรู้จักน้ำใจนักกีฬา ทั้งสองพระองค์จึงหยิบยื่นข้อเสนอให้นำส่งเชลยมายังครีตัน เพื่อยุติข้อขัดแย้งพ่ะย่ะค่ะ ในมุมมองของกระหม่อม ข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นการตำหนินครรัฐเอเธนส์ มิใช่การตำหนิพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางลอบมองปฏิกิริยาของบุรุษหน้าหวานอย่างละเอียด เพราะเขายังจับต้นชนปลายของการโทษพระองค์เองมิได้
แต่สิ่งหนึ่งที่บุรุษผิวคล้ำมั่นใจ
คือความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายมิโนสและสมาชิกแห่งราชวงศ์เป็นไปมิค่อยดีนัก
และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าชายมิโนส เกิดความเห็นอกเห็นใจอดีตเชลยผู้อาภัพ

“เดิมทีเราต้องร่วมเดินทางไปกับแอนโดรเจียส เพียงแต่ ณ ตอนนั้นเรายังมิใจกล้าพอ” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง ขณะดวงเนตรกำลังจ้องมองดวงดาราบนท้องนภา แต่ทว่าสายลมโชยแผ่วกลับทำให้การพูดคุยด้วยเรื่องหนักอกเป็นไปอย่างเอื่อยเฉื่อย
“...” ฝ่ายเธเซียสได้แต่นิ่งเงียบเพื่อแสดงตัวเป็นผู้ฟังที่ดีอย่างเคร่งครัด 

“กระทั่งเกิดเรื่อง..” เจ้าชายมิโนสกล่าวพลางกระพริบดวงเนตรอยู่หลายครั้งพร้อมปัดป่ายปอยผมที่กำลังปกคลุมผิวหน้าเป็นระยะ
“…”

“เสด็จพ่อทรงกริ้วมาก จากที่มิโปรดปรานเราอยู่แล้ว ยิ่งมิโปรดปรานไปกันใหญ่” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างเหนื่อยหน่ายพระทัย
“…” ขณะเดียวกันเธเซียสก็เริ่มเข้าใจความโดดเดี่ยวของบุรุษผู้นี้ เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาเธเซียสมิเคยเห็นสมาชิกแห่งราชวงศ์ครีตันเดินทางมาเยี่ยมเยือน
งานเลี้ยงรื่นเริงจึงมิใช่เรื่องคุ้นเคยของเมืองนอสซัส
เหตุเพราะผู้ครองนครพระองค์นี้ ค่อนข้างใช้ชีวิตเรียบง่ายกว่าภาพลักษณ์ที่ผู้คนเคยร่ำลือ

“มันมิใช่ความผิดของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่าหากพระองค์ทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า มีหรือจะมิร่วมเดินทางไปกับพระอนุชา” เธเซียสกล่าวอย่างกระตือรือร้น เนื่องจากปมในใจของเจ้าชายพระองค์นี้ ค่อนข้างสะเทือนใจเขาเป็นอย่างยิ่ง
“น่าเสียดายที่เรามิมีทางแก้ตัวอันใดอีก..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มยิ้มเศร้า ฝ่ายเธเซียสก็มิรู้จะกล่าวคำอื่นใด

เดิมทีเขาเคยได้ยินว่านับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างนครรัฐ อาณาจักรครีตันก็เริ่มระสับระส่าย เนื่องจากพระราชาไมนอสทรงสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน แต่พอนานวันเข้าเธเซียสกลับเข้าใจว่าข่าวคราวดังกล่าวคงจะเป็นข่าวลือ
เหตุเพราะจักรวรรดิครีตันยังคงรุ่งเรืองมาจนถึงบัดนี้
อีกทั้งยังมิมีการแต่งตั้งกษัตริย์พระองค์ใหม่

“หากกระหม่อมเป็นกษัตริย์ไมนอส ย่อมต้องภาคภูมิใจในตัวพระองค์ เพราะพระองค์สามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างดีเยี่ยม” เธเซียสกล่าวอย่างชื่นชมจากใจจริง เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิได้นึกถึงเพียงแค่พระองค์เอง แต่กลับนึกถึงพสกนิกรของพระองค์ด้วย เพราะเสบียงอาหารที่กักตุนอยู่ในพระราชวังมิได้มีปริมาณเพียงแค่เลี้ยงผู้คนในราชสำนัก แต่ยังมีมากพอที่จะเลี้ยงปากท้องของประชากรชาวครีตันทั้งอาณาจักรในยามคับขัน อีกทั้งบ้านเมืองยังสงบร่มเย็นถึงเพียงนี้
มิมีเหตุจำเป็นที่จะต้องตำหนิเจ้าชายพระองค์นี้แต่อย่างใด

“หากเจ้าทราบเรื่องราวบางอย่าง คงจะเข้าใจอะไรได้ดีกว่านี้…” เจ้าชายมิโนสตรัสกับพระองค์เองเพียงแผ่ว พร้อมยื่นเรียวหัตถ์ยีศีรษะของเธเซียสจนยุ่งเหยิง
จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังม้าศึกสีนิลกาฬ

“ค่ำคืนนี้เจ้าจะนอนอยู่ที่นี่หรอกหรือ ?” บุรุษผู้มีใบหน้าหวานทรงม้าเข้ามาหาเธเซียสที่ยังคงนอนครุ่นคิดถึงประโยคเมื่อครู่
“…”

“มิกลัวถูกหมาป่าลากไปกินหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามด้วยรอยยิ้มอ่อนละมุน ส่งผลให้เธเซียสเหลือบมองไปทั่วบริเวณ กระทั่งพบดวงตาวาวโรจน์อยู่ในความมืด
บุรุษผู้มิเคยเกรงกลัวข้าศึกกลับหวาดกลัวสุนัขป่าเสียนี่

“เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ เรากลับรู้สึกว่าเจ้าช่างน่าเอ็นดูสมวัย” บุรุษผู้สง่างามบนหลังอาชาเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่ เมื่อบุรุษผู้เก่งกล้าอย่างเธเซียสกำลังใช้พระองค์และม้าศึกเป็นเกาะกำบัง
“…” ฝ่ายเธเซียสได้แต่แอบซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อท่ามกลางความมืดคละเคล้าแสงจันทร์

กระทั่งเธเซียสสามารถขึ้นไปนั่งบนหลังอาชาคู่ใจได้สำเร็จ ฝีเท้าเนิบช้าของม้าพันธุ์ดีจึงนำพาบุรุษต่างศักดิ์เดินทางออกจากผืนป่าแห่งความมืด โดยมีแววตาราวกับอัญมณีของสุนัขป่าทอดมองจากรอบ ๆ ทิศทาง
แต่กระนั้นก็มิได้ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองเสียขวัญ
เหตุเพราะพวกเขาต่างหวนคืนสู่ภวังค์แห่งความคิด

“เหตุใดจึงมองจ้องเราเช่นนั้น ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถาม ขณะที่เธเซียสยังคงจับจ้องบุรุษผู้นั้นมิแปรเปลี่ยน ทว่าความคิดของเขากลับหลุดลอยไปไกลยิ่งกว่านั้น จึงมิทันได้ยินดำรัสดังกล่าว
“…”

“หวาดกลัวหรืออย่างไร ?” บุรุษผู้พี่ยังคงเอ่ยถามพลางหยุดฝีเท้าม้าพันธุ์ดีอย่างใส่ใจ
“หาได้กลัวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่ครุ่นคิดเพลิน ๆ เท่านั้น” ฝ่ายเธเซียสเริ่มได้สติเมื่อพระหัตถ์ของอีกฝ่ายแตะลงบนเรียวแขน

“น้องพี่..”
“…”

“นับแต่นี้ หากมิหลงเหลือผู้ใดให้เป็นที่พักพิง เราสองย่อมมีกันและกัน โปรดอย่าได้กังวล” สิ้นคำกล่าวแสนจริงใจ บุรุษผู้สูงส่งจึงทรงม้ามุ่งหน้าไปยังพระราชวังอันโอ่อ่า ขณะที่เธเซียสกลับรู้สึกมิไว้วางใจอย่างไรชอบกล
อาจเพราะเขาหลอกลวงผู้อื่นก่อน
จึงหวาดระแวงว่าผู้อื่นจะกระทำเช่นตน



φ


[edit 10/06/2019 ขี่ม้า ใช้คำราชาศัพท์ว่า ทรงม้า
edit 19/06/2019 แก้คำราชาศัพท์ คำว่า แย้มสรวล ที่แปลว่า ยิ้ม เป็น สรวล ที่แปลว่า หัวเราะ]

มาต่อแล้วจ้า ช่วงนี้หยุดยาวอาจจะได้อัพบ่อยขึ้น  ส่วนเนื้อเรื่องช่วงนี้อาจจะอืด ๆ นิดนึง เพราะเราต้องทิ้งระยะห่างระหว่างการฝึกซ้อมกับพิธีคัดเลือกสักพัก คือช่วงงานนั้นจะมีการจัดเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ตามวิถีชีวิตของชาวครีตัน ยิ่งงานนี้เจ้ามือคือพระราชินี ยิ่งต้องหรูหราเป็นเท่าตัว
ส่วนตอนนี้ก็ถือว่าได้รับรู้เรื่องราวของเจ้าชายมิโนสไปบ้างแล้ว แต่จะเชื่อถือได้แค่ไหนโปรดติดตามค่า 555
ตอนหน้าอาจจะยังวนเวียนอยู่กับการเตรียมงานอีกเล็กน้อย เพราะเราอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องไวน์ในสมัยโบราณ แต่คงไม่ได้เจาะลึกอะไรมาก
ปล. เรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีนะคะ เฉลยแนวเลยแล้วกัน เพราะปมไม่ได้มาบ่อยแบบในป่าสน ทีนี้ก็ต้องมาคอยลุ้นกันอีกทีว่ามันจะแฟนตาซีอย่างไร >_<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:04:44 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 8

หลายวันมานี้พระราชวังคนอสซุสแห่งเกาะครีต ยังคงมีแต่ความวุ่นวายจากการตระเตรียมงานรื่นเริงอย่างต่อเนื่อง ภาพลักษณ์ของชาวครีตันในสายตาของเธเซียสจึงเปลี่ยนไปมาก เพราะชาวเกาะแห่งนี้มีรสนิยมค่อนข้างติดหรูกว่าที่คิด
แต่ทว่าความสมถะเรียบง่ายเพียงบางส่วน ยังคงอยู่คู่กับเจ้าชายมิโนสมิเปลี่ยนแปลง
เพียงแต่หารู้ไม่ว่าใจของอดีตเชลยกำลังปรวนแปร

เหตุเพราะเรื่องราวที่เจ้าชายมิโนสเคยถ่ายทอด มันเป็นเรื่องราวที่แสนอ่อนไหว เนื่องจากเธเซียสมีปมในใจเกี่ยวกับบิดามิต่างจากบุรุษผู้นั้น ความเข้าอกเข้าใจจึงก่อเกิดขึ้น เพียงแต่ความไม่บริสุทธิ์ใจที่มีมาแต่เดิม ส่งผลให้หัวใจร้อนรุ่มหวั่นเกรงว่าตนเองจะถูกหลอกล่อ บวกกับดำรัสบางประโยคที่ค่อนข้างคลุมเครือ และการไว้เนื้อเชื่อใจบุรุษจากต่างแดนด้วยความง่ายดาย
ล้วนทำให้เธเซียสรู้สึกว่า..
ตนกำลังถูกตลบหลังอย่างแยบยล

“เจ้ากำลังคิดสิ่งใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางเติมองุ่นพวงงามลงบนแท่นทรงกลมที่ทำจากหินมีความสูงประมาณปลีน่อง ขณะเดียวกันเธเซียสกำลังใช้ปลายเท้าเหยียบย่ำลงบนผลองุ่นจนเกิดเสียงปริแตก จากนั้นน้ำองุ่นก็ไหลลงสู่ถังไม้ใบใหญ่ที่รองรับอยู่ตรงปลายทางของแท่นหิน
“กระหม่อมมิได้คิดอันใดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวโป้ปดอย่างแยบยล
แต่ทว่ากลับมิได้สร้างความคล้อยตามให้กับบุรุษตรงหน้า

“มิได้คิด แต่เหตุใดใจของเจ้าจึงลอยละล่องถึงเพียงนี้ ?” บุรุษหน้าหวานตรัสถามอย่างขบขัน พลางขยับฝ่าพระหัตถ์เพียงเล็กน้อย ส่งผลให้การทรงตัวของเธเซียสมีอันต้องเสียศูนย์ เขาจึงดีดตัวออกห่างจากอีกฝ่ายด้วยความตกใจ ทำเอาเกือบจะหงายหลังลงจากเครื่องสกัดน้ำองุ่น โชคยังดีที่เจ้าชายมิโนสคว้าตัวเธเซียสได้อย่างทันท่วงที
มิเช่นนั้นเธเซียสอาจชวดตำแหน่งแห่งกองทัพครีตันเพราะได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษหน้าคมกล่าวอย่างนอบน้อม เมื่อพบว่าตนเอาแต่ยืนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวในวันวาน จนเผลอเหยียบพระหัตถ์ของบุรุษผู้สูงศักดิ์ อีกทั้งเครื่องกรองน้ำหมักรสชาติดียังมีขนาดมิใหญ่
โอกาสจะพลาดพลั้งจึงมีอยู่มาก

“มิเป็นไร เรามิได้ถือสา เจ้าเองก็ระมัดระวังด้วย” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางโน้มตัวยกถังไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้รองรับน้ำองุ่นจากเครื่องสกัด
“กระหม่อมทำเองพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเห็นดังนั้นจึงรีบขันอาสาพลางกระโดดลงมายกถังไม้ใบดังกล่าวอย่างง่ายดาย

“เหล้าองุ่นโถนี้ ต้องนำไปหมักไว้ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางเทน้ำองุ่นลงในโถแอมโฟร่า ซึ่งเป็นภาชนะก้นแหลมจนเต็ม
“ตำหนักของเรา” บุรุษหน้าหวานตรัสพลางกวักมือเรียกเธเซียสให้เดินเข้าไปใกล้ กระทั่งทั้งคู่หยุดยืนเผชิญหน้ากัน เจ้าชายมิโนสจึงใช้ขันไม้ตักน้ำราดลงบนฝ่าเท้าของบุรุษผู้น้องอย่างมิคิดถือตัว
ขณะเดียวกันสายน้ำเมื่อครู่จึงค่อย ๆ ไหลลงสู่รางระบายน้ำเสียที่มีอยู่รอบ ๆ ตัวพระราชวัง

สองบุรุษเดินลัดเลาะจากเรือนปีกซ้ายมายังเรือนปีกขวา สายลมโชยแผ่วในยามย่ำคืนส่งผลให้พระเกศาของเจ้าชายมิโนสไหวระริกราวกับเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเล ซึ่งภาพดังกล่าวถือเป็นภาพชินตาของเธเซียส
เนื่องจากระยะนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อนข้างชิดใกล้
แต่ทว่าเธเซียสกลับมิอยากใกล้ชิดถึงเพียงนี้

กระทั่งเดินทางมาจนถึงที่หมาย ทหารองครักษ์สองนายก็ปรากฏ บุรุษหน้าคมจึงแย้มยิ้มพร้อมผงกหัวทักทาย เนื่องจากฝ่ามือของเจ้าตัวกำลังโอบประคองโถแอมโฟร่าที่ภายในบรรจุน้ำองุ่นสดใหม่ โดยหลังจากนั้นอีกสี่สัปดาห์ น้ำองุ่นโถนี้จะกลายสภาพเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม แต่ทว่าการดื่มเหล้าองุ่นให้ได้รสชาติดี มิได้ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต เหตุเพราะมันขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการหมักด้วย
ดังนั้นเหล้าองุ่นโถนี้ กว่าจะได้ลิ้มชิมคงอีกนาน   

“เจ้ารีบเอาโถไปวางไว้ที่ระเบียงด้านนอกเสียสิ มิหนักหรือ ?” ทันทีที่ก้าวเข้ามายังห้องบรรทม สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือภาพวาดเฟรสโกสีสันสดใส ลวดลายภูเขาสูงชันประดับด้วยดอกลิลลี่ โดยมีนกนางแอ่นบินวนเวียนอย่างมีชีวิตชีวา ซึ่งภาพดังกล่าวสอดคล้องกับความชื่นชอบของเจ้าชายมิโนส เนื่องจากบริเวณตั่งที่ปูรองด้วยพรมขนสัตว์ ปรากฏแจกันทรงสูงทำจากดินเผาขนาดเล็ก บรรจุไม้ดอกสีขาวบริสุทธิ์ที่มีเกสรยื่นยาวออกมาจำนวนสี่ดอก
ขณะเดียวกันตรงมุมขวามือใกล้กับแจกันใบใหญ่ลวดลายเขาวัวอันศักดิ์สิทธิ์และขวานลาบริส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระราชอำนาจแห่งจักรวรรดิครีตัน ปรากฎภาพวาดเฟรสโกลวดลายสัตว์ทะเลหลากชนิดกำลังแหวกว่ายอย่างแน่นขนัด
โดยด้านบนประดับด้วยรูปปั้นเขาวัวและขวานสองคมอย่างโดดเด่น

“ตำหนักของเราน่าอยู่อย่างนั้นหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสกระเซ้าเย้าแหย่ พลางรุนหลังเธเซียสให้เดินออกไปยังระเบียงด้านนอก จึงพบว่าบริเวณดังกล่าวมีโถแอมโฟร่าจำนวน 5 โถ โดยแต่ละโถมิได้มีฝาปิดแต่อย่างใด
เหตุเพราะการหมักเหล้าองุ่น มิจำเป็นจะต้องปิดฝาให้มิดชิด

“เช่นนั้นเจ้าลองดื่มน้ำจัณฑ์สูตรพิเศษจากเราเป็นอย่างไร ?” บุรุษผู้สูงสง่าหยิบยื่นข้อเสนอพลางจัดแจงเทเหล้าองุ่นจากโถแอมโฟร่าลงในคราเตอร์ หรือแจกันที่ภายในจะต้องมีการขัดเงา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บของเหลว
“เราได้สูตรลับมาจากบาบิโลเนีย” เจ้าชายผู้แสนอ่อนโยนอธิบายเพิ่มเติมเพียงครู่ จากนั้นพระองค์ก็นำเครื่องดื่มอีกชนิดที่บรรจุอยู่ในโถแอมโฟร่าผสมลงในคราเตอร์
โดยสัดส่วนของการผสมคือหนึ่งต่อหนึ่ง
ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วมักจะผสมเหล้าองุ่นหนึ่งส่วน และน้ำเปล่าอีกสามส่วน

“น้ำจัณฑ์สูตรพิเศษนี้ ผสมสิ่งใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสรีบรุดเข้าไปนั่งจุมปุกอยู่ข้าง ๆ คราเตอร์ที่วางตั้งอยู่บนพื้น พลางกอดเข่ามองจ้องเจ้าชายมิโนสในคราบบริกรฝีมือดีสลับกับเครื่องดื่มเย้ายวนใจ
“เหล้าองุ่น เหล้าเชอรี่ น้ำ” เจ้าชายมิโนสกล่าวพร้อมลุกขึ้นไปหยิบแก้วทรงสูงสำหรับดื่มน้ำจัณฑ์จากด้านใน

“ชาวบาบิโลเนียเรียกมันว่า..” บุรุษผู้สูงส่งตักน้ำจัณฑ์ใส่แก้วทรงสูงลวดลายดอกลิลลี่ยื่นให้กับเธเซียสที่กำลังนั่งจ้องเครื่องดื่มรสชาติดีตาเป็นมัน ส่งผลให้เจ้าชายมิโนสทอดมองบุรุษหน้าคมด้วยท่าทีราวกับพี่ใหญ่กำลังเอ็นดูน้องเล็ก
“…”

“ตะบะตู ” สิ้นคำเรียกขานเครื่องดื่มสูตรพิเศษ เธเซียสจึงทวนคำอย่างมิคุ้นปากพร้อมจิบน้ำมึนเมาในปริมาณพอเหมาะ
“ชอบหรือไม่ ?” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสเห็นดังนั้นจึงตักเครื่องดื่มชนิดดังกล่าวใส่แก้วทรงสูงลวดลายเดียวกัน พลางลุกขึ้นยืนและพิงราวระเบียงพร้อมจิบลงคออึกหนึ่ง

“ชอบพ่ะย่ะค่ะ รสชาติแปลกลิ้น แต่กลับถูกปากกระหม่อมเป็นอย่างยิ่ง” เธเซียสกล่าวอย่างตรงไปตรงมาพร้อมเดินเข้าไปยืนเคียงข้างอีกฝ่าย ส่งผลให้ภาพของจักรวรรดิครีตันในอีกมุมมองหนึ่งปรากฏสู่สายตา ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพของเกาะธีราที่มีภูเขาพ่นควันไฟจำนวนมาก ปกคลุมท้องทะเลอันกว้างใหญ่จนกลายเป็นม่านหมอก
 “เจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่าแสนประหลาดจากเกาะแห่งไฟบ้างหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามเมื่อเห็นเธเซียสเอาแต่จ้องมองไปยังทัศนียภาพด้านหน้า

“เคยได้ยินพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเชื่อข่าวลือพวกนั้นหรือไม่ ?” บุรุษหน้าหวานเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง ส่งผลให้เธเซียสลอบมองอย่างสงสัย ดวงตาดุจนกเหยี่ยวจึงมองจ้องไปยังเกาะแห่งไฟที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกจากภูเขาไฟอันคุกรุ่น

“มิเชื่อพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบาพลางยกแก้วขึ้นจิบน้ำจัณฑ์อย่างเลื่อนลอย เนื่องจากเขากำลังคิดวิเคราะห์ข่าวคราวที่เคยได้ยินตั้งแต่ตอนล่องเรือสินค้าร่วมกับกองคาราวานจากอียิปต์เป็นเวลากว่าสองปี เรียกได้ว่าชีวิตช่วงนั้นตกระกำลำบาก สิ่งใดที่มิเคยทำกลับต้องเรียนรู้จนหมดสิ้น
เหตุเพราะเขาในช่วงเวลาดังกล่าว…
มิใช่เจ้าชายฮาเดรียนแห่งไมซีเนียน

“เพราะเหตุใด ?”
“จากการที่กระหม่อมคลุกคลีอยู่กับชาวครีตัน กระหม่อมคิดว่าสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเป็นวัวกระทิง มิอาจมีจริงไปได้หรือหากจะมีจริงคงเป็นกลอุบายของพระองค์เป็นแน่”

“เหตุใดเราจึงต้องทำเช่นนั้น ?”
“เพราะจักรวรรดิครีตันมีความเจริญรุ่งเรืองอีกทั้งยังมั่งคั่งด้วยเงินทอง และยังเป็นจักรวรรดิที่ทรงอิทธิพลทางด้านการค้ามากที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มิหนำซ้ำทำเลที่ตั้งยังถือเป็นทำเลทอง โอกาสจะเกิดภัยร้ายจากฝีมือของชนชาติอื่นย่อมเป็นไปได้ยาก เนื่องจากรอบด้านของเกาะครีตล้อมรอบด้วยมหาสมุทรขนาดใหญ่ และยังมีเกาะแห่งไฟเสริมสร้างความน่าเกรงขาม อีกทั้งจักรวรรดิครีตันยังกอบกุมชะตากรรมของนครรัฐเอเธนส์ที่เคยเจริญรุ่งเรือง สิ่งเหล่านั้นล้วนเย้ายวนตาเป็นอย่างยิ่ง พระองค์จึงต้องสร้างกลอุบายเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่มักจะคร่าชีวิตเหล่าโจรสลัดอยู่บ่อยครั้ง เพื่อปกป้องจักรวรรดิครีตันให้อยู่อย่างสงบร่มเย็น” เธเซียสกล่าวพลางมองจ้องเกาะแห่งไฟมิแปรเปลี่ยน
เนื่องจากเขารู้สึกว่า..
เกาะธีราอาจจะเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรืออันแข็งแกร่ง

แต่ทว่าภาพของซากศพที่เกิดจากการบูชายัญกลับทำให้เธเซียสรู้สึกสับสนขึ้นมากะทันหัน เนื่องจากสภาพบาดแผลของผู้เคราะห์ร้ายช่างน่าสยดสยองมิลืมเลือน

“กระหม่อมสงสัยว่าชาวครีตันถวายเครื่องบูชายัญต่อเจ้าแม่เป็นสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามทันทีที่ดวงตาสบกับรูปปั้นของเทพีนางหนึ่งที่มีการแต่งกายแบบเปิดเผย โดยสองมือของพระนางชูงูเล็กขึ้นกลางอากาศทั้งสองข้าง ขณะที่บนศีรษะของพระนางมีนกเกาะอยู่หนึ่งตัว
“การบูชายัญต่อเจ้าแม่จะต้องใช้เลือดบริสุทธิ์ของวัวสีขาว” สิ้นคำอธิบายของเจ้าชายมิโนส เรียวคิ้วของเธเซียสจึงเริ่มขมวดมุ่น

“เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ ?”
“เนื่องจากชาวครีตันจะมิบูชายัญด้วยเลือดมนุษย์ดังเช่นจักรวรรดิอื่น”

“เพราะชาวครีตันมีศีลธรรมอันดีให้คอยยึดถือและปฏิบัติ แต่กระนั้นก็มิได้หมายความว่าชาวครีตันทุกผู้จะเป็นเช่นนั้น..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางถอนปัสสาสะด้วยความหนักพระทัย
บ่งบอกได้ดีว่า ‘ศพ’ ของหญิงรายนั้น..
เกิดจากกลุ่มคนที่มิได้นับถือ ‘เจ้าแม่’


φ


[1] แอมโฟร่า (Amphora) คือภาชนะดินเผารูปทรงคล้ายไหส่วนก้นเล็กแหลม นิยมใช้สำหรับใส่ไวน์ เพราะส่วนก้นแหลมทำให้ตะกอนนอนก้นไม่แกว่งไปมาเวลาขนส่ง
[2] คราเตอร์ (Krater) คือภาชนะขนาดใหญ่รูปทรงเหมือนแจกันยักษ์ ใช้ผสมไวน์กับน้ำ
[3] ตะบะตู (Tabatu) เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งของชาวบาบิโลเนีย ทำจากน้ำผสมไวน์และน้ำผลไม้ที่ผ่านการหมักเป็นแอลกอฮอล์



บทความที่เกี่ยวข้อง
- wine history https://1th.me/rqbU
- ความเป็นมาของ "ไวน์" https://bit.ly/2IceB9Z
- แจกันขนาดยักษ์ | Krater https://bit.ly/2D7Qyoz
- ภาชนะดินเผาแบบที่เรียกว่า "Amphora" (แอมโฟร่า)  https://bit.ly/2UJ6Kqt
- ประวัติความเป็นมาของบรรดาน้ำเมา https://bit.ly/2Z0Bt1B


สำหรับตอนนี้น่าจะเผยปมบางส่วนออกมาเพิ่มอีกเยอะเลย แต่ไม่รู้ทุกคนจับสังเกตกันได้หรือเปล่า
ปล. ภูเขาไฟธีรา คือเกาะซานโตรินีในปัจจุบันนะคะ
ปล. 2 นิยายเรื่องนี้เน้นที่จินตนาการเป็นหลักนะคะ มีเอาของจริงมาอ้างอิงบ้าง เพื่อให้คนอ่านรู้สึกว่าเป็นเรื่องราวในยุคนั้นจริงๆ


แอมโฟร่า
https://i.imgur.com/VCOUTIP.jpg

คาร์เตอร์ ใช้สำหรับผสมไวน์กับน้ำ เพราะไวน์ในสมัยนั้นมีความเข้มข้นกว่าปัจจุบันค่ะ
https://i.imgur.com/KllOSxx.jpg

แก้วน้ำจัณฑ์
https://i.imgur.com/6wffBxo.jpg

ห้องบ่มไวน์จะเป็นประมาณนี้ เราหารูปของจริงไม่เจอ แต่เครื่องสกัดจะทำจากหินค่ะ รูปร่างหน้าตาจะประมาณรูปวาดเลยค่ะ
https://i.imgur.com/o7IJZ9a.jpg
Cr : pinterest

รูปปั้นเทพธิดางู
https://i.imgur.com/NJwJ4wM.jpg
Cr : 01.glendale.edu

ลาบริสหรือขวานสองคม
https://i.imgur.com/pReJHmo.jpg
Cr : trangcongnghe.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:08:40 โดย Chomin »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4: :katai5:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 9

การดื่มตะบะตูในระดับหนึ่งต่อหนึ่ง ส่งผลให้เธเซียสมึนเมาจนมิอาจหาทางกลับเรือนพักรับรองของเหล่าข้าหลวง เพลานี้ตั่งชั้นดีที่ปูรองด้วยเบาะนุ่มจากขนสัตว์ จึงเป็นแหล่งพักพิงอันยอดเยี่ยมของบุรุษผู้เมามาย
“เจ้าตื่นแล้วหรือ ดื่มเสียหน่อยสิ” หลังจากเธเซียสกระพริบตาเพื่อปรับภาพตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น นางกำนัลดาฟเน่ที่มิค่อยได้พบหน้าและกำลังสับเปลี่ยนบุปผาในแจกัน รีบวางมือจากภาระงานดังกล่าว เพื่อหันกลับมาใส่ใจเธเซียสด้วยการนำถ้วยที่มีกระไอความร้อนหอมฉุยส่งมาให้ ฝ่ายบุรุษหน้าคมจึงต้องรีบปรับเปลี่ยนอิริยาบถ พร้อมรับถ้วยใบนั้นขึ้นมาดอมดม พบว่าของเหลวดังกล่าวมีกลิ่นไอหวานละมุนแอบซ่อนรสเปรี้ยว

“เพลานี้กี่โมงยามแล้วหรือ ?” หลังจากจิบเครื่องดื่มบรรเทาอาการมึนเมาได้เพียงครู่ เธเซียสพลันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ฟาโรห์แห่งอียิปต์จะเสด็จมาเยือนยังพระราชวังแห่งนอสซัส
ค่ำคืนนี้จึงเป็นค่ำคืนแห่งการจัดเลี้ยงต้อนรับ
และยังเป็นค่ำคืนแห่งการนัดหมายของเธเซียส

“ชั่วโมงที่ 7 ในยามเช้า ” สิ้นคำตอบจากนางกำนัลพระพี่เลี้ยง เธเซียสจึงทอดสายตามองออกไปยังนอกระเบียง พบว่าแสงสุริยะกำลังแผดเผาอย่างแรงกล้า เขาจึงรีบกระวีกระวาดลงจากตั่งเป็นการด่วน
เนื่องจากเขาเอาแต่นอนหลับมิรู้เรื่องรู้ราวมาจนครึ่งค่อนวัน

“เจ้าชายมิโนสทรงมีรับสั่งให้เจ้าพักผ่อนเสียให้เต็มที่” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวพลางกดไหล่ของเธเซียสให้ยอมทรุดตัวลงนั่งดังเดิม บ่งบอกได้ดีว่าวันนี้เขาได้รับพระราชอนุญาตให้หยุดปฏิบัติงานหนึ่งวัน จากนั้นนางกำนัลพระพี่เลี้ยงจึงยื่นเสบียงมื้อเช้ามาให้ พร้อมทำความสะอาดภายในห้องบรรทมอย่างมิเร่งร้อน
ราวกับต้องการจะอยู่ร่วมห้อง จนกว่าช่วงเวลาแห่งราตรีกาลจะมาเยือน

นับว่าผิดสังเกตเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้กระโตกกระตาก เหตุเพราะความผิดสังเกตดังกล่าว อาจจะมาจากความหวาดระแวงของตนก็เป็นได้

“ท่านดาฟเน่ ข้าดื่มกินจนหมดสิ้นแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะนำไปเก็บล้าง” เธเซียสกล่าวพลางลุกขึ้นยืน เพื่อเตรียมนำจานชามไปเก็บล้างยังโรงครัว และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อทดสอบอะไรบางอย่างที่ตนครุ่นคิด
“เจ้านอนพักเสียเถิด เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” นางกำนัลคนสนิทของเจ้าชายมิโนส กล่าวพลางยื้อแย่งจานชามไว้ในครอบครอง จากนั้นนางก็เปิดประตูไม้และเดินแทรกตัวออกไป
ครู่เดียวจึงกลับเข้ามาตัวเปล่า
ราวกับหน้าที่ในเก็บล้างถูกหยิบยกให้แก่ผู้อื่น

นับได้ว่า..
ความหวาดระแวงของเธเซียสมิใช่เรื่องเกินจริง

บุรุษหนุ่มจากต่างแดนได้แต่นั่งจุมปุกอยู่บนตั่งหนานุ่มจากขนสัตว์ แต่ทว่าสภาพของเขามิได้แตกต่างจากนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ความเคร่งเครียดพลันกัดกินหัวใจอย่างเหลือล้น อีกทั้งความนึกคิดยังพลอยแต่จะคาดคะเนชะตาชีวิตอย่างหนักหน่วง
โดยหารู้ไม่ว่า..
ตนกำลังนั่งกัดเล็บพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างชัดแจ้ง

กระทั่งบานประตูถูกเปิดออก ภวังค์แห่งความคิดจึงหวนกลับคืน เธเซียสค้นพบว่าภายในห้องบรรทมแห่งนี้มีเพียงแค่ตน จึงรีบลุกออกจากตั่งนุ่มและก้าวเดินไปยังประตูบานใหญ่ลวดลายวิจิตร
แต่ทว่าภายนอกห้องบรรทม ปรากฏทหารองครักษ์ถึงสองนาย
บุรุษผู้เต็มไปด้วยพิรุธอย่างเธเซียส จึงรีบกลับเข้ามายังห้องบรรทม พลางเดินวนเวียนไปมาราวกับสัตว์เล็กติดอยู่ในกับดัก

“ทำอย่างไรดี ?” เธเซียสได้แต่รำพึงกับตนเองอย่างเป็นกังวล ขณะที่ปลายนิ้วยังคงจดจ่อตรงบริเวณริมฝีปาก   
กระทั่งสุ้มเสียงอันคุ้นเคยของนกเหยี่ยวดังขึ้น
แววตาอันเป็นประกายในแบบฉบับของเจ้าชายฮาเดรียนจึงปรากฏ

บุรุษหนุ่มรีบรุดเดินไปยังนอกระเบียง พลางเหลือบซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ฝ่ายนกรู้ต่างทำหน้าที่ส่งสารได้อย่างดีเยี่ยม เพราะมันมิได้เข้ามาทักทายผู้เป็นนายอย่างใกล้ชิด แต่กลับปลดปล่อยกิ่งไม้ขนาดย่อมลงบนพื้นระเบียงอย่างแม่นยำ
ซึ่งหากมองในระยะไกล นกเหยี่ยวตัวนี้คงเป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่กำลังขนย้ายกิ่งไม้เพื่อสร้างรัง
นับได้ว่าเป็นภาพลวงตาชั้นดี

เธเซียสถอนหายใจอย่างหมดห่วง เพราะการส่งสารด้วยกิ่งไม้ ถือเป็นการบอกกล่าวให้รับรู้ว่า นัดหมายในวันนี้มิได้ถูกมองข้าม พลางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พร้อมหยิบกิ่งไม้ก้านดังกล่าวยื่นออกไปข้างหน้า
ไม่นานเจ้าครูสก็บินโฉบเข้ามาคาบกิ่งไม้คืนกลับไป
บ่งบอกได้ดีว่าเธเซียสกำลังต้องการความช่วยเหลือ

จากนั้นเธเซียสก็ได้แต่เดินวนไปเวียนมาอย่างใช้ความคิด โดยที่ริมฝีปากก็มิวายจะกัดเล็บเพื่อระบายความกดดัน เนื่องจากเขามิอยากทำตัวกระโตกกระตาก เพราะการดิ้นไปตามสถานการณ์ผู้ที่ลำบากอาจเป็นเขาเอง เวลานี้สิ่งเดียวที่เธเซียสยังทำได้ คงเป็นการหลบหนีออกจากห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส โดยที่มิต้องปะทะซึ่งหน้ากับผู้ใด
แต่หากสถานการณ์มิได้เลวร้ายอย่างที่คิด..
แผนการในสถานะ ‘ไส้ศึก’ คงต้องเริ่มดำเนินต่อไป

เบื้องต้นเธเซียสนัดแนะเซอร์ซีผู้เป็นทหารคนสนิทที่ยังคงจงรักภักดีต่อเขาและเสด็จแม่ เพื่อวางแผนรับมือกับประเพณีการต่อสู้วัวกระทิง เนื่องจากความเสี่ยงที่จะพลาดพลั้งค่อนข้างมีอยู่มาก บวกกับงานสำคัญในระดับนี้ย่อมต้องมีผู้มากฝีมืออย่างคับคั่ง
ดังนั้นการจะทำให้ตนโดดเด่น..
คงต้องล้มวัวกระทิงภายในเวลาอันรวดเร็ว 

เธเซียสจึงวางแผนให้เซอร์ซีแฝงกายเข้ามายังเขตพระราชฐานพร้อมกับขบวนนางรำ โดยจุดนัดหมายเป็นบริเวณท่าเรือหลังห้องใต้ดิน ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย
เนื่องจากหากมิต้องขนย้ายสินค้าจากสำนักราชวัง
แทบมิอยากมีผู้ใดสัญจรผ่าน

แต่ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เหตุเพราะเขากำลังถูกกักขังราวกับนักโทษ เพียงแต่เป็นนักโทษชั้นดีที่มิต้องถูกจองจำในห้องอับชื้น แผนการที่เคยวางไว้อย่างแยบยล จึงมิใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป
ดังนั้นการเอาตัวรอดจากสถานการณ์สุ่มเสี่ยง จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญในขณะนี้

กระทั่งท้องนภาเริ่มกลับกลายเป็นสีส้มอมม่วง ทั่วบริเวณพระราชฐานจึงเต็มไปด้วยแสงสว่างสีเหลืองนวลจากคบไฟ เสริมสร้างความเจริญตาให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น แต่คงมิอาจเรียกร้องความสนใจจากทุกผู้ได้มากเท่าขบวนเรือขององค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ที่กำลังเคลื่อนฝีพายเข้ามาตามเส้นทางน้ำทะเลที่ถูกขุดลอกเป็นคูคลอง

“เจ้ามิไปร่วมชื่นชมพระราชอำนาจขององค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ด้วยกันหรือ ?” ทันทีที่ประตูบานใหญ่แง้มออก หนึ่งในองครักษ์ที่ได้รับหน้าที่กักบริเวณอดีตเชลยจากเอเธนส์ก็เริ่มตั้งคำถาม   
“มิเป็นไร พวกท่านลงไปชื่นชมเถิด” เธเซียสนิ่งคิดครู่ใหญ่ เพื่อคาดคะเนอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบปฏิเสธอย่างเรียบง่ายไร้ความกระตือรือร้น ขณะที่ในใจกำลังลิงโลด เมื่อคำตอบดังกล่าวถูกตอบรับด้วยบานประตูกำลังถูกปิดลง
และภายนอกห้องบรรทมก็มิหลงเหลือผู้ใด
บ่งบอกได้ว่าสถานการณ์อันย่ำแย่ ล้วนเกิดจากความกังวลของตนแต่เพียงผู้เดียว

“หวังว่าเจ้าคงยังมิทันก่อเรื่องหรอกนะเซอร์ซี” เธเซียสรำพันอย่างเป็นกังวลพลางถลาออกจากห้องบรรทมโดยมิต้องกังวลว่า ‘ความลับ’ จะมิใช่ความลับอีกต่อไป สองขาจึงก้าวเดินอย่างรวดเร็ว กระทั่งถึงบันไดเล็กแคบ เธเซียสจึงเริ่มวิ่งถลาลงบันไดทีละขั้นอย่างคล่องแคล่ว แม้บางคราจะสวนทางกับเหล่าข้าราชบริพาร แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้หวั่นเกรงว่าจะผิดสังเกต
เหตุเพราะทุกผู้ต่างเร่งร้อนอยากจะไปให้ถึงยังจุดหมายโดยเร็ว
เพียงแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือฟาโรห์แห่งอียิปต์ ขณะที่เธเซียสกลับเป็นขบวนนางรำจากมาลิอา

ฉับพลันเธเซียสรู้สึกใจหายวาบ เมื่อตนถูกลากคอเข้ามุมอับอย่างมิทันตั้งตัว จากนั้นวงแขนของบุรุษปริศนาจึงรัดรึงรอบลำคออย่างโหดเหี้ยม ราวกับต้องการจะปลิดชีพภายในเสี้ยววินาที ส่งผลให้ลมหายใจของเธเซียสเริ่มติดขัด เขาจึงดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดแรง แต่ทว่าใบหน้ากลับเริ่มคล้ำเขียวคล้ายกับคนใกล้จะหมดลม กระดูกบริเวณลำคอพลันเจ็บร้าวอย่างคนถูกประทุษร้าย
แต่กระนั้นเธเซียสยังมิยอมหมดหวัง เขาจึงพยายามรวบรวมแรงกายและแรงใจเฮือกสุดท้าย พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
เพื่อมาพบกับชายหนุ่มนักเต้นรำจากมาลีอาที่หน้าตาค่อนข้างคุ้นเคย

“เซอร์.. ซี..” เธเซียสกล่าวอย่างคนไร้เรี่ยวแรงพลางตั้งหน้าตั้งตากอบโกยอากาศบริสุทธิ์อย่างหิวกระหาย พร้อมวางอาวุธชั้นยอดอย่างเครื่องปั้นดินเผาขนาดพอเหมาะที่ประดับอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของพระราชวังในตำแหน่งเดิม
“เจ้าชาย.. ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมช่างโง่เขลา” ฝ่ายผู้ร้ายเมื่อได้สติจึงรีบกระวีกระวาดขอโทษขอโพยนายเหนือหัวอย่างรู้สึกผิด ส่งผลให้เธเซียสถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พลางยื่นหน้าออกไปเหลือบซ้ายแลขวา กระทั่งพบว่าบริเวณดังกล่าวมิมีผู้คนแต่อย่างใด
บุรุษหน้าคมจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นทั้งคู่จึงพากันก้าวเดินไปยังจุดหมาย

“เจ้านี่มัน!” เมื่อมาถึงท่าเรือขนาดเล็กบริเวณปากทางเข้าห้องใต้ดินอีกด้านหนึ่ง เธเซียสก็ไม่รอช้ารีบยกปลายเท้าประทับลงบนหน้าแข้งของบุรุษในคราบนักเต้นรำจากมาลิอา
“โธ่! พระองค์” บุรุษวัยสิบหกปีโอดครวญใส่นายเหนือหัวอย่างสนิทสนม พลางกอบกุมหน้าขาพร้อมกระโดดโหยงเหยงอย่างมิอาจทรงตัวหยัดยืนได้

“เราคือรายแรกที่เจ้าเริ่มก่อเรื่องตามแผนการใช่หรือไม่ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างจริงจัง เพื่อที่ตนจะได้ประเมินสถานการณ์ถูก เหตุเพราะเดิมทีเธเซียสวางแผนสำรองเอาไว้ว่า หากตนต้องการความช่วยเหลือ ให้เซอร์ซีก่อความวุ่นวายเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คนในราชสำนัก หลังจากนั้นถึงค่อยพากันหลบหนีโดยเรือโดยสารของขบวนนางรำที่ยังคงจอดเทียบท่าอย่างโดดเด่น
“พ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวพลางทำสีหน้าเหยเกพร้อมกับยืนโยกเยกกุมหน้าขามิยอมหยุด

“เสด็จพ่อทรงเห็นด้วยกับเราใช่หรือไม่ ?” เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่แต่ทว่ากลับมิมีทีท่าจะเข้าเรื่อง เธเซียสจึงรีบเปิดประเด็นอย่างรวดเร็ว
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ทูลเจ้าชายฮาเดรียน องค์ราชาทรงมีรับสั่งให้พระองค์สืบหาข้อมูลเรื่องมิโนทอร์” เซอร์ซีกล่าวอย่างจริงจังไร้ท่าทีขี้เล่นดังเช่นก่อนหน้า

“สัตว์ประหลาดที่คร่าชีวิตโจรสลัดน่ะหรือ ?” เธเซียสย้ำถามอย่างมิค่อยแน่ใจในชื่อเรียกขานมากนัก เนื่องจากนาม ‘มิโนทอร์’ มีความหมายว่า ‘โอรสวัวแห่งไมนอส’
“พ่ะย่ะค่ะ หลายวันก่อนกระหม่อมได้ยินชาวเอเธนส์ร่ำลือกันว่า หลังจากที่เจ้าชายแอนโดรเจียสถูกลอบปลงพระชนม์ กองทัพครีตันจึงบุกทำลายล้างนครรัฐเอเธนส์จนราบคาบ โดยมีสัตว์ประหลาดนามว่ามิโนทอร์เป็นผู้นำทัพ” สิ้นคำบอกเล่าจากปากของทหารคนสนิท เธเซียสจึงทราบดีว่าแท้ที่จริงเสด็จพ่อมิได้เห็นด้วยกับข้อเสนอของตน
แต่เป็นเพราะพระองค์กำลังหวั่นเกรงตัวแปรใหม่ ที่มิใช่เรื่องเล่าขานดังเช่นที่เข้าใจมาหลายปี..

“เธซีอุสเราจะช่วยเจ้าเอง มิต้องกังวล” สุ้มเสียงของผู้มาใหม่ทำให้เธเซียสและเซอร์ซีต้องรีบแอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ริมลำน้ำ พลางชะโงกหน้ามองผู้มาเยือนอย่างระแวดระวัง
แต่ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้สองหนุ่มจากไมซีเนียนถึงกับหน้าร้อนเห่อ
เมื่อพบว่าเจ้าหญิงแอริแอดเนกำลังจุมพิตอย่างดูดดื่มกับชายผู้หนึ่งนามว่า ‘เธซีอุส’



φ



[1] ชั่วโมงที่ 7 ในยามเช้า เทียบเท่ากับเวลาเที่ยงตรงในปัจจุบัน

ปล. ตรงส่วนนี้เราตีความจากข้อความหนึ่งที่เราอ่านมาจากหนังสือต่วยตูน ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับรักร่วมเพศในสมัยนั้น แล้วมีการกล่าวถึงการนับเวลาของชาวอียิปต์โบราณ เราเลยเอามาปรับใช้กับจักรวรรดิครีตันที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับจักรวรรดิอียิปต์ และยังเป็นอาณาจักรที่รับเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายของจักรวรรดิอื่นมาปรับใช้จนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองค่ะ ซึ่งในหนังสือต่วยตูน (เราจำฉบับไม่ได้ละ พอดีมันอยู่อีกบ้านนึง) ปรากฏข้อความประมาณว่า 'ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรนัดพบซิเซเนในชั่วโมงที่ 4 ของยามราตรี เทียบเวลาปัจจุบันคือราว ๆ สี่ทุ่ม และเมื่อถึงชั่วโมงที่ 8 ในยามราตรี เทียบเวลาปัจจุบันคือ ตีสอง ฟาโรห์จึงกลับออกมาจากบ้านของซิเซเน'

[2] มาลิอา (Malia) เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิมิโนอันหรือครีตัน


edit 23/05/2019 เปลี่ยนชื่อเมืองจาก มอลเลีย เป็น มาลิอา ตามข้อมูลจากวิกิพีเดีย

สำหรับตอนนี้ก็เผยปมออกมาเยอะเลยแหละ ส่วนสถานการณ์ที่เธเซียสได้พบเจอเพราะความหวาดระแวงของตัวเองนั้นนน จะใช่ความหวาดระแวงของตัวเองอย่างเดียวแน่หรือเปล่า 555
ตอนหน้ามาติดตามกันต่อไปค่ะว่าเธเซียสจะวางแผนรับมือกับการต่อสู้วัวกระทิงอย่างไร


แผนที่บอกตำแหน่งของเอเธนส์ และเกาะครีตค่ะ ห่างกันไม่ไกลเท่าไหร่

https://i.imgur.com/lew08Kf.png

อันนี้คือเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของมิโนอันค่ะ จะเห็นได้ว่ามาลีอาอยู่ไม่ไกลจากนอสซัสมากนัก

https://i.imgur.com/9VXSs80.jpg

ตัวอาคารจะเป็นประมาณนี้ค่ะ เล็กๆ แคบ ๆ ทึบ ๆ และมีความซับซ้อน

https://i.imgur.com/WCVAQDI.jpg

อันนี้คือช่องรับแสงที่เราเคยกล่าวถึงในตอนก่อน ๆ ค่ะ

https://i.imgur.com/4shNo0o.jpg
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:12:39 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 10

“เรื่องเล่าเกี่ยวกับมิโนทอร์ เจ้าได้ยินมาจากเธซีอุสที่เป็นนักเต้นรำจากมาลิอาอย่างนั้นหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามเซอร์ซีอย่างต้องการความกระจ่าง เพราะทันทีที่ฉากรักผ่านพ้นไป บุรุษหนุ่มในคราบนักเต้นรำก็รีบทักท้วงราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้
เท่ากับว่าทั้งเซอร์ซีและชายหนุ่มนามว่าเธซีอุส
ล้วนแฝงกายเข้ามาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

“พ่ะย่ะค่ะ เธซีอุสบอกกระหม่อมว่าในตอนนั้นนครรัฐเอเธนส์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ถูกพังราบเป็นหน้ากองเพราะเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น” เซอร์ซีกล่าวพลางลูบต้นแขน ขณะเดินลัดเลาะไปตามโครงสร้างอันสูงใหญ่ของตัวพระราชวัง เพื่อมุ่งตรงสู่คอกวัวกระทิงสำหรับงานพระราชพิธีในวันรุ่งขึ้น
“แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า นครรัฐเอเธนส์คือผู้ปลงพระชนม์เจ้าชายแอนโดรเจียสเป็นฝ่ายแรก เท่ากับว่าผู้เปิดศึกสงครามคือชาวเอเธนส์มิใช่หรือ ?” เธเซียสย้อนถามนายทหารคนสนิทอย่างคิดวิเคราะห์ เนื่องจากสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว ตรงกับช่วงเวลาที่เธเซียสถูกหญิงใจมารลอบทำร้าย จนต้องระหกระเหินอยู่ท่ามกลางทะเลทราย แถมยังเคราะห์ร้ายพลัดหลงกับนายทหารคนสนิท กว่าจะติดต่อกันได้ เรียกว่าลำบากยากเข็ญ ดังนั้นเมื่อทั้งคู่หวนคืนสู่ไมซีเนียน ความมิไว้วางใจจึงถูกหยิบยื่น สถานะของเซอร์ซีจึงกลับกลายเบี้ยล่างให้แก่ทหารกล้าที่อยู่ภายใต้อำนาจของหญิงนางนั้น โชคยังดีที่เธเซียสยื่นข้อเสนอของการเป็นไส้ศึกได้สำเร็จ ข้อมูลเกี่ยวกับจักรวรรดิครีตันจึงถือเป็นตัวประกันชั้นดีที่ทำให้เขาดึงตัวนายทหารคนสนิทมาเป็นมือขวา

“พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนั้นองค์กษัตริย์ผู้ปกครองนครรัฐเอเธนส์จึงทรงยินยอมนำส่งเชลยศึกเพื่อถวายแด่จักรวรรดิครีตัน เพียงแต่เชลยศึกเหล่านั้นมิได้มีไว้เพื่อใช้แรงงานดังเช่นจักรวรรดิอื่น” ทันทีที่เซอร์ซีกล่าวมาถึงประเด็นนี้ เธเซียสก็สามารถผูกโยงเรื่องราวโดยง่าย
“เพราะเชลยศึกเหล่านั้น มีไว้เพื่อบูชายัญน่ะหรือ ?”

“จะเรียกว่าเป็นการบูชายัญก็ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะเชลยศึกถูกส่งมาเพื่อเป็นเครื่องสังเวยแด่สัตว์ประหลาดมิโนทอร์” สิ้นคำบอกกล่าวของเซอร์ซี เธเซียสก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด เนื่องจากทันทีที่เหล่าเชลยศึกถูกนำส่งมายังห้องใต้ดิน ก็มิเห็นจะมีสัตว์ประหลาดนามว่ามิโนทอร์ปรากฏตัวแต่อย่างใด
ทว่าการให้ความช่วยเหลือของเจ้าชายมิโนสในครานั้น
หากนำมาผูกโยงกับเรื่องเล่าดังกล่าว นับว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

“เธซีอุสบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมิโนทอร์ว่าอย่างไรอีก ?” เธเซียสในคราบของเจ้าชายฮาเดรียนตรัสถามราวกับเพลานี้พระองค์หลงลืมไปแล้วว่า การนัดหมายเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย มีขึ้นเพื่องานพระราชพิธีในวันรุ่งขึ้น
“เดิมทีการก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ของกษัตริย์ไมนอส เกิดจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพระเชษฐาและพระอนุชา จึงเกิดการวิงวอนต่อองค์เทพโพไซดอน ให้ส่งวัวพ่วงพีขึ้นจากมหาสมุทร และให้คำมั่นสัญญาว่าพระองค์จะบูชายัญวัวตัวนั้น เพื่อเป็นเกียรติให้แก่องค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ เพราะหากการวิงวอนประสบความสำเร็จ เท่ากับว่ากษัตริย์ไมนอสได้รับการยอมรับจากทวยเทพ ส่งผลให้การขึ้นครองราชย์มิมีข้อขัดแย้งประการใด” เรื่องเล่าอย่างละเอียดถี่ถ้วนจากปากเซอร์ซี สร้างความฉงนให้แก่เธเซียสมิใช่น้อย เนื่องจากเธเซียสทราบมาว่าชาวครีตันเคารพนับถือเพียงแค่ ‘เทพมารดา’ หรือพระนามคุ้นหูคือ ‘เจ้าแม่’
หลังจากนั้นจักรวรรดิครีตันก็เริ่มสร้างพระเจ้าโดยมีนามเป็น ‘โอรสของเจ้าแม่’
คาดมิถึงว่ากษัตริย์ไมนอสจะทรงเคารพนับถือเทพอีกหนึ่งองค์

“หลังจากเกิดเหตุการณ์สุดมหัศจรรย์ กษัตริย์ไมนอสก็เป็นที่เลื่อมใสของราษฎร์ เพียงแต่พระองค์กลับผิดคำสัญญาด้วยการนำวัวสีขาวตัวอื่นมาบูชายัญ ความอัปยศจึงก่อเกิดขึ้น เมื่อองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่สาปให้พระนางปาซิฟาอี มเหสีของกษัตริย์ไมนอสลุ่มหลงวัวตัวนั้นจนถึงขั้นสั่งให้แดดาลุสนักประดิษฐ์ชื่อดังของจักรวรรดิครีตันเดินทางมายังเขตพระราชวัง เพื่อสร้างวัวไม้ให้พระนางเข้าไปแอบซ่อนในระหว่างร่วมอภิรมย์กับวัวหนุ่ม จนกระทั่งพระนางตั้งครรภ์และคลอดบุตร พบว่าบุตรผู้นั้นมีศีรษะเป็นวัวกระทิงและมีกายเป็นคน พระราชาไมนอสจึงทรงอับอายอย่างเหลือล้น มิหนำซ้ำยังทรงคับแค้นใจเป็นที่สุด แต่ก็มิอาจสังหารเจ้ามิโนทอร์ได้ เหตุเพราะพระองค์หวั่นเกรงว่าเจ้าสมุทรจะทรงขุ่นเคือง จึงสร้างห้องใต้ดินเพื่อกักขังสัตว์ประหลาดนั่น เมื่อมันเริ่มกระหายเลือดอย่างแรงกล้า”
“ฟังดูเหมือนเรื่องเล่าจากบทกวีของชาวเอเธนส์เสียมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง” เธเซียสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมิเกรงกลัว เหตุเพราะความเหลือเชื่อดังกล่าวค่อนข้างน่าขบขัน เพราะดูท่าแล้วการบูชายัญเลือดมนุษย์ของจักรวรรดิครีตันอาจจะมีขึ้นเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งผู้กระทำคงมิใช่ผู้ที่เคารพนับถือเจ้าแม่และพระโอรส
ส่วนประเด็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘มิโนทอร์’
เธเซียสยังคงปักใจเชื่อว่ามันอาจจะเป็นกลอุบายของเจ้าชายมิโนส

“ตอนที่กระหม่อมได้ยินเรื่องเล่าเป็นครั้งแรก กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ดำรัสของเจ้าหญิงที่มีให้กับเธซีอุสเมื่อครู่ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับมิโนทอร์ก็เป็นได้ เพราะเดิมทีเธซีอุสมิใช่ชาวครีตัน” ถ้อยคำตอกย้ำของเซอร์ซี ทำให้เธเซียสขบคิดอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสนใจ
“เขาเป็นชาวเอเธนส์แฝงกายมายังเมืองมาลิอาพร้อมกับเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”

“กระหม่อมคิดว่าเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะเขาทราบถึงความสัมพันธ์อันเป็นรอยร้าวระหว่างเอเธนส์และครีตันอย่างลึกซึ้ง” เซอร์ซีกล่าวพลางเหยียบย่ำลงบนผืนดินเรียบชายเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเลี้ยงม้าและคอกวัวกระทิง
“เรื่องราวที่เขาทราบ อาจจะมาจากดำรัสของเจ้าหญิงแอริแอดเนก็เป็นได้มิใช่หรือ ?”

“พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคิดว่าคงต้องเกิดการแลกเปลี่ยนข่าวสาร”
“ในความคิดของเรา เรื่องราวเกี่ยวกับมิโนทอร์ล้วนเป็นกลอุบายของเจ้าชายมิโนสที่ใช้ในการปกป้องจักรวรรดิครีตัน” เธเซียสกล่าวพลางเดินเอามือไพล่หลังอย่างองอาจ โดยที่จังหวะการก้าวย่างก็ต้องเป็นไปอย่างมั่นคง
เนื่องจากบริเวณคอกสัตว์มีแต่ความชื้นแฉะจนกลายเป็นดินโคลน

“ทูลเจ้าชายฮาเดรียน กระหม่อมมองมิเห็นความจำเป็นที่จักรวรรดิครีตันจะต้องทำเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อครีตันเป็นแหล่งส่งออกศาสตราวุธนำสมัย อีกทั้งยังมีกองทัพเรือและกองทัพบกที่แข็งแกร่ง”
“หากแข็งแกร่งและเก่งกาจดังคำกล่าวอ้าง เหตุใดจึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมิโนทอร์ เจ้ามิคิดบ้างหรือว่ามันเป็นเรื่องผิดสังเกต ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางจับจ้องไปยังฝูงวัวกระทิงที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่ในคอก ขณะที่ในหัวกำลังคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องราวของมิโนทอร์ที่ค่อนข้างสอดคล้องต่อธรรมชาติของชาวครีตันที่ตนเคยได้ยินมานมนานว่าเป็นพวกชื่นชอบความรื่นเริงและหรูหรา มิสนใจเรื่องการรบราฆ่าฟัน
แต่กระนั้นความปรีชาสามารถของเจ้าชายมิโนสก็มิอาจมองข้าม
และสถานการณ์ของนครรัฐเอเธนส์ในยามนี้ก็เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของกองทัพแห่งจักรวรรดิครีตันได้เป็นอย่างดี

“เราจะสืบหาความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฝากเจ้าทูลเสด็จพ่อว่ามิต้องกังวล” เธเซียสกล่าวสรุปความอย่างจนใจ เพราะความลับเกี่ยวกับมิโนทอร์ อาจต้องรอเวลาที่ตนก้าวเข้าสู่กองทัพได้สำเร็จ
“พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับราวกับประเด็นความสนใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีอันต้องสิ้นสุดลง เซอร์ซีจึงหยิบห่อกระดาษบางอย่างออกมาจากบั้นเอว

“กระหม่อมทราบมาว่ามีบุปผารูปร่างแปลกตาชนิดหนึ่ง สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในครีตัน พิษของมันส่งผลร้ายแรงต่อสัตว์ หากกินเข้าไปจะทำให้น้ำลายไหลและอาเจียน จากนั้นก็เริ่มสูญเสียการทรงตัว มีอาการหายใจติดขัด และเกิดอาการชักก่อนจะเสียชีวิต ซึ่งระยะเวลาอาจเกิดทันทีที่กินเข้าไป หรืออาจจะนานร่วมชั่วโมงก็เป็นได้”
“บุปผาชนิดใดหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างสนใจ เหตุเพราะรูปร่างของบุปผาชนิดดังกล่าวกลับกลายเป็นยาพิษบดละเอียดไปเสียแล้ว

“รูปลักษณ์เหมือนกับบุปผาที่พระองค์ทรงวาดลงบนแผนผังของพระราชวังพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าวางแผนจะใช้มันอย่างไร ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางลอบมองรอบกายอย่างระแวดระวัง แม้ว่าเพลานี้ผู้คนในราชสำนักจะกำลังรื่นเริงอยู่กับงานเลี้ยงฉลอง

“กระหม่อมทราบมาว่างานพระราชพิธีจะเริ่มตอนชั่วโมงที่ 3 ในยามเช้า ”
“แต่มิรู้ว่าจะเริ่มการคัดเลือกเมื่อใด..” เธเซียสต่อความจนจบประโยค ส่งผลให้เซอร์ซียกยิ้มเผล่ เมื่อผู้เป็นนายรู้ใจกันดี

“กระหม่อมวางแผนจะอยู่ที่นี่ในสถานะแรงงาน”
“หากเป็นเช่นนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะมิเกิดเหตุผิดพลาด” เธเซียสเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล แม้ว่าเขาจะพอมีฝีมือก็ตาม แต่กระนั้นความเคร่งเครียดก็นำพาให้เขาตัดสินใจใช้กลอุบายเข้ามาช่วย

“เชื่อใจกระหม่อมเหมือนอย่างที่พระองค์เคยเชื่อใจเสมอมา” เซอร์ซีกล่าวพลางค้อมตัวอย่างนอบน้อม ฝ่ายเธเซียสจึงส่งสัญญาณให้บุรุษในคราบนักเต้นรำจากมาลิอาปฏิบัติตัวตามสบาย
จากนั้นทั้งคู่จึงตกลงกันว่าจะแบ่งปันที่อยู่อาศัยเพื่อมิให้ผู้ใดผิดสังเกต โดยเซอร์ซีจะเข้าไปนอนยังเรือนพักรับรองของเธเซียส เพียงแต่จะต้องลอบเข้าทางบานหน้าต่าง
และต้องปลิดชีพผู้ดูแลคอกวัวให้เรียบร้อย
มิเช่นนั้นวันพรุ่งอาจจะสร้างความแตกตื่น

“เจ้าชายมิโนสทรงมีพระอนุญาตให้เจ้าพักผ่อนเสียให้เต็มที่มิใช่หรือ เหตุใดจึงมาตรากตรำทำงานเสียเล่า ?” นางกำนัลดาฟเน่เอ่ยถามเธเซียสที่มีหูตาว่องไวหลังจากแยกทางกับนายทหารคนสนิท จึงสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันคับขัน ด้วยการแสร้งยกโถแอมโฟร่าที่วางตั้งอยู่ตรงด้านนอกห้องสกัดเหล้าองุ่น
เพื่อรอเวลาให้มวลอากาศอันเหยียบเย็นเคลือบผิวน้ำหมักรสชาติดีให้กลายสภาพเป็นแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ รอบปากโถ

“ข้าเพียงแต่อยากเห็นขบวนฝีพายขององค์ฟาโรห์ จึงวิ่งไปดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ หลังจากนั้นจะให้ทำเป็นมิรู้หน้าที่ของตนได้อย่างไร ในเมื่อผู้อื่นต่างตรากตรำทำงานอย่างแข็งขัน” เธเซียสกล่าวพลางแย้มยิ้มพร้อมยกโถแอมโฟร่ามุ่งตรงไปยังห้องโถงที่ใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงรับรอง
“เจ้ามิต้องทำแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าชายมิโนสทรงเห็นเข้า ข้าจะถูกตำหนิ” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวพลางกวักมือเรียกบุรุษผู้หนึ่งก่อนจะยกโถแอมโฟร่าให้เขา และหันมาบอกกับเธเซียสว่าบุรุษผู้นั้นคือนักปรุงเหล้าองุ่น

“เจ้ากลับไปเก็บตัวอยู่ที่ห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนสเสียเถิด หากมิอยากให้พระองค์ถูกครหาว่าเป็นผู้มีจิตใจคิดลำเอียง” สิ้นคำพูดของนางกำนัลพระพี่เลี้ยง เธเซียสจำต้องเดินกลับมายังห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส
และใช้ชีวิตภายในห้องดังกล่าว..
ภายใต้สายตาของนางกำนัลดาฟเน่

บุรุษหน้าคมจึงต้องหลบเลี่ยงสายตาแกมดุ ด้วยการนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนตั่งขนสัตว์ ทั้ง ๆ ที่กระเพาะอาหารเริ่มจะร้องประท้วง แต่กระนั้นเธเซียสก็จำต้องอดทน มิเช่นนั้นนางกำนัลดาฟเน่คงจะทราบว่าตนมิได้ลงมือปฏิบัติงานแต่อย่างใด มื้อเย็นจึงมิตกถึงท้องเสียแบบนี้
ซึ่งกว่าจะผล็อยหลับได้..
เล่นเอาเธเซียสแทบจะหมดความอดทน

กระทั่งชั่วโมงที่ 6 ในยามราตรี เจ้าชายมิโนสจึงเสด็จกลับยังห้องบรรทม โดยมิได้มีอาการมึนเมาแต่อย่างใด เนื่องจากในงานเลี้ยงฉลองมักจะผสมเหล้าองุ่นและน้ำในระดับหนึ่งต่อสาม โดยปริมาณดังกล่าวเป็นปริมาณที่พอเหมาะกับการสนทนาอย่างออกรส
ส่วนปริมาณหนึ่งต่อหนึ่งจะใช้สำหรับผู้ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม
และยังเป็นปริมาณที่ต้องการความสำเริงสำราญอย่างเต็มที่

“ดาฟเน่เจ้ากลับไปนอนเถิด ทางนี้เราจัดการเอง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางประทับลงบนตั่งตัวเดียวกับที่เธเซียสใช้หนุนนอน 
“เพคะ” นางกำนัลคนสนิทกล่าวตอบรับพลางคลานเข่าผ่านบุรุษหน้าหวานอย่างนอบน้อม

กระทั่งความเงียบงันโอบล้อมอยู่รอบกาย บุรุษหน้าหวานที่กำลังสวมใส่ฉลองพระองค์มิแตกต่างจากภาพวาดเฟรสโกบนกำแพง สวมมงกุฏลวดลายวิจิตรประดับขนนกย้อมสีทองอร่ามและสีฟ้าน้ำทะเล อีกทั้งบนลำคอแกร่งยังสวมใส่เครื่องประดับลวดลายวิจิตรเส้นหนึ่ง และลวดลายเรียบง่ายสีฟ้าน้ำทะเลอีกเส้นหนึ่ง
ขณะที่ข้อพระกรประดับด้วยกำไลลวดลายเข้ากันดีกับฉลองพระองค์สีฟ้าน้ำทะเลและสีขาวขลิบทอง
นับได้ว่าวันนี้เจ้าชายมิโนสทรงสง่างามมากกว่าคราใด

“เราเคยบอกให้เจ้าทำสิ่งใดอย่าละทิ้งหลักฐานมิใช่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเหลือบมองต้นขาของเธเซียสที่เปรอะเปื้อนคราบเกรอะกรังของดินโคลนจากคอกสัตว์ ก่อนจะเสด็จไปยังห้องสรงน้ำที่เชื่อมกับห้องบรรทม เพื่อหยิบผ้าผืนหนึ่งชุบน้ำสะอาดพร้อมบิดให้แห้งหมาด
และบรรจงแตะแต้มผิวเนื้ออันคล้ำแดดของบุรุษผู้ซึ่งหลับใหลอย่างแผ่วเบา
โดยที่รอยยิ้มมิเคยเลือนหายไปจากดวงพักตร์หวานละมุน   



φ




[1] ชั่วโมงที่ 3 ในยามเช้า เทียบเท่าได้กับเวลา 8 โมงในปัจจุบัน

[2] ชั่วโมงที่ 6 ในยามราตรี เทียบเท่าได้กับเวลาเที่ยงคืนในปัจจุบัน


บทความที่เกี่ยวข้อง
- ดอกลิลลี่ ความสวยที่เป็นพิษต่อแมว https://bit.ly/2P9PxkO


[edit 10/06/2019 แก้คำราชาศัพท์เกี่ยวกับการนั่ง]

ในเรื่องเราปรับพิษจากดอกลิลลี่ให้มีผลต่อวัวกระทิงด้วยนะคะ ดังนั้นใครที่เลี้ยงแมวและหมา ให้เก็บดอกไม้ชนิดนี้ให้พ้นจากปากเด็ก ๆ เน้อ เพราะพิษของมันค่อนข้างร้ายแรงทีเดียว ตอนแรกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มารู้ตอนหาข้อมูลเขียนนิยายนี่แหละจ้า ส่วนเรื่องเกี่ยวกับมิโนทอร์ เอาไว้เราจะมาลงอ้างอิงอีกทีนะคะ หรือใครจะไปตามอ่านก่อนก็ได้จ้า เพราะเรามีการปรับแต่ง 555

ปล. เรื่องการทำน้ำแข็งในสมัยโบราณ เป็นความคิดของชาวอียิปต์ค่ะ เราอ่านมาจากเว็บไหนสักเว็บ นานมากแล้ว ซึ่งน้ำแข็งไม่ใช่น้ำแข็งก้อน ๆ แบบปัจจุบัน แต่เป็นน้ำแข็งที่เคลือบปากภาชนะ ให้นึกสภาพเราพึ่งเอาแก้วน้ำแช่ในตู้เย็นสักพัก มันเริ่มเกาะเป็นน้ำแข็งแต่ข้างล่างยังเป็นน้ำค่ะ และที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าสมัยก่อนอากาศในตอนกลางคืนจะเย็นมากค่ะ และครีตันเป็นหมู่เกาะ อากาศก็ย่อมต้องเย็นฉ่ำพอที่จะทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งค่ะ

ปล 2. สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ ส่วนเราก็นอนอยู่บ้านปั่นนิยายยาวไปๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:16:45 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 11

“เจ้าอยากได้รับการคัดเลือกจนถึงกับต้องใช้กลโกงเชียวหรือ ?” ดำรัสถามชุดใหญ่ถูกส่งตรงมาถึงเธเซียสที่ยังมิตื่นจากนิทราดีนัก แต่พอได้คิดทบทวนเป็นอย่างดี
อาการง่วงเหงาเศร้าซึมที่เคยมีกลับหดหาย

“พระองค์ตรัสอะไรเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยังคงทำไขสือ แต่กระนั้นหัวใจของเขากลับเต้นระรัวอย่างแรงกล้า
“เรารู้ว่าเจ้าเข้าใจคำถามของเราดี” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง พลางเดินไปหยิบผ้าผืนเล็กที่ในอดีตเคยขาวสะอาด แต่บัดนี้กลับเปรอะเปื้อนด้วยคราบโคลนจากคอกสัตว์

“กระหม่อม..” เธเซียสเหลือบมองผ้าผืนดังกล่าวพลางกระอึกกระอักอย่างพูดมิออก
“เราจะทำอย่างไรกับเจ้าดี ?” สุรเสียงหนักแน่นมิได้ตามมาด้วยรอยยิ้มดังเช่นวันวาน ส่งผลให้อดีตเชลยจำต้องถอยกรูดเสียจนแผ่นหลังแนบชิดฝาผนัง ขณะที่วรองค์สูงสง่ากลับคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า
ส่งผลให้ทุกเพลาที่เคลื่อนคล้อย
ลมหายใจของเธเซียสแทบจะหยุดนิ่ง

“กระหม่อมเพียงแต่มิอยากทำให้พระองค์ต้องเป็นที่ขบขัน” เธเซียสกล่าวพลางทำหน้าตาหมองเศร้า
“เหตุใดเราจึงต้องถูกขบขัน ?” เจ้าชายมิโนสในฉลองพระองค์ลวดลายมิได้ประณีต อวดโฉมแผงอกแกร่งอันเต็มไปด้วยหมัดกล้าม หยุดการข่มขวัญบุรุษผู้กระทำผิดพร้อมตรัสถามถึงเหตุผล

“ทุกผู้ในเขตพระราชวังคนอสซุส ล้วนทราบดีว่าพระองค์ทรงเมตตากระหม่อมอย่างเหลือล้น หากกระหม่อมพลาดพลั้งในวันนี้ พวกเขาจะมิหัวเราะเยาะเอาหรอกหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างจริงจัง พร้อมจ้องดวงเนตรของบุรุษผู้สูงส่งอย่างอาจหาญ
“ฟังดูเหมือนเจ้าหวั่นเกรงผู้อื่นจะหัวเราะเยาะตัวเจ้าเองเสียมากกว่า..”

“โธ่! กระหม่อมมิได้คิดเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เพราะหากผู้อื่นขบขันกระหม่อม ล้วนต้องเผื่อแผ่ไปถึงผู้ถ่ายทอดวิชา เมื่อเป็นเช่นนี้จะมิให้กระหม่อมเคร่งเครียดได้อย่างไร” เธเซียสกล่าวด้วยท่าทีสำรวม พลางก้มหน้าเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาคมกริบกลับหรี่มองบุรุษหน้าหวานอย่างสำรวจความเป็นไป
“เจ้านี่เข้าใจหลีกหนีความผิดของตนเองเสียจริง” เจ้าชายมิโนสกล่าวพลางส่ายพระพักตร์พร้อมลุกออกจากตั่ง ร้องเรียกพระพี่เลี้ยงเพียงครู่ ขบวนเสด็จเพรียบพร้อมด้วยนางกำนัลหลายสิบชีวิตต่างมุ่งตรงไปยังห้องสรงน้ำ
ฝ่ายเธเซียสจึงลอบยิ้มกริ่ม..
เมื่อเจตนาแอบซ่อนถูกกลบทับด้วยความภักดี

เดิมทีเธเซียสมิได้วางกลอุบายเช่นนี้ แต่ทว่าเธเซียสกลับขบคิดแล้วว่า ‘ยาพิษ’ ชนิดดังกล่าว อาจสร้างความผิดสังเกตให้แก่ผู้อื่น เหตุเพราะอาการของผู้ถูกพิษค่อนข้างเด่นชัด
เขาจึงขอหยิบฉวยความมีเมตตาของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์มาเป็นโล่กำบัง
เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหากมีสิ่งใดผิดพลาด เจ้าชายพระองค์นี้จะต้องทรงออกหน้าเป็นแน่แท้

บุรุษผิวคล้ำจึงเดินเอื่อยเฉื่อยออกจากตำหนักของเจ้าชายมิโนส พลางถอนหายใจทิ้งขว้างตามรายทาง เนื่องจากเขารู้สึกไม่ดีที่ไปออกอุบายเช่นนั้น
แต่หากมิทำ..
เธเซียสคงจะกลายเป็นบุรุษผู้ไร้ญาติขาดมิตร

เนื่องจากเขายังมีเป้าหมายอันแน่วแน่ ดังนั้นการเป็นไส้ศึกจึงสลักสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะเขามิได้ต้องการเพียงร้องเรียกความไว้วางพระทัยคืนจากเสด็จพ่อ แต่ยังต้องการชำระแค้นต่อนางหญิงชั่วให้สมใจ
ความสัมพันธ์อันดีที่สุดแสนจะรางเลือน
จำต้องถูกมองข้ามอย่างน่าใจหาย

เธเซียสทอดถอนใจอีกครา พลางเหยียบย่างเข้ามายังห้องเล็กแคบภายในเรือนพำนักของเหล่าข้าหลวง พบว่าภายในนั้นมีแต่ความว่างเปล่า บ่งบอกได้ว่าเซอร์ซีคงจะออกไปดำเนินตามแผนการที่วางไว้ เธเซียสจึงทิ้งตัวลงนั่งกับพรมขนสัตว์เก่าเก็บ สายตาจึงสบกับผ้าแปลกตาผืนหนึ่ง ซึ่งผ้าผืนดังกล่าวมีสีขาวสะอาดแต้มด้วยคราบดินสีน้ำตาลแดงเป็นหย่อม ๆ บุรุษหน้าคมจึงคลี่ผ้าผืนนั้นด้วยความสนใจ
กระทั่งพบว่าผ้าขาวเปื้อนคราบดิน คือสารลับจากนายทหารคนสนิท
เพียงแต่เธเซียสยังมิอาจตีความได้ เขาจึงนั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมิห่างหาย

 “เจ้ายังมิเตรียมตัวอีกหรือ ?” เคออสโผล่หน้าเข้ามาทักทายพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มิต้องเตรียมตัวอันใด เพลานี้ข้าพรั่งพร้อมมากมายแล้ว” เธเซียสกล่าวพลางชูกำปั้นพร้อมทำสีหน้าโหดเหี้ยม แต่กลับร้องเรียกความขบขันจากสหายร่วมงานได้เป็นอย่างดี

“เขากำลังทำสิ่งใดกันหรือ เหตุใดจึงอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ ?” เธเซียสเอ่ยถามถึงข้อมูลของงานพระราชพิธีด้วยความสงสัย ขณะเดินลัดเลาะไปยังทางเชื่อมระหว่างตัวพระราชวังและคหบดีผู้มั่งคั่ง 

“เมื่อเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว พวกเราชาวครีตันมักจะเฉลิมฉลองเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน” ขณะเคออสกำลังขยายความถึงงานพระราชพิธีอันเรียบง่าย เสียงโห่ร้องยินดีปรีดาสลับกับการสรรเสริญราชวงศ์ครีตันยังคงดังก้องอย่างต่อเนื่อง
“การต่อสู้กับวัวกระทิงหมายรวมอยู่ในการเฉลิมฉลองด้วยหรือไม่ ?” เธเซียสเอ่ยถามขณะที่รอบกายเริ่มแว่วเสียงเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง

“เป็นดังที่เจ้าเข้าใจ เพราะเดิมทีการละเล่นกับวัวกระทิง ถือเป็นกีฬาเพื่อการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง เพียงแต่ทุกผู้ต่างทราบกันดีว่าการละเล่นดังกล่าว จะนำพาให้พวกเขาได้รับโอกาสอันดีจากกองทัพ” สิ้นคำอธิบายจากเคออส เธเซียสจึงเริ่มเข้าใจได้ว่า เหตุใดการคัดเลือกจึงมิมีการบอกกล่าวและตั้งโต๊ะรายงานตัวดังเช่นไมซีเนียน
มิแปลกที่ผู้คนภายนอกจะเข้าใจว่าชาวครีตันมิสนใจเรื่องการรบราฆ่าฟัน

กระทั่งทั้งคู่ก้าวเดินมาจนถึงทางเชื่อม จึงพากันไปยืนหลบมุมภายใต้ร่มเงาของอาคารสูงใหญ่ ที่มีรูปปั้นเขาวัวอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งตระหง่านอยู่บนนั้น ขณะที่ปลายสายตาปรากฏภาพของราษฎร์ชาวครีตัน กำลังร่ายรำไปตามจังหวะเพลงจากซิสตรัม  โดยที่อีกกลุ่มหนึ่งกำลังโบกสะบัดฟางข้าวด้วยสีหน้าชื่นมื่น พลางส่งเสียงโห่ร้องอย่างยินดีปรีดารอบ ๆ เมือง ส่วนฝ่ายข้าราชบริพารดังเช่นเธเซียส ต่างพากันยืนเกาะกลุ่มทั้งด้านบนและด้านล่างของตัวพระราชวัง
ไม่เว้นแม้กระทั่งสมาชิกแห่งราชวงศ์ครีตันและองค์ฟาโรห์จากอียิปต์

บุรุษผิวคล้ำจึงเบือนหน้ามองไปยังขบวนแห่ของราษฎร์ชาวครีตันที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของตัวพระราชวัง เมื่อดวงเนตรล้ำลึกของเจ้าชายมิโนสที่กำลังโบกหัตถ์อยู่เคียงข้างพระมารดาทอดมองลงมาจากด้านบน
แต่ทว่ายิ่งเธเซียสหลบหลีกกลับยิ่งรับรู้ได้ว่า..
สายพระเนตรของบุรุษผู้งามสง่า มิเคยเคลื่อนคล้อยไปยังจุดหมายอื่นใด

“เจ้าทอดถอนใจด้วยเรื่องอันใด ?” กระทั่งขบวนแห่ของฤดูกาลเก็บเกี่ยวจบสิ้นลง เธเซียสและเคออสจึงเดินมุ่งหน้าไปยังลานกว้างที่อยู่ตรงใจกลางตัวพระราชวัง
“มิมีอันใด” เธเซียสกล่าวตัดบทเพราะเขามิอยากอธิบายสิ่งใดให้มากความ เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับรอยยิ้มดุจแสงตะวันในยามเช้าตรู่ของเจ้าชายมิโนสที่ทรงยืนอยู่บนอาคารเรียบทางเข้าพระราชวัง
ส่งผลให้เธเซียสนึกระอาใจกับการโป้ปดที่ตนเองเคยมี

กระทั่งชั่วโมงที่ 4 ในยามเช้า มาเยือน ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเหยียบย่ำเข้ามายังเขตพระราชฐาน ส่งผลให้การอารักขาเป็นไปอย่างเนืองแน่น เนื่องจากการละเล่นกับวัวกระทิงมิได้มีเพียงราชวงศ์ครีตันที่เสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง แต่ยังมีฟาโรห์แห่งอียิปต์ประทับอยู่ตรงเรือนรับรองริมสระบัว
ขณะที่ลานกว้างอันว่างเปล่ากลับปรากฏคอกวัวขนาดใหญ่ โดยมีผู้ดูแลคอยยืนคุมอยู่มิห่าง

เธเซียสได้แต่รำพึงอยู่ในใจพลางสอดส่ายสายตามองหานายทหารคนสนิทอย่างเป็นกังวล เนื่องจากตนยังมิอาจเข้าใจความหมายโดยนัยของผ้าขาวเปื้อนฝุ่นดิน แต่แล้วการปรากฏกายของสัตว์ใหญ่อย่างวัวกระทิงสีดำขลับ ก็เรียกเสียงโห่ร้องจากทุกผู้ได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันซีเซอร์ในคราบของผู้ดูแลก็หยัดยืนจนเต็มความสูง

เธเซียสจึงเริ่มอุ่นใจเพราะเขาเริ่มเข้าใจความหมายโดยนัยที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ เมื่อวัวกระทิงภายในคอกด้านหลังมีเพียงตัวเดียวที่เป็นวัวสีขาวแต้มน้ำตาลแดงเป็นหย่อม ๆ กระทั่งปลายสายตาไล่มองไปยังตัวพระราชวังอันหรูหราทั้งสามทิศ เธเซียสกลับมองเห็นเหล่าข้าราชบริพารยืนเกาะกลุ่มอย่างสนใจ โดยเฉพาะฝ่ายหญิงกำลังจับจ้องบุรุษผู้แสนกำยำพลางกระซิบกระซาบด้วยสีหน้าแดงซ่าน
ขณะที่เรือนรับรองของผู้สูงศักดิ์ตรงริมสระบัว กลับเพรียบพร้อมไปด้วยเครื่องเสวยและกระดานเกมรูปแบบต่าง ๆ ที่เธเซียสยังมองมิออกว่าเป็นเกมในลักษณะใด แต่ดูจากท่าทางของเหล่าผู้สูงศักดิ์แล้ว เกมดังกล่าวคงจะน่าภิรมย์มิใช่น้อย เนื่องจากเสียงสรวลจากเรือนพักรับรองดังเคล้าคลอกับเสียงโห่ร้องของทุกผู้ในบริเวณนี้
โดยมีองค์ราชินีหรือพระนางปาซิฟาอีประทับอยู่บนบังลังก์อย่างโดดเด่น

“พวกเขามิต้องมอบกริชด้ามยาวให้แก่บุรุษผู้นั้นก่อนหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความฉงน เมื่อบุรุษผู้มีร่างกายแข็งแรงกำยำขันอาสาเป็นผู้กล้าลงสู่สนามที่เต็มไปด้วยความคุ้มคลั่งของสัตว์ใหญ่
“ชาวครีตันมิฆ่าวัว เหตุใดจึงต้องมอบกริชให้แก่บุรุษผู้นั้น” สิ้นคำกล่าวของสหายร่วมงาน เธเซียสได้แต่ยืนขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิด

“แต่เจ้าชายมิโนสตรัสกับข้าว่าชาวครีตันจะมิบูชายัญด้วยเลือดมนุษย์ แต่จะบูชายัญด้วยเลือดของวัวสีขาว”
“ตามธรรมเนียมย่อมต้องเป็นเช่นนั้น แต่ในทางปฏิบัติพวกเรามิทำ” เคออสกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะเดียวกันเธเซียสกลับนึกย้อนไปถึงการตายของหญิงผู้หนึ่ง

“คนเราเคารพนับถือสิ่งใด มิอาจบูชายัญด้วยของสิ่งนั้น” จากคำพูดของเคออสสร้างความมั่นใจอันแน่วแน่ให้แก่เธเซียส ว่าเชลยชาวเอเธนส์ถูกส่งมาเพื่อการบูชายัญอย่างมิต้องสงสัย
เพียงแต่เหตุผลใดทำให้เจ้าชายมิโนสจำต้องสร้างคำลวง

“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าการละเล่นกับวัวกระทิง จำเป็นต้องฆ่าทิ้งไปเสียเล่า ?” ฝ่ายเคออสย้อนถามอย่างสงสัย เมื่ออาจารย์ผู้ฝึกสอนเป็นถึงเจ้าชายรูปงามแห่งจักรวรรดิครีตัน แต่เหตุไฉนศิษย์เอกจึงมีความเข้าใจแบบผิด ๆ ไปได้
“เจ้าชายมิโนสตรัสกับข้าเช่นนั้น ข้าจะไปคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” เธเซียสยอกย้อนด้วยน้ำเสียงติดไม่สบอารมณ์
เหตุเพราะแผนการที่วางไว้ อาจสร้างหายนะให้แก่ตน

“ยินดีกับเจ้าด้วย” เคออสกล่าวพลางตบไหล่สหายสนิทด้วยจังหวะมิเบานัก
“ยินดีอันใด” เธเซียสเอ่ยถามเสียงขุ่น เมื่อใจเริ่มมิอยู่กับเนื้อกับตัว สายตาพลันเหลือบมองไปยังเรือนรับรองแห่งราชวงศ์ตรงริมสระบัว พบว่าบุรุษหน้าหวานกำลังเล่นกระดานเกมกับองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์อย่างรื่นรมย์

“ยินดีที่เจ้ากำลังได้รับการทดสอบอันใหญ่หลวงจากเจ้าชายมิโนส”


φ


[1] ซิสตรัม (sistrum) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะ เมื่อเขย่าแล้วจะมีเสียง
[2] ชั่วโมงที่ 4 ในยามเช้า เทียบเท่าได้กับเวลา 9 โมงในปัจจุบัน


[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการยืนและการนั่ง]
มาอัพแล้วค่ะ จริงๆ ช่วงสงกรานต์ตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องได้ 15 ตอน แต่ดูเหมือนเป้าหมายจะใหญ่เกินไป 555
สำหรับตอนนี้เราตั้งใจใส่กิจกรรมต่าง ๆ ของชาวครีตันเข้าไปในเรื่อง เพียงแต่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดถึงที่มาที่ไปของกิจกรรมนั้น เพราะพวกเขาพบเพียงแค่หลักฐานจากสิ่งที่หลงเหลือไว้

ซิสตรัมหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ https://imgur.com/a4GoimI
มีแบบที่ทำจากไม้ด้วยค่ะ https://imgur.com/t3Wpunm

ส่วนอันนี้คือเขาวัวอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประดับอยู่เหนือตัวอาคาร
https://imgur.com/iYAHpST

ส่วนอันนี้คือรูปวาดบนแจกันเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวค่ะ
https://imgur.com/K0dpjLr
https://imgur.com/v45lwgy

อันนี้ภาพจำลองสถานการณ์ที่อยู่บนแจกัน
https://imgur.com/oNFZaV3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2019 15:28:19 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 12

ถึงแม้เธเซียสจะมีเรื่องราวค้างคาใจหลังจากสนทนากับเคออส แต่กระนั้นก็มิอาจแบ่งปันสมาธิทั้งหมดไปที่เรื่องอื่นใด เมื่อกระทิงสีขาวบริสุทธิ์แต้มลวดลายสีดินแดง ถูกปลดปล่อยเข้ามายังคอกสัตว์ขนาดใหญ่ พลางวิ่งวนไปรอบ ๆ บริเวณด้วยความตื่นตระหนก แววตาของเธเซียสจึงสำรวจอาการของผู้ถูกพิษ
แต่ทว่าในจังหวะดังกล่าวกลับมีบุรุษผู้หนึ่งขันอาสาจะแสดงฝีมือ

บุรุษผิวคล้ำจึงได้แต่ปลีกตัวออกมาหาเซอร์ซีที่กำลังยืนปั้นหน้าเคร่งขรึมอยู่ตรงริมคอกวัว พลางเหลือบมองกันไปมาอย่างสื่อความหมาย จึงทำให้เธเซียสยิ่งเป็นกังวล
เมื่อ ‘ยาพิษ’ กำลังไหลเวียนเข้าสู่กระแสเลือดของเจ้าสัตว์ตัวใหญ่

เธเซียสจึงได้แต่ยืนครุ่นคิดพลางกัดเล็บด้วยความกังวล ในใจนึกอยากจะร้องเรียกเซอร์ซีเข้ามาให้คำปรึกษา แต่ในความเป็นจริงกลับมิอาจทำเช่นนั้น เนื่องจากเซอร์ซียังมีภาระหน้าที่ในสถานะของ ‘ผู้ดูแลคอกวัว’

“บุรุษผู้นั้น ใช่ท่านแพนดารัสหรือไม่ ?” บุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเธเซียส กล่าวพลางชี้ไปยังบุรุษผู้กล้าที่ในเวลานี้กำลังหลอกล่อสัตว์ใหญ่ด้วยความชำนาญ ส่งผลให้ท่วงท่าแห่งความพลิ้วไหว เคลื่อนคล้อยด้วยความงดงามและเด็ดเดี่ยว เรียกเสียงตะโกนแห่งความระทึกใจจากทุกผู้ในเวลาอันรวดเร็ว
“เป็นเขาจริง ๆ ข้าจำได้” บุรุษที่ยืนอยู่เคียงข้างเจ้าของประโยคเมื่อครู่ รีบยืนยันคำตอบอย่างมั่นใจ ร้องเรียกความสนใจจากเธเซียสได้เป็นอย่างดี
เพราะดูท่าแล้วชายหนุ่มผู้กล้า คงจะเป็นยอดฝีมือชื่อเสียงลือลั่น

“ผู้กล้าท่านนั้น เป็นผู้มีชื่อเสียงจากเมืองใดหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางหันไปมองจ้องบุรุษรูปร่างกำยำตีลังกาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ราวกับแปลงกายเป็นอาวุธร้าย ก่อนจะเหยียบย่างลงบนผืนดินด้วยท่าทีอันมั่นคง หนึ่งบุรุษหนึ่งสัตว์ใหญ่จึงมองจ้องกันอย่างแน่วแน่คล้ายกับรอจังหวะแห่งการห้ำหั่น
“เขามาจากเมืองไฟสทอส  เพียงแต่มิใช่ผู้กล้าดังเช่นผู้คนทั่วไป” หนึ่งในบุรุษผู้เปิดหัวข้อสนทนาให้คำอธิบาย

“ท่านน้าหมายความว่าอย่างไร ?” เธเซียสย้อนถามอย่างมิเข้าใจความหมาย
“เขาคือแม่ทัพแห่งกองทัพเรือครีตัน” บุรุษวัยกลางคนทางฝั่งซ้ายมือรีบไขความกระจ่าง

“อุวะ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบุรุษผู้กล้าท่านแรกคือขุนพลดีดะลัส” บุรุษวัยกลางคนทางฝั่งขวามือกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจที่ได้เห็นนายทหารยศใหญ่

ขณะเดียวกันบทสนทนาของราษฎร์ชาวครีตันกลับสร้างคำถามให้แก่เธเซียสเป็นอย่างยิ่ง เธเซียสจึงกลั้นใจเสี่ยงโชคดูอีกครั้ง เนื่องจากเขามองเห็นความผิดปกติบางอย่าง จากการที่นายทหารระดับสูงเข้ามามีส่วนร่วมกับประเพณีดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ประเพณีนี้ถือเป็นประเพณีแห่งการคัดเลือกผู้กล้าเข้าสู่กองทัพ
อีกทั้งเคออสสหายสนิทก็ดูมีความน่าสงสัย
เพราะเขามิได้รู้สึกผิดสังเกตดังเช่นราษฎร์กลุ่มนี้

ทว่าการตัดสินใจเสี่ยงโชคของเธเซียสดูเหมือนจะเป็นเรื่องถูกต้อง เพราะทันทีที่บุรุษผู้กล้ารายใหม่ สามารถทรงตัวอยู่บนแผ่นหลังของวัวกระทิงด้วยท่วงท่าแสนสง่า เพียงครู่ที่ปลายเท้าเหยียบย่ำลงบนผืนดิน บุรุษผู้ดูแลคอกวัวก็รีบตรงเข้ามารองรับร่างของกระทิงตัวดังกล่าว พลางใช้เชือกลากถูลู่ถูกังกลับเข้าไปยังคอกเล็ก จากนั้นกระทิงตัวดังกล่าวก็เอาแต่นอนสงบนิ่ง มิต่างจากกระทิงตัวแรกที่ผ่านการเล่นกายกรรมจากท่านแม่ทัพแพนดารัสมาอย่างโชกโชน
คล้ายกับว่านอกจากเธเซียสยังมีผู้อื่นตั้งใจจะวางยา

อดีตเชลยจึงเหลือบมองไปยังเรือนพักรับรองของราชวงศ์ เห็นเจ้าชายมิโนสและองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทรงยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับความสนใจจากกระดานเกมมิอาจดึงดูดไปมากกว่าประเพณีอันน่าตื่นเต้น จากนั้นเธเซียสก็แสร้งมองผ่านไปยังที่ประทับของพระนางปาซิฟาอีที่อยู่บนตัวอาคาร เพื่อรอดูปฏิกิริยาเพียงครู่
พบว่ามิมีความผิดปกติอันใด ราวกับการคัดเลือกทหารมิได้อยู่ในความรับผิดชอบพระนาง แม้ว่าตำแหน่งที่พระนางประทับอยู่จะเป็นบัลลังก์ของกษัตริย์ผู้ปกครองจักรวรรดิครีตันก็ตามที
เช่นนั้นก็แสดงว่า..
เจ้าชายมิโนสทรงยื่นมือเข้ามาแก้ปัญหาที่เขาก่อไว้ ?

เธเซียสลอบมองไปยังบุรุษผู้สูงศักดิ์ด้วยความมิเข้าใจ เนื่องจากเขากำลังสับสนเพราะการกระทำของเจ้าชายมิโนสแตกต่างจากคำพูดของเคออสที่บอกว่าตนกำลังถูกทดสอบอย่างใหญ่หลวง จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าใครคนนั้นกำลังทอดพระเนตรมาทางนี้ เธเซียสจึงรีบหันกลับไปสนใจการละเล่นกับวัวกระทิงอย่างมิมีทีท่าว่าจะออกไปร่วมวงแต่อย่างใด
เหตุเพราะเพลานี้สัตว์ใหญ่ที่โดน ‘วางยาพิษ’
สิ้นลมอยู่ในคอกสัตว์โดยที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ แม้ว่าอาการผิดปกติจะบังเกิด

“เพ้ย ๆ นั่นเจ้าคิดจะทำสิ่งใด มิได้ยินประกาศหรอกหรือ ?!” กระทั่งกระทิงสุขภาพดีตัวสุดท้ายถูกปล่อยเข้ามายังคอกใหญ่ เธเซียสก็ไม่รอช้ารีบแหวกฝูงชนออกไปแสดงความสามารถ แต่ทว่าเสียงร้องตะโกนไล่หลังจากบุรุษวัยกลางคนกลับสร้างความสงสัยอย่างเหลือล้น
เพราะเขามิเข้าใจว่าประกาศอันใดที่มิอาจทำให้ราษฎร์ชาวครีตันเข้าร่วมประเพณีดังเช่นวันวาน

กระทั่งเธเซียสกระโดดข้ามคอกไม้เข้ามายืนบนสนาม เขาจึงมองจ้องวัวกระทิงตัวใหญ่ที่มีเส้นขนสีดำขลับอย่างแน่วแน่ พบว่าคู่ต่อสู้กลับไร้แววกระตือรือร้นอย่างสิ้นเชิง หัวคิ้วจึงขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด
เหตุเพราะท่าทีของวัวกระทิงในที่แห่งนี้
ล้วนแตกต่างกับวัวกระทิงตัวที่เจ้าชายมิโนสทรงเคยแสดงพระปรีชาสามารถ

เธเซียสจึงเดินเยื้องย่างเข้าไปใกล้สัตว์ใหญ่ผู้มีเรียวเขาอันงามสง่าที่กำลังยืนจ้องอย่างระแวดระวังภัย แววคุกคามจึงแผ่ซ่านออกมาจากร่างของบุรุษจากต่างแดนอย่างเชื่องช้า ส่งผลให้กระทิงตัวดังกล่าวพุ่งเข้าหาเธเซียสอย่างมิทันให้ตั้งตัว แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังพอจะหลบหลีกได้ เขาจึงอาศัยจังหวะเหมาะโหนกายโดยใช้เรียวเขาอันโค้งงอเป็นหลักยึด
ทว่ามันกลับสลัดทีเดียวร่างกายของเธเซียสก็ลอยละล่องลงกับพื้น พลางลื่นไถลจนแผ่นหลังชิดติดกำแพงไม้ ส่งผลให้บริเวณแขนเต็มไปด้วยบาดแผล แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้ใส่ใจ เขาจึงยืนจนเต็มความสูงพลางเยื้องย่างเข้าใกล้กระทิงตัวดังกล่าว สัตว์ใหญ่จึงเริ่มพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ด้วยความหงุดหงิด
โดยมีช่วงจังหวะหนึ่งที่เธเซียสรับรู้ได้ว่า...
การเคลื่อนไหวของมันเป็นไปอย่างไม่มั่นคง

ยิ่งการรับมือกับเธเซียสดำเนินไปนานเท่าใด กระทิงตัวนี้ก็ยิ่งทวีความหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น แต่ทว่ามันกลับมิยอมพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ทันทีที่มีโอกาส แต่กลับรอให้คู่ต่อสู้พุ่งเข้าหาตนเองก่อน
นับว่าผิดวิสัยการป้องกันตัวตามสัญชาตญาณสัตว์

เมื่อเห็นท่าไม่ดีเธเซียสจึงอาศัยจังหวะที่เจ้ากระทิงผู้งามสง่ากำลังขาดสมาธิ พุ่งเข้าหาเรียวเขาอันโค้งงอพร้อมกับยกคอเชิดขึ้นด้วยพลังกายทั้งหมดที่มี ก่อนจะดีดตัวขึ้นกลางอากาศ ทว่าเจ้ากระทิงตัวดังกล่าวกลับหลบหลีกได้อย่างทันท่วงที พร้อมวกกลับมาหาเธเซียสที่กำลังจะเหยียบย่ำลงบนพื้น ส่งผลให้อาวุธร้ายประจำตัวขูดหน้าขาของเธเซียสจนเป็นทางยาว จากนั้นร่างกายพลันลื่นไถลอย่างมิอาจควบคุม แต่ทว่าเธเซียสมิอาจมีเวลาตั้งตัว สัตว์ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นจึงรีบวิ่งกวดเข้ามาหาผู้บาดเจ็บ
บุรุษผู้มีไหวพริบจึงคำนวณความอยู่รอดภายในช่วงเวลาสั้น ๆ
จากนั้นก็อาศัยช่องว่างใกล้ ๆ ไถลตัวหลีกหนีจากวิถีอันตราย

ฝ่ายกระทิงผู้เสียรู้รีบกลับหลังหันไปยังทิศทางที่เธเซียสกำลังคลุกฝุ่น จากนั้นมันก็พุ่งเข้าหาอย่างมีน้ำโห เธเซียสจึงพยายามจะใช้เรียวเขาของมันเป็นหลักยึด พร้อมดีดตัวเองขึ้นสู่เบื้องบน ขณะเดียวกันเจ้าสัตว์ตัวใหญ่กลับมิให้ความร่วมมือ
วิถีแห่งการคำนวณจึงผิดพลาด

กระทั่งเธเซียสกลับมายืนตั้งหลักอยู่ข้างหลัง เขาจึงกระโดดคร่อมแผ่นหลังของวัวตัวนั้น พลางจับเรียวเขาอย่างแน่นหนา เพื่อมิให้มันสลัดตัวเขาลงกับพื้น จากนั้นเธเซียสก็อาศัยจังหวะที่กระทิงตัวดังกล่าววิ่งลู่ไปกับคอกไม้ ส่งผลให้หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ใหญ่ จำต้องมองจ้องกันจากคนละฟากฝั่งอย่างแน่วแน่
ซึ่งท่าทีของกระทิงตัวดังกล่าวกลับไร้วี่แววแห่งการรุกราน

เธเซียสจึงยืนนิ่งเพื่อรอให้คู่ต่อสู้ไร้ซึ่งความสนใจสิ่งรอบข้าง จากนั้นเขาก็จับยึดเรียวเขาอันแหลมคมพลางยกใบหน้าของเจ้าวัวตัวดังกล่าวด้วยพลังเฮือกสุดท้าย เหตุเพราะเพลานี้แขนของเขากำลังด้านชาจากการถูลู่ถูกังจนเลือดอาบ
ไม่นานบุรุษหนุ่มจากต่างแดนก็เหวี่ยงตนเองในลักษณะครึ่งวงกลม พลางยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนแผ่นหลังของวัวตัวนั้น ครู่เดียวเธเซียสจึงกระโดดลงมายืนอยู่บนพื้นอย่างสง่างาม
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีจึงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

ขณะเดียวกันผู้ดูแลคอกสัตว์จำต้องวิ่งเข้ามารองรับร่างของกระทิงตัวดังกล่าว พร้อมใช้เชือกเส้นใหญ่คล้องลากมิต่างจากกระทิงตัวอื่น ๆ เธเซียสจึงอาศัยจังหวะนั้นเดินเคียงคู่ไปกับเซอร์ซี
“ฮัลกิล ” เซอร์ซีกระซิบแผ่วราวกับรู้ใจผู้เป็นนาย ซึ่งเธเซียสก็มิได้แสดงท่าทีใด ๆ นอกจากเดินผ่านนายทหารคนสนิท แต่ในหัวกลับขบคิดถึงสรรพคุณของต้นฮัลกิลที่มีความเกี่ยวข้องทางการแพทย์ จึงจำได้ว่าพืชชนิดดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากชาวสุเมเรียน โดยพวกเขาเรียกมันว่า ‘ต้นไม้แห่งความสุข’ ส่วนน้ำยางจากกระเปาะฝิ่นแก่ เรียกมันว่า ‘น้ำทิพย์’ จากนั้นก็แผ่ขยายมาจนมาถึงชาวอัสซีเรีย บาบิโลเนีย และอียิปต์
เหตุเพราะสรรพคุณของมัน ใช้ระงับอาการปวดและทำให้เกิดอารมณ์เคลิบเคลิ้ม
อีกทั้งยังเป็นยาช่วยให้นอนหลับ รวมถึงเป็นยาแก้อาการท้วงร่วง

จักรวรรดิอียิปต์จึงเริ่มแผ่ขยายพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกต้นฮัลกิลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองธีเบธทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ ส่งผลให้การค้าเป็นไปอย่างรุ่งเรืองจนสามารถแผ่ขยายเส้นทางการค้ามาจนถึงราชอาณาจักรฟินีเซีย และจักรวรรดิครีตัน รวมไปถึงนครรัฐต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
ซึ่งเธเซียสยังจดจำได้ดีว่าทุ่งดอกฮัลกิลหลากสีของเมืองธีเบธงดงามเพียงใด
นับได้ว่าประสบการณ์เลวร้ายจากนางหญิงชั่ว สามาถเสริมสร้างความรู้รอบตัวให้แก่เธเซียสได้เป็นอย่างดี

“เจ้าเดินทอดน่องมาตั้งไกล มิปวดแผลบ้างเลยหรือ ?” สิ้นสุรเสียงของผู้มาใหม่ภวังค์แห่งความคิดของเธเซียสจำต้องแตกสลาย
“พระองค์..” เธเซียสได้แต่อ้ำอึ้งเพราะเขามิเคยคาดคิดว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงสะกดรอยตามมาตั้งแต่ลานกว้างใจกลางพระราชวัง จวบจนใกล้จะถึงเรือนพำนักของเหล่าข้าหลวงที่อยู่ทางทิศใต้

“หรือว่าเจ้าก็ได้ลิ้มรสฮัลกิลเหมือนกับวัวพวกนั้น ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางแย้มสรวล
“โธ่! พระองค์” เธเซียสร้องประท้วงพร้อมกับเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบตรงบริเวณบาดแผล

“ไปทำแผลกับเรา หมดเวลาเล่นสนุกของเจ้าแล้ว” สุรเสียงแกมดุเปล่งวาจาออกมาอย่างน่าเกรงขาม แต่ทว่าการกระทำของเจ้าชายมิโนสกลับอ่อนโยนราวกับพระองค์กำลังโอบประคองอนุชาตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้แววตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายของบุรุษผิวคล้ำวูบไหวเพียงครู่
แต่หัวใจกลับเพิ่มแรงสั่นพร่าอย่างมิอาจห้ามปราม
เพียงเพราะท่าทีแห่งความห่วงใยของบุรุษผู้สูงส่ง


φ

[1] ไฟสทอส (Phaistos) เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิมิโนอันหรือครีตัน
[2] ฮัลกิล หรือ ฝิ่น ชาวสุเมเรียนรู้จักการปลูกฝิ่นมาตั้งแต่ 3,400 ปีก่อนคริสตกาล ถือเป็นชนชาติแรกของโลกที่รู้จักการปลูกฝิ่นและใช้ประโยชน์จากฝิ่น
   
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ยาเสพติดดึกดำบรรพ์ https://joo.gl/3vHQ
- ฝิ่น https://joo.gl/Z7wGz
- ฝิ่นกับวิถีชุมชนบนที่สูง https://joo.gl/QEDSq
- Bull Leaping (ข้อมูลภาษาอังกฤษนะคะ) https://joo.gl/jAp7n6

edit 23/05/2019 เปลี่ยนชื่อเมืองจาก ฟาเอสทอส เป็น ไฟสทอส ตามข้อมูลจากวิกิพีเดีย
[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการยืนและการนั่ง]

มีความพยายามจะเขียนฉากแอคชั่นมาก ๆ แต่ก็ได้เท่านี้ 555 เดี๋ยวเราจะพยายามลับฝีมือไปเรื่อย ๆ ค่ะ ตรงไหนที่ต้องปรับปรุงบอกได้นะคะ เผื่อเราจะเอาไว้ปรับตอนรีไรต์ ว่าแต่เจ้าชายมิโนสตั้งใจช่วยเธเซียสหรือว่าอะไรยังไงน้า แล้วเคออสไว้ใจได้มั้ยโปรดติดตามค่ะ สนุกไม่สนุกยังไงบอกเราด้วยนะคะ เราเขียนเองจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรค่ะ ตายด้านไปแล้ววว

ปล. วันหยุดใกล้หมดแล้ว ต่อไปคงมาได้แค่อาทิตย์ละตอนเหมือนเดิมน้า ส่วนปมหลักหลังจากนี้จะดำเนินเข้าเรื่องอีกครั้งค่ะ โปรดจับตาความผิดสังเกต >.<

https://imgur.com/nn4EwDS
https://imgur.com/8uwTk2n

Cr : elier sanz @ pinterest / Λόγιος Ερμής @ pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2019 11:23:39 โดย Chomin »

ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สนุกมากค่ะ
คนที่เคยอ่านคำสาปฟาโรห์น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องราวบนเกาะครีตนะคะ
สามารถเห็นภาพโดยไม่ต้องเข้าไปดูในลิ้งค์เลยค่ะ
แถมได้ความรู้อื่นๆอีกเยอะเลย
เราก็ชื่นชอบประวัติศาสตร์แนวๆนี้เหมือนกัน
เพียงแต่เราเน้นอียิปต์เท่านั้นเอง

รออ่านตอนต่ออยู่นะคะ
กำลังสนุกเลย

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 13

“เราทำเอง” ทันทีที่เดินทางมาถึงห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส เหล่านางกำนัลต่างเข้ามากลุ้มรุมผู้บาดเจ็บเสียยกใหญ่ แต่ทว่าบุรุษหน้าหวานกลับขันอาสารับหน้าที่ปรนนิบัติด้วยองค์เอง
ความเงียบเชียบจึงปกคลุมอยู่รอบกาย

“เจ้าลอบยิ้มด้วยเรื่องอันใด ?” แต่แล้วใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธเซียสที่ผ่านการทำความสะอาดเนื้อตัวจนหมดจดก็สร้างความฉงนให้แก่บุรุษผู้สูงส่ง
“กระหม่อมเพียงแต่คาดมิถึงว่าพระองค์จะทรง..” เธเซียสกล่าวพลางนั่งกอดอกพิงกำแพง ขณะมองดูบุรุษหน้าหวานในฉลองพระองค์สำหรับเข้าร่วมพระราชพิธี กำลังตั้งหน้าตั้งตาแต้มน้ำผึ้งลงบนบาดแผลบริเวณเรียวขา
เพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการบวมช้ำและยังช่วยฆ่าเชื้อ

“เจ้าทำแผลเป็นหรือไม่ ?” สิ้นดำรัสถามจากบุรุษตรงหน้า เธเซียสจึงขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจ แต่กระนั้นก็ยอมตอบไปตามความจริง
“เป็นพ่ะย่ะค่ะ”

“เราเองก็มิต่างจากผู้คนทั่วไป” สิ้นสุรเสียงเรียบนิ่ง คำตอบอันบ่งบอกถึงความเป็นเจ้าชายมิโนส ผู้ซึ่งใช้ชีวิตเรียบง่ายก็ปรากฏ
“เหตุใดพระองค์จึงทรงใช้ฮัลกิลกับวัวพวกนั้นพ่ะย่ะค่ะ ?” บุรุษผู้บาดเจ็บทูลถามพลางลอบมองปฏิกิริยาของเจ้าชายมิโนสอย่างละเอียด จึงพบว่าช่วงเวลาสั้น ๆ สัมผัสตรงบริเวณบาดแผลเกิดความหนักเบาอย่างผิดสังเกต
คล้ายกับคำถามของเธเซียส สร้างความหนักพระทัยให้แก่ผู้ถูกถาม

“น้องพี่..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางวางอุปกรณ์ทำแผลลงบนผ้าขาวสะอาดที่อยู่ใกล้ ๆ ตัว
“…”

“เจ้าก่อเรื่องเสียมากมาย หากเรามิออกหน้า เจ้าคิดว่ามันจะราบรื่นหรือ ?” ดำรัสถามส่งตรงมาพร้อมกับดวงเนตรอันลึกซึ้งแฝงความห่วงใยอย่างเปี่ยมล้น ส่งผลให้เธเซียสมองจ้องดวงเนตรคู่นั้นราวกับต้องมนตร์
“พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่ากระหม่อมก่อเรื่องอันใดไว้ ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความฉงนพลางผินหน้ามองบาดแผลของตน เนื่องจากเขายังมิอาจเข้าใจว่าคราบโคลนเหล่านั้น
ทำให้บุรุษตรงหน้าตีความแผนการจนหมดสิ้นได้อย่างไร

“การไปที่คอกวัวของเจ้า หากมิต้องการฆ่าคงเป็นการวางยา” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางลงมือทำแผล ขณะที่ผู้บาดเจ็บกลับรับรู้ได้เพียง ‘ความฉลาดหลักแหลม’ ของเจ้าชายพระองค์นี้
“เหตุใดพระองค์จึงทรงวางแผนซ้อนแผนเช่นนี้ ในเมื่อการละเล่นกับวัวกระทิงจำเป็นต้องฆ่ามันอยู่แล้ว” เธเซียสย้อนถามอย่างตรงประเด็น ส่งผลให้บุรุษผู้งามสง่าหยุดการเคลื่อนไหว

“พระองค์ทรงสรวลกระหม่อมด้วยสาเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความฉงน
“เจ้าเข้าใจว่าเราชี้นำให้เจ้าฆ่าวัวกระทิงอย่างนั้นหรือ ?” บุรุษผู้สูงส่งตรัสถามพลางขยับวรกายขึ้นมาประทับตรงหัวเตียง เพื่อที่จะได้ทำแผลบริเวณแขนของผู้บาดเจ็บ

“พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยังคงตอบด้วยท่าทีหน้าซื่อตาใส
“น้องพี่..”

“เหตุที่พี่ใช้ฮัลกิลในยามซุ่มซ้อม เป็นเพราะพี่มิได้ต้องการจะฆ่ามัน แต่ครั้นจะต้อนเข้าคอกสัตว์ดังเช่นงานประเพณี เจ้าคิดว่าเราสองจะทำกับสัตว์ที่อยู่กินตามธรรมชาติได้หรือ ?” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางบรรจงแต้มน้ำผึ้งลงบนบาดแผลอย่างแผ่วเบา เพียงแต่โอษฐ์หนากลับมิยอมหยุดสรวลด้วยความเอ็นดู เมื่อเธเซียสดันเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง
“กระหม่อมช่างโง่เขลานัก” บุรุษผู้บาดเจ็บกล่าวพลางถูไถปลายจมูกแก้เก้อ พร้อมกับพยายามทำความเข้าใจเหตุผลส่วนพระองค์ของเจ้าชายมิโนสที่ชักชวนให้ตนเดินทางไปยังอาณาเขตของป่าใบเขียว
ฉับพลันหัวข้อสนทนาท่ามกลางป่าเขาก็บ่งบอกได้ดีว่า..
เจ้าชายมิโนสทรงต้องการหลบหน้าผู้เป็นมารดา

“ความต่างทางวัฒนธรรม ผู้มิรู้ย่อมมิผิด” สิ้นคำกล่าวนั้นเธเซียสได้แต่ลอบมอบบุรุษผู้แสนใจดีแน่นิ่ง ขณะที่ในหัวกำลังนึกถึงภาพวาดเฟรสโกบนฝาผนัง จึงพบว่าบุรุษผิวสีน้ำตาลไหม้ที่กำลังเล่นกายกรรมอยู่บนแผ่นหลังของสัตว์ตัวใหญ่ คงจะเปรียบเสมือนเธเซียส ส่วนสตรีผิวขาวที่กำลังรองรับเขาของวัวกระทิง คงจะเปรียบเสมือนผู้ดูแลคอกวัว
ดังนั้นเมื่อจบภารกิจจึงมิจำเป็นต้อง ‘ฆ่า’ หรือ ‘วางยา’ เหตุเพราะผู้ดูแลคอกวัวสามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ ส่วนการเลือกใช้นายทหารระดับสูง คงเป็นเพราะเจ้าชายพระองค์นี้มิประสงค์ให้เกิดความผิดพลาด

“เหตุใดพระองค์จึงทรงคัดเลือกทหารจากการละเล่นกับวัวกระทิงหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามพลางมองจ้องบาดแผลที่ถูกเคลือบด้วยของเหลวสีน้ำตาลอ่อน
“เมื่อพบเจอสถานการณ์อันคับขัน สิ่งแรกที่เรามองเห็นคือไหวพริบของคนผู้นั้น และอย่างที่สองคือความคล่องตัว” เธเซียสยกยิ้มเพียงเล็กน้อย เมื่อเจ้าชายมิโนสทรงเงยพักตร์ขึ้นมาสบตากัน ขณะที่ในใจกลับวิเคราะห์ได้ว่าประเพณีอันดีงามถือเป็นฉากบังหน้าชั้นดีว่าชาวครีตันมิสนใจการรบราฆ่าฟัน
ดังนั้นหากเกิดเหตุสงคราม
ผู้มิรู้ย่อมต้องเสียรู้อยู่วันยังค่ำ

“นอนเสียเถิด เรามิรบกวนเจ้าแล้ว” กระทั่งทำแผลจนเสร็จสิ้น เจ้าชายมิโนสจึงทรงปรนนิบัติผู้บาดเจ็บโดยจัดแจงท่านอนให้เป็นอย่างดี ส่งผลให้เธเซียสได้แต่มองตามการเคลื่อนไหวของบุรุษร่างสูงจวบจนกระทั่งพระองค์เลือนหายไปจากสายตา เธเซียสจึงมุดตัวเข้าไปแอบซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าลินินผืนนุ่ม ขณะเดียวกันเหล่านางกำนัลที่ยังคงนั่งรออยู่ข้างนอกอย่างสงบเสงี่ยม ต่างเดินรี่เข้าไปยังห้องสรงน้ำทันทีที่เจ้าชายมิโนสทรงเรียกหา
ไม่นานจากนั้น..
กลิ่นเครื่องหอมที่ใช้ผสมน้ำอาบ จึงลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ

ฝ่ายเธเซียสได้แต่นอนเซื่องซึม เมื่อความเงียบงันรายล้อมอยู่รอบตัว ขณะที่แววตากลับมองจ้องบาดแผลแน่นิ่ง เพราะในหัวพลันนึกถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายเมื่อครั้งเยาว์วัย ซึ่งวันนั้นเป็นวันแห่งการล่าสัตว์เพื่อใช้คัดเลือกทหารกล้า บรรดาราชวงศ์แห่งไมซีเนียนจึงเสด็จประพาสป่าเพื่อทอดพระเนตรงานสำคัญด้วยพระองค์เอง
ทว่าวันนั้นกลับเป็นวันสุดท้ายที่เธเซียสได้โอบกอดผู้เป็นมารดา

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้บุรุษผู้กำลังเซื่องซึม จึงใช้ปลายนิ้วกดบริเวณหัวตาและหางตา เพื่อมิให้หยาดน้ำแห่งความอ่อนแอรินไหล ซึ่งวิธีดังกล่าวคือวิธีที่เขาใช้มันเสมอ แต่ทว่าในหัวกลับมองเห็นภาพของพระมารดาถูกสิงโตขนาดมหึมากระโจนเข้าใส่ พร้อมฉีกทึ้งร่างจนเลือดสาดกระเซ็น
ขณะที่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ยังคงติดตรึงมิเคยเสื่อมคลาย ดังนั้นค่ำคืนที่อสนีบาตเคยฟาดฟันลงบนผืนแผ่นดินของจักรวรรดิครีตัน เธเซียสจึงมิอาจหลับใหลด้วยเพราะเรื่องดังกล่าว
หาใช่เพียงเพราะความเคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องเชลยศึก

ทว่าเหตุการณ์เลวร้ายกลับมิจบลงแค่นั้น เมื่อการหลบหนีของสองพี่น้องถูกหยุดยั้งด้วยราชสีห์ผู้งามสง่า เสด็จพี่จึงผลักไสให้เขาหลบหนี แต่เธเซียสกลับมิกล้าทอดทิ้งผู้เป็นพี่ เขาจึงหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าขนาดสูงเกินกว่าศีรษะของเด็กชายวัย 6 ปีจะโผล่พ้น
และมันก็ทำให้เขามองเห็นนางกำนัลข้างกายของนางหญิงชั่ว
ซึ่งนางก็มองเห็นเขาด้วยเช่นกัน

เด็กชายตัวจ้อยจึงระหกระเหินไปยังป่าลึก ยิ่งใกล้ราตรีกาลความน่ากลัวก็ยิ่งแผ่กำจายออกมาจนรอบทิศ แต่กระนั้นเธเซียสก็มิมีกระจิตกระใจจะคิดสิ่งใด
เพราะเขากำลังถูกคนใจชั่วตามล่าเพื่อหมายเอาชีวิต
และการหลบหนีในครั้งนั้นก็ทำให้เขาได้เผชิญหน้ากับสุนัขป่าผู้มีนัยน์ตาดุจอัญมณี

น้ำตาหยดแรกของเด็กชายผู้เข้มแข็งจึงก่อเกิดขึ้น และวันนี้น้ำตาของเธเซียสก็เริ่มไหลริน เพียงเพราะสัมผัสอุ่นซ่านของเจ้าชายมิโนสที่กำลังลูบไล้เรือนผมราวกับต้องการปลอบขวัญซึมลึกมาจนถึงหัวใจที่แห้งผาก
บุรุษผู้ซึ่งกำลังอ่อนไหวจึงเริ่มไขว่คว้าหาความอ่อนโยนของชายผู้นั้น
จนกระทั่งอ้อมกอดที่เพิ่งจะได้รับ พร่ำสอนให้เธเซียสรู้จักคำว่า ‘ความปลอดภัย’ อย่างแท้จริง

กระทั่งกำหนดการณ์ที่องค์ฟาโรห์จะเสด็จกลับจักรวรรดิอียิปต์เดินทางมาถึง เจ้าชายมิโนสและนางกำนัลดาฟเน่จึงต้องคอยอำนวยความสะดวกให้แก่สหายต่างแดน จนมิมีเวลาสนใจอดีตเชลยที่กำลังนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้องบรรทม
นับว่าเป็นโอกาสอันดีต่อการสืบหาเรื่องราวของมิโนทอร์
โดยเริ่มจากการพิสูจน์ ‘ความเชื่อมั่น’ เป็นสิ่งแรก

ทว่าความไว้วางใจที่เจ้าชายมิโนสทรงประทานมาให้ กลับทำให้เธเซียสรู้สึกปวดร้าวในอกอย่างบอกมิถูก ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวมิเคยเกิดกับบุรุษผู้นี้ แต่หลังจากวันที่ได้เรียนรู้อ้อมกอดแห่งความปลอดภัย
ความไหวหวั่นกลับมีอิทธิพลเกินกว่าจะคาดเดา
เพลานี้เธเซียสจึงยืนลังเลต่อเป้าหมาย แม้ว่าจะมิมีราชองครักษ์มาคอยเฝ้าดู

แต่พอนึกถึงความไว้วางใจของเสด็จพ่อที่ส่งผลต่อ ‘อำนาจ’ ในระดับที่ผู้ใดก็มิอาจมองข้าม เธเซียสจึงมองเห็นหนทางที่จะกำจัดนางหญิงชั่ว และทำให้เสด็จพ่อมิหลงโง่งม
เขาจึงมิยืนลังเลอีกต่อไป..

ทันทีที่เดินทางลัดเลาะมาจนถึงท่าเรือตรงปากทางเข้าห้องใต้ดิน เธเซียสจึงรีบจุดคบไฟที่แอบเอามาจากห้องปั้นดินเผา พร้อมตรวจตรามีดกริชที่เหน็บไว้ตรงข้างเอวเพื่อความอุ่นใจ จากนั้นปลายเท้าของเธเซียสจึงเริ่มเหยียบย่างลงบนพื้นที่มีลวดลายของดอกไม้ชนิดโปรดของเจ้าชายมิโนส
กระทั่งเดินมาจนถึงทางแยก เธเซียสจึงเล็งเห็นว่าพื้นที่ตนเองเหยียบย่ำ ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองลวดลาย ซึ่งลวดลายที่หนึ่งคือดอกลิลลี่ ส่วนลวดลายที่สองคือสัตว์ทะเล
บุรุษหน้าคมจึงเลือกใช้เส้นทางของดอกลิลลี่.. 

ขณะที่สายตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายกลับสอดส่ายไปรอบ ๆ บริเวณอย่างระแวดระวัง ประสาทสัมผัสทางการได้ยินก็คอยแต่จะเพ่งพินิจไปยังเสียงสะท้อนที่กำลังดังก้องอยู่ในเขาวงกต
แต่ทว่าเสียงดังกล่าวกลับมีเพียงเกลียวคลื่นจากคูคลองตรงสุดปลายทางอีกด้านหนึ่ง

“เลือด” เธเซียสอุทานโดยมิออกเสียง พลางกวาดสายตามองรอบ ๆ บริเวณอย่างละเอียด พบว่าภาพวาดของดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงของผู้ซึ่งกลายสภาพเป็นศพได้อย่างลงตัว
จนเธเซียสแทบจะมองมิออกว่าสีดังกล่าวผสมมาจากสิ่งใด

เมื่อเห็นดังนั้นฝ่ามือที่เคยถือคบเพลิงจึงเริ่มกุมแน่น ขณะที่มือพลันกระชับมีดกริชตรงข้างเอวอย่างมิไว้วางใจ เนื่องจากเธเซียสเริ่มรับรู้ได้ว่า มิโนทอร์มิมีอยู่จริง เพราะหากสัตว์ประหลาดที่เสด็จพ่อทรงหวาดหวั่น ถูกกักขังไว้ยังที่แห่งนี้
เชื่อได้ว่าทันทีที่เสียงสะท้อนของปลายเท้าก่อเกิดขึ้น
ย่อมต้องปลุกมันขึ้นจากนิทรา

กระทั่งบุรุษผิวคล้ำเดินทะลุมายังปากทางเข้าอีกด้านหนึ่ง กลิ่นไอของลมทะเลจึงแตะอยู่ตรงปลายจมูก แต่กระนั้นเธเซียสก็มิมีเวลาจะมายืนทอดอารมณ์อยู่ที่นี่ เขาจึงวกกลับเข้าไปยังเส้นทางเดิม จนพบทางแยกลวดลายสัตว์ทะเล เขาจึงเลือกใช้เส้นทางดังกล่าว ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขามั่นใจว่ามิเคยเหยียบย่าง
เหตุเพราะบริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยกลิ่นอับของอะไรบางอย่าง
เพียงแต่มันเจือจางจนบางเบายากจะบ่งบอก

ไม่นานเธเซียสก็เดินมาจนถึงทางตัน เขาจึงเดินเยื้องย่างเข้าไปหาบรรดาเครื่องปั้นดินเผาขนาดเทียบเท่าพีโรอี บรรจุ ‘ศพ’ พบว่าข้างกันนั้นมีโถแอมโฟร่าวางตั้งอยู่ เธเซียสจึงลองดอมดมด้วยความสนใจ
กลิ่นหอมหวานของ ‘น้ำผึ้ง’ จึงลอยเตะปลายจมูก
ซึ่งของเหลวชนิดดังกล่าวมักจะใช้ในการดองศพ

“เตรียมการไว้พลั่งพร้อมถึงเพียงนี้ เหตุใดครานั้นจึงขนย้ายศพอย่างมิระมัดระวัง” เธเซียสรำพึงกับตนเองด้วยความข้องใจต่อเหตุการณ์ที่ประสบ ยิ่งวิเคราะห์ไปถึงท่าทีหวาดกลัวของเหล่าทหารกล้า ก็ยิ่งมิเข้าใจว่าพวกเขาหวาดกลัวสิ่งใด
เธเซียสจึงเริ่มวิเคราะห์จากเครื่องปั้นดินเผา คาดว่าคงเป็นเครื่องปั้นชุดที่สั่งทำหลังวันเกิดเหตุ แต่ทว่าการบูชายัญย่อมต้องมีการกำหนดฤกษ์งามยามดีมิใช่หรือ
แล้วการเตรียมการจะเกิดความผิดพลาดได้อย่างไร ?



φ

[1] พีโรอี (PITHOI) คือโถใบใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับแจกัน นักโบราณคดีวิเคราะห์ว่าพีโรอีมีไว้ใส่อาหาร ธัญพืช น้ำมันมะกอก และเหล้าองุ่น แต่คุณวันเดอลิชมีความเชื่อว่าโถใบใหญ่ขนาดนี้ น่าจะมีไว้ใส่ศพมากกว่า ซึ่งคนโบราณนิยมดองร่างด้วยน้ำผึ้ง ส่วนหินที่คิดว่าเป็นยุ้งก็น่าจะเป็นสุสานเสียมากกว่า เช่นเดียวกับภาพเขียน คงไม่ได้มีไว้ตกแต่ง แต่น่าจะเป็นวิธีบอกวิญญาณถึงการเปลี่ยนสภาวะไปสู่ชีวิตหลังความตาย

บทความที่เกี่ยวข้อง
- อารยธรรมกรีกโบราณ https://joo.gl/1qgG
- ปริศนาเขาวงกต https://joo.gl/r51YKO
- แพทย์แผนดึกดำบรรพ์สมัยไอยคุปต์ https://joo.gl/NcqV


[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการนั่ง]

มาต่อแล้วจ้าพอดีเขียนเสร็จเร็วกว่าที่คิด ช่วงนี้ก็เลยลงรัว ๆ หน่อย ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามค่ะ ดีใจที่มีคนชอบแนวเดียวกันมาตามอ่านด้วยเหมือนเจอพรรคพวก เพราะแนวนี้หาอ่านยากมากจริง ๆ เราเลยตัดสินใจเขียนเอง แต่ก็ต้องต่อสู้กับตัวเองไม่ให้ท้อถอยพอสมควรเลยค่ะ จริง ๆ เราสั่งหนังสือไปแล้วด้วยค่ะ แต่ปรากฏว่ามีเรื่องเกี่ยวกับอารยธรรมไมนวนอยู่ 3 บรรทัด! อยากจะร้องไห้ 55555 จะสั่งซื้อหนังสืออารยธรรมกรีกก็ลังเล กลัวช้ำใจแบบเล่มก่อน 5555

รูปด้านล่างคือพีโรอีค่ะ เราว่าหน้าตาของมันคล้ายกับกระถางใส่ต้นไม้ของบ้านหลังหรู ๆ หน่อย จริง ๆ เราเคยเจอรูปพีโรอีแตกจนเห็นโครงกระดูกที่บรรจุอยู่ข้างในด้วยค่ะ แต่จำไม่ได้ว่าเห็นมาจากเว็บไหน เท่าที่เคยอ่านจำได้ราง ๆ เหมือนกับว่าพอเกิดภัยพิบัติ ชาวไมนวน หรือ มิโนอัน (ชาวครีตัน) ก็เริ่มไม่เคารพนับถือเทพมารดา จึงมีการบูชายัญมนุษย์เกิดขึ้น ซึ่งมนุษย์เนี่ยเป็นญาติพี่น้องของตัวเองด้วยค่ะ จุดนี้เราเลยเอามาปรับกับเนื้อเรื่องเล็กน้อย เพียงแต่ต้องติดตามกันต่อไปว่าในเรื่องเกี่ยวกับอะไรกันแน่ อีกอย่างคือในเว็บไทยเท่าที่เราอ่านเจอคือชาวมิโนอันจะบวงสรวงวัว เราตีความว่าน่าจะเป็นการบูชายัญ แต่ในเว็บอังกฤษที่เราอ่านเจอชาวมิโนอันจะไม่สังหารวัวค่ะ เพราะเขานับถือวัวกระทิงด้วย สังเกตได้จากรูปปั้นต่าง ๆ ตรงนี้เราก็เลยเอามาปรับอีกเช่นกัน เราว่าเรื่องของประวัติศาสตร์ค่อนข้างดิ้นได้เยอะมาก อยู่ที่ใครจะตีความอย่างไร

https://imgur.com/4XrJjVH

Cr. west-crete.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:20:22 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 14

เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ดังก้องไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้เธเซียสตื่นจากภวังค์แห่งความคิด เขาจึงรีบรุดออกจากห้องใต้ดินอย่างรวดเร็ว พร้อมทำลายหลักฐานด้วยการนำมีดกริชและคบไฟวางทิ้งไว้ในอดีตห้องปฏิบัติงาน
ทว่าในระหว่างที่ชายหนุ่มผิวคล้ำกำลังเดินทางกลับสู่ห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส ในหัวล้วนเต็มไปด้วยความครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวของห้องใต้ดิน จึงอยากวิเคราะห์ร่วมกันกับเซอร์ซี แต่ก็มิอาจทำได้
เนื่องจากนายทหารคนสนิทเกิดหายตัวไปอย่างเงียบเชียบ

“เจ้าไปเดินเล่นมาหรือ ?” ทันทีที่สองบุรุษเดินมาบรรจบกันตรงทางเดินจากคนละฝากฝั่ง เจ้าชายมิโนสจึงเป็นฝ่ายตรัสถาม ทว่าเธเซียสกลับมิได้ยิน บุรุษในเครื่องทรงสง่าผ่าเผยจึงดำเนินไปตามการก้าวย่างของเธเซียส ที่ราวกับจิตใจรับรู้ได้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่แห่งหนใด
เพียงแต่ความนึกคิดกลับหลุดลอยไปยังที่ที่ไกลกว่านั้น

กระทั่งเดินทางมาจนถึงจุดหมาย อดีตเชลยจึงเปิดประตูไม้และก้าวเข้าไปยังห้องบรรทม เพียงแต่ในขณะที่กำลังจะปิดประตูไม้ที่ตรงด้ามจับประดับรูปปั้นบริวารของเจ้าแม่ ภวังค์แห่งความคิดจึงแตกสลายจนหมดสิ้น
เมื่อประตูไม้บานดังกล่าวกำลังจะประทับลงบนดวงพักตร์หวานละมุนของเจ้าชายมิโนส

“กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสถอยกรูดพลางทรุดตัวลงแทบฝ่าพระบาทอย่างนอบน้อม ขณะที่ในใจยังคงสั่นไหวด้วยความตกใจ
“เรามิได้ถือโทษอันใด รีบลุกขึ้นเถิด” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางโน้มวรกายลงมาฉุดรั้งเธเซียสให้ลุกขึ้นยืน

“เจ้าครุ่นคิดสิ่งใดอยู่หรือ เราและเหล่านางกำนัลเฝ้าเดินตามตั้งแต่ทางขึ้นบันไดแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางเดินไปรินพระสุธารส[1]ด้วยองค์เอง ฝ่ายนางกำนัลหลายสิบชีวิตต่างก้าวเดินเข้าไปยังห้องสรงน้ำ เพื่อจัดเตรียมเครื่องหอมและน้ำอุ่นให้พลั่งพร้อม
“กระหม่อมเพียงแต่เกรงว่า..” เธเซียสกล่าวพลางหยุดถ้อยคำครู่หนึ่ง เนื่องจากเขายังประมวลหาเหตุผลที่ดีพอจะแก้ตัวมิได้

“เจ้ากำลังกริ่งเกรงสิ่งใดอยู่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามขณะทรงยืนเคียงข้างเธเซียสที่กำลังเฝ้ามองทิวทัศน์ด้านนอกตรงบริเวณริมระเบียงที่ประดับด้วยผ้าม่านสีขาวลวดลายดอกลิลลี่มัดติดกับมุมห้องด้วยเชือกสีเดียวกัน
“เกรงว่าความสามารถของกระหม่อมจะยังมิดีพอพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผิวคล้ำเหลือบมองไปยังรูปปั้นเขาวัวอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏอยู่ในกรอบสายตา จึงนำข้ออ้างเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวมาเป็นฉากบังหน้า

“สิ่งใดทำให้เจ้าคิดว่ายังมิดีพอหรือ ?” บุรุษหน้าหวานที่วันนี้ยังคงปล่อยพระเกศายาวสยาย เพียงแต่บนเศียรประดับด้วยมงกุฎล้ำค่ามิต่างจากวันงานประเพณี เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมีความประสงค์จะให้เกียรติองค์ฟาโรห์ผู้เป็นสหาย จึงทรงแต่งกายอย่างเป็นทางการ
“บาดแผลของกระหม่อม”

“น้องพี่.. เราบอกเจ้าแล้วว่าการคัดเลือก เรามองคนที่ไหวพริบในการแก้ปัญหา เพราะในสนามรบไหวพริบคือสิ่งสำคัญ เช่นนั้นการคัดเลือกของเจ้าจะมิเหมาะสมได้อย่างไร ?” สิ้นคำตรัสถามเธเซียสยังคงมองจ้องไปยังน่านฟ้าใหญ่ที่กำลังจะหม่นแสง เนื่องจากเขามิรู้ว่าจะกล่าวอันใด เมื่อในใจลึก ๆ ยังคงมองมิเห็นความเหมาะสม
เหตุเพราะเจ้าชายมิโนสทรงใช้เล่ห์กลเพื่อช่วยเหลือเขา
แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้ปฏิเสธความหวังดีดังกล่าว เขาจึงหันมาคลี่ยิ้มให้กับบุรุษที่ทรงยืนอยู่ข้างหลัง

“เธเซียส..” ฉับพลันที่นามจอมปลอมอันคุ้นหูถูกเอื้อนเอ่ยด้วยสุรเสียงทุ้มนุ่มของเจ้าชายมิโนส หัวใจของเจ้าชายจากต่างแดนมีอันต้องหวิวไหว เลือดลมพลันสูบฉีดขึ้นบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว จนทำให้เธเซียสมิอาจปฏิบัติตนถูก
“พ่ะ..” ริมฝีปากของบุรุษผิวคล้ำขยับไหวราวกับพูดมิออก แต่กระนั้นก็ยังอยากจะขานรับสุรเสียงอันอบอุ่นนั้น

“กลิ่นกายของเจ้า แปลกประหลาดเสียจริง” เสียงทุ้มนุ่มในเชิงขบขันดังขึ้นไม่ไกลนัก แต่กระนั้นก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน เธเซียสจึงยกแขนดอมดมด้วยความสงสัย
พบว่ากลิ่นประหลาดดังกล่าว..
คือกลิ่นของ ‘น้ำมัน’ จากคบไฟ

บุรุษผู้มิเคยกริ่งเกรงอันใดถึงคราวต้องทำหน้าเครียด ขณะที่สองมือพลันกอบกุมกันแน่น คล้ายกับต้องการระบายความไม่สบายใจ เหตุเพราะเขามิทันคาดคิดว่า ‘น้ำมัน’ จะกลายเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าชายมิโนสทรงผิดสังเกต
ด้วยเพราะเดิมทีเธเซียสมิใช่คนละเอียดลออดังเช่นเจ้าชายผู้มีใจรักงานศิลป์

“เธเซียส..” สุรเสียงทุ้มนุ่มมิได้มีแววอาฆาตมาดร้ายอันใด ดังออกมาจากห้องสรงน้ำที่ประดับด้วยภาพวาดเฟรสโกลวดลายโลมากำลังโต้คลื่นลม
“พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสขานรับพลางเดินตรงไปยังที่มาของเสียงดังกล่าวด้วยท่าทีเจี๋ยมเจี้ยมราวกับมิใช่เธเซียสคนเดิม
เหตุเพราะเขากำลังหวั่นเกรงว่าความผิดสังเกตอันเล็กน้อย
อาจทำให้ความสัมพันธ์อันแสนอบอุ่นขาดสะบั้นภายในชั่วพริบตา

“น้องพี่เข้ามาล้างตัวเสียสิ” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางทรงยืนแน่นิ่ง โดยมีเหล่านางกำนัลคอยกลุ้มรุมอยู่ไม่ห่าง กระทั่งเนื้อตัวเปลือยเปล่าบุรุษผู้ซึ่งมีใบหน้าหวาน หากแต่วรกายกลับสมชายชาตรี ทุกสัดส่วนจึงดูแน่นขนัดไปด้วยความแข็งแรงกำยำ ย่างพระบาทลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำอุ่น
แต่ทว่าการเคลื่อนไหวกลับหยุดชะงัก
ส่งผลให้แผงอกล่ำสันปรากฏสู่สายตาของเธเซียสอย่างเต็มภาคภูมิ

“เจ้าต้องการแช่น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น ?” ดำรัสถามราวกับจะส่งมอบอำนาจในการตัดสินใจให้แก่บุรุษผิวคล้ำที่กำลังยืนเสตามองไปยังภาพวาดเฟรสโกลวดลายสัตว์ทะเล
“น้ำเย็นพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบอันแผ่วเบา เธเซียสก็มิรอช้า รีบปลดเปลื้องอาภรณ์ใกล้ ๆ บริเวณบ่อน้ำจากธรรมชาติขนาดไม่ใหญ่นัก

กระทั่งความเย็นนำพาความสดชื่นเข้ามาทักทาย ความอัดแน่นภายในจิตใจดูเหมือนจะทุเลาลงมาก แต่ทันทีที่เจ้าชายมิโนสทรงมีรับสั่งให้นางกำนัลที่นั่งเฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าห้องสรงน้ำมิต้องคอยปรนนิบัติ
ความกังวลอันมากมายกลับไหลบ่าเข้ามามิหยุดยั้ง

บุรุษผิวคล้ำจึงได้แต่ลอบมองเจ้าชายมิโนสที่กำลังนอนแช่อ่างน้ำอุ่นอยู่ตรงมุมห้อง ความเงียบขรึมแน่นิ่งของบุรุษผู้นั้นคล้ายแผ่กำจายหมอกควันราวกับภูเขาแห่งไฟจนถ้วนทั่ว พาลพาให้เธเซียสรู้สึกอึดอัด เขาจึงค่อย ๆ ทรุดตัวลงสู่ก้นบ่อ พลางหลับตาซึมซับความเงียบสงบภายใต้ผืนน้ำอันเย็นฉ่ำ
แต่ทว่าดวงใจของเธเซียสกลับมิอาจหาจุดสงบนิ่ง
เหตุเพราะเขากำลังหวาดกลัวท่าทีของบุรุษผู้สูงส่ง

“เดิมทีเราคิดว่าตัวเรามิต้องการความอบอุ่นอันใดจากเสด็จแม่ เพราะเราชินชากับความโดดเดี่ยว..” ทันทีที่เธเซียสโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ ดำรัสเลื่อนลอยของเจ้าชายมิโนสก็ดังตามมา ก่อนจะปิดท้ายด้วยความเงียบเชียบที่ค่อย ๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
แต่สำหรับเธเซียสความเงียบเชียบดังกล่าว กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกโล่งใจ บวกกับกลิ่นไอของน้ำมันหอมระเหยที่ผสมปนเปไปกับน้ำมันมะกอก เริ่มนำพาให้เกิดความผ่อนคลายได้ไม่ยาก

“แต่พอเสด็จแม่และแอริแอดเนมิได้ประทับอยู่ที่นี่ เรากลับโหยหาความครื้นเครงของราชวังแบบเมื่อหลายวันก่อน” สุรเสียงทุ้มนุ่มอ้างว้างยังคงกล่าวอย่างเลื่อนลอย ขณะที่เธเซียสกลับตั้งใจฟังอย่างเงียบเชียบด้วยหัวใจที่สั่นไหว
“ภาพของเรือพระที่นั่งที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างจากท่าเรือของพระราชวัง ทำให้ในใจเราตะโกนก้องอย่างหมดท่าว่า..”

“เสด็จแม่ แอริแอดเน.. อยู่ต่อสักวันสองวันได้หรือไม่” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยน้ำเสียงแหบโหย คล้ายกับก้อนสะอื้นกำลังพันรัดจนพระหทัยเจ็บปวด
“…”

“แต่เรากลับทำได้เพียงยืนดูเรือลำนั้นล่องลอยออกไปจนสุดสายตา” บุรุษผู้มีใบหน้าหวานตรัสพลางแย้มโอษฐ์เพียงนิด แต่ทว่ารอยยิ้มของพระองค์กลับมิได้น่ามองดังเช่นวันวาน
“ท่านพี่.. เราสองแข่งกลั้นลมหายใจใต้น้ำดีหรือไม่ ?” เธเซียสกล่าวชักชวนพลางปรับสีหน้าให้ดูเริงร่า
เพื่อหวังจะดึงความเศร้าสร้อยของเจ้าชายพระองค์นี้ให้หดหายไป

“เจ้าอยากพนันด้วยสิ่งของอันใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางหันดวงพักตร์มายังเธเซียส
“หากกระหม่อมชนะ ถึงจะให้คำตอบพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวด้วยสีหน้าแจ่มใส คล้ายกับความไม่สบายใจของเจ้าตัวถูกบุรุษผู้งามสง่าปัดเป่าจนหมดสิ้น

“เราเองก็เช่นกัน” สิ้นคำตอบเจ้าชายมิโนสก็เสด็จออกจากอ่างน้ำอุ่น ขณะที่เธเซียสกำลังหันมองไปยังภาพวาดเฟรสโกลวดลายสัตว์ทะเล กระทั่งอีกฝ่ายทิ้งกายลงสู่บ่อน้ำธรรมชาติ
ดวงตาของเธเซียสจึงมองสบกับดวงเนตรสีนิลรัตติกาล

กระทั่งสัญญาณแห่งการเริ่มต้นปรากฏ สองบุรุษจึงค่อย ๆ ดำดิ่งลงสู่ก้นบ่อ ความใสสะอาดของหยาดน้ำหอมละมุน ส่งผลให้ทั้งคู่ต่างมองเห็นกันและกันอย่างเด่นชัด เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป แววตาของเธเซียสกลับเริ่มพร่าเบลอ เหตุเพราะเขามิได้คุ้นชินกับการอยู่ภายใต้ผืนน้ำอันกว้างใหญ่
แต่กระนั้นเขาก็ยังมีความอดทน ฟองอากาศจึงค่อย ๆ หลุดรอดออกจากริมฝีปาก
ขณะที่เจ้าชายมิโนสกลับไร้วี่แววแห่งความพ่ายแพ้

ฉับพลันที่ความอดทนหมดสิ้น เธเซียสก็รีบดีดตนเองขึ้นสู่ผิวน้ำ พลางหันหลังเกาะขอบบ่อพร้อมใช้ผ้าสะอาดที่นางกำนัลนำมาวางทิ้งไว้เช็ดใบหน้าจนแห้งหมาด
แต่ทว่าคู่แข่งขันยังคงซ่อนกาย
ราวกับเขาหายใจอยู่ในน้ำและมองเห็นได้อย่างโลมา

เธเซียสจึงได้แต่มองจ้องเงาดำตรงหน้าแน่นิ่ง พร้อมขบคิดเล่น ๆ ว่า ชายชาตรีอย่างชาวครีตันอาจมีความสามารถพิเศษ กองทัพเรือของจักรวรรดิครีตันถึงได้มีอิทธิพลมากที่สุดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
และบางที ‘มิโนทอร์’ ดังคำเล่าลือ
อาจเป็นเงาดำทะมึนของทหารครีตัน ที่รอซุ่มโจมตีเหล่าโจรสลัด

แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง..
พีโรอีกับน้ำผึ้งเล่ามีไว้บูชายัญสิ่งใด ?

“เจ้าแพ้แล้ว” ขณะที่ภวังค์แห่งความคิดกำลังก่อตัวเป็นรูปร่าง เจ้าชายมิโนสผู้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ผืนน้ำราวกับสัตว์ทะเลจึงโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ พลางตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่งพร้อมลูบไล้เกศาให้เข้าที่เข้าทาง
“พระองค์ทรงอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ๆ ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ” เธเซียสยิ้มรับดำรัสนั้นพลางกล่าวชื่นชมบุรุษตรงหน้าจากใจจริง เพราะเขามิเคยเห็นผู้ใดกลั้นหายใจอยู่ในน้ำได้นานถึงเพียงนี้

“หากเจ้าชนะ เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามอย่างจริงจัง
“กระหม่อมต้องการให้พระองค์แย้มสรวลอย่างมีความสุขพ่ะย่ะค่ะ” อดีตเชลยกล่าวพลางมองจ้องดวงเนตรของเจ้าชายตรงหน้าแน่วแน่
เพื่อถ่ายทอดความจริงใจและตั้งมั่น

สิ้นคำกล่าวนั้นดวงตาสองคู่กลับสบกันแน่นิ่ง จากนั้นเจ้าชายมิโนสก็ทรงขึ้นจากบ่อน้ำธรรมชาติ พลางหยิบผ้าผืนสวยนุ่งห่มด้วยความคล่องแคล่ว บ่งบอกได้ดีว่าเจ้าชายพระองค์นี้ ทรงโปรดปรานการทำอะไรด้วยองค์เอง
จากนั้นวรกายสูงสง่าพลันดำเนินตรงไปยังปากประตูห้องสรงน้ำ ทว่าดวงพักตร์หวานละมุนกลับหันมองมาทางเธเซียสที่กำลังแช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำ ไม่นานจากนั้นพระองค์ก็ทรงแย้มสรวลดังเช่นเธเซียสต้องการ

“เรื่องของเรายังมีให้เจ้าประหลาดใจอีกมาก”

สิ้นสุรเสียงเรียบนิ่งแอบแฝงความน่าหวาดหวั่น

ส่งผลให้รอยยิ้มของบุรุษผิวคล้ำ พลันถูกลบเลือนภายในบัดดล



φ

[1] พระสุธารส แปลว่า น้ำดื่ม

บทความที่เกี่ยวข้อง

- 5 เคล็ดลับใช้ 'น้ำมันมะกอก' จากยุคโบราณที่ปัจจุบันยังใช้ได้ https://joo.gl/0yuD
- ชาวเล "บาเจา" มีวิวัฒนาการจนม้ามใหญ่ ใช้ดำน้ำได้อึดกว่าคนทั่วไป https://joo.gl/7uoh
- สุขภาพ : เหตุใดบางคนจึงมีคุณสมบัติทางกายภาพเหนือคนทั่วไป? https://joo.gl/9Ixc

[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการยืนและการนั่ง]

วันนี้มาอัพได้เร็วอีกแล้ว 55 สมองกำลังพุ่งปรี๊ดๆ สำหรับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่เปิดเผยความน่ากลัวของเจ้าชายมิโนสออกมาบ้างเท่านั้นเอง เราแอบเขียนเครื่องอาบน้ำใส่ลงไปในนิยายด้วย แต่อาจจะไม่เยอะมาก คือคนโบราณเค้าใช้น้ำมันมะกอกผสมน้ำมันหอมระเหยผสมกับน้ำเพื่อแช่ตัว หรือใช้น้ำมันมะกอกแทนสบู่ค่ะ ส่วนความสามารถของเจ้าชายมิโนสนั้น เราเอาบทความแปะไว้ให้ว่าบนโลกนี้มีความสามารถแบบนี้อยู่จริงค่ะ ใครสนใจลองไปอ่านกันได้ เดี๋ยวตอนหน้าจะออกเดินทางไปสู่เกาะธีรา หรือเกาะแห่งไฟกันจ้า
ปล. พอมีคนเดาพล็อตรัว ๆ แบบนี้ บอกเลยว่าเราฟิตขึ้นมาทันตา 555 ขอบคุณที่ยังติดตามมาก ๆ เลยค่ะ


อันนี้ห้องน้ำของชาวมิโนอันค่ะ
https://imgur.com/hrZx8Ly

อ่างอาบน้ำหน้าตาแบบนี้
https://imgur.com/qav5AWO

โถสุขภัณฑ์ค่ะ เราว่าคล้ายกับของปัจจุบันมาก อาจเป็นเพราะว่ามิโนอันคือชาติแรกที่ทำโถสุขภัณฑ์ค่ะ
https://imgur.com/vBEnITc

ส่วนอันนี้คือท่อระบายน้ำในสมัยนั้นค่ะ เคยเขียนแฝงไว้นานแล้ว แต่ตอนนั้นยังหารูปไม่เจอ เท่าที่จำได้คือหลังจากเกิดเหตุล่มสลาย ชาวครีตันก็กระจัดกระจายกันไป วิวัฒนาการตรงนี้เลยถูกลืมเลือนไปค่ะ
https://imgur.com/BdfdA6j
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:27:43 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
น่าสนใจนะคะเรื่องนี้ :L2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ดีใจได้อ่านสองตอนรวดเลย 555
ยิ่งได้อ่านก็ยิ่งอยากอ่านต่อค่ะ
แอบกลัวมาม่าจัง
ถ้าความเป็นเจ้าชายของเธเซียสถูกเปิดเผย
ก็พอจะรู้อ่ะว่า เจ้าชายมิโนสน่ากลัวมากแค่ไหนภายใต้รอยยิ้มอ่อนโยนนั่น แถมยังฉลาดเป็นกรดอีกต่างหาก
ไม่แน่ว่าเจ้าชายมิโนสรู้ตั้งแต่แรกแล้วหรอกนะว่าเธเซียสเป็นไส้ศึก เลยแกล้งทำดีด้วยอ่ะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 15

นับตั้งแต่เจ้าชายมิโนสตรัสวาจาคลุมเครือ เธเซียสก็จมอยู่กับความกังวลใจ ระยะห่างระหว่างกันจึงมีอยู่มาก ซึ่งเธเซียสก็เป็นฝ่ายปลีกตัวออกมาเอง ขณะที่เจ้าชายมิโนสยังทรงเงียบขรึมมิแปรเปลี่ยน
กระทั่งขบวนเสด็จอันประกอบด้วยเธเซียสและราชองครักษ์อีก 2 นาย ดำเนินมาจนถึงบริเวณทิวเสาสีแดงต้นใหญ่ขนาบข้างตลอดเส้นทาง สายลมเย็นฉ่ำพลันโบกสะบัดเป็นการทักทาย ภาพอันคุ้นเคยในความทรงจำของเธเซียสจึงปรากฏ
เมื่อเกศาสีนิลพลิ้วไหวราวกับเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเล

จากนั้นไม่นานเรือโดยสารของชาวครีตันที่มีลักษณะอ่อนช้อยตามแบบฉบับผู้มีใจรักงานศิลป์ก็ปรากฏ โดยเรือลำนั้นมีการวาดลวดลายของนกทะเลเอาไว้จนรอบทิศ ขณะที่ส่วนหัวเรือมีความเชิดแหลมรับกับส่วนท้ายเรือที่มีความโค้งงอราวกับหางแมงป่อง ซึ่งเรือลำนี้เป็นเรือขนาดกลางติดกำลังฝีพายกรรเชียงขนาดใหญ่ จึงใช้กำลังคนทั้งหมด 6 ชีวิต ส่วนอีก 2 ชีวิตเป็นคนคัดท้ายหางเสือเพื่อควบคุมทิศทางของการเดินเรือ
และดูเหมือนว่า..
กำลังคนเหล่านั้นจะเป็นทาสจากนูเบีย

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่เจ้าชายมิโนสเสด็จมาถึงบริเวณท่าเรือ เหล่านายทหารคนสนิทและทาสจากนูเบียต่างทำความเคารพอย่างนอบน้อมและยกย่อง ส่งผลให้เจ้าชายผู้เงียบขรึมแย้มสรวลด้วยท่าทีอันผ่อนคลาย
จึงทำให้บรรยากาศโดยรอบสำหรับเธเซียส เริ่มคลายความตึงเครียดภายในชั่วพริบตา

กระทั่งเจ้าชายมิโนสเสด็จไปยังท้ายเรือ เพื่อประทับยังพระที่นั่งที่มีการสร้างรั้วกั้นละอองน้ำทะเลอย่างรอบคอบ เธเซียสจึงหันไปสบสายตากับราชองครักษ์นายหนึ่งที่มายืนรอรับเสด็จอยู่ก่อนแล้ว
ฉับพลันแววตาของเขาพลันเบิกกว้าง

“เคออส! นี่เจ้า!” บุรุษหน้าคมจากต่างแดนเอ่ยลั่น พลางชี้หน้าสหายสนิทด้วยความอึ้งทึ่ง สายตาพลันสำรวจเครื่องแต่งกายของบุรุษตรงหน้าราวกับมิอยากจะเชื่อ
“เจ้าอย่ามัวแต่พิลี้พิไลเลย รีบเตรียมตัวเดินทางเสียเถิด ผู้น้อยมิควรให้ผู้สูงศักดิ์เป็นฝ่ายรอคอยมิใช่หรือ ?” เคออสกล่าวพลางเดินกอดคอเธเซียสลงไปยังลำเรือที่กำลังจอดเทียบท่า จากนั้นทั้งคู่จึงพากันไปนั่งยังพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้
ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวถูกกั้นด้วยระแนงไม้หวายเพื่อมิให้ละอองน้ำซัดสาด

“เหตุใดราชองครักษ์อย่างท่าน จึงกลายเป็นช่างฝีมือไปได้เล่า ?” เมื่อใบเรือสีขาวเริ่มกางออกจนมองเห็นศีรษะของวัวกระทิงอย่างโดดเด่น เธเซียสจึงกล่าวเปิดประเด็นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ขณะที่ในใจกำลังตีรวนด้วยความสับสน เหตุเพราะข้อมูลบางอย่างที่เขารับรู้มาจากเคออส ล้วนขัดแย้งต่อดำรัสของเจ้าชายมิโนสอยู่ในที
เธเซียสจึงรู้สึกราวกับว่า..
ตนกำลังถูกปั่นหัว

“ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการ” สิ้นคำตอบจากสหายสนิท ความเงียบเชียบพลันปกคลุมระหว่างคนทั้งสอง สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเธเซียสกำลังคิดวิเคราะห์ใจความดังกล่าวอย่างถี่ถ้วน
เนื่องจากความนัยของเคออส
บ่งบอกได้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นข้าราชบริพารที่เจ้าชายมิโนสทรงไว้วางพระทัย

ความกลัดกลุ้มรุมเร้าเสียจนเธเซียสมิอาจวางใจ บรรยากาศร่มรื่นของป่าใบเขียวจึงถูกมองข้ามอย่างน่าเสียดาย ทว่าเมื่อออกสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ก็มิอาจดึงดูดความสนใจจากบุรุษผิวคล้ำได้เช่นกัน
เหตุเพราะเพลานี้เขาเอาแต่นั่งกัดเล็บจนแทบจะมิมีให้กัด

“เกาะแห่งไฟเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความน่าเกรงขามสมคำล่ำลือเสียจริง” กระทั่งเธเซียสเริ่มพิจารณาได้ว่า เพลานี้เรือขนาดกลางกำลังลอยล่องเข้าสู่อาณาเขตของเกาะแห่งไฟที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตรงกันข้ามของเกาะครีต กระไอหมอกจากภูเขาแห่งไฟจึงเริ่มปกคลุมท้องทะเลอันเวิ้งว้างจนมิอาจมองเห็นสิ่งใดนอกจากกลุ่มควันสีขาว ความหนาวเย็นพาลพาให้ขนแขนลุกชันอย่างแปลกประหลาด อาจเพราะเขามิเคยสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ นอกเสียจากเคยได้ยินคำเล่าลือจากผู้อื่น ครั้นจะเดินทางมายังจักรวรรดิครีตัน เหล่าพ่อค้าต่างเลือกใช้เส้นทางเดินเรืออีกเส้นทางหนึ่งที่มิจำเป็นต้องผ่านหมู่เกาะอันน่าหวาดหวั่น
“เงาดำนั่น!” เธเซียสอุทานด้วยความตื่นตระหนก หลังจากที่เขานั่งยืดตัวมองไปรอบ ๆ บริเวณ จนกระทั่งสังเกตเห็นเงาดำทะมึนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ผิวน้ำ ค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ลำเรืออย่างเชื่องช้า
หลังจากนั้นเรือโดยสารก็เริ่มโคลงเคลงอย่างแรงกล้า ทั้ง ๆ ที่มิมีลมพายุแต่อย่างใด
ฉับพลันเรื่องเล่าของ ‘มิโนทอร์’ จึงเริ่มปรากฏอยู่ในความคิด

บุรุษผู้มีเลือดนักสู้จึงกวาดสายตาไปจนทั่วลำเรือ เพื่อควานหาบางสิ่งบางอย่างที่พอจะใช้แทนอาวุธ กระทั่งสายตาสบกับหอกด้ามยาวทำจากสำริดมัดติดกับเสากระโดงเรือ เขาจึงรีบกระโจนเข้าหาอาวุธดังกล่าวด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ราวกับเขากำลังหลีกหนีจากวิถีอันตราย
ซึ่งมันก็พอดีกับจังหวะที่เจ้าสัตว์ประหลาดตัวร้ายกระโจนขึ้นสู่ผิวน้ำ
ส่งผลให้เสียงหวีดร้องจากเหล่าทาสนูเบียดังระงมไปทั่วลำเรือ

“มาเองเชียวหรือขุนพลดีดะรัส” เจ้าชายมิโนสทรงทักทายนายทหารร่างใหญ่ที่กำลังยึดเกาะลำเรือด้วยสภาพเนื้อตัวเปียกโชก ขณะที่เธเซียสกำลังยืนหอบถี่อยู่ตรงเสากระโดงเรือ พลางจับหอกด้ามยาวอย่างแน่นหนาพร้อมเล็งเป้าไปยัง ‘มิโนทอร์’ ในความคิด
“เจ้าวางอาวุธเสียเถิด มิมีอันใดแล้ว” วาจานุ่มละมุนมาพร้อมสัมผัสแสนนุ่มนวลของเจ้าชายมิโนส ไม่นานหอกด้ามยาวจากฝ่ามือของเธเซียสก็ถูกปลดออกโดยบุรุษผู้สูงศักดิ์ ข้อมือพลันถูกฉุดรั้งไปยังพระที่นั่งตรงบริเวณท้ายเรือ จากนั้นเธเซียสก็ถูกบังคับให้นั่งบนขั้นบันไดตรงที่วางฝ่าพระบาท

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” กระทั่งสถานการณ์กลับสู่ความสงบ นายทหารร่างใหญ่ก็เดินเข้ามารายงานตัวต่อเจ้าชายมิโนสด้วยท่าทีนอบน้อม เธเซียสจึงจดจำได้ว่าขุนพลท่านนี้คือนายทหารที่เข้าร่วมการละเล่นกับวัวกระทิง
“หมู่นี้โจรสลัดคงจะชุกชุมมิเบา” เจ้าชายมิโนสตรัสกับขุนพลดีดะรัสขณะที่พระหัตถ์วางแหมะอยู่บนศีรษะของบุรุษที่เมื่อครู่กำลังขวัญเสียจนถึงกับกระโจนเข้าหาอาวุธ

“ทูลเจ้าชายมิโนส เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ อุบายของพระองค์ใช้ได้ผลชะงัด” ขุนพลดีดะรัสกล่าวพลางเหลือบมองมายังเธเซียส
“เห็นจะเป็นเช่นนั้น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มสรวลอย่างสดใส ส่งผลให้เธเซียสที่กำลังนั่งฟังบทสนทนา จำต้องเงยหน้าขึ้นมองดวงพักตร์หวานละมุนพร้อมส่งสายตาแห่งความคาดโทษ
เพียงแต่สิ่งที่รับคืนกลับมา..
ดันเป็นรอยยิ้มที่มิเคยได้เห็น นับตั้งแต่เมื่อค่ำคืนวาน

“เทศกาลเดินเรือมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ?” หลังจากบทสนทนาเริ่มเข้าสู่งานราชกิจ เธเซียสก็เริ่มสำรวจรอบ ๆ บริเวณอีกครั้ง พบว่าที่นั่งของตนทำให้การมองเห็นกลับกลายเป็นมุมมองที่สูงขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่ช่วยให้การมองเห็นดีนัก เหตุเพราะหมอกควันจากภูเขาแห่งไฟยังคงปลดปล่อยออกมามิหยุดยั้ง กระทั่งเข้าใกล้ริมฝั่งมากขึ้น รูปร่างของภูเขาอันใหญ่โตจึงปรากฏอยู่ท่ามกลางม่านหมอกสีขาว
ราวกับภาพฝันอันรางเลือน

“การซ่อมบำรุงคืบหน้าไปได้หลายส่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ขุนพลดีดะรัสรายงานความคืบหน้าของเทศกาลเดินเรือ เธเซียสจึงเริ่มเข้าใจได้ทันทีว่า งานดังกล่าวอาจมีความเกี่ยวข้องทางการทหาร เพียงแต่อาจจะแสดงออกในรูปแบบของงานประเพณีอันเก่าแก่ เหตุเพราะการเดินทางมายังเกาะแห่งไฟในครั้งนี้ มิใช่การออกมาสำรวจความเป็นไปของบ้านเมือง ระยะเวลาแห่งการพำนักยังเกาะดังกล่าว จึงกินเวลาอยู่หลายวัน เท่ากับว่าเธเซียสอาจต้องเรียนรู้การสู้รบบนลำเรือ
กระทั่งเงาดำวูบหนึ่งเคลื่อนผ่านลำเรือจนห่างออกไปไกลริบ คล้ายกับคนกลุ่มนั้นคือผู้สร้างความขวัญผวาร่วมกับขุนผลดีดะรัส เธเซียสจึงเริ่มวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับความคิดดั้งเดิม และมันก็ได้รับคำยืนยันจากปฏิกิริยาของเขาและคนรอบข้าง เพียงแต่เธเซียสยังมิเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงทรงใช้กลอุบายดังกล่าว ในเมื่อสภาพแวดล้อมบริเวณเกาะแห่งไฟ ล้วนเต็มไปด้วยหมอกหนาจนมิอาจมองเห็นฐานทัพเรือของจักรวรรดิครีตันและมิอาจเดินเรือได้สะดวก

“ทรงพระเจริญ!”
“เจ้าชายมิโนส!”

เมื่อเรือโดยสารเริ่มลอยล่องเข้ามาใกล้ฝั่งในระยะที่มองเห็นเงาร่างของภูเขาแห่งไฟได้ชัดเจนขึ้น เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญต่อเจ้าชายมิโนสจึงดังระงมอย่างน่าเกรงขาม บ่งบอกได้ดีว่าเจ้าชายพระองค์นี้ประทับอยู่ในใจของราษฎร์และเหล่าทหารกล้าอย่างมิต้องสงสัย
ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะความมีเมตตาและการบริหารบ้านเมืองอย่างเงียบสงบ

แต่ทว่าสิ่งที่เธเซียสกำลังให้ความสนใจ มิใช่เหล่าราษฎร์จากบริเวณใกล้เคียงกำลังน้อมถวายช่อดอกลิลลี่สีขาวบริสุทธิ์ หรือแม้กระทั่งพืชพันธุ์ธัญญาหารให้แก่เจ้าชายมิโนสด้วยการล่องเรือเข้ามาใกล้ เนื่องจากฐานทัพเรืออันแข็งแกร่งดังคำเล่าลือของนางกำนัลดาฟเน่กำลังปรากฏสู่สายตาของเธเซียส ซึ่งเรือรบของชาวครีตันมีทั้งเรือลำใหญ่และลำเล็ก
จากที่คำนวณคร่าว ๆ พบว่ามีเรือลำใหญ่ทั้งสิ้น 6 ลำ โดยมี 3 ลำต้องใช้กำลังฝีพายเกือบ ๆ 42 ชีวิต ส่วนอีก 2 ลำ ต้องใช้กำลังฝีพายประมาณ 36 ชีวิต และอีกหนึ่งลำมีฝีพายประมาณ 46 กรรเชียง ส่วนเรือลำเล็กมีทั้งสิ้น 2 ลำ โดยจะมีเสาชี้ตรงบริเวณหัวเรือเล็กแหลมมิต่างกับเรือลำที่เธเซียสกำลังนั่งอยู่ ซึ่งบนเสาที่ใช้สำหรับวัดระยะห่างจากหินโสโครกประดับด้วยเครื่องอิสริยาภรณ์รูปดอกทานตะวันอย่างงดงาม
ซึ่งเธเซียสคาดว่าจำนวนของเรือรบแห่งจักรวรรดิครีตันคงมิได้มีเพียงเท่านี้
เหตุเพราะมันยังน้อยกว่าเรือสินค้าของไมซีเนียนเสียด้วยซ้ำ

กระทั่งเจ้าชายมิโนสเสด็จลงจากพระที่นั่งเพื่อไปรับข้าวของที่เหล่าราษฎร์นำมาถวาย ราชองครักษ์และขุนพลดีดะรัสจึงทำหน้าที่อารักขาพร้อมกับคอยจัดเก็บข้าวของต่าง ๆ ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้เธเซียสรู้สึกว่า การวางตัวของเจ้าชายพระองค์นี้หากบอกว่าเข้าถึงง่ายก็มิง่าย เนื่องจากม่านหมอกสีขาวกำลังปกคลุมดวงพักตร์ที่แท้จริง บวกกับท่าทีในงานประเพณีที่มิโปรดปรานจะปรากฏวรกายด้วยความโดดเด่น
ดังนั้นการเดินทางออกนอกวังของเจ้าชายมิโนสจึงมิต้องพรางกายให้เสียเวลา
ซึ่งนั่นอาจเป็นการให้เกียรติองค์ราชินีด้วยส่วนหนึ่ง เนื่องจากจักรวรรดิครีตันยังมิมีการแต่งตั้งกษัตริย์พระองค์ใหม่

“ให้เจ้า” เมื่อบุรุษผู้สูงศักดิ์โบกหัตถ์เรียกให้เธเซียสเดินเข้าไปสมทบ พบว่าเด็กชายผู้หนึ่งมอบผลไม้เม็ดเล็กสีม่วงเข้มจนเต็มสองพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนส ขณะที่พระโอษฐ์กำลังขยับไหวราวกับเด็กคนดังกล่าวป้อนให้พระองค์ได้ลิ้มชิม
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสจึงนั่งยองพลางยื่นสองมือออกไปข้างหน้า อีกฝ่ายจึงเทผลไม้ในกำมือจนล้นฝ่ามือของเธเซียส ทว่าพระองค์กลับมิยอมแพ้ จึงค่อย ๆ เรียงผลไม้เม็ดเล็กราวกับไข่ปลาอย่างตั้งใจ พร้อมมีรับสั่งให้เด็กชายผู้เป็นเจ้าของร่วมด้วยช่วยกันจนฝ่ามือของเธเซียสมิอาจรับไหว บุรุษผู้งามสง่าจึงป้อนผลไม้ดังกล่าวให้แก่เด็กชายผู้นั้น
พร้อมป้อนให้กับบุรุษอย่างเธเซียสได้ลิ้มชิม

“เป็นอย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางแย้มสรวลไว้คอยท่า
“มิอาจให้คำจำกัดความได้พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอียงตัวเข้าหาบุรุษผู้สูงส่งที่ขณะนี้หันไปรับหน้าราษฎร์กลุ่มใหม่ ซึ่งสิ่งของที่นำมาถวายก็มิต่างจากกลุ่มแรก

“อาจเพราะผลเมอร์เทิลยังมิสุกกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสสั้น ๆ ราวกับประสงค์จะปิดบทสนทนา เมื่อเหล่าราษฎร์เริ่มคราคร่ำมาเรื่อย ๆ  เธเซียสจึงกลับมานั่งตรงขั้นบันไดของพระที่นั่ง พร้อมเฝ้ามองผลเมอร์เทิลรสชาติสุดบรรยาย ก่อนจะมองไปยังบุรุษผู้มีรอยยิ้มอ่อนละมุนด้วยความประทับใจ เนื่องจากเมื่อครู่ก่อนที่เธเซียสจะได้ลิ้มลอง เจ้าชายพระองค์นี้เสวยผลไม้รสชาติมิได้เรื่องจากฝ่ามือของเด็กผู้นั้น
ทว่ารอยยิ้มเศร้าสร้อยพลันปรากฏ เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในวันข้างหน้า

และกว่าขบวนรับเสด็จของเหล่าราษฎร์จะจางหาย เธเซียสก็แอบลิ้มชิมผลเมอร์เทิลด้วยความเหม่อลอย ส่งผลให้ทันทีที่ผละหน้าออกจากฝ่ามือของตน ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์จำนวน 5 กลีบ โดยมีเกสรยื่นยาวออกมาหลายสิบเส้นก็วางแหมะอยู่บนกองเมอร์เทิลอย่างโดดเด่น บุรุษผิวคล้ำจึงหันมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังประทับอยู่ในระดับเดียวกันอย่างมิเข้าใจ

“ให้เจ้า”



φ


[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับคำสั่งและการนั่ง]

สำหรับตอนนี้ถือว่าคลี่คลายเรื่องราวน่าสงสัยได้บ้างแล้ว ส่วนเหตุผลที่ต้องออกอุบายอย่างนั้นเป็นเพราะอะไรต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ ปมของเคออสก็เช่นกัน 555 สารภาพเลยว่าตอนร่างพล็อตไม่ได้วางปมซับซ้อนขนาดนี้ 555 ส่วนการกระทำของเจ้าชายมิโนสที่ดีกับเธเซียสเป็นพิเศษอีกไม่นานได้รู้แน่ค่ะ แต่ยังกำหนดไม่ได้ว่าตอนไหน เพราะตอนนี้เราเขียนช้ากว่าพล็อตที่วางไว้ 55

อันนี้บรรยากาศตอนหมอกลงที่ซานโตรินีค่ะ อารมณ์ก็จะคล้าย ๆ บรรยากาศที่เกาะแห่งไฟ เพราะจริง ๆ แล้วเกาะซานโตรินีเกิดจากการที่ภูเขาไฟธีราระเบิดค่ะ

https://imgur.com/TwRCwQZ
https://imgur.com/TQhOdCX

Cr : santorini-wedding

ส่วนภาพนี้เป็นควันจากปล่องภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ค่ะ
ปล. ภาพนี้คือภูเขาไฟโบรโมค่ะ

https://imgur.com/L1RV75b

Cr : Readme.me

ดอกและผลเมอร์เทิล

https://imgur.com/1eQU1cr
https://imgur.com/7iDG1rp

Cr : deelish.ie

ภาพวาดเฟรสโก เรือแบบต่าง ๆ ที่พบในพระราชวังที่เกาะธีราค่ะ (จริงๆ มีมากกว่านี้ แต่เดี๋ยวค่อยเอามาแปะเพิ่มตอนเขียนเกี่ยวกับพระราชวังในเกาะธีรา) เราอ่านเจอมาว่าเค้าวิเคราะห์ว่าภาพเหล่านี้น่าจะเป็นงานเทศกาลเดินเรือค่ะ  เพราะว่าเริ่มสตาร์ทจากเมืองหนึ่งในเกาะธีรา ซึ่งเป็นเมืองที่หายสาบสูญไปแล้ว โดยจุดหมายอยู่ที่นอสซัส เรือลำแรกเป็นเรือใบ และเรือลำที่สองเหมือนจะเป็นเรือธงค่ะ จากเว็บวิกิบอกว่าเรือธงคือเรือที่มีผู้บัญชาการกองเรือ ใช้เป็นที่บังคับบัญชากองเรือ ชักธงตามยศของผู้บัญชาไว้บนยอดเสาสูงสุดเพื่อให้เรือลำอื่นในกองเดียวกันสังเกตเห็น ซึ่งจะเป็นเรือที่ส่งสัญญาณในการโจมตีค่ะ

https://imgur.com/gtyVNza
https://imgur.com/yNzpIkx
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2019 01:11:14 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 16

เพลานี้แม้เจ้าชายมิโนสจะเสด็จไปยังบริเวณหัวเรือเพื่อเตรียมลงเรือ แต่เธเซียสกลับได้ยินสุรเสียงทุ้มนุ่มดังก้องอยู่ในหัว ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงมองไปยังพระขนอง ผึ่งผายอันเลือนราง สลับกับบุปผารูปร่างแปลกประหลาด

“เจ้ายังมิคุ้นชินกับที่นี่ มิควรอยู่ห่างจากเรา” กว่าบุรุษผิวคล้ปรำจะล่วงรู้ว่าตนเองเอาแต่นั่งเหม่อ บุรุษผู้สูงศักดิ์พลันปรากฏกายอยู่ตรงหน้า
“พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับอันแผ่วเบา เจ้าชายมิโนสจึงเสด็จนำหน้า โดยมีเธเซียสประคองผลเมอร์เทิลเดินตามหลัง ทว่าในช่วงที่ลมทะเลพัดผ่าน อดีตเชลยกลับลอบกลั้นหายใจโดยมิรู้ตัว
ราวกับเขากำลังหวาดกลัวว่าบุปผาพระราชทานจะปลิวหาย

กระทั่งลำเรือลอยผ่านชายฝั่งอันเป็นท่าเรือของเมืองอาโกรตี ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญ เรือรบจึงจอดเทียบท่าอย่างโดดเด่น เพียงแต่ปริมาณของลำเรือกลับน้อยกว่าที่เธเซียสเคยคาดการณ์ อีกทั้งการลาดตระเวนบนชายฝั่งก็มิได้เข้มงวดอย่างที่คิด ทั้ง ๆ ที่สถานที่แห่งนี้คือฐานทัพเรืออันแข็งแกร่ง
แต่ทว่าเธเซียสยังมิเคยลืมเลือน..
ว่าเมืองหน้าด่านแห่งนี้ คือบริเวณที่เหล่าโจรสลัดถูกสังหารโดยมิโนทอร์

“สิ่งนั้นคือภูเขาแห่งไฟหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เมื่อลำเรือเคลื่อนเข้าใกล้ภูเขาไฟขนาดใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลางเกาะรูปวงแหวน ฝุ่นควันสีขาวพร้อมด้วยควันพิษจึงรายล้อมอยู่รอบตัว เธเซียสเลยต้องกลั้นหายใจแต่ก็ยังมิวายจะทูลถามด้วยความสนใจ เนื่องจากเขายังมิเคยเห็นภูเขาแห่งไฟมาก่อน ฝ่ายบุรุษผู้ถูกถามจึงพยักหน้าตอบ ทั้ง ๆ ที่ดวงพักตร์ถูกปกปิดด้วยผ้าลินินสีขาวตั้งแต่บริเวณนาสิกจนถึงโอษฐ์อย่างแน่นหนา
“มหัศจรรย์ยิ่ง กระหม่อมมิเคยเห็นมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางฝังปลายจมูกลงบนข้างแขนพร้อมสำลักควันจนน้ำตาเล็ด ส่งผลให้ผลเมอร์เทิลร่วงลงสู่เบื้องล่างไปกว่าครึ่ง
ทว่าบุรุษผิวคล้ำกลับก้มเก็บเพียงบุปผารูปร่างแปลกตา

“เจ้ามิใช่คนพื้นถิ่น คงมิรู้ว่าหมอกควันจากภูเขาแห่งไฟล้วนอันตรายจึงมิฟังคำเตือนจากเรา” เจ้าชายมิโนสตรัสในเชิงว่ากล่าวที่บุรุษข้างกายมิยอมฟังคำเตือน กลับเอาแต่เหม่อมองรอบกายด้วยความตื่นตาตื่นใจ พลางเอื้อมหัตถ์จากทางด้านหลัง เพื่อพันผ้าลินินสีขาวปกปิดเครื่องหน้าของเธเซียสตั้งแต่บริเวณปลายจมูกเป็นต้นมา
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ฝ่ายเธเซียสได้แต่ยืนนิ่งค้าง ราวกับคาดมิถึงว่าตนจะได้รับการดูแลถึงเพียงนี้
ฉับพลันที่ได้สติริมฝีปากก็มิลืมเอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“เจ้าชายมิโนสเสด็จแล้ว!”
“ทรงพระเจริญ!”

“ทรงพระเจริญ!”

เป็นอีกคราที่เสียงแซ่ซ้องของราษฎร์ชาวครีตันจากเมืองเอียและอาโกรตี กู่ก้องเทิดทูลบุรุษผู้สูงส่งที่ทรงยืนอยู่ตรงบริเวณหัวเรือ พลางโบกหัตถ์พร้อมดวงพักตร์อันเปื้อนยิ้ม กระทั่งลำเรือลอยล่องได้เพียงครึ่งวงแหวน ฐานทัพเรือของจักรวรรดิครีตันก็ปรากฏ
ซึ่งความน่าเกรงขามมิได้เกินจริงจากคำเยินยอของนางกำนัลดาฟเน่แต่อย่างใด
เหตุเพราะเรือรบของจักรวรรดิครีตัน กำลังจอดเทียบท่าตรงบริเวณท่าเรือฟีร่าอย่างมากมาย

กระทั่งปลายเท้าเหยียบย่ำลงบนแผ่นไม้กระดานขนาดหนึ่งผู้สามารถเดินผ่าน เธเซียสจึงหันมองรอบ ๆ บริเวณ สลับกับเหลือบมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ เนื่องจากม่านหมอกปกคลุมไปทั่วสารทิศ ทัศนวิสัยจึงมิค่อยดีนัก ส่งผลให้การก้าวเดินบนท่าเรืออันทอดยาว จำต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เจ้าชายมิโนสจึงต้องคอยหันกลับมาเพ่งพิศบุรุษที่กำลังก้าวเดินอยู่ข้างหลังเป็นระยะ
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อก้าวย่างมาจนถึงบริเวณชายฝั่ง เหล่าทหารมากยศต่างรอเข้าเฝ้าอย่างมากมาย จากนั้นเธเซียสก็ถูกฝากฝังให้อยู่ภายใต้ความดูแลของเคออส เนื่องจากบุรุษผู้สูงศักดิ์มีความประสงค์จะตรวจตราความพลั่งพร้อมของเรือรบก่อนที่งานเทศกาลจะก่อเกิดขึ้น เคออสจึงพาเธเซียสก้าวเดินขึ้นบันไดอันทอดยาวของพระราชวังแห่งเกาะธีราที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ม่านหมอกอันแน่นหนา
และที่แห่งนี้ยังคงมีบริวารของเจ้าแม่ ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นตรงปากทางเข้า

ทว่ายิ่งก้าวเดินสูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงใด ภาพของเกาะธีราอันเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือแห่งจักรวรรดิครีตันก็ยิ่งคาดคะเนได้ง่าย เนื่องจากเธเซียสจำได้ว่าตรงปากทางเข้าตรงฝั่งขวามือคือเมืองหน้าด่านอย่างอาโกรตี ส่วนตรงฝั่งซ้ายมือคือเมืองเอียอันเป็นที่พำนักของชาวครีตัน ขณะที่ใจกลางเกาะถูกบดบังด้วยภูเขาแห่งไฟสูงตระหง่าน การโจมตีฐานทัพเรืออันน่าเกรงขามจึงมิใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากทัศนวิสัยมิเป็นใจ อีกทั้งชาวไมซีเนียนมิได้คุ้นชินกับพื้นที่ ต่อให้เก่งกาจการรบเพียงใด ก็มิอาจเทียบชั้นทหารกล้าอย่างชาวครีตัน
หรือต่อให้เธเซียสเปิดโปงความลับเกี่ยวกับมิโนทอร์
ยังนับว่า ‘ยาก’ จะต่อกร

“หลังจากนี้ข้าต้องฝึกสิ่งใดบ้างหรือ ?” เธเซียสแกะผ้าลินินที่ปกคลุมอยู่บนใบหน้าพร้อมกับเรียบ ๆ เคียง ๆ ถามข้อมูลจากเคออส เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของการทำลายฐานทัพเรือแห่งนี้ เพราะดูเหมือนว่าหากจักรวรรดิครีตันมิมีความน่าเกรงขามดังกล่าว
ต่อให้มีเจ้าชายมิโนสสักสิบพระองค์ ก็มิอาจต้านทานไหว

“ประเดี๋ยวเจ้าเห็นจากภาพวาดเฟรสโกก็ทราบเอง” เคออสกล่าวพลางแย้มยิ้มขณะก้าวเดินเข้าไปยังตัวอาคารรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับพระราชวังนอสซัส เพราะตัวอาคารจะมีระดับลดหลั่นกันไป ที่สำคัญเส้นทางภายในตัวพระราชวังแห่งเมืองฟีร่ายังคงคดเคี้ยวยากจะจดจำ ซึ่งภาพวาดเฟรสโกของที่นี่ ลวดลายมิได้แตกต่างจากนอสซัสมากนัก เพียงแต่จะเพิ่มสัตว์บกจำพวกชาร์มัว ลิง และวิถีชีวิตของชาวประมง
“ภาพนี้คือการต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างสนใจ เมื่อภาพตรงหน้าปรากฏรูปชาวครีตันสองผู้กำลังต่อสู้กัน
เพียงแต่บริเวณข้อมือข้างหนึ่งกลับสวมอะไรบางอย่าง

“มิเชิงเป็นการต่อสู้ เรียกว่าการละเล่นเพื่อคลายความตึงเครียดน่าจะเหมาะกว่า” คำตอบของเคออสมิได้สร้างความแปลกใจให้กับเธเซียสอีกต่อไป เนื่องจากชาวครีตันมักจะแอบแฝงความสามารถด้านการทหารภายใต้ ‘การละเล่น’ หรือ ‘ประเพณีอันดีงาม’
“พวกเราเรียกกันว่าการชกมวย” เคออสกล่าวเสริมพร้อมยืนกอดอกมองจ้องภาพดังกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เธเซียสกำลังวิเคราะห์ว่า ‘การชกมวย’ จะเสริมสร้างความสามารถด้านการต่อสู้ได้มากเพียงใด ซึ่งคำตอบก็คาดเดามิยาก เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ตนเคยต่อสู้กับเซอร์ซี ที่ ณ ตอนนั้นแปลงกายเป็นเจ้าหัวขโมย
นับได้ว่าชาวครีตันอาจมีทักษะในการต่อสู้ที่มิควรประมาท

“เทศกาลเดินเรืองั้นหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามเมื่อทั้งคู่เริ่มเดินลึกเข้าไปยังตัวพระราชวังมากขึ้น ภาพวาดเฟรสโกอันโดดเด่นจึงปรากฏ ซึ่งภาพดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินเรือดังเช่นเจ้าชายมิโนสและขุนพลดิดะรัสพูดถึง
“มิเชิง”

“หมายความว่าอย่างไรหรือท่านเคออส ?” เมื่อคำพูดกำกวมจากปากเคออสมิอาจไขความกระจ่าง เธเซียสจึงเริ่มจี้ถาม
“เพ้ย ๆ ขนลุกเสียจริง เรียกข้าอย่างเดิมเถิด ถือว่าข้าขอความเห็นใจ” เคออสกล่าวพลางลูบข้างแขนพร้อมทำสีหน้าแปลกประหลาด เธเซียสจึงหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ

“หากท่านขยายความให้ชัดแจ้ง ข้าจึงจะเห็นใจ” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางยักคิ้วให้กับสหายสนิทที่เริ่มจะมิอยากสนิทอีกต่อไป
“เจ้าสังเกตหรือไม่ ภูเขาแห่งไฟเป็นสิ่งอันตราย” สิ้นคำบอกกล่าวของเคออส เธเซียสพลันแสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์

“กลิ่นควันเหล่านั้น มิใช่พิษร้ายหรอกหรือ ?” สิ้นคำอธิบายสุดกำกวม เธเซียสก็เริ่มจับจ้องภาพของเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการสร้างในระดับลดหลั่น คาดว่าคงจะเป็นรสนิยมในการสร้างที่อยู่อาศัยของชาวครีตัน ซึ่งเบื้องหลังของเมืองดังกล่าวปรากฏภูเขาแห่งหนึ่งที่มีสีสันแปลกตา เทียบได้กับลวดลายอันเป็นเส้นสายของหน้าผาสีน้ำตาลอมแดง ขณะที่ด้านบนมีทั้งสิงโตและกวางป่า บ่งบอกได้ว่าบนเกาะแห่งนี้อุดมสมบูรณ์มิต่างกับเมืองหลวงอย่างนอสซัส ขณะที่เรือลำน้อยเป็นเรือที่ใช้ฝีพายถึง 10 ชีวิต และผู้คัดท้ายหางเสืออีก 1 ชีวิต คาดว่าคงจะเป็นลำเรือของเหล่าราษฎร์ชาวครีตัน เพราะมิมีผู้โดยสารเหมือนเรือลำอื่น
ขณะที่ลำถัดมาเป็นเรือขนาดใหญ่จำนวน 2 ลำ ใช้ฝีพายประมาณ 36 ชีวิต หรืออาจจะ 42 ชีวิต มีการสร้างหลังคาเพื่อป้องกันลมให้กับเหล่าขุนนางชั้นสูง เนื่องจากพวกเขาล้วนสวมใส่อาภรณ์สีขาวบ่งบอกถึงสถานะ ส่วนลำด้านบนดูเหมือนจะเป็นเรือธง  เนื่องจากมีการสร้างหลังคาอย่างโดดเด่น อีกทั้งยังประดับเครื่องอิสริยาภรณ์บ่งบอกถึงอำนาจของการบัญชาการรบ ส่วนลำถัดมาคาดว่าคงจะเป็นเรือพระที่นั่งของราชวงศ์ เหตุเพราะมีการประดับพระยศอย่างสมเกียรติ อีกทั้งยังมีการสร้างหลังคาด้วยความประณีต รวมถึงผู้โดยสารภายในเรือลำนั้นต่างสวมใส่อาภรณ์สีสันสดใส ต่อจากนั้นดูเหมือนจะเป็นภาพของเรือใบคล้ายกับลำเรือที่เธเซียสโดยสารมายังเกาะธีรา
และสุดท้ายทุกลำเรือต่างมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงอย่างนอสซัส

“ภาพนี้หมายถึงแผนการอพยพอย่างนั้นหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างมิแน่ใจ
“เป็นเช่นนั้น” เคออสกล่าวพลางเดินเอามือไพล่หลังนำหน้าเธเซียส

“เช่นนั้นเทศกาลเดินเรือ เหล่าราษฎร์ก็ต้องเข้าร่วมด้วยงั้นหรือ ?” เธเซียสยังคงคิดวิเคราะห์ต่อไป ขณะที่ในใจนึกชื่นชมพระปรีชาสามารถของเจ้าชายมิโนสไม่น้อย เหตุเพราะพระองค์ล้วนอ่านความเป็นไปได้ขาดชะงัด
“เป็นดังที่เจ้าเข้าใจ” สิ้นคำกล่าวจากเคออส เธเซียสยังมองเห็นความนัยจากงานเทศกาลสำคัญในครั้งนี้ เนื่องจาก ‘การอพยพ’ อาจมิได้มีขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับพิษของภูเขาแห่งไฟเพียงอย่างเดียว
แต่อาจจะมีขึ้นเพื่อรับมือกับเหล่าข้าศึกที่เข้ามาสอดแนมก็เป็นได้

“รีบนำสัมภาระของเจ้าไปเก็บเสียเถิด ประเดี๋ยวจะเสียหาย” กระทั่งเดินมาจนถึงห้องที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส เนื่องจากการประดับตกแต่งดูงดงามเกินกว่าจะเป็นห้องของนายทหารผู้แสนต่ำต้อย
“เจ้านี่มัน!” เธเซียสได้แต่ถลึงตาใส่สหายสนิทพลางทำสีหน้าขึงขัง ทว่าใบหน้าของเขากลับแดงซ่าน
เนื่องด้วยถูกคนใกล้ชิด เย้าหยอกเรื่องบุปผาพระราชทาน

กระทั่งหมดเวลาแห่งการผ่อนคลาย สองสหายจึงเดินออกมาจากเขตพระราชฐาน เพียงแต่ต้องเดินไปตามเส้นทางอันทอดยาวท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีเหลืองบ้าง ขาวบ้าง สลับกันไป
ทว่าความสวยงามเหล่านั้น กลับมิได้อยู่ในความสนใจของเธเซียส
เนื่องจากกระไอหมอกอันแน่นขนัด ถูกปัดเป่าด้วยแสงสุริยะที่แผดเผา

คำตอบที่เฝ้าค้นหาคล้ายกับปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อกระไอหมอกที่ปกคลุมหมู่เกาะธีรามิได้เกิดจากควันพิษของภูเขาแห่งไฟเพียงอย่างเดียว แต่กลับเกิดจากอะไรบางอย่างที่มินานก็จางหาย กลอุบายเกี่ยวกับมิโนทอร์จึงก่อเกิดขึ้น เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้ฐานทัพเรืออันยิ่งใหญ่
อีกทั้งความน่าเกรงขามดังกล่าว ยังก่อให้เกิดอำนาจทางด้านการค้า

“พวกเขาทำสิ่งใดกันหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามเคออสเมื่อได้ยินเสียงประหลาดดัง ตุบ! ตุบ! ไม่ขาดสาย แต่มิว่าจะชะเง้อคอจนยืดยาวเพียงใด ก็มิอาจมองเห็นที่มาของเสียง เนื่องจากต้นไม้ใหญ่หลายต้นต่างบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าจนหมดสิ้น
“ชกมวย” เคออสตอบพร้อมกำมือทั้งสองข้างอย่างกระฉับกระเฉง พลางปล่อยหมัดเข้าใส่เธเซียสอย่างมิบอกกล่าว เล่นเอาบุรุษจากต่างแดนหลบหลีกแทบมิทัน

“เจ้ากับข้าประลองฝีมือที่ลานประหารสักหน่อยเป็นอย่างไร ?” เคออสกลั้วหัวเราะพลางกุมท้องอย่างชอบใจปฏิกิริยาของสหายสนิท ก่อนจะท้าประลองด้วยการยื่นกำปั้นออกมาตรงช่องว่างระหว่างกัน
“ย่อมได้! เหตุเพราะสถานที่แห่งนั้น คือลานประหารแห่งเจ้า!” เธเซียสรับคำท้าด้วยท่าทางอวดดี พร้อมชกกำปั้นใส่กำมือของอีกฝ่ายเป็นการทำสนธิสัญญา

กระทั่ง ‘ลานประหาร’ สำหรับคนทั้งคู่ปรากฏ ภาพของเหล่าทหารกล้ากำลังจับคู่ชกต่อยด้วยความพลิ้วไหวอย่างละลานตา บ่งบอกได้ดีว่าเหล่าทหารกล้าของจักรวรรดิครีตันมิได้มีเพียงหยิบมือ
เนื่องจากทหารบางส่วนเป็นทาสจากนูเบีย

“พวกเจ้าเพิ่งเดินทางมาเหนื่อย ๆ จะเริ่มเลยหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวกับรู้ใจคนทั้งคู่เป็นอย่างดี อาจเพราะแววตาของสองสหายต่างร้อนเป็นไฟจนอ่านง่าย
“พ่ะย่ะค่ะ!” คำตอบรับเป็นหนึ่งเดียว ร้องเรียกเสียงสรวลจากบุรุษผู้สูงศักดิ์ได้เป็นอย่างดี

“เช่นนั้นเราก็มิขัด” บุรุษผู้เปรียบเสมือนผู้บังคับบัญชาแห่งกองทัพ ตรัสแน่นิ่งพลางเอื้อมไปหยิบสิ่งของบางอย่างที่มีรูปร่างแปลกตาสำหรับเธเซียส ก่อนจะประทานให้กับเคออสอย่างง่ายดาย
“ส่งมือของเจ้ามา” เจ้าชายมิโนสตรัสกับเธเซียสที่กำลังคุกเข่าข้างหนึ่ง พร้อมยื่นพระหัตถ์ออกมาตรงหน้า ฝ่ายเธเซียสจึงเหลือบมองเคออสเพียงครู่ เพื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายสวมใส่ของสิ่งนี้ด้วยมือข้างไหน
เนื่องจากในภาพวาดเฟรสโก เธเซียสเล็งเห็นว่า..
บุรุษทั้งสองมิได้สวมใส่อะไรบางอย่างด้วยมือข้างเดียวกัน

ทันทีที่เธเซียสวางมือข้างขวาลงบนพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนส แววตาของเธเซียสพลันมองสบกับดวงพักตร์หวานละมุนที่กำลังแย้มสรวลส่งมาให้ เธเซียสจึงเสสายตาหลบเลี่ยง
ทว่าหางตามิวายจะแลมองบุรุษตรงหน้า ที่กำลังสวมใส่เครื่องมือจำเป็นสำหรับการละเล่นดังกล่าวด้วยความนุ่มนวล พร้อมโน้มวรกายลงมากระซิบแผ่วข้างใบหู
แต่ทว่ากลับแอบแฝงด้วยอำนาจอยู่ในที

“เราจะคอยดูเจ้ามิให้คลาดสายตา”


φ


[1] พระขนอง แปลว่า แผ่นหลัง

[2] เรือธง คือ เรือที่ผู้บัญชาการกองเรือซึ่งมียศตั้งแต่พลเรือตรีขึ้นไป ใช้เป็นที่บังคับบัญชากองเรือ ชักธงตามยศของผู้บังคับบัญชาไว้บนยอดเสา เพื่อให้ลำอื่นในกองเดียวกันสังเกตเห็น


บทความที่เกี่ยวข้อง

- The Akrotiri miniature Marine Festival Fresco https://joo.gl/89gsTE

วันนี้มาอัพเร็วหน่อย พอดีเรามีธุระช่วงเย็น สำหรับตอนนี้ก็รู้ความลับของเกาะแห่งไฟแล้วเนอะ เพราะจริง ๆ ควันพิษจากปล่องภูเขาไฟ ไม่สามารถปกคลุมได้ทั่วท้องทะเล ดังนั้นความเลือนรางที่เห็นคือ 'หมอก' ค่ะ หากใครนึกไม่ออกให้นึกถึงกรณีที่หมอกลงทะเลสงขลาของไทยก็ได้ค่ะ เจ้าชายมิโนสก็เลยเลือกใช้กลอุบายนี้เพื่อข่มขวัญข้าศึก และความจริงแล้วภาพวาดเฟรสโกที่เรานำมาเขียนของจริงอยู่ที่เมืองอาโกรตีหรือเมืองหน้าด่านค่ะ ส่วนการชกมวยถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเพียงแค่การละเล่นคลายเครียดของชาวครีตัน และการวิเคราะห์เกี่ยวกับภาพวาดรูปเรือ เราเอาบทความมาประยุกต์อีกทีนึงค่ะ ซึ่งบทความที่เราใช้ก็เป็นเพียงแค่การสันนิษฐานเท่านั้นจ้า และอีกอย่างนึงคือมีนักโบราณคดีสันนิษฐานว่ามิโนอันคือแอตแลนติสที่สูญหายไปค่ะ

ภาพเฟรสโกต่อยมวย

https://i.imgur.com/isbZRxt.jpg

ภาพเฟรสโกเรือ

https://i.imgur.com/NcjvOix.jpg

อันนี้คือภาพจำลองเกาะธีราตอนก่อนเกิดและกำลังเกิดภูเขาไฟระเบิดค่ะ

https://imgur.com/RBL9P9G
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:36:55 โดย Chomin »

ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
แทบจะอดทนรอดูว่าตัวตนจริงๆของเจ้าชายเป็นยังไงไม่ไหวแล้ว 555
เธเซียสก็หวั่นไหวเอาๆ
ไม่รู้เจ้าชายจะรู้สึกหวั่นไหวกับเธเซียสมั่งยัง

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 17

การชกมวยสำหรับเธเซียสมิใช่เรื่องยาก เพียงแต่เคออสฝีมือดีเกินไป เพลานี้ทุกผู้จึงหันมาให้ความสนใจกับราชองครักษ์และทหารมือใหม่อย่างล้นหลาม เสียงตะโกนกึกก้องพร้อมปรบมืออย่างมีจังหวะ บ้างก็ชูกำปั้นชกไปมากลางอากาศ คล้ายกับจิตวิญญาณแห่งเลือดนักสู้กำลังฮึกเหิม ส่งผลให้สองบุรุษที่กำลังหยั่งเชิงอยู่ตรงกลางสนาม รีบเข้ามากลุ้มรุมด้วยลีลาอันพลิ้วไหวและคล่องตัว
ทว่าต่างคนต่างหวดหมัดได้เพียงสายลม เพราะทันทีที่เคออสหมายปองข้างแก้มของบุรุษคู่ต่อสู้ คนผู้นั้นกลับเอี้ยวตัวหลบทันควัน ฝ่ายเธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวปล่อยหมัดเสยปลายคางของสหายสนิท เพียงแต่เคออสกลับแก้เผ็ดด้วยการล็อกคอเธเซียสจนอยู่ในระดับเอว เขาจึงแก้สถานการณ์ด้วยการปล่อยหมัดซ้ายเข้าใส่ใบหน้าของเคออส จากนั้นบุรุษผู้ซึ่งกำลังได้เปรียบก็ใช้แขนขวากันหมัดซ้ายของเธเซียสและตอบโต้ด้วยการเพิ่มแรงกอดรัดตรงบริเวณลำคอ

“เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่ ?” เคออสเอ่ยถามพลางแย้มยิ้ม ขณะเธเซียสกำลังดิ้นรนขัดขืนเป็นคำตอบ
“ท่านเคออส ท่านมิควรถามในสิ่งที่ตัวท่านก็ทราบคำตอบดี” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ พร้อมอาศัยจังหวะดังกล่าวใช้ปลายเท้าล็อกกับปลายเท้าของอีกฝ่าย ส่งผลให้ผู้เสียหลักล้มลงกับพื้น พันธนาการชั้นดีจึงถูกปลดออก เธเซียสจึงกลับมายืนอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมกอดอกและยักคิ้วให้สหายสนิท
ฝ่ายผู้ชมจึงเริ่มย้ายข้างมาหาเธเซียส

“ทักษะการต่อสู้ของเจ้ามิอาจประมาทได้จริง ๆ ข้ายอมแพ้เจ้าแล้ว” ราชองครักษ์กล่าวพลางยื่นมือออกไปตรงหน้าบุรุษจากต่างแดน ฝ่ายเธเซียสจึงหรี่ตามองฝ่ามืออันแข็งแกร่งพลางเหลือบมองไปยังเคออส ราวกับจะดูท่าทีของอีกฝ่ายว่ามีกลใดแอบแฝงอยู่หรือไม่ แต่ในท้ายที่สุดเธเซียสก็ยอมฉุดร่างของบุรุษตรงหน้าขึ้นจากพื้น ทว่าเคออสกลับเป็นฝ่ายกระตุกแขนจนเธเซียสเกือบจะล้มคว่ำ
“เห็นเจ้ามัวแต่หวาดผวา ข้าจึงสนองสักหน่อย” เคออสกล่าวพลางกลั้วหัวเราะพร้อมลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าววาดเรียวขาประทับลงบนหน้าแข้งของอีกฝ่ายจนสุดแรง เล่นเอาสหายสนิทแหกปากร้องจนเสียงดังลั่น

“เธเซียส! เจ้าช่างเหี้ยมโหดเสียจริง!” บุรุษผู้ถูกทำร้ายตะโกนก้องพลางยืนท้าวเอวมองบาดแผลของตนเองที จดจ้องบุรุษผู้ลอบทำร้ายที จากนั้นจึงยอมล่าถอยเพื่อไปสมทบกับทหารนายอื่นที่กำลังยืนต่อแถวรอรับอาหารมื้อเย็น ส่งผลให้บุรุษผิวคล้ำรีบวิ่งตามไป
เนื่องจากการ ‘ละเล่น’ ของชาวครีตัน มิใช่เพียงการเล่นสนุกดังปากพูด
เพลานี้เธเซียสจึงค่อนข้างหิวโซ

“แสงสุริยะใกล้จะลาลับขอบฟ้าแล้วกระมัง” เจ้าชายมิโนสเยื้องย่างเข้ามาหาเธเซียสพลางตรัสวาจาครึ่ง ๆ กลาง ๆ
“เห็นจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอี้ยวตัวกลับไปมองยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่กำลังส่องแสงสีทองระยิบระยับ

“เจ้ามิคิดว่าอาหารดี ๆ ทัศนียภาพงาม ๆ เหมาะแก่ผู้ชนะหรอกหรือ ?” วาจาของเจ้าชายมิโนสร้องเรียกรอยยิ้มจากเธเซียสได้เป็นอย่างดี
“เช่นนั้นพระองค์คงต้องเสวยพระกระยาหารเลิศรสและชื่นชมทัศนียภาพงาม ๆ กับผู้ชนะกว่าพันคนกระมัง” บุรุษจากต่างแดนหยอกเย้าอย่างมิได้กริ่งเกรง ฝ่ายบุรุษผู้สูงศักดิ์ก็มิได้ถือโทษโกรธเคือง มีแต่จะทรงพระสรวลด้วยท่าทีอันสง่างามเสียมากกว่า

“ในความเป็นจริงควรต้องเป็นเช่นนั้น เพียงแต่เราอยากสัมผัสกับความรู้สึกที่แตกต่างไปจากคราก่อน” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยท่าทีนุ่มนวลพลางแย้มสรวลด้วยความอ่อนโยน ฝ่ายเธเซียสจึงได้แต่เสสายตามองแผ่นหลังของนายทหารท่านอื่นที่อยู่ไกลริบ ราวกับต้องการเว้นระยะห่างจากคนทั้งคู่ แต่ทว่าริมฝีปากของเธเซียสกลับมิอาจซ่อนรอยยิ้มแห่งความอ่อนไหวได้อย่างมิดชิด
เมื่อวาจาของเจ้าชายมิโนสแอบแฝงความหมายโดยนัยบางอย่างที่บ่งบอกถึง ‘ความพิเศษ’

“พระองค์จะประทับตรงส่วนใดพ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมรับมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วจะได้ตามเสด็จไป..” เธเซียสเอ่ยถามพลางลอบมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางไออุ่นหอมอร่อยตรงบริเวณหัวแถว
“เหตุใดพระองค์จึงทรงพระเกษมสำราญเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามบุรุษตรงหน้าที่กำลังแอบสรวลด้วยการใช้ปลายพระอังคุฐ แตะตรงบริเวณปลายนาสิกด้วยท่าทีสุภาพ
เพียงแต่ดวงเนตรดุจท้องทะเลในยามราตรี กลับคลี่เป็นรอยยิ้มปกปิดความน่ากริ่งเกรงจนหมดสิ้น

“คงเป็นเพราะเจ้าพิเศษกว่าผู้ใดกระมัง” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสอย่างไม่กระจ่างแจ้งพร้อมเสด็จไปยังพื้นที่ที่หมายปอง เธเซียสจึงลอบมองตามจนสุดสายตา
ทว่าข้างแก้มของเขากลับร้อนฉ่า
ริมฝีปากพลันเป่าลมร้อนพร้อมใช้ฝ่ามือพัดพาความรู้สึกแปลก ๆ ให้มลายหายไป

กระทั่งเธเซียสได้รับดอลมาเดซ จำนวนสองห่อ เขาจึงเดินตรงไปยังริมหน้าผาที่บุรุษผู้สูงศักดิ์ประทับอยู่ ซึ่งหากมองจากมุมนี้เธเซียสรู้สึกว่าในยามที่แสงสุริยะใกล้จะลาลับขอบฟ้า ท้องทะเลกลายเป็นสีทองอร่ามงดงามยิ่งกว่าคราใด
มิรู้เป็นเพราะเกาะธีราถูกล้อมรอบด้วยน้ำทะเลอันกว้างใหญ่
หรือเป็นเพราะภาพตรงหน้ามีเจ้าชายมิโนสเป็นส่วนประกอบกันแน่

“กระหม่อมนำมาเผื่อพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผิวคล้ำกล่าวพลางทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิพร้อมถวายพระกระยาหารให้กับบุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างนอบน้อม
“หรือว่าพระองค์..” เมื่อปฏิกิริยาที่ได้รับจากเจ้าชายมิโนสมีเพียงรอยยิ้มหวานละมุน เธเซียสจึงก้มหน้าพิจารณารูปลักษณ์ของรายการอาหารประจำกองทัพเรือ พบว่า ‘ดอลมาเดซ’ ค่อนข้างเป็นอาหารที่มิน่าดึงดูด ยิ่งเทียบกับเครื่องเสวยของเจ้าชายมิโนสด้วยแล้ว คงจะยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่
มิแปลกที่บุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างเจ้าชายมิโนสจะทรงปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม

“เรามีของเราแล้ว เจ้าทานเสียเถิด..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางหยิบดอลมาเดซจำนวนสองห่อจากข้างวรกาย ฝ่ายเธเซียสจึงนั่งยิ้มแป้น เนื่องจากเพลานี้เขาหิวจนแทบจะกระโดดลงทะเลเพื่อไปหาปลาประทังชีวิตอยู่รอมร่อ
“เราเห็นเจ้ามองจนตาละห้อย มิกล้าใจร้ายไปแย่งชิง” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางส่งมอบข้าวห่อใบองุ่นให้กับเธเซียส
เท่ากับว่าอาหารมื้อนี้เธเซียสได้อิ่มหนำมากกว่าผู้ใด

“โธ่! กระหม่อมมิได้ทำเช่นนั้นสักหน่อย แต่อย่างไรก็ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสบ่นอุบ แต่ก็น้อมรับไว้ด้วยความเต็มใจ เนื่องจากเขาเสียพลังงานไปมาก
ดังนั้นคงต้องกินทดแทนให้มากเช่นกัน

“กระหม่อมทราบมาว่าเทศกาลเดินเรือ คือส่วนหนึ่งของการเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพ” เธเซียสกล่าวเปิดประเด็นพลางเคี้ยวดอลมาเดซตุ้ย ๆ ด้วยความเพลิดเพลิน เนื่องจากรสชาติของมันเลิศเลอละมุนลิ้น
“เคออสบอกเจ้าหรือ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางหันมองบุรุษข้างกาย

“เคออสมิได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง” เธเซียสกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วชี้ไปยังข้างขมับครู่หนึ่ง
“พระองค์ทรงพระปรีชาเป็นอย่างยิ่ง หากเป็นกระหม่อมคงจะมองเห็นแต่ข้อดีจากภูเขาแห่งไฟ” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางแย้มยิ้มให้กับเจ้าชายมิโนสด้วยแววตาอันเป็นประกาย บ่งบอกถึงความชื่นชมที่เจ้าตัวมีต่อคนตรงหน้าอย่างมิอาจเก็บงำ

“ล้วนเกิดจากการเรียนรู้” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างถ่อมตน พลางเสวยข้าวห่อใบองุ่นด้วยดวงเนตรเปี่ยมสุข ฝ่ายเธเซียสเมื่อเห็นดังนั้นจึงหันมองไปยังดวงอาทิตย์กลมโตที่ลอยเด่นเหนือผิวน้ำทะเลเพียงครึ่ง
“เธเซียส..” สุรเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยนามของอีกผู้ด้วยความอ่อนโยน ส่งผลให้เจ้าของนามนั้นเฝ้ามองอีกฝ่ายด้วยหัวใจหวิวไหว

“พ่ะย่ะค่ะ” เสียงตอบรับแผ่วเบาของเธเซียสเพลานี้ ฟังดูมิหนักแน่นดังเช่นทุกครา คล้ายกับบรรยากาศรอบกายนำพาให้ความไหวหวั่นแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย
“ความชื่นชมของเจ้า เพียงพอที่จะ..” เจ้าชายมิโนสตรัสยังมิทันจบประโยค โอษฐ์คู่นั้นก็หยุดการเคลื่อนไหว ราวกับวาจาถูกกลืนลงสู่พระหทัย บุรุษผู้นั้นจึงทรงแย้มสรวลก่อนเสด็จจากไป
เหลือทิ้งไว้เพียงตะกอนขุ่นมัวที่มิอาจเข้าใจ..
ทว่ากลับปวดใจอย่างประหลาด เมื่อได้เห็นดวงเนตรไหวระริกอย่างที่มิเคยเห็น

เมื่อเสร็จสิ้นมื้อเย็นอันกระอักกระอ่วน เธเซียสก็จมลงสู่ภวังค์แห่งความว่างเปล่า เพลานี้เขาจึงนอนอยู่บนตั่งพลางหมุนก้านดอกเมอร์เทิลอย่างเลื่อนลอย สลับกับคอยเหลือบมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิทเป็นระยะ
ทั้งวาจาและสายพระเนตรยังคงวนเวียนอยู่ในหัวมิจางหาย
แต่ทว่าเธเซียสมิอยากเข้าใจ เพียงแต่ใจกลับเข้าใจอย่างแจ่มชัด

คนมีชนักติดหลังจึงเริ่มลุกขึ้นนั่งพลางเดินไปเดินมาอย่างร้อนรุ่มใจ ครู่หนึ่งจึงแอบชะโงกตัวออกไปมองยังนอกหน้าต่างแล้วกลับมาเดินวนไปเวียนมาอีกครั้ง เหตุเพราะใจของเขาเริ่มไม่สงบนิ่ง
ทางแก้ไขคงมีเพียงหนทางเดียว
คือการเฝ้ารอจนกว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์จะเสด็จกลับ

เธเซียสจึงตัดสินใจเดินออกจากห้องบรรทมเพื่อมองหาความสบายใจของตน กระทั่งพบว่าภาพวาดเฟรสโกของพระราชวังแห่งนี้ มิได้มีเพียงธรรมชาติหรือเทศกาลเดินเรือเพียงอย่างเดียว แต่กลับมีภาพของหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีดำรัตติกาลถูกมัดรวบด้วยการถักเปียจำนวนสองเส้น สวมใส่เสื้อผ้าลวดลายสุดประณีตพร้อมสวมเครื่องประดับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างงดงามกำลังเก็บหญ้าฝรั่นร่วมกับหญิงสาวอีกนางหนึ่งที่โกนผมจนสั้นกุดหลงเหลือเพียงเส้นผมกระจุกหนึ่งมัดรวบเป็นวงกลมและปล่อยยาวราวกับหางม้า
ซึ่งการแต่งกายของหญิงสาวชาวครีตันมีความคล้ายคลึงกับชาวเมืองกิชแห่งเมโสโปเตเมีย
 
กระทั่งเดินถัดมาอีกมุมหนึ่ง พบภาพของหญิงสาวกำลังก้มเก็บใบหญ้าเหน็บไว้บนศีรษะ โดยการแต่งกายของหญิงในภาพดังกล่าวมีสีสันสดใสมากกว่าภาพแรก ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นภาพของหญิงสาวที่สวมใส่อาภรณ์ลวดลายสุดประณีต แต่กลับดูหรูหรามากกว่ารูปใด อาจเพราะหญิงสาวผู้นี้มิใช่บุคคลธรรมดา เนื่องจากนางนั่งอยู่บนแท่นบางอย่างและยื่นมือออกไปรับหญ้าฝรั่นจากลิงป่า ขณะที่นางกำนัลกำลังเทหญ้าฝรั่นลงตะกร้า โดยที่เบื้องหลังของหญิงผู้สูงศักดิ์ ปรากฏกริฟฟิน ตนหนึ่งที่มีส่วนหัวและขาคู่หน้าเป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต และมีหางเป็นงู
ซึ่งสัตว์ในเทพนิยายตนนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ และบางครั้งก็แสดงถึงความหยิ่งยโส
บ่งบอกได้ดีว่าหญิงสาวในภาพวาดเฟรสโก ล้วนเป็นพระราชินีแห่งจักรวรรดิครีตัน

‘ความห่างไกล’ เป็นคำคำเดียวที่เธเซียสรับรู้ได้จากภาพวาดที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึก เนื่องจากสองภาพแรกเป็นอิริยาบถขององค์ราชินีในลักษณะเรียบง่าย
แต่ในภาพสุดท้ายพระนางกลับดูสูงส่งเกินกว่าจะจับต้อง
ซึ่งก็มิได้แตกต่างจากสายสัมพันธ์ระหว่างผู้เป็นมารดาและโอรส

จากนั้นเธเซียสก็เดินต่อไปยังทิศเหนือ พบกับห้องขนาดเล็กที่มีภาพวาดเฟรสโกรูปภูเขาสูงตระหง่านประดับด้วยดอกไม้รูปร่างแปลกตาทั้งสี่ทิศ ซึ่งเป็นภาพวาดลวดลายเดียวกับพระราชวังแห่งนอสซัส
ต่างกันแค่ภายในห้องดังกล่าวมีช่องลับขนาดเท่าคนผู้หนึ่งสามารถคลานผ่าน

เธเซียสจึงไม่รอช้ารีบคลานเข้าไปยังช่องดังกล่าว พบว่าด้านในมืดมิดจนมิอาจมองเห็นสิ่งใด เขาจึงต้องคลานต่อไปตามเส้นทางอันทอดยาว หัวเข่าพลันถลอกและเขียวช้ำเนื่องจากช่องลับค่อนข้างคับแคบ
แต่พอใกล้จะถึงสุดปลายทาง
แสงสว่างกลับส่องประกายอย่างเย้ายวน

“เพราะเขาคล้ายคลึงพระอนุชาหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฉับพลันที่เสียงของเคออสดังก้องไปทั่วบริเวณ บ่งบอกได้ว่าเจ้าของประโยคดังกล่าวยืนอยู่ไม่ไกลจากปลายทางของช่องลับ
จังหวะการเคลื่อนไหวของเธเซียสจึงค่อย ๆ ช้าลงจนกระทั่งหยุดนิ่ง

“พระองค์ถึง.. จะฆ่าเขา”


φ

[1] พระอังคุฐ แปลว่า นิ้วหัวแม่มือ (edit แก้ความหมายเล็กน้อยค่ะ เราเบลอใส่ผิดมหันต์ ขอโทษด้วยค่า 22/06/2019)
[2] ดอลมาเดซ (Dolmades) คือ เมนูใบองุ่นยัดไส้ข้าว ซึ่งในข้าวจะมีผักชีลาวและถั่วไพน์นัทผสมอยู่ เป็นอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน
[3] กริฟฟิน คือ สัตว์ในเทพนิยายร่างกายเป็นครึ่งนกอินทรี ครึ่งสิงโต และมีหางเป็นงู แต่บางพวกก็มีหางเหมือนสิงโต ขนบนหลังมีสีดำ ขนที่อยู่ข้างหน้าจะเป็นสีแดง ส่วนปีกจะมีสีขาว อาศัยอยู่ตามถ้ำตามภูเขา

สำหรับตอนนี้ก็เริ่มต้นด้วยความหวาน และสุดท้ายก็แอบมาหย่อนระเบิดไว้อีกนิดหน่อย 555
อ้อ เนื้อเรื่องเดินมาถึงครึ่งทางแล้วนะคะ สำนวนย้อนยุคก็เริ่มชินบ้างแล้ว เดี๋ยวถ้ามีเวลาเราจะกลับไปรีไรท์ช่วงแรก ๆ ใหม่อีกที


ดอลมาเดซ
https://imgur.com/31hKeR8

ภาพวาดเฟรสโกที่กล่าวถึงในเรื่องค่ะ ต้นหญ้าพุ่ม ๆ เราไปหาข้อมูลมา เขาบอกว่าเป็นหญ้าฝรั่นค่ะ เป็นสมุนไพรราคาแพงในปัจจุบัน
https://imgur.com/eEXIcUt
https://imgur.com/7wd70jW
https://imgur.com/KaYSW6Z

Cr : knossoslab
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2019 11:19:08 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 18

เช้าวันนี้แม้กายหยาบของเธเซียสจะวิ่งคู่ไปกับเหล่าทหารที่เป็นทาสจากนูเบีย แต่ทว่ากายละเอียดกลับนอนแน่นิ่งอยู่ในช่องทางลับอันคับแคบ เนื่องจากประโยคที่ได้ยินเมื่อค่ำคืนวาน ถูกตอบกลับด้วยความเงียบเชียบจากเจ้าชายผู้สูงศักดิ์
ความรู้สึกของเธเซียสจึงถูกบดขยี้มิเหลือชิ้นดี
เหตุเพราะเขาหวั่นไหวเกินกว่าที่ไส้ศึกจะคู่ควร

เพลานี้เธเซียสจึงมินึกคัดค้านต่อการกระทำของเสด็จพ่อ เนื่องจากเขาจิตใจอ่อนไหวเกินไป จึงมิควรได้รับความไว้วางใจให้ทำการใหญ่ เพราะต่อให้ในใจมีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพียงใด ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าชายมิโนสก็สามารถฉุดรั้งตัวเขามิให้พายเรือเข้าสู่ฝั่งฝัน และมิกล้าจะพายเรือกลับสู่ชายฝั่ง อันมีบุรุษผู้ทรงอิทธิพลจ่อปลายหอกแหลมคมเข้าทิ่มแทง

“ไปกับเรา..” สุรเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมแรงฉุดกระชาก ส่งผลให้บุรุษผู้ซึ่งตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดถูกปลดปล่อยออกจากวังวนดังกล่าว พบว่าหนทางข้างหน้าคือกำแพงหินอันทอดยาว หัวใจพลันอ่อนยวบด้วยความตื่นตระหนก เพราะถ้าหากมิได้บุรุษผู้สูงศักดิ์ฉุดรั้งไว้ มิแน่ว่าเธเซียสอาจจะนอนจมกองเลือดอย่างน่าอเนจอนาถ
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผู้มีชนักติดหลังกล่าวพลางเสหลบดวงเนตรของอีกผู้ราวกับคนขี้ขลาด กระทั่งเจ้าชายมิโนสที่กำลังพันธการข้อมือของเธเซียสอย่างแน่นหนา นำทางมายังเขตที่อยู่อาศัยของชาวเมืองเอียตรงบริเวณตอกแคบที่มิมีผู้คน 

“พระองค์จะพากระหม่อมไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังต้องเรียนรู้ด้านการต่อสู้อีกมาก” บุรุษผิวคล้ำทูลถามอย่างหวาดระแวง ขณะที่จังหวะการก้าวเดินยังคงเป็นไปตามความประสงค์ของเจ้าชายมิโนส
“หากเรากำลังคิดมิตกและค่อนข้างอึดอัดใจ เรามักจะมายังที่แห่งนี้” สุรเสียงทุ้มนุ่มดังเช่นวันวานไขความกระจ่างอย่างมิคิดปิดบัง พร้อมมอบรอยยิ้มหวานละมุนเป็นการปิดท้าย
เพียงแต่การกระทำดังกล่าว..
ในเพลานี้มิต่างจากของหวานเคลือบยาพิษ

“พระองค์กำลังมีเรื่องอันใดที่ทรงคิดมิตกหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความเป็นห่วงและค่อนข้างคาดหวังว่าเรื่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตนเคยได้ยิน
“เรากำลังลังเลเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง และมันก็เป็นเรื่องน่าขันที่เรากำลังตกหลุมพรางของตนเอง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางทอดพระเนตรมายังเธเซียส ส่งผลให้ทุกสิ่งรอบกายราวกับหยุดการเคลื่อนไหว เนื่องจากดวงเนตรคู่นั้นกำลังบอกกล่าวความในใจบางอย่างที่หากมิได้ยินคำถามจากเคออสเมื่อค่ำคืนวาน เธเซียสคงจะมิมีทางล่วงรู้ได้เลยว่า..
ความสัมพันธ์อันจอมปลอม..
กำลังพันธนาการคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง

“กระหม่อมเองก็มีเรื่องราวที่ยังคิดมิตก และมันก็เป็นเรื่องน่าขันดังเช่นเรื่องราวของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“...” สิ้นคำตอบจากเธเซียสจังหวะการก้าวเดินของทั้งคู่ก็หยุดนิ่งไป กระทั่งเจ้าชายมิโนสทรงแย้มยิ้มในแบบที่เธเซียสมั่นใจว่ามิใช่รอยยิ้มอันเต็มไปด้วย ‘ยาพิษ’ 
ความอุ่นใจดังเช่นวันวาน จึงหวนคืนกลับมา

“ที่แห่งนี้คือโรงผลิตลาเบิน ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางผลักประตูไม้บานเล็กของบ้านหลังหนึ่งที่สร้างจากหินในรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กระทั่งพบว่าภายในตัวบ้านมิมีผู้ใดหลงเหลืออยู่
คล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่ ‘โรงผลิต’ ดังเช่นที่กล่าวอ้าง
บุรุษจากต่างแดนจึงก้าวเดินตามบุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างละล้าละลัง และยิ่งตื่นตระหนกเมื่อพบโถแอมโฟร่าวางตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของตัวบ้านจำนวนหลายโถ ภาพในหัวเกี่ยวกับเรื่องราวของห้องใต้ดินแห่งนอสซัสจึงเริ่มผุดผาด
ถ้อยคำและท่าทีอันนิ่งเงียบที่บังเอิญรับรู้เมื่อค่ำคืนวานจึงเริ่มหวนคืน
การประติดประต่อความน่าจะเป็นจึงก่อเกิดขึ้น

“น้ำผึ้งเหล่านี้มักจะกินคู่กับลาเบิน” เธเซียสพลันสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกผู้เดินตามหลัง แต่เมื่อทราบถึงที่มาที่ไปของน้ำผึ้งที่บรรจุอยู่ในโถแอมโฟร่า บวกกับผู้พูดกำลังก้าวเดินไปยังตู้ไม้ ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยถุงบรรจุน้ำที่ทำจากกระเพาะแกะ
“คงจะใช้ได้แล้วกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสกับพระองค์เองเพียงเบา ๆ พลางเปิดถุงดังกล่าวเพื่อดอมดม

“เจ้านำผ้าขาวบางและภาชนะที่อยู่ในตู้มาให้เราที” บุรุษผู้สูงศักดิ์กำลังกอดถุงน้ำที่ทำจากกระเพาะแกะจนเต็มอ้อมแขน พลางตรัสสั่งด้วยท่าทีอันแจ่มใส คล้ายกับพระองค์ทรงมีความหลังฝังใจกับสถานที่แห่งนี้
ซึ่งเธเซียสคาดว่ามันคงจะเป็นความทรงจำดี ๆ ที่มิอาจลืมเลือน

“พระองค์ทรงทำลาเบินเป็นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสวางอุปกรณ์จำนวนหลายชุดลงบนเก้าอี้ไม้ที่หันหน้าเข้าสู่ท้องทะเลอันเวิ้งว้าง เพียงแต่บริเวณหน้าผาในเขต ‘โรงผลิต’ กลับเต็มไปด้วยบุปผาสีเหลืองสดใส พร้อมเอ่ยถามด้วยความสนใจ เนื่องจากเจ้าชายพระองค์นี้มิเคยต้องเดินทางไกลจนทำให้นมสดที่บรรจุอยู่ในถุงน้ำกระเพาะแกะแปรสภาพเป็นก้อนนมเปรี้ยวอันเลิศรสไปได้
“เดิมทีเสด็จแม่ทรงเป็นสามัญชน ส่วนเสด็จพ่อของเราทรงโปรดปรานลาเบินเป็นอย่างมาก มิว่าจะเป็นของคาวหรือของหวานล้วนต้องมีลาเบินเป็นส่วนประกอบ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเทก้อนนมเปรี้ยวที่ตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อค่ำคืนวานลงในผ้าขาวบางเพื่อกรองน้ำออก ขณะเดียวกันเธเซียสก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่า ‘โรงผลิต’ ที่มิมีผู้คนแห่งนี้
แท้ที่จริงมันกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว

“ทั้งสองพระองค์คงจะพบรักกันที่นี่กระมัง” เธเซียสเปรยถามพลางจ้องมองเจ้าชายมิโนสในอีกอิริยาบถหนึ่งที่ตนมิเคยได้เห็น
“เป็นเช่นนั้น” บุรุษผู้สูงศักดิ์เอ่ยตอบพลางแย้มยิ้มส่งให้กับเธเซียส จากนั้นพระองค์ก็เทน้ำที่บรรจุอยู่ในถ้วยทิ้งและวางผ้าขาวบางที่บรรจุเนื้อครีมลาเบินลงในถ้วยใบเดิม ก่อนจะเริ่มกรองน้ำออกและนำผ้าขาวบางที่บรรจุเนื้อครีมใส่ในถ้วยอีกใบหนึ่งไปเรื่อย ๆ

“กระหม่อมมินึกแปลกใจแล้วว่าเพราะเหตุใด สถานที่แห่งนี้จึงทำให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ ทั้ง ๆ ที่ในพระหทัยกำลังเต็มไปด้วยปัญหาหนักอก” เธเซียสกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางนั่งยองกอดเข่ามองจ้องเจ้าชายมิโนสที่กำลังแสดงฝีพระหัตถ์ในการทำลาเบิน
“ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเจ้า” สุรเสียงทุ้มนุ่มแอบแฝงความหนักแน่นอยู่ในที คล้ายกับว่าบางสิ่งที่พระองค์ยังคิดมิตก เพลานี้ได้รับคำตอบอันแน่ชัดแล้ว
ซึ่งมันก็ส่งผลให้ดวงใจของเธเซียสเริ่มสั่นไหว

“ราตรีนี้คงต้องอยู่ค้างที่นี่สักคืนกระมัง เจ้าจะได้ลิ้มรสลาเบินสูตรลับของตระกูลเรา” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางถือถ้วยสองใบวางตั้งไว้บนกำแพงหินบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อรอให้อากาศเย็นตัวลงถึงจะได้ลิ้มชิมเนื้อครีมข้น ๆ
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบขณะวางถ้วยดินเผาที่บรรจุลาเบินอย่างระมัดระวัง จากนั้นทั้งคู่ต่างนั่งทอดอาลัยอยู่บนกำแพงหิน เพื่อเฝ้ามองท้องทะเลสีครามอันเต็มไปด้วยความสดใส
เนื่องจากแสงสุริยะปัดเป่าหมอกควันจนมลายหายไป

“เราขอนอนพักสักครู่ได้หรือไม่ ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางใช้หน้าขาของเธเซียสเป็นที่พักพิง
“พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสตอบรับเสียงแผ่วพลางมองจ้องไปยังทัศนียภาพเบื้องหน้าด้วยท่าทีมิเป็นตนเอง เนื่องจากสองแขนกำลังกอดอกด้วยความประดักประเดิด ขณะที่แผ่นหลังก็ตั้งตรงราวกับรูปปั้น

“กระหม่อมอยากให้พระองค์ทรงพิจารณาเรื่องการสร้างกำแพงเมืองอีกสักครั้ง” แต่จนแล้วจนรอดเมื่อมิอาจดึงความเป็นตนเองคืนกลับมา เธเซียสจึงเลือกพูดในสิ่งที่ตนคิดจะไถ่ความผิด และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อรักษาความสมดุลของใจตน มิให้ใจร้ายกับคนตรงหน้ามากจนเกินไป และก็มิให้อกตัญญูต่อผู้เป็นบิดามากจนเกินไป
เหตุเพราะนั่นคือทางออกเดียวที่เธเซียสกำลังมองเห็น

“กระหม่อมรับรองได้ว่าการสร้างกำแพงเมืองเพื่อป้องกันข้าศึก จะมิเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณหลวงโดยมิจำเป็นแต่อย่างใด” สิ้นคำกล่าวของเธเซียส บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงเริ่มใช้ดวงเนตรดุจท้องทะเลในยามราตรีจ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาของเธเซียส
ราวกับพระองค์มีความประสงค์จะมองลึกลงไปจนสุดใจ

“กลอุบายของพระองค์มิอาจอยู่ยืนยงได้มิใช่หรือ ?” เธเซียสกล่าวเตือนอย่างจริงจัง เพราะเขายังจดจำได้ดีว่าในวินาทีแรกที่เดินทางมายังเกาะธีรา บรรยากาศรอบกายล้วนส่งเสริมให้จักรวรรดิครีตันเต็มไปด้วยอำนาจและความน่าเกรงขาม แต่เมื่อแสงสุริยะสาดส่องความยิ่งใหญ่อันซ่อนเร้นก็ถูกเปิดเผย ส่งผลให้เหล่าโจรสลัดพยายามที่จะเข้ามารุกรานน่านน้ำในบริเวณดังกล่าวอย่างมิหวั่นเกรง และถ้าหากพวกมันทำสำเร็จ จักรวรรดิครีตันจะตกอยู่ในสภาพใด เธเซียสมิต้องคาดเดาก็ล่วงรู้ได้ เนื่องจากการป้องกันราชอาณาจักรมิได้เป็นไปอย่างเข้มงวด
“…”

“ครีตันยิ่งใหญ่เพียงใด การดูแลย่อมมิทั่วถึง อย่างน้อยหากมีกำแพงเมืองคอยเป็นด่านชั้นหน้า ราษฎร์ของพระองค์ก็จะมิลำบากหากเกิดเหตุมิคาดฝัน” สิ้นคำพูดจากเธเซียส บุรุษผู้สูงศักดิ์กลับเอาแต่นิ่งเงียบ คล้ายกับพระองค์กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก พระขนงจึงขมวดมุ่นจนแทบจะผูกติดกัน ซึ่งอิริยาบถดังกล่าวสามารถร้องเรียกรอยยิ้มจากเธเซียสได้เป็นอย่างดี
“ความจริงใจของเจ้า เราจะเก็บไว้พิจารณา” ครู่ใหญ่กว่าที่เจ้าชายมิโนสจะตรัสด้วยสุรเสียงแน่นิ่ง พลางรั้งฝ่ามือทั้งสองข้างของเธเซียสไปกอบกุมไว้ ราวกับประสงค์จะทำสนธิสัญญาระหว่างกัน
   แต่ทว่าความอบอุ่นจากฝ่าพระหัตถ์กลับส่งผ่านมายังดวงใจอันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

กระทั่งแสงสุริยะรางเลือนไปจากขอบฟ้าสายฝนจึงเริ่มโปรยปราย บุรุษต่างศักดิ์จึงต้องช่วยกันขนย้ายถ้วยบรรจุลาเบินที่วางตั้งไว้บนกำแพงหินใต้ต้นไม้ใหญ่เป็นการด่วน จากนั้นทั้งสองจึงนั่งปักหลักอยู่ตรงปากประตูบริเวณหลังบ้าน เพื่อเฝ้ามองความเป็นไปด้านนอก พบว่าสายฝนโปรยกระหน่ำเริ่มพัดพาหมอกควันปกคลุมไปทั่วเกาะแห่งไฟ ขณะเดียวกันอากาศก็เริ่มหนาวเหน็บจนเธเซียสเผลอลูบแขนตนเองอยู่หลายครั้ง

“รีบทานเถิด ประเดี๋ยวเราจะต้มน้ำให้เจ้าอาบ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางนำครีมลาเบินอันเข้มข้นจากผ้าขาวบางใส่ลงในถ้วยใบเดิม จากนั้นพระองค์ก็เสด็จไปยังห้องเครื่องเพื่อนำน้ำผึ้งมาราดลงบนเนื้อครีมสีขาว
“เป็นอย่างไร ?” กระทั่งเธเซียสใช้ช้อนตักเนื้อครีมราดน้ำผึ้งสีทองอร่าม เจ้าชายมิโนสจึงมีดำหริถามไถ่อย่างลุ้นระทึก
ราวกับลาเบินมื้อนี้..
พระองค์ตั้งใจทำเพื่อบุรุษอีกผู้อย่างสุดความสามารถ

“เนื้อครีมมีรสเปรี้ยวพอทานผสมกับน้ำผึ้ง กระหม่อมรู้สึกว่ามันเข้ากันได้ดีพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยกยิ้มอย่างเป็นสุข ดวงตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงยิบหยีอย่างมิน่าหวั่นเกรง บวกกับอากัปกิริยาของเจ้าตัวที่ดูจะสำเริงสำราญเมื่อได้ทานรายการอาหารรสเลิศก็ยิ่งทำให้เจ้าชายมิโนสทรงแย้มสรวลตามไปด้วย
“เราดีใจที่เจ้าชอบ” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ แต่ทว่าดวงเนตรของพระองค์กลับเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัด นับได้ว่าปฏิกิริยาดังกล่าวคือความรู้สึกที่บุรุษผู้สูงศักดิ์แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรก

“หากเป็นเรื่องกิน มิว่าสิ่งใดกระหม่อมก็ล้วนโปรดปราน” บุรุษผิวคล้ำกล่าวพลางแอบซ่อนรอยยิ้มของเจ้าตัวด้วยการลิ้มชิมลาเบินเลิศรส
“…”

“เพียงแต่ลาเบินถ้วยนี้ ทำให้กระหม่อมรู้สึกโปรดปรานเป็นพิเศษ” เธเซียสเอ่ยกำชับพลางยกถ้วยดินเผาที่เคยบรรจุลาเบินจนเต็มให้อีกฝ่ายเห็น เจ้าชายมิโนสจึงตรัสในลำพระศอเพียงสั้น ๆ แล้วก็นำถ้วยของเธเซียสและของพระองค์ไปเก็บล้าง
อดีตเชลยที่บัดนี้แปรสภาพจากนายทหารมือใหม่กลายเป็นบุรุษผู้ซึ่งถูกเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ดูแลประคบประหงม จึงมองตามชายผู้นั้นไปจนสุดสายตา อีกทั้งริมฝีปากยังคลี่เป็นรอยยิ้ม
ส่งผลให้แม้ว่าฝนจะตกและอากาศจะเย็น เธเซียสก็มิรู้สึกเหน็บหนาวอีกต่อไป

กระทั่งได้แช่น้ำอุ่น ๆ และสวมอาภรณ์เก่าเก็บ นอนนิ่งอยู่บนพรมขนสัตว์ผืนไม่ใหญ่พร้อมห่มผ้าจนมิดคอ เธเซียสก็ยิ่งรู้สึกว่าความสุขที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม เขาจึงนอนขดตัวพร้อมมองออกไปยังด้านนอกหน้าต่างและเงี่ยหูฟังเสียงสายฝนตกกระทบลงบนผืนดินอย่างเพลิดเพลิน ขณะเดียวกันกลิ่นไอของธรรมชาติก็นำพาให้เขาดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งนิทรา
แต่ทว่าความรู้สึกอันผ่อนคลายทั้งหลายพลันหดหาย
เมื่อเจ้าชายมิโนสเสด็จเข้าสู่บรรทมบนพระยี่ภู่ ผืนเดียวกัน

“หนาวหรือไม่” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามด้วยสุรเสียงราวกับกระซิบ อาจเพราะด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยเสียงฝน
“เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผู้คุ้นชินกับความมืดเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบากว่า เนื่องจากดวงพักตร์ของคนตรงหน้ากำลังลอยเด่นอยู่ในกรอบสายตา

“สภาพอากาศบนเกาะธีราก็เป็นเช่นนี้ ช่วงเช้าจรดค่ำถูกโอบล้อมด้วยหมอกควัน จนกระทั่งแสงสุริยะสาดส่องความสดใสก็มาเยือน พอตกค่ำสายฝนก็โปรยปรายจนกระทั่งใกล้ถึงรุ่งสาง มิแปลกที่เจ้าจะเหน็บหนาว ยิ่งเมื่อครู่ต้องทนใส่อาภรณ์อันเปียกปอนเสียนมนาน เราหวังว่าแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็น่าจะทำให้เจ้าอบอุ่นได้บ้าง” สิ้นดำรัสอ้อมค้อมพระพาหา อันแข็งแกร่งก็โอบล้อมรอบกายของเธเซียส
ส่งผลให้ร่างกายของคนทั้งคู่เริ่มแนบชิด
ทว่าดวงใจของเธเซียสกำลังสั่นพร่า ขณะเดียวกันใบหน้าก็ร้อนเห่อ

“เธเซียส” สุรเสียงกระซิบแผ่วดังขึ้นพร้อมกระไอร้อนที่เป่ารดบริเวณหน้าผาก นำพาให้ความนึกคิดของเธเซียสยิ่งกระเจิดกระเจิง
“ความรู้สึกของเราที่มีต่อเจ้า บัดนี้ถูกเดิมพันด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี” ดำรัสที่มิได้มีคำว่า ‘รัก’ แต่ทว่ากลับนำพาให้ใจของเธเซียสเต็มไปด้วยความอบอุ่นระคนรู้สึกผิด เนื่องจากแท้ที่จริงเขายังมิอาจปล่อยวางเรื่องการแก้แค้นได้หมดสิ้น
วาจาอันอบอุ่นจึงเหมือน ‘กับดัก’ ที่ทำให้เธเซียสเริ่มรู้สึกละล้าละลังยิ่งกว่าที่เคย
เหตุเพราะเขาคือบุรุษผู้แสนโลภมาก จึงอยากจะสมหวังทุกประการที่หมายมั่น


φ

[1] ลาเบิน (labneh) หรือ กรีกโยเกิร์ต มีต้นกำเนิดจากประเทศกรีซ รสชาติกรีกโยเกิร์ตจะเป็นเอกลักษณ์ที่ความเปรี้ยว เนื้อข้น โปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตทั่วไป
[2] พระยี่ภู่ แปลว่า ที่นอน
[3] พระพาหา แปลว่า แขน (ตั้งแต่ไหล่ถึงศอก)

บทความที่เกี่ยวข้อง
- โยเกิร์ต นมบูดที่มีประโยชน์ https://bit.ly/2FCcPgm
- Homemade Greek-Style Yogurt โฮมเมดโยเกิร์ตแบบกรีก https://bit.ly/2USDb1x
- What is Yogurt? https://bit.ly/2IUpsWG

ตอนที่แล้วใจหายใจคว่ำกันไปเล็กน้อย ตอนนี้ก็สบายใจกันได้บ้างแล้ว เพราะถึงยังไงนักรบก็ต้องมีมุมที่อ่อนไหวกันบ้าง และเธเซียสเอาจริง ๆ ก็เป็นไส้ศึกที่ค่อนข้างฉลาดแต่ไม่แกมโกง เพราะถ้าหากเธเซียสเป็นแบบนั้นจริง ๆ เราว่าเลือกฆ่าเจ้าชายมิโนสตั้งแต่ตอนที่มีโอกาสคงง่ายกว่า เพราะเจ้าชายมิโนสเอาจริง ๆ ก็เปรียบเสมือนกษัตริย์ผู้ปกครองจักรวรรดิครีตันไปแล้ว ส่วนเรื่องของความแค้นคงต้องให้เวลาเธเซียสคิดและตัดสินใจว่าอะไรสำคัญกับปัจจุบันที่สุด

ส่วนเรื่องกรีกโยเกิร์ต เราเอาวิธีทำของปัจจุบันมาผสมนิดหน่อย แต่ในส่วนของโยเกิร์ตธรรมดาที่ต้องใช้เป็นหัวเชื้อ เราเอาวิธีของชาวบัลแกเรียมาเขียน เพราะพวกเขาจะใส่นมไว้ในถุงน้ำกระเพาะแกะ พอนมเจอกับแสงแดดก็จะเริ่มทำปฏิกิริยาแปรสภาพ บวกกับเชื้อจุลินทรีย์ในกระเพาะแกะทำให้น้ำนมกลายเป็นก้อนนมเปรี้ยว หรือก็คือโยเกิร์ตค่ะ แต่การทำกรีกโยเกิร์ตในปัจจุบัน จะต้องต้มนมแล้วเอาหัวเชื้อซึ่งก็คือโยเกิร์ตใส่ลงไปแล้วก็เอาเข้าไมโครเวฟหรือทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1 คืนเพื่อให้เชื้อทำปฏิกิริยา (ตรงส่วนนี้เราเลยเอาวิธีของชาวบัลแกเรียมาใส่ในนิยายแทน) จากนั้นตอนเช้าก็ค่อยมากรองน้ำออกเหมือนอย่างที่เจ้าชายมิโนสทำ แล้วก็เอาเข้าตู้เย็นเพื่อให้โยเกิร์ตมีความเข้มข้นมากขึ้น (มาอธิบายเพิ่มเติม พอดีเราเขียนในเรื่องแบบข้ามขั้นตอน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2019 15:44:13 โดย Chomin »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 19

เกาะธีราในยามเช้ายังคงเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำของสายฝนและม่านหมอกสีขาวขุ่น เธเซียสจึงต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเขากำลังตามหาเจ้าชายมิโนส ที่จู่ ๆ ก็หายองค์ไปอย่างไร้ร่องรอย กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูไม้จากตรงหน้าบ้าน บุรุษผิวคล้ำจึงรีบเดินกลับเข้าไปยังด้านใน พบว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์เสด็จกลับมาพร้อมวัตถุดิบที่ไปแลกเปลี่ยนมาจากท่าเรือซึ่งอยู่มิไกลจากเขตพักอาศัย

“มิเห็นต้องทรงลำบากเลยพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวก็ต้องกลับค่ายทหารแล้ว” เธเซียสกล่าวพลางช่วยเจ้าชายมิโนสแบกโถแอมโฟร่าที่บรรจุเหล้าองุ่นจนเต็มโถเข้ามายังห้องเครื่อง
“เราจะฝึกให้เจ้าเอง” ดำรัสอันเรียบนิ่งดังขึ้นพร้อมการปรากฎกายของบุรุษผู้ซึ่งกำลังแบกพีโรอีที่ภายในบรรจุข้าวบาร์เลย์ เธเซียสจึงได้แต่มองจ้องผู้พูดด้วยความสงสัย
แต่ในท้ายที่สุดความคิดก็ถูกกวาดต้อนให้ไปสนใจเรื่องอื่น ๆ

“พระกระยาหารมื้อนี้คือสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามเจื้อยแจ้วพลางนั่งก่อไฟกับเตาดินเผาที่มีรูปร่างคล้ายเก้าอี้ เนื่องจากเตาดินเผาทรงเตี้ยที่เห็นอยู่นี้ มีทั้งหมด 3 ขา ส่วนช่องใส่ฟืนจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่
“เราจะทำไคคีออน  เจ้าช่วยต้มเหล้าองุ่นให้เราที” เจ้าชายมิโนสทรงมีรับสั่งอย่างคล่องแคล่ว
ราวกับเรื่องงานในห้องเครื่องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระองค์สนพระทัย

“ไคคีออนคือมื้อเช้าที่กระหม่อมคุ้นเคยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสย้อนถามบุรุษผู้สูงส่งแทบจะทันที เนื่องจากเขาจดจำได้ว่ารายการอาหารดังกล่าวถือเป็นเครื่องดื่มที่เหล่าข้าราชบริพารคุ้นชิน
“เจ้าคงมิรู้ว่ากองทัพแห่งจักรวรรดิครีตันคุ้นเคยกับไคคีออนมากเพียงใด” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิกระจ่างแจ้ง ทว่าเธเซียสก็ยังคงเข้าใจ
เหตุเพราะบุรุษผู้นี้ล้วนเสวยมิได้แตกต่างจากเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา

“เหตุใดพระองค์จึงมิปลุกกระหม่อมไปด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นเช่นนี้พระองค์มิต้องเสด็จกลับไปกลับมาถึงสองคราเชียวหรือ ?” หลังจากถูกเจ้าชายมิโนสแย่งชิงหน้าที่บริเวณหน้าเตา เธเซียสก็รีบเดินไปหยิบพีโรอีที่บรรจุข้าวบาร์เลย์มาให้อีกฝ่ายพลางนั่งยองตั้งคำถาม
“ถือเป็นการออกกำลังกาย” เจ้าชายมิโนสยังคงตอบคำถามอย่างมิรู้เบื่อ ขณะที่เธเซียสกำลังสำรวจเครื่องหน้าของพระองค์ในระยะประชิด โดยเริ่มตั้งแต่พระเกศาราวกับเกลียวคลื่นในยามราตรี เรื่อยมาจนถึงดวงเนตรเรียวสวยที่บางครั้งก็ฉายแววอบอุ่น และบางครั้งก็ฉายความดุดันอันน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันพระโลมจักษุ ก็พลันกระพริบไหวเป็นจังหวะเนิบช้า เมื่อความสนใจทั้งหมดกำลังจดจ่ออยู่กับไคคีออนหม้อไม่ใหญ่

“เจ้าช่วยเคี่ยวต่อจากเราที เราจะไปหยิบริคอตต้า” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางเบี่ยงสารภีมาทางขวามือ เธเซียสจึงขยับเข้าไปใกล้หน้าเตาอีกสักหน่อย ก่อนจะรับช่วงต่อจากอีกฝ่าย
เพียงแต่ในขณะที่ฝ่ามือกำลังจะแตะเครื่องทำครัว
ปลายนิ้วกลับสัมผัสหลังพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนสโดยมิได้ตั้งใจ

ฝ่ายผู้ถูกล่วงเกินกลับตอบรับด้วยการแย้มสรวล ทว่ามันกลับสร้างความขัดเขินมิต่างจากเมื่อค่ำคืนวาน แต่กระนั้นบรรยากาศอันเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ก็ส่งผลให้เธเซียสค่อย ๆ คุ้นชิน
ซึ่งมันก็ต้องเป็นไปโดยมิสบดวงพักตร์ของอีกผู้

กระทั่งริคอตต้าถูกเคี่ยวจนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกับข้าวบาร์เลย์ การปรุงมื้อเช้าก็เป็นอันเสร็จสิ้น บุรุษต่างศักดิ์จึงพากันไปนั่งดื่มไคคีออนตรงบริเวณเก้าอี้ที่ทำจากไม้ยืนต้นท่อนยาว โดยทั้งสองต่างนั่งบนผืนดินและวางชามไคคีออนบนขอนไม้
ขณะที่ทัศนียภาพเบื้องหน้าล้วนเต็มไปด้วยความสดใส เมื่อสายฝนมิได้โปรยปราย ม่านหมอกจึงเริ่มจางหาย

“พระองค์กำลังทำสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากนำชามไปเก็บล้างจนเรียบร้อย เธเซียสจึงเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมรีบทูลถามอย่างตื่นตระหนก เมื่อดวงตาสบกับวรกายของเจ้าชายมิโนสที่กำลังประทับอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่
“เรากำลังมองหาดาบสำหรับฝึกการต่อสู้ให้แก่เจ้า” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยท่าทีสุดแสนภิรมย์ ราวกับเพลานี้คือช่วงเวลาที่พระองค์จะได้เล่นสนุกดังเช่นที่ใจต้องการ ฝ่ายเธเซียสจึงรีบยื่นมือออกมารับกิ่งไม้ท่อนยาวที่เจ้าชายมิโนสทรงประทานให้อย่างทันท่วงที

“บุกเข้ามา เราจะคอยรับมือเจ้าเอง” กระทั่งอาวุธจากธรรมชาติพรั่งพร้อม เจ้าชายมิโนสจึงเสด็จลงจากต้นไม้ใหญ่ ราวกับพระองค์กำลังเล่นกายกรรมพร้อมกับบริวารของเจ้าแม่ แต่กระนั้นท่าทางตั้งรับการโจมตีก็ยังดูสง่าและองอาจ สมกับเป็นผู้บัญชาการแห่งกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่
“กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่าจะมิออมแรง” บุรุษผู้ถูกท้ายทายกล่าวอย่างทะนงตนพลางแย้มยิ้มราวกับพบเจอเรื่องสนุก ฝ่ายเจ้าชายมิโนสจึงทรงตอบรับด้วยการแย้มสรวลละมุนละไม ขณะที่ฝ่าพระหัตถ์ยังคงจับกุมอาวุธอย่างแนบแน่น
ทุกย่างก้าวของศิษย์เอกจึงมิอาจทำให้พระองค์ทรงหวาดหวั่น

กระทั่งการรุกฆาตของเธเซียสนำพาให้สายลมหวีดหวิวไปตามการเคลื่อนไหว ปลายดาบจากธรรมชาติจึงพุ่งเข้าใส่ดวงพักตร์ของเจ้าชายมิโนส แต่ทว่าพระองค์กลับนำดาบกิ่งไม้ปัดป้องจากวิถีอันตราย พร้อมวาดวงแขนเป็นครึ่งวงกลม เธเซียสจึงก้มหลบได้อย่างหวุดหวิด บ่งบอกได้ดีว่าทักษะด้านการต่อสู้ของเจ้าชายมิโนสมิควรค่าแก่การประมาท
เหตุเพราะการประดาบในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่พระองค์มิได้ออมแรง

เธเซียสจึงอาศัยช่องว่างอันน้อยนิดในการตั้งรับสถานการณ์อันเสียเปรียบด้วยการฟาดฟันปลายดาบจากธรรมชาติเข้าใส่บริเวณพระปรัศว์ แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสก็ยังรับมือต่อการรุกฆาตได้เป็นอย่างดี เพลานี้สองบุรุษต่างศักดิ์จึงใช้กิ่งไม้ขนาดเหมาะมือโรมรันพันตูอย่างมิยอมอ่อนข้อ ส่งผลให้ทั้งสองต่างผลัดการรุกรับอย่างช่ำชอง

“ที่ผ่านมาเจ้าคงออมแรงอยู่มาก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางกวัดแกว่งดาบจากธรรมชาติพร้อมกวาดต้อนเธเซียสไปยังกำแพงหิน
“พระองค์ก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวแย้งพลางมองหาทางหนีทีไล่ เนื่องจากเขากำลังถูกกวาดต้อนให้จนมุม แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสก็มิยอมปลดปล่อยให้การครุ่นคิดเป็นไปอย่างง่ายดาย
พระองค์จึงรุกคืบเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างมิหยุดยั้ง

“สถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์เอกอย่างเจ้าจะหาทางเอาตัวรอดอย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสทรงมีดำรัสถามอย่างหยอกเย้า แต่กระนั้นพระองค์ก็ประสงค์ให้เธเซียสรีบแสดงไหวพริบดังเช่นการละเล่นกับบริวารของเจ้าแม่ ซึ่งเธเซียสก็มิทำให้ผิดหวังเพราะเขาใช้กำลังกายทั้งหมดดันปลายดาบจากธรรมชาติออกไปข้างหน้า ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองอยู่ในระดับที่มิน่าหวั่นเกรง เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวกระโดดขึ้นไปบนกำแพงหิน พร้อมตั้งท่ารับมือกับการโจมตีอย่างมิเกรงกลัว
“ถือเป็นโชคดีที่เรามิได้เลือกกิ่งไม้ขนาดเล็ก” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสแกมขบขันพลางเหวี่ยงกายขึ้นมายืนอยู่บนกำแพงหิน ส่งผลให้ศิษย์เอกและอาจารย์เผชิญหน้าจากคนละฟากฝั่ง โดยด้านซ้ายของทั้งคู่คือหน้าผาสูงชันที่มีท้องทะเลสีฟ้าครามรองรับอยู่ ส่วนด้านขวามือของทั้งคู่คือหมู่มวลบุปผาเหลืองอร่ามที่ส่วนหนึ่งถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำอย่างไม่ไยดี

สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดพาให้ชายกระโปรงคิลท์และเส้นผมของบุรุษทั้งสองปลิวไสวอย่างฮึกเหิม กระทั่งเธเซียสเป็นฝ่ายเปิดการโจมตี เสียงประดาบจากธรรมชาติอย่างรู้เท่าทันจึงดังกึกก้องไปทั่ว ‘โรงผลิต’
ส่งผลให้การรุกฆาตถูกกวาดต้อนจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ และจากทิศใต้ย้อนกลับมายังทิศเหนือ

ทว่าเจ้าชายมิโนสทรงมิยอมปล่อยให้สถานการณ์น่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนั้น พระองค์จึงกวัดแกว่งปลายดาบจากธรรมชาติเป็นครึ่งวงกลม เธเซียสจึงต้องก้มตัวหลบหลีกจากวิถีอันตราย เพียงแต่เขากลับเสียรู้ให้แก่บุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างมิทันคาดคิด เจ้าชายมิโนสจึงใช้ฝ่าพระบาทถีบอาวุธร้ายในกำมือของคู่ต่อสู้จนหักเป็นสองท่อน
พร้อมอาศัยจังหวะอันดีฉวยร่างของอีกฝ่ายเข้าสู่กรงขังเนื้อมนุษย์

“เมื่อครู่เราทำเจ้าเจ็บตัวหรือไม่ ?” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางทิ้งอาวุธจากธรรมชาติอย่างมิไยดี พร้อมเฝ้ามองฝ่ามืออันแดงก่ำจากการกระทำของพระองค์ด้วยความห่วงใย
“เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบเสียงแผ่ว เหตุเพราะเขากำลังสั่นไหวกับความใกล้ชิดที่มิต่างกับการถูกโอบกอดเพื่อคลายความเหน็บหนาว

“หากเป็นเช่นนั้นเราก็ค่อยเบาใจ” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงโล่งพระทัย พลางปลดปล่อยศิษย์เอกให้เป็นอิสระ จากนั้นพระองค์ก็ประทับอยู่ท่ามกลางบุปผาสีเหลืองอร่ามอย่างหมดท่า พร้อมใช้หลังพระหัตถ์เช็ดหยาดเสโท บริเวณพระนลาฏ  ฝ่ายเธเซียสก็ตกอยู่ในสภาพมิต่างกัน เพลานี้บุรุษจากต่างแดนจึงทรุดตัวลงนั่งบนกำแพงหินพลางขัดสมาธิและใช้หลังมือปาดหยาดเหงื่อบริเวณข้างขมับพร้อมยืดเส้นยืดสายมิยอมหยุด
“การได้ประชันฝีมือกับเจ้าครานี้ ทำให้เราเพลิดเพลินมิต่างกับตอนที่ได้ประมือกับแอนโดรเจียส” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางทิ้งตัวลงนอนราบอยู่ท่ามกลางบุปผา ส่งผลให้เธเซียสมองจ้องภาพตรงหน้าโดยมิละสายตา เขาจึงมองเห็นแสงสุริยะอันเจิดจ้าตกกระทบลงบนดวงพักตร์อ่อนหวาน เหตุเพราะร่มเงาของใต้ไม้ใหญ่มิอาจแผ่กิ่งก้านจนถ้วนทั่ว
บุรุษจากต่างแดนจึงยื่นมือออกไปข้างหน้าพลางขยับไปมาเพียงเล็กน้อย
เพื่อให้วิถีแห่งเงาบดบังแสงสุริยะอันร้อนแรง

แต่กระนั้นดวงเนตรของเจ้าชายมิโนสกลับร้อนแรงยิ่งกว่า

เธเซียสจึงต้องหันมองไปทางอื่นที่มิใช่ดวงพักตร์อันเต็มไปด้วยความรู้สึกในส่วนลึก ฝ่ายเจ้าชายมิโนสจึงลอบแย้มสรวลด้วยแววเนตรอันเปื้อนสุขที่มิได้เกิดจากการหลอกลวง

กระทั่งยามอาทิตย์อัสดงมาเยือนม่านหมอกจากทั่วสารทิศก็เคลื่อนคล้อยเข้ามาปกคลุมหมู่เกาะธีรา ราวกับต้องการลักซ่อนจากสายตาของผู้มิประสงค์ดี ขณะเดียวกันสายฝนเย็นฉ่ำก็นำพากลิ่นไอของธรรมชาติตลบอบอวนไปทั่ว ‘โรงผลิต’ ส่วนเธเซียสยังคงนั่งปักหลักอยู่ตรงปากประตูมิเปลี่ยนแปลง ขณะที่เจ้าชายมิโนสเสด็จไปทำมื้อเย็นยังห้องเครื่อง
โดยรายการอาหารมื้อนี้มิได้เลิศเลอดังเช่นวันวาน เนื่องจากเธเซียสมิอยากให้พระองค์ต้องยุ่งยาก
 
“เหตุใดมิเรียกให้กระหม่อมไปช่วยถือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามแกมดุพลางประคองคาร์เตอร์ลวดลายมิได้อ่อนช้อยดังเช่นที่วังนอสซัส
“...” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสก็มิได้โต้แย้งอันใด นอกจากแย้มโอษฐ์เพียงนิดแล้วเสด็จกลับเข้าไปยังห้องเครื่องเพื่อนำแก้วสำหรับดื่มเหล้าองุ่นจำนวนสองใบ และชีสขนาดเพียงพอสำหรับมื้อเย็นอีกหนึ่งก้อน

เธเซียสจึงขันอาสารับแก้วดินเผาจากเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ พร้อมตักน้ำจัณฑ์จากในคาร์เตอร์ใส่แก้วทั้งสองใบ ก่อนจะจิบเพียงเล็กน้อยเพื่อทดสอบว่าครานี้เจ้าชายมิโนสทรงผสมน้ำและเหล้าองุ่นในสัดส่วนที่เข้มข้นดังเช่นวันวานหรือไม่
“ครานี้เราผสมเพียงหนึ่งต่อสาม” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างรู้ใจพลางแย้มสรวลเพียงเล็กน้อย บ่งบอกได้ดีว่า ‘การดื่มน้ำจัณฑ์’ ในครานี้เป็นเพียงการดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร
มิได้ต้องการดื่มเพื่อให้มึนเมาจนตกหลุมพรางดังเช่นวันวาน

“ชีสน้อยสำหรับเจ้า” เจ้าชายมิโนสทรงแบ่งชีสนมแกะที่เก็บรักษาไว้ในน้ำเกลือ เพื่อถนอมคุณภาพของชีสที่ถูกความร้อนแรงจากแสงสุริยะส่งให้กับบุรุษจากต่างแดน
แต่ทว่าดำรัสของพระองค์กลับขัดต่อความเป็นจริงเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อ ‘ชีส’ ที่พระองค์ประทานให้ มิได้ ‘เล็กน้อย’ ดังเช่นพระราชกระแส

ตลอดมื้ออาหารจวบจนช่วงเวลาแห่งการหลับฝัน ถ้อยคำดังกล่าวของเจ้าชายมิโนสยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เมื่อท่าทีของบุรุษผู้สูงศักดิ์หลังจากที่ตรัสประโยคนั้น กลับเอาแต่ทอดพระเนตรมายังเธเซียสพร้อมแย้มสรวลเป็นครั้งคราว
บุรุษจากต่างแดนจึงรู้สึกราวกับว่า..
ถ้อยคำดังกล่าวอาจมีสิ่งใดแอบแฝง

ฉับพลันช่วงเวลาแห่งความสุขเมื่อครั้งที่เสด็จแม่ยังคงมีพระชนม์ชีพก็ปรากฏ ซึ่งเขาเคยได้รับชีสก้อนโตดังเช่นวันนี้ และเสด็จแม่ก็ตรัสกับเขาและท่านพี่ว่า ‘ชีสน้อย’ ท่านพี่จึงโต้เถียงกับเสด็จแม่ว่า ‘นี่มิใช่ชีสน้อย หากแต่เป็นชีสมากจนลูกมิอาจทานหมด’
เสด็จแม่จึงตรัสเพียงสั้น ๆ ว่า..
‘ชีสน้อย หมายถึงถ้อยคำสำหรับการแสดงความรักใคร่’

“สิ่งใดทำให้เจ้ามีความสุขถึงเพียงนี้” สุรเสียงทุ้มนุ่มตามมาด้วยดวงเนตรลึกล้ำราวกับเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเล ปรากฏอยู่ในระยะสายตาของเธเซียสด้วยความชิดใกล้ เมื่อเพลานี้วรกายของเจ้าชายมิโนสกำลังบรรทมอยู่บนพระยี่ภู่ผืนเดียวกัน
“...” เธเซียสมิยอมตอบคำถาม แม้ว่าในใจอยากจะบอกกล่าวว่า ‘เป็นเพราะพระองค์’ มากเพียงใด
แต่ทว่าความเก้อเขินกลับนำพาให้เจ้าตัวพูดมิออก

“ลมฝนโชยกระหน่ำถึงเพียงนี้ เจ้าหนาวหรือไม่ ?” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสก็มิทรงคาดคั้น จึงตรัสถามถึงเรื่องทั่วไป
“หนาวพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยตอบเสียงแผ่ว เหตุเพราะค่ำคืนนี้สายลมหวิดหวิวรุนแรงยิ่งกว่าที่เคย ส่งผลให้มวลอากาศเย็นฉ่ำโอบล้อมคนทั้งคู่อย่างมิปรานี

“เช่นนั้นอ้อมกอดของเราคงมิอาจคลายหนาว” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างละมุนละม่อมพร้อมโอบกอดเธเซียสอย่างนิ่มนวล ทว่าค่ำคืนนี้กลับแตกต่างจากเมื่อค่ำคืนวาน เมื่อพระองค์ทรงจัดแจงท่าทางให้กับเธเซียส
จนกลายเป็นว่าคนทั้งคู่กำลังโอบกอดกัน

“อยู่กับเจ้าเช่นนี้ เรามีความสุขจนมิอยากให้วันเวลาผันผ่านแต่อย่างใด” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่พระโอษฐ์กำลังจูบประทับบนหน้าผากของเธเซียส ส่งผลให้ดวงใจอันแข็งแกร่งอ่อนยวบด้วยความหวิวไหว สัมผัสนิ่มนวลจึงนำพาให้เธเซียสยิ่งถลำลึก เขาจึงกอดรัดอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ พลางซุกกายเข้าหาความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่
หลังจากนั้นคนทั้งคู่ต่างก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราภายใต้อ้อมกอดของกันและกัน

แต่ทว่าเสียงอสุนีบาตอันกึกก้องกลับนำพาให้เธเซียสหวนคืนสู่ความเป็นจริง กระทั่งพบว่าฉลองพระองค์ของเจ้าชายมิโนสทรงขาดสะบั้นมิเหลือชิ้นดี บุรุษจากต่างแดนจึงนั่งหันรีหันขวางด้วยความตื่นตระหนก
ขณะที่ในหัวกลับฉายดำรัสของอีกผู้ในช่วงก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราซ้ำไปซ้ำมา

เธเซียสมิเข้าใจอันใดสักอย่าง แต่ทว่าในใจกลับหวาดกลัวถึงถ้อยคำนั้น บวกกับฉลองพระองค์อันขาดวิ่นก็ยิ่งสร้างความสับสนไปกันใหญ่ เมื่อดำรัสดังกล่าวหากวิเคราะห์ในทิศทางอันย่ำแย่ อาจหมายความได้ว่าเธเซียสกำลังตกหลุมพรางของเจ้าชายมิโนสดังเช่นที่แล้วมา ซึ่งครานี้ชีวิตของเขามันควรจะจบสิ้น แต่เหตุไฉนเขากลับถูกทิ้งไว้ที่โรงผลิตอันเต็มไปด้วยความทรงจำอันดีงาม
แล้วเหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงหายองค์ไป โดยที่ฉลองพระองค์กลับตกอยู่ในสภาพฉีกขาด

“มีด” เธเซียสวิ่งพล่านอย่างคนสติแตกพลางกล่าวพึมพำราวกับถูกสะกดจิต พร้อมหายใจฮึดฮัดเมื่อมิได้ดั่งใจ กระทั่งสิ่งของที่ต้องการถูกค้นพบจากในห้องเครื่อง
บุรุษผิวคล้ำก็รีบวิ่งทะเล่อทะล่าจนทั่วตัวบ้าน แต่ยิ่งหาตัวอีกฝ่ายมิพบก็ยิ่งร้อนใจ

“หลังบ้าน” เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกที่หนึ่งที่ยังมิได้เหยียบย่าง เธเซียสก็มิรอช้ารีบมุ่งตรงไปยังบริเวณดังกล่าว แต่ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้ปลายมีดคมกริบตกกระทบลงสู่ปลายเท้า ส่งผลให้บาดแผลถูกแต่งแต้มไปด้วยเลือดสีสด โดยที่เธเซียสมิได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด และมิได้สนใจอาการบาดเจ็บ
เหตุเพราะเขากำลังตกตะลึงที่ได้เห็น ‘มิโนทอร์’ ออกอาละวาด
ซึ่งเขาแน่ใจว่ามิได้ตาฝาด เหตุเพราะแสงอัสนีแปลบปลาบช่วยปัดเป่าม่านหมอกอันเลือนรางจนหมดสิ้น




φ


[1] ไคคีออน (Kykeon) คือ อาหารเช้าของชาวกรีกโบราณ โดยนำข้าวบาร์เลย์มาต้มกับไวน์ และปรุงรสด้วยชีสริคอตต้า ถือเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่ต่างกับน้ำอัดลมในปัจจุบัน และยังเป็นที่นิยมในกลุ่มของคนทำงานชนชั้นล่าง
[2] พระโลมจักษุ แปลว่า ขนตา
[3]พระปรัศว์ แปลว่า สีข้าง
[4] เสโท แปลว่า เหงื่อ
[5] พระนลาฏ แปลว่า หน้าผาก
[6] พระราชกระแส แปลว่า คำพูด


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ข้าวต้ม: ความซับซ้อนของอาหารเช้า (1) https://bit.ly/2JaunTh
- Recipe for Kykeon (Barley water) https://bit.ly/2Hai3R4
-  รู้หรือไม่? ชีสเค้กมาจากขนมกรีกโบราณ https://bit.ly/2WyGDjQ

ไคคีออน https://imgur.com/YoCne0d
เตาดินเผา https://imgur.com/OHIB942

มาอัพแล้วจ้า ตอนแรกว่าจะปั่นเสร็จภายในสองวัน แต่เราตันฉากประดาบมาก ๆ ไม่ถนัดสุดชีวิต อ่านแล้วบอกเราหน่อยนะคะว่าฉากต่อสู้เป็นยังไงบ้าง เผื่อเราจะเอาไปปรับใช้ในฉากต่อไปที่จริงจังกว่านี้ แต่ก่อนอื่นเราคงต้องเพิ่มความตื่นเต้นเข้าไป เรารู้สึกว่ามันจืดชืดนิดหน่อย แต่เราไม่รู้จะออกแบบฉากแบบนี้ยังไง เอาใจช่วยเราด้วย ฮือ T_T

เราขออธิบายเรื่องไคคีออนหน่อยค่ะ พอดีเราอ่านมาจากสองเว็บ มันต่างกันอ่ะ ของไทยบอกว่าเป็นข้าวต้มใส่ธัญพืช ของอิ้งบอกว่าเป็นเครื่องดื่มเราเลยเอามาอ้างอิงรวม ๆ กันเลยนะคะ ส่วนชีสเราพยายามจะหาข้อมูลว่าเค้าเรียกกันว่าอะไรได้อีก แต่ดูแล้วเรียกว่าเนยแข็งคงจะไม่เหมาะ เราเลยใช้ชีสเหมือนเดิม

ปล. เราจะพยายามใส่คำราชาศัพท์เพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ นะคะ เพราะมันคือสิ่งจำเป็นของตัวเรื่องด้วย เราเองก็ได้รู้คำใหม่ๆ เยอะเลย อ่านยากทั้งนั้น และตอนนี้ก็เปิดปริศนามาอีกอย่างนึงแล้ว ต่อไปตัวเรื่องจะเข้าสู่ปมอีกครั้งค่ะ

ทุกคนไปเล่นแท็ก #มหาบุรุษแห่งครีตัน ได้น้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2019 15:46:44 โดย Chomin »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด