พิมพ์หน้านี้ - φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Chomin ที่ 20-03-2019 21:25:11

หัวข้อ: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-03-2019 21:25:11
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

มหาบุรุษแห่งครีตัน
-chomin-

Status : Fantasy / Minoan civilization / Greek mythology

หมายเหตุ : นิยายเรื่องนี้เน้นอ้างอิงเนื้อเรื่องตามตำนานหนึ่งในปกรฌัมกรีกและอารยธรรมมิโนอัน
ดังนั้นเนื้อหาบางส่วนจะไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ค่ะ เช่น เอเธนส์และมิโนอันไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันค่ะ


--------------------------------------------------------

เมื่อสงครามระหว่างเอเธนส์และครีตันอุบัติขึ้น แต่ทว่ากลับจบลงด้วยการนำส่งเชลยทุก ๆ ปี
ชะตาชีวิตของเธเซียสจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย!

ร่วมติด Hashtag : #มหาบุรุษแห่งครีตัน ในทวิตได้นะคะ

--------------------------------------------------------

♥ ผลงานอื่นๆ ♥

(เรื่องยาว) Fall in you (End)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.0)
(เรื่องยาว) Again and again (End) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67182.0)
(เรื่องยาว) ในป่าสน (End) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65693.0)
(เรื่องสั้น) บันทึกรักนักเดินทาง (End) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65492.0)
(เรื่องสั้น) Cloud9 Diary (End)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68572.0)
(เรื่องยาว) ความลับของช่างตัดเสื้อ ✁ BDSM (Onair)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71181.0)
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ บทนำ + ตอน 1-2 (update 20/03/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-03-2019 21:32:22
บทนำ

1450 ปีก่อนคริสตกาล

เสียงดังโหวกเหวกอื้ออึงเคล้าคลอเสียงร้องขอชีวิตของชายหนุ่มวัยกระเตาะ ทว่ากลับมิมีผู้ใดสนใจ มิรู้เป็นเพราะเสียงนั้นแผ่วเบาเกินไป หรือทุกผู้ต่างไม่กล้ายื่นมือเข้ามาสอด เดิมทีเรื่องดังกล่าวย่อมถือเป็นเรื่องในครัวเรือน แต่หากจะกล่าวว่าเป็นเรื่องของบ้านเมืองก็มิผิด เพราะจุดเริ่มต้นของปัญหา เกิดจากความแพ้ไม่เป็นของบรรพบุรุษ จนเลยเถิดไปถึงการลอบสังหารเจ้าชายแอนโดรเจียส กลางงานแข่งขันกีฬาแพแนเธเนีย ณ นครรัฐเอเธนส์
นับแต่นั้นสงครามระหว่างเอเธนส์และครีตันจึงอุบัติขึ้น ทว่าท้ายที่สุดกลับจบลงด้วยการนำส่งเชลยให้กับอาณาจักรครีตันทุก ๆ หนึ่งปี โดยมีข้อกำหนดว่าเอเธนส์จะต้องส่งเชลยชายหญิงจำนวน 7 คน พร้อมชักใบเรือด้วยผ้าสีดำรอนแรมผ่านทะเลอีเจียน ดังนั้นชะตาชีวิตของชายหนุ่มที่กำลังถูกกลุ้มรุมทุบตีจนเลือดกระอัก จึงจบลงด้วยการถูกโยนละลิ่วลงเรือลำหนึ่งที่ชักใบเรือสีดำโต้คลื่นลมอยู่ตรงท่าเรือราวกับซากศพไร้ค่าก็มิปาน ทว่าลมหายใจรวยรินกลับบ่งบอกได้ดีว่า เขายังมิอาจได้รับอนุญาตให้สละชีพในตอนนี้ ดวงตาอันอ่อนล้าจึงปิดสนิทราวกับยอมรับโชคชะตาที่ถูกยัดเยียด

กระทั่งแนวร่มไม้เริ่มทอดระยะลงบนตัวเธเซียส ดวงตาคมแสนอ่อนล้าจึงกระพริบปริบปรือเพียงครู่ จากนั้นชายหนุ่มจึงมองสำรวจรอบ ๆ ลำเรือด้วยท่าทีเหม่อลอย ริมหูแว่วเสียงพูดคุยด้วยภาษาพื้นเมืองของชาวครีตัน ดวงตาคมกริบจึงไล่ระดับจากแนวพุ่มไม้เรื่อยไปจนถึงโครงสร้างอาคารอันใหญ่โตโอ่อ่าที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ในระยะไกลลิบ ไม่นานจากนั้นเรือลำดังกล่าวก็ลอยล่องรอดใต้ทางเชื่อม แล้ววกเข้าสู่อาณาเขตของป่าใบเขียวอีกครั้ง ใบหน้าและลำตัวของเธเซียสจึงถูกปกคลุมด้วยแนวร่มไม้อันเย็นฉ่ำ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิดราวกับเดินทางเข้ามายังถ้ำหิน
แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังสติดีพอจะรับรู้ว่า..
โครงสร้างดังกล่าวคือห้องใต้ดินของพระราชวังคนอสซุสแห่งเกาะครีต

“ลงไปให้หมด! อย่าชักช้า!” เสียงดุดันของเหล่าทหารกล้าดังก้องกังวาน ส่งผลให้เชลยไร้ค่าจากเอเธนส์ ต่างกระวีกระวาดลงจากลำเรืออย่างรวดเร็ว แต่ทว่าความรวดเร็วดังกล่าวยังมิอาจทันใจผู้กวาดต้อน เชลยผู้โชคร้ายจึงถูกถีบคว่ำลงกับพื้นอย่างมิใยดี
ส่วนเธเซียสที่ได้รับบาดเจ็บก็มิอาจได้รับข้อยกเว้น ส่งผลให้ชายหนุ่มจากต่างแดน ถึงคราวต้องกระอักเลือดขึ้นมาอีกครา

กระทั่งเหล่าเชลยถูกนำส่งยังห้องใต้ดินจนครบถ้วน ทหารกล้าตรงหน้าประตูเมืองต่างรีบจรลีจากไปเป็นการด่วน ราวกับอยู่ที่นี่เนิ่นนานกว่านี้อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
เธเซียสจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยดังกล่าวไว้

ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงใช้โอกาสนี้ สำรวจรอบ ๆ บริเวณอย่างถี่ถ้วน พบว่าห้องใต้ดินแห่งนี้มีทางออกอยู่เพียงทางเดียวคือเส้นทางที่นำพาพวกเขามายังสถานที่แห่งนี้

“น้ำลึกมาก” เชลยชายรายหนึ่งหย่อนเท้าลงน้ำทะเลที่ถูกขุดเป็นคูคลองเชื่อมกับเส้นทางเดินเรืออันกว้างใหญ่   
“เส้นทางด้านในทั้งมืดและซับซ้อนมาก พวกเรามิมีทางหลบหนีได้!”  เชลยหญิงรายหนึ่งรีบวิ่งหน้าตาตื่นออกจากมุมมืดที่อยู่ลึกเข้าไป ส่งผลให้ใบหน้าของทุกผู้ในบริเวณนั้น ซีดเผือดอย่างมิอาจยอมรับชะตากรรม

“พวกท่านได้โปรดสงบจิตสงบใจสักนิด แล้วตามเรามาทางนี้เถิด” สุ้มเสียงนุ่มนวลบวกอากัปกิริยาอันแสนสุภาพอ่อนโยนของผู้มาใหม่ เพียงพริบตาเดียวการสื่อสารด้วยภาษากรีกแบบชาวเอเธนส์ที่ค่อนข้างกระท่อนกระแท่น ก็เรียกร้องความสนใจจากเหล่าเชลยนับสิบได้อย่างมากมาย
เห็นจะมีก็แต่เธเซียสที่มิไว้วางใจชายหนุ่มร่างสูงกำยำ ผู้มีใบหน้าอ่อนหวานรับกับเส้นผมสีดำยาวสลวยเป็นลอนคลื่นประดับด้วยเครื่องทองวิจิตรงดงาม ส่วนการแต่งกายของชายคนดังกล่าวล้วนเป็นการสวมใส่ตามสมัยนิยมทั้งสิ้น เพราะเขาสวมใส่ผ้าเตี่ยวและกระโปรงคิลท์ลวดลายสุดประณีตบ่งบอกถึงสถานะอันสูงส่ง

“น้องชาย เจ้าเดินไหวหรือไม่ ?” แต่แล้วความคิดของเธเซียสก็ถูกหญิงสาวรายหนึ่งขัดขึ้น เขาจึงได้แต่ส่งยิ้มอ่อนล้ากลับไป จากนั้นนางก็ช่วยประคองร่างกายอันบอบช้ำ เดินไปตามเส้นทางวกวนและคดเคี้ยวอย่างยากลำบาก
ทำเอาเธเซียสนึกสงสัยไม่น้อยว่าชายหนุ่มหน้าหวานผู้นั้น จดจำเส้นทางเหล่านี้ได้อย่างไร

“ดาฟเน่เจ้าเตรียมเรือพร้อมแล้วหรือไม่ ?” เมื่อก้าวเดินมาจนถึงปลายทางอีกด้านหนึ่งของห้องใต้ดิน ชายหนุ่มผู้สูงส่งจึงเอ่ยถามนางกำนัลคนสนิทที่กำลังนั่งหมอบอยู่ตรงปากทางด้วยภาษาพื้นเมือง แต่ทว่าการสื่อสารดังกล่าวกลับมิเป็นอุปสรรคต่อการสอดแนมของเธเซียส เพราะเดิมทีเขาก็เป็นหนึ่งในตระกูลพ่อค้า จึงต้องรอนแรมทั้งทางบกและทางทะเล ทำให้มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาติดตัว
“เรียบร้อยแล้วเพคะ” นางกำนัลคนสนิทเอื้อนเอ่ยอย่างนอบน้อม ขณะเดียวกันเธเซียสก็เริ่มมองเห็นความมีสมัยนิยมของอาณาจักรครีตันทีละนิด เพราะการแต่งกายของนางกำนัลสาว มีความคล้ายคลึงกับบุรุษผู้นั้นมิน้อย เพียงแต่นางจะสวมใส่ผ้าคลุมเผยทรวงอกอย่างเด่นหรา ส่วนเนื้อผ้าของเครื่องนุ่งห่มกลับมิได้มีลวดลายประณีตอันใด

“เช่นนั้นเราฝากเจ้าดูแลทางนี้ด้วย” กระทั่งสองนายบ่าวเจรจากันลงตัว เหล่าเชลยชายหญิงจึงถูกนำตัวออกไปยังท่าเรือขนาดเล็กที่ค่อนข้างลับตาผู้คน เธเซียสที่ร่างกายยังคงบอบช้ำจึงต้องก้าวย่างอย่างระมัดระวัง พร้อมใช้สายตาคมกริบปราดมองเหนือผิวน้ำอย่างพิจารณา จึงทราบว่าคูน้ำสายนี้มิใช่น้ำทะเลอย่างที่คิด เพราะมิมีเกลียวคลื่นกระทบฝั่ง เท่ากับว่าเส้นทางน้ำเส้นนี้ อาจเป็นเส้นทางที่มอบชีวิตใหม่ให้กับเชลยอย่างพวกเขา 
เพียงแต่ในขณะที่เธเซียสกำลังก้าวเดินขึ้นไปยังลำเรืออันโคลงเคลง อาการหน้ามืดวิงเวียนก็มาเยือน
ส่งผลให้ร่างของชายหนุ่มผู้ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล ร่วงดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอย่างรวดเร็ว



----------------------------------------------

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น]

แวะมาเปิดเรื่องใหม่แบบใจร้อน เพราะเป็นพล็อตในฝันที่เราอยากจะเขียนมานานแล้ว เรื่องนี้เป็นแนวย้อนยุคไปไกลมาก เรื่องราวจะเกี่ยวกับอาณาจักรนึงที่ตั้งอยู่บนเกาะครีต หรือก็คือเกาะที่อยู่ในประเทศกรีซในปัจจุบัน เดี๋ยวเราจะค่อย ๆ เฉลยไปเรื่อย ๆ ว่าอาณาจักรนี้คืออาณาจักรที่เป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมอะไร และมีเรื่องราวใดเก็บซ่อนไว้
เรายังไม่ขอให้คำจำกัดความของแนวนิยายเรื่องนี้แล้วกัน รอเฉลยปมออกมาก่อน คิดว่าทุกคนน่าจะเข้าใจ 555
สำนวนอาจยังไม่ลงตัวนัก แต่จะพยายามปรับปรุงเรื่อย ๆ ค่ะ เพราะเราเองก็ไม่แน่ใจว่าสำนวนย้อนยุคสมัยนี้ควรต้องเป็นแบบไหนดี เราเลยเอาแบบก้ำกึ่งให้อ่านง่ายน่าจะดีกว่า เรื่องนี้อาจจะใช้เวลาปั่นช้าเหมือนเรื่องในป่าสน เพราะเป็นแนวยากอีกแล้ว 5555 แต่ไม่มีวิเคราะห์จนเครียดแน่นอน
ปล. เรื่องนี้อาจจะไม่มีข้อมูลอ้างอิงอะไรมากค่ะ เพราะว่าเราเลือกเขียนจากอาณาจักรที่ปัจจุบันค้นพบหลักฐานเพียงน้อยนิด แต่ถ้าอันไหนเราเอามาใช้จริง เราจะเขียนอ้างอิงไว้

การแต่งกายของอาณาจักรนี้ก็จะประมาณนี้ค่ะ https://i.imgur.com/kYRGcet.jpg
Cr : ancientgreeceimages.com

อันนี้คือภาพรวมของตัวพระราชวังนะคะ https://i.imgur.com/DlRmaW2.jpg
Cr : linearbknossosmycenae.com
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ บทนำ + ตอน 1-2 (update 20/03/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-03-2019 21:40:00
ตอน 1

กลิ่นโอสถหอมหวนลอยโฉบอยู่ตรงปลายจมูกของเธเซียสระยะหนึ่งแล้ว ดวงตาคมกริบจึงกระพริบปริบปรือเพียงครู่ พลางมองทอดสายตาไปยังรอบ ๆ บริเวณ พบว่าตนเองกำลังล้มหมอนนอนเสื่ออยู่ตรงปากทางเข้าห้องใต้ดินอันซับซ้อน ลมทะเลเหนียวหนืดพาลพาให้ร่างกายรู้สึกไม่สบายตัว หากแต่ความนุ่มนิ่มที่รองรับร่างกายของผู้บาดเจ็บ กลับบ่งบอกได้ดีว่าเชลยศึกอย่างเขากำลังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ความสงสัยจึงยิ่งเกาะกุมหัวใจ เพราะสถานะของเชลยศึกมิน่าได้รับเกียรติมากมายถึงเพียงนี้ บวกกับท่าทีของเหล่าทหารกล้า ล้วนมีแต่พิรุธทั้งสิ้น
ชายหนุ่มจึงอดวิเคราะห์มิได้ว่า..
เชลยศึกถูกนำส่งมาเพื่อเหตุใด อีกทั้งการช่วยเหลือของชายหนุ่มผู้นั้นมีจุดประสงค์เพื่อสิ่งใด

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?” สุ้มเสียงของผู้มาใหม่ปลุกเธเซียสให้ตื่นจากภวังค์
“อาการของข้าเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว” ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บเอ่ยตอบพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย เพียงแต่หน้าตายังคงไร้แววสดใส

“เช่นนั้นเจ้าดื่มยานี่สักหน่อย” นางกำนัลนามว่าดาฟเน่กล่าว พลางส่งถ้วยโอสถอันร้อนระอุให้กับเธเซียสที่บัดนี้ลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนได้สักพักใหญ่แล้ว
“ข้าหลับไปนานเท่าใด ?” บุรุษผิวคล้ำแดดจากการเดินทางรอนแรมไปทั่วสารทิศเอ่ยถามนางกำนัลด้วยความสงสัย เพราะร่างกายของเขามิได้หนักอึ้งเท่ากับช่วงแรก

“สามวันเห็นจะได้” นางกำนัลดาฟเน่ยังคงตอบคำถามอย่างประหยัดคำพูด เธเซียสจึงได้แต่คาดคะเนอาการของตนเองว่าเขาอาจจะไข้ขึ้นหลังจากตกลงไปในแม่น้ำ บวกกับบาดแผลของการถูกกลุ้มรุมทุบตีจากบุพการี ทำให้ร่างกายอ่อนล้าอย่างที่มิควรเป็น
“ข้าเตรียมเรือให้เจ้าแล้ว รีบตามข้ามาเถิด” สิ้นคำบอกกล่าวของนางกำนัล สมองของเธเซียสก็เริ่มคิดหาทางหนีทีไล่ เนื่องจากการได้รับการปลดปล่อย มิต่างจากการอยู่หรือตายที่นี่สักนิด เพราะเดิมทีเขาเป็นบุตรคนเล็ก การเรียนรู้ด้านการค้าขายจึงยังไม่ประสีประสา นับได้ว่าสถานะของตนในช่วงเวลานี้ ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ดังนั้นหากต้องตัดขาดจากใครสักคนตามกฎระเบียบของบ้านเมือง
ผู้ที่มีประโยชน์ต่อวงศ์ตระกูลน้อยที่สุด ย่อมเป็นผู้ถูกเลือก
ดังนั้นชายหนุ่มผู้แสนอาภัพ จึงนั่งชั่งใจอยู่เนิ่นนาน

“ข้ามิไปมิได้หรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามในจังหวะที่นางกำนัลหันกลับมามองว่าเหตุใดเขาจึงทำตัวอืดอาดยืดยาด
“มิได้” นางยื่นคำขาดพร้อมส่งสายตาดุดันมาให้บุรุษร่างสูงอย่างมินึกเกรงกลัว เนื่องจากสถานะของเธเซียสนับว่าต่ำต้อยกว่านางมาก

“แต่ข้า..” เธเซียสยังคงรบเร้าแม้ว่าท่าทีดุดันของนางกำนัลดาฟเน่จะพุ่งสูง
“มีอันใดกันหรือ ?” แต่แล้วในวินาทีที่บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความขุ่นมัว สุ้มเสียงนุ่มนวลของผู้มาใหม่ก็ดังก้อง จากนั้นร่างสูงสง่าของชายหนุ่มหน้าหวานที่ในวันนี้ยังคงแต่งกายด้วยเนื้อผ้าลวดลายประณีตก็ปรากฏ เพียงแต่วันนี้แตกต่างจากวันวาน เนื่องจากชายหนุ่มคนดังกล่าว รวบเส้นผมราวกับลอนคลื่นด้วยเครื่องทองเหลืองอร่าม จึงทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูคล่องตัวยิ่งขึ้น

“หม่อมฉันเตรียมเรือตามบัญชาเรียบร้อยแล้วเพคะ” เมื่อผู้เป็นนายเยื้องย่างเข้ามาใกล้ นางกำนัลผู้แสนดุดันจึงรีบแปรเปลี่ยนกริยาวาจาอ่อนน้อม พร้อมทรุดตัวหมอบลงกับพื้น
“เจ้าคงพบปัญหาหนักอกกระมัง ถึงได้ทำหน้าตาเคร่งเครียดเพียงนี้” ชายหนุ่มหน้าหวานยังคงเอ่ยปากอย่างใจเย็น อาจเพราะสองนายบ่าวเฝ้ารับใช้มาเนิ่นนานจึงรู้อกรู้ใจกันดี

“ประเดี๋ยวเราจัดการทางนี้เอง เจ้ามีอันใดก็รีบไปทำเถิด”
“เพคะ” สิ้นคำตอบรับ นางกำนัลผู้นั้นยังมิวายหันมาถลึงตาใส่เธเซียสที่บังอาจสร้างเรื่องราวน่าลำบากใจให้กับนาง
แต่กระนั้นก็นับว่านางมิใช่คนปากพล่อย
เพราะนางไม่แม้แต่จะรายงานความประพฤติอันนอกลู่นอกทางของเชลยหนุ่มแต่อย่างใด

กระทั่งภายในห้องใต้ดินอันเปรียบเสมือนเขาวงกต มีเพียงบุรุษสองชีวิตที่มิได้รู้จักมักคุ้นกัน ความเงียบงันจึงตรงเข้ามาครอบงำเพียงชั่วพริบตา บวกกับเธเซียสมิอยากทำตัวเป็นคนรู้มาก เขาจึงได้แต่ทำหน้าโง่งม เหตุเพราะบุรุษตรงหน้ามิใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป แต่อาจจะมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายสักองค์ของจักรวรรดิครีตัน
ดังนั้นชะตาชีวิตของเธเซียสจึงมิต่างกับถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย

“เหตุใดเจ้าถึงมิต้องการอิสระจากเรา ?” บุรุษผู้สูงส่งเอ่ยถามขณะที่เขากำลังยืนเอามือไพล่หลัง พร้อมมองไปยังเส้นทางน้ำตรงปากทางเข้าห้องใต้ดินอันลึกลับที่มีเกลียวคลื่นซัดสาดเป็นระยะ
“มิใช่ข้ามิต้องการอิสระ เพียงแต่ข้ามิมีที่ไป ดังนั้นการอยู่เป็นหรืออยู่ตายที่ใด ล้วนมิมีความจำเป็นสำหรับข้า” เธเซียสกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ยังมิไว้วางใจชายผู้นี้มากนัก

“เพราะเหตุใดเจ้าถึงคิดในแง่ร้ายเช่นนั้น” ชายหนุ่มผู้สูงส่งหากแต่มิได้ถือตัวหันมาเอ่ยถามเธเซียสที่ยังคงนั่งอยู่ตรงพรมขนสัตว์ ส่งผลให้เส้นผมสีดำลอนคลื่นปลิวไสวเพียงเบา ๆ
เสริมสร้างให้ภาพลักษณ์ของผู้ถามดูงดงามมากขึ้นอีกเท่าตัว

“อาการบาดเจ็บของข้า เกิดจากฝีมือของบุพการี เช่นนั้นข้าจะกลับไปยังที่ที่ข้าจากมาได้อย่างไร ?” สิ้นคำถามจากบุรุษผู้มีใบหน้าคมคายอย่างเธเซียส ความเงียบงันก็ตรงเข้ามาครอบงำอีกครา
“เจ้ามิคิดบ้างหรือ บางทีการได้รับอิสระจากเรา อาจนำพาให้เจ้าได้พบเจอกับชีวิตใหม่ที่ดีกว่า” ฝ่ายบุรุษหน้าหวานที่มีโครงร่างสูงใหญ่กว่าเธเซียสหลายขุม เอ่ยถามราวกับต้องการให้เขาไตร่ตรองดูอีกครั้ง ซึ่งความหวังดีดังกล่าว อาจทำให้เธเซียสซาบซึ้งใจอย่างมหาศาล
หากพิรุธหลาย ๆ อย่างยังมิก่อเกิด

“ข้ามิได้กล้าหาญชาญชัยเช่นนั้น อาจเพราะข้าเป็นบุตรคนเล็กจึงถูกพี่ชายโอบอุ้มมาตลอด หากต้องเดินทางรอนแรมเพียงลำพัง คาดว่าชะตาชีวิตคงมิต่างจากการเป็นเชลยอยู่ที่นี่กระมัง” เธเซียสกล่าวพลางมองบุรุษตรงหน้าเพียงครู่ ราวกับต้องการจะสบตาให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า..
‘การตาย’ คือชะตาชีวิตที่ตนก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี

“เหตุใดเจ้าจึงรู้ภาษาถิ่นเรา ?” แต่แล้วบุรุษหน้าหวานก็เอ่ยถามราวกับต้องการจะเปลี่ยนเรื่อง
“คงเพราะข้าต้องเดินทางรอนแรมเพื่อไปค้าขาย จึงเผลอซึมซับมาบ้างกระมัง” เธเซียสกล่าวพลางลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง แล้วเดินเข้าไปหยุดยืนเคียงข้างคู่สนทนาที่สูงกว่าตนไปมากโข

“นับได้ว่าเจ้าเป็นคนช่างสังเกต” บุรุษหน้าหวานผู้มีร่างกายแข็งแรงกำยำราวกับได้รับการฝึกฝนวิชาการต่อสู้อยู่บ่อยครั้งกำลังยิ้มพรายด้วยความชื่นชม

“ท่านเป็นคนแรกที่เอ่ยชื่นชมข้าเช่นนี้ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” เธเซียสกล่าวด้วยรอยยิ้ม ส่งผลให้ใบหน้าคมคายดูงดงามยิ่งกว่าคราใด
“เราล้วนพูดไปตามสิ่งที่เห็น มิได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด” ฝ่ายบุรุษผู้สูงส่งเอื้อนเอ่ยอย่างถ่อมตัว พลางผิวปากร้องเรียกอะไรบางอย่าง จากนั้นไม่นานโลมายักษ์ตัวหนึ่งก็แหวกว่ายโต้คลื่นลมอย่างเริงรื่น ราวกับยินดีปรีดาที่ได้พบผู้เป็นนาย

“เรื่องของเจ้า..” หลังจากความเงียบงันปกคลุมอยู่รอบกาย ชายหนุ่มผู้สูงส่งที่กำลังหยอกเย้ากับสัตว์ทะเลแสนฉลาด พูดเกริ่นนำอย่างนุ่มนวล
“…”

“หากเจ้าตัดสินใจดีแล้ว เราก็มิขัดข้อง” สิ้นคำอนุญาต เธเซียสรู้สึกลิงโลดในอก พลางแสดงท่าทีตื้นตันด้วยการหมอบลงกับพื้นมิต่างกับนางกำนัลดาฟเน่
บ่งบอกถึงความยินดีที่ได้เป็นข้ารองบาทของชายผู้นี้

จากนั้นชายหนุ่มผู้ไร้ซึ่งที่มาที่ไปอย่างกระจ่างแจ้งก็นำทางเธเซียสออกมายังนอกบริเวณเขาวงกต ใกล้กับท่าเรือขนาดเล็กที่เขาเคยดำดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำ ส่งผลให้เชลยหนุ่มจำต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย เนื่องจากภายในห้องใต้ดินมิมีแม้แต่แสงสว่างอันใด
กระทั่งเดินทางลัดเลาะเข้ามายังตัวอาคารอันหรูหรา แววตาของเธเซียสก็ยิ่งเป็นประกาย เหตุเพราะพระราชวังคนอสซุส คือพระราชวังที่มีความทันสมัยและสะดวกสบาย
แต่ทว่าพระราชวังแห่งนี้ กลับมิมีกำแพงเมือง
นับว่าง่ายต่อการโจมตีของข้าศึก

“เจ้าเป็นชาวเอเธนส์ใช่หรือไม่ ?” บุรุษหน้าหวานเอ่ยถามเชลยศึกที่กำลังจะมีสถานะใหม่ในเวลาอันใกล้นี้ ขณะกำลังก้าวย่างบนทางเดินขั้นบันไดอันทอดยาวที่มีเสาทรงกลมต้นใหญ่สีแดงขนาบข้าง
“เหตุใดท่านจึงถามเช่นนั้น ?” เธเซียสนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะยอมเอ่ยถามบุรุษผู้มีสถานะสูงส่งด้วยความสงสัย

“เจ้าดูมิเหมือนชาวเอเธนส์สักเท่าใด” บุรุษร่างสูงผู้มีใบหน้าหวานเอามือไพล่หลัง พลางย่างเท้าอย่างสม่ำเสมอ พร้อมแย้มยิ้มและกลั้วหัวเราะเพียงเล็กน้อย
“หรือนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้า จำต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอเนจอนาถเช่นนี้ ?” อดีตเชลยกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ แต่กระนั้นเหตุการณ์ในวันวานก็ยังสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจมิใช่น้อย

“นอกจากการค้าขายแล้ว เจ้าทำสิ่งใดเป็นอีกบ้าง ?” บุรุษผู้สูงสง่าเอ่ยถามราวกับต้องการประเมินผล
“ข้าพอจะอ่านออกเขียนได้ หรือจะงานใช้แรงข้าก็มิเกี่ยง” เธเซียสกล่าวอย่างฉะฉาน เพราะเขามิใช่คนหยิบหย่ง

“ความสามารถเช่นเจ้า มิใช่พอจะอ่านออกเขียนได้กระมัง..”
“เจ้านี่นอกจากจะเป็นคนช่างใฝ่รู้ ยังเป็นคนช่างถ่อมตัวอีกหรือ ?” ชายหนุ่มผมดำราวกับลอนคลื่น หันมาเอ่ยถามเธเซียสที่กำลังก้าวเดินอย่างนอบน้อมอยู่ข้างหลัง
ฝ่ายอดีตเชลยจึงได้แต่แย้มยิ้มบาง

“ตระกูลของเจ้าคงจะเคยมาค้าขายที่ครีตันบ่อยกระมังถึงได้เชี่ยวชาญภาษาไลเนียร์เอ ราวกับชนพื้นเมือง” บุรุษผู้มีใบหน้าและรอยยิ้มอันงดงาม เอ่ยถามพลางก้าวเดินลงบันไดทีละขั้นอย่างระมัดระวัง
“เป็นเช่นนั้นเพราะการค้าขายที่ครีตันเจริญรุ่งเรืองมาก อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมสินค้าชั้นดีจากหัวเมืองต่าง ๆ เรียกได้ว่าหากเดินเรือมาที่นี่ ล้วนได้รับสิ่งของที่ต้องการจนครบถ้วน” เธเซียสกล่าวอย่างกระตือรือร้น โดยมิได้ต้องการเพียงแค่เอาอกเอาใจผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน
เพราะเดิมทีจักรวรรดิครีตันนับว่ามีอิทธิพลต่อการทำมาค้าขายเป็นอย่างยิ่ง

“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักครีตันดีกว่าเราเสียอีก” ชายหนุ่มผู้มีกิริยาวาจางดงามกล่าวพลางแย้มยิ้ม ขณะที่ทั้งคู่กำลังก้าวเดินออกมายังสวนหย่อมด้านนอกอาคารเพื่อมุ่งตรงไปยังจุดหมาย
“หามิได้ ข้าเพียงแต่พูดไปตามสิ่งที่เห็น”

“ครั้งหน้าหากเราวางแผนจะเดินทางออกนอกวัง คงต้องให้เจ้าเป็นผู้นำทางกระมัง ?”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง” เธเซียสกล่าวพลางค้อมตัวอย่างนอบน้อม เมื่อบุรุษที่กำลังเดินนำหน้าหันกลับมาสบสายตา

กระทั่งทั้งคู่เดินมาจนถึงเรือนพำนักของเหล่าข้าหลวง เธเซียสก็ถูกส่งตัวให้แก่หัวหน้านางกำนัลอย่างดาฟเน่ โดยหน้าที่ใหม่ของเขาคือช่างปั้นดินเผา นับว่าเป็นหน้าที่ที่มิค่อยคุ้นชิน เหตุเพราะที่ผ่านมาเขามักจะคลุกคลีอยู่กับการทำมาค้าขาย
ส่วนงานด้านเอกสารเห็นทีคงเป็นไปได้ยาก เพราะงานดังกล่าวล้วนต้องได้รับความไว้วางใจ
ดังนั้น ‘งานปั้นดินเผา’ จึงเหมาะกับเชลยศึกอย่างเขาเป็นที่สุด



φ


[1] อักษรไลเนียร์เอ มีสัญลักษณ์ 60 ตัวแสดงพยางค์ และอีก 60 ตัวแสดงเสียงและสื่อถึงความหมาย วิธีเขียนจะเขียนในแนวนอนจากซ้ายไปขวา
Cr : wikipedia

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น]

https://i.imgur.com/hWlAYCM.jpg
cr : www.thoughtco.com

ในส่วนที่เรากล่าวถึงปลาโลมานั้น เป็นเพราะชาวครีตันรู้จักเจ้าปลาตัวนี้เป็นอย่างดี และมีการวาดภาพจิตรกรรมเอาไว้ด้วยค่ะ
https://i.imgur.com/NYUhb22.jpg
Cr : http://piasa.info

เสาสีแดงที่เรากล่าวถึงหน้าตาจะเป็นแบบนี้ ซึ่งเสาต้นใหญ่แบบนี้ถือเป็นจุดเด่นของพระราชวังเลย เพราะมีอยู่หลายจุดมาก
https://i.imgur.com/GaaG6iH.jpg
Cr : kladostours.gr

ช่วงแรก ๆ เนื้อเรื่องอาจจะยังไม่มีอะไรมาก เพราะเราอยากจะปูสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้พอจินตนาการภาพออกก่อน แล้วค่อย ๆ ใส่เนื้อเรื่องอันจริงจังเข้าไป แต่ในส่วนที่คิดว่าไม่มีอะไร มันก็มีอะไรซ่อนอยู่นะ แต่ทุกคนอาจจะยังมองไม่ออก 5555
ปล. 1 สำนวนโอเคไหมคะ เรื่องนี้เรารู้สึกมึนงงกับสำนวนตัวเองแปลกๆ ถ้าหากคิดว่าคำปัจจุบันคำไหนไม่ควรเขียนลงไป บอกเราได้นะ บางทีเราอาจลืมนึกไป
ปล. 2 เราขอยังไม่ลงอ้างอิงอะไรมาก เพราะว่าถ้าทุกคนรู้ว่าเนื้อเรื่องคืออารยธรรมอะไร อาจจะเดาปมบางอย่างที่เราจะเขียนออก 555
ปล. 3 เราต้องทำงาน 7 วัน ไม่มีเวลาพักใด ๆ คงลงได้แค่อาทิตย์ละ 1 ตอนนะคะ T__T
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ บทนำ + ตอน 1-2 (update 20/03/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-03-2019 21:48:58
ตอน 2

การเป็นข้าราชบริพารส่วนพระองค์จำเป็นต้องทราบแผนผังภายในพระราชวังแห่งเมืองนอสซัส หรือเมืองหลวงของจักรวรรดิครีตัน ดังนั้นเช้าวันนี้หัวหน้านางกำนัลอย่างดาฟเน่ จึงต้องคอยแนะนำสถานที่ปฏิบัติงานให้กับข้าหลวงฝึกหัดอย่างเธเซียส โดยเริ่มทำความรู้จักตั้งแต่เรือนพักรับรองของเหล่าข้าหลวงที่อยู่ทางทิศใต้ ข้ามผ่านบันไดที่มีเสาสีแดงต้นใหญ่เรียงรายในระยะ 50 เมตร ทะลุเข้าสู่ทางเดินอันเรียบหรูที่ประดับตกแต่งด้วยภาพวาดเฟรสโก สีสันสดใสบนฝาผนังทั้งสองด้าน บอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตในท้องทะเล นางระบำ และการบูชาวัว
กระทั่งข้าหลวงทั้งสองก้าวเดินผ่านโพรพิเลอา ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ห้องเก็บธัญญาหารขนาดใหญ่ก็ปรากฏ ส่วนฝั่งขวามือเป็นห้องเก็บของขนาดเล็ก
บริเวณถัดมาคือลานประกอบพิธีกรรมขนาดมิใหญ่นัก
“ถนนเส้นนั้น เจ้าห้ามไปเดินเพ่นพ่านเป็นอันขาด” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวอย่างจริงจัง พลางชี้ไปยังถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งทอดตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น ฝ่ายอดีตเชลยที่ได้รับการยกระดับเป็นนายข้าหลวง จึงรีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เนื่องจากถนนเส้นดังกล่าวคือถนนสำหรับราชวงศ์แห่งครีตัน
หัวหน้านางกำนัลจึงเดินนำทางต่อไป จนกระทั่งพบกับโพรพิเลอาประจำทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถัดมาคือโรงเก็บภาษีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับห้องเก็บธัญญาหาร จากนั้นทั้งสองก็เดินตรงมายังห้องโถงขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่มักจะใช้เป็นอาณาบริเวณในการจัดเลี้ยง เนื่องจากชาวครีตันค่อนข้างโปรดปรานงานรื่นเริง และนิยมชมชอบความหรูหรา

“ห้องนี้เป็นห้องสำหรับเก็บเครื่องปั้นดินเผา” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวพลางเดินเข้ามายังห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยเครื่องปั้นดินเผาลวดลายวิจิตรงดงามประเภทต่าง ๆ เช่น แจกัน คนโท
“ส่วนห้องถัดไปเป็นห้องปฏิบัติงานของเจ้า” สิ้นคำแนะนำของนางกำนัลที่คราแรกธีเซียสคาดว่าอายุมิน่าจะมากมายนัก แต่ในความเป็นจริงอายุของนางเทียบเท่ากับมารดาของเขาแล้ว

“เหตุใดห้องปฏิบัติงานจึงใหญ่โตถึงเพียงนี้ ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากความใหญ่โตโออ่าเทียบเท่ากับโรงเก็บภาษี และจำนวนของผู้ปฏิบัติงานก็นับว่ามากเกินไป
“เพราะเครื่องปั้นดินเผาโดยเฉพาะแจกัน เป็นสินค้าส่งออกอันขึ้นชื่อของอาณาจักรครีตัน” หัวหน้านางกำนัลที่มีศักดิ์เป็นถึงพระพี่เลี้ยงของเจ้าชายมิโนส โอรสองค์โตของกษัตริย์ไมนอส หรือก็คือชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีนิลราวกับเกลียวคลื่นในยามราตรี ยังคงตอบคำถามอย่างฉะฉาน

“นับได้ว่าจักรวรรดิครีตันมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง” เธเซียสเอ่ยชื่นชมอย่างตรงไปตรงมา เพราะเดิมทีเขาทราบเพียงแค่ครีตันขึ้นชื่อเรื่องการส่งออกอาหาร ไม้สน เหล้าองุ่น ลูกเกด น้ำมันมะกอก ผ้าขนสัตว์ สมุนไพร และสีย้อมผ้าเท่านั้น
“ครีตันมิใช่เพียงอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่ยังมีกองทัพเรือและกองทัพบกอันแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นแหล่งส่งออกศาสตราวุธนำสมัย” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“ด้วยเหตุนี้อาณาจักรครีตันจึงมิจำเป็นต้องสร้างกำแพงเมืองหรือป้อมปราการเฉกเช่นอาณาจักรอื่นใช่หรือไม่ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างคิดวิเคราะห์ เนื่องจากความแข็งแกร่งของกองทัพเรือและกองทัพบก ล้วนสอดคล้องกับความประมาทเลินเล่อ อีกทั้งการเป็นผู้นำทางด้านศาสตราวุธ ย่อมส่งผลให้มีความเหิมเกริม เนื่องจากคงมิมีผู้ใดรู้จักศาสตราวุธได้ดีกว่าผู้ผลิต
“เป็นเช่นนั้น เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริง” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวอย่างชื่นชม ราวกับถูกอกถูกใจในความเฉลียวฉลาดของอดีตผู้สร้างปัญหาหนักอก

“ภาพวาดเฟรสโกเหล่านี้ เป็นผลงานของช่างมือฝีท่านใดหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ ขณะก้าวเดินลงบันไดตรงช่องรับแสง เนื่องจากปลายทางอันเป็นเป้าหมายอยู่ตรงชั้นล่างเพียงแต่มิใช่ล่างสุด เพราะพระราชวังแห่งนี้ยังมีห้องใต้ดินอันลึกลับซับซ้อน อีกทั้งแผนผังของตัวพระราชวัง ยังให้ความรู้สึกราวกับเดินวนเวียนอยู่ในเขาวงกตไร้ซึ่งทางออก
“ล้วนเป็นฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนส” นางกำนัลพระพี่เลี้ยงเอ่ยไขข้อข้องใจด้วยความภาคภูมิ

“ทรงมีพระอัจฉริยภาพเป็นล้นพ้น” เธเซียสกล่าวยกยอปอปั้นอย่างกระตือรือร้น เพียงแต่มิได้ทำเพื่อเอาใจ เนื่องจากฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนสล้วนหาผู้ใดเทียบเคียงมิได้
“เป็นเช่นนั้น เดิมทีพระราชวังคนอสซุสเกิดอัคคีภัยจนราบคาบ เจ้าชายมิโนสทรงเป็นผู้บูรณะด้วยพระองค์เอง เจ้าสังเกตหรือไม่ เส้นทางในพระราชวังค่อนข้างคดเคี้ยว หากผู้ใดมิคุ้นชินอาจถูกกักขังอยู่ที่นี่เป็นแน่ มิหนำซ้ำพระราชวังของเรายังมีระบบสุขาภิบาลและระบบบำบัดน้ำเสียอันยอดเยี่ยม” นางกำนัลดาฟเน่ยังคงเอื้อนเอ่ยอย่างชื่นชมในพระปรีชาสามารถของเจ้าชายผู้มีกิริยาวาจางดงาม
 
“หากเป็นเช่นนี้ นับได้ว่าจักรวรรดิครีตันเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าอาณาจักรบาบิโลเนียกระมัง ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น เนื่องจากเขาเคยได้ยินมาว่าพระราชวังของพระเจ้าซาร์กอนแห่งบาบิโลเนีย นำสมัยยิ่งกว่าพระราชวังของอาณาจักรใด เนื่องจากพระราชวังบาบิโลเนียมีกำแพงเมืองถึง 700 ฟุต และยังมีความหนาค่อนข้างมาก อีกทั้งส่วนบนของกำแพงยังกว้างขวางพอที่จะให้รถเทียมด้วยม้าศึก 4 ตัว วิ่งผ่านไปมาได้
“คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ข้าเองก็อยู่แต่ในรั้วในวังมาเนิ่นนาน มิเคยต้องออกเดินทางรอนแรมเช่นเจ้า” นางกำนัลดาฟเน่เอ่ยตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ส่งผลให้เธเซียสได้แต่ก้าวเดินพลางอมยิ้มพร้อมสำรวจรอบ ๆ บริเวณอย่างอารมณ์ดี

ขณะที่ในหัวเริ่มคิดตีความข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับ จึงทราบว่าชาวครีตันนอกจากจะนิยมชมชอบงานรื่นเริงและความสะดวกสบายแล้ว ยังรักสิ่งแวดล้อมอีกด้วย มิเช่นนั้นพวกเขาคงมิคิดค้นระบบบำบัดน้ำเสีย
อีกทั้งภาพวาดบนฝาผนังยังเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลอีกมากมาย

“ด้านนี้เป็นห้องปั้นดินเผาอีกห้องหนึ่ง ถัดมาเป็นห้องตัดหินและห้องผลิตศาสตราวุธ” นางกำนัลดาฟเน่ยังคงแนะนำสถานที่ปฏิบัติงานให้แก่เธเซียสอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ถึงคราวที่ข้าหลวงหมาด ๆ ต้องเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน ซึ่งก่อนจะลงมือทำจริง เธเซียสต้องผ่านการทดสอบอยู่หลายขั้น เริ่มจากการทดสอบทักษะการหล่อเครื่องปั้นดินเผา จบลงที่การวาดลวดลายอันสวยงาม เธเซียสจึงค้นพบว่าตนมีความสามารถทางด้านศิลปะมิใช่น้อย
เพราะเขาสามารถวาดภาพเปลือกหอย ปะการัง และท้องทะเลราวกับมืออาชีพ

“แจกันใบนั้นเป็นฝีมือของผู้ใดหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามเคออส พลางชี้ไปยังแจกันที่มีสามหูตรงบริเวณคอแจกัน
“งดงามใช่หรือไม่” เคออสมิยอมตอบ แต่กลับย้อนถามราวกับภาคภูมิใจ เธเซียสจึงพยักหน้าอย่างแข็งขัน โดยสองมือของเขายังคงแต่งแต้มลวดลายให้กับแจกันยอดนิยมที่มีรูปร่างแปลกตา

“แจกันใบนี้และคนโทใบนั้นล้วนเป็นฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนส” สิ้นคำตอบของอีกฝ่าย เธเซียสจึงเริ่มพิจารณาความงดงามของเครื่องปั้นดินเผาชนิดดังกล่าว พบว่าสีสันที่นิยมใช้คือสีน้ำตาลหรือสีดำบนพื้นผิวสีอ่อน
ส่วนภาพที่นิยมวาดล้วนเป็นภาพจากธรรมชาติและภาพเกี่ยวกับท้องทะเล 

“เจ้าชายมิโนสทรงพระปรีชารอบด้านเสียจริง” เธเซียสกล่าวพลางแย้มยิ้ม ฝ่ายเคออสได้ยินเช่นนั้นจึงรีบพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“ช่วงเทศกาลล่าสัตว์ ข้าเคยเห็นพระองค์ทรงธนู นับว่าเป็นบุญตาอย่างยิ่ง” เคออสกล่าวเสริมด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม

“ด้านศาสตราวุธก็ยังมิเป็นสองรองใครอีกหรือนี่ ทรงมีพระอัจฉริยภาพเสียจริง” เธเซียสกล่าวพลางขบคิดคาดเดาว่าเจ้าชายผู้มีเมตตาพระองค์นั้น คงจะมีบทบาททางด้านการศึกและการว่าราชการมิใช่น้อย
เรียกได้ว่าสถานะของพระองค์
อาจเป็นว่าที่กษัตริย์ผู้ปกครองนครครีตันก็เป็นได้

กระทั่งยามอาทิตย์อัสดง เหล่านายข้าหลวงต่างพากันจุดคบไฟจนทั่วบริเวณพระราชวังอันใหญ่โตโออ่าที่อยู่ท่ามกลางภูเขาและแมกไม้ ความหรูหราสว่างไสวจึงแผ่กำจายอย่างน่าเกรงขาม
เธเซียสจึงถือโอกาสนี้ทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับแผนผังของพระราชวังคนอสซุสแห่งเกาะครีต

“เธเซียสเจ้าช่วยไปจุดคบไฟทางโน้นให้ข้าที” เคออสกล่าวพลางชี้ไปยังบริเวณทางเชื่อมระหว่างตัวพระราชวังกับที่ดินของเหล่าพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ซึ่งสภาพบ้านเมืองของจักรวรรดิครีตันค่อนข้างแปลกแยก เนื่องจากบ้านเรือนของชาวพื้นเมืองจะอยู่ติดกับตัวพระราชวัง
แต่หากเป็นอาณาจักรอื่นจะมิสร้างใกล้ชิดถึงเพียงนี้

“การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เจ้าคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ ?” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มของผู้มาใหม่ดังขึ้นท่ามกลางแสงไฟสลัว ส่งผลให้อดีตเชลยอย่างเธเซียสที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันถึงกับใจหายใจคว่ำ
“กระหม่อม..” กระทั่งตั้งสติได้ นายข้าหลวงฝึกหัดจึงกล่าวอย่างกระท่อนกระแท่น เนื่องจากการพบเจอในครั้งนี้ มิใช่การพบเจอด้วยสถานะดังเช่นวันวาน

“เจ้าปฏิบัติกับเราเหมือนที่เคยทำเถิด เรามิได้ถือสา” บุรุษหนุ่มผู้มีเส้นผมสีนิลรัตติกาลโบกสะบัดไปตามแรงลม เหตุเพราะวันนี้เขามิได้รวบเส้นผมให้มองดูทะมัดทะแมง
แต่กลับปล่อยยาวสยายราวกับต้องการจะปล่อยวางพิธีรีตองจนหมดสิ้น

“กระหม่อมมิบังอาจเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสละล่ำละลักพลางทรุดตัวลงกับพื้น
“ตกลงว่าเจ้าตัดสินใจถูกหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสยังคงตรัสถามเมื่อมิได้รับคำตอบ ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จไปยังทิศทางที่มีแต่ความมืดมิด เธเซียสจึงรีบกระวีกระวาดเข้าไปจุดคบไฟ

“กระหม่อมตัดสินใจถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงฝึกหัดเอ่ยตอบพลางเยื้องย่างอย่างนอบน้อม โดยเว้นระยะห่างระหว่างผู้เป็นนายเหนือหัว
“มะรืนนี้เราจะออกนอกวัง” เจ้าชายมิโนสกล่าวด้วยสุรเสียงเนิบช้า พลางหันกลับมาสบตาเธเซียสที่กำลังก้าวเดินอยู่ข้างหลัง ส่งผลให้มุมมองที่ข้าหลวงมือใหม่เห็น คือเสี้ยวหน้าอ่อนหวานสะท้อนกับแสงสว่างสีเหลืองนวลจากคบไฟ

“เราอยากให้เจ้าไปกับเรา” บุรุษผู้สูงส่งกล่าวพลางแย้มสรวลละมุนตา พร้อมทอดมองอาณาบริเวณของป่าใบเขียวที่ปกคลุมเส้นทางทะเล พระเกศาสีดำสลวยจึงปลิวสยายราวกับนางระบำกำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางสายลม
“พ่ะย่ะค่ะ”

กระทั่งบุรุษผู้สวมใส่ฉลองพระองค์ลวดลายประณีตก้าวเดินจากไป เธเซียสจึงรีบจุดคบไฟจนถึงสุดปลายทางเชื่อม พลางแหงนมองฟากฟ้าในยามราตรีแน่นิ่ง สายตาจึงสบกับเหยี่ยวทะเลทรายตัวหนึ่งกำลังบินฉวัดเฉวียนเล่นลม ราวกับตื่นตาตื่นใจที่ได้ข้ามผ่านน่านฟ้าอันแสนคุ้นชิน

“ครูส” อดีตเชลยเป่าปากหวีดหวิวพลางยื่นแขนออกไปกลางอากาศ จากนั้นไม่นานนกเหยี่ยวตัวดังกล่าวก็บินโฉบเข้ามาเกาะยังบริเวณถุงมือหนังที่เธเซียสมักจะพกติดตัว
“ฝากเจ้าด้วย” เธเซียสใช้เวลาทักทายนกเหยี่ยวนามว่าครูสเพียงครู่ จากนั้นเขาก็ผูกม้วนกระดาษปาปิรัส แผ่นเล็กไว้กับขาของเจ้าครูส และปล่อยให้มันโบยบินอยู่บนฟากฟ้า
ก่อนจะเดินกลับเรือนของเหล่าข้าหลวงอย่างเงียบเชียบ


φ


[1] ภาพวาดเฟรสโก ในสมัยโบราณจะวาดลงบนปูนปลาสเตอร์ที่ผนังหรือกำแพงโบสถ์ ซึ่งการผสมสีจะต้องใช้สีผสมกับนํ้า และต้องวาดในขณะที่พื้นผิวของปูนปลาสเตอร์ยังคงเปียกอยู่ หรือยังเปียกหมาดๆ ส่วนการทำปูนปลาสเตอร์จะใช้ปูนขาว ทราย หรือผงหินอ่อนนำมาผสมกัน ที่สำคัญปูนขาวจะต้องนำไปตากให้แห้ง มิฉะนั้นจะทำให้เกิดการตกผลึกของพื้นผิวของสีเฟรสโกซึ่งจะทำให้เกิดฟองอากาศ
[2] Propylaea (โพรพิเลอา) คือทางเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์
[3] กระดาษปาปิรัส ทำจากต้นกกชนิดหนึ่งที่เจริญงอกงามอยู่ในเขตแม่น้ำไนล์ของประเทศอียิปต์ เริ่มใช้ตั้งแต่ 2500 ปีก่อนพุทธกาล

หมายเหตุ : อัจฉริยภาพ หมายถึงความเป็นผู้มีปัญญาความสามารถเกินกว่าระดับปกติ (เอาคำแปลมาลงเพิ่ม เผื่อมีคนไม่รู้)
Cr : sanook

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น]

แจกันและคนโทที่เราพูดถึง
https://i.imgur.com/Oz2He4Q.jpg
Cr : veniceclayartists

บทความที่เกี่ยวข้อง

- ภาพวาดเฟรสโก
http://oknation.nationtv.tv/blog/phaen/2007/12/09/entry-1

- กระดาษปาปิรัส
https://www.baanjomyut.com/library/knowledge_of_encyclopedias/432.html

เราขอลงข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรครีตันที่เราเขียนก่อนนะคะ รอให้เราเผยปมบางอย่างก่อน เดี๋ยวเราจะแปะบทความต่าง ๆ ให้ แต่ก็ไม่ได้มีเยอะมากค่ะ เพราะอาณาจักรนี้ล่มสลายโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทั้ง ๆ ที่เจริญรุ่งเรืองมาก แต่กลับหายไปจนเกือบไร้ร่องรอย สำหรับตอนนี้ทุกคนน่าจะมองเห็นภาพรวมของอาณาจักรนี้มากขึ้นว่ามีความทันสมัย หรูหรา สะดวกสบายมากแค่ไหน ตอนต่อไปเราจะพาไปรู้จักกับความทรงอิทธิพลทางด้านการค้าขายค่ะ เพราะครีตันเป็นอาณาจักรที่ทรงอิทธิพลในย่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาก ๆ
ปล. 1 หากมีคำแนะนำสำหรับการเขียนแนวย้อนยุคก็แนะนำได้นะคะ เผื่อเราจะได้เอาไปปรับใช้ แต่โดยรวมเราอยากเขียนให้เข้าถึงง่ายเลยใช้คำที่ไม่ยากน่าจะดีกว่า และเราจะพยายามใส่รายละเอียดลงไปให้มากกว่านี้ เพราะมันค่อนข้างเป็นเรื่องไกลตัวพอสมควร
ปล 2 เรื่องนี้แรก ๆ อาจจะเป็นตอนสั้น ๆ เพราะยังไม่มีปมจะให้เล่นเท่าไหร่
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ บทนำ + ตอน 1-2 (update 20/03/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-03-2019 22:22:17
 :pig2:
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 3 (update 23/03/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 23-03-2019 21:43:00
ตอน 3

การเดินทางออกนอกเขตพระราชฐานของเจ้าชายมิโนสเป็นไปอย่างมิมีพิธีรีตอง จึงมีเพียงเธเซียสและทหารองครักษ์อีก 2 นายเป็นผู้ติดตาม โดยการเดินทางในครั้งนี้ บุรุษผู้สูงส่งเลือกใช้เส้นทางสำหรับราชวงศ์ ซึ่งจะเชื่อมจากตัวพระราชวังมุ่งสู่เขตที่อยู่อาศัยของชาวครีตัน กระทั่งเดินเข้ามายังอาณาบริเวณที่มีสิ่งปลูกสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ปลูกติดกันถึงสองสามชั้น เจ้าชายมิโนสจึงเสด็จเลี่ยงไปยังตรอกแคบที่มีขั้นบันไดเป็นระยะเพื่อมิให้เป็นที่สังเกต
แต่กระนั้นสง่าราศีที่มิอาจปกปิดก็ร้องเรียกสายตาจากทุกผู้ทุกราย บุรุษหน้าหวานที่กำลังสวมใส่รองเท้าหนังชาร์มัว  ทรงสูงถึงปลีน่องที่มีลวดลายสุดประณีต เยื้องย่างอยู่ข้างหน้าพลางแย้มยิ้มให้กับทุกผู้ที่ได้พบเจออย่างเป็นกันเอง
ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่ที่มิเคยสบพักตร์ ถึงกับอ่อนระทวยไปตาม ๆ กัน 

กระทั่งเดินลัดเลาะผ่านเขตชุมชนขนาดย่อม มาจนถึงเขตท่าเรือแห่งเกาะครีต ความวุ่นวายก็ตรงเข้ามาครอบงำ เสียงพูดคุยด้วยภาษาอันหลากหลายดังก้องเป็นระยะ ร้านรวงต่าง ๆ วางตั้งสินค้าแบกะดินเป็นทิวแถว มีทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหาร ผ้าลินิน ทองคำ งาช้าง กล่องน้ำหอมที่ทำจากหิน รถม้าแบบประกอบเอง และทาสบูเบียนำเข้าจากอียิปต์
ขณะเดียวกันเรือสินค้าของจักรวรรดิครีตันที่กำลังจอดเทียบท่า ต่างบรรทุกสินค้าส่งออกจนเต็มลำเรือ เพื่อนำไปค้าขายทางแถบเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออก
โดยแลกเปลี่ยนกับทองแดง ทองคำ เงิน และเพชรพลอย

“เจ้าทราบหรือไม่ เรือสินค้าลำใดส่งออกสินค้าจากสำนักราชวัง ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวกับต้องการทดสอบภูมิความรู้และความช่างสังเกต
“เรือลำโน้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางชี้ไปยังเรือลำหนึ่งที่จอดเทียบท่ามิไกลนัก

“เพราะเหตุใด ?”
“ในระหว่างที่คนงานกำลังขนย้ายโถใบใหญ่ กระหม่อมสังเกตเห็นตราประทับของพระราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ เพราะเขาเคยประทับตราแห่งราชวงศ์ครีตันลงบนพื้นผิวของเครื่องปั้นดินเผา

เจ้าชายมิโนสทรงแย้มโอษฐ์เพียงครู่ จากนั้นจึงรีบเสด็จไปยังแผงขายยุทโธปกรณ์อย่างรวดเร็ว แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่พระองค์สนพระทัยหาใช่อาวุธเหล่านั้น

“อัสซีเรียมิได้ใช้ทองแดงและสำริดทำอาวุธหรอกหรือ ?” บุรุษหน้าหวานเอ่ยถามพ่อค้าชาวครีตันที่มักจะเดินทางรอนแรมไปทั่วสารทิศอย่างสนพระทัย เนื่องจากข่าวสารดังกล่าวถือเป็นเรื่องราวสุดแสนมหัศจรรย์
“พ่ะย่ะค่ะ ชาวอัสซีเรียทำสงครามด้วยอาวุธที่ทำจากเหล็ก อีกทั้งยังมีม้าและรถศึกอันแข็งแกร่ง นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม”

“เหล็กคือสิ่งใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามตรงใจเธเซียสยิ่ง เนื่องจากมิเคยมีชนชาติใดสร้างอาวุธจากเหล็กมาก่อน
“กระหม่อมทราบเพียงแต่ พวกเขาใช้ก้อนหินฝนปลายให้แหลมคมเพื่อทำเป็นอาวุธพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นไปได้อย่างไร..” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างเลื่อนลอย ซึ่งอาการดังกล่าวมิได้แตกต่างจากเธเซียส เหตุเพราะพวกเขายังมองภาพมิออก
“กระหม่อมคิดว่าก้อนหินดังกล่าว คงมิใช่ก้อนหินธรรมดาอย่างที่พวกเราเข้าใจเป็นแน่” องครักษ์คู่ใจนายหนึ่งกล่าวทูลแก่นายเหนือหัวอย่างคนเจนสนามรบ
แม้ว่าอันที่จริงอาณาจักรครีตันจะอยู่อย่างสงบร่มเย็นมาเนิ่นนาน

“เราก็คิดเช่นนั้น” บุรุษผู้มีพระเกศาราวกับระลอกคลื่นแห่งท้องทะเลตรัสอย่างจริงจัง ขณะที่เธเซียสกำลังขบคิดเรื่องราวดังกล่าวอย่างมุ่งมั่น
“…”   

“โครนัส เจ้ารีบไปสืบความให้เราที พวกอัสซีเรียใช้ก้อนหินแบบใด” สิ้นรับสั่ง พ่อค้าที่มิใช่พ่อค้าก็รีบร้อนเก็บข้าวของจากไป เธเซียสจึงเข้าใจจุดประสงค์ของการออกนอกเขตพระราชฐานในครั้งนี้
ภาพลักษณ์ของชาวครีตันที่ประทับอยู่ในใจ จึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยน เพราะเดิมทีเธเซียสเข้าใจว่าชาวครีตันรักความสะดวกสบายและความหรูหรามั่งคั่ง มิสนใจเรื่องการรบราฆ่าฟัน มุ่งแต่จะทำการค้า และจัดงานเลี้ยงรื่นเริงเพียงอย่างเดียว

“เจ้าพอจะทราบหรือไม่ว่าเป็นหินแบบใด” กระทั่งก้าวเดินออกมาจากมุมดังกล่าว บุรุษผู้สง่างามยังคงสนพระทัยแต่เรื่องเดิม ๆ
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ประสบการณ์ในการค้าขายของกระหม่อมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จึงมิทราบข้อมูลดังกล่าว” เมื่อบุรุษผิวคล้ำเล็งเห็นว่าคำถามดังกล่าวถูกส่งมายังตน จึงรีบทูลความจริงอย่างนอบน้อม

“แต่กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าชาวอัสซีเรียกระหายเลือดเป็นอย่างยิ่ง หลายปีมานี้ดินแดนของบาบิโลเนีย ซีเรีย และจักรวรรดิอียิปต์บางส่วนถูกรุกรานอย่างหนัก” เธเซียสกล่าวเสริม
“เรื่องนี้เราเองก็ทราบดี” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างแผ่วเบา ขณะที่เธเซียสก็มิได้แปลกใจแต่อย่างใด เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในราชวงศ์อันสูงส่ง ย่อมต้องมีสายสืบราชการลับนับไม่ถ้วน อีกทั้งจักรวรรดิครีตันยังมีความสัมพันธ์อันดีกับจักรวรรดิอียิปต์
แน่นอนว่าเรื่องราวดังกล่าว จะมิเข้าพระเนตรพระกรรณได้อย่างไร

“นอกจากภาษาไลเนียเอแล้ว เจ้ายังรู้ภาษาของชาวอียิปต์อีกหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามด้วยความแปลกพระทัย เมื่อทรงเห็นเธเซียสรีบรุดไปยังร้านขายขนมปังจากอียิปต์อย่างกระตือรือร้น แล้วยังสนทนาด้วยเรื่องราวอันใดอย่างออกรสก็มิทราบ
“กระหม่อมทราบเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างถ่อมตัว แต่กระนั้นสิ่งที่เขาพูดก็มิได้เกินจริง

“อ๊าก!” หลังจากเคี้ยวหงุบหงับได้เพียงมินาน เธเซียสถึงกับร้องลั่นน้ำตาเล็ด
“ก้อนกรวดมากมายนัก เจ้าอย่ากินมูมมามนักเลย” บุรุษผู้มิได้ถือตัวตรัสพลางสรวล แต่กระนั้นก็สร้างความเก้อเขินให้แก่เธเซียสมิใช่น้อย
เพราะความน่าอับอายดังกล่าว ยังสร้างอารมณ์ขันให้กับราชองครักษ์อีกสองนายด้วยเช่นกัน

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่คิดถึงวิถีชีวิตในระหว่างที่กำลังเดินทางรอนแรมกับครอบครัวเท่านั้น จึงมิทันได้สำรวมกิริยา” บุรุษผิวคล้ำเอ่ยแก้ตัวขณะที่สองข้างแก้มยังคงเต็มไปด้วยก้อนแป้งเนื้อหยาบผสมก้อนกรวดเม็ดละเอียด เนื่องจากชาวอียิปต์มักจะบดแป้งด้วยเครื่องโม่หิน โดยตั้งใจใส่ก้อนกรวดเล็ก ๆ ลงไปเพื่อให้บดง่ายขึ้น
“เรามิได้ถือสา เพียงแต่เกรงว่าฟันของเจ้าจะหักเสีย..” บุรุษหน้าหวานยังตรัสมิทันจบประโยค กลับถูกใครบางคนกระโจนใส่ โชคยังดีที่เขามีความสามารถทางด้านการต่อสู้ จึงพอจะหลบหลีกได้ทันท่วงที

“เจ้าหัวขโมย!” เธเซียสตะโกนลั่นพลางเขวี้ยงขนมปังสุดโปรดทิ้งอย่างมิใยดี พร้อมกระโจนเข้าหาโจรชั่วที่บังอาจวิ่งราวอย่างน่ารังเกียจ เพียงครู่เดียวอดีตเชลยก็ตะครุบเหยื่อเอาไว้ได้
แต่กระนั้นทั้งคู่กลับตะลุมบอนจนมิอาจแยกแยะ
ข้าวของที่ขโมยมากลับถูกทิ้งขว้างอย่างมิใยดี

“เหตุใดจึงคอยแต่ลักเล็กขโมยน้อยเช่นนี้หา!” เพียงเสี้ยววินาทีเธเซียสเริ่มกลายเป็นผู้ได้เปรียบ ร่างของเจ้าหัวขโมยนั่นจึงอยู่ภายใต้ร่างของเธเซียส ขณะเดียวกันเลือดพ่อค้าผู้ทำมาค้าขายอย่างสุจริตก็พุ่งปราด ปฏิกิริยาทางอารมณ์จึงพุ่งสูง
เสียงประณามแผดลั่นจึงเรียกร้องความสนใจจากทุกผู้ทุกราย

แต่แล้วเจ้าหัวขโมยกลับอาศัยช่วงเวลาดังกล่าว ฝากฝังหมัดหนักลงบนใบหน้าของเธเซียส ส่งผลให้กรงขังเนื้อมนุษย์จำต้องคลายออก เพียงแต่เธเซียสมิได้เสียจังหวะในการตั้งรับเนิ่นนานอย่างที่คิด
การต่อสู้ในระดับสูสีจึงก่อเกิดขึ้น

“ระวัง!” เสียงแผดลั่นจากบุรุษหน้าหวานดังขึ้นในจังหวะที่เจ้าหัวขโมยผู้แสนดื้อด้านชักกริชปลายแหลมออกมาจากที่ซ่อน ฝ่ายเธเซียสก็รีบเอี้ยวตัวหลบจากรัศมีอันตรายอย่างคล่องแคล่ว
ราวกับได้รับการฝึกฝน

กระทั่งได้โอกาสเหมาะ ปลายเท้าของเธเซียสจึงตวัดร่างของเจ้าหัวขโมยจนล้มตึงลงกับพื้น แต่กระนั้นเจ้าโจรมืออาชีพกลับตั้งรับได้อย่างทันท่วงที ร่างกายของมันจึงกลับมายืนอย่างสง่าผ่าเผย พร้อมกวัดแกว่งปลายกริชไปรอบ ๆ กาย
ราวกับสร้างกำแพงค่ายกลชั้นดี
ส่งผลให้คู่ต่อสู้ยากจะปราบปราม

แต่แล้วกำแพงค่ายกลจากปลายกริชกลับถูกเธเซียสถีบคว่ำในจังหวะหนักแน่น ส่งผลให้กริชเล่มสวยกระเด็นกระดอนออกห่างจากลานต่อสู้ เจ้าหัวขโมยผู้แสนหน้าหนากลับเหลือบซ้ายแลขวาอย่างพินิจพิเคราะห์สถานการณ์
จากนั้นก็รีบฉวยผ้าลินินผืนสวยนำเข้าจากอียิปต์หลบหนีไป

“เจ้านี่เลือดร้อนมิเบา” องครักษ์ผู้สวมใส่รองเท้าหนังชาร์มัวทรงสูงถึงปลีน่อง โดยมีสายหนังรัดรึงเหนือบริเวณข้อเท้ากล่าวขึ้น
“เป็นเช่นนั้น เพราะข้าทนมิได้ที่เห็นเจ้าหัวขโมยนั่นเอาเปรียบพ่อค้าสุจริต เลือดพ่อค้าของข้าคงแรงกล้ากระมังถึงได้เดือดดาลอย่างที่เห็น” เธเซียสกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ พร้อมปัดเศษหินดินทรายบนเนื้อตัว

หลังจากเสวนากับองครักษ์ทั้งสองนายครู่ใหญ่ เธเซียสจึงทราบว่าสถานะของทั้งสอง มิใช่ทหารกล้าผู้ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่กลับเป็นถึงขุนพลผู้เก่งกล้า โดยสังเกตจากรองเท้าที่สวมใส่ เนื่องจากนักรบจะสวมใส่รองเท้าหนังชาร์มัวสีขาว เพียงแต่ทหารผู้มีบรรดาศักดิ์ใหญ่จะสวมใส่รองเท้าสุดประณีตมีสายหนังรัดรึงเหนือข้อเท้า
ขณะที่เหล่าข้าหลวงและราษฎร์ชาวครีตัน จะมิสวมใส่รองเท้าในเขตที่อยู่อาศัย แต่จะสวมใส่ก็ต่อเมื่อก้าวเดินออกจากบ้าน ส่วนชนชั้นสูงอย่างเจ้าชายมิโนส จะมิเคยปรากฏตัวสู่สาธารณชนโดยมิสวมรองเท้า
เนื่องจากเหล่านักรบเปรียบเสมือนตัวแทนของฉลองพระบาท

“รางวัลของเจ้า” เจ้าชายมิโนสเสด็จกลับมาพร้อมขนมปังอบใหม่ พลางตรัสราวกับมีเมตตาให้แก่อดีตเชลยผู้นี้มิใช่น้อย
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสตอบกลับอย่างนอบน้อมและแผ่วเบา พร้อมรับก้อนแป้งหอมกรุ่นชิ้นใหญ่ส่งเข้าปากพลางเคี้ยวหงุบหงับอย่างเอร็ดอร่อย ส่งผลให้สองข้างแก้มของนายข้าหลวงฝึกหัดพองลมราวกับสัตว์ป่าตัวน้อยกำลังเคี้ยวเอื้อง

“เห็นเจ้าโปรดปรานการกินถึงเพียงนี้ ทำให้เรานึกถึงแอนโดรเจียสขึ้นมาทันควัน..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเดินเยื้องย่างเข้าสู่เขตพระราชฐานด้วยเส้นทางเดิม
“…” ฝ่ายเธเซียสที่ได้ยินเช่นนั้นกลับทำได้เพียงแย้มยิ้มอย่างไร้ข้อคิดเห็น เนื่องจากกรณีของเจ้าชายแอนโดรเจียส นับว่าเป็นความบาดหมางอันยิ่งใหญ่ระหว่างเอเธนส์และครีตัน
ดังนั้นหัวข้อสนทนาดังกล่าวจึงถือว่ากระอักกระอล่วนมิใช่น้อย

“หน่วยก้านของเจ้านับว่าเหมาะแก่การต่อสู้ เห็นทีงานช่างฝีมือคงมิเหมาะกับเจ้ากระมัง ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามอย่างหยอกเย้า
“กระหม่อมเพียงแค่ต่อสู้เป็นเท่านั้น มิได้มีความเชี่ยวชาญอันใดพ่ะย่ะค่ะ” ธีเซียสกล่าวอย่างถ่อมตน

“เรื่องเช่นนั้นมิใช่ปัญหา เราสามารถฝึกฝนเจ้าได้” บุรุษหน้าหวานกล่าวพลางแย้มยิ้มชื่นมื่น ราวกับหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่า อนาคตเธเซียสจะมิได้เป็นเพียงช่างฝีมือกระจอกงอกง่อย
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ฝ่ายบุรุษผู้ได้รับความเมตตากล่าวอย่างนอบน้อมและซาบซึ้งที่ได้รับความกรุณา
พร้อมระลึกอยู่เสมอว่าความเมตตาดังกล่าว..
อาจจะเกี่ยวข้องกับภาพทับซ้อนระหว่างตนและเจ้าชายแอนโดรเจียส


φ

[1] ชาร์มัว คือ เลียงผา

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น
edit 19/06/2019 แก้คำราชาศัพท์ คำว่า แย้มสรวล ที่แปลว่า ยิ้ม เป็น สรวล ที่แปลว่า หัวเราะ]

บทความที่เกี่ยวข้อง
 เข้าครัวไอยคุปต์ ตะลอนชิมอาหารยุคฟาโรห์ http://www.gypzyworld.com/article/view/923
- ชาวอัสซีเรีย https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/mesopotamia-ancient/mesopotamia03/meso04
- เหล็กคืออะไร https://bit.ly/2TYzWJR

วันนี้เห็นมีคนคอมเมนต์เรื่องนี้แล้วดีใจมากกกกก เพราะเราชอบเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ กรีกโบราณ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับแนว ๆ นี้ เลยอยากลองเขียนเองบ้าง แต่คนอ่านแนวนี้อาจจะน้อย 5555 มีคนเดียวก็ดีใจมากแล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะ เรารู้สึกมีแรงใจในการเขียนอีกเยอะเลยค่ะ วันนี้เราก็เลยรีบมาอัพตอนใหม่อย่างไว 555555 จะว่าเราเห่อก็ได้ >.<
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับเหล็กที่เราเขียนให้เรียกก้อนหิน เราอ้างอิงจะเว็บที่ให้ข้อมูลไปค่ะ เพราะจริงๆ ในยุคโบราณเขาใช้ก้อนหินที่มีแร่เหล็กในการทำอาวุธ
ปล 1. ตอนที่แล้วเราเรียกอาณาจักรบาบิโลเนียว่าบาบิโลนด้วยความเคยชิน แต่จริงๆ ชื่ออาณาจักรบาบิโลเนียนะคะ มีเมืองหลวงชื่อบาบิโลน เราเลยแก้ไขใหม่
ปล 2. พยายามจะเขียนฉากต่อสู้อย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ได้แบบนี้ 555
ปล 3. ตอนหน้าจะเริ่มเดินเนื้อเรื่องที่เป็นปมหลักแล้วค่ะ จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าเป็นปมสักเท่าไหร่ เพียงแต่เป็นความลับที่สามารถบอกแนวเรื่องของนิยายเรื่องนี้ได้ว่าจะเดินไปในทิศทางที่เป็นแนวจุดเริ่มต้นของกรีกโบราณอย่างเดียวหรือไม่

ขนมปังของอียิปต์โบราณ (แต่อันนี้เป็นแบบที่อยู่ในหลุมฝังศพเลยจะแห้งๆ แข็ง ๆ หน่อย)
https://i.imgur.com/TZS8GSN.jpg

บ้านเรือนของผู้คนในครีตันจะเป็นประมาณนี้ค่ะ แต่อันนี้เราเอาเมืองอื่นมาให้ดูก่อน เมืองนี้จะแออัดกว่าเพราะไม่มีพระราชวัง เดี๋ยวเฉลยปมก่อน เราจะเอาอีกภาพนึงให้ดู จะเห็นชัดกว่าภาพนี้
https://i.imgur.com/3aTify5.jpg
Cr : pinterest

ส่วนอันนี้เป็นรองเท้าที่ทางอาณาจักรครีตันมอบเป็นเครื่องบรรณาการให้กับฟาโรห์แห่งอียิปต์ค่ะ จะเห็นได้ว่าชาวครีตันมีความสามารถในการทำรองเท้าเป็นอย่างมาก (ข้อมูลตรงนี้เอาไว้เราจะมาลงอีกทีค่ะ เราไปหาอ่านจากเว็บอิ้ง เว็บไทยรู้สึกจะไม่ค่อยมีข้อมูลเท่าไหร่)
https://i.imgur.com/w7QdXxi.jpg
Cr : pinterest
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 4 (update 27/03/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 27-03-2019 19:01:06
ตอน 4

หลังจากบุรุษหน้าหวานลั่นวาจาเช่นนั้น ช่วงเย็นเธเซียสจำเป็นต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง เพื่อที่วิชาการต่อสู้จะได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันเธเซียสยังต้องทำหน้าที่ช่างฝีมือต่อไป
ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อ
นายข้าหลวงฝึกหัดผ่านการคัดเลือกตามกฏระเบียบของกองทัพ

หลายวันมานี้ร่างกายของเธเซียสรู้สึกอ่อนล้าเป็นพิเศษ พอถึงเวลาพักผ่อนหย่อนกาย เขาจึงรีบหลับนอนอย่างมิมีอิดออด เพียงแต่ในค่ำคืนนี้บรรยากาศรอบกายกลับวิเวกวังเวงอย่างน่าประหลาด  แต่ในเสี้ยววินาทีความเงียบสงบกลับถูกแทนที่ด้วยเสียงอสนีบาต ฟาดฟันลงบนผืนดินและจบลงที่ต้นไม้สูงใหญ่หักโค่น เกลียวคลื่นของน้ำทะเลภายในคูคลองเรียบเขตพระราชฐานม้วนตัวอย่างน่าเกรงขาม ก่อนจะกระทบฝั่งราวกับทวยเทพกำลังพิโรธ
พลันเสียงกรีดร้องโหยหวนของหญิงสาวดังลอยลมอย่างน่าหวาดผวา

เธเซียสจึงผุดลุกนั่งบนพรมขนสัตว์ที่ใช้รองนอน พลางเงี่ยหูฟังเสียงหวีดหวิวอยู่นานสองนาน แต่จนแล้วจนรอดกลับมิมีเรื่องราวผิดปกติอันใด บุรุษผู้เหนื่อยล้าจึงล้มตัวลงนอนอีกครา
เพียงแต่ในหัวกลับเอาแต่ครุ่นคิดถึงเสียงประหลาด
เนื่องจากเธเซียสรู้สึกว่าการนำส่งเชลยอาจมีความเกี่ยวข้องกับเสียงร้องดังกล่าว

กระทั่งย่ำรุ่งเหล่าข้าหลวงต่างเริ่มออกปฏิบัติงาน แต่เพราะเช้าวันนี้มีการจัดส่งสินค้าจากสำนักพระราชวัง ช่างฝีมือแขนงต่าง ๆ จึงต้องทยอยขนย้ายสินค้าที่ตนเองรับผิดชอบ ออกมาวางตั้งตรงท่าเรือขนาดเล็กที่เคยใช้เป็นเส้นทางเพื่อการปลดปล่อยอิสรภาพของเชลยจากเอเธนส์ ฝ่ายเธเซียสที่ต้องคอยตรวจตราสินค้าตรากตรำทำงานได้เพียงครู่ สายตาก็สบกับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังหอบหิ้วอะไรบางอย่างด้วยความน่าสงสัย บุรุษผิวคล้ำจึงมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย
ฉับพลันใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด
เพราะคนกลุ่มนั้นกำลังหอบหิ้ว ‘ซากศพ’ อันน่าสยดสยองออกมาจากห้องใต้ดิน

“เธเซียส!” อดีตเชลยจากเอเธนส์ตกตะลึงได้เพียงครู่ เมื่อเคออสร้องเรียกสติจึงหวนคืนกลับมา แต่กระนั้นสายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังซากศพราวกับต้องมนตร์ เพราะแววตาของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายเหลือกโตจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า ริมฝีปากอ้าค้างราวกับผ่านการกรีดร้องอย่างเจ็บปวด สองฝ่ามือหงิกงอราวกับผ่านการระบายความเจ็บปวดจนนับครั้งมิถ้วน
ขณะเดียวกันเนื้อตัวกลับเละเทะจนเครื่องในหลุดเลื่อนอย่างน่าสยดสยอง

“สภาพศพเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?” เธเซียสเอ่ยงึมงำราวกับสติยังมิอาจหวนคืน ขณะที่สองมือและสองเท้ายังคงขนย้ายเครื่องปั้นดินเผาไปยังลำเรือที่มาจอดเทียบท่า ส่วนสมองยังคงคิดวิเคราะห์อย่างมิว่างเว้น
“บูชายัญ”

“หา ?” เธเซียสเลิกคิ้วราวกับต้องการจะให้เคออสกล่าวย้ำอีกครั้ง
“ศพนั่นเกิดจากการบูชายัญต่อโอรสของเจ้าแม่” คำอธิบายจากเคออสสร้างความกระจ่างให้แก่เธเซียสเพียงเสี้ยวหนึ่ง เนื่องจากบุรุษจากต่างแดนทราบเป็นอย่างดีว่าชาวครีตันเคารพนับถือ ‘เจ้าแม่’ ยิ่งกว่าสิ่งใด เหตุเพราะรูปปั้นของหญิงสาวในลักษณะเปลือยอก มักจะปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง และด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงส่งผลให้สังคมของชาวครีตันเคารพยกย่องสตรียิ่งกว่าบุรุษ
ดังนั้นบทบาทสำคัญทางศาสนาจึงเป็นหน้าที่ของสตรี
กระทั่งมีการสร้างพระเจ้าขึ้นมา แต่ก็ยังมีสถานะเป็นรองจากเจ้าแม่

“แต่สภาพศพดูมิเหมือนการถูกบูชายัญสักเท่าใด” เธเซียสเอ่ยแย้ง เนื่องจากการบูชายัญ สภาพศพมิได้น่าสยดสยองถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำลักษณะการตายของหญิงสาว ราวกับถูกสัตว์ร้ายฉีกกระชากเรือนร่างจนขาดวิ่น พร้อมทั้งลิ้มชิมเครื่องในอย่างหิวกระหาย
อีกทั้งสุ้มเสียงหวีดหวิวของเมื่อค่ำคืนวาน ยังสร้างความน่าสงสัยให้กับประเด็นนี้

“เท่าที่ข้าทราบการทำพิธีบูชายัญเป็นพิธีกรรมทางศาสนา ต้องประกอบพิธีตามถ้ำในภูเขาสูง หรืออาจจะทำกันในห้องประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่อยู่ในเขตพระราชฐาน..” เธเซียสกล่าวอย่างคนมีความรู้รอบตัว พร้อมยืนกอดอกเฝ้ารอสินค้าชุดใหม่ถูกขนย้ายมายังท่าเรือ
“เช่นนั้นห้องใต้ดินจะมิใช่สถานประกอบพิธีกรรมได้อย่างไร เจ้านี่ช่างสงสัยเสียจริง” เคออสกล่าวพลางกลั้วหัวเราะอย่างมิได้ถือสา เพราะเขาเข้าใจดีว่า เรื่องราวบางอย่างคนต่างบ้านต่างเมืองอาจมิมีวันเข้าใจ

เธเซียสมิได้กล่าวโต้แย้งด้วยถ้อยคำอันใดอีก เพราะเขาสัมผัสได้ว่าการตายด้วยสภาพศพเช่นนั้น ดูเป็นเรื่องราวชินตาของเหล่าข้าราชบริพาร แต่ในทางกลับกันหากเคออสเคยล่วงล้ำเข้าไปยังห้องใต้ดินอันลึกลับ เหตุการณ์เมื่อครู่คงไม่มีทางปล่อยผ่านได้ง่าย ๆ เนื่องจากสภาพของห้องใต้ดิน มิมีสิ่งใดใกล้เคียงกับห้องประกอบพิธีกรรมทางศาสนา อีกทั้งลักษณะการตายยังเป็นการตายที่น่าอเนจอนาถ บวกกับนางกำนัลดาฟเน่เคยแนะนำให้เธเซียสรู้จักทุกซอกทุกมุมของพระราชวัง เขาจึงทราบตำแหน่งของห้องประกอบพิธีกรรมทางศาสนา อีกทั้งซากศพที่เกิดจากการบูชายัญต่อเทพเจ้าจะต้องบรรจุลงในโถใบใหญ่ และฝังอยู่ตรงใต้ถุนใกล้ ๆ กับห้องเก็บพืชพันธุ์ธัญญาหาร   
มิหนำซ้ำเชลยชาวเอเธนส์ยังถูกส่งมาที่ห้องใต้ดิน แต่กลับได้รับความเมตตาจากเจ้าชายมิโนส เช่นนั้นแล้วหญิงสาวที่กลายร่างเป็นซากศพ อาจเป็นหนึ่งในเชลยที่เดินทางมาจากนครรัฐเอเธนส์ เพียงแต่มิได้เดินทางมาพร้อมกับเธเซียส
บางทีเชลยศึกอาจมิได้รับความช่วยเหลืออย่างที่คิด
มิเช่นนั้นกลุ่มคนดังกล่าวจะกลายร่างเป็นซากศพอยู่ที่ห้องใต้ดินได้อย่างไร

ความไม่น่าไว้วางใจจึงมิอาจทำให้เธเซียสปล่อยวาง ส่งผลให้ทักษะในการต่อสู้เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ หลายครั้งหลายคราปลายกริชแหลมของเจ้าชายมิโนส เกือบจะบั่นคอศิษย์เอกเสียให้ได้

“เจ้ากำลังครุ่นคิดสิ่งใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางเก็บกริชลวดลายสุดประณีต เข้าคมฝักที่คาดอยู่ตรงบั้นพระองค์  พร้อมเหวี่ยงกายประทับบนกำแพงสูง สายลมโบกสะบัดในยามอาทิตย์อัสดงจึงอาบไล้เนื้อตัวของบุรุษผู้งามสง่า ทำให้พระเกศาและเนื้อผ้าพลิ้วไหวราวกับนางระบำกำลังร่ายรำ
“กระหม่อมเพียงแต่ยังปรับตัวมิได้ ความเหนื่อยล้าจึงทำให้เสียสมาธิพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวโป้ปด เนื่องจากเรื่องราวที่เขากำลังขบคิด มิอาจบอกกล่าวแก่คนผู้นี้

“เช่นนั้นเจ้าพักเหนื่อยเสียเถิด ที่ผ่านมาเราคงเร่งรัดเจ้ามากเกินไป” เจ้าชายมิโนสกล่าวพลางทรุดวรกายประทับบนกำแพงสูง พร้อมตบพระหัตถ์ลงบนพื้นที่ว่างข้าง ๆ ตัว ราวกับประสงค์ให้เธเซียสทิ้งกายลงนั่งเคียงข้าง
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างนอบน้อม เพราะก่อนฝึกกระบวนท่า เจ้าชายมิโนสทรงหยิบยื่นความเมตตาให้แก่เขาอย่างเหลือล้น ดังนั้นการปฏิบัติตนในระหว่างที่มิมีผู้ใดคอยสังเกตการณ์ ย่อมเป็นไปอย่างเรียบง่าย

กระทั่งเธเซียสกระโดดขึ้นไปนั่งบนกำแพงทรงเตี้ย ภาพของจักรวรรดิครีตันจึงปรากฏสู่สายตา แววตาคมกริบดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงทอดมองไปยังเส้นทางน้ำที่ถูกปกคลุมด้วยป่าใบเขียว พลางอนุมานภาพของเรือลำหนึ่งที่ตนเคยโดยสาร โดยเรือลำนั้นชักใบเรือสีดำลอยล่องเข้ามายังอาณาบริเวณของจักรวรรดิครีตัน
จึงพบว่าสถานที่แห่งนี้คือหอสังเกตการณ์ชั้นดี
ดังนั้นครีตันจึงมิมีความจำเป็นต่อการสร้างป้อมปราการเฉกเช่นอาณาจักรอื่น

“เจ้ากับแอนโดรเจียสมีนิสัยค่อนข้างคล้ายกัน…” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มโอษฐ์ พร้อมทอดพระเนตรออกไปยังทิศทางที่ไกลแสนไกล ราวกับ ณ จุดนั้นปรากฏร่างของพระอนุชาในความทรงจำ
“คล้ายกันอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?”

“พวกเจ้าสองคนล้วนมีความมุ่งมั่น หากตั้งใจทำสิ่งใดแล้วจะต้องทำให้สำเร็จลุล่วง แต่หากมีเรื่องราวคอยรบกวนจิตใจ สิ่งที่เคยทำได้ดีกลับกลายเป็นย่ำแย่” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยน้ำเสียงเนิบช้า พลางแย้มโอษฐ์ขณะที่กำลังกล่าวถึงพระอนุชา ฝ่ายเธเซียสก็มิได้โต้แย้งอันใด เนื่องจากสิ่งที่บุรุษผู้สูงส่งบอกกล่าวล้วนเป็นความจริง
เพราะเวลานี้เขากำลังมีเรื่องราวก่อกวนจิตใจ
ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจส่งผลต่อภารกิจอันใหญ่หลวง

“อีกไม่นานจะมีพิธีการคัดเลือกบุรุษฝีมือดีเข้ารับราชการทหาร” เจ้าชายมิโนสตรัสหลังจากความเงียบงันก่อเกิดขึ้น
“ครีตันคัดเลือกทหารฝีมือดีจากการล่าสัตว์ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามด้วยความสงสัย เนื่องจากเรื่องราวของกองทัพครีตันถือเป็นเรื่องไกลตัว เหตุเพราะภาพลักษณ์ของชาวครีตัน มิใช่ชนเผ่าผู้แข็งแกร่งและบ้าระห่ำเฉกเช่นชาวอัสซีเรีย แต่กลับเป็นชนเผ่าที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเดินเรือ อีกทั้งยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลในด้านการค้าขาย บวกกับภาพลักษณ์สุดหรูหราสุขสบาย
ส่งผลให้ผู้คนต่างเข้าใจธรรมชาติของชาวครีตันแบบผิด ๆ

“มิใช่ พวกเราคัดเลือกจากการละเล่นกับวัวกระทิง” คำปฏิเสธของเจ้าชายมิโนสสร้างความฉงนให้แก่เธเซียสเป็นอย่างมาก เนื่องจากวัวกระทิงถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา
แล้วเหตุใดสัตว์ประเภทนี้จึงกลายสภาพเป็น ‘เหยื่อ’ ไปได้เล่า

“นักรบถือเป็นรองเท้าของกษัตริย์ เช่นนั้นการใช้วัวกระทิงซึ่งเป็นบริวารของเจ้าแม่ ย่อมถือเป็นการแสดงความจริงใจ” บุรุษหน้าหวานกล่าวอย่างเชื่อมั่นในประเพณีอันดีงาม
“การละเล่นที่พระองค์ตรัสถึง คือการละเล่นแบบใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามด้วยความงุนงงพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างจริงจัง เพราะเดิมทีเขาเข้าใจว่าการคัดเลือกทหารคงมิต่างจากชาวไมซีเนียน เจ้าชายมิโนสจึงหยิบยื่นวิชาการต่อสู้ด้วยอาวุธให้แก่เขา ความเข้าใจผิดจึงยิ่งเลยเถิด

“ตามเรามาสิ” สิ้นคำถามของศิษย์เอก เจ้าชายมิโนสไม่รอช้ารีบเหวี่ยงกายยืนบนพื้นอย่างสง่างาม ฝ่ายเธเซียสเห็นดังนั้นจึงรีบกระวีกระวาดพลิกตัวลงจากกำแพงหอสังเกตการณ์ พร้อมก้าวเดินตามบุรุษผู้สูงส่งด้วยท่าทีอันสุภาพเรียบร้อย
สองนายบ่าวเดินลัดเลาะจากบันไดชั้นบนสุดลงสู่ล่างสุดอย่างมิต้องหวั่นเกรงว่าจะเกิดอันตราย เนื่องจากตัวพระราชวังได้มีการสร้างช่องรับแสงขนาดใหญ่ ก่อนจะสืบเท้าไปตามทางลาดประจำทิศเหนือ ทะลุสู่ลานโล่งกว้างที่ใช้ประกอบพิธีกรรม ซึ่งลานดังกล่าวจะอยู่ใจกลางของตัวพระราชวัง
จากนั้นปลายเท้าของทั้งคู่ก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าภาพเฟรสโกขนาดใหญ่

ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพราวกับพิธีกรรมบางอย่าง โดยมีบุรุษผิวสีน้ำตาลไหม้กำลังตีลังกาอยู่บนแผ่นหลังของวัวกระทิง ขณะเดียวกันหญิงสาวผิวขาวสะอาดนางหนึ่งกำลังหลอกล่อกับ ‘เหยื่อ’ อย่างเสี่ยงอันตราย
ส่วนอีกนางหนึ่งกำลังออกท่าทางราวกับประกอบพิธีกรรมบางอย่างที่คงจะเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้กล้ามาร่วมกองทัพ

“กระหม่อมเกรงว่าจะมิมีความสามารถถึงเพียงนั้น” เธเซียสกล่าวพลางละสายตาจากภาพกิจกรรมที่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะเขามิเคยต่อสู้กับสัตว์ที่มีกำลังวังชาดังเช่นวัวกระทิง
“เราเชื่อว่ามิเคยมีผู้ใดมีความสามารถเหนือชั้นมาตั้งแต่เกิด..” วาจาเฉียบคมจากบุรุษผู้มีความคิดความอ่าน ทำให้เธเซียสจำต้องเห็นด้วย เพราะมันคือถ้อยคำที่ค่อนข้างมีเหตุผล

“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากการฝึกฝนและการใฝ่รู้” เจ้าชายมิโนสตรัสเป็นถ้อยคำสุดท้ายก่อนจะเสด็จจากไป ฝ่ายเธเซียสจึงได้แต่เฝ้ามองภาพวาดเฟรสโกอย่างครุ่นคิด
กระทั่งทั่วทั้งบริเวณหลงเหลือเพียงแค่ตน..
รอยยิ้มมุมปากแห่งความพึงใจจึงปรากฏ 


φ

[1] บั้นพระองค์ คือ บั้นเอว

[edit 06/10/2019 แก้สำนวนให้กระชับขึ้น]

สำหรับตอนนี้มีเรื่องซากศพเข้ามาเกี่ยวข้อง ลองเดากันดูค่ะว่าเป็นซากศพจากการบูชายัญจริง ๆ หรือว่าเป็นพิธีกรรมอะไรกันแน่
ปล. ปมไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่อาจจะค่อย ๆ เผยออกมาทีละนิด

ภาพเฟรสโกที่เรากล่าวถึงในเรื่องคือภาพนี้ค่ะ

https://i.imgur.com/n0SIovR.jpg

จากที่เราอ่านข้อมูลจากเว็บอิ้งมา ดูเหมือนว่าภาพนี้ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าเป็นการทำพิธีกรรมทางศาสนา หรือว่าเป็นกีฬาที่ชาวครีตันนิยมกันแน่ เพราะว่าอักษรไลเนียเอ ปัจจุบันยังไม่มีใครถอดความได้ จึงยังไม่ได้รับความกระจ่างในจุดนี้ ทุกอย่างจึงเป็นเพียงการคาดเดา เราเลยปรับตรงจุดนี้ให้เข้ากับเนื้อหาของเรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 5 (update 02/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 02-04-2019 19:31:15
ตอน 5

สองวันมานี้เธเซียสรู้สึกกระสับกระส่าย เนื่องจากเขากำลังต้องการที่ปรึกษา แต่ทว่าข่าวสารที่เคยส่งผ่านนกเหยี่ยวประจำตัว กลับเงียบหายราวกับตายจาก บุรุษผิวเข้มจึงเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ไม่ว่าอะไรใด ๆ ล้วนขวางหูขวางตาทั้งสิ้น

“เจ้านี่แปลกคนเสียจริง” เคออสกล่าวในขณะที่ทั้งคู่กำลังก้าวเดินออกจากโรงภาษี เพื่อรับค่าแรงประจำเดือนจากสคริป ที่เป็นผู้ดูแลบัญชีผลิตผลของราชวัง ซึ่งค่าแรงดังกล่าวจะจ่ายเป็น ถั่ว ผลไม้ตากแห้ง น้ำมันมะกอก และเหล้าองุ่น
“แปลกอย่างไร ?” เธเซียสเอ่ยถามขณะที่สองมือยังคงประคองโถค่าแรงเลี้ยงชีพอย่างทะนุถนอม

“ผู้อื่นเขามีแต่จะดีใจที่ได้รับค่าแรง แต่ดูเจ้าสิ กลับทำสีหน้าเช่นนี้” เคออสกล่าวพลางพยักพเยิดหน้าไปทางเธเซียส ด้วยเพราะสองมือกำลังโอบกอดโถดินเผาใบใหญ่
“เจ้านี่ช่างจับผิดเสียจริง” เธเซียสว่าเหน็บพลางกลั้วหัวเราะ หลังจากนั้นสองสหายต่างรีบนำข้าวของไปเก็บยังเรือนพักพิง ก่อนจะกลับมาทำงานอย่างแข็งขัน เนื่องจากในกาลข้างหน้าฟาโรห์แห่งอียิปต์จะเสด็จมายังพระราชวังคนอสซุส เพื่อร่วมทอดพระเนตรพระราชพิธีแห่งการคัดเลือกนายทหาร
เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างครีตันและจักรวรรดิอียิปต์เป็นไปอย่างแน่นแฟ้น

ทว่าเธเซียสกลับมิได้มีใจทุ่มเทให้กับการเตรียมงานใด ๆ จึงกล่าวโป้ปดกับเคออส ด้วยคำกล่าวอ้างว่าตนมิอยากทำให้เจ้าชายมิโนสต้องเสียหน้า หากพลาดพลั้งโอกาสอันดีในครั้งนี้ เนื่องจากทุกผู้ทุกรายต่างรับรู้กันดีว่า บุรุษผู้สูงส่งคาดหวังและส่งเสริมอดีตเชลยผู้นี้มากเพียงใด
กระทั่งข้ออ้างดังกล่าวสำเร็จผล เธเซียสจึงรีบเร้นกายไปตามเส้นทางแห่งราชวงศ์ ที่เชื่อมกับเขตที่อยู่อาศัยของชาวครีตัน โดยเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่มิเคยมีการจัดเวรยาม 
การหลบหนีจึงเป็นไปอย่างง่ายดาย

บุรุษหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามตรอกแคบ พร้อมแฝงตัวอยู่ตรงมุมลับตา พลางแปลงโฉมเป็นชาวเอเธนส์ด้วยการสวมใส่เสื้อซิตอน รัดเอวยาวคลุมสะโพก และสวมผ้าคลุมแบบสั้นพร้อมกลัดด้วยซาลามี เหมือนตอนที่เดินทางมายังครีตันเป็นครั้งแรก เพียงแต่สภาพของเครื่องนุ่งห่มกลับมิได้สวยงามเข้ารูปดังเช่นวันวาน เนื่องจากผ้าผืนดังกล่าวเป็นผ้าผืนใหม่ที่ได้มาจากการติดตามเจ้าชายมิโนสออกจากวัง อีกทั้งยังมิได้ตัดเย็บอย่างประณีต เพราะเขาทำเพียงแค่ดัดแปลงเครื่องนุ่งห่มให้พอสวมใส่
จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังเขตท่าเรือ โดยเป้าหมายของเธเซียสคือร้านขายผ้าที่เคยถูกโจรกรรมเมื่อครั้งก่อน พร้อมคอยระแวดระวังบุรุษที่มิใช่พ่อค้า แต่อาจจะเป็นสายลับจากทางราชการ แต่กระนั้นผู้เฝ้าระวังหรือจะสู้ผู้ที่คอยจับตาดูไปได้
ซึ่งเธเซียสทราบถึงจุดนี้ดี เพียงแต่เขามิมีทางเลือก
เรียกได้ว่าการออกนอกเขตพระราชฐานเป็นไปอย่างสุ่มเสี่ยง

แต่ถึงอย่างนั้นความใจเย็นและความรอบคอบของเธเซียสยังมีอยู่อีกมาก เพราะแทนที่เขาจะพุ่งเป้าไปยังร้านขายผ้าเป็นอันดับแรก กลับกลายเป็นร้านขายขนมปังจากอียิปต์ เพลานี้เธเซียสจึงเดินเคี้ยวหงุบหงับไปยังร้านเป้าหมาย พลางหยิบผ้าลินินผืนหนึ่งอย่างสนใจ กระทั่งสบโอกาสเหมาะเขาจึงสอดกระดาษเหมือนกับคราก่อน จากนั้นจึงทำเป็นสนใจผ้าผืนดังกล่าว ฝ่ายเจ้าของร้านจึงเริ่มแนะนำสรรพคุณของสินค้า กระทั่งสบโอกาสเหมาะ สารลับจึงตกถึงมือผู้รับอย่างปลอดภัย
จากนั้นเธเซียสก็มิได้รีรออันใดอีก เพราะธุระของเขาหมดลงแต่เพียงเท่านี้
พลางภาวนาในใจว่า ‘สารลับ’ จะต้องได้รับการตอบกลับ เนื่องจากการส่งสารมีเพียงสองวิธีเท่านั้น

เธเซียสใช้เวลาแปลงโฉมกลับสู่สภาพเดิมเพียงครู่ จากนั้นจึงเดินทางเข้าวังด้วยเส้นทางแห่งราชวงศ์ครีตัน แต่ทว่าการเลือกใช้เส้นทางดังกล่าวเริ่มมีอุปสรรค บุรุษผิวเข้มจึงรีบซ่อนกายอยู่ภายใต้พุ่มไม้อันรกครึ้ม ปลายสายตาปรากฏขบวนของหญิงสูงศักดิ์นางหนึ่ง ห่มคลุมร่างด้วยเนื้อผ้าชั้นดีลวดลายประณีต ชายขอบขลิบทองอย่างหรูหรา

“สวนของท่านพี่งดงามนัก” หญิงสาวผู้มีใบหน้าสวยหวานกล่าวชื่นชมราวกับมิค่อยได้เห็นความงดงามดังกล่าว เนื่องจากพระราชวังแห่งนี้ดูเหมือนจะมีเพียงเจ้าชายมิโนสหรือเสด็จพี่ของนางประทับอยู่ แต่พอวันข้างหน้าจะมีการจัดงานรื่นเริง เหล่าสมาชิกแห่งราชวงศ์จึงต้องเสด็จมาตระเตรียมด้วยพระองค์เอง
ขณะเดียวกันเธเซียสถึงกับใจหายวาบ เมื่อพระหัตถ์ขาวผ่องของเจ้าหญิงตรงหน้า เอื้อมผ่านช่วงตัวของเขาที่กำลังแอบซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้ เพียงแต่เป็นพุ่มไม้ที่มีดอกสีขาวบริสุทธิ์ชนิดเดียวกับที่เห็นในภาพวาดเฟรสโกตามฝาผนังและเครื่องปั้นดินเผา

“แอริแอดเน”
“เพคะ เสด็จแม่” เธเซียสถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเจ้าหญิงแอริแอดเน เริ่มถอยห่างจากบริเวณที่เขาใช้เป็นที่หลบซ่อน

“อย่ามัวแต่พิรี้พิไร เรายังมีงานต้องจัดการอีกมาก” พระราชินีแห่งจักรวรรดิครีตันตรัสสั่ง พลางทอดพระเนตรพระธิดาอย่างจริงจัง ส่งผลให้เจ้าหญิงแอริแอดเนรีบรุดไปยังปลายเส้นทางของสวนดอกไม้

กระทั่งขบวนเสด็จของหญิงสูงศักดิ์เคลื่อนจากไป ความเงียบสงบจึงเริ่มรายล้อมอยู่รอบกาย แต่ทว่าเธเซียสกลับมิได้ชะล่าใจ จึงรีบผละกายออกจากสวนดอกไม้ของเจ้าชายมิโนส ก่อนจะหายลับเข้าไปยังเรือนพักพิงอันเงียบสงัดของเหล่าข้าหลวงอย่างระทึกใจ เพราะตลอดทางเขาจำเป็นต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ตั้งแต่ทิศเหนือลงมายังทิศใต้
เนื่องจากเขายังมิอาจตัดใจละทิ้งผ้าลินินอันเป็นประโยชน์ต่อการพรางตัว

หลังจากนอนแผ่บนพรมขนสัตว์ในห้องของตนเองได้เพียงครู่ เธเซียสจำต้องรีบรุดออกจากเรือนนอนอย่างเร่งด่วน เพราะการหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่มิใช่เรื่องดี เนื่องจากเวลานี้เหล่าข้าหลวงต่างรวมตัวกันเพื่อจัดเตรียมงานสำคัญอย่างแข็งขัน
ดังนั้นเขาจึงมิอาจทำตัวแปลกแยก

“เจ้ากลับมาล้างตัวหรือ ?” เธเซียสสะดุ้งกายเล็กน้อย แม้จะพยายามแฝงตัวไปกับกลุ่มข้าหลวงที่กำลังขุดลอกบ่อน้ำใกล้ ๆ ลานกว้างที่ใช้ประกอบพิธีคัดเลือกทหารกล้า เพราะเจ้าชายมิโนสประสงค์จะนำบัวจากอียิปต์เข้ามาปลูก
“เอ่อ..” เธเซียสมัวแต่ยืนอ้ำอึ้งราวกับคิดอะไรไม่ออกพร้อมทั้งหลงลืมการปฏิบัติตัวต่อหน้าสาธารณชนเป็นปลิดทิ้ง เนื่องจากเขาเป็นคนมีความผิดติดตัว แต่กระนั้นแววตาของเขากลับมิได้ล่อกแล่กอย่างคนขี้ขลาดตาขาว
เพราะเขากำลังใช้ดวงตาคมคู่นั้นกวาดมองรอบ ๆ กายเพื่อหาทางออก

“ดูท่าทางเจ้าคงจะแอบหนีงานกระมัง” หลังจากเจ้าชายมิโนสส่งสายตาให้เธเซียสก้าวเดินตามพระองค์ไปยังมุมร้างไร้ผู้คน บุรุษผู้สูงส่งที่ในวันนี้ปล่อยพระเกศายาวสยาย ตรัสอย่างตรงไปตรงมา แต่กระนั้นกลับทำให้เธเซียสรู้สึกใจหล่นวูบ พลางมองสำรวจบุรุษตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมหันมาสำรวจตนเอง จึงกระจ่างแจ้งแก่ใจ
เนื่องจากเนื้อตัวของเธเซียสมิได้เปียกชื้น
ดังนั้นการขุดลอกสระบัวจึงมิใช่หน้าที่ของเขา

“หากเจ้ามิผ่านการคัดเลือก เห็นทีเราคงต้องลงโทษเจ้า” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มโอษฐ์ พร้อมเอื้อมหัตถ์ลูบไล้โหนกแก้มของเธเซียสที่กำลังยืนอยู่บนขั้นบันไดที่สูงกว่า ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของบุรุษตรงหน้าดูอ่อนโยนมากขึ้นอีกเท่าตัว เพราะเวลานี้ช่องรับแสงกำลังส่องสะท้อนรอยยิ้มของบุรุษผู้สูงส่ง อีกทั้งสัมผัสนุ่มนวลยังก่อกวนจิตใจของเธเซียสอย่างแรงกล้า เนื่องจากเขามิเคยได้รับการปรนนิบัติราวกับทะนุถนอมจากผู้เป็นพี่ดังเช่นที่เคยโป้ปดมาเนิ่นนาน
“กระทำผิดอันใด โปรดอย่าละทิ้งหลักฐาน” แต่กระนั้นช่วงเวลาแห่งความอ่อนไหวกลับต้องหยุดลง เมื่อเจ้าชายมิโนสทรงยื่นปลายพระดรรชนี[4]ที่เปรอะเปื้อนละอองเกสรของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสวนอันเป็นเส้นทางแห่งราชวงศ์

“เรามักจะสอนแอนโดรเจียสเช่นนี้เสมอ” เจ้าชายมิโนสยังคงตรัสต่อไป พลางก้าวเดินลงบันไดอันเล็กแคบ โดยมีจุดหมายปลายทางที่เธเซียสมิอาจหยั่งรู้ ขณะเดียวกันบุรุษผิวเข้มที่ยังอ่อนเดียงสากว่าบุรุษตรงหน้า กลับเอาแต่ขบคิดถ้อยคำอันตรายอย่างเคร่งเครียด เนื่องจากเขารับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่าง เพียงแต่มิอาจแน่ชัดว่ามันดีหรือร้าย
“เพราะเหตุใดพระองค์จึงให้ท้ายพระอนุชาเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสพยายามทูลถามอย่างคนอยากรู้อยากเห็นดังเช่นวันวาน เพื่อปกปิดความเคลือบแคลงสงสัยที่อีกฝ่ายมีต่อตนเอง

“เพราะแอนโดรเจียสเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ เขาจึงต้องอยู่ภายใต้กรอบและกฎเกณฑ์ตั้งแต่ยังเด็ก เราจึงอยากเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ให้เขาได้พักพิง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ ส่งผลให้เธเซียสนึกสงสัยว่าบุรุษผู้สูงส่งกำลังแสดงสีหน้าอย่างไร
เพราะนับแต่นั้นเจ้าชายมิโนสกลับมิยอมปริปากอันใดอีก
ราวกับเจ้าตัวกำลังดำดิ่งลงสู่ภวังค์แห่งอดีตที่มิอาจลืมเลือน

“ตอนที่แอนโดรเจียสยังเด็ก เราเคยแปลงกายเป็นบริวารของเจ้าแม่ แล้วเขาก็กระโดดข้ามช่วงตัวของเราที่กำลังนั่งหมอบสี่ขาอย่างสนุกสนาน ท่วงท่าของเขาในตอนนั้น สง่างามราวกับนายทหารฝีมือดีของเสด็จพ่อ” กระทั่งทั้งคู่ก้าวเดินมาจนถึงเส้นทางแห่งราชวงศ์ เจ้าชายมิโนสจึงบอกเล่าเรื่องราวของพระอนุชาที่เป็นบ่อเกิดแห่งสงครามระหว่างเอเธนส์และครีตัน จากนั้นพระองค์จึงทรุดวรกายลงกับผืนดิน ท่ามกลางหมู่มวลบุปผารูปร่างแปลกตาที่มีกิ่งก้านเกสรสีเหลืองยื่นออกมาจากกลีบดอกสีขาว
“กระโดดข้ามเราสิ ตอนนี้เราคือบริวารของเจ้าแม่” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสีหน้าแช่มชื่น แต่ทว่าเธเซียสกลับพูดมิออกบอกมิถูก เนื่องจากการกระทำของบุรุษผู้สูงส่ง ทำให้เขามิกล้าอาจเอื้อม

“เจ้าอยากถูกเราทำโทษนักหรือ ?” เจ้าชายมิโนสคะยั้นคะยอด้วยสีหน้าแกมดุ ขณะเดียวกันเธเซียสก็สามารถรับรู้ได้ถึงกระแสความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีให้ตนได้อย่างชัดเจน
เพราะความปรารถนาดีดังกล่าว..
ล้วนมาจากภาพทับซ้อนระหว่างตนและเจ้าชายแอนโดรเจียส

“หากกระหม่อมทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บอย่างมิได้ตั้งใจ ขอโปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วย”  เธเซียสนิ่งคิดเพียงครู่ จากนั้นไม่นานเขาก็ตอบตกลงอย่างใจเรียกร้อง เนื่องจากความอบอุ่นและความใจดีของบุรุษหน้าหวาน ส่งผลให้เขานึกถึงพี่ชายผู้ล่วงลับ
เพลานี้จึงเป็นครั้งแรกที่เธเซียสมองเห็นภาพซ้อนทับระหว่างพี่ชายสุดแสนใจดีกับเจ้าชายมิโนส

ชายหนุ่มวัยสิบหกปีบริบูรณ์จึงกระโดดข้ามแผ่นหลังของชายหนุ่มวัยสิบแปดปี ด้วยท่วงท่าอันงดงามและคล่องตัว พร้อมหลบเลี่ยงบุรุษผู้เปรียบเสมือนบริวารของเจ้าแม่อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันใบหน้าของทั้งคู่กลับเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
ราวกับหลงใหลอยู่ในวังวนของอดีตกาล

“เจ้าคิดว่าจะหนีข้าได้หรือ ?” เธเซียสกล่าวอย่างสมบทบาท พลางวิ่งไล่บุรุษผู้เปรียบเสมือนกระทิงป่าผู้แข็งแกร่ง ส่งผลให้ทุ่งดอกลิลลี่สีขาวโอบล้อมอยู่รอบกายของทั้งคู่
“เจ้าแพ้แล้ว!” บุรุษผิวเข้มตะโกนก้องพลางกระโจนเข้าใส่บุรุษหน้าหวานอย่างประกาศศักดา
ผู้พ่ายแพ้จึงต้องยอมจำนนอยู่กับที่

“ขอประทานอภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางค้อมกายอย่างนอบน้อม พร้อมทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างบุรุษที่กำลังนอนทอดกายอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่พระองค์ประคบประหงมเองกับมือ
โดยมิได้หวาดกลัวว่ามันจะเสียหายแต่อย่างใด

“วันพรุ่งเราจะพาเจ้าไปเผชิญหน้ากับบทเรียนอันยากลำบาก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางโน้มกิ่งลิลลี่ที่อยู่ไม่ไกลจากพระองค์นัก ก่อนจะดอมดมอย่างหลงใหล ส่งผลให้ภาพใบหน้าที่แสนงดงามแต่ทว่ากลับแฝงความแข็งแกร่งดังเช่นบุรุษ ดึงดูดสายตาของเธเซียสได้เป็นอย่างดี
“เราขอเตือน.. บริวารของเจ้าแม่มิได้อ่อนหัดดังเช่นเราในวันนี้..”   


φ

[1] สคริป (Scribes) ทำหน้าที่จดบันทึกและทำบัญชีผลิตผลของพระราชวัง โดยจดลงในแผ่นดินเหนียว
[2] ซิตอน (Chiton) คือ ชุดทูนิคแคบ ๆ รัดเอว เป็นชุดของชาวกรีกโบราณ
[3] ซาลามี (Chlamys) คือ เครื่องเกาะเกี่ยวด้วยไหล่
[4] พระดรรชนี แปลว่า นิ้วชี้

บทความที่เกี่ยวข้อง
- ประวัติศาสตร์กรีก https://bit.ly/2WEHIpO
- ดอกลิลลี่ ประวัติและความหมายสื่อใจของดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์ https://horoscope.kapook.com/view205958.html
- ความหมายของดอกลิลลี่ (MEANING OF LILY) https://bit.ly/2WHQAeh

ชุดที่เธเซียสใส่พรางตัวตอนออกไปที่ท่าเรือจะเป็นแบบสั้น (ขวามือ)
https://i.imgur.com/wDP2MPC.jpg

ส่วนดอกลิลลี่ที่เรากล่าวถึง เป็นดอกไม้ที่มีต้นกำเนิดอยู่บนเกาะครีต แต่พันธุ์นี้จะมีกลิ่นหอมค่ะ  จริงๆ ภาษากรีกของดอกลิลลี่คือ Leiron แต่เราไม่แน่ใจว่าอ่านอย่างไร เราเลยใช้ทับศัพท์ไปแทนนะคะ ที่สำคัญดอกไม้ชนิดนี้ปรากฏอยู่ในภาพเฟรสโกและเครื่องปั้นดินเผาด้วยค่ะ เราเลยใส่รายละเอียดต่าง ๆ ลงในเนื้อเรื่องเพื่อเสริมภาพจินตนาการให้ชัดเจนขึ้น
อย่างภาพนี้ชื่อ The Prince Of the Lillies เป็นภาพที่เจ้าชายกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน จะเห็นได้ว่าภาพวาดมีความคล้ายคลึงกับดอกลิลลี่ 

https://i.imgur.com/rADOGM1.jpg
Cr . pinterest

https://i.imgur.com/NZ2LrU0.jpg
Cr. veniceclayartists.com
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 5 (update 02/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-04-2019 00:31:08
 o13
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 6 (update 04/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 04-04-2019 20:38:09
ตอน 6

ยิ่งใกล้ถึงหมายกำหนดการของงานรื่นเริงมากเพียงใด ผู้คนก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามายังเขตพระราชฐานอย่างล้นหลาม เพราะพวกเขาจะต้องนำพืชพันธุ์ธัญญาหารและของจำเป็นอื่น ๆ มาถวายให้แก่ราชวัง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนงานของเหล่าคหบดีผู้มั่งคั่งที่ก่อร่างสร้างเมืองขนาดย่อมเอาไว้อีกฟากฝั่งหนึ่งของตัวพระราชวัง โดยเส้นทางที่พวกเขาใช้ขนย้ายสินค้ามากคุณภาพ คือทางเชื่อมขนาดใหญ่ที่เรือบรรทุกเชลยเคยลอดผ่าน

“มิน่าเชื่อว่าเจ้าจะขี่ม้าเป็น” เจ้าชายมิโนสยังคงตรัสอย่างเหลือเชื่อ พลางจับจูงอาชาสีนิลเดินไปตามทางเชื่อมระหว่างพระราชวังและเมืองขนาดย่อมของเหล่าคหบดี
โดยจุดหมายปลายทางของพระองค์คือทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ทางทิศตะวันตกของพระราชวัง

“ครอบครัวของกระหม่อมเป็นวาณิช ก็จริง แต่มิได้เดินทางด้วยเรือเพียงอย่างเดียวพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวเสริมอย่างจริงจัง เพราะครอบครัวของเขาแท้ที่จริงเริ่มทำการค้าตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเรื่อยมาจนถึงบริเวณแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ และบริเวณแถบคาบสมุทรอนาโตเลีย

“เช่นนั้นเจ้าคงเคยเข้าร่วมกองคาราวานในทะเลทรายมาบ้างกระมัง ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามด้วยความสนพระทัย เนื่องจากประสบการณ์ในทางปฏิบัติยังคงเป็นรองเธเซียสอยู่มาก
“พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนั้นกระหม่อมจึงเคยขี่ทั้งอูฐและอาชา”

“เราเคยได้ยินมาจากสหาย ทะเลทรายในตอนกลางคืนหนาวเย็นจับใจนัก มิหนำซ้ำสุ้มเสียงของเหล่าวิญญาณร้ายยังคอยโอบล้อมอยู่รอบกาย หากผู้ใดหนีเตลิดวันพรุ่งย่อมกลายเป็นศพ”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยเกือบจะเอาชีวิตมิรอดมาแล้ว เพียงแต่กระหม่อมมิได้จะสิ้นชีพเพราะถูกเหล่าภูตผีลักซ่อนดังเช่นผู้อื่น” เธเซียสกล่าวพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างคับแค้นใจ เมื่อภาพของความเวิ้งว้างกลางทะเลทรายยังคงติดตา อีกทั้งความน่าหวาดผวาของเสียงหวีดหวิวราวกับเหล่าภูติผีปีศาจกำลังข่มขวัญยังคงตรึงใจ มิหนำซ้ำภาพของโครงกระดูกอันมากมาย ล้วนสร้างความตื่นตระหนกให้แก่เธเซียสในวัยเยาว์เป็นอย่างยิ่ง
แต่กระนั้นก็ยังมิอาจเทียบเท่ากับความเจ็บแค้นที่ยังคงอัดแน่น..

“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าโชคร้ายเพราะเหตุใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามอย่างสนพระทัย พลางมองจ้องบุรุษที่กำลังชักจูงอาชาสีน้ำตาลอ่อนไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ป่าเขียวชอุ่มทางทิศตะวันตก เนื่องจากพวกเขาต่างก้าวเดินออกจากอาณาบริเวณของเหล่าคหบดีได้เพียงครู่
“นังหญิงแพศยาต้องการสังหารกระหม่อมเหมือนอย่างที่เคยทำกับท่านแม่และท่านพี่”

“โชคดีที่กระหม่อมได้รับความเมตตาจากกองคาราวานที่กำลังมุ่งหน้าสู่อียิปต์ กระหม่อมจึงติดตามพวกเขาจวบจนกระทั่งย้อนกลับมายังเอเธนส์” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำ เพราะความอดทนอดกลั้นมิให้น้ำตารินไหล เนื่องจากสิ่งที่เขาระบายล้วนเป็นความจริง
แต่ทว่ากลับมีเพียงสิ่งเดียวที่มิใช่เรื่องจริง

คือ..
เขาเป็นชาวเอเธนส์

“ชะตากรรมของเจ้าช่างน่าเห็นใจ..” บุรุษผู้มีใบหน้าหวานแย้มโอษฐ์เพียงนิดพลางเอื้อมหัตถ์ข้างที่ว่างโยกศีรษะของเธเซียสราวกับต้องการปลอบขวัญ ขณะเดียวกันแววตาของทั้งคู่ต่างสบประสาน ส่งผลให้เธเซียสทราบถึงกระแสความเศร้าผ่านดวงเนตรคู่นั้น
ราวกับมันกำลังบ่งบอกว่า..
ชะตากรรมของพวกเขาอาจมิแตกต่างกัน

“เราสองแข่งกันควบม้าดีหรือไม่ ?” กระทั่งหมดหัวข้อสนทนา ทั้งคู่จึงเหวี่ยงกายขึ้นนั่งบนหลังอาชาคู่ใจ ขณะเดียวกันสองฝ่ามือต่างกุมบังเหียนไว้แน่น
บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญ

“พระองค์จะเดิมพันด้วยสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางบังคับอาชาสีน้ำตาลอ่อนเหยียบย่ำลงบนผืนดินอย่างเชื่องช้า
“ดื่มเหล้าองุ่นพร้อมชมจันทร์บนหอสังเกตการณ์เป็นอย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางแย้มโอษฐ์ ขณะวรกายของพระองค์ที่กำลังประทับบนหลังอาชากลับดูสง่าผ่าเผย

“กระหม่อมขอต่อรองเป็นเหล้าองุ่นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ได้หรือไม่ ?” เธเซียสทูลถามอย่างอาจหาญในการต่อรอง

“ย่อมได้” สิ้นคำตอบของบุรุษผู้สูงส่ง เธเซียสจึงเริ่มตั้งคำถามต่อไป เนื่องจากกฎกติกายังมิอาจได้ข้อสรุป
“หากกระหม่อมพ่ายแพ้ ต้องทำสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ?”

“เราสองเป็นพี่น้องร่วมสาบานดีหรือไม่ ?”
“เป็นเกียรติของกระหม่อมแล้ว ขอน้อมรับด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับจิตใจของเธเซียสมิอาจอยู่กับเนื้อกับตัว เนื่องจากข้อต่อรองดังกล่าวทำให้เขารู้สึกสับสน เพราะความแสนดีที่อีกฝ่ายมอบให้ เป็นความแสนดีที่มิเคยได้รับมาเนิ่นนาน แต่กระนั้นชายผู้นี้ยังมีอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างคลุมเครือ ทว่าความไม่กระจ่างแจ้งกลับมิอาจเทียบเท่าได้กับความปั่นป่วนทางความคิด
เนื่องจากจุดประสงค์ในการแฝงกายปะปนไปกับเชลยชาวเอเธนส์
คือชนวนสงครามในกาลข้างหน้า

เดิมทีเธเซียสมิอยากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อความไว้วางใจจากท่านพ่อเริ่มหดหาย เขาจึงต้องดิ้นรนหาวิธีกอบกู้ความเชื่อใจจากสิ่งที่ท่านกำลังสนใจ
ซึ่งก็คือการครอบครองจักรวรรดิครีตัน

แรกเริ่มเธเซียสมิได้ตั้งใจจะสวมบทบาทของชายหนุ่มผู้แสนอาภัพจนสมบทบาทเช่นนี้ แต่ทว่าความฉลาดเป็นกรดของเขามิเคยมีใครรับรู้ ท่านพ่อจึงมิอาจไว้วางใจ ครอบครัวจอมปลอมจากการจัดหาของพี่ชายต่างมารดาจึงก่อเกิดขึ้น ส่งผลให้เธเซียสถูกกลุ้มรุมทุบตีจนเลือดกระอัก แต่กระนั้นความเคราะห์ร้ายกลับกลายเป็นความโชคดี เพราะเธเซียสสามารถหยิบยกเรื่องราวดังกล่าวมาเป็นข้ออ้าง จนกระทั่งแฝงตัวเข้ามาอยู่ในสถานะไส้ศึกได้สำเร็จ แถมยังส่งแผนที่ของตัวพระราชวังและการจัดแจงเวรยามได้อีกด้วย

ทว่าศึกสายเลือดดันโหมกระหน่ำ ความฉลาดเฉลียวของเธเซียสจึงกลับกลายเป็นความขี้ขลาด เนื่องจากท่านพ่อชื่นชอบความฮึกเหิม เพราะชาวไมซีเนียนถือเป็นชนชาติที่มีความสามารถทางด้านการรบและการค้า ข้อเสนอของท่านพี่ลูซีอัสจึงมีความสอดคล้องต่อความต้องการของท่านพ่อมากที่สุด เพียงแต่เธเซียสมองเห็นอันตรายในความเรียบหรูของจักรวรรดิครีตัน จึงพยายามห้ามปรามฝ่ายตนมิให้พลีพลาม เนื่องจากชาวครีตันมิใช่ศัตรูที่ควรสบประมาท
เพราะพวกเขามักจะใช้เปลือกนอกของความเรียบหรู ซ่อนเร้นความแข็งแกร่งอย่างมิดชิด

“เจ้าแพ้แล้ว” ทันทีที่ฝีเท้าม้าหยุดลง เจ้าชายมิโนสจึงตรัสด้วยสุรเสียงดีพระทัยอย่างเหลือล้น ส่งผลให้เธเซียสราวกับถูกปลุกจากภวังค์ เขาจึงรีบกระชากบังเหียนอย่างรุนแรงจนทำให้ม้าพันธุ์ดีร้องประท้วงก่อนจะหยุดนิ่งอย่างเชื่อฟัง จากนั้นบุรุษผิวเข้มจึงมองสำรวจรอบกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าตนควบม้าจนมาถึงลานเขียวขจีอันกว้างใหญ่ ฉับพลันเธเซียสก็หลุดถอนหายใจเสียยืดยาว เมื่อตนเดินทางมาจนถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
เนื่องจากป่าอันเขียวชอุ่มแห่งนี้ ต้นไม้มิได้ขึ้นอย่างเป็นระเบียบ

“กระหม่อมมิรู้ธรรมเนียมของชาวครีตัน ขอพระองค์โปรดชี้แนะ” เธเซียสกล่าวพลางเหวี่ยงตัวลงมายืนอย่างสง่างามพร้อมจับจูงม้าพันธุ์ดีไปตามทิศทางที่บุรุษหน้าหวานชักนำ สายลมพลิ้วไหวชักพาให้เธเซียสรู้สึกเย็นฉ่ำ ขณะที่ชายผ้าคลุมของเจ้าชายมิโนสกำลังไหวระริก
“ครีตันก็มิได้มีธรรมเนียมนี้เช่นกัน สาบานด้วยใจคงพอกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับพระองค์เชื่อใจในความสัมพันธ์ฉันพี่น้องในครั้งนี้

“บทเรียนของวันนี้เป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?” กระทั่งทั้งคู่ล่ามม้าพันธุ์ดีไว้กับต้นไม้ใหญ่มิไกลจากลานกว้างมากนัก เธเซียสที่กำลังทรุดกายลงนั่งกับพื้นหญ้าเพื่อรอเวลาให้บริวารของเจ้าแม่ปรากฏตัวจึงเอ่ยถามบุรุษหน้าหวานอย่างมิรอช้า
“เจ้าเพียงแค่ต้องจับเขาของวัวกระทิงให้มั่น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางขยับวรกายเข้าหาเธเซียส พร้อมช้อนปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นในระดับสายตา

“จากนั้นก็เหวี่ยงตัวเองขึ้นไปยืนอยู่บนแผ่นหลังของมันให้ได้ พร้อมกับลงมาหยุดยืนอยู่บนพื้นอย่างสง่างาม เจ้าถึงจะได้รับการคัดเลือก” ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางข้างขวาของเจ้าชายมิโนสทำท่าทางราวกับคนกำลังตีลังกาอยู่บนแผ่นหลังของกระทิงตัวใหญ่
“ขอให้เจ้าเรียนรู้จากเราให้มาก”  เจ้าชายมิโนสตรัสเพียงแค่นั้น แล้วพระองค์ก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงพร้อมเหยียบย่ำลงบนผืนหญ้าอย่างมั่นคง
โดยจุดหมายของพระองค์คือหนทางข้างหน้าที่มีกระทิงป่ากำลังเล็มหญ้าอย่างหิวกระหาย

ฝ่ายเธเซียสเห็นดังนั้นจึงจับจ้องภาพตรงหน้าด้วยความสนใจ แววตาของเขาจึงมิคิดวอกแวก แม้กระทั่งแมลงกัดขาก็มิคิดจะสน เนื่องจากเพลานี้ภาพของเจ้าชายมิโนสที่กำลังหลอกล่อบริวารผู้แข็งแกร่งช่างดูตื่นตาตื่นใจ และทุกคราที่พระองค์ก้าวย่างเข้าไปใกล้กระทิงป่าสีดำขลับ เธเซียสก็มักจะเผลอเกร็งตัวอย่างอดมิได้ ยิ่งสัตว์ใหญ่ต้องการจะใช้อาวุธร้ายที่มีแต่กำเนิดจัดการเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ฝ่ามือของเธเซียสก็ยิ่งกำแน่น สองขาพลันละล้าละลังว่าจะเข้าไปช่วยหรือจะยืนนิ่งอยู่กับที่
“ระวังพ่ะย่ะค่ะ!!” เธเซียสยกมือขึ้นป้องปากพลางตะโกนก้องอย่างใจหายใจคว่ำ เมื่อเจ้าชายมิโนสขยับเข้าไปใกล้กระทิงป่าตัวใหญ่ พร้อมยึดเรียวเขาอันโค้งงอไว้ข้างหนึ่ง และพยายามจะดีดวรกายลอยขึ้นกลางอากาศ
แต่ทว่าบริวารของเจ้าแม่กลับมิยินยอม
มันจึงสะบัดหัวอย่างรุนแรง ส่งผลให้ร่างของเจ้าชายมิโนสถูกเหวี่ยงไปมาอย่างน่าหวาดหวั่น

กระทั่งฝ่ายที่ต้องยอมแพ้กลับกลายเป็นเจ้าชายมิโนส แต่ทว่าพระองค์เพียงแค่ถอยออกมาตั้งหลักเท่านั้น หนึ่งบุรุษและหนึ่งสัตว์ใหญ่ต่างมองจ้องกันราวกับดูเชิง ส่งผลให้เธเซียสที่กำลังยืนชมการละเล่นที่คิดว่ามันคือการต่อสู้ถึงกับหยุดกลั้นหายใจ เหตุเพราะทันทีที่เจ้าชายมิโนสเหยียบย่างไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กระทิงตัวนั้นกลับพุ่งเข้าใส่อย่างมีน้ำโห
ราวกับการดูเชิงสร้างความหงุดหงิดให้แก่มันมิใช่น้อย

แต่ทว่าเจ้าชายมิโนสกลับอาศัยจังหวะนั้น จับยึดเรียวเขาของคู่ต่อสู้อย่างแน่นหนา พร้อมเหวี่ยงกายขึ้นกลางอากาศในลักษณะครึ่งวงกลมและหยุดยืนอยู่บนแผ่นหลังของวัวกระทิงด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะม้วนตัวตีลังกากลางอากาศเพื่อทรงยืนบนพื้นอย่างมั่นคง
ขณะที่กระทิงตัวดังกล่าวคล้ายกับหมดแรงจึงล้มตึงอย่างมิทันตั้งตัว

“พระองค์ฆ่ามันหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้บุรุษผู้สามารถสยบกระทิงป่าได้อย่างสง่างาม

“มิเคยแม้แต่จะคิด” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางทรุดองค์ลงนั่งพร้อมลูบไล้คู่ต่อสู้อย่างอ่อนโยน
“แล้วเหตุใด ?”

“เราเพียงแค่ใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาสลบเท่านั้น”
“แต่มิได้หมายความว่าวันที่เจ้าเข้ารับการทดสอบ จะสามารถใช้ยาสลบเหมือนเราได้” วาจาของอีกฝ่ายสร้างความกระจ่างให้แก่เธเซียสเป็นอย่างดีว่าชะตาชีวิตของผู้เปรียบเสมือนบริวารของเจ้าแม่จะจบลง ณ ที่ใด

“น้องพี่..”
“คู่ฝึกของเจ้าอยู่ทางนั้น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางรั้งกายของเธเซียสให้ยืนขึ้น พร้อมมองตรงไปยังปลายดรรชนี ที่ปรากฎภาพของกระทิงป่าตัวเล็ก

“เจ้าทำสำเร็จแน่.. เราเชื่ออย่างนั้น..” สุรเสียงแผ่วกระซิบข้างใบหูด้วยความเชื่อมั่น
นำพาให้จิตใจของเธเซียสเต็มตื้นด้วยความฮึกเหิม
ร่างสูงของบุรุษวัยสิบหกปีบริบูรณ์ จึงทะยานไปข้างหน้าอย่างสง่างาม



φ



[1] วาณิช แปลว่า พ่อค้า

[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการยืนและการนั่ง / นั่งจะใช้คำว่าประทับ (ไม่ต้องมีคำว่านั่งต่อท้าย เพราะประทับแปลว่านั่งในตัวอยู่แล้ว) ส่วน ยืน จะใช้คำว่าทรงยืน (ไม่ใช้คำว่าประทับยืน)]

ตอนนี้เฉลยปมน้องเธเซียสเรียบร้อยแล้วค่า น้องเป็นไส้ศึก ไม่ใช่ชาวอียิปต์ แต่เป็นชาวไมซีเนียนที่จะเข้ามายึดครองครีตันเป็นลำดับต่อไปตามหน้าประวัติศาสตร์จ้า เพราะครีตันสู้รบไม่เก่ง แต่ในเรื่องเราแอบดัดแปลง 5555
คุณพี่ก็จะเอ็นดูน้องมากหน่อย มีความใกล้ชิดอีกนิดนึง

ปล. เราแอบมึนข้อมูลเล็กน้อย เราเลยไปแก้อันเก่า เพราะว่าพระราชวังครีตันเนี่ย จริงๆ มีต้นแบบมาจากวังของพระเจ้าซาร์กอน ตอนนั้นยังไม่ได้สร้างสวนลอยเลย กราบประทานอภัยคนอ่าน จูนสวนลอยทิ้งไป T_T
เราสั่งหนังสือมาอ่านละ กะว่าจะเอามาตรวจอย่างละเอียดอีกที ตรงจุดเล็กๆ น้อยๆ หลังจากนี้จะระวังมากขึ้นค่ะ T^T


ฉากกับวัวกระทิงให้นึกถึงมาทาดอร์เข้าไว้นะคะ คล้าย ๆกัน 5555
อันนี้คือรูปภาพสาธิตการกระโดด
https://i.imgur.com/CHCy3Wg.jpg
https://i.imgur.com/aUd8Tut.jpg
Cr : antiquatedantiquarian

แผนที่ก็จะประมาณนี้
https://i.imgur.com/OzATjWS.jpg
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 7 (update 09/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 09-04-2019 19:13:07
ตอน 7

การเล่นกายกรรมของชาวครีตันมิใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด แม้ว่ากระทิงป่าตัวที่เธเซียสต้องคอยรับมือในระยะที่ผ่านมาจะมีขนาดเล็ก แต่ทว่าฤทธิ์เดชของมันมิได้เล็กตามตัว กว่าเธเซียสจะใช้เขาของมันเพื่อเป็นหลักยึดได้สำเร็จ ภาพชินตามักจะกลายเป็นท้องฟ้าสีแดงอมส้ม
ยอดหญ้าสีเขียวขจีจึงอาบไล้แสงตะวันจนกลับกลายเป็นเหลืองอร่าม

สองบุรุษต่างบรรดาศักดิ์ล้มตัวลงนอนบนผืนหญ้า พลางหอบหายใจกอบโกยอากาศบริสุทธิ์เหมือนทุกคราที่บทเรียนท่ามกลางบริวารของเจ้าแม่ได้สิ้นสุดลง เพียงแต่วันนี้เธเซียสเริ่มฝึกรับมือกับวัวกระทิงในระดับแม่พันธุ์
พละกำลังจึงถูกใช้สอยอย่างไร้ขีดจำกัด
เนื่องจากประเพณีดังกล่าวมิใช่เรื่องคุ้นชินของชนชาติอื่น

“ดูเจ้าสิ หมดสภาพอะไรเช่นนี้” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางสรวลอย่างขบขัน
“โธ่! พระองค์.. กระหม่อมมิได้เชี่ยวชาญด้านการโลดโผนโจนทะยานดังเช่นชาวครีตันพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสโอดครวญราวกับผู้เยาว์กำลังร้องไห้กระจองอแง พร้อมเอ่ยแก้ตัวอย่างมิเกินจริงแต่อย่างใด เพราะการรับมือกับบริวารของเจ้าแม่ ถือเป็นเรื่องยากเย็นกว่าการเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบ
เรียกได้ว่าความสามารถของชาวไมซีเนียน
แทบมิมีประโยชน์อันใด

“ถึงเจ้าจะโอดครวญเช่นนี้ แต่หารู้ไม่ว่าการเรียนรู้ของเจ้า ก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าแอนโดรเจียสมากนัก”
“ก้าวหน้าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามอย่างไม่รอช้า เพราะการฝึกซ้อมทำให้เขารู้สึกสนุกสนานและมีอารมณ์ร่วมไปกับการคัดเลือกที่ใกล้จะถึงนี้

“อย่างน้อยการที่เจ้ามิร่วงลงมานั่งก้นจ้ำเบ้าดังเช่นน้องชายของเราก็นับว่าก้าวหน้ามากแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางสรวลอย่างหนัก
“โธ่! พระองค์..” เธเซียสโอดครวญเสียงอ่อน เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่นกับตนเข้าให้แล้ว เพราะการฝึกฝนในวันนี้เธเซียสยังมิอาจห้อยโหนเรียวเขาของเจ้าสัตว์ขี้โมโหได้อย่างสง่างาม ส่งผลให้ทันทีที่มันถูกพันธนาการจึงรีบสะบัดหัวอย่างมิยินยอม ร่างกายของเธเซียสจึงแกว่งไกวอย่างแรงกล้า ท้ายที่สุดบุรุษจากต่างแดนก็เริ่มมึนหัว เขาจึงปลดปล่อยพันธการอย่างจำยอม
กระทิงป่าตัวดังกล่าวจึงแทบจะบดร่างของเขาให้แหลกเป็นจุล

“ที่เราให้เจ้าฝึกศาสตราวุธ รู้หรือไม่ว่ามันเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกผู้กล้าอย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามคล้ายกับต้องการลองภูมิ
“เพราะศาสตราวุธทำให้กระหม่อมเคลื่อนไหวด้วยความกระฉับกระเฉงใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสย้อนถามอย่างมิค่อยมั่นใจ เพราะเดิมทีเขาเข้าใจว่าทักษะในการต่อสู้
มิอาจเป็นประโยชน์ต่อการรับมือกับบริวารของเจ้าแม่

“เป็นเช่นนั้น ไหวพริบของเจ้าค่อนข้างดีทีเดียว”
“น้อมรับคำชมเชยพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมว่าพระองค์ควรรีบกลับพระราชวัง เพราะในยามราตรีการเดินทางค่อนข้างลำบาก” เธเซียสแสดงความคิดเห็นอย่างนอบน้อมพลางลุกขึ้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง พร้อมมองตรงไปยังบุรุษผู้สูงส่งที่กำลังนอนเอ้อระเหยอย่างมิเร่งรีบ

“เรามิได้รีบร้อน” บุรุษผู้มีใบหน้าหวานกล่าวเนิบช้าพลางสอดหัตถ์รองใต้ศีรษะอย่างสุนทรีย
“...”

“หากเราถือโอกาสนี้ เฝ้าดูดวงดาราคงจะมิรบกวนเจ้าเกินไปกระมัง ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางแย้มโอษฐ์เพียงนิด
“เหตุใดพระองค์จึงทำตัวราวกับยังทรงเยาว์วัยเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางล้มตัวลงนอนดังเดิม

“เจ้าหมายถึงสิ่งใด ?”
“กระหม่อมเชื่อว่าพระองค์เข้าใจความหมายนั้นดีพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยตอบพลางส่งยิ้มแกมเจ้าเล่ห์ เพราะเขาเฝ้าดูพฤติกรรมของเจ้าชายพระองค์นี้มาเนิ่นนานแล้ว

“เราคงยังเยาว์วัยดังเช่นที่เจ้าว่ากระมัง” เจ้าชายมิโนสเอ่ยตอบด้วยสุรเสียงเลื่อนลอย ขณะที่ดวงเนตรกำลังเหม่อมองท้องนภาในยามราตรีอันเต็มไปด้วยแสงจันทร์สีเหลืองนวล
“พระองค์กำลังหลีกหนีสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความฉงน แต่กระนั้นเขาก็มิได้คาดหวังในคำตอบ

“แล้วเจ้าคิดว่าเราหลีกหนีสิ่งใด ?” เจ้าชายมิโนสย้อนถามอย่างไว้เชิง แต่ทว่าเธเซียสกลับมองออกว่าอีกฝ่ายต้องการระบายเรื่องราวบางอย่าง
“พระองค์กำลังหลีกหนีองค์ราชินีหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสอาศัยจังหวะที่แมลงน้อยใหญ่หยุดแผดเสียงเอ่ยอย่างตรงประเด็น เนื่องจากหลายวันมานี้เจ้าชายมิโนสมักจะพาเขาเถลไถลอยู่นอกวัง

“อาจเป็นเช่นนั้นกระมัง เรามิรู้ว่าตนเองกำลังหลีกหนีสิ่งใดกันแน่” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางถอนหายใจอย่างหนักอก
“กระหม่อมช่างโง่เขลา มิอาจเข้าใจความนัยแอบแฝงพ่ะย่ะค่ะ”

“ตั้งแต่แอนโดรเจียสถูกลอบสังหาร เรารู้สึกว่าความผิดส่วนหนึ่งเป็นของเรา” บุรุษผู้สูงส่งสูดลมหายใจเข้าเพียงครู่ ก่อนจะผ่อนลมออกอย่างเนิบช้า พร้อมเกริ่นนำเรื่องราวหนักอก
“…” ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวทะเลทรายจึงทอดมองบุรุษเจ้าของเรื่องอย่างพินิจพิเคราะห์

“เสด็จพ่อกับเสด็จแม่คงจะคิดเช่นนั้น เราเลยต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาจนถึงบัดนี้” เจ้าชายผู้มีเส้นผมยาวสยายไปกับผืนหญ้า ตรัสพลางแย้มยิ้มแกมเศร้า
“หากทั้งสองพระองค์ทรงคิดเช่นนั้น คงมิเกิดการนำส่งเชลยจากเอเธนส์หรอกพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างคิดวิเคราะห์ ขณะเดียวกันความเห็นใจและความเข้าใจก็บังเกิด
เนื่องจากตัวเขาก็ประสบเหตุมิต่างกัน

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?” บุรุษผู้สูงส่งตรัสถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ราวกับประเด็นดังกล่าวคือเรื่องต้องห้าม

“กระหม่อมหมายถึงเพราะเรื่องดังกล่าวเป็นความผิดของผู้มิรู้จักน้ำใจนักกีฬา ทั้งสองพระองค์จึงหยิบยื่นข้อเสนอให้นำส่งเชลยมายังครีตัน เพื่อยุติข้อขัดแย้งพ่ะย่ะค่ะ ในมุมมองของกระหม่อม ข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นการตำหนินครรัฐเอเธนส์ มิใช่การตำหนิพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางลอบมองปฏิกิริยาของบุรุษหน้าหวานอย่างละเอียด เพราะเขายังจับต้นชนปลายของการโทษพระองค์เองมิได้
แต่สิ่งหนึ่งที่บุรุษผิวคล้ำมั่นใจ
คือความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายมิโนสและสมาชิกแห่งราชวงศ์เป็นไปมิค่อยดีนัก
และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าชายมิโนส เกิดความเห็นอกเห็นใจอดีตเชลยผู้อาภัพ

“เดิมทีเราต้องร่วมเดินทางไปกับแอนโดรเจียส เพียงแต่ ณ ตอนนั้นเรายังมิใจกล้าพอ” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง ขณะดวงเนตรกำลังจ้องมองดวงดาราบนท้องนภา แต่ทว่าสายลมโชยแผ่วกลับทำให้การพูดคุยด้วยเรื่องหนักอกเป็นไปอย่างเอื่อยเฉื่อย
“...” ฝ่ายเธเซียสได้แต่นิ่งเงียบเพื่อแสดงตัวเป็นผู้ฟังที่ดีอย่างเคร่งครัด 

“กระทั่งเกิดเรื่อง..” เจ้าชายมิโนสกล่าวพลางกระพริบดวงเนตรอยู่หลายครั้งพร้อมปัดป่ายปอยผมที่กำลังปกคลุมผิวหน้าเป็นระยะ
“…”

“เสด็จพ่อทรงกริ้วมาก จากที่มิโปรดปรานเราอยู่แล้ว ยิ่งมิโปรดปรานไปกันใหญ่” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างเหนื่อยหน่ายพระทัย
“…” ขณะเดียวกันเธเซียสก็เริ่มเข้าใจความโดดเดี่ยวของบุรุษผู้นี้ เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาเธเซียสมิเคยเห็นสมาชิกแห่งราชวงศ์ครีตันเดินทางมาเยี่ยมเยือน
งานเลี้ยงรื่นเริงจึงมิใช่เรื่องคุ้นเคยของเมืองนอสซัส
เหตุเพราะผู้ครองนครพระองค์นี้ ค่อนข้างใช้ชีวิตเรียบง่ายกว่าภาพลักษณ์ที่ผู้คนเคยร่ำลือ

“มันมิใช่ความผิดของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่าหากพระองค์ทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า มีหรือจะมิร่วมเดินทางไปกับพระอนุชา” เธเซียสกล่าวอย่างกระตือรือร้น เนื่องจากปมในใจของเจ้าชายพระองค์นี้ ค่อนข้างสะเทือนใจเขาเป็นอย่างยิ่ง
“น่าเสียดายที่เรามิมีทางแก้ตัวอันใดอีก..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มยิ้มเศร้า ฝ่ายเธเซียสก็มิรู้จะกล่าวคำอื่นใด

เดิมทีเขาเคยได้ยินว่านับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างนครรัฐ อาณาจักรครีตันก็เริ่มระสับระส่าย เนื่องจากพระราชาไมนอสทรงสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน แต่พอนานวันเข้าเธเซียสกลับเข้าใจว่าข่าวคราวดังกล่าวคงจะเป็นข่าวลือ
เหตุเพราะจักรวรรดิครีตันยังคงรุ่งเรืองมาจนถึงบัดนี้
อีกทั้งยังมิมีการแต่งตั้งกษัตริย์พระองค์ใหม่

“หากกระหม่อมเป็นกษัตริย์ไมนอส ย่อมต้องภาคภูมิใจในตัวพระองค์ เพราะพระองค์สามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างดีเยี่ยม” เธเซียสกล่าวอย่างชื่นชมจากใจจริง เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิได้นึกถึงเพียงแค่พระองค์เอง แต่กลับนึกถึงพสกนิกรของพระองค์ด้วย เพราะเสบียงอาหารที่กักตุนอยู่ในพระราชวังมิได้มีปริมาณเพียงแค่เลี้ยงผู้คนในราชสำนัก แต่ยังมีมากพอที่จะเลี้ยงปากท้องของประชากรชาวครีตันทั้งอาณาจักรในยามคับขัน อีกทั้งบ้านเมืองยังสงบร่มเย็นถึงเพียงนี้
มิมีเหตุจำเป็นที่จะต้องตำหนิเจ้าชายพระองค์นี้แต่อย่างใด

“หากเจ้าทราบเรื่องราวบางอย่าง คงจะเข้าใจอะไรได้ดีกว่านี้…” เจ้าชายมิโนสตรัสกับพระองค์เองเพียงแผ่ว พร้อมยื่นเรียวหัตถ์ยีศีรษะของเธเซียสจนยุ่งเหยิง
จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังม้าศึกสีนิลกาฬ

“ค่ำคืนนี้เจ้าจะนอนอยู่ที่นี่หรอกหรือ ?” บุรุษผู้มีใบหน้าหวานทรงม้าเข้ามาหาเธเซียสที่ยังคงนอนครุ่นคิดถึงประโยคเมื่อครู่
“…”

“มิกลัวถูกหมาป่าลากไปกินหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามด้วยรอยยิ้มอ่อนละมุน ส่งผลให้เธเซียสเหลือบมองไปทั่วบริเวณ กระทั่งพบดวงตาวาวโรจน์อยู่ในความมืด
บุรุษผู้มิเคยเกรงกลัวข้าศึกกลับหวาดกลัวสุนัขป่าเสียนี่

“เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ เรากลับรู้สึกว่าเจ้าช่างน่าเอ็นดูสมวัย” บุรุษผู้สง่างามบนหลังอาชาเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่ เมื่อบุรุษผู้เก่งกล้าอย่างเธเซียสกำลังใช้พระองค์และม้าศึกเป็นเกาะกำบัง
“…” ฝ่ายเธเซียสได้แต่แอบซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อท่ามกลางความมืดคละเคล้าแสงจันทร์

กระทั่งเธเซียสสามารถขึ้นไปนั่งบนหลังอาชาคู่ใจได้สำเร็จ ฝีเท้าเนิบช้าของม้าพันธุ์ดีจึงนำพาบุรุษต่างศักดิ์เดินทางออกจากผืนป่าแห่งความมืด โดยมีแววตาราวกับอัญมณีของสุนัขป่าทอดมองจากรอบ ๆ ทิศทาง
แต่กระนั้นก็มิได้ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองเสียขวัญ
เหตุเพราะพวกเขาต่างหวนคืนสู่ภวังค์แห่งความคิด

“เหตุใดจึงมองจ้องเราเช่นนั้น ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถาม ขณะที่เธเซียสยังคงจับจ้องบุรุษผู้นั้นมิแปรเปลี่ยน ทว่าความคิดของเขากลับหลุดลอยไปไกลยิ่งกว่านั้น จึงมิทันได้ยินดำรัสดังกล่าว
“…”

“หวาดกลัวหรืออย่างไร ?” บุรุษผู้พี่ยังคงเอ่ยถามพลางหยุดฝีเท้าม้าพันธุ์ดีอย่างใส่ใจ
“หาได้กลัวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่ครุ่นคิดเพลิน ๆ เท่านั้น” ฝ่ายเธเซียสเริ่มได้สติเมื่อพระหัตถ์ของอีกฝ่ายแตะลงบนเรียวแขน

“น้องพี่..”
“…”

“นับแต่นี้ หากมิหลงเหลือผู้ใดให้เป็นที่พักพิง เราสองย่อมมีกันและกัน โปรดอย่าได้กังวล” สิ้นคำกล่าวแสนจริงใจ บุรุษผู้สูงส่งจึงทรงม้ามุ่งหน้าไปยังพระราชวังอันโอ่อ่า ขณะที่เธเซียสกลับรู้สึกมิไว้วางใจอย่างไรชอบกล
อาจเพราะเขาหลอกลวงผู้อื่นก่อน
จึงหวาดระแวงว่าผู้อื่นจะกระทำเช่นตน



φ


[edit 10/06/2019 ขี่ม้า ใช้คำราชาศัพท์ว่า ทรงม้า
edit 19/06/2019 แก้คำราชาศัพท์ คำว่า แย้มสรวล ที่แปลว่า ยิ้ม เป็น สรวล ที่แปลว่า หัวเราะ]

มาต่อแล้วจ้า ช่วงนี้หยุดยาวอาจจะได้อัพบ่อยขึ้น  ส่วนเนื้อเรื่องช่วงนี้อาจจะอืด ๆ นิดนึง เพราะเราต้องทิ้งระยะห่างระหว่างการฝึกซ้อมกับพิธีคัดเลือกสักพัก คือช่วงงานนั้นจะมีการจัดเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ตามวิถีชีวิตของชาวครีตัน ยิ่งงานนี้เจ้ามือคือพระราชินี ยิ่งต้องหรูหราเป็นเท่าตัว
ส่วนตอนนี้ก็ถือว่าได้รับรู้เรื่องราวของเจ้าชายมิโนสไปบ้างแล้ว แต่จะเชื่อถือได้แค่ไหนโปรดติดตามค่า 555
ตอนหน้าอาจจะยังวนเวียนอยู่กับการเตรียมงานอีกเล็กน้อย เพราะเราอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องไวน์ในสมัยโบราณ แต่คงไม่ได้เจาะลึกอะไรมาก
ปล. เรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีนะคะ เฉลยแนวเลยแล้วกัน เพราะปมไม่ได้มาบ่อยแบบในป่าสน ทีนี้ก็ต้องมาคอยลุ้นกันอีกทีว่ามันจะแฟนตาซีอย่างไร >_<
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 8 (update 10/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 10-04-2019 13:49:55
ตอน 8

หลายวันมานี้พระราชวังคนอสซุสแห่งเกาะครีต ยังคงมีแต่ความวุ่นวายจากการตระเตรียมงานรื่นเริงอย่างต่อเนื่อง ภาพลักษณ์ของชาวครีตันในสายตาของเธเซียสจึงเปลี่ยนไปมาก เพราะชาวเกาะแห่งนี้มีรสนิยมค่อนข้างติดหรูกว่าที่คิด
แต่ทว่าความสมถะเรียบง่ายเพียงบางส่วน ยังคงอยู่คู่กับเจ้าชายมิโนสมิเปลี่ยนแปลง
เพียงแต่หารู้ไม่ว่าใจของอดีตเชลยกำลังปรวนแปร

เหตุเพราะเรื่องราวที่เจ้าชายมิโนสเคยถ่ายทอด มันเป็นเรื่องราวที่แสนอ่อนไหว เนื่องจากเธเซียสมีปมในใจเกี่ยวกับบิดามิต่างจากบุรุษผู้นั้น ความเข้าอกเข้าใจจึงก่อเกิดขึ้น เพียงแต่ความไม่บริสุทธิ์ใจที่มีมาแต่เดิม ส่งผลให้หัวใจร้อนรุ่มหวั่นเกรงว่าตนเองจะถูกหลอกล่อ บวกกับดำรัสบางประโยคที่ค่อนข้างคลุมเครือ และการไว้เนื้อเชื่อใจบุรุษจากต่างแดนด้วยความง่ายดาย
ล้วนทำให้เธเซียสรู้สึกว่า..
ตนกำลังถูกตลบหลังอย่างแยบยล

“เจ้ากำลังคิดสิ่งใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางเติมองุ่นพวงงามลงบนแท่นทรงกลมที่ทำจากหินมีความสูงประมาณปลีน่อง ขณะเดียวกันเธเซียสกำลังใช้ปลายเท้าเหยียบย่ำลงบนผลองุ่นจนเกิดเสียงปริแตก จากนั้นน้ำองุ่นก็ไหลลงสู่ถังไม้ใบใหญ่ที่รองรับอยู่ตรงปลายทางของแท่นหิน
“กระหม่อมมิได้คิดอันใดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวโป้ปดอย่างแยบยล
แต่ทว่ากลับมิได้สร้างความคล้อยตามให้กับบุรุษตรงหน้า

“มิได้คิด แต่เหตุใดใจของเจ้าจึงลอยละล่องถึงเพียงนี้ ?” บุรุษหน้าหวานตรัสถามอย่างขบขัน พลางขยับฝ่าพระหัตถ์เพียงเล็กน้อย ส่งผลให้การทรงตัวของเธเซียสมีอันต้องเสียศูนย์ เขาจึงดีดตัวออกห่างจากอีกฝ่ายด้วยความตกใจ ทำเอาเกือบจะหงายหลังลงจากเครื่องสกัดน้ำองุ่น โชคยังดีที่เจ้าชายมิโนสคว้าตัวเธเซียสได้อย่างทันท่วงที
มิเช่นนั้นเธเซียสอาจชวดตำแหน่งแห่งกองทัพครีตันเพราะได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษหน้าคมกล่าวอย่างนอบน้อม เมื่อพบว่าตนเอาแต่ยืนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวในวันวาน จนเผลอเหยียบพระหัตถ์ของบุรุษผู้สูงศักดิ์ อีกทั้งเครื่องกรองน้ำหมักรสชาติดียังมีขนาดมิใหญ่
โอกาสจะพลาดพลั้งจึงมีอยู่มาก

“มิเป็นไร เรามิได้ถือสา เจ้าเองก็ระมัดระวังด้วย” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางโน้มตัวยกถังไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้รองรับน้ำองุ่นจากเครื่องสกัด
“กระหม่อมทำเองพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเห็นดังนั้นจึงรีบขันอาสาพลางกระโดดลงมายกถังไม้ใบดังกล่าวอย่างง่ายดาย

“เหล้าองุ่นโถนี้ ต้องนำไปหมักไว้ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางเทน้ำองุ่นลงในโถแอมโฟร่า ซึ่งเป็นภาชนะก้นแหลมจนเต็ม
“ตำหนักของเรา” บุรุษหน้าหวานตรัสพลางกวักมือเรียกเธเซียสให้เดินเข้าไปใกล้ กระทั่งทั้งคู่หยุดยืนเผชิญหน้ากัน เจ้าชายมิโนสจึงใช้ขันไม้ตักน้ำราดลงบนฝ่าเท้าของบุรุษผู้น้องอย่างมิคิดถือตัว
ขณะเดียวกันสายน้ำเมื่อครู่จึงค่อย ๆ ไหลลงสู่รางระบายน้ำเสียที่มีอยู่รอบ ๆ ตัวพระราชวัง

สองบุรุษเดินลัดเลาะจากเรือนปีกซ้ายมายังเรือนปีกขวา สายลมโชยแผ่วในยามย่ำคืนส่งผลให้พระเกศาของเจ้าชายมิโนสไหวระริกราวกับเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเล ซึ่งภาพดังกล่าวถือเป็นภาพชินตาของเธเซียส
เนื่องจากระยะนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อนข้างชิดใกล้
แต่ทว่าเธเซียสกลับมิอยากใกล้ชิดถึงเพียงนี้

กระทั่งเดินทางมาจนถึงที่หมาย ทหารองครักษ์สองนายก็ปรากฏ บุรุษหน้าคมจึงแย้มยิ้มพร้อมผงกหัวทักทาย เนื่องจากฝ่ามือของเจ้าตัวกำลังโอบประคองโถแอมโฟร่าที่ภายในบรรจุน้ำองุ่นสดใหม่ โดยหลังจากนั้นอีกสี่สัปดาห์ น้ำองุ่นโถนี้จะกลายสภาพเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม แต่ทว่าการดื่มเหล้าองุ่นให้ได้รสชาติดี มิได้ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต เหตุเพราะมันขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการหมักด้วย
ดังนั้นเหล้าองุ่นโถนี้ กว่าจะได้ลิ้มชิมคงอีกนาน   

“เจ้ารีบเอาโถไปวางไว้ที่ระเบียงด้านนอกเสียสิ มิหนักหรือ ?” ทันทีที่ก้าวเข้ามายังห้องบรรทม สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือภาพวาดเฟรสโกสีสันสดใส ลวดลายภูเขาสูงชันประดับด้วยดอกลิลลี่ โดยมีนกนางแอ่นบินวนเวียนอย่างมีชีวิตชีวา ซึ่งภาพดังกล่าวสอดคล้องกับความชื่นชอบของเจ้าชายมิโนส เนื่องจากบริเวณตั่งที่ปูรองด้วยพรมขนสัตว์ ปรากฏแจกันทรงสูงทำจากดินเผาขนาดเล็ก บรรจุไม้ดอกสีขาวบริสุทธิ์ที่มีเกสรยื่นยาวออกมาจำนวนสี่ดอก
ขณะเดียวกันตรงมุมขวามือใกล้กับแจกันใบใหญ่ลวดลายเขาวัวอันศักดิ์สิทธิ์และขวานลาบริส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระราชอำนาจแห่งจักรวรรดิครีตัน ปรากฎภาพวาดเฟรสโกลวดลายสัตว์ทะเลหลากชนิดกำลังแหวกว่ายอย่างแน่นขนัด
โดยด้านบนประดับด้วยรูปปั้นเขาวัวและขวานสองคมอย่างโดดเด่น

“ตำหนักของเราน่าอยู่อย่างนั้นหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสกระเซ้าเย้าแหย่ พลางรุนหลังเธเซียสให้เดินออกไปยังระเบียงด้านนอก จึงพบว่าบริเวณดังกล่าวมีโถแอมโฟร่าจำนวน 5 โถ โดยแต่ละโถมิได้มีฝาปิดแต่อย่างใด
เหตุเพราะการหมักเหล้าองุ่น มิจำเป็นจะต้องปิดฝาให้มิดชิด

“เช่นนั้นเจ้าลองดื่มน้ำจัณฑ์สูตรพิเศษจากเราเป็นอย่างไร ?” บุรุษผู้สูงสง่าหยิบยื่นข้อเสนอพลางจัดแจงเทเหล้าองุ่นจากโถแอมโฟร่าลงในคราเตอร์ หรือแจกันที่ภายในจะต้องมีการขัดเงา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บของเหลว
“เราได้สูตรลับมาจากบาบิโลเนีย” เจ้าชายผู้แสนอ่อนโยนอธิบายเพิ่มเติมเพียงครู่ จากนั้นพระองค์ก็นำเครื่องดื่มอีกชนิดที่บรรจุอยู่ในโถแอมโฟร่าผสมลงในคราเตอร์
โดยสัดส่วนของการผสมคือหนึ่งต่อหนึ่ง
ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วมักจะผสมเหล้าองุ่นหนึ่งส่วน และน้ำเปล่าอีกสามส่วน

“น้ำจัณฑ์สูตรพิเศษนี้ ผสมสิ่งใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสรีบรุดเข้าไปนั่งจุมปุกอยู่ข้าง ๆ คราเตอร์ที่วางตั้งอยู่บนพื้น พลางกอดเข่ามองจ้องเจ้าชายมิโนสในคราบบริกรฝีมือดีสลับกับเครื่องดื่มเย้ายวนใจ
“เหล้าองุ่น เหล้าเชอรี่ น้ำ” เจ้าชายมิโนสกล่าวพร้อมลุกขึ้นไปหยิบแก้วทรงสูงสำหรับดื่มน้ำจัณฑ์จากด้านใน

“ชาวบาบิโลเนียเรียกมันว่า..” บุรุษผู้สูงส่งตักน้ำจัณฑ์ใส่แก้วทรงสูงลวดลายดอกลิลลี่ยื่นให้กับเธเซียสที่กำลังนั่งจ้องเครื่องดื่มรสชาติดีตาเป็นมัน ส่งผลให้เจ้าชายมิโนสทอดมองบุรุษหน้าคมด้วยท่าทีราวกับพี่ใหญ่กำลังเอ็นดูน้องเล็ก
“…”

“ตะบะตู ” สิ้นคำเรียกขานเครื่องดื่มสูตรพิเศษ เธเซียสจึงทวนคำอย่างมิคุ้นปากพร้อมจิบน้ำมึนเมาในปริมาณพอเหมาะ
“ชอบหรือไม่ ?” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสเห็นดังนั้นจึงตักเครื่องดื่มชนิดดังกล่าวใส่แก้วทรงสูงลวดลายเดียวกัน พลางลุกขึ้นยืนและพิงราวระเบียงพร้อมจิบลงคออึกหนึ่ง

“ชอบพ่ะย่ะค่ะ รสชาติแปลกลิ้น แต่กลับถูกปากกระหม่อมเป็นอย่างยิ่ง” เธเซียสกล่าวอย่างตรงไปตรงมาพร้อมเดินเข้าไปยืนเคียงข้างอีกฝ่าย ส่งผลให้ภาพของจักรวรรดิครีตันในอีกมุมมองหนึ่งปรากฏสู่สายตา ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพของเกาะธีราที่มีภูเขาพ่นควันไฟจำนวนมาก ปกคลุมท้องทะเลอันกว้างใหญ่จนกลายเป็นม่านหมอก
 “เจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่าแสนประหลาดจากเกาะแห่งไฟบ้างหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามเมื่อเห็นเธเซียสเอาแต่จ้องมองไปยังทัศนียภาพด้านหน้า

“เคยได้ยินพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเชื่อข่าวลือพวกนั้นหรือไม่ ?” บุรุษหน้าหวานเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง ส่งผลให้เธเซียสลอบมองอย่างสงสัย ดวงตาดุจนกเหยี่ยวจึงมองจ้องไปยังเกาะแห่งไฟที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกจากภูเขาไฟอันคุกรุ่น

“มิเชื่อพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบาพลางยกแก้วขึ้นจิบน้ำจัณฑ์อย่างเลื่อนลอย เนื่องจากเขากำลังคิดวิเคราะห์ข่าวคราวที่เคยได้ยินตั้งแต่ตอนล่องเรือสินค้าร่วมกับกองคาราวานจากอียิปต์เป็นเวลากว่าสองปี เรียกได้ว่าชีวิตช่วงนั้นตกระกำลำบาก สิ่งใดที่มิเคยทำกลับต้องเรียนรู้จนหมดสิ้น
เหตุเพราะเขาในช่วงเวลาดังกล่าว…
มิใช่เจ้าชายฮาเดรียนแห่งไมซีเนียน

“เพราะเหตุใด ?”
“จากการที่กระหม่อมคลุกคลีอยู่กับชาวครีตัน กระหม่อมคิดว่าสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเป็นวัวกระทิง มิอาจมีจริงไปได้หรือหากจะมีจริงคงเป็นกลอุบายของพระองค์เป็นแน่”

“เหตุใดเราจึงต้องทำเช่นนั้น ?”
“เพราะจักรวรรดิครีตันมีความเจริญรุ่งเรืองอีกทั้งยังมั่งคั่งด้วยเงินทอง และยังเป็นจักรวรรดิที่ทรงอิทธิพลทางด้านการค้ามากที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มิหนำซ้ำทำเลที่ตั้งยังถือเป็นทำเลทอง โอกาสจะเกิดภัยร้ายจากฝีมือของชนชาติอื่นย่อมเป็นไปได้ยาก เนื่องจากรอบด้านของเกาะครีตล้อมรอบด้วยมหาสมุทรขนาดใหญ่ และยังมีเกาะแห่งไฟเสริมสร้างความน่าเกรงขาม อีกทั้งจักรวรรดิครีตันยังกอบกุมชะตากรรมของนครรัฐเอเธนส์ที่เคยเจริญรุ่งเรือง สิ่งเหล่านั้นล้วนเย้ายวนตาเป็นอย่างยิ่ง พระองค์จึงต้องสร้างกลอุบายเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่มักจะคร่าชีวิตเหล่าโจรสลัดอยู่บ่อยครั้ง เพื่อปกป้องจักรวรรดิครีตันให้อยู่อย่างสงบร่มเย็น” เธเซียสกล่าวพลางมองจ้องเกาะแห่งไฟมิแปรเปลี่ยน
เนื่องจากเขารู้สึกว่า..
เกาะธีราอาจจะเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรืออันแข็งแกร่ง

แต่ทว่าภาพของซากศพที่เกิดจากการบูชายัญกลับทำให้เธเซียสรู้สึกสับสนขึ้นมากะทันหัน เนื่องจากสภาพบาดแผลของผู้เคราะห์ร้ายช่างน่าสยดสยองมิลืมเลือน

“กระหม่อมสงสัยว่าชาวครีตันถวายเครื่องบูชายัญต่อเจ้าแม่เป็นสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามทันทีที่ดวงตาสบกับรูปปั้นของเทพีนางหนึ่งที่มีการแต่งกายแบบเปิดเผย โดยสองมือของพระนางชูงูเล็กขึ้นกลางอากาศทั้งสองข้าง ขณะที่บนศีรษะของพระนางมีนกเกาะอยู่หนึ่งตัว
“การบูชายัญต่อเจ้าแม่จะต้องใช้เลือดบริสุทธิ์ของวัวสีขาว” สิ้นคำอธิบายของเจ้าชายมิโนส เรียวคิ้วของเธเซียสจึงเริ่มขมวดมุ่น

“เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ ?”
“เนื่องจากชาวครีตันจะมิบูชายัญด้วยเลือดมนุษย์ดังเช่นจักรวรรดิอื่น”

“เพราะชาวครีตันมีศีลธรรมอันดีให้คอยยึดถือและปฏิบัติ แต่กระนั้นก็มิได้หมายความว่าชาวครีตันทุกผู้จะเป็นเช่นนั้น..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางถอนปัสสาสะด้วยความหนักพระทัย
บ่งบอกได้ดีว่า ‘ศพ’ ของหญิงรายนั้น..
เกิดจากกลุ่มคนที่มิได้นับถือ ‘เจ้าแม่’


φ


[1] แอมโฟร่า (Amphora) คือภาชนะดินเผารูปทรงคล้ายไหส่วนก้นเล็กแหลม นิยมใช้สำหรับใส่ไวน์ เพราะส่วนก้นแหลมทำให้ตะกอนนอนก้นไม่แกว่งไปมาเวลาขนส่ง
[2] คราเตอร์ (Krater) คือภาชนะขนาดใหญ่รูปทรงเหมือนแจกันยักษ์ ใช้ผสมไวน์กับน้ำ
[3] ตะบะตู (Tabatu) เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งของชาวบาบิโลเนีย ทำจากน้ำผสมไวน์และน้ำผลไม้ที่ผ่านการหมักเป็นแอลกอฮอล์



บทความที่เกี่ยวข้อง
- wine history https://1th.me/rqbU
- ความเป็นมาของ "ไวน์" https://bit.ly/2IceB9Z
- แจกันขนาดยักษ์ | Krater https://bit.ly/2D7Qyoz
- ภาชนะดินเผาแบบที่เรียกว่า "Amphora" (แอมโฟร่า)  https://bit.ly/2UJ6Kqt
- ประวัติความเป็นมาของบรรดาน้ำเมา https://bit.ly/2Z0Bt1B


สำหรับตอนนี้น่าจะเผยปมบางส่วนออกมาเพิ่มอีกเยอะเลย แต่ไม่รู้ทุกคนจับสังเกตกันได้หรือเปล่า
ปล. ภูเขาไฟธีรา คือเกาะซานโตรินีในปัจจุบันนะคะ
ปล. 2 นิยายเรื่องนี้เน้นที่จินตนาการเป็นหลักนะคะ มีเอาของจริงมาอ้างอิงบ้าง เพื่อให้คนอ่านรู้สึกว่าเป็นเรื่องราวในยุคนั้นจริงๆ


แอมโฟร่า
https://i.imgur.com/VCOUTIP.jpg

คาร์เตอร์ ใช้สำหรับผสมไวน์กับน้ำ เพราะไวน์ในสมัยนั้นมีความเข้มข้นกว่าปัจจุบันค่ะ
https://i.imgur.com/KllOSxx.jpg

แก้วน้ำจัณฑ์
https://i.imgur.com/6wffBxo.jpg

ห้องบ่มไวน์จะเป็นประมาณนี้ เราหารูปของจริงไม่เจอ แต่เครื่องสกัดจะทำจากหินค่ะ รูปร่างหน้าตาจะประมาณรูปวาดเลยค่ะ
https://i.imgur.com/o7IJZ9a.jpg
Cr : pinterest

รูปปั้นเทพธิดางู
https://i.imgur.com/NJwJ4wM.jpg
Cr : 01.glendale.edu

ลาบริสหรือขวานสองคม
https://i.imgur.com/pReJHmo.jpg
Cr : trangcongnghe.com
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 8 (update 10/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-04-2019 09:57:05
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4: :katai5:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 9 (update 12/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 12-04-2019 12:07:43
ตอน 9

การดื่มตะบะตูในระดับหนึ่งต่อหนึ่ง ส่งผลให้เธเซียสมึนเมาจนมิอาจหาทางกลับเรือนพักรับรองของเหล่าข้าหลวง เพลานี้ตั่งชั้นดีที่ปูรองด้วยเบาะนุ่มจากขนสัตว์ จึงเป็นแหล่งพักพิงอันยอดเยี่ยมของบุรุษผู้เมามาย
“เจ้าตื่นแล้วหรือ ดื่มเสียหน่อยสิ” หลังจากเธเซียสกระพริบตาเพื่อปรับภาพตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น นางกำนัลดาฟเน่ที่มิค่อยได้พบหน้าและกำลังสับเปลี่ยนบุปผาในแจกัน รีบวางมือจากภาระงานดังกล่าว เพื่อหันกลับมาใส่ใจเธเซียสด้วยการนำถ้วยที่มีกระไอความร้อนหอมฉุยส่งมาให้ ฝ่ายบุรุษหน้าคมจึงต้องรีบปรับเปลี่ยนอิริยาบถ พร้อมรับถ้วยใบนั้นขึ้นมาดอมดม พบว่าของเหลวดังกล่าวมีกลิ่นไอหวานละมุนแอบซ่อนรสเปรี้ยว

“เพลานี้กี่โมงยามแล้วหรือ ?” หลังจากจิบเครื่องดื่มบรรเทาอาการมึนเมาได้เพียงครู่ เธเซียสพลันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ฟาโรห์แห่งอียิปต์จะเสด็จมาเยือนยังพระราชวังแห่งนอสซัส
ค่ำคืนนี้จึงเป็นค่ำคืนแห่งการจัดเลี้ยงต้อนรับ
และยังเป็นค่ำคืนแห่งการนัดหมายของเธเซียส

“ชั่วโมงที่ 7 ในยามเช้า ” สิ้นคำตอบจากนางกำนัลพระพี่เลี้ยง เธเซียสจึงทอดสายตามองออกไปยังนอกระเบียง พบว่าแสงสุริยะกำลังแผดเผาอย่างแรงกล้า เขาจึงรีบกระวีกระวาดลงจากตั่งเป็นการด่วน
เนื่องจากเขาเอาแต่นอนหลับมิรู้เรื่องรู้ราวมาจนครึ่งค่อนวัน

“เจ้าชายมิโนสทรงมีรับสั่งให้เจ้าพักผ่อนเสียให้เต็มที่” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวพลางกดไหล่ของเธเซียสให้ยอมทรุดตัวลงนั่งดังเดิม บ่งบอกได้ดีว่าวันนี้เขาได้รับพระราชอนุญาตให้หยุดปฏิบัติงานหนึ่งวัน จากนั้นนางกำนัลพระพี่เลี้ยงจึงยื่นเสบียงมื้อเช้ามาให้ พร้อมทำความสะอาดภายในห้องบรรทมอย่างมิเร่งร้อน
ราวกับต้องการจะอยู่ร่วมห้อง จนกว่าช่วงเวลาแห่งราตรีกาลจะมาเยือน

นับว่าผิดสังเกตเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้กระโตกกระตาก เหตุเพราะความผิดสังเกตดังกล่าว อาจจะมาจากความหวาดระแวงของตนก็เป็นได้

“ท่านดาฟเน่ ข้าดื่มกินจนหมดสิ้นแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะนำไปเก็บล้าง” เธเซียสกล่าวพลางลุกขึ้นยืน เพื่อเตรียมนำจานชามไปเก็บล้างยังโรงครัว และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อทดสอบอะไรบางอย่างที่ตนครุ่นคิด
“เจ้านอนพักเสียเถิด เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” นางกำนัลคนสนิทของเจ้าชายมิโนส กล่าวพลางยื้อแย่งจานชามไว้ในครอบครอง จากนั้นนางก็เปิดประตูไม้และเดินแทรกตัวออกไป
ครู่เดียวจึงกลับเข้ามาตัวเปล่า
ราวกับหน้าที่ในเก็บล้างถูกหยิบยกให้แก่ผู้อื่น

นับได้ว่า..
ความหวาดระแวงของเธเซียสมิใช่เรื่องเกินจริง

บุรุษหนุ่มจากต่างแดนได้แต่นั่งจุมปุกอยู่บนตั่งหนานุ่มจากขนสัตว์ แต่ทว่าสภาพของเขามิได้แตกต่างจากนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ความเคร่งเครียดพลันกัดกินหัวใจอย่างเหลือล้น อีกทั้งความนึกคิดยังพลอยแต่จะคาดคะเนชะตาชีวิตอย่างหนักหน่วง
โดยหารู้ไม่ว่า..
ตนกำลังนั่งกัดเล็บพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างชัดแจ้ง

กระทั่งบานประตูถูกเปิดออก ภวังค์แห่งความคิดจึงหวนกลับคืน เธเซียสค้นพบว่าภายในห้องบรรทมแห่งนี้มีเพียงแค่ตน จึงรีบลุกออกจากตั่งนุ่มและก้าวเดินไปยังประตูบานใหญ่ลวดลายวิจิตร
แต่ทว่าภายนอกห้องบรรทม ปรากฏทหารองครักษ์ถึงสองนาย
บุรุษผู้เต็มไปด้วยพิรุธอย่างเธเซียส จึงรีบกลับเข้ามายังห้องบรรทม พลางเดินวนเวียนไปมาราวกับสัตว์เล็กติดอยู่ในกับดัก

“ทำอย่างไรดี ?” เธเซียสได้แต่รำพึงกับตนเองอย่างเป็นกังวล ขณะที่ปลายนิ้วยังคงจดจ่อตรงบริเวณริมฝีปาก   
กระทั่งสุ้มเสียงอันคุ้นเคยของนกเหยี่ยวดังขึ้น
แววตาอันเป็นประกายในแบบฉบับของเจ้าชายฮาเดรียนจึงปรากฏ

บุรุษหนุ่มรีบรุดเดินไปยังนอกระเบียง พลางเหลือบซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ฝ่ายนกรู้ต่างทำหน้าที่ส่งสารได้อย่างดีเยี่ยม เพราะมันมิได้เข้ามาทักทายผู้เป็นนายอย่างใกล้ชิด แต่กลับปลดปล่อยกิ่งไม้ขนาดย่อมลงบนพื้นระเบียงอย่างแม่นยำ
ซึ่งหากมองในระยะไกล นกเหยี่ยวตัวนี้คงเป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่กำลังขนย้ายกิ่งไม้เพื่อสร้างรัง
นับได้ว่าเป็นภาพลวงตาชั้นดี

เธเซียสถอนหายใจอย่างหมดห่วง เพราะการส่งสารด้วยกิ่งไม้ ถือเป็นการบอกกล่าวให้รับรู้ว่า นัดหมายในวันนี้มิได้ถูกมองข้าม พลางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พร้อมหยิบกิ่งไม้ก้านดังกล่าวยื่นออกไปข้างหน้า
ไม่นานเจ้าครูสก็บินโฉบเข้ามาคาบกิ่งไม้คืนกลับไป
บ่งบอกได้ดีว่าเธเซียสกำลังต้องการความช่วยเหลือ

จากนั้นเธเซียสก็ได้แต่เดินวนไปเวียนมาอย่างใช้ความคิด โดยที่ริมฝีปากก็มิวายจะกัดเล็บเพื่อระบายความกดดัน เนื่องจากเขามิอยากทำตัวกระโตกกระตาก เพราะการดิ้นไปตามสถานการณ์ผู้ที่ลำบากอาจเป็นเขาเอง เวลานี้สิ่งเดียวที่เธเซียสยังทำได้ คงเป็นการหลบหนีออกจากห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส โดยที่มิต้องปะทะซึ่งหน้ากับผู้ใด
แต่หากสถานการณ์มิได้เลวร้ายอย่างที่คิด..
แผนการในสถานะ ‘ไส้ศึก’ คงต้องเริ่มดำเนินต่อไป

เบื้องต้นเธเซียสนัดแนะเซอร์ซีผู้เป็นทหารคนสนิทที่ยังคงจงรักภักดีต่อเขาและเสด็จแม่ เพื่อวางแผนรับมือกับประเพณีการต่อสู้วัวกระทิง เนื่องจากความเสี่ยงที่จะพลาดพลั้งค่อนข้างมีอยู่มาก บวกกับงานสำคัญในระดับนี้ย่อมต้องมีผู้มากฝีมืออย่างคับคั่ง
ดังนั้นการจะทำให้ตนโดดเด่น..
คงต้องล้มวัวกระทิงภายในเวลาอันรวดเร็ว 

เธเซียสจึงวางแผนให้เซอร์ซีแฝงกายเข้ามายังเขตพระราชฐานพร้อมกับขบวนนางรำ โดยจุดนัดหมายเป็นบริเวณท่าเรือหลังห้องใต้ดิน ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย
เนื่องจากหากมิต้องขนย้ายสินค้าจากสำนักราชวัง
แทบมิอยากมีผู้ใดสัญจรผ่าน

แต่ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เหตุเพราะเขากำลังถูกกักขังราวกับนักโทษ เพียงแต่เป็นนักโทษชั้นดีที่มิต้องถูกจองจำในห้องอับชื้น แผนการที่เคยวางไว้อย่างแยบยล จึงมิใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป
ดังนั้นการเอาตัวรอดจากสถานการณ์สุ่มเสี่ยง จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญในขณะนี้

กระทั่งท้องนภาเริ่มกลับกลายเป็นสีส้มอมม่วง ทั่วบริเวณพระราชฐานจึงเต็มไปด้วยแสงสว่างสีเหลืองนวลจากคบไฟ เสริมสร้างความเจริญตาให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น แต่คงมิอาจเรียกร้องความสนใจจากทุกผู้ได้มากเท่าขบวนเรือขององค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ที่กำลังเคลื่อนฝีพายเข้ามาตามเส้นทางน้ำทะเลที่ถูกขุดลอกเป็นคูคลอง

“เจ้ามิไปร่วมชื่นชมพระราชอำนาจขององค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ด้วยกันหรือ ?” ทันทีที่ประตูบานใหญ่แง้มออก หนึ่งในองครักษ์ที่ได้รับหน้าที่กักบริเวณอดีตเชลยจากเอเธนส์ก็เริ่มตั้งคำถาม   
“มิเป็นไร พวกท่านลงไปชื่นชมเถิด” เธเซียสนิ่งคิดครู่ใหญ่ เพื่อคาดคะเนอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบปฏิเสธอย่างเรียบง่ายไร้ความกระตือรือร้น ขณะที่ในใจกำลังลิงโลด เมื่อคำตอบดังกล่าวถูกตอบรับด้วยบานประตูกำลังถูกปิดลง
และภายนอกห้องบรรทมก็มิหลงเหลือผู้ใด
บ่งบอกได้ว่าสถานการณ์อันย่ำแย่ ล้วนเกิดจากความกังวลของตนแต่เพียงผู้เดียว

“หวังว่าเจ้าคงยังมิทันก่อเรื่องหรอกนะเซอร์ซี” เธเซียสรำพันอย่างเป็นกังวลพลางถลาออกจากห้องบรรทมโดยมิต้องกังวลว่า ‘ความลับ’ จะมิใช่ความลับอีกต่อไป สองขาจึงก้าวเดินอย่างรวดเร็ว กระทั่งถึงบันไดเล็กแคบ เธเซียสจึงเริ่มวิ่งถลาลงบันไดทีละขั้นอย่างคล่องแคล่ว แม้บางคราจะสวนทางกับเหล่าข้าราชบริพาร แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้หวั่นเกรงว่าจะผิดสังเกต
เหตุเพราะทุกผู้ต่างเร่งร้อนอยากจะไปให้ถึงยังจุดหมายโดยเร็ว
เพียงแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือฟาโรห์แห่งอียิปต์ ขณะที่เธเซียสกลับเป็นขบวนนางรำจากมาลิอา

ฉับพลันเธเซียสรู้สึกใจหายวาบ เมื่อตนถูกลากคอเข้ามุมอับอย่างมิทันตั้งตัว จากนั้นวงแขนของบุรุษปริศนาจึงรัดรึงรอบลำคออย่างโหดเหี้ยม ราวกับต้องการจะปลิดชีพภายในเสี้ยววินาที ส่งผลให้ลมหายใจของเธเซียสเริ่มติดขัด เขาจึงดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดแรง แต่ทว่าใบหน้ากลับเริ่มคล้ำเขียวคล้ายกับคนใกล้จะหมดลม กระดูกบริเวณลำคอพลันเจ็บร้าวอย่างคนถูกประทุษร้าย
แต่กระนั้นเธเซียสยังมิยอมหมดหวัง เขาจึงพยายามรวบรวมแรงกายและแรงใจเฮือกสุดท้าย พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
เพื่อมาพบกับชายหนุ่มนักเต้นรำจากมาลีอาที่หน้าตาค่อนข้างคุ้นเคย

“เซอร์.. ซี..” เธเซียสกล่าวอย่างคนไร้เรี่ยวแรงพลางตั้งหน้าตั้งตากอบโกยอากาศบริสุทธิ์อย่างหิวกระหาย พร้อมวางอาวุธชั้นยอดอย่างเครื่องปั้นดินเผาขนาดพอเหมาะที่ประดับอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของพระราชวังในตำแหน่งเดิม
“เจ้าชาย.. ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมช่างโง่เขลา” ฝ่ายผู้ร้ายเมื่อได้สติจึงรีบกระวีกระวาดขอโทษขอโพยนายเหนือหัวอย่างรู้สึกผิด ส่งผลให้เธเซียสถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พลางยื่นหน้าออกไปเหลือบซ้ายแลขวา กระทั่งพบว่าบริเวณดังกล่าวมิมีผู้คนแต่อย่างใด
บุรุษหน้าคมจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นทั้งคู่จึงพากันก้าวเดินไปยังจุดหมาย

“เจ้านี่มัน!” เมื่อมาถึงท่าเรือขนาดเล็กบริเวณปากทางเข้าห้องใต้ดินอีกด้านหนึ่ง เธเซียสก็ไม่รอช้ารีบยกปลายเท้าประทับลงบนหน้าแข้งของบุรุษในคราบนักเต้นรำจากมาลิอา
“โธ่! พระองค์” บุรุษวัยสิบหกปีโอดครวญใส่นายเหนือหัวอย่างสนิทสนม พลางกอบกุมหน้าขาพร้อมกระโดดโหยงเหยงอย่างมิอาจทรงตัวหยัดยืนได้

“เราคือรายแรกที่เจ้าเริ่มก่อเรื่องตามแผนการใช่หรือไม่ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างจริงจัง เพื่อที่ตนจะได้ประเมินสถานการณ์ถูก เหตุเพราะเดิมทีเธเซียสวางแผนสำรองเอาไว้ว่า หากตนต้องการความช่วยเหลือ ให้เซอร์ซีก่อความวุ่นวายเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คนในราชสำนัก หลังจากนั้นถึงค่อยพากันหลบหนีโดยเรือโดยสารของขบวนนางรำที่ยังคงจอดเทียบท่าอย่างโดดเด่น
“พ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวพลางทำสีหน้าเหยเกพร้อมกับยืนโยกเยกกุมหน้าขามิยอมหยุด

“เสด็จพ่อทรงเห็นด้วยกับเราใช่หรือไม่ ?” เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่แต่ทว่ากลับมิมีทีท่าจะเข้าเรื่อง เธเซียสจึงรีบเปิดประเด็นอย่างรวดเร็ว
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ทูลเจ้าชายฮาเดรียน องค์ราชาทรงมีรับสั่งให้พระองค์สืบหาข้อมูลเรื่องมิโนทอร์” เซอร์ซีกล่าวอย่างจริงจังไร้ท่าทีขี้เล่นดังเช่นก่อนหน้า

“สัตว์ประหลาดที่คร่าชีวิตโจรสลัดน่ะหรือ ?” เธเซียสย้ำถามอย่างมิค่อยแน่ใจในชื่อเรียกขานมากนัก เนื่องจากนาม ‘มิโนทอร์’ มีความหมายว่า ‘โอรสวัวแห่งไมนอส’
“พ่ะย่ะค่ะ หลายวันก่อนกระหม่อมได้ยินชาวเอเธนส์ร่ำลือกันว่า หลังจากที่เจ้าชายแอนโดรเจียสถูกลอบปลงพระชนม์ กองทัพครีตันจึงบุกทำลายล้างนครรัฐเอเธนส์จนราบคาบ โดยมีสัตว์ประหลาดนามว่ามิโนทอร์เป็นผู้นำทัพ” สิ้นคำบอกเล่าจากปากของทหารคนสนิท เธเซียสจึงทราบดีว่าแท้ที่จริงเสด็จพ่อมิได้เห็นด้วยกับข้อเสนอของตน
แต่เป็นเพราะพระองค์กำลังหวั่นเกรงตัวแปรใหม่ ที่มิใช่เรื่องเล่าขานดังเช่นที่เข้าใจมาหลายปี..

“เธซีอุสเราจะช่วยเจ้าเอง มิต้องกังวล” สุ้มเสียงของผู้มาใหม่ทำให้เธเซียสและเซอร์ซีต้องรีบแอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ริมลำน้ำ พลางชะโงกหน้ามองผู้มาเยือนอย่างระแวดระวัง
แต่ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้สองหนุ่มจากไมซีเนียนถึงกับหน้าร้อนเห่อ
เมื่อพบว่าเจ้าหญิงแอริแอดเนกำลังจุมพิตอย่างดูดดื่มกับชายผู้หนึ่งนามว่า ‘เธซีอุส’



φ



[1] ชั่วโมงที่ 7 ในยามเช้า เทียบเท่ากับเวลาเที่ยงตรงในปัจจุบัน

ปล. ตรงส่วนนี้เราตีความจากข้อความหนึ่งที่เราอ่านมาจากหนังสือต่วยตูน ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับรักร่วมเพศในสมัยนั้น แล้วมีการกล่าวถึงการนับเวลาของชาวอียิปต์โบราณ เราเลยเอามาปรับใช้กับจักรวรรดิครีตันที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับจักรวรรดิอียิปต์ และยังเป็นอาณาจักรที่รับเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายของจักรวรรดิอื่นมาปรับใช้จนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองค่ะ ซึ่งในหนังสือต่วยตูน (เราจำฉบับไม่ได้ละ พอดีมันอยู่อีกบ้านนึง) ปรากฏข้อความประมาณว่า 'ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรนัดพบซิเซเนในชั่วโมงที่ 4 ของยามราตรี เทียบเวลาปัจจุบันคือราว ๆ สี่ทุ่ม และเมื่อถึงชั่วโมงที่ 8 ในยามราตรี เทียบเวลาปัจจุบันคือ ตีสอง ฟาโรห์จึงกลับออกมาจากบ้านของซิเซเน'

[2] มาลิอา (Malia) เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิมิโนอันหรือครีตัน


edit 23/05/2019 เปลี่ยนชื่อเมืองจาก มอลเลีย เป็น มาลิอา ตามข้อมูลจากวิกิพีเดีย

สำหรับตอนนี้ก็เผยปมออกมาเยอะเลยแหละ ส่วนสถานการณ์ที่เธเซียสได้พบเจอเพราะความหวาดระแวงของตัวเองนั้นนน จะใช่ความหวาดระแวงของตัวเองอย่างเดียวแน่หรือเปล่า 555
ตอนหน้ามาติดตามกันต่อไปค่ะว่าเธเซียสจะวางแผนรับมือกับการต่อสู้วัวกระทิงอย่างไร


แผนที่บอกตำแหน่งของเอเธนส์ และเกาะครีตค่ะ ห่างกันไม่ไกลเท่าไหร่

https://i.imgur.com/lew08Kf.png

อันนี้คือเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของมิโนอันค่ะ จะเห็นได้ว่ามาลีอาอยู่ไม่ไกลจากนอสซัสมากนัก

https://i.imgur.com/9VXSs80.jpg

ตัวอาคารจะเป็นประมาณนี้ค่ะ เล็กๆ แคบ ๆ ทึบ ๆ และมีความซับซ้อน

https://i.imgur.com/WCVAQDI.jpg

อันนี้คือช่องรับแสงที่เราเคยกล่าวถึงในตอนก่อน ๆ ค่ะ

https://i.imgur.com/4shNo0o.jpg
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 10 (update 14/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 14-04-2019 10:59:52
ตอน 10

“เรื่องเล่าเกี่ยวกับมิโนทอร์ เจ้าได้ยินมาจากเธซีอุสที่เป็นนักเต้นรำจากมาลิอาอย่างนั้นหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามเซอร์ซีอย่างต้องการความกระจ่าง เพราะทันทีที่ฉากรักผ่านพ้นไป บุรุษหนุ่มในคราบนักเต้นรำก็รีบทักท้วงราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้
เท่ากับว่าทั้งเซอร์ซีและชายหนุ่มนามว่าเธซีอุส
ล้วนแฝงกายเข้ามาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

“พ่ะย่ะค่ะ เธซีอุสบอกกระหม่อมว่าในตอนนั้นนครรัฐเอเธนส์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ถูกพังราบเป็นหน้ากองเพราะเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น” เซอร์ซีกล่าวพลางลูบต้นแขน ขณะเดินลัดเลาะไปตามโครงสร้างอันสูงใหญ่ของตัวพระราชวัง เพื่อมุ่งตรงสู่คอกวัวกระทิงสำหรับงานพระราชพิธีในวันรุ่งขึ้น
“แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า นครรัฐเอเธนส์คือผู้ปลงพระชนม์เจ้าชายแอนโดรเจียสเป็นฝ่ายแรก เท่ากับว่าผู้เปิดศึกสงครามคือชาวเอเธนส์มิใช่หรือ ?” เธเซียสย้อนถามนายทหารคนสนิทอย่างคิดวิเคราะห์ เนื่องจากสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว ตรงกับช่วงเวลาที่เธเซียสถูกหญิงใจมารลอบทำร้าย จนต้องระหกระเหินอยู่ท่ามกลางทะเลทราย แถมยังเคราะห์ร้ายพลัดหลงกับนายทหารคนสนิท กว่าจะติดต่อกันได้ เรียกว่าลำบากยากเข็ญ ดังนั้นเมื่อทั้งคู่หวนคืนสู่ไมซีเนียน ความมิไว้วางใจจึงถูกหยิบยื่น สถานะของเซอร์ซีจึงกลับกลายเบี้ยล่างให้แก่ทหารกล้าที่อยู่ภายใต้อำนาจของหญิงนางนั้น โชคยังดีที่เธเซียสยื่นข้อเสนอของการเป็นไส้ศึกได้สำเร็จ ข้อมูลเกี่ยวกับจักรวรรดิครีตันจึงถือเป็นตัวประกันชั้นดีที่ทำให้เขาดึงตัวนายทหารคนสนิทมาเป็นมือขวา

“พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนั้นองค์กษัตริย์ผู้ปกครองนครรัฐเอเธนส์จึงทรงยินยอมนำส่งเชลยศึกเพื่อถวายแด่จักรวรรดิครีตัน เพียงแต่เชลยศึกเหล่านั้นมิได้มีไว้เพื่อใช้แรงงานดังเช่นจักรวรรดิอื่น” ทันทีที่เซอร์ซีกล่าวมาถึงประเด็นนี้ เธเซียสก็สามารถผูกโยงเรื่องราวโดยง่าย
“เพราะเชลยศึกเหล่านั้น มีไว้เพื่อบูชายัญน่ะหรือ ?”

“จะเรียกว่าเป็นการบูชายัญก็ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะเชลยศึกถูกส่งมาเพื่อเป็นเครื่องสังเวยแด่สัตว์ประหลาดมิโนทอร์” สิ้นคำบอกกล่าวของเซอร์ซี เธเซียสก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด เนื่องจากทันทีที่เหล่าเชลยศึกถูกนำส่งมายังห้องใต้ดิน ก็มิเห็นจะมีสัตว์ประหลาดนามว่ามิโนทอร์ปรากฏตัวแต่อย่างใด
ทว่าการให้ความช่วยเหลือของเจ้าชายมิโนสในครานั้น
หากนำมาผูกโยงกับเรื่องเล่าดังกล่าว นับว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

“เธซีอุสบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมิโนทอร์ว่าอย่างไรอีก ?” เธเซียสในคราบของเจ้าชายฮาเดรียนตรัสถามราวกับเพลานี้พระองค์หลงลืมไปแล้วว่า การนัดหมายเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย มีขึ้นเพื่องานพระราชพิธีในวันรุ่งขึ้น
“เดิมทีการก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ของกษัตริย์ไมนอส เกิดจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพระเชษฐาและพระอนุชา จึงเกิดการวิงวอนต่อองค์เทพโพไซดอน ให้ส่งวัวพ่วงพีขึ้นจากมหาสมุทร และให้คำมั่นสัญญาว่าพระองค์จะบูชายัญวัวตัวนั้น เพื่อเป็นเกียรติให้แก่องค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ เพราะหากการวิงวอนประสบความสำเร็จ เท่ากับว่ากษัตริย์ไมนอสได้รับการยอมรับจากทวยเทพ ส่งผลให้การขึ้นครองราชย์มิมีข้อขัดแย้งประการใด” เรื่องเล่าอย่างละเอียดถี่ถ้วนจากปากเซอร์ซี สร้างความฉงนให้แก่เธเซียสมิใช่น้อย เนื่องจากเธเซียสทราบมาว่าชาวครีตันเคารพนับถือเพียงแค่ ‘เทพมารดา’ หรือพระนามคุ้นหูคือ ‘เจ้าแม่’
หลังจากนั้นจักรวรรดิครีตันก็เริ่มสร้างพระเจ้าโดยมีนามเป็น ‘โอรสของเจ้าแม่’
คาดมิถึงว่ากษัตริย์ไมนอสจะทรงเคารพนับถือเทพอีกหนึ่งองค์

“หลังจากเกิดเหตุการณ์สุดมหัศจรรย์ กษัตริย์ไมนอสก็เป็นที่เลื่อมใสของราษฎร์ เพียงแต่พระองค์กลับผิดคำสัญญาด้วยการนำวัวสีขาวตัวอื่นมาบูชายัญ ความอัปยศจึงก่อเกิดขึ้น เมื่อองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่สาปให้พระนางปาซิฟาอี มเหสีของกษัตริย์ไมนอสลุ่มหลงวัวตัวนั้นจนถึงขั้นสั่งให้แดดาลุสนักประดิษฐ์ชื่อดังของจักรวรรดิครีตันเดินทางมายังเขตพระราชวัง เพื่อสร้างวัวไม้ให้พระนางเข้าไปแอบซ่อนในระหว่างร่วมอภิรมย์กับวัวหนุ่ม จนกระทั่งพระนางตั้งครรภ์และคลอดบุตร พบว่าบุตรผู้นั้นมีศีรษะเป็นวัวกระทิงและมีกายเป็นคน พระราชาไมนอสจึงทรงอับอายอย่างเหลือล้น มิหนำซ้ำยังทรงคับแค้นใจเป็นที่สุด แต่ก็มิอาจสังหารเจ้ามิโนทอร์ได้ เหตุเพราะพระองค์หวั่นเกรงว่าเจ้าสมุทรจะทรงขุ่นเคือง จึงสร้างห้องใต้ดินเพื่อกักขังสัตว์ประหลาดนั่น เมื่อมันเริ่มกระหายเลือดอย่างแรงกล้า”
“ฟังดูเหมือนเรื่องเล่าจากบทกวีของชาวเอเธนส์เสียมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง” เธเซียสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมิเกรงกลัว เหตุเพราะความเหลือเชื่อดังกล่าวค่อนข้างน่าขบขัน เพราะดูท่าแล้วการบูชายัญเลือดมนุษย์ของจักรวรรดิครีตันอาจจะมีขึ้นเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งผู้กระทำคงมิใช่ผู้ที่เคารพนับถือเจ้าแม่และพระโอรส
ส่วนประเด็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘มิโนทอร์’
เธเซียสยังคงปักใจเชื่อว่ามันอาจจะเป็นกลอุบายของเจ้าชายมิโนส

“ตอนที่กระหม่อมได้ยินเรื่องเล่าเป็นครั้งแรก กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ดำรัสของเจ้าหญิงที่มีให้กับเธซีอุสเมื่อครู่ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับมิโนทอร์ก็เป็นได้ เพราะเดิมทีเธซีอุสมิใช่ชาวครีตัน” ถ้อยคำตอกย้ำของเซอร์ซี ทำให้เธเซียสขบคิดอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสนใจ
“เขาเป็นชาวเอเธนส์แฝงกายมายังเมืองมาลิอาพร้อมกับเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”

“กระหม่อมคิดว่าเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะเขาทราบถึงความสัมพันธ์อันเป็นรอยร้าวระหว่างเอเธนส์และครีตันอย่างลึกซึ้ง” เซอร์ซีกล่าวพลางเหยียบย่ำลงบนผืนดินเรียบชายเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเลี้ยงม้าและคอกวัวกระทิง
“เรื่องราวที่เขาทราบ อาจจะมาจากดำรัสของเจ้าหญิงแอริแอดเนก็เป็นได้มิใช่หรือ ?”

“พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคิดว่าคงต้องเกิดการแลกเปลี่ยนข่าวสาร”
“ในความคิดของเรา เรื่องราวเกี่ยวกับมิโนทอร์ล้วนเป็นกลอุบายของเจ้าชายมิโนสที่ใช้ในการปกป้องจักรวรรดิครีตัน” เธเซียสกล่าวพลางเดินเอามือไพล่หลังอย่างองอาจ โดยที่จังหวะการก้าวย่างก็ต้องเป็นไปอย่างมั่นคง
เนื่องจากบริเวณคอกสัตว์มีแต่ความชื้นแฉะจนกลายเป็นดินโคลน

“ทูลเจ้าชายฮาเดรียน กระหม่อมมองมิเห็นความจำเป็นที่จักรวรรดิครีตันจะต้องทำเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อครีตันเป็นแหล่งส่งออกศาสตราวุธนำสมัย อีกทั้งยังมีกองทัพเรือและกองทัพบกที่แข็งแกร่ง”
“หากแข็งแกร่งและเก่งกาจดังคำกล่าวอ้าง เหตุใดจึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมิโนทอร์ เจ้ามิคิดบ้างหรือว่ามันเป็นเรื่องผิดสังเกต ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางจับจ้องไปยังฝูงวัวกระทิงที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่ในคอก ขณะที่ในหัวกำลังคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องราวของมิโนทอร์ที่ค่อนข้างสอดคล้องต่อธรรมชาติของชาวครีตันที่ตนเคยได้ยินมานมนานว่าเป็นพวกชื่นชอบความรื่นเริงและหรูหรา มิสนใจเรื่องการรบราฆ่าฟัน
แต่กระนั้นความปรีชาสามารถของเจ้าชายมิโนสก็มิอาจมองข้าม
และสถานการณ์ของนครรัฐเอเธนส์ในยามนี้ก็เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของกองทัพแห่งจักรวรรดิครีตันได้เป็นอย่างดี

“เราจะสืบหาความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฝากเจ้าทูลเสด็จพ่อว่ามิต้องกังวล” เธเซียสกล่าวสรุปความอย่างจนใจ เพราะความลับเกี่ยวกับมิโนทอร์ อาจต้องรอเวลาที่ตนก้าวเข้าสู่กองทัพได้สำเร็จ
“พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับราวกับประเด็นความสนใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีอันต้องสิ้นสุดลง เซอร์ซีจึงหยิบห่อกระดาษบางอย่างออกมาจากบั้นเอว

“กระหม่อมทราบมาว่ามีบุปผารูปร่างแปลกตาชนิดหนึ่ง สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในครีตัน พิษของมันส่งผลร้ายแรงต่อสัตว์ หากกินเข้าไปจะทำให้น้ำลายไหลและอาเจียน จากนั้นก็เริ่มสูญเสียการทรงตัว มีอาการหายใจติดขัด และเกิดอาการชักก่อนจะเสียชีวิต ซึ่งระยะเวลาอาจเกิดทันทีที่กินเข้าไป หรืออาจจะนานร่วมชั่วโมงก็เป็นได้”
“บุปผาชนิดใดหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างสนใจ เหตุเพราะรูปร่างของบุปผาชนิดดังกล่าวกลับกลายเป็นยาพิษบดละเอียดไปเสียแล้ว

“รูปลักษณ์เหมือนกับบุปผาที่พระองค์ทรงวาดลงบนแผนผังของพระราชวังพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าวางแผนจะใช้มันอย่างไร ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางลอบมองรอบกายอย่างระแวดระวัง แม้ว่าเพลานี้ผู้คนในราชสำนักจะกำลังรื่นเริงอยู่กับงานเลี้ยงฉลอง

“กระหม่อมทราบมาว่างานพระราชพิธีจะเริ่มตอนชั่วโมงที่ 3 ในยามเช้า ”
“แต่มิรู้ว่าจะเริ่มการคัดเลือกเมื่อใด..” เธเซียสต่อความจนจบประโยค ส่งผลให้เซอร์ซียกยิ้มเผล่ เมื่อผู้เป็นนายรู้ใจกันดี

“กระหม่อมวางแผนจะอยู่ที่นี่ในสถานะแรงงาน”
“หากเป็นเช่นนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะมิเกิดเหตุผิดพลาด” เธเซียสเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล แม้ว่าเขาจะพอมีฝีมือก็ตาม แต่กระนั้นความเคร่งเครียดก็นำพาให้เขาตัดสินใจใช้กลอุบายเข้ามาช่วย

“เชื่อใจกระหม่อมเหมือนอย่างที่พระองค์เคยเชื่อใจเสมอมา” เซอร์ซีกล่าวพลางค้อมตัวอย่างนอบน้อม ฝ่ายเธเซียสจึงส่งสัญญาณให้บุรุษในคราบนักเต้นรำจากมาลิอาปฏิบัติตัวตามสบาย
จากนั้นทั้งคู่จึงตกลงกันว่าจะแบ่งปันที่อยู่อาศัยเพื่อมิให้ผู้ใดผิดสังเกต โดยเซอร์ซีจะเข้าไปนอนยังเรือนพักรับรองของเธเซียส เพียงแต่จะต้องลอบเข้าทางบานหน้าต่าง
และต้องปลิดชีพผู้ดูแลคอกวัวให้เรียบร้อย
มิเช่นนั้นวันพรุ่งอาจจะสร้างความแตกตื่น

“เจ้าชายมิโนสทรงมีพระอนุญาตให้เจ้าพักผ่อนเสียให้เต็มที่มิใช่หรือ เหตุใดจึงมาตรากตรำทำงานเสียเล่า ?” นางกำนัลดาฟเน่เอ่ยถามเธเซียสที่มีหูตาว่องไวหลังจากแยกทางกับนายทหารคนสนิท จึงสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันคับขัน ด้วยการแสร้งยกโถแอมโฟร่าที่วางตั้งอยู่ตรงด้านนอกห้องสกัดเหล้าองุ่น
เพื่อรอเวลาให้มวลอากาศอันเหยียบเย็นเคลือบผิวน้ำหมักรสชาติดีให้กลายสภาพเป็นแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ รอบปากโถ

“ข้าเพียงแต่อยากเห็นขบวนฝีพายขององค์ฟาโรห์ จึงวิ่งไปดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ หลังจากนั้นจะให้ทำเป็นมิรู้หน้าที่ของตนได้อย่างไร ในเมื่อผู้อื่นต่างตรากตรำทำงานอย่างแข็งขัน” เธเซียสกล่าวพลางแย้มยิ้มพร้อมยกโถแอมโฟร่ามุ่งตรงไปยังห้องโถงที่ใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงรับรอง
“เจ้ามิต้องทำแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าชายมิโนสทรงเห็นเข้า ข้าจะถูกตำหนิ” นางกำนัลดาฟเน่กล่าวพลางกวักมือเรียกบุรุษผู้หนึ่งก่อนจะยกโถแอมโฟร่าให้เขา และหันมาบอกกับเธเซียสว่าบุรุษผู้นั้นคือนักปรุงเหล้าองุ่น

“เจ้ากลับไปเก็บตัวอยู่ที่ห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนสเสียเถิด หากมิอยากให้พระองค์ถูกครหาว่าเป็นผู้มีจิตใจคิดลำเอียง” สิ้นคำพูดของนางกำนัลพระพี่เลี้ยง เธเซียสจำต้องเดินกลับมายังห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส
และใช้ชีวิตภายในห้องดังกล่าว..
ภายใต้สายตาของนางกำนัลดาฟเน่

บุรุษหน้าคมจึงต้องหลบเลี่ยงสายตาแกมดุ ด้วยการนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนตั่งขนสัตว์ ทั้ง ๆ ที่กระเพาะอาหารเริ่มจะร้องประท้วง แต่กระนั้นเธเซียสก็จำต้องอดทน มิเช่นนั้นนางกำนัลดาฟเน่คงจะทราบว่าตนมิได้ลงมือปฏิบัติงานแต่อย่างใด มื้อเย็นจึงมิตกถึงท้องเสียแบบนี้
ซึ่งกว่าจะผล็อยหลับได้..
เล่นเอาเธเซียสแทบจะหมดความอดทน

กระทั่งชั่วโมงที่ 6 ในยามราตรี เจ้าชายมิโนสจึงเสด็จกลับยังห้องบรรทม โดยมิได้มีอาการมึนเมาแต่อย่างใด เนื่องจากในงานเลี้ยงฉลองมักจะผสมเหล้าองุ่นและน้ำในระดับหนึ่งต่อสาม โดยปริมาณดังกล่าวเป็นปริมาณที่พอเหมาะกับการสนทนาอย่างออกรส
ส่วนปริมาณหนึ่งต่อหนึ่งจะใช้สำหรับผู้ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม
และยังเป็นปริมาณที่ต้องการความสำเริงสำราญอย่างเต็มที่

“ดาฟเน่เจ้ากลับไปนอนเถิด ทางนี้เราจัดการเอง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางประทับลงบนตั่งตัวเดียวกับที่เธเซียสใช้หนุนนอน 
“เพคะ” นางกำนัลคนสนิทกล่าวตอบรับพลางคลานเข่าผ่านบุรุษหน้าหวานอย่างนอบน้อม

กระทั่งความเงียบงันโอบล้อมอยู่รอบกาย บุรุษหน้าหวานที่กำลังสวมใส่ฉลองพระองค์มิแตกต่างจากภาพวาดเฟรสโกบนกำแพง สวมมงกุฏลวดลายวิจิตรประดับขนนกย้อมสีทองอร่ามและสีฟ้าน้ำทะเล อีกทั้งบนลำคอแกร่งยังสวมใส่เครื่องประดับลวดลายวิจิตรเส้นหนึ่ง และลวดลายเรียบง่ายสีฟ้าน้ำทะเลอีกเส้นหนึ่ง
ขณะที่ข้อพระกรประดับด้วยกำไลลวดลายเข้ากันดีกับฉลองพระองค์สีฟ้าน้ำทะเลและสีขาวขลิบทอง
นับได้ว่าวันนี้เจ้าชายมิโนสทรงสง่างามมากกว่าคราใด

“เราเคยบอกให้เจ้าทำสิ่งใดอย่าละทิ้งหลักฐานมิใช่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเหลือบมองต้นขาของเธเซียสที่เปรอะเปื้อนคราบเกรอะกรังของดินโคลนจากคอกสัตว์ ก่อนจะเสด็จไปยังห้องสรงน้ำที่เชื่อมกับห้องบรรทม เพื่อหยิบผ้าผืนหนึ่งชุบน้ำสะอาดพร้อมบิดให้แห้งหมาด
และบรรจงแตะแต้มผิวเนื้ออันคล้ำแดดของบุรุษผู้ซึ่งหลับใหลอย่างแผ่วเบา
โดยที่รอยยิ้มมิเคยเลือนหายไปจากดวงพักตร์หวานละมุน   



φ




[1] ชั่วโมงที่ 3 ในยามเช้า เทียบเท่าได้กับเวลา 8 โมงในปัจจุบัน

[2] ชั่วโมงที่ 6 ในยามราตรี เทียบเท่าได้กับเวลาเที่ยงคืนในปัจจุบัน


บทความที่เกี่ยวข้อง
- ดอกลิลลี่ ความสวยที่เป็นพิษต่อแมว https://bit.ly/2P9PxkO


[edit 10/06/2019 แก้คำราชาศัพท์เกี่ยวกับการนั่ง]

ในเรื่องเราปรับพิษจากดอกลิลลี่ให้มีผลต่อวัวกระทิงด้วยนะคะ ดังนั้นใครที่เลี้ยงแมวและหมา ให้เก็บดอกไม้ชนิดนี้ให้พ้นจากปากเด็ก ๆ เน้อ เพราะพิษของมันค่อนข้างร้ายแรงทีเดียว ตอนแรกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มารู้ตอนหาข้อมูลเขียนนิยายนี่แหละจ้า ส่วนเรื่องเกี่ยวกับมิโนทอร์ เอาไว้เราจะมาลงอ้างอิงอีกทีนะคะ หรือใครจะไปตามอ่านก่อนก็ได้จ้า เพราะเรามีการปรับแต่ง 555

ปล. เรื่องการทำน้ำแข็งในสมัยโบราณ เป็นความคิดของชาวอียิปต์ค่ะ เราอ่านมาจากเว็บไหนสักเว็บ นานมากแล้ว ซึ่งน้ำแข็งไม่ใช่น้ำแข็งก้อน ๆ แบบปัจจุบัน แต่เป็นน้ำแข็งที่เคลือบปากภาชนะ ให้นึกสภาพเราพึ่งเอาแก้วน้ำแช่ในตู้เย็นสักพัก มันเริ่มเกาะเป็นน้ำแข็งแต่ข้างล่างยังเป็นน้ำค่ะ และที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าสมัยก่อนอากาศในตอนกลางคืนจะเย็นมากค่ะ และครีตันเป็นหมู่เกาะ อากาศก็ย่อมต้องเย็นฉ่ำพอที่จะทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งค่ะ

ปล 2. สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ ส่วนเราก็นอนอยู่บ้านปั่นนิยายยาวไปๆ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 11 (update 16/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 16-04-2019 20:38:46
ตอน 11

“เจ้าอยากได้รับการคัดเลือกจนถึงกับต้องใช้กลโกงเชียวหรือ ?” ดำรัสถามชุดใหญ่ถูกส่งตรงมาถึงเธเซียสที่ยังมิตื่นจากนิทราดีนัก แต่พอได้คิดทบทวนเป็นอย่างดี
อาการง่วงเหงาเศร้าซึมที่เคยมีกลับหดหาย

“พระองค์ตรัสอะไรเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยังคงทำไขสือ แต่กระนั้นหัวใจของเขากลับเต้นระรัวอย่างแรงกล้า
“เรารู้ว่าเจ้าเข้าใจคำถามของเราดี” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง พลางเดินไปหยิบผ้าผืนเล็กที่ในอดีตเคยขาวสะอาด แต่บัดนี้กลับเปรอะเปื้อนด้วยคราบโคลนจากคอกสัตว์

“กระหม่อม..” เธเซียสเหลือบมองผ้าผืนดังกล่าวพลางกระอึกกระอักอย่างพูดมิออก
“เราจะทำอย่างไรกับเจ้าดี ?” สุรเสียงหนักแน่นมิได้ตามมาด้วยรอยยิ้มดังเช่นวันวาน ส่งผลให้อดีตเชลยจำต้องถอยกรูดเสียจนแผ่นหลังแนบชิดฝาผนัง ขณะที่วรองค์สูงสง่ากลับคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า
ส่งผลให้ทุกเพลาที่เคลื่อนคล้อย
ลมหายใจของเธเซียสแทบจะหยุดนิ่ง

“กระหม่อมเพียงแต่มิอยากทำให้พระองค์ต้องเป็นที่ขบขัน” เธเซียสกล่าวพลางทำหน้าตาหมองเศร้า
“เหตุใดเราจึงต้องถูกขบขัน ?” เจ้าชายมิโนสในฉลองพระองค์ลวดลายมิได้ประณีต อวดโฉมแผงอกแกร่งอันเต็มไปด้วยหมัดกล้าม หยุดการข่มขวัญบุรุษผู้กระทำผิดพร้อมตรัสถามถึงเหตุผล

“ทุกผู้ในเขตพระราชวังคนอสซุส ล้วนทราบดีว่าพระองค์ทรงเมตตากระหม่อมอย่างเหลือล้น หากกระหม่อมพลาดพลั้งในวันนี้ พวกเขาจะมิหัวเราะเยาะเอาหรอกหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างจริงจัง พร้อมจ้องดวงเนตรของบุรุษผู้สูงส่งอย่างอาจหาญ
“ฟังดูเหมือนเจ้าหวั่นเกรงผู้อื่นจะหัวเราะเยาะตัวเจ้าเองเสียมากกว่า..”

“โธ่! กระหม่อมมิได้คิดเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เพราะหากผู้อื่นขบขันกระหม่อม ล้วนต้องเผื่อแผ่ไปถึงผู้ถ่ายทอดวิชา เมื่อเป็นเช่นนี้จะมิให้กระหม่อมเคร่งเครียดได้อย่างไร” เธเซียสกล่าวด้วยท่าทีสำรวม พลางก้มหน้าเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาคมกริบกลับหรี่มองบุรุษหน้าหวานอย่างสำรวจความเป็นไป
“เจ้านี่เข้าใจหลีกหนีความผิดของตนเองเสียจริง” เจ้าชายมิโนสกล่าวพลางส่ายพระพักตร์พร้อมลุกออกจากตั่ง ร้องเรียกพระพี่เลี้ยงเพียงครู่ ขบวนเสด็จเพรียบพร้อมด้วยนางกำนัลหลายสิบชีวิตต่างมุ่งตรงไปยังห้องสรงน้ำ
ฝ่ายเธเซียสจึงลอบยิ้มกริ่ม..
เมื่อเจตนาแอบซ่อนถูกกลบทับด้วยความภักดี

เดิมทีเธเซียสมิได้วางกลอุบายเช่นนี้ แต่ทว่าเธเซียสกลับขบคิดแล้วว่า ‘ยาพิษ’ ชนิดดังกล่าว อาจสร้างความผิดสังเกตให้แก่ผู้อื่น เหตุเพราะอาการของผู้ถูกพิษค่อนข้างเด่นชัด
เขาจึงขอหยิบฉวยความมีเมตตาของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์มาเป็นโล่กำบัง
เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหากมีสิ่งใดผิดพลาด เจ้าชายพระองค์นี้จะต้องทรงออกหน้าเป็นแน่แท้

บุรุษผิวคล้ำจึงเดินเอื่อยเฉื่อยออกจากตำหนักของเจ้าชายมิโนส พลางถอนหายใจทิ้งขว้างตามรายทาง เนื่องจากเขารู้สึกไม่ดีที่ไปออกอุบายเช่นนั้น
แต่หากมิทำ..
เธเซียสคงจะกลายเป็นบุรุษผู้ไร้ญาติขาดมิตร

เนื่องจากเขายังมีเป้าหมายอันแน่วแน่ ดังนั้นการเป็นไส้ศึกจึงสลักสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะเขามิได้ต้องการเพียงร้องเรียกความไว้วางพระทัยคืนจากเสด็จพ่อ แต่ยังต้องการชำระแค้นต่อนางหญิงชั่วให้สมใจ
ความสัมพันธ์อันดีที่สุดแสนจะรางเลือน
จำต้องถูกมองข้ามอย่างน่าใจหาย

เธเซียสทอดถอนใจอีกครา พลางเหยียบย่างเข้ามายังห้องเล็กแคบภายในเรือนพำนักของเหล่าข้าหลวง พบว่าภายในนั้นมีแต่ความว่างเปล่า บ่งบอกได้ว่าเซอร์ซีคงจะออกไปดำเนินตามแผนการที่วางไว้ เธเซียสจึงทิ้งตัวลงนั่งกับพรมขนสัตว์เก่าเก็บ สายตาจึงสบกับผ้าแปลกตาผืนหนึ่ง ซึ่งผ้าผืนดังกล่าวมีสีขาวสะอาดแต้มด้วยคราบดินสีน้ำตาลแดงเป็นหย่อม ๆ บุรุษหน้าคมจึงคลี่ผ้าผืนนั้นด้วยความสนใจ
กระทั่งพบว่าผ้าขาวเปื้อนคราบดิน คือสารลับจากนายทหารคนสนิท
เพียงแต่เธเซียสยังมิอาจตีความได้ เขาจึงนั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมิห่างหาย

 “เจ้ายังมิเตรียมตัวอีกหรือ ?” เคออสโผล่หน้าเข้ามาทักทายพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มิต้องเตรียมตัวอันใด เพลานี้ข้าพรั่งพร้อมมากมายแล้ว” เธเซียสกล่าวพลางชูกำปั้นพร้อมทำสีหน้าโหดเหี้ยม แต่กลับร้องเรียกความขบขันจากสหายร่วมงานได้เป็นอย่างดี

“เขากำลังทำสิ่งใดกันหรือ เหตุใดจึงอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ ?” เธเซียสเอ่ยถามถึงข้อมูลของงานพระราชพิธีด้วยความสงสัย ขณะเดินลัดเลาะไปยังทางเชื่อมระหว่างตัวพระราชวังและคหบดีผู้มั่งคั่ง 

“เมื่อเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว พวกเราชาวครีตันมักจะเฉลิมฉลองเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน” ขณะเคออสกำลังขยายความถึงงานพระราชพิธีอันเรียบง่าย เสียงโห่ร้องยินดีปรีดาสลับกับการสรรเสริญราชวงศ์ครีตันยังคงดังก้องอย่างต่อเนื่อง
“การต่อสู้กับวัวกระทิงหมายรวมอยู่ในการเฉลิมฉลองด้วยหรือไม่ ?” เธเซียสเอ่ยถามขณะที่รอบกายเริ่มแว่วเสียงเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง

“เป็นดังที่เจ้าเข้าใจ เพราะเดิมทีการละเล่นกับวัวกระทิง ถือเป็นกีฬาเพื่อการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง เพียงแต่ทุกผู้ต่างทราบกันดีว่าการละเล่นดังกล่าว จะนำพาให้พวกเขาได้รับโอกาสอันดีจากกองทัพ” สิ้นคำอธิบายจากเคออส เธเซียสจึงเริ่มเข้าใจได้ว่า เหตุใดการคัดเลือกจึงมิมีการบอกกล่าวและตั้งโต๊ะรายงานตัวดังเช่นไมซีเนียน
มิแปลกที่ผู้คนภายนอกจะเข้าใจว่าชาวครีตันมิสนใจเรื่องการรบราฆ่าฟัน

กระทั่งทั้งคู่ก้าวเดินมาจนถึงทางเชื่อม จึงพากันไปยืนหลบมุมภายใต้ร่มเงาของอาคารสูงใหญ่ ที่มีรูปปั้นเขาวัวอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งตระหง่านอยู่บนนั้น ขณะที่ปลายสายตาปรากฏภาพของราษฎร์ชาวครีตัน กำลังร่ายรำไปตามจังหวะเพลงจากซิสตรัม  โดยที่อีกกลุ่มหนึ่งกำลังโบกสะบัดฟางข้าวด้วยสีหน้าชื่นมื่น พลางส่งเสียงโห่ร้องอย่างยินดีปรีดารอบ ๆ เมือง ส่วนฝ่ายข้าราชบริพารดังเช่นเธเซียส ต่างพากันยืนเกาะกลุ่มทั้งด้านบนและด้านล่างของตัวพระราชวัง
ไม่เว้นแม้กระทั่งสมาชิกแห่งราชวงศ์ครีตันและองค์ฟาโรห์จากอียิปต์

บุรุษผิวคล้ำจึงเบือนหน้ามองไปยังขบวนแห่ของราษฎร์ชาวครีตันที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของตัวพระราชวัง เมื่อดวงเนตรล้ำลึกของเจ้าชายมิโนสที่กำลังโบกหัตถ์อยู่เคียงข้างพระมารดาทอดมองลงมาจากด้านบน
แต่ทว่ายิ่งเธเซียสหลบหลีกกลับยิ่งรับรู้ได้ว่า..
สายพระเนตรของบุรุษผู้งามสง่า มิเคยเคลื่อนคล้อยไปยังจุดหมายอื่นใด

“เจ้าทอดถอนใจด้วยเรื่องอันใด ?” กระทั่งขบวนแห่ของฤดูกาลเก็บเกี่ยวจบสิ้นลง เธเซียสและเคออสจึงเดินมุ่งหน้าไปยังลานกว้างที่อยู่ตรงใจกลางตัวพระราชวัง
“มิมีอันใด” เธเซียสกล่าวตัดบทเพราะเขามิอยากอธิบายสิ่งใดให้มากความ เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับรอยยิ้มดุจแสงตะวันในยามเช้าตรู่ของเจ้าชายมิโนสที่ทรงยืนอยู่บนอาคารเรียบทางเข้าพระราชวัง
ส่งผลให้เธเซียสนึกระอาใจกับการโป้ปดที่ตนเองเคยมี

กระทั่งชั่วโมงที่ 4 ในยามเช้า มาเยือน ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเหยียบย่ำเข้ามายังเขตพระราชฐาน ส่งผลให้การอารักขาเป็นไปอย่างเนืองแน่น เนื่องจากการละเล่นกับวัวกระทิงมิได้มีเพียงราชวงศ์ครีตันที่เสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง แต่ยังมีฟาโรห์แห่งอียิปต์ประทับอยู่ตรงเรือนรับรองริมสระบัว
ขณะที่ลานกว้างอันว่างเปล่ากลับปรากฏคอกวัวขนาดใหญ่ โดยมีผู้ดูแลคอยยืนคุมอยู่มิห่าง

เธเซียสได้แต่รำพึงอยู่ในใจพลางสอดส่ายสายตามองหานายทหารคนสนิทอย่างเป็นกังวล เนื่องจากตนยังมิอาจเข้าใจความหมายโดยนัยของผ้าขาวเปื้อนฝุ่นดิน แต่แล้วการปรากฏกายของสัตว์ใหญ่อย่างวัวกระทิงสีดำขลับ ก็เรียกเสียงโห่ร้องจากทุกผู้ได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันซีเซอร์ในคราบของผู้ดูแลก็หยัดยืนจนเต็มความสูง

เธเซียสจึงเริ่มอุ่นใจเพราะเขาเริ่มเข้าใจความหมายโดยนัยที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ เมื่อวัวกระทิงภายในคอกด้านหลังมีเพียงตัวเดียวที่เป็นวัวสีขาวแต้มน้ำตาลแดงเป็นหย่อม ๆ กระทั่งปลายสายตาไล่มองไปยังตัวพระราชวังอันหรูหราทั้งสามทิศ เธเซียสกลับมองเห็นเหล่าข้าราชบริพารยืนเกาะกลุ่มอย่างสนใจ โดยเฉพาะฝ่ายหญิงกำลังจับจ้องบุรุษผู้แสนกำยำพลางกระซิบกระซาบด้วยสีหน้าแดงซ่าน
ขณะที่เรือนรับรองของผู้สูงศักดิ์ตรงริมสระบัว กลับเพรียบพร้อมไปด้วยเครื่องเสวยและกระดานเกมรูปแบบต่าง ๆ ที่เธเซียสยังมองมิออกว่าเป็นเกมในลักษณะใด แต่ดูจากท่าทางของเหล่าผู้สูงศักดิ์แล้ว เกมดังกล่าวคงจะน่าภิรมย์มิใช่น้อย เนื่องจากเสียงสรวลจากเรือนพักรับรองดังเคล้าคลอกับเสียงโห่ร้องของทุกผู้ในบริเวณนี้
โดยมีองค์ราชินีหรือพระนางปาซิฟาอีประทับอยู่บนบังลังก์อย่างโดดเด่น

“พวกเขามิต้องมอบกริชด้ามยาวให้แก่บุรุษผู้นั้นก่อนหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความฉงน เมื่อบุรุษผู้มีร่างกายแข็งแรงกำยำขันอาสาเป็นผู้กล้าลงสู่สนามที่เต็มไปด้วยความคุ้มคลั่งของสัตว์ใหญ่
“ชาวครีตันมิฆ่าวัว เหตุใดจึงต้องมอบกริชให้แก่บุรุษผู้นั้น” สิ้นคำกล่าวของสหายร่วมงาน เธเซียสได้แต่ยืนขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิด

“แต่เจ้าชายมิโนสตรัสกับข้าว่าชาวครีตันจะมิบูชายัญด้วยเลือดมนุษย์ แต่จะบูชายัญด้วยเลือดของวัวสีขาว”
“ตามธรรมเนียมย่อมต้องเป็นเช่นนั้น แต่ในทางปฏิบัติพวกเรามิทำ” เคออสกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะเดียวกันเธเซียสกลับนึกย้อนไปถึงการตายของหญิงผู้หนึ่ง

“คนเราเคารพนับถือสิ่งใด มิอาจบูชายัญด้วยของสิ่งนั้น” จากคำพูดของเคออสสร้างความมั่นใจอันแน่วแน่ให้แก่เธเซียส ว่าเชลยชาวเอเธนส์ถูกส่งมาเพื่อการบูชายัญอย่างมิต้องสงสัย
เพียงแต่เหตุผลใดทำให้เจ้าชายมิโนสจำต้องสร้างคำลวง

“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าการละเล่นกับวัวกระทิง จำเป็นต้องฆ่าทิ้งไปเสียเล่า ?” ฝ่ายเคออสย้อนถามอย่างสงสัย เมื่ออาจารย์ผู้ฝึกสอนเป็นถึงเจ้าชายรูปงามแห่งจักรวรรดิครีตัน แต่เหตุไฉนศิษย์เอกจึงมีความเข้าใจแบบผิด ๆ ไปได้
“เจ้าชายมิโนสตรัสกับข้าเช่นนั้น ข้าจะไปคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” เธเซียสยอกย้อนด้วยน้ำเสียงติดไม่สบอารมณ์
เหตุเพราะแผนการที่วางไว้ อาจสร้างหายนะให้แก่ตน

“ยินดีกับเจ้าด้วย” เคออสกล่าวพลางตบไหล่สหายสนิทด้วยจังหวะมิเบานัก
“ยินดีอันใด” เธเซียสเอ่ยถามเสียงขุ่น เมื่อใจเริ่มมิอยู่กับเนื้อกับตัว สายตาพลันเหลือบมองไปยังเรือนรับรองแห่งราชวงศ์ตรงริมสระบัว พบว่าบุรุษหน้าหวานกำลังเล่นกระดานเกมกับองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์อย่างรื่นรมย์

“ยินดีที่เจ้ากำลังได้รับการทดสอบอันใหญ่หลวงจากเจ้าชายมิโนส”


φ


[1] ซิสตรัม (sistrum) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะ เมื่อเขย่าแล้วจะมีเสียง
[2] ชั่วโมงที่ 4 ในยามเช้า เทียบเท่าได้กับเวลา 9 โมงในปัจจุบัน


[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการยืนและการนั่ง]
มาอัพแล้วค่ะ จริงๆ ช่วงสงกรานต์ตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องได้ 15 ตอน แต่ดูเหมือนเป้าหมายจะใหญ่เกินไป 555
สำหรับตอนนี้เราตั้งใจใส่กิจกรรมต่าง ๆ ของชาวครีตันเข้าไปในเรื่อง เพียงแต่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดถึงที่มาที่ไปของกิจกรรมนั้น เพราะพวกเขาพบเพียงแค่หลักฐานจากสิ่งที่หลงเหลือไว้

ซิสตรัมหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ https://imgur.com/a4GoimI
มีแบบที่ทำจากไม้ด้วยค่ะ https://imgur.com/t3Wpunm

ส่วนอันนี้คือเขาวัวอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประดับอยู่เหนือตัวอาคาร
https://imgur.com/iYAHpST

ส่วนอันนี้คือรูปวาดบนแจกันเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวค่ะ
https://imgur.com/K0dpjLr
https://imgur.com/v45lwgy

อันนี้ภาพจำลองสถานการณ์ที่อยู่บนแจกัน
https://imgur.com/oNFZaV3
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 12 (update 18/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 18-04-2019 21:12:19
ตอน 12

ถึงแม้เธเซียสจะมีเรื่องราวค้างคาใจหลังจากสนทนากับเคออส แต่กระนั้นก็มิอาจแบ่งปันสมาธิทั้งหมดไปที่เรื่องอื่นใด เมื่อกระทิงสีขาวบริสุทธิ์แต้มลวดลายสีดินแดง ถูกปลดปล่อยเข้ามายังคอกสัตว์ขนาดใหญ่ พลางวิ่งวนไปรอบ ๆ บริเวณด้วยความตื่นตระหนก แววตาของเธเซียสจึงสำรวจอาการของผู้ถูกพิษ
แต่ทว่าในจังหวะดังกล่าวกลับมีบุรุษผู้หนึ่งขันอาสาจะแสดงฝีมือ

บุรุษผิวคล้ำจึงได้แต่ปลีกตัวออกมาหาเซอร์ซีที่กำลังยืนปั้นหน้าเคร่งขรึมอยู่ตรงริมคอกวัว พลางเหลือบมองกันไปมาอย่างสื่อความหมาย จึงทำให้เธเซียสยิ่งเป็นกังวล
เมื่อ ‘ยาพิษ’ กำลังไหลเวียนเข้าสู่กระแสเลือดของเจ้าสัตว์ตัวใหญ่

เธเซียสจึงได้แต่ยืนครุ่นคิดพลางกัดเล็บด้วยความกังวล ในใจนึกอยากจะร้องเรียกเซอร์ซีเข้ามาให้คำปรึกษา แต่ในความเป็นจริงกลับมิอาจทำเช่นนั้น เนื่องจากเซอร์ซียังมีภาระหน้าที่ในสถานะของ ‘ผู้ดูแลคอกวัว’

“บุรุษผู้นั้น ใช่ท่านแพนดารัสหรือไม่ ?” บุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเธเซียส กล่าวพลางชี้ไปยังบุรุษผู้กล้าที่ในเวลานี้กำลังหลอกล่อสัตว์ใหญ่ด้วยความชำนาญ ส่งผลให้ท่วงท่าแห่งความพลิ้วไหว เคลื่อนคล้อยด้วยความงดงามและเด็ดเดี่ยว เรียกเสียงตะโกนแห่งความระทึกใจจากทุกผู้ในเวลาอันรวดเร็ว
“เป็นเขาจริง ๆ ข้าจำได้” บุรุษที่ยืนอยู่เคียงข้างเจ้าของประโยคเมื่อครู่ รีบยืนยันคำตอบอย่างมั่นใจ ร้องเรียกความสนใจจากเธเซียสได้เป็นอย่างดี
เพราะดูท่าแล้วชายหนุ่มผู้กล้า คงจะเป็นยอดฝีมือชื่อเสียงลือลั่น

“ผู้กล้าท่านนั้น เป็นผู้มีชื่อเสียงจากเมืองใดหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางหันไปมองจ้องบุรุษรูปร่างกำยำตีลังกาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ราวกับแปลงกายเป็นอาวุธร้าย ก่อนจะเหยียบย่างลงบนผืนดินด้วยท่าทีอันมั่นคง หนึ่งบุรุษหนึ่งสัตว์ใหญ่จึงมองจ้องกันอย่างแน่วแน่คล้ายกับรอจังหวะแห่งการห้ำหั่น
“เขามาจากเมืองไฟสทอส  เพียงแต่มิใช่ผู้กล้าดังเช่นผู้คนทั่วไป” หนึ่งในบุรุษผู้เปิดหัวข้อสนทนาให้คำอธิบาย

“ท่านน้าหมายความว่าอย่างไร ?” เธเซียสย้อนถามอย่างมิเข้าใจความหมาย
“เขาคือแม่ทัพแห่งกองทัพเรือครีตัน” บุรุษวัยกลางคนทางฝั่งซ้ายมือรีบไขความกระจ่าง

“อุวะ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบุรุษผู้กล้าท่านแรกคือขุนพลดีดะลัส” บุรุษวัยกลางคนทางฝั่งขวามือกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจที่ได้เห็นนายทหารยศใหญ่

ขณะเดียวกันบทสนทนาของราษฎร์ชาวครีตันกลับสร้างคำถามให้แก่เธเซียสเป็นอย่างยิ่ง เธเซียสจึงกลั้นใจเสี่ยงโชคดูอีกครั้ง เนื่องจากเขามองเห็นความผิดปกติบางอย่าง จากการที่นายทหารระดับสูงเข้ามามีส่วนร่วมกับประเพณีดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ประเพณีนี้ถือเป็นประเพณีแห่งการคัดเลือกผู้กล้าเข้าสู่กองทัพ
อีกทั้งเคออสสหายสนิทก็ดูมีความน่าสงสัย
เพราะเขามิได้รู้สึกผิดสังเกตดังเช่นราษฎร์กลุ่มนี้

ทว่าการตัดสินใจเสี่ยงโชคของเธเซียสดูเหมือนจะเป็นเรื่องถูกต้อง เพราะทันทีที่บุรุษผู้กล้ารายใหม่ สามารถทรงตัวอยู่บนแผ่นหลังของวัวกระทิงด้วยท่วงท่าแสนสง่า เพียงครู่ที่ปลายเท้าเหยียบย่ำลงบนผืนดิน บุรุษผู้ดูแลคอกวัวก็รีบตรงเข้ามารองรับร่างของกระทิงตัวดังกล่าว พลางใช้เชือกลากถูลู่ถูกังกลับเข้าไปยังคอกเล็ก จากนั้นกระทิงตัวดังกล่าวก็เอาแต่นอนสงบนิ่ง มิต่างจากกระทิงตัวแรกที่ผ่านการเล่นกายกรรมจากท่านแม่ทัพแพนดารัสมาอย่างโชกโชน
คล้ายกับว่านอกจากเธเซียสยังมีผู้อื่นตั้งใจจะวางยา

อดีตเชลยจึงเหลือบมองไปยังเรือนพักรับรองของราชวงศ์ เห็นเจ้าชายมิโนสและองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทรงยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับความสนใจจากกระดานเกมมิอาจดึงดูดไปมากกว่าประเพณีอันน่าตื่นเต้น จากนั้นเธเซียสก็แสร้งมองผ่านไปยังที่ประทับของพระนางปาซิฟาอีที่อยู่บนตัวอาคาร เพื่อรอดูปฏิกิริยาเพียงครู่
พบว่ามิมีความผิดปกติอันใด ราวกับการคัดเลือกทหารมิได้อยู่ในความรับผิดชอบพระนาง แม้ว่าตำแหน่งที่พระนางประทับอยู่จะเป็นบัลลังก์ของกษัตริย์ผู้ปกครองจักรวรรดิครีตันก็ตามที
เช่นนั้นก็แสดงว่า..
เจ้าชายมิโนสทรงยื่นมือเข้ามาแก้ปัญหาที่เขาก่อไว้ ?

เธเซียสลอบมองไปยังบุรุษผู้สูงศักดิ์ด้วยความมิเข้าใจ เนื่องจากเขากำลังสับสนเพราะการกระทำของเจ้าชายมิโนสแตกต่างจากคำพูดของเคออสที่บอกว่าตนกำลังถูกทดสอบอย่างใหญ่หลวง จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าใครคนนั้นกำลังทอดพระเนตรมาทางนี้ เธเซียสจึงรีบหันกลับไปสนใจการละเล่นกับวัวกระทิงอย่างมิมีทีท่าว่าจะออกไปร่วมวงแต่อย่างใด
เหตุเพราะเพลานี้สัตว์ใหญ่ที่โดน ‘วางยาพิษ’
สิ้นลมอยู่ในคอกสัตว์โดยที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ แม้ว่าอาการผิดปกติจะบังเกิด

“เพ้ย ๆ นั่นเจ้าคิดจะทำสิ่งใด มิได้ยินประกาศหรอกหรือ ?!” กระทั่งกระทิงสุขภาพดีตัวสุดท้ายถูกปล่อยเข้ามายังคอกใหญ่ เธเซียสก็ไม่รอช้ารีบแหวกฝูงชนออกไปแสดงความสามารถ แต่ทว่าเสียงร้องตะโกนไล่หลังจากบุรุษวัยกลางคนกลับสร้างความสงสัยอย่างเหลือล้น
เพราะเขามิเข้าใจว่าประกาศอันใดที่มิอาจทำให้ราษฎร์ชาวครีตันเข้าร่วมประเพณีดังเช่นวันวาน

กระทั่งเธเซียสกระโดดข้ามคอกไม้เข้ามายืนบนสนาม เขาจึงมองจ้องวัวกระทิงตัวใหญ่ที่มีเส้นขนสีดำขลับอย่างแน่วแน่ พบว่าคู่ต่อสู้กลับไร้แววกระตือรือร้นอย่างสิ้นเชิง หัวคิ้วจึงขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด
เหตุเพราะท่าทีของวัวกระทิงในที่แห่งนี้
ล้วนแตกต่างกับวัวกระทิงตัวที่เจ้าชายมิโนสทรงเคยแสดงพระปรีชาสามารถ

เธเซียสจึงเดินเยื้องย่างเข้าไปใกล้สัตว์ใหญ่ผู้มีเรียวเขาอันงามสง่าที่กำลังยืนจ้องอย่างระแวดระวังภัย แววคุกคามจึงแผ่ซ่านออกมาจากร่างของบุรุษจากต่างแดนอย่างเชื่องช้า ส่งผลให้กระทิงตัวดังกล่าวพุ่งเข้าหาเธเซียสอย่างมิทันให้ตั้งตัว แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังพอจะหลบหลีกได้ เขาจึงอาศัยจังหวะเหมาะโหนกายโดยใช้เรียวเขาอันโค้งงอเป็นหลักยึด
ทว่ามันกลับสลัดทีเดียวร่างกายของเธเซียสก็ลอยละล่องลงกับพื้น พลางลื่นไถลจนแผ่นหลังชิดติดกำแพงไม้ ส่งผลให้บริเวณแขนเต็มไปด้วยบาดแผล แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้ใส่ใจ เขาจึงยืนจนเต็มความสูงพลางเยื้องย่างเข้าใกล้กระทิงตัวดังกล่าว สัตว์ใหญ่จึงเริ่มพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ด้วยความหงุดหงิด
โดยมีช่วงจังหวะหนึ่งที่เธเซียสรับรู้ได้ว่า...
การเคลื่อนไหวของมันเป็นไปอย่างไม่มั่นคง

ยิ่งการรับมือกับเธเซียสดำเนินไปนานเท่าใด กระทิงตัวนี้ก็ยิ่งทวีความหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น แต่ทว่ามันกลับมิยอมพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ทันทีที่มีโอกาส แต่กลับรอให้คู่ต่อสู้พุ่งเข้าหาตนเองก่อน
นับว่าผิดวิสัยการป้องกันตัวตามสัญชาตญาณสัตว์

เมื่อเห็นท่าไม่ดีเธเซียสจึงอาศัยจังหวะที่เจ้ากระทิงผู้งามสง่ากำลังขาดสมาธิ พุ่งเข้าหาเรียวเขาอันโค้งงอพร้อมกับยกคอเชิดขึ้นด้วยพลังกายทั้งหมดที่มี ก่อนจะดีดตัวขึ้นกลางอากาศ ทว่าเจ้ากระทิงตัวดังกล่าวกลับหลบหลีกได้อย่างทันท่วงที พร้อมวกกลับมาหาเธเซียสที่กำลังจะเหยียบย่ำลงบนพื้น ส่งผลให้อาวุธร้ายประจำตัวขูดหน้าขาของเธเซียสจนเป็นทางยาว จากนั้นร่างกายพลันลื่นไถลอย่างมิอาจควบคุม แต่ทว่าเธเซียสมิอาจมีเวลาตั้งตัว สัตว์ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นจึงรีบวิ่งกวดเข้ามาหาผู้บาดเจ็บ
บุรุษผู้มีไหวพริบจึงคำนวณความอยู่รอดภายในช่วงเวลาสั้น ๆ
จากนั้นก็อาศัยช่องว่างใกล้ ๆ ไถลตัวหลีกหนีจากวิถีอันตราย

ฝ่ายกระทิงผู้เสียรู้รีบกลับหลังหันไปยังทิศทางที่เธเซียสกำลังคลุกฝุ่น จากนั้นมันก็พุ่งเข้าหาอย่างมีน้ำโห เธเซียสจึงพยายามจะใช้เรียวเขาของมันเป็นหลักยึด พร้อมดีดตัวเองขึ้นสู่เบื้องบน ขณะเดียวกันเจ้าสัตว์ตัวใหญ่กลับมิให้ความร่วมมือ
วิถีแห่งการคำนวณจึงผิดพลาด

กระทั่งเธเซียสกลับมายืนตั้งหลักอยู่ข้างหลัง เขาจึงกระโดดคร่อมแผ่นหลังของวัวตัวนั้น พลางจับเรียวเขาอย่างแน่นหนา เพื่อมิให้มันสลัดตัวเขาลงกับพื้น จากนั้นเธเซียสก็อาศัยจังหวะที่กระทิงตัวดังกล่าววิ่งลู่ไปกับคอกไม้ ส่งผลให้หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ใหญ่ จำต้องมองจ้องกันจากคนละฟากฝั่งอย่างแน่วแน่
ซึ่งท่าทีของกระทิงตัวดังกล่าวกลับไร้วี่แววแห่งการรุกราน

เธเซียสจึงยืนนิ่งเพื่อรอให้คู่ต่อสู้ไร้ซึ่งความสนใจสิ่งรอบข้าง จากนั้นเขาก็จับยึดเรียวเขาอันแหลมคมพลางยกใบหน้าของเจ้าวัวตัวดังกล่าวด้วยพลังเฮือกสุดท้าย เหตุเพราะเพลานี้แขนของเขากำลังด้านชาจากการถูลู่ถูกังจนเลือดอาบ
ไม่นานบุรุษหนุ่มจากต่างแดนก็เหวี่ยงตนเองในลักษณะครึ่งวงกลม พลางยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนแผ่นหลังของวัวตัวนั้น ครู่เดียวเธเซียสจึงกระโดดลงมายืนอยู่บนพื้นอย่างสง่างาม
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีจึงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

ขณะเดียวกันผู้ดูแลคอกสัตว์จำต้องวิ่งเข้ามารองรับร่างของกระทิงตัวดังกล่าว พร้อมใช้เชือกเส้นใหญ่คล้องลากมิต่างจากกระทิงตัวอื่น ๆ เธเซียสจึงอาศัยจังหวะนั้นเดินเคียงคู่ไปกับเซอร์ซี
“ฮัลกิล ” เซอร์ซีกระซิบแผ่วราวกับรู้ใจผู้เป็นนาย ซึ่งเธเซียสก็มิได้แสดงท่าทีใด ๆ นอกจากเดินผ่านนายทหารคนสนิท แต่ในหัวกลับขบคิดถึงสรรพคุณของต้นฮัลกิลที่มีความเกี่ยวข้องทางการแพทย์ จึงจำได้ว่าพืชชนิดดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาจากชาวสุเมเรียน โดยพวกเขาเรียกมันว่า ‘ต้นไม้แห่งความสุข’ ส่วนน้ำยางจากกระเปาะฝิ่นแก่ เรียกมันว่า ‘น้ำทิพย์’ จากนั้นก็แผ่ขยายมาจนมาถึงชาวอัสซีเรีย บาบิโลเนีย และอียิปต์
เหตุเพราะสรรพคุณของมัน ใช้ระงับอาการปวดและทำให้เกิดอารมณ์เคลิบเคลิ้ม
อีกทั้งยังเป็นยาช่วยให้นอนหลับ รวมถึงเป็นยาแก้อาการท้วงร่วง

จักรวรรดิอียิปต์จึงเริ่มแผ่ขยายพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกต้นฮัลกิลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองธีเบธทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ ส่งผลให้การค้าเป็นไปอย่างรุ่งเรืองจนสามารถแผ่ขยายเส้นทางการค้ามาจนถึงราชอาณาจักรฟินีเซีย และจักรวรรดิครีตัน รวมไปถึงนครรัฐต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
ซึ่งเธเซียสยังจดจำได้ดีว่าทุ่งดอกฮัลกิลหลากสีของเมืองธีเบธงดงามเพียงใด
นับได้ว่าประสบการณ์เลวร้ายจากนางหญิงชั่ว สามาถเสริมสร้างความรู้รอบตัวให้แก่เธเซียสได้เป็นอย่างดี

“เจ้าเดินทอดน่องมาตั้งไกล มิปวดแผลบ้างเลยหรือ ?” สิ้นสุรเสียงของผู้มาใหม่ภวังค์แห่งความคิดของเธเซียสจำต้องแตกสลาย
“พระองค์..” เธเซียสได้แต่อ้ำอึ้งเพราะเขามิเคยคาดคิดว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงสะกดรอยตามมาตั้งแต่ลานกว้างใจกลางพระราชวัง จวบจนใกล้จะถึงเรือนพำนักของเหล่าข้าหลวงที่อยู่ทางทิศใต้

“หรือว่าเจ้าก็ได้ลิ้มรสฮัลกิลเหมือนกับวัวพวกนั้น ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางแย้มสรวล
“โธ่! พระองค์” เธเซียสร้องประท้วงพร้อมกับเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบตรงบริเวณบาดแผล

“ไปทำแผลกับเรา หมดเวลาเล่นสนุกของเจ้าแล้ว” สุรเสียงแกมดุเปล่งวาจาออกมาอย่างน่าเกรงขาม แต่ทว่าการกระทำของเจ้าชายมิโนสกลับอ่อนโยนราวกับพระองค์กำลังโอบประคองอนุชาตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้แววตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายของบุรุษผิวคล้ำวูบไหวเพียงครู่
แต่หัวใจกลับเพิ่มแรงสั่นพร่าอย่างมิอาจห้ามปราม
เพียงเพราะท่าทีแห่งความห่วงใยของบุรุษผู้สูงส่ง


φ

[1] ไฟสทอส (Phaistos) เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิมิโนอันหรือครีตัน
[2] ฮัลกิล หรือ ฝิ่น ชาวสุเมเรียนรู้จักการปลูกฝิ่นมาตั้งแต่ 3,400 ปีก่อนคริสตกาล ถือเป็นชนชาติแรกของโลกที่รู้จักการปลูกฝิ่นและใช้ประโยชน์จากฝิ่น
   
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ยาเสพติดดึกดำบรรพ์ https://joo.gl/3vHQ
- ฝิ่น https://joo.gl/Z7wGz
- ฝิ่นกับวิถีชุมชนบนที่สูง https://joo.gl/QEDSq
- Bull Leaping (ข้อมูลภาษาอังกฤษนะคะ) https://joo.gl/jAp7n6

edit 23/05/2019 เปลี่ยนชื่อเมืองจาก ฟาเอสทอส เป็น ไฟสทอส ตามข้อมูลจากวิกิพีเดีย
[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการยืนและการนั่ง]

มีความพยายามจะเขียนฉากแอคชั่นมาก ๆ แต่ก็ได้เท่านี้ 555 เดี๋ยวเราจะพยายามลับฝีมือไปเรื่อย ๆ ค่ะ ตรงไหนที่ต้องปรับปรุงบอกได้นะคะ เผื่อเราจะเอาไว้ปรับตอนรีไรต์ ว่าแต่เจ้าชายมิโนสตั้งใจช่วยเธเซียสหรือว่าอะไรยังไงน้า แล้วเคออสไว้ใจได้มั้ยโปรดติดตามค่ะ สนุกไม่สนุกยังไงบอกเราด้วยนะคะ เราเขียนเองจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรค่ะ ตายด้านไปแล้ววว

ปล. วันหยุดใกล้หมดแล้ว ต่อไปคงมาได้แค่อาทิตย์ละตอนเหมือนเดิมน้า ส่วนปมหลักหลังจากนี้จะดำเนินเข้าเรื่องอีกครั้งค่ะ โปรดจับตาความผิดสังเกต >.<

https://imgur.com/nn4EwDS
https://imgur.com/8uwTk2n

Cr : elier sanz @ pinterest / Λόγιος Ερμής @ pinterest
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 12 (update 18/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 19-04-2019 12:21:37
สนุกมากค่ะ
คนที่เคยอ่านคำสาปฟาโรห์น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องราวบนเกาะครีตนะคะ
สามารถเห็นภาพโดยไม่ต้องเข้าไปดูในลิ้งค์เลยค่ะ
แถมได้ความรู้อื่นๆอีกเยอะเลย
เราก็ชื่นชอบประวัติศาสตร์แนวๆนี้เหมือนกัน
เพียงแต่เราเน้นอียิปต์เท่านั้นเอง

รออ่านตอนต่ออยู่นะคะ
กำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 13 (update 20/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-04-2019 13:37:37
ตอน 13

“เราทำเอง” ทันทีที่เดินทางมาถึงห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส เหล่านางกำนัลต่างเข้ามากลุ้มรุมผู้บาดเจ็บเสียยกใหญ่ แต่ทว่าบุรุษหน้าหวานกลับขันอาสารับหน้าที่ปรนนิบัติด้วยองค์เอง
ความเงียบเชียบจึงปกคลุมอยู่รอบกาย

“เจ้าลอบยิ้มด้วยเรื่องอันใด ?” แต่แล้วใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธเซียสที่ผ่านการทำความสะอาดเนื้อตัวจนหมดจดก็สร้างความฉงนให้แก่บุรุษผู้สูงส่ง
“กระหม่อมเพียงแต่คาดมิถึงว่าพระองค์จะทรง..” เธเซียสกล่าวพลางนั่งกอดอกพิงกำแพง ขณะมองดูบุรุษหน้าหวานในฉลองพระองค์สำหรับเข้าร่วมพระราชพิธี กำลังตั้งหน้าตั้งตาแต้มน้ำผึ้งลงบนบาดแผลบริเวณเรียวขา
เพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการบวมช้ำและยังช่วยฆ่าเชื้อ

“เจ้าทำแผลเป็นหรือไม่ ?” สิ้นดำรัสถามจากบุรุษตรงหน้า เธเซียสจึงขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจ แต่กระนั้นก็ยอมตอบไปตามความจริง
“เป็นพ่ะย่ะค่ะ”

“เราเองก็มิต่างจากผู้คนทั่วไป” สิ้นสุรเสียงเรียบนิ่ง คำตอบอันบ่งบอกถึงความเป็นเจ้าชายมิโนส ผู้ซึ่งใช้ชีวิตเรียบง่ายก็ปรากฏ
“เหตุใดพระองค์จึงทรงใช้ฮัลกิลกับวัวพวกนั้นพ่ะย่ะค่ะ ?” บุรุษผู้บาดเจ็บทูลถามพลางลอบมองปฏิกิริยาของเจ้าชายมิโนสอย่างละเอียด จึงพบว่าช่วงเวลาสั้น ๆ สัมผัสตรงบริเวณบาดแผลเกิดความหนักเบาอย่างผิดสังเกต
คล้ายกับคำถามของเธเซียส สร้างความหนักพระทัยให้แก่ผู้ถูกถาม

“น้องพี่..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางวางอุปกรณ์ทำแผลลงบนผ้าขาวสะอาดที่อยู่ใกล้ ๆ ตัว
“…”

“เจ้าก่อเรื่องเสียมากมาย หากเรามิออกหน้า เจ้าคิดว่ามันจะราบรื่นหรือ ?” ดำรัสถามส่งตรงมาพร้อมกับดวงเนตรอันลึกซึ้งแฝงความห่วงใยอย่างเปี่ยมล้น ส่งผลให้เธเซียสมองจ้องดวงเนตรคู่นั้นราวกับต้องมนตร์
“พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่ากระหม่อมก่อเรื่องอันใดไว้ ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความฉงนพลางผินหน้ามองบาดแผลของตน เนื่องจากเขายังมิอาจเข้าใจว่าคราบโคลนเหล่านั้น
ทำให้บุรุษตรงหน้าตีความแผนการจนหมดสิ้นได้อย่างไร

“การไปที่คอกวัวของเจ้า หากมิต้องการฆ่าคงเป็นการวางยา” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางลงมือทำแผล ขณะที่ผู้บาดเจ็บกลับรับรู้ได้เพียง ‘ความฉลาดหลักแหลม’ ของเจ้าชายพระองค์นี้
“เหตุใดพระองค์จึงทรงวางแผนซ้อนแผนเช่นนี้ ในเมื่อการละเล่นกับวัวกระทิงจำเป็นต้องฆ่ามันอยู่แล้ว” เธเซียสย้อนถามอย่างตรงประเด็น ส่งผลให้บุรุษผู้งามสง่าหยุดการเคลื่อนไหว

“พระองค์ทรงสรวลกระหม่อมด้วยสาเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความฉงน
“เจ้าเข้าใจว่าเราชี้นำให้เจ้าฆ่าวัวกระทิงอย่างนั้นหรือ ?” บุรุษผู้สูงส่งตรัสถามพลางขยับวรกายขึ้นมาประทับตรงหัวเตียง เพื่อที่จะได้ทำแผลบริเวณแขนของผู้บาดเจ็บ

“พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยังคงตอบด้วยท่าทีหน้าซื่อตาใส
“น้องพี่..”

“เหตุที่พี่ใช้ฮัลกิลในยามซุ่มซ้อม เป็นเพราะพี่มิได้ต้องการจะฆ่ามัน แต่ครั้นจะต้อนเข้าคอกสัตว์ดังเช่นงานประเพณี เจ้าคิดว่าเราสองจะทำกับสัตว์ที่อยู่กินตามธรรมชาติได้หรือ ?” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางบรรจงแต้มน้ำผึ้งลงบนบาดแผลอย่างแผ่วเบา เพียงแต่โอษฐ์หนากลับมิยอมหยุดสรวลด้วยความเอ็นดู เมื่อเธเซียสดันเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง
“กระหม่อมช่างโง่เขลานัก” บุรุษผู้บาดเจ็บกล่าวพลางถูไถปลายจมูกแก้เก้อ พร้อมกับพยายามทำความเข้าใจเหตุผลส่วนพระองค์ของเจ้าชายมิโนสที่ชักชวนให้ตนเดินทางไปยังอาณาเขตของป่าใบเขียว
ฉับพลันหัวข้อสนทนาท่ามกลางป่าเขาก็บ่งบอกได้ดีว่า..
เจ้าชายมิโนสทรงต้องการหลบหน้าผู้เป็นมารดา

“ความต่างทางวัฒนธรรม ผู้มิรู้ย่อมมิผิด” สิ้นคำกล่าวนั้นเธเซียสได้แต่ลอบมอบบุรุษผู้แสนใจดีแน่นิ่ง ขณะที่ในหัวกำลังนึกถึงภาพวาดเฟรสโกบนฝาผนัง จึงพบว่าบุรุษผิวสีน้ำตาลไหม้ที่กำลังเล่นกายกรรมอยู่บนแผ่นหลังของสัตว์ตัวใหญ่ คงจะเปรียบเสมือนเธเซียส ส่วนสตรีผิวขาวที่กำลังรองรับเขาของวัวกระทิง คงจะเปรียบเสมือนผู้ดูแลคอกวัว
ดังนั้นเมื่อจบภารกิจจึงมิจำเป็นต้อง ‘ฆ่า’ หรือ ‘วางยา’ เหตุเพราะผู้ดูแลคอกวัวสามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ ส่วนการเลือกใช้นายทหารระดับสูง คงเป็นเพราะเจ้าชายพระองค์นี้มิประสงค์ให้เกิดความผิดพลาด

“เหตุใดพระองค์จึงทรงคัดเลือกทหารจากการละเล่นกับวัวกระทิงหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามพลางมองจ้องบาดแผลที่ถูกเคลือบด้วยของเหลวสีน้ำตาลอ่อน
“เมื่อพบเจอสถานการณ์อันคับขัน สิ่งแรกที่เรามองเห็นคือไหวพริบของคนผู้นั้น และอย่างที่สองคือความคล่องตัว” เธเซียสยกยิ้มเพียงเล็กน้อย เมื่อเจ้าชายมิโนสทรงเงยพักตร์ขึ้นมาสบตากัน ขณะที่ในใจกลับวิเคราะห์ได้ว่าประเพณีอันดีงามถือเป็นฉากบังหน้าชั้นดีว่าชาวครีตันมิสนใจการรบราฆ่าฟัน
ดังนั้นหากเกิดเหตุสงคราม
ผู้มิรู้ย่อมต้องเสียรู้อยู่วันยังค่ำ

“นอนเสียเถิด เรามิรบกวนเจ้าแล้ว” กระทั่งทำแผลจนเสร็จสิ้น เจ้าชายมิโนสจึงทรงปรนนิบัติผู้บาดเจ็บโดยจัดแจงท่านอนให้เป็นอย่างดี ส่งผลให้เธเซียสได้แต่มองตามการเคลื่อนไหวของบุรุษร่างสูงจวบจนกระทั่งพระองค์เลือนหายไปจากสายตา เธเซียสจึงมุดตัวเข้าไปแอบซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าลินินผืนนุ่ม ขณะเดียวกันเหล่านางกำนัลที่ยังคงนั่งรออยู่ข้างนอกอย่างสงบเสงี่ยม ต่างเดินรี่เข้าไปยังห้องสรงน้ำทันทีที่เจ้าชายมิโนสทรงเรียกหา
ไม่นานจากนั้น..
กลิ่นเครื่องหอมที่ใช้ผสมน้ำอาบ จึงลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ

ฝ่ายเธเซียสได้แต่นอนเซื่องซึม เมื่อความเงียบงันรายล้อมอยู่รอบตัว ขณะที่แววตากลับมองจ้องบาดแผลแน่นิ่ง เพราะในหัวพลันนึกถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายเมื่อครั้งเยาว์วัย ซึ่งวันนั้นเป็นวันแห่งการล่าสัตว์เพื่อใช้คัดเลือกทหารกล้า บรรดาราชวงศ์แห่งไมซีเนียนจึงเสด็จประพาสป่าเพื่อทอดพระเนตรงานสำคัญด้วยพระองค์เอง
ทว่าวันนั้นกลับเป็นวันสุดท้ายที่เธเซียสได้โอบกอดผู้เป็นมารดา

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้บุรุษผู้กำลังเซื่องซึม จึงใช้ปลายนิ้วกดบริเวณหัวตาและหางตา เพื่อมิให้หยาดน้ำแห่งความอ่อนแอรินไหล ซึ่งวิธีดังกล่าวคือวิธีที่เขาใช้มันเสมอ แต่ทว่าในหัวกลับมองเห็นภาพของพระมารดาถูกสิงโตขนาดมหึมากระโจนเข้าใส่ พร้อมฉีกทึ้งร่างจนเลือดสาดกระเซ็น
ขณะที่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ยังคงติดตรึงมิเคยเสื่อมคลาย ดังนั้นค่ำคืนที่อสนีบาตเคยฟาดฟันลงบนผืนแผ่นดินของจักรวรรดิครีตัน เธเซียสจึงมิอาจหลับใหลด้วยเพราะเรื่องดังกล่าว
หาใช่เพียงเพราะความเคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องเชลยศึก

ทว่าเหตุการณ์เลวร้ายกลับมิจบลงแค่นั้น เมื่อการหลบหนีของสองพี่น้องถูกหยุดยั้งด้วยราชสีห์ผู้งามสง่า เสด็จพี่จึงผลักไสให้เขาหลบหนี แต่เธเซียสกลับมิกล้าทอดทิ้งผู้เป็นพี่ เขาจึงหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าขนาดสูงเกินกว่าศีรษะของเด็กชายวัย 6 ปีจะโผล่พ้น
และมันก็ทำให้เขามองเห็นนางกำนัลข้างกายของนางหญิงชั่ว
ซึ่งนางก็มองเห็นเขาด้วยเช่นกัน

เด็กชายตัวจ้อยจึงระหกระเหินไปยังป่าลึก ยิ่งใกล้ราตรีกาลความน่ากลัวก็ยิ่งแผ่กำจายออกมาจนรอบทิศ แต่กระนั้นเธเซียสก็มิมีกระจิตกระใจจะคิดสิ่งใด
เพราะเขากำลังถูกคนใจชั่วตามล่าเพื่อหมายเอาชีวิต
และการหลบหนีในครั้งนั้นก็ทำให้เขาได้เผชิญหน้ากับสุนัขป่าผู้มีนัยน์ตาดุจอัญมณี

น้ำตาหยดแรกของเด็กชายผู้เข้มแข็งจึงก่อเกิดขึ้น และวันนี้น้ำตาของเธเซียสก็เริ่มไหลริน เพียงเพราะสัมผัสอุ่นซ่านของเจ้าชายมิโนสที่กำลังลูบไล้เรือนผมราวกับต้องการปลอบขวัญซึมลึกมาจนถึงหัวใจที่แห้งผาก
บุรุษผู้ซึ่งกำลังอ่อนไหวจึงเริ่มไขว่คว้าหาความอ่อนโยนของชายผู้นั้น
จนกระทั่งอ้อมกอดที่เพิ่งจะได้รับ พร่ำสอนให้เธเซียสรู้จักคำว่า ‘ความปลอดภัย’ อย่างแท้จริง

กระทั่งกำหนดการณ์ที่องค์ฟาโรห์จะเสด็จกลับจักรวรรดิอียิปต์เดินทางมาถึง เจ้าชายมิโนสและนางกำนัลดาฟเน่จึงต้องคอยอำนวยความสะดวกให้แก่สหายต่างแดน จนมิมีเวลาสนใจอดีตเชลยที่กำลังนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้องบรรทม
นับว่าเป็นโอกาสอันดีต่อการสืบหาเรื่องราวของมิโนทอร์
โดยเริ่มจากการพิสูจน์ ‘ความเชื่อมั่น’ เป็นสิ่งแรก

ทว่าความไว้วางใจที่เจ้าชายมิโนสทรงประทานมาให้ กลับทำให้เธเซียสรู้สึกปวดร้าวในอกอย่างบอกมิถูก ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวมิเคยเกิดกับบุรุษผู้นี้ แต่หลังจากวันที่ได้เรียนรู้อ้อมกอดแห่งความปลอดภัย
ความไหวหวั่นกลับมีอิทธิพลเกินกว่าจะคาดเดา
เพลานี้เธเซียสจึงยืนลังเลต่อเป้าหมาย แม้ว่าจะมิมีราชองครักษ์มาคอยเฝ้าดู

แต่พอนึกถึงความไว้วางใจของเสด็จพ่อที่ส่งผลต่อ ‘อำนาจ’ ในระดับที่ผู้ใดก็มิอาจมองข้าม เธเซียสจึงมองเห็นหนทางที่จะกำจัดนางหญิงชั่ว และทำให้เสด็จพ่อมิหลงโง่งม
เขาจึงมิยืนลังเลอีกต่อไป..

ทันทีที่เดินทางลัดเลาะมาจนถึงท่าเรือตรงปากทางเข้าห้องใต้ดิน เธเซียสจึงรีบจุดคบไฟที่แอบเอามาจากห้องปั้นดินเผา พร้อมตรวจตรามีดกริชที่เหน็บไว้ตรงข้างเอวเพื่อความอุ่นใจ จากนั้นปลายเท้าของเธเซียสจึงเริ่มเหยียบย่างลงบนพื้นที่มีลวดลายของดอกไม้ชนิดโปรดของเจ้าชายมิโนส
กระทั่งเดินมาจนถึงทางแยก เธเซียสจึงเล็งเห็นว่าพื้นที่ตนเองเหยียบย่ำ ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองลวดลาย ซึ่งลวดลายที่หนึ่งคือดอกลิลลี่ ส่วนลวดลายที่สองคือสัตว์ทะเล
บุรุษหน้าคมจึงเลือกใช้เส้นทางของดอกลิลลี่.. 

ขณะที่สายตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายกลับสอดส่ายไปรอบ ๆ บริเวณอย่างระแวดระวัง ประสาทสัมผัสทางการได้ยินก็คอยแต่จะเพ่งพินิจไปยังเสียงสะท้อนที่กำลังดังก้องอยู่ในเขาวงกต
แต่ทว่าเสียงดังกล่าวกลับมีเพียงเกลียวคลื่นจากคูคลองตรงสุดปลายทางอีกด้านหนึ่ง

“เลือด” เธเซียสอุทานโดยมิออกเสียง พลางกวาดสายตามองรอบ ๆ บริเวณอย่างละเอียด พบว่าภาพวาดของดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงของผู้ซึ่งกลายสภาพเป็นศพได้อย่างลงตัว
จนเธเซียสแทบจะมองมิออกว่าสีดังกล่าวผสมมาจากสิ่งใด

เมื่อเห็นดังนั้นฝ่ามือที่เคยถือคบเพลิงจึงเริ่มกุมแน่น ขณะที่มือพลันกระชับมีดกริชตรงข้างเอวอย่างมิไว้วางใจ เนื่องจากเธเซียสเริ่มรับรู้ได้ว่า มิโนทอร์มิมีอยู่จริง เพราะหากสัตว์ประหลาดที่เสด็จพ่อทรงหวาดหวั่น ถูกกักขังไว้ยังที่แห่งนี้
เชื่อได้ว่าทันทีที่เสียงสะท้อนของปลายเท้าก่อเกิดขึ้น
ย่อมต้องปลุกมันขึ้นจากนิทรา

กระทั่งบุรุษผิวคล้ำเดินทะลุมายังปากทางเข้าอีกด้านหนึ่ง กลิ่นไอของลมทะเลจึงแตะอยู่ตรงปลายจมูก แต่กระนั้นเธเซียสก็มิมีเวลาจะมายืนทอดอารมณ์อยู่ที่นี่ เขาจึงวกกลับเข้าไปยังเส้นทางเดิม จนพบทางแยกลวดลายสัตว์ทะเล เขาจึงเลือกใช้เส้นทางดังกล่าว ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขามั่นใจว่ามิเคยเหยียบย่าง
เหตุเพราะบริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยกลิ่นอับของอะไรบางอย่าง
เพียงแต่มันเจือจางจนบางเบายากจะบ่งบอก

ไม่นานเธเซียสก็เดินมาจนถึงทางตัน เขาจึงเดินเยื้องย่างเข้าไปหาบรรดาเครื่องปั้นดินเผาขนาดเทียบเท่าพีโรอี บรรจุ ‘ศพ’ พบว่าข้างกันนั้นมีโถแอมโฟร่าวางตั้งอยู่ เธเซียสจึงลองดอมดมด้วยความสนใจ
กลิ่นหอมหวานของ ‘น้ำผึ้ง’ จึงลอยเตะปลายจมูก
ซึ่งของเหลวชนิดดังกล่าวมักจะใช้ในการดองศพ

“เตรียมการไว้พลั่งพร้อมถึงเพียงนี้ เหตุใดครานั้นจึงขนย้ายศพอย่างมิระมัดระวัง” เธเซียสรำพึงกับตนเองด้วยความข้องใจต่อเหตุการณ์ที่ประสบ ยิ่งวิเคราะห์ไปถึงท่าทีหวาดกลัวของเหล่าทหารกล้า ก็ยิ่งมิเข้าใจว่าพวกเขาหวาดกลัวสิ่งใด
เธเซียสจึงเริ่มวิเคราะห์จากเครื่องปั้นดินเผา คาดว่าคงเป็นเครื่องปั้นชุดที่สั่งทำหลังวันเกิดเหตุ แต่ทว่าการบูชายัญย่อมต้องมีการกำหนดฤกษ์งามยามดีมิใช่หรือ
แล้วการเตรียมการจะเกิดความผิดพลาดได้อย่างไร ?



φ

[1] พีโรอี (PITHOI) คือโถใบใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับแจกัน นักโบราณคดีวิเคราะห์ว่าพีโรอีมีไว้ใส่อาหาร ธัญพืช น้ำมันมะกอก และเหล้าองุ่น แต่คุณวันเดอลิชมีความเชื่อว่าโถใบใหญ่ขนาดนี้ น่าจะมีไว้ใส่ศพมากกว่า ซึ่งคนโบราณนิยมดองร่างด้วยน้ำผึ้ง ส่วนหินที่คิดว่าเป็นยุ้งก็น่าจะเป็นสุสานเสียมากกว่า เช่นเดียวกับภาพเขียน คงไม่ได้มีไว้ตกแต่ง แต่น่าจะเป็นวิธีบอกวิญญาณถึงการเปลี่ยนสภาวะไปสู่ชีวิตหลังความตาย

บทความที่เกี่ยวข้อง
- อารยธรรมกรีกโบราณ https://joo.gl/1qgG
- ปริศนาเขาวงกต https://joo.gl/r51YKO
- แพทย์แผนดึกดำบรรพ์สมัยไอยคุปต์ https://joo.gl/NcqV


[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการนั่ง]

มาต่อแล้วจ้าพอดีเขียนเสร็จเร็วกว่าที่คิด ช่วงนี้ก็เลยลงรัว ๆ หน่อย ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามค่ะ ดีใจที่มีคนชอบแนวเดียวกันมาตามอ่านด้วยเหมือนเจอพรรคพวก เพราะแนวนี้หาอ่านยากมากจริง ๆ เราเลยตัดสินใจเขียนเอง แต่ก็ต้องต่อสู้กับตัวเองไม่ให้ท้อถอยพอสมควรเลยค่ะ จริง ๆ เราสั่งหนังสือไปแล้วด้วยค่ะ แต่ปรากฏว่ามีเรื่องเกี่ยวกับอารยธรรมไมนวนอยู่ 3 บรรทัด! อยากจะร้องไห้ 55555 จะสั่งซื้อหนังสืออารยธรรมกรีกก็ลังเล กลัวช้ำใจแบบเล่มก่อน 5555

รูปด้านล่างคือพีโรอีค่ะ เราว่าหน้าตาของมันคล้ายกับกระถางใส่ต้นไม้ของบ้านหลังหรู ๆ หน่อย จริง ๆ เราเคยเจอรูปพีโรอีแตกจนเห็นโครงกระดูกที่บรรจุอยู่ข้างในด้วยค่ะ แต่จำไม่ได้ว่าเห็นมาจากเว็บไหน เท่าที่เคยอ่านจำได้ราง ๆ เหมือนกับว่าพอเกิดภัยพิบัติ ชาวไมนวน หรือ มิโนอัน (ชาวครีตัน) ก็เริ่มไม่เคารพนับถือเทพมารดา จึงมีการบูชายัญมนุษย์เกิดขึ้น ซึ่งมนุษย์เนี่ยเป็นญาติพี่น้องของตัวเองด้วยค่ะ จุดนี้เราเลยเอามาปรับกับเนื้อเรื่องเล็กน้อย เพียงแต่ต้องติดตามกันต่อไปว่าในเรื่องเกี่ยวกับอะไรกันแน่ อีกอย่างคือในเว็บไทยเท่าที่เราอ่านเจอคือชาวมิโนอันจะบวงสรวงวัว เราตีความว่าน่าจะเป็นการบูชายัญ แต่ในเว็บอังกฤษที่เราอ่านเจอชาวมิโนอันจะไม่สังหารวัวค่ะ เพราะเขานับถือวัวกระทิงด้วย สังเกตได้จากรูปปั้นต่าง ๆ ตรงนี้เราก็เลยเอามาปรับอีกเช่นกัน เราว่าเรื่องของประวัติศาสตร์ค่อนข้างดิ้นได้เยอะมาก อยู่ที่ใครจะตีความอย่างไร

https://imgur.com/4XrJjVH

Cr. west-crete.com
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 14 (update 22/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 22-04-2019 20:05:01
ตอน 14

เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญองค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ดังก้องไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้เธเซียสตื่นจากภวังค์แห่งความคิด เขาจึงรีบรุดออกจากห้องใต้ดินอย่างรวดเร็ว พร้อมทำลายหลักฐานด้วยการนำมีดกริชและคบไฟวางทิ้งไว้ในอดีตห้องปฏิบัติงาน
ทว่าในระหว่างที่ชายหนุ่มผิวคล้ำกำลังเดินทางกลับสู่ห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส ในหัวล้วนเต็มไปด้วยความครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวของห้องใต้ดิน จึงอยากวิเคราะห์ร่วมกันกับเซอร์ซี แต่ก็มิอาจทำได้
เนื่องจากนายทหารคนสนิทเกิดหายตัวไปอย่างเงียบเชียบ

“เจ้าไปเดินเล่นมาหรือ ?” ทันทีที่สองบุรุษเดินมาบรรจบกันตรงทางเดินจากคนละฝากฝั่ง เจ้าชายมิโนสจึงเป็นฝ่ายตรัสถาม ทว่าเธเซียสกลับมิได้ยิน บุรุษในเครื่องทรงสง่าผ่าเผยจึงดำเนินไปตามการก้าวย่างของเธเซียส ที่ราวกับจิตใจรับรู้ได้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่แห่งหนใด
เพียงแต่ความนึกคิดกลับหลุดลอยไปยังที่ที่ไกลกว่านั้น

กระทั่งเดินทางมาจนถึงจุดหมาย อดีตเชลยจึงเปิดประตูไม้และก้าวเข้าไปยังห้องบรรทม เพียงแต่ในขณะที่กำลังจะปิดประตูไม้ที่ตรงด้ามจับประดับรูปปั้นบริวารของเจ้าแม่ ภวังค์แห่งความคิดจึงแตกสลายจนหมดสิ้น
เมื่อประตูไม้บานดังกล่าวกำลังจะประทับลงบนดวงพักตร์หวานละมุนของเจ้าชายมิโนส

“กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสถอยกรูดพลางทรุดตัวลงแทบฝ่าพระบาทอย่างนอบน้อม ขณะที่ในใจยังคงสั่นไหวด้วยความตกใจ
“เรามิได้ถือโทษอันใด รีบลุกขึ้นเถิด” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางโน้มวรกายลงมาฉุดรั้งเธเซียสให้ลุกขึ้นยืน

“เจ้าครุ่นคิดสิ่งใดอยู่หรือ เราและเหล่านางกำนัลเฝ้าเดินตามตั้งแต่ทางขึ้นบันไดแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางเดินไปรินพระสุธารส[1]ด้วยองค์เอง ฝ่ายนางกำนัลหลายสิบชีวิตต่างก้าวเดินเข้าไปยังห้องสรงน้ำ เพื่อจัดเตรียมเครื่องหอมและน้ำอุ่นให้พลั่งพร้อม
“กระหม่อมเพียงแต่เกรงว่า..” เธเซียสกล่าวพลางหยุดถ้อยคำครู่หนึ่ง เนื่องจากเขายังประมวลหาเหตุผลที่ดีพอจะแก้ตัวมิได้

“เจ้ากำลังกริ่งเกรงสิ่งใดอยู่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามขณะทรงยืนเคียงข้างเธเซียสที่กำลังเฝ้ามองทิวทัศน์ด้านนอกตรงบริเวณริมระเบียงที่ประดับด้วยผ้าม่านสีขาวลวดลายดอกลิลลี่มัดติดกับมุมห้องด้วยเชือกสีเดียวกัน
“เกรงว่าความสามารถของกระหม่อมจะยังมิดีพอพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผิวคล้ำเหลือบมองไปยังรูปปั้นเขาวัวอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏอยู่ในกรอบสายตา จึงนำข้ออ้างเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวมาเป็นฉากบังหน้า

“สิ่งใดทำให้เจ้าคิดว่ายังมิดีพอหรือ ?” บุรุษหน้าหวานที่วันนี้ยังคงปล่อยพระเกศายาวสยาย เพียงแต่บนเศียรประดับด้วยมงกุฎล้ำค่ามิต่างจากวันงานประเพณี เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมีความประสงค์จะให้เกียรติองค์ฟาโรห์ผู้เป็นสหาย จึงทรงแต่งกายอย่างเป็นทางการ
“บาดแผลของกระหม่อม”

“น้องพี่.. เราบอกเจ้าแล้วว่าการคัดเลือก เรามองคนที่ไหวพริบในการแก้ปัญหา เพราะในสนามรบไหวพริบคือสิ่งสำคัญ เช่นนั้นการคัดเลือกของเจ้าจะมิเหมาะสมได้อย่างไร ?” สิ้นคำตรัสถามเธเซียสยังคงมองจ้องไปยังน่านฟ้าใหญ่ที่กำลังจะหม่นแสง เนื่องจากเขามิรู้ว่าจะกล่าวอันใด เมื่อในใจลึก ๆ ยังคงมองมิเห็นความเหมาะสม
เหตุเพราะเจ้าชายมิโนสทรงใช้เล่ห์กลเพื่อช่วยเหลือเขา
แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้ปฏิเสธความหวังดีดังกล่าว เขาจึงหันมาคลี่ยิ้มให้กับบุรุษที่ทรงยืนอยู่ข้างหลัง

“เธเซียส..” ฉับพลันที่นามจอมปลอมอันคุ้นหูถูกเอื้อนเอ่ยด้วยสุรเสียงทุ้มนุ่มของเจ้าชายมิโนส หัวใจของเจ้าชายจากต่างแดนมีอันต้องหวิวไหว เลือดลมพลันสูบฉีดขึ้นบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว จนทำให้เธเซียสมิอาจปฏิบัติตนถูก
“พ่ะ..” ริมฝีปากของบุรุษผิวคล้ำขยับไหวราวกับพูดมิออก แต่กระนั้นก็ยังอยากจะขานรับสุรเสียงอันอบอุ่นนั้น

“กลิ่นกายของเจ้า แปลกประหลาดเสียจริง” เสียงทุ้มนุ่มในเชิงขบขันดังขึ้นไม่ไกลนัก แต่กระนั้นก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน เธเซียสจึงยกแขนดอมดมด้วยความสงสัย
พบว่ากลิ่นประหลาดดังกล่าว..
คือกลิ่นของ ‘น้ำมัน’ จากคบไฟ

บุรุษผู้มิเคยกริ่งเกรงอันใดถึงคราวต้องทำหน้าเครียด ขณะที่สองมือพลันกอบกุมกันแน่น คล้ายกับต้องการระบายความไม่สบายใจ เหตุเพราะเขามิทันคาดคิดว่า ‘น้ำมัน’ จะกลายเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าชายมิโนสทรงผิดสังเกต
ด้วยเพราะเดิมทีเธเซียสมิใช่คนละเอียดลออดังเช่นเจ้าชายผู้มีใจรักงานศิลป์

“เธเซียส..” สุรเสียงทุ้มนุ่มมิได้มีแววอาฆาตมาดร้ายอันใด ดังออกมาจากห้องสรงน้ำที่ประดับด้วยภาพวาดเฟรสโกลวดลายโลมากำลังโต้คลื่นลม
“พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสขานรับพลางเดินตรงไปยังที่มาของเสียงดังกล่าวด้วยท่าทีเจี๋ยมเจี้ยมราวกับมิใช่เธเซียสคนเดิม
เหตุเพราะเขากำลังหวั่นเกรงว่าความผิดสังเกตอันเล็กน้อย
อาจทำให้ความสัมพันธ์อันแสนอบอุ่นขาดสะบั้นภายในชั่วพริบตา

“น้องพี่เข้ามาล้างตัวเสียสิ” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางทรงยืนแน่นิ่ง โดยมีเหล่านางกำนัลคอยกลุ้มรุมอยู่ไม่ห่าง กระทั่งเนื้อตัวเปลือยเปล่าบุรุษผู้ซึ่งมีใบหน้าหวาน หากแต่วรกายกลับสมชายชาตรี ทุกสัดส่วนจึงดูแน่นขนัดไปด้วยความแข็งแรงกำยำ ย่างพระบาทลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำอุ่น
แต่ทว่าการเคลื่อนไหวกลับหยุดชะงัก
ส่งผลให้แผงอกล่ำสันปรากฏสู่สายตาของเธเซียสอย่างเต็มภาคภูมิ

“เจ้าต้องการแช่น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น ?” ดำรัสถามราวกับจะส่งมอบอำนาจในการตัดสินใจให้แก่บุรุษผิวคล้ำที่กำลังยืนเสตามองไปยังภาพวาดเฟรสโกลวดลายสัตว์ทะเล
“น้ำเย็นพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบอันแผ่วเบา เธเซียสก็มิรอช้า รีบปลดเปลื้องอาภรณ์ใกล้ ๆ บริเวณบ่อน้ำจากธรรมชาติขนาดไม่ใหญ่นัก

กระทั่งความเย็นนำพาความสดชื่นเข้ามาทักทาย ความอัดแน่นภายในจิตใจดูเหมือนจะทุเลาลงมาก แต่ทันทีที่เจ้าชายมิโนสทรงมีรับสั่งให้นางกำนัลที่นั่งเฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าห้องสรงน้ำมิต้องคอยปรนนิบัติ
ความกังวลอันมากมายกลับไหลบ่าเข้ามามิหยุดยั้ง

บุรุษผิวคล้ำจึงได้แต่ลอบมองเจ้าชายมิโนสที่กำลังนอนแช่อ่างน้ำอุ่นอยู่ตรงมุมห้อง ความเงียบขรึมแน่นิ่งของบุรุษผู้นั้นคล้ายแผ่กำจายหมอกควันราวกับภูเขาแห่งไฟจนถ้วนทั่ว พาลพาให้เธเซียสรู้สึกอึดอัด เขาจึงค่อย ๆ ทรุดตัวลงสู่ก้นบ่อ พลางหลับตาซึมซับความเงียบสงบภายใต้ผืนน้ำอันเย็นฉ่ำ
แต่ทว่าดวงใจของเธเซียสกลับมิอาจหาจุดสงบนิ่ง
เหตุเพราะเขากำลังหวาดกลัวท่าทีของบุรุษผู้สูงส่ง

“เดิมทีเราคิดว่าตัวเรามิต้องการความอบอุ่นอันใดจากเสด็จแม่ เพราะเราชินชากับความโดดเดี่ยว..” ทันทีที่เธเซียสโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ ดำรัสเลื่อนลอยของเจ้าชายมิโนสก็ดังตามมา ก่อนจะปิดท้ายด้วยความเงียบเชียบที่ค่อย ๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
แต่สำหรับเธเซียสความเงียบเชียบดังกล่าว กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกโล่งใจ บวกกับกลิ่นไอของน้ำมันหอมระเหยที่ผสมปนเปไปกับน้ำมันมะกอก เริ่มนำพาให้เกิดความผ่อนคลายได้ไม่ยาก

“แต่พอเสด็จแม่และแอริแอดเนมิได้ประทับอยู่ที่นี่ เรากลับโหยหาความครื้นเครงของราชวังแบบเมื่อหลายวันก่อน” สุรเสียงทุ้มนุ่มอ้างว้างยังคงกล่าวอย่างเลื่อนลอย ขณะที่เธเซียสกลับตั้งใจฟังอย่างเงียบเชียบด้วยหัวใจที่สั่นไหว
“ภาพของเรือพระที่นั่งที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างจากท่าเรือของพระราชวัง ทำให้ในใจเราตะโกนก้องอย่างหมดท่าว่า..”

“เสด็จแม่ แอริแอดเน.. อยู่ต่อสักวันสองวันได้หรือไม่” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยน้ำเสียงแหบโหย คล้ายกับก้อนสะอื้นกำลังพันรัดจนพระหทัยเจ็บปวด
“…”

“แต่เรากลับทำได้เพียงยืนดูเรือลำนั้นล่องลอยออกไปจนสุดสายตา” บุรุษผู้มีใบหน้าหวานตรัสพลางแย้มโอษฐ์เพียงนิด แต่ทว่ารอยยิ้มของพระองค์กลับมิได้น่ามองดังเช่นวันวาน
“ท่านพี่.. เราสองแข่งกลั้นลมหายใจใต้น้ำดีหรือไม่ ?” เธเซียสกล่าวชักชวนพลางปรับสีหน้าให้ดูเริงร่า
เพื่อหวังจะดึงความเศร้าสร้อยของเจ้าชายพระองค์นี้ให้หดหายไป

“เจ้าอยากพนันด้วยสิ่งของอันใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางหันดวงพักตร์มายังเธเซียส
“หากกระหม่อมชนะ ถึงจะให้คำตอบพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวด้วยสีหน้าแจ่มใส คล้ายกับความไม่สบายใจของเจ้าตัวถูกบุรุษผู้งามสง่าปัดเป่าจนหมดสิ้น

“เราเองก็เช่นกัน” สิ้นคำตอบเจ้าชายมิโนสก็เสด็จออกจากอ่างน้ำอุ่น ขณะที่เธเซียสกำลังหันมองไปยังภาพวาดเฟรสโกลวดลายสัตว์ทะเล กระทั่งอีกฝ่ายทิ้งกายลงสู่บ่อน้ำธรรมชาติ
ดวงตาของเธเซียสจึงมองสบกับดวงเนตรสีนิลรัตติกาล

กระทั่งสัญญาณแห่งการเริ่มต้นปรากฏ สองบุรุษจึงค่อย ๆ ดำดิ่งลงสู่ก้นบ่อ ความใสสะอาดของหยาดน้ำหอมละมุน ส่งผลให้ทั้งคู่ต่างมองเห็นกันและกันอย่างเด่นชัด เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป แววตาของเธเซียสกลับเริ่มพร่าเบลอ เหตุเพราะเขามิได้คุ้นชินกับการอยู่ภายใต้ผืนน้ำอันกว้างใหญ่
แต่กระนั้นเขาก็ยังมีความอดทน ฟองอากาศจึงค่อย ๆ หลุดรอดออกจากริมฝีปาก
ขณะที่เจ้าชายมิโนสกลับไร้วี่แววแห่งความพ่ายแพ้

ฉับพลันที่ความอดทนหมดสิ้น เธเซียสก็รีบดีดตนเองขึ้นสู่ผิวน้ำ พลางหันหลังเกาะขอบบ่อพร้อมใช้ผ้าสะอาดที่นางกำนัลนำมาวางทิ้งไว้เช็ดใบหน้าจนแห้งหมาด
แต่ทว่าคู่แข่งขันยังคงซ่อนกาย
ราวกับเขาหายใจอยู่ในน้ำและมองเห็นได้อย่างโลมา

เธเซียสจึงได้แต่มองจ้องเงาดำตรงหน้าแน่นิ่ง พร้อมขบคิดเล่น ๆ ว่า ชายชาตรีอย่างชาวครีตันอาจมีความสามารถพิเศษ กองทัพเรือของจักรวรรดิครีตันถึงได้มีอิทธิพลมากที่สุดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
และบางที ‘มิโนทอร์’ ดังคำเล่าลือ
อาจเป็นเงาดำทะมึนของทหารครีตัน ที่รอซุ่มโจมตีเหล่าโจรสลัด

แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง..
พีโรอีกับน้ำผึ้งเล่ามีไว้บูชายัญสิ่งใด ?

“เจ้าแพ้แล้ว” ขณะที่ภวังค์แห่งความคิดกำลังก่อตัวเป็นรูปร่าง เจ้าชายมิโนสผู้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ผืนน้ำราวกับสัตว์ทะเลจึงโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ พลางตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่งพร้อมลูบไล้เกศาให้เข้าที่เข้าทาง
“พระองค์ทรงอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ๆ ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ” เธเซียสยิ้มรับดำรัสนั้นพลางกล่าวชื่นชมบุรุษตรงหน้าจากใจจริง เพราะเขามิเคยเห็นผู้ใดกลั้นหายใจอยู่ในน้ำได้นานถึงเพียงนี้

“หากเจ้าชนะ เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามอย่างจริงจัง
“กระหม่อมต้องการให้พระองค์แย้มสรวลอย่างมีความสุขพ่ะย่ะค่ะ” อดีตเชลยกล่าวพลางมองจ้องดวงเนตรของเจ้าชายตรงหน้าแน่วแน่
เพื่อถ่ายทอดความจริงใจและตั้งมั่น

สิ้นคำกล่าวนั้นดวงตาสองคู่กลับสบกันแน่นิ่ง จากนั้นเจ้าชายมิโนสก็ทรงขึ้นจากบ่อน้ำธรรมชาติ พลางหยิบผ้าผืนสวยนุ่งห่มด้วยความคล่องแคล่ว บ่งบอกได้ดีว่าเจ้าชายพระองค์นี้ ทรงโปรดปรานการทำอะไรด้วยองค์เอง
จากนั้นวรกายสูงสง่าพลันดำเนินตรงไปยังปากประตูห้องสรงน้ำ ทว่าดวงพักตร์หวานละมุนกลับหันมองมาทางเธเซียสที่กำลังแช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำ ไม่นานจากนั้นพระองค์ก็ทรงแย้มสรวลดังเช่นเธเซียสต้องการ

“เรื่องของเรายังมีให้เจ้าประหลาดใจอีกมาก”

สิ้นสุรเสียงเรียบนิ่งแอบแฝงความน่าหวาดหวั่น

ส่งผลให้รอยยิ้มของบุรุษผิวคล้ำ พลันถูกลบเลือนภายในบัดดล



φ

[1] พระสุธารส แปลว่า น้ำดื่ม

บทความที่เกี่ยวข้อง

- 5 เคล็ดลับใช้ 'น้ำมันมะกอก' จากยุคโบราณที่ปัจจุบันยังใช้ได้ https://joo.gl/0yuD
- ชาวเล "บาเจา" มีวิวัฒนาการจนม้ามใหญ่ ใช้ดำน้ำได้อึดกว่าคนทั่วไป https://joo.gl/7uoh
- สุขภาพ : เหตุใดบางคนจึงมีคุณสมบัติทางกายภาพเหนือคนทั่วไป? https://joo.gl/9Ixc

[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับการยืนและการนั่ง]

วันนี้มาอัพได้เร็วอีกแล้ว 55 สมองกำลังพุ่งปรี๊ดๆ สำหรับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่เปิดเผยความน่ากลัวของเจ้าชายมิโนสออกมาบ้างเท่านั้นเอง เราแอบเขียนเครื่องอาบน้ำใส่ลงไปในนิยายด้วย แต่อาจจะไม่เยอะมาก คือคนโบราณเค้าใช้น้ำมันมะกอกผสมน้ำมันหอมระเหยผสมกับน้ำเพื่อแช่ตัว หรือใช้น้ำมันมะกอกแทนสบู่ค่ะ ส่วนความสามารถของเจ้าชายมิโนสนั้น เราเอาบทความแปะไว้ให้ว่าบนโลกนี้มีความสามารถแบบนี้อยู่จริงค่ะ ใครสนใจลองไปอ่านกันได้ เดี๋ยวตอนหน้าจะออกเดินทางไปสู่เกาะธีรา หรือเกาะแห่งไฟกันจ้า
ปล. พอมีคนเดาพล็อตรัว ๆ แบบนี้ บอกเลยว่าเราฟิตขึ้นมาทันตา 555 ขอบคุณที่ยังติดตามมาก ๆ เลยค่ะ


อันนี้ห้องน้ำของชาวมิโนอันค่ะ
https://imgur.com/hrZx8Ly

อ่างอาบน้ำหน้าตาแบบนี้
https://imgur.com/qav5AWO

โถสุขภัณฑ์ค่ะ เราว่าคล้ายกับของปัจจุบันมาก อาจเป็นเพราะว่ามิโนอันคือชาติแรกที่ทำโถสุขภัณฑ์ค่ะ
https://imgur.com/vBEnITc

ส่วนอันนี้คือท่อระบายน้ำในสมัยนั้นค่ะ เคยเขียนแฝงไว้นานแล้ว แต่ตอนนั้นยังหารูปไม่เจอ เท่าที่จำได้คือหลังจากเกิดเหตุล่มสลาย ชาวครีตันก็กระจัดกระจายกันไป วิวัฒนาการตรงนี้เลยถูกลืมเลือนไปค่ะ
https://imgur.com/BdfdA6j
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 14 (update 22/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 23-04-2019 11:24:57
น่าสนใจนะคะเรื่องนี้ :L2:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 14 (update 22/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-04-2019 03:47:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 14 (update 22/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 24-04-2019 18:39:02
ดีใจได้อ่านสองตอนรวดเลย 555
ยิ่งได้อ่านก็ยิ่งอยากอ่านต่อค่ะ
แอบกลัวมาม่าจัง
ถ้าความเป็นเจ้าชายของเธเซียสถูกเปิดเผย
ก็พอจะรู้อ่ะว่า เจ้าชายมิโนสน่ากลัวมากแค่ไหนภายใต้รอยยิ้มอ่อนโยนนั่น แถมยังฉลาดเป็นกรดอีกต่างหาก
ไม่แน่ว่าเจ้าชายมิโนสรู้ตั้งแต่แรกแล้วหรอกนะว่าเธเซียสเป็นไส้ศึก เลยแกล้งทำดีด้วยอ่ะ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 15 (update 24/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 24-04-2019 19:34:40
ตอน 15

นับตั้งแต่เจ้าชายมิโนสตรัสวาจาคลุมเครือ เธเซียสก็จมอยู่กับความกังวลใจ ระยะห่างระหว่างกันจึงมีอยู่มาก ซึ่งเธเซียสก็เป็นฝ่ายปลีกตัวออกมาเอง ขณะที่เจ้าชายมิโนสยังทรงเงียบขรึมมิแปรเปลี่ยน
กระทั่งขบวนเสด็จอันประกอบด้วยเธเซียสและราชองครักษ์อีก 2 นาย ดำเนินมาจนถึงบริเวณทิวเสาสีแดงต้นใหญ่ขนาบข้างตลอดเส้นทาง สายลมเย็นฉ่ำพลันโบกสะบัดเป็นการทักทาย ภาพอันคุ้นเคยในความทรงจำของเธเซียสจึงปรากฏ
เมื่อเกศาสีนิลพลิ้วไหวราวกับเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเล

จากนั้นไม่นานเรือโดยสารของชาวครีตันที่มีลักษณะอ่อนช้อยตามแบบฉบับผู้มีใจรักงานศิลป์ก็ปรากฏ โดยเรือลำนั้นมีการวาดลวดลายของนกทะเลเอาไว้จนรอบทิศ ขณะที่ส่วนหัวเรือมีความเชิดแหลมรับกับส่วนท้ายเรือที่มีความโค้งงอราวกับหางแมงป่อง ซึ่งเรือลำนี้เป็นเรือขนาดกลางติดกำลังฝีพายกรรเชียงขนาดใหญ่ จึงใช้กำลังคนทั้งหมด 6 ชีวิต ส่วนอีก 2 ชีวิตเป็นคนคัดท้ายหางเสือเพื่อควบคุมทิศทางของการเดินเรือ
และดูเหมือนว่า..
กำลังคนเหล่านั้นจะเป็นทาสจากนูเบีย

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่เจ้าชายมิโนสเสด็จมาถึงบริเวณท่าเรือ เหล่านายทหารคนสนิทและทาสจากนูเบียต่างทำความเคารพอย่างนอบน้อมและยกย่อง ส่งผลให้เจ้าชายผู้เงียบขรึมแย้มสรวลด้วยท่าทีอันผ่อนคลาย
จึงทำให้บรรยากาศโดยรอบสำหรับเธเซียส เริ่มคลายความตึงเครียดภายในชั่วพริบตา

กระทั่งเจ้าชายมิโนสเสด็จไปยังท้ายเรือ เพื่อประทับยังพระที่นั่งที่มีการสร้างรั้วกั้นละอองน้ำทะเลอย่างรอบคอบ เธเซียสจึงหันไปสบสายตากับราชองครักษ์นายหนึ่งที่มายืนรอรับเสด็จอยู่ก่อนแล้ว
ฉับพลันแววตาของเขาพลันเบิกกว้าง

“เคออส! นี่เจ้า!” บุรุษหน้าคมจากต่างแดนเอ่ยลั่น พลางชี้หน้าสหายสนิทด้วยความอึ้งทึ่ง สายตาพลันสำรวจเครื่องแต่งกายของบุรุษตรงหน้าราวกับมิอยากจะเชื่อ
“เจ้าอย่ามัวแต่พิลี้พิไลเลย รีบเตรียมตัวเดินทางเสียเถิด ผู้น้อยมิควรให้ผู้สูงศักดิ์เป็นฝ่ายรอคอยมิใช่หรือ ?” เคออสกล่าวพลางเดินกอดคอเธเซียสลงไปยังลำเรือที่กำลังจอดเทียบท่า จากนั้นทั้งคู่จึงพากันไปนั่งยังพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้
ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวถูกกั้นด้วยระแนงไม้หวายเพื่อมิให้ละอองน้ำซัดสาด

“เหตุใดราชองครักษ์อย่างท่าน จึงกลายเป็นช่างฝีมือไปได้เล่า ?” เมื่อใบเรือสีขาวเริ่มกางออกจนมองเห็นศีรษะของวัวกระทิงอย่างโดดเด่น เธเซียสจึงกล่าวเปิดประเด็นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ขณะที่ในใจกำลังตีรวนด้วยความสับสน เหตุเพราะข้อมูลบางอย่างที่เขารับรู้มาจากเคออส ล้วนขัดแย้งต่อดำรัสของเจ้าชายมิโนสอยู่ในที
เธเซียสจึงรู้สึกราวกับว่า..
ตนกำลังถูกปั่นหัว

“ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการ” สิ้นคำตอบจากสหายสนิท ความเงียบเชียบพลันปกคลุมระหว่างคนทั้งสอง สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเธเซียสกำลังคิดวิเคราะห์ใจความดังกล่าวอย่างถี่ถ้วน
เนื่องจากความนัยของเคออส
บ่งบอกได้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นข้าราชบริพารที่เจ้าชายมิโนสทรงไว้วางพระทัย

ความกลัดกลุ้มรุมเร้าเสียจนเธเซียสมิอาจวางใจ บรรยากาศร่มรื่นของป่าใบเขียวจึงถูกมองข้ามอย่างน่าเสียดาย ทว่าเมื่อออกสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ก็มิอาจดึงดูดความสนใจจากบุรุษผิวคล้ำได้เช่นกัน
เหตุเพราะเพลานี้เขาเอาแต่นั่งกัดเล็บจนแทบจะมิมีให้กัด

“เกาะแห่งไฟเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความน่าเกรงขามสมคำล่ำลือเสียจริง” กระทั่งเธเซียสเริ่มพิจารณาได้ว่า เพลานี้เรือขนาดกลางกำลังลอยล่องเข้าสู่อาณาเขตของเกาะแห่งไฟที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตรงกันข้ามของเกาะครีต กระไอหมอกจากภูเขาแห่งไฟจึงเริ่มปกคลุมท้องทะเลอันเวิ้งว้างจนมิอาจมองเห็นสิ่งใดนอกจากกลุ่มควันสีขาว ความหนาวเย็นพาลพาให้ขนแขนลุกชันอย่างแปลกประหลาด อาจเพราะเขามิเคยสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ นอกเสียจากเคยได้ยินคำเล่าลือจากผู้อื่น ครั้นจะเดินทางมายังจักรวรรดิครีตัน เหล่าพ่อค้าต่างเลือกใช้เส้นทางเดินเรืออีกเส้นทางหนึ่งที่มิจำเป็นต้องผ่านหมู่เกาะอันน่าหวาดหวั่น
“เงาดำนั่น!” เธเซียสอุทานด้วยความตื่นตระหนก หลังจากที่เขานั่งยืดตัวมองไปรอบ ๆ บริเวณ จนกระทั่งสังเกตเห็นเงาดำทะมึนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ผิวน้ำ ค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ลำเรืออย่างเชื่องช้า
หลังจากนั้นเรือโดยสารก็เริ่มโคลงเคลงอย่างแรงกล้า ทั้ง ๆ ที่มิมีลมพายุแต่อย่างใด
ฉับพลันเรื่องเล่าของ ‘มิโนทอร์’ จึงเริ่มปรากฏอยู่ในความคิด

บุรุษผู้มีเลือดนักสู้จึงกวาดสายตาไปจนทั่วลำเรือ เพื่อควานหาบางสิ่งบางอย่างที่พอจะใช้แทนอาวุธ กระทั่งสายตาสบกับหอกด้ามยาวทำจากสำริดมัดติดกับเสากระโดงเรือ เขาจึงรีบกระโจนเข้าหาอาวุธดังกล่าวด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ราวกับเขากำลังหลีกหนีจากวิถีอันตราย
ซึ่งมันก็พอดีกับจังหวะที่เจ้าสัตว์ประหลาดตัวร้ายกระโจนขึ้นสู่ผิวน้ำ
ส่งผลให้เสียงหวีดร้องจากเหล่าทาสนูเบียดังระงมไปทั่วลำเรือ

“มาเองเชียวหรือขุนพลดีดะรัส” เจ้าชายมิโนสทรงทักทายนายทหารร่างใหญ่ที่กำลังยึดเกาะลำเรือด้วยสภาพเนื้อตัวเปียกโชก ขณะที่เธเซียสกำลังยืนหอบถี่อยู่ตรงเสากระโดงเรือ พลางจับหอกด้ามยาวอย่างแน่นหนาพร้อมเล็งเป้าไปยัง ‘มิโนทอร์’ ในความคิด
“เจ้าวางอาวุธเสียเถิด มิมีอันใดแล้ว” วาจานุ่มละมุนมาพร้อมสัมผัสแสนนุ่มนวลของเจ้าชายมิโนส ไม่นานหอกด้ามยาวจากฝ่ามือของเธเซียสก็ถูกปลดออกโดยบุรุษผู้สูงศักดิ์ ข้อมือพลันถูกฉุดรั้งไปยังพระที่นั่งตรงบริเวณท้ายเรือ จากนั้นเธเซียสก็ถูกบังคับให้นั่งบนขั้นบันไดตรงที่วางฝ่าพระบาท

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” กระทั่งสถานการณ์กลับสู่ความสงบ นายทหารร่างใหญ่ก็เดินเข้ามารายงานตัวต่อเจ้าชายมิโนสด้วยท่าทีนอบน้อม เธเซียสจึงจดจำได้ว่าขุนพลท่านนี้คือนายทหารที่เข้าร่วมการละเล่นกับวัวกระทิง
“หมู่นี้โจรสลัดคงจะชุกชุมมิเบา” เจ้าชายมิโนสตรัสกับขุนพลดีดะรัสขณะที่พระหัตถ์วางแหมะอยู่บนศีรษะของบุรุษที่เมื่อครู่กำลังขวัญเสียจนถึงกับกระโจนเข้าหาอาวุธ

“ทูลเจ้าชายมิโนส เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ อุบายของพระองค์ใช้ได้ผลชะงัด” ขุนพลดีดะรัสกล่าวพลางเหลือบมองมายังเธเซียส
“เห็นจะเป็นเช่นนั้น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มสรวลอย่างสดใส ส่งผลให้เธเซียสที่กำลังนั่งฟังบทสนทนา จำต้องเงยหน้าขึ้นมองดวงพักตร์หวานละมุนพร้อมส่งสายตาแห่งความคาดโทษ
เพียงแต่สิ่งที่รับคืนกลับมา..
ดันเป็นรอยยิ้มที่มิเคยได้เห็น นับตั้งแต่เมื่อค่ำคืนวาน

“เทศกาลเดินเรือมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ?” หลังจากบทสนทนาเริ่มเข้าสู่งานราชกิจ เธเซียสก็เริ่มสำรวจรอบ ๆ บริเวณอีกครั้ง พบว่าที่นั่งของตนทำให้การมองเห็นกลับกลายเป็นมุมมองที่สูงขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่ช่วยให้การมองเห็นดีนัก เหตุเพราะหมอกควันจากภูเขาแห่งไฟยังคงปลดปล่อยออกมามิหยุดยั้ง กระทั่งเข้าใกล้ริมฝั่งมากขึ้น รูปร่างของภูเขาอันใหญ่โตจึงปรากฏอยู่ท่ามกลางม่านหมอกสีขาว
ราวกับภาพฝันอันรางเลือน

“การซ่อมบำรุงคืบหน้าไปได้หลายส่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ขุนพลดีดะรัสรายงานความคืบหน้าของเทศกาลเดินเรือ เธเซียสจึงเริ่มเข้าใจได้ทันทีว่า งานดังกล่าวอาจมีความเกี่ยวข้องทางการทหาร เพียงแต่อาจจะแสดงออกในรูปแบบของงานประเพณีอันเก่าแก่ เหตุเพราะการเดินทางมายังเกาะแห่งไฟในครั้งนี้ มิใช่การออกมาสำรวจความเป็นไปของบ้านเมือง ระยะเวลาแห่งการพำนักยังเกาะดังกล่าว จึงกินเวลาอยู่หลายวัน เท่ากับว่าเธเซียสอาจต้องเรียนรู้การสู้รบบนลำเรือ
กระทั่งเงาดำวูบหนึ่งเคลื่อนผ่านลำเรือจนห่างออกไปไกลริบ คล้ายกับคนกลุ่มนั้นคือผู้สร้างความขวัญผวาร่วมกับขุนผลดีดะรัส เธเซียสจึงเริ่มวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับความคิดดั้งเดิม และมันก็ได้รับคำยืนยันจากปฏิกิริยาของเขาและคนรอบข้าง เพียงแต่เธเซียสยังมิเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงทรงใช้กลอุบายดังกล่าว ในเมื่อสภาพแวดล้อมบริเวณเกาะแห่งไฟ ล้วนเต็มไปด้วยหมอกหนาจนมิอาจมองเห็นฐานทัพเรือของจักรวรรดิครีตันและมิอาจเดินเรือได้สะดวก

“ทรงพระเจริญ!”
“เจ้าชายมิโนส!”

เมื่อเรือโดยสารเริ่มลอยล่องเข้ามาใกล้ฝั่งในระยะที่มองเห็นเงาร่างของภูเขาแห่งไฟได้ชัดเจนขึ้น เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญต่อเจ้าชายมิโนสจึงดังระงมอย่างน่าเกรงขาม บ่งบอกได้ดีว่าเจ้าชายพระองค์นี้ประทับอยู่ในใจของราษฎร์และเหล่าทหารกล้าอย่างมิต้องสงสัย
ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะความมีเมตตาและการบริหารบ้านเมืองอย่างเงียบสงบ

แต่ทว่าสิ่งที่เธเซียสกำลังให้ความสนใจ มิใช่เหล่าราษฎร์จากบริเวณใกล้เคียงกำลังน้อมถวายช่อดอกลิลลี่สีขาวบริสุทธิ์ หรือแม้กระทั่งพืชพันธุ์ธัญญาหารให้แก่เจ้าชายมิโนสด้วยการล่องเรือเข้ามาใกล้ เนื่องจากฐานทัพเรืออันแข็งแกร่งดังคำเล่าลือของนางกำนัลดาฟเน่กำลังปรากฏสู่สายตาของเธเซียส ซึ่งเรือรบของชาวครีตันมีทั้งเรือลำใหญ่และลำเล็ก
จากที่คำนวณคร่าว ๆ พบว่ามีเรือลำใหญ่ทั้งสิ้น 6 ลำ โดยมี 3 ลำต้องใช้กำลังฝีพายเกือบ ๆ 42 ชีวิต ส่วนอีก 2 ลำ ต้องใช้กำลังฝีพายประมาณ 36 ชีวิต และอีกหนึ่งลำมีฝีพายประมาณ 46 กรรเชียง ส่วนเรือลำเล็กมีทั้งสิ้น 2 ลำ โดยจะมีเสาชี้ตรงบริเวณหัวเรือเล็กแหลมมิต่างกับเรือลำที่เธเซียสกำลังนั่งอยู่ ซึ่งบนเสาที่ใช้สำหรับวัดระยะห่างจากหินโสโครกประดับด้วยเครื่องอิสริยาภรณ์รูปดอกทานตะวันอย่างงดงาม
ซึ่งเธเซียสคาดว่าจำนวนของเรือรบแห่งจักรวรรดิครีตันคงมิได้มีเพียงเท่านี้
เหตุเพราะมันยังน้อยกว่าเรือสินค้าของไมซีเนียนเสียด้วยซ้ำ

กระทั่งเจ้าชายมิโนสเสด็จลงจากพระที่นั่งเพื่อไปรับข้าวของที่เหล่าราษฎร์นำมาถวาย ราชองครักษ์และขุนพลดีดะรัสจึงทำหน้าที่อารักขาพร้อมกับคอยจัดเก็บข้าวของต่าง ๆ ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้เธเซียสรู้สึกว่า การวางตัวของเจ้าชายพระองค์นี้หากบอกว่าเข้าถึงง่ายก็มิง่าย เนื่องจากม่านหมอกสีขาวกำลังปกคลุมดวงพักตร์ที่แท้จริง บวกกับท่าทีในงานประเพณีที่มิโปรดปรานจะปรากฏวรกายด้วยความโดดเด่น
ดังนั้นการเดินทางออกนอกวังของเจ้าชายมิโนสจึงมิต้องพรางกายให้เสียเวลา
ซึ่งนั่นอาจเป็นการให้เกียรติองค์ราชินีด้วยส่วนหนึ่ง เนื่องจากจักรวรรดิครีตันยังมิมีการแต่งตั้งกษัตริย์พระองค์ใหม่

“ให้เจ้า” เมื่อบุรุษผู้สูงศักดิ์โบกหัตถ์เรียกให้เธเซียสเดินเข้าไปสมทบ พบว่าเด็กชายผู้หนึ่งมอบผลไม้เม็ดเล็กสีม่วงเข้มจนเต็มสองพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนส ขณะที่พระโอษฐ์กำลังขยับไหวราวกับเด็กคนดังกล่าวป้อนให้พระองค์ได้ลิ้มชิม
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสจึงนั่งยองพลางยื่นสองมือออกไปข้างหน้า อีกฝ่ายจึงเทผลไม้ในกำมือจนล้นฝ่ามือของเธเซียส ทว่าพระองค์กลับมิยอมแพ้ จึงค่อย ๆ เรียงผลไม้เม็ดเล็กราวกับไข่ปลาอย่างตั้งใจ พร้อมมีรับสั่งให้เด็กชายผู้เป็นเจ้าของร่วมด้วยช่วยกันจนฝ่ามือของเธเซียสมิอาจรับไหว บุรุษผู้งามสง่าจึงป้อนผลไม้ดังกล่าวให้แก่เด็กชายผู้นั้น
พร้อมป้อนให้กับบุรุษอย่างเธเซียสได้ลิ้มชิม

“เป็นอย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางแย้มสรวลไว้คอยท่า
“มิอาจให้คำจำกัดความได้พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอียงตัวเข้าหาบุรุษผู้สูงส่งที่ขณะนี้หันไปรับหน้าราษฎร์กลุ่มใหม่ ซึ่งสิ่งของที่นำมาถวายก็มิต่างจากกลุ่มแรก

“อาจเพราะผลเมอร์เทิลยังมิสุกกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสสั้น ๆ ราวกับประสงค์จะปิดบทสนทนา เมื่อเหล่าราษฎร์เริ่มคราคร่ำมาเรื่อย ๆ  เธเซียสจึงกลับมานั่งตรงขั้นบันไดของพระที่นั่ง พร้อมเฝ้ามองผลเมอร์เทิลรสชาติสุดบรรยาย ก่อนจะมองไปยังบุรุษผู้มีรอยยิ้มอ่อนละมุนด้วยความประทับใจ เนื่องจากเมื่อครู่ก่อนที่เธเซียสจะได้ลิ้มลอง เจ้าชายพระองค์นี้เสวยผลไม้รสชาติมิได้เรื่องจากฝ่ามือของเด็กผู้นั้น
ทว่ารอยยิ้มเศร้าสร้อยพลันปรากฏ เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในวันข้างหน้า

และกว่าขบวนรับเสด็จของเหล่าราษฎร์จะจางหาย เธเซียสก็แอบลิ้มชิมผลเมอร์เทิลด้วยความเหม่อลอย ส่งผลให้ทันทีที่ผละหน้าออกจากฝ่ามือของตน ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์จำนวน 5 กลีบ โดยมีเกสรยื่นยาวออกมาหลายสิบเส้นก็วางแหมะอยู่บนกองเมอร์เทิลอย่างโดดเด่น บุรุษผิวคล้ำจึงหันมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังประทับอยู่ในระดับเดียวกันอย่างมิเข้าใจ

“ให้เจ้า”



φ


[edit 10/06/2019 แก้ไขคำราชาศัพท์เกี่ยวกับคำสั่งและการนั่ง]

สำหรับตอนนี้ถือว่าคลี่คลายเรื่องราวน่าสงสัยได้บ้างแล้ว ส่วนเหตุผลที่ต้องออกอุบายอย่างนั้นเป็นเพราะอะไรต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ ปมของเคออสก็เช่นกัน 555 สารภาพเลยว่าตอนร่างพล็อตไม่ได้วางปมซับซ้อนขนาดนี้ 555 ส่วนการกระทำของเจ้าชายมิโนสที่ดีกับเธเซียสเป็นพิเศษอีกไม่นานได้รู้แน่ค่ะ แต่ยังกำหนดไม่ได้ว่าตอนไหน เพราะตอนนี้เราเขียนช้ากว่าพล็อตที่วางไว้ 55

อันนี้บรรยากาศตอนหมอกลงที่ซานโตรินีค่ะ อารมณ์ก็จะคล้าย ๆ บรรยากาศที่เกาะแห่งไฟ เพราะจริง ๆ แล้วเกาะซานโตรินีเกิดจากการที่ภูเขาไฟธีราระเบิดค่ะ

https://imgur.com/TwRCwQZ
https://imgur.com/TQhOdCX

Cr : santorini-wedding

ส่วนภาพนี้เป็นควันจากปล่องภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ค่ะ
ปล. ภาพนี้คือภูเขาไฟโบรโมค่ะ

https://imgur.com/L1RV75b

Cr : Readme.me

ดอกและผลเมอร์เทิล

https://imgur.com/1eQU1cr
https://imgur.com/7iDG1rp

Cr : deelish.ie

ภาพวาดเฟรสโก เรือแบบต่าง ๆ ที่พบในพระราชวังที่เกาะธีราค่ะ (จริงๆ มีมากกว่านี้ แต่เดี๋ยวค่อยเอามาแปะเพิ่มตอนเขียนเกี่ยวกับพระราชวังในเกาะธีรา) เราอ่านเจอมาว่าเค้าวิเคราะห์ว่าภาพเหล่านี้น่าจะเป็นงานเทศกาลเดินเรือค่ะ  เพราะว่าเริ่มสตาร์ทจากเมืองหนึ่งในเกาะธีรา ซึ่งเป็นเมืองที่หายสาบสูญไปแล้ว โดยจุดหมายอยู่ที่นอสซัส เรือลำแรกเป็นเรือใบ และเรือลำที่สองเหมือนจะเป็นเรือธงค่ะ จากเว็บวิกิบอกว่าเรือธงคือเรือที่มีผู้บัญชาการกองเรือ ใช้เป็นที่บังคับบัญชากองเรือ ชักธงตามยศของผู้บัญชาไว้บนยอดเสาสูงสุดเพื่อให้เรือลำอื่นในกองเดียวกันสังเกตเห็น ซึ่งจะเป็นเรือที่ส่งสัญญาณในการโจมตีค่ะ

https://imgur.com/gtyVNza
https://imgur.com/yNzpIkx
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 16 (update 26/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 26-04-2019 15:17:32
ตอน 16

เพลานี้แม้เจ้าชายมิโนสจะเสด็จไปยังบริเวณหัวเรือเพื่อเตรียมลงเรือ แต่เธเซียสกลับได้ยินสุรเสียงทุ้มนุ่มดังก้องอยู่ในหัว ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงมองไปยังพระขนอง ผึ่งผายอันเลือนราง สลับกับบุปผารูปร่างแปลกประหลาด

“เจ้ายังมิคุ้นชินกับที่นี่ มิควรอยู่ห่างจากเรา” กว่าบุรุษผิวคล้ปรำจะล่วงรู้ว่าตนเองเอาแต่นั่งเหม่อ บุรุษผู้สูงศักดิ์พลันปรากฏกายอยู่ตรงหน้า
“พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับอันแผ่วเบา เจ้าชายมิโนสจึงเสด็จนำหน้า โดยมีเธเซียสประคองผลเมอร์เทิลเดินตามหลัง ทว่าในช่วงที่ลมทะเลพัดผ่าน อดีตเชลยกลับลอบกลั้นหายใจโดยมิรู้ตัว
ราวกับเขากำลังหวาดกลัวว่าบุปผาพระราชทานจะปลิวหาย

กระทั่งลำเรือลอยผ่านชายฝั่งอันเป็นท่าเรือของเมืองอาโกรตี ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญ เรือรบจึงจอดเทียบท่าอย่างโดดเด่น เพียงแต่ปริมาณของลำเรือกลับน้อยกว่าที่เธเซียสเคยคาดการณ์ อีกทั้งการลาดตระเวนบนชายฝั่งก็มิได้เข้มงวดอย่างที่คิด ทั้ง ๆ ที่สถานที่แห่งนี้คือฐานทัพเรืออันแข็งแกร่ง
แต่ทว่าเธเซียสยังมิเคยลืมเลือน..
ว่าเมืองหน้าด่านแห่งนี้ คือบริเวณที่เหล่าโจรสลัดถูกสังหารโดยมิโนทอร์

“สิ่งนั้นคือภูเขาแห่งไฟหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เมื่อลำเรือเคลื่อนเข้าใกล้ภูเขาไฟขนาดใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลางเกาะรูปวงแหวน ฝุ่นควันสีขาวพร้อมด้วยควันพิษจึงรายล้อมอยู่รอบตัว เธเซียสเลยต้องกลั้นหายใจแต่ก็ยังมิวายจะทูลถามด้วยความสนใจ เนื่องจากเขายังมิเคยเห็นภูเขาแห่งไฟมาก่อน ฝ่ายบุรุษผู้ถูกถามจึงพยักหน้าตอบ ทั้ง ๆ ที่ดวงพักตร์ถูกปกปิดด้วยผ้าลินินสีขาวตั้งแต่บริเวณนาสิกจนถึงโอษฐ์อย่างแน่นหนา
“มหัศจรรย์ยิ่ง กระหม่อมมิเคยเห็นมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางฝังปลายจมูกลงบนข้างแขนพร้อมสำลักควันจนน้ำตาเล็ด ส่งผลให้ผลเมอร์เทิลร่วงลงสู่เบื้องล่างไปกว่าครึ่ง
ทว่าบุรุษผิวคล้ำกลับก้มเก็บเพียงบุปผารูปร่างแปลกตา

“เจ้ามิใช่คนพื้นถิ่น คงมิรู้ว่าหมอกควันจากภูเขาแห่งไฟล้วนอันตรายจึงมิฟังคำเตือนจากเรา” เจ้าชายมิโนสตรัสในเชิงว่ากล่าวที่บุรุษข้างกายมิยอมฟังคำเตือน กลับเอาแต่เหม่อมองรอบกายด้วยความตื่นตาตื่นใจ พลางเอื้อมหัตถ์จากทางด้านหลัง เพื่อพันผ้าลินินสีขาวปกปิดเครื่องหน้าของเธเซียสตั้งแต่บริเวณปลายจมูกเป็นต้นมา
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ฝ่ายเธเซียสได้แต่ยืนนิ่งค้าง ราวกับคาดมิถึงว่าตนจะได้รับการดูแลถึงเพียงนี้
ฉับพลันที่ได้สติริมฝีปากก็มิลืมเอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“เจ้าชายมิโนสเสด็จแล้ว!”
“ทรงพระเจริญ!”

“ทรงพระเจริญ!”

เป็นอีกคราที่เสียงแซ่ซ้องของราษฎร์ชาวครีตันจากเมืองเอียและอาโกรตี กู่ก้องเทิดทูลบุรุษผู้สูงส่งที่ทรงยืนอยู่ตรงบริเวณหัวเรือ พลางโบกหัตถ์พร้อมดวงพักตร์อันเปื้อนยิ้ม กระทั่งลำเรือลอยล่องได้เพียงครึ่งวงแหวน ฐานทัพเรือของจักรวรรดิครีตันก็ปรากฏ
ซึ่งความน่าเกรงขามมิได้เกินจริงจากคำเยินยอของนางกำนัลดาฟเน่แต่อย่างใด
เหตุเพราะเรือรบของจักรวรรดิครีตัน กำลังจอดเทียบท่าตรงบริเวณท่าเรือฟีร่าอย่างมากมาย

กระทั่งปลายเท้าเหยียบย่ำลงบนแผ่นไม้กระดานขนาดหนึ่งผู้สามารถเดินผ่าน เธเซียสจึงหันมองรอบ ๆ บริเวณ สลับกับเหลือบมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ เนื่องจากม่านหมอกปกคลุมไปทั่วสารทิศ ทัศนวิสัยจึงมิค่อยดีนัก ส่งผลให้การก้าวเดินบนท่าเรืออันทอดยาว จำต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เจ้าชายมิโนสจึงต้องคอยหันกลับมาเพ่งพิศบุรุษที่กำลังก้าวเดินอยู่ข้างหลังเป็นระยะ
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อก้าวย่างมาจนถึงบริเวณชายฝั่ง เหล่าทหารมากยศต่างรอเข้าเฝ้าอย่างมากมาย จากนั้นเธเซียสก็ถูกฝากฝังให้อยู่ภายใต้ความดูแลของเคออส เนื่องจากบุรุษผู้สูงศักดิ์มีความประสงค์จะตรวจตราความพลั่งพร้อมของเรือรบก่อนที่งานเทศกาลจะก่อเกิดขึ้น เคออสจึงพาเธเซียสก้าวเดินขึ้นบันไดอันทอดยาวของพระราชวังแห่งเกาะธีราที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ม่านหมอกอันแน่นหนา
และที่แห่งนี้ยังคงมีบริวารของเจ้าแม่ ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นตรงปากทางเข้า

ทว่ายิ่งก้าวเดินสูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงใด ภาพของเกาะธีราอันเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือแห่งจักรวรรดิครีตันก็ยิ่งคาดคะเนได้ง่าย เนื่องจากเธเซียสจำได้ว่าตรงปากทางเข้าตรงฝั่งขวามือคือเมืองหน้าด่านอย่างอาโกรตี ส่วนตรงฝั่งซ้ายมือคือเมืองเอียอันเป็นที่พำนักของชาวครีตัน ขณะที่ใจกลางเกาะถูกบดบังด้วยภูเขาแห่งไฟสูงตระหง่าน การโจมตีฐานทัพเรืออันน่าเกรงขามจึงมิใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากทัศนวิสัยมิเป็นใจ อีกทั้งชาวไมซีเนียนมิได้คุ้นชินกับพื้นที่ ต่อให้เก่งกาจการรบเพียงใด ก็มิอาจเทียบชั้นทหารกล้าอย่างชาวครีตัน
หรือต่อให้เธเซียสเปิดโปงความลับเกี่ยวกับมิโนทอร์
ยังนับว่า ‘ยาก’ จะต่อกร

“หลังจากนี้ข้าต้องฝึกสิ่งใดบ้างหรือ ?” เธเซียสแกะผ้าลินินที่ปกคลุมอยู่บนใบหน้าพร้อมกับเรียบ ๆ เคียง ๆ ถามข้อมูลจากเคออส เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของการทำลายฐานทัพเรือแห่งนี้ เพราะดูเหมือนว่าหากจักรวรรดิครีตันมิมีความน่าเกรงขามดังกล่าว
ต่อให้มีเจ้าชายมิโนสสักสิบพระองค์ ก็มิอาจต้านทานไหว

“ประเดี๋ยวเจ้าเห็นจากภาพวาดเฟรสโกก็ทราบเอง” เคออสกล่าวพลางแย้มยิ้มขณะก้าวเดินเข้าไปยังตัวอาคารรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับพระราชวังนอสซัส เพราะตัวอาคารจะมีระดับลดหลั่นกันไป ที่สำคัญเส้นทางภายในตัวพระราชวังแห่งเมืองฟีร่ายังคงคดเคี้ยวยากจะจดจำ ซึ่งภาพวาดเฟรสโกของที่นี่ ลวดลายมิได้แตกต่างจากนอสซัสมากนัก เพียงแต่จะเพิ่มสัตว์บกจำพวกชาร์มัว ลิง และวิถีชีวิตของชาวประมง
“ภาพนี้คือการต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างสนใจ เมื่อภาพตรงหน้าปรากฏรูปชาวครีตันสองผู้กำลังต่อสู้กัน
เพียงแต่บริเวณข้อมือข้างหนึ่งกลับสวมอะไรบางอย่าง

“มิเชิงเป็นการต่อสู้ เรียกว่าการละเล่นเพื่อคลายความตึงเครียดน่าจะเหมาะกว่า” คำตอบของเคออสมิได้สร้างความแปลกใจให้กับเธเซียสอีกต่อไป เนื่องจากชาวครีตันมักจะแอบแฝงความสามารถด้านการทหารภายใต้ ‘การละเล่น’ หรือ ‘ประเพณีอันดีงาม’
“พวกเราเรียกกันว่าการชกมวย” เคออสกล่าวเสริมพร้อมยืนกอดอกมองจ้องภาพดังกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เธเซียสกำลังวิเคราะห์ว่า ‘การชกมวย’ จะเสริมสร้างความสามารถด้านการต่อสู้ได้มากเพียงใด ซึ่งคำตอบก็คาดเดามิยาก เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ตนเคยต่อสู้กับเซอร์ซี ที่ ณ ตอนนั้นแปลงกายเป็นเจ้าหัวขโมย
นับได้ว่าชาวครีตันอาจมีทักษะในการต่อสู้ที่มิควรประมาท

“เทศกาลเดินเรืองั้นหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามเมื่อทั้งคู่เริ่มเดินลึกเข้าไปยังตัวพระราชวังมากขึ้น ภาพวาดเฟรสโกอันโดดเด่นจึงปรากฏ ซึ่งภาพดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินเรือดังเช่นเจ้าชายมิโนสและขุนพลดิดะรัสพูดถึง
“มิเชิง”

“หมายความว่าอย่างไรหรือท่านเคออส ?” เมื่อคำพูดกำกวมจากปากเคออสมิอาจไขความกระจ่าง เธเซียสจึงเริ่มจี้ถาม
“เพ้ย ๆ ขนลุกเสียจริง เรียกข้าอย่างเดิมเถิด ถือว่าข้าขอความเห็นใจ” เคออสกล่าวพลางลูบข้างแขนพร้อมทำสีหน้าแปลกประหลาด เธเซียสจึงหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ

“หากท่านขยายความให้ชัดแจ้ง ข้าจึงจะเห็นใจ” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางยักคิ้วให้กับสหายสนิทที่เริ่มจะมิอยากสนิทอีกต่อไป
“เจ้าสังเกตหรือไม่ ภูเขาแห่งไฟเป็นสิ่งอันตราย” สิ้นคำบอกกล่าวของเคออส เธเซียสพลันแสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์

“กลิ่นควันเหล่านั้น มิใช่พิษร้ายหรอกหรือ ?” สิ้นคำอธิบายสุดกำกวม เธเซียสก็เริ่มจับจ้องภาพของเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการสร้างในระดับลดหลั่น คาดว่าคงจะเป็นรสนิยมในการสร้างที่อยู่อาศัยของชาวครีตัน ซึ่งเบื้องหลังของเมืองดังกล่าวปรากฏภูเขาแห่งหนึ่งที่มีสีสันแปลกตา เทียบได้กับลวดลายอันเป็นเส้นสายของหน้าผาสีน้ำตาลอมแดง ขณะที่ด้านบนมีทั้งสิงโตและกวางป่า บ่งบอกได้ว่าบนเกาะแห่งนี้อุดมสมบูรณ์มิต่างกับเมืองหลวงอย่างนอสซัส ขณะที่เรือลำน้อยเป็นเรือที่ใช้ฝีพายถึง 10 ชีวิต และผู้คัดท้ายหางเสืออีก 1 ชีวิต คาดว่าคงจะเป็นลำเรือของเหล่าราษฎร์ชาวครีตัน เพราะมิมีผู้โดยสารเหมือนเรือลำอื่น
ขณะที่ลำถัดมาเป็นเรือขนาดใหญ่จำนวน 2 ลำ ใช้ฝีพายประมาณ 36 ชีวิต หรืออาจจะ 42 ชีวิต มีการสร้างหลังคาเพื่อป้องกันลมให้กับเหล่าขุนนางชั้นสูง เนื่องจากพวกเขาล้วนสวมใส่อาภรณ์สีขาวบ่งบอกถึงสถานะ ส่วนลำด้านบนดูเหมือนจะเป็นเรือธง  เนื่องจากมีการสร้างหลังคาอย่างโดดเด่น อีกทั้งยังประดับเครื่องอิสริยาภรณ์บ่งบอกถึงอำนาจของการบัญชาการรบ ส่วนลำถัดมาคาดว่าคงจะเป็นเรือพระที่นั่งของราชวงศ์ เหตุเพราะมีการประดับพระยศอย่างสมเกียรติ อีกทั้งยังมีการสร้างหลังคาด้วยความประณีต รวมถึงผู้โดยสารภายในเรือลำนั้นต่างสวมใส่อาภรณ์สีสันสดใส ต่อจากนั้นดูเหมือนจะเป็นภาพของเรือใบคล้ายกับลำเรือที่เธเซียสโดยสารมายังเกาะธีรา
และสุดท้ายทุกลำเรือต่างมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงอย่างนอสซัส

“ภาพนี้หมายถึงแผนการอพยพอย่างนั้นหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างมิแน่ใจ
“เป็นเช่นนั้น” เคออสกล่าวพลางเดินเอามือไพล่หลังนำหน้าเธเซียส

“เช่นนั้นเทศกาลเดินเรือ เหล่าราษฎร์ก็ต้องเข้าร่วมด้วยงั้นหรือ ?” เธเซียสยังคงคิดวิเคราะห์ต่อไป ขณะที่ในใจนึกชื่นชมพระปรีชาสามารถของเจ้าชายมิโนสไม่น้อย เหตุเพราะพระองค์ล้วนอ่านความเป็นไปได้ขาดชะงัด
“เป็นดังที่เจ้าเข้าใจ” สิ้นคำกล่าวจากเคออส เธเซียสยังมองเห็นความนัยจากงานเทศกาลสำคัญในครั้งนี้ เนื่องจาก ‘การอพยพ’ อาจมิได้มีขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับพิษของภูเขาแห่งไฟเพียงอย่างเดียว
แต่อาจจะมีขึ้นเพื่อรับมือกับเหล่าข้าศึกที่เข้ามาสอดแนมก็เป็นได้

“รีบนำสัมภาระของเจ้าไปเก็บเสียเถิด ประเดี๋ยวจะเสียหาย” กระทั่งเดินมาจนถึงห้องที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส เนื่องจากการประดับตกแต่งดูงดงามเกินกว่าจะเป็นห้องของนายทหารผู้แสนต่ำต้อย
“เจ้านี่มัน!” เธเซียสได้แต่ถลึงตาใส่สหายสนิทพลางทำสีหน้าขึงขัง ทว่าใบหน้าของเขากลับแดงซ่าน
เนื่องด้วยถูกคนใกล้ชิด เย้าหยอกเรื่องบุปผาพระราชทาน

กระทั่งหมดเวลาแห่งการผ่อนคลาย สองสหายจึงเดินออกมาจากเขตพระราชฐาน เพียงแต่ต้องเดินไปตามเส้นทางอันทอดยาวท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีเหลืองบ้าง ขาวบ้าง สลับกันไป
ทว่าความสวยงามเหล่านั้น กลับมิได้อยู่ในความสนใจของเธเซียส
เนื่องจากกระไอหมอกอันแน่นขนัด ถูกปัดเป่าด้วยแสงสุริยะที่แผดเผา

คำตอบที่เฝ้าค้นหาคล้ายกับปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อกระไอหมอกที่ปกคลุมหมู่เกาะธีรามิได้เกิดจากควันพิษของภูเขาแห่งไฟเพียงอย่างเดียว แต่กลับเกิดจากอะไรบางอย่างที่มินานก็จางหาย กลอุบายเกี่ยวกับมิโนทอร์จึงก่อเกิดขึ้น เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้ฐานทัพเรืออันยิ่งใหญ่
อีกทั้งความน่าเกรงขามดังกล่าว ยังก่อให้เกิดอำนาจทางด้านการค้า

“พวกเขาทำสิ่งใดกันหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามเคออสเมื่อได้ยินเสียงประหลาดดัง ตุบ! ตุบ! ไม่ขาดสาย แต่มิว่าจะชะเง้อคอจนยืดยาวเพียงใด ก็มิอาจมองเห็นที่มาของเสียง เนื่องจากต้นไม้ใหญ่หลายต้นต่างบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าจนหมดสิ้น
“ชกมวย” เคออสตอบพร้อมกำมือทั้งสองข้างอย่างกระฉับกระเฉง พลางปล่อยหมัดเข้าใส่เธเซียสอย่างมิบอกกล่าว เล่นเอาบุรุษจากต่างแดนหลบหลีกแทบมิทัน

“เจ้ากับข้าประลองฝีมือที่ลานประหารสักหน่อยเป็นอย่างไร ?” เคออสกลั้วหัวเราะพลางกุมท้องอย่างชอบใจปฏิกิริยาของสหายสนิท ก่อนจะท้าประลองด้วยการยื่นกำปั้นออกมาตรงช่องว่างระหว่างกัน
“ย่อมได้! เหตุเพราะสถานที่แห่งนั้น คือลานประหารแห่งเจ้า!” เธเซียสรับคำท้าด้วยท่าทางอวดดี พร้อมชกกำปั้นใส่กำมือของอีกฝ่ายเป็นการทำสนธิสัญญา

กระทั่ง ‘ลานประหาร’ สำหรับคนทั้งคู่ปรากฏ ภาพของเหล่าทหารกล้ากำลังจับคู่ชกต่อยด้วยความพลิ้วไหวอย่างละลานตา บ่งบอกได้ดีว่าเหล่าทหารกล้าของจักรวรรดิครีตันมิได้มีเพียงหยิบมือ
เนื่องจากทหารบางส่วนเป็นทาสจากนูเบีย

“พวกเจ้าเพิ่งเดินทางมาเหนื่อย ๆ จะเริ่มเลยหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวกับรู้ใจคนทั้งคู่เป็นอย่างดี อาจเพราะแววตาของสองสหายต่างร้อนเป็นไฟจนอ่านง่าย
“พ่ะย่ะค่ะ!” คำตอบรับเป็นหนึ่งเดียว ร้องเรียกเสียงสรวลจากบุรุษผู้สูงศักดิ์ได้เป็นอย่างดี

“เช่นนั้นเราก็มิขัด” บุรุษผู้เปรียบเสมือนผู้บังคับบัญชาแห่งกองทัพ ตรัสแน่นิ่งพลางเอื้อมไปหยิบสิ่งของบางอย่างที่มีรูปร่างแปลกตาสำหรับเธเซียส ก่อนจะประทานให้กับเคออสอย่างง่ายดาย
“ส่งมือของเจ้ามา” เจ้าชายมิโนสตรัสกับเธเซียสที่กำลังคุกเข่าข้างหนึ่ง พร้อมยื่นพระหัตถ์ออกมาตรงหน้า ฝ่ายเธเซียสจึงเหลือบมองเคออสเพียงครู่ เพื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายสวมใส่ของสิ่งนี้ด้วยมือข้างไหน
เนื่องจากในภาพวาดเฟรสโก เธเซียสเล็งเห็นว่า..
บุรุษทั้งสองมิได้สวมใส่อะไรบางอย่างด้วยมือข้างเดียวกัน

ทันทีที่เธเซียสวางมือข้างขวาลงบนพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนส แววตาของเธเซียสพลันมองสบกับดวงพักตร์หวานละมุนที่กำลังแย้มสรวลส่งมาให้ เธเซียสจึงเสสายตาหลบเลี่ยง
ทว่าหางตามิวายจะแลมองบุรุษตรงหน้า ที่กำลังสวมใส่เครื่องมือจำเป็นสำหรับการละเล่นดังกล่าวด้วยความนุ่มนวล พร้อมโน้มวรกายลงมากระซิบแผ่วข้างใบหู
แต่ทว่ากลับแอบแฝงด้วยอำนาจอยู่ในที

“เราจะคอยดูเจ้ามิให้คลาดสายตา”


φ


[1] พระขนอง แปลว่า แผ่นหลัง

[2] เรือธง คือ เรือที่ผู้บัญชาการกองเรือซึ่งมียศตั้งแต่พลเรือตรีขึ้นไป ใช้เป็นที่บังคับบัญชากองเรือ ชักธงตามยศของผู้บังคับบัญชาไว้บนยอดเสา เพื่อให้ลำอื่นในกองเดียวกันสังเกตเห็น


บทความที่เกี่ยวข้อง

- The Akrotiri miniature Marine Festival Fresco https://joo.gl/89gsTE

วันนี้มาอัพเร็วหน่อย พอดีเรามีธุระช่วงเย็น สำหรับตอนนี้ก็รู้ความลับของเกาะแห่งไฟแล้วเนอะ เพราะจริง ๆ ควันพิษจากปล่องภูเขาไฟ ไม่สามารถปกคลุมได้ทั่วท้องทะเล ดังนั้นความเลือนรางที่เห็นคือ 'หมอก' ค่ะ หากใครนึกไม่ออกให้นึกถึงกรณีที่หมอกลงทะเลสงขลาของไทยก็ได้ค่ะ เจ้าชายมิโนสก็เลยเลือกใช้กลอุบายนี้เพื่อข่มขวัญข้าศึก และความจริงแล้วภาพวาดเฟรสโกที่เรานำมาเขียนของจริงอยู่ที่เมืองอาโกรตีหรือเมืองหน้าด่านค่ะ ส่วนการชกมวยถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเพียงแค่การละเล่นคลายเครียดของชาวครีตัน และการวิเคราะห์เกี่ยวกับภาพวาดรูปเรือ เราเอาบทความมาประยุกต์อีกทีนึงค่ะ ซึ่งบทความที่เราใช้ก็เป็นเพียงแค่การสันนิษฐานเท่านั้นจ้า และอีกอย่างนึงคือมีนักโบราณคดีสันนิษฐานว่ามิโนอันคือแอตแลนติสที่สูญหายไปค่ะ

ภาพเฟรสโกต่อยมวย

https://i.imgur.com/isbZRxt.jpg

ภาพเฟรสโกเรือ

https://i.imgur.com/NcjvOix.jpg

อันนี้คือภาพจำลองเกาะธีราตอนก่อนเกิดและกำลังเกิดภูเขาไฟระเบิดค่ะ

https://imgur.com/RBL9P9G
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 16 (update 26/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 26-04-2019 20:09:46
แทบจะอดทนรอดูว่าตัวตนจริงๆของเจ้าชายเป็นยังไงไม่ไหวแล้ว 555
เธเซียสก็หวั่นไหวเอาๆ
ไม่รู้เจ้าชายจะรู้สึกหวั่นไหวกับเธเซียสมั่งยัง
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 17 φ กรีกโบราณ (update 29/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 29-04-2019 20:25:38
ตอน 17

การชกมวยสำหรับเธเซียสมิใช่เรื่องยาก เพียงแต่เคออสฝีมือดีเกินไป เพลานี้ทุกผู้จึงหันมาให้ความสนใจกับราชองครักษ์และทหารมือใหม่อย่างล้นหลาม เสียงตะโกนกึกก้องพร้อมปรบมืออย่างมีจังหวะ บ้างก็ชูกำปั้นชกไปมากลางอากาศ คล้ายกับจิตวิญญาณแห่งเลือดนักสู้กำลังฮึกเหิม ส่งผลให้สองบุรุษที่กำลังหยั่งเชิงอยู่ตรงกลางสนาม รีบเข้ามากลุ้มรุมด้วยลีลาอันพลิ้วไหวและคล่องตัว
ทว่าต่างคนต่างหวดหมัดได้เพียงสายลม เพราะทันทีที่เคออสหมายปองข้างแก้มของบุรุษคู่ต่อสู้ คนผู้นั้นกลับเอี้ยวตัวหลบทันควัน ฝ่ายเธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวปล่อยหมัดเสยปลายคางของสหายสนิท เพียงแต่เคออสกลับแก้เผ็ดด้วยการล็อกคอเธเซียสจนอยู่ในระดับเอว เขาจึงแก้สถานการณ์ด้วยการปล่อยหมัดซ้ายเข้าใส่ใบหน้าของเคออส จากนั้นบุรุษผู้ซึ่งกำลังได้เปรียบก็ใช้แขนขวากันหมัดซ้ายของเธเซียสและตอบโต้ด้วยการเพิ่มแรงกอดรัดตรงบริเวณลำคอ

“เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่ ?” เคออสเอ่ยถามพลางแย้มยิ้ม ขณะเธเซียสกำลังดิ้นรนขัดขืนเป็นคำตอบ
“ท่านเคออส ท่านมิควรถามในสิ่งที่ตัวท่านก็ทราบคำตอบดี” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ พร้อมอาศัยจังหวะดังกล่าวใช้ปลายเท้าล็อกกับปลายเท้าของอีกฝ่าย ส่งผลให้ผู้เสียหลักล้มลงกับพื้น พันธนาการชั้นดีจึงถูกปลดออก เธเซียสจึงกลับมายืนอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมกอดอกและยักคิ้วให้สหายสนิท
ฝ่ายผู้ชมจึงเริ่มย้ายข้างมาหาเธเซียส

“ทักษะการต่อสู้ของเจ้ามิอาจประมาทได้จริง ๆ ข้ายอมแพ้เจ้าแล้ว” ราชองครักษ์กล่าวพลางยื่นมือออกไปตรงหน้าบุรุษจากต่างแดน ฝ่ายเธเซียสจึงหรี่ตามองฝ่ามืออันแข็งแกร่งพลางเหลือบมองไปยังเคออส ราวกับจะดูท่าทีของอีกฝ่ายว่ามีกลใดแอบแฝงอยู่หรือไม่ แต่ในท้ายที่สุดเธเซียสก็ยอมฉุดร่างของบุรุษตรงหน้าขึ้นจากพื้น ทว่าเคออสกลับเป็นฝ่ายกระตุกแขนจนเธเซียสเกือบจะล้มคว่ำ
“เห็นเจ้ามัวแต่หวาดผวา ข้าจึงสนองสักหน่อย” เคออสกล่าวพลางกลั้วหัวเราะพร้อมลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าววาดเรียวขาประทับลงบนหน้าแข้งของอีกฝ่ายจนสุดแรง เล่นเอาสหายสนิทแหกปากร้องจนเสียงดังลั่น

“เธเซียส! เจ้าช่างเหี้ยมโหดเสียจริง!” บุรุษผู้ถูกทำร้ายตะโกนก้องพลางยืนท้าวเอวมองบาดแผลของตนเองที จดจ้องบุรุษผู้ลอบทำร้ายที จากนั้นจึงยอมล่าถอยเพื่อไปสมทบกับทหารนายอื่นที่กำลังยืนต่อแถวรอรับอาหารมื้อเย็น ส่งผลให้บุรุษผิวคล้ำรีบวิ่งตามไป
เนื่องจากการ ‘ละเล่น’ ของชาวครีตัน มิใช่เพียงการเล่นสนุกดังปากพูด
เพลานี้เธเซียสจึงค่อนข้างหิวโซ

“แสงสุริยะใกล้จะลาลับขอบฟ้าแล้วกระมัง” เจ้าชายมิโนสเยื้องย่างเข้ามาหาเธเซียสพลางตรัสวาจาครึ่ง ๆ กลาง ๆ
“เห็นจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอี้ยวตัวกลับไปมองยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่กำลังส่องแสงสีทองระยิบระยับ

“เจ้ามิคิดว่าอาหารดี ๆ ทัศนียภาพงาม ๆ เหมาะแก่ผู้ชนะหรอกหรือ ?” วาจาของเจ้าชายมิโนสร้องเรียกรอยยิ้มจากเธเซียสได้เป็นอย่างดี
“เช่นนั้นพระองค์คงต้องเสวยพระกระยาหารเลิศรสและชื่นชมทัศนียภาพงาม ๆ กับผู้ชนะกว่าพันคนกระมัง” บุรุษจากต่างแดนหยอกเย้าอย่างมิได้กริ่งเกรง ฝ่ายบุรุษผู้สูงศักดิ์ก็มิได้ถือโทษโกรธเคือง มีแต่จะทรงพระสรวลด้วยท่าทีอันสง่างามเสียมากกว่า

“ในความเป็นจริงควรต้องเป็นเช่นนั้น เพียงแต่เราอยากสัมผัสกับความรู้สึกที่แตกต่างไปจากคราก่อน” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยท่าทีนุ่มนวลพลางแย้มสรวลด้วยความอ่อนโยน ฝ่ายเธเซียสจึงได้แต่เสสายตามองแผ่นหลังของนายทหารท่านอื่นที่อยู่ไกลริบ ราวกับต้องการเว้นระยะห่างจากคนทั้งคู่ แต่ทว่าริมฝีปากของเธเซียสกลับมิอาจซ่อนรอยยิ้มแห่งความอ่อนไหวได้อย่างมิดชิด
เมื่อวาจาของเจ้าชายมิโนสแอบแฝงความหมายโดยนัยบางอย่างที่บ่งบอกถึง ‘ความพิเศษ’

“พระองค์จะประทับตรงส่วนใดพ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมรับมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วจะได้ตามเสด็จไป..” เธเซียสเอ่ยถามพลางลอบมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางไออุ่นหอมอร่อยตรงบริเวณหัวแถว
“เหตุใดพระองค์จึงทรงพระเกษมสำราญเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามบุรุษตรงหน้าที่กำลังแอบสรวลด้วยการใช้ปลายพระอังคุฐ แตะตรงบริเวณปลายนาสิกด้วยท่าทีสุภาพ
เพียงแต่ดวงเนตรดุจท้องทะเลในยามราตรี กลับคลี่เป็นรอยยิ้มปกปิดความน่ากริ่งเกรงจนหมดสิ้น

“คงเป็นเพราะเจ้าพิเศษกว่าผู้ใดกระมัง” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสอย่างไม่กระจ่างแจ้งพร้อมเสด็จไปยังพื้นที่ที่หมายปอง เธเซียสจึงลอบมองตามจนสุดสายตา
ทว่าข้างแก้มของเขากลับร้อนฉ่า
ริมฝีปากพลันเป่าลมร้อนพร้อมใช้ฝ่ามือพัดพาความรู้สึกแปลก ๆ ให้มลายหายไป

กระทั่งเธเซียสได้รับดอลมาเดซ จำนวนสองห่อ เขาจึงเดินตรงไปยังริมหน้าผาที่บุรุษผู้สูงศักดิ์ประทับอยู่ ซึ่งหากมองจากมุมนี้เธเซียสรู้สึกว่าในยามที่แสงสุริยะใกล้จะลาลับขอบฟ้า ท้องทะเลกลายเป็นสีทองอร่ามงดงามยิ่งกว่าคราใด
มิรู้เป็นเพราะเกาะธีราถูกล้อมรอบด้วยน้ำทะเลอันกว้างใหญ่
หรือเป็นเพราะภาพตรงหน้ามีเจ้าชายมิโนสเป็นส่วนประกอบกันแน่

“กระหม่อมนำมาเผื่อพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผิวคล้ำกล่าวพลางทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิพร้อมถวายพระกระยาหารให้กับบุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างนอบน้อม
“หรือว่าพระองค์..” เมื่อปฏิกิริยาที่ได้รับจากเจ้าชายมิโนสมีเพียงรอยยิ้มหวานละมุน เธเซียสจึงก้มหน้าพิจารณารูปลักษณ์ของรายการอาหารประจำกองทัพเรือ พบว่า ‘ดอลมาเดซ’ ค่อนข้างเป็นอาหารที่มิน่าดึงดูด ยิ่งเทียบกับเครื่องเสวยของเจ้าชายมิโนสด้วยแล้ว คงจะยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่
มิแปลกที่บุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างเจ้าชายมิโนสจะทรงปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม

“เรามีของเราแล้ว เจ้าทานเสียเถิด..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางหยิบดอลมาเดซจำนวนสองห่อจากข้างวรกาย ฝ่ายเธเซียสจึงนั่งยิ้มแป้น เนื่องจากเพลานี้เขาหิวจนแทบจะกระโดดลงทะเลเพื่อไปหาปลาประทังชีวิตอยู่รอมร่อ
“เราเห็นเจ้ามองจนตาละห้อย มิกล้าใจร้ายไปแย่งชิง” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางส่งมอบข้าวห่อใบองุ่นให้กับเธเซียส
เท่ากับว่าอาหารมื้อนี้เธเซียสได้อิ่มหนำมากกว่าผู้ใด

“โธ่! กระหม่อมมิได้ทำเช่นนั้นสักหน่อย แต่อย่างไรก็ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสบ่นอุบ แต่ก็น้อมรับไว้ด้วยความเต็มใจ เนื่องจากเขาเสียพลังงานไปมาก
ดังนั้นคงต้องกินทดแทนให้มากเช่นกัน

“กระหม่อมทราบมาว่าเทศกาลเดินเรือ คือส่วนหนึ่งของการเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพ” เธเซียสกล่าวเปิดประเด็นพลางเคี้ยวดอลมาเดซตุ้ย ๆ ด้วยความเพลิดเพลิน เนื่องจากรสชาติของมันเลิศเลอละมุนลิ้น
“เคออสบอกเจ้าหรือ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางหันมองบุรุษข้างกาย

“เคออสมิได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง” เธเซียสกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วชี้ไปยังข้างขมับครู่หนึ่ง
“พระองค์ทรงพระปรีชาเป็นอย่างยิ่ง หากเป็นกระหม่อมคงจะมองเห็นแต่ข้อดีจากภูเขาแห่งไฟ” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางแย้มยิ้มให้กับเจ้าชายมิโนสด้วยแววตาอันเป็นประกาย บ่งบอกถึงความชื่นชมที่เจ้าตัวมีต่อคนตรงหน้าอย่างมิอาจเก็บงำ

“ล้วนเกิดจากการเรียนรู้” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างถ่อมตน พลางเสวยข้าวห่อใบองุ่นด้วยดวงเนตรเปี่ยมสุข ฝ่ายเธเซียสเมื่อเห็นดังนั้นจึงหันมองไปยังดวงอาทิตย์กลมโตที่ลอยเด่นเหนือผิวน้ำทะเลเพียงครึ่ง
“เธเซียส..” สุรเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยนามของอีกผู้ด้วยความอ่อนโยน ส่งผลให้เจ้าของนามนั้นเฝ้ามองอีกฝ่ายด้วยหัวใจหวิวไหว

“พ่ะย่ะค่ะ” เสียงตอบรับแผ่วเบาของเธเซียสเพลานี้ ฟังดูมิหนักแน่นดังเช่นทุกครา คล้ายกับบรรยากาศรอบกายนำพาให้ความไหวหวั่นแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย
“ความชื่นชมของเจ้า เพียงพอที่จะ..” เจ้าชายมิโนสตรัสยังมิทันจบประโยค โอษฐ์คู่นั้นก็หยุดการเคลื่อนไหว ราวกับวาจาถูกกลืนลงสู่พระหทัย บุรุษผู้นั้นจึงทรงแย้มสรวลก่อนเสด็จจากไป
เหลือทิ้งไว้เพียงตะกอนขุ่นมัวที่มิอาจเข้าใจ..
ทว่ากลับปวดใจอย่างประหลาด เมื่อได้เห็นดวงเนตรไหวระริกอย่างที่มิเคยเห็น

เมื่อเสร็จสิ้นมื้อเย็นอันกระอักกระอ่วน เธเซียสก็จมลงสู่ภวังค์แห่งความว่างเปล่า เพลานี้เขาจึงนอนอยู่บนตั่งพลางหมุนก้านดอกเมอร์เทิลอย่างเลื่อนลอย สลับกับคอยเหลือบมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิทเป็นระยะ
ทั้งวาจาและสายพระเนตรยังคงวนเวียนอยู่ในหัวมิจางหาย
แต่ทว่าเธเซียสมิอยากเข้าใจ เพียงแต่ใจกลับเข้าใจอย่างแจ่มชัด

คนมีชนักติดหลังจึงเริ่มลุกขึ้นนั่งพลางเดินไปเดินมาอย่างร้อนรุ่มใจ ครู่หนึ่งจึงแอบชะโงกตัวออกไปมองยังนอกหน้าต่างแล้วกลับมาเดินวนไปเวียนมาอีกครั้ง เหตุเพราะใจของเขาเริ่มไม่สงบนิ่ง
ทางแก้ไขคงมีเพียงหนทางเดียว
คือการเฝ้ารอจนกว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์จะเสด็จกลับ

เธเซียสจึงตัดสินใจเดินออกจากห้องบรรทมเพื่อมองหาความสบายใจของตน กระทั่งพบว่าภาพวาดเฟรสโกของพระราชวังแห่งนี้ มิได้มีเพียงธรรมชาติหรือเทศกาลเดินเรือเพียงอย่างเดียว แต่กลับมีภาพของหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีดำรัตติกาลถูกมัดรวบด้วยการถักเปียจำนวนสองเส้น สวมใส่เสื้อผ้าลวดลายสุดประณีตพร้อมสวมเครื่องประดับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างงดงามกำลังเก็บหญ้าฝรั่นร่วมกับหญิงสาวอีกนางหนึ่งที่โกนผมจนสั้นกุดหลงเหลือเพียงเส้นผมกระจุกหนึ่งมัดรวบเป็นวงกลมและปล่อยยาวราวกับหางม้า
ซึ่งการแต่งกายของหญิงสาวชาวครีตันมีความคล้ายคลึงกับชาวเมืองกิชแห่งเมโสโปเตเมีย
 
กระทั่งเดินถัดมาอีกมุมหนึ่ง พบภาพของหญิงสาวกำลังก้มเก็บใบหญ้าเหน็บไว้บนศีรษะ โดยการแต่งกายของหญิงในภาพดังกล่าวมีสีสันสดใสมากกว่าภาพแรก ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นภาพของหญิงสาวที่สวมใส่อาภรณ์ลวดลายสุดประณีต แต่กลับดูหรูหรามากกว่ารูปใด อาจเพราะหญิงสาวผู้นี้มิใช่บุคคลธรรมดา เนื่องจากนางนั่งอยู่บนแท่นบางอย่างและยื่นมือออกไปรับหญ้าฝรั่นจากลิงป่า ขณะที่นางกำนัลกำลังเทหญ้าฝรั่นลงตะกร้า โดยที่เบื้องหลังของหญิงผู้สูงศักดิ์ ปรากฏกริฟฟิน ตนหนึ่งที่มีส่วนหัวและขาคู่หน้าเป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต และมีหางเป็นงู
ซึ่งสัตว์ในเทพนิยายตนนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ และบางครั้งก็แสดงถึงความหยิ่งยโส
บ่งบอกได้ดีว่าหญิงสาวในภาพวาดเฟรสโก ล้วนเป็นพระราชินีแห่งจักรวรรดิครีตัน

‘ความห่างไกล’ เป็นคำคำเดียวที่เธเซียสรับรู้ได้จากภาพวาดที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึก เนื่องจากสองภาพแรกเป็นอิริยาบถขององค์ราชินีในลักษณะเรียบง่าย
แต่ในภาพสุดท้ายพระนางกลับดูสูงส่งเกินกว่าจะจับต้อง
ซึ่งก็มิได้แตกต่างจากสายสัมพันธ์ระหว่างผู้เป็นมารดาและโอรส

จากนั้นเธเซียสก็เดินต่อไปยังทิศเหนือ พบกับห้องขนาดเล็กที่มีภาพวาดเฟรสโกรูปภูเขาสูงตระหง่านประดับด้วยดอกไม้รูปร่างแปลกตาทั้งสี่ทิศ ซึ่งเป็นภาพวาดลวดลายเดียวกับพระราชวังแห่งนอสซัส
ต่างกันแค่ภายในห้องดังกล่าวมีช่องลับขนาดเท่าคนผู้หนึ่งสามารถคลานผ่าน

เธเซียสจึงไม่รอช้ารีบคลานเข้าไปยังช่องดังกล่าว พบว่าด้านในมืดมิดจนมิอาจมองเห็นสิ่งใด เขาจึงต้องคลานต่อไปตามเส้นทางอันทอดยาว หัวเข่าพลันถลอกและเขียวช้ำเนื่องจากช่องลับค่อนข้างคับแคบ
แต่พอใกล้จะถึงสุดปลายทาง
แสงสว่างกลับส่องประกายอย่างเย้ายวน

“เพราะเขาคล้ายคลึงพระอนุชาหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฉับพลันที่เสียงของเคออสดังก้องไปทั่วบริเวณ บ่งบอกได้ว่าเจ้าของประโยคดังกล่าวยืนอยู่ไม่ไกลจากปลายทางของช่องลับ
จังหวะการเคลื่อนไหวของเธเซียสจึงค่อย ๆ ช้าลงจนกระทั่งหยุดนิ่ง

“พระองค์ถึง.. จะฆ่าเขา”


φ

[1] พระอังคุฐ แปลว่า นิ้วหัวแม่มือ (edit แก้ความหมายเล็กน้อยค่ะ เราเบลอใส่ผิดมหันต์ ขอโทษด้วยค่า 22/06/2019)
[2] ดอลมาเดซ (Dolmades) คือ เมนูใบองุ่นยัดไส้ข้าว ซึ่งในข้าวจะมีผักชีลาวและถั่วไพน์นัทผสมอยู่ เป็นอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน
[3] กริฟฟิน คือ สัตว์ในเทพนิยายร่างกายเป็นครึ่งนกอินทรี ครึ่งสิงโต และมีหางเป็นงู แต่บางพวกก็มีหางเหมือนสิงโต ขนบนหลังมีสีดำ ขนที่อยู่ข้างหน้าจะเป็นสีแดง ส่วนปีกจะมีสีขาว อาศัยอยู่ตามถ้ำตามภูเขา

สำหรับตอนนี้ก็เริ่มต้นด้วยความหวาน และสุดท้ายก็แอบมาหย่อนระเบิดไว้อีกนิดหน่อย 555
อ้อ เนื้อเรื่องเดินมาถึงครึ่งทางแล้วนะคะ สำนวนย้อนยุคก็เริ่มชินบ้างแล้ว เดี๋ยวถ้ามีเวลาเราจะกลับไปรีไรท์ช่วงแรก ๆ ใหม่อีกที


ดอลมาเดซ
https://imgur.com/31hKeR8

ภาพวาดเฟรสโกที่กล่าวถึงในเรื่องค่ะ ต้นหญ้าพุ่ม ๆ เราไปหาข้อมูลมา เขาบอกว่าเป็นหญ้าฝรั่นค่ะ เป็นสมุนไพรราคาแพงในปัจจุบัน
https://imgur.com/eEXIcUt
https://imgur.com/7wd70jW
https://imgur.com/KaYSW6Z

Cr : knossoslab
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 18 φ กรีกโบราณ (update 01/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 01-05-2019 21:27:24
ตอน 18

เช้าวันนี้แม้กายหยาบของเธเซียสจะวิ่งคู่ไปกับเหล่าทหารที่เป็นทาสจากนูเบีย แต่ทว่ากายละเอียดกลับนอนแน่นิ่งอยู่ในช่องทางลับอันคับแคบ เนื่องจากประโยคที่ได้ยินเมื่อค่ำคืนวาน ถูกตอบกลับด้วยความเงียบเชียบจากเจ้าชายผู้สูงศักดิ์
ความรู้สึกของเธเซียสจึงถูกบดขยี้มิเหลือชิ้นดี
เหตุเพราะเขาหวั่นไหวเกินกว่าที่ไส้ศึกจะคู่ควร

เพลานี้เธเซียสจึงมินึกคัดค้านต่อการกระทำของเสด็จพ่อ เนื่องจากเขาจิตใจอ่อนไหวเกินไป จึงมิควรได้รับความไว้วางใจให้ทำการใหญ่ เพราะต่อให้ในใจมีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพียงใด ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าชายมิโนสก็สามารถฉุดรั้งตัวเขามิให้พายเรือเข้าสู่ฝั่งฝัน และมิกล้าจะพายเรือกลับสู่ชายฝั่ง อันมีบุรุษผู้ทรงอิทธิพลจ่อปลายหอกแหลมคมเข้าทิ่มแทง

“ไปกับเรา..” สุรเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมแรงฉุดกระชาก ส่งผลให้บุรุษผู้ซึ่งตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดถูกปลดปล่อยออกจากวังวนดังกล่าว พบว่าหนทางข้างหน้าคือกำแพงหินอันทอดยาว หัวใจพลันอ่อนยวบด้วยความตื่นตระหนก เพราะถ้าหากมิได้บุรุษผู้สูงศักดิ์ฉุดรั้งไว้ มิแน่ว่าเธเซียสอาจจะนอนจมกองเลือดอย่างน่าอเนจอนาถ
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผู้มีชนักติดหลังกล่าวพลางเสหลบดวงเนตรของอีกผู้ราวกับคนขี้ขลาด กระทั่งเจ้าชายมิโนสที่กำลังพันธการข้อมือของเธเซียสอย่างแน่นหนา นำทางมายังเขตที่อยู่อาศัยของชาวเมืองเอียตรงบริเวณตอกแคบที่มิมีผู้คน 

“พระองค์จะพากระหม่อมไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังต้องเรียนรู้ด้านการต่อสู้อีกมาก” บุรุษผิวคล้ำทูลถามอย่างหวาดระแวง ขณะที่จังหวะการก้าวเดินยังคงเป็นไปตามความประสงค์ของเจ้าชายมิโนส
“หากเรากำลังคิดมิตกและค่อนข้างอึดอัดใจ เรามักจะมายังที่แห่งนี้” สุรเสียงทุ้มนุ่มดังเช่นวันวานไขความกระจ่างอย่างมิคิดปิดบัง พร้อมมอบรอยยิ้มหวานละมุนเป็นการปิดท้าย
เพียงแต่การกระทำดังกล่าว..
ในเพลานี้มิต่างจากของหวานเคลือบยาพิษ

“พระองค์กำลังมีเรื่องอันใดที่ทรงคิดมิตกหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความเป็นห่วงและค่อนข้างคาดหวังว่าเรื่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตนเคยได้ยิน
“เรากำลังลังเลเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง และมันก็เป็นเรื่องน่าขันที่เรากำลังตกหลุมพรางของตนเอง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางทอดพระเนตรมายังเธเซียส ส่งผลให้ทุกสิ่งรอบกายราวกับหยุดการเคลื่อนไหว เนื่องจากดวงเนตรคู่นั้นกำลังบอกกล่าวความในใจบางอย่างที่หากมิได้ยินคำถามจากเคออสเมื่อค่ำคืนวาน เธเซียสคงจะมิมีทางล่วงรู้ได้เลยว่า..
ความสัมพันธ์อันจอมปลอม..
กำลังพันธนาการคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง

“กระหม่อมเองก็มีเรื่องราวที่ยังคิดมิตก และมันก็เป็นเรื่องน่าขันดังเช่นเรื่องราวของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“...” สิ้นคำตอบจากเธเซียสจังหวะการก้าวเดินของทั้งคู่ก็หยุดนิ่งไป กระทั่งเจ้าชายมิโนสทรงแย้มยิ้มในแบบที่เธเซียสมั่นใจว่ามิใช่รอยยิ้มอันเต็มไปด้วย ‘ยาพิษ’ 
ความอุ่นใจดังเช่นวันวาน จึงหวนคืนกลับมา

“ที่แห่งนี้คือโรงผลิตลาเบิน ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางผลักประตูไม้บานเล็กของบ้านหลังหนึ่งที่สร้างจากหินในรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กระทั่งพบว่าภายในตัวบ้านมิมีผู้ใดหลงเหลืออยู่
คล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่ ‘โรงผลิต’ ดังเช่นที่กล่าวอ้าง
บุรุษจากต่างแดนจึงก้าวเดินตามบุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างละล้าละลัง และยิ่งตื่นตระหนกเมื่อพบโถแอมโฟร่าวางตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของตัวบ้านจำนวนหลายโถ ภาพในหัวเกี่ยวกับเรื่องราวของห้องใต้ดินแห่งนอสซัสจึงเริ่มผุดผาด
ถ้อยคำและท่าทีอันนิ่งเงียบที่บังเอิญรับรู้เมื่อค่ำคืนวานจึงเริ่มหวนคืน
การประติดประต่อความน่าจะเป็นจึงก่อเกิดขึ้น

“น้ำผึ้งเหล่านี้มักจะกินคู่กับลาเบิน” เธเซียสพลันสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกผู้เดินตามหลัง แต่เมื่อทราบถึงที่มาที่ไปของน้ำผึ้งที่บรรจุอยู่ในโถแอมโฟร่า บวกกับผู้พูดกำลังก้าวเดินไปยังตู้ไม้ ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยถุงบรรจุน้ำที่ทำจากกระเพาะแกะ
“คงจะใช้ได้แล้วกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสกับพระองค์เองเพียงเบา ๆ พลางเปิดถุงดังกล่าวเพื่อดอมดม

“เจ้านำผ้าขาวบางและภาชนะที่อยู่ในตู้มาให้เราที” บุรุษผู้สูงศักดิ์กำลังกอดถุงน้ำที่ทำจากกระเพาะแกะจนเต็มอ้อมแขน พลางตรัสสั่งด้วยท่าทีอันแจ่มใส คล้ายกับพระองค์ทรงมีความหลังฝังใจกับสถานที่แห่งนี้
ซึ่งเธเซียสคาดว่ามันคงจะเป็นความทรงจำดี ๆ ที่มิอาจลืมเลือน

“พระองค์ทรงทำลาเบินเป็นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสวางอุปกรณ์จำนวนหลายชุดลงบนเก้าอี้ไม้ที่หันหน้าเข้าสู่ท้องทะเลอันเวิ้งว้าง เพียงแต่บริเวณหน้าผาในเขต ‘โรงผลิต’ กลับเต็มไปด้วยบุปผาสีเหลืองสดใส พร้อมเอ่ยถามด้วยความสนใจ เนื่องจากเจ้าชายพระองค์นี้มิเคยต้องเดินทางไกลจนทำให้นมสดที่บรรจุอยู่ในถุงน้ำกระเพาะแกะแปรสภาพเป็นก้อนนมเปรี้ยวอันเลิศรสไปได้
“เดิมทีเสด็จแม่ทรงเป็นสามัญชน ส่วนเสด็จพ่อของเราทรงโปรดปรานลาเบินเป็นอย่างมาก มิว่าจะเป็นของคาวหรือของหวานล้วนต้องมีลาเบินเป็นส่วนประกอบ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเทก้อนนมเปรี้ยวที่ตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อค่ำคืนวานลงในผ้าขาวบางเพื่อกรองน้ำออก ขณะเดียวกันเธเซียสก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่า ‘โรงผลิต’ ที่มิมีผู้คนแห่งนี้
แท้ที่จริงมันกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว

“ทั้งสองพระองค์คงจะพบรักกันที่นี่กระมัง” เธเซียสเปรยถามพลางจ้องมองเจ้าชายมิโนสในอีกอิริยาบถหนึ่งที่ตนมิเคยได้เห็น
“เป็นเช่นนั้น” บุรุษผู้สูงศักดิ์เอ่ยตอบพลางแย้มยิ้มส่งให้กับเธเซียส จากนั้นพระองค์ก็เทน้ำที่บรรจุอยู่ในถ้วยทิ้งและวางผ้าขาวบางที่บรรจุเนื้อครีมลาเบินลงในถ้วยใบเดิม ก่อนจะเริ่มกรองน้ำออกและนำผ้าขาวบางที่บรรจุเนื้อครีมใส่ในถ้วยอีกใบหนึ่งไปเรื่อย ๆ

“กระหม่อมมินึกแปลกใจแล้วว่าเพราะเหตุใด สถานที่แห่งนี้จึงทำให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ ทั้ง ๆ ที่ในพระหทัยกำลังเต็มไปด้วยปัญหาหนักอก” เธเซียสกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางนั่งยองกอดเข่ามองจ้องเจ้าชายมิโนสที่กำลังแสดงฝีพระหัตถ์ในการทำลาเบิน
“ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเจ้า” สุรเสียงทุ้มนุ่มแอบแฝงความหนักแน่นอยู่ในที คล้ายกับว่าบางสิ่งที่พระองค์ยังคิดมิตก เพลานี้ได้รับคำตอบอันแน่ชัดแล้ว
ซึ่งมันก็ส่งผลให้ดวงใจของเธเซียสเริ่มสั่นไหว

“ราตรีนี้คงต้องอยู่ค้างที่นี่สักคืนกระมัง เจ้าจะได้ลิ้มรสลาเบินสูตรลับของตระกูลเรา” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางถือถ้วยสองใบวางตั้งไว้บนกำแพงหินบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อรอให้อากาศเย็นตัวลงถึงจะได้ลิ้มชิมเนื้อครีมข้น ๆ
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบขณะวางถ้วยดินเผาที่บรรจุลาเบินอย่างระมัดระวัง จากนั้นทั้งคู่ต่างนั่งทอดอาลัยอยู่บนกำแพงหิน เพื่อเฝ้ามองท้องทะเลสีครามอันเต็มไปด้วยความสดใส
เนื่องจากแสงสุริยะปัดเป่าหมอกควันจนมลายหายไป

“เราขอนอนพักสักครู่ได้หรือไม่ ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางใช้หน้าขาของเธเซียสเป็นที่พักพิง
“พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสตอบรับเสียงแผ่วพลางมองจ้องไปยังทัศนียภาพเบื้องหน้าด้วยท่าทีมิเป็นตนเอง เนื่องจากสองแขนกำลังกอดอกด้วยความประดักประเดิด ขณะที่แผ่นหลังก็ตั้งตรงราวกับรูปปั้น

“กระหม่อมอยากให้พระองค์ทรงพิจารณาเรื่องการสร้างกำแพงเมืองอีกสักครั้ง” แต่จนแล้วจนรอดเมื่อมิอาจดึงความเป็นตนเองคืนกลับมา เธเซียสจึงเลือกพูดในสิ่งที่ตนคิดจะไถ่ความผิด และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อรักษาความสมดุลของใจตน มิให้ใจร้ายกับคนตรงหน้ามากจนเกินไป และก็มิให้อกตัญญูต่อผู้เป็นบิดามากจนเกินไป
เหตุเพราะนั่นคือทางออกเดียวที่เธเซียสกำลังมองเห็น

“กระหม่อมรับรองได้ว่าการสร้างกำแพงเมืองเพื่อป้องกันข้าศึก จะมิเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณหลวงโดยมิจำเป็นแต่อย่างใด” สิ้นคำกล่าวของเธเซียส บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงเริ่มใช้ดวงเนตรดุจท้องทะเลในยามราตรีจ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาของเธเซียส
ราวกับพระองค์มีความประสงค์จะมองลึกลงไปจนสุดใจ

“กลอุบายของพระองค์มิอาจอยู่ยืนยงได้มิใช่หรือ ?” เธเซียสกล่าวเตือนอย่างจริงจัง เพราะเขายังจดจำได้ดีว่าในวินาทีแรกที่เดินทางมายังเกาะธีรา บรรยากาศรอบกายล้วนส่งเสริมให้จักรวรรดิครีตันเต็มไปด้วยอำนาจและความน่าเกรงขาม แต่เมื่อแสงสุริยะสาดส่องความยิ่งใหญ่อันซ่อนเร้นก็ถูกเปิดเผย ส่งผลให้เหล่าโจรสลัดพยายามที่จะเข้ามารุกรานน่านน้ำในบริเวณดังกล่าวอย่างมิหวั่นเกรง และถ้าหากพวกมันทำสำเร็จ จักรวรรดิครีตันจะตกอยู่ในสภาพใด เธเซียสมิต้องคาดเดาก็ล่วงรู้ได้ เนื่องจากการป้องกันราชอาณาจักรมิได้เป็นไปอย่างเข้มงวด
“…”

“ครีตันยิ่งใหญ่เพียงใด การดูแลย่อมมิทั่วถึง อย่างน้อยหากมีกำแพงเมืองคอยเป็นด่านชั้นหน้า ราษฎร์ของพระองค์ก็จะมิลำบากหากเกิดเหตุมิคาดฝัน” สิ้นคำพูดจากเธเซียส บุรุษผู้สูงศักดิ์กลับเอาแต่นิ่งเงียบ คล้ายกับพระองค์กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก พระขนงจึงขมวดมุ่นจนแทบจะผูกติดกัน ซึ่งอิริยาบถดังกล่าวสามารถร้องเรียกรอยยิ้มจากเธเซียสได้เป็นอย่างดี
“ความจริงใจของเจ้า เราจะเก็บไว้พิจารณา” ครู่ใหญ่กว่าที่เจ้าชายมิโนสจะตรัสด้วยสุรเสียงแน่นิ่ง พลางรั้งฝ่ามือทั้งสองข้างของเธเซียสไปกอบกุมไว้ ราวกับประสงค์จะทำสนธิสัญญาระหว่างกัน
   แต่ทว่าความอบอุ่นจากฝ่าพระหัตถ์กลับส่งผ่านมายังดวงใจอันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

กระทั่งแสงสุริยะรางเลือนไปจากขอบฟ้าสายฝนจึงเริ่มโปรยปราย บุรุษต่างศักดิ์จึงต้องช่วยกันขนย้ายถ้วยบรรจุลาเบินที่วางตั้งไว้บนกำแพงหินใต้ต้นไม้ใหญ่เป็นการด่วน จากนั้นทั้งสองจึงนั่งปักหลักอยู่ตรงปากประตูบริเวณหลังบ้าน เพื่อเฝ้ามองความเป็นไปด้านนอก พบว่าสายฝนโปรยกระหน่ำเริ่มพัดพาหมอกควันปกคลุมไปทั่วเกาะแห่งไฟ ขณะเดียวกันอากาศก็เริ่มหนาวเหน็บจนเธเซียสเผลอลูบแขนตนเองอยู่หลายครั้ง

“รีบทานเถิด ประเดี๋ยวเราจะต้มน้ำให้เจ้าอาบ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางนำครีมลาเบินอันเข้มข้นจากผ้าขาวบางใส่ลงในถ้วยใบเดิม จากนั้นพระองค์ก็เสด็จไปยังห้องเครื่องเพื่อนำน้ำผึ้งมาราดลงบนเนื้อครีมสีขาว
“เป็นอย่างไร ?” กระทั่งเธเซียสใช้ช้อนตักเนื้อครีมราดน้ำผึ้งสีทองอร่าม เจ้าชายมิโนสจึงมีดำหริถามไถ่อย่างลุ้นระทึก
ราวกับลาเบินมื้อนี้..
พระองค์ตั้งใจทำเพื่อบุรุษอีกผู้อย่างสุดความสามารถ

“เนื้อครีมมีรสเปรี้ยวพอทานผสมกับน้ำผึ้ง กระหม่อมรู้สึกว่ามันเข้ากันได้ดีพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยกยิ้มอย่างเป็นสุข ดวงตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงยิบหยีอย่างมิน่าหวั่นเกรง บวกกับอากัปกิริยาของเจ้าตัวที่ดูจะสำเริงสำราญเมื่อได้ทานรายการอาหารรสเลิศก็ยิ่งทำให้เจ้าชายมิโนสทรงแย้มสรวลตามไปด้วย
“เราดีใจที่เจ้าชอบ” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ แต่ทว่าดวงเนตรของพระองค์กลับเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัด นับได้ว่าปฏิกิริยาดังกล่าวคือความรู้สึกที่บุรุษผู้สูงศักดิ์แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรก

“หากเป็นเรื่องกิน มิว่าสิ่งใดกระหม่อมก็ล้วนโปรดปราน” บุรุษผิวคล้ำกล่าวพลางแอบซ่อนรอยยิ้มของเจ้าตัวด้วยการลิ้มชิมลาเบินเลิศรส
“…”

“เพียงแต่ลาเบินถ้วยนี้ ทำให้กระหม่อมรู้สึกโปรดปรานเป็นพิเศษ” เธเซียสเอ่ยกำชับพลางยกถ้วยดินเผาที่เคยบรรจุลาเบินจนเต็มให้อีกฝ่ายเห็น เจ้าชายมิโนสจึงตรัสในลำพระศอเพียงสั้น ๆ แล้วก็นำถ้วยของเธเซียสและของพระองค์ไปเก็บล้าง
อดีตเชลยที่บัดนี้แปรสภาพจากนายทหารมือใหม่กลายเป็นบุรุษผู้ซึ่งถูกเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ดูแลประคบประหงม จึงมองตามชายผู้นั้นไปจนสุดสายตา อีกทั้งริมฝีปากยังคลี่เป็นรอยยิ้ม
ส่งผลให้แม้ว่าฝนจะตกและอากาศจะเย็น เธเซียสก็มิรู้สึกเหน็บหนาวอีกต่อไป

กระทั่งได้แช่น้ำอุ่น ๆ และสวมอาภรณ์เก่าเก็บ นอนนิ่งอยู่บนพรมขนสัตว์ผืนไม่ใหญ่พร้อมห่มผ้าจนมิดคอ เธเซียสก็ยิ่งรู้สึกว่าความสุขที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม เขาจึงนอนขดตัวพร้อมมองออกไปยังด้านนอกหน้าต่างและเงี่ยหูฟังเสียงสายฝนตกกระทบลงบนผืนดินอย่างเพลิดเพลิน ขณะเดียวกันกลิ่นไอของธรรมชาติก็นำพาให้เขาดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งนิทรา
แต่ทว่าความรู้สึกอันผ่อนคลายทั้งหลายพลันหดหาย
เมื่อเจ้าชายมิโนสเสด็จเข้าสู่บรรทมบนพระยี่ภู่ ผืนเดียวกัน

“หนาวหรือไม่” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามด้วยสุรเสียงราวกับกระซิบ อาจเพราะด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยเสียงฝน
“เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผู้คุ้นชินกับความมืดเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบากว่า เนื่องจากดวงพักตร์ของคนตรงหน้ากำลังลอยเด่นอยู่ในกรอบสายตา

“สภาพอากาศบนเกาะธีราก็เป็นเช่นนี้ ช่วงเช้าจรดค่ำถูกโอบล้อมด้วยหมอกควัน จนกระทั่งแสงสุริยะสาดส่องความสดใสก็มาเยือน พอตกค่ำสายฝนก็โปรยปรายจนกระทั่งใกล้ถึงรุ่งสาง มิแปลกที่เจ้าจะเหน็บหนาว ยิ่งเมื่อครู่ต้องทนใส่อาภรณ์อันเปียกปอนเสียนมนาน เราหวังว่าแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็น่าจะทำให้เจ้าอบอุ่นได้บ้าง” สิ้นดำรัสอ้อมค้อมพระพาหา อันแข็งแกร่งก็โอบล้อมรอบกายของเธเซียส
ส่งผลให้ร่างกายของคนทั้งคู่เริ่มแนบชิด
ทว่าดวงใจของเธเซียสกำลังสั่นพร่า ขณะเดียวกันใบหน้าก็ร้อนเห่อ

“เธเซียส” สุรเสียงกระซิบแผ่วดังขึ้นพร้อมกระไอร้อนที่เป่ารดบริเวณหน้าผาก นำพาให้ความนึกคิดของเธเซียสยิ่งกระเจิดกระเจิง
“ความรู้สึกของเราที่มีต่อเจ้า บัดนี้ถูกเดิมพันด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี” ดำรัสที่มิได้มีคำว่า ‘รัก’ แต่ทว่ากลับนำพาให้ใจของเธเซียสเต็มไปด้วยความอบอุ่นระคนรู้สึกผิด เนื่องจากแท้ที่จริงเขายังมิอาจปล่อยวางเรื่องการแก้แค้นได้หมดสิ้น
วาจาอันอบอุ่นจึงเหมือน ‘กับดัก’ ที่ทำให้เธเซียสเริ่มรู้สึกละล้าละลังยิ่งกว่าที่เคย
เหตุเพราะเขาคือบุรุษผู้แสนโลภมาก จึงอยากจะสมหวังทุกประการที่หมายมั่น


φ

[1] ลาเบิน (labneh) หรือ กรีกโยเกิร์ต มีต้นกำเนิดจากประเทศกรีซ รสชาติกรีกโยเกิร์ตจะเป็นเอกลักษณ์ที่ความเปรี้ยว เนื้อข้น โปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตทั่วไป
[2] พระยี่ภู่ แปลว่า ที่นอน
[3] พระพาหา แปลว่า แขน (ตั้งแต่ไหล่ถึงศอก)

บทความที่เกี่ยวข้อง
- โยเกิร์ต นมบูดที่มีประโยชน์ https://bit.ly/2FCcPgm
- Homemade Greek-Style Yogurt โฮมเมดโยเกิร์ตแบบกรีก https://bit.ly/2USDb1x
- What is Yogurt? https://bit.ly/2IUpsWG

ตอนที่แล้วใจหายใจคว่ำกันไปเล็กน้อย ตอนนี้ก็สบายใจกันได้บ้างแล้ว เพราะถึงยังไงนักรบก็ต้องมีมุมที่อ่อนไหวกันบ้าง และเธเซียสเอาจริง ๆ ก็เป็นไส้ศึกที่ค่อนข้างฉลาดแต่ไม่แกมโกง เพราะถ้าหากเธเซียสเป็นแบบนั้นจริง ๆ เราว่าเลือกฆ่าเจ้าชายมิโนสตั้งแต่ตอนที่มีโอกาสคงง่ายกว่า เพราะเจ้าชายมิโนสเอาจริง ๆ ก็เปรียบเสมือนกษัตริย์ผู้ปกครองจักรวรรดิครีตันไปแล้ว ส่วนเรื่องของความแค้นคงต้องให้เวลาเธเซียสคิดและตัดสินใจว่าอะไรสำคัญกับปัจจุบันที่สุด

ส่วนเรื่องกรีกโยเกิร์ต เราเอาวิธีทำของปัจจุบันมาผสมนิดหน่อย แต่ในส่วนของโยเกิร์ตธรรมดาที่ต้องใช้เป็นหัวเชื้อ เราเอาวิธีของชาวบัลแกเรียมาเขียน เพราะพวกเขาจะใส่นมไว้ในถุงน้ำกระเพาะแกะ พอนมเจอกับแสงแดดก็จะเริ่มทำปฏิกิริยาแปรสภาพ บวกกับเชื้อจุลินทรีย์ในกระเพาะแกะทำให้น้ำนมกลายเป็นก้อนนมเปรี้ยว หรือก็คือโยเกิร์ตค่ะ แต่การทำกรีกโยเกิร์ตในปัจจุบัน จะต้องต้มนมแล้วเอาหัวเชื้อซึ่งก็คือโยเกิร์ตใส่ลงไปแล้วก็เอาเข้าไมโครเวฟหรือทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1 คืนเพื่อให้เชื้อทำปฏิกิริยา (ตรงส่วนนี้เราเลยเอาวิธีของชาวบัลแกเรียมาใส่ในนิยายแทน) จากนั้นตอนเช้าก็ค่อยมากรองน้ำออกเหมือนอย่างที่เจ้าชายมิโนสทำ แล้วก็เอาเข้าตู้เย็นเพื่อให้โยเกิร์ตมีความเข้มข้นมากขึ้น (มาอธิบายเพิ่มเติม พอดีเราเขียนในเรื่องแบบข้ามขั้นตอน)
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 18 φ กรีกโบราณ (update 01/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-05-2019 02:05:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 19 φ กรีกโบราณ (update 08/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 08-05-2019 19:55:04
ตอน 19

เกาะธีราในยามเช้ายังคงเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำของสายฝนและม่านหมอกสีขาวขุ่น เธเซียสจึงต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเขากำลังตามหาเจ้าชายมิโนส ที่จู่ ๆ ก็หายองค์ไปอย่างไร้ร่องรอย กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูไม้จากตรงหน้าบ้าน บุรุษผิวคล้ำจึงรีบเดินกลับเข้าไปยังด้านใน พบว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์เสด็จกลับมาพร้อมวัตถุดิบที่ไปแลกเปลี่ยนมาจากท่าเรือซึ่งอยู่มิไกลจากเขตพักอาศัย

“มิเห็นต้องทรงลำบากเลยพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวก็ต้องกลับค่ายทหารแล้ว” เธเซียสกล่าวพลางช่วยเจ้าชายมิโนสแบกโถแอมโฟร่าที่บรรจุเหล้าองุ่นจนเต็มโถเข้ามายังห้องเครื่อง
“เราจะฝึกให้เจ้าเอง” ดำรัสอันเรียบนิ่งดังขึ้นพร้อมการปรากฎกายของบุรุษผู้ซึ่งกำลังแบกพีโรอีที่ภายในบรรจุข้าวบาร์เลย์ เธเซียสจึงได้แต่มองจ้องผู้พูดด้วยความสงสัย
แต่ในท้ายที่สุดความคิดก็ถูกกวาดต้อนให้ไปสนใจเรื่องอื่น ๆ

“พระกระยาหารมื้อนี้คือสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามเจื้อยแจ้วพลางนั่งก่อไฟกับเตาดินเผาที่มีรูปร่างคล้ายเก้าอี้ เนื่องจากเตาดินเผาทรงเตี้ยที่เห็นอยู่นี้ มีทั้งหมด 3 ขา ส่วนช่องใส่ฟืนจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่
“เราจะทำไคคีออน  เจ้าช่วยต้มเหล้าองุ่นให้เราที” เจ้าชายมิโนสทรงมีรับสั่งอย่างคล่องแคล่ว
ราวกับเรื่องงานในห้องเครื่องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระองค์สนพระทัย

“ไคคีออนคือมื้อเช้าที่กระหม่อมคุ้นเคยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสย้อนถามบุรุษผู้สูงส่งแทบจะทันที เนื่องจากเขาจดจำได้ว่ารายการอาหารดังกล่าวถือเป็นเครื่องดื่มที่เหล่าข้าราชบริพารคุ้นชิน
“เจ้าคงมิรู้ว่ากองทัพแห่งจักรวรรดิครีตันคุ้นเคยกับไคคีออนมากเพียงใด” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิกระจ่างแจ้ง ทว่าเธเซียสก็ยังคงเข้าใจ
เหตุเพราะบุรุษผู้นี้ล้วนเสวยมิได้แตกต่างจากเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา

“เหตุใดพระองค์จึงมิปลุกกระหม่อมไปด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นเช่นนี้พระองค์มิต้องเสด็จกลับไปกลับมาถึงสองคราเชียวหรือ ?” หลังจากถูกเจ้าชายมิโนสแย่งชิงหน้าที่บริเวณหน้าเตา เธเซียสก็รีบเดินไปหยิบพีโรอีที่บรรจุข้าวบาร์เลย์มาให้อีกฝ่ายพลางนั่งยองตั้งคำถาม
“ถือเป็นการออกกำลังกาย” เจ้าชายมิโนสยังคงตอบคำถามอย่างมิรู้เบื่อ ขณะที่เธเซียสกำลังสำรวจเครื่องหน้าของพระองค์ในระยะประชิด โดยเริ่มตั้งแต่พระเกศาราวกับเกลียวคลื่นในยามราตรี เรื่อยมาจนถึงดวงเนตรเรียวสวยที่บางครั้งก็ฉายแววอบอุ่น และบางครั้งก็ฉายความดุดันอันน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันพระโลมจักษุ ก็พลันกระพริบไหวเป็นจังหวะเนิบช้า เมื่อความสนใจทั้งหมดกำลังจดจ่ออยู่กับไคคีออนหม้อไม่ใหญ่

“เจ้าช่วยเคี่ยวต่อจากเราที เราจะไปหยิบริคอตต้า” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางเบี่ยงสารภีมาทางขวามือ เธเซียสจึงขยับเข้าไปใกล้หน้าเตาอีกสักหน่อย ก่อนจะรับช่วงต่อจากอีกฝ่าย
เพียงแต่ในขณะที่ฝ่ามือกำลังจะแตะเครื่องทำครัว
ปลายนิ้วกลับสัมผัสหลังพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนสโดยมิได้ตั้งใจ

ฝ่ายผู้ถูกล่วงเกินกลับตอบรับด้วยการแย้มสรวล ทว่ามันกลับสร้างความขัดเขินมิต่างจากเมื่อค่ำคืนวาน แต่กระนั้นบรรยากาศอันเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ก็ส่งผลให้เธเซียสค่อย ๆ คุ้นชิน
ซึ่งมันก็ต้องเป็นไปโดยมิสบดวงพักตร์ของอีกผู้

กระทั่งริคอตต้าถูกเคี่ยวจนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกับข้าวบาร์เลย์ การปรุงมื้อเช้าก็เป็นอันเสร็จสิ้น บุรุษต่างศักดิ์จึงพากันไปนั่งดื่มไคคีออนตรงบริเวณเก้าอี้ที่ทำจากไม้ยืนต้นท่อนยาว โดยทั้งสองต่างนั่งบนผืนดินและวางชามไคคีออนบนขอนไม้
ขณะที่ทัศนียภาพเบื้องหน้าล้วนเต็มไปด้วยความสดใส เมื่อสายฝนมิได้โปรยปราย ม่านหมอกจึงเริ่มจางหาย

“พระองค์กำลังทำสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากนำชามไปเก็บล้างจนเรียบร้อย เธเซียสจึงเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมรีบทูลถามอย่างตื่นตระหนก เมื่อดวงตาสบกับวรกายของเจ้าชายมิโนสที่กำลังประทับอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่
“เรากำลังมองหาดาบสำหรับฝึกการต่อสู้ให้แก่เจ้า” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยท่าทีสุดแสนภิรมย์ ราวกับเพลานี้คือช่วงเวลาที่พระองค์จะได้เล่นสนุกดังเช่นที่ใจต้องการ ฝ่ายเธเซียสจึงรีบยื่นมือออกมารับกิ่งไม้ท่อนยาวที่เจ้าชายมิโนสทรงประทานให้อย่างทันท่วงที

“บุกเข้ามา เราจะคอยรับมือเจ้าเอง” กระทั่งอาวุธจากธรรมชาติพรั่งพร้อม เจ้าชายมิโนสจึงเสด็จลงจากต้นไม้ใหญ่ ราวกับพระองค์กำลังเล่นกายกรรมพร้อมกับบริวารของเจ้าแม่ แต่กระนั้นท่าทางตั้งรับการโจมตีก็ยังดูสง่าและองอาจ สมกับเป็นผู้บัญชาการแห่งกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่
“กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่าจะมิออมแรง” บุรุษผู้ถูกท้ายทายกล่าวอย่างทะนงตนพลางแย้มยิ้มราวกับพบเจอเรื่องสนุก ฝ่ายเจ้าชายมิโนสจึงทรงตอบรับด้วยการแย้มสรวลละมุนละไม ขณะที่ฝ่าพระหัตถ์ยังคงจับกุมอาวุธอย่างแนบแน่น
ทุกย่างก้าวของศิษย์เอกจึงมิอาจทำให้พระองค์ทรงหวาดหวั่น

กระทั่งการรุกฆาตของเธเซียสนำพาให้สายลมหวีดหวิวไปตามการเคลื่อนไหว ปลายดาบจากธรรมชาติจึงพุ่งเข้าใส่ดวงพักตร์ของเจ้าชายมิโนส แต่ทว่าพระองค์กลับนำดาบกิ่งไม้ปัดป้องจากวิถีอันตราย พร้อมวาดวงแขนเป็นครึ่งวงกลม เธเซียสจึงก้มหลบได้อย่างหวุดหวิด บ่งบอกได้ดีว่าทักษะด้านการต่อสู้ของเจ้าชายมิโนสมิควรค่าแก่การประมาท
เหตุเพราะการประดาบในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่พระองค์มิได้ออมแรง

เธเซียสจึงอาศัยช่องว่างอันน้อยนิดในการตั้งรับสถานการณ์อันเสียเปรียบด้วยการฟาดฟันปลายดาบจากธรรมชาติเข้าใส่บริเวณพระปรัศว์ แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสก็ยังรับมือต่อการรุกฆาตได้เป็นอย่างดี เพลานี้สองบุรุษต่างศักดิ์จึงใช้กิ่งไม้ขนาดเหมาะมือโรมรันพันตูอย่างมิยอมอ่อนข้อ ส่งผลให้ทั้งสองต่างผลัดการรุกรับอย่างช่ำชอง

“ที่ผ่านมาเจ้าคงออมแรงอยู่มาก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางกวัดแกว่งดาบจากธรรมชาติพร้อมกวาดต้อนเธเซียสไปยังกำแพงหิน
“พระองค์ก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวแย้งพลางมองหาทางหนีทีไล่ เนื่องจากเขากำลังถูกกวาดต้อนให้จนมุม แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสก็มิยอมปลดปล่อยให้การครุ่นคิดเป็นไปอย่างง่ายดาย
พระองค์จึงรุกคืบเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างมิหยุดยั้ง

“สถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์เอกอย่างเจ้าจะหาทางเอาตัวรอดอย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสทรงมีดำรัสถามอย่างหยอกเย้า แต่กระนั้นพระองค์ก็ประสงค์ให้เธเซียสรีบแสดงไหวพริบดังเช่นการละเล่นกับบริวารของเจ้าแม่ ซึ่งเธเซียสก็มิทำให้ผิดหวังเพราะเขาใช้กำลังกายทั้งหมดดันปลายดาบจากธรรมชาติออกไปข้างหน้า ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองอยู่ในระดับที่มิน่าหวั่นเกรง เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวกระโดดขึ้นไปบนกำแพงหิน พร้อมตั้งท่ารับมือกับการโจมตีอย่างมิเกรงกลัว
“ถือเป็นโชคดีที่เรามิได้เลือกกิ่งไม้ขนาดเล็ก” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสแกมขบขันพลางเหวี่ยงกายขึ้นมายืนอยู่บนกำแพงหิน ส่งผลให้ศิษย์เอกและอาจารย์เผชิญหน้าจากคนละฟากฝั่ง โดยด้านซ้ายของทั้งคู่คือหน้าผาสูงชันที่มีท้องทะเลสีฟ้าครามรองรับอยู่ ส่วนด้านขวามือของทั้งคู่คือหมู่มวลบุปผาเหลืองอร่ามที่ส่วนหนึ่งถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำอย่างไม่ไยดี

สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดพาให้ชายกระโปรงคิลท์และเส้นผมของบุรุษทั้งสองปลิวไสวอย่างฮึกเหิม กระทั่งเธเซียสเป็นฝ่ายเปิดการโจมตี เสียงประดาบจากธรรมชาติอย่างรู้เท่าทันจึงดังกึกก้องไปทั่ว ‘โรงผลิต’
ส่งผลให้การรุกฆาตถูกกวาดต้อนจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ และจากทิศใต้ย้อนกลับมายังทิศเหนือ

ทว่าเจ้าชายมิโนสทรงมิยอมปล่อยให้สถานการณ์น่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนั้น พระองค์จึงกวัดแกว่งปลายดาบจากธรรมชาติเป็นครึ่งวงกลม เธเซียสจึงต้องก้มตัวหลบหลีกจากวิถีอันตราย เพียงแต่เขากลับเสียรู้ให้แก่บุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างมิทันคาดคิด เจ้าชายมิโนสจึงใช้ฝ่าพระบาทถีบอาวุธร้ายในกำมือของคู่ต่อสู้จนหักเป็นสองท่อน
พร้อมอาศัยจังหวะอันดีฉวยร่างของอีกฝ่ายเข้าสู่กรงขังเนื้อมนุษย์

“เมื่อครู่เราทำเจ้าเจ็บตัวหรือไม่ ?” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางทิ้งอาวุธจากธรรมชาติอย่างมิไยดี พร้อมเฝ้ามองฝ่ามืออันแดงก่ำจากการกระทำของพระองค์ด้วยความห่วงใย
“เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบเสียงแผ่ว เหตุเพราะเขากำลังสั่นไหวกับความใกล้ชิดที่มิต่างกับการถูกโอบกอดเพื่อคลายความเหน็บหนาว

“หากเป็นเช่นนั้นเราก็ค่อยเบาใจ” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงโล่งพระทัย พลางปลดปล่อยศิษย์เอกให้เป็นอิสระ จากนั้นพระองค์ก็ประทับอยู่ท่ามกลางบุปผาสีเหลืองอร่ามอย่างหมดท่า พร้อมใช้หลังพระหัตถ์เช็ดหยาดเสโท บริเวณพระนลาฏ  ฝ่ายเธเซียสก็ตกอยู่ในสภาพมิต่างกัน เพลานี้บุรุษจากต่างแดนจึงทรุดตัวลงนั่งบนกำแพงหินพลางขัดสมาธิและใช้หลังมือปาดหยาดเหงื่อบริเวณข้างขมับพร้อมยืดเส้นยืดสายมิยอมหยุด
“การได้ประชันฝีมือกับเจ้าครานี้ ทำให้เราเพลิดเพลินมิต่างกับตอนที่ได้ประมือกับแอนโดรเจียส” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางทิ้งตัวลงนอนราบอยู่ท่ามกลางบุปผา ส่งผลให้เธเซียสมองจ้องภาพตรงหน้าโดยมิละสายตา เขาจึงมองเห็นแสงสุริยะอันเจิดจ้าตกกระทบลงบนดวงพักตร์อ่อนหวาน เหตุเพราะร่มเงาของใต้ไม้ใหญ่มิอาจแผ่กิ่งก้านจนถ้วนทั่ว
บุรุษจากต่างแดนจึงยื่นมือออกไปข้างหน้าพลางขยับไปมาเพียงเล็กน้อย
เพื่อให้วิถีแห่งเงาบดบังแสงสุริยะอันร้อนแรง

แต่กระนั้นดวงเนตรของเจ้าชายมิโนสกลับร้อนแรงยิ่งกว่า

เธเซียสจึงต้องหันมองไปทางอื่นที่มิใช่ดวงพักตร์อันเต็มไปด้วยความรู้สึกในส่วนลึก ฝ่ายเจ้าชายมิโนสจึงลอบแย้มสรวลด้วยแววเนตรอันเปื้อนสุขที่มิได้เกิดจากการหลอกลวง

กระทั่งยามอาทิตย์อัสดงมาเยือนม่านหมอกจากทั่วสารทิศก็เคลื่อนคล้อยเข้ามาปกคลุมหมู่เกาะธีรา ราวกับต้องการลักซ่อนจากสายตาของผู้มิประสงค์ดี ขณะเดียวกันสายฝนเย็นฉ่ำก็นำพากลิ่นไอของธรรมชาติตลบอบอวนไปทั่ว ‘โรงผลิต’ ส่วนเธเซียสยังคงนั่งปักหลักอยู่ตรงปากประตูมิเปลี่ยนแปลง ขณะที่เจ้าชายมิโนสเสด็จไปทำมื้อเย็นยังห้องเครื่อง
โดยรายการอาหารมื้อนี้มิได้เลิศเลอดังเช่นวันวาน เนื่องจากเธเซียสมิอยากให้พระองค์ต้องยุ่งยาก
 
“เหตุใดมิเรียกให้กระหม่อมไปช่วยถือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามแกมดุพลางประคองคาร์เตอร์ลวดลายมิได้อ่อนช้อยดังเช่นที่วังนอสซัส
“...” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสก็มิได้โต้แย้งอันใด นอกจากแย้มโอษฐ์เพียงนิดแล้วเสด็จกลับเข้าไปยังห้องเครื่องเพื่อนำแก้วสำหรับดื่มเหล้าองุ่นจำนวนสองใบ และชีสขนาดเพียงพอสำหรับมื้อเย็นอีกหนึ่งก้อน

เธเซียสจึงขันอาสารับแก้วดินเผาจากเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ พร้อมตักน้ำจัณฑ์จากในคาร์เตอร์ใส่แก้วทั้งสองใบ ก่อนจะจิบเพียงเล็กน้อยเพื่อทดสอบว่าครานี้เจ้าชายมิโนสทรงผสมน้ำและเหล้าองุ่นในสัดส่วนที่เข้มข้นดังเช่นวันวานหรือไม่
“ครานี้เราผสมเพียงหนึ่งต่อสาม” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างรู้ใจพลางแย้มสรวลเพียงเล็กน้อย บ่งบอกได้ดีว่า ‘การดื่มน้ำจัณฑ์’ ในครานี้เป็นเพียงการดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร
มิได้ต้องการดื่มเพื่อให้มึนเมาจนตกหลุมพรางดังเช่นวันวาน

“ชีสน้อยสำหรับเจ้า” เจ้าชายมิโนสทรงแบ่งชีสนมแกะที่เก็บรักษาไว้ในน้ำเกลือ เพื่อถนอมคุณภาพของชีสที่ถูกความร้อนแรงจากแสงสุริยะส่งให้กับบุรุษจากต่างแดน
แต่ทว่าดำรัสของพระองค์กลับขัดต่อความเป็นจริงเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อ ‘ชีส’ ที่พระองค์ประทานให้ มิได้ ‘เล็กน้อย’ ดังเช่นพระราชกระแส

ตลอดมื้ออาหารจวบจนช่วงเวลาแห่งการหลับฝัน ถ้อยคำดังกล่าวของเจ้าชายมิโนสยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เมื่อท่าทีของบุรุษผู้สูงศักดิ์หลังจากที่ตรัสประโยคนั้น กลับเอาแต่ทอดพระเนตรมายังเธเซียสพร้อมแย้มสรวลเป็นครั้งคราว
บุรุษจากต่างแดนจึงรู้สึกราวกับว่า..
ถ้อยคำดังกล่าวอาจมีสิ่งใดแอบแฝง

ฉับพลันช่วงเวลาแห่งความสุขเมื่อครั้งที่เสด็จแม่ยังคงมีพระชนม์ชีพก็ปรากฏ ซึ่งเขาเคยได้รับชีสก้อนโตดังเช่นวันนี้ และเสด็จแม่ก็ตรัสกับเขาและท่านพี่ว่า ‘ชีสน้อย’ ท่านพี่จึงโต้เถียงกับเสด็จแม่ว่า ‘นี่มิใช่ชีสน้อย หากแต่เป็นชีสมากจนลูกมิอาจทานหมด’
เสด็จแม่จึงตรัสเพียงสั้น ๆ ว่า..
‘ชีสน้อย หมายถึงถ้อยคำสำหรับการแสดงความรักใคร่’

“สิ่งใดทำให้เจ้ามีความสุขถึงเพียงนี้” สุรเสียงทุ้มนุ่มตามมาด้วยดวงเนตรลึกล้ำราวกับเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเล ปรากฏอยู่ในระยะสายตาของเธเซียสด้วยความชิดใกล้ เมื่อเพลานี้วรกายของเจ้าชายมิโนสกำลังบรรทมอยู่บนพระยี่ภู่ผืนเดียวกัน
“...” เธเซียสมิยอมตอบคำถาม แม้ว่าในใจอยากจะบอกกล่าวว่า ‘เป็นเพราะพระองค์’ มากเพียงใด
แต่ทว่าความเก้อเขินกลับนำพาให้เจ้าตัวพูดมิออก

“ลมฝนโชยกระหน่ำถึงเพียงนี้ เจ้าหนาวหรือไม่ ?” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสก็มิทรงคาดคั้น จึงตรัสถามถึงเรื่องทั่วไป
“หนาวพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยตอบเสียงแผ่ว เหตุเพราะค่ำคืนนี้สายลมหวิดหวิวรุนแรงยิ่งกว่าที่เคย ส่งผลให้มวลอากาศเย็นฉ่ำโอบล้อมคนทั้งคู่อย่างมิปรานี

“เช่นนั้นอ้อมกอดของเราคงมิอาจคลายหนาว” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างละมุนละม่อมพร้อมโอบกอดเธเซียสอย่างนิ่มนวล ทว่าค่ำคืนนี้กลับแตกต่างจากเมื่อค่ำคืนวาน เมื่อพระองค์ทรงจัดแจงท่าทางให้กับเธเซียส
จนกลายเป็นว่าคนทั้งคู่กำลังโอบกอดกัน

“อยู่กับเจ้าเช่นนี้ เรามีความสุขจนมิอยากให้วันเวลาผันผ่านแต่อย่างใด” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่พระโอษฐ์กำลังจูบประทับบนหน้าผากของเธเซียส ส่งผลให้ดวงใจอันแข็งแกร่งอ่อนยวบด้วยความหวิวไหว สัมผัสนิ่มนวลจึงนำพาให้เธเซียสยิ่งถลำลึก เขาจึงกอดรัดอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ พลางซุกกายเข้าหาความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่
หลังจากนั้นคนทั้งคู่ต่างก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราภายใต้อ้อมกอดของกันและกัน

แต่ทว่าเสียงอสุนีบาตอันกึกก้องกลับนำพาให้เธเซียสหวนคืนสู่ความเป็นจริง กระทั่งพบว่าฉลองพระองค์ของเจ้าชายมิโนสทรงขาดสะบั้นมิเหลือชิ้นดี บุรุษจากต่างแดนจึงนั่งหันรีหันขวางด้วยความตื่นตระหนก
ขณะที่ในหัวกลับฉายดำรัสของอีกผู้ในช่วงก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราซ้ำไปซ้ำมา

เธเซียสมิเข้าใจอันใดสักอย่าง แต่ทว่าในใจกลับหวาดกลัวถึงถ้อยคำนั้น บวกกับฉลองพระองค์อันขาดวิ่นก็ยิ่งสร้างความสับสนไปกันใหญ่ เมื่อดำรัสดังกล่าวหากวิเคราะห์ในทิศทางอันย่ำแย่ อาจหมายความได้ว่าเธเซียสกำลังตกหลุมพรางของเจ้าชายมิโนสดังเช่นที่แล้วมา ซึ่งครานี้ชีวิตของเขามันควรจะจบสิ้น แต่เหตุไฉนเขากลับถูกทิ้งไว้ที่โรงผลิตอันเต็มไปด้วยความทรงจำอันดีงาม
แล้วเหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงหายองค์ไป โดยที่ฉลองพระองค์กลับตกอยู่ในสภาพฉีกขาด

“มีด” เธเซียสวิ่งพล่านอย่างคนสติแตกพลางกล่าวพึมพำราวกับถูกสะกดจิต พร้อมหายใจฮึดฮัดเมื่อมิได้ดั่งใจ กระทั่งสิ่งของที่ต้องการถูกค้นพบจากในห้องเครื่อง
บุรุษผิวคล้ำก็รีบวิ่งทะเล่อทะล่าจนทั่วตัวบ้าน แต่ยิ่งหาตัวอีกฝ่ายมิพบก็ยิ่งร้อนใจ

“หลังบ้าน” เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกที่หนึ่งที่ยังมิได้เหยียบย่าง เธเซียสก็มิรอช้ารีบมุ่งตรงไปยังบริเวณดังกล่าว แต่ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้ปลายมีดคมกริบตกกระทบลงสู่ปลายเท้า ส่งผลให้บาดแผลถูกแต่งแต้มไปด้วยเลือดสีสด โดยที่เธเซียสมิได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด และมิได้สนใจอาการบาดเจ็บ
เหตุเพราะเขากำลังตกตะลึงที่ได้เห็น ‘มิโนทอร์’ ออกอาละวาด
ซึ่งเขาแน่ใจว่ามิได้ตาฝาด เหตุเพราะแสงอัสนีแปลบปลาบช่วยปัดเป่าม่านหมอกอันเลือนรางจนหมดสิ้น




φ


[1] ไคคีออน (Kykeon) คือ อาหารเช้าของชาวกรีกโบราณ โดยนำข้าวบาร์เลย์มาต้มกับไวน์ และปรุงรสด้วยชีสริคอตต้า ถือเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่ต่างกับน้ำอัดลมในปัจจุบัน และยังเป็นที่นิยมในกลุ่มของคนทำงานชนชั้นล่าง
[2] พระโลมจักษุ แปลว่า ขนตา
[3]พระปรัศว์ แปลว่า สีข้าง
[4] เสโท แปลว่า เหงื่อ
[5] พระนลาฏ แปลว่า หน้าผาก
[6] พระราชกระแส แปลว่า คำพูด


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ข้าวต้ม: ความซับซ้อนของอาหารเช้า (1) https://bit.ly/2JaunTh
- Recipe for Kykeon (Barley water) https://bit.ly/2Hai3R4
-  รู้หรือไม่? ชีสเค้กมาจากขนมกรีกโบราณ https://bit.ly/2WyGDjQ

ไคคีออน https://imgur.com/YoCne0d
เตาดินเผา https://imgur.com/OHIB942

มาอัพแล้วจ้า ตอนแรกว่าจะปั่นเสร็จภายในสองวัน แต่เราตันฉากประดาบมาก ๆ ไม่ถนัดสุดชีวิต อ่านแล้วบอกเราหน่อยนะคะว่าฉากต่อสู้เป็นยังไงบ้าง เผื่อเราจะเอาไปปรับใช้ในฉากต่อไปที่จริงจังกว่านี้ แต่ก่อนอื่นเราคงต้องเพิ่มความตื่นเต้นเข้าไป เรารู้สึกว่ามันจืดชืดนิดหน่อย แต่เราไม่รู้จะออกแบบฉากแบบนี้ยังไง เอาใจช่วยเราด้วย ฮือ T_T

เราขออธิบายเรื่องไคคีออนหน่อยค่ะ พอดีเราอ่านมาจากสองเว็บ มันต่างกันอ่ะ ของไทยบอกว่าเป็นข้าวต้มใส่ธัญพืช ของอิ้งบอกว่าเป็นเครื่องดื่มเราเลยเอามาอ้างอิงรวม ๆ กันเลยนะคะ ส่วนชีสเราพยายามจะหาข้อมูลว่าเค้าเรียกกันว่าอะไรได้อีก แต่ดูแล้วเรียกว่าเนยแข็งคงจะไม่เหมาะ เราเลยใช้ชีสเหมือนเดิม

ปล. เราจะพยายามใส่คำราชาศัพท์เพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ นะคะ เพราะมันคือสิ่งจำเป็นของตัวเรื่องด้วย เราเองก็ได้รู้คำใหม่ๆ เยอะเลย อ่านยากทั้งนั้น และตอนนี้ก็เปิดปริศนามาอีกอย่างนึงแล้ว ต่อไปตัวเรื่องจะเข้าสู่ปมอีกครั้งค่ะ

ทุกคนไปเล่นแท็ก #มหาบุรุษแห่งครีตัน ได้น้า
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 20 φ หน้า 2 (update 11/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 11-05-2019 19:03:29
ตอน 20

บุรุษจากต่างแดนมิอยากจะเชื่อว่าเรื่องเล่าของสัตว์ประหลาดที่มีตัวเป็นคนและหัวเป็นวัวจะกลายเป็นจริงไปได้ หากมิเห็นกับตาเขามั่นใจว่าคงจะหัวเราะอย่างขบขันใส่ผู้บอกกล่าวเป็นแน่ ซึ่งความน่าเกรงขามของ ‘มิโนทอร์’ คงจะเป็นความสูงใหญ่ที่เกือบจะเทียบเท่าหน้าผาอันสูงชันของเกาะแห่งไฟ อีกทั้งเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้ยังถือขวานลาบริสเหมือนกับภาพวาดเฟรสโกในห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส
เพียงแต่ขวานสองหัวกลับมีขนาดใหญ่ยักษ์อย่างน่าสะพรึงกลัว

“เธเซียส” ทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มร้องเรียก เจ้าของนามดังกล่าวจึงหันไปมองยังต้นเสียง พบว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์กำลังพรางกายด้วยผ้าลินินสีรัตติกาลผืนหยาบ ที่ถักทอมาจากเส้นใยของต้นปอซึ่งถูกเก็บเกี่ยวในช่วงแก่จัด เนื้อผ้าที่วางขายอย่างแพร่หลาย จึงหยาบกระด้างมิได้นุ่มสบายและบางเบาดังเช่น ‘ผ้าลินินหลวง’ ซึ่งถูกถักทอมาจากเส้นใยของต้นปอในช่วงที่ยังอ่อน ๆ 
“เราต้องรีบออกเดินทางแล้ว” เจ้าชายมิโนสในคราบคหบดีจากกองคาราวานตรัสพลางยื่นผ้าลินินผืนหยาบสีเดียวกันส่งมาให้

“ไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสย้อนถามด้วยความงุนงง เนื่องจากเดิมทีเขาเดินทางมายังเกาะธีราแห่งนี้เพื่อฝึกฝนการเป็นทหารของจักรวรรดิครีตัน แล้วจู่ ๆ ก็ถูกลักพาตัวมาอยู่ที่โรงผลิตเป็นเวลากว่าสองวัน
“เราต้องกลับไปว่าราชการที่นอสซัส” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างจริงจังแล้วเสด็จเข้าไปยังตัวบ้าน ราวกับมิอยากจะต่อความยาวสาวความยืด
เห็นดังนั้นเธเซียสจึงมิอาจขัดพระทัยของบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่ในวันนี้แสดงท่าทีแปลกไป

กระทั่งบุรุษต่างศักดิ์พรางกายด้วยผ้าลินินผืนหยาบ สีกลืนกินความมืดและความเงียบเหงาในยามรุ่งสางของหมู่เกาะธีรา พวกเขาต่างก้าวเดินโดยทิ้งระยะห่างจาก ‘โรงผลิตลาเบิน’ โดยลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เธเซียสยังมิค่อยคุ้นชิน
อีกทั้งบ้านแต่ละหลังยังมีรูปทรงมิต่างกัน จึงยากต่อการจับจุด

เธเซียสเลยมีเวลาสังเกตฉลองพระองค์ของเจ้าชายมิโนสที่เสด็จนำหน้าอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะหันกลับมาสำรวจเครื่องแต่งกายของตน พบว่าผ้าลินินที่กำลังห่มคลุมกายอยู่นั้น คือผ้าลินินชโลมน้ำมันมะกอกจึงทำให้เม็ดฝนไหลลงสู่พื้นเบื้องล่าง ซึ่งวิธีดังกล่าวถือเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ของหญิงสาวชาวกรีก
เพียงแต่พวกนางจะชโลมน้ำมันไว้บนสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า ‘ร่ม’ ซึ่งทำจากผ้า นับว่าแตกต่างกับ ‘ร่ม’ ของชาวอียิปต์ที่เธเซียสเคยเห็นจากขบวนเสด็จขององค์ฟาโรห์เมื่อครั้งที่ยังต้องระเหเร่ร่อนไปกับกองคาราวาน
เหตุเพราะชาวอียิปต์มักจะนำก้านไม้ติดด้วยใบปาล์มหรือต้นกกเพื่อบดบังแสงสุริยะ

“จับมือเราไว้ เจ้ายังมิคุ้นชินเส้นทาง” กระทั่งเดินมาจนถึงบริเวณท่าเรือ เจ้าชายมิโนสที่บัดนี้มองเห็นเพียงดวงเนตรรีสวย ทรงยื่นหัตถ์ออกมาตรงหน้าของบุรุษจากต่างแดน เนื่องจากรอบกายยังคงเต็มไปด้วยม่านหมอกจากสายฝน
“พ่ะย่ะค่ะ” ฝ่ายเธเซียสมิได้คิดอิดออดแต่อย่างใด เหตุเพราะเขาเข้าใจดีว่าสถานการณ์ดังกล่าวมิใช่เรื่องล้อเล่น
หากก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว อาจจมลงสู่ก้นทะเลก็เป็นได้

“เราจะไปกันสองคนหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เมื่อก้าวเข้ามายังเรือสินค้าของเหล่าคหบดีประจำเมืองเอีย เธเซียสก็อดทูลถามบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังจับจูงไปยังบริเวณเสากระโดงเรือมิได้ ขณะที่เหล่าคนงานต่างพากันยืนประจำตำแหน่งเพื่อเตรียมออกเรือ
“อืม” สิ้นดำรัสอันแสนสั้นหัวคิ้วของเธเซียสก็ขมวดมุ่น เนื่องจากการเสด็จกลับยังพระราชวังแห่งนอสซัส ดูท่าจะเป็นความลับสุดยอด เหตุเพราะแม้แต่ราชองครักษ์ที่เดินทางมายังเกาะธีราด้วยกัน หรือแม้กระทั่ง ‘เคออส’ ผู้ซึ่งเป็นมือขวา
พระองค์ก็มิคิดจะรั้งรอ
มิหนำซ้ำพวกตนยังต้องพรางตัวจนมองเห็นเพียงดวงตาอีกต่างหาก

กระทั่งเรือสินค้าลอยล่องท่ามกลางท้องทะเลอันเวิ้งว้าง เธเซียสและเจ้าชายมิโนสจึงค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพลางเอนหลังพิงเสากระโดงเรือจากคนละฟากฝั่ง
แต่ทว่าฝ่ามือของคนทั้งคู่ ยังคงกอบกุมกันไว้มิยอมปล่อย

“เหตุที่พระองค์หายตัวไปเป็นเพราะการเดินทางกลับสู่พระราชวังหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อความเงียบปกคลุมรอบกาย เธเซียสจึงเริ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ขณะที่ศีรษะก็เอนพิงเสากระโดงเรือไว้
“อืม” ดำรัสอันแสนสั้นส่งมาพร้อมกับการสัมผัสแผ่วเบาตรงบริเวณศีรษะ
บ่งบอกได้ว่าทั้งคู่กำลังใช้เสากระโดงเรือต้นเดียวกันเป็นที่พักพิง

“แล้ว..” เธเซียสตั้งท่าจะทูลถามเกี่ยวกับเศษผ้าอันขาดวิ่นและสัตว์ประหลาดจากเรื่องเล่า แต่ทว่าเจ้าชายมิโนสทรงก้าวเข้าสู่บรรทมไปเสียแล้ว เพลานี้พระองค์จึงนั่งสัปหงกอย่างหมดสภาพ
เห็นดังนั้นเธเซียสจึงเสียสละลาดไหล่ให้พระองค์ได้พักพิง
ทว่ากลิ่นคาวเลือดกลับคละคลุ้งติดปลายจมูก

บุรุษผิวคล้ำจึงปรายตาไปยังหลังเท้าของตน พบว่าบาดแผลถูกกรีดเป็นแนวยาว อีกทั้งเลือดยังเกรอะกรังจนเป็นคราบแห้งติดผิวเนื้อ ซึ่งอาการบาดเจ็บมิได้มากมายอะไร
เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นที่ยังบังคับตนมิให้เดินกระเผลกได้อย่างแนบเนียน
แววตาแห่งความสงสัยจึงถูกเบี่ยงเบนไปยังบุรุษผู้เข้าสู่ห้วงแห่งนิทรารมณ์

เพียงแต่บัดนี้ดวงพักตร์หวานละมุนที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าลินินผืนหยาบ มิได้อยู่ในความสนใจของเธเซียส เพราะเขากำลังสนใจกลิ่นคาวเลือดด้วยความมั่นใจว่าคงจะมาจากบุรุษผู้สูงศักดิ์ เนื่องจากเธเซียสพยายามขยับกายอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ปลายจมูกสัมผัสกับอีกผู้
คำตอบแห่งความสงสัยจึงกระจ่างแจ้ง
เมื่อกลิ่นคาวเลือดกลบทับความหอมจากน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมันหอมระเหยที่ใช้ชำระร่างกาย

กระทั่งลำเรือลอยล่องออกห่างจากม่านหมอกสีขาวขุ่น เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิครีตันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าในขนาดย่อส่วน เจ้าชายมิโนสพลันตื่นจากบรรทมอย่างรู้จังหวะ เพลานี้ทั้งคู่จึงลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวกลับเข้าฝั่ง
โดยบุรุษผู้สูงศักดิ์นำทางไปยังบริเวณท้ายเรือ เพื่อกล่าวขอบคุณและมอบสินน้ำใจให้แก่พ่อค้าผู้เป็นเจ้าของเรือ

จากนั้นสองบุรุษต่างศักดิ์จึงเดินตัดผ่านเขตท่าเรือที่ค่อนข้างคึกคัก เนื่องจากเป็นเวลาขนถ่ายสินค้า พวกเขาจึงต้องคอยหลบหลีกกลุ่มคนเหล่านั้น พลางลัดเลาะไปยังเส้นทางอันร้างไร้ผู้คน เหตุเพราะท้องนภาในเวลานี้เพิ่งจะมีสีสัน เหล่าราษฎร์ที่มิต้องใช้แรงงานจึงพากันจัดการงานบ้านงานเรือนอยู่ด้านใน
ซึ่งตลอดเส้นทางอันเงียบเหงา
ระหว่างคนทั้งคู่มิได้มีบทสนทนาอันใด

ไม่นานคนทั้งคู่ก็เริ่มก้าวล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐาน ดอกลิลลี่ที่ประดับอยู่ข้างทางจึงถูกเจ้าชายมิโนสเด็ดดอม ทำให้เพลานี้ผ้าลินินผืนหยาบถูกดึงรั้งลงมา ดวงพักตร์หวานละมุนที่เธเซียสมิอาจมองเห็นจึงปรากฎ
ส่งผลให้เหล่านางกำนัลที่เดินผ่านไปผ่านมา พากันหมอบอยู่กับพื้นอย่างเคารพนบนอบ

“ดาฟเน่เตรียมน้ำอาบให้เราที ชั่วโมงที่ 3 ในยามเช้า เรามีประชุมราชกิจ” ทันทีที่ก้าวเข้ามายังห้องบรรทมแห่งนอสซัส เจ้าชายมิโนสตรัสสั่งนางกำนัลคนสนิทอย่างเร่งร้อน
เหตุเพราะพระองค์มีเวลาเตรียมตัวอีกเพียงครู่

“หม่อมฉันเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ” สิ้นคำกล่าวของหัวหน้านางกำนัล บุปผาสีขาวรูปร่างแปลกตาก็ถูกวางทิ้งไว้บนตั่งนุ่ม ขณะที่วรกายของเจ้าชายมิโนสกำลังถูกกลุ้มรุมจากนางกำนัลนับสิบตรงบริเวณห้องสรงน้ำ เธเซียสจึงถือโอกาสล้มตัวลงนอนบนตั่งกว้างพลางคว้าดอกลิลลี่เพื่อหมุนก้านยาวของมันเล่น
ทว่ากลิ่นหอมของมันกลับร้องเรียกความสนใจของเธเซียส จึงหลงดอมดมอยู่นานสองนาน   

กระทั่งสายตาเหลือบมองไปยังภาพวาดเฟรสโกรูปขวานลาบริส ที่อยู่เหนือรูปปั้นเขาวัวกระทิง ความสนใจของเธเซียสจึงถูกโอนถ่ายไปยังเรื่องเหนือธรรมชาติ และการหายตัวไปของเจ้าชายมิโนสที่หลงเหลือเพียงเศษผ้าจากฉลองพระองค์
รวมทั้งกลิ่นคาวเลือด ล้วนน่าสงสัย
แต่มิอาจเชื่อมโยง

เห็นจะมีก็แต่เรื่องเล่าของ ‘มิโนทอร์’ ที่พอจะสอดคล้องกับความเป็นจริงอยู่บ้าง เหตุเพราะเชลยศึกจากเอเธนส์อาจถูกส่งมาเพื่อเป็นภักษาหารของเจ้าสัตว์ประหลาด ซึ่งเจ้าชายมิโนสคงจะทรงทราบและมิโปรดให้มีการเข่นฆ่า เนื่องจากพระหทัยของพระองค์ค่อนข้างอ่อนโยน พระกรุณาเหล่านั้นจึงส่งผลให้เหล่าเชลยศึกได้รับอิสระ
แต่ทว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของซากศพอาจมีผู้อื่นเป็นนางนกต่อ
และคนผู้นั้นจะต้องได้รับประโยชน์จาก ‘มิโนทอร์’

ซึ่งเธเซียสยังมองมิเห็นผู้ใด นอกจากเจ้าชายมิโนส ผู้เปรียบเสมือนกษัตริย์แห่งจักรวรรดิครีตัน แต่กระนั้นพระองค์จะปลดปล่อยเชลยแล้วตามล่าให้กลับมาเป็น ‘เหยื่อ’ ไปเพื่อสิ่งใด
และสิ่งหนึ่งที่เธเซียสนึกสงสัย
ก็คือเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้น หลบซ่อนตัวอยู่ ณ แห่งหนใด

รู้ตัวอีกคราทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ เหตุเพราะขบวนเสด็จของเจ้าชายมิโนสจากไปตั้งแต่เมื่อใดก็มิรู้ เธเซียสจึงถือโอกาสอันดีแฝงกายออกไปยังนอกวัง
เพื่อสืบหาข่าวคราวของเซอร์ซีและเจ้านกเหยี่ยวนามว่าครูสที่หายตัวไปอย่างลึกลับ

แต่ในท้ายที่สุดแผนการกลับต้องหยุดชะงัก เมื่อชลกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอออยู่ตรงบริเวณท่าเทียบเรือ โดยที่หลายผู้กลับพากันวิพากษ์วิจารณ์จนมิได้ศัพท์ เธเซียสจึงเดินเข้าไปใกล้ชลกลุ่มนั้น พบว่าหญิงนางหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุดกำลังร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจ ขณะเดียวกันในท้องทะเลอันกว้างใหญ่กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายกำลังดำผุดดำว่ายราวกับค้นหาบางอย่าง ส่วนเรือสินค้าไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต่างจอดหลบมุมอย่างเอื้ออาทร
บ่งบอกได้ดีว่าตรงบริเวณท่าเทียบเรือ
อาจมีผู้เคราะห์ร้ายพลัดตกทะเล

เธเซียสจึงมิรอช้ารีบกระโดดร่วมวงเป็นการด่วน แต่ด้วยความที่ไม่ชำนาญต่อการดำน้ำลึก จึงทำให้แววตารู้สึกปวดแสบ ยิ่งดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลก็ยิ่งรู้สึกปวดหู ส่งผลให้บุรุษจากต่างแดนจำเป็นต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ เพื่อกอบโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอด พบว่าชาวครีตันส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน การค้นหาผู้เคราะห์ร้ายจึงเป็นไปอย่างยากเย็น
และมันก็ทำให้เธเซียสรู้สึกสงสัย
เหตุเพราะเดิมทีเขาเข้าใจว่าชาวครีตันล้วนมีความสามารถในการดำน้ำ

“เจอแล้ว ๆ” ในขณะที่เธเซียสกำลังจะดำดิ่งลงสู่ก้นทะเล เสียงเซ็งแซ่รอบข้างก็ดังระงมเป็นคำคำเดียว เธเซียสจึงมองไปยังบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังดันร่างของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายขึ้นสู่ท่าเทียบเรืออย่างยากลำบาก เธเซียสและคนอื่น ๆ จึงรีบว่ายเข้าไปช่วย
แต่ทว่าวีรบุรุษผู้นั้นกลับเป็นคหบดีผู้แสนใจดี ที่ออกปากอนุญาตให้เขาและเจ้าชายมิโนสออกเดินทางมาด้วยกัน

คำตอบแห่งความสงสัยจึงสรุปความด้วยตัวของมันเองว่า..
ชาวเมืองครีตันมิได้มีความสามารถในด้านการดำน้ำเป็นเรื่องพื้นฐาน เพราะความสามารถดังกล่าวถือเป็นความพิเศษของชาวครีตันที่เกาะแห่งไฟ

จากนั้นผู้มีความรู้ทางด้านการแพทย์ก็เข้ามาช่วยเหลือเด็กชายวัย 6 ปี จนกระทั่งสำลักน้ำออกจนหมด มารดาของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายจึงขันอาสาจะเลี้ยงอาหารสักมื้อให้แก่ผู้หวังดีหลายสิบชีวิต ที่ลงทุนลงแรงดำผุดดำว่ายเพื่อบุตรชายของนาง เธเซียสจึงมีโอกาสได้ลิ้มรสปลาย่างสมุนไพรและปิดท้ายด้วยชีสเค้กมื้อพิเศษ
ส่งผลให้วันทั้งวันเคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ความตั้งใจเดิมล้วนถูกทำลายจนหมดสิ้น
แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้รู้สึกเสียดาย ที่เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยชีวิตผู้อื่น

ทว่าลมฟ้าอากาศกลับมิเป็นใจ จึงทำให้การเดินทางกลับสู่เขตพระราชฐานเป็นไปอย่างยากลำบาก ซึ่งสถานการณ์โดยรอบล้วนสร้างความงุนงงให้แก่เธเซียส เหตุเพราะตอนออกจากบ้านของนางธาเรีย ท้องฟ้ายังคงแจ่มใส บุรุษจากต่างแดนจึงต้องก้าวย่างอย่างมั่นคง
เพื่อมิให้เนื้อตัวปลิวไปกับสายลมที่มิต่างกับพายุ

โชคยังดีที่วันนี้เธเซียสสวมใส่ผ้าลินินชโลมน้ำมันมะกอก หยาดฝนจึงมิอาจโอบอุ้มเนื้อผ้ามากนัก แต่เพราะการพรางกายอันน่าสงสัยจึงมิอาจทำให้เธเซียสใช้เส้นทางภายใต้ร่มเงาของตัวพระราชวัง เขาจึงเลือกใช้เส้นทางเรียบริมน้ำที่มีพันธุ์ไม้น้ำเกาะกลุ่มอย่างแน่นหนา
เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวถือเป็นเส้นทางที่ใกล้กับบริเวณหน้าต่างประจำเรือนพักรับรองของเหล่าข้าราชบริพาร

เธเซียสจำต้องก้าวเดินพลางกอดตนเองด้วยความหนาวสั่น เหตุเพราะสายฝนโหมกระหน่ำจนภูมิปัญญาชาวบ้านก็มิอาจต้านทาน มิหนำซ้ำเกลียวคลื่นจากคูคลองแห่งน้ำทะเลก็เริ่มซัดสาดจนสายน้ำซ่านกระเซ็น อีกทั้งแสงอสนีแปลบปลาบยังสร้างความขวัญผวาอยู่เป็นระยะ
แต่กระนั้นสถานการณ์ดังกล่าวก็ยังถือว่าปรานี เมื่ออสนีบาตยังมิปรากฏ

“นั่นมัน..” จังหวะการก้าวเดินมีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อเธเซียสเหลือบไปเห็นเงาสีดำทะมึนขนาดมหึมาภายใต้ผิวน้ำเคลื่อนผ่าน ริมฝีปากพลันเอ่ยวาจาอย่างพูดมิออก แววตาจึงไล่มองตามการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง
พบว่าจุดหมายปลายทางของมัน
อาจเป็นห้องใต้ดินอันเปรียบเสมือนเขาวงกต


φ

[1] ชั่วโมงที่ 3 ในยามเช้า เทียบกับเวลาปัจจุบันคือ 8 โมง


บทความที่เกี่ยวข้อง
- แฟชั่นยุคโบราณของชาวไอยคุปต์ https://1th.me/1YPc
- ร่มน้อยกลอยใจ : ประมวลภาพประวัติศาสตร์ร่ม  https://1th.me/L0O7
- ประวัติร่ม วิวัฒนาการของร่ม ความเป็นมาของร่ม https://1th.me/j7ty
- ประวัติร่ม และถิ่นกำเหนิดร่มในแผ่นดินของเมโสโปเตเมียแรกเริ่ม https://1th.me/OHdY

[edit 10/06/2019 แก้จากพระราชเสาวนีย์ เป็น พระราชดำรัส นะคะ เพราะว่าพระราชเสาวนีย์ใช้สำหรับพระราชินีค่ะ]

ตอนนี้มาลงได้เร็วกว่าที่คิด พอดีมันใกล้จะถึงฉากที่อยากเขียนเลยฟิตเป็นพิเศษ 555 ว่าแต่ทุกคนพอจะเดาออกกันหรือยังว่ามิโนทอร์มีความเป็นมายังไง และเกี่ยวข้องกับเจ้าชายมิโนสยังไง คึคึคึ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของพระนายที่มีคนบอกว่ามันช้าไป  เอาไว้เราจะพยายามปรับให้เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมนะคะ พอดีเรื่องนี้เราวางพล็อตไว้แบบไม่ได้เน้นความรักเลยค่ะ  คืออารมณ์แบบโมเม้นรัก ๆ มาทีจะมีแค่พอให้รู้สึกกรุบกริบในหัวใจเท่านั้น
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 20 φ หน้า 2 (update 11/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-05-2019 02:38:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 21 φ หน้า 2 (update 13/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 13-05-2019 21:54:18
ตอน 21

เธเซียสเดินลัดเลาะไปยังเส้นทางที่มุ่งตรงสู่ทางเข้าของห้องใต้ดินอีกด้านหนึ่ง ด้วยใจมุ่งหวังว่าเรื่องราวทั้งหมดจะต้องคลี่คลายลงในวันนี้ ซึ่งเขามิได้เตรียมคบไฟเพื่อให้แสงสว่างดังเช่นวันวาน และมิได้เตรียมมีดกริชปลายแหลมสำหรับใช้ในการป้องกันตัว เนื่องจากเขาไม่มีเวลาในการเตรียมตัวมากมายถึงเพียงนั้น ด้วยเพราะเกรงว่าหากชักช้าอีกเพียงก้าวเดียว
ห้องใต้ดินแห่งนี้อาจหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า

ทว่าเพียงก้าวแรกที่เข้าไปยังอาณาเขตของเขาวงกต อสนีบาตกลับฟาดฟันตรงปากทางเข้า หัวใจของบุรุษผู้แสนมุทะลุพลันสั่นรัวอย่างตื่นตระหนก เขาจึงสูดลมหายใจเข้าจนชุ่มปอด จากนั้นจึงล่วงล้ำเข้าไปยังด้านใน โดยใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งละไปตามกำแพงกว้างขณะที่ใบหูพยายามจดจ่อไปยังความเคลื่อนไหวของเจ้าสัตว์ประหลาดนามว่า ‘มิโนทอร์’
กระทั่งลมหายใจสุดกรรโชกเริ่มข่มขู่ให้ขวัญผวา จังหวะการย่างก้าวจึงเริ่มแผ่วเบา ฝ่ามือข้างที่ว่างพลันกำเข้าหากันอย่างแนบแน่น ยิ่งดวงตามิอาจมองเห็นทุกสรรพสิ่ง ความกังวลก็ยิ่งก่อเกิด
แต่ครั้นจะมานึกเสียใจต่อความมุทะลุก็มิอาจทันการณ์

เหตุเพราะทันทีที่บุรุษจากต่างแดนก้าวเดินไปยังทางแยกด้านซ้าย ร่างกายก็ปะทะกับอะไรบางอย่างจนล้มตึงลงกับพื้น หลังจากนั้นอัญมณีสีแดงเพลิงก็ส่องประกายอยู่ในความมืด บุรุษผู้แสนมุทะลุจึงกระเสือกกระสนถอยห่างจากวิถีอันตรายด้วยความหวาดกลัวจับใจ
เนื่องจากความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์กำลังปรากฏราวกับภาพซ้อนทับ
เสียงขู่คำรามดังก้องไปทั่วบริเวณของห้องใต้ดินอันแสนลึกลับ จากนั้นคมขวานสองหัวก็ตวัดมายัง ‘เหยื่อ’ อันโอชะ แต่ทว่าความรักตัวกลัวตายยังคงมีอยู่มาก เขาจึงวิ่งหนีจากสถานการณ์อันตรายอย่างสะเปะสะปะ
ซึ่งเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้นก็วิ่งไล่กวดอย่างบ้าคลั่งตามสัญชาตญาณของบริวารแห่งเจ้าแม่

กระทั่งกลิ่นคาวเลือดผสมปนเปไปกับกลิ่นอับชื้นปะทะเข้าสู่ปลายจมูก ความทรงจำในวันวานจึงเริ่มปรากฏ บุรุษจากต่างแดนจึงรีบวิ่งเข้าไปยังห้องกักเก็บน้ำผึ้ง และแอบซ่อนตัวอยู่ตรงมุมปลอดภัย โดยมีเสียงคมขวานขูดกำแพงหินไล่ตามหลังมาติด ๆ
เธเซียสจึงเริ่มเนื้อตัวสั่นเทาพลางโอบกอดตนเองอย่างน่าสงสาร
เหตุเพราะ ‘มิโนทอร์’ ในยามนี้ มิได้แตกต่างจาก ‘ฝูงสุนัขป่า’ ที่เคยรุมกัด

ฉับพลันคมเขี้ยวของขวานลาบริสก็ปะทะกับเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก เสียงดังสนั่นหวั่นไหวจึงยิ่งสร้างความยำเกรงให้แก่เธเซียส จนเขาต้องยกมือขึ้นปิดใบหูทั้งสองข้าง
และเผลอสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อหยดน้ำผึ้งซ่านกระเซ็นเข้าใส่
ดวงตาวาวโรจน์ดุจเพลิงกัลป์ของสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัว จึงจดจ้องมายังบุรุษผู้เปรียบเสมือน ‘เหยื่อ’ อันโอชะ

เธเซียสจึงอาศัยจังหวะที่เจ้ามิโนทอร์กำลังเยื้องย่างเข้ามาใกล้ ไถลตัวรอดผ่านช่องว่างอันเลือนราง นับว่าความคุ้นชินกับความมืดยังมีความปรานีอยู่บ้าง ช่องว่างดังกล่าวจึงทำให้เขารอดพ้นจากวิถีอันตราย บุรุษผู้ชาญฉลาดจึงรีบจ้ำอ้าวอย่างมิคิดชีวิต ขณะที่สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวราวกับมีโทสะ มันจึงใช้ขวานลาบริสฟาดฟันทุกสิ่งอย่างมิเลือกหน้า
คาดว่าการต่อกรกับ ‘เหยื่อ’ ที่มากด้วยไหวพริบ คงมิใช่ ‘เหยื่อ’ ที่มันคุ้นชิน

แต่ทว่าอะไรใด ๆ ก็มิอาจเป็นใจ เมื่อเธเซียสเกิดสะดุดข้อเท้าของตนเอง ร่างของเขาจึงเซถลาไปยังมุมกำแพง ส่งผลให้เจ้ามิโนทอร์สบโอกาสเหมาะ ปิดหนทางหนีทีไล่จนหมดสิ้น ฝ่ายเธเซียสก็มิได้ยอมแพ้ต่อชะตากรรม เขาจึงอาศัยจังหวะที่มันก้าวเดิน ไถลตัวรอดใต้หว่างขาจนสุดแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นวิ่งอย่างสะเปะสะปะพลางหันกลับไปมองยังด้านหลังเป็นระยะ
พบว่าความเหนื่อยอ่อนเริ่มปรากฏ จังหวะการหลีกหนีจึงเริ่มถดถอย
ส่งผลให้ลำตัวของเธเซียสถูกเหวี่ยงเข้าใส่กำแพงหินด้วยด้ามขวานสองคม

ความเจ็บปวดจึงแล่นพล่านอย่างรวดเร็ว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนผะอืดผะอม แต่กระนั้นสถานการณ์ดังกล่าวนับว่าน่าหฤหรรษ์สำหรับเจ้ามิโนทอร์
ลมหายใจฟึดฟัดจึงเริ่มจางหาย
ขณะที่ลมหายใจของผู้บาดเจ็บกลับเริ่มรวยริน

ฝ่ามืออันใหญ่โตของเจ้าสัตว์ประหลาดจึงค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ เพียงแต่เธเซียสมิมีเรี่ยวแรงจะหลีกหนี เขาจึงหลับตายอมรับชะตากรรมแห่งความบ้าดีเดือด
เหตุเพราะเขามิยอมครุ่นคิดให้รอบคอบ
หากต้องมาตายอนาถอยู่ในที่แห่งนี้ก็นับว่าสมควรแล้ว

“อ๊ากกกกกกกกกก” เธเซียสร้องลั่นอย่างเจ็บปวด เมื่อฝ่ามืออันแข็งแกร่งของเจ้ามิโนทอร์บีบรัดร่างของเขาราวกับต้องการให้กระดูกทุกซี่หลอมรวมเป็นผุยผง แต่ทว่าเสียงร้องของเธเซียสกลับสร้างความตื่นตระหนก
สัตว์ประหลาดตนนั้นจึงเผลอปล่อย ‘เหยื่อ’ อันโอชะ กระแทกลงสู่พื้นเบื้องล่าง
ความบอบช้ำอันแสนสาหัสจึงนำพาให้สติเลื่อนลอย

ส่งผลให้สิ่งสุดท้ายที่ยังรับรู้ได้
คือเสียงร้องคำรามของเจ้ามิโนทอร์..

กระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วของนกหลากชนิด ดังขึ้นพร้อมสัมผัสนุ่มละมุนบริเวณหน้าผาก เปลือกตาอันหนักอึ้งจึงค่อย ๆ ขยับไหวอย่างเชื่องช้า ส่งผลให้ภาพที่เห็นคือพระปฤษฏางค์ อันองอาจซึ่งอยู่ห่างไกลจนสุดสายตา
และสวนแห่งหนึ่งที่เธเซียสยังมิอาจแน่ใจว่าอยู่ตรงแห่งหนใดของตัวพระราชวัง

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ ดื่มไคคีออนสักหน่อย แล้วค่อยดื่มโอสถแก้ปวด” สุ้มเสียงของผู้มาใหม่เรียกร้องความสนใจจากบุรุษผู้บอบช้ำ
“มิต้องรีบร้อน” หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยท่าทางแสนใจดี พร้อมช่วยพยุงร่างของเธเซียสให้ลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน ซึ่งทุกคราที่ขยับตัวก็เล่นเอาความเจ็บปวดแล่นพล่าน
จนส่งผลให้ใบหน้าของบุรุษผู้แสนมุทะลุ บิดเบี้ยวจนหมดสภาพ

“ข้าชื่อนีรูสเดินทางมาจากเกาะธีราเพื่อดูแลเจ้า” หญิงวัยกลางคนเอ่ยแนะนำตัวราวกับรู้ใจ เมื่อนางสังเกตเห็นเธเซียสเอาแต่ดื่มโอสถแก้ปวดที่ทำจากเปลือกไม้ของต้นวิลโลว์  พลางจับจ้องมายังนางด้วยแววตาแห่งความสงสัย ฝ่ายผู้บาดเจ็บก็ได้แต่พยักหน้าพลางแย้มยิ้มเพียงบาง ๆ ขณะที่เรียวคิ้วกลับเริ่มขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด
เมื่อการมาถึงของ ‘นีรูส’ อาจเป็นพระราชประสงค์ของเจ้าชายมิโนส
คำถามต่อมาจึงก่อเกิดขึ้น

“เจ้าชายมิโนสทรงตกพระทัยกับสภาพเช่นนี้ของข้าหรือไม่ ?” เธเซียสโพล่งถามด้วยความสงสัย พร้อมสำรวจร่างกายของตนที่บัดนี้ไหล่ขวาถูกพอกด้วยสมุนไพรหลากชนิด เช่น อโล อีเวรา  ที่ใช้สำหรับทาแผลไหม้พอง แผลสด แผลบวมช้ำ และใช้เปลือกของต้นแฟรงคินเซนส์ ในการฆ่าเชื้อ ส่วนขมิ้นจะใช้รักษาอาการปวดหรืออักเสบ
ขณะที่รอยเขียวช้ำตามช่วงตัวและท่อนขาก็ปรากฏอย่างเด่นชัด
อีกทั้งความบอบช้ำภายในที่มิอาจมองเห็นก็ยังมีอยู่มาก

นับว่าเป็นสภาพที่ค่อนข้างจะน่าตกใจ..

“เห็นทีเรื่องนี้ข้าคงมิอาจให้ความกระจ่างแก่เจ้าได้ เหตุเพราะข้าเดินทางมายังพระราชวังนอสซัส หลังจากที่เจ้าเกิดเรื่องได้เพียงสองวัน แต่จากมุมมองของข้า พระองค์ดูสงบนิ่งมากกว่าจะตื่นพระทัย อาจเพราะสถานการณ์ล่วงเลยมาหลายเพลาแล้วกระมัง” นางกำนัลนีรูสกล่าวพลางรวบผ้าขาวบางไว้ตรงมุมเสาของตั่งหลังใหญ่ จึงทำให้เธเซียสมองเห็นบรรยากาศโดยรอบได้ชัดเจนขึ้น
การคาดคะเนสถานที่จึงมิอาจยากเย็น เมื่อภาพตรงหน้าในระยะไกลลิบคือเกาะธีราในขนาดย่อส่วน ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีขาวขุ่น
เธเซียสจึงเข้าใจได้ว่าสวนแห่งนี้อาจถูกสร้างใหม่ และคงอยู่มิไกลจากห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส

บุรุษจากต่างแดนจึงแหงนมองเบื้องบน เพื่อหาตำแหน่งของห้องบรรทม แต่ปรากฏว่าตั่งหลังกว้างกลับตั้งอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นวิลโลว์ที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ตรงริมแม่น้ำใกล้ปากทางเข้าของห้องใต้ดิน เขาจึงต้องเอนตัวไปทางซ้ายถึงจะเห็นห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนสที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

“สวนแห่งนี้..” เธเซียสกล่าวพลางมองไปยังนางกำนัลนีรูส ก่อนจะหันไปมองดอกอาซาเลียสีขาวสะอาดผสมกับอาซาเลียสีชมพูอ่อนที่ประดับประดาอยู่ตามแนวกำแพงหิน ขณะที่ด้านล่างของผืนดินถูกปูด้วยทุ่งดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองอร่ามที่โอบล้อมคูคลองสายหนึ่ง ซึ่งมีดอกบัวโกมุทสีชมพูชูช่ออยู่เหนือผิวน้ำ
และมีปลาแหวกว่ายพร้อมกระโดดโต้คลื่นลมในยามเช้า
แต่กระนั้นดอกลิลลี่ก็ยังคงเป็นบุปผาชนิดเดียวที่วางอยู่ตรงข้างตั่ง ราวกับผู้เป็นเจ้าของต้องการมอบให้แก่บุรุษผู้แสนมุทะลุ

“เจ้าชายมิโนสทรงเป็นธุระจัดการทั้งสิ้น เนื่องจากพระองค์มิประสงค์ให้ผู้ป่วยเช่นเจ้าต้องทนอุดอู้อยู่ในห้องที่มิค่อยปลอดโปร่ง” สิ้นคำอธิบายของนางกำนัลจากเกาะธีรา ริมฝีปากของเธเซียสก็คลี่เป็นรอยยิ้มพลางหยิบก้านดอกลิลลี่หมุนเล่นด้วยความเคยชิน และเผลอดอมดมด้วยความหลงใหล
เกสรสีเหลืองนวลจึงเปรอะเปื้อนที่ปลายจมูก

“เจ้าหมดสติไปเจ็ดวันเต็ม” นางกำนัลนีรูสกล่าวพลางแย้มยิ้มขณะกำลังทำเนื้อครีมลาเบินอยู่บนพื้นหินตรงข้างตั่ง ส่วนแววตาของเธเซียสกำลังทอดมองไปรอบ ๆ ตัว ราวกับต้องการซึมซับความอ่อนโยนของเจ้าชายมิโนส รอยยิ้มตรงมุมปากจึงปรากฏ
เหตุเพราะมันมิง่ายที่จะเนรมิตสวนกลางแจ้งภายใน 7 วัน

“พระองค์คงต้องเกณฑ์คนเป็นจำนวนมากกระมัง ?” เธเซียสยังคงถามไถ่ด้วยใบหน้าอันเปื้อนยิ้ม
“เป็นเช่นนั้น วุ่นวายน่าดู แต่เจ้าก็ยังคงหลับใหลมิได้สติ” นางกำนัลนีรูสกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ ซึ่งการได้พูดคุยกับนางทำให้เธเซียสรู้สึกว่าตนเองผ่อนคลายมากกว่าตอนที่อยู่กับนางกำนัลดาฟเน่

“ช่วงนี้ครีตันกำลังจะมีงานรื่นเริงหรือ ?” เมื่อนึกถึงนางกำนัลดาฟเน่ขึ้นมาได้ เธเซียสก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เหตุใดจึงถามเช่นนั้น ?”

“เพราะข้ามิเห็นหัวหน้านางกำนัลดาฟเน่ จึงหลงคิดว่านอสซัสกำลังจะมีงานเลี้ยงรื่นเริง” ทันทีที่เธเซียสบอกกล่าวเหตุผล คำตอบที่ได้รับกลับเป็นรอยยิ้มเพียงบาง ๆ ที่มิอาจบ่งบอกว่ามีความนัยอื่นใดแอบแฝง
เพียงแต่เธเซียสรู้สึกว่ามันแปลกไป
เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิค่อยไหว้วานผู้ใด นอกจากนางกำนัลส่วนพระองค์

ความครุ่นคิดจึงหวนคืนกลับมายังการหลบหนีออกจากเกาะธีราโดยไร้เงาของราชองครักษ์ส่วนพระองค์ และการมาถึงของนางกำนัลนีรูสที่ดูเหมือนจะเป็นการบอกกล่าวกลาย ๆ ว่า..
เจ้าชายมิโนสทรงมิอาจไว้วางพระทัยต่อชลกลุ่มนี้
ซึ่งเธเซียสยังมิอาจเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด

แต่แล้วความคิดกลับต้องหยุดลงเพียงแค่นั้น เมื่อเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญพระราชินีแห่งจักรวรรดิครีตันดังก้องไปทั่วบริเวณ นางกำนัลนีรูสจึงลุกเดินไปยังแนวกำแพงอันทอดยาวเพื่อสอดส่องความเป็นไปของเบื้องล่าง แต่ก็มิอาจได้ความนัก เนื่องจากสวนแห่งนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ส่วนท่าเทียบเรือจะอยู่ทางด้านทิศตะวันตก

“ดูเหมือนข้าจะเลอะเลือน” นางกำนัลนีรูสเดินกลับมาหาเธเซียส พลางกล่าวพร้อมตีหน้าผากตนอย่างมิสบอารมณ์
“วันพรุ่งพระราชินีจะต้องเสด็จไปสักการะเจ้าแม่บนยอดเขาดิคที” ท้ายที่สุดคำอธิบายของหญิงวัยกลางคนก็ทำให้เธเซียสเข้าใจด้วยตนเองว่า..
นางกำนัลดาฟเน่อาจจะกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมเครื่องสักการะ



φ


[1] พระปฤษฏางค์ แปลว่า แผ่นหลัง

[2] เปลือกไม้ของต้นวิลโลว์ ใช้เป็นยาระงับปวดตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยชาวอียิปต์โบราณเป็นผู้ค้นพบ ซึ่งตัวยาดังกล่าวเทียบได้กับยาแอสไพรินในปัจจุบัน

[3] อโล อีเวรา หรือ อโลเวร่า คือ ว่านหางจระเข้ ชาวอียิปต์โบราณนิยมกินเป็นยาฆ่าพยาธิ และยังใช้ทาแผลพุพอง แผลสด และแผลบวมช้ำ

[4] ต้นแฟรงคินเซนส์ คือ พืชในตระกูลกำยาน ชาวอียิปต์โบราณนิยมใช้ฆ่าเชื้อ กินแก้เจ็บปาก และแก้ระคายคอ


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ตำนานอียิปต์โอม : แพทย์แผนดึกดำบรรพ์สมัยไอคุปต์ https://bit.ly/2WFNQyz


มาอัพตอนใหม่แล้วจ้าจะได้ไม่ค้างคากันมาก มีใครเดาความสัมพันธ์ระหว่างมิโนทอร์กับเจ้าชายมิโนสออกหรือยัง ?
ตอนนี้มีคำใบ้ใหม่เพิ่มขึ้นมาแล้วด้วย คึคึคึคึ สักการะอะไร ??
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 22 φ หน้า 2 (update 18/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 18-05-2019 10:50:23
ตอน 22

หลังจากทราบข่าวการทรงงานบริเวณนอกเขตพระราชฐานของเจ้าชายมิโนส จิตใจของเธเซียสก็เริ่มห่อเหี่ยวอาจเพราะเขามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับอีกฝ่ายตั้งมากมาย แต่บุรุษผู้นั้นกลับพำนักอยู่ที่เมืองอาร์คันส์  เนื่องจากองุ่นในเขตดังกล่าวเกิดโรคระบาดจนส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า พระองค์จึงต้องเร่งแก้ไขเป็นการด่วน
เธเซียสที่ในเวลานี้ได้แต่นอนกระดิกเท้ามองกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ไปพลาง ลอบมองนางกำนัลนีรูสที่กำลังหลับสนิทไปพลาง จึงตัดสินใจเดินออกจากสวนที่ใช้เวลาเนรมิตภายใน 7 วัน ซึ่งในยามค่ำคืนแบบนี้ ภายในตัวพระราชวังค่อนข้างเงียบเหงาและวังเวง อาจเพราะการออกแบบเป็นไปอย่างมืดทึบ
แม้จะมีแสงสว่างจากคบไฟ แต่ก็มิอาจลดทอนความเปล่าเปลี่ยวไปได้

บุรุษจากต่างแดนจึงก้าวเดินไปยังเส้นทางที่เต็มไปด้วยภาพวาดเฟรสโกลวดลายต่าง ๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสงานศิลป์เหล่านั้น ราวกับการกระทำดังกล่าวจะถ่ายทอดความรู้สึกที่กำลังล้นอกไปสู่ผู้ที่เป็นเจ้าของ แต่แล้วอารมณ์อันแสนสุนทรีย์ก็มีอันต้องจบสิ้น เมื่อจุดหมายปลายทางที่มิได้คาดคิด คือบริเวณใต้ถุนของตัวพระราชวังซึ่งเป็นสุสานอันเงียบสงบ
แต่ทว่าบัดนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนและแสงสว่างจากคบไฟ

ซึ่งภาพที่เห็นทำให้เธเซียสรู้สึกสงสัย เพราะการตระเตรียมเครื่องสักการะ มิควรจะกระทำที่ ‘สุสาน’ ดังนั้นอะไรบางอย่างที่บรรจุอยู่ในโถพีโรอีใบใหญ่ที่ต้องใช้แรงงานบุรุษถึง 2 ชีวิต ย่อมมิอาจเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร
การเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดจึงก่อเกิดขึ้น

เริ่มจากการนำส่ง ‘เชลยศึก’ จากเอเธนส์ อาจมิได้มีเพียงจุดประสงค์เพื่อเป็นภักษาหารของ ‘มิโนทอร์’ แต่อาจจะมีขึ้นเพื่อ ‘บูชายัญ’ ดังนั้น ‘พวกนอกรีต’ ที่เจ้าชายมิโนสเคยตรัสถึง
คงมิแคล้ว ‘พระราชินี’ แห่งครีตัน

ส่วนเรื่องราวของเจ้าสัตว์ประหลาดนามว่า ‘มิโนทอร์’ เธเซียสใช้เวลาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ตลอดทั้งวัน จนเพลานี้ได้ข้อสรุปว่าบางทีเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้ อาจจะเป็นพระเชษฐาหรือพระอนุชาของเจ้าชายมิโนส เนื่องจาก ‘มิโนทอร์’ หมายถึง ‘โอรสวัวแห่งไมนอส’
ประการที่สอง ‘มิโนทอร์’ อาจอยู่ในสถานะของ ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’ อย่างเจ้าชายมิโนส เหตุเพราะเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้มีความสำคัญทางด้านการทหาร
เรียกได้ว่ามันคือจุดแข็งของจักรวรรดิครีตัน จนทำให้เจ้าชายมิโนสมิโปรดให้มีการสร้างกำแพงเมือง
ดังนั้นความหมายของคำว่า ‘มิโนทอร์’ อาจมิได้เกี่ยวพันกับความเป็นจริง

ประการสุดท้ายคือสิ่งที่มิอาจเป็นไปได้ แต่ในเมื่อ ‘มิโนทอร์’ เคยปรากฏตัวให้เห็นและยังทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ คงมิมีสิ่งใดที่เป็นไปมิได้อีกต่อไป ซึ่งความเหลือเชื่อดังกล่าวคือ ‘เจ้าชายมิโนส’ อาจแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวได้ เนื่องจากในค่ำคืนหนึ่งที่เกาะแห่งไฟ เธเซียสมองเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้น ซึ่งตรงกับวันที่เจ้าชายมิโนสทรงหายองค์ไป มิหนำซ้ำฉลองพระองค์ยังขาดวิ่นจนมิเหลือชิ้นดี และพระฉวี ของพระองค์ยังเจือกลิ่นคาวเลือดอย่างปิดมิมิด อีกทั้งในช่วงเวลาที่เจ้ามิโนทอร์กำลังจะหลอมรวมกระดูกทุกสัดส่วนให้เป็นผุยผง มันยังตกใจราวกับซุ่มเสียงของเธเซียสคือเนื้อเสียงที่มันคุ้นเคย
‘มัจจุราช’ อย่าง ‘มิโนทอร์’ จึงยอมปลดปล่อยเหยื่ออันแสนโอชะมาจนถึงบัดนี้

กระทั่งเสียงเครื่องปั้นดินเผากระทบลงสู่พื้นเบื้องล่าง ภวังค์แห่งความคิดจึงถูกปัดเป่า ภาพที่เห็นจึงทำให้เธเซียสถึงกับตกตะลึง เนื่องจากภายในโถพีโรอีมิได้มี ‘ศพ’ ของเชลยจากเอเธนส์ที่ถูกดองด้วยน้ำผึ้งดังเช่นที่เข้าใจ แต่กลับมีบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งคุดคู้อยู่ข้างใน ซึ่งเขาคงจะทำอะไรบางอย่างจนแรงงานบุรุษทั้งสองมิอาจรับไหว
เท่ากับว่า ‘สุสาน’ มิใช่สุสาน
และ ‘เชลยศึก’ ก็มิได้ถูกปลดปล่อย

เหตุการณ์ดังกล่าวจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า เจ้าชายมิโนสอาจจะเพิ่งล่วงรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ พระองค์จึงมิอาจมอบความไว้วางพระทัยให้แก่นางกำนัลดาฟเน่ได้อีกต่อไป
เหตุเพราะนางคือผู้สมรู้ร่วมคิดกับองค์ราชินี

“น้องชาย!” แต่แล้วความวุ่นวายก็บังเกิด เมื่อเชลยหนุ่มกำลังช่วยเหลือพรรคพวกที่จะถูกนำตัวไปยังสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาดิคที ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวกำลังทำให้เธเซียสตกที่นั่งลำบาก เขาจึงต้องรีบหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืด
แม้ว่าข้าราชบริพารเหล่านั้นจะมิเข้าใจภาษาของชาวเอเธนส์เลยก็ตาม

“น้องชาย! ช่วยพี่สาวด้วย! น้องชาย!” แต่แล้วหญิงสาวที่เคยให้ความช่วยเหลือในยามบาดเจ็บก็แผดร้องจนสุดเสียง บุรุษจากต่างแดนจึงขยับกายออกจากที่ซ่อนเพื่อสำรวจเหตุการณ์ดังกล่าว
พบว่าความวุ่นวายทั้งหมดถูกขจัดด้วยมีดกริชปลายแหลม
จากนั้นร่างของเชลยผู้แสนอาภัพจึงถูกยัดใส่โถพีโรอีใบใหญ่ที่วางเรียงรายอยู่มิไกลจากบริเวณดังกล่าว

ขณะที่แววตาของ ‘พี่สาว’ ผู้แสนใจดี กลับมองตรงมายังบุรุษผิวคล้ำที่กระทำได้เพียงแอบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกำแพง เหตุเพราะเขามิอาจนำตัวเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องที่มิควรจะเกี่ยวข้อง
ซึ่งมันก็ทำให้เธเซียสแอบเก็บเอาไปฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกคราก่อนจะตื่น เขามักจะเห็นแววตาแห่งการร้องขอของ ‘พี่สาว’ ผู้แสนใจดีในวันวาน ความรู้สึกผิดจึงกัดกินหัวใจจนมิอาจทานทน
อีกทั้งความเหงาหงอยบวกกับความน้อยใจก็ยิ่งแผ่กระจายไปทั้งอณูความรู้สึก
เมื่อบุรุษผู้เปรียบดังแสงสว่าง เพิ่งเสด็จกลับจากเมืองอาร์คันส์ แต่มิได้เสด็จเข้ามาทักทาย

‘หลบหน้า’ คือคำคำเดียวที่ยังพอจะให้คำจำกัดความได้
ซึ่งเธเซียสก็นั่งคิดนอนคิดเหตุผลจนหัวแทบแตก แต่ก็มิได้นำพา

“นอสซัสกำลังจะมีงานใดอีกหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามนางกำนัลนีรูสที่กำลังนำมื้อเช้ามาให้ พลางนั่งห้อยขาอยู่บนกำแพงกว้างพร้อมเอี้ยวตัวมองหาที่มาของเสียงอึกทึกด้วยความสนใจ
“วันพรุ่งจะมีงานเทศกาลเดินเรือ เหล่าข้าราชบริพารจึงต้องรีบตรวจตราให้เรียบร้อย” หญิงวัยกลางคนกล่าวพลางทิ้งตัวลงนั่งบนกำแพง เพียงแต่มิได้ห้อยขาออกนอกตัวอาคารดังเช่นเธเซียส

“อ้อ” ขณะที่เธเซียสได้แต่ตอบรับในลำคอ พลางดื่มไคคีออนด้วยความเงียบเชียบ เนื่องจากวันเวลาผันผ่านไปนานแรมเดือน ซึ่งเดิมทีเธเซียสเคยพยายามบอกกับตนเองว่า เจ้าชายมิโนสกำลังทรงงานหนัก เหตุเพราะการแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดในองุ่นมิใช่เรื่องง่าย
ฉะนั้นจึงต้องผ่านการลองผิดลองถูกอยู่เนิ่นนาน

แต่ทุกคราที่เจ้าชายมิโนสเสด็จกลับมายังพระราชวังนอสซัส พระองค์กลับมิเคยเข้ามาถามไถ่ บุรุษจากต่างแดนจึงรู้สึกหมองเศร้า มิต่างกับการถูกเสด็จพ่อริดรอนความไว้วางพระทัย

“เจ้าเริ่มดีขึ้นแล้วกระมัง ลงไปดูพวกเขาดีหรือไม่ ?” นางกำนัลนีรูสเอ่ยถามราวกับรู้ใจว่าเธเซียสกำลังเบื่อหน่ายบรรยากาศอันแสนสดชื่น แต่ทว่ากลับหมองเศร้าในความรู้สึก
“งานครานี้เจ้าชายมิโนสทรงบัญชาการด้วยองค์เองเชียวล่ะ” สิ้นคำของนางกำนัลวัยกลางคน ใบหน้าที่แสดงออกว่าเบื่อหน่ายก็พลันสดใส ซึ่งเธเซียสมิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
ดูท่าว่า..
เจ้าชายมิโนสเริ่มมีอิทธิพลในจิตใจของบุรุษจากไมซีเนียนมากขึ้นทุกที ทุกที..

ทว่าท่าทางอันสดใสราวกับเด็กชายในวัยเยาว์กลับต้องหมองหม่น เมื่อเจ้าชายมิโนสผู้บัญชาการงานสำคัญกำลังจะเสด็จทางเรือ บุรุษผิวคล้ำจึงยืนลังเลอยู่ตรงเส้นทางที่ขนาบด้วยทิวเสาสีแดงต้นใหญ่ ขณะที่ดวงตากำลังจ้องมองบุรุษหน้าหวานในฉลองพระองค์อันแสนเรียบง่าย โดยที่ปลายเกศายังคงไหวระริกหยอกล้อกับสายลมดังภาพอันแสนคุ้นเคย
เพียงแต่ความรู้สึกของเธเซียสในขณะนี้ กลับมิค่อยชื่นชอบภาพดังกล่าวสักเท่าใด
อาจเพราะความห่างเหินคือต้นสายปลายเหตุ

สองขาของบุรุษที่กำลังกระทำตัวเยี่ยงอนุชาตัวน้อยก้าวเดินตรงไปยังท่าเรืออันกว้างใหญ่ กระทั่งระยะห่างเริ่มหดหาย ฝ่ามือของเธเซียสจึงค่อย ๆ ยื่นออกไป ขณะที่เจ้าชายมิโนสยังคงหาลือเกี่ยวกับงานราชการอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเคร่งเครียด คาดว่าคงจะหนีมิพ้นการแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดในองุ่น ซึ่งพระองค์จำต้องวางมือจากภาระงานดังกล่าว เนื่องจากในวันพรุ่งยังมีงานเทศกาลสุดยิ่งใหญ่รอคอยพระองค์อยู่

“นับว่ามาถูกทางแล้ว..” สุรเสียงทุ้มนุ่มกล่าวพลางแย้มโอษฐ์ด้วยความคลายพระทัย เพียงแต่มันเป็นจังหวะที่ค่อนข้างพอดีกับการกระทำของเธเซียส บุรุษผู้สูงศักดิ์และขุนนางนายหนึ่งจึงปรายตามองมายังผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นทุกสรรพสิ่งราวกับหยุดความเคลื่อนไหว คำพูดแก้ตัวที่ตระเตรียมมาพลันเลือนหาย

“หายดีแล้วหรือ ?” ดำรัสถามที่คาดหวังจะได้ยินมาเนิ่นนาน ถูกตอบด้วยการพยักหน้าขึ้นลงราวกับเด็กชายในวัยเยาว์
“อ้อ” เจ้าชายมิโนสตรัสเพียงเบา ๆ แต่ทว่าดวงเนตรของพระองค์กลับมิยอมสบตากับเธเซียส ความกังวลจึงยิ่งก่อเกิด แต่ก็มิอาจทักท้วงเนื่องจากบุรุษตรงหน้าเริ่มว่าราชการสำคัญอย่างต่อเนื่อง ส่วนเธเซียสก็ได้แต่มองรอบ ๆ กาย โดยที่ฝ่ามือยังมิยอมปลดปล่อยข้อพระกรให้เป็นอิสระ

กระทั่งพบว่าราชองครักษ์ที่ถูกลอยแพไว้ยังเกาะแห่งไฟ บัดนี้กลับอยู่กันอย่างพร้อมหน้า มิหนำซ้ำเคออสยังแอบยักคิ้วทักทายอีกต่างหาก เธเซียสจึงยักคิ้วตอบ สหายสนิทที่มิได้เจอหน้าเป็นแรมเดือนจึงเริ่มถามไถ่อาการบาดเจ็บด้วยการชี้ไปยังหัวไหล่ของตน ฝ่ายผู้บาดเจ็บที่ในตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้วจึงตอบกลับด้วยการชูกำปั้นข้างที่ไหล่ได้รับบาดเจ็บราวกับต้องการจะชกมวยกลางอากาศ
แต่แล้วบุรุษผู้แสนอวดดีก็ถึงคราวต้องเบ้หน้า เล่นเอาเคออสจำต้องกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง
โดยมิรู้เลยว่าท่าทางดังกล่าวล้วนเป็นการแสดงของเธเซียส

“เราต้องรีบไปแล้ว เจ้าเองก็ไปนอนพักเถิดยังเจ็บแผลอยู่มิใช่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแกะพันธนาการของเธเซียสออกอย่างละมุนละม่อม
“กระหม่อม..” เธเซียสยังกล่าวมิทันจบ เคออสที่ยืนอารักขาอยู่เนิ่นนานจึงก้าวเข้ามาขัดจังหวะ

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอกราบทูลว่าราชกิจของพระองค์ที่เกาะแห่งไฟยังมีอีกมาก” เคออสกล่าวพลางก้มหน้าอย่างนอบน้อม แต่ทว่าเขากลับลอบส่งยิ้มให้แก่สหายสนิท ราวกับการกระทำอันมิบังควรเกิดจากการเอื้อประโยชน์ให้แก่เธเซียส
“อืม” สิ้นคำตอบรับของเจ้าชายมิโนส เธเซียสจึงช้อนตามองบุรุษผู้สูงศักดิ์ด้วยความลุ้นระทึก เนื่องจากอีกเหตุผลหนึ่งที่มิใช่เรื่องของความรู้สึก คือการที่เขาอยากจะมีส่วนร่วมในงานเดินเรือสุดยิ่งใหญ่จนเนื้อตัวสั่น
เหตุเพราะมันจะทำให้เขาล่วงรู้ทักษะด้านการสู้รบของจักรวรรดิครีตันอย่างลึกซึ้ง

เธเซียสแอบลอบยิ้มเมื่อเจ้าชายมิโนสมิได้คัดค้านอันใดอีก สองขาจึงก้าวลงเรือและเดินตามเสด็จไปนั่งยังบริเวณท้ายเรือที่มีกันสาดกั้นคอกไว้ ซึ่งเธเซียสยังคงนั่งปักหลักอยู่ตรงขั้นบันไดตรงบริเวณฝ่าพระบาทมิต่างจากคราก่อน
เพียงแต่ครานี้มิมีฝ่าพระหัตถ์แสนอบอุ่นคอยค้ำยันศีรษะอันแสนโงนเงน
เหตุเพราะเจ้าชายมิโนสกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ดวงพักตร์ของพระองค์จึงฉายแววแห่งความเคร่งเครียด


φ


[1] เมืองอาร์คันส์ (Archanes) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระราชวังนอสซัส มีแหล่งโบราณสถานสำคัญคือบ้านพักตากอากาศ Vathypetro และมีการขุดพบเครื่องกลั่นไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
[2] พระฉวี แปลว่า ผิวหนัง


มาต่อแล้วค่าาา แต่สั้นมาก 555 ไม่รู้ทำไมเรื่องนี้ถึงเขียนได้แค่ตอนสั้น ๆ แถมใช้เวลาเขียนเป็นอาทิตย์เลย ฮือ ส่วนตอนนี้ก็เฉลยความลับเกี่ยวกับเชลยจากเอเธนส์ออกมานิดหน่อย ส่วนเจ้าชายกำลังเครียดเรื่องอะไรอยู่นั้น อีกไม่นานได้คำตอบแน่จ้า สำหรับตอนหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับงานประเพณีการล่องเรือค่ะ อาจจะใช้เวลาเขียนนานหน่อย เพราะมีฉากสำคัญมากๆ อยู่ในตอนนั้น
เห็นมีนักอ่านหน้าใหม่มาอ่านด้วย ฮือ ดีใจน้ำตาจะไหล ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามมาก ๆ เลยค่ะ คุณคือผู้สานฝันของเรา !!!
ปล. มาเล่นแท็ก #มหาบุรุษแห่งครีตัน ได้น้า แห้งเหือดมากๆ 5555
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 22 φ หน้า 2 (update 18/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-05-2019 07:09:45
:กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 23 φ หน้า 2 (update 26/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 26-05-2019 11:34:33
ตอน 23

กระทั่งลำเรือเริ่มลอยล่องเข้าใกล้ปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ ผ้าลินินผืนสีดำรัตติกาลจึงถูกผูกคล้องบริเวณท้ายทอยอย่างแน่นหนา ราวกับผู้พระราชทานมิประสงค์ให้บุรุษจากต่างแดนสูดดมกลิ่นกำมะถันโดยมิจำเป็น
เนื่องจากพระองค์ทรงทราบดีว่าหมอกควันเหล่านี้
แม้จะให้ประโยชน์มหาศาล แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าโทษของมันก็มหาศาลเช่นกัน

“เจ้าชายมิโนสเสด็จ!” ชาวประมงกลุ่มหนึ่งที่กำลังลากอวนมิไกลจากวิถีของเรือพระที่นั่ง ตะโกนก้องจนทั่วคลุ้งน้ำด้วยสีหน้าอันเปื้อนยิ้ม ส่งผลให้ชาวครีตันประจำเมืองเอียตรงบริเวณชายฝั่ง ต่างพากันชะโงกหน้ามองมายังต้นเสียง กระทั่งพบลำเรือที่แสนคุ้นเคย เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญจึงดังระงมอย่างพร้อมเพรียง เธเซียสเลยอดจะหันไปลอบมองบุรุษที่กำลังประทับเหนือบริเวณศีรษะมิได้ พบว่าดวงเนตรของพระองค์กำลังแย้มสรวลพลางโบกหัตถ์ด้วยท่าทีสุดองอาจ
“ทรงพระเจริญ!” ยิ่งลำเรือตัดผ่านม่านหมอกสีขาวโพลนเข้าใกล้เมืองเอียมากเพียงใด สุ้มเสียงแห่งความเคารพนบนอบก็ยิ่งดังระงมมากขึ้นเท่านั้น ต่างกันแค่เพลานี้ลำเรือขนาดเล็กของชาวบ้านกำลังจอดเทียบท่าตรงบริเวณริมชายฝั่งอย่างมากมาย
ส่งผลให้เส้นทางเดินเรือภายในวงแหวนของเกาะแห่งไฟเริ่มจะแออัดยัดเยียด

เธเซียสจึงอดสงสัยมิได้ว่าการจราจรแออัดถึงเพียงนี้ จะทำให้ ‘การอพยพ’ เป็นไปอย่างราบรื่นได้อย่างไร ซึ่งคำตอบที่นึกสงสัยกลับหาได้จากการชุมนุมบริเวณลานฝึกของกองทัพเรือ โดยมีชาวบ้านเข้าร่วมทุกครัวเรือน เพียงแต่บรรยากาศของการชุมนุมกลับมิได้ตึงเครียดอย่างที่คิด เพราะเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารเกี่ยวกับงานประเพณี พร้อมจัดระเบียบการเคลื่อนพลเสียใหม่ เนื่องจากแต่ละปีจำนวนประชากรบนเกาะธีรามักจะเพิ่มขึ้น เจ้าชายมิโนสจึงต้องจัดสรรหนทางหลีกหนีให้ใกล้กับลำเรือของแต่ละครอบครัว เพื่อลดความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งมันก็เป็นผลดีต่อการณ์ข้างหน้า เพราะถ้าหากจำต้องประสบเหตุร้ายโดยมิคาดคิด เหล่าราษฎร์ก็ยังวิ่งลัดเลาะไปตามเส้นทางต่าง ๆ ที่มีเหล่าทหารคอยรอรับพวกเขาอยู่
ดังนั้นลำเรือที่เคยแออัดยัดเยียดภายในวงแหวนรอบภูเขาแห่งไฟจึงเริ่มคลี่คลาย ขณะเดียวกันบุรุษผู้สูงส่งและเหล่าราชองครักษ์รวมถึงนายทหารยศใหญ่อย่างขุนพลดิดะรัสกลับพากันเดินทางโดยม้าศึกไปยังเมืองหน้าด่านอย่างอาโกรตรี เธเซียสจึงมีโอกาสได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย
พบว่าที่เมืองหน้าด่านล้วนเป็นเขตพระราชฐาน

เพียงแต่เธเซียสยังมิอาจทราบว่าโครงสร้างของตัวพระราชวังจะลึกลับซับซ้อนดังเช่นพระราชวังอื่นหรือไม่ เพราะจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือประภาคารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณริมหน้าผาอย่างโดดเด่น ซึ่งระยะการมองเห็นจะสามารถตรวจตราความเงียบสงบเหนือน่านน้ำอันกว้างใหญ่ และยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอย่างภูเขาแห่งไฟ

“ช่วงนี้เกิดเหตุแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้งพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าสิ่งที่พวกเราต่างคาดการณ์อาจเป็นจริงในมิช้า” อีคารัสบุตรชายของนักประดิษฐ์ผู้เลื่องชื่อกล่าวเปิดประเด็น เมื่อทุกผู้ก้าวเดินมาจนถึงด้านบนสุดของประภาคารสีขาวสะอาด โดยเบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏภาพของปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่มีหมอกควันปะปนกับฟ้าสีคราม
เพียงแต่เธเซียสมิได้ให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าว เหตุเพราะเขากำลังให้ความสนใจกับ ‘อีคารัส’ บุตรชายของนักประดิษฐ์ชื่อดังที่สร้างผลงานสุดพิศดารอย่าง ‘โคไม้’ ถวายแด่พระนางปาซิฟาอี เพื่อใช้ในการร่วมอภิรมย์กับ ‘โคสีขาว’ ที่องค์เทพโพไซดอนประทานให้แก่กษัตริย์ไมนอส จนกระทั่งพระนางให้กำเนิดโอรสโคนามว่า ‘มิโนทอร์’
เธเซียสจึงนึกอยากสนิทสนมกับอีกฝ่ายขึ้นมาทันใด
เพราะในหัวยังคงมีเรื่องราวที่อยากจะได้รับคำยืนยันอีกมากมาย

“เราเองก็คิดเช่นนั้น เพราะตอนที่เรือเริ่มเข้าใกล้ภูเขาแห่งไฟ เรารู้สึกว่ามันเริ่มจะปล่อยหมอกควันมากยิ่งขึ้น และกลิ่นของกำมะถันก็เริ่มหนาแน่นมากขึ้น” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่เธเซียสกำลังนึกทบทวนดำรัสของพระองค์ด้วยความใส่ใจ เนื่องจากตนมิทันสังเกตความผิดปกติของเกาะกำบังอันแข็งแกร่ง
“อีคารัส เจ้าคิดว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ลงภายในเร็ววันนี้หรือไม่” ขุนพลดีดะลัสเอ่ยถามด้วยความเคร่งเครียด อาจเพราะเขาคือผู้ควบคุมดูแลเกาะแห่งไฟรองจากเจ้าชายมิโนส
ดังนั้นหากเกิดเหตุระทึกขวัญ ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดเห็นจะหนีมิพ้นขุนศึกท่านนี้

“มิอาจกะเกณฑ์ได้พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำกล่าวจากบุตรชายของนักประดิษฐ์ชื่อดัง สีหน้าของทุกผู้ก็เริ่มฉายแววแห่งความมิสบายใจ
“เรายังวางผังเมืองอาร์คันส์มิเรียบร้อยดี แต่หากมิมีทางเลือกคงต้องให้พวกเขาทนอยู่อย่างอัตคัดไปก่อน ครานี้เราคาดคะเนผิดไปมาก จึงทำให้การโยกย้ายเป็นไปอย่างยากลำบาก” ทันทีที่เจ้าชายมิโนสตรัสมาถึงประเด็นดังกล่าว เธเซียสก็เริ่มเข้าใจภาระหน้าที่ของพระองค์มากขึ้น เนื่องจากพระองค์มิได้เดินทางไปยังเมืองอาร์คันส์เพียงเพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดในองุ่น แต่ยังต้องตรวจตราผังเมืองเพื่อเตรียมอพยพราษฎร์จากเกาะแห่งไฟ และยังต้องวางแผนให้วิถีชีวิตของพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องจากราษฎร์ในแถบนี้ต่างประกอบอาชีพชาวประมงทั้งสิ้น ความรู้ในเรื่องการเกษตรจึงต้องปลูกฝังกันใหม่
ดังนั้นไร่องุ่นอันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงของจักรวรรดิครีตัน จึงถูกวางรากฐานเพื่อส่งมอบต่อชาวครีตันจากเกาะแห่งไฟ

“ทูลเจ้าชายมิโนสกระหม่อมคิดว่ามิน่าเป็นปัญหา เหตุเพราะตอนนี้คนงานเริ่มก่อสร้างบ้านเรือนใกล้จะแล้วเสร็จ หากสถานการณ์มิเอื้ออำนวย พวกเขาคงต้องร่วมอาศัยบ้านหนึ่งหลังต่อสองครอบครัวใหญ่ และบ้านหนึ่งหลังต่อสามครอบครัวเล็ก” เคออสกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน บ่งบอกได้ดีว่าบุรุษผู้นี้มิใช่เพียงราชองครักษ์ระดับสูง แต่ยังเป็นถึงสหายคู่คิดของเจ้าชายมิโนส
“กระหม่อมเองก็คิดตรงกันพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อพระองค์มิได้ทอดทิ้งพวกเขา ปัญหายุ่งยากคงมิบังเกิด หรือหากเกิดก็คงจะมิบานปลาย” อีคารัสกล่าวเสริมด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างหนักแน่น ซึ่งเธเซียสก็เห็นด้วย เพราะการเยียวยาราษฎร์ของเจ้าชายมิโนสได้ถูกตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี เพียงแต่การคาดคะเนกลับคลาดเคลื่อน จึงทำให้การเตรียมความพร้อมเป็นไปอย่างล่าช้า
อีกทั้งภัยธรรมชาติก็ยากที่จะกะเกณฑ์

“เราควรเร่งอพยพในวันพรุ่งดีหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางยืนกอดอกอย่างใช้ความคิด
“กระหม่อมคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีพ่ะย่ะค่ะ วันหน้าหากประสบภัยพิบัติ กระหม่อมจะได้ควบคุมเพียงนายทหารทุกภาคส่วนโดยมิต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะพวกเราต่างก็มิทราบว่าภัยร้ายจากภูเขาแห่งไฟจะร้ายกาจเพียงใด” ขุนพลดีดะรัสทูลความคิดเห็นอันเป็นทางออกที่ลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

“แต่กระหม่อมเกรงว่าปัญหาจะอยู่ตรงที่ผู้เฒ่าผู้แก่พ่ะย่ะค่ะ เหตุเพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับหมอกควันและแผ่นดินไหวอยู่มาก ทำให้พวกเขามองว่าพวกเราต่างตื่นตระหนกกันเกินไป” เคออสกล่าวอย่างมีเหตุผล ซึ่งเจ้าชายมิโนสก็ทรงเห็นด้วย เนื่องจากเทศกาลเดินเรือคราก่อน มีผู้ลักลอบแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลายสิบราย และยังมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นทุกปี
“เราคงต้องให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มาก พวกเขาจะได้มิถูกงานเทศกาลครอบงำจนหลงลืมใจความสำคัญของงานดังกล่าว แล้วก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองใหม่ที่เราจัดเตรียม พร้อมประกาศไปว่าผู้ใดสมัครใจอยู่อย่างถาวร มีสิทธิ์เลือกที่พักอาศัยและที่ทำกินมิจำกัด แต่หากความต้องการมีมากในภายหลัง พวกเขาต้องจ่ายค่าครองชีพให้แก่ราชวังเพื่อขยายเขตชุมชนให้มากขึ้น” เจ้าชายมิโนสตรัสเป็นขั้นเป็นตอน คล้ายกับพระองค์มั่นพระทัยว่าราชองการดังกล่าวจะสามารถดึงดูดผู้คนจากเกาะธีรามายังเมืองใหม่ได้มิน้อย

“ส่วนฐานทัพเรือเราคงต้องใช้เวลาสำรวจที่ตั้งอีกสักหน่อย เพราะจนถึงบัดนี้เรายังมองมิเห็นที่ใดเหมาะสมเท่าเกาะแห่งไฟ” 
“กระหม่อมเองก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้กระหม่อมเคยหารือร่วมกับอีคารัสมาบ้าง คาดว่าสัญญาณเตือนที่อันตรายที่สุดคงเป็นการที่ภูเขาแห่งไฟเริ่มบวมหรือเอียงข้าง ส่วนควันพิษ ณ เพลานี้ยังมิถึงขั้นทำให้เหล่านกทะเลตกลงมาตาย ซึ่งถ้าหากการคาดคะเนของพวกกระหม่อมมิผิดพลาด เกาะธีราก็ยังพอจะใช้เป็นฐานทัพเรือได้อีกระยะหนึ่ง”

“เป็นเช่นนั้นเราก็เบาใจ แต่ลึก ๆ เรามิอยากให้พวกเจ้าต้องทนอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้ เสร็จจากงานเทศกาลเราคงต้องเร่งสำรวจฐานทัพแห่งใหม่ให้เร็วที่สุด” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมุ่งมั่นและเป็นกังวล เนื่องจากการตัดสินพระทัยที่ผิดพลาดส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของจักรวรรดิครีตันมิใช่น้อย เพราะถ้าหากเกิดเหตุภัยพิบัติโดยที่เหล่าทหารมิสามารถอพยพได้ทันการณ์
เพลานั้นครีตันคงตกอยู่ภายใต้อำนาจของแคว้นต่าง ๆ ที่คอยจดจ้องแผ่นดินทองคำแห่งนี้ตาเป็นมัน
ซึ่งมันก็ทำให้เธเซียสรู้สึกใจหายอย่างบอกมิถูก

กระทั่งการหารือขนาดย่อมจบลงด้วยความเรียบง่าย ขุนพลดีดะรัสและเหล่าราชองครักษ์จำนวนสามชีวิตก็ติดตามอีคารัสเพื่อดำเนินการตามราชโองการด้วยความเร่งด่วน ขณะที่ราชองครักษ์อีกสองนายกำลังยืนอารักขาอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าประภาคารด้านล่าง

“เหตุใดพระองค์จึงมิใช้คูคลองน้ำทะเลที่มุ่งหน้าสู่พระราชวังนอสซัสเป็นฐานทัพเรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเริ่มตั้งคำถาม เมื่อรอบกายเริ่มถูกโอบล้อมเพียงความเงียบงัน เนื่องจากเจ้าชายมิโนสกลับเอาแต่จับจ้องไปยังดวงตะวันกลมโตที่กำลังเคลื่อนหายไปจากผิวน้ำ
“เรามิอยากเปิดเผยเกี่ยวกับฐานทัพเรือมากนัก เพราะเรามิอยากให้ผู้ใดประเมินอำนาจทางการทหารของจักรวรรดิครีตันได้อย่างแม่นยำ” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสจึงสร้างความฉงนให้แก่เธเซียสมิใช่น้อย เพราะอำนาจทางการทหารสามารถสื่อถึงความมั่นคงของจักรวรรดินั้น ๆ ได้ แล้วเหตุใดบุรุษผู้นี้จึงมีความคิดผิดแผก

“เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะมันคือดาบสองคม ยิ่งข้าศึกประเมินศักยภาพได้มากเพียงใด ก็ยิ่งต้องหาทางทำลายศักยภาพนั้นในปริมาณที่มากกว่า แต่หากมิมีทางเลือกเราคงต้องยินยอมให้มันเป็นไปเช่นนั้น” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส เธเซียสก็มองเห็นภาพดังกล่าวได้ชัดเจนขึ้น เพราะเดิมทีเขาก็แฝงกายเข้ามาเป็นไส้ศึกเพื่อสืบหาจุดอ่อนของจักรวรรดิครีตัน เพื่อที่เสด็จพ่อจะได้นำไปวางแผนทางด้านการรบ ซึ่งการวางแผนก็ต้องมีความรอบคอบและรัดกุมเป็นเท่าตัว เนื่องจากพวกเขาต่างทราบพระราชอำนาจของจักรวรรดิครีตันอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นการเดิมพันที่เจ้าชายมิโนสเคยตรัสถึง จึงเป็นการเดิมพันที่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะถ้าหากเธเซียสทรยศต่อความรักและความไว้วางพระทัยเมื่อใด เกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าชายผู้นี้คงถูกย่ำยีจนป่นปี้

“กระหม่อมคิดว่าข้อเสนอเรื่องกำแพงเมืองคราก่อน คงถึงคราวที่พระองค์ต้องนำมาพิจารณาอย่างเร่งด่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางจับยึดขอบกำแพงของประภาคารอันสูงใหญ่ พร้อมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายจนตาปิด

“เราหยิบเอาคำแนะนำของเจ้ามาครุ่นคิดอยู่หลายครา แต่ก็ยังคิดมิตกเพราะเรามิอยากเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของชาวครีตันที่สร้างมากับมือ” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส เธเซียสก็เริ่มก้าวเข้าสู่พระหทัยของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกขั้น เนื่องจากทุกวันนี้ทุกชนชาติต่างหวั่นเกรงอำนาจทางการทหารที่เป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปาก จึงมิแปลกที่บริเวณเกาะแห่งไฟมักจะพบโจรสลัดเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่บ่อยครั้ง เหตุเพราะส่วนหนึ่งพวกเขาต่างมิกล้าผลีผลาม เมื่อจักรวรรดิครีตันขึ้นชื่อว่ามีอิทธิพลทางด้านการค้าครอบคลุมทะเลเมดิเตอร์เนียนทั้งหมด อีกทั้งยังมีสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้ปองร้ายต่อจักรวรรดิครีตัน ซึ่งเห็นตัวอย่างได้จากเสด็จพ่อของเธเซียสที่ถึงแม้จะเป็นชาวไมซีเนียนผู้ขึ้นชื่อเรื่องการรบ แต่ก็ยังหวั่นเกรงต่อความร้ายกาจของมิโนทอร์ และยังประมาทต่อภาพลักษณ์ที่เจ้าชายมิโนสล่อลวง

“การสร้างกำแพงเมืองมิถือเป็นการเปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้นพระองค์สามารถออกแบบให้ระดับความสูงเอื้อเฟื้อต่อความตั้งใจเดิมของพระองค์ได้ หรือหากจะสร้างให้สูงเทียบเท่ากำแพงเมืองของจักรวรรดิบาบิโลเนีย กระหม่อมก็ยังคิดว่ามิแปลก เพราะแม้แต่จักรวรรดิอียิปต์ก็ล้วนสร้างกำแพงเมืองอย่างใหญ่โตโอ่อ่า ยิ่งในกรณีของจักรวรรดิครีตันกระหม่อมกลับมองเห็นแต่ความได้เปรียบ เพราะตัวพระราชวังสามารถมองเห็นความเป็นไปภายนอกได้อย่างครอบคลุม ดังนั้นการสั่งการต่าง ๆ เกี่ยวกับกองทัพ พระองค์ล้วนทำได้อย่างเงียบเชียบและรัดกุม ส่วนเหล่าอาคันตุกะก็ใช้เส้นทางเดินเรือตรงบริเวณท่าเรือที่เชื่อมกับตัวพระราชวังได้มิใช่หรือ ?”
“สำหรับกระหม่อมกำแพงเมืองสามารถสื่อถือความหวั่นกลัว และความน่าเกรงขามได้พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นว่าเจ้าชายมิโนสยังคงแสดงท่าทีที่มิอาจคาดเดา เธเซียสจึงเริ่มกล่าวต่อไป เนื่องจากเขามีความกระตือรือร้นอยากจะช่วยคลายความกังวลของพระองค์อย่างเหลือล้น เหตุเพราะเพลานี้เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ดูอ่อนล้าอยู่มาก คงเพราะภาระหน้าที่เริ่มรุมเร้า

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
“การตีความล้วนขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของเมืองนั้น ๆ พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างมิกระจ่างแจ้ง แต่ก็ค่อนข้างตรงตัว

“ส่วนการกำจัดเหล่าโจรสลัด พระองค์สามารถใช้สอยมิโนทอร์และผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างกองกำลังของขุนพลดีดะรัสได้มิใช่หรือ” สิ้นคำกล่าวของเธเซียส ส่งผลให้บุรุษผู้สูงศักดิ์ชะงักงันไปชั่วขณะ
“พวกเขาสามารถดำน้ำลึกได้เป็นเวลานาน กระหม่อมคิดว่าความตั้งใจเดิมของพระองค์คงมิถูกทำลายจนหมดสิ้น”

“ข้อเสนอของเจ้าค่อนข้างทำให้เราแปลกใจ” กระทั่งได้สติเจ้าชายมิโนสจึงเอื้อนเอ่ยด้วยความแผ่วเบา
“แปลกใจอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามพลางจ้องลึกเข้าไปยังดวงเนตรที่กำลังไหวระริกอย่างแน่วแน่

“แปลกใจที่เจ้าประเมินมิโนทอร์ในทิศทางเช่นนี้” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยความยากลำบาก คล้ายกับมีก้อนเหนียวหนืดติดอยู่ในลำพระศอ เพียงแต่ก้อนประหลาดที่ว่าคงเป็นความกังวลในส่วนลึก
“คงเพราะกระหม่อมเคยเห็นเขากำลังปราบปรามโจรสลัดที่เกาะแห่งไฟกระมัง” เธเซียสกล่าวโดยมิคิดขยายความอันใด เหตุเพราะสิ่งที่ตนกำลังครุ่นคิดยังคงเป็นเพียงการวิเคราะห์
เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ตนมั่นใจก็คือ..
สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวคือมหาบุรุษผู้หนึ่งที่น่ายกย่อง

“สำหรับเจ้ามิโนทอร์คือ..” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางยุรยาตรเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างให้คำจำกัดความยาก
“มหาบุรุษแห่งครีตันพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลคำตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมมองจ้องบุรุษตรงหน้าด้วยหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำ
เหตุเพราะท่าทีของอีกฝ่ายกำลังบอกใบ้การคาดเดาจนหมดสิ้น

“บอกเราอีกคราได้หรือไม่” เจ้าชายมิโนสร้องขอพลางเชยปลายคางของเธเซียสให้สบกับดวงพักตร์ของพระองค์ด้วยความสั่นเทา
“สำหรับกระหม่อมมิโนทอร์คือมหาบุรุษที่น่ายกย่องพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่บุรุษผู้สูงศักดิ์ทราบคำตอบอันพึงประสงค์ คำพูดมากมายของเธเซียสจึงถูกกลืนกินด้วยจุมพิตสุดนุ่มนวล
แต่ทว่ารสชาติกลับเฝื่อนลิ้น
เมื่ออัสสุชล กำลังไหลริน

φ

[1] อัสสุชล แปลว่า น้ำตา
คำว่า มหาบุรุษ หมายถึง บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ คนที่เกิดมาทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่มหาชน (ที่มาของชื่อเรื่องและความเป็นเจ้าชายมิโนสกับมิโนทอร์จ้า)


บทความที่เกี่ยวข้อง
- Power of Volcano ความรุนแรงภูเขาไฟ
http://valcano2556.blogspot.com/p/blog-page_6573.html

สวัสดีค่าา วันนี้กลับมาอัพแล้วจ้า พอดีช่วงก่อนหน้านี้เรามีปัญหาเรื่องงานหนักมากเลยทำให้เขียนนิยายไม่ได้ แต่ตอนนี้เริ่มโอเคขึ้นแล้วก็เลยกลับมาปั่นได้เหมือนเดิมค่ะ ยังทันทำสถิติอัพทุกอาทิตย์ได้อยู่ 55 ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาให้กำลังใจทั้งเรื่องงานและเรื่องนิยายในทวิตด้วยนะคะ แล้วก็มีคนมาอ่านนิยายเรื่องนี้เพิ่มขึ้นด้วย บอกตรงๆ ว่าเราดีใจมากจริงๆ ค่ะ ลูกรักของเราอีกหนึ่งเรื่อง 555 แล้วยิ่งเป็นพล็อตในฝันก็เลยยิ่งดีใจเป็นพิเศษ สำหรับตอนนี้เราสัญญากับนักอ่านท่านนึงไว้ว่าจะเฉลยปมใหญ่ ก็... เฉลยแบบครึ่งๆ กลางๆ อีกแล้ว 555 แต่ตอนหน้าเราจะเฉลยแบบจริงจังแล้วค่า พอดีเราเขียนรายละเอียดก่อนฉากที่อยากเขียนเยอะไปหน่อย มันเลยยาวครบกำหนด 1 ตอนพอดี

แต่! รอบนี้ทั้งสองคนเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์แล้วนะจ๊ะ ส่วนตอนหน้า หึหึหึ เธเซียสจะต้องนองเลือดอีกมั้ย โปรดติดตามค่า เล่นแท็ก #มหาบุรุษแห่งครีตัน ได้นะคะ เผื่อจะมีคนบังเอิญมาเจอพล็อตในฝันของเรา 55555
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 24 φ หน้า 2 (update 29/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 29-05-2019 11:38:51
ตอน 24

เสียงเป่าแตรเขาสัตว์เป็นจังหวะยาวนานในช่วงรุ่งสาง ส่งผลให้เกาะแห่งไฟที่เคยเงียบสงบเต็มไปด้วยความอึกทึก เนื่องจากเพลานี้กำลังก้าวเข้าสู่งานเทศกาลเดินเรือ เพียงแต่ความยุ่งยากและวุ่นวายกลับมีมากกว่าคราก่อน เหตุเพราะเหล่าราษฎร์ต่างขนย้ายทรัพย์สินส่วนบุคคลไปตามตรอกซอกซอยที่มุ่งหน้าสู่ลำเรือของพวกเขาอย่างขะมักเขม้น 

ฝ่ายเธเซียสและเจ้าชายมิโนสจึงตกอยู่ในสภาพมิต่างกัน เนื่องจากทั้งคู่จำต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทิศทางอันวกวนของพระราชวังแห่งเมืองอาโกรตรี เธเซียสจึงเริ่มกระจ่างแล้วว่า โครงสร้างแห่งความซับซ้อนคือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจักรวรรดิครีตัน โดยภาพวาดเฟรสโกของพระราชวังแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยภาพของเหล่าขุนพลในอิริยาบถต่าง ๆ มิว่าจะเป็นการอารักขาชาวเมืองครีตันโดยใช้หอกด้ามยาวและโล่หนังสัตว์เป็นทัพหน้า และยังมีภาพของการต่อสู้บนลำเรือขนาดใหญ่ เพียงแต่เธเซียสมิได้มีเวลาสำรวจงานศิลป์มากมายนัก เพราะเขาจำต้องอพยพออกจากหมู่เกาะธีราภายใต้คราบของงานเทศกาลเดินเรือตามราชประเพณี

ซึ่งเจ้าชายมิโนสทรงนำทางไปยังห้องใต้ดินอันคับแคบ คล้ายกับเส้นทางที่เธเซียสเคยได้ยินเคออสและบุรุษผู้สูงศักดิ์กำลังวางแผนจะปลิดชีพไส้ศึกอย่างเขา ทว่าแผนการทุกอย่างกลับล้มเหลว เมื่อบุรุษผู้เป็นเจ้าของจุมพิตรสเฝื่อนกลับลักซ่อนไส้ศึกอย่างเธเซียสไว้ที่โรงผลิตลาเบิน
และอาจดักทางราชองครักษ์คู่พระทัยด้วยการเรียกตัวไปยังเมืองอาร์คันส์

“หากเกิดเหตุภัยพิบัติ การหลีกหนีด้วยช่องทางลับของห้องใต้ดิน จะมิส่งผลเสียต่อสวัสดิภาพของพระองค์หรอกหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างมิเข้าใจ ขณะหมอบคลานด้วยความยากลำบาก ส่งผลให้บริเวณข้อศอกและหัวเข่าเกิดรอยช้ำ
“คงจะเป็นเช่นนั้น” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส เธเซียสที่กำลังคลานตามหลัง พลันหยุดการเคลื่อนไหวพร้อมส่งเสียงราวกับอนุชาตัวน้อยที่มิพอใจในคำตอบ

“การอพยพสำหรับกองทัพคือการฝึกฝนต่อการรับมือกับข้าศึก ส่วนการรับมือกับภัยธรรมชาติเราใช้วิธีโรยตัวจากหน้าผา เพราะใต้หน้าผาทุกจุดมีช่องเก็บเรือแอบแฝง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมิแน่ใจว่าวิธีนี้คือวิธีในการรับมือที่ดี เมื่อพวกเราต่างมิเคยล่วงรู้ว่าอันตรายจากภูเขาแห่งไฟมหาศาลเพียงใด” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงที่ค่อนข้างจริงจัง บ่งบอกได้ดีว่าพระองค์ทรงเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมากกว่าที่แสดงออก
“มีกระหม่อมอยู่ด้วยทั้งคน กระหม่อมเชื่อว่าพระองค์จะต้องค้นหาที่ตั้งของฐานทัพเรือที่เหมาะกับความเป็นไปของจักรวรรดิครีตันได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
“กระหม่อมเป็นไส้ศึก อย่างไรก็ต้องอ่านใจพวกเดียวกันออก” เธเซียสกล่าวด้วยความลืมตัว เมื่อใจเขาคิดอยากจะคลายความกังวลให้กับเจ้าชายพระองค์นี้

“ความจริงใจของเจ้าเรารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่เมื่อเพลานั้นมาถึง เจ้าจะมิคิดเสียใจต่อการทรยศบ้านเมืองเพราะเราหรอกหรือ ?” สิ้นดำรัสคล้ายเตือนสติ ความเงียบงันก็ปกคลุมรอบกายอย่างแน่นหนา
เพราะต่างฝ่ายต่างหมอบคลานไปจนถึงสุดปลายอุโมงค์
ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ที่อยู่มิไกลจากท่าเรือจึงปรากฏสู่สายตา

“ปกป้องเรา!” แต่แล้วเจ้าชายมิโนสก็ตรัสด้วยสุรเสียงอันแข็งกระด้าง พลางส่งดาบด้ามยาวให้แก่เธเซียส เมื่อภาพตรงหน้าคือทหารกลุ่มหนึ่งที่กำลังรับมือกับเชลยศึกจากนูเบีย โดยใช้หอกปลายแหลมและโล่ทองแดงหุ้มด้วยหนังสัตว์ สกัดกั้นบุรุษผู้เปรียบเสมือนข้าศึกราวกับภาพวาดเฟรสโกที่เคยเห็น
เท่ากับว่าแผนการรับมือต่อข้าศึก ล้วนถูกบอกเล่าผ่านศิลปะบนกำแพง
จะมีก็แต่เธเซียสที่มิเคยล่วงรู้ถึงความเป็นจริงในข้อนี้ เหตุเพราะผู้อยู่เบื้องหลังหากมิใช่เจ้าชายมิโนสก็คงเป็นเคออสกระมัง

“หากการซุ่มซ้อมเอาจริงเอาจังถึงเพียงนี้ พระองค์ควรอธิบายให้กระหม่อมเข้าใจอย่างละเอียดนะพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวท้วงพลางวิ่งไปตามแรงฉุดรั้งของเจ้าชายมิโนสด้วยการก้าวเท้าให้ยาวที่สุด พร้อมหันไปมองยังด้านหลังเป็นระยะ พบว่าทัพหลังอันประกอบด้วยราชองครักษ์จำนวน 5 นายกำลังถอยล่นตามสัญญาณแห่งการหลบหนี แต่กระนั้นเหล่าไส้ศึกจอมปลอมจำนวนหลายสิบชีวิตกลับตีวงล้อมทัพหลังอย่างใจเย็น
“เราคิดว่าเจ้าทราบจากเคออสแล้วเสียอีก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางกอบกุมฝ่ามือของเธเซียสอย่างแนบแน่น จนเธเซียสรู้สึกเจ็บแต่ก็มิกล้าทักท้วง

“ตั้งแต่พระองค์เสด็จกลับมาจากเมืองอาร์คันส์ กระหม่อมกับเคออสยังมิเคยได้คุยกันสักคำ” เธเซียสกล่าวพลางมองบุรุษตรงหน้าด้วยความแคลงใจ แต่เมื่อเหลือบไปเห็น ‘ดาบ’ ที่ปลายด้ามทำจากทองคำอย่างวิจิตรงดงามที่อีกฝ่ายประทานให้ ความสับสนในการคาดเดาก็ยิ่งบังเกิด
“เขามิได้บอกเจ้าผ่านภาพวาดเฟรสโกเกี่ยวกับเทศกาลการล่องเรือหรอกหรือ ?” เจ้าชายมิโนสทรงย้อนถามราวกับหลงลืมไปแล้วว่า ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงวางแผน ‘กำจัด’ ยอดดวงใจของพระองค์เอง
แล้วเหตุใดเคออสที่เป็นถึงสหายคู่คิดจะต้องบอกกล่าว ‘อาวุธ’ ในการปลิดชีพ

“ท่ามิดีแล้ว หนีไป!” ฉับพลันที่เจ้าชายมิโนสเริ่มมองสภาพการณ์ออก พระองค์จึงตรัสกับเธเซียสเป็นภาษากรีกพร้อมรั้งกายอีกฝ่ายเข้ามาใกล้พลางกระซิบเพียงแผ่ว..
“พายัพ ”

จากนั้นพระองค์ก็ผลักกายเธเซียสไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือจนสุดแรง ฝ่ายเธเซียสก็มิได้อิดออด เหตุเพราะเขาเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า หมายกำหนดการณ์สำหรับปลิดชีพไส้ศึกผู้อาจหาญ คือวันแห่งงานพระราชพิธีอันสุดแสนชุลมุน ซึ่งบุรุษผู้เป็นเจ้าของแผนการดังกล่าว อาจกำลังใช้แผนซ้อนแผนจึงมิได้บอกกล่าวอันใดแก่เขา นอกจากพระราชทาน ‘อาวุธ’ ไว้ป้องกันตัว
สองขาของบุรุษจากต่างแดนจึงเร่งความเร็วด้วยหัวใจเต็มตื้น

กระทั่งเธเซียสเดินลงเขาด้วยเส้นทางดินอันเล็กแคบก็พบกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยลำเรือของเหล่าราษฎร์ที่มิได้วิจิตรตระการตาเหมือนกับเรือธงของนายทหารมากยศที่กำลังลอยล่องอยู่ท่ามกลางท้องทะเลสีฟ้าครามด้วยความน่าเกรงขาม ดวงตาคมกริบจึงกวาดมองไปทั่วบริเวณพบว่าทางทิศตะวันตกมีถ้ำหินตั้งตระหง่าน ดำรัสของเจ้าชายมิโนสจึงปรากฏในความคิด สองเท้าของเธเซียสจึงก้าวเดินด้วยความรวดเร็ว เพื่อที่จะได้นำพาตนเองออกจากเกาะธีราโดยสวัสดิภาพ
และเจ้าชายมิโนสจะได้มิต้องเป็นกังวล

“ช่องเก็บเรือ” เมื่อเหยียบย่างเข้ามายังถ้ำอันกว้างใหญ่และมืดมิด เธเซียสก็บ่นพึมพำอย่างใช้ความคิดเพราะการจะหา ‘เรือ’ สักลำที่ทหารครีตันแอบซ่อนไว้มิใช่เรื่องง่าย ดวงตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงกวาดมองไปทั่วบริเวณ แต่ทว่าความมืดมิดกลับเป็นอุปสรรค เธเซียสจึงหลับตาจมจ่อมอยู่กับความเงียบสงบพร้อมใช้ฝ่ามือละไปตามผนังถ้ำเพื่อคลำหาเส้นทางปลอดภัย

กระทั่งได้ยินเสียงน้ำไหลเธเซียสจึงเพ่งสมาธิให้มากขึ้น พร้อมก้าวเดินไปยังเส้นทางดังกล่าว จากนั้นปลายเท้าก็พลันเปียกชื้นบ่งบอกได้ดีว่าเขากำลังเดินอยู่บนสายน้ำเย็นฉ่ำ แววตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงเพ่งมองไปยังบริเวณปลายเท้าปรากฏสายน้ำสีมรกต บุรุษจากต่างแดนจึงแหงนมองเพดานถ้ำ พบว่าด้านบนเต็มไปด้วยแสงสีมรกตห้อยระย้าอย่างงดงาม
เขาจึงจดจ้องด้วยความหลงลืมว่า...
สถานการณ์ในเพลานี้ค่อนข้างอันตราย

แต่แล้วเสียงแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงก็เริ่มฉุดรั้งความสนใจจากเธเซียสได้อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ยังสร้างบาดแผลตรงบริเวณข้างแก้มของบุรุษผู้ซึ่งตกเป็นเป้านิ่งได้อย่างดีเยี่ยม จากนั้นอาวุธร้ายจากการแผลงศรก็ปักลงบนหนอนตัวหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดของแสงสีมรกตทะลุผ่านผนังถ้ำจนมิดหัว
บ่งบอกได้ดีว่าฝีมือของนักธนูผู้นี้มิควรประมาท

เธเซียสจึงกวาดตามองไปยังต้นทางของวิถีลูกศรแต่ก็มิพบผู้ใด ดาบด้ามยาวจึงถูกกระชับแน่นด้วยความเคร่งเครียด เพราะเขารู้ซึ้งแล้วว่าทหารครีตันมิใช่บุคคลที่คู่ควรจะต่อกร แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมิหมดหวัง เขาจึงเพ่งสมาธิให้มากขึ้น ซึ่งมันก็พอดีกับจังหวะที่ห่าลูกศรพุ่งเข้าใส่ บุรุษในที่แจ้งจึงทำได้เพียงเหวี่ยงปลายดาบปัดป้องวิถีธนูมิให้ปักอก
ซึ่งมันก็มิใช่เรื่องง่าย เขาจึงพลาดเจ็บตัวอยู่หลายครา

“นักรบเช่นเจ้า เหตุใดจึงขี้ขลาดตาขาว” เธเซียสประกาศก้องหวังจะยั่วโมโหให้อีกฝ่ายเผยตัว แต่ปรากฏว่าลูกศรจากวัสดุสุดทนทานกลับยิ่งโหมกระหน่ำ และมันก็แฉลบบริเวณข้อมือไปเพียงนิด แต่กระนั้นดาบด้ามยาวก็ถูกปัดตกลงสู่ผืนน้ำ เธเซียสจึงรีบก้มเก็บแต่กลับถูกขัดขวางจนต้องถอยออกไปตั้งหลัก

“มิเจอกันนาน” กระทั่งเธเซียสกลายสภาพเป็นหมาจนตรอก บุรุษผู้เป็นเจ้าของห่าฝนจากลูกศรนับสิบก็พลันปรากฏ ความทรงจำของเธเซียสจึงย้อนกลับไปยังการเดินทางออกนอกเขตพระราชฐานเป็นครั้งแรก ซึ่งวันนั้นเจ้าชายมิโนสทรงให้ความสนพระทัยต่อข่าวสารของบุรุษผู้นี้เป็นอย่างมาก เพราะชาวอัสซีเรียถือเป็นผู้นำทางด้านอาวุธอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกเขาใช้ ‘เหล็ก’ ซึ่งมีประสิทธิภาพต่อการทำลายล้างได้อย่างแม่นยำและรุนแรงเป็นอาวุธ
มิเช่นนั้นหัวลูกศรคงมิอาจปักผนังถ้ำเสียจนมิดหัว

“สภาพของเจ้าช่างน่าอดสูมิหยอก” บุรุษผู้แสนองอาจถือคันศรด้วยท่าทีสุดเกรงขามพร้อมสะพายกระบอกบรรจุอาวุธร้ายที่แอบลักจำมาจากอัสซีเรีย ราวกับต้องการข่มขวัญบุรุษจากต่างแดนที่ในตอนนี้มีเพียงร่างกายที่พอจะใช้เป็นอาวุธ และมันก็ค่อนข้างเสียเปรียบ
เธเซียสจึงเหลือบมองไปยังดาบด้ามยาวที่กำลังซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวน้ำอันตื้นเขิน บุรุษผู้มีไหวพริบจึงคิดคำนวณว่าเขาควรจะวิ่งไปคว้าอาวุธพระราชทาน หรือควรจะไถลตัวโดยใช้แรงส่งจากกระแสน้ำเป็นตัวช่วย

“ประมือกันสักหน่อยคงเพลิดเพลินมิหยอก” โครนัสกล่าวพลางก้าวเดินไปยังลูกศรคันหนึ่งที่นอกจากจะสร้างบาดแผลบนใบหน้าให้กับเธเซียสยังสามารถปลิดชีพหนอนสีมรกต พร้อมออกแรงดึงหัวลูกศรราวกับสุดแสนเสียดายที่ต้องทิ้งขว้างอาวุธร้าย เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวรีบไถลตัวไปคว้ามีดดาบด้ามยาวอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่ากลับมิได้รวดเร็วไปกว่า ‘เพชฌฆาต’ อย่างโครนัส

“อ๊ากกกกกกกกก” เธเซียสร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เมื่อการแผลงศรในระยะประชิดของโครนัส กลับตรึงมือของเธเซียสไว้กับดินทรายภายใต้ผิวน้ำอันตื้นเขิน พร้อมใช้ปลายเท้ากดย้ำปลายลูกศร
ราวกับจะตอกตรึงให้บุรุษผู้เป็นไส้ศึกได้ล่วงรู้ถึงรสชาติของการลองดี

“ศพเจ้าควรโยนให้มิโนทอร์กิน หรือว่าส่งกลับไปให้บิดาเจ้าที่ไมซีเนียน?” โครนัสยิ้มเยาะพลางกดปลายเท้าด้วยน้ำหนักที่มากกว่าเดิม ส่งผลให้เธเซียสจำต้องกัดฟันแน่น พร้อมส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
“เห็นทีเจ้าคงต้องส่งเรากลับไมซีเนียนกระมัง เกรงว่ามิโนทอร์จะมิกล้าฆ่าเรา” เธเซียสกล่าวด้วยวาจาสุดแสนเย่อหยิ่งอันเป็นทาสแท้ของเจ้าชายฮาเดรียน พร้อมใช้ฝ่ามือข้างที่ว่างควานหามีดดาบภายใต้ผิวน้ำ
เพื่อหวังอาศัยทีเผลอตลบหลังอีกฝ่าย

กระทั่งสบโอกาสเหมาะเธเซียสจึงรีบคว้ามีดดาบพร้อมกระชากออกจากปลายเท้าของบุรุษผู้ได้เปรียบจนสุดแรง จากนั้นจึงตวัดคมดาบไปยังท่อนขาของบุรุษผู้นั้น แรงกดทับตรงบริเวณบาดเจ็บจึงเริ่มห่างหาย เมื่อโครนัสผงะถอยห่างจากวิถีอันตราย เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวกระชากฝ่ามือออกจากกองทรายภายใต้ธารน้ำ และวิ่งตรงไปยังทางออกเดิมอย่างมิคิดชีวิต แม้ขาจะสั่นเพราะอาการบาดเจ็บจากบาดแผลอันเหวอะหวะของฝ่ามือซ้ายที่ยังถูกตอกตรึงด้วยลูกศรจาก ‘เหล็ก’
เขาจึงกลั้นใจเพียงครู่เพื่อดึงอาวุธสุดอันตรายออกจากฝ่ามือด้วยความรวดเร็ว
ขณะที่สองขากลับสับเท้าวิ่งอย่างคนหนีตาย

ซึ่งเขามิทันคาดคิดว่าจะมีบุรุษอีกผู้รอคอยอยู่ตรงทางออก ดาบด้ามยาวจึงพาดผ่านลำตัวของเธเซียสในแนวเฉียง ส่งผลให้บุรุษจากต่างแดนจำต้องล้มลงอย่างหมดสภาพ เมื่อคมดาบจากเหล็กกดย้ำผิวเนื้ออย่างหนักแน่น โลหิตจำนวนมากไหลจึงอาบผิวดินบริเวณหน้าถ้ำอย่างสยดสยอง โดยที่เธเซียสมิอาจใช้ไหวพริบที่ตนเองมีในการแก้ไขสถานการณ์
เขาจึงถูกขุนพลระดับสูงกลุ้มรุมทุบตีจนเลือดกระอักและสุดท้ายปัสสาวะก็รินไหล นายทหารผู้โหดเหี้ยมจึงเริ่มลามือด้วยการนำร่างของผู้บาดเจ็บไปยังลำเรือที่จอดแน่นิ่งอยู่ริมหาดทราย

“ว่าไปแล้วหากข้าส่งศพของเจ้ากลับไมซีเนียน เสด็จพ่อของเจ้าคงจะเสียหน้ามิเบา” โครนัสกล่าวพลางมัดฝ่ามือของเธเซียสเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ขณะที่บุรุษผู้ดำรงหน้าที่ราชองครักษ์เมื่อครั้งออกนอกเขตพระราชฐานก็มัดปลายเท้าของเธเซียสจนเริ่มด้านชา
“ลาก่อน” สิ้นคำสั่งเสียจากบุรุษทั้งสอง ร่างของเธเซียสก็ถูกโยนลงสู่ก้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอย่างมิคิดลังเล โดยที่เธเซียสก็เริ่มรู้สึกปลงตก ตั้งแต่ถูกกลุ้มรุมทุบตีและยังถูกลากถูกลู่ถูกังจากบริเวณปากถ้ำมายังลำเรือ
เพราะถึงอย่างไร..
‘ไส้ศึก’ ก็มิอาจหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนี้ไปได้

φ

edit 31/05/2019 : แก้จากโล่เหล็กเป็นโล่ทองแดงค่ะ เพราะในเรื่องยังไม่ถึงยุคเหล็ก

มาอัพต่อแล้วจ้า สำหรับตอนที่แล้วและตอนนี้เราขอบอกก่อนว่าจากที่เราเคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับเมืองอาโกรตรีตามการวิเคราะห์เค้าบอกว่าหลังจากเกาะธีราถูกภูเขาไฟทำลายล้างจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง แต่ไม่มีศพของชาวมิโนอันปะปนอยู่เลย บ่งบอกได้ว่าชาวมิโนอันมีการอพยพก่อนจะเกิดภูเขาไฟระเบิด เราเลยใช้ข้อมูลตรงนี้มาเขียนเพื่อเสริมสร้างความชาญฉลาดของเจ้าชายมิโนสและขุนพลต่าง ๆ แต่ในความเป็นจริงเขาสันนิษฐานกันอีกว่ามิโนอันล่มสลายเพราะเกิดสึนามิหรือถูกชาวไมซีเนียนเข้ามาตีเมือง ฉะนั้นแล้วความชาญฉลาดของเจ้าชายมิโนสก็ยังไม่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นเราจึงเอาหลายๆ เหตุผลมาประกอบกันค่ะ (แต่เราจำไม่ได้แล้วว่าอ่านมาจากเว็บไหน แต่จำได้ว่าเป็นภาษาอังกฤษ -*-)
ปล. ตอนแรกว่าจะเฉลยแบบจังๆ เกี่ยวกับมิโนทอร์แหละ แต่.. เขียนฉากต่อสู้เพลินอีกแล้ว 555

อันนี้คือรูปถ้ำเรืองแสงที่นิวซีแลนด์ค่ะ แสงพวกนี้มาจากหนอนชนิดหนึ่ง เราเลยเอามาใส่ประกอบฉาก
พอดีเห็นว่ามันเป็นธรรมชาติที่แปลกตาและสวยงามดี

https://i.imgur.com/jV4GrMA.jpg
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 25 φ หน้า 2 (update 31/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 31-05-2019 14:45:41
ตอน 25

เธเซียสมิเคยล่วงรู้ว่าผืนสมุทรท่ามกลางแสงสุริยะจะให้ความอบอุ่นถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นความเค็มจาก ‘เกลือทะเล’ ก็กัดกินบาดแผลของเขาอย่างมิปรานี ความเจ็บแสบจึงแล่นพล่านทั่วสรรพางค์กาย ขณะที่ลมหายใจกลับเริ่มไร้เรี่ยวแรงจะอดกลั้น เนื่องจากเธเซียสมิได้มีความสามารถดังเช่นชาวครีตันแห่งเกาะธีรา อีกทั้งสภาพร่างกายก็ค่อนข้างร่อแร่
ดังนั้นแสงสุริยะเหนือผิวน้ำที่ค่อนข้างรางเลือน จึงมิต่างกับชะตาชีวิตอันมืดมน

“แค่ก” บุรุษจากต่างแดนสำลักน้ำอย่างสุดแสนทรมาน เมื่อจู่ ๆ เขาก็ยกยิ้มราวกับผู้โง่เขลา เหตุเพราะการกระทำของทหารครีตันล้วนบอกได้เป็นอย่างดีว่าการตายด้วยสภาพเช่นนี้ ถือว่าได้รับความปรานีอย่างมากแล้ว เพราะเดิมทีชาวไมซีเนียนคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านการรบ ดังนั้นหาก ‘ศพ’ ของเธเซียสถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิด เสด็จพ่อคงจะทรงกริ้วและเสียหน้าจนมิอาจแสดงตนว่าเป็นชาวไมซีเนียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ เหล่าทหารกล้าที่เข้าใจความรู้สึกในส่วนนี้จึงมอบความเมตตาดังกล่าวให้แก่ชาวไมซีเนียน
ฉะนั้นการที่ ‘ศพ’ ของเธเซียสถูกทิ้งดิ่งลงสู่ก้นสมุทร คงจะเป็นเรื่องสุนทรีย์อย่างหนึ่งของทหารครีตัน
เพราะท้ายที่สุดชาวไมซีเนียนก็เป็นได้เพียงกลุ่มคนผู้โง่เขลา

คิดได้เช่นนั้นเธเซียสก็เริ่มหลับตาจมดิ่งสู่ความตาย พร้อมวอนขอองค์เทพโพไซดอนที่มิรู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เพราะหลังจากนี้สิ่งที่เขาห่วงหามากที่สุด คงมีเพียงเจ้าชายมิโนสหรือมิโนทอร์ผู้เป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน เนื่องจากตลอดมาบุรุษผู้นี้มิเคยได้รับความรักจากผู้เป็นบิดาและมารดา เธเซียสจึงปรารถนาให้บุรุษที่ครอบครองพื้นที่ในดวงใจพบเจอแต่ความสุนทรีย์
แต่แล้วความคิดกลับต้องหดหาย เมื่อจู่ ๆ โลมายักษ์ตัวหนึ่งกลับใช้จงอยปากดุนดันเนื้อตัวของเธเซียสให้ลอยล่องอยู่เหนือผืนทรายภายใต้ก้นทะเล เธเซียสจึงเริ่มจดจำสัตว์ทะเลผู้ชาญฉลาดขึ้นมาได้
เพราะเขาเคยเห็นมันที่ห้องใต้ดินของพระราชวังนอสซัส

เรี่ยวแรงมากมายจึงพลันตื่นตัว บุรุษผู้เกือบจะเอื้อมแตะความตายจึงกลั้นลมหายใจจนสุดความสามารถ พร้อมตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด แต่กระนั้นก็มิอาจกระทำได้ตามใจ
ฉับพลันเงาดำทะมึนขนาดมหึมาก็ปรากฏ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงแหงนมองไปยังทิศทางดังกล่าว

พบร่างของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งที่มีหัวเป็นวัวมีตัวเป็นคนกำลังดำดิ่งลงมายังก้นทะเล หัวใจของเธเซียสจึงเริ่มเต้นระรัวเมื่อได้เห็นมิโนทอร์ปรากฏตัวในเพลานี้ ซึ่งการเคลื่อนไหวของมหาบุรุษแห่งครีตันภายใต้ผิวน้ำค่อนข้างคล่องแคล่ว เพราะเวลาเพียงมินานขวานลาบริสอันใหญ่ยักษ์ก็ตัดเกลียวเชือกที่พันธนาการร่างกายของเธเซียสจนขาดสะบั้น
ขณะที่โลมาลูกสมุนกลับเริ่มแสดงท่าทีสุดคึกคัก

กระทั่งอิสระมาเยือนเธเซียสจึงโอบรอบลำคอของมิโนทอร์ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เหตุเพราะเพลานี้เขาต้องช่วยเหลือตนเองให้มาก เนื่องจากมิโนทอร์มีร่างกายสูงใหญ่ จึงมิอาจฉุดรั้งเธเซียสขึ้นสู่ชายฝั่งด้วยเรี่ยวแรงที่มิสร้างความบาดเจ็บ
ดังนั้นสภาพของเธเซียสจึงมิต่างกับปลาเหาฉลาม

เธเซียสจึงอาศัยจังหวะที่เริ่มมองเห็นเงาร่างของมิโนทอร์ได้อย่างชัดแจ้ง พบว่าลักษณะทางกายภาพค่อนข้างอัปลักษณ์ อาจเพราะส่วนหัวคล้ายกับบริวารของเจ้าแม่ ขณะที่ลำตัวกลับมีกล้ามเนื้อสุดองอาจสมกับเป็นนักรบ
แต่กระนั้นปลายเท้ากลับถูกแทนที่ด้วยกีบเท้าราวกับวัว
ซึ่งเธเซียสมิได้คิดรังเกียจ อาจเพราะเนื้อแท้ของ ‘มิโนทอร์’ ยังคงเป็นบุรุษในดวงใจ

บุรุษจากต่างแดนลอบยิ้มเพียงนิด เมื่อเจ้ามิโนทอร์ใช้ฝ่ามืออันใหญ่ยักษ์รองใต้ปลายเท้า ราวกับเป็นกังวลว่าเรี่ยวแรงของเธเซียสจะหมดสิ้น ดังนั้นฝ่ามือคู่นี้จึงคอยรองรับน้ำหนักตัวของผู้บาดเจ็บไปตลอดเส้นทางของการไต่ระดับขึ้นสู่ผิวน้ำ
กระทั่งปลายจมูกสัมผัสอากาศบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก เธเซียสจึงเริ่มกักเก็บลมหายใจราวกับผู้ตะกละตะกลาม กว่าจะล่วงรู้ว่าบรรยากาศแตกต่างกับช่วงเวลาก่อนหน้า อสนีบาตก็ฟาดเปรี้ยงลงสู่ผิวน้ำ เมฆหมอกดำทะมึนราวกับทวยเทพกำลังพิโรธ เสริมสร้างความตื่นตระหนกให้แก่เธเซียสได้เป็นอย่างดี เหตุเพราะเพลานี้เขากำลังโอบกอดลำคอของเจ้ามิโนทอร์ที่มีความสูงเทียบเท่าหน้าผาอันลาดชัน
ประสบการณ์เอื้อมแตะผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยความพิโรธจึงค่อนข้างน่าสยดสยอง

จากนั้นเธเซียสก็ปล่อยตัวลงสู่ฝ่ามือใหญ่ของเจ้ามิโนทอร์ด้วยความเชื่อใจ ขณะที่อีกฝ่ายค่อย ๆ ลดระดับความสูง ซึ่งมันก็พอดีกับสายฝนเริ่มโหมกระหน่ำ มหาบุรุษแห่งครีตันจึงรีบก้าวเดินเข้าสู่ชายฝั่ง ขณะที่เธเซียสเริ่มนอนขดตัวอย่างหมดเรี่ยวแรง เนื่องจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เขาฝืนกายต่อสู้กับชะตาชีวิต เพลานี้ร่างกายจึงอ่อนล้าแววตาจึงปิดสนิท
แต่ทันทีที่หยาดฝนตกกระทบลงบนฝ่ามือ ความเจ็บแสบก็นำพาให้เขามิอาจหลับใหล

กระทั่งก้าวเข้าสู่ปากถ้ำเสียงลมหายใจของเจ้ามิโนทอร์ก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ เธเซียสจึงลืมตามองเพดานถ้ำ พบว่าถ้ำแห่งนี้คือถ้ำทางทิศตะวันตกที่ตนถูกลอบสังหาร เพราะตรงมุมหนึ่งปรากฏแสงไฟระย้าสีเขียวมรกตของหนอนชนิดหนึ่ง เพียงแต่มิได้มากมายเท่ากับเส้นทางใกล้ธารน้ำ บุรุษผู้บาดเจ็บจึงนอนแผ่หลา ราวกับคาดหวังว่าความงดงามจากธรรมชาติจะทำให้เขาลืมเลือนความเจ็บปวดเพียงชั่วขณะ
แต่แล้วแสงไฟสีเขียวมรกตก็มิอาจดึงดูดความสนใจจากบุรุษผู้บาดเจ็บได้มากเท่ากับความตาย

“เธเซียส” สุรเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมแรงปะทะบริเวณหน้าผาก ส่งผลให้เจ้าของนามเริ่มได้สติจึงพยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งอยู่นานสองนาน จนในที่สุดภาพของเพดานถ้ำก็ถูกแทนที่ด้วยดวงพักตร์ของเจ้าชายมิโนสในสภาพที่มิได้สง่างามนัก อาจเพราะช่วงเวลาที่เธเซียสหลีกหนีจากอันตราย เหล่าราชองครักษ์คงจะขัดขวางทุกวิถีทาง เนื่องจากหากมิอาจสกัดกลั้นนายเหนือหัวเอาไว้ได้ ไส้ศึกจากไมซีเนียนคงจะอยู่รอดปลอดภัย
“เราจะพาเจ้าไปหาหมอหลวง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยนพร้อมลูบเรือนผมของบุรุษผู้บอบช้ำอย่างทะนุถนอม ราวกับพระองค์กำลังหวาดกลัวว่า ‘แสงสว่าง’ ดวงนี้จะดับสูญไป

“ถึงมือหมอหลวงเมื่อใด เจ้าค่อยหลับได้หรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางช้อนกายผู้บาดเจ็บขึ้นแนบอกและก้าวเดินลึกไปยังด้านในของตัวถ้ำ ขณะที่เธเซียสได้แต่ผงกหัวเป็นคำตอบอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาจึงพยายามเพ่งสายตาไปยังแสงสีเขียวมรกตที่ปรากฏอยู่ภายในถ้ำสลับกับดวงพักตร์อันเคร่งขรึมของเจ้าชายพระองค์นี้

“ทุกคราที่เราเดินทางมายังเกาะธีรา เรามักใช้เวลาอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง และเราก็เคยวาดฝันว่าจะพาเจ้ามาที่นี่ แต่มิสบโอกาสเพราะสถานที่แห่งนี้มิใช่ความลับ เราจึงต้องพาเจ้าไปที่โรงผลิตลาเบิน” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงอันเต็มตื้นไปด้วยความอบอุ่น เมื่อพระองค์กำลังสรรหาเรื่องราวมาพูดคุยกับเธเซียสเพื่อมิให้หลับใหล จึงทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่าถ้อยคำเกี่ยวกับ ‘แผนการปลิดชีพ’ อาจมีบางสิ่งบิดเบือนจากการรับรู้ แต่กระนั้นก็มิได้หมายความว่ามันมิเคยเกิดขึ้นจริง

“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่เราก็ทราบดีอยู่แล้ว เพราะเราคือผู้วางแผน” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิคิดปิดบัง ขณะที่เธเซียสยังคงพยายามเพ่งมองรอบกายอย่างสุดความสามารถ

“ช่วงที่เจ้าบาดเจ็บเพราะถูกเราในอีกตัวตนหนึ่งทำร้าย เรามิกล้าสู้หน้าเจ้าและยังคิดมิตกกับภาระหน้าที่อันมากมาย แต่นั่นก็ยังมิเท่าความกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของเจ้า เพราะเรารู้จักนิสัยเคออสดี แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังประมาทจนทำให้เจ้าถูกลอบสังหารเช่นนี้ เรารู้สึกละอายใจ ทั้ง ๆ ที่เราบอกเจ้าว่า เรายอมเดิมพันความรักครั้งนี้ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ผู้ใต้บังคับบัญชากลับทำให้วาจาของเรากลายเป็นเพียงคำพูดที่มิน่าเชื่อถือ และในทางกลับกันพวกเขาก็ทำให้เรารู้สึกว่าตนเองมิมีคุณสมบัติต่อการเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี เพราะเรามิสามารถเลือกได้ว่าความรักหรือบ้านเมืองสำคัญมากกว่ากัน” สิ้นความในใจจากเจ้าชายมิโนส หัวใจของเธเซียสก็เหมือนโดนถ่วงด้วยก้อนหิน เพราะความรู้สึกของเขากำลังปั่นป่วน เนื่องจากหลังรอดพ้นจากความตายเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่ยังอยากจะไขว่คว้าหาความรักจากเสด็จพ่อ

“แต่วันนี้เราลั่นวาจาไปแล้ว หากเจ้าสร้างความเดือดร้อนให้แก่ครีตัน เราจะปลิดชีพเจ้าด้วยตัวเราเอง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงเยือกเย็น บ่งบอกได้ว่าการตัดสินพระทัยในครานี้ เต็มไปด้วยความจริงจังและรู้เท่าทัน
จึงส่งผลให้บุรุษผู้บาดเจ็บจำต้องเม้มปากแน่น

หลังจากนั้นความเงียบงันอันแสนอึดอัดก็ปกคลุมรอบกายของบุรุษทั้งสอง เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวปิดเปลือกตาของตนราวกับแสงสีมรกตก็มิอาจดึงดูดความสนใจจากตนได้
เขาจึงค่อย ๆ ดำดิ่งลงสู่การหลับใหล ลึกลงไปทุกที ทุกที..

“เธเซียส” ทันทีที่ภวังค์เริ่มจมดิ่ง สุรเสียงมากด้วยอำนาจทางจิตใจก็ร้องเรียกราวกับมิยอมปลดปล่อย ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจึงค่อย ๆ กระพริบปริบปรือ พบว่าเพลานี้ตนเองถูกพามายังบริเวณหนึ่งของตัวถ้ำซึ่งเป็นพื้นที่เก็บซ่อนเรือลำเล็กเป็นจำนวนมาก
“เราเชื่อใจเจ้า แม้ว่าเจ้าจะยังมิเชื่อใจตนเอง แต่เราเชื่อว่าสักวันเจ้าจะรู้สึกเหมือนอย่างที่เรารู้สึกในวันนี้” ถ้อยคำกำกวมของเจ้าชายมิโนสที่กำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยของลำเรือ สร้างความฉงนให้แก่เธเซียสมิใช่น้อย
แต่กระนั้นเธเซียสก็มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาปล่อยวางความรักและความไว้วางใจจากเสด็จพ่อ

“เธเซียส..” บุรุษผู้สูงศักดิ์เอ่ยนามของผู้บาดเจ็บ ราวกับพระองค์ประสงค์จะตรวจตราให้แน่ใจว่าเธเซียสมิได้หลับใหล บุรุษผู้เป็นเจ้าของนามนั้นจึงลืมตาพร้อมกวาดมองไปทั่วบริเวณอีกครั้ง พบว่าเจ้าชายมิโนสกำลังเสด็จไปยังมุมหนึ่งที่ค่อนข้างลับตาผู้คน เพื่อสวมใส่ฉลองพระองค์ ซึ่งเธเซียสสามารถจินตนาการผ่านเงาสะท้อนบนผนังถ้ำได้อย่างชัดแจ้ง
เหตุเพราะไฟระย้าสีเขียวมรกตกำลังส่องแสงเรืองรองไปทั่วบริเวณ

“เจ้าอยากฟังเรื่องของเราหรือไม่” บุรุษในฉลองพระองค์อันประกอบด้วยผ้าเตี่ยวและกระโปรงคิลท์ลวดลายมิได้ประณีต บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสถานที่แห่งนี้อาจเป็นสถานที่ในการอำนวยความสะดวกหลังจากที่เจ้าชายมิโนสทรงแปลงกายเป็นมิโนทอร์
“แต่มันอาจจะเหนือธรรมชาติสักหน่อย” บุรุษผู้สง่างามกล่าวพลางโอบอุ้มเธเซียสวางลงบนเรือพายขนาดหนึ่งกรรเชียงที่ส่วนท้ายมีลักษณะโค้งงอราวกับหางแมงป่อง จากนั้นพระองค์ก็นำเชือกเส้นใหญ่ผูกกับส่วนหัวของลำเรือเพื่อลากจูงไปตามธารน้ำ เพียงแต่พระองค์มิได้มุ่งหมายไปยังเส้นทางเดิม ขณะที่เธเซียสก็เริ่มเค้นเสียงเพื่อตอบรับอย่างกระตือรือร้น

“เดิมทีเราเป็นเพียงเด็กชายผู้มิประสีประสา” เจ้าชายมิโนสเกริ่นนำด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง พลางฉุดรั้งลำเรือที่มีเธเซียสนอนนิ่งอยู่ในนั้นอย่างนุ่มนวล แต่ทว่าความต่างระดับของผืนทรายภายใต้ธารน้ำกลับทำให้กระเทือนถึงบาดแผล แต่กระนั้นเธเซียสก็มิร้องโอดโอย
“ยังวิ่งเล่นจนทั่วโรงผลิตลาเบินแทบทุกวัน บางวันก็แอบขโมยลาเบินมากินกับน้ำผึ้งบนกำแพงใต้ต้นไม้ใหญ่” เรื่องเล่าของเจ้าชายมิโนสทำให้เธเซียสทราบว่า บุรุษผู้นี้เกิดก่อนที่กษัตริย์ไมนอสจะขึ้นครองราชย์

“ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เรามีความสุขมาก เพราะเราได้รับความรักทั้งจากเสด็จพ่อและเสด็จแม่ เพียงแต่มันเป็นภาพทรงจำที่ค่อนข้างเลือนรางจนเราจดจำได้แต่ความโดดเดี่ยว เราจึงบอกเล่าแต่ความรู้สึกเหล่านั้นให้เจ้ารับรู้” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางหันมาทางด้านหลัง ราวกับต้องการสำรวจว่าบุรุษผู้บาดเจ็บแอบหลับใหลเพราะเรื่องเล่าของพระองค์หรือไม่ จึงทำให้เธเซียสมองเห็นดวงเนตรเศร้าหมองอย่างชัดแจ้ง

“จุดเปลี่ยนของเราอยู่ที่เสด็จพ่อประสงค์จะก้าวขึ้นสู่บังลังก์ แต่ราษฎร์ในครานั้นมิยอมรับสายโลหิตทางฝั่งของเสด็จพ่อ เพราะพระองค์มิใช่รัชทายาทลำดับที่หนึ่ง พระองค์จึงวอนขอองค์เทพโพไซดอนให้ส่งวัวพ่วงพีขึ้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมสัญญาว่าจะบูชายัญวัวตัวนั้น เพื่อเป็นการสรรเสริญและให้คำมั่นสัญญาว่าพระองค์จะปกครองจักรวรรดิครีตันด้วยความสงบร่มเย็นและเจริญรุ่งเรือง” เรื่องเล่าของเจ้าชายมิโนสค่อนข้างแตกต่างจากปากคำของเซอร์ซีอยู่บ้าง
อาจเพราะการพูดปากต่อปากทำให้ข่าวสารมีการบิดเบือน
แต่กระนั้นใจความสำคัญของความเหนือธรรมชาติก็ยังคงอยู่อย่างครบถ้วน

“แต่องค์รัชทายาทในขณะนั้นมิต้องการขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงสละราชสมบัติให้กับเสด็จพ่อ” เมื่อเจ้าชายมิโนสตรัสมาถึงตรงนี้เธเซียสก็เริ่มคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ว่า กษัตริย์ไมนอสคงจะมิได้สนพระทัยเกี่ยวกับคำสัตย์ปฏิญาณ

“ขณะเดียวกันชาวครีตันก็เริ่มแตกตื่นกับความมหัศจรรย์ของเรื่องเหนือธรรมชาติ เพราะในวันราชาภิเษกกลับมีวัวพ่วงพีโผล่ขึ้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ความขัดแย้งภายในจึงเริ่มยุติ เพราะพวกเขาให้ความคารพนับถือเสด็จพ่อด้วยเหตุผลว่าพระองค์คือองค์สมมุติเทพ แต่ในทางกลับกันเสด็จพ่อกลับมิสนพระทัยในคำสัตย์ปฏิญาณ เพราะพระองค์มิได้มองว่าการที่ได้ขึ้นครองราชย์มาจากความเมตตาขององค์เทพโพไซดอน” เธเซียสหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อแสงสุริยะปะทะกับสายตาที่คุ้นชินความมืดมาเนิ่นนาน จากนั้นเจ้าชายมิโนสก็ขยับมาประทับตรงตำแหน่งฝีพาย เธเซียสจึงต้องนอนขดตัวเป็นก้อนกลมตรงบริเวณเบื้องหน้าของพระองค์

“เราจึงถูกยัดเยียดหน้าที่แทนเสด็จพ่อ และยังแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวทุกคราที่ได้ยินอัส เราหมายถึงโลมาตัวที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้ส่งเสียงเรียก เพราะมันรับรู้ได้ว่าในช่วงเวลาที่ครีตันกำลังระสับระส่าย มีโจรสลัดแฝงกายเข้ามาก่อความวุ่นวายด้วยการปลุกปั่นให้ราษฎร์เรียกร้องให้องค์รัชทายาทหวนกลับสู่ราชบังลังก์”

“เสียงปลุกปั่นยิ่งมากขึ้นก็ยิ่งโน้มเอียงความคิดของชาวครีตันได้มิยาก เราจึงยิ่งโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นเรือสอดแนมเข้ามาสร้างความปั่นป่วน หลังจากนั้นเราจึงกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยมิรู้ตัว ซึ่งทุกคราที่เราโกรธหรือรู้สึกว่าจักรวรรดิครีตันกำลังมิเป็นสุข เราจะกลายร่างเป็นแอสเตเรียน” เมื่อบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสมาถึงตรงนี้ เธเซียสก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าชื่อเสียงเรียงนามของ ‘มิโนทอร์’ มิได้มีความเกี่ยวข้องกับตำนานใด ๆ
เพราะชาวครีตันขนานนามสัตว์ประหลาดตนนี้ว่า ‘แอสเตเรียน’

“หลังจากนั้นเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็เริ่มนับถือเทพธิดางู หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า ‘เจ้าแม่’ เพื่อที่จะได้ยกระดับเราในคราบของแอสเตเรียนด้วยการกล่าวอ้างว่าเป็นโอรสของเจ้าแม่ และวัวกระทิงก็ถือเป็นบริวารของเจ้าแม่” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยดวงพักตร์อันเปื้อนยิ้ม ส่งผลให้ผู้ฟังที่ดีอย่างเธเซียสเริ่มฉีกยิ้มตามไปด้วย แต่กระนั้นก็ยังเป็นรอยยิ้มที่ค่อนข้างอ่อนล้า

“แต่พอแอนโดรเจียสกำเนิด ความห่างเหินระหว่างเรากับทั้งสองพระองค์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นจุดแตกหักเมื่อเรามิยอมร่วมเดินทางไปยังงานแข่งขันกีฬาแพแนเธเนีย เพราะเรามิอยากเผยร่างของแอสเตเรียนให้ผู้คนนอกจักรวรรดิครีตันเห็น” สิ้นคำบอกเล่าอันเต็มไปด้วยความสงสัย เธเซียสจึงใช้แววตาดุจนกเหยี่ยวเอ่ยถามบุรุษผู้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าที่สามารถดึงดูดความสนใจจากเธเซียสออกจากความเจ็บปวด

“นอกจากความโกรธเกรี้ยวจะทำให้เราแปลงกายเป็นแอสเตเรียนได้แล้ว เรายังสามารถแปลงกายในคืนที่ตรงกับวัวพ่วงพีขึ้นสู่ผิวน้ำ เราจึงมิกล้าร่วมเดินทางไปกับแอนโดรเจียส และมิกล้าเผชิญหน้าสู่โลกภายนอกด้วยตนเอง เราจึงได้แต่ยืมมือของโครนัสในการพัฒนาความเป็นจักรวรรดิครีตันมาจนถึงบัดนี้ เพราะการเดินทางไกลเรามิมีวันล่วงรู้ได้เลยว่าจะจบลง ณ เวลาใด”
“ดังนั้นวินาทีแรกที่เจ้าเริ่มจับสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เราจึงพยายามปกปิดเพราะเรามิอยากให้เจ้าล่วงรู้”

เรื่องเล่าของเจ้าชายมิโนสสร้างความเพลิดเพลินให้แก่เธเซียสเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงมิทันล่วงรู้ว่าเพลานี้ลำเรือกำลังจอดเทียบท่ายังเมืองไฟสทอส จากนั้นการเดินทางก็ต้องปรับเปลี่ยนเป็นการควบม้าศึกของพระราชวังที่อยู่มิไกลจากบริเวณท่าเรือมากนัก เพื่อมุ่งตรงไปยังบ้านพักตากอากาศประจำเมืองอาร์คันส์ โดยเธเซียสจำต้องกัดฟันจนห้อเลือด เพราะการนั่งอยู่บนหลังม้า แม้จะมิได้เป็นผู้กุมบังเหียน แต่ก็สร้างความร้าวระบมให้กับบุรุษผู้บาดเจ็บได้เป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งเจ้าชายมิโนสก็พยายามใช้พระพาหากอดรัดรอบเอวของอีกฝ่าย เพื่อมิให้ลำตัวโอนอ่อนไปตามการก้าวย่างของม้าพันธุ์ดี

กระทั่งถึงที่หมายบุรุษต่างแดนก็รีบถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่งผลให้เจ้าของม้าพันธุ์ดีหลุดสรวลในลำพระศอ เธเซียสจึงทำเป็นส่งเสียงล้อเลียนอีกฝ่ายด้วยท่าทีของอนุชาตัวน้อย
แต่พอหันมองเบื้องหน้าท่าทีขี้เล่นของเธเซียสกลับหดหาย

“เซอร์ซี” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยนามของคนตรงหน้าที่ถึงแม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่เขาก็ยังจดจำได้ดี จึงรีบโหนตัวลงจากหลังม้าด้วยความทุลักทุเล และวิ่งไปยังเป้าหมายด้วยความลืมสิ้นต่ออาการบาดเจ็บ
“ทำไม ?” สองนายบ่าวต่างกล่าววาจาเดียวกันด้วยความสงสัย เพราะสภาพของแต่ละฝ่ายกลับแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้

“เธเซียสรีบเข้าไปพักเถิด ส่วนเซอร์ซีเจ้ารีบไปตามหมอหลวง” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสบทพร้อมประคองยอดดวงใจของพระองค์เข้าไปยังบ้านพักที่ถูกโอบล้อมด้วยไร่องุ่นอันกว้างใหญ่ ซึ่งเธเซียสก็ยอมทำตามแต่โดยดี เพราะเขาเริ่มรู้สึกถึงความอ่อนล้า อีกทั้งฝ่ามือก็เริ่มปวดระบม ขณะที่ในหัวยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับเซอร์ซี และคำตอบเดียวที่พอจะคาดเดาได้
คือเซอร์ซีถูกจับตัวเป็นเชลยศึกและคงจะถูกทรมานจนเสียโฉม
ดังนั้นการติดต่อกับทางไมซีเนียนจึงถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง

φ

บทความที่เกี่ยวข้อง

- มินะทอร์ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

ใช้อ้างอิงแค่ชื่อเรียกที่ชาวมิโนอันเรียกสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวค่ะ ส่วนชื่อมิโนทอร์เราเลือกใช้แบบนี้เพราะเป็นชื่อที่แพร่หลายกว่าค่ะ


มาต่อแล้วงับ เธเซียสจะตายไม่ได้! น้องต้องอึดฝุดๆ แต่จริงๆ อาการของเธเซียสเราลองปรึกษาน้องที่เป็นพยาบาลดูแล้วค่ะ รักษาไม่นานก็หาย แต่มือต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน ส่วนตอนนี้ก็คลายความสงสัยของนักอ่านบ้างแล้วเนอะว่าทำไมเธเซียสถึงหนีมาทางพายัพ แต่ก็ยังถูกลอบสังหาร เพราะจริงๆ ตอนที่แล้วเราเขียนไว้ว่าราชองครักษ์จำนวน 5 นาย หมายถึงกลุ่มของเคออส หรือกลุ่มที่เดินทางมาพร้อมกับเธเซียสและองมิโนส ส่วนโครนัสและอีกคนนึงเป็นอีกกลุ่มนึงค่ะ ถ้าหากใครยังจำได้โครนัสคือทหารที่ไปสืบข่าวเรื่องอาวุธเหล็กเป็นเวลานานมาก เพราะเจ้าตัวหายไปเลยตั้งแต่ตอนแรก ๆ น่าจะช่วงตอน 3 หรือ 4 ดังนั้นเจ้าชายมิโนสเลยคิดไม่ถึงว่าจะถูกตลบหลัง แถมถ้ำแห่งนี้ไม่ใช่ความลับ ทหารพวกนี้จะรู้ใจองมิโนสก็ไม่แปลกค่ะ และตอนนี้ก็เปิดตัวเจ้าอัสอย่างเป็นทางการจ้า โลมาที่โผล่มาตั้งแต่ตอนแรก ๆ คือลูกสมุนของมิโนทอร์
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 26 φ หน้า 2 (update 04/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 04-06-2019 17:37:54
ตอน 26

บุรุษผู้บาดเจ็บมิรู้ว่าตนเองเผลอหลับไปนานเท่าใด รู้ตัวอีกคราเนื้อตัวก็ถูกพอกด้วยสมุนไพรหลากชนิด เขาจึงแอบย่นจมูกเมื่อทั่วบริเวณถูกอาบไล้ด้วยกลิ่นหอมที่มิค่อยโปรดปราน

“เจ้าชายทรงตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เซอร์ซีทูลถามด้วยท่าทีระริกระรี้ ขณะที่ในมือกำลังถือถาดทรงกลมบรรจุโอสถถ้วยหนึ่ง ส่งผลให้ผู้เป็นนายจำต้องถลึงตาใส่
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมดีใจมากไปหน่อย” บุรุษผู้เสียโฉมกล่าวพลางยื่นถ้วยโอสถให้กับนายเหนือหัว พร้อมทิ้งตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นข้างเตียง ขณะที่ดวงตาของเขากำลังฉายแววแห่งความกังวล

“เจ้าอยากพูดอันใดก็รีบพูดมา” หลังจากกลั้นใจดื่มโอสถถ้วยใหญ่จนหมด เธเซียสจึงเปิดปากอนุญาต
“สาเหตุที่พระองค์บาดเจ็บคงมิได้มาจากเหตุผลเดียวกับกระหม่อม..?” เซอร์ซีกล่าวพลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ราวกับคำพูดดังกล่าวสร้างความกดดันให้แก่เจ้าตัว

“จะว่าอย่างนั้นก็มิเชิง” เธเซียสนิ่งคิดครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยตอบพลางโคลงศีรษะเล็กน้อย เพราะอาการบาดเจ็บของเขาเกิดจาก ‘ความลับ’ อันมีบุคคลที่สามล่วงรู้ แต่กระนั้นเขาก็ยังได้รับการปกป้องจากมหาบุรุษแห่งครีตัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิแน่ใจว่าอาการบาดเจ็บดังกล่าว สามารถเรียกว่าการ ‘กำจัดไส้ศึก’ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

“เราถูกทหารครีตันลอบสังหาร แต่เจ้าชายมิโนสกลับช่วยเราไว้ ทั้ง ๆ พระองค์ก็ทราบดีว่าเราแฝงกายเข้ามาในสถานะใด” เธเซียสกล่าวพลางถอนหายใจด้วยความหนักอก เพราะดำรัสแกมขู่ของอีกฝ่ายยังคงก่อกวนจิตใจ และมันก็ทำให้ตนมิกล้าขยับตัวไปยังทิศทางใด
“ว่าแต่เจ้าเถิด เรื่องราวเป็นมาอย่างไร ?” สิ้นคำถามของนายเหนือหัว เซอร์ซีก็นั่งขัดสมาธิราวกับเจ้าตัวต้องการจะบอกกล่าวว่า ‘เรื่องราวของกระหม่อมค่อนข้างยาวนาน’ เธเซียสจึงมิได้เร่งรัดอันใด เพราะดูท่าแล้วหน้าที่ของเซอร์ซีอาจจะเป็นการดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเขา ดังนั้นต่อให้ต้องใช้เวลายาวนานเท่าใด เธเซียสก็ยังมีเวลานั่งฟังอีกมาก

“กระหม่อมถูกจับได้ตั้งแต่เสร็จสิ้นงานคัดเลือกทหาร” การเกริ่นนำของเซอร์ซีมิได้สร้างความประหลาดใจให้แก่เธเซียส เพราะอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างไร้ร่องลอยตั้งแต่ช่วงเวลาดังกล่าว จนเขาวางแผนจะออกตามหา แต่ก็ดันเกิดเรื่องราวมากมายขึ้นเสียก่อน
“พวกเขาล่วงรู้มาตั้งแต่ต้น ว่ากระหม่อมมิใช่ผู้ดูแลคอกวัวตัวจริง กระหม่อมคาดว่าทหารครีตันคงจะคัดสรรบุคคลที่เหมาะกับตำแหน่งนี้ด้วยตนเอง มันอาจฟังดูมิมีเหตุผล แต่เพราะงานวันนั้นมีเรื่องราวแปลก ๆ เกิดขึ้น จนเหมือนกับแผนการของเราถูกซ้อนแผนจากทหารครีตัน การคาดเดาของกระหม่อมจึงมิใช่เรื่องไร้สาระ” เซอร์ซีกล่าวพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะเขากำลังคาดเดาสาเหตุที่ทำให้ความลับถูกเปิดเผย พร้อมออกตัวอย่างหวั่นเกรงว่าจะถูกนายเหนือหัวตำหนิ ขณะที่เธเซียสกลับเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงช่วยออกหน้าจนทำให้เขาสามารถเข้าร่วมกองทัพแห่งจักรวรรดิครีตันได้อย่างราบรื่น
เพียงแต่เธเซียสมิเคยคาดคิด..
ว่าการทิ้งปมเกี่ยวกับ ‘คราบดินโคลน’ จะทำให้ตนถูกตลบหลังในเวลาต่อมา

“หลังจากนั้นกระหม่อมก็ถูกพาตัวไปยังคุกใต้ดิน แล้วพวกเขาก็เริ่มคาดคั้นความจริงจากกระหม่อมว่าเป็นไส้ศึกจากแห่งหนใด ด้วยความหยิ่งผยองกระหม่อมจึงลั่นวาจาอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นชาวไมซีเนียน กว่าจะรู้ตัวว่าช่างโง่เขลาก็ถูกเฆี่ยนตีจนนับมิถ้วน แต่กระหม่อมก็มิได้ปริปากอันใดอีก เพราะกระหม่อมยังหวังว่าพระองค์จะเสด็จไปให้ถึงจุดหมาย สภาพของกระหม่อมในเพลานี้จึงมิน่าดูนัก” เซอร์ซีกล่าวพลางฉีกยิ้มเศร้า เธเซียสจึงโน้มตัวไปยีศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความสะเทือนใจ เพราะใบหน้าและลำตัวของเซอร์ซีกลับเต็มไปด้วยบาดแผลจากของมีคม นับได้ว่าทหารครีตันโหดเหี้ยมมิต่างกับทหารอัสซีเรีย
“แล้วเจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างไร ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางขยับตัวโดยวางปลายเท้าลงบนพื้นและหันหน้าเข้าหาเซอร์ซี

“เจ้าชายมิโนสทรงมีดำรัสถามว่า กระหม่อมร่วมมือกับพระองค์ใช่หรือไม่”
“แล้วเจ้าตอบกลับไปว่าอย่างไร” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิใช่บุรุษผู้โอบอ้อมอารีดังเช่นภาพลักษณ์ที่แสดงออก มิเช่นนั้นพระองค์คงมิคิดจะปลิดชีพไส้ศึก ที่ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ทางใจในระดับลึกซึ้ง โดยเห็นได้จากการที่เซอร์ซีถูกจับตัวมาทรมานก็บ่งบอกได้ดีว่าพระองค์ประสงค์จะกำจัดลูกมือของเธเซียสเป็นอันดับแรก

“กระหม่อมมัวแต่อึ้งอยู่พ่ะย่ะค่ะเลยมิทันได้ทูลตอบ แต่กระหม่อมมิคาดคิดเลยว่าความเงียบดังกล่าว จะสร้างความกดดันให้แก่เจ้าชายมิโนส จนทำให้กระหม่อมเริ่มจับสังเกตได้ว่าพระองค์มีอิทธิพลต่อเจ้าชายมิโนสมากเพียงใด กระหม่อมจึงทูลกลับไปว่า ‘ใช่’ และรีบออกตัวแทนพระองค์ว่าอันที่จริงพระองค์มิได้อยากกระทำเช่นนี้ แต่ที่ต้องทำเป็นเพราะพระองค์ต้องการเรียกร้องความไว้วางใจจากองค์ราชา”
“เจ้านี่มัน หาเรื่องตายให้เราเสียจริง” เธเซียสกล่าวพลางทุบกำปั้นข้างที่มิได้บาดเจ็บลงบนศีรษะของอีกฝ่ายมิเบานัก

“แล้วอย่างไร เพียงเอ่ยนามเรา เจ้าก็รอดจากการถูกทรมานอย่างนั้นหรือ ?”
“กระหม่อมมิแน่ใจนัก เพราะหลังจากนั้นกระหม่อมยังกล่าวเสริมอีกว่า กระหม่อมกับพระองค์ถือเป็นพี่น้องร่วมสาบาน หากมีสุขเราก็จะร่วมสุข หากมีทุกข์เราก็จะร่วมทุกข์” เซอร์ซีกล่าวพลางยกยิ้มเผล่พร้อมขยับตัวถอยหนีจากวิถีฝ่าเท้าของเธเซียส เนื่องจากบุรุษผู้นี้รู้จักเอาตัวรอดด้วยการพูดเสริมเติมแต่งให้เจ้าตัวดูมีความสำคัญต่อนายเหนือหัว แต่กระนั้นก็ช่างเป็นการเอาตัวรอดที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยง เนื่องจากเพลานั้นเจ้าชายมิโนสทรงวางแผนจะปลิดชีพเธเซียสไว้อย่างแยบยล
ซึ่งเขาก็เดินไปตามแผนการของอีกฝ่ายโดยมิทันระวังตัว

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เธเซียสจึงเริ่มเข้าใจถ้อยคำที่เคยได้ยินตรงช่องทางลับ เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงคิดมิตกเพราะปากคำจากเซอร์ซี เคออสจึงกล่าวแกมประชดประชันว่า ‘เพราะเขาคล้ายคลึงกับพระอนุชาหรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ถึงมิฆ่าเขา’ ซึ่งความขัดแย้งระหว่างคนทั้งคู่คงจะนำมาสู่เหตุการณ์ปลิดชีพสุดองอาจ เคออสจึงต้องขอความร่วมมือจากโครนัสที่หายหน้าหายตาไปนาน
ดังนั้นบุรุษผู้สูงศักดิ์จะตามแผนการของอีกฝ่ายมิทันก็มิแปลก
แต่อย่างน้อยเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่า เคออสมีอิทธิพลมากพอที่จะใจกล้าบ้าระห่ำถึงเพียงนี้

“แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดจึงมิหาทางติดต่อเรา ?” เธเซียสกล่าวพลางทำสีหน้าบึ้งตึง เนื่องจากลึก ๆ เขายังเป็นห่วงเซอร์ซี แต่ก็มิสบโอกาสให้กระทำการใด ๆ
“กระหม่อมเพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากคุกใต้ดินเมื่อมินานมานี้พ่ะย่ะค่ะ จากนั้นกระหม่อมก็ถูกส่งตัวมายังเมืองอาร์คันส์พร้อมกับทาสนูเบียเพื่อเร่งสร้างเมืองให้แล้วเสร็จ มีทหารครีตันคอยล้อมหน้าล้อมหลัง อีกทั้งเจ้าชายมิโนสก็ประทับอยู่ที่นี่ กระหม่อมจึงมิอาจกระทำได้ตามใจ” จากคำบอกเล่าของเซอร์ซี ทำให้เธเซียสเริ่มเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า แม้เพลานี้เจ้าชายมิโนสจะทรงยินยอมละทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ก็มิได้หมายความว่าในภายภาคหน้าพระองค์จะมินำมันคืนกลับไป เซอร์ซีจึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารครีตันอย่างเลี่ยงมิได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็เพื่อตัดขาดการติดต่อสื่อสารกับไมซีเนียนอย่างราบคาบ
และมันก็อาจส่งผลกระทบต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของเสด็จพ่อ

“มิน่า.. เขาถึงบอกว่าเชื่อใจเรา แม้เราจะมิเชื่อใจตนเอง แต่สักวันเราจะรู้สึกเหมือนอย่างที่เขารู้สึก” เธเซียสกล่าวพร้อมกำฝ่ามือแน่นอย่างลืมตัว จึงทำให้บาดแผลปวดหนึบ เซอร์ซีจึงรีบกระวีกระวาดไปต้มโอสถแก้ปวดให้อีกฝ่าย ขณะที่บุรุษจากต่างแดนกลับจมดิ่งลงสู่ภวังค์แห่งความคิด เนื่องจากเขาคาดมิถึงว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงมากเล่ห์และยังช่างวางแผนถึงเพียงนี้ เพราะการที่เซอร์ซีหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หมายความว่าเธเซียสมิได้ส่งข่าวอันใดกลับมา
ดีมิดี ‘เจ้าครูส’ นกเหยี่ยวตัวสำคัญ อาจถูกกำจัดไปแล้วก็เป็นได้

เธเซียสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางทิ้งตัวลงนอนด้วยความหนักอึ้งในอก เนื่องจากแผนการอันแยบยลของเจ้าชายมิโนสกำลังทำให้เขาหวาดกลัวคำตอบที่อาจได้รับ เพราะความห่างเหินระหว่างตนและเสด็จพ่อนับว่ายากจะผสาน ยิ่งเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้
เชื่อได้เลยว่าเสด็จพ่อคงมิคิดลังเลต่อการตัดสินพระทัยด้วยการยัดเยียดข้อหา ‘กบฏ’
และเมื่อวันนั้นมาถึง เธเซียสก็คงต้องแสดงจุดยืนด้วยการเลือกข้าง

“มันก็แค่การคาดเดา เจ้าชายมิโนสจะทรงวางแผนเช่นนั้นจริงหรือไม่ก็มิรู้ เสด็จพ่อจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็มิแน่นอน” เธเซียสคว้าผ้าลินินผืนนุ่มห่มคลุมใบหน้า พร้อมบ่นพึมพำราวกับต้องการชักนำตนเองมิให้ฟุ้งซ่าน
โดยมิรู้เลยว่าท่าทางดังกล่าวกำลังสร้างรอยยิ้มให้กับผู้อื่น

“หากเราวางแผนเช่นนั้นจริง เจ้าจะว่าอย่างไร ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ประทับอยู่บนตั่ง พลางโน้มวรกายเข้าหาเธเซียสที่มิได้รู้อิโหน่อิเหน่จนกระทั่งเจ้าตัวล่นผ้าลินินไว้ที่ปลายจมูก ดวงพักตร์หวานละมุนจึงปรากฏ
“มิอาจตอบได้ เกรงว่าสิ่งที่กระหม่อมคิด อาจมิใช่ผลพวงจากแผนการของพระองค์”

“เรื่องที่มีผลพวงต่อเสด็จพ่อของเจ้า คงมิพ้นเหตุผลที่เรากักขังเซอร์ซีไว้กระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางโน้มดวงพักตร์เข้าแนบชิด ส่งผลให้ลมหายใจของทั้งสองรินรดกันอย่างสม่ำเสมอ
“ช่างเถิด กระหม่อมมิอยากรับรู้อันใดแล้ว เพราะถึงจะรู้ไปก็มิมีประโยชน์ ในเมื่อผู้ที่ต้องตัดสินกลับมีเพียงเสด็จพ่อของกระหม่อม” เธเซียสกล่าวพลางฉายแววตาแห่งความกังวล เพราะสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องราวที่เขาหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ เนื่องจากการที่มิได้อยู่เคียงข้างเสด็จพ่อมาเนิ่นนาน ทำให้พื้นที่ในดวงใจของพระองค์มีเพียงเสด็จพี่ลูซีอัสที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์รัชทายาท และยังมีความสามารถทางด้านการรบเป็นเท่าตัว อีกทั้งยังมีนางหญิงชั่วคอยเป่าหูมิให้เสด็จพ่อเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของเธเซียส เพราะนางทราบเป้าหมายที่แท้จริงว่า เขามิได้ต้องการเพียงความไว้วางใจคืนจากเสด็จพ่อ แต่ยังต้องการกำจัดนางหญิงชั่วที่แฝงกายอยู่ในคราบของราชินีแห่งไมซีเนียน!

“หากวันหน้าเจ้ามิหลงเหลือผู้ใดให้เป็นที่พักพิง เราสองย่อมมีกันและกัน” เจ้าชายมิโนสตรัสถ้อยคำอันคุ้นชิน พลางเลื่อนดวงพักตร์เข้ามาใกล้บุรุษผู้กำลังหวั่นวิตก ขณะที่เธเซียสกลับต่อประโยคดังกล่าวเพียงในใจว่า..
แต่หากกระหม่อมนำความเดือดร้อนมาสู่ครีตัน..
เราสองอาจขาดสะบั้นตลอดกาล

“เจ้าอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธเหล็กหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวกับพระองค์ต้องการเบี่ยงประเด็น และมันก็ได้ผลชะงัด
“เรากลับไปสะสางอะไรบางอย่างที่เกาะธีรา จึงพอจะทราบที่มาที่ไปอยู่บ้าง” ดำรัสของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์สร้างความแปลกใจให้กับเธเซียส เพราะการสะสางของพระองค์มาพร้อมกับราชองครักษ์ชุดใหม่
เท่ากับว่าเคออสและพรรคพวกอาจจะโดนลงทัณฑ์อยู่กระมัง

“เราค่อนข้างเหนียวตัว หากจะแช่น้ำเย็นพร้อมอธิบายให้เจ้าฟังคงมิลำบากเกินไปกระมัง ?”
“มิลำบากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็เหม็นกลิ่นสมุนไพรจะแย่” เธเซียสกล่าวพลางยกแขนขึ้นดอมดมพร้อมย่นจมูกเพื่อบ่งบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า ดำรัสของพระองค์ถือเป็นทางออกที่ดี เพราะดูท่าแล้วห้องสรงน้ำของบ้านพักตากอากาศคงจะเป็นบ่อกลางแจ้ง
เนื่องจากเซอร์ซีที่ยืนแอบฟังอยู่ตรงหน้าห้องบรรทมกลับรีบวิ่งแจ้นออกไปตระเตรียมเครื่องสรงน้ำตรงด้านนอก

“เราทราบมาว่าฮิตไทต์คือผู้อยู่เบื้องหลังในการผลิตอาวุธจากเหล็ก เท่ากับว่าพวกเขาคือผู้ผลิตเหล็กได้เป็นกลุ่มแรก เพียงแต่อัสซีเรียเป็นพวกที่นำเอาความรู้ดังกล่าวมาต่อยอดจนทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำทางด้านศึกสงคราม” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเสด็จไปยังบ่อน้ำธรรมชาติที่อยู่ตรงด้านหลังของตัวบ้านซึ่งถูกโอบล้อมด้วยไร่องุ่นยาวไกลสุดลูกหูลูกตา
“ถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกระมัง” เธเซียสแสดงความคิดเห็น เพราะเขาทราบมาจากกองคาราวานของพ่อค้าชาวอียิปต์ว่า แต่เดิมชาวฮิตไทต์ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบแคสเบียน จากนั้นก็ย้ายถิ่นฐานเข้ามายังเขตอนาโตเลียของผู้ตั้งถิ่นฐานเดิมอย่างชาวฮัตเทียน ซึ่งใกล้กันนั้นคืออาณานิคมของจักรวรรดิอัสซีเรีย
จึงมิแปลกที่จะมีการรับเอาวัฒนธรรมจากผู้ตั้งถิ่นฐานเดิมมาปรับใช้
ขณะเดียวกันผู้ตั้งถิ่นฐานเดิมก็มีการรับเอาวัฒนธรรมใหม่ ๆ ไปพัฒนา

“พวกเขาใช้หินที่มีแร่เหล็กเผากับถ่าน จากนั้นเหล็กก็จะหยดออกมา รอจนกระทั่งมีปริมาณมากพอ ถึงจะเริ่มหลอมรวมโดยการขึ้นรูป แล้วเอาไฟเผาให้ร้อนระอุจึงค่อยตีให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางดันไหล่เธเซียสให้นั่งบนเก้าอี้ขนาดเล็กที่อยู่ริมท่าน้ำ จากนั้นบุรุษผู้สูงศักดิ์จึงเริ่มผสมเครื่องหอมและน้ำมันมะกอกในปริมาณที่พอเหมาะ
“เราจะหาแร่เหล็กเหล่านั้นได้จากที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเริ่มตั้งคำถามพร้อมยื่นแขนไปตามการร้องขอของอีกฝ่ายที่กำลังประทับอยู่บนพื้นไม้ข้างหน้า จากนั้นพระองค์ก็ใช้ผ้าลินินชุบน้ำอันเย็นฉ่ำ ที่ผสมเครื่องหอมแตะแต้มไปตามผิวเนื้อของบุรุษผู้บาดเจ็บที่ยังมิอาจอาบน้ำได้ตามปกติ เนื่องจากบาดแผลยังคงต้องห้ามโดนน้ำ

“สำหรับครีตันแห่งแรกคือเกาะธีรา” เจ้าชายมิโนสตรัสเพียงแค่นั้นแล้วพระองค์ก็นิ่งเงียบไป เธเซียสจึงทอดสายตามองการกระทำของอีกฝ่ายที่กำลังใส่ใจกับฝ่ามือที่ค่อนข้างบอบช้ำ
“ขยับได้บ้างหรือไม่ ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางแหงนดวงพักตร์จ้องมองผู้บาดเจ็บเพื่อรอคอยคำตอบ เธเซียสจึงส่ายหน้าด้วยความเชื่องช้า

“เราใจร้อนเอง หมอหลวงบอกว่าอีกสักเดือนสองเดือนคงดีขึ้นก็ต้องดีขึ้น” บุรุษผู้แสนอ่อนโยนตรัสปลอบใจผู้บาดเจ็บที่ในตอนนี้มิอาจใช้งานฝ่ามือข้างดังกล่าวได้ตามปกติ
“พ่ะย่ะค่ะ”

“พระองค์กลับไปยังเกาะธีราเพื่อลงทัณฑ์พวกเคออสหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อรอบกายถูกปกคลุมด้วยเสียงร้องของจิ้งหรีดเรไร เธเซียสจึงเอ่ยถามพลางแหงนมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ ที่กำลังปรับเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการลากพระเก้าอี้ที่มีความสูงกว่าช่วงตัวของเธเซียสไปไว้ข้างหลัง
“อืม” สุรเสียงทุ้มนุ่มในลำพระศอดังขึ้นพร้อมกับการโน้มศีรษะของเธเซียสเอนอิงพระชานุ  เพื่อให้ง่ายต่อการสระผม จากนั้นพระองค์ก็นวดคลึงจนทั่วศีรษะในจังหวะที่ค่อนข้างผ่อนคลาย
บุรุษผู้บาดเจ็บที่มิมีผู้ใดปรนนิบัติเป็นเวลายาวนานจึงเริ่มนั่งสัปหงกอยู่หลายครา

“พระองค์ตรัสว่าอยากจะสรงน้ำ แต่เหตุใดจึงมานั่งปรนนิบัติกระหม่อมเช่นนี้” เธเซียสทูลถามพลางเอนพิงพระชานุของอีกฝ่ายโดยทิ้งน้ำหนักอย่างเต็มที่ ขณะที่บุรุษผู้สูงศักดิ์กำลังใช้ขันใบเล็กตักน้ำอันเย็นฉ่ำชะล้างคราบน้ำมันมะกอกอย่างระมัดระวังโดยมิให้เปรอะเปื้อนไปถึงบาดแผลตรงข้างแก้ม
“เราเองก็มิรู้เหตุผลเช่นกัน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มโอษฐ์เพียงนิด แต่มันกลับทำให้เธเซียสรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้ ฝ่ามือข้างที่มิได้บาดเจ็บ จึงเอื้อมแตะหลังพระหัตถ์ของบุรุษผู้สูงศักดิ์พลางเกี่ยวคล้องพระกนิษฐา เอาไว้หลวม ๆ
ขณะที่แววตาไหวระริกกำลังสบประสานกับดวงเนตรทรงอำนาจ

กระทั่งภาพตรงหน้าเริ่มรางเลือน ดวงตาของเธเซียสจึงปิดสนิท จากนั้นพระโอษฐ์ของเจ้าชายมิโนสก็สัมผัสกลีบปากของเธเซียสด้วยความทะนุถนอม ส่งผลให้บุรุษผู้ได้รับความอบอุ่น แทบหลอมละลายภายใต้การแสดงความรักของพระองค์อยู่รอมร่อ แต่พอถึงช่วงเวลาแห่งความคุ้นชิน เธเซียสกลับเป็นฝ่ายชักนำ ส่งผลให้รสสัมผัสที่เคยนุ่มนวลดุจแสงจันทรา กลับกลายเป็นเร่าร้อนดั่งเปลวเพลิง
ความสุขอันแสนถลำลึก จึงนำพาให้จิตใจของเธเซียส ราวกับถูกกักขังอยู่ในเขาวงกต
เขาจึงมิอาจมองหาทางออกอันนำไปสู่ความเชื่อใจจากเสด็จพ่อ

φ

[1] พระชานุ แปลว่า เข่า

[2] พระกนิษฐา แปลว่า นิ้วก้อย


บทความที่เกี่ยวข้อง

-  ยุคก่อนประวัติศาสตร์  https://bit.ly/2Kr0YnZ
- ประวัติศาสตร์ฮิตไทต์ https://bit.ly/2HTONy2
- การเกิดแร่เหล็ก https://bit.ly/2Z7qz9C
- วิธีตีดาบโบราณ อยุธยา https://bit.ly/2Z2Glm3

สำหรับตอนนี้และตอนหน้าจะยังเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายของตัวละครและนักอ่านนะคะ 555 เราจะสาดโมเม้นให้ทุกคนได้ฟินกันเล็กน้อย และสำหรับตอนนี้จะเห็นได้ว่าเจ้าชายมิโนสมักจะนำหน้าเธเซียสอยู่หนึ่งก้าวเสมอ ซึ่งภาพลักษณ์แบบนี้ไม่เคยมีใครได้สัมผัสจากชาวครีตัน เพราะเขาปกปิดอย่างมิดชิด ศัตรูจึงมักจะประมาทอย่างที่เธเซียสกำลังเป็น ต่อไปก็ต้องมาลุ้นกันค่ะว่าการจับตัวเซอร์ซีมายังอาร์คันส์จะทำให้ทางไมซีเนียนไม่เชื่อใจเธเซียสตามที่คาดการณ์กันไว้หรือไม่

ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับชาวฮิตไทต์เราเอามาอ้างอิงเพียงบางส่วนนะคะ เพราะในเรื่องเราปูมาว่าอัสซีเรียคือผู้นำทางด้านสงคราม แต่ในความเป็นจริงฮิตไทต์คือชาติแรกที่ผลิตเหล็กได้ ดังนั้นเราจึงเอามาผูกโยงกันในแบบของเราค่ะ เพราะเราเคยอ่านเจอว่าอัสซีเรียมักจะเป็นชนชาติที่เอาของที่มีอยู่ดั้งเดิมไปพัฒนาต่อยอดให้ดีขึ้น

ส่วนแหล่งจัดหาแร่เหล็กนั้นเราไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนนัก แต่ที่เกาะธีราจะมีหน้าผาที่มีลักษณะคล้ายกับหินชั้นที่มีการตกตะกอนเป็นแถบชั้น คล้ายกับภาพวาดเฟรสโกอันนี้ค่ะ (เฉพาะภาพแรกสุดที่มีภูเขาหลายสี) https://i.imgur.com/NcjvOix.jpg
ส่วนภาพด้านล่างคือแหล่งแร่เหล็กที่มีลักษณะตกตะกอนเป็นแถบชั้นของจริง https://i.imgur.com/o9y3KwP.jpg

ปล. แอบเห็นมีคนรีวิวให้ด้วย น้ำตาจะไหล ฮือออ และสุดท้ายนี้ยังคงขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้จากใจจริงเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 27 φ หน้า 2 (update 06/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 06-06-2019 16:43:55
ตอน 27

เช้าวันนี้เธเซียสรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเมื่อมิต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในห้อง และมิต้องทนอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมของสมุนไพรอันมิพึงประสงค์ เหตุเพราะเธเซียสต้องการติดตามเจ้าชายมิโนสไปตรวจตราไร่องุ่นภายในเมืองอาร์คันส์ว่ายังมีพื้นที่ใดประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคระบาด ซึ่งเนื้อตัวของเธเซียสยังคงถูกพอกด้วยสมุนไพรหลากชนิด แต่กระนั้นเธเซียสก็ใช้ผ้าลินินผืนดำห่มคลุมร่างกายจนหลงเหลือเพียงดวงตามิต่างกับเจ้าชายมิโนส เพียงแต่เธเซียสยังมิอาจควบม้าได้ตามใจอยาก เขาจึงต้องร่วมเดินทางไปกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ ด้วยสภาพการณ์ที่มิได้แตกต่างกับช่วงแรกของการเหยียบย่างมายังเมืองแห่งนี้ 

“กลิ่นไอธรรมชาติสดชื่นเสียจริง” เธเซียสกล่าวพลางเปิดผ้าคลุมหน้าพร้อมสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ฝ่ายเจ้าชายมิโนสจึงได้แต่สรวลในลำพระศอ ขณะบังคับม้าให้ก้าวเดินไปตามเส้นทางดินที่ตัดผ่านไร่องุ่นอันกว้างใหญ่ โดยมีภูเขาลูกโตตั้งตระหง่านเป็นฉากหน้าอย่างโดดเด่น
“ไร่องุ่นของที่นี่เกิดโรคระบาดอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามเมื่อเหลือบมองไปยังแห่งหนใดก็พบแต่ใบองุ่นเจริญงอกงาม ราวกับมิเคยเกิดปัญหาอันใหญ่หลวง

“โรคแผลน้ำค้าง ” เจ้าชายมิโนสตรัสเพียงสั้น ๆ
“อาการเป็นอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ แล้วพระองค์ทรงแก้ปัญหาอย่างไร ?” เธเซียสทูลถามด้วยความใฝ่รู้ เนื่องจากเขามีความเชื่อว่าเรื่องราวรอบตัวอาจกลายเป็นข้อมูลชั้นดีในวันหน้า
 
“ระยะแรกจะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ สีเหลืองปนเขียวอยู่ทางด้านบนของใบองุ่น จากนั้นก็จะลุกลามกลายเป็นบาดแผลที่ใหญ่ขึ้น แต่ขนาดของรอยแผลจะมิแน่นอน ในระยะนี้ด้านล่างของใบองุ่นตรงส่วนที่เป็นแผลจะมีผงสีขาวเกาะกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นผงดังกล่าวก็จะแพร่ระบาดไปยังใบอื่น ๆ หรือแปลงอื่น ๆ เพราะสายลม สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล เพราะกว่าเราจะล่วงรู้ว่าองุ่นเกิดโรคระบาดก็ต้องใช้เวลา 4-6 วัน”
“เรากับเกษตรชาวครีตันใช้เวลาแก้ปัญหาโรคระบาดในองุ่นอยู่หลายเดือน เพราะโรคแผลน้ำค้างสามารถเกิดได้ทุกส่วนของต้นองุ่น อย่างเช่น ยอดอ่อนถ้าหากติดโรคจะเริ่มแคระแกร็น และมีผงสีขาวปกคลุมบริเวณยอดอย่างเด่นชัด จากนั้นยอดอ่อนก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและแห้งตายในที่สุด ส่วนช่อดอกถ้าหากเกิดโรคจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเป็นหย่อม ๆ จากนั้นอีก 2-3 วันก็จะมีผงสีขาวขึ้นแทนที่ แล้วช่อดอกก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลจนกระทั่งแห้งติดเถา” จากคำบอกเล่าของมหาบุรุษแห่งครีตัน ทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระองค์มิได้ว่าราชการเพียงแค่ในห้องสี่เหลี่ยมของพระราชวัง แต่ยังทรงงานนอกเขตพระราชฐานอย่างแข็งขันมาระยะหนึ่งแล้ว
เพียงแต่เธเซียสมิเคยล่วงรู้
เนื่องจากภาระงานของเขาคือการผลิตเครื่องปั้นดินเผา และการสืบข่าวอันเป็นประโยชน์แก่ไมซีเนียน

“แรกเริ่มเราแก้ปัญหาด้วยการตัดชิ้นส่วนที่เสียหายทิ้งไป แต่มิได้นำไปเผาหรือกลบฝัง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทราบว่าโรคแผลน้ำค้างในองุ่นสามารถแพร่ระบาดผ่านสายลม ช่วงเวลานั้นจึงมิมีเหล้าองุ่นเข้ามาเติมในท้องพระคลัง”
“เจ้ามิใช่ชาวครีตันคงมิรู้ว่าเราจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้กับข้าราชบริพารเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารและเหล้าองุ่นมิเคยขาด” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสมิผิดจากความเป็นจริงนัก เพราะเธเซียสเคยไปรับเบี้ยเลี้ยงเพียงครั้งเดียว
พอย้ายมาอยู่ภายใต้สังกัดของกองทัพทหาร เธเซียสก็มิเคยเหยียบย่างไปยังโรงภาษี
เหตุเพราะเจ้าชายมิโนสเป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ของเธเซียสอย่างเต็มตัว

“พอองุ่นเริ่มแตกกิ่งใบใหม่ เราและเกษตรชาวครีตันจึงช่วยกันตัดแต่งกิ่งที่มิต้องการออก จะได้มิซ้อนทับกัน และพยายามตรวจตราให้ทั่วถึงว่ามีกิ่งห้อยลงจากค้าง หรือไม่ เพราะอากาศจะถ่ายเทมิสะดวก และยังเพิ่มความชื้นที่เป็นบ่อเกิดของโรคระบาด” เธเซียสฟังคำอธิบายจากเจ้าชายมิโนสพร้อมเพ่งมองเถาองุ่นจากบนหลังม้า จึงเห็นได้ว่าองุ่นที่เกี่ยวพันอยู่บน ‘ค้าง’ ถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ
บ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่อย่างผู้มีความรู้
อาจเพราะพวกเขาต่างลองผิดลองถูกมาเนิ่นนาน

“กระหม่อมมิได้ทูลเรื่องสำคัญบางอย่างต่อพระองค์” เซอร์ซีกระซิบกระซาบในระหว่างที่เจ้าชายมิโนสทรงเยี่ยมชมไร่องุ่นในบริเวณที่ยังมีการระบาดของ ‘โรคแผลน้ำค้าง’ เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวปลีกตัวออกมาสำรวจเถาองุ่นบนค้างแบบรั้วไม้ด้วยความสนใจ
“เรื่องอันใด ?” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยถามพลางเดินเอามือไพล่หลังอย่างสง่าผ่าเผย

“ตอนที่กระหม่อมถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน กระหม่อมเห็นคนกลุ่มหนึ่งถูกขังรวมอยู่ในนั้น” เซอร์ซีเพิ่มเสียงเพียงนิด เพราะเขามิได้เดินเทียบเคียงนายเหนือหัว   
“แปลกอย่างไร ?” ฝ่ายเธเซียสที่กำลังชื่นชมธรรมชาติเอ่ยถามราวกับบทสนทนาดังกล่าวคือเรื่องลมฟ้าอากาศ
“แปลกตรงที่คนกลุ่มนั้นมิใช่ชาวครีตัน” สิ้นคำกล่าวของนายทหารคู่ใจ บุรุษจากต่างแดนพลันหยุดการก้าวเดิน พลางแสดงความคิดเห็นอย่างมิจริงจังนัก
“เจ้าเองก็มิใช่ชาวครีตัน ยังเข้าไปอยู่ในคุกใต้ดินได้เลยมิใช่หรือ ?”

“โธ่! พระองค์” เซอร์ซีเริ่มตัดพ้อพลางก้าวขึ้นมาดักหน้าบุรุษผู้เป็นนายเหนือหัว
“เจ้าหมายถึงคนกลุ่มนั้นคือเชลยจากเอเธนส์ใช่หรือไม่” เธเซียสย้อนถามอย่างตรงประเด็น เหตุเพราะเขาพอจะเดาทางออกตั้งแต่ตอนที่เซอร์เริ่มเกริ่นนำแล้ว
เพียงแต่ในตอนนั้นมิได้มีเพียงพวกเขาสองคน
แต่ยังมีราษฏร์ชาวครีตันกำลังตัดแต่งเถาองุ่นอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของค้างแบบรั้วไม้

“เดิมทีเราเองก็คาดเดาเอาไว้นานแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เราเห็นเหล่านางกำนัลตระเตรียมเครื่องสักการะเนื้อมนุษย์ด้วยสองตาของเราเอง” เธเซียสกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น เพราะเขาหลงลืมประเด็นนี้ไปเสียสนิทใจ ซึ่งเธเซียสยังมิอาจหาความเชื่อมโยงของการสักการะในครานั้นได้ และสิ่งหนึ่งที่น่าสงสัยก็คือ ‘เชลยจากเอเธนส์’ ถูกส่งมาเพื่อเป็นภักษาหารจริงหรือ
เหตุเพราะสภาพศพหากมองว่าเป็นการฆาตกรรม โดยอาศัยกลอุบายเกี่ยวกับมิโนทอร์ก็ย่อมได้

เนื่องจาก ‘ศพอันน่าสยดหยอง’ มิได้มีความคล้ายคลึงกับกรรมวิธีในการ ‘ล้อเล่น’ กับเหยื่อของมิโนทอร์ เพราะเธเซียสยังคงจดจำได้ดีว่า มหาบุรุษแห่งครีตันต้องการบดกระดูกของเขาให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง มิหนำซ้ำเจ้าชายมิโนสในคราบของมิโนทอร์ยังมิกล้าแตะต้องรอบตัวของเธเซียสในตอนที่ช่วยขึ้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เหตุเพราะพระองค์หวาดกลัวว่าเรี่ยวแรงอันมากมายจะทำร้ายผู้บาดเจ็บ
นับได้ว่าการบดขยี้โครงกระดูกให้แหลกละเอียด
คือกรรมวิธี ‘การล้อเล่น’ กับเหยื่ออย่างแท้จริง

ฉะนั้นการนำส่งเชลยจากเอเธนส์คงจะมีไว้เพื่อสักการะบางสิ่งบางอย่างที่มีการบูชายัญเป็นจุดประสงค์หลัก ส่วน ‘ศพ’ ของหญิงสาวจากเอเธนส์ อาจเป็นเพียงกลอุบายอย่างหนึ่งที่พระราชินีปาซิฟาอีมิประสงค์ให้ผู้ใดล่วงรู้
คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับ ‘มิโนทอร์’ จึงถูกนำมาใช้ เพื่อมิให้การนำส่งเชลยจากเอเธนส์เกิดความผิดพลาด ?

เธเซียสมิเข้าใจว่าเหตุใดพระราชินีแห่งครีตันจึงต้องทำเช่นนั้น ในเมื่อการนำส่งเชลยศึกเกิดจากสงครามของผู้มิรู้จักแพ้ชนะ ซึ่งครีตันจะนำเชลยเหล่านั้นไปกระทำอันใดก็มิมีเหตุผลให้ต้องปกปิด
เว้นเสียแต่พระนางมิได้มีจุดประสงค์เพื่อปิดบังบุคคลภายนอก

เมื่อคิดได้เช่นนั้นบุรุษภายใต้ผ้าลินินสีดำขลับ จึงหันมองไปยังเจ้าชายมิโนสที่กำลังตัดแต่งเถาองุ่นพลางใช้หลังพระหัตถ์เช็ดหยาดเสโทบริเวณพระกรรเจียก เป็นระยะ เพราะเหตุผลเดียวที่เขาตีความออกคือ..
พระราชินีมีความประสงค์ที่จะปิดบังเจ้าชายมิโนส
ซึ่งเหตุผลอาจจะเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระอนุชาแอนโดรเจียส

“เหตุใดพระหทัยของพระองค์จึงแข็งแกร่งดังหินผา” เธเซียสมิรู้เลยว่าตนก้าวเดินมาจนถึงพื้นที่ข้างวรกายของเจ้าชายมิโนสตั้งแต่เมื่อใด มิหนำซ้ำคำถามที่ก่อเกิดขึ้นในจิตใจยังส่งตรงไปหาอีกผู้ด้วยความห่วงใย
และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ตนเองในวันหน้า

“คำถามอันใดของเจ้า” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางสรวลอย่างขบขัน
“หรือบาดแผลที่มือของเจ้าอักเสบจนไข้ขึ้นไปเสียแล้ว ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสอย่างกระเซ้าเย้าแหย่พร้อมใช้หลังพระหัตถ์สัมผัสบริเวณหน้าผากของเธเซียส

“โธ่! พระองค์” เธเซียสได้แต่กล่าวแย้งเพียงสั้น ๆ
และเอ่ยกับตนเองในใจว่า..
กระหม่อมก็แค่เป็นห่วงและนึกสงสัยว่าพระองค์อดทนต่อการมิมีตัวตนในสายพระเนตรของพระราชินีได้อย่างไร

กระทั่งแสงสุริยะเริ่มลาลับขอบฟ้า ขบวนเสด็จของเจ้าชายมิโนสก็เหยียบย่างเข้าสู่เขตชุมชนของเมืองอาร์คันส์ ซึ่งสภาพแวดล้อมในขณะนี้มิได้วุ่นวายนัก เพราะเหล่าราษฎร์กำลังรับประทานอาหารอยู่ในบ้าน แสงไฟสีเหลืองนวลจึงส่องสว่างเล็ดลอดช่องหน้าต่างอย่างมีชีวิตชีวา โดยผังเมืองในครานี้ เธเซียสรู้สึกว่ามิได้แออัดดังเช่นเมืองอื่น
นับได้ว่าเจ้าชายมิโนสทรงครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงทำให้แผนการอพยพเป็นไปอย่างล่าช้า

“เส้นทางนี้เชื่อมกับทางลอดขนาดใหญ่ที่เหล่าคหบดีใช้เป็นเส้นทางขนย้ายพืชพันธุ์ธัญญาหาร” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางชี้ไปยังเส้นทางดินที่ถูกขนาบข้างด้วยทิวต้นไม้ใหญ่
“การอำนวยความสะดวกให้แก่ราษฎร์ถือเป็นการตัดสินพระทัยที่น่ายกย่องพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเกรงว่าหากข้าศึกเข้าประชิดเมืองเมื่อใด เส้นทางนี้อาจเป็นเส้นทางมรณะก็เป็นได้” เธเซียสกล่าวพลางเอนกายไปตามการก้าวเดินของอาชาพันธุ์ดี

“คงมิมีทางเป็นเช่นนั้น” เจ้าชายมิโนสทรงแก้ต่างอย่างหนักแน่น ราวกับพระองค์วางแผนรับมือเอาไว้เป็นอย่างดี และคงจะดีกว่า ‘การสร้างกำแพงเมือง’ อย่างแน่นอน
“พระองค์ทรงวางค่ายกลไว้หรืออย่างไร ?” เธเซียสทูลถามราวกับเล่นลิ้น แต่กระนั้นเสี้ยวความคิดดังกล่าวก็เห็นจะมิเกินจริง เพราะความปรีชาสามารถของบุรุษผู้สูงศักดิ์ มิว่าเรื่องอันใดก็ย่อมเกิดขึ้นได้

“ชู่ว.. เราได้ยินเสียงอัส” เจ้าชายมิโนสทรงผิวโอษฐ์เพื่อเป็นสัญญาณให้เธเซียสงดใช้เสียง เขาจึงได้แต่เงี่ยหูฟังเสียงของโลมายักษ์อย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็มิได้ยินเสียงอันใด
“เธเซียส เจ้ากลับไปกับเซอร์ซี” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่งแต่กลับแฝงไปด้วยพระราชอำนาจ จนเธเซียสยังอดเกรงขามมิได้ เขาจึงลงจากหลังม้าอย่างทุลักทุเล เนื่องจากฝ่ามือยังคงบาดเจ็บ และเจ้าชายมิโนสก็มิได้ช่วยโอบประคองดังเช่นคราแรก
เหตุเพราะพระหทัยของพระองค์กำลังวนเวียนอยู่กับสถานการณ์บางอย่าง
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องต่อความมั่นคงของจักรวรรดิครีตัน

ทันทีที่ปลายเท้าของเธเซียสแตะลงบนผืนดิน ฝีเท้าอาชานับ 6 ชีวิตจึงวิ่งย้อนกลับไปยังทิศทางเดิม ฉับพลันบรรยากาศรอบกายก็เริ่มแปรเปลี่ยน สายลมหวีดหวิวเสียจนเส้นผมปลิวไสว ใบไม้ปลิวว่อนไปตามแรงลม ขณะที่เบื้องบนกลับเต็มไปด้วยเมฆฝนก้อนใหญ่ อสนีแปลบปลาบร้างไร้เสียงแห่งการข่มขวัญ
ราวกับช่วงเวลาดังกล่าว..
คือเพลาแห่งการปรากฏกายของ ‘มหาบุรุษแห่งครีตัน’

“กระหม่อมคิดว่าเราควรอาศัยจังหวะนี้ หาทางติดต่อกับไมซีเนียนพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวด้วยน้ำเสียงกระโชก เนื่องจากอสนีบาตเริ่มฟาดฟันอย่างแรงกล้า
“เราคิดว่ามันมิง่ายเช่นนั้น” เธเซียสกล่าวพลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม เพราะจากดำรัสของเจ้าชายมิโนส ทำให้เขาเชื่อว่าเส้นทางแห่งนี้อาจมีค่ายกลล่อลวงไส้ศึกแอบซ่อนอยู่ 

“มิมีสิ่งใดยากเกินความพยายามพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวพลางควบอาชาผ่านเธเซียสด้วยความรวดเร็ว ราวกับเขาตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นตัวแทนแห่งไมซีเนียนฝ่าค่ายกลไปยังเป้าหมายที่ตนเองใฝ่ฝัน
“เซอร์ซี!” ฝ่ายเธเซียสได้แต่เอ่ยเรียกนายทหารคนสนิทอย่างมิสบอารมณ์ แต่กระนั้นสองขาก็ยังคงมุ่งตรงสู่เส้นทางแห่งอันตราย ขณะที่หัวใจกลับหนักอึ้ง
เนื่องจากเขามิคาดคิดว่า..
การเลือกข้างจะเดินทางมาถึงได้รวดเร็วเช่นนี้


φ

[1] โรคแผลน้ำค้าง ดัดแปลงมาจาก โรคราน้ำค้าง (Downy mildew) เกิดจากเชื้อรา PLasmopara viticola
[2] ค้างองุ่น คือ ที่ยึดเหนี่ยวของเถาองุ่น จะมีอยู่ 3 แบบ คือ การทำค้างแบบร้านสูง การทำค้างแบบรั้ว การทำค้างแบบเตี้ยเป็นรูปตัวที
[3] พระกรรเจียก แปลว่า ขมับ
 
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคขององุ่น https://sites.google.com/site/nakin401310/grape1
- วิธีการปลูกองุ่น https://sites.google.com/site/reuxngnarukhxngxngun1/withi-kar-pluk-xngun

[edit 19/06/2019 แก้คำราชาศัพท์ คำว่า แย้มสรวล ที่แปลว่า ยิ้ม เป็น สรวล ที่แปลว่า หัวเราะ]

วันนี้มาต่อได้เร็วหน่อย  เพราะตอนนี้กำลังฟิตมากค่ะ สนุกกับการเขียนสุด ๆ  เพราะเนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ  สำหรับโรคระบาดในองุ่นเรานำมาผสมกับปัจจุบันนะคะ  ให้มันดูสมจริงมากยิ่งขึ้นเพียงแต่ตัดพวกสารเคมีออกไป  และสำหรับตอนนี้ก็เผยปมเกี่ยวกับการฆาตกรรมขึ้นมาบ้างแล้ว  (แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะมันยังมีความขัดแย้งกันอยู่บ้าง  55555) เอาล่ะตอนหน้าข้าศึกก็มา  เธเซียสกับเซอร์ซีก็เริ่มหาความเดือดร้อนมาให้ครีตันแล้ววววว  ค่ายกลอีกอะไรยังไง ตื่นเต้นกับเราที่กำลังจะเขียนหน่อย 5555555
ปล.   ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากเลยนะคะ เราจำทุกคนที่คอมเมนต์ได้หมดเลย  แต่สำหรับคนที่มาคุยด้วยบ่อยๆ จำไปยันทวิตเตอร์ได้แล้วด้วย   (แต่อย่าเปลี่ยนชื่อแอคและดิสนะคะ 5555)  และตอนนี้เรามีแอคสำหรับอัพเดตนิยายแล้วนะคะ ไปฟอลกันได้จ้า 
https://twitter.com/Chomin_novel
https://www.facebook.com/Chomin.writer
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 27 φ หน้า 2 (update 06/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-06-2019 15:49:19
 :pig4:
o13
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 28 φ หน้า 2 (update 12/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 12-06-2019 12:28:57
ตอน 28

เมื่อมิอาจไล่ตามฝีเท้าม้าพันธุ์ดีได้ทัน บุรุษจากต่างแดนจึงเพ่งมองรอบกายอย่างพิจารณา พบว่าแสงอสนีทำให้ต้นไม้ใหญ่ริมทางมิอาจซ่อนเร้นท่ามกลางความมืด ส่วนเซอร์ซีกลับถูกความเงียบสงบลักซ่อนราวกับมิมีตัวตน
ทว่าเสียงประหลาดคล้ายหินขนาดใหญ่ไหลลงสู่ข้างทาง ส่งผลให้เธเซียสจำต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพียงแต่มินานจากนั้นเสียงร้องอย่างทุกข์ทรมานของม้าพันธุ์ดีก็ดังระงมมาจากเบื้องหน้า สีหน้าของเธเซียสจึงค่อย ๆ ตึงเครียด
เพราะเขาคาดเดาสถานการณ์ออกว่า..
บัดนี้ ‘ค่ายกล’ ของเจ้าชายมิโนสกำลังสำแดงฤทธิ์อย่างน่าเกรงขาม

ซึ่งมันก็ทำให้บุรุษจากต่างแดนเพิ่งจะรู้ซึ้งว่า เส้นทางดินแห่งนี้ถูกสร้างในลักษณะลาดเอียง และยังมีบางช่วงถูกแทนที่ด้วยสะพานไม้ที่เวลาอาชาวิ่งผ่าน คงจะส่งเสียงเกรียวกราวให้ได้ยินอย่างเด่นชัด อีกทั้งหินก้อนโตจำนวนมากยังถูกความมืดกลืนกินอย่างแยบยล
ดังนั้นเซอร์ซีที่ควบม้าไปด้วยความเร็วสูง จึงมิทันสังเกตความผิดปกติ ส่งผลให้กว่าเขาจะล่วงรู้ ว่า ‘ค่ายกล’ ของเจ้าชายมิโนสมิควรได้รับการสบประมาท กองทัพหินขนาดใหญ่ก็ไหลลงสู่สะพานไม้ราวกับน้ำป่าไหลหลาก ก่อนจะกระแทกกับประตูกั้นน้ำอย่างรุนแรง
ภายในเสี้ยววินาทีม่านน้ำจึงซ่านกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

หลังจากนั้นพายุลูกศรก็เริ่มโหมกระหน่ำ ส่งผลให้เส้นทางดินเบื้องหน้าถูกตัดขาด ขณะที่เส้นทางเบื้องหลังกลับแว่วเสียงฝีเท้าม้าหลายชีวิต เธเซียสจึงเริ่มคิดลังเลว่าเขาควรจะก้าวเดินไปยังกับดัก
หรือว่าเขาควรจะลักซ่อนกายอยู่ตรงริมลำธาร

“ฆ่ามัน! อย่าให้หนีรอดไปได้!” เสียงสั่งการของนายทหารยศใหญ่ดังมาจากเบื้องหลัง ซึ่งเธเซียสจดจำได้ว่าเสียงดังกล่าวคือเสียงของเคออส บุรุษผู้บาดเจ็บจึงรีบซ่อนเร้นอยู่ตรงหลังก้อนหิน พร้อมทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ
เนื่องจากแสงอสนียังคงส่องประกายอย่างมิขาดตกบกพร่อง

ขณะที่เสียงธนูแหวกอากาศยังคงดังระงมอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากทหารครีตันบนหลังม้า และจากทหารครีตันที่กำลังเร้นกายอยู่ท่ามกลางความมืด ส่งผลให้ ‘เหยื่อ’ อย่างเซอร์ซีที่มิมีแม้กระทั่งอาวุธ ถูก ‘ศรเหล็ก’ เสียดแทงร่างกาย แต่กระนั้นเขาก็มิได้ปริปากร้องด้วยความทรมาน และมิได้เอ่ยนามนายเหนือหัวแต่อย่างใด
ราวกับนายทหารคนสนิท มิต้องการให้ทหารครีตันล่วงรู้ว่า..
เจ้าชายฮาเดรียนแห่งไมซีเนียนประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้

“ท่านเคออส บุรุษผู้นี้มิได้อยู่ภายใต้อำนาจที่เราจะจัดการได้” ทหารนายหนึ่งกล่าวพลางพลิกร่างของเซอร์ซีที่กำลังจมลำน้ำอันล้นทะลักไปกว่าครึ่ง เธเซียสจึงมองจ้องภาพดังกล่าวด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน แต่ก็มิอาจกระทำอันใด เนื่องจากเขามิมีแม้กระทั่งอาวุธ และมิมีกำลังคนมากพอที่จะฝ่าวงล้อมของทหารครีตันกว่าสามสิบชีวิต 
“เอาตัวมันไป” เคออสกล่าวพลางใช้ปลายเท้าเตะสีข้างของเซอร์ซี ส่งผลให้นายทหารจากต่างแดนถึงคราวต้องฟื้นคืนสติ แต่กระนั้นก็ทำให้เธเซียสรู้สึกใจชื้น เพราะ ‘ค่ายกล’ อันน่าเกรงขามมิได้จัดตั้งเพื่อใช้เป็นเล่ห์กลในการลอบสังหารพวกเขาโดยเฉพาะ แต่เหตุที่สถานการณ์ต้องมาลงเอยเช่นนี้ คงต้องยอมรับว่าเป็นเพราะเซอร์ซีมิฟังคำเตือนจากเธเซียส ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความทะนงตนอย่างชาวไมซีเนียน และอีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายยังมิรู้จักเจ้าชายมิโนสดีพอ
และในทางกลับกัน หากเธเซียสมิเคยรู้ซึ้งถึงความมากเล่ห์ของบุรุษผู้สูงศักดิ์
คงมิได้มีเพียงเซอร์ซีที่จะถูกค่ายกลเล่นงาน

ทันทีที่ขบวนทหารม้าและพลธนูกว่าสามสิบชีวิต ลากจูงร่างของเซอร์ซีไปตามทางดิน เธเซียสก็รับรู้ได้ทันทีว่าความเมตตาปรานีที่อีกฝ่ายมอบให้ เกิดจากดำรัสของเจ้าชายมิโนสที่เคยให้คำมั่นสัญญาว่า ‘หากเธเซียสสร้างความเดือดร้อนให้กับครีตัน พระองค์จะปลิดชีพดวงใจของพระองค์เอง’ เท่ากับว่าทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธเซียส ผู้มีอำนาจตัดสินใจยังคงเป็นเจ้าชายมิโนส
ดังนั้นสวัสดิภาพของเซอร์ซีคงมิได้เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่
เพียงแต่เขาจะทนพิษบาดแผลได้หรือไม่ ก็สุดแท้จะคาดเดา

“เจ้ากับนายของเจ้าช่างมีวาสนา แต่มิได้นำพา..” โครนัสหนึ่งในพลธนูกล่าววาจาคลุมเครือกับบุรุษผู้บาดเจ็บที่ในตอนนี้แทบมิได้สติ แต่เพราะการถูกลากถูลู่ถูกังเป็นระยะเวลาอันยาวนาน มิอาจทำให้เซอร์ซีหลับใหลได้ตามใจนึก ฝ่ายเธเซียสที่ลอบติดตามโดยทิ้งระยะห่างจากกองทัพทหารครีตันมิไกลนัก ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด เพราะถ้อยคำดังกล่าวมิอาจคิดเป็นอื่นได้ นอกเสียจากการลอบสังหารในครานั้น เกิดจากการสื่อสารที่มิทันการณ์ จึงทำให้กว่าพลธนูจะล่วงรู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนไป
เธเซียสก็ถูกโยนลงสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่

กระทั่งการเคลื่อนพลจบลง ส่งผลให้บุรุษผู้ติดตามถึงคราวต้องตกตะลึง เมื่อภาพเบื้องหน้าคือ ‘ฐานทัพบก’ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หุบเขาอันกว้างใหญ่ จึงมิแปลกที่ค่ายกลอันเป็นกับดักจะซ่อนตัวอยู่ในระแวกดังกล่าว เพียงแต่สิ่งที่น่าทึ่งกลับเป็นการลักซ่อนความแข็งแกร่งภายใต้ธรรมชาติอันเงียบสงบ เพราะตอนขามาเธเซียสมิเห็นหนทางเข้าสู่ฐานทัพแต่อย่างใด
นับได้ว่า ‘ค่ายกล’ ของเจ้าชายมิโนสแทบมิต้องลงแรงอันใด เพราะสะพานไม้คือสัญญาณบอกเหตุ บวกกับแรงกระแทกของฝีเท้าม้าศึกทำให้ก้อนหินที่วางตั้งอยู่บนสะพานเกิดความเคลื่อนไหว และด้วยความที่ฐานทัพอยู่มิไกลจากค่ายกลแห่งนี้ กองทัพทหารครีตันจึงรีบรุดมายังจุดเกิดเหตุ เซอร์ซีเลยกลับกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ขณะที่เธเซียสยังคงละล้าละลังต่อการตัดสินใจ

แต่แล้วบรุษจากต่างแดนก็รีบซ่อนเร้นกายอยู่ข้างหลังต้นไม้ใหญ่ ตรงข้ามทางเข้าสู่ฐานทัพบกที่มีการตรวจตราอย่างแน่นหนา เพียงแต่พวกเขามิใช้คบไฟตรงพื้นที่ใกล้ริมถนน แต่จะใช้คบไฟเมื่อข้ามผ่านช่องแคบของภูเขาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง
“ทำอย่างไรดี” เธเซียสรำพันกับตนเองอย่างคิดมิตกพลางกัดเล็บจนสั้นกุด ก่อนจะเงยหน้ามองท้องนภาที่ค่อย ๆ คืนสู่ความเงียบสงบด้วยความชั่งใจว่าการเฝ้ารอจังหวะเหมาะในการชิงตัวเซอร์ซีถือเป็นหนทางที่ดี หรือว่าการหวนกลับไปหาเจ้าชายมิโนส พร้อมตบตาว่าพวกเขาจดจำเส้นทางมิได้ จะถือเป็นหนทางที่เข้าท่ากว่า

“เซอร์ซี เจ้ามิใช่คนอ่อนแอ หวังว่าเจ้าจะมิทำให้ความเชื่อมั่นของเราถูกทำลาย” เธเซียสปลอบใจตนเองเพียงครู่พลางออกตัววิ่งไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่เขตชุมชน แต่ทว่าท้องฟ้าที่เคยเงียบสงบกลับร้องครวญครางขึ้นมาอีกครา มิหนำซ้ำสายลมยังกรรโชกแรงเสียจนเธเซียสแทบมิอาจต้านไหว บุรุษจากต่างแดนจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเศษดินทรายกำลังปลิวว่อนอย่างเริงร่า สองมือของเขาจึงกระชับผ้าคลุมศีรษะให้มั่นคง
ขณะที่อสนีบาตกลับฟาดฟันลงบนเส้นทางเล็กแคบภายในเขตชุมชน

“เจ้าหญิงแอริแอดเนมิใช่หรือ ?” เธเซียสที่กำลังจะเดินพรวดพราดออกจากซอกตึก มีอันต้องถลากลับไปซ่อนตัวอย่างแยบยล เมื่อสตรีผู้สูงศักดิ์กำลังประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพียงแต่พระนางมิได้มาเยือนเพียงผู้เดียว เพราะข้างกันนั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่งติดตามมาด้วย
ฉับพลันภาพบางอย่างที่เคยรางเลือนก็เริ่มเด่นชัด
สองขาของเธเซียสจึงก้าวย่างไปตามทิศทางเป้าหมายของบุคคลเบื้องหน้า

“เธซีอุส เหตุใดคนเรือที่เจ้าติดต่อไว้จึงมิมาเสียที” สิ้นดำรัสของเจ้าหญิงแอริแอดเนที่บัดนี้ใช้ผ้าลินินห่มคลุมวรกายอย่างมิดชิดหลงเหลือเพียงดวงเนตรเรียวสวย เสริมสร้างสถานการณ์ให้ตึงเครียดอย่างน่าใจหาย เพราะความล่าช้าอาจส่งผลกระทบต่อจุดประสงค์บางอย่างที่คงจะหนีมิพ้นเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘มิโนทอร์’ เพราะในวันที่ได้เห็นฉากรักของบุคคลทั้งสอง เธเซียสยังจดจำดำรัสอันคลุมเครือของพระนางได้
และยังคาดเดาความโกรธแค้นของ ‘เธซีอุส’ จวบจนกระทั่ง ‘เป้าหมาย’ ที่ต้องการออก

ดังนั้นการส่งสัญญาณเตือนของ ‘อัส’ อาจมิใช่เรื่องบังเอิญ เท่ากับว่า ‘โจรสลัด’ ที่เข้ามาลุกลานน่านน้ำของจักรวรรดิครีตัน คงเป็นเพียงเหยื่อล่อให้เจ้าชายมิโนสในคราบ ‘มิโนทอร์’ ปรากฏองค์ จากนั้นเจ้าของแผนการอันแยบยลคงจะแฝงกายเข้าไปยังห้องใต้ดินอันซับซ้อนเพื่อลอบสังหารเจ้าสัตว์ประหลาดชั่วร้ายให้สิ้นซาก

“นายท่านทั้งสองโปรดอภัยให้ข้าด้วย บ้านของข้าถูกอสนีบาต..” เธเซียสในคราบของ ‘คนเรือ’ กล่าวอย่างแยบยล และมิคิดลังเลที่จะกระโจนเข้าสู่เรื่องราวแห่งอันตราย เหตุเพราะครานี้ฝ่ายตรงข้ามมีเพียงสองชีวิต
และยังเป็นหนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรี
ต่อให้เหลือเพียงตัวเปล่า เธเซียสก็มั่นใจว่าจะต้องเอาชนะได้อย่างง่ายดาย

“มิต้องพูดพร่ำอันใด รีบไปทำหน้าที่ของเจ้าโดยเร็ว” บุรุษจากเอเธนส์กล่าวอย่างมิสบอารมณ์ แต่กระนั้นก็นับว่ายังเป็นผลดีต่อเธเซียส เพราะเขามิแน่ใจว่า ‘คนเรือ’ ตัวจริงจะโผล่หน้ามาเมื่อใด ดังนั้นบุรุษจากต่างแดนจึงรีบกุลีกุจอก้าวเดินไปยังท่าเรือริมน้ำ ที่อาจจะเชื่อมกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ลัดเลาะไปยังเส้นทางหลักของพระราชวังนอสซัส
เธเซียสจึงก้าวเดินอย่างองอาจไปยังเรือลำหนึ่ง ราวกับเรือลำนั้นคือเรือคู่ใจตน แต่ในความเป็นจริงเธเซียสเพียงแค่เดาสุ่ม และมันก็โชคดีตรงที่เรือลำนี้ มีอาวุธตระเตรียมไว้ให้ป้องกันตน

กระทั่งผู้โดยสารขึ้นมายังลำเรือจนครบถ้วน บุรุษจากต่างแดนที่พอจะมีประสบการณ์ทางด้านฝีพายมาอย่างโชกโชน จึงนำพาหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีไปตามเส้นทางน้ำอันคดเคี้ยวแต่มิได้วกวน ทำให้เธเซียสมิต้องใช้ความคิดมากมายนัก เพราะทันทีที่เร่งฝีพายจนสุดทาง ลมทะเลก็ปะทะไปทั่วร่าง จนส่งผลให้เนื้อผ้าลินินบางเบาปลิวไสวราวกับนางระบำกำลังร่ายรำ
แต่กระนั้นเธเซียสก็ต้องคอยระมัดระวังมิให้เผยโฉมในเวลามิบังควร

“เร่งฝีพายเร็วเข้า ประเดี๋ยวมิทันการณ์” บุรุษจากเอเธนส์ยังคงเป็นฝ่ายออกคำสั่ง ขณะที่เจ้าหญิงแอริแอดเนยังคงประทับบนลำเรือด้วยท่าทีเคร่งขรึม เธเซียสจึงเริ่มสำรวจรอบกาย พบว่าสถานการณ์นอกชายฝั่งดูเงียบสงบ ราวกับมิมีผู้สอดแนมมากล้ำกราย
แต่ทว่าบรรยากาศรอบอาณาบริเวณของจักรวรรดิครีตัน กลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของอสนีบาตและสายลมกรรโชกแรง ส่งผลให้คลื่นลมสร้างความยากลำบากให้กับเธเซียส
ดังนั้นการเดินเรือในเพลานี้ จึงเป็นการกระทำที่ค่อนข้างอันตราย

เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวสร้างสถานการณ์แห่งความวุ่นวาย ส่งผลให้เรือลำน้อยโคลงเคลงไปตามเกลียวคลื่น สร้างความหงุดหงิดให้แก่บุรุษจากเอเธนส์เป็นอย่างมาก เขาจึงถีบเธเซียสตกทะเลอย่างมิปรานี
จากนั้นก็ทำหน้าที่ ‘คนเรือ’ ด้วยความเงอะงะ

“เธซีอุส เจ้ากำลังทำเสียเรื่อง” ดำรัสอันเรียบนิ่งจากเจ้าหญิงแอริแอดเนทำให้สถานการณ์อันวุ่นวายจบสิ้นลง
“ขึ้นมา!” บุรุษจากเอเธนส์ชักสีหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยอมยื่นมือให้เธเซียสใช้เป็นหลักยึด บ่งบอกได้ว่าหน้าที่ฝีพายยังคงเป็นของเธเซียส

และแล้วเรือลำน้อยก็ลอยล่องเข้าสู่เส้นทางเรียบเขตพระราชวังฐาน ความใหญ่โตโออ่าของตัวพระราชวังยังคงสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเธเซียส แต่กระนั้นเขาก็ทราบดีว่าเพลานี้มิใช่ช่วงเวลาแห่งการชื่นชมความงดงามดังกล่าว
บุรุษจากต่างแดนจึงเร่งฝีพายลัดเลาะไปตามแนวพุ่มไม้เพื่อใช้อำพรางตน

“เจ้ารออยู่ที่นี่ ห้ามเดินเพ่นพ่านเป็นอันขาด” บุรุษจากเอเธนส์เอ่ยกำชับเมื่อลำเรือจอดเทียบท่าตรงบริเวณด้านหลังของห้องใต้ดิน เธเซียสจึงพยักหน้ารับราวกับอยู่ในโอวาท เพียงแต่คล้อยหลังของทั้งคู่ เธเซียสกลับมิรอช้าที่จะสะกดรอยตาม พร้อมกระชับอาวุธอย่างแน่นหนา ขณะที่ในใจกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้
เพราะสตรีตรงหน้ามิใช่บุคคลธรรมดาที่จะเชือดคอโดยมิต้องคำนึงผลเสีย

แต่ครั้นจะปล่อยไปก็ทำใจมิได้..
เนื่องจากผู้ที่สามารถเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าชายมิโนส ควรมีเพียงเธเซียสที่ได้รับสิทธิ์นั้น

“เร็วเข้าแอสเตเรียนคงกลับมาแล้ว” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสด้วยสุรเสียงแห่งความเคร่งเครียด เพราะเมื่อครู่เธเซียสมัวแต่ใช้ความคิด จึงทำให้ฝ่ามือเผลอสัมผัสด้ายแดงที่พระนางยึดเกี่ยวกับทางออกด้านหลัง ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างทั้งคู่เริ่มยาวไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับความมืดอันเป็นอุปสรรคต่อการก้าวเดิน มิหนำซ้ำเส้นทางยังลึกลับซ้ำซ้อนเสียจนเธเซียสแทบจะตีอกชกตนเอง
“กว่าจะถึงคุกใต้ดิน อีกนานหรือไม่ ?” บุรุษจากเอเธนส์ทูลถามโดยมิสนใจถ้อยคำของตนว่าเป็นการมิบังควรหรือไม่ เพราะสถานการณ์ในเพลานี้เริ่มตึงเครียดทุกขณะ
เนื่องจากทั้งสองเข้าใจว่า ‘มิโนทอร์’ กำลังปรากฏกาย

“มินาน เร่งฝีเท้าเถิด” สิ้นบทสนทนาของทั้งสอง เธเซียสจึงอาศัยการดมกลิ่นเป็นใบเบิกทาง เนื่องจากคุกใต้ดินต้องมีการใช้ ‘คบไฟ’ เพื่อให้แสงสว่าง ดังนั้นกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงจึงลอยอบอวนอยู่รอบ ๆ เส้นทางที่มุ่งสู่เป้าหมายของบุคคลตรงหน้า
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้เธเซียสย้อนคิดไปถึง ‘ศพ’ อันน่าสยดสยองของหญิงนางหนึ่ง เพราะดูเหมือนว่าคุกใต้ดินจะเชื่อมกับเขาวงกตแห่งการซ่อนตัว ดังนั้นสาเหตุการตายของศพดังกล่าว อาจเกิดจากการลงโทษเพราะการหลบหนี ส่วนเหตุผลที่ต้องทำให้เหมือนการถูกสัตว์ร้ายฉีกกระชากผิวเนื้อ
เป็นไปได้ว่าจะมีขึ้นเพื่อข่มขวัญเชลยศึกรายอื่น มิให้กระทำการอาจหาญ

กระทั่งเดินมาจนถึงกรงขังอันว่างเปล่า บุรุษจากเอเธนส์ก็ทรุดตัวลงสู่พื้นเบื้องล่าง สองมือกำแน่นด้วยความเคียดแค้น ราวกับว่าหนึ่งในเชลยศึกคือบุคคลสำคัญ

“ธาเลีย..” เธเซียสมิได้สนใจเสียงร้องคร่ำครวญของบุรุษจากเอเธนส์แต่อย่างใด เนื่องจากความรู้สึกผิดที่เก็บกดไว้กำลังถาโถมอย่างท่วมท้น เพราะถ้าหากเธเซียสคาดเดามิผิด
เจ้าของนามดังกล่าว..
คงจะเป็นพี่สาวผู้แสนใจดี

“เธซีอุส เราเองก็เสียใจ แต่นางตายไปแล้ว คร่ำครวญไปก็มิมีประโยชน์” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสด้วยสุรเสียงเย็นยะเยือก คล้ายกับพระนางมิพอพระทัยท่าทีอาลัยอาวรณ์ของคนรักที่มีให้กับหญิงนางอื่น เธเซียสจึงมองเห็นอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างเด่นชัด เพราะดูเหมือนว่าบุรุษจากเอเธนส์เข้าหาเจ้าหญิงแอริแอดเน เพื่อช่วยเหลือเชลยศึกคนสำคัญ และก็เพื่อล้วงความลับของจักรวรรดิครีตัน
ซึ่งเธเซียสมิรู้ว่าเขาได้ข้อมูลไปมากน้อยเพียงใด
แต่แน่ ๆ เธเซียสมองมิเห็น ‘ความรัก’ ที่บุรุษผู้นี้มอบให้กับเจ้าหญิงแอริแอดเนแต่อย่างใด

φ

มาต่อแล้วจ้า ตอนนี้เหมือนเป็นงานหินสำหรับเราจริงๆ ค่ะ เขียนๆ ลบ ๆ จนทำให้งานไม่ค่อยคืบหน้า แถมยังติดละครด้วย 555 เราคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายตลบว่าการตัดสินใจของเธเซียสในเรื่องต่าง ๆ มันผิดต่อเซอร์ซีมั้ย มันขัดต่ออะไรหรือเปล่า แถมช่วงหลังมันเกี่ยวกับปมเรื่องศพ เรื่องครอบครัวเจ้าชายมิโนส แล้วไหนจะเรื่องความรักของเจ้าหญิงแอริแอดเนอีก มันเลยทำให้เราต้องรื้อแก้ใหม่ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขียนจบไปแล้ว แต่เรารู้สึกว่ามันยังออกมาไม่ตรงใจ ก็เลยตัดสินใจเขียนใหม่ดีกว่าเลยทำให้ลงไม่ทันเมื่อวาน สำหรับปมเจ้าหญิงกับเธซีอุส ถ้าใครตามไปอ่านตำนานมิโนทอร์อาจจะพอเดาได้ว่าเรื่องจะเดินมาแนวนี้ ตอนหน้ามาฟังเหตุผลของเจ้าหญิงกันค่ะว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนี้ สปอยด์ว่าเกี่ยวกับปมเชลยศึก (จากนั้นปมก็ใกล้จะหมดแล้วจ้า เหลือเคลียร์เรื่องปมน้องเธเซียส) คาดว่าไม่น่าจะเกิน 40 ตอนคงจบค่ะ แต่ถ้าจบไม่ลงตัวที่ 40 ก็ไม่น่าจะเกิน 50 นะ เพราะมันใกล้โค้งสุดท้ายทุกที ๆ แล้ว อยู่ที่ว่าแต่ละเหตุการณ์เวลาเขียนจริงเราจะซอยตอนออกไปแค่ไหน T^T
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 29 φ หน้า 2 (update 14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 14-06-2019 11:01:17
ตอน 29

ความเงียบงันและความมืดมิดภายในห้องใต้ดินสุดวกวน มิต่างกับเส้นทางมุ่งตรงสู่เขตยมโลก บัดนี้บุรุษจากเอเธนส์อย่าง ‘เธซีอุส’ จึงชักดาบด้ามยาวออกจากบั้นเอว ราวกับเขาพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกแห่งหลังความตาย เพื่อออกตามหาดวงวิญญาณของ ‘นางธาเลีย’ ที่อาจระหกระเหินอยู่ตามริมแม่น้ำแอคเครอน  หรือไม่ก็คงจะกำลังเร่ร่อนอยู่ตรงริมแม่น้ำไคไซตัส
เหตุเพราะ ‘ศพ’ ของนาง มิได้รับการประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้อง จึงมิอาจว่าจ้าง ‘พลเรือ’ อย่าง ‘เครอน’ ให้นำดวงวิญญาณข้ามผ่านแม่น้ำแห่งความโศกเศร้า
เพื่อเข้าเฝ้าองค์เทพเฮดีส แห่งนรกภูมิ

“เธซีอุส เราจะคอยเจ้าอยู่ตรงปากทางเข้า หากเกิดเหตุร้ายอันใด ขอเพียงเจ้ากระตุกด้ายแดงเส้นนี้” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางประคองฝ่ามือของคนรักด้วยความทะนุถนอม พร้อมยัดด้ายแดงใส่มือซ้ายของบุรุษผู้แสนองอาจ จากนั้นพระนางก็เสด็จไปยังทิศทางเดิม โดยมิหวั่นกลัวสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวแม้แต่น้อย ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างความเคลือบแคลงใจให้กับเธเซียส
เพราะการช่วยเหลือบุรุษจากเอเธนส์
มิต่างกับการ ‘ลอบสังหาร’ พระเชษฐา และมิต่างกับการ ‘ก่อกบฏ’

ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เธเซียสรู้สึกว่า ‘ความรัก’ ของพระนางช่างยิ่งใหญ่และมั่นคง อีกทั้งยังเด็ดเดี่ยวมิต่างกับเจ้าชายมิโนส ผิดกับเธเซียสที่ถึงแม้จะ ‘รัก’ บุรุษในดวงใจมากเพียงใด แต่ก็มิอาจตัดใจมองข้าม ‘ความรัก’ ในอีกรูปแบบหนึ่งได้
เพราะสำหรับเธเซียส ‘ความรัก’ ในแต่ละบทบาทมิอาจทดแทนกัน
ดังนั้นเธเซียสจึงละล้าลังมิเลิกรา

กระทั่งบุรุษจากเอเธนส์เคลื่อนผ่านช่วงตัวของเธเซียสที่กำลังแอบซ่อนอยู่ตรงมุมหนึ่ง มิไกลจากคุกใต้ดินมากนัก ส่งผลให้สติที่กำลังล่องลอยเริ่มหวนคืนกลับมา บุรุษจากไมซีเนียนจึงลอบกลั้นหายใจเพื่อลดเสียงอันมิพึงประสงค์ แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมิทันการณ์ เนื่องจากบัดนี้คมดาบกำลังพุ่งเป้ามายังเธเซียส คล้ายกับเธซีอุสจับตำแหน่งของเขาได้จาก ‘ลมหายใจ’
ซึ่งเธเซียสก็มิแปลกใจนัก เพราะห้องใต้ดินค่อนข้างเงียบสงัด ดังนั้นการหายใจเพียงแผ่วจึงมิอาจเก็บซ่อน บุรุษจากต่างแดนจึงเข้าห้ำหั่นกันในความมืด
แต่ก็มิอาจรู้แพ้ชนะ
เหตุเพราะบรรยากาศรอบกายล้วนเป็นอุปสรรค   

แต่สำหรับเธเซียสมิได้มีเพียงอุปสรรคเดียว เพราะเขายังต้องแบกร่างกายอันหนักอึ้งจากพิษไข้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากการที่แผลโดนน้ำและยังตากลมทะเลเป็นเวลานาน บวกกับเครื่องนุ่งห่มอันเปียกชื้น จึงทำให้สภาพร่างกายของบุรุษที่เพิ่งจะข้ามผ่านความตายมิอาจทานทน
ระดับการหายใจที่ควรจะควบคุมได้ จึงกลับกลายเป็นจุดอ่อน อีกทั้งเจ้าหญิงแอริแอดเนยังแสร้งทำราวกับลมหายใจของเธเซียส คือลมหายใจของมิโนทอร์ ซึ่งจากความเข้าใจเดิมคาดว่า ‘มิโนทอร์’ คงมิมีทางทำร้ายบุคคลสำคัญ จึงมิแปลกที่เจ้าหญิงแอริแอดเนจะเสด็จผ่านเธเซียสราวกับเป็นเพียงสิ่งที่มองมิเห็น

“หึ ข้าทาสผู้รับใช้ปีศาจ ช่างน่าขันนัก” ทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามอาศัยความมืดเข้าไปคว้าคบไฟตรงบริเวณคุกใต้ดิน คำพูดเย้ยหยันก็ดังขึ้นพร้อมแสงสว่างสีเหลืองนวล จากนั้นแววตาแห่งความเคียดแค้นชิงชังก็พุ่งเป้ามายังเธเซียส
“อย่างนั้นหรือ..” บุรุษจากไมซีเนียนกล่าวพลางเยื้องย่างเข้าหาบุรุษจากเอเธนส์ด้วยความเยือกเย็น

“แล้วบรรพบุรุษของเจ้าเล่า น่าขบขันหรือไม่ ?” เธเซียสย้อนถามพลางแสยะยิ้มด้วยความสะใจ เพราะจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากความแพ้มิเป็นของนครรัฐเอเธนส์
และดูเหมือนว่าคำพูดดังกล่าวจะทำให้อีกฝ่ายมิสบอารมณ์

“แต่สำหรับข้าคงมิมีสิ่งใดน่าขันไปกว่าการเกาะชายผ้าของสตรี” บุรุษจากไมซีเนียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า พลางปรายตามองบุรุษอีกผู้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พร้อมก้มหยิบด้ายแดงขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็ใช้คมมีดคล้องเกี่ยวด้ายเส้นดังกล่าวจนขาดสะบั้น
ฉับพลันสถานการณ์จึงเริ่มตะลุมบอน ส่งผลให้เสียงคมดาบจากสำริดดังก้องไปทั่วห้องใต้ดิน แต่กระนั้นการต่อสู้ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะมือหนึ่งของบุรุษจากเอเธนส์จำต้องถือคบไฟเพื่อให้แสงสว่าง ขณะที่ฝ่ายเธเซียสมิอาจขยับฝ่ามือข้างที่บาดเจ็บอย่างแสนสาหัสได้
จึงทำให้การรับมือเป็นไปด้วยความยากลำบาก

แต่เธเซียสก็มิได้ย่อท้อต่อการใช้เล่ห์เหลี่ยม เขาจึงรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีฟาดฟันคมดาบเหนือบริเวณคบไฟ เพื่อให้แรงลมปัดเป่าเชื้อเพลิงให้ดับสิ้น จากนั้นจึงอาศัยความมืดมิดฟาดฟันร่างของบุรุษจากเอเธนส์จนเป็นแผลลึก ส่งผลให้อีกฝ่ายร้องระงมด้วยความเจ็บปวด แต่กระนั้นเสียงร้องอันแสนทรมานก็มิอาจส่งตรงไปถึงเจ้าหญิงแอริแอดเนที่ทรงยืนอยู่ตรงปากทางเข้า
จากนั้นก็ราวกับสงครามขนาดย่อมก่อเกิดขึ้น

เสียงคมดาบกวัดแกว่งจึงเริ่มโหมกระหน่ำ เหตุเพราะการอยู่ในที่แจ้งมากเท่าใดก็ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น บุรุษทั้งสองจึงห้ำหั่นกันอย่างมิมีใครยอมใคร ซึ่งฝ่ายเธซีอุสก็ดูเป็นคนช่างสังเกต จึงอาศัยทีเผลอฝากรอยแผลไว้ที่บริเวณข้อมือของบุรุษจากไมซีเนียน
ส่งผลให้เธเซียสเริ่มเสียเปรียบ เพราะดาบที่นำมาจากลำเรือถูกตวัดทิ้งอย่างมิไยดี บุรุษจากไมซีเนียนจึงมองรอบกายอย่างใช้ความคิด และคำนวณความน่าจะเป็นว่า ‘ทางรอด’ ที่กำลังมองเห็นจะต้องใช้เพลาสักเท่าใด
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธเซียสก็มิรอช้าที่จะวิ่งเข้าสู่เส้นทางแห่งความมืด
เพราะการอยู่ในที่แจ้งโดยมิมี ‘มีดดาบ’ คงมิใช่เรื่องดี

บัดนี้เธเซียสจึงวิ่งอย่างมิรู้ทิศรู้ทางโดยใช้ฝ่ามือละกำแพงเป็นการนำทาง แต่กระนั้นก็มิอาจแม่นยำจึงส่งผลให้ลาดไหล่ของเธเซียสกระแทกกับขอบกำแพงเมื่อต้องการสับเปลี่ยนเส้นทาง ซึ่งเป้าหมายของบุรุษจากไมซีเนียนคือห้องเก็บน้ำผึ้ง
เหตุเพราะเครื่องปั้นดินเผา
สามารถใช้แทนอาวุธได้มิยาก แต่ที่ยากคงเป็นเพราะเธเซียสจดจำทิศทางมิได้

“เธซีอุส เจ้าอยู่ที่ใด ?” สุรเสียงหวานหูดังก้องอยู่ในเขาวงกตตามมาด้วยแสงสว่างสีเหลืองนวลจากคบไฟ ส่งผลให้เธเซียสเริ่มร้อนรนและค่อนข้างหัวเสีย เพราะเจ้าหญิงแอริแอดเนกำลังจะทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก
“ข้าอยู่ทางนี้” หลังจากเธซีอุสละล้าละลังว่าจะก้าวเดินไปยังทิศทางใด แสงสว่างจากคบไฟของเจ้าหญิงแห่งครีตันก็ส่องสว่างพอให้เห็นแผ่นหลังของคู่ต่อสู้อยู่รำไร บุรุษจากเอเธนส์จึงวิ่งไล่กวดอย่างหึกเฮิม
พร้อมเอ่ยวาจาบอกทิศทางด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

ฝ่ายเธเซียสที่กำลังเลี้ยวโค้งไปยังด้านซ้าย กลับมีอันต้องล้มก้นจ้ำเบ้า เมื่อปะทะกับอะไรสักอย่างด้วยความรุนแรง แต่กระนั้นก็มิได้น่าตกใจเท่าคมขวานลาบริสที่ลอยโฉบเหนือศีรษะไปยังด้านหลัง เธเซียสจึงหันมองไปยังทิศทางดังกล่าว พบว่าคมขวานสองหัวชำแหละร่างของบุรุษจากเอเธนส์จนขาดเป็นสองท่อน จากนั้นเสียงกรีดร้องของเจ้าหญิงแอริแอดเนก็ดังตามมา
ขณะที่ ‘คบไฟ’ กลับร่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง และลุกโชนภายในเสี้ยววินาที

“เธซีอุส” หญิงงามแห่งครีตันร้องเรียกบุรุษในดวงใจด้วยสุรเสียงสั่นเทา พลางรวบกอดร่างไร้วิญญาณราวกับพระนางประสงค์ให้รูปร่างอันปริแยกสมานกันดังเดิม แต่กระนั้นเรื่องเหนือธรรมชาติก็มิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
“แอริแอดเน” สุรเสียงสั่นเครือจากบุรุษเบื้องหลัง ส่งผลให้ความสนใจทั้งหมดของเธเซียสพุ่งเป้าไปยังเจ้าชายมิโนส ที่มิใช่ ‘แอสเตเรียน’ อีกต่อไป

“เหตุใด..” มหาบุรุษแห่งครีตันในสภาพมิสง่างามดังเช่นที่ผ่านมา ตรัสถามพระขนิษฐาด้วยความสะเทือนพระทัย เพราะเหตุการณ์เบื้องหน้ามิจำเป็นต้องเท้าความก็เข้าใจ
“เจ้าถึงรังเกียจพี่” สิ้นดำรัสอันน่าสงสาร พระอังสาของบุรุษผู้แสนองอาจก็สั่นเทาอย่างที่เธเซียสมิเคยเห็นมาก่อน

“เพราะพี่คือแอสเตเรียนอย่างนั้นหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามปนสะอื้น จนทำให้เธเซียสรู้สึกว่าเพลานี้พระองค์ดูเหมือนผู้เยาว์ที่ต้องการความรักจากครอบครัว
เพียงแต่ ‘ความรัก’ นั้น ต่อให้อยู่ตรงหน้า แต่ก็มิอาจไขว่คว้า
ฝ่ายเจ้าหญิงแอริแอดเนกลับส่ายพระพักตร์พลางกันแสงด้วยความเงียบเชียบ

“เช่นนั้นเพราะเหตุใด น้องจึงผันตัวไปเป็นไส้ศึก” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางเยื้องย่างไปยังหญิงงามตรงหน้า
“เพราะที่จักรวรรดิครีตันมิมีผู้ใดรักน้อง” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางสะบัดพระหัตถ์เพื่อหลีกหนีสัมผัสจากพระเชษฐาด้วยความรุนแรง ฝ่ายเจ้าชายมิโนสกลับทำได้เพียงส่ายพระพักตร์เป็นการปฏิเสธ

“เสด็จแม่เอาแต่ขลุกตัวอยู่บนยอดเขาดิคที เพื่อบำเพ็ญภาวนาให้ท่านพี่แอนโดรเจียส มิเคยใส่ใจน้อง” เจ้าหญิงผู้เลอโฉมตรัสด้วยสุรเสียงเจ็บปวด ขณะที่อัสสุชนกลับไหลรินอาบดวงพักตร์
“ศพแล้วศพเล่าก็มิอาจทำให้เสด็จแม่เข้าใจว่าท่านพี่แอนโดรเจียสมิมีวันฟื้นคืน” สิ้นคำกล่าวของเจ้าหญิงแอริแอดเน เธเซียสก็เข้าใจได้ทันทีว่า ‘เครื่องสักการะ’ เนื้อมนุษย์ มีขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการออกตามหาดวงวิญญาณที่กำลังเร่ร่อนอยู่ตามริมแม่น้ำแห่งความโศกเศร้า เพราะเจ้าชายแอนโดรเจียสถูกลอบสังหารโดยมิได้ทำพิธีกรรม ดวงวิญญาณจึงมิอาจว่าจ้างพลเรือเพื่อไปเข้าเฝ้าองค์เทพเฮดีสแห่งนรกภูมิ

พระราชินีแห่งครีตันจึงวาดหวังว่าการบำเพ็ญเพียรด้วยการบูชายัญ ‘เนื้อมนุษย์’ จะทำให้กับองค์เทพสักองค์ช่วยนำส่งดวงวิญญาณของผู้ที่ถูกบูชายัญออกตามหาเจ้าชายแอนโดรเจียส
และนำพาพระองค์ข้ามผ่านประตูทางเข้าโลกแห่งหลังความตาย

“โธ่.. แอริ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มสรวลเพียงเล็กน้อยพร้อมเอื้อมหัตถ์ออกไป เพื่อหวังจะซับอัสสุชนให้กับพระขนิษฐา แต่ทว่าดำรัสดังกล่าวยังมิอาจจบประโยค พระหัตถ์ของพระองค์ก็ถูกเจ้าหญิงผู้เลอโฉมปัดป้องราวกับรังเกียจเดียดฉันท์
“ท่านพี่เองก็เช่นกัน โหยหาแต่ท่านพี่แอนโดรเจียส!” สุรเสียงเกรี้ยวกราดดังกึกก้องไปทั่วเขาวงกต ส่งผลให้เธเซียสเผลอสะดุ้งจนสุดตัว ซึ่งเขาก็เข้าใจความโกรธเกรี้ยวดังกล่าวดี เพราะเจ้าชายมิโนสแทบมิเคยเอ่ยถึงเจ้าหญิงผู้นี้
มิหนำซ้ำช่วงแรก ๆ พระองค์ยังตรัสราวกับเธเซียส คือภาพซ้อนทับของพระอนุชาในความทรงจำ

“เหตุใดจึงทำราวกับน้องมิมีตัวตนเพคะ ?” สิ้นดำรัสถามจากเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ภายในห้องใต้ดินกลับได้ยินเพียงเสียงลมหายใจและเสียงสะอื้นของพระนาง ขณะที่พระอังสาอันองอาจกลับสั่นไหวอย่างอ่อนแอ
“…”

“ตอบมิได้” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางสรวลทั้งน้ำตา
“พี่.. มิได้ทำเช่นนั้น” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงจริงจัง แต่ทว่ากลับมิมีคำอธิบายอันใดเพิ่มเติม

“เหมือนเสด็จแม่มิมีผิด! ตนเองกระทำเช่นนั้น แต่มิเคยยอมรับ!”
“…”

“ชีวิตนี้มิมีผู้ใดจริงใจกับน้องมากเท่าเธซีอุสอีกแล้ว” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางส่ายพระพักตร์ราวกับต้องการตอกย้ำความจริงให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเจ็บปวดของการมิมีตัวตนในสายตาของบุคคลสำคัญ จนกระทั่งวันหนึ่งแสงสว่างอย่าง ‘เธซีอุส’ ก้าวเข้ามาในชีวิต ความรัก ความอบอุ่น ทำให้พระนางคิดหักหลังครีตัน เพื่อที่จะได้หลบลี้จากสถานที่แห่งความเจ็บปวด
ทว่า ‘บุรุษจากเอเธนส์’ กลับมิจริงใจ

“แอริแอดเน.. พี่ยอมรับว่าพี่เป็นพี่ชายที่ยังมิดีพอสำหรับน้อง แต่พี่มั่นใจว่าพี่มิเคยไม่เห็นน้องในสายตา” เจ้าชายมิโนสตรัสขึ้นมาอีกครา เมื่อภายในห้องใต้ดินเริ่มถูกครอบงำด้วยความเงียบสงัด
“พี่เองก็โดดเดี่ยวมิต่างจากน้อง จึงมิรู้ว่าความรักเป็นอย่างไร และควรต้องแสดงความรัก..”  เจ้าชายมิโนสตรัสยังมิทันจบประโยค เจ้าหญิงแอริแอดเนก็ส่ายพระพักตร์ราวกับมิเห็นด้วย

“ท่านพี่มิเคยโดดเดี่ยว เพราะเสด็จแม่มิเคยทำเช่นนั้น” ดำรัสของเจ้าหญิงผู้เลอโฉมสร้างความสงสัยให้กับเจ้าชายมิโนสและเธเซียสมิใช่น้อย เพราะที่ผ่านมาสมาชิกแห่งราชวงศ์แทบจะมิเคยเหยียบย่างมายังพระราชวังคนอสซุส และมิเคยให้ความสนิทชิดเชื้อแก่มหาบุรุษแห่งครีตันแต่อย่างใด
“ท่านพี่มิมีวันเข้าใจจิตใจของน้องได้”

“เรื่องของเสด็จแม่ น้องหมายความว่าอย่างไร ?” สุรเสียงสั่นเครือของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกให้เธเซียสรับรู้ว่าพระหทัยของพระองค์กำลังเต็มตื้นไปด้วยความหวัง ฝ่ายเธเซียสที่กำลังยืนเป็นตัวประกอบจึงอดมิได้ที่จะคลี่ยิ้ม เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกดังกล่าวดี
เมื่อความปรารถนาของบุรุษผู้นี้ แทบมิต่างจากความปรารถนาของตน

“นอกจากเสด็จแม่จะทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อท่านพี่แอนโดรเจียส เสด็จแม่ยังทรงบูชายัญวัวสีขาวเพื่อลบล้างคำสาปให้ท่านพี่ แม้จะมิสำเร็จแต่เสด็จแม่ก็มิเคยย่อท้อ จนลืมเลือนว่าน้องก็ต้องการความรักความเอาใจใส่จากเสด็จแม่เช่นกัน!”
“ดังนั้นเมื่อมิมีผู้ใดเห็นคุณค่าในตัวน้อง.. น้องก็ควรแสวงหาความสุขให้กับตนเอง แต่ทุกอย่างก็พังลงเพราะท่านพี่!” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสด้วยดวงเนตรอันเลื่อนลอย ก่อนจะแผดสุรเสียงจนดังลั่น พร้อมคว้าดาบด้ามยาวของชายคนรักตวัดใส่พระเชษฐาอย่างมิปรานี
แต่ทว่าบุรุษที่เข้ามารับคมมีด..
กลับกลายเป็นบุรุษจากไมซีเนียน

φ


[1] แม่น้ำแอคเคอรอน (Acheron) คือ แม่น้ำแห่งความวิปโยคหรือความเจ็บปวด
[2] แม่น้ำโคไซตัส (Cocytus) หรือ โคซีตุส (Cocetus) คือ แม่น้ำแห่งความกำสรวล เกิดจากน้ำตาของผู้ที่ถูกทรมานในนรก
[3] เทพเฮดีส หรือ ฮาเดส เป็นเทพเจ้าแห่งนรกของกรีกโบราณ


บทความที่เกี่ยวข้อง

- กรีซ เทพเจ้า และดินแดนปรโลก https://bit.ly/2KLc7Qw
- แม่น้ำโลกแห่งหลังความตาย https://bit.ly/31yEWFW


สำหรับตอนนี้ก็เปิดปมอีกอย่างหนึ่งของเรื่องออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าทุกคนพอจะเดาออกไหม แต่ที่ผ่านมาก็มีคนเดาเหตุผลของการบูชายัญถูกอยู่นะ 555และใช่ค่ะเหลือแค่ปมของน้องเธเซียสเท่านั้น ทุกอย่างก็จะคลี่คลายแล้ว สำหรับเราเจ้าหญิงแอริแอดเนก็น่าสงสารอยู่ เพราะนางก็ตกอยู่ในสถานะไม่ต่างกับเจ้าชายมิโนส พอมีเธซีอุสเข้ามาโลกที่เคยมืดมนก็สว่างสดใสไม่ต่างกับเจ้าชายมิโนส เพียงแต่ท้ายที่สุดคนรักของนางก็ไม่เคยรักนาง แต่อย่างน้อยก็ตายไปพร้อมกับความสวยงามในใจของเจ้าหญิง เพราะถ้าเกิดเขาไม่ตายขึ้นมา เจ้าหญิงคงเจ็บปวดกว่านี้

ปล. ไม่รู้ว่าพาร์ทนี้เขียนออกมาเป็นยังไงบ้าง เป็นกังวลนิดหน่อย และใช่ค่ะเรื่องนี้บู๊หนักมาก เราไม่เคยเขียนแนวนี้มาก่อน แต่พอได้เขียนก็สนุกดี ติดใจความบู๊ 555
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 30 φ หน้า 2 (update 19/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 19-06-2019 14:16:52
ตอน 30

เบื้องหลังอันรางเลือนของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังทรงยืนอยู่ตรงระเบียงด้านนอก พร้อมจิบน้ำจัณฑ์เป็นระยะ โดยโถคาร์เตอร์ยังคงวางตั้งอยู่มิห่างวรกาย บ่งบอกได้ว่าเจ้าชายมิโนสทรงดื่มเหล้าองุ่นที่คงจะผสมในระดับหนึ่งต่อสาม เนื่องจากดวงเนตรของพระองค์กำลังทอดยาวไปยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่มองเห็นรูปร่างของเกาะแห่งไฟเพียงเล็กน้อย เพราะการผสมในสัดส่วนดังกล่าวสามารถบ่งบอกได้ว่า พระองค์มิได้ต้องการดื่มเพื่อความเกษมสำราญอย่างเต็มที่ แต่พระองค์เพียงแค่ต้องการดื่มในระหว่างที่กำลังใช้ความคิด
ซึ่งเธเซียสมิอาจรับรู้ได้ว่าพระองค์กำลังครุ่นคิดสิ่งใด
เพราะหลังจากที่พุ่งตัวเข้าไปรับคมมีดก็สลบไสลมิได้สติ

“เจ้าหลับไปสองวันเต็ม เราเป็นห่วงแทบแย่” ทันทีที่บุรุษผู้สูงศักดิ์หันมาเห็นว่าเธเซียสกำลังนอนมองไปยังพระองค์ด้วยความเงียบเชียบ สุรเสียงแฝงความโล่งพระทัยก็ปรากฏ น้ำจัณฑ์รสชาติดีจึงถูกวางทิ้งไว้ข้าง ๆ คาร์เตอร์ ขณะที่วรกายสง่ากำลังเยื้องย่างมายังตั่งนุ่มภายในห้องบรรทม
“ช่วงที่กระหม่อมหลับไป เกิดเรื่องอันใดบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความสงสัย และอีกนัยหนึ่งก็เพราะความเป็นห่วง เนื่องจากดวงพักตร์ของพระองค์ค่อนข้างซีดเซียว
คล้ายกับเรื่องราวสุดเคร่งเครียดกำลังรุมเร้า

“เสด็จแม่ทรงทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แอริแอดเนจึงถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน วันพรุ่งจะถูกเนรเทศออกจากครีตัน” สุรเสียงแฝงความมิสบายพระทัยดังก้องไปทั่วบริเวณ บ่งบอกได้ว่าสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมิอาจทำให้ความเกลียดชังก่อเกิดในจิตใจ
เธเซียสจึงอดสงสัยมิได้ว่า..
พระหทัยของบุรุษผู้นี้แข็งแกร่งดังหินผาจริงหรือไม่

“พระองค์มิทรงกริ้วพระขนิษฐาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความใส่ใจ ขณะทอดมองไปยังบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังประทับบนตั่งพร้อมแย้มสรวลเพียงบางๆ
“คงเพราะเราเข้าใจความรู้สึกของแอริแอดเนกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางส่ายพระพักตร์ เธเซียสจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความเข้าใจ เนื่องจากสถานการณ์ของสองพี่น้อง ล้วนเกิดจากการต้องการความรักจากเสด็จแม่
ดังนั้นความเข้าอกเข้าใจจึงก่อเกิด

“สองวันที่ผ่านมา เราพยายามเจรจากับเสด็จแม่อย่างสุดความสามารถ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางขยับวรกายพิงกำแพงเหนือบริเวณตั่ง จากนั้นพระหัตถ์ของพระองค์ก็ผสานอยู่บนพระอุทร 
“แต่เสด็จแม่กลับให้โอวาทเรามาเรื่องหนึ่ง และมันก็เป็นเรื่องที่เรามิอาจปฏิเสธ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางทอดพระเนตรไปยังภาพวาดเฟรสโกลวดลายสัตว์ทะเลบริเวณปลายตั่ง

“เพราะเราอยู่เหนือผู้คนนับหมื่น แต่ก็มิอาจกระทำได้ตามอำเภอใจ เราจึงต้องปล่อยให้การเนรเทศก่อเกิดขึ้น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางวางพระหัตถ์ลงบนศีรษะของเธเซียสพร้อมลูบไล้เส้นผมนุ่มลื่นอย่างเชื่องช้า คล้ายกับพระองค์กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งภวังค์ ฝ่ายเธเซียสกลับเงียบซึมอย่างเห็นได้ชัด เพราะดำรัสดังกล่าวค่อนข้างแอบแฝงความเศร้าสร้อย อาจเพราะสถานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายมิต่างกับผู้ปกครองจักรวรรดิครีตัน

ดังนั้นการตัดสินพระทัยจึงมิอาจกระทำได้ตามประสงค์ ซึ่งผลลัพธ์ก็เห็นได้จากการที่เธเซียสถูกลอบสังหารในสถานะ ‘ไส้ศึก’ เพราะต่อให้เจ้าชายมิโนสจะทรงละทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ทว่าเหล่าทหารกลับมิยินยอม
เนื่องจากการละเว้นหนึ่งผู้ อาจตามมาด้วยการละเว้นอีกหนึ่งผู้
บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงต้องยอมให้คำมั่นสัญญาว่าหากเธเซียสสร้างความเดือดร้อนชีวีจะหาไม่

ซึ่งก็มิต่างกับกรณีของเจ้าหญิงแอริแอดเน เพราะการก่อกบฏควรได้รับโทษสถานหนัก จึงหลีกหนีมิพ้น ‘การประหารชีวิต’ แต่กระนั้นพระราชินีก็ยังทรงเมตตา จึงตัดสินโทษเพียงแค่ ‘เนรเทศ’ ออกจากครีตัน
แต่ทว่าการพิจารณาดังกล่าว นับว่าเสี่ยงต่อการพิพาทในภายภาคหน้า
เท่ากับว่าทุกฝ่ายได้รับผลจากการกระทำในแบบที่ควรจะเป็นจนถ้วนทั่ว

“ว่าแต่เจ้าเถิด เหตุใดจึงเอาตัวเข้ามารับคมมีดแทนเรา มิคิดถึงผลกระทบในภายภาคหน้าหรอกหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางไถลวรกายซุกซบลงบนพระพาหาข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างกำลังลูบไล้ข้างแก้มด้านขวาของเธเซียส โดยที่พระโอษฐ์กลับคลอเคลียมิห่างจากแก้มนิ่มด้านซ้าย
“มิได้คิดเลยพ่ะย่ะค่ะ” สุ้มเสียงเลื่อนลอยของบุรุษจากไมซีเนียนค่อนข้างแผ่วเบา แต่ทว่ากลับสร้างรอยยิ้มแรกของวันให้กับผู้อื่น
เพราะคำตอบดังกล่าวสามารถตีความได้ว่า..
หัวใจของเธเซียสกำลังเลือกข้าง ขณะที่ความคิดยังคงละล้าลังมิเลิกรา

“เจ้าเริ่มมีใจให้เราเมื่อใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามขณะที่พระอังคุฐยังคงลูบไล้ข้างแก้มของบุรุษอีกผู้ด้วยความแผ่วเบา
“มิทราบพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบพลางขมวดคิ้วมุ่น ราวกับดำรัสถามดังกล่าวคือคำถามลองภูมิ

“เราเองก็เช่นกัน มิเคยรู้เลยว่าเริ่มมีใจให้กับเจ้าตั้งแต่เมื่อใด แต่สิ่งหนึ่งที่เราจดจำได้อย่างชัดเจน คือสายตาของเรามักจะมองหาแต่เจ้า และเริ่มเห็นเจ้าเด่นชัดในความรู้สึก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางสรวลในลำพระศอ ขณะที่ใบหน้าของเธเซียสกำลังแดงก่ำ
เพียงแต่มิได้เกิดจากพิษไข้

“ในตอนนั้นเราช่างไร้เดียงสา จึงหลงคิดว่าการกระทำเหล่านั้นคือการเฝ้าระวังไส้ศึก” สิ้นดำรัสจากบุรุษในดวงใจ เธเซียสจึงหลุดหัวเราะ ขณะที่ริมฝีปากและดวงตากลับคลี่เป็นรอยยิ้มสดใส ส่วนหัวใจกลับรู้สึกหวั่นไหวกับความเป็นจริงที่เคยได้ยินมาคราหนึ่งแล้ว ว่าบุรุษผู้นี้มิเคยรู้จักการแสดงความรัก และมิเคยรู้จักว่าความรักเป็นอย่างไร
เพียงแต่ครานี้บุรุษผู้นั้นมิได้เอ่ยวาจาดังกล่าวกับพระขนิษฐา
แต่กลับเอ่ยวาจาให้ยอดดวงใจของพระองค์รับรู้

“รีบบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบว่าพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว” เธเซียสพลิกกายหันหน้าเข้าหาดวงพักตร์หวานละมุนของเจ้าชายมิโนส พลางอาจเอื้อมใช้ฝ่ามือลูบไล้พระเกศาของบุรุษตรงหน้าด้วยความเชื่องช้า
ราวกับเขาต้องการจะกล่อมขวัญบุรุษผู้นั้นให้คลายกังวล

“เจ้ามิเหม็นกลิ่นน้ำจัณฑ์หรอกหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามคล้ายกับย้ำเตือนความจำ แต่ทว่าพระองค์เพียงแค่ต้องการทักท้วงให้บุรุษผู้บาดเจ็บล่วงรู้ว่าการโอบกอดพระองค์จนเต็มอ้อมแขนเช่นนี้ อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อบาดแผลของอีกฝ่าย
“กลิ่นสมุนไพรของกระหม่อมรุนแรงกว่ามาก” เธเซียสส่ายหน้าพลางกล่าวปฏิเสธอย่างชัดเจน ร้องเรียกเสียงสรวลของบุรุษอีกผู้ได้มิยาก จากนั้นทุกสรรพสิ่งภายในห้องบรรทมก็พลันเงียบงัน เมื่อบุรุษผู้สูงศักดิ์ได้รับการปลอบขวัญอันแสนอบอุ่น บุรุษจากต่างแดนจึงจุมพิตบริเวณพระนลาฏเพียงแผ่ว
เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าเจ้าชายมิโนสมิได้มีพระหทัยแข็งแกร่งดุจหินผา
เนื่องจากพระองค์สั่งสมความเจ็บปวดจนกลับกลายเป็นตะกอนขุ่นมัวมิต่างกับเธเซียส

รุ่งสางของเช้าวันใหม่คงเป็นวันที่เจ้าชายมิโนสมิประสงค์ให้เดินทางมาถึง แต่กระนั้นวันเวลาก็มิเคยหยุดเคลื่อนไหว บุรุษต่างศักดิ์จึงสวมเครื่องแต่งกายตามแบบฉบับของทหารครีตันจนเต็มยศ เพื่ออารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าหญิงแอริแอดเนในระหว่างที่ต้องเสด็จไปยังท่าเรือนอกเขตพระราชฐาน
เนื่องจาก ‘นักโทษ’ ข้อหากบฏจะต้องถูกแห่รอบเมืองนอสซัส เพื่อป่าวประกาศให้ราษฎร์รู้แจ้ง

“อันที่จริงเจ้ายังมิหายดี มิควรดื้อดึงที่จะร่วมเดินทางไปกับเรา” เจ้าชายมิโนสตรัสแกมดุ ทว่าพระหัตถ์ของพระองค์ยังคงตั้งท่าสวมใส่หมวกนักรบตามแบบฉบับของชาวครีตัน ซึ่งหมวกดังกล่าวทำจากสำริด บดบังทั้งพระกรรณ  สันพระนาสิก  และพระปราง  มีเพียงดวงเนตรเท่านั้นที่ได้รับอิสระ ขณะที่เหนือพระเศียรกลับมีการประดับตกแต่งมิต่างจากนักรบแห่งไมซีเนียน
เสริมสร้างความน่าเกรงขามให้แก่บุรุษผู้สูงศักดิ์อีกมากโข

“กระหม่อมข้ามผ่านความตายมาแล้วคราหนึ่ง บาดแผลเพียงแค่นี้มิอาจส่งผลกระทบอันใดต่อกระหม่อม ขอพระองค์มิต้องทรงหวั่นเกรง” เธเซียสทูลตอบพลางแย้มยิ้มพร้อมสวมหมวกนักรบที่มีรูปร่างมิต่างกับภาพวาดเฟรสโกบนฝาผนังของพระราชวังแห่งเกาะธีรา ซึ่งตัวหมวกจะทำจากเขี้ยวหมูป่า มิได้บดบังใบหน้าดังเช่นเจ้าชายมิโนส เพราะของเธเซียสเป็นเพียงสายคล้องรัดรึงบริเวณปลายคาง
“เช่นนั้นเราก็คร้านจะขวางเจ้าแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางคล้องเกี่ยวศาสตราวุธลงบนพระอังสา ก่อนจะเสด็จออกจากห้องบรรทม เพื่อมุ่งตรงไปยังเส้นทางแห่งราชวงศ์ที่เชื่อมกับเขตที่อยู่อาศัยของราษฎร์ เธเซียสที่บัดนี้คล้องเกี่ยวอาวุธไว้ตรงลาดไหล่จนพรั่งพร้อมแล้ว จึงรีบก้าวเดินตามบุรุษอีกผู้ด้วยความรวดเร็ว ส่งผลให้บาดแผลเริ่มได้รับการกระทบกระเทือน เขาจึงทำได้เพียงกัดริมฝีปากเพื่อระบายความเจ็บปวด
แต่แล้วจังหวะการดำเนินของเจ้าชายมิโนสกลับเชื่องช้า
ราวกับพระองค์จดจำได้ดีว่าร่างกายของเธเซียสยังมิสมประกอบ

กระทั่งขบวนเสด็จเดินทางมาจนถึงที่หมาย จังหวะการดำเนินของเจ้าชายมิโนสก็มีอันต้องสะดุดไป เมื่อภาพตรงหน้าคือภาพของเจ้าหญิงแอริแอดเนในสภาพที่มิได้งดงามดังเช่นที่แล้วมา เนื่องจากฉลองพระองค์และพระวรกายกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของเธเซียสและคราบดินฝุ่นจากในคุกใต้ดิน
ครั้นพระเชษฐาของพระนางเริ่มได้สติ จึงเสด็จไปยังทุ่งดอกลิลลี่ที่กำลังส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วบริเวณ จากนั้นบุรุษผู้สูงศักดิ์จึงประทานบุปผาสีขาวบริสุทธิ์ให้กับเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ที่บัดนี้ถูกเกลียวเชือกมัดไพล่หลัง ก้านบุปผาจึงคล้องเกี่ยวระหว่างเชือกเส้นใหญ่กับฝ่าพระหัตถ์อันเปรอะเปื้อน

“หวังว่าน้องคงจะยังมิลืมเลือน” สิ้นดำรัสนั้น เจ้าชายมิโนสก็ทรงยืนเคียงข้างเธเซียสพลางจับปลายเชือกเส้นเดียวกับที่ใช้พันธนาการอิสระของพระขนิษฐา ฝ่ายเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์จึงทอดพระเนตรมายังเบื้องหลังของพระนาง ราวกับประสงค์จะถามไถ่อะไรบางอย่าง
“เมื่อครู่คือการแสดงความรักของพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเธเซียสสบดวงเนตรของพระนางเพียงครู่จึงเสตาหลบ ขณะที่ริมฝีปากกลับทูลถามอย่างอาจหาญ เพียงแต่เธเซียสมิได้ต้องการคำตอบ
เพราะอันที่จริงเขาเองทราบดีอยู่แล้ว
ว่าการกระทำดังกล่าว ถือเป็นการแสดงความรู้สึกอย่างหนึ่งของเจ้าชายมิโนส

“เป็นเช่นนั้น”

สิ้นดำรัสอันหนักแน่น ขบวน ‘นักโทษ’ จึงเริ่มก้าวเดินออกจากเส้นทางแห่งราชวงศ์ โดยมีทหารครีตันจำนวนสามนายแต่งกายมิต่างกับเธเซียส เพียงแต่พวกเขามีหอกและโล่หนังสัตว์พร้อมดาบด้ามยาวเป็นอาวุธประจำกายเดินนำขบวน
ซึ่งทหารแต่ละนายก็ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตา เพราะทุกผู้ต่างสวมตำแหน่งใหญ่โต
เริ่มจากขุนพลดิดะรัส โครนัส และเคออส

กระทั่งขบวนนักโทษล่วงล้ำเข้ามายังเขตชุมชน เหล่าราษฎร์ต่างมองจ้องไปยังเจ้าหญิงแอริแอดเนที่กำลังถูกคุมตัวด้วยการคล้องเชือกราวกับลากจูงโคด้วยความเงียบเชียบ แต่กระนั้นในสายตาของทุกผู้กลับแฝงแววแห่งความชิงชัง อาจเพราะโทษของพระนางคือการก่อกบฏและยังคิดปลงพระชนม์มหาบุรุษแห่งครีตันอันเป็นที่รักยิ่งของปวงประชา
ส่งผลให้ทันทีที่ขบวนเคลื่อนผ่าน
หัวเรื่องโจษจันจึงหลีกหนีมิพ้นเรื่องของเจ้าหญิงแอริแอดเน

ฝ่ายสตรีผู้เป็นหัวเรื่องคล้ายกับได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างชัดแจ้ง ฝ่าพระหัตถ์ของพระนางจึงกำแน่นราวกับประสงค์จะระบายความทุกข์ใจ ส่งผลให้ก้านบุปผาสีขาวบริสุทธิ์เริ่มปริแยก
จากนั้นดอกลิลลี่จึงร่วงหล่นลงสู่พื้นหิน
ทว่าพระนางกลับมิอาจก้มเก็บได้ตามใจนึก เจ้าชายมิโนสจึงเป็นฝ่ายเก็บให้พระนางด้วยองค์เอง

ครั้นขบวนเคลื่อนมาจนถึงบริเวณท่าเรือ การส่งมอบนักโทษไปยังเกาะแห่งหนึ่งจึงก่อเกิดขึ้น เพลานั้นจึงสบโอกาสเหมาะที่เจ้าชายมิโนสจะประทานบุปผาดอกนั้นคืนให้แก่พระขนิษฐา

“พี่จะหาทางช่วยน้อง ขอเพียงแค่น้องอดทนและเชื่อใจพี่สักครั้ง” สุรเสียงเว้าวอนดังขึ้นเมื่อเจ้าหญิงแอริแอดเนกำลังประทับบนรำเรือ ส่งผลให้พระนางทอดพระเนตรมายังเจ้าชายมิโนส
ทว่าคำตอบกลับมีเพียงเสียงคลื่นลมจากท้องทะเลอันเวิ้งว้าง

“เพคะ” กระทั่งดำรัสอันแสนบางเบาลอยคว้างมาตามสายลม พระโอษฐ์อันเรียบนิ่งจึงค่อย ๆ แย้มสรวลให้แก่กัน เธเซียสจึงพลอยแย้มยิ้มตามไปด้วย
ขณะที่หัวใจกลับหลุดพ้นจากความกังวล
เพียงแต่ร่างกายกลับรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลเพราะการเดินทาง

φ



[1] พระอุทร แปลว่า ท้อง
[2] พระกรรณ แปลว่า หู หรือ ใบหู
[3] สันพระนาสิก แปลว่า สันจมูก
[4] พระปราง แปลว่า แก้ม

อันนี้คือภาพวาดเฟรสโกเกี่ยวกับทหารที่เมืองอโกรตรี หรือเมืองที่อยู่บนเกาะธีราค่ะ (ในภาพดูไม่มีรองเท้าแต่จากข้อมูลอีกแหล่งมันระบุเกี่ยวกับรองเท้าเอาไว้ว่าใช้กำหนดยศของทหารจ้า)
https://i.imgur.com/X5voVlW.jpg

อันนี้คือภาพหมวกที่ทำจากเขี้ยวหมูป่าค่ะ (อันนี้ไม่ใช่หมวกแบบมิโนอันนะคะ เราหาแบบของมิโนอันไม่เจอ)
https://i.imgur.com/1ig6tKL.jpg

อันนี้คือหมวกอีกแบบนึงที่เราเจอมาค่ะ แต่ไม่มีในภาพวาดเฟรสโกนะคะ เราเลยเอามาให้เจ้าชายมิโนสใส่ เพราะหมวกอันนี้ทำจากสำริดค่ะ
https://i.imgur.com/G1ovypc.jpg

สำหรับตอนนี้ยังไม่มีอะไรมากค่ะ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้าชายมิโนสเสียมากกว่า ซึ่งจะเห็นได้ว่าอันที่จริงพระราชินีเองก็รักลูก ๆ ทุกคนนั่นแหละ แต่อาจจะไม่เท่ากัน ซึ่งพระนางเองก็รู้สึกผิดนะถึงได้ตัดสินโทษแค่เนรเทศ ทั้งๆ ที่จริงๆ จะต้องประหาร แต่บางครั้งสถานะที่ดำรงอยู่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ตามใจ

ปล. ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเท่าไหร่เนอะ แต่ก็จะเป็นจุดสำคัญอย่างหนึ่งในตอนต่อๆ ไปค่ะ 555 และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่มีทุกคนเราอาจจะเขียนไม่ถึง 30 ตอนก็เป็นได้
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 31 φ หน้า 2 (update 23/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 23-06-2019 22:56:20
ตอน 31

รุ่งสางของเช้าวันใหม่เธเซียสจำต้องแสร้งหลับสนิท เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงตื่นจากบรรทมเพื่อมาชำระบาดแผลให้กับเขา จากนั้นพระองค์ก็สรงน้ำเพียงครู่ แล้วเสด็จไปยังถนนแห่งราชวงศ์ตามที่ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เมื่อค่ำคืนวาน
เธเซียสจึงลุกขึ้นจากตั่งพร้อมสะกดรอยตามอย่างเงียบเชียบ เหตุเพราะบุรุษผู้สูงศักดิ์มิประสงค์ให้ผู้บาดเจ็บออกไปเดินเพ่นพ่าน เพียงแต่เธเซียสต้องการจะฝ่าฝืน เนื่องจากเขามิค่อยไว้วางใจเจ้าหญิงแอริแอดเนสักเท่าใด เพราะก่อนหน้านั้นพระนางประสงค์จะปลิดชีพพระเชษฐา แต่แล้วการแสดงความรักด้วยบุปผาเพียงดอกเดียวก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
ความรู้สึกในส่วนลึกจึงร้องบอกว่า..
บุรุษจากไมซีเนียนมิควรปล่อยปละละเลยต่อเจ้าชายมิโนสเป็นอันขาด

กระทั่งสวนดอกลิลลี่ปรากฏอยู่ตรงหน้า พื้นที่บริเวณดังกล่าวจึงเต็มไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารทั้งชายและหญิง โดยนางกำนัลดาฟเน่และนางกำนัลนีรูส คือผู้รอรับช่อดอกลิลลี่จำนวนมากส่งให้กับชายผู้ใช้แรงงาน เพื่อนำช่อบุปผาดังกล่าวไปเก็บไว้ยังที่แห่งหนึ่ง
เธเซียสจึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวแฝงตัวเข้าไปอยู่ท่ามกลางทุ่งบุปผา

“เจ้าช่างดื้อด้านเสียจริง” สิ้นสุรเสียงแกมดุบุรุษผู้ซึ่งแอบซ่อนอยู่ตรงทุ่งบุปผาในระยะไกล ก็มีอันต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ เนื่องจากเขามิรู้ตัวเลยว่าเผลอขยับเข้าไปใกล้บุรุษผู้สูงศักดิ์ตั้งแต่เมื่อใด
“พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ว่ากระหม่อมซ่อนตัวอยู่ที่นี่” เธเซียสยิ้มแหยพลางทูลถามด้วยความใคร่รู้

“เราเห็นพุ่มไม้ขยับไหว” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มสรวลโดยมิว่างเว้นต่อการเอื้อมเก็บบุปผาไปให้พระขนิษฐาที่ถูกเนรเทศไปยังเกาะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่นอกอาณาเขตของจักรวรรดิครีตัน
“เจ้าคงมัวแต่ลอบมองเราอยู่กระมัง จึงมิทันระวังตน” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางดำเนินไปยังอีกมุมหนึ่งของสวนบุปผา
ทอดทิ้งไว้เพียงเธเซียสที่กำลังยืนหน้าร้อนเห่อเมื่อถูกจับได้

“พระองค์จะมิให้ราชองครักษ์ติดตามไปด้วยจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสก้าวเข้าหาอีกฝ่ายพลางทูลถามเรื่องสำคัญ เพราะการตัดสินพระทัยดังกล่าวเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เธเซียสจำต้องดื้อดึง
“เราต้องการเวลาส่วนตัว” เจ้าชายมิโนสปฏิเสธพลางส่ายพระพักตร์

“เพียงแต่เหตุผลที่เรามิอยากให้เจ้าติดตามไปด้วยเป็นเพราะเจ้ายังมิหายดี เกรงว่าบาดแผลของเจ้าจะได้รับความกระทบกระเทือน” เจ้าชายมิโนสอธิบายเหตุผลพลางเสด็จออกจากเส้นทางแห่งราชวงศ์พร้อมลัดเลาะไปตามตัวอาคารที่เชื่อมกับเส้นทางอันมีเสาสีแดงต้นใหญ่ขนาบข้าง โดยสุดปลายทางมีเรือลำเล็กจอดเทียบท่าอยู่ลำหนึ่ง ขณะที่รอบบริเวณกลับเต็มไปด้วยกองทัพบุปผาสีขาวสะอาด เนื่องจากเหล่าข้าราชบริพารกำลังรำเรียงลงสู่เรือพระที่นั่ง
“แต่กระหม่อม..” บุรุษผู้บาดเจ็บยังคงคิดโต้แย้ง แต่กระนั้นก็มิอาจพูดอันใดอีก เนื่องจากความอบอุ่นที่วางแหมะอยู่บนศีรษะ บวกกับการแย้มสรวลของบุรุษตรงหน้า
กำลังทำให้เธเซียสรู้สึกว่า..
ความอบอุ่นของพระองค์ มิต่างจากแสงสุริยะในยามเช้า

กระทั่งเรือขนาดเล็กที่มีการประดับตกแต่งด้วยภาพวาดของนกทะเลพรั่งพร้อมต่อการออกเดินทาง เจ้าชายมิโนสก็ทรงเรือในตำแหน่งฝีพาย โดยมีบุปผาสีขาวบริสุทธิ์ล้อมรอบพระวรกายจนทั่วลำเรือ ขณะที่เธเซียสยังคงทอดมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนหัวคิ้วแทบจะผูกติดกัน ร้อนพระทัยถึงฝีพายผู้มากศักดิ์จนต้องตรัสวาจาแก้สถานการณ์

“นอนพักเสีย แล้วเราจะรีบกลับมา” สิ้นดำรัสจากบุคคลสำคัญ ใบหน้าของเธเซียสก็ยังมิคลายความกังวล เนื่องจากเขามิได้หวาดกลัวอันตรายอื่นใด นอกจากความไว้วางใจของอีกฝ่ายที่มีต่อเจ้าหญิงแอริแอดเน
ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวอาจนำพาให้พระองค์มิทันระวังตัว

“เราซาบซึ้งต่อความห่วงใยของเจ้านัก แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราอ่อนใจต่อการปฏิเสธ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางส่ายพักตร์พร้อมจัดแจงที่นั่งให้กับบุรุษในดวงใจ ฝ่ายเธเซียสที่ได้รับอนุญาตก็รีบยืนยิ้มแป้นราวกับผู้เยาว์
“กระหม่อมจะมิทำตัวเป็นภาระ” บุรุษผู้บาดเจ็บเริ่มสัญญิงสัญญาอย่างแข็งขัน พลางก้าวลงลำเรือพร้อมนั่งจุมปุกอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ จากนั้นฝีพายผู้สูงศักดิ์ก็เริ่มนำพาเรือลำดังกล่าว เคลื่อนห่างจากท่าเรือเรียบเขตพระราชฐาน จนกระทั่งมุ่งตรงสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะครีต บุรุษจากต่างแดนจึงมองรอบกายอย่างใส่ใจ เพื่อที่ตนจะได้มิให้ความสนใจต่อการกดทับของบาดแผล

“มีอันใดหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นเธเซียสเอาแต่มองจ้องไปยังด้านหลังพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“มิมีอันใดพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนหันกลับมาทูลตอบ ขณะที่หัวคิ้วยังคงขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด เนื่องจากเจ้าของเรือลำที่เคลื่อนสวนกันเมื่อสักครู่ ดูเหมือนจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมิอาจแน่ใจ เนื่องจากบุรุษผู้นั้นคล้ายกับล่วงรู้ว่ากำลังถูกจับตามอง เขาจึงรั้งหมวกใบใหญ่ปิดบังใบหน้า อีกทั้งลำเรือของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มห่างไกลกัน
เหตุเพราะปลายทางของทั้งคู่อาจมิใช่ทิศทางเดียวกัน

“เจ้าล้มตัวลงนอนเถิด การเดินทางยังอีกยาวไกลนัก เราเกรงว่าบาดแผลของเจ้าจะถูกกดทับ” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างใส่ใจ ฝ่ายเธเซียสจึงอาศัยข้อเสนอดังกล่าวล้มตัวลงนอนบนพระเพลา เพื่อแฝงกายอยู่ท่ามกลางบุปผาและลำเรือขนาดเล็ก เนื่องจากสถานการณ์เมื่อสักครู่คล้ายกับสิ่งที่เขากำลังหวาดกลัวใกล้จะกลายเป็นจริง
เหตุเพราะบุรุษผู้แสนคุ้นหน้าคุ้นตา..
อาจจะเป็น ‘ทหาร’ จากไมซีเนียน

“เหตุใดพระองค์และพระขนิษฐาจึงโปรดปรานบุปผาชนิดนี้พ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามด้วยความใคร่รู้ แต่กระนั้นบทสนทนาดังกล่าวก็มีขึ้นเพื่อชะล้างความมิสบายใจที่ก่อเกิดขึ้น
“เพราะกลิ่นหอมของมันกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเคลื่อนฝีพายอย่างเชื่องช้า ขณะที่เธเซียสกำลังดอมดมกลิ่นหอมดังกล่าวจนเกสรเปรอะเปื้อนปลายจมูก ส่วนดวงตากลับหรี่ปรืออย่างสุดความสามารถ เมื่อแสงสุริยะกำลังสาดส่องจนทั่วบริเวณ
ดอกลิลลี่จึงกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า ‘ร่มกันแดด’ ภายในพริบตา

“เดิมทีเรามิได้โปรดปรานบุปผาชนิดใด แต่พอเห็นว่าแอริแอดเนมักจะลงมาเก็บดอกลิลลี่ทุกครั้งที่เดินทางมายังพระราชวังคนอสซุส เราจึงเริ่มขยายพันธุ์ให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้นำบุปผาชนิดนี้ส่งให้กับนางที่อาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งมาลีอา” ดำรัสอันบอกกล่าวถึงวันวาน ทำให้เธเซียสเงยหน้ามองพระพักตร์ของเจ้าชายมิโนส พลางย้อนคิดไปถึงวินาทีแรกที่ได้พบเจอกับเจ้าหญิงแอริแอดเนที่สวนดอกไม้ ซึ่งวันนั้นพระนางตรัสชื่นชมความงดงามของสวนดังกล่าวมิหยุดหย่อน เพียงแต่เธเซียสเพิ่งจะทราบถึงที่มาที่ไปของความงดงามดังกล่าว
“แล้วเหตุใดพระขนิษฐาจึงมิทราบถึงความเอาใจใส่ของพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสยังคงตั้งคำถาม เมื่อสังเกตได้ว่าเจ้าหญิงแอริแอดเนทรงลดทิฐิที่เคยมีต่อพระเชษฐา
เพียงเพราะทราบว่า..
‘ดอกลิลลี่’ คือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง

“เราเองก็มิเข้าใจว่ามันพลั้งพลาดที่ตรงใด” เจ้าชายมิโนสตรัสคล้ายกับอ่อนใจ
“อาจเพราะการแสดงความรักด้วยการมอบช่อบุปผา คือการแสดงออกที่ค่อนข้างหลากหลายกระมังพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสขบคิดอยู่เนิ่นนานก่อนจะทูลตอบ

“คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่าราษฎร์ต่างก็แสดงความจงรักภักดีด้วยการนำข้าวของและช่อบุปผามาถวาย”
“แล้วพระองค์ก็ประทานดอกเมอร์เทิลให้กระหม่อม” เธเซียสต่อความให้กับประโยคดังกล่าว เพื่อชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายของความหมายที่สามารถตีความได้ ซึ่งหนึ่งในความพลาดพลั้งอาจเป็นเพราะเจ้าหญิงแอริแอดเนทรงเข้าพระทัยผิดเกี่ยวกับผู้ที่เป็นเจ้าของบุปผาเหล่านั้น เนื่องจากเธเซียสยังคงจดจำได้ดี ว่าดวงใจของบุรุษนามว่า ‘เธซีอุส’ มิได้มีพระนางแอบซ่อนอยู่แต่อย่างใด
ดังนั้น ‘บุปผา’ เจ้าปัญหา..
จึงทำให้เรื่องราวลงเอยในแบบที่มันมิควรจะเป็น

กระทั่งเธเซียสเริ่มรับรู้ได้ว่า น้ำหนักตัวของเขากำลังสร้างความยากลำบากให้กับเจ้าชายมิโนส บุรุษที่ในขณะนี้มิได้มีผิวคล้ำแดดดังเช่นวันวาน ก็รีบลุกขึ้นนั่งพลางมองไปยังรอบทิศทาง จนกระทั่งพบว่าเส้นทางเป้าหมายเคลื่อนผ่านภูเขาหินขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ และยังอยู่มิไกลจากอาณาจักรไมซีเนียนสักเท่าใด
ความมิแน่ใจเกี่ยวกับชายผู้นั้น จึงยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นในจิตใจ
เหตุเพราะในระแวกดังกล่าวมิได้รับการปกครองที่ครอบคลุมนัก

“พระองค์มิได้วางแผนรับมือต่อการแทรกซึมของไส้ศึกในบริเวณนี้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากสำรวจด้วยความกังวลใจจนถึงที่สุด บุรุษจากต่างแดนจึงอดจะทูลถามมิได้
“พื้นที่บริเวณหุบเขาสมาเรียค่อนข้างเดินทางยากลำบาก เพราะต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทางกว่าสิบไมล์ อีกทั้งยังต้องข้ามผ่านป่าไซเปรสและต้นสนโบราณที่ตัดผ่านหน้าผาสูงชัน ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญในการเดินทางเป็นอย่างมาก เพราะบริเวณดังกล่าวค่อนข้างมีความซับซ้อนมิต่างกับตัวพระราชวังสักเท่าใด เนื่องจากเรานำจุดเด่นของป่าแห่งนี้มาปรับใช้ และมันก็เป็นพื้นที่ในการฝึกทักษะทางด้านการทหารสำหรับครีตัน” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนสก็ยิ่งทำให้เธเซียสรู้สึกอึ้งทึ่ง เพราะท้ายที่สุดความกังวลใจของตนก็ถูกการตั้งรับของอีกฝ่ายปัดเป่าจนหมดสิ้น
และมันก็แสดงให้เห็นว่า..
ทุกพื้นที่บนเกาะครีต มิเคยได้รับการมองข้ามจากมหาบุรุษแห่งครีตันแต่อย่างใด

กระทั่งล่องเรือมาจนถึงเกาะเอลาโฟนิสิที่อยู่ถัดจากภูเขาสมาเรีย เธเซียสก็สัมผัสได้ว่าเกาะดังกล่าวถือเป็นทำเลอันดีต่อการตั้งถิ่นฐานของกองทัพเรือ เนื่องจากพื้นที่บนเกาะแห่งนี้มีการผสมผสานระหว่างส่วนน้ำลึกและน้ำตื้น อีกทั้งผิวน้ำยังใสสะอาดจนกลายเป็นสีมรกต ขณะที่หาดทรายกลับมีสีขาวอมชมพูเป็นบางส่วน มิหนำซ้ำยังสามารถเดินทางด้วยสองขาโดยมิต้องดำน้ำ แถมภูเขาอันใหญ่โตโอ่อ่ายังโอบล้อมพื้นที่ดังกล่าวจนบดบังความยิ่งใหญ่อย่างมิดชิด
แต่ทว่าเกาะแห่งนี้กลับอยู่ห่างจากอาณาจักรไมซีเนียนเพียงแค่เรือข้ามฝั่ง

“วานเจ้าขนย้ายบุปผาเหล่านี้ขึ้นฝั่งให้เราที” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางลากเรือขึ้นมาเกยตื้นยังหาดทราย เธเซียสจึงลุกขึ้นยืนพร้อมบิดขี้เกียจสักทีสองที จากนั้นจึงโอบอุ้มดอกลิลลี่ของเจ้าหญิงแอริแอดเนจนเต็มอ้อมแขน ขณะที่สายตายังคงสำรวจไปทั่วบริเวณด้วยความสนใจ
“เกาะแห่งนี้อาจมิใช่นอกอาณาเขตของจักรวรรดิครีตัน แต่กระนั้นก็เป็นจุดบอดอย่างหนึ่งของครีตัน จึงทำให้หลายคราถูกครอบครองจากผู้คนเร่ร่อนในสถานะไส้ศึก เราจึงอาศัยการเนรเทศแอริแอดเนมาใช้ประโยชน์ เพื่อที่จะได้แอบแฝงกองกำลังอย่างแนบเนียน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางนำทางไปยังป้อมปราการอันโดดเดี่ยว
ซึ่งคาดว่าคงจะเป็นสถานที่พำนักของเจ้าหญิงแอริแอดเน่

เธเซียสจึงเปิดโอกาสให้สองพี่น้องได้ใช้เวลาร่วมกัน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มิได้อันตรายอย่างที่คิด เพราะเหล่าทหารครีตันในคราบของราษฎร์ประจำเกาะเอลาโฟนิสิล้วนเป็นผู้มากฝีมือ อีกทั้งราชองครักษ์ที่เคยติดตามเจ้าชายมิโนสเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จไปเยือนยังเมืองอาร์คันส์ต่างย้ายมาประจำการอยู่ที่นี่
ดังนั้นเธเซียสจึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวเดินสำรวจความเป็นไปโดยรอบ
เนื่องจากเขาบังเอิญเห็นเรือลำเดิมเคลื่อนผ่านเกาะแห่งนี้ที่ปลายหางตา

φ


[1] พระเพลา แปลว่า ขาหรือตัก

วันนี้มาอัพนอกตาราง เพราะฟิตจัดแต่งจบภายในวันเดียว 555 และสำหรับตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นตอนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ความเข้มข้นอีกครั้งค่ะ เพราะฝั่งไมซีเนียนเริ่มจะเคลื่อนไหวแล้วววว สำหรับตอนนี้เราไปเสิร์ชแผนที่ดูอย่างละเอียดเลยว่าเกาะครีตมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง และก็พบกับภูเขาสมาเรียค่ะ เอาไว้เราจะพาทุกคนไปเดินป่าในช่วงเทศกาลล่าสัตว์ 555

ปล 1. ช่วงนี้เราเริ่มรีไรต์เกี่ยวกับหลักการใช้คำราชาศัพท์ไปบ้างแล้ว พบว่างานหินจริง ๆ ค่ะ ยากมากกก แต่ก็ได้รู้อะไรใหม่ๆ ด้วย อย่างเช่น ทรง จะใช้กับคำที่เป็นคำราชาศัพท์อยู่แล้วไม่ได้ เช่น ทรงเสด็จ ทรงเสวย ซึ่งเราก็จัดไปหลายตอน ตามแก้จนครบแล้วค่ะ 555 และคำว่าประทับ จะใช้ประทับนั่งไม่ได้ เพราะมันแปลว่านั่งในตัวอยู่แล้ว คำว่ายืน จะใช้คำว่า ประทับยืนไม่ได้ ต้องใช้ ทรงยืน ซึ่งเราก็จัดไปหลายตอนอีกเช่นกัน 555 แก้จนตาลาย หากใครอ่านเจอตรงไหนที่ผิดพลาด รบกวนคอมเมนต์บอกกันบ้างนะคะ เราจะได้มาตามแก้อีกที

ปล 2. ทุกคนคิดว่าเราใช้คำราชาศัพท์มากเกินไป หรือว่ากำลังพอดีคะ เพราะตอนนี้เรากำลังตบตีกับตัวเองอยู่ค่ะ 5555

แผนที่ที่เราใช้อ้างอิงค่ะ ช่วงปีอาจจะไม่ตรงกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่
https://i.imgur.com/uuESkGP.jpg

เกาะเอลาโฟนิสิค่ะ
https://i.imgur.com/rdqHq9h.jpg
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 31 φ หน้า 2 (update 23/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 24-06-2019 18:24:26
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 32 φ หน้า 2 (update 25/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 25-06-2019 20:39:17
ตอน 32

เดิมทีเจ้าชายมิโนสทรงวางแผนสำรวจฐานทัพเรือหลังจากเสร็จสิ้นการวางผังเมืองอาร์คันส์ แต่ทว่ากลับมีเรื่องราวที่มิได้คาดคิดเกี่ยวกับเจ้าหญิงแอริแอดเน จึงทำให้กำหนดการณ์ของบุรุษผู้สูงศักดิ์เป็นไปอย่างล่าช้า เพราะทุก ๆ รุ่งสางพระเชษฐาผู้แสนอบอุ่นจะเสด็จไปยังสวนบุปผา เพื่อเก็บดอกลิลลี่ให้กับพระขนิษฐา จากนั้นพระองค์ก็จะทรงเรือพระนั่งไปยังเกาะเอลาโฟนิสิ แล้วย้อนกลับมาว่าราชการในช่วงบ่ายของทุกวัน ส่วนเธเซียสจำต้องนอนรักษาตัวอย่างเลี่ยงมิได้ จึงทำให้บาดแผลของเขาเริ่มทุเลาจนกระทั่งหายสนิท
เพลานี้เจ้าชายมิโนสจึงมีพระประสงค์ที่จะให้เธเซียสติดตามไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระราชวังคนอสซุสและพระราชวังแห่งมาลีอาใกล้กับภูเขาดิคที เพื่อสำรวจที่ตั้งอันเหมาะแก่การใช้เป็นฐานทัพเรือแห่งจักรวรรดิครีตัน

“ตัวถ้ำถือเป็นทำเลที่ดี แต่การเดินทางยังนับว่ายากลำบาก อีกทั้งพื้นที่ในบริเวณนี้ยังใกล้กับพระราชวังและถิ่นที่อยู่อาศัยของราษฎร์ชาวครีตัน มิหนำซ้ำฐานทัพบกยังอยู่มิไกล เราจึงเล็งเห็นว่าถ้ำแห่งนี้นับว่าด้อยกว่าเกาะแห่งไฟอยู่มาก” เจ้าชายมิโนสทรงวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจากตัวถ้ำอยู่ห่างไกลจากชายฝั่ง หากจะขุดเส้นทางน้ำคงต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี เนื่องจากเส้นทางยาวไกลกว่าคูคลองเรียบเขตพระราชฐาน อีกทั้งพื้นที่ในเขตชุมชนใกล้กับตัวพระราชวังยังมีการคุ้มกันที่แน่นหนา
จึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องยกกองทัพเรือมากระจุกตัวยังบริเวณดังกล่าว

“กระหม่อมเองก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เคออสและโครนัสทูลตอบอย่างพร้อมเพรียง พลางก้าวเดินลงบันไดที่ถูกสร้างภายในถ้ำหินอย่างระมัดระวัง เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวค่อนข้างลาดชัน แต่กระนั้นความสะดวกสบายตามแบบฉบับของชาวครีตันยังคงมีอยู่มาก เหตุเพราะถ้ำแห่งนี้เดิมทีใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เนื่องจากใจกลางถ้ำมีแท่นบูชาเทพธิดางู และยังมีเครื่องสักการะวางตั้งอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าขนาดเท่ารูปปั้นจำนวนสองชุด เปลือกหอยจำนวนมากรายล้อมอยู่ตรงรูปปั้นของ ‘เจ้าแม่’ ในอิริยาบถต่าง ๆ โดยมีโถคาร์เตอร์ทรงสูงขนาดเล็กวางขนาบซ้ายขวา ขณะที่ตรงกลางปรากฏรูปปั้นไม้กางเขนอย่างโดดเด่น
หากต้องการบูรณะปรับเปลี่ยน คงเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว

“ถ้ำแห่งนี้มีความสำคัญต่อเสด็จแม่ เรามิอยากเข้ามาก้าวก่าย และเราก็ค้นพบทำเลที่ดีกว่าถ้ำแห่งนี้หรือคูคลองเรียบเขตพระราชฐานเป็นเท่าตัว” เจ้าชายมิโนสตรัสกับเหล่าราชองครักษ์และขุนพลดิดะรัสอย่างชัดแจ้ง บ่งบอกได้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และพระมารดากำลังดีขึ้นตามลำดับ เพราะถ้าหากลองนึกย้อนกลับไป บุรุษผู้เคยปลดปล่อยเชลยศึกคงมิมีทางยกถ้ำแห่งนี้ให้กับองค์ราชินีได้ง่าย ๆ ขณะเดียวกันเธเซียสก็ทอดมองไปยังเพดานถ้ำที่สะท้อนกับแสงจากคบไฟจนมองเห็นหินงอกหินย้อยอันพิลึกพิลั่น เสริมสร้างความน่าเกรงขามให้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

“ที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” ขุนพลดิดะรัสทูลถาม ขณะที่สองขาก้าวลึกไปยังด้านในของตัวถ้ำ ตามการนำทางของคบไฟอันสว่างไสว บ่งบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ยังคงได้รับความเอาใจใส่จากองค์ราชินีเสมอมา

กระทั่งเบื้องหน้าปรากฏบันไดสำหรับก้าวเดินลงไปยังเบื้องล่าง คณะสำรวจจึงก้าวไปตามการชี้นำ ปลายสายตาจึงพบกับแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่มีไม้กางเขนตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น
แต่กระนั้นสิ่งที่โดดเด่นกว่า..
กลับเป็นรูปสลักขององค์เทพโพไซดอนบนผนังถ้ำ

สายตาของเธเซียสจึงจับจ้องไปยังแท่นวางเครื่องสักการะ พบว่ามันว่างเปล่า เนื่องจาก ‘การบูชายัญ’ วัวสีขาว ถือเป็นการน้อมถวายเครื่องสักการะอันมีค่าสูงสุด และเมื่อเดินเข้าไปใกล้แท่นศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใต้หินงอกหินย้อย คราบเลือดแห้งเกรอะก็ปรากฏสู่สายตา
บ่งบอกได้ดีว่าทุกดำรัสของเจ้าหญิงแอริแอดเน
มิใช่คำลวงในการแก้ต่าง

“อีกมินานจะก้าวเข้าสู่ช่วงเทศกาลแห่งการล่าสัตว์ที่หุบเขาสมาเรีย วันนั้นพวกเจ้าจะคิดเห็นตรงกันกับเรา” กว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์จะค้นหาสุรเสียงของพระองค์พบ ทั่วบริเวณกลับเงียบสงัดราวกับต้องมนตร์ เหตุเพราะสายตาของทุกผู้กำลังจดจ้องไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่มิไกลจากแท่นบูชายัญ เพียงแต่บริเวณเหนือบ่อน้ำดังกล่าว กลับปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งกำลังนอนหลับใหลอย่างเงียบสงบมาเนิ่นนาน ขณะที่ภายใต้แท่นหินเหนือผิวน้ำกลับเต็มไปด้วยโถพีโรอีขนาดเล็กสำหรับบรรจุชิ้นส่วนของมนุษย์ผู้น่าสงสารจากเอเธนส์ บ่งบอกได้ว่าบ่อน้ำดังกล่าวเปรียบได้กับแม่น้ำแห่งความเศร้าโศกจากโลกแห่งหลังความตาย เธเซียสจึงรับรู้ได้ทันทีว่า..
เจ้าชายแอนโดรเจียสคงถูกดองร่างด้วยน้ำผึ้ง
และยังถูกเติมเต็มด้วยน้ำหอมที่มีส่วนผสมจากกำยานและมดยอบเข้าไปยังร่างอันไร้วิญญาณ

แต่แล้วเจ้าชายมิโนสก็หลงเข้าสู่วังวนแห่งภวังค์ บุรุษต่ำศักดิ์จึงพากันเว้นระยะห่างให้กับพระองค์ ด้วยการเดินเลี่ยงไปรวมกลุ่มอยู่ตรงปากทางเข้าอันมีบันไดเชื่อมกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันเธเซียสก็เริ่มมองเห็นความตั้งพระทัยอย่างแท้จริง ที่ส่งผลให้พระองค์เสด็จมายังสถานที่แห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่ทรงวางทำเลที่ตั้งแห่งใหม่ของฐานทัพเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และสาเหตุสำคัญดังกล่าว..
คงจะหนีมิพ้นการประกอบพิธีกรรมของพระมารดาที่เคยทิ่มแทงพระหทัยมาเนิ่นนาน

“เซอร์ซีเป็นอย่างไรบ้าง ?” เธเซียสเอ่ยถามทหารมากยศ โดยมิได้เจาะจงว่าผู้ใดต้องเป็นฝ่ายตอบคำถาม และมิได้เป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะรับรู้เรื่องราวอีกด้านของคืนเกิดเหตุ ว่า ณ ที่แห่งนั้นมิได้มีเพียงเซอร์ซี
“ยังมิตาย” เคออสตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแกมประชดประชัน บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีเป็นเพียงภาพลวงตา

“ได้ข่าวว่าเจ้าเอาตัวเข้าไปรับคมมีดแทนเจ้าชายมิโนส ?” หลังจากความเงียบเริ่มปกคลุมรอบกาย โครนัสจึงเป็นฝ่ายตั้งคำถาม
“อืม” เธเซียสเอ่ยตอบในลำคอ ขณะที่เหล่าราชองครักษ์และขุนพลดิดะรัส ต่างมองจ้องบาดแผลอันเป็นร่องรอยแห่งความบาดเจ็บตรงบริเวณหน้าท้อง
บุรุษจากต่างแดนจึงรับรู้ได้ทันทีว่า..
การกระทำอันเสี่ยงชีวิต มิอาจส่งผลอันใดต่อทหารกลุ่มนี้

“รีบออกเดินทางเถิด” กระทั่งเจ้าชายมิโนสเสด็จมาจนถึงบริเวณดังกล่าว สุรเสียงของพระองค์ก็คล้ายกับทำลายความอึดอัดที่เกิดขึ้น
“กระหม่อมขอไปพบเซอร์ซีได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกลั้นใจถามอย่างหาญกล้า เมื่อทุกเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับทหารครีตันล้วนตกอยู่ภายใต้สายพระเนตรและพระกรรณของบุรุษผู้นี้
จึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องรอคอยจังหวะเหมาะอันใดในการกราบทูล

“เดิมทีเราเองก็ตั้งใจจะพาเจ้าไปพบเซอร์ซีอยู่แล้ว เพียงแต่ยังมิสบโอกาส” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเสด็จไปตามการชี้นำของคบไฟอันหอมละมุนที่มีเชื้อเพลิงมาจากน้ำมันของต้นละหุ่ง
“พระองค์ทรงทราบเรื่องของเซอร์ซีตั้งแต่เมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสก้าวเดินตามบุรุษผู้สูงศักดิ์พลางทูลถามมิตรงประเด็น

“ตั้งแต่วันที่เจ้านอนหลับใหลมิได้สติ เราก็ทราบความเป็นไปเกี่ยวกับค่ายกลและเซอร์ซีอย่างละเอียด” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเยื้องย่างด้วยความใจเย็น ผิดกับเธเซียสที่มิได้มีท่าทีใจเย็นแต่อย่างใด
“แล้วพระองค์มีความคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนยังคงทูลถามอย่างมิตรงประเด็นต่อไป เนื่องจากเขามิอยากให้ช่วงเวลาแห่งการตัดสินโทษเดินทางมาถึง

“สำหรับเซอร์ซีคงมีเพียงความโง่เขลาและบ้าดีเดือดที่เรามองเห็น แต่กับเจ้าเรามองเห็นแต่ความลังเล จึงมิถูกค่ายกลเล่นงานไปอีกคน ดังนั้นจึงมิถือว่าเป็นการผิดสัญญาระหว่างเรา มิจำเป็นต้องมีผู้ใดถูกตัดสินโทษ เพียงแต่เจ้าควรต้องตักเตือนคนของเจ้าให้ดี” สิ้นดำรัสจากบุรุษผู้สูงศักดิ์รอยยิ้มอันเลือนหายจึงปรากฏ เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิได้ใช้เพียงพระหทัยในการตัดสิน
แต่ยังใช้พระมัตถลุงค์ ในการตรึกตรอง

กระทั่งแยกจากขุนพลดิดะรัสที่ควบม้าไปยังพระราชวังแห่งมาลีอา เพื่อสับเปลี่ยนการเดินทางเป็นการล่องเรือกลับสู่เกาะแห่งไฟ แสงสุริยะที่เคยสาดส่องจึงเริ่มเลือนหาย ส่งผลให้ท้องนภาสีฟ้าครามกลับกลายเป็นสีส้มอมม่วง แต่กระนั้นฝีเท้าของม้าพันธุ์ดีก็มิได้ล่าช้าลงแต่อย่างใด จึงทำให้คณะสำรวจของเจ้าชายมิโนสเดินทางไปถึงเมืองอาร์คันส์ก่อนฟ้ามืด
และมันก็ทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่า..

ผังเมืองแห่งใหม่ถูกวางไว้อย่างมีระเบียบแบบแผนกว่าที่คิด เพราะทันทีที่ก้าวเข้าสู่เขตชุมชน ฝีเท้าของม้าพันธุ์ดีก็ปรับเปลี่ยนเป็นการเหยียบย่ำด้วยความเชื่องช้า ทะลุไปจนถึงลานกว้างใจกลางเมือง ปลายสายตาจึงมองเห็นเครื่องสกัดน้ำองุ่นขนาดใหญ่กว่าในพระราชวังคนอสซุสจำนวนหลายเครื่อง และยังมองเห็นโรงเรือนสำหรับวางตั้งโถแอมโฟร่าที่บรรจุน้ำหมักรสชาติดี ขณะเดียวกันโถพีโรอีใบใหญ่ที่ภายในบรรจุพวงองุ่นจนแทบล้นก็วางเรียงรายอย่างมากมาย
บ่งบอกได้ว่าการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโรคระบาดสำเร็จลงด้วยดี

“เราจะมิขี่ม้าไปหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามด้วยความเอะใจ เมื่อเห็นเจ้าชายมิโนสลงจากหลังอาชาคู่พระทัย แล้วชักจูงไปยังคอกม้าตรงใต้ต้นไม้ใหญ่
ขณะเดียวกันผู้ถูกถามก็หันมาส่ายพระพักตร์เป็นคำตอบ

ความมีระเบียบแบบแผนที่มองเห็นจึงยิ่งเด่นชัด เพราะเดิมทีเธเซียสเคยเที่ยวชมเมืองอาร์คันส์เพียงแค่รอบนอก ซึ่งจะมีเส้นทางหนึ่งทะลุไปยังพระราชวังคนอสซุส และยังเป็นเส้นทางเรียบฐานทัพบก
ขณะที่การเดินทางมายังเขตชุมชนพร้อมเจ้าหญิงแอริแอดเน ดูเหมือนจะไปมิถึงใจกลางเมือง เธเซียสจึงมองมิออกว่าผังเมืองมีลักษณะเป็นรูปวงกลมซ้อนทับกันหลายชั้น โดยทิศใต้จะเป็นท่าเรือขนาดเล็กของเส้นทางน้ำอันเป็นคูคลองที่ใช้สำหรับหล่อเลี้ยงเกษตรกรไร่องุ่น
และยังเป็นลำน้ำสายเดียวกับที่ค่ายกลของเจ้าชายมิโนสนำมาใช้ประโยชน์

“พวกเขามิต้องติดตามพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามพลางหันมองไปยังเหล่าราชองครักษ์ที่เดินแยกย้ายคนละทิศละทาง ราวกับมิได้หวั่นเกรงว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงตกอยู่ในอันตราย
“...” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสมิได้ตรัสอันใดอีก นอกจากแย้มสรวลพอให้อุ่นใจ พร้อมนำทางไปยังทิศตะวันออก อันเป็นที่ตั้งของเส้นทางที่มุ่งตรงสู่เขตฐานทัพใจกลางหุบเขา
แต่ทว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์กลับนำพาเธเซียสไปยังบ้านหลังหนึ่ง แทนที่จะเป็นหนทางดินตัดผ่านป่าเขาอันมืดทึบ

“บ้านของผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนทูลถามโดยมิยอมก้าวเดินตามการชักนำของบุรุษในดวงใจ
“บ้านของนางกำนัลนีรูส” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางล่วงล้ำเข้าไปยังเขตที่พักอาศัยของผู้อื่น พร้อมฉุดรั้งข้อมือของบุรุษอีกผู้ให้ก้าวตามกัน โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ห้องครัวอันเต็มไปด้วยกระสอบบรรจุพืชพันธุ์ธัญญาหารจำนวนมาก และในระหว่างที่เจ้าชายมิโนสกำลังจุดคบไฟ เธเซียสจึงอาสาให้ความร่วมมือในการขนย้ายกระสอบดังกล่าว
แต่ก็มิวายจะแปลกใจที่ ‘บ้าน’ ของนางกำนัลนีรูส
กักตุนเสบียงอาหารไว้ตั้งมากมาย ทั้ง ๆ ที่มิมีผู้ใดอยู่อาศัย

กระทั่งปลายสายตามองเห็นแผ่นไม้ขนาดใหญ่ปะปนอยู่กับพื้นหินสีเหลืองอ่อน เธเซียสก็เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของการเดินทางโดยมิต้องเอ่ยปาก เพราะการเดินทางด้วยเส้นทางลับใต้ดินที่เชื่อมกับฐานทัพบกของจักรวรรดิครีตัน ถือเป็นหนทางแอบซ่อนต่อสายตาของเหล่าไส้ศึกได้มิยาก เธเซียสจึงงัดแผ่นไม้อันแปลกแยกออกจนหมด และชะโงกหน้าลงไปมองห้องใต้ดินอันมืดมิด จึงพอจะอนุมานได้ว่าพวกเขาจะต้องไถลตัวลงไปตามทางดินอันเรียบลื่น เพราะแสงสว่างจากคบไฟทำให้เขามองเห็นเส้นทางดินในลักษณะลาดยาวเพียงบางส่วน

“มันอาจจะช่วยป้องกันมิได้มาก แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยปละละเลย” เจ้าชายมิโนสรั้งกายเธเซียสให้ลุกขึ้นยืน พลางประทานผ้าขนสัตว์ชนิดหนานุ่มให้กับยอดดวงใจของพระองค์
“เรามิได้ต้องการหมิ่นเกียรติชายชาตินักรบอย่างชาวไมซีเนียน เพียงแต่เราต้องการเรียนรู้ที่จะแสดงความรักด้วยการกระทำ ทั้งกับเจ้า เสด็จแม่ และแอริแอดเน” เจ้าชายมิโนสทรงแก้ต่าง ราวกับเป็นกังวลว่าการดูแลประคบประหงมถึงเพียงนี้ จะทำให้บุรุษแห่งไมซีเนียนรู้สึกเหมือนถูกหยามเกียรติ
เหตุเพราะการเดินทางด้วยวิธีดังกล่าว อาจสร้างบาดแผลเพียงเล็กน้อย แต่ก็มิได้มากมายอันใด

“หวังว่าเจ้าจะอนุญาตให้เราดูแลความปลอดภัยจนกว่าจะสิ้นสุดเส้นทางอันตราย” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงราวกับกระซิบตรงข้างใบหู พร้อมโอบกอดยอดดวงใจของพระองค์จนแทบจมเข้าสู่พระอุระ
“พ่ะย่ะค่ะ” ฝ่ายบุรุษผู้ได้รับความห่วงใยจนล้นอก จึงซุกซบยอดดวงใจของตนพลางหลับตาซึมซับความรู้สึกดังกล่าว พร้อมเอื้อนเอ่ยคำตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

หลังจากนั้นสองบุรุษที่กำลังหลงใหลอยู่ในห้วงแห่งรัก จึงไถลตัวลงไปยังห้องใต้ดิน โดยฝ่ายหนึ่งโอบกอดบุรุษผู้ห่มคลุมร่างกายด้วยผ้าขนสัตว์ ขณะที่พระหัตถ์อีกข้างหนึ่งกลับดึงรั้งเชือกเส้นใหญ่ที่มัดติดกับแผ่นไม้ด้านบนอย่างทะมัดทะแมง ส่งผลให้แสงสว่างจากคบไฟค่อยๆ เลือนหาย แต่กระนั้นความมืดมิดก็มิอาจทำให้เธเซียสรู้สึกหวาดหวั่น
เพราะเนื้อตัวของเขากำลังถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นของบุรุษในดวงใจ

เพียงแต่ทันทีที่สุ้มเสียงของแผ่นไม้กำลังปิดสนิทจนดังก้องไปทั่วบริเวณ ความมืดมิดที่ได้สัมผัสก็ราวกับครอบงำความรู้สึกแห่งรักจนแน่นขนัด เสียงลมหายใจผะแผ่วของบุรุษผู้สูงศักดิ์และไออุ่นที่เป่ารดบริเวณหน้าผาก ยิ่งส่งผลให้เธเซียสเคลื่อนกายเข้าหาความอบอุ่นหนึ่งเดียวที่ตนเองครอบครอง ขณะที่เรือนร่างกำลังไถลลงสู่เบื้องล่างด้วยความเร็วสูง
พร้อมทั้งเอื้อนเอ่ยเพียงแผ่ว

“กระหม่อม..”
“…”

“รักพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

ทว่าถ้อยคำกระซิบแผ่วกลับได้ยินไปถึงดวงหทัยของบุรุษอีกผู้อย่างเด่นชัด ขณะเดียวกันบุรุษจากไมซีเนียนก็รู้สึกโล่งใจที่ได้พูดออกไป
เนื่องจากเขามิมั่นใจเลยว่าจะมีโอกาสได้พูดมันอีกเมื่อใด
เหตุเพราะในตอนนี้..
เพลาแห่งการเลือกข้างกำลังไล่ล่าประชิดตัว


φ


[1] พระมัตถลุงค์ แปลว่า สมอง ไขสมอง หรือมันสมอง


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ประวัติศาสตร์นอกกรอบ: 'น้ำหอม' ของใช้เทพเจ้า คนเป็น และคนตาย https://bit.ly/2HRpT11


แอบสาดความหวานกันเล็กน้อย ก่อนจะไปบู๊กันต่อในฉากต่อ ๆ ไป

ปล. นิยายเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเขียนจากจินตนาการนะคะ ไม่ได้เอาข้อมูลจริงมาใช้ทั้งหมด


ถ้ำที่เรากล่าวถึงค่ะ เป็นเทพถ้ำที่ได้ชื่อว่าถ้ำของเทพเจ้าซุส (Psychro Cave, Lasithi Plateau) อยู่ใกล้กับเมืองซี่โกรในปัจจุบัน ส่วนในอดีตจะอยู่ระหว่างมาลีอากับนอสซัส
https://i.imgur.com/yc1WT0i.jpg

เครื่องสักการะเทพธิดางู
https://imgur.com/CMIGhPg
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 32 φ หน้า 2 (update 25/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-06-2019 20:54:54
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 33 φ หน้า 2 (update 27/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 27-06-2019 20:52:48
ตอน 33

ทันทีที่ลำตัวลื่นไถลไปกระแทกกับแผ่นหินเมกาลิธตรงสุดปลายทาง ดวงตาของเธเซียสจึงปิดสนิท ขณะที่พระพาหาของเจ้าชายมิโนสกลับเพิ่มแรงกอดรัดอย่างแนบแน่น
กระทั่งเหตุการณ์หวนคืนสู่ความสงบ บุรุษจากต่างแดนจึงลืมตาขึ้น พบว่าภายในห้องใต้ดินมิได้มืดมิดดังช่วงต้นทาง อีกทั้งยังมีห้องโถงอันแข็งแรงทอดยาวออกไป มิแปลกที่การวางผังเมืองจะเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิได้วางผังเมืองเพียงเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ราษฎร์
แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของกองทัพบกที่แอบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังภูเขาลูกใหญ่

“นี่มัน..” เป็นอีกคราที่บุรุษจากต่างแดนจำต้องอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ เมื่อพบว่าเส้นทางอันทอดยาวยังสามารถแบ่งแยกซอกซอยได้อีกมากมาย
ที่สำคัญความซับซ้อนของ ‘เมืองใต้ดิน’
ยังมากกว่าห้องใต้ดิน ณ พระราชวังคนอสซุสเป็นสิบเท่า

“เมืองใต้ดินหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางหันมองไปทั่วบริเวณ ตั้งแต่เบื้องบนจนถึงเบื้องล่าง ขณะที่ปลายเท้าก้าวเดินด้วยความเชื่องช้า เพราะสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว น่าทึ่งยิ่งกว่าห้องใต้ดินอันคุ้นเคย
“สำหรับเรา เป็นเพียงแค่หลุมหลบภัยเท่านั้น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางดำเนินไปยังทิศทางที่เหล่าราชองครักษ์ชี้นำ ซึ่งเธเซียสคาดว่าทั้งเคออสและโครนัสคงจะใช้เส้นทางลับจากบ้านอีกหลัง และมิได้เสียเวลาค้นหาเครื่องนุ่งห่มไว้ป้องกันตัว จึงมาจนถึงที่หมายเป็นกลุ่มแรก
คบไฟหอมกลิ่นน้ำมันละหุ่ง จึงถูกจุดให้แสงสว่างเป็นการรอรับเสด็จ

“พระองค์ทรงมีสายพระเนตรยาวไกลนัก” เธเซียสเอ่ยชื่นชมพลางหันมองช่องทางมากมายที่เชื่อมไปยังพื้นที่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะมิต่างกันนัก หากมิคุ้นชินคงจะหลงวนเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ตลอดกาล
ขณะเดียวกันเธเซียสก็รู้สึกว่า ‘หลุมหลบภัย’ แห่งนี้ สามารถทำหน้าที่ ‘ค่ายกล’ ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะทันทีที่พวกเขาก้าวเดินเข้าไปยังใจกลางของเมืองใต้ดิน สุ้มเสียงของเคออสที่กำลังพูดคุยกับโครนัสกลับดังก้องไปทั่วบริเวณราวกับมีเวทมนตร์
ซึ่งถ้าหากใช้ความพิเศษดังกล่าว ข่มขวัญข้าศึกที่หลุดรอดเข้ามายังเมืองลึกลับ คงจะได้ผลดีชะงัด

“หากเรามิเคยหลงทางอยู่ในป่าไซเปรส คงมิมีทางสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างแน่นอน” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างถ่อมตนพร้อมดำเนินไปยังช่องแคบทางด้านซ้ายมือ ซึ่งเธเซียสรู้สึกว่าเส้นทางที่พวกเขาใช้ ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นสู่ที่สูง
“ป่าไซเปรสเป็นอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความสนใจจนหลงลืมความกังวลก่อนหน้า

“เป็นป่าที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส ขบวนเสด็จก็บรรจบกับหน้าผาหินจำลอง คล้ายกับต้องปีนขึ้นไปด้านบนโดยใช้ฝ่ามือและปลายเท้ายึดเกาะก้อนหินขนาดเล็ก
จากนั้นบุรุษแห่งครีตันจึงปีนป่ายขึ้นไปยังเบื้องบนด้วยความชำนาญ
เธเซียสจึงมิรอช้า แม้จะยังมิคุ้นชินต่อสภาพการณ์สักเท่าใด

กระทั่งช่วงตัวโผล่พ้นอาณาบริเวณของเมืองใต้ดิน สายตาก็ปะทะกับสัญลักษณ์ของสถานพยาบาล วิถีแห่งสายตาจึงเคลื่อนไปยังแสงสว่างจากคบไฟ และพื้นที่สำหรับพักรักษาตัวของผู้บาดเจ็บ
นับได้ว่าเจ้าชายมิโนสทรงมีความรอบครอบสูง

“เซอร์ซีมิได้อยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เคออสกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับต้องการหยุดสายตาของเธเซียสมิให้ซอกแซก ซึ่งวาจาดังกล่าวก็มิอาจทำให้เธเซียสตื่นตกใจแต่อย่างใด เพราะมันเป็นเรื่องถูกต้องที่เซอร์ซีจะมิได้รับอนุญาตให้นอนพักรักษาตัวยังสถานพยาบาลอันมีเส้นทางเชื่อมกับเมืองใต้ดิน
“แล้วเขาพักอยู่ที่ใด” เจ้าชายมิโนสเป็นฝ่ายตรัสถาม ราวกับพระองค์เข้าพระทัยเป็นอย่างดีว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ‘อดีตสหายสนิท’ เป็นเพียงภาพลวงตามาตั้งแต่ต้น

ราชองครักษ์ผู้จงรักภักดีจึงเดินนำทางออกจากสถานพยาบาล ส่งผลให้เธเซียสได้สัมผัสกับบรรยากาศของฐานทัพบกแห่งจักรวรรดิครีตันอย่างใกล้ชิด ซึ่งฐานทัพแห่งนี้ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีธารน้ำเย็นฉ่ำไหลผ่าน ขณะที่แสงสว่างจากคบไฟกลับถูกลักซ่อนจากธรรมชาติอย่างมิดชิด อาจเพราะพวกเขาจุดคบไฟไว้ในตัวบ้าน จึงทำให้แสงสว่างเล็ดลอดออกมายังเส้นทางด้านนอกเพียงรำไร
แต่กระนั้นก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น

“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เคออสกล่าวพลางค้อมตัวให้กับนายเหนือหัว จากนั้นจึงเดินเข้าไปสมทบกับเหล่าทหารกล้าที่กำลังนั่งล้อมวงทานมื้อเย็น ขณะที่อีกกลุ่มกำลังนั่งซักผ้าตรงธารน้ำมิไกลจากวงสนทนานัก เธเซียสจึงรู้สึกว่าค่ายทหารดูเหมือนหมู่บ้านใจกลางหุบเขาเสียมากกว่า
และนี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มิมีผู้ใดคาดคะเนถึงความแข็งแกร่งทางด้านการทหารของจักรวรรดิครีตันได้อย่างแม่นยำ

“รีบเข้าไปเถิด เซอร์ซีคงจะเป็นห่วงเจ้าเช่นกัน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเปิดประตูไม้บานเล็กพร้อมรุนหลังเธเซียสให้เหยียบย่างเข้าไปยังบ้านพักของเซอร์ซี
“เราจะรอทานมื้อเย็นกับเจ้าตรงริมลำธาร” บุรุษผู้แสนอบอุ่นตรัสเป็นถ้อยคำสุดท้าย จากนั้นวรองค์สูงสง่าจึงเสด็จไปยังที่หมาย เธเซียสจึงหันกลับไปยังด้านในของตัวบ้าน พบเซอร์ซีกำลังนอนหลับใหลในสภาพที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล

บุรุษจากไมซีเนียนเยื้องย่างไปยังตั่งหลังเล็ก พลางทอดมองบุรุษในความดูแลด้วยความโล่งใจ เหตุเพราะก่อนหน้านั้นอาการของอีกฝ่ายดูจะหนักหนาเอาการ ยิ่งพอมองใกล้ ๆ เธเซียสกลับเศร้าใจอย่างบอกมิถูก อาจเพราะบาดแผลของอีกฝ่ายค่อนข้างลึก จึงทำให้แผลเป็นแต่งแต้มไปทั่วผิวกาย

“บางทีเราควรต้องบอกให้เจ้ารู้ เกี่ยวกับความลำบากใจของเรา” เธเซียสพึมพำกับตนเอง คล้ายกับต้องการย้ำเตือนดำรัสของเจ้าชายมิโนส
เหตุเพราะเขารู้ตัวแล้วว่าควรจะเชื่อใจผู้ใด

“เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้ ?” ทันทีที่เธเซียสเดินมุ่งหน้ามายังธารน้ำใสสะอาด พลางทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังเหม่อมองไปยังความมืดมิดของป่าเขาทางฝั่งตรงข้าม ราวกับสุ้มเสียงของแมลงกลางคืนสะกดภวังค์แห่งความคิดของพระองค์ไว้
แต่กระนั้นการมาถึงของเธเซียสกลับปัดเป่าห้วงภวังค์จนหมดสิ้น

“เจ้าหิวโซแล้วหรือไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวกับหยอกเอิน แต่ทว่ากลับทำให้เธเซียสหลุดหัวเราะออกมาจนเสียงดังลั่น
“โธ่! พระองค์ เหตุใดภาพลักษณ์ของกระหม่อมจึงกลายเป็นบุรุษผู้เห็นแก่กินไปได้พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยแย้งพลางยื่นมือออกไปรับดอลมาเดซพร้อมลิ้มชิมด้วยความหิวโหย เนื่องจากการเดินทางในวันนี้ทำให้เวลาของมื้ออาหารถูกเบียดเบียน ฝ่ายบุรุษผู้ถูกร้องเรียนกลับเอาแต่แย้มสรวลพลางเสวยมื้อเย็นมิหยุด
ขณะเดียวกันบทสนทนาของเหล่าทหารครีตันกลับเงียบสนิท เมื่อพวกเขากำลังจดจ้องไปยังภาพของสองบุรุษต่างศักดิ์ที่กำลังนั่งทานดอลมาเดซอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมพูดคุยพลางหัวร่อต่อกระซิกอย่างมีความสุข

“วันพรุ่งเสด็จแม่จะมาทอดพระเนตรผังเมืองอาคันส์ เจ้าคิดว่าพระองค์จะมีความคิดเห็นเช่นไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามบุรุษในดวงใจอย่างขอความคิดเห็น เนื่องจากการมาเยือนขององค์ราชินีทำให้พระองค์รู้สึกประหม่าอย่างบอกมิถูก
ซึ่งสาเหตุคงมาจากความสัมพันธ์ที่มิได้ใกล้ชิดดังเช่นวันวาน

“กระหม่อมมั่นใจอย่างเหลือล้นว่าองค์ราชินีจะต้องทรงภาคภูมิใจในตัวพระองค์เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบไปตามการคิดวิเคราะห์
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวมิมั่นพระทัยในพระองค์เอง

“เพราะความเจริญรุ่งเรืองของครีตันคือคำตอบพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางขยับตัวนั่งชันเข่าโดยใช้อ้อมแขนโอบกอดหน้าขาของตนเองไว้
“เราเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการสื่อ แต่ในขณะเดียวกันเรากลับมิแน่ใจว่าเราเข้าใจอย่างถ่องแท้” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางส่ายพระพักตร์ด้วยสีหน้าอ่อนพระทัย

“กระหม่อมหมายถึงทุกสิ่งที่พระองค์กระทำ มิมีสิ่งใดที่องค์ราชินีมิทรงไว้วางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิครีตันเกิดจากความพยายามของพระองค์ ซึ่งมันจะมิมีทางราบรื่นได้เลย หากองค์ราชินีมิทรงไว้วางพระทัย” เธเซียสคิดวิเคราะห์ไปตามสภาพการณ์ที่ตนเองมองเห็น ซึ่งสถานะของพระนางอยู่ในระดับที่เหนือชั้นกว่าเจ้าชายมิโนส แน่นอนว่าก่อนที่งานราชกิจของบ้านเมืองจะตกทอดมาสู่บุรุษผู้นี้จะต้องผ่านความเห็นชอบและการขัดเกลาจากพระนางอยู่หลายส่วน เพียงแต่มันอาจจะเป็นการขัดเกลาที่ค่อนข้างเข้มงวดมิต่างกับการกล่อมเกลาพระอนุชาที่ดำรงสถานะองค์รัชทายาท
เจ้าชายมิโนสจึงรู้สึกถึงความห่างเหินมาจนถึงปัจจุบัน

“จริงสินะ เรามิเคยมองในจุดนี้เลย”
“กระหม่อมคิดว่ามิแปลกพ่ะย่ะค่ะ เพราะคนเรามักจะมองปัญหาของผู้อื่นได้ขาดชะงัด แต่พอเป็นปัญหาของตนเองกลับมองมิเคยขาด” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้ม เหตุเพราะความจริงดังกล่าวเกิดกับตัวเขาเอง ปัญหาต่าง ๆ จึงมิอาจคลี่คลาย และดูท่าว่าจะมิมีวันคลี่คลายไปได้
เนื่องจาก ‘ปมเชือก’ อันยุ่งเหยิงจากไมซีเนียน กำลังก้าวเข้ามาประชิดตัวทุกที ทุกที 
ถ้าหากวันใดไขว่คว้าตัวเขาเอาไว้ได้ วันนั้นเกลียวเชือกคงจะพันรอบลำคอจนหมดลม

หลังจากเจ้าชายมิโนสเสด็จไปยังที่ประทับเพื่อนำเครื่องแต่งกายมาให้บุรุษในดวงใจสับเปลี่ยนระหว่างอาบน้ำ เธเซียสก็จมลงสู่ภวังค์แห่งความคิด จากนั้นหยาดน้ำแห่งความอ่อนแอก็คลอหน่วยจนเต็มขอบตา เพราะการที่ชายปริศนาไล่ล่าเขาตั้งแต่เกาะเอลาโฟนิสิมาจนถึงถ้ำแห่งการประกอบพิธีกรรมเรียบเชิงเขาดิคที
หมายความว่า..
ความเชื่อใจในกาลก่อน มิอาจหลงเหลือตะกอนใด ๆ ในพระหทัยของเสด็จพ่อ

เสียงหวีดร้องของแมลงกลางคืนกลับยิ่งทำให้เธเซียสรู้สึกหดหู่ บวกกับแสงจันทร์ในคืนเดือนมืดยิ่งทำให้เธเซียสรู้สึกเศร้าหมอง บุรุษผู้แสนอาภัพจากไมซีเนียนจึงปลดเปลื้องเครื่องแต่งกายจนหมดสิ้น พร้อมก้าวเดินไปตามธารน้ำอันเย็นฉ่ำ ขณะที่ใบหน้าของเขากลับแหงนมองดวงจันทรา ราวกับการกระทำดังกล่าวจะช่วยหยุดยั้งความอ่อนแอ

“หากเรามิเคยรู้จักเจ้า..”
“…”

“เราคงจะคิดว่าเจ้า คือบุตรรูปงามขององค์เทพแห่งขุนเขา” ดำรัสในเชิงเกี้ยวพาราสีของบุรุษผู้สูงศักดิ์ ส่งผลให้ดวงตาอันเหม่อลอยของบุรุษจากไมซีเนียนเคลื่อนคล้อยไปยังบุรุษหน้าหวานที่บัดนี้กำลังปลดเปลื้องฉลองพระองค์จนหมดสิ้น แผงอกล่ำสันอันบ่งบอกถึงทักษะในการสู้รบสะท้อนอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว คละเคล้าแสงจากคบไฟอันริบหรี่ที่เหล่าทหารน้อยใหญ่ทิ้งขว้างไว้
“ทรงเยินยอกระหม่อมเกินไปพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่บุรุษผู้สูงศักดิ์ประทับบนธารน้ำอันเย็นฉ่ำ วาจาโต้แย้งของอีกฝ่ายก็ดังตามมา แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสกลับทำได้เพียงสรวลในลำพระศอ พร้อมทอดพระเนตรร่างของอีกฝ่ายที่เดินหนีไปยังเครื่องนุ่งห่มผืนใหม่ที่วางพาดอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่
แต่กระนั้นดวงเนตรของพระองค์กลับจดจ้องตั้งแต่เบื้องบนจรดเบื้องล่างอย่างหลงใหล
ความกำหนัดจึงเริ่มประทับแน่นในจิตใจ

ทว่าบุรุษผู้เป็นต้นเหตุแห่งความปรารถนากลับยืนหน้าซีด เมื่อบนผืนหญ้ามิมีผ้าเตี่ยวและกระโปรงคิลท์วางอยู่ คล้ายกับมันถูกลักซ่อนจากใครสักคนที่คงจะแอบเข้ามายังฐานทัพบกอันมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
ซึ่งเธเซียสเชื่อว่าต่อให้รักษาความปลอดภัยทุกกระเบียดนิ้วเพียงใด
คงจะหนีมิพ้นคำกล่าวที่ว่า ‘จุดบอด’ ไปได้

“มีอันใดหรือ ?” เจ้าชายมิโนสเห็นท่ามิดี จึงรีบเสด็จเข้าไปหาบุรุษในดวงใจ พลางวางฝ่าพระหัตถ์บนลาดไหล่ของอีกฝ่ายเพียงแผ่ว แต่ทว่ากลับทำให้ดวงใจของพระองค์สะดุ้งเฮือก พร้อมดีดตัวออกห่างจนทำให้ร่างกายเซถลาไปชนกับต้นไม้ใหญ่อย่างหมดสภาพ
“เจ้ามิสบายหรือ ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ออกอาการตกพระทัยเพียงครู่ จากนั้นจึงตรัสถามด้วยความห่วงใย พลางแนบหลังพระหัตถ์ลงบนหน้าผากและข้างแก้มของเธเซียส ขณะที่อีกฝ่ายกำลังกวาดตามองรอบกายด้วยความหวาดระแวง หยดน้ำใสล้นปริ่มอยู่เต็มขอบตา
เนื่องจากการถูกลักซ่อนอาภรณ์ที่สวมใส่
มิต่างกับ ‘สัญญาณเตือน’


φ


บทความที่เกี่ยวข้อง
- “สิ่งก่อสร้างน่าทึ่ง” ที่ไม่น่าเชื่อว่าสร้างขึ้นในยุคโบราณ https://board.postjung.com/714694
(ข้อมูลไม่เกี่ยวกับมิโนอันนะคะ แต่เรานำมาใช้เป็นต้นแบบในการสร้างเมืองใต้ดินของเจ้าชายมิโนสค่ะว่ามันเกิดขึ้นได้จริง)

ภาพเมืองใต้ดินที่มีการพูดถึงค่ะ ความจริงคือเมืองใต้พิภพเดอรินกูยู (Derinkuyu) ที่ประเทศตุรกีค่ะ
https://imgur.com/2Eaiu9d
https://imgur.com/apD3em7

ช่วงนี้ถ้าไม่เหนื่อยจากงาน เราก็จะมาอัพถี่หน่อย พอดีมันเป็นช่วงที่ถึงฉากที่อยากเขียนพอดี แล้วตอนต่อ ๆ ไปก็ยังมีฉากที่อยากเขียนอีกมากมายเช่นกัน เราเลยเร่งสปรีด 555 แต่ดูเหมือนว่าเขียนจริงกับวางพล็อต รายละเอียดจะต่างกันเยอะมากค่ะ ไม่รู้จะจบลงตัวตามที่เคยกล่าวไว้มั้ย เพราะเราต้องการเขียนให้ทุกคนค่อย ๆ จมดิ่งไปกับเนื้องเรื่อง ดังนั้นมันเลยต้องซึมซับบรรยากาศเยอะหน่อย
ปล. น้องเธเซียสทำใจหายใจคว่ำมาหลายตอนแล้ว ตอนนี้อาจจะทำให้ใจชื้นได้บ้าง เพราะทางไมซีเนียนไม่ได้มาดีกับน้องเลย

หมายเหตุตัวโต ๆ : คือเราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแนวเรื่องที่เราเขียนเป็นทั้งแนวอิงประวัติศาสตร์ (มิโนอันล้วน ๆ) และอิงตำนานมิโนทอร์ ดังนั้นเราอยากบอกทุกคนว่า เอเธนส์กับครีตันไม่ได้ก่อตั้งในช่วงเวลาเดียวกันนะคะ อย่าจดจำไปแบบผิด ๆ เน้อ อันนี้เราซีเรียส เพราะกลัวมีคนเชื่อตามที่เราเขียน แต่ว่าในช่วงปี 2000 ก่อนคริสตกาล จะมีพวกอินโดยูโรเปียนอพยพมาทางตอนเหนือของกรีกในปัจจุบัน และกระจายอยู่เป็นเผ่าๆ เช่น ไอโอเนียน ไมซีเนียน แต่ที่เราต้องเลือกเขียนนิยายเรื่องนี้เป็นช่วงปี 1450 เพราะว่า เป็นช่วงที่ครีตันกำลังเจริญรุ่งเรืองอย่างมากค่ะ ซึ่งตรงกับตำนานของมิโนทอร์ว่าพระราชวังคนอสซุสมีห้องใต้ดินแบบเขาวงกต บวกกับข้อมูลบางเว็บบอกว่าภูเขาไฟธีราระเบิดประมาณปี 1520 3 ครั้ง เราจึงอาศัยความห่างทางระยะเวลามาเป็นสีสันของเรื่อง แต่บางเว็บก็บอกว่าระเบิดครั้งเดียวและเป็นครั้งใหญ่ในปี 1600 ก่อนคริสตกาลค่ะ ส่วนนครรัฐเอเธนส์ก่อตั้งในช่วง 508-322 ก่อนคริสตกาลค่ะ แต่ว่าตามตำนานแล้วคู่กรณีของมิโนทอร์คือเอเธนส์ค่ะ เราเลยไม่สามารถเขียนอิงตามประวัติศาสตร์ได้ทั้งหมด เพราะไม่อย่างนั้นก็ไปเปลี่ยนตำนานแทนที่จะเป็นการวิเคราะห์และตีความมาเขียนใหม่

เราลองเรียงไทม์ไลน์คร่าวๆ ประมาณนี้ค่ะ (แต่มันอาจจะมีคลาดเคลื่อนนะคะ เราเอาจากหนังสือที่เราซื้อมาสรุปกับข้อมูลจากเว็บค่ะ ซึ่งไม่ค่อยจะเหมือนกันเท่าไหร่)

3000 ปีก่อนคริสตกาล - เริ่มยุคสำริดในดินแดนตะวันออกกลาง

2500 ปีก่อนคริสตกาล - เริ่มต้นอารยธรรมอัสซีเรีย

2000 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวมิโนน (มิโนอัน / ครีตัน) เริ่มสร้างพระราชวังบนเกาะครีต ชาวเฮลลีน (กรีกโบราณ) อพยพมาจากทางตอนเหนือของประเทศกรีซในปัจจุบัน กระจายอยู่เป็นเผ่าตามคาบสมุทรบอลข่านและอีเจียน ได้แก่ ไอโอเนียน ไมซีเนียน

1650 ปีก่อนคริสตกาล - เริ่มต้นอาณาจักรฮิตไทต์

1627 ปีก่อนคริสตกาล - ภูเขาไฟธีราระเบิด (บางข้อมูลบอกระเบิดเมื่อ 1520 / 1600)

1595 ปีก่อนคริสตกาล - เริ่มต้นอารยธรรมไมซีเนียน และเริ่มต้นยุคเหล็กในดินแดนตะวันออกกลาง

1400 ปีก่อนคริสตกาล - มีพระราชวังไมซีเนียน

1450 ปีก่อนคริสตกาล - ช่วงเริ่มต้นเนื้อหามหาบุรุษแห่งครีตัน

1370 ปีก่อนคริสตกาล - พระราชวังคนอสซุสถูกทำลาย เริ่มอารยธรรมไมซีเนียน

1200 ปีก่อนคริสตกาล - ฮิตไทด์ล่มสลาย พระราชวังไมซีเนียนถูกทำลายโดยชนเผ่าดอเรียนที่อพยพมาจากทางตอนเหนือ ขยายอำนาจครอบครองคาบสมุทรกรีกได้ทั้งหมด ยกเว้น เนินเขาอาคาเดียอันเป็นที่ตั้งของเอเธนส์และอะโครโปลิส จากนั้นจึงสร้างรัฐสปาตาร์เป็นศูนย์กลางการปกครอง

1000 ปีก่อนคริสตกาล - สิ้นสุดอารยธรรมไมซีเนียน

671 ปีก่อนคริสตกาล - อัสซีเรียพิชิตอียิปต์
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 34 φ หน้า 2 (update 02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 02-07-2019 19:57:04
ตอน 34

รุ่งเช้าเธเซียสยังคงนอนขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าขนสัตว์ผืนนุ่ม เพียงแต่ข้างกายกลับมีแต่ความว่างเปล่า เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงตื่นจากบรรทมรวดเร็วกว่าทุกวัน เพื่อรอรับการเสด็จขององค์ราชินี แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังมีความประสงค์ที่จะให้เธเซียสติดตามไปด้วย เพราะท่าทีตื่นตระหนกเมื่อค่ำคืนวาน ชักชวนให้พระหทัยของพระองค์เป็นกังวล
ทว่าเธเซียสกลับปฏิเสธ
บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงดำเนินออกจากฐานทัพบกด้วยความอ่อนพระทัย

“เสด็จมาพอดีเลยพ่ะย่ะค่ะ” ด้วยมิรู้ว่าจะทำอันใด เธเซียสจึงเดินไปหาเซอร์ซียังบ้านพัก พบว่าบุรุษผู้บาดเจ็บกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่ง โดยมีเคออสนั่งอยู่มิไกล พร้อมใช้ช้อนตักไซคีออนจดจ่อไปยังริมฝีปากของเซอร์ซี หัวคิ้วของเธเซียสจึงขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด แต่กระนั้นก็มิได้รับความกระจ่างอันใด อีกทั้งเคออสยังก้าวเดินเข้ามาหาเธเซียสพลางยัดเยียดถ้วยดินเผาโดยมิบอกกล่าว
“เหตุใด..?” เธเซียสเอ่ยถามพลางชี้ไปยังด้านนอกอย่างงุนงง เนื่องจากภาพดังกล่าวอยู่เหนือความคาดหมายไปมากโข

“กระหม่อมคงต้องรบกวนพระองค์ประทานมื้อเช้าให้กระหม่อมด้วย” เซอร์ซีกล่าวพลางแย้มยิ้ม บุรุษผู้เป็นนายจึงเพ่งสายตาไปยังฝ่ามือทั้งสองข้าง พบว่าหลังมือของเขาเป็นบาดแผลฉกรรจ์
“บาดแผลของกระหม่อมตำแหน่งเดียวกับพระองค์เลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่โชคร้ายที่ลูกธนูพุ่งเข้าใส่จุดสำคัญ” บุรุษในความดูแลยังคงกล่าวเจื้อยแจ้ว พลางอ้าปากกลืนกินไซคีออนถ้วยใหญ่ ขณะที่เธเซียสราวกับถูกแช่แข็งทางความรู้สึก

“หลายครั้งหลายคราเรามักจะกล่าวเตือน แต่เจ้ากลับมิเคยฟัง” เธเซียสเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางใช้ช้อนตักไซคีออนยัดใส่ปากเซอร์ซี ราวกับผู้มากประสบการณ์กำลังสอนสั่งแต่มิได้โกรธเคือง
จึงส่งผลให้เซอร์ซีมักใจกล้ากล่าวอ้างถึงนายเหนือหัว

“โธ่! กระหม่อมเพียงแต่มองเห็นโอกาส จึงมิอยากปล่อยปละละเลยพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีรีบแก้ตัวทันควัน ซึ่งประโยคดังกล่าวบ่งบอกได้ว่าบุรุษผู้นี้มิได้ประมาท แต่กลับตั้งใจที่จะพุ่งเข้าชน ทั้ง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประสบเหตุบางอย่างตั้งแต่ช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยว และมันก็ส่งผลให้ใบหน้าและลำตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
“แล้วมันคุ้มกันไหม ?” สิ้นคำถามจากนายเหนือหัว บุรุษผู้แสนดื้อรั้นจึงก้มหน้าหลบสายตาอันดุดัน

“ช่างเถิด เราหวังว่าในภายภาคหน้าจะมิเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะเราตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าเราควรจะเชื่อใจผู้ใด” เธเซียสกล่าวอย่างเนิบช้าและจริงจัง ส่งผลให้คนในความดูแลเหลือบตามองด้วยความเคลือบแคลง
แต่กระนั้นก็มิได้เอื้อนเอ่ยอันใด อาจเพราะเขาพอจะมองสภาพการณ์ออก

“เราถูกคนของเสด็จพ่อสะกดรอยตาม ตั้งแต่เกาะเอลาโฟนิสิจนมาถึงค่ายทหาร” เธเซียสหันมองซ้ายขวาเพียงครู่ แล้วจึงลุกเดินสำรวจรอบบ้านอย่างละเอียด ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประเด็นสำคัญ
“เป็นไปมิได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะในค่ายทหารมีการตรวจตราเวรยามอย่างแน่นหนา” เซอร์ซีกล่าวอย่างมิอยากเชื่อ แต่กระนั้นหัวคิ้วของเขากลับเริ่มขมวด

“แต่เมื่อค่ำคืนวานเครื่องนุ่งห่มของเราหายไป เจ้าก็รู้ว่ามันมีความสำคัญอย่างไรต่อการปลิดชีพ” เธเซียสกล่าวอย่างมีนัยยะ พลางท้าวแขนลงบนตั่งพร้อมโน้มตัวเข้าไปหาเซอร์ซี ขณะที่ดวงตากลับจ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า ไร้ซึ่งความหวาดกลัวแบบเมื่อค่ำคืนวาน
เหตุเพราะท่าทีสุดแสนอ่อนแอ
เป็นเพียงหลุมพรางที่สร้างขึ้น

“แต่มันก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของเรานะพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวโต้แย้ง เพราะการนำเครื่องนุ่งห่มอันปะปนไปด้วยกลิ่นกาย มาห่อ ‘อาหาร’ มื้อสำคัญของราชสีห์ คล้ายกับเป็นการฝึกฝนให้เจ้าป่าเรียนรู้และเข้าใจ ว่า ‘กลิ่น’ ดังกล่าวคือกลิ่นของอาหารอันโอชะ
ดังนั้นเมื่อราชสีห์ถูกกักขังให้หิวโซ
เมื่ออิสระมาเยือน จึงขย้ำ ‘เหยื่อ’ ในคราบของ ‘อาหาร’ ชั้นดีอย่างตะกละตะกลาม

“หากเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เหตุใดจึงต้องเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้ ในเมื่อเจ้าชายมิโนสประทับอยู่ที่นี่ การคุ้มกันยิ่งต้องเข้มงวด ซึ่ง ‘ไกจีส’ สามารถแฝงกายเข้ามาได้อย่างแนบเนียน และยังเดินทางผ่านเมืองใต้ดินอันเป็นเส้นทางเดียวกับที่เราและเจ้าชายมิโนสเลือกใช้ นี่มันหายนะชัด ๆ” เธเซียสวางถ้วยไซคีออนลงบนโต๊ะหินข้างเตียง พลางเดินวนไปเวียนมารอบตัวบ้าน พร้อมกัดเล็บด้วยความกังวล

“หรือว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงทราบมาตั้งแต่ต้นพ่ะย่ะค่ะ ?” เซอร์ซีวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจาก ‘ไกจีส’ ถือเป็นราชองครักษ์ที่มีความสามารถด้านสะกดรอย
ขณะเดียวกันพระปรีชาสามารถของเจ้าชายมิโนสก็มิอาจประเมินค่าได้
จึงมิแน่ใจว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงเสียรู้ให้กับข้าศึก หรือว่าข้าศึกจะเสียรู้ให้กับพระองค์กันแน่

“อาจเป็นไปได้” เธเซียสกล่าวพลางทิ้งตัวลงนั่งตรงปลายตั่ง ขณะที่หัวคิ้วกำลังขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด เนื่องจากบุรุษจากต่างแดนมิเข้าใจว่า เหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงต้องทำเช่นนั้น แต่หากมองย้อนกลับไปยังวินาทีแรก ที่เดินทางมาจนถึงจักรวรรดิครีตันก็มิน่าแปลกใจนัก
เหตุเพราะบุรุษผู้สูงศักดิ์มักจะชื่นชอบการ ‘ล้อเล่น’ กับเหยื่อ
จนกระทั่งตายใจ จึงจะเริ่มสังหารอย่างแนบเนียน

“เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางเดินไปนั่งชันเข่าข้างหนึ่งบนขอบหน้าต่าง และหันมองออกไปยังด้านนอก พบเหล่าทหารครีตันกำลังซุ่มซ้อมอย่างหนัก โดยมีเคออสเป็นผู้ควบคุม
“กระหม่อมคิดว่าบางทีอาจมิใช่รับสั่งจากองค์ราชาพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำกล่าวจากเซอร์ซี เธเซียสก็นิ่งเงียบไป เพราะเขากำลังทบทวนถ้อยคำดังกล่าวอย่างถี่ถ้วน
ซึ่งก็จริงดังว่า..
เนื่องจากเสด็จพ่อมิใช่บุรุษผู้แสนขี้ขลาด คงมิมีทางเลือกใช้แผนลอบกัดเช่นนี้

“กระหม่อมได้ยินมาว่า มะรืนเป็นช่วงเทศกาลล่าสัตว์ หากมันจดจ้องความเคลื่อนไหวของพระองค์ อย่างไรแล้วคงต้องลงมือในวันนั้น เพียงแต่หุบเขาสมาเรียมีทั้งทางบกและทางน้ำ” เซอร์ซีลุกออกจากตั่งพลางเดินเข้ามาหานายเหนือหัว พร้อมบอกข่าวคราวที่เคยได้ยินมาจากเคออส
“เรารู้มาว่าจุดหมายของเจ้าชายมิโนสอยู่ที่ป่าไซเปรส”

“เช่นนั้นการรับมือกับราชองครักษ์ นับว่าง่ายดายนัก” เซอร์ซีกล่าวพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เนื่องจากเขามิมีข้อมูลอันใดเกี่ยวกับป่าแห่งเขาวงกต

“กระหม่อมผู้มิจักที่ต่ำที่สูง รบกวนพระองค์นำพาร์ชเมนท์[1]ตรงช่องเก็บของ บริเวณโต๊ะหินข้างเตียงมาให้กระหม่อมที” สิ้นคำขอจากเซอร์ซี เธเซียสจึงยักไหล่พร้อมเหวี่ยงกายลงจากขอบหน้าต่างด้วยความคล่องแคล่วและเดินตรงไปยังเป้าหมาย
กระทั่งพาร์ชเมนท์ชิ้นสำคัญตกอยู่ในความครอบครอง เธเซียสจึงคลี่ออกอย่างเชื่องช้า พบว่าในระหว่างที่กำลังพักรักษาตัว ความสัมพันธ์ระหว่างเซอร์ซีกับเคออสคงเป็นไปอย่างราบรื่น
บุรุษผู้แสนหยิ่งทะนงจึงยอมบอกกล่าวแผนผังของหุบเขาสมาเรียได้อย่างง่ายดาย

“กระหม่อมเป็นเพียงชายพิการผู้หนึ่ง จึงมิมีความจำเป็นอันใดที่นายทหารผู้นั้นจะต้องเป็นกังวล” เซอร์ซีกล่าวพลางเดินนำไปยังมุมห้องที่มีโต๊ะหินชุดหนึ่งสำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจ เนื่องจากบนโต๊ะหินตัวนั้นมีกระดานเกมวางตั้งอยู่ เธเซียสจึงเป็นฝ่ายเคลื่อนย้ายกิจกรรมคลายเครียดของเหล่าทหารครีตันวางไว้บนตั่ง จากนั้นจึงนำพาร์ชเมนท์อันเปรียบเสมือนแผนที่ของป่าแห่งเขาวงกตวางลงตรงกลางโต๊ะ พร้อมจับจองที่นั่งคนละฟากฝั่ง
“เจ้าพิการมือแต่มิได้พิการขาและสมองสักหน่อย” บุรุษจากต่างแดนกล่าวแย้งแต่กระนั้นก็คร้านจะใส่ใจ เนื่องจากสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้ากำลังเรียกร้องความสนใจได้มากกว่า

“หากเป้าหมายคือป่าไซเปรสแห่งหุบเขาสมาเรีย กระหม่อมคิดว่าเจ้าชายมิโนสจะต้องทรงใช้เส้นทางน้ำที่เชื่อมไปยังด้านในของป่าลึก พระองค์ทรงมีประสบการณ์เดินทางในครีตันมากกว่ากระหม่อม พอจะทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะว่ามันควรจะเป็นตำแหน่งใด” เซอร์ซีเอ่ยถามพลางเดินไปยังตั่งที่อยู่มิไกลนัก เพื่อนำแท่งเต๋าและหมากในการเดินเกมมาใช้ประโยชน์
ซึ่งคำถามดังกล่าวทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่า..
เคออสมิได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ความลับ’ ของหุบเขาสมาเรียจนหมดสิ้น

“เมืองอาร์คันส์มีแม่น้ำสายใหญ่ที่เชื่อมออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดังนั้นเราคิดว่าเจ้าชายมิโนสน่าจะเลือกใช้เส้นทางน้ำที่ตัดผ่านเมืองไฟสทอส เนื่องจากทะเลทางฝั่งพระราชวังคนอสซุส ตรงบริเวณหุบเขาสมาเรียมิมีช่องว่างเพียงพอที่จะให้ลำเรือแทรกซึมเข้าไปยังป่าไซเปรส เพราะเรามองเห็นแต่ภูเขาหินอันสูงใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยป่าสนโบราณ ส่วนบริเวณเรียบชายฝั่งเรามองเห็นแต่พรรณไม้นานาชนิด แต่มิเห็นไซเปรสสักต้น” เธเซียสเอ่ยวิเคราะห์อย่างจริงจัง พลางใช้แท่งเต๋าเปรียบกับลำเรือขนาดเล็กกำลังหาทางเข้าสู่ป่าแห่งเขาวงกตที่อยู่ทางทิศใต้ใกล้กับเมืองไฟสทอส เพราะมันเป็นเส้นทางเดียวที่เธเซียสมิเคยเหยียบย่าง
“เช่นนั้นกระหม่อมคิดว่าทะเลเมเตอร์เรเนียนกับผืนน้ำภายในป่าไซเปรส คงจะมาบรรจบกันตรงบริเวณที่พระองค์ตรัสถึง” เซอร์ซีกล่าวพลางวางหมากในการเดินเกมที่มีลักษณะเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ลงบนพื้นที่ที่คิดว่าจะเป็นปากทางเข้าป่าไซเปรส

“กระหม่อมได้ยินมาว่าต้นไซเปรสที่หุบเขาแห่งนี้ มีอายุเป็นร้อย ๆ ปีเลยพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นความใหญ่โตของมันคงจะช่วยอำพรางวิสัยทัศน์ในการมองเห็น และยังช่วยเป็นเกาะป้องกันชั้นดีสำหรับวิถีธนู”

“บางทีหุบเขาแห่งนี้ อาจกลายเป็นฐานทัพเรือแห่งใหม่ของเจ้าชายมิโนส เพราะด้านบนของหุบเขาปกคลุมด้วยป่าสนโบราณ เส้นทางคงมิต่างกับป่าแห่งเขาวงกตของไซเปรสสักเท่าใด” เธเซียสกล่าวพลางวางหมากหินรูปทรงสามเหลี่ยมลงบนเกาะกลางน้ำทางด้านซ้ายมือ เนื่องจากทางขวามือเป็นภูเขาลูกใหญ่ที่มีความสูงในระดับที่คงจะมองเห็นอาณาบริเวณทั้งหมดของจักรวรรดิครีตันในมุมสูง และยังช่วยอำพรางฐานทัพเรือให้รอดพ้นจากสายตาของเหล่าไส้ศึก
เหตุเพราะกว่าจะก้าวเข้ามายังใจกลางของหุบเขาสมาเรียได้
ยังต้องฝ่าเขาวงกตแห่งพรรณไม้นานาชนิดตรงบริเวณชายฝั่ง

“มีความเป็นไปได้สูงพ่ะย่ะค่ะ เพราะเทศกาลล่าสัตว์ในครานี้ มีเพียงพลเรือเท่านั้นที่ได้เข้าร่วม” สิ้นการแสดงความคิดเห็นจากเซอร์ซี เธเซียสก็นิ่งเงียบไป เนื่องจากเขากำลังคาดการณ์ว่า เจ้าชายมิโนสอาจจะใช้ช่วงเวลาแห่งเทศกาลล่าสัตว์เป็นเครื่องอำพรางในการอพยพฐานทัพเรืออันยิ่งใหญ่เข้ามายังหุบเขาสมาเรีย ซึ่งเส้นทางที่เลือกใช้คงมิพ้นเส้นทางเดียวกับที่เจ้าชายมิโนสทรงเลือกใช้ เมื่อครั้งที่เธเซียสถูกลอบสังหาร เพียงแต่มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างอ้อมค้อมเกินไปสักหน่อย แต่กระนั้นก็ยังปราศจากสายตาสอดรู้จากไส้ศึกผู้มิประสงค์ดี
เนื่องจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางฝั่งเมืองไฟสทอส
จะอยู่ตรงข้ามกับจักรวรรดิอียิปต์ ซึ่งเป็นเมืองพี่เมืองน้องมาเนิ่นนาน

กระทั่งมื้อเช้าค่อนไปทางครึ่งวันเสร็จสิ้น เธเซียสก็ขลุกตัวอยู่กับเซอร์ซีมิห่าง จึงทำให้บุรุษแห่งไมซีเนียนได้เรียนรู้การละเล่นกระดานเกมของชาวครีตันอย่างลึกซึ้ง และมันก็ทำให้เธเซียสอดจะทึ่งมิได้ เพราะนอกจากตัวพระราชวังจะใหญ่โตโออ่าอย่างมากแล้ว กระดานเกมของชาวครีตันยังทำจากเงินและทองคำ พร้อมฉลุเป็นลวดลายดอกไม้ล้อมกรอบหนึ่งชั้น ขณะที่แถวบนปรากฏลวดลายคล้ายเปลือกหอยจำนวน 4 อัน โดยมีวงกลมฉลุลวดลายคล้ายกับบุปผาที่มีเกสรเป็นรูปดาวสี่แฉก วางแทรกตรงกึ่งกลางหนึ่งอัน ซ้ายขวาและด้านล่างของแถวถัด ๆ มาอีกอย่างหนึ่งอัน

ซึ่งเซอร์ซีบอกกับเธเซียสว่ากระดานเกมดังกล่าว มีความหมายทางด้านศาสนาและยังแสดงถึงพระราชอำนาจทางด้านการค้าขายของจักรวรรดิครีตัน เหตุเพราะบุปผาที่มีเกสรเป็นรูปดาวสี่แฉกทั้ง 10 อัน เปรียบเสมือนดินแดนแห่งชีวิต ขณะเดียวกันทางด้านพระราชอำนาจกลับหมายถึงอาณาบริเวณของเกาะครีต ส่วนพื้นที่ตรงบริเวณช่วงบนของกระดานเกมที่มีเปลือกหอยและบุปผาซึ่งมีเกสรรูปดาวสี่แฉก กลับหมายถึงดินแดนแห่งปรภพ และในทางพระราชอำนาจกลับหมายถึงดินแดนของแคว้นอื่น ๆ ทั่วบริเวณทะเลเมดิเตอร์เนียน ทว่าเส้นขีดแนวนอนจำนวนหลายเส้น ในทางศาสนากลับหมายถึงสะพานอิฐที่ใช้ข้ามผ่านแม่น้ำแห่งปรภพ ขณะที่ทางด้านพระราชอำนาจกลับหมายถึงการครอบคลุมการค้าไปจนถึงแคว้นต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณของทะเลอีเจียน

ดังนั้นเธเซียสจึงเข้าใจวิถีความเชื่อทางด้านศาสนาของชาวครีตันมากขึ้น เนื่องจากกระดานเกมดังกล่าวแสดงถึงความเชื่อของการ ‘หวนกลับ’ ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีความคล้ายคลึงกับจักรวรรดิอียิปต์ เพราะ ‘คา’ [2] เป็นสิ่งที่ไม่สูญสิ้น จึงมิแปลกที่พระนางปาซิฟาอีจะทรงดองร่างของเจ้าชายแอนโดรเจียส และพร่ำอ้อนวอนขอความเห็นใจจากองค์สุริยเทพให้คอยส่องแสงนำทางแก่พระราชโอรสที่กำลังหลงอยู่ในวังวนของดินแดนแห่งปรภพ
การบูชายัญเนื้อมนุษย์จึงก่อเกิดขึ้น เพื่อเป็นการถวายเหล่าบริวารให้แก่องค์สุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่ กระทั่งบรรลุแก่ความประสงค์ เหล่าบริวารผู้ถูกล่อลวงมาจากเอเธนส์ก็จะนำพาเจ้าชายแอนโดรเจียส ข้ามผ่านสะพานอิฐที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางระหว่างดินแดนแห่งปรภพคืนกลับสู่ดินแดนแห่งอ้อมกอดขององค์สุริยเทพ
จึงมีความเป็นไปได้ว่า..
การปลดปล่อยเชลยศึกของเจ้าชายมิโนส อาจมีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
 
ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง ‘ศพ’ ของหญิงสาวผู้นั้น..
เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ ?

φ
   

[1] พาร์ชเมนท์ (Parchment) คือ กระดาษจดบันทึกทำจากหนังสัตว์ เช่น หนังวัว หนังแพะ หนังแกะ ซึ่งชาวกรีกโบราณมักจะนำมาใช้แทนกระดาษปาปิรัชที่นำเข้ามาจากอียิปต์ เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูงจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม

[2] คา (ka) ในภาษาอียิปต์โบราณ หมายถึงดวงวิญญาณ

บทความที่เกี่ยวข้อง

- Knossos Game – Zatrikion https://bit.ly/2LwMljy
- ความเป็นมาของ “กระดาษ” และประวัติศาสตร์การจดบันทึก https://bit.ly/2NH6E0r

เกมของชาวมิโนอันค่ะ จะทำจากทองคำและเงิน แต่ในรูปเราไม่แน่ใจว่าเป็นแค่กระดาษหรือเปล่า เพราะของจริงจะแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่เกาะครีตค่ะ
และเท่าที่ทราบเหมือนว่าระดับราชวงศ์จะใช้ทองคำ งาช้าง เงิน และหินคริสตัส แต่ถ้าเป็นชาวบ้านจะใช้วัสดุอีกอย่างนึงค่ะ แต่ไม่มีการพูดถึงตรงส่วนนี้
https://i.imgur.com/Xyuq1gW.jpg
https://i.imgur.com/FhT6l85.jpg

เกมของมิโนอันทำจากงาช้างเป็นงานแบบอินเลย์ค่ะ
อินเลย์คือ การประดับชิ้นงานโดยใช้เศษไม้ชิ้นเล็ก ๆ หลายๆชิ้น หลายๆสี มาแปะต่อเนื่องกันให้เป็นรูปหรือเป็นเรื่องราว
ปล. แต่ในข้อมูลบอกเราว่าเป็นงานอินเลย์จากงาช้างค่ะ
(ที่มา : http://lincolnwoodcraft.blogspot.com/2013/02/05-inlays-in-love.html)
https://i.imgur.com/p4Ww7Jw.jpg

อันนี้ของแถมค่ะ ลองทำแผนผังของเกาะครีตและแคว้นที่เกี่ยวข้องแบบคร่าวๆ
https://imgur.com/DVAUplV

ส่วนอันนี้เป็นภาพแผนที่ที่เคออสวาด แต่ของจริงจะเป็นยังไงต้องรอติดตามในตอนหน้าอีกทีว่าเธเซียสเดาถูกแค่ไหน
https://i.imgur.com/7xRJt2J.jpg

ตอนนี้ไม่มีเจ้าชายมิโนสโผล่มาเลย ค่าตัวแพงเล็กน้อย 555 จริงๆ พอร์ตออริจินอลก็มีแหละค่ะ แต่เขียนไปเขียนมาคิดว่าค่อย ๆ เปิดปมไปพร้อม ๆ กับการบู๊แอคชั่นดีกว่า ตอนหน้าเราจะไปเข้าป่ากันแล้วจ้า จะได้เขียนสักที ลากยาวฉากในค่ายทหารมานาน จริงๆ เราคิดไว้สั้น ๆ นะ แต่เขียนจริงๆ รู้สึกว่ามันมีอะไรให้ต้องใส่ใจรายละเอียดเยอะมาก เลยทำให้ตอนขยายเพิ่มขึ้นอีก

ปล. เจ้าชายมิโนสคิดจะทำอะไรกันแน่น้า~

ปล. 2 กระดานเกมที่เราเขียน ปัจจุบันยังไม่มีใครรู้วิธีการเล่น และไม่รู้ว่ามีความหมายอะไรซ่อนอยู่นะคะ มีเพียงการคาดเดาเท่านั้น เราเลยนำมาใช้อ้างอิง
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 34 φ หน้า 2 (update 02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 03-07-2019 04:07:52
ตามจ้า
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 34 φ หน้า 2 (update 02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-07-2019 22:42:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 34 φ หน้า 2 (update 02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-07-2019 09:30:35
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 35 φ หน้า 2 (update 07/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 07-07-2019 12:24:08
ตอน 35

หลังจากเจ้าชายมิโนสนำเสด็จไปเยี่ยมชมเมืองอาร์คันส์ทั้งบนดินและใต้ดินจนถ้วนทั่ว สีพระพักตร์กลับดูแจ่มใสขึ้นถนัดตา อีกทั้งยังทรงมีเรื่องเล่าแบ่งปันมิหยุดหย่อน ส่งผลให้ความเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับไส้ศึกที่มีศักดิ์เป็นถึงราชองครักษ์ของเสด็จพ่อ กลายเป็นเพียงตะกอนขุ่นมัวที่กำลังนอนก้น เพราะเรื่องเล่าของบุรุษผู้สูงศักดิ์สามารถเรียกร้องความสนใจได้เป็นอย่างดี
เนื่องจาก ‘เมืองใต้พิภพ’ มีความพิเศษอยู่ตรงที่ หากบุรุษส่งเสียงพูดคุยตรงใจกลางเมือง เสียงของเขาจะสะท้อนไปทั่วอาณาบริเวณ ทว่าหากเป็นเสียงของสตรี มิว่าน้ำเสียงจะเล็กหรือใหญ่ก็มิอาจเกิดปฏิกิริยาอันใด
นับได้ว่าเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
แต่กระนั้นหาก ‘ไส้ศึก’ ล่วงรู้ ข้อได้เปรียบที่เคยมี อาจกลายเป็นเพียง ‘จุดอ่อน’

เธเซียสมิแน่ใจว่า ‘ไกจีส’ จะล่วงรู้ถึงความอัศจรรย์ดังกล่าวหรือไม่ เพราะตั้งแต่วันที่พัสตราภรณ์ถูกลักซ่อน เธเซียสก็มิเห็นความผิดปกติอันใดในค่ายทหาร ซึ่งเขามิแน่ใจว่าเจ้าชายมิโนสทรงมีรับสั่งให้ตรวจตราอย่างเข้มงวด
หรือว่าอีกฝ่ายเพียงแค่เร้นกายเพื่อรอเวลา

“เจ้ามีอารมณ์ขันอันใดหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามขณะเพ่งพิศใบหน้าของบุรุษในดวงใจที่กำลังทำหน้าที่ฝีพาย
“กระหม่อมเพียงแต่ดีใจที่ได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์นอกเขตฐานทัพบกพ่ะย่ะค่ะ และค่อนข้างกระปรี้ประเปร่าที่ได้ออกล่าสัตว์” บุรุษผู้ถูกถามทูลตอบอย่างแช่มช้า พลางใช้หางตาเหลือบมองไปยังกลุ่มทหารท้ายขบวน พบเรือลำหนึ่งกำลังลอยล่องโดยทิ้งระยะห่างอยู่ทางซ้ายมืออันไกลลิบ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมิผิดจากที่คาดการณ์นัก เขาจึงขันอาสาทำหน้าที่ฝีพายอย่างกระตือรือร้น
เหตุเพราะ ‘การเป็นฝีพาย’ สามารถกำหนดชะตาชีวิต

“เจ้าดูมิสงสัยเกี่ยวกับป่าไซเปรส” เจ้าชายมิโนสเปรยขึ้นขณะกำลังกอบกุมลูกธนูจนเต็มหัตถ์ เนื่องจากการสะพายแล่ง[1]ธนูไว้ข้างหลัง จะทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างยากลำบาก และยังทำให้ลูกธนูร่วงหล่นกระจัดกระจาย เหตุเพราะการล่าสัตว์ต่อให้เป็นทางบกหรือทางน้ำ อย่างไรก็ต้องเน้นที่การเคลื่อนไหวและความคล่องตัว
ซึ่งทหารครีตันล้วนมิใช้แล่งธนูแทบทั้งสิ้น

ดังนั้นการลอบสังหารที่เกิดจากความร่วมมือของเคออสและโครนัส นับว่ามีการแอบแฝงความดูแคลนในฝีมือการต่อสู้ของชาวไมซีเนียนอยู่มากส่วน อาจเพราะพวกเขาเคยเห็นฝีไม้ลายมือด้านการต่อสู้มิมากนัก จึงเลือกใช้แล่งธนูบรรจุลูกศรสะพายหลัง เพราะมิต้องเคลื่อนไหวอันใดให้มากความ บวกกับชาวครีตันแท้ที่จริงก็มีฝีมือทางด้านการรบจะนึกทรนงตนก็มิแปลก 
แต่ทว่าเมื่อความสามารถที่แท้จริงปรากฏ..
โครนัสกลับมิวายรวบลูกศรจนเต็มกำมือ ทำให้วิถีการยิงเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

“เพราะกระหม่อมได้รับความช่วยเหลือมาจากเคออสพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบโดยมิได้ขยายความอันใด ส่งผลให้พระขนงของเจ้าชายมิโนสเลิกสูงด้วยความใคร่รู้
“เขาน่ะหรือที่ช่วยเหลือเจ้า ?”

“พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยืนยันอย่างแข็งขัน เพราะความสงสัยทั้งหมดถูกปัดเป่าด้วยแผนที่จากเคออส และการคิดวิเคราะห์ร่วมกันกับเซอร์ซี
“มิน่าเชื่อ ดูมิใช่เขาเอาเสียเลย” เจ้าชายมิโนสตรัสขณะที่ลำเรือกำลังลอยร่องผ่านเขตพระราชฐานอันใหญ่โตโอ่อ่าแห่งเมืองไฟสทอส จากนั้นต้นขบวนเสด็จจึงเริ่มเข้าใกล้อาณาเขตของหุบเขาสมาเรีย มินานหัวเรือลำแรกก็เยื้องย่างเข้าไปยังเส้นทางหนึ่ง
เพียงแต่มิอาจคาดคะเนได้ว่า สิ่งที่คาดการณ์ไว้จะถูกต้องมากสักเพียงใด
เนื่องจากระยะห่างจากเมืองไฟสทอสในแผนที่กับความเป็นจริง มิอาจเปรียบเทียบกันได้

กระทั่งลำเรือของเธเซียสขยับเข้าใกล้ที่หมาย สายตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงเริ่มกวาดมองไปรอบ ๆ บริเวณ พบว่ามีช่องว่างสำหรับเดินเรือเข้าไปยังป่าแห่งเขาวงกตตั้งมากมาย เนื่องจากหน้าดินกลับลาดลงสู่ทะเล จึงส่งผลให้น้ำทะเลล้นทะลักเข้าไปยังด้านในและคงจะผสมกับน้ำจืดจนทำให้ไม้ยืนต้นสามารถแผ่กิ่งก้านสาขาจนปกคลุมท้องนภาเบื้องบนจนแทบมิด
ม่านหมอกแห่งความลึกลับจึงปกคลุมไปทั่วบริเวณ

“ระวังองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวเตือนเมื่อลำเรือเคลื่อนห่างจากปากทางไปมากโข จนกระทั่งพบกิ่งไม้ขนาดใหญ่ล้มคว่ำขัดขวางเส้นทางแห่งการเดินเรือ แต่ทว่ากลับมิได้เป็นอุปสรรค เมื่อกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่มิได้หนักอึ้งจนถึงกับจมลงสู่เบื้องล่าง จึงทำให้คณะเดินเรือต่างพากันก้มหัวและค้อมตัวเป็นทิวแถว ซึ่งตลอดระยะทางบ้างก็เจอเถาวัลย์พันเลื้อยราวกับงูตัวมหึมา บ้างก็เจอดวงตาแวววาวของสัตว์น้อยใหญ่ที่กำลังจดจ้องขบวนเสด็จของผู้บุกรุก
ส่งผลให้บรรยากาศรอบกายนำพาให้เธเซียสรู้สึกหวาดหวั่น เขาจึงกระชับกรรเชียงในมือแน่น เหตุเพราะอัญมณีท่ามกลางป่าเขากำลังทำให้บุรุษแห่งไมซีเนียน นึกถึงช่วงเวลาอันยากลำบากเมื่อครั้งอดีต
แต่กระนั้นก็มิมีเวลาย้อนคิดไปถึงสิ่งใด

“โจมตี! อย่าให้ถึงตาย!” สุรเสียงทรงอำนาจดังกังวานไปทั่วบริเวณ จากนั้นเหล่าทหารต่างระดมยิงไปยังจุดที่เจ้าชายมิโนสชี้นำ สายตาของเธเซียสจึงสบเข้ากับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกับนกโมอา เพียงแต่สองขากลับใหญ่โตและแข็งแรงกว่ามาก จึงทำให้มันสามารถวิ่งหนีด้วยความเร็วสูง ส่งผลให้เหล่าสัตว์น้อยใหญ่บนเกาะต่างพากันแตกตื่น มิหนำซ้ำจงอยปากของมันยังมีขนาดมหึมาสมกับความน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง เธเซียสจึงเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายมิโนส
เนื่องจากฐานทัพลับแห่งนี้ กลับมี ‘เจ้าถิ่น’ คอยคุมเชิง
บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงต้องใช้เทศกาลล่าสัตว์เข้ามาจัดการ

เธเซียสมิรอช้าที่จะวางมือจาก ‘กรรเชียง’ เพื่อหยิบจับ ‘คันธนู’ พร้อมเหยียดลำแขนตรงไปข้างหน้า ขณะที่ศรแหลมจากสำริดถูกวางพาดบริเวณด้านขวาของคันธนู โดยมือข้างที่กำลังเหนี่ยวรั้งเพื่อเตรียมระดมยิง กลับกอบกุมอาวุธร้ายจนเต็มกำมือ จากนั้นแรงส่งของปลายนิ้วก็ผสานสามัคคีกับลำแขน ส่งผลให้วิถีของลูกศรพุ่งตรงไปยังสัตว์ประหลาดอย่างรวดเร็วและรุนแรง จึงทำให้ทะลุผิวเนื้อของเป้าหมายถึง 3 ดอก
ซึ่งก็คือจำนวนของลูกศรที่เธเซียสสูญเสียไป

“ฝีธนูของเจ้านับว่ายอดเยี่ยมนัก” เจ้าชายมิโนสตรัสชื่นชมพร้อมเหนี่ยวรั้งอาวุธร้ายอีกระลอกใหญ่ ซึ่งก็ส่งผลให้สัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวได้รับความเจ็บปวด เนื่องจากลูกศรเสียดแทงร่างอันสูงใหญ่ถึง 6 ดอก
ซึ่ง 6 ดอกนั้น ล้วนแต่เป็นฝีมือของบุรุษต่างศักดิ์บนเรือลำเดียว

“น้อมรับคำชมเชยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมกำลังสงสัยว่าเหตุใดเราจึงต้องยกโขยงกันมาถึงเพียงนี้ ในเมื่อสัตว์ประหลาดมิได้กำจัดยากเย็นแต่อย่างใด” เธเซียสเอ่ยถามพลางมองไปยังสัตว์ประหลาดที่กำลังนอนล้มตึงอยู่บนพื้น ขณะที่เหล่าทหารบกที่คงจะอาศัยอยู่บนเกาะกลางน้ำท่ามกลางป่าไซเปรส กำลังเยื้องย่างเข้าไปใกล้สัตว์ใหญ่ด้วยความระมัดระวัง ในมือของพวกเขามีทั้งโล่ที่ดูเหมือนจะทำจากเหล็ก อีกทั้งดาบก็ยังทำจากเหล็ก
คาดว่าบัดนี้วิวัฒนาการทางด้านศาสตราวุธของจักรวรรดิครีตันกำลังเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าผู้ใดในแถบนี้

“ระวัง!” สุรเสียงดังก้องของเจ้าชายมิโนสมิอาจนำพาให้ขุนพลผู้โชคร้ายหนีรอดจากจงอยปากของสัตว์ประหลาดตนนั้น ร่างของเขาจึงถูกยกขึ้นด้วยจงอยปากอันใหญ่ยักษ์ พร้อมกับร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดคล้าย ‘นกโมอา’ กำลังพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืนด้วยความสง่าผ่าเผย จากนั้นมันจึงเหวี่ยงร่างของขุนพลผู้เคราะห์ร้ายลงกับพื้นจนเสียงดังสนั่น
แต่ทว่าการกระทำอันป่าเถื่อนกลับต้องจบลง เมื่อเจ้าชายมิโนสออกคำสั่งด้วยท่าทีอันแนบเนียน เหล่าทหารที่คงจะเคยคุ้นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด จึงกรูกันเข้าไปกลุ้มรุมอย่างมิเกรงกลัว
จนกระทั่งเหยื่อได้รับอิสระ
เธเซียสจึงเข้าใจถึงการระดมพลอย่างกระจ่างแจ้ง

“สัตว์ประหลาดตนนี้ มันคือตัวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามเจ้าชายมิโนสที่กำลังทอดพระเนตรไปยังการขนย้าย ‘เจ้าป่า’ หลังจากที่มันถูกเหล่าทหารครีตันซึ่งแอบซ่อนกายอยู่บนบก เล่นงานด้วยมีดดาบจนมิอาจสำแดงฤทธิ์ พวกเขาจึงช่วยกันขนย้ายสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวลงเรือรบลำใหญ่อย่างทุลักทุเล
“มันคือสัตว์โบราณเรียกว่าโฟรัสราซิแด เป็นนกยักษ์นักวิ่งตัวหนึ่งที่มีอาหารโปรดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และยังเป็นนักล่าที่ค่อนข้างโหดเหี้ยม เพราะมันมีวิธีสังหารเหยื่อถึงสองวิธีด้วยกัน ซึ่งวิธีแรกคือการคาบเหยื่อแล้วฟาดกับพื้น ส่วนอีกวิธีก็คือ..” เจ้าชายมิโนสยังตรัสมิทันจบประโยคเหล่านักล่าที่มีรูปร่างคล้ายนกโมอาซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เธเซียสเคยรู้จักก็พากันวิ่งกรูเข้ามายังเส้นทางน้ำ ขบวนเสด็จพร้อมด้วยลำเรือที่บรรทุก ‘โฟรัสราซิแด’ ตัวหนึ่ง จึงกลายเป็นเรืออพยพขุนพลจากบนชายฝั่ง
ขณะที่ฝูงนกยักษ์กลับไล่ล่าขบวนเสด็จอย่างบ้าคลั่ง

เพลานี้รอบตัวของเธเซียสจึงเต็มไปด้วยเสียงหวีดหวิวของลูกธนูดังแหวกอากาศ ซึ่งเจ้าชายมิโนสที่ประทับอยู่ตรงหน้ากำลังกึ่งนั่งกึ่งยืนพร้อมเหนี่ยวรั้งคันศร เพื่อโจมตีเหล่านกยักษ์ที่มีลำแข้งสูงเพรียว จึงทำให้การเดินทางด้วยน้ำมิใช่อุปสรรคของพวกมัน ทว่าม่านหมอกอันขาวโพลนกลับกลายเป็นอุปสรรคให้แก่คณะเดินทาง ยิ่งก้าวเข้าสู่อาณาเขตของป่าไซเปรส เธเซียสก็ยิ่งรู้สึกว่าจินตนาการกับความเป็นจริงผิดแผกไปมาก เนื่องจากลำต้นของไซเปรสมีความยิ่งใหญ่ดังเช่นที่เซอร์ซีเคยกล่าว
เพียงแต่การมาอยู่รวมกันของมัน กลับทำให้เธเซียสมิอาจคาดคะเนทิศทางได้
จึงมิแปลกที่เจ้าชายมิโนสจะทรงเลือกสรรพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นฐานทัพเรือ

“ระวัง!” แต่แล้วสุรเสียงกระโชกของเจ้าชายมิโนสก็ดังขึ้นอีกระลอก พร้อมแรงผลักให้เธเซียสก้มหลบ จึงทำให้หน้าอกกระแทกกับกรรเชียงเรืออย่างแรง จากนั้นบุรุษผู้สูงศักดิ์ก็ตวัดคันศรเพื่อปัดป้องวิถีของลูกธนูที่ฝ่าทิศทางอันเป็นหนึ่งเดียวของทหารครีตัน จนกระทั่งเหตุการณ์เริ่มสงบเธเซียสจึงหันมองไปยังด้านหลังอย่างเพ่งพิศ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงทอดมองใบหน้าของเหล่าทหารครีตันทีละนาย
เพื่อค้นหาราชองครักษ์จากไมซีเนียนด้วยความยากลำบาก เนื่องจากม่านหมอกกำลังทำพิษ

“แบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่าย!” เจ้าชายมิโนสตะโกนก้อง จากนั้นขบวนเสด็จก็เริ่มเคลื่อนพล เพียงแต่มิใช่นายทหารทั้งหมดจากกองทัพเรือ เนื่องจากการปกป้องน่านน้ำของจักรวรรดิครีตัน อย่างไรก็ยังถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงทำให้ลำเรือที่เดินทางมาร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์ มีเพียงครึ่งร้อยเท่านั้น ซึ่งหากนับรวมกับทหารชุดก่อนที่คงจะเดินทางเข้ามาสำรวจพื้นที่ดังกล่าว ทันทีที่เจ้าชายมิโนสทรงเปรยวาจาตั้งแต่ในถ้ำตรงยอดเขาดิคที แต่ท้ายที่สุดก็ยังมิอาจประเมินความยิ่งใหญ่ของกองทัพเรือแห่งจักรวรรดิครีตันไปได้
เพราะแม้แต่เธเซียสที่เคยเหยียบย่างเข้าไปยังฐานทัพเรือแห่งเกาะธีรา
ก็มิอาจมั่นใจว่าสิ่งที่เคยเห็นทั้งหมด คือแสนยานุภาพของจักรวรรดิครีตันอย่างแท้จริง

ทว่าการโจมตีจากคนกลุ่มหนึ่งกลับมิยอมหยุดยั้ง เธเซียสจึงกวาดสายตามองไปยังวิถีของลูกศร พร้อมปัดป้องโดยมิอาจโจมตี เนื่องจากพวกเขาอยู่ในเขตที่แจ้ง จึงทำได้เพียงตั้งรับอย่างมิย่อท้อ
แต่แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็ถึงคราวต้องกลับตาลปัตร
เมื่อลูกธนูห่าใหญ่จากครีตันกำลังโจมตีไปยังกลุ่มคนของไกจีส

“เจ้าคอยหลบอยู่ข้างหลังเรา แล้วคอยซุ่มยิงลูกสมุนของฝ่ายนั้นให้สิ้น” เจ้าชายมิโนสตรัสหลังจากที่บริเวณนี้หลงเหลือเพียงคู่ต่อสู้ร่างมนุษย์ เนื่องจากสัตว์โบราณโขยงหนึ่งถูกทหารครีตันอีกกลุ่มหลอกล่อออกไปอีกทาง
“พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับจากบุรุษผู้กำลังถูกลอบทำร้าย เจ้าชายมิโนสจึงเหนี่ยวรั้งสายธนูพร้อมปลดปล่อยอาวุธร้ายซึ่งทำจากเหล็กรวดเดียวถึง 3 ดอก เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวขยับตัวออกจากตำแหน่งเดิม และหลบซ่อนกายอยู่ตรงเบื้องหลังของเจ้าชายมิโนส ซึ่งในระหว่างนั้นเหล่าราชองครักษ์ต่างพากันอารักขาเจ้าชายมิโนส โดยมิปล่อยช่องว่างให้ทางไกจีสได้ลงมือกระทำอันใด

กระทั่งเธเซียสเริ่มตั้งหลักได้ เขาจึงถือคันธนูพร้อมด้วยลูกศรจากเหล็กที่วางระเกะระกะภายในลำเรือ พร้อมเล็งเป้าไปยังลูกสมุนของไกจีสอย่างแม่นยำและรุนแรง จนทำให้ฝ่ายนั้นกลิ้งตกลำน้ำไปหนึ่งชีวิต จากนั้นเป้าหมายต่อมาก็คือบุรุษผู้แอบซ่อนอยู่ข้างหลังลำต้นอันใหญ่ยักษ์ของไซเปรสที่แผ่กิ่งก้านสาขาจนแทบจะปกคลุมคลุ้งน้ำในแถบนี้ อีกทั้งยังมีม่านหมอกสีขาวขุ่นลอยตลบอบอวนจนยากต่อการเพ่งพิศ

“กระหม่อมจะดำน้ำไปทางทิศประจิมนะพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากมองหาทางหนีทีไล่อันเหมาะเจาะ เธเซียสก็มิลืมบอกกล่าวแก่บุรุษในดวงใจเป็นภาษาของชาวอียิปต์ เพื่อป้องกันมิให้บทสนทนาดังไปถึงการรับรู้ของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นดวงตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงมองจ้องไปยังทิศตะวันออกอันเป็นตำแหน่งของไกจีส 
“เราจะเปิดทางให้ เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย” เจ้าชายมิโนสสนทนากับเธเซียสเป็นภาษาอียิปต์เช่นกัน จากนั้นพระองค์ก็เริ่มใช้ลูกศรซึ่งทำจากเหล็กยิงไปยังไกจีสที่ใช้ลำต้นของไซเปรสเป็นเกาะกำบัง เหล่าทหารครีตันจึงเริ่มกระจายกำลังด้วยการเพ่งเล็งไปยังลูกสมุนที่มีอยู่เพียงหยิบมือ แต่ฝีมือมิได้น้อยนิดตามจำนวนคน
แต่กระนั้นก็มิได้คณามือต่อกองทัพเรือแห่งครีตันแต่อย่างใด
พื้นที่ในการรับมือกับคู่ต่อสู้ จึงขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อข้าศึกถูกศรเหล็กเสียดแทงอก

ฝ่ายเธเซียสจึงอาศัยทีเผลอของไกจีส รีบดำดิ่งลงสู่สายน้ำอันเย็นฉ่ำ ที่เบื้องบนถูกปกคลุมด้วยเศษใบของต้นไซเปรส ม่านน้ำสีดำสนิทจึงกลายเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น มิหนำซ้ำยังมีตอของต้นไซเปรสที่คงจะหักโค่นคอยกีดขวางเส้นทาง
เธเซียสจึงอาศัยมือทั้งสองข้างที่กอบกำลูกธนูและคันธนูจนแนบแน่นกวาดออกไปรอบ ๆ ตัว
สองขาแหวกว่ายเพื่อไปให้ถึงที่หมาย พร้อมวาดหวังว่าเจ้าชายมิโนสจะเปิดทางให้ตนได้สำเร็จ

กระทั่งหน้าดินเริ่มตื้นเขินเธเซียสจึงค่อยๆ โผล่พ้นเหนือผิวน้ำ และมันก็ตามมาด้วยลูกศรเร็วแรงแหวกอากาศจากไกจีส ทว่าฝ่ายเจ้าชายมิโนสกลับมิยอมแพ้ รีบสะกัดวิถีธนูภายในชั่วพริบตา จึงทำให้เธเซียสหลุดรอดจากวิถีอันตราย
บุรุษผู้เกือบจะเคราะห์ร้ายจึงมิรอช้า รีบปีนขึ้นไปหลบซ่อนยังผืนดินเล็ก ๆ ที่รากของต้นไซเปรสใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยว พร้อมใช้ลำต้นอันใหญ่ยักษ์เป็นเกาะกำบัง และอาศัยช่องว่างระหว่างไซเปรสทั้งสองต้นคอยสังเกตการณ์
พบว่า ‘ความมืด’ นำพาให้เธเซียสคาดคะเนเส้นทางผิดพลาด
มิแปลกที่การเปิดเส้นทางของเจ้าชายมิโนสจะมิเกิดประโยชน์

แต่กระนั้นก็ยังนับว่ามิสูญเปล่า เหตุเพราะลูกสมุนของไกรจีสที่ยังเหลือรอดอีกหนึ่งชีวิต กำลังซ่อนกายอยู่ข้างหลังต้นไซเปรสอันใหญ่ยักษ์ พวกเขาจึงต่างคุมเชิงกันและกันผ่านช่องว่างระหว่างไซเปรส และมันก็เสียเวลาพอดู
บุรุษผู้แสนมุทะลุจึงเริ่มแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกครา

เพลานี้จึงกลับกลายเป็นว่าเธเซียสกำลังเผยตัวจากที่ซ่อน พร้อมเล็งเป้าหมายไปยังลูกสมุนฝีมือดี โดยมิเกรงกลัววิถีธนูจากไกจีส เหตุเพราะเพลานี้ลำเรือของทหารครีตัน กำลังแผ่ขยายพื้นที่ปลอดภัยมายังทิศตะวันตก พร้อมเล็งเป้าหมายไปยังไกจีสเป็นทางเดียว ริมฝีปากของเธเซียสจึงแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยม และเหนี่ยวรั้งลูกศรพร้อมกันถึง 3 ดอกพุ่งตรงไปยังลูกสมุนที่กำลังโผล่หน้าผ่านทางช่องสังเกตการณ์
ภายในเสี้ยววินาทีศรเหล็กอันทรงอำนาจก็เสียดแทงกระโหลกศีรษะอย่างแม่นยำ

“หึ” เธเซียสแสยะยิ้มอย่างสะใจ แต่กระนั้นในใจลึก ๆ กลับรู้สึกเจ็บปวด เมื่อท้ายที่สุดการลักซ่อนเครื่องนุ่งห่มกลับเป็นเพียงกลลวงของนางหญิงชั่ว ที่ช่วยจุดความสว่างอันน้อยนิดในจิตใจให้ลุกโชน เพื่อที่จะได้ออกแรงฉุดให้จมดิ่งลงสู่ตะกอนแห่งอดีตอันปวดร้าว
เพราะคำตอบค่อนข้างเด่นชัดว่า..
เสด็จพ่อมิเคยเชื่อใจบุตรชายผู้นี้

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องทำตามหน้าที่” สิ้นคำกล่าวอันเป็นการปลุกให้บุรุษผู้มีสถานะเป็นถึงเจ้าชายแห่งไมซีเนียนจำต้องตื่นจากภวังค์แห่งความเจ็บช้ำ แต่ทว่าเสียงธนูแหวกอากาศกลับมิสามารถสร้างแรงกระตือรือร้นอันใดให้กับเธเซียสอีกต่อไป
เนื่องจากเพลานี้เขากำลังหลับตารอรับการตัดสินโทษจากเสด็จพ่อ
ที่กำลังยัดเยียดข้อหา ‘กบฎ’ อย่างหมดแรง

แต่แล้ววิถีธนูของอีกฝ่ายกลับมีอันต้องหักเห เมื่อเจ้าชายมิโนสเป็นฝ่ายยุติสถานการณ์มิพึงประสงค์ ธนูเหล็กจึงเสียดแทงธนูจากสำริดให้จมลงสู่สายน้ำ บุรุษผู้ยอมจำนนจึงลืมตาขึ้นและกวาดมองไปจนทั่วบริเวณ พบว่าไกจีสกำลังปฏิบัติภารกิจอย่างถวายหัว เพราะเขาปรากฏตัวออกจากที่ซ่อน เพื่อสังหารเจ้าชายกบฏตามที่มีรับสั่ง
เธเซียสจึงมองเห็นสภาพร่างกายของเขาว่ากำลังย่ำแย่มากเพียงใด

สมองจึงเริ่มคิดคำนวณทางเลือก จากนั้นศรเหล็กลูกสุดท้ายก็ถูกเหนี่ยวรั้งไปยังไกจีส โดยที่อีกฝ่ายมิอาจหลบลี้ไปยังทิศทางใดได้ เนื่องจากบัดนี้เนื้อตัวของเขามิหลงเหลือแม้กระทั่งอาวุธร้ายให้เอาตัวรอด

“ทำไม..?” แต่ยังมิทันที่เธเซียสจะได้กระทำตามใจคิด เจ้าชายมิโนสและผู้ใต้บังคับบัญชาของพระองค์กว่าสิบชีวิตกลับเหนี่ยวรั้งลูกศรราวกับมิมีวันหมด เพียงแต่วิถีของการโจมตีกลับพลาดเป้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จึงทำให้ราชองครักษ์แห่งไมซีเนียน..
เอาชีวิตรอดจากสถานการณ์อันตรายได้อย่างหวุดหวิด


φ



[1] แล่ง คือ ที่เก็บกระสุนดินดำหรือลูกศร


บทความที่เกี่ยวข้อง
- สัตว์สยอง ยุคก่อนประวัติศาสตร์ https://bit.ly/2XqE8Eu
- เทคนิคการยิงธนูแบบโบราณที่ไม่ธรรมดา https://bit.ly/2G05jeD

มาต่อแล้วค่ะเรื่องนี้ก็อย่างที่บอก เน้นจินตนาการนะคะ เราเลยเอาพวกสัตว์โบราณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ส่วนเจ้าชายมิโนสคิดจะทำอะไร ทำไมถึงปล่อยไกจีสไปง่ายๆ ติดตามกันต่อไปจ้า ตอนหน้าเราจะยังอยู่ในป่าพร้อมๆ กับคลี่คลายเรื่องราวที่เป็นปมพันยุ่งอีกสักหน่อย ว่าทำไมเจ้าชายมิโนสถึงปล่อยไป และทำไมถึงไม่ตกใจกับการโจมตีใด ๆ อีกทั้งการตายของศพหญิงสาวคนนั้นเกิดจากอะไร จะเกี่ยวข้องกับเจ้าชายมิโนสหรือไม่ ตอนหน้าได้รู้กันจ้า

ปล. อ่านตอนนี้แล้วช่วยบอกเราหน่อยนะคะว่าเขียนเป็นยังไงบ้าง ดูโอเคสมกับที่บิ๊วมาตั้งแต่ต้นหรือเปล่า แบบมันดูลึกลับตื่นเต้นมั้ย พูดตรงๆ ว่าเราไม่มั่นใจเลยค่ะ ช่วงนี้เราว่างเปล่ากับงานตัวเองมาก มองภาพไม่ค่อยออกเท่าไหร่ ตอบกันหน่อยน้า สำคัญกับเราจริงๆ เพราะเราจะได้เอาไปปรับในตอนต่อไปได้ค่ะ T_T

บรรยากาศของป่าไซเปรสก็จะประมาณนี้ค่ะ
https://i.imgur.com/ZUUx81C.jpg
https://i.imgur.com/m5UjVbF.jpg

Cr : http://www.mikereyfman.com

โฟรัสราซิแด
https://i.imgur.com/sRz4ZbG.jpg

นกโมอา เป็นนกวงศ์เดียวกับนกอีมูค่ะ
https://i.imgur.com/KI1qhW3.jpg
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 36 φ หน้า 2 (update 10/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 10-07-2019 16:23:39
ตอน 36

ตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มสงบ ความสุขุมของเธเซียสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบที่ยังคงเต็มไปด้วยกระไอหมอกปกคลุมป่าแห่งเขาวงกต ล้วนเต็มไปด้วยความกดดัน สายลมโชยแผ่วพัดผ่านผิวเนื้อและพัดพาเส้นผมให้ปลิวไสว ราวกับนางระบำกำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อย จึงทำให้สัมผัสอุ่นซ่านแตะแต้มบริเวณเหนือศีรษะคล้ายกับได้รับพระราชทานคำชมเชย
บุรุษจากต่างแดนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์จึงเงยหน้ามองเบื้องบน พบว่าสัมผัสเมื่อสักครู่เกิดจากกิ่งใบอันแห้งผาก ที่กำลังห้อยระย้าราวกับหนวดเคราสีดอกเลาของบุรุษวัยชรา จากนั้นภูเขาหินสูงใหญ่ที่กำลังซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางม่านหมอกก็ปรากฏ ทั้ง ๆ ที่วินาทีแรกของการเหยียบย่างเข้ามายังเขตแห่งเขาวงกต กลับมิพบแม้กระทั่งเงาดำพาดผ่านลำน้ำแต่อย่างใด
เธเซียสจึงรู้สึกราวกับว่า..
หุบเขาสมาเรียอาจเป็นดินแดนแห่งเวทมนตร์

รู้ตัวอีกทีขบวนเสด็จของเจ้าชายมิโนสก็ผลุบหายเข้าไปยังช่องหินหลังกำแพงสูงใหญ่ของต้นไซเปรสที่เกาะกลุ่มกันเป็นจำนวนหลายต้น ซึ่งต้องใช้ความสามารถในการพายเรือมิให้พุ่งชนบริเวณโคนต้น เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวค่อนข้างเล็กแคบ อีกทั้งยังถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก จึงมิอาจจุดคบไฟให้แสงสว่างดังใจนึก
เธเซียสจึงต้องคอยขยับฝีพายตามรับสั่งจากเจ้าชายมิโนส

จนกระทั่งลำเรือหลุดรอดเข้ามายังเส้นทางน้ำ ซึ่งถูกปกคลุมด้วยภูเขาหินอันสูงใหญ่ที่แต่งแต้มไปด้วยป่าสนโบราณจนเขียวชอุ่ม ปลายสายตาอันไกลลิบจึงดูเหมือนกับบ้านพักที่ตั้งอยู่ใจกลางลำน้ำ เธเซียสจึงเริ่มคิดวิเคราะห์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะการจะตั้งถิ่นฐานภายในหุบเขาสมาเรียดูมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องข้ามผ่านการรับมือกับสัตว์โบราณ และยังต้องล่องเรือด้วยความแม่นยำในทิศทาง
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการ ‘เข้า’ มายังที่สถานที่แห่งนี้มิใช่เรื่องง่าย
ดังนั้นการจะ ‘ออก’ จากดินแดนแห่งเวทมนตร์ก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

พอมานึกทบทวนดูแล้ว หากจำมิผิดเจ้าชายมิโนสเคยตรัสว่า สถานที่แห่งนี้คือสถานที่แห่งการฝึกปรือสำหรับกองกำลังของทหารครีตัน ดังนั้นเหล่าทหารที่เฝ้ารอจังหวะเหมาะในการจัดการ ‘โฟรัสราซิแด’ บนชายฝั่ง อาจเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งของทหารบกที่อยู่ใจกลางป่าเขา มิใช่กองกำลังของทหารเรือจากบนเกาะธีรา
ฐานทัพลับอีกแห่งหนึ่งของพวกเขา จึงดูมีความเพียบพร้อมมากกว่าที่เคยจินตนาการ

“เดิมทีฐานทัพแห่งนี้คือฐานทัพลับของเสด็จพ่อ” กระทั่งลำเรือจอดเทียบท่าตามคำบัญชาทางด้านขวามือของสิ่งปลูกสร้างซึ่งทำจากไม้ ที่มีลักษณะคล้ายกระท่อมให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง เนื่องจากตัวบ้านเปิดรับกลิ่นไอของธรรมชาติจากรอบทิศทาง บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงตรัสวาจาราบเรียบราวกับต้องการจะบอกเล่าเรื่องราวในวันวาน พลางเสด็จไปยังบันไดขั้นเล็กที่ทอดตัวสู่เบื้องบนของภูเขาหินอันสูงตระหง่าน
บุรุษจากต่างแดนจึงเร่งผูกรั้งลำเรือไว้กับตอไม้ พร้อมแหงนเงยไปยังเบื้องบน ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงสบกับแสงสว่างจากคบไฟที่สาดส่องออกมาจากบริเวณถ้ำหินซึ่งเชื่อมกับขั้นบันได
เธเซียสจึงคาดคะเนได้เพียงว่า..
สุดปลายเส้นทางนี้ อาจเป็นหอสังเกตการณ์ของฐานทัพลับ

“มีเพียงแอนโดรเจียสเท่านั้นที่มีสิทธิ์เหยียบย่าง” ทันทีที่เธเซียสก้าวเดินขึ้นมายังปากถ้ำอันเป็นพื้นที่คล้ายกับราวระเบียง สุรเสียงเศร้าสร้อยของเจ้าชายมิโนสก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงสาดกระเซ็นของน้ำตกที่อยู่ตรงด้านหลังของตัวบ้าน เพียงแต่มิได้อยู่ใกล้ชิดมากมายนัก ละอองน้ำจึงมิอาจสาดกระเซ็นให้เปียกปอน
แต่กระนั้นบริเวณดังกล่าวกลับเรียกร้องความสนใจจากเธเซียสได้มากโข เนื่องจากลำเรือของนายทหารภายในขบวนเสด็จ และทหารจากกลุ่มที่ออกอุบายหลอกล่อฝูงโฟรัสราซิแด กลับลอยล่องเข้าไปยังช่องแคบซึ่งอยู่ถัดไปจากตัวถ้ำ
ครั้นหันกลับมาให้ความสนใจกับเจ้าชายมิโนส
พบว่าพระองค์กำลังทอดมองไปยังด้านในของถ้ำหิน คล้ายกับเห็นภาพแห่งอดีตกาล

“เมื่อนานมาแล้ว เราเคยฝึกประดาบกับแอนโดรเจียสอยู่ตรงนั้น..” เจ้าชายมิโนสตรัสพร้อมชี้ไปยังเบื้องหน้า บุรุษจากต่างแดนจึงมองตามราวกับเขากำลังก้าวเข้าสู่อดีตกาลอันหอมหวานของอีกผู้
“ส่วนเสด็จพ่อ..” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงสั่นเครือ แต่กระนั้นมุมโอษฐ์ของพระองค์กลับแย้มยิ้ม

“ทรงสอนสั่งเราอยู่ตรงนั้น” ดวงเนตรแวววาวของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกถึงความเกษมสำราญเมื่อครั้งอดีต ยังคงเป็นความหอมหวานที่พระองค์มิเคยลืมเลือน จากนั้นความเงียบสงัดก็ปกคลุมรอบกายของบุรุษทั้งสอง แต่ทว่าพวกเขากลับยืนมองพื้นที่อันว่างเปล่าภายในลานกว้างของถ้ำหินตรงหน้า ซึ่งฝ่ายหนึ่งกำลังทอดพระเนตรด้วยความอาลัย ขณะที่อีกฝ่ายกลับจ้องมองด้วยความ ‘คิดถึง’ มโนภาพอันไกลโพ้น เนื่องจากครั้งหนึ่งเสด็จพ่อเคยเฝ้ามองเธเซียสและเสด็จพี่ พร้อมสอนสั่งวิชาประดาบโดยมีการประทานของรางวัลเป็นเหยื่อล่อ
เหตุเพราะเขามิใคร่ชื่นชอบการต่อสู้
แต่กลับชื่นชอบการอ่านเขียนเสียมากกว่า

“ทานมื้อค่ำกันเถิด” เจ้าชายมิโนสตรัสขึ้นในเวลาที่ความหิวเริ่มทักท้วง บุรุษจากต่างแดนจึงเหลือบมองรอบกายพบว่าพวกเขาต่างปล่อยเวลาให้เลยผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์เกือบจะครึ่งวัน อาจเพราะต่างคนต่างใช้ความคิด ซึ่งเธเซียสก็มีเรื่องให้คิดอีกตั้งมากมาย
“พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับบุรุษต่างศักดิ์จึงพากันเดินลงจากบันไดหิน และข้ามผ่านลำน้ำด้วยก้อนหินขนาดพอเหมาะซึ่งทอดยาวไปจนถึงปากทางเข้าของตัวบ้าน เพียงแต่เธเซียสอาจต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวังสักหน่อย เนื่องจากก้อนหินเหล่านี้สามารถเรียกได้อีกอย่างว่า ‘เสาหิน’
ดังนั้นหากพลัดตกลงไป
อาจเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

กระทั่งขึ้นมายังตัวบ้าน บุรุษต่างศักดิ์จึงเดินอ้อมไปยังบริเวณระเบียงด้านนอก ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ จึงมีโต๊ะไม้ทรงเตี้ยวางอยู่ตรงใจกลางของตัวบ้าน ในตำแหน่งที่มองเห็นสายน้ำสีขาวบริสุทธิ์ร่วงหล่นจากที่สูง และยังมองเห็นปลาตัวโตแหวกว่ายอย่างเอื่อยเฉื่อย ขณะเดียวกันเรือลำเล็กของเหล่าทหารครีตันก็ลอยล่องออกมาจากช่องว่างท่ามกลางโขดหินที่เธเซียสเคยคาดการณ์เอาไว้ว่า..
ณ บริเวณนั้นอาจจะเป็นท่าเรือและเขตชุมชนของฐานทัพลับแห่งนี้

“ซุปไก่ใส่ซอสไข่และมะนาว[1]ต้องกินตอนร้อน ๆ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางใช้ช้อนดินเผาพุ้ยเนื้อไก่ที่ถูกฉีกแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนกระไอร้อนลอยอยู่เหนือชามดินเผา เธเซียสจึงก้มมองอาหารมื้อค่ำของตน พบว่าหน้าตาอาหารมีการตกแต่งด้วยเลมอนฝานเป็นแผ่นบาง ๆ และเมื่อพุ้ยไล่ความร้อน เนื้อไก่ที่นอนก้นอยู่ข้างล่างก็โผล่ขึ้นมาอวดโฉม
“รสชาติดี แต่มิเหมือนในความทรงจำ” เจ้าชายมิโนสทรงวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่เธเซียสกำลังลิ้มชิมอย่างเงียบเชียบ พร้อมคาดเดาในใจว่าซุปถ้วยนี้อาจมีความหลังในวัยเยาว์ปะปนอยู่

เมื่ออิ่มท้องกระดานเกมจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุด แต่ทว่าพอเวลาผ่านพ้นกลับมิอาจดึงดูดความสนใจจากเธเซียสได้มากเท่าที่ควร บุรุษจากไมซีเนียนจึงทอยลูกเต๋าทั้ง 3 ก้อน พลางเหลือบมองบุรุษผู้สูงศักดิ์เพียงครู่ จากนั้นสายตาก็ย้ายมาอยู่ที่แต้มคะแนน พบว่าลูกเต๋าทั้งหมด กำลังอวดโฉมด้านที่เป็นสี
เท่ากับว่าแต้มของเขาคือ 3 คะแนน

“พระองค์ทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ว่ากระหม่อมคือไส้ศึกที่แฝงกายเข้ามาพร้อมกับเชลยจากเอเธนส์” เธเซียสเอ่ยถามอย่างอ้อมประเด็น พร้อมเดินเกมตามแต้มคะแนนอย่างเคร่งครัด
“เพราะเจ้ามิใช่ผู้แรกที่เลือกใช้วิธีนี้” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางทอยลูกเต๋าโดยมิขึ้นด้านสีสักก้อน แต้มที่พระองค์ได้จึงกลายเป็น 4 คะแนน

“พระองค์จึงเลือกที่จะปลดปล่อยเชลยศึก เพื่อสนับสนุนข้อสันนิษฐานหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยังคงทูลถาม ขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังทอยลูกเต๋าจนขึ้นด้านสี 2 ก้อน เท่ากับว่าแต้มที่เขาได้รับในรอบนี้คือ 2 คะแนน
“เป็นเช่นนั้น..” เจ้าชายมิโนสยังคงประหยัดวาจา อาจเพราะพระองค์กำลังให้ความสนใจกับเกมกระดานมากกว่าบทสนทนาดังกล่าวช่องว่างแห่งความเงียบงันจึงทำให้เธเซียสคิดวิเคราะห์ได้ว่า การมีอยู่ของ ‘ไกจีส’ อาจอยู่ในความรับรู้ของเจ้าชายมิโนสมาตั้งแต่ต้น พระองค์จึงยินยอมพร้อมใจให้ข้าศึกล่วงรู้เกี่ยวกับเมืองใต้ดินอันลึกลับ และยังก้าวเข้าไปถึงเขตแดนอันเป็นฐานทัพบก
ซึ่งก็มิต่างกับตอนที่เธเซียสอยากจะล่วงรู้เกี่ยวกับจุดอ่อนของจักรวรรดิครีตันสักเท่าใด

นับได้ว่าการปลดปล่อยไกจีส อาจเป็นวิธีการล้อเล่นกับเหยื่ออย่างหนึ่ง หรืออาจจะมีเป้าหมายที่มากกว่านั้น เพราะครั้งหนึ่งเจ้าชายมิโนสเคยกักขังเซอร์ซีจนแทบกระดิกตัวมิได้ จึงส่งผลให้ทางไมซีเนียนเริ่มจะผิดสังเกต จนนำมาสู่ความมิไว้วางใจในตัวเธเซียส ไกจีสจึงต้องเดินทางมายังครีตัน เหตุเพราะเรื่องกำลังเลยเถิดมาจนถึงขั้นปรักปรำข้อหา ‘กบฏ’
ซึ่งถ้าหากเสด็จพ่อมีความเชื่อมั่นในบุตรผู้นี้ แผนการที่เจ้าชายมิโนสทรงวางไว้อาจมิมีวันเป็นจริง

“แต่มิได้หมายความว่า ‘ไส้ศึก’ อย่างพวกเขาจะได้รับการไว้ชีวิตตลอดกาล” สิ้นสุรเสียงเรียบนิ่งฝ่ามือของเธเซียสที่กำลังจะทอยลูกเต๋า ก็มีอันต้องหยุดชะงักลง
“หากผู้ใดมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เราจะเลี้ยงเขาไว้ดูเล่น จากนั้นเมื่อเริ่มเข้าใกล้เป้าหมาย..” บุรุษผู้สูงศักดิ์ยังคงตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง แต่ทว่ากลับโหดเหี้ยมจนเกินพรรณนา
เนื่องจากช่องว่างที่พระองค์เว้นไว้ คือสิ่งที่เธเซียสเคยเกือบเผชิญ

“เช่นนั้นศพของสตรี..” กว่าบุรุษจากต่างแดนจะค้นหาน้ำเสียงของตนเองพบ ลำคอกลับแทบแห้งผาก แต่กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจที่จะสอบถามถึงเรื่องราวที่ยังค้างคาใจ
“นางเป็นอีกผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว จึงกลายเป็นเราที่หลงกลคิดว่านางคงเป็นเพียงเชลยศึกที่ถูกส่งมาเพื่อการบูชายัญ” สิ้นคำตอบอันกระจ่างแจ้ง เธเซียสก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงปลดปล่อยเชลยศึกเพื่อที่จะทดสอบว่ามีผู้ใดเลือกใช้วิธีนี้แฝงกายเข้ามาในสถานะ ‘ไส้ศึก’ จากนั้นนางกำนัลดาฟเน่ก็จะมีหน้าที่คอยเก็บกวาดเชลยศึกผู้มิมีพิษมีภัย ส่วนผู้ต้องสงสัยหากยังมิอาจเรียกร้องความสนพระทัยจากมหาบุรุษแห่งครีตันได้ ชีวิตของพวกเขาคงต้องจบลงด้วยการสังหาร
ทว่าหากถูกตาต้องพระทัยแล้ว..
ลมหายใจของเขาอาจยืนยาว เพียงแต่มิใช่ตลอดไป..

“พระองค์คือบุรุษที่มิว่าผู้ใดก็มิควรจะตั้งตนเป็นศัตรูด้วย..” เธเซียสกล่าวอย่างจริงจังและหนักใจไปพร้อม ๆ กัน เหตุเพราะเสด็จพ่อคงมิมีวันยอมลามือต่อการครอบครองจักรวรรดิครีตัน เนื่องจากเพลานี้ครีตันถือเป็นจักรวรรดิที่ทรงอำนาจทางด้านการค้ามากที่สุดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวไมซีเนียนก็ถือว่ามีอิทธิพลทางด้านการค้าเพียงแต่มิมากเท่าครีตัน
ดังนั้นจักรวรรดิครีตันจึงมิต่างกับหอกข้างแคร่
ขณะที่เจ้าชายมิโนสกลับแย้มสรวลอย่างมิคิดปฏิเสธ

กระทั่งความหนาวเริ่มมาเยือน บุรุษต่างศักดิ์จึงพากันชำระร่างกายอย่างเร่งรีบ เพื่อเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าขนสัตว์ผืนหนา และไออุ่นจากคบไฟสีเหลืองนวลของน้ำมันละหุ่ง
มินานความผ่อนคลายจึงก่อเกิด
หนังตาก็เริ่มหนักอึ้ง ห้วงแห่งนิทราจึงเริ่มครอบงำ

รู้ตัวอีกทีเสียงขับขานของนกกลางป่าก็ขับกล่อมให้เธเซียสจำต้องตื่นจากฝัน แต่ทว่าข้างกายกลับมิมีแม้แต่เงาของเจ้าชายมิโนส เธเซียสจึงออกตามหา พบว่าบนผนังถ้ำที่อยู่ตรงด้านข้างของตัวบ้าน ส่องสะท้อนเงาคนจำนวนสามผู้ เพียงแต่มิอาจได้ยินถ้อยคำอันเป็นใจความสำคัญ บุรุษจากต่างแดนจึงเดินออกจากตัวบ้าน พร้อมย่อตัวลงกับพื้นเพื่อล้างหน้าล้างตา จากนั้นปลายเท้าจึงวกกลับไปยังตัวบ้าน เพื่อนำคบไฟติดตัวมาด้วย แล้วจึงเหยียบย่างไปยังบันไดที่เชื่อมกับถ้ำหินที่เจ้าชายมิโนสประทับอยู่
เพียงแต่จุดหมายปลายทาง..
กลับเป็นหอสังเกตการณ์บนยอดเขา

“สูงชะมัด” หลังจากเดินขึ้นบันไดไปตามแสงสว่างจากคบไฟ เธเซียสจึงหันมองกลับไปยังเบื้องล่าง พบว่าความสูงจากระดับน้ำชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน อีกทั้งสองข้างทางยังมิมีราวกั้นแต่อย่างใด
แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังคงก้าวเดินต่อไป
ซึ่งกว่าจะถึงจุดหมายก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ

“มิผิดจากที่คิด” บุรุษจากต่างแดนอุทานกับตนเอง พลางมองตรงไปยังเบื้องหน้าอันเป็นที่ตั้งของอาณาจักรไมซีเนียน ส่วนทางด้านขวาตรงบริเวณเรียบช่องเขาคือท่าเรือและถิ่นที่อยู่อาศัยของทหารครีตัน และสุดปลายทางของช่องเขากลับมิต่างจากสุดปลายทางของช่องเขาอีกด้าน
เธเซียสจึงอดคาดคะเนมิได้ว่า..
บางทีเส้นทางเรียบเชิงเขาตรงบริเวณเขตชุมชนของทหารครีตัน อาจเป็นเส้นทางที่มิต้องปะทะกับฝูงสัตว์โบราณก็เป็นได้

“นั่นเรือจากไมซีเนียนมิใช่หรือ..” บุรุษจากต่างแดนอุทานด้วยความสงสัยพลางชูคบไฟขึ้นสูง เพื่อหวังจะช่วยลดม่านหมอกตรงบริเวณสายตา
“…”

“แต่เหตุใดจุดหมายปลายทางจึงอยู่ที่เกาะเอลาโฟนิสิ”


φ


[1] ซุปไก่ใส่ซอสไข่และมะนาว (kotosoupa avgolemono) เป็นหนึ่งในเมนูอาหารกรีกโบราณที่นิยมกินในช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน และมักจะเสิร์ฟในวันคริสต์มาส

https://i.imgur.com/AhXOSnp.jpg

สำหรับตอนนี้ก็เริ่มเฉลยการกระทำต่าง ๆ ของเจ้าชายมิโนสออกมาบ้างแล้ว และทางฝั่งไมซีเนียนก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน
ปล. ถ้าช่วงนี้นิยายมาช้าหน่อย แสดงว่าเราติดซีรีย์ขั้นหนักนะคะ 5555 แต่จะพยายามทำสถิติให้ได้แบบเดิมจ้า
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 36 φ หน้า 2 (update 10/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-07-2019 20:35:03
 :pig4:
 :3123: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 36 φ หน้า 2 (update 10/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 14-07-2019 15:06:08
เย้ อ่านมาถึงตอนล่าสุดแล้วค่ะ

สนุกมาก ลุ้นทุกตอนเลย ยิ่งพอรู้ว่า เธเซียสเป็นไว้ศึก
ยิ่งกว่าลุ้นอีกค่ะ เจ้าชายก็ฉลาดเวอร์มากจริงค่ะ คือดีมากนะ
ทำไรมีทางป้องกันหมด เตรียมการไว้ดีหมดเลยค่ะ
ชอบความฉลาดและความเปิดเผยนี้ รักเลยดูแล และสอดส่อง

ตอนนี้เธเซียสคงต้องยอมรับชะตากรรม
การเป็นกบฎจากบ้านตัวเอง และเป็นไส้ศึกที่เจ้าชายรักและปรานีมาก

เรื่องเล่าพลิกนิดนึงเรื่องมิโนทอร์ พอเธเซียสเจอเองกับตัว
คิดไปแล้วค่ะว่าเป็นเจ้าชาย เพราะชื่อดูคล้องกันมากเลย

ขอบคุณมากนะคะ นิยายน่าติดตามมาก
สำหรับภาษาก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปด้วยกันนะคะ
บางทีเราก็ชินภาษาธรรมดา เลยไม่ค่อยเท่าไหร่
กับภาษาที่เป็นราชาศัพท์พลิกสลับไปมา ก็อ่านได้ ประมาณนั้น 55555

อย่าติดซีรีย์นานนะคะ รอตอนต่อไปอยู่จ้า
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 37 φ หน้า 2 (update 18/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 18-07-2019 17:37:13
ตอน 37

ถึงแม้วันเวลาจะผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เธเซียสกลับรู้สึกเหมือนทุกสรรพสิ่งมิเคยเคลื่อนคล้อย อาจเพราะเขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่มีความข้องเกี่ยวกับอาณาจักรไมซีเนียน เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ดูมิน่าไว้วางใจสักเท่าใด เพราะจุดหมายปลายทางของเรือลำนั้นคือเกาะเอลาโฟนิสิ ซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงแอริแอดเน
หากเกิดเหตุมิพึงประสงค์
คาดว่ากองทัพครีตันอาจจะบุกโจมตีไมซีเนียนอย่างเคียดแค้น

เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธเซียสจึงอดจะนั่งกัดเล็บอยู่ตรงริมหน้าผาบนหอสังเกตการณ์มิได้ เพราะต่อให้มีใจผูกสมัครรักใคร่กับเจ้าชายมิโนสมากเพียงใด บ้านเมืองอันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำในวัยเยาว์ก็ยังถือเป็นเรื่องที่มิอาจปล่อยวาง
ดังนั้นต่อให้เฝ้าย้ำกับตนเองว่าควรจะเชื่อใจผู้ใด
ก็มิอาจหยัดยืนได้อย่างที่เคยเปล่งวาจา

เธเซียสถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนอน ขณะที่สายตากลับทอดมองท้องนภาอันขะมุกขะมอมจากเมฆหมอก เพราะเขายังมีเรื่องที่น่าหนักใจประทับแน่นอยู่ในอกอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งเรื่องดังกล่าวเห็นจะหนีมิพ้นพฤติกรรมอันเปลี่ยนไปของเจ้าชายมิโนส เหตุเพราะพระองค์เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับเคออสและโครนัสภายในถ้ำหิน โดยพวกเขาต่างยืนล้อมโต๊ะหินตัวหนึ่งคล้ายกับวางแผนอันใดสักอย่าง มิหนำซ้ำบริเวณปากถ้ำกลับมีราชองครักษ์คอยรักษาการณ์อย่างแน่นหนา
บ่งบอกได้ว่าผู้ใดก็มิอาจเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว
แม้กระทั่งเธเซียส..

“แย่แล้ว ๆ” เสียงโหวกเหวกลอยลมมาแต่ไกล ทำเอาเธเซียสที่กำลังใช้ความคิดอย่างเคร่งเครียดมิอาจให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าวอีกต่อไป เนื่องจากเจ้าของเสียงปรากฏตัวด้วยการกระโจนเข้าหาเธเซียส พร้อมแหกปากร้องด้วยถ้อยคำเดิมมิแปรเปลี่ยน
“มีอันใดหรือเพอร์ดิกส์” เธเซียสลุกขึ้นปิดปากเจ้าเด็กกะโปโลที่มีศักดิ์เป็นถึงหลานชายของขุนพลดิดะรัสพลางเอ่ยถามอย่างใจเย็น แต่กระนั้นเจ้าเด็กตัวเท่าเอวกลับมิได้ใจเย็นด้วย จึงรีบฉุดรั้งบุรุษจากต่างแดนให้เดินลงจากหอสังเกตการณ์อย่างรวดเร็ว

“เพ้ยๆ ประเดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” เธเซียสกล่าวพลางขืนตัวมิให้เจ้าเด็กตัวจ้อยลากจูงไปง่ายๆ
“เบรียรูสอาละวาดใหญ่แล้ว ท่านพี่เธเซียสช่วยข้ากำหราบที” เพอร์ดิกส์หยุดการก้าวย่างพลางอธิบายพร้อมหอบหายใจจนเสียงดังลั่น ซึ่งเธเซียสก็ตกอยู่ในสภาพมิต่างกัน
เหตุเพราะเมื่อครู่พวกเขาต่างก้าวเดินลงบันไดกว่าสามสิบขั้นด้วยการฉุดรั้งกันไปมา

“เหตุใดจึงอาละวาด ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างมิเข้าใจ เนื่องจากสัตว์โบราณตนนี้เคยคุ้นกับเพอร์ดิกส์จนแทบจะนอนกอดก่ายกันได้แล้ว
“ข้าคงมือหนักไปกระมัง เบรียรูสถึงได้มิยอมให้ข้าทำแผลและมิยอมให้ข้าเข้าใกล้” เด็กชายตัวจ้อยกล่าวพลางเดินจูงมือเธเซียสลงบันได พร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เนื่องจากการดูแลโฟรัสราซิแดคือหน้าที่ของเพอร์ดิกส์ ผู้มีความฝันอยากจะเป็นทหารเหมือนกับท่านอาดิดะรัส

“เจ้านี่หนา ข้าเคยบอกว่าอย่างไร ?” เธเซียสได้แต่เอื้อนเอ่ยพลางส่ายหัว พร้อมอุ้มเจ้าตัวจ้อยขึ้นพาดเอว เพื่อที่จะได้ย่นระยะเวลาในการเดินลงบันไดอีกสักหน่อย
“ชายชาติทหารแม้จะมีความแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องมิหลงลืมความอ่อนโยน” เพอร์ดิกส์กล่าวเจื้อยแจ้ว ขณะที่มุมปากของเธเซียสกำลังแย้มยิ้ม เนื่องจากศิษย์ตัวน้อยสามารถจดจำคำสอนสั่งได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าวินาทีแรกเจ้าเด็กผู้นี้จะมิเชื่อถือเขาเลยก็ตาม จนทำให้เธเซียสจำต้องแสดงความสามารถ ส่งผลให้เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมเขี้ยวของโฟรัสราซิแด
แต่กระนั้นเธเซียสที่มีความมุทะลุเป็นทุนเดิม ก็ยังมุ่งมั่นที่จะใช้ยาสมุนไพรรักษาบาดแผลของเจ้าสัตว์โบราณ

กระทั่งก้าวเดินมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย เธเซียสก็วางเจ้าเด็กตัวจ้อยลงกับพื้น ทว่าเพอร์ดิกส์กลับวิ่งแจ้นไปยังลำเรือที่ผูกรั้งอยู่กับตอไม้ใกล้ฝั่ง เล่นเอาเธเซียสใจหายวาบ
เนื่องจากระดับความสูงของลำน้ำแห่งนี้ คงประมาณลาดไหล่ของบุรุษวัยกลัดมัน

“ท่านพี่เธเซียส พายเร็ว ๆ ซี่” พอลำเรือพายเรียบช่องเขาอันเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของเหล่าทหารครีตัน ซึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ตามแนวหินที่ถูกขุดเจาะเป็นโพรงใหญ่ เพียงพอสำหรับการอยู่อาศัยต่อหนึ่งครอบครัว จึงทำให้การจราจรในบริเวณดังกล่าวค่อนข้างติดขัด เนื่องจากลำเรือขนาดเล็กสำหรับหาปลาต่างจอดเทียบท่าตรงหน้าบ้าน ขณะที่บริเวณนอกเขตชุมชนกลับเป็นท่าเทียบเรือประจำกองทัพครีตัน เจ้าเด็กตัวจ้อยจึงหันมาทำหน้ามุ่ย หากแต่หัวคิ้วกลับพันผูกด้วยความว้าวุ่น
“ถึงแล้ว ๆ เจ้านี่ใจร้อนเสียจริง” เธเซียสบ่นอุบพลางจอดเรือเทียบท่าตรงปากทางเข้ากรงขังโฟรัสราซิแด ทว่าเจ้าเด็กตัวจ้อยกลับดีดตัวออกจากลำเรือด้วยความรีบร้อน เล่นเอาเธเซียสเกือบจะเสียหลัก แต่ยังโชคดีที่ใช้ไม้พายค้ำยัน

เสียงขู่คำรามของโฟรัสราซิแดดังระงมจนกระทั่งเธเซียสผูกรั้งลำเรือไว้กับตอไม้ จากนั้นจึงทำหน้าที่เปิดกรงขังพลางแทรกตัวเข้าไปยังด้านใน เพอร์ดิกส์จึงถือโอกาสเดินเกาะชายกระโปรงคิสท์สีฟ้าน้ำทะเลมิห่าง ฝ่ายเจ้าสัตว์โบราณกลับทิ้งตัวลงนั่งบนกองหญ้าอย่างเงียบเชียบ คล้ายกับเธเซียสคือหนึ่งในความปลอดภัยจึงได้รับความไว้วางใจ
บุรุษจากต่างแดนจึงเดินเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า พร้อมทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างเจ้าเบรียรูสที่กำลังหันหน้ามาจับจ้อง ขณะที่เจ้าตัวจ้อยอย่างเพอร์ดิกส์ก็รีบหยิบถ้วยดินเผาชามใหญ่ที่บรรจุสมุนไพรสำหรับรักษาแผลสด แต่ทว่าเจ้าตัวกลับมิได้ใช้ความนุ่มนวลเข้าหา เจ้าสัตว์โบราณจึงมองตาขวาง เด็กชายตัวจ้อยจึงย่อตัวลงนั่งเคียงข้างเธเซียสด้วยท่าทีอันเซื่องซึม
เหตุเพราะคู่หูยังมิหายโกรธเคือง

“เจ้านี่มันรู้มากเสียจริง” เธเซียสบ่นอุบหลังจากที่ตั้งท่าจะทำแผลให้เบรียรูส แต่มันกลับถอยหนี เนื่องจากเธเซียสมิยอมทำแผลให้ตนเอง ซึ่งก็เป็นเช่นนี้แทบทุกครั้งหลังจากที่เริ่มญาติดีกัน บุรุษจากไมซีเนียนจึงต้องยอมทำตามความประสงค์ของเจ้าสัตว์แสนฉลาด ที่คาดว่าเจ้าชายมิโนสอาจจะต้องการแต่งตั้งให้มันเป็นขุนพลแห่งหุบเขาสมาเรียก็เป็นได้
“เพอร์ดิกส์เจ้ารีบใส่ยาให้มันเสียสิ” เธเซียสกล่าวพลางขยับตัวเข้าไปหาผู้บาดเจ็บพร้อมใช้ฝ่ามือลูบศีรษะของมันด้วยความแผ่วเบา ขณะที่ริมฝีปากกำลังแย้มยิ้ม ซึ่งเธเซียสก็ทำเช่นนี้จนกระทั่งเพอร์ดิกส์ใส่ยาจนครบ ทว่าเจ้าสัตว์แสนฉลาดกลับใช้หน้าตักของเธเซียสเป็นที่หนุนนอน
เจ้าเด็กตัวจ้อยจึงเริ่มออกอาการขี้อิจฉา
รีบล้มตัวลงแนบศีรษะบนหน้าตักอีกด้านของเธเซียส

บุรุษจากต่างแดนจึงได้แต่นั่งพิงผนังถ้ำที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนและสัตว์โบราณ จนกระทั่งเผลอหลับใหล กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินสุรเสียงทุ้มนุ่มกระซิบตรงข้างใบหู ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงเพ่งมองรอบกาย พบว่าดวงพักตร์ของเจ้าชายมิโนสอยู่ห่างจากตนเพียงลมหายใจรอดผ่าน อีกทั้งบริเวณดังกล่าวยังมิมีแม้แต่เงาของเจ้าเด็กตัวจ้อย คาดว่าท่านอาคงมาตามกลับบ้านกระมัง คบไฟจึงถูกจุดไว้ตรงมุมขวามือ และก่อนที่เจ้าเด็กผู้นั้นจะลาจากไป อาจจะตะโกนปลุกเธเซียสให้ตื่นจากภวังค์ไปหลายยก เพียงแต่เธเซียสคงจะหลับลึกจนเกินไป เนื่องจากช่วงนี้เขามัวแต่กลัดกลุ้มจนหลับใหลมิเต็มอิ่ม
เพลานี้จึงมานอนเกลือกกลิ้งแย่งความอบอุ่นกับเจ้าสัตว์โบราณ

“กลับเถิด นอนอยู่ที่นี่คงมิสบายตัวนัก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางนำเศษหญ้าออกจากเรือนผมของเธเซียส พร้อมแย้มโอษฐ์เบาบางราวกับเอ็นดูบุรุษตรงหน้าที่กำลังตกอยู่ในสภาพมิต่างกับเด็กชายตัวจ้อยที่เพิ่งเดินสวนกับพระองค์เมื่อครู่
“ทรงงานเสร็จแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามพลางลูบหน้าลูบตาเพื่อให้คลายง่วง

“อืม” สุรเสียงทุ้มนุ่มในลำพระศอดังขึ้นพร้อมกับพระขนองอันกว้างใหญ่กำลังปรากฏอยู่ในระดับสายตา เนื่องจากเจ้าชายมิโนสกำลังย่อองค์ราวกับประสงค์จะพาเธเซียสกลับที่พักด้วยวิธีที่มิค่อยจะเหมาะนัก
“ขึ้นมาเถิดเราอยากใช้เวลาอยู่กับเจ้า” บุรุษหน้าหวานตรัสพลางแย้มโอษฐ์ แต่ทว่าดวงเนตรของพระองค์กลับจับจ้องเสียจนเธเซียสมิอาจปฏิเสธ

“ถ้ำแห่งนี้..” เธเซียสเอ่ยถามพลางหันมองรอบกายอย่างตื่นตะลึง เมื่อค้นพบว่ากรงขังของเจ้าโฟรัสราซิแดเชื่อมกับที่อยู่อาศัยของทหารครีตันแต่ละครอบครัว ซึ่งลักษณะของเส้นทางลับภายในภูเขาหินกลับมีลักษณะคล้ายกับเมืองใต้ดินในเขตอาร์คันส์
“คล้ายกับเมืองใต้ดิน เพราะเรานำเอาแนวคิดจากเสด็จพ่อมาปรับใช้” เจ้าชายมิโนสอธิบายพลางเหยียบย่ำลงบนพื้นหินอย่างเชื่องช้า ส่งผลให้จังหวะการก้าวเดินสะท้อนไปยังทั่วบริเวณ แต่กระนั้นก็ถูกกลบด้วยเสียงพูดคุยของทหารครีตัน

“ดังนั้นยามที่เราเหนื่อยล้าจากการว่าราชการ เราจึงใช้เส้นทางนี้เพื่อไปเฝ้าดูเจ้าที่กำลังทำตัวราวกับผู้เยาว์” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิคิดปิดบัง จึงไขความกระจ่างให้กับเธเซียสว่าเหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงมิเคยถามไถ่ถึงสาเหตุแห่งการบาดเจ็บ ซึ่งมันก็ทำให้เธเซียสคิดเลยเถิดไปว่าอีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนไป แม้ว่าทุกเช้าในยามตื่นนอนมักจะเห็นว่าบาดแผลคอยได้รับการดูแลเอาใจใส่
“กระหม่อมหลงคิดว่าพระองค์มิใส่ใจกันเสียแล้ว” เธเซียสกล่าวพลางแย้มยิ้มตรงมุมปาก

“เรามิเคยมิใส่ใจเจ้า” สุรเสียงหนักแน่นสะท้อนก้องมายังหัวใจ ส่งผลให้มันสั่นไหวอย่างแรงกล้า เธเซียสจึงแนบใบหน้าลงกับพระอังสาผึ่งผาย แววตาของเขาจึงมองสบกับเงาร่างที่ส่องสะท้อนอยู่บนกำแพงหิน
ความร้อนเห่อบนใบหน้าจึงเริ่มมาเยือน
ทว่าความเงียบสงัดกลับมิทำให้คนทั้งคู่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

กระทั่งเจ้าชายมิโนสนำพาเธเซียสเข้ามายังห้องประชุมราชการลับที่มิเคยได้มีโอกาสเหยียบย่างเข้าไป ความเก้อเขินที่เกิดขึ้นจึงถูกสกัดกั้นจนหมดสิ้น เนื่องจากความใคร่รู้กำลังสั่งการให้ดวงตาของเธเซียสเพ่งเล็งไปยังโต๊ะหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางห้อง ซึ่งเธเซียสก็ฉลาดพอที่จะเฝ้ารออย่างใจเย็น ความสงสัยจึงเริ่มกระจ่าง เมื่อบนโต๊ะดังกล่าวคือแผนที่จำลองภูมิทัศน์ของจักรวรรดิครีตัน
คาดว่าการประชุมราชการลับสุดเคร่งเครียด อาจจะเกี่ยวกับ ‘สงคราม’
เพียงแต่เป็นการทำสงครามแบบตั้งรับ

ความสงสัยและความห่วงใยเกาะกุมจิตใจของเธเซียสขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากเขากำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในวันหน้า และมิเข้าใจความคิดของบุรุษผู้สูงศักดิ์สักเท่าใด
แต่กระนั้นความคิดทุกอย่างกลับหลุดลอย
เมื่อสุรเสียงทุ้มนุ่มกำลังเปล่งวาจา

“เราค้นพบแล้วว่า..”
“…”

“เราชอบที่เจ้าเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเสด็จลงจากบันไดทีละขั้นอย่างระมัดระวัง เมื่อพระองค์กำลังโอบอุ้มยอดดวงใจเอาไว้
“ชอบที่เจ้าเป็นคนมุทะลุ”

“…” สิ้นวาจาราวกับบอกรัก วงแขนของเธเซียสกลับโอบรอบลำพระศอให้แน่นขึ้น ขณะที่ข้างแก้มกลับแนบเข้าหาดวงพักตร์ของอีกฝ่ายเพื่อต้องการปกปิดความเก้อเขิน และปลดปล่อยความรู้สึกหนักอกให้ปลิดปลิวไปตามสายลม
“ชอบที่เจ้าเป็นคนช่างสังเกตและช่างเจรจา” สุรเสียงทุ้มนุ่มยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับฝ่าพระบาทที่กำลังเหยียบย่างลงบนเสาหินซึ่งเชื่อมกับตัวบ้านที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางลำน้ำ ส่งผลให้เงาสะท้อนภายใต้ผิวน้ำปรากฏอย่างเด่นชัด เนื่องจากแสงจากคบไฟสาดส่องมายังบริเวณดังกล่าว เจ้าชายมิโนสจึงรับรู้ได้ว่า..
บุรุษในดวงใจของพระองค์กำลังเก้อเขินมากเพียงใด

“ชอบที่เจ้ามีจิตใจแข็งแกร่ง แต่กลับแฝงความอ่อนโยนและอ่อนไหว จนทำให้เรารู้สึกอยากปกป้องมากกว่าจะทำลาย”
“...” สิ้นคำกล่าวจากบุรุษผู้สูงศักดิ์ ริมฝีปากของเธเซียสกลับวาดเป็นรอยยิ้มอย่างน่ามอง ส่งผลให้บุรุษที่แอบปรายดวงเนตรมองผิวน้ำมิอาจกลั้นยิ้มได้อีกต่อไป

“ทุกเพลาที่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง เรารู้สึกเหมือนกับว่า เราได้วัยเยาว์ของตัวเองคืนกลับมา” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางมอบอิสระให้แก่เธเซียสเมื่อก้าวเดินมาจนถึงตัวบ้าน แต่กระนั้นฝ่าพระหัตถ์กลับกอบกุมข้อมือทั้งสองของบุรุษในดวงใจ
พลางเอ่ยวาจาอันลึกซึ้งที่แฝงความนัยว่า..
พระองค์กำลังมีความสุข

“เราได้ยินเสียงอัส” บุรุษผู้สูงศักดิ์ปล่อยมือจากเธเซียสพลางก้าวเดินไปยังริมระเบียง จากนั้นพระองค์ก็ตัดขาดจากทุกสรรพสิ่ง คล้ายกับความคิดกำลังจมจ่อมอยู่กับการหาทางออก
หรือบางทีพระองค์อาจจะกำลังสื่อสารกับอัสผ่านทางกระแสเสียงที่มิอาจได้ยิน

ทว่าไม่นานจากนั้นเสียงสาดกระเซ็นของลำน้ำก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้าชายมิโนสกระโจนเข้าหาความเย็นฉ่ำ เธเซียสจึงก้าวเดินไปยังบริเวณดังกล่าว ซึ่งมันก็พอดีกับช่วงเวลาที่ร่างของเจ้าชายมิโนสกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน เพียงแต่มันมิได้น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเธเซียส เหตุเพราะเขากำลังมองเห็นบุรุษในดวงใจดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน
หยดน้ำตาของเธเซียสจึงร่วงหล่นลงสู่หลังมือที่กำลังเกาะราวระเบียงอย่างแนบแน่น

“พระองค์” ริมฝีปากของเธเซียสขยับไหวคล้ายกับไม่เป็นคำ ขณะที่สมองกลับมิรู้จะสรรหาคำพูดใด เพื่อปัดเป่าความปวดร้าวให้กับบุรุษตรงหน้าที่เส้นเลือดกำลังปูดโปน พร้อมกับร่างกายที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ อีกทั้งใบหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมิโนทอร์จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นเรือนร่างอัปลักษณ์ก็เหยีบย่างเข้ามาหาเธเซียส พร้อมก้มลงจุมพิตฝ่ามือของบุรุษในดวงใจ ราวกับต้องการปลอบประโลมมิให้ร่ำไห้ และเข้าใจความรู้สึกของเธเซียสเป็นอย่างดี
เพราะเหตุการณ์เมื่อสักครู่ก็มิต่างกับช่วงเวลาที่พระองค์รู้สึกเสียพระทัยที่มิอาจปกป้องยอดดวงใจจากการถูกลอบสังหาร

“รักษาตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยกหลังมือขึ้นเช็ดใบหน้าพลางแย้มยิ้มให้กับมหาบุรุษแห่งครีตัน พร้อมกอบกุมฝ่ามืออันใหญ่ยักษ์ที่มิได้เนียนนุ่ม จากนั้นเจ้าชายมิโนสในคราบของมิโนทอร์ก็ดำดิ่งลงสู่กระแสธารอันเงียบสงบ
ขณะที่เธเซียสกลับทรุดกายพิงราวระเบียงด้วยความกังวลใจ และหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับข้าศึกที่แฝงกายเข้ามายังอาณาเขตของจักรวรรดิครีตัน
เนื่องจากเขายังจดจำภาพแห่งช่วงเวลาของการคืนกลับสู่สถานะเดิมได้เป็นอย่างดี

“กรรรรรรรรรรรร!”

ทว่าสุ้มเสียงทรงอำนาจของมหาบุรุษแห่งครีตันกลับดังก้องอยู่มิไกลจากฐานทัพลับแห่งนี้ เธเซียสจึงหยัดยืนขึ้นพลางเงี่ยหูฟังอย่างยากลำบาก กระทั่งได้ยินสุ้มเสียงข่มขู่ดังลอยลมมาอีกระลอก บุรุษจากต่างแดนจึงมิรอช้ารีบคว้าคบไฟในตัวบ้าน แล้วมุ่งตรงไปยังหอสังเกตการณ์ด้วยความรีบร้อนจึงก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้น หรือถ้าหากมิทันใจเธเซียสก็แทบจะก้าวทีเดียวถึงสามขั้น และมันก็ทำให้เขาเกือบจะพลัดตก แต่ยังดีที่เกาะขอบบันไดเอาไว้ได้ ทว่าคบไฟกลับหล่นลงสู่ผืนน้ำจนมอดดับ
เธเซียสจึงตะเกียกตะกายขึ้นสู่บันไดอันลาดชันอย่างยากลำบาก แต่ก็มิได้ย่อท้อเนื่องจากเขาอยากจะขึ้นไปสังเกตการณ์บนยอดเขา ว่ามันเป็นอย่างที่คิดจริงหรือไม่ ยิ่งเสียงขู่คำรามของมิโนทอร์ดังถี่ในระยะใกล้มากเท่าใด ความพยายามของเธเซียสก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เหตุเพราะเขากำลังหวั่นเกรงว่า..
คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอาจจะเป็นกลุ่มคนจากไมซีเนียน

φ

อิอิ เพิ่งเห็นคอมเมนต์ด้านบน เราจะพยายามงัดตัวเองออกมาจากวังวนของซีรีย์ให้ได้ค่า ฮือออ
จะพยายามอย่างสุดความสามารถ T[]T
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 37 φ หน้า 2 (update 18/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 23-07-2019 16:20:55
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 37 φ หน้า 2 (update 18/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 23-07-2019 19:47:26
นักเขียนหาข้อมูลในการเขียนเยอะมาก เนื้อเรื่องก็สนุก เป็นกำลัใจให้นะคะ ตามมาจากเรื่องในป่าสนเลยละ สุดยอด
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 38-39 φ หน้า 3 (update 16/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 16-09-2019 18:40:30
ตอน 38

กลไกจากธรรมชาติมิเคยทำให้เธเซียสรู้สึกหัวเสียมากมายถึงเพียงนี้ เนื่องจากม่านหมอกถือเป็นปราการสำคัญในการป้องกันฐานทัพลับภายใต้อาณาเขตของหุบเขาสมาเรีย แต่ทว่ามันกลับบดบังทัศนวิสัยแห่งการมองเห็น ความร้อนรนจึงปกคลุมไปทั่วดวงใจของบุรุษจากต่างแดน แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมองเห็นแสงสีเหลืองนวลอันริบหรี่จากคบไฟ บ่งบอกถึงตำแหน่งที่ตั้งของสงครามขนาดย่อมที่ซุกซ่อนตัวอยู่ภายใต้กระไอสีขาวโพลน ทว่าความหวาดกลัวของเธเซียสกลับได้รับการยืนยันจากภาษาพื้นเมืองของชาวไมซีเนียนที่เริ่มปลิดปลิวไปตามกระแสลม

“เจ้าชายมิโนส ?”
“มิโนทอร์คือเจ้าชายมิโนส !!”

“เจ้าชายมิโนสเป็นสัตว์ประหลาด !!” ถ้อยคำจำกัดความจากเหล่าทหารไมซีเนียน คล้ายกับเปลวเพลิงโหมกระหน่ำที่ถูกสายลมพัดพาให้ลุกลาม หัวใจของเธเซียสจึงถูกเผาไหม้จนเจ็บปวด เพราะสถานการณ์ดังกล่าวมิต้องคาดเดาก็ล่วงรู้ว่า
ความลับของจักรวรรดิครีตันกำลังถูกเปิดเผย

“โจมตี!!” สิ้นถ้อยคำเผด็จการ เธเซียสก็รีบวิ่งลงจากหอสังเกตการณ์ด้วยความร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังช้ากว่าใจนึก เหตุเพราะม่านหมอกอันเป็นอุปสรรคกำลังขัดขวางการมองเห็น ขณะที่หัวใจกำลังถูกบีบคั้นจากมือที่มองไม่เห็น ความหวาดกลัวและความห่วงใยจึงผสมปนเปจนแทบแยกมิออก กระทั่งก้าวเดินมาจนถึงห้องแห่งการว่าราชการลับ บุรุษจากต่างแดนจึงร้องเรียกอดีตสหายสนิท ขณะที่สองขายังคงก้าวเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของทหารครีตัน
“เจ้าสร้างความโกลาหลมากมายถึงเพียงนี้ มีเรื่องอันใด ?” เคออสเอ่ยถามพร้อมยืนกอดอกและไขว้เท้าพิงช่องหินที่มีลักษณะคล้ายกับทางเข้าที่พัก ขณะที่สีหน้ายังคงยับย่นบ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปนานแล้ว
เพลานี้จึงมิค่อยสบอารมณ์สักเท่าใด

“เจ้าชายมิโนสกำลังตกอยู่ในอันตราย..” เธเซียสกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วก็นิ่งเงียบไปราวกับพูดมิออก เมื่อสายตาเย็นชาของเคออสกำลังจับจ้องมาด้วยความกดดัน
“เจ้า.. สั่งการให้ทหารสักกลุ่มติดตามข้าได้หรือไม่ ?” บุรุษจากต่างแดนเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว เพราะเขากำลังหวาดกลัวในคำตอบและเป็นกังวลต่อการตัดสินใจของตนเอง
เนื่องจากการปรากฏตัวในครานี้
มิต่างกับการแสดงตัวในสถานะ ‘กบฏ’

“สงครามครานี้ มิมีสิ่งใดต้องเป็นกังวล เจ้ากลับไปรอพระองค์ที่บ้านเสียเถิด” เคออสกล่าวพลางตบลาดไหล่ของเธเซียสอยู่สองสามที จากนั้นก็ผละตัวกลับไปยังที่พัก ขณะที่เธเซียสกลับยืนแน่นิ่งด้วยความคิดมิตก
เนื่องจากคำพูดของเคออสคล้ายกับบอกกลาย ๆ ว่า..
สงครามในครานี้อาจเกิดจากความตั้งใจ

“เช่นนั้นการเปิดเผยความลับก็อาจเกิดจากความตั้งใจอย่างนั้นหรือ ?” เธเซียสขบคิดพลางก้าวเดินไปยังกระท่อมหลังเล็กใจกลางลำน้ำด้วยความใจเย็น เนื่องจากคำพูดของเคออสสามารถฉุดรั้งสติอันกระจัดกระจายให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียว และมันก็ทำให้เธเซียสมองเห็นอะไรบางอย่างได้ชัดเจนขึ้น เพราะเดิมทีการปรากฏกายของมหาบุรุษแห่งครีตัน มีขึ้นเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมือง หากสถานการณ์ยังมิน่าไว้วางใจเจ้าชายมิโนสก็ยังต้องอยู่ภายใต้คราบของมิโนทอร์
แต่หากการแปลงกายเกิดจากความมิมั่นคงในจิตใจ
มิแน่ว่าอาจจะเกิดการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงโดยมิได้ตั้งใจ 

“ยากจะเข้าใจนัก” เธเซียสถอนหายใจก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยความจนปัญญาที่จะไขปริศนา เนื่องจากสถานการณ์แห่งความเป็นจริง มิว่ามองอย่างไรก็ดูขัดแย้งกับคำพูดของเคออส แต่กระนั้นก็มิได้ทำให้เธเซียสเป็นกังวลจนทำอันใดมิถูก เหตุเพราะพฤติกรรมของอดีตสหายสนิทมิได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจต่อสงครามขนาดย่อมในครานี้ ทั้ง ๆ ที่ครั้งหนึ่งบุรุษผู้เหี้ยมโหดเคยเป็นตัวตั้งตัวตีในการกำจัดไส้ศึก
ดังนั้นคำพูดของเขาคงมิใช่คำลวง
เพียงแต่เป็นความคิดของเจ้าชายมิโนสเสียมากกว่าที่ยากจะเข้าใจ

บุรุษจากต่างแดนก้าวเดินไปตามแท่งหินที่โรยตัวเป็นเส้นทางเข้าสู่กระท่อมกลางน้ำ จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งยองพลางมองจ้องผิวน้ำที่ปรากฏใบหน้าของตนเองแน่นิ่ง พบว่าหัวคิ้วพันผูกจนยุ่งเหยิงบ่งบอกถึงความกังวลในส่วนลึก เธเซียสจึงก้าวเดินไปมาราวกับคนนั่งมิติดที่ โชคยังดีที่แสงจากคบไฟบนตัวบ้านสาดส่องมาจนถึงบริเวณดังกล่าว มิเช่นนั้นกระไอหมอกอาจทำให้พลาดท่าเสียทีจนพลัดตกน้ำ
จนแล้วจนรอดความลนลานห่วงใยก็ยังคงมิจางหาย เธเซียสจึงมุ่งหน้าไปยังเรือลำหนึ่งที่จอดเทียบท่าอยู่ตรงริมฝั่ง พลางแก้ปมเชือกที่ผูกรั้งลำเรือด้วยความรีบร้อน ทว่าเสี้ยวหนึ่งของความคิดกลับทำให้จังหวะการเคลื่อนไหวเริ่มล่าช้า เนื่องจากการเดินทางของตนเองในครานี้ อาจสร้างความยากลำบากให้กับ ‘แผนการ’ ของเจ้าชายมิโนส
แต่หากวางเฉยก็มิรู้ว่ามหาบุรุษแห่งครีตันจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่

“พระองค์คิดจะทำสิ่งใดกันแน่” ทว่าท้ายที่สุดความกังวลใจในส่วนลึกก็ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นคำพูด เนื่องจากการกระทำของอีกฝ่ายมีความแน่ชัดว่าจะเกี่ยวข้องกับอาณาจักรไมซีเนียน
เพียงแต่เธเซียสมิมั่นใจว่า มันจะลุกลามจนสร้างความโกลาหลมากสักเพียงใด
ดังนั้นเพลานี้จุดยืนของเขา ควรจะเป็นจุดเดิมอยู่หรือไม่ ?

“แต่ถึงอย่างไร สงครามก็มิมีวันหลีกเลี่ยงได้มิใช่หรือ..” บุรุษจากต่างแดนทิ้งตัวลงนั่งบนลำเรือพลางครุ่นคิดอย่างใจลอย กระทั่งกระแสน้ำนำพาให้ม่านตามองเห็นห้องแห่งการว่าราชการลับ ความคิดอันกระจัดกระจายจึงถูกรวบรวมเป็นหนึ่ง เนื่องจากเธเซียสยังคงจดจำได้ดีว่าเจ้าชายมิโนสทรงวางแผนการรบแบบตั้งรับ
ดังนั้น ‘จุดยืน’ มิจำเป็นต้องแปรเปลี่ยน
เหตุเพราะการตัดสินพระทัย ยังคงห่วงใยความรู้สึกของยอดดวงใจ

“เธเซียสเรากลับมาแล้ว..” สุรเสียงทุ้มนุ่มดังข้างใบหู จึงทำให้บุรุษผู้ใจลอยเบนความสนใจมายังเจ้าของประโยคดังกล่าว ดวงตาของเธเซียสจึงมองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดลาดไหล่ที่เต็มไปด้วยหยดน้ำพร่างพราย
“เราปลอดภัยดี มิต้องเป็นห่วง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงแสนอบอุ่น พลางแย้มโอษฐ์เพียงนิดคล้ายกับต้องการย้ำชัด ขณะที่พระหัตถ์ก็ทำหน้าที่ผลักไสลำเรือของเธเซียสให้มุ่งตรงไปยังกระท่อมกลางน้ำที่อยู่มิไกลจากบริเวณนี้ ทว่าเธเซียสกลับนิ่งงันคล้ายตั้งใจฟังเสียงน้ำซ่านกระเซ็นและเสียงหวีดร้องของแมลงกลางคืน

“หัวคิ้วของเจ้า ใกล้จะผูกเป็นเงื่อนตายแล้วกระมัง” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสหยอกเย้า พร้อมช่วยคลายหว่างคิ้วให้บุรุษในดวงใจ
“ทรงบาดเจ็บกลับมา ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามขณะที่สีหน้าและแววตาฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าทราบได้อย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสย้อนถามอย่างมิคิดปฏิเสธ
“เมื่อพระองค์บาดเจ็บมักจะทำราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางมองจ้องไปยังดวงเนตรลึกล้ำ

“เรามีเพียงบาดแผลตรงกลางหลังเท่านั้น เกิดจากความพลาดพลั้งของเราเอง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางขยับวรกายเพียงนิด เพื่อให้เธเซียสมองเห็นบาดแผลที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ผิวน้ำ ซึ่งมีความยาวมาจนถึงลาดไหล่
“พลาดพลั้งอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามพลางแตะปลายนิ้วลงบนผิวเนื้อของอีกฝ่ายโดยระมัดระวังมิให้กระทบบาดแผล

“พลาดพลั้งตรงที่ ร่างกายของเรากลับคืนสู่สถานะเดิมโดยมิรู้ตัว” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนสปลายนิ้วของเธเซียสก็สัมผัสโดนบาดแผลอย่างมิตั้งใจ ส่งผลให้อีกฝ่ายสะดุ้งวรกายเพียงนิด ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับยอดดวงใจของพระองค์
“เจ้าอย่าห่วงเลย ทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไข” เจ้าชายมิโนสตรัสราวกับต้องการปลอบขวัญ พร้อมมอบจุมพิตบางเบาให้กับบุรุษตรงหน้าที่จิตใจกำลังล่องลอย เนื่องจากดำรัสดังกล่าวบ่งบอกได้ว่า การเปิดเผย ‘ความลับ’ มิใช่ความตั้งใจ แต่เป็นความพลาดพลั้ง ถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่า ‘แผนการ’ บางอย่างมิเคยเกิดขึ้น
ดังนั้นความได้เปรียบที่จักรวรรดิครีตันเคยมี..
อาจกลายเป็นศูนย์

นับแต่นั้นจิตใจของเธเซียสก็เริ่มมิอยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงก้าวเดินมายังตัวบ้านและนั่งทำแผลให้กับบุรุษผู้สูงศักดิ์ด้วยความใจลอย ยิ่งบรรยากาศเงียบเชียบรายล้อมรอบกาย
ความคิดอันกระจัดกระจายจึงยิ่งโบยบินราวกับฝูงผึ้งแตกรัง

“ตั้งแต่เราต้องคำสาปจนกลายเป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน มิเคยมีผู้ใดเฝ้ารอเราด้วยท่าทีเป็นกังวลเช่นเจ้า และมิเคยมีผู้ใดแสดงสีหน้าเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าเราบาดเจ็บ” แต่แล้วดำรัสอ้างว้างของเจ้าชายมิโนสก็นำพาให้จิตใจเลื่อนลอยสถิตอยู่กับผู้เป็นเจ้าของ
“เจ้ายังคงเป็นวัยเยาว์ของเราเสมอ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ แต่ทว่าเธเซียสยังคงมองเห็น ‘ความสุข’ พาดผ่านพระฉายา อันเปื้อนยิ้มที่ฉายอยู่บนกำแพงไม้สะท้อนแสงจากคบไฟอันริบหรี่

“เรายังจำได้ว่าตอนที่อยู่บนเกาะแห่งไฟ เราค่อนข้างซุกซน ชอบเที่ยวเล่นไปทั่วโรงผลิตลาเบิน และยังชอบซ่อนกายกลั่นแกล้งพระพี่เลี้ยง จนกระทั่งเผลอหลับอยู่หลายครา แต่ก็มิมีคราใดที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ มิได้เฝ้ารอการกลับมาของเรา” บุรุษผู้มีเกศาราวกับระลอกคลื่นปกคลุมบาดแผลจนมิดชิด ตรัสด้วยดวงพักตร์เปื้อนยิ้ม พลางก้าวเดินอย่างเชื่องช้าและเอนพิงวรกายกับขอบระเบียงที่เปิดรับสายลมโชยแผ่วในยามราตรี
“เหตุใดเจ้าถึงยอมรับความเป็นเราได้ทุกด้าน.. ช่างใจกว้างเสียจริง” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางทอดพระเนตรมายังเธเซียส ส่งผลให้ดวงตาสบประสานโดยมิได้ตั้งใจ

“คงจะเป็นเหตุผลเดียวกับพระองค์ที่ยอมเชื่อใจกระหม่อมในสถานะไส้ศึกกระมัง” เธเซียสกล่าวพลางเดินไปพิงขอบระเบียงอีกด้าน พร้อมมองจ้องไปยังเบื้องหน้าที่ถูกปกคลุมด้วยกระไอหมอกสีขาวโพลน จนทำให้พื้นไม้ด้านนอกเปียกชื้น
“แต่สำหรับกระหม่อม ผู้ที่ใจกว้างดุจมหาสมุทรคือพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าเยินยอเราเกินไปกระมัง” บุรุษผู้สูงศักดิ์แสดงตนอยู่ตรงหน้าเธเซียส พร้อมโต้แย้งอย่างมิเห็นด้วย
“กระหม่อมมิเคยโป้ปดและมิเคยเยินยอผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสแก้ต่างพลางแย้มยิ้มเพียงนิด
พร้อมละเว้นคำบางคำไว้ในใจว่า..
‘ถ้าหากมิจำเป็น’

“พระองค์..” เมื่อต่างฝ่ายต่างมองจ้องกันแน่นิ่ง ท้ายที่สุดเธเซียสก็ทำลายความเงียบงันดังกล่าว
“หืม ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามในลำพระศอ พลางลูบไล้ข้างแก้มของบุรุษในดวงใจด้วยสัมผัสนุ่มนวล

“กระหม่อมตัดสินใจแล้ว ว่าจะรักษาวัยเยาว์ที่อยู่ปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่มิขอเปิดเผยข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับบ้านเมืองของกระหม่อม” เธเซียสกล่าวราวกับให้คำมั่นสัญญา พร้อมชี้แจงจุดยืนอย่างชัดแจ้ง
“เช่นนั้นก็นับว่ายุติธรรมแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสพร้อมจุมพิตริมฝีปากของอีกผู้ที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า พลางเย้าหยอกอย่างเพลิดเพลิน ขณะที่เธเซียสก็เริ่มเคลิบเคลิ้ม สองมือที่เคยแน่นิ่งอยู่ข้างลำตัว จึงโอบกอดบุรุษตรงหน้าและลูบไล้ด้วยความหวามไหว
เมื่ออารมณ์บางอย่างกำลังพุ่งสูง

สองเท้าจึงถอยร่นไปยังด้านหลัง ขณะที่ริมฝีปากยังคงแลกสัมผัสมิว่างเว้น กระทั่งแผ่นหลังแนบลงบนพรมขนสัตว์ เส้นผมสีรัตติกาลที่เริ่มยาวประบ่าก็แผ่สยายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้เจ้าชายมิโนสเฝ้าดอมดมตั้งแต่ปลายเส้นผมจวบจนข้างแก้ม ก่อนจะย้ายมายังดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทราย และปิดท้ายด้วยการจุมพิตปลายจมูกเชิดรั้น
ทว่าความวาบหวามกลับบังเกิด เมื่อเจ้าชายมิโนสลากไล้ชิวหาลงบนผิวเนื้ออันเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมมีด ส่งผลให้เธเซียสบิดเร้ากายราวกับเจ้าตัวกำลังหลอมละลาย แต่กระนั้นสองแขนของผู้ถูกรุกรานยังคงโอบกอดบุรุษสูงศักดิ์คล้ายกับต้องการหลอมรวมเป็นหนึ่ง มหาบุรุษแห่งครีตันจึงมิรอช้าที่จะปรนเปรอร่างข้างใต้ให้สมปรารถนา
เธเซียสจึงรู้สึกมิต่างกับร่างกายกำลังถูกเปลวไฟแผดเผากระทั่งลุกลามจนถ้วนทั่ว
จากนั้นเบื้องล่างเปล่าเปลือยก็เริ่มปลดปล่อยหยาดหยดแห่งความสุขสม

ความเก้อเขินระหว่างกันจึงเริ่มทวีคูณ เจ้าชายมิโนสจึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าว ผละวรกายออกห่างจากยอดดวงใจ เพื่อนำสิ่งจำเป็นสำหรับกามกิจมาสานต่อ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเห็นทีจะหนีมิพ้น น้ำมันมะกอก และถุงอนามัยที่ทำจากผ้าลินิน เพียงแต่เธเซียสมิเคยต้องสวมใส่เพื่อกิจกรรมดังกล่าว แต่กลับต้องสวมใส่ขณะใช้ชีวิตร่วมกับกองคาราวานในอียิปต์
เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษ เช่น งู และ แมงป่อง

“เจ้าชายมิโนสพ่ะย่ะค่ะ”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

สุ้มเสียงร้อนรนของทหารนายหนึ่งดังขึ้นพร้อมจังหวะย่ำเท้า ส่งผลให้สองบุรุษภายในกระท่อมใจกลางน้ำจำต้องผละกายออกจากกัน โดยฝ่ายหนึ่งเดินออกไปยังด้านนอกเพื่อรับหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งจำต้องสวมอาภรณ์ให้รัดกุม 
แม้ร่างกายจะยังคงร้อนรุ่มจากเหตุการณ์เมื่อครู่

“เจ้าหญิงแอริแอดเนและมือสังหารพากันหนีไปยังอาณาจักรไมซีเนียนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว จังหวะการก้าวเดินของเธเซียสก็มีอันต้องหยุดชะงัก ขณะที่สมองกำลังประมวลผลคำจำกัดความของ ‘มือสังหาร’ อย่างถี่ถ้วน
“ไกจีสกับเจ้าหญิงแอริแอดเน ?”

“สงคราม..” เธเซียสครุ่นคิดได้เพียงแค่นั้นก็มิกล้าจะคิดต่อ เพราะสิ่งที่เคยหวาดกลัวเกี่ยวกับเจ้าหญิงพระองค์นี้กำลังจะกลายเป็นจริง เนื่องจากความแค้นมิมีวันชำระล้างได้หมดสิ้น หากใจยังมิคิดปล่อยวาง
ดังนั้นคำตอบของเหตุการณ์นี้จึงชัดแจ้งในจิตใจ
เพราะเรื่องทั้งหมดล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน

φ


[1] พระฉายา แปลว่า เงา


บทความที่เกี่ยวข้อง
- ถุงยางอนามัยสมัยโบราณ
http://bit.ly/2kih5JS / http://bit.ly/2lS2KnB
- การคุมกำเนิดสมัยโบราณ http://bit.ly/2khLJ66
- เรื่องจริงทะลุโลก http://bit.ly/2kdry9g
- ประวัติเจลหล่อลื่น http://bit.ly/2lIsvqx

กลับมาแล้วค่ะทุกคนนนนน  ห่างหายจากการเขียนนิยายไปนานมาก และการติดซีรีส์ก็เป็นปัญหามากจริงๆ T[]T  กว่าจะต่ออารมณ์เกี่ยวกับนิยายของตัวเองติด เล่นเอาเครียดไปหลายวัน ต้องขอโทษทุกคนที่ทำให้รอนานและหายไปแบบไม่บอกกล่าวเลย  ถ้าหากอ่านแล้วไม่สมูธหรือติดขัดอะไรตรงไหนบอกได้เลยนะคะ  เพราะตอนนี้เราเหมือนมือใหม่หัดเขียนเลยค่ะ  ยังไงช่วยกันคอมเมนต์บอกเราทีนะคะว่ามันโอเคหรือยัง
สำหรับตอนนี้แอบใส่เรื่องเกี่ยวกับถุงยางอนามัยลงไปด้วย เราว่ามันน่าสนใจดีค่ะ เพราะปกติเวลาอ่านนิยายแนวนี้จะไม่มีใครพูดถึงเลย  ซึ่งสมัยอียิปต์โบราณก็มีการคุมกำเนิดด้วยการฝังยาสมุนไพรไว้ตามร่างกาย หรือการใช้กระเพาะปัสสาวะของแพะเป็นถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงค่ะ ส่วนผู้ชายเราเจอข้อมูลอยู่สองอย่างค่ะ อย่างแรกคือมีการใช้ถุงยางที่ทำจากผ้าลินิน  ซึ่งเจ้าถุงยางตัวนี้ไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงแค่คุมกำเนิดหรือป้องกันโรคเท่านั้น  แต่ทางอียิปต์ยังใช้สำหรับป้องกันสัตว์มีพิษด้วยค่ะ  แต่บางแหล่งก็บอกว่าชาวอียิปต์และชาวกรีกโบราณจะใช้ผ้าขาวม้าที่นุ่งห่ม  พันรัดส่วนนั้นเวลาทำกามกิจ ส่วนเจลหล่อลื่นก็อ้างอิงตามบทความเลยค่ะ  ชาวกรีกโบราณใช้น้ำมันมะกอกเพื่อการนี้

ปล. ขอขายตรงหน่อยจ้า เรากำลังจะมีนิยายเรื่องใหม่วางขายแล้วค่า ออกที่งานสัปดาห์หนังสือที่ใกล้จะถึงนี้ค่ะ ชื่อเรื่องในป่าสนยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ
https://imgur.com/XhG6Y4C
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 38-39 φ หน้า 3 (update 16/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 16-09-2019 18:45:12
ตอน 39

หลังจากส่งสารแจ้งความประสงค์ถึงนางกำนัลและนายทหารประจำเกาะเอลาโฟนิสิที่หนีรอดจากการช่วงชิงพื้นที่อันเป็นจุดบอดของจักรวรรดิครีตันเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายมิโนสก็เร่งเดินทางไปยังพระราชวังนอสซัส เพื่อเตรียมสอบสวนที่มาที่ไปของเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนวานอย่างละเอียด เพลานี้ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงมารวมตัวกันภายในห้องโถงใหญ่ โดยมีองค์ราชินีปาซิฟาอีประทับอยู่บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าภาพวาดเฟรสโกลวดลายกริฟฟินสองตนกำลังนั่งหมอบอยู่กับพื้นท่ามกลางทุ่งดอกลิลลี่ พร้อมหันหน้าเข้าหาผู้ครองนครอย่างเคารพนบนอบ
แต่กระนั้นก็ยังแฝงความหยิ่งยโส

“ทูลองค์ราชินีและเจ้าชายมิโนส เจ้าหญิงแอริแอดเนให้ความช่วยเหลือบุรุษแปลกหน้ามาระยะหนึ่งแล้วเพคะ” นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติรับใช้เจ้าหญิงแอริแอดเนกล่าว
“กระหม่อมจำได้ว่าบุรุษผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงมาขอความช่วยเหลือตอนช่วงเทศกาลล่าสัตว์พ่ะย่ะค่ะ” ทหารนายหนึ่งกล่าวเสริม และมันก็ทำให้เธเซียสมองเห็นช่องโหว่บางอย่าง เนื่องจากวันที่ไกจีสเปิดศึกสงครามเพื่อหวังจะสังหาร ‘กบฏ’ แห่งไมซีเนียน วิถีลูกศรของทหารครีตันคล้ายกวาดต้อนให้บุรุษผู้นั้นมุ่งหน้าไปยังเกาะเอลาโฟนิสิ

“แล้วอย่างไร เหตุใดจึงต้องทำอ้ำอึ้ง ?” หลังจากห้องโถงถูกปกคลุมด้วยความเงียบงัน พระราชินีปาซิฟาอีจึงตรัสถามอย่างเร่งเร้า
“ทูลองค์ราชินี บุรุษผู้นั้นรับรู้ถึงความเจ็บปวดในพระหทัยของเจ้าหญิง จึงปลุกความปรารถนาในส่วนลึกของพระนางอย่างแนบเนียนเพคะ” คำตอบของนางกำนัลผู้นี้มิได้ทำให้ทุกผู้ประหลาดใจ เนื่องจากการเนรเทศเจ้าหญิงแอริแอดเนมิได้เป็นไปอย่างเงียบเชียบ ดังนั้นข่าวสารจะแพร่สะพัดไปยังแคว้นต่าง ๆ ก็มิใช่เรื่องแปลก และคำให้การดังกล่าวยังบ่งบอกอีกว่า ‘ไกจีส’ อาจแฝงกายเข้ามายังครีตันเป็นเพลากว่าหนึ่งเดือน
ฉะนั้นการเข้าหาเจ้าหญิงแอริแอดเนในครานี้..
อาจเป็นความตั้งใจของ ‘เจ้าชายมิโนส’ และจาก ‘ทหารไมซีเนียน’

“แนบเนียนอย่างไร ?” องค์ราชินียังคงตรัสถามด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง มิต่างกับท่าทีของเจ้าชายมิโนส
“เขาทูลเจ้าหญิงว่าหากที่นี่มิมีผู้ใดต้องการ มิสู้จากไปยังที่ที่เต็มไปด้วยความเคารพยกย่องมิดีกว่าหรือ..” สิ้นวาจาจากนางกำนัล ทั่วทั้งบริเวณพลันเงียบสงัด เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวถือเป็นเรื่องส่วนพระองค์ และมีเพียงไม่กี่ผู้ที่ล่วงรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ เพราะถึงอย่างไรการเนรเทศก็บอกรายละเอียดเพียงแค่..
เจ้าหญิงแอริแอดเนก่อกบฏร่วมกับบุรุษจากเอเธนส์ด้วยการสังหารเจ้าชายมิโนส 
แต่กระนั้นก็มิใช่เรื่องยากต่อการตีความ

“เช่นนั้นเป้าหมายของทั้งคู่..” พระราชินีปาซิฟาอีตรัสโดยมิจบประโยค คล้ายกับพระนางมิกล้าเอื้อนเอ่ยจุดประสงค์บางอย่างด้วยองค์เอง
“การล่มสลายของจักรวรรดิครีตันพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อนางกำนัลร่างเล็กมิยอมทูลตอบ ทหารกล้าเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือรอดจากเกาะเอลาโฟนิสิจึงต้องทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ทว่าหัวใจกลับหนักอึ้ง

“เสด็จแม่!” เจ้าชายมิโนสตะโกนก้องพลางขยับไปประคององค์ราชินีที่เป็นลมล้มพับไปต่อหน้า ส่งผลให้ภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเธเซียสก็เข้าใจปฏิกิริยาดังกล่าวของสตรีสูงศักดิ์เป็นอย่างดี
เนื่องจากสาเหตุของปัญหา..
ล้วนเกิดจากพระนาง จะมิให้กลัดกลุ้มได้อย่างไร

หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น เธเซียสก็เดินครุ่นคิดใจลอยมาจนถึงห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส บุรุษจากต่างแดนจึงก้าวเดินไปยังราวระเบียง เบื้องหน้าปรากฏภาพเกาะแห่งไฟที่มิมีม่านหมอกปกคลุม เนื่องจากวันเวลาเริ่มเคลื่อนคล้อย ขณะที่ในหัวยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับ ‘ช่องโหว่’ บางอย่าง ซึ่งจุดประสงค์ของเจ้าชายมิโนสดูมิชัดเจนนัก
แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า..
เหตุการณ์ทั้งหมดอาจเป็นการปูทางเพื่อชะล้างมลทินให้กับพระขนิษฐา

ส่วนเจตนาของไมซีเนียนมีความแน่ชัดแล้วว่า ต้องการดึงตัวเจ้าหญิงแอริแอดเนมาเข้าฝักฝ่าย เพราะล่วงรู้ความคับแค้นที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในส่วนลึกของพระหทัย ดังนั้นวาจาที่ไกจีสใช้เกลี้ยกล่อมย่อมมิใช่เรื่องผิวเผินที่ได้จากการตีความ
แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง จุดประสงค์ของเจ้าชายมิโนสย่อมถูกตีแตก
เหตุเพราะเจ้าหญิงผู้เลอโฉมคงมิมีวันให้ความร่วมมือ

“ผู้ที่ล่วงรู้ความลับในพระหทัยของเจ้าหญิงดีที่สุดมีเพียงเธซีอุส..”  เธเซียสวิเคราะห์พลางเดินกลับไปกลับมาตรงบริเวณระเบียง เนื่องจากการไขปริศนาในครานี้ อาจทำให้เธเซียสเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายมิโนส
และยังมองสภาพการณ์ในอนาคตได้ชัดเจนขึ้น

“แต่เธซีอุสตายไปแล้ว แน่นอนว่าคงมิได้ตาย โดยที่ก่อนหน้าไม่ได้ส่งข้อความใด ๆ กลับไป” บุรุษจากต่างแดนยังคงวิเคราะห์มิเลิกรา พร้อมกัดเล็บอย่างคิดมิตก
“ฉะนั้นการตายของเธซีอุส คงจะสร้างความเคียดแค้นให้กับเอเธนส์..” เธเซียสวิเคราะห์เป็นฉากๆ โดยมิลืมว่าสงครามในอดีตระหว่างจักรวรรดิครีตันและเอเธนส์ สร้างความวินาศสันตะโรมากแค่ไหน อีกทั้งการนำส่งเชลยศึกอย่างจำยอม อาจบดขยี้ความภาคภูมิใจของชาวเอเธนส์ก็เป็นได้ เนื่องจากแคว้นดังกล่าวถือเป็นแคว้นหนึ่งที่นำสมัยในด้านการปกครอง เนื่องจากพลเมืองทุกผู้มีสิทธิพูดและลงคะแนนเสียงหรือโต้แย้งปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างอาคารใหม่ วิธีการทำเกษตรแบบใหม่ หรือการลงมตินำรัฐเข้าสู่สงคราม
เพราะทุกผู้ต่างมีความเท่าเทียมกัน
ทว่าพอเกิดเรื่อง ‘ความนำสมัย’ กลับก้าวถอยหลัง

“ร่วมมือกัน” สิ้นความคิดสุดท้าย เธเซียสก็ถลาออกจากห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส เพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องปั้นดินเผา กระทั่งเดินทางมาจนถึงที่หมาย ความรู้สึกแรกคงหนีมิพ้นความวุ่นวายและกลิ่นอับชื้นจากดินเหนียวที่ลอยตลบอบอวนอยู่ข้างใน เหล่าอดีตเพื่อนร่วมงานเมื่อมองเห็นผู้มาใหม่ต่างทักทายด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ
เนื่องจากเพลานี้เธเซียสมิใช่เพียงช่างฝีมือกระจอกงอกง่อย
แต่กลับเป็นถึงราชองครักษ์ข้างวรกายของเจ้าชายมิโนส

“ข้าขอใช้แป้นหมุนสักครู่ได้หรือไม่ ?” เธเซียสเป็นฝ่ายเปิดประเด็น เพราะเขามีเวลามิมากแล้ว
“ย่อมได้ขอรับ” ช่างฝีมือรายหนึ่งกล่าวอย่างยำเกรง พลางเชื้อเชิญให้บุรุษจากต่างแดน มุ่งตรงไปยังแป้นหมุนสำหรับขึ้นรูปงานดินเผาที่อยู่ติดมุมหน้าต่าง จากนั้นบุรุษร่างกำยำอีกผู้ก็ยกภาชนะบรรจุดินเหนียวที่ผ่านการนวดด้วยการใช้เท้าเหยียบย่ำ เพื่อให้ดินกลายเป็นเนื้อเดียวกัน

เธเซียสหันซ้ายแลขวาครู่หนึ่ง จึงเดินไปยังมุมคุ้นเคย เพื่อโกยทรายใส่ภาชนะ ก่อนจะกลับมานั่งประจำที่และนำทรายดังกล่าวโรยบนแป้นหมุน เพื่อที่เนื้อดินจะได้มิติดแป้นไม้
จากนั้นจึงนำดินเหนียวก้อนหนึ่งวางบนแป้นไม้ แล้วยกแป้นไม้วางบนแป้นหมุน

“กำลังปั้นสิ่งใดหรือขอรับ ?” บุรุษร่างกำยำที่เธเซียสมิเคยเห็นหน้า คาดว่าคงจะเป็นช่างฝีมือหน้าใหม่เอ่ยถาม พลางออกแรงหมุนแป้นอย่างให้ความร่วมมือ เธเซียสจึงใช้สองมือประคองเนื้อดินให้เป็นรูปทรงตามต้องการ
“ระเบิดมือ” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางแย้มยิ้ม ขณะที่ดวงตายังคงจดจ่ออยู่กับการขึ้นรูปเครื่องปั้นดินเผาขนาดเล็ก โดยมีช่างฝีมือมากหน้าหลายตามองมาด้วยความสนใจ

“ระเบิดมือมิควรใช้เนื้อดินบางเรียบกว่านี้หรือขอรับ ?” หลังจากตัดภาชนะออกจากแป้นหมุน เธเซียสก็ตรวจตราผลงานของตนเองอย่างละเอียด ซึ่งรูปทรงของเครื่องปั้นดินเผาที่เรียกว่า ‘ระเบิดมือ’ มีรูปร่างมิแปลกตานัก เพราะเธเซียสวางต้นแบบมาจากโถแอมโฟร่าที่มีลักษณะก้นแหลม เพียงแต่มิมากเท่าต้นแบบ ขณะที่ส่วนกลางโค้งมนและมีปากภาชนะเป็นทรงแคบ
“บางเรียบก็ดูเข้าที” เธเซียสกล่าวพลางนำดินเหนียวปั้นเป็นก้อนพร้อมนวดคลึงเพียงครู่ ก่อนจะวางลงบนแป้นไม้ ขณะที่บุรุษผู้ช่วยเริ่มหมุนแป้นหินเพื่ออำนวยความสะดวกในการขึ้นรูป โดยครานี้เธเซียสพยายามสร้างระเบิดมือด้วยเนื้อดินที่บางเบามากขึ้น จากนั้นจึงนำสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวออกไปผึ่งแดดผึ่งลม เพื่อให้เนื้อดินแข็งตัวพอที่จะจับยกได้โดยมิเสียรูปทรง

“ข้าชื่อเธเซียส.. เจ้า..?” บุรุษจากต่างแดนทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำที่อยู่ด้านหลังของห้องใต้ดิน มิไกลจากห้องปั้นดินเผา ขณะที่ร่างสูงกำยำของบุรุษอีกผู้ก็ทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้าง โดยมิมีทีท่าหวาดกลัวสถานที่ดังกล่าว คาดว่าเขาคงจะเข้ามาใช้แรงงานเพียงมินาน จึงมิทันล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับห้องใต้ดินที่ผู้คนส่วนใหญ่มิอยากสัญจรผ่าน
“แคดมัสขอรับ” บุรุษหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อมมิแปรเปลี่ยน

“ข้าเองก็เคยเป็นช่างฝีมือเช่นเจ้า” เธเซียสเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับได้ใจความ
“อ้อ” ฝ่ายแคดมัสก็ดูเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี

“อีกมินานจะเกิดศึกสงครามหรือ ?” เมื่อความเงียบเริ่มปกคลุม แคดมัสจึงเป็นฝ่ายหยิบยกเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาสนทนา
“มิมีผู้ใดหยั่งรู้ได้” เธเซียสเอ่ยตอบเป็นการตัดบท เนื่องจากเขามิรู้ว่ายังมีไส้ศึกอื่นใดแอบแฝงอยู่หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงมิควรพูดอันใดให้มากความ

“เราตามหาเจ้าเสียทั่ว” แต่แล้วความเงียบงันระหว่างบุรุษแปลกหน้าก็พลันจางหาย เมื่อเจ้าชายมิโนสปรากฏองค์
“พระอาการขององค์ราชินีเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยืนขึ้นพลางปัดเศษดินที่แห้งติดผิวเนื้อครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินไปยังบุรุษสูงศักดิ์พร้อมเอ่ยถามเรื่องสำคัญ

“เสด็จแม่รู้สึกตัวแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงเหนื่อยล้า อาจเพราะหลายสิ่งหลายอย่างกำลังรุมเร้า หรือไม่ก็คงจะเป็นเพราะทุกอย่างมิเป็นไปตามหวัง
“เจ้าทำอันใดอยู่หรือ ?” สุรเสียงทุ้มนุ่มตรัสถามด้วยความใคร่รู้ พลางก้าวเดินไปยังชั้นไม้ริมกำแพงที่วางตั้งภาชนะรูปทรงต่าง ๆ ในที่ร่ม

“ระเบิดมือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางหยิบเครื่องปั้นดินเผาฝีมือตนเองส่งให้อีกฝ่าย
“การกระทำเช่นนี้ มิถือเป็นการบอกกล่าวข้อมูลเกี่ยวกับบ้านเมืองของเจ้าหรือ ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์เพ่งพิศ ‘วัตถุสงคราม’ อย่างสนพระทัย พลางตรัสถามราวกับเตือนสติ ฝ่ายเธเซียสจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบ เนื่องจากสิ่งที่เขากระทำมิได้มีความใกล้เคียงกับดำรัสดังกล่าว เหตุเพราะเธเซียสยังกุมความลับบางอย่างของไมซีเนียน
ดังนั้นหากเกิดศึกสงคราม เธเซียสขอวางใจเป็นกลาง และสู้รบกันอย่างยุติธรรมจะดีกว่า..
เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็คือบุคคลอันเป็นที่รัก

กระทั่งวันเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันที่ 3 ภาชนะดินเผาก็แห้งหมาด เธเซียสจึงนำเข้าเตาเผาที่มีลักษณะเป็นทรงกลม ด้านบนเป็นโดมโค้งมน มีช่องสำหรับใส่เชื้อเพลิง เพียงแต่การเรียงภาชนะจะต้องเรียงแบบสลับฟันปลา เพื่อประหยัดเนื้อที่และทำให้เครื่องปั้นโดนความร้อนอย่างทั่วถึง ซึ่งการเผาจะต้องใช้เวลาถึง 3 วัน โดยวันแรกจะเริ่มใส่เชื้อเพลิงทีละน้อย เพื่อให้เครื่องปั้นดินเผาค่อย ๆ ปรับตัว เนื่องจากการใช้ไฟแรงเกินไปจะทำให้ภาชนะเกิดความเสียหาย
ดังนั้นระหว่างที่กำลังเฝ้ารอภาชนะสำหรับบรรจุเชื้อเพลิงของ ‘ระเบิดมือ’ เสร็จสิ้น เธเซียสจึงเดินทางไปยังค่ายทหารท่ามกลางหุบเขา พร้อมเลือกใช้เส้นทางของเมืองใต้ดินที่เชื่อมกับตัวพระราชวังนอสซัส
โดยมีเคออสเป็นผู้นำทาง

“เจ้าจำแบบร่างอาวุธสงครามที่เราเคยวางไว้ในห้องหนังสือได้หรือไม่ ?” เมื่อมาถึงสุดปลายทางที่ต้องปีนป่ายขึ้นไปด้านบน สายตาของเธเซียสจึงสบกับร่างของเซอร์ซี จึงมิรอช้ารีบกล่าวเข้าเรื่องทันควัน
“ไฟสงครามหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เซอร์ซีเอ่ยถาม ฝ่ายเธเซียสจึงพยักหน้ารับ ขณะที่เคออสกลับมองคนทั้งคู่อย่างมิเข้าใจ

“เจ้ารีบเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม อีก 2 วันข้างหน้า เราจะทำการทดลอง” เธเซียสกล่าวด้วยมาดของเจ้าชายฮาเดรียน บ่งบอกถึงความจริงจังในส่วนลึก
“เจรจากันเล็กน้อยเพียงนี้ เหตุใดจึงมิใช้ผู้ส่งสาร ?” เคออสเอ่ยขัดอย่างเหลืออด อาจเพราะส่วนลึกต้องการทราบว่าบุรุษจากต่างแดนคิดจะทำสิ่งใด และไว้วางใจได้เพียงใด

“เรื่องสำคัญมิอาจไว้วางใจผู้ใด” เธเซียสตัดบทพลางแยกทางกับเซอร์ซีที่ตอนนี้มิได้อยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง
แต่ทว่าสิ่งที่น่าห่วงกลับเป็นจักรวรรดิครีตัน
เหตุเพราะ ‘สารลับ’ จากเจ้าหญิงแอริแอดเน กำลังสร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกผู้ในราชสำนัก

φ


บทความที่เกี่ยวข้อง
- ขั้นตอนการทำเครื่องปั้นดินเผา
http://bit.ly/2kKFSq5 / http://bit.ly/2mapob0
- ระเบิดมือ http://bit.ly/2kivGF7
- นครรัฐเอเธนส์ http://bit.ly/2kljVOf

วิธีการทำเครื่องปั้นดินเผา (รูปบนเป็นของเมโสโปเตเมีย รูปล่างเป็นของกรีกโบราณค่ะ)
https://imgur.com/cyE6uh8
https://imgur.com/NLyxKhf

ระเบิดมือ
https://imgur.com/aj11KtL

อาทิตย์นี้อัพได้เยอะหน่อย  เพราะเหมือนตอนนี้เริ่มจะอินกับนิยายเหมือนเดิมแล้วค่ะ  เราลองเคาะตอนแบบละเอียดแล้ว คาดว่าอีก 7 ตอนจบ  สำหรับตอนนี้เหมือนจะยังไม่มีอะไรมาก แต่ทุกการกระทำจะส่งผลในตอนถัด ๆ  ไปทั้งหมดค่ะ  วิธีการทำเครื่องปั้นดินเผาเราเอาวิธีสมัยโบราณกับสมัยใหม่มาผสมกันนะคะ  เพราะว่าในสมัยโบราณไม่ได้บอกขั้นตอนอย่างละเอียดเท่าไหร่  ส่วนการทำระเบิดมือนั้นเราอ้างอิงมาจากความคิดของชาวกรีกในยุคไบแซนไทน์ ประมาณปี ค.ศ. 678 ค่ะ ดังนั้นประสิทธิภาพในเรื่องจะด้อยกว่าค่ะ  เพราะว่ายุคสมัยของครีตันเป็นช่วงก่อนคริสตกาล 
และเราขอย้ำอีกครั้งว่า  นิยายเรื่องนี้อ้างอิงจากปกรณัมกรีกเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดมิโนทอร์ค่ะ  เลยทำให้ยุคสมัยของมิโนอันและเอเธนส์อยู่ในยุคเดียวกัน  แต่เราก็พยายามจะเขียนให้สมจริงที่สุดค่ะ

หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 40 φ หน้า 3 (update 17/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 17-09-2019 19:24:42
ตอน 40

เสียงอื้ออึงยังคงดังระงมไปทั่วห้องโถง กระทั่งเธเซียสและเคออสปรากฏกาย ความเงียบสงบอันเย็นยะเยือกราวกับแผ่นน้ำแข็งบนปากคาร์เตอร์ก็แผ่กำจายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกเขาต่างใช้สายตาจับจ้องด้วยความคลางแคลงใจ กำแพงน้ำแข็งบางเฉียบจึงขวางกั้นระหว่างชาวครีตันและบุรุษจากต่างแดน
เธเซียสจึงอดสงสัยมิได้ว่า..
‘สารลับ’ ดังกล่าวมีใจความด้วยเรื่องใด

“เหตุใดเขาจึงอยู่ในข้อต่อรอง ?” แต่แล้วพวกเขาก็กระซิบกระซาบกันด้วยความสงสัย หัวคิ้วของเธเซียสจึงยิ่งขมวดมุ่น ส่งผลให้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมิเกรงกลัวต่อพระราชอำนาจของเจ้าชายมิโนสและพระราชินีปาซิฟาอีแต่อย่างใด
“การสงบศึกแลกกับชีวิตของเขา เชื่อถือได้แน่หรือ ?” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสองบุรุษที่ยืนอยู่มิไกลยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมันก็ทำให้เธเซียสทราบถึงใจความของสารลับอย่างชัดแจ้ง
เพียงแต่จุดประสงค์แท้จริงของสารฉบับนี้..
คงมิใช่แค่เพียงต้องการตัว ‘กบฏ’ จากไมซีเนียน

“แต่เขาเป็นชาวเอเธนส์มิใช่หรือ ?” สิ้นคำถามของขุนนางนายหนึ่ง เธเซียสก็เริ่มสังเกตเห็นว่า เจ้าชายมิโนสมิเคยปริปากพูดถึงสถานะแท้จริงของบุรุษในดวงใจ ดังนั้นผู้ที่ล่วงรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ คงมีเพียงทหารครีตันที่ร่วมสังหารในวันเทศกาลเดินเรือ
และเจ้าหญิงแอริแอดเนที่ไปเข้าฝักฝ่ายกับไมซีเนียน

“หรือเขาจะเป็นไส้ศึก ?” เหล่าขุนนางต่างคิดเห็นตรงกันโดยมิได้นัดหมาย ส่งผลให้ข้อสงสัยดังกล่าวแพร่สะพัดไปทั่วบริเวณ
“พวกเจ้ามิคิดว่าสารฉบับนี้มีช่องโหว่บ้างหรือ ?” เจ้าชายมิโนสเสด็จมายังพื้นที่ว่างกลางห้องโถง พลางตรัสราวกับนักวิเคราะห์สถานการณ์
ทว่าดำรัสนั้นกลับเป็นเพียงหน้ากากชิ้นหนึ่ง..
ที่มีขึ้นเพื่อปกป้องยอดดวงใจ

“เขาเป็นเพียงเชลยศึกที่น่าเวทนาผู้หนึ่ง” เจ้าชายมิโนสดำเนินไปยังจุดที่เธเซียสยืนอยู่ พร้อมตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่งราวกับวาจาของพระองค์มิใช่เรื่องโป้ปด
“แต่หากกล่าวถึงศึกสงคราม เงื่อนไขของมันคือการแย่งชิงดินแดนมิใช่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางทอดพระเนตรไปยังเหล่าขุนนางที่ได้แต่แสดงท่าทีสงบเสงี่ยม

“ดินแดนทองคำกับเชลยศึกผู้หนึ่ง เทียบเทียมกันได้หรือ ?” บุรุษสูงศักดิ์ยังคงตรัสด้วยวาจาสุขุม พร้อมดำเนินไปยังพระที่นั่งข้างบัลลังก์ จากนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์อันเป็นไปในทิศทางห่างไกลจากยอดดวงใจก็เริ่มเซ็งแซ่
“เห็นได้ชัดว่าสารลับฉบับนี้ ล้วนเต็มไปด้วยกลลวง”

ทว่าการสรุปความของเจ้าชายมิโนสมิถือเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะถึงอย่างไรสถานะแท้จริงของเธเซียสก็คือตัวแปรสำคัญ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนกบฏผู้หนึ่งที่เกือบจะถูกสังหารและการสงบศึก มิน่าไปด้วยกันได้..
ดังนั้นจุดประสงค์แอบแฝงย่อมมีอยู่จริง

ซึ่งความจริงดังกล่าวก็เริ่มเด่นชัด เมื่อสารลับฉบับที่สองถูกส่งตรงมายังครีตัน ด้วยระยะเวลาที่ห่างไกลจากฉบับแรกถึงสองวัน เพียงแต่ครานี้มิได้สร้างความวุ่นวายนัก อาจเพราะ ‘สารลับ’ เพิ่งเดินทางมาถึง เหล่าข้าราชบริพารจึงยังมิทันทราบข่าว ฝ่ายเธเซียสที่ภายในมือกำลังโอบอุ้มภาชนะสำหรับใช้ทำ ‘ระเบิดมือ’ ที่บัดนี้ผ่านการเผาไหม้จนพรั่งพร้อมต่อการทดลอง จึงเดินมายังห้องทรงงานของเจ้าชายมิโนส และพบว่าด้านในมิได้มีเพียงผู้เป็นเจ้าของ แต่กลับมีพระราชินีปาซิฟาอีประทับอยู่
ข่าวสารดังกล่าวจึงถูกเปิดเผย

“จดหมายเลือด มิมีทางตีความเป็นอื่นได้” สุรเสียงขององค์ราชินีดังก้องไปทั่วห้องทรงงาน จึงมิแปลกที่บริเวณนี้จะมิมีราชองครักษ์คอยอารักขา เนื่องจากความนัยของสารลับถือเป็นเรื่องสำคัญ อาจต้องผ่านการกลั่นกรองจากทั้งสองพระองค์เสียก่อน
“หากเรามิส่งตัวคนผู้นั้นกลับไป ไมซีเนียนอาจส่งแอริแอดเนกลับมา..” พระราชินีปาซิฟาอีตรัสพลางทรงยืนอยู่ข้าง ๆ บัญชร  โดยหันพระพักตร์มาทางเจ้าชายมิโนสที่ทรงยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะหิน พร้อมจดจ้อง ‘จดหมายเลือด’ ที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งแน่นิ่ง

“เพียงแต่มิได้กลับมาในสภาพเดิม” สตรีสูงศักดิ์ยังคงตีความท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด
“ต่อให้เป็นกลลวง แต่ชีวิตของแอริแอดเนก็มีความสำคัญต่อพวกเรามิใช่หรือ ?” ดำรัสขององค์ราชินีคล้ายกับมิได้ต้องการคำตอบ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างล่วงรู้ความรู้สึกของกันและกันเป็นอย่างดี

“เจ้าจะทนนิ่งดูดาย เพียงเพื่อเก็บคนผู้นั้นไว้ใกล้ตัว แค่นั้นหรือ ?” แต่แล้วดำรัสถามคล้ายจี้ใจดำก็ถูกส่งตรงมายังเจ้าชายมิโนส พร้อมตัวแปรสำคัญอย่าง ‘สายสัมพันธ์ครอบครัว’ ที่อย่างไรก็คงมิตัดขาด แม้ว่าเจ้าหญิงผู้เลอโฉมจะทรยศต่อชาติบ้านเมือง หรือแม้กระทั่งทรยศต่อความภาคภูมิใจของราชวงศ์
“เสด็จแม่.. ลูกมิได้มีเจตนาเช่นนั้น เพียงแต่ลูกคิดว่าเราควรมีทางออกที่ดีกว่า” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างใจเย็น อาจเพราะพระองค์มีหนทางแก้ไขที่มิสามารถบอกกล่าวผู้ใด และมิเคยมีผู้ใดก้าวทันความคิดของพระองค์ จึงมิแปลกที่จะถูกตีความไปในทิศทางนั้น

“เจ้ามิเคยเป็นเช่นนี้..” องค์ราชินีตรัสพลางส่ายพระพักตร์ ขณะที่ดวงเนตรกลับมองมายังโอรสที่หลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวด้วยความผิดหวัง
“...”

“มิโนสที่เรารู้จัก เขาฉลาดหลักแหลม กล้าได้กล้าเสีย มากด้วยแผนการ หากมีเขาอยู่เราคงหมดห่วง”
“...”

“แต่มิโนสที่อยู่ตรงหน้าเราในเพลานี้ คล้ายกับคนแปลกหน้า เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าบุรุษผู้นั้นคือไส้ศึก แต่ก็ยังยืนยันที่จะเก็บเขาไว้ พร้อมคิดหาทางช่วยเหลือแอริแอดเน ช่างห่วงหน้าพะวงหลังเสียจริง” ดำรัสขององค์ราชินีมิได้ทำให้เธเซียสตะลึงงันแต่อย่างใด เพราะการย้ำชัดด้วย ‘สารลับ’ ถึงสองฉบับ มิอาจคิดเป็นอื่นได้
นอกจากบุรุษผู้นั้นมีความสำคัญอย่างมากต่ออาณาจักรไมซีเนียน

“เจ้าต้องการพบเขาในสภาพใด โปรดครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน” สิ้นดำรัสอันเต็มไปด้วยพระราชอำนาจขององค์ราชินี ความเยือกเย็นราวกับแผ่นน้ำแข็งบนปากคาร์เตอร์ก็แผ่กำจายไปทั่วห้องทรงงาน
ราวกับต้องการกักขังเจ้าชายมิโนส ให้ตกอยู่ในความเคร่งเครียดไร้ซึ่งทางเลือก

เมื่อเล็งเห็นว่าเจ้าชายมิโนสมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิด เธเซียสจึงเดินย้อนกลับไปยังทิศทางเดิม ก่อนจะยืนพิงกำแพงเคียงข้างเคออสที่กำลังทำหน้าที่อารักขาต้นทางอย่างคร่ำเคร่ง

“เจ้าให้ผู้ส่งสารนำของสิ่งนี้มอบให้กับเซอร์ซีได้หรือไม่ ?” เธเซียสกล่าวพลางยื่นเครื่องปั้นดินเผาขนาดเท่าฝ่ามือส่งให้กับเคออส เนื่องจากเขายังมีเรื่องให้ต้องเจรจากับบุรุษผู้สูงศักดิ์ จึงมิอาจกระทำตามแผนการที่เคยวางไว้ แต่กระนั้นความคืบหน้าของสิ่งประดิษฐ์จำพวกอาวุธสงครามก็มิอาจล่าช้า
“มีข้อความอื่นใดฝากถึงเขาหรือไม่ ?” เคออสกล่าวพลางรับ ‘ระเบิดมือ’ ไว้ในความดูแล

“หากทุกอย่างเป็นไปตามหวัง ให้เร่งผลิตโดยด่วน จำนวนมากยิ่งดี เพียงแต่ในส่วนนี้คงต้องให้เจ้าช่วยทูลกับเจ้าชายมิโนส จากนั้นค่อยให้เซอร์ซีไปขอความช่วยเหลือกับแคดมัส เพราะเขาเป็นช่างฝีมือหน้าใหม่ที่มาช่วยเป็นลูกมือ คงจะพอซึมซับอะไรไปบ้าง” เธเซียสกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน ขณะที่ส่วนลึกก็แอบแฝงความกังวลอยู่บ้าง เนื่องจากการตัดสินใจค่อนข้างล่าช้า จึงหวั่นเกรงว่าอาจจะมิทันการณ์
“ส่วนความเป็นไปของข้า..” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ราวกับการตัดสินใจของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว

“ทางที่ดีควรเก็บไว้เป็นความลับสักระยะหนึ่ง เขาจะได้คอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในเรื่องนี้” เธเซียสกล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น จึงเดินจากไปก่อนที่องค์ราชินีจะเสด็จออกมาจากห้องทรงงาน จากนั้นสองขาจึงก้าวเดินอย่างไร้จุดหมาย รู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ภายใต้สวนบุปผาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
บุรุษจากต่างแดนจึงทิ้งตัวลงท่ามกลางทุ่งดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองอร่าม พลางหลับตาซึมซับบรรยากาศที่อาจได้สัมผัสเป็นครั้งที่สุดท้าย จากนั้นความเงียบเหงาเศร้าซึมก็แผ่กำจายไปทั่วความรู้สึก
ก่อนจะเผลอหลับใหลโดยมิรู้ตัว

“กระหม่อมเพิ่งทราบว่ามหาบุรุษเช่นพระองค์ก็มีเพลาที่กลัดกลุ้มจนต้องหันมาพึ่งพิงงานศิลปะ” เธเซียสกล่าวพลางเดินไปยังเป้าหมาย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนจากนั่งร้านที่ใช้สำหรับวาดภาพเฟรสโกบนฝาผนัง
“เราสั่งการให้เคออสเป็นผู้ส่งสาร และคอยอำนวยความสะดวกให้กับเซอร์ซี” เจ้าชายมิโนสมิได้แสดงท่าทีขบขันที่ถูกหยอกเย้า แต่กลับตรัสถึงภารกิจที่เธเซียสมอบหมายให้กับเคออส ขณะที่พระองค์กำลังง่วนอยู่กับการลอกลายด้วยแคนโทน ลงบนพื้นปูนเปียกที่ถูกฉาบไว้สำหรับงานเฟรสโก

“เดิมทีเราวางแผนสำหรับชะล้างมลทินให้กับแอริแอดเน นับตั้งแต่นางถูกเนรเทศออกจากครีตัน ในตอนนั้นเรามิแน่ใจนักว่าแผนการจะสำเร็จหรือไม่ แต่พอเห็นมือสังหารคอยสังเกตการณ์อยู่ เราก็เริ่มมั่นใจมากขึ้น และยิ่งมากขึ้นเมื่อเขาแฝงตัวมากับขบวนล่าสัตว์ เราจึงกวาดต้อนมือสังหารไปยังเกาะเอลาโฟนิสิ และมอบหมายโอกาสสุดท้ายให้กับแอริแอดเน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางลงสีบนภาพวาดของดอกเมอร์เทิลที่ครั้งหนึ่งเคยมอบให้กับบุรุษในดวงใจด้วยความรวดเร็วและชำนาญ
เนื่องจากการลงสีภาพวาดเฟรสโกจะต้องรีบทำก่อนที่เนื้อปูนจะแห้ง

“แต่เรามิเคยคาดคิดว่าพวกเขาจะพยายามเปิดโปงสถานะที่แท้จริงของเจ้า” สุรเสียงกลัดกลุ้มยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เธเซียสได้แต่เฝ้ามองปลายพู่กันที่กำลังแต่งแต้มสีสันลงบนผนังอย่างสม่ำเสมอ
“เช่นนั้นแผนการที่เราเคยตระเตรียมไว้กับแอริแอดเนก็อาจมีการเปลี่ยนแปลง” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสมิได้ทำให้เธเซียสแปลกใจนัก เพราะการได้รับโอกาสก็มิต่างกับการได้รับความรักและความห่วงใยที่โหยหา ฉะนั้นเมื่อทราบว่ามีไส้ศึกแอบแฝงอยู่ในพระราชวัง มีหรือเจ้าหญิงแอริแอดเนจะมิกลัดกลุ้มจนยอมโอนอ่อนผ่อนตามฝ่ายตรงข้าม
เพราะถึงอย่างไร การผลักไส ‘ไส้ศึก’ ออกจากบ้านเมืองก็ถือเป็นสิ่งที่สมควรทำ

“ดังนั้นเราจึงมองเห็นแต่เพียงกลลวงในการแลกเปลี่ยน มิคุ้มค่าต่อการตามเกมแต่อย่างใด”
“เช่นนั้นพระองค์มีทางเลือกอื่นใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสย้อนถามด้วยประโยคจี้ใจดำ ส่งผลให้ความเงียบรายล้อมคนทั้งคู่

“กระหม่อมยอมเป็นหมากให้กับพระองค์ เพราะถึงอย่างไรสงครามคงมิมีวันหยุดยั้ง” เธเซียสเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลำดับแรก
“เจ้ากำลังจะบอกเรากลาย ๆ ว่า มิมีสัจจะในหมู่โจร ?” เจ้าชายมิโนสละหัตถ์จากการแต่งแต้มสีสันให้กับฝาผนังอันราบเรียบ พลางเลิกพระขนงถามไถ่ความคิดเห็นจากบุรุษในดวงใจ

“พ่ะย่ะค่ะ เพราะเบี้ยตัวหนึ่งมิได้มีความสำคัญอันใด” บุรุษจากต่างแดนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เนื่องจากเบี้ยชิ้นสำคัญของไมซีเนียนคือนครรัฐเอเธนส์ที่เคยถูกจักรวรรดิครีตันก่อสงครามจนวอดวาย แต่ด้วยความที่ชาวเอเธนส์มีใจรักบ้านเมืองอย่างถึงที่สุด พวกเขาจึงร่วมลงขันฟื้นฟูนครรัฐให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง
“ปล่อยกระหม่อมไปและสั่งการให้ทหารสักนาย เจรจาต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสขยับเข้าไปขวางกั้นเจ้าชายมิโนสและภาพวาดเฟรสโกด้วยการกระชับปลายพู่กันมิให้เคลื่อนไหว พร้อมบอกกล่าวความประสงค์อย่างจริงจัง

“การดึงดันของพระองค์มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อองค์ราชินีย่ำแย่ลง และยังทำให้วัยเยาว์ที่พระองค์จารึกไว้ในความทรงจำถูกกลบฝังมิมีวันต่อติด”
“...”

“การอยู่ที่นี่ของกระหม่อมคงมิพ้นโทษสังหาร แต่หากกระหม่อมกลับไปยังที่ที่จากมา อาจเอาชีวิตรอดด้วยข้อมูลข่าวสารของครีตันและอาจถ่วงเวลาให้สงครามเกิดขึ้นในช่วงที่พระองค์พรั่งพร้อม”
“หากเรามีอำนาจเหนือกว่าเสด็จแม่ก็คงดี จะได้ปกป้องทุกผู้ที่มีความสำคัญต่อเราให้อยู่ภายใต้เกราะกำบัง” เจ้าชายมิโนสตัดพ้อพลางเสด็จลงจากนั่งร้านพร้อมวางพู่กันและจานสีลงกับพื้น
ซึ่งดำรัสของเจ้าชายมิโนสทำให้เล็งเห็นว่า..
องค์ราชินียังคงมีอำนาจในการตัดสินพระทัยเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองมิแปรเปลี่ยน

แต่แล้วเจ้าชายมิโนสก็กักขังเธเซียสไว้ท่ามกลางภาพวาดเฟรสโกที่ยังคงมิแล้วเสร็จ ส่งผลให้ความคิดที่กำลังลอยล่องถูกรวบเป็นหนึ่ง จึงรับรู้ได้ว่าบัดนี้ผนังปูนกำลังแห้งผากจนมิอาจลงสีได้อีกต่อไป จากนั้นพระโอษฐ์ก็นำพาให้สติของเธเซียสเตลิดเปิดเปิงด้วยสัมผัสเร่าร้อน พาลพาให้ลมหายใจติดขัด
ทว่าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์กลับมิสนพระทัย
คล้ายกับพระองค์ปรารถนาจะตักตวงความหอมหวานในวัยเยาว์ให้มากที่สุด

“สุดท้ายสิ่งที่เราพยายามทำมาตั้งแต่ต้นก็ไร้ประโยชน์..” ทันทีที่เจ้าชายมิโนสปลดปล่อยให้เธเซียสเป็นอิสระ พระองค์ก็สรวลอย่างเย้ยหยันและผละจากไปโดยมิคิดจะสนใจสิ่งอื่นใด
ราวกับทุกสิ่งล้วนขวางหูขวางตาจนหมดสิ้น
ขณะเดียวกันเธเซียสก็รับรู้ได้ว่า ดำรัสดังกล่าวมิได้หมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงแอริแอดเนเลยสักนิด


φ


[1] บัญชร แปลว่า หน้าต่าง
[2] Caltone (แคนโทน) คือกระดาษที่ใช้ลอกลายในแบบร่างลงบนผนัง

บทความที่เกี่ยวข้อง
- Fresco : จิตรกรรมเขียนสีบนปูนเปียก http://bit.ly/2kNM94c
- ขั้นตอนการวาดภาพเฟรสโก http://bit.ly/2kNM7JC

ช่วงนี้กำลังฟิตมากก็เลยลงถี่หน่อย ถือว่าชดเชยช่วงที่หายไปแล้วกันเนอะ แต่อาทิตย์นี้อาจจะไม่ได้อัพแล้วค่ะ คาดว่าน่าจะเจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลย ส่วนตอนนี้ก็เริ่มเข้าใกล้ความตื่นเต้นมากขึ้นทุกทีแล้ว และปมบางอย่างเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าชายมิโนสก็เผยออกมาบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าทุกคนคาดเดากันไว้แบบนี้หรือเปล่า แต่ยังมีอีกปมที่ไม่ได้เฉลยเริ่มตั้งแต่จับตัวเซอร์ซีไปจนถึงปล่อยให้ไกจีสเข้าไปในค่ายทหาร โปรดติดตามเฉลยกันต่อไป~ 
ปล. จำได้ว่ามีคนเคยเมนต์ไว้ว่า ระหว่างที่เธเซียสยังลังเล  เจ้าชายมิโนสอาจคิดหาทางออกสำหรับทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว  คาดเดาได้เป๊ะมากจริงๆ ค่ะ เพียงแต่มีตัวแปรให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวังนี่สิ! 
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 41 φ หน้า 3 (update 24/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 24-09-2019 19:30:35
ตอน 41


หนึ่งวันให้หลังของการส่งมอบจดหมายเลือดให้กับจักรวรรดิครีตัน หมายกำหนดการแลกเปลี่ยนตัวประกันก็เดินทางมาถึง เพลานี้เธเซียสจึงอยู่ภายใต้เครื่องแต่งกายสีดำห่มคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โผล่พ้นเพียงดวงตาราวกับเหยี่ยวทะเลทราย ก้าวเดินอยู่บนเส้นทางที่ขนาบไปด้วยทิวเสาสีแดงต้นใหญ่อันเป็นสัญลักษณ์ของพระราชวังนอสซัส
โดยมีทหารนายหนึ่งสวมเครื่องแต่งกายมิต่างกัน กำลังก้าวเดินตามมาอย่างเงียบเชียบ

“ลาก่อน..” เธเซียสหันมองตัวอาคารอันโอ่อ่า พลางเอ่ยคำอำลาราวกับต้องการให้สายลมพลิ้วไหว พัดพาถ้อยคำดังกล่าวส่งผ่านไปยังบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังหมกตัวอยู่ในห้องทรงงาน นับตั้งแต่ ‘สถานะ’ ของบุรุษจากต่างแดนถูกเปิดเผย
ทว่าความเงียบเหงาอ้างว้างโดยรอบ มิได้ทำให้เธเซียสรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด เนื่องจากทุกสิ่งที่กำลังเป็นไปล้วนเกิดจากความต้องการของเขาเอง หรือแม้กระทั่งท่าทีขององค์ราชินีก็มิได้สร้างความบาดหมางใจแม้แต่น้อย เพราะการยืนอยู่ในจุดที่เหนือกว่าผู้คนนับหมื่น มิอาจตัดสินใจได้ตามประสงค์

กลับกันหากอีกฝ่ายเป็นเพียงชาวบ้านผู้หาเช้ากินค่ำ และได้คุกคลีอยู่กับ ‘ไส้ศึก’ จนกระทั่งแน่ชัดแล้วว่า เขามิได้มีเจตนาร้ายกาจ ก็อาจเก็บซ่อนเขาไว้ยังที่ที่ปลอดภัย หรือหากมั่นใจแน่วแน่แล้วว่า ‘ไส้ศึก’ ผู้นี้มิมีทางแปรเปลี่ยน อาจเก็บซ่อนหรือกำจัดทิ้งโดยมิให้ทางการล่วงรู้ก็ย่อมได้ แต่กระนั้น ‘ความไว้เนื้อเชื่อใจ’ ของคนเรากลับมีให้กันยากเย็น ส่งผลให้การ ‘กำจัด’ อาจเป็นทางเลือกเดียวที่เหมาะสม แม้ว่า ‘ไส้ศึก’ ผู้นี้จะมีความรู้จักมักคุ้นกันก็ตาม
เห็นได้ว่าทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสิน
ดังนั้นจึงมิแปลกที่เจ้าชายมิโนสและองค์ราชินีปาซิฟาอีจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

“ไปเถิด ประเดี๋ยวจะล่าช้า” เธเซียสกล่าวกับทหารนายหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่ฝีพาย พลางก้าวเดินไปยังท่าเรือเรียบเขตพระราชฐาน พร้อมทิ้งตัวลงนั่งบนลำเรือขนาดเล็ก ลวดลายนกทะเล จากนั้นลำเรือก็เริ่มเคลื่อนห่างจากพระราชวังนอสซัส
จนกระทั่งมองเห็นเพียงแสงไฟสีเหลืองอร่ามในระยะไกล

ความเงียบเชียบเคล้าเสียงคลื่นลม นำพาให้จิตใจของเธเซียสเลื่อนลอย อาจเพราะจังหวะการวักน้ำของฝีพาย ทำให้หัวใจของเขารู้สึกราวกับความกังวลถูกกวัดแกว่งจนเป็นตะกอนขุ่น เนื่องจากการกลับมายังไมซีเนียนในครานี้
เธเซียสมิแน่ใจว่าจะได้รับโอกาสให้เจรจาต่อรองอันใดอีกหรือไม่
ดังนั้นลมหายใจจะมีอยู่ถึงพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ก็ยังมิแน่นอน

กระทั่งลำเรือเลี้ยวโค้งผ่านเขตหุบเขาสมาเรีย เพื่อมุ่งตรงไปยังอาณาจักรไมซีเนียน บุรุษจากต่างแดนก็หันกลับไปมองยังเกาะเอลาโฟนิสิที่ตั้งอยู่มิไกลนัก พบว่าแสงไฟสีเหลืองนวลกำลังไหวระริกล้อสายลมในยามราตรีอย่างเงียบสงบ บ่งบอกได้ว่าจุดบอดดังกล่าวยังคงถูกชาวไมซีเนียนยึดครอง นับตั้งแต่เจ้าหญิงแอริแอดเนน้อมรับโอกาสที่เจ้าชายมิโนสและองค์ราชินีปาซิฟาอีประทานให้
หากถามว่าเหตุใดเธเซียสจึงตีความเช่นนั้น คงเป็นเพราะดำรัสของพระนางในห้องทรงงาน บ่งบอกได้ว่าทุกความเคลื่อนไหวของเจ้าชายมิโนสที่เกี่ยวข้องกับราชกิจบ้านเมือง ล้วนได้รับความเอาใจใส่ เพียงแต่พระนางมิได้ยื่นมือเข้าไปสอด เพราะทุกการตัดสินพระทัยของเจ้าชายมิโนส ล้วนสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้เป็นมารดา อีกทั้งการลงโทษเจ้าหญิงแอริแอดเนในข้อหากบฏ ส่วนหนึ่งก็ถือเป็นการตัดสินพระทัยของพระนางเช่นกัน เนื่องจากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในเขตรั้วพระราชวัง อย่างไรก็มิมีทางปกปิดสายตาของเหล่าข้าราชบริพารได้ โดยเฉพาะพวกขุนนางชั้นสูงที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของเจ้าชายมิโนส และยังเล็งเห็นว่าการกระทำของพระขนิษฐาถือเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีการคร่าชีวิตบุรุษจากเอเธนส์ วันหน้าย่อมต้องเกิดศึกสงครามอย่างมิอาจเลี่ยง ดังนั้นการปกป้องสายใยแห่งราชวงศ์จึงดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะเป็น
การชะล้างมลทินจึงมีขึ้นเพื่อเรียกร้องความไว้วางใจจากทุกฝ่ายที่มีต่อเจ้าหญิงแอริแอดเนคืนกลับมา
นับได้ว่าเป็นเกมการเมืองที่ค่อนข้างใช้การวางแผนอย่างแยบยล

เมื่อลำเรือเริ่มเข้าใกล้จุดหมาย บนชายฝั่งจึงมองเห็นอาชาพันธุ์ดีถูกล่ามไว้ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งอาชาตัวดังกล่าวถือเป็นพาหนะคู่ใจของเธเซียสตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อขึ้นจากลำเรือเธเซียสก็เดินเข้าไปปลดพันธนาการให้กับอาชาสีขาวบริสุทธิ์ พร้อมวาดขาพาตัวเองขึ้นสู่เบื้องบน
“ดูเหมือนระยะนี้ ไมซีเนียนจะขี้ตระหนี่ไปสักหน่อย” บุรุษในคราบของเจ้าชายฮาเดรียน เอ่ยกับทหารครีตันที่มีหน้าที่เจรจาต่อรองอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อเห็นว่าอาชาที่ถูกตระเตรียมไว้มีเพียงตัวเดียว ขณะเดียวกันฝ่ายทหารครีตันก็มิได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นอันใด นอกจากพาตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนหลังอาชาตัวเดียวกัน
เธเซียสจึงรับรู้ได้ทันทีว่า..
แท้ที่จริงทหารนายนี้ มิใช่บุคคลธรรมดา

เธเซียสจึงจงใจถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะบังคับอาชาไปยังทุ่งหญ้าอันกว้างไกล ที่แอบซ่อนตัวอยู่ในป่าทางทิศตะวันตกของพระราชวังไมซีเนียน ซึ่งทุ่งหญ้าดังกล่าวคือจุดเกิดเหตุที่เสด็จแม่ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยอาวุธร้ายอันมีชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นเธเซียสก็มิมีกะจิตกะใจจะย้อนคิดไปถึงวันวาน เนื่องจากการปรากฏกายของบุรุษที่มิควรจะอยู่ในที่แห่งนี้ กำลังทำให้เธเซียสเป็นกังวล
เพราะการส่งมอบตัวประกัน ถือเป็นกลลวงที่มิอาจรู้แน่ชัดว่ามีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง ดังนั้นมหาบุรุษแห่งครีตันจึงควรประทับอยู่ในพระราชวังเพื่อเตรียมบัญชาการทหาร
มิใช่เดินทางระเหเร่ร่อนมาจนถึงไมซีเนียน

กระทั่งสถานที่นัดหมายปรากฏอยู่ตรงหน้า แสงจากคบไฟสีเหลืองนวลที่ห้อมล้อมกระโจมทะเลทรายก็สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เสียงฝีเท้าของม้าพันธุ์ดีในระยะไกล จึงร้องเรียกความเคลื่อนไหวจากคนกลุ่มนั้น
ส่งผลให้ทันทีที่สองบุรุษจากต่างแดนเดินทางมาถึง ก็ถูกปิดล้อมจนไร้ซึ่งหนทางหลีกหนี

“ตรงเวลาดีนี่” เสด็จพี่ลูซีอัสตรัสเป็นการทักทาย แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสภายใต้ฉลองพระองค์ราวโจรป่ากลับนิ่งเงียบ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะชาวครีตันต่างรักษาสัจจะ” เธเซียสกล่าววาจาราบเรียบ แต่ทว่าก็แอบเชือดเฉือนอยู่ในที

“เช่นนั้นเราต่างก็อย่าพิรี้พิไรทางวาจากันอีกเลย” แม้จะถูกกระทบกระทั่งจากอนุชาต่างมารดา แต่กระนั้นองค์รัชทายาทกลับแอบซ่อนท่าทีโกรธเคืองได้อย่างมิดชิด ดวงพักตร์ของพระองค์จึงเต็มไปด้วยรอยแย้มสรวล
“เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการส่งมอบตัวประกันจะนำมาสู่ความสงบสุข เดิมทีก็มิมีสัจจะในหมู่โจรมิใช่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสเปิดประเด็นเป็นครั้งแรก
แต่ทว่าวาจาของพระองค์กลับสร้างความโกรธาให้อีกฝ่าย

“เช่นนั้นเจ้าต้องการต่อรองด้วยสิ่งใด ?” เจ้าชายลูซีอัสตรัสพลางวางมาดให้ดูน่าเกรงขาม
“ตามที่ระบุในสารลับฉบับสุดท้าย” เจ้าชายมิโนสยังคงตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง มิได้เต้นไปตามท่าทียียวนของอีกฝ่าย

“มิโลภมากไปหรือ ?” องค์รัชทายาทแห่งไมซีเนียนตรัสถาม พลางประทับลงบนขอนไม้ที่อยู่เบื้องหลัง
“แต่ดูเหมือนวันนี้จะเป็นโชคดีของเจ้า เช่นนั้นตัวประกันแลกกับการสงบศึก..” เสด็จพี่ลูซีอัสตรัสพลางนั่งไขว้ขา พร้อมแย้มโอษฐ์มากเล่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ

“ส่วนขาของเจ้าแลกกับเบี้ยตัวหนึ่งเป็นอย่างไร ?” สิ้นดำรัสของเจ้าชายลูซีอัส ดาบด้ามยาวที่พาดอยู่ข้างหลังขอนไม้ก็ถูกหยิบฉวยมาใช้งาน ซึ่งมันทำให้เธเซียสมิทันคาดคิดว่าคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายจะดำเนินไปพร้อมกัน โลหิตสีแดงจึงซ่านกระเซ็นไปทั่วบริเวณพร้อมกับแปดเปื้อนอาภรณ์ของเธเซียส ฝ่ายผู้บาดเจ็บยังคงแสดงปฏิกิริยามิต่างจากเดิม แม้จะถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าโดยมิเต็มใจ
ทว่าหากมองจ้องบาดแผลก็รับรู้ได้ทันทีว่า..
โลหิตจำนวนมากกำลังไหลซึมผ่านผ้าลินินผืนสีรัตติกาล

“พระองค์” เธเซียสพูดมิออกบอกมิถูกจึงได้แต่ลนลานฉีกทึ้งผ้าลินินที่ห่มคลุมร่างกายตน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งในระดับเดียวกับบุรุษผู้บาดเจ็บ เพื่อใช้เศษผ้าผืนดังกล่าวพันรอบบริเวณบาดแผล ขณะเดียวกันเจ้าหญิงแอริแอดเนก็เสด็จออกมาจากกระโจมเบื้องหลัง กระทั่งเล็งเห็นว่าพระเชษฐาได้รับบาดเจ็บ พระนางก็รีบถลาเข้ามาดูอาการด้วยความตื่นตระหนก
เธเซียสจึงสังเกตเห็นว่า..
การมาเยือนไมซีเนียนของเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ยังมีโครนัสคอยอารักขาอย่างใกล้ชิด

“ไป!” แต่แล้วเธเซียสก็ถูกเจ้าชายลูซีอัสลากถูลู่ถูกังราวกับนักโทษกบฏ เมื่อเห็นความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีต่อบุรุษแห่งครีตัน แต่กระนั้นความสนใจของเธเซียสกลับมีเพียงเจ้าชายมิโนส
“ป่านฉะนี้กองทัพจากเอเธนส์คงพรั่งพร้อมแล้วกระมัง มิอาจล่าช้า” ดำรัสของเสด็จพี่ลูซีอัสส่งผลให้เธเซียสเริ่มคิดตรึกตรองให้ถี่ถ้วน จนกระทั่งทราบว่าการแลกเปลี่ยนตัวประกัน คือการเบี่ยงเบนความสนใจจากเจ้าชายมิโนสที่สามารถแปลงกายเป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน เพื่อให้การศึกเป็นไปอย่างได้เปรียบ จึงมิลืมสร้างความบาดเจ็บให้กับอีกฝ่าย จนมิอาจกลับไปครีตันได้ทันการณ์

ทว่าลมฟ้าอากาศกลับแปรปรวน อาชาพันธุ์ดีที่ถูกผูกรั้งอยู่ข้างหลังกระโจมทะเลทราย จึงพากันร้องระงมยกใหญ่ แต่กระนั้นชาวไมซีเนียนกลับมิได้สนใจ ซ้ำยังผูกรั้งข้อมือของเธเซียสด้วยเชือกเส้นใหญ่ คล้ายกับต้องการให้ม้าลากจูงไปตามทิศทาง
ซึ่งแรงคนกับแรงม้า แน่นอนว่ามิอาจเทียบกัน
ดังนั้นวิธีการดังกล่าวจึงมิต่างกับการถูกลอบสังหาร

เธเซียสก้าวเดินไปตามทุ่งหญ้าพลิ้วไหวที่เสียดสีเนื้อผ้าอันเว้าแหว่ง จนทำให้เศษใบบาดลึกไปตามเรียวขา ทว่าความสนใจทั้งหมดคือการล้วงมีดสั้นออกจากช่วงเอว เพียงแต่อุปสรรคกลับกลายเป็นจังหวะการวิ่งของอาชาสีนิล บวกกับการแต่งกายอันมิดชิดจึงทำให้อุปกรณ์จำเป็นยากจะนำออกมาใช้
ทว่าภายในเสี้ยววินาทีคมขวานลาบริสก็ฟาดฟันลงบนเชือกเส้นใหญ่ พร้อมจังหวะการวิ่งของอาชาสีนิลหยุดการเคลื่อนไหว กระทั่งเจ้าชายมิโนสในคราบมิโนทอร์ผละกายออกห่างเพื่อจัดการเหล่าเดนมนุษย์ อาชาพันธุ์ดีก็ล้มตึงลงกับพื้น
จากนั้นเสียงดังระงมเพราะความเจ็บปวดก็เริ่มกลบทับเสียงอสนีที่กำลังครวญคราง

“กรรรรรรรรรร!” มหาบุรุษแห่งครีตันส่งเสียงคำรามยกใหญ่ พลางไล่ล่าผู้เคราะห์ร้ายราวกับสิงโตผู้หิวโหยในภาพทรงจำ แต่กระนั้นเธเซียสก็จำต้องควบคุมสติของตนเองให้ดี เนื่องจากเพลานี้มิใช่ช่วงเวลามายืนครุ่นคิดถึงอดีต แต่ครั้นจะห้ามปรามบุรุษในดวงใจ เธเซียสก็มิคิดจะทำ เหตุเพราะเสด็จพี่ลูซีอัสก็มิต่างกับองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนที่กระหายแต่อำนาจและบารมี
จนหลงลืมไปว่าสถานะของตน มั่นคงและยั่งยืนมากเพียงใด

เธเซียสวิ่งย้อนกลับไปยังทิศทางเดิม เพื่อหวังจะบอกข่าวสารสำคัญให้โครนัสรับรู้ จะได้ส่งข่าวบอกทางครีตันให้เตรียมอพยพผู้คน ทว่าเมื่อเดินทางไปถึงกลับหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า
บุรุษจากต่างแดนจึงอนุมานได้ว่า..
ทั้งคู่อาจทราบข่าวสารบางอย่าง จึงยินยอมพร้อมใจละทิ้งเจ้าชายมิโนสไว้ที่นี่

แต่แล้วเสียงระเบิดดังลั่นจากบริเวณเกาะเอลาโฟนิสิก็เรียกความสนใจจากเธเซียสและมิโนทอร์ที่กำลังคลุ้มคลั่งได้มิยาก ทั้งคู่จึงมองจ้องไปยังทิศทางดังกล่าว พบว่าแสงไฟสีเหลืองโชติช่วงกำลังอาบย้อมน่านฟ้ามืดมิด อีกทั้งควันไฟยังโหมกระหน่ำคล้ายกับทุกสิ่งกำลังถูกแผดเผา
เธเซียสจึงรับรู้ได้ว่า..
เหตุการณ์ดังกล่าวคือผลงานของ ‘ระเบิดมือ’

จากนั้นกลไกของผู้ปกป้องราชอาณาจักรก็เริ่มทำงาน ส่งผลให้มหาบุรุษแห่งครีตันคล้ายกับหลงลืมความโกรธแค้น ก้าวเดินมายังบริเวณที่เธเซียสยืนอยู่ พร้อมย่อตัวลงและวางฝ่ามืออันใหญ่ยักษ์แนบลงกับพื้น ราวกับพระองค์ต้องการให้บุรุษในดวงใจเลือกใช้ตนเองเป็นพาหนะ เธเซียสจึงมิรอช้ารีบทำตามความประสงค์ เพื่อที่ตนจะได้มิถ่วงเวลาไปมากกว่านี้
ร่างสูงใหญ่ผู้มีส่วนหัวเป็นวัวกระทิงและมีช่วงล่างเป็นมนุษย์ จึงออกตัววิ่งด้วยความเร็วสูง ส่งผลให้สายลมเสียดสีเนื้อตัวของเธเซียสจนแสบร้อน หยาดหยดของสายฝนร่วงหล่นจนชาเหน็บ แต่ก็มิอาจใช้อ้อมแขนปกป้องตนเองได้ เนื่องจากเธเซียสต้องใช้สองมือจับยึดฝ่ามืออันใหญ่ยักษ์ จากนั้นก็ต้องกอบโกยอากาศบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว
เมื่อมหาบุรุษแห่งครีตันมิได้เผื่อเวลาเตรียมใจ ก่อนจะกระโจนลงสู่ผืนน้ำอันกว้างใหญ่
   
กระทั่งการเดินทางสุดแสนทรมานจบสิ้นลง อากาศระลอกใหม่จึงถูกเธเซียสกวาดต้อนอย่างหิวกระหาย ทว่าปลายสายตากลับมองเห็นกองทัพเรือจำนวนมากมุ่งหน้ามายังครีตัน แต่กระนั้นก็มิได้ดาหน้าเข้ามาด้วยความง่ายดาย เนื่องจากกองทัพเรือสุดยิ่งใหญ่กำลังทำหน้าที่เป็นด่านชั้นหน้าตรงบริเวณเกาะแห่งไฟ 
แต่ในท้ายที่สุดกองทัพเรือแห่งครีตันกลับถูก ‘ไฟทะเล’ แผดเผาจนมอดไหม้
เสียงร้องระงมของเหล่าทหารกล้าจึงดังก้องไปทั่วท้องทะเล

ขณะเดียวกันทะเลเพลิงสุดโหมกระหน่ำก็สร้างความขวัญผวาให้กับชาวเมืองครีตันเป็นอย่างมาก เสียงเซ็งแซ่จึงฟังดูโกลาหลวุ่นวาย เนื่องจากพวกเขากำลังเร่งอพยพลงสู่เมืองใต้ดิน โดยมีเหล่าทหารบกจากกองทัพที่แอบซ่อนตัวภายในหุบเขา พร้อมกับเจ้าหญิงแอริแอดเน องค์ราชินี และโครนัสเป็นผู้กวาดต้อน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยาก อาจเพราะพวกเขาต่างมิไว้เนื้อเชื่อใจเจ้าหญิงผู้เลอโฉม หรือมิทันคาดคิดว่าสงครามจะก่อเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงนี้
ทว่าหากสังเกตอย่างถี่ถ้วน จะพบการเตรียมการของเจ้าชายมิโนสอย่างชัดแจ้ง เนื่องจากราษฎร์ที่สร้างความโกลาหลตรงบริเวณท่าเทียบเรือเรียบชายฝั่ง มิใช่ประชากรทั้งหมดของจักรวรรดิครีตัน

“กระหม่อมจะรีบไปสมทบกับเซอร์ซี มิต้องเป็นกังวลทางนี้พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสบอกกล่าวด้วยความร้อนรน เนื่องจาก ‘ไฟทะเล’ ถือเป็นอาวุธสงครามอันเป็นความลับของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็รีบว่ายน้ำเข้าสู่ชายฝั่ง แม้ว่าเพลานี้คลื่นลมจะรุนแรง จนทำให้การกำหนดทิศทางเป็นไปได้ยาก แต่เธเซียสก็ยังพยายามให้ถึงที่สุด กระทั่งถึงที่หมายจึงออกตัววิ่งไปยังเส้นทางแห่งราชวงศ์ เพื่อนำอาชาสักตัวห้อตะบึงไปยังค่ายทหารบกด้วยความมั่นใจว่าเซอร์ซี คงจะง่วนอยู่กับการผลิตอาวุธสงคราม
ทว่าสติของเธเซียสกลับดับวูบ เมื่อถูกใครบางคนฟาดฟัน


φ



บทความที่เกี่ยวข้อง

- ไขความลับ ”ไฟกรีก” อาวุธพิฆาตอันน่าเหลือเชื่อของชาวยุโรปโบราณ http://bit.ly/2lm9Gtg

ปล. ไฟทะเลในเรื่องนี้มีต้นแบบมาจากไฟกรีกค่ะ แต่เพราะมันเกิดคนละยุคสมัย เราเลยต้องปรับเปลี่ยนความร้ายแรงให้น้อยลงค่ะ

มาต่อแล้วจ้า  ขอออกตัวก่อนว่าเราเขียนแนวสงครามหรือบู๊ๆ ไม่เป็นเลย  เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ถ้าหากมันดูไม่น่าตื่นเต้นต้องขออภัยด้วยค่ะ  และตอนที่แล้วเราเห็นมีคนไม่พอใจองค์ราชินีครีตันด้วย เลยหวังว่าตอนนี้จะทำให้เข้าใจจุดยืนและมุมมองของแต่ละฝ่ายมากขึ้นค่ะ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 42 φ หน้า 3 (update 26/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 26-09-2019 19:32:32
ตอน 42

ความรู้สึกแรกของเธเซียสหลังจากข้ามผ่านการถูกลอบทำร้าย มิอาจเรียกปฏิกิริยาตอบสนองอันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แม้ว่าเบื้องหน้าจะปรากฏร่างของเซอร์ซีในสภาพบอบช้ำ และมองเห็นลูกกรงสัมริดกางกั้นราวกับห้องขัง บวกกับเสียงอึกทึกจากศึกสงครามที่ดังรอดผ่านช่องระบายอากาศ
บ่งบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ อาจเป็นห้องคุมขังนักโทษอย่างแท้จริง
เพราะมันมิได้เชื่อมกับเส้นทางแห่งเขาวงกตภายในห้องใต้ดิน

“เรา..” บุรุษจากต่างแดนกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พลางเงยหน้ามองข้อมือของตนที่ถูกพันธนาการด้วยกุญแจมืออันมีโซ่คล้องตอกตรึงไว้กับกำแพงหิน
“สถานการณ์กำลังวุ่นวายนัก มิอาจไว้วางใจผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากเซอร์ซีรับรู้ว่านายเหนือหัวฟื้นคืนสติ จึงมิรอช้าที่จะเอ่ยคำอธิบาย

“ก่อนหน้านี้กระหม่อมกับเคออสได้รับคำบัญชาให้ทลายที่ซ่องสุมตรงบริเวณเกาะเอลาโฟนิสิร่วมกับกองทัพครีตันประจำหุบเขาสมาเรีย เพียงแต่แรงระเบิดกลับสร้างความโกลาหลมิใช่น้อย และมันก็พอดีกับช่วงเวลาของศึกสงครามตรงบริเวณเกาะแห่งไฟ เจ้าหญิงแอริแอดเนจึงมีพระบัญชาห้ามมิให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐาน กระหม่อมจึงถูกทหารครีตันกลุ่มหนึ่งจับกุมด้วยข้อหาไส้ศึก”
“กระหม่อมเกรงว่าสถานะของพวกเรา คงจะถูกผู้อื่นล่วงรู้เข้าให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จากคำบอกเล่าของเซอร์ซีทำให้เธเซียสเข้าใจว่า การถูกคุมขังอาจมีสาเหตุมาจากความเท็จบางอย่างที่พระขนิษฐาทรงทราบมาจากไมซีเนียน ซึ่งจุดประสงค์ของฝ่ายนั้นแน่นอนว่าต้องการมิให้เธเซียสมีเกราะกำบังไว้คุ้มกันภัย เนื่องจากเหตุการณ์ลอบสังหารในเขตหุบเขาสมาเรียบ่งบอกได้ดีว่า สถานะของเธเซียสมิได้ง่ายดายต่อการกำจัด บวกกับสถานการณ์ของบ้านเมืองที่กำลังตกที่นั่งลำบาก การบัญชาการของเจ้าหญิงแอริแอดเนจึงได้รับความเห็นชอบจากองค์ราชินี ส่งผลให้ทหารบางส่วนกล้าที่จะยื่นมือเข้าไปจับกุมเซอร์ซี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเจ้าชายมิโนสเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่า..
ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธเซียส
พระองค์จะเป็นฝ่ายรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

“เช่นนั้นคลังอาวุธจะทำอย่างไร ?” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยถามด้วยความกังวล เนื่องจากเพลานี้เสียงอึกทึกจากศึกสงครามคล้ายกับอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก บ่งบอกได้ว่าการศึกอาจไล่กวดมาจนใจกลางเมือง เพียงแต่มิได้มีการใช้ ‘ไฟทะเล’ อีกต่อไป คาดว่าอากาศแปรปรวนอันเกิดจากสภาพอารมณ์ของมหาบุรุษแห่งครีตัน คงค่อย ๆ พัดพาให้เปลวไฟโหมกระหน่ำเริ่มมอดดับ
การสู้รบจึงต้องปรับเปลี่ยนมาใช้ของมีคม

“ขุนพลดิดะรัสเป็นผู้ดูแลพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบของเซอร์ซี เธเซียสก็ทำเพียงแค่ตอบรับในลำคอ พลางหรี่ตาลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากบริเวณท้ายทอยถูกของแข็งทุบตีจนได้เลือด ความชาเหน็บจึงเข้ามาทักทาย แต่กระนั้นก็มิอาจกระทำอันใดได้
“ตามความเห็นของกระหม่อมระเบิดมือใช้ได้ผลพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ปัญหาอยู่ตรงที่การศึกเกิดขึ้นเหนือการควบคุม” เซอร์ซีกล่าวอย่างจริงจัง คล้ายกับต้องการรายงานความคืบหน้าให้ผู้เป็นนายรับทราบ

“หมายความว่าอย่างไร ?” เธเซียสกดเสียงต่ำด้วยความใคร่รู้
“เดิมทีส่วนประสมของเชื้อเพลิงที่พระองค์คิดค้น มีเพียงกำมะถัน ปูนขาว และแนฟธา  แต่กระหม่อมกับเคออสค้นพบว่ายางสนและดินประสิวคือส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ส่งผลให้เปลวเพลิงค่อนข้างดับยาก และยังสร้างควันพิษจนทำให้น้ำตาไหลมิหยุดได้พ่ะย่ะค่ะ และถ้าหากนำส่วนประสมเหล่านี้ใช้ร่วมกับหัวฉีดแบบแรงดัน เปลวไฟคงโหมเข้าใส่ข้าศึกได้รุนแรงกว่าสิ่งประดิษฐ์ของชาวเอเธนส์และไมซีเนียนเป็นแน่” คำอธิบายของเซอร์ซีทำให้เธเซียสรู้สึกว่า อีกฝ่ายรู้จักอาวุธสงครามชนิดนี้มากกว่าผู้คิดค้น นับว่าเป็นข้อดี เพราะข้อมูลดังกล่าวอาจสร้างข้อได้เปรียบให้กับครีตัน เพราะการถูกยกทัพเข้าโจมตีอย่างกะทันหันล้วนมีแต่ความเสียเปรียบ ดังนั้นเธเซียสจึงมิถือว่าการให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้คือการกระทำอันผิดต่อไมซีเนียน
เพราะถึงอย่างไรทางไมซีเนียนก็นำความคิดริเริ่มของเธเซียสไปสบคมคิดกับเอเธนส์อย่างออกหน้า

“แล้วเหตุใดจึงกล่าวว่าการศึกเกิดขึ้นเหนือการควบคุม คงมิใช่เพราะว่าเจ้าชายมิโนสวางแผนกรำศึกโดยมิให้ศัตรูล่วงรู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงหมากโขยงหนึ่งที่กำลังวิ่งวนอยู่บนกระดานเกม..” เธเซียสเอ่ยถามอย่างกระตือร้น พร้อมมองจ้องไปยังเซอร์ซีแน่วแน่ ฝ่ายนั้นจึงพยักหน้ารับอย่างมิคิดปิดบัง เธเซียสจึงเริ่มจับประเด็นตั้งแต่การถูกตัดขาดจากโลกภายนอกของเซอร์ซี จนมีผลกระทบมาถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ จากนั้นไกจีสก็ถูกส่งตัวมายังครีตันในฐานะมือสังหาร ซึ่งเจ้าชายมิโนสก็ดูเหมือนจะเปิดช่องทางหลีกหนี เพื่อมอบโอกาสให้กับเจ้าหญิงผู้เลอโฉม และยังล่อลวงข้าศึกให้ก่อสงคราม ดังนั้นค่ำคืนที่มหาบุรุษแห่งครีตันหวนคืนสู่สถานะเดิม อาจมิใช่ความผิดพลาด
เหตุเพราะมิโนทอร์เกิดมาเพื่อปกป้องจักรวรรดิครีตัน หากการศึกยังมิอาจจบสิ้น ย่อมมิมีทางกลับกลายเป็นเจ้าชายมิโนส

‘ความลับ’ อันเปรียบเสมือนความเสียเปรียบของครีตัน จึงยิ่งนำพาให้ไมซีเนียนมีความมั่นใจที่จะยึดครองแผ่นดินทองคำ จึงหลอกล่อเจ้าชายผู้สูงศักดิ์เดินทางไปเยือนไมซีเนียนเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกัน และการร่วมมือกับชาวเอเธนส์ก็ยังสร้างความเชื่อมั่นต่อชัยชนะ ดังนั้นเสด็จพี่ลูซีอัสจึงลอบแฝงกายท่ามกลางราตรีกาล เพื่อไปสมทบกับกองทัพเรือที่เกิดจากความร่วมมือของไมซีเนียนและนครรัฐเอเธนส์
เหตุเพราะการเอาชีวิตมาทิ้งไว้ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ มิใช่เป้าหมายแท้จริง
และมิโนทอร์ก็มิได้มีใจจะกวาดล้างข้าศึกกลุ่มนั้น เนื่องจากบ้านเมืองกำลังได้รับความเสียหาย และอัสก็คงจะส่งเสียงเตือน

“เจ้ากับเคออสมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จนถึงขั้นแลกเปลี่ยนข่าวสารสำคัญเชียวหรือ ?” แต่แล้วเธเซียสก็หลุดออกจากภวังค์ จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เนื่องจากแผนการดังกล่าวอาจเป็นแผนการที่บุรุษผู้สูงศักดิ์ เริ่มสานต่อเมื่อครั้งที่ไปเยือนยังฐานทัพลับกลางหุบเขาสมาเรีย
จนกลายเป็นรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น   
“แน่นอนว่ามิได้เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวด้วยความกำกวม แต่กระนั้นเธเซียสก็มิคิดจะคาดคั้น เหตุเพราะ ‘คำยืนยัน’ จากปากเซอร์ซี ทำให้เธเซียสรู้สึกอึ้งทึ่งในความช่างวางแผนของเจ้าชายมิโนส ที่ค่อนข้างซับซ้อนและอาจจะควบคุมความอันตรายมิให้แผ่กระจายเป็นวงกว้าง ดังนั้นการสร้างเมืองใต้ดินถือเป็นการมองการไกลอย่างหนึ่ง เพราะวิธีการดังกล่าวคงจะมีขึ้นเพื่อรับมือกับนครรัฐเอเธนส์
เนื่องจากทั้งสองดินแดนต่างเต็มไปด้วยความบาดหมาง

“แต่คนเราจะสามารถควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามความประสงค์ได้จริงหรือ ?” บุรุษจากต่างแดนกล่าวอย่างเป็นกังวล พลางก้าวเดินไปยังช่องระบายอากาศอันเล็กแคบ เพื่อสังเกตความเป็นไปด้านนอก ส่งผลให้พันธนาการดึงรั้งข้อมือของเธเซียสจนเกิดบาดแผล แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมิคิดจะถอดใจ
ปลายเท้าเปลือยเปล่าจึงเขย่งขึ้นจนสุดแรง แต่ทว่าก็ยังมองมิเห็นความเป็นไปภายนอก

“เหยียบหลังกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีเอ่ยขัดการกระทำทุกอย่างด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนใจ เหตุเพราะสองมือของเขากำลังถูกพันธนาการ อย่างไรก็มิอาจใช้แผ่นหลังของอีกฝ่ายเป็นฐานเหยียบยืน
“ช่างทำอะไรเกินตัวเสียจริง” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางเดินกลับไปยืนที่ตำแหน่งเดิม
ทว่าคำพูดของเขามิได้บอกกล่าวเพียงตนเอง
แต่กลับเผื่อแผ่ไปถึงนักวางแผนอย่างเจ้าชายมิโนส

แต่แล้วจังหวะการเหยียบย่ำลงบนทางเดินประจำคุกหลวงก็เรียกร้องความสนใจจากสองบุรุษผู้ถูกคุมขัง ที่กำลังตั้งใจวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอกจากเสียงปะทะของอาวุธมีคม โดยฝ่ายหนึ่งคงจะเลือกใช้อาวุธเหล็ก ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งจำต้องใช้อาวุธสำริด เนื่องจากวิวัฒนาการทางด้านอาวุธสงครามต่างมีดีแตกต่างกัน

“สภาพของเจ้า มิน่าดูเอาเสียเลย” สิ้นดำรัสขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียน เธเซียสและเซอร์ซีจึงหันมาสบตากันโดยมิได้นัดหมาย ความงุนงงสงสัยก่อเกิด อีกทั้งความรู้สึกมิปลอดภัยก็เริ่มมาเยือน
“เหตุใดพระนางจึงมาเยือนที่นี่ได้หรือ ?” เธเซียสทูลถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แต่กระนั้นวาจาก็ยังคงนุ่มนวล เพราะการปฏิบัติกับอีกฝ่ายราวกับมินับเครือญาติ ย่อมสร้างความมิพอใจ

“คงเพราะความโง่เง่าของเบี้ยตัวหนึ่งกระมัง” หญิงวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาสะสวยกล่าวอย่างมีลับลมคมนัยที่สามารถตีความได้เพียง ‘เบี้ย’ ตัวนั้น คงจะเป็นเจ้าหญิงแอริแอดเน
“และเบี้ยตัวนั้นก็เป็นเพียงหญิงสาวผู้ไร้เดียงสาที่คิดจะใช้เราเป็นหมากบนกระดาน” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสพลางเสด็จเข้ามายังด้านในของห้องขัง ทันทีที่ทหารนายหนึ่งสะเดาะกลอน เธเซียสที่เผลอสบตากับเซอร์ซีจึงได้รับสัญญาณเตือนบางอย่าง ว่าบัดนี้ทหารครีตันถูกปรับเปลี่ยนเป็นทหารไมซีเนียนเพียงบางส่วน จึงเป็นเหตุให้เซอร์ซีถูกจับกุมจนมีสภาพมิน่าดูชม
ดังนั้นทหารกลุ่มดังกล่าวจึงมิได้เกรงกลัวต่อดำรัสของเจ้าชายมิโนส เหตุเพราะพวกเขามิเคยล่วงรู้

“พระนางเลยถือโอกาสตบตาอย่างแนบเนียนหรือ ?” เธเซียสในคราบของเจ้าชายฮาเดรียนกล่าวพลางแย้มยิ้ม พร้อมคาดเดาว่าเจ้าชายมิโนสคงจะวางแผนบางสิ่งบางอย่างด้วยการชักจูงองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนเข้ามาข้องเกี่ยว เพียงแต่เธเซียสยังมิเข้าใจจุดประสงค์แท้จริง
“เป็นเช่นนั้น แต่อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็จะรู้ความจริงว่าฝ่ายใดคือหมากในกระดาน” สุรเสียงวางอำนาจดังขึ้นอย่างรื่นรมย์ พลางลูบไล้ ‘แส้’ สำหรับลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเชื่องช้า พร้อมเยื้องย่างเข้ามาใกล้เธเซียส

“ว่าไปแล้ว.. เจ้ายังมีประโยชน์มากกว่ามารดาของเจ้าเสียอีก” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสอย่างเย้ยหยันพร้อมใช้ปลายแส้แตะตรงข้างแก้มของเธเซียสอยู่สองสามที ทว่าเจ้าชายฮาเดรียนกลับโกรธาจนเลือดขึ้นหน้า หยดน้ำลายจึงซ่านกระเซ็นไปทั่วดวงพักตร์งดงามของอีกฝ่าย แรงกระหน่ำจากการเฆี่ยนตีจึงส่งผลให้ผิวเนื้อปริแยก แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังคงจดจ้องด้วยความคับแค้น ฝ่ายเซอร์ซีกลับถูกพันธนาการด้วยชายร่างใหญ่ถึงสองนาย จึงมิอาจรีบรุดไปช่วยนายเหนือหัวดังใจหมาย
“มารดาของเจ้า นอกจากทำครัว ยังมีประโยชน์อันใดอีกบ้าง ?” สตรีสูงศักดิ์ตรัสถามด้วยสุรเสียงแข็งกร้าว พลางจับยึดใบหน้าของเธเซียสจนสร้างความปวดร้าว แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังคงแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง พร้อมกับฉีกยิ้มอย่างมิรู้สึกรู้สา

“เกรงว่าคำถามนี้ พระนางคงต้องทูลถามกับเสด็จพ่อ ว่าเหตุใดจึงทรงโปรดปรานเสด็จแม่ของกระหม่อมจนถึงขั้นแต่งตั้งให้เป็นองค์ราชินี ทั้งๆ ที่ เสด็จแม่เป็นเพียงหญิงชาวบ้านผู้ต้อยต่ำ แต่ในมุมมองของกระหม่อม คิดว่าสำหรับเสด็จพ่อ เสด็จแม่คงจะสูงส่งจนน่ายกย่องกระมัง” สิ้นวาจาแทงใจดำที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอดีต แส้เส้นยาวก็ตวัดลงบนผิวเนื้อของเธเซียสมิยั้ง ส่งผลให้ใบหน้าของบุรุษผู้ปากดีเริ่มบิดเบี้ยว
“ช่างน่าเสียดายที่พระนางลงแรงไปตั้งมากมาย แต่ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงยืนเคียงข้าง พร้อมโอบกอดตำแหน่งที่สู้ฝ่าฟันมาทั้งชีวิต จนปลายเท้าของพระนางเต็มไปด้วยหยดเลือดของผู้บริสุทธิ์” เธเซียสตะโกนก้องราวกับเสียสติ อาจเพราะเขากำลังใช้คำพูดคล้ายกับเข็มอันแหลมคมคอยทิ่มแทงอีกฝ่าย เพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บทางร่างกาย

“แต่อย่างน้อยเราก็เป็นคู่คิดที่เสด็จพ่อของเจ้าไว้วางใจทุกเรื่อง” สตรีผู้สูงศักดิ์แผดสุรเสียงดังก้อง ซึ่งความนัยดังกล่าวเธเซียสมิอาจโต้แย้ง เนื่องจากความฉลาดปราดเปรื่องและความเพียบพร้อมของอีกฝ่าย สามารถส่งเสริมความมั่นคงให้กับอาณาจักรไมซีเนียน ดังนั้นเหล่าขุนนางจึงพากันหนุนหลังจนทำให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ราชินีแห่งไมซีเนียน ทันทีที่เสด็จแม่สิ้นพระชนม์ เพราะเดิมทีพวกเขาก็มิได้ชื่นชมเสด็จแม่สักเท่าใด จึงมิแปลกที่ความไว้วางใจจากเสด็จพ่อที่มีต่อเธเซียสจะค่อยๆ ถูกลดทอน
“แม้กระทั่งใช้เจ้าเป็นเหยื่อล่อให้สัตว์ประหลาดวิ่งเข้ามาติดกับก็ยังเห็นดีเห็นงาม มิได้ห่วงใยอดีตบุตรชายที่เคยโปรดปรานสักนิด” ดำรัสของอีกฝ่ายสร้างความสะเทือนใจให้กับเธเซียสเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ความเคลื่อนไหวเริ่มหยุดนิ่ง คล้ายกับถูกตอกตรึงด้วยตะปูหมุดที่มิอาจมองเห็น

“ช่างน่าสงสารเสียจริง” ดำรัสสื่อความเยาะเย้ยถากถางยังคงส่งตรงมาถึงเธเซียส จากนั้นความเงียบกริบก็เริ่มรายล้อมรอบกาย นำพาให้เสียงอึกทึกจากภายนอกเข้ามามีอิทธิพลในคุกหลวง
“อีกประเดี๋ยวสงครามก็คงจบลง เอาไว้ข้าจะมาละเล่นกับเจ้าใหม่” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสพลางใช้พระหัตถ์ตีข้างแก้มของเธเซียสเพียงบางเบา ก่อนจะเยื้องย่างออกจากห้องคุมขังอย่างอ้อยอิ่ง
แต่แล้วสถานการณ์มิต่างจากดำรัสนั้นก็เริ่มก่อเกิด..

“กรรรรรรรรรรรรรร!” เสียงร้องคำรามของเจ้าชายมิโนสในคราบมิโนทอร์ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ จากนั้นสุ้มเสียงของฝ่ายครีตันก็เริ่มว้าวุ่น
“แอสเตเรียนถูกไฟเผา!” ถ้อยคำดังกล่าวแพร่สะพัดราวกับระลอกคลื่น อีกทั้งยังซัดสาดจนดวงใจของเธเซียสชาหนึบ สมองพลันขาวโพลนราวกับถูกแช่แข็ง เรี่ยวแรงพลันหมดลงอย่างง่ายดาย
เหตุเพราะ ‘วัยเยาว์’ อันแสนงดงามเพียงหนึ่งเดียวในปัจจุบัน
กำลังมลายหายไปกับเพลิงกัลป์

“ระดมยิงลูกศร! เร็ว!” สุ้มเสียงของผู้บัญชาการทหารครีตัน ตะโกนก้องอย่างเคร่งเครียด ทว่าทิศทางของความวุ่นวายกลับแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ราวกับไฟลามทุ่ง บ่งบอกได้ว่ากองทัพบกของครีตันอาจมีกองกำลังสำคัญอยู่หลายส่วน
แต่กระนั้นก็ยังมิอาจต้านทาน..

“เรากำลังเสียเปรียบ! ถอยทัพ!” เสียงก้องกังวานราวกับระลอกคลื่น นำพาให้จิตใจของเธเซียสแห้งเหี่ยว หยาดน้ำตาที่เคยคลอหน่วยกลับเริ่มไหลรินอย่างอ่อนล้า
เมื่อทุกสิ่งอย่างคล้ายกับพังลงตรงหน้า

“อ้อ.. บนดินยังวุ่นวายถึงเพียงนี้ มิรู้ว่าใต้ดินจะเป็นอย่างไร” ท่ามกลางเสียงกู่ร้องของทหารครีตันที่เต็มไปด้วยความเสียเปรียบ องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนกลับตรัสวาจาชวนหวาดหวั่น แววตาของเธเซียสจึงไหวระริกอย่างปวดร้าว
เพราะเขามิคาดคิดว่าแผ่นดินทองคำจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้อื่น

“เกรงว่าจะมิเป็นดังใจหวังพ่ะย่ะค่ะ เหตุเพราะไกจีสคงมิมีโอกาสได้นำทัพตามใจหมาย และคงมิมีโอกาสบอกกล่าวข้อมูลกับผู้ใด เพราะสิ่งที่เขาทำได้ มีเพียงโป้ปดเพื่อเอาตัวรอด และยังได้รับความดีความชอบเป็นกอบกำ” เซอร์ซีกล่าวอย่างสำบัดสำนวน ส่งผลให้หนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษเริ่มหวนคิดว่า...
จักรวรรดิครีตันมิคู่ควรกับความประมาท!

φ


[1] แนฟธา คือ น้ำมันดิน เป็นของเหลวสีดำที่ได้จากการกลั่นทำลายของสารอินทรีย์ เช่น ถ่านหิน ไม้ และน้ำมันดิบ ชาวกรีกและชาวตะวันออกกลางรู้จักของเหลวชนิดนี้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในด้านการศึกอีกด้วย

มาอัพต่อแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าทุกคนมองแผนการของแต่ละคนได้ชัดเจนขึ้นมั้ย ส่วนมิโนทอร์จะเป็นยังไงบ้าง บ้านเมืองจะตกเป็นของอีกฝ่ายหรือเปล่า ต้องติดตามตอนหน้าค่ะ และถ้าหากเป็นไปได้เราอยากให้ทุกคนช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยค่ะ ว่าเราแต่งเป็นยังไงบ้าง มันแย่ลงใช่หรือเปล่า เพราะช่วงนี้คนอ่านลดลงมากจากร้อยกว่าเหลือแค่หลักสิบ จนเรารู้สึกว่าเราคงยังทำได้ไม่ดีพอ ยังพยายามไม่มากพอ เขียนไปก็กลัวว่ามันจะไม่ดี จนตอนนี้เริ่มจะเข้าสู่ writer block แล้วค่ะ ตอนหน้าอาจจะช้าเล็กน้อย T^T

อยากบอกว่าคอมเมนต์ของทุกคนคือกำลังใจและความเชื่อมั่นของเราจริงๆ ค่ะ T[]T
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 43 φ หน้า 3 (update 30/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 30-09-2019 18:53:37
ตอน 43

เธเซียสมิเคยรู้ตัวว่าตนเองเผลอคลุ้มคลั่งอย่างเสียสติ กระทั่งพบว่าข้อมือได้รับบาดเจ็บ แต่กระนั้นพันธนาการชั้นดีก็ยังเต็มไปด้วยคุณภาพ เสียงหายใจถี่กระชั้นจึงค่อย ๆ นำพาความคิดอันกระจัดกระจายกลับมาเป็นรูปร่าง ขณะเดียวกันเสียงสรวลขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียนก็เริ่มแห้งเหือด เพียงเพราะคำพูดของนายทหารอย่างเซอร์ซี
ความว้าวุ่นภายนอกจึงเป็นเพียงม่านหมอกที่มิได้แตกต่างกับควันพิษของภูเขาแห่งไฟ

ซึ่งเธเซียสจดจำได้ดีว่า ทุกคราที่ ‘มิโนทอร์’ ปรากฏกาย มักจะมีผลควบคู่ไปกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มิว่าจะเป็น แสงอัสนีแปลบปลาบ หรือแม้กระทั่งพายุฝนโหมกระหน่ำ เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นมักจะเกิดรอบ ๆ บริเวณที่มหาบุรุษเคลื่อนผ่าน ดังนั้นเปลวไฟจากอาวุธลับของฝ่ายตรงข้าม ย่อมมิมีทางแผดเผามหาบุรุษแห่งครีตัน เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเกราะกำบังอย่างหนึ่ง
หยาดฝนที่มิเคยตกทั่วฟ้า จึงทำหน้าที่มิต่างกับม่านหมอกตรงบริเวณเกาะแห่งไฟ เหล่าทหารของฝ่ายตรงข้ามที่มิได้ถูกสายฝนโปรยกระหน่ำ จึงช่วยกันป่าวประกาศจนข่าวสารดังกล่าวแพร่กระจายราวกับระลอกคลื่น
เหตุเพราะหลายผู้ที่ล่วงรู้ความจริง อาจมิมีโอกาสได้บอกกล่าว
จึงเป็นสาเหตุให้เธเซียสทราบความเป็นไปภายนอกได้อย่างชัดเจน

“เรื่องไกจีส..” เซอร์ซีเปิดปากพูด เมื่อทั่วบริเวณหลงเหลือเพียงบุรุษต้องโทษ และประโยคดังกล่าวก็เรียกความสนใจจากเธเซียสได้เป็นอย่างดี คล้ายกับเจ้าตัวเฝ้ารอคำอธิบายมานานแล้ว
“เท่าที่กระหม่อมทราบ เขาเป็นเพียงหมากบนกระดานเกมที่เป็นหนึ่งในแผนสำรองของเจ้าชายมิโนส” จากคำบอกเล่าของเซอร์ซีทำให้เธเซียสเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์คงจะวางแผนดังกล่าวมาเนิ่นนาน
และคงนานพอที่จะพอกพูน ‘แผนสำรอง’ มากขึ้นเรื่อยๆ

“ดังนั้นหนึ่งในเป้าหมายของเจ้าชายมิโนส คือการชะล้างข้อหา ‘ไส้ศึก’ ให้กับพระองค์” สิ้นคำพูดของเซอร์ซี เธเซียสก็คิดย้อนไปถึงสถานการณ์ตรงบริเวณห้องโถง ที่มีการเจรจาว่าความเกี่ยวกับสารลับของอาณาจักรไมซีเนียน ซึ่งวันนั้นทุกผู้ต่างคาดเดาว่า เธเซียสมีความสำคัญต่อฝ่ายตรงข้ามมิมากก็น้อย บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงใช้วาจาเต็มไปด้วยเหตุผล ชักจูงความคิดของเหล่าขุนนาง จนกระทั่งจดหมายเลือดเดินทางมาถึง ‘ความลับ’ ที่พระองค์เคยปกปิดจึงถูกเปิดเผย ส่งผลให้องค์ราชินียื่นคำขาดให้มีการแลกเปลี่ยนตัวประกัน เจ้าชายมิโนสจึงตัดพ้อด้วยดำรัสบางประโยคที่บ่งบอกได้ว่าสิ่งที่พระองค์พยายามกระทำกำลังจะไร้ความหมาย
ซึ่งสิ่งที่พระองค์เฝ้ากระทำ..
เธเซียสกำลังรับรู้มันจากปากของเซอร์ซี

“เพลานี้ไกจีสอาจถูกสังหารไปแล้วกระมัง” เซอร์ซีกล่าวพลางลุกขึ้นเดินวนเวียนไปมาภายในห้องขัง เนื่องจากเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่มิถูกพันธนาการ แต่กระนั้นการ ‘แหกคุก’ ก็มิใช่เรื่องง่าย
เพราะเขามิมีสิ่งอำนวยความสะดวกในเรื่องดังกล่าวติดตัว 

“หรือถ้าหากเขายังรอดชีวิต อย่างไรก็ต้องถูกตามล่าให้ถึงที่สุด เพราะเขาล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับเมืองใต้ดิน และยังล่วงรู้ตำแหน่งที่ตั้งของฐานทัพบก กลุ่มสังหารมิมีทางปล่อยเขาไว้” เธเซียสขมวดคิ้วด้วยความครุ่นคิด เนื่องจากติดใจอยู่หนึ่งคำ ซึ่งก็คือ ‘กลุ่มสังหาร’ เพราะถ้อยคำดังกล่าวกำลังบอกความนัยด้วยตนเองว่า..
เจ้าชายมิโนสตั้งใจล้อเล่นกับเหยื่อ
จนกระทั่งใช้งานเสร็จสิ้น จึงแต่งตั้งกลุ่มสังหาร

“เพราะสำหรับเจ้าชายมิโนส ศพของเขามีค่ายิ่งกว่าทองคำ” เซอร์ซีกล่าวพลางเงยหน้าสำรวจเพดานห้องขัง ราวกับต้องการจะมองหารูขนาดเล็กไว้รองรับน้ำฝนเพื่อดำรงชีพ เธเซียสจึงรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เนื่องจากมิมีอะไรตกถึงท้อง นับตั้งแต่ถูกจับตัวมาคุมขังอยู่ที่นี่
“เพราะเหตุใด ?” บุรุษจากต่างแดนเปิดปากถามเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงแห้งผาก

“หนทางเดียวที่จะทำให้พระองค์หลุดพ้นจากข้อหาไส้ศึก คงมีแต่การจัดหาซากศพของใครสักคน ที่มิอาจแยกแยะได้ว่าบุรุษผู้นั้นมีความเป็นมาอย่างไร เพื่อที่จะได้ตั้งแต่งให้เขากลายเป็นนักโทษคดีสงคราม ในนามของเจ้าชายฮาเดรียนแห่งไมซีเนียน” จากคำบอกเล่าของเซอร์ซี เธเซียสเริ่มเข้าใจความประสงค์ของเจ้าชายมิโนสมากขึ้น เพราะการที่มิอาจรับรู้ว่าซากศพดังกล่าวเป็นของเจ้าชายฮาเดรียนจริงหรือไม่ ช่องว่างแห่งการชะล้างมลทินก็ยังคงอยู่
และนั่นก็หมายความว่าเธเซียสมิอาจกลับไปเป็นบุรุษผู้มีชาติกำเนิดจากไมซีเนียนได้อีกต่อไป
ศึกสงครามจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อกระดานเกมตานี้

กระทั่งสงครามยุติ แต่กระนั้นการทำลายล้างของทหารเอเธนส์กลับยังมิจบสิ้น คล้ายกับเป้าหมายของพวกเขาคือสภาพอันย่อยยับมิต่างกับนครรัฐเอเธนส์ในอดีต ดังนั้นจักรวรรดิครีตันที่เคยเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด จึงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน กลิ่นไอฉุนจมูกจึงลอยลมรอดผ่านช่องระบายอากาศวันแล้ววันเล่า
ทว่าเธเซียสกลับรู้สึกว่า..
ความเงียบเชียบของครีตัน คล้ายกับภูเขาแห่งไฟที่กำลังรอวันระเบิด

“ออกมา!” สุ้มเสียงของทหารไมซีเนียนดังขึ้นพร้อมกับลูกกรงสำริดถูกเปิดออก โดยมีทหารนายหนึ่งปลดเปลื้องพันธนาการให้กับเธเซียส ก่อนจะใช้เชือกเส้นเดียวกับเซอร์ซีมัดข้อมือไว้ข้างหลัง พร้อมกับผลักดันให้นักโทษทั้งสองก้าวเดินออกจากห้องคุมขัง
ทว่าความรู้สึกหดหู่กลับแผ่กระจายเป็นวงกว้าง เมื่อภาพวาดเฟรสโกฝีพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนสถูกทำลายจนมิเหลือชิ้นดี อีกทั้งเครื่องปั้นดินเผาลวดลายวิจิตรยังถูกตราหน้าเป็นของไร้ค่า เพลานี้เศษซากของมันจึงกระจัดกระจายไปทั่วพระราชวังนอสซัส
มิหลงเหลือความเจริญหูเจริญตาอีกต่อไป   

กระทั่งจุดหมายปลายทางปรากฏภาพของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในคนกลุ่มนั้นคือเหล่านางกำนัลและช่างฝีมือจากแขนงต่าง ๆ ในสภาพเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินและคราบเลือด กำลังถูกห้อมล้อมด้วยทหารจากไมซีเนียนและเอเธนส์ โดยมีองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนประทับอยู่บนกำแพงหินทรงเตี้ยที่กั้นเป็นราวสะพานสำหรับเชื่อมกับอาณาจักรของเหล่าคหบดีผู้มั่งคั่ง
ทว่าสายลมพลิ้วไหวที่เคยให้ความสดชื่น
ยังคงตกค้างด้วยกลิ่นของเขม่าควัน

“ถอยไป!” แต่แล้วความสนใจของเธเซียสก็หันมาจับจ้องความเคลื่อนไหวขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียน เหล่าทหารจึงแหวกวงล้อมอย่างพร้อมเพรียง ส่งผลให้เธเซียสมองเห็นเศษข้าวสาลีกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
แต่ทว่ากลับมีกลีบบัวที่ผ่านการตากแห้งปะปนอยู่ เธเซียสจึงก้มลงเก็บพร้อมพิจารณาอย่างถี่ถ้วน พบว่า ‘กลีบบัว’ ตากแห้งชนิดนี้คือพันธุ์ไม้จากอียิปต์ที่เคยเบ่งบานอยู่ในสระตรงบริเวณลานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

“ข้าจะถามพวกเจ้าอีกครา.. เมืองใต้ดินอยู่ที่ใด ?” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนกัดพระทนต์ด้วยความเจ็บแค้น พร้อมชักกริชด้ามยาวออกจากบั้นเอวของราชองครักษ์นายหนึ่ง สร้างความหวาดผวาให้กับเชลยสงครามฝ่ายครีตันเป็นอย่างมาก เนื้อตัวของพวกเขาจึงสั่นงันงก
“ตอบ!” เมื่อไร้ซึ่งคำตอบ พระนางจึงกระชากแขนบุรุษผู้หนึ่งพร้อมลั่นดำรัสอย่างเกรี้ยวกราด ทว่าดวงเนตรของพระนางกลับเต็มไปด้วยอัสสุชน หัวคิ้วของเธเซียสจึงขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
ทว่าความคิดยังมิทันตกผนึก
คมกริชก็สะบั้นลำคอของบุรุษผู้นั้นจนโลหิตซ่านกระเซ็น

จากนั้นเหตุการณ์ตรงหน้าก็คล้ายกับสงครามขนาดย่อม เมื่อองค์ราชินีคร่าชีวิตของพวกเขาอย่างบันดาลโทสะ ก่อนจะทรุดวรกายร่ำไห้ปานจะขาดใจ พร้อมคร่ำครวญโหยหาบุตรชายอันเป็นที่รัก เธเซียสจึงทราบความว่าเสด็จพี่ร่วมสายเลือดเพียงกึ่งหนึ่ง ถูกทหารครีตันลอบสังหาร เพลานี้เพลิงกัลป์ที่กำลังแผดเผาจักรวรรดิครีตันจึงค่อย ๆ มอดดับ
เพียงเพราะ ‘บัวอียิปต์’ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ

“ไป!” แต่แล้วทหารผู้ควบคุมนักโทษก็ไล่กวาดต้อนเธเซียสไปยังลานกว้างที่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทว่าสุดปลายสายตากลับมองเห็นขุนพลดิดะรัสในสภาพที่มิค่อยสง่าผ่าเผย เนื่องจากข้อมือถูกมัดไพล่หลังพร้อมนั่งคุกเข่าราวกับนักโทษ
และเมื่อก้าวเดินเข้ามาใกล้
พบว่าแววตาของเขากำลังเลื่อนลอย

กระทั่งเรียวขาถูกเตะให้ทรุดตัวลงกับพื้น ดวงตาจึงผละออกจากใบหน้าของขุนพลจากเกาะแห่งไฟ ขณะที่ริมฝีปากกำลังถูกบีบคั้นให้เปิดรับกลีบบัวอียิปต์ตากแห้งในปริมานมาก เธเซียสจึงออกอาการสำลักอย่างทุกข์ทรมาน แต่กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังมิหยุดการกระทำดังกล่าว
จากนั้นสมองก็เริ่มถูกสะกดด้วยอะไรบางอย่าง
ภาพหลอนเมื่อครั้งอดีตจึงเริ่มหวนคืน

“ขุนพลดิดะลัส..” เธเซียสอุทานอย่างสับสน เมื่อมองเห็นทหารไมซีเนียนจำนวนหนึ่งกำลังกลุ้มรุมทุบตีผู้เป็นมารดา แต่ทว่าเมื่อเธเซียสกระพริบตาเพียงคราเดียว กลับพบว่าผู้ที่ถูกทำร้ายกลายเป็นขุนพลดิดะรัส บุรุษจากต่างแดนจึงสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง แต่กระนั้นฤทธิ์เดชของบัวอียิปต์ก็นำพาให้เกิดภาพหลอน เพียงแต่ครานี้กลับเป็นภาพของเสด็จแม่ที่กำลังถูกห้อมล้อมด้วยราชสีห์
ขณะที่ในความเป็นจริงขุนพลดิดะรัสกำลังถูกคาดคั้นเกี่ยวกับเมืองใต้ดิน

“เสด็จแม่..” เธเซียสคลานสี่ขาเข้าไปหาภาพดังกล่าว พลางร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ โดยมิสนใจว่าข้อมือของเขายังคงถูกพันธนาการร่วมกับเซอร์ซีหรือไม่ ร่างของอีกฝ่ายจึงเซถลาไปตามเรี่ยวแรงของบุรุษผู้เป็นนาย ทว่ากลับถูกเหล่าทหารล็อกตัวไว้อย่างแน่นหนา แต่กระนั้นเธเซียสกลับสะบัดตัวจนสุดแรง เพียงแต่แรงของผู้ถูก ‘บัวอียิปต์’ เล่นงาน กลับมิต่างจากผู้ป่วยไร้สิ้นเรี่ยวแรง บุรุษผู้กำลังบอบช้ำจึงได้แต่สะอึกสะอื้น พร้อมกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เมื่อภาพที่เห็นคือภาพของราชสีห์ 3 ตัว กำลังฉีกทึ้งร่างของเสด็จแม่ เสียงหวีดร้องโหยหวนที่ยังคงติดตรึงจึงหวนคืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับถูกมีดกริชเสียดแทงจิตใจจนขาดวิ่น แววตาของเธเซียสจึงเหลือกโตอย่างควบคุมตนเองมิได้
กระทั่งสายตาสบกับวรองค์ของเสด็จพ่อที่ประทับอยู่บนบังลังก์ภายในอาคารของพระราชวังนอสซัส เธเซียสจึงสะบัดกายด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย พร้อมคลานเข่าเข้าไปหาผู้เป็นบิดาอย่างหมดสภาพ เพื่ออ้อนวอนให้อีกฝ่ายช่วยชีวิตเสด็จแม่ ทว่าองค์ราชาแห่งไมซีเนียนกลับเบือนสายพระเนตรหลีกหนี
เพียงครู่ก็เสด็จจากไป..
โลกทั้งใบของเธเซียสจึงพังครืนจนมิเหลือแม้กระทั่งเศษซาก

ส่งผลให้ความเจ็บปวดจากการถูกกลุ้มรุมทุบตีมิอาจเทียบเท่ากับความแหลกสลายของจิตใจ บุรุษผู้แสนเปราะบางจึงนอนงอตัวอยู่บนลานประกอบพิธีกรรม เมื่อทหารกลุ่มนั้นกำลังตั้งเป้าหมายมาที่เขา โสตประสาทจึงแว่วเสียงทวงถามเกี่ยวกับเมืองลับใต้ดิน ทว่าสมองของเธเซียสกำลังสับสน เนื่องจากภาพที่เขาเห็นคือชิ้นเนื้อของเสด็จแม่ที่ถูกฉีกทึ้งโดยราชสีห์
แล้วเหตุใดทหารเหล่านี้ จึงเอาแต่ถามไถ่เกี่ยวกับเมืองใต้ดิน
หรือแท้ที่จริงชิ้นเนื้อเหล่านั้น มิใช่ของเสด็จแม่..

ทว่ายังมิทันค้นหาคำตอบ บุรุษจากต่างแดนก็ถูกหิ้วปีกกลับไปยังห้องคุมขัง จากนั้นก็ถูกโยนทิ้งราวกับซากศพไร้ค่า เธเซียสจึงนอนแผ่หลาพร้อมกวาดสายตามองเพดานห้องขัง เรื่อยมาจนถึงช่องระบายอากาศ กำแพงหินอันโสโครก พื้นห้องอันเต็มไปด้วยฟางข้าวสุดแสนคันคะเยอ ก่อนจะหยุดสายตาแน่นิ่งลงบนร่างของทหารคนสนิทที่บัดนี้กำลังนอนเหม่อลอยไร้สติ
ความเงียบเชียบจึงก่อกำแพงอย่างแน่นหนา
คล้ายกับปิดตายความรู้สึกของบุรุษผู้ถูกฤทธิ์เดชของบัวอียิปต์ที่มีความร้ายกาจมิต่างกับฮัลกิล

บุรุษนักโทษนอนแผ่หลาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฟ้ามืดก็มิคิดขยับตัว แม้ว่าภายในห้องคุมขังจะมิมีแสงสว่างอันใด รวมไปถึงสุ้มเสียงของการก้าวเดินก็มิอาจเรียกสติหลุดลอยให้กลับคืนมา
คล้ายกับว่าเพลานี้ร่างกายกำลังตายด้านพร้อมความรู้สึก

“เธเซียส..” ทว่าเสียงกระซิบราวกับสายลมกำลังเหนี่ยวรั้งจิตใจอันเลื่อนลอยของบุรุษจากต่างแดน ร่างกายไร้ความรู้สึกจึงลุกขึ้นนั่งพร้อมมองตรงไปยังที่มาของเสียง แต่กระนั้นความมืดมิดกลับบดบังทุกสิ่งอย่าง จึงพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พร้อมสาวเท้าไปยังเบื้องหน้าด้วยความรวดเร็ว
“ชู่.. อย่าส่งเสียงดัง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงนุ่มนวล เมื่อเธเซียสกำลังคลุ้มคลั่งราวกับต้องการแหวกลูกกรงเพื่อกลับไปหาวัยเยาว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ขณะที่น้ำตายังคงไหลรินมิขาดสาย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินดำรัสดังกล่าว สองมือจับยึดลูกกรงสำริดจนเส้นเลือดปูดโปนพร้อมสะอึกสะอื้นจนแทบขาดใจ
ขณะที่เจ้าชายมิโนสกลับทำได้เพียงลูบไล้ฝ่ามือที่กำลังโผล่พ้นพันธนาการ

“มะรืนเราจะทวงทุกอย่างคืนกลับมา โปรดรอคอยสักนิด..”


φ


บทความที่เกี่ยวข้อง
- บัวอียิปต์ http://bit.ly/2miS8is

น้องเธเซียสเจ็บตัวอีกแล้ว ส่วนบัวอียิปต์เราเอามาใช้เป็นประโยชน์สักหน่อย พอดีเราอ่านเจอจากในทวิตแบบผ่านๆ เมื่อนานมาแล้วก็เลยคิดว่าน่าจะเอามาใช้กับนิยายได้ คือบัวอียิปต์จะมีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายกับอาการถูกสะกดจิตและหลอนประสาทค่ะ น้องเธเซียสเลยเกิดภาพหลอนเกี่ยวกับเรื่องของคุณแม่ T[]T
ส่วนแผนการขององค์มิโนสน่าจะกระจ่างบ้างแล้วว่าทำไมถึงต้องเก็บไกจีสไว้ ซึ่งเรื่องของเธเซียสคือแผนที่เจ้าชายมิโนสวางไว้นานแล้วค่ะ เรียกได้ว่าคิดวางแผนตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจเสี่ยงโชคกับน้องแล้วค่ะ แต่พอเกิดเรื่องของเจ้าหญิงก็เลยกลายเป็นผลพลอยได้

ปล. อยากถามว่าเราเขียนงงหรือเปล่าคะ และสำนวนของเราเป็นยังไงบ้าง คือเราบังเอิญไปเจอคอมเมนต์เกี่ยวกับเรื่องสำนวนแต่เป็นจากนิยายเรื่องอื่นของเราค่ะ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 43 φ หน้า 3 (update 30/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-09-2019 19:11:31
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 44 φ หน้า 3 (update 02/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 02-10-2019 18:53:52
ตอน 44

หลังจากฤทธิ์เดชของ ‘บัวอียิปต์’ เริ่มเจือจาง บุรุษผู้ต้องโทษจึงเอนพิงกำแพงหินโสโครก พลางยืดขาเป็นเส้นตรงพร้อมครุ่นคิดถึงสติสัมปชัญญะอันขาดหาย
แต่กระนั้นก็มิอาจแน่ใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนเองบ้าง

“กระหม่อมรู้สึกว่ากลีบบัวอียิปต์มีฤทธิ์เดชร้ายกาจ หากได้รับในปริมาณมาก อาจมิรู้ตัวเลยว่ากำลังเผชิญกับความฝันหรือความจริง หากอาศัยโอกาสนี้ปลิดชีพใครสักคนย่อมเป็นเรื่องง่าย” การวิเคราะห์ของเซอร์ซียังคงดีเยี่ยม เพราะเธเซียสเองก็คิดเช่นนั้น บวกกับเศษข้าวสาลีที่หล่นเกลื่อนกลาดปะปนไปกับกลีบบัวอียิปต์ตากแห้ง
ก็ยิ่งสอดคล้องต่อการคาดเดา

ซึ่งเหล่าทหารคงมิได้มีความพิถีพิถันต่อเรื่องการกิน จึงเป็นเหตุให้เกิดช่องว่างในการลงมือ โดยที่อาจจะมีใครสักคนรู้เห็นเป็นใจ และมิแน่ว่าอาจจะเป็นนางกำนัลจากฝ่ายใน หรือช่างฝีมือจากแขนงต่าง ๆ มิเช่นนั้นนางหญิงชั่วคงมิออกอาการบ้าคลั่งพร้อมสังหารโหดถึงเพียงนั้น
“กินเสีย!” แต่แล้วทหารกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามายังห้องคุมขังและหย่อนดอลมาเดซจำนวนสองห่อผ่านช่องว่างของลูกกรงสำริด สร้างความมิไว้วางใจให้กับบุรุษทั้งสองเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลายวันที่ผ่านมามิมีทีท่าว่าพวกเขาจะเมตตาปรานีให้อิ่มท้อง
แล้วเหตุใดเพลานี้จึงคิดอยากดูแลพวกเขาเยี่ยงนักโทษชั้นดี

“การศึกมิรู้ว่าจะยาวนานเท่าใด..” เซอร์ซีกล่าวพร้อมปัดเศษฝุ่นพลางลิ้มชิมดอลมาเดซเป็นฝ่ายแรก แต่ก็ยังมิมีปฏิกิริยาอันใดที่บ่งบอกถึงอันตรายแก่ชีวิต เธเซียสจึงกินอาหารมื้อแรกในรอบหลายวันอย่างตะกละตะกลาม ก่อนจะเริ่มน้ำตาซึมเมื่อนึกไปถึงมื้ออาหารริมหน้าผาที่เกาะแห่งไฟ จำได้ว่าวันนั้นท้องนภาเป็นสีแดงอมส้ม ดวงตะวันดวงใหญ่กำลังจะลาลับขอบฟ้า เกลียวคลื่นสีทองอร่ามงดงามจับตา
แต่ทว่ากลับจับใจยิ่งกว่า

จากนั้นภาพตรงหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นบริเวณด้านหลังของโรงผลิตลาเบินในยามราตรี สายฝนโปรยกระหน่ำพร้อมอสนีบาตฟาดฟันลงบนแผ่นดิน ราวกับเหล่าทวยเทพกำลังพิโรธ คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่เรือลำหนึ่งจนอับปาง กระทั่งทุกอย่างเริ่มสงบนิ่ง มหาสมุทรก็เผยร่างของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งที่ชาวครีตันเรียกกันว่า ‘แอสเตเรียน’ แต่แล้วเรื่องราวน่าอัศจรรย์ใจก็ปรากฏ เมื่อมหาบุรุษแห่งครีตันกลับกลายเป็นเจ้าชายมิโนสผู้งามสง่า
ทว่าห่าศรกลับพุ่งเข้าใส่บุรุษผู้นั้นจนพระฉวีเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต
ก่อนจมลงสู่ก้นสมุทร

“พระองค์!!!!” เธเซียสเอ่ยเรียกบุรุษผู้นั้นพลางเอื้อมมือไขว่คว้า ทว่าวรองค์ของเจ้าชายมิโนสกลับเลือนหายไปจากสายตา เธเซียสจึงตะเกียกตะกายไขว่คว้าท่ามกลางมหาสมุทรมืดมิด ขณะเดียวกันศีรษะของเขากลับเต็มไปด้วยหยดเลือด
เมื่อท้องทะเลในความคิด..
กลับเป็นเพียงกำแพงหินโสโครกในห้องคุมขัง

กระทั่งสติเริ่มหวนคืน เช้าวันใหม่ก็มาเยือน ทว่าทุกอย่างยังคงเงียบสงบ อาจเพราะห้องคุมขังไร้ซึ่งเวรยาม บ่งบอกได้ว่าการลอบสังหารข้าศึกบนผืนแผ่นดินครีตันกำลังประสบความสำเร็จ เมื่อทหารภายในพระราชวังมิได้มีความเข้มงวด ราวกับถูกเกณฑ์แรงงานเพื่อไปอารักขาความปลอดภัย หรืออาจจะถูกเกณฑ์ไปเพื่อการตั้งรับศึกหนัก
“น่าเสียดายที่เราทำมีดสั้นหายกลางทาง” เธเซียสรำพันพลางมองจ้องไปยังลูกกรงสำริดแน่นิ่ง เพราะเขากำลังมองเห็นทางรอดใกล้เพียงเอื้อม แต่ทว่ากลับมิอาจไขว่คว้า
วันเวลาจึงผันผ่านโดยเปล่าประโยชน์

กระทั่งเสียงเฮโลของผู้คนจำนวนมากร้องเรียกความสนใจ สองบุรุษภายในห้องคุมขังจึงพากันลุกขึ้นยืน โดยฝ่ายเซอร์ซีเลือกทรุดตัวลงกับพื้นเพื่อเป็นฐานรองรับให้กับผู้เป็นนาย เธเซียสจึงเหยียบแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนเต็มแรง แต่กระนั้นศีรษะของเขาก็ยังไม่โผล่พ้นช่องระบายอากาศ
“เราอาจต้องใช้ความรุนแรงสักหน่อย” เธเซียสกล่าวราวกับเป็นสัญญาณเตือน จากนั้นจึงกระโดดขึ้นสู่เบื้องบนพร้อมใช้ฝ่ามือเกาะเกี่ยวช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก พลางใช้สายตาสอดส่องความเป็นไปภายนอก พบว่าภายในตัวพระราชวังเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายของทหารไมซีเนียนและเอเธนส์

“ปิดกั้นทางน้ำ!” สุ้มเสียงเคร่งเครียดของนายทหารมากยศตะโกนก้องจนทั่วบริเวณ พลางชี้ไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของห้องใต้ดิน เธเซียสจึงอนุมานได้ว่า เจ้าชายมิโนสอาจจะซ่องสุมกองกำลังส่วนหนึ่งไว้ในห้องใต้ดินอันลึกลับ ซึ่งกองกำลังกลุ่มนั้นอาจจะมาจากหุบเขาสมาเรีย เหตุเพราะมีเส้นทางน้ำสายหนึ่งเชื่อมกับสายน้ำอันเป็นสถานที่แห่งการปลดปล่อยเชลยศึก อีกทั้งสายน้ำแห่งนี้ยังเชื่อมกับคูคลองน้ำทะเลเรียบเขตพระราชฐาน
“ปิดกั้นทางบก! เร็ว!” เสียงกระโชกของทหารอีกผู้ สั่งการพลางชี้ไปยังเบื้องหลังของตัวพระราชวังอันเป็นพื้นที่ป่าเขาลูกใหญ่ ดังนั้นเส้นทางดังกล่าวอาจเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังคนอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งกองกำลังกลุ่มนั้นคาดว่าอาจจะมาจากฐานทัพบกใจกลางหุบเขาภายในเขตเมืองอาคันส์ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีเส้นทางหนึ่งมุ่งสู่สะพานเชื่อมอาณาเขตของเหล่าคหบดีผู้มั่งคั่งและตัวพระราชวังนอสซัส

“ยุทธวิธีเช่นนี้ ดูมิใช่เจ้าชายมิโนสเอาเสียเลย” เธเซียสกล่าวพลางปล่อยตัวลงกับพื้นเบื้องล่าง พร้อมวิเคราะห์อย่างรู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายดี เนื่องจากการศึกครานี้ดูเปิดเผยและรุกฆาตมากเกินไป
ราวกับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงฉากบังหน้า

“อีกประเดี๋ยวเราสองอาจถูกลากเข้าสู่ความวุ่นวายเป็นแน่” เธเซียสคาดการณ์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจากก่อนหน้านี้สตรีผู้นั้นมักจะคาดคั้นว่า ‘เมืองลับใต้ดิน’ ของชาวครีตันอยู่แห่งหนใด คล้ายกับว่าดำรัสถามดังกล่าวมีความสำคัญต่อพระนางเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าเสด็จพี่ลูซีอัสอาจจะยังมิสิ้นชีพ ดังนั้นผู้เป็นบิดามารดาจึงพยายามดิ้นรนค้นหาสถานที่ดังกล่าว
ซึ่งในระหว่างการศึกล้วนเต็มไปด้วยความวุ่นวายและการห้ำหั่น สตรีผู้มากเล่ห์จึงคิดหาหนทางหนีทีไล่ให้กับตนเอง เพราะการยกทัพจับศึกแน่นอนว่ามิได้ใช้ทหารเพียงหยิบมือ ดังนั้นเมืองลับใต้ดินย่อมเต็มไปด้วยความอ้างว้าง ประสงค์ของพระนางจึงมิไกลเกินเอื้อม อีกทั้งความปลอดภัยก็ยังยั่งยืน
ทว่าความเป็นจริงกลับแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เหตุเพราะมิเคยมีผู้ใดไล่ตามแผนการของเจ้าชายมิโนสทัน

ดังนั้นต่อให้เพลานี้เธเซียสจะถูกลากคอออกจากห้องคุมขัง พร้อมถูกปลายกริชจ่อตรงบริเวณลำคอ เธเซียสก็มินึกกลัวว่าชีวิตจะหาไม่ ขอเพียงเดินทางไปถึงเมืองลับใต้ดิน ทุกสิ่งก็จะเริ่มง่ายดาย สองบุรุษจากห้องคุมขังจึงแยกจากกันเพียงชั่วคราว เนื่องจากองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนกำลังร้อนรน จึงมิมีเวลามาใส่ใจนายทหารเฉกเช่นเซอร์ซี อีกทั้งการสู้รบก็เริ่มเต็มไปด้วยความรุนแรง เพราะสองฝ่ายต่างก็มีฝีมือทางด้านการต่อสู้ ซึ่งหากเธเซียสมิได้ตาฝาด ตรงด้านหลังของตัวพระราชวังกลับเต็มไปด้วยฝูงสิงโต คล้ายถูกกวาดต้อนมาเพื่อการ ‘ล่า’ แต่ทว่าในความเป็นจริงราชสีห์กลุ่มนั้นกลับกลายเป็นกองทัพทหารครีตันที่สวมใส่หมวกหัวสิงโตทดแทนหมวกจากเขี้ยวหมาป่า เพลานี้เหล่าทหารจากไมซีเนียนจึงร่วมมือกับทหารจากเอเธนส์ สกัดกั้นมิให้ ‘เจ้าบ้าน’ บุกเข้าสู่ตัวพระราชวัง
แต่ทว่าฝ่ายที่เคยได้เปรียบกลับต้องเสียรู้ให้กับยุทธวิธีของเจ้าชายมิโนส
เหตุเพราะพวกเขานึกประมาทเกินไป จึงเทกำลังคนไปยังศึกทางน้ำ

“อย่าได้คิดตุกติก” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสด้วยสุรเสียงข่มขู่ เนื่องจากพระนางเริ่มสังเกตเห็นว่า เธเซียสกำลังอาศัยช่วงเวลาแห่งการไว้เนื้อเชื่อใจ เดินสำรวจความเป็นไปของสงครามในครานี้
“พระนางโปรดสงบจิตสงบใจสักนิดเถิด หากเชือดคอกระหม่อมตอนนี้ เกรงว่าเสด็จพี่ลูซีอัสอาจต้องสิ้นชีพอยู่ที่เมืองใต้ดินเฉกเช่นเสด็จพี่ไครสีสที่สิ้นชีพอยู่กลางมหาสมุทร” เธเซียสกล่าวอย่างเป็นต่อส่งผลให้พระหัตถ์ของสตรีผู้นี้กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

กระทั่งก้าวเข้ามายังห้องเก็บฟืน เธเซียสจึงยกกองไม้ที่วางทับทางเข้าสู่ห้องลับใต้ดินอย่างเชื่องช้า จากนั้นองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนก็ผลักไสร่างของบุรุษในกำมือลงสู่เบื้องล่าง ส่งผลให้สะโพกของเธเซียสเริ่มปวดร้าว เขาจึงรับรู้ได้ว่าเพลานี้สภาพร่างกายมิค่อยสมบูรณ์นัก เนื่องจากข้ามผ่านความทรมานหลากหลายรูปแบบมาหลายวัน

“รีบนำทางเสีย” หลังจากองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนไถลวรกายลงสู่พื้นเบื้องล่างโดยสวัสดิภาพ คบไฟกรุ่นกลิ่นน้ำมันละหุ่งก็โบกพัดไปมาอยู่ตรงหน้า เนื่องจากพระหัตถ์ของสตรีผู้นี้มิได้ว่างเว้นต่อการหยิบจับ เพราะหัตถ์ข้างซ้ายจำต้องถือคบไฟ และคล้องรอบลำคอของบุรุษคราวลูก ขณะที่หัตถ์ข้างขวากลับต้องกำชับมีดกริชในเชิงข่มขู่
เธเซียสจึงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า พร้อมเหลือบมองไปยังแสงไฟสีเหลืองนวลที่ยังคงแผ่ความร้อนระอุปะทะใบหน้า โดยจุดหมายปลายทางคือลานขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่มิอาจได้ยินเสียงสะท้อนของสตรี แต่กลับได้ยินเนื้อเสียงของบุรุษอย่างชัดแจ้ง
เพียงเท่านี้ชาวครีตันในเมืองใต้ดินคงจะพากันห้อมล้อมผู้บุกรุกจากต่างแดน

“พระนางมิคิดว่าตนเองประมาทเกินไปหรือ ?” เธเซียสทูลถามด้วยท่าทีแข็งกระด้าง ซึ่งมันก็พอดีกับระยะทางของเป้าหมายสิ้นสุดลง จึงมิจำเป็นต้องเลือกใช้ภาษาพื้นเมืองของชาวครีตัน
เพราะถึงอย่างไร..
ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับบุรุษในดวงใจของเจ้าชายมิโนส ผู้อื่นก็มิอาจตัดสินคดีความ
 
“ฮาเดรียน.. เรามิเคยคาดคิดว่าเจ้านึกอยากจะสนทนากับเรา เหตุใดเพลานี้ช่างมากความนัก” องค์ราชินีแห่งไมซีเนียนตรัสอย่างเย็นพระทัย เมื่อพระนางล่วงรู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายปั่นหัว
“อาจเป็นเพราะกระหม่อมคิดอยากใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อกระมัง” สิ้นวาจาของเธเซียสชาวเมืองครีตันก็พากันรุมล้อมผู้บุกรุกจากต่างแดน ขณะเดียวกันเธเซียสก็อาศัยจังหวะดังกล่าวผละกายออกจากวิถีอันตรายของเปลวไฟ ส่งผลให้ชาวบ้านโขยงหนึ่งรวบตัวเขาไว้ ส่วนฝ่ายองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนกลับต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ทว่ายิ่งขัดขืนกำลังคนก็เริ่มพอกพูน ส่งผลให้อาวุธในความครอบครองถูกอีกฝ่ายปล้นชิงจนหมดสิ้น
องค์ราชินีผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมจึงกลายเป็นเพียงเชลยศึกผู้จนตรอก

“มิน่าเชื่อว่าองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนผู้มากเล่ห์ จะถูกพลิกกระดานเกมอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้” เจ้าหญิงแอริแอดเนเยื้องย่างมายังบริเวณเกิดเหตุ พลางแย้มสรวลอย่างงดงาม
“หมายความว่าอย่างไร ?” สุรเสียงขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียนดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่ทว่าก็มิอาจกึกก้องทั่วเมืองใต้ดิน

“ศพของเจ้าชายลูซีอัสคงจะถูกเสด็จพี่มิโนสยกให้เป็นผลประโยชน์แก่สัตว์โลกกระมัง นางกำนัลของข้าช่างมิรู้ความเอาเสียเลย ถึงได้ทำให้พระนางเดือดเนื้อร้อนใจถึงเพียงนี้” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางสรวลอย่างเย้ยหยัน ขณะที่สตรีผู้สิ้นฤทธิ์กลับมองจ้องอีกฝ่ายแน่นิ่ง พระหทัยพลันถูกสุมด้วยเพลิงแค้น ทว่ากลับมิอาจกระทำการอันใดได้ เนื่องจากเพลานี้พระนางกำลังตกหลุมพรางจนเต็มเปา
“ด้วยเหตุนี้คงต้องยกความดีความชอบให้กับไส้ศึกผู้นี้กระมัง เราจึงมิต้องเหน็ดเหนื่อยในการแก้ต่าง” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสอย่างเกษมสำราญ เมื่อเล็งเห็นว่าสตรีตรงหน้ากำลังจนตรอกและเจ็บแค้นใจ มิต่างกับช่วงเวลาที่พระองค์รับรู้ว่าชาติบ้านเมืองกำลังจะแหลกสลาย เมื่อศัตรูยกทัพมาก่อนกำหนด และพระองค์ยังเป็นฝ่ายชักศึกเข้าบ้าน เพียงเพราะต้องการใช้สอยหญิงผู้แสนทะเยอทะยานเป็นหมากตัวหนึ่ง เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้อาจคุ้มค่ามหาศาล เพราะอีกฝ่ายได้รับการยกย่องทั้งจากขุนนางฝ่ายในและราษฎร์ชาวไมซีเนียน ซ้ำยังเป็นขวัญกำลังใจแก่กองทัพทหาร อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากองค์ราชาแห่งไมซีเนียน แต่กระนั้นการผูกสมัครรักใคร่ระหว่างหญิงยิ่งต่ำศักดิ์และองค์ราชากลับสร้างบาดแผลใหญ่หลวงต่อราชสำนัก ปมขัดแย้งจึงก่อเกิดเรื่อยมาจนกระทั่งบานปลายสู่การฆาตกรรม เจ้าหญิงผู้เลอโฉมจึงมองเห็นช่องโหว่ดังกล่าว
ทว่ากลับมิทันคาดคิด ว่าสตรีผู้นี้จะรักชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าสิ่งใด
จึงส่งผลให้เจ้าหญิงผู้อ่อนประสบการณ์ถูกตลบหลังจนเกือบจะเสียเรื่อง

เพลานี้เธเซียสและสตรีสูงศักดิ์จึงถูกพาตัวมากักขังราวกับเชลยสงคราม เพื่อใช้ในการต่อรองผลประโยชน์ ความอึดอัดจึงแผ่กระจายเป็นวงกว้าง เนื่องจากเดิมทีทั้งสองก็มิค่อยถูกตาต้องใจกันอยู่แล้ว ดังนั้นการร่วมชะตากรรมจึงมิอาจร้องเรียกความสามัคคี ฝ่ายบุรุษจึงเลือกนั่งตรงมุมในสุดฝั่งซ้าย ส่วนฝ่ายสตรีวัยกลางคนกลับเลือกประทับตรงมุมขวาติดลูกกรงเหล็ก
ขณะที่ด้านนอกกลับเต็มไปด้วยชาวครีตันหลากหลายครอบครัว กำลังนั่งทานมื้อค่ำอย่างเอร็ดอร่อย เธเซียสจึงรู้สึกขอบคุณความเมตตาปรานีอันมิบริสุทธิ์ใจขององค์ราชินีเป็นอย่างมาก เพราะดอลมาเดซทำให้เขาอิ่มท้องและยังทนทานต่อความอยากอาหาร

“มิน่าเชื่อว่าพระนางช่างเต็มไปด้วยพระราชอำนาจอย่างที่กล่าวอ้าง และค่อนข้างมีอิทธิพลต่อจิตใจของชาวไมซีเนียน” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสด้วยภาษาพื้นเมืองของชาวไมซีเนียน เห็นได้ชัดว่าการหลบหนีไปเข้าฝักฝ่ายกับไมซีเนียนได้รับการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี ซึ่งการตระเตรียมนั้นอาจเกิดในช่วงที่เจ้าชายมิโนสนำบุปผาไปมอบให้กับพระขนิษฐา
“แล้วเหตุใดที่ผ่านมาองค์ราชาถึงมองข้ามความสำคัญของพระนางเช่นนี้” ดำรัสบาดลึกของเจ้าหญิงผู้เลอโฉมกำลังสร้างความขุ่นมัวในพระหทัยขององค์ราชินีแห่งไมซีเนียน แต่กระนั้นพระนางก็มิได้ตรัสอันใด นอกจากก้าวเดินไปตามการชักนำของทหารครีตัน
เธเซียสจึงได้รับผลประโยชน์จากบารมีของสตรีผู้นี้กลับคืนสู่อิสรภาพ

ซึ่งตลอดทางบุรุษจากต่างแดนกลับเอาแต่นิ่งเงียบ เพราะเขามิเคยย้อนมองจุดเริ่มต้นของปัญหา เนื่องจากตนเองเป็นฝ่ายเสียหาย ทว่าดำรัสของเจ้าหญิงแอริแอดเนกลับทำให้เขาฉุกคิดได้ว่า เดิมทีองค์ราชินีผู้นี้คือสายเลือดแห่งราชวงศ์ไมซีเนียนอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นเพียงปลายแถว แต่ก็นับว่ามีคุณสมบัติมากล้น เนื่องจากพระปรีชาสามารถค่อนข้างรอบด้าน เพราะได้รับการปลูกฝังเพื่อเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ดังนั้นการดำรงอยู่ในสถานะคู่หมั้นคู่หมาย ย่อมเป็นการปลูกฝังทางจิตใจให้คิดซื่อตรงต่อคู่ครองและชาติบ้านเมือง
กระทั่งวันหนึ่งเสด็จพ่อกลับถูกตาต้องใจเสด็จแม่ จนถึงขั้นแต่งตั้งเป็นองค์ราชินี โดยมิสนพระทัยต่อเสียงคัดค้านของผู้ใด เพลานั้นเธเซียสกับเสด็จพี่ไครสีส รับรู้ได้ถึงความรักของทั้งสองฝ่าย มุมมองที่มีต่อเรื่องดังกล่าวจึงเต็มไปด้วยความชื่นชมและเฝ้าใฝ่ฝันว่าคู่ครองของตนจะต้องเหมือนกับเสด็จพ่อที่มีแต่ความกล้าหาญและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง
แต่ในทางกลับกันความสวยงามของเรื่องราวทั้งหมด กลับเป็นเพียงความเลวร้ายสำหรับสตรีนางหนึ่ง

“ตรงหน้ามิใช่ที่ของเจ้า..” ทันทีที่เธเซียสเดินมาถึงจุดหมายและกำลังจะก้าวเดินเข้าสู่ลานกว้าง ที่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตรงใจกลางตัวพระราชวังนอสซัส เคออสกลับเป็นฝ่ายรั้งแขนของอดีตสหายสนิท จึงมีเพียงองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนเสด็จไปยังบริเวณดังกล่าวเพียงลำพัง ขณะที่เธเซียสกลับเดินขึ้นสู่ตัวอาคารตรงบริเวณที่ตั้งของพระราชบัลลังก์ที่ครั้งหนึ่งองค์ราชินีแห่งครีตันเคยนั่งทอดพระเนตรการละเล่นกับวัวกระทิง
ทว่าวันนี้กลับเป็นเจ้าชายมิโนสที่กำลังประทับอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่าผ่าเผย

“มิโนส! เหตุใดเจ้าจึงไร้สัจจะ” สิ้นดำรัสโต้เถียงของเสด็จพ่อ สายตาของเธเซียสจึงเบือนจากดวงพักตร์หวานละมุน กระทั่งพบว่าเสด็จพ่อถูกทหารครีตันคุมเชิงราวกับเชลยศึกมิไกลจากบริเวณราชบัลลังก์นัก
แต่กระนั้นก็ยังมิน่าตกใจเท่า..
กรงขนาดใหญ่สำหรับคุมขังราชสีห์ ถูกเข็นออกมาตรงบริเวณลานกว้างด้วยแรงงานจากทาสนูเบีย

φ

ใกล้จะจบแล้วค่ะทุกคนนนน อีก 2 ตอนเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนจะเข้าใจการกระทำของเจ้าชายมิโนสมากขึ้นหรือเปล่า แต่เรายังมีเฉลยต่ออีกค่ะ เฉลยจนกระทั่งจบเรื่องเลย ถึงจะเข้าใจกระจ่างแจ้งทั้งหมด ซึ่งสำหรับเราคิดว่าราชินีไมซีเนียนก็น่าสงสารอยู่นะคะ โตมาพร้อมกับความเชื่อว่าจะได้ครองคู่กับพระราชาไมซีเนียน แต่วันนึงกลับมีใครก็ไม่รู้ ด้อยกว่าเราทุกอย่าง แต่กลับได้รับโอกาสที่ควรเป็นของเรา แต่ก็นั่นแหละค่ะ เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ใช่เหตุผลที่จะเอาชีวิตผู้อื่น เรื่องนี้อาจจะทำให้เข้าใจยากสักหน่อย เพราะเราเลือกเขียนโดยใช้วิธีการตีความของเธเซียสก็จะมีทั้งส่วนที่ถูกและผิดปะปนกัน กว่าจะแน่ชัดก็ตอนที่สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นอีกเรื่องที่ต้องใช้สมาธิในการอ่านจริงๆ ค่ะ เพราะเราใช้วิธีเขียนแบบเดียวกับในป่าสนเลยค่ะ

ปล. ส่วนการรบเราอ่านเจอในบทความอิ้งว่า มิโนอันจะสวมหมวกหัวสิงโต หรือสัตว์ชนิดต่างๆ เพื่อใช้อำพรางตัวค่ะ เพราะเวลามองในระยะไกลจะทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นคนหรือเป็นสัตว์ แต่เราหาบทความหน้านั้นไม่เจอแล้ว T^T
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 45 φ หน้า 3 (update 03/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 03-10-2019 19:26:56
ตอน 45

เพลานี้ลานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ล้วนเต็มไปด้วยขุนพลจากครีตัน บ้างก็ยืนอารักขาอยู่ตรงราชบังลังก์ โดยสวมผ้าลินินสีดำห่มคลุมร่างกายมิต่างกับเจ้าชายมิโนส ส่วนทหารที่ประจำตามจุดต่าง ๆ บ้างก็สวมหมวกหัวสิงโต เพื่ออำพรางตัวเวลากรำศึก พร้อมถือทวนเหล็กตั้งตรงอย่างสง่าผ่าเผย หรือบางกลุ่มก็สวมหมวกทำจากเขี้ยวหมาป่า พร้อมถือทวนและโล่เหล็กห่อหุ้มหนังสัตว์อย่างน่าเกรงขาม
ขณะเดียวกันซากศพของทหารไมซีเนียนและทหารจากเอเธนส์ กลับนอนระเกะระกะปะปนไปกับศรเหล็กที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น คาดว่าพลธนูอาจซ่อนตัวอยู่ในมุมที่มองมิเห็น หยาดโลหิตจึงซ่านกระเซ็นเป็นวงกว้างจนทำให้พื้นหินแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงชาด
บ่งบอกถึงการกรำศึกที่ค่อนข้างหนักหน่วง
แต่ทว่ากลับมิถึงขั้นรุนแรง เนื่องจากการเจรจาต่อรองก่อเกิดขึ้นในภายหลัง

“เรามิได้ไร้สัจจะ เพียงแต่เราต้องการต้อนรับอาคันตุกะคนสำคัญ” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างนอบน้อม แต่กระนั้นดำรัสก็ยังเต็มไปด้วยพระราชอำนาจ บ่งบอกได้ว่าการศึกครานี้ พระองค์มุ่งหวังสถาปนาตนเองขึ้นเป็นองค์ราชันแห่งครีตัน ซึ่งองค์ราชินีก็มิอาจคัดค้าน เหตุเพราะสถานการณ์ย่ำแย่ถูกพลิกด้วยฝ่ามือเดียว
ฝ่ายได้เปรียบจึงกลับกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบในวันนี้

“ที่งานล่าสัตว์ พระองค์ยังจดจำได้หรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงนุ่มนวลและค่อนข้างให้เกียรติอีกฝ่ายอยู่มาก พลางแย้มสรวลเพียงนิด ฝ่ายเธเซียสจึงได้แต่ยืนนิ่งราวกับผู้โง่งม เหตุเพราะเขาคาดมิถึงว่าบุรุษในดวงใจนึกใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จนกระทั่งสืบรู้แน่ชัดว่าหญิงชั่วนางนั้นเคยกระทำสิ่งใดกับเสด็จแม่
“พระองค์อาจมิทันคาดคิดว่างานล่าสัตว์เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น เราจึงอยากให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้” สิ้นดำรัสอันบ่งบอกถึงการดึงตัวหญิงผู้นั้นมาเป็นหมากบนกระดาน เจ้าชายมิโนสก็ทรงยืนขึ้น การสอบสวนความผิดบริเวณกลางแจ้งจึงได้รับความสนใจจากทุกผู้ เมื่อโครนัสเป็นฝ่ายก้าวเดินมายังกรงขังราชสีห์ พร้อมโอบประคองผ้าผืนหนึ่งที่ภายในบรรจุเนื้อสัตว์
ส่งผลให้ราชสีห์ผู้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเริ่มคลุ้มคลั่ง
เมื่อมันได้กลิ่นของอาหาร

“การฝึกราชสีห์ให้เป็นผู้ช่วยฆาตกรมิยากนัก” เจ้าชายมิโนสตรัสขณะที่โครนัสกำลังฉีกเศษผ้าบางส่วนโยนเข้าไปในกรงขัง ซึ่งราชสีห์ผู้หิวโหยก็รีบตระครุบเหยื่ออย่างตะกละตะกลาม
“เห็นได้ชัดว่ามันถูกฝึกฝนให้เรียนรู้ ว่ากลิ่นของอาหารเป็นอย่างไร ?” บุรุษผู้มากเล่ห์ตรัสขณะที่เคออสเดินออกมาพร้อมกับเนื้อสัตว์ก้อนหนึ่งที่ไม่มีผ้าผืนใดห่อคลุม ก่อนจะโยนชิ้นเนื้อดังกล่าวเข้าไปในกรงขัง แต่ทว่าราชสีห์ตัวนั้นกลับมิสนใจอาหารโอชะ และเอาแต่ดอมดมเศษผ้ามิเลิกรา

“เมื่อทราบเช่นนี้ พระองค์มีความคิดเห็นตรงกันกับเราหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามเสด็จพ่อ เมื่อประตูกรงขังของราชสีห์ถูกเปิดออก พร้อมกับโครนัสที่โยนก้อนเนื้อห่มคลุมด้วยผ้าผืนหนึ่งขึ้นสู่เบื้องบน ราชสีห์ตัวใหญ่จึงกระโจนขึ้นสู่น่านฟ้าและโรยตัวลงมากัดกินเนื้อสดอย่างตะกลมตะกลาม เนื่องจากมันถูกกักขังโดยมีการกำหนดระยะเวลาของการให้อาหารอย่างละเอียด ซึ่งมันคือการสั่งสมความหิวโหย ก้อนเนื้อเพียงก้อนเดียวจึงมิอาจดับความหิวกระหาย
ราชสีห์ตัวเขื่องจึงหันหน้าเข้าหาองค์ราชินีแห่งไมซีเนียน พลางย่างก้าวอย่างเชื่องช้า ราวกับคอยสังเกตการณ์เหยื่ออย่างถี่ถ้วน เพราะกลิ่นกายของพระนางมิแตกต่างกับอาหารแสนโอชะ ฝ่ายองค์ราชินีผู้เก่งกล้ากลับก้าวถอยหลังพลางหาทางหนีทีไล่อย่างระมัดระวัง บ่งบอกถึงความกล้าหาญและความมีไหวพริบอันดีเยี่ยม
แต่กระนั้นการกระทำเลวร้ายในอดีตก็มิอาจลบล้างด้วยคุณสมบัติอันเพรียบพร้อมในปัจจุบัน

“หากพระองค์ปฏิเสธความจริง ได้โปรดตอบคำถามเราสักคำ ว่าเหตุใดราชสีห์ตัวนั้นจึงเมินเฉยต่อผู้อื่น ?” สิ้นดำรัสถามของเจ้าชายมิโนส เธเซียสจึงหันมองไปยังเสด็จพ่อที่เอาแต่ทอดพระเนตรไปยังสตรีผู้นั้นด้วยหัวใจหวาดหวั่น เนื่องจากความเงียบงันยาวนานกำลังถาโถม ความกังวลและความคาดหวังจึงผสมปนเปจนแทบแยกมิออก
“มิอาจได้รับการให้อภัย” วาจาของเสด็จพ่อราบเรียบ แต่ทว่ากลับแฝงไปด้วยความมั่นคง อาจเพราะพระองค์ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วว่าทุกสิ่งที่เคยสูญเสีย มิได้เกิดจากอุบัติเหตุ แต่ทว่ากลับเป็นการฆาตกรรม จึงมิจำเป็นจะต้องเมตตาปรานีผู้กระทำ หรือมิจำเป็นต้องเสวนาเหตุผลกับหญิงนางนั้น เพราะนางย่อมทราบความผิดของตนเองดี
หัวใจของเธเซียสจึงมิต่างกับได้รับน้ำหล่อเลี้ยงแห่งความอบอุ่นที่อย่างน้อยการตายของเสด็จแม่ก็ได้รับความยุติธรรมเสียที

ทว่าภาพการ ‘ล่า’ อันแสนโหดร้าย กลับมิอาจทำให้เธเซียสทนดูจุดจบของหญิงผู้นั้นได้อีกต่อไป เขาจึงทรุดตัวลงกับพื้นเพื่อใช้กำแพงหินบดบังม่านสายตา พลางยกมือขึ้นปิดใบหูทั้งสองข้าง เมื่อเสียงคำรามของราชสีห์ดังระงมไปทั่วบริเวณ แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสกลับปล่อยให้การค้นหาความจริงดำเนินต่อไป อาจเพราะถึงอย่างไรจุดจบของหญิงผู้นี้ คงมีได้เพียงการหยิบยื่นความตาย เนื่องจากการล่วงล้ำเข้าสู่เขตเมืองลับใต้ดินโดยมิได้รับอนุญาตก็มิต่างกับ ‘ไส้ศึก’ ที่แอบแฝงเข้ามาเก็บเกี่ยวข้อมูล
หากวันหน้าคิดอยากประกาศศักดา
ครีตันคงต้องโกลาหลวุ่นวายเพียงเพราะความเห็นใจ

“การศึกครานี้สร้างความเสียหายกับทั้งสองฝ่ายมิใช่น้อย เรามีความเห็นว่าอย่างไรก็ควรต้องเจรจากันสักหน่อย เชิญ..” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางผายหัตถ์ไปยังเส้นทางที่มุ่งตรงสู่ห้องโถง ฝ่ายเสด็จพ่อจึงก้าวเดินไปตามการชักนำของทหารครีตันที่การแต่งกายคล้ายคลึงกับกองโจร ดังนั้นการสร้างความโกลาหลวุ่นวายทั้งจากทางบกและทางน้ำจึงถือเป็นฉากบังหน้า เพื่อให้ทหารอีกกลุ่มใช้ยุทธวิธีแบบกองโจรบุกเข้าสู่ตัวพระราชวัง โดยผ่านเส้นทางคดเคี้ยวของเมืองใต้ดินที่เชื่อมกับพระราชวังนอสซัส
ซึ่งพลกลุ่มนี้อาจเป็นพลธนูที่สร้างความเสียหายต่อฝ่ายตรงข้ามทางด้านกำลังคน

“ฮาเดรียน.. เจ้าเองก็ตามมาด้วย” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสทำให้ทุกอย่างราวกับหยุดเคลื่อนไหว เนื่องจากอีกฝ่ายมิเคยตรัสชื่อเสียงแท้จริงของตน ความห่างเหินดังกล่าวจึงนำพาให้จิตใจหวิวไหว
ทว่าดวงเนตรทรงอำนาจกลับไร้ซึ่งวี่แววแห่งความอบอุ่น

เพลานี้ภาพของพระปฤษฏางค์องอาจที่มักจะปกคลุมด้วยเกศาราวกับระลอกคลื่นจึงปรากฏอยู่ตรงหน้า ต่างกันแค่ความรู้สึกกลับห่างไกลเกินกว่าจะไขว่คว้า เนื่องจากสถานะแท้จริงของเธเซียสมิอาจถูกฝังกลบได้อีกต่อไป หัวใจจึงมิต่างกับกำแพงภาพวาดเฟรสโกอันทอดยาวที่เต็มด้วยร่องรอยของความเสียหาย
ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกหมองเศร้า

“เรามิขออ้อมค้อม เดิมทีเราเองก็หมายตาอาณาจักรไมซีเนียนเช่นกัน” ทันทีที่ก้าวเข้ามายังห้องโถง เจ้าชายมิโนสก็เสด็จไปยังพระราชบังลังก์พร้อมประทับอย่างสง่าผ่าเผย และตรัสถ้อยคำที่เธเซียสถึงกับมองจ้องนัยน์ตาของอีกฝ่าย
“แต่เราเองก็แค่หมายตา มิได้คิดทะเยอะทะยาน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางทอดพระเนตรมายังเธเซียส

“การศึกครานี้บ้านเมืองเราเสียหาย ส่วนกำลังคนของไมซีเนียนก็ย่อยยับ มิสู้ให้เราเข้ามาควบคุมการค้า ส่วนพระองค์ก็นำแรงงานทหารชั้นดีไปครอบครองมิดีกว่าหรือ ?” ข้อเสนอของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกได้ว่า แม้มิได้มีใจทะเยอทะยาน แต่หากมีโอกาสก็มิคร้านจะไขว่คว้า ซึ่งทางเลือกของไมซีเนียนก็มิได้มีมากนัก เนื่องจากสูญเสียกำลังทหารแทบหมดสิ้น หากมิตอบรับข้อเสนอ เกรงว่าไมซีเนียนอาจกลายเป็นแผ่นดินทองที่ผู้อื่นหมายตา เหตุเพราะไมซีเนียนก็ถือเป็นอาณาจักรหนึ่งที่ขึ้นชื่อทางด้านการค้า เพียงแต่มิได้เฉิดฉายมากเท่าครีตัน
“ข้อเสนอนี้ พระองค์มิจำเป็นต้องรีบให้คำตอบ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางส่งสัญญาณให้ราชองครักษ์ นำสุธารสมาถวายให้กับพระราชอาคันตุกะคนสำคัญ

“บุตรชายของพระองค์ ค่อนข้างเป็นผู้รอบรู้ ถือเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมือง เราจึงค่อนข้างหวาดระแวง เพราะหัวใจของเขามิต่างกับลำเรือที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร ทิศเหนือคือสถานที่ที่เขาต้องการเดินทางไป แต่ทิศใต้ยังมีคนผู้หนึ่งรอคอยเข้าอยู่ หัวใจของเขาจึงโคลงเคลงเหมือนกับเรือลำนั้น เพราะมิรู้ว่าท้ายที่สุดความซื่อสัตย์หรือวัยเยาว์จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเลือก” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสคล้ายกับคัดลอกมาจากความคิดของเธเซียส เพราะที่ผ่านมาเขารู้สึกเหมือนตนเองคือเรือลำหนึ่ง กระทั่งเหตุการณ์ลอบสังหารเกิดขึ้น ความลังเลมิแน่ใจก็เริ่มถูกปัดเป่า เรือลำนั้นจึงหักเหเข้าสู่ทิศใต้ เพราะวัยเยาว์อันเป็นความสุขอย่างแท้จริงในปัจจุบัน คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าควรค่าแก่การเก็บรักษา
“กบฏอย่างเขา คงมิจำเป็นต้องทำให้เราคิดจะตัดแข้งตัดขากระมัง..” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่าการติดต่อที่ขาดหาย มิใช่ความตั้งใจของบุตรชาย ผู้เป็นบิดาจึงเหลือบมองบุตรชายที่เอาแต่นั่งมองแก้วดินเผาลวดลายดอกลิลลี่แน่นิ่ง ขณะที่บุรุษจากต่างแดนกลับเต็มไปด้วยความสับสนทางจิตใจ เพราะวาจาดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ท้ายที่สุดยังบ่งบอกได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของเราต่างอยู่ภายใต้ความหวาดระแวง และก็มิรู้ว่าเป็นเพราะสถานการณ์พลิกผันใดหรืออย่างไร
เจ้าชายมิโนสจึงเลิกคิดฝันต่อการเก็บซ่อนเธเซียสไว้กับวัยเยาว์ของพระองค์

“สุธารสแก้วนั้น เรามิแน่ใจว่าปนเปื้อนด้วยยาพิษหรือไม่..” ทันทีที่เธเซียสยกแก้วน้ำลวดลายดอกลิลลี่ขึ้นจรดริมฝีปาก ดำรัสแจ้งเตือนจากเจ้าชายมิโนสก็ดังตามมา แต่ทว่าปลายลิ้นของเธเซียสกลับสัมผัสรสชาติแห่งความอันตรายเข้าเสียก่อน
“เราบอกกับพระองค์เพลานี้คงมิสายเกินไปกระมัง ?” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสยังคงนุ่มนวลมิแปรเปลี่ยน เพียงแต่บัดนี้ความตื่นตระหนกของเสด็จพ่อกลับอยู่ในความสนใจของเธเซียสเสียมากกว่า
แก้วดินเผาลวดลายวิจิตรจึงถูกปัดป้องจนกระทั่งแตกละเอียด

องค์ราชาแห่งไมซีเนียนพลันถลาเข้าโอบกอดบุตรชายอันเป็นที่รัก พร้อมร่ำไห้ปาดขาดใจ อาจเพราะพระองค์รู้สึกผิดต่อการกระทำที่ผ่านมา และยิ่งทราบว่าการตายของหญิงอันเป็นที่รัก ถูกซ่อนเงื่อนด้วยปมฆาตกรรมซึ่งวิธีการเดียวกับที่บุตรชายเคยบอกเล่า ความเสียใจอ้างว้างจึงยิ่งถาโถม เหตุเพราะพระองค์มิหลงเหลือผู้ใดที่เคยเป็นความทรงจำอันสวยงาม นอกจากบุตรชายในอ้อมกอด
ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียในครานี้ จึงซ้อนทับกับภาพของบุตรชายคนโต ซึ่งการออกเดินทางราวกับวาณิชในครานั้น ล้วนเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ดังนั้นความดูแลมิทั่วถึงจึงก่อเกิด ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกคราบุตรชายผู้งามสง่ากลับกลายสภาพเป็นซากศพลอยอืดอยู่กลางทะเล เพียงแต่ริมฝีปากของเขากลับฟูฟ่องด้วยน้ำลาย
และมีพยานรู้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า..
ไครสีสดื่มสุราจนเมามาย ก่อนจะพลัดตกลงสู่ทะเล

“เสด็จพ่อ.. เจ้าชายมิโนสทรงโป้ปดพ่ะย่ะค่ะ ” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงแห้งผากพร้อมมองตรงไปยังวรกายของเจ้าชายมิโนสที่เสด็จออกจากห้องโถง ขณะที่สองฝ่ามือกลับโอบกอดผู้เป็นบิดาอย่างปลอบประโลม
เนื่องจากสุธารสแก้วนั้น มิได้ทำให้ร่างกายรู้สึกราวกับจะลาลับ
แต่ทว่าคำบอกกล่าวนั้น กลับมิอาจทำให้ผู้เป็นบิดาวางใจ อ้อมกอดแห่งความอบอุ่นจึงยิ่งโอบรัดบุตรชายด้วยความหวงแหน

เมื่อข้อตกลงระหว่างกันสิ้นสุดลง การจากลาจึงเกิดขึ้นอย่างกะทันหันภายในสองวันให้หลัง เส้นทางที่ขนาบด้วยเสาสีแดงต้นใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของจักรวรรดิครีตัน จึงเป็นเส้นทางที่ใช้ระยะเวลาในการก้าวเดินเพียงมินาน กระทั่งเบื้องหน้าปรากฏภาพลำเรือขนาดกลางที่มีการสร้างหลังคาลวดลายวิจิตร สมแก่ฐานะของพระราชอคันตุกะคนสำคัญ จอดเทียบอยู่ตรงท่าเรือเรียบเขตพระราชฐาน ห้อมล้อมด้วยเรือลำเล็กลักษณะคล้ายหางแมงป่องจำนวนห้าลำ บรรทุกทหารฝีมือดีคุ้นหน้าคุ้นตาแทบทั้งสิ้น
มิว่าจะเป็น โครนัส เคออส หรือแม้กระทั่งราชองครักษ์ส่วนพระองค์ที่เคยเห็นหน้าค่าตาเพียงครั้งสองครั้ง แต่ก็น่าแปลกที่ขุนพลผู้เชี่ยวชาญทางน้ำอย่างท่านดิดะรัสมิถูกส่งตัวมาด้วย เพราะจากการวิเคราะห์แล้ว เหมือนกับเจ้าชายมิโนสหยิบยกทหารฝีมือดีจากฐานทัพต่าง ๆ มอบให้กับเธเซียส แต่ก็เป็นไปได้ว่า..
ขุนพลผู้เก่งกล้าอย่างท่านดิดะรัสอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส
ซึ่งเธเซียสก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็มิอาจแน่ใจ

ความเหนื่อยล้าจากการการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ นำพาให้เธเซียสล้มตัวลงนอนขดบนเรือลำเล็ก โดยมิสนใจเสียงต่อว่าของอดีตสหายสนิทแต่อย่างใด ฝ่ายนั้นจึงต้องยอมเลิกรา และทำหน้าที่เป็นพลเรือส่วนตัวให้กับเธเซียส แสงสุริยะเริ่มสาดส่องอย่างแรงกล้าจนทำให้เธเซียสจำต้องยกฝ่ามือขึ้นกลางอากาศ เพื่อใช้ร่มเงาของตนเองบดบังแสงสว่าง

“เหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงปลดปล่อยให้เรากลับไปเป็นฮาเดรียน ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะการกระทำดังกล่าวล้วนขัดแย้งต่อการทุ่มเท ซึ่งเธเซียสยังจดจำได้ดีว่าการแลกเปลี่ยนตัวประกันถือเป็นการกระทำที่ส่งผลให้ทุกอย่างสูญเปล่า ซึ่งเพลานี้ทุกอย่างกลับมิได้สูญเปล่า แต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ก็ยังเลือกจะปล่อยวาง ทว่ากลับมิได้ปล่อยใจเสียทั้งหมด
“ความสุขของเจ้ามีความสำคัญยิ่งต่อพระองค์” คำบอกเล่าจากเคออสนำพาให้ความคิดของเธเซียสดำดิ่ง พบว่าลึก ๆ ในใจยังคงเฝ้าฝันถึงวัยเยาว์ในวันวาน เธเซียสจึงมิรู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรต่อความเอาใจใส่แสนละเอียดอ่อนของเจ้าชายพระองค์นี้

ซึ่งแน่นอนว่าเดิมทีมหาบุรุษแห่งครีตันประสงค์จะเก็บซ่อนเธเซียสไว้ภายใต้เกราะกำบังของพระองค์ จึงวางแผนซ้อนแผนมาเนิ่นนาน แต่กระนั้นสงครามก็ถือเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะการจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ต้องเกิดเหตุการณ์อันแสดงถึงความปรีชาสามารถ และความพรั่งพร้อมต่อการปกครอง ดังนั้นแผนการคืนความไว้วางใจให้กับเจ้าหญิงแอริแอดเนจึงถือเป็นผลพลอยได้
อีกทั้งการเจรจาปรองดองตามเงื่อนไขที่ถูกหยิบยื่น ยังถือเป็นการยึดเหนี่ยวและอ้อนวอนมิให้ขาดการติดต่อราวกับมิเคยพบพาน ซ้ำยังถือเป็นการปลดปล่อยความหวาดระแวงระหว่างกัน อีกทั้งมิต้องคอยกังวลว่าศึกสงครามจะมาเยือนเมื่อใด
เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมที่มิอาจเป็นได้ดังใจหวัง แต่ก็มิแย่เกินกว่าที่คาดการณ์

“ดูเหมือนยังมีบางอย่างที่มิค่อยชัดเจนนัก ข้าคงต้องกลับไปเจรจาต่อรองอีกสักหน่อย”




φ


ตอนหน้าจบแล้วค่ะ ช่วงนี้เรารู้สึกว่าตัวเองเต็มตื้นกับงานเขียนแล้วจริงๆ เหลือแค่รอเวลาที่มันจะล้นแก้ว เราอาจจะเครียดหลายเรื่องด้วยมั้ง เลยเผื่อแผ่มาถึงงานเขียน เพราะเรารู้สึกว่าเราย่ำอยู่กับที่ ก็ไม่รู้ว่าจะไหวแค่ไหน หลังจากเรื่องนี้เราอาจต้องพักใจก่อน ถ้าไม่ถอดใจก็คงจะกลับมาเจอทุกคนอีกครั้ง

ปล. เราไม่รู้ว่าทุกคนอ่านงานเราเข้าใจหรือไม่เข้าใจ สนุกหรือไม่สนุก เพราะมันเงียบ มันว่างเปล่าไปหมด จนเรารู้สึกว่างานคงออกมาไม่ดีมั้ง แต่เราก็ทำเต็มที่แล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 45 φ หน้า 3 (update 03/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ปราญชลีกุ๊กๆ ที่ 03-10-2019 22:48:47
ไม่รู้ข้อความนี้จะถึงผู้แต่งไหม แต่หวังว่าจะถึงนะ
เราชอบงานเขียนของคุณมากค่ะ มันเป็นงานเขียนที่เรามองว่าดีที่สุดในรอบปี เรารับรู้ถึงการใส่ใจความตั้งใจของคุณ มันสือออกมาทางตัวอักษร คุณเปป็นคนมีความสามารถมากนะคะอย่าดูถูกตัวเองเลย คุณอาตตะไม่รู้ว่างานเขียนของคุณสร้างความสุขให้เราอย่างมากแล้วก็ให้ความรู้แก่เราด้วย อย่าให้ความรู้สึกแย่ๆมาทำลายความสามารถของคุณเลยนะคะ
ในฐานะผู้อ่านงานของคุณ เราต้องขอบอกว่า
ขอบคุณที่สร้างสรรค์งานดีๆให้เราได้อ่านนะคะ
มันมีความหมายกับเรามากจริงๆ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 08-10-2019 20:08:55
ตอน 46

เมื่อตัดสินใจได้แล้วบุรุษผู้แสนมุทะลุก็มิคิดละล้าละลังอีกต่อไป เขาจึงลุกนั่งด้วยความรวดเร็ว ส่งผลให้ลำเรือโคลงเคลงราวกับจะอับปาง อดีตสหายสนิทอย่างเคออสถึงกับควันออกหู ริมฝีปากจึงต่อว่าต่อขานอย่างมินึกกริ่งเกรงในสถานะของอีกฝ่าย ที่เป็นถึงเจ้าชายผู้สูงศักดิ์แห่งไมซีเนียน แต่กระนั้นบุรุษจากต่างแดนก็หาได้สำนึกไม่ ซ้ำยังหัวเราะอย่างสดใส อาจเพราะเพลานี้เขามิใช่ลำเรือที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ เขาจึงสามารถพายเรือกลับสู่ทิศใต้ หรือมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือโดยมิต้องหวาดหวั่นว่าลำเรือจะต้องอับปาง
“ฝากเจ้าดูแลเสด็จพ่อให้ข้าด้วย” เธเซียสกล่าวย้ำพลางกระโจนลงสู่ผืนน้ำเย็นฉ่ำ ทว่าเสี้ยวหนึ่งในจิตใจกลับร้องเตือนว่าเขาควรจะทูลกับเสด็จพ่อเสียหน่อย เพราะถึงอย่างไรความน้อยเนื้อต่ำใจที่เคยมีก็ถูกชะล้างด้วยความอบอุ่นจากอ้อมกอดของบิดา และความหวาดกลัวราวกับจะสูญเสียก็บ่งบอกได้ว่า ลึก ๆ ในพระหทัยของเสด็จพ่อมิได้มองเขาเป็นเพียงฝุ่นควันอันไร้ค่า
เพราะการสังหารข้อหา ‘กบฏ’
คือฝีมือของนางหญิงชั่วผู้ลาลับที่ยื่นมือเข้ามาสอดจนเรื่องบานปลาย

ทว่าหาก ‘การสังหาร’ มิก่อเกิด เธเซียสก็อาจเป็นลำเรือที่ลอยโคลงเคลงอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร จนกระทั่งเสด็จพ่อค้นพบวิธีผลิตอาวุธสงครามอย่าง ‘ไฟทะเล’ ที่วางอยู่ในห้องหนังสือก็จะรับรู้ได้ทันทีว่า บุตรชายของตนอาจมิเป็นดังหวัง แต่ก็เฉลียวฉลาดมิแพ้ใคร เพราะหนังสือที่เขาอ่านเขียนล้วนเป็นตำหรับตำราที่เพิ่มพูนความรู้ ส่งผลให้เกิดความกล้าที่จะคิดนอกกรอบ
ดังนั้นหากเสด็จพ่อเรียกตัวกลับไมซีเนียน เพื่อสอบถามข้อมูลดังกล่าว แน่นอนว่าลำเรือที่เคยลอยเคว้งคว้างอย่างละล้าละลัง จะต้องรีบมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ..
พร้อมละทิ้งทิศใต้ไว้ในความทรงจำ
เหตุเพราะการมาเยือนห้องหนังสือของบุตรชายล้วนเกิดจากความคนึงหา

ทันทีที่บุรุษจากต่างแดนกระโจนขึ้นสู่ผิวน้ำ พร้อมว่ายตรงไปยังเรือลำหนึ่งที่มีหลังคากางกั้น และยังมีเหล่าทาสนูเบียทำหน้าที่ฝีพาย ซ้ำยังมีการอารักขาจากทหารครีตันเป็นจำนวนมาก บ่งบอกได้ว่าบุรุษวัยกลางคนที่ประทับอยู่บนเรือลำนั้น คือผู้สูงศักดิ์มากด้วยอำนาจบารมี ส่งผลให้การมาถึงของเธเซียสถูกต้อนรับด้วยทวนแหลมคม

“ทูลเสด็จพ่อลูกจะกลับไปเจรจาต่อรองกับเจ้าชายมิโนสเพิ่มเติมพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผู้แสนมุทะลุดีดตัวขึ้นสู่เบื้องบนพลางใช้สองมือเกาะเกี่ยวขอบเรืออย่างแน่นหนาพร้อมแย้มยิ้มฝืดเฝื่อนเมื่อได้พบสถานการณ์มิพึงประสงค์
“หากการเจรจาเรียบร้อยดีแล้ว ลูกจะรีบส่งสารกลับไปกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพร้อมพยุงตนเองมิให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำ เนื่องจากคลื่นลมค่อนข้างสูง ลำตัวของเธเซียสจึงเอนเอียนไปตามการชักนำ กระทั่งได้รับคำตอบจากบุรุษสูงศักดิ์ที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งมุงหลังคา ริมฝีปากของเธเซียสกลับคลี่ยิ้มอย่างกว้างขวาง
หัวใจพลันเต้นระรัวเมื่อเสด็จพ่อทรงขยับพักตร์เป็นเชิงอนุญาตโดยมิได้ถามไถ่
คล้ายกับความไว้วางใจถูกหยิบยื่นโดยมิต้องร้องขอ

ทว่าความอ่อนล้าทางร่างกายกลับมิอาจนำพาให้เธเซียสว่ายวนไปจนถึงฝั่งฝัน ร่างของเขาจึงค่อย ๆ จมดิ่งลงสู่เบื้องล่าง ขณะที่ริมฝีปากยังคงคลี่ยิ้มมิห่างหาย เดือดร้อนถึงเคออสที่จู่ ๆ ก็นึกเป็นห่วงอดีตสหายสนิท ลำเรือจึงหักเหไปยังคูคลองน้ำทะเลเรียบเขตพระราชฐาน ร่างของเธเซียสที่กำลังจมดิ่งจึงถูกฉุดรั้งขึ้นสู่เบื้องบน
เนื่องจากฟองอากาศที่ถูกปลดปล่อยกำลังบอกกล่าวสถานการณ์อันตราย

รู้ตัวอีกครารอบตัวก็ถูกห้อมล้อมด้วยความอบอุ่นจากผ้าลินินผืนหนา ภาพวาดเฟรสโกลวดลายท้องทะเลยังคงงดงามมิเสื่อมคลาย รูปปั้นบริวารของเจ้าแม่ยังคงติดตั้งในตำแหน่งเดิม ผ้าม่านลวดลายดอกลิลลี่ตรงบริเวณประตูระเบียงยังคงพลิ้วไหว อาจเพราะพื้นที่ส่วนนี้คืออาณาบริเวณสำหรับราชวงศ์
เหล่าผู้สูงศักดิ์จากไมซีเนียนคงต้องเคยจับจอง
สถานที่แห่งนี้จึงถูกละเว้น

แต่กระนั้นความรู้สึกคล้ายวันวานกลับมิย้อนคืน อาจเพราะแจกันดินเผาในห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส มิมีความอ่อนช้อยของบุปผาสีขาวบริสุทธิ์ประดับตกแต่ง
เนื่องจากสวนบุปผาถูกทำลายราวกับของไร้ค่า
มิต่างกับภาพวาดเฟรสโกและเครื่องปั้นดินเผาลวดลายวิจิตร

เธเซียสลุกนั่งพลางหย่อนขาลงจากตั่ง ความรู้สึกเมื่อยล้าหนักหัวก็เริ่มจางหาย อาจเพราะเขาได้รับการพักฟื้นอย่างเต็มที่ บุรุษผู้ดำรงตำแหน่งพระราชอาคันตุกะจึงก้าวเดินไปยังระเบียงด้านนอกที่มองเห็นเงาสะท้อนของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังชมจันทร์อย่างอ้างว้าง กระทั่งม่านลวดลายดอกลิลลี่ถูกเปิดออก โถคาร์เตอร์และแก้วน้ำจัณฑ์ก็ปรากฏอยู่ในกรอบสายตา

“เดิมทีเราคิดว่าค่ำคืนนี้ คงได้นั่งชมจันทร์พร้อมดื่มเหล้าองุ่นที่ทำร่วมกับเจ้าเพียงลำพัง..” เจ้าชายมิโนสตรัสทั้งที่ยังมิละสายพระเนตรไปจากดวงจันทร์สีเหลืองนวลที่ในวันนี้กำลังเปล่งประกายอย่างงดงาม
“รสชาติเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามพร้อมวางเรียวแขนลงบนขอบระเบียงและทอดมองไปยังเกาะธีราที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกสีดำทะมึน

“มิเลว” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางก้าวเดินไปยังมุมหนึ่ง เพื่อหยิบแก้วบรรจุน้ำจัณฑ์ส่งให้กับอีกฝ่าย เธเซียสจึงรับรู้ได้ว่าเจ้าชายมิโนสผสมเหล้าองุ่นในระดับหนึ่งต่อสาม เหมาะกับการเจรจาเป็นอย่างยิ่ง
“กระหม่อมจำได้ว่า การแลกเปลี่ยนตัวประกันถือเป็นการกระทำที่เสียเปล่า แล้วเหตุใดเพลานี้พระองค์ถึงยอมปลดปล่อยกระหม่อมออกจากเกราะกำบังพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยถามเรื่องราวที่ยังค้างคาใจ ขณะที่แววตายังคงจดจ้องดวงจันทร์บนท้องนภาแน่นิ่ง

“หลังจากถูกตลบหลัง เรากลับรู้สึกว่าต่อให้วางแผนเป็นอย่างดีแค่ไหน โอกาสพลาดพลั้งก็ย่อมมีสูง มิสู้เดินหน้าให้เต็มกำลังครานี้ แล้วหาทางปรองดองในภายหน้ามิดีกว่าหรือ ?”
“เราเชื่อว่าเจ้าคงมิอยากให้บ้านเมืองของเราต้องมารบราฆ่าฟันมิรู้จบ” เจ้าชายมิโนสทรงยืนเคียงข้างเธเซียสพลางเอื้อนเอ่ยอย่างแช่มช้า แต่ทว่าชัดแจ้งในความประสงค์ น้ำจัณฑ์รสชาติดีจึงยิ่งคล่องคอมากกว่าเดิม

“ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงยินยอมให้ทุกสิ่งที่เคยกระทำต้องสูญเปล่า ?” เธเซียสย้อนถามคล้ายกับยังมิได้รับคำอธิบายอย่างกระจ่างแจ้ง
“ขึ้นอยู่กับการเลือกสรรของเจ้า..” เจ้าชายมิโนสปฏิเสธพลางส่ายพระพักตร์

“เดิมทีเราอยากกักขังเจ้าไว้ข้างตัว โดยเลือกใช้ความหวาดระแวงของเสด็จพ่อเจ้าเป็นตัวขับเคลื่อน แต่หลังจากนั้นเรากลับค้นพบว่า ถึงตัวและหัวใจของเจ้าจะอยู่กับเรา แต่ก็มิมีความสุขมากเท่าที่เราอยากให้มี เราจึงคืนความไว้ใจของเสด็จพ่อให้กับเจ้า และทวงคืนความยุติธรรมที่เจ้าใฝ่หา ภาพที่เราเห็นจากห้องโถงในวันนั้น ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่ตัดสินใจมันคุ้มค่าแล้ว ต่อให้เจ้าจะโกรธเคืองเพราะความใจดำที่เราทอดทิ้งให้เจ้าต้องถูกทำร้าย หรือคิดใช้คนรอบข้างเป็นหมากบนกระดานมาก เราก็น้อมรับแต่โดยดี” เจ้าชายมิโนสตรัสโดยมิยอมมองหน้าบุรุษในดวงใจ อาจเพราะลึก ๆ พระองค์คงมิสบายพระทัยนักที่ต้องปล่อยให้เธเซียสเผชิญหน้ากับความทรงจำอันเลวร้าย จนเกิดอาการคลุ้มคลั่งและได้รับบาดเจ็บ แต่กระนั้นพระองค์ก็ทำได้เพียงทอดทิ้งอีกฝ่ายไว้ข้างหลัง และเดินหน้าสู่แผนการต่อไปอย่างแน่วแน่
“สิ่งที่พระองค์กระทำนอกจากจะเป็นการสงบศึกบ้านเมืองของเราในระยะยาวแล้ว ก็ล้วนแต่ทำเพื่อกระหม่อมทั้งสิ้น หากจะโกรธหรือเกลียดแน่นอนว่าคงทำมิลง และมิมีเหตุผลมากพอที่จะรู้สึกเช่นนั้น” เธเซียสกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาเข้าใจความคิดและการกระทำของอีกฝ่ายอย่างชัดแจ้ง ซึ่งการทำสงครามแม้บ้านเมืองจะได้รับความเสียหาย แต่ทว่ากลับมิได้กระทบถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองครีตัน เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงตระเตรียมแผนการรับมือไว้นานแล้ว
ส่วนกำลังทหารของฝ่ายตรงข้ามคงต้องให้คำจำกัดความได้เพียงว่า ‘รนหาที่ตาย’
เพราะจักรวรรดิครีตันมิเคยริเริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด

“ต่อแต่นี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับความไว้วางใจที่ได้รับกลับคืน” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางจิบน้ำจัณฑ์เพียงนิด
“กระหม่อมคงจะเริ่มเรียนรู้ราชกิจอย่างจริงจัง และอาจต้องกำจัดสายสนกลในขององค์ราชินีให้หมดสิ้น” เธเซียสบอกกล่าวแผนการข้างต้น ซึ่งก็ดูยิ่งใหญ่เกินความสามารถ

“เราเชื่อว่าเจ้าจะเฉิดฉายด้วยความสามารถที่ผู้ใดก็ต้องยอมรับ พอถึงวันนั้นหากเราสองเห็นพ้องต้องกันว่า การหลอมรวมวัฒนธรรมถือเป็นการสร้างความแข็งแกร่งและแผ่ขยายอาณาเขตให้กว้างไกล วันนั้นเราสองค่อยมาเจรจากันอีกครั้ง เจ้าคิดเห็นตรงกับเราหรือไม่ ?” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสคล้ายกับวางแผนอนาคตร่วมกัน ข้างแก้มของบุรุษจากต่างแดนจึงแดงก่ำอย่างมิทันตั้งตัว
“สำหรับกระหม่อมเจรจาคราเดียวก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่นัยน์ตายังคงจดจ้องพระจันทร์ดวงงาม

“เราจะรอวันนั้น..” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนสพระอังสาก็แนบชิดลาดไหล่ของเธเซียส บ่งบอกได้ว่าเพลานี้เราสองยืนอยู่เคียงข้างกันมากแค่ไหน ริมฝีปากของทั้งคู่จึงคลี่เป็นรอยยิ้มอย่างงดงาม
“สำหรับกระหม่อมแล้ว..” หลังจากความเงียบปกคลุมรอบกาย เธเซียสจึงเป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศดังกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางจ้องมองเสี้ยวพระพักตร์ของบุรุษข้างกาย

“นอกจากพระองค์จะเป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน..” สิ้นประโยคดังกล่าวดวงพักตร์หวานละมุนที่เคยจ้องมองดวงจันทร์กลับสบใบหน้าคมเข้มของบุรุษในดวงใจแน่นิ่ง คล้ายกับรอคอยประโยคต่อไปอย่างใจจดจ่อ
“…”

“พระองค์ยังเป็นมหาบุรุษสำหรับกระหม่อมด้วย” ถ้อยคำราวกับบอกรักแสนอ้อมค้อม นำพาให้ดวงหทัยของผู้ฟังเริ่มหวิวไหว อาจเพราะคำว่า ‘มหาบุรุษ’ คือถ้อยคำที่มีความหมายยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนคำชื่นชมที่แสนมีค่า
และยังบ่งบอกได้ว่า ‘ความแตกต่าง’ จากการถูกสาป
มิใช่เรื่องน่ารังเกียจ

“คำชมเชยของเจ้า มักทำให้หัวใจของเราอิ่มเอม” บุรุษสูงศักดิ์ตรัสพลางหันวรกายเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมใช้พระหัตถ์ลูบไล้เรือนผมนุ่มเรื่อยมาจนถึงปรางแก้ม ขณะที่พระโอษฐ์กลับแย้มสรวลไปถึงดวงเนตร ความเงียบสงบหวามไหวจึงนำพาให้เสี้ยวหน้าของทั้งคู่ค่อย ๆ แนบชิด กระทั่งระยะแห่งการมองเห็นเริ่มรางเลือน สัมผัสนุ่มละมุนจึงอุ่นซ่านไปถึงหัวใจ
สองขาพลันก้าวถอยหลังอย่างสมัครสมาน ความสนใจในรสชาติเหล้าองุ่นเริ่มถูกลดทอน แก้วน้ำจัณฑ์ลวดลายดอกลิลลี่จึงถูกวางทิ้งไว้ข้าง ๆ โถคาร์เตอร์ที่มีแผ่นน้ำแข็งบางเฉียบเคลือบผิวน้ำ สุ้มเสียงของรสสัมผัสคล้ายกับร้อนแรงราวอุณหภูมิของทะเลทรายในจักรวรรดิอียิปต์ แต่ทว่าความอุ่นนุ่มของผ้าลินินที่รองรับแผ่นหลัง กลับทำให้เธเซียสรู้สึกหายใจมิทั่วท้อง

“นับแต่นี้เราจะมิปล่อยให้เจ้าได้รับบาดเจ็บแม้กระทั่งรอยขีดข่วน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางลูบไล้รอยแผลเป็นจากการถูกลอบสังหารและถูกควบคุมด้วยสิ่งเสพติดจำพวก ‘บัวอียิปต์’ ตากแห้ง
“เช่นนั้นพระองค์คงต้องหาผู้ช่วยที่มีคุณสมบัติพิเศษดังเช่น ‘อัส’ กระมัง” เธเซียสกล่าวในเชิงหยอกเย้า พลางลูบไล้ปรางแก้มของบุรุษในดวงใจราวกับต้องการปลอบประโลมว่า บาดแผลเพียงแค่นี้ มิอาจทำให้ตนนึกใส่ใจ

“มิต้องห่วง เราส่งเคออส โครนัส และคนอื่น ๆ ไปทำหน้าที่แล้ว” สุรเสียงทุ้มนุ่มตรัสในลำพระศอ เมื่อโอษฐ์หนาจุมพิตไปตามบาดแผลคล้ายกับต้องการลดทอนความเจ็บปวดในอดีต อันมีสาเหตุมาจากพระองค์
“วันหน้าหากกระหม่อมโอบอุ้มไมซีเนียนด้วยสองแขน และเหยียบยืนด้วยสองขาโดยมิมีผู้ใดคัดค้าน”  บุรุษจากต่างแดนเอื้อนเอ่ยพลางขยับตัวให้ความร่วมมือต่อการปลดเปลื้องพันธนาการเบื้องล่าง

“เราสองจะช่วยกันหลอมรวมวัฒนธรรม และการเจริญเติบโตทางด้านการค้า..” สุ้มเสียงของเธเซียสเริ่มสั่นไหว เมื่อช่วงล่างถูกชะโลมด้วยน้ำมันมะกอกแสนเหนอะหนะ และยังถูกรุกรานสู่ภายใน
“เหมือนกับ..” เธเซียสหอบหายใจพลางบิดเร้ากายอย่างเสียวกระสัน เมื่อภายในเริ่มร้อนรุ่ม รูปประโยคที่ควรจะพูดได้อย่างคล่องปากจึงพลันติดขัด แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมีความตั้งใจอันเปี่ยมล้น
แม้ว่าเพลานี้เนื้อตัวจะไหวเอนไปตามการชักนำของเจ้าชายมิโนส

“เหมือนกับช่วงเวลานี้ ที่เราหลอมรวมเป็นหนึ่ง..” บุรุษจากต่างแดนขยับริมฝีปากราวกับจะพูดก็มิพูดอยู่หลายครา เมื่อจังหวะการเคลื่อนไหวของช่วงล่าง คล้ายกับระลอกคลื่นของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในยามที่พายุโหมกระหน่ำ ก่อนจะกลับกลายเป็นนุ่มนวลราวกับแสงสุริยะแรกแย้ม ประโยคอันแสนยากเย็นจึงสามารถเอื้อนเอ่ยได้มิยาก
“เราจะรอวันนั้น เพราะเราเชื่อมั่นในตัวเจ้า..” สิ้นดำรัสชวนอุ่นใจ จุมพิตแห่งความหนักแน่นก็นำพาให้เธเซียสจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อพายุเริ่มโหมกระหน่ำอย่างมิมีทีท่าว่าจะหยุด
แต่กระนั้นเธเซียสก็มินึกหวาดกลัว
อาจเพราะมหาบุรุษแห่งครีตันกำลังโอบอุ้มอย่างทะนุถนอม สลับกับกลั่นแกล้งอย่างร้อนแรงราวกับไฟทะเล


φ จบบริบูรณ์ φ


-------------------------------------------

เรื่องนี้เราเขียนจบตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วค่ะ แต่รู้สึกว่ามันยังไม่ลงตัวสักที และตอนจบแบบนี้ก็ไม่แน่ใจว่าทุกคนจะโอเคหรือเปล่า แต่สำหรับเราทุกตัวละครในนิยายเหมือนเค้ามีชีวิตและมีโลกของตัวเองให้ดำเนินต่อไป มันอาจจะไม่สวยงามและสมบูรณ์แบบมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับความรักของทั้งคู่ เพราะบ้านเมืองก็ไม่ต้องคอยมารบราฆ่าฟันกันอีก และที่สำคัญเธเซียสยังได้รับความไว้วางใจคืนจากเสด็จพ่อตามที่เคยใฝ่ฝัน มันก็ดีที่สุดแล้วสำหรับทั้งสองคน
นิยายเรื่องนี้มี สนพ. ติดต่อมาแล้วนะคะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะผ่านพิจารณาตอนช่วงประชุมใหญ่หรือเปล่า ถ้าหากมีอะไรคืบหน้าเราจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง แต่เบื้องต้นเราวางแผนสำหรับตอนพิเศษเอาไว้แล้ว เราเชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินสงครามกรุงทรอย และม้าไม้โทรจันเนอะ เราจะเอาเหตุการณ์นี้มาใส่ในตอนพิเศษให้ได้อ่านกันค่ะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสงครามระหว่างไมซีเนียน (พวกเอเคียน) กับกรุงทรอยนั้น ไม่ได้เกิดจากการแย่งชิงสาวงามจากนครรัฐสปาตาร์เหมือนในตำนานแต่อย่างใด แต่มันเกิดจากการต้องการขยายอำนาจทางการค้าขายของไมซีเนียนค่ะ เพราะเดิมทีไมซีเนียนทำการค้าขายด้วยการรุกราน ต่างกับครีตันที่ทำการค้าอย่างสงบ และใช่ค่ะ ภูเขาไฟบนเกาะธีรายังไม่ทันระเบิด ตอนพิเศษก็จะมีเหตุการณ์นี้แหละ เดี๋ยวยังไงเราจะลองดูอีกทีว่าพล็อตอันใหญ่โตนี้ของเราจะมาลงเป็นตอนพิเศษปิดท้ายเรื่องยังไงดี T^T

ปล. เราขอบคุณสำหรับกำลังใจของทุกคนเลยนะคะ พูดตรงๆ ว่าหลังจากวันนั้นที่เคยคิดว่าคงต้องเลิกเขียนก็นั่งนอยด์จนน้ำตาไหลไปเหมือนกัน สุดท้ายเราก็คงสู้ต่อไปแหละ เพราะการเขียนมันคือสิ่งที่เรารัก และเราก็ตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าเราอยากเขียนนิยายที่ให้อะไรกับผู้อ่าน และเราอยากเขียนนิยายที่ได้คุณภาพมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมา 10 กว่าปีตอนเราเขียนฟิค เราก็เลือกเขียนแต่ฟีลกู๊ด เฮฮา กวนๆ มาตลอด มันเหมือนเราอิ่มตัวกับแนวนั้น หรือบางทีเราอาจจะโตขึ้นมาก มุมมองเราเลยเปลี่ยนไป พอมีโอกาสได้มาเขียนนิยายเราเลยอยากทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ อยากถือโอกาสนี้แสดงฝีมือมากขึ้น แต่ในทางกลับกันเราก็คงต้องอดทนกับการเดินในเส้นทางที่อาจจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับคนทั่วไป อนาคตเราก็หวังว่าตัวเองจะวางพล็อตที่ใหญ่และลึกได้มากกว่านี้ เป็นกำลังใจให้เราด้วยค่า ฮืออ T[]T
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-10-2019 02:20:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 10-10-2019 03:11:03
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ นี่คิดมาตลอดว่าเธเซียสน่าจะเมะ สรุปเจ้าชายมิโนสเมะเหรอเนี่ย เวรกำจิ้นผิดโผ 5555 ถึงเม้นจะน้อยก็อย่าเพิ่งท้อนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 12-10-2019 15:47:56
 :o8: :o8:สนุกค่ะ อ่านรวดเดียวจบ
 :pig4: :pig4:
สู้ต่อไปค่ะ o13
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 20-11-2019 19:42:01
   สนุกมากคะ เขียนได้ดีมากๆ รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: yestermemo ที่ 25-11-2019 06:33:43
สนุกมาก ชอบตัวละครเจ้าชายมิโนสจัง การวางแผนแล้วความคิดของตัวละครตัวนี้ประทับใจ
อ่านรวดเดียวจบเลย ขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆขึ้นมานะคะ

 :call: :pig4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 29-11-2019 23:14:16
เนื้อเรื่องสนุกดีค่ะ
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 06-12-2019 12:28:29
สนุกมากกกกกก ขอบคุณคับบบบ
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 21:28:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอน 46 (จบ) φ หน้า 3 (update 08/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-05-2020 02:16:04
เป็นนิยายที่ต้องมีสติในการอ่านมากเลยค่ะ เราใช้เวลาทั้งหมดสี่วัน ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ซึมซับเรื่องราวไป อย่าน้อยใจที่มีคนอ่านน้อยเลยนะคะ นิยายคุณโชมินเต็มไปด้วยความใส่ใจแล้วก็มีคุณภาพมากค่ะ เราได้อะไรหลายอย่างจากนิยายของคุณ ทั้งความรู้ ทั้งมุมมองแบบใหม่ที่เอาไปปรับใช้บ้าง เรื่องจำนวนคนอ่านนี่มันขึ้นอยู่กับจังหวะจริงๆ ค่ะ นิยายดังก็ไม่ได้แปลว่าทุกเรื่องจะดี เราคอยเป็นกำลังใจให้ แล้วก็ตามอ่านตลอดนะคะ มาช้าแต่มาแน่นอน

ทั้งเรื่องเราแอบน้ำตาไหลทุกตอนที่เจ้าชายมิโนสทำเป็นห่างเหิน โชคดีที่ไม่ใส่ดราม่าแบบนี้เข้ามาเป็นอีกปมค่ะ ไม่งั้นปวดใจมาก พระเอกเรื่องนี้คือมหาบุรุษจริงๆ ค่ะ ฉลาดหลักแหลมมาก ประทับใจ ส่วนนายเอกก็เก่งมาก ไม่ได้รอให้มาช่วยตลอด แต่ก็โดนหนักอยู่ ชอบมากที่อ่านจบตอนได้กดไปดูรูปหรือตามอ่านบทความอื่นๆ เก่งมากเลยค่ะที่เอาพวกนี้มาผูกรวมเป็นเรื่องได้ รักค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 15-05-2020 21:51:17
ตอนพิเศษ
ดินแดนแห่งหน้ากากทองคำ

การกลับมาเยือนยังอาณาจักรไมซีเนียนครานี้ ทำให้เธเซียสรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง อาจเพราะเขาคุ้นชินกับความเรียบง่ายในแบบฉบับของเจ้าชายมิโนสมาเนิ่นนาน จึงทำให้แม้แต่กำแพงเมืองที่โอบล้อมดินแดนท่ามกลางหุบเหวค่อนข้างขัดตา เนื่องจากพระราชวังนอสซัสของจักรวรรดิครีตัน สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์จากทั่วบริเวณโดยมิมีสิ่งใดบดบัง ทว่าไมซีเนียนกลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งของศิลาที่ถูกเทินสูงเหนือศีรษะ อีกทั้งศิลปะความอ่อนช้อยลวดลายธรรมชาติก็มิมีให้เชยชม
เหตุเพราะไมซีเนียนคืออาณาจักรของนักรบ ดังนั้นลวดลายบนเครื่องปั้นดินเผาจึงเต็มไปด้วยภาพของการล่าสัตว์และการออกรบ อีกทั้งลายเส้นที่ใช้ก็มิได้มีความพลิ้วไหว แต่กลับแข็งกร้าวตามแบบฉบับของชาวไมซีเนียน

“เหตุใดการคลังจึงร่อยหรอเช่นนี้ ?” เธเซียสเอ่ยถามเสมียนนายหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลรายรับรายจ่ายของพระราชวัง ซึ่งรายจ่ายอันหนักหนาล้วนเกิดจากการทำศึกสงคราม ทว่ากลับมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการค้ามากกว่ารายรับอย่างมิสมเหตุสมผล บุรุษผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนในการจัดการด้านการค้าจึงต้องเร่งไต่สวนเป็นการด่วน
“หลายปีมานี้เจ้าชายลูซีอัสและอะนักซ์ มีความประสงค์ที่จะขยายอาณานิคมทางด้านการค้าไปจนถึงดินแดนอนาโตเลียทุกภาคส่วนพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งเมืองทรอยถือเป็นเมืองหน้าด่านและยังเป็นคู่แข่งทางด้านการค้าที่น่ากลัว อีกทั้งยังมีเมืองบริวารมากมาย ทางเราจึงต้องระดมกำลังล้มล้างเมืองบริวารเหล่านั้น” สิ้นคำตอบของเสมียนรายนั้นเธเซียสก็ลุกออกจากเก้าอี้ พลางเดินไปมาในห้องหนังสืออย่างมิสบอารมณ์ เนื่องจากเขาเริ่มรู้สึกว่าการทำศึกดังเช่นชาวไมซีเนียนค่อนข้างมุทะลุและบ้าบิ่นเกินเหตุ

“ก่อนตัดสินใจทำศึก พวกขุนนางมิมีผู้ใดมองเห็นปัญหาในภายภาคหน้าเลยหรือ ถึงได้เห็นพ้องต้องกันเช่นนี้” เธเซียสตวาดลั่นอย่างเหลืออด เพราะการมุ่งหวังแต่ชัยชนะกำลังจะทำให้บ้านเมืองแร้นแค้น และยังตามมาด้วยการถูกรุกราน
หากเพลานั้นมาถึง..
ไมซีเนียนที่เคยภาคภูมิใจในชาตินักรบ คงต้องหลั่งน้ำตาเป็นแน่

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากพ่ายแพ้ก็เท่ากับสูญเปล่า..”  เคออสกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางยืนกอดอกพิงกำแพงหินใกล้ปากประตู พร้อมส่งสัญญาณให้เสมียนผู้โชคร้ายรีบเดินหลบฉากออกไป
“กระหม่อมเห็นด้วยกับเคออสพ่ะย่ะค่ะ มาถึงขั้นนี้แล้วหากไต่สวนกันไปมา เกรงว่าจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ มิสู้เอาเวลานี้มาช่วยกันระดมสมองคิดแผนการรับมือกับคู่แข่งทางการค้าจะดีกว่า” เซอร์ซีกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล และมันก็ทำให้เธเซียสเริ่มใจเย็นลง สมองของเขาจึงประมวลผลได้ว่า ขุนนางเหล่านั้นล้วนเข้าฝักฝ่ายกับองค์ราชินี จึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องคัดค้าน เพราะถ้าหากเสด็จพี่ลูซีอัสสามารถขยับขยายอาณานิคมทางการค้าสำเร็จ ตำแหน่ง ‘อะนักซ์’ คงมิไกลเกินเอื้อม ขุนนางเหล่านั้นจึงพากันทุ่มหมดหน้าตัก
ดังนั้นการศึกกับครีตันจึงต้องพึ่งพานครรัฐเอเธนส์ผู้มั่งมี
‘ไฟทะเล’ ของเธเซียสจึงกลับกลายเป็นเพียงเครื่องมือกระชับความสัมพันธ์

“กำลังคนมีน้อยนิดจะทำสิ่งใดคงต้องคิดให้รอบคอบ” เธเซียสกล่าวอย่างวิเคราะห์สถานการณ์ เนื่องจากเขามิอยากรบกวนเจ้าชายมิโนส และอยากถือโอกาสนี้แสดงความสามารถให้เต็มที่
“แค่เพียงเจ้าเอ่ยปากก็มิเห็นจะมีสิ่งใดให้น่าหนักใจ เพราะถึงอย่างไรการจัดการทางด้านการค้าก็อยู่ในความรับผิดชอบของจักรวรรดิครีตัน” เคออสบอกกล่าวข้อเสนอ ราวกับเขาเปิดใจปล่อยวางเรื่องราวในอดีต และยอมรับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

“ครีตันยังมีเรื่องต้องใช้งบประมาณแผ่นดินในการฟื้นฟูบ้านเมือง อย่ารบกวนจะดีกว่า..” เธเซียสเอ่ยแย้งแทบจะทันที เนื่องจากศึกสงครามสร้างความเสียหายให้กับพระราชวังและบ้านเรือนของราษฎร์เป็นจำนวนมาก อีกทั้งไร่องุ่นอันเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของครีตันก็ยังได้รับความเสียหายอย่างแสนสาหัส แต่โชคดีที่เจ้าชายมิโนสสั่งสมพืชพันธุ์ธัญญาหารเอาไว้มาก องุ่นรวงงามจึงถูกแปรรูปเป็นเหล้าองุ่นรสชาติดี โดยส่วนหนึ่งถูกส่งออกเพื่อการค้า และอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นเสบียงอาหารให้กับชาวครีตันทุกภาคส่วน
ขณะเดียวกันเครื่องปั้นดินเผาลวดลายวิจิตรก็ถูกกวาดต้อนลงเรือสินค้าจนหมดสิ้น
นับได้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมิมีสิ่งใดน่าเป็นกังวล แต่กระนั้นการฟื้นฟูก็ยังต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก

“กรุงทรอยเมืองเป้าหมาย ตั้งอยู่ตรงช่องแคบเฮลเลสพอนด์หรือไม่ ?” เธเซียสเอ่ยถามโครนัสที่นั่งใกล้กับช่องเก็บหนังสืออย่างมิแน่ใจนัก เนื่องจากช่วงหลังเขาแทบจะตัดขาดจากไมซีเนียนอยู่รอมร่อ ดังนั้นการศึกเพื่อแย่งชิงพื้นที่ทางด้านการค้ามิว่าจะเป็นทางบกอันเป็นเส้นทางที่เชื่อมกับดินแดนต่าง ๆ ในเขตอนาโตเลีย หรือว่าทางน้ำบริเวณแถบคาบสมุทรอีเจียนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกย่อมมิเคยผ่านหู
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หากจำมิผิดบ้านเมืองถูกล้อมรอบด้วยป้อมปราการมิต่างจากไมซีเนียน แต่กว่าจะก้าวไปถึงใจกลางเมือง จะต้องผ่านเกราะกำบังอย่างเมืองบริวาร 9 ชั้น” โครนัสกล่าวอย่างฉะฉาน ซึ่งเธเซียสก็มิแปลกใจนัก เนื่องจากเส้นทางการค้าของครีตันถือเป็นเส้นทางเดียวกับเมืองดังกล่าว ทหารคนสนิทจึงทราบข้อมูลเชิงลึกถึงเพียงนี้
และเธเซียสก็เริ่มหายข้องใจ ว่าเหตุใดการเงินของไมซีเนียนจึงร่อยหรอจนถึงขั้นวิกฤต

“เราจะไปหารือกับเสด็จพ่อเพื่อความรอบคอบ” เธเซียสกล่าวอย่างกระตือรือร้นจากนั้นก็เดินออกจากห้องหนังสือ พร้อมเจรจาอยู่หลายเพลา เนื่องจากเขาต้องการทราบกำลังทหารและความคืบหน้าของการศึก เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าตนควรจะออกอุบายอย่างไรให้เสียกำลังพลน้อยที่สุด และได้รับชัยชนะเป็นการตอบแทน
ซึ่งเขาก็เตรียมตัวเตรียมใจต่อการโต้วาทีมาอย่างดี
ทว่าเสด็จพ่อกลับมิตรัสแย้งแต่อย่างใด

เธเซียสจึงกลับมานั่งครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะเขามิอยากให้วันเวลาผ่านพ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากมันหมายถึงการสูญเสียงบประมาณแผ่นดินที่มากขึ้น
“เมืองบริวารตอนนี้ถูกทำลายไปกว่า 5 ส่วน หากใช้กลอุบายที่ค่อนข้างแนบเนียนและรัดกุม..” บุรุษในคราบของเจ้าชายฮาเดรียนกล่าวอย่างใช้ความคิด พลางเดินกอดอกไปมาในห้องหนังสือ พร้อมนึกถึงเหตุการณ์พลิกกระดานเกมของเจ้าชายมิโนสอย่างถี่ถ้วน
เพราะมันคือบทเรียนชั้นดี

“ครีตันมิได้มีป้อมปราการล้อมรอบ จึงเป็นเรื่องง่ายต่อการบุกโจมตี อีกทั้งการเป็นเจ้าบ้านก็ทำให้รู้จุดบอดอย่างชัดแจ้ง มิมีสิ่งใดถือเป็นการเสียเปรียบ แต่สถานการณ์ของกรุงทรอยมิเหมือนกัน” เคออสกล่าวอย่างรู้ใจ ซึ่งเธเซียสเองก็คิดเช่นนั้น
การเลือกใช้ ‘บัวอียิปต์’ จึงมิเหมาะสมนัก

“เช่นนั้น.. หากเราถอยทัพ แล้วส่งเครื่องบรรณาการกลับไป..” เธเซียสที่เดินกลับมานั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือได้เพียงครู่ จู่ ๆ ก็เกิดความคิดลึกล้ำ จึงดีดตัวออกจากที่นั่งด้วยความตื่นเต้น
“ฝ่ายนั้นคงต้องคิดว่าเรายอมศิโรราบเป็นแน่” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ คล้ายกับมีแผนการอันเป็นรูปร่างในหัว เหลือเพียงแค่เนรมิตขึ้นมาเท่านั้น

“พระองค์หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?” ฝ่ายเซอร์ซีแม้จะเข้าขากันดีกับนายเหนือหัว แต่เพลานี้ก็คร้านจะหยั่งถึงความคิดของอีกฝ่าย
“เราจะสร้างม้าไม้ตัวใหญ่ส่งไปเป็นของบรรณาการ แสดงถึงความยำเกรงและยินยอมต่อความพ่ายแพ้ เพียงแต่ม้าไม้ตัวนี้คือม้าศึกมากคุณภาพ เพราะภายในนั้นจะบรรทุกทหารจำนวนมากเท่าที่เรามี จากนั้นเมื่อความไว้วางใจบังเกิด ม้าตัวนี้ก็จะก้าวเข้าสู่เขตเมืองทรอยชั้นใน พอสบโอกาสเหมาะต่อการพลิกฝ่ามือ เมืองทรอยที่เคยเป็นขวากหนามขัดขวางเส้นทางการค้าก็จะต้องพ่ายแพ้”

“หากถอยทัพเกรงว่าจะเป็นการเปิดช่องว่างอันมิพึงประสงค์ เราควรส่งเครื่องบรรณาการไปพร้อมกับการส่งสารถึงทหารกลุ่มนั้น เพื่อที่พวกเขาจะได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ในภายภาคหน้า พร้อมละทิ้งคนผู้หนึ่งที่มีไหวพริบเป็นตัวประกัน ม้าไม้ถึงจะเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างราบรื่น” เคออสกล่าวอย่างตรงไปตรงมา อาจเพราะเขามีประสบการณ์ทางด้านการวางแผน จึงมีความรัดกุมในด้านมุมมอง
“เช่นนั้นตัวประกันคือเราเอง” สิ้นวาจาหนักแน่นเธเซียสก็เริ่มสั่งการสำหรับเช้าวันพรุ่ง เนื่องจากการสร้างม้าไม้ขนาดมหึมาจะต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก ส่วนค่ำคืนนี้เขาจะสร้างแบบจำลองอย่างละเอียด โดยคำนึงถึงผู้คนที่ต้องแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้น

กระทั่งแบบจำลองเสร็จสิ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนาง ทว่าเธเซียสก็มิหวั่นเกรง เพราะเขายังมีเสด็จพ่อคอยเป็นกำลังเสริม ดังนั้นแผนการจึงดำเนินต่อไปอย่างง่ายดาย ทหารครีตันและกำลังฝีพายจากนูเบียส่วนหนึ่ง จึงถูกเกณฑ์ออกมาช่วยงานสำคัญดังกล่าว โดยเธเซียสเลือกใช้สถานที่ในการประดิษฐ์เครื่องบรรณาการนอกเขตพระราชฐาน เพื่อที่จะได้มิต้องขนย้ายไปมาให้ลำบาก
สายลมเรียบชายฝั่งบริเวณใกล้เขตหุบเขาสมาเรียของจักรวรรดิครีตัน ทำให้การตระเตรียมเครื่องบรรณาการที่ต้องใช้แรงงานในการสรรสร้าง มิต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความร้อนระอุมากนัก เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะจึงดังระงมไปทั่วบริเวณ โดยสองมือของพวกเขาต่างหยิบจับทรัพยากรธรรมชาติมาดัดแปลงเป็นส่วนหัวของม้าตัวใหญ่

ฝ่ายเธเซียส เคออส โครนัส และเซอร์ซีต่างพากันกะเกณฑ์ความกว้างของช่องท้อง ที่ใช้บรรทุกทหารเจนศึกอย่างเคร่งเครียด เพราะถ้าหากสร้างใหญ่เกินไป การขนย้ายก็จะลำบาก แต่ถ้าหากสร้างเล็กเกินไป กำลังคนก็จะมิเพียงพอ เนื่องจากทหารไมซีเนียนที่ยกทัพไปก่อนหน้า ล้วนกรำศึกมาเป็นระยะเวลายาวนาน ความเหนื่อยล้าท้อถอยจึงยิ่งบังเกิด
“เราตัดสินใจแล้ว ม้าไม้ควรสร้างให้เพียงพอต่อการบรรทุกกำลังคน ส่วนแรงงานขนย้าย เราจะเดินทางไปเจรจากับครีตันด้วยตนเอง” หลังจากลั่นวาจาอย่างจริงจังแล้ว บุรุษผู้ต้นคิดก็มิรอช้ารีบลงมือสร้างสรรค์ม้าศึกตามจินตนาการ โดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย
จนกระทั่งแสงสุริยะใกล้ลาลับ พวกเขาก็ยังมิหยุดเร่งมือ
ทว่าเมื่อเสียงท้องร้องของผู้คนบริเวณนั้นดังระงมด้วยความหิวโหย มื้อเย็นเคล้าแสงไฟสีเหลืองนวลจึงถือกำเนิด

“พระองค์กับเพอร์ดิกส์ช่างนำมื้อเย็นมาได้จังหวะเสียจริง” เธเซียสกล่าวทักทายบุรุษสูงศักดิ์จากต่างแดน พร้อมนั่งพิงต้นไม้ใหญ่และมองจ้องเด็กชายตัวจ้อยเดินแจกจ่ายดอลมาเดซให้กับทุกผู้ที่ใช้แรงงาน
“เราได้ยินมาว่าเจ้าจะเข้าร่วมศึกกรุงทรอย” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิอ้อมค้อมพลางประทับเคียงข้างบุรุษในดวงใจ

“ข่าวคราวช่างถึงพระเนตรพระกรรณเร็วนัก” เธเซียสกล่าวอย่างมิคิดปฏิเสธ พลางลิ้มชิมดอลมาเดซคำใหญ่ จากนั้นความทรงจำในวันวานก็ลอยอบอวนไปทั่วความรู้สึก
“เจ้าต้องการกำลังพลและอาวุธเท่าใด ขอให้บอกกล่าวโดยมิต้องเกรงใจ” เจ้าชายมิโนสตรัสราวกับล่วงรู้ความคิดของเธเซียสอย่างกระจ่างแจ้ง ฝ่ายเธเซียสจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“การศึกครานี้ถือเป็นการขยายอาณานิคม หากกระหม่อมพึ่งพาตนเอง นับได้ว่ากระหม่อมสามารถโอบกอดอาณาจักรไมซีเนียนด้วยสองแขน และเหยียบยืนด้วยสองขาของตนเอง ดังนั้นกระหม่อมจึงมิขอน้อมรับความหวังดีของพระองค์ในเรื่องดังกล่าว แต่หากเป็นการหยิบยืมแรงงานทาสโดยมิกระทบต่อการฟื้นฟูครีตัน กระหม่อมยินดีตอบรับพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางจ้องมองเด็กชายตัวจ้อยที่เอาแต่นิ่งเงียบเคียงข้างโครนัส ซึ่งแววตาของเขาดูหม่นหมองอย่างน่าหวาดหวั่น มิรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
“หากต้องการเช่นนั้น ขอเพียงเจ้าแจ้งวันและเวลาที่แน่นอน..” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส เธเซียสจึงละสายตาออกจากภาพตรงหน้า เพื่อหันมายกยิ้มให้กับบุรุษผู้แสนใจกว้าง

“อันที่จริงเราเองก็มีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าเช่นกัน..” บุรุษผู้มีเกศาราวกับระลอกคลื่นตรัสด้วยสุรเสียงแผ่วเบา ขณะที่สีพระพักตร์กลับฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสย้อนถามอย่างใส่ใจ พลางปัดมือทั้งสองข้างทันทีที่มื้อเย็นเสร็จสิ้น

“เพอร์ดิกส์.. เด็กคนนั้นนับตั้งแต่ดิดะลัสจากไป เขาก็เริ่มเก็บตัว แต่พอทราบว่าเรากำลังจะมาหาเจ้า ดวงตาก็เป็นประกายสดใส เราจึงอยากให้เจ้ารับเขาไว้เลี้ยงดู อย่างน้อยก็จนกว่าเด็กคนนั้นจะเข้มแข็งมากพอที่จะต่อสู้กับการสูญเสีย และเหยียบยืนด้วยสองขาของตนเองเช่นเจ้า” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสคล้ายกับนำพาเธเซียสย้อนกลับไปยังวันวานอันรางเลือน ภาพลานกว้างสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจึงปรากฏพร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าเหม่อลอยแน่นิ่ง จากนั้นเศษเนื้อเว้าแหว่งในความทรงจำก็กระจัดกระจายไปทั่วลานกว้าง ส่งผลให้กลิ่นคาวคละคลุ้งติดปลายจมูก
หัวใจของเธเซียสจึงเสียดแน่นอย่างบอกมิถูก
เนื่องจากการตายของขุนพลผู้นั้นล้วนเต็มไปด้วยความทรมาน

“หากเขาเต็มใจ กระหม่อมก็ยินดีพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้มจนตาปิด พร้อมลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจอยู่หลายครา
“…”

“กระหม่อมต้องไปทำหน้าที่ของตนเองแล้ว คงส่งเสด็จได้เพียงเท่านี้” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงมิเต็มใจนัก แต่ก็มิอาจรั้งอีกฝ่ายไว้ เพราะบุรุษในดวงใจมีภาระหน้าที่อีกมากมาย หากพักผ่อนมิเพียงพอเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อราชกิจบ้านเมือง
“หากเรามิกลับและมิทำตัววุ่นวาย เจ้าจะอนุญาตให้เราอยู่ต่อหรือไม่ ?” ทว่าเจ้าชายมิโนสกลับมิยอมให้เป็นเช่นนั้น เพราะความห่างไกลทำให้พระองค์รู้สึกอ้างว้าง อาจเพราะที่ผ่านมาข้างกายมิเคยไร้เงาของอีกฝ่าย

“พระองค์มิหวั่นกลัวว่าครีตันจะเกิดเรื่อง ตอนที่มิได้ประทับอยู่ที่นั่นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามพลางทำสีหน้าเคร่งเครียด อาจเพราะเหตุการณ์ที่ตนถูกองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนใช้เป็นหมากบนกระดาน เพื่อหลอกล่อเจ้าชายมิโนสให้ออกห่างจากจักรวรรดิครีตันยังคงฝังใจ
“นับตั้งแต่ผู้คนล่วงรู้ว่าแอสเตเรียนมีอยู่จริง ก็มิมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามายังเขตแดนของจักรวรรดิครีตันโดยมิบริสุทธิ์ใจ” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงภายนอกอย่างชัดเจน และยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพครีตันเป็นอย่างดี ดังนั้นแผ่นดินทองคำที่ใครต่างก็หมายปอง ล้วนต้องหยุดยั้งความคิดไว้เพียงแค่นั้น
บวกกับการศึกแบบรุกฆาตระหว่างไมซีเนียนและครีตันก็สร้างความน่าเกรงขามมิใช่น้อย
เนื่องจากการพลิกสถานการณ์ด้วยฝ่ามือเดียวมิใช่เรื่องง่าย

“เช่นนั้นพระองค์ควรประทับที่กระโจมทะเลทรายพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางผายมือไปยังกระโจมสีขาวหลังหนึ่ง พร้อมก้าวนำไปอย่างมั่นคง ซึ่งเดิมทีกระโจมหลังนั้นคือที่พักของตน เพียงแต่การเวลามิเคยคอยท่า เธเซียสจึงมิมีกะจิตกะใจจะหลับนอน
“เราทำตัวว่าง่ายและอยู่ในโอวาทถึงเพียงนี้ มิมีของกำนัลหน่อยหรือ ?” เมื่อเธเซียสตั้งท่าจะเดินออกจากกระโจม บุรุษสูงศักดิ์จึงไขว่คว้าข้อมือของอีกฝ่าย พร้อมเอื้อนเอ่ยราวกับออดอ้อน ริมฝีปากของเธเซียสจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“หากพระองค์ทำตัวว่าง่ายเช่นนั้นจริง รีบเข้าสู่บรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางผลักดันวรกายของเจ้าชายมิโนสให้ประทับลงบนพรมขนสัตว์ พร้อมจัดแจงท่าทางเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การพักผ่อนด้วยท่าทีขึงขัง แต่กระนั้นริมฝีปากก็ยังมิวายจะเปื้อนยิ้ม เนื่องจากท่าทีราวกับวัยเยาว์ของบุรุษในดวงใจกำลังทำให้เธเซียสนึกเอ็นดู ซึ่งความสัมพันธ์ดำเนินมาจนถึงระดับนี้ได้ อาจเพราะความลึกซึ้งในค่ำคืนนั้น
กำแพงใจที่เคยขวางกั้นด้วยความเก้อเขินจึงถูกขจัดออกจนหมดสิ้น
ความกล้าที่จะเอาแต่ใจจึงเริ่มก่อเกิด

“รีบเข้าบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางโน้มตัวจุมพิตบริเวณพระนลาฏเพียงแผ่ว จากนั้นจึงผละใบหน้าออกห่างจากอีกฝ่าย ขณะที่พระหัตถ์อันอบอุ่นที่เคยกอบกุมเริ่มปลดปล่อยให้เป็นอิสระ พร้อมกับดวงเนตรสีรัตติกาลที่เริ่มปิดสนิทอย่างว่าง่าย
“การมาเยือนของพระองค์ครานี้ ทำให้กระหม่อมรู้สึกอุ่นใจ ราวกับถูกโอบล้อมอยู่ในวัยเยาว์ที่ครีตัน” สิ้นเสียงกระซิบเพียงแผ่ว มุมโอษฐ์ของเจ้าชายมิโนสก็เริ่มกดลึกมากกว่าเดิม
แต่กระนั้นเธเซียสก็ต้องทำเป็นมิใส่ใจ
เพราะถ้าหากก้าวเดินไปตามเกม เกรงว่าเขาอาจจะมิได้ทำงานทำการในคืนนี้

กระทั่งยามเช้ามาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า การเนรมิตเครื่องบรรณาการก็ยังคงมิหยุดพัก ขอบตาของแต่ละฝ่ายจึงดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด จะมีก็แต่เพอร์ดิกส์ที่ดูสนุกสนานจนหลงลืมฝันร้าย เธเซียสจึงยังมิสบโอกาสที่จะเจรจากับอีกฝ่ายตามที่ได้รับการฝากฝัง ขณะเดียวกันเจ้าเด็กตัวจ้อยก็มิได้กังวลที่ถูกทอดทิ้งไว้ยังไมซีเนียน
“หากราตรีนี้ทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเราจะได้พักผ่อนก่อนออกศึกสองวันเต็ม!” เธเซียสประกาศกร้าวอย่างกระตือรือร้น เนื่องจากเพลานี้ ‘ม้าไม้’ ขนาดมหึมาเทียบเท่ากับบ้านสองชั้นของชาวครีตัน เริ่มมีทั้งส่วนหัวและลำตัวอันกว้างขวาง ขาดก็แค่ส่วนขาทั้งสี่ข้าง ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปตามหวัง แรงงานชั้นดีก็จะได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จากนั้นหนึ่งวันให้หลังก็ยังสามารถซุ่มซ้อมศิลปะการป้องกันตัวก่อนออกศึก

“ท่านพี่เธเซียส” เพอร์ดิกส์กล่าวพลางวิ่งเข้ามาหาเธเซียสที่กำลังนั่งประกอบท่อนขาของม้าไม้ตัวใหญ่
“ห้องด้านในกว้างมาก ข้านอนกลิ้งได้สบายเลย!” เจ้าเด็กตัวจ้อยรีบคุยโวทันทีที่การทดสอบความแข็งแรงของห้องบรรทุกทหารฝีมือดีเป็นไปตามคาดหวัง

“เช่นนั้นเจ้าคงต้องรีบนอนกลิ้งให้สาแก่ใจ เพราะอีกมินานมันจะกลายเป็นม้าศึกที่น่าเกรงขาม” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้มให้กับเพอร์ดิกส์ด้วยความเอ็นดู เพราะหลังจากนั้นแววตาของเจ้าเด็กตัวจ้อยก็เริ่มเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“พวกเขาต้องคาดมิถึงแน่! ข้าอยากเห็นเหตุการณ์ด้วยสองตาของตนเองเสียจริง!” เด็กชายตัวจ้อยยังคงพูดเจื้อยแจ้วจนทำให้เธเซียสนึกอยากรวบตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดรัด แต่กระนั้นภารกิจก็ยังติดพัน เพอร์ดิกส์จึงได้แต่ทำปากยื่นปากยาวต่อไป เพราะความฝันของเขาคือการเป็นทหารผู้แข็งแกร่งเหมือนกับขุนพลดิดะรัสหรือท่านอาของเขา
เหตุการณ์พิชิตกรุงทรอยจึงตกอยู่ในความสนใจอย่างมากล้น

“หากมียาวิเศษเร่งความสูงของเจ้าได้ การล่าอาณานิคมคงถูกบันทึกไว้ด้วยสองตาของเจ้าแน่” ท้ายที่สุดเธเซียสก็อดใจมิไหว จำต้องวางมือจากการประกอบส่วนขาของเครื่องบรรณาการชั้นสูง เพื่อหันมายีศีรษะของเจ้าเด็กช่างพูด
“ก็เพราะไม่มีน่ะซี ข้าถึงได้แต่อิจฉาท่านพี่เธเซียส!” เพอร์ดิกส์กล่าวพลางทำหน้างองุ้มพร้อมจัดแต่งทรงผมอันยุ่งเหยิงให้เข้าที่
“หากเจ้าโตขึ้น มีภาระหน้าที่ให้รับผิดชอบ ความสนุกสนานที่เคยมองเห็นในวัยเยาว์ อาจเจือจางจนแทบจดจำมิได้ เพราะการเติบโตเป็นผู้ใหญ่สอนสั่งให้เราต้องแบกรับความคาดหวัง ความกดดัน เพื่อที่จะได้รับชัยชนะหรือเดินไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งมันมิง่ายเลย” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางแย้มยิ้มติดมุมปาก
เนื่องจากในใจลึก ๆ กำลังเป็นกังวลต่อการทำศึกครานี้
เหตุเพราะมันมิอาจมีคำว่า ‘พลาดพลั้ง’

กระทั่งอาทิตย์อัสดงมาเยือน แสงสีทองอร่ามจึงอาบไล้ไปทั่วต้นไม้ใหญ่ จนสะท้อนเป็นเงาร่างบนยอดหญ้า แรงงานจำนวนมากต่างพากันดึงเชือกเส้นใหญ่เพื่อประคับประคองให้ ‘ม้าไม้’ ยืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย ส่งผลให้ทุกครั้งที่ความใหญ่โตโออ่าบดบังแสงสุริยะ ความมืดมิดของแสงเงาก็เริ่มอาบไล้ผู้คนและยอดหญ้าในบริเวณนั้น
ส่งผลให้ม้าพันธุ์ดีที่มีเพียงหนึ่งกลับกลายเป็นสอง

จากนั้นบุรุษเจ้าของผลงานก็เลือกปีนป่ายเข้าไปยังห้องลับด้านใน ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันกระโดดลงสู่ผืนน้ำอันเยียบเย็น เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราในราตรีนี้
ไม่เว้นแม้กระทั่งเพอร์ดิกส์ที่มักจะตัวติดกับเธเซียสเสมอมา

“มิน่าเชื่อว่าด้านในจะแอบซ่อนห้องลับที่แข็งแรงถึงเพียงนี้” เจ้าชายมิโนสตรัสหลังจากเฝ้ามองเธเซียสเงยหน้าหมุนตัวท่ามกลางห้องสี่เหลี่ยมขนาดเพียงพอสำหรับบรรทุกผู้คนหลายร้อยชีวิต เพียงแต่ต้องนั่งเกยกันสักหน่อย
“กระหม่อมก็มิอยากเชื่อ” เธเซียสกล่าวพลางยื่นหลังมือออกไปเคาะกำแพงไม้ ราวกับต้องการตรวจตราความคงทนให้ถี่ถ้วน เสียงกระทบไม้จึงดังเป็นระยะตามการชักนำของผู้สรรสร้าง


-อ่านต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 15-05-2020 21:52:05
“เราทราบมาว่า..” บุรุษสูงศักดิ์เกริ่นนำเพียงครู่แล้วก็นิ่งเงียบไป ฝ่ายเธเซียสจึงละความสนใจจากม้าไม้ในความดูแล
“สงครามกรุงทรอยเจ้าคิดจะใช้ตนเองเป็นตัวประกัน” กระทั่งดวงตาสบประสาน เจ้าชายมิโนสจึงต่อความจนจบประโยค ทว่าสุรเสียงของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความมิสบายพระทัยนัก

“กระหม่อมคิดว่าพระองค์คงทราบดี เพราะการศึกมิอาจเชื่อใจผู้ใดได้นอกจากตนเอง” เธเซียสละสายตาไปยังกำแพงไม้มิไกลตัวนัก จากนั้นริมฝีปากจึงเม้มแน่น ก่อนจะเอื้อนเอ่ยความนึกคิดให้อีกฝ่ายรับรู้
“การศึกครานี้ อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับการค้าของไมซีเนียน ซึ่งเราเป็นฝ่ายดูแลรับผิดชอบ หากเดินทางไปด้วยกัน..” ทันทีที่เธเซียสส่ายศีรษะเป็นเชิงห้ามปราม ดำรัสของเจ้าชายมิโนสก็ถูกกักเก็บไว้ในลำพระศอ ทว่าดวงเนตรกลับฉายแววแห่งความห่วงใยอันเปี่ยมล้น
เพราะสถานะ ‘ตัวประกัน’ มิว่าอย่างไรก็เต็มไปด้วยอันตราย

“หากกระหม่อมยินยอมให้พระองค์ทำเช่นนั้น ต่อให้ได้รับชัยชนะหรือไม่ ก็มิมีประโยชน์ เพราะขุนนางเหล่านั้นคงอาศัยช่องว่างดังกล่าวมาโจมตีกระหม่อม การใดที่เคยวาดฝันร่วมกันอาจพังทลาย” สิ้นประโยคดังกล่าวทำให้เจ้าชายมิโนสเลือกจะนิ่งเงียบ ราวกับยอมรับการตัดสินใจของบุรุษในดวงใจอย่างจนคำพูด
“เจ้ามักจะทำสิ่งต่าง ๆ โดยขาดความรอบคอบ และค่อนข้างมุทะลุ เราอยากให้เจ้าทะนุถนอมตนเอง เพื่อที่เราจะได้ปล่อยวางความห่วงใยที่มีต่อเจ้าลงได้” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเยื้องย่างเข้ามาหาเธเซียส พร้อมรั้งข้อมือของอีกฝ่ายมากอบกุม และด้วยระยะใกล้เพียงนี้ ต่อให้บุรุษตรงหน้าเอื้อนเอ่ยด้วยสุรเสียงแผ่วเบาปนเปื้อนความกังวลมากแค่ไหน เธเซียสก็ยังรับรู้ได้

“กระหม่อมสัญญาว่าจะมิเปิดโอกาสให้พระองค์สวมหน้ากากทองคำลงบนใบหน้าคู่นี้..” เธเซียสกล่าวอย่างจริงจังพลางรั้งพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนสแนบลงบนปรางแก้ม พร้อมแย้มยิ้มจนดวงตาปิดสนิท ซึ่งมันก็ทำให้ดวงหทัยของเจ้าชายมิโนสไหวระริก เพราะการสวมหน้ากากทองคำที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย อาจหมายถึงพิธีการของชาวไมซีเนียนก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่โลกแห่งหลังความตาย
“หากเป็นไปได้ เรามิอยากสวมทั้งหน้ากากทองคำ และมิอยากมองเห็นรอยแผลเป็นบนตัวเจ้า” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางรั้งกายของบุรุษในดวงใจเข้าสู่อ้อมอก พร้อมกอดรัดอย่างหวงแหน

“เช่นนั้นพระองค์คงต้องตรวจตราให้ถี่ถ้วน ภายภาคหน้าจะได้ทราบว่ากระหม่อมรักษาสัญญาหรือไม่” เธเซียสกระซิบชิดริมโอษฐ์พลางโอบรอบลำพระศอด้วยความคิดถึง อาจเพราะสงครามครานี้มิรู้ว่าจะเสร็จสิ้นตามใจหวังหรือไม่ ร่างกายและหัวใจจึงโหยหารสสัมผัสราวกับไฟทะเล
“หากเจ้ามิรักษาสัญญา เราควรลงโทษเช่นไร ?” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสมิคิดปฏิเสธ ซ้ำยังตรัสถามแม้ริมฝีปากกำลังคลอเคลียอย่างลึกล้ำ

“กระหม่อมมิเคยเห็นผู้ใดอนุญาตให้ผู้กระทำผิดเลือกสรรบทลงโทษมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ” กระทั่งริมฝีปากได้รับอิสระ เธเซียสก็ยังมิวายจะหยอกเย้าคนตรงหน้า พลางก้าวถอยหลังตามการกวาดต้อนทั้งที่ใบหน้ากำลังเปื้อนยิ้ม
“คงเพราะเรามิกล้าแม้แต่จะคิดบทลงโทษกับเจ้ากระมัง”  เมื่อแผ่นหลังของเธเซียสแนบสนิทบนกำแพงไม้ ฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองข้างของเจ้าชายมิโนสจึงกางกั้นหนทางหลีกหนี พร้อมกระซิบชิดริมหูด้วยสุรเสียงแหบพร่า

“เช่นนั้นพระองค์คงต้องคิดเผื่อไว้ เพราะสงครามมิอาจกะเกณฑ์” เธเซียสกล่าวพลางรั้งดวงพักตร์หวานละมุนให้หยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า
“เราจะกลับไปคิด พร้อมหาข้อต่อรองที่จะทำให้เรามิต้องลำบากใจซ้ำสอง” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนสการตรวจสอบรอยแผลเป็นก็เริ่มดำเนินความเข้มข้นมากขึ้น ร่างกายของเธเซียสจึงบิดเร้าทุกครั้งที่ชิวหาอุ่นร้อนลากผ่านผิวเนื้อ ทว่าริมฝีปากกลับมิอาจเปล่งเสียงใด ๆ ออกไป
เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวแทบมิต่างกับบริเวณกลางแจ้ง

“ครีตันที่ไม่มีเจ้า เราเพิ่งรู้สึกว่ามันอ้างว้าง ราวกับครีตันที่มิมีเสด็จพ่อ เสด็จแม่ และแอริแอดเน่” บุรุษผู้มีเกศาคล้ายกับระลอกคลื่นของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กล่าวพลางจุมพิตบาดแผลจากคมดาบ ขณะที่หัตถ์ร้อนมิเคยว่างเว้นต่อการปลุกเร้า
“เช่นเดียวกับกระหม่อมที่รู้สึกว่า ไมซีเนียนภายใต้ป้อมปราการ..” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพลางยืนทรงตัวอย่างมิมั่นคงนัก เมื่อเจ้าชายมิโนสจับยึดเรียวขาพาดพระอังสาแข็งแกร่ง ขณะที่โอษฐ์หนาแสนซุกซน เริ่มสำรวจความชุ่มชื่นของผิวเนื้อตั้งแต่ข้อเท้าเรื่อยไปจนถึงต้นขาด้านใน

“ล้วนสร้างความอึดอัดให้กับกระหม่อม คงเพราะกระหม่อมคุ้นชินกับความเรียบง่ายในแบบฉบับของพระราชวังนอสซัส” บุรุษผู้ถูกปลุกเร้าจำต้องเม้มปากแน่น พร้อมบอกกล่าวอย่างตะกุกตะกัก เมื่อสัมผัสชวนหวามไหวกำลังแต่งแต้มไปทั่วช่วงล่าง ส่งผลให้ส่วนไวสัมผัสเริ่มตอบรับต่อสิ่งเร้า ขณะที่ปราการเบื้องล่างก็เริ่มหมิ่นเหม่เต็มที
“หรือแม้แต่ลายเส้นของเครื่องปั้นดินเผา กระหม่อมก็ยังมองเห็นความแข็งกระด้างที่มิได้อ่อนช้อยเหมือนกับครีตัน” เธเซียสเอื้อนเอ่ยเสียงกระเส่าเมื่อช่วงล่างเริ่มถูกปลุกเร้าหนักขึ้น สองฝ่ามือจึงต้องยึดเกาะม้าไม้ให้มั่นคง
เพราะเขายังอยากบอกกล่าวความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้

“คงเพราะเจ้าชื่นชอบทุกอย่างที่เป็นครีตันกระมัง..” เจ้าชายมิโนสเงยสบใบหน้าคมคาย พร้อมเอื้อนเอ่ยวาจาราวกับเข้ามานั่งกลางใจ แต่ทว่าบรรยากาศชวนหวั่นไหวกลับถูกปลุกเร้าด้วยสัมผัสราวกับอุณหภูมิของทะเลทรายในยามที่แสงสุริยะสาดส่อง เพราะโอษฐ์คู่นั้นกำลังครอบครองความอ่อนไหวอย่างเชื่องช้า หากแต่หนักแน่นทุกความรู้สึก
ปราการเบื้องล่างจึงหลุดลอยออกจากร่างอย่างรวดเร็ว

รู้ตัวอีกคราแผ่นหลังของเธเซียสก็มิได้สัมผัสกับความแห้งผากของเนื้อไม้ ฝ่ามือก็มิต้องยึดเกาะผนังด้านในของม้าไม้ตัวใหญ่ เพราะเพลานี้พระพาหาอันเรียวยาว กำลังโอบกอดร่างของอีกผู้จมลึกลงสู่อ้อมอุระ ขณะที่เบื้องล่างกลับถูกรุกรานด้วยความแข็งแกร่ง เพียงแต่มิได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิประสงค์ให้ความกำหนัดของพระองค์ สร้างความเดือดร้อนให้กับบุรุษในดวงใจ

“แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เชื่อว่า สิ่งที่เจ้าชื่นชอบมากที่สุดในครีตัน คงมิพ้นเรา..” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงกระซิบแผ่ว พลางจุมพิตปรางแก้มของคนในอ้อมอกและมิวายจะสรวลออกมาด้วยความเก้อเขิน
“พระองค์ช่างหลงตนเองนัก” เธเซียสเอ่ยต่อว่าอย่างมิคิดจริงจัง อาจเพราะสติของเขากำลังเตลิด เนื่องจากช่วงล่างยังคงเสียดสีราวกับจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง ความเสียวกระสันจึงยิ่งชักพาให้ช่องท้องเต็มไปด้วยระลอกคลื่นของทะเลในยามค่ำคืน
อีกทั้งความต้องการก็ยังพุ่งสูง
เมื่อมิอาจได้รับสิ่งเติมเต็ม

“ชายชาตินักรบอย่างไมซีเนียน พระองค์คิดว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษสูงศักดิ์อย่างเจ้าชายฮาเดรียนเริ่มชักนำด้วยวาจา เมื่อความต้องการยังมิมีทีท่าจะสิ้นสุด
แม้เพลานี้เนื้อตัวจะไหวเอนไปตามแรงพายุโหมกระหน่ำที่อีกฝ่ายถ่ายทอดผ่านความร้อนรุ่ม

“คงมิแพ้ชายชาตินักรบอย่างครีตันกระมัง” ดำรัสแสนเอาอกเอาใจเอื้อนเอ่ยเพียงแผ่ว ขณะที่ช่วงล่างยังคงสอดประสานอย่างช่ำชอง
“เช่นนั้นการเติมเต็มของพระองค์ คงมิสร้างความเดือดร้อนให้กระหม่อมอย่างที่คิด เพราะกระหม่อมก็แข็งแกร่งมิแพ้ใคร” ถ้อยคำเอื้อนเอ่ยราวกับเชิญชวนกำลังทำให้เจ้าชายมิโนสแทบคลุ้มคลั่ง แต่ทว่าสถานการณ์กลับมิเอื้ออำนวย

“เรามิได้นำน้ำมันมะกอกติดตัวมา และสถานการณ์ตอนนี้คงมิเหมาะจะไปหยิบที่กระโจม แต่เรารับรองว่าทุกสัมผัสจะเติมเต็มความรู้สึกของเจ้า” มหาบุรุษแห่งครีตันตรัสด้วยสุรเสียงลุ่มลึก พร้อมทั้งชักนำให้เจ้าของ ‘ม้าไม้’ ไหวเอนไปตามการเคลื่อนไหว เรี่ยวแรงมากล้นถูกส่งผ่านความต้องการจนหมดสิ้น เล่นเอาบุรุษในอ้อมอุระแทบมิอาจทานทน ความเสียวกระสันแผ่กำจายเป็นวงกว้าง ราวกับการล่าอาณานิคมของอาณาจักรไมซีเนียน สุ้มเสียงครวญครางจึงพาลจะรบกวนผู้อื่น พระหัตถ์หนาจึงครอบคลุมริมฝีปากของเธเซียส เพื่อมิให้สุ้มเสียงเล็ดล็อด หยดน้ำตาพลันไหลปริ่มอย่างทุกข์ทรมาน แต่ทว่ากลับสุขสมดังใจหวัง
มินานจากนั้นห้วงฝันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
สองบุรุษผู้ไร้เรี่ยวแรง จึงทรุดตัวลงนั่งพร้อมตระกองกอดกันมิห่าง

“ตลอดศึกสงครามเราขอให้องค์เทพทั้งปวง คอยปกปักษ์รักษาเจ้า” สิ้นสุรเสียงอันเต็มไปด้วยความห่วงใย ก้อนเนื้อในอกของบุรุษอีกผู้ก็พลันสั่นไหว ความอบอุ่นไหลบ่าเข้ามามิหยุดยั้ง ริมฝีปากของเธเซียสจึงวาดเป็นรอยยิ้ม พลางปิดเปลือกตาอย่างอ่อนล้า
ราวกับเตรียมพร้อมจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราภายใต้อ้อมกอดที่แสนคุ้นเคย
มหาบุรุษจากต่างแดนจึงทำได้เพียงเฝ้ามองคนผู้หนึ่งด้วยความรู้สึกหลากหลาย

φ


[1] อะนักซ์ คือ กษัตริย์

หน้ากากทองคำที่เรากล่าวถึงในเรื่องค่ะ
https://i.imgur.com/RfTJCI5.jpg

ม้าไม้โทรจัน
https://i.imgur.com/gtOOwf2.jpg

สวัสดีค่าทุกคน เราไม่ได้อัพนิยายเรื่องนี้มานานมากแล้ว และช่วงนี้ยอดเฟบก็ถึงพันคนแล้ว เราเลยถือโอกาสอัพตอนพิเศษที่แต่งไว้นานแล้วให้ได้อ่านกันค่ะ ใครที่อ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ที่เราเพิ่งอัพช่วงแรก ๆ อาจจะจะลืมเนื้อเรื่องไปบ้างแล้ว ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ สำหรับตอนพิเศษนี้จะได้เห็นมุมมองทางฝั่งของน้องเธเซียสกันบ้าง แต่เนื้อเรื่องของตอนพิเศษเราวางไว้อีกยาวไกลมากเลยค่ะ เพราะตั้งใจจะเขียนเตรียมไว้สำหรับรูปเล่ม ดังนั้นอาจจะทำให้ค้างคาเล็กน้อย  ส่วนเรื่องรูปเล่มตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ ถ้าหากทุกคนชอบนิยายเรื่องนี้รบกวนส่งฟิตแบคแรงๆ ในแท็กหน่อยนะคะ เผื่อจะมีโอกาสได้ออกเล่มบ้าง T_T

ตอนพิเศษที่เราตั้งใจเขียนมีคร่าว ๆ มีประมาณนี้ค่ะ เราขอซาวน์เสียงว่าทุกคนอยากอ่านถึงตอนไหน (แต่ต้องเหลือไว้สำหรับรูปเล่มที่ยังไม่รู้อนาคตด้วยนะคะ 555)

- ดินแดนแห่งหน้ากากทองคำ
- สงครามโทรจัน
- ครีตันกับความเสื่อมสลาย
- การมาเยือนของชาวดอเรียน
- หนทางสู่การเป็น 'อะนักซ์'
- ช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟู
- บทส่งท้าย
หัวข้อ: Re: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 18-05-2020 23:22:54
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง
พอเริ่มแล้ว วางไม่ลง
ตั้งใจอ่านอยู่หลายวัน
รายละเอียดเยอะ
มีข้อมูล และภาพทางประวัติศาสตร์ประกอบตลอด
ประทับใจมากค่ะ
ยกให้เป็น นิยายในดวงใจเลย
ขอบคุณค่ะ