φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: φ มหาบุรุษแห่งครีตัน φ ตอนพิเศษ φ หน้า 3 (update 15/05/2020)  (อ่าน 26561 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 20

บุรุษจากต่างแดนมิอยากจะเชื่อว่าเรื่องเล่าของสัตว์ประหลาดที่มีตัวเป็นคนและหัวเป็นวัวจะกลายเป็นจริงไปได้ หากมิเห็นกับตาเขามั่นใจว่าคงจะหัวเราะอย่างขบขันใส่ผู้บอกกล่าวเป็นแน่ ซึ่งความน่าเกรงขามของ ‘มิโนทอร์’ คงจะเป็นความสูงใหญ่ที่เกือบจะเทียบเท่าหน้าผาอันสูงชันของเกาะแห่งไฟ อีกทั้งเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้ยังถือขวานลาบริสเหมือนกับภาพวาดเฟรสโกในห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส
เพียงแต่ขวานสองหัวกลับมีขนาดใหญ่ยักษ์อย่างน่าสะพรึงกลัว

“เธเซียส” ทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มร้องเรียก เจ้าของนามดังกล่าวจึงหันไปมองยังต้นเสียง พบว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์กำลังพรางกายด้วยผ้าลินินสีรัตติกาลผืนหยาบ ที่ถักทอมาจากเส้นใยของต้นปอซึ่งถูกเก็บเกี่ยวในช่วงแก่จัด เนื้อผ้าที่วางขายอย่างแพร่หลาย จึงหยาบกระด้างมิได้นุ่มสบายและบางเบาดังเช่น ‘ผ้าลินินหลวง’ ซึ่งถูกถักทอมาจากเส้นใยของต้นปอในช่วงที่ยังอ่อน ๆ 
“เราต้องรีบออกเดินทางแล้ว” เจ้าชายมิโนสในคราบคหบดีจากกองคาราวานตรัสพลางยื่นผ้าลินินผืนหยาบสีเดียวกันส่งมาให้

“ไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสย้อนถามด้วยความงุนงง เนื่องจากเดิมทีเขาเดินทางมายังเกาะธีราแห่งนี้เพื่อฝึกฝนการเป็นทหารของจักรวรรดิครีตัน แล้วจู่ ๆ ก็ถูกลักพาตัวมาอยู่ที่โรงผลิตเป็นเวลากว่าสองวัน
“เราต้องกลับไปว่าราชการที่นอสซัส” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างจริงจังแล้วเสด็จเข้าไปยังตัวบ้าน ราวกับมิอยากจะต่อความยาวสาวความยืด
เห็นดังนั้นเธเซียสจึงมิอาจขัดพระทัยของบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่ในวันนี้แสดงท่าทีแปลกไป

กระทั่งบุรุษต่างศักดิ์พรางกายด้วยผ้าลินินผืนหยาบ สีกลืนกินความมืดและความเงียบเหงาในยามรุ่งสางของหมู่เกาะธีรา พวกเขาต่างก้าวเดินโดยทิ้งระยะห่างจาก ‘โรงผลิตลาเบิน’ โดยลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เธเซียสยังมิค่อยคุ้นชิน
อีกทั้งบ้านแต่ละหลังยังมีรูปทรงมิต่างกัน จึงยากต่อการจับจุด

เธเซียสเลยมีเวลาสังเกตฉลองพระองค์ของเจ้าชายมิโนสที่เสด็จนำหน้าอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะหันกลับมาสำรวจเครื่องแต่งกายของตน พบว่าผ้าลินินที่กำลังห่มคลุมกายอยู่นั้น คือผ้าลินินชโลมน้ำมันมะกอกจึงทำให้เม็ดฝนไหลลงสู่พื้นเบื้องล่าง ซึ่งวิธีดังกล่าวถือเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ของหญิงสาวชาวกรีก
เพียงแต่พวกนางจะชโลมน้ำมันไว้บนสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า ‘ร่ม’ ซึ่งทำจากผ้า นับว่าแตกต่างกับ ‘ร่ม’ ของชาวอียิปต์ที่เธเซียสเคยเห็นจากขบวนเสด็จขององค์ฟาโรห์เมื่อครั้งที่ยังต้องระเหเร่ร่อนไปกับกองคาราวาน
เหตุเพราะชาวอียิปต์มักจะนำก้านไม้ติดด้วยใบปาล์มหรือต้นกกเพื่อบดบังแสงสุริยะ

“จับมือเราไว้ เจ้ายังมิคุ้นชินเส้นทาง” กระทั่งเดินมาจนถึงบริเวณท่าเรือ เจ้าชายมิโนสที่บัดนี้มองเห็นเพียงดวงเนตรรีสวย ทรงยื่นหัตถ์ออกมาตรงหน้าของบุรุษจากต่างแดน เนื่องจากรอบกายยังคงเต็มไปด้วยม่านหมอกจากสายฝน
“พ่ะย่ะค่ะ” ฝ่ายเธเซียสมิได้คิดอิดออดแต่อย่างใด เหตุเพราะเขาเข้าใจดีว่าสถานการณ์ดังกล่าวมิใช่เรื่องล้อเล่น
หากก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว อาจจมลงสู่ก้นทะเลก็เป็นได้

“เราจะไปกันสองคนหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เมื่อก้าวเข้ามายังเรือสินค้าของเหล่าคหบดีประจำเมืองเอีย เธเซียสก็อดทูลถามบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังจับจูงไปยังบริเวณเสากระโดงเรือมิได้ ขณะที่เหล่าคนงานต่างพากันยืนประจำตำแหน่งเพื่อเตรียมออกเรือ
“อืม” สิ้นดำรัสอันแสนสั้นหัวคิ้วของเธเซียสก็ขมวดมุ่น เนื่องจากการเสด็จกลับยังพระราชวังแห่งนอสซัส ดูท่าจะเป็นความลับสุดยอด เหตุเพราะแม้แต่ราชองครักษ์ที่เดินทางมายังเกาะธีราด้วยกัน หรือแม้กระทั่ง ‘เคออส’ ผู้ซึ่งเป็นมือขวา
พระองค์ก็มิคิดจะรั้งรอ
มิหนำซ้ำพวกตนยังต้องพรางตัวจนมองเห็นเพียงดวงตาอีกต่างหาก

กระทั่งเรือสินค้าลอยล่องท่ามกลางท้องทะเลอันเวิ้งว้าง เธเซียสและเจ้าชายมิโนสจึงค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพลางเอนหลังพิงเสากระโดงเรือจากคนละฟากฝั่ง
แต่ทว่าฝ่ามือของคนทั้งคู่ ยังคงกอบกุมกันไว้มิยอมปล่อย

“เหตุที่พระองค์หายตัวไปเป็นเพราะการเดินทางกลับสู่พระราชวังหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อความเงียบปกคลุมรอบกาย เธเซียสจึงเริ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ขณะที่ศีรษะก็เอนพิงเสากระโดงเรือไว้
“อืม” ดำรัสอันแสนสั้นส่งมาพร้อมกับการสัมผัสแผ่วเบาตรงบริเวณศีรษะ
บ่งบอกได้ว่าทั้งคู่กำลังใช้เสากระโดงเรือต้นเดียวกันเป็นที่พักพิง

“แล้ว..” เธเซียสตั้งท่าจะทูลถามเกี่ยวกับเศษผ้าอันขาดวิ่นและสัตว์ประหลาดจากเรื่องเล่า แต่ทว่าเจ้าชายมิโนสทรงก้าวเข้าสู่บรรทมไปเสียแล้ว เพลานี้พระองค์จึงนั่งสัปหงกอย่างหมดสภาพ
เห็นดังนั้นเธเซียสจึงเสียสละลาดไหล่ให้พระองค์ได้พักพิง
ทว่ากลิ่นคาวเลือดกลับคละคลุ้งติดปลายจมูก

บุรุษผิวคล้ำจึงปรายตาไปยังหลังเท้าของตน พบว่าบาดแผลถูกกรีดเป็นแนวยาว อีกทั้งเลือดยังเกรอะกรังจนเป็นคราบแห้งติดผิวเนื้อ ซึ่งอาการบาดเจ็บมิได้มากมายอะไร
เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นที่ยังบังคับตนมิให้เดินกระเผลกได้อย่างแนบเนียน
แววตาแห่งความสงสัยจึงถูกเบี่ยงเบนไปยังบุรุษผู้เข้าสู่ห้วงแห่งนิทรารมณ์

เพียงแต่บัดนี้ดวงพักตร์หวานละมุนที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าลินินผืนหยาบ มิได้อยู่ในความสนใจของเธเซียส เพราะเขากำลังสนใจกลิ่นคาวเลือดด้วยความมั่นใจว่าคงจะมาจากบุรุษผู้สูงศักดิ์ เนื่องจากเธเซียสพยายามขยับกายอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ปลายจมูกสัมผัสกับอีกผู้
คำตอบแห่งความสงสัยจึงกระจ่างแจ้ง
เมื่อกลิ่นคาวเลือดกลบทับความหอมจากน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมันหอมระเหยที่ใช้ชำระร่างกาย

กระทั่งลำเรือลอยล่องออกห่างจากม่านหมอกสีขาวขุ่น เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิครีตันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าในขนาดย่อส่วน เจ้าชายมิโนสพลันตื่นจากบรรทมอย่างรู้จังหวะ เพลานี้ทั้งคู่จึงลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวกลับเข้าฝั่ง
โดยบุรุษผู้สูงศักดิ์นำทางไปยังบริเวณท้ายเรือ เพื่อกล่าวขอบคุณและมอบสินน้ำใจให้แก่พ่อค้าผู้เป็นเจ้าของเรือ

จากนั้นสองบุรุษต่างศักดิ์จึงเดินตัดผ่านเขตท่าเรือที่ค่อนข้างคึกคัก เนื่องจากเป็นเวลาขนถ่ายสินค้า พวกเขาจึงต้องคอยหลบหลีกกลุ่มคนเหล่านั้น พลางลัดเลาะไปยังเส้นทางอันร้างไร้ผู้คน เหตุเพราะท้องนภาในเวลานี้เพิ่งจะมีสีสัน เหล่าราษฎร์ที่มิต้องใช้แรงงานจึงพากันจัดการงานบ้านงานเรือนอยู่ด้านใน
ซึ่งตลอดเส้นทางอันเงียบเหงา
ระหว่างคนทั้งคู่มิได้มีบทสนทนาอันใด

ไม่นานคนทั้งคู่ก็เริ่มก้าวล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐาน ดอกลิลลี่ที่ประดับอยู่ข้างทางจึงถูกเจ้าชายมิโนสเด็ดดอม ทำให้เพลานี้ผ้าลินินผืนหยาบถูกดึงรั้งลงมา ดวงพักตร์หวานละมุนที่เธเซียสมิอาจมองเห็นจึงปรากฎ
ส่งผลให้เหล่านางกำนัลที่เดินผ่านไปผ่านมา พากันหมอบอยู่กับพื้นอย่างเคารพนบนอบ

“ดาฟเน่เตรียมน้ำอาบให้เราที ชั่วโมงที่ 3 ในยามเช้า เรามีประชุมราชกิจ” ทันทีที่ก้าวเข้ามายังห้องบรรทมแห่งนอสซัส เจ้าชายมิโนสตรัสสั่งนางกำนัลคนสนิทอย่างเร่งร้อน
เหตุเพราะพระองค์มีเวลาเตรียมตัวอีกเพียงครู่

“หม่อมฉันเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ” สิ้นคำกล่าวของหัวหน้านางกำนัล บุปผาสีขาวรูปร่างแปลกตาก็ถูกวางทิ้งไว้บนตั่งนุ่ม ขณะที่วรกายของเจ้าชายมิโนสกำลังถูกกลุ้มรุมจากนางกำนัลนับสิบตรงบริเวณห้องสรงน้ำ เธเซียสจึงถือโอกาสล้มตัวลงนอนบนตั่งกว้างพลางคว้าดอกลิลลี่เพื่อหมุนก้านยาวของมันเล่น
ทว่ากลิ่นหอมของมันกลับร้องเรียกความสนใจของเธเซียส จึงหลงดอมดมอยู่นานสองนาน   

กระทั่งสายตาเหลือบมองไปยังภาพวาดเฟรสโกรูปขวานลาบริส ที่อยู่เหนือรูปปั้นเขาวัวกระทิง ความสนใจของเธเซียสจึงถูกโอนถ่ายไปยังเรื่องเหนือธรรมชาติ และการหายตัวไปของเจ้าชายมิโนสที่หลงเหลือเพียงเศษผ้าจากฉลองพระองค์
รวมทั้งกลิ่นคาวเลือด ล้วนน่าสงสัย
แต่มิอาจเชื่อมโยง

เห็นจะมีก็แต่เรื่องเล่าของ ‘มิโนทอร์’ ที่พอจะสอดคล้องกับความเป็นจริงอยู่บ้าง เหตุเพราะเชลยศึกจากเอเธนส์อาจถูกส่งมาเพื่อเป็นภักษาหารของเจ้าสัตว์ประหลาด ซึ่งเจ้าชายมิโนสคงจะทรงทราบและมิโปรดให้มีการเข่นฆ่า เนื่องจากพระหทัยของพระองค์ค่อนข้างอ่อนโยน พระกรุณาเหล่านั้นจึงส่งผลให้เหล่าเชลยศึกได้รับอิสระ
แต่ทว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของซากศพอาจมีผู้อื่นเป็นนางนกต่อ
และคนผู้นั้นจะต้องได้รับประโยชน์จาก ‘มิโนทอร์’

ซึ่งเธเซียสยังมองมิเห็นผู้ใด นอกจากเจ้าชายมิโนส ผู้เปรียบเสมือนกษัตริย์แห่งจักรวรรดิครีตัน แต่กระนั้นพระองค์จะปลดปล่อยเชลยแล้วตามล่าให้กลับมาเป็น ‘เหยื่อ’ ไปเพื่อสิ่งใด
และสิ่งหนึ่งที่เธเซียสนึกสงสัย
ก็คือเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้น หลบซ่อนตัวอยู่ ณ แห่งหนใด

รู้ตัวอีกคราทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ เหตุเพราะขบวนเสด็จของเจ้าชายมิโนสจากไปตั้งแต่เมื่อใดก็มิรู้ เธเซียสจึงถือโอกาสอันดีแฝงกายออกไปยังนอกวัง
เพื่อสืบหาข่าวคราวของเซอร์ซีและเจ้านกเหยี่ยวนามว่าครูสที่หายตัวไปอย่างลึกลับ

แต่ในท้ายที่สุดแผนการกลับต้องหยุดชะงัก เมื่อชลกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอออยู่ตรงบริเวณท่าเทียบเรือ โดยที่หลายผู้กลับพากันวิพากษ์วิจารณ์จนมิได้ศัพท์ เธเซียสจึงเดินเข้าไปใกล้ชลกลุ่มนั้น พบว่าหญิงนางหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุดกำลังร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจ ขณะเดียวกันในท้องทะเลอันกว้างใหญ่กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายกำลังดำผุดดำว่ายราวกับค้นหาบางอย่าง ส่วนเรือสินค้าไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต่างจอดหลบมุมอย่างเอื้ออาทร
บ่งบอกได้ดีว่าตรงบริเวณท่าเทียบเรือ
อาจมีผู้เคราะห์ร้ายพลัดตกทะเล

เธเซียสจึงมิรอช้ารีบกระโดดร่วมวงเป็นการด่วน แต่ด้วยความที่ไม่ชำนาญต่อการดำน้ำลึก จึงทำให้แววตารู้สึกปวดแสบ ยิ่งดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลก็ยิ่งรู้สึกปวดหู ส่งผลให้บุรุษจากต่างแดนจำเป็นต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ เพื่อกอบโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอด พบว่าชาวครีตันส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน การค้นหาผู้เคราะห์ร้ายจึงเป็นไปอย่างยากเย็น
และมันก็ทำให้เธเซียสรู้สึกสงสัย
เหตุเพราะเดิมทีเขาเข้าใจว่าชาวครีตันล้วนมีความสามารถในการดำน้ำ

“เจอแล้ว ๆ” ในขณะที่เธเซียสกำลังจะดำดิ่งลงสู่ก้นทะเล เสียงเซ็งแซ่รอบข้างก็ดังระงมเป็นคำคำเดียว เธเซียสจึงมองไปยังบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังดันร่างของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายขึ้นสู่ท่าเทียบเรืออย่างยากลำบาก เธเซียสและคนอื่น ๆ จึงรีบว่ายเข้าไปช่วย
แต่ทว่าวีรบุรุษผู้นั้นกลับเป็นคหบดีผู้แสนใจดี ที่ออกปากอนุญาตให้เขาและเจ้าชายมิโนสออกเดินทางมาด้วยกัน

คำตอบแห่งความสงสัยจึงสรุปความด้วยตัวของมันเองว่า..
ชาวเมืองครีตันมิได้มีความสามารถในด้านการดำน้ำเป็นเรื่องพื้นฐาน เพราะความสามารถดังกล่าวถือเป็นความพิเศษของชาวครีตันที่เกาะแห่งไฟ

จากนั้นผู้มีความรู้ทางด้านการแพทย์ก็เข้ามาช่วยเหลือเด็กชายวัย 6 ปี จนกระทั่งสำลักน้ำออกจนหมด มารดาของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายจึงขันอาสาจะเลี้ยงอาหารสักมื้อให้แก่ผู้หวังดีหลายสิบชีวิต ที่ลงทุนลงแรงดำผุดดำว่ายเพื่อบุตรชายของนาง เธเซียสจึงมีโอกาสได้ลิ้มรสปลาย่างสมุนไพรและปิดท้ายด้วยชีสเค้กมื้อพิเศษ
ส่งผลให้วันทั้งวันเคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ความตั้งใจเดิมล้วนถูกทำลายจนหมดสิ้น
แต่กระนั้นเธเซียสก็มิได้รู้สึกเสียดาย ที่เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยชีวิตผู้อื่น

ทว่าลมฟ้าอากาศกลับมิเป็นใจ จึงทำให้การเดินทางกลับสู่เขตพระราชฐานเป็นไปอย่างยากลำบาก ซึ่งสถานการณ์โดยรอบล้วนสร้างความงุนงงให้แก่เธเซียส เหตุเพราะตอนออกจากบ้านของนางธาเรีย ท้องฟ้ายังคงแจ่มใส บุรุษจากต่างแดนจึงต้องก้าวย่างอย่างมั่นคง
เพื่อมิให้เนื้อตัวปลิวไปกับสายลมที่มิต่างกับพายุ

โชคยังดีที่วันนี้เธเซียสสวมใส่ผ้าลินินชโลมน้ำมันมะกอก หยาดฝนจึงมิอาจโอบอุ้มเนื้อผ้ามากนัก แต่เพราะการพรางกายอันน่าสงสัยจึงมิอาจทำให้เธเซียสใช้เส้นทางภายใต้ร่มเงาของตัวพระราชวัง เขาจึงเลือกใช้เส้นทางเรียบริมน้ำที่มีพันธุ์ไม้น้ำเกาะกลุ่มอย่างแน่นหนา
เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวถือเป็นเส้นทางที่ใกล้กับบริเวณหน้าต่างประจำเรือนพักรับรองของเหล่าข้าราชบริพาร

เธเซียสจำต้องก้าวเดินพลางกอดตนเองด้วยความหนาวสั่น เหตุเพราะสายฝนโหมกระหน่ำจนภูมิปัญญาชาวบ้านก็มิอาจต้านทาน มิหนำซ้ำเกลียวคลื่นจากคูคลองแห่งน้ำทะเลก็เริ่มซัดสาดจนสายน้ำซ่านกระเซ็น อีกทั้งแสงอสนีแปลบปลาบยังสร้างความขวัญผวาอยู่เป็นระยะ
แต่กระนั้นสถานการณ์ดังกล่าวก็ยังถือว่าปรานี เมื่ออสนีบาตยังมิปรากฏ

“นั่นมัน..” จังหวะการก้าวเดินมีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อเธเซียสเหลือบไปเห็นเงาสีดำทะมึนขนาดมหึมาภายใต้ผิวน้ำเคลื่อนผ่าน ริมฝีปากพลันเอ่ยวาจาอย่างพูดมิออก แววตาจึงไล่มองตามการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง
พบว่าจุดหมายปลายทางของมัน
อาจเป็นห้องใต้ดินอันเปรียบเสมือนเขาวงกต


φ

[1] ชั่วโมงที่ 3 ในยามเช้า เทียบกับเวลาปัจจุบันคือ 8 โมง


บทความที่เกี่ยวข้อง
- แฟชั่นยุคโบราณของชาวไอยคุปต์ https://1th.me/1YPc
- ร่มน้อยกลอยใจ : ประมวลภาพประวัติศาสตร์ร่ม  https://1th.me/L0O7
- ประวัติร่ม วิวัฒนาการของร่ม ความเป็นมาของร่ม https://1th.me/j7ty
- ประวัติร่ม และถิ่นกำเหนิดร่มในแผ่นดินของเมโสโปเตเมียแรกเริ่ม https://1th.me/OHdY

[edit 10/06/2019 แก้จากพระราชเสาวนีย์ เป็น พระราชดำรัส นะคะ เพราะว่าพระราชเสาวนีย์ใช้สำหรับพระราชินีค่ะ]

ตอนนี้มาลงได้เร็วกว่าที่คิด พอดีมันใกล้จะถึงฉากที่อยากเขียนเลยฟิตเป็นพิเศษ 555 ว่าแต่ทุกคนพอจะเดาออกกันหรือยังว่ามิโนทอร์มีความเป็นมายังไง และเกี่ยวข้องกับเจ้าชายมิโนสยังไง คึคึคึ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของพระนายที่มีคนบอกว่ามันช้าไป  เอาไว้เราจะพยายามปรับให้เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมนะคะ พอดีเรื่องนี้เราวางพล็อตไว้แบบไม่ได้เน้นความรักเลยค่ะ  คืออารมณ์แบบโมเม้นรัก ๆ มาทีจะมีแค่พอให้รู้สึกกรุบกริบในหัวใจเท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2019 14:58:11 โดย Chomin »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 21

เธเซียสเดินลัดเลาะไปยังเส้นทางที่มุ่งตรงสู่ทางเข้าของห้องใต้ดินอีกด้านหนึ่ง ด้วยใจมุ่งหวังว่าเรื่องราวทั้งหมดจะต้องคลี่คลายลงในวันนี้ ซึ่งเขามิได้เตรียมคบไฟเพื่อให้แสงสว่างดังเช่นวันวาน และมิได้เตรียมมีดกริชปลายแหลมสำหรับใช้ในการป้องกันตัว เนื่องจากเขาไม่มีเวลาในการเตรียมตัวมากมายถึงเพียงนั้น ด้วยเพราะเกรงว่าหากชักช้าอีกเพียงก้าวเดียว
ห้องใต้ดินแห่งนี้อาจหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า

ทว่าเพียงก้าวแรกที่เข้าไปยังอาณาเขตของเขาวงกต อสนีบาตกลับฟาดฟันตรงปากทางเข้า หัวใจของบุรุษผู้แสนมุทะลุพลันสั่นรัวอย่างตื่นตระหนก เขาจึงสูดลมหายใจเข้าจนชุ่มปอด จากนั้นจึงล่วงล้ำเข้าไปยังด้านใน โดยใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งละไปตามกำแพงกว้างขณะที่ใบหูพยายามจดจ่อไปยังความเคลื่อนไหวของเจ้าสัตว์ประหลาดนามว่า ‘มิโนทอร์’
กระทั่งลมหายใจสุดกรรโชกเริ่มข่มขู่ให้ขวัญผวา จังหวะการย่างก้าวจึงเริ่มแผ่วเบา ฝ่ามือข้างที่ว่างพลันกำเข้าหากันอย่างแนบแน่น ยิ่งดวงตามิอาจมองเห็นทุกสรรพสิ่ง ความกังวลก็ยิ่งก่อเกิด
แต่ครั้นจะมานึกเสียใจต่อความมุทะลุก็มิอาจทันการณ์

เหตุเพราะทันทีที่บุรุษจากต่างแดนก้าวเดินไปยังทางแยกด้านซ้าย ร่างกายก็ปะทะกับอะไรบางอย่างจนล้มตึงลงกับพื้น หลังจากนั้นอัญมณีสีแดงเพลิงก็ส่องประกายอยู่ในความมืด บุรุษผู้แสนมุทะลุจึงกระเสือกกระสนถอยห่างจากวิถีอันตรายด้วยความหวาดกลัวจับใจ
เนื่องจากความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์กำลังปรากฏราวกับภาพซ้อนทับ
เสียงขู่คำรามดังก้องไปทั่วบริเวณของห้องใต้ดินอันแสนลึกลับ จากนั้นคมขวานสองหัวก็ตวัดมายัง ‘เหยื่อ’ อันโอชะ แต่ทว่าความรักตัวกลัวตายยังคงมีอยู่มาก เขาจึงวิ่งหนีจากสถานการณ์อันตรายอย่างสะเปะสะปะ
ซึ่งเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้นก็วิ่งไล่กวดอย่างบ้าคลั่งตามสัญชาตญาณของบริวารแห่งเจ้าแม่

กระทั่งกลิ่นคาวเลือดผสมปนเปไปกับกลิ่นอับชื้นปะทะเข้าสู่ปลายจมูก ความทรงจำในวันวานจึงเริ่มปรากฏ บุรุษจากต่างแดนจึงรีบวิ่งเข้าไปยังห้องกักเก็บน้ำผึ้ง และแอบซ่อนตัวอยู่ตรงมุมปลอดภัย โดยมีเสียงคมขวานขูดกำแพงหินไล่ตามหลังมาติด ๆ
เธเซียสจึงเริ่มเนื้อตัวสั่นเทาพลางโอบกอดตนเองอย่างน่าสงสาร
เหตุเพราะ ‘มิโนทอร์’ ในยามนี้ มิได้แตกต่างจาก ‘ฝูงสุนัขป่า’ ที่เคยรุมกัด

ฉับพลันคมเขี้ยวของขวานลาบริสก็ปะทะกับเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก เสียงดังสนั่นหวั่นไหวจึงยิ่งสร้างความยำเกรงให้แก่เธเซียส จนเขาต้องยกมือขึ้นปิดใบหูทั้งสองข้าง
และเผลอสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อหยดน้ำผึ้งซ่านกระเซ็นเข้าใส่
ดวงตาวาวโรจน์ดุจเพลิงกัลป์ของสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัว จึงจดจ้องมายังบุรุษผู้เปรียบเสมือน ‘เหยื่อ’ อันโอชะ

เธเซียสจึงอาศัยจังหวะที่เจ้ามิโนทอร์กำลังเยื้องย่างเข้ามาใกล้ ไถลตัวรอดผ่านช่องว่างอันเลือนราง นับว่าความคุ้นชินกับความมืดยังมีความปรานีอยู่บ้าง ช่องว่างดังกล่าวจึงทำให้เขารอดพ้นจากวิถีอันตราย บุรุษผู้ชาญฉลาดจึงรีบจ้ำอ้าวอย่างมิคิดชีวิต ขณะที่สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวราวกับมีโทสะ มันจึงใช้ขวานลาบริสฟาดฟันทุกสิ่งอย่างมิเลือกหน้า
คาดว่าการต่อกรกับ ‘เหยื่อ’ ที่มากด้วยไหวพริบ คงมิใช่ ‘เหยื่อ’ ที่มันคุ้นชิน

แต่ทว่าอะไรใด ๆ ก็มิอาจเป็นใจ เมื่อเธเซียสเกิดสะดุดข้อเท้าของตนเอง ร่างของเขาจึงเซถลาไปยังมุมกำแพง ส่งผลให้เจ้ามิโนทอร์สบโอกาสเหมาะ ปิดหนทางหนีทีไล่จนหมดสิ้น ฝ่ายเธเซียสก็มิได้ยอมแพ้ต่อชะตากรรม เขาจึงอาศัยจังหวะที่มันก้าวเดิน ไถลตัวรอดใต้หว่างขาจนสุดแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นวิ่งอย่างสะเปะสะปะพลางหันกลับไปมองยังด้านหลังเป็นระยะ
พบว่าความเหนื่อยอ่อนเริ่มปรากฏ จังหวะการหลีกหนีจึงเริ่มถดถอย
ส่งผลให้ลำตัวของเธเซียสถูกเหวี่ยงเข้าใส่กำแพงหินด้วยด้ามขวานสองคม

ความเจ็บปวดจึงแล่นพล่านอย่างรวดเร็ว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนผะอืดผะอม แต่กระนั้นสถานการณ์ดังกล่าวนับว่าน่าหฤหรรษ์สำหรับเจ้ามิโนทอร์
ลมหายใจฟึดฟัดจึงเริ่มจางหาย
ขณะที่ลมหายใจของผู้บาดเจ็บกลับเริ่มรวยริน

ฝ่ามืออันใหญ่โตของเจ้าสัตว์ประหลาดจึงค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ เพียงแต่เธเซียสมิมีเรี่ยวแรงจะหลีกหนี เขาจึงหลับตายอมรับชะตากรรมแห่งความบ้าดีเดือด
เหตุเพราะเขามิยอมครุ่นคิดให้รอบคอบ
หากต้องมาตายอนาถอยู่ในที่แห่งนี้ก็นับว่าสมควรแล้ว

“อ๊ากกกกกกกกกก” เธเซียสร้องลั่นอย่างเจ็บปวด เมื่อฝ่ามืออันแข็งแกร่งของเจ้ามิโนทอร์บีบรัดร่างของเขาราวกับต้องการให้กระดูกทุกซี่หลอมรวมเป็นผุยผง แต่ทว่าเสียงร้องของเธเซียสกลับสร้างความตื่นตระหนก
สัตว์ประหลาดตนนั้นจึงเผลอปล่อย ‘เหยื่อ’ อันโอชะ กระแทกลงสู่พื้นเบื้องล่าง
ความบอบช้ำอันแสนสาหัสจึงนำพาให้สติเลื่อนลอย

ส่งผลให้สิ่งสุดท้ายที่ยังรับรู้ได้
คือเสียงร้องคำรามของเจ้ามิโนทอร์..

กระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วของนกหลากชนิด ดังขึ้นพร้อมสัมผัสนุ่มละมุนบริเวณหน้าผาก เปลือกตาอันหนักอึ้งจึงค่อย ๆ ขยับไหวอย่างเชื่องช้า ส่งผลให้ภาพที่เห็นคือพระปฤษฏางค์ อันองอาจซึ่งอยู่ห่างไกลจนสุดสายตา
และสวนแห่งหนึ่งที่เธเซียสยังมิอาจแน่ใจว่าอยู่ตรงแห่งหนใดของตัวพระราชวัง

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ ดื่มไคคีออนสักหน่อย แล้วค่อยดื่มโอสถแก้ปวด” สุ้มเสียงของผู้มาใหม่เรียกร้องความสนใจจากบุรุษผู้บอบช้ำ
“มิต้องรีบร้อน” หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยท่าทางแสนใจดี พร้อมช่วยพยุงร่างของเธเซียสให้ลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน ซึ่งทุกคราที่ขยับตัวก็เล่นเอาความเจ็บปวดแล่นพล่าน
จนส่งผลให้ใบหน้าของบุรุษผู้แสนมุทะลุ บิดเบี้ยวจนหมดสภาพ

“ข้าชื่อนีรูสเดินทางมาจากเกาะธีราเพื่อดูแลเจ้า” หญิงวัยกลางคนเอ่ยแนะนำตัวราวกับรู้ใจ เมื่อนางสังเกตเห็นเธเซียสเอาแต่ดื่มโอสถแก้ปวดที่ทำจากเปลือกไม้ของต้นวิลโลว์  พลางจับจ้องมายังนางด้วยแววตาแห่งความสงสัย ฝ่ายผู้บาดเจ็บก็ได้แต่พยักหน้าพลางแย้มยิ้มเพียงบาง ๆ ขณะที่เรียวคิ้วกลับเริ่มขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด
เมื่อการมาถึงของ ‘นีรูส’ อาจเป็นพระราชประสงค์ของเจ้าชายมิโนส
คำถามต่อมาจึงก่อเกิดขึ้น

“เจ้าชายมิโนสทรงตกพระทัยกับสภาพเช่นนี้ของข้าหรือไม่ ?” เธเซียสโพล่งถามด้วยความสงสัย พร้อมสำรวจร่างกายของตนที่บัดนี้ไหล่ขวาถูกพอกด้วยสมุนไพรหลากชนิด เช่น อโล อีเวรา  ที่ใช้สำหรับทาแผลไหม้พอง แผลสด แผลบวมช้ำ และใช้เปลือกของต้นแฟรงคินเซนส์ ในการฆ่าเชื้อ ส่วนขมิ้นจะใช้รักษาอาการปวดหรืออักเสบ
ขณะที่รอยเขียวช้ำตามช่วงตัวและท่อนขาก็ปรากฏอย่างเด่นชัด
อีกทั้งความบอบช้ำภายในที่มิอาจมองเห็นก็ยังมีอยู่มาก

นับว่าเป็นสภาพที่ค่อนข้างจะน่าตกใจ..

“เห็นทีเรื่องนี้ข้าคงมิอาจให้ความกระจ่างแก่เจ้าได้ เหตุเพราะข้าเดินทางมายังพระราชวังนอสซัส หลังจากที่เจ้าเกิดเรื่องได้เพียงสองวัน แต่จากมุมมองของข้า พระองค์ดูสงบนิ่งมากกว่าจะตื่นพระทัย อาจเพราะสถานการณ์ล่วงเลยมาหลายเพลาแล้วกระมัง” นางกำนัลนีรูสกล่าวพลางรวบผ้าขาวบางไว้ตรงมุมเสาของตั่งหลังใหญ่ จึงทำให้เธเซียสมองเห็นบรรยากาศโดยรอบได้ชัดเจนขึ้น
การคาดคะเนสถานที่จึงมิอาจยากเย็น เมื่อภาพตรงหน้าในระยะไกลลิบคือเกาะธีราในขนาดย่อส่วน ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีขาวขุ่น
เธเซียสจึงเข้าใจได้ว่าสวนแห่งนี้อาจถูกสร้างใหม่ และคงอยู่มิไกลจากห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนส

บุรุษจากต่างแดนจึงแหงนมองเบื้องบน เพื่อหาตำแหน่งของห้องบรรทม แต่ปรากฏว่าตั่งหลังกว้างกลับตั้งอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นวิลโลว์ที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ตรงริมแม่น้ำใกล้ปากทางเข้าของห้องใต้ดิน เขาจึงต้องเอนตัวไปทางซ้ายถึงจะเห็นห้องบรรทมของเจ้าชายมิโนสที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

“สวนแห่งนี้..” เธเซียสกล่าวพลางมองไปยังนางกำนัลนีรูส ก่อนจะหันไปมองดอกอาซาเลียสีขาวสะอาดผสมกับอาซาเลียสีชมพูอ่อนที่ประดับประดาอยู่ตามแนวกำแพงหิน ขณะที่ด้านล่างของผืนดินถูกปูด้วยทุ่งดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองอร่ามที่โอบล้อมคูคลองสายหนึ่ง ซึ่งมีดอกบัวโกมุทสีชมพูชูช่ออยู่เหนือผิวน้ำ
และมีปลาแหวกว่ายพร้อมกระโดดโต้คลื่นลมในยามเช้า
แต่กระนั้นดอกลิลลี่ก็ยังคงเป็นบุปผาชนิดเดียวที่วางอยู่ตรงข้างตั่ง ราวกับผู้เป็นเจ้าของต้องการมอบให้แก่บุรุษผู้แสนมุทะลุ

“เจ้าชายมิโนสทรงเป็นธุระจัดการทั้งสิ้น เนื่องจากพระองค์มิประสงค์ให้ผู้ป่วยเช่นเจ้าต้องทนอุดอู้อยู่ในห้องที่มิค่อยปลอดโปร่ง” สิ้นคำอธิบายของนางกำนัลจากเกาะธีรา ริมฝีปากของเธเซียสก็คลี่เป็นรอยยิ้มพลางหยิบก้านดอกลิลลี่หมุนเล่นด้วยความเคยชิน และเผลอดอมดมด้วยความหลงใหล
เกสรสีเหลืองนวลจึงเปรอะเปื้อนที่ปลายจมูก

“เจ้าหมดสติไปเจ็ดวันเต็ม” นางกำนัลนีรูสกล่าวพลางแย้มยิ้มขณะกำลังทำเนื้อครีมลาเบินอยู่บนพื้นหินตรงข้างตั่ง ส่วนแววตาของเธเซียสกำลังทอดมองไปรอบ ๆ ตัว ราวกับต้องการซึมซับความอ่อนโยนของเจ้าชายมิโนส รอยยิ้มตรงมุมปากจึงปรากฏ
เหตุเพราะมันมิง่ายที่จะเนรมิตสวนกลางแจ้งภายใน 7 วัน

“พระองค์คงต้องเกณฑ์คนเป็นจำนวนมากกระมัง ?” เธเซียสยังคงถามไถ่ด้วยใบหน้าอันเปื้อนยิ้ม
“เป็นเช่นนั้น วุ่นวายน่าดู แต่เจ้าก็ยังคงหลับใหลมิได้สติ” นางกำนัลนีรูสกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ ซึ่งการได้พูดคุยกับนางทำให้เธเซียสรู้สึกว่าตนเองผ่อนคลายมากกว่าตอนที่อยู่กับนางกำนัลดาฟเน่

“ช่วงนี้ครีตันกำลังจะมีงานรื่นเริงหรือ ?” เมื่อนึกถึงนางกำนัลดาฟเน่ขึ้นมาได้ เธเซียสก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เหตุใดจึงถามเช่นนั้น ?”

“เพราะข้ามิเห็นหัวหน้านางกำนัลดาฟเน่ จึงหลงคิดว่านอสซัสกำลังจะมีงานเลี้ยงรื่นเริง” ทันทีที่เธเซียสบอกกล่าวเหตุผล คำตอบที่ได้รับกลับเป็นรอยยิ้มเพียงบาง ๆ ที่มิอาจบ่งบอกว่ามีความนัยอื่นใดแอบแฝง
เพียงแต่เธเซียสรู้สึกว่ามันแปลกไป
เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิค่อยไหว้วานผู้ใด นอกจากนางกำนัลส่วนพระองค์

ความครุ่นคิดจึงหวนคืนกลับมายังการหลบหนีออกจากเกาะธีราโดยไร้เงาของราชองครักษ์ส่วนพระองค์ และการมาถึงของนางกำนัลนีรูสที่ดูเหมือนจะเป็นการบอกกล่าวกลาย ๆ ว่า..
เจ้าชายมิโนสทรงมิอาจไว้วางพระทัยต่อชลกลุ่มนี้
ซึ่งเธเซียสยังมิอาจเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด

แต่แล้วความคิดกลับต้องหยุดลงเพียงแค่นั้น เมื่อเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญพระราชินีแห่งจักรวรรดิครีตันดังก้องไปทั่วบริเวณ นางกำนัลนีรูสจึงลุกเดินไปยังแนวกำแพงอันทอดยาวเพื่อสอดส่องความเป็นไปของเบื้องล่าง แต่ก็มิอาจได้ความนัก เนื่องจากสวนแห่งนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ส่วนท่าเทียบเรือจะอยู่ทางด้านทิศตะวันตก

“ดูเหมือนข้าจะเลอะเลือน” นางกำนัลนีรูสเดินกลับมาหาเธเซียส พลางกล่าวพร้อมตีหน้าผากตนอย่างมิสบอารมณ์
“วันพรุ่งพระราชินีจะต้องเสด็จไปสักการะเจ้าแม่บนยอดเขาดิคที” ท้ายที่สุดคำอธิบายของหญิงวัยกลางคนก็ทำให้เธเซียสเข้าใจด้วยตนเองว่า..
นางกำนัลดาฟเน่อาจจะกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมเครื่องสักการะ



φ


[1] พระปฤษฏางค์ แปลว่า แผ่นหลัง

[2] เปลือกไม้ของต้นวิลโลว์ ใช้เป็นยาระงับปวดตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยชาวอียิปต์โบราณเป็นผู้ค้นพบ ซึ่งตัวยาดังกล่าวเทียบได้กับยาแอสไพรินในปัจจุบัน

[3] อโล อีเวรา หรือ อโลเวร่า คือ ว่านหางจระเข้ ชาวอียิปต์โบราณนิยมกินเป็นยาฆ่าพยาธิ และยังใช้ทาแผลพุพอง แผลสด และแผลบวมช้ำ

[4] ต้นแฟรงคินเซนส์ คือ พืชในตระกูลกำยาน ชาวอียิปต์โบราณนิยมใช้ฆ่าเชื้อ กินแก้เจ็บปาก และแก้ระคายคอ


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ตำนานอียิปต์โอม : แพทย์แผนดึกดำบรรพ์สมัยไอคุปต์ https://bit.ly/2WFNQyz


มาอัพตอนใหม่แล้วจ้าจะได้ไม่ค้างคากันมาก มีใครเดาความสัมพันธ์ระหว่างมิโนทอร์กับเจ้าชายมิโนสออกหรือยัง ?
ตอนนี้มีคำใบ้ใหม่เพิ่มขึ้นมาแล้วด้วย คึคึคึคึ สักการะอะไร ??
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:49:50 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 22

หลังจากทราบข่าวการทรงงานบริเวณนอกเขตพระราชฐานของเจ้าชายมิโนส จิตใจของเธเซียสก็เริ่มห่อเหี่ยวอาจเพราะเขามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับอีกฝ่ายตั้งมากมาย แต่บุรุษผู้นั้นกลับพำนักอยู่ที่เมืองอาร์คันส์  เนื่องจากองุ่นในเขตดังกล่าวเกิดโรคระบาดจนส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า พระองค์จึงต้องเร่งแก้ไขเป็นการด่วน
เธเซียสที่ในเวลานี้ได้แต่นอนกระดิกเท้ามองกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ไปพลาง ลอบมองนางกำนัลนีรูสที่กำลังหลับสนิทไปพลาง จึงตัดสินใจเดินออกจากสวนที่ใช้เวลาเนรมิตภายใน 7 วัน ซึ่งในยามค่ำคืนแบบนี้ ภายในตัวพระราชวังค่อนข้างเงียบเหงาและวังเวง อาจเพราะการออกแบบเป็นไปอย่างมืดทึบ
แม้จะมีแสงสว่างจากคบไฟ แต่ก็มิอาจลดทอนความเปล่าเปลี่ยวไปได้

บุรุษจากต่างแดนจึงก้าวเดินไปยังเส้นทางที่เต็มไปด้วยภาพวาดเฟรสโกลวดลายต่าง ๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสงานศิลป์เหล่านั้น ราวกับการกระทำดังกล่าวจะถ่ายทอดความรู้สึกที่กำลังล้นอกไปสู่ผู้ที่เป็นเจ้าของ แต่แล้วอารมณ์อันแสนสุนทรีย์ก็มีอันต้องจบสิ้น เมื่อจุดหมายปลายทางที่มิได้คาดคิด คือบริเวณใต้ถุนของตัวพระราชวังซึ่งเป็นสุสานอันเงียบสงบ
แต่ทว่าบัดนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนและแสงสว่างจากคบไฟ

ซึ่งภาพที่เห็นทำให้เธเซียสรู้สึกสงสัย เพราะการตระเตรียมเครื่องสักการะ มิควรจะกระทำที่ ‘สุสาน’ ดังนั้นอะไรบางอย่างที่บรรจุอยู่ในโถพีโรอีใบใหญ่ที่ต้องใช้แรงงานบุรุษถึง 2 ชีวิต ย่อมมิอาจเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร
การเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดจึงก่อเกิดขึ้น

เริ่มจากการนำส่ง ‘เชลยศึก’ จากเอเธนส์ อาจมิได้มีเพียงจุดประสงค์เพื่อเป็นภักษาหารของ ‘มิโนทอร์’ แต่อาจจะมีขึ้นเพื่อ ‘บูชายัญ’ ดังนั้น ‘พวกนอกรีต’ ที่เจ้าชายมิโนสเคยตรัสถึง
คงมิแคล้ว ‘พระราชินี’ แห่งครีตัน

ส่วนเรื่องราวของเจ้าสัตว์ประหลาดนามว่า ‘มิโนทอร์’ เธเซียสใช้เวลาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ตลอดทั้งวัน จนเพลานี้ได้ข้อสรุปว่าบางทีเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้ อาจจะเป็นพระเชษฐาหรือพระอนุชาของเจ้าชายมิโนส เนื่องจาก ‘มิโนทอร์’ หมายถึง ‘โอรสวัวแห่งไมนอส’
ประการที่สอง ‘มิโนทอร์’ อาจอยู่ในสถานะของ ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’ อย่างเจ้าชายมิโนส เหตุเพราะเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้มีความสำคัญทางด้านการทหาร
เรียกได้ว่ามันคือจุดแข็งของจักรวรรดิครีตัน จนทำให้เจ้าชายมิโนสมิโปรดให้มีการสร้างกำแพงเมือง
ดังนั้นความหมายของคำว่า ‘มิโนทอร์’ อาจมิได้เกี่ยวพันกับความเป็นจริง

ประการสุดท้ายคือสิ่งที่มิอาจเป็นไปได้ แต่ในเมื่อ ‘มิโนทอร์’ เคยปรากฏตัวให้เห็นและยังทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ คงมิมีสิ่งใดที่เป็นไปมิได้อีกต่อไป ซึ่งความเหลือเชื่อดังกล่าวคือ ‘เจ้าชายมิโนส’ อาจแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวได้ เนื่องจากในค่ำคืนหนึ่งที่เกาะแห่งไฟ เธเซียสมองเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้น ซึ่งตรงกับวันที่เจ้าชายมิโนสทรงหายองค์ไป มิหนำซ้ำฉลองพระองค์ยังขาดวิ่นจนมิเหลือชิ้นดี และพระฉวี ของพระองค์ยังเจือกลิ่นคาวเลือดอย่างปิดมิมิด อีกทั้งในช่วงเวลาที่เจ้ามิโนทอร์กำลังจะหลอมรวมกระดูกทุกสัดส่วนให้เป็นผุยผง มันยังตกใจราวกับซุ่มเสียงของเธเซียสคือเนื้อเสียงที่มันคุ้นเคย
‘มัจจุราช’ อย่าง ‘มิโนทอร์’ จึงยอมปลดปล่อยเหยื่ออันแสนโอชะมาจนถึงบัดนี้

กระทั่งเสียงเครื่องปั้นดินเผากระทบลงสู่พื้นเบื้องล่าง ภวังค์แห่งความคิดจึงถูกปัดเป่า ภาพที่เห็นจึงทำให้เธเซียสถึงกับตกตะลึง เนื่องจากภายในโถพีโรอีมิได้มี ‘ศพ’ ของเชลยจากเอเธนส์ที่ถูกดองด้วยน้ำผึ้งดังเช่นที่เข้าใจ แต่กลับมีบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งคุดคู้อยู่ข้างใน ซึ่งเขาคงจะทำอะไรบางอย่างจนแรงงานบุรุษทั้งสองมิอาจรับไหว
เท่ากับว่า ‘สุสาน’ มิใช่สุสาน
และ ‘เชลยศึก’ ก็มิได้ถูกปลดปล่อย

เหตุการณ์ดังกล่าวจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า เจ้าชายมิโนสอาจจะเพิ่งล่วงรู้ความเป็นจริงในข้อนี้ พระองค์จึงมิอาจมอบความไว้วางพระทัยให้แก่นางกำนัลดาฟเน่ได้อีกต่อไป
เหตุเพราะนางคือผู้สมรู้ร่วมคิดกับองค์ราชินี

“น้องชาย!” แต่แล้วความวุ่นวายก็บังเกิด เมื่อเชลยหนุ่มกำลังช่วยเหลือพรรคพวกที่จะถูกนำตัวไปยังสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาดิคที ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวกำลังทำให้เธเซียสตกที่นั่งลำบาก เขาจึงต้องรีบหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืด
แม้ว่าข้าราชบริพารเหล่านั้นจะมิเข้าใจภาษาของชาวเอเธนส์เลยก็ตาม

“น้องชาย! ช่วยพี่สาวด้วย! น้องชาย!” แต่แล้วหญิงสาวที่เคยให้ความช่วยเหลือในยามบาดเจ็บก็แผดร้องจนสุดเสียง บุรุษจากต่างแดนจึงขยับกายออกจากที่ซ่อนเพื่อสำรวจเหตุการณ์ดังกล่าว
พบว่าความวุ่นวายทั้งหมดถูกขจัดด้วยมีดกริชปลายแหลม
จากนั้นร่างของเชลยผู้แสนอาภัพจึงถูกยัดใส่โถพีโรอีใบใหญ่ที่วางเรียงรายอยู่มิไกลจากบริเวณดังกล่าว

ขณะที่แววตาของ ‘พี่สาว’ ผู้แสนใจดี กลับมองตรงมายังบุรุษผิวคล้ำที่กระทำได้เพียงแอบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกำแพง เหตุเพราะเขามิอาจนำตัวเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องที่มิควรจะเกี่ยวข้อง
ซึ่งมันก็ทำให้เธเซียสแอบเก็บเอาไปฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกคราก่อนจะตื่น เขามักจะเห็นแววตาแห่งการร้องขอของ ‘พี่สาว’ ผู้แสนใจดีในวันวาน ความรู้สึกผิดจึงกัดกินหัวใจจนมิอาจทานทน
อีกทั้งความเหงาหงอยบวกกับความน้อยใจก็ยิ่งแผ่กระจายไปทั้งอณูความรู้สึก
เมื่อบุรุษผู้เปรียบดังแสงสว่าง เพิ่งเสด็จกลับจากเมืองอาร์คันส์ แต่มิได้เสด็จเข้ามาทักทาย

‘หลบหน้า’ คือคำคำเดียวที่ยังพอจะให้คำจำกัดความได้
ซึ่งเธเซียสก็นั่งคิดนอนคิดเหตุผลจนหัวแทบแตก แต่ก็มิได้นำพา

“นอสซัสกำลังจะมีงานใดอีกหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามนางกำนัลนีรูสที่กำลังนำมื้อเช้ามาให้ พลางนั่งห้อยขาอยู่บนกำแพงกว้างพร้อมเอี้ยวตัวมองหาที่มาของเสียงอึกทึกด้วยความสนใจ
“วันพรุ่งจะมีงานเทศกาลเดินเรือ เหล่าข้าราชบริพารจึงต้องรีบตรวจตราให้เรียบร้อย” หญิงวัยกลางคนกล่าวพลางทิ้งตัวลงนั่งบนกำแพง เพียงแต่มิได้ห้อยขาออกนอกตัวอาคารดังเช่นเธเซียส

“อ้อ” ขณะที่เธเซียสได้แต่ตอบรับในลำคอ พลางดื่มไคคีออนด้วยความเงียบเชียบ เนื่องจากวันเวลาผันผ่านไปนานแรมเดือน ซึ่งเดิมทีเธเซียสเคยพยายามบอกกับตนเองว่า เจ้าชายมิโนสกำลังทรงงานหนัก เหตุเพราะการแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดในองุ่นมิใช่เรื่องง่าย
ฉะนั้นจึงต้องผ่านการลองผิดลองถูกอยู่เนิ่นนาน

แต่ทุกคราที่เจ้าชายมิโนสเสด็จกลับมายังพระราชวังนอสซัส พระองค์กลับมิเคยเข้ามาถามไถ่ บุรุษจากต่างแดนจึงรู้สึกหมองเศร้า มิต่างกับการถูกเสด็จพ่อริดรอนความไว้วางพระทัย

“เจ้าเริ่มดีขึ้นแล้วกระมัง ลงไปดูพวกเขาดีหรือไม่ ?” นางกำนัลนีรูสเอ่ยถามราวกับรู้ใจว่าเธเซียสกำลังเบื่อหน่ายบรรยากาศอันแสนสดชื่น แต่ทว่ากลับหมองเศร้าในความรู้สึก
“งานครานี้เจ้าชายมิโนสทรงบัญชาการด้วยองค์เองเชียวล่ะ” สิ้นคำของนางกำนัลวัยกลางคน ใบหน้าที่แสดงออกว่าเบื่อหน่ายก็พลันสดใส ซึ่งเธเซียสมิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
ดูท่าว่า..
เจ้าชายมิโนสเริ่มมีอิทธิพลในจิตใจของบุรุษจากไมซีเนียนมากขึ้นทุกที ทุกที..

ทว่าท่าทางอันสดใสราวกับเด็กชายในวัยเยาว์กลับต้องหมองหม่น เมื่อเจ้าชายมิโนสผู้บัญชาการงานสำคัญกำลังจะเสด็จทางเรือ บุรุษผิวคล้ำจึงยืนลังเลอยู่ตรงเส้นทางที่ขนาบด้วยทิวเสาสีแดงต้นใหญ่ ขณะที่ดวงตากำลังจ้องมองบุรุษหน้าหวานในฉลองพระองค์อันแสนเรียบง่าย โดยที่ปลายเกศายังคงไหวระริกหยอกล้อกับสายลมดังภาพอันแสนคุ้นเคย
เพียงแต่ความรู้สึกของเธเซียสในขณะนี้ กลับมิค่อยชื่นชอบภาพดังกล่าวสักเท่าใด
อาจเพราะความห่างเหินคือต้นสายปลายเหตุ

สองขาของบุรุษที่กำลังกระทำตัวเยี่ยงอนุชาตัวน้อยก้าวเดินตรงไปยังท่าเรืออันกว้างใหญ่ กระทั่งระยะห่างเริ่มหดหาย ฝ่ามือของเธเซียสจึงค่อย ๆ ยื่นออกไป ขณะที่เจ้าชายมิโนสยังคงหาลือเกี่ยวกับงานราชการอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเคร่งเครียด คาดว่าคงจะหนีมิพ้นการแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดในองุ่น ซึ่งพระองค์จำต้องวางมือจากภาระงานดังกล่าว เนื่องจากในวันพรุ่งยังมีงานเทศกาลสุดยิ่งใหญ่รอคอยพระองค์อยู่

“นับว่ามาถูกทางแล้ว..” สุรเสียงทุ้มนุ่มกล่าวพลางแย้มโอษฐ์ด้วยความคลายพระทัย เพียงแต่มันเป็นจังหวะที่ค่อนข้างพอดีกับการกระทำของเธเซียส บุรุษผู้สูงศักดิ์และขุนนางนายหนึ่งจึงปรายตามองมายังผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นทุกสรรพสิ่งราวกับหยุดความเคลื่อนไหว คำพูดแก้ตัวที่ตระเตรียมมาพลันเลือนหาย

“หายดีแล้วหรือ ?” ดำรัสถามที่คาดหวังจะได้ยินมาเนิ่นนาน ถูกตอบด้วยการพยักหน้าขึ้นลงราวกับเด็กชายในวัยเยาว์
“อ้อ” เจ้าชายมิโนสตรัสเพียงเบา ๆ แต่ทว่าดวงเนตรของพระองค์กลับมิยอมสบตากับเธเซียส ความกังวลจึงยิ่งก่อเกิด แต่ก็มิอาจทักท้วงเนื่องจากบุรุษตรงหน้าเริ่มว่าราชการสำคัญอย่างต่อเนื่อง ส่วนเธเซียสก็ได้แต่มองรอบ ๆ กาย โดยที่ฝ่ามือยังมิยอมปลดปล่อยข้อพระกรให้เป็นอิสระ

กระทั่งพบว่าราชองครักษ์ที่ถูกลอยแพไว้ยังเกาะแห่งไฟ บัดนี้กลับอยู่กันอย่างพร้อมหน้า มิหนำซ้ำเคออสยังแอบยักคิ้วทักทายอีกต่างหาก เธเซียสจึงยักคิ้วตอบ สหายสนิทที่มิได้เจอหน้าเป็นแรมเดือนจึงเริ่มถามไถ่อาการบาดเจ็บด้วยการชี้ไปยังหัวไหล่ของตน ฝ่ายผู้บาดเจ็บที่ในตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้วจึงตอบกลับด้วยการชูกำปั้นข้างที่ไหล่ได้รับบาดเจ็บราวกับต้องการจะชกมวยกลางอากาศ
แต่แล้วบุรุษผู้แสนอวดดีก็ถึงคราวต้องเบ้หน้า เล่นเอาเคออสจำต้องกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง
โดยมิรู้เลยว่าท่าทางดังกล่าวล้วนเป็นการแสดงของเธเซียส

“เราต้องรีบไปแล้ว เจ้าเองก็ไปนอนพักเถิดยังเจ็บแผลอยู่มิใช่หรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแกะพันธนาการของเธเซียสออกอย่างละมุนละม่อม
“กระหม่อม..” เธเซียสยังกล่าวมิทันจบ เคออสที่ยืนอารักขาอยู่เนิ่นนานจึงก้าวเข้ามาขัดจังหวะ

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอกราบทูลว่าราชกิจของพระองค์ที่เกาะแห่งไฟยังมีอีกมาก” เคออสกล่าวพลางก้มหน้าอย่างนอบน้อม แต่ทว่าเขากลับลอบส่งยิ้มให้แก่สหายสนิท ราวกับการกระทำอันมิบังควรเกิดจากการเอื้อประโยชน์ให้แก่เธเซียส
“อืม” สิ้นคำตอบรับของเจ้าชายมิโนส เธเซียสจึงช้อนตามองบุรุษผู้สูงศักดิ์ด้วยความลุ้นระทึก เนื่องจากอีกเหตุผลหนึ่งที่มิใช่เรื่องของความรู้สึก คือการที่เขาอยากจะมีส่วนร่วมในงานเดินเรือสุดยิ่งใหญ่จนเนื้อตัวสั่น
เหตุเพราะมันจะทำให้เขาล่วงรู้ทักษะด้านการสู้รบของจักรวรรดิครีตันอย่างลึกซึ้ง

เธเซียสแอบลอบยิ้มเมื่อเจ้าชายมิโนสมิได้คัดค้านอันใดอีก สองขาจึงก้าวลงเรือและเดินตามเสด็จไปนั่งยังบริเวณท้ายเรือที่มีกันสาดกั้นคอกไว้ ซึ่งเธเซียสยังคงนั่งปักหลักอยู่ตรงขั้นบันไดตรงบริเวณฝ่าพระบาทมิต่างจากคราก่อน
เพียงแต่ครานี้มิมีฝ่าพระหัตถ์แสนอบอุ่นคอยค้ำยันศีรษะอันแสนโงนเงน
เหตุเพราะเจ้าชายมิโนสกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ดวงพักตร์ของพระองค์จึงฉายแววแห่งความเคร่งเครียด


φ


[1] เมืองอาร์คันส์ (Archanes) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระราชวังนอสซัส มีแหล่งโบราณสถานสำคัญคือบ้านพักตากอากาศ Vathypetro และมีการขุดพบเครื่องกลั่นไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
[2] พระฉวี แปลว่า ผิวหนัง


มาต่อแล้วค่าาา แต่สั้นมาก 555 ไม่รู้ทำไมเรื่องนี้ถึงเขียนได้แค่ตอนสั้น ๆ แถมใช้เวลาเขียนเป็นอาทิตย์เลย ฮือ ส่วนตอนนี้ก็เฉลยความลับเกี่ยวกับเชลยจากเอเธนส์ออกมานิดหน่อย ส่วนเจ้าชายกำลังเครียดเรื่องอะไรอยู่นั้น อีกไม่นานได้คำตอบแน่จ้า สำหรับตอนหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับงานประเพณีการล่องเรือค่ะ อาจจะใช้เวลาเขียนนานหน่อย เพราะมีฉากสำคัญมากๆ อยู่ในตอนนั้น
เห็นมีนักอ่านหน้าใหม่มาอ่านด้วย ฮือ ดีใจน้ำตาจะไหล ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามมาก ๆ เลยค่ะ คุณคือผู้สานฝันของเรา !!!
ปล. มาเล่นแท็ก #มหาบุรุษแห่งครีตัน ได้น้า แห้งเหือดมากๆ 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2019 23:18:00 โดย Chomin »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 23

กระทั่งลำเรือเริ่มลอยล่องเข้าใกล้ปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ ผ้าลินินผืนสีดำรัตติกาลจึงถูกผูกคล้องบริเวณท้ายทอยอย่างแน่นหนา ราวกับผู้พระราชทานมิประสงค์ให้บุรุษจากต่างแดนสูดดมกลิ่นกำมะถันโดยมิจำเป็น
เนื่องจากพระองค์ทรงทราบดีว่าหมอกควันเหล่านี้
แม้จะให้ประโยชน์มหาศาล แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าโทษของมันก็มหาศาลเช่นกัน

“เจ้าชายมิโนสเสด็จ!” ชาวประมงกลุ่มหนึ่งที่กำลังลากอวนมิไกลจากวิถีของเรือพระที่นั่ง ตะโกนก้องจนทั่วคลุ้งน้ำด้วยสีหน้าอันเปื้อนยิ้ม ส่งผลให้ชาวครีตันประจำเมืองเอียตรงบริเวณชายฝั่ง ต่างพากันชะโงกหน้ามองมายังต้นเสียง กระทั่งพบลำเรือที่แสนคุ้นเคย เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญจึงดังระงมอย่างพร้อมเพรียง เธเซียสเลยอดจะหันไปลอบมองบุรุษที่กำลังประทับเหนือบริเวณศีรษะมิได้ พบว่าดวงเนตรของพระองค์กำลังแย้มสรวลพลางโบกหัตถ์ด้วยท่าทีสุดองอาจ
“ทรงพระเจริญ!” ยิ่งลำเรือตัดผ่านม่านหมอกสีขาวโพลนเข้าใกล้เมืองเอียมากเพียงใด สุ้มเสียงแห่งความเคารพนบนอบก็ยิ่งดังระงมมากขึ้นเท่านั้น ต่างกันแค่เพลานี้ลำเรือขนาดเล็กของชาวบ้านกำลังจอดเทียบท่าตรงบริเวณริมชายฝั่งอย่างมากมาย
ส่งผลให้เส้นทางเดินเรือภายในวงแหวนของเกาะแห่งไฟเริ่มจะแออัดยัดเยียด

เธเซียสจึงอดสงสัยมิได้ว่าการจราจรแออัดถึงเพียงนี้ จะทำให้ ‘การอพยพ’ เป็นไปอย่างราบรื่นได้อย่างไร ซึ่งคำตอบที่นึกสงสัยกลับหาได้จากการชุมนุมบริเวณลานฝึกของกองทัพเรือ โดยมีชาวบ้านเข้าร่วมทุกครัวเรือน เพียงแต่บรรยากาศของการชุมนุมกลับมิได้ตึงเครียดอย่างที่คิด เพราะเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารเกี่ยวกับงานประเพณี พร้อมจัดระเบียบการเคลื่อนพลเสียใหม่ เนื่องจากแต่ละปีจำนวนประชากรบนเกาะธีรามักจะเพิ่มขึ้น เจ้าชายมิโนสจึงต้องจัดสรรหนทางหลีกหนีให้ใกล้กับลำเรือของแต่ละครอบครัว เพื่อลดความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งมันก็เป็นผลดีต่อการณ์ข้างหน้า เพราะถ้าหากจำต้องประสบเหตุร้ายโดยมิคาดคิด เหล่าราษฎร์ก็ยังวิ่งลัดเลาะไปตามเส้นทางต่าง ๆ ที่มีเหล่าทหารคอยรอรับพวกเขาอยู่
ดังนั้นลำเรือที่เคยแออัดยัดเยียดภายในวงแหวนรอบภูเขาแห่งไฟจึงเริ่มคลี่คลาย ขณะเดียวกันบุรุษผู้สูงส่งและเหล่าราชองครักษ์รวมถึงนายทหารยศใหญ่อย่างขุนพลดิดะรัสกลับพากันเดินทางโดยม้าศึกไปยังเมืองหน้าด่านอย่างอาโกรตรี เธเซียสจึงมีโอกาสได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย
พบว่าที่เมืองหน้าด่านล้วนเป็นเขตพระราชฐาน

เพียงแต่เธเซียสยังมิอาจทราบว่าโครงสร้างของตัวพระราชวังจะลึกลับซับซ้อนดังเช่นพระราชวังอื่นหรือไม่ เพราะจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือประภาคารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณริมหน้าผาอย่างโดดเด่น ซึ่งระยะการมองเห็นจะสามารถตรวจตราความเงียบสงบเหนือน่านน้ำอันกว้างใหญ่ และยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอย่างภูเขาแห่งไฟ

“ช่วงนี้เกิดเหตุแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้งพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าสิ่งที่พวกเราต่างคาดการณ์อาจเป็นจริงในมิช้า” อีคารัสบุตรชายของนักประดิษฐ์ผู้เลื่องชื่อกล่าวเปิดประเด็น เมื่อทุกผู้ก้าวเดินมาจนถึงด้านบนสุดของประภาคารสีขาวสะอาด โดยเบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏภาพของปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่มีหมอกควันปะปนกับฟ้าสีคราม
เพียงแต่เธเซียสมิได้ให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าว เหตุเพราะเขากำลังให้ความสนใจกับ ‘อีคารัส’ บุตรชายของนักประดิษฐ์ชื่อดังที่สร้างผลงานสุดพิศดารอย่าง ‘โคไม้’ ถวายแด่พระนางปาซิฟาอี เพื่อใช้ในการร่วมอภิรมย์กับ ‘โคสีขาว’ ที่องค์เทพโพไซดอนประทานให้แก่กษัตริย์ไมนอส จนกระทั่งพระนางให้กำเนิดโอรสโคนามว่า ‘มิโนทอร์’
เธเซียสจึงนึกอยากสนิทสนมกับอีกฝ่ายขึ้นมาทันใด
เพราะในหัวยังคงมีเรื่องราวที่อยากจะได้รับคำยืนยันอีกมากมาย

“เราเองก็คิดเช่นนั้น เพราะตอนที่เรือเริ่มเข้าใกล้ภูเขาแห่งไฟ เรารู้สึกว่ามันเริ่มจะปล่อยหมอกควันมากยิ่งขึ้น และกลิ่นของกำมะถันก็เริ่มหนาแน่นมากขึ้น” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่เธเซียสกำลังนึกทบทวนดำรัสของพระองค์ด้วยความใส่ใจ เนื่องจากตนมิทันสังเกตความผิดปกติของเกาะกำบังอันแข็งแกร่ง
“อีคารัส เจ้าคิดว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ลงภายในเร็ววันนี้หรือไม่” ขุนพลดีดะลัสเอ่ยถามด้วยความเคร่งเครียด อาจเพราะเขาคือผู้ควบคุมดูแลเกาะแห่งไฟรองจากเจ้าชายมิโนส
ดังนั้นหากเกิดเหตุระทึกขวัญ ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดเห็นจะหนีมิพ้นขุนศึกท่านนี้

“มิอาจกะเกณฑ์ได้พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำกล่าวจากบุตรชายของนักประดิษฐ์ชื่อดัง สีหน้าของทุกผู้ก็เริ่มฉายแววแห่งความมิสบายใจ
“เรายังวางผังเมืองอาร์คันส์มิเรียบร้อยดี แต่หากมิมีทางเลือกคงต้องให้พวกเขาทนอยู่อย่างอัตคัดไปก่อน ครานี้เราคาดคะเนผิดไปมาก จึงทำให้การโยกย้ายเป็นไปอย่างยากลำบาก” ทันทีที่เจ้าชายมิโนสตรัสมาถึงประเด็นดังกล่าว เธเซียสก็เริ่มเข้าใจภาระหน้าที่ของพระองค์มากขึ้น เนื่องจากพระองค์มิได้เดินทางไปยังเมืองอาร์คันส์เพียงเพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดในองุ่น แต่ยังต้องตรวจตราผังเมืองเพื่อเตรียมอพยพราษฎร์จากเกาะแห่งไฟ และยังต้องวางแผนให้วิถีชีวิตของพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องจากราษฎร์ในแถบนี้ต่างประกอบอาชีพชาวประมงทั้งสิ้น ความรู้ในเรื่องการเกษตรจึงต้องปลูกฝังกันใหม่
ดังนั้นไร่องุ่นอันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงของจักรวรรดิครีตัน จึงถูกวางรากฐานเพื่อส่งมอบต่อชาวครีตันจากเกาะแห่งไฟ

“ทูลเจ้าชายมิโนสกระหม่อมคิดว่ามิน่าเป็นปัญหา เหตุเพราะตอนนี้คนงานเริ่มก่อสร้างบ้านเรือนใกล้จะแล้วเสร็จ หากสถานการณ์มิเอื้ออำนวย พวกเขาคงต้องร่วมอาศัยบ้านหนึ่งหลังต่อสองครอบครัวใหญ่ และบ้านหนึ่งหลังต่อสามครอบครัวเล็ก” เคออสกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน บ่งบอกได้ดีว่าบุรุษผู้นี้มิใช่เพียงราชองครักษ์ระดับสูง แต่ยังเป็นถึงสหายคู่คิดของเจ้าชายมิโนส
“กระหม่อมเองก็คิดตรงกันพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อพระองค์มิได้ทอดทิ้งพวกเขา ปัญหายุ่งยากคงมิบังเกิด หรือหากเกิดก็คงจะมิบานปลาย” อีคารัสกล่าวเสริมด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างหนักแน่น ซึ่งเธเซียสก็เห็นด้วย เพราะการเยียวยาราษฎร์ของเจ้าชายมิโนสได้ถูกตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี เพียงแต่การคาดคะเนกลับคลาดเคลื่อน จึงทำให้การเตรียมความพร้อมเป็นไปอย่างล่าช้า
อีกทั้งภัยธรรมชาติก็ยากที่จะกะเกณฑ์

“เราควรเร่งอพยพในวันพรุ่งดีหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางยืนกอดอกอย่างใช้ความคิด
“กระหม่อมคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีพ่ะย่ะค่ะ วันหน้าหากประสบภัยพิบัติ กระหม่อมจะได้ควบคุมเพียงนายทหารทุกภาคส่วนโดยมิต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะพวกเราต่างก็มิทราบว่าภัยร้ายจากภูเขาแห่งไฟจะร้ายกาจเพียงใด” ขุนพลดีดะรัสทูลความคิดเห็นอันเป็นทางออกที่ลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

“แต่กระหม่อมเกรงว่าปัญหาจะอยู่ตรงที่ผู้เฒ่าผู้แก่พ่ะย่ะค่ะ เหตุเพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับหมอกควันและแผ่นดินไหวอยู่มาก ทำให้พวกเขามองว่าพวกเราต่างตื่นตระหนกกันเกินไป” เคออสกล่าวอย่างมีเหตุผล ซึ่งเจ้าชายมิโนสก็ทรงเห็นด้วย เนื่องจากเทศกาลเดินเรือคราก่อน มีผู้ลักลอบแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลายสิบราย และยังมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นทุกปี
“เราคงต้องให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มาก พวกเขาจะได้มิถูกงานเทศกาลครอบงำจนหลงลืมใจความสำคัญของงานดังกล่าว แล้วก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองใหม่ที่เราจัดเตรียม พร้อมประกาศไปว่าผู้ใดสมัครใจอยู่อย่างถาวร มีสิทธิ์เลือกที่พักอาศัยและที่ทำกินมิจำกัด แต่หากความต้องการมีมากในภายหลัง พวกเขาต้องจ่ายค่าครองชีพให้แก่ราชวังเพื่อขยายเขตชุมชนให้มากขึ้น” เจ้าชายมิโนสตรัสเป็นขั้นเป็นตอน คล้ายกับพระองค์มั่นพระทัยว่าราชองการดังกล่าวจะสามารถดึงดูดผู้คนจากเกาะธีรามายังเมืองใหม่ได้มิน้อย

“ส่วนฐานทัพเรือเราคงต้องใช้เวลาสำรวจที่ตั้งอีกสักหน่อย เพราะจนถึงบัดนี้เรายังมองมิเห็นที่ใดเหมาะสมเท่าเกาะแห่งไฟ” 
“กระหม่อมเองก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้กระหม่อมเคยหารือร่วมกับอีคารัสมาบ้าง คาดว่าสัญญาณเตือนที่อันตรายที่สุดคงเป็นการที่ภูเขาแห่งไฟเริ่มบวมหรือเอียงข้าง ส่วนควันพิษ ณ เพลานี้ยังมิถึงขั้นทำให้เหล่านกทะเลตกลงมาตาย ซึ่งถ้าหากการคาดคะเนของพวกกระหม่อมมิผิดพลาด เกาะธีราก็ยังพอจะใช้เป็นฐานทัพเรือได้อีกระยะหนึ่ง”

“เป็นเช่นนั้นเราก็เบาใจ แต่ลึก ๆ เรามิอยากให้พวกเจ้าต้องทนอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้ เสร็จจากงานเทศกาลเราคงต้องเร่งสำรวจฐานทัพแห่งใหม่ให้เร็วที่สุด” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมุ่งมั่นและเป็นกังวล เนื่องจากการตัดสินพระทัยที่ผิดพลาดส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของจักรวรรดิครีตันมิใช่น้อย เพราะถ้าหากเกิดเหตุภัยพิบัติโดยที่เหล่าทหารมิสามารถอพยพได้ทันการณ์
เพลานั้นครีตันคงตกอยู่ภายใต้อำนาจของแคว้นต่าง ๆ ที่คอยจดจ้องแผ่นดินทองคำแห่งนี้ตาเป็นมัน
ซึ่งมันก็ทำให้เธเซียสรู้สึกใจหายอย่างบอกมิถูก

กระทั่งการหารือขนาดย่อมจบลงด้วยความเรียบง่าย ขุนพลดีดะรัสและเหล่าราชองครักษ์จำนวนสามชีวิตก็ติดตามอีคารัสเพื่อดำเนินการตามราชโองการด้วยความเร่งด่วน ขณะที่ราชองครักษ์อีกสองนายกำลังยืนอารักขาอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าประภาคารด้านล่าง

“เหตุใดพระองค์จึงมิใช้คูคลองน้ำทะเลที่มุ่งหน้าสู่พระราชวังนอสซัสเป็นฐานทัพเรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเริ่มตั้งคำถาม เมื่อรอบกายเริ่มถูกโอบล้อมเพียงความเงียบงัน เนื่องจากเจ้าชายมิโนสกลับเอาแต่จับจ้องไปยังดวงตะวันกลมโตที่กำลังเคลื่อนหายไปจากผิวน้ำ
“เรามิอยากเปิดเผยเกี่ยวกับฐานทัพเรือมากนัก เพราะเรามิอยากให้ผู้ใดประเมินอำนาจทางการทหารของจักรวรรดิครีตันได้อย่างแม่นยำ” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสจึงสร้างความฉงนให้แก่เธเซียสมิใช่น้อย เพราะอำนาจทางการทหารสามารถสื่อถึงความมั่นคงของจักรวรรดินั้น ๆ ได้ แล้วเหตุใดบุรุษผู้นี้จึงมีความคิดผิดแผก

“เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะมันคือดาบสองคม ยิ่งข้าศึกประเมินศักยภาพได้มากเพียงใด ก็ยิ่งต้องหาทางทำลายศักยภาพนั้นในปริมาณที่มากกว่า แต่หากมิมีทางเลือกเราคงต้องยินยอมให้มันเป็นไปเช่นนั้น” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส เธเซียสก็มองเห็นภาพดังกล่าวได้ชัดเจนขึ้น เพราะเดิมทีเขาก็แฝงกายเข้ามาเป็นไส้ศึกเพื่อสืบหาจุดอ่อนของจักรวรรดิครีตัน เพื่อที่เสด็จพ่อจะได้นำไปวางแผนทางด้านการรบ ซึ่งการวางแผนก็ต้องมีความรอบคอบและรัดกุมเป็นเท่าตัว เนื่องจากพวกเขาต่างทราบพระราชอำนาจของจักรวรรดิครีตันอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นการเดิมพันที่เจ้าชายมิโนสเคยตรัสถึง จึงเป็นการเดิมพันที่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะถ้าหากเธเซียสทรยศต่อความรักและความไว้วางพระทัยเมื่อใด เกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าชายผู้นี้คงถูกย่ำยีจนป่นปี้

“กระหม่อมคิดว่าข้อเสนอเรื่องกำแพงเมืองคราก่อน คงถึงคราวที่พระองค์ต้องนำมาพิจารณาอย่างเร่งด่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางจับยึดขอบกำแพงของประภาคารอันสูงใหญ่ พร้อมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายจนตาปิด

“เราหยิบเอาคำแนะนำของเจ้ามาครุ่นคิดอยู่หลายครา แต่ก็ยังคิดมิตกเพราะเรามิอยากเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของชาวครีตันที่สร้างมากับมือ” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส เธเซียสก็เริ่มก้าวเข้าสู่พระหทัยของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกขั้น เนื่องจากทุกวันนี้ทุกชนชาติต่างหวั่นเกรงอำนาจทางการทหารที่เป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปาก จึงมิแปลกที่บริเวณเกาะแห่งไฟมักจะพบโจรสลัดเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่บ่อยครั้ง เหตุเพราะส่วนหนึ่งพวกเขาต่างมิกล้าผลีผลาม เมื่อจักรวรรดิครีตันขึ้นชื่อว่ามีอิทธิพลทางด้านการค้าครอบคลุมทะเลเมดิเตอร์เนียนทั้งหมด อีกทั้งยังมีสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้ปองร้ายต่อจักรวรรดิครีตัน ซึ่งเห็นตัวอย่างได้จากเสด็จพ่อของเธเซียสที่ถึงแม้จะเป็นชาวไมซีเนียนผู้ขึ้นชื่อเรื่องการรบ แต่ก็ยังหวั่นเกรงต่อความร้ายกาจของมิโนทอร์ และยังประมาทต่อภาพลักษณ์ที่เจ้าชายมิโนสล่อลวง

“การสร้างกำแพงเมืองมิถือเป็นการเปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้นพระองค์สามารถออกแบบให้ระดับความสูงเอื้อเฟื้อต่อความตั้งใจเดิมของพระองค์ได้ หรือหากจะสร้างให้สูงเทียบเท่ากำแพงเมืองของจักรวรรดิบาบิโลเนีย กระหม่อมก็ยังคิดว่ามิแปลก เพราะแม้แต่จักรวรรดิอียิปต์ก็ล้วนสร้างกำแพงเมืองอย่างใหญ่โตโอ่อ่า ยิ่งในกรณีของจักรวรรดิครีตันกระหม่อมกลับมองเห็นแต่ความได้เปรียบ เพราะตัวพระราชวังสามารถมองเห็นความเป็นไปภายนอกได้อย่างครอบคลุม ดังนั้นการสั่งการต่าง ๆ เกี่ยวกับกองทัพ พระองค์ล้วนทำได้อย่างเงียบเชียบและรัดกุม ส่วนเหล่าอาคันตุกะก็ใช้เส้นทางเดินเรือตรงบริเวณท่าเรือที่เชื่อมกับตัวพระราชวังได้มิใช่หรือ ?”
“สำหรับกระหม่อมกำแพงเมืองสามารถสื่อถือความหวั่นกลัว และความน่าเกรงขามได้พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นว่าเจ้าชายมิโนสยังคงแสดงท่าทีที่มิอาจคาดเดา เธเซียสจึงเริ่มกล่าวต่อไป เนื่องจากเขามีความกระตือรือร้นอยากจะช่วยคลายความกังวลของพระองค์อย่างเหลือล้น เหตุเพราะเพลานี้เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ดูอ่อนล้าอยู่มาก คงเพราะภาระหน้าที่เริ่มรุมเร้า

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
“การตีความล้วนขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของเมืองนั้น ๆ พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวอย่างมิกระจ่างแจ้ง แต่ก็ค่อนข้างตรงตัว

“ส่วนการกำจัดเหล่าโจรสลัด พระองค์สามารถใช้สอยมิโนทอร์และผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างกองกำลังของขุนพลดีดะรัสได้มิใช่หรือ” สิ้นคำกล่าวของเธเซียส ส่งผลให้บุรุษผู้สูงศักดิ์ชะงักงันไปชั่วขณะ
“พวกเขาสามารถดำน้ำลึกได้เป็นเวลานาน กระหม่อมคิดว่าความตั้งใจเดิมของพระองค์คงมิถูกทำลายจนหมดสิ้น”

“ข้อเสนอของเจ้าค่อนข้างทำให้เราแปลกใจ” กระทั่งได้สติเจ้าชายมิโนสจึงเอื้อนเอ่ยด้วยความแผ่วเบา
“แปลกใจอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามพลางจ้องลึกเข้าไปยังดวงเนตรที่กำลังไหวระริกอย่างแน่วแน่

“แปลกใจที่เจ้าประเมินมิโนทอร์ในทิศทางเช่นนี้” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยความยากลำบาก คล้ายกับมีก้อนเหนียวหนืดติดอยู่ในลำพระศอ เพียงแต่ก้อนประหลาดที่ว่าคงเป็นความกังวลในส่วนลึก
“คงเพราะกระหม่อมเคยเห็นเขากำลังปราบปรามโจรสลัดที่เกาะแห่งไฟกระมัง” เธเซียสกล่าวโดยมิคิดขยายความอันใด เหตุเพราะสิ่งที่ตนกำลังครุ่นคิดยังคงเป็นเพียงการวิเคราะห์
เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ตนมั่นใจก็คือ..
สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวคือมหาบุรุษผู้หนึ่งที่น่ายกย่อง

“สำหรับเจ้ามิโนทอร์คือ..” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางยุรยาตรเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างให้คำจำกัดความยาก
“มหาบุรุษแห่งครีตันพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลคำตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมมองจ้องบุรุษตรงหน้าด้วยหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำ
เหตุเพราะท่าทีของอีกฝ่ายกำลังบอกใบ้การคาดเดาจนหมดสิ้น

“บอกเราอีกคราได้หรือไม่” เจ้าชายมิโนสร้องขอพลางเชยปลายคางของเธเซียสให้สบกับดวงพักตร์ของพระองค์ด้วยความสั่นเทา
“สำหรับกระหม่อมมิโนทอร์คือมหาบุรุษที่น่ายกย่องพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่บุรุษผู้สูงศักดิ์ทราบคำตอบอันพึงประสงค์ คำพูดมากมายของเธเซียสจึงถูกกลืนกินด้วยจุมพิตสุดนุ่มนวล
แต่ทว่ารสชาติกลับเฝื่อนลิ้น
เมื่ออัสสุชล กำลังไหลริน

φ

[1] อัสสุชล แปลว่า น้ำตา
คำว่า มหาบุรุษ หมายถึง บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ คนที่เกิดมาทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่มหาชน (ที่มาของชื่อเรื่องและความเป็นเจ้าชายมิโนสกับมิโนทอร์จ้า)


บทความที่เกี่ยวข้อง
- Power of Volcano ความรุนแรงภูเขาไฟ
http://valcano2556.blogspot.com/p/blog-page_6573.html

สวัสดีค่าา วันนี้กลับมาอัพแล้วจ้า พอดีช่วงก่อนหน้านี้เรามีปัญหาเรื่องงานหนักมากเลยทำให้เขียนนิยายไม่ได้ แต่ตอนนี้เริ่มโอเคขึ้นแล้วก็เลยกลับมาปั่นได้เหมือนเดิมค่ะ ยังทันทำสถิติอัพทุกอาทิตย์ได้อยู่ 55 ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาให้กำลังใจทั้งเรื่องงานและเรื่องนิยายในทวิตด้วยนะคะ แล้วก็มีคนมาอ่านนิยายเรื่องนี้เพิ่มขึ้นด้วย บอกตรงๆ ว่าเราดีใจมากจริงๆ ค่ะ ลูกรักของเราอีกหนึ่งเรื่อง 555 แล้วยิ่งเป็นพล็อตในฝันก็เลยยิ่งดีใจเป็นพิเศษ สำหรับตอนนี้เราสัญญากับนักอ่านท่านนึงไว้ว่าจะเฉลยปมใหญ่ ก็... เฉลยแบบครึ่งๆ กลางๆ อีกแล้ว 555 แต่ตอนหน้าเราจะเฉลยแบบจริงจังแล้วค่า พอดีเราเขียนรายละเอียดก่อนฉากที่อยากเขียนเยอะไปหน่อย มันเลยยาวครบกำหนด 1 ตอนพอดี

แต่! รอบนี้ทั้งสองคนเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์แล้วนะจ๊ะ ส่วนตอนหน้า หึหึหึ เธเซียสจะต้องนองเลือดอีกมั้ย โปรดติดตามค่า เล่นแท็ก #มหาบุรุษแห่งครีตัน ได้นะคะ เผื่อจะมีคนบังเอิญมาเจอพล็อตในฝันของเรา 55555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:54:02 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 24

เสียงเป่าแตรเขาสัตว์เป็นจังหวะยาวนานในช่วงรุ่งสาง ส่งผลให้เกาะแห่งไฟที่เคยเงียบสงบเต็มไปด้วยความอึกทึก เนื่องจากเพลานี้กำลังก้าวเข้าสู่งานเทศกาลเดินเรือ เพียงแต่ความยุ่งยากและวุ่นวายกลับมีมากกว่าคราก่อน เหตุเพราะเหล่าราษฎร์ต่างขนย้ายทรัพย์สินส่วนบุคคลไปตามตรอกซอกซอยที่มุ่งหน้าสู่ลำเรือของพวกเขาอย่างขะมักเขม้น 

ฝ่ายเธเซียสและเจ้าชายมิโนสจึงตกอยู่ในสภาพมิต่างกัน เนื่องจากทั้งคู่จำต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทิศทางอันวกวนของพระราชวังแห่งเมืองอาโกรตรี เธเซียสจึงเริ่มกระจ่างแล้วว่า โครงสร้างแห่งความซับซ้อนคือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจักรวรรดิครีตัน โดยภาพวาดเฟรสโกของพระราชวังแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยภาพของเหล่าขุนพลในอิริยาบถต่าง ๆ มิว่าจะเป็นการอารักขาชาวเมืองครีตันโดยใช้หอกด้ามยาวและโล่หนังสัตว์เป็นทัพหน้า และยังมีภาพของการต่อสู้บนลำเรือขนาดใหญ่ เพียงแต่เธเซียสมิได้มีเวลาสำรวจงานศิลป์มากมายนัก เพราะเขาจำต้องอพยพออกจากหมู่เกาะธีราภายใต้คราบของงานเทศกาลเดินเรือตามราชประเพณี

ซึ่งเจ้าชายมิโนสทรงนำทางไปยังห้องใต้ดินอันคับแคบ คล้ายกับเส้นทางที่เธเซียสเคยได้ยินเคออสและบุรุษผู้สูงศักดิ์กำลังวางแผนจะปลิดชีพไส้ศึกอย่างเขา ทว่าแผนการทุกอย่างกลับล้มเหลว เมื่อบุรุษผู้เป็นเจ้าของจุมพิตรสเฝื่อนกลับลักซ่อนไส้ศึกอย่างเธเซียสไว้ที่โรงผลิตลาเบิน
และอาจดักทางราชองครักษ์คู่พระทัยด้วยการเรียกตัวไปยังเมืองอาร์คันส์

“หากเกิดเหตุภัยพิบัติ การหลีกหนีด้วยช่องทางลับของห้องใต้ดิน จะมิส่งผลเสียต่อสวัสดิภาพของพระองค์หรอกหรือ ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างมิเข้าใจ ขณะหมอบคลานด้วยความยากลำบาก ส่งผลให้บริเวณข้อศอกและหัวเข่าเกิดรอยช้ำ
“คงจะเป็นเช่นนั้น” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส เธเซียสที่กำลังคลานตามหลัง พลันหยุดการเคลื่อนไหวพร้อมส่งเสียงราวกับอนุชาตัวน้อยที่มิพอใจในคำตอบ

“การอพยพสำหรับกองทัพคือการฝึกฝนต่อการรับมือกับข้าศึก ส่วนการรับมือกับภัยธรรมชาติเราใช้วิธีโรยตัวจากหน้าผา เพราะใต้หน้าผาทุกจุดมีช่องเก็บเรือแอบแฝง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมิแน่ใจว่าวิธีนี้คือวิธีในการรับมือที่ดี เมื่อพวกเราต่างมิเคยล่วงรู้ว่าอันตรายจากภูเขาแห่งไฟมหาศาลเพียงใด” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงที่ค่อนข้างจริงจัง บ่งบอกได้ดีว่าพระองค์ทรงเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมากกว่าที่แสดงออก
“มีกระหม่อมอยู่ด้วยทั้งคน กระหม่อมเชื่อว่าพระองค์จะต้องค้นหาที่ตั้งของฐานทัพเรือที่เหมาะกับความเป็นไปของจักรวรรดิครีตันได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
“กระหม่อมเป็นไส้ศึก อย่างไรก็ต้องอ่านใจพวกเดียวกันออก” เธเซียสกล่าวด้วยความลืมตัว เมื่อใจเขาคิดอยากจะคลายความกังวลให้กับเจ้าชายพระองค์นี้

“ความจริงใจของเจ้าเรารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่เมื่อเพลานั้นมาถึง เจ้าจะมิคิดเสียใจต่อการทรยศบ้านเมืองเพราะเราหรอกหรือ ?” สิ้นดำรัสคล้ายเตือนสติ ความเงียบงันก็ปกคลุมรอบกายอย่างแน่นหนา
เพราะต่างฝ่ายต่างหมอบคลานไปจนถึงสุดปลายอุโมงค์
ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ที่อยู่มิไกลจากท่าเรือจึงปรากฏสู่สายตา

“ปกป้องเรา!” แต่แล้วเจ้าชายมิโนสก็ตรัสด้วยสุรเสียงอันแข็งกระด้าง พลางส่งดาบด้ามยาวให้แก่เธเซียส เมื่อภาพตรงหน้าคือทหารกลุ่มหนึ่งที่กำลังรับมือกับเชลยศึกจากนูเบีย โดยใช้หอกปลายแหลมและโล่ทองแดงหุ้มด้วยหนังสัตว์ สกัดกั้นบุรุษผู้เปรียบเสมือนข้าศึกราวกับภาพวาดเฟรสโกที่เคยเห็น
เท่ากับว่าแผนการรับมือต่อข้าศึก ล้วนถูกบอกเล่าผ่านศิลปะบนกำแพง
จะมีก็แต่เธเซียสที่มิเคยล่วงรู้ถึงความเป็นจริงในข้อนี้ เหตุเพราะผู้อยู่เบื้องหลังหากมิใช่เจ้าชายมิโนสก็คงเป็นเคออสกระมัง

“หากการซุ่มซ้อมเอาจริงเอาจังถึงเพียงนี้ พระองค์ควรอธิบายให้กระหม่อมเข้าใจอย่างละเอียดนะพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวท้วงพลางวิ่งไปตามแรงฉุดรั้งของเจ้าชายมิโนสด้วยการก้าวเท้าให้ยาวที่สุด พร้อมหันไปมองยังด้านหลังเป็นระยะ พบว่าทัพหลังอันประกอบด้วยราชองครักษ์จำนวน 5 นายกำลังถอยล่นตามสัญญาณแห่งการหลบหนี แต่กระนั้นเหล่าไส้ศึกจอมปลอมจำนวนหลายสิบชีวิตกลับตีวงล้อมทัพหลังอย่างใจเย็น
“เราคิดว่าเจ้าทราบจากเคออสแล้วเสียอีก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางกอบกุมฝ่ามือของเธเซียสอย่างแนบแน่น จนเธเซียสรู้สึกเจ็บแต่ก็มิกล้าทักท้วง

“ตั้งแต่พระองค์เสด็จกลับมาจากเมืองอาร์คันส์ กระหม่อมกับเคออสยังมิเคยได้คุยกันสักคำ” เธเซียสกล่าวพลางมองบุรุษตรงหน้าด้วยความแคลงใจ แต่เมื่อเหลือบไปเห็น ‘ดาบ’ ที่ปลายด้ามทำจากทองคำอย่างวิจิตรงดงามที่อีกฝ่ายประทานให้ ความสับสนในการคาดเดาก็ยิ่งบังเกิด
“เขามิได้บอกเจ้าผ่านภาพวาดเฟรสโกเกี่ยวกับเทศกาลการล่องเรือหรอกหรือ ?” เจ้าชายมิโนสทรงย้อนถามราวกับหลงลืมไปแล้วว่า ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงวางแผน ‘กำจัด’ ยอดดวงใจของพระองค์เอง
แล้วเหตุใดเคออสที่เป็นถึงสหายคู่คิดจะต้องบอกกล่าว ‘อาวุธ’ ในการปลิดชีพ

“ท่ามิดีแล้ว หนีไป!” ฉับพลันที่เจ้าชายมิโนสเริ่มมองสภาพการณ์ออก พระองค์จึงตรัสกับเธเซียสเป็นภาษากรีกพร้อมรั้งกายอีกฝ่ายเข้ามาใกล้พลางกระซิบเพียงแผ่ว..
“พายัพ ”

จากนั้นพระองค์ก็ผลักกายเธเซียสไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือจนสุดแรง ฝ่ายเธเซียสก็มิได้อิดออด เหตุเพราะเขาเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า หมายกำหนดการณ์สำหรับปลิดชีพไส้ศึกผู้อาจหาญ คือวันแห่งงานพระราชพิธีอันสุดแสนชุลมุน ซึ่งบุรุษผู้เป็นเจ้าของแผนการดังกล่าว อาจกำลังใช้แผนซ้อนแผนจึงมิได้บอกกล่าวอันใดแก่เขา นอกจากพระราชทาน ‘อาวุธ’ ไว้ป้องกันตัว
สองขาของบุรุษจากต่างแดนจึงเร่งความเร็วด้วยหัวใจเต็มตื้น

กระทั่งเธเซียสเดินลงเขาด้วยเส้นทางดินอันเล็กแคบก็พบกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยลำเรือของเหล่าราษฎร์ที่มิได้วิจิตรตระการตาเหมือนกับเรือธงของนายทหารมากยศที่กำลังลอยล่องอยู่ท่ามกลางท้องทะเลสีฟ้าครามด้วยความน่าเกรงขาม ดวงตาคมกริบจึงกวาดมองไปทั่วบริเวณพบว่าทางทิศตะวันตกมีถ้ำหินตั้งตระหง่าน ดำรัสของเจ้าชายมิโนสจึงปรากฏในความคิด สองเท้าของเธเซียสจึงก้าวเดินด้วยความรวดเร็ว เพื่อที่จะได้นำพาตนเองออกจากเกาะธีราโดยสวัสดิภาพ
และเจ้าชายมิโนสจะได้มิต้องเป็นกังวล

“ช่องเก็บเรือ” เมื่อเหยียบย่างเข้ามายังถ้ำอันกว้างใหญ่และมืดมิด เธเซียสก็บ่นพึมพำอย่างใช้ความคิดเพราะการจะหา ‘เรือ’ สักลำที่ทหารครีตันแอบซ่อนไว้มิใช่เรื่องง่าย ดวงตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงกวาดมองไปทั่วบริเวณ แต่ทว่าความมืดมิดกลับเป็นอุปสรรค เธเซียสจึงหลับตาจมจ่อมอยู่กับความเงียบสงบพร้อมใช้ฝ่ามือละไปตามผนังถ้ำเพื่อคลำหาเส้นทางปลอดภัย

กระทั่งได้ยินเสียงน้ำไหลเธเซียสจึงเพ่งสมาธิให้มากขึ้น พร้อมก้าวเดินไปยังเส้นทางดังกล่าว จากนั้นปลายเท้าก็พลันเปียกชื้นบ่งบอกได้ดีว่าเขากำลังเดินอยู่บนสายน้ำเย็นฉ่ำ แววตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงเพ่งมองไปยังบริเวณปลายเท้าปรากฏสายน้ำสีมรกต บุรุษจากต่างแดนจึงแหงนมองเพดานถ้ำ พบว่าด้านบนเต็มไปด้วยแสงสีมรกตห้อยระย้าอย่างงดงาม
เขาจึงจดจ้องด้วยความหลงลืมว่า...
สถานการณ์ในเพลานี้ค่อนข้างอันตราย

แต่แล้วเสียงแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงก็เริ่มฉุดรั้งความสนใจจากเธเซียสได้อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ยังสร้างบาดแผลตรงบริเวณข้างแก้มของบุรุษผู้ซึ่งตกเป็นเป้านิ่งได้อย่างดีเยี่ยม จากนั้นอาวุธร้ายจากการแผลงศรก็ปักลงบนหนอนตัวหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดของแสงสีมรกตทะลุผ่านผนังถ้ำจนมิดหัว
บ่งบอกได้ดีว่าฝีมือของนักธนูผู้นี้มิควรประมาท

เธเซียสจึงกวาดตามองไปยังต้นทางของวิถีลูกศรแต่ก็มิพบผู้ใด ดาบด้ามยาวจึงถูกกระชับแน่นด้วยความเคร่งเครียด เพราะเขารู้ซึ้งแล้วว่าทหารครีตันมิใช่บุคคลที่คู่ควรจะต่อกร แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมิหมดหวัง เขาจึงเพ่งสมาธิให้มากขึ้น ซึ่งมันก็พอดีกับจังหวะที่ห่าลูกศรพุ่งเข้าใส่ บุรุษในที่แจ้งจึงทำได้เพียงเหวี่ยงปลายดาบปัดป้องวิถีธนูมิให้ปักอก
ซึ่งมันก็มิใช่เรื่องง่าย เขาจึงพลาดเจ็บตัวอยู่หลายครา

“นักรบเช่นเจ้า เหตุใดจึงขี้ขลาดตาขาว” เธเซียสประกาศก้องหวังจะยั่วโมโหให้อีกฝ่ายเผยตัว แต่ปรากฏว่าลูกศรจากวัสดุสุดทนทานกลับยิ่งโหมกระหน่ำ และมันก็แฉลบบริเวณข้อมือไปเพียงนิด แต่กระนั้นดาบด้ามยาวก็ถูกปัดตกลงสู่ผืนน้ำ เธเซียสจึงรีบก้มเก็บแต่กลับถูกขัดขวางจนต้องถอยออกไปตั้งหลัก

“มิเจอกันนาน” กระทั่งเธเซียสกลายสภาพเป็นหมาจนตรอก บุรุษผู้เป็นเจ้าของห่าฝนจากลูกศรนับสิบก็พลันปรากฏ ความทรงจำของเธเซียสจึงย้อนกลับไปยังการเดินทางออกนอกเขตพระราชฐานเป็นครั้งแรก ซึ่งวันนั้นเจ้าชายมิโนสทรงให้ความสนพระทัยต่อข่าวสารของบุรุษผู้นี้เป็นอย่างมาก เพราะชาวอัสซีเรียถือเป็นผู้นำทางด้านอาวุธอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกเขาใช้ ‘เหล็ก’ ซึ่งมีประสิทธิภาพต่อการทำลายล้างได้อย่างแม่นยำและรุนแรงเป็นอาวุธ
มิเช่นนั้นหัวลูกศรคงมิอาจปักผนังถ้ำเสียจนมิดหัว

“สภาพของเจ้าช่างน่าอดสูมิหยอก” บุรุษผู้แสนองอาจถือคันศรด้วยท่าทีสุดเกรงขามพร้อมสะพายกระบอกบรรจุอาวุธร้ายที่แอบลักจำมาจากอัสซีเรีย ราวกับต้องการข่มขวัญบุรุษจากต่างแดนที่ในตอนนี้มีเพียงร่างกายที่พอจะใช้เป็นอาวุธ และมันก็ค่อนข้างเสียเปรียบ
เธเซียสจึงเหลือบมองไปยังดาบด้ามยาวที่กำลังซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวน้ำอันตื้นเขิน บุรุษผู้มีไหวพริบจึงคิดคำนวณว่าเขาควรจะวิ่งไปคว้าอาวุธพระราชทาน หรือควรจะไถลตัวโดยใช้แรงส่งจากกระแสน้ำเป็นตัวช่วย

“ประมือกันสักหน่อยคงเพลิดเพลินมิหยอก” โครนัสกล่าวพลางก้าวเดินไปยังลูกศรคันหนึ่งที่นอกจากจะสร้างบาดแผลบนใบหน้าให้กับเธเซียสยังสามารถปลิดชีพหนอนสีมรกต พร้อมออกแรงดึงหัวลูกศรราวกับสุดแสนเสียดายที่ต้องทิ้งขว้างอาวุธร้าย เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวรีบไถลตัวไปคว้ามีดดาบด้ามยาวอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่ากลับมิได้รวดเร็วไปกว่า ‘เพชฌฆาต’ อย่างโครนัส

“อ๊ากกกกกกกกก” เธเซียสร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เมื่อการแผลงศรในระยะประชิดของโครนัส กลับตรึงมือของเธเซียสไว้กับดินทรายภายใต้ผิวน้ำอันตื้นเขิน พร้อมใช้ปลายเท้ากดย้ำปลายลูกศร
ราวกับจะตอกตรึงให้บุรุษผู้เป็นไส้ศึกได้ล่วงรู้ถึงรสชาติของการลองดี

“ศพเจ้าควรโยนให้มิโนทอร์กิน หรือว่าส่งกลับไปให้บิดาเจ้าที่ไมซีเนียน?” โครนัสยิ้มเยาะพลางกดปลายเท้าด้วยน้ำหนักที่มากกว่าเดิม ส่งผลให้เธเซียสจำต้องกัดฟันแน่น พร้อมส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
“เห็นทีเจ้าคงต้องส่งเรากลับไมซีเนียนกระมัง เกรงว่ามิโนทอร์จะมิกล้าฆ่าเรา” เธเซียสกล่าวด้วยวาจาสุดแสนเย่อหยิ่งอันเป็นทาสแท้ของเจ้าชายฮาเดรียน พร้อมใช้ฝ่ามือข้างที่ว่างควานหามีดดาบภายใต้ผิวน้ำ
เพื่อหวังอาศัยทีเผลอตลบหลังอีกฝ่าย

กระทั่งสบโอกาสเหมาะเธเซียสจึงรีบคว้ามีดดาบพร้อมกระชากออกจากปลายเท้าของบุรุษผู้ได้เปรียบจนสุดแรง จากนั้นจึงตวัดคมดาบไปยังท่อนขาของบุรุษผู้นั้น แรงกดทับตรงบริเวณบาดเจ็บจึงเริ่มห่างหาย เมื่อโครนัสผงะถอยห่างจากวิถีอันตราย เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวกระชากฝ่ามือออกจากกองทรายภายใต้ธารน้ำ และวิ่งตรงไปยังทางออกเดิมอย่างมิคิดชีวิต แม้ขาจะสั่นเพราะอาการบาดเจ็บจากบาดแผลอันเหวอะหวะของฝ่ามือซ้ายที่ยังถูกตอกตรึงด้วยลูกศรจาก ‘เหล็ก’
เขาจึงกลั้นใจเพียงครู่เพื่อดึงอาวุธสุดอันตรายออกจากฝ่ามือด้วยความรวดเร็ว
ขณะที่สองขากลับสับเท้าวิ่งอย่างคนหนีตาย

ซึ่งเขามิทันคาดคิดว่าจะมีบุรุษอีกผู้รอคอยอยู่ตรงทางออก ดาบด้ามยาวจึงพาดผ่านลำตัวของเธเซียสในแนวเฉียง ส่งผลให้บุรุษจากต่างแดนจำต้องล้มลงอย่างหมดสภาพ เมื่อคมดาบจากเหล็กกดย้ำผิวเนื้ออย่างหนักแน่น โลหิตจำนวนมากไหลจึงอาบผิวดินบริเวณหน้าถ้ำอย่างสยดสยอง โดยที่เธเซียสมิอาจใช้ไหวพริบที่ตนเองมีในการแก้ไขสถานการณ์
เขาจึงถูกขุนพลระดับสูงกลุ้มรุมทุบตีจนเลือดกระอักและสุดท้ายปัสสาวะก็รินไหล นายทหารผู้โหดเหี้ยมจึงเริ่มลามือด้วยการนำร่างของผู้บาดเจ็บไปยังลำเรือที่จอดแน่นิ่งอยู่ริมหาดทราย

“ว่าไปแล้วหากข้าส่งศพของเจ้ากลับไมซีเนียน เสด็จพ่อของเจ้าคงจะเสียหน้ามิเบา” โครนัสกล่าวพลางมัดฝ่ามือของเธเซียสเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ขณะที่บุรุษผู้ดำรงหน้าที่ราชองครักษ์เมื่อครั้งออกนอกเขตพระราชฐานก็มัดปลายเท้าของเธเซียสจนเริ่มด้านชา
“ลาก่อน” สิ้นคำสั่งเสียจากบุรุษทั้งสอง ร่างของเธเซียสก็ถูกโยนลงสู่ก้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอย่างมิคิดลังเล โดยที่เธเซียสก็เริ่มรู้สึกปลงตก ตั้งแต่ถูกกลุ้มรุมทุบตีและยังถูกลากถูกลู่ถูกังจากบริเวณปากถ้ำมายังลำเรือ
เพราะถึงอย่างไร..
‘ไส้ศึก’ ก็มิอาจหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนี้ไปได้

φ

edit 31/05/2019 : แก้จากโล่เหล็กเป็นโล่ทองแดงค่ะ เพราะในเรื่องยังไม่ถึงยุคเหล็ก

มาอัพต่อแล้วจ้า สำหรับตอนที่แล้วและตอนนี้เราขอบอกก่อนว่าจากที่เราเคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับเมืองอาโกรตรีตามการวิเคราะห์เค้าบอกว่าหลังจากเกาะธีราถูกภูเขาไฟทำลายล้างจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง แต่ไม่มีศพของชาวมิโนอันปะปนอยู่เลย บ่งบอกได้ว่าชาวมิโนอันมีการอพยพก่อนจะเกิดภูเขาไฟระเบิด เราเลยใช้ข้อมูลตรงนี้มาเขียนเพื่อเสริมสร้างความชาญฉลาดของเจ้าชายมิโนสและขุนพลต่าง ๆ แต่ในความเป็นจริงเขาสันนิษฐานกันอีกว่ามิโนอันล่มสลายเพราะเกิดสึนามิหรือถูกชาวไมซีเนียนเข้ามาตีเมือง ฉะนั้นแล้วความชาญฉลาดของเจ้าชายมิโนสก็ยังไม่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นเราจึงเอาหลายๆ เหตุผลมาประกอบกันค่ะ (แต่เราจำไม่ได้แล้วว่าอ่านมาจากเว็บไหน แต่จำได้ว่าเป็นภาษาอังกฤษ -*-)
ปล. ตอนแรกว่าจะเฉลยแบบจังๆ เกี่ยวกับมิโนทอร์แหละ แต่.. เขียนฉากต่อสู้เพลินอีกแล้ว 555

อันนี้คือรูปถ้ำเรืองแสงที่นิวซีแลนด์ค่ะ แสงพวกนี้มาจากหนอนชนิดหนึ่ง เราเลยเอามาใส่ประกอบฉาก
พอดีเห็นว่ามันเป็นธรรมชาติที่แปลกตาและสวยงามดี

https://i.imgur.com/jV4GrMA.jpg
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 19:58:06 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 25

เธเซียสมิเคยล่วงรู้ว่าผืนสมุทรท่ามกลางแสงสุริยะจะให้ความอบอุ่นถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นความเค็มจาก ‘เกลือทะเล’ ก็กัดกินบาดแผลของเขาอย่างมิปรานี ความเจ็บแสบจึงแล่นพล่านทั่วสรรพางค์กาย ขณะที่ลมหายใจกลับเริ่มไร้เรี่ยวแรงจะอดกลั้น เนื่องจากเธเซียสมิได้มีความสามารถดังเช่นชาวครีตันแห่งเกาะธีรา อีกทั้งสภาพร่างกายก็ค่อนข้างร่อแร่
ดังนั้นแสงสุริยะเหนือผิวน้ำที่ค่อนข้างรางเลือน จึงมิต่างกับชะตาชีวิตอันมืดมน

“แค่ก” บุรุษจากต่างแดนสำลักน้ำอย่างสุดแสนทรมาน เมื่อจู่ ๆ เขาก็ยกยิ้มราวกับผู้โง่เขลา เหตุเพราะการกระทำของทหารครีตันล้วนบอกได้เป็นอย่างดีว่าการตายด้วยสภาพเช่นนี้ ถือว่าได้รับความปรานีอย่างมากแล้ว เพราะเดิมทีชาวไมซีเนียนคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านการรบ ดังนั้นหาก ‘ศพ’ ของเธเซียสถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิด เสด็จพ่อคงจะทรงกริ้วและเสียหน้าจนมิอาจแสดงตนว่าเป็นชาวไมซีเนียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ เหล่าทหารกล้าที่เข้าใจความรู้สึกในส่วนนี้จึงมอบความเมตตาดังกล่าวให้แก่ชาวไมซีเนียน
ฉะนั้นการที่ ‘ศพ’ ของเธเซียสถูกทิ้งดิ่งลงสู่ก้นสมุทร คงจะเป็นเรื่องสุนทรีย์อย่างหนึ่งของทหารครีตัน
เพราะท้ายที่สุดชาวไมซีเนียนก็เป็นได้เพียงกลุ่มคนผู้โง่เขลา

คิดได้เช่นนั้นเธเซียสก็เริ่มหลับตาจมดิ่งสู่ความตาย พร้อมวอนขอองค์เทพโพไซดอนที่มิรู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เพราะหลังจากนี้สิ่งที่เขาห่วงหามากที่สุด คงมีเพียงเจ้าชายมิโนสหรือมิโนทอร์ผู้เป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน เนื่องจากตลอดมาบุรุษผู้นี้มิเคยได้รับความรักจากผู้เป็นบิดาและมารดา เธเซียสจึงปรารถนาให้บุรุษที่ครอบครองพื้นที่ในดวงใจพบเจอแต่ความสุนทรีย์
แต่แล้วความคิดกลับต้องหดหาย เมื่อจู่ ๆ โลมายักษ์ตัวหนึ่งกลับใช้จงอยปากดุนดันเนื้อตัวของเธเซียสให้ลอยล่องอยู่เหนือผืนทรายภายใต้ก้นทะเล เธเซียสจึงเริ่มจดจำสัตว์ทะเลผู้ชาญฉลาดขึ้นมาได้
เพราะเขาเคยเห็นมันที่ห้องใต้ดินของพระราชวังนอสซัส

เรี่ยวแรงมากมายจึงพลันตื่นตัว บุรุษผู้เกือบจะเอื้อมแตะความตายจึงกลั้นลมหายใจจนสุดความสามารถ พร้อมตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด แต่กระนั้นก็มิอาจกระทำได้ตามใจ
ฉับพลันเงาดำทะมึนขนาดมหึมาก็ปรากฏ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงแหงนมองไปยังทิศทางดังกล่าว

พบร่างของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งที่มีหัวเป็นวัวมีตัวเป็นคนกำลังดำดิ่งลงมายังก้นทะเล หัวใจของเธเซียสจึงเริ่มเต้นระรัวเมื่อได้เห็นมิโนทอร์ปรากฏตัวในเพลานี้ ซึ่งการเคลื่อนไหวของมหาบุรุษแห่งครีตันภายใต้ผิวน้ำค่อนข้างคล่องแคล่ว เพราะเวลาเพียงมินานขวานลาบริสอันใหญ่ยักษ์ก็ตัดเกลียวเชือกที่พันธนาการร่างกายของเธเซียสจนขาดสะบั้น
ขณะที่โลมาลูกสมุนกลับเริ่มแสดงท่าทีสุดคึกคัก

กระทั่งอิสระมาเยือนเธเซียสจึงโอบรอบลำคอของมิโนทอร์ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เหตุเพราะเพลานี้เขาต้องช่วยเหลือตนเองให้มาก เนื่องจากมิโนทอร์มีร่างกายสูงใหญ่ จึงมิอาจฉุดรั้งเธเซียสขึ้นสู่ชายฝั่งด้วยเรี่ยวแรงที่มิสร้างความบาดเจ็บ
ดังนั้นสภาพของเธเซียสจึงมิต่างกับปลาเหาฉลาม

เธเซียสจึงอาศัยจังหวะที่เริ่มมองเห็นเงาร่างของมิโนทอร์ได้อย่างชัดแจ้ง พบว่าลักษณะทางกายภาพค่อนข้างอัปลักษณ์ อาจเพราะส่วนหัวคล้ายกับบริวารของเจ้าแม่ ขณะที่ลำตัวกลับมีกล้ามเนื้อสุดองอาจสมกับเป็นนักรบ
แต่กระนั้นปลายเท้ากลับถูกแทนที่ด้วยกีบเท้าราวกับวัว
ซึ่งเธเซียสมิได้คิดรังเกียจ อาจเพราะเนื้อแท้ของ ‘มิโนทอร์’ ยังคงเป็นบุรุษในดวงใจ

บุรุษจากต่างแดนลอบยิ้มเพียงนิด เมื่อเจ้ามิโนทอร์ใช้ฝ่ามืออันใหญ่ยักษ์รองใต้ปลายเท้า ราวกับเป็นกังวลว่าเรี่ยวแรงของเธเซียสจะหมดสิ้น ดังนั้นฝ่ามือคู่นี้จึงคอยรองรับน้ำหนักตัวของผู้บาดเจ็บไปตลอดเส้นทางของการไต่ระดับขึ้นสู่ผิวน้ำ
กระทั่งปลายจมูกสัมผัสอากาศบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก เธเซียสจึงเริ่มกักเก็บลมหายใจราวกับผู้ตะกละตะกลาม กว่าจะล่วงรู้ว่าบรรยากาศแตกต่างกับช่วงเวลาก่อนหน้า อสนีบาตก็ฟาดเปรี้ยงลงสู่ผิวน้ำ เมฆหมอกดำทะมึนราวกับทวยเทพกำลังพิโรธ เสริมสร้างความตื่นตระหนกให้แก่เธเซียสได้เป็นอย่างดี เหตุเพราะเพลานี้เขากำลังโอบกอดลำคอของเจ้ามิโนทอร์ที่มีความสูงเทียบเท่าหน้าผาอันลาดชัน
ประสบการณ์เอื้อมแตะผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยความพิโรธจึงค่อนข้างน่าสยดสยอง

จากนั้นเธเซียสก็ปล่อยตัวลงสู่ฝ่ามือใหญ่ของเจ้ามิโนทอร์ด้วยความเชื่อใจ ขณะที่อีกฝ่ายค่อย ๆ ลดระดับความสูง ซึ่งมันก็พอดีกับสายฝนเริ่มโหมกระหน่ำ มหาบุรุษแห่งครีตันจึงรีบก้าวเดินเข้าสู่ชายฝั่ง ขณะที่เธเซียสเริ่มนอนขดตัวอย่างหมดเรี่ยวแรง เนื่องจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เขาฝืนกายต่อสู้กับชะตาชีวิต เพลานี้ร่างกายจึงอ่อนล้าแววตาจึงปิดสนิท
แต่ทันทีที่หยาดฝนตกกระทบลงบนฝ่ามือ ความเจ็บแสบก็นำพาให้เขามิอาจหลับใหล

กระทั่งก้าวเข้าสู่ปากถ้ำเสียงลมหายใจของเจ้ามิโนทอร์ก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ เธเซียสจึงลืมตามองเพดานถ้ำ พบว่าถ้ำแห่งนี้คือถ้ำทางทิศตะวันตกที่ตนถูกลอบสังหาร เพราะตรงมุมหนึ่งปรากฏแสงไฟระย้าสีเขียวมรกตของหนอนชนิดหนึ่ง เพียงแต่มิได้มากมายเท่ากับเส้นทางใกล้ธารน้ำ บุรุษผู้บาดเจ็บจึงนอนแผ่หลา ราวกับคาดหวังว่าความงดงามจากธรรมชาติจะทำให้เขาลืมเลือนความเจ็บปวดเพียงชั่วขณะ
แต่แล้วแสงไฟสีเขียวมรกตก็มิอาจดึงดูดความสนใจจากบุรุษผู้บาดเจ็บได้มากเท่ากับความตาย

“เธเซียส” สุรเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมแรงปะทะบริเวณหน้าผาก ส่งผลให้เจ้าของนามเริ่มได้สติจึงพยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งอยู่นานสองนาน จนในที่สุดภาพของเพดานถ้ำก็ถูกแทนที่ด้วยดวงพักตร์ของเจ้าชายมิโนสในสภาพที่มิได้สง่างามนัก อาจเพราะช่วงเวลาที่เธเซียสหลีกหนีจากอันตราย เหล่าราชองครักษ์คงจะขัดขวางทุกวิถีทาง เนื่องจากหากมิอาจสกัดกลั้นนายเหนือหัวเอาไว้ได้ ไส้ศึกจากไมซีเนียนคงจะอยู่รอดปลอดภัย
“เราจะพาเจ้าไปหาหมอหลวง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยนพร้อมลูบเรือนผมของบุรุษผู้บอบช้ำอย่างทะนุถนอม ราวกับพระองค์กำลังหวาดกลัวว่า ‘แสงสว่าง’ ดวงนี้จะดับสูญไป

“ถึงมือหมอหลวงเมื่อใด เจ้าค่อยหลับได้หรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามพลางช้อนกายผู้บาดเจ็บขึ้นแนบอกและก้าวเดินลึกไปยังด้านในของตัวถ้ำ ขณะที่เธเซียสได้แต่ผงกหัวเป็นคำตอบอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาจึงพยายามเพ่งสายตาไปยังแสงสีเขียวมรกตที่ปรากฏอยู่ภายในถ้ำสลับกับดวงพักตร์อันเคร่งขรึมของเจ้าชายพระองค์นี้

“ทุกคราที่เราเดินทางมายังเกาะธีรา เรามักใช้เวลาอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง และเราก็เคยวาดฝันว่าจะพาเจ้ามาที่นี่ แต่มิสบโอกาสเพราะสถานที่แห่งนี้มิใช่ความลับ เราจึงต้องพาเจ้าไปที่โรงผลิตลาเบิน” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงอันเต็มตื้นไปด้วยความอบอุ่น เมื่อพระองค์กำลังสรรหาเรื่องราวมาพูดคุยกับเธเซียสเพื่อมิให้หลับใหล จึงทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่าถ้อยคำเกี่ยวกับ ‘แผนการปลิดชีพ’ อาจมีบางสิ่งบิดเบือนจากการรับรู้ แต่กระนั้นก็มิได้หมายความว่ามันมิเคยเกิดขึ้นจริง

“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่เราก็ทราบดีอยู่แล้ว เพราะเราคือผู้วางแผน” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิคิดปิดบัง ขณะที่เธเซียสยังคงพยายามเพ่งมองรอบกายอย่างสุดความสามารถ

“ช่วงที่เจ้าบาดเจ็บเพราะถูกเราในอีกตัวตนหนึ่งทำร้าย เรามิกล้าสู้หน้าเจ้าและยังคิดมิตกกับภาระหน้าที่อันมากมาย แต่นั่นก็ยังมิเท่าความกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของเจ้า เพราะเรารู้จักนิสัยเคออสดี แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังประมาทจนทำให้เจ้าถูกลอบสังหารเช่นนี้ เรารู้สึกละอายใจ ทั้ง ๆ ที่เราบอกเจ้าว่า เรายอมเดิมพันความรักครั้งนี้ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ผู้ใต้บังคับบัญชากลับทำให้วาจาของเรากลายเป็นเพียงคำพูดที่มิน่าเชื่อถือ และในทางกลับกันพวกเขาก็ทำให้เรารู้สึกว่าตนเองมิมีคุณสมบัติต่อการเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี เพราะเรามิสามารถเลือกได้ว่าความรักหรือบ้านเมืองสำคัญมากกว่ากัน” สิ้นความในใจจากเจ้าชายมิโนส หัวใจของเธเซียสก็เหมือนโดนถ่วงด้วยก้อนหิน เพราะความรู้สึกของเขากำลังปั่นป่วน เนื่องจากหลังรอดพ้นจากความตายเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่ยังอยากจะไขว่คว้าหาความรักจากเสด็จพ่อ

“แต่วันนี้เราลั่นวาจาไปแล้ว หากเจ้าสร้างความเดือดร้อนให้แก่ครีตัน เราจะปลิดชีพเจ้าด้วยตัวเราเอง” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงเยือกเย็น บ่งบอกได้ว่าการตัดสินพระทัยในครานี้ เต็มไปด้วยความจริงจังและรู้เท่าทัน
จึงส่งผลให้บุรุษผู้บาดเจ็บจำต้องเม้มปากแน่น

หลังจากนั้นความเงียบงันอันแสนอึดอัดก็ปกคลุมรอบกายของบุรุษทั้งสอง เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวปิดเปลือกตาของตนราวกับแสงสีมรกตก็มิอาจดึงดูดความสนใจจากตนได้
เขาจึงค่อย ๆ ดำดิ่งลงสู่การหลับใหล ลึกลงไปทุกที ทุกที..

“เธเซียส” ทันทีที่ภวังค์เริ่มจมดิ่ง สุรเสียงมากด้วยอำนาจทางจิตใจก็ร้องเรียกราวกับมิยอมปลดปล่อย ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจึงค่อย ๆ กระพริบปริบปรือ พบว่าเพลานี้ตนเองถูกพามายังบริเวณหนึ่งของตัวถ้ำซึ่งเป็นพื้นที่เก็บซ่อนเรือลำเล็กเป็นจำนวนมาก
“เราเชื่อใจเจ้า แม้ว่าเจ้าจะยังมิเชื่อใจตนเอง แต่เราเชื่อว่าสักวันเจ้าจะรู้สึกเหมือนอย่างที่เรารู้สึกในวันนี้” ถ้อยคำกำกวมของเจ้าชายมิโนสที่กำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยของลำเรือ สร้างความฉงนให้แก่เธเซียสมิใช่น้อย
แต่กระนั้นเธเซียสก็มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาปล่อยวางความรักและความไว้วางใจจากเสด็จพ่อ

“เธเซียส..” บุรุษผู้สูงศักดิ์เอ่ยนามของผู้บาดเจ็บ ราวกับพระองค์ประสงค์จะตรวจตราให้แน่ใจว่าเธเซียสมิได้หลับใหล บุรุษผู้เป็นเจ้าของนามนั้นจึงลืมตาพร้อมกวาดมองไปทั่วบริเวณอีกครั้ง พบว่าเจ้าชายมิโนสกำลังเสด็จไปยังมุมหนึ่งที่ค่อนข้างลับตาผู้คน เพื่อสวมใส่ฉลองพระองค์ ซึ่งเธเซียสสามารถจินตนาการผ่านเงาสะท้อนบนผนังถ้ำได้อย่างชัดแจ้ง
เหตุเพราะไฟระย้าสีเขียวมรกตกำลังส่องแสงเรืองรองไปทั่วบริเวณ

“เจ้าอยากฟังเรื่องของเราหรือไม่” บุรุษในฉลองพระองค์อันประกอบด้วยผ้าเตี่ยวและกระโปรงคิลท์ลวดลายมิได้ประณีต บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสถานที่แห่งนี้อาจเป็นสถานที่ในการอำนวยความสะดวกหลังจากที่เจ้าชายมิโนสทรงแปลงกายเป็นมิโนทอร์
“แต่มันอาจจะเหนือธรรมชาติสักหน่อย” บุรุษผู้สง่างามกล่าวพลางโอบอุ้มเธเซียสวางลงบนเรือพายขนาดหนึ่งกรรเชียงที่ส่วนท้ายมีลักษณะโค้งงอราวกับหางแมงป่อง จากนั้นพระองค์ก็นำเชือกเส้นใหญ่ผูกกับส่วนหัวของลำเรือเพื่อลากจูงไปตามธารน้ำ เพียงแต่พระองค์มิได้มุ่งหมายไปยังเส้นทางเดิม ขณะที่เธเซียสก็เริ่มเค้นเสียงเพื่อตอบรับอย่างกระตือรือร้น

“เดิมทีเราเป็นเพียงเด็กชายผู้มิประสีประสา” เจ้าชายมิโนสเกริ่นนำด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง พลางฉุดรั้งลำเรือที่มีเธเซียสนอนนิ่งอยู่ในนั้นอย่างนุ่มนวล แต่ทว่าความต่างระดับของผืนทรายภายใต้ธารน้ำกลับทำให้กระเทือนถึงบาดแผล แต่กระนั้นเธเซียสก็มิร้องโอดโอย
“ยังวิ่งเล่นจนทั่วโรงผลิตลาเบินแทบทุกวัน บางวันก็แอบขโมยลาเบินมากินกับน้ำผึ้งบนกำแพงใต้ต้นไม้ใหญ่” เรื่องเล่าของเจ้าชายมิโนสทำให้เธเซียสทราบว่า บุรุษผู้นี้เกิดก่อนที่กษัตริย์ไมนอสจะขึ้นครองราชย์

“ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เรามีความสุขมาก เพราะเราได้รับความรักทั้งจากเสด็จพ่อและเสด็จแม่ เพียงแต่มันเป็นภาพทรงจำที่ค่อนข้างเลือนรางจนเราจดจำได้แต่ความโดดเดี่ยว เราจึงบอกเล่าแต่ความรู้สึกเหล่านั้นให้เจ้ารับรู้” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางหันมาทางด้านหลัง ราวกับต้องการสำรวจว่าบุรุษผู้บาดเจ็บแอบหลับใหลเพราะเรื่องเล่าของพระองค์หรือไม่ จึงทำให้เธเซียสมองเห็นดวงเนตรเศร้าหมองอย่างชัดแจ้ง

“จุดเปลี่ยนของเราอยู่ที่เสด็จพ่อประสงค์จะก้าวขึ้นสู่บังลังก์ แต่ราษฎร์ในครานั้นมิยอมรับสายโลหิตทางฝั่งของเสด็จพ่อ เพราะพระองค์มิใช่รัชทายาทลำดับที่หนึ่ง พระองค์จึงวอนขอองค์เทพโพไซดอนให้ส่งวัวพ่วงพีขึ้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมสัญญาว่าจะบูชายัญวัวตัวนั้น เพื่อเป็นการสรรเสริญและให้คำมั่นสัญญาว่าพระองค์จะปกครองจักรวรรดิครีตันด้วยความสงบร่มเย็นและเจริญรุ่งเรือง” เรื่องเล่าของเจ้าชายมิโนสค่อนข้างแตกต่างจากปากคำของเซอร์ซีอยู่บ้าง
อาจเพราะการพูดปากต่อปากทำให้ข่าวสารมีการบิดเบือน
แต่กระนั้นใจความสำคัญของความเหนือธรรมชาติก็ยังคงอยู่อย่างครบถ้วน

“แต่องค์รัชทายาทในขณะนั้นมิต้องการขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงสละราชสมบัติให้กับเสด็จพ่อ” เมื่อเจ้าชายมิโนสตรัสมาถึงตรงนี้เธเซียสก็เริ่มคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ว่า กษัตริย์ไมนอสคงจะมิได้สนพระทัยเกี่ยวกับคำสัตย์ปฏิญาณ

“ขณะเดียวกันชาวครีตันก็เริ่มแตกตื่นกับความมหัศจรรย์ของเรื่องเหนือธรรมชาติ เพราะในวันราชาภิเษกกลับมีวัวพ่วงพีโผล่ขึ้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ความขัดแย้งภายในจึงเริ่มยุติ เพราะพวกเขาให้ความคารพนับถือเสด็จพ่อด้วยเหตุผลว่าพระองค์คือองค์สมมุติเทพ แต่ในทางกลับกันเสด็จพ่อกลับมิสนพระทัยในคำสัตย์ปฏิญาณ เพราะพระองค์มิได้มองว่าการที่ได้ขึ้นครองราชย์มาจากความเมตตาขององค์เทพโพไซดอน” เธเซียสหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อแสงสุริยะปะทะกับสายตาที่คุ้นชินความมืดมาเนิ่นนาน จากนั้นเจ้าชายมิโนสก็ขยับมาประทับตรงตำแหน่งฝีพาย เธเซียสจึงต้องนอนขดตัวเป็นก้อนกลมตรงบริเวณเบื้องหน้าของพระองค์

“เราจึงถูกยัดเยียดหน้าที่แทนเสด็จพ่อ และยังแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวทุกคราที่ได้ยินอัส เราหมายถึงโลมาตัวที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้ส่งเสียงเรียก เพราะมันรับรู้ได้ว่าในช่วงเวลาที่ครีตันกำลังระสับระส่าย มีโจรสลัดแฝงกายเข้ามาก่อความวุ่นวายด้วยการปลุกปั่นให้ราษฎร์เรียกร้องให้องค์รัชทายาทหวนกลับสู่ราชบังลังก์”

“เสียงปลุกปั่นยิ่งมากขึ้นก็ยิ่งโน้มเอียงความคิดของชาวครีตันได้มิยาก เราจึงยิ่งโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นเรือสอดแนมเข้ามาสร้างความปั่นป่วน หลังจากนั้นเราจึงกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยมิรู้ตัว ซึ่งทุกคราที่เราโกรธหรือรู้สึกว่าจักรวรรดิครีตันกำลังมิเป็นสุข เราจะกลายร่างเป็นแอสเตเรียน” เมื่อบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสมาถึงตรงนี้ เธเซียสก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าชื่อเสียงเรียงนามของ ‘มิโนทอร์’ มิได้มีความเกี่ยวข้องกับตำนานใด ๆ
เพราะชาวครีตันขนานนามสัตว์ประหลาดตนนี้ว่า ‘แอสเตเรียน’

“หลังจากนั้นเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็เริ่มนับถือเทพธิดางู หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า ‘เจ้าแม่’ เพื่อที่จะได้ยกระดับเราในคราบของแอสเตเรียนด้วยการกล่าวอ้างว่าเป็นโอรสของเจ้าแม่ และวัวกระทิงก็ถือเป็นบริวารของเจ้าแม่” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยดวงพักตร์อันเปื้อนยิ้ม ส่งผลให้ผู้ฟังที่ดีอย่างเธเซียสเริ่มฉีกยิ้มตามไปด้วย แต่กระนั้นก็ยังเป็นรอยยิ้มที่ค่อนข้างอ่อนล้า

“แต่พอแอนโดรเจียสกำเนิด ความห่างเหินระหว่างเรากับทั้งสองพระองค์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นจุดแตกหักเมื่อเรามิยอมร่วมเดินทางไปยังงานแข่งขันกีฬาแพแนเธเนีย เพราะเรามิอยากเผยร่างของแอสเตเรียนให้ผู้คนนอกจักรวรรดิครีตันเห็น” สิ้นคำบอกเล่าอันเต็มไปด้วยความสงสัย เธเซียสจึงใช้แววตาดุจนกเหยี่ยวเอ่ยถามบุรุษผู้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าที่สามารถดึงดูดความสนใจจากเธเซียสออกจากความเจ็บปวด

“นอกจากความโกรธเกรี้ยวจะทำให้เราแปลงกายเป็นแอสเตเรียนได้แล้ว เรายังสามารถแปลงกายในคืนที่ตรงกับวัวพ่วงพีขึ้นสู่ผิวน้ำ เราจึงมิกล้าร่วมเดินทางไปกับแอนโดรเจียส และมิกล้าเผชิญหน้าสู่โลกภายนอกด้วยตนเอง เราจึงได้แต่ยืมมือของโครนัสในการพัฒนาความเป็นจักรวรรดิครีตันมาจนถึงบัดนี้ เพราะการเดินทางไกลเรามิมีวันล่วงรู้ได้เลยว่าจะจบลง ณ เวลาใด”
“ดังนั้นวินาทีแรกที่เจ้าเริ่มจับสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เราจึงพยายามปกปิดเพราะเรามิอยากให้เจ้าล่วงรู้”

เรื่องเล่าของเจ้าชายมิโนสสร้างความเพลิดเพลินให้แก่เธเซียสเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงมิทันล่วงรู้ว่าเพลานี้ลำเรือกำลังจอดเทียบท่ายังเมืองไฟสทอส จากนั้นการเดินทางก็ต้องปรับเปลี่ยนเป็นการควบม้าศึกของพระราชวังที่อยู่มิไกลจากบริเวณท่าเรือมากนัก เพื่อมุ่งตรงไปยังบ้านพักตากอากาศประจำเมืองอาร์คันส์ โดยเธเซียสจำต้องกัดฟันจนห้อเลือด เพราะการนั่งอยู่บนหลังม้า แม้จะมิได้เป็นผู้กุมบังเหียน แต่ก็สร้างความร้าวระบมให้กับบุรุษผู้บาดเจ็บได้เป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งเจ้าชายมิโนสก็พยายามใช้พระพาหากอดรัดรอบเอวของอีกฝ่าย เพื่อมิให้ลำตัวโอนอ่อนไปตามการก้าวย่างของม้าพันธุ์ดี

กระทั่งถึงที่หมายบุรุษต่างแดนก็รีบถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่งผลให้เจ้าของม้าพันธุ์ดีหลุดสรวลในลำพระศอ เธเซียสจึงทำเป็นส่งเสียงล้อเลียนอีกฝ่ายด้วยท่าทีของอนุชาตัวน้อย
แต่พอหันมองเบื้องหน้าท่าทีขี้เล่นของเธเซียสกลับหดหาย

“เซอร์ซี” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยนามของคนตรงหน้าที่ถึงแม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่เขาก็ยังจดจำได้ดี จึงรีบโหนตัวลงจากหลังม้าด้วยความทุลักทุเล และวิ่งไปยังเป้าหมายด้วยความลืมสิ้นต่ออาการบาดเจ็บ
“ทำไม ?” สองนายบ่าวต่างกล่าววาจาเดียวกันด้วยความสงสัย เพราะสภาพของแต่ละฝ่ายกลับแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้

“เธเซียสรีบเข้าไปพักเถิด ส่วนเซอร์ซีเจ้ารีบไปตามหมอหลวง” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสบทพร้อมประคองยอดดวงใจของพระองค์เข้าไปยังบ้านพักที่ถูกโอบล้อมด้วยไร่องุ่นอันกว้างใหญ่ ซึ่งเธเซียสก็ยอมทำตามแต่โดยดี เพราะเขาเริ่มรู้สึกถึงความอ่อนล้า อีกทั้งฝ่ามือก็เริ่มปวดระบม ขณะที่ในหัวยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับเซอร์ซี และคำตอบเดียวที่พอจะคาดเดาได้
คือเซอร์ซีถูกจับตัวเป็นเชลยศึกและคงจะถูกทรมานจนเสียโฉม
ดังนั้นการติดต่อกับทางไมซีเนียนจึงถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง

φ

บทความที่เกี่ยวข้อง

- มินะทอร์ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

ใช้อ้างอิงแค่ชื่อเรียกที่ชาวมิโนอันเรียกสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวค่ะ ส่วนชื่อมิโนทอร์เราเลือกใช้แบบนี้เพราะเป็นชื่อที่แพร่หลายกว่าค่ะ


มาต่อแล้วงับ เธเซียสจะตายไม่ได้! น้องต้องอึดฝุดๆ แต่จริงๆ อาการของเธเซียสเราลองปรึกษาน้องที่เป็นพยาบาลดูแล้วค่ะ รักษาไม่นานก็หาย แต่มือต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน ส่วนตอนนี้ก็คลายความสงสัยของนักอ่านบ้างแล้วเนอะว่าทำไมเธเซียสถึงหนีมาทางพายัพ แต่ก็ยังถูกลอบสังหาร เพราะจริงๆ ตอนที่แล้วเราเขียนไว้ว่าราชองครักษ์จำนวน 5 นาย หมายถึงกลุ่มของเคออส หรือกลุ่มที่เดินทางมาพร้อมกับเธเซียสและองมิโนส ส่วนโครนัสและอีกคนนึงเป็นอีกกลุ่มนึงค่ะ ถ้าหากใครยังจำได้โครนัสคือทหารที่ไปสืบข่าวเรื่องอาวุธเหล็กเป็นเวลานานมาก เพราะเจ้าตัวหายไปเลยตั้งแต่ตอนแรก ๆ น่าจะช่วงตอน 3 หรือ 4 ดังนั้นเจ้าชายมิโนสเลยคิดไม่ถึงว่าจะถูกตลบหลัง แถมถ้ำแห่งนี้ไม่ใช่ความลับ ทหารพวกนี้จะรู้ใจองมิโนสก็ไม่แปลกค่ะ และตอนนี้ก็เปิดตัวเจ้าอัสอย่างเป็นทางการจ้า โลมาที่โผล่มาตั้งแต่ตอนแรก ๆ คือลูกสมุนของมิโนทอร์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 20:00:12 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 26

บุรุษผู้บาดเจ็บมิรู้ว่าตนเองเผลอหลับไปนานเท่าใด รู้ตัวอีกคราเนื้อตัวก็ถูกพอกด้วยสมุนไพรหลากชนิด เขาจึงแอบย่นจมูกเมื่อทั่วบริเวณถูกอาบไล้ด้วยกลิ่นหอมที่มิค่อยโปรดปราน

“เจ้าชายทรงตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เซอร์ซีทูลถามด้วยท่าทีระริกระรี้ ขณะที่ในมือกำลังถือถาดทรงกลมบรรจุโอสถถ้วยหนึ่ง ส่งผลให้ผู้เป็นนายจำต้องถลึงตาใส่
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมดีใจมากไปหน่อย” บุรุษผู้เสียโฉมกล่าวพลางยื่นถ้วยโอสถให้กับนายเหนือหัว พร้อมทิ้งตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นข้างเตียง ขณะที่ดวงตาของเขากำลังฉายแววแห่งความกังวล

“เจ้าอยากพูดอันใดก็รีบพูดมา” หลังจากกลั้นใจดื่มโอสถถ้วยใหญ่จนหมด เธเซียสจึงเปิดปากอนุญาต
“สาเหตุที่พระองค์บาดเจ็บคงมิได้มาจากเหตุผลเดียวกับกระหม่อม..?” เซอร์ซีกล่าวพลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ราวกับคำพูดดังกล่าวสร้างความกดดันให้แก่เจ้าตัว

“จะว่าอย่างนั้นก็มิเชิง” เธเซียสนิ่งคิดครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยตอบพลางโคลงศีรษะเล็กน้อย เพราะอาการบาดเจ็บของเขาเกิดจาก ‘ความลับ’ อันมีบุคคลที่สามล่วงรู้ แต่กระนั้นเขาก็ยังได้รับการปกป้องจากมหาบุรุษแห่งครีตัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิแน่ใจว่าอาการบาดเจ็บดังกล่าว สามารถเรียกว่าการ ‘กำจัดไส้ศึก’ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

“เราถูกทหารครีตันลอบสังหาร แต่เจ้าชายมิโนสกลับช่วยเราไว้ ทั้ง ๆ พระองค์ก็ทราบดีว่าเราแฝงกายเข้ามาในสถานะใด” เธเซียสกล่าวพลางถอนหายใจด้วยความหนักอก เพราะดำรัสแกมขู่ของอีกฝ่ายยังคงก่อกวนจิตใจ และมันก็ทำให้ตนมิกล้าขยับตัวไปยังทิศทางใด
“ว่าแต่เจ้าเถิด เรื่องราวเป็นมาอย่างไร ?” สิ้นคำถามของนายเหนือหัว เซอร์ซีก็นั่งขัดสมาธิราวกับเจ้าตัวต้องการจะบอกกล่าวว่า ‘เรื่องราวของกระหม่อมค่อนข้างยาวนาน’ เธเซียสจึงมิได้เร่งรัดอันใด เพราะดูท่าแล้วหน้าที่ของเซอร์ซีอาจจะเป็นการดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเขา ดังนั้นต่อให้ต้องใช้เวลายาวนานเท่าใด เธเซียสก็ยังมีเวลานั่งฟังอีกมาก

“กระหม่อมถูกจับได้ตั้งแต่เสร็จสิ้นงานคัดเลือกทหาร” การเกริ่นนำของเซอร์ซีมิได้สร้างความประหลาดใจให้แก่เธเซียส เพราะอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างไร้ร่องลอยตั้งแต่ช่วงเวลาดังกล่าว จนเขาวางแผนจะออกตามหา แต่ก็ดันเกิดเรื่องราวมากมายขึ้นเสียก่อน
“พวกเขาล่วงรู้มาตั้งแต่ต้น ว่ากระหม่อมมิใช่ผู้ดูแลคอกวัวตัวจริง กระหม่อมคาดว่าทหารครีตันคงจะคัดสรรบุคคลที่เหมาะกับตำแหน่งนี้ด้วยตนเอง มันอาจฟังดูมิมีเหตุผล แต่เพราะงานวันนั้นมีเรื่องราวแปลก ๆ เกิดขึ้น จนเหมือนกับแผนการของเราถูกซ้อนแผนจากทหารครีตัน การคาดเดาของกระหม่อมจึงมิใช่เรื่องไร้สาระ” เซอร์ซีกล่าวพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะเขากำลังคาดเดาสาเหตุที่ทำให้ความลับถูกเปิดเผย พร้อมออกตัวอย่างหวั่นเกรงว่าจะถูกนายเหนือหัวตำหนิ ขณะที่เธเซียสกลับเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงช่วยออกหน้าจนทำให้เขาสามารถเข้าร่วมกองทัพแห่งจักรวรรดิครีตันได้อย่างราบรื่น
เพียงแต่เธเซียสมิเคยคาดคิด..
ว่าการทิ้งปมเกี่ยวกับ ‘คราบดินโคลน’ จะทำให้ตนถูกตลบหลังในเวลาต่อมา

“หลังจากนั้นกระหม่อมก็ถูกพาตัวไปยังคุกใต้ดิน แล้วพวกเขาก็เริ่มคาดคั้นความจริงจากกระหม่อมว่าเป็นไส้ศึกจากแห่งหนใด ด้วยความหยิ่งผยองกระหม่อมจึงลั่นวาจาอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นชาวไมซีเนียน กว่าจะรู้ตัวว่าช่างโง่เขลาก็ถูกเฆี่ยนตีจนนับมิถ้วน แต่กระหม่อมก็มิได้ปริปากอันใดอีก เพราะกระหม่อมยังหวังว่าพระองค์จะเสด็จไปให้ถึงจุดหมาย สภาพของกระหม่อมในเพลานี้จึงมิน่าดูนัก” เซอร์ซีกล่าวพลางฉีกยิ้มเศร้า เธเซียสจึงโน้มตัวไปยีศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความสะเทือนใจ เพราะใบหน้าและลำตัวของเซอร์ซีกลับเต็มไปด้วยบาดแผลจากของมีคม นับได้ว่าทหารครีตันโหดเหี้ยมมิต่างกับทหารอัสซีเรีย
“แล้วเจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างไร ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางขยับตัวโดยวางปลายเท้าลงบนพื้นและหันหน้าเข้าหาเซอร์ซี

“เจ้าชายมิโนสทรงมีดำรัสถามว่า กระหม่อมร่วมมือกับพระองค์ใช่หรือไม่”
“แล้วเจ้าตอบกลับไปว่าอย่างไร” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิใช่บุรุษผู้โอบอ้อมอารีดังเช่นภาพลักษณ์ที่แสดงออก มิเช่นนั้นพระองค์คงมิคิดจะปลิดชีพไส้ศึก ที่ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ทางใจในระดับลึกซึ้ง โดยเห็นได้จากการที่เซอร์ซีถูกจับตัวมาทรมานก็บ่งบอกได้ดีว่าพระองค์ประสงค์จะกำจัดลูกมือของเธเซียสเป็นอันดับแรก

“กระหม่อมมัวแต่อึ้งอยู่พ่ะย่ะค่ะเลยมิทันได้ทูลตอบ แต่กระหม่อมมิคาดคิดเลยว่าความเงียบดังกล่าว จะสร้างความกดดันให้แก่เจ้าชายมิโนส จนทำให้กระหม่อมเริ่มจับสังเกตได้ว่าพระองค์มีอิทธิพลต่อเจ้าชายมิโนสมากเพียงใด กระหม่อมจึงทูลกลับไปว่า ‘ใช่’ และรีบออกตัวแทนพระองค์ว่าอันที่จริงพระองค์มิได้อยากกระทำเช่นนี้ แต่ที่ต้องทำเป็นเพราะพระองค์ต้องการเรียกร้องความไว้วางใจจากองค์ราชา”
“เจ้านี่มัน หาเรื่องตายให้เราเสียจริง” เธเซียสกล่าวพลางทุบกำปั้นข้างที่มิได้บาดเจ็บลงบนศีรษะของอีกฝ่ายมิเบานัก

“แล้วอย่างไร เพียงเอ่ยนามเรา เจ้าก็รอดจากการถูกทรมานอย่างนั้นหรือ ?”
“กระหม่อมมิแน่ใจนัก เพราะหลังจากนั้นกระหม่อมยังกล่าวเสริมอีกว่า กระหม่อมกับพระองค์ถือเป็นพี่น้องร่วมสาบาน หากมีสุขเราก็จะร่วมสุข หากมีทุกข์เราก็จะร่วมทุกข์” เซอร์ซีกล่าวพลางยกยิ้มเผล่พร้อมขยับตัวถอยหนีจากวิถีฝ่าเท้าของเธเซียส เนื่องจากบุรุษผู้นี้รู้จักเอาตัวรอดด้วยการพูดเสริมเติมแต่งให้เจ้าตัวดูมีความสำคัญต่อนายเหนือหัว แต่กระนั้นก็ช่างเป็นการเอาตัวรอดที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยง เนื่องจากเพลานั้นเจ้าชายมิโนสทรงวางแผนจะปลิดชีพเธเซียสไว้อย่างแยบยล
ซึ่งเขาก็เดินไปตามแผนการของอีกฝ่ายโดยมิทันระวังตัว

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เธเซียสจึงเริ่มเข้าใจถ้อยคำที่เคยได้ยินตรงช่องทางลับ เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงคิดมิตกเพราะปากคำจากเซอร์ซี เคออสจึงกล่าวแกมประชดประชันว่า ‘เพราะเขาคล้ายคลึงกับพระอนุชาหรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ถึงมิฆ่าเขา’ ซึ่งความขัดแย้งระหว่างคนทั้งคู่คงจะนำมาสู่เหตุการณ์ปลิดชีพสุดองอาจ เคออสจึงต้องขอความร่วมมือจากโครนัสที่หายหน้าหายตาไปนาน
ดังนั้นบุรุษผู้สูงศักดิ์จะตามแผนการของอีกฝ่ายมิทันก็มิแปลก
แต่อย่างน้อยเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่า เคออสมีอิทธิพลมากพอที่จะใจกล้าบ้าระห่ำถึงเพียงนี้

“แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดจึงมิหาทางติดต่อเรา ?” เธเซียสกล่าวพลางทำสีหน้าบึ้งตึง เนื่องจากลึก ๆ เขายังเป็นห่วงเซอร์ซี แต่ก็มิสบโอกาสให้กระทำการใด ๆ
“กระหม่อมเพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากคุกใต้ดินเมื่อมินานมานี้พ่ะย่ะค่ะ จากนั้นกระหม่อมก็ถูกส่งตัวมายังเมืองอาร์คันส์พร้อมกับทาสนูเบียเพื่อเร่งสร้างเมืองให้แล้วเสร็จ มีทหารครีตันคอยล้อมหน้าล้อมหลัง อีกทั้งเจ้าชายมิโนสก็ประทับอยู่ที่นี่ กระหม่อมจึงมิอาจกระทำได้ตามใจ” จากคำบอกเล่าของเซอร์ซี ทำให้เธเซียสเริ่มเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า แม้เพลานี้เจ้าชายมิโนสจะทรงยินยอมละทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ก็มิได้หมายความว่าในภายภาคหน้าพระองค์จะมินำมันคืนกลับไป เซอร์ซีจึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารครีตันอย่างเลี่ยงมิได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็เพื่อตัดขาดการติดต่อสื่อสารกับไมซีเนียนอย่างราบคาบ
และมันก็อาจส่งผลกระทบต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของเสด็จพ่อ

“มิน่า.. เขาถึงบอกว่าเชื่อใจเรา แม้เราจะมิเชื่อใจตนเอง แต่สักวันเราจะรู้สึกเหมือนอย่างที่เขารู้สึก” เธเซียสกล่าวพร้อมกำฝ่ามือแน่นอย่างลืมตัว จึงทำให้บาดแผลปวดหนึบ เซอร์ซีจึงรีบกระวีกระวาดไปต้มโอสถแก้ปวดให้อีกฝ่าย ขณะที่บุรุษจากต่างแดนกลับจมดิ่งลงสู่ภวังค์แห่งความคิด เนื่องจากเขาคาดมิถึงว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงมากเล่ห์และยังช่างวางแผนถึงเพียงนี้ เพราะการที่เซอร์ซีหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หมายความว่าเธเซียสมิได้ส่งข่าวอันใดกลับมา
ดีมิดี ‘เจ้าครูส’ นกเหยี่ยวตัวสำคัญ อาจถูกกำจัดไปแล้วก็เป็นได้

เธเซียสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางทิ้งตัวลงนอนด้วยความหนักอึ้งในอก เนื่องจากแผนการอันแยบยลของเจ้าชายมิโนสกำลังทำให้เขาหวาดกลัวคำตอบที่อาจได้รับ เพราะความห่างเหินระหว่างตนและเสด็จพ่อนับว่ายากจะผสาน ยิ่งเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้
เชื่อได้เลยว่าเสด็จพ่อคงมิคิดลังเลต่อการตัดสินพระทัยด้วยการยัดเยียดข้อหา ‘กบฏ’
และเมื่อวันนั้นมาถึง เธเซียสก็คงต้องแสดงจุดยืนด้วยการเลือกข้าง

“มันก็แค่การคาดเดา เจ้าชายมิโนสจะทรงวางแผนเช่นนั้นจริงหรือไม่ก็มิรู้ เสด็จพ่อจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็มิแน่นอน” เธเซียสคว้าผ้าลินินผืนนุ่มห่มคลุมใบหน้า พร้อมบ่นพึมพำราวกับต้องการชักนำตนเองมิให้ฟุ้งซ่าน
โดยมิรู้เลยว่าท่าทางดังกล่าวกำลังสร้างรอยยิ้มให้กับผู้อื่น

“หากเราวางแผนเช่นนั้นจริง เจ้าจะว่าอย่างไร ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ประทับอยู่บนตั่ง พลางโน้มวรกายเข้าหาเธเซียสที่มิได้รู้อิโหน่อิเหน่จนกระทั่งเจ้าตัวล่นผ้าลินินไว้ที่ปลายจมูก ดวงพักตร์หวานละมุนจึงปรากฏ
“มิอาจตอบได้ เกรงว่าสิ่งที่กระหม่อมคิด อาจมิใช่ผลพวงจากแผนการของพระองค์”

“เรื่องที่มีผลพวงต่อเสด็จพ่อของเจ้า คงมิพ้นเหตุผลที่เรากักขังเซอร์ซีไว้กระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางโน้มดวงพักตร์เข้าแนบชิด ส่งผลให้ลมหายใจของทั้งสองรินรดกันอย่างสม่ำเสมอ
“ช่างเถิด กระหม่อมมิอยากรับรู้อันใดแล้ว เพราะถึงจะรู้ไปก็มิมีประโยชน์ ในเมื่อผู้ที่ต้องตัดสินกลับมีเพียงเสด็จพ่อของกระหม่อม” เธเซียสกล่าวพลางฉายแววตาแห่งความกังวล เพราะสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องราวที่เขาหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ เนื่องจากการที่มิได้อยู่เคียงข้างเสด็จพ่อมาเนิ่นนาน ทำให้พื้นที่ในดวงใจของพระองค์มีเพียงเสด็จพี่ลูซีอัสที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์รัชทายาท และยังมีความสามารถทางด้านการรบเป็นเท่าตัว อีกทั้งยังมีนางหญิงชั่วคอยเป่าหูมิให้เสด็จพ่อเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของเธเซียส เพราะนางทราบเป้าหมายที่แท้จริงว่า เขามิได้ต้องการเพียงความไว้วางใจคืนจากเสด็จพ่อ แต่ยังต้องการกำจัดนางหญิงชั่วที่แฝงกายอยู่ในคราบของราชินีแห่งไมซีเนียน!

“หากวันหน้าเจ้ามิหลงเหลือผู้ใดให้เป็นที่พักพิง เราสองย่อมมีกันและกัน” เจ้าชายมิโนสตรัสถ้อยคำอันคุ้นชิน พลางเลื่อนดวงพักตร์เข้ามาใกล้บุรุษผู้กำลังหวั่นวิตก ขณะที่เธเซียสกลับต่อประโยคดังกล่าวเพียงในใจว่า..
แต่หากกระหม่อมนำความเดือดร้อนมาสู่ครีตัน..
เราสองอาจขาดสะบั้นตลอดกาล

“เจ้าอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธเหล็กหรือไม่ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวกับพระองค์ต้องการเบี่ยงประเด็น และมันก็ได้ผลชะงัด
“เรากลับไปสะสางอะไรบางอย่างที่เกาะธีรา จึงพอจะทราบที่มาที่ไปอยู่บ้าง” ดำรัสของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์สร้างความแปลกใจให้กับเธเซียส เพราะการสะสางของพระองค์มาพร้อมกับราชองครักษ์ชุดใหม่
เท่ากับว่าเคออสและพรรคพวกอาจจะโดนลงทัณฑ์อยู่กระมัง

“เราค่อนข้างเหนียวตัว หากจะแช่น้ำเย็นพร้อมอธิบายให้เจ้าฟังคงมิลำบากเกินไปกระมัง ?”
“มิลำบากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็เหม็นกลิ่นสมุนไพรจะแย่” เธเซียสกล่าวพลางยกแขนขึ้นดอมดมพร้อมย่นจมูกเพื่อบ่งบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า ดำรัสของพระองค์ถือเป็นทางออกที่ดี เพราะดูท่าแล้วห้องสรงน้ำของบ้านพักตากอากาศคงจะเป็นบ่อกลางแจ้ง
เนื่องจากเซอร์ซีที่ยืนแอบฟังอยู่ตรงหน้าห้องบรรทมกลับรีบวิ่งแจ้นออกไปตระเตรียมเครื่องสรงน้ำตรงด้านนอก

“เราทราบมาว่าฮิตไทต์คือผู้อยู่เบื้องหลังในการผลิตอาวุธจากเหล็ก เท่ากับว่าพวกเขาคือผู้ผลิตเหล็กได้เป็นกลุ่มแรก เพียงแต่อัสซีเรียเป็นพวกที่นำเอาความรู้ดังกล่าวมาต่อยอดจนทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำทางด้านศึกสงคราม” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเสด็จไปยังบ่อน้ำธรรมชาติที่อยู่ตรงด้านหลังของตัวบ้านซึ่งถูกโอบล้อมด้วยไร่องุ่นยาวไกลสุดลูกหูลูกตา
“ถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกระมัง” เธเซียสแสดงความคิดเห็น เพราะเขาทราบมาจากกองคาราวานของพ่อค้าชาวอียิปต์ว่า แต่เดิมชาวฮิตไทต์ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบแคสเบียน จากนั้นก็ย้ายถิ่นฐานเข้ามายังเขตอนาโตเลียของผู้ตั้งถิ่นฐานเดิมอย่างชาวฮัตเทียน ซึ่งใกล้กันนั้นคืออาณานิคมของจักรวรรดิอัสซีเรีย
จึงมิแปลกที่จะมีการรับเอาวัฒนธรรมจากผู้ตั้งถิ่นฐานเดิมมาปรับใช้
ขณะเดียวกันผู้ตั้งถิ่นฐานเดิมก็มีการรับเอาวัฒนธรรมใหม่ ๆ ไปพัฒนา

“พวกเขาใช้หินที่มีแร่เหล็กเผากับถ่าน จากนั้นเหล็กก็จะหยดออกมา รอจนกระทั่งมีปริมาณมากพอ ถึงจะเริ่มหลอมรวมโดยการขึ้นรูป แล้วเอาไฟเผาให้ร้อนระอุจึงค่อยตีให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางดันไหล่เธเซียสให้นั่งบนเก้าอี้ขนาดเล็กที่อยู่ริมท่าน้ำ จากนั้นบุรุษผู้สูงศักดิ์จึงเริ่มผสมเครื่องหอมและน้ำมันมะกอกในปริมาณที่พอเหมาะ
“เราจะหาแร่เหล็กเหล่านั้นได้จากที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเริ่มตั้งคำถามพร้อมยื่นแขนไปตามการร้องขอของอีกฝ่ายที่กำลังประทับอยู่บนพื้นไม้ข้างหน้า จากนั้นพระองค์ก็ใช้ผ้าลินินชุบน้ำอันเย็นฉ่ำ ที่ผสมเครื่องหอมแตะแต้มไปตามผิวเนื้อของบุรุษผู้บาดเจ็บที่ยังมิอาจอาบน้ำได้ตามปกติ เนื่องจากบาดแผลยังคงต้องห้ามโดนน้ำ

“สำหรับครีตันแห่งแรกคือเกาะธีรา” เจ้าชายมิโนสตรัสเพียงแค่นั้นแล้วพระองค์ก็นิ่งเงียบไป เธเซียสจึงทอดสายตามองการกระทำของอีกฝ่ายที่กำลังใส่ใจกับฝ่ามือที่ค่อนข้างบอบช้ำ
“ขยับได้บ้างหรือไม่ ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางแหงนดวงพักตร์จ้องมองผู้บาดเจ็บเพื่อรอคอยคำตอบ เธเซียสจึงส่ายหน้าด้วยความเชื่องช้า

“เราใจร้อนเอง หมอหลวงบอกว่าอีกสักเดือนสองเดือนคงดีขึ้นก็ต้องดีขึ้น” บุรุษผู้แสนอ่อนโยนตรัสปลอบใจผู้บาดเจ็บที่ในตอนนี้มิอาจใช้งานฝ่ามือข้างดังกล่าวได้ตามปกติ
“พ่ะย่ะค่ะ”

“พระองค์กลับไปยังเกาะธีราเพื่อลงทัณฑ์พวกเคออสหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อรอบกายถูกปกคลุมด้วยเสียงร้องของจิ้งหรีดเรไร เธเซียสจึงเอ่ยถามพลางแหงนมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ ที่กำลังปรับเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการลากพระเก้าอี้ที่มีความสูงกว่าช่วงตัวของเธเซียสไปไว้ข้างหลัง
“อืม” สุรเสียงทุ้มนุ่มในลำพระศอดังขึ้นพร้อมกับการโน้มศีรษะของเธเซียสเอนอิงพระชานุ  เพื่อให้ง่ายต่อการสระผม จากนั้นพระองค์ก็นวดคลึงจนทั่วศีรษะในจังหวะที่ค่อนข้างผ่อนคลาย
บุรุษผู้บาดเจ็บที่มิมีผู้ใดปรนนิบัติเป็นเวลายาวนานจึงเริ่มนั่งสัปหงกอยู่หลายครา

“พระองค์ตรัสว่าอยากจะสรงน้ำ แต่เหตุใดจึงมานั่งปรนนิบัติกระหม่อมเช่นนี้” เธเซียสทูลถามพลางเอนพิงพระชานุของอีกฝ่ายโดยทิ้งน้ำหนักอย่างเต็มที่ ขณะที่บุรุษผู้สูงศักดิ์กำลังใช้ขันใบเล็กตักน้ำอันเย็นฉ่ำชะล้างคราบน้ำมันมะกอกอย่างระมัดระวังโดยมิให้เปรอะเปื้อนไปถึงบาดแผลตรงข้างแก้ม
“เราเองก็มิรู้เหตุผลเช่นกัน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มโอษฐ์เพียงนิด แต่มันกลับทำให้เธเซียสรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้ ฝ่ามือข้างที่มิได้บาดเจ็บ จึงเอื้อมแตะหลังพระหัตถ์ของบุรุษผู้สูงศักดิ์พลางเกี่ยวคล้องพระกนิษฐา เอาไว้หลวม ๆ
ขณะที่แววตาไหวระริกกำลังสบประสานกับดวงเนตรทรงอำนาจ

กระทั่งภาพตรงหน้าเริ่มรางเลือน ดวงตาของเธเซียสจึงปิดสนิท จากนั้นพระโอษฐ์ของเจ้าชายมิโนสก็สัมผัสกลีบปากของเธเซียสด้วยความทะนุถนอม ส่งผลให้บุรุษผู้ได้รับความอบอุ่น แทบหลอมละลายภายใต้การแสดงความรักของพระองค์อยู่รอมร่อ แต่พอถึงช่วงเวลาแห่งความคุ้นชิน เธเซียสกลับเป็นฝ่ายชักนำ ส่งผลให้รสสัมผัสที่เคยนุ่มนวลดุจแสงจันทรา กลับกลายเป็นเร่าร้อนดั่งเปลวเพลิง
ความสุขอันแสนถลำลึก จึงนำพาให้จิตใจของเธเซียส ราวกับถูกกักขังอยู่ในเขาวงกต
เขาจึงมิอาจมองหาทางออกอันนำไปสู่ความเชื่อใจจากเสด็จพ่อ

φ

[1] พระชานุ แปลว่า เข่า

[2] พระกนิษฐา แปลว่า นิ้วก้อย


บทความที่เกี่ยวข้อง

-  ยุคก่อนประวัติศาสตร์  https://bit.ly/2Kr0YnZ
- ประวัติศาสตร์ฮิตไทต์ https://bit.ly/2HTONy2
- การเกิดแร่เหล็ก https://bit.ly/2Z7qz9C
- วิธีตีดาบโบราณ อยุธยา https://bit.ly/2Z2Glm3

สำหรับตอนนี้และตอนหน้าจะยังเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายของตัวละครและนักอ่านนะคะ 555 เราจะสาดโมเม้นให้ทุกคนได้ฟินกันเล็กน้อย และสำหรับตอนนี้จะเห็นได้ว่าเจ้าชายมิโนสมักจะนำหน้าเธเซียสอยู่หนึ่งก้าวเสมอ ซึ่งภาพลักษณ์แบบนี้ไม่เคยมีใครได้สัมผัสจากชาวครีตัน เพราะเขาปกปิดอย่างมิดชิด ศัตรูจึงมักจะประมาทอย่างที่เธเซียสกำลังเป็น ต่อไปก็ต้องมาลุ้นกันค่ะว่าการจับตัวเซอร์ซีมายังอาร์คันส์จะทำให้ทางไมซีเนียนไม่เชื่อใจเธเซียสตามที่คาดการณ์กันไว้หรือไม่

ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับชาวฮิตไทต์เราเอามาอ้างอิงเพียงบางส่วนนะคะ เพราะในเรื่องเราปูมาว่าอัสซีเรียคือผู้นำทางด้านสงคราม แต่ในความเป็นจริงฮิตไทต์คือชาติแรกที่ผลิตเหล็กได้ ดังนั้นเราจึงเอามาผูกโยงกันในแบบของเราค่ะ เพราะเราเคยอ่านเจอว่าอัสซีเรียมักจะเป็นชนชาติที่เอาของที่มีอยู่ดั้งเดิมไปพัฒนาต่อยอดให้ดีขึ้น

ส่วนแหล่งจัดหาแร่เหล็กนั้นเราไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนนัก แต่ที่เกาะธีราจะมีหน้าผาที่มีลักษณะคล้ายกับหินชั้นที่มีการตกตะกอนเป็นแถบชั้น คล้ายกับภาพวาดเฟรสโกอันนี้ค่ะ (เฉพาะภาพแรกสุดที่มีภูเขาหลายสี) https://i.imgur.com/NcjvOix.jpg
ส่วนภาพด้านล่างคือแหล่งแร่เหล็กที่มีลักษณะตกตะกอนเป็นแถบชั้นของจริง https://i.imgur.com/o9y3KwP.jpg

ปล. แอบเห็นมีคนรีวิวให้ด้วย น้ำตาจะไหล ฮือออ และสุดท้ายนี้ยังคงขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้จากใจจริงเลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 20:03:30 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 27

เช้าวันนี้เธเซียสรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเมื่อมิต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในห้อง และมิต้องทนอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมของสมุนไพรอันมิพึงประสงค์ เหตุเพราะเธเซียสต้องการติดตามเจ้าชายมิโนสไปตรวจตราไร่องุ่นภายในเมืองอาร์คันส์ว่ายังมีพื้นที่ใดประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคระบาด ซึ่งเนื้อตัวของเธเซียสยังคงถูกพอกด้วยสมุนไพรหลากชนิด แต่กระนั้นเธเซียสก็ใช้ผ้าลินินผืนดำห่มคลุมร่างกายจนหลงเหลือเพียงดวงตามิต่างกับเจ้าชายมิโนส เพียงแต่เธเซียสยังมิอาจควบม้าได้ตามใจอยาก เขาจึงต้องร่วมเดินทางไปกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ ด้วยสภาพการณ์ที่มิได้แตกต่างกับช่วงแรกของการเหยียบย่างมายังเมืองแห่งนี้ 

“กลิ่นไอธรรมชาติสดชื่นเสียจริง” เธเซียสกล่าวพลางเปิดผ้าคลุมหน้าพร้อมสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ฝ่ายเจ้าชายมิโนสจึงได้แต่สรวลในลำพระศอ ขณะบังคับม้าให้ก้าวเดินไปตามเส้นทางดินที่ตัดผ่านไร่องุ่นอันกว้างใหญ่ โดยมีภูเขาลูกโตตั้งตระหง่านเป็นฉากหน้าอย่างโดดเด่น
“ไร่องุ่นของที่นี่เกิดโรคระบาดอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามเมื่อเหลือบมองไปยังแห่งหนใดก็พบแต่ใบองุ่นเจริญงอกงาม ราวกับมิเคยเกิดปัญหาอันใหญ่หลวง

“โรคแผลน้ำค้าง ” เจ้าชายมิโนสตรัสเพียงสั้น ๆ
“อาการเป็นอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ แล้วพระองค์ทรงแก้ปัญหาอย่างไร ?” เธเซียสทูลถามด้วยความใฝ่รู้ เนื่องจากเขามีความเชื่อว่าเรื่องราวรอบตัวอาจกลายเป็นข้อมูลชั้นดีในวันหน้า
 
“ระยะแรกจะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ สีเหลืองปนเขียวอยู่ทางด้านบนของใบองุ่น จากนั้นก็จะลุกลามกลายเป็นบาดแผลที่ใหญ่ขึ้น แต่ขนาดของรอยแผลจะมิแน่นอน ในระยะนี้ด้านล่างของใบองุ่นตรงส่วนที่เป็นแผลจะมีผงสีขาวเกาะกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นผงดังกล่าวก็จะแพร่ระบาดไปยังใบอื่น ๆ หรือแปลงอื่น ๆ เพราะสายลม สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล เพราะกว่าเราจะล่วงรู้ว่าองุ่นเกิดโรคระบาดก็ต้องใช้เวลา 4-6 วัน”
“เรากับเกษตรชาวครีตันใช้เวลาแก้ปัญหาโรคระบาดในองุ่นอยู่หลายเดือน เพราะโรคแผลน้ำค้างสามารถเกิดได้ทุกส่วนของต้นองุ่น อย่างเช่น ยอดอ่อนถ้าหากติดโรคจะเริ่มแคระแกร็น และมีผงสีขาวปกคลุมบริเวณยอดอย่างเด่นชัด จากนั้นยอดอ่อนก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและแห้งตายในที่สุด ส่วนช่อดอกถ้าหากเกิดโรคจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเป็นหย่อม ๆ จากนั้นอีก 2-3 วันก็จะมีผงสีขาวขึ้นแทนที่ แล้วช่อดอกก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลจนกระทั่งแห้งติดเถา” จากคำบอกเล่าของมหาบุรุษแห่งครีตัน ทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระองค์มิได้ว่าราชการเพียงแค่ในห้องสี่เหลี่ยมของพระราชวัง แต่ยังทรงงานนอกเขตพระราชฐานอย่างแข็งขันมาระยะหนึ่งแล้ว
เพียงแต่เธเซียสมิเคยล่วงรู้
เนื่องจากภาระงานของเขาคือการผลิตเครื่องปั้นดินเผา และการสืบข่าวอันเป็นประโยชน์แก่ไมซีเนียน

“แรกเริ่มเราแก้ปัญหาด้วยการตัดชิ้นส่วนที่เสียหายทิ้งไป แต่มิได้นำไปเผาหรือกลบฝัง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทราบว่าโรคแผลน้ำค้างในองุ่นสามารถแพร่ระบาดผ่านสายลม ช่วงเวลานั้นจึงมิมีเหล้าองุ่นเข้ามาเติมในท้องพระคลัง”
“เจ้ามิใช่ชาวครีตันคงมิรู้ว่าเราจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้กับข้าราชบริพารเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารและเหล้าองุ่นมิเคยขาด” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสมิผิดจากความเป็นจริงนัก เพราะเธเซียสเคยไปรับเบี้ยเลี้ยงเพียงครั้งเดียว
พอย้ายมาอยู่ภายใต้สังกัดของกองทัพทหาร เธเซียสก็มิเคยเหยียบย่างไปยังโรงภาษี
เหตุเพราะเจ้าชายมิโนสเป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ของเธเซียสอย่างเต็มตัว

“พอองุ่นเริ่มแตกกิ่งใบใหม่ เราและเกษตรชาวครีตันจึงช่วยกันตัดแต่งกิ่งที่มิต้องการออก จะได้มิซ้อนทับกัน และพยายามตรวจตราให้ทั่วถึงว่ามีกิ่งห้อยลงจากค้าง หรือไม่ เพราะอากาศจะถ่ายเทมิสะดวก และยังเพิ่มความชื้นที่เป็นบ่อเกิดของโรคระบาด” เธเซียสฟังคำอธิบายจากเจ้าชายมิโนสพร้อมเพ่งมองเถาองุ่นจากบนหลังม้า จึงเห็นได้ว่าองุ่นที่เกี่ยวพันอยู่บน ‘ค้าง’ ถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ
บ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่อย่างผู้มีความรู้
อาจเพราะพวกเขาต่างลองผิดลองถูกมาเนิ่นนาน

“กระหม่อมมิได้ทูลเรื่องสำคัญบางอย่างต่อพระองค์” เซอร์ซีกระซิบกระซาบในระหว่างที่เจ้าชายมิโนสทรงเยี่ยมชมไร่องุ่นในบริเวณที่ยังมีการระบาดของ ‘โรคแผลน้ำค้าง’ เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวปลีกตัวออกมาสำรวจเถาองุ่นบนค้างแบบรั้วไม้ด้วยความสนใจ
“เรื่องอันใด ?” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยถามพลางเดินเอามือไพล่หลังอย่างสง่าผ่าเผย

“ตอนที่กระหม่อมถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน กระหม่อมเห็นคนกลุ่มหนึ่งถูกขังรวมอยู่ในนั้น” เซอร์ซีเพิ่มเสียงเพียงนิด เพราะเขามิได้เดินเทียบเคียงนายเหนือหัว   
“แปลกอย่างไร ?” ฝ่ายเธเซียสที่กำลังชื่นชมธรรมชาติเอ่ยถามราวกับบทสนทนาดังกล่าวคือเรื่องลมฟ้าอากาศ
“แปลกตรงที่คนกลุ่มนั้นมิใช่ชาวครีตัน” สิ้นคำกล่าวของนายทหารคู่ใจ บุรุษจากต่างแดนพลันหยุดการก้าวเดิน พลางแสดงความคิดเห็นอย่างมิจริงจังนัก
“เจ้าเองก็มิใช่ชาวครีตัน ยังเข้าไปอยู่ในคุกใต้ดินได้เลยมิใช่หรือ ?”

“โธ่! พระองค์” เซอร์ซีเริ่มตัดพ้อพลางก้าวขึ้นมาดักหน้าบุรุษผู้เป็นนายเหนือหัว
“เจ้าหมายถึงคนกลุ่มนั้นคือเชลยจากเอเธนส์ใช่หรือไม่” เธเซียสย้อนถามอย่างตรงประเด็น เหตุเพราะเขาพอจะเดาทางออกตั้งแต่ตอนที่เซอร์เริ่มเกริ่นนำแล้ว
เพียงแต่ในตอนนั้นมิได้มีเพียงพวกเขาสองคน
แต่ยังมีราษฏร์ชาวครีตันกำลังตัดแต่งเถาองุ่นอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของค้างแบบรั้วไม้

“เดิมทีเราเองก็คาดเดาเอาไว้นานแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เราเห็นเหล่านางกำนัลตระเตรียมเครื่องสักการะเนื้อมนุษย์ด้วยสองตาของเราเอง” เธเซียสกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น เพราะเขาหลงลืมประเด็นนี้ไปเสียสนิทใจ ซึ่งเธเซียสยังมิอาจหาความเชื่อมโยงของการสักการะในครานั้นได้ และสิ่งหนึ่งที่น่าสงสัยก็คือ ‘เชลยจากเอเธนส์’ ถูกส่งมาเพื่อเป็นภักษาหารจริงหรือ
เหตุเพราะสภาพศพหากมองว่าเป็นการฆาตกรรม โดยอาศัยกลอุบายเกี่ยวกับมิโนทอร์ก็ย่อมได้

เนื่องจาก ‘ศพอันน่าสยดหยอง’ มิได้มีความคล้ายคลึงกับกรรมวิธีในการ ‘ล้อเล่น’ กับเหยื่อของมิโนทอร์ เพราะเธเซียสยังคงจดจำได้ดีว่า มหาบุรุษแห่งครีตันต้องการบดกระดูกของเขาให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง มิหนำซ้ำเจ้าชายมิโนสในคราบของมิโนทอร์ยังมิกล้าแตะต้องรอบตัวของเธเซียสในตอนที่ช่วยขึ้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เหตุเพราะพระองค์หวาดกลัวว่าเรี่ยวแรงอันมากมายจะทำร้ายผู้บาดเจ็บ
นับได้ว่าการบดขยี้โครงกระดูกให้แหลกละเอียด
คือกรรมวิธี ‘การล้อเล่น’ กับเหยื่ออย่างแท้จริง

ฉะนั้นการนำส่งเชลยจากเอเธนส์คงจะมีไว้เพื่อสักการะบางสิ่งบางอย่างที่มีการบูชายัญเป็นจุดประสงค์หลัก ส่วน ‘ศพ’ ของหญิงสาวจากเอเธนส์ อาจเป็นเพียงกลอุบายอย่างหนึ่งที่พระราชินีปาซิฟาอีมิประสงค์ให้ผู้ใดล่วงรู้
คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับ ‘มิโนทอร์’ จึงถูกนำมาใช้ เพื่อมิให้การนำส่งเชลยจากเอเธนส์เกิดความผิดพลาด ?

เธเซียสมิเข้าใจว่าเหตุใดพระราชินีแห่งครีตันจึงต้องทำเช่นนั้น ในเมื่อการนำส่งเชลยศึกเกิดจากสงครามของผู้มิรู้จักแพ้ชนะ ซึ่งครีตันจะนำเชลยเหล่านั้นไปกระทำอันใดก็มิมีเหตุผลให้ต้องปกปิด
เว้นเสียแต่พระนางมิได้มีจุดประสงค์เพื่อปิดบังบุคคลภายนอก

เมื่อคิดได้เช่นนั้นบุรุษภายใต้ผ้าลินินสีดำขลับ จึงหันมองไปยังเจ้าชายมิโนสที่กำลังตัดแต่งเถาองุ่นพลางใช้หลังพระหัตถ์เช็ดหยาดเสโทบริเวณพระกรรเจียก เป็นระยะ เพราะเหตุผลเดียวที่เขาตีความออกคือ..
พระราชินีมีความประสงค์ที่จะปิดบังเจ้าชายมิโนส
ซึ่งเหตุผลอาจจะเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระอนุชาแอนโดรเจียส

“เหตุใดพระหทัยของพระองค์จึงแข็งแกร่งดังหินผา” เธเซียสมิรู้เลยว่าตนก้าวเดินมาจนถึงพื้นที่ข้างวรกายของเจ้าชายมิโนสตั้งแต่เมื่อใด มิหนำซ้ำคำถามที่ก่อเกิดขึ้นในจิตใจยังส่งตรงไปหาอีกผู้ด้วยความห่วงใย
และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ตนเองในวันหน้า

“คำถามอันใดของเจ้า” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางสรวลอย่างขบขัน
“หรือบาดแผลที่มือของเจ้าอักเสบจนไข้ขึ้นไปเสียแล้ว ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสอย่างกระเซ้าเย้าแหย่พร้อมใช้หลังพระหัตถ์สัมผัสบริเวณหน้าผากของเธเซียส

“โธ่! พระองค์” เธเซียสได้แต่กล่าวแย้งเพียงสั้น ๆ
และเอ่ยกับตนเองในใจว่า..
กระหม่อมก็แค่เป็นห่วงและนึกสงสัยว่าพระองค์อดทนต่อการมิมีตัวตนในสายพระเนตรของพระราชินีได้อย่างไร

กระทั่งแสงสุริยะเริ่มลาลับขอบฟ้า ขบวนเสด็จของเจ้าชายมิโนสก็เหยียบย่างเข้าสู่เขตชุมชนของเมืองอาร์คันส์ ซึ่งสภาพแวดล้อมในขณะนี้มิได้วุ่นวายนัก เพราะเหล่าราษฎร์กำลังรับประทานอาหารอยู่ในบ้าน แสงไฟสีเหลืองนวลจึงส่องสว่างเล็ดลอดช่องหน้าต่างอย่างมีชีวิตชีวา โดยผังเมืองในครานี้ เธเซียสรู้สึกว่ามิได้แออัดดังเช่นเมืองอื่น
นับได้ว่าเจ้าชายมิโนสทรงครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงทำให้แผนการอพยพเป็นไปอย่างล่าช้า

“เส้นทางนี้เชื่อมกับทางลอดขนาดใหญ่ที่เหล่าคหบดีใช้เป็นเส้นทางขนย้ายพืชพันธุ์ธัญญาหาร” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางชี้ไปยังเส้นทางดินที่ถูกขนาบข้างด้วยทิวต้นไม้ใหญ่
“การอำนวยความสะดวกให้แก่ราษฎร์ถือเป็นการตัดสินพระทัยที่น่ายกย่องพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเกรงว่าหากข้าศึกเข้าประชิดเมืองเมื่อใด เส้นทางนี้อาจเป็นเส้นทางมรณะก็เป็นได้” เธเซียสกล่าวพลางเอนกายไปตามการก้าวเดินของอาชาพันธุ์ดี

“คงมิมีทางเป็นเช่นนั้น” เจ้าชายมิโนสทรงแก้ต่างอย่างหนักแน่น ราวกับพระองค์วางแผนรับมือเอาไว้เป็นอย่างดี และคงจะดีกว่า ‘การสร้างกำแพงเมือง’ อย่างแน่นอน
“พระองค์ทรงวางค่ายกลไว้หรืออย่างไร ?” เธเซียสทูลถามราวกับเล่นลิ้น แต่กระนั้นเสี้ยวความคิดดังกล่าวก็เห็นจะมิเกินจริง เพราะความปรีชาสามารถของบุรุษผู้สูงศักดิ์ มิว่าเรื่องอันใดก็ย่อมเกิดขึ้นได้

“ชู่ว.. เราได้ยินเสียงอัส” เจ้าชายมิโนสทรงผิวโอษฐ์เพื่อเป็นสัญญาณให้เธเซียสงดใช้เสียง เขาจึงได้แต่เงี่ยหูฟังเสียงของโลมายักษ์อย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็มิได้ยินเสียงอันใด
“เธเซียส เจ้ากลับไปกับเซอร์ซี” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่งแต่กลับแฝงไปด้วยพระราชอำนาจ จนเธเซียสยังอดเกรงขามมิได้ เขาจึงลงจากหลังม้าอย่างทุลักทุเล เนื่องจากฝ่ามือยังคงบาดเจ็บ และเจ้าชายมิโนสก็มิได้ช่วยโอบประคองดังเช่นคราแรก
เหตุเพราะพระหทัยของพระองค์กำลังวนเวียนอยู่กับสถานการณ์บางอย่าง
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องต่อความมั่นคงของจักรวรรดิครีตัน

ทันทีที่ปลายเท้าของเธเซียสแตะลงบนผืนดิน ฝีเท้าอาชานับ 6 ชีวิตจึงวิ่งย้อนกลับไปยังทิศทางเดิม ฉับพลันบรรยากาศรอบกายก็เริ่มแปรเปลี่ยน สายลมหวีดหวิวเสียจนเส้นผมปลิวไสว ใบไม้ปลิวว่อนไปตามแรงลม ขณะที่เบื้องบนกลับเต็มไปด้วยเมฆฝนก้อนใหญ่ อสนีแปลบปลาบร้างไร้เสียงแห่งการข่มขวัญ
ราวกับช่วงเวลาดังกล่าว..
คือเพลาแห่งการปรากฏกายของ ‘มหาบุรุษแห่งครีตัน’

“กระหม่อมคิดว่าเราควรอาศัยจังหวะนี้ หาทางติดต่อกับไมซีเนียนพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวด้วยน้ำเสียงกระโชก เนื่องจากอสนีบาตเริ่มฟาดฟันอย่างแรงกล้า
“เราคิดว่ามันมิง่ายเช่นนั้น” เธเซียสกล่าวพลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม เพราะจากดำรัสของเจ้าชายมิโนส ทำให้เขาเชื่อว่าเส้นทางแห่งนี้อาจมีค่ายกลล่อลวงไส้ศึกแอบซ่อนอยู่ 

“มิมีสิ่งใดยากเกินความพยายามพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวพลางควบอาชาผ่านเธเซียสด้วยความรวดเร็ว ราวกับเขาตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นตัวแทนแห่งไมซีเนียนฝ่าค่ายกลไปยังเป้าหมายที่ตนเองใฝ่ฝัน
“เซอร์ซี!” ฝ่ายเธเซียสได้แต่เอ่ยเรียกนายทหารคนสนิทอย่างมิสบอารมณ์ แต่กระนั้นสองขาก็ยังคงมุ่งตรงสู่เส้นทางแห่งอันตราย ขณะที่หัวใจกลับหนักอึ้ง
เนื่องจากเขามิคาดคิดว่า..
การเลือกข้างจะเดินทางมาถึงได้รวดเร็วเช่นนี้


φ

[1] โรคแผลน้ำค้าง ดัดแปลงมาจาก โรคราน้ำค้าง (Downy mildew) เกิดจากเชื้อรา PLasmopara viticola
[2] ค้างองุ่น คือ ที่ยึดเหนี่ยวของเถาองุ่น จะมีอยู่ 3 แบบ คือ การทำค้างแบบร้านสูง การทำค้างแบบรั้ว การทำค้างแบบเตี้ยเป็นรูปตัวที
[3] พระกรรเจียก แปลว่า ขมับ
 
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคขององุ่น https://sites.google.com/site/nakin401310/grape1
- วิธีการปลูกองุ่น https://sites.google.com/site/reuxngnarukhxngxngun1/withi-kar-pluk-xngun

[edit 19/06/2019 แก้คำราชาศัพท์ คำว่า แย้มสรวล ที่แปลว่า ยิ้ม เป็น สรวล ที่แปลว่า หัวเราะ]

วันนี้มาต่อได้เร็วหน่อย  เพราะตอนนี้กำลังฟิตมากค่ะ สนุกกับการเขียนสุด ๆ  เพราะเนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ  สำหรับโรคระบาดในองุ่นเรานำมาผสมกับปัจจุบันนะคะ  ให้มันดูสมจริงมากยิ่งขึ้นเพียงแต่ตัดพวกสารเคมีออกไป  และสำหรับตอนนี้ก็เผยปมเกี่ยวกับการฆาตกรรมขึ้นมาบ้างแล้ว  (แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะมันยังมีความขัดแย้งกันอยู่บ้าง  55555) เอาล่ะตอนหน้าข้าศึกก็มา  เธเซียสกับเซอร์ซีก็เริ่มหาความเดือดร้อนมาให้ครีตันแล้ววววว  ค่ายกลอีกอะไรยังไง ตื่นเต้นกับเราที่กำลังจะเขียนหน่อย 5555555
ปล.   ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากเลยนะคะ เราจำทุกคนที่คอมเมนต์ได้หมดเลย  แต่สำหรับคนที่มาคุยด้วยบ่อยๆ จำไปยันทวิตเตอร์ได้แล้วด้วย   (แต่อย่าเปลี่ยนชื่อแอคและดิสนะคะ 5555)  และตอนนี้เรามีแอคสำหรับอัพเดตนิยายแล้วนะคะ ไปฟอลกันได้จ้า 
https://twitter.com/Chomin_novel
https://www.facebook.com/Chomin.writer
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 20:05:44 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 28

เมื่อมิอาจไล่ตามฝีเท้าม้าพันธุ์ดีได้ทัน บุรุษจากต่างแดนจึงเพ่งมองรอบกายอย่างพิจารณา พบว่าแสงอสนีทำให้ต้นไม้ใหญ่ริมทางมิอาจซ่อนเร้นท่ามกลางความมืด ส่วนเซอร์ซีกลับถูกความเงียบสงบลักซ่อนราวกับมิมีตัวตน
ทว่าเสียงประหลาดคล้ายหินขนาดใหญ่ไหลลงสู่ข้างทาง ส่งผลให้เธเซียสจำต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพียงแต่มินานจากนั้นเสียงร้องอย่างทุกข์ทรมานของม้าพันธุ์ดีก็ดังระงมมาจากเบื้องหน้า สีหน้าของเธเซียสจึงค่อย ๆ ตึงเครียด
เพราะเขาคาดเดาสถานการณ์ออกว่า..
บัดนี้ ‘ค่ายกล’ ของเจ้าชายมิโนสกำลังสำแดงฤทธิ์อย่างน่าเกรงขาม

ซึ่งมันก็ทำให้บุรุษจากต่างแดนเพิ่งจะรู้ซึ้งว่า เส้นทางดินแห่งนี้ถูกสร้างในลักษณะลาดเอียง และยังมีบางช่วงถูกแทนที่ด้วยสะพานไม้ที่เวลาอาชาวิ่งผ่าน คงจะส่งเสียงเกรียวกราวให้ได้ยินอย่างเด่นชัด อีกทั้งหินก้อนโตจำนวนมากยังถูกความมืดกลืนกินอย่างแยบยล
ดังนั้นเซอร์ซีที่ควบม้าไปด้วยความเร็วสูง จึงมิทันสังเกตความผิดปกติ ส่งผลให้กว่าเขาจะล่วงรู้ ว่า ‘ค่ายกล’ ของเจ้าชายมิโนสมิควรได้รับการสบประมาท กองทัพหินขนาดใหญ่ก็ไหลลงสู่สะพานไม้ราวกับน้ำป่าไหลหลาก ก่อนจะกระแทกกับประตูกั้นน้ำอย่างรุนแรง
ภายในเสี้ยววินาทีม่านน้ำจึงซ่านกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

หลังจากนั้นพายุลูกศรก็เริ่มโหมกระหน่ำ ส่งผลให้เส้นทางดินเบื้องหน้าถูกตัดขาด ขณะที่เส้นทางเบื้องหลังกลับแว่วเสียงฝีเท้าม้าหลายชีวิต เธเซียสจึงเริ่มคิดลังเลว่าเขาควรจะก้าวเดินไปยังกับดัก
หรือว่าเขาควรจะลักซ่อนกายอยู่ตรงริมลำธาร

“ฆ่ามัน! อย่าให้หนีรอดไปได้!” เสียงสั่งการของนายทหารยศใหญ่ดังมาจากเบื้องหลัง ซึ่งเธเซียสจดจำได้ว่าเสียงดังกล่าวคือเสียงของเคออส บุรุษผู้บาดเจ็บจึงรีบซ่อนเร้นอยู่ตรงหลังก้อนหิน พร้อมทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ
เนื่องจากแสงอสนียังคงส่องประกายอย่างมิขาดตกบกพร่อง

ขณะที่เสียงธนูแหวกอากาศยังคงดังระงมอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากทหารครีตันบนหลังม้า และจากทหารครีตันที่กำลังเร้นกายอยู่ท่ามกลางความมืด ส่งผลให้ ‘เหยื่อ’ อย่างเซอร์ซีที่มิมีแม้กระทั่งอาวุธ ถูก ‘ศรเหล็ก’ เสียดแทงร่างกาย แต่กระนั้นเขาก็มิได้ปริปากร้องด้วยความทรมาน และมิได้เอ่ยนามนายเหนือหัวแต่อย่างใด
ราวกับนายทหารคนสนิท มิต้องการให้ทหารครีตันล่วงรู้ว่า..
เจ้าชายฮาเดรียนแห่งไมซีเนียนประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้

“ท่านเคออส บุรุษผู้นี้มิได้อยู่ภายใต้อำนาจที่เราจะจัดการได้” ทหารนายหนึ่งกล่าวพลางพลิกร่างของเซอร์ซีที่กำลังจมลำน้ำอันล้นทะลักไปกว่าครึ่ง เธเซียสจึงมองจ้องภาพดังกล่าวด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน แต่ก็มิอาจกระทำอันใด เนื่องจากเขามิมีแม้กระทั่งอาวุธ และมิมีกำลังคนมากพอที่จะฝ่าวงล้อมของทหารครีตันกว่าสามสิบชีวิต 
“เอาตัวมันไป” เคออสกล่าวพลางใช้ปลายเท้าเตะสีข้างของเซอร์ซี ส่งผลให้นายทหารจากต่างแดนถึงคราวต้องฟื้นคืนสติ แต่กระนั้นก็ทำให้เธเซียสรู้สึกใจชื้น เพราะ ‘ค่ายกล’ อันน่าเกรงขามมิได้จัดตั้งเพื่อใช้เป็นเล่ห์กลในการลอบสังหารพวกเขาโดยเฉพาะ แต่เหตุที่สถานการณ์ต้องมาลงเอยเช่นนี้ คงต้องยอมรับว่าเป็นเพราะเซอร์ซีมิฟังคำเตือนจากเธเซียส ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความทะนงตนอย่างชาวไมซีเนียน และอีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายยังมิรู้จักเจ้าชายมิโนสดีพอ
และในทางกลับกัน หากเธเซียสมิเคยรู้ซึ้งถึงความมากเล่ห์ของบุรุษผู้สูงศักดิ์
คงมิได้มีเพียงเซอร์ซีที่จะถูกค่ายกลเล่นงาน

ทันทีที่ขบวนทหารม้าและพลธนูกว่าสามสิบชีวิต ลากจูงร่างของเซอร์ซีไปตามทางดิน เธเซียสก็รับรู้ได้ทันทีว่าความเมตตาปรานีที่อีกฝ่ายมอบให้ เกิดจากดำรัสของเจ้าชายมิโนสที่เคยให้คำมั่นสัญญาว่า ‘หากเธเซียสสร้างความเดือดร้อนให้กับครีตัน พระองค์จะปลิดชีพดวงใจของพระองค์เอง’ เท่ากับว่าทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธเซียส ผู้มีอำนาจตัดสินใจยังคงเป็นเจ้าชายมิโนส
ดังนั้นสวัสดิภาพของเซอร์ซีคงมิได้เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่
เพียงแต่เขาจะทนพิษบาดแผลได้หรือไม่ ก็สุดแท้จะคาดเดา

“เจ้ากับนายของเจ้าช่างมีวาสนา แต่มิได้นำพา..” โครนัสหนึ่งในพลธนูกล่าววาจาคลุมเครือกับบุรุษผู้บาดเจ็บที่ในตอนนี้แทบมิได้สติ แต่เพราะการถูกลากถูลู่ถูกังเป็นระยะเวลาอันยาวนาน มิอาจทำให้เซอร์ซีหลับใหลได้ตามใจนึก ฝ่ายเธเซียสที่ลอบติดตามโดยทิ้งระยะห่างจากกองทัพทหารครีตันมิไกลนัก ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด เพราะถ้อยคำดังกล่าวมิอาจคิดเป็นอื่นได้ นอกเสียจากการลอบสังหารในครานั้น เกิดจากการสื่อสารที่มิทันการณ์ จึงทำให้กว่าพลธนูจะล่วงรู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนไป
เธเซียสก็ถูกโยนลงสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่

กระทั่งการเคลื่อนพลจบลง ส่งผลให้บุรุษผู้ติดตามถึงคราวต้องตกตะลึง เมื่อภาพเบื้องหน้าคือ ‘ฐานทัพบก’ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หุบเขาอันกว้างใหญ่ จึงมิแปลกที่ค่ายกลอันเป็นกับดักจะซ่อนตัวอยู่ในระแวกดังกล่าว เพียงแต่สิ่งที่น่าทึ่งกลับเป็นการลักซ่อนความแข็งแกร่งภายใต้ธรรมชาติอันเงียบสงบ เพราะตอนขามาเธเซียสมิเห็นหนทางเข้าสู่ฐานทัพแต่อย่างใด
นับได้ว่า ‘ค่ายกล’ ของเจ้าชายมิโนสแทบมิต้องลงแรงอันใด เพราะสะพานไม้คือสัญญาณบอกเหตุ บวกกับแรงกระแทกของฝีเท้าม้าศึกทำให้ก้อนหินที่วางตั้งอยู่บนสะพานเกิดความเคลื่อนไหว และด้วยความที่ฐานทัพอยู่มิไกลจากค่ายกลแห่งนี้ กองทัพทหารครีตันจึงรีบรุดมายังจุดเกิดเหตุ เซอร์ซีเลยกลับกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ขณะที่เธเซียสยังคงละล้าละลังต่อการตัดสินใจ

แต่แล้วบรุษจากต่างแดนก็รีบซ่อนเร้นกายอยู่ข้างหลังต้นไม้ใหญ่ ตรงข้ามทางเข้าสู่ฐานทัพบกที่มีการตรวจตราอย่างแน่นหนา เพียงแต่พวกเขามิใช้คบไฟตรงพื้นที่ใกล้ริมถนน แต่จะใช้คบไฟเมื่อข้ามผ่านช่องแคบของภูเขาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง
“ทำอย่างไรดี” เธเซียสรำพันกับตนเองอย่างคิดมิตกพลางกัดเล็บจนสั้นกุด ก่อนจะเงยหน้ามองท้องนภาที่ค่อย ๆ คืนสู่ความเงียบสงบด้วยความชั่งใจว่าการเฝ้ารอจังหวะเหมาะในการชิงตัวเซอร์ซีถือเป็นหนทางที่ดี หรือว่าการหวนกลับไปหาเจ้าชายมิโนส พร้อมตบตาว่าพวกเขาจดจำเส้นทางมิได้ จะถือเป็นหนทางที่เข้าท่ากว่า

“เซอร์ซี เจ้ามิใช่คนอ่อนแอ หวังว่าเจ้าจะมิทำให้ความเชื่อมั่นของเราถูกทำลาย” เธเซียสปลอบใจตนเองเพียงครู่พลางออกตัววิ่งไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่เขตชุมชน แต่ทว่าท้องฟ้าที่เคยเงียบสงบกลับร้องครวญครางขึ้นมาอีกครา มิหนำซ้ำสายลมยังกรรโชกแรงเสียจนเธเซียสแทบมิอาจต้านไหว บุรุษจากต่างแดนจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเศษดินทรายกำลังปลิวว่อนอย่างเริงร่า สองมือของเขาจึงกระชับผ้าคลุมศีรษะให้มั่นคง
ขณะที่อสนีบาตกลับฟาดฟันลงบนเส้นทางเล็กแคบภายในเขตชุมชน

“เจ้าหญิงแอริแอดเนมิใช่หรือ ?” เธเซียสที่กำลังจะเดินพรวดพราดออกจากซอกตึก มีอันต้องถลากลับไปซ่อนตัวอย่างแยบยล เมื่อสตรีผู้สูงศักดิ์กำลังประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพียงแต่พระนางมิได้มาเยือนเพียงผู้เดียว เพราะข้างกันนั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่งติดตามมาด้วย
ฉับพลันภาพบางอย่างที่เคยรางเลือนก็เริ่มเด่นชัด
สองขาของเธเซียสจึงก้าวย่างไปตามทิศทางเป้าหมายของบุคคลเบื้องหน้า

“เธซีอุส เหตุใดคนเรือที่เจ้าติดต่อไว้จึงมิมาเสียที” สิ้นดำรัสของเจ้าหญิงแอริแอดเนที่บัดนี้ใช้ผ้าลินินห่มคลุมวรกายอย่างมิดชิดหลงเหลือเพียงดวงเนตรเรียวสวย เสริมสร้างสถานการณ์ให้ตึงเครียดอย่างน่าใจหาย เพราะความล่าช้าอาจส่งผลกระทบต่อจุดประสงค์บางอย่างที่คงจะหนีมิพ้นเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘มิโนทอร์’ เพราะในวันที่ได้เห็นฉากรักของบุคคลทั้งสอง เธเซียสยังจดจำดำรัสอันคลุมเครือของพระนางได้
และยังคาดเดาความโกรธแค้นของ ‘เธซีอุส’ จวบจนกระทั่ง ‘เป้าหมาย’ ที่ต้องการออก

ดังนั้นการส่งสัญญาณเตือนของ ‘อัส’ อาจมิใช่เรื่องบังเอิญ เท่ากับว่า ‘โจรสลัด’ ที่เข้ามาลุกลานน่านน้ำของจักรวรรดิครีตัน คงเป็นเพียงเหยื่อล่อให้เจ้าชายมิโนสในคราบ ‘มิโนทอร์’ ปรากฏองค์ จากนั้นเจ้าของแผนการอันแยบยลคงจะแฝงกายเข้าไปยังห้องใต้ดินอันซับซ้อนเพื่อลอบสังหารเจ้าสัตว์ประหลาดชั่วร้ายให้สิ้นซาก

“นายท่านทั้งสองโปรดอภัยให้ข้าด้วย บ้านของข้าถูกอสนีบาต..” เธเซียสในคราบของ ‘คนเรือ’ กล่าวอย่างแยบยล และมิคิดลังเลที่จะกระโจนเข้าสู่เรื่องราวแห่งอันตราย เหตุเพราะครานี้ฝ่ายตรงข้ามมีเพียงสองชีวิต
และยังเป็นหนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรี
ต่อให้เหลือเพียงตัวเปล่า เธเซียสก็มั่นใจว่าจะต้องเอาชนะได้อย่างง่ายดาย

“มิต้องพูดพร่ำอันใด รีบไปทำหน้าที่ของเจ้าโดยเร็ว” บุรุษจากเอเธนส์กล่าวอย่างมิสบอารมณ์ แต่กระนั้นก็นับว่ายังเป็นผลดีต่อเธเซียส เพราะเขามิแน่ใจว่า ‘คนเรือ’ ตัวจริงจะโผล่หน้ามาเมื่อใด ดังนั้นบุรุษจากต่างแดนจึงรีบกุลีกุจอก้าวเดินไปยังท่าเรือริมน้ำ ที่อาจจะเชื่อมกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ลัดเลาะไปยังเส้นทางหลักของพระราชวังนอสซัส
เธเซียสจึงก้าวเดินอย่างองอาจไปยังเรือลำหนึ่ง ราวกับเรือลำนั้นคือเรือคู่ใจตน แต่ในความเป็นจริงเธเซียสเพียงแค่เดาสุ่ม และมันก็โชคดีตรงที่เรือลำนี้ มีอาวุธตระเตรียมไว้ให้ป้องกันตน

กระทั่งผู้โดยสารขึ้นมายังลำเรือจนครบถ้วน บุรุษจากต่างแดนที่พอจะมีประสบการณ์ทางด้านฝีพายมาอย่างโชกโชน จึงนำพาหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีไปตามเส้นทางน้ำอันคดเคี้ยวแต่มิได้วกวน ทำให้เธเซียสมิต้องใช้ความคิดมากมายนัก เพราะทันทีที่เร่งฝีพายจนสุดทาง ลมทะเลก็ปะทะไปทั่วร่าง จนส่งผลให้เนื้อผ้าลินินบางเบาปลิวไสวราวกับนางระบำกำลังร่ายรำ
แต่กระนั้นเธเซียสก็ต้องคอยระมัดระวังมิให้เผยโฉมในเวลามิบังควร

“เร่งฝีพายเร็วเข้า ประเดี๋ยวมิทันการณ์” บุรุษจากเอเธนส์ยังคงเป็นฝ่ายออกคำสั่ง ขณะที่เจ้าหญิงแอริแอดเนยังคงประทับบนลำเรือด้วยท่าทีเคร่งขรึม เธเซียสจึงเริ่มสำรวจรอบกาย พบว่าสถานการณ์นอกชายฝั่งดูเงียบสงบ ราวกับมิมีผู้สอดแนมมากล้ำกราย
แต่ทว่าบรรยากาศรอบอาณาบริเวณของจักรวรรดิครีตัน กลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของอสนีบาตและสายลมกรรโชกแรง ส่งผลให้คลื่นลมสร้างความยากลำบากให้กับเธเซียส
ดังนั้นการเดินเรือในเพลานี้ จึงเป็นการกระทำที่ค่อนข้างอันตราย

เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวสร้างสถานการณ์แห่งความวุ่นวาย ส่งผลให้เรือลำน้อยโคลงเคลงไปตามเกลียวคลื่น สร้างความหงุดหงิดให้แก่บุรุษจากเอเธนส์เป็นอย่างมาก เขาจึงถีบเธเซียสตกทะเลอย่างมิปรานี
จากนั้นก็ทำหน้าที่ ‘คนเรือ’ ด้วยความเงอะงะ

“เธซีอุส เจ้ากำลังทำเสียเรื่อง” ดำรัสอันเรียบนิ่งจากเจ้าหญิงแอริแอดเนทำให้สถานการณ์อันวุ่นวายจบสิ้นลง
“ขึ้นมา!” บุรุษจากเอเธนส์ชักสีหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยอมยื่นมือให้เธเซียสใช้เป็นหลักยึด บ่งบอกได้ว่าหน้าที่ฝีพายยังคงเป็นของเธเซียส

และแล้วเรือลำน้อยก็ลอยล่องเข้าสู่เส้นทางเรียบเขตพระราชวังฐาน ความใหญ่โตโออ่าของตัวพระราชวังยังคงสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเธเซียส แต่กระนั้นเขาก็ทราบดีว่าเพลานี้มิใช่ช่วงเวลาแห่งการชื่นชมความงดงามดังกล่าว
บุรุษจากต่างแดนจึงเร่งฝีพายลัดเลาะไปตามแนวพุ่มไม้เพื่อใช้อำพรางตน

“เจ้ารออยู่ที่นี่ ห้ามเดินเพ่นพ่านเป็นอันขาด” บุรุษจากเอเธนส์เอ่ยกำชับเมื่อลำเรือจอดเทียบท่าตรงบริเวณด้านหลังของห้องใต้ดิน เธเซียสจึงพยักหน้ารับราวกับอยู่ในโอวาท เพียงแต่คล้อยหลังของทั้งคู่ เธเซียสกลับมิรอช้าที่จะสะกดรอยตาม พร้อมกระชับอาวุธอย่างแน่นหนา ขณะที่ในใจกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้
เพราะสตรีตรงหน้ามิใช่บุคคลธรรมดาที่จะเชือดคอโดยมิต้องคำนึงผลเสีย

แต่ครั้นจะปล่อยไปก็ทำใจมิได้..
เนื่องจากผู้ที่สามารถเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าชายมิโนส ควรมีเพียงเธเซียสที่ได้รับสิทธิ์นั้น

“เร็วเข้าแอสเตเรียนคงกลับมาแล้ว” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสด้วยสุรเสียงแห่งความเคร่งเครียด เพราะเมื่อครู่เธเซียสมัวแต่ใช้ความคิด จึงทำให้ฝ่ามือเผลอสัมผัสด้ายแดงที่พระนางยึดเกี่ยวกับทางออกด้านหลัง ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างทั้งคู่เริ่มยาวไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับความมืดอันเป็นอุปสรรคต่อการก้าวเดิน มิหนำซ้ำเส้นทางยังลึกลับซ้ำซ้อนเสียจนเธเซียสแทบจะตีอกชกตนเอง
“กว่าจะถึงคุกใต้ดิน อีกนานหรือไม่ ?” บุรุษจากเอเธนส์ทูลถามโดยมิสนใจถ้อยคำของตนว่าเป็นการมิบังควรหรือไม่ เพราะสถานการณ์ในเพลานี้เริ่มตึงเครียดทุกขณะ
เนื่องจากทั้งสองเข้าใจว่า ‘มิโนทอร์’ กำลังปรากฏกาย

“มินาน เร่งฝีเท้าเถิด” สิ้นบทสนทนาของทั้งสอง เธเซียสจึงอาศัยการดมกลิ่นเป็นใบเบิกทาง เนื่องจากคุกใต้ดินต้องมีการใช้ ‘คบไฟ’ เพื่อให้แสงสว่าง ดังนั้นกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงจึงลอยอบอวนอยู่รอบ ๆ เส้นทางที่มุ่งสู่เป้าหมายของบุคคลตรงหน้า
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้เธเซียสย้อนคิดไปถึง ‘ศพ’ อันน่าสยดสยองของหญิงนางหนึ่ง เพราะดูเหมือนว่าคุกใต้ดินจะเชื่อมกับเขาวงกตแห่งการซ่อนตัว ดังนั้นสาเหตุการตายของศพดังกล่าว อาจเกิดจากการลงโทษเพราะการหลบหนี ส่วนเหตุผลที่ต้องทำให้เหมือนการถูกสัตว์ร้ายฉีกกระชากผิวเนื้อ
เป็นไปได้ว่าจะมีขึ้นเพื่อข่มขวัญเชลยศึกรายอื่น มิให้กระทำการอาจหาญ

กระทั่งเดินมาจนถึงกรงขังอันว่างเปล่า บุรุษจากเอเธนส์ก็ทรุดตัวลงสู่พื้นเบื้องล่าง สองมือกำแน่นด้วยความเคียดแค้น ราวกับว่าหนึ่งในเชลยศึกคือบุคคลสำคัญ

“ธาเลีย..” เธเซียสมิได้สนใจเสียงร้องคร่ำครวญของบุรุษจากเอเธนส์แต่อย่างใด เนื่องจากความรู้สึกผิดที่เก็บกดไว้กำลังถาโถมอย่างท่วมท้น เพราะถ้าหากเธเซียสคาดเดามิผิด
เจ้าของนามดังกล่าว..
คงจะเป็นพี่สาวผู้แสนใจดี

“เธซีอุส เราเองก็เสียใจ แต่นางตายไปแล้ว คร่ำครวญไปก็มิมีประโยชน์” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสด้วยสุรเสียงเย็นยะเยือก คล้ายกับพระนางมิพอพระทัยท่าทีอาลัยอาวรณ์ของคนรักที่มีให้กับหญิงนางอื่น เธเซียสจึงมองเห็นอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างเด่นชัด เพราะดูเหมือนว่าบุรุษจากเอเธนส์เข้าหาเจ้าหญิงแอริแอดเน เพื่อช่วยเหลือเชลยศึกคนสำคัญ และก็เพื่อล้วงความลับของจักรวรรดิครีตัน
ซึ่งเธเซียสมิรู้ว่าเขาได้ข้อมูลไปมากน้อยเพียงใด
แต่แน่ ๆ เธเซียสมองมิเห็น ‘ความรัก’ ที่บุรุษผู้นี้มอบให้กับเจ้าหญิงแอริแอดเนแต่อย่างใด

φ

มาต่อแล้วจ้า ตอนนี้เหมือนเป็นงานหินสำหรับเราจริงๆ ค่ะ เขียนๆ ลบ ๆ จนทำให้งานไม่ค่อยคืบหน้า แถมยังติดละครด้วย 555 เราคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายตลบว่าการตัดสินใจของเธเซียสในเรื่องต่าง ๆ มันผิดต่อเซอร์ซีมั้ย มันขัดต่ออะไรหรือเปล่า แถมช่วงหลังมันเกี่ยวกับปมเรื่องศพ เรื่องครอบครัวเจ้าชายมิโนส แล้วไหนจะเรื่องความรักของเจ้าหญิงแอริแอดเนอีก มันเลยทำให้เราต้องรื้อแก้ใหม่ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขียนจบไปแล้ว แต่เรารู้สึกว่ามันยังออกมาไม่ตรงใจ ก็เลยตัดสินใจเขียนใหม่ดีกว่าเลยทำให้ลงไม่ทันเมื่อวาน สำหรับปมเจ้าหญิงกับเธซีอุส ถ้าใครตามไปอ่านตำนานมิโนทอร์อาจจะพอเดาได้ว่าเรื่องจะเดินมาแนวนี้ ตอนหน้ามาฟังเหตุผลของเจ้าหญิงกันค่ะว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนี้ สปอยด์ว่าเกี่ยวกับปมเชลยศึก (จากนั้นปมก็ใกล้จะหมดแล้วจ้า เหลือเคลียร์เรื่องปมน้องเธเซียส) คาดว่าไม่น่าจะเกิน 40 ตอนคงจบค่ะ แต่ถ้าจบไม่ลงตัวที่ 40 ก็ไม่น่าจะเกิน 50 นะ เพราะมันใกล้โค้งสุดท้ายทุกที ๆ แล้ว อยู่ที่ว่าแต่ละเหตุการณ์เวลาเขียนจริงเราจะซอยตอนออกไปแค่ไหน T^T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 20:07:50 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 29

ความเงียบงันและความมืดมิดภายในห้องใต้ดินสุดวกวน มิต่างกับเส้นทางมุ่งตรงสู่เขตยมโลก บัดนี้บุรุษจากเอเธนส์อย่าง ‘เธซีอุส’ จึงชักดาบด้ามยาวออกจากบั้นเอว ราวกับเขาพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกแห่งหลังความตาย เพื่อออกตามหาดวงวิญญาณของ ‘นางธาเลีย’ ที่อาจระหกระเหินอยู่ตามริมแม่น้ำแอคเครอน  หรือไม่ก็คงจะกำลังเร่ร่อนอยู่ตรงริมแม่น้ำไคไซตัส
เหตุเพราะ ‘ศพ’ ของนาง มิได้รับการประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้อง จึงมิอาจว่าจ้าง ‘พลเรือ’ อย่าง ‘เครอน’ ให้นำดวงวิญญาณข้ามผ่านแม่น้ำแห่งความโศกเศร้า
เพื่อเข้าเฝ้าองค์เทพเฮดีส แห่งนรกภูมิ

“เธซีอุส เราจะคอยเจ้าอยู่ตรงปากทางเข้า หากเกิดเหตุร้ายอันใด ขอเพียงเจ้ากระตุกด้ายแดงเส้นนี้” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางประคองฝ่ามือของคนรักด้วยความทะนุถนอม พร้อมยัดด้ายแดงใส่มือซ้ายของบุรุษผู้แสนองอาจ จากนั้นพระนางก็เสด็จไปยังทิศทางเดิม โดยมิหวั่นกลัวสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวแม้แต่น้อย ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างความเคลือบแคลงใจให้กับเธเซียส
เพราะการช่วยเหลือบุรุษจากเอเธนส์
มิต่างกับการ ‘ลอบสังหาร’ พระเชษฐา และมิต่างกับการ ‘ก่อกบฏ’

ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เธเซียสรู้สึกว่า ‘ความรัก’ ของพระนางช่างยิ่งใหญ่และมั่นคง อีกทั้งยังเด็ดเดี่ยวมิต่างกับเจ้าชายมิโนส ผิดกับเธเซียสที่ถึงแม้จะ ‘รัก’ บุรุษในดวงใจมากเพียงใด แต่ก็มิอาจตัดใจมองข้าม ‘ความรัก’ ในอีกรูปแบบหนึ่งได้
เพราะสำหรับเธเซียส ‘ความรัก’ ในแต่ละบทบาทมิอาจทดแทนกัน
ดังนั้นเธเซียสจึงละล้าลังมิเลิกรา

กระทั่งบุรุษจากเอเธนส์เคลื่อนผ่านช่วงตัวของเธเซียสที่กำลังแอบซ่อนอยู่ตรงมุมหนึ่ง มิไกลจากคุกใต้ดินมากนัก ส่งผลให้สติที่กำลังล่องลอยเริ่มหวนคืนกลับมา บุรุษจากไมซีเนียนจึงลอบกลั้นหายใจเพื่อลดเสียงอันมิพึงประสงค์ แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมิทันการณ์ เนื่องจากบัดนี้คมดาบกำลังพุ่งเป้ามายังเธเซียส คล้ายกับเธซีอุสจับตำแหน่งของเขาได้จาก ‘ลมหายใจ’
ซึ่งเธเซียสก็มิแปลกใจนัก เพราะห้องใต้ดินค่อนข้างเงียบสงัด ดังนั้นการหายใจเพียงแผ่วจึงมิอาจเก็บซ่อน บุรุษจากต่างแดนจึงเข้าห้ำหั่นกันในความมืด
แต่ก็มิอาจรู้แพ้ชนะ
เหตุเพราะบรรยากาศรอบกายล้วนเป็นอุปสรรค   

แต่สำหรับเธเซียสมิได้มีเพียงอุปสรรคเดียว เพราะเขายังต้องแบกร่างกายอันหนักอึ้งจากพิษไข้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากการที่แผลโดนน้ำและยังตากลมทะเลเป็นเวลานาน บวกกับเครื่องนุ่งห่มอันเปียกชื้น จึงทำให้สภาพร่างกายของบุรุษที่เพิ่งจะข้ามผ่านความตายมิอาจทานทน
ระดับการหายใจที่ควรจะควบคุมได้ จึงกลับกลายเป็นจุดอ่อน อีกทั้งเจ้าหญิงแอริแอดเนยังแสร้งทำราวกับลมหายใจของเธเซียส คือลมหายใจของมิโนทอร์ ซึ่งจากความเข้าใจเดิมคาดว่า ‘มิโนทอร์’ คงมิมีทางทำร้ายบุคคลสำคัญ จึงมิแปลกที่เจ้าหญิงแอริแอดเนจะเสด็จผ่านเธเซียสราวกับเป็นเพียงสิ่งที่มองมิเห็น

“หึ ข้าทาสผู้รับใช้ปีศาจ ช่างน่าขันนัก” ทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามอาศัยความมืดเข้าไปคว้าคบไฟตรงบริเวณคุกใต้ดิน คำพูดเย้ยหยันก็ดังขึ้นพร้อมแสงสว่างสีเหลืองนวล จากนั้นแววตาแห่งความเคียดแค้นชิงชังก็พุ่งเป้ามายังเธเซียส
“อย่างนั้นหรือ..” บุรุษจากไมซีเนียนกล่าวพลางเยื้องย่างเข้าหาบุรุษจากเอเธนส์ด้วยความเยือกเย็น

“แล้วบรรพบุรุษของเจ้าเล่า น่าขบขันหรือไม่ ?” เธเซียสย้อนถามพลางแสยะยิ้มด้วยความสะใจ เพราะจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากความแพ้มิเป็นของนครรัฐเอเธนส์
และดูเหมือนว่าคำพูดดังกล่าวจะทำให้อีกฝ่ายมิสบอารมณ์

“แต่สำหรับข้าคงมิมีสิ่งใดน่าขันไปกว่าการเกาะชายผ้าของสตรี” บุรุษจากไมซีเนียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า พลางปรายตามองบุรุษอีกผู้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พร้อมก้มหยิบด้ายแดงขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็ใช้คมมีดคล้องเกี่ยวด้ายเส้นดังกล่าวจนขาดสะบั้น
ฉับพลันสถานการณ์จึงเริ่มตะลุมบอน ส่งผลให้เสียงคมดาบจากสำริดดังก้องไปทั่วห้องใต้ดิน แต่กระนั้นการต่อสู้ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะมือหนึ่งของบุรุษจากเอเธนส์จำต้องถือคบไฟเพื่อให้แสงสว่าง ขณะที่ฝ่ายเธเซียสมิอาจขยับฝ่ามือข้างที่บาดเจ็บอย่างแสนสาหัสได้
จึงทำให้การรับมือเป็นไปด้วยความยากลำบาก

แต่เธเซียสก็มิได้ย่อท้อต่อการใช้เล่ห์เหลี่ยม เขาจึงรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีฟาดฟันคมดาบเหนือบริเวณคบไฟ เพื่อให้แรงลมปัดเป่าเชื้อเพลิงให้ดับสิ้น จากนั้นจึงอาศัยความมืดมิดฟาดฟันร่างของบุรุษจากเอเธนส์จนเป็นแผลลึก ส่งผลให้อีกฝ่ายร้องระงมด้วยความเจ็บปวด แต่กระนั้นเสียงร้องอันแสนทรมานก็มิอาจส่งตรงไปถึงเจ้าหญิงแอริแอดเนที่ทรงยืนอยู่ตรงปากทางเข้า
จากนั้นก็ราวกับสงครามขนาดย่อมก่อเกิดขึ้น

เสียงคมดาบกวัดแกว่งจึงเริ่มโหมกระหน่ำ เหตุเพราะการอยู่ในที่แจ้งมากเท่าใดก็ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น บุรุษทั้งสองจึงห้ำหั่นกันอย่างมิมีใครยอมใคร ซึ่งฝ่ายเธซีอุสก็ดูเป็นคนช่างสังเกต จึงอาศัยทีเผลอฝากรอยแผลไว้ที่บริเวณข้อมือของบุรุษจากไมซีเนียน
ส่งผลให้เธเซียสเริ่มเสียเปรียบ เพราะดาบที่นำมาจากลำเรือถูกตวัดทิ้งอย่างมิไยดี บุรุษจากไมซีเนียนจึงมองรอบกายอย่างใช้ความคิด และคำนวณความน่าจะเป็นว่า ‘ทางรอด’ ที่กำลังมองเห็นจะต้องใช้เพลาสักเท่าใด
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธเซียสก็มิรอช้าที่จะวิ่งเข้าสู่เส้นทางแห่งความมืด
เพราะการอยู่ในที่แจ้งโดยมิมี ‘มีดดาบ’ คงมิใช่เรื่องดี

บัดนี้เธเซียสจึงวิ่งอย่างมิรู้ทิศรู้ทางโดยใช้ฝ่ามือละกำแพงเป็นการนำทาง แต่กระนั้นก็มิอาจแม่นยำจึงส่งผลให้ลาดไหล่ของเธเซียสกระแทกกับขอบกำแพงเมื่อต้องการสับเปลี่ยนเส้นทาง ซึ่งเป้าหมายของบุรุษจากไมซีเนียนคือห้องเก็บน้ำผึ้ง
เหตุเพราะเครื่องปั้นดินเผา
สามารถใช้แทนอาวุธได้มิยาก แต่ที่ยากคงเป็นเพราะเธเซียสจดจำทิศทางมิได้

“เธซีอุส เจ้าอยู่ที่ใด ?” สุรเสียงหวานหูดังก้องอยู่ในเขาวงกตตามมาด้วยแสงสว่างสีเหลืองนวลจากคบไฟ ส่งผลให้เธเซียสเริ่มร้อนรนและค่อนข้างหัวเสีย เพราะเจ้าหญิงแอริแอดเนกำลังจะทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก
“ข้าอยู่ทางนี้” หลังจากเธซีอุสละล้าละลังว่าจะก้าวเดินไปยังทิศทางใด แสงสว่างจากคบไฟของเจ้าหญิงแห่งครีตันก็ส่องสว่างพอให้เห็นแผ่นหลังของคู่ต่อสู้อยู่รำไร บุรุษจากเอเธนส์จึงวิ่งไล่กวดอย่างหึกเฮิม
พร้อมเอ่ยวาจาบอกทิศทางด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

ฝ่ายเธเซียสที่กำลังเลี้ยวโค้งไปยังด้านซ้าย กลับมีอันต้องล้มก้นจ้ำเบ้า เมื่อปะทะกับอะไรสักอย่างด้วยความรุนแรง แต่กระนั้นก็มิได้น่าตกใจเท่าคมขวานลาบริสที่ลอยโฉบเหนือศีรษะไปยังด้านหลัง เธเซียสจึงหันมองไปยังทิศทางดังกล่าว พบว่าคมขวานสองหัวชำแหละร่างของบุรุษจากเอเธนส์จนขาดเป็นสองท่อน จากนั้นเสียงกรีดร้องของเจ้าหญิงแอริแอดเนก็ดังตามมา
ขณะที่ ‘คบไฟ’ กลับร่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง และลุกโชนภายในเสี้ยววินาที

“เธซีอุส” หญิงงามแห่งครีตันร้องเรียกบุรุษในดวงใจด้วยสุรเสียงสั่นเทา พลางรวบกอดร่างไร้วิญญาณราวกับพระนางประสงค์ให้รูปร่างอันปริแยกสมานกันดังเดิม แต่กระนั้นเรื่องเหนือธรรมชาติก็มิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
“แอริแอดเน” สุรเสียงสั่นเครือจากบุรุษเบื้องหลัง ส่งผลให้ความสนใจทั้งหมดของเธเซียสพุ่งเป้าไปยังเจ้าชายมิโนส ที่มิใช่ ‘แอสเตเรียน’ อีกต่อไป

“เหตุใด..” มหาบุรุษแห่งครีตันในสภาพมิสง่างามดังเช่นที่ผ่านมา ตรัสถามพระขนิษฐาด้วยความสะเทือนพระทัย เพราะเหตุการณ์เบื้องหน้ามิจำเป็นต้องเท้าความก็เข้าใจ
“เจ้าถึงรังเกียจพี่” สิ้นดำรัสอันน่าสงสาร พระอังสาของบุรุษผู้แสนองอาจก็สั่นเทาอย่างที่เธเซียสมิเคยเห็นมาก่อน

“เพราะพี่คือแอสเตเรียนอย่างนั้นหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามปนสะอื้น จนทำให้เธเซียสรู้สึกว่าเพลานี้พระองค์ดูเหมือนผู้เยาว์ที่ต้องการความรักจากครอบครัว
เพียงแต่ ‘ความรัก’ นั้น ต่อให้อยู่ตรงหน้า แต่ก็มิอาจไขว่คว้า
ฝ่ายเจ้าหญิงแอริแอดเนกลับส่ายพระพักตร์พลางกันแสงด้วยความเงียบเชียบ

“เช่นนั้นเพราะเหตุใด น้องจึงผันตัวไปเป็นไส้ศึก” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสถามพลางเยื้องย่างไปยังหญิงงามตรงหน้า
“เพราะที่จักรวรรดิครีตันมิมีผู้ใดรักน้อง” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางสะบัดพระหัตถ์เพื่อหลีกหนีสัมผัสจากพระเชษฐาด้วยความรุนแรง ฝ่ายเจ้าชายมิโนสกลับทำได้เพียงส่ายพระพักตร์เป็นการปฏิเสธ

“เสด็จแม่เอาแต่ขลุกตัวอยู่บนยอดเขาดิคที เพื่อบำเพ็ญภาวนาให้ท่านพี่แอนโดรเจียส มิเคยใส่ใจน้อง” เจ้าหญิงผู้เลอโฉมตรัสด้วยสุรเสียงเจ็บปวด ขณะที่อัสสุชนกลับไหลรินอาบดวงพักตร์
“ศพแล้วศพเล่าก็มิอาจทำให้เสด็จแม่เข้าใจว่าท่านพี่แอนโดรเจียสมิมีวันฟื้นคืน” สิ้นคำกล่าวของเจ้าหญิงแอริแอดเน เธเซียสก็เข้าใจได้ทันทีว่า ‘เครื่องสักการะ’ เนื้อมนุษย์ มีขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการออกตามหาดวงวิญญาณที่กำลังเร่ร่อนอยู่ตามริมแม่น้ำแห่งความโศกเศร้า เพราะเจ้าชายแอนโดรเจียสถูกลอบสังหารโดยมิได้ทำพิธีกรรม ดวงวิญญาณจึงมิอาจว่าจ้างพลเรือเพื่อไปเข้าเฝ้าองค์เทพเฮดีสแห่งนรกภูมิ

พระราชินีแห่งครีตันจึงวาดหวังว่าการบำเพ็ญเพียรด้วยการบูชายัญ ‘เนื้อมนุษย์’ จะทำให้กับองค์เทพสักองค์ช่วยนำส่งดวงวิญญาณของผู้ที่ถูกบูชายัญออกตามหาเจ้าชายแอนโดรเจียส
และนำพาพระองค์ข้ามผ่านประตูทางเข้าโลกแห่งหลังความตาย

“โธ่.. แอริ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มสรวลเพียงเล็กน้อยพร้อมเอื้อมหัตถ์ออกไป เพื่อหวังจะซับอัสสุชนให้กับพระขนิษฐา แต่ทว่าดำรัสดังกล่าวยังมิอาจจบประโยค พระหัตถ์ของพระองค์ก็ถูกเจ้าหญิงผู้เลอโฉมปัดป้องราวกับรังเกียจเดียดฉันท์
“ท่านพี่เองก็เช่นกัน โหยหาแต่ท่านพี่แอนโดรเจียส!” สุรเสียงเกรี้ยวกราดดังกึกก้องไปทั่วเขาวงกต ส่งผลให้เธเซียสเผลอสะดุ้งจนสุดตัว ซึ่งเขาก็เข้าใจความโกรธเกรี้ยวดังกล่าวดี เพราะเจ้าชายมิโนสแทบมิเคยเอ่ยถึงเจ้าหญิงผู้นี้
มิหนำซ้ำช่วงแรก ๆ พระองค์ยังตรัสราวกับเธเซียส คือภาพซ้อนทับของพระอนุชาในความทรงจำ

“เหตุใดจึงทำราวกับน้องมิมีตัวตนเพคะ ?” สิ้นดำรัสถามจากเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ภายในห้องใต้ดินกลับได้ยินเพียงเสียงลมหายใจและเสียงสะอื้นของพระนาง ขณะที่พระอังสาอันองอาจกลับสั่นไหวอย่างอ่อนแอ
“…”

“ตอบมิได้” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางสรวลทั้งน้ำตา
“พี่.. มิได้ทำเช่นนั้น” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงจริงจัง แต่ทว่ากลับมิมีคำอธิบายอันใดเพิ่มเติม

“เหมือนเสด็จแม่มิมีผิด! ตนเองกระทำเช่นนั้น แต่มิเคยยอมรับ!”
“…”

“ชีวิตนี้มิมีผู้ใดจริงใจกับน้องมากเท่าเธซีอุสอีกแล้ว” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสพลางส่ายพระพักตร์ราวกับต้องการตอกย้ำความจริงให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเจ็บปวดของการมิมีตัวตนในสายตาของบุคคลสำคัญ จนกระทั่งวันหนึ่งแสงสว่างอย่าง ‘เธซีอุส’ ก้าวเข้ามาในชีวิต ความรัก ความอบอุ่น ทำให้พระนางคิดหักหลังครีตัน เพื่อที่จะได้หลบลี้จากสถานที่แห่งความเจ็บปวด
ทว่า ‘บุรุษจากเอเธนส์’ กลับมิจริงใจ

“แอริแอดเน.. พี่ยอมรับว่าพี่เป็นพี่ชายที่ยังมิดีพอสำหรับน้อง แต่พี่มั่นใจว่าพี่มิเคยไม่เห็นน้องในสายตา” เจ้าชายมิโนสตรัสขึ้นมาอีกครา เมื่อภายในห้องใต้ดินเริ่มถูกครอบงำด้วยความเงียบสงัด
“พี่เองก็โดดเดี่ยวมิต่างจากน้อง จึงมิรู้ว่าความรักเป็นอย่างไร และควรต้องแสดงความรัก..”  เจ้าชายมิโนสตรัสยังมิทันจบประโยค เจ้าหญิงแอริแอดเนก็ส่ายพระพักตร์ราวกับมิเห็นด้วย

“ท่านพี่มิเคยโดดเดี่ยว เพราะเสด็จแม่มิเคยทำเช่นนั้น” ดำรัสของเจ้าหญิงผู้เลอโฉมสร้างความสงสัยให้กับเจ้าชายมิโนสและเธเซียสมิใช่น้อย เพราะที่ผ่านมาสมาชิกแห่งราชวงศ์แทบจะมิเคยเหยียบย่างมายังพระราชวังคนอสซุส และมิเคยให้ความสนิทชิดเชื้อแก่มหาบุรุษแห่งครีตันแต่อย่างใด
“ท่านพี่มิมีวันเข้าใจจิตใจของน้องได้”

“เรื่องของเสด็จแม่ น้องหมายความว่าอย่างไร ?” สุรเสียงสั่นเครือของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกให้เธเซียสรับรู้ว่าพระหทัยของพระองค์กำลังเต็มตื้นไปด้วยความหวัง ฝ่ายเธเซียสที่กำลังยืนเป็นตัวประกอบจึงอดมิได้ที่จะคลี่ยิ้ม เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกดังกล่าวดี
เมื่อความปรารถนาของบุรุษผู้นี้ แทบมิต่างจากความปรารถนาของตน

“นอกจากเสด็จแม่จะทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อท่านพี่แอนโดรเจียส เสด็จแม่ยังทรงบูชายัญวัวสีขาวเพื่อลบล้างคำสาปให้ท่านพี่ แม้จะมิสำเร็จแต่เสด็จแม่ก็มิเคยย่อท้อ จนลืมเลือนว่าน้องก็ต้องการความรักความเอาใจใส่จากเสด็จแม่เช่นกัน!”
“ดังนั้นเมื่อมิมีผู้ใดเห็นคุณค่าในตัวน้อง.. น้องก็ควรแสวงหาความสุขให้กับตนเอง แต่ทุกอย่างก็พังลงเพราะท่านพี่!” เจ้าหญิงแอริแอดเนตรัสด้วยดวงเนตรอันเลื่อนลอย ก่อนจะแผดสุรเสียงจนดังลั่น พร้อมคว้าดาบด้ามยาวของชายคนรักตวัดใส่พระเชษฐาอย่างมิปรานี
แต่ทว่าบุรุษที่เข้ามารับคมมีด..
กลับกลายเป็นบุรุษจากไมซีเนียน

φ


[1] แม่น้ำแอคเคอรอน (Acheron) คือ แม่น้ำแห่งความวิปโยคหรือความเจ็บปวด
[2] แม่น้ำโคไซตัส (Cocytus) หรือ โคซีตุส (Cocetus) คือ แม่น้ำแห่งความกำสรวล เกิดจากน้ำตาของผู้ที่ถูกทรมานในนรก
[3] เทพเฮดีส หรือ ฮาเดส เป็นเทพเจ้าแห่งนรกของกรีกโบราณ


บทความที่เกี่ยวข้อง

- กรีซ เทพเจ้า และดินแดนปรโลก https://bit.ly/2KLc7Qw
- แม่น้ำโลกแห่งหลังความตาย https://bit.ly/31yEWFW


สำหรับตอนนี้ก็เปิดปมอีกอย่างหนึ่งของเรื่องออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าทุกคนพอจะเดาออกไหม แต่ที่ผ่านมาก็มีคนเดาเหตุผลของการบูชายัญถูกอยู่นะ 555และใช่ค่ะเหลือแค่ปมของน้องเธเซียสเท่านั้น ทุกอย่างก็จะคลี่คลายแล้ว สำหรับเราเจ้าหญิงแอริแอดเนก็น่าสงสารอยู่ เพราะนางก็ตกอยู่ในสถานะไม่ต่างกับเจ้าชายมิโนส พอมีเธซีอุสเข้ามาโลกที่เคยมืดมนก็สว่างสดใสไม่ต่างกับเจ้าชายมิโนส เพียงแต่ท้ายที่สุดคนรักของนางก็ไม่เคยรักนาง แต่อย่างน้อยก็ตายไปพร้อมกับความสวยงามในใจของเจ้าหญิง เพราะถ้าเกิดเขาไม่ตายขึ้นมา เจ้าหญิงคงเจ็บปวดกว่านี้

ปล. ไม่รู้ว่าพาร์ทนี้เขียนออกมาเป็นยังไงบ้าง เป็นกังวลนิดหน่อย และใช่ค่ะเรื่องนี้บู๊หนักมาก เราไม่เคยเขียนแนวนี้มาก่อน แต่พอได้เขียนก็สนุกดี ติดใจความบู๊ 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 20:10:02 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 30

เบื้องหลังอันรางเลือนของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังทรงยืนอยู่ตรงระเบียงด้านนอก พร้อมจิบน้ำจัณฑ์เป็นระยะ โดยโถคาร์เตอร์ยังคงวางตั้งอยู่มิห่างวรกาย บ่งบอกได้ว่าเจ้าชายมิโนสทรงดื่มเหล้าองุ่นที่คงจะผสมในระดับหนึ่งต่อสาม เนื่องจากดวงเนตรของพระองค์กำลังทอดยาวไปยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่มองเห็นรูปร่างของเกาะแห่งไฟเพียงเล็กน้อย เพราะการผสมในสัดส่วนดังกล่าวสามารถบ่งบอกได้ว่า พระองค์มิได้ต้องการดื่มเพื่อความเกษมสำราญอย่างเต็มที่ แต่พระองค์เพียงแค่ต้องการดื่มในระหว่างที่กำลังใช้ความคิด
ซึ่งเธเซียสมิอาจรับรู้ได้ว่าพระองค์กำลังครุ่นคิดสิ่งใด
เพราะหลังจากที่พุ่งตัวเข้าไปรับคมมีดก็สลบไสลมิได้สติ

“เจ้าหลับไปสองวันเต็ม เราเป็นห่วงแทบแย่” ทันทีที่บุรุษผู้สูงศักดิ์หันมาเห็นว่าเธเซียสกำลังนอนมองไปยังพระองค์ด้วยความเงียบเชียบ สุรเสียงแฝงความโล่งพระทัยก็ปรากฏ น้ำจัณฑ์รสชาติดีจึงถูกวางทิ้งไว้ข้าง ๆ คาร์เตอร์ ขณะที่วรกายสง่ากำลังเยื้องย่างมายังตั่งนุ่มภายในห้องบรรทม
“ช่วงที่กระหม่อมหลับไป เกิดเรื่องอันใดบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความสงสัย และอีกนัยหนึ่งก็เพราะความเป็นห่วง เนื่องจากดวงพักตร์ของพระองค์ค่อนข้างซีดเซียว
คล้ายกับเรื่องราวสุดเคร่งเครียดกำลังรุมเร้า

“เสด็จแม่ทรงทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แอริแอดเนจึงถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน วันพรุ่งจะถูกเนรเทศออกจากครีตัน” สุรเสียงแฝงความมิสบายพระทัยดังก้องไปทั่วบริเวณ บ่งบอกได้ว่าสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมิอาจทำให้ความเกลียดชังก่อเกิดในจิตใจ
เธเซียสจึงอดสงสัยมิได้ว่า..
พระหทัยของบุรุษผู้นี้แข็งแกร่งดังหินผาจริงหรือไม่

“พระองค์มิทรงกริ้วพระขนิษฐาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความใส่ใจ ขณะทอดมองไปยังบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังประทับบนตั่งพร้อมแย้มสรวลเพียงบางๆ
“คงเพราะเราเข้าใจความรู้สึกของแอริแอดเนกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางส่ายพระพักตร์ เธเซียสจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความเข้าใจ เนื่องจากสถานการณ์ของสองพี่น้อง ล้วนเกิดจากการต้องการความรักจากเสด็จแม่
ดังนั้นความเข้าอกเข้าใจจึงก่อเกิด

“สองวันที่ผ่านมา เราพยายามเจรจากับเสด็จแม่อย่างสุดความสามารถ” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางขยับวรกายพิงกำแพงเหนือบริเวณตั่ง จากนั้นพระหัตถ์ของพระองค์ก็ผสานอยู่บนพระอุทร 
“แต่เสด็จแม่กลับให้โอวาทเรามาเรื่องหนึ่ง และมันก็เป็นเรื่องที่เรามิอาจปฏิเสธ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางทอดพระเนตรไปยังภาพวาดเฟรสโกลวดลายสัตว์ทะเลบริเวณปลายตั่ง

“เพราะเราอยู่เหนือผู้คนนับหมื่น แต่ก็มิอาจกระทำได้ตามอำเภอใจ เราจึงต้องปล่อยให้การเนรเทศก่อเกิดขึ้น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางวางพระหัตถ์ลงบนศีรษะของเธเซียสพร้อมลูบไล้เส้นผมนุ่มลื่นอย่างเชื่องช้า คล้ายกับพระองค์กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งภวังค์ ฝ่ายเธเซียสกลับเงียบซึมอย่างเห็นได้ชัด เพราะดำรัสดังกล่าวค่อนข้างแอบแฝงความเศร้าสร้อย อาจเพราะสถานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายมิต่างกับผู้ปกครองจักรวรรดิครีตัน

ดังนั้นการตัดสินพระทัยจึงมิอาจกระทำได้ตามประสงค์ ซึ่งผลลัพธ์ก็เห็นได้จากการที่เธเซียสถูกลอบสังหารในสถานะ ‘ไส้ศึก’ เพราะต่อให้เจ้าชายมิโนสจะทรงละทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ทว่าเหล่าทหารกลับมิยินยอม
เนื่องจากการละเว้นหนึ่งผู้ อาจตามมาด้วยการละเว้นอีกหนึ่งผู้
บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงต้องยอมให้คำมั่นสัญญาว่าหากเธเซียสสร้างความเดือดร้อนชีวีจะหาไม่

ซึ่งก็มิต่างกับกรณีของเจ้าหญิงแอริแอดเน เพราะการก่อกบฏควรได้รับโทษสถานหนัก จึงหลีกหนีมิพ้น ‘การประหารชีวิต’ แต่กระนั้นพระราชินีก็ยังทรงเมตตา จึงตัดสินโทษเพียงแค่ ‘เนรเทศ’ ออกจากครีตัน
แต่ทว่าการพิจารณาดังกล่าว นับว่าเสี่ยงต่อการพิพาทในภายภาคหน้า
เท่ากับว่าทุกฝ่ายได้รับผลจากการกระทำในแบบที่ควรจะเป็นจนถ้วนทั่ว

“ว่าแต่เจ้าเถิด เหตุใดจึงเอาตัวเข้ามารับคมมีดแทนเรา มิคิดถึงผลกระทบในภายภาคหน้าหรอกหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางไถลวรกายซุกซบลงบนพระพาหาข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างกำลังลูบไล้ข้างแก้มด้านขวาของเธเซียส โดยที่พระโอษฐ์กลับคลอเคลียมิห่างจากแก้มนิ่มด้านซ้าย
“มิได้คิดเลยพ่ะย่ะค่ะ” สุ้มเสียงเลื่อนลอยของบุรุษจากไมซีเนียนค่อนข้างแผ่วเบา แต่ทว่ากลับสร้างรอยยิ้มแรกของวันให้กับผู้อื่น
เพราะคำตอบดังกล่าวสามารถตีความได้ว่า..
หัวใจของเธเซียสกำลังเลือกข้าง ขณะที่ความคิดยังคงละล้าลังมิเลิกรา

“เจ้าเริ่มมีใจให้เราเมื่อใด ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามขณะที่พระอังคุฐยังคงลูบไล้ข้างแก้มของบุรุษอีกผู้ด้วยความแผ่วเบา
“มิทราบพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบพลางขมวดคิ้วมุ่น ราวกับดำรัสถามดังกล่าวคือคำถามลองภูมิ

“เราเองก็เช่นกัน มิเคยรู้เลยว่าเริ่มมีใจให้กับเจ้าตั้งแต่เมื่อใด แต่สิ่งหนึ่งที่เราจดจำได้อย่างชัดเจน คือสายตาของเรามักจะมองหาแต่เจ้า และเริ่มเห็นเจ้าเด่นชัดในความรู้สึก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางสรวลในลำพระศอ ขณะที่ใบหน้าของเธเซียสกำลังแดงก่ำ
เพียงแต่มิได้เกิดจากพิษไข้

“ในตอนนั้นเราช่างไร้เดียงสา จึงหลงคิดว่าการกระทำเหล่านั้นคือการเฝ้าระวังไส้ศึก” สิ้นดำรัสจากบุรุษในดวงใจ เธเซียสจึงหลุดหัวเราะ ขณะที่ริมฝีปากและดวงตากลับคลี่เป็นรอยยิ้มสดใส ส่วนหัวใจกลับรู้สึกหวั่นไหวกับความเป็นจริงที่เคยได้ยินมาคราหนึ่งแล้ว ว่าบุรุษผู้นี้มิเคยรู้จักการแสดงความรัก และมิเคยรู้จักว่าความรักเป็นอย่างไร
เพียงแต่ครานี้บุรุษผู้นั้นมิได้เอ่ยวาจาดังกล่าวกับพระขนิษฐา
แต่กลับเอ่ยวาจาให้ยอดดวงใจของพระองค์รับรู้

“รีบบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบว่าพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว” เธเซียสพลิกกายหันหน้าเข้าหาดวงพักตร์หวานละมุนของเจ้าชายมิโนส พลางอาจเอื้อมใช้ฝ่ามือลูบไล้พระเกศาของบุรุษตรงหน้าด้วยความเชื่องช้า
ราวกับเขาต้องการจะกล่อมขวัญบุรุษผู้นั้นให้คลายกังวล

“เจ้ามิเหม็นกลิ่นน้ำจัณฑ์หรอกหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามคล้ายกับย้ำเตือนความจำ แต่ทว่าพระองค์เพียงแค่ต้องการทักท้วงให้บุรุษผู้บาดเจ็บล่วงรู้ว่าการโอบกอดพระองค์จนเต็มอ้อมแขนเช่นนี้ อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อบาดแผลของอีกฝ่าย
“กลิ่นสมุนไพรของกระหม่อมรุนแรงกว่ามาก” เธเซียสส่ายหน้าพลางกล่าวปฏิเสธอย่างชัดเจน ร้องเรียกเสียงสรวลของบุรุษอีกผู้ได้มิยาก จากนั้นทุกสรรพสิ่งภายในห้องบรรทมก็พลันเงียบงัน เมื่อบุรุษผู้สูงศักดิ์ได้รับการปลอบขวัญอันแสนอบอุ่น บุรุษจากต่างแดนจึงจุมพิตบริเวณพระนลาฏเพียงแผ่ว
เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าเจ้าชายมิโนสมิได้มีพระหทัยแข็งแกร่งดุจหินผา
เนื่องจากพระองค์สั่งสมความเจ็บปวดจนกลับกลายเป็นตะกอนขุ่นมัวมิต่างกับเธเซียส

รุ่งสางของเช้าวันใหม่คงเป็นวันที่เจ้าชายมิโนสมิประสงค์ให้เดินทางมาถึง แต่กระนั้นวันเวลาก็มิเคยหยุดเคลื่อนไหว บุรุษต่างศักดิ์จึงสวมเครื่องแต่งกายตามแบบฉบับของทหารครีตันจนเต็มยศ เพื่ออารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าหญิงแอริแอดเนในระหว่างที่ต้องเสด็จไปยังท่าเรือนอกเขตพระราชฐาน
เนื่องจาก ‘นักโทษ’ ข้อหากบฏจะต้องถูกแห่รอบเมืองนอสซัส เพื่อป่าวประกาศให้ราษฎร์รู้แจ้ง

“อันที่จริงเจ้ายังมิหายดี มิควรดื้อดึงที่จะร่วมเดินทางไปกับเรา” เจ้าชายมิโนสตรัสแกมดุ ทว่าพระหัตถ์ของพระองค์ยังคงตั้งท่าสวมใส่หมวกนักรบตามแบบฉบับของชาวครีตัน ซึ่งหมวกดังกล่าวทำจากสำริด บดบังทั้งพระกรรณ  สันพระนาสิก  และพระปราง  มีเพียงดวงเนตรเท่านั้นที่ได้รับอิสระ ขณะที่เหนือพระเศียรกลับมีการประดับตกแต่งมิต่างจากนักรบแห่งไมซีเนียน
เสริมสร้างความน่าเกรงขามให้แก่บุรุษผู้สูงศักดิ์อีกมากโข

“กระหม่อมข้ามผ่านความตายมาแล้วคราหนึ่ง บาดแผลเพียงแค่นี้มิอาจส่งผลกระทบอันใดต่อกระหม่อม ขอพระองค์มิต้องทรงหวั่นเกรง” เธเซียสทูลตอบพลางแย้มยิ้มพร้อมสวมหมวกนักรบที่มีรูปร่างมิต่างกับภาพวาดเฟรสโกบนฝาผนังของพระราชวังแห่งเกาะธีรา ซึ่งตัวหมวกจะทำจากเขี้ยวหมูป่า มิได้บดบังใบหน้าดังเช่นเจ้าชายมิโนส เพราะของเธเซียสเป็นเพียงสายคล้องรัดรึงบริเวณปลายคาง
“เช่นนั้นเราก็คร้านจะขวางเจ้าแล้ว” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางคล้องเกี่ยวศาสตราวุธลงบนพระอังสา ก่อนจะเสด็จออกจากห้องบรรทม เพื่อมุ่งตรงไปยังเส้นทางแห่งราชวงศ์ที่เชื่อมกับเขตที่อยู่อาศัยของราษฎร์ เธเซียสที่บัดนี้คล้องเกี่ยวอาวุธไว้ตรงลาดไหล่จนพรั่งพร้อมแล้ว จึงรีบก้าวเดินตามบุรุษอีกผู้ด้วยความรวดเร็ว ส่งผลให้บาดแผลเริ่มได้รับการกระทบกระเทือน เขาจึงทำได้เพียงกัดริมฝีปากเพื่อระบายความเจ็บปวด
แต่แล้วจังหวะการดำเนินของเจ้าชายมิโนสกลับเชื่องช้า
ราวกับพระองค์จดจำได้ดีว่าร่างกายของเธเซียสยังมิสมประกอบ

กระทั่งขบวนเสด็จเดินทางมาจนถึงที่หมาย จังหวะการดำเนินของเจ้าชายมิโนสก็มีอันต้องสะดุดไป เมื่อภาพตรงหน้าคือภาพของเจ้าหญิงแอริแอดเนในสภาพที่มิได้งดงามดังเช่นที่แล้วมา เนื่องจากฉลองพระองค์และพระวรกายกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของเธเซียสและคราบดินฝุ่นจากในคุกใต้ดิน
ครั้นพระเชษฐาของพระนางเริ่มได้สติ จึงเสด็จไปยังทุ่งดอกลิลลี่ที่กำลังส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วบริเวณ จากนั้นบุรุษผู้สูงศักดิ์จึงประทานบุปผาสีขาวบริสุทธิ์ให้กับเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ที่บัดนี้ถูกเกลียวเชือกมัดไพล่หลัง ก้านบุปผาจึงคล้องเกี่ยวระหว่างเชือกเส้นใหญ่กับฝ่าพระหัตถ์อันเปรอะเปื้อน

“หวังว่าน้องคงจะยังมิลืมเลือน” สิ้นดำรัสนั้น เจ้าชายมิโนสก็ทรงยืนเคียงข้างเธเซียสพลางจับปลายเชือกเส้นเดียวกับที่ใช้พันธนาการอิสระของพระขนิษฐา ฝ่ายเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์จึงทอดพระเนตรมายังเบื้องหลังของพระนาง ราวกับประสงค์จะถามไถ่อะไรบางอย่าง
“เมื่อครู่คือการแสดงความรักของพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเธเซียสสบดวงเนตรของพระนางเพียงครู่จึงเสตาหลบ ขณะที่ริมฝีปากกลับทูลถามอย่างอาจหาญ เพียงแต่เธเซียสมิได้ต้องการคำตอบ
เพราะอันที่จริงเขาเองทราบดีอยู่แล้ว
ว่าการกระทำดังกล่าว ถือเป็นการแสดงความรู้สึกอย่างหนึ่งของเจ้าชายมิโนส

“เป็นเช่นนั้น”

สิ้นดำรัสอันหนักแน่น ขบวน ‘นักโทษ’ จึงเริ่มก้าวเดินออกจากเส้นทางแห่งราชวงศ์ โดยมีทหารครีตันจำนวนสามนายแต่งกายมิต่างกับเธเซียส เพียงแต่พวกเขามีหอกและโล่หนังสัตว์พร้อมดาบด้ามยาวเป็นอาวุธประจำกายเดินนำขบวน
ซึ่งทหารแต่ละนายก็ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตา เพราะทุกผู้ต่างสวมตำแหน่งใหญ่โต
เริ่มจากขุนพลดิดะรัส โครนัส และเคออส

กระทั่งขบวนนักโทษล่วงล้ำเข้ามายังเขตชุมชน เหล่าราษฎร์ต่างมองจ้องไปยังเจ้าหญิงแอริแอดเนที่กำลังถูกคุมตัวด้วยการคล้องเชือกราวกับลากจูงโคด้วยความเงียบเชียบ แต่กระนั้นในสายตาของทุกผู้กลับแฝงแววแห่งความชิงชัง อาจเพราะโทษของพระนางคือการก่อกบฏและยังคิดปลงพระชนม์มหาบุรุษแห่งครีตันอันเป็นที่รักยิ่งของปวงประชา
ส่งผลให้ทันทีที่ขบวนเคลื่อนผ่าน
หัวเรื่องโจษจันจึงหลีกหนีมิพ้นเรื่องของเจ้าหญิงแอริแอดเน

ฝ่ายสตรีผู้เป็นหัวเรื่องคล้ายกับได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างชัดแจ้ง ฝ่าพระหัตถ์ของพระนางจึงกำแน่นราวกับประสงค์จะระบายความทุกข์ใจ ส่งผลให้ก้านบุปผาสีขาวบริสุทธิ์เริ่มปริแยก
จากนั้นดอกลิลลี่จึงร่วงหล่นลงสู่พื้นหิน
ทว่าพระนางกลับมิอาจก้มเก็บได้ตามใจนึก เจ้าชายมิโนสจึงเป็นฝ่ายเก็บให้พระนางด้วยองค์เอง

ครั้นขบวนเคลื่อนมาจนถึงบริเวณท่าเรือ การส่งมอบนักโทษไปยังเกาะแห่งหนึ่งจึงก่อเกิดขึ้น เพลานั้นจึงสบโอกาสเหมาะที่เจ้าชายมิโนสจะประทานบุปผาดอกนั้นคืนให้แก่พระขนิษฐา

“พี่จะหาทางช่วยน้อง ขอเพียงแค่น้องอดทนและเชื่อใจพี่สักครั้ง” สุรเสียงเว้าวอนดังขึ้นเมื่อเจ้าหญิงแอริแอดเนกำลังประทับบนรำเรือ ส่งผลให้พระนางทอดพระเนตรมายังเจ้าชายมิโนส
ทว่าคำตอบกลับมีเพียงเสียงคลื่นลมจากท้องทะเลอันเวิ้งว้าง

“เพคะ” กระทั่งดำรัสอันแสนบางเบาลอยคว้างมาตามสายลม พระโอษฐ์อันเรียบนิ่งจึงค่อย ๆ แย้มสรวลให้แก่กัน เธเซียสจึงพลอยแย้มยิ้มตามไปด้วย
ขณะที่หัวใจกลับหลุดพ้นจากความกังวล
เพียงแต่ร่างกายกลับรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลเพราะการเดินทาง

φ



[1] พระอุทร แปลว่า ท้อง
[2] พระกรรณ แปลว่า หู หรือ ใบหู
[3] สันพระนาสิก แปลว่า สันจมูก
[4] พระปราง แปลว่า แก้ม

อันนี้คือภาพวาดเฟรสโกเกี่ยวกับทหารที่เมืองอโกรตรี หรือเมืองที่อยู่บนเกาะธีราค่ะ (ในภาพดูไม่มีรองเท้าแต่จากข้อมูลอีกแหล่งมันระบุเกี่ยวกับรองเท้าเอาไว้ว่าใช้กำหนดยศของทหารจ้า)
https://i.imgur.com/X5voVlW.jpg

อันนี้คือภาพหมวกที่ทำจากเขี้ยวหมูป่าค่ะ (อันนี้ไม่ใช่หมวกแบบมิโนอันนะคะ เราหาแบบของมิโนอันไม่เจอ)
https://i.imgur.com/1ig6tKL.jpg

อันนี้คือหมวกอีกแบบนึงที่เราเจอมาค่ะ แต่ไม่มีในภาพวาดเฟรสโกนะคะ เราเลยเอามาให้เจ้าชายมิโนสใส่ เพราะหมวกอันนี้ทำจากสำริดค่ะ
https://i.imgur.com/G1ovypc.jpg

สำหรับตอนนี้ยังไม่มีอะไรมากค่ะ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้าชายมิโนสเสียมากกว่า ซึ่งจะเห็นได้ว่าอันที่จริงพระราชินีเองก็รักลูก ๆ ทุกคนนั่นแหละ แต่อาจจะไม่เท่ากัน ซึ่งพระนางเองก็รู้สึกผิดนะถึงได้ตัดสินโทษแค่เนรเทศ ทั้งๆ ที่จริงๆ จะต้องประหาร แต่บางครั้งสถานะที่ดำรงอยู่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ตามใจ

ปล. ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเท่าไหร่เนอะ แต่ก็จะเป็นจุดสำคัญอย่างหนึ่งในตอนต่อๆ ไปค่ะ 555 และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่มีทุกคนเราอาจจะเขียนไม่ถึง 30 ตอนก็เป็นได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2019 23:14:16 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 31

รุ่งสางของเช้าวันใหม่เธเซียสจำต้องแสร้งหลับสนิท เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงตื่นจากบรรทมเพื่อมาชำระบาดแผลให้กับเขา จากนั้นพระองค์ก็สรงน้ำเพียงครู่ แล้วเสด็จไปยังถนนแห่งราชวงศ์ตามที่ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เมื่อค่ำคืนวาน
เธเซียสจึงลุกขึ้นจากตั่งพร้อมสะกดรอยตามอย่างเงียบเชียบ เหตุเพราะบุรุษผู้สูงศักดิ์มิประสงค์ให้ผู้บาดเจ็บออกไปเดินเพ่นพ่าน เพียงแต่เธเซียสต้องการจะฝ่าฝืน เนื่องจากเขามิค่อยไว้วางใจเจ้าหญิงแอริแอดเนสักเท่าใด เพราะก่อนหน้านั้นพระนางประสงค์จะปลิดชีพพระเชษฐา แต่แล้วการแสดงความรักด้วยบุปผาเพียงดอกเดียวก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
ความรู้สึกในส่วนลึกจึงร้องบอกว่า..
บุรุษจากไมซีเนียนมิควรปล่อยปละละเลยต่อเจ้าชายมิโนสเป็นอันขาด

กระทั่งสวนดอกลิลลี่ปรากฏอยู่ตรงหน้า พื้นที่บริเวณดังกล่าวจึงเต็มไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารทั้งชายและหญิง โดยนางกำนัลดาฟเน่และนางกำนัลนีรูส คือผู้รอรับช่อดอกลิลลี่จำนวนมากส่งให้กับชายผู้ใช้แรงงาน เพื่อนำช่อบุปผาดังกล่าวไปเก็บไว้ยังที่แห่งหนึ่ง
เธเซียสจึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวแฝงตัวเข้าไปอยู่ท่ามกลางทุ่งบุปผา

“เจ้าช่างดื้อด้านเสียจริง” สิ้นสุรเสียงแกมดุบุรุษผู้ซึ่งแอบซ่อนอยู่ตรงทุ่งบุปผาในระยะไกล ก็มีอันต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ เนื่องจากเขามิรู้ตัวเลยว่าเผลอขยับเข้าไปใกล้บุรุษผู้สูงศักดิ์ตั้งแต่เมื่อใด
“พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ว่ากระหม่อมซ่อนตัวอยู่ที่นี่” เธเซียสยิ้มแหยพลางทูลถามด้วยความใคร่รู้

“เราเห็นพุ่มไม้ขยับไหว” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางแย้มสรวลโดยมิว่างเว้นต่อการเอื้อมเก็บบุปผาไปให้พระขนิษฐาที่ถูกเนรเทศไปยังเกาะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่นอกอาณาเขตของจักรวรรดิครีตัน
“เจ้าคงมัวแต่ลอบมองเราอยู่กระมัง จึงมิทันระวังตน” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางดำเนินไปยังอีกมุมหนึ่งของสวนบุปผา
ทอดทิ้งไว้เพียงเธเซียสที่กำลังยืนหน้าร้อนเห่อเมื่อถูกจับได้

“พระองค์จะมิให้ราชองครักษ์ติดตามไปด้วยจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสก้าวเข้าหาอีกฝ่ายพลางทูลถามเรื่องสำคัญ เพราะการตัดสินพระทัยดังกล่าวเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เธเซียสจำต้องดื้อดึง
“เราต้องการเวลาส่วนตัว” เจ้าชายมิโนสปฏิเสธพลางส่ายพระพักตร์

“เพียงแต่เหตุผลที่เรามิอยากให้เจ้าติดตามไปด้วยเป็นเพราะเจ้ายังมิหายดี เกรงว่าบาดแผลของเจ้าจะได้รับความกระทบกระเทือน” เจ้าชายมิโนสอธิบายเหตุผลพลางเสด็จออกจากเส้นทางแห่งราชวงศ์พร้อมลัดเลาะไปตามตัวอาคารที่เชื่อมกับเส้นทางอันมีเสาสีแดงต้นใหญ่ขนาบข้าง โดยสุดปลายทางมีเรือลำเล็กจอดเทียบท่าอยู่ลำหนึ่ง ขณะที่รอบบริเวณกลับเต็มไปด้วยกองทัพบุปผาสีขาวสะอาด เนื่องจากเหล่าข้าราชบริพารกำลังรำเรียงลงสู่เรือพระที่นั่ง
“แต่กระหม่อม..” บุรุษผู้บาดเจ็บยังคงคิดโต้แย้ง แต่กระนั้นก็มิอาจพูดอันใดอีก เนื่องจากความอบอุ่นที่วางแหมะอยู่บนศีรษะ บวกกับการแย้มสรวลของบุรุษตรงหน้า
กำลังทำให้เธเซียสรู้สึกว่า..
ความอบอุ่นของพระองค์ มิต่างจากแสงสุริยะในยามเช้า

กระทั่งเรือขนาดเล็กที่มีการประดับตกแต่งด้วยภาพวาดของนกทะเลพรั่งพร้อมต่อการออกเดินทาง เจ้าชายมิโนสก็ทรงเรือในตำแหน่งฝีพาย โดยมีบุปผาสีขาวบริสุทธิ์ล้อมรอบพระวรกายจนทั่วลำเรือ ขณะที่เธเซียสยังคงทอดมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนหัวคิ้วแทบจะผูกติดกัน ร้อนพระทัยถึงฝีพายผู้มากศักดิ์จนต้องตรัสวาจาแก้สถานการณ์

“นอนพักเสีย แล้วเราจะรีบกลับมา” สิ้นดำรัสจากบุคคลสำคัญ ใบหน้าของเธเซียสก็ยังมิคลายความกังวล เนื่องจากเขามิได้หวาดกลัวอันตรายอื่นใด นอกจากความไว้วางใจของอีกฝ่ายที่มีต่อเจ้าหญิงแอริแอดเน
ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวอาจนำพาให้พระองค์มิทันระวังตัว

“เราซาบซึ้งต่อความห่วงใยของเจ้านัก แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราอ่อนใจต่อการปฏิเสธ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางส่ายพักตร์พร้อมจัดแจงที่นั่งให้กับบุรุษในดวงใจ ฝ่ายเธเซียสที่ได้รับอนุญาตก็รีบยืนยิ้มแป้นราวกับผู้เยาว์
“กระหม่อมจะมิทำตัวเป็นภาระ” บุรุษผู้บาดเจ็บเริ่มสัญญิงสัญญาอย่างแข็งขัน พลางก้าวลงลำเรือพร้อมนั่งจุมปุกอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ จากนั้นฝีพายผู้สูงศักดิ์ก็เริ่มนำพาเรือลำดังกล่าว เคลื่อนห่างจากท่าเรือเรียบเขตพระราชฐาน จนกระทั่งมุ่งตรงสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะครีต บุรุษจากต่างแดนจึงมองรอบกายอย่างใส่ใจ เพื่อที่ตนจะได้มิให้ความสนใจต่อการกดทับของบาดแผล

“มีอันใดหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นเธเซียสเอาแต่มองจ้องไปยังด้านหลังพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“มิมีอันใดพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนหันกลับมาทูลตอบ ขณะที่หัวคิ้วยังคงขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด เนื่องจากเจ้าของเรือลำที่เคลื่อนสวนกันเมื่อสักครู่ ดูเหมือนจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังมิอาจแน่ใจ เนื่องจากบุรุษผู้นั้นคล้ายกับล่วงรู้ว่ากำลังถูกจับตามอง เขาจึงรั้งหมวกใบใหญ่ปิดบังใบหน้า อีกทั้งลำเรือของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มห่างไกลกัน
เหตุเพราะปลายทางของทั้งคู่อาจมิใช่ทิศทางเดียวกัน

“เจ้าล้มตัวลงนอนเถิด การเดินทางยังอีกยาวไกลนัก เราเกรงว่าบาดแผลของเจ้าจะถูกกดทับ” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างใส่ใจ ฝ่ายเธเซียสจึงอาศัยข้อเสนอดังกล่าวล้มตัวลงนอนบนพระเพลา เพื่อแฝงกายอยู่ท่ามกลางบุปผาและลำเรือขนาดเล็ก เนื่องจากสถานการณ์เมื่อสักครู่คล้ายกับสิ่งที่เขากำลังหวาดกลัวใกล้จะกลายเป็นจริง
เหตุเพราะบุรุษผู้แสนคุ้นหน้าคุ้นตา..
อาจจะเป็น ‘ทหาร’ จากไมซีเนียน

“เหตุใดพระองค์และพระขนิษฐาจึงโปรดปรานบุปผาชนิดนี้พ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามด้วยความใคร่รู้ แต่กระนั้นบทสนทนาดังกล่าวก็มีขึ้นเพื่อชะล้างความมิสบายใจที่ก่อเกิดขึ้น
“เพราะกลิ่นหอมของมันกระมัง” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเคลื่อนฝีพายอย่างเชื่องช้า ขณะที่เธเซียสกำลังดอมดมกลิ่นหอมดังกล่าวจนเกสรเปรอะเปื้อนปลายจมูก ส่วนดวงตากลับหรี่ปรืออย่างสุดความสามารถ เมื่อแสงสุริยะกำลังสาดส่องจนทั่วบริเวณ
ดอกลิลลี่จึงกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า ‘ร่มกันแดด’ ภายในพริบตา

“เดิมทีเรามิได้โปรดปรานบุปผาชนิดใด แต่พอเห็นว่าแอริแอดเนมักจะลงมาเก็บดอกลิลลี่ทุกครั้งที่เดินทางมายังพระราชวังคนอสซุส เราจึงเริ่มขยายพันธุ์ให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้นำบุปผาชนิดนี้ส่งให้กับนางที่อาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งมาลีอา” ดำรัสอันบอกกล่าวถึงวันวาน ทำให้เธเซียสเงยหน้ามองพระพักตร์ของเจ้าชายมิโนส พลางย้อนคิดไปถึงวินาทีแรกที่ได้พบเจอกับเจ้าหญิงแอริแอดเนที่สวนดอกไม้ ซึ่งวันนั้นพระนางตรัสชื่นชมความงดงามของสวนดังกล่าวมิหยุดหย่อน เพียงแต่เธเซียสเพิ่งจะทราบถึงที่มาที่ไปของความงดงามดังกล่าว
“แล้วเหตุใดพระขนิษฐาจึงมิทราบถึงความเอาใจใส่ของพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสยังคงตั้งคำถาม เมื่อสังเกตได้ว่าเจ้าหญิงแอริแอดเนทรงลดทิฐิที่เคยมีต่อพระเชษฐา
เพียงเพราะทราบว่า..
‘ดอกลิลลี่’ คือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง

“เราเองก็มิเข้าใจว่ามันพลั้งพลาดที่ตรงใด” เจ้าชายมิโนสตรัสคล้ายกับอ่อนใจ
“อาจเพราะการแสดงความรักด้วยการมอบช่อบุปผา คือการแสดงออกที่ค่อนข้างหลากหลายกระมังพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสขบคิดอยู่เนิ่นนานก่อนจะทูลตอบ

“คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่าราษฎร์ต่างก็แสดงความจงรักภักดีด้วยการนำข้าวของและช่อบุปผามาถวาย”
“แล้วพระองค์ก็ประทานดอกเมอร์เทิลให้กระหม่อม” เธเซียสต่อความให้กับประโยคดังกล่าว เพื่อชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายของความหมายที่สามารถตีความได้ ซึ่งหนึ่งในความพลาดพลั้งอาจเป็นเพราะเจ้าหญิงแอริแอดเนทรงเข้าพระทัยผิดเกี่ยวกับผู้ที่เป็นเจ้าของบุปผาเหล่านั้น เนื่องจากเธเซียสยังคงจดจำได้ดี ว่าดวงใจของบุรุษนามว่า ‘เธซีอุส’ มิได้มีพระนางแอบซ่อนอยู่แต่อย่างใด
ดังนั้น ‘บุปผา’ เจ้าปัญหา..
จึงทำให้เรื่องราวลงเอยในแบบที่มันมิควรจะเป็น

กระทั่งเธเซียสเริ่มรับรู้ได้ว่า น้ำหนักตัวของเขากำลังสร้างความยากลำบากให้กับเจ้าชายมิโนส บุรุษที่ในขณะนี้มิได้มีผิวคล้ำแดดดังเช่นวันวาน ก็รีบลุกขึ้นนั่งพลางมองไปยังรอบทิศทาง จนกระทั่งพบว่าเส้นทางเป้าหมายเคลื่อนผ่านภูเขาหินขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ และยังอยู่มิไกลจากอาณาจักรไมซีเนียนสักเท่าใด
ความมิแน่ใจเกี่ยวกับชายผู้นั้น จึงยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นในจิตใจ
เหตุเพราะในระแวกดังกล่าวมิได้รับการปกครองที่ครอบคลุมนัก

“พระองค์มิได้วางแผนรับมือต่อการแทรกซึมของไส้ศึกในบริเวณนี้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากสำรวจด้วยความกังวลใจจนถึงที่สุด บุรุษจากต่างแดนจึงอดจะทูลถามมิได้
“พื้นที่บริเวณหุบเขาสมาเรียค่อนข้างเดินทางยากลำบาก เพราะต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทางกว่าสิบไมล์ อีกทั้งยังต้องข้ามผ่านป่าไซเปรสและต้นสนโบราณที่ตัดผ่านหน้าผาสูงชัน ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญในการเดินทางเป็นอย่างมาก เพราะบริเวณดังกล่าวค่อนข้างมีความซับซ้อนมิต่างกับตัวพระราชวังสักเท่าใด เนื่องจากเรานำจุดเด่นของป่าแห่งนี้มาปรับใช้ และมันก็เป็นพื้นที่ในการฝึกทักษะทางด้านการทหารสำหรับครีตัน” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนสก็ยิ่งทำให้เธเซียสรู้สึกอึ้งทึ่ง เพราะท้ายที่สุดความกังวลใจของตนก็ถูกการตั้งรับของอีกฝ่ายปัดเป่าจนหมดสิ้น
และมันก็แสดงให้เห็นว่า..
ทุกพื้นที่บนเกาะครีต มิเคยได้รับการมองข้ามจากมหาบุรุษแห่งครีตันแต่อย่างใด

กระทั่งล่องเรือมาจนถึงเกาะเอลาโฟนิสิที่อยู่ถัดจากภูเขาสมาเรีย เธเซียสก็สัมผัสได้ว่าเกาะดังกล่าวถือเป็นทำเลอันดีต่อการตั้งถิ่นฐานของกองทัพเรือ เนื่องจากพื้นที่บนเกาะแห่งนี้มีการผสมผสานระหว่างส่วนน้ำลึกและน้ำตื้น อีกทั้งผิวน้ำยังใสสะอาดจนกลายเป็นสีมรกต ขณะที่หาดทรายกลับมีสีขาวอมชมพูเป็นบางส่วน มิหนำซ้ำยังสามารถเดินทางด้วยสองขาโดยมิต้องดำน้ำ แถมภูเขาอันใหญ่โตโอ่อ่ายังโอบล้อมพื้นที่ดังกล่าวจนบดบังความยิ่งใหญ่อย่างมิดชิด
แต่ทว่าเกาะแห่งนี้กลับอยู่ห่างจากอาณาจักรไมซีเนียนเพียงแค่เรือข้ามฝั่ง

“วานเจ้าขนย้ายบุปผาเหล่านี้ขึ้นฝั่งให้เราที” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางลากเรือขึ้นมาเกยตื้นยังหาดทราย เธเซียสจึงลุกขึ้นยืนพร้อมบิดขี้เกียจสักทีสองที จากนั้นจึงโอบอุ้มดอกลิลลี่ของเจ้าหญิงแอริแอดเนจนเต็มอ้อมแขน ขณะที่สายตายังคงสำรวจไปทั่วบริเวณด้วยความสนใจ
“เกาะแห่งนี้อาจมิใช่นอกอาณาเขตของจักรวรรดิครีตัน แต่กระนั้นก็เป็นจุดบอดอย่างหนึ่งของครีตัน จึงทำให้หลายคราถูกครอบครองจากผู้คนเร่ร่อนในสถานะไส้ศึก เราจึงอาศัยการเนรเทศแอริแอดเนมาใช้ประโยชน์ เพื่อที่จะได้แอบแฝงกองกำลังอย่างแนบเนียน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางนำทางไปยังป้อมปราการอันโดดเดี่ยว
ซึ่งคาดว่าคงจะเป็นสถานที่พำนักของเจ้าหญิงแอริแอดเน่

เธเซียสจึงเปิดโอกาสให้สองพี่น้องได้ใช้เวลาร่วมกัน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มิได้อันตรายอย่างที่คิด เพราะเหล่าทหารครีตันในคราบของราษฎร์ประจำเกาะเอลาโฟนิสิล้วนเป็นผู้มากฝีมือ อีกทั้งราชองครักษ์ที่เคยติดตามเจ้าชายมิโนสเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จไปเยือนยังเมืองอาร์คันส์ต่างย้ายมาประจำการอยู่ที่นี่
ดังนั้นเธเซียสจึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวเดินสำรวจความเป็นไปโดยรอบ
เนื่องจากเขาบังเอิญเห็นเรือลำเดิมเคลื่อนผ่านเกาะแห่งนี้ที่ปลายหางตา

φ


[1] พระเพลา แปลว่า ขาหรือตัก

วันนี้มาอัพนอกตาราง เพราะฟิตจัดแต่งจบภายในวันเดียว 555 และสำหรับตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นตอนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ความเข้มข้นอีกครั้งค่ะ เพราะฝั่งไมซีเนียนเริ่มจะเคลื่อนไหวแล้วววว สำหรับตอนนี้เราไปเสิร์ชแผนที่ดูอย่างละเอียดเลยว่าเกาะครีตมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง และก็พบกับภูเขาสมาเรียค่ะ เอาไว้เราจะพาทุกคนไปเดินป่าในช่วงเทศกาลล่าสัตว์ 555

ปล 1. ช่วงนี้เราเริ่มรีไรต์เกี่ยวกับหลักการใช้คำราชาศัพท์ไปบ้างแล้ว พบว่างานหินจริง ๆ ค่ะ ยากมากกก แต่ก็ได้รู้อะไรใหม่ๆ ด้วย อย่างเช่น ทรง จะใช้กับคำที่เป็นคำราชาศัพท์อยู่แล้วไม่ได้ เช่น ทรงเสด็จ ทรงเสวย ซึ่งเราก็จัดไปหลายตอน ตามแก้จนครบแล้วค่ะ 555 และคำว่าประทับ จะใช้ประทับนั่งไม่ได้ เพราะมันแปลว่านั่งในตัวอยู่แล้ว คำว่ายืน จะใช้คำว่า ประทับยืนไม่ได้ ต้องใช้ ทรงยืน ซึ่งเราก็จัดไปหลายตอนอีกเช่นกัน 555 แก้จนตาลาย หากใครอ่านเจอตรงไหนที่ผิดพลาด รบกวนคอมเมนต์บอกกันบ้างนะคะ เราจะได้มาตามแก้อีกที

ปล 2. ทุกคนคิดว่าเราใช้คำราชาศัพท์มากเกินไป หรือว่ากำลังพอดีคะ เพราะตอนนี้เรากำลังตบตีกับตัวเองอยู่ค่ะ 5555

แผนที่ที่เราใช้อ้างอิงค่ะ ช่วงปีอาจจะไม่ตรงกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่
https://i.imgur.com/uuESkGP.jpg

เกาะเอลาโฟนิสิค่ะ
https://i.imgur.com/rdqHq9h.jpg
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2019 08:27:13 โดย Chomin »

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 32

เดิมทีเจ้าชายมิโนสทรงวางแผนสำรวจฐานทัพเรือหลังจากเสร็จสิ้นการวางผังเมืองอาร์คันส์ แต่ทว่ากลับมีเรื่องราวที่มิได้คาดคิดเกี่ยวกับเจ้าหญิงแอริแอดเน จึงทำให้กำหนดการณ์ของบุรุษผู้สูงศักดิ์เป็นไปอย่างล่าช้า เพราะทุก ๆ รุ่งสางพระเชษฐาผู้แสนอบอุ่นจะเสด็จไปยังสวนบุปผา เพื่อเก็บดอกลิลลี่ให้กับพระขนิษฐา จากนั้นพระองค์ก็จะทรงเรือพระนั่งไปยังเกาะเอลาโฟนิสิ แล้วย้อนกลับมาว่าราชการในช่วงบ่ายของทุกวัน ส่วนเธเซียสจำต้องนอนรักษาตัวอย่างเลี่ยงมิได้ จึงทำให้บาดแผลของเขาเริ่มทุเลาจนกระทั่งหายสนิท
เพลานี้เจ้าชายมิโนสจึงมีพระประสงค์ที่จะให้เธเซียสติดตามไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระราชวังคนอสซุสและพระราชวังแห่งมาลีอาใกล้กับภูเขาดิคที เพื่อสำรวจที่ตั้งอันเหมาะแก่การใช้เป็นฐานทัพเรือแห่งจักรวรรดิครีตัน

“ตัวถ้ำถือเป็นทำเลที่ดี แต่การเดินทางยังนับว่ายากลำบาก อีกทั้งพื้นที่ในบริเวณนี้ยังใกล้กับพระราชวังและถิ่นที่อยู่อาศัยของราษฎร์ชาวครีตัน มิหนำซ้ำฐานทัพบกยังอยู่มิไกล เราจึงเล็งเห็นว่าถ้ำแห่งนี้นับว่าด้อยกว่าเกาะแห่งไฟอยู่มาก” เจ้าชายมิโนสทรงวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจากตัวถ้ำอยู่ห่างไกลจากชายฝั่ง หากจะขุดเส้นทางน้ำคงต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี เนื่องจากเส้นทางยาวไกลกว่าคูคลองเรียบเขตพระราชฐาน อีกทั้งพื้นที่ในเขตชุมชนใกล้กับตัวพระราชวังยังมีการคุ้มกันที่แน่นหนา
จึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องยกกองทัพเรือมากระจุกตัวยังบริเวณดังกล่าว

“กระหม่อมเองก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เคออสและโครนัสทูลตอบอย่างพร้อมเพรียง พลางก้าวเดินลงบันไดที่ถูกสร้างภายในถ้ำหินอย่างระมัดระวัง เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวค่อนข้างลาดชัน แต่กระนั้นความสะดวกสบายตามแบบฉบับของชาวครีตันยังคงมีอยู่มาก เหตุเพราะถ้ำแห่งนี้เดิมทีใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เนื่องจากใจกลางถ้ำมีแท่นบูชาเทพธิดางู และยังมีเครื่องสักการะวางตั้งอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าขนาดเท่ารูปปั้นจำนวนสองชุด เปลือกหอยจำนวนมากรายล้อมอยู่ตรงรูปปั้นของ ‘เจ้าแม่’ ในอิริยาบถต่าง ๆ โดยมีโถคาร์เตอร์ทรงสูงขนาดเล็กวางขนาบซ้ายขวา ขณะที่ตรงกลางปรากฏรูปปั้นไม้กางเขนอย่างโดดเด่น
หากต้องการบูรณะปรับเปลี่ยน คงเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว

“ถ้ำแห่งนี้มีความสำคัญต่อเสด็จแม่ เรามิอยากเข้ามาก้าวก่าย และเราก็ค้นพบทำเลที่ดีกว่าถ้ำแห่งนี้หรือคูคลองเรียบเขตพระราชฐานเป็นเท่าตัว” เจ้าชายมิโนสตรัสกับเหล่าราชองครักษ์และขุนพลดิดะรัสอย่างชัดแจ้ง บ่งบอกได้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และพระมารดากำลังดีขึ้นตามลำดับ เพราะถ้าหากลองนึกย้อนกลับไป บุรุษผู้เคยปลดปล่อยเชลยศึกคงมิมีทางยกถ้ำแห่งนี้ให้กับองค์ราชินีได้ง่าย ๆ ขณะเดียวกันเธเซียสก็ทอดมองไปยังเพดานถ้ำที่สะท้อนกับแสงจากคบไฟจนมองเห็นหินงอกหินย้อยอันพิลึกพิลั่น เสริมสร้างความน่าเกรงขามให้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

“ที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” ขุนพลดิดะรัสทูลถาม ขณะที่สองขาก้าวลึกไปยังด้านในของตัวถ้ำ ตามการนำทางของคบไฟอันสว่างไสว บ่งบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ยังคงได้รับความเอาใจใส่จากองค์ราชินีเสมอมา

กระทั่งเบื้องหน้าปรากฏบันไดสำหรับก้าวเดินลงไปยังเบื้องล่าง คณะสำรวจจึงก้าวไปตามการชี้นำ ปลายสายตาจึงพบกับแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่มีไม้กางเขนตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น
แต่กระนั้นสิ่งที่โดดเด่นกว่า..
กลับเป็นรูปสลักขององค์เทพโพไซดอนบนผนังถ้ำ

สายตาของเธเซียสจึงจับจ้องไปยังแท่นวางเครื่องสักการะ พบว่ามันว่างเปล่า เนื่องจาก ‘การบูชายัญ’ วัวสีขาว ถือเป็นการน้อมถวายเครื่องสักการะอันมีค่าสูงสุด และเมื่อเดินเข้าไปใกล้แท่นศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใต้หินงอกหินย้อย คราบเลือดแห้งเกรอะก็ปรากฏสู่สายตา
บ่งบอกได้ดีว่าทุกดำรัสของเจ้าหญิงแอริแอดเน
มิใช่คำลวงในการแก้ต่าง

“อีกมินานจะก้าวเข้าสู่ช่วงเทศกาลแห่งการล่าสัตว์ที่หุบเขาสมาเรีย วันนั้นพวกเจ้าจะคิดเห็นตรงกันกับเรา” กว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์จะค้นหาสุรเสียงของพระองค์พบ ทั่วบริเวณกลับเงียบสงัดราวกับต้องมนตร์ เหตุเพราะสายตาของทุกผู้กำลังจดจ้องไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่มิไกลจากแท่นบูชายัญ เพียงแต่บริเวณเหนือบ่อน้ำดังกล่าว กลับปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งกำลังนอนหลับใหลอย่างเงียบสงบมาเนิ่นนาน ขณะที่ภายใต้แท่นหินเหนือผิวน้ำกลับเต็มไปด้วยโถพีโรอีขนาดเล็กสำหรับบรรจุชิ้นส่วนของมนุษย์ผู้น่าสงสารจากเอเธนส์ บ่งบอกได้ว่าบ่อน้ำดังกล่าวเปรียบได้กับแม่น้ำแห่งความเศร้าโศกจากโลกแห่งหลังความตาย เธเซียสจึงรับรู้ได้ทันทีว่า..
เจ้าชายแอนโดรเจียสคงถูกดองร่างด้วยน้ำผึ้ง
และยังถูกเติมเต็มด้วยน้ำหอมที่มีส่วนผสมจากกำยานและมดยอบเข้าไปยังร่างอันไร้วิญญาณ

แต่แล้วเจ้าชายมิโนสก็หลงเข้าสู่วังวนแห่งภวังค์ บุรุษต่ำศักดิ์จึงพากันเว้นระยะห่างให้กับพระองค์ ด้วยการเดินเลี่ยงไปรวมกลุ่มอยู่ตรงปากทางเข้าอันมีบันไดเชื่อมกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันเธเซียสก็เริ่มมองเห็นความตั้งพระทัยอย่างแท้จริง ที่ส่งผลให้พระองค์เสด็จมายังสถานที่แห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่ทรงวางทำเลที่ตั้งแห่งใหม่ของฐานทัพเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และสาเหตุสำคัญดังกล่าว..
คงจะหนีมิพ้นการประกอบพิธีกรรมของพระมารดาที่เคยทิ่มแทงพระหทัยมาเนิ่นนาน

“เซอร์ซีเป็นอย่างไรบ้าง ?” เธเซียสเอ่ยถามทหารมากยศ โดยมิได้เจาะจงว่าผู้ใดต้องเป็นฝ่ายตอบคำถาม และมิได้เป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะรับรู้เรื่องราวอีกด้านของคืนเกิดเหตุ ว่า ณ ที่แห่งนั้นมิได้มีเพียงเซอร์ซี
“ยังมิตาย” เคออสตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแกมประชดประชัน บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีเป็นเพียงภาพลวงตา

“ได้ข่าวว่าเจ้าเอาตัวเข้าไปรับคมมีดแทนเจ้าชายมิโนส ?” หลังจากความเงียบเริ่มปกคลุมรอบกาย โครนัสจึงเป็นฝ่ายตั้งคำถาม
“อืม” เธเซียสเอ่ยตอบในลำคอ ขณะที่เหล่าราชองครักษ์และขุนพลดิดะรัส ต่างมองจ้องบาดแผลอันเป็นร่องรอยแห่งความบาดเจ็บตรงบริเวณหน้าท้อง
บุรุษจากต่างแดนจึงรับรู้ได้ทันทีว่า..
การกระทำอันเสี่ยงชีวิต มิอาจส่งผลอันใดต่อทหารกลุ่มนี้

“รีบออกเดินทางเถิด” กระทั่งเจ้าชายมิโนสเสด็จมาจนถึงบริเวณดังกล่าว สุรเสียงของพระองค์ก็คล้ายกับทำลายความอึดอัดที่เกิดขึ้น
“กระหม่อมขอไปพบเซอร์ซีได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกลั้นใจถามอย่างหาญกล้า เมื่อทุกเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับทหารครีตันล้วนตกอยู่ภายใต้สายพระเนตรและพระกรรณของบุรุษผู้นี้
จึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องรอคอยจังหวะเหมาะอันใดในการกราบทูล

“เดิมทีเราเองก็ตั้งใจจะพาเจ้าไปพบเซอร์ซีอยู่แล้ว เพียงแต่ยังมิสบโอกาส” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเสด็จไปตามการชี้นำของคบไฟอันหอมละมุนที่มีเชื้อเพลิงมาจากน้ำมันของต้นละหุ่ง
“พระองค์ทรงทราบเรื่องของเซอร์ซีตั้งแต่เมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสก้าวเดินตามบุรุษผู้สูงศักดิ์พลางทูลถามมิตรงประเด็น

“ตั้งแต่วันที่เจ้านอนหลับใหลมิได้สติ เราก็ทราบความเป็นไปเกี่ยวกับค่ายกลและเซอร์ซีอย่างละเอียด” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเยื้องย่างด้วยความใจเย็น ผิดกับเธเซียสที่มิได้มีท่าทีใจเย็นแต่อย่างใด
“แล้วพระองค์มีความคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนยังคงทูลถามอย่างมิตรงประเด็นต่อไป เนื่องจากเขามิอยากให้ช่วงเวลาแห่งการตัดสินโทษเดินทางมาถึง

“สำหรับเซอร์ซีคงมีเพียงความโง่เขลาและบ้าดีเดือดที่เรามองเห็น แต่กับเจ้าเรามองเห็นแต่ความลังเล จึงมิถูกค่ายกลเล่นงานไปอีกคน ดังนั้นจึงมิถือว่าเป็นการผิดสัญญาระหว่างเรา มิจำเป็นต้องมีผู้ใดถูกตัดสินโทษ เพียงแต่เจ้าควรต้องตักเตือนคนของเจ้าให้ดี” สิ้นดำรัสจากบุรุษผู้สูงศักดิ์รอยยิ้มอันเลือนหายจึงปรากฏ เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิได้ใช้เพียงพระหทัยในการตัดสิน
แต่ยังใช้พระมัตถลุงค์ ในการตรึกตรอง

กระทั่งแยกจากขุนพลดิดะรัสที่ควบม้าไปยังพระราชวังแห่งมาลีอา เพื่อสับเปลี่ยนการเดินทางเป็นการล่องเรือกลับสู่เกาะแห่งไฟ แสงสุริยะที่เคยสาดส่องจึงเริ่มเลือนหาย ส่งผลให้ท้องนภาสีฟ้าครามกลับกลายเป็นสีส้มอมม่วง แต่กระนั้นฝีเท้าของม้าพันธุ์ดีก็มิได้ล่าช้าลงแต่อย่างใด จึงทำให้คณะสำรวจของเจ้าชายมิโนสเดินทางไปถึงเมืองอาร์คันส์ก่อนฟ้ามืด
และมันก็ทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่า..

ผังเมืองแห่งใหม่ถูกวางไว้อย่างมีระเบียบแบบแผนกว่าที่คิด เพราะทันทีที่ก้าวเข้าสู่เขตชุมชน ฝีเท้าของม้าพันธุ์ดีก็ปรับเปลี่ยนเป็นการเหยียบย่ำด้วยความเชื่องช้า ทะลุไปจนถึงลานกว้างใจกลางเมือง ปลายสายตาจึงมองเห็นเครื่องสกัดน้ำองุ่นขนาดใหญ่กว่าในพระราชวังคนอสซุสจำนวนหลายเครื่อง และยังมองเห็นโรงเรือนสำหรับวางตั้งโถแอมโฟร่าที่บรรจุน้ำหมักรสชาติดี ขณะเดียวกันโถพีโรอีใบใหญ่ที่ภายในบรรจุพวงองุ่นจนแทบล้นก็วางเรียงรายอย่างมากมาย
บ่งบอกได้ว่าการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโรคระบาดสำเร็จลงด้วยดี

“เราจะมิขี่ม้าไปหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามด้วยความเอะใจ เมื่อเห็นเจ้าชายมิโนสลงจากหลังอาชาคู่พระทัย แล้วชักจูงไปยังคอกม้าตรงใต้ต้นไม้ใหญ่
ขณะเดียวกันผู้ถูกถามก็หันมาส่ายพระพักตร์เป็นคำตอบ

ความมีระเบียบแบบแผนที่มองเห็นจึงยิ่งเด่นชัด เพราะเดิมทีเธเซียสเคยเที่ยวชมเมืองอาร์คันส์เพียงแค่รอบนอก ซึ่งจะมีเส้นทางหนึ่งทะลุไปยังพระราชวังคนอสซุส และยังเป็นเส้นทางเรียบฐานทัพบก
ขณะที่การเดินทางมายังเขตชุมชนพร้อมเจ้าหญิงแอริแอดเน ดูเหมือนจะไปมิถึงใจกลางเมือง เธเซียสจึงมองมิออกว่าผังเมืองมีลักษณะเป็นรูปวงกลมซ้อนทับกันหลายชั้น โดยทิศใต้จะเป็นท่าเรือขนาดเล็กของเส้นทางน้ำอันเป็นคูคลองที่ใช้สำหรับหล่อเลี้ยงเกษตรกรไร่องุ่น
และยังเป็นลำน้ำสายเดียวกับที่ค่ายกลของเจ้าชายมิโนสนำมาใช้ประโยชน์

“พวกเขามิต้องติดตามพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามพลางหันมองไปยังเหล่าราชองครักษ์ที่เดินแยกย้ายคนละทิศละทาง ราวกับมิได้หวั่นเกรงว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงตกอยู่ในอันตราย
“...” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสมิได้ตรัสอันใดอีก นอกจากแย้มสรวลพอให้อุ่นใจ พร้อมนำทางไปยังทิศตะวันออก อันเป็นที่ตั้งของเส้นทางที่มุ่งตรงสู่เขตฐานทัพใจกลางหุบเขา
แต่ทว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์กลับนำพาเธเซียสไปยังบ้านหลังหนึ่ง แทนที่จะเป็นหนทางดินตัดผ่านป่าเขาอันมืดทึบ

“บ้านของผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนทูลถามโดยมิยอมก้าวเดินตามการชักนำของบุรุษในดวงใจ
“บ้านของนางกำนัลนีรูส” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางล่วงล้ำเข้าไปยังเขตที่พักอาศัยของผู้อื่น พร้อมฉุดรั้งข้อมือของบุรุษอีกผู้ให้ก้าวตามกัน โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ห้องครัวอันเต็มไปด้วยกระสอบบรรจุพืชพันธุ์ธัญญาหารจำนวนมาก และในระหว่างที่เจ้าชายมิโนสกำลังจุดคบไฟ เธเซียสจึงอาสาให้ความร่วมมือในการขนย้ายกระสอบดังกล่าว
แต่ก็มิวายจะแปลกใจที่ ‘บ้าน’ ของนางกำนัลนีรูส
กักตุนเสบียงอาหารไว้ตั้งมากมาย ทั้ง ๆ ที่มิมีผู้ใดอยู่อาศัย

กระทั่งปลายสายตามองเห็นแผ่นไม้ขนาดใหญ่ปะปนอยู่กับพื้นหินสีเหลืองอ่อน เธเซียสก็เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของการเดินทางโดยมิต้องเอ่ยปาก เพราะการเดินทางด้วยเส้นทางลับใต้ดินที่เชื่อมกับฐานทัพบกของจักรวรรดิครีตัน ถือเป็นหนทางแอบซ่อนต่อสายตาของเหล่าไส้ศึกได้มิยาก เธเซียสจึงงัดแผ่นไม้อันแปลกแยกออกจนหมด และชะโงกหน้าลงไปมองห้องใต้ดินอันมืดมิด จึงพอจะอนุมานได้ว่าพวกเขาจะต้องไถลตัวลงไปตามทางดินอันเรียบลื่น เพราะแสงสว่างจากคบไฟทำให้เขามองเห็นเส้นทางดินในลักษณะลาดยาวเพียงบางส่วน

“มันอาจจะช่วยป้องกันมิได้มาก แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยปละละเลย” เจ้าชายมิโนสรั้งกายเธเซียสให้ลุกขึ้นยืน พลางประทานผ้าขนสัตว์ชนิดหนานุ่มให้กับยอดดวงใจของพระองค์
“เรามิได้ต้องการหมิ่นเกียรติชายชาตินักรบอย่างชาวไมซีเนียน เพียงแต่เราต้องการเรียนรู้ที่จะแสดงความรักด้วยการกระทำ ทั้งกับเจ้า เสด็จแม่ และแอริแอดเน” เจ้าชายมิโนสทรงแก้ต่าง ราวกับเป็นกังวลว่าการดูแลประคบประหงมถึงเพียงนี้ จะทำให้บุรุษแห่งไมซีเนียนรู้สึกเหมือนถูกหยามเกียรติ
เหตุเพราะการเดินทางด้วยวิธีดังกล่าว อาจสร้างบาดแผลเพียงเล็กน้อย แต่ก็มิได้มากมายอันใด

“หวังว่าเจ้าจะอนุญาตให้เราดูแลความปลอดภัยจนกว่าจะสิ้นสุดเส้นทางอันตราย” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงราวกับกระซิบตรงข้างใบหู พร้อมโอบกอดยอดดวงใจของพระองค์จนแทบจมเข้าสู่พระอุระ
“พ่ะย่ะค่ะ” ฝ่ายบุรุษผู้ได้รับความห่วงใยจนล้นอก จึงซุกซบยอดดวงใจของตนพลางหลับตาซึมซับความรู้สึกดังกล่าว พร้อมเอื้อนเอ่ยคำตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

หลังจากนั้นสองบุรุษที่กำลังหลงใหลอยู่ในห้วงแห่งรัก จึงไถลตัวลงไปยังห้องใต้ดิน โดยฝ่ายหนึ่งโอบกอดบุรุษผู้ห่มคลุมร่างกายด้วยผ้าขนสัตว์ ขณะที่พระหัตถ์อีกข้างหนึ่งกลับดึงรั้งเชือกเส้นใหญ่ที่มัดติดกับแผ่นไม้ด้านบนอย่างทะมัดทะแมง ส่งผลให้แสงสว่างจากคบไฟค่อยๆ เลือนหาย แต่กระนั้นความมืดมิดก็มิอาจทำให้เธเซียสรู้สึกหวาดหวั่น
เพราะเนื้อตัวของเขากำลังถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นของบุรุษในดวงใจ

เพียงแต่ทันทีที่สุ้มเสียงของแผ่นไม้กำลังปิดสนิทจนดังก้องไปทั่วบริเวณ ความมืดมิดที่ได้สัมผัสก็ราวกับครอบงำความรู้สึกแห่งรักจนแน่นขนัด เสียงลมหายใจผะแผ่วของบุรุษผู้สูงศักดิ์และไออุ่นที่เป่ารดบริเวณหน้าผาก ยิ่งส่งผลให้เธเซียสเคลื่อนกายเข้าหาความอบอุ่นหนึ่งเดียวที่ตนเองครอบครอง ขณะที่เรือนร่างกำลังไถลลงสู่เบื้องล่างด้วยความเร็วสูง
พร้อมทั้งเอื้อนเอ่ยเพียงแผ่ว

“กระหม่อม..”
“…”

“รักพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

ทว่าถ้อยคำกระซิบแผ่วกลับได้ยินไปถึงดวงหทัยของบุรุษอีกผู้อย่างเด่นชัด ขณะเดียวกันบุรุษจากไมซีเนียนก็รู้สึกโล่งใจที่ได้พูดออกไป
เนื่องจากเขามิมั่นใจเลยว่าจะมีโอกาสได้พูดมันอีกเมื่อใด
เหตุเพราะในตอนนี้..
เพลาแห่งการเลือกข้างกำลังไล่ล่าประชิดตัว


φ


[1] พระมัตถลุงค์ แปลว่า สมอง ไขสมอง หรือมันสมอง


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ประวัติศาสตร์นอกกรอบ: 'น้ำหอม' ของใช้เทพเจ้า คนเป็น และคนตาย https://bit.ly/2HRpT11


แอบสาดความหวานกันเล็กน้อย ก่อนจะไปบู๊กันต่อในฉากต่อ ๆ ไป

ปล. นิยายเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเขียนจากจินตนาการนะคะ ไม่ได้เอาข้อมูลจริงมาใช้ทั้งหมด


ถ้ำที่เรากล่าวถึงค่ะ เป็นเทพถ้ำที่ได้ชื่อว่าถ้ำของเทพเจ้าซุส (Psychro Cave, Lasithi Plateau) อยู่ใกล้กับเมืองซี่โกรในปัจจุบัน ส่วนในอดีตจะอยู่ระหว่างมาลีอากับนอสซัส
https://i.imgur.com/yc1WT0i.jpg

เครื่องสักการะเทพธิดางู
https://imgur.com/CMIGhPg

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 33

ทันทีที่ลำตัวลื่นไถลไปกระแทกกับแผ่นหินเมกาลิธตรงสุดปลายทาง ดวงตาของเธเซียสจึงปิดสนิท ขณะที่พระพาหาของเจ้าชายมิโนสกลับเพิ่มแรงกอดรัดอย่างแนบแน่น
กระทั่งเหตุการณ์หวนคืนสู่ความสงบ บุรุษจากต่างแดนจึงลืมตาขึ้น พบว่าภายในห้องใต้ดินมิได้มืดมิดดังช่วงต้นทาง อีกทั้งยังมีห้องโถงอันแข็งแรงทอดยาวออกไป มิแปลกที่การวางผังเมืองจะเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากเจ้าชายมิโนสมิได้วางผังเมืองเพียงเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ราษฎร์
แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของกองทัพบกที่แอบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังภูเขาลูกใหญ่

“นี่มัน..” เป็นอีกคราที่บุรุษจากต่างแดนจำต้องอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ เมื่อพบว่าเส้นทางอันทอดยาวยังสามารถแบ่งแยกซอกซอยได้อีกมากมาย
ที่สำคัญความซับซ้อนของ ‘เมืองใต้ดิน’
ยังมากกว่าห้องใต้ดิน ณ พระราชวังคนอสซุสเป็นสิบเท่า

“เมืองใต้ดินหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางหันมองไปทั่วบริเวณ ตั้งแต่เบื้องบนจนถึงเบื้องล่าง ขณะที่ปลายเท้าก้าวเดินด้วยความเชื่องช้า เพราะสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว น่าทึ่งยิ่งกว่าห้องใต้ดินอันคุ้นเคย
“สำหรับเรา เป็นเพียงแค่หลุมหลบภัยเท่านั้น” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางดำเนินไปยังทิศทางที่เหล่าราชองครักษ์ชี้นำ ซึ่งเธเซียสคาดว่าทั้งเคออสและโครนัสคงจะใช้เส้นทางลับจากบ้านอีกหลัง และมิได้เสียเวลาค้นหาเครื่องนุ่งห่มไว้ป้องกันตัว จึงมาจนถึงที่หมายเป็นกลุ่มแรก
คบไฟหอมกลิ่นน้ำมันละหุ่ง จึงถูกจุดให้แสงสว่างเป็นการรอรับเสด็จ

“พระองค์ทรงมีสายพระเนตรยาวไกลนัก” เธเซียสเอ่ยชื่นชมพลางหันมองช่องทางมากมายที่เชื่อมไปยังพื้นที่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะมิต่างกันนัก หากมิคุ้นชินคงจะหลงวนเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ตลอดกาล
ขณะเดียวกันเธเซียสก็รู้สึกว่า ‘หลุมหลบภัย’ แห่งนี้ สามารถทำหน้าที่ ‘ค่ายกล’ ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะทันทีที่พวกเขาก้าวเดินเข้าไปยังใจกลางของเมืองใต้ดิน สุ้มเสียงของเคออสที่กำลังพูดคุยกับโครนัสกลับดังก้องไปทั่วบริเวณราวกับมีเวทมนตร์
ซึ่งถ้าหากใช้ความพิเศษดังกล่าว ข่มขวัญข้าศึกที่หลุดรอดเข้ามายังเมืองลึกลับ คงจะได้ผลดีชะงัด

“หากเรามิเคยหลงทางอยู่ในป่าไซเปรส คงมิมีทางสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างแน่นอน” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างถ่อมตนพร้อมดำเนินไปยังช่องแคบทางด้านซ้ายมือ ซึ่งเธเซียสรู้สึกว่าเส้นทางที่พวกเขาใช้ ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นสู่ที่สูง
“ป่าไซเปรสเป็นอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามด้วยความสนใจจนหลงลืมความกังวลก่อนหน้า

“เป็นป่าที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส ขบวนเสด็จก็บรรจบกับหน้าผาหินจำลอง คล้ายกับต้องปีนขึ้นไปด้านบนโดยใช้ฝ่ามือและปลายเท้ายึดเกาะก้อนหินขนาดเล็ก
จากนั้นบุรุษแห่งครีตันจึงปีนป่ายขึ้นไปยังเบื้องบนด้วยความชำนาญ
เธเซียสจึงมิรอช้า แม้จะยังมิคุ้นชินต่อสภาพการณ์สักเท่าใด

กระทั่งช่วงตัวโผล่พ้นอาณาบริเวณของเมืองใต้ดิน สายตาก็ปะทะกับสัญลักษณ์ของสถานพยาบาล วิถีแห่งสายตาจึงเคลื่อนไปยังแสงสว่างจากคบไฟ และพื้นที่สำหรับพักรักษาตัวของผู้บาดเจ็บ
นับได้ว่าเจ้าชายมิโนสทรงมีความรอบครอบสูง

“เซอร์ซีมิได้อยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เคออสกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับต้องการหยุดสายตาของเธเซียสมิให้ซอกแซก ซึ่งวาจาดังกล่าวก็มิอาจทำให้เธเซียสตื่นตกใจแต่อย่างใด เพราะมันเป็นเรื่องถูกต้องที่เซอร์ซีจะมิได้รับอนุญาตให้นอนพักรักษาตัวยังสถานพยาบาลอันมีเส้นทางเชื่อมกับเมืองใต้ดิน
“แล้วเขาพักอยู่ที่ใด” เจ้าชายมิโนสเป็นฝ่ายตรัสถาม ราวกับพระองค์เข้าพระทัยเป็นอย่างดีว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ‘อดีตสหายสนิท’ เป็นเพียงภาพลวงตามาตั้งแต่ต้น

ราชองครักษ์ผู้จงรักภักดีจึงเดินนำทางออกจากสถานพยาบาล ส่งผลให้เธเซียสได้สัมผัสกับบรรยากาศของฐานทัพบกแห่งจักรวรรดิครีตันอย่างใกล้ชิด ซึ่งฐานทัพแห่งนี้ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีธารน้ำเย็นฉ่ำไหลผ่าน ขณะที่แสงสว่างจากคบไฟกลับถูกลักซ่อนจากธรรมชาติอย่างมิดชิด อาจเพราะพวกเขาจุดคบไฟไว้ในตัวบ้าน จึงทำให้แสงสว่างเล็ดลอดออกมายังเส้นทางด้านนอกเพียงรำไร
แต่กระนั้นก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น

“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เคออสกล่าวพลางค้อมตัวให้กับนายเหนือหัว จากนั้นจึงเดินเข้าไปสมทบกับเหล่าทหารกล้าที่กำลังนั่งล้อมวงทานมื้อเย็น ขณะที่อีกกลุ่มกำลังนั่งซักผ้าตรงธารน้ำมิไกลจากวงสนทนานัก เธเซียสจึงรู้สึกว่าค่ายทหารดูเหมือนหมู่บ้านใจกลางหุบเขาเสียมากกว่า
และนี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มิมีผู้ใดคาดคะเนถึงความแข็งแกร่งทางด้านการทหารของจักรวรรดิครีตันได้อย่างแม่นยำ

“รีบเข้าไปเถิด เซอร์ซีคงจะเป็นห่วงเจ้าเช่นกัน” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเปิดประตูไม้บานเล็กพร้อมรุนหลังเธเซียสให้เหยียบย่างเข้าไปยังบ้านพักของเซอร์ซี
“เราจะรอทานมื้อเย็นกับเจ้าตรงริมลำธาร” บุรุษผู้แสนอบอุ่นตรัสเป็นถ้อยคำสุดท้าย จากนั้นวรองค์สูงสง่าจึงเสด็จไปยังที่หมาย เธเซียสจึงหันกลับไปยังด้านในของตัวบ้าน พบเซอร์ซีกำลังนอนหลับใหลในสภาพที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล

บุรุษจากไมซีเนียนเยื้องย่างไปยังตั่งหลังเล็ก พลางทอดมองบุรุษในความดูแลด้วยความโล่งใจ เหตุเพราะก่อนหน้านั้นอาการของอีกฝ่ายดูจะหนักหนาเอาการ ยิ่งพอมองใกล้ ๆ เธเซียสกลับเศร้าใจอย่างบอกมิถูก อาจเพราะบาดแผลของอีกฝ่ายค่อนข้างลึก จึงทำให้แผลเป็นแต่งแต้มไปทั่วผิวกาย

“บางทีเราควรต้องบอกให้เจ้ารู้ เกี่ยวกับความลำบากใจของเรา” เธเซียสพึมพำกับตนเอง คล้ายกับต้องการย้ำเตือนดำรัสของเจ้าชายมิโนส
เหตุเพราะเขารู้ตัวแล้วว่าควรจะเชื่อใจผู้ใด

“เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้ ?” ทันทีที่เธเซียสเดินมุ่งหน้ามายังธารน้ำใสสะอาด พลางทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังเหม่อมองไปยังความมืดมิดของป่าเขาทางฝั่งตรงข้าม ราวกับสุ้มเสียงของแมลงกลางคืนสะกดภวังค์แห่งความคิดของพระองค์ไว้
แต่กระนั้นการมาถึงของเธเซียสกลับปัดเป่าห้วงภวังค์จนหมดสิ้น

“เจ้าหิวโซแล้วหรือไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวกับหยอกเอิน แต่ทว่ากลับทำให้เธเซียสหลุดหัวเราะออกมาจนเสียงดังลั่น
“โธ่! พระองค์ เหตุใดภาพลักษณ์ของกระหม่อมจึงกลายเป็นบุรุษผู้เห็นแก่กินไปได้พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนเอ่ยแย้งพลางยื่นมือออกไปรับดอลมาเดซพร้อมลิ้มชิมด้วยความหิวโหย เนื่องจากการเดินทางในวันนี้ทำให้เวลาของมื้ออาหารถูกเบียดเบียน ฝ่ายบุรุษผู้ถูกร้องเรียนกลับเอาแต่แย้มสรวลพลางเสวยมื้อเย็นมิหยุด
ขณะเดียวกันบทสนทนาของเหล่าทหารครีตันกลับเงียบสนิท เมื่อพวกเขากำลังจดจ้องไปยังภาพของสองบุรุษต่างศักดิ์ที่กำลังนั่งทานดอลมาเดซอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมพูดคุยพลางหัวร่อต่อกระซิกอย่างมีความสุข

“วันพรุ่งเสด็จแม่จะมาทอดพระเนตรผังเมืองอาคันส์ เจ้าคิดว่าพระองค์จะมีความคิดเห็นเช่นไร ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามบุรุษในดวงใจอย่างขอความคิดเห็น เนื่องจากการมาเยือนขององค์ราชินีทำให้พระองค์รู้สึกประหม่าอย่างบอกมิถูก
ซึ่งสาเหตุคงมาจากความสัมพันธ์ที่มิได้ใกล้ชิดดังเช่นวันวาน

“กระหม่อมมั่นใจอย่างเหลือล้นว่าองค์ราชินีจะต้องทรงภาคภูมิใจในตัวพระองค์เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบไปตามการคิดวิเคราะห์
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามราวมิมั่นพระทัยในพระองค์เอง

“เพราะความเจริญรุ่งเรืองของครีตันคือคำตอบพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษจากต่างแดนกล่าวพลางขยับตัวนั่งชันเข่าโดยใช้อ้อมแขนโอบกอดหน้าขาของตนเองไว้
“เราเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการสื่อ แต่ในขณะเดียวกันเรากลับมิแน่ใจว่าเราเข้าใจอย่างถ่องแท้” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางส่ายพระพักตร์ด้วยสีหน้าอ่อนพระทัย

“กระหม่อมหมายถึงทุกสิ่งที่พระองค์กระทำ มิมีสิ่งใดที่องค์ราชินีมิทรงไว้วางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิครีตันเกิดจากความพยายามของพระองค์ ซึ่งมันจะมิมีทางราบรื่นได้เลย หากองค์ราชินีมิทรงไว้วางพระทัย” เธเซียสคิดวิเคราะห์ไปตามสภาพการณ์ที่ตนเองมองเห็น ซึ่งสถานะของพระนางอยู่ในระดับที่เหนือชั้นกว่าเจ้าชายมิโนส แน่นอนว่าก่อนที่งานราชกิจของบ้านเมืองจะตกทอดมาสู่บุรุษผู้นี้จะต้องผ่านความเห็นชอบและการขัดเกลาจากพระนางอยู่หลายส่วน เพียงแต่มันอาจจะเป็นการขัดเกลาที่ค่อนข้างเข้มงวดมิต่างกับการกล่อมเกลาพระอนุชาที่ดำรงสถานะองค์รัชทายาท
เจ้าชายมิโนสจึงรู้สึกถึงความห่างเหินมาจนถึงปัจจุบัน

“จริงสินะ เรามิเคยมองในจุดนี้เลย”
“กระหม่อมคิดว่ามิแปลกพ่ะย่ะค่ะ เพราะคนเรามักจะมองปัญหาของผู้อื่นได้ขาดชะงัด แต่พอเป็นปัญหาของตนเองกลับมองมิเคยขาด” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้ม เหตุเพราะความจริงดังกล่าวเกิดกับตัวเขาเอง ปัญหาต่าง ๆ จึงมิอาจคลี่คลาย และดูท่าว่าจะมิมีวันคลี่คลายไปได้
เนื่องจาก ‘ปมเชือก’ อันยุ่งเหยิงจากไมซีเนียน กำลังก้าวเข้ามาประชิดตัวทุกที ทุกที 
ถ้าหากวันใดไขว่คว้าตัวเขาเอาไว้ได้ วันนั้นเกลียวเชือกคงจะพันรอบลำคอจนหมดลม

หลังจากเจ้าชายมิโนสเสด็จไปยังที่ประทับเพื่อนำเครื่องแต่งกายมาให้บุรุษในดวงใจสับเปลี่ยนระหว่างอาบน้ำ เธเซียสก็จมลงสู่ภวังค์แห่งความคิด จากนั้นหยาดน้ำแห่งความอ่อนแอก็คลอหน่วยจนเต็มขอบตา เพราะการที่ชายปริศนาไล่ล่าเขาตั้งแต่เกาะเอลาโฟนิสิมาจนถึงถ้ำแห่งการประกอบพิธีกรรมเรียบเชิงเขาดิคที
หมายความว่า..
ความเชื่อใจในกาลก่อน มิอาจหลงเหลือตะกอนใด ๆ ในพระหทัยของเสด็จพ่อ

เสียงหวีดร้องของแมลงกลางคืนกลับยิ่งทำให้เธเซียสรู้สึกหดหู่ บวกกับแสงจันทร์ในคืนเดือนมืดยิ่งทำให้เธเซียสรู้สึกเศร้าหมอง บุรุษผู้แสนอาภัพจากไมซีเนียนจึงปลดเปลื้องเครื่องแต่งกายจนหมดสิ้น พร้อมก้าวเดินไปตามธารน้ำอันเย็นฉ่ำ ขณะที่ใบหน้าของเขากลับแหงนมองดวงจันทรา ราวกับการกระทำดังกล่าวจะช่วยหยุดยั้งความอ่อนแอ

“หากเรามิเคยรู้จักเจ้า..”
“…”

“เราคงจะคิดว่าเจ้า คือบุตรรูปงามขององค์เทพแห่งขุนเขา” ดำรัสในเชิงเกี้ยวพาราสีของบุรุษผู้สูงศักดิ์ ส่งผลให้ดวงตาอันเหม่อลอยของบุรุษจากไมซีเนียนเคลื่อนคล้อยไปยังบุรุษหน้าหวานที่บัดนี้กำลังปลดเปลื้องฉลองพระองค์จนหมดสิ้น แผงอกล่ำสันอันบ่งบอกถึงทักษะในการสู้รบสะท้อนอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว คละเคล้าแสงจากคบไฟอันริบหรี่ที่เหล่าทหารน้อยใหญ่ทิ้งขว้างไว้
“ทรงเยินยอกระหม่อมเกินไปพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่บุรุษผู้สูงศักดิ์ประทับบนธารน้ำอันเย็นฉ่ำ วาจาโต้แย้งของอีกฝ่ายก็ดังตามมา แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสกลับทำได้เพียงสรวลในลำพระศอ พร้อมทอดพระเนตรร่างของอีกฝ่ายที่เดินหนีไปยังเครื่องนุ่งห่มผืนใหม่ที่วางพาดอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่
แต่กระนั้นดวงเนตรของพระองค์กลับจดจ้องตั้งแต่เบื้องบนจรดเบื้องล่างอย่างหลงใหล
ความกำหนัดจึงเริ่มประทับแน่นในจิตใจ

ทว่าบุรุษผู้เป็นต้นเหตุแห่งความปรารถนากลับยืนหน้าซีด เมื่อบนผืนหญ้ามิมีผ้าเตี่ยวและกระโปรงคิลท์วางอยู่ คล้ายกับมันถูกลักซ่อนจากใครสักคนที่คงจะแอบเข้ามายังฐานทัพบกอันมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
ซึ่งเธเซียสเชื่อว่าต่อให้รักษาความปลอดภัยทุกกระเบียดนิ้วเพียงใด
คงจะหนีมิพ้นคำกล่าวที่ว่า ‘จุดบอด’ ไปได้

“มีอันใดหรือ ?” เจ้าชายมิโนสเห็นท่ามิดี จึงรีบเสด็จเข้าไปหาบุรุษในดวงใจ พลางวางฝ่าพระหัตถ์บนลาดไหล่ของอีกฝ่ายเพียงแผ่ว แต่ทว่ากลับทำให้ดวงใจของพระองค์สะดุ้งเฮือก พร้อมดีดตัวออกห่างจนทำให้ร่างกายเซถลาไปชนกับต้นไม้ใหญ่อย่างหมดสภาพ
“เจ้ามิสบายหรือ ?” บุรุษผู้สูงศักดิ์ออกอาการตกพระทัยเพียงครู่ จากนั้นจึงตรัสถามด้วยความห่วงใย พลางแนบหลังพระหัตถ์ลงบนหน้าผากและข้างแก้มของเธเซียส ขณะที่อีกฝ่ายกำลังกวาดตามองรอบกายด้วยความหวาดระแวง หยดน้ำใสล้นปริ่มอยู่เต็มขอบตา
เนื่องจากการถูกลักซ่อนอาภรณ์ที่สวมใส่
มิต่างกับ ‘สัญญาณเตือน’


φ


บทความที่เกี่ยวข้อง
- “สิ่งก่อสร้างน่าทึ่ง” ที่ไม่น่าเชื่อว่าสร้างขึ้นในยุคโบราณ https://board.postjung.com/714694
(ข้อมูลไม่เกี่ยวกับมิโนอันนะคะ แต่เรานำมาใช้เป็นต้นแบบในการสร้างเมืองใต้ดินของเจ้าชายมิโนสค่ะว่ามันเกิดขึ้นได้จริง)

ภาพเมืองใต้ดินที่มีการพูดถึงค่ะ ความจริงคือเมืองใต้พิภพเดอรินกูยู (Derinkuyu) ที่ประเทศตุรกีค่ะ
https://imgur.com/2Eaiu9d
https://imgur.com/apD3em7

ช่วงนี้ถ้าไม่เหนื่อยจากงาน เราก็จะมาอัพถี่หน่อย พอดีมันเป็นช่วงที่ถึงฉากที่อยากเขียนพอดี แล้วตอนต่อ ๆ ไปก็ยังมีฉากที่อยากเขียนอีกมากมายเช่นกัน เราเลยเร่งสปรีด 555 แต่ดูเหมือนว่าเขียนจริงกับวางพล็อต รายละเอียดจะต่างกันเยอะมากค่ะ ไม่รู้จะจบลงตัวตามที่เคยกล่าวไว้มั้ย เพราะเราต้องการเขียนให้ทุกคนค่อย ๆ จมดิ่งไปกับเนื้องเรื่อง ดังนั้นมันเลยต้องซึมซับบรรยากาศเยอะหน่อย
ปล. น้องเธเซียสทำใจหายใจคว่ำมาหลายตอนแล้ว ตอนนี้อาจจะทำให้ใจชื้นได้บ้าง เพราะทางไมซีเนียนไม่ได้มาดีกับน้องเลย

หมายเหตุตัวโต ๆ : คือเราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแนวเรื่องที่เราเขียนเป็นทั้งแนวอิงประวัติศาสตร์ (มิโนอันล้วน ๆ) และอิงตำนานมิโนทอร์ ดังนั้นเราอยากบอกทุกคนว่า เอเธนส์กับครีตันไม่ได้ก่อตั้งในช่วงเวลาเดียวกันนะคะ อย่าจดจำไปแบบผิด ๆ เน้อ อันนี้เราซีเรียส เพราะกลัวมีคนเชื่อตามที่เราเขียน แต่ว่าในช่วงปี 2000 ก่อนคริสตกาล จะมีพวกอินโดยูโรเปียนอพยพมาทางตอนเหนือของกรีกในปัจจุบัน และกระจายอยู่เป็นเผ่าๆ เช่น ไอโอเนียน ไมซีเนียน แต่ที่เราต้องเลือกเขียนนิยายเรื่องนี้เป็นช่วงปี 1450 เพราะว่า เป็นช่วงที่ครีตันกำลังเจริญรุ่งเรืองอย่างมากค่ะ ซึ่งตรงกับตำนานของมิโนทอร์ว่าพระราชวังคนอสซุสมีห้องใต้ดินแบบเขาวงกต บวกกับข้อมูลบางเว็บบอกว่าภูเขาไฟธีราระเบิดประมาณปี 1520 3 ครั้ง เราจึงอาศัยความห่างทางระยะเวลามาเป็นสีสันของเรื่อง แต่บางเว็บก็บอกว่าระเบิดครั้งเดียวและเป็นครั้งใหญ่ในปี 1600 ก่อนคริสตกาลค่ะ ส่วนนครรัฐเอเธนส์ก่อตั้งในช่วง 508-322 ก่อนคริสตกาลค่ะ แต่ว่าตามตำนานแล้วคู่กรณีของมิโนทอร์คือเอเธนส์ค่ะ เราเลยไม่สามารถเขียนอิงตามประวัติศาสตร์ได้ทั้งหมด เพราะไม่อย่างนั้นก็ไปเปลี่ยนตำนานแทนที่จะเป็นการวิเคราะห์และตีความมาเขียนใหม่

เราลองเรียงไทม์ไลน์คร่าวๆ ประมาณนี้ค่ะ (แต่มันอาจจะมีคลาดเคลื่อนนะคะ เราเอาจากหนังสือที่เราซื้อมาสรุปกับข้อมูลจากเว็บค่ะ ซึ่งไม่ค่อยจะเหมือนกันเท่าไหร่)

3000 ปีก่อนคริสตกาล - เริ่มยุคสำริดในดินแดนตะวันออกกลาง

2500 ปีก่อนคริสตกาล - เริ่มต้นอารยธรรมอัสซีเรีย

2000 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวมิโนน (มิโนอัน / ครีตัน) เริ่มสร้างพระราชวังบนเกาะครีต ชาวเฮลลีน (กรีกโบราณ) อพยพมาจากทางตอนเหนือของประเทศกรีซในปัจจุบัน กระจายอยู่เป็นเผ่าตามคาบสมุทรบอลข่านและอีเจียน ได้แก่ ไอโอเนียน ไมซีเนียน

1650 ปีก่อนคริสตกาล - เริ่มต้นอาณาจักรฮิตไทต์

1627 ปีก่อนคริสตกาล - ภูเขาไฟธีราระเบิด (บางข้อมูลบอกระเบิดเมื่อ 1520 / 1600)

1595 ปีก่อนคริสตกาล - เริ่มต้นอารยธรรมไมซีเนียน และเริ่มต้นยุคเหล็กในดินแดนตะวันออกกลาง

1400 ปีก่อนคริสตกาล - มีพระราชวังไมซีเนียน

1450 ปีก่อนคริสตกาล - ช่วงเริ่มต้นเนื้อหามหาบุรุษแห่งครีตัน

1370 ปีก่อนคริสตกาล - พระราชวังคนอสซุสถูกทำลาย เริ่มอารยธรรมไมซีเนียน

1200 ปีก่อนคริสตกาล - ฮิตไทด์ล่มสลาย พระราชวังไมซีเนียนถูกทำลายโดยชนเผ่าดอเรียนที่อพยพมาจากทางตอนเหนือ ขยายอำนาจครอบครองคาบสมุทรกรีกได้ทั้งหมด ยกเว้น เนินเขาอาคาเดียอันเป็นที่ตั้งของเอเธนส์และอะโครโปลิส จากนั้นจึงสร้างรัฐสปาตาร์เป็นศูนย์กลางการปกครอง

1000 ปีก่อนคริสตกาล - สิ้นสุดอารยธรรมไมซีเนียน

671 ปีก่อนคริสตกาล - อัสซีเรียพิชิตอียิปต์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-07-2019 20:37:32 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 34

รุ่งเช้าเธเซียสยังคงนอนขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าขนสัตว์ผืนนุ่ม เพียงแต่ข้างกายกลับมีแต่ความว่างเปล่า เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงตื่นจากบรรทมรวดเร็วกว่าทุกวัน เพื่อรอรับการเสด็จขององค์ราชินี แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังมีความประสงค์ที่จะให้เธเซียสติดตามไปด้วย เพราะท่าทีตื่นตระหนกเมื่อค่ำคืนวาน ชักชวนให้พระหทัยของพระองค์เป็นกังวล
ทว่าเธเซียสกลับปฏิเสธ
บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงดำเนินออกจากฐานทัพบกด้วยความอ่อนพระทัย

“เสด็จมาพอดีเลยพ่ะย่ะค่ะ” ด้วยมิรู้ว่าจะทำอันใด เธเซียสจึงเดินไปหาเซอร์ซียังบ้านพัก พบว่าบุรุษผู้บาดเจ็บกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่ง โดยมีเคออสนั่งอยู่มิไกล พร้อมใช้ช้อนตักไซคีออนจดจ่อไปยังริมฝีปากของเซอร์ซี หัวคิ้วของเธเซียสจึงขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด แต่กระนั้นก็มิได้รับความกระจ่างอันใด อีกทั้งเคออสยังก้าวเดินเข้ามาหาเธเซียสพลางยัดเยียดถ้วยดินเผาโดยมิบอกกล่าว
“เหตุใด..?” เธเซียสเอ่ยถามพลางชี้ไปยังด้านนอกอย่างงุนงง เนื่องจากภาพดังกล่าวอยู่เหนือความคาดหมายไปมากโข

“กระหม่อมคงต้องรบกวนพระองค์ประทานมื้อเช้าให้กระหม่อมด้วย” เซอร์ซีกล่าวพลางแย้มยิ้ม บุรุษผู้เป็นนายจึงเพ่งสายตาไปยังฝ่ามือทั้งสองข้าง พบว่าหลังมือของเขาเป็นบาดแผลฉกรรจ์
“บาดแผลของกระหม่อมตำแหน่งเดียวกับพระองค์เลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่โชคร้ายที่ลูกธนูพุ่งเข้าใส่จุดสำคัญ” บุรุษในความดูแลยังคงกล่าวเจื้อยแจ้ว พลางอ้าปากกลืนกินไซคีออนถ้วยใหญ่ ขณะที่เธเซียสราวกับถูกแช่แข็งทางความรู้สึก

“หลายครั้งหลายคราเรามักจะกล่าวเตือน แต่เจ้ากลับมิเคยฟัง” เธเซียสเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางใช้ช้อนตักไซคีออนยัดใส่ปากเซอร์ซี ราวกับผู้มากประสบการณ์กำลังสอนสั่งแต่มิได้โกรธเคือง
จึงส่งผลให้เซอร์ซีมักใจกล้ากล่าวอ้างถึงนายเหนือหัว

“โธ่! กระหม่อมเพียงแต่มองเห็นโอกาส จึงมิอยากปล่อยปละละเลยพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีรีบแก้ตัวทันควัน ซึ่งประโยคดังกล่าวบ่งบอกได้ว่าบุรุษผู้นี้มิได้ประมาท แต่กลับตั้งใจที่จะพุ่งเข้าชน ทั้ง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประสบเหตุบางอย่างตั้งแต่ช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยว และมันก็ส่งผลให้ใบหน้าและลำตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
“แล้วมันคุ้มกันไหม ?” สิ้นคำถามจากนายเหนือหัว บุรุษผู้แสนดื้อรั้นจึงก้มหน้าหลบสายตาอันดุดัน

“ช่างเถิด เราหวังว่าในภายภาคหน้าจะมิเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะเราตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าเราควรจะเชื่อใจผู้ใด” เธเซียสกล่าวอย่างเนิบช้าและจริงจัง ส่งผลให้คนในความดูแลเหลือบตามองด้วยความเคลือบแคลง
แต่กระนั้นก็มิได้เอื้อนเอ่ยอันใด อาจเพราะเขาพอจะมองสภาพการณ์ออก

“เราถูกคนของเสด็จพ่อสะกดรอยตาม ตั้งแต่เกาะเอลาโฟนิสิจนมาถึงค่ายทหาร” เธเซียสหันมองซ้ายขวาเพียงครู่ แล้วจึงลุกเดินสำรวจรอบบ้านอย่างละเอียด ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประเด็นสำคัญ
“เป็นไปมิได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะในค่ายทหารมีการตรวจตราเวรยามอย่างแน่นหนา” เซอร์ซีกล่าวอย่างมิอยากเชื่อ แต่กระนั้นหัวคิ้วของเขากลับเริ่มขมวด

“แต่เมื่อค่ำคืนวานเครื่องนุ่งห่มของเราหายไป เจ้าก็รู้ว่ามันมีความสำคัญอย่างไรต่อการปลิดชีพ” เธเซียสกล่าวอย่างมีนัยยะ พลางท้าวแขนลงบนตั่งพร้อมโน้มตัวเข้าไปหาเซอร์ซี ขณะที่ดวงตากลับจ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า ไร้ซึ่งความหวาดกลัวแบบเมื่อค่ำคืนวาน
เหตุเพราะท่าทีสุดแสนอ่อนแอ
เป็นเพียงหลุมพรางที่สร้างขึ้น

“แต่มันก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของเรานะพ่ะย่ะค่ะ” เซอร์ซีกล่าวโต้แย้ง เพราะการนำเครื่องนุ่งห่มอันปะปนไปด้วยกลิ่นกาย มาห่อ ‘อาหาร’ มื้อสำคัญของราชสีห์ คล้ายกับเป็นการฝึกฝนให้เจ้าป่าเรียนรู้และเข้าใจ ว่า ‘กลิ่น’ ดังกล่าวคือกลิ่นของอาหารอันโอชะ
ดังนั้นเมื่อราชสีห์ถูกกักขังให้หิวโซ
เมื่ออิสระมาเยือน จึงขย้ำ ‘เหยื่อ’ ในคราบของ ‘อาหาร’ ชั้นดีอย่างตะกละตะกลาม

“หากเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เหตุใดจึงต้องเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้ ในเมื่อเจ้าชายมิโนสประทับอยู่ที่นี่ การคุ้มกันยิ่งต้องเข้มงวด ซึ่ง ‘ไกจีส’ สามารถแฝงกายเข้ามาได้อย่างแนบเนียน และยังเดินทางผ่านเมืองใต้ดินอันเป็นเส้นทางเดียวกับที่เราและเจ้าชายมิโนสเลือกใช้ นี่มันหายนะชัด ๆ” เธเซียสวางถ้วยไซคีออนลงบนโต๊ะหินข้างเตียง พลางเดินวนไปเวียนมารอบตัวบ้าน พร้อมกัดเล็บด้วยความกังวล

“หรือว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงทราบมาตั้งแต่ต้นพ่ะย่ะค่ะ ?” เซอร์ซีวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจาก ‘ไกจีส’ ถือเป็นราชองครักษ์ที่มีความสามารถด้านสะกดรอย
ขณะเดียวกันพระปรีชาสามารถของเจ้าชายมิโนสก็มิอาจประเมินค่าได้
จึงมิแน่ใจว่าเจ้าชายมิโนสจะทรงเสียรู้ให้กับข้าศึก หรือว่าข้าศึกจะเสียรู้ให้กับพระองค์กันแน่

“อาจเป็นไปได้” เธเซียสกล่าวพลางทิ้งตัวลงนั่งตรงปลายตั่ง ขณะที่หัวคิ้วกำลังขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด เนื่องจากบุรุษจากต่างแดนมิเข้าใจว่า เหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงต้องทำเช่นนั้น แต่หากมองย้อนกลับไปยังวินาทีแรก ที่เดินทางมาจนถึงจักรวรรดิครีตันก็มิน่าแปลกใจนัก
เหตุเพราะบุรุษผู้สูงศักดิ์มักจะชื่นชอบการ ‘ล้อเล่น’ กับเหยื่อ
จนกระทั่งตายใจ จึงจะเริ่มสังหารอย่างแนบเนียน

“เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร ?” เธเซียสเอ่ยถามพลางเดินไปนั่งชันเข่าข้างหนึ่งบนขอบหน้าต่าง และหันมองออกไปยังด้านนอก พบเหล่าทหารครีตันกำลังซุ่มซ้อมอย่างหนัก โดยมีเคออสเป็นผู้ควบคุม
“กระหม่อมคิดว่าบางทีอาจมิใช่รับสั่งจากองค์ราชาพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำกล่าวจากเซอร์ซี เธเซียสก็นิ่งเงียบไป เพราะเขากำลังทบทวนถ้อยคำดังกล่าวอย่างถี่ถ้วน
ซึ่งก็จริงดังว่า..
เนื่องจากเสด็จพ่อมิใช่บุรุษผู้แสนขี้ขลาด คงมิมีทางเลือกใช้แผนลอบกัดเช่นนี้

“กระหม่อมได้ยินมาว่า มะรืนเป็นช่วงเทศกาลล่าสัตว์ หากมันจดจ้องความเคลื่อนไหวของพระองค์ อย่างไรแล้วคงต้องลงมือในวันนั้น เพียงแต่หุบเขาสมาเรียมีทั้งทางบกและทางน้ำ” เซอร์ซีลุกออกจากตั่งพลางเดินเข้ามาหานายเหนือหัว พร้อมบอกข่าวคราวที่เคยได้ยินมาจากเคออส
“เรารู้มาว่าจุดหมายของเจ้าชายมิโนสอยู่ที่ป่าไซเปรส”

“เช่นนั้นการรับมือกับราชองครักษ์ นับว่าง่ายดายนัก” เซอร์ซีกล่าวพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?” เธเซียสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เนื่องจากเขามิมีข้อมูลอันใดเกี่ยวกับป่าแห่งเขาวงกต

“กระหม่อมผู้มิจักที่ต่ำที่สูง รบกวนพระองค์นำพาร์ชเมนท์[1]ตรงช่องเก็บของ บริเวณโต๊ะหินข้างเตียงมาให้กระหม่อมที” สิ้นคำขอจากเซอร์ซี เธเซียสจึงยักไหล่พร้อมเหวี่ยงกายลงจากขอบหน้าต่างด้วยความคล่องแคล่วและเดินตรงไปยังเป้าหมาย
กระทั่งพาร์ชเมนท์ชิ้นสำคัญตกอยู่ในความครอบครอง เธเซียสจึงคลี่ออกอย่างเชื่องช้า พบว่าในระหว่างที่กำลังพักรักษาตัว ความสัมพันธ์ระหว่างเซอร์ซีกับเคออสคงเป็นไปอย่างราบรื่น
บุรุษผู้แสนหยิ่งทะนงจึงยอมบอกกล่าวแผนผังของหุบเขาสมาเรียได้อย่างง่ายดาย

“กระหม่อมเป็นเพียงชายพิการผู้หนึ่ง จึงมิมีความจำเป็นอันใดที่นายทหารผู้นั้นจะต้องเป็นกังวล” เซอร์ซีกล่าวพลางเดินนำไปยังมุมห้องที่มีโต๊ะหินชุดหนึ่งสำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจ เนื่องจากบนโต๊ะหินตัวนั้นมีกระดานเกมวางตั้งอยู่ เธเซียสจึงเป็นฝ่ายเคลื่อนย้ายกิจกรรมคลายเครียดของเหล่าทหารครีตันวางไว้บนตั่ง จากนั้นจึงนำพาร์ชเมนท์อันเปรียบเสมือนแผนที่ของป่าแห่งเขาวงกตวางลงตรงกลางโต๊ะ พร้อมจับจองที่นั่งคนละฟากฝั่ง
“เจ้าพิการมือแต่มิได้พิการขาและสมองสักหน่อย” บุรุษจากต่างแดนกล่าวแย้งแต่กระนั้นก็คร้านจะใส่ใจ เนื่องจากสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้ากำลังเรียกร้องความสนใจได้มากกว่า

“หากเป้าหมายคือป่าไซเปรสแห่งหุบเขาสมาเรีย กระหม่อมคิดว่าเจ้าชายมิโนสจะต้องทรงใช้เส้นทางน้ำที่เชื่อมไปยังด้านในของป่าลึก พระองค์ทรงมีประสบการณ์เดินทางในครีตันมากกว่ากระหม่อม พอจะทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะว่ามันควรจะเป็นตำแหน่งใด” เซอร์ซีเอ่ยถามพลางเดินไปยังตั่งที่อยู่มิไกลนัก เพื่อนำแท่งเต๋าและหมากในการเดินเกมมาใช้ประโยชน์
ซึ่งคำถามดังกล่าวทำให้เธเซียสรับรู้ได้ว่า..
เคออสมิได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ความลับ’ ของหุบเขาสมาเรียจนหมดสิ้น

“เมืองอาร์คันส์มีแม่น้ำสายใหญ่ที่เชื่อมออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดังนั้นเราคิดว่าเจ้าชายมิโนสน่าจะเลือกใช้เส้นทางน้ำที่ตัดผ่านเมืองไฟสทอส เนื่องจากทะเลทางฝั่งพระราชวังคนอสซุส ตรงบริเวณหุบเขาสมาเรียมิมีช่องว่างเพียงพอที่จะให้ลำเรือแทรกซึมเข้าไปยังป่าไซเปรส เพราะเรามองเห็นแต่ภูเขาหินอันสูงใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยป่าสนโบราณ ส่วนบริเวณเรียบชายฝั่งเรามองเห็นแต่พรรณไม้นานาชนิด แต่มิเห็นไซเปรสสักต้น” เธเซียสเอ่ยวิเคราะห์อย่างจริงจัง พลางใช้แท่งเต๋าเปรียบกับลำเรือขนาดเล็กกำลังหาทางเข้าสู่ป่าแห่งเขาวงกตที่อยู่ทางทิศใต้ใกล้กับเมืองไฟสทอส เพราะมันเป็นเส้นทางเดียวที่เธเซียสมิเคยเหยียบย่าง
“เช่นนั้นกระหม่อมคิดว่าทะเลเมเตอร์เรเนียนกับผืนน้ำภายในป่าไซเปรส คงจะมาบรรจบกันตรงบริเวณที่พระองค์ตรัสถึง” เซอร์ซีกล่าวพลางวางหมากในการเดินเกมที่มีลักษณะเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ลงบนพื้นที่ที่คิดว่าจะเป็นปากทางเข้าป่าไซเปรส

“กระหม่อมได้ยินมาว่าต้นไซเปรสที่หุบเขาแห่งนี้ มีอายุเป็นร้อย ๆ ปีเลยพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นความใหญ่โตของมันคงจะช่วยอำพรางวิสัยทัศน์ในการมองเห็น และยังช่วยเป็นเกาะป้องกันชั้นดีสำหรับวิถีธนู”

“บางทีหุบเขาแห่งนี้ อาจกลายเป็นฐานทัพเรือแห่งใหม่ของเจ้าชายมิโนส เพราะด้านบนของหุบเขาปกคลุมด้วยป่าสนโบราณ เส้นทางคงมิต่างกับป่าแห่งเขาวงกตของไซเปรสสักเท่าใด” เธเซียสกล่าวพลางวางหมากหินรูปทรงสามเหลี่ยมลงบนเกาะกลางน้ำทางด้านซ้ายมือ เนื่องจากทางขวามือเป็นภูเขาลูกใหญ่ที่มีความสูงในระดับที่คงจะมองเห็นอาณาบริเวณทั้งหมดของจักรวรรดิครีตันในมุมสูง และยังช่วยอำพรางฐานทัพเรือให้รอดพ้นจากสายตาของเหล่าไส้ศึก
เหตุเพราะกว่าจะก้าวเข้ามายังใจกลางของหุบเขาสมาเรียได้
ยังต้องฝ่าเขาวงกตแห่งพรรณไม้นานาชนิดตรงบริเวณชายฝั่ง

“มีความเป็นไปได้สูงพ่ะย่ะค่ะ เพราะเทศกาลล่าสัตว์ในครานี้ มีเพียงพลเรือเท่านั้นที่ได้เข้าร่วม” สิ้นการแสดงความคิดเห็นจากเซอร์ซี เธเซียสก็นิ่งเงียบไป เนื่องจากเขากำลังคาดการณ์ว่า เจ้าชายมิโนสอาจจะใช้ช่วงเวลาแห่งเทศกาลล่าสัตว์เป็นเครื่องอำพรางในการอพยพฐานทัพเรืออันยิ่งใหญ่เข้ามายังหุบเขาสมาเรีย ซึ่งเส้นทางที่เลือกใช้คงมิพ้นเส้นทางเดียวกับที่เจ้าชายมิโนสทรงเลือกใช้ เมื่อครั้งที่เธเซียสถูกลอบสังหาร เพียงแต่มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างอ้อมค้อมเกินไปสักหน่อย แต่กระนั้นก็ยังปราศจากสายตาสอดรู้จากไส้ศึกผู้มิประสงค์ดี
เนื่องจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางฝั่งเมืองไฟสทอส
จะอยู่ตรงข้ามกับจักรวรรดิอียิปต์ ซึ่งเป็นเมืองพี่เมืองน้องมาเนิ่นนาน

กระทั่งมื้อเช้าค่อนไปทางครึ่งวันเสร็จสิ้น เธเซียสก็ขลุกตัวอยู่กับเซอร์ซีมิห่าง จึงทำให้บุรุษแห่งไมซีเนียนได้เรียนรู้การละเล่นกระดานเกมของชาวครีตันอย่างลึกซึ้ง และมันก็ทำให้เธเซียสอดจะทึ่งมิได้ เพราะนอกจากตัวพระราชวังจะใหญ่โตโออ่าอย่างมากแล้ว กระดานเกมของชาวครีตันยังทำจากเงินและทองคำ พร้อมฉลุเป็นลวดลายดอกไม้ล้อมกรอบหนึ่งชั้น ขณะที่แถวบนปรากฏลวดลายคล้ายเปลือกหอยจำนวน 4 อัน โดยมีวงกลมฉลุลวดลายคล้ายกับบุปผาที่มีเกสรเป็นรูปดาวสี่แฉก วางแทรกตรงกึ่งกลางหนึ่งอัน ซ้ายขวาและด้านล่างของแถวถัด ๆ มาอีกอย่างหนึ่งอัน

ซึ่งเซอร์ซีบอกกับเธเซียสว่ากระดานเกมดังกล่าว มีความหมายทางด้านศาสนาและยังแสดงถึงพระราชอำนาจทางด้านการค้าขายของจักรวรรดิครีตัน เหตุเพราะบุปผาที่มีเกสรเป็นรูปดาวสี่แฉกทั้ง 10 อัน เปรียบเสมือนดินแดนแห่งชีวิต ขณะเดียวกันทางด้านพระราชอำนาจกลับหมายถึงอาณาบริเวณของเกาะครีต ส่วนพื้นที่ตรงบริเวณช่วงบนของกระดานเกมที่มีเปลือกหอยและบุปผาซึ่งมีเกสรรูปดาวสี่แฉก กลับหมายถึงดินแดนแห่งปรภพ และในทางพระราชอำนาจกลับหมายถึงดินแดนของแคว้นอื่น ๆ ทั่วบริเวณทะเลเมดิเตอร์เนียน ทว่าเส้นขีดแนวนอนจำนวนหลายเส้น ในทางศาสนากลับหมายถึงสะพานอิฐที่ใช้ข้ามผ่านแม่น้ำแห่งปรภพ ขณะที่ทางด้านพระราชอำนาจกลับหมายถึงการครอบคลุมการค้าไปจนถึงแคว้นต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณของทะเลอีเจียน

ดังนั้นเธเซียสจึงเข้าใจวิถีความเชื่อทางด้านศาสนาของชาวครีตันมากขึ้น เนื่องจากกระดานเกมดังกล่าวแสดงถึงความเชื่อของการ ‘หวนกลับ’ ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีความคล้ายคลึงกับจักรวรรดิอียิปต์ เพราะ ‘คา’ [2] เป็นสิ่งที่ไม่สูญสิ้น จึงมิแปลกที่พระนางปาซิฟาอีจะทรงดองร่างของเจ้าชายแอนโดรเจียส และพร่ำอ้อนวอนขอความเห็นใจจากองค์สุริยเทพให้คอยส่องแสงนำทางแก่พระราชโอรสที่กำลังหลงอยู่ในวังวนของดินแดนแห่งปรภพ
การบูชายัญเนื้อมนุษย์จึงก่อเกิดขึ้น เพื่อเป็นการถวายเหล่าบริวารให้แก่องค์สุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่ กระทั่งบรรลุแก่ความประสงค์ เหล่าบริวารผู้ถูกล่อลวงมาจากเอเธนส์ก็จะนำพาเจ้าชายแอนโดรเจียส ข้ามผ่านสะพานอิฐที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางระหว่างดินแดนแห่งปรภพคืนกลับสู่ดินแดนแห่งอ้อมกอดขององค์สุริยเทพ
จึงมีความเป็นไปได้ว่า..
การปลดปล่อยเชลยศึกของเจ้าชายมิโนส อาจมีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
 
ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง ‘ศพ’ ของหญิงสาวผู้นั้น..
เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ ?

φ
   

[1] พาร์ชเมนท์ (Parchment) คือ กระดาษจดบันทึกทำจากหนังสัตว์ เช่น หนังวัว หนังแพะ หนังแกะ ซึ่งชาวกรีกโบราณมักจะนำมาใช้แทนกระดาษปาปิรัชที่นำเข้ามาจากอียิปต์ เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูงจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม

[2] คา (ka) ในภาษาอียิปต์โบราณ หมายถึงดวงวิญญาณ

บทความที่เกี่ยวข้อง

- Knossos Game – Zatrikion https://bit.ly/2LwMljy
- ความเป็นมาของ “กระดาษ” และประวัติศาสตร์การจดบันทึก https://bit.ly/2NH6E0r

เกมของชาวมิโนอันค่ะ จะทำจากทองคำและเงิน แต่ในรูปเราไม่แน่ใจว่าเป็นแค่กระดาษหรือเปล่า เพราะของจริงจะแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่เกาะครีตค่ะ
และเท่าที่ทราบเหมือนว่าระดับราชวงศ์จะใช้ทองคำ งาช้าง เงิน และหินคริสตัส แต่ถ้าเป็นชาวบ้านจะใช้วัสดุอีกอย่างนึงค่ะ แต่ไม่มีการพูดถึงตรงส่วนนี้
https://i.imgur.com/Xyuq1gW.jpg
https://i.imgur.com/FhT6l85.jpg

เกมของมิโนอันทำจากงาช้างเป็นงานแบบอินเลย์ค่ะ
อินเลย์คือ การประดับชิ้นงานโดยใช้เศษไม้ชิ้นเล็ก ๆ หลายๆชิ้น หลายๆสี มาแปะต่อเนื่องกันให้เป็นรูปหรือเป็นเรื่องราว
ปล. แต่ในข้อมูลบอกเราว่าเป็นงานอินเลย์จากงาช้างค่ะ
(ที่มา : http://lincolnwoodcraft.blogspot.com/2013/02/05-inlays-in-love.html)
https://i.imgur.com/p4Ww7Jw.jpg

อันนี้ของแถมค่ะ ลองทำแผนผังของเกาะครีตและแคว้นที่เกี่ยวข้องแบบคร่าวๆ
https://imgur.com/DVAUplV

ส่วนอันนี้เป็นภาพแผนที่ที่เคออสวาด แต่ของจริงจะเป็นยังไงต้องรอติดตามในตอนหน้าอีกทีว่าเธเซียสเดาถูกแค่ไหน
https://i.imgur.com/7xRJt2J.jpg

ตอนนี้ไม่มีเจ้าชายมิโนสโผล่มาเลย ค่าตัวแพงเล็กน้อย 555 จริงๆ พอร์ตออริจินอลก็มีแหละค่ะ แต่เขียนไปเขียนมาคิดว่าค่อย ๆ เปิดปมไปพร้อม ๆ กับการบู๊แอคชั่นดีกว่า ตอนหน้าเราจะไปเข้าป่ากันแล้วจ้า จะได้เขียนสักที ลากยาวฉากในค่ายทหารมานาน จริงๆ เราคิดไว้สั้น ๆ นะ แต่เขียนจริงๆ รู้สึกว่ามันมีอะไรให้ต้องใส่ใจรายละเอียดเยอะมาก เลยทำให้ตอนขยายเพิ่มขึ้นอีก

ปล. เจ้าชายมิโนสคิดจะทำอะไรกันแน่น้า~

ปล. 2 กระดานเกมที่เราเขียน ปัจจุบันยังไม่มีใครรู้วิธีการเล่น และไม่รู้ว่ามีความหมายอะไรซ่อนอยู่นะคะ มีเพียงการคาดเดาเท่านั้น เราเลยนำมาใช้อ้างอิง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2019 09:13:51 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 35

หลังจากเจ้าชายมิโนสนำเสด็จไปเยี่ยมชมเมืองอาร์คันส์ทั้งบนดินและใต้ดินจนถ้วนทั่ว สีพระพักตร์กลับดูแจ่มใสขึ้นถนัดตา อีกทั้งยังทรงมีเรื่องเล่าแบ่งปันมิหยุดหย่อน ส่งผลให้ความเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับไส้ศึกที่มีศักดิ์เป็นถึงราชองครักษ์ของเสด็จพ่อ กลายเป็นเพียงตะกอนขุ่นมัวที่กำลังนอนก้น เพราะเรื่องเล่าของบุรุษผู้สูงศักดิ์สามารถเรียกร้องความสนใจได้เป็นอย่างดี
เนื่องจาก ‘เมืองใต้พิภพ’ มีความพิเศษอยู่ตรงที่ หากบุรุษส่งเสียงพูดคุยตรงใจกลางเมือง เสียงของเขาจะสะท้อนไปทั่วอาณาบริเวณ ทว่าหากเป็นเสียงของสตรี มิว่าน้ำเสียงจะเล็กหรือใหญ่ก็มิอาจเกิดปฏิกิริยาอันใด
นับได้ว่าเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
แต่กระนั้นหาก ‘ไส้ศึก’ ล่วงรู้ ข้อได้เปรียบที่เคยมี อาจกลายเป็นเพียง ‘จุดอ่อน’

เธเซียสมิแน่ใจว่า ‘ไกจีส’ จะล่วงรู้ถึงความอัศจรรย์ดังกล่าวหรือไม่ เพราะตั้งแต่วันที่พัสตราภรณ์ถูกลักซ่อน เธเซียสก็มิเห็นความผิดปกติอันใดในค่ายทหาร ซึ่งเขามิแน่ใจว่าเจ้าชายมิโนสทรงมีรับสั่งให้ตรวจตราอย่างเข้มงวด
หรือว่าอีกฝ่ายเพียงแค่เร้นกายเพื่อรอเวลา

“เจ้ามีอารมณ์ขันอันใดหรือ ?” เจ้าชายมิโนสตรัสถามขณะเพ่งพิศใบหน้าของบุรุษในดวงใจที่กำลังทำหน้าที่ฝีพาย
“กระหม่อมเพียงแต่ดีใจที่ได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์นอกเขตฐานทัพบกพ่ะย่ะค่ะ และค่อนข้างกระปรี้ประเปร่าที่ได้ออกล่าสัตว์” บุรุษผู้ถูกถามทูลตอบอย่างแช่มช้า พลางใช้หางตาเหลือบมองไปยังกลุ่มทหารท้ายขบวน พบเรือลำหนึ่งกำลังลอยล่องโดยทิ้งระยะห่างอยู่ทางซ้ายมืออันไกลลิบ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมิผิดจากที่คาดการณ์นัก เขาจึงขันอาสาทำหน้าที่ฝีพายอย่างกระตือรือร้น
เหตุเพราะ ‘การเป็นฝีพาย’ สามารถกำหนดชะตาชีวิต

“เจ้าดูมิสงสัยเกี่ยวกับป่าไซเปรส” เจ้าชายมิโนสเปรยขึ้นขณะกำลังกอบกุมลูกธนูจนเต็มหัตถ์ เนื่องจากการสะพายแล่ง[1]ธนูไว้ข้างหลัง จะทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างยากลำบาก และยังทำให้ลูกธนูร่วงหล่นกระจัดกระจาย เหตุเพราะการล่าสัตว์ต่อให้เป็นทางบกหรือทางน้ำ อย่างไรก็ต้องเน้นที่การเคลื่อนไหวและความคล่องตัว
ซึ่งทหารครีตันล้วนมิใช้แล่งธนูแทบทั้งสิ้น

ดังนั้นการลอบสังหารที่เกิดจากความร่วมมือของเคออสและโครนัส นับว่ามีการแอบแฝงความดูแคลนในฝีมือการต่อสู้ของชาวไมซีเนียนอยู่มากส่วน อาจเพราะพวกเขาเคยเห็นฝีไม้ลายมือด้านการต่อสู้มิมากนัก จึงเลือกใช้แล่งธนูบรรจุลูกศรสะพายหลัง เพราะมิต้องเคลื่อนไหวอันใดให้มากความ บวกกับชาวครีตันแท้ที่จริงก็มีฝีมือทางด้านการรบจะนึกทรนงตนก็มิแปลก 
แต่ทว่าเมื่อความสามารถที่แท้จริงปรากฏ..
โครนัสกลับมิวายรวบลูกศรจนเต็มกำมือ ทำให้วิถีการยิงเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

“เพราะกระหม่อมได้รับความช่วยเหลือมาจากเคออสพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบโดยมิได้ขยายความอันใด ส่งผลให้พระขนงของเจ้าชายมิโนสเลิกสูงด้วยความใคร่รู้
“เขาน่ะหรือที่ช่วยเหลือเจ้า ?”

“พ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยืนยันอย่างแข็งขัน เพราะความสงสัยทั้งหมดถูกปัดเป่าด้วยแผนที่จากเคออส และการคิดวิเคราะห์ร่วมกันกับเซอร์ซี
“มิน่าเชื่อ ดูมิใช่เขาเอาเสียเลย” เจ้าชายมิโนสตรัสขณะที่ลำเรือกำลังลอยร่องผ่านเขตพระราชฐานอันใหญ่โตโอ่อ่าแห่งเมืองไฟสทอส จากนั้นต้นขบวนเสด็จจึงเริ่มเข้าใกล้อาณาเขตของหุบเขาสมาเรีย มินานหัวเรือลำแรกก็เยื้องย่างเข้าไปยังเส้นทางหนึ่ง
เพียงแต่มิอาจคาดคะเนได้ว่า สิ่งที่คาดการณ์ไว้จะถูกต้องมากสักเพียงใด
เนื่องจากระยะห่างจากเมืองไฟสทอสในแผนที่กับความเป็นจริง มิอาจเปรียบเทียบกันได้

กระทั่งลำเรือของเธเซียสขยับเข้าใกล้ที่หมาย สายตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงเริ่มกวาดมองไปรอบ ๆ บริเวณ พบว่ามีช่องว่างสำหรับเดินเรือเข้าไปยังป่าแห่งเขาวงกตตั้งมากมาย เนื่องจากหน้าดินกลับลาดลงสู่ทะเล จึงส่งผลให้น้ำทะเลล้นทะลักเข้าไปยังด้านในและคงจะผสมกับน้ำจืดจนทำให้ไม้ยืนต้นสามารถแผ่กิ่งก้านสาขาจนปกคลุมท้องนภาเบื้องบนจนแทบมิด
ม่านหมอกแห่งความลึกลับจึงปกคลุมไปทั่วบริเวณ

“ระวังองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวเตือนเมื่อลำเรือเคลื่อนห่างจากปากทางไปมากโข จนกระทั่งพบกิ่งไม้ขนาดใหญ่ล้มคว่ำขัดขวางเส้นทางแห่งการเดินเรือ แต่ทว่ากลับมิได้เป็นอุปสรรค เมื่อกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่มิได้หนักอึ้งจนถึงกับจมลงสู่เบื้องล่าง จึงทำให้คณะเดินเรือต่างพากันก้มหัวและค้อมตัวเป็นทิวแถว ซึ่งตลอดระยะทางบ้างก็เจอเถาวัลย์พันเลื้อยราวกับงูตัวมหึมา บ้างก็เจอดวงตาแวววาวของสัตว์น้อยใหญ่ที่กำลังจดจ้องขบวนเสด็จของผู้บุกรุก
ส่งผลให้บรรยากาศรอบกายนำพาให้เธเซียสรู้สึกหวาดหวั่น เขาจึงกระชับกรรเชียงในมือแน่น เหตุเพราะอัญมณีท่ามกลางป่าเขากำลังทำให้บุรุษแห่งไมซีเนียน นึกถึงช่วงเวลาอันยากลำบากเมื่อครั้งอดีต
แต่กระนั้นก็มิมีเวลาย้อนคิดไปถึงสิ่งใด

“โจมตี! อย่าให้ถึงตาย!” สุรเสียงทรงอำนาจดังกังวานไปทั่วบริเวณ จากนั้นเหล่าทหารต่างระดมยิงไปยังจุดที่เจ้าชายมิโนสชี้นำ สายตาของเธเซียสจึงสบเข้ากับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกับนกโมอา เพียงแต่สองขากลับใหญ่โตและแข็งแรงกว่ามาก จึงทำให้มันสามารถวิ่งหนีด้วยความเร็วสูง ส่งผลให้เหล่าสัตว์น้อยใหญ่บนเกาะต่างพากันแตกตื่น มิหนำซ้ำจงอยปากของมันยังมีขนาดมหึมาสมกับความน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง เธเซียสจึงเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าชายมิโนส
เนื่องจากฐานทัพลับแห่งนี้ กลับมี ‘เจ้าถิ่น’ คอยคุมเชิง
บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงต้องใช้เทศกาลล่าสัตว์เข้ามาจัดการ

เธเซียสมิรอช้าที่จะวางมือจาก ‘กรรเชียง’ เพื่อหยิบจับ ‘คันธนู’ พร้อมเหยียดลำแขนตรงไปข้างหน้า ขณะที่ศรแหลมจากสำริดถูกวางพาดบริเวณด้านขวาของคันธนู โดยมือข้างที่กำลังเหนี่ยวรั้งเพื่อเตรียมระดมยิง กลับกอบกุมอาวุธร้ายจนเต็มกำมือ จากนั้นแรงส่งของปลายนิ้วก็ผสานสามัคคีกับลำแขน ส่งผลให้วิถีของลูกศรพุ่งตรงไปยังสัตว์ประหลาดอย่างรวดเร็วและรุนแรง จึงทำให้ทะลุผิวเนื้อของเป้าหมายถึง 3 ดอก
ซึ่งก็คือจำนวนของลูกศรที่เธเซียสสูญเสียไป

“ฝีธนูของเจ้านับว่ายอดเยี่ยมนัก” เจ้าชายมิโนสตรัสชื่นชมพร้อมเหนี่ยวรั้งอาวุธร้ายอีกระลอกใหญ่ ซึ่งก็ส่งผลให้สัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวได้รับความเจ็บปวด เนื่องจากลูกศรเสียดแทงร่างอันสูงใหญ่ถึง 6 ดอก
ซึ่ง 6 ดอกนั้น ล้วนแต่เป็นฝีมือของบุรุษต่างศักดิ์บนเรือลำเดียว

“น้อมรับคำชมเชยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมกำลังสงสัยว่าเหตุใดเราจึงต้องยกโขยงกันมาถึงเพียงนี้ ในเมื่อสัตว์ประหลาดมิได้กำจัดยากเย็นแต่อย่างใด” เธเซียสเอ่ยถามพลางมองไปยังสัตว์ประหลาดที่กำลังนอนล้มตึงอยู่บนพื้น ขณะที่เหล่าทหารบกที่คงจะอาศัยอยู่บนเกาะกลางน้ำท่ามกลางป่าไซเปรส กำลังเยื้องย่างเข้าไปใกล้สัตว์ใหญ่ด้วยความระมัดระวัง ในมือของพวกเขามีทั้งโล่ที่ดูเหมือนจะทำจากเหล็ก อีกทั้งดาบก็ยังทำจากเหล็ก
คาดว่าบัดนี้วิวัฒนาการทางด้านศาสตราวุธของจักรวรรดิครีตันกำลังเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าผู้ใดในแถบนี้

“ระวัง!” สุรเสียงดังก้องของเจ้าชายมิโนสมิอาจนำพาให้ขุนพลผู้โชคร้ายหนีรอดจากจงอยปากของสัตว์ประหลาดตนนั้น ร่างของเขาจึงถูกยกขึ้นด้วยจงอยปากอันใหญ่ยักษ์ พร้อมกับร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดคล้าย ‘นกโมอา’ กำลังพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืนด้วยความสง่าผ่าเผย จากนั้นมันจึงเหวี่ยงร่างของขุนพลผู้เคราะห์ร้ายลงกับพื้นจนเสียงดังสนั่น
แต่ทว่าการกระทำอันป่าเถื่อนกลับต้องจบลง เมื่อเจ้าชายมิโนสออกคำสั่งด้วยท่าทีอันแนบเนียน เหล่าทหารที่คงจะเคยคุ้นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด จึงกรูกันเข้าไปกลุ้มรุมอย่างมิเกรงกลัว
จนกระทั่งเหยื่อได้รับอิสระ
เธเซียสจึงเข้าใจถึงการระดมพลอย่างกระจ่างแจ้ง

“สัตว์ประหลาดตนนี้ มันคือตัวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสเอ่ยถามเจ้าชายมิโนสที่กำลังทอดพระเนตรไปยังการขนย้าย ‘เจ้าป่า’ หลังจากที่มันถูกเหล่าทหารครีตันซึ่งแอบซ่อนกายอยู่บนบก เล่นงานด้วยมีดดาบจนมิอาจสำแดงฤทธิ์ พวกเขาจึงช่วยกันขนย้ายสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวลงเรือรบลำใหญ่อย่างทุลักทุเล
“มันคือสัตว์โบราณเรียกว่าโฟรัสราซิแด เป็นนกยักษ์นักวิ่งตัวหนึ่งที่มีอาหารโปรดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และยังเป็นนักล่าที่ค่อนข้างโหดเหี้ยม เพราะมันมีวิธีสังหารเหยื่อถึงสองวิธีด้วยกัน ซึ่งวิธีแรกคือการคาบเหยื่อแล้วฟาดกับพื้น ส่วนอีกวิธีก็คือ..” เจ้าชายมิโนสยังตรัสมิทันจบประโยคเหล่านักล่าที่มีรูปร่างคล้ายนกโมอาซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เธเซียสเคยรู้จักก็พากันวิ่งกรูเข้ามายังเส้นทางน้ำ ขบวนเสด็จพร้อมด้วยลำเรือที่บรรทุก ‘โฟรัสราซิแด’ ตัวหนึ่ง จึงกลายเป็นเรืออพยพขุนพลจากบนชายฝั่ง
ขณะที่ฝูงนกยักษ์กลับไล่ล่าขบวนเสด็จอย่างบ้าคลั่ง

เพลานี้รอบตัวของเธเซียสจึงเต็มไปด้วยเสียงหวีดหวิวของลูกธนูดังแหวกอากาศ ซึ่งเจ้าชายมิโนสที่ประทับอยู่ตรงหน้ากำลังกึ่งนั่งกึ่งยืนพร้อมเหนี่ยวรั้งคันศร เพื่อโจมตีเหล่านกยักษ์ที่มีลำแข้งสูงเพรียว จึงทำให้การเดินทางด้วยน้ำมิใช่อุปสรรคของพวกมัน ทว่าม่านหมอกอันขาวโพลนกลับกลายเป็นอุปสรรคให้แก่คณะเดินทาง ยิ่งก้าวเข้าสู่อาณาเขตของป่าไซเปรส เธเซียสก็ยิ่งรู้สึกว่าจินตนาการกับความเป็นจริงผิดแผกไปมาก เนื่องจากลำต้นของไซเปรสมีความยิ่งใหญ่ดังเช่นที่เซอร์ซีเคยกล่าว
เพียงแต่การมาอยู่รวมกันของมัน กลับทำให้เธเซียสมิอาจคาดคะเนทิศทางได้
จึงมิแปลกที่เจ้าชายมิโนสจะทรงเลือกสรรพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นฐานทัพเรือ

“ระวัง!” แต่แล้วสุรเสียงกระโชกของเจ้าชายมิโนสก็ดังขึ้นอีกระลอก พร้อมแรงผลักให้เธเซียสก้มหลบ จึงทำให้หน้าอกกระแทกกับกรรเชียงเรืออย่างแรง จากนั้นบุรุษผู้สูงศักดิ์ก็ตวัดคันศรเพื่อปัดป้องวิถีของลูกธนูที่ฝ่าทิศทางอันเป็นหนึ่งเดียวของทหารครีตัน จนกระทั่งเหตุการณ์เริ่มสงบเธเซียสจึงหันมองไปยังด้านหลังอย่างเพ่งพิศ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงทอดมองใบหน้าของเหล่าทหารครีตันทีละนาย
เพื่อค้นหาราชองครักษ์จากไมซีเนียนด้วยความยากลำบาก เนื่องจากม่านหมอกกำลังทำพิษ

“แบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่าย!” เจ้าชายมิโนสตะโกนก้อง จากนั้นขบวนเสด็จก็เริ่มเคลื่อนพล เพียงแต่มิใช่นายทหารทั้งหมดจากกองทัพเรือ เนื่องจากการปกป้องน่านน้ำของจักรวรรดิครีตัน อย่างไรก็ยังถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงทำให้ลำเรือที่เดินทางมาร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์ มีเพียงครึ่งร้อยเท่านั้น ซึ่งหากนับรวมกับทหารชุดก่อนที่คงจะเดินทางเข้ามาสำรวจพื้นที่ดังกล่าว ทันทีที่เจ้าชายมิโนสทรงเปรยวาจาตั้งแต่ในถ้ำตรงยอดเขาดิคที แต่ท้ายที่สุดก็ยังมิอาจประเมินความยิ่งใหญ่ของกองทัพเรือแห่งจักรวรรดิครีตันไปได้
เพราะแม้แต่เธเซียสที่เคยเหยียบย่างเข้าไปยังฐานทัพเรือแห่งเกาะธีรา
ก็มิอาจมั่นใจว่าสิ่งที่เคยเห็นทั้งหมด คือแสนยานุภาพของจักรวรรดิครีตันอย่างแท้จริง

ทว่าการโจมตีจากคนกลุ่มหนึ่งกลับมิยอมหยุดยั้ง เธเซียสจึงกวาดสายตามองไปยังวิถีของลูกศร พร้อมปัดป้องโดยมิอาจโจมตี เนื่องจากพวกเขาอยู่ในเขตที่แจ้ง จึงทำได้เพียงตั้งรับอย่างมิย่อท้อ
แต่แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็ถึงคราวต้องกลับตาลปัตร
เมื่อลูกธนูห่าใหญ่จากครีตันกำลังโจมตีไปยังกลุ่มคนของไกจีส

“เจ้าคอยหลบอยู่ข้างหลังเรา แล้วคอยซุ่มยิงลูกสมุนของฝ่ายนั้นให้สิ้น” เจ้าชายมิโนสตรัสหลังจากที่บริเวณนี้หลงเหลือเพียงคู่ต่อสู้ร่างมนุษย์ เนื่องจากสัตว์โบราณโขยงหนึ่งถูกทหารครีตันอีกกลุ่มหลอกล่อออกไปอีกทาง
“พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับจากบุรุษผู้กำลังถูกลอบทำร้าย เจ้าชายมิโนสจึงเหนี่ยวรั้งสายธนูพร้อมปลดปล่อยอาวุธร้ายซึ่งทำจากเหล็กรวดเดียวถึง 3 ดอก เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวขยับตัวออกจากตำแหน่งเดิม และหลบซ่อนกายอยู่ตรงเบื้องหลังของเจ้าชายมิโนส ซึ่งในระหว่างนั้นเหล่าราชองครักษ์ต่างพากันอารักขาเจ้าชายมิโนส โดยมิปล่อยช่องว่างให้ทางไกจีสได้ลงมือกระทำอันใด

กระทั่งเธเซียสเริ่มตั้งหลักได้ เขาจึงถือคันธนูพร้อมด้วยลูกศรจากเหล็กที่วางระเกะระกะภายในลำเรือ พร้อมเล็งเป้าไปยังลูกสมุนของไกจีสอย่างแม่นยำและรุนแรง จนทำให้ฝ่ายนั้นกลิ้งตกลำน้ำไปหนึ่งชีวิต จากนั้นเป้าหมายต่อมาก็คือบุรุษผู้แอบซ่อนอยู่ข้างหลังลำต้นอันใหญ่ยักษ์ของไซเปรสที่แผ่กิ่งก้านสาขาจนแทบจะปกคลุมคลุ้งน้ำในแถบนี้ อีกทั้งยังมีม่านหมอกสีขาวขุ่นลอยตลบอบอวนจนยากต่อการเพ่งพิศ

“กระหม่อมจะดำน้ำไปทางทิศประจิมนะพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากมองหาทางหนีทีไล่อันเหมาะเจาะ เธเซียสก็มิลืมบอกกล่าวแก่บุรุษในดวงใจเป็นภาษาของชาวอียิปต์ เพื่อป้องกันมิให้บทสนทนาดังไปถึงการรับรู้ของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นดวงตาดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงมองจ้องไปยังทิศตะวันออกอันเป็นตำแหน่งของไกจีส 
“เราจะเปิดทางให้ เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย” เจ้าชายมิโนสสนทนากับเธเซียสเป็นภาษาอียิปต์เช่นกัน จากนั้นพระองค์ก็เริ่มใช้ลูกศรซึ่งทำจากเหล็กยิงไปยังไกจีสที่ใช้ลำต้นของไซเปรสเป็นเกาะกำบัง เหล่าทหารครีตันจึงเริ่มกระจายกำลังด้วยการเพ่งเล็งไปยังลูกสมุนที่มีอยู่เพียงหยิบมือ แต่ฝีมือมิได้น้อยนิดตามจำนวนคน
แต่กระนั้นก็มิได้คณามือต่อกองทัพเรือแห่งครีตันแต่อย่างใด
พื้นที่ในการรับมือกับคู่ต่อสู้ จึงขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อข้าศึกถูกศรเหล็กเสียดแทงอก

ฝ่ายเธเซียสจึงอาศัยทีเผลอของไกจีส รีบดำดิ่งลงสู่สายน้ำอันเย็นฉ่ำ ที่เบื้องบนถูกปกคลุมด้วยเศษใบของต้นไซเปรส ม่านน้ำสีดำสนิทจึงกลายเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น มิหนำซ้ำยังมีตอของต้นไซเปรสที่คงจะหักโค่นคอยกีดขวางเส้นทาง
เธเซียสจึงอาศัยมือทั้งสองข้างที่กอบกำลูกธนูและคันธนูจนแนบแน่นกวาดออกไปรอบ ๆ ตัว
สองขาแหวกว่ายเพื่อไปให้ถึงที่หมาย พร้อมวาดหวังว่าเจ้าชายมิโนสจะเปิดทางให้ตนได้สำเร็จ

กระทั่งหน้าดินเริ่มตื้นเขินเธเซียสจึงค่อยๆ โผล่พ้นเหนือผิวน้ำ และมันก็ตามมาด้วยลูกศรเร็วแรงแหวกอากาศจากไกจีส ทว่าฝ่ายเจ้าชายมิโนสกลับมิยอมแพ้ รีบสะกัดวิถีธนูภายในชั่วพริบตา จึงทำให้เธเซียสหลุดรอดจากวิถีอันตราย
บุรุษผู้เกือบจะเคราะห์ร้ายจึงมิรอช้า รีบปีนขึ้นไปหลบซ่อนยังผืนดินเล็ก ๆ ที่รากของต้นไซเปรสใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยว พร้อมใช้ลำต้นอันใหญ่ยักษ์เป็นเกาะกำบัง และอาศัยช่องว่างระหว่างไซเปรสทั้งสองต้นคอยสังเกตการณ์
พบว่า ‘ความมืด’ นำพาให้เธเซียสคาดคะเนเส้นทางผิดพลาด
มิแปลกที่การเปิดเส้นทางของเจ้าชายมิโนสจะมิเกิดประโยชน์

แต่กระนั้นก็ยังนับว่ามิสูญเปล่า เหตุเพราะลูกสมุนของไกรจีสที่ยังเหลือรอดอีกหนึ่งชีวิต กำลังซ่อนกายอยู่ข้างหลังต้นไซเปรสอันใหญ่ยักษ์ พวกเขาจึงต่างคุมเชิงกันและกันผ่านช่องว่างระหว่างไซเปรส และมันก็เสียเวลาพอดู
บุรุษผู้แสนมุทะลุจึงเริ่มแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกครา

เพลานี้จึงกลับกลายเป็นว่าเธเซียสกำลังเผยตัวจากที่ซ่อน พร้อมเล็งเป้าหมายไปยังลูกสมุนฝีมือดี โดยมิเกรงกลัววิถีธนูจากไกจีส เหตุเพราะเพลานี้ลำเรือของทหารครีตัน กำลังแผ่ขยายพื้นที่ปลอดภัยมายังทิศตะวันตก พร้อมเล็งเป้าหมายไปยังไกจีสเป็นทางเดียว ริมฝีปากของเธเซียสจึงแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยม และเหนี่ยวรั้งลูกศรพร้อมกันถึง 3 ดอกพุ่งตรงไปยังลูกสมุนที่กำลังโผล่หน้าผ่านทางช่องสังเกตการณ์
ภายในเสี้ยววินาทีศรเหล็กอันทรงอำนาจก็เสียดแทงกระโหลกศีรษะอย่างแม่นยำ

“หึ” เธเซียสแสยะยิ้มอย่างสะใจ แต่กระนั้นในใจลึก ๆ กลับรู้สึกเจ็บปวด เมื่อท้ายที่สุดการลักซ่อนเครื่องนุ่งห่มกลับเป็นเพียงกลลวงของนางหญิงชั่ว ที่ช่วยจุดความสว่างอันน้อยนิดในจิตใจให้ลุกโชน เพื่อที่จะได้ออกแรงฉุดให้จมดิ่งลงสู่ตะกอนแห่งอดีตอันปวดร้าว
เพราะคำตอบค่อนข้างเด่นชัดว่า..
เสด็จพ่อมิเคยเชื่อใจบุตรชายผู้นี้

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องทำตามหน้าที่” สิ้นคำกล่าวอันเป็นการปลุกให้บุรุษผู้มีสถานะเป็นถึงเจ้าชายแห่งไมซีเนียนจำต้องตื่นจากภวังค์แห่งความเจ็บช้ำ แต่ทว่าเสียงธนูแหวกอากาศกลับมิสามารถสร้างแรงกระตือรือร้นอันใดให้กับเธเซียสอีกต่อไป
เนื่องจากเพลานี้เขากำลังหลับตารอรับการตัดสินโทษจากเสด็จพ่อ
ที่กำลังยัดเยียดข้อหา ‘กบฎ’ อย่างหมดแรง

แต่แล้ววิถีธนูของอีกฝ่ายกลับมีอันต้องหักเห เมื่อเจ้าชายมิโนสเป็นฝ่ายยุติสถานการณ์มิพึงประสงค์ ธนูเหล็กจึงเสียดแทงธนูจากสำริดให้จมลงสู่สายน้ำ บุรุษผู้ยอมจำนนจึงลืมตาขึ้นและกวาดมองไปจนทั่วบริเวณ พบว่าไกจีสกำลังปฏิบัติภารกิจอย่างถวายหัว เพราะเขาปรากฏตัวออกจากที่ซ่อน เพื่อสังหารเจ้าชายกบฏตามที่มีรับสั่ง
เธเซียสจึงมองเห็นสภาพร่างกายของเขาว่ากำลังย่ำแย่มากเพียงใด

สมองจึงเริ่มคิดคำนวณทางเลือก จากนั้นศรเหล็กลูกสุดท้ายก็ถูกเหนี่ยวรั้งไปยังไกจีส โดยที่อีกฝ่ายมิอาจหลบลี้ไปยังทิศทางใดได้ เนื่องจากบัดนี้เนื้อตัวของเขามิหลงเหลือแม้กระทั่งอาวุธร้ายให้เอาตัวรอด

“ทำไม..?” แต่ยังมิทันที่เธเซียสจะได้กระทำตามใจคิด เจ้าชายมิโนสและผู้ใต้บังคับบัญชาของพระองค์กว่าสิบชีวิตกลับเหนี่ยวรั้งลูกศรราวกับมิมีวันหมด เพียงแต่วิถีของการโจมตีกลับพลาดเป้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จึงทำให้ราชองครักษ์แห่งไมซีเนียน..
เอาชีวิตรอดจากสถานการณ์อันตรายได้อย่างหวุดหวิด


φ



[1] แล่ง คือ ที่เก็บกระสุนดินดำหรือลูกศร


บทความที่เกี่ยวข้อง
- สัตว์สยอง ยุคก่อนประวัติศาสตร์ https://bit.ly/2XqE8Eu
- เทคนิคการยิงธนูแบบโบราณที่ไม่ธรรมดา https://bit.ly/2G05jeD

มาต่อแล้วค่ะเรื่องนี้ก็อย่างที่บอก เน้นจินตนาการนะคะ เราเลยเอาพวกสัตว์โบราณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ส่วนเจ้าชายมิโนสคิดจะทำอะไร ทำไมถึงปล่อยไกจีสไปง่ายๆ ติดตามกันต่อไปจ้า ตอนหน้าเราจะยังอยู่ในป่าพร้อมๆ กับคลี่คลายเรื่องราวที่เป็นปมพันยุ่งอีกสักหน่อย ว่าทำไมเจ้าชายมิโนสถึงปล่อยไป และทำไมถึงไม่ตกใจกับการโจมตีใด ๆ อีกทั้งการตายของศพหญิงสาวคนนั้นเกิดจากอะไร จะเกี่ยวข้องกับเจ้าชายมิโนสหรือไม่ ตอนหน้าได้รู้กันจ้า

ปล. อ่านตอนนี้แล้วช่วยบอกเราหน่อยนะคะว่าเขียนเป็นยังไงบ้าง ดูโอเคสมกับที่บิ๊วมาตั้งแต่ต้นหรือเปล่า แบบมันดูลึกลับตื่นเต้นมั้ย พูดตรงๆ ว่าเราไม่มั่นใจเลยค่ะ ช่วงนี้เราว่างเปล่ากับงานตัวเองมาก มองภาพไม่ค่อยออกเท่าไหร่ ตอบกันหน่อยน้า สำคัญกับเราจริงๆ เพราะเราจะได้เอาไปปรับในตอนต่อไปได้ค่ะ T_T

บรรยากาศของป่าไซเปรสก็จะประมาณนี้ค่ะ
https://i.imgur.com/ZUUx81C.jpg
https://i.imgur.com/m5UjVbF.jpg

Cr : http://www.mikereyfman.com

โฟรัสราซิแด
https://i.imgur.com/sRz4ZbG.jpg

นกโมอา เป็นนกวงศ์เดียวกับนกอีมูค่ะ
https://i.imgur.com/KI1qhW3.jpg
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2019 12:35:00 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 36

ตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มสงบ ความสุขุมของเธเซียสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบที่ยังคงเต็มไปด้วยกระไอหมอกปกคลุมป่าแห่งเขาวงกต ล้วนเต็มไปด้วยความกดดัน สายลมโชยแผ่วพัดผ่านผิวเนื้อและพัดพาเส้นผมให้ปลิวไสว ราวกับนางระบำกำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อย จึงทำให้สัมผัสอุ่นซ่านแตะแต้มบริเวณเหนือศีรษะคล้ายกับได้รับพระราชทานคำชมเชย
บุรุษจากต่างแดนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์จึงเงยหน้ามองเบื้องบน พบว่าสัมผัสเมื่อสักครู่เกิดจากกิ่งใบอันแห้งผาก ที่กำลังห้อยระย้าราวกับหนวดเคราสีดอกเลาของบุรุษวัยชรา จากนั้นภูเขาหินสูงใหญ่ที่กำลังซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางม่านหมอกก็ปรากฏ ทั้ง ๆ ที่วินาทีแรกของการเหยียบย่างเข้ามายังเขตแห่งเขาวงกต กลับมิพบแม้กระทั่งเงาดำพาดผ่านลำน้ำแต่อย่างใด
เธเซียสจึงรู้สึกราวกับว่า..
หุบเขาสมาเรียอาจเป็นดินแดนแห่งเวทมนตร์

รู้ตัวอีกทีขบวนเสด็จของเจ้าชายมิโนสก็ผลุบหายเข้าไปยังช่องหินหลังกำแพงสูงใหญ่ของต้นไซเปรสที่เกาะกลุ่มกันเป็นจำนวนหลายต้น ซึ่งต้องใช้ความสามารถในการพายเรือมิให้พุ่งชนบริเวณโคนต้น เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวค่อนข้างเล็กแคบ อีกทั้งยังถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก จึงมิอาจจุดคบไฟให้แสงสว่างดังใจนึก
เธเซียสจึงต้องคอยขยับฝีพายตามรับสั่งจากเจ้าชายมิโนส

จนกระทั่งลำเรือหลุดรอดเข้ามายังเส้นทางน้ำ ซึ่งถูกปกคลุมด้วยภูเขาหินอันสูงใหญ่ที่แต่งแต้มไปด้วยป่าสนโบราณจนเขียวชอุ่ม ปลายสายตาอันไกลลิบจึงดูเหมือนกับบ้านพักที่ตั้งอยู่ใจกลางลำน้ำ เธเซียสจึงเริ่มคิดวิเคราะห์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะการจะตั้งถิ่นฐานภายในหุบเขาสมาเรียดูมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องข้ามผ่านการรับมือกับสัตว์โบราณ และยังต้องล่องเรือด้วยความแม่นยำในทิศทาง
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการ ‘เข้า’ มายังที่สถานที่แห่งนี้มิใช่เรื่องง่าย
ดังนั้นการจะ ‘ออก’ จากดินแดนแห่งเวทมนตร์ก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

พอมานึกทบทวนดูแล้ว หากจำมิผิดเจ้าชายมิโนสเคยตรัสว่า สถานที่แห่งนี้คือสถานที่แห่งการฝึกปรือสำหรับกองกำลังของทหารครีตัน ดังนั้นเหล่าทหารที่เฝ้ารอจังหวะเหมาะในการจัดการ ‘โฟรัสราซิแด’ บนชายฝั่ง อาจเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งของทหารบกที่อยู่ใจกลางป่าเขา มิใช่กองกำลังของทหารเรือจากบนเกาะธีรา
ฐานทัพลับอีกแห่งหนึ่งของพวกเขา จึงดูมีความเพียบพร้อมมากกว่าที่เคยจินตนาการ

“เดิมทีฐานทัพแห่งนี้คือฐานทัพลับของเสด็จพ่อ” กระทั่งลำเรือจอดเทียบท่าตามคำบัญชาทางด้านขวามือของสิ่งปลูกสร้างซึ่งทำจากไม้ ที่มีลักษณะคล้ายกระท่อมให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง เนื่องจากตัวบ้านเปิดรับกลิ่นไอของธรรมชาติจากรอบทิศทาง บุรุษผู้สูงศักดิ์จึงตรัสวาจาราบเรียบราวกับต้องการจะบอกเล่าเรื่องราวในวันวาน พลางเสด็จไปยังบันไดขั้นเล็กที่ทอดตัวสู่เบื้องบนของภูเขาหินอันสูงตระหง่าน
บุรุษจากต่างแดนจึงเร่งผูกรั้งลำเรือไว้กับตอไม้ พร้อมแหงนเงยไปยังเบื้องบน ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงสบกับแสงสว่างจากคบไฟที่สาดส่องออกมาจากบริเวณถ้ำหินซึ่งเชื่อมกับขั้นบันได
เธเซียสจึงคาดคะเนได้เพียงว่า..
สุดปลายเส้นทางนี้ อาจเป็นหอสังเกตการณ์ของฐานทัพลับ

“มีเพียงแอนโดรเจียสเท่านั้นที่มีสิทธิ์เหยียบย่าง” ทันทีที่เธเซียสก้าวเดินขึ้นมายังปากถ้ำอันเป็นพื้นที่คล้ายกับราวระเบียง สุรเสียงเศร้าสร้อยของเจ้าชายมิโนสก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงสาดกระเซ็นของน้ำตกที่อยู่ตรงด้านหลังของตัวบ้าน เพียงแต่มิได้อยู่ใกล้ชิดมากมายนัก ละอองน้ำจึงมิอาจสาดกระเซ็นให้เปียกปอน
แต่กระนั้นบริเวณดังกล่าวกลับเรียกร้องความสนใจจากเธเซียสได้มากโข เนื่องจากลำเรือของนายทหารภายในขบวนเสด็จ และทหารจากกลุ่มที่ออกอุบายหลอกล่อฝูงโฟรัสราซิแด กลับลอยล่องเข้าไปยังช่องแคบซึ่งอยู่ถัดไปจากตัวถ้ำ
ครั้นหันกลับมาให้ความสนใจกับเจ้าชายมิโนส
พบว่าพระองค์กำลังทอดมองไปยังด้านในของถ้ำหิน คล้ายกับเห็นภาพแห่งอดีตกาล

“เมื่อนานมาแล้ว เราเคยฝึกประดาบกับแอนโดรเจียสอยู่ตรงนั้น..” เจ้าชายมิโนสตรัสพร้อมชี้ไปยังเบื้องหน้า บุรุษจากต่างแดนจึงมองตามราวกับเขากำลังก้าวเข้าสู่อดีตกาลอันหอมหวานของอีกผู้
“ส่วนเสด็จพ่อ..” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงสั่นเครือ แต่กระนั้นมุมโอษฐ์ของพระองค์กลับแย้มยิ้ม

“ทรงสอนสั่งเราอยู่ตรงนั้น” ดวงเนตรแวววาวของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกถึงความเกษมสำราญเมื่อครั้งอดีต ยังคงเป็นความหอมหวานที่พระองค์มิเคยลืมเลือน จากนั้นความเงียบสงัดก็ปกคลุมรอบกายของบุรุษทั้งสอง แต่ทว่าพวกเขากลับยืนมองพื้นที่อันว่างเปล่าภายในลานกว้างของถ้ำหินตรงหน้า ซึ่งฝ่ายหนึ่งกำลังทอดพระเนตรด้วยความอาลัย ขณะที่อีกฝ่ายกลับจ้องมองด้วยความ ‘คิดถึง’ มโนภาพอันไกลโพ้น เนื่องจากครั้งหนึ่งเสด็จพ่อเคยเฝ้ามองเธเซียสและเสด็จพี่ พร้อมสอนสั่งวิชาประดาบโดยมีการประทานของรางวัลเป็นเหยื่อล่อ
เหตุเพราะเขามิใคร่ชื่นชอบการต่อสู้
แต่กลับชื่นชอบการอ่านเขียนเสียมากกว่า

“ทานมื้อค่ำกันเถิด” เจ้าชายมิโนสตรัสขึ้นในเวลาที่ความหิวเริ่มทักท้วง บุรุษจากต่างแดนจึงเหลือบมองรอบกายพบว่าพวกเขาต่างปล่อยเวลาให้เลยผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์เกือบจะครึ่งวัน อาจเพราะต่างคนต่างใช้ความคิด ซึ่งเธเซียสก็มีเรื่องให้คิดอีกตั้งมากมาย
“พ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำตอบรับบุรุษต่างศักดิ์จึงพากันเดินลงจากบันไดหิน และข้ามผ่านลำน้ำด้วยก้อนหินขนาดพอเหมาะซึ่งทอดยาวไปจนถึงปากทางเข้าของตัวบ้าน เพียงแต่เธเซียสอาจต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวังสักหน่อย เนื่องจากก้อนหินเหล่านี้สามารถเรียกได้อีกอย่างว่า ‘เสาหิน’
ดังนั้นหากพลัดตกลงไป
อาจเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

กระทั่งขึ้นมายังตัวบ้าน บุรุษต่างศักดิ์จึงเดินอ้อมไปยังบริเวณระเบียงด้านนอก ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ จึงมีโต๊ะไม้ทรงเตี้ยวางอยู่ตรงใจกลางของตัวบ้าน ในตำแหน่งที่มองเห็นสายน้ำสีขาวบริสุทธิ์ร่วงหล่นจากที่สูง และยังมองเห็นปลาตัวโตแหวกว่ายอย่างเอื่อยเฉื่อย ขณะเดียวกันเรือลำเล็กของเหล่าทหารครีตันก็ลอยล่องออกมาจากช่องว่างท่ามกลางโขดหินที่เธเซียสเคยคาดการณ์เอาไว้ว่า..
ณ บริเวณนั้นอาจจะเป็นท่าเรือและเขตชุมชนของฐานทัพลับแห่งนี้

“ซุปไก่ใส่ซอสไข่และมะนาว[1]ต้องกินตอนร้อน ๆ” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางใช้ช้อนดินเผาพุ้ยเนื้อไก่ที่ถูกฉีกแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนกระไอร้อนลอยอยู่เหนือชามดินเผา เธเซียสจึงก้มมองอาหารมื้อค่ำของตน พบว่าหน้าตาอาหารมีการตกแต่งด้วยเลมอนฝานเป็นแผ่นบาง ๆ และเมื่อพุ้ยไล่ความร้อน เนื้อไก่ที่นอนก้นอยู่ข้างล่างก็โผล่ขึ้นมาอวดโฉม
“รสชาติดี แต่มิเหมือนในความทรงจำ” เจ้าชายมิโนสทรงวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่เธเซียสกำลังลิ้มชิมอย่างเงียบเชียบ พร้อมคาดเดาในใจว่าซุปถ้วยนี้อาจมีความหลังในวัยเยาว์ปะปนอยู่

เมื่ออิ่มท้องกระดานเกมจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุด แต่ทว่าพอเวลาผ่านพ้นกลับมิอาจดึงดูดความสนใจจากเธเซียสได้มากเท่าที่ควร บุรุษจากไมซีเนียนจึงทอยลูกเต๋าทั้ง 3 ก้อน พลางเหลือบมองบุรุษผู้สูงศักดิ์เพียงครู่ จากนั้นสายตาก็ย้ายมาอยู่ที่แต้มคะแนน พบว่าลูกเต๋าทั้งหมด กำลังอวดโฉมด้านที่เป็นสี
เท่ากับว่าแต้มของเขาคือ 3 คะแนน

“พระองค์ทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ว่ากระหม่อมคือไส้ศึกที่แฝงกายเข้ามาพร้อมกับเชลยจากเอเธนส์” เธเซียสเอ่ยถามอย่างอ้อมประเด็น พร้อมเดินเกมตามแต้มคะแนนอย่างเคร่งครัด
“เพราะเจ้ามิใช่ผู้แรกที่เลือกใช้วิธีนี้” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางทอยลูกเต๋าโดยมิขึ้นด้านสีสักก้อน แต้มที่พระองค์ได้จึงกลายเป็น 4 คะแนน

“พระองค์จึงเลือกที่จะปลดปล่อยเชลยศึก เพื่อสนับสนุนข้อสันนิษฐานหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยังคงทูลถาม ขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังทอยลูกเต๋าจนขึ้นด้านสี 2 ก้อน เท่ากับว่าแต้มที่เขาได้รับในรอบนี้คือ 2 คะแนน
“เป็นเช่นนั้น..” เจ้าชายมิโนสยังคงประหยัดวาจา อาจเพราะพระองค์กำลังให้ความสนใจกับเกมกระดานมากกว่าบทสนทนาดังกล่าวช่องว่างแห่งความเงียบงันจึงทำให้เธเซียสคิดวิเคราะห์ได้ว่า การมีอยู่ของ ‘ไกจีส’ อาจอยู่ในความรับรู้ของเจ้าชายมิโนสมาตั้งแต่ต้น พระองค์จึงยินยอมพร้อมใจให้ข้าศึกล่วงรู้เกี่ยวกับเมืองใต้ดินอันลึกลับ และยังก้าวเข้าไปถึงเขตแดนอันเป็นฐานทัพบก
ซึ่งก็มิต่างกับตอนที่เธเซียสอยากจะล่วงรู้เกี่ยวกับจุดอ่อนของจักรวรรดิครีตันสักเท่าใด

นับได้ว่าการปลดปล่อยไกจีส อาจเป็นวิธีการล้อเล่นกับเหยื่ออย่างหนึ่ง หรืออาจจะมีเป้าหมายที่มากกว่านั้น เพราะครั้งหนึ่งเจ้าชายมิโนสเคยกักขังเซอร์ซีจนแทบกระดิกตัวมิได้ จึงส่งผลให้ทางไมซีเนียนเริ่มจะผิดสังเกต จนนำมาสู่ความมิไว้วางใจในตัวเธเซียส ไกจีสจึงต้องเดินทางมายังครีตัน เหตุเพราะเรื่องกำลังเลยเถิดมาจนถึงขั้นปรักปรำข้อหา ‘กบฏ’
ซึ่งถ้าหากเสด็จพ่อมีความเชื่อมั่นในบุตรผู้นี้ แผนการที่เจ้าชายมิโนสทรงวางไว้อาจมิมีวันเป็นจริง

“แต่มิได้หมายความว่า ‘ไส้ศึก’ อย่างพวกเขาจะได้รับการไว้ชีวิตตลอดกาล” สิ้นสุรเสียงเรียบนิ่งฝ่ามือของเธเซียสที่กำลังจะทอยลูกเต๋า ก็มีอันต้องหยุดชะงักลง
“หากผู้ใดมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เราจะเลี้ยงเขาไว้ดูเล่น จากนั้นเมื่อเริ่มเข้าใกล้เป้าหมาย..” บุรุษผู้สูงศักดิ์ยังคงตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง แต่ทว่ากลับโหดเหี้ยมจนเกินพรรณนา
เนื่องจากช่องว่างที่พระองค์เว้นไว้ คือสิ่งที่เธเซียสเคยเกือบเผชิญ

“เช่นนั้นศพของสตรี..” กว่าบุรุษจากต่างแดนจะค้นหาน้ำเสียงของตนเองพบ ลำคอกลับแทบแห้งผาก แต่กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจที่จะสอบถามถึงเรื่องราวที่ยังค้างคาใจ
“นางเป็นอีกผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว จึงกลายเป็นเราที่หลงกลคิดว่านางคงเป็นเพียงเชลยศึกที่ถูกส่งมาเพื่อการบูชายัญ” สิ้นคำตอบอันกระจ่างแจ้ง เธเซียสก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เนื่องจากเจ้าชายมิโนสทรงปลดปล่อยเชลยศึกเพื่อที่จะทดสอบว่ามีผู้ใดเลือกใช้วิธีนี้แฝงกายเข้ามาในสถานะ ‘ไส้ศึก’ จากนั้นนางกำนัลดาฟเน่ก็จะมีหน้าที่คอยเก็บกวาดเชลยศึกผู้มิมีพิษมีภัย ส่วนผู้ต้องสงสัยหากยังมิอาจเรียกร้องความสนพระทัยจากมหาบุรุษแห่งครีตันได้ ชีวิตของพวกเขาคงต้องจบลงด้วยการสังหาร
ทว่าหากถูกตาต้องพระทัยแล้ว..
ลมหายใจของเขาอาจยืนยาว เพียงแต่มิใช่ตลอดไป..

“พระองค์คือบุรุษที่มิว่าผู้ใดก็มิควรจะตั้งตนเป็นศัตรูด้วย..” เธเซียสกล่าวอย่างจริงจังและหนักใจไปพร้อม ๆ กัน เหตุเพราะเสด็จพ่อคงมิมีวันยอมลามือต่อการครอบครองจักรวรรดิครีตัน เนื่องจากเพลานี้ครีตันถือเป็นจักรวรรดิที่ทรงอำนาจทางด้านการค้ามากที่สุดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวไมซีเนียนก็ถือว่ามีอิทธิพลทางด้านการค้าเพียงแต่มิมากเท่าครีตัน
ดังนั้นจักรวรรดิครีตันจึงมิต่างกับหอกข้างแคร่
ขณะที่เจ้าชายมิโนสกลับแย้มสรวลอย่างมิคิดปฏิเสธ

กระทั่งความหนาวเริ่มมาเยือน บุรุษต่างศักดิ์จึงพากันชำระร่างกายอย่างเร่งรีบ เพื่อเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าขนสัตว์ผืนหนา และไออุ่นจากคบไฟสีเหลืองนวลของน้ำมันละหุ่ง
มินานความผ่อนคลายจึงก่อเกิด
หนังตาก็เริ่มหนักอึ้ง ห้วงแห่งนิทราจึงเริ่มครอบงำ

รู้ตัวอีกทีเสียงขับขานของนกกลางป่าก็ขับกล่อมให้เธเซียสจำต้องตื่นจากฝัน แต่ทว่าข้างกายกลับมิมีแม้แต่เงาของเจ้าชายมิโนส เธเซียสจึงออกตามหา พบว่าบนผนังถ้ำที่อยู่ตรงด้านข้างของตัวบ้าน ส่องสะท้อนเงาคนจำนวนสามผู้ เพียงแต่มิอาจได้ยินถ้อยคำอันเป็นใจความสำคัญ บุรุษจากต่างแดนจึงเดินออกจากตัวบ้าน พร้อมย่อตัวลงกับพื้นเพื่อล้างหน้าล้างตา จากนั้นปลายเท้าจึงวกกลับไปยังตัวบ้าน เพื่อนำคบไฟติดตัวมาด้วย แล้วจึงเหยียบย่างไปยังบันไดที่เชื่อมกับถ้ำหินที่เจ้าชายมิโนสประทับอยู่
เพียงแต่จุดหมายปลายทาง..
กลับเป็นหอสังเกตการณ์บนยอดเขา

“สูงชะมัด” หลังจากเดินขึ้นบันไดไปตามแสงสว่างจากคบไฟ เธเซียสจึงหันมองกลับไปยังเบื้องล่าง พบว่าความสูงจากระดับน้ำชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน อีกทั้งสองข้างทางยังมิมีราวกั้นแต่อย่างใด
แต่กระนั้นเธเซียสก็ยังคงก้าวเดินต่อไป
ซึ่งกว่าจะถึงจุดหมายก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ

“มิผิดจากที่คิด” บุรุษจากต่างแดนอุทานกับตนเอง พลางมองตรงไปยังเบื้องหน้าอันเป็นที่ตั้งของอาณาจักรไมซีเนียน ส่วนทางด้านขวาตรงบริเวณเรียบช่องเขาคือท่าเรือและถิ่นที่อยู่อาศัยของทหารครีตัน และสุดปลายทางของช่องเขากลับมิต่างจากสุดปลายทางของช่องเขาอีกด้าน
เธเซียสจึงอดคาดคะเนมิได้ว่า..
บางทีเส้นทางเรียบเชิงเขาตรงบริเวณเขตชุมชนของทหารครีตัน อาจเป็นเส้นทางที่มิต้องปะทะกับฝูงสัตว์โบราณก็เป็นได้

“นั่นเรือจากไมซีเนียนมิใช่หรือ..” บุรุษจากต่างแดนอุทานด้วยความสงสัยพลางชูคบไฟขึ้นสูง เพื่อหวังจะช่วยลดม่านหมอกตรงบริเวณสายตา
“…”

“แต่เหตุใดจุดหมายปลายทางจึงอยู่ที่เกาะเอลาโฟนิสิ”


φ


[1] ซุปไก่ใส่ซอสไข่และมะนาว (kotosoupa avgolemono) เป็นหนึ่งในเมนูอาหารกรีกโบราณที่นิยมกินในช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน และมักจะเสิร์ฟในวันคริสต์มาส

https://i.imgur.com/AhXOSnp.jpg

สำหรับตอนนี้ก็เริ่มเฉลยการกระทำต่าง ๆ ของเจ้าชายมิโนสออกมาบ้างแล้ว และทางฝั่งไมซีเนียนก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน
ปล. ถ้าช่วงนี้นิยายมาช้าหน่อย แสดงว่าเราติดซีรีย์ขั้นหนักนะคะ 5555 แต่จะพยายามทำสถิติให้ได้แบบเดิมจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2019 16:42:30 โดย Chomin »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เย้ อ่านมาถึงตอนล่าสุดแล้วค่ะ

สนุกมาก ลุ้นทุกตอนเลย ยิ่งพอรู้ว่า เธเซียสเป็นไว้ศึก
ยิ่งกว่าลุ้นอีกค่ะ เจ้าชายก็ฉลาดเวอร์มากจริงค่ะ คือดีมากนะ
ทำไรมีทางป้องกันหมด เตรียมการไว้ดีหมดเลยค่ะ
ชอบความฉลาดและความเปิดเผยนี้ รักเลยดูแล และสอดส่อง

ตอนนี้เธเซียสคงต้องยอมรับชะตากรรม
การเป็นกบฎจากบ้านตัวเอง และเป็นไส้ศึกที่เจ้าชายรักและปรานีมาก

เรื่องเล่าพลิกนิดนึงเรื่องมิโนทอร์ พอเธเซียสเจอเองกับตัว
คิดไปแล้วค่ะว่าเป็นเจ้าชาย เพราะชื่อดูคล้องกันมากเลย

ขอบคุณมากนะคะ นิยายน่าติดตามมาก
สำหรับภาษาก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปด้วยกันนะคะ
บางทีเราก็ชินภาษาธรรมดา เลยไม่ค่อยเท่าไหร่
กับภาษาที่เป็นราชาศัพท์พลิกสลับไปมา ก็อ่านได้ ประมาณนั้น 55555

อย่าติดซีรีย์นานนะคะ รอตอนต่อไปอยู่จ้า

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 37

ถึงแม้วันเวลาจะผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เธเซียสกลับรู้สึกเหมือนทุกสรรพสิ่งมิเคยเคลื่อนคล้อย อาจเพราะเขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่มีความข้องเกี่ยวกับอาณาจักรไมซีเนียน เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ดูมิน่าไว้วางใจสักเท่าใด เพราะจุดหมายปลายทางของเรือลำนั้นคือเกาะเอลาโฟนิสิ ซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงแอริแอดเน
หากเกิดเหตุมิพึงประสงค์
คาดว่ากองทัพครีตันอาจจะบุกโจมตีไมซีเนียนอย่างเคียดแค้น

เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธเซียสจึงอดจะนั่งกัดเล็บอยู่ตรงริมหน้าผาบนหอสังเกตการณ์มิได้ เพราะต่อให้มีใจผูกสมัครรักใคร่กับเจ้าชายมิโนสมากเพียงใด บ้านเมืองอันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำในวัยเยาว์ก็ยังถือเป็นเรื่องที่มิอาจปล่อยวาง
ดังนั้นต่อให้เฝ้าย้ำกับตนเองว่าควรจะเชื่อใจผู้ใด
ก็มิอาจหยัดยืนได้อย่างที่เคยเปล่งวาจา

เธเซียสถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนอน ขณะที่สายตากลับทอดมองท้องนภาอันขะมุกขะมอมจากเมฆหมอก เพราะเขายังมีเรื่องที่น่าหนักใจประทับแน่นอยู่ในอกอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งเรื่องดังกล่าวเห็นจะหนีมิพ้นพฤติกรรมอันเปลี่ยนไปของเจ้าชายมิโนส เหตุเพราะพระองค์เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับเคออสและโครนัสภายในถ้ำหิน โดยพวกเขาต่างยืนล้อมโต๊ะหินตัวหนึ่งคล้ายกับวางแผนอันใดสักอย่าง มิหนำซ้ำบริเวณปากถ้ำกลับมีราชองครักษ์คอยรักษาการณ์อย่างแน่นหนา
บ่งบอกได้ว่าผู้ใดก็มิอาจเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว
แม้กระทั่งเธเซียส..

“แย่แล้ว ๆ” เสียงโหวกเหวกลอยลมมาแต่ไกล ทำเอาเธเซียสที่กำลังใช้ความคิดอย่างเคร่งเครียดมิอาจให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าวอีกต่อไป เนื่องจากเจ้าของเสียงปรากฏตัวด้วยการกระโจนเข้าหาเธเซียส พร้อมแหกปากร้องด้วยถ้อยคำเดิมมิแปรเปลี่ยน
“มีอันใดหรือเพอร์ดิกส์” เธเซียสลุกขึ้นปิดปากเจ้าเด็กกะโปโลที่มีศักดิ์เป็นถึงหลานชายของขุนพลดิดะรัสพลางเอ่ยถามอย่างใจเย็น แต่กระนั้นเจ้าเด็กตัวเท่าเอวกลับมิได้ใจเย็นด้วย จึงรีบฉุดรั้งบุรุษจากต่างแดนให้เดินลงจากหอสังเกตการณ์อย่างรวดเร็ว

“เพ้ยๆ ประเดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” เธเซียสกล่าวพลางขืนตัวมิให้เจ้าเด็กตัวจ้อยลากจูงไปง่ายๆ
“เบรียรูสอาละวาดใหญ่แล้ว ท่านพี่เธเซียสช่วยข้ากำหราบที” เพอร์ดิกส์หยุดการก้าวย่างพลางอธิบายพร้อมหอบหายใจจนเสียงดังลั่น ซึ่งเธเซียสก็ตกอยู่ในสภาพมิต่างกัน
เหตุเพราะเมื่อครู่พวกเขาต่างก้าวเดินลงบันไดกว่าสามสิบขั้นด้วยการฉุดรั้งกันไปมา

“เหตุใดจึงอาละวาด ?” เธเซียสเอ่ยถามอย่างมิเข้าใจ เนื่องจากสัตว์โบราณตนนี้เคยคุ้นกับเพอร์ดิกส์จนแทบจะนอนกอดก่ายกันได้แล้ว
“ข้าคงมือหนักไปกระมัง เบรียรูสถึงได้มิยอมให้ข้าทำแผลและมิยอมให้ข้าเข้าใกล้” เด็กชายตัวจ้อยกล่าวพลางเดินจูงมือเธเซียสลงบันได พร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เนื่องจากการดูแลโฟรัสราซิแดคือหน้าที่ของเพอร์ดิกส์ ผู้มีความฝันอยากจะเป็นทหารเหมือนกับท่านอาดิดะรัส

“เจ้านี่หนา ข้าเคยบอกว่าอย่างไร ?” เธเซียสได้แต่เอื้อนเอ่ยพลางส่ายหัว พร้อมอุ้มเจ้าตัวจ้อยขึ้นพาดเอว เพื่อที่จะได้ย่นระยะเวลาในการเดินลงบันไดอีกสักหน่อย
“ชายชาติทหารแม้จะมีความแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องมิหลงลืมความอ่อนโยน” เพอร์ดิกส์กล่าวเจื้อยแจ้ว ขณะที่มุมปากของเธเซียสกำลังแย้มยิ้ม เนื่องจากศิษย์ตัวน้อยสามารถจดจำคำสอนสั่งได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าวินาทีแรกเจ้าเด็กผู้นี้จะมิเชื่อถือเขาเลยก็ตาม จนทำให้เธเซียสจำต้องแสดงความสามารถ ส่งผลให้เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมเขี้ยวของโฟรัสราซิแด
แต่กระนั้นเธเซียสที่มีความมุทะลุเป็นทุนเดิม ก็ยังมุ่งมั่นที่จะใช้ยาสมุนไพรรักษาบาดแผลของเจ้าสัตว์โบราณ

กระทั่งก้าวเดินมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย เธเซียสก็วางเจ้าเด็กตัวจ้อยลงกับพื้น ทว่าเพอร์ดิกส์กลับวิ่งแจ้นไปยังลำเรือที่ผูกรั้งอยู่กับตอไม้ใกล้ฝั่ง เล่นเอาเธเซียสใจหายวาบ
เนื่องจากระดับความสูงของลำน้ำแห่งนี้ คงประมาณลาดไหล่ของบุรุษวัยกลัดมัน

“ท่านพี่เธเซียส พายเร็ว ๆ ซี่” พอลำเรือพายเรียบช่องเขาอันเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของเหล่าทหารครีตัน ซึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ตามแนวหินที่ถูกขุดเจาะเป็นโพรงใหญ่ เพียงพอสำหรับการอยู่อาศัยต่อหนึ่งครอบครัว จึงทำให้การจราจรในบริเวณดังกล่าวค่อนข้างติดขัด เนื่องจากลำเรือขนาดเล็กสำหรับหาปลาต่างจอดเทียบท่าตรงหน้าบ้าน ขณะที่บริเวณนอกเขตชุมชนกลับเป็นท่าเทียบเรือประจำกองทัพครีตัน เจ้าเด็กตัวจ้อยจึงหันมาทำหน้ามุ่ย หากแต่หัวคิ้วกลับพันผูกด้วยความว้าวุ่น
“ถึงแล้ว ๆ เจ้านี่ใจร้อนเสียจริง” เธเซียสบ่นอุบพลางจอดเรือเทียบท่าตรงปากทางเข้ากรงขังโฟรัสราซิแด ทว่าเจ้าเด็กตัวจ้อยกลับดีดตัวออกจากลำเรือด้วยความรีบร้อน เล่นเอาเธเซียสเกือบจะเสียหลัก แต่ยังโชคดีที่ใช้ไม้พายค้ำยัน

เสียงขู่คำรามของโฟรัสราซิแดดังระงมจนกระทั่งเธเซียสผูกรั้งลำเรือไว้กับตอไม้ จากนั้นจึงทำหน้าที่เปิดกรงขังพลางแทรกตัวเข้าไปยังด้านใน เพอร์ดิกส์จึงถือโอกาสเดินเกาะชายกระโปรงคิสท์สีฟ้าน้ำทะเลมิห่าง ฝ่ายเจ้าสัตว์โบราณกลับทิ้งตัวลงนั่งบนกองหญ้าอย่างเงียบเชียบ คล้ายกับเธเซียสคือหนึ่งในความปลอดภัยจึงได้รับความไว้วางใจ
บุรุษจากต่างแดนจึงเดินเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า พร้อมทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างเจ้าเบรียรูสที่กำลังหันหน้ามาจับจ้อง ขณะที่เจ้าตัวจ้อยอย่างเพอร์ดิกส์ก็รีบหยิบถ้วยดินเผาชามใหญ่ที่บรรจุสมุนไพรสำหรับรักษาแผลสด แต่ทว่าเจ้าตัวกลับมิได้ใช้ความนุ่มนวลเข้าหา เจ้าสัตว์โบราณจึงมองตาขวาง เด็กชายตัวจ้อยจึงย่อตัวลงนั่งเคียงข้างเธเซียสด้วยท่าทีอันเซื่องซึม
เหตุเพราะคู่หูยังมิหายโกรธเคือง

“เจ้านี่มันรู้มากเสียจริง” เธเซียสบ่นอุบหลังจากที่ตั้งท่าจะทำแผลให้เบรียรูส แต่มันกลับถอยหนี เนื่องจากเธเซียสมิยอมทำแผลให้ตนเอง ซึ่งก็เป็นเช่นนี้แทบทุกครั้งหลังจากที่เริ่มญาติดีกัน บุรุษจากไมซีเนียนจึงต้องยอมทำตามความประสงค์ของเจ้าสัตว์แสนฉลาด ที่คาดว่าเจ้าชายมิโนสอาจจะต้องการแต่งตั้งให้มันเป็นขุนพลแห่งหุบเขาสมาเรียก็เป็นได้
“เพอร์ดิกส์เจ้ารีบใส่ยาให้มันเสียสิ” เธเซียสกล่าวพลางขยับตัวเข้าไปหาผู้บาดเจ็บพร้อมใช้ฝ่ามือลูบศีรษะของมันด้วยความแผ่วเบา ขณะที่ริมฝีปากกำลังแย้มยิ้ม ซึ่งเธเซียสก็ทำเช่นนี้จนกระทั่งเพอร์ดิกส์ใส่ยาจนครบ ทว่าเจ้าสัตว์แสนฉลาดกลับใช้หน้าตักของเธเซียสเป็นที่หนุนนอน
เจ้าเด็กตัวจ้อยจึงเริ่มออกอาการขี้อิจฉา
รีบล้มตัวลงแนบศีรษะบนหน้าตักอีกด้านของเธเซียส

บุรุษจากต่างแดนจึงได้แต่นั่งพิงผนังถ้ำที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนและสัตว์โบราณ จนกระทั่งเผลอหลับใหล กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินสุรเสียงทุ้มนุ่มกระซิบตรงข้างใบหู ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทะเลทรายจึงเพ่งมองรอบกาย พบว่าดวงพักตร์ของเจ้าชายมิโนสอยู่ห่างจากตนเพียงลมหายใจรอดผ่าน อีกทั้งบริเวณดังกล่าวยังมิมีแม้แต่เงาของเจ้าเด็กตัวจ้อย คาดว่าท่านอาคงมาตามกลับบ้านกระมัง คบไฟจึงถูกจุดไว้ตรงมุมขวามือ และก่อนที่เจ้าเด็กผู้นั้นจะลาจากไป อาจจะตะโกนปลุกเธเซียสให้ตื่นจากภวังค์ไปหลายยก เพียงแต่เธเซียสคงจะหลับลึกจนเกินไป เนื่องจากช่วงนี้เขามัวแต่กลัดกลุ้มจนหลับใหลมิเต็มอิ่ม
เพลานี้จึงมานอนเกลือกกลิ้งแย่งความอบอุ่นกับเจ้าสัตว์โบราณ

“กลับเถิด นอนอยู่ที่นี่คงมิสบายตัวนัก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางนำเศษหญ้าออกจากเรือนผมของเธเซียส พร้อมแย้มโอษฐ์เบาบางราวกับเอ็นดูบุรุษตรงหน้าที่กำลังตกอยู่ในสภาพมิต่างกับเด็กชายตัวจ้อยที่เพิ่งเดินสวนกับพระองค์เมื่อครู่
“ทรงงานเสร็จแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสทูลถามพลางลูบหน้าลูบตาเพื่อให้คลายง่วง

“อืม” สุรเสียงทุ้มนุ่มในลำพระศอดังขึ้นพร้อมกับพระขนองอันกว้างใหญ่กำลังปรากฏอยู่ในระดับสายตา เนื่องจากเจ้าชายมิโนสกำลังย่อองค์ราวกับประสงค์จะพาเธเซียสกลับที่พักด้วยวิธีที่มิค่อยจะเหมาะนัก
“ขึ้นมาเถิดเราอยากใช้เวลาอยู่กับเจ้า” บุรุษหน้าหวานตรัสพลางแย้มโอษฐ์ แต่ทว่าดวงเนตรของพระองค์กลับจับจ้องเสียจนเธเซียสมิอาจปฏิเสธ

“ถ้ำแห่งนี้..” เธเซียสเอ่ยถามพลางหันมองรอบกายอย่างตื่นตะลึง เมื่อค้นพบว่ากรงขังของเจ้าโฟรัสราซิแดเชื่อมกับที่อยู่อาศัยของทหารครีตันแต่ละครอบครัว ซึ่งลักษณะของเส้นทางลับภายในภูเขาหินกลับมีลักษณะคล้ายกับเมืองใต้ดินในเขตอาร์คันส์
“คล้ายกับเมืองใต้ดิน เพราะเรานำเอาแนวคิดจากเสด็จพ่อมาปรับใช้” เจ้าชายมิโนสอธิบายพลางเหยียบย่ำลงบนพื้นหินอย่างเชื่องช้า ส่งผลให้จังหวะการก้าวเดินสะท้อนไปยังทั่วบริเวณ แต่กระนั้นก็ถูกกลบด้วยเสียงพูดคุยของทหารครีตัน

“ดังนั้นยามที่เราเหนื่อยล้าจากการว่าราชการ เราจึงใช้เส้นทางนี้เพื่อไปเฝ้าดูเจ้าที่กำลังทำตัวราวกับผู้เยาว์” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิคิดปิดบัง จึงไขความกระจ่างให้กับเธเซียสว่าเหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงมิเคยถามไถ่ถึงสาเหตุแห่งการบาดเจ็บ ซึ่งมันก็ทำให้เธเซียสคิดเลยเถิดไปว่าอีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนไป แม้ว่าทุกเช้าในยามตื่นนอนมักจะเห็นว่าบาดแผลคอยได้รับการดูแลเอาใจใส่
“กระหม่อมหลงคิดว่าพระองค์มิใส่ใจกันเสียแล้ว” เธเซียสกล่าวพลางแย้มยิ้มตรงมุมปาก

“เรามิเคยมิใส่ใจเจ้า” สุรเสียงหนักแน่นสะท้อนก้องมายังหัวใจ ส่งผลให้มันสั่นไหวอย่างแรงกล้า เธเซียสจึงแนบใบหน้าลงกับพระอังสาผึ่งผาย แววตาของเขาจึงมองสบกับเงาร่างที่ส่องสะท้อนอยู่บนกำแพงหิน
ความร้อนเห่อบนใบหน้าจึงเริ่มมาเยือน
ทว่าความเงียบสงัดกลับมิทำให้คนทั้งคู่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

กระทั่งเจ้าชายมิโนสนำพาเธเซียสเข้ามายังห้องประชุมราชการลับที่มิเคยได้มีโอกาสเหยียบย่างเข้าไป ความเก้อเขินที่เกิดขึ้นจึงถูกสกัดกั้นจนหมดสิ้น เนื่องจากความใคร่รู้กำลังสั่งการให้ดวงตาของเธเซียสเพ่งเล็งไปยังโต๊ะหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางห้อง ซึ่งเธเซียสก็ฉลาดพอที่จะเฝ้ารออย่างใจเย็น ความสงสัยจึงเริ่มกระจ่าง เมื่อบนโต๊ะดังกล่าวคือแผนที่จำลองภูมิทัศน์ของจักรวรรดิครีตัน
คาดว่าการประชุมราชการลับสุดเคร่งเครียด อาจจะเกี่ยวกับ ‘สงคราม’
เพียงแต่เป็นการทำสงครามแบบตั้งรับ

ความสงสัยและความห่วงใยเกาะกุมจิตใจของเธเซียสขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากเขากำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในวันหน้า และมิเข้าใจความคิดของบุรุษผู้สูงศักดิ์สักเท่าใด
แต่กระนั้นความคิดทุกอย่างกลับหลุดลอย
เมื่อสุรเสียงทุ้มนุ่มกำลังเปล่งวาจา

“เราค้นพบแล้วว่า..”
“…”

“เราชอบที่เจ้าเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางเสด็จลงจากบันไดทีละขั้นอย่างระมัดระวัง เมื่อพระองค์กำลังโอบอุ้มยอดดวงใจเอาไว้
“ชอบที่เจ้าเป็นคนมุทะลุ”

“…” สิ้นวาจาราวกับบอกรัก วงแขนของเธเซียสกลับโอบรอบลำพระศอให้แน่นขึ้น ขณะที่ข้างแก้มกลับแนบเข้าหาดวงพักตร์ของอีกฝ่ายเพื่อต้องการปกปิดความเก้อเขิน และปลดปล่อยความรู้สึกหนักอกให้ปลิดปลิวไปตามสายลม
“ชอบที่เจ้าเป็นคนช่างสังเกตและช่างเจรจา” สุรเสียงทุ้มนุ่มยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับฝ่าพระบาทที่กำลังเหยียบย่างลงบนเสาหินซึ่งเชื่อมกับตัวบ้านที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางลำน้ำ ส่งผลให้เงาสะท้อนภายใต้ผิวน้ำปรากฏอย่างเด่นชัด เนื่องจากแสงจากคบไฟสาดส่องมายังบริเวณดังกล่าว เจ้าชายมิโนสจึงรับรู้ได้ว่า..
บุรุษในดวงใจของพระองค์กำลังเก้อเขินมากเพียงใด

“ชอบที่เจ้ามีจิตใจแข็งแกร่ง แต่กลับแฝงความอ่อนโยนและอ่อนไหว จนทำให้เรารู้สึกอยากปกป้องมากกว่าจะทำลาย”
“...” สิ้นคำกล่าวจากบุรุษผู้สูงศักดิ์ ริมฝีปากของเธเซียสกลับวาดเป็นรอยยิ้มอย่างน่ามอง ส่งผลให้บุรุษที่แอบปรายดวงเนตรมองผิวน้ำมิอาจกลั้นยิ้มได้อีกต่อไป

“ทุกเพลาที่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง เรารู้สึกเหมือนกับว่า เราได้วัยเยาว์ของตัวเองคืนกลับมา” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางมอบอิสระให้แก่เธเซียสเมื่อก้าวเดินมาจนถึงตัวบ้าน แต่กระนั้นฝ่าพระหัตถ์กลับกอบกุมข้อมือทั้งสองของบุรุษในดวงใจ
พลางเอ่ยวาจาอันลึกซึ้งที่แฝงความนัยว่า..
พระองค์กำลังมีความสุข

“เราได้ยินเสียงอัส” บุรุษผู้สูงศักดิ์ปล่อยมือจากเธเซียสพลางก้าวเดินไปยังริมระเบียง จากนั้นพระองค์ก็ตัดขาดจากทุกสรรพสิ่ง คล้ายกับความคิดกำลังจมจ่อมอยู่กับการหาทางออก
หรือบางทีพระองค์อาจจะกำลังสื่อสารกับอัสผ่านทางกระแสเสียงที่มิอาจได้ยิน

ทว่าไม่นานจากนั้นเสียงสาดกระเซ็นของลำน้ำก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้าชายมิโนสกระโจนเข้าหาความเย็นฉ่ำ เธเซียสจึงก้าวเดินไปยังบริเวณดังกล่าว ซึ่งมันก็พอดีกับช่วงเวลาที่ร่างของเจ้าชายมิโนสกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นมหาบุรุษแห่งครีตัน เพียงแต่มันมิได้น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเธเซียส เหตุเพราะเขากำลังมองเห็นบุรุษในดวงใจดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน
หยดน้ำตาของเธเซียสจึงร่วงหล่นลงสู่หลังมือที่กำลังเกาะราวระเบียงอย่างแนบแน่น

“พระองค์” ริมฝีปากของเธเซียสขยับไหวคล้ายกับไม่เป็นคำ ขณะที่สมองกลับมิรู้จะสรรหาคำพูดใด เพื่อปัดเป่าความปวดร้าวให้กับบุรุษตรงหน้าที่เส้นเลือดกำลังปูดโปน พร้อมกับร่างกายที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ อีกทั้งใบหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมิโนทอร์จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นเรือนร่างอัปลักษณ์ก็เหยีบย่างเข้ามาหาเธเซียส พร้อมก้มลงจุมพิตฝ่ามือของบุรุษในดวงใจ ราวกับต้องการปลอบประโลมมิให้ร่ำไห้ และเข้าใจความรู้สึกของเธเซียสเป็นอย่างดี
เพราะเหตุการณ์เมื่อสักครู่ก็มิต่างกับช่วงเวลาที่พระองค์รู้สึกเสียพระทัยที่มิอาจปกป้องยอดดวงใจจากการถูกลอบสังหาร

“รักษาตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสยกหลังมือขึ้นเช็ดใบหน้าพลางแย้มยิ้มให้กับมหาบุรุษแห่งครีตัน พร้อมกอบกุมฝ่ามืออันใหญ่ยักษ์ที่มิได้เนียนนุ่ม จากนั้นเจ้าชายมิโนสในคราบของมิโนทอร์ก็ดำดิ่งลงสู่กระแสธารอันเงียบสงบ
ขณะที่เธเซียสกลับทรุดกายพิงราวระเบียงด้วยความกังวลใจ และหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับข้าศึกที่แฝงกายเข้ามายังอาณาเขตของจักรวรรดิครีตัน
เนื่องจากเขายังจดจำภาพแห่งช่วงเวลาของการคืนกลับสู่สถานะเดิมได้เป็นอย่างดี

“กรรรรรรรรรรรร!”

ทว่าสุ้มเสียงทรงอำนาจของมหาบุรุษแห่งครีตันกลับดังก้องอยู่มิไกลจากฐานทัพลับแห่งนี้ เธเซียสจึงหยัดยืนขึ้นพลางเงี่ยหูฟังอย่างยากลำบาก กระทั่งได้ยินสุ้มเสียงข่มขู่ดังลอยลมมาอีกระลอก บุรุษจากต่างแดนจึงมิรอช้ารีบคว้าคบไฟในตัวบ้าน แล้วมุ่งตรงไปยังหอสังเกตการณ์ด้วยความรีบร้อนจึงก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้น หรือถ้าหากมิทันใจเธเซียสก็แทบจะก้าวทีเดียวถึงสามขั้น และมันก็ทำให้เขาเกือบจะพลัดตก แต่ยังดีที่เกาะขอบบันไดเอาไว้ได้ ทว่าคบไฟกลับหล่นลงสู่ผืนน้ำจนมอดดับ
เธเซียสจึงตะเกียกตะกายขึ้นสู่บันไดอันลาดชันอย่างยากลำบาก แต่ก็มิได้ย่อท้อเนื่องจากเขาอยากจะขึ้นไปสังเกตการณ์บนยอดเขา ว่ามันเป็นอย่างที่คิดจริงหรือไม่ ยิ่งเสียงขู่คำรามของมิโนทอร์ดังถี่ในระยะใกล้มากเท่าใด ความพยายามของเธเซียสก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เหตุเพราะเขากำลังหวั่นเกรงว่า..
คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอาจจะเป็นกลุ่มคนจากไมซีเนียน

φ

อิอิ เพิ่งเห็นคอมเมนต์ด้านบน เราจะพยายามงัดตัวเองออกมาจากวังวนของซีรีย์ให้ได้ค่า ฮือออ
จะพยายามอย่างสุดความสามารถ T[]T

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
นักเขียนหาข้อมูลในการเขียนเยอะมาก เนื้อเรื่องก็สนุก เป็นกำลัใจให้นะคะ ตามมาจากเรื่องในป่าสนเลยละ สุดยอด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด