ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ ของขวัญวันปีใหม่ p.47 (29/12/56)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ ของขวัญวันปีใหม่ p.47 (29/12/56)  (อ่าน 463016 ครั้ง)

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
ป้ามาแว้ววว
คิดถึงนิยายป้าจัง

ว่าแต่เค้ามีแผนจะเซอไพร์สไรกันน้า
อยากรู้จัง

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
มากันเป็นแพ็คคู่ให้หายคิดถึง แล้วอ๊อฟจะเซอไพร์สอะไรน้องนะกันน้า ลุ้นๆๆ

แต่บีบีไม่ต้องเซอไพร์สโดยปล่อยให้คนอ่านรอนานๆ นะจ้ะ รออ่านอยู่จ้า  :man1:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตอนที่ 18: จุดเริ่มต้นของเซอร์ไพรส์


ที่มาที่ไปมันเริ่มมาจากช่วงเวลาบ่ายๆของวันเสาร์ที่ผ่านมา...


ตอนนั้นผมกับนะกลับมาจากไปเยี่ยมบ้านได้เกือบเดือนแล้ว และอากาศที่เคยอวลด้วยไอเย็นของฤดูหนาวก็เริ่มถูกลมร้อนเข้ามาแทนที่จนต้องเปิดแอร์ในห้องตั้งแต่บ่าย ด้วยความที่ภาคอินเตอร์ของนะเปิดเทอมช้ากว่าผมแถมเป็นการเปิดเทอมสองซึ่งต้องเริ่มเรียนวิชาใหม่หมดทำให้เจ้าตัวต้องทำความเข้าใจกับเนื้อหามากเป็นพิเศษ ต่างกับผมที่แค่เปิดเทอมมาก็เจอวิชาเดียวกับเมื่อตอนก่อนสอบมิดเทอมเลยคุ้นกับวิชาที่เรียนอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้รู้สึกว่ายิ่งเรียนก็ยิ่งจำเนื้อหาได้มากขึ้นเลยก็ตาม

วันนั้นผมนอนอ่านหนังสือเล่นอยู่บนเตียงขณะที่คนตัวเล็กนั่งพิมพ์อะไรสักอย่างในโน้ตบุ๊คอยู่ที่โต๊ะ ระหว่างที่สายตาผมเริ่มเห็นตัวหนังสือซ้อนกันและเคลิ้มๆจะหลับเพราะอากาศเย็นได้ที่ก็ได้ยินเสียงเรียกตัวเองดังมาจากหน้าประตูห้อง

“พี่อ๊อฟ นะจะเอาการ์ตูนไปคืนที่ร้านหน้าปากซอยนะ จะฝากซื้ออะไรรึเปล่า?”

ไม่รู้ว่าคนพูดปิดโน้ตบุ๊คแล้วเปลี่ยนกางเกงตั้งแต่ตอนไหน แต่พอผมหยิบหนังสือที่ปิดหน้าอยู่ออกแล้วหันไปตามเสียงก็เห็นว่าเจ้าตัวใส่รองเท้าแตะเตรียมจะออกจากห้องแล้ว ผมเลยกลั้นหาวแล้วส่ายหน้าตอบเพราะตอนนั้นเริ่มอยู่ในอาการอยากนอนกลางวันมากกว่า

“นึกไม่ออกแฮะ นะอยากซื้ออะไรก็ซื้อมาแล้วกัน”

คนตัวเล็กพยักหน้ารับแล้วก็เปิดประตูออกไป ผมเลยวางหนังสือที่อ่านค้างไว้บนหัวเตียงแล้วพลิกตัวเพื่อจะนอนต่อ แต่ทั้งๆที่ตอนอ่านหนังสือเมื่อกี้หนังตาจะปิดมิปิดแหล่อยู่แล้ว พอตั้งใจจะนอนจริงๆกลับนอนไม่หลับซะอย่างนั้น

ผมนอนพลิกไปพลิกมา พยายามแล้วพยายามอีกที่จะข่มตาให้หลับแต่ก็ไม่หลับ ด้วยความเซ็งเพราะไม่รู้ว่าร่างกายจะเอายังไงแน่ผมเลยตัดสินใจลุกไปล้างหน้าให้รู้แล้วรู้รอดก่อนจะออกมานั่งรื้อชั้นหนังสือตรงมุมห้องเพื่อหาการ์ตูนอ่าน ระหว่างที่หยิบแสลมดั๊งค์ซึ่งเคยเป็นการ์ตูนโปรดสมัยมัธยมออกมา สายตาก็สะดุดเข้ากับอัลบัมรูปคุ้นตาที่วางแทรกอยู่กับหนังสือเล่มอื่นบนชั้น แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่านั่นคืออัลบัมสุดหวงที่นะเคยเอาออกมาให้ดูเมื่อนานมาแล้ว

สันอัลบัมที่ทำจากกระดาษอาร์ตอาบมันสีสดแบบที่ร้านล้างรูปชอบใช้เริ่มแตกลายเป็นริ้วตามรอยพับ แสดงให้เห็นว่าอัลบัมนี้คงผ่านการเปิดดูจากเจ้าของมานับครั้งไม่ถ้วนเพราะผมไม่คิดว่านะจะเอาไปอวดให้ใครดู แล้วอะไรบางอย่างก็ดลใจผมให้วางหนังสือการ์ตูนที่เพิ่งเลือกมากลับเข้าที่เดิมก่อนจะหยิบอัลบัมรูปนั้นออกมาพลิกดูแทน

อัลบัมที่นะเก็บไว้อัดแน่นไปด้วยรูปไซส์จัมโบ้ประมาณสี่สิบรูป แต่ละรูปมีแต่ผมตอนที่ยังไว้ผมทรงทุยๆเกรียนๆที่พอได้เห็นแล้วก็ต้องขำตัวเอง ขณะที่เพื่อนคนอื่นในระดับม.ปลายด้วยกันมีแต่จะอยากไว้ผมยาวเพื่อแต่งหล่อหลังจากได้รับอนุญาตให้ไว้รองทรงสูงได้ ผมกลับผ่าเหล่าด้วยการไถทั้งหัวให้ยาวเท่ากันจนโดนแซวบ่อยๆว่าเหมือนเณรเพิ่งสึกถ้าไม่ติดว่าคิ้วค่อนข้างจะดกอยู่ แต่สงสัยจะเพราะติดใจความสบายหัวในตอนนั้น แถมไม่ต้องห่วงว่าจะโดนอาจารย์ฝ่ายปกครองเพ่งเล็งทำให้ผมติดใจไว้ผมสั้นมาตลอดจนถึงตอนนี้ (ถึงจะไม่เกรียนจ๋าอย่างตอนนั้นแล้วก็เถอะ)

ผมยิ่งพลิกเปิดรูปดูไปก็ยิ่งประหลาดใจที่เห็นว่าตัวเองโดนถ่ายรูปไว้เยอะขนาดนี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรผมไม่ใช่คนชอบตามเก็บรูปตัวเองนักทั้งที่โดนถ่ายขึ้นบอร์ดโรงเรียนอยู่บ่อยๆโดยเฉพาะเวลามีแข่งกีฬาจนแม่ต้องขอให้มุ้ยช่วยเก็บให้
ขณะที่พลิกเปิดดูรูปไปเรื่อยๆจนเกือบหมดเล่มสายตาผมก็สะดุดเข้ากับรูปหมู่รูปหนึ่งที่มีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในรูปด้วย และรูปนั้นก็ดึงความสนใจจนผมเผลอจ้องอยู่นาน

ผมจำได้ว่ารูปนั้นเป็นรูปหมู่ที่ถ่ายหลังจากทีมบาสของสีผมแข่งชนะได้ถ้วยประจำปีของโรงเรียน อาจารย์ที่ดูแลสีก็เลยให้กองเชียร์กับนักกีฬามาถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก ในรูปหมู่ที่อัดแน่นไปด้วยสมาชิกร่วมสีนั้นมีเด็กผู้ชายตัวเล็กหน้าหวานที่ตอนนี้กลายเป็นคนร่วมห้องผมติดอยู่ด้วย แต่ตอนนั้นผมยืนถือถ้วยอยู่กลางรูปกับเพื่อนร่วมทีม ขณะที่พ่อหนูคนนั้นยืนติดไปทางริมๆจนเกือบจะตกขอบรูปอยู่แล้วด้วยซ้ำ

หากใครได้มาเห็นรูปนี้เทียบกับนะตัวจริงก็ต้องคิดเหมือนผมว่าคนในรูปเปลี่ยนไปจากตอนนั้นค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเรื่องทรงผมหรือรูปร่างที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเค้าหน้าที่มีนัยน์ตากลมโต จมูกโด่งเล็กและริมฝีปากอิ่มก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ใบหน้ายิ้มแย้มในชุดเสื้อสีกับกางเกงวอร์มของคนในรูปที่ทำท่าชูสองนิ้วให้กล้องทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้

ตั้งแต่เริ่มคบกันและย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันเป็นต้นมา หลายครั้งที่ผมมองหน้าคนที่นอนกอดทุกวันแล้วก็ให้นึกสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ใส่ใจจดจำนะตอนสมัยม.ปลายนัก ทั้งที่ตอนเจอกันอีกครั้งผมกลับสะดุดตาเจ้าตัวตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ข้างห้องวันแรก และถึงแม้ตอนนี้เราจะเป็นแฟนกันแล้ว แต่ถ้าหากเทียบช่วงเวลาที่ผมเริ่มรู้สึกว่าพ่อหนูน้อยเป็นคนพิเศษกับช่วงเวลาที่นะมองผมข้างเดียวมาตลอดแล้ว ช่วงเวลาที่ผมไม่ได้รับรู้ความรู้สึกที่นะมีให้คงช่างยาวนานในความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

จริงอยู่ว่าบางครั้งเราคุยกันถึงเรื่องสมัยที่ยังเรียนม.ปลายบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นพ่อหนูน้อยก็ไม่เคยท้วงติงเรื่องที่ผมจำเจ้าตัวไม่ได้ตอนที่ได้กลับมาเจอกันใหม่ แถมพอนะเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนผมเคยทำอะไรให้บ้างก็ต้องตกใจที่เจ้าตัวจำเรื่องต่างๆได้มากขนาดนี้ ทั้งที่สำหรับผมแล้วถ้าไม่ได้ยินจากที่นะเล่าให้ฟังก็แทบจะจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้เลยเพราะไม่เคยเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร และนั่นก็ทำให้ผมสำนึกขึ้นได้ว่าตัวตนของตัวเองในตอนนั้นฝังแน่นในความทรงจำของนะแค่ไหน


“...อย่างนี้พี่ก็ทำนะผิดหวังแย่เลยสิ พอมาเจอกันอีกทีรุ่นพี่แสนดีคนนั้นดันจำนะไม่ได้เลยแบบนี้”


ผมเคยเอ่ยทักหลังจากคนตัวเล็กเล่าเรื่องตอนที่ตัวเองปีนขึ้นต้นไม้ไปเก็บรองเท้าที่ถูกเพื่อนแกล้งโยนขึ้นไปแล้วผมเข้าไปช่วยตอนเจ้าตัวปีนลงมา แต่พอผมพูดจบนะเพียงแค่เอียงคอทำท่าคิดก่อนจะเอ่ยตอบด้วยประโยคที่ทำให้ผมแย้งไม่ออก


“ก็...นะก็เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ถ้าเกิดว่าพี่อ๊อฟเห็นแล้วจำได้เลยตั้งแต่ต้น พี่อ๊อฟก็คงมองว่านะเป็นแค่รุ่นน้องสมัยม.ปลายธรรมดาๆคนนึงแล้วก็คงไม่สนใจกันอีกเลยใช่มั้ยล่ะ?”


หลายครั้งที่ผมโดนพ่อหนูน้อยทำให้อึ้ง เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะขี้งอนและขี้อ้อนแบบเด็กๆ แต่ในบางเรื่องนะก็มีมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่ชนิดที่น่าจะทำให้คนอายุมากกว่าหลายคนโต้ตอบไม่ถูกได้เหมือนกัน

การที่อีกฝ่ายมองการเจอกันอีกครั้งของเราในแง่บวกแถมไม่ติดใจถือโทษทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองควรจะรับผิดชอบความรู้สึกของนะตอนที่ผมยังจำเจ้าตัวไม่ได้บ้าง ขณะเดียวกันก็เกิดแรงกระตุ้นที่อยากจะสร้างความทรงจำใหม่ๆให้คนตัวเล็กเกี่ยวกับผมในตอนนี้เพื่อลบล้างภาพของตัวเองในสมัยนั้นไปด้วย ใครจะว่าการที่ผมหึงตัวเองในอดีตมันพิลึกหรือคิดมากเกินเหตุก็ตามทีเถอะ แต่ผมรู้สึกว่าผมตอนที่ยังไม่ได้ชอบนะกับผมในตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่นา

พอคิดได้แบบนั้นผมก็รู้สึกว่าอยากทำอะไรสักอย่างให้กับนะขึ้นมา แต่ในเมื่อจะทำอะไรให้ทั้งทีมันก็ควรมีโอกาสที่เหมาะสมมารองรับหน่อยไม่งั้นมันคงดูเลื่อนๆลอยๆพิกล และถึงแม้จะยังไม่ถึงวาเลนไทน์ก็จริง แต่ในความคิดผมที่ไม่ค่อยชอบตามกระแสกลับมองว่าวันวาเลนไทน์เป็นเทศกาลที่ออกจะเกร่อๆไป ถึงแม้จะเป็นวันที่ถูกกำหนดให้เป็นวันพิเศษสำหรับคู่รักก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่วันที่เป็นวันพิเศษสำหรับพวกผมแค่สองคนจริงๆอยู่ดี

ผมปิดอัลบัมแล้วเก็บเข้าที่เดิมก่อนจะพยายามคิดว่าพอจะมีวิธีไหนที่จะทำอะไรพิเศษให้กับนะได้โดยไม่ต้องอิงเทศกาลเหมือนคนอื่น คิดไปคิดมาเลยหยิบปฏิทินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาพลิกดู แล้วผมก็ต้องยิ้มออกเมื่อเห็นว่ายังพอมีวันที่ผมสามารถทำให้เป็นวันสำคัญสำหรับแค่ผมกับนะเท่านั้นได้อยู่เหมือนกัน

ไอเดียต่างๆที่แล่นเข้ามาในหัวหลังจากปิ๊งความคิดนี้ได้ทำให้ผมเริ่มอยากทำโน่นทำนี่เต็มไปหมด ยิ่งพอนึกว่าถ้าทำให้เป็นเซอร์ไพรส์กับนะได้เจ้าตัวจะทำหน้ายังไงก็ยิ่งยิ้มอย่างหยุดไม่อยู่ บ่ายคล้อยของวันนั้นผมเลยได้เห็นสีหน้างงๆของคนตัวเล็กประเดิมไปก่อนเพราะพอเจ้าตัวเข้าห้องมาปุ๊บก็โดนผมดึงตัวมากอดแล้วหอมแก้มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทั้งที่ยังถือถุงขนมเต็มมือ



++------++



“...ก็ประมาณนี้แหละ ทีนี้เรื่องว่าจะปรับแผนให้เข้ากับทริปนี้ยังไงขอไปคิดก่อน แต่เรื่องของขวัญนี่ยังไงก็คงต้องให้มึงช่วยว่ะ พอดีกูไม่เคยใช้ของแบบนี้ จะให้ไปซื้อเองคนเดียวก็กลัวเดี๋ยวเลือกไม่ถูก”

ผมยกขวดน้ำขึ้นดื่มหลังจากอธิบายเสียยืดยาว พอดีตอนเข้าเรียนช่วงบ่ายผมยังไม่ทันได้ขยายความเรื่องเซอร์ไพรส์ที่อยากจะทำให้นะอาจารย์ก็เข้าห้องมาซะก่อน เลยต้องรอจนหมดคาบแล้วถึงค่อยออกมาเล่าให้เป้กับวิวฟังที่โต๊ะม้าหินข้างสนามบอลที่นั่งกันประจำว่าอยากได้คำแนะนำในเรื่องอะไรและเพราะอะไร

เป้นั่งกอดอกพิงพนักแล้วก็พยักหน้ารับรู้เรื่องที่ผมขอให้ช่วย ส่วนวิวเอาแต่ยิ้มหลังฟังเรื่องที่ผมเพิ่งเล่าจบไปจนผมชักจะเริ่มเขินๆขึ้นมาเหมือนกัน

“อืม เข้าใจล่ะ...มึงก็เลยอยากให้กูกับวิวโดดเรียนไปช่วยเลือกเป็นเพื่อน?”

“กูไม่ได้ขอให้โดดเรียนโว้ย! พักตั้งสองคาบนี่มันนานพอจะดูหนังได้เรื่องนึงเลยนะเว่ย ก็แค่ไปช่วยกันเลือกไอ้นี่ เสร็จแล้วก็กลับมาเรียน สามชั่วโมงนี่เวลาออกจะถมถืดไป”

เป้ขมวดคิ้วหลังโดนผมเถียง “กูพูดถึงเวลาไปกลับด้วยต่างหาก ของแบบนี้จะมารีบๆเลือกส่งๆได้ไงวะ อีกอย่างทำไมไม่นัดกันตอนเย็นจะได้มีเวลาไปเลือกนานๆหน่อย ไประหว่างวันแบบนี้มันก็ต้องรีบน่ะสิ”

“ก็ตอนเย็นมันหาข้ออ้างปลีกตัวลำบากนี่หว่า แล้วขืนพานะไปด้วยก็ไม่ใช่เซอร์ไพรส์กันพอดี”

ผมโต้กลับ เพราะการเบี้ยวมื้อกลางวันกับนะโดยอ้างเหตุผลว่าต้องคุยรายงานกับเพื่อนยังพอฟังขึ้น แต่ถ้าเบี้ยวมื้อเย็นนี่พ่อหนูน้อยของผมได้สงสัยแน่ๆว่าผมจะแอบไปไหนแล้วทำไมถึงให้รู้ไม่ได้ สุดท้ายคนตรงข้ามผมเลยต้องถอนหายใจก่อนจะยกมือเหมือนยอมแพ้

“โอเคๆ ตกลงกลางวันพรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้ ว่าแต่ของแบบนี้ถ้าเกิดซื้อให้โดยไม่พาเจ้าตัวไปเลือกเองก็เสี่ยงเหมือนกันนะ เกิดซื้อมาแล้วไม่ชอบเดี๋ยวจะกลายเป็นของตั้งโชว์ซะเปล่าๆ หรือวิวว่าไง?”

“หือ...แต่ปกติน้องนะก็ใช้ของพวกนี้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ งั้นเราว่าถ้าเป็นของที่อ๊อฟตั้งใจเลือกให้คงไม่เป็นไรหรอก”

วิวที่นั่งเงียบมานานหันมาคุยกับผมแล้วทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าเป้กำลังพูดเรื่องอะไร ไอ้หน้าหล่อเลยขมวดคิ้วเหมือนเด็กเวลาโดนพี่เลี้ยงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ไม่บ่อยหรอกที่ผมจะเห็นเพื่อนตัวเองทำหน้าตาแบบนี้ สงสัยจะมีวิวคนเดียวล่ะมั้งที่แกล้งเป้แบบนี้ได้

“วิวครับ นั่นเป้ลงทุนขอร้องปูมให้ไปจองให้ตั้งแต่วันที่มันยังไม่ออกวางขายที่อังกฤษเลยนะ”

“รู้แล้วน่า แต่ว่าคนเค้าไม่ชอบใช้จะมาบังคับกันได้ไงเล่า”

ผมมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังเถียงกันอยู่สลับกันไปมา ดูท่าไอ้ของที่ผมตั้งใจจะซื้อให้นะนี่คงไม่ใช่ออริจินอลไอเดียเท่าไหร่ แต่ก็อดขำไม่ได้ที่ได้รู้ว่าของนั้นเป็นหนึ่งในของขวัญที่เป้ให้แล้วดันไม่ถูกใจวิว แต่สีหน้าผมคงแสดงออกมากไปเลยโดนไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้าเตะขาเข้าให้ แต่เรื่องอะไรผมจะยอมโดนเตะอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ เพื่อนกันก็ต้องเท่าเทียมกันสิ

เสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นสั้นๆจากในกระเป๋าเสื้อก่อนจะเงียบไปทำให้ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วก็เห็นว่าได้เวลาที่นัดไว้กับพ่อหนูน้อยแล้วเลยหยิบกระเป๋าขึ้นมาพาดไหล่ก่อนจะลุกจากที่นั่ง

“นะยิงมาเรียกแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อแล้วกัน ไปก่อนนะ”

ผมบอกลาเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะเดินไปที่จุดนัดพบประจำของผมกับนะ ปกติตอนเลิกเรียนเราใช้วิธีให้สัญญาณกันโดยการยิงหากันหนึ่งครั้ง เป็นการบอกว่าให้เจอกันที่หน้าศูนย์หนังสือซึ่งอยู่ติดกับประตูทางออกฝั่งที่ไปขึ้นเรือข้ามฟากได้ แต่ถ้าเกิดวันไหนจะนัดเจอกันที่อื่นถึงค่อยใช้วิธีโทรบอกหรือเมสเสจหากันแทนเป็นครั้งๆไป

พอผมเลี้ยวผ่านทางเดินใต้ตึกเอนกฯเพื่อเดินต่อไปที่ศูนย์หนังสือก็เห็นว่านะกำลังยืนคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้อยู่แถวใกล้ประตูทางออก ซึ่งก็ไม่แปลกอยู่แล้วเพราะว่าตึกคณะที่พ่อหนูน้อยเรียนอยู่มันอยู่ตรงข้ามกับศูนย์หนังสือพอดี ท่าทางปลายสายจะเป็นเพื่อนสนิทนะเลยคุยไปหัวเราะไปและไม่ทันได้สังเกตเห็นผม แต่พอเดินเข้าไปใกล้เข้าผมก็ต้องขมวดคิ้วเพราะดันเห็นมลพิษทางสายตาและเป็นคนที่ผมไม่ชอบขี้หน้าอย่างที่สุดยืนอยู่ข้างๆคนตัวเล็กด้วย

จังหวะเดียวกับที่ผมสังเกตเห็นเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเป็นจังหวะเดียวกับที่มันเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมเหมือนกัน แล้วคิ้วเหนือตาตี่ๆนั่นก็ขมวดเข้าหากันพร้อมกับการชักสีหน้าแบบไม่เป็นมิตรทันที แต่สีหน้าผมตอนนี้ก็คงดูแล้วไม่ต่างจากมันเท่าไหร่หรอก

ปกติผมไม่ใช่คนเข้ากับคนยากหรือชอบตั้งแง่อคติกับใคร แต่ทุกกรณีย่อมมีข้อยกเว้น และไอ้เชนนี่ก็ดูจะเป็นข้อยกเว้นขั้นถาวรเสียด้วยสิ


"ว่าไง..."



++------++


ขออภัยที่อาจจะแอบสั้นไปนิด (เอ...หรือไม่แอบ) แว้บมาลงตอนดึกๆเพราะเพิ่งพิมพ์เสร็จ ยังไงขอไปนอนก่อนละจ้า :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2009 09:58:15 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
นายอ๊อฟจะซื้อน้ำหอมให้อ่ะดิ เดาถูกป่าว

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
น้องนะสนใจพี่ออฟมาตั้งแต่มัธยมเลยเหรอ  น่ารักจริงๆ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
มาไม่สั้นเลยจ้ะ บีบี แต่มันก็ยังไม่ถึงตอนเซอร์ไพร์สซ้าที

แถมพี่ออฟจะมีวางมวยกะเชนซะอีก

ขอบคุณที่มาต่อจ้า รออ่านนะจ้ะ  :L2:

vin2526

  • บุคคลทั่วไป
รอตอนต่อไปอยู่คร้าบ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
^
รอเหมือนกันค่า พอดีเสาร์นี้โดนเพื่อนเกณฑ์ไปใช้แรงงานทาส (ให้ไปช่วยย้ายของที่หอ เห็นสาวน้อยร่างบอบบางอย่างป้าเป็นตัวอะร้ายยย) ถ้าวันอาทิตย์มีเวลาจะมาต่อให้เน้อ
:z3:

ออฟไลน์ moonlight

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 985
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-0
 :z13: bb ด้วยความคิดถึง :กอด1:

อ๊อฟจะซื้อไรให้นะ หว่า

รอเซอร์ไพร์ของอ๊อฟ นะจ๊ะbb

ว่าแต่ไปญี่ปุ่นมาสนุกป่าวbb

เอาปู้จายมาฝากมั่งป่าว :o8:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
:z13: bb ด้วยความคิดถึง :กอด1:

อ๊อฟจะซื้อไรให้นะ หว่า

รอเซอร์ไพร์ของอ๊อฟ นะจ๊ะbb

ว่าแต่ไปญี่ปุ่นมาสนุกป่าวbb

เอาปู้จายมาฝากมั่งป่าว :o8:

ไปญี่ปุ่นสนุกดีจ้ะสจ. หลั่นล้าสุดๆ ตื่นตาตื่นใจกับสถานที่และความหน้าตาดีของผู้คน อิอิ  :impress2:

เซอร์ไพรส์ของนะใกล้คลอดแล้วละ รอกันอีกนิด ว่าแต่ไปอ่านตอนต่อไปกันเลยแล้วกันนะ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตอนที่ 19: ความสำคัญของคนสำคัญ

ผมเอ่ยทักก่อนจะสาวเท้าเข้าไปยืนข้างคนตัวเล็กที่ยังคุยโทรศัพท์อยู่ แล้วก็ไม่แปลกใจที่ได้ความเงียบเป็นเสียงตอบรับจากไอ้คนที่ยืนทำหน้าเหม็นบูดอยู่อีกข้างหนึ่งของแฟนตัวเอง ที่จริงก็ใช่ว่าผมจะเอ่ยทักออกไปก่อนเพราะอยากผูกสมัครรักใคร่อะไรกับมันหรอก และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เจอหน้าไอ้เด็กนี่บ่อยๆแต่เวลาได้เห็นสายตาที่มันมองนะทีไรผมก็อดหงุดหงิดไม่ได้ทุกที

พ่อหนูน้อยหันมายิ้มให้ผมก่อนจะเหลือบไปทางเพื่อนตัวเอง บรรยากาศตึงเครียดระหว่างผมกับมันคงแผ่ออกมาแรงพอดูคนตัวเล็กเลยรีบรวบบทสนทนากับปลายสายทันที

“น้องคุ้กกี้อย่าลืมกินเค้กเผื่อพี่แล้วกันนะ แฮปปี้เบิร์ธเดย์จ้า บ๊ายบาย”

ผมได้ยินเสียงตอบรับที่ดังอู้อี้ลอดลำโพงออกมาแหลมเล็กเหมือนเสียงเด็กผู้หญิงก่อนที่นะจะกดตัดสาย แล้วผมก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนตัวเล็กหันไปยื่นโทรศัพท์ให้ไอ้ตี๋ที่ยืนอยู่อีกด้าน แต่เมื่อมองดีๆก็จำได้ว่านั่นไม่ใช่เครื่องของเจ้าตัวเพราะว่านะใช้โทรศัพท์แบบฝาสไลด์เหมือนของผม แต่เครื่องที่ไอ้เชนรับคืนไปเป็นแบบทัชสกรีน เจ้าของโทรศัพท์แกล้งทำหน้าหงอยจนน่าหมั่นไส้หลังจากรับเครื่องของตัวเองคืนไปแล้ว

“นะไม่ไปจริงๆเหรอ คุ้กกี้ชอบบ่นคิดถึงนะบ่อยมากเลยนะ ขนาดแม่เรายังถามถึงเลย”

“เอ่อ...เราไม่สะดวกวันนี้น่ะ”

คนตัวเล็กตอบเสียงอ้ำๆอึ้งๆ ผมได้แต่คิดในใจว่าวันไหนที่มึงเป็นคนชวนนะก็ไม่สะดวกทั้งนั้นแหละโว้ย  แต่ไม่รู้ไอ้เชนอ่านใจผมได้หรือยังไงมันถึงตวัดสายตามองผมด้วยแววตาไม่พอใจอย่างออกนอกหน้า

“นะไม่สะดวกหรือใครไม่สะดวกกันแน่ เทอมที่แล้วนะยังไปบ้านเราบ่อยๆได้เลยนี่”

พอได้ยินประโยคชวนหาเรื่องผมก็ชักรู้สึกเหมือนหางคิ้วฝั่งที่มีรอยแผลเป็นกระตุกขึ้นมา จะว่าไปผมไม่เคยรู้มาก่อนว่านะสนิทสนมกับที่บ้านไอ้เชนมากขนาดนี้ก่อนที่เราจะคบกัน แต่จะโทษคนตัวเล็กก็คงไม่ได้เพราะตอนนั้นพวกเราสองคนยังเป็นแค่คนข้างห้องที่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่านั้นเอง

ใบหน้าหวานเม้มริมฝีปากก่อนจะเหลือบมาทางผมแว่บหนึ่งเหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมเลยช่วยตอบให้เผื่อไอ้เด็กเวรนี่จะได้เลิกตื๊อเสียที

“เทอมที่แล้วก็ส่วนของเทอมที่แล้วสิ ไม่ได้ยินนะบอกหรือไงว่าวันนี้ไม่สะดวก หรือต้องให้ใครมาช่วยแคะหูให้?”

“พี่อ๊อฟ!”

นะหันขวับมามองผมอย่างตกใจขณะที่ไอ้เชนทำหน้าเหมือนพร้อมจะกระโดดบีบคอผมได้อยู่รอมร่อ จริงอยู่ที่โดยพื้นฐานแล้วผมไม่ใช่คนมีนิสัยอันธพาลหรือชอบการทะเลาะวิวาท แต่ถ้าหากเป็นกรณีที่มีคนอื่นมาหาเรื่องก่อนผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน คนนี่ไม่ใช่พระอิฐพระปูนจะได้ปล่อยให้โดนท้าทายอยู่ฝ่ายเดียว

มือเล็กยื่นมาจับแขนผมไว้พร้อมกับที่นัยน์ตากลมโตมองมาเหมือนจะขอให้ใจเย็นๆ ผมเห็นสีหน้าลำบากใจของคนข้างตัวแล้วก็เลยถอนหายใจก่อนจะหยิบหนังสือเรียนเล่มใหญ่ในมือของนะมาถือไว้เอง

“นะจะเอาไงก็ตามใจแล้วกัน พี่จะไปรอเราที่ท่าน้ำ แต่ถ้าจะไม่กลับกับพี่ก็โทรมาบอกกันก่อนพี่จะได้ไม่ต้องรอ”

ผมเอ่ยแล้วก็เดินออกมาโดยไม่หันไปมองทั้งสองคนข้างหลังอีก อาจเพราะผมมั่นใจว่ายังไงนะก็ต้องตามมาแน่ๆผมเลยกล้าพูดแบบนั้น แต่ความจริงลึกๆแล้วผมก็อยากให้นะบอกปัดไอ้เชนด้วยตัวเองให้เด็ดขาดไป ไม่งั้นเราคงมีเรื่องผิดใจกันเพราะไอ้บ้านี่ไม่จบไม่สิ้นเสียที

ไม่ว่าชาติที่แล้วผมจะทำกรรมอะไรกับไอ้เด็กนี่ไว้ก็ตาม แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากทะเลาะกับนะเพราะเรื่องของมันอีก ภาพที่ผมทำให้คนตัวเล็กร้องไห้โดยที่มีมันเป็นต้นเหตุตั้งแต่เมื่อตอนโน้นยังติดตาผมอยู่เลย

ผมเดินออกจากประตูข้างศูนย์หนังสือแล้วก็เลียบไปตามทางเดินข้างลานหน้ามหา’ลัยซึ่งเต็มไปด้วยแผงขายของเพื่อไปรอคนตัวเล็กที่จุดนัดพบ แต่ยังไม่ทันเข้าไปถึงท่าเรือผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อโดนมือข้างหนึ่งยื่นมารั้งแขนไว้เสียก่อน

“อ๊อฟ! เป็นไรของแกเนี่ย ชั้นเรียกตั้งหลายรอบก็ไม่ได้ยิน แล้วทำไมทำหน้าเป็นตูดงั้นอะ?”

ผมหันไปตามเสียงแปดหลอดอันแสนจะคุ้นหูแล้วก็รู้สึกว่าไหล่ลู่ลงทันทีที่ได้เห็นหน้าคนพูด อะไรมันจะจังหวะดีขนาดนี้ก็ไม่รู้ ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะคุยเล่นกับใครเสียด้วยสิ

“แกมาทำอะไรแถวนี้วะมุ้ย?”

คนถูกถามเลิกคิ้ว แล้วผมก็ให้รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าสิ้นดีที่ถามอะไรแบบนั้นออกไป เพราะมหา’ลัยมุ้ยกับมหา’ลัยผมอยู่ใกล้กันแค่ระยะเดินไม่กี่นาที แถมการที่เพื่อนจะเดินมาเลือกซื้อของหรือหาอะไรทานแถวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยโทรเรียกผมออกมาเป็นเพื่อนเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ตาม

“ชั้นมาช่วยเพื่อนขายกระเป๋าตรงแผงข้างๆร้านขายรองเท้าโน่นไง พอดีชั้นเห็นแกเดินดุ่มๆหน้าตายังกับจะไปกินหัวใครชั้นเลยเรียกไว้ แล้วนี่น้องนะอยู่ไหนล่ะ?”

พอโดนทักผมเลยหันกลับไปมองทางที่ตัวเองเพิ่งเดินออกมา เนื่องจากช่วงเวลานี้มีแต่คนเดินเลือกซื้อของและเข้าออกท่าน้ำตลอดเวลา ทั่วทั้งลานจึงละลานตาไปด้วยผู้คนเต็มไปหมด แต่ไม่ว่าจะพยายามเพ่งมองยังไงก็ไม่เห็นร่างเล็กคุ้นตาเดินตามผมออกมาเลย

นี่ผมคิดไปเองหรือไงว่ายังไงนะก็ต้องตามผมมาแน่ๆ...

“...จะไปบ้านเพื่อนเค้ามั้ง”

ผมเอ่ยขึ้นลอยๆด้วยความขุ่นใจ มุ้ยเลยมองหน้าผมสลับกับมองไปทางทิศที่สายตาผมจับอยู่แล้วก็ยกมือขึ้นโบกไปมา

“เฮ่ยๆ อะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าแกกับน้องนะทะเลาะกัน?”

“ไม่ได้ทะเลาะ แต่...ไม่รู้ว่ะ เราจู้จี้กับนะมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ผมจับมือที่โบกอยู่หน้าตัวเองลงก่อนจะนึกขึ้นได้ก็เมื่อวินาทีที่หลุดปากออกไปแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยสักครั้ง

นะจะรำคาญผมที่เจ้ากี้เจ้าการเรื่องไอ้เชนบ้างหรือเปล่า...

จริงอยู่ว่าตั้งแต่คบกันมา ถ้าให้นึกเรื่องที่ผมเอ่ยปากห้ามนะอย่างจริงจังก็มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนตัวเล็กจะไม่อึดอัดที่ผมไปกะเกณฑ์ไม่ให้คบกับเพื่อนตัวเองนี่นา ถึงแม้ผมจะมองสายตาไอ้เชนออกว่ามันไม่ได้มองนะแบบที่มองเพื่อนธรรมดาก็เถอะ

โอ๊ย! ยิ่งคิดแล้วมันยิ่งโมโหโว้ย!!

มุ้ยเอียงคอมองผมที่ยืนนิ่งแล้วก็ยกมือขึ้นตบไหล่ ก่อนจะเริ่มเทศนาสั่งสอนอย่างกับคนที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนก็ไม่ปาน

“ใจเย็นก่อนแก ของอย่างนี้มันต้องค่อยๆถามเจ้าตัวเองดิวะ น้องนะเค้าเคยพูดหรือแสดงท่าทีอึดอัดใจให้แกเห็นรึไง คิดมากไม่เข้าเรื่องเป็นพระเอกหนังไปได้”

ผมเหล่มองยายตัวดีที่ทำราวกับตัวเองเป็นผู้รู้แม้จะตระหนักดีว่าที่เพื่อนพูดมานั้นถูกทุกอย่าง บางทีอาจเป็นเพราะตอนที่คบกับแฟนเก่าผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องหึงหวงแบบนี้มาก่อน พอได้เจอกับความรู้สึกนี้เข้าตอนคบกับนะผมเลยรู้สึกกระวนกระวายไปหมด

คนที่เดินผ่านไปมามองเราสองคนที่ยืนคุยกันกลางทางเดินอย่างไม่ค่อยพอใจจนผมต้องลากมุ้ยให้ไปยืนคุยกันที่หน้าร้านหนังสือแทน จะว่าไปไอ้ที่มายืนปรึกษาเรื่องนี้กันข้างตลาดมันก็แปลกๆอยู่เหมือนกันแหละ

“ไม่คิดมากได้ไงวะ แฟนตัวเองทั้งคนนะ ถ้าเกิดแกเห็นว่ามีคนอื่นมาคอยทำรุ่มร่ามใกล้ๆคนที่แกชอบบ่อยๆแกจะไม่คิดอะไรเลยได้ไหมล่ะ?”

มุ้ยฟังคำถามผมแล้วก็กอดอกก่อนจะเอียงคอทำท่าคิดจนผมต้องถอนหายใจ ที่จริงผมอาจจะถามผิดคนไปก็ได้ ก็ไม่เคยเห็นยายเพื่อนคนนี้มาบ่นเรื่องปัญหาหัวใจด้วยเลยสักที สุดท้ายหลังจากที่ยายตัวดีทำท่าเหมือนคิดไม่ตกอยู่นาน เจ้าหล่อนก็ส่ายหน้าแล้วตบไหล่ผมดังปั้ก

“วู้ย เอาน่ะ มีคนมาชอบแฟนแกสิแกควรจะปลื้มว่าแฟนแกมีเสน่ห์ อีกอย่างน้องนะเค้าชอบแกข้างเดียวมาตั้งแต่ตอนม.ปลายไม่ใช่เหรอ คิดว่าน้องเค้าจะเปลี่ยนใจง่ายๆแค่เพราะมีคนอื่นเข้ามาเกาะแกะหรือไง?”

“พี่อ๊อฟ”

ผมกับมุ้ยสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อหันหลังไปก็เห็นคนที่กำลังถูกพูดถึงกำลังดึงชายเสื้อผมอยู่ ร่างเล็กหายใจหอบนิดหน่อยและมีหยาดเหงื่อผุดซึมบางๆบนหน้าผากจนผมต้องรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับให้

“นะไปทำอะไรมา ทำไมเหงื่อออกอย่างนี้ล่ะ?”

คนถูกถามทำหน้ามุ่ยก่อนจะรั้งมือผมที่กำลังซับเหงื่อให้แล้วกุมไว้หลวมๆแทน “ก็พี่อ๊อฟบอกว่าจะไปรอที่ท่าน้ำนี่ นะคุยกับเชนเสร็จแล้วก็รีบตามไปที่ท่าน้ำแต่ไม่เจอเลยมาเดินวนหาในตลาดตั้งหลายรอบ พอดีโทรศัพท์ของนะแบตหมดแล้วด้วยเลยโทรหาไม่ได้”

นะตอบก่อนจะหันไปไหว้มุ้ยที่ยืนอยู่ด้วย ผมลูบไหล่ของคนตรงหน้าเบาๆแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยสัญชาตญาณของตัวเองที่บอกให้เชื่อใจว่านะจะตามมายังทำงานได้แม่นอยู่

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะจ๊ะน้องนะ ที่จริงพี่อยากชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกันมากเลย แต่เห็นอาการไอ้อ๊อฟเมื่อกี้แล้วพี่ว่าพี่ยังไม่ไปด้วยดีกว่า อ้อ แต่ถ้าสนใจจะซื้อกระเป๋าก็แวะแผงของเพื่อนพี่ก่อนได้นะ เดี๋ยวพี่บอกให้มันลดราคาให้เป็นพิเศษเลย”

ผมถลึงตาใส่ยายเพื่อนปากมากที่หันมายิ้มกวนให้ก่อนเจ้าตัวจะยอมถอยกลับไปหาเพื่อนตัวเอง นะมองตามมุ้ยที่คล้อยหลังไปแล้วก็หันกลับมาดึงแขนผม

“พี่อ๊อฟ เดี๋ยวไปแวะห้างกันก่อนกลับนะ”

ประโยคคำขอที่ไม่ปล่อยให้ตั้งตัวทำให้ผมขมวดคิ้วอย่างงงๆ แล้วพ่อหนูน้อยก็ลากแขนผมไปที่ท่าเรือข้ามฟากทันที ความจริงถ้าจะไปห้างพวกเราจะนั่งรถเมล์ไปจากหน้ามหา’ลัยเลยก็ได้ แต่อาจเสียเวลารถติดตอนข้ามสะพาน ดังนั้นถ้าลงเรือข้ามฟากแล้วไปต่อรถที่อีกฝั่งหนึ่งจะเร็วกว่า

ตอนที่ผมจ่ายเงินค่าเรือข้ามฟากและเดินผ่านที่กั้นเข้าไปพนักงานตรงท่าเรือก็ปลดเชือกที่เกี่ยวกับโป๊ะออกแล้ว เราสองคนเลยรีบวิ่งลงไปที่เรือทันก่อนที่คนขับจะหักหัวเรือออกพอดี ผมหันมองซ้ายขวาแล้วก็เห็นว่าที่นั่งตรงกลางเต็มหมดแล้วเลยฉุดแขนนะไปตรงที่ว่างท้ายเรือ จากหางตาผมเห็นคนอื่นในเรือมองมายังมือที่จับกันอยู่ของเราสองคนแต่ว่าผมขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจ

พอเรานั่งลงเรียบร้อยผมก็หยิบหนังสือในมือขึ้นพัดโบกไปมาแถวๆหน้ากับคอคนตัวเล็กให้ มือเล็กเลยยกขึ้นทาบบนหลังมือผมข้างที่วางอยู่เฉยๆก่อนจะเอ่ยปากถาม

“พี่อ๊อฟไม่ได้โกรธนะใช่มั้ย?”

ผมสบตากับนัยน์ตากลมโตที่มองมาอย่างรอคำตอบ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เอ่ยว่าเรื่องที่ผมจะโกรธคือเรื่องอะไรแต่ผมก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องไหน ผมเลยลดมือที่โบกหนังสือลงแล้วหงายมือที่มีมือเล็กทาบอยู่ขึ้นกุมไว้แทน

“ไม่มีอะไรต้องโกรธนี่ พี่สิกลัวนะจะโกรธที่ไปพูดกับเพื่อนเราแบบนั้น”

ผมเบนสายตาไปทางด้านหน้าเรือก่อนจะถอนหายใจ พอได้มาคิดถึงสิ่งที่ตัวเองพูดไปก็ทำให้สำนึกได้ว่าตัวเองช่างทำตัวเป็นเด็กจริงๆ เสียภาพพจน์พี่ชายใจดีที่นะเคยวาดไว้หมด

มือเล็กที่ผมกุมอยู่บีบมือผมแน่นขึ้นก่อนเจ้าตัวจะเอนหัวมาชนไหล่ผมเบาๆ พอผมหันไปหาเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้

“ตอนแรกนะก็ตกใจ นึกว่าพี่อ๊อฟจะทะเลาะกับเชนตรงนั้นแล้ว แต่ว่านะก็ดีใจเวลาเห็นพี่อ๊อฟเป็นแบบนั้นเหมือนกันนะ”

พอพูดจบพ่อหนูน้อยก็เอนหัวลงพิงไหล่ผมเหมือนเดิม แต่พอได้ยินเจ้าตัวพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมยิ้มออกบ้าง

“น่าดีใจตรงไหน นะชอบเวลาพี่พูดจาหาเรื่องคนอื่นเหรอ?”

ผมแกล้งถามเพราะไม่ได้บื้อขนาดจะไม่รู้ว่าทำไมคนตัวเล็กถึงได้พูดแบบนั้น แต่ก็อยากได้ยินจากปากอีกฝ่ายให้มั่นใจว่าไม่ได้อึดอัดกับการที่ผมแสดงอารมณ์ออกไปแบบนั้นจริงๆ นะเหลือบตาขึ้นสบตาผมแล้วก็ย่นจมูกอย่างรู้ทัน

“ไม่ใช่แบบนั้น พี่อ๊อฟก็รู้นี่ว่านะหมายความว่ายังไง”

“เอ...พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าหากนะไม่พูดพี่จะรู้ได้ไงว่าเราคิดเหมือนกันหรือเปล่า?”

คราวนี้พ่อหนูน้อยขมวดคิ้วก่อนจะปล่อยมือจากมือผมแล้วยกแขนขึ้นกอดอกแทน “งั้นก็ช่างมันเถอะ พี่อ๊อฟคิดซะว่าเมื่อกี้นะไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”

อ้าว...

พ่อหนูมานะงอนซะแล้วสิแฮะ ไอ้อ๊อฟเอ๊ย เรื่องยั่วแฟนตัวเองนี่เก่งจริงๆ

ผมอดหัวเราะไม่ได้เพราะว่าพอจะดูออกว่าคนงอนไม่ได้งอนจริงจังอะไรนัก เมื่อเรือเทียบท่าผมเลยรีบคว้าแขนคนที่เดินลิ่วออกจากเรือแล้วพาไปโบกเรียกแท็กซี่ที่หน้าท่าน้ำ พอเข้าไปนั่งในรถปุ๊บพ่อหนูน้อยก็กระเถิบหนีผมไปจนชิดประตูอีกฝั่งพลางนั่งกอดอกจนผมต้องส่ายหน้า ครั้งสุดท้ายที่เห็นแฟนงอนก็ตอนกลับไปเยี่ยมบ้านโน่นละมั้ง

ผมดึงมือข้างหนึ่งของนะมากุมไว้ คนตัวเล็กเหลือบตามองผมแล้วทำท่าฮึดฮัดนิดหน่อย แต่จะชักมือหนีก็ไม่ได้เพราะผมจับเอาไว้แน่น

“มานะงอนพี่เหรอครับ?”

“ไม่ได้งอน”

“ก็งอนอยู่เห็นๆ นี่ไง แก้มป่องเชียว”

ไม่พูดเปล่า ผมยื่นมือไปจิ้มแก้มนะจริงๆเลยโดนหันมามองตาเขียว

“พี่อ๊อฟ! เดี๋ยวเถอะ!”

เรานั่งแหย่เล่นกันอย่างนั้นไปตลอดทางจนกระทั่งมาถึงห้าง โชคยังดีว่าคุณลุง (หรือคุณปู่ก็ไม่รู้) ที่เป็นคนขับแท็กซี่ไม่ได้แสดงท่าทางรำคาญอะไรพวกเรา แถมออกจะยิ้มๆเอ็นดูซะด้วยซ้ำ ตอนลงจากรถผมเลยไม่เอาเงินทอน ถือว่าเป็นทิปที่คุณลุงต้องทนฟังผมง้องแง้งกับพ่อหนูมานะมาตลอดทางไป

“แล้วตกลงนะพาพี่มาห้างทำไมเนี่ย จะกินข้าวที่นี่เหรอ?”

ผมเอ่ยถามหลังจากเราเข้ามาในห้างกันแล้ว สงสัยจะเพราะเริ่มเหนื่อยกับการโดนผมง้อไปแกล้งไปคนตัวเล็กเลยตอบคำถามตามตรงโดยไม่อิดออด

“เดี๋ยวค่อยกินแล้วกัน นะขอซื้อของขวัญให้คุ้กกี้ก่อน”

พ่อหนูน้อยว่าก่อนจะเดินนำผมไปที่บันไดเลื่อน ตอนแรกผมก็งงๆว่านะพูดถึงคุ้กกี้อะไร แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนเย็นได้ยินคนตัวเล็กคุยกับไอ้เชนเรื่องคุ้กกี้นี่อยู่เหมือนกัน

“นะ คุ้กกี้นี่ใคร?”

ผมเอาหนังสือเรียนของนะยัดลงกระเป๋าตัวเองขณะเดินตามหลังคนตัวเล็กไปที่แผนกของเล่นเด็ก พ่อหนูน้อยหันมามองผมแล้วก็หันกลับไปเลือกดูตุ๊กตาในกล่องที่วางเรียงอยู่บนชั้นเหมือนเดิม

“น้องสาวของเชน นะเคยเจอตอนไปเที่ยวบ้านเชนเมื่อเทอมที่แล้ว พอดีวันนี้วันเกิดครบหกขวบของน้องเค้า นะเลยสัญญาว่าจะฝากของขวัญไปให้ พี่อ๊อฟว่าตัวนี้หรือตัวนี้ดีกว่า?”

ผมมองตุ๊กตาสองตัวที่นะยกขึ้นมาให้ดูแล้วก็ต้องทำหน้าเบ้ มันสนุกตรงไหนนะกับการเล่นแต่งหน้าตุ๊กตาที่มีแต่หัวเนี่ย

“ทำไมไม่ซื้อพวกตุ๊กตาหมีที่ขนฟูๆตัวใหญ่ๆล่ะ เด็กหกขวบเล่นแต่งหน้าไม่แก่แดดไปหน่อยเหรอ?”

“เด็กผู้หญิงเค้าเล่นกันทั้งนั้นแหละพี่อ๊อฟ ตอนนะไปบ้านเชนคราวโน้นคุ้กกี้ยังมาชวนนะให้เล่นถักผมตุ๊กตาด้วยอยู่เลย”

ผมนึกภาพนะที่กำลังนั่งเล่นทำผมตุ๊กตาอยู่กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆแล้วก็ต้องยิ้มขำจนต้องแกล้งทำเป็นกระแอม ทำไมนึกถึงแล้วไม่ขัดลูกตาก็ไม่รู้สิ แต่ท่าทางพ่อหนูน้อยจะรู้ทันเลยหันมาค้อนให้ก่อนจะยอมวางตุ๊กตาแต่งหน้าลงแล้วเดินไปตรงชั้นวางตุ๊กตาสัตว์แทน

“แสดงว่าเมื่อเทอมหนึ่งเราไปบ้านหมอนั่นบ่อยล่ะสิ เห็นมันบอกว่าคุ้กกี้ถามถึงนะบ่อยๆด้วยนี่”

ผมพยายามไม่เอ่ยปากพูดชื่อไอ้เชนออกไปขณะหยิบตุ๊กตาหมีขนหยิกสีขาวขึ้นมาดู เพราะแค่คิดถึงหน้ามันก็หงุดหงิดพอแล้ว คนตัวเล็กที่กำลังก้มๆเงยๆเลือกตุ๊กตาอยู่ถัดไปเลยเดินกลับมาหาแล้วก็ดึงตุ๊กตาในมือผมกลับไปวางบนชั้นเหมือนเดิม

“แต่ตอนนั้นนะไม่ได้ไปคนเดียวนะพี่อ๊อฟ เชนก็ชวนเพื่อนคนอื่นๆไปด้วยเหมือนกัน เพียงแต่คุ้กกี้ชอบเล่นกับนะมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง”

“อือฮึ...แผนสูงดีเหมือนกัน เอาน้องสาวมาล่อ”

ผมบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะกอดอกแล้วหันไปมองทางอื่น คนเราลองว่าไม่ชอบขี้หน้าใครสักคนขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าใครหรืออะไรที่เป็นพวกเดียวกับคนที่เราไม่ชอบก็จะพาลโดนเหม็นขี้หน้าไปด้วยเอาง่ายๆ และตอนนี้ผมก็เริ่มจะไม่ชอบน้องคุ้กกี้นี่ขึ้นมาแล้วสิ

เสียงถอนหายใจเบาๆหลุดมาจากคนตรงหน้าก่อนที่ร่างเล็กจะหันกลับไปเลือกตุ๊กตาต่อ แล้วผมก็ต้องกระพริบตาเมื่อได้ยินเสียงเรียกดังมาจากด้านล่าง

“พี่อ๊อฟๆ มาดูตุ๊กตาตัวนี้สิ”

ผมก้มมองเจ้าของเสียงก็เห็นว่านะกำลังนั่งยองๆพลางชี้ไปที่ตุ๊กตานกเพนกวินที่อยู่ตรงชั้นวางด้านล่างสุด เลยพยักหน้าให้อย่างไม่รู้จะออกความเห็นว่ายังไง

“ก็น่ารักดี ซื้อเลยสิ”

ผมว่าแล้วก็หยิบพวงกุญแจรูปหางกระต่ายที่แขวนอยู่บนราวขึ้นมาดู พ่อหนูน้อยเลยจิ๊ปากก่อนจะกวักมือเรียกอีก

“พี่อ๊อฟ นะบอกว่าให้ลงมาดูตรงนี้ไง”

ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ผมย่อลงไปดูในเมื่อคนขอจะหยิบตุ๊กตานั่นขึ้นมาก็ได้ ก็คนขายาวๆนี่เวลานั่งยองๆระหว่างชั้นวางของที่แคบนิดเดียวมันลำบากจะตายไป แต่ผมก็ยอมทำตามที่นะขอแต่โดยดีพลางรับตุ๊กตาเพนกวินสีฟ้าอ่อนมาถือในมือ

เจ้านกเพนกวินที่คนตัวเล็กส่งมาให้เป็นตุ๊กตายัดนุ่นขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือผมสักเท่าไหร่ ตรงลำตัวหุ้มด้วยผ้าที่มีขนปุยสีขาว ส่วนตรงหัวกับปีกหุ้มด้วยผ้าสีฟ้าอ่อน ตรงลูกตาทำด้วยเม็ดพลาสติกสีดำเม็ดกลมๆเล็กๆ ถึงจะดูแล้วน่ารักเหมาะกับเด็กเล็กๆดีแต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะน่าสนใจเป็นพิเศษจนนะต้องคะยั้นคะยอให้ผมดูตรงไหน

“อืม แล้วตกลงเพนกวินนี่มันทำไมล่ะ?”

ถามไปยังไม่ทันขาดคำ สิ่งที่ตามมาคือการเคลื่อนไหวแบบไม่ทันให้ตั้งตัวของคนที่นั่งอยู่ก่อน กว่าผมจะทันรู้สึกตัวว่าโดนริมฝีปากนุ่มๆมาแตะลงที่ริมฝีปากของตัวเอง ตามด้วยสิ่งที่นะพูดต่ออย่างรัวเร็วจนผมไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูกหรือเปล่า ร่างเล็กก็ลุกขึ้นแล้วเดินจ้ำอ้าวไปไกลแล้ว

“นะ เดี๋ยวก่อนสิ นะ”

ด้วยความงุนงงปนดีใจผมเลยเผลอถือตุ๊กตาเพนกวินติดมือตอนที่ลุกตามไปคว้าแขนเรียวไว้ แล้วก็ได้เห็นใบหน้าหวานที่เอี้ยวคอกลับมามองผมมีสีแดงเรื่อพาดอยู่บนแก้ม

“เมื่อกี้พี่ได้ยินไม่ถนัดเลย นะพูดว่าไงนะ”

“พี่อ๊อฟ! นี่มันกลางห้างนะ ปล่อยก่อน”   

คนตัวเล็กบิดแขนตัวเองออกจากมือผมแล้วก็เดินหนีอีก แต่ใบหูที่แดงเรื่อก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ส่วนผมได้แต่ยิ้มไม่หุบเพราะเพิ่งได้ยินประโยคที่ทำให้ลิงโลดสุดๆ


‘นะบอกเชนแล้วล่ะว่าพี่อ๊อฟเป็นแฟนของนะ’


ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมพ่อหนูน้อยถึงได้บอกความจริงไป แต่แค่นึกภาพว่าไอ้เด็กนั่นทำหน้ายังไงตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ผมก็สะใจแล้ว ผมเลยไม่บ่นหรือทำหน้าเหม็นเบื่ออีกไม่ว่านะจะถามความเห็นเกี่ยวกับของเล่นชิ้นไหนจนโดนส่งค้อนให้มาหลายวง

หลังจากเดินวนในแผนกของเล่นกันอยู่นานโดยมีพนักงานขายมองพวกผมยิ้มๆ สุดท้ายพ่อหนูน้อยก็ซื้อตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลอ่อนขนหยิกตัวใหญ่เบ้อเริ่มสำหรับน้องสาวของไอ้เชน แต่พอไปถึงแคชเชียร์ผมก็วางตุ๊กตาเพนกวินที่หยิบติดมาลงด้วยจนนะต้องหันมาถาม

“พี่อ๊อฟ ซื้อตัวนี้ทำไม?”

“ก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกไง”

ผมยักคิ้วก่อนจะขอรับเจ้าตุ๊กตาขนาดใหญ่กว่ามือผมนิดเดียวมาถือเองโดยไม่ใส่ถุง เลยโดนมือเล็กทุบไหล่มาทีหนึ่งอย่างเขินๆ แต่ตอนนี้อยากทุบให้น่วมไปเลยผมก็ยอมแล้วล่ะ คนมันดีใจจะแย่อยู่แล้วนี่นา

พอเราเดินออกมาจากแผนกของเล่นผมก็พานะไปทานข้าวเย็นที่ศูนย์อาหารชั้นใต้ดิน เสร็จแล้วก็พากันเดินย่อยในซูเปอร์มาร์เก็ตกันครู่หนึ่งก่อนจะออกมาโบกเรียกแท็กซี่ไปส่งที่หอ ใจผมนี่แล่นกลับไปถึงห้องเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนจะจ่ายเงินซื้อตุ๊กตากันเสร็จเสียอีก พอขึ้นมาถึงห้องและปิดประตูปุ๊บผมเลยดึงร่างเล็กที่วางของแล้วทำท่าจะก้าวเข้าห้องน้ำมากอดแน่นทันที

“พี่อ๊อฟ อื๊อ!”

อาจเพราะไม่ทันตั้งตัวริมฝีปากนุ่มจึงเผยอรออยู่แล้ว ผมเม้มกลีบปากสีสดก่อนจะก้มจูบคนตัวเล็กซ้ำๆจนคนในอ้อมแขนต้องทุบไหล่ผมเพราะหายใจไม่ทัน แต่พอผมถอยออกยิ้มให้แล้วกดจมูกลงเกลี่ยกับจมูกโด่งเล็กนะก็หัวเราะเบาๆ

“วันนี้พี่ดีใจมากเลย นะรู้มั้ย”

ผมวางคางตัวเองลงเกยผมนุ่มขณะที่คนตัวเล็กซุกหน้าลงกับอก ร่างในอ้อมแขนกอดเอวผมแน่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้

“ต่อไปนี้พี่อ๊อฟจะได้ไม่ต้องอารมณ์เสียเรื่องเชนแล้วไง เวลาพูดชื่อเชนทีไรพี่อ๊อฟชอบทำหน้าดุใส่นะทุกทีเลย”

คนตัวเล็กว่าแล้วก็ซุกหน้าลงกับอกผมอีกครั้ง ผมเลยเลิกคิ้วก่อนจะแกะแขนที่กอดตัวเองอยู่แล้วจูงให้นะไปนั่งตักผมบนเตียงแทน

“พี่ไม่ได้ทำหน้าดุใส่นะสักหน่อย พี่ทำหน้าดุใส่เพื่อนนะต่างหาก ว่าแต่ทำไมถึงได้บอกเชนไปล่ะ เพิ่งบอกไปเมื่อเย็นนี้เหรอ?”

ผมถามไปก็เคลียจมูกกับซอกคอขาวของคนตรงหน้าไปด้วย ใบหน้าหวานแดงเรื่อขึ้นเหมือนอายที่ถูกจับนั่งคร่อมบนตัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเมื่อผมยกแขนเรียวทั้งสองข้างให้ขึ้นมาคล้องบนไหล่

“ก็ตอนที่พี่อ๊อฟเดินออกมาก่อนเมื่อตอนเย็นนะก็รู้แล้วว่าพี่อ๊อฟกำลังโกรธแน่ๆ เลยตัดสินใจบอกเชนไปเลยว่าทำไมนะถึงไม่สะดวกเวลาเชนชวนไปไหนมาไหน อีกอย่างนะไม่อยากเห็นเวลาพี่อ๊อฟทำหน้าไม่สบายใจแล้วด้วย...”

เสียงท้ายประโยคของคนพูดแผ่วหวิว มือเล็กสองข้างบีบไหล่ผมแน่นขึ้นเมื่อผมเลื่อนมือเข้าไปสัมผัสกับผิวเนื้อตึงแน่นใต้ชายเสื้อเชิ้ตสีขาว แสดงว่าตั้งแต่ตอนที่เราทะเลาะกันเมื่อหนโน้นนะก็คิดถึงความรู้สึกผมเรื่องไอ้เชนเหมือนกันสินะ

ผมก้มลงจูบหัวไหล่มนเสียงดังก่อนจะเลื่อนเสื้อที่ปลดกระดุมแล้วลง ร่างเล็กถอยออกให้ผมถอดเสื้อให้แต่โดยดีก่อนจะโอบแขนรอบบ่าผมเหมือนเดิม พอเห็นเวลานะทำท่าเขินๆแบบนี้ผมก็แทบจะลืมแล้วว่าตัวเองตั้งใจจะคุยเรื่องอะไร

“แล้วหมอนั่นทำท่าทางเสียใจที่นะบอกว่าเป็นแฟนพี่หรือเปล่า?”

ผมอดถามไม่ได้ เพราะยังไงผมก็เชื่อสายตาตัวเองว่าดูไม่ผิดแน่นอนเรื่องที่ไอ้เชนก็ชอบนะอยู่ ขึ้นอยู่กับว่ามันจะทำเป็นวางฟอร์มเข้าหานะแบบเพื่อนไปอีกนานแค่ไหนก็เท่านั้น

“ไม่รู้สิ...นะอธิบายให้เชนฟังแล้วก็ตามพี่อ๊อฟออกมาเลย แต่คิดว่าจากนี้ไปเชนคงไม่มาชวนไปไหนเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ”

ถ้าได้อย่างนั้นจริงก็คงดี ผมกลัวแต่ว่ามันจะยังทู่ซี้หน้าด้านอยู่น่ะสิ แต่อย่างน้อยเอาเป็นว่ามันก็รับรู้สถานะของผมกับนะแล้วล่ะนะ

“งั้นก็ดีแล้ว ว่าแต่ตอนนี้มาคุยเรื่องของเรากันมั่งดีกว่า พี่เบื่อคุยเรื่องคนอื่นแล้ว”

ผมหันไปแนบริมฝีปากลงกับขมับที่มีผมสีน้ำตาลนิ่มระอยู่ แล้วก็จับร่างคนบนตักพลิกให้นอนหงายโดยที่ยังเกลี่ยจูบไปบนผิวแก้มนิ่มก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากที่เผยอรออยู่แล้ว อ้อมแขนเรียวกระชับบ่าผมแน่นขึ้นเมื่อผมพันปลายลิ้นเข้ากับลิ้นอุ่นนุ่มที่ยังมีรสหวานของไอศกรีมที่กินไปเมื่อหัวค่ำติดอยู่

นะยิ้มเมื่อผมผละออกถอดเสื้อแล้วโยนลงข้างเตียงก่อนจะก้มลงหาผิวที่เรียบละมุนมืออีกครั้ง ริมฝีปากสีสดหลุดเสียงครางแผ่วเบาเมื่อผมไล่ปลายนิ้วมือต่ำลงไปยังส่วนไวสัมผัส ปลายเท้าที่สั่นระริกจิกลงกับผ้าปูเตียงขณะที่แผ่นอกขาวแอ่นขึ้นสูงเมื่อผมออกแรงกระตุ้นที่ส่วนนั้นมากขึ้น แม้จะเห็นภาพนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าได้เห็นเมื่อไหร่ก็ยังทำให้ผมรู้สึกว่าเลือดลมในร่างสูบฉีดอย่างรุนแรงทุกครั้งอยู่ดี

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


กว่าผมจะยอมพาคนที่ลุกเองไม่ไหวไปอาบน้ำแล้วอุ้มกลับมานอนก็ดึกมากแล้ว พอแผ่นหลังของร่างเล็กแตะลงกับเตียงปุ๊บพ่อหนูน้อยก็คว้าหมอนใบเล็กไปกอดแล้วหลับไปแทบจะทันที ผมเห็นท่าทางหลับสนิทเพราะความเพลียนั่นแล้วก็หยิบผ้าห่มขึ้นคลี่คลุมให้จนถึงคอก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของนะเบาๆ

ผมปิดไฟในห้องก่อนจะเดินไปเปิดโน้ตบุ๊คของนะที่อยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือขึ้นมา เป้แนะนำว่าให้ลองเข้าไปดูเว็บของรีสอร์ตที่เราจะไปพักกันไว้ก่อนเผื่อจะได้ไอเดียเกี่ยวกับเซอร์ไพรส์ของนะเพิ่มขึ้นเพราะยังพอมีเวลาเตรียมตัว ผมคลิกดูรูปห้องกับรูปบริเวณโดยรอบของรีสอร์ตแล้วก็เริ่มจดไอเดียไปด้วยว่าน่าจะพอทำอะไรได้บ้าง ยิ่งคิดไอเดียใหม่ๆได้ใจก็ยิ่งเร่งอยากให้ถึงวันที่ไปทริปนี้เร็วๆ

วันนี้นะทำให้ผมยิ้มออกเพราะประกาศว่าคบกับผมต่อหน้าเพื่อนตัวเองไปแล้ว คราวนี้ล่ะผมจะทำเซอร์ไพรส์ที่ทำให้คนสำคัญของผมยิ้มไม่หยุดไปทั้งวันคืนให้กับนะบ้างเหมือนกัน


++------++


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2009 19:22:36 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ jaaeyboy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 522
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
กรี้ดดดดดดดด มาต่อล่ะ

อ่านตอนนี้แล้ว แอบยิ้มไปด้วย (ดีใจแทนพี่อ๊อฟ 5555)

ตอนหน้า อยากเห็นเซอร์ไพร์สแล้วอ่ะ  ทำอะไรให้น้องนะยิ้มไม่หุบ อยากรู้จัง

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
กรี้ดดดดดดดด มาต่อล่ะ

อ่านตอนนี้แล้ว แอบยิ้มไปด้วย (ดีใจแทนพี่อ๊อฟ 5555)

ตอนหน้า อยากเห็นเซอร์ไพร์สแล้วอ่ะ  ทำอะไรให้น้องนะยิ้มไม่หุบ อยากรู้จัง

^
^
^
ขอบคุณ & บวกให้นะคะ นั่นสิ ตอนหน้าอ๊อฟจะได้ทำเซอร์ไพรส์หรือยังน้า อย่างนี้ต้องติดตามกันต่อสิเนอะ ^^

ที่จริงวันนี้ลาป่วยเป็นวันที่สองแล้ว หมอบอกว่าเป็นคออักเสบแต่ยังดีที่ไม่ถึงขั้นรุนแรง ยังไงหายดีแล้วจะมาต่อเน้อ ไม่กล้าพิมพ์ตอนนี้ กลัวฤทธิ์ยาจะทำเรื่องออกมาเบลอๆเหมือนสมองป้าตอนนี้อ่ะ เอิ๊กๆ

ช่วงหลังนี้เม้นต์น้อย เลยไม่รู้ว่าเพราะเล้าล่มบ่อย หรือเพราะคนอ่านเห็นเรื่องนี้อัพช้าเลยเลิกอ่านไปแล้วกันหนอ
  o22
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2009 16:08:58 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
อ้าววว ป้ามาต่อสองตอนแล้วเพิ่งเห็น
ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก

น้องนะน่ารักเนอะ
ยิ่งอ่านก้อยิ่งชอบเค้า
คู่นี้หวานกันดี งอนๆ ง้อๆ น่ารักอะ

มารอดูเซอไพร์สของพี่อ๊อฟนะจ๊ะป้า

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
 :impress2: :impress2:
นะ น้องน้อยที่น่าร๊ากมิเคยเปลี่ยน ลัลล๊า
มารออ่านว่าจะเกิดไรในตอนหน้า อิอิ

loveorlike

  • บุคคลทั่วไป
 o22กีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส
สองตอนแล้วเหรอพี่บีบี
แปะอุ้งเท้าไว้ก่อนนะ
แล้วจะรีบมาอ่านด่วนเลย
แง่มๆๆๆ...คิดถึงมากมายยยยยยยยยยยยยยย
กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :กอด1:

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
น้องนะนี่ก็กล้าไม่เบาแฮะ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
มาเสนอหน้าว่ายังรออ่านอยู่จ้า  :z2:

ไม่สบายอยู่ก็พักผ่อนมาก ๆ นะจ้ะ

หายป่วยไวๆ จ้า  :L2:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
มาเสนอหน้าว่ายังรออ่านอยู่จ้า  :z2:

ไม่สบายอยู่ก็พักผ่อนมาก ๆ นะจ้ะ

หายป่วยไวๆ จ้า  :L2:

ขอบคุณพี่นนท์มากๆค่า  :3123:

เนื่องจากหยุดงานไปสองวัน เมื่อเช้าเลยฮึดฝืนสังขารไปทำงานเพราะรู้ว่างานเยอะ นั่งไอไป สั่งน้ำมูกไปจนนายต้องไล่กลับบ้าน (เรื่องของเรื่องคงกลัวคนอื่นติด ออฟฟิศมันเล็ก ฮา) แต่เมื่อบ่ายได้นอนไปเลยคิดว่าน่าจะดีขึ้นแล้วละ ขืนหยุดนานๆเดี๋ยวโดนหักเงินเดือน บรึ๋ย  :serius2:

คนอื่นๆก็รักษาสุขภาพกันด้วยน้า
  :bye2:

ออฟไลน์ moonlight

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 985
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-0
นะ o13

^_____^

หายป่วยไวๆนะค่ะ :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






LOT

  • บุคคลทั่วไป
ช่วงนี้งานเยอะ ไม่ได้แวะมาหาน้องนะเลย แต่พอเข้ามาแล้วก็ไม่ผิดหวัง  o13

น้องนะน่ารักมากกกกกกกกกกกก โดยเฉพาะตอนเลือกของขวัญ  :-[
ขอกอดน้องนะแน่นๆ + หอมแก้มซักฟอดได้มั้ยคะเนี่ย  :กอด1:


คนแต่งเองก็รักษาสุขภาพมากๆ ด้วยนะคะ ฝากความห่วงใยไปนะคะ

ออฟไลน์ Ferfa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-2
 :-[น้องนะนี่น่ารักจริงๆ กล้าบอกด้วย o13

ออฟไลน์ a_tapha

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4981
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +397/-1
รอน้องต่อไป


อิอิ  น่าร๊ากกกก

 :impress2:


pickki_a

  • บุคคลทั่วไป
ลุ้นเซอไพรซ์น่ะป้า  o13

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
^
หายไปนานนะคนเนี้ย! ชีวิตเป็นสีชมพูดีล่ะสิเนี่ย หุหุ
   :impress2:

pickki_a

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^
หายไปนานนะคนเนี้ย! ชีวิตเป็นสีชมพูดีล่ะสิเนี่ย หุหุ
   :impress2:

งานเยอะน่ะป้า อีกอย่างชีวิตก็เป็นสีชมพูด้วย เพราะงั้นเลยไม่ค่อยได้แวะมาอ่านนิยายเลยอ่ะ

kittyfun

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามารออ่านเรื่องนี้ด้วยคนนะคะ

น่ารักน่าหยิกทั้งสองคู่เลยค่ะ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตอนที่ 20: เริ่มออกเดินทาง

“เสร็จซักที ไม่นึกเลยว่าซื้อน้ำหอมขวดนึงมันจะเหนื่อยขนาดนี้”

ผมเอ่ยขึ้นหลังจากได้ของที่ต้องการซึ่งห่อกระดาษห่อของขวัญอย่างสวยงามเรียบร้อยในถุงกระดาษ โชคดีที่วันนี้ได้พักกลางวันสองคาบติดกัน ผมเลยมีเวลาพอจะแว้บจากมหา’ลัยมาเดินเลือกของขวัญให้นะที่ห้างได้ และเพราะของที่อยากจะซื้อไม่ใช่ของที่ตัวเองใช้เป็นประจำ ผมเลยต้องชวนเป้กับวิวมาช่วยเลือกเพราะรู้ว่าถ้ามาคนเดียวมีหวังไม่ได้ของอย่างที่ต้องการแน่ จะว่าไปก็ต้องชื่นชมคนที่มาเป็นพนักงานขายสินค้าแบบนี้เพราะถ้าเป็นผมคงจำรายละเอียดปลีกย่อยจำพวกน้ำหอมกลิ่นนี้ผสมจากอะไร เบสโน้ต ท็อปโน้ตกลิ่นไหน หรือขวดที่ใส่ได้รางวัลการออกแบบจากสถาบันอะไรไม่ไหวหรอก

“อุตส่าห์เลือกอยู่ตั้งนาน หวังว่าน้องนะคงชอบนะอ๊อฟ”

วิวมองของในมือผมแล้วก็ยิ้มให้ ผมเลยยิ้มตอบก่อนจะเอ่ยขอบคุณเบาๆ อาจเพราะเราสองคนไม่ใช้น้ำหอมเหมือนกันเลยรู้สึกเหมือนเข้าใจหัวอกกันอย่างบอกไม่ถูก ในขณะที่ตอนเดินเลือกเมื่อครู่เป้จะเป็นคนคอยถามรายละเอียดและขอลองกลิ่นนั้นกลิ่นนี้ให้จนแทบจะโดนพนักงานขายนึกว่าเป็นคนซื้อเองไปแล้ว

จะว่าไปพอพูดถึงนะแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย เพราะเมื่อเช้าผมบอกไปว่าไม่ว่างทานข้าวเที่ยงด้วยเพราะต้องคุยรายงานกลุ่มกับเพื่อน แต่ก็หวังว่าการมุสาครั้งนี้คงไม่ผิดบาปร้ายแรงในเมื่อผมแอบมาซื้อของขวัญให้เจ้าตัวนี่นา

“ว่าแต่เซอร์ไพรส์ของมึงถึงไหนแล้วล่ะอ๊อฟ มีอะไรจะให้ช่วยอีกหรือเปล่า?”

เป้หันมาถามผมระหว่างที่เราสามคนเดินออกมาจากแผนกน้ำหอมและเครื่องสำอางด้วยกัน คงเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาแถมเป็นช่วงกลางวัน คนจึงไม่ค่อยพลุกพล่านจนเกือบจะเรียกได้ว่าเงียบเหงาทีเดียว ผมนึกถึงแผนคร่าวๆที่ตัวเองคิดไว้แล้วก็ยักไหล่ก่อนจะตอบเพื่อน

“เดี๋ยวต้องไปเห็นสถานที่จริงก่อนถึงจะรู้ว่ะ ไว้ถึงตอนนั้นแล้วจะบอกอีกทีแล้วกัน แต่ยังไงวันนี้ก็ขอบใจมากเว่ยที่มาช่วยซื้อเป็นเพื่อน ถ้ากูมาคนเดียวสงสัยได้เปลี่ยนไปซื้ออย่างอื่นแทนแหง”

ผมตอบแล้วก็ชูถุงในมือไปด้วย เป้เลยส่ายหน้าเบาๆก่อนจะหันไปหาคนข้างตัว “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เดี๋ยวแวะซื้ออะไรไปกินในรถแล้วกันนะวิว ขืนนั่งกินที่นี่เดี๋ยวกลับไปเรียนไม่ทัน”

คนถูกถามพยักหน้า พวกเราสามคนเลยรีบเดินไปที่ร้านแมคโดนัลด์เพื่อจะได้รีบซื้อแฮมเบอร์เกอร์ไปกินในรถ ความจริงเมื่อออกมาพ้นรั้วมหา’ลัยซะไกลแล้วแบบนี้ ถ้ามีแค่ผมกับเป้แค่สองคนก็อาจพากันเลือกโดดเรียนไปแล้ว แต่เพราะเกรงใจวิวซึ่งมาด้วยจึงตกลงกันว่าต้องใช้เวลาพักสองคาบให้คุ้มที่สุดโดยไม่เบียดเบียนคาบเรียนที่เหลือ แต่ว่าคิวซื้อที่ร้านก็ยาวเหลือใจเพราะเป็นช่วงพักกลางวันพอดี ผมเลยอาสาต่อคิวซื้อให้เพื่อที่เป้กับวิวจะได้ไปวนรถจากลานจอดออกมารอจะได้ไม่เสียเวลา ทว่าพอได้อาหารครบแล้วและกำลังจะเดินออกจากร้าน สายตาผมก็ปะทะเข้ากับคนคุ้นเคยที่ไม่ได้เจอกันนานเข้าเสียก่อนจนต้องร้องทัก

“อ้าวเฮ้ย พี่หล่ง มาทำไรแถวนี้อะพี่”

เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียกแล้วก็เลิกคิ้วรกๆขึ้นสูงจนเกือบจะชนตีนผม “อ้าว ไอ้อ๊อฟ แล้วมึงมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ เดี๋ยวนี้หายหัวไม่โผล่ขึ้นไปชุมนุมเลยนะมึง หนอยแน่ะ”

ไม่ทักตอบเปล่า อีกฝ่ายยังยิ้มแบบติดจะเหี้ยมประกอบคำทักทายคืนมาให้ด้วยจนผมต้องยิ้มแห้งๆ

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยว่างว่ะพี่ ว่าแต่นี่ผมมาซื้อของแล้วเดี๋ยวจะกลับไปเรียนเนี่ย แล้วพี่หล่งไม่มีเรียนตอนบ่ายเหรอ?”

ผมถามไปก็เบี่ยงตัวหลบคนที่กำลังจะเดินเข้าร้านไปด้วย รุ่นพี่ของผมจึงกอดอกแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ

“จริงๆวันนี้กูไม่มีเรียนเลยด้วยซ้ำว่ะ แต่พอดีมีนัดกับสาวเลยต้องออกมา”

คำตอบที่ได้ทำเอาผมต้องเลิกคิ้วบ้าง เพราะตั้งแต่รุ่นพี่ผมเลิกกับแฟนเก่าไปเมื่อปีที่แล้วก็ยังไม่เห็นแกคบใครอีกเลย แต่ยังไม่ทันถามว่าเป็นคนที่ผมรู้จักหรือเปล่าเสียงมือถือในกระเป๋าก็ดังขัดจังหวะผมเลยต้องขอตัว

“สงสัยเพื่อนโทรมาตามแล้วว่ะพี่หล่ง ยังไงเดี๋ยวค่อยคุยกันแล้วกัน ว่าแต่วันหลังพาแฟนใหม่มาแนะนำมั่งสิ”

พี่หล่งตบไหล่ผมก่อนจะหัวเราะเบาๆแล้วเดินเข้าไปด้านใน แต่คำตอบงึมงำที่ได้ยินฟังคล้าย ‘เค้าจะยอมให้แนะนำรึเปล่าอะดิ’ ก็ทำให้ผมอดสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆไม่ได้ว่าใครคือสาวโชคร้ายคนนั้น ว่าแต่ทำไมหนังตาขวาถึงกระตุกๆก็ไม่รู้สิแฮะ


++------++


ถัดจากวันที่ไปซื้อของขวัญ วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันศุกร์ที่เราจะไปเที่ยวทะเลกันเสียที ตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมนัดเวลากับเป้แล้วก็แยกไปรับคนตัวเล็กที่หน้าคณะของเจ้าตัวตามปกติ โชคดีว่าตั้งแต่วันที่นะบอกความจริงกับไอ้เชนไปแล้วว่าคบกับผมในฐานะอะไร ไอ้เด็กนั่นก็ไม่โผล่มาป้วนเปี้ยนใกล้ๆแฟนผมให้รำคาญลูกตาอีกเลย ซึ่งก็ดีแล้วเพราะเวลาเห็นหน้าไอ้ตี๋นั่นทีไรผมเป็นต้องอารมณ์เสียทุกที

ด้วยความที่วันนี้ทั้งผมทั้งนะเลิกเรียนกันค่อนข้างเย็นเลยหิวจนท้องกิ่วกันทั้งคู่ พวกเราเลยตกลงกันว่าจะไปนั่งทานข้าวที่ร้านในตรอกริมแม่น้ำกันก่อนกลับหอ ระหว่างทางไปก็ต้องผ่านลานริมท่าน้ำที่คับคั่งไปด้วยแผงขายของและคนที่เดินเลือกซื้อเป็นปกติ ผมเห็นมุ้ยที่ท่าทางกำลังคุยกับลูกค้าเพลินอยู่ที่แผงขายกระเป๋าซึ่งเจ้าตัวเคยบอกว่าช่วยเพื่อนขายอยู่ ตอนแรกนะก็อยากจะเข้าไปทัก แต่ผมรู้ว่าถ้าหากเจอกันตอนนี้ล่ะก็มีหวังโดนรั้งตัวไว้เม้าท์ยาวแน่เลยขอเลือกกินข้าวให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า

พวกเราแทบไม่ต้องเสียเวลาเลือกร้านเพราะว่าตอนเย็นแบบนี้มีร้านที่ยังเปิดให้บริการไม่กี่เจ้า หลังจากเข้าไปนั่งในร้านที่ติดกับท่าน้ำที่สุดและได้อาหารตามสั่งกันเรียบร้อยแล้วนะก็เงยหน้าขึ้นหาผม

“แล้วรายงานที่วันก่อนคุยกับเพื่อนไปเป็นไงมั่งพี่อ๊อฟ”

คำถามของคนตัวเล็กทำเอาผมเกือบสำลักข้าวกระเพราหมูกรอบที่กำลังเคี้ยวอยู่ นะทำหน้าเหรอหราพลางรีบหยิบแก้วน้ำส่งให้ พอเห็นแววตาที่ไร้ซึ่งวี่แววเคลือบแคลงใจกับสิ่งที่ผมเคยบอกไปโดยสิ้นเชิงก็ให้รู้สึกผิดเล็กๆขึ้นมา แต่ในเมื่อผมเคยอ้างกับเจ้าตัวไปแบบนั้น ตอนนี้ก็คงทำได้แต่ต้องไหลตามน้ำไปเท่านั้นเอง

“ก็...คุยๆกันแล้วแต่ยังแบ่งเนื้อหากันไม่ลงตัวเลย สงสัยคงต้องนัดคุยกันอีกหลายรอบแหละ หัวข้อรายงานคราวนี้มันยากด้วยน่ะ”

คนฝั่งตรงข้ามทำเสียงรับรู้ในคอก่อนจะก้มลงสนใจก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ของตัวเองตามเดิม ผมได้แต่หวังว่าตัวเองคงปิดนะได้ไปตลอดจนกระทั่งถึงวันที่ตั้งใจจะให้ของขวัญ เพราะถ้าหากเจ้าตัวรู้ก่อนขึ้นมา ไอ้เรื่องที่กะจะให้เป็นเซอร์ไพรส์มันก็ไม่เซอร์ไพรส์กันพอดี

หลังทานข้าวเย็นเสร็จนะก็ขอไปแวะหามุ้ยที่แผงขายกระเป๋าตรงตลาดท่าน้ำ ส่วนผมเองด้วยความขี้เกียจเจอเพื่อนเลยปลีกไปซื้อของที่เซเว่นแล้วนัดเจอกับพ่อหนูน้อยตรงป้ายรถเมล์แทน และท่าทางสิ่งที่ผมกลัวก็จะไม่ผิดจากความจริงนักเพราะทั้งที่ผมซื้อน้ำจากเซเว่นไปยืนดื่มรอที่ป้ายรถเมล์ตั้งนานแล้วคนที่นัดไว้ก็ยังไม่มา แถมกลุ่มเมฆครึ้มกับลมที่เริ่มพัดแรงก็บ่งบอกว่าฟ้าคงจะรั่วในอีกไม่นานผมเลยตัดสินใจโทรตาม แต่เมื่อคนที่รออยู่เดินมาถึงผมก็ต้องแปลกใจเพราะสีหน้าของนะดูซีดต่างจากตอนที่เพิ่งทานข้าวเสร็จอย่างเห็นได้ชัด

“นะเป็นอะไร ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะ โดนมุ้ยแกล้งอะไรมาหรือเปล่า?”

ผมรีบดึงคนที่ก้มหน้าเงียบเข้ามาใกล้ แต่พอแตะหลังมือเข้ากับหน้าผากก็พบว่าอุณหภูมิของอีกฝ่ายปกติดี ผมเลยจับบ่าสองข้างของนะไว้แล้วมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ แต่พ่อหนูน้อยก็แค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกพี่อ๊อฟ เรารีบกลับหอกันดีกว่า เดี๋ยวต้องไปเก็บของเตรียมไปเที่ยวพรุ่งนี้อีก”

เสียงของคนตอบฟังดูอ่อยๆไม่ค่อยเต็มเสียง แถมพอตอบเสร็จก็หลบสายตาผมอีก แต่ผมไม่อยากซักไซ้เพราะคิดว่านะคงเหนื่อยเลยแค่บีบมือเล็กเบาๆ

“หืมม์? ขี้เห่อจังนะเรา ไปแค่สองคืนเองเก็บของไม่นานหรอก ว่าแต่นะหน้าซีดจริงๆรู้ตัวมั้ย ยังไงเรียกแท็กซี่กลับหอแล้วกันนะ”

คนตัวเล็กย่นจมูกนิดหน่อยตอนผมแซวว่าขี้เห่อ แต่ก็พยักหน้าเห็นด้วยที่จะโบกแท็กซี่กลับเพราะฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว พอกลับถึงหอผมเลยเอายาให้นะกินเผื่อไว้ก่อนแล้วให้รีบอาบน้ำแต่หัววัน ระหว่างนั้นก็รีบเอาของขวัญกับอย่างอื่นที่ต้องใช้ระหว่างไปเที่ยวยัดลงกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองไว้จะได้พ้นหูพ้นตาคนร่วมห้อง พอพ่อหนูน้อยอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วผมถึงค่อยเข้าไปอาบน้ำต่อบ้าง

“พี่อ๊อฟ พี่อ๊อฟว่าไปทะเลคราวนี้น่าจะต้องเอาเสื้อผ้าไปกี่ตัวดี?”

พอผมเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเช็ดผมไปด้วยก็เห็นว่าคนถามกำลังนั่งกอดอกอยู่กลางเตียง รอบตัวรายล้อมไปด้วยเสื้อกับกางเกงที่ดูแล้วน่าจะพอสำหรับไปค้างแรมสักหนึ่งสัปดาห์ได้ ผมเลยต้องหยิบเสื้อขึ้นตัวหนึ่งเพื่อให้ตัวเองมีที่นั่งก่อนจะไล่สายตาดูข้าวของบนเตียงยิ้มๆ

“โหย นี่จะไปทริปสองคืนหรือสิบคืนกันแน่เนี่ย นะไม่ต้องเอาไปเยอะขนาดนี้ก็ได้ หนักกระเป๋าเปล่าๆ”

“ก็ไม่ได้กะว่าจะเอาไปทั้งหมดนี้ซักหน่อย นี่นะเอาออกมาวางเฉยๆ นานๆจะได้ไปทะเลซักทีก็อยากเอาเสื้อผ้าที่ไม่ค่อยได้ใส่มาใช้มั่งนี่นา”

เสียงคนตัวเล็กตอบแบบติดจะงอนๆ ผมเลยหัวเราะพลางหยิบเสื้อผ้าที่วางกระจัดกระจายบนเตียงขึ้นดู เสื้อตัวนี้...ผ้าบางไปนิด กางเกงตัวนี้ก็...อืม...ใส่ตอนอยู่กันสองคนได้แต่อย่าให้ใส่ตอนอยู่ข้างนอกดีกว่า นะมองตามมือผมที่แยกกองเสื้อผ้าให้แล้วก็ทำหน้ามุ่ย

“ตกลงพี่อ๊อฟเหลืออะไรให้นะใส่มั่งเนี่ย?”

พอได้ยินคำท้วงขผมเลยหยิบกางเกงขาสามส่วนกับเสื้อยืดแขนสั้นแบบที่ไม่เข้ารูปเกินไปยื่นให้คนถาม ก็เข้าใจหรอกว่าอีกฝ่ายคงอยากใส่เสื้อผ้าตามแบบที่ฮิตๆกันอยู่บ้างซึ่งที่จริงผมก็ไม่ได้ว่า แต่บางแบบนี่ก็ไม่ค่อยอยากให้ใส่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเลยต้องขอมีส่วนเลือกนิดนึง

“ก็นี่ไง แบบนี้แหละใส่สบายเหมาะกับไปทะเล ที่เหลือนี่เอาไว้ทริปอื่นแล้วกัน ส่วนกระเป๋านี่ใช้ใบเล็กก็คงพอมั้ง”

ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็หยิบกระเป๋าสะพายที่คนตัวเล็กชอบใช้เวลากลับไปเยี่ยมบ้านขึ้นส่งให้ นัยน์ตากลมโตมองหน้าผมสลับกับกระเป๋าในมือแล้วก็ขมวดคิ้ว

“แล้วพี่อ๊อฟใช้ใบไหนล่ะ เอาใส่ไปด้วยกันเลยไม่ได้เหรอ?”

...เอ่อ....

“พี่ว่าอย่าดีกว่า ถ้ากระเป๋าใครกระเป๋ามันเวลาจะหยิบเอาอะไรก็สะดวกดีไง เอาไปคนละใบแหละดีแล้ว”

ผมเอ่ยตอบไปก็รู้สึกอยากปาดเหงื่อไปทั้งที่ในห้องไม่ได้ร้อน แต่จะให้บอกความจริงนะได้ยังไงว่าทำไมถึงใช้กระเป๋าใบเดียวกันไม่ได้ ทั้งที่ถ้าหากว่าผมไม่ได้ซ่อนของขวัญสำหรับเซอร์ไพรส์เจ้าตัวไว้ล่ะก็ผมคงยินดีให้เราใช้กระเป๋าใบเดียวกันอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเลยสักนิด

นัยน์ตากลมโตหรี่มองผมก่อนจะก้มหน้าแล้วยัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าที่ยื่นให้โดยไม่พูดอะไรอีก แต่ว่าท่าทางเม้มปาก แถมคิ้วยังขมวดแน่นแบบนี้...มองยังไงก็ไม่เข้าท่าแน่ๆ

“นะครับ...”

“เสร็จแล้ว นะจะไปแปรงฟันล่ะ พี่อ๊อฟก็นอนไปได้เลยไม่ต้องรอ”

คนตัวเล็กว่าแล้วก็ลุกเข้าห้องน้ำแบบไม่รอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ ผมมองกระเป๋าของอีกฝ่ายที่รูดซิปเรียบร้อยอยู่บนเตียงแล้วก็มองตามประตูห้องน้ำที่ปิดลง สรุปว่าคราวนี้ผมโดนแฟนงอนเพราะแค่ไม่ให้ใช้กระเป๋าใบเดียวกันเหรอเนี่ย?


++------++


“ถึงปากซอยแล้วเหรอวะ เออๆ งั้นเดี๋ยวถึงแล้วจอดรอที่หน้าทางเข้าได้เลย โอเคเว่ย เดี๋ยวเจอกัน”

ยามเช้าของวันศุกร์มาถึงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผมกดวางสายจากเป้ก่อนจะหันกลับไปหาคนที่กำลังเอาผ้าขนหนูแขวนที่ราวพาดข้างตู้เสื้อผ้า นัยน์ตากลมโตเหลือบขึ้นสบกับผมแวบเดียว แต่แล้วก็ตวัดสายตาลงพลางก้มลงคุ้ยหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าจนผมต้องกลอกตา

“นะเก็บของเสร็จยังครับ เป้มันน่าจะใกล้ถึงหอแล้วล่ะ ไปรอข้างล่างกัน”

ผมหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นพาดบ่าแล้วก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะรับกระเป๋าของคนตัวเล็ก แต่แล้วมือที่ยื่นไปก็ต้องค้างเก้อเพราะอีกฝ่ายเดินผ่านผมไปใส่รองท้าแล้วเปิดประตูเดินลิ่วออกจากห้อง ผมมองตามแผ่นหลังเล็กนั่นแล้วก็ต้องถอนหายใจก่อนจะออกจากห้องบ้างแล้วล็อกประตูให้เรียบร้อย

ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเรื่องที่ทำให้แฟนงอนล่าสุดนี่มันจะไร้สาระได้ขนาดนี้ แต่ดูเหมือนนะจะงอนแบบจริงๆจังๆเสียด้วยเพราะตั้งแต่เข้านอนเมื่อคืนจนมาถึงเช้าวันนี้เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมพูดกับผมสักคำ

เสียงสัญญาณลิฟต์เปิดที่ดังขึ้นเบาๆทำให้ผมต้องรีบสาวเท้าตามคนตัวเล็กที่ยืนรออยู่เพราะว่าลิฟต์ที่นี่ช้ามากถึงมากที่สุด ถ้าพลาดรอบนี้ก็เลือกเดินแทนได้เลยเพราะไม่อย่างนั้นจะต้องเสียเวลารออีกหลายนาที ผมเหลือบมองพ่อหนูน้อยที่ยังยืนกอดอกคิ้วขมวดอยู่ระหว่างรอให้ลิฟต์พาลงชั้นหนึ่ง แต่พอยื่นมือไปจะช่วยหยิบกระเป๋าจากหลังอีกฝ่ายมาถือให้ก็โดนตาโตๆทำตาเขียวใส่ แค่นั้นไม่พอยังขยับกระเป๋าหนีมือผมอีกต่างหาก

“นะอย่าทำงี้สิ พี่แค่จะช่วยถือ...”

“ไม่เป็นไร ของเบานิดเดียว นะถือเองได้”

เหมือนจะได้ยินเสียงเน้นหนักตรงคำว่า ‘ของเบานิดเดียว’ แล้วพ่อหนูน้อยก็ไม่พูดอะไรอีก พอลิฟต์ถึงชั้นหนึ่งแล้วนะก็รีบเดินจ้ำไปที่รถสีดำคุ้นตาของเพื่อนผมที่จอดอยู่เยื้องทางเข้าหอไปนิดหน่อยทันที เป้คงเห็นพวกผมจากกระจกมองหลังเลยเดินลงมาเปิดท้ายรถให้ขณะที่วิวยื่นหน้าออกมาทักทายจากที่นั่งข้างคนขับ

หลังจากพายุฝนซัดกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตาไปตอนกลางดึกเมื่อคืน เช้านี้อากาศจึงแจ่มใสจนไม่น่าเชื่อ บนท้องฟ้ามีเพียงเมฆปุยบางเบาเหมือนขนมสายไหมลอยห่างกันเป็นหย่อมๆ เป้ไม่ได้นัดพวกผมเช้ามากเพราะไม่มีเหตุผลจะต้องรีบร้อนเข้าที่พัก เมื่อวานเลยตกลงว่าจะเจอกันที่หอผมตอนเก้าโมงครึ่ง แต่เอาเข้าจริงเจ้าเพื่อนตัวดีก็มาถึงเอาซะตอนสิบโมงกว่าเข้าไปแล้ว

“หวัดดีครับน้องนะ โทษทีว่ะอ๊อฟมาช้าไปหน่อย เดี๋ยวเอาของเก็บที่หลังรถก่อนแล้วกัน”

เป้รับไหว้คนตัวเล็กแล้วก็ช่วยจัดระเบียบข้าวของในท้ายรถให้ นอกจากกล่องรองเท้ากับพวกกองหนังสือที่เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นของวิวแล้วก็มีกระเป๋าเดินทางแบบมีล้อลากขนาดไม่ใหญ่นักวางอยู่ใบเดียว นะมองกระเป๋าใบนั้นแวบหนึ่งแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนผมที่ใส่แว่นกันแดดยืนอยู่ข้างๆ

“พวกพี่เป้เอากระเป๋าไปใบเดียวเหรอฮะ?”

คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แต่เลนส์แว่นกันแดดสีเข้มทำให้มองไม่เห็นว่าเพื่อนผมทำตาแบบไหนอยู่ แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าเป้คงแปลกใจเหมือนกันที่โดนถามแบบนั้น

“อืม ก็ของๆพี่กับพี่วิวรวมกันก็ไม่ได้เยอะ อีกอย่างเวลาไปเที่ยวก็ไม่อยากเอากระเป๋าหลายใบไปให้มันรุงรังน่ะ”

“อ๋อ”

พ่อหนูน้อยตอบรับในคอแล้วก็วางกระเป๋าตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดประตูขึ้นรถฝั่งซ้ายโดยไม่หันมามองผมเลย ผมหันกลับไปเห็นรอยยิ้มมุมปากของเพื่อนที่ยังยืนกอดอกรออยู่แล้วก็ให้รู้สึกขัดหูขัดตายังไงชอบกล

“จะยิ้มหาอะไรนักหนาวะ แดดร้อนไปรึไงมึง”

“เปล๊า”

ทั้งๆที่ไอ้เพื่อนตัวดีตอบปฏิเสธแล้ว แต่เสียงหัวเราะในคอที่ดังตามหลังมานี่มันฟังแล้วน่าเอาอะไรทุ่มใส่ซะจริงๆ เป้ผละไปขึ้นประจำที่คนขับทั้งที่ยังยิ้มไม่เลิก ผมเลยเดินไปเปิดประตูหลังทางฝั่งซ้ายบ้าง แต่ปรากฏว่าคนที่นั่งอยู่แล้วกลับขมวดคิ้วมองผมเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาขึ้นฝั่งนี้ด้วย แล้วก็เลยพาลไม่เขยิบหนีให้อีกต่างหาก

นี่ถ้าไม่ติดว่ามีคนอื่นอยู่ในรถผมจะจับนะกดติดเบาะหลังแล้วจูบซะให้หายดื้อเลย จะงอนเรื่องไม่เป็นเรื่องไปทำไมกันนักหนาก็ไม่รู้

“เอ่อ…พี่ว่าน้องนะขยับไปนั่งหลังพี่เป้ดีกว่านะ เป้ก็ขายาวอ๊อฟก็ขายาว ขืนให้นั่งฝั่งเดียวกันเดี๋ยวอ๊อฟเมื่อยแย่”

วิวคงเห็นท่าทางประหลาดๆของผมสองคนเลยช่วยเสนอทางออกให้ นะละสายตาจากผมไปมองคนพูดที่เอี้ยวตัวมาจากเบาะหน้าแล้วก็พยักหน้าเบาๆก่อนจะยอมกระเถิบไปอีกฝั่งแต่โดยดี ผมเห็นท่าทางแบบนั้นก็ต้องแอบถอนหายใจก่อนจะขึ้นนั่งตามแล้วปิดประตูรถ พอหันไปหาคนข้างตัวอีกทีก็เห็นว่าฝ่ายนั้นเอาหมอนอิงใบเล็กขึ้นกอดแล้วหันไปด้านนอกรถแล้ว


++------++


หลังจากออกจากกรุงเทพฯมาได้ราวชั่วโมงกว่าโดยที่ไม่มีใครคุยอะไรกันมากมาย เป้ก็พาเลี้ยวเข้าแวะพักในปั๊มใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้เข้าห้องน้ำกับซื้อขนมสำหรับทานเล่น พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จนะกับวิวก็พากันเข้าไปในมินิมาร์ทขณะที่ผมกับเป้นั่งรอกันอยู่ที่ศาลาข้างลานจอดรถเพราะเป้จะสูบบุหรี่ ที่จริงผมเองก็สูบเป็นเพราะเคยลอง แต่ไม่ได้ติดใจจนต้องมีพกติดตัวประจำเหมือนกับเพื่อน แม้ว่าหากเทียบกับสมัยที่ผมรู้จักเจ้าตัวใหม่ๆแล้วจะสังเกตได้ว่าระยะหลังนี้เป้สูบบุหรี่น้อยลงเยอะแล้วก็ตาม

บรรยากาศภายในปั๊มที่เราแวะพักค่อนข้างคึกคักเพราะเป็นช่วงวันหยุดยาว ในลานจอดรถเต็มไปด้วยรถยนต์หลายขนาดที่คงต่างมุ่งหน้าไปเที่ยวพักผ่อนนอกเมืองเหมือนกัน ดูจากเหล่าลูกค้าที่เดินเบียดกันอยู่ในร้านมินิมาร์ทซึ่งขนาดไม่ได้เล็กตามชื่อแล้ว กว่าวิวกับนะจะได้ซื้อของแล้วจ่ายเงินเสร็จออกมาก็คงจะอีกพักใหญ่ ผมเลยนั่งเท้าคางปักหลักมองมินิมาร์ทนั้นไปเรื่อยๆเพราะไม่รู้จะทำอะไรดี

“ชะเง้ออยู่นั่นแหละมึง ไปทำอะไรให้น้องนะงอนเข้าล่ะคราวนี้”

เป้ตบไหล่แล้วถามยิ้มๆก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นจุด ผมเหล่ตามองคนข้างตัวแล้วก็ไม่เข้าใจว่าทั้งที่มานั่งอยู่ในศาลาแล้วอีกฝ่ายจะยังใส่แว่นกันแดดอยู่ทำไม แต่ถึงจะเห็นไม่ถนัดผมก็มั่นใจว่านัยน์ตาหลังแว่นนั่นต้องกำลังเกลื่อนยิ้มเพราะขำผมอยู่แน่ๆ

“กูก็อยากรู้เหมือนกันแหละ ว่าจะถามแล้วแต่นะก็ไม่ยอมคุยด้วยยาวๆสักทีเลยไม่รู้ว่างอนอะไรแน่”

ผมงึมงำตอบในคอ ความจริงก็ใช่ว่าจะไม่ชินกับการโดนงอนเพราะยังไงก็โดนเป็นประจำ เพียงแต่ปกติพอผมง้อหนักๆเข้าแป๊บเดียวนะก็หายงอนแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่โดนงอนข้ามวันเลยค่อนข้างสับสนว่าทำไมคราวนี้อีกฝ่ายถึงงอนนานกว่าทุกครั้ง แถมเมื่อคืนนะถึงกับหนีผมลงไปนอนพื้นจนผมต้องอุ้มกลับขึ้นมานอนบนเตียงหลังเจ้าตัวหลับไปแล้ว แต่พอตื่นเช้ามาอีกทีก็เห็นว่านะรีบตื่นหนีมาอาบน้ำแต่งตัวก่อนแล้วอีก

“ที่จริง...เรื่องใช้กระเป๋าใบเดียวกันหรือคนละใบมันก็เรื่องเล็กนิดเดียวเองนะเว่ย ไม่เห็นจะน่าเอามางอนกันเลยด้วยซ้ำ”

ผมบ่นพึมพำขึ้นมาอีกครั้ง เป้เลยเคาะเถ้าบุหรี่ลงข้างๆเท้าก่อนจะหันกลับมาหา

“เรื่องเล็กของมึง แต่อาจเรื่องใหญ่ของเค้าหรือเปล่า อีกอย่างมึงแน่ใจแล้วเหรอว่าน้องนะไม่ได้งอนมึงแค่เพราะเรื่องกระเป๋าเรื่องเดียว?"

ผมเท้าศอกข้างหนึ่งลงบนเข่าพลางถอดหมวกแก๊ปที่ใส่อยู่ออกมาพัดคอ พยายามนึกแล้วนึกอีกแต่ก็นึกไม่ออกว่าตัวเองไปทำอะไรที่จะทำให้นะต้องไม่พอใจ ความจริงก็คิดอยู่เหมือนกันว่าฝ่ายนั้นไม่น่าจะงอนแค่เพราะเรื่องที่ผมไม่ให้จัดกระเป๋ามาด้วยกัน แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกจนหัวแทบแตกยังไงก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าผมไปทำอะไรให้พ่อหนูน้อยงอนตอนไหน จะว่าทะเลาะกันหรือเปล่าก็ไม่ใช่ซะด้วยซ้ำ

ทั้งผมทั้งเป้ต่างเงียบกันไปขณะที่ยังรอคนที่ไปซื้อของในมินิมาร์ท ผมรู้สึกเหมือนจะเห็นคนตัวเล็กเดินผ่านแถวริมกระจกหน้าร้านแว้บๆแต่แล้วก็กลืนหายไปกับเหล่าคนที่เดินกันยุ่บยั่บอยู่ข้างในอีก กลิ่นควันบุหรี่เจือจางในอากาศทำให้ผมต้องเบนสายตาไปมองมวนกระดาษสีขาวในมือเพื่อนซึ่งถูกสูบจนเกือบจะถึงก้นกรองอยู่แล้ว

“เฮ้ยเป้ วิวเคยงอนมึงมั่งมั้ยวะ?”

คนถูกถามเลิกคิ้วก่อนจะหันไปขยี้ก้นบุหรี่ลงกับถังทรายที่ตั้งอยู่ใกล้ม้านั่งแล้วพ่นควันออกช้าๆ เป้ทำท่าคิดเพียงไม่นานก็ยักไหล่

“ก็มีบ้างแต่ไม่บ่อย ครั้งล่าสุดนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กูยังจำไม่ได้เลย”

ผมพยักหน้าเบาๆก่อนจะหันกลับไปมองทางเดิม ความจริงก็ไม่แปลกใจนักกับคำตอบที่ได้รับ เพราะตั้งแต่สองคนนี้คบกันมาก็ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีเรื่องผิดใจหรือทะเลาะกันเวลาอยู่ต่อหน้าผมเลยสักครั้ง อีกอย่างด้วยบุคลิกของวิวที่เป็นคนเงียบๆก็ทำให้ผมนึกภาพแฟนเพื่อนเวลางอนไม่ออกเหมือนกัน

“วิวเป็นผู้ใหญ่ดีนะ”

ผมพูดเปรยๆทั้งที่ยังนั่งเท้าคางอยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะพูดแบบนั้นขึ้นมาทำไม แต่เป้ก็เพียงแค่หัวเราะในคอเมื่อได้ยินผมชมแฟนให้ฟัง

“อะไรของมึง พูดอย่างกับว่าถ้าน้องนะเป็นผู้ใหญ่มั่งมึงจะดีใจงั้นแหละ”

เสียงเป้ลอยเข้าหูขณะผมเห็นคนที่ถูกพูดถึงกำลังเดินออกมาจากมินิมาร์ท ในมือเล็กมีถุงพลาสติกอยู่หนึ่งถุง ส่วนร่างสูงโปร่งของวิวที่เดินตามมาติดๆก็มีถุงในมือใบหนึ่งเหมือนกัน ท่าทางของพ่อหนูน้อยที่หันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนข้างหลังก่อนจะหัวเราะทำให้ริมฝีปากผมยกยิ้มโดยไม่ตั้งใจ

...ก็จริงอยู่ที่นะยังมีความเป็นเด็กสูง นอกจากขี้อ้อนแล้วแถมยังงอนเก่งด้วยอีกต่างหาก แต่แล้วจะทำไมล่ะ ถ้าเกิดพ่อหนูน้อยเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาผมก็ไม่มีใครให้ตามง้อน่ะสิ

“เฮ้ยอ๊อฟ คิดอะไรอยู่ก็เก็บๆอาการไว้มั่งนะเว่ย”

ผมหันไปตามเสียงคนแซวก็เห็นว่าเป้กำลังยืนกอดอกยิ้มอยู่ ผมเลยใส่หมวกตามเดิมก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่ไม่แพ้เพื่อนบ้างแล้วหันไปแขวะกลับ

“ถ้ากูมองแฟนแล้วทำหน้าโรคจิตมึงก็พอกันแหละวะ อย่าคิดนะว่ากูไม่รู้ว่าทำไมมึงถึงไม่ยอมถอดแว่นกันแดดซักทีน่ะ ไอ้เชี่ยนี่”

เจ้าเพื่อนตัวดีได้ยินที่ผมพูดแล้วก็หัวเราะ พอดีกับที่คนที่กำลังรออยู่พากันเดินมาถึงศาลา เป้รับกระป๋องกาแฟเย็นที่วิวส่งให้แล้วก็ยิ้มตอบพลางใช้นิ้วชี้ดันเลนส์แว่นขึ้นไป แต่ความที่ผมยืนอยู่ข้างๆเจ้าตัวทำให้เห็นแววตาของเพื่อนที่กำลังมองแฟนตัวเองอย่างชัดเจนจนอดหมั่นไส้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าถ้าวิวได้มาเห็นเหมือนที่ผมเห็นว่าเป้มองตัวเองแบบไหนอยู่จะเขินหรือเปล่า หรือว่าจะชินเพราะโดนเพื่อนผมมองแบบนี้ตลอดอยู่แล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน

“แดดชักร้อนแล้วนะ รีบไปกันดีกว่าจะได้แวะหาที่กินข้าวกลางวันก่อนถึงรีสอร์ต ไปครับน้องนะ ไปอ๊อฟ”

เป้รับถุงสีขาวพิมพ์ลายจากในมือวิวไปถือไว้แล้วก็หันมาเรียกพวกผม ผมเหลือบตาลงมองถุงในมือของนะบ้างแล้วก็ยื่นมือไปจะหยิบมาถือให้ แต่พ่อหนูน้อยกลับรีบดึงถุงหนีจนเกือบจะเหมือนกระชาก

“นะถือเองได้”

หางเสียงอีกฝ่ายแอบห้วนนิดหน่อยจนเจ้าตัวยังเผลอทำหน้าตกใจก่อนจะก้มหน้าเงียบ ผมหลุบปีกหมวกแก๊ปที่ตัวเองใส่อยู่พลางมองแก้มสองข้างที่เรื่อสีชมพูของคนตรงหน้า ท่าทางนะคงจะร้อนเพราะขนาดเดินออกมาจากมินิมาร์ทไม่นานก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆซึมบนหน้าผากแล้ว แถมเปลวแดดที่กำลังสาดส่องลงมาเต็มที่ในตอนสายก็อาบพื้นปูนซะจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ไล้อยู่บนขา ผมเลยยกนิ้วขึ้นเกลี่ยไรผมเส้นเล็กๆที่เกาะหน้าผากชื้นเหงื่อของคนตรงหน้าออกก่อนจะปลดถุงจากมือเล็กมาถือไว้เอง

“ไม่เอาน่า นะอุตส่าห์ไปเบียดคนซื้อของมาให้แล้ว ยังไงให้พี่ถือให้แล้วกันนะ”

คนตัวเล็กสบตากับผมแล้วก็เม้มปาก แต่จากประกายในตาก็บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มใจอ่อนลงบ้างแล้ว มือเล็กผ่อนแรงที่รั้งถุงไว้และยอมปล่อยให้ผมถือแต่โดยดีก่อนจะเดินตามผมกลับไปที่รถเงียบๆ ผมชำเลืองมองท่าทางเหมือนคนที่ยังทำท่ากึ่งงอนแล้วก็ต้องแอบยิ้ม ยิ่งพอมาขึ้นรถแล้วได้เห็นว่าพ่อหนูน้อยซื้อน้ำอัดลมยี่ห้อที่ผมชอบมาให้ด้วยก็ยิ่งต้องยิ้มมากเข้าไปใหญ่ ถึงแม้คนที่ซื้อมาให้จะยังนั่งกอดหมอนอิงแล้วมองไปนอกหน้าต่างอีกด้านแทบจะตลอดระยะทางที่เหลือก็ตามทีเถอะ

++------++


ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
พวกเราแวะทานอาหารกลางวันที่ตัวเมืองหัวหินกันก่อนจะไปปราณบุรีต่อแบบไม่รีบร้อน หลังมื้อเที่ยงเสร็จไปผมก็ถามเป้เหมือนกันว่าจะให้ช่วยขับรถให้ไหม แต่เพื่อนบอกว่าเอาไว้ขากลับก่อนแล้วอาจจะให้ช่วย (มีการมาแขวะอีกว่าผมจะทำรถโดนชนท้ายหรือเปล่า รู้งี้ไม่เล่าวีรกรรมตอนกลับไปเยี่ยมบ้านช่วงปีใหม่ให้ฟังซะก็ดี)

กว่าพวกเราจะมาถึงที่พักก็เป็นเวลาบ่ายจัดแล้ว แต่ทว่าแสงแดดก็ยังคงแผดจ้าสม่ำเสมอจนไม่น่าจะลงเล่นน้ำได้ในชั่วโมงหรือสองชั่วโมงนี้แน่ ผมมองนะที่แก้มแดงเรื่อเพราะไอแดดทันทีที่ลงจากรถแล้วก็ถอดหมวกตัวเองออกจะยื่นให้ใส่ แต่คนตัวเล็กก็ยืนยันเสียงแข็งว่ายังไงก็ไม่เอาจนผมต้องใส่หมวกกลับไว้ตามเดิม

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าจองห้องพักไว้แล้วหรือเปล่าคะ?”

พนักงานต้อนรับสาวเอ่ยทักทายแล้วก็เดินนำพวกเราเข้าไปด้านใน ความที่ได้เห็นรูปภาพจากในเว็บไซต์มาบ้างแล้วทำให้ผมไม่ตื่นเต้นกับสถานที่เท่าไหร่ แต่ถึงยังไงก็ต้องยอมรับว่ารูปถ่ายกับสถานที่จริงนั้นแทบจะเทียบกันไม่ได้เพราะเราไม่มีทางเห็นสีสันหรือมิติของสถานที่จากในรูป อันที่จริงรีสอร์ตแห่งนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไรนัก ถัดจากล็อบบี้และห้องอาหารซึ่งอยู่เยื้องไปหลังเดินเข้าประตูหน้ามาแล้ว เลยเข้าไปตรงกลางคือสระว่ายน้ำสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวซึ่งปูพื้นด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินเข้ม ส่วนอาคารสำหรับแขกที่เข้าพักจะเป็นอาคารสองชั้นซึ่งตั้งขนาบข้างสระว่ายน้ำ ดูจากผังแล้วก็เรียบง่ายดี แต่เพราะการจัดสวนที่ออกแบบมาให้มีร่มสนามสีแดงอิฐตัดกับพื้นหญ้าและต้นไม้สีเขียวสด รวมทั้งมีตุ๊กตาหินประดับเป็นระยะตามทางเดินทำให้รู้สึกร่มรื่นโดยไม่ว่างโล่งหรืออึดอัดจนเกินไป

ผมเหลือบมองสีหน้าของคนตัวเล็กที่ท่าทางกำลังตื่นเต้นกับสระว่ายน้ำตรงกลางโรงแรมซึ่งมองเผินๆแล้วเหมือนยาวออกไปจรดกับผืนน้ำทะเลแล้วก็ต้องยิ้ม แต่ขืนลงเล่นน้ำตอนนี้ก็รับรองว่าสุกเกรียมกันทั้งตัวแน่ๆ ขนาดแขกคนอื่นที่มาถึงก่อนยังนอนอาบแดดริมสระกันอยู่ประปรายเพียงไม่กี่คนเอง แถมเท่าที่มองแล้วส่วนมากก็จะเป็นชาวต่างชาติกันแทบทั้งนั้นด้วย

เป้ปล่อยพวกเราที่เหลือสามคนให้นั่งดื่มน้ำเย็นรอตรงล็อบบี้ขณะเจ้าตัวเข้าไปลงชื่อเช็คอินที่เคาน์เตอร์ ไม่นานเพื่อนผมก็เดินกลับมาพลางอธิบายรายละเอียดห้องพักให้

“อ๊อฟ ห้องของมึงกับน้องนะจะเป็นห้อง Ocean View บนชั้นสองตึกฝั่งซ้ายนะ เบอร์ห้องจะอยู่บนคีย์การ์ด ส่วนห้องกูกับวิวจะอยู่ชั้นสองตึกขวา ห้องริมสุดเหมือนกัน”

“อ้าว ไม่ได้อยู่ห้องใกล้ๆกันเหรอฮะ?”

นะที่เงียบมาแทบตลอดทางในรถถ้าไม่โดนเป้กับวิวชวนคุยเงยหน้าขึ้นถามคนพูด วิวเลยเหลือบมองผมก่อนจะหันไปบีบไหล่คนตัวเล็กที่สุดในวงเบาๆแล้วยิ้มให้

“อยู่กันคนละตึกก็จริงแต่ก็ห่างกันแค่นิดเดียวเองนี่นา อีกอย่างน้องนะกับอ๊อฟจะได้เป็นส่วนตัวด้วยไง แต่ถ้ามีอะไรก็โทรหาพวกพี่ก็ได้ ถึงยังไงเดี๋ยวตอนกลางคืนเราก็ต้องทานข้าวเย็นด้วยกันอยู่ดี”

ผมแทบจะยกมือไหว้วิวด้วยความขอบคุณถ้าไม่ติดว่าเดี๋ยวคนตัวเล็กอาจหันมาเห็นเข้า แต่ราวกับนะจะรู้ทัน พ่อหนูน้อยเลยเม้มปากหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปหาวิวอีกครั้ง

“ถ้างั้น...เก็บของเสร็จแล้วนะขอไปนั่งเล่นที่ห้องพี่วิวได้มั้ย?”

“เฮ่ย!”

 “เอ่อ...”

สายตาของผมกับวิวประสานกันโดยอัตโนมัติขณะที่คนถูกถามทำสีหน้าลำบากใจ ท่าทางเป้คงเล่าให้วิวฟังไปแล้วว่าคนตัวเล็กกำลังงอนผมอยู่ หรือต่อให้เป้ไม่บอก ท่าทางพ่อหนูน้อยที่ไม่ค่อยพูดค่อยจาเหมือนปกติก็คงบอกกลายๆอยู่แล้วว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่นี่กะจะหนีผมจนถึงตอนนอนเลยหรือไงกันนะ

“ก็เอาสิ น้องนะเก็บของเสร็จแล้วก็มาหาวิวได้เลย ไม่ต้องโทรบอกก่อนก็ได้”

!!??

คราวนี้สายตาสามคู่รวมทั้งของผมด้วยหันไปทางต้นเสียงเป็นตาเดียว เป้ใช้นิ้วชี้ดันแว่นกันแดดขึ้นแล้วก็เอามือล้วงกระเป๋าพลางส่งยิ้มให้กับนะ แต่ไอ้ยิ้มมุมปากของเพื่อนกลับทำให้ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลยังไงไม่รู้ ทว่าคนข้างตัวผมคงไม่ทันสังเกตเลยหันไปยิ้มอย่างดีใจให้วิวที่ยังขมวดคิ้วใส่แฟนตัวเองอยู่

“ขอบคุณฮะพี่เป้ งั้นเดี๋ยวเก็บของเสร็จแล้วนะไปหาพี่วิวนะ”

“เอ๋? เอ่อ...พี่ว่า...”

วิวเบนสายตากลับไปหาคนตัวเล็กทั้งๆที่ยังมีร่องรอยของความไม่แน่ใจระบายอยู่เต็มหน้า แต่แล้วเป้ก็ยัดคีย์การ์ดใส่มือผมก่อนจะแตะบ่าวิวเป็นเชิงบอกให้ลุกไปด้วยกัน ผมมองตามหลังทั้งสองคนแล้วก็รู้ได้โดยสัญชาตญานว่าเพื่อนผมต้องคิดอะไรแผลงๆอยู่แน่ไม่งั้นเป้คงไม่ยอมให้นะไปกวนเวลาส่วนตัวของตัวเองกับแฟนง่ายๆอย่างนี้หรอก แต่ว่าผมยังไม่ทันจะหันไปพูดอะไรกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คีย์การ์ดในมือก็ถูกฉกไปโดยเจ้าของร่างเล็กบางที่เดินจ้ำไปยังอาคารฝั่งที่มีห้องพักของพวกเราอยู่แล้ว

...ให้มันได้งี้สิ

ผมหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นพาดบ่าก่อนจะก้าวยาวๆจนตามทันอีกฝ่ายที่หน้าห้องของพวกเราบนชั้นสอง สิ่งแรกที่กระทบสายตาหลังจากนะรูดคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปในห้องคือเตียงขนาดใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง ฝาผนังด้านหัวเตียงทาด้วยสีเขียวตองอ่อนสบายตาและมีรูปวาดลงรักประดับเป็นลายใบไม้ ส่วนผนังด้านอื่นที่เหลือทาสีขาวนวล เลยเข้าไปด้านในเป็นห้องน้ำพร้อมอ่างอาบน้ำซึ่งอวลกลิ่นน้ำมันตะไคร้หอมเจือจาง ขณะที่ฝั่งระเบียงด้านหน้าซึ่งเป็นกระจกสามารถเปิดออกไปเห็นทะเลได้ทันทีและมีม้านั่งยาววางอยู่สองตัว

ผมปลดกระเป๋าวางลงบนโต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียง แต่ยังไม่ทันจะนั่งพักให้หายเหนื่อย คนตัวเล็กก็เดินเข้าห้องน้ำไปล้างมือล้างหน้าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องทันทีจนผมต้องรีบลุกตาม

“นะครับ เดี๋ยวสิ ไม่นั่งพักหน่อยเหรอ จะรีบไปไหนน่ะเรา”

ผมก้าวยาวๆสองก้าวก็คว้าแขนเรียวของคนที่กำลังจะเปิดประตูห้องได้ทัน นะขมวดคิ้วมองผมนิดหนึ่งก่อนจะก้มหน้าแล้วก็ทำท่าจะดึงแขนหนี แต่ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมยิ่งจับแขนข้างนั้นแน่นขึ้นไปอีก ผมยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองโดนงอนเรื่องอะไร รู้แค่ว่าไม่ชอบเวลาที่นะทำท่าเหมือนไม่อยากอยู่กับผมสองคนแบบนี้เลยจริงๆ

“บอกพี่ได้มั้ยว่างอนเรื่องอะไรอยู่ พี่จะได้ง้อเราถูก ว่าไงครับ?”

ผมปล่อยแขนที่ตัวเองจับอยู่แล้วเปลี่ยนมาโอบอีกฝ่ายหลวมๆจากข้างหลังแทน แล้วก็อดไม่ไหวต้องก้มลงแนบริมฝีปากบนเรือนผมนุ่มเบาๆขณะรอคำตอบเพราะตั้งแต่อุ้มคนตัวเล็กขึ้นนอนบนเตียงเมื่อคืนแล้วก็แทบจะไม่ได้แตะตัวกันเลย คนในอ้อมแขนยืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่อึดใจใหญ่ แต่แล้วประโยคที่หลุดออกมาก็ทำเอาผมต้องยอมปล่อยมือแต่โดยดี

“จะไปหาพี่วิว”

ผมมองคนที่ยังยืนก้มหน้าจับลูกบิดประตูแล้วก็ต้องยกมือกอดอก นี่ถ้าไม่ติดว่าวิวเป็นแฟนของเพื่อนอยู่แล้วผมคงได้หึงขึ้นมาแน่ๆ แต่โชคดีที่สมองยังแยกแยะได้อยู่ว่าที่นะเกิดอาการติดวิวแจขึ้นมากะทันหันคงเป็นเพราะฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกปลอดภัยเหมือนพี่ชาย และถ้าหากเจ้าตัวอ้อนผมระหว่างที่ตัวเองงอนอยู่ไม่ได้ก็คงต้องหันไปอ้อนวิวแทนอะไรทำนองนั้น

“เอ้า ไปก็ไป งั้นพี่ไปด้วย”

นัยน์ตากลมโตหันขวับมามองผม แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรเมื่อผมหยิบหมวกขึ้นใส่แล้วดึงคีย์การ์ดออกจากช่องข้างประตู ผมปล่อยให้คนตัวเล็กเดินนำไปก่อนแล้วเดินล้วงกระเป๋าตามแบบเรื่อยๆ แต่พอใกล้จะถึงห้องของเป้ผมก็รีบสาวเท้าไปเดินคู่กับคนที่อยู่ข้างหน้าแล้วรั้งแขนเรียวไว้เบาๆ

“เดี๋ยวก่อน นะจะไม่โทรบอกวิวหน่อยเหรอว่าจะมาหา เกิดเจ้าตัวเค้ากำลังอยากนอนพักล่ะจะทำไง?”

“ก็พี่เป้บอกเองนี่ว่าให้มาได้เลย อีกอย่างถ้าพี่วิวจะนอนพักจริงๆเดี๋ยวนะนั่งรอเงียบๆก็ได้”

พ่อหนูน้อยหันมาตอบผมแล้วก็ออกเดินต่อ ส่วนผมเองพอได้ยินคำตอบแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว ถ้าหากวิวนอนพักอยู่จริงๆก็แล้วไปเถอะ ที่ผมห่วงน่ะเพราะกลัวว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้นเอาน่ะสิ

พอเดินขึ้นชั้นสองของตึกที่พักอีกฝั่งก็รู้สึกได้ถึงความเงียบที่ปกคลุมอยู่ตลอดระเบียงทางเดิน เป็นไปได้ว่าแขกห้องอื่นๆคงไปเที่ยวข้างนอกหรือไม่ก็เดินเล่นกันอยู่ด้านล่างกันหมด แต่ยิ่งเดินใกล้ห้องเพื่อนผมเข้าไปเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ควรจะมารบกวนมากขึ้นทุกที และบทสนทนาที่เล็ดลอดออกมาจากห้องด้านในสุดขณะที่คนตัวเล็กยกมือขึ้นเตรียมจะเคาะประตูก็ดูจะช่วยย้ำว่าผมคิดไม่ผิด

“เป้! เดี๋ยวก่อน! ถ้าเกิดน้องนะมาหาจะทำยังไ!?”

“ไม่เป็นไรหรอกน่ะ เป้บอกว่าให้มาได้แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าจะนั่งดูทีวีรอเฉยๆ ไม่ต้องห่วงหรอกวิว อ๊อฟมันไม่ปล่อยให้น้องนะมานี่หรอก”

“แล้วจะแน่ใจได้ยังไงเล่าว่าจะไม่มา...อื๊ออ...นี่! ฟังที่คนอื่นพูดไม่เข้าใจรึไง! บอกว่าให้ปล่อยยย!!!”

เสียงตุบตับจากในห้องทำเอาผมต้องยกมือขึ้นบีบขมับ ไม่รู้ละว่าสองคนข้างในกำลังเล่นอะไรกัน แต่พอลืมตาขึ้นมองนะอีกทีก็เห็นว่าคนตรงหน้ากำลังยืนตัวแข็ง นัยน์ตาหวานดูจะยิ่งโตขึ้นกว่าเดิมขณะที่ผิวหน้าก็สุกปลั่งไปถึงใบหู พ่อหนูน้อยรีบหันกลับมาแล้วก็เดินก้มหน้างุดเบียดผมเพื่อย้อนกลับทางเก่าทันที ผมมองตามแผ่นหลังบางแล้วก็ต้องยกมือเคาะประตูหนักๆแก้แค้นไปเพราะมั่นใจว่าเป้วางแผนให้เป็นแบบนี้อยู่แล้วแหงๆ แถมเสียงหัวเราะที่ลอดประตูออกมาก็ดูจะช่วยยืนยันความคิดผมเสียด้วย แต่จากนี้เจ้าตัวจะโดนแฟนโวยหรือเปล่าก็ช่างมันเพราะผมต้องรีบตามคนที่เขินแทนคนอื่นจนเดินลิ่วลงจากตึกไปนู่นแล้วก่อน

...จะว่าไปนี่มันทริปมาพักผ่อนแน่หรือเปล่านะเนี่ย…


++------++


ไม่ได้พาน้องนะกลับมาเยี่ยมเล้าซะนาน แต่ก็พามาแบบยาวๆนะจ๊ะ คิดถึงคนอ่านทุกคนนะ
(เดี๋ยวนี้เบลอ ไม่ค่อยรู้จะทอล์คอะไรดี รอตอบคอมเม้นต์ดีกว่า อิอิ)

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงวิวกะเป้ เอ๊ย ป้าจังเลย นานๆ มาที แต่น้องนะยังไม่เคลียร์เลยนะ เรื่องงอนพี่อ๊อฟเนี่ย  เอ้า พี่อ๊อฟ  รีบมาง้อเร็วๆ นะจ๊ะ  :really2:


ปล. ขอทวงอีกเรื่องด้วยนะ คิดถึงเรื่องนั้นใจจะขาด จวนเจียนจะขาดใจอยู่แล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด