ตอนที่ 6 คำเตือน: บทนี้มีฉากNCนะคะ เสร็จจากนั่งเรือฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ปุยเมฆลอยกระจายอยู่บนผืนฟ้าอาบด้วยแสงตะวันตกดินเป็นสีอมส้มเจือครามชวนให้ยิ่งรู้สึกหนาว โอลิเวอร์กระชับแจ็กเก็ตให้เข้าที่ กอดตัวเองไว้ขณะที่เดินไปตามถนนเส้นยาว
อัลฟองเซ่ซุกมือในกระเป๋าเสื้อ ตั้งแต่ที่เขาวางหูโทรศัพท์คนที่เดินอยู่ข้างตัวก็ชวนคุยเรื่องจิปาถะไม่หยุดปาก เมื่อผ่านร้านเบเกอรี่ก็ลากเขาเข้าไปข้างใน กลิ่นขนมอบกับวนิลาคลุ้งติดตัวหอมชวนให้อยากอาหาร
ขนมปังอัดตัวนอนก้นอยู่ในถุงกระดาษที่อัลฟองเซ่อุ้มไว้แนบอก จำนวนมากเกินจะกินหมดในมื้อเดียว บ้างเป็นขนมหวานแบบฝรั่งเศสบ้างก็เป็นแบบเยอรมันตามประสาเมืองแคว้นอาลซัสติดประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งหมดเป็นฝีมือการเลือกของโอลิเวอร์เผื่อสำหรับทานตอนนั่งรถไฟในเช้าวันพรุ่งนี้
พวกเขาเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ จนเจอร้านอัญมณี โอลิเวอร์หยุดยืนที่กระจกหน้าร้าน จับชายเสื้ออัลฟองเซ่ไว้แล้วดึงเบาๆ เรียกให้หันมองตาม จิวเวลรี่ในตู้สะท้อนแสงวิบวับหลากสี
“เลือกแหวนให้ผมสักวงสิ” เขาโพล่งขึ้นมา ตายังจ้องอยู่ที่ของหลังบานกระจก
“เอาไปใส่เนื่องในโอกาสอะไรครับ?”
“ใส่เป็นแหวนแต่งงาน” โอลิเวอร์พูดซื่อๆ ระหว่างหันมาเงยมองคนข้างกาย “เลือกให้ผมหน่อย แค่วงเดียวสำหรับผมก็พอ”
แววตาอัลฟองเซ่อ่อนโยนลงแม้กำลังยิ้มติดจะขำ “เอาจริงหรือครับ – คุณชอบพลอยอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าล่ะที่รัก?”
หลังจ้องสองตาคู่คมสวยอยู่เนิ่นนาน โอลิเวอร์ก็เอ่ยปาก “...แซฟไฟร์ครับ”
อัลฟองเซ่รู้ดีว่าอะไรเป็นเหตุผลที่อีกฝ่ายเลือกไพลิน...มันเป็นพลอยสีน้ำเงินเข้มเหมือนดวงตาของเขา ชายหนุ่มทำเพียงมองอย่างลึกซึ้ง ไม่ทันได้กล่าวอะไรโอลิเวอร์ก็เดินนำผลักบานประตูเข้าไปในร้าน
กลิ่นไม้ขัดกับน้ำยาปรับอากาศอวลอยู่ภายในร้านเครื่องประดับ เสียงพื้นไม้ดังต๊อกๆ เวลาที่พวกเขาก้าวเดิน โอลิเวอร์เกี่ยวนิ้วมือข้างที่ว่างของอัลฟองเซ่ไว้ระหว่างที่ยืนดูหน้าเคาเตอร์กระจก แทนที่จะชี้เพื่อบอกว่าอยากดูอะไรอัลฟองเซ่กลับกุมนิ้วมือเรียวยาวเอาไว้หลวมๆ ปากก็เอ่ยบอกพนักงานถึงแหวนลักษณะที่อยากได้
“ผมขอดูแหวนเงินประดับแซฟไฟร์ด้วยครับ ขอแบบเรียบๆ พลอยเม็ดไม่ใหญ่มากนัก”
โอลิเวอร์เม้มริมฝีปาก คนข้างตัวดูจะรู้ดีเหลือเกินว่าเขาชอบอะไรแบบไหนจากแค่การอยู่ด้วยกันไม่กี่วัน เครื่องประดับของโอลิเวอร์ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบเรียบหรู เพียงแต่ไม่คิดว่าชายคนนี้จะเอาใจใส่ได้ขนาดนั้น
บรรดาแหวนจัดเรียงอยู่ในกล่องบุกำมะหยี่ตามแบบที่อัลฟองเซ่ระบุ คราวนี้ชายหนุ่มยอมปล่อยมือเพื่อจะได้เลือกให้ถนัด
เขาหยิบแหวนเงินที่สลักลวดลายพันเกี่ยวเป็นเถาวัลย์เรียบๆ ประดับไพลินเม็ดหนึ่งที่คล้ายสีตาตัวเองที่สุดขึ้นมาพลิกดู ชายหนุ่มวางถุงขนมปังไว้บนเคาเตอร์ก่อนจะรวบมือซ้ายโอลิเวอร์ขึ้นมาระดับอก ลองสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย...เสียดายที่เล็กไปสักหน่อยสำหรับมือผู้ชาย
“รบกวนวัดขนาดนิ้วซ้ายเขาแล้วแก้แหวนวงนี้ให้ด้วยครับ ผมต้องการพลอยเม็ดนี้” อัลฟองเซ่หันไปสั่งพนักงานที่ยืนรออยู่เสร็จสรรพ โอลิเวอร์ส่งมือให้พนักงานวัด หายไปพักใหญ่ก็กลับมาพร้อมของที่เขาต้องการ
คราวนี้อัลฟองเซ่สวมแหวนให้โอลิเวอร์อีกครั้งแม้ฝ่ายที่รอรับจะบอกว่านี่มันน่าอายสุดๆ ก็ตาม ใบหูโอลิเวอร์ขึ้นสีแดงเป็นปื้นขณะเจ้าตัวพยายามเก๊กหน้านิ่งไม่หือไม่อือ กลิ่นวนิลาจากซองขนมปังฟุ้งกระจายลอดออกมาแตะจมูก แต่คงไม่หวานเท่าการกระทำของคนตรงหน้าที่บรรจงสอดแหวนเข้านิ้วนางข้างซ้ายของเขาในตอนนี้
ใส่ได้พอดีเหมือนเกิดมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ไพลินสีครามเข้มสะท้อนแสงไฟเป็นเหลือบเงาสวย
คนเลือกแหวนดึงเครดิตการ์ดออกมารีบส่งให้พักงานก่อนที่โอลิเวอร์จะทันหยิบกระเป๋าสตางค์ เขาอ้าปากค้าง “อัล!”
“ผมจ่ายเอง ถือซะว่าเป็นของขวัญให้คุณแล้วกัน”
“ใจป้ำอย่างนี้ผมต้องเพิ่มเงินให้คุณรึเปล่าเนี่ย” เขาแกล้งหยอก แต่ไม่คิดว่ามือว่างๆ ของอัลฟองเซ่จะขยับมาคล้องเอวเขาไว้ อัลฟองเซ่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
“จ่ายเป็นอย่างอื่นแทนก็ได้...” สิ้นเสียงกระซิบกระซาบข้างหูโอลิเวอร์ก็กรี๊ดในใจไปอีกตลบ
ชายหนุ่มไม่ได้ถอดแหวนเจ้ากรรมออกแต่ใส่กลับมาจากร้านทั้งอย่างนั้น เขาพาคนแบกถุงขนมปังเข้าร้านขายของที่ระลึกเป็นแห่งสุดท้าย ระหว่างที่อัลฟองเซ่กำลังง่วนอยู่กับแม่เหล็กติดตู้เย็นกับบรรดาตุ๊กตานกกระสา โอลิเวอร์ก็ดอดไปซื้อเนคไทด์สีเจ็บเปรี้ยวจี๊ดลายประหลาดใส่กล่องของขวัญผูกโบว์เรียบร้อย
“คุณซื้ออะไรน่ะครับ?” อัลฟองเซ่ถามตอนเห็นเขาจ่ายเงินเสร็จแล้ว
คนทำอะไรลับๆ ล่อๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ของขวัญให้คุณน่ะครับอัล ตอบแทนที่ซื้อแหวนให้ผม – ห้ามแอบมาเปิดดูก่อนเด็ดขาดนะครับ”
“โอ้.. มีของขวัญให้ผมด้วย” อัลฟองเซ่ยิ้มกวน ลักยิ้มบุ๋มลงไปน้อยๆ น่าหยิกแก้มนัก
อาหารมื้อเย็นค่อนเข้าค่ำวันนี้เริ่มจากสลัดรวมมิตรใส่พาร์มาแฮมกับฟัวกราส์สำหรับโอลิเวอร์ที่มื้อเที่ยงยังกินไม่หนำใจ ต่อด้วยบีฟทาร์ทาร์เป็นเนื้อส่วนเทนเดอร์ลอยน์คลุกผสมไข่แดง ยำเนื้อสดนี้กินคู่กับเฟรนช์ฟรายส์รสชาติไปด้วยกันได้ทั้งมันๆ และเคี้ยวนุ่มลิ้น ดื่มกับไวน์แดงให้อาหารลื่นคอก็เป็นสุขล้ำ
ตบท้ายมื้อด้วยเครมบูเล่ คัสตาร์ดหวานนุ่มลิ้นกับกลิ่นน้ำตาลไหม้เข้ากันได้เป็นอย่างดี เมื่อเอาเข้าปากก็หอมวนิลาคลุ้งไปทั่ว
จูบแบบไม่ทันตั้งตัวจึงมาพร้อมกลิ่นวนิลากับรสไวน์แดง โอลิเวอร์แตะอกฝ่ายมอบจูบให้ก่อนจะผลักออกเบาๆ ระหว่างยืนรอจ่ายเงินก็ยังมีหน้ามาขโมยจุมพิตเสียอีกตาคนนี้!
“ที่รัก ผมอยากกอดคุณ รอกลับไปที่ห้องไม่ไหวแล้ว...” อัลฟองเซ่รำพึงรำพัน ใบหน้าหล่อๆ มองอ้อนเขาตาละห้อยเหมือนลูกสุนัขตัวโต
โอลิเวอร์อดไม่ได้ เอามือบีบจมูกคนตัวสูงเบาๆ “เอาอะไรมาแน่ใจว่าคืนนี้ผมจะทำกับคุณ”
“สัญชาติญาณอัลฟ่ามั้งครับ กลิ่นคุณหอมมากเลยรู้ตัวรึเปล่า” ไม่ว่าเปล่ายังโน้มมาจูบแรงๆ เข้าที่ขมับเขาอีก
คนฟังหัวเราะ “ว่ากันว่าสัญชาติญาณอัลฟ่าเชื่อถือไม่ได้นะครับ โดยเฉพาะหลังดื่มไวน์”
พูดไปก็ได้แต่คิดว่าตานี่กลายเป็นหมียักษ์ขี้อ้อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่ขนาดมีอะไรกันแค่ตอนเมายังติดหนึบได้ขนาดนี้ ขืนอยู่ด้วยกันต่ออีกสักห้าหกวันรับรองว่ากุลสตรีที่ชื่อโอนี่แหละที่จะไปไหนไม่รอดเอง ให้ตายเถอะ
ประตูห้องปิดงับลงเมื่อคนข้างในเข้าไปกันครบ โดยไม่ทันได้ถอดรองเท้าอัลฟองเซ่ก็จู่โจมเขาด้วยการคล้องเอวจับให้หันมาประจันหน้า
จากจุมพิตที่เบาเท่าผีเสื้อจูบกลีบดอกไม้ก็หนักหน่วงขึ้นจนคนตัวเล็กกว่าหอบหาอากาศ เสียงแลกลิ้นดังกังวานในห้องสี่เหลี่ยมคลอกับเสียงลมหายใจและผ้าเสียดสี มือเรียวควานปะป่ายทึ้งเสื้อไปทั่วแผ่นหลังกว้าง อัลฟองเซ่โอบหลังคอรั้งไม่ให้ถอยหนีแม้โอลิเวอร์จะเริ่มทุบเขาเพราะหายใจไม่ทัน
ลิ้นบดเบียดลากเกี่ยวในปากทั้งร้อนและชื้นแฉะทำเอาคนประสบการณ์น้อยรู้สึกเมาจนหมดเรี่ยวแรง มือที่ทุบก็อ่อนกำลังลงจนกลายเป็นกำเสื้อเอาไว้หลวมๆ สองขาสั่นจนแทบจะล้มทั้งยืน
กว่าอัลฟองเซ่จะยอมปล่อยให้เป็นอิสระใบหน้าโอเมก้าหนุ่มก็แดงก่ำ ปากเผยอค้างช้ำน้อยๆ จากแรงจูบ คนต้นเหตุมองด้วยดวงตาเป็นประกายระยับราวว่าในนั้นบรรจุไว้ด้วยดวงดาว บรรจงประทับรอยซ้ำไปทั่วใบหน้าอย่างรักใคร่ ช้อนตัวทีเดียวร่างโอลิเวอร์ก็ลอยหวือไปอยู่ในอ้อมอก
อัลฟองเซ่อุ้มคนในอ้อมกอดตรงไปหย่อนลงที่เตียง ชันเข่าข้างหนึ่งบนฟูกนุ่มคร่อมตัวคนบนเตียงก่อนจะโน้มลงเคลื่อนมางับหยอกเล่นที่ใบหู
โอลิเวอร์รู้สึกถึงส่วนล่างที่ตื่นขึ้นเพียงเพราะกระตุ้นด้วยจูบ เขาค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อคนตรงหน้าด้วยมือสั่นเทา อัลฟองเซ่มัวแต่หยอกอยู่กับใบหู ใบหน้าโอลิเวอร์ที่แดงอยู่แล้วคราวนี้สีเท่าลูกเชอร์รี่สุกปลั่งตาก็ปรือหวานด้วยเสียงริมฝีปากกับลมหายใจ ทั้งยังความรู้สึกจั๊กจี้จนต้องย่นคอนั่นอีก
กระดุมที่ถูกปลดออกเผยให้เห็นอกแกร่ง โอลิเวอร์ลูบมือไปตามกล้ามอกเป็นสันนูนไล่ลงไปถึงส่วนลูกคลื่นตรงหน้าท้อง เขาได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มแผ่วข้างใบหูก่อนอัลฟองเซ่จะลากลิ้นเลียไปรอบๆ
โอลิเวอร์รู้สึกคล้ายคนหมดแรง ค่อยๆ ปลดกระดุมกางเกงอีกฝ่ายก่อนดึงรูดซิปกางเกงที่เปิดอ้าอยู่หมิ่นเหม่ลง แตะไต่นิ้วไปตามส่วนนูนที่ดุนผืนผ้าเนื้อบางจนบวมเต่งเรียกเสียงคำรามผะแผ่วจากอัลฟองเซ่
คราวนี้มือซนจากคนตัวโตลากรูดไปตามแนวร่องสั่นหลังยาวถึงบั้นท้าย ฝ่ายนั้นควานเปิดจากชายเสื้อไล่ปลายนิ้วไปตามผิวเนื้อแผ่นหลัง วางฝ่ามือร้อนที่หลังเอวก่อนจะสอดเข้าไปในร่องกางเกงรูดกลับมาที่ด้านหน้าจนเขาสะดุ้งเกร็งหน้าท้อง ปลดมันออกไวยิ่งกว่าที่โอลิเวอร์ทำอย่างงกๆ เงิ่นๆ ดึงกางเกงชั้นในลงทีเดียวก็เห็นแก่นกายชูขึ้นสู้ฝ่ามือ
“อือ...” โอลิเวอร์วางมือลงบนอกกว้าง เม้มปากเมื่อเสียงลอดออกไป
“ปลดกระดุมเสื้อผมแล้วถอดของตัวเองด้วยสิครับ” อัลฟ่าหนุ่มกล่าวเป็นเชิงสั่ง แต่โอลิเวอร์โต้กลับด้วยการเอาสองมือยันพื้นเตียงด้านหลัง ดันหลังแอ่นอกขึ้น มันขยับขึ้นลงน้อยๆ ตามแรงหายใจ
คนตัวเล็กกว่ายิ้มกวน “...ตาคุณทำบ้าง”
อัลฟองเซ่มองคล้ายถามย้ำว่าแน่ใจ? แต่ไม่ทันได้รอคำตอบก็ขยับมาปลดกระดุมออกให้จากเม็ดบนสุด ไม่ทำเปล่าริมฝีปากก็ขบเม้มไปตามลำคอขาว ถอดไปได้เท่าไหร่ปากก็ไล่ลงต่ำตามเท่านั้น รู้สึกตัวอีกทีโอลิเวอร์ก็โดนจับให้เอนตัวนอนแผ่ไปบนเตียง
มือสากลูบไปตามเนื้อตัวเปล่าเปลือยปากก็ครอบกัดอยู่กับยอดอกแข็งชัน โอลิเวอร์หายใจไม่เป็นจังหวะตอนที่อกอีกข้างถูกมือกอบกุมไว้ บีบและบดขยี้หยอกที่ตุ่มไตจนคนใต้ร่างดิ้นพล่าน
โอลิเวอร์หลุบตาลงมองอีกฝ่าย “อัล... อัล ผมขอดื่มเหล้า—”
“ไม่ให้ครับ” ฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าตัดบท สายตาคู่นั้นเหมือนจะบอกว่าเรื่องอะไรจะให้มีเซ็กส์ตอนเมาอีก เขาก้มลงดูดยอดอกขณะลิ้นก็เขี่ยอยู่กับส่วนปลาย เรียกเสียงครางให้หลุดจากปากฝ่ายที่อยู่ใต้ร่าง
อัลฟองเซ่ใช้มือลูบจากอกลงมาวนที่ท้องน้อย กระชากถอดกางเกงคนบนเตียงออกก่อนจะกุมส่วนอ่อนไหวของโอลิเวอร์ไว้ มือกร้านห่อกุมก่อนขยับรูดขึ้นลงตื้นเร็ว โอลิเวอร์ครวญเสียงหวานขณะร่างบิดเร่า ยกสะโพกดันขึ้นสูง คว้าแขนคนตัวสูงไว้ได้ก็จิกเล็บเข้าเนื้อก่อนปลอดปล่อยอารมณ์ออกจนเปรอะทั่วหน้าท้อง
เขานอนหอบอยู่กับพื้นเตียงนุ่ม ระหว่างที่คิดจะพักก็ถูกจับรวบสองขาเข้าหากันแล้วยกให้ชิดอก ได้ยินเสียงฝาพลาสติกเปิดก่อนเจลเย็นๆ จะราดลงมาที่ร่องกลางบั้นท้าย ก่อนที่จะทันได้ตั้งสติอัลฟองเซ่ก็สอดนิ้วเข้ามาในช่องทางด้านหลัง งอแล้วควานด้านในคล้ายจะหาอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อ..น...อ๊า...”
เสียงหวานอย่างนี้ดูท่าว่าอัลฟองเซ่จะเจอสิ่งที่หาแล้ว เขากดปลายนิ้วขยี้จนร่างใต้อาณัติสั่นส่งเสียงครางกระเส่า ควานมือจิกทึ้งผ้าปูจนยับย่น คนตัวสูงเพิ่มนิ้วจากหนึ่งเป็นสองและสาม เลียริมฝีปากเมื่อเห็นปฏิกิริยาคนใต้ร่าง
สะโพกของคนบนเตียงขยับยกเป็นจังหวะตามการดึงนิ้วมือเข้าออก โอลิเวอร์พูดซ้ำๆ ด้วยเสียงแหบพร่าว่าพอแล้วจนอัลฟองเซ่ต้องก้มลงไปปิดปากด้วยจูบ
โดนกระตุ้นทั้งบนและล่างทำเอาโอเมก้าที่น่าสงสารแทบคลั่ง เป็นอย่างนี้อยู่พักใหญ่จนอัลฟองเซ่ถอนมือออก โอลิเวอร์หลงคิดว่ามันจะจบแล้วจนกระทั่งได้ยินเสียงฉีกซองพลาสติกถึงลืมตาขึ้นมา และพบว่าอัลฟองเซ่กำลังสวมถุงยางอนามัยใส่แก่นกายที่เต่งชูขึ้นเต็มอัตรา
“ไม่ไหว ขะ...เข้าไปไม่ได้หรอกอัล พอเถอะ ผมใช้ปากให้ก็ได้” โอลิเวอร์ขอร้องเสียงสั่น ฝ่ายนั้นเอาแต่ลูบไปตามขาอ่อนคล้ายปลอบ
ตาโอลิเวอร์จ้องอยู่แต่กับท่อนเนื้อสีเข้ม เขาหดขาขัดกันแน่นหน้าซีดเผือด ส่วนอัลฟองเซ่ก็เอาแต่หัวเราะ “ไม่เจ็บหรอกครับผมเตรียมให้แล้ว เมื่อคืนยังใส่เข้าเลยที่รัก”
คนบนเตียงส่ายหัวลูกเดียว ทำท่าว่าถ้าบังคับเขาเขาจะไม่ยอมแน่
อัลฟองเซ่มองอยู่ครู่ก็โน้มลงไปสอดมือช้อนแผ่นหลังคนที่นอนอยู่ “มาครับ ลุกขึ้นมานั่งก่อน” เขาช่วยพยุงให้ลุก แต่เพราะเจ้าตัวยังไม่ยอมถอยไปพอจะนั่งก็กลายเป็นต้องนั่งตักอัลฟองเซ่ ฝ่ายนั้นโอบมือใต้บั้นท้ายคนบนตัวจับให้ขึ้นมานั่งลงบนตักดีๆ
ส่วนอ่อนไหวของสองคนถูไถกันเบาๆ เมื่อยามขยับตัว โอลิเวอร์รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ “ขอผมดื่มเถอะอัล...” เขาขออีกครั้งด้วยเสียงขาดหาย ถ้าดื่มแล้วจะถึงฝั่งกันทั้งคู่ต่อให้ตื่นมาแล้วจำอะไรไม่ได้ก็ยังดีกว่าค้างคาอยู่แบบนี้
อัลฟองเซ่จุ๊ปากให้เงียบ มือที่วางอยู่กับบั้นท้ายบีบเคล้นเบาๆ “ผ่อนคลายหน่อยครับ ผมอยากทำกับคุณตอนคุณยังมีสติครบถ้วนนะที่รัก” เขาว่าก่อนจูบซับไปตามใบหน้า “ไม่มีอะไรต้องกลัวครับ”
โอลิเวอร์มองดวงตาอ่อนโยนคู่นั้น รู้สึกใจเย็นลงหลายส่วน คราวนี้เป็นฝ่ายเริ่มต้นจูบก่อนเอง เมื่อความรู้สึกมารวมกันอยู่ที่ริมฝีปากบดเบียด มือกร้านที่วางอยู่บนสะโพกก็เคลื่อนไปสอดเข้าที่ช่องทางอ่อนนุ่มอีกครั้ง เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนหลับตาลงรับสัมผัสจากทั้งบนและล่าง เสียงครางอือลอดลำคอมาเป็นระยะ
พอได้ที่อัลฟองเซ่ก็ถอนนิ้วออก คราวนี้ยกสะโพกคนบนตัวขึ้นลอยก่อนจบส่วนกลางลำตัวตั้ง กดส่วนปลายเข้าไปในช่องทางที่ตระเตรียมไว้ มือที่จับอยู่ที่สองบ่าเพราะกลัวตกจิกเข้าไปแน่นเมื่ออัลฟองเซ่ค่อยๆ หย่อนตัวโอลิเวอร์ลงให้ส่วนนั้นเข้าไปในร่างจนมิดสุดปลาย
“เห็นไหม ไม่มีอะไรต้องกลัว” อัลฟองเซ่ปลอบเสียงทุ้มนุ่มกับคนที่กำลังน้ำตาเอ่อคลอ เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะฝังปลายจมูกไปที่ซอกคอคนบนร่างและเริ่มขยับยกตื้นๆ
“อ...อา...” ส่วนล่างตอดรัดราวโหยหา นานเข้าจากฝ่ายที่ต้องรอให้กำหนดก็เปลี่ยนมาเป็นคนคุมบังเหียนเอง ยกสะโพกขึ้นสูงก่อนกดลงจนสุดเป็นเสียงเนื้อกระทบกัน จังหวะกระชั้นขึ้นเรื่อยเมื่อใกล้ถึงจุดสุดยอด มือกร้านข้างหนึ่งที่เคยช่วยประคองก็ลากละขึ้นมากดขยี้กระตุ้นยอดอก ยิ่งเร่งให้โอลิเวอร์กดสะโพกขย่มแรงเร็วขึ้น
เสียงเฉอะแฉะดังกระชั้นถี่ก่อนจะหยุดเมื่อสองร่างกระตุกเกร็ง โอลิเวอร์ครางเสียงหวานอย่างควบคุมไม่ได้ก่อนจะเอนตัวลงพิงอัลฟองเซ่ ...เขารู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ในตัวยังไม่คลาย และเมื่อสบตากับเบาะจำเป็นก็พบว่าในแววตานั้นยังพราวไปด้วยเพลิงบางอย่างที่คุกรุ่นไม่หาย
โอลิเวอร์ถามด้วยเสียงเล็กนิดเดียว “นี่ครั้งที่สองของผม เอ่อ...คือ...เพลาๆ หน่อยได้ไหม”
แต่ดูเหมือนคำตอบจะอยู่ในสายตาคู่คมเสียแล้ว
เพราะรถจะออกตั้งแต่ก่อนสิบโมงถึงได้ไม่มีเวลาสำหรับอาหารเช้า ทั้งสองคนลากกระเป๋าแวะผ่านร้านกาแฟก่อนที่จะพากันไปต่อที่สถานีรถไฟ กาแฟของโอลิเวอร์เป็นคาปูชิโน่ ส่วนของอัลฟองเซ่เป็นเอสเปรสโซ่ดับเบิ้ลช็อตดื่มให้หายง่วง ทั้งสองอย่างเสิร์ฟพร้อมช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ ให้ทานคู่กับเครื่องดื่มร้อน
เมื่อได้กาแฟมาแล้วสองคนก็พากันเข้าไปในชานชาลา เดินขึ้นรถไฟขบวนที่จอดรอเทียบท่าเขียนระบุเป้าหมายว่าไปการ์เดอเลสต์ก็หาที่นั่งตามตั๋วแล้วหย่อนก้นจองที่เรียบร้อย
โอลิเวอร์หยิบถุงขนมขึ้นมาวางบนหน้าตัก พับปากถุงกระดาษลงแล้วใช้สามนิ้วคีบเอาขนมขึ้นมากินเริ่มด้วยมินิคูเกลฮอฟ เขากัดขนมอบรูประฆังคว่ำเข้าปากทีละคำเล็กๆ เนื้อสัมผัสนุ่มฟูไม่หวานมากนอกจากน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าที่หวานพอติดลิ้น
เขานั่งกินขนมปังไปเรื่อยๆ แทนมื้อเช้า บางครั้งอัลฟองเซ่ก็จะมาหยิบเพรทเซลหรือครัวซองไป แต่กับคนที่กินแต่ขนมอบอย่างเดียวไม่กี่ชิ้นก็เลี่ยนอย่างพ่อตัวดีก็อยู่แย่งเขาได้ไม่นาน
รถไฟTGVจากกอลมาร์ไปปารีสใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงครึ่ง แต่เป็นสองชั่วโมงครึ่งที่ยาวนานเพราะโอลิเวอร์เอาแต่นั่งเงียบมองออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อปล่อยไว้ได้พักใหญ่อัลฟองเซ่ก็พูดแทรกความเงียบ “...รู้ไหมครับว่าต้องทำอย่างไรไม่ให้คนฝรั่งเศสไปทำลายงานเลี้ยง?”
ได้ผล โอลิเวอร์หันกลับมามองหน้าเขา “ทำอย่างไรครับ?”
“ขึ้นป้ายว่าห้ามเปลือย” จบคำก็กลับมามีแต่ความเงียบอีกครั้ง แต่อัลฟองเซ่ยังไม่หยุดแค่นั้น “รู้ไหมครับว่าไม้กายสิทธิ์ในเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่าบาแกตต์ ...ขนมปังบาแกตต์เป็นผู้เลือกพ่อมดนะ คุณพอตเตอร์”
โอลิเวอร์อมยิ้มให้กับความพยายามครั้งนี้ก่อนจะฟาดหน้าตักเขาให้หยุดเล่นมุกเสียที อัลฟองเซ่หัวเราะระหว่างทำเป็นร้องโอยโอยทั้งที่แค่โดนตีไม่หนักไม่เบา
“ขำจนได้ยินเสียงแอร์ดังกระหึ่มเลยครับ” คนฟังชมอย่างจริงใจ
“ผมแค่อยากให้คุณยิ้มออก รู้ไหมตอนคุณยิ้มคุณดูสวยกว่าตอนทำหน้านิ่งเยอะเลยนะที่รัก”
“ขอบคุณที่ชมครับ” รับอย่างเต็มอกเต็มใจไม่มีปฏิเสธ โอลิเวอร์อดยิ้มขำไม่ได้ “ผมกำลังคิดเรื่องน่าปวดหัวอยู่ แต่คุณทำให้ผมอารมณ์ดีได้ทันทีเลย”
“อยากเล่าให้ผมฟังไหมครับ? ผมเป็นผู้ฟังที่ดีนะ” อัลฟ่าหนุ่มเสนอตัว
“ก็...” โอลิเวอร์ประสานมือบนหน้าตัก “ผมคงยังไม่เคยเล่าให้ฟังว่าพ่อผมเป็นนักการเมือง ก็ไม่ใช่เรื่องลับอะไรหรอก ผมเล่าได้นะ แต่ว่าผู้ชายคนนั้นแค่บอนด์กับโอเมก้าไปทั่วเพียงเพราะอยากได้ลูกที่เป็นอัลฟ่าเยอะๆ ...แค่จู่ๆ ผมก็นึกถึงเขาขึ้นมา – แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะ คุณเองจะบอนด์กับใครก็ได้ต่อจากผม นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณ”
อัลฟองเซ่ช้อนมือเขากุมเอาไว้หลวมๆ “ผมเข้าใจ”
“อืม” โอลิเวอร์หลุบตาลงมองพื้นตรงหน้า “ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นเหมือนเขา แล้วผมก็ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวคุณด้วย เพียงแต่พอนึกถึงแล้วมันก็รู้สึกแปลกๆ เท่านั้นเอง”
เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา “บางทีนอกจากคุณแล้วผมอาจไม่บอนด์กับใครอีกเลยตลอดชีวิตก็ได้”
โอลิเวอร์เงยขึ้นมองตาคนกล่าวอย่างนั้น อ้ำอึ้งอยู่นานกว่าจะหลุดคำพูดออกมา “...ขอบคุณ อัล”
‘ถึงมันจะเป็นคำโกหกสำหรับนายจ้างของคุณก็เถอะ’ เพียงแต่ประโยคหลังเขาไม่กล้าพูดออกไป
อัลฟองเซ่จูบซับบนริมฝีปาก ฝ่ายถูกจุมพิตหลับตาลงรับสัมผัสที่อาจไม่มีโอกาสได้รับอีก มันเป็นจูบปลอบที่นุ่มนวลที่สุดที่เขาเคยได้รับ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วถึงปลายนิ้ว
ดูซิ เสียตัวแล้วยังต้องมาขอบคุณคนที่ทำให้เสียตัวอีก...
นั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระเผลอแป๊บเดียวอีกแค่ครึ่งชั่วโมงรถไฟจะไปถึงสถานีปลายทางแล้ว โอลิเวอร์อุ้มกระเป๋าถือมาไว้บนตัก เปิดซิปหยิบเอาซองเงินขึ้นมาส่งให้อัลฟองเซ่ คนตัวสูงประสานมือระหว่างเอนตัวลงท้าวศอกกับหน้าตัก เอียงคอหันมามองเขา
“ไม่เป็นไรครับ ยังไม่ต้องเอาให้ตอนนี้ก็ได้ เอาไว้ไปถึงสนามบินแล้วค่อยเอาให้ผม”
“คุณจะไปส่งผมถึงที่สนามบินหรือครับ?” เขาว่าพลางเลิกคิ้วสูง ฝ่ายคนถูกถามส่งรอยยิ้มมาแทนคำตอบ
โอลิเวอร์ขอตัวมาเข้าห้องน้ำพร้อมกระเป๋าถือ เขาปิดประตูลงล็อกเรียบร้อยก็หยิบเอากล่องเนคไทด์ออกมาแกะโบว์ ม้วนเงินค่าตอบแทนของอัลฟองเซ่เป็นก้อนขนาดพอดีใส่กล่องแล้วบรรจุมันลงไปไว้ตรงช่องว่างๆ ก่อนจะปิดฝาผูกโบว์เอาไว้ตามเดิม
คุณพระคุณเจ้าเจ้าขา หนูไม่อยากตื่นจากฝันยาวนานนี้เลย...
สนามบินคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงพูดคุยและล้อเลื่อนดังคลอบรรยากาศเร่งรีบ โอลิเวอร์ลากกระเป๋าตรงไปที่เคาเตอร์เช็คอินระหว่างที่คนมาส่งรออยู่ด้านหน้า กระเป๋าเดินทางลำเลียงผ่านสายพานเข้าไปแล้วและเป้ที่สะพายอยู่ก็ผูกกระดาษสายคาดที่มีเครื่องหมายสายการบินเรียบร้อย
อีกไม่ถึงชั่วโมงจะได้เวลาขึ้นเครื่อง อัลฟองเซ่จับมือคนข้างตัวพาเดินไปที่ทางเข้าก้าวเอื่อยช้า ในมือโอลิเวอร์มีพาสปอร์ตกับตั๋วเดินทาง เขาเงียบไปถนัดตาเมื่อเทียบกับก่อนหน้า และคราวนี้อัลฟองเซ่เองก็ไม่ได้คิดจะชวนคุย
ในความเงียบที่ปกคลุมระหว่างคนทั้งสอง จู่ๆ โอลิเวอร์ก็คลายมือออกจากการจับกุม ปลดกระเป๋าสะพายแล้วหยิบเอากล่องสีน้ำตาลผูกโบว์ทรงยาวออกมาถือ
“...” โอลิเวอร์มองอีกฝ่าย ใบหน้าประดับรอยยิ้มที่จงใจทำให้ดูสดใสที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ “ของขวัญที่บอกว่าจะให้คุณ ผมใส่เงินอยู่ในนี้แล้ววางใจได้ เอาไว้ไปถึงที่พักแล้วค่อยเปิดดูนะครับ”
อัลฟองเซ่รับมาถือไว้กับอกพลางส่งรอยยิ้มหวานละไมกลับมาให้ “ครับ เดินทางปลอดภัยนะที่รัก”
โอลิเวอร์ตั้งท่าจะกอดลาแต่เปลี่ยนใจเสียก่อน เขาโบกมือไหวๆ ให้ก่อนจะเดินไปทางประตูกั้น – แต่ก่อนจะทันได้เอาเอกสารให้เจ้าหน้าที่ดูก็วิ่งกลับมาสวมกอดอัลฟองเซ่ไว้ ดึงคอเสื้อแล้วกัดเข้าซอกคอคำใหญ่ กลิ่นน้ำหอมฟุ้งลอยเข้าประสาทสัมผัส
เขายิ้มกวน ส่งเสียงหัวเราะฮี่ๆ ให้คนที่กำลังจับตรงรอยกัด “ลาก่อนจริงๆ แล้วนะอัล ขอบคุณมาก”
ก่อนที่โอลิเวอร์จะทันได้หันหลังวิ่งหนีอัลฟองเซ่ก็คว้าตัวเขาไว้ มือข้างที่ว่างโอบข้างแก้มก่อนจะมอบจูบนุ่มนวลให้ โอลิเวอร์มองตาโต เห็นแววตาลึกซึ้งใต้แพขนตายาวที่สบมองกลับมาก็รู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าว
ผู้มอบจูบไม่ว่าอะไรนอกจากปล่อยให้เขาเป็นอิสระในที่สุด โอลิเวอร์หัวเราะแก้เก้อก่อนจะรีบเดินขาขวิดเข้าประตู
เขาไม่รู้ว่าตัวเองผ่านจุดตรวจกระเป๋าหรือปั๊มตราออกประเทศจนเดินมาถึงหน้าเกตได้อย่างไร กลิ่นน้ำหอมของอัลฟองเซ่ยังหอมติดจมูกเขาอยู่ ความรู้สึกวูบโหวงกัดกินจิตใจเขาจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนกระทั่งมาเจออาเจ๊กับสามีอีกครั้งถึงได้ยิ้มออก – อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อยากทำตัวเหมือนคนไร้วิญญาณให้อาเจ๊เห็น
เสียงประกาศต้อนรับผู้โดยสารเข้าสู่สายการบินดังไปทั่วทั้งลำ โอลิเวอร์นั่งเรียบร้อยอยู่บนที่นั่งของเขา ขนาบข้างด้วยอาเจ๊ ถัดออกไปเป็นสามีผมทองของอาเจ๊ที่นั่งติดหน้าต่างอยู่ด้านในสุดเหมือนขามา เขารัดเข็มขัดเมื่อสัญญาณไฟขึ้นที่เหนือศีรษะ แล้วเครื่องบินก็เริ่มเคลื่อนตัวไปตามรันเวย์
ทิวทัศน์ในสนามบินชาร์ล เดอ โกลเริ่มเปลี่ยนเป็นภาพเมืองปารีสในระยะไกล บ้านเรือนเล็กลงจนเหลือเท่าบ้านของเล่นขนาดเล็ก เสียงเครื่องยนต์ดังจนหูอื้ออึง เมื่อไต่ระดับความสูงมาถึงกลุ่มก้อมเมฆปารีสก็ไกลออกไปทุกที
ชายหนุ่มร่างเล็กกดหน้าจอสัมผัสเลือกภาพยนตร์ เขากดไล่ไปเรื่อยๆ อย่างใจลอยจนเลือกหนังบู๊มาฆ่าเวลาเรื่องหนึ่ง เสียบหูฟังที่ได้รับแจกมาจากแอร์โฮสเตสเข้ากับเครื่องเล่นก็เอนหลังพิงเบาะให้เต็มที่
ภาพรถยนต์วิ่งไล่ล่ากันปรากฏบนหน้าจอ เสียงดนตรีเร้าอารมณ์กระหึ่มอยู่ในสองหู จู่ๆ น้ำตาเม็ดโตก็ร่วงผล็อยลงอาบสองแก้ม
อาเจ๊หันมาหาด้วยอารามตระหนก “โอ! เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม”
“เปล่าค่ะเจ๊” คนถูกเรียกดึงหูฟังออก ยกเอาหลังมือเช็ดหน้าลวกๆ “หนังมันซึ้ง หนูไม่ได้เป็นอะไรหรอก”
ฝ่ายคนฟังฟังแล้วส่ายหัว ปรับดึงเอาที่วางแขนขึ้นแล้วสวมกอดโอลิเวอร์ไว้แน่น “ไม่เป็นไรบ้านแกสิ คนที่ไหนดูทรานสปอร์ตเตอร์รถซิ่งยิงแหลกแล้วร้องไห้วะ” อาเจ๊ว่าพลางลูบหลังคนในอ้อมกอด “เรื่องผู้ใช่ไหม พลาดคราวนี้ไว้หาเอาใหม่ก็ได้”
สามีอาเจ๊หันมาพยักหน้าสำทับอีกแรง “ใช่ ผู้ชายก็หาง่ายเหมือนฝูงลิงในป่า”
นั่นทำเอาโอลิเวอร์หลุดหัวเราะพรืดทั้งที่ยังน้ำตานองหน้า
---------------------------------------
เนื่องจากบทส่งท้ายค่อนข้างสั้นดังนั้นจะมาอัพให้วันอังคารหน้านะคะ