「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)  (อ่าน 7094 ครั้ง)

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

***************************************************************************************















-------------------------------
เรื่องอื่นๆ
It's U, It's Me : กวนนัก แต่รักนะครับ
It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก
「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 21:00:17 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥



P r o l o g u e

 

บรรยากาศสลัวที่มีแสงไฟสาดส่องลงมา จะว่ามืดก็ไม่มืดสว่างก็ไม่สว่างนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงเพลงจังหวะเร็วๆ ดังอย่างต่อเนื่องให้ผู้คนได้โยกตัวไปตามท่วงทำนอง รู้สึกสนุกสนานไปกับความบันเทิงของสถานที่รื่นรมย์สำหรับผู้มีรสนิยมเฉพาะแห่งนี้

ชายหนุ่มร่างเล็กนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ขนาดยาวเพราะไม่มีเพื่อนคู่กายมาแบบคนกลุ่มอื่นๆ ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาสามารถหาได้จากแถวๆ นี้ดั่งเช่นทุกครั้งที่มาเยี่ยมเยือน

นัยน์ตาสีดำกวาดไปทั่วบริเวณที่สายตาสามารถไปถึงได้ มองดูว่ามีใครบ้างที่พอจะถูกใจให้เป็นเพื่อนร่วมเล่นกีฬาบนเตียงสำหรับคืนนี้ได้ และดูเหมือนเขาจะเจอเป้าหมายแล้ว

ฐานทัพเลียริมฝีปากนิดๆ ผลิยิ้มมุมปากหน่อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน สองขาก้าวออกเก้าอี้สูงที่นั่งแช่อยู่เมื่อครู่เพื่อตรงไปหาบุคคลที่ตนเล็งเอาไว้แล้ว ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวตรงหน้าก็ถูกร่างหนึ่งขวางเอาไว้

ครั้นเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่สูงกว่าตนเองหนึ่งศอก จากใบหน้าที่แต้มยิ้มอยู่เล็กน้อยก็ต้องเปลี่ยนเป็นชักสีหน้าไม่สบอารมณ์แทน

มารผจญ...อีกแล้ว

สมชื่อสิบทิศจริงๆ ให้ตายสิ

เขาหันไปทางไหนเป็นต้องเจอ

“คืนนี้...”

“โน”

ไม่ทันให้อีกฝ่ายอ้าปากพูดจบประโยค ฐานทัพก็ตอบเสียงห้วนกลับไปทันที

หากพิจารณาจากผู้ชายตรงหน้าก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีทีเดียว รูปร่างสูงโปร่ง ถึงจะไม่ได้ถึงขนาดมีกล้ามเป็นมัดๆ แต่ก็ไม่ได้ผอมแห้ง หน้าตาก็จัดอยู่ในประเภทที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ อาจจะเรียกเรียกได้ว่าระดับดีเลยล่ะ ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย บุคลิกก็น่าเข้าหา สรุปคือรวมๆ แล้วเป็นผู้ชายที่น่าเล่นด้วยเป็นที่สุด

ถ้าเป็นคนอื่นละก็เขาไม่ปฏิเสธจะร่วมเตียงด้วยอย่างแน่นอน

แต่...เขากลับรู้สึกว่าไม่อยากจะวันไนต์สแตนด์กับหมอนี่เลยจริงๆ

“เมื่อไรจะใจอ่อนสักทีล่ะ ทีกับคนอื่นยังไปได้เลย ไม่คิดบ้างหรือไงว่าพี่จะรู้สึกยังไง”

นั่นแหละ เพราะหมอนี่ดูท่าจะจริงจังกับเขาน่ะสิ เขาถึงไม่อยากเล่นด้วย

สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือการได้สนุกไปเรื่อยๆ ไม่ผูกมัดกับใคร

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตัวเข้าไปพัวพันกับคนที่คิดจริงจัง

“ผมบอกคุณแล้วว่าผมไม่”

พูดอย่างนั้นจบฐานทัพก็บิดตัวเดินผ่านร่างนั้นไป ทว่าก็ถูกดึงแขนเอาไว้จากทางด้านหลังจนต้องเอี้ยวตัวกลับไปชักสีหน้าใส่อีกรอบให้รู้กันไปว่าอย่ามายุ่ง

“เหตุผลล่ะ”

“เคยบอกไปแล้ว จำไม่ได้หรือไง”

“เพราะว่าพี่ชอบฐานจริงๆ เนี่ยนะ”

ฐานทัพไหวไหล่เหมือนไม่แคร์คำว่า ‘ชอบ’ ที่หลุดจากปากอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำยังพูดเสียงต่ำคล้ายข่มขู่

“ปล่อย”

สิบทิศมีสีหน้าผิดหวังผสมน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้ทำให้ฐานทัพรู้สึกอะไรเลยสักนิด เขาทำหน้าเฉยชามองมือที่จับแขนตนเองสลับกับหน้าของอีกฝ่าย

“ผมบอกให้ปล่อยไง”

“พี่จะยอมปล่อยก็ได้ ถ้าฐานดื่มนี่”

แก้วทรงสูงมีเครื่องดื่มสีอำพันอยู่ข้างในถูกยื่นมาให้ ฐานทัพเหลือบลงมองมันเล็กน้อยแล้วย้อนสายตาไปยังใบหน้าของคนยื่นข้อเสนอ มองอยู่ครู่สั้นๆ เสียงของสิบทิศก็ดังขึ้นอีก

“คิดว่าพี่ใส่ยาอะไรไว้เหรอ”

เหมือนจงใจจะพูดดักทางกันไว้ แต่ฐานทัพไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย เขายักไหล่หนึ่งครั้งก่อนจะตอบ

“เปล่า”

“งั้นถ้าพี่บอกว่าใส่ยาปลุกเซ็กซ์เอาไว้ล่ะ”

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มที่เปิดเผยถึงความเจ้าเล่ห์ของฐานทัพได้เป็นอย่างดี อีกทั้งคำพูดที่เอ่ยตอบยังเหมือนกับยิ่งตอกตะปูที่ปักคาอยู่บนอกของสิบทิศให้ยิ่งจมลึกลงไปอีกว่าผู้ชายคนนี้ร้ายกาจ

“จะใส่หรือไม่ใส่ผมไม่มายด์หรอก แค่ดื่มก็พอใช่หรือเปล่า”

หลังจากคำพูดนั้นก็ไม่ได้ทิ้งเวลาไว้ให้อีกฝ่ายได้สวนคำตอบ มือเรียวเล็กคว้าแก้วที่ถูกยื่นค้างไว้มากระดกดื่มรวดเดียวจนหมด ปิดท้ายด้วยคำพูดถากถางพร้อมกับแก้วที่ยัดกลับลงมือผู้เป็นเจ้าของ

“ผมไม่ได้จนตรอกถึงขนาดว่ากินยาปลุกเซ็กซ์เข้าไปแล้วก็ต้องมีอะไรกับคุณคนเดียวสักหน่อย บาย”

หลังจากล่ำลาฝ่ายเดียวแล้วฐานทัพก็เดินจากมา ไม่เหลียวหันกลับไปมองอีกคนแม้แต่เสี้ยวเซนติเมตร

 

 

ดวงตากะพริบๆ อยู่หลายครั้งก่อนจะเปิดขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานห้องที่ดูเหมือนจะคุ้นตา เพราะว่าเขามาใช้บริการมันบ่อยจนคล้ายกับเป็นบ้านหลังที่สองไปแล้ว

ฐานทัพค่อยๆ ขยับร่างที่อ่อนล้าปวดเมื่อยกว่าปกติอยู่สักหน่อย นึกในใจว่าสงสัยเมื่อคืนตนคงเล่นสนุกหนักไปนิด แต่พอคิดอย่างนั้นแล้วก็ต้องยกมือขึ้นมาทุบขมับตัวเองเบาๆ เพราะเหมือนว่าจะจำกิจกรรมเริงรักที่สนุกสุดเหวี่ยงเมื่อคืนไม่ได้เอาเสียเลย

ทำไมมึนขนาดนี้วะเนี่ย

ศีรษะเล็กที่มีผมเตียนๆ จนเกือบลู่ไปกับหนังศีรษะด้วยเพราะผมหยักศกจึงไม่อยากไว้ยาวสะบัดไปมาสองสามครั้ง ก่อนฐานทัพจะรู้สึกว่าตาสว่างขึ้นมาหน่อย จากนั้นจึงหันไปดูหน้า ‘คู่นอน’ ที่เขาเลือกมาได้มาเมื่อวาน ทว่าเมื่อหันไปมองข้างๆ แล้วก็ต้องชะงักค้างอยู่หลายวินาทีและหลับตาแน่น เพราะบนเตียงข้างร่างของเขากลับเป็นคนที่ไม่อยากเห็นว่าอยู่บนเตียงเดียวกันมากที่สุด

เมื่อคืนที่ออกมาจากผับด้วยกันไม่ใช่คนนี้ไม่ใช่เหรอวะ

เกิดเรื่องอีท่าไหนถึงกลายเป็นหมอนี่ไปได้

แม้จะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่ฐานทัพก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใส่ใจ พลาดไปแล้วจะแก้อะไรได้

ฐานทัพฉุดร่างลงจากเตียงอย่างเร็วไว เสียหลักเซไปนิดหน่อยก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนเขากับคนบนเตียงเมามันกันขนาดไหน

เขาเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งเรี่ยราดมาตลอดทางตั้งแต่หน้าประตูขึ้นมาสวมอย่างลวกๆ ล้วงกระเป๋าตรวจสอบดูว่าของติดตัวครบถ้วนทุกอย่าง ไม่มีหล่นหายไปตอนไร้สติ แล้วจึงย้อนกลับไปที่เตียงอีกครั้ง

มือเรียวคว้ากระดาษกับปากกาที่อยู่ตรงโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาเขียนข้อความทิ้งเอาไว้

ไม่ใช่เพราะอาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด แต่เพื่อ...

 

ในเมื่อสมใจแล้ว หวังว่าจะไม่มาตื๊อขอกันอีกนะ คุณสิบทิศ ลาขาด

 

จากนั้นประตูห้องก็ปิดลงพร้อมๆ กับร่างเล็กที่ลับไปหลังประตูโดยไม่สนใจคนบนเตียงอีกครั้ง





------------------------------
สวัสดีค่ะ
ไม่ได้เข้ามาอัปนิยายในนี้นานมาก ก็ขอเข้ามาอัปอีกสักเรื่องนะคะ
เป็นแนวดราม่าสั้นๆ สิบกว่าตอน เรื่องจะเดินเร็วหน่อยนะคะ เพราะว่าช่วงเวลาในเรื่องกินเวลานาน







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2019 21:06:03 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥














1st Lie
กรุณาอย่ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผม


 

คิ้วเล็กเรียวขมวดเข้าหากันหน่อยๆ เมื่อเดินออกมาจากออฟฟิศด้านหลังโชว์รูมแล้วพบว่ารุ่นพี่ผู้หญิงสามคนกำลังจับกลุ่มคุยอะไรกันอยู่

ถึงจะดูไม่แปลกอะไรที่ผู้หญิงจะเมาท์กัน แต่เพราะเสียงดังเป็นพิเศษและท่าทางดูกระดี๊กระด๊ากันอย่างไรชอบกลฐานทัพจึงอดสงสัยไม่ได้

“คุยอะไรกันอยู่ครับ ดูตื่นเต้นกันจัง ดีนะว่าไม่มีลูกค้าเข้ามา”

พอเสียงห้าวทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นที่ด้านหลัง พวกเธอก็หันมามองเป็นตาเดียว ก่อนจะแหวกวงแล้วตีวงขึ้นมาใหม่โดยมีฐานทัพเข้าร่วมด้วยโดยอัตโนมัติ

“กำลังเมาท์เรื่องหนุ่มหล่อที่มานั่งอยู่หน้าโชว์รูมไงล่ะ”

นาตยา รุ่นพี่ฝ่ายธุรการที่ลุกจากเก้าอี้ประจำตัวมาร่วมวงสนทนาเอ่ยเป็นคนแรก พร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางประตูกระจกใสบานกว้างใหญ่ที่ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้แบบร้อยแปดสิบองศา

ฐานทัพมองตามอย่างไม่เข้าใจ คิ้วมุ่นเข้าหากันอีกนิด

“ไม่เห็นเหรอ นั่นไงๆ นั่งหันหลังอยู่น่ะ”

วีรดา รุ่นพี่หญิงอีกคนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ย้ำ คราวนี้ยกนิ้วขึ้นระบุพิกัดด้วย

ฐานทัพมองตามปลายนิ้วของเธอไป จึงเห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งหันหลังอย่างที่อีกฝ่ายบอก แต่ก็ยังไม่คลายความสงสัย

“แล้วทำไมเหรอครับ”

“โธ่ ฐานนี่ก็”

ระริน รุ่นพี่พนักงานขายเหมือนกันเอ่ยเสียงกึ่งตัดพ้อกึ่งปลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นซ้ำ

“ก็ผู้ชายคนนั้นเขามานั่งอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมงแล้วน่ะสิ”

“เขาคงเอารถมาเช็กละมั้ง นั่งรอข้างในอาจจะอุดอู้ ตรงนั้นก็ร่มดีด้วย”

ถึงจะเป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้วก็ตาม แต่ท้องฟ้าเมืองไทยก็ยังสว่างจ้าให้ผู้คนได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างเต็มที่อยู่ดี

“โอ๊ย ไม่องไม่อ้อมมันแล้ว”

นาตยาร้องขึ้นมาเสียงดังคล้ายกับว่ารำคาญเต็มแก่ แต่อีกสองคนที่เหลือก็ผงกศีรษะหงึกๆ อย่างเห็นด้วยว่าพูดๆ ไปเถอะ ขณะที่ฐานทัพได้แต่เอียงคออย่างสงสัย

“ผู้ชายคนนั้นน่ะ เขามานั่งมองฐานไงเล่า”

คราวนี้จากที่เอียงศีรษะเล็กกลม ดวงตากลมโตหวานเชื่อมเหมือนมีน้ำมาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดจนผู้หญิงยังอิจฉาเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ลงพร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้นด้วยความงุนงงกว่าเดิม

“มองผม?”

“ก็ใช่น่ะสิ พวกพี่สังเกตเห็นกันมาตลอด ฐานไม่รู้สึกตัวเลยหรือไง”

ฐานทัพได้แต่ส่ายหัว ทอดสายตาออกไปยังบุคคลที่ถูกกล่าวถึง และอาจเพราะอีกฝ่ายรู้ตัวกระมังว่าถูกสายตาสี่คู่มองอยู่ถึงได้หันมา

ทันทีที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย ฐานทัพกลอกตาขึ้นอย่างฉับพลัน เขาสูดหายใจแรงๆ แล้วผ่อนออกมาอย่างรุนแรงในระดับเดียวกัน

“หันมาแล้ว นั่นไงๆ ยิ้มด้วย”

“รู้จักกันใช่ไหม”

“เขามาจีบฐานเหรอ”

เสียงถามดังไม่หยุด ฐานทัพจึงถอนหายใจอย่างเอือมระอาออกมาอีกรอบ จากนั้นเดินออกไปประจันหน้ากับอีกคน

“มาทำไม รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่”

ฐานทัพเชื่อว่าไม่มีคนรู้ว่าเขาทำงานเป็นเซลส์ขายรถอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะกับพวกที่เขามีอะไรด้วย เพราะไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังไม่ว่าจะเป็นใคร และก็ใช่ว่าพวกคู่นอนคืนเดียวของเขาจะสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย

“พี่ตามสืบมาน่ะ เป็นเดือนเชียวนะกว่าจะหาเจอว่าฐานทำงานที่นี่”

สิบทิศเป็นลูกค้าคนหนึ่งที่มาใช้บริการผับเดียวกันอยู่บ่อยๆ เขาเคยเห็นหน้าอยู่หลายครั้งแต่ไม่ได้สนใจอะไร ส่วนอีกฝ่ายก็คงรู้จักเขาเพราะชื่อเสียงกระมัง

ฐานทัพผู้ชื่นชอบวันไนต์สแตนด์และไม่เคยนอนกับใครซ้ำเป็นครั้งที่สอง

เมื่อประมาณสามเดือนก่อนสิบทิศเข้ามาแนะนำตัวกับเขา เขาดูจากหน้าตาท่าทางก็รู้สึกสนใจไม่เบา แต่พออีกฝ่ายเปิดปากพูดออกมากลับทำให้ความคิดนั้นสูญสลายไป

ถ้าเพียงสิบทิศไม่พูดว่า ‘ชอบ’ มันก็คงจบไปแล้ว

“ละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่นแบบนี้ มันไม่ดีไม่ใช่หรือไงครับ”

“ก็ถ้าพี่ไม่ทำแบบนี้ พี่จะสร้างโอกาสให้ตัวเองได้มากขึ้นเหรอ ฐานก็คงมองพี่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่นอนด้วยครั้งเดียวแล้วจบ”

“ผมบอกแล้วนะว่าผมไม่คิดจะคบกับคุณ คุณกลับไปเถอะ ผมต้องทำงานต่อ แล้วก็อย่ามาที่นี่อีก มันเป็นการรบกวน”

คำพูดยาวเหยียดของสิบทิศไม่อยู่ในความสนใจของฐานทัพแม้แต่น้อย

เขากล่าวเช่นนั้นแล้วหันหลังกลับ ไม่แยแสอีกฝ่ายที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง รวมทั้งรุ่นพี่ในโชว์รูมที่จับตามองพวกเขามาจากด้านในอยู่ตลอด ไม่ว่าคนทั้งหลายจะซักถามอะไร เขาก็ตอบกลับไปเพียงว่าไม่รู้

ทว่านับจากวันนั้นเป็นต้นมาก็มีของบางสิ่งถูกส่งมาให้ทุกวัน

วันแรกเป็นช่อกุหลาบสีแดงสดจนรุ่นพี่ในโชว์รูมส่งเสียงแซวร้องด้วยความอิจฉา แม้กระทั่งผู้จัดการก็ยังออกปากเช่นกัน พนักงานรวมทั้งแม่บ้านในโชว์รูมต่างรู้กันหมดว่าเขากำลังถูกจีบ

“อยากมีหนุ่มๆ ส่งดอกไม้มาให้บ้างจังนะ”

เมื่อถูกสัพยอกแบบนั้นฐานทัพจึงยื่นกุหลาบสีแดงช่อนั้นให้อย่างไม่เสียดาย

พวกตุ๊ดเกย์คนอื่นๆ อาจจะชอบดอกไม้ก็ได้ แต่สำหรับเขามันไม่ได้มีค่าอะไรเลย

“ผมให้ เอาไปชื่นชมให้เต็มที่เลย”

“อ้าว หนุ่มคนนั้นเขาให้ฐานนะ ฐานจะเอามาให้พี่ได้ยังไง”

“ถ้าพี่ไม่เอา ผมจะเอาไปทิ้งถังขยะนะ”

พอฐานทัพตอบกลับไปห้วนๆ แต่เด็ดขาดเช่นนั้น ฝ่ายหญิงสาวก็รีบคว้าช่อดอกไม้เข้าไปกอดแนบอกในทันที พึมพำว่าเสียดายของจนคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วยหัวเราะขบขัน

วันที่สองเป็นช็อกโกแลตยี่ห้อดัง เขาก็เอาไปแจกจ่ายให้กับทุกคนในโชว์รูมโดยไม่ได้แตะต้องมันเลยสักชิ้น จนถูกถามว่าไม่กินจริงๆ เหรอ อร่อยนะ ซึ่งเขาก็ตอบเพียงแค่ส่ายศีรษะ

อีกหลายวันต่อจากนั้นยังมีของอย่างอื่นส่งมาให้ทุกวัน เขาให้พวกพี่ๆ ในโชว์รูมเหมือนเดิม ของขวัญสารพัดอย่างถูกส่งมามากมายอย่างไม่เสียดายเงิน แม้เขาจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายน่าจะมีฐานะอยู่ในระดับที่ไม่ถึงขนาดเป็นเศรษฐีแต่ก็ถือได้ว่าใช้จ่ายได้ครั้งละมากๆ อย่างไม่เดือดร้อน

ฐานทัพถึงขั้นยกเลิกการเที่ยวกลางคืนประจำวันศุกร์เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไปดักรออยู่ เพราะเพียงเท่านี้ก็ดูเหมือนสิบทิศจะตื๊อไม่เลิกแล้ว

จนกระทั่งวันศุกร์ของสัปดาห์ที่สามนับตั้งแต่สิบทิศส่งของมา ของที่ส่งมาคราวนี้ทำให้เขาหนักใจ แม้แต่คนอื่นๆ ในโชว์รูมก็ยังยิ้มกรุ้มกริ่ม ตาแววระยับ

“หึๆ คราวนี้ไม่อยากแบ่งอะดิ”

เสียงจักรวาล รุ่นพี่ผู้ชายฝ่ายขายเหมือนกันแซวมา ไม่มีใครในโชว์รูมรถแบรนด์ดังแห่งนี้ไม่รู้ว่าเขามีรสนิยมแบบไหน ทั้งเรื่องของที่ชื่นชอบและไลฟ์สไตล์

“ทำใจยากอะพี่”

ของที่อยู่ในมือฐานทัพตอนนี้คือเครื่องดื่มดีกรีแรงจากต่างประเทศที่เขายังไม่เคยได้ลิ้มลองสักหยด และไม่แน่ใจด้วยว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสซื้อมาดื่มเองสักแก้วหรือเปล่า

“แบบนี้เรียกว่ามาถูกทางแล้วสินะ”

“ว่าแต่เขาส่งของมาให้ทุกวันอย่างนี้ ได้คุยกันบ้างหรือยังล่ะ”

ระรินผู้เป็นเจ้าของตำแหน่งขาเมาท์ถามบ้าง ฐานทัพส่ายศีรษะอีก จนนาตยาซึ่งเป็นพี่ใหญ่สุดรองจากผู้จัดการต้องออกปาก

“มันก็ดีที่พวกพี่ได้ลาภลอยเพราะเขา แต่ฐานอย่าลืมนะว่าฐานจะเอายังไงก็ต้องพูดกับเขาตรงๆ ไม่รับของจากเขาก็บอกไป เขาจะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ไม่อยากคบกับเขาก็ปฏิเสธให้ชัด ปล่อยไปเรื่อยๆ แบบนี้มันก็เหมือนให้ความหวังกลายๆ”

นานๆ ครั้งจะมีคำพูดสั่งสอนแบบนี้มา เพราะถึงเขาจะทำงานที่นี่มาสองปี เป็นน้องเล็กของโชว์รูม ทว่าพวกพี่ๆ ก็ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายการใช้ชีวิตส่วนตัวหรือการตัดสินใจ ฐานทัพจึงต้องชะงักคิดตามไป

จากนั้นจักรวาลก็ยื่นถุงกระดาษใบหนึ่งมาให้

“พวกของเล็กๆ น้อยๆ อย่างของกินหรือเสื้อผ้าเข็มกลัดติดเนกไทน่ะ พวกพี่ก็รับแทนได้อยู่หรอก แต่ของแบรนด์เนมชิ้นละหลายพันพวกพี่คงรับแทนไม่ไหว”

เมื่อยื่นมือออกไปรับและก้มลงดูของในถุงนั้นก็พบว่าเป็นเข็มขัด นาฬิกา และน้ำหอมราคาแพงอย่างที่อีกฝ่ายว่า คำพูดจี้ใจดำนั้นทำให้ฐานทัพรู้สึกว่าตัวเองทำผิดไปเล็กน้อยเป็นครั้งแรก

“แต่จะว่าไปวันนี้ยังไม่เห็นผู้ชายคนนั้นเลยนะ”

เพราะทุกๆ วันนอกจากให้แมสเซนเจอร์มาส่งของช่วงสายๆ แล้ว ในตอนเย็นสิบทิศจะโผล่มาอยู่หน้าโชว์รูม มองเข้ามาจากด้านนอก พอเห็นเขาแล้วยิ้มกว้างๆ ให้เสร็จก็จากไปโดยไม่ได้มานั่งรอหรือพูดคุยกันสักคำ

ดังนั้นการที่ถึงเวลาแล้วเจ้าตัวไม่โผล่มาจึงเป็นเรื่องแปลกสำหรับทุกคนในโชว์รูม แม้กระทั่งฐานทัพเอง ถึงกระนั้นก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกอะไรให้เป็นพิเศษ ฐานทัพเพียงยักไหล่บอก

“อาจจะเบื่อแล้วก็ได้มั้ง”

“พี่ว่าน่าจะติดธุระอะไรมากกว่า เพราะถ้าเบื่อเมื่อเช้าคงไม่ส่งเหล้ามาหรอก ไม่ใช่เหรอ”

มีเสียงเห็นด้วย “นั่นสิ” ดังมาเนืองๆ จากหลายคน ฐานทัพจึงคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เกิดประกายวิบวับจากมุมหนึ่งในสมอง เขาตัดสินใจว่าวันนี้จะไปผับประจำ

ถ้าเจอสิบทิศ เขาจะคืนของให้

แต่ถ้าไม่... เขาก็ขอใช้ชีวิตรักสนุกที่ต้องงดไปครึ่งเดือนเต็มๆ อย่างเต็มที่แล้วกัน

แล้วเมื่อถึงเวลา ฐานทัพก็หิ้วถุงกระดาษใบเดิมที่ได้รับมาแต่มีขวดแอลกอฮอล์ดีกรีแรงเพิ่มเติมเข้ามาไปยังสถานที่อโคจรแห่งนั้น

เขาถูกคนที่เคยเห็นหน้าค่าตากันบ่อยๆ ทักทายว่าหายไปนานเลยนะ นึกว่าจะเลิกเที่ยวแล้วซะอีกอยู่หลายคน เพราะปกติแล้วไม่เคยมีสัปดาห์ไหนเลยที่เขาจะเว้นว่างไป ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีใครๆ หลายคนรู้จักเขา และใครๆ หลายคนที่ว่านั้นก็เคยเป็น ‘คู่นอนชั่วข้ามคืน’ ของเขามาแล้วเกือบทั้งนั้น

ฐานทัพนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่เงียบๆ พร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ สถานที่ซึ่งยากต่อการมองเห็น บางมุมมีชายหนุ่มสองคนยืนแนบร่างซุกไซ้ซอกคอกันให้เห็นอย่างไม่กริ่งเกรงหรือเอียงอาย ซึ่งมันก็เป็นภาพที่เห็นจนชินตาไปแล้ว

หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาเคยทำแบบนั้นเหมือนกันเวลาเจอชายหนุ่มที่ถูกใจมากๆ แถมอีกฝ่ายร้อนแรงจนเขาแทบรอให้ถึงโรงแรมไม่ไหว สองลิ้นตวัดเกี่ยว ริมฝีปากดูดดึงกันจนเหมือนจะกลืนกินเข้าไปเสียให้ได้ สองกายสนิทแนบกอดรัดกันจนแทบจะผสานรวมเป็นเนื้อเดียว

ช่วงเวลาที่เร่าร้อนแบบนั้น... โหยหาเหลือเกิน

ฐานทัพเลียริมฝีปากเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก เริ่มรับรู้ถึงความกำหนัดที่แผ่ซ่านขึ้นมาจากกลางกายไล่มายังอก และพุ่งทะยานมาสู่ปากเพราะความอดยากหิวโหยที่สะสมไว้

เขาล้มเลิกความคิดที่จะมองหาเป้าหมายซึ่งตนเพิ่งเคยคิดมองหาเป็นครั้งแรกนั้นเสีย แล้วหา ‘ความสนุก’ ที่จะมาสนองความปรารถนาอันล้นปรี่ของตนในค่ำคืนนี้แทน

ช่วยไม่ได้ ในเมื่อคุณไม่มาเองก็ถึงเวลาหาของกินให้อิ่มท้องของผมแล้ว

ใบหน้ากลมเล็กยังคงเบนมองไปเรื่อยๆ ด้วยเจตนารมณ์ที่เปลี่ยนไป ก่อนสายตาจะสะดุดลงยังกลุ่มชายสามคนที่สองในสามนั้นดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ฐานทัพจึงเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับสัมภาระและแก้วเครื่องดื่มในมือ

“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”

แม้ไม่ต้องเอ่ยปากคนทั้งโต๊ะก็หันมามองฐานทัพเป็นตาเดียวกันแล้ว

สองคนที่ฐานทัพเคยเห็นหน้า หรือพูดง่ายๆ ว่า ‘เคยร่วมเตียง’ หันมายิ้มให้ พร้อมกับตอบกลับ “นั่งสิๆ” กันคนละเสียงสองเสียง

“เหมือนจะไม่เห็นหน้านานเลยนะ”

“พอดีว่ามีธุระนิดหน่อยน่ะครับ”

ฐานทัพตอบด้วยรอยยิ้มละไม ดวงตาวาววับเป็นประกายอยู่เป็นนิจเมื่อต้องแสงไฟสลัวก็ยิ่งดูพริบพราวมากกว่าเดิม

นี่คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งกระมังที่ทำให้หนุ่มร่างเล็กดูมีเสน่ห์มากยามมอง โดยเฉพาะแก้มแดงระเรื่อจางๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และรูปร่างเล็กเพรียวดูอรชรยิ่งกว่าหญิงสาวนั้นดูเย้ายวนในสายตาคนมองจนทำให้ลุ่มหลงเอาได้ง่ายๆ

แม้ใบหน้าของฐานทัพจะไม่มีวี่แววใดที่สะท้อนความงดงามอย่างผู้หญิงออกมาเลย กอปรกับเคราแพะบางๆ ที่คางนั้นด้วยยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ชายโดยไม่อาจคิดเป็นอื่นได้ ทว่าทั้งที่เป็นเช่นนั้น เกย์ฝ่ายรุกหลายๆ คนกลับหลงใหลและใฝ่ปองจะกอดไล้เรือนร่างนี้สักครั้ง โดยที่ฐานทัพก็ไม่รู้ว่าทำไม เพียงแต่ว่า...

เพราะแบบนั้นมันถึงเข้าทางไลฟ์สไตล์ของเขาอย่างที่สุด

“ว่าแต่คืนนี้เล็งใครไว้แล้วหรือยังล่ะ”

“คืนนี้เหรอ”

ฐานทัพครางเสียงห้าวทุ้มเบาๆ กระดกมุมปากยิ้มเล็กน้อยที่ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้คนเห็นละสายตาไม่ได้มากขึ้น

“ยังไม่มีหรอกครับ แต่เห็นว่าโต๊ะนี้มีคนคุ้นหน้ากับไม่คุ้นหน้าอยู่ก็เลยแวะมาดู”

คำตอบนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มทั้งสองคนได้ มีเพียงคนเดียวที่ ‘ไม่คุ้นหน้า’ ซึ่งจับจ้องมาทางเขาโดยไม่ละสายตาและไม่ขยับริมฝีปากแต่อย่างใด ฐานทัพจึงกวาดสายตาไป ส่งยิ้มให้อีกครั้ง ทำให้ดวงตาที่ล้อแสงไฟอยู่สุกสกาวยิ่งขึ้น

รอยยิ้มครั้งนี้เหมือนจะปักเข้าตรงกลางอกของคนได้รับไปเต็มๆ เพราะเจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยจนฐานทัพหัวเราะออกมานิดๆ กับท่าทางน่าขันแกมน่าเอ็นดูนั้น

“คนนี้หน้าไม่คุ้นเลย เพิ่งมาใหม่เหรอครับ”

เพราะดูท่าว่าอีกฝ่ายคงไม่เอ่ยปากตอบง่ายๆ ฐานทัพเลยหันไปมองอีกสองคนที่เหลือแทน

“อ๋อ หมอนี่เป็นพนักงานที่เข้ามาใหม่น่ะ พอดีเห็นแววเลยพาออกมาเปิดประสบการณ์สักหน่อย”

เพื่อนสองคนที่นั่งข้างกันอยู่ต่างยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน ก่อนอีกคนที่ไม่ได้ตอบเมื่อครู่จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมา

“ถ้ายังไงคืนนี้เรามาสนุกกันทั้งสี่คนไหมล่ะ”

สายตาส่งเป็นนัยว่ากำลังพูดถึงความสนุกแบบไหนอยู่ทั้งที่แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นฐานทัพก็เข้าใจได้

“น่าสนใจดีนะครับ ผมก็ไม่ได้เล่นอะไรแบบนั้นนานแล้ว”

สิ้นเสียงนั้นริมฝีปากสีแดงจัดจ้านเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วยส่วนหนึ่งก็จรดที่ปากแก้วในมือ กระดกเครื่องดื่มสีอำพันลงคอไปอึกใหญ่ก่อนจะใช้ลิ้นเล็กๆ เลียขอบปากที่เปียกชื้นอยู่หน่อยๆ เรียกสายตาของคนทั้งสามในโต๊ะ โดยเฉพาะคนสุดท้ายที่นั่งอยู่ข้างกัน

กลืนน้ำลายลงคอตามเขาอึกใหญ่เลยทีเดียว

ฐานทัพกระหยิ่มยิ้มเหลือบตามอง ‘พนักงานใหม่’ ที่ยังจ้องมองกันไม่เลิก

“แต่ผมมีกฎว่าจะไม่นอนกับคนเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สอง เพราะอย่างนั้นคืนนี้คงต้องขอสนุกกับคุณพนักงานใหม่คนเดียวแล้วล่ะครับ”

“โธ่ น่าเสียดายชะมัดเลย ไม่คิดจะเปลี่ยนกฎบ้างหรือไง”

“นั่นสิ นี่กะเก็บแต้มอย่างเดียวเลยงั้นสิ ไม่มีคนที่โดนใจ เข้ากันได้ดีจนรู้สึกเสียดายแล้วอยากลองอีกสักครั้งบ้างหรือไงกันนะฐาน”

“ก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ แต่ผมไม่แหกกฎของตัวเองหรอก”

“เฮ้อ ถ้ารู้แบบนี้นะ ตอนนั้นคงเอาให้เต็มที่กว่านี้ ให้ฐานลงจากเตียงไม่ได้ไปเลย”

“แบบนั้นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอครับ”

ฐานทัพหัวเราะปิดท้ายประโยคราวกับคำพูดหยอกล้อนั้นเป็นเรื่องชวนหัวธรรมดา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไร

แต่ก็เป็นอย่างนี้แหละ ฐานทัพในสายตาของทุกๆ คน

...คนรักสนุก ฟรีเซ็กซ์ ขอแค่สบตาแล้วถูกใจจะขึ้นเตียงเมื่อไรก็ย่อมได้

และเขาก็ไม่เคยสนใจด้วยว่าในความคิดของคนอื่นตนเองจะเป็นอย่างไร เพราะเขาแค่สนุกกับชีวิตก็พอ และมันก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียน ม.ต้น เองด้วยซ้ำ

“แบบนี้ก็สรุปแล้วสิว่าคืนนี้ฐานเลือกใคร”

“โอเคหรือเปล่า”

แทนที่จะยืนยันคำตอบกับคนที่เอ่ยสรุปความนั้น ฐานทัพกลับหันไปทางคนข้างๆ แทน ซึ่งอีกฝ่ายก็ผงกศีรษะหงึกๆ หลายครั้งราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ พลอยให้ฐานทัพยิ้มอีกรอบ

“เคยทำหรือเปล่าครับ”

“ก็เคยมาบ้าง”

“แต่ดูตื่นๆ นะ”

ประโยคแซวนั้นทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังครืนขึ้นมาจากคนทั้งโต๊ะ เมื่อมันหยุดลงฐานทัพก็ส่งคำถามออกไปอีก

“จะไปเลยหรือเปล่า”

คนถูกถามไม่มีคำตอบเป็นคำพูด แต่ลุกพรวดขึ้นมาในทันที ดูจะเร่งรีบจนเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ได้อีกครั้ง ฐานทัพจึงลุกขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากโต๊ะก็ถูกคนที่เหลือเรียกไว้เสียก่อน

“จะไปแล้วไม่คิดล่ำลากันหน่อยเลยเหรอ”

“ไม่ได้ไปด้วยกันแต่จูบลาสักนิดก็ยังดี”

ข้อเรียกร้องนั้นฐานทัพไม่คิดจะโต้แย้ง เขาโน้มกายไปฝั่งตรงข้ามก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนกลีบปากที่ยื่นรออยู่ แล้วดูดดึงริมฝีปากนั้นที่ขบรับกันอยู่หลายวินาที จากนั้นก็หันมายังอีกคนและทำเช่นเดียวกัน แต่คราวนี้ถูกลิ้นอุ่นๆ สอดเข้ามาควงควานภายในอย่างตะกละตะกลามจนมุมปากเปียกชื้น ทำเอาคนแรกร้องโวยออกมา

“เฮ้ย โกงนี่หว่า”

“ช่วยไม่ได้ ก็ฐานเซอร์วิสแล้วมึงไม่ฉกฉวยเอาเอง”

ทว่าฐานทัพที่เป็นตัวต้นเหตุไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย กลับบอกเพียงว่าเคลียร์กันเองนะ แล้วหันกลับมาหาอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันซึ่งทำหน้าเหมือนกำลังเสียดาย

ฐานทัพไม่รอช้า เขย่งตัวบดริมฝีปากกับคนตรงหน้าทันควัน เบียดคลึงแทรกลิ้นเข้าไปตวัดพันกันภายในโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างดูดดื่มกว่าสองคนที่ผ่านมาเสียอีก ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องเสียดายไป เรายังมีเวลาคืนนี้อีกทั้งคืน

แต่ยังไม่ทันได้ละปากออกจากร่างสูงโปร่งที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อตรงหน้า แขนข้างหนึ่งก็ถูกกระชากไปทางด้านหลังอย่างรุนแรง ฐานทัพตัวเซจนไปกระแทกกับเจ้าของแรงนั้น

ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วก็เบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงหรี่ลงในเสี้ยววินาทีด้วยความไม่พอใจ เสียงห้วนตวัดใส่

“ทำอะไรของคุณ”

“พี่ควรจะเป็นฝ่ายถามมากกว่า”

สิบทิศเปล่งเสียงห้วนๆ แสดงถึงความไม่สบอารมณ์อย่างสูงสุด ก่อนเหลือบตามองคนที่ยืนอยู่ข้างฐานทัพแล้วย้ายสายตาไปยังอีกสองคนที่เหลือ

“ไปกับพี่”

“เฮ้ย ได้ไง เกี่ยวอะไรกันด้วย”

ฐานทัพสะบัดแขนอย่างแรงเพื่อให้คีมมนุษย์ที่คีบแขนตนเองอยู่หลุดออกไป แต่สะบัดอยู่หลายครั้งมันก็ยังไม่หลุดจนคนที่อยู่ด้านหลังต้องเอ่ยเสียงออกมา

“ปล่อยเขาสิ ไม่เห็นเหรอว่าเขาไม่ชอบ”

“เรื่องผมกับฐาน ไม่เกี่ยวกับคุณ”

ดูเหมือนสิบทิศจะไม่อยากเปิดโอกาสให้ใครมาขัดขวางไปมากกว่านั้น เพราะอยู่ๆ ก็รวบตัวฐานทัพขึ้นพาดบนบ่าไม่ต่างจากกระสอบข้าวสารแล้วแบกออกไปจากที่ตรงนั้น

ฐานทัพตื่นตะลึงเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำถึงขนาดนี้ เขาดิ้นขลุกๆ อยู่บนบ่าของสิบทิศที่แข็งแรงเกินคาดโดยที่ในมือยังถือถุงซึ่งหิ้วมาด้วยเอาไว้แน่น

“ปล่อยผมสิคุณ”

“ยิ่งดิ้นมากก็ยิ่งเป็นจุดรวมสายตานะ”

สิบทิศบอกเพียงเท่านั้นราวกับไม่แยแสว่าคนบนบ่าจะอาละวาดสักเพียงใด

แม้ฐานทัพจะไม่สนใจสายตาผู้คนที่มองตัวเองอยู่แต่เดิม ทว่าในกรณีนี้มันต่างกัน เขาเหลือบตามองไปเท่าที่ขอบเขตสายตาของตนจะมองเห็น แล้วก็พบว่าคนที่อยู่รอบๆ มองมาทางพวกเขาจริงๆ

ไม่ต้องคิดให้มากความก็อ่านสายตาของคนเหล่านั้นได้ว่าสงสัยใคร่รู้มากเพียงใดที่ฐานทัพคนนี้ถูกใครบางคนแบกออกไปอย่างอาจหาญ

กระทั่งมาถึงลานจอดรถและต่อหน้ารถคันหนึ่ง ฐานทัพก็ได้กลับคืนสู่พื้นดินอีกครั้ง เขาจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามที่ยืนอยู่ต่อหน้าตนตาเขม็ง

“คุณทำแบบนี้ทำไม”

“พี่ไม่ชอบ”

“ไม่ชอบอะไรก็เรื่องของคุณสิ ทำไมต้องมาจุ้นจ้านในชีวิตผม”

“พี่หึง พี่หวง”

“คุณอยากหึงอยากหวงก็ทำในขอบเขตของคุณสิ อย่ามาก้าวก่ายชีวิตผม”

ฐานทัพสวนคำตอบกลับไปอย่างไม่อ่อนข้อ ทว่าคู่สนทนาก็ไม่ยอมรับคำพูดนั้นอย่างง่ายๆ เช่นกัน

“ฐานก็รู้ว่าพี่จริงจังกับฐาน พี่ชอบฐานจริง จะมีใครที่ไหนบ้างอยากเห็นคนที่ตัวเองชอบไปจูบกับผู้ชายคนอื่น”

“ผมว่าผมบอกไปหลายรอบแล้วนะว่าผมไม่สนใจคุณ”

“ทำไมต้องปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยขนาดนั้นด้วยล่ะ ไม่คิดจะลองคบกันดูหน่อยเลยเหรอ หรือว่าฐานเกลียดกลัวความรักกันแน่เลยไม่อยากจะผูกมัดกับใคร”

ประโยคแรกๆ เหมือนจะถูกซัดให้ลอยกระเด็นหายไปในฉับพลันเมื่อได้ยินประโยคหลัง ฐานทัพแค่นเสียง “หึ” ออกมาเบาๆ

เกลียดกลัวความรักอย่างนั้นเหรอ เขาไม่เคยมีอดีตฝังใจที่จะทำให้รู้สึกอะไรแบบนั้นหรอก

ตลอดชีวิตมานี้...เขาไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้ง

ทั้งเป็นฝ่ายรักและฝ่ายถูกรัก ไม่มีทั้งนั้น






v



v


ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥


v


v


“ผมไม่สนใจเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นหรอก”

“ทั้งที่ไม่เปิดโอกาสให้มัน แต่กลับตัดสินไปว่าไร้สาระ ไม่ด่วนสรุปไปหน่อยเหรอ”

สิบทิศถามกลับมาอย่างไล่เบี้ยพร้อมๆ กับก้าวเท้าเข้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าว สองก้าว จนฐานทัพต้องถอยหลังไปเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรบ้าๆ แบบที่คาดไม่ถึงขึ้นมาอีกหรือเปล่า

“พี่ขอโอกาสได้ไหม ลองคบกันดู”

“โน”

ฐานทัพตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่หวั่นไหวแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำยังยื่นถุงที่อยู่ในมือไปให้คนตรงหน้าจนมือที่กำอยู่เกือบจะกระแทกเข้ากับหน้าอกที่สัมผัสมาแล้วว่าหนั่นแน่นจากการะทำบ้าบิ่นแบกเขามาเมื่อครู่

“เอาของคืนไปด้วยครับ แล้วก็ไม่ต้องส่งมาอีก อย่าคิดว่าจะใช้เงินซื้อผมได้”

“พี่ไม่ได้จะใช้เงินซื้อฐาน แต่พี่ซื้อให้เพราะอยากให้ ความรู้สึกว่าอยากเห็นคนที่ตัวเองชอบใช้ของที่ตัวเองซื้อให้มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ”

เรื่องแบบนั้นเขาไม่รู้หรอก

“ถ้าคุณไม่เอาคืนไป ผมก็จะวางมันไว้ตรงนี้แหละ”

แม้จะมีคำพูดสวนกลับอยู่ในใจแต่ฐานทัพก็ไม่ได้พูดมันออกมา กลับก้มตัวลงเตรียมจะวางถุงกระดาษลงบนพื้น

ถึงจะน่าเสียดายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หากได้ชิมสักอึกคงเป็นลาภปาก แต่ก็ตัดใจว่าส่งคืนเจ้าของดีกว่าจะได้ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก

ทว่าก้นถุงยังไม่แตะถึงพื้นทั้งร่างของฐานทัพก็ต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของสิบทิศอย่างแนบแน่นจนอึดอัด

“พี่จะรับของคืนก็ได้ ถ้าฐานยอมรับข้อตกลงสองอย่าง”

“ผมไม่เห็นความจำเป็น”

เพราะตั้งใจว่าจะวางถุงทิ้งไว้ที่พื้นแล้วแยกตัวออกมา ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องยอมรับข้อตกลงของอีกฝ่ายก็ได้ ฐานทัพจึงพยายามค้อมตัววางถุงลงไปให้ได้ แต่ก็ถูกเรี่ยวแรงที่มากกว่ายันตัวเอาไว้ไม่ให้ทำได้อย่างใจ สุดท้ายเลยต้องพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพื่อแสดงความไม่พอใจให้อีกฝ่ายรับรู้

“จะเอายังไงก็ว่ามา”

“หนึ่ง ให้พี่จูบฐาน”

แค่ข้อแรกก็ทำให้ฐานทัพหัวเราะพ่นลมออกจมูกอีกรอบ แต่สิบทิศก็ไม่ได้สนใจยังคงพูดข้อเสนอของตนเองต่อ

“สอง ให้พี่ไปส่งฐาน”

“ผมว่ามันเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว”

“จะยอมรับหรือเปล่า”

“ถ้าผมตอบว่าไม่”

“พี่ก็จะกอดฐานไว้แบบนี้”

ดูท่าว่าเจ้าตัวจะเอาจริงอย่างที่พูดเสียด้วย เพราะแม้ฐานทัพจะไม่กระดิกกระเดี้ยตัวเพื่อรอให้สิบทิศเมื่อยล้าจนละมือไปก่อน มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น

แม้กระทั่งมีลูกค้าคนอื่นๆ มาที่ลานจอดรถและมองมาอย่างสนใจ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ยี่หระสักนิด จนเป็นฐานทัพเสียเองที่รู้สึกเมื่อยจากการถูกกอด เพราะถ้าให้กะเวลาคร่าวๆ มันน่าจะผ่านมาเกินห้านาทีแล้วที่เขาถูกกอดไว้แบบนี้

“คุณรู้ไหมว่าทำตัวได้น่ารำคาญเป็นบ้า”

“สู้กับคนใจแข็งก็ต้องแบบนี้แหละ”

ฐานทัพอยากจะสวนกลับไปเหลือเกินว่าตนเองไม่ได้ใจแข็ง แต่เพราะไม่สนใจไยดีอีกฝ่ายเลยสักนิดต่างหาก แต่ก็ปลงตกเพราะพูดไปมีแต่เสียพลังงานเปล่าๆ เลยกลับมาพูดต่อหัวข้อเดิมที่ทิ้งไปเมื่อครู่

“ผมยอมรับข้อตกลงก็ได้”

“แน่ใจว่าไม่ได้พูดไปส่งๆ นะ”

“ผมเป็นคนพูดจริงทำจริง”

น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายดังมา สิบทิศจึงค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก

พอได้ประจันหน้ากันอีกครั้ง ฐานทัพก็แสดงสีหน้าเอือมระอาอย่างที่สุดโดยไม่ปิดบัง อีกทั้งยังเอ่ยเร่ง

“จะทำก็รีบทำ จะได้จบๆ”

แต่สิบทิศก็ยังมีข้อแม้

“ให้พี่ไปส่งก่อนแล้วค่อยจูบได้ไหม”

“เรื่องมากจริงเว้ย”

ฐานทัพสบถเสียงพึมพำต่อมาอีกหน่อยก่อนจะถาม

“รถคันนี้ใช่ไหม”

พอได้รับคำยืนยันก็ก้าวตรงไปยังประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับในทันที ทำเอาสิบทิศยิ้มกริ่มกับตัวเอง เดินผิวปากมาเปิดประตูรถฝั่งคนขับ

หลังจากขึ้นรถแล้วห้องโดยสารเคลื่อนที่ก็แล่นออกไป สิบทิศสอบถามเส้นทางเป็นระยะขณะที่ฐานทัพทำหน้าเหนื่อยหน่ายอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งดูเหมือนจะถึงที่หมาย

“จอดตรงนี้แหละครับ ถึงแล้ว”

รถยนต์จอดลง เส้นทางที่เข้ามานั้นเป็นซอยขนาดเล็กที่รถวิ่งสวนกันได้ฝั่งละคันเท่านั้น มีอาคารสูงห้าชั้นและบ้านเรือนเรียงรายขนาบอยู่สองฝั่งถนน

“ฐานอยู่บ้านหลังไหน หรืออยู่อะพาร์ตเมนต์ไหน”

ทว่าก่อนที่ถุงบนตักของฐานทัพจะถูกยื่นใส่สารถีหนุ่ม เสียงแฝงความแคลงใจของสิบทิศก็ดังขึ้นก่อน

ฐานทัพจึ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อยที่ถูกถามไถ่ดักทางเอาไว้เช่นนี้ เพราะหากให้พูดจริงๆ แล้วห้องพักของเขาอยู่ในตึกที่ห่างออกไปอีกห้าสิบเมตร ไม่ใช่บริเวณนี้ที่ออกปากไปว่า ‘ถึงแล้ว’

“ตึกนี้แหละครับ”

ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะเฉลยความจริงให้คนที่ไม่รู้จักมักจี่และไม่ได้อยากรู้จักเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อยล่วงรู้ เขาบอกไปแบบมั่วๆ จากนั้นไพล่เปลี่ยนเรื่องเสียดื้อๆ

“เอาของคืนไปด้วยครับ”

ทว่าอีกฝ่ายยังดื้อแพ่ง

“จะไม่ชวนพี่ขึ้นไปดื่มชากาแฟสักหน่อยเหรอ”

ฐานทัพถึงขั้นถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างไม่กักเก็บอารมณ์ แสดงให้เห็นถึงความเอือมระอาต่ออีกฝ่ายอย่างเปิดเผยเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้

“คุณครับ นี่มันสี่ทุ่มแล้วจะไปกินชากาแฟอีกทำไม อยากตาค้างนอนไม่หลับเหรอ”

“พี่เป็นคนที่ของพวกนั้นไม่มีผลต่อการนอนเท่าไรน่ะ”

“งั้นเอาเหล้าในถุงไปกินแก้ปากว่างแล้วกัน”

เขาล้มเลิกความคิดจะต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้วยัดถุงลงบนตักของสิบทิศในทันที จากนั้นปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย เอี้ยวตัวกลับไปทางฝั่งประตู ทำท่าจะลงจากรถแล้วแต่ก็ถูกเรี่ยวแรงจากทางด้านหลังดึงแขนเอาไว้ก่อน

“ยังไม่ได้ทำตามข้อตกลงอีกข้อเลยนะ”

“อยากจูบผมมากขนาดนั้นเลยหรือไง”

ฐานทัพพูดอย่างใส่อารมณ์เล็กน้อย หัวคิ้วชนกัน ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ใบหน้ารูปไข่ดูสุขภาพดีด้วยแววรำคาญ

“ก็ทีไอ้พวกที่โต๊ะนั้นฐานยังจูบได้ แล้วทำไมพี่จะจูบฐานไม่ได้ บอกให้รู้ไว้เลยนะ เห็นแล้วพี่อารมณ์เสียมากๆ”

“นั่นก็เรื่องของคุณ ผมจำเป็นต้องรับผิดชอบความรู้สึกนึกคิดอะไรๆ ของคุณด้วยหรือไง”

“ฐานทำให้พี่รู้สึกแบบนี้ ฐานก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว”

“ประสาทเปล่าเนี่ย คุณรู้สึกของคุณไปเอง ผมไม่ได้เป็นคนออกคำสั่งหรือบงการให้คุณรู้สึกแบบนั้นสักหน่อย”

ยิ่งพูดคุยโต้ตอบกันก็ยิ่งทำให้ฐานทัพอารมณ์เสียและอยากออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็วแม้เพียงวินาทีเดียวก็ยังดี

เขาถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ราวกับจะเค้นความรู้สึกร้อนๆ ซึ่งตีรวนขึ้นมาจนถึงหน้าออกมาในคราวเดียว

“แค่จูบก็พอใช่ไหม”

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดอะไร มือเรียวเล็กก็คว้าเข้าที่คอเสื้อของชายร่างใหญ่กว่ามาก แล้วกระชากมันให้ใบหน้าของสิบทิศเข้ามาใกล้ จากนั้นกระแทกปากลงไปอย่างไม่เกรงกลัวว่าตนหรืออีกฝ่ายจะปากแตกแต่อย่างใด

ริมฝีปากเรียวบางที่เคยบดคลึงกลีบปากมานักต่อนักบดเบียดเข้ากับปากของอีกคนโดยเพิกเฉยต่อความเจ็บจากกำลังที่ใช้ไปเมื่อสักครู่ เช่นเดียวกับสิบทิศที่ดูดไซ้เนื้อนุ่มนิ่มนั้นกลับมา

แม้ริมฝีปากของตนจะเล็กบางจนอีกฝ่ายไม่น่าจะอิ่มหนำ แต่เขารู้ดีว่ามันมอบความเย้ายวนให้ยิ่งอยากครอบครองสวาปามมันมากขึ้นเพียงใด ดังนั้นลิ้นร้อนชื้นของสิบทิศจึงชำแรกเข้ามาในปากของฐานทัพก่อนเขาจะเป็นฝ่ายเข้าไปเยี่ยมเยือนเสียอีก

สองลิ้นรุกไล่ตวัดควานหากันและกันภายในโพรงปากแคบๆ จนฉ่ำชุ่มไปหมด ฐานทัพรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่มุมปากได้อย่างรวดเร็วจนตื่นตระหนกไปเล็กน้อย เพราะต่อมน้ำลายในปากไม่เคยทำงานฉับไวเช่นนี้มาก่อน

กระทั่งเมื่ออีกฝ่ายดูจะอิ่มเอมอยู่พอสมควรแล้ว ปากทั้งสองถึงได้ผละออกจากกันพร้อมลมหายใจที่ผ่อนทางจมูกด้วยจังหวะที่ถี่รัวกว่าปกติ

เขายกมือขึ้นเตรียมจะเช็ดมุมปากของตัวเองแต่ก็ถูกปลายลิ้นของคนตรงหน้าเลียคราบใสออกไปจนหมดโดยไม่ทันตั้งตัว กว่าจะสะดุ้งและผงะถอยหลังไปเล็กน้อยมุมปากก็เหลือเพียงคราบหมาดๆ ไปเสียแล้ว

“ไม่มีเรื่องติดค้างกันแล้วนะครับ แล้วก็กรุณาอย่ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผมอีก”

พอตั้งสติได้ ปากที่ดูเหมือนจะชื้นเล็กน้อยก็ขยับเอ่ยคำพูด

ฐานทัพหันหลังกลับ เปิดประตูและลงจากรถไปโดยไม่คิดรอฟังถ้อยคำจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยอีก

เขายืนอยู่ข้างตัวรถเพื่อรอให้สิบทิศเคลื่อนรถออกไปเสียที แต่ดูเหมือนว่าสิบทิศเองก็รอเพื่อให้เขาเข้าไปในตัวอาคารก่อน

เมื่อเป็นเช่นนั้นฐานทัพก็หมุนตัวกลับหลังอีกครั้ง ขบริมฝีปากตัวเองอย่างครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไรดี เพราะตึกที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่ที่อยู่ของเขาสักหน่อย แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ และจะให้เดินตรงไปยังสถานที่พักอาศัยของตนเองต่อหน้าสิบทิศ เขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

เพราะมันมีโอกาสว่าสิบทิศอาจจะคุกคามและรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเขามากขึ้น

หลังจากครุ่นคิดเพื่อหาทางออกอยู่สักพัก ในที่สุดฐานทัพก็หันหลังกลับ เคาะกระจกหน้าต่างรถอย่างไม่มีทางเลือก ส่งผลให้สิบทิศเลื่อนกระจกลงด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

“คุณไม่กลับไปสักทีล่ะ”

“พี่อยากเห็นฐานเข้าไปข้างในก่อนนี่”

“แต่ว่าถนนมันแคบ รถคุณจอดเกะกะขวางทางรถคันอื่นอยู่นะครับ”

พอฐานทัพบอกไปเช่นนั้น สิบทิศก็หันไปมองทางกระจกด้านหลังของรถก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงขรึม

“ไม่เห็นมีรถสักคัน พี่จะขวางได้ยังไงกันล่ะ”

มันต้องเป็นตามนั้นอยู่แล้ว เพราะถนนสายนี้ไม่ใช่ถนนสายหลัก ถึงจะไม่ใช่ซอยตันเพราะสามารถใช้เป็นเส้นทางลัดทะลุไปยังถนนอีกเส้นได้ แต่ก็มีลักษณะกึ่งๆ ชุมชน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้รถย่อมต้องผ่านน้อยอยู่แล้ว

“ตอนนี้ยังไม่มี แต่อีกเดี๋ยวอาจจะมีก็ได้”

“ฐานโกหกพี่มากกว่าละมั้ง สรุปว่าตึกนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของฐานใช่ไหม”

โดนตัดบทด้วยการเจาะจงเข้าตรงประเด็นแบบนี้ ฐานทัพจึงล้มเลิกความคิดที่จะอ้อมค้อมเกลี่ยกล่อมอีกฝ่าย จากนั้นออกเดินตรงไปยังจุดหมายซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยที่แท้จริงของตนเองแทน

ในเมื่อปิดบังไม่ได้แล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย

เขาตัดสินใจอย่างนั้นแล้วเดินไปด้วยความเร็วตามปกติ แต่สิ่งที่เคลื่อนไหวอย่างผิดปกติก็คือรถยนต์ที่ค่อยๆ ขับตามหลังมาราวกับกำลังสะกดรอยตามกันอย่างโจ่งแจ้ง

ถึงจะอยากหันไปโต้ตอบกับคนในรถว่าจะไปไหนก็ไปเสียเถอะ แต่ฐานทัพก็หุบปากเงียบ ไม่คิดจะไปสานต่อบทสนทนาที่ตนเลือกจะตัดทิ้งไปแล้วให้เกิดความยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีก

กระทั่งเดินมาถึงอาคารเจ็ดชั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในอาณาบริเวณนั้นโดยไม่คิดหันหลังกลับ รับฟังแต่เพียงเสียงเครื่องยนต์ที่รักษาจังหวะเอาไว้ให้พอคาดเดาได้ว่ามันคงกำลังหยุดนิ่งอยู่ ขณะเดียวกันไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแผ่นหลังของเขาถูกจับจ้องมาด้วยสายตาของคนคนนั้น










-----------





ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥













2nd Lie
ถึงผมจะไปนอนกับใครมันก็เรื่องของผม


 

ตลอดทั้งวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันทำงาน ฐานทัพนึกดีใจอยู่ว่าคนที่เขาออกปากไปว่าให้เลิกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตทำในสิ่งที่ตนปรารถนาแล้ว เพราะไม่มีสิ่งของส่งมาให้ ทว่าความหวังของเขากลับต้องสลายไปเมื่อเวลาเย็นย่ำมาถึง

สิบทิศโผล่หน้ามาที่โชว์รูม มิหนำซ้ำยังไม่เพียงแค่มายิ้มโชว์ให้เห็นหน้าเหมือนตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะคราวนี้นั่งรอจนกระทั่งฐานทัพเลิกงานช่วงทุ่มครึ่ง

พอฐานทัพเดินออกมาจากโชว์รูม หนุ่มร่างสูงรูปร่างดีก็สาวเท้าเร็วๆ เข้ามาหาอย่างว่องไวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ามายุ่งกับผมอีก”

“พี่ก็บอกไปแล้วใช่ไหมว่าพี่ชอบฐาน”

คำพูดเหมือนสวนทางกันและไม่สามารถปะติดปะต่อกันได้ดังตามมา ทำให้ฐานทัพต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“ผมอยากกลับไปพักผ่อน เห็นหน้าคุณแล้วผมเหนื่อยกว่าทำงานทั้งวันอีก”

“พี่ไปส่ง”

“ผมมีค่า มีเงินค่ารถ ไม่จำเป็นต้องอาศัยคุณ”

ไม่รู้ว่านับตั้งแต่ถูกสิบทิศตามมาตอแยเขาพูดคำว่า ‘ไม่จำเป็น’ ไปกี่ครั้งแล้ว เสียงถอนหายใจดังมาอีกระลอกเมื่อได้รับคำตอบ

“แต่พี่เต็มใจให้อาศัย พึ่งพา พึ่งพิงอย่างเต็มที่เลย ฐานอยากรีบกลับ พี่ไปส่งจะได้ถึงเร็วๆ ไง มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ยิ่งผมให้คุณไปส่ง ผมมีแต่จะเหนื่อยกว่าเดิมน่ะสิ ไม่ได้ยินที่ผมบอกเหรอว่าเห็นหน้าคุณแล้วผมเหนื่อย”

ท้ายคำพูดแฝงไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจอยู่อย่างชัดเจน สะบัดห้วนจนคนฟังน่าจะรู้ได้ถึงความรำคาญด้วยซ้ำ ทว่าสิบทิศก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้าและเจตนารมณ์

“ฐานก็ทนเหนื่อยแป๊บเดียวจะได้พักแล้วไง”

“นี่คุณ คุณรู้ไหมว่าทำตัวได้น่ารำคาญมาก ผมรำคาญ รำคาญ รำคาญ ออกไปจากชีวิตผมสักทีสิ”

ทั้งที่ฐานทัพไม่ใจเย็นอีกแล้ว ตะเบ็งเสียงออกมาขับไล่กันอย่างเต็มที แต่สิบทิศกลับทำหูทวนลมเหมือนได้ยินเสียงนกเสียงการ้องเพลงไพเราะให้ฟังและย้อนกลับมา

“ซอยหอของฐานมันเปลี่ยวนะ เดินเข้าไปเองมันอันตราย เกิดมีโจรมาดักปล้นจะว่ายังไง”

ฐานทัพถอนหายใจออกมาแรงๆ ราวกับจะให้จมูกหลุดออกมาพร้อมลมหายใจด้วยอย่างไรอย่างนั้น เขาปวดหัวกับคนตรงหน้าจนไม่รู้จะเอ่ยปากไล่ออกไปอย่างไรแล้ว

เขายอมรับอยู่หรอกว่าซอยของที่พักเขาค่อนข้างเปลี่ยว แต่มันก็แค่ช่วงดึกเท่านั้น ตอนหัวค่ำรถรายังสัญจรกันอยู่เนืองๆ และเขาก็ไม่เคยกลับดึกจนถึงช่วงเวลาที่ปลอดผู้คนด้วย เพราะหากไม่ได้กลับตามเวลาปกติ เขาก็จะกลับตอนเช้าไปเลย แน่นอนว่ากรณีนั้นเขาไม่ได้นอนคนเดียว

เรื่องความปลอดภัยว่าจะมีใครมาจี้ปล้นหรือเปล่า เขาไม่เคยจะนึกถึงด้วยซ้ำ เพราะดูลักษณะของตนเองแล้วก็ไม่ได้ดูมีอันจะกินจนน่าจะเป็นเหยื่อได้

จริงอยู่ว่าเขาแต่งตัวดีเพื่อให้สมกับหน้าที่การงานที่ต้องพบปะผู้คน โดยเฉพาะแบรนด์รถที่เขาขายเป็นรถราคาค่อนข้างแพงจึงยิ่งต้องใส่ใจในรูปลักษณ์เพื่อความเชื่อถือของลูกค้า

ทว่าเสื้อเชิ้ตที่เขาใส่ก็เป็นเพียงเสื้อเชิ้ตที่ซื้อพร้อมกันหลายๆ ตัวในราคาส่ง นานๆ ครั้งถึงจะซื้อเสื้อเชิ้ตแบรนด์ดังที่ลดราคาแบบกระหน่ำล้างสต็อกแล้วล้างสต็อกอีก กางเกงสแล็กก็มีอยู่แค่สี่ตัวใส่วนกันไป มีแค่เข็มขัดที่ลงทุนซื้อในราคาแพงหน่อย เพราะเป็นเครื่องแต่งตัวที่ค่อนข้างเปราะบาง ส่วนรองเท้าหนังที่สวมอยู่นี้ก็ดูแลอย่างดีตั้งแต่ซื้อมาใส่ทำงานเมื่อสองปีก่อน เพื่อคงสภาพให้สามารถใช้งานได้นานที่สุด

โดยรวมๆ แล้วทั้งเนื้อทั้งตัวเขาไม่ถึงสองพันด้วยซ้ำ ส่วนเงินในกระเป๋าก็ไม่ได้มากน้อยกว่านั้นสักเท่าไร

สิ่งฟุ่มเฟือยที่สุดในชีวิตของเขาคงมีเพียงการกินดื่มทุกวันศุกร์เพื่อมอบความสุขให้กับตัวเองกระมัง

“สรุปว่าทำยังไงคุณก็คงไม่เลิกยุ่งกับผมใช่ไหมเนี่ย”

“พี่ว่าพี่เป็นคนหนักแน่นนะ”

เหมือนว่าตอบคนละอย่างกับคำถามเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นกลับเข้าใจความหมายมันได้

ฐานทัพรู้สึกปลงตกขึ้นมาในทันทีก่อนจะหายใจทิ้งขว้างอย่างไม่เสียดายอีกรอบ จากนั้นก็ยอมขึ้นรถไปกับ ‘คนหนักแน่นที่น่ารำคาญ’ เพราะพูดต่อไปก็คงเปลืองน้ำลายเปล่าจริงๆ

 

 

ไม่เพียงแค่วันนั้นวันเดียวที่ฐานทัพถูกตามติด เพราะนับจากวันนั้นเป็นต้นมาสิบทิศก็ใช้ตัวเองเป็น ‘ของฝาก’ อยู่ทุกวัน

อีกฝ่ายมาดักรอเขาที่หน้าโชว์รูมในช่วงเวลาเดิมๆ พร้อมกับขับรถไปส่งเป็นกิจวัตรจนฐานทัพถูกพี่ๆ ในโชว์รูมแซวกันเป็นเสียงเดียวว่าคบกันแล้วเหรอ พร้อมหน้าตาชื่นมื่นยิ้มกริ่มดูมีความสุขกันเสียเหลือเกิน ทั้งที่เขารู้สึกว่ามันน่ากลุ้มใจเสียมากกว่า

อารมณ์อยากเที่ยวเพื่อเสพสุขเหือดหายไปหมดเกลี้ยง เพราะเพียงแค่เห็นหน้าสิบทิศ ฐานทัพก็ไม่อยากจะทำอะไรแล้วนอกจากกลับหอพักของตนเองเพื่อพักผ่อน

จนกระทั่งผ่านมาสองสัปดาห์กว่าแล้วเขาก็ยังไม่ได้รับอิสระมิหนำซ้ำยังถูกผูกมัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เพราะอาหารมื้อเย็นกลายเป็นไม่อร่อยขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนที่ชักเหม็นขี้หน้าเพราะต้องเจอกันทุกเย็นมาร่วมโต๊ะด้วยโดยไม่ได้รับเชิญ

“ทำไมไม่กลับไปกินที่บ้านของคุณล่ะ”

“พี่อยากกินกับฐานมากกว่า เขาว่ากันว่ามีคนกินด้วยอาหารจะอร่อยขึ้นนะ”

สิบทิศตอบพลางยิ้มปั้นจิ้มปั้นเจ๋อจนฐานทัพต้องทำหน้าเหนื่อยออกมา

“ผมว่าคำพูดนั้นก็ไม่จริงเสมอไปหรอก เพราะตอนนี้ข้าวที่ผมกินมันไม่อร่อยอย่างผิดปกติ”

“ฐานอาจจะคิดไปเองก็ได้ ลองปล่อยใจให้ว่างแล้วกินอีกทีสิ”

“ผมกินข้าว ไม่ได้จะนั่งสมาธิ”

เขาตอบห้วนๆ แล้วตักข้าวเข้าปากไปคำใหญ่ เพราะอยากรีบกินให้เสร็จๆ ไป จะได้ขึ้นห้องแล้วไม่ต้องเห็นหน้าของคนตรงหน้าสักที

แต่การทำอย่างนั้นกลับยิ่งทำให้รอยยิ้มถูกยกขึ้นมาประดับบนหน้าของสิบทิศมากยิ่งขึ้น และมันก็ทำให้ฐานทัพรู้สึกว่าชักเกะกะสายตาเสียเหลือเกิน

เป็นมลพิษทางสายตาจริงๆ

ไม่ใช่เพียงแค่วันเดียวที่สิบทิศจองที่นั่งกินอาหารเย็นร่วมกับฐานทัพโดยการเชิญตัวเองมาแบบไม่แยแสว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ถึงขนาดเขาย้ายโต๊ะหนีแล้วก็ยังตามมาอยู่ดีจนเขาจนปัญญา

“นี่ผมถามจริงๆ เถอะ”

ผ่านไปอีกสัปดาห์กว่า ฐานทัพก็เริ่มจะหมดความอดทนแล้วจริงๆ จึงยอมเปิดปากนิ่งๆ ที่เอาแต่กินข้าวแล้วไม่พูดคุยกับอีกฝ่ายเลยมานับตั้งแต่ครั้งแรกที่ร่วมโต๊ะอาหารกันในที่สุด

“ถามอะไรเหรอ”

สิบทิศท่าทางระรื่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเปิดดวงไฟบนหน้าจนมันสว่างวาบขึ้นมาผ่องใส เห็นท่าทีนั้นแล้วก็ทำให้ฐานทัพต้องข่มใจเอาไว้ไม่ให้รู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายทั้งที่ต่อให้ข่มเท่าไรมันก็คงไม่สำเร็จ

“คุณชอบผมตรงไหน”

คนถูกถามครางเสียง “ชอบตรงไหนเหรอ” ก่อนทำท่าคิดอยู่ครู่สั้นๆ แล้วจึงค่อยตอบออกมา

“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นหน้าแล้วก็รู้สึกว่าหลงใหลขึ้นมาเลย แบบว่า...ฐานดูมีเสน่ห์ดึงดูด อยากเข้าไปใกล้ อยากมองอยู่ตลอดเวลา อยากใกล้ชิดมากกว่านี้”

“แบบนี้ก็ไม่เห็นจะต่างอะไรกับการอยากเป็นแค่คู่นอนของผมไม่ใช่เหรอ”

“ต่างสิ ถ้าแค่นั้นพี่คงไม่มาตามตื๊อฐานอยู่แบบนี้หรอก อีกอย่างนะ ถ้าพอใจแค่การมีเซ็กซ์กับฐานอย่างเดียว ป่านนี้พี่ก็คงไปหาคนใหม่แล้วล่ะ”

สิบทิศว่าเช่นนั้นแล้วตักข้าวเข้าปากอีกคำ ดูไม่ยินดียินร้ายกับคำพูดที่ตนพูดสักเท่าไร ประหนึ่งว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ความคิด เพราะมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในใจแล้ว

“แต่พี่กลับอยากให้ฐานมองพี่ อยู่ใกล้ๆ พี่ ให้ความสำคัญกับพี่ เป็นของพี่คนเดียว”

“นั่นก็เหมือนมองผมเป็นของเล่นไม่ใช่หรือไง”

“ถ้าเห็นเป็นแค่ของเล่น พี่คงอยากแค่ใช้ชั่วคราวใช่ไหมล่ะ แต่พี่รู้สึกว่าอยากอยู่กับฐานตลอดไปเลย แบบนี้ไม่เรียกว่ารักหรอกเหรอ”

“น้ำหนักอ่อนชะมัด”

ฐานทัพเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

คำพูดของสิบทิศไม่ทำให้เขาเชื่อเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายคิดจริงจังกับเขา

เท่าที่ฟังมามันก็แค่การอยากเอาชนะ ถ้าทำให้เขายอมลงให้ได้สิบทิศก็คงจะยืดน่าดู เหมือนกับการปรับพยศสัตว์ร้ายให้เชื่อฟังได้นั่นแหละ

แล้วเขาจะไปเชื่อความรู้สึกประเภทนั้นได้อย่างไรว่าเป็นของจริง

ขนาดพ่อแม้แท้ๆ ยังทิ้งเขาได้เลย แล้ว ‘คนอื่น’ จะมารักเขาได้อย่างไร

“ไม่กลัวหรือไงว่าถ้าเกิดคุณคบกับผมขึ้นมาจริงๆ แล้วจะถูกคนอื่นนินทาตราหน้าว่ามีแฟนเป็นส้วมสาธารณะ คุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ได้เคยมีอะไรกับผู้ชายมาแค่คนสองคน ไม่ได้ผุดผ่องน่าทะนุถนอมแต่คาวด้วยโลกีย์”

“พี่รู้ เพราะอย่างนั้นนั่นแหละ พี่ถึงอยากให้ฐานมีแค่พี่คนเดียว อยากให้ฐานรักตัวเองแล้วก็รับความรักจากพี่”

“ถึงคุณจะพูดมาอีกมากมายแค่ไหน แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะใจอ่อนง่ายๆ หรอก คุณอย่าเสียเวลาเปล่าเลย ผมไม่อยากให้คุณมาต่อว่าทีหลังได้หรอกนะว่าทำให้คุณต้องมาเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์กับคนไร้ค่าแบบผม”

“ทำไมถึงคิดว่าตัวเองไร้ค่าล่ะ ถ้าฐานไร้ค่าก็คงไม่ทำให้พี่รู้สึกแบบนี้กับฐานได้หรอก”

คำพูดสุดท้ายของสิบทิศ ฐานทัพไม่รู้สึกอยากฟังสักนิด เขาลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปจากค่าอาหารเสร็จแล้วก็เดินขึ้นห้องทันที ไม่มีการล่ำลาคนที่ร่วมโต๊ะด้วยเมื่อครู่แต่อย่างใด

ทว่าแม้จะไม่อยากสนใจอีกฝ่ายสักเท่าไร ในหูก็ยังคงก้องคำถามประโยคสุดท้ายนั้น พร้อมๆ กับคำตอบที่เขาไม่ได้พูดออกมาแต่กลับดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ

ก็เพราะว่าผมเป็นคนไร้ค่า ไร้ค่าจริงๆ

 

 

ดูเหมือนว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ดี เพราะแม้จะถึงเวลาเลิกงานแล้วสิบทิศก็ไม่ได้มานั่งรออยู่ด้านหน้าโชว์รูมเหมือนกับตลอดเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ฐานทัพรู้สึกหายใจสะดวกขึ้น ทั้งที่ชายหนุ่มคนที่ว่านั้นไม่ได้มีบทบาทอะไรเลยเกี่ยวกับสภาพอากาศ

ถึงกระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังกลับไปมองที่หน้าโชว์รูมอีกครั้งยามเดินจากมา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอีกคนหลบซ่อนอยู่ตรงไหนสักแห่งแถวนั้นจริงๆ กระทั่งแน่ใจแล้ว ฐานทัพก็กระหยิ่มยิ้มกับตัวเอง หมายมาดว่าในที่สุดก็จะได้ไปปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกกักเก็บไว้มานานเสียที

ตั้งแต่เริ่มมีอะไรกับผู้ชาย ก็เพิ่งเคยมีช่วงนี้แหละที่เขาต้องอดทนอดอยากปากแห้งนานขนาดนี้

แม้กระทั่งตอนสมัยเรียนมัธยม เขายังไม่เคยต้องห้ามพฤติกรรมทางเพศขนาดนี้มาก่อน เพราะมีเพื่อนที่เป็นคู่ขาอยู่ด้วยตลอด และผู้ชายคนนั้นก็คงเป็นคนเดียวกระมังที่เขาเคยมีเซ็กซ์ด้วยนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องแยกจากกันตอนเข้ามหาวิทยาลัย หมอนั่นอยู่ภาคกลาง ส่วนเขาไปเรียนต่อที่ภาคเหนือ และหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

ไม่รู้ว่าตอนนี้หมอนั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง

นึกแล้วก็หวนคิดถึงอีกฝ่ายขึ้นมา แต่โอกาสที่จะกลับมาเจอกันอีกครั้งคงยาก ถึงกระนั้นก็ต้องขอบคุณเพื่อนคนนั้นที่ทำให้เขาได้รู้จักการมีเซ็กซ์

เซ็กซ์ที่เร่าร้อน หอมหวาน มอมเมาจนรู้สึกเหมือนว่าทำให้ชีวิตสนุกมากขึ้น นอกจากนั้นยังพาเขาไปเปิดประสบการณ์หลากหลาย

การมีเซ็กซ์ทีละสามคนที่แสนเหนื่อยแต่ก็สนุกจนหยุดไม่อยู่

การสลับคู่และมีเซ็กซ์ไปพร้อมกับคู่ข้างๆ ที่เร้าใจเหมือนกับการแข่งขัน

การมีเซ็กซ์ต่อเนื่องเป็นกลุ่มจนทำให้แทบขาดใจ แต่ก็ได้เปรียบเทียบถึงลีลาของแต่ละคน

ทุกอย่างล้วนทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกจนถึงทุกวันนี้

เมื่อคิดถึงเรื่องแบบนี้ฐานทัพก็รู้สึกว่า ‘อยากมีเซ็กซ์’ เร็วๆ ขึ้นมาจนจวนเจียนจะทนไม่ไหว ทว่าระหว่างกำลังจะออกจากโชว์รูมก็ถูกจักรวาลเรียกไว้เสียก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ฐานทัพถามด้วยสีหน้าแปลกใจ เพราะปกติพอเลิกกงานแล้วทุกคนจะต่างคนต่างไปเหมือนว่าเสียดายเวลาส่วนตัวอันน้อยนิดในแต่ละวัน

“นี่น่ะ”

จักรวาลยื่นพวงกุญแจที่มีลูกกุญแจอยู่สองดอกมาให้

ในตอนแรกฐานทัพงงงวยนิดหน่อยว่าอีกฝ่ายให้เขาทำไม แต่เมื่อรับมาแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง เพราะมันคือลูกกุญแจอะพาร์ตเมนต์กับห้องของเขาเอง เลขห้องที่ระบุอยู่บนลูกกุญแจนั้นเป็นเครื่องยืนยันอย่างแน่ชัด

“ทำไมมันไปอยู่กับพี่ล่ะ”

ถึงจะรู้ว่าเป็นของตัวเองแน่ๆ แต่ฐานทัพก็ล้วงกระเป๋ากางเกงสำรวจดูว่ามันยังอยู่ที่เดิมหรือไม่ และแน่นอนว่านอกจากระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มือถือแล้วในกระเป๋ากางเกงไร้สิ่งอื่น

“ฐานทำตกไว้ในรถตอนพาลูกค้าไปเทสต์รถน่ะสิ พี่เอารถไปเทสต์ต่อจากฐานใช่ไหมล่ะ ก็เลยคิดว่าต้องเป็นของฐานแน่ๆ แต่เพิ่งมีโอกาสคืนให้”

“อ๋อ อย่างนี้เอง”

ฐานทัพพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะกล่าว

“ขอบคุณนะพี่แซม ถ้าพี่ไม่เก็บไว้ให้สงสัยคืนนี้ผมเข้าห้องไม่ได้แน่ๆ เลย”

เขาบอกอย่างยิ้มแย้ม ถึงแม้ในใจจะคิดว่าถึงไม่คืนวันนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะตั้งใจว่า ‘จะค้างข้างนอก’ อยู่แล้ว แต่การได้รับคืนโดยเร็วที่สุดก็เป็นเรื่องดี หากเขารู้ทีหลังว่ามันหายไปคงแตกตื่นแย่

“ไม่เป็นไร งั้นก็กลับดีๆ ล่ะ”

จักรวาลล่ำลาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน

ในเมื่อไม่มีเหตุอะไรแล้วคราวนี้ฐานทัพจึงเร่งรีบไปร้านประจำเพื่อหาคนที่จะมาสนองความปรารถนาซึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ในกายจนแทบจะแผดเผาออกมาท่วมร่างตามความตั้งใจดั้งเดิม

แต่ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นแท้ๆ พอไปถึงแล้วไม่ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่คนคุ้นหน้าไปหมด จนอดบ่นกับตนเองไม่ได้ว่าไม่มีพวกหน้าใหม่มาบ้างเลยหรือไง

“ฐาน”

เสียงหนึ่งเรียกเขาจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปและเห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนั้น ฐานทัพก็คลี่ยิ้มมุมปากออกมา เพราะดูเหมือนว่าโชคจะเริ่มเข้าข้างเขาบ้างแล้ว

“ว่าไงครับ คุณพนักงานใหม่”

พอเขาทักไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็ทำสีหน้าเหมือนห่อเหี่ยวลงไปหน่อย ก่อนจะบอกกลับมา

“ผมชื่อกวี”

“อ๋อ ครับ คุณกวี วันนี้ก็มาด้วยเหรอครับ มาคนเดียว?”

ฐานทัพถามต่อท้ายพร้อมกับชะเง้อคอเล็กน้อยมองไปทางด้านหลังของหนุ่มตัวสูงตรงหน้า แต่ก็ไม่เห็นคนที่เหมือนจะเป็นเพื่อนของผู้ชายคนนี้

“ผมมาคนเดียวน่ะ อยากมาเจอฐาน”

ประโยคท้ายเรียกเสียงหัวเราะหึจากคนฟังได้ ฐานทัพเริ่มสองจิตสองใจขึ้นมาเล็กน้อยกับคำพูดที่คิดอย่างไรก็ดูเหมือนจะสร้างความยุ่งยากให้ทีหลังจนรู้สึกเสียดายขึ้นมาหน่อยๆ

“ทำไมต้องอยากเจอด้วยล่ะครับ”

“ก็คราวก่อนต้องจากกันไปทั้งแบบนั้นทั้งที่เรากำลังจะได้ไปด้วยกันแล้ว... ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอครับ”

หลังจากกวีพูดจุดประสงค์แฝงเจตนาของตนเองมาแล้ว ฐานทัพก็เริ่มคิดเปลี่ยนใจอีกรอบ เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะอยากเล่นสนุกกับเขาพอควร มิหนำซ้ำยังมีความกล้ามากกว่าครั้งก่อนที่ดูตื่นๆ อยู่ ทว่าพอเจอคำถามสุดท้าย เขาก็ต้องคิ้วกระตุกขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

ถ้าไม่ถามก็กำลังจะไปได้ดีแล้วเชียวนะ

“ก็แค่คนคนหนึ่งที่อยากผูกมัดผมน่ะ แต่ผมไม่ชอบอะไรแบบนั้น ถ้าคุณคิดจะทำแบบนั้นผมก็ต้องบอกไว้เลยว่าแยกกันตรงนี้ดีกว่า ผมไม่สนใจคนที่คิดจริงจัง”

พูดเสร็จฐานทัพก็เตรียมจะหันหลับกลับทันที ไม่อยากให้ชีวิตต้องยุ่งวุ่นวายไปมากกว่านี้ เพราะแค่มีสิบทิศตามติดเป็นสตอล์กเกอร์คนเดียวเขาก็รำคาญจะแย่อยู่แล้ว ขืนเพิ่มมาอีกคน เขาคงเป็นบ้าตายก่อน

“เดี๋ยว”

ทว่าบิดตัวไปได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็ถูกมือใหญ่คว้าแขนเอาไว้เสียก่อน

ฐานทัพเพียงผินหน้ากลับไปด้านหลังแสดงให้รู้ว่าจะยอมรับฟังคำพูดที่เข้าหูอย่างเดียวเท่านั้น และคงเพราะเหมือนถูกบีบคั้นกระมัง กวีจึงยอมเอ่ยปากออกมา

“ผมไม่คิดจะผูกมัดฐานหรอก แค่รู้สึกเสียดายที่เสียโอกาสไป”

“แน่ใจเหรอ”

“ครับ เชื่อได้เลย”

ฐานทัพจดจ้องเข้าไปในดวงตาเรียวคมที่จ้องตอบกลับมา

ไม่มีวี่แววของความลังเลอยู่ในนั้น มันดูมั่นคงเสียจนฐานทัพมุ่นคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย แม้ว่าพฤติกรรมของกวีจะน่าเชื่อถืออยู่พอสมควร แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากมีปัญหาตามมาทีหลัง

“ผมขอคิดดูอีกทีก่อน”

เขาคิดจะทิ้งคำพูดไว้เท่านั้นและเดินจากไป แต่มือที่กำท่อนแขนของเขาเอาไว้ได้เกินหนึ่งรอบก็ยังคงจับแน่น เสียงทุ้มต่ำส่งออกมาคัดค้าน

“ถ้าต้องรอให้ฐานคิดดูอีกรอบ แล้วแบบนี้จะได้เมื่อไรล่ะ ตั้งแต่วันนั้นมาฐานก็ไม่มาที่นี่เลยเป็นเดือน”

“รู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้มาเป็นเดือน”

สัญญาณชักร้องเตือนถึงความอันตรายบางอย่างเสียแล้ว ฐานทัพอยากจะถอยห่างแต่ติดที่ว่าถูกจับแขนเอาไว้แน่น

ก่อนหน้าใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอสถานการณ์ที่ว่าอีกฝ่ายเป็นประเภทดื้อด้าน จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ ทว่าแบบนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็มั่นใจได้ว่าฝ่ายนั้นแค่อยากสนุกชั่วครั้งชั่วคราว ไม่อยากสานสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น พวกเขาต่างได้ประโยชน์ทั้งคู่จึงจบลงด้วยดี แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ และแตกต่างออกไปจากสิบทิศ

“ผมบอกไปแล้วไงครับว่าเพราะคราวก่อนจากกันไปทั้งอย่างนั้น มันเหมือนเรื่องยังค้างคาอยู่ ผมก็เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ทำให้จบๆ ไปจะรู้สึกคาใจไปตลอด”

แบบนั้นเองหรอกเหรอ

เมื่อได้ฟังคำอธิบายที่พอจะยอมรับได้ฐานทัพก็ครางเสียงแผ่วเบาในใจอย่างอดไม่ได้ จากนั้นเอ่ย

“เข้าใจแล้ว เพราะมันไม่จบสินะ”

ตามด้วยก้มลงมองมือที่จับแขนตนอยู่แล้วเชยหน้าขึ้นประจันคนที่สูงกว่า

“งั้นก็ปล่อยได้แล้วล่ะครับ ผมตกลงไปกับคุณแล้ว”

“จริงเหรอ”

สีหน้าของกวีแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างฉับพลัน ดูสดใสร่าเริงขึ้นมาราวกับเด็กๆ จนฐานทัพถึงขั้นฉุกคิดในใจว่าอะไรจะดีใจขนาดนั้นเชียวจึงเผลอถามออกมา

“ถามจริงเถอะ คุณขาดแคลนคู่นอนเหรอ ถึงได้ดูดีใจเสียเหลือเกิน”

“เอาจริงๆ ก็...ประมาณนั้นแหละ”

อีกฝ่ายว่าพลางปล่อยมือออกจากการพันธนาการที่ยาวนาน

“คือผมเป็นประเภทที่ไม่เคยมีอะไรกับคนที่ตัวเองตัวเองไม่ถูกใจน่ะ”

คำตอบนั้นเหมือนจะขูดขีดผิวเนื้อของฐานทัพพอสมควร เพราะนั่นเหมือนกับกำลังบอกว่า ‘เจ้าตัวไม่ใช่ประเภทที่จะนอนกับใครไปทั่วอย่างเขา’ ถึงแท้จริงแล้วใช่ว่าเขาจะไม่เลือกเลย แต่ส่วนมากถ้าไม่ถึงขนาดรับไม่ไหว เขาก็โอเคทั้งหมด

แม้จะรู้สึกเช่นนั้นแต่ฐานทัพก็กลืนความรู้สึกข่มๆ ที่แทรกขึ้นมาในลำคอลงไป แล้วเอ่ยคำพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“เผอิญผมเป็นคนเข้าตาคุณพอดี ก็เลยไม่อยากเสียโอกาสที่หาได้ยากว่างั้น”

“ก็ตามนั้นแหละครับ”

กวีหัวเราะแห้งๆ ฐานทัพจึงไม่คิดมากกว่าความแล้วเอ่ยชักชวนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

ทั้งคู่ออกไปจากร้านและไปยังจุดหมายที่มีเรื่องสนุกรออยู่

เมื่อประตูห้องปิดลงแทนที่ฐานทัพจะเป็นฝ่ายจู่โจมเข้าหา เขากลับถูกกวีผลักจนติดกำแพงใกล้กับประตูก่อนจะถูกริมฝีปากของคนตรงหน้าบดคลึงบนปากอย่างร้อนแรง

ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งที่ริมฝีปากถูกประกบติดอยู่เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรีบร้อนถึงขนาดนั้น ผิดจากภาพที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง แต่เขาเองก็อยู่ในช่วงอดอยากปากแห้งเช่นกัน ดังนั้นไฟร้อนๆ จึงลุกพึ่บโดยที่ไม่ต้องอาศัยอะไรเป็นเชื้อเพลิงเลยสักนิด

สองร่างถกถอดเสื้อผ้าของกันและกันออกอย่างรีบเร่งราวกับกำลังทำเวลาเพื่อทำลายสถิติเดิมอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่ขาของทั้งสองก้าวเดินไปยังเตียงไปด้วยและแทบไม่ยอมผละปากที่กำลังเคล้าคลึงกันอย่างดูดดื่มแม้แต่น้อย

เสียงลมหายใจเข้าออกทางจมูกดังถี่กระชั้นขึ้น สวนแทรกด้วยเสียงเฉอะแฉะที่เกิดขึ้นด้วยปากของคนทั้งคู่ ปลายลิ้นสอดรับจังหวะกัน ผลัดกันรุกไล่ไม่หยุดหย่อน กระทั่งเมื่อสะดุดเข้ากับขอบเตียง ร่างของทั้งคู่ก็ร่วงหล่นลงไป แรงดีดตัวของเครื่องนอนไม่สามารถทำอะไรคนที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งอื่นได้ สองร่างผลัดกันลูบไล้เล้าโลมกันไปมา

“ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย”

ฐานทัพผละปากออกมาเล็กน้อยเพื่อบอกเรื่องสำคัญ แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาเป็นเสียงทุ้มพร่ากระเส่าที่บ่งบอกอารมณ์ว่า ‘ไม่ไหวแล้ว ไม่รอแล้ว’

“ไม่เป็นไร”

กวียื่นมือออกไปยังหัวเตียง คว้าเจลหล่อลื่นและถุงยางมาอย่างเร็วไวจนแทบเรียกได้ว่าตะครุบ จากนั้นก็บีบของเหลวที่มีลักษณะหนืดเล็กน้อยออกมาจากขวด ละเลงลงยังตำแหน่งที่ตัวเองต้องการรุกล้ำเข้าไปเหลือเกิน

ฐานทัพไม่คิดจะโต้แย้งใดๆ อีก เพราะนิ้วมือที่กำลังควงควานอยู่ในร่างของเขาทำให้รู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว ขัดตอนนี้ไปก็มีแต่เสียอารมณ์เปล่าๆ ไม่ใช่แค่กับอารมณ์ของกวีแต่ของตนเองด้วยเช่นกัน

ในเมื่อไฟกำลังลาม ก็ปล่อยให้มันวอดวายไปเลย จะเหนื่อยดับไปทำไมกัน

เมื่อดูเหมือนร่างกายพร้อมจะรับการมาเยือนอย่างเต็มที่แล้ว เสียงยางตึงเปรียะก็ดังขึ้น จากนั้นไม่นานทั้งร่างของฐานทัพก็สั่นสะท้านเพราะถูกอะไรบางอย่างอัดเข้ามาจนเต็มแน่น

เขาครางเสียงออกมาอย่างอดไม่อยู่ แต่เพียงครู่เดียวก็ออกแรงผลักร่างที่อยู่เหนือตนให้พลิกกลับมาด้านล่างแทน

เปลี่ยนบทบาทจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำเสีย

เอาให้เมามันจนแทบขาดใจไปเลย ให้สมกับที่รอคอยมันมาตลอดทั้งเดือน







v


v



ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥


v



v





ใบหน้าผ่องใสของฐานทัพปรากฏให้เห็นในวันทำงานวันแรกของสัปดาห์จนถูกคนในโชว์รูมหลายๆ คนถามว่าไปทำอะไรมา มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นเหรอด้วยความสนใจใคร่รู้ บางคนก็เอ่ยแซวพลางทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ราวกับจะล่วงรู้เหตุผลเบื้องหลัง แต่ที่ทำให้เขาต้องหน้าหงิกขึ้นมาทันควันมีอยู่หนึ่งคำถาม

“ตกลงปลงใจกับหนุ่มสายเปย์คนนั้นแล้วเหรอ”

ทั้งที่สิบทิศเลิกซื้อของส่งมาให้เขาเป็นเดือนแล้ว แต่เพราะผลงานในเดือนแรกประจักษ์ชัด ใครๆ ถึงพากันเรียกเจ้าตัวว่า ‘หนุ่มสายเปย์’ กันไปหมด แม้เขาค้านและบอกชื่อไปแล้ว รุ่นพี่ทั้งหลายก็ยังคงเรียกด้วยคำเดิมจนฐานทัพเบื่อจะแก้

“ผมว่าเรื่องนั้นคงยากจนเรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย”

“แทบเป็นไปไม่ได้ก็แสดงว่าเป็นไปได้สินะ”

“คงศูนย์จุดศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์หนึ่งเปอร์เซ็นต์ละมั้งครับ”

พอถูกจับบิดคำพูดไปให้มีความหมายในอีกแง่ ฐานทัพก็รีบแย้งแล้วพูดคำว่า ‘ศูนย์’ จนลิ้นรัว

คนอื่นๆ พากันหัวเราะทำให้หน้าของเขายิ่งหงิกไปมากกว่าเดิมจนต้องแยกตัวออกจากวงสนทนาด้วยคำพูดว่าลูกค้ามาแล้ว เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังจะเปิดประตูเข้ามา

ทว่าไม่ใช่เพียงฐานทัพที่ต้องหน้าหงิกกับการหยอกล้อกับเพื่อนร่วมงาน เพราะพอตกเย็นสิบทิศที่หายหน้าไปในวันก่อนก็มาปรากฏตัวด้วยสีหน้ายักษ์ดูไม่สบอารมณ์ในทันทีที่เจอหน้ากัน

พอฐานทัพเข้ามานั่งในรถยนต์ราวกับเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว เสียงทุ้มห้วนก็แผดดังออกมา

“เมื่อวันศุกร์ฐานออกไปกับคนอื่นใช่ไหม”

“ทำตัวสมกับเป็นสตอล์กเกอร์จริงๆ ด้วยนะครับ”

คำพูดที่ออกจากปากของฐานทัพนั้นจงใจยียวนกวนประสาทอย่างเต็มที่ เขาเห็นเหมือนกับว่ามีควันกำลังออกมาจากหูของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างๆ เลยด้วยซ้ำ ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าสิบทิศรู้ได้อย่างไรว่าเขาออกไปกับคนอื่น

“ตอบให้ตรงคำถาม”

เสียงของสิบทิศเข้มขึ้นอีกและยังดังขึ้นอีกด้วย แต่ฐานทัพก็ยังไม่มีท่าทียินดียินร้าย ตอบด้วยเสียงเรียบเรื่อยเฉือยชา

“ผมมีหน้าที่อะไรที่ต้องตอบคุณด้วยล่ะครับ”

“ฐานแน่ใจนะว่าจะไม่ตอบพี่”

คำตอบที่ฐานทัพมอบให้ไม่ใช่การเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด แต่เพียงยักไหล่อย่างไม่ยี่หระเท่านั้น และดูเหมือนว่านั่นจะยิ่งกระพือความโกรธของสิบทิศขึ้นมาจนมันโหมท่วมเป็นเพลิงร้อน

“ก็ได้ ฐานไม่ตอบ พี่หาคำตอบเอง”

เมื่อพูดเช่นนั้นจบ มือที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถเพื่อเตรียมจะออกรถก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งตรงมายังฐานทัพอย่างรวดเร็ว แล้วกระชากเนกไทบนคอของเขาออก พร้อมกับดึงคอเสื้ออย่างรุนแรงจนกระดุมสองเม็ดแรกกระเด็นหลุดออกมาอย่างไร้ทิศทาง

ฐานทัพตกใจจนตาเหลือกโปนเป็นครั้งแรก เพราะไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาแบบนี้ในกรณีที่เขาไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนและไม่ใช่เพราะอารมณ์พลุ่งพล่านที่เรียกว่า ‘กามารมณ์’

เขายกมือขึ้นเตรียมจะดึงมือของสิบทิศออกพลางร้องโวย

“ทำอะไรของคุณ!”

แต่ก็ช้าไปแล้ว เพราะเสื้อถูกกระชากแรงยิ่งกว่าเดิมจนกระดุมเสื้อหลุดออกมาทั้งแผง เปิดเปลือยแผ่นอกขาวเนียนที่มีรอยกระด่างแดงเข้มปรากฏอยู่ประปรายไปทั่ว โดยเฉพาะบริเวณจุดที่ใกล้ติ่งเนื้อสีน้ำตาลอ่อนและสะดือยิ่งเห็นรอยอย่างเด่นชัด

“พี่บอกฐานแล้วใช่ไหมว่าพี่ไม่ชอบ!”

น้ำเสียงกรรโชกดังกระหึ่มในห้องโดยสาร สายตาของคนตรงหน้าเข้มขึ้นราวกับสัตว์ร้ายที่หลับใหลอยู่ตื่นขึ้นจากนิทราด้วยความเกรี้ยวกราด มันดูน่ากลัวจนฐานทัพต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงกระนั้นก็ทำใจกล้าโพล่งเสียงตอบกลับไปด้วยระดับที่ใกล้เคียงกัน

“แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาไม่ชอบการกระทำของผม คุณกับผมไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้นจำไม่ได้หรือไง”

“พี่ก็บอกไปแล้วว่าอยากให้ฐานเป็นของพี่คนเดียว”

“ผมไม่ได้ยินยอมรับคำอะไรของคุณทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถึงผมจะไปนอนกับใครอีกกี่สิบกี่ร้อยคนมันก็เรื่องของผม ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตคุณ!”

เขาตะคอกออกมาอย่างเหลืออดที่โดนผูกมัดราวกับเจ้าชีวิตทั้งที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยสักนิด อย่างมากก็แค่คู่นอนคืนเดียวโดยที่เขาไม่มีสติเลยแม้แต่น้อย กระทั่งจะนับว่าเคยร่วมเตียงกันยังนับไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

ทว่าดูเหมือนว่าประโยคยืนยันเช่นนั้นจะยิ่งทำให้ความเดือดดาลของสิบทิศปะทุ ฐานทัพถูกกระชากเข้าหาแล้วริมฝีปากของสิบทิศก็ประกบบนปากอย่างรุนแรงจนได้กลิ่นคาวเลือด ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระ กลับยิ่งบดขยี้จนเจ็บไปหมด

ฐานทัพพยายามออกแรงผลักร่างที่กำลังคุกคามตัวเองออกไป แต่เพียงมองขนาดตัวก็รู้แล้วว่าไม่สามารถสู้แรงได้

ริมฝีปากถูกดูดดึงจนปวดชา เจ็บไปหมดราวกับมันร้าวระบม

พออีกฝ่ายพยายามดันปลายลิ้นแทรกเข้ามาในปากที่พยายามเม้มแน่นได้สำเร็จ เขาจึงถือโอกาสกัดลิ้นนั้นไปอย่างแรง ทำให้ภายในปากอวลไปด้วยกลิ่นคล้ายสนิมเหล็กมากขึ้น

“ผมไม่กัดให้ขาดก็บุญเท่าไรแล้ว!”

ฐานทัพกระแทกเสียงออกมา จ้องมองใบหน้าและดวงตาของสิบทิศอย่างอาฆาตมาดร้าย บ่งบอกให้รู้ว่าถ้าทำร้ายเขาอีก เขาก็จะทำร้ายกลับให้สาสมพอกัน สิบทิศจึงดูเหมือนจะสงบลงได้หน่อย

เสียงทุ้มแผ่วที่ฟังดูแปร่งๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากปากที่แตกจนมีเลือดซึม

“พี่ขอโทษ พี่โมโหจนขาดสติไปหน่อย”

เขานิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินเสียงใดๆ เพราะความโกรธกรุ่นอวลอยู่จนไม่มีอารมณ์จะเสวนาใดๆ ด้วยแล้ว

ที่เขายอมขึ้นรถมาด้วยก็เพราะเคยเมินเฉยต่อคำขอ ‘ไปส่ง’ ของสิบทิศแล้ว อีกฝ่ายก็เอาแต่เดินตามเขากลับไปจนถึงอะพารต์เมนต์ซึ่งเป็นหอพัก สร้างความน่าหงุดหงิดและน่ารำคาญ ดังนั้นเขาจึงตัดปัญหารวมทั้งตัดความรำคาญโดยยอมขึ้นรถมาด้วยจะได้ขจัดสิบทิศไปจากขอบเขตการมองเห็นได้เร็วขึ้น

แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาเจอความเจ้าอารมณ์แบบนี้ มันคุ้มกันตรงไหน

“ฐาน เอ่อ... พี่ว่าเปลี่ยนก่อนดีกว่านะ พี่มีเสื้อเก็บไว้อยู่”

หลังจากสิ้นเสียงนั้น สิบทิศก็โน้มตัวแทรกไประหว่างเบาะแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งมายื่นให้

ฐานทัพมองสิ่งนั้นอย่างไม่แยแสเท่าไร ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง

สีหน้าของชายหนุ่มร่างสมส่วนในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แววตาส่องประกายขอโทษอย่างที่ปากเอ่ยอีกหน

“พี่ขอโทษนะ อย่าโกรธเลยนะ”

“ทั้งที่คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับผมแบบนี้ แต่ยังมีหน้ามาขอโทษอีกนะ”

ถ้อยคำจิกกัดดังออกมาพร้อมกับฐานทัพยื่นมือออกไปดึงเสื้อเชิ้ตในมือใหญ่มาสวมใส่ ทอดทิ้งเสื้อของตนที่ไม่เหลือกระดุมสักเม็ดไป จากนั้นก็หันหลังใส่สิบทิศในทันที มือเกี่ยวเข้ากับมือจับประตูแล้วเปิดออก

“ฐาน...”

“ถ้าสำนึกผิดจริงๆ ก็อย่าตามมา ถ้าคุณตามมาอีกอย่าหวังว่าผมจะมองเห็นหัวคุณอีก”

ไม่ทันให้สิบทิศกล่าวคำขอร้องอะไรมากไปกว่านั้นเขาก็พูดขึ้นโดยไม่หันหน้ากลับไปสักนิด เพียงชำเลืองตามองราวกับมองสิ่งปฏิกูลชั้นต่ำที่ไร้ค่าเกินจะมองให้เสียสายตาและลงจากรถไป

 

 


ฐานทัพเดินกลับหอพักของตนเองโดยใช้เวลาประมาณสิบห้านาที เขาตั้งใจเลือกที่อยู่นี้เพราะห่างจากสถานที่ทำงานไม่มากนักจึงไม่ต้องลำบากเรื่องการเดินทาง มิหนำซ้ำยังถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย แม้วันนี้เสื้อที่สวมอยู่จะทำให้รู้สึกรุ่มร่ามไปสักหน่อย

เมื่อถึงที่หมายเขาก็ตรงไปยังร้านอาหารใต้อะพาร์ตเมนต์เจ้าประจำทันที สั่งอาหารมื้อเย็นของตัวเองเสร็จแล้วแค่รอสักพักก็มีข้าวร้อนๆ พร้อมกับข้าวมาเสิร์ฟให้ถึงที่ ทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาได้เล็กน้อย

ทว่าไม่ทันจะตักข้าวเข้าปากคำแรก เสียงของแม่ครัวฝีมือดีก็ดังขึ้นมาให้ได้หงุดหงิดอีกระลอก

“วันนี้พ่อหนุ่มคนนั้นไม่มากินด้วยกันเหรอ”

เขาไม่รู้หรอกว่าคุณป้าวัยสี่สิบปลายๆ จะคิดหรือมองภาพเขากับสิบทิศในแง่ไหนหรือได้ยินบทสนทนาอะไรไปบ้างตลอดช่วงระยะเวลาที่ผู้ชายคนนั้นมาถือวิสาสะร่วมโต๊ะกับเขา ถึงกระนั้นก็ตอบไปอย่างไม่แยแส

“ไม่มาก็ดีแล้วครับ”

แต่ก็ถูกอีกฝ่ายพูดอย่างเสียดาย

“โธ่ แบบนี้ป้าก็ขาดทุนน่ะสิ”

“แค่ข้าวจานเดียวคงไม่ขาดทุนขนาดนั้นมั้งครับป้า”

ฐานทัพพูดแขวะไปแค่นั้นก่อนจะตักข้าวเข้าปากโดยเร็ว ตั้งใจปิดกั้นบทสนทนาบทต่อไป ทว่าก็ยังได้ยินเสียงพึมพำจากคนสูงวัย “ทะเลาะกันล่ะสิท่า” แว่วมา

เขาทำเป็นไม่สนใจและกินข้าวต่อไปเรื่อยๆ จนหมดจาน จ่ายเงินแล้วก็เดินขึ้นห้อง

อะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ค่อนข้างเก่าอยู่พอสมควร ดังนั้นระบบรักษาความปลอดภัยจึงถือได้ว่าเก่าตามไปด้วย คงยากจะเชื่อว่าตอนนี้ยังมีที่อยู่อาศัยแบบส่วนรวมที่ใช้กุญแจปิดประตูชั้นล่าง ไม่ใช่คีย์การ์ดตามสมัยนิยม

แต่นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกที่แห่งนี้ เพราะค่าเช่าถูก

แม้พนักงานขายรถอย่างเขาจะเงินเดือนน้อยนิด แต่ค่าคอมมิสชันก็สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งขายได้มากเท่าไรเงินก็ไหลมาเทมาให้อยู่ได้อย่างไม่ลำบาก เพราะฉะนั้นขอเพียงขยันเท่านั้นก็ใช้ชีวิตได้สบาย แต่ที่เขาใช้ชีวิตเหมือนคนชักหน้าไม่ถึงหลังแบบนี้ก็เพราะเขามีเป้าหมายมากกว่านั้น

นั่นคือ...เรียนต่อปริญญาโท

เขาตั้งใจว่าเก็บเงินได้สักก้อนหนึ่งก็จะลาออกไปเรียนต่อแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ส่วนไหนที่ไม่จำเป็นย่อมต้องตัดออก

ในเมื่อเขาไม่มีต้นทุนชีวิตเหมือนอย่างคนอื่นก็ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น เหมือนอย่างตอนเรียนปริญญาตรี

เขาพยายามอย่างเต็มที่ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐเพื่อค่าเทอมที่แสนถูกจนเขาสามารถทำงานพิเศษมาเป็นค่าใช้จ่ายได้ เพราะไม่มีใครไยดีออกค่าเรียนค่ากินอยู่ให้เขาหรอก

พ่อทิ้งเขากับแม่ไปด้วยคำว่า ‘เด็กมันน่ารำคาญ’ ตั้งแต่เขาจำความได้ช่วงสองขวบกว่าๆ

ส่วนแม่ก็ไม่กลับมาบ้านอีก ทิ้งไว้แต่บัตรเอทีเอ็มพร้อมกับประโยคว่า ‘ฉันจะส่งเงินให้ทุกเดือน แต่จบ ม.6 แล้วก็หาทางเอาตัวรอดเองแล้วกัน’ หลังจากพาเขาไปสมัครเรียนมัธยมต้นเรียบร้อยแล้ว

และมันก็เป็นอย่างที่แม่ซึ่งเขาไม่เคยเจอหน้าอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้นพูดไว้ ทันทีที่เขาเรียนจบมัธยมปลายห้องเช่าเล็กๆ ที่เขาอาศัยอยู่คนเดียวมาตลอดหกปีก็ถูกเจ้าของตึกยึดคืนจากการยกเลิกสัญญาเช่าของแม่

ในตอนนั้นเพราะได้ความใจดีของเพื่อนคู่ขา เขาถึงมีที่ซุกหัวนอนตลอดช่วงปิดเทอมก่อนหอพักมหาวิทยาลัยจะเปิดให้เด็กปีหนึ่งเข้าพัก ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะไปซุกหัวที่ไหนเหมือนกัน

ความรู้สึกเจ็บช้ำเพราะความไร้ค่าของตัวเองทำให้เขาอดนึกไม่ได้ว่าถ้าเขาน่ารำคาญเป็นตัวเกะกะขนาดนั้น จะปล่อยให้เขาเกิดมาทำไม

แต่ในเวลานี้...เขาลบลืมมันไปหมดแล้ว และจะก้าวเดินออกไปด้วยความพยายามของตัวเอง

ในเมื่อตัวเองไร้ค่า ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครมาเห็นค่าไม่ใช่เหรอ

ฐานทัพไขกุญแจประตูห้องเมื่อเดินมาถึงชั้นสี่แล้ว แม้อาคารแห่งนี้จะมีลิฟต์ให้ใช้ แต่เขาก็ถือคติว่าเดินเพื่อย่อยเช่นเดียวกับการเดินไปกลับโชว์รูมออกกำลังกาย

หลังจากเข้าไปในห้องก็นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่สักพักหนึ่งจนครบครึ่งชั่วโมงก็ดึงผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่บนราวที่ระเบียงหลังห้องออกมา แล้วเดินเข้าห้องน้ำตามกิจวัตรประจำวันที่เป็นมาตลอดนับตั้งแต่เริ่มทำงาน

กระทั่งแต่งตัวออกมาเรียบร้อยและตรงออกไปที่ระเบียงเพื่อเอาผ้าเช็ดตัวไปตากอีกครั้ง ก็เริ่มเก็บเสื้อผ้าที่ซักและตากทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

เขาเก็บรวบๆ มากอดเอาไว้แนบอกก่อนจะเอาไปวางกองบนเตียง เหลือแต่เพียงกางเกงชั้นในที่แขวนแยกเอาไว้ที่ต้องเดินไปเก็บอีกรอบ

ทว่าเมื่อเก็บไปแล้วก็ต้องประหลาดใจ เพราะดูเหมือนว่าที่เขาซักตากเอาไว้จะมีมากกว่านี้หนึ่งตัว

เขาจำได้...มันต้องมีห้าตัว แต่ในตอนนี้กางเกงในที่อยู่ในมือเขาเหลือแค่สี่

มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เขาคิดว่ามันอาจจะหล่นก็ได้จึงลองก้มหาดูที่พื้น แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่มีลักษณะคล้ายกันเลย พอจะชะโงกหน้าไปดูที่นอกระเบียงเพราะคิดว่ามันอาจจะปลิวตกไปก็ได้ ก็ต้องชะงักไปทันทีเมื่อเห็นว่าเหนือขอบกั้นระเบียงนั้นมีตาข่ายกั้นเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่มีทางที่ของใหญ่กว่านิ้วมือจะหล่นลงไปได้

“แล้วมันหายไปไหน”

คำถามเกิดขึ้นพร้อมกับที่ในอกรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันควันยามหันหลังกลับแล้วมองย้อนเข้าไปในห้อง

รู้สึกเหมือนเกิดภาพลวงตาขึ้นมาครู่หนึ่งว่ามันไม่ใช่ห้องพักที่ตนอาศัยอยู่มาตลอดสองปี

บรรยากาศวังเวงแผ่ขยายอย่างฉับพลันจนรู้สึกประหม่า หูอื้อไปกระทั่งไม่ได้ยินเสียงอะไร พร้อมๆ กับข้อเท็จจริงที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดผุดขึ้นมาในสมอง


มีคนเข้ามาในห้องนี้...ใช่ไหม?







-----------

เริ่มเข้าสู่ปริศนาของเรื่องแล้วค่ะ






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥















3rd Lie
ลูกตาของผม ผมจะมองใครก็ได้ทั้งนั้น


 

หลังจากหยุดการกระทำทั้งหมดของตนเองไปชั่วครู่หนึ่ง ฐานทัพก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จากนั้นรีบเปิดตู้เสื้อผ้านับจำนวนกางเกงชั้นในที่เหลือและไม่ลืมนับตัวที่กำลังใส่อยู่ด้วย

เมื่อพบว่าจำนวนถูกต้องเขาก็คว้าพวงกุญแจห้องเดินลงไปชั้นหนึ่งอย่างเร็วรี่ที่สุด กระทั่งเหยียบพื้นซีเมนต์ด้านล่างแล้วก็แทบกระโจนตรงไปยังด้านหน้าอาคารซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอยู่

“ลุง ผมรู้สึกว่ามีคนเข้าไปในห้องผม”

เขาบอกทันทีเมื่อประจันหน้ากัน ลุงยามวัยย่างห้าสิบจึงเงยหน้าขึ้นตอบ

“จะไปมีได้ยังไงกันเล่า ถ้าขึ้นตึกได้ก็แสดงว่ามีลูกกุญแจไขเท่านั้นไม่ใช่รึ”

“มันก็ใช่ แต่ว่ากางเกงในผมหายไปหนึ่งตัวจริงๆ นะ”

“ก็แค่กางเกงในเอง เอ็งนับจำนวนที่ซักผิดหรือเปล่า ใครจะอยากมาขโมยกางเกงในผู้ชาย ถ้าเป็นยกทรงผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง”

ลุงยามตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจเสมือนว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับฐานทัพแล้ว เขารู้สึกว่ามันน่ากลัว

เขาจำไม่ผิดแน่ๆ ว่าซักกางเกงในไว้ห้าตัว และนับจำนวนที่มีอยู่ทั้งหมดแล้วด้วย อย่างไรก็ไม่ครบ

พอคิดเช่นนั้น ความจริงที่ว่าหากใครสักคนสามารถเข้ามาในห้องของเขาได้ ย่อมเข้าออกได้ตามสะดวกก็ยิ่งน่ากังวล

ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่เท่ากับว่าเขาเปิดประตูต้อนรับเจ้าโจรนั้นตลอดเวลาหรอกเหรอ

“ลุงไม่เห็นคนแปลกหน้าเข้าออกที่นี่จริงๆ เหรอ”

“โอ๊ย เอ็งนี่ คนอยู่ที่นี่กันตั้งเท่าไร ลุงจะไปจำทั้งหมดได้ยังไงวะ หน้าเอ็งลุงยังเพิ่งเคยเห็นเลย”

คำตอบที่ได้รับทำให้ฐานทัพถอดใจและอ่อนใจจะสอบถามข้อมูลเพิ่มไปมากกว่านั้นจึงชะเง้อคอเข้าไปในส่วนที่เป็นสำนักงานของอะพาร์ตเมนต์แทน เผื่อว่าทางนั้นจะสามารถช่วยอะไรเขาได้ แต่ว่าภายในห้องนั้นก็ปิดไฟเงียบไปแล้ว มิหนำซ้ำยังมีกระดาษขนาดเอสี่แปะประกาศเอาไว้ด้วย

 

เจ๊ไปต่างจังหวัดอาทิตย์หนึ่ง จะกลับมาวันเสาร์หน้า มีปัญหาอะไรให้ติดต่อลุงยามไปก่อน

 

ในเวลานั้นฐานทัพรู้สึกหมดสิ้นแล้วซึ่งความหวัง เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองหน้าลุงยามที่มองหน้าเขางงๆ จากนั้นก็หันหลังกลับ คิดว่าคงต้องเริ่มตรวจสอบภายในห้องตนแล้วว่ามีอะไรหายเพิ่มอีกไหม และเมื่อคิดได้ดังนั้นก็อดต่อว่าตนเองไม่ได้ที่เพิ่งมานึกได้เอาป่านนี้ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดแท้ๆ

หลังกลับมาถึงห้องฐานทัพก็ตรงไปยังลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งขนาดเล็กซึ่งเป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นที่ทางอะพาร์ตเมนต์มีให้ทุกห้อง ไขกุญแจด้วยลูกกุญแจที่ซ่อนเอาไว้ในซอกตู้เสื้อผ้าเพื่อเปิดดูภายใน

แม้ว่าเขาจะไม่มีสมบัติอะไรมาก เนื่องจากไม่ได้ซื้อข้าวของเครื่องใช้ฟุ่มเฟือย แต่อย่างน้อยก็น่าเป็นห่วงสมุดบัญชีที่เก็บเอาไว้ หากมันหายไปคงเดือดร้อนต้องเดินเรื่องเพื่อออกสมุดบัญชีเล่มใหม่ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เขาเก็บหอมรอบริบมาตั้งแต่เรียนมัธยมต้นรวมอยู่ในบัญชีนั้นทั้งหมด

แต่เมื่อเจอสมุดบัญชีและพอหยิบมาเปิดดูมันไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาจึงถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือกใหญ่ๆ

ฐานทัพกวาดตามองไปทั่วห้องอีกครั้งเพื่อสำรวจดูว่ายังมีสิ่งของมีค่าอื่นๆ อีกหรือเปล่าที่พอจะถูกขโมยไปขายได้ แต่ก็ไม่พบสิ่งอื่นแล้ว แม้แต่แล็ปท็อปที่น่าจะมีค่ามากที่สุดในห้องก็ยังวางอยู่ดีในตำแหน่งเดิม

ดังนั้นจึงระบุได้ว่าสิ่งของที่หายไปเพียงอย่างเดียวก็คือกางเกงในของเขา

โจรขโมยกางเกงในผู้ชาย?

โจรเกย์เหรอ

ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเปล่าที่ของที่หายไปมีเพียงเท่านั้น ทว่านั่นก็ทำให้ฐานทัพรู้สึกว่าคืนนี้คงนอนในห้องอย่างไม่เป็นสุขแล้ว เขาจึงคว้าสายชาร์จโทรศัพท์ กระเป๋าเงิน และพวงกุญแจห้องลงไปชั้นล่างอีกครั้ง

เมื่อยืนประจันหน้ากับลุงยามแล้วเขาก็บอก

“คืนนี้ผมขอนอนอยู่ตรงนี้กับลุงด้วยนะ”

ทำเอาคนฟังมุ่นคิ้วค้างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะแค่นหัวแล้วตอบ

“เออ อยากอยู่ให้ยุงหามก็เอา”

ดังนั้นในเช้าวันถัดไปใบหน้าของฐานทัพจึงไม่ค่อยสดชื่นนักต่างกับเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด เพราะแทบถูกยุงหามอย่างลุงยามว่า จนคนในโชว์รูมต่างก็ถามด้วยความสงสัย เขาเลยเล่าไปตามความจริงก่อนจะหันไปหาจักรวาลซึ่งสนิทกันพอสมควร

“คืนนี้ให้ผมไปนอนที่ห้องกับพี่ได้ไหม”

แม้ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าฐานทัพเป็นเกย์แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และจักรวาลแสดงสีหน้าลังเลออกมาให้เห็น แต่คำถามที่ส่งออกมานี้ไม่ได้ทำให้คนที่ถูกถามลำบากใจในแง่นั้นแต่อย่างใด

“โทษทีว่ะฐาน พอดีว่าแฟนพี่เพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยกันเมื่อเดือนที่แล้ว”

ฐานทัพเข้าใจสถานการณ์ดีจึงหันไปมองคนอื่นๆ บ้าง

“พี่ก็อยากชวนไปอยู่ด้วยกันอยู่หรอกนะ แต่หอพี่เป็นหอหญิง”

ระรินตอบมา ถัดจากนั้นนาตยาก็เอ่ย

“พี่ก็อยู่กับครอบครัวแล้วเหมือนกัน”

“พี่อยู่กับพ่อแม่น่ะ”

วีรดาตอบเป็นคนสุดท้าย

คนที่สนิทกันในระดับที่พอขอพึ่งพาอาศัยได้กลับไม่สะดวกจะให้ความช่วยเหลือเลย ฐานทัพจึงจนปัญญา ได้แต่คิดว่าคืนนี้ถ้าไม่ลองทำเป็นลืมๆ มันไปแล้วใช้ชีวิตแบบเดิมคงต้องถูกยุงหามและปวดเมื่อยตัวไปอีกแน่ แล้วก็ไม่ใช่แค่เมื่อคืนหรือคืนนี้เท่านั้น แต่ต้องทนไปทั้งอย่างนั้นจนกว่าเจ้าของตึกจะกลับมาต่างจังหวัด

ถ้าเป็นแบบนั้นสภาพเขาคงไม่รอดแน่ ไหนจะต้องทำงานพบปะลูกค้าตลอดทั้งวันอีก

“แต่จะว่าไปฐานไม่คุยกับหนุ่มสายเปย์ดูล่ะ”

วีรดาเกริ่นขึ้นมา

“คุยเรื่องอะไรครับ”

ฐานทัพสงสัยในความหมายนั้น แต่เสี้ยววินาทีถัดมาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรถเมื่อวานนี้ได้ ทำให้หน้าตึงขึ้นมาทันควัน

“ก็เรื่องนี้แหละ ลองขอความช่วยเหลือเขาดูไหม พี่ว่าเขาคงอ้าแขนพร้อมให้ฐานถลาตัวใส่เลยล่ะ”

คำอธิบายมาพร้อมกับน้ำเสียงหยอกล้อ พานทำให้ฐานทัพรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทว่าเพียงชั่วครู่เสียงจักรวาลก็แทรกขึ้นมาเหมือนนึกได้

“เอ้อ พี่ว่าจริงๆ เขาก็น่าสงสัยเหมือนกันนะ”

“สงสัยเรื่อง?”

ไม่ใช่ฐานทัพที่ถาม แต่เป็นระริน

“ก็เขาชอบฐาน คอยตามติดฐานอยู่ใช่ไหมล่ะ เขาอาจจะเป็นคนที่แอบเข้าไปในห้องฐานก็ได้ เขาไปส่งทุกวัน รู้จักหอฐานดีใช่ไหมล่ะ”

จะว่าไปที่จักรวาลพูดก็มีเหตุผล

ฐานทัพพยักหน้าเบาๆ พลางคิดตาม

มานึกดูแล้วคนที่รู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหนก็มีเพียงสิบทิศ ขนาดรุ่นพี่ทำงานด้วยกันยังไม่รู้เลยว่าอะพาร์ตเมนต์เขาอยู่ที่ไหน รู้เพียงแค่ว่าอยู่ใกล้ๆ โชว์รูมขนาดที่เดินไปกลับได้โดยไม่ลำบาก

และเพราะคำพูดประโยคนั้นทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มสนทนาเริ่มเออออคล้อยตามไปด้วย ไม่ใช่เพียงฐานทัพคนเดียว

ด้วยเหตุนั้นเมื่อถึงเวลาเลิกงานและชายคนเดิมมารออยู่ด้านหน้าโชว์รูมเหมือนทุกวัน ทุกคนจึงมองด้วยสายตาและสีหน้าแตกต่างไปจากทุกที

“ทำไมคนอื่นๆ มองพี่แปลกๆ”

พอฐานทัพก้าวออกมาจากภายในห้องกระจกขนาดใหญ่เพื่อเตรียมกลับบ้าน เสียงของสิบทิศก็ดังขึ้นถาม ทว่าฐานทัพไม่สนใจ ทำเมินราวกับไม่ได้ยินเสียงอย่างไรอย่างนั้นจึงถูกดึงแขนเอาไว้

“หรือว่าเขารู้เรื่องที่พี่ใช้กำลังกับฐานเมื่อวานเหรอ พี่ขอโทษเรื่องเมื่อวานจริงๆ นะ”

แม้ว่าสิบทิศจะเดินตามมาพลางพยายามขอโทษเพื่อให้เขาใจอ่อน แต่ฐานทัพก็ทำเป็นไม่ได้ยินท่าเดียวแล้วเดินกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์ โดยที่สิบทิศเดินตามมาด้วยตลอดทาง

กระทั่งสั่งอาหารเย็นมารับประทานและแม่ครัวแซวว่า

“อ้าว พ่อหนุ่มมาด้วยแล้วเหรอ”

ฐานทัพก็ยังคงทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นธาตุอากาศที่มองไม่เห็น เมื่อกินข้าวมือเย็นเสร็จก็ขึ้นห้องโดยไม่ยี่หระต่อการมีอยู่ของสิบทิศแม้แต่น้อย

ไม่ใช่เพราะลงความเห็นสรุปแล้วว่าโจรขโมยกางเกงในคือสิบทิศ เขาจึงไม่ยอมพูดด้วย

เพราะไม่ว่าอย่างไรหากยังหาข้อเท็จจริงที่แน่นอนไม่ได้ก็ยังไม่ควรปรักปรำใคร ถึงจะเป็นบุคคลที่น่าสงสัยที่สุดก็ตาม

ทว่าเหตุที่เขาทำเช่นนั้นเป็นเพราะยังครุ่นเคืองเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไม่หายต่างหาก

ถ้าเขายอมเปิดปากคุยกับสิบทิศง่ายๆ ก็เท่ากับว่าหมอนั่นจะทำอะไรกับเขาก็ได้ไม่ใช่เหรอ

เขาต้องทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมาเล่นด้วยได้

อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีความมุ่งมั่นสักเท่าไรเชียว

ไม่รู้จะเสียเวลาทำไมทั้งที่มองอย่างไรการจีบเขาก็เป็นการสูญเปล่าทั้งเรื่องเวลาและความรู้สึก เอาเวลาไปเสียกับคนที่ดีๆ มีค่ากว่านี้จะไม่ดีกว่าเหรอ

หลังจากอาน้ำเสร็จฐานทัพก็ได้แต่ชั่งน้ำหนักกับตนเองว่าควรจะแก้ปัญหาในคืนนี้อย่างไรดี ตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ๆ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ตัดสินใจว่า

“เอาก็เอาวะ ยอมลองนอนห้องตัวเองดูสักคืน”

หวังว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะเขาลองตรวจสอบดูแล้วพบว่าวันนี้ไม่มีของชิ้นใดหายไปจากห้อง

แต่แม้จะนอนหลับบนเตียงของห้องตัวเองที่อาศัยมาตลอดสองปี ฐานทัพก็ไม่ได้หลับอย่างเต็มตานัก เพราะใจพะวักพะวนอยู่แต่กับความคิดที่ว่า ‘โจรนั่นจะบุกเข้ามาตอนนอนหรือเปล่า’ เลยได้แต่นอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน

หน้าตาของฐานทัพจึงง่วงงุนไม่สดชื่นสักเท่าไรตอนเดินลงมาชั้นล่าง ทว่าเขาก็ต้องผงะไปเมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่ลุงยามนั่งอยู่แล้วพบว่ามีใครบางคนอยู่ตรงเก้าอี้ตัวที่เขาใช้เป็นที่นอนในคืนก่อนด้วย

สิบทิศยังคงอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อวาน นั่งอยู่ตรงนั้น

จดจ้องมาทางประตูทางขึ้นตึก

พอเห็นเขาแล้วเจ้าของร่างสูงได้ส่วนสัดนั้นก็ลุกพรวดแทบถลาเข้ามาหาด้วยหน้าตาตื่นเต้นเล็กน้อยจนน่าแปลกประหลาดใจว่าอีกฝ่ายมาทำอะไรที่นี่และทำไมต้องทำสีหน้าเช่นนั้น

“ทำไมฐานไม่บอกพี่”

ยิ่งได้ยินประโยคแรกที่หลุดจากปากของสิบทิศ ฐานทัพก็ยิ่งงุนงงขึ้นอีกจนต้องหลุดปากถาม

“บอกอะไร”

“ก็เรื่องที่ถูกขโมยขึ้นห้องไง แถมยังโดนขโมยกางเกงในอีก นี่มันโจรโรคจิตแล้วนะ”

ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกว่าเจ้าของคำพูดไม่ได้คิดเผื่อไว้เลยว่านั่นเป็นการพูดถึงตัวเอง

ฐานทัพชำเลืองตามองเล็กน้อยเพื่อพินิจพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนถึงท่าทีของสิบทิศ แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นการเล่นละครก็ถือว่าตีบทแตกทีเดียว

“คุณรู้ได้ยังไง”

เมื่อได้รับคำตอบว่าลุงยามเป็นคนบอกพี่ ฐานทัพถึงกับตวัดสายตาไปมองทางลุงยามที่ทำหน้าง่วงเหงาหาวนอน และคงเพราะฝ่ายนั้นเข้าใจสายตาของเขากระมังถึงได้เอ่ยปาก

“ก็พ่อหนุ่มคนนี้มาถามลุงว่าเอ็งอยู่ห้องไหนน่ะสิ ลุงเลยลองซักดูเผื่อว่าเขาจะเป็นโจรคนนั้นก็ได้ แต่ดูท่าทางจะไม่ใช่ แถมเมื่อวานเขาก็กลับมากับเอ็งด้วยไม่ใช่เหรอ แต่ลุงไม่รู้เลขห้องเอ็งเลยบอกเขาไม่ได้ เขาเลยขออยู่ที่นี่ทั้งคืนเผื่อว่าเอ็งจะลงมานอนด้วยกันเหมือนคืนก่อน”

คำอธิบายนั้นตอบคำถามได้หมดทุกอย่าง แต่ฐานทัพไม่รู้สึกขอบคุณสักนิด เพราะคำพูดปากมากของลุงยามทำให้เขาถูกสิบทิศรบกวนตั้งแต่เช้าทั้งที่แค่เจอตอนเย็นก็น่ารำคาญจะแย่อยู่แล้ว

“แล้วคุณทำไมไม่กลับไปสักที”

“ก็เพราะพี่เป็นห่วงฐานน่ะสิ”

ฐานทัพเหลือบตามองดูร่างตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า โดยเฉพาะท่อนแขนที่โผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อซึ่งถูกพับขึ้น เห็นจุดแดงๆ อยู่หลายจุดก็รู้ว่ามีที่มาอย่างไร เพราะเมื่อวานเขาก็มีรอยแบบนั้นเหมือนกันจึงอดแค่นเสียงในใจไม่ได้

ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าไหม ถูกยุงแทะจนอร่อยเลยไม่ใช่เหรอ

แต่ดูเหมือนสิบทิศจะไม่ได้ใส่ใจสายตานั้น กลับถามออกมาอีก

“ฐานปลอดภัยใช่ไหม ไม่มีอะไรอย่างอื่นถูกขโมยไปอีกนะ”

พอเขาเดินมาสั่งข้าวเช้า สิบทิศก็ติดตามมาสั่งด้วย จนฐานทัพค่อนแคะในใจว่าจุ้นจ้านวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้น ก่อนจะลองโพล่งประโยคที่เป็นข้อสันนิษฐานของเพื่อนร่วมงาน

“คุณไม่ใช่หรือไงที่เป็นโจรน่ะ”

“เฮ้ย เปล่านะ พี่ไม่ใช่”

ใบหน้าของคนถูกกล่าหาเคลือบด้วยแววตื่นตระหนกทันที สิบทิศยกมือขึ้นโบกปฏิเสธจนเสียงหลง แต่ฐานทัพก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แยแส

“คนที่รู้ว่าผมอยู่ที่นี่ก็มีแต่คุณ ก็ต้องน่าสงสัยที่สุดอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่พี่แน่นอน สาบานเลย”

หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วสีหน้าตื่นตกใจก็เปลี่ยนเป็นห่อเหี่ยวในทันที เหมือนกับคนน้อยใจกำลังตัดพ้อว่าให้เชื่อกันหน่อยสิ เห็นอย่างนั้นแล้วฐานทัพก็รู้สึกว่ามันน่าขำ แต่เพียงครู่เดียวสิบทิศก็พูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่แตกต่างไปอีก

“แต่พี่ว่าปล่อยไว้แบบนี้มันไม่ปลอดภัยนะ ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็ดูไว้ใจไม่ค่อยได้ด้วย”

เปลี่ยนอารมณ์ไวชิบเป๋ง

“ฐานมาอยู่กับพี่ไหม”

ข้าวที่เพิ่งเอาเข้าปากคำแรกหลังป้าแม่ครัวมาเสิร์ฟให้แทบพ่นออกมาจากปากของฐานทัพในทันทีที่ได้ยินประโยคไม่มีปี่มีขลุ่ยนั่น แต่สีหน้าของคนพูดกลับจริงจังจนเขาต้องกลืนข้าวลงคอไปโดยแทบไม่ได้เคี้ยว

“ทำไมผมต้องไปอยู่กับคุณด้วย”

“ก็เจ้าของตึกไม่อยู่ใช่ไหมล่ะ จะขอให้เปลี่ยนกุญแจห้องให้ก็ไม่ได้ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดก็ไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ๆ โจรนั่นจะย้อนกลับมาตอนกลางคืนหรือเปล่า มันอันตรายออกไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าผมจะออกไปอยู่ที่อื่นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปอยู่กับคุณเลยนี่”

“ถ้าฐานขอไปค้างกับเพื่อนๆ หรือพี่ๆ ที่ทำงานได้ ก็คงไม่อยู่ตรงนี้หรอกใช่ไหม”

เหมือนคำพูดดักคอกันอย่างไรอย่างนั้น

ฐานทัพทำเป็นไม่ได้ยินแล้วตักข้าวเข้าปากอีก เงียบอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งกินอาหารเช้าเสร็จและลุกขึ้นเดินออกจากอะพาร์ตเมนต์ แต่ถึงจะทำเช่นนั้นก็ยังมีชายหนุ่มร่างสมส่วนเดินตามออกไปอยู่ดี

กระทั่งไปถึงโชว์รูม สิบทิศก็ทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ก่อนจะเดินแยกไปขึ้นรถของเจ้าตัวซึ่งจอดไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

“พี่ตัดสินใจแล้ว ยังไงตั้งแต่คืนนี้ไปฐานต้องไปอยู่กับพี่”

 







ทั้งที่ไม่ได้อยากมาอยู่ร่วมกันหรือรับความช่วยเหลือจากสิบทิศเลยสักนิด แต่สุดท้ายฐานทัพก็ต้องมายืนอยู่ในห้องของสิบทิศจนได้ เพราะพอเขาปฏิเสธและกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง ก็ถูกอีกฝ่ายทุบประตูห้องร้องเรียกให้เปิดประตูจนคนของห้องที่อยู่ใกล้เคียงต้องเปิดประตูออกมาด่า

“ระหว่างให้พี่อยู่ที่นี่ด้วยกับฐานไปอยู่หอพี่ เลือกแบบไหน”

หลังจากเปิดประตูห้องออกไปเพื่อจะไล่ก็เจอสีหน้ายิ้มแย้มของสิบทิศพร้อมกับประโยคนั้น เขาไม่เลือกและปิดประตูใส่ สิบทิศก็ทุบประตูและร้องเรียกชื่อเขาขึ้นมาอีกจนโดนห้องอื่นๆ เปิดประตูออกมาด่าอีกรอบ

“ถ้าทะเลาะกันก็ไปทะเลาะที่อื่น เกรงใจชาวบ้านบ้างสิวะ”

เพราะแบบนั้นแหละเขาถึงได้ยอมมาที่นี่ แต่ก็แน่นอนอีกเหมือนกันว่าสิบทิศจะต้องถือโอกาสรบกวนเขาแน่ๆ ฐานทัพจึงออกปากทันทีที่มาถึงว่าจะนอนที่โซฟาเพราะไม่อยากร่วมห้องด้วย และถึงอย่างไรห้องในคอนโดมิเนียมแห่งนี้ก็ค่อนข้างใหญ่อยู่แล้ว แม้จะเป็นแบบหนึ่งห้องนอน แต่ก็มีห้องอื่นๆ ที่ถูกจัดแบ่งสัดส่วนอย่างลงตัว

ในตอนที่เอ่ยปากว่าอย่างนั้นเจ้าของห้องประท้วงในทันที บอกว่าไม่ยอมอย่างเด็ดขาด แต่เขาก็พูดอย่างหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่อย่างนั้นจะกลับอะพาร์ตเมนต์ ด้วยไม่อยากจะเหยียบย่างเข้าไปในชีวิตของอีกฝ่ายมากกว่านี้ สิบทิศจึงเงียบปากไม่ขัดข้องแต่อย่างใด เพียงแต่หายเข้าไปในห้องนอนของตนเองแล้วกลับออกมาอีกครั้งและยื่นของอะไรบางอย่างมาให้

ฐานทัพรับมันมาคลี่ออกแล้วถึงเห็นว่าเป็นเสื้อเชิ้ตของเขาที่ถูกกระชากเมื่อวันก่อนจนกระดุมหลุดออกไปหมด แต่ตอนนี้กระดุมกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ควรอยู่หมดครบทุกเม็ด แต่ด้วยสภาพที่ไม่สมบูรณ์เท่าไร

ถึงจะใช้ด้ายสีเดียวกัน แต่ตำแหน่งก็เบี้ยวไม่ตรงกัน กระดุมเหลื่อมขึ้นสูงบ้างต่ำบ้างจากจุดเดิม

ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของมืออาชีพ

“พี่ลองเย็บเองดูน่ะ”

พอเขาเงยหน้าขึ้นมอง สิบทิศก็หย่อนกายลงนั่งข้างๆ บนโซฟา แล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มแหยเล็กน้อย

“หาตั้งนานกว่าจะเจอกระดุมครบทุกเม็ด พี่คิดว่าถ้าเย็บกลับเอง ฐานน่าจะยอมให้อภัยกันก็ได้”

ถึงจะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลแต่ก็พอยอมรับได้อยู่บ้าง อย่างน้อยอีกฝ่ายก็พยายามจะทำอะไรเพื่อเป็นการแก้ตัว

ฐานทัพไม่ได้ยอกย้อนกลับไปด้วยความอึดอัดรำคาญใจอย่างทุกที เพียงแค่พิจารณากระดุมแต่ละเม็ดที่ถูกเย็บลงไปด้วยความตั้งใจ

เพิ่งเคยมีคนที่ทำอะไรเพื่อเขาอย่างจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก

ถึงจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนไม่จำเป็นต้องใส่ใจด้วยซ้ำ แต่เขาก็อดรู้สึกดีไม่ได้

“แต่กระดุมเบี้ยวๆ แบบนี้ เสื้อตัวนี้ผมคงใส่ไม่ได้แล้วมั้ง”

“โธ่ ฐาน”

สิบทิศร้องโอดครวญทำสีหน้าเว้าวอนน่าสงสาร ถึงกระนั้นก็ยื่นมือออกมาพลางบอก

“งั้นเดี๋ยวพี่เย็บให้ใหม่”

“เย็บอีกก็เบี้ยวอีกอยู่ดีแหละ”

“ดูถูกฝีมือกันเกินไปนะ ยังไงครั้งที่สองก็ต้องดีกว่าครั้งแรกอยู่แล้วแน่นอน”

สีหน้าที่มุ่งมั่นนั้นทำให้ฐานทัพยอมปล่อยเสื้อในมือตัวเองออก แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งมองสิบทิศที่ค่อยๆ สอยกระดุมออกมาใหม่ทีละเม็ด และก้มหน้าก้มตาเย็บมันกลับเข้าไปใหม่

เมื่อเลื่อนสายตาไปยังชุดอุปกรณ์เย็บผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง ก็ดูออกได้ทันทีว่าเจ้าตัวคงไปซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ

เห็นเช่นนั้นแล้วริมฝีปากก็ค่อยๆ เหยียดออกนิดๆ ผุดเป็นรอยยิ้มที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว

รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่สิบทิศเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบอกว่าเสร็จแล้ว และยื่นเสื้อมาให้ด้วยดวงตาเป็นประกายคล้ายกับจะบอกว่าชื่นชมหน่อยสิจนฐานทัพต้องกลั้นขำเอาไว้ไม่ให้หลุดออกมา

“เป็นยังไงบ้าง”

พอเขาหยิบเสื้อไปดูก็ถูกถามในทันที

“ก็พอใช้ได้ล่ะนะ แต่ยังเบี้ยวอยู่ดี”

“งั้นเดี๋ยวทำใหม่ก็ได้”

ไม่เพียงแต่เอ่ยเป็นคำพูด มือใหญ่ยังยื่นมาตรงหน้าอีก ทว่าฐานทัพก็ค้าน

“ขืนแกะกระดุมมาเย็บอีก เสื้อผมได้เป็นรูพรุนพอดี”

“แต่ฐานบอกว่าแบบนี้มันใส่ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ไม่ต้องใส่ ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน”

“งั้นพี่ซื้อตัวใหม่ให้นะ ถือว่าชดเชย”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาก็นึกถึงชื่อเล่นของสิบทิศที่ถูกคนในโชว์รูมตั้งให้ทันที จากนั้นก็ส่ายศีรษะเบาๆ ที่อีกฝ่ายเอะอะอะไรก็ใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียว

“คุณไม่รู้เลยสินะว่าของที่คุณซื้อให้ผม นอกจากของที่คืนๆ ไปนั่นผมให้คนอื่นไปทั้งหมดน่ะ ไม่เสียดายเงินเลยหรือไง”

“พี่กะเอาไว้อยู่แล้วว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ก็ฐานใจแข็งออก แต่เรื่องเสียดายเงินน่ะ ไม่เสียดายหรอกนะ เพราะยังไงก็หาใหม่ได้”

“ครับเสี่ย”

เขาพูดประชดแท้ๆ แต่สิบทิศกลับหัวเราะอย่างชอบใจ ทำหน้าตาระรื่นบอกให้เขาเรียก ‘เสี่ย’ อีก จนเขาต้องสวนกลับไป

“โรคจิตหรือไง”

“เวลาฐานเรียกแล้วมันจักจี้ดี”

“ประสาท กลับห้องคุณไปได้แล้วไป ผมจะนอน”

“เรียกอีกทีก่อนสิ นะๆ”

ถึงจะถูกเขาต่อว่าไปแล้ว ผู้ชายตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยังไม่ยอมแพ้ มีการกระเถิบตัวเข้ามากระแซะไหล่เขาอีกฐานทัพจึงต้องพูดไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกให้รู้อย่างชัดเจนเลยว่าพูดเพื่อตัดรำคาญเท่านั้น

“ไปนอนได้แล้วไป เสี่ยบ้ากาม!”

ทว่าหลังจากได้ฟังแบบนั้น สิบทิศกลับหัวเราะร่วนมากกว่าเดิมแล้วชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มเขาแรงๆ จนหัวโยก มิหนำซ้ำยังทิ้งท้ายด้วยประโยคกลั้วเสียงหัวเราะอีก

“เสี่ยไปนอนก่อนนะครับ คนดีของเสี่ย”

ฐานทัพอดตะคอกโวยวายอยู่ในใจไม่ได้

คนบ้าอะไรวะ น่าเชือดทิ้งชิบเป๋งเลย!

 

 



v



v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥




v



v



คืนแรกผ่านไปอย่างราบรื่น ฐานทัพหลับสนิทในรอบสามวันสีหน้าจึงสดชื่นสดใส แต่พอมาถึงคืนที่สองกลับถูกสิบทิศบอกว่า

“พี่ว่านอนบนโซฟามันอึดอัดออกนะ คืนนี้ไปนอนที่ห้องพี่เถอะ”

เขาเลยต้องรีบค้านเพราะพอคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไรหาเขายอมทำตาม

“ผมว่านอนโซฟาก็ดีอยู่แล้ว”

“ถึงฐานจะตัวเล็กก็เถอะ แต่จะพลิกตัวขดตัวมันก็ลำบากใช่ไหมล่ะ”

“แค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับ ขอบคุณในความหวังดี”

ทั้งที่เขาพูดอย่างตัดเยื่อใยและดูเหมือนสิบทิศจะยอมตัดใจแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมพอลืมตาตื่นขึ้นมาเขากลับนอนอยู่บนเตียงภายในวงแขนของอีกฝ่ายก็ไม่รู้

“ก็พี่เห็นฐานนอนเหมือนจะตกจากโซฟานี่นา”

ถ้อยคำแสดงความปรารถนาดีอย่างเต็มที่ดังขึ้นมาในตอนเช้าที่ประจันหน้ากันก่อนออกจากห้องพัก ฐานทัพเลยได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจที่ตัวเองถูกเล่นงานทีเผลอเสียได้

มื้อเช้าในวันนี้สิบทิศก็ยังพาแวะร้านอาหารเหมือนเมื่อวาน มิหนำซ้ำยังแสดงความเป็นเสี่ยเป็นเจ้ามือเลี้ยงเขาอีกครั้ง ฐานทัพจึงวางแผนการในใจตั้งแต่ช่วงเช้า เฝ้ารอเวลาเย็นมาถึงด้วยใจจดจ่อ

ในเมื่ออยากโชว์ความใจใหญ่มือเติบขนาดนั้น ในวันนี้ซึ่งเป็นวันศุกร์เขาก็ขอใช้มันให้เต็มที่ดู

หลังจากเลิกงานสิบทิศมารับฐานทัพที่โชว์รูมอย่างวันที่ผ่านมาด้วยความกระตือรือร้นและกระปรี้กระเปร่ายิ่งกว่าเดิม คงเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยกระมัง

ฐานทัพแอบกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องเจออะไรในวันนี้

“ผมอยากไปดื่ม”

พอเขาบอกเช่นนั้น สิบทิศก็ทำสีหน้าปั้นยาก เหมือนยินดีที่จะพาไปแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยาก ฐานทัพจึงโพล่งออกมาว่าร้านประจำ คราวนี้สิบทิศถึงกับทำหน้ายู่ตอบ

“ร้านอื่นได้ไหม”

“ก็ผมชอบร้านนี้ อยากไปร้านนี้ มันสะดวกแล้วก็สบายใจ ถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป เท่านั้นแหละ ผมไปเอง”

ไม่เพียงพูดด้วยปาก แต่ฐานทัพยังทำท่าจะเดินเลี่ยงไม่ขึ้นรถของสิบทิศด้วย พลอยให้เจ้าตัวรีบก้าวขาตามแล้วดึงแขนของเขาไว้

“ร้านนั้นก็ได้ๆ ห้ามไปคนเดียวเด็ดขาดเลยนะ”

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งผมเนี่ย”

“ก็สิทธิ์ของแฟ...”

ยังไม่ทันให้สิบทิศหลุดปากพูดคำที่ไม่มีความเป็นไปได้ ฐานทัพก็รีบตัดบท

“ถ้าจะไปก็เลี้ยงด้วย แล้วก็อย่าพูดอะไรเมากาวหน่อยเลย”

จากนั้นหันหลังย้อนกลับมาที่รถของสิบทิศอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายคลี่ยิ้มจากทางหางตาอยู่แวบหนึ่ง เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่าน่าหมั่นไส้แล้ว แต่คำพูดต่อมาของเจ้าตัวกลับยิ่งน่าหมั่นไส้กว่า

“จะเลี้ยงไปตลอดชีวิตเลยครับ”

ไม่รู้ว่าเจอแบบนี้ควรจะตอกกลับไปอย่างไรดี ฐานทัพได้แต่ถอนหายใจเฮ้อออกมาอย่างหน่ายใจแล้วขึ้นรถไป สิบทิศจึงรีบตามมาอย่างเร็วไวและออกรถไป แต่ก่อนจะถึงจุดหมายก็แวะกินอาหารรองเท้าเสียก่อน

กระทั่งไปถึงร้านก็เข้าสู่ช่วงเวลาคึกคักของพวกนักเที่ยวพอดี เมื่อทั้งคู่ได้ที่นั่งแล้วก็สั่งเครื่องดื่ม โดยฐานทัพเป็นฝ่ายออกปากขอเลือกเอง ซึ่งเขาก็อาศัยโอกาสนี้เลือกเครื่องดื่มราคาแพงชนิดที่หากเป็นปกติตนคงไม่เลือกมันอย่างแน่นอน ระหว่างดื่มก็สอดส่ายสายตาไปเรื่อยเปื่อย มองดูว่ามีคนน่าสนใจมาเที่ยวในคืนนี้บ้างหรือเปล่า

ด้วยเหตุว่าเป็นคืนสุดสัปดาห์ ผู้คนในร้านจึงค่อนข้างมาก แม้จะดูลายตาไปบ้างเมื่อปนกับแสงสีแต่ก็ทำให้ฐานทัพรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เพราะมีโอกาสที่เขาจะได้เจอคนถูกตามากขึ้นตามไปด้วย

ทว่าพอเขาสะดุดตาใครสักคนเข้าและจ้องมองคนคนนั้น ก็เหมือนสิบทิศจะไล่ตามสายตาของเขาทัน เพราะรีบยื่นศีรษะมาบ้างแนวสายตาเอาไว้ทันที

“อย่ามองคนอื่นสิ”

“ลูกตาของผม ผมจะมองใครก็ได้ทั้งนั้น”

ฐานทัพตอบอย่างเซ็งๆ เล็กน้อยก่อนเบี่ยงสายตาไปทางอื่นพลางกระดกเครื่องดื่มที่พาให้รุ่มร้อนไปอึกใหญ่ติดกันสองอึก

คนนั้นก็ไม่เลวแฮะ หุ่นกำลังดี หน้าตาก็ไม่ขี้เหร่ น่าจะสนุกอยู่

เมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับร่างของอีกคนที่ไม่รู้สึกว่าคุ้นตา ดังนั้นน่าจะไม่เคยลองมาก่อนฐานทัพก็คลี่ยิ้มบางๆ นัยน์ตาจับจ้องสำรวจไปทางชายคนนั้นที่เหมือนจะมากับกลุ่มเพื่อน ดูท่าว่าไม่ได้ควงใครมาด้วยก็รู้สึกพึงพอใจ แต่ขณะกำลังอิ่มเอมกับการเล็มออเดิร์ฟ อยู่ๆ หน้าของเขาก็ถูกจับให้หมุนกลับไป

“อย่าทำหน้ายั่วแบบนั้นได้ไหม”

“ใครทำหน้ายั่ว”

“ก็ฐานน่ะสิจะมีใคร ปกติตาก็ฉ่ำจนเห็นแล้วแทบจะละลายอยู่แล้ว นี่ยิ่งทำตาเยิ้มขึ้นไปอีก แก้มก็แดงซะ พี่อยากจะลากกลับบ้านอยู่แล้วเนี่ย”

“ประสาท”

ฐานทัพตอกกลับแล้วกระดกเครื่องดื่มที่เหลืออยู่ในแก้วให้หมด ประจวบกับเห็นทางหางตาว่าชายคนที่หมายตาเอาไว้ทำท่าจะไปเข้าห้องน้ำ เขาก็ยังไม่รีบผลีผลามกระโตกกระตากให้สิบทิศรู้ตัว ทำเป็นนั่งอ้อยอิ่งมองไปรอบๆ แสร้งทำเหมือนจะหาเป้าหมายใหม่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้น

“จะไปไหน”

เป็นอย่างที่คิด ข้อมือของเขาถูกคว้าไว้ทันควัน

“ไปฉี่ไม่ได้หรือไง”

“พี่ไปด้วย”

“จู๋ไม่ได้ถูกมัดติดกัน ทำไมต้องไปด้วย”

เขาตอกหน้าอีกฝ่ายกลับไปเท่านั้นก่อนจะสะบัดมือออกแล้วเดินดุ่มตรงไปยังห้องน้ำทันที ถึงกระนั้นก็พยายามรักษาจังหวะก้าวเดินเอาไว้ไม่ให้ดูรีบร้อนจนมีพิรุธ ในใจก็ภาวนาว่าผู้ชายคนนั้นอย่าเพิ่งออกมาจากห้องน้ำนะ

ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างมากพอดู เพราะหลังจากผ่านประตูห้องน้ำเข้าไปแล้วก็เห็นอีกฝ่ายกำลังล้างมืออยู่พอดี มิหนำซ้ำสถานการณ์ยังเอื้ออำนวยเพราะภายในไร้บุคคลอื่น ราวกับจะเป็นห้องลับสำหรับพวกเขา

ฐานทัพรีบสาวเท้าเข้าไปยืนเคียง คลี่ยิ้มบางๆ ใส่กระจกที่กำลังสะท้อนภาพคนทั้งสองซึ่งชายหนุ่มก็มองมันอยู่

และคงด้วยอำนาจของรูปลักษณ์ที่สิบทิศเคยบรรยายไว้ก่อนหน้านี้กระมังที่ทำให้ชายหนุ่มซึ่งฐานทัพหมายตามองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา

“เจอคนถูกใจหรือยังครับ”

ฐานทัพถามออกไปตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมพลางหันข้างมาหาตัวจริง ซึ่งทางฝ่ายนั้นก็ล้างมือเสร็จพอดีและหันมาหาเขาเช่นกัน

“ยังไม่ได้เล็งใครไว้ แต่ตอนนี้เหมือนจะเจอแล้ว”

คำตอบที่ได้รับตรงไปตรงมาจนฐานทัพอดยิ้มอย่างถูกใจแล้วพูดเบาๆ ว่า “ตรงดี” ไม่ได้

เขายกมือขึ้นวางบนบ่าของอีกฝ่าย แม้เพียงแค่แตะ ยังไม่ลงน้ำหนักใดๆ ก็เหมือนจะเป็นการกระตุ้นเจ้าของร่างนั้นแล้ว

เจ้าตัวขยับตัวเข้ามาใกล้ชิดกับเขา เบียดจนกายส่วนล่างประชิดกัน ใบหน้าได้รูปก้มลงมาหา ฐานทัพจึงไม่รอช้าที่จะเขย่งตัวขึ้นเล็กน้อย

เพียงเท่านั้นริมฝีปากของฝ่ายนั้นก็ประทับลงมายังส่วนเดียวกันอย่างรวดเร็วแล้ว

ฐานทัพตอบโต้กลับไปโดยไม่ให้เสียเวลา ขบเนื้อแดงนิ่มอย่างเร่าร้อน เผยอปากอ้าแล้วค่อยๆ กอดรัดลิ้นร้อนที่จู่โจมเข้ามาราวกับหิวกระหาย

เมื่อทำเช่นนั้นร่างกายที่แนบชิดกันก็ยิ่งโหยหาความแนบแน่นมากขึ้น มันบดเบียดเข้าหากันดังจะขยี้ร่างของกันและกันให้แหลกสลาย มือของอีกฝ่ายโอบเข้ามาที่เอวเขาแน่น ขณะที่ฐานทัพก็กอดรัดลำคอของฝ่ายนั้นด้วยแรงไม่น้อยเช่นเดียวกัน

ริมฝีปากทั้งสองเหมือนกำลังทำสงคราม ทั้งขบดูด กดเบียด พร้อมกับลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันไปมาอย่างไม่ลดละ ปลายลิ้นชอนไชไปตามแนวฟันเพดานปาก ยิ่งสร้างความเสียวสยิวให้แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์ ประสานกับเสียงครางและเสียงหอบหายใจด้วยความพึงพอใจซึ่งดังลอดออกมาเป็นระยะ

ส่วนกลางร่างกายที่แนบชิดโดยมีเพียงผ้ากั้นของแต่ละฝ่ายร้อนระอุและแข็งขึงขึ้นมาจนรู้สึกได้

ฐานทัพผละปากออกมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ กระซิบบอกว่า

“สงสัยไปที่อื่นจะไม่ทันใจแล้ว”

ฝ่ายนั้นเองก็เหมือนจะมัวเมาในรสจูบ ไม่มีอารมณ์มาหัวเราะรับคำพูดของฐานทัพ ลมหายใจพ่นแรงออกจากจมูกขณะที่ปากก็เอาแต่จะไล่งับตามริมฝีปากของฐานทัพที่เริ่มเจ่อขึ้นน้อยๆ ฐานทัพจึงเป็นฝ่ายออกแรงผลักเจ้าตัวเข้าไปในห้องน้ำส่วนตัวแล้วปิดประตูตามมา

ชายคนนั้นล้มลงไปนั่งบนชักโครก แต่ฐานทัพไม่รู้สึกว่ามันเป็นอุปสรรค เขาขึ้นไปนั่งคร่อมทับบนตักในทันทีแล้วปลดเข็มขัดรูดซิปกางเกงของตนลง

พอเห็นเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ทำอย่างเดียวกันแล้วรีบคว้าส่วนที่กำลังผงาดแข็งของทั้งคู่รวบเข้ามาอยู่ในกำมือด้วยกัน

ฐานทัพยิ้มอย่างถูกใจแล้วบดสะโพกใส่อีกฝ่ายที่เริ่มขยับมือพร้อมกับเอาหน้าซุกไซ้เข้ามาที่ลำคอของเขา พยายามจูบเม้มต่ำลงมา ขณะที่มืออีกข้างก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของฐานทัพออกเพื่อเผยให้เห็นผิวเนื้อเนียนขาวที่อยู่ภายใน ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วยื่นปลายลิ้นเข้าแตะ...

ตึง!

เสียงเคาะประตูดังสนั่นพร้อมกับบานประตูที่สะเทือนอย่างรุนแรงดังกึกๆ จนเหมือนว่าสิ่งที่เคาะนั้นไม่ใช่มือแต่เป็นเท้า

ทั้งสองคนที่อยู่ภายในห้องน้ำแคบๆ ต่างละความสนใจในสิ่งที่ตนเองกำลังหมกมุ่นกันอยู่ แล้วหันไปมองทางประตูห้องน้ำอย่างฉับพลัน

ทันใดนั้นเสียงทุบประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมแรงสะเทือนที่ไม่ต่างไปจากเดิม ตามด้วยเสียงตะโกนที่แผดก้องอย่างฉุนเฉียว

“ฐาน ออกมา!”

 





------------------------

พี่ทิศเขาเป็นคนขี้หึงค่ะ





ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
พี่าิบทิศหึงเก่งมาก หึงตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย

พี่สิบทิศคงเหนื่อยน่าดูกว่าฐานจะรับรัก สู้ๆนะคะ :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ทำไมฐานปิดกั้นตัวเองจังอะ

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥

4th Lie
ถือว่าเป็นการเกี่ยวก้อยก็ได้


 

เพียงได้ยินเสียงนั้นฐานทัพก็รู้ว่าคนที่อยู่อีกฟากของประตูคือสิบทิศไม่ผิดแน่ พอเขาไม่ตอบรับอะไรกลับไป เสียงกระแทกประตูก็ดังอีกครั้งและสั่นอย่างแรงจนน่าหวาดเสียดว่ามันจะหลุดออกมา

“จะออกมาเองหรือให้พี่พังเข้าไป”

น้ำเสียงที่ทะลุผ่านเข้ามานั้นยังเต็มไปด้วยอารมณ์อย่างคงเส้นคงวาและแสดงถึงความโมโหโกรธาอย่างชัดเจน จนคนที่เขานั่งอยู่บนตักถามเสียงเบาราวกับกลัวว่ามันจะดังไปถึงด้านนอก

“แฟนเหรอ”

ฐานทัพส่ายหน้า บอกไปแค่ว่าเปล่า เลยถูกถามกลับมาอีก

“ถ้าไม่ใช่แฟนแล้วเขาจะโมโหขนาดนี้เหรอ ไม่เอาแล้ว”

ดูท่าว่าเจ้าตัวจะกลัวความเกรี้ยวกราดของสิบทิศจริงๆ เพราะใบหน้าเหยเกซีดเผือด ทำหน้าเหมือนกำลังจะเผชิญกับอสุรกายอย่างไรอย่างนั้น พร้อมทั้งยังดันตัวเขาให้ลุกขึ้นด้วย

หากไม่ยอมลุกออกไปแต่โดยดีคงโดนอีกฝ่ายเทลงพื้นอย่างแน่นอน ฐานทัพจึงจำต้องลงมายืนบนพื้นอย่างช่วยไม่ได้

ทันทีที่เขาพ้นไปจากตัว ฝ่ายนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นแล้วกระโจนไปที่ประตู ปลดล็อกก่อนจะพุ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็วที่สุดจนแม้กระทั่งสิบทิศก็ยังคว้าตัวเอาไว้ไม่ได้

สถานการณ์ในตอนนี้จึงเหลือเพียงสิบทิศและฐานทัพในสภาพที่หากใช้คำตรงหน่อยก็คงต้องบอกว่า ‘อุจาด’ เพราะเสื้อผ้าหลุดลุ่ย กระดุมเสื้อถูกปลดออกไปจนถึงหน้าท้องและแหวกจนเผยให้เห็นผิวที่อยู่ภายใน กางเกงก็ถูกถกลงจนกองอยู่ตรงสะโพกโดยที่อวัยวะสำคัญโผล่พ้นจากขอบกางเกงชั้นในที่ถดตัวลงไปอยู่ข้างใต้แทน

แต่ถึงแม้จะอยู่ในสภาพที่น่าอายเช่นนี้ สีหน้าของฐานทัพกลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

เขามองสบตาสิบทิศที่เสมือนมีพายุโหมกระหน่ำอยู่ข้างในอย่างเฉยเมยก่อนจะกระชับเสื้อผ้ากลับคืนที่ ทว่ายังไม่ทันจะสำเร็จ คราวนี้กลับเป็นฝ่ายเขาที่ถูกผลักเข้าไปในห้องน้ำที่เพิ่งเปิดออกมาแทน

แรงผลักทำให้ฐานทัพไม่สบอารมณ์ ตีสีหน้าขมึงใส่สิบทิศที่ไล่ตามเข้ามาประชิด มิหนำซ้ำยังล็อกประตูอย่างว่องไวเพื่อปิดทางออกของเขาอีก

“จะทำอะไร”

“ทำไมฐานถึงกล้าทำแบบนี้!”

เสียงกระโชกดังก้องทำให้ด้านนอกที่เหมือนว่าจะมีคนเข้ามาในจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องน้ำถูกปิดเงียบสงัดลงในพริบตา

เสียงพูดคุยดังแว่วคล้ายกำลังคุยกันว่าใครทำอะไรกันอยู่ในห้องน้ำ ฐานทัพจึงเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง รอให้ได้ยินเสียงคนเดินออกไปก่อนจะตอบ

“แล้วทำไมผมต้องไม่กล้า ผมจะทำอะไรกับใครก็เรื่องของผม แล้วคุณล่ะมายุ่งอะไรด้วย”

“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าพี่ไม่ชอบให้ฐานไปยุ่งกับคนอื่น”

“ผมก็บอกคุณไปแล้วเหมือนกันว่าคุณไม่มีสิทธิ์บงการอะไรผมทั้งนั้น!”

ฐานทัพขึ้นเสียงบ้าง ซึ่งดูเหมือนคราวนี้จะยิ่งเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ

สิบทิศจ้องเขาเขม็งเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“ฐานบังคับให้พี่ต้องทำแบบนี้เองนะ”

หลังจากพูดโพล่งออกมา สิบทิศก็ผลักเขาเข้าหากำแพงแล้วประจบจูบโดยพลัน

ฐานทัพใช้สันแขนทั้งสองข้างดันตัวอีกฝ่ายออก เพราะรู้ว่าลำพังแค่มือคงไม่มีแรงขนาดนั้น แต่ถึงใช้หนทางที่คิดว่าพอจะสำเร็จได้ ก็กลับกลายเป็นว่าแขนทั้งสองข้างถูกสิบทิศจับตรึงไว้กับกำแพงแทน

“อื้อ”

เสียงอู้อี้ดังมาจากปากที่โดนบดขยี้อย่างจาบจ้วง มันเอาแต่ขบเม้มเล่นงานเฉพาะภายนอก ผลจากการพยายามอ้าปากกัดของฐานทัพจึงไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งตัวของเขาก็ถูกดันเข้าหากำแพงแรงขึ้นจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ขณะที่ส่วนกลางร่างกายถูกเบียดเข้ามาอย่างแนบแน่น

“ปล่อย”

พอปากหลุดออกมาฐานทัพก็เขม้นตาเขียวจ้องมองหน้าคนใช้กำลัง ทว่าสิบทิศไม่ตอบ กลับเปลี่ยนมาใช้มือเดียวล็อกข้อมือทั้งสองข้างของเขาแล้วกดเอาไว้เหนือศีรษะ ส่วนมือที่กลายเป็นอิสระก็ถกกางเกงทั้งชั้นนอกและชั้นในของเขาลงจนไปกองอยู่เหนือเข่า คว้าความเป็นชายที่ฉ่ำเยิ้มจากความสนุกก่อนมารจะมาผจญออกมา

มันยังมีอาการขึงแน่นอยู่กึ่งหนึ่ง

สิบทิศรูดขึ้นลงเร็วๆ สลับกับเกลี่ยส่วนปลายวนเวียนอยู่ตรงร่องเล็กๆ

ความวาบหวามที่เกิดขึ้นทำให้ฐานทัพผวาเฮือก ร่างสะดุ้งโหยงโดยไม่ทันได้ห้ามปรามและคิดว่าคงห้ามไม่ได้

“ปล่อย อึก บอกให้ปล่อยไงเล่า”

ฐานทัพได้แต่บอกเช่นนั้นซ้ำๆ แต่มือของสิบทิศยังคงไม่ลดจังหวะลง

เจ้าตัวเริ่มซุกไซ้ใบหน้าลงตรงซอกคอของเขา ขบเม้มดูดแรงจนคาดว่าคงเกิดรอยแดงขึ้นอย่างแน่นอน จากนั้นก็ค่อยๆ ไล่ต่ำลงมา เลียที่ยอดอกของเขาก่อนจะใช้ปากครอบลงไป ดูดเลียมันอย่างรุนแรงสลับกันไปมาทั้งสองข้าง บ้างก็งับแล้วยื้อดึง ยิ่งทำให้ความกระสันพุ่งทะยานขึ้นมาจากเบื้องลึกในกายของฐานทัพ

“อะ อื้อ”

เขาตัวสั่นเทิ้ม แข็งขาเริ่มอ่อนแรง

มือสองข้างที่ถูกพันธนาการไว้พยายามจะกระชากออกจากการจับกุม แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สะโพกบิดเร่าเพราะไม่อาจอยู่นิ่งพลางเบียดกระแซะเข้าหามือหนาที่พยายามไล่ตีอารมณ์ปรารถนาของเขาให้แตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง

“ปล่อย อ๊ะ ปล่อย ไม่ไหว...จะออก”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลังจากสิ้นประโยคนี้สิบทิศจึงปล่อยมือของเขาออกตามคำร้องขอ

ทว่าเมื่อมือกลับมาเป็นอิสระแล้วกลับเป็นเขาเองที่ผวาเข้ากอดสิบทิศเต็มแรง กายสั่นสะท้านเป็นระลอกๆ ขับไล่ความอัดอั้นที่ก่อกวนอยู่นานออกมา

“อ๊า”

กระแสน้ำเชี่ยวฉีดพ่นไปทั่วหน้าท้องของพวกเขาทั้งคู่ที่แนบชิดกันและมือของสิบทิศ

ฐานทัพหอบหายใจถี่รัว เงยคางพาดกับบ่าของคนตรงหน้าอย่างหมดเรี่ยวแรง สองมือที่โอบไปด้านหลังของอีกฝ่ายกอดบ่าหนาเอาไว้แน่น เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นมีหวังเขาได้ลงไปกองกับพื้นแน่

ฉับพลันนั้นอยู่ๆ เขาก็ถูกดึงตัวออก ตามด้วยริมฝีปากของสิบทิศประกบลงมา

คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่ผิวเผินอีกแล้ว

สิบทิศขบเม้มและสอดลิ้นเข้ามารุกเร้าภายใน แต่ฐานทัพไม่มีสติพอจะคิดอะไรไปมากกว่าปล่อยให้ร่างกายตอบสนองไปกับสิ่งเร้าที่เข้ามากระตุ้น

เขาเกี่ยวกระหวัดเข้าหาลิ้นของสิบทิศ พออีกฝ่ายผละออกก็ไล่ตามไปราวกับอาลัยอาวรณ์ กระทั่งได้กอดรัดกันสมใจก็ดูดขบริมฝีปากของอีกฝ่ายเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ต้องการขนม

“เอาไว้เราไปต่อกันที่ห้องนะ”

หลังจากปล่อยให้เขาเก็บเกี่ยวความอร่อยนั้นแล้ว สิบทิศก็ดันร่างเขาออกเล็กน้อย นัยน์ตาที่มองมาหวานเชื่อมไปด้วยประกายบางอย่างที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม

ฐานทัพเบลออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เรียกสติของตนเองกลับมาได้ จากนั้นความรู้สึกอับอายก็เริ่มมาเยือน

บ้าเอ๊ย เขาเผลอคล้อยตามไปกับสัมผัสจนได้

“ใครบอกว่าจะทำ”

เขาผลักร่างของสิบทิศออก เอื้อมมือไปดึงกระดาษชำระมาเพื่อเช็ดทำความสะอาดร่างกาย แต่ก็ถูกมือที่ใหญ่กว่าชิงตัดหน้าเสียก่อน

สิบทิศค่อยๆ ใช้กระดาษชำระเช็ดแกนร่างของเขาอย่างเบามือ ซับคราบที่เลอะไปทั่วอย่างระมัดระวังจนฐานทัพคาดไม่ถึง เผลอมองอย่างตะลึงและงงงวย กระทั่งเช็ดเสร็จแล้วยังดึงกางเกงขึ้นสวมให้ด้วยอย่างเรียบร้อย แม้แต่กระดุมเสื้อก็ติดให้

พอได้สติอีกทีฐานทัพก็มองใบหน้าของสิบทิศแล้ว

“คิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะใจอ่อนหรือไง”

“หรือว่าฐานไม่อยากทำต่อล่ะ”

เสียงกระซิบกระเส่าดังมาข้างหูเพราะเจ้าตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างจงใจ

ฐานทัพผลักอีกฝ่ายออกไปอีกครั้งพร้อมบอกว่า

“ผมทำกับใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณสักหน่อย”

แต่ก็ถูกสิบทิศดึงมือเอาไว้ มิหนำซ้ำยังดึงมือของเขาให้ยื่นไปแตะที่เป้ากางเกงเจ้าตัวอีกต่างหาก

“แต่ฐานทำให้พี่เป็นแบบนี้ ต้องรับผิดชอบหน่อยสิ”

ฐานทัพตกใจเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ อีกฝ่ายจะดึงมือเขาไปทำแบบนั้น ยิ่งพอรู้สึกได้ถึงสภาวะปัจจุบันของอวัยวะส่วนนั้นก็ยิ่งรีบหดมือราวกับตนเป็นเด็กหนุ่มไร้เดียงสาทั้งที่ประการณ์ที่ผ่านมานับว่าโชกโชน

“คุณหื่นของคุณเอง ก็รับผิดชอบตัวเองสิ”

“แต่พี่อยากทำกับฐาน”

“แต่ผมไม่อยากทำกับคุณ”

คำปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาอาจจะช่วยได้ ฐานทัพคิดเช่นนั้น แต่ว่ามันกลับไม่เป็นอย่างนั้นสำหรับสิบทิศผู้หน้าด้านหน้าทนและช่างตื๊อ

“ไม่รู้ล่ะ เรารีบกลับกันดีกว่า พี่ไม่อยากกอดฐานในห้องน้ำแบบนี้หรอกนะ”

สิบทิศดึงมือของเขาแล้วพาเดินออกจากห้องน้ำไปด้านนอก แหวกผ่านสายตาผู้คนที่บ้างก็ล้างมืออยู่ที่อ่าง หรือยืนทำธุระอยู่ที่โถซึ่งมองมากันเป็นตาเดียว เพราะเสียงสนทนาหรือแม้กระทั่งเสียงอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นภายในห้องแคบๆ เมื่อครู่คงเข้าหูกันอย่างถ้วนหน้า

“อะไรของคุณเล่า บอกว่าไม่ทำไง”

ฐานทัพพยายามสะบัดมือออก แต่ด้วยขนาดตัวและแรงที่น้อยกว่าย่อมไม่มีทางชนะจึงได้แต่โอดครวญ

“จะทำ”

“ทำไมต้องอยากทำกับผมขนาดนี้ด้วย”

พอมาขึ้นรถ ฐานทัพก็หน้าบึ้งไปแล้ว แต่ความคิดที่ว่าจะหนีก็ล้มเลิกไปแล้วเช่นกัน

เขาได้แต่ต่อว่าอยู่ในใจว่า ‘ดื้อด้าน ช่างตื๊อ น่ารำคาญ’ โดยไม่ได้พูดออกมา เพราะรู้ว่าถึงพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้านเหมือนคนหูหนวกอยู่ดี

“เพราะรักไง”

ใบหน้าได้รูปซึ่งหันมาหาพร้อมรอยยิ้มนิดๆ ที่ฐานทัพไม่ค่อยอยากยอมรับว่าดูอ่อนโยนนั้นทำให้เขาลมหายใจสะดุดไปชั่วครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเวลาในตัวหยุดลงไปชั่วคราวอย่างบอกไม่ถูก แต่กลับได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังกว่าปกติขึ้นมาเสียเฉยๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

เขาพูดไม่ออก เลยหันหน้าไปมองนอกกระจกรถแทน แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “หึ” เหมือนคนกลั้นขำมาจากข้างๆ แม้จะอยากหันหน้าไปดู แต่ก็เกรงว่าจะถูกสวนอะไรกลับมาอีกแล้วตนสู้ฝีปากไม่ได้จึงตัดสินใจว่าไม่หันไปแส่หาความเดือดร้อนดีกว่า

กระทั่งถึงคอนโดมิเนียมของสิบทิศ รถก็หยุดลง ฐานทัพไม่ขยับเขยื้อนจนสิบทิศต้องเอ่ยปากถาม

“ไม่ลง หรืออยากลองบนรถเหรอ”

“ถามจริงๆ เถอะ ผมมีอะไรน่าสนใจให้คุณต้องอยากมีเซ็กซ์ด้วย”

ฐานทัพถามเหมือนหน่ายใจกับการต้องตั้งแง่ เพราะแม้จะเคยปฏิเสธมาหลายครั้ง อีกฝ่ายก็ยืนยันว่าจะทำให้ได้

“พี่ก็ตอบจริงๆ ว่ารัก”

“ผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณรักได้เลยด้วยซ้ำ คุณก็รู้ว่าผมมั่ว นอนกับคนไม่ซ้ำหน้า แล้วจะพิศวาสอะไรผู้ชายสกปรกแบบนี้นักหนา”

“เหตุผลที่ทำให้รักมันอธิบายไม่ได้หรอก รู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้วนี่นา”

คำตอบที่ได้รับมาทำให้ฐานทัพรู้สึกว่าในอกเหมือนมีอะไรสั่นไหวอยู่น้อยๆ แต่มันก็เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น

คงเพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจอคนตื๊อขนาดนี้กระมัง

ตกลงกันครั้งเดียวแล้วจบกัน ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นอิสระ นั่นเป็นสิ่งที่เขายึดถือเสมอมา

หากว่าเขายอมปล่อยผ่านไปสักครั้ง มันอาจจะจบลงก็ได้

คราวก่อนอีกฝ่ายอาจจะแค่รู้สึกเหมือนทำกับตุ๊กตายางอะไรเทือกนั้น เพราะเขาไม่มีสติรับรู้เลยไม่รู้สึกว่าเต็มอิ่มก็ได้

สันดานผู้ชาย ถ้าไม่เติมเต็มความกระหายสักครั้งก็ไม่รู้สึกพอหรอก

เขารู้ดี เพราะเขาเองก็เป็น

“งั้นผมยอมคุณสักครั้งก็ได้”

ไหนๆ เขาก็อดอยากมานานแล้วเช่นกัน ถือเสียว่าเป็นการสนองตัณหาตัวเองสักครั้งแล้วจบกันก็พอ

“จริงเหรอ”

“แต่ถ้าคุณทำตัวน่ารำคาญอีก ก็บายได้เลย”

คราวนี้เหมือนว่าสิบทิศจะเข้าใจจึงไม่ได้ก้อร่อก้อติกอีก เพียงแค่ลุกจากรถแล้วหันมาพยักหน้าให้เขาก่อนจะเดินนำขึ้นห้องไป

เห็นเช่นนั้นฐานทัพก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘พูดรู้เรื่องดีเหมือนกันนี่หว่า’ ทว่าทันทีที่ก้าวเข้าห้องมา ตัวเขาก็ถูกคว้าไปกอดอย่างรวดเร็วจนตื่นตะลึงเบิกตากว้าง ร้อง “เฮ้ย อะไร” แล้วโดนกดจูบหนักๆ ลงมาโดยไม่ทันให้ตั้งตัวสักนิด

“เดี๋ยวพี่ไปที่ห้องนอนนะ”

หลังสิ้นเสียงนั้นตัวเขาก็ลอยหวืดขึ้นมาเพราะถูกสิบทิศช้อนอุ้มขึ้นมาด้วยท่าเจ้าหญิงอีกต่างหาก

พอถึงห้องนอนก็ถูกวางลงบนเตียงตามด้วยร่างที่ใหญ่กว่าลงมาคร่อมทับ ว่องไวปราดเปรียวเสียจนเขาตื่นตะลึงไปอีกรอบ

ฐานทัพเอามือยันอกสิบทิศไว้ก่อนเจ้าตัวจะบุ่มบ่ามทำอะไร

“เดี๋ยวๆ ผมขออาบน้ำก่อน”

“ไม่ต้องหรอก ทั้งอย่างนี้เลยก็ได้”

“ผมไม่ชอบเวลาตัวเหนอะๆ เหนียวๆ”

“แต่เดี๋ยวทำกันก็เหงื่อออกอยู่ดี”

สิบทิศปฏิเสธลูกเดียวราวกับว่ารอไม่ไหวแล้ว ขณะเดียวกันก็อาจจะตีความหมายได้ว่ากลัวเขาจะเปลี่ยนใจหลังจากอาบน้ำแล้ว สุดท้ายฐานทัพจึงต้องยืนคำขาด

“ถ้าไม่ให้ผมอาบก็ไม่ต้องทำมันแล้ว จบ”

ไม่เพียงแค่คำพูดแต่น้ำเสียงและสีหน้าก็สื่อว่า ‘จบอย่างแน่นอน และจะไม่มีการเปลี่ยนความคิดอีกแล้ว’ สิบทิศจึงต้องยอมปล่อยเขาไปแต่โดยดี

หลังออกมาจากห้องน้ำฐานทัพก็มาอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เผยครึ่งกายท่อนบนต่อหน้าสิบทิศที่จับจ้องมาและทำท่าจะกระโจนเข้าหาจนต้องออกปากไล่

“คุณก็ต้องอาบด้วย”

สิบทิศทำหน้าจ๋อย บอกว่าครับๆ ก่อนจะเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป แต่ประมาณห้านาทีก็ออกมาเหมือนกลัวว่าเขาจะหายตัวไป จากนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่มสาวเท้าเข้าหาเขาที่นั่งอยู่บนเตียง รอยยิ้มค่อยๆ คลี่กว้างมากขึ้น

“เลิกยิ้มน่าขนลุกแบบนั้นเหอะ ผมหมดอารมณ์”

แทนที่จะทำให้สิบทิศหุบยิ้มฉับ กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวระบายยิ้มกว้างขึ้นเหมือนถูกใจเสียอีกจนฐานทัพต้องถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายใจ

มือใหญ่ช้อนคางของฐานทัพขึ้นก่อนริมฝีปากอวบๆ จะประกบทับลงมา ค่อยๆ เลาะเล็มด้วยน้ำหนักแผ่วเบาแล้วเพิ่มระดับเป็นหนักหน่วงขึ้น

ร่างของฐานทัพคล้อยไปตามแรงกดที่ทับลงมาจนแผ่นหลังแนบกับที่นอนนุ่ม ผ้าเช็ดตัวที่ห่อหุ้มตัวเพียงผืนเดียวถูกสะกิดเพียงนิดก็หลุดออกไป

สิบทิศยกตัวขึ้นมองสำรวจเรือนร่างของฐานทัพราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ไล่สายตาตั้งแต่ใบหน้าลงมายังลำคอ แผ่นอก ทิ้งสายตาอยู่ตรงนั้นชั่วครู่แล้วพิจารณาติ่งเล็กๆ ที่ประดับอยู่ทีละข้างก่อนจะเลียริมฝีปากเบาๆ

ฐานทัพมองภาพนั้นแล้วพลันรู้สึกว่าร่างกายถูกกระตุ้น

ความกระหายอยากที่รุมๆ อยู่ภายในเริ่มแตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นวงกว้าง แล่นกระจายไปทั่วปลายประสาท ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหากตนเองนอนนิ่งเฉยอยู่แบบนี้ คงดูเหมือนเหยื่อไร้ทางสู้ที่รอให้สัตว์ร้ายปู้ยี้ปู้ยำ

ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานปี เรื่องแบบนี้เขาย่อมรับไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อสายตาของสิบทิศเริ่มไล่ต่ำลงจนถึงกึ่งกลางร่าง ฐานทัพก็ผุดลุกขึ้นแล้วเป็นฝ่ายพลิกตัวสิบทิศลงนอนแทน

“เริ่มอดใจไม่ไหวแล้วล่ะสิ”

คำพูดหยอกเย้าถูกส่งมา คงหวังให้ได้อาย แต่ฐานทัพไม่สะทกสะท้านกับคำกระเซ้านั้นสักนิด

เขากระชากปมผ้าขนหนูของสิบทิศออกก่อนจะคว้าแก่นกายของคนที่บัดนี้กลับมาอยู่ใต้ร่างตนเองขึ้นมา ชักรูดท่อนเนื้อที่ค่อยๆ แข็งขึ้นสลับกับเกลี่ยที่ปลายมนให้อีกฝ่ายวาบหวาม

สะโพกของสิบทิศกระถดขึ้นลงตามแรงชักจูง เสียงหอบหายใจเริ่มคลอไปตามเสียงเปียกแฉะจากสารคัดหลั่งที่เอ่อขึ้นมา ความลื่นคงช่วยสร้างความเสียวซ่าน สิบทิศถึงเอื้อมมือมาขยำบั้นท้ายเขาอย่างสนุกมือ จากนั้นจึงค่อยๆ หย่อนนิ้วเข้ามา

แม้การไม่มีสารหล่อลื่นจะทำให้ฝืดฝืนอยู่บ้าง แต่เพราะเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วตั้งแต่ตอนไปอาบน้ำ นิ้วของสิบทิศจึงย่างกรายเข้าไปไม่ลำบากนัก

สิบทิศหมุนนิ้วกวาดวนอยู่ภายในพร้อมกับใช้มือนั้นกดร่างของฐานทัพลงไปให้แนบชิด ลำกายที่ผงาดขึ้นของทั้งสองคนพลอยเสียดสีกันไปมา ส่วนอีกมือก็โอบศีรษะของเขาลงไปจูบปลุกเร้า กระตุ้นความหวามไหวให้แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์

“อ้า”

เสียงครางของความพึงพอใจเปล่งออกมาเป็นระลอก ทำให้ภายในห้องที่มีเสียงเฉอะแฉะแห่งราคะเพิ่มความเย้ายวนขึ้นมาอีกระดับ

ภายในกายของฐานทัพเริ่มรู้สึกถึงการรุกเร้ามากขึ้นเมื่อจำนวนนิ้วของสิบทิศถูกเพิ่มเข้ามา เขาเกรงกว่าหากปล่อยไว้แบบนี้คงไม่สะดวกพอ จึงต้องผละริมฝีปากที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันยิ่งกว่าร่างกายออกมาเอ่ยถาม

“เจลอยู่ไหน”

ไม่มีคำตอบกลับมาจากคนที่ถูกถาม

สิบทิศพยายามกระถดกายเข้าหาหัวเตียงโดยที่ไม่ยอมผละร่างของฐานทัพออก แต่กลับกอดรัดให้เคลื่อนไปด้วยกัน พร้อมทั้งแนบจูบเข้ากับปากแล้วเริ่มโรมรันอีกรอบราวกับเสียดายที่จะปล่อยเวลาให้เสียเปล่า

กระทั่งไปถึงตำแหน่งที่น่าจะพอดี สิบทิศก็เอื้อมมือเปิดลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วคว้าหาทั้งที่ปากยังคงขยับจูบไม่หยุด มือที่สร้างความคุ้นเคยอยู่ภายในก็ไม่ลดละการเคลื่อนไหว มิหนำซ้ำยังกดย้ำลงมาในจุดที่ทำให้ร่างของฐานทัพสะเทือนเฮือก เปล่งเสียงครางครวญออกมาอย่างรื่นรมย์

ไม่นานสารหล่อลื่นก็ถูกเทลงบนร่องบั้นท้ายอย่างเหลือเฟือ ความชื้นแฉะช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับนิ้วมือที่กำลังเคลื่อนเข้าออกและเพิ่มจำนวนขึ้นอีกครั้ง

ฐานทัพผวาร่างขึ้นหนึ่งครั้ง ก่อนจะรูดมือที่เปลี่ยนมากุมท่อนเนื้อหนั่นของทั้งสองคนเข้าด้วยกันด้วยจังหวะที่เร่งเร้าขึ้น ริมฝีปากก็ดูดดุนไม่หยุดหย่อน ขณะที่ลิ้นเลี้ยวลดกระหวัดรัดกับอีกฝ่ายอย่างหิวโหยเหมือนคนอดอยาก

“อ้า อ๊ะ อ๊า”

น้ำหนักที่เคลื่อนเข้ามากระทุ้งภายในพาให้กายของฐานทัพสั่นเทิ้มไปหมด สะโพกขยับตามจังหวะที่ถูกชักนำไปเรื่อยๆ ขนลุกชันไปทั่วทั้งร่างอย่างเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว

“อ๊า พอ...พอแล้ว”

เขาผลักตัวออกจากสิบทิศ กระชากมือที่กำลังง่วนอยู่กับการปรนเปรอเขาออก

สิบทิศหน้าเหวอไปเล็กน้อยแต่ฐานทัพไม่สนใจ ลุกขึ้นจากเอวซึ่งคร่อมอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นจับแกนแกร่งของอีกฝ่ายที่ฉ่ำเยิ้มและอวบอ้วนได้ที่ขึ้นตั้ง ก่อนจะร่นร่างของตนเองลงครอบทับมันไป

แรงเสียดสีทำให้ฐานทัพต้องเชิดหน้าขึ้น ย่นหัวคิ้ว กัดริมฝีปากเอาไว้ ดวงตาหรี่ปรือลงไปตามธรรมชาติ เปล่งเสียงครางออกมาเมื่อความร้อนสอดแทรกเข้ามาแนบชิดถึงภายใน

สัญญาณชีพที่เต้นตุบๆ ซึ่งสัมผัสได้ทำให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ฐานทัพยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยเพื่อสัมผัสถึงแกนเนื้อร้อนแล้วทิ้งสะโพกลงมาอีกครั้ง

“อ้า เซ็กซี่จริงๆ ให้ตายเหอะ”

สิบทิศคำรามเสียงต่ำในลำคอ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกมาขยำบั้นท้ายของเขาอีกรอบ

พอฐานทัพยกตัวขึ้นอีกแล้วกระแทกกลับลงมาด้วยน้ำหนักและจังหวะที่หนักหน่วงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สะโพกที่แนบอยู่บนที่นอนก็เริ่มสวนกลับมาด้วยความรุนแรงเช่นกัน

“อ๊ะ อ๊า อ้า”

“ดี อ้า ดีมาก ยอดเลยฐาน”

ร่างของทั้งสองตอบรับกันเป็นอย่างดีราวกับกำลังส่งเสริมกันก่อไฟให้ยิ่งลุกลามมากขึ้นไปทุกที

เสียงหอบหายใจ เสียงคราง เสียงผิวเนื้อกระทบกระแทกดังประสานสลับกันไปทั่วทั้งห้อง ก้องกังวานอยู่ในหูทำให้อารมณ์โหมกระพืออย่างไร้ที่สิ้นสุด

ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายปลายทางเท่าไร ทั้งคู่ต่างก็ทวีกำลังเข้าโรมรันกันมากขึ้น

ทว่าสิบทิศคงยังรู้สึกไม่สะใจพอจึงพลิกร่างกลับให้ฐานทัพเป็นฝ่ายลงไปนอนอ้าขากว้าง รองรับการตอกย้ำหนักหน่วงจ้วงแทงลึกเข้ามายิ่งกว่าเดิมราวกับจะขุดรากถอนโคนเหง้าอารมณ์ที่ฝังอยู่ก้นบึ้งออกมาให้ได้

ฐานทัพร้องเสียงกระเส่าดังขึ้นไปอีก เหนื่อยหอบจนแทบหายใจไม่ทันอยู่แล้ว แต่ความรุนแรงที่ซัดกระหน่ำเข้ามากลับทำให้เขาอิ่มเอมและพอใจจนอธิบายไม่ถูก

ร่างทั้งร่างสั่นไหว บิดเร่า สองแขนกอดรัดสิบทิศไว้แน่นดังต้องการรัดให้ปริแตก สองขาพยายามอ้าให้กว้างมากที่สุดพร้อมกับเด้งสะโพกตามแรงกระแทกกระทั้นไปด้วย

“ไม่... ไม่ไหว อ๊า ออกแล้ว... ออก อื้อ”

“พี่ก็เหมือนกัน อ้า ฐาน ฐาน เสร็จแล้ว”

ของเหลวร้อนพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรงเสมือนน้ำพุทะลักขึ้นมาจากบ่อ ขณะที่ภายในก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่โจนทะยานเข้ามาอย่างไม่บันยะบันยัง

ฐานทัพตัวกระตุกอยู่สองสามครั้งเมื่อได้รับแรงกระแทกจากภายใน ตัวสั่นเทิ้มจนความปรารถนาที่คลายออกมาก่อนหน้าสิบทิศเพียงเสี้ยววินาทีสำลักน้ำขึ้นมาอีกรอบ

ภายในบีบรัดสิบทิศอย่างหักห้ามไม่ได้จนกระทั่งรับรู้ได้ถึงรูปร่างของมันซ้ำอีกครั้ง และก็รับรู้ได้เช่นกันว่ามันกำลังเริ่มพองตัวด้วยแรงบีบเค้นของเขาเอง ฐานทัพจึงเริ่มได้สติขึ้นมา

กามารมณ์ที่โถมซัดเข้าใส่เขาราวกับพายุลูกใหญ่จนพลุ่งพล่านนั้นทำให้หลงลืมไปถึงการมีอยู่ของถุงยางอนามัยที่ใช้ไม่เคยขาด มิหนำซ้ำยังเพลิดเพลินไปกับมันจนปล่อยให้อีกฝ่ายปล่อยเข้ามาในตัวอีก

“จบแล้ว”

ฐานทัพขืนตัวแล้วผลักร่างของสิบทิศให้ถอยห่างออกไป เพราะดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระง่ายๆ แต่แรงผลักนั้นกลับทำอะไรไม่ได้เมื่อสิบทิศใช้สองมือคว้าเขาเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัว ทำให้ส่วนที่ยังประสานกันยิ่งเขยิบชิดอย่างแนบแน่น

ผิวชื้นอ่อนนุ่มเสียดสีไปกับเอ็นเนื้ออันแข็งจึงพาให้สะท้านไปทั้งตัว

“อีกรอบ”

“ผมบอกว่ารอบ... อ้า”

ไม่รอเขาพูดจบสิบทิศก็พลิกตัวฐานทัพกลับให้อยู่ในท่าคลานทั้งที่ร่างยังเชื่อมกันอยู่

ทิศทางที่หมุนเปลี่ยนไปทำให้ความเสียวซ่านสะบัดเกลียวแพร่สะพัดไปไกลเกินหยุดยั้ง อีกทั้งสิบทิศยังกระทั้นร่างเข้าใส่อย่างไม่ปรานี

แรงปลุกเร้าที่โถมทวีนั้นพาให้ไฟตัณหาลุกลามแผดเผาความรู้สึกอื่นใดจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีสิ้น เหลือแต่เพียงเสียงครางของฐานทัพที่ดังกังวานเสนาะหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“อ๊า...”

 

 


v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
v



v



เช้าวันรุ่งขึ้นฐานทัพรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว เพราะกว่าความปรารถนาของสิบทิศจะดับมอดก็ตอนที่เขารับลาวาร้อนที่ซัดสาดเข้ามารอบที่สี่ ขณะที่เขาปลดปล่อยออกมารวมเจ็ดรอบได้หากนับตอนที่อยู่ในผับด้วย

ตั้งแต่ใช้ชีวิตโดยมีเซ็กซ์เป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีพมาก็เพิ่งมีครั้งนี้แหละที่เขาถึงสวรรค์รวดเดียวหกครั้งโดยไม่พัก

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา แต่สิบทิศก็มีกำลังวังชามากพอที่จะกำราบความโหยหาเรื่องทางเพศของเขาได้ชะงัด อีกทั้งยังมีแรงเหลือมาดอมดมร่างของเขาหลังเสร็จกิจครั้งสุดท้ายอีกสักพัก ทั้งที่เขาขยับร่างไม่ได้ ลืมตาแทบไม่ขึ้น เหนื่อยหอบจนปางตายแท้ๆ

ฐานทัพลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเซๆ ไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ทว่าเมื่อไรที่ก้าวเท้า สัญลักษณ์ที่สิบทิศทิ้งไว้ในร่างจะไหลลงมาเป็นทางตามขา

ความรู้สึกแปลกๆ แพร่กระจายไปทั่วร่างเนื่องจากประสบการณ์ที่ไม่เคยพบเจอ ทำให้เขาขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก

หลังจากจัดการกับร่างกายของตนเองเรียบร้อย ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าสิบทิศยังคงนอนอยู่บนเตียง ทั้งที่เป็นเวลาสายจนเกือบเที่ยงแล้ว

ฐานทัพรู้สึกว่าโชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดของเขาเช่นกัน ดังนั้นจึงตั้งใจว่าจะกลับอะพาร์ตเมนต์ เพราะจะต้องไปซักเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน

เขามีเสื้อผ้าอย่างจำกัด เนื่องจากไม่ค่อยอยากใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

เป็นเรื่องดีที่ทางบริษัทเป็นฝ่ายจัดหาเนกไทให้เพราะมีสัญลักษณ์ของบริษัท ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองในส่วนนั้น แค่มีเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กที่เนื้อผ้าดีหน่อย กับเข็มขัดที่ไม่ราคาถูกเกินไปก็พอ ส่วนเสื้อสูทมีสองตัวไว้ใส่สลับกันก็ใช้ได้แล้ว เและการหมั่นซักเสื้อผ้าก็ไม่ใช่เรื่องเกินกำลังหรือทำให้เดือดร้อนด้วย เขาจึงใช้ชีวิตอย่างนั้นเรื่อยมา

ฐานทัพเดินเข้าห้องพักของตนเอง มองสำรวจโดยรอบเพราะใจยังคงระแวงอยู่เล็กน้อย แต่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงใดๆ จึงเช็กเสื้อผ้าที่จำเป็นต้องซักก่อนจะหอบตะกร้าผ้าลงไปยังเครื่องซักผ้าชั้นล่าง ระหว่างรอเครื่องซักผ้าทำงาน เขาก็กลับขึ้นห้องมาทำความสะอาดเก็บกวาดให้เรียบร้อย

พอเอาเสื้อผ้าไปตากเสร็จก็เอาแล็ปท็อปออกมาคีย์ข้อมูลลูกค้าในช่วงหลายวันที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ เขาทำรายชื่อลูกค้าเอาไว้ เพราะบางรายสั่งจองล่วงหน้าระยะยาวกว่าจะรับรถ บางคนก็ขอกลับไปคิดดูก่อน การมีรายชื่อไว้เป็นการส่วนตัวจึงทำให้ติดตามลูกค้าได้สะดวก

ฐานทัพไล่ดูความคืบหน้าของการติดตามลูกค้า คนไหนที่เขาคิดว่าถึงเวลาสมควรก็โทรไปติดต่อสอบถาม จนกระทั่งเรียบร้อยเขาก็เปิดหน้าเว็บไปเรื่อยเปื่อย ติดตามข่าวสารบ้าง พอไม่มีอะไรทำแล้วถึงปิดคอมพิวเตอร์ ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นทั้งอย่างนั้นเพราะขี้เกียจจะปีนขึ้นเตียง

สะโพกของเขายังอ่อนล้าอยู่จากการใช้งานอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนนี้ ภายในก็ยังรู้สึกถึงการมีอยู่ของแกนใหญ่โตที่สวนเข้าออกไม่หยุดยั้ง

ฐานทัพยอมรับว่าเขามีความสุขและสนุกกับเซ็กซ์เมื่อคืนไม่น้อย เรียกว่ายิ่งกว่าอิ่มเสียด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นพอนึกถึงสัมผัสที่เคลื่อนไหวเสียดสีคลึงเคล้นเมื่อคืนก็ทำให้เขารู้สึกวูบวาบ

ตำแหน่งที่ถูกกระหน่ำซัดแม้จะบวมอยู่เล็กน้อยแต่มันกลับเต้นตุบๆ ขมิบเป็นจังหวะถี่ๆ ราวกับเรียกร้องหาอะไรบางอย่างมาเติมเต็ม จุดรวมแห่งความปรารถนาด้านหน้าก็ทำท่าจะตื่นจากการหลับใหลขึ้นมาทั้งที่น่าจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปแล้ว

พอรู้สึกตัวเช่นนั้นก็เหมือนความกระสันจะแล่นริ้วไปทั่วร่างขึ้นมาเสียดื้อๆ และดูท่าจะไม่ยอมสงบลงโดยง่ายหากไม่ตอบสนองต่อความต้องการที่โจนทะยานขึ้นมา

ฐานทัพถกกางเกงลง กอบกุมแกนร่างที่ขยายขนาดแล้วปรนเปรอมันด้วยมือ ทว่าเพียงเท่านั้นใช่ว่าจะพอ เพราะว่าด้านหลังของเขามันแสดงออกถึงความต้องการยิ่งกว่า จึงใช้นิ้วจากมืออีกข้างค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปอย่างง่ายดาย ขยับเข้าออกหมุนกวาดภายใน พอโดนจุดที่สร้างความเสียวซ่านและกายผวาก็กดย้ำที่จุดนั้นจนร้องครางเสียงหลง

“อ๊า อ๊ะ อ้า”

เขามอบความสุขให้ตัวเองจนกระทั่งความร้อนที่กักเก็บไว้ถูกระบายออกมา แม้ว่าจะไม่ถึงใจเหมือนเมื่อคืนแต่ก็นับว่าช่วยให้รู้สึกโล่งสบายขึ้น

เมื่อร่างกายปลอดโปร่งสมองเบาสบายเหมือนล่องลอย สติก็ค่อยๆ เลือนรางลงเรื่อยๆ

ฐานทัพหลับไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อนที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืน กว่าจะลืมตาขึ้นอีกครั้งท้องนภาก็เป็นสีเทาแล้ว

เขากะพริบตาปริบๆ กะว่าจะลงไปหาข้าวกินสักจานเป็นมื้อเย็น แต่เมื่อลงไปถึงชั้นล่างกลับเจอใครบางคนเข้า

สิบทิศ...

มาตั้งแต่เมื่อไร

“ลงมาสักทีนะ”

หลังจากเขายืนมองอย่างตะลึงอยู่ชั่วครู่สิบทิศก็สืบเท้าเข้ามาหา ฐานทัพได้สติกลับมาจึงย้อนถามไป

“คุณมาทำไมล่ะเนี่ย”

สิบทิศยิ้มก่อนตอบ

“มารับฐานไง”

“คืนนี้ผมนอนที่นี่ มันอาจจะไม่มีอะไรแล้วก็ได้”

“ไม่ได้หรอก ยังไงก็อันตรายเกินไป คนร้ายเป็นใครไม่รู้ อย่างน้อยก็อยู่จนกว่าเจ้าของอะพาร์ตเมนต์จะกลับมาเถอะ”

พอเขาอ้าปากกำลังจะพูดค้าน สิบทิศก็แทรกขึ้นมาอีก

“ฐานไปนอนที่คอนโดฯ พี่ตั้งหลายวันแล้วก็สะดวกสบายดี ไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไง กินอิ่มนอนหลับมีคนรับส่ง สบายจะตายนี่นา”

“คุณกะจะเอาความสบายพวกนั้นมาซื้อผมหรือไง”

“ถ้าซื้อได้พี่ก็ยินดี”

สิบทิศยิ้มกว้างแล้วคว้ามือของเขาเอาไว้

“ไป ไปหาอะไรกินกันเหอะ พี่หิวแล้ว ฐานก็น่าจะยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหมล่ะ”

ฐานทัพชะงักอยู่ที่เดิม มองหน้าสิบทิศค้าง

สิบทิศก็ไม่ได้ลากฐานทัพให้เดินตามไป เพียงแค่ยิ้มให้เหมือนรอเขายินยอมเดินตามไปแต่โดยดี นั่นทำให้ฐานทัพกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะหากว่าเขายอมก้าวขาก็เท่ากับว่ายอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ

ทว่ายังไม่ทันตัดสินใจว่าควรจะเลือกทางไหนดี เสียงบุคคลที่สามก็ดังขึ้นก่อน

“เอ็งก็ยอมไปง่ายๆ เถอะ เขามารอตั้งแต่บ่ายสามนู่นแล้ว เขารู้ว่าเอ็งอยู่ห้องไหนแต่ไม่มีลูกกุญแจไข ลุงบอกเดี๋ยวลุงเปิดประตูให้ก็ได้ เขาก็บอกว่าอยากรอให้เอ็งลงมา เลยนั่งเสียเวลาเปล่าตั้งหลายชั่วโมง เอ็งก็อย่าทำให้เสียเวลาไปกว่านี้เลย”

ลุงยามทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจเหมือนระอาที่เขาเอาแต่เล่นตัวอยู่ได้ ทำให้ฐานทัพถึงกับตะลึงไปในทันที

ไม่รู้ว่าสี่ห้าชั่วโมงที่ผ่านมานี้ทั้งสองคนผูกมิตรกันอย่างไร พูดคุยอะไรกัน ถึงได้กลายเป็นพวกเดียวกันเสียได้ ทั้งลุงยามยังไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือต่อต้านที่พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ มิหนำซ้ำยังดูเหมือนไม่ชอบใจที่เขาไม่ยอมไปกับสิบทิศแต่โดยดีอีก

“ทำอย่างที่ลุงยามบอกก็ดีนะ”

สิบทิศยังมีหน้ามายิ้มแป้นพูดสนับสนุน พลอยทำให้ฐานทัพรู้สึกเหมือนตนเองหัวเน่า ไม่มีใครเข้าข้างสักคนอย่างช่วยไม่ได้

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อแสดงให้รู้ว่าตนเองไม่ได้เต็มใจสักนิดก่อนจะยอมก้าวขาช้าๆ ส่งผลให้สิบทิศยิ้มกว้างมากกว่าเดิม นอกจากนั้นยังเห็นด้วยว่าอีกฝ่ายขยิบตาให้กับลุงยาม

อย่างกับรวมหัวกันไม่มีผิด

เขานั่งบ่นกับตัวเองในรถระหว่างสิบทิศพาไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ

ในตอนแรกคิดว่าคงจะเป็นร้านอาหารธรรมดาๆ แต่ปรากฏว่าจุดหมายกลับเป็นโรงแรมจึงอดจ้องอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเอาจริงๆ ตลอดชีวิตนี้ของเขาไม่เคยเข้าห้องอาหารโรงแรมเลยสักครั้ง เคยแต่เข้าโรงแรมไปทำอย่างอื่นและเป็นโรงแรมคนละประเภทกันด้วย

ฐานทัพลงจากรถมาด้วยสภาพลอยๆ อยู่สักหน่อย เพราะมันเหนือคาด แต่สิบทิศยังคงยิ้มร่าเหมือนมีเรื่องอะไรสนุกนักหนาก่อนจะเดินตรงมาหาเขาแล้วดึงมือให้เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน

“ดินเนอร์หรูๆ บรรยากาศดีๆ กับพี่สักมื้อนะ”

ครั้นเดินเข้าไปข้างในแล้วฐานทัพก็รู้สึกประดักประเดิด เขาเหลือบมองซ้ายขวาด้วยความรู้สึกแปลกที่จนกระทั่งถูกพาไปยังห้องอาหาร

แสงไฟสลัวน้อยๆ และเสียงดนตรีแจซที่คลอเบาๆ ช่วยสร้างบรรยากาศให้โรแมนติกอย่างปฏิเสธไม่ได้

ฐานทัพถูกนำเข้าไปที่โต๊ะอาหารซึ่งว่างอยู่ มิหนำซ้ำสิบทิศยังดึงเก้าอี้ให้เขานั่งเสียอีก ยิ่งทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนมากกว่าเดิมจนร้อนรนขึ้นมา

เขาเหลือบหันไปมองรอบข้างว่ามีใครกำลังมองมาหรือไม่ ทว่าลูกค้าโต๊ะอื่นต่างก็สนใจแต่คู่ของตัวเองกันทั้งสิ้น ทำให้เขารู้สึกโล่งใจได้นิดหน่อย

ระหว่างที่รู้สึกแปลกที่อยู่นั้นพนักงานก็เข้ามารับออเดอร์แล้ว สิบทิศเป็นฝ่ายจัดการสั่งอาหารให้เขาเรียบร้อย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะหากให้สั่งเอง ฐานทัพก็ไม่แน่ใจว่าตนควรสั่งอะไรดี

หลังจากพนักงานเดินจากไปก็เห็นสิบทิศกลับมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกครั้ง

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”

คำพูดที่อยู่ๆ ก็โพล่งออกมาของอีกฝ่ายสร้างความงุนงงให้เล็กน้อย และเขาคงเผลอแสดงออกทางสีหน้ากระมัง เสียงของสิบทิศจึงดังอีกครั้ง

“ก็เห็นฐานในแบบที่แปลกตาดี คงไม่ชินกับที่แบบนี้สินะ ดูไม่มั่นเหมือนทุกที”

ตาของฐานทัพขึงขึ้นมาทันที ใบหน้าตึงอย่างเห็นได้ชัดจนสิบทิศหัวเราะออกมาเบาๆ จนทำให้รู้สึกหมั่นไส้

“ไม่คุ้นกับที่แบบนี้แล้วมันยังไงเล่า ไม่ใช่เรื่องน่าตลกสักหน่อย”

“พี่ก็ไม่ได้หัวเราะเพราะว่ามันตลกนี่นา แค่รู้สึกว่าน่าเอ็นดู น่ารักดีเท่านั้นเอง”

คำพูดไม่เข้าหู ฐานทัพจึงเมินไป

เขายอมรับอยู่หรอกว่าปกติตนเองเป็นคนมั่นใจ ตัดสินใจอะไรเด็ดขาด และถึงจะตัวเล็ก หน้าเล็ก ตาโตฉ่ำน้ำ แต่ก็ไว้เคราแพะบางๆ แล้วรูปร่างก็ไม่ได้ถึงขนาดอรชรอ่อนแอ้น แค่สมส่วนตามสภาพผู้ชายตัวเล็กเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีตรงไหนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาน่ารักได้

ครั้นอาหารมาเสิร์ฟเขาก็เหลือบมองไปทางสิบทิศเล็กน้อย เจ้าตัวยังคงยิ้มอยู่

เหมือนคนบ้าซะไม่มี

“กินกันเถอะ อ๊ะ หมายถึงกินอาหารนะ แต่ถ้าหมายถึงในอีกความหมายได้ด้วยละก็ เยี่ยมเลย”

“ฝันเถอะครับ ผมไม่นอนกับคุณอีกหรอก”

“มันก็ไม่แน่นะ”

สิบทิศยักไหล่แล้วเริ่มตักอาหารเข้าปาก เขาจึงต้องทำตามบ้าง

ถึงตอนแรกจะรู้สึกเหมือนว่าตนทำหน้าบูดอยู่หน่อยๆ กับคำพูดประโยคสุดท้ายของอีกฝ่าย แต่เมื่ออาหารเข้าปากเขาก็ต้องคลายสีหน้านั้นออก เพราะรสชาติที่ได้ลองลิ้มทำให้รู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก

ดังนั้นผ่านไปไม่นานอาหารที่ดูท่าว่าจะเป็นอาหารฝรั่งเศสจึงค่อยๆ หมดไปทีละจาน จนกระทั่งถึงของหวานปิดท้ายฐานทัพก็รู้สึกอิ่มทั้งท้องและใจจนเผลอผลิยิ้มออกมาเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามผุดยิ้มขึ้นมาด้วย

“อารมณ์ดีแบบนี้แสดงว่าพี่เลือกถูกแล้วสินะ”

“ก็คงอย่างนั้นมั้งครับ”

ฐานทัพตอบแบบส่งๆ ไม่ได้ยืนยันชัดเจนว่าถูกต้อง แต่ในใจก็รู้สึกดีนิดหน่อยกับอาหารมื้อนี้

...เฉพาะกับอาหารล่ะนะ

แต่สิบทิศอาจจะมีข้อดีนิดหน่อยตรงที่เป็นคนเลี้ยงก็ได้

เขายิ้มกับความคิดของตนเองพลางขึ้นรถของอีกฝ่ายที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทางคือคอนโดมิเนียมของสิบทิศ

เมื่อไปถึงห้อง ประตูถูกปิดลงแล้วไฟข้างในเปิดขึ้น เขาก็ถูกกอดจากด้านหลังในทันที

“อะไรของคุณเนี่ย”

ฐานทัพพยายามดิ้นหนีออกจากวงแขนแกร่งที่รัดร่างของเขาไว้ราวกับเป็นงูยักษ์ เสมือนต้องการให้จมมิดลงไปในอกเสียให้ได้ แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จอีกเช่นเคยจึงได้แต่ส่งเสียงหงุดหงิดบอกให้รู้ว่าไม่พอใจ

“สัญญาก่อน”

“สัญญาอะไร”

เพราะออกจากอ้อมกอดที่แน่นหนาไปไม่ได้ ฐานทัพเลยพลิกตัวหันไปประจันหน้ากับอีกฝ่ายแทน

“ว่าฐานจะนอนบนเตียงเป็นหมอนข้างของพี่ไปจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าของอะพาร์ตเมนต์กลับมา”

หากนับจำนวนวันที่เหลือก็อีกหลายวันทีเดียว แต่ถึงกระนั้น...ถ้าแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ดีต่อตัวเองได้ก็น่าคิดดู

“ถ้านอนเฉยๆ โดยที่คุณไม่ทำอะไรประหลาดๆ ไม่ล้วงคลำอะไรไม่เข้าท่า แล้วก็ไม่ใช้กำลังล่วงเกินผมละก็จะยอมรับปากก็ได้”

“จริงนะ”

ใบหน้าของสิบทิศเบิกบานขึ้นมาทันควัน จนเหมือนเกิดภาพหลอนว่ามันเปล่งประกายขึ้นมาได้

“ผมต้องถามคุณต่างหากว่าทำได้หรือเปล่า”

“ทำได้สิ ทำได้”

สิบทิศรีบตอบรัวเร็วเหมือนกลัวใครจะแย่งพูดก่อนชะโงกลงมาจูบแก้มของเขา แถมด้วยสูดดมแรงๆ ดัง ‘ฟอด’ ไปอีกหนึ่งที

“ได้แค่นี้ก็ถือว่าพัฒนาแล้ว”

“ผมบอกแล้วไงว่าห้ามทำอะไรล่วงเกิน”

“ถือว่านี่เป็นเกี่ยวก้อยสัญญาแล้วกัน”

ทั้งที่คิดว่าคำว่า ‘เกี่ยวก้อย’ นั่นหมายถึงเรื่องที่หอมแก้มเมื่อครู่ แต่เปล่าเลย เพราะสิบทิศก้มลงมาอีกครั้งแล้วทาบปากลงมาดูดริมฝีปากเขาแรงๆ อย่างรวดเร็วจนฐานทัพที่ตั้งตัวไม่ทันถลึงตาโตใส่ ทว่าสิบทิศกลับยิ้มแป้นแล้นใส่เหมือนคนบ้า เขาจึงเขย่งตัวแล้วพูดกระซิบ

“ถือว่าเป็นการเกี่ยวก้อยก็ได้”

จากนั้นก็ประกบปากเข้ากับริมฝีปากของสิบทิศ แต่ว่า...กัดแรงๆ ไปหนึ่งทีจนเจ้าตัวร้องโอดโอยปล่อยเขาออกจากวงแขน

สมน้ำหน้า!

 


---------------
เห็นมีคนถามว่าทำไมฐานปิดกั้นตัวเองจัง
ฐานมีปมเรื่องพ่อแม่ตั้งแต่เด็กค่ะ ก็เลยไม่เชื่อในความรัก และไม่คิดว่าจะมีใครรักตัวเอง เพราะพ่อแม่แท้ๆ ยังไม่รัก





ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥





















5th Lie

มาหา...ผมหน่อย

 

เมื่อถึงวันที่เจ้าของตึกกลับมาจากต่างจังหวัด ฐานทัพก็รีบมาดำเนินการตามที่คิดไว้ในทันที

เขาขอดูกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจสอบดูว่าใครกันแน่ที่เข้ามาในห้อง แต่ไม่รู้ว่าควรถือเป็นโชคร้ายหรือระบบรักษาความปลอดภัยของอะพาร์ตเมนต์ต่ำกันแน่ ภาพที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดถึงไม่ได้ช่วยให้ข้อมูลอะไรเลย

ที่ทางเดินในแต่ละชั้นมีกล้องวงจรปิดติดอยู่สองตัวเท่านั้น คือสุดปลายทางเดินในแต่ละฝั่ง ทำให้แทบมองไม่ออกเลยว่าคนที่กำลังเข้าออกอยู่นั้นอยู่ที่หน้าห้องไหนกันแน่ นอกเสียจากว่าเป็นห้องที่อยู่ใกล้กล้องวงจรปิดจริงๆ แต่ห้องของฐานทัพอยู่ถัดจากบันไดกลางเพียงสามห้อง หลักฐานที่ใช้มัดตัวคนร้ายได้จึงตกไปโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นเขาจึงแจ้งความจำนงว่าอยากให้เปลี่ยนลูกบิดประตูห้องใหม่ เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคนร้ายที่อยู่ในเงามืดจะไม่สามารถเข้าไปในห้องของเขาได้ ซึ่งก็ถือว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่เจ้าของอะพาร์ตเมนต์บอกว่าจะให้ช่างเข้ามาเปลี่ยนในวันพรุ่งนี้

ฐานทัพรู้สึกสบายใจขึ้น หายใจได้ทั่วท้อง เขาเฝ้ารอเวลาที่จะได้เปลี่ยนกุญแจห้องใหม่เพราะจะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติเสียที ไม่ต้องคอยไปเป็นหมอนข้างให้สิบทิศจนรู้สึกว่าในอกมีอะไรวูบๆ อยู่ทุกคืนเช่นนี้

เมื่อขึ้นไปถึงห้อง เขาไม่ลืมมองสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติหรือผู้บุกรุกหลบซ่อนอยู่ แต่หลังจากก้าวเข้าไปไม่นาน ยังไม่ทันจะได้ทำกิจธุระใดๆ ตามสมควรนับตั้งแต่มาเอาเสื้อผ้าเมื่อสองวันก่อน โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน

ฐานทัพสะดุ้งเล็กน้อยที่เสียงสัญญาณดังขึ้น หัวใจเต้นระรัวขณะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เพราะบรรยากาศมันพาให้เกิดอาการวิตกจริตว่าอาจจะเป็นคนคนนั้นก็ได้ที่โทรเข้ามา

แต่เมื่อเหลือบตามองตัวหนังสือบนหน้าจอแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะเป็นคนที่แม้ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าคุ้นเคยกันระดับหนึ่งแล้ว

“มีอะไรครับ”

[พี่จะโทรมาถามว่าได้คุยกับเจ้าของตึกหรือยัง]

วันนี้สิบทิศติดธุระต้องไปรับรองลูกค้าจากต่างประเทศจึงไม่สามารถไปรับเขาที่โชว์รูมและมาส่งได้ ฐานทัพจึงเดินกลับมาที่อะพาร์ตเมนต์เอง

แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติที่เคยทำมาตลอดสองปี ทว่าในเวลานี้เขากลับรู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องไม่คุ้นเคยไปเสียแล้ว

“คุยแล้ว ภาพในกล้องมันไกลเกิน มองไม่เห็นเลยว่าใครเป็นใคร แต่ผมบอกให้เขาเปลี่ยนกุญแจประตูใหม่แล้ว ช่างจะมาเปลี่ยนให้พรุ่งนี้”

[ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวอีกสักสองชั่วโมงพี่ไปรับนะ]

“ไม่ต้องหรอก คุณทำงานของคุณไปเถอะ คืนนี้ผมจะนอนที่นี่”

[แต่ว่า...]

“เท่านี้นะครับ ถ้าโทรมาอีกผมไม่รับนะ”

เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายหาข้ออ้างอะไรมาพูดอีก ฐานทัพจึงรีบตัดสายโดยไว เมื่อหน้าจอโทรศัพท์กลับเข้าสู่หน้าจอหลักอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

แม้ว่าสถานการณ์ระหว่างตนกับสิบทิศจะดีขึ้นแล้ว ทว่าเวลาคุยกับอีกฝ่ายฐานทัพก็ยังรู้สึกว่าต้องใช้พลังงานมากอยู่ดี แต่ในแง่ที่ตรงข้ามกับเมื่อก่อน

ไม่รู้ว่าเป็นผลพวงจากการเป็นหมอนข้างหรือเปล่า

ทุกคืนสิบทิศจะนอนกอดเขาเอาไว้ ลมหายใจเป่ารดริมหู บางทีก็จูบที่หลังหัวเบาๆ เอามือมากุมมือเขาแล้วสอดนิ้วประสานกันไว้ ทำให้เขาจมเข้าไปในอ้อมกอดที่คาดไม่ถึงมาก่อนว่าจะอ่อนละมุน

เหมือนถูกปกป้อง เหมือนถูกทะนุถนอม

จนเขารู้สึกสบายและปลอดภัยขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ

หลังจากนั้นไม่เกินหนึ่งชั่วโมง เสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ฐานทัพที่เข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำเสร็จแล้วออกมาด้วยความคิดที่ว่าสิบทิศคงส่งข้อความอะไรสักอย่างมากระมัง ทว่าหลังจากเปิดแอปพลิเคชันสนทนาขึ้นมันกลับกลายเป็นภาพวิดีโอจากคนที่ไม่รู้จัก

เพราะไม่ได้เป็นเพื่อนกับคนคนนี้ ฐานทัพจึงลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าควรเปิดคลิปวิดีโอที่ถูกส่งมาดีหรือไม่ ด้วยเกรงว่ามันอาจจะนำหายนะมาสู่โทรศัพท์ของตนก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ลองเปิดดูด้วยใจที่เต้นคร่อมจังหวะไปเล็กน้อย

แต่หลังจากคลิปวิดีโอถูกเปิดไปได้เพียงวินาทีเดียว หัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้น

ภาพที่ปรากฏบนจอโทรศัพท์ไม่ใช่ใครอื่น เป็นตัวของเขาเอง

ตัวของเขา...ตอนกำลังช่วยตัวเองเมื่อไม่กี่วันก่อน

แม้ภาพจะไม่ถึงขนาดชัดมากนัก แต่ก็ดูรู้ว่าเป็นเขาอย่างแน่นอน

ฐานทัพตัวชาเย็นเยียบจนมือเท้าแข็งไปหมด โทรศัพท์ที่เคยถือเอาไว้หล่นลงบนตักอย่างง่ายดาย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรกันแน่กว่าสติจะกลับคืนสู่ร่างอีกครั้ง ฐานทัพหยิบต้นตอบนตักวางลงบนที่นอนอย่างเร็วไวแล้วตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ไม่ห่างกัน

มุมกล้องมาจากทางนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาลองรื้อของที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดดูจึงเห็นว่ามีกล้องขนาดจิ๋วถูกติดซ่อนเอาไว้

อารมณ์เดือดดาลก่อตัวขึ้นมาโดยพลันจนอยากกระถืบเจ้ากล้องจิ๋วนั้นให้พังๆ ไปเสีย แต่ก่อนจะทำอะไรไปตามอารมณ์เขาก็นึกขึ้นได้ว่าสมควรเก็บเอาไว้เป็นหลักฐานจึงจับมันใส่ถุงผ้าขนาดเล็กที่แถมมาตอนซื้อสินค้า จากนั้นก็เดินสำรวจไปทั่วทุกมุมห้องเพื่อค้นหาว่ายังมีกล้องตัวอื่นติดอยู่อีกหรือไม่

และมันก็ยังมีสามตัวติดเอาไว้จริงๆ

ไม่รู้ว่ามันถูกติดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร และเขาถูกสังเกตการณ์ไปถึงขนาดไหนบ้าง

ฐานทัพพยายามนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่านอกจากเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอนั้นก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่สมควรเก็บเป็นความลับหรือน่าอับอายก็รู้สึกเบาใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกขอบคุณสิบทิศขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะฝ่ายนั้นพยายามลากเขาไปอยู่ที่คอนโดฯ ด้วยเสียให้ได้ ช่วงนี้เขาจึงไม่ค่อยได้อยู่ที่ห้องนัก

ถ้าเขามีเวลาอยู่ที่ห้องตัวเองมากกว่านี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีภาพอะไรอย่างอื่นถูกบันทึกไว้อีกหรือเปล่า

เมื่อกล้องตัวเล็กถูกยัดใส่ถุงผ้าไปทั้งหมดแล้วฐานทัพก็รู้สึกโล่งใจได้เปลาะหนึ่ง เขาทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรงราวกับออกกำลังกายอย่างหนักมา ทั้งที่ห้องของตนไม่ได้ใหญ่โตพอที่จะทำให้เหนื่อยได้ขนาดนั้น คงเป็นเพราะเหนื่อยใจเสียมากกว่าถึงรู้สึกว่าพละกำลังถูกสูบหายไปจนเกลี้ยง

อนุมานได้เลยว่าคนที่ส่งคลิปนี้มาเป็นไอ้โรคจิตที่ขโมยกางเกงใน

ความหวาดกลัวที่เคยมีมาเหือดหายไปแล้วเมื่อตนถูกคุกคามด้วยวิธีนี้ ถึงกระนั้นอีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าคนที่อยู่ในเงามืดนั่นจะเอาภาพของเขาไปทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่ แล้วพอคิดเช่นนั้นความหวาดกลัวก็ย้อนถอยกลับมาอีกครั้ง

ฐานทัพรู้สึกห่อเหี่ยวจิตตกขึ้นมาครามครัน เขานั่งคู้เข่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอที่เปิดค้างไว้ สองจิตสองใจว่าควรทำการเจรจากับอีกฝ่ายดีหรือไม่ อย่างน้อยก็ให้เขาได้ข้อมูลมาบ้างว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ แต่ก็เกรงว่าหากทำเช่นนั้นแล้วฝ่ายนั้นจะไหวตัวทันหนีไปตั้งหลักเพื่อโจมตีเขาใหม่เสียก่อน

เมื่อตัดสินใจไม่ได้สุดท้ายฐานทัพก็ทิ้งตัวลงนอน ปล่อยโทรศัพท์ไว้ข้างตัวแล้วปิดเปลือกตาลง ก่อนที่เปลือกตาจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเปิดไม่ขึ้นเพราะความเหนื่อยอ่อนทางใจและเวลาเริ่มดึกแล้วเขาก็ลุกขึ้นไปปิดไฟและกลับมาทิ้งตัวลงอีกครั้ง

เพียงไม่นานฐานทัพก็จมดิ่งลงไปในนิทรา ทว่าเขาก็ต้องรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะมีอะไรอุ่นๆ หยดรดลงบนหน้า

วินาทีแรกที่รู้สึกตัวแต่ยังไม่ลืมตาเขาเผลอคิดไปว่าหลังคารั่วหรือ แต่มันย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพราะที่นี่เป็นอะพาร์ตเมนต์ อีกทั้งเขาก็ไม่ได้อาศัยอยู่ชั้นบนสุดด้วย

ครั้นลืมตาขึ้นมองสิ่งที่ฐานทัพเห็นก็มีเพียงสีดำแห่งความมืด แต่บรรยากาศที่สัมผัสได้กลับไม่ใช่ความเงียบยามค่ำคืนตามปกติ เขารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างเหนือร่างของตน และมันก็ทำให้รู้สึกพรั่นพรึงสั่นสะท้านไปทั้งกาย

“ตื่นแล้วเหรอ พอดีเลย”

คำตอบที่ชัดเจนดังขึ้นมาจากโครงร่างที่ค่อยๆ แยกออกจากความมืดเมื่อสายตาคุ้นชิน

ฐานทัพเบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก พยายามจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับไม่สามารถทำได้อย่างใจ มือและเท้าทั้งสองข้างถูกอะไรบางอย่างมัดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

สภาพของเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากหนอนที่ทำได้เพียงกระเด้งร่างไปมา ไม่สามารถขัดขืนได้

“อย่าพยายามเลยคนดี”

เงามืดนั้นพูดกลั้วหัวเราะ ลูบนิ้วมือไปตามใบหน้าของเขาทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“มาต่อกันเถอะ”

เมื่อสิ้นคำพูดนั้นสิ่งที่สัมผัสหน้าของเขาก็ไม่ใช่นิ้วมืออีกต่อไป มันเป็นท่อนร้อนๆ หนืดเหนียวที่จินตนาการได้ไม่ยากว่าคืออะไร

เจ้าท่อนนั้นถูกร่างด้านบนบังคับให้ลูบไล้ไปทั่วผืนหน้าของเขาจนเหนอะหนะ กลิ่นคาวของกามารมณ์ฟุ้งจนฉุนจมูก

ฐานทัพรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แต่เมื่ออ้าปากทำท่าจะอาเจียนออกมาโพรงปากก็ถูกเจ้าสิ่งนั้นยัดเข้ามาแทนที่จนแน่นคับปาก เขาอยากคายมันออกแต่ก็ทำไม่ได้ อยากจะกัดเพื่อให้ผู้เป็นเจ้าของชักมันกลับไปก็ถูกรู้ทันและบีบคางเอาไว้

ปากที่ถูกบังคับให้อ้าออกอยู่อย่างนั้นดูเหมือนจะเข้าทางของอีกฝ่ายและเป็นที่ถูกใจ เงาดำนั้นหัวเราะอย่างพึงพอใจด้วยเสียงน่ารังเกียจและขยับโยกร่างเพื่อเคลื่อนแท่งเหนอะนั้นเข้าออกในปากของเขาอย่างรุนแรง กระแทกเข้ามาจนมันทิ่มตำคอ

ความเจ็บปวดจากการถูกกระแทกทำให้ฐานทัพน้ำตาคลอ ไอโขลกจนตัวงอแต่ก็ถูกอีกฝ่ายตรึงร่างเอาไว้ แม้จะสำลักไอด้วยความสะอิดสะเอียนสักกี่ครั้งก็ยังไม่ได้รับความเห็นใจ แขนที่ถูกมัดไพล่หลังทั้งสองข้างเจ็บไปหมด ขาที่ถูกมัดรวบกับต้นขาตึงปวด

เสียงครางหอบดังขึ้นท่ามกลางความมืด แท่งนั้นยังคงแทงลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและค่อยๆ มันปลาบอาบเยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมันเคลื่อนไหวเร็วมากขึ้นเท่าไร ด้านในลำคอของฐานทัพก็ยิ่งถูกกระทุ้งแรงมากขึ้น

น้ำตารินไหลออกมาจากดวงตากลมโตจนอาบไปทั้งแก้ม

ความทรมานที่เพิ่งเคยพ้องพานทำให้ฐานทัพพยายามตะเกียกตะกายดิ้นรนเพื่อหลีกหนี แต่ร่างและปากก็ยังถูกบีบบังคับให้ต้องยอมรับความป่าเถื่อนโหดร้าย แท่งแห่งกามารมณ์ยังคงทะลวงเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ปรานีแม้แต่กระผีก กระทั่งอีกฝ่ายดูเหมือนจะสุขสมจนถึงที่สุดแล้วคราบคาวระลอกใหญ่ถึงได้พวยพุ่งออกมา

มวลน้ำคาวพุ่งเข้าลำคอของฐานทัพไปก้อนใหญ่ อีกส่วนหนึ่งทะลักล้นออกมาภายนอกปาก ทว่าเท่านั้นคงยังไม่สาแก่ใจคนในเงามืด เพราะยังชักลำแท่งที่ฝืนบังคับให้ล่องเข้าออกในปากของเขาออกมา สะเด็ดน้ำหนืดนั้นลงบนใบหน้าของเขาจนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะไปทั่ว

ครั้นจะเบี่ยงหน้าหนีก็ถูกบีบกรามบังคับเอาไว้ จะคายสิ่งที่เอ่อท่วมอยู่ในปากออกไปก็ไม่สามารถทำได้

“วิเศษ วิเศษมาก!”

ถ้อยคำที่ใช้คล้ายกับว่ากำลังชื่นชม แต่สำหรับคนฟังอย่างฐานทัพกลับรู้สึกว่ามันน่ารังเกียจอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะเมื่อกอปรกับเสียงที่เปล่งออกมาด้วยความลำพองก็ทำให้รู้สึกเดียดฉันท์มากขึ้นไปอีก

เขาพยายามเพ่งจ้องมองใบหน้าของคนร้ายที่ถูกซ่อนอยู่ แต่ถึงพยายามสักเท่าไรก็มองไม่เห็นสักนิด แม้แต่โครงหน้าก็มองไม่ออกว่าเป็นลักษณะแบบไหนกันแน่ กลมหรือรี

ทว่าฉับพลันนั้นร่างของฐานทัพก็ต้องสะดุ้งขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว น้ำร้อนโสโครกที่ยังเอ่ออยู่ในปากไหลลงลำคอไปอึกหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจเมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกระทบบั้นท้าย

เขากำลังถูกคุกคาม...

จะข่มขืนหรือ

ถึงจะเป็นคำน่าหัวเราะสำหรับคนที่มีเซ็กซ์แบบที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่เลือกหน้า แต่สถานการณ์ในตอนนี้ฐานทัพรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

เขาพยายามดีดดิ้นเท่าที่จะพยายามได้ ส่งเสียง “อือๆ” เพื่อปฏิเสธจนเกือบสำลักน้ำในปาก

คราวนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นใจเขาอยู่หน่อยๆ กระมังถึงได้ส่งเสียงตอบกลับมาเป็นคำที่อย่างน้อยก็น่าฟังที่สุดในเวลานี้ แม้มือสกปรกจะกำลังลูบคลำและแหย่นิ้วเข้าไปทางประตูหลังของเขาผ่านเนื้อผ้ายืดขณะพูดไปด้วยก็ตาม

“ไม่ต้องดีใจขนาดนั้น ตรงนี้น่ะ เอาไว้คราวหน้าเราค่อยมาเล่นกันนะ”

ปิดท้ายด้วยลมหายใจร้อนมากระทบหน้า ลิ้นชื้นๆ ตวัดแหย่เข้ามาเลียในรูหูทำให้ยิ่งรู้สึกขนลุกซู่ด้วยความรังเกียจสุดประมาณ

จากนั้นมือของเขาก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ทำให้ร่างท่อนบนสามารถเคลื่อนไหวอย่างใจได้สักที ฐานทัพจึงรีบบ้วนน้ำคาวทิ้งในทันที เสียงทุ้มห้าวโพล่งก้องด้วยความเกรี้ยวกราดแม้จะมีรสปะแล่มแทรกมาจนทำให้รู้สึกอยากอาเจียนจริงๆ

“แกเป็นใคร”

“ไว้เจอกันอีกนะเด็กดี”

หลังสิ้นประโยคนั้นเสียงประตูห้องก็ดังขึ้น แสงสว่างจากทางเดินภายนอกส่องเข้ามา ฐานทัพคิดจะฉวยโอกาสนั้นมองใบหน้าของคนที่ทำการอุกอาจเช่นนี้ ทว่าสิ่งที่เขาเห็นมีเพียงร่างด้านหลังในเสี้ยววินาทีเท่านั้น

ประตูห้องปิดลงไปแล้ว ครั้นจะติดตามไปก็ไม่สามารถทำได้เพราะขาของเขายังถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้จะพยายามเอื้อมมือไปเพื่อคลายปมเชือกออก แต่มันก็ยากเกินที่จะทำสำเร็จ มือเขาแตะมันไม่ถึงจึงต้องคิดหาวิธีใหม่ เปลี่ยนเป็นพยายามขดตัวให้ชิดอกมากที่สุดถึงสามารถแตะปมเชือกได้

ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีได้กระมัง ความพยายามของฐานทัพก็สิ้นสุดลง นิ้วมือเขาสั่นอย่างอ่อนแรงเหมือนกับไม่ใช่มือตนเองไม่รู้ด้วยสาเหตุใด ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีแรงจิกดึงเชือกให้หลุดออกได้

เสียงหายใจหอบดังสะท้อนในห้องมืดมิดหลังความพยายามอันยาวนานไร้ผล เขาไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยตัวไปไหนได้

ความสิ้นหวังมาเยือนมากขึ้นเรื่อยๆ ความขมขื่นค่อยๆ เอ่อขึ้นมาในลำคอจนขมปร่า กลบกลิ่นคลื่นเหียนที่ถูกบังคับให้ต้องรองรับและเผลอดื่มเข้าไปจนหมดสิ้น แล้วไม่รู้เพราะเหตุใดในเวลานั้นเขาถึงนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา

...สิบทิศ

ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะช่วยเขาในเวลานี้ได้คือคนคนนี้

และนอกจากความหวัง มันยังมีความโหยหาซึมออกมาทีละน้อยด้วย

แม้ว่าจะพยายามตัดความรู้สึกที่เอ่อขึ้นมาเรื่อยๆ ออกไป มันก็ยังไม่หยุดผุดเสียที ราวกับว่าพออุดตรงนั้นก็เกิดรอยรั่วขึ้นอีกที่

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายามนี้เขาคิดถึงสิบทิศขึ้นมาจับหัวใจ

ในเมื่อความพยายามอีกครั้งหนึ่งของตนไม่สำเร็จ ฐานทัพก็ต้องตัดใจอีกครั้ง เขาใช้สองแขนยันที่นอนออกแรงดันเพื่อคืบคลานไปยังจุดหมายที่คาดเอาไว้ ก่อนจะล้มพังพาบบนที่นอนอย่างอ่อนแรง จากนั้นคลำมือลงไปควานหาโทรศัพท์ กดโทรออกหาคนเพียงคนเดียวที่ปรากฏอยู่ในห้วงความคิด

[เกิดอะไรขึ้นเหรอฐาน]

เสียงของปลายสายดังมาอย่างงุนงงระคนตระหนกเล็กน้อย คงเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาโทรไป มิหนำซ้ำยังเป็นยามวิกาล ทว่าได้ยินเพียงเท่านั้นฐานทัพกลับรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ตรงคอจนเขาพูดไม่ออก ขอบตาร้อนขึ้นมาชอบกล

เขาพยายามดันก้อนอะไรสักอย่างที่อุดอยู่ตรงลำคอลงไป แล้วเค้นเสียงออกมาแหบพร่า

“มาหา...ผมหน่อย”

[ฐานเป็นอะไรหรือเปล่า]

เมื่อได้ยินเสียงของเขา สิบทิศก็ออกอาการตื่นตระหนกมากกว่าเดิม พลอยทำให้ฐานทัพยิ่งพูดไม่ออกมากขึ้น

เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายสถานการณ์นี้ว่าอย่างไร

“มา...หน่อย”

ฐานทัพตอบได้เพียงเท่านั้นก็วางสายไป เพราะก้อนก้อนนั้นมันทำท่าจะหลุดออกมา

เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าสุดท้ายแล้วมันหลุดออกมาเป็นเสียงแบบไหน แต่ว่าเขาได้คำตอบแล้ว

มันคือ...ก้อนสะอื้นและน้ำตา

เสียงสะอึกสะเอื้อนดังออกมาทดแทนเสียงน่ารังเกียจและความเงียบก่อนหน้านี้

น้ำอุ่นๆ ปริ่มขึ้นบนขอบตาก่อนจะไหลลงมาช้าๆ

เขาไม่รู้ว่าสิบทิศจะมาหาเขาจริงหรือเปล่าหลังจากเขาพูดไปเพียงเท่านั้น แต่ก็ขอเดิมพัน

หากสิบทิศมา เขาจะยอมเชื่อคำว่า ‘รัก’ ที่อีกฝ่ายพูดมาสักหน่อยก็ได้

คล้ายกับว่าคนที่ตนรอคอยจะรู้ถึงการเดิมพันในใจ หลังจากนั้นไม่นานเสียงเรียกชื่อฐานทัพก็ดังขึ้นพร้อมด้วยประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง

ไฟในห้องสว่างวาบอย่างฉับพลันภายในเสี้ยววินาทีนั้น และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปทางต้นเสียงก็เห็นสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีดของสิบทิศ

ร่างสูงโปร่งนั้นถลาเข้ามาหาเขาอย่างเร็วรี่ ปากสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างร้อนรน ดูสีหน้าก็รู้ว่าเต็มไปด้วยความห่วงกังวลและร้อนอกร้อนใจ

สิบทิศมองเชือกที่มัดขาเขาเอาไว้สลับกับห้องน้ำที่อยู่ห่างออกไปหลายก้าวเหมือนชั่งใจว่าควรจะทำอะไรก่อนเป็นอย่างแรก แต่สุดท้ายก็แกะเชือกที่ขาของเขาก่อน

ไม่รู้ทำไมแต่เห็นเท่านั้นแล้วใจที่เหมือนถูกคลุมด้วยเมฆสีทะมึนมาตลอดช่วงเวลาแห่งการรอคอยก็มลายหายไป ความขมขื่นที่เอ่อปริ่มเลือนสลายไปหมดจนดูเหมือนเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นภาพลวงตา ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

สิบทิศเอาผ้าขนหนูชุบน้ำที่เปียกเกินคำว่าหมาดมาเช็ดหน้าให้เขา ระหว่างทำความสะอาดก็มองด้วยสีหน้าเจ็บปวดไปด้วย เสียงทุ้มข่มอารมณ์ปั่นป่วนไปด้วยโทสะและห่วงหา

“ใครทำแบบนี้”

ฐานทัพส่ายศีรษะเบาๆ เป็นคำตอบ รับรู้ได้ถึงสัมผัสเย็นๆ ที่ลูบบนใบหน้าที่แรงเป็นพิเศษ คาดเดาได้เลยว่าคราบสกปรกที่เลอะเทอะอยู่เต็มผืนหน้าทำให้สิบทิศอยากขจัดมันออกไปให้หมดจดที่สุด

“มันบุกเข้ามา...ตอนหลับ”

ได้ยินเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ชะงักไปเล็กน้อย

เดาได้ว่าเจ้าตัวคงอยากตะคอกต่อว่าเขาที่ประมาท ชวนให้ไปนอนค้างที่คอนโดฯ ด้วยแล้วแท้ๆ เขาก็ไม่ยอมเชื่อฟัง แต่ก็พยายามระงับคำตำหนิด่าทอเอาไว้เพราะไม่อยากซ้ำเติม เขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง

“อยากบ้วนปาก”

เมื่อประโยคนี้รวมเข้ากับสภาพของเขาก็เหมือนจะเป็นการบอกกลายๆ ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง

สิบทิศชะงักไปอีกครั้ง มองใบหน้าของเขาอย่างนิ่งงันเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะพูดด้วยเสียงข่มอารมณ์อย่างชัดเจน มือที่ถือผ้าขนหนูค้างอยู่กำแน่น

“ไม่ได้ พี่จะพาฐานไปตรวจร่างกายก่อน”

หลังจากสิ้นคำนั้นสิบทิศก็ลุกขึ้นจากเตียง ดึงมือเขาเพื่อให้ออกไปจากห้องด้วยกัน

ฐานทัพรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน แล้วชี้ไปโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งมีถุงผ้าวางอยู่

“มันติดกล้องเอาไว้ในห้อง”

เหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจในทันทีว่าภายในถุงนั้นมีหลักฐานชิ้นสำคัญจึงรีบคว้ามันไว้อย่างรวดเร็ว และคว้าเชือกที่ใช้พันธนาการเขาไปด้วย

จากนั้นประคองเขาขึ้นรถไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจร่างกายทั้งในลำคอที่ถูกกระทุ้งรุนแรงจนอักเสบ แผลถูกมัดที่แขนและขา รวมทั้งเก็บตัวอย่างของเหลวในปาก ใบหู และบนเสื้อผ้าเขาไว้ด้วยเพื่อเป็นหลักฐานส่งให้ตำรวจอีกครั้ง เมื่อเขาบอกว่ารู้สึกเหมือนมือขาอ่อนแรงก็ถูกเจาะเลือดไปตรวจเพิ่ม

หลังเสร็จจากโรงพยาบาลก็เข้าสู่ขั้นตอนแจ้งความ เขาถูกสอบปากคำนับชั่วโมง และพาตำรวจไปตรวจสอบกับเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุเพิ่มเติม กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดก็เกือบจะเข้าสู่ตีสี่แล้ว

สิบทิศพาเขาไปยังคอนโดมิเนียมเพื่อที่จะได้พักผ่อนสักทีหลังจากตรากตรำมาตลอดทั้งคืน แต่ถึงแม้เขาจะล้างปากบ้วนปากซ้ำอยู่หลายครั้งตอนอยู่โรงพยาบาล เมื่อมาถึงคอนโดฯ ก็ยังรู้สึกพะอืดพะอมอยู่จึงเข้าไปอาบน้ำและแปรงฟันเพิ่มอีกครึ่งชั่วโมง

ทั้งที่ใช่ว่าไม่เคยทำออรัลมาก่อนในชีวิต แต่เพิ่งมีครั้งนี้ที่เขารู้สึกรังเกียจจากใจ และเข้าใจได้ว่าการถูกฝืนบังคับมันแตกต่างจากการยินยอมมากแค่ไหน ดังนั้นสภาพในตอนนี้จึงดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร อ่อนระโหยโรยแรงทั้งกายและใจ

หลังออกจากห้องน้ำก็มีรอยยิ้มของสิบทิศรอคอยอยู่ เหมือนกับว่าเจ้าตัวอยากจะให้กำลังใจเขาที่กำลังอยู่ในช่วงหดหู่ เมื่อเห็นเขาเดินออกมาเหมือนคนไร้แรงก็ตรงเข้ามากอดเอาไว้ ลูบแผ่นหลังเบาๆ คล้ายกำลังปลอบประโลม น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างหู

“เดี๋ยวนอนพักซะนะ ตื่นมาจะได้สดชื่น”

ฐานทัพไม่ได้ดันทุรังใช้พลังงานที่เหลือน้อยในการผลักไสอีกฝ่ายออก ขณะเดียวกันกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกจึงพยักหน้าเบาๆ ตอบรับข้อเสนอนั้นแต่โดยดี

สิบทิศค่อยๆ จูงมือพาเขายังไปเตียงอย่างไม่รีบร้อน พอเขาหย่อนร่างลงเตียงได้ก็ไปปิดไฟแล้วขึ้นมานอนกอดอีกครั้ง

เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับอ้อมกอดนั้นแต่กลับรู้สึกสบายใจขึ้นมา ดวงตาค่อยๆ ปรือลงทีละน้อย หูได้ยินถ้อยคำสุดท้ายจากเสียงที่ราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล

“ฝันดีนะครับ พี่นอนกอดอยู่อย่างนี้ฐานสบายใจได้”

 

 

กว่าจะลืมตาอีกครั้งภายในห้องก็สว่างโร่โดยไม่ใช่แสงจากหลอดไฟแล้ว เมื่อกะพริบตาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับสภาพการณ์ปัจจุบันแล้วเอี้ยวตัวไปเล็กน้อยก็เห็นว่าใกล้ๆ ตัวนั้นมีใครคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ

ฐานทัพดันตัวขึ้น มองหานาฬิกาเป็นสิ่งต่อมา ทว่าแรงขยับบนเตียงคงทำให้ใครอีกคนรู้สึกตัวจึงหันมายิ้มให้และทักทายด้วยประโยคแรกของวัน

“ตื่นแล้วเหรอ หลับสบายดีไหม”

เขาไม่มีคำตอบอื่นนอกเหนือจากคำว่า ‘สบาย’ จึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้แทน

“กี่โมงแล้ว”

“บ่ายโมงแล้วล่ะ”

พอได้ยินคำตอบฐานทัพก็เบิกตาโพลงทันควัน รู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันทีเพราะเขาขาดงานโดยไม่ได้แจ้ง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทัน สิบทิศยิ้มน้อยๆ แล้วบอกออกมา

“พี่ไปบอกคนที่โชว์รูมแล้วล่ะว่าฐานไม่สบาย จะลาสักสองวัน”

“ขอบคุณ”

ไม่มีสิ่งอื่นที่ฐานทัพจะตอบได้นอกจากคำนี้เช่นกัน ซึ่งก็ได้รับคำตอบมาเป็นรอยยิ้มของสิบทิศเหมือนเคย แต่แล้วภาพนั้นก็ทำให้ฐานทัพนึกอะไรขึ้นได้อีกอย่าง

“แล้วคุณ...”

ไม่ต้องถามจบประโยคสิบทิศก็ยื่นคำตอบให้อย่างรวดเร็ว

“พี่ห่วงฐานน่ะ ไปทำงานก็ไม่สบายใจแล้วจะทำงานเสียเปล่าๆ”

ถึงเขาจะไม่เคยถามเลยสักครั้งว่าอีกฝ่ายทำงานอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่างานไหนๆ หากใจไม่พร้อมก็ส่งผลเสียได้ทั้งนั้น

แม้เข้าใจเหตุและผลนั้นเป็นอย่างดี และรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นต้นเหตุทำให้อีกฝ่ายต้องเสียงาน แต่เขาก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ที่ได้รับความห่วงใยถึงขนาดนี้

“แล้วก็เจ้าของอะพาร์ตเมนต์ของฐานโทรมาด้วย บอกว่าจะมาเปลี่ยนลูกบิดประตู แต่พี่บอกเขาไปว่าฐานจะย้ายออกจากที่นั่นเพราะถูกทำร้ายเมื่อคืน แล้วพี่ก็ไปขนของจากห้องฐานมาหมดแล้วล่ะ ตำรวจก็ไปขอบันทึกจากกล้องวงจรปิดแล้วด้วย”

ฐานทัพตกใจจนเบิกตาโพลงโตที่อีกฝ่ายตัดสินใจเอาเองโดยไม่บอกสักคำ ถึงเรื่องเมื่อคืนจะเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต แต่เขาก็ยังไม่ทันได้คิดว่าจะย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์แต่อย่างใด

“ยังไงพี่ก็จะให้ฐานย้ายออกจากที่นั่น ถึงเปลี่ยนลูกบิดประตูแล้วจะปลอดภัยกว่าเดิม แต่ระบบรักษาความปลอดภัยก็ต่ำเกินไปอยู่ดี พี่ไม่ไว้ใจ”

สิบทิศยื่นคำขาดด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง สายตาแน่วแน่ส่อเจตนาว่าเขาห้ามคัดค้านเด็ดขาด ฐานทัพจึงได้แต่ก้มหน้าครุ่นคิดว่าจะเอาอย่างไรดี แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมรับความหวังดีจากอีกฝ่าย

“ว่าแต่เจ๊เจ้าของตึกติดต่อคุณได้ยังไง ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มาด้วยนี่”

ฐานทัพทิ้งโทรศัพท์ไว้ในห้องของตนเองตั้งแต่เมื่อคืนโดยไม่ได้เอามาเป็นหลักฐานส่งให้ตำรวจ เพราะจำเป็นต้องใช้มันติดต่อเรื่องงาน และก็คิดอยู่ว่าการให้ตำรวจดูคลิปหลักฐานว่าเขาถูกแอบถ่ายในห้องของตัวเองมันน่าอับอายเกินไป หากไม่จำเป็นก็ไม่อยากจะใช้หลักฐานชิ้นนี้ แม้มันอาจจะตามรอยจากไอดีผู้ส่งได้ก็ตาม

“โทรเข้าโทรศัพท์พี่น่ะ พี่ทิ้งเบอร์ไว้ให้ลุงยามติดต่อเผื่อกรณีฉุกเฉินไง จำไม่ได้เหรอ”

เมื่อถูกถามอย่างนั้นฐานทัพก็ร้องอ๋อในใจ พลางคิดว่าข้าวของในห้องที่ไม่ได้มากมายของตนคงกองอยู่ในห้องนั่งเล่นของสิบทิศกระมัง

“ถ้าอย่างนั้นไว้ผมหาที่พักใหม่ได้แล้วจะรีบขนของย้ายออกไปนะครับ ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน”

“ไม่เลยๆ ฐานไม่ต้องหาที่พักใหม่หรอก อยู่กับพี่ที่นี่แหละ”

ชายร่างสูงเขยิบตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้ประจันหน้ากันได้ยิ่งขึ้น ราวกับต้องการแสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของตนเองให้เขาเห็น ฐานทัพจึงรีบบอก

“ผมไม่อยากรบกวน”

“ไม่ได้รบกวนเลยสักนิด มีแต่จะทำให้พี่ดีใจซะมากกว่า พี่อยากให้ฐานมาอยู่ด้วยกันนะ ได้ไหม”

ท้ายประโยคน้ำเสียงเต็มไปด้วยความออดอ้อนเหมือนให้เขาเห็นใจและยอมรับปากแต่โดยดี

ฐานทัพก้มหน้าตรึกตรองกับตนเองอีกครั้ง

ดีแล้วแน่หรือที่เขาจะอยู่ที่นี่กับสิบทิศ

แต่เขาก็เดิมพันไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าจะยอมเชื่อคำคำนั้นดู

เป็นตัวเลือกที่เลือกได้ยากเหลือเกิน และคงเกิดความเงียบเนิ่นนานเกินไปกระมัง มือของเขาจึงถูกสิบทิศดึงไปกุมเอาไว้เบาๆ ทำให้จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย สบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก

“นะ อยู่กับพี่นะครับ พี่อยากแน่ใจว่าฐานจะปลอดภัย อย่าให้พี่ต้องกังวลใจเพราะคอยแต่เป็นห่วงฐานเลยนะ”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่คำพูดเชิงนี้ของสิบทิศมีอิทธิพลต่อเขา

ถึงจะคิดว่าไม่ควร อย่าดีกว่า แต่หลังจากได้ยินถ้อยคำนั้นความคิดที่ว่าเหล่านั้นก็มีแต่เหลวลงเรื่อยๆ เหมือนขี้ผึ้งถูกไฟลน

สุดท้ายเขาเลยได้แต่พยักหน้าไปเบาๆ เท่านั้น

 

 


v



v



ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
v



v

หลังจากนั้นตลอดช่วงสองสัปดาห์มีการติดต่อมาจากตำรวจบ้าง

บนหลักฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องขนาดจิ๋ว เชือก หรือลูกบิดประตู ล้วนแล้วแต่ไม่พบรอยนิ้วมือของคนร้ายทั้งสิ้น อย่างมากก็มีเพียงรอยนิ้วมือของเขากับสิบทิศเท่านั้น แม้แต่ของเหลวที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ ก็ทำให้รู้ได้เพียงดีเอ็นเอของคนร้ายเท่านั้น แต่ไม่มีผู้ต้องสงสัยที่จะสามารถนำดีเอ็นเอมาตรวจเทียบได้

แม้สอบปากคำคนในหอพักก็ไม่มีใครพบเห็นสิ่งปกติในคืนนั้น มิหนำซ้ำลุงยามที่น่าจะเป็นคนเห็นตัวคนร้ายก็ดันหลับยามเสียอีก กว่าจะตื่นก็ตอนที่สิบทิศมาเขย่าตัวเร่งเร้าให้เปิดประตู ไม่มีผลอะไรคืบหน้า ดังนั้นคดีนี้จึงยังค้างคาอยู่

“คุณ ผมยืมกรรไกรหน่อย”

หลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ฐานทัพก็ออกมาที่ห้องนั่งเล่น บอกสิบทิศที่กำลังดูข่าวในโทรทัศน์อยู่

ตอนนี้เขาเริ่มเคยชินกับการอยู่อาศัยร่วมกับสิบทิศขึ้นมาก เพราะหากจะให้นับจริงๆ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ‘กางเกงในหาย’ เขาก็มานอนที่นี่เกือบหนึ่งเดือนแล้ว

เขากลายเป็นหมอนข้างของอีกฝ่ายโดยถาวรไปแล้ว แต่สิบทิศก็คอยเอาใจใส่รับส่งเขาไปทำงานตลอด ช่วงวันหยุดก็ชวนออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง ไปหาของกินอร่อยๆ ดูหนัง ประหนึ่งทำกับคนรัก แม้เขาพยายามไม่คิดในแง่นั้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่สิ่งเหล่านั้นทำให้รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ

ความอึดอัดคลางแคลงใจต่อสิบทิศลดน้อยถอยลงทุกวัน

จากที่เคยพยายามตั้งป้อมปราการป้องกันอีกฝ่ายไว้ มันก็เริ่มทรุดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้แทบจะไม่เหลือรูปทรงอยู่แล้ว

“อยู่ตรงชั้นวางโทรทัศน์นี่แหละ ฐานหยิบได้เลย”

หลังได้รับคำตอบฐานทัพก็ตรงไปหยิบของที่ตนต้องการ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน

เขายืนหน้ากระจกบานสูงที่ติดอยู่บนผนัง เชยคางขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ เล็มเคราแพะที่เริ่มยาวขึ้นมากแล้วทีละนิดอย่างระมัดระวัง แต่เพียงครู่เดียวคนที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ก็เดินเข้ามาให้เห็นผ่านทางเงาสะท้อนทางกระจก ฐานทัพจึงชะงักมือ

“เล็มเคราเหรอ”

เพียงชั่วครู่เดียวสิบทิศก็มาประชิดอยู่ข้างตัวแล้ว

“อืม”

“ไม่โกนเอาล่ะ”

“หนวดผมขึ้นช้า ถ้าโกนออกหมดกว่าจะขึ้นให้เห็นชัดๆ ก็เกือบครึ่งเดือน ผมไม่ชอบหน้าเกลี้ยงๆ”

“ทำไมล่ะ”

คงเพราะประโยคท้ายของเขาดูเหมือนแฝงไว้ด้วยความไม่สบอารมณ์กระมัง สิบทิศถึงสงสัยขึ้นมา

ฐานทัพมองเห็นทางกระจกว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมาที่ตนเองไม่ละสายตามากแค่ไหนจึงหลบสายตานั้นไป เพราะลำบากใจนิดหน่อยที่จะพูดออกมา เนื่องจากมันนับเป็นจุดอ่อนของเขาก็ว่าได้

“ผมไม่อยากโดนล้อ”

“โดนล้อเรื่อง?”

ดูเหมือนคำตอบนั้นจะทำให้สิบทิศติดใจสงสัยมากกว่าเดิมเลยชะโงกหน้ามาใกล้มากขึ้น

ฐานทัพต้องยกมือขึ้นมายันเอาไว้เสียเองเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากกว่านี้ แต่คงเพราะออกแรงมากเกินไปกระมัง เสียงร้อง “โอ๊ยๆ” ครวญครางจึงดังมาให้ได้ยิน

“เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แต่แรงเยอะจริงๆ นะ”

สิบทิศขยับตัวออกห่าง เอามือจับคางของตนเองบิดไปมา ทำราวกับว่ามันบิดเบี้ยวผิดรูปทรงไปจึงต้องจัดให้เข้ารูปเหมือนเดิมจนฐานทัพพ่นลมหายใจออกมาอย่างระอา

“แล้วสรุปว่าเพราะอะไร”

แต่พอถูกรุกถามด้วยคำถามเดิม ฐานทัพก็เบี่ยงหน้าหนีอีก ก่อนจะแสร้งทำเป็นโวยกลับ

“เรื่องของผมไม่เห็นต้องตอบคุณเลย”

“แน่ใจนะว่าจะไม่ตอบ”

“.....”

ฐานทัพยังคงเมินเฉย ไม่ไยดีต่อคำถามกึ่งท้าทายนั้น แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะทั้งตัวถูกรวบเอาไว้ในอ้อมกอดของสิบทิศโดยไม่ทันตั้งตัว

“เฮ้ย คุณ ปล่อย เดี๋ยวก็โดนกรรไกรแทงเอาหรอก”

เขาร้องเนื่องจากยังถือกรรไกรอยู่ในมือ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจแม้แต่น้อย กลับกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก มิหนำซ้ำยังวางคางบนหัวเขา ราวกับจะเน้นย้ำว่าเขาตัวเล็กกว่าแค่ไหน

“บอกสิครับ”

ไม่เพียงแค่พูดตอแยให้เขาต้องง้างปากออกมา แต่ฐานทัพถูกสิบทิศรุกจูบแก้มแรงๆ สลับกับประโยคว่า ‘บอกสิ’ ซ้ำกันเกินกว่าห้าครั้ง

แม้ฐานทัพจะพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนนั้นพลางยื่นมือที่ถือกรรไกรให้ออกห่าง ด้วยกลัวว่าจะพลั้งแทงร่างอีกฝ่ายจนกลายเป็นฆาตกรโดยไม่เจตนาไป แต่สุดท้ายก็ยังไม่พ้นจากกรงขังที่ชื่อว่าสิบทิศอยู่ดี

ครั้นจะเล่นท่าไม้ตายด้วยการกระทืบเท้าอีกฝ่ายให้เจ็บจนต้องปล่อยแขน ก็ดูเหมือนสิบทิศจะรู้ทันจึงยกตัวเขาลอยขึ้นเหนือพื้น

“ก็ได้ๆ พอแล้ว ปล่อยก่อน”

เมื่อดูท่าว่าหากไม่ยินยอมแต่โดยดีคงโดนงูยักษ์รัดไว้แบบนี้อีกนานแน่ๆ ฐานทัพจึงอ่อนใจยอมเปิดปากพูด

“คือ...เวลาโกนเคราออกแล้วหน้าผมดูเด็ก ก็เลยถูกแซวบ่อยๆ ผมถึงไม่ชอบโกน”

“โธ่ เรื่องแค่นี้เอง ไม่ดีเหรอคนชมว่าหน้าเด็กน่ะ”

สิบทิศคลายวงแขนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงประคองร่างของฐานทัพไว้อยู่ดี แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าถูกรัดเอาไว้แน่น ฐานทัพจึงไม่ได้หยิบหัวข้อนั้นมาค้าน

“มันทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือ แถมผมต้องทำงานขายด้วย ถ้าลูกค้าเห็นหน้าแล้วอยากเปลี่ยนเซลส์คนอื่นมาแทนผมก็แย่สิ”

เสียงครางอย่างเข้าใจดังเบาๆ มาจากสิบทิศก่อนเจ้าตัวจะคลี่ยิ้มตาหยีให้ และเอ่ยออกมาโดยที่รอยยิ้มนั้นไม่จางไป

“งั้นพี่ช่วยเล็มให้นะ”

“แค่นี้ผมทำเองได้น่า จะช่วยทำไม”

“ก็พี่อยากช่วยน่ะ”

ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากกว่านั้น สิบทิศใช้มือข้างหนึ่งมาดึงกรรไกรจากมือเขาออก จากนั้นก็อาศัยแรงที่มากกว่าพาเขาไปยังเตียงโดยที่เจ้าตัวนั่งลงก่อน ตามด้วยดึงเขาให้นั่งคร่อมลงบนตัก

“ทำไมต้องนั่งท่านี้ด้วย”

ฐานทัพทำหน้าหน่าย หรี่ตามองใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้มจางๆ ของอีกฝ่าย ไม่ได้ลุกออกไปจากตำแหน่งนั้นในทันที

“ก็แบบนี้มองเห็นชัดกว่าไง อยู่นิ่งๆ ล่ะ”

หลังจากบอกเช่นนั้นสิบทิศก็แหงนหน้าขึ้นแล้วค่อยๆ ใช้กรรไกรเล็มเคราบางๆ ของฐานทัพให้อย่างระมัดระวัง

ฐานทัพมองใบหน้าที่กำลังจดจ่ออยู่กับการกระทำนั้นโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเลยสักนิด จับจ้องดวงตาที่เพ่งอยู่แต่ที่ปลายคางของเขา และรับรู้ถึงสัมผัสของปลายคมที่เลาะเล็มเส้นขนเล็กๆ ของเขาอย่างตั้งใจอกตั้งใจ

ทั้งที่มือของสิบทิศออกจะใหญ่โต แต่กลับขยับอย่างแผ่วเบาตรงข้ามกัน

สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตนทำให้ฐานทัพรู้สึกเหมือนภายในอกมีบ่อน้ำผุดขึ้นมา และน้ำในบ่อก็กำลังเอ่อขึ้นเรื่อยๆ

มุมปากของเขาเพียรแต่จะกระตุกขึ้นจนต้องพยายามยับยั้งอยู่หลายครั้ง เพราะหากเขาไม่ฝืนบังคับมัน สิบทิศต้องเห็นอย่างแน่นอน

“เรียบร้อยแล้วล่ะ หล่อแล้วครับ”

สิบทิศยิ้มตาหยีให้พลางเอื้อมตัวไปวางกรรไกรที่โต๊ะหัวเตียง ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยฐานทัพให้เป็นอิสระจากตักของตน เพราะแขนอีกข้างหนึ่งยังโอบรอบเอวเอาไว้ ฐานทัพจึงต้องประท้วง

“เสร็จแล้วก็ปล่อยสิครับ”

“.....”

ไร้คำตอบเป็นเสียงจากคนถูกสั่ง

สิบทิศเพียงยิ้มก่อนจะชะโงกหน้าขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็แตะริมฝีปากลงบนปากเขาเบาๆ จนฐานทัพเบิกตาโพลง เนื่องจากตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยทำรุ่มร่ามอย่างอื่นกับเขานอกเสียจากนอนกอดและจูบเบาๆ ที่หลังศีรษะหรือต้นคอเป็นบางครั้ง

และคงเพราะเขาพูดอะไรต่อจากนั้นไม่ออก จึงเป็นสิบทิศที่พูดประโยคที่คาดไม่ถึงออกมา

“พี่ขอกอดได้ไหม”

ไม่ต้องขยายความเพิ่มว่า ‘กอด’ ในที่นี้หมายถึงอะไร เพราะมันชัดเจนด้วยแววตาที่กำลังจ้องมองมา เปิดเผยอย่างหมดเปลือกว่าเจ้าของคำพูดกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์แบบใด

ฐานทัพชะงักค้างไปครู่ใหญ่ๆ ทว่าไม่ได้ครุ่นคิดถึงคำตอบใดๆ แต่กลับเป็นความรู้สึกมึนงงจนหูอื้ออึงที่เข้ามาจู่โจม

ภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้นกว่าปกติทั้งที่เขาก็มองเห็นชัดอยู่แล้ว ราวกับจะเน้นให้เห็นว่าสิบทิศกำลังรอคอยคำตอบเขาด้วยความรู้สึกแบบไหน ซึ่งนั่นก็ทำให้อะไรบางอย่างในใจของเขาหวิวไหว

รวมทั้งร่างกายรู้สึกวูบวาบ...

อาจเพราะว่าเขาไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์มาพักใหญ่แล้วก็ได้

ฐานทัพให้ข้ออ้างกับตนเองแบบนั้น แต่ฉับพลันเดียวกันก็ไพล่คิดไปถึงสัมผัสสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนร่าง

คนสุดท้ายที่เขามีอะไรด้วยก็คือสิบทิศ

เมื่อคิดเช่นนั้น ร่างกายและแม้กระทั่งความรู้สึกก็โหยหาไออุ่นเหล่านั้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

อยากถูกโอบกอด

อยากถูกสัมผัส

ความรู้สึกเหล่านั้นต่างโหมโจมตีเข้าใส่ราวกับพายุจนแทบจะตัวสั่น ประหนึ่งคนติดยาเสพติดที่ใกล้จะลงแดงอยู่รอมร่อ ลำคอและริมฝีปากแห้งผากเหมือนกับจะป่นเป็นผง

มันกำลังผลักดันให้ฐานทัพตอบออกมาตามที่ใจและกายปรารถนาอย่างที่สุดในเวลานี้ ลืมสติยั้งคิดทั้งหมดมวลไปเสีย ครอบงำให้เขาไม่สามารถตอบประโยคอื่นได้

“อืม”

ฐานทัพครางในลำคอแต่ก็ดังพอให้สิบทิศได้ยินเต็มสองหู โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้รับสัมผัสจากคนคนนี้อีกหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น

 









ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 6th Lie [17/3/62]
«ตอบ #16 เมื่อ17-03-2019 20:08:11 »



6th Lie
ปกติคุณก็น่าจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไม่ใช่หรือไง

 

วันแห่งการทำงานยังดำเนินไปตามปกติ จะมีที่ผิดไปจากทุกวันก็คือวันนี้ลูกค้าของเขาเป็นคนคุ้นหน้าอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมเตียงของเขา

ฐานทัพระงับสีหน้าประหลาดใจเอาไว้ไม่ทัน เพราะทันทีที่จะปรับเปลี่ยนโฉมหน้าเป็นพนักงานขายก็ถูกทักขึ้นด้วยเสียงเริงร่าและสีหน้ายิ้มแย้มเสียก่อน

“สวัสดีครับฐาน”

“สวัสดีครับกวี”

“ไม่ยักรู้ว่าฐานทำงานอยู่ที่นี่”

ไม่ทันที่เขาจะสร้างคำถามให้ตนเองในใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงมาปรากฏตัวในสถานที่ทำงานของเขา กวีก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน

ใบหน้าของชายหนุ่มไม่ปรากฏการเสแสร้งใดๆ แม้แต่นิด ทั้งยังดูประหลาดใจอยู่สักหน่อยด้วยซ้ำที่ได้พบกันอย่างไม่คาดฝัน

“นั่นสิครับ”

ฐานทัพตอบได้เพียงกลางๆ เพราะคิดว่าคงเป็นเหตุบังเอิญจริงๆ

อีกฝ่ายอาจจะทำงานหรือไม่ก็บ้านอยู่แถวนี้ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่ก็ใช่ว่าเขาจะชอบที่มีคนรู้จักที่ทำงานของเขา

“ว่าแต่กวีมาดูรถเหรอครับ สนใจรุ่นไหนครับ เดี๋ยวผมจะได้แนะนำให้”

“ดีเลยครับ มีคนรู้จักคอยแนะนำแบบนี้ค่อยสบายขึ้นหน่อย”

กวีแย้มรอยยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะเขยิบตัวเข้ามาหาอีกนิดและกระซิบลงข้างหูฐานทัพ

“จริงๆ ผมเป็นประเภทที่ไม่ค่อยถูกกับการพูดคุยกับคนแปลกหน้าน่ะ”

คำชี้แจงนั้นทำให้ฐานทัพพอจะเข้าใจได้ และเริ่มเห็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่พบกับกวีครั้งแรกกับครั้งที่สองเจ้าตัวถึงได้ดูแตกต่างกันนัก มันสนับสนุนสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากพอทีเดียว

ดังนั้นฐานทัพจึงพากวีดูรถรุ่นที่อีกฝ่ายสนใจพร้อมกับแนะนำรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถได้อย่างเป็นกันเองผิดจากลูกค้าคนอื่นๆ ที่ค่อนข้างจะเป็นทางการมากกว่านี้

กระทั่งกวีรับโบรชัวร์ไปพร้อมกับบอกว่าไว้เดี๋ยวจะลองคิดดูอีกที เจ้าตัวก็เอ่ยขึ้นอีกประโยค

“ฐานเลิกงานกี่โมงครับ ไหนๆ ก็บังเอิญได้เจอกันทั้งทีแล้ว กินข้าวมื้อเย็นด้วยกันสักหน่อยดีไหมครับ”

ฐานทัพชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าจะตอบรับอีกฝ่ายดีหรือไม่

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากสานสัมพันธ์กับคนที่เคยร่วมเตียงให้ยุ่งยาก แต่ดูจากสีหน้า ท่าทาง และคำพูดของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่ได้แสดงถึงความต้องการจะเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตเขามากเกินไปกว่านี้ ออกจะเหมือนการหยิบยื่นมิตรภาพให้โดยไม่มีอะไรแอบแฝง เป็นมารยาททางสังคมอย่างหนึ่งเท่านั้น

ที่สำคัญ...หากตัดรอนไปเขาอาจจะเสียลูกค้าก็ได้

“อีกชั่วโมงครับ”

เมื่อไตร่ตรองมาดีแล้วฐานทัพก็ยินยอมตอบไปตามตรง กวีจึงเอ่ยว่าจะรออยู่ด้านนอก แล้วหาร้านอาหารใกล้ๆ นี้ร่วมมื้อเย็นกัน จากนั้นก็ลับร่างไปด้านนอกโชว์รูม

จนเมื่อถึงเวลาเลิกงาน ชายร่างสูงที่ไม่ใช่คนเดียวกับทุกวันก็มายืนรอเขาอยู่ด้านหน้าประตูกระจกบานใหญ่

ฐานทัพรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เพราะเสียงเตือนโทรศัพท์ดังขึ้นและพอหยิบมันขึ้นมาดูข้อความที่ถูกส่งมาก็เข้าใจได้

สิบทิศบอกว่าจะมาช้าสักหน่อย ให้เขารออยู่ที่นี่ก่อน

แต่ไม่ได้บอกว่าจะมาช้าแค่ไหน คงไม่เป็นไรกระมังหากเขาจะไปรับน้ำใจตามมารยาทจากกวีก่อน

“ผมเห็นร้านตรงนู้นน่าสนใจดี เราไปร้านนั้นกันดีไหม”

หลังจากเดินมาประจันหน้ากัน กวีก็เสนอพร้อมชี้นิ้วไปยังจุดหมาย เป็นร้านอาหารที่อยู่ถัดจากโชว์รูมไปแค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น

“ได้ครับ”

ฐานทัพไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาแต่อย่างใดจึงตอบรับไปอย่างยินดี จากนั้นทั้งคู่ก็ออกเดินไปยังร้านนั้น

กวียังไม่มีรถยนต์ส่วนตัวจึงคิดได้ว่าที่มาดูรถคงเพราะต้องการซื้อจริงๆ ไม่ใช่ต้องการทราบข้อมูลใหม่ๆ หรือเบื่อคันเก่าแล้ว

ในเมื่อลักษณะของลูกค้าเข้าทางเช่นนี้ ฐานทัพจึงยิ่งอยากจะใช้ทักษะการขายของตนเองมากขึ้นไปอีก

ดังนั้นการแสดงไมตรีจิตต่ออีกฝ่าย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องดี

ด้วยเหตุใดนั้นฐานทัพจึงมีสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา ทั้งตอนพูดคุยเรื่อยเปื่อยระหว่างมาที่ร้าน และคุยกันต่อเนื่องหลังจากเข้ามาในร้านและสั่งอาหารแล้ว

“ว่าแต่ดูเหมือนฐานจะไม่ได้ไปที่ผับเลยนะ หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นเจอฐานอีกเลย”

มือที่กำลังตักอาหารเข้าปากของฐานทัพหยุดชะงักไป เขาเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างระแวงสงสัยเล็กน้อย แต่กวีก็ยักไหล่พูดต่อ

“อย่าทำท่าแบบนั้นสิ ผมถูกใจฐานก็จริง แต่ฐานไม่โอเคกับเรื่องคบหากันอย่างจริงจังผมก็ไม่คิดตอแยอยู่แล้ว ก็แค่ถามดูเฉยๆ เพราะเห็นพี่ๆ เคยพูดไว้ว่าฐานเป็นลูกค้าประจำ”

หลังจากได้รับคำอธิบาย ฐานทัพก็คลายท่าทีลง เอาช้อนเข้าปากเคี้ยวอยู่สักพักถึงตอบกลับไป

“พอดีว่ามีเรื่องอะไรหลายอย่างน่ะ ผมเลยไม่ค่อยสะดวกไปเท่าไร”

“อ๋อ มิน่าล่ะ”

“แต่พูดแบบนี้แสดงว่ากวีไปบ่อยใช่ไหม แล้วได้เจอคนที่เข้าตาบ้างหรือยัง”

เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายตั้งคำถามลงลึกถึงเรื่องที่ทำให้เขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมาเท่าไรนัก ฐานทัพจึงเบนทิศไปหาเรื่องอื่นอย่างแยบยล ซึ่งอีกฝ่ายก็ครางเสียงออกมาแล้วพูดพลางยิ้ม

“ก็มีบ้าง”

“ท่าทางอย่างนี้ผมว่าน่าจะเจอแบบตรงใจแล้วนะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

กวีหัวเราะเล็กน้อยเมื่อโดนพูดเหมือนถูกแซว พลอยให้ฐานทัพระบายยิ้มออกมานิดๆ ไปด้วย

“แต่ไว้ฐานไปที่ผับบ้างก็ดีนะ เผื่อจะได้ดื่มด้วยกัน”

“คงไม่ได้หรอก”

ไม่ทันที่ฐานทัพจะได้พูดตอบอะไรไป เสียงเข้มห้วนก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง แม้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร ทว่าฐานทัพไม่ฝืนสัญชาตญาณในการหันกลับไป

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

สิบทิศยืนอยู่ตรงหน้า...หน้าขมึงทึงเหมือนกับจะกินหัวใครสักคนแถวๆ นี้

“ขอโทษด้วยที่ต้องเสียมารยาท”

ทั้งที่พูดคำว่า ‘ขอโทษที่ต้องเสียมารยาท’ ออกมาเต็มปากเต็มคำแท้ๆ แต่น้ำเสียงและบรรยากาศกลับไม่มีความสำนึกผิดแม้แต่เศษเสี้ยว กลับจ้องเขม็งไปยังกวีเหมือนเอาเรื่องเสียด้วยซ้ำจนฐานทัพต้องมุ่นคิ้วใส่เพื่อเตือน แต่คล้ายกับว่าสิบทิศจะมองไม่เห็น

“ตอนแรกผมก็คิดว่าฐานคุยกับลูกค้าอยู่หรือเปล่า แต่บังเอิญได้ยินเรื่องที่คุยเลยคิดว่าคงไม่ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นคงไม่ผิดอะไรที่ผมจะเข้ามาแทรก ใช่ไหมครับ”

ประโยคคำถามเหมือนต้องการให้คนฟังตอบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยคำข่มขู่ประมาณหนึ่งว่า ‘ห้ามปฏิเสธ’ ทว่ากวีก็ไม่ได้สะท้านหวั่นไหวต่อการกดดันจากสิบทิศ เขาสวนคำถามกลับไปบ้าง

“แล้วไม่ทราบว่าคุณมีสิทธิ์อะไรถึงได้มากำหนดว่าฐานจะไปไหนได้หรือไม่ได้ล่ะ”

“สิทธิ์ของแฟนไง”

สิบทิศตอบกลับไปง่ายๆ แต่ทำให้สองคนที่เหลือตาถลน

ฐานทัพและกวีต่างมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนมีคำถามส่งออกมาจากสายตาของกวีว่า ‘จริงหรือ’ แต่ฐานทัพไม่ตอบ กลับจับจ้องใบหน้าด้านข้างของสิบทิศดั่งกำลังเรียกให้อีกฝ่ายหันมา แต่เพราะเจ้าตัวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงต้องใช้มือดึงแขนให้รู้สึกตัว

ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแทนที่สิบทิศจะเปลี่ยนคำพูดหรือหันกลับมามองบ้างว่าเขากำลังส่งสายตาแบบไหนไปให้ กลับดึงแขนตัวเองออกแล้วยื่นมือมาดึงแขนของเขาให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แทน

แรงดึงนั้นมากพอจะทำให้ร่างของฐานทัพลอยขึ้นจากเก้าอี้ตามที่หวัง

“ขอตัวก่อน”

ไม่อธิบายอะไรมากความไปมากกว่านั้นสิบทิศก็ออกแรงมากขึ้นแล้วดึงฐานทัพเดินออกไปจากร้าน

“ทำอะไรของคุณน่ะ ทำไมพูดแบบนั้น”

ใบหน้าบึ้งตึงของสิบทิศทำให้ฐานทัพไม่คิดจะพูดอะไร จนกลับถึงคอนโดฯ ถึงพูดออกมาประโยคแรก

“ฐานก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับฐาน ดูก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าหมอนั่นสนใจฐานน่ะ”

สิบทิศทิ้งกุญแจรถลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์

“เขาไม่ได้สนใจผมสักหน่อย ก็แค่พูดคุยกันตามประสาคนรู้จัก แล้วเขาก็จะมาเป็นลูกค้าของผมด้วย เกิดเขาไม่พอใจแล้วเปลี่ยนไปเข้าโชว์รูมอื่น ผมก็เสียลูกค้ากันพอดีสิ”

ฐานทัพพูดด้วยเหตุผล แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าหูของคนฟังเท่าไร

สิบทิศยังไม่คลายหัวคิ้วลง ทว่ากลับดึงมือเขาไปจูบเสียดื้อๆ ถึงกระนั้นก็ทอดคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย

“พี่ขี้หวงแล้วก็ขี้หึงมาก”

“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยนะคุณน่ะ โตแต่ตัวเปล่าๆ”

ไม่รู้ว่าเพราะการแสดงออกเช่นนั้นของคนตรงหน้าหรือเปล่าถึงทำให้ฐานทัพรู้สึกใจสั่นหวิว

เขาเค้นเสียงออกมาพลางเบือนหน้าหนี พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งที่สุด แต่แม้กระทั่งตัวเองยังจับแววสั่นไหวได้จึงต้องดึงมือออกแล้วแสร้งหักเลี้ยวเปลี่ยนหัวเรื่อง

“ผมจะไปอาบน้ำแล้ว”

จากนั้นก็ก้าวฉับๆ ตรงไปห้องนอนที่เขามาพักอาศัยอยู่สองเดือนครึ่งแล้วนับจากวันนั้นที่เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวถึงห้องอย่างใจก็ถูกรวบกอดเอาไว้จากด้านหลัง

“พี่ก็อยากอาบเหมือนกัน”

ได้ยินถ้อยคำกระซิบเสียงพร่าชวนสยิวริมหู เหมือนอารมณ์ไม่พอใจก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก

ตัวของฐานทัพแข็งค้างไปชั่วครู่ เขาขบปากอยู่สักพักเพื่อขับเค้นความแข็งกระด้างออกมาให้ได้มากที่สุด

“งั้นผมให้คุณอาบก่อนก็ได้”

“แต่พี่อยากอาบน้ำกับฐานนี่นา”

เสียงทุ้มแผ่วๆ ยังคลอเคลียอยู่ข้างหูให้ขนลุกเกรียวไปหมด

ฐานทัพฝืนหันหน้าไปทางด้านหลัง อ้าปากกำลังจะพูดออกมา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันถึงหยีตายิ้มพูดตัดหน้า

“คงไม่ต้องอายอะไรหรอกเนอะ ก็เห็นกันหมดทั้งตัวไม่รู้กี่รอบแล้วนี่นา”

เป็นจริงอย่างที่สิบทิศว่า

ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เขายินยอมอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ ตลอดช่วงสองเดือนมานี้ก็เกิดเหตุการณ์นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายครั้ง

และทุกครั้งหัวใจของเขาก็ยิ่งอ่อนยวบลงเรื่อยๆ

เปิดรับผู้ชายชื่อสิบทิศมากขึ้นอย่างห้ามไม่ไหว

สุดท้ายเพราะไม่มีอะไรจะอ้างเพื่อปฏิเสธอีกฝ่าย และเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายหน้าบางที่จะเขินอายกับเรื่องพวกนี้ แม้แท้จริงแล้วจะรู้สึกใจสั่นอยู่บ้างเพราะความหวั่นไหวอันไม่คุ้นเคยจากการถูกสิบทิศซัดเซาะเข้ามา ฐานทัพจึงถูกลากตัวเข้าไปในห้องน้ำและถูกลอกคราบจนล่อนจ้อน กระทั่งลงไปอยู่ในอ่างอาบน้ำด้วยกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ

กว่าจะได้สติแจ่มชัดอีกครั้งก็ตอนโดนสิบทิศสวมกอดจากด้านหลังด้วยเนื้อตัวเปลือยเปล่า

“ไหนว่าอาบน้ำไงครับ”

“ก็อาบอยู่นี่ไง”

สิบทิศอ้างหน้าด้านๆ แม้ไม่ต้องหันไปมองทางด้านหลังก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มเพราะมันแฝงมากับน้ำเสียง

“อาบกับกอดมันคนละเรื่องกันนะ”

“ไม่รู้สิๆ”

น้ำเสียงสนุกสนานกลั้วหัวเราะดังมาจนสะท้อนในห้องที่ปิดมิดชิด

ฐานทัพรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาทันที เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่าง

“เรื่องก่อนหน้านี้”

พอเกริ่นออกไปแบบนั้น คนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังโดยไม่ยอมคลายวงกอดเสียทีก็ครางเสียง “หืม” อยู่ข้างหู ฐานทัพจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิมอีกเล็กน้อย

“ที่คุณอ้างสิทธิ์ว่าเป็นแฟนผมนั่นมันอะไรกัน”

“อ๋อ นั่นเหรอ อ้างไม่ได้เหรอ”

อีกฝ่ายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน เสมือนว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดไปสักนิดเดียว เขาไม่ควรจะพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิเสียด้วยซ้ำ

“คุณไม่ใช่แฟนผมสักหน่อย เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดกันหมดหรอก”

“ไม่เห็นยากอะไรเลย”

หลังจากพูดเช่นนั้นแขนที่เคยโอบอยู่บริเวณเอวของฐานทัพก็คลายออก ก่อนจะจับร่างของเขาให้พลิกหันกลับมาเผชิญหน้ากันอย่างง่ายดายราวกับเป็นตุ๊กตาอย่างไรอย่างนั้น

“เราก็เป็นแฟนกันสิ นะ?”

ลงท้ายด้วยน้ำเสียงอ้อนนิดๆ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

หากเป็นเมื่อก่อนฐานทัพคงปฏิเสธกลับไปทันควัน แต่เวลานี้เขากลับตอบอะไรไม่ถูก

ไม่ใช่เพราะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นจึงยากจะหักหาญน้ำใจ แต่เป็นเพราะกระดากที่จะตอบตกลงไปอย่างง่ายดายทั้งที่เคยปฏิเสธเสียขนาดนั้น และอีกอย่างเขาก็เพิ่งได้รู้กระจ่างชัดแก่ใจตัวเองว่าเขาก็อยากมีใครสักคนเช่นกัน ซึ่งคนคนนั้นมีเพียงผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าตอนนี้

“สองเดือนมานี้ฐานไม่ใจอ่อน รู้สึกชอบพี่ขึ้นมาบ้างเลยเหรอ”

ดูเหมือนความเงียบที่อาจมองได้ว่าเป็นการยอมรับส่งผลในอีกแง่หนึ่งกับสิบทิศ

ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเจ้าตัวไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป หรือเพราะกำลังหยอกล้อให้เขายอมพูดออกมาจากปากกันแน่

ฐานทัพอ่านเจตนานั้นไม่ออกเพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายโอนเอนไปทางข้อสันนิษฐานแรกเสียมากกว่า

“ก็...”

ความเงียบในห้องที่สะท้อนเสียงได้ก้องยิ่งก่อให้เกิดความอึดอัดมากกว่าปกติหลายเท่า

ฐานทัพครางเสียงออกมาให้คนฟังที่มีท่าทีลุกลี้ลุกลนขึ้นมาจดจ่อรอฟัง แต่ก็ไร้เสียงพูดต่อไป

“ก็อะไรล่ะฐาน ชอบพี่หรือเปล่า”

เพราะโดนเร่งเร้า ฐานทัพจึงเบี่ยงหน้าหนีไปให้ด้านข้างของสิบทิศเป็นเป้าสายตาแทน จากนั้นงึมงำออกมา

“ปกติคุณก็น่าจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไม่ใช่หรือไง”

“พูดแบบนี้แปลว่า...จริงเหรอ”

สิบทิศชะงักค้างอยู่กลางประโยคก่อนจะส่งเสียงตื่นเต้นมาในคำพูดท้าย

ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังทำหน้าระรื่นปลื้มปริ่มอยู่แน่ๆ ฐานทัพจึงรู้สึกว่าช่วงเวลาแบบนี้มันน่าเขินอยู่นิดหน่อยเลยยังไม่ยอมหันหน้ากลับไป ทว่าทั้งตัวกลับโดนรวบเข้าไปกอดเสียแน่น

“ฐานพูดออกมาชัดๆ หน่อยสิ”

“.....”

“น่า นะๆ ฐานนะ บอกรักให้พี่ได้ยินหน่อยสิครับ”

คงเพราะเห็นว่าเขายังไม่ยอมหันไปหาสักที สิบทิศจึงส่งเสียงออดอ้อนอย่างเต็มที่

มันดังก้องอยู่ข้างหูจนฐานทัพรู้สึกจักจี้จึงดันอกที่เปลือยอยู่ของอีกฝ่ายออก ทำหน้าเข้มขึงตามองเหมือนกับจะตำหนิกันกลายๆ จนสีหน้าสิบทิศเปลี่ยนเป็นสลดลงเล็กน้อยเหมือนคนสำนึกผิด ถึงกระนั้นแววตาก็ยังมีประกายแห่งความหวังอยู่

ฐานทัพถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งกับท่าทีของอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้หู เอ่ยเสียงกระซิบแผ่วแฝงแววแหบพร่าราวกับจะยั่วเย้าให้สิบทิศได้ยินชัดๆ

“ผมชอบพี่”

แต่ต่อท้ายด้วยประโยคที่พูดเสียงดังลั่นเสมือนว่าอีกฝ่ายเป็นคนแก่หูตึง

“ได้ยินหรือยังครับ!!”

สิบทิศร้อง “อูย” ออกมายาวๆ แล้วยกมือขึ้นนวดหูตัวเอง

ส่วนฐานทัพหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจ ทำเหมือนเป็นเรื่องตลกจนโดนอีกฝ่ายตวัดตาขวางใส่ แต่เพียงครู่เดียวสิบทิศก็คว้าตัวฐานทัพมากอดแน่นอีกครั้ง พร่ำคำเดิมซ้ำๆ

“พี่รักฐานนะ รักมาก รักที่สุดเลย”

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว”

ฐานทัพตอบกลับด้วยน้ำเสียงดูเบื่อๆ ทั้งที่ในใจรู้สึกเต็มตื้นไปกับคำบอกรัก ก่อนจะถูกปล่อยออกจากอ้อมแขนใหญ่

เมื่อประจันหน้ากันสิบทิศก็ระบายยิ้มออกมาเหมือนคนบ้าจนฐานทัพต้องแขวะ

“เพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย”

แต่เจ้าตัวก็ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนบนหน้าอยู่ดี

“อยากทำแล้วล่ะ”

ไม่ขยายความมากกว่านั้น สิบทิศก็ระบุความหมายของคำพูดนั้นด้วยการกระทำอย่างรวดเร็ว

มือขวาขยับเข้าลูบไล้บั้นท้ายของฐานทัพ ขณะที่มือซ้ายคว้าจับที่กลางหว่างขา พร้อมกับริมฝีปากประกบจูบปากลงมา

ฐานทัพถูกโจมตีทั้งสามทางจนตั้งตัวไม่ทันจึงสะดุ้งขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง กำปั้นเล็กๆ ทุบแขนของสิบทิศอยู่หลายครั้งกว่าร่างที่ใหญ่กว่าจะยอมปล่อยปากเขาออกมาให้ได้ประท้วงบ้าง

“รุกเร็วไปแล้ว”

“ก็คนมันดีใจจนอดไม่อยู่”

คล้ายกับประโยคโทษลมโทษฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

ฐานทัพทำหน้าเซ็งเล็กน้อยก่อนจะหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ เมื่อมือที่ขยำบั้นท้ายเริ่มจะเล่นซุกซนกว่าเดิม ค่อยๆ ซอกซอนเข้าหารอยแยกลึกลงเรื่อยๆ

“ไม่เอาในอ่างนะ”

“ทำไมล่ะ”

“เดี๋ยวน้ำเข้า”

“อาจจะสนุกก็ได้”

คำตอบนั้นฟังเพียงครั้งเดียวโดยไม่ต้องคิดผ่านสมองก็รู้ว่ามาจากความนึกสนุกของสิบทิศล้วนๆ แต่ดูท่าว่าแค่นั้นยังไม่พอ เพราะเสียงทุ้มยังดังต่อ

“พี่อยากฟังเสียงครางเซ็กซี่ๆ ของฐานในห้องน้ำ มันก้องดี แถมเสียงน้ำกระฉอกก็ฟังดูลามกดีออก”

เป็นคำพูดที่ระคายหูและน่าหมั่นไส้ที่สุดเลยก็ว่าได้ มิหนำซ้ำยังฟังดูลามกเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ

ฐานทัพถลึงตาใส่แต่สิบทิศกลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด เพราะเจ้าตัวเอาแต่มองเขาด้วยสายตาหวานฉ่ำจนมดแทบไต่ พอเห็นเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็เริ่มรู้สึกไม่อยากยอมแพ้ขึ้นมาในบัดดล

“แน่ใจนะว่าอยากทำ อยากฟัง”

คนถูกถามพยักหน้าผงกหัวหงึกๆ อย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ

ฐานทัพจึงเหยียดยิ้มออกมา โน้มหน้าเข้าใกล้หูของสิบทิศอีกครั้งแล้วกระซิบเสียงพร่าอย่างที่เคยทำ

“งั้นจะเอาให้เต็มอิ่มสุดๆ ไปเลย อย่าหมดแรงกลางคันซะล่ะ”

สิ้นเสียง ลิ้นเล็กๆ ก็ตวัดเลียที่ใบหูของสิบทิศเบาๆ และขบฟันลงไปอย่างยั่วเย้าอารมณ์จนเป็นสิบทิศที่ขนลุกเกรียว กึ่งกลางร่างถูกปลุกขึ้นมาจนผงาดเต็มที่ในคราวเดียว

 

 

ร่างเล็กนอนพังพาบอย่างสิ้นแรงอยู่บนเตียง กว่าจะลืมตาขึ้นได้อีกครั้งตะวันก็ลอยขึ้นฟ้าจนสูงโด่ง

ฐานทัพกะพริบเปลือกตาเบาๆ ค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งทั้งที่ยังง่วงงุน เมื่อกวาดตาไปทั่วเตียงก็เห็นว่ามีเพียงตัวเองที่อยู่บนนั้นจึงลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเพราะเมื่อคืนเขาเล่นสนุกอย่างเกินตัวมากไปหน่อย

ไม่รู้ว่าไฟรักโหมขึ้นมากี่ครา แต่สิบทิศก็ไม่สิ้นเรี่ยวแรงง่ายๆ

กว่าจะพึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย พวกเขาต่างก็หายใจหอบตัวอ่อนจนล้มลงไปทั้งที่ร่างกายยังแนบชิดจนไร้ช่องว่าง

 

‘พี่ไม่ไหวของจริงแล้วล่ะ ฐานอึดจริงๆ นะ’

‘ผมก็ปวดสะโพกไปหมดแล้วเนี่ย’

หลังสิ้นบทสนทนานั้นเสียงหัวเราะของเขาและสิบทิศต่างดังคลอกันออกมา จากนั้นก็แนบจูบที่ริมฝีปากของกันและกันเบาๆ ตามด้วยสิบทิศจรดจูบที่หน้าผากของเขาอีกครั้ง เหมือนอยากแสดงให้รู้ว่ารักเขามากแค่ไหนจนมันอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ

จนเขารู้สึกคันยุบยิบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า...มีความสุขมาก มีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

มันอิ่มหนำเสียยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมา

ความสนุกในเซ็กซ์ที่เคยรู้จักถูกกลบมิดจนเลือนหายไปไม่ต่างจากรอยเท้าบนผืนทรายที่ถูกคลื่นซัดในคราวเดียว

สิบทิศถอนตัวออกจากเขาเบาๆ แต่ก็เรียกความเสียวซ่านให้สะท้านไปทั้งสรรพางค์ขึ้นมาได้เช่นกันจนเขาต้องเกาะแขนไว้แน่น เสียงทุ้มกระซิบแผ่วมา

‘นี่ถ้าไม่ติดว่าหมดแรงแล้วจะจัดไปอีกสักดอกนะ ทำตัวน่ารักขนาดนี้’

ฐานทัพจึงถือโอกาสแกล้งหยอกด้วยการขยับตัวไปเบียดชิดให้มากขึ้น ใช้กลางร่างของตนถูไถเสียดสีไปกับส่วนเดียวกันที่ยังแสดงถึงความองอาจอยู่ สุดท้ายจึงถูกอีกฝ่ายทำตาดุใส่ มิหนำซ้ำยังถูกต่อว่า

‘ซนจริงๆ’

ถึงกระนั้นมือของสิบทิศก็ไม่วายบีบบั้นท้ายของเขาเบาๆ เป็นการเอาคืนจนฐานทัพต้องสูดปากร้องออกมา จากนั้นยื่นแขนไปกระชับคนตัวใหญ่กว่ากอดไว้แน่น ซบหน้ากับบ่าที่เปียกชื้นเพราะการกระทำร่วมกันก่อนหน้านี้

 

ครั้นนึกถึงช่วงเวลานั้นแล้วฐานทัพก็ขบเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหาเสื้อผ้ามาใส่อย่างลวกๆ ก่อนจะเดินลากเท้าออกไปจากห้อง แม้จะยังรู้สึกปวดสะโพกอยู่จนไม่อยากลุกจากเตียง แต่ก็อยากรู้ว่าอีกคนหนึ่งกำลังทำอะไรอยู่

พอออกไปถึงด้านนอกก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเบาๆ จากทิศทางที่เหมือนจะเป็นครัวจึงมุ่งตรงไปยังที่นั่น แล้วก็เห็นว่าสิบทิศกำลังยืนทำอาหารอยู่หน้าเตาอย่างที่คิดจริงๆ

“ตื่นแล้วเหรอ รออีกแป๊บนะ”

คงเพราะได้ยินเสียงสลิปเปอร์ที่ลากมาตามทางกระมังสิบทิศจึงหันมาบอก

ใบหน้าได้รูปนั้นปรากฏรอยยิ้มจางๆ ทำให้ฐานทัพรู้สึกอุ่นใจขึ้นอีก และรู้สึกได้ว่าตนเป็นที่รักอย่างแท้จริง ไม่ใช่ความฝันหรือความเพ้อพกไปของตนเอง ความสุขใจจึงยิ่งล้นปรี่จนเขาห้ามปากเอาไว้ไม่อยู่ ผุดยิ้มกว้างออกมา ขณะที่ดวงตาก็ทอดมองแผ่นหลังกว้างไม่ละ แม้ว่าจะขยับตัวไปนั่งที่เก้าอี้ของโต๊ะอาหารแล้วก็ตาม

“เรียบร้อยแล้วครับ มื้อเช้า”

หลังจากนั้นไม่นานสิบทิศก็เดินถือจานมาวางเรียงตรงหน้า แต่พอเห็นเมนูที่ถูกจัดมาให้ฐานทัพก็ตาโตสำลักเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะสวนคำพูดออกไป

“ไข่จะเยอะไปไหน ทั้งไข่ดาว ไข่ลวก”

“โด๊ปเยอะๆ ไง จะได้มีแรง”

เจ้าตัวพูดเช่นนั้นแล้วก็นั่งลงเก้าอี้ข้างๆ จัดการปรุงไข่ลวกให้น่าอร่อยแล้วก็ยื่นมาให้เขา

“เดี๋ยวก็คอเลสเตอรอลขึ้นตายก่อนพอดี”

ถึงปากจะพูดเหมือนต่อว่า แต่ฐานทัพก็รับมันมาดื่มเข้าไปจนหมด เพราะแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขามีความสัมพันธ์ทางกายกัน ทว่าดูเหมือนครั้งนี้เขาจะได้รับการเอาใส่ใจเป็นพิเศษ

อาจเพราะสถานะที่เปลี่ยนไปแล้วก็เป็นได้

ครั้นนึกถึงเรื่องนี้หัวใจก็เต้นระรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่าดวงตาคมคายนั้นจ้องมองกันไม่หยุด

“อะไรของคุณ จ้องอยู่ได้”

“เรียกพี่อีกสิ เรียกพี่ทิศเหมือนเมื่อคืน”

ชื่อนั้นเมื่อคืนเขาครางเรียกไปไม่รู้กี่รอบ พอถูกเรียกร้องแบบนั้นทำให้ฐานทัพรู้สึกว่ามันน่าอายอย่างไรชอบกล

“ทำไมล่ะ”

“ก็ฟังแล้วดูสนิทกัน เหมือนแฟนกันดี ฟังแล้วรู้สึกเหมือนฐานกำลังอ้อนเลย”

หน้าตาของคนพูดดูมีความสุขปริ่มล้นซะยิ่งกว่าเขาเสียอีก และคำว่า ‘แฟนกัน’ ก็ทำให้รู้สึกดี จึงช่วยไม่ได้ที่ฐานทัพจะใจอ่อนยอมเรียกตามใจอีกฝ่าย

“ถ้าเรียกพี่ทิศบ่อยๆ ก็อย่าเบื่อแล้วกัน”

“พี่จะเบื่อฐานได้ไง ออกจะรักขนาดนี้”

คำบอกรักที่หลุดออกมาจากปากง่ายๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไรกลับทำให้ฐานทัพรู้สึกร้อนแก้มอย่างบอกไม่ถูก

เขาขบริมฝีปากเล็กน้อยแล้วตักไข่ดาวเข้าปากเหมือนจะแก้เขิน

พอเหลือบตาไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันก็เห็นว่าสิบทิศกำลังอมยิ้ม จึงจิ้มไข่ดาวยื่นไปตรงหน้าจนแทบทิ่มหน้าอีกฝ่าย พลอยให้สิบทิศต้องผงะไป

“มองอยู่ได้ กินได้แล้วน่า”

“ตอนเขินก็น่ารักจังนะ แฟนพี่เนี่ย”

“พอแล้วน่า พูดเลี่ยนๆ แบบนี้ไม่อายปากบ้างหรือไง”

“พี่พูดความจริงนี่นา จะอายไปทำไม”

“โอ๊ย ไม่คุยกับพี่แล้ว หน้าไม่อายจริงๆ”

ในเมื่อไม่มีโอกาสจะโต้ตอบกลับไปให้อีกฝ่ายหน้าชาได้ ฐานทัพจึงละทิ้งความคิดของตนเองแล้วตั้งใจนั่งกินไข่ดาวกับไส้กรอกที่อยู่บนจานให้หมดไป

หลังจากล้างจานชามของมื้ออาหารที่จบไปจนเสร็จ ระหว่างเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ตามการใช้ชีวิตในวันหยุดประจำสัปดาห์ของทั้งคู่ อยู่ๆ สิบทิศก็สาวเท้ายาวๆ แทบจะวิ่งฉิวไปทิ้งตัวลงบนโซฟาจนน่างุนงง พอฐานทัพเดินตามไปถึงทีหลังก็เห็นคนที่วิ่งแซงหน้าไปตบตักตัวเองเบาๆ

“อะไรของพี่เนี่ย”

สีหน้าของฐานทัพย่นยู่ด้วยความสงสัยกับพฤติกรรมแปลกๆ อย่างอดไม่ได้

ส่วนสิบทิศก็ฉีกยิ้มกว้างให้ ตบตักซ้ำอีกเพื่อระบุความต้องการของตนเอง

เมื่อฐานทัพเดินเข้าไปใกล้โดยยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็ถูกมือใหญ่ดึงแขนให้ทั้งร่างร่วงลงไปบนตักของสิบทิศแล้ว

“โอ๊ย”

ฐานทัพร้องออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้จากหน้ายิ้มแฉ่งของสิบทิศเปลี่ยนสีไปเป็นตื่นตระหนกเล็กน้อย ถามอย่างห่วงใยออกมาทันที

“เจ็บเหรอ”

“ผมยิ่งปวดสะโพกอยู่ กระแทกลงไปแบบนั้นมันก็ต้องสะเทือนอยู่แล้วสิ”

“จะว่าไปพี่ก็ยังเมื่อยๆ เอวอยู่เหมือนกันนะ”

หลังจากตอบแบบนั้นสิบทิศก็ยื่นแขนยาวๆ มาโอบรอบเอวของเขาไว้ พร้อมกับเกยคางบนบ่า

“วันนี้ทำตัวแปลกๆ นะเนี่ย”

“ก็มันเป็นวันพิเศษนี่นา”

“พิเศษ?”

แม้ฐานทัพจะเข้าใจว่ามันเป็นวันแรกหลังจากที่พวกเขาตกลงเป็นคนรักกัน แต่ดูท่าทางของสิบทิศเหมือนว่ามันจะไม่ได้มีแค่นั้นอย่างไรบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ต้องสงสัยนานเพราะสิบทิศเหมือนอยากตอบจะแย่อยู่แล้ว

“วันนี้เป็นวันเกิดพี่น่ะ”

“จริงเหรอ”

เพราะไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเสียงร้องของฐานทัพจึงสูงและดังกว่าปกติ

สิบทิศพยักหน้าหงึกหงักๆ เป็นการยืนยัน ก่อนจะกระชับอ้อมแขนที่กอดร่างของเขาให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย ถึงกระนั้นก็กะน้ำหนักไว้ได้อย่างพอดิบพอดี ไม่ทำให้อึดอัด

ฐานทัพจึงเอนตัวมาพิงหลังกับอกของสิบทิศอย่างสบายๆ พลางหันไปพูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับน้อยๆ

“สุขสันต์วันเกิดครับ”

“อื้อ เป็นวันเกิดที่พี่มีความสุขมากๆ เลยล่ะ ทั้งได้แฟนแล้วก็ได้ของขวัญเมื่อคืนอย่างเต็มอิ่ม”

พูดเช่นนั้นแล้วแก้มของฐานทัพก็ถูกปากของคนด้านหลังฉกลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคลอเคลียให้จักจี้เล็กน้อยจนเขาหลุดเสียงหัวเราะออกมาและหันไปจูบตอบริมฝีปากที่ฉกลงมาอีก

 

 

v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 6th Lie [17/3/62]
«ตอบ #17 เมื่อ17-03-2019 20:08:41 »

v



v


แม้วันเกิดของสิบทิศจะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่ายังคงมีผลต่อฐานทัพอยู่ เพราะไหนๆ ก็เป็นวันเกิดของแฟนคนแรกทั้งทีเขาก็อยากจะหาของขวัญเป็นชิ้นเป็นอันให้สักอย่าง แต่เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ซื้อของขวัญให้ใครมาก่อนจึงเริ่มจะมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจ

“เป็นอะไร ทำไมทำคิ้วย่นแบบนั้น”

ผู้ช่วยปรากฏตัวแล้ว!

เมื่อเห็นหน้าของจักรวาลที่เข้ามาทัก ฐานทัพก็รู้สึกเช่นนั้นทันทีจึงรีบเอ่ยปากออกไป

อีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาเป็นคำถามแทนที่จะเป็นคำตอบ

“สรุปว่าฐานเป็นแฟนกับหนุ่มสายเปย์คนนั้นแล้วเหรอ”

ถึงจะเห็นว่าตลอดหลายเดือนมานี้เขาไปกลับโชว์รูมโดยมีสารถีเป็นผู้ชายร่างสูงคนนั้น แต่เพราะคำยืนยันว่าไม่ได้สนใจจะคบหาด้วยจึงทำให้อีกฝ่ายไม่แน่ใจกระมัง

“ก็... มันมีเหตุผลหลายๆ น่ะพี่แซม”

“หลายๆ อย่างที่ว่าคือใจอ่อนใช่ไหมล่ะ”

เหมือนโดนจี้จุดอย่างไรอย่างนั้น ฐานทัพอ้าปากเหมือนจะพูดออกมาแต่ก็ไม่รู้จะพูดคำไหนจึงได้แต่บอก

“น่าๆ ช่างมันเถอะ พี่ช่วยผมคิดก่อน ผมอยากรีบไปซื้อวันนี้เลย”

จักรวาลทำท่านึกแล้วเสนอ

“พี่ว่าถึงเสนอไปยังไงก็ต้องไปเลือกหาแบบที่เขาน่าจะชอบอยู่ดี เอาเป็นว่าเลิกงานแล้วลองเดินดูที่ห้างไหม เดี๋ยวพี่ไปช่วย”

คำแนะนำนั้นฟังดูน่าสนใจทีเดียว เพราะพอนึกภาพว่าตนต้องไปเดินเลือกหาของที่น่าจะถูกใจสิบทิศ ฐานทัพก็ไม่แน่ใจขึ้นมาว่าตัวเองจะเลือกได้ดี

“จะไม่รบกวนพี่เกินไปเหรอ”

“ไม่หรอกน่า แค่เรื่องเล็กน้อยเอง”

หลังจากได้รับคำพูดที่ช่วยให้สบายใจและถูกตบบ่าเบาๆ ฐานทัพก็คลี่ยิ้มนิดๆ ก่อนจะขอตัวไปโทรศัพท์บอกสิบทิศว่าไม่ต้องมารับวันนี้เพราะมีธุระต้องทำ แต่เพราะอย่างนั้นจึงถูกถามกลับมาด้วยน้ำเสียงโหดไม่น้อย

[ธุระอะไร ไปกับพี่ก็ได้ เดี๋ยวพี่พาไป]

“ไม่ได้ๆ อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวแบบสุดๆ เอาไว้กลับไปแล้วผมจะบอกนะ”

[เป็นเรื่องส่วนตัวถึงขนาดบอกไม่ได้เลยเหรอ]

“ก็บอกแล้วนี่ว่ากลับไปแล้วจะบอก ไม่ต้องห่วงหรอก เสร็จธุระแล้วผมจะรีบกลับทันทีเลย”

เสียงถอนหายใจยาวยืดออกมาจากปลายสายจนฐานทัพรู้สึกไม่ดีอยู่เล็กน้อยที่ไม่สามารถพูดความจริงออกไปได้และทำให้อีกฝ่ายต้องกังวล

แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่ออย่างไรก็ต้องปิดเป็นความลับไปก่อน

“เท่านี้ก่อนนะ กลับไปแล้วจะทำให้พี่ยิ้มจนหน้าบานเลย ถ้าอยากทำโทษก็จะยอมให้ทำได้เต็มที่ โอเคนะ”

เสียงถอนหายใจยาวดังมาอีกระลอก แต่คราวนี้ฟังดูก็รู้ว่าสิบทิศปล่อยวางอารมณ์ไปบ้างแล้ว

[ถ้างั้นก็ระวังตัวด้วย แล้วรีบกลับมาเร็วๆ ล่ะ]

“ได้ครับ คิดถึงนะ”

ฐานทัพหย่อนลูกระเบิดที่คิดว่ามีประสิทธิภาพสูงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายคลายอารมณ์ขุ่นมัวได้หมดสิ้นเป็นการปิดท้ายประโยคก่อนจะตัดสายไป โดยที่มีรอยยิ้มติดอยู่บนหน้าไปด้วย เพราะเป็นครั้งแรกที่เคยพูดอะไรแบบนี้

แต่...เขาก็ไม่ได้โกหกอะไรเลย

เพราะพอรู้ตัวเข้าแล้วว่าชอบสิบทิศ เขาก็เอาแต่คิดถึงสิบทิศอยู่ตลอดจริงๆ

 






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 6th Lie [17/3/62]
«ตอบ #18 เมื่อ18-03-2019 08:05:38 »

+1  o13 ขอบคุณครับ :pig4: :katai5:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 6th Lie [17/3/62]
«ตอบ #19 เมื่อ18-03-2019 13:44:53 »

 :pig4:
 o13
 :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 6th Lie [17/3/62]
« ตอบ #19 เมื่อ: 18-03-2019 13:44:53 »





ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 7th Lie [31/3/62]
«ตอบ #20 เมื่อ31-03-2019 20:57:45 »














7th Lie
ผมไม่อยากให้พี่ปรักปรำเขา

 

เพราะได้รับความช่วยเหลือจากจักรวาลทำให้ฐานทัพได้ของขวัญที่คาดว่าน่าจะทำให้คนรักคนแรกของตนพึงพอใจได้ มิหนำซ้ำจักรวาลยังใจดีพาเขาไปซื้อเค้กและพามาส่งถึงคอนโดมิเนียมอีก เขาจึงยื่นข้อเสนอตอบแทนไปว่าจะเลี้ยงข้าวกลางวันสักมื้อ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ตอบรับอย่างเต็มใจด้วยรอยยิ้ม

ดังนั้นในเวลานี้ฐานทัพจึงมายืนอยู่หน้าห้องของสิบทิศโดยซ่อนกล่องเค้กไว้ด้านหลังและเปิดประตูเข้าไป แต่เมื่อเห็นคนที่นั่งรออยู่ที่โซฟาของห้องนั่งเล่นแล้วก็ต้องทำหน้าประหลับประเหลือกขึ้นมาทันที เพราะอีกฝ่ายกำลังตีหน้ายักษ์ขมึงทึงอยู่

“กลับช้า”

ฐานทัพเดินเข้าไปหาสิบทิศทั้งที่ยังซ่อนกล่องเค้กไว้ด้านหลัง ก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายพลางยิ้มอ้อนเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าตัวใจอ่อน

“ก็ผมบอกแล้วไงล่ะครับว่ามีธุระ ว่าแต่พี่กินข้าวหรือยัง”

“ใครจะไปมีอารมณ์กิน แฟนหายตัวไปทั้งคน”

“ไม่ได้หายไปสักหน่อย”

ฐานทัพเดินอ้อมโซฟาเข้าไปประจันหน้ากับสิบทิศโดยพยายามหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อซ่อนของที่อยู่ด้านหลังไว้ ทำให้ท่าเดินดูแปลกๆ ยิ่งทำให้สิบทิศย่นคิ้วด้วยความสงสัยเข้าไปใหญ่

“ซ่อนอะไรเอาไว้”

เพราะถึงเวลาที่จะเฉลยแล้ว และเขาก็ไม่อยากให้แฟนต้องอารมณ์เสียไปมากกว่านั้น ฐานทัพจึงเขยิบกายเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น ก่อนจะยกตัวขึ้นนั่งคร่อมตักของสิบทิศ หันหน้าเผชิญกันโดยตรงและเอาของที่ซ่อนไว้ออกมา

“กินอันนี้แทนกันนะ”

สิบทิศเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนหน้าของฐานทัพก็เอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนลง

“อะไร”

ฐานทัพยังคงรอยยิ้มไว้ ยื่นกล่องเข้าหาอีกหน่อยจนสิบทิศต้องรับมันไปเปิดออก

“เค้ก?”

คงเพราะตัวกล่องดูออกยากว่าเป็นอะไรเนื่องจากแตกต่างจากกล่องเค้กที่เคยเห็นๆ มา สิบทิศจึงออกเสียงอย่างแปลกใจเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ก็ดังต่อ

“จะเอามาเล่นเหรอ”

แม้ไม่ได้ระบุว่า ‘เอามาเล่น’ ในที่นี้หมายความถึงอะไร แต่เพราะสายตาที่เหลือบมองมายังเรือนร่างของฐานทัพนั้นบ่งบอกชัดเจน เขาถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้จึงแกล้งตีไปที่ปากของสิบทิศเบาๆ

สิบทิศคว้ามือเอาไว้ได้หลังจากถูกทำร้ายไปหนึ่งที จากนั้นก็กัดนิ้วของฐานทัพเบาๆ

“เอาของกินมาเล่นมันไม่ดีนะ”

“ก็ไม่ได้เล่นอย่างเดียวสักหน่อย ยังไงพี่ก็กินอยู่แล้ว จะกินอย่างหมดจดเลย”

“สายตาหื่นมาก”

ฐานทัพหรี่ตามองพลางพูดเหมือนตำหนิ แต่มุมปากกลับยกยิ้มนิดๆ จนดูน่ามันเขี้ยวในสายตาของอีกฝ่ายกระมัง จากที่นั่งคร่อมอยู่บนตักเฉยๆ ถึงได้โดนอ้อมแขนใหญ่รัดร่างเอาไว้ แล้วถูกซุกไซ้ที่ซอกคออย่างไม่สนใจไยดีกล่องเค้กในมือ

“เดี๋ยวเค้กก็หกหรอก”

“ก็ฐานอยากทำตัวน่ารัก พี่ก็อดใจไม่ไหวสิ”

เขายิ้มแก้มแทบปริกับคำบอกนั้น ก่อนจะต้องปรับอารมณ์ตัวเองเล็กน้อยแล้วล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ผมซื้อของขวัญวันเกิดมาให้พี่ด้วย”

สิบทิศยอมผละหน้าออกมาจากต้นคอที่ถูกซุกไซ้จนเป็นรอยแดงจากตอหนวดครูดเบาๆ แล้วเบิกตาโต ถามเหมือนเด็กที่ตื่นเต้นดีใจว่าอะไรๆ ซ้ำอยู่หลายครั้ง กระทั่งรับของจากมือของฐานทัพไปเปิดออกถึงได้ออกเสียงเบาๆ

“น้ำหอม?”

“ลองดมดูสิว่าชอบไหม”

ตอนแรกเขาไม่คิดว่าจะซื้อน้ำหอมเป็นของขวัญวันเกิดเหมือนกัน แต่เพราะจักรวาลแนะนำว่าถ้าเลือกกลิ่นที่เราชอบและคิดว่าเขาน่าจะชอบแล้วใช้คู่กันก็น่าจะดี เพราะเหมือนกับมีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา มิหนำซ้ำยังเป็นเรื่องที่คู่รักชายหญิงไม่สามารถทำได้ด้วย เขาจึงตัดสินใจเลือกมาโดยมีรุ่นพี่เป็นคนช่วย เพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่เพียงตัวเองที่รู้สึกว่าชอบกลิ่นนี้

หวังว่าสิบทิศจะชอบกลิ่นนี้เหมือนกัน

“อืม กลิ่นสดชื่นแล้วก็เย็นสบายดีนะ”

“ผมคิดว่าใช้แล้วน่าจะช่วยให้สดชื่นและกระปรี้กระเปร่าขึ้นน่ะ ผมก็จะใช้เหมือนกัน ใช้คู่กัน พี่โอเคไหม”

“กลิ่นเหมือนกันเหรอ”

สิบทิศทำท่าคิดเล็กน้อย

“แต่พี่อยากให้ฐานมีกลิ่นหวานๆ น่ากินมากกว่า”

จากนั้นก็มากระซิบข้างหูด้วยเสียงพร่า

“เพราะฐานน่ากินอยู่ตลอดไง”

พอได้ยินเช่นนั้นฐานทัพก็รีบแย้งทันที

“ถ้าให้ผมใช้น้ำหอมกลิ่นน่ากินแล้วคนอื่นอยากกินขึ้นมาล่ะ”

หลังจากได้ยินเขาพูดแล้วหน้าที่ดูเบิกบานอยู่เมื่อครู่ก็ขึงขังขึ้นมาทันควัน คิ้วของสิบทิศขมวดเข้าหากันบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างที่สุด

“ก็ลองมากินของของพี่ดูสิ พี่ไม่ปล่อยไว้แน่ รวมถึงฐานด้วย ถ้าให้ใครมายุ่ง พี่จะลงโทษให้ลงจากเตียงไม่ได้เลย”

มือหนาบีบเข้าที่จมูกเล็กๆ อย่างแรงจนฐานทัพต้องส่ายหน้าเพื่อให้มือนั้นหลุดไป

“พี่อยากให้ผมใช้น้ำหอมกลิ่นหวานๆ เองนี่นา นี่อย่าบอกนะว่าน้ำหอมที่เคยให้มาก็กลิ่นประมาณนั้น”

“ฐานไม่รู้เหรอ”

“ผมให้คนอื่นไปหมดแล้ว ทุกอย่างที่พี่เคยให้ช่วงแรกๆ นั่นแหละ เคยบอกไปแล้วนี่นา”

“ใจร้ายจังนะ”

สิบทิศทำเสียงอ่อนคล้ายกับว่ากำลังงอนอยู่

ฐานทัพหลุดยิ้มออกมากับการตัดพ้อแสนน่ารักของคนรัก ก่อนจะแนบหน้าผากเข้าด้วยกันและดันปลายจมูกจนชิด ใช้มันขยี้กับอีกฝ่ายเบาๆ

“แต่ตอนนี้ถ้าให้อะไรมาก็ยินดีรับหมดทุกอย่างนะ”

“รวมทั้งลูกหลานของพี่ด้วยหรือเปล่า”

“โอ๊ย ทำไมเป็นผู้ชายหื่นกามขนาดนี้เนี่ย”

จากที่สร้างช่วงเวลาหวานๆ กลับกลายเป็นว่าฐานทัพเอาหน้าผากโหม่งอีกฝ่ายไปเสียเลย

แม้สิบทิศจะร้องโอดครวญเกินกว่าเหตุพลางจับหน้าผากไปด้วยเพื่อให้ดูน่าสงสาร แต่สุดท้ายก็มีเสียงหัวเราะเล็ดลอดมา และปิดท้ายด้วยประโยคที่ว่า

“พี่ว่าเรามากินเค้กกันเถอะนะ”

พร้อมกับแววตาที่สื่อความหมายว่า ‘ไม่ใช่การกินตามปกติธรรมดาอย่างแน่นอน’

 

 

ในวันนี้ฐานทัพได้ต้อนรับอรุณด้วยกลิ่นใหม่ที่คุ้นเคย หลังจากเมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยเพราะต้องตอบรับความเอาแต่ใจของสิบทิศอยู่หลายครั้งจนต้องออกปากว่า “พรุ่งนี้ผมต้องทำงานนะ!” ถึงจะเป็นอิสระจากภายใต้วงแขนของอีกฝ่ายได้

ถึงกระนั้นในตอนเช้าเขาก็ตกอยู่ในวงแขนของคนรักที่โอบกอดมาจากด้านหลังอีกรอบ และถูกสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าที่ซอกคอพร้อมกับรู้สึกถึงไอร้อนที่ส่งผ่านปลายจมูกออกมา ตามด้วยคำพูดตัดพ้อว่า

“พี่ว่าถ้าใช้กลิ่นนี้ด้วยกันเพราะอยากให้มีกลิ่นเหมือนกัน สักวันพี่อาจจะกลายเป็นโรคคลั่งน้ำหอมที่เอาแต่ดมกลิ่นตัวเองแล้วเพ้อพกก็ได้นะ”

จนเขาต้องเอนหลังเอาหัวโขกกับหน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ พลางบอก

“พี่ก็เว่อร์ไป”

บรรยากาศแห่งความสุขอบอวลไปทั่วทั้งห้องและหัวใจ แม้มาถึงโชว์รูมแล้วฐานทัพก็ยังรู้สึกถึงความปริ่มสุข และต้องออกปากขอบคุณจักรวาลอีกรอบที่ให้การช่วยเหลือ

ทว่าทั้งที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีจนเรียกได้ว่าดีเยี่ยมด้วยซ้ำ สถานการณ์กลับพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อฐานทัพกลับมาถึงคอนโดฯ พร้อมกับสิบทิศในตอนหัวค่ำเหมือนอย่างเคย

“มีคนฝากไว้ให้ครับ”

ขณะเดินออกจากลานจอดรถไปยังพื้นที่ส่วนพักอาศัย พวกเขาก็ถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยเรียกไว้ และมีกล่องพัสดุใบหนึ่งถูกส่งมาให้

คิ้วของทั้งคู่ขมวดเข้าหากันในตอนที่รับมา เพราะค่อนข้างแปลกประหลาดตรงที่ของสิ่งนั้นถูกส่งมาให้ฐานทัพไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของห้องอย่างสิบทิศ แม้ถาม รปภ. เพื่อความแน่ใจแล้ว อีกฝ่ายก็บอกอย่างชัดเจนว่าคนที่ฝากของมานั้นระบุผู้รับว่าคือฐานทัพจริงๆ เพราะฝ่ายนั้นเอารูปถ่ายให้ดู

กระทั่งขึ้นมาถึงห้องด้วยบรรยากาศคลุมเครือ ฐานทัพก็เปิดกล่องออกด้วยความใคร่รู้โดยมีสิบทิศเฝ้ามองอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย แต่แล้วบรรยากาศก่อนหน้านี้ก็ราวกับแตกออกเป็นเสี่ยงเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ภายใน

สิ่งของที่ฐานทัพเคยตามหา

สิ่งที่เคยหายไป

สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ฐานทัพมาอาศัยอยู่ที่นี่

กางเกงในของเขา...

แต่มันไม่ใช่แค่ผ้าชิ้นหนึ่งเหมือนกับตอนที่อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย บนนั้นยังมีคราบสีขุ่นเปรอะเปื้อนอยู่มากมาย เหมือนกับใครบางคนจงใจเทของเหลวกลิ่นคาวนั่นลงมาระหว่างที่ของอยู่ในกล่อง

ทั้งสองคนตื่นตะลึงมองหน้ากัน แม้ไม่ต้องส่องกระจกดูฐานทัพก็รู้ว่าหน้าตนเองกำลังซีดเผือดเพียงใด

เขารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เสียงสั่นเครือพูดออกมาได้เพียงคำว่าทำไม ก่อนจะมีมืออุ่นๆ เอื้อมมาบีบมือของเขาไว้เหมือนกับจะปลอบและให้กำลังใจ

“มันรู้ได้ยังไงว่าฐานอยู่ที่นี่”

ฐานทัพได้แต่ส่ายศีรษะเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่อยู่ในเงามืดคือใครกันแน่

ทั้งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาตลอดสองเดือนกว่าแท้ๆ เขานึกว่าเรื่องจะจบไปแล้วเสียอีก ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ณ ที่นี่

ที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัย

“บอกพี่มาหน่อยว่าใครรู้บ้างว่าฐานอยู่ที่นี่”

คล้ายว่าสิบทิศจะพยายามปรับอารมณ์ให้สงบนิ่งที่สุด เพราะเจ้าตัวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยคำถาม

ถึงพี่ๆ ในโชว์รูมจะรู้ว่าเขาย้ายมาอยู่กับสิบทิศแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของสิบทิศเพราะเขาไม่เคยบอก สิ่งเดียวที่คิดได้คือคนคนนั้นต้องติดตามเขามาอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางรู้ได้

ฐานทัพอ้าปากกำลังจะตอบว่าไม่มีใครรู้ แต่เหมือนมีแสงหนึ่งวาบขึ้นมา...ทำให้เขานึกได้

เมื่อวานจักรวาลมาส่งเขาที่นี่

เป็นเรื่องบังเอิญหรือ?

แม้จะไม่แน่ใจในคำตอบ แต่เพราะถูกสายตาคาดเค้นมาจากคนรัก ฐานทัพจึงทำได้เพียงเอ่ยออกไปอย่างไม่เต็มเสียง

“มีพี่คนหนึ่งรู้”

“มันรู้ได้ยังไง!”

เสียงของสิบทิศเข้มขึ้นอีก ความโกรธแสดงออกมาในรูปแบบเสียงอย่างชัดเจน แม้แต่ดวงตาก็วาวโรจน์ขึ้นด้วย

“คือ...เมื่อวานเขามาส่งผม”

หลังจากบอกไปเพียงเท่านั้นก็ราวกับมีฟ้าผ่าลงมา เสียงกัมปนาทกึกก้องเพียงหนึ่งพยางค์ด้วยชื่อของเขา ขณะเดียวกันต้นแขนก็ถูกมือที่โอบได้เกินหนึ่งรอบคว้ากำเอาไว้แน่น ร่างของเขาถูกกระชากเข้าหาสิบทิศอย่างแรง

“ทำไมฐานถึงต้องให้มันมาส่ง!”

แววตาที่จ้องมองมาดุร้ายไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ มันกำลังหิวโซจนหน้ามืดตามัว

ฐานทัพตอบไปด้วยเสียงที่ไม่มั่นคงนักอีกทั้งยังแหบพร่า

“เขา...ช่วยพาผม...ไปเลือกของ”

“ของอะไร”

“ของขวัญ...น้ำหอมครับ”

“ฐาน!!”

เสียงตวาดดังลั่นจนฐานทัพสะดุ้งโดยไม่ทันตั้งตัว

สีหน้าของสิบทิศแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากไปเอาน้ำหอมขวดนั้นมาขว้างทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ เขาจึงต้องรีบคว้าเสื้อไว้เสียก่อน แล้วพูดเสียงอ่อนเผื่อว่าอีกฝ่ายจะใจเย็นลงบ้าง

“เขาแค่ช่วยดมดูว่ามันโอเคหรือเปล่า แต่ผมเป็นคนเลือกเอง อย่าทิ้งมันนะ”

“แล้วทำไมฐานต้องให้คนอื่นไปเลือกของให้พี่ด้วย”

“ก็ผมกลัวพี่ไม่ชอบกลิ่นที่ผมเลือก อย่าโกรธได้ไหมเล่า”

ดูเหมือนวิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบจะพอใช้ได้ เพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายอ่อนลงเล็กน้อยแล้ว

ยิ่งพอเขาเลื่อนมือที่ดึงเสื้อเอาไว้ไปจับมือแทน สิบทิศก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงกระนั้นน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังกรุ่นด้วยโทสะอยู่

“โทรหามันเดี๋ยวนี้ พี่จะคุยกับมันเอง”

พอเขาครางเสียง “เอ๊ะ” อย่างสงสัย สิบทิศก็ย้ำมาอีก

“มีเบอร์ใช่ไหมล่ะ ไอ้หมอนั่นน่ะ”

ฐานทัพจึงพยักหน้านิดๆ อย่างเสียไม่ได้ ขณะที่ในใจรู้สึกระทึกไม่น้อย

เขาไม่รู้หรอกว่าจักรวาลเป็นคนร้ายหรือเปล่า และถึงมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกันแต่ก็นึกเหตุผลไม่ออกว่าทำไมอีกฝ่ายจะต้องทำอย่างนี้

แล้วสิบทิศต้องการจะคุยอะไรกับรุ่นพี่ของเขา?

หลังจากฟังเสียงรอสายอยู่สักพัก สิบทิศก็กรอกเสียงโหดห้วนลงไปอย่างไม่ไว้หน้า เจาะจงถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองต้องการหลังจากแนะนำตัวว่าเป็นแฟนของฐานทัพแล้ว

“อีกหนึ่งชั่วโมงไปพบผมที่สถานีตำรวจด้วย”

สิบทิศระบุสถานีตำรวจท้องที่เอาไว้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนฝั่งปลายสายจะประหลาดใจไม่น้อยที่อยู่ๆ ก็ถูกเรียกไปพบกันที่สถานีตำรวจอย่างไร้เหตุผล สิบทิศจึงอธิบายต่อว่าจักรวาลเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนร้ายในคดีทำร้ายร่างกายและคุกคามฐานทัพ

“ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ไปเจอกันที่นั่น”

สิ้นคำบอกนี้แล้วสิบทิศก็กดตัดสายในทันที

แม้จะมองอยู่ห่างๆ เพราะไม่สามารถเข้าไปห้ามได้ แต่ฐานทัพก็รู้สึกผิดต่อจักรวาลไม่น้อยเมื่อคิดว่าฝ่ายนั้นอาจจะไม่รู้เรื่องจริงๆ ทว่าหลังจากคิดเช่นนั้นแล้วชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งก็มีภาพเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นมา

จักรวาลเคยเอากุญแจห้องพักของเขามาคืนให้ เพราะเขาทำตกเอาไว้ในรถที่ให้ลูกค้าทดลองขับ

พอนึกเรื่องนั้นออกฐานทัพก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาครามครัน

ความเป็นไปได้ว่าจักรวาลจะเป็นคนร้ายจริงๆ อย่างที่สิบทิศคาดการณ์ไว้ค่อนข้างสูงมากทีเดียว ยิ่งคิดว่าช่วงนั้นคือช่วงเดียวกับที่มีคนเข้าไปขโมยของในห้องเขาก็ราวกับยิ่งเป็นหลักฐานยืนยันมัดตัวจักรวาลเอาไว้

แม้จะรู้ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นฐานทัพก็ยังไม่ได้พูดมันออกไป กลับเป็นสิบทิศเสียเองที่บอกให้เขาเตรียมออกไปสถานีตำรวจด้วยกัน โดยที่สิบทิศไม่ลืมคว้ากล่องพัสดุใบนั้นติดมือไปเป็นหลักฐานด้วย

เมื่อไปถึงสถานที่นัดหมาย สิบทิศแจ้งความจำนงต่อตำรวจว่านำหลักฐานในคดีมาส่งเพิ่มเติมพร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวจะมีผู้ต้องสงสัยมาตามที่เขานัดไว้ อยากให้ช่วยดำเนินการในขั้นตอนต่อไปด้วย

ครั้นจักรวาลมาถึงฐานทัพก็รู้สึกพูดไม่ออก เข้าหน้าไม่ติด ขณะที่สิบทิศจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตามาดร้ายหลังจากเขายืนยันว่าบุคคลที่ก้าวเข้ามาในพื้นที่คือรุ่นพี่ฝ่ายขาย เพื่อนร่วมงานของเขา

สีหน้าของจักรวาลมีหลากหลายอารมณ์ ทั้งสับสน ไม่เข้าใจ และไม่พอใจคละเคล้ากัน พอเจ้าตัวอ้าปากเรียกเขาว่า ‘ฐาน’ สิบทิศก็ก้าวขึ้นมาเอาตัวบังไว้ จากนั้นพูดจาด้วยน้ำเสียงข่มใส่

“ผมคุยกับตำรวจไว้แล้ว คุณหนีไม่พ้นแน่”

“อยู่ๆ มากล่าวหาว่าผมเป็นคนร้ายที่ทำร้ายฐานมันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอครับ”

“ก็เพราะว่าคุณมาส่งฐานเมื่อวาน คุณถึงได้รู้ที่อยู่ของฐานไง แล้วก็ส่งของนั่นมา”

“ของอะไรกัน”

จักรวาลแสดงสีหน้างงงันอย่างชัดเจน

สิบทิศพยักพเยิดหน้าไปทางกล่องพัสดุที่อยู่บนโต๊ะทำงานของตำรวจ พอเห็นเช่นนั้นจักรวาลก็ครางออกมา

“ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้เป็นคนส่งกล่องนั่นไปให้ฐานด้วย”

หลังจากฟังคำพูดนั้นฐานทัพก็เริ่มรู้สึกว่าคงยืนเฉยต่อไปไม่ได้ แม้จะรู้สึกไม่ดีที่ต้องพูดเรื่องนี้ แต่หากจักรวาลเป็นคนร้ายจริงมันก็น่ากลัวเกินกว่าจะทำเหมือนตนจับสังเกตเรื่องนั้นไม่ได้

“แต่พี่แซม”

พอเอ่ยเรียก ดวงตาของเจ้าของชื่อที่ตวัดกลับมามองก็ทำให้ฐานทัพรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย

มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เคยได้รับ

สายตาของจักรวาลที่มองเขามักมีความเป็นมิตรอยู่เสมอ แต่ในเวลานี้กลับมีแววหวาดระแวงปรากฏชัด

“พี่เคยเก็บพวงกุญแจห้องของผมได้ใช่ไหมครับ”

“ก็ฐานเป็นคนทำตกไว้ในรถ พี่เลยเอามาคืน มันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือไง”

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาค่อนข้างห้วนจนฐานทัพรู้สึกกดดันที่ต้องพูดประโยคต่อไป เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะเค้นคำพูดออกมาได้

“แต่ว่า...วันถัดจากวันที่พี่เก็บมันได้และเอามาคืน คือวันที่มีคนแอบเข้าไปในห้องผม”

“ว่าไงนะฐาน!”

ไม่ใช่จักรวาลที่โต้ตอบกลับมา แต่เป็นสิบทิศ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความขุ่นเคืองว่าทำไมถึงไม่เคยบอกเขาเรื่องนี้

ฐานทัพก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกผิดอยู่จางๆ ที่ไม่ได้เล่าให้อีกฝ่ายฟัง

“เอาจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากเชื่อหรอกว่าพี่แซมจะเป็นคนทำ”

“ฐานจะเห็นใจคนร้ายหรือไง”

“ยังยืนยันไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ พี่ก็อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปสิ”

ดูเหมือนว่าคำพูดนี้ของเขาจะทำให้สิบทิศมีน้ำโหพอประมาณ

เจ้าตัวยกมือขึ้นไปชี้หน้าจักรวาลและพูดเต็มเสียงอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร หลักฐานก็ทนโท่ ของที่ถูกส่งมานั่นก็ส่งมาหลังจากมันมาส่งฐานที่คอนโดฯ พี่ มีคนบุกรุกห้องเก่าของฐานก็หลังจากที่มันได้พวงกุญแจห้องไป แล้วมีอะไรที่บอกว่ามันไม่ใช่คนร้ายอีก”

“คุณกล่าวหาผมอย่างนี้ ผมฟ้องหมิ่นประมาทได้นะ”

“ทุกอย่างมันชี้ไปที่คุณ ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณไม่ใช่คนร้าย งั้นก็แสดงหลักฐานมาสิ”

เหมือนกับว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งคู่จะย่ำแย่ลงไปอีกจนฐานทัพรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น

เขามองทั้งคนรักและรุ่นพี่สลับกันไปมา ทั้งสองคนต่างก็ใช้สายตาห้ำหั่นกัน สุดท้ายแล้วก็เป็นตำรวจที่พูดแทรกช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลาย

“ผมว่าเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปอย่างที่น้องเขาบอกจะดีกว่านะครับ ยังไงทางตำรวจก็ต้องตรวจสอบหลักฐานอยู่แล้ว เอ่อ คุณ...จะเป็นไรไหมครับถ้าผมจะขอเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอเพื่อไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของคนร้าย”

คนกลางพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยอมประนีประนอม ซึ่งจักรวาลก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถึงกระนั้นก็ยังจิกสายตามองสิบทิศด้วยความไม่พอใจ

“ได้ครับ จะได้ยืนยันกันไปเลยว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่ฝ่ายนั้นกล่าวหา”

เมื่อจักรวาลเอ่ยปากเช่นนั้นแล้วก็ให้ตำรวจเก็บตัวอย่างเส้นผมไปจำนวนหนึ่งและลงประวัติส่วนตัวพร้อมวิธีการติดต่อ จากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปหลังตำรวจบอกว่าเมื่อผลการตรวจสอบออกมาแล้วจะแจ้งให้ทราบ แต่ปัญหาคือหลังจากนั้น

สิบทิศดูไม่พอใจเท่าไรที่เขายังไม่ปักใจเชื่อว่าจักรวาลเป็นคนร้าย สีหน้าจึงบึ้งตึงแม้ว่าจะกลับไปถึงคอนโดมิเนียมแล้วจนเขาต้องเอ่ยปาก

“ถ้าพี่ไปกล่าวหาอย่างนั้นแล้วเกิดเขาไม่ใช่คนร้ายจริงๆ ขึ้นมาล่ะ”

“จะไม่ใช่ได้ยังไง ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะมีใครอีก”

“ถ้าเขาเป็นคนร้ายจริง เขาจะไปโรงพักโดยไม่สะทกสะท้านเหรอครับ แล้วยังให้ตรวจดีเอ็นเออย่างเต็มใจด้วย ถ้ายอมตรวจแล้วผลออกมา ยังไงก็แย้งไม่ได้แล้วนะ หากเขาเป็นคนร้าย ทำอย่างนี้ไม่เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองเหรอ”

คงเพราะคำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผลมาก สิบทิศจึงยอมเงียบ ถึงกระนั้นสีหน้าก็ยังแสดงออกชัดว่ายอมรับไม่ได้

“พี่ทิศ ถ้าเกิดว่าพี่แซมไม่ใช่คนร้ายจริงๆ แล้วเขาฟ้องกลับพี่จะกลายเป็นคนที่ลำบากแทนนะ ผมไม่อยากให้พี่ปรักปรำเขา แล้วก็ถ้าผลออกมาไม่ใช่อย่างที่พี่คิด พี่ก็ต้องไปขอโทษเขาด้วย แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะยอมให้อภัยพี่หรือเปล่าด้วยสิ”

“ฐานพูดเหมือนพี่ผิดเลยนะ”

จากที่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์และมีความกรุ่นโกรธ เวลานี้กลับเป็นสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความตัดพ้อ

ฐานทัพส่ายศีรษะที่คนรักเริ่มทำตัวเป็นเด็กเพราะอยากให้เขาเอาใจ แสดงความห่วงใยใส่ใจ

“คนที่บุ่มบ่ามทำเรื่องใจร้อนคือพี่เองไม่ใช่เหรอ”

พอเขาพูดแบบนั้นออกไปยิ่งทำให้สิบทิศหน้าบูดบึ้งกว่าเก่าเสียอีก

ฐานทัพนั่งมองสีหน้านั้นอยู่สักพักก็ถอนหายใจออกมาอย่างยอมจำนน เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมเปลี่ยนสีหน้าสักที

เขายื่นมือไปจับมือสิบทิศเอาไว้เป็นเชิงปลอบใจนิดๆ เพื่อให้คลายอารมณ์กรุ่นลง

ดูเหมือนมันจะช่วยได้นิดหน่อย ฐานทัพจึงเอ่ยปากอีกครั้ง พร้อมกับเอียงคอน้อยๆ ทำตาที่กลมอยู่แล้วให้แป๋วกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะทำ

“ผมหิวแล้ว หาอะไรกินเถอะ”

คราวนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี เพราะเป็นสิบทิศที่ถอนหายใจออกมาบ้าง

คงต้านทานลูกอ้อนของเขาไม่ไหวกระมัง ถึงเขาจะรู้สึกว่ามันน่าขนลุกอยู่เหมือนกันที่ทำอะไรแบบนี้

แต่ก็เอาเถอะ ถ้าทำให้อีกฝ่ายหายอารมณ์บูดได้เขาก็ถือว่ารอดตัว

 

 

v



v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 7th Lie [31/3/62]
«ตอบ #21 เมื่อ31-03-2019 20:58:36 »





v



v

หลายวันหลังจากนั้นก็ได้รับการติดต่อมาจากทางตำรวจ แจ้งว่าผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังเลิกงานฐานทัพและสิบทิศ รวมถึงคู่กรณีอย่างจักรวาลจึงไปพบกันที่สถานีตำรวจ ทว่าเมื่อเอกสารแสดงผลการตรวจถูกยื่นมาให้พร้อมคำสรุปของตำรวจผู้ดูแลคดี อารมณ์ของคนทั้งสามก็กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง

สิบทิศหน้าบึ้งฉายแววทะมึนยิ่งกว่าเดิม ราวกับกำลังถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้มก่อนมรสุมจะถล่ม

จักรวาลหน้านิ่ง เหลือบตามองทางสิบทิศด้วยแววดูถูกดูแคลน

ฐานทัพหน้ากระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เม็ดเหงื่อบางๆ ผุดซึมข้างขมับ

นั่นเพราะดีเอ็นเอของจักรวาลไม่ตรงกับที่ผู้ร้ายทิ้งเอาไว้ ไม่เหมือนเลยแม้แต่นิดเดียว สรุปได้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง

ฐานทัพมองหน้าคนทั้งสองสลับกันอยู่สองสามครั้ง หันไปมองหน้าตำรวจอีกหนึ่งที อีกฝ่ายยิ้มแหยให้เพราะเข้าใจสถานการณ์ดีจึงกล่าวสรุปอีกรอบ

“ในเมื่อคุณจักรวาลไม่ใช่ผู้ร้าย เพราะฉะนั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้เสียเวลา และต้องขอบคุณด้วยเช่นกันที่ยอมสละเวลาอันมีค่ามาเพื่อพิสูจน์ความจริง ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของคอนโดฯ และสอบปากคำ รปภ. ก็ออกมาว่าไม่ได้สามารถระบุตัวคนร้ายได้เนื่องจากสวมหมวกและแว่นตาปิดบังใบหน้า ลายนิ้วมือบนกล่องพัสดุและกางเกงในก็มีแต่ลายนิ้วมือของคุณฐานทัพและคุณสิบทิศครับ”

พูดเช่นนั้นจบบุคคลที่สี่ก็เอ่ยขอตัวก่อนจะชิงหนีออกไปจากวงโคจรดำทะมึนนี้ทันที

ฐานทัพมองสภาพการณ์นี้อยู่หลายวินาที เมื่อเห็นว่าบรรยากาศคงไม่คลี่คลายลงแน่หากตนไม่เริ่มพูดอะไรบ้างจึงยอมเกริ่นขึ้น

“พี่แซม ผมขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้พี่เดือดร้อนและเสียเวลา ขอโทษจริงๆ นะครับ”

“ไม่ใช่ความผิดฐานหรอก ถึงจะรู้สึกสงสัย แต่ฐานก็ไม่ได้พูดจาหรือทำตัวไม่ดีกับพี่”

คำตอบของจักรวาลดูเหมือนการกระทบกระเทียบคนที่ทำตัวเช่นนั้นจนฐานทัพต้องกลืนน้ำลายเอื๊อก รีบดึงแขนสิบทิศเพื่อให้เจ้าตัวรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรต่อไป

สิบทิศหันมามองเล็กน้อย พอเห็นสีหน้าของเขาที่แฝงด้วยแววอ้อนวอนว่าช่วยขอโทษอีกฝ่ายดีๆ หน่อยเถอะก็คล้ายจะยอมจำนนต่อความผิดของตัวเองในที่สุด

“ผมขอโทษด้วยครับที่กล่าวหาคุณ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเสียมารยาทกับคุณหรอกนะ แต่ผมแค่เป็นห่วงฐานเลยอยากจับคนร้ายให้ได้เร็วๆ เท่านั้นเอง หวังว่าคุณจะเข้าใจนะครับว่าเวลาที่แฟนตัวเองโดนใครก็ไม่รู้คุกคามมันน่าโมโหแค่ไหน”

แม้จะพูดขอโทษและอธิบายเหตุผลให้ฟัง แต่น้ำเสียงก็ยังกระด้างอยู่ดีจนฐานทัพต้องดึงแขนอีกรอบ สิบทิศถึงยอมเอ่ยออกมาสั้นๆ

“ขอโทษครับ”

ได้ฟังเท่านั้นก็รู้แล้วว่าสิบทิศคงไม่พูดอะไรมากเกินไปกว่านี้แน่นอน จึงเป็นฐานทัพเสียเองที่พูดขึ้นมา

“ผมขอโทษจริงๆ นะพี่แซม แล้วผมก็ขอโทษแทนพี่ทิศอีกที ช่วยอภัยให้ด้วยนะครับ”

“โอเคๆ พี่เห็นแก่ฐานหรอกนะ”

ดูเหมือนว่าจักรวาลจะใจอ่อนเมื่อได้ยินน้ำเสียงกึ่งอ้อนอยู่หน่อยๆ ของเขา รอยยิ้มจึงผลิที่แก้มเบาๆ พร้อมกับเจ้าตัวยื่นมือออกมาลูบศีรษะเตียน แต่ยังไม่ทันที่มือจะแตะโดนก็ถูกมือของอีกคนหนึ่งคว้าเอาไว้เสียก่อน

“โทษที แต่ผมหวง อย่าแตะง่ายๆ จะได้ไหมครับ”

คำพูดของสิบทิศทำเอาฐานทัพถลึงตาใส่ในทันควันก่อนจะหันไปยิ้มแหยให้จักรวาลที่ถูกคว้ามือเอาไว้

ทว่าจักรวาลยิ้มออกมาเหมือนเข้าใจว่าเหตุใดสิบทิศถึงไม่ยอมพูดจาด้วยดีๆ และโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูฐานทัพ

“มีแฟนขี้หวงแบบนี้ก็ต้องลำบากหน่อยนะ”

ทั้งที่คิดว่าตนเองเป็นคนหน้าทนพอประมาณ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าเท่าไรนัก แต่ประโยคนั้นกลับทำให้ฐานทัพรู้สึกว่ามีไอร้อนกรุ่นๆ อยู่บนแก้มได้

เขาหันไปจ้องจักรวาลคล้ายจะต่อว่ากลายๆ แต่ไม่ถึงวินาทีมือที่คว้าแขนจักรวาลไว้ก็เปลี่ยนเป็นมาดึงร่างเขาให้ออกห่างจากรุ่นพี่ร่วมงานให้มากที่สุด พร้อมทั้งเอาอีกมือหนึ่งมาปิดตาไว้อีกต่างหาก

เสียงทุ้มเข้มดังมาเหมือนคนไม่สบอารมณ์

“กลับกันได้แล้ว”

ก่อนจะต่อด้วยอีกประโยคที่เหมือนจะพูดกับอีกคนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น

“ขอบคุณที่ช่วยเลือกน้ำหอมให้ แต่ทีหลังไม่ต้องนะครับ ผมเกรงใจ”

จากนั้นร่างของฐานทัพก็แทบปลิวไปตามแรงดึงมหาศาล ตรงไปยังทางออกของสถานีตำรวจ

ฐานทัพหันกลับไปมองจักรวาลที่อยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังอมยิ้มราวกับล้อเลียน

“ทำอะไรของพี่เนี่ย”

เมื่อมาถึงรถยนต์ฐานทัพถึงสามารถสะบัดแขนของตัวเองให้หลุดออกจากการจับกุมเอาไว้ได้

สิบทิศตอบออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่าไม่ชอบให้เขาสนิทสนมกับคนอื่นด้วยหน้าตาบูดบึ้งจนเขาต้องสวนกลับไป

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ นั่นพี่ที่ทำงานนะ จะสนิทกันก็ไม่แปลกสักหน่อย”

“ก็พี่ไม่ชอบนี่นา”

คำตอบที่ย้อนกลับมาทำให้ฐานทัพต้องส่ายศีรษะอย่างอิดหนาระอาใจในความขี้หึงขี้หวงของคนรัก

“ถึงจะไม่ชอบก็ทำมารยาทดีกับเขาหน่อยเถอะ ดีว่าพี่แซมไม่เอาเรื่องที่ไปปรักปรำเขานะ”

คงรู้สึกว่าโดนต้อนจนมุมกระมัง สิบทิศจึงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถึงอีกเรื่องเพื่อเบี่ยงประเด็น

“ว่าแต่ถ้าไม่ใช่หมอนั่นแล้วใครกันที่เป็นคนร้าย คนที่รู้ว่าฐานอยู่กับพี่ก็มีแค่เพื่อนที่ทำงานไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่อยู่หรอก แต่ถึงจะรู้ว่าผมอยู่กับพี่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้จักคอนโดฯ พี่เสียเมื่อไร”

“งั้นทำไมไอ้เลวนั่นถึงรู้ได้”

นั่นเป็นคำถามประเภทเดียวกับคำถามโลกแตกเพราะไม่รู้จะหาคำตอบได้อย่างไรและคำตอบไหนถึงจะถูกต้อง

ทั้งสองคนต่างเงียบไปคู่หนึ่งก่อนเสียงร้อง “หรือว่า” ของสิบทิศจะดังขึ้นอีกครั้งราวกับเพิ่งนึกอะไรออก

“ฐาน ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”

ถึงแม้จะงงงวยแต่ฐานทัพก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้อีกฝ่ายทั้งๆ อย่างนั้น

สิบทิศรับมันไป แต่เมื่อหน้าจอสว่างก็พบว่ามันล็อกอยู่ เป็นวิธีการล็อกแบบต้องใช้ลายนิ้วมือปลดล็อก โทรศัพท์จึงถูกส่งกลับมา

“ปลดล็อกหน่อย”

หลังจากมันเข้าสู่หน้าจอการทำงานเต็มประสิทธิภาพแล้วสิบทิศก็จ้องเขม็งไปยังหน้าจอดุจดั่งจะไม่ให้มีอะไรคาดสายตาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมาถามอีกครั้ง

“แอปนี้ฐานเป็นคนลงเอาไว้หรือเปล่า”

พอถูกถาม ฐานทัพก็ก้มลงไปมองไอคอนที่ถูกเจาะจง

มันเป็นรูปแผนที่แผ่นพับและมีรูปตัวคนอยู่ ดูไม่คุ้นตาแม้แต่น้อยฐานทัพจึงได้แต่ปฏิเสธไป ขณะที่ความสงสัยก่อกำเนิดขึ้นเป็นรูปร่าง

“เปล่านี่ ผมโหลดมาตั้งแต่เมื่อไร?”

ครั้นเสียงของเขาจบลง สิบทิศก็เปิดแอปพลิเคชันขึ้นมาทันที

บนนั้นปรากฏภาพกราฟิกคล้ายเวลาเปิดกูเกิลแม็ปชอบกล เค้ารางอะไรบางอย่างค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความคิดทำให้ฐานทัพพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ขณะเดียวกันเสียงร้องของสิบทิศก็ดังขึ้น

“หรือว่ามันจะใช้แอปนี่ตามผม?”

“เจอตัวแล้ว ไอ้เลว”

ไม่ต้องพูดอธิบายอะไรต่อก็กระจ่างแจ้งถึงคำตอบของคำถามที่คิดว่าโลกแตกกันทั้งคู่

ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันคล้ายตั้งคำถามว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ก่อนสิบทิศจะเป็นคนสรุป

“ไปลากคอมันกัน”

 

 

จุดหมายของพวกเขาถูกระบุเอาไว้แน่ชัดอยู่แล้ว เป็นบริษัทแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากละแวกนี้นัก บ่งบอกให้รู้ว่า ‘ผู้ร้ายคดีทำร้ายร่างกายและอนาจาร’ เป็นพนักงานบริษัทแห่งนั้นอย่างแน่นอน แต่ฐานทัพไม่มีฐานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่น่าจะสังกัดอยู่ที่นั่นแม้แต่น้อย

แต่จะว่าไปก็คงไม่แปลก เพราะใช่ว่าเขาจะรู้จักคนมากหน้าหลายตาอย่างลึกซึ้ง ที่ผ่านมาอย่างมากเพียงโฉบเฉี่ยวแค่คืนเดียวก็จากลาแทบทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น

เมื่อถึงที่หมาย เหลือเพียงแค่รอให้อีกฝ่ายออกมาจากตึกบริษัทเท่านั้นก็สามารถคว้าตัวคนร้ายได้โดยไม่ยากเย็น

เขาและสิบทิศนั่งรอการเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตูทางออกของอาคาร ขณะเดียวกันก็หวนคิดว่าที่ผ่านมาลำบากหาตัวคนร้ายอย่างเสียเปล่าแท้ๆ ทั้งที่วิธีจับตัวอยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงเพียงนี้แต่กลับไม่นึกถึง ไม่เอะใจสักนิด

ครั้นนึกถึงแต่ละสิ่งอย่างก็เข้าใจถึงที่มาที่ไปได้ทันที

โทรศัพท์ของเขาปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ หากเขาไม่มีสติอยู่ ใครก็สามารถจับมือของเขาไปปลดล็อกมันได้ง่ายๆ

ตำแหน่งของอะพาร์ตเมนต์ก็รู้ได้ด้วยการแอบลงแอปพลิเคชันตรวจจับจีพีเอสของเพื่อนอย่างที่เห็นอยู่

ส่วนลูกกุญแจห้องก็มีการปั๊มหมายเลขห้องเอาไว้ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าคือลูกกุญแจที่ได้รับจากทางหอพักจริงๆ เนื่องจากหลังยกเลิกสัญญาเช่าต้องนำลูกกุญแจจริงมาคืน ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับเงิน

สุดท้ายปัจจัยหลายๆ อย่างก็ทำให้มันลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ...และนำภัยมาสู่ตัวเขา

เฝ้าคอยไม่นานเกินรอก็เห็นโครงร่างของใครคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูทางออก

สิบทิศแทบจะพุ่งพรวดเข้าไปหาเจ้าของร่างนั้นแบบทันทีทันใด

“รอดูก่อนสิ อาจจะไม่ใช่เขาก็ได้”

พอโดนเลิกคิ้วสงสัยใส่ว่ารออะไรอีกเล่า ฐานทัพที่กระชากสิบทิศเอาไว้ทันเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายผลีผลามเหมือนคราวจักรวาลอีกก็ตอบข้อสงสัย แม้ว่าคนที่ตนเห็นว่าเดินออกมาจะเป็นคนคุ้นหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่นานนี้

“ใช่ว่าคนในบริษัทนี้จะมีคนเดียวเสียเมื่อไร แถมถ้ายังอยู่ในเขตบริษัทก็ยังระบุตัวจริงๆ ไม่ได้ไม่ใช่หรือไงครับ”

ครั้นถูกเขาชี้แจงรายละเอียด สิบทิศก็เหมือนจะอารมณ์เย็นลงแล้วจ้องเขม็งไปยังร่างสูงโปร่งนั้นที่ดูคุ้นตาเสียเหลือเกินสลับกับหน้าจอโทรศัพท์ของฐานทัพที่ยังคงเปิดแอปพลิเคชันสะกดรอยเอาไว้

“ถ้าสรุปว่าเป็นมันจริงๆ พี่ไม่ปล่อยไว้แน่”

เสียงทุ้มลอดออกมาจากการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บอกให้รู้ว่ามีความโกรธแค้นเสียยิ่งกว่าตัวคนที่ถูกทำร้ายอย่างรุนแรงเสียอีก

ฐานทัพกุมมืออีกฝ่ายให้ใจเย็นลงเพราะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดจะช่วยชโลมใจที่ร้อนรุ่มเพราะเขาได้ดีกว่านี้อีกแล้ว

สายตาสองคู่ต่างจับจ้องไปตามการเคลื่อนที่ของเป้าหมาย จดจ่ออยู่แต่กับสองสิ่ง มองสลับขึ้นลงเรื่อยๆ จนกระทั่งใครคนนั้นขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์และขี่ออกไปจากอาณาเขตของบริษัท

ฉับพลันนั้น...

“ขยับแล้ว!”

สิบทิศโพล่งเสียงออกมาพร้อมกับร่างที่ทะลึ่งพรวดขึ้นราวกับโดนกระตุกเส้นด้ายบนศีรษะ จนฐานทัพที่กุมมือเอาไว้ถูกดึงติดขึ้นมาด้วยโดยไม่ทันตั้งตัว

“ใช่มันจริงๆ”

เมื่อสิ้นเสียงนั้น สิบทิศก็ถลาตัวออกไปที่รถยนต์อย่างรวดเร็ว

ฐานทัพจำต้องปล่อยมือออกเพราะไม่เช่นนั้นคงถูกลากวิ่งไปด้วยกันเป็นแน่ กระทั่งเขาขึ้นรถได้สำเร็จ สิบทิศก็รีบเร่งเครื่องยนต์ตามเป้าหมายออกไปทันที

พวกเขาไล่ตามไปโดยเร็วที่สุด แต่ด้วยความคล่องตัวของพาหนะก็ทำให้ชายคนนั้นห่างออกไปมากขึ้น และสุดท้ายก็คลาดกันเพราะรถติดสัญญาณไฟแดง

สิบทิศทุบพวงมาลัยรถอย่างแรงและสบถออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดจนฐานทัพต้องปลอบด้วยน้ำเสียงสงบ

“เดี๋ยวผมเช็กดูก่อนว่ามันไปถึงไหนแล้ว”

เขาเปิดแอปพลิเคชันตรวจจับจีพีเอสอีกครั้ง แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายหยุดอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่ง

พอเอาที่หมายให้สิบทิศดู เจ้าตัวก็รีบเร่งเครื่องยนต์เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนสี มิหนำซ้ำยังหันมาถามเป็นระยะว่าผู้ต้องสงสัยนั่นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่

“ที่เดิมๆ”

ฐานทัพเอ่ยตอบพร้อมกับดูทางที่ด้านหน้าและหน้าจอโทรศัพท์สลับกัน

เมื่อรถยนต์เข้ามาในย่านร้านขายอาหารที่ตั้งเรียงกันอยู่เกือบสิบร้านซึ่งเป็นที่หมาย สิบทิศก็รีบพุ่งตัวออกไปจากรถทันที ปล่อยให้ฐานทัพได้แต่เหลอหลาเพราะว่าประตูรถฝั่งคนขับยังเปิดค้างไว้อยู่เลย

เขาคว้ากุญแจรถซึ่งนอนอยู่ในช่องวางแก้วใกล้กับเกียร์แล้วลงจากรถไปปิดประตูฝั่งคนขับด้วย ก่อนจะวิ่งตามหลังไวๆ ของสิบทิศไป

ครั้นตามไปทันก็เห็นว่าผู้ต้องสงสัยรายนั้นถูกสิบทิศจับล็อกคอเอามือไพล่หลังเพื่อไม่ให้หนีไปได้ไกลกว่านั้นเรียบร้อยแล้ว

“นี่มันอะไรกันฐาน”

สีหน้าตื่นตกใจหันมาทางเขาทันควัน ไม่ว่าเจ้าตัวพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการจับกุมสักเท่าไรก็ไม่สำเร็จ

“ขอโทษนะกวี แต่ผมมีเรื่องอยากถาม”

“ไม่ต้องถามหรอกฐาน เอามันไปส่งตำรวจนั่นแหละ”

สิบทิศออกแรงรั้งตัวกวีเอาไว้มากขึ้นตามแรงสะบัด

“ทำไมต้องเอากูไปส่งตำรวจด้วย”

“แล้วมึงทำชั่วๆ อะไรเอาไว้ล่ะ”

“กูไม่ได้ทำ!”

เสียงร้องปฏิเสธดังลั่นจนผู้คนที่แวะเวียนมาซื้ออาหารต่างมองมาเป็นตาเดียวยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“เดี๋ยวตรวจดีเอ็นเอก็รู้ว่าทำหรือไม่ทำ”

หลังจากพูดเพียงเท่านั้นสิบทิศก็เริ่มลากตัวกวีให้ตามไปด้วยกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนขัดขืนสักเท่าไรก็ไม่เป็นผล ในขณะที่ฐานทัพไม่ได้เอ่ยค้านใดๆ ได้แต่เดินตามหลังคนที่ถูกลากถูลู่ถูกังไป เพราะคราวนี้เขาก็มั่นใจแล้วเช่นกัน

คนที่ทำร้ายเขาก็คือผู้ชายคนนี้จริงๆ

 






------------------------------

ตอนสุดท้ายของพาร์ตนี้แล้ว

ตอนหน้าเป็นพาร์ทใหม่ ที่มาของ White Lie จริงๆ



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 7th Lie [31/3/62]
«ตอบ #22 เมื่อ22-11-2019 22:17:38 »

 :pig4:
 :3123: :L1: :L2:
รออ่านต่อนะค่ะ

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 8th Lie [18/3/6]
«ตอบ #23 เมื่อ18-03-2020 21:06:28 »
















8th Lie

ผมเป็นผู้ชายคนแรกของเขา


 

ผลออกมาเป็นอย่างที่คาด แม้ตำรวจเจ้าของคดีจะค่อนข้างหวั่นกลัวเนื่องด้วยขยาดในความผิดพลาดครั้งก่อน แต่ก็ยอมเดินเรื่องต่อแต่โดยดีเพราะได้รับแรงกดดันมหาศาลจากสิบทิศ

กวีเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่ก่อคดีในคราวนี้จึงถูกตัดสินโทษทางอาญาให้ต้องจำคุกตามความผิด ทั้งกักขังหน่วงเหนี่ยว ใช้กำลังประทุษร้าย ข่มขืนใจ พยายามกระทำชำเรา เพราะหลักฐานมัดตัวแน่นหนา

ฐานทัพรู้สึกได้รับอิสระอีกครั้งหลังต้องหวาดระแวงว่าจะถูกคุกคามเมื่อไรมาหลายเดือน แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เพราะนั่นทำให้รู้ว่าสิบทิศมีความรักให้เขามากแค่ไหน และมันก็ยิ่งทำให้ฐานทัพถลำตัวถลำใจไปกับความรักครั้งนี้มากยิ่งขึ้นอีก

แม้ว่าความสัมพันธ์ฉันคนรักจะผ่านมาร่วมปี แต่สิบทิศก็ยังแสดงความรักอย่างล้นเหลือ

ความรู้สึกว่าเป็นที่รักทำให้ฐานทัพรู้สึกหัวใจพองโตทุกเมื่อ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องเล็กน้อยสักแค่ไหนให้ ก็ทำให้เขามีความสุขและอมยิ้มได้

สิ่งที่เรียกว่าความรักและความสุขล้นอกอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้พบและได้รับมันจากใครสักคน

“เอ๊ะ ฐานทัพ?”

เสียงเรียกจากลูกค้าหนุ่มที่เดินเข้ามาในจังหวะที่ตนเป็นคนต้อนรับพอดีทำให้ฐานทัพแปลกใจเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายทำท่าเหมือนรู้จักเขา

เมื่อพิจารณาใบหน้าคมเข้มของร่างสูงใหญ่นั้นแล้ว ฐานทัพก็รู้สึกว่าคุ้นหน้าเช่นเดียวกัน

หรือว่าจะเป็นสักคนหนึ่งที่เขาเคยร่วมเตียงด้วย?

“ทำหน้าเหมือนจะนึกออกแต่ก็นึกไม่ออกนะ”

รอยยิ้มอบอุ่นโปรยมาให้อย่างเป็นกันเอง ไม่เพียงแต่ริมฝีปากเท่านั้นที่ยิ้ม แต่ดวงตาก็มีความวาววับส่องประกายอยู่ ให้บรรยากาศเป็นมิตรจนเขาเริ่มสนใจใคร่รู้

“ขอโทษครับ มันเหมือนจะนึกออกจริงๆ นั่นแหละ”

“ก็ไม่ได้เจอมาตั้งห้าหกปีนี่นา ไม่แปลกหรอก”

รอยยิ้มยังคงติดอยู่บนใบหน้าสีน้ำผึ้งและดูเป็นผู้ใหญ่กว่าตนเองมาก ไม่ใช่เพียงแค่ขนาดตัว ทำให้รู้สึกวางใจและสบายใจที่จะคุยด้วยอย่างน่าประหลาด ทั้งที่เพิ่งพบหน้าเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น

“พี่เคยไปกับฐานครั้งหนึ่ง ฐานเป็นผู้ชายคนแรกของพี่ไง”

อีกฝ่ายตอบคำถามในใจของเขา ทำให้เขาหวนรำลึกถึงความหลังพลางมองหน้าคมสันนั้นไปด้วย

ภาพในอดีตเหมือนจะย้อนกลับมาเล็กน้อย ก่อนจะสว่างวาบจนพลอยให้เขาหลุดเสียงร้อง “อ๋อ” ออกมา

“นึกออกแล้วใช่ไหม”

“พี่คือคนที่เดินเข้ามาถามผมว่าผมเป็นเกย์ใช่ไหม ใช่หรือเปล่า”

คำถามของเขาทำให้ฝ่ายนั้นยิ้มกว้างกว่าเดิม บอกว่าตัวเองชื่อภันก่อนจะแซวว่า

“ไม่นึกว่าจะจำได้ถึงขนาดว่าพี่เคยพูดอะไรเอาไว้ตอนนั้น”

“ก็พี่เล่นถามในผับเกย์ มันก็ต้องประหลาดจนจำได้น่ะสิ”

ฐานทัพหลุดเสียงหัวเราะออกมาด้วย จากนั้นจึงค่อยเข้าประเด็นของการมา

ภันวัฒน์บอกว่าเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศและจะเริ่มงานตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจึงอยากได้รถไว้ใช้ เลยแจ้งความประสงค์ว่าสนใจรถรุ่นใด และอยากให้ฐานทัพแนะนำเพิ่มเติม เมื่อได้ข้อมูลตามที่ต้องการแล้วก็เอ่ยปาก

“พี่ขอลองเทสต์รถหน่อยได้ไหม”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมขอดูให้แป๊บนะ”

ฐานทัพไปเช็กตารางคิวรถสำหรับให้ลูกค้าทดลองขับ แต่ก็พบว่ารถรุ่นที่อีกฝ่ายต้องการมีลูกค้าอีกคนเพิ่งเอาออกไปทดลองขับ

“คงต้องรอสักครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมงนะครับ”

“งั้นเหรอ แย่จังแฮะ เดี๋ยวพี่ต้องไปรายงานตัวที่ทำงานต่อด้วยสิ”

ภันวัฒน์ทำหน้าเสียดายอย่างจริงใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ

“เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน พี่ขอเบอร์ฐานหน่อยได้ไหม จะได้โทรมาเช็กก่อน”

“เอ่อ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดผมครับ”

อีกฝ่ายคราง “อ้าวเหรอ” อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยเสนอวันถัดไปเพราะไม่ได้รีบร้อนมาก ทั้งคู่จึงแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กันเพื่อติดต่อวันที่สะดวกในภายหลัง

 

 

คืนนั้นมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เพราะแม้จะล่วงเข้าเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลานอนตามปกติแล้วสิบทิศก็ยังไม่กลับมาที่ห้อง

ฐานทัพรู้สึกพะวักพะวนอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่คบกันในฐานะคนรัก สิบทิศไม่เคยไม่กลับห้องเลยสักครั้ง หรือหากมีงานสังสรรค์อะไรที่ทำให้กลับดึกเกินว่าปกติก็มักจะโทรบอกเขาเสมอ แต่วันนี้หลังจากโทรมาบอกว่ามารับไม่ได้เพราะต้องเลี้ยงรับรองลูกค้าก็ยังไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย

จะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า?

โดยปกติแล้วฐานทัพไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องงานของสิบทิศ หากอีกฝ่ายบอกว่าต้องไปรับรองลูกค้าเขาก็ไม่เคยโทรไปรบกวนสักครั้ง เพราะสิบทิศมักจะคะเนเวลาที่สามารถกลับได้และโทรมาบอกเสมอเพื่อเขาจะได้ไม่เป็นห่วง

ในตอนนี้จิตใจของฐานทัพจึงไม่สามารถสงบลงได้เพราะทุกอย่างแปลกไป

ครั้นโทรเข้าเบอร์ของสิบทิศก็มีสัญญาณแต่ไม่มีคนรับสาย

เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีเพราะไม่รู้จักเพื่อนร่วมงานหรือมักจี่กับเพื่อนสนิทคนอื่นๆ ที่พอจะขอให้ช่วยติดตามข่าวสารได้

ฐานทัพจึงต้องผ่านเวลาตลอดค่ำคืนนั้นด้วยความกังวล จะข่มตานอนก็หลับไม่ลง จะถ่างตาก็สะลึมสะลือเป็นพักๆ ทำให้อ่อนล้าไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ

กระทั่งได้ยินเสียงประตูเปิดออกเขาพลันลุกขึ้นจากโซฟา วิ่งพรวดไปที่ประตูหน้าตาตื่น

“พี่ทิศ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“อ้าวฐาน”

สิบทิศทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้ตามปกติ

“ขอโทษทีนะ พี่ทำให้ฐานไม่ได้นอนใช่ไหม”

อีกฝ่ายดึงตัวเขาไปกอดหลังจากมองหน้าอยู่พักหนึ่ง คงเห็นแววกังวลที่เปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่จึงอยากปลอบประโลมให้ใจสงบลง

“พอดีว่าพี่เผลอหลับไปน่ะ เพื่อนที่ไปด้วยกันเลยพาพี่กลับไปนอนห้องมันด้วย ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ”

สิบทิศปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มให้คลายความรู้สึกที่รุมเร้ามาตลอดทั้งคืน จากนั้นก็จูบที่ริมฝีปากเขาเบาๆ

“ไปนอนต่อไหม วันหยุดนี่นาใช่ไหม”

เขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะออกแรงกอดรัดอีกฝ่ายตอบ

สิบทิศหัวเราะเบาๆ แล้วกระเตงเขาที่เกาะแน่นตรงไปยังห้องนอน ล้มตัวนอนด้วยกันแล้วสิบทิศก็กอดเขาไว้พลางลูบศีรษะ ทำให้รู้สึกสบายใจจริงๆ

ฐานทัพซบหน้าลงกับแผ่นอกหนาหนั่น งึมงำบอกด้วยเสียงแผ่วเบา

“อย่าทำให้เป็นห่วงนักสิ”

สิบทิศไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทว่าเขารู้สึกว่าเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของอีกฝ่ายโดยที่ไม่ต้องเงยขึ้นไปมองแม้แต่น้อย

กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็เข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว สิบทิศยังคงอยู่ที่ห้อง ไม่ได้ออกไปทำงานเพราะได้รับวันหยุดพิเศษเนื่องจากไปเลี้ยงรับรองลูกค้าเมื่อคืน เป็นกฎของบริษัทที่ให้สิทธิพิเศษสำหรับพนักงานฝ่ายขายโดยเฉพาะ ตอนนี้เจ้าตัวจึงกำลังยืนทำอาหารกลางวันรอเขาตื่นอยู่

ฐานทัพเดินงัวเงียออกมาแม้ว่าจะล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว

พอได้ยินเสียงฝีเท้าสิบทิศก็หันมายิ้มหวานๆ ให้พร้อมกับตักเส้นสปาเกตตีใส่จานเตรียมพร้อมเสิร์ฟ

“พี่ว่าถ้าทำเสร็จจะไปปลุกฐานอยู่เลย”

“ผมได้กลิ่นไงเลยตื่นมาก่อน”

ฐานทัพยิ้มกระเซ้าก่อนจะไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร รออาหารแสนอร่อยมาเสิร์ฟ พลางเท้าคางมองสิบทิศอย่างเคลิบเคลิ้ม

เขาไม่เคยคิดมาก่อนและไม่เคยรู้สึกด้วย แต่พอได้คบกับสิบทิศแล้วถึงรู้สึกว่าผู้ชายที่ทำอาหารเป็นมีเสน่ห์

เขาชอบมองเวลาสิบทิศเคลื่อนไหวอยู่หน้าเตาแบบนี้ โดยเฉพาะตอนที่กำลังตั้งใจทำอาหารให้เขากิน

เขา...คนเดียว

รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนแก้มอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉับพลันนั้นเสียงโทรศัพท์ก็แทรกขึ้นมาให้สติที่ล่องลอยไปกลับคืนมาสู่ความเป็นจริง

ฐานทัพเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งเอาไว้บนโซฟาห้องนั่งเล่น ขมวดคิ้วมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจออยู่ครู่หนึ่งก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้และกดรับสาย

“สวัสดีครับ พี่ภัน”

[สวัสดีครับ ฐาน สะดวกคุยหรือเปล่า]

“สะดวกครับ พี่มีอะไรเหรอ”

[ก็เรื่องนัดเทสต์รถน่ะ พรุ่งนี้ได้ไหม พี่ว่างช่วงสิบโมงเช้า]

“ได้ครับ พี่เขามาตอนนั้นได้เลย เดี๋ยวผมเตรียมรถไว้ให้นะ”

[ขอบคุณครับ งั้นพี่ไม่รบกวนวันหยุดของฐานแล้วนะ บายครับ]

หลังจากกล่าว “บายครับ” เป็นการส่งท้ายเช่นเดียวกัน ฐานทัพก็กดวางสายไป

มุมปากเผลอยกขึ้นเล็กน้อย พลางคิดในใจว่าอีกฝ่ายพูดจาไพเราะจริงๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง ถึงจะคุยเรื่องงานแต่ก็ทำให้จิตใจผ่อนคลาย เป็นคนที่ประหลาดดี

อาจจะเรียกว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ทางคำพูดก็ได้

พอคิดอย่างนั้นแล้วเขาก็รู้สึกว่าถ้าได้คบหากันมากกว่าพนักงานขายกับลูกค้าคงจะดีไม่น้อย

ทัศนคตินี้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกอยากทำความรู้จักหรือสานสัมพันธ์กับคนที่ตนเคยขึ้นเตียงด้วยมาก่อน

อาจเพราะสิบทิศก็เป็นได้ที่ทำให้มุมมองในการใช้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป

เพราะไม่จำเป็นต้องรักษาระยะห่างกับใคร และไม่ต้องการคู่นอนชั่วคราวอีกแล้ว การคบหากับคนอื่นในฐานะที่แตกต่างจึงเริ่มมีความสำคัญ

อยากจะเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วๆ ไปที่มีเพื่อน มีคนที่รู้สึกสบายใจและไว้วางใจได้ให้คอยพูดคุยเรื่องต่างๆ กัน ไม่ได้อยู่แต่ในโลกที่มีเพียงตัวเองอีกต่อไป

“อะแฮ่ม”

อยู่ๆ เสียงกระแอมก็ดังมา ฐานทัพหันไปมองทางต้นเสียงก็เห็นว่าสิบทิศทำหน้าบูดมองมาจนต้องเอียงคอมองอย่างสงสัย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เมื่อกี้คุยกับใคร”

น้ำเสียงที่ถามมาเข้มแฝงแววกดดันบางอย่างที่ฐานทัพไม่ค่อยเข้าใจนัก

เขาตอบกลับไปอย่างสบายๆ แกมยิ้มหน่อยๆ ว่าลูกค้า ทว่าสิบทิศกลับหน้าตึงกว่าเดิม

“แล้วทำไมคุยเสร็จต้องยิ้มเหมือนมีความสุขด้วย”

ไม่เพียงแค่ทำหน้าตึงเท่านั้น มือที่วางจานสปาเกตตีเขียวหวานยังยื่นมาบีบแก้มเขาอย่างแรงอีกด้วย

ฐานทัพรีบเอามือประกบเพื่อจะดึงคีมยักษ์นั้นออก แต่ก็ไม่สำเร็จจนได้แต่พูดเสียงอู้อี้

“ก็รู้จักกันนิดหน่อย แล้วผมก็รู้สึกว่าเขาน่าคบหาดีเท่านั้นเอง”

“พูดอย่างนี้อยากหาเรื่องพี่ใช่ไหม”

คราวนี้เปลี่ยนจากเอามือบีบแก้มมาเป็นใช้มือสองข้างดึงแก้มให้ยืดเสียแล้ว แต่นั่นก็ทำให้ฐานทัพพอจะเข้าใจอะไรได้ในที่สุด

เขาอดยิ้มกว้างทั้งหน้ายืดๆ ไม่ได้

“หึงเหรอ”

“หึงสิ หึงมากด้วย พี่บอกแล้วไงว่าพี่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับฐาน”

ฐานทัพเอื้อมมือขึ้นไปคล้องคอของสิบทิศเอาไว้ด้วยความรู้สึกว่าช่วยไม่ได้จริงๆ

เขาหุบยิ้มไม่ได้เลย

เพิ่งเคยรู้สึกว่าการถูกหึงหวงมันทำให้มีความสุขแบบนี้เอง เพราะมันแสดงว่าเขาเป็นที่รัก

เขากำลังถูกรัก...อย่างมากมาย

“ขอบคุณที่หึง ผมดีใจนะ”

พอได้ยินคำพูดของเขาแล้วเหมือนสิบทิศจะอึ้งไป น้ำหนักมือที่ดึงแก้มอยู่ก็หยุดลงไปด้วย

ฐานทัพอาศัยโอกาสนี้ยกศีรษะขึ้นไปประกบจูบที่ปากของอีกฝ่ายแล้วยิ้มให้ รู้สึกได้เลยว่าตาของตนเองเป็นประกายมากแค่ไหน

“ผมรักพี่”

คำพูดนี้เหมือนจะทำให้สิบทิศใจอ่อนง่ายๆ เพราะยอมผ่อนมือออกมาประคองที่ใต้ใบหูทั้งสองข้างของเขาแทน ก่อนจะจรดริมฝีปากลงมาให้แนบแน่นกว่าเดิมและส่งปลายลิ้นเข้ามารุกเร้าภายใน

ลิ้นทั้งสองคลุกเคล้าเข้าด้วยกันจนเสียงขบดูดและเสียงน้ำเฉอะแฉะดังสะท้อนในหู ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด

“ผมว่ากินสปาเกตตีกันได้แล้วนะ เดี๋ยวปากเจ่อจนกินไม่ไหวกันพอดี”

หลังจากผละปากออกมาได้ฐานทัพก็พูดแซว ส่งรอยยิ้มกะล่อนเล็กน้อยไปให้เป็นการปิดท้าย สิบทิศจึงยอมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แล้วเริ่มรับประทานอาหารมื้อนี้

“จริงๆ แล้วนะ”

ระหว่างนั้นฐานทัพก็เริ่มเกริ่นขึ้นมา

“ผมเคยเจอกับเขาเมื่อประมาณห้าปีก่อน คือ...ผมเป็นผู้ชายคนแรกของเขาน่ะ”

ตอนแรกสิบทิศเหมือนจะเพียงแค่หันมาแสดงท่าทีว่ากำลังฟังอยู่ แต่หลังจากได้ยินเช่นนี้ก็หันขวับจนหัวแทบสะบัด

“พี่เขาสงสัยว่าตัวเองสนใจผู้ชายหรือเปล่า ก็เลยให้ผมช่วย แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย อย่างที่พี่รู้นั่นแหละว่าผมไม่เคยนอนกับคนเดิม แต่พี่เขาก็ไม่เคยมาที่ผับนั้นอีกเลยเหมือนกัน คราวนี้มาเจอกันเพราะว่าเขามาซื้อรถ แล้วก็เลยรู้ว่าเขาเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ตอนนี้เริ่มทำงานที่ไทยเลยจะซื้อรถไว้ขับ แล้วบังเอิญมาเข้าโชว์รูมผมพอดี”

“อย่าไปเจอหมอนั่นอีกนะ”

ฐานทัพพูดจบปุ๊บ เสียงของสิบทิศก็ดังปั๊บ ทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ไม่มีอะไรหรอกน่า พี่ภันเขาไม่ได้แสดงท่าทางว่าสนใจผมสักหน่อย”

“จำครั้งก่อนไม่ได้หรือไง”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นครั้งไหน ถึงกระนั้นฐานทัพก็ยังแย้งต่อ

“ใช่ว่าจะเป็นแบบผู้ชายคนนั้นทุกคนเสมอไปนี่นา ไม่ใช่โรคจิตกันทั้งประเทศสักหน่อย”

“ไม่รู้ล่ะ แต่พี่ไม่ชอบให้ฐานไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่เคย...ด้วยกันมาก่อน”

คำสำคัญหล่นหายไปกลางทางเหมือนว่าไม่อยากกล่าวถึง ทว่าโดยความหมายก็ชัดเจนว่าคืออะไร แต่ใช่ว่าฐานทัพจะยอมรับง่ายๆ ขณะเดียวกันก็ใช่ว่าจะปฏิเสธเสียทีเดียว

เขาใช้ความเงียบตัดบท เพราะมีความคิดอยู่ในใจ

เอาไว้เจออีกครั้งแล้วเป็นอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นล่ะ

 

 

แต่ผลจากการเจอกันอีกครั้งกับภันวัฒน์ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางที่ดีเกินคาด

ภันวัฒน์ขับรถไปตามเส้นทางทดลองขับตามกำหนดของทางโชว์รูมโดยมีฐานทัพนั่งไปด้วย ระหว่างทางการสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นจนเหมือนกับว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า และมันก็เป็นความจริงอย่างที่ฐานทัพค้นพบ

ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ทางวาจาจริงๆ

คุยด้วยแล้วสบายใจ ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

“ฐานเห็นถุงที่พี่เอามาใช่ไหม พี่ทำขนมมาให้ด้วยน่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าฐานชอบพวกเบเกอรีหรือเปล่า ยังไงฐานเอาไว้กินกับพวกเพื่อนๆ ที่โชว์รูมนะ”

หลังจากพูดคุยเรื่องสัพเพเหระเหมือนการทักทายตามประสาคนรู้จักไต่ถามสารทุกข์สุกดิบแล้วภันวัฒน์ก็เอ่ยนอกเรื่องขึ้นมา มิหนำซ้ำยังบอกว่าคุยกันแบบเป็นกันเองก็ได้ ฐานทัพจึงพูดด้วยอย่างสบายๆ ตามที่อีกฝ่ายร้องขอ

“เบเกอรีเหรอ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชอบหรือเปล่า เพราะปกติผมไม่ได้กินอะไรพวกนี้เลย”

“ลองกินดูแล้วกัน บางทีอาจจะรู้สึกชอบขึ้นมาก็ได้ ของหวานน่ะทำให้จิตใจผ่อนคลายนะ ช่วยคลายเครียดด้วย”

ใบหน้าของคนพูดมีรอยยิ้มแต้มอยู่จางๆ บ่งบอกให้รู้ว่าชอบสิ่งที่กำลังเอ่ยถึงแค่ไหน ทำให้ฐานทัพรู้สึกติดใจ

“แสดงว่าพี่คงชอบของหวานมากน่ะสิ แถมทำเป็นด้วย”

“อืม พี่เปิดร้านเบเกอรีอยู่น่ะ เป็นอาชีพเสริม”

“เปิดร้านเบเกอรีเป็นอาชีพเสริม?”

ทั้งที่การเปิดร้านขนมน่าจะเป็นงานที่เหนื่อย แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าเป็นอาชีพเสริม ฐานทัพจึงอดแปลกใจไม่ได้

“เป็นการเอาแต่ใจตัวเองของพี่แหละ”

ภันวัฒน์พูดพลางหัวเราะ

“อาชีพหลักเป็นพนักงานโรงแรม แต่ก็เกี่ยวข้องกับพวกอาหารเครื่องดื่มเหมือนกัน”

“ดูขยันทำงานจังเลยแฮะ ผมน่ะขายรถอย่างเดียวยังรู้สึกไม่อยากทำอะไรต่อเลย”

“ของแบบนี้มันอยู่ที่ใจนั่นแหละ ถ้าใจมันอยาก อะไรก็ห้ามไม่ได้หรอก”

รอยยิ้มบนแก้มที่ยังแต้มอยู่นั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าภันวัฒน์พูดออกมาจากใจจริง จนฐานทัพรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่น่าชื่นชมและน่านับถือ

“มันก็จริง จริงๆ ผมเองก็มาทำงานนี้เพราะเก็บเงินเรียนต่อแหละ”

“เหรอ ฐานก็ขยันเหมือนกันนี่นา สนใจจะเรียนต่อด้วย แล้วจะเรียนทางด้านไหนล่ะ”

“ก็บริหารธุรกิจ ผมอยากจะเปิดร้านเล็กๆ ของตัวเอง จะได้อยู่โดยไม่ต้องมีคนมาคอยเป็นเจ้านาย”

เขาพูดแล้วส่งเสียงหัวเราะหึๆ ออกมา

“ประมาณว่าถ้าวันไหนขี้เกียจก็หยุดได้”

“หัวเราะเจ้าเล่ห์เชียวนะเรา”

“เอาจริงๆ ก็คือ ผมเป็นพวกตัวคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็เลยอยากจะลงหลักปักฐานที่มั่นคงให้กับตัวเอง เพราะยังไงก็เป็นเกย์ คงต้องเดียวดายไปทั้งชีวิต ถ้าไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีเงินรักษาตัวเองคงลำบาก”

“แต่ตอนนี้ก็มีแฟนอยู่ไม่ใช่เหรอ”

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มให้มาประทับบนแก้มของฐานทัพได้ เพราะเมื่อหวนนึกถึงเจ้าของตำแหน่งนั้นแล้วก็ทำให้เขารู้สึกว่าความคิดที่เคยมีมามันเปลี่ยนไปแล้ว

“ใช่ครับ เมื่อก่อนผมเคยคิดอย่างนั้นนะ แต่เพราะพี่ทิศทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว ถึงไม่รู้ว่าเราจะคบกันได้ยืนยาวจนกระทั่งแก่เฒ่าหรือเปล่า แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าเราคงไม่เลิกกันในเร็ววันนี้หรอก”

“จะบอกว่ารักกันหวานชื่นว่างั้นเถอะ”

น้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงไว้ด้วยแววหยอกกระเซ้าที่ เต็มไปด้วยความปรารถนาดีอย่างไม่ปิดบัง

ฐานทัพรู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกระลอก เพราะจากคำเตือนของสิบทิศเมื่อวานก็ทำให้เขาเผื่อใจระแวงภันวัฒน์ไว้นิดหน่อยเหมือนกัน แต่ดูท่าว่าจะไม่จำเป็นแล้ว

เขาไม่รู้สึกถึงแววเสแสร้งหรือลับลมคมในอะไรจากผู้ชายคนนี้ทั้งนั้น

“มีคนเคยบอกพี่หรือเปล่าว่าพี่เป็นคนที่พูดจาน่าฟัง ทำให้คนคุยด้วยสบายใจดี”

แม้ว่าจะกลับมายังโชว์รูมแล้วทั้งคู่ก็ยังต่อบทสนทนากัน เสมือนรู้จักกันมายาวนานมากกว่าเพิ่งเคยพบหน้าไม่กี่ครั้ง

ภันวัฒน์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะมุ่นคิ้วเข้าหากันเหมือนพยายามนึก แต่แล้วก็ส่ายศีรษะบอก

“ไม่รู้เหมือนกันสิ น่าจะไม่เคยละมั้ง”

จากนั้นก็ย้อนถามกลับ

“ฐานรู้สึกแบบนั้นเหรอ”

“อืม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ปกติผมไม่เคยเจอคนแบบพี่ด้วยมั้ง พี่คงให้ความรู้สึกเหมือนพี่ชายอะไรแบบนี้?”

ภันวัฒน์หัวเราะเสียงดังหลังจากได้ยินเช่นนั้น และพูดตอบกลับมาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า

“พี่ก็ไม่เคยมีน้องชายด้วยสิ แต่มีน้องสาวสองคนนะ ฐานจะมาเป็นน้องชายของพี่หรือเปล่าล่ะ”

“เอ๊ะ จริงอะ ง่ายๆ แบบนี้เลย?”

“พี่ก็รู้สึกว่าเราถูกชะตากันอยู่นะ”

ความเงียบเกิดอยู่ชั่วครู่

ฐานทัพมองสบนัยน์ตาของอีกฝ่าย ฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้ามาในโชว์รูมหยุดชะงักชั่วคราว

“ผมก็ว่างั้นแหละ”

เสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของฐานทัพ ตามด้วยเสียงหัวเราะนิดๆ ของคนทั้งคู่ รับรู้ได้ถึงความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาสั้นๆ

ประตูกระจกถูกผลักเข้ามา คนทั้งสองก้าวเข้ามาข้างใน ตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่อยู่ด้านหน้า ฐานทัพเอ่ยเข้าเรื่องเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้คุยเรื่องที่เป็นส่วนตัวแม้แต่น้อย

“เรื่องรถ สรุปว่าพี่ภันเอาไง”

“ก็เอาเป็นรุ่นนี้แหละ ตัวท็อป สีเทาดำ”

“พี่จะรับรถช่วงไหนดี ผมจะได้ถามคิวโรงงานให้”

“ภายในเดือนนี้แล้วกัน ฐานลองเช็กวันแล้วบอกพี่อีกทีนะ”

“ได้ๆ”

ฐานทัพรับคำอย่างง่ายๆ ก่อนจะบอกภันวัฒน์ให้ไปนั่งรอระหว่างเขาเตรียมเอกสาร เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จึงค่อยเดินไปหา ดำเนินการเรื่องต่างๆ ทั้งการกรอกเอกสาร อธิบายรายละเอียดต่างๆ และชำระค่ามัดจำ

กระทั่งเสร็จเรียบร้อย ภันวัฒน์ก็ขอตัวกลับ แต่ยังไม่วายเอ่ยถึงของที่นำมาซึ่งถูกวางอยู่บนโต๊ะตรงกลางระหว่างทั้งสองคน

“อย่าลืมกินขนมของพี่ล่ะ ถ้าถูกปากก็ไลน์มาบอกแล้วกัน เดี๋ยวพี่เอามาให้อีก”

“ป๋ามากครับ”

ฐานทัพแซวหน้ายิ้ม ดวงตาเป็นประกายวาววับ

ภันวัฒน์ส่ายศีรษะเล็กน้อยคล้ายอิดหนาระอาใจแต่ก็เคลือบไว้ด้วยแววอ่อนโยน

“พี่ชอบให้คนกินขนมนี่ ชอบอันไหนก็บอกได้ เดี๋ยววันมารับรถพี่เอามาฝาก”

“โอเค ขอบคุณนะพี่”

หลังจากล่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย ภันวัฒน์ก็ออกจากโชว์รูมไป ทว่าสถานการณ์ของฐานทัพกลับตรงกันข้าม เพราะเมื่อลูกค้าจากไปแล้ว พนักงานในโชว์รูมหลายคนก็กรูเข้ามาหาฐานทัพอย่างรวดเร็วจนเกือบตั้งตัวไม่ทัน

“ใครอะ”

“แฟนเก่าเหรอ”

“หรือว่ากิ๊กใหม่”

คำถามถูกรัวยิงเข้ามาไม่ยั้งจนฐานทัพอ้าปากตอบไม่ทัน ต้องรอจนทุกคนรอบตัวพูดจนจบแล้วถึงได้ตอบคำถามแบบรวดเดียวได้

“เป็นแค่คนที่เคยมีอดีตร่วมกันนิดหน่อยเอง พอดีว่าเพิ่งได้เจอกันอีกครั้ง”

“แหม ฐานนี่มีผู้ชายในสต็อกเยอะนะ เหลือๆ ก็แบ่งให้พวกพี่บ้างสิ”

วีรดาเอ่ยแซวหน้ายิ้มๆ พลอยให้คนอื่นยิ้มตามไปด้วย แม้กระทั่งจักรวาลที่ยืนอยู่ห่างๆ ไม่ได้พุ่งเข้ามาประชิดเหมือนสาวๆ ขาเมาท์

“ถึงผมจะเหลือจริงก็คงแนะนำให้พวกพี่ไม่ได้หรอกมั้ง ก็เป็นเกย์กันทั้งนั้นนี่นา”

หลังจากตอบกลับไปเหมือนจะหยอกเย้า เสียงร้องด้วยความเสียดายก็ดังมาตามๆ กัน ว้าบ้าง เสียดายจังบ้าง ก่อนจะวกกลับมาเข้าเรื่องเดิม

“ว่าแต่มีหนุ่มดูดีขนาดนี้มาติดพัน พี่ทิศของฐานจะไม่หึงเอาเหรอ”

ระรินเอาไหล่เข้ามากระแซะพร้อมกับทำสีหน้าแพรวพราววิบวับด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฐานทัพจึงตอบไปเบาๆ ว่าก็หึงไปแล้ว ทำเอาสาวๆ แอบกรี๊ดคิกคักอย่างชอบใจกันเบาๆ

“แหม แต่มันก็น่าหนักใจอยู่นะ คนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์ ดูอบอุ่นแต่ก็ขี้เล่นด้วย แถมบึกบึนรูปร่างดีกว่าพี่ทิศของฐานอีกน้า”

“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย ผมไม่ใช่คนใจง่ายสักหน่อย”

“ก็นั่นสินะ กว่าจะยอมตกลงคบกับพ่อหนุ่มสายเปย์คนนั้นก็โดนตามตื๊อตั้งหลายเดือนเลยนี่นา”

ทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์กันทั้งนั้นจึงพากันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกันใหญ่ ฐานทัพเลยได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ให้กับคำตอบที่อีกฝ่ายแนะนำไว้

“แต่ก็ระวังจะหวั่นไหวล่ะ”

 

 


v



v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 8th Lie [18/3/63]
«ตอบ #24 เมื่อ18-03-2020 21:07:12 »

v






v




เรื่องหวั่นไหวต่อผู้ชายคนอื่นนั้นเห็นทีจะยากสำหรับฐานทัพ เพราะเขาไม่เคยคิดเปิดใจให้ใครสักคน แม้แต่สิบทิศก็ยังต้องผ่านเรื่องต่างๆ มาถึงจะทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองความคิดได้

ถึงกระนั้นเขาก็ชะล่าใจกับคำพูดเตือนนั่นจึงไม่ทันระวังว่าแม้ตนเองจะไม่หวั่นไหว แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าสิบทิศจะเป็นอย่างเดียวกัน

เพราะได้สัมผัสกับความสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาตลอดนับตั้งแต่คบกันมาจนหลงมัวเมาไม่ลืมหูลืมตา

ความสุขเหล่านั้นถักทอขึ้นเป็นความเชื่อใจ เขาเลยไม่เคยสะกิดใจสักนิดว่านับตั้งแต่ที่สิบทิศไม่กลับบ้านครั้งนั้น ตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมาสิบทิศมักจะออกไปค้างข้างนอกบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ

‘พี่ต้องไปเลี้ยงรับรองแขกน่ะ อาจจะไม่ได้กลับนะ’

เขาได้รับฟังเพียงเหตุผลเดียวที่มาพร้อมกับจุมพิตซึ่งเป็นดั่งกาวปิดผนึกริมฝีปากของเขาเอาไว้ โดยไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งวันนี้

“พี่ต้องไปเลี้ยงรับรองแขกอีกแล้วล่ะ คงไม่ได้กลับเหมือนเดิม ขอโทษนะฐาน ช่วงนี้ลูกค้ารายใหญ่เยอะจริงๆ จะไม่ไปก็ไม่ได้”

“อืม ผมเข้าใจน่า พี่ก็อย่าดื่มเยอะนักล่ะ แล้วก็อย่าขับรถด้วย”

ฐานทัพยิ้มให้ด้วยความหวังดีจากใจ สิบทิศเองก็ระบายยิ้มตอบก่อนจะแนบหน้าผากเข้ามาชิดกัน จรดริมฝีปากจูบลงมาที่ปากของเขาจนได้ยินเสียงน่ารักๆ ก่อนจะผละตัวห่างออกไป

“งั้นพี่ไปแล้วนะ ฐานล็อกประตูปิดไฟอะไรให้เรียบร้อยล่ะ”

“รู้แล้วน่า ไม่ต้องห่วงหรอก”

เขาย่นจมูกให้เลยโดยอีกฝ่ายบีบจมูกเบาๆ จากนั้นสิบทิศก็เดินออกจากห้องไป ก่อนออกจากห้องยังไม่ลืมทำปากจู๋ส่งจูบเสียงดังจ๊วบให้อีกรอบให้เขาได้หัวเราะแล้วปิดประตูลง

ทว่าหลังจากสิบทิศออกไปได้ไม่ถึงสองนาที ฐานทัพเพิ่งเห็นว่าสิบทิศวางกระเป๋าเงินทิ้งเอาไว้ ด้วยความหวังดีจึงรีบคว้ามันวิ่งออกจากห้องเพื่อตามเอาไปให้ อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นมาอีกรอบ

เขาวิ่งสุดชีวิตเพราะกลัวว่าจะไม่ทัน ดังนั้นพอเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยจึงเผลอยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ เขาอ้าปากออกจะเรียกเพื่อให้สิบทิศหยุดก่อน แต่เสียงที่ดังให้ได้ยินกลับทำให้เขาต้องเป็นคนหยุดเสียเอง

“เออ กูกำลังไป ไม่เป็นไรน่า ฐานเชื่อง่ายจะตาย”

ทั้งที่ประโยคที่ได้ยินมีแค่นั้น แต่ไม่รู้ทำไมฐานทัพจึงรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา มือค่อยๆ เย็นมากขึ้นและหูเหมือนจะทำงานได้ดีขึ้นด้วย

“เกิดมาเป็นผู้ชายทั้งทีก็ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มสิวะ จะหยุดอยู่ที่คนคนเดียวได้ไง”

ตัวเริ่มสั่นขึ้นมา

“ฐานน่ะกูรักอยู่แล้ว แต่เรื่องบนเตียงมันก็ต้องมีการเปลี่ยนรสชาติ”

ขอบตาร้อนผ่าว

“กูมันโลภมาก ตะกละไง กินยังไงก็ไม่พอ ฮ่าๆๆๆ”

ฐานทัพไม่คิดจะหยุดอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เขาหันหลัง ก้าวเท้าเดินกลับไปยังทางที่ตนเดินจากมา ล้มเลิกเจตนาที่จะตรงเข้าไปหาสิบทิศอย่างสิ้นเชิง

แม้ขาจะอ่อนล้าสักเพียงใด ฐานทัพก็ยังหอบร่างที่เกือบไร้สิ้นเรี่ยวแรงกลับไปถึงห้องได้

หยดน้ำใสๆ ที่กลั่นออกมาจากดวงตาอย่างแทบไม่เคยมีเลยในชีวิตนี้ร่วงเผาะลงมาทีละหยดตามก้าวเดิน หล่นร่วงตามรายทาง ราวกับคนกลัวหลงทางที่ต้องทำสัญลักษณ์ไว้ว่าทางไหนกันแน่คือทางที่ตนควรต้องเดินย้อนกลับมา ทว่าสำหรับฐานทัพแล้ว การเดินย้อนกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่พูดได้อย่างเต็มปากว่า ‘รัก’ เป็นคนแรกในชีวิต เป็นสิ่งที่ยากจะทำได้

เขาวางกระเป๋าเงินในมือลงยังตำแหน่งเดิมแล้วเดินเข้าห้องนอน ทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนกำลัง ได้แต่พิงผนังและกอดเข่าซบหน้าลงไป ให้น้ำตารินไหลออกมาเงียบๆ

ไม่มีเสียงร้องไห้ แต่มันคงเจ็บเสียยิ่งกว่าการกรีดร้องดังๆ

ในอกมันเจ็บไปหมด เหมือนโดนก้อนหินมหึมาทุบ

หัวตื้อไปหมด ได้ยินแต่เสียงคำพูดเดิมวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา

‘ฐานเชื่อง่ายจะตาย’

‘ฐานน่ะกูรักอยู่แล้ว แต่เรื่องบนเตียงมันก็ต้องมีการเปลี่ยนรสชาติ’

‘กูมันโลภมาก ตะกละไง’

ไม่อยากเชื่อเลยสักนิดว่านั่นจะเป็นคำพูดของคนที่เคยบอกว่ารักเขานักหนา พยายามเพื่อให้เขาตอบรับรัก และเคยช่วยเหลือดูแลเขาอย่างดีมาตลอด

เวลาทำให้คนเปลี่ยนไป

หรือว่าเวลาทำให้คนกลับกลายเป็นเหมือนเดิมกันแน่?

ความรักทำให้คนเราเจ็บได้ขนาดนี้เลยเหรอ...

มันเป็นสิ่งที่ควรแล้ว ถูกต้องแล้วที่เขาเคยเลือกที่จะรักใคร หรือเขาตัดสินใจผิดต่างหากที่ยอมเดินเข้ามาในโลกที่ไม่เคยรู้จักใบนี้?

เสียงสะอื้นดังขึ้นมาเหมือนจะขับกล่อมให้ใจที่แหลกสลายคลายความปวดร้าว ทว่ามันมีแต่จะเพิ่มความรวดร้าวให้มากขึ้นเสียมากกว่า

แกร๊ก

เสียงประตูจากด้านนอกดังลอดเข้ามา ฐานทัพตัวเกร็ง กอดร่างตนเองแน่นกว่าเดิม สองหูเงี่ยฟังเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง ไม่มีเสียงเรียก ไม่มีเสียงใดๆ นอกเหนือไปจากนั้น

ไม่มีเสียงทักทายกันเมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง หรือบอกกล่าวเหตุผลของการกลับมา

มีแต่ความเงียบงัน...

เสมือนว่าเขาไม่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้

เสมือนว่าเขาเป็นสิ่งไม่จำเป็น ไม่มีตัวตน

ความวังเวง โดดเดี่ยว และเปลี่ยวเหงาในใจโถมกระหน่ำเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า

ฐานทัพได้แต่กัดริมฝีปากเอาไว้ไม่ให้เสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาแม้รู้ว่าคนที่อยู่อีกฟากของประตูคงไม่มีทางได้ยิน

จวบจนกระทั่งเสียงปิดประตูหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง เสียงสะอื้นที่กักเก็บเอาไว้และน้ำตาก็ถาโถมออกมาเหมือนอะไรบางอย่างในร่างกายพังทลายลงจนไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกใดๆ ได้อีกต่อไป

เจ็บ...

 




ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 9th Lie [20/3/63]
«ตอบ #25 เมื่อ20-03-2020 21:48:42 »
















9th Lie

เมื่อไรจะพอสักที


 

ลืมตาขึ้นอีกครั้งฐานทัพก็รู้สึกว่าปวดกระบอกตาและเจ็บร้าวไปหมด เขาไม่รู้และจำไม่ได้ว่าตนเองร้องไห้อยู่นานแค่ไหนและหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ที่รู้ในเวลานี้มีเพียงอย่างเดียว

เช้าแล้วแต่สิบทิศก็ยังไม่กลับมา

เพียงแค่เห็นเตียงนอนที่ว่างเปล่าไร้เงาของคนที่เคยนอนกอดอยู่ข้างกายมาตลอดก็ดูเหมือนจะทำให้ทำนบน้ำตาพังทลายอีกครั้ง

เขากัดริมฝีปาก รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อยันร่างขึ้นมา

ไม่ว่าจะปวดร้าวสักเพียงใด เขาก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไปอยู่ดี

น่าตลกสิ้นดี

ด้วยสภาพเช่นนั้นย่อมแน่นอนอยู่แล้วว่าจะเป็นที่ตื่นตกใจของคนในโชว์รูม

ฐานทัพได้แต่ยิ้มแหยๆ บอกว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับ และอาจเพราะเขาเสแสร้งยิ้มเก่งเกินไปก็เป็นได้ถึงทำให้มีคำแซวดังออกมาจากหลายคนพร้อมรอยยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ย ใจความเดียวกันคือ

“เมื่อคืนโดนรังแกหนักล่ะสิ”

หลังได้ยินอย่างนั้นเขาก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนยิ้มทั้งที่ในใจปวดร้าวเหลือคณาและกำลังมีน้ำตาหลั่งริน

“เอานี่ไปประคบหน่อยแล้วกัน”

จักรวาลที่แสนใจดียื่นผ้าขนหนูที่มีลักษณะเหมือนลูกประคบมาให้ พอจับดูก็รู้ว่ามีก้อนน้ำแข็งอยู่ข้างใน

เขายิ้มขอบคุณที่อีกฝ่ายยังคงดีต่อเขาเสมอมา ทั้งที่เคยเกิดเรื่องผิดใจกันแต่ก็ให้อภัยอย่างง่ายดายสมกับเป็นผู้ใหญ่

“ไปนอนพักตรงนู้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวถึงคิวฐานแล้วพี่จะเรียก”

พนักงานขายจะถูกจัดคิวเพื่อรอต้อนรับลูกค้าไม่ให้ด้านหน้าดูวุ่นวายจนเกินไป ดังนั้นจึงพอมีเวลาให้เขาได้ทำให้ตาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น

ถ้าไปพบลูกค้าด้วยสภาพย่ำแย่แบบนี้คงเสียภาพลักษณ์แบรนด์รถน่าดู

“ขอบคุณทุกคนครับ งั้นผมขอไปพักหน่อยนะ”

ทุกคนโบกมือพลางยิ้มให้ด้วยความเต็มใจ

เมื่อเห็นภาพนั้นแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าในโชว์รูมแห่งนี้มีแต่คนดีๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ถึงขนาดสนิทสนมพอจะพูดคุยเรื่องส่วนตัวอะไรได้มากมาย เพราะไม่อยากเอาตัวเองไปผูกกับใครมากจนเกินไป แต่ก็รู้สึกดีที่ได้รับความปรารถนาดีเหล่านี้

ถ้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ก็คงดี

เขาคงสนิทกับพวกพี่ๆ มากกว่านี้

 

 

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ตลอดสองเดือนจนในที่สุดก็ความแตกกับพี่ๆ ในโชว์รูม ถึงกระนั้นสิบทิศกลับไม่เคยรู้เลยว่าแม้ฐานทัพจะรู้อยู่เต็มอกว่าเบื้องหลังที่แท้จริงของการออกไปค้างข้างนอกคืออะไร เขาก็ทำเหมือนไม่รู้

เขาอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่สิบทิศไม่เคยเปิดปากพูดออกมาสักครั้ง

น้ำตาไหลเอ่อออกมาทุกคราวที่ได้ฟังข้ออ้างเดิมโดยที่สิบทิศไม่รู้เลยว่าเขาปวดร้าวและเสียน้ำตามากแค่ไหน

ไม่ยอมชินเสียที ไม่ด้านชาสักที

เมื่อคืนก็เช่นเดียวกันที่สิบทิศออกไปค้างข้างนอกและกลับมาเมื่อไรไม่รู้

ฐานทัพรู้แต่เพียงว่า...ยิ่งนานวัน จากการค้างข้างนอกเพียงคืนเดียวก็เปลี่ยนเป็นสองคืนสามคืนติดต่อกัน และทุกครั้งที่กลับมาสิบทิศจะเข้ามากอดเขา ขอโทษเขาที่สักแต่ทำงาน มีเวลาอยู่ด้วยน้อยลง

‘พี่รักฐานนะ ขอโทษนะครับที่งานยุ่งตลอดเลย ช่วงนี้ต้องเปิดดีลใหม่น่ะ’

ทำเหมือนว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมทั้งที่มันไม่เหมือนเดิม

ยิ่งทำให้เขาทรมานจนเหมือนจะขาดใจ หายใจไม่ออก

[เลิกงานวันนี้ฐานว่างหรือเปล่า]

ตอนพักเที่ยงมีโทรศัพท์เข้ามาจากภันวัฒน์

หลังจากมารับรถตามกำหนดเมื่อประมาณสี่เดือนที่แล้วก็มีการติดต่อพูดคุยกันบ้างเป็นพักๆ และเขาก็ยิ่งพบว่าการคุยกับผู้ชายคนนี้ทำให้รู้สึกดีมากจริงๆ

ความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชายเพิ่มพูนขึ้นมากอย่างคาดไม่ถึง

ทั้งที่เขาไม่ใช่คนที่จะเปิดรับใครหรือพูดคุยเรื่องส่วนตัวกับใครได้ง่ายๆ ถึงแม้ตัดสินใจแล้วว่าจะลองคุยกับภันวัฒน์ให้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ด้วยดีมากขนาดนี้

“ก็...น่าจะว่างนะ”

ฐานทัพลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป เพราะไม่แน่ใจว่าหลังเลิกงานในวันนี้จะเป็นอย่างไร

สิบทิศจะมารับเขาเหมือนเดิม หรือว่า...

หลังจากคิดได้อย่างนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าอย่ารอคอยคำตอบจะดีกว่า

[ถ้างั้นไปกับพี่ไหม]

“ไปไหน”

[ฮ่าๆ คำถามดูข้องใจจังนะ]

เพียงแค่เสียงหัวเราะที่ดังลอดมาจากปลายสายก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้แล้ว

[พอดีว่าพี่จะไปดินเนอร์โรงแรมหรูๆ เลยหาเพื่อนไปสักหน่อย จะไปด้วยกันได้ไหมครับ]

“พูดเพราะเชียว กลัวผมปฏิเสธเหรอ”

บรรยากาศที่ถูกสร้างขึ้นมาในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนั้นทำให้ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

รอยยิ้มติดแก้มอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเบาใจอย่างบอกไม่ถูก

[นั่นน่ะสินะ พอดีว่าฐานเป็นหนุ่มฮอตซะด้วย]

“ใช่ที่ไหนเล่า”

เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“แล้วทำไมมาชวนผมล่ะ”

[ก็ไปกินคนเดียวมันดูน่าสงสารเกินไปนี่นา เรื่องงานน่ะ]

เขาคราง “อ๋อ” ออกมาทันทีหลังจากได้ยินเหตุผล เพราะภันวัฒน์เคยบอกไว้แล้วว่าอาชีพหลักคือผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมชื่อดัง

“จะไปเป็นสปายว่างั้น”

[อยากเป็นด้วยกันไหมล่ะ]

“เอาสิ”

ฐานทัพหัวเราะอีกครั้งก่อนจะรับฟังช่วงเวลาที่อีกฝ่ายจะมารับและตัดสายด้วยคำว่า “แล้วเจอกัน” แบบง่ายๆ พลางรู้สึกว่าดีที่ภันวัฒน์ชวนเขา เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องรอลุ้นว่าเย็นนี้จะต้องผิดหวังเสียใจหรือเปล่า

 

 

เมื่อถึงเวลาเลิกงานภันวัฒน์ก็มารับตามที่บอกไว้ ซึ่งทันทีที่ขึ้นรถอีกฝ่ายก็หันหน้ามามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาให้ต้องชะงัก

“ร้องไห้มาเหรอ”

“เอ๊ะ เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”

ฐานทัพประหลาดใจ เพราะพวกพี่ๆ ในโชว์รูมต่างบอกกันว่าโอเคแล้ว อย่างมากก็ดูเหมือนเมื่อคืนนอนน้อยทำให้ตาดูบวมแดงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คิดไปว่าเหมือนคนร้องไห้หนักมา

“แค่สงสัยเฉยๆ น่ะ”

ภันวัฒน์ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรสลักสำคัญแล้วออกรถไปยังจุดหมาย ระหว่างทางก็ไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มเติมทั้งที่รู้แน่ชัดแล้วว่าเขาร้องไห้มาจริงๆ

กระทั่งมาถึงโรงแรมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งก็เอ่ยปากชวนว่าไปกัน แล้วเดินนำ ขณะเดียวกันก็เหมือนกับเดินรอเขาอยู่ในที ระยะห่างแทบไม่ต่างกันเลยสักนิดจนเหมือนเดินเคียงกันไปด้วยซ้ำ ทำให้ฐานทัพรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก พอไปถึงโต๊ะในห้องอาหาร ฐานทัพจึงถามขึ้นมาทันที

“พี่ดูเชี่ยวชาญสุดๆ ไปเลยนะ ทั้งที่เดินนำแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกว่าเหมือนโดนนำหน้าอยู่เลย”

ภันวัฒน์หัวเราะเบาๆ เหมือนกำลังเอ็นดูเขา ก่อนจะตอบออกมา

“ก็เป็นมืออาชีพนี่นา”

ถึงกระนั้นเขาก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มไม่ใช่เหรอ ผู้จัดการฝ่ายนี้ต้องมาเดินนำทางลูกค้าด้วยหรือ

หลังจากถูกถามว่าสั่งอะไรดีเมื่อพนักงานนำเมนูมาให้ เขาก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะราคาแต่ละอย่างทำให้กระเป๋าเงินของพนักงานกินเงินเดือนที่ต้องพยายามเก็บเงินเพื่ออนาคตเบาเอาได้ง่ายๆ

“พี่จ่ายเองไม่ต้องห่วง เลือกอันที่อยากกินได้เลย”

ภันวัฒน์หัวเราะเบาๆ อีกครั้งช่วยให้สบายใจขึ้น

ฐานทัพถามซ้ำว่าแน่นะ เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่เป็นภาระหรือปัญหา

ภันวัฒน์ก็พยักหน้าตอบกลับมาอย่างเต็มปากเต็มคำ “แน่สิ” ก่อนจะหันไปสั่งอาหารสำหรับตัวเองแล้วหันมาถามเขาว่าเอาไวน์ด้วยไหม

ในเมื่อถูกถามแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะตอบว่าเอา เพราะโอกาสได้ดื่มไวน์ที่มีฉลากหรูหราไม่ใช่ว่าจะมาง่ายๆ ถึงจะเคยดื่มมาบ้างหลังจากคบหากับสิบทิศ แต่ก็แค่ไม่กี่ครั้ง

“เดี๋ยวตอนกลับพี่ขอให้ฐานช่วยคอมเมนต์ด้วยได้หรือเปล่า เรื่องบรรยากาศ บริการ รสชาติ”

“เป็นค่าอาหารเหรอ”

เมื่อฐานทัพถามหยอกเล่นหูเล่นตายียวน ภันวัฒน์ก็ยักไหล่ด้วยรอยยิ้มอีกจนเขาอดถามไม่ได้จริงๆ

“ทำไมพี่ยิ้มเก่งจัง แถมมีบรรยากาศสบายๆ ตลอดเลย อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจดีเนอะ”

“เพราะเลี้ยงน้องสาวมาตั้งแต่เด็กๆ มั้ง เด็กผู้หญิงไม่ชอบให้ทำหน้ายักษ์ใส่ใช่ไหมล่ะ แถมยังทำงานด้านบริการด้วย ถึงจะไม่ได้อยู่เบื้องหน้าแบบเต็มตัว แต่อยู่เบื้องหลังก็ต้องเจอพนักงานเยอะแยะ ถ้าหน้าตาไม่ยิ้มแย้มดูเป็นมิตร คนที่ทำงานด้วยก็กระอักกระอ่วนหรืออึดอัดใจแล้วก็ทำงานอย่างไม่มีความสุขใช่ไหมล่ะ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นก็จะทำให้พวกพนักงานทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพด้วย อีกอย่างนะพี่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรีที่ต้องเจอลูกค้าเยอะๆ นี่นา”

คำตอบที่สมเป็นผู้ใหญ่เหลือเกินนั้นทำให้ฐานทัพรู้สึกทึ่งจริงๆ

คนอะไรทำให้รู้สึกว่าเป็นที่พึ่งได้ขนาดนี้...

ด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้านั้นก็ส่งผลให้ฐานทัพเปิดปากเล่าเรื่องราวของตนเองหลังจากขึ้นรถของภันวัฒน์ในขากลับ

บอกเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เขาต้องเสียน้ำตามาตลอดหลายเดือน

“พี่ว่าฐานน่าจะพูดออกไปนะ อย่าเก็บเอาไว้เลย ให้เขารู้บ้างว่าฐานรู้สึกแบบไหน ทนอยู่แบบนี้ฐานได้ประโยชน์อะไรเหรอ”

“ผมก็เคยคิดนะว่าอยากจะพูดออกไป แต่ว่ามันพูดไม่ออก”

“คิดถึงความรู้สึกของตัวเองสิครับ พี่เชื่อว่าฐานทำได้”

มือที่จับพวงมาลัยรถอยู่เอื้อมมาโยกศีรษะของฐานทัพเบาๆ อย่างให้กำลังใจ รอยยิ้มบางๆ ส่งมาให้เพียงชั่วครู่ก่อนภันวัฒน์จะหันกลับสนใจถนนด้านหน้าต่อ

‘ทนอยู่แบบนี้ฐานได้ประโยชน์อะไรเหรอ’

‘พี่เชื่อว่าฐานทำได้’

สองประโยคนี้ทำให้ฐานทัพรู้สึกฮึกเหิมขึ้นในใจ ดังนั้นเมื่อกลับไปที่ห้องและพบว่าสิบทิศอยู่ที่นั่นเขาจึงรวบรวมความกล้าที่จะพูดออกไป ทว่าพอสิบทิศเห็นเขาก็เอ่ยปากออกมาก่อน

“พี่ขอโทษนะฐานที่ไม่ได้ไปรับ พอดีว่าพี่ต้องรีบกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ เดี๋ยวก็ต้องออกไปอีกแล้ว”

ทั้งที่เมื่อคืนไม่ได้กลับมาแท้ๆ แต่ตอนนี้กำลังจะออกไปอีกแล้ว

ความรู้สึกหลากหลายปะทุขึ้นมาในใจจนเขาแยกแยะไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามันเป็นความรู้สึกอะไรบ้าง ปากจึงพลั้งพูดออกมาตามความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ

“เมื่อไรจะพอสักที!”

สิบทิศชะงักไปทันทีพลางมองหน้าเขาอย่างตกใจและประหลาดใจ

ฐานทัพรู้สึกปากของตนเองสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ สองมือกำแน่น

“พี่คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าพี่ทำอะไรลับหลังผม”

สีหน้าของสิบทิศที่ดูตกใจในตอนแรกดูตกใจยิ่งขึ้นไปอีก คงเพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะรู้ทัน ถึงได้ถามออกมาเสียงแผ่วเบาอย่างไม่เข้าใจ

คล้ายกับจะหยั่งเชิงว่าเขารู้จริงหรือ

“พี่...ทำอะไร”

“ยังต้องให้ผมพูดอีกเหรอ พี่น่าจะรู้แก่ใจดีนะ”

เขาเห็นเหมือนสิบทิศกลืนน้ำลายลงคอ นั่นทำให้เขารู้สึกว่ามีก้อนขมปร่าเกือบจะล้นออกมาจากปากเช่นกัน แต่ทันใดนั้นทั้งร่างก็ถูกสิบทิศรวบเข้าไปกอด

“ฐาน พี่ขอโทษครับ พี่ขอโทษจริงๆ นะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น”

หลังจากได้ฟังคำพูดนี้แล้ว คำพูดที่เคยได้ยินกับหูตัวเองในคราวนั้น คำพูดร้ายกาจที่เหมือนไม่เห็นคุณค่าเขาเลยสักนิดนั่นย้อนกลับมาทำให้เจ็บปวดอีกครั้ง

ปากเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบากเพราะเอาแต่สั่นไม่หยุด

“ไม่ตั้งใจ? พี่พูดคำนี้ได้ด้วยเหรอ กล้าพูดคำนี้ได้ยังไง!”

“ฐาน พี่ขอโทษนะครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ มันเป็นอุบัติเหตุ”

สิบทิศลนลานรีบแก้ตัว ยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกราวกับว่าหากปล่อยมือออก คำพูดของตนจะไร้น้ำหนักตามไปด้วย แต่มันกลับทำให้ฐานทัพยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีก

“อุบัติเหตุนับครั้งไม่ถ้วนเหรอ พี่คิดว่าผมโง่หรือไงกัน”

“ครั้งแรกมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ หลังจากนั้นมาพี่ก็เลยเผลอตัว พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ดีเอง ฐานยกโทษให้พี่นะ พี่จะไม่ทำอีกแล้ว นะครับคนดี เชื่อใจพี่นะ พี่สัญญาจริงๆ พี่รักฐานคนเดียวนะ”

ฐานทัพกัดริมฝีปากแน่น พยายามควบคุมความรู้สึก ตรึกตรองอยู่ในใจว่าตนควรจะทำอย่างไรดี แต่คำพูดสุดท้ายของสิบทิศกลับทำให้ความคิดต่างๆ ที่เคยรวมกลุ่มถูกพัดกระจัดกระจายหายไปในฉับพลันจนเขานึกอะไรไม่ออก

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เห็นใบหน้าของสิบทิศอยู่ตรงหน้าแล้ว ดวงตาคู่นั้นจ้องมองลงมา แสดงถึงความรู้สึกว่ากำลังรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

รักเขาจริงๆ และรู้สึกผิดจากใจจริงๆ

เมื่อเห็นเช่นนี้ฐานทัพก็ยากจะปฏิเสธออกมา ได้แต่ถามเสียงอ่อนแรง

“แน่ใจนะว่าพี่จะไม่ทำอีกแล้ว”

“แน่ใจครับ สัญญาเลยครับ พี่รักฐานที่สุดเลยนะ ขอบคุณนะครับที่ยอมยกโทษให้พี่”

หลังสิ้นเสียงริมฝีปากของสิบทิศก็ประกบลงมาอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ เล็มชิมริมฝีปากของฐานทัพที่หยุดสั่นลงแล้วแต่คงยังเม้มแน่นอยู่ เซาะไซ้อย่างฉอเลาะอยู่สักพักในที่สุดฐานทัพก็หมดแรงต้านทาน ยอมเผยอปากออกให้ลิ้นร้อนๆ เข้ามาเกี่ยวกระหวัดข้างใน

มืออุ่นๆ ที่กอดรัดอยู่ด้านหลังลูบไล้ไปบนแผ่นหลังก่อนจะสอดเข้าไปใต้เนื้อผ้าของเสื้อเชิ้ตบางๆ คงเพราะผ่านสนามรักร่วมกันมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง สิบทิศจึงจับจุดอ่อนของฐานทัพได้ในเวลาอันรวดเร็ว ลูบวนอยู่บนหลังไม่กี่ครั้ง ประกบจูบดูดเม้มที่ริมฝีปากและใช้ลิ้นโอบกอดกันและกันไม่กี่ทีฐานทัพก็อ่อนโอน

ไม่ต้องใช้วัจนภาษาใดๆ สิบทิศก็ช้อนตัวฐานทัพอุ้มขึ้นและตรงไปยังห้องนอน

ร่างของฐานทัพถูกวางลงบนที่นอนเบาๆ ราวกับทะนุถนอมของล้ำค่าเหลือเกิน

ริมฝีปากของสิบทิศไล่พรมจูบลงมา ทั้งหน้าผาก แก้ม จมูก คาง แล้วจรดที่ริมฝีปาก ถ่ายทอดความเร่าร้อนที่ก่อกำเนิดขึ้นภายในร่างสู่กันและกันก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาขบเม้มที่ต้นคอ ขณะที่มือก็เริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์คลุมกายออกอย่างไม่รั้งรอ

“พี่รักฐานนะ”

เสียงกระซิบพร่ำบอกซ้ำๆ ที่ข้างหูสลับกับการลิ้มชิมรสชาติบนอกทำให้ทั้งร่างของฐานทัพซ่านกระสัน

เขาโอบรอบคอของสิบทิศเอาไว้แล้วกระซิบตอบกลับไป

“ผมก็รักพี่ แต่พี่อย่าทำแบบนั้นอีกนะ ผมเสียใจจริงๆ”

“ครับคนดี พี่ขอโทษนะ จะไม่ทำให้ฐานเสียใจอีกแล้ว”

 

 

นับจากวันนั้นเป็นต้นมาสิบทิศก็ปฏิบัติตัวกับเขาดีเหลือเกิน คอยไปรับไปส่งที่โชว์รูมอยู่เสมอจนถูกรุ่นพี่ร่วมงานแซวกันขรมว่าเปิดโปรใหม่หรือยะ เพราะก่อนหน้านี้สิบทิศมักไปค้างข้างนอกบ่อยๆ จึงแทบไม่ได้ไปรับไปส่งเขาเลย

คำแซวเหล่านั้นทำให้ฐานทัพรู้สึกหัวใจกระชุ่มกระชวยราวกับได้ย้อนกลับไปตอนที่เริ่มคบหากันใหม่ๆ อีกครั้ง

‘เป็นยังไงบ้าง’

วันหนึ่งมีข้อความส่งเข้ามาจากภันวัฒน์ เพราะมัวแต่อยู่กับสิบทิศจนฐานทัพลืมไปแล้วว่าภันวัฒน์อาจจะรอความคืบหน้าจากเขาอยู่ก็เป็นได้ เมื่อได้รับข้อความนั้นมาจึงรู้สึกผิดอยู่ในใจเล็กน้อย

‘ขอโทษนะพี่ที่ไม่ได้ติดต่อไปเลย’

‘แบบนี้แสดงว่าราบรื่นดีอยู่ใช่ไหม’

‘อืม ก็แบบนั้น เพราะพี่เลยแหละที่บอกให้ผมพูดออกมา’

‘งั้นก็ดีแล้ว’

สติกเกอร์ยิ้มแฉ่งถูกส่งมาให้ ก่อนจะมีข้อความส่งต่อมาอีก

‘ยินดีด้วยนะ’

‘ผมขอบคุณพี่มากเลยล่ะ เอาไว้เดี๋ยวหาสักวันผมเลี้ยงข้าวพี่เป็นการตอบแทนดีกว่า’

‘ไม่ต้องก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย แค่รู้ว่าฐานกลับมามีความสุขดีก็ดีแล้ว’

อ่านประโยคนั้นแล้วฐานทัพก็อดหลุดยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ

ประโยคหนึ่งทะลุทะลวงจากหัวใจขึ้นมาสู่สมองจนทำให้มือพิมพ์มันออกมาโดยไม่รู้ตัว

‘พ่อพระมาก’

‘แปลว่าพี่เป็นโยมพ่อใช่ปะ’

ฐานทัพหลุดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างควบคุมไม่อยู่

สิบทิศที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นถึงกับตะโกนถามเข้ามาในห้องนอนว่ามีอะไร ฐานทัพจึงได้แต่ตอบ “เปล่าๆ” แล้วส่งข้อความหาภันวัฒน์ต่อ

‘เล่นมุกซะคาดไม่ถึงเลย ผมหัวเราะลั่นห้องเลยเมื่อกี้’

‘พอดีนึกขึ้นมาได้น่ะ แสดงว่าพี่ก็เอาดีทางตลกได้อยู่เหมือนกันนะ’

อ่านประโยคนี้แล้วฐานทัพก็อดไม่ไหว ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองทำปากยื่นตาปรือส่งไปให้

พอตัวอักษรขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ สักพักก็มีไฟล์เสียงส่งมา

[ดีจริงๆ ที่เห็นฐานทำหน้าแบบนี้ได้ ถ้ามีปัญหาอะไรอีกก็บอกพี่ได้เลยนะ พี่ยินดีรับฟัง]

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลราวกับกำลังประประโลมกันที่ได้ยินนั้นอบอุ่นมากจนจับขั้วหัวใจเลยทีเดียว ฐานทัพยิ้มออกมาก่อนจะกดส่งไฟล์เสียงกลับไปด้วย

“ขอบคุณพี่มากเลยนะ พอรู้ว่ามีพี่คอยอยู่ด้านหลังแล้วอุ่นใจยังไงไม่รู้”

เขาไม่คิดจริงๆ ว่าในชีวิตนี้จะได้รับความรู้สึกแบบนี้จากใครสักคน ทั้งที่เคยถูกทอดทิ้งมาตลอดและยังเคยถูกคนรักทำร้ายมาครั้งหนึ่งแต่กลับได้รับความอ่อนโยนแบบนี้

‘อย่ามาตกหลุมรักเชียวนะ เดี๋ยวพี่จะโดนฆาตกรรมเอา’

ข้อความถูกส่งกลับมาเป็นตัวหนังสืออีกครั้ง ฐานทัพกดส่งตัวเลขห้ากลับไปยาวเหยียด เพราะเคยเล่าเรื่องสิบทิศให้ฟังมาก่อน ภันวัฒน์จึงรู้ดีว่าสิบทิศเป็นคนขี้หึงมากแค่ไหน

‘เออพี่ เดี๋ยวผมจะออกจากงานแล้วนะ’

‘เรียนต่อเหรอ’

‘อือ บอกเผื่อไว้ก่อน เดี๋ยวพี่เอาขนมไปให้แล้วไม่เจอ’

บางครั้งภันวัฒน์ก็นึกครึ้มเอาขนมไปแจกที่โชว์รูมจนถูกพวกพนักงานเรียกว่า ‘หนุ่มสายเปย์เบอร์สอง’ ฐานทัพจึงต้องบอกความคืบหน้าของตัวเองไว้ก่อน

‘โอเคครับ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะพี่จะได้ชวนฐานเข้าโรงแรมตอนกลางวันได้บ่อยๆ’

‘พูดจาส่อมากอะ’

“ฐาน ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ออกมาสักที”

หลังกดส่งข้อความนั้นแล้วเสียงของสิบทิศก็ดังมาพร้อมกับร่างที่ปรากฏขึ้นตรงประตูห้องนอน พอเห็นว่าผมของฐานทัพยังมีน้ำหยดลงมาอยู่ก็ส่ายศีรษะแล้วเดินเข้ามาใกล้ คว้าผ้าขนหนูที่ถูกวางทิ้งไว้บนตักของฐานทัพขึ้นมาแล้วนั่งลงข้างกันเพื่อเช็ดผมให้

“คุยกับพี่ภันอยู่”

“พี่ภัน? ...อีกแล้วเหรอ”

สิบทิศทวนชื่อนั้นเหมือนพยายามนึกว่าอีกฝ่ายเป็นใครก่อนทำหน้ายู่ไม่พอใจ ฐานทัพจึงทิ้งโทรศัพท์ลงบนที่นอนแล้วหันมาประกบมือทั้งสองข้างที่แก้มของสิบทิศ

“แค่บอกเขาว่าผมจะออกจากงานแล้ว”

“เขาจะได้ไม่มาวอแวกับฐานอีกสินะ”

น้ำเสียงของสิบทิศติดอารมณ์ไม่พอใจอยู่กรุ่นๆ สีหน้าก็ยับย่นแสดงอารมณ์อย่างที่สุด

ฐานทัพเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา รู้สึกยินดีที่ได้เห็นว่าสิบทิศแสดงอาการไม่พอใจอย่างนี้

เพราะนั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าเขายังคงเป็นที่รักอยู่ และเขาก็ชอบมากๆ

“พรุ่งนี้ผมจะไปลงทะเบียนเรียน ป.โท แล้วนะ”

“เฉไฉเฉยเลยนะ แบบนี้ต้องโดนลงโทษ”

สิบทิศเปลี่ยนมาทำเสียงโหดก่อนจะผลักฐานทัพลงบนเตียงอย่างเร็วพลัน ทำให้เสียงหัวเราะเปล่งดังออกมาจากปากฐานทัพได้ในวินาทีนั้น

มีความสุขจัง มีความสุขจริงๆ

 





v



v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 9th Lie [20/3/63]
«ตอบ #26 เมื่อ20-03-2020 21:49:35 »

เนื่องจากวันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้าย ทุกคนในโชว์รูมเลยลงความเห็นว่าจะเลี้ยงส่งน้องเล็ก ช่วงพักเที่ยงฐานทัพจึงโทรศัพท์ไปบอกสิบทิศว่าวันนี้ไม่ต้องมารับ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ทำให้ฐานทัพต้องชะงักไป

[พอดีเลย พี่ก็กำลังจะบอกฐานว่าคืนนี้พี่ต้องไปงานเลี้ยงฉลองปิดดีลเหมือนกัน]

ทั้งที่ผ่านมาเดือนกว่าสถานการณ์เงียบสงบมาโดยตลอดทำให้เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องเก่าๆ แต่เมื่อได้ฟังฐานทัพก็อดนึกถึงมันไม่ได้

เขาเม้มปากแน่น รู้สึกมือเย็นขึ้นมาฉับพลัน

“งานเลี้ยงฉลองปิดดีลจริงๆ ใช่ไหม”

แม้ไม่อยากถามออกไปแบบนี้ แต่เขาก็ทำใจให้สงบแล้วปล่อยผ่านไปไม่ได้

เขาอาจจะกลายเป็นคนขี้ระแวงไปแล้วก็ได้

[พี่บอกฐานแล้วไงว่าไม่มีอีกแล้ว เป็นงานเลี้ยงที่แผนกจัดขึ้นจริงๆ สัญญาเลยว่าเดี๋ยวจะกลับไปกอดฐานแน่นๆ]

สัญญาที่ถูกยกขึ้นมาย้ำอีกครั้งทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งในใจเหมือนกับโดนก้อนตะกั่วถ่วงเอาไว้เริ่มเบาลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่สามารถตอบอย่างอื่นได้

“เข้าใจแล้ว”

เขาจะเชื่อคำพูดของสิบทิศ

เชื่อใจสิบทิศ

สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงเท่านั้น

“อย่าคิดมากงี่เง่าไปเลย”

หลังจากวางสายไปฐานทัพก็ตำหนิตัวเองเช่นนั้น และตอกย้ำคำพูดนั้นเอาไว้ในใจตลอดจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน

พวกรุ่นพี่ทั้งหลายต่างครึกครื้นเฮละโลไปร้านอาหารกึ่งผับ สั่งอาหารและเครื่องดื่มกันอย่างไม่เกรงกลัวว่าขากลับจะกลับอย่างไรทั้งที่ขับรถมา เดี๋ยวก็ชนแก้วๆ กอดคอเขาพร้อมอวยพรให้

“โชคดีนะไอ้น้อง อย่าลืมกลับมาเยี่ยมกันบ้าง”

“ตั้งใจเรียนล่ะ ขอให้แฮปปี้กับแฟนไปน้านนาน”

ฐานทัพยิ้มรับคำอวยพร แต่ประโยคท้ายนั้นทำให้เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็คาดหวังให้เป็นอย่างคำอวยพรของรุ่นพี่

“พี่ซื้อของมาฝากด้วย”

จักรวาลยื่นถุงกระดาษมาให้

ฐานทัพเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้รับของขวัญเนื่องในวันลาออกจากงานด้วย

“อะไรอะ”

ทั้งที่เอ่ยปากถาม แต่มือก็เปิดถุงออกดูข้างใน เมื่อเห็นสิ่งของแล้วก็เกือบจะหัวเราะออกมาพลางหยิบมันขึ้นมาดูด้วย

“นี่พี่เห็นผมเป็นเด็กมัธยมเหรอถึงซื้อเครื่องเขียนให้เนี่ย”

“เอ้า ก็ฐานจะไปเรียนต่อนี่นา เลยต้องซื้อของที่ได้ใช้ จะได้ไม่เสียของ”

คำอธิบายหรืออาจจะเป็นคำแก้ตัวทำให้ทั้งโต๊ะฮาก๊ากส่งเสียงโห่กันใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นฐานทัพก็เอ่ยขอบคุณสำหรับดินสอและปากกาไฮไลต์ เพราะอย่างน้อยจักรวาลก็มีเจตนาดีและมอบให้ด้วยความจริงใจ

สุดท้ายขากลับเกือบทุกคนก็ต้องเรียกแท็กซี่กลับบ้านกันแล้วทิ้งรถไว้ที่ร้าน เพราะสภาพไม่ค่อยน่าดูเท่าไร มีรุ่นพี่ที่ถึงกับอาเจียนออกมาเพราะดื่มมากเกินไป จนฐานทัพอดถามไม่ได้ว่าพรุ่งนี้จะทำงานไหวเหรอ

ฐานทัพเองก็นั่งแท็กซี่กลับมาที่คอนโดฯ ของสิบทิศเช่นกัน ความบันเทิงที่พวกพี่ๆ ในโชว์รูมช่วยสร้างทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ไม่ค่อยกังวลเรื่องสิบทิศมากเท่าไรแล้ว ทว่าเมื่อเดินเข้าใกล้ห้องมากขึ้นเท่าไร อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรง ความคิดที่ว่าสิบทิศกำลังรอเขาอยู่ข้างในหรือเปล่าผุดขึ้นมา

เขาสูดลมหายใจลึก หลับตา รูดคีย์การ์ดแล้วเปิดประตูเข้าไป

ภายในห้องมืดสนิท ไร้แสงสว่างใดๆ

เห็นภาพนั้นแล้วฐานทัพรู้สึกเข่าอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดลงในตอนนั้น ความรู้สึกและความคิดมากมายถาโถมเข้ามาราวกับจะถล่มจิตใจของเขาให้พังทลายลงอย่างราบคราบในคราวเดียว

ริมฝีปากถูกกัดไว้แน่นในขณะที่สองขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปภายใน

เขาเปิดไฟ มองนาฬิกาเพื่อให้แน่ใจและพบว่ามันเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว

นี่น่ะเหรอที่บอกว่าจะรีบกลับมากอดแน่นๆ

น้ำตาหยดลงมาพร้อมกับริมฝีปากที่สั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ แม้จะกัดมันไว้แน่นเพียงใดก็ไม่สามารถระงับอาการนั้นได้เลย

คืนนั้นทั้งคืนฐานทัพได้แต่นั่งกอดเข่าอย่างว่างเปล่า รอคอยให้เวลาเช้ามาถึง แม้ท้องฟ้าจะสว่างแล้วแต่คนที่เคยบอกว่าจะกลับมาก็ยังไม่กลับ

เพราะเป็นวันแรกหลังลาออกจากงาน มีเวลาอย่างเหลือเฟือจึงยิ่งทำให้บรรยากาศรอบข้างเปล่าเปลี่ยววังเวง แม้มีกำหนดการว่าวันนี้จะไปเดินเรื่องสมัครเรียนต่อปริญญาโท แต่ความรู้สึกกระตือรือร้นที่ควรมีกลับมลายหายไปสิ้น

ฐานทัพอาบน้ำ กินอาหารอย่างลวกๆ และออกไปมหาวิทยาลัยด้วยสภาพล่องลอยไร้เรี่ยวแรง ไม่มีความรู้สึกใดเลยนอกจากเหนื่อยล้า กระทั่งน้ำตาก็หยุดไหลไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

หลังจากจัดการธุระที่มีเรียบร้อย ฐานทัพก็กลับมาที่ห้อง นอนลืมตาอยู่บนเตียงเพราะไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดทั้งที่เมื่อคืนไม่ได้นอน

เขาปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ... เรื่อยๆ... ต่อไป จนกระทั่งสุดท้ายเวลาก็ผ่านไปอีกวัน

สิบทิศยังไม่กลับ...

ความคิดเป็นห่วงไม่มีย้อนเข้ามาในหัวสมองของเขาสักนิด ไม่ได้นึกถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสิบทิศหรือเปล่า อาจจะประสบอุบัติเหตุก็ได้

เรื่องเดียวที่ติดอยู่ในสมองของฐานทัพมีเพียง...

สิบทิศทรยศเขาอีกครั้ง

ในที่สุดคืนที่สามสิบทิศก็กลับมา ทว่าเมื่อเห็นว่าฐานทัพนอนตะแคงข้างเหมือนคนป่วยก็ชะงักไปในทันที เสียงทุ้มๆ เอ่ยเรียก

“ฐาน พี่...”

ฐานทัพผุดลุกขึ้นมาเสมือนชีวิตกลับคืนสู่ร่าง

เขามองหน้าสิบทิศ จดจ้องราวกับจะสื่อความหมายหลายอย่างให้อีกฝ่ายรับรู้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่รู้สึกใดๆ ผิดจากแววตาที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อต่อว่าและเจ็บปวดร้าวราน

“ถ้าผมทำบ้างพี่จะรู้สึกยังไง”

ไม่มีการไต่ถามสาระสำคัญทั้งสิ้น ในเมื่อต่างคนต่างเข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร ดังนั้นมันจึงไม่มีความหมายใดนอกจากเสียเวลาเพียงอย่างเดียว

“ไม่ได้นะ!”

สิบทิศโพล่งเสียงดังออกมาทันควัน แววตาถลึงขึ้นมาแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน

เห็นเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็รู้สึกสมเพชตนเอง สีหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบเปลี่ยนไป

“ทำไมผมจะทำไม่ได้ในเมื่อพี่ทำกับผมแบบนี้ก่อน”

“พี่ขอโทษครับ มันเป็นความผิดพลาด พี่เมาก็เลยพลาดไป ฐานอย่าโกรธพี่เลยนะ พี่ขอโทษ”

จากเสียงที่เกรี้ยวกราดเมื่อครู่ก็อ่อนลงในพริบตา สิบทิศเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างเตียง สองมือจับมือของฐานทัพเอาไว้พลางอ้อนวอน

“ขนาดผมแค่บอกว่าจะทำบ้างพี่ยังโมโหเลย แล้วผมที่โดนพี่หักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าล่ะ พี่คิดว่าผมควรรู้สึกยังไง”

ความนิ่งสงบแตกสลายไปในที่สุด ฐานทัพพูดด้วยเสียงสั่นเครือ นัยน์ตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความเจ็บปวดในหัวใจก็แผ่ลามขึ้นมาเช่นกันหลังจากที่มันหยุดชะงักตลอดสองวันที่ผ่านมา

“พี่ขอโทษจริงๆ ครับฐาน พี่รักฐานนะ มันเป็นความผิดพลาด พี่ไม่รู้ตัว พี่จะไม่ทำอีกแล้วจริงๆ รักฐานนะ รักที่สุด”

สิบทิศกดศีรษะลงบนตักของฐานทัพ กุมมือเอาไว้อย่างแน่นหนา เว้าวอนเหมือนคนสำนึกผิดอย่างแท้จริง

“ฐานช่วยยกโทษให้พี่อีกสักครั้งนะ พี่ขอร้อง พี่ผิดไปแล้ว”

เมื่อถูกคนรักมากที่สุดและมีเพียงหนึ่งเดียวขอร้องอ้อนวอนเช่นนี้ฐานทัพก็ได้แต่ระงับความใจอ่อนของตัวเองเอาไว้

เขาไม่อยากเห็นสิบทิศเป็นอย่างนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายทำผิดต่อตัวเองแล้วเช่นกัน

“ถ้ามีอีกครั้งก็เลิกกันไปเลย ถ้าพี่มีความสุขกับคนอื่นมากแล้วจะทนคบกับผมอยู่ทำไม”

เขาไม่รู้ว่าหากเป็นคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับเขาที่เพิ่งเคยรู้จักความรักครั้งนี้เพียงครั้งเดียวในชีวิต มันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่แม้จะเจ็บปวดจนร้าวไปทั้งอกก็ไม่อยากสูญเสียไออุ่นจากคนคนนี้

“ไม่เอานะฐาน พี่ไม่เลิก ไม่ยอมเลิกเด็ดขาดเลย พี่รักฐานนะ รักฐานที่สุด ถ้าไม่มีฐานอยู่ด้วยพี่ทนไม่ได้หรอก พี่สัญญา จะไม่มีอีกแน่ๆ ขอร้องนะครับ”

สิบทิศอ้อนวอนเสียงเครืออย่างน่าสงสาร ราวกับว่าหากขาดเขาไปจะขาดใจตายเช่นกัน

เห็นแบบนี้แล้วมีหรือที่เขาจะยังทำใจแข็งต่อได้

ฐานทัพกัดฟัน กล้ำกลืนความปวดร้าวทั้งหมดลงไป ก่อนจะเค้นเสียงตอบออกมาอย่างยากลำบาก

“ก็ได้ ครั้งสุดท้ายนะ”

“สัญญาเลย ขอบคุณนะ พี่รักฐานนะ รักมากกกก รักที่สุดในชีวิตเลย”

สิบทิศเข้ามากอดเขาไว้ พรมจูบลงบนหน้าผาก แก้ม และสุดท้ายประทับคำสัญญามั่นเหมาะเอาไว้ที่ปาก

เป็นหลักฐานว่าจะไม่มีอีกอย่างแน่นอน















ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 10th Lie [23/3/63]
«ตอบ #27 เมื่อ23-03-2020 21:14:50 »

















10th Lie

ผมอยากลองดู อยากรู้ว่าใจจริงเขาเป็นยังไง


 

ทั้งๆ ที่สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะเช่นนั้น แต่หลังจากนั้นเพียงสองเดือนคำสัญญาก็เลือนหายไปอย่างง่ายดาย ฐานทัพต้องเผชิญกับห้องที่ว่างเปล่า ไร้เงาของคนรักที่บอกว่ารักตนเองมากที่สุด รักที่สุดในชีวิตอีกครั้ง

ยิ่งจำนวนครั้งของการถูกทรยศมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มความเจ็บช้ำให้มากขึ้นเท่านั้น แทนที่จะชินชา

เมื่อพบหน้าสิบทิศอีกครั้งหลังผ่านค่ำคืนที่เปล่าเปลี่ยวนั้นไป น้ำตาของฐานทัพก็ไหลเป็นสายออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คำพูดประโยคแรกมีเพียง...

“เราเลิกกันเถอะ ผมทนไม่ไหวแล้ว”

น้ำเสียงของฐานทัพสั่นเครือสะอึกสะอื้นกว่าครั้งไหน เขาขยุ้มเสื้อตรงอกจนยับยู่บ่งบอกให้รู้ว่าความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นเหลือคณา

สิบทิศถลาเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า กล่าวคำขอโทษเหมือนครั้งก่อนๆ อย่างลนลาน รีบคว้ามือของฐานทัพไว้แล้วอ้อนวอน

“ไม่เลิกนะ พี่ไม่เลิก ไม่เลิกเด็ดขาด”

“พี่จะเก็บผมไว้ทำไมอีก ในเมื่อผมมันไม่ได้มีค่าอะไรกับพี่เลย”

น้ำตาของฐานทัพหล่นร่วงลงมากระทบลงบนใบหน้าของสิบทิศที่เงยหน้าขึ้นเว้าวอน

“พี่เลิกกับฐานไม่ได้ กว่าฐานจะยอมคบกับพี่มันยากแค่ไหน พี่พยายามเท่าไรถึงจะได้เป็นแฟนฐาน กว่าฐานจะยอมรักพี่”

หลังจากได้ยิน น้ำตาของฐานทัพยิ่งไหลบ่าลงมามากกว่าเดิม เสียงคร่ำครวญเปล่งดังคล้ายตะโกน

“พี่ก็แค่ไม่อยากเสียผม! เพราะได้มายากก็เลยเสียดาย ไม่ได้รักผมเลยสักนิด หมดรักผมไปตั้งนานแล้วแท้ๆ!”

“พี่ไม่ได้เลิกรักฐานเลยนะ พี่รักฐานจริงๆ ไม่ได้อยากเลิกเพราะว่าได้มายากด้วย แต่พี่รักฐานถึงไม่อยากเลิก พี่รักฐานคนเดียวนะ ขอร้องล่ะ พี่ไม่เคยรักใครขนาดฐานเลยนะ”

สิบทิศดึงมือฐานทัพที่จับเอาไว้มาแนบหน้าผากของตนเอง ราวกับอยากบอกให้รู้ว่าฐานทัพคือที่สุดในชีวิตนี้ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้น้ำตาที่ร่วงลงมาสู่พื้นเพิ่มความถี่มากขึ้น

“ถ้าพี่รักผมแล้วพี่ทำแบบนี้ทำไม พี่ทำให้ผมเสียใจทำไม ทำให้ผมเจ็บปวดทำไม คนที่รักกันเขาต้องทำร้ายกันเหรอ!”

“พี่ไม่อยากทำให้ฐานเจ็บปวดนะ”

สิบทิศค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้นมาเผชิญหน้า สองมือประคองใบหน้าของฐานทัพเอาไว้แล้วเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ประหนึ่งเกรงกลัวว่าจะทำให้เจ็บช้ำ ราวกับเป็นของสำคัญ ทว่าสิ่งอื่นๆ ที่เคยกระทำกลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

“พี่ขอโทษ พี่มันเลวเอง ไม่รู้จักพอ ทำให้ฐานเสียใจ พี่มันแย่ สันดานไม่ดี”

“.....”

“ฐานช่วยยกโทษให้พี่ได้ไหม ช่วยรักคนอย่างพี่ได้ไหม พี่จะปรับปรุงตัวนะ พี่จะพยายาม ฐานอย่าเลิกกับพี่นะ”

เสียงในตอนท้ายของสิบทิศสั่นเครือเหมือนกับยอมรับไม่ได้เช่นกันหากต้องเลิกรา หวาดกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดมากที่สุด

ฐานทัพได้แต่หลับตา เงยหน้าขึ้นเพื่อให้หยดน้ำที่พรั่งพรูเลิกหยดลงสู่เบื้องล่างเสียที เพื่อระงับความเจ็บปวดที่เอ่อล้นออกมาเอาไว้ ฟังเสียงของอีกฝ่ายขอร้องยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

เขาจะทนใจแข็งได้อีกสักแค่ไหนกัน

แต่ถึงอย่างนั้น...

“ถ้ามีอีกครั้งผมจะทำบ้าง”

เขาก็ยังไม่เลิกหวังอยู่ดี

หวังว่าเราจะกลับมามีความสุขอีกครั้ง

หวังว่าจะไม่ถูกทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ไม่ได้นะ พี่ไม่ยอม ฐานก็รู้ว่าพี่รักฐานหวงฐานมากแค่ไหน”

สิบทิศรั้งร่างของฐานทัพเข้าไปกอดเต็มกำลัง กอดอย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าจะมีคนฉกชิงไป เสมือนสมบัติล้ำค่าที่จะไม่ยอมสูญเสียไปโดยเด็ดขาด

“พี่ขอโทษนะฐาน จะไม่ทำอีกแล้ว ฐานก็ห้ามไปยุ่งกับคนอื่นเด็ดขาดเลยนะ ไม่อย่างนั้นพี่คลั่งตายแน่ๆ พี่รักฐานนะ”

ฐานทัพนิ่งไม่ตอบ ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ตอบรับและปฏิเสธ จนกระทั่งสิบทิศปล่อยมือไปเองถึงได้หยิบหมอนบนเตียงขึ้นมา ทำท่าจะเดินออกจากห้องไปจึงโดนสิบทิศดึงแขนรั้งเอาไว้

“ฐานจะไปไหน”

“ผมจะไปนอนที่โซฟา”

เขาดึงมือสิบทิศออกแล้วก้าวตรงไปยังห้องนั่งเล่น สิบทิศก็ก้าวยาวๆ ตามมาด้วย

“ฐานจะนอนที่โซฟาทำไม นอนห้องของเราสิ”

“คืนนี้ผมไม่อยากนอนกับพี่”

ฐานทัพทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ

เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน แค่เพียงร้องไห้ก็ทำให้เขาอ่อนล้าไร้กำลังขนาดนี้ ตลอดครึ่งปีกว่านี้คงเป็นช่วงเวลาที่เขาร้องไห้มากที่สุดในชีวิตแล้ว ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้

ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเสียน้ำตาเพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’

เพราะได้รู้จักมันแล้วถึงต้องเรียนรู้ทุกๆ อย่างที่สมควรจะได้รับจากความรักอย่างนั้นหรือ?

“พี่ขอร้องล่ะ นอนในห้องเถอะนะ ให้พี่ได้กอดฐาน ให้พี่ได้ชดเชยเรื่องที่ทำไม่ดีกับฐานนะ นะครับ”

“ผมเหนื่อยแล้ว ผมอยากนอนคนเดียว พี่ช่วยอย่ารบกวนผมได้ไหม”

ฐานทัพตัดบทโดยสิ้นเชิงแล้วล้มตัวลงนอนบนนั้น ปิดเปลือกตาลง ไม่สนใจความเป็นไปของสิบทิศที่เอาแต่ส่งเสียงอ้อนเรียกชื่อเขาซ้ำๆ

และดูเหมือนว่าสิบทิศจะถอดใจไปเองในที่สุด เพราะหลังจากนั้นไม่นานเสียงที่ร้องเรียกก็เงียบไป

ฐานทัพลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นเงาร่างของใครอีกคนที่เมื่อครู่ทำเหมือนวิงวอนเขานักหนา จนอดหัวเราะเย้ยหยันตนเองไม่ได้

สุดท้ายความพยายามของพี่ก็มีแค่นี้เหรอ

ทั้งที่คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อลืมตาตื่นในเช้าวันรุ่งขึ้นสภาพแวดล้อมที่เคยเห็นก่อนนอนกลับเปลี่ยนไป

เบื้องหน้าเป็นภาพห้องที่คุ้นเคยซึ่งเขาอาศัยนอนมาเกือบสองปี สัมผัสบนเตียงก็คุ้นชิน รวมทั้งรอบกายยังรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดลงมาอย่างเป็นปกติ

เมื่อหันไปดูที่ด้านหลังก็พบใบหน้าของสิบทิศกำลังเกยอยู่บนไหล่ของเขา

เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ แค่รู้ว่าสิบทิศอุ้มเขากลับมานอนบนเตียงและกอดไว้ทั้งคืนก็ทำให้หัวใจลิงโลดและริมฝีปากจุดรอยยิ้มขึ้นอย่างง่ายดาย

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

แค่ขยับตัวเพียงเล็กน้อยสิบทิศก็ลืมตาขึ้นแล้วชะโงกหน้ามาจูบริมฝีปากเขาอย่างรวดเร็วเบาๆ มิหนำซ้ำยังเอ่ยชวนโดยที่ยังไม่ละแขนซึ่งกอดไว้

“วันนี้ไปเที่ยวกันไหม”

“พี่ไม่ต้องทำงานเหรอ นี่ก็สายแล้วด้วย”

“ลาก็ได้ พี่อยากอยู่กับฐาน”

ใจหนึ่งฐานทัพก็อยากยอกย้อนกลับไปว่าจะชดเชยความผิดหรือไง แต่อีกใจหนึ่งก็ชะงักคำพูดชั่วแล่นนั้นไว้ก่อน

เขายังไม่อยากทำให้ทุกอย่างมันแย่เพียงเพราะทิฐิของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่สมควรมากที่สุดก็ตาม

ผิดไหมที่เขาอยากจะตักตวงความสุขเอาไว้...ตักตวงให้มากที่สุดเท่าที่มากได้

อยากยึดครองช่วงเวลาที่สิบทิศทำดีต่อเขาไว้ตราบนานเท่านาน

คงเป็นความเห็นแก่ตัวของคนที่ไม่อยากถูกความรักทอดทิ้งกระมัง

“แล้วจะไปไหนล่ะ”

สิบทิศไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่ยิ้มมีเลศนัยพร้อมบอกเพียงว่าไปเถอะ แล้วลุกจากเตียงนอนพลางดึงมือเขาให้ลุกขึ้นไปด้วยกัน

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วพวกเขาทั้งคู่ก็ออกเดินทาง วันนี้ไม่ได้กินอาหารที่คอนโดฯ เพราะสิบทิศชวนว่าให้ไปกินด้วยกันดีกว่า ซึ่งจุดหมายก็คือห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านกลางเมือง

พอเขาถามว่าเที่ยวที่ว่าคือมาห้างเหรอ เพราะส่วนใหญ่หากมีเวลาเขากับสิบทิศมักจะมาห้างสรรพสินค้าด้วยกันบ่อยๆ ไม่ค่อยได้ใช้เวลาที่อื่นร่วมกันสักเท่าไรเนื่องจากแต่ละคนมีวันหยุดไม่ตรงกัน สิบทิศก็ชี้นิ้วลงไปที่พื้นเหมือนจะบอกว่าอยู่ข้างใต้นี้

“มาห้างก็จริง แต่ที่จะเที่ยวไม่ใช่ห้างหรอก”

เขาถึงเพิ่งนึกออกว่าหมายถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่อยู่ข้างใต้ซึ่งเขาไม่เคยคิดมาเลยสักครั้ง

ได้เห็นได้เจออะไรใหม่ๆ บ้างอาจจะดีก็ได้มั้ง

เพราะคิดเช่นนั้นฐานทัพจึงไม่ได้ตอบอะไรมากกว่าเดิม จนกระทั่งกินอาหารเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็ลงไปชั้นล่าง บรรยากาศมืดทะมึนมีแสงเรืองๆ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปอีกแบบ

หมู่ปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายผ่านไปโดยมีกระจกบานใหญ่กั้นทำให้รู้สึกว่าสวยงามแปลกตา แต่โดยรวมแล้วก็ให้ความรู้สึกดีเพราะที่มือข้างซ้ายของเขารู้สึกได้ถึงไออุ่นที่เลื่อนมากุมกันเอาไว้

“ไม่ยักรู้ว่าพี่ชอบพวกปลา”

“เปล่าหรอก”

ฐานทัพแหงนหน้ามองตู้กระจกสูงลิ่วซึ่งมีปลาที่ไม่เคยเห็นว่ายเวียนอยู่ แต่เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นก็หันกลับมามองดูคนที่อยู่ข้างๆ

“อ้าว ก็เห็นมาที่นี่ คิดว่าชอบอะไรแบบนี้ซะอีก”

“แค่ไม่เคยมาเลยอยากลองมาดูสักทีน่ะ เป็นความทรงจำครั้งแรกร่วมกับฐานนะ ถ้านึกถึงที่นี่ พี่จะได้คิดถึงฐาน แล้วฐานก็ต้องคิดถึงพี่ด้วยไง”

สิบทิศยิ้มทะเล้นราวกับว่าจะหยอกกระเซ้า แต่ว่ามันก็สำเร็จ เพราะว่าฐานทัพผุดรอยยิ้มขึ้นมาได้จริงๆ

“พี่รู้ได้ไงว่าผมจะคิดถึงพี่ ผมอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้”

“ฮืมๆ ไม่หรอก ฐานต้องคิดแน่นอน”

สิบทิศส่ายหัว ร้องเสียงน่ารักเหมือนเด็กอย่างที่ไม่เคยได้ยิน มิหนำซ้ำใบหน้ายังปรากฏรอยยิ้มไม่จาง แถมยังดูเจ้าเล่ห์มากกว่าเดิม ทำให้ฐานทัพรู้สึกหมั่นไส้อยู่หน่อยๆ

“มั่นใจอะไรขนาดนั้น”

“มั่นใจก็เพราะแบบนี้ไง”

สิ้นเสียงพูดนั้นแล้วอยู่ๆ ร่างของสิบทิศก็ประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ฐานทัพเผลอก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณป้องกันตัว แต่เพียงแค่สองก้าวแผ่นหลังของเขาก็แนบเข้ากับตู้กระจกเย็นๆ เสียแล้ว

ทันทีที่หมดหนทางหนี ริมฝีปากอุ่นๆ ก็ทาบลงมาบนริมฝีปากของเขาอย่างเร็วพลัน ขบนิดๆ อยู่อย่างนั้นสองสามวินาทีก่อนจะถอยห่างออกไป

ฐานทัพเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ หันมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก เพราะไม่คิดว่าอยู่ดีๆ สิบทิศจะทำบ้าๆ กลางที่สาธารณะ แต่รอบข้างก็เงียบสงบไม่ค่อยมีผู้คน ถึงมีก็อยู่ในมุมที่ห่างออกไปมาก

“ทำบ้าอะไรเนี่ย”

“สร้างความทรงจำไงครับ”

พอเขาต่อว่า สิบทิศก็ยังกระหยิ่มยิ้มอย่างเหนือกว่า แถมท้ายด้วยการฉกจูบอีกครั้งเล่นเอาหัวใจฐานทัพแทบวายลงเดี๋ยวนั้น

ถึงเขาจะเป็นประเภทที่เคยจูบใครต่อใครได้อย่างไม่อายมาก่อน แต่ก็ไม่เคยทำในที่โล่งซึ่งไม่ใช่สถานที่เฉพาะแบบนี้

“ไม่กลัวคนเห็นหรือไง”

“เห็นก็เห็นไปสิ เขาจะได้รู้ไงว่าพี่รักฐานมาก”

เพราะโดนรุกทั้งการกระทำและคำพูด ฐานทัพจึงรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นมา

นานแล้วที่เขาไม่ได้เจอสถานการณ์ถูกไล่ต้อนขนาดนี้เลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าใจเต้นและหวิวๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก

“หน้าด้านจริงๆ นะ”

“ถ้าเป็นเรื่องของฐาน พี่หน้าด้านเสมอแหละ ขอเพียงให้ได้มีฐานอยู่ข้างๆ พี่ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”

สิบทิศยังคงรุกอย่างหนักหน่วงจนฐานทัพรับมือไม่ถูก

เขาเบนหน้าหนีเพราะไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร แต่มือที่ถูกกุมไว้ก็โดนกระตุกหลายครั้ง เหมือนจะเรียกร้องว่า ‘สนใจกันหน่อยสิ’ จนสุดท้ายก็ต้องยอมหันหน้าไปเผชิญกันอย่างไม่มีทางเลือก

เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสที่แฝงแววกรุ้มกริ่มของสิบทิศแล้วก็ทำให้ใจสั่นแปลกๆ

“ถ่ายรูปกันดีกว่านะ ไหนๆ ก็มาเดตกันทั้งที”

สิบทิศว่าอย่างนั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาตั้งท่าจะถ่ายรูปโดยมีตู้กระจกขนาดยักษ์เป็นพื้นหลัง

ฐานทัพปั้นหน้าไม่ค่อยถูกสักเท่าไรจนโดนบอกว่ายิ้มสิๆ ถึงจะรวบรวมรอยยิ้มขึ้นมาได้

ช่างเป็นวันที่แสนสุขและพิเศษจนฐานทัพรู้สึกอิ่มเอมไปทั้งใจ

 

 

ทว่านั่นอาจจะเป็นความสุขที่หลอกล่อให้ตายใจก่อนที่พายุลูกใหญ่จะโหมกระหน่ำก็เป็นได้ เพราะหลังจากนั้นไม่นานฐานทัพก็ต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นเดิมและต้องรู้สึกเจ็บปวดเหมือนเดิม

ครั้งนี้เขาทนไม่ไหวแล้วกับการต้องรอคอยการกลับมาของสิบทิศ ฐานทัพออกจากห้อง ไปสถานบันเทิงที่ไหนก็ได้ที่สติในเวลานั้นจะพาไปถึง ดื่มเหล้าไม่รู้กี่แก้วต่อกี่แก้วเพื่อชดเชยน้ำตาที่สูญเสียไปเผื่อว่ามันจะทดแทนกันได้ แม้ไม่ต้องให้ใครบอกเขาก็รู้ว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้ย่ำแย่แค่ไหน

แต่ถึงอย่างนั้น...แม้จะเมามายสักเท่าไร ความเจ็บปวดในอกก็ไม่มีวี่แววว่าทุเลาลงเลย

ฐานทัพรู้สึกสมเพชตัวเองจากใจ แต่ก็หยุดมือที่กรอกน้ำขมปร่านั่นลงคอไม่ได้

“คุณเมามากแล้วนะครับ หยุดดื่มแล้วกลับบ้านดีไหม”

คงเพราะเห็นแล้วสังเวช บาร์เทนเดอร์จึงเอ่ยเตือนเช่นนั้น ทว่าฐานทัพก็ยังสั่ง

“เอาเหล้ามาอีก เอาเหล้ามา”

“พอเถอะครับ กินเหล้าเมาขนาดนี้มันอันตรายนะครับ ให้คนที่บ้านมารับไหม เดี๋ยวผมช่วยโทรตามให้”

“ไม่ต้องมายุ่ง เอาเหล้ามาก็พอแล้ว”

“แต่ถ้าดื่มมากกว่านี้ได้สลบคาร้านแน่ๆ นะครับ”

“จะดื่มอีก!”

ฐานทัพโวยวายด้วยความไม่อยากรับรู้สิ่งใดแล้ว ตอนนี้เขาอยากเมาอย่างเดียวเท่านั้น เพราะถึงจะมีสติรับรู้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ใดขึ้นมา

ฐานทัพยกแก้วที่ถูกเติมเครื่องดื่มอีกครั้งหลังจากบาร์เทนเดอร์ยอมคืนขวดสุรากลับมาให้อย่างจนใจ

แก้วแล้วแก้วเล่าจรดลงที่ปากก่อนจะถูกกระดกดื่มเข้าไปรวดเดียวจนหมด สติของฐานทัพเลือนรางเต็มที

เขาแทบจะมองคนหนึ่งคนออกเป็นหลายร่างแล้ว ภาพที่เห็นก็พร่าเลื่อนขมุกขมัวไปหมด มิหนำซ้ำเครื่องดื่มยังหมดขวดไปแล้วด้วย

พอรับรู้ว่าสุราหมดไปแล้ว สติก็กลับคืนมาอีกครั้ง

ฐานทัพร้องไห้ขึ้นมาอีกหน น้ำตาไหลเป็นสายเอ่อนองใบหน้า ดวงตากลมโตที่เคยเป็นประกายแวววาวอย่างมีชีวิตชีวาและบางคราก็เจ้าเล่ห์ถูกน้ำตาท่วมจนจมมิด

คิดถึง...

คำคำนี้เอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจพอๆ กับน้ำตาที่หลั่งริน

ฐานทัพใช้มือที่ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรงแล้วคว้าสะเปะสะปะไปบนตัวกว่าจะควานหาโทรศัพท์เจอ เตรียมจะกดโทรออกหาคนที่ตนกำลังคิดถึงสุดหัวใจอยู่ในเวลานี้ ทว่ายังไม่ทันจะสำเร็จมือก็ต้องชะงักไปเมื่ออยู่ๆ ความเจ็บปวดจากการถูกทรยศพรั่งพรูขึ้นมาในอก

เขาเปลี่ยนเป้าหมาย เลื่อนไปหาเบอร์ของใครอีกคนหนึ่งแทน

คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าจิตใจผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้ๆ เมื่อได้พูดคุยกันเสมอ

สัญญาณรอสายดังอยู่ไม่กี่ครั้งก็มีน้ำเสียงทุ้มลึกตอบกลับมา

[ว่าไง ฐาน]

ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น น้ำตาที่ว่าหลั่งไหลออกมามากแล้วกลับยิ่งท่วมทะลักจากขอบตา ราวกับน้ำหลากถล่มพนังกั้นน้ำก่อนจะซัดสาดอย่างไม่บันยะบันยัง

“พี่ภัน...”

[ฐานเป็นอะไร ร้องไห้เหรอ อยู่ที่ไหน]

เพียงแค่เสียงอ่อนระโหยของเขาดังไปตามสาย ปลายสายก็สอบถามกลับมาอย่างลนลาน ดูเป็นห่วงเป็นใยเสียมากมายจนฐานทัพอดหวนนึกไปถึงอีกคนไม่ได้

หากเป็นสิบทิศจะรู้สึกแบบนี้ไหม จะห่วงใยเขาแบบนี้หรือเปล่า




v




v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 10th Lie [23/3/63]
«ตอบ #28 เมื่อ23-03-2020 21:15:46 »

หลังจากฐานทัพบอกสถานที่ที่ตนอยู่ไป ไม่กี่สิบนาทีต่อมาภันวัฒน์ก็ปรากฏตัวเบื้องหน้า ควักเงินจ่ายค่าเครื่องดื่มและขอโทษขอโพยบาร์เทนเดอร์ที่เขาสร้างความเดือดร้อนให้อย่างมีไมตรีต่อทุกฝ่ายจนน่าชื่นชม

แม้ว่ากำลังเมามายจนไม่มีแรงจะลุกจากเก้าอี้ ฐานทัพก็ยังรู้สึกเช่นนั้นเลย

“ผมขออยู่ด้วยสักอาทิตย์นะ”

พอภันวัฒน์พยุงให้ขึ้นรถได้ ฐานทัพก็รวบรวมสติทั้งหมดพูดคำนั้นออกมา

“จะไม่เป็นไรเหรอ แล้วแฟนเราล่ะ”

“อย่าพูดถึงได้ไหม ผมไม่อยากรับรู้แล้ว”

ฐานทัพปัดบทสนทนาไปอย่างง่ายๆ แล้วพลิกหน้าไปด้านประตูรถ ขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจะหามุมเหมาะๆ เพื่อนอนพัก

เขาปิดตาลงด้วยความรู้สึกไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว ถึงกระนั้นก็ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจแผ่วๆ มาจากที่นั่งด้านข้าง

ภันวัฒน์คงจะหนักใจที่เขามาขอความช่วยเหลือแบบนี้

ไม่รู้จักละอายซะมั่งเลย

ทั้งที่คิดเช่นนั้น อยู่ๆ ฐานทัพก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามือใหญ่ที่กดลงบนศีรษะอย่างเบามือ

“อย่างน้อยก็ยังดีที่ฐานยังนึกถึงพี่อยู่ พี่ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าอยากให้ช่วย หรือเป็นที่ปรึกษาหากว่าไม่สบายใจ ขอแค่ไม่ทำตัวเหลวไหลไปกว่านี้ก็พอ”

อีกฝ่ายพูดเหมือนรู้ว่าเขาฟังอยู่ แต่ฐานทัพไม่ขยับปากพูดตอบ อยู่นิ่งๆ เช่นเดิมจนมือใหญ่ละออกไป จากนั้นสติก็ค่อยๆ ดับวูบไปจนกระทั่งลืมตาอีกครั้งเขาอยู่บนเตียงนอนแล้ว

ชายคนหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ...

คราแรกฐานทัพตกใจจนเบิกตาโพลง กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นว่าทั้งตนเองและอีกฝ่ายยังคงใส่เสื้อผ้าครบชุดก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะชะโงกหน้าไปมองคนที่นอนหันหลังให้เขาอยู่

“พี่ภันนี่เอง”

“ตื่นแล้วเหรอ”

คงเพราะรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนที่นอนภันวัฒน์จึงตื่นขึ้นด้วยเช่นกัน

“ขอโทษนะที่ทำให้วุ่นวาย”

หลังจากรู้ว่าคนที่นอนร่วมเตียงกันเป็นใคร ฐานทัพพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนได้แล้วก็ต้องรู้สึกผิดทันควันที่ตนเองสร้างความเดือดร้อนให้อีกฝ่าย

“ไม่หรอก พี่พร้อมช่วยเสมอ ว่าแต่มีเรื่องกลุ้มใจอะไรถึงได้ไปเมาหัวราน้ำแบบนั้น”

“คือ...”

ฐานทัพอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ภันวัฒน์ฟัง

ไม่นึกเลยว่าการได้มาเจออีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอมาหลายเดือนจะออกมาในรูปแบบนี้

นอกจากครั้งแรกแล้วเขาก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ภันวัฒน์ฟังเลย แม้ว่าจะพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์หรือแอปพลิเคชันสนทนากันบ่อยพอสมควร

“พี่ว่าแบบนี้ไม่ไหวนะ ผิดครั้งแรกก็ยังพอยอมรับได้อยู่หรอก แต่นี่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว แล้วก็มาขอโทษอ้อนวอนแบบนี้น่ะเหรอ”

ภันวัฒน์ดูมีอารมณ์ร่วมพอสมควร ถึงขนาดแสดงอารมณ์ออกมาว่าไม่พอใจ

ฐานทัพได้แต่เม้มปากพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่

“ผมใจอ่อนเองแหละ ทั้งที่ควรจะทำใจแข็ง แต่พอเห็นเขาขอร้องแบบนั้น แล้วพอนึกภาพว่าถ้าเลิกกันจะเป็นยังไง ผมก็ทนไม่ได้ ผมไม่อยากเลิก ผมทนมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเขาไม่ได้ อะไรๆ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมทิ้งชีวิตแบบเดิมไปแล้ว”

“.....”

“ถึงตอนเขานอกใจจะทรมาน แต่ตอนที่ได้อยู่กับเขาผมก็มีความสุข”

เพราะเห็นภันวัฒน์เงียบมองหน้าเขาเหมือนคนอ่อนอกอ่อนใจ ฐานทัพจึงสารภาพความรู้สึกลึกๆ ในใจออกมา

นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่เขาไม่สามารถเลิกกับสิบทิศได้

ทำอย่างไรก็ตัดใจทำให้สำเร็จไม่ลง ถึงต้องทนเจ็บช้ำซ้ำซากอยู่อย่างนี้

ภันวัฒน์ถอนหายใจยาวๆ ออกมาดังเฮ้อ เหมือนคนทุกข์หนักที่อยากระบายความทุกข์ออกมาเป็นเสียง

“ในเมื่อฐานตัดสินใจแล้ว พี่คงทำอะไรไม่ได้ล่ะนะ แต่พี่อยากเตือนว่าถ้าเขายังเป็นแบบนี้มันก็จะวนเวียนต่อไปเหมือนเดิมไม่จบไม่สิ้น แล้วฐานก็ต้องเจ็บซ้ำๆ ต่อไปอีกเรื่อยๆ ฐานเตรียมใจพร้อมสำหรับเรื่องนั้นแล้วเหรอ”

คำถามนั้นทำให้ฐานทัพต้องสะอึกและหยุดชะงักไปโดยพลันเพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อน

เขาไม่เคยนึกถึงอนาคตว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปไม่สิ้นสุดจะเป็นอย่างไร

“ผมขอ...ไม่คิดถึงเรื่องนั้นก่อนได้ไหม”

“ก็ตามใจเรานะ”

ภันวัฒน์พูดเหมือนปลงตกอีกครั้ง

“แต่ถ้าจะไปเมาอะไรแบบนั้นอีก ฐานก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่างน้อยก็โทรบอกให้พี่ไปรับล่ะ พี่ยินดีช่วย”

“ขอบคุณนะพี่ อุตส่าห์ใจดีกับผมทั้งที่ผมเป็นภาระ”

“ก็บอกแล้วไงล่ะว่าพี่เห็นเราเป็นน้องคนหนึ่ง จำไว้ด้วยล่ะว่าพี่เป็นห่วง ถ้าจะทำอะไรที่เป็นผลเสียกับตัวเองก็ให้นึกถึงหน้าพี่ไว้แล้วกัน”

คงเพราะเขาเคยเผลอเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังแล้วก็เป็นได้ ถึงได้ถูกบอกมาเช่นนั้น

ฐานทัพผงกศีรษะรับฟัง ถึงกระนั้นก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถึงเวลาจริง เขาจะมีสตินึกถึงอีกฝ่ายขึ้นมาหรือเปล่า แต่อย่างน้อยเขาก็ยังรู้สึกดีที่มีคนแสดงความเป็นห่วงเขาจากใจอย่างแท้จริงโดยที่เขาไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้เลยแท้ๆ

ถ้าหากสิบทิศดีได้อย่างภันวัฒน์ก็คงดี

หรือไม่ก็...หากเขาเปลี่ยนใจมารักภันวัฒน์แทนได้ก็คงไม่ต้องทุกข์ทนแบบนี้

แต่มันกลับไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะทั้งหัวใจของเขามีแต่สิบทิศเต็มไปหมด ไม่สามารถจะเผื่อที่ไปให้ใครได้เลย ราวกับเป็นคำสาปที่ไม่มีทางแก้ไข

“ว่าแต่เราจะค้างอยู่ที่นี่อาทิตย์หนึ่งจริงเหรอ”

“อืม จริง”

ฐานทัพพยักหน้าอีกครั้ง แต่เสี้ยววินาทีนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“ผมอยากรู้ว่าถ้าผมไม่กลับไป เขาจะทำยังไง จะเป็นห่วงผมบ้างหรือเปล่า”

“อยากลองใจดูว่างั้น”

ภันวัฒน์ถอนหายใจเหมือนกับการตัดสินใจของเขาเป็นความผิดพลาด

“ถ้าฐานจะทำอย่างนั้น ฐานก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยว่าคำตอบมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ต้องการก็ได้...พี่ไม่ได้ขู่นะ”

เห็นสีหน้าของเขาไม่ดีหลังจากได้ยินเช่นนั้นกระมังถึงได้ต่อประโยคท้ายมาด้วย

ฐานทัพรู้สึกหัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะจริงๆ หลังจากได้ฟังภันวัฒน์บอก แต่สุดท้ายเขาก็ผงกศีรษะ

“ผมอยากลองดู อยากรู้ว่าใจจริงเขาเป็นยังไง”

“เอาเถอะๆ ถ้าฐานจะอยู่พี่ก็ไม่มีปัญหา”

“ช่วงนี้พี่ไม่ได้มีแฟนใช่ไหม”

อยู่ๆ ฐานทัพก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

แม้เขาคาดเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะยังไม่ได้คบหากับใคร เพราะไม่เคยพูดถึงมาก่อน แต่ถามเพื่อความแน่ใจไว้ก่อนคงดีกว่า เกิดภันวัฒน์มีแฟนขึ้นมา การมาอยู่ที่นี่ของเขาอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้ก็เป็นได้

“ไม่มีหรอก พี่จะหาแฟนจากไหนได้กันล่ะ วันๆ ทำแต่งานนี่นา ไม่ได้เจอกับใครที่ไหน”

“อย่างนั้นเหรอ แต่น่าเสียดายนะ พี่ทั้งเป็นผู้ใหญ่ ใจดี อ่อนโยน เข้าอกเข้าใจคนอื่น คนที่ได้เป็นแฟนพี่คงโชคดีสุดๆ”

“จะว่าไปก็นั่นสินะ แต่พี่คบใครแล้วสุดท้ายก็ต้องเลิกด้วยเหตุผลเดิมๆ ทุกที”

ภันวัฒน์ไม่มีท่าทีถ่อมตัวเลยสักนิด แต่ทำสีหน้าว่าช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่สุดท้ายแล้วคนโชคดีพวกนั้นกลับเลิกกับเขาไป ทำเอาฐานทัพหัวเราะคิกคักออกมาอย่างเห็นด้วย ไร้ความรู้สึกว่าน่าหมั่นไส้โดยสิ้นเชิง เพราะภันวัฒน์ไม่ได้ให้บรรยากาศแบบนั้น และเขาก็รู้เจตนาของอีกฝ่ายว่าไม่ได้พูดโอ้อวดตัวเอง

“ในเมื่อพี่ไม่มีแฟนให้ผมต้องกังวล ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขอไม่เกรงใจคนโสดล่ะนะ”

ฐานทัพยักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างทะเล้น จนโดนภันวัฒน์ยื่นมือมาขยี้ผมเบาๆ เหมือนมันเขี้ยว

 

 

ความตั้งใจของฐานทัพคืออาศัยอยู่ที่คอนโดฯ ของภันวัฒน์หนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นจึงแน่นอนว่าแบตเตอรี่ของโทรศัพท์ต้องหมด ภันวัฒน์ถามอยู่เหมือนกันว่าจะให้หาสายชาร์จมาให้เหมือนอย่างเสื้อผ้าไหม แต่ฐานทัพก็หักใจปฏิเสธไป ในเมื่อเขาตัดสินใจว่าจะลองใจสิบทิศแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด

ทว่านับแต่นั้นเป็นต้นมา แม้บางครั้งภันวัฒน์จะพูดคุยหรือชวนทำกิจกรรมฆ่าเวลาด้วยกัน ทั้งทำอาหาร ออกกำลังกาย หรือไปเที่ยวข้างนอก แต่พออยู่เพียงลำพังฐานทัพก็มักจะเหม่อมองโทรศัพท์เสมอ

“ถ้าใจลอยขนาดนั้น ทำไมไม่กลับไปล่ะ”

ดูเหมือนว่าภันวัฒน์จะทนไม่ไหวถึงได้เอ่ยออกมา

ฐานทัพหันไปมองอีกฝ่าย ตอบเสียงเบาว่า

“เพิ่งจะห้าวันเอง ยังไม่ครบอาทิตย์เลยนี่นา”

จึงโดนสวนกลับมา

“ไม่ครบอาทิตย์ก็เป็นแบบนี้แล้ว จะทนทรมานตัวเองไปทำไมล่ะ อย่าดื้อนักเลย”

ภันวัฒน์ใช้น้ำเสียงเหมือนดุเด็ก ทำให้ฐานทัพต้องทำหน้างอใส่เล็กน้อยเสมือนตนเองเป็นเด็กเสียเลย จากนั้นก็พึมพำออกมาราวเสียงกระซิบ

“มันบอกไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากรีบกลับไปเจอ แต่อีกใจก็หวั่นๆ ยังไงไม่รู้”

“ยังไงก็ต้องเผชิญความจริงอยู่แล้ว จะช้าหรือเร็วผลก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

คำพูดของผู้ใหญ่ทำให้ฐานทัพต้องครุ่นคิดตามไปอีกครั้ง และก็พบว่ามันจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าจึงตัดสินใจลุกขึ้นอย่างฮึกเหิม

“งั้นผมกลับนะ”

รอยยิ้มมาจากภันวัฒน์พร้อมคำบอก

“เดี๋ยวพี่ไปส่งแล้วกัน”

หลังจากกล่าวคำอำลา “โชคดีนะ” เมื่อมาส่งฐานทัพแล้ว ภันวัฒน์ก็วนรถออกไปจากหน้าคอนโดมิเนียมของสิบทิศ

ฐานทัพแหงนมองขึ้นไปบนชั้นที่อยู่ของตน แล้วก็ต้องรู้สึกหวาดหวั่นอย่างห้ามไม่ได้ แต่ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

เขาก้าวเท้าเข้าไปในตัวอาคารพร้อมกับสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเอง บอกตัวเองอยู่ในใจว่าให้ใจเย็นๆ เพราะเวลานี้หัวใจของเขาเต้นแรงเหลือเกิน

ในใจพร่ำนึกถึงคำพูดของภันวัฒน์ ดั่งมันเป็นคาถายึดเหนี่ยวจิตใจ จนกระทั่งสุดท้ายก็มายืนอยู่หน้าห้องได้

ฐานทัพสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนผ่อนลมออกมายาวๆ แล้วถึงค่อยเปิดประตูเข้าไป

เมื่อบานประตูเปิดออกใจของเขาก็ต้องเต้นระรัวอีกคราวเพราะไฟในห้องสว่างอยู่

สิบทิศอยู่ในห้อง

ฉับพลันที่แทรกตัวเข้ามาในห้องและคนที่อยู่ด้านในหันมาเห็นว่าเป็นเขา ก็เบิกตาโพลงรีบรุดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

มือของสิบทิศคว้าแขนของเขายกขึ้นมาสำรวจดูราวกับเกรงกลัวว่าเขาจะถูกทำร้ายได้รับบาดแผลอะไรสักอย่าง

หัวใจของฐานทัพพองโตขึ้นมาทันควัน

มุมปากค่อยๆ กระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ไม่อาจบรรยายได้เลยว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนที่เห็นท่าทีร้อนรนใจด้วยความเป็นห่วงเขาจากผู้ชายตรงหน้า

เขาอ้าปากกำลังจะพูดอะไรออกมาแต่สิบทิศก็โพล่งพูดเสียก่อน

“ฐานไปไหนมา พี่เป็นห่วงมากเลยรู้ไหม โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม พี่ร้อนรนมากเลยนะตอนรู้ว่าฐานไม่อยู่บ้าน หายไปไหนก็ไม่รู้ พยายามโทรหาเท่าไรก็ติดต่อไม่ได้อย่างเดียว จะไปตามหาที่ไหนพี่ก็ไม่รู้เลย เพื่อนที่มหา’ลัยฐานก็ไม่มี พี่เกือบจะไปหาที่โชว์รูมแล้วนะ”

น้ำเสียงร้อนรนใจนั้นดั่งน้ำทิพย์หยดลงบนหัวใจให้ชุ่มชื้น

หากบอกว่าเป็นความดีใจที่สุดในรอบเกือบหนึ่งปีมานี้คงไม่ผิด

บางทีการที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วก็ได้

เขาได้รู้ถึงความเป็นห่วงและความรักที่สิบทิศมีให้

ฐานทัพคิดเช่นนั้น หลงเพ้อดีใจไปกับคำพูดเหล่านั้นจนกระทั่งคำพูดต่อมา

“หายไปสองวันนี้แบบนี้ทำไมถึงไม่บอกพี่ล่ะ”

ประโยคคำถามนี้ดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวของเขา ขณะที่ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าชาวูบขึ้นมาอย่างฉับพลันจนเย็นเฉียบ

 



-----------------
ไม่มีคนอ่าน เราก็ยังคงอัปต่อไป



ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 10th Lie [23/3/63]
«ตอบ #29 เมื่อ23-03-2020 21:45:23 »

เฮ้ยยย... คุณณณณ... เราอ่าน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด