「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)  (อ่าน 7051 ครั้ง)

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 11th Lie [28/3/63]
«ตอบ #30 เมื่อ28-03-2020 19:14:58 »

















11th Lie

เลว เลว เลว


 

 

“ผมไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นมา”

ไม่รู้ว่าด้วยความช็อก ความผิดหวังอย่างที่สุด หรือความเสียใจอย่างสุดแสนที่ทำให้ฐานทัพพูดอย่างนั้นออกไป

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับคนไร้ความรู้สึกไปแล้วทั้งที่ยังรับรู้ถึงความสั่นสะท้านของตนเอง แต่ก็พยายามระงับเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

กลับเป็นสิบทิศเสียอีกที่กำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัวให้เห็นอย่างเด่นชัด สีหน้าแสดงความโมโหเหลือคณา น้ำเสียงกระโชกตะคอกมา

“ฐานทำแบบนี้ได้ยังไง!”

“ผมก็ทำเหมือนพี่ไง”

ในขณะที่สิบทิศอารมณ์ขึ้นจนควบคุมไม่ได้ ฐานทัพกลับนิ่งสงบอย่างน่าเหลือเชื่อ

อาการสั่นที่เมื่อครู่พยายามควบคุมไว้ค่อยๆ สงบลงได้ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คงเพราะเห็นอาการของคนตรงหน้าก็เป็นได้

เขาคง...สะใจอยู่เหมือนกันกระมัง

ฐานทัพอยากจะยิ้มเยาะ แต่ก็รู้สึกว่าหัวเราะไม่ออกเช่นกัน เพราะมันช่างเป็นเรื่องตลกร้ายจริงๆ

“ทำไมฐานไม่นึกถึงจิตใจพี่บ้าง ฐานกล้าหักหลังกล้านอกใจพี่ได้ยังไง! ทั้งที่พี่รักฐานขนาดนี้ ทำไมไม่คิดบ้างว่าพี่จะเจ็บปวดเสียใจขนาดไหน พี่บอกแล้วไงว่าพี่รักฐานหวงฐาน ไม่ชอบให้ใครมาแตะต้อง ฐานเป็นของพี่นะ!”

“ผมว่าพี่ถามตัวเองแทนดีไหมครับ”

สิบทิศชะงักไปแวบหนึ่ง เสมือนกับถูกตีแสกหน้าจนพูดอะไรไม่ออก แต่ถัดมาอีกครู่อารมณ์โกรธกรุ่นกลับยิ่งโหมกระพือราวกับสาดน้ำมันลงบนกองไฟ

“อย่ามาอ้างนะฐาน มันไม่เกี่ยวกัน!”

“ก็แล้วแต่พี่จะคิด”

ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ ฐานทัพก็รู้สึกว่าปลงตกขึ้นมาในทันที

ไม่อยากเชื่อว่าคนรักของตนจะเป็นเช่นนี้

ตัวเองทำผิดซ้ำซากแต่กลับไม่เคยสำนึกและปรับปรุง แต่พอคิดว่าเขาทำผิดบ้างกลับทุรนทุรายเป็นเดือดเป็นร้อน

มันคงเกินเยียวยาแล้วจริงๆ

ฐานทัพผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แต่ในเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาแสดงต่างถูกสิบทิศจับสังเกตไว้ได้ทั้งหมด

“ฐาน!”

เสียงตวาดแว้ดแหวดังอีกครั้ง ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเสียงดังกว่าเดิม ไม่ได้ปิดบังความหน่ายระอาอีกต่อไป

“พี่จะเอายังไงก็ว่ามาเถอะ ผมเคารพการตัดสินใจของพี่”

หลังจากถามไปเช่นนั้น ความเงียบก็ปกคลุมโดยรอบ คล้ายว่าอีกฝ่ายไม่คาดคิดเช่นกันว่าเขาจะถามออกไปเหมือนไม่ใส่ใจแบบนี้ ทั้งที่เคยแสดงอารมณ์เจ็บปวดรวดร้าวออกมาให้เห็นเสียขนาดนั้น

ที่จริงเขายังรู้สึกเช่นเดิม แต่บางทีความรู้สึกมันอาจด้านชาขึ้นทีละนิดแล้วก็เป็นได้

เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าถึงจะเผยความเศร้าโศกเสียใจให้เห็น มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากความเปล่าประโยชน์ มีแต่จะยิ่งทวีความเสียใจและความเจ็บปวดให้ตัวเอง

ทั้งคู่ต่างเงียบอยู่อย่างนั้น ฐานทัพไม่ปริปาก เพียงมองหน้าสิบทิศราวกับรอคอยคำตอบ

นั่นคงเป็นการเร่งเร้าให้อีกฝ่ายหาคำตอบให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว สิบทิศจึงเม้มปากแน่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา

“อย่าให้มีอีกครั้งนะ ไม่งั้นพี่ไม่ยอมจริงๆ ด้วย!”

สิบทิศพูดอย่างฉุนเฉียว จ้องมองเขาเขม็งอย่างคาดโทษ มิหนำซ้ำยังเอ่ยต่อด้วยความเกรี้ยวกราด

“ฐานรู้ไหมว่าพี่เกลียดแค่ไหนที่คนอื่นมาแตะต้องฐาน พี่เกลียดๆๆๆ โกรธๆๆๆ ไม่ชอบมากๆ ฐานต้องเป็นของพี่คนเดียว ไม่ว่าใครก็มายุ่งด้วยไม่ได้!”

ฐานทัพไม่ตอบอะไรกับท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงเช่นนั้น

เขามองใบหน้าของสิบทิศที่แดงก่ำจากโทสะ เส้นเลือดปูดบนขมับ เหงื่อซึมตามไรผม นัยน์ตาจ้องขมึงมาทางเขาอย่างไม่ลดละก่อนจะกระชากเขาไปกอด

“พี่จะกลบทับรอยให้หมดเลย ให้ทั้งตัวของฐานเป็นของพี่เท่านั้น ไม่ให้มีรอยน่ารังเกียจจากไอ้พวกเลวคนอื่น!”

หลังจากว่าอย่างนั้นสิบทิศก็ซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอของเขา ซุกไซ้พรมจูบไปทั่วลำคอก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกโดยที่ฐานทัพไม่ได้ตอบรับและปฏิเสธ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามที่ใจต้องการ

 

 

หลังจากนั้นมาทุกอย่างก็ดำเนินไปตามรูปแบบเดิม

สิบทิศคอยเอาอกเอาใจ ใส่ใจในทุกๆ เรื่อง ทำในสิ่งที่คิดว่าเขาน่าจะชอบและพอใจ ทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือฐานทัพไม่ได้ตอบรับด้วยความยินดีเหมือนอย่างเคย เพียงแค่พยักหน้ายอมรับไปอย่างเฉยเมยเท่านั้น

เขาไม่ดีใจกับสิ่งที่สิบทิศทำ

ทั้งการกลับบ้านเร็ว วันไหนเขาเลิกเรียนช้าก็ไปรับที่มหาวิทยาลัย

“พี่รีบออกจากบริษัทมารับฐานเลยนะ นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว ดีจังที่มาทัน ขอบคุณฐานนะครับที่ไม่หนีกลับไปก่อนให้พี่มาเก้อ”

ไม่จำเป็นแท้ๆ เพราะเขากลับเองได้ แต่ก็ยังถ่อมาจากบริษัท

บางวันก็พาไปดินเนอร์ร้านหรูร้านดัง เดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าหรือไนต์มาร์เกตต่างๆ ชิมอาหาร ซื้อของตามร้านรวง

“คนเยอะนี่ พี่กลัวว่าเราจะหลงกัน จับมือกันไว้แบบนี้แหละดีแล้วเนอะ”

ยิ้มแป้นรีบบอกเหมือนหาข้ออ้าง เพียงแค่เขามองมือที่ถูกจับเอาไว้ท่ามกลางผู้คนอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะถูกมอง

นอกจากนั้นก็ชวนไปฟิตเนสที่เจ้าตัวมักไปออกกำลังกายเสมอ ช่วยเป็นเทรนเนอร์ออกกำลังกายให้เขา หรือชวนว่ายน้ำด้วยกัน

“มาเล่นน้ำด้วยกันอย่างนี้ก็สนุกดีเนอะ เอาไว้เดี๋ยวพี่ลองหาช่วงว่างๆ หยุดพักร้อนแล้วเราไปเที่ยวทะเลกันบ้างดีไหม”

ทั้งที่เขาไม่ได้พูดอะไรก็วางแผนชักชวนขึ้นมาโดยไม่ถามความเห็นสักคำ

พอมีคนมองเขาด้วยท่าทางสนใจก็เขม่นใส่อีกฝ่าย ทำตัวหวงก้างอย่างออกนอกหน้า แสดงความเป็นเจ้าของชนิดที่ว่าคนรอบข้างรู้หมดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหน

“ก็พี่ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามหรือมองฐานนี่นา แค่มองพี่ก็หึงแล้วนะ ก็ฐานเป็นของพี่นี่”

แค่ถูกเขามองทั้งที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร ก็รีบร้อนแก้ตัวเหมือนกลัวว่าจะโดนโกรธ

แต่ก็เพราะอย่างนั้นบรรยากาศที่ดูมึนตึง เหมือนมีเพียงฝ่ายเดียวที่พยายามจะปรับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นจึงเปลี่ยนไปทีละน้อย

ฐานทัพค่อยๆ คลายอารมณ์เฉยชาลง มีส่วนร่วมและตอบรับความพยายามของสิบทิศมากขึ้น

ดังเช่นน้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน แล้วหัวใจคนที่ถูกคนรักพยายามตะล่อมทุกวันมีหรือจะทนแข็งอยู่ได้ตลอดไป

วันหนึ่งพอฐานทัพกลับมาที่ห้องก็พบว่าไฟในห้องปิดมืดสนิททั้งที่ท้องฟ้าด้านนอกมืดทั้งหมดแล้ว

เขารู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในอกโดยฉับพลัน ราวกับถูกเข็มขนาดใหญ่ทิ่มตำ ไม่ต้องคิดจินตนาการอะไรก็รู้ได้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร

ทั้งๆ ที่ความรู้สึกของเขาเริ่มกลับคืนมาเป็นปกติมากขึ้นแล้ว

ทั้งๆ ที่คิดว่าสิบทิศคงจะไม่ทำร้ายกันอีกแล้ว

ดวงตารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

ฐานทัพขยี้ตาพลางเดินเข้ามาในห้องที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างด้วยความรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเดินเข้าสู่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด

ทว่าทันทีที่ปิดประตูห้องลง แสงสว่างก็ลุกพึ่บขึ้นมาในห้อง

แสงสีส้มนวลวิ่งบนพื้นเป็นเส้นอยู่ตรงกลางห้อง เมื่อหยุดวิ่งมันก็ไหวเบาๆ และคงรูปไว้เช่นนั้น

...เป็นรูปหัวใจ

ฐานทัพตะลึง พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจ

ทำไมถึงมีไฟเป็นรูปหัวใจอยู่บนพื้น?

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจได้ แต่ในหัวก็เกิดคำถามอย่างนั้นนำขึ้นมาก่อน

หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวเปลวไฟก็ค่อยๆ ถูกจุดขึ้นทีละดวงรอบๆ ห้อง

กลิ่นหอมอ่อนๆ คลุ้งขึ้นทีละน้อย ราวกับจะบ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งใดถูกจุดขึ้นมา

พอในห้องสว่างก็มองเห็นอะไรมากขึ้น ท่ามกลางแสงสีส้มเหล่านั้นมีเงาคนเดินตรงมาหาเขา กระทั่งเผชิญหน้ากันแล้วก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือสิบทิศจริงๆ ในมือของอีกฝ่ายถือช่อดอกไม้เอาไว้

“เซอร์ไพรส์ครับ”

สิบทิศยิ้มให้พลางยื่นดอกกุหลาบช่อประมาณบูเก้ของเจ้าสาวมาให้ เขาไม่เข้าใจ

“ให้ผมทำไม”

“อ้าว”

น้ำเสียงเหวอๆ เหมือนเจอคำถามที่ไม่คาดคิดหลุดออกมาจากปากของสิบทิศอย่างโจ่งแจ้ง จากนั้นเจ้าตัวถึงค่อยอธิบาย

“ไม่ได้เป็นวันพิเศษอะไรหรอกครับ พี่แค่อยากให้น่ะ อยากทำอะไรโรแมนติกๆ ดูบ้าง ฐานชอบหรือเปล่า”

เขาไม่แน่ใจว่าควรตอบคำถามนี้แบบไหน

โดยปกติแล้วก็ไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องโรแมนติกเป็นพิเศษและไม่ได้สนใจด้วย แต่เมื่อคนรักทำให้ก็รู้สึกว่ามันน่ายินดี ถ้าไม่เคยเกิดเรื่องกินแหนงแคลงใจกันมาก่อนเขาคงยิ้มหน้าบานและพูดหยอกล้อกับสิบทิศไปแล้ว แต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่รู้จริงๆ

จะยิ้มก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่ จะปฏิเสธว่าไม่ชอบก็รู้สึกว่าไม่ใช่เหมือนกัน

“ไม่รู้เหมือนกัน”

เพราะหาคำตอบอื่นไม่ได้ฐานทัพจึงได้แต่พูดออกไปตามตรง และก็ได้เห็นสีหน้าผิดหวังของสิบทิศเต็มสองตา

“ไม่ดีใจสักนิดเลยเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว ทำไมฐานตอบแบบเดิมล่ะ”

สิบทิศทำสีหน้างงงวยมากกว่าจะประท้วงที่เขาไม่ตอบรับความพยายามของเจ้าตัวเลย

“เพราะผมไม่รู้จริงๆ ผมก็เลยตอบตามนั้น”

สิบทิศคอตก จากที่ยืนอยู่ก็ลงไปนั่งยองๆ กับพื้นห้อง มือที่ยื่นออกมายังคงยื่นค้างอยู่อย่างนั้นจึงทำให้ช่อดอกกุหลาบเกือบจะลงไปแตะพื้น

เห็นเช่นนั้นฐานทัพก็รู้สึกว่าตนเองทำไม่ดีเกินไปหน่อยจึงยอมเอ่ยออกมา

“จะให้ดอกไม้ผมไม่ใช่เหรอ เอามาสิ”

เพียงพูดไปเท่านั้น สิบทิศที่เหมือนเหี่ยวเฉาลงราวกับดอกไม้โรยราก็กระเด้งตัวขึ้นมายืนอย่างฉับพลัน ใบหน้าผลิยิ้มแย้มบานเสียกว้าง แสดงออกให้เห็นว่าดีใจมากแค่ไหนที่เขายอมรับดอกไม้ไป

“แล้วจุดไฟไปทั่วแบบนี้ ไม่กลัวไฟไหม้หรือไง”

หลังรับดอกไม้ไปแล้วเขาก็กวาดตามองรอบห้อง

เทียนหอมถูกจุดไปทั่วห้อง โซฟาของห้องนั่งเล่นถูกย้ายไปอยู่ริมผนังเพื่อให้ตรงกลางสามารถจุดไฟเป็นรูปหัวใจได้

เห็นอย่างนั้นแล้วเขาก็รู้สึกถึงความพยายามของสิบทิศ

“โธ่ ฐาน พูดซะหมดความโรแมนติกเลย”

“หรือพี่ไม่ห่วงว่าไฟจะไหม้ล่ะ”

“ก็ห่วงเหมือนกันแหละ เลยเอาถ้วยน้ำมารองไว้ใต้เทียนไง แต่ก็อยากให้ฐานชื่นชมความโรแมนติกสักนิดนะ”

ประโยคท้ายอีกฝ่ายพูดเหมือนกระเง้ากระงอดตัดพ้อกัน

สุดท้ายฐานทัพก็หลุดเสียงหัวเราะ “หึ” ออกมา ทว่าเพียงเท่านั้นกลับทำให้สิบทิศกระดี๊กระด๊าราวกับปลาได้น้ำ

“หัวเราะแล้ว ชอบใช่ไหมล่ะ ชอบใช่ไหมครับ”

นั่นทำให้ฐานทัพเผลอหัวเราะออกมาอีกรอบ

“แค่นี้ยังไม่หมดนะ”

สิบทิศจูงมือเขาให้เดินไปด้านหนึ่งของห้อง หยิบช่อดอกไม้ในมือไปวางไว้บนโทรทัศน์ จากนั้นกดรีโมตเปิดเครื่องเสียงให้ท่วงทำนองบรรเลงออกมา ก่อนจะโค้งตัวเล็กน้อยแล้ววาดมือลงมาตรงหน้าอย่างนอบน้อมปานสุภาพบุรุษ

“ได้โปรดให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ”

คราวนี้ฐานทัพโพล่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างหยุดไม่อยู่ เพราะไม่นึกว่าจะต้องมาเผชิญสถานการณ์ที่คิดว่าน่าขำขนาดนี้

“ดูซีรีส์ย้อนยุคของฝรั่งจนเพี้ยนไปแล้วเหรอ”

“โธ่ ฐานอะ”

สิบทิศทำท่าเหมือนงอแงที่เขาไม่ยอมตามน้ำเล่นด้วย

“ผมไม่ใช่คุณหนูหรือเจ้าหญิงอะไรสักหน่อย มาขอให้เกียรติเต้นรำอะไร”

“เป็นเหตุการณ์สมมติไง เหตุการณ์สมมติ”

“แค่ผู้ชายมาขอผู้ชายเต้นรำนี่ก็ไม่เข้าท่าแล้วนะ”

“ก็พี่อยากลองสักครั้งนี่นา มาเต้นรำกันเถอะ พี่อยากรู้ว่าเป็นไง”

“แล้วพี่เต้นเป็นหรือไง”

คงนับได้ว่านี่เป็นบทสนทนาที่ยาวนานที่สุดในรอบเดือนเลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้นฐานทัพไม่เคยเริ่มต้นหรือสานต่อบทสนทนาเลยสักครั้ง

“เต้นไม่เป็นก็เต้นมั่วๆ ได้นี่นา เอาบรรยากาศน่ะ นะ”

สิบทิศทำตาเป็นประกายเสียจนแม้อยู่ท่ามกลางแสงเทียนสลัวๆ ก็ยังมองเห็นได้ พลางดึงมือฐานทัพไปกุมเอาไว้ใต้คางและเอียงคอเล็กน้อยเหมือนจะเพิ่มความน่ารักให้ตนเอง

เมื่อเจออย่างนี้ฐานทัพก็ปฏิเสธไม่ออก ได้แต่บอก

“ตามใจ”

หลังจากนั้นหลังเอวก็ถูกมือใหญ่ทาบลงมาแล้วดันให้ร่างของพวกเขาชิดเข้ามาจนหน้าท้องแทบชนกัน

สิบทิศจับมือฐานทัพขึ้นมาประคองไว้แล้วยื่นออกไปด้านข้าง ขณะที่อีกมือยังคงแตะอยู่ตรงเอวเหมือนเดิม

ฐานทัพจึงต้องวางมือที่ว่างอีกข้างลงบนไหล่ของสิบทิศตามที่เคยเห็นในละคร จากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวตามที่คนตัวใหญ่กว่านำไป แต่ก็ไม่ค่อยถูกจังหวะเท่าไรนัก บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเต้นรำไม่เป็น

“โอ๊ย”

มิหนำซ้ำยังเหยียบเท้าของเขาอีกต่างหาก

“พี่ขอโทษ เจ็บหรือเปล่า”

“ไม่น่าถาม เจ็บสิ พี่ตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง”

ถ้าเทียบกันแล้ว ฐานทัพที่มีความสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรนั้นดูบอบบางยิ่งกว่าผู้หญิงที่มีส่วนสูงเท่ากันเสียอีก ดังนั้นสิบทิศผู้มีกล้ามเนื้อสมส่วนแม้ไม่ได้บึกบึนกล้ามโตจึงถือว่าตัวใหญ่กว่ามากอยู่ดี

“ขอโทษครับ เอางี้นะ”

สิบทิศขอโทษอีกครั้งก่อนจะออกแรงที่มือซึ่งโอบหลังเอวของฐานทัพไว้ เพื่อให้ร่างของเขาเข้าไปแนบชิดมากขึ้น

“ฐานเหยียบบนเท้าพี่สิ”

ฐานทัพชะงักไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยออกมาเช่นนั้น

เขาเงยหน้าขึ้นมองสิบทิศที่ก้มลงมามองเช่นกัน แม้เห็นแววตาที่มุ่งมั่นตั้งใจอย่างนั้นแล้วแต่ก็ยังถามออกไปอยู่ดี

“แน่ใจนะว่าจะเอางั้น ถึงผมจะตัวเล็กแต่ก็หนักนะ”

“ครับ เชิญฐานเหยียบย่ำพี่ได้เลย”

คำอนุญาตที่แสดงถึงความตั้งใจนั้นออกจะสื่อความหมายในทิศทางแปลกๆ พอสมควร

“เป็นมาโซหรือไง”

ฐานทัพหัวเราะออกมาอีกครั้ง สิบทิศเข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนเองพูดเช่นกันจึงหัวเราะออกมาด้วย

“ถ้าเพื่อฐานนะ พี่เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”

เพราะไม่อยากฟังคำพูดหวานเลี่ยนและสบกับดวงตาแพรวพราวตรงหน้าอีก ฐานทัพเลยขึ้นไปยืนบนหลังเท้าของสิบทิศตามคำบอก

เมื่อขึ้นไปแล้วก็ทำให้ระยะห่างระหว่างกันลดทอนลง

สิบทิศแนบหน้าผากลงมาบนหน้าผากของฐานทัพที่อยู่สูงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย ขณะที่มือซึ่งประคองอยู่ด้านหลังเอวก็อ้อมเลยมาเป็นท่อนแขนแทน ฐานทัพจึงราวกับถูกโอบกอด

“ฐานรู้ไหม พี่รักฐานที่สุดเลยนะ”

เสียงกระซิบแหบพร่าเหมือนต้องการจะเขย่าหัวใจคนฟัง

ฐานทัพรู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเองเร่งจังหวะขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

จังหวะรัวเร็วดังตึกๆ จนหนวกหูทั้งที่เสียงเพลงบรรเลงจังหวะช้าๆ ยังดังคลออยู่

“จับหัวใจของพี่สิ”

อาจเพราะสิบทิศได้ยินเช่นกันกระมังถึงได้บอกเช่นนั้น

ฐานทัพเลื่อนมือที่แตะเบาๆ บนไหล่ของสิบทิศมาบนหน้าอกแทน แล้วเขาก็รับรู้ได้ถึงแรงสะเทือนจากบางสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น

จังหวะของมันก็ระรัวเหมือนกัน

“พี่มีความสุขที่สุดเลยนะที่ได้อยู่กับฐานแบบนี้”

เขาก็มีความสุขเหมือนกัน

ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่ได้พูดออกไป

หลังจากค้างอยู่ในท่านั้นสักพัก สิบทิศก็เริ่มย่างเท้าออกไปทีละก้าว

ฐานทัพสะดุ้งเล็กน้อยในก้าวแรก เพราะเมื่อสิบทิศยกเท้าขึ้นตัวก็ต้องลอยตามไปด้วย

เป็นประสบการณ์ประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

แต่หลังผ่านไปได้สามสี่ก้าว ฐานทัพก็เริ่มชินมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาอมยิ้มนิดๆ กับการถูกพาเดินไปยังมุมต่างๆ ในห้องในขณะที่ถูกอีกฝ่ายโอบกอดไว้แน่น โดยที่สิบทิศไม่สามารถมองเห็นรอยยิ้มของเขาได้

การทำแบบนี้บางทีก็ดีเหมือนกัน

เขารู้สึกอบอุ่น...

 

 

นับจากวันนั้นมาฐานทัพยิ้มรับการกระทำของสิบทิศมากขึ้น ส่วนสิบทิศก็กล้าที่จะโอบกอดเขาด้วยอารมณ์ปรารถนายิ่งกว่าเดิม

อาจเพราะกลัวว่าหากทำอะไรเกินพอดีทั้งที่เขาไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยจะทำให้สถานการณ์ระหองระแหงยิ่งเลวร้ายลงก็เป็นได้ ก่อนหน้านี้สิบทิศจึงไม่กล้าแตะต้องเขานัก ในตอนนี้อ้อมกอดที่มาจากด้านหลังเลยกระชับแน่น

สิบทิศกอดเขาที่ดึงให้มานั่งอยู่บนตักแล้วโน้มหน้าลงมาจูบหอมบนแก้ม ก่อนจะโยกตัวไปมาราวกับกล่อมเด็ก

“มีอะไร”

ฐานทัพแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้

“คือ...เราก็ไม่ได้ทำกันนานแล้วเนอะ”

พอได้ยินคำตอบเขาก็ส่ายศีรษะก่อนจะหัวเราะออกมา

หากลองนับดูแล้วก็ถือว่านานจริงๆ

เกือบสองเดือนได้แล้วที่เขากับสิบทิศไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายกัน

จะว่าไปเขาก็คิดถึงสัมผัสของสิบทิศเช่นเดียวกัน

ร่างกายขาดไออุ่นมาเติมเต็ม

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”

ด้วยเหตุนั้นฐานทัพจึงไม่ปฏิเสธแต่กลับยิ้มรับความปรารถนาของสิบทิศ ตอบรับฝ่ามือและรอยจูบที่ค่อยๆ พร่างพรมลงมาบนร่างกาย

อุณหภูมิที่ทาบทับลงมาทำให้ความรุ่มร้อนก่อเกิด เปลวไฟสว่างโชติช่วงขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะมีอะไรมาดับได้

ยิ่งรับรู้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมาบนร่างกาย กระทั่งลึกลงจนถึงภายในที่ไม่มีสิ่งใดเอื้อมถึง ฐานทัพก็ยิ่งบิดเร่าครวญครางอย่างสุขสม

เขาขยับสะโพกรับจังหวะที่สิบทิศเคลื่อนไหวราวกับไม่อยากพรากจากแม้แต่นิดเดียว วงแขนโอบกอดร่างของคนที่รักเอาไว้เหมือนอยากให้ทั้งสองคนผสานแนบเป็นเนื้อเดียวกัน

ความเร่าร้อนทำให้เหงื่อผุดซึมชโลมไปทั่วร่างจนเปียกลื่น

เสียงแห่งความหฤหรรษ์ที่กระทบกันครั้งแล้วครั้งเล่าพาให้พวกเขาเร่งจังหวะรุนแรงหนักหน่วงยิ่งขึ้น เสมือนอยากได้ยินเสียงที่หยาบโลนกว่านี้ สร้างความเสียวซ่านให้มากกว่านี้

“พี่ทิศ จะไปแล้ว อ๊า...จะถึงแล้ว”

“พี่ก็...เหมือนกัน จะ...อ้า”

เพียงไม่นานความรุ่มร้อนที่สุกงอมก็เอ่อทะลักออกมาจากทั้งคู่

เสียงหอบหายใจดังสอดประสานกันราวกับกำลังบรรเลงดนตรี ทว่าพอลมหายใจสงบลงเล็กน้อยร่างของฐานทัพก็ถูกสิบทิศช้อนขึ้นมาบนตักและเจ้าตัวลงไปนอนบนที่นอนเสียเอง

“คราวนี้ตาฐานมั่งนะ”

ฐานทัพไม่ปฏิเสธคำร้องขอ บทรักจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยท่วงท่าวาบหวามและจังหวะที่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ อีกครั้ง

กว่าไฟรักจะดับมอดลงก็หลังจากนั้นอีกพักใหญ่

ทั้งสองร่างนอนแผ่เหนื่อยหอบอยู่บนเตียงนอน

สิบทิศหันมากอดและจรดริมฝีปากลงจูบแก้มของฐานทัพเป็นการส่งท้าย กระซิบคำรักเบาๆ

“รักฐานจัง”

หัวใจของฐานทัพเต้นด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข ในอกเต็มอิ่มไปด้วยความอบอุ่น







v




v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2020 19:18:59 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 11th Lie [28/3/63]
«ตอบ #31 เมื่อ28-03-2020 19:17:51 »
















v







v






“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วค่อยดินเนอร์กัน พี่เตรียมของอร่อยไว้ให้ฐานด้วย”

หลังฐานทัพออกมาจากห้องน้ำและแต่งตัวแล้ว สิบทิศก็ยันตัวขึ้นนั่งบนเตียง จากนั้นขยิบตาลุกขึ้นเดินไป สวนกับฐานทัพที่กลับลงมาทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียงเหมือนเดิม

สายตาของฐานทัพมองตามร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไป ริมฝีปากคลี่ยิ้มด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นจนเก็บไม่อยู่

เขายิ้มจนปวดเมื่อยแก้ม

นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้

ฐานทัพนอนหลับตาอยู่ครู่ใหญ่ระหว่างรอสิบทิศอาบน้ำ ทว่าก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

เป็นสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้า

ฟังจากเสียงก็รู้ว่าไม่ใช่โทรศัพท์ของตน ฐานทัพจึงไม่ได้ใส่ใจ เพราะระหว่างพวกเขาแม้ไม่ได้ตั้งกฎว่าจะไม่ก้าวก่ายโทรศัพท์ของกันและกัน แต่ก็ไม่เคยหยิบจับโทรศัพท์ของอีกฝ่ายโดยไม่มีเหตุผลพิเศษ

เนื่องจากพวกเขาต่างทำงานที่ต้องติดต่อกับคนจำนวนมาก หากมัวใส่ใจเรื่องในโทรศัพท์ของอีกฝ่ายจะสร้างความระหองระแหงโดยใช่เหตุเสียเปล่าๆ มิหนำซ้ำอาจเป็นชนวนให้เกิดความไม่ไว้ใจกันอีกด้วย

ทว่าครั้งนี้เป็นเพราะโทรศัพท์ของสิบทิศหล่นออกมาจากเสื้อผ้าตอนถอดทิ้งตามอารมณ์เสียงเลยดังอยู่ใกล้หูจนน่ารำคาญ ฐานทัพจึงตามหาดูว่าอยู่ที่ไหนเพื่อนำไปวางที่หัวเตียงแทน

แต่เมื่อพบมันแล้ว ข้อความจากแอปพลิเคชันสนทนาก็ดังขึ้นพร้อมกรอบข้อความที่แสดงบนหน้าจอ ทำให้เขาเผลออ่านโดยไม่ได้ตั้งใจ

‘พี่ทิศคิดถึงจังเลย’

‘เมื่อไรเราจะได้เจอกันอีกสักที

‘ผมรอนานแล้วนะ’

‘เลิกติดแฟนได้แล้ว คนแถวนี้เหงานะ’

‘รีบมาหาเร็วๆ เข้า รูผมเปลี่ยวจะแย่แล้ว’

ข้อความเด้งขึ้นมาบนหน้าจอติดต่อกัน

ฐานทัพอ่านได้ครบทุกประโยคเพราะส่งมาแบบสั้นๆ ทั้งนั้น ราวกับว่าผู้ส่งอยากให้เสียงเตือนดังต่อเนื่องไปเพื่อเจ้าของโทรศัพท์จะได้รู้ตัวสักทีว่ามีคนส่งข้อความมาหา

เขารู้สึกมือชาและค่อยๆ แผ่ลามมาตามแขนและร่างกายส่วนอื่นๆ ต่อไปไม่หยุด มากขึ้นตามจำนวนข้อความที่ถูกส่งมา

‘คิดถึงตอนนั้นเนอะ’

‘ที่เราไปเที่ยวภูเก็ตด้วยกันอะ’

‘สองเดือนได้แล้วมั้ง’

กระบอกตาของฐานทัพร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่เห็นประโยคนี้ หูอื้อไปหมดจนได้ยินแต่เสียงตื้อๆ ดังก้องในสมอง เม็ดน้ำก่อตัวขึ้นมาบนขอบตาล่างก่อนจะร่วงเผาะลงมา

ฐานทัพเม้มริมฝีปากแน่น ภายในอกรู้สึกจุกไปหมด เหมือนโดนอะไรแข็งๆ ขนาดใหญ่ทุบลงมาอย่างรุนแรง

‘เที่ยวก็สนุก เอากันก็สนุก’

‘สุดยอดไปเลยยย โคตรถึงใจอะ’

‘อยากได้ของพี่มาแหย่อีก เอาอีกๆๆๆ’

‘ไปเที่ยวด้วย คราวนี้ไปเหนือมะ’

‘ไปมันให้ครบหกภาคไปเลยไง’

‘xมันทุกที่ 5555555’

ข้อความสนุกสนานแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ

ฐานทัพรู้สึกเรี่ยวแรงหดหายจนกระทั่งมือที่ถือโทรศัพท์ก็แทบไม่มีแรงจะจับมันเอาไว้แล้ว

ภาพที่มองเห็นพร่าเลือนเพราะหยดน้ำเกาะอยู่บนดวงตา ริมฝีปากสั่นยิ่งกว่าคนเป็นไข้ที่หนาวสั่น เสมือนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นเกาะน้ำแข็งอันเวิ้งว้าง ไม่มีสิ่งใดรอบตัว

เขารู้...

รู้ว่าสิบทิศมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไร

แต่มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น

เรื่องเดียวที่ทำให้เขาสะเทือนใจราวกับจะหายใจไม่ออก เหมือนจะขาดใจตายลงตรงนี้

“ทำอะไรน่ะฐาน!”

เสียงที่โพล่งดังมาจากทางห้องน้ำทำให้ฐานทัพสะดุ้งเฮือก พอหันไปมองก็เห็นสิบทิศทำหน้าขึ้งจ้องเขาเขม็ง

สีหน้านี้ฐานทัพไม่เคยเห็นมาก่อน

ใบหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงโทสะที่พลุ่งขึ้นมา

“ทำไมมาแอบดูโทรศัพท์พี่!”

สิบทิศก้าวพรวดเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าทำให้เห็นสีหน้านั้นชัดเจนกว่าเดิม จนความรู้สึกในใจของฐานทัพที่อัดอั้นตั้งแต่รู้ความจริงเมื่อครู่ทะลักล้นออกมาอย่างกักกั้นไม่อยู่

“ทั้งที่ไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดกับผมเลยสักครั้งแต่ไปกับคนอื่น”

ฐานทัพตัวสั่นไปหมด

ไม่รู้ว่าสั่นเพราะเสียใจ ผิดหวัง หรือว่าโกรธ

ตั้งแต่เขาคบกับสิบทิศมาสองปี สิบทิศไม่เคยพาเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับพาใครไม่รู้ไป

มิหนำซ้ำยังดูสนุกกันมาก มีความสุขกันมาก

“เลว”

คำเดียวที่ฐานทัพพูดออกมีเพียงแค่คำนี้

น้ำตาร่วงเผาะลงมาพร้อมกับเสียงที่เปล่งออกไป

“เลว เลว เลว เลว เลว!”

น้ำตาเอ่อนองใบหน้าฐานทัพมากยิ่งขึ้น

เสียงพูดที่สั่นเครือและแหบพร่าดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงตะโกน แต่ฐานทัพก็พร่ำพูดได้เพียงคำเดียว

“เลว เลว เลว เลว เลว เลว เลว!!”

ยิ่งพูดคำว่าเลวเท่าไร เขาก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจเท่านั้น เหมือนมันเป็นแท่งหินแหลมๆ ปักเข้ามาในหัวใจ

น้ำซึ่งไหลจากตาราวกับรั่วออกมาจากหัวใจที่โดนแทงนับครั้งไม่ถ้วนนั่นน่าจะเป็นเลือดมากกว่าน้ำตา

“พี่ขอโทษ”

สิบทิศหน้าเสีย เอ่ยขอโทษและฉุดแขนเขาไว้พยายามจะกอด แต่ฐานทัพก็ขืนตัวออกแล้วปาโทรศัพท์ในมือใส่หน้าสิบทิศเต็มแรงแล้ววิ่งหนีออกมา

เขาวิ่งมาตัวเปล่า วิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนเหนื่อยจึงเปลี่ยนเป็นเดินไปหยุดพักที่ป้ายรถประจำทางซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด

ไม่รู้ว่าวิ่งมาระยะทางเท่าไรแต่ในตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว

ถนนเริ่มร้างไร้ผู้คน รถวิ่งสวนไปมายิ่งมีน้อย

ฐานทัพปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา ปล่อยให้มันเอ่อนองสองแก้มอยู่อย่างนั้น คิดว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีคนแล้วก็ดี จะได้ไม่ต้องมีใครมาเห็นเขาในสภาพน่าสมเพชแบบนี้ให้เสียลูกตา

เขาร้องไห้อยู่อย่างนั้นทั้งคืน เสียงสะอึกสะอื้นดังท่ามกลางความเวิ้งว้าง เปล่าเปลี่ยว เสมือนมีตนเองอยู่เพียงคนเดียวในโลกสีดำมืดนี้

เขาเคยเจ็บปวดมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเจ็บอย่างที่สุด

มันเหมือนหัวใจโดนเฉือนบนแผลที่เน่าเปื่อยจนแหลกเละเหวอะหวะ

ยิ่งคิดว่าความทรงจำระหว่างเขากับสิบทิศมีอะไรบ้างก็ยิ่งทำให้รวดร้าวไปทั้งร่างกาย เพราะถึงมันจะมากมาย แต่ก็เป็นเรื่องราวเดิมๆ ของชีวิตประจำวันและเรื่องบนเตียง

ไม่เคยมีความทรงจำกับสถานที่พิเศษเหมือนใครคนนั้นที่เขาไม่รู้จัก

เขาไม่เคยคิดละโมบโลภมากว่าจะต้องไปที่ไกลๆ ด้วยกัน จะต้องมีความทรงจำที่แสนวิเศษร่วมกัน เพียงใช้ชีวิตด้วยกันอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา

ทั้งๆ อย่างนั้นกลับมีใครอีกคนที่ได้รับสิ่งที่เหนือกว่าแทนที่จะเป็นเขา

เขาซึ่งเป็นคนรักที่คบหากันมาสองปี

เขา...คนที่สิบทิศบอกว่ารักมากที่สุด

เขาไม่ได้อิจฉาริษยาที่ใครคนนั้นได้รับในสิ่งที่เขาไม่เคยได้

แต่น้อยเนื้อต่ำใจและเริ่มสำเหนียกว่าตัวเองเป็นอะไรสำหรับสิบทิศกันแน่

หากเขาเป็นที่รัก เป็นคนที่ถูกรักจริงๆ สิบทิศจะทำอย่างนี้กับเขาหรือ

เขา...เป็นที่รักจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?

ตอนนี้เขาไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่สิบทิศบอกว่ารัก คือตัวตนของเขาหรือว่าร่างกายของเขา

ไม่รู้ว่าท้องฟ้าสว่างตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้สึกตัวอีกครั้งฐานทัพก็เห็นว่าภาพเบื้องหน้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เริ่มมีรถสัญจรมากขึ้น ได้ยินเสียงผู้คนดังมาเนืองๆ

เขาเช็ดน้ำตา สูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกปวดกระบอกตาอย่างมาก โพรงจมูกแสบไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็เรียกสติกลับมาและเริ่มคิดว่าตนเองจะไปที่ไหนดี

ตอนนี้เขามีเพียงตัวเปล่าๆ ไม่มีทั้งโทรศัพท์และกระเป๋าเงิน แต่ก็ไม่อยากจะนั่งอยู่ที่เดิมอย่างนี้ เพราะอีกไม่นานคงมีผู้คนที่ออกไปทำงานมารอรถกัน หากเขายังอยู่อย่างนี้คงทำให้คนอื่นเดือดร้อน

ฐานทัพตัดสินใจลุกขึ้นเดิน ถึงแม้จะไม่มีจุดหมาย ถึงแม้ในสมองจะกลวงเปล่าเพราะหาคำตอบไม่ได้

เขาเดินต่อไปด้วยความรู้สึกเพียงอย่างเดียวคืออยากไปจากที่นี่ ทว่าเดินไปสักพักกลับมีเสียงแตรรถดังให้ใบหน้าที่ก้มงุดมองแต่พื้นมาตลอดเงยขึ้น

มีรถคันหนึ่งมาจอดเทียบข้าง แต่เขาไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรเกี่ยวกับตนเองจึงก้าวเดินต่อไป จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นทางด้านหลัง

“ฐาน!”

เขาหันกลับไปดูอีกครั้ง แล้วก็เห็นใบหน้าของคนคุ้นเคย

คนที่เคยทำให้หัวใจของเขาผ่อนคลายลงมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“ทำไมมาเดินอยู่แถวนี้”

อีกฝ่ายลงจากรถ เดินตรงเข้ามาหาและถามด้วยความห่วงใย

พอมาย้อนนึกดูแล้วก็ไม่แน่ใจว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรัก ไม่ได้แสดงน้ำเสียงห่วงใยเขาแบบคนคนนี้มานานเท่าไรแล้ว

เขาจำไม่ได้...

สิบทิศเคยห่วงใยเขาจริงเหรอ?

มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือเปล่า

ฐานทัพหาคำตอบไม่ได้

ทว่าพอเห็นหน้าของคนคนนี้แล้วน้ำตาของเขาก็ไหลลงมา เมื่ออีกฝ่ายมาอยู่ใกล้มากจนสามารถเอื้อมมือถึง เขาก็โผเข้ากอดร่างนั้นแน่น กระซิบเสียงเครือแนบอก

“พี่ภัน ผมเจ็บ เจ็บมาก”




--------------------
ขอบคุณคนที่อ่านอยู่นะคะ อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วค่ะ
เรารู้ว่ามันไม่สนุก แต่แค่อยากแชร์ชีวิตฐานทัพ เผื่อคนที่เคยอ่านเรื่องบล็อกเก้ออยากรู้ค่ะ




ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 11th Lie [28/3/63]
«ตอบ #32 เมื่อ28-03-2020 22:51:02 »

ฟิชชิ่งหรือเปล่าไม่รู้
แต่เรารู้สึกว่าสนุกดี
โกหกสีขาวนี่หมายถึงสิบทิศเหรอ
โกหกว่ารักมากและจะปรับตัวนี่
เราว่าไม่ใช่ละนะ​
มันคือการแก้ตัวแบบแถๆ​ ​อ่ะ
หรือจะหมายถึง​ฐาน​
ที่โกหกตัวเอง

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 12th Lie [31/3/63]
«ตอบ #33 เมื่อ31-03-2020 21:00:11 »
















12th Lie

พี่ทำได้ทำไมผมจะทำไม่ได้


 

“พี่เพิ่งเลิกงานจะกลับคอนโดฯ พอดี ไปคุยกันที่นั่นแล้วกัน”

หลังจากถูกลูบหลังปลอบใจอยู่ครู่หนึ่ง ภันวัฒน์ก็เอ่ยชวน

ฐานทัพเล่าเรื่องทั้งหมดให้ภันวัฒน์ฟังเมื่อมาถึงคอนโดมิเนียมแล้ว น้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาอีกครั้งขณะเล่าเรื่องจนอีกฝ่ายต้องจับศีรษะของเขาไปซบไหล่เอาไว้แล้วลูบเบาๆ ปลอบประโลม

“ถ้าเป็นแบบนี้เลิกดีไหม”

น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนเช่นเดียวกับทุกครั้งเสนอ

ฐานทัพหลับตาลงเหมือนคนจนตรอก ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี

“ผมก็อยากเลิก แต่มันเลิกไม่ได้ พอพี่ทิศขอโทษอ้อนวอนผมก็ใจอ่อน เป็นแบบนี้ไม่รู้กี่ครั้ง ทั้งที่รู้ว่าความรักของเขามันหมดไปแล้ว หรือบางทีอาจจะไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก ไม่รู้จะเหนี่ยวรั้งผมไว้ทำไมอีก”

“แต่ได้แต่เจ็บอยู่แบบนี้มันไม่คุ้มเลยนะ มีแต่ฐานที่เจ็บอยู่ฝ่ายเดียว เขาไม่เห็นจะมาเดือดร้อนด้วยเลย”

“ผมรู้ ผมรู้อยู่เต็มอก แต่ผมก็ตัดใจไม่ได้ ผมรักเขา ผมรักเขาจริงๆ รักมาก ในชีวิตนี้ผมรักเขาอยู่คนเดียว ผมทำอะไรไม่ได้เลย”

น้ำตาหล่นร่วงลงมาอีกหยด น้ำเสียงสั่นเครือไปหมด

สภาพของเขาในตอนนี้นอกจากจะน่าสมเพชแล้วยังน่าสังเวชอีกด้วย

ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีสภาพเช่นนี้

ทั้งที่ความจริงน่าจะรู้อยู่แล้ว คนที่ไม่เคยเป็นที่รัก คนที่ไม่เคยเป็นที่ต้องการของใคร แม้กระทั่งพ่อแม่ของตัวเอง คนอย่างเขาจะได้รับความรัก จะถูกใครรักจริงๆ ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นฐานก็ต้องฝืนใจแข็ง ยืนยันจุดยืนของตัวเองให้เขารู้ อย่าปล่อยให้เขาคิดว่าสามารถทำร้ายฐานได้ง่ายๆ ตัวฐานเองก็มีค่า ไม่ใช่จะให้เขามาทิ้งๆ ขวางๆ หรือหยิบมาเล่นเมื่อไรก็ได้”

“.....”

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่พี่ก็ไม่ค่อยอยากสนับสนุนหรอกนะ พี่ไม่อยากให้ฐานจมปลักอยู่กับคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวฐาน ไม่เคยเห็นใจและสำนึกผิด แต่ในเมื่อฐานเลือกแล้วว่าอยากจะอยู่กับเขา มันก็ช่วยไม่ได้”

“ขอโทษนะพี่ ผมมันอ่อนแอ แต่ผมจะพยายามเข้มแข็งขึ้นนะ”

ภันวัฒน์ถอนหายใจยาวออกมาอย่างไม่ปิดบัง คล้ายกับว่าตัดสินใจจะปลงตกกับปัญหานี้ด้วยเสียงนั้น

“พี่ไปส่งผมหน่อยสิ”

“จะไม่อยู่นี่อีกสักวันสองวันเหรอ”

ฐานทัพส่ายศีรษะ คงเพราะได้รับกำลังใจเมื่อครู่ถึงทำให้รู้สึกมีพลังขึ้นมาอีกหน่อย

“ผมจะไปดูว่าพี่ทิศรอผมอยู่หรือเปล่า”

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ราวกับไม่แน่ใจว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ยอมเปล่งเสียง

“เตรียมใจไว้แล้วหรือยัง”

ฐานทัพเกือบสะอึกออกมาเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงเรื่องนี้

ครั้งที่แล้วภันวัฒน์ก็เตือนเช่นนี้ และคำตอบของคำเตือนนั้นก็ออกมาในแง่ลบทำให้เขาเกรงว่าครั้งนี้อาจจะเป็นเหมือนเดิมขึ้นมา

แต่ถึงอย่างนั้น...

“จะว่าเตรียมก็ยังไม่เตรียมหรอก แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าผลออกมาเป็นยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

ถึงแม้จะพูดประโยคนี้เหมือนอาจหาญ ทว่าหัวใจกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง บอกให้รู้ว่าไม่พร้อมเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างที่ใครๆ เขาว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

“งั้นพี่ก็เอาใจช่วยแล้วกัน”

ดูเหมือนภันวัฒน์จะมองความรู้สึกของเขาออก แต่ก็เคารพการตัดสินจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกและยอมไปส่งที่คอนโดฯ ของสิบทิศแต่โดยดี

เขาเฝ้าอธิษฐานอยู่ในใจว่า ถึงจะเป็นช่วงสายแล้ว หากสิบทิศมีความเป็นห่วงเป็นใยเขาสักนิด ก็อาจจะรอคอยอยู่ว่าเขาจะกลับมาหรือไม่ แต่เมื่อกลับไปถึงแล้วผลกลับออกมาอย่างที่หวาดกลัว

ฐานทัพพบเจอแต่ห้องที่ว่างเปล่า

หัวใจที่ทำเป็นเข้มแข็งตอนมาจากคอนโดฯ ของภันวัฒน์แตกสลายลงไปในทันที

ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีเจตนาเลยแท้ๆ แต่เห็นเพียงเท่านั้นหยดน้ำก็ปริ่มขึ้นมาเอ่อขอบตาอีกระลอก

ฐานทัพกลับเข้าห้องนอนซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้เขาต้องวิ่งหนีไป ทิ้งตัวลงบนเตียงนั้นด้วยร่างกายที่อ่อนล้าเหลือเกิน ราวกับว่าเรี่ยวแรงหดหายไปจากร่างกายดื้อๆ โดยไม่บอกกล่าว

เขาปิดเปลือกตาลงทั้งที่บนดวงตายังคลอไปด้วยน้ำใสๆ จนมันร่วงลงกระทบแก้ม

 

 

ฐานทัพลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแบบสะลึมสะลืม รู้สึกว่าตัวร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนมีไอระอุอยู่ทั่วทั้งร่าง สงสัยคงเพราะปัจจัยหลายๆ อย่างทำให้ไข้ขึ้น

เขาพลิกตัวซ้ายขวามองหานาฬิกาดูเวลา

เป็นเวลาเลิกงานของสิบทิศแล้ว เจ้าตัวอาจจะกลับมาเร็วๆ นี้ก็ได้

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง อีกครึ่งชั่วโมงสิบทิศก็กลับมา

สิบทิศเข้ามาในห้องในขณะที่ฐานทัพยังนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับไปจากเดิมเพราะรู้สึกเหนื่อยล้า พออีกฝ่ายเปิดไฟเพดานเขาก็มองเห็นว่าที่หน้าผากสิบทิศมีผ้าก๊อชแปะเอาไว้ ดูก็รู้ว่าหัวแตกเพราะโทรศัพท์ที่เขาปาใส่

ฐานทัพรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้สิบทิศเจ็บ แต่ก็พูดไม่ออกว่าขอโทษ

“เมื่อคืนไปไหนมา วิ่งหายไปอย่างนั้นพี่เป็นห่วงนะ”

“ก็เรื่อยเปื่อย”

ฐานทัพตอบห้วนและไร้อารมณ์ ทว่าแตกต่างจากที่เคยเป็นมาช่วงที่ระหองระแหงกันก่อนหน้านี้ เพราะแฝงไว้ด้วยแววของความไม่พอใจอยู่จางๆ

เขาดันตัวลุกขึ้นนั่ง มองหน้าสิบทิศค้างไว้ ไม่รู้อะไรดลใจหรืออาจเพราะรู้สึกเหนื่อยเกินไปก็เป็นได้ถึงได้เอ่ยคำนี้ขึ้นมาซ้ำ

“เลิกไหม”

ดวงตาของสิบทิศเบิกโพลงคล้ายคนตกใจอย่างหนัก ทั้งที่ในความคิดของเขา สิบทิศไม่น่าจะตกใจอย่างนั้น เพราะเป็นฝ่ายทำให้เขาพูดคำนี้ออกมาแท้ๆ

“ไม่เลิก ยังไงพี่ก็ไม่ยอมเลิกกับฐานหรอก”

น้ำเสียงที่อีกฝ่ายเปล่งออกมาหนักแน่นจนเหมือนบีบคั้น ก่อนร่างนั้นจะย่างสามขุมมาอยู่ตรงหน้า

“พี่จะทนอยู่อย่างนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อใจของพี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ พี่ไม่ได้มีความสุขที่ได้อยู่กับผม พี่จะทรมานตัวเองไปทำไม ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระไม่ดีกว่าเหรอ ผมขอร้องเถอะ ผมอยากให้เราจบกันด้วยดี ให้ผมเดินออกไปจากชีวิตพี่ดีๆ อย่าให้ผมต้องหนีเลย”

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันยากจะทำอย่างปากพูดได้ แต่ฐานทัพก็อยากพูดออกมา

ในเมื่อเขาไม่สามารถเป็นฝ่ายเดินออกไปเองได้ ก็มีแต่ต้องขอให้อีกฝ่ายขับไล่ไปไม่ใช่เหรอ

ถึงกระนั้นสิบทิศก็ยังคงดื้อด้าน

“ไม่ พี่ไม่เลิกกับฐาน พี่รักฐานที่สุด ในชีวิตนี้พี่ไม่เคยรักใครแบบนี้ พี่ปล่อยฐานไปไม่ได้หรอก”

สิบทิศลงมานั่งบนเตียง จับมือของเขาเอาไว้ เปล่งน้ำเสียงเด็ดขาดแต่เว้าวอน นัยน์ตาส่งความรู้สึกมาเช่นเดียวกับคำพูด

ฐานทัพไม่กล้าสบตา เพราะรู้ว่าหากมองเข้าไปจะต้องใจอ่อนอีกเป็นแน่ แต่ถึงจะไม่ยอมสบตาตรงๆ มือที่กุมมือเขาไว้มันก็อบอุ่นจนทำให้ภายในอกปั่นป่วนไปหมดอยู่ดี

“พี่เป็นห่วงฐานมากเลยนะ ฐานอย่าหายตัวไปแบบนี้อีกได้ไหม พี่จะเป็นบ้า ฐานรู้ไหมว่าพี่ตามหาฐานทั้งคืนเลย ตามหาฐานทั้งที่เลือดยังไหลออกมา แผลก็ไม่ได้ทำ เพราะใจร้อนรนไปหมด กลัวว่าฐานจะหายไปแล้วไม่กลับมาอีก”

คำพูดเหล่านั้นเสมือนสารอะไรสักอย่างที่ละลายความเข้มแข็งของเขาให้ลดลงไปเรื่อยๆ จนมันอ่อนบางเหมือนจะสลายลงไปได้อย่างง่ายดาย

ความห่วงใยที่สิบทิศแสดงออกมาแม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือคำลวง แต่ ณ เวลานี้มันทำให้เขาเปราะบาง ราวกับว่าหากไม่มีอีกฝ่ายอยู่ด้วย เขาก็ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

ฐานทัพรู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าหากขาดสิบทิศไป เขาคงทุกข์ทรมานมากๆ อย่างแน่นอน

“แล้วพี่เจ็บมากหรือเปล่า”

สุดท้ายใจที่เคยพยายามบังคับให้แข็งก็ต้องอ่อนลงอยู่ดีต่อหน้าคนที่รักหมดทั้งหัวใจ

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอแค่ฐานกลับมาอยู่กับพี่ก็พอแล้ว”

สิบทิศดึงฐานทัพเข้าไปกอด โอบเอาไว้เหมือนจะให้ไออุ่นและการวิงวอนซึบซาบเข้ามาในตัวเขา ให้ลึกเข้ามาถึงใจของเขา และยอมรับเหตุผลกับความผิดพลาดนานัปการที่เจ้าตัวเคยก่อเอาไว้

ถึงจะรู้สึกได้เช่นนั้น ฐานทัพก็ยังโอบกอดกลับไปอยู่ดี

ขอเพียงแค่ได้อยู่ด้วยกัน ได้รับรู้ว่าตัวเองมีตัวตนต่อสิบทิศ มันก็เพียงพอแล้ว

“ว่าแต่...ฐานหายไปที่ไหนมา ไม่ได้ไปอยู่กับผู้ชายอื่นใช่ไหม”

บรรยากาศที่เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีกลับทะมึนลงอย่างฉับพลัน คล้ายกับว่าฟ้าครึ้มจนเป็นสีเทาเข้มก่อนฝนจะตก

ฐานทัพขืนตัวออกมาจากอ้อมกอดนั้นอย่างรวดเร็ว เพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวที่แสดงออกถึงการไร้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจและการไม่เข้าใจความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย

ไม่ได้รับรู้เลยว่าความรักที่เขามีให้สิบทิศมันมากมายแค่ไหน

“ก็ไม่แน่หรอก!”

เสียงห้วนสะบัดออกมาจากฐานทัพที่ผุดลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนโดยไม่เหลียวกลับมามองคนด้านหลัง

“หมายว่าความยังไง!”

เขาได้ยินเสียงมาจากไกลๆ แสดงว่าสิบทิศไม่ได้ลุกตามมา

น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ตะคอกห้วนไม่แพ้กันยิ่งทำให้ฐานทัพรู้สึกฉุนมากขึ้นไปอีก

“พี่ทำได้ทำไมผมจะทำไม่ได้!”

จากนั้นก็เหมือนกับว่าคนทั้งสองอยู่คนละโลกกัน

สิบทิศไม่ได้ออกมาหาฐานทัพที่ห้องนั่งเล่น ขณะที่ฐานทัพก็ไม่ได้เข้าไปหาสิบทิศที่ห้องนอนเช่นกัน

 

 

วันรุ่งขึ้น ฐานทัพรู้สึกปวดเมื่อยตัวมาก

ตัวของเขาร้อนผ่าวไปหมดจนเหมือนกับโดนไฟสุมเสียยิ่งกว่าเมื่อวาน หัวก็ตื้อและวิงเวียนมากจนแม้แต่ลุกขึ้นนั่งยังเหมือนโลกหมุนไปหมด

เขาคงจะไข้ขึ้นจริงๆ แล้ว และไข้ก็สูงมากด้วย

ฐานทัพหันไปมองรอบห้องอย่างยากลำบากเพราะรู้สึกตาลาย แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะตรวจสอบดูว่าสิบทิศยังอยู่ในห้องหรือไม่ แต่มันเงียบสนิทเหมือนมีเพียงเขาอยู่คนเดียวในที่แห่งนี้ พอเหลือบสายตามองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นช่วงสายแล้ว

สิบทิศคงไปทำงานแล้ว

คิดได้เช่นนั้นฐานทัพก็ล้มตัวลงนอนอีกรอบ แม้จะมีความรู้สึกหิวอยู่นิดๆ แต่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจนไม่อยากลุกไปไหน

นอนพักอีกสักหน่อยอาการอาจจะดีขึ้นก็ได้

แต่ถึงแม้สภาพร่างกายอาจจะดีขึ้นได้ด้วยการพักผ่อน สภาพจิตใจกลับยากจะเป็นเช่นนั้น

ในเวลาป่วยแบบนี้ความเปลี่ยวเหงาอ้างว้างค่อยๆ ซึมขึ้นมาเหมือนน้ำผุด และไม่อาจหาสิ่งใดมาอุดมันลงได้ ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่ฐานทัพจะนึกถึงสิบทิศขึ้นมา

นึกถึงช่วงเวลายามที่เขาป่วยและเคยมีสิบทิศคอยดูแลจนหายดี

เมื่อก่อนเขาก็เคยนอนป่วยอย่างเดียวดายไม่ใช่เหรอ ก็แค่กลับไปเป็นแบบนั้นอีกครั้งเท่านั้นเอง

ฐานทัพบอกตนเองแล้วฝืนปิดเปลือกตาลง ทำใจให้สงบเพื่อให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด

ทั้งที่อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อลืมตาอีกครั้งในช่วงบ่ายแก่ๆ อาการกลับไม่ดีขึ้นเลยสักนิด ท้องก็ร้องประท้วงขออาหาร

ฐานทัพจำต้องยันร่างขึ้นมา ทว่าเพียงแค่ลุกร่างก็เซจนแทบล้ม แต่เขาก็ยังกัดฟันอดทน เปลี่ยนเสื้อผ้า แปรงฟัน แล้วหยิบกระเป๋าเงิน พาร่างพังๆ ไปโรงพยาบาล

ระหว่างทางเขาเกือบล้มอยู่หลายครั้ง แต่ก็ฝืนสังขารกระทั่งมาถึงจนได้

ด้านหน้าโรงพยาบาลมีร้านสะดวกซื้อ เขาแวะซื้อนมสักกล่องมาดื่มเพื่อไม่ให้น้ำย่อยกัดกระเพาะ

หลังจากพยาบาลตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้วก็ให้ยามากินเพื่อให้ไข้ลดลงสักหน่อย

เขานั่งรอคิวหมอเรียกอยู่นานจนหลับคาเก้าอี้นอกห้องตรวจ เพราะต้องรอผลเลือดเนื่องจากไข้สูงมากจนสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นไข้หวัดใหญ่ก็ได้

เมื่อถูกขานชื่อฐานทัพถึงค่อยได้สติอีกครั้ง

เขารู้สึกว่าอุณหภูมิที่พุ่งสูงจนเกือบสี่สิบองศาลดลงมาเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นจึงประคองร่างเข้าไปพบหมอได้อย่างไม่มีปัญหาสักเท่าไร

ทั้งที่คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นหน้าหมอเขากลับต้องกะพริบตาอยู่หลายครั้งเพื่อความแน่ใจ

“เอิร์ท?”

“ฐานจริงๆ ด้วยเว้ย”

ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะประหลาดใจเหมือนกันจึงหยุดชะงักแล้วมองหน้าเขาชั่วครู่ จนกระทั่งเขาหลุดเสียงออกมา

“ก็ว่าชื่อคุ้นๆ รูปก็คล้ายๆ อยู่ แต่ไม่คิดว่าจะใช่จริงๆ”

อดิศักดิ์ยิ้มเผล่ด้วยความยินดี เขาเองก็รู้สึกยินดีเช่นกัน เพราะตั้งแต่เจอกันครั้งสุดท้ายก่อนเขาขึ้นเหนือไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เจออีกฝ่ายอีกเลย

สมัยมัธยมเขาสนิทกับอดิศักดิ์ที่สุด

...และมีเซ็กซ์กับอดิศักดิ์เยอะที่สุดด้วย

อดิศักดิ์ก็คือคนคนนั้น

คนที่ทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงความสุขและความสนุกของสิ่งที่เรียกว่าเซ็กซ์

“เป็นไงวะ สบายดีหรือเปล่า”

“มึงก็กล้าถามนะ ถ้าสบายดีกูจะมาหาหมอจนเจอมึงไหม”

“เออใช่ ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินมานานทำให้รู้สึกหัวใจชุ่มชื้น นึกถึงวันเก่าๆ ที่พวกเขาทั้งคู่เคยใช้เวลาร่วมกัน ทำเรื่องบ้าบอ ทำเรื่องบ้าบิ่นอย่างไม่คิดถึงอนาคต อยากรู้อยากลองไปเสียทุกอย่าง

“โทษทีนะ กูไม่ได้ติดต่อมึงเลย กูเรียนยุ่งมาก”

“เออๆ กูเข้าใจ”

เพราะอดิศักดิ์เรียนแพทย์ การติดต่อระหว่างพวกเขาจึงขาดหายไปด้วย

เขาคิดว่าไม่เป็นไร ก็เหมือนกับรางรถไฟสองราง ตัดผ่านกันในช่วงหนึ่ง เมื่อผ่านช่วงเวลานั้นไปก็กลับมาขนานกันเหมือนเดิม

“แล้วนี่มึงทำอะไรอยู่ล่ะ”

“กูว่ามึงตรวจกูก่อนดีไหม คิวคนไข้รอยาวเหยียดไม่ใช่หรือไง”

แม้ว่าจะสี่โมงเย็นแล้ว คนไข้ซาลงไปกว่าช่วงเช้ามาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย

“เออ นั่นสิ ว่าแต่มึงเป็นไข้? สูงเกือบสี่สิบองศาเลยนี่หว่า”

อดิศักดิ์ดูผลการตรวจเบื้องต้นจากใบนำส่งคนไข้ ก่อนจะเปิดดูข้อมูลรายละเอียดจากคอมพิวเตอร์อีกที

“ผลเลือดออกมาแล้ว ไม่ได้เป็นไข้หวัดใหญ่นะ แค่ไข้สูงธรรมดาเฉยๆ เดี๋ยวกูสั่งยาลดไข้ให้แล้วกัน มึงก็พักผ่อนมากๆ มีอาการเจ็บคอ ไอ หรือมีน้ำมูกบ้างไหม”

“ไม่มีอะ กูตัวร้อนแล้วก็ปวดหัวมากเฉยๆ รู้สึกปวดเมื่อยตัวไปหมด เหมือนไม่มีแรง”

“ก็อาการทั่วไปล่ะนะ มึงพักผ่อนสักสองสามวันเดี๋ยวก็หาย ว่าแต่อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

“ไข้ลดลงนิดหน่อย แต่อื่นๆ ก็เหมือนเดิม”

อดิศักดิ์ซักถามเพิ่มเติมหลังจากนั้นอีกเล็กน้อย แล้วก็บอกว่า

“อีกชั่วโมงกูจะออกเวรแล้ว เดี๋ยวกูไปส่งมึงแล้วกัน มึงจะได้ไม่ต้องลากสังขารกลับ”

เขาพยักหน้ารับเพราะคิดว่าก็ดีเหมือนกัน กว่าจะมาถึงที่นี่ เขารู้สึกทรมานเหลือเกิน

จากนั้นอดิศักดิ์กดปุ่มเรียกพยาบาลเข้ามาในห้อง

“มีห้องไหนที่หมอออกเวรไปแล้วบ้างไหม ช่วยพาคนไข้ไปนอนห้องนั้นก่อน พอดีเขาเป็นเพื่อนผม ผมจะพาเขากลับตอนออกเวร”

พยาบาลตอบรับก่อนจะนำทางฐานทัพออกไปจากห้อง ให้ไปนอนที่ห้องตรวจซึ่งอยู่ถัดออกไปอีกสองห้อง

ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้กว้างมากนักให้ความรู้สึกว่าน่าอึดอัด แต่เพราะมีเตียงนอนและค่อนข้างเงียบสงบเมื่อปิดประตูลงแล้ว ฐานทัพจึงนอนลงอย่างสบายใจและหลับไปด้วยพิษไข้

รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่อดิศักดิ์มายืนเรียกอยู่ข้างๆ ปลุกเขาให้ตื่นแล้ว

ฐานทัพตื่นมาด้วยสภาพมึนงงเล็กน้อย แต่ก็เหมือนว่าอาการจะดีขึ้นอีกหน่อย ถึงจะรู้สึกตัวยังรุมๆ อยู่บ้าง

“โอเคหรือเปล่า”

“ก็พอไหว”

“งั้นไปที่รถกัน”

ฐานทัพดันตัวลงจากเตียง เดินตามอดิศักดิ์ไปที่รถ พอบอกที่อยู่ของตนเองเสร็จก็รู้สึกว่าอ่อนเพลียลงมาอีก

“ตอนนี้มึงทำอะไรอยู่ ทำงานที่ไหน”

บทสนทนาที่ถูกคุยค้างไว้ตั้งแต่ในห้องตรวจถูกนำมาสานต่ออีกครั้ง

“กูเรียนโทอยู่ แล้วมึงอะ เป็นไง”

“กูก็...”

อดิศักดิ์ยกมือข้างซ้ายขึ้นมา

“นี่แหละ แต่งงานแล้ว”

ฐานทัพมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง มองแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นเหมือนไม่เชื่อสายตา

เขาทวนซ้ำเหมือนเมื่อครู่ได้ยินไม่ชัด ลืมเรื่องอาการอ่อนเพลียไปชั่วคราว

“แต่งงาน? มึงเนี่ยนะแต่งงาน”

“เออ ก็แม่กูอยากได้หลาน อ้อนวอนให้กูเอาหลานมาให้ให้ได้ กูก็เลยต้องทำ”

“แล้วมึงทำกับผู้หญิงได้เหรอวะ”

อดิศักดิ์หันมายิ้มแหยให้ก่อนจะเล่า

“เขาเป็นลูกของเพื่อนแม่กู ถูกจับแต่งงานแบบไม่เต็มใจเหมือนกัน กูเลยบอกเขาไปตรงๆ ว่าเป็นเกย์นะ ผู้หญิงบิลด์กูไม่ขึ้น แต่ว่าแม่กูอยากได้หลานมาก กูไม่รู้จะทำยังไงดี”

“แล้วเขาเข้าใจเหรอวะ”

“ก็ถือว่ากูเจอผู้หญิงดีละมั้ง เขาบอกว่าเข้าใจ งั้นทำกิฟต์ไหม เขายอมท้องก็ได้เพราะพ่อแม่เขาก็อยากได้หลานเหมือนกันถึงเซ้าซี้บังคับให้แต่งงานอยู่ได้ ไว้พอลูกคลอดแล้วค่อยหย่ากัน”

“ไม่น่าเชื่อ”

ฐานทัพรู้สึกประหลาดใจมากจริงๆ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีผู้หญิงที่มีความคิดแบบนี้อยู่ด้วย

ทั้งยอมรับความเป็นเกย์ของสามีได้และยอมที่จะมีลูกด้วย

“กูก็ไม่อยากเชื่อหรอก แต่เขายอมทำจริงๆ ตอนนี้กูมีลูกสาวแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้หย่า เพราะพอมีลูกแล้วก็รู้สึกว่าอยากอยู่เป็นครอบครัว อยากให้ลูกมีความสุข มีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตา เขาก็โอเค อยู่กันแบบเพื่อนน่ะมึง”

ฐานทัพร้อง “โห” เบาๆ เชื่อว่าหากร่างกายของตนปกติดีคงร้องเสียงลั่นรถกว่านี้แน่

เขารู้สึกอัศจรรย์ใจจริงๆ ที่เพื่อนซึ่งเคยชักชวนเขาออกนอกลู่นอกทางมาตลอดได้มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น

ใบหน้าของอดิศักดิ์เวลาพูดถึงลูกสาวมีรอยยิ้มจนอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า...นั่นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของชีวิตที่ดีมากสำหรับเกย์คนหนึ่งเลยทีเดียว และมันก็ไม่ใช่ว่าจะพบเจอเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ

มันยากเสียจนเขาไม่เคยนึกถึงด้วยซ้ำว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“แล้วมึงล่ะ”

คำถามที่ย้อนกลับมาทำให้ฐานทัพอึ้งงันไป

เขาเม้มริมฝีปาก เบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างคล้ายคนไม่อยากพูดก่อนจะตอบเสียงเบา

“กูคบกับคนคนหนึ่งอยู่ แต่มันไม่ค่อยโอเคเท่าไร”

“มึงมีแฟนเนี่ยนะ?”

หลังจากโพล่งเสียงออกมาแล้ว อดิศักดิ์ก็เหมือนจะรู้สึกตัวจึงพูดด้วยเสียงที่เบาลงพร้อมด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดเล็กน้อย

“โทษที กูไม่คิดว่ามึงจะมีแฟน”

ไม่แปลกที่อดิศักดิ์จะคิดเช่นนั้น เพราะสถานะทางบ้านของเขาใช่ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้

“อืม ไม่ใช่แค่มึงหรอก กูไม่เคยคิดเหมือนกันว่ากูจะมีแฟน”

“แล้วเป็นไงมาไงล่ะ”

“ก็มีเรื่องอะไรหลายอย่าง”

ฐานทัพพูดแบบข้ามๆ ไม่ได้เล่ารายละเอียด ซึ่งดูเหมือนอดิศักดิ์จะเข้าใจว่าเขาไม่อยากพูดถึงจึงไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ

อาจเป็นเหตุผลนี้ด้วยกระมัง สมัยมัธยมเขาถึงได้สนิทกับอดิศักดิ์มากที่สุด นอกเหนือจากเหตุผลว่าเป็นเกย์เหมือนกัน

“แล้วที่มึงบอกว่าไม่โอเค มึงจะเลิกหรือเปล่า”

ความเงียบโรยตัวลงมาในฉับพลัน ฐานทัพรู้สึกได้ถึงความเงียบสงัดของบรรยากาศ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังออกมาแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเขาตกอยู่ท่ามกลางความวังเวง

ฐานทัพเม้มริมฝีปากอีกครั้งแล้วพูดออกมาเสียงเบาหวิว

คำตอบเดียวที่เขานึกออกและคิดได้

“กูรักเขาว่ะ”

อีกเช่นเคยที่เหมือนอดิศักดิ์จะเข้าใจ ถึงไม่ได้ถามต่ออีก

ฐานทัพนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น ทว่าเมื่อมองทิวทัศน์นอกกระจกรถที่วิ่งไปได้ระยะหนึ่งก็รู้สึกวิงเวียน

เขาหลับตาลง แต่ไม่ได้หลับจึงยิ่งทำให้รู้สึกทรมาน

กระทั่งถึงคอนโดฯ ของสิบทิศแล้วฐานทัพก็ถูกเรียกอีกครั้ง

เขาลืมตาด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก และถูกถามด้วยคำถามคล้ายๆ เดิม

“ไหวไหมเนี่ยมึง”

ฐานทัพพยักหน้าบอก

“ไหวๆ แต่รู้สึกเหมือนอยากอ้วกนิดหน่อย สงสัยเมารถ”

พอลงจากรถมาก็เดินโซเซเหมือนคนเมาจริงๆ จนอดิศักดิ์ต้องรีบถลาเข้ามาประคอง

เมื่อมาถึงห้องแล้วก็เหมือนว่าเรี่ยวแรงที่เคยประคับประคองร่างเอาไว้จะหดหายไปด้วย

ฐานทัพบอกอดิศักดิ์ว่าให้พาไปส่งที่ห้องนอนหน่อยเพราะรู้สึกไม่ไหวจริงๆ เหมือนตัวมันหนักๆ อดิศักดิ์จึงช่วยพาไปส่งให้ถึงที่ มิหนำซ้ำยังคิดจะช่วยเช็ดตัวให้อีกด้วย

“มีผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่ในตู้ใช่ไหม”

พอถูกถาม ฐานทัพก็พยักหน้าให้ก่อนจะหลับตาลง

เขารู้สึกว่าอยากจะพักผ่อนเหลือเกิน แต่ถ้าได้รับการเช็ดตัวสักหน่อยคงดีกว่า เพราะเขาไม่ได้อาบน้ำมาเกือบสองวันแล้ว

“มึงเป็นใคร!”

หลังพักสายตาอยู่สักพัก เสียงตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้น

ฐานทัพลืมตาขึ้นดูก็เห็นว่าอดิศักดิ์และสิบทิศกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่แถวหน้าห้องน้ำ

ในมือของอดิศักดิ์ยังมีผ้าขนหนูชุบน้ำอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่เขาจะปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะสัมผัสได้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากกายของสิบทิศ

ฐานทัพพยายามลุกขึ้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดแล้วเดินไปหาคนทั้งคู่ กำลังจะอ้าปากบอกว่า ‘เพื่อนผมเอง’ ก็ถูกเสียงคำรามของสิบทิศแผดแทรกขึ้นมา

“ออกไปจากห้องกูกับเมียเดี๋ยวนี้!!”






v





v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 12th Lie [31/3/63]
«ตอบ #34 เมื่อ31-03-2020 21:02:19 »











v






v





เสียงนั้นดังก้องจนสะท้อนไปทั้งห้อง ฐานทัพแทบสะดุ้ง

เขาไม่เคยได้ยินสิบทิศแสดงอารมณ์ร้ายกาจแบบนี้มาก่อนตั้งแต่คบกันมา ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายไม่เคยเรียกเขาว่า ‘เมีย’ แม้จะเป็นการเย้าหยอก แต่ครั้งนี้กลับแสดงสถานะชัดเจนว่าเขาเป็นสมบัติของสิบทิศซึ่งไม่คิดจะให้ผู้ใดมาแย่งชิงไป

ฐานทัพหันไปหาอดิศักดิ์ พยักหน้าเบาๆ เหมือนเป็นการสื่อความนัย

“มึงกลับไปก่อนนะ ไว้กูค่อยติดต่อหามึงอีกที”

เขาพูดแบบนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ขอเบอร์ติดต่ออีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าอดิศักดิ์ทำงานอยู่ที่ไหน ไม่ใช่เรื่องยากที่จะติดต่อกันภายหลัง

อดิศักดิ์มองหน้าฐานทัพแล้วพยักหน้ากลับมาเช่นกัน เหมือนเข้าใจความหมายในแววตาที่แฝงการขอโทษเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าแววตานั้นจะถูกตีความหมายผิดไปเมื่ออยู่ในสายตาของสิบทิศ

“ไอ้สัตว์! จะออกไม่ออก”

เจ้าตัวตะโกนอีกครั้งพร้อมกับปรี่เข้าไปจะปล่อยกำปั้นใส่ จนฐานทัพต้องรีบถลาตัวเข้ามาแทรกกลาง

“มึงกลับไปก่อนๆ”

ด้วยเกรงว่าเพื่อนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรจะต้องมาเจ็บตัว ฐานทัพจึงบอกซ้ำๆ ขณะที่ใช้สองมือยันบ่าของสิบทิศเอาไว้

อดิศักดิ์ตะลีตะลานออกไปตามคำบอก แต่สิบทิศก็ยังจะตามไปเอาเรื่องอีก ฐานทัพจึงต้องดึงแขนเอาไว้อย่างเต็มกำลัง ใช้เท้าจิกพื้นเต็มที่ ทว่าเรี่ยวแรงของคนที่ตัวเล็กว่าอีกทั้งยังป่วยใช่ว่าจะสู้แรงช้างสารของคนสุขภาพดีได้

ฐานทัพถูกถูลู่ถูกังไปตามแรงลากจนกระทั่งประตูห้องปิดลงพร้อมกับอดิศักดิ์ที่ลับร่างไป เขาตะโกนบอกสิบทิศที่เหมือนกับเสียสติไปแล้ว

“พอได้แล้ว!!”

สิบทิศหันมาจ้องเขม็งเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จากนั้นเปลี่ยนเป็นฝ่ายมาดึงแขนฐานทัพแล้วลากกลับไปที่ห้องนอน ก่อนจะเหวี่ยงลงไปบนที่นอนอย่างแรงจนร่างกระเด้งกระดอนอยู่บนนั้น

ฐานทัพรู้สึกเรี่ยวแรงหดหายและหน้ามืดขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เขาหลับตาแน่นๆ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง แต่ทันทีที่ลืมตาก็เห็นว่าสิบทิศขึ้นมาคร่อมอยู่บนเตียงแล้ว

“ไอ้เหี้ยนั่นเป็นใคร! เดี๋ยวนี้กล้าพาผู้ชายอื่นมาที่บ้านเลยเหรอ”

ถ้อยคำที่โพล่งออกมาจากปากของสิบทิศทำให้ฐานทัพเบิกตาโพลง ชะงักลมหายใจไปชั่วครู่เพราะมันมาพร้อมอารมณ์ที่รุนแรง

“ไม่ใช่แบบนั้น”

เขาตอบเสียงค่อยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบเพราะอยากให้สิบทิศอารมณ์เย็นลงและพูดคุยกันดีๆ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือสภาพร่างกายไม่พร้อม

ทว่าแทนที่จะช่วยให้เป็นอย่างที่หวังมันกลับกลายเป็นการกระตุ้นอารมณ์และคำพูดของสิบทิศให้รุนแรงขึ้น

“วันก่อนก็ไปอยู่กับมันใช่ไหม ทำไมถึงร่านแบบนี้!”

ฐานทัพแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง

เขาเบิกตากว้างกว่าเดิม หัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะเต็มๆ ก่อนจะรู้สึกปวดร้าวในอกเหมือนถูกฉีกกระชากเนื้อออกไป

เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากสิบทิศ หากเป็นเมื่อก่อนใครจะต่อว่าเขาอย่างไรก็ได้ เพราะนั่นคือความจริง แต่ปัจจุบันนี้...ตั้งแต่คบหากับสิบทิศเป็นต้นมา เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนไหนไม่ว่าทางกายหรือใจ

เขาซื่อสัตย์กับสิบทิศมาโดยตลอด แต่เป็นสิบทิศต่างหากที่ยุ่งกับคนอื่นมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

ฐานทัพพูดไม่ออก มีแต่น้ำตาที่ไหลรินออกมาทั้งที่ไม่ต้องการ

เขารู้สึกว่ายิ่งรักสิบทิศมากเท่าไร มีแต่จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ

ไม่มีฐานทัพคนเก่าหลงเหลืออยู่อีกเลย ช่างน่าสมเพชจริงๆ

“ไม่ต้องมาบีบน้ำตา!”

ถ้อยคำที่ทำให้อึ้งเพราะไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของคนรักยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

ฐานทัพหลับตาลง เบือนหน้าหนี ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน ลำพังแค่ร่างกายอ่อนแอก็รู้สึกแย่อยู่แล้ว ทว่าคำพูดจากสิบทิศที่ทำร้ายกันกลับยิ่งทำให้เขาอ่อนเปลี้ยไปหมด ไร้เรี่ยวแรงและกำลัง

“ไปกับมันสุขสมมากใช่ไหม ถึงขั้นไม่อยากมองหน้ากันเลยเหรอ!”

ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะแสดงพฤติกรรมอย่างไรก็ถูกตีความในทางตรงข้ามไปเสียหมด

สิบทิศบีบคางของฐานทัพ กระชากกลับมาให้มองหน้ากัน

ฐานทัพจำต้องมองคนที่คร่อมอยู่บนร่างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นที่เขาเห็นหน้าซึ่งเต็มไปด้วยโทสะของสิบทิศ เพราะพริบตาต่อมาริมฝีปากของอีกฝ่ายก็บดขยี้ลงมา

กำลังที่มากล้นบดเบียดขบกัดลงบนริมฝีปากของเขา เหมือนต้องการให้เขาเจ็บ ก่อนจะซุกไซ้ไล่ต่ำลงมาที่ซอกคอ ขณะที่มือก็ฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขาอย่างไม่ไยดี

ฐานทัพใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดผลักไสสิบทิศออกไป เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายทำเช่นนี้ โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ แต่ก็ถูกตีความไปอีกอย่างอยู่ดี

“ทำเป็นรังเกียจผัวตัวเอง! ทีคนอื่นล่ะนอนอ้าขาให้มันเอา เอากับมันไปกี่รอบแล้วล่ะ!”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดมา

น้ำตารื้นขึ้นมาในเบ้าตาของฐานทัพอย่างไม่อาจห้าม

เขาพยายามผลักไสสิบทิศออกไปอีกเพราะไม่อยากยอมรับการกระทำของคนที่อารมณ์โกรธโหมกระพือจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่ยิ่งดิ้นรนทุรนทุรายเท่าไร มีแต่จะทำให้สิบทิศใช้กำลังมากขึ้นเท่านั้น

ฐานทัพร้องไห้ น้ำตาไหลพรั่งพรู เสียงสะอึกสะอื้นทะลักล้นออกมา ร่างกายร้อนผ่าวไปหมด หัวปวดจนแทบระเบิด แต่สิบทิศก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย กลับจับร่างเขาพลิกกลับหลัง กระชากกางเกงลงแล้วดึงสะโพกไปหา แหวกทางเข้าที่เคยมอบความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ ให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะใช้ร่างกายอันแข็งแกร่งจ้วงแทงลงมาอย่างไม่ปรานีปราศัย

เขารู้สึกเจ็บปวดร้าวระบมราวกับถูกกระชากร่างให้ขาดเป็นริ้วๆ จุกจนพูดอะไรไม่ออกเมื่อถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรง ได้แต่ร้องอ้อนวอนขอให้ปล่อย

“ปล่อยผมนะ อย่าทำแบบนี้ ผมเจ็บ พี่เข้าใจผิด”

เสียงร้องไห้พร่ำบอกไม่รู้กี่ครั้ง แต่สิบทิศก็ยังกระหน่ำเข้าใส่ร่างของเขาไม่หยุด

“ที่ร้องไห้นี่เพราะชอบใช่ไหมล่ะ! ชอบเซ็กซ์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เอากับคนไปทั่วไม่ใช่เหรอ! หรือแค่นี้ยังถึงใจไม่พอ!!”

สิบทิศกระแทกกระทั้นเข้ามาเต็มแรงอย่างต่อเนื่องจนร่างของฐานทัพแทบจะพับลงไปกองกับที่นอน

ไอร้อนยิ่งถาโถมให้เขาวิงเวียนจนเกือบจะไร้สติ ขณะที่มือหนึ่งของสิบทิศเคล้นคลึงขยี้ขยำอกของเขาเหมือนอยากให้มันแหลกลาญไป ไหล่และแผ่นหลังถูกกัดไปทั่ว

น้ำตาของฐานทัพไหลริน ได้แต่คิดว่าสิบทิศไม่รู้เลยสักนิดหรือว่าเขาป่วยอยู่ ผิวของเขาร้อนจนแทบไหม้ แต่กลับไม่ฉุกคิดแม้แต่น้อยหรือถามสักคำว่าเขาเป็นอะไร

น้ำหนักที่หนักหน่วงถูกทิ้งลงมาจนร่างของฐานทัพสะท้อนไปตามแรงนั้นเท่ากับจำนวนครั้งที่มากมายเกินกว่าจะนับได้ ลาวาร้อนระอุพวยพุ่งปะทะกับภายในที่บอบช้ำจนเหมือนกับโดนไฟลวก

ฐานทัพงอตัวอย่างสุดกำลังด้วยความทรมาน แก่นร่างที่อยู่ด้านหน้าไร้ปฏิกิริยาโดยสิ้นเชิง

เขาไม่รู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อยนิดกับการกระทำที่เขาเคยคิดว่าสนุกเมื่อครั้งยังไม่พบกับสิบทิศ และคิดว่ามันสุขเหลือเกินหลังได้พบกับสิบทิศ

เวลานี้เขาเหมือนกำลังตกนรกทั้งเป็น นรกที่สร้างขึ้นโดยคนที่เขาคิดว่ารักมาตลอดสองปี

“อึ้ก”

ฐานทัพกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึม สองมือขยุ้มผ้าปูที่นอนไว้สุดแรงจนมือชาขาวและสั่นไปหมด

เมื่อแกนเนื้อที่สอดแทรกอยู่ภายในร่างขืนตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันเหมือนกับดาบแหลมคมที่แทงทะลุเข้ามาอย่างรุนแรงซ้ำๆ

ทั้งห้องก้องไปด้วยเสียงอนาจารเฉอะแฉะและเสียงกระทบกระแทกของผิวเนื้อ

ฐานทัพรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างราวกับกระดูกกำลังถูกกัดกร่อนลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับกล้ามเนื้อที่อ่อนเหลวเพราะถูกกรดเข้มข้นกรอกเข้ามา

ดวงตาแดงก่ำขณะที่น้ำใสๆ ยังคงเอ่อออกมา เพราะความปวดร้าวและทุกข์ทรมานไปทั้งกายใจ

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพละกำลังของสิบทิศก็ยังคงโถมเข้าใส่ดั่งพายุคลั่ง เสมือนว่าหากไม่ทำลายล้างแผ้วถางให้ทุกอย่างถูกทลายหมดสิ้นก็จะไม่มีวันสงบลง

ในที่สุดกำลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจนแทบไม่มีของฐานทัพก็หมดลง ร่างของเขาทรุดลงไปแม้ถูกมือที่ขยี้ขยำอกเอาไว้ประคองอยู่

สติสุดท้ายที่ฐานทัพรับรู้ก็คือ...

ร่างของเขาถูกพลิกกลับไปให้เผชิญหน้ากับสิบทิศ แววตาของอีกฝ่ายยังคงมีเพลิงแห่งความพิโรธขุ่นแค้นคุกรุ่นอยู่โดยไม่มีท่าทีจะมอดดับ พร้อมกับสองขาของเขาถูกยกสูงแล้วแยกกว้าง ขณะที่แรงกระแทกจากสะโพกของคนตรงหน้าถาโถมเข้ามาอย่างไม่บันยะบันยัง

 

 
เพียงแค่ได้สติคืนมา ฐานทัพก็รู้สึกร้าวระบมไปทั้งร่าง

เขาขยับใบหน้าหันมองอย่างช้าๆ ก็พบว่าบนเตียงว่างเปล่า มีตนเองเท่านั้นที่อยู่ตามลำพัง แม้จะเงี่ยหูฟังเสียงก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน ราวกับว่าไม่เพียงแต่ในห้องนอน ในห้องนั่งเล่นหรือห้องอื่นๆ ก็ไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น

หลังจากทำร้ายเขาจนสาแก่ใจแล้ว สิบทิศก็หายตัวไป

ทิ้งเขาเอาไว้...

ไอระอุยังกรุ่นอยู่ในร่าง อาการวิงเวียนไม่ได้หายไป ร่างกายยังคงอ่อนแรง ถึงกระนั้นกลับต้องปวดระบมไปทั้งตัวเพิ่มขึ้น

ความรู้สึกในตอนนี้ของฐานทัพไม่มีสิ่งอื่นใดเลยนอกจาก...อยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ตอนนี้เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากแม้กระทั่งเห็นห้องห้องนี้

ไม่อยากเห็นหน้าสิบทิศเมื่อกลับมา

ฐานทัพพยายามพยุงร่างที่อ่อนกำลังอย่างที่สุดลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าอย่างลวกๆ เมื่อหยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ได้ก็ค่อยๆ เกาะกำแพงเดินออกจากห้องไปอย่างระมัดระวัง

ถึงจะรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่เขาก็ไม่อยากโผล่ออกไปแล้วประจันหน้ากับสิบทิศโดยไม่ตั้งตัว

ทว่าที่ด้านนอกไม่มีร่างของสิบทิศอยู่จริงๆ ฐานทัพจึงค่อยๆ พยุงร่างไล่ตามกำแพงจนในที่สุดก็ลงลิฟต์ได้สำเร็จ

แม้ว่าตอนอยู่ในลิฟต์เขาแทบจะทรุดลงไปนั่งกองเพราะความเจ็บปวด แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกเขาก็พยายามฝืนสุดชีวิตจนประคองตัวให้เดินออกมาได้ในสภาพที่ไม่เป็นที่สะดุดตานัก

กระทั่งออกมานอกตัวอาคาร ฐานทัพหาตำแหน่งที่พอจะนั่งได้และลับตาคนแล้วโทรศัพท์หาคนที่เขานึกถึงขึ้นมาได้เพียงคนเดียว

บุคคลที่ให้เขาพึ่งพาได้ และพร้อมจะให้เขาพึ่งพา

พออีกฝ่ายรับสายเขาก็รีบบอก

“พี่ภัน ช่วยมารับผมที่คอนโดฯ หน่อย”

หลังจากบอกตำแหน่งที่ตนหลบอยู่ ฐานทัพก็นั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

ถัดจากนั้นอีกสี่สิบนาที ภันวัฒน์ก็มาจอดรถเทียบข้างอยู่ตรงหน้า

ครั้นเห็นร่างสูงใหญ่ลงจากรถมา ฐานทัพรีบผุดลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินไปหา ทว่าก็ต้องทรุดลงนั่งยองๆ กับพื้นเพราะว่าปวดร้าวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะจุดที่ถูกทำร้ายอย่างหนักหน่วง มันปวดแสบปวดร้อนไปหมด เหงื่อที่ผุดซึมบนหน้าผากก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากอย่างฉับพลัน

คงเพราะท่าทีผิดปกติเช่นนั้นภันวัฒน์จึงถลาเข้ามาหาแล้วไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

แต่พอปลายนิ้วสัมผัสร่างของเขาหวังช่วยพยุง เสียงร้องด้วยความตกใจก็ดังมาอีก

“ฐานไม่สบายเหรอ! ตัวร้อนมากเลย”

ภันวัฒน์ช่วยโอบเอวประคองเขาอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น

ฐานทัพรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายแสดงออกมาอย่างชัดเจน

เพียงแค่เห็นเขาก็เป็นห่วงแล้ว เพียงแค่แตะตัวเขานิดเดียวก็รู้แล้วว่าสภาพร่างกายของเขาผิดปกติ แต่คนที่สัมผัสเขาไปทั่วทั้งร่างกลับไม่รู้สักนิดว่าเขาไม่สบาย

ฐานทัพอดเปรียบเทียบไม่ได้ และอดรู้สึกน้อยใจไปพร้อมๆ กับปวดร้าวในใจไม่ได้เช่นกัน

เมื่อถูกประคองมาถึงรถ ฐานทัพถึงเพิ่งเห็นว่ามีใครอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย ภันวัฒน์รีบบอกทันควัน

“เพื่อนพี่น่ะ ชื่อจอม พวกพี่นัดกันไปดื่มพอดี”

หากเป็นเวลาปกติเขาคงทักทายอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ในเวลานี้เขาทำได้เพียงแค่พยายามคลี่ยิ้มให้ได้มากที่สุดเท่านั้น

“ผมขอโทษนะ ที่เรียกพี่มา...กะทันหัน ทั้งที่พี่มีนัด”

เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง แต่ภันวัฒน์ก็ส่ายหัวอย่างแรง ทำเสียง “อื้อๆ” ประกอบ

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย พวกพี่ยังไม่ทันดื่มเลยด้วยซ้ำ ถ้าฐานไม่เรียกพี่แล้วพี่มารู้ทีหลัง พี่จะต้องรู้สึกผิดแน่ๆ ที่ปล่อยฐานที่ไม่สบายไว้แบบนี้”

“อืม ใช่ๆ ท่าทางอาการไม่ดีเลยนะ กูว่ารีบพาน้องเขาไปนอนพักดีกว่า”

ประโยคแรกดูเหมือนเกรียงไกรจะพูดกับฐานทัพ ส่วนประโยคท้ายพูดกับภันวัฒน์

ฐานทัพรู้สึกคลายใจไปได้บ้างที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกว่าเขาสร้างความเดือดร้อน หรือถึงแม้จะคิดก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า ท่าทาง หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงเลยสักนิดเดียว ทำให้อดรู้สึกขอบคุณไม่ได้

ภันวัฒน์ประคองฐานทัพขึ้นรถทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับโดยที่เกรียงไกรย้ายไปที่นั่งด้านหลังแทน จากนั้นรถก็เคลื่อนไปสู่คอนโดฯ ของภันวัฒน์

ตอนลงจากรถ ภันวัฒน์และเกรียงไกรประสานงานกันอย่างดีราวกับรู้ใจโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรสักคำ

ภันวัฒน์แบกฐานทัพขึ้นหลัง ขณะที่เกรียงไกรล็อกประตูรถให้ เดินไปกดลิฟต์ และเปิดประตูเปิดไฟภายในห้องอย่างคุ้นเคย

กระทั่งวางร่างของฐานทัพให้นั่งลงบนเตียงแล้ว ทั้งคู่ก็ก้มลงมองฐานทัพ ต่างคนต่างเงียบไปเหมือนเจอเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้สะดุดลมหายใจ จากนั้นก็มองหน้ากันเหมือนคุยกันทางสายตา

ฐานทัพก้มลงมองร่างของตนตามสายตาของคนทั้งคู่ เมื่อพบว่าที่ต้นขามีของเหลวอะไรบางอย่างไหลเลอะออกมาก็เข้าใจเหตุผล

หลักฐานของการทำร้ายจากสิบทิศยังคงอยู่

มันเอ่อล้นออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เพราะอยากออกมาจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด

ไม่นึกเลยว่าจะทำให้คนนอกต้องมาเห็นตัวเองในสภาพน่าสังเวชแบบนี้ โดยเฉพาะกับเกรียงไกรที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก

ฐานทัพพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ควรขอโทษ หาอะไรเช็ด หรือลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไม่ให้ที่นอนของภันวัฒน์สกปรก ทว่าเสียงเข้มๆ แฝงด้วยอารมณ์กรุ่นก็ดังขึ้น

“ใครทำ”

“...พี่ทิศ”

เขาตอบเสียงเบาหวิวเหมือนกล้าๆ กลัวๆ ราวกับกำลังโดนข่มขู่

ภันวัฒน์เงียบไปอย่างฉับพลันจนบรรยากาศในห้องหนักอึ้งไปหมด แต่ครู่ต่อมาคำถามก็ดังขึ้นอีก

“ฐานกินอะไรมาหรือยัง เจ็บคอไหม พอกินข้าวต้มไหวหรือเปล่า”

“อืม ไม่เจ็บ”

เพราะไม่คาดคิดว่าจะถูกถามเช่นนั้น ฐานทัพจึงได้แต่เงยหน้าขึ้นแล้วตอบไปตามตรง ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา

“ไอ้จอม มึงน่าจะทำข้าวต้มได้ใช่ไหม เดี๋ยวทำข้าวต้มกับเอายาแก้ไข้แล้วก็แผ่นเจลลดไข้มาให้ที กูจะเช็ดตัวให้ฐาน”

“ถ้าแค่พอกินได้ ไม่ได้รสอร่อยอย่างที่มึงทำก็ได้แหละ เดี๋ยวกูไปทำมาให้”

เกรียงไกรตอบรับเป็นอย่างดีเหมือนเข้าใจหน้าที่และสถานการณ์ จากนั้นก็หันมายิ้มให้ฐานทัพเหมือนจะปลอบให้เบาใจก่อนเดินออกไป

เมื่อในห้องเหลืออยู่เพียงสองคนตามลำพังแล้ว ภันวัฒน์ก็เอาผ้าขนหนูชุบน้ำพร้อมอ่างเล็กๆ ใส่น้ำมาวางไว้ข้างเตียง เตรียมตัวจะถอดกางเกงของฐานทัพออกจนฐานทัพต้องใช้มืออ่อนแรงดึงไว้อย่างตกใจ

“พี่ไม่ต้อง”

“ถ้าไม่เช็ดตัวก็ไม่สบายตัว แล้วจะนอนจะพักผ่อนให้หายไข้อย่างเต็มที่ได้ยังไง”

“ผมเช็ดเองได้”

ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องน่าอับอายที่ให้อีกฝ่ายเช็ดตัวให้ แต่เขาเกรงใจที่จะให้ภันวัฒน์มาทำอะไรแบบนี้

“อย่าดื้อ ปวดหัวมากไม่ใช่หรือไง”

ดูเหมือนคำพูดของเขาจะฟังไม่เข้าท่าสำหรับภันวัฒน์ มิหนำซ้ำมือใหญ่ยังผลักที่หน้าผากของเขาให้ล้มตึงลงไปบนที่นอนอีกต่างหาก

ฐานทัพทั้งจนปัญญาและเรี่ยวแรงจะปฏิเสธจึงได้แต่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเปลื้องเสื้อผ้าตนเองออกทีละชิ้น

ทว่าพอร่างของเขาเหลือเพียงกายเปลือยเปล่าแล้ว เสียงถอนหายใจก็ดังมาราวกับเวทนา เพราะนอกจากกายส่วนล่างของเขาจะเหลือคราบสกปรกแล้ว บนแผ่นหลังและหน้าอกก็เต็มไปด้วยร่องรอยกระจายเกลื่อน

“เดี๋ยวพี่หายามาทาให้นะ”





---------------------
พี่ทิศกำลังสะสมแต้มความเลวค่ะ


ที่มาของชื่อเรื่องจริงๆ อยู่ในตอนที่ 14 ค่ะ
อ่านถึงตอนนั้นจะชัดเจนเลย ขอบคุณนะคะที่ตามอ่านอยู่และรู้สึกว่าสนุก




ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 13th Lie [4/4/63]
«ตอบ #35 เมื่อ04-04-2020 15:38:49 »



















13th Lie

เพราะผมรักพี่ไปแล้วไง ผมเลยรักเขาไม่ได้

 

หลังจากได้รับการเช็ดตัวอย่างเบามือที่สุดยิ่งกว่าคำว่า ‘ทะนุถนอม’ ฐานทัพก็กินข้าวต้มฝีมือเกรียงไกร กินยา และหลับไปอีกครั้ง กว่าเขาจะลืมตาได้สติขึ้นมา สิ่งแรกที่พบก็คือคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ เขา

ฐานทัพรู้สึกตกใจจนเบิกตากว้างขึ้นมาทันที ทว่าเพียงชั่วครู่ก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าของใบหน้านี้เป็นใคร

เขาได้พบกับเกรียงไกรในช่วงที่สติเลือนรางจึงไม่แปลกที่จะจำไม่ได้ในแวบแรก

“ไอ้ภันไปโรงแรมช่วงบ่ายเพิ่งกลับมา ตอนนี้กำลังทำข้าวต้มอยู่เพราะเห็นว่าน่าจะปลุกฐานให้ตื่นขึ้นมากินข้าวกินยาอีกครั้งได้แล้ว วันนี้มันเลยให้พี่มาเฝ้าฐานน่ะ”

ฐานทัพพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะค่อยๆ ดันตัวขึ้นนั่งช้าๆ ระหว่างนั้นก็ได้รับคำถามว่าไหวไหมพร้อมกับอีกฝ่ายทำท่าจะเข้ามาประคอง พอฐานทัพตอบ “ไหวครับ” เกรียงไกรจึงถอยออกไปแล้วยิ้มให้เล็กน้อย

“กี่โมงแล้วครับ ผมหลับไปนานแค่ไหนแล้ว”

เพราะรู้สึกมึนเบลออยู่หน่อยๆ แต่อาการปวดหัวตัวร้อนทุเลาลงแล้ว จึงคิดว่าตนเองน่าจะนอนไปนานพอสมควร ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่คิดว่าจะนานอย่างที่เกรียงไกรตอบหลังจากดูนาฬิกาข้อมือ

“ห้าทุ่มแล้ว ถ้านับก็...หนึ่งวันเต็มๆ”

“หนึ่งวัน?”

“อื้ม แต่ดูเหมือนว่าจะช่วยให้ไข้ลดลงไปมากเลย ตอนนี้น่าจะหิวแล้วละมั้ง เพราะไม่ได้กินอะไรเลย พวกพี่ได้แค่ช่วยป้อนน้ำให้เท่านั้น เพราะว่าเหงื่อออกมาก กลัวว่าถ้าไม่ให้น้ำเลยร่างกายจะขาดน้ำน่ะ”

“เอ่อ ขอบคุณมากครับ”

ฐานทัพถึงกับพูดไม่ออกเมื่อรู้ว่าได้รับความช่วยเหลือถึงขนาดนี้ เลยได้แต่พูดขอบคุณก่อนจะก้มลงมองร่างกายตนเอง

เท่าที่จำได้ ก่อนจะหลับไปภันวัฒน์ช่วยเช็ดตัวให้ แต่คงเพราะเหงื่อออกค่อนข้างมากเลยรู้สึกเหนียวตัวอยู่บ้าง ถึงอีกฝ่ายจะช่วยเช็ดตัวให้อีกระหว่างที่หลับ ก็คงสู้การอาบน้ำไม่ได้

ที่สำคัญภายในร่างกายของเขา...ยังไม่ได้ทำความสะอาด

“ผมรู้สึกเหนียวๆ ตัว อยากอาบน้ำ”

“อาบน้ำเหรอ น่าจะยังไม่ได้นะ เดี๋ยวจากที่ไข้ลดไข้จะตีกลับ แต่ถ้าเช็ดตัวละก็ไม่มีปัญหา เดินไหวหรือเปล่าล่ะ ให้พี่พยุงไหม”

ฐานทัพเอ่ยขอบคุณไปอีกรอบ ก่อนจะรับน้ำใจจากเกรียงไกรที่ช่วยประคองให้ลุกจากเตียงไปห้องน้ำ มิหนำซ้ำยังช่วยเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมาให้ด้วย

โชคดีที่มีเสื้อผ้าที่ภันวัฒน์ช่วยซื้อให้ตอนมาค้างที่นี่หลายวันเมื่อครั้งก่อน

หลังจากเช็ดเนื้อตัวภายนอกทั้งหมดแล้ว ฐานทัพก็ตั้งใจว่าจะทำความสะอาดภายใน แต่ยังไม่ได้สัมผัสกับร่างกายส่วนนั้นก็ต้องรู้สึกแปลกใจขึ้นมา เพราะจะว่าไปแล้วเขาไม่ได้มีอาการปวดท้องหรือไม่สบายตัวอะไร แม้กระทั่งการรู้สึกถึงของเหลวใดๆ ที่ควรจะต้องไหลออกมาตามธรรมชาติก็ไม่มี

พอลองยื่นมือไปแตะดูก็ต้องแปลกใจอีกระลอก เพราะนอกจากจะไม่มีสิ่งใดตกค้างในร่างกายแล้ว ที่ด้านนอกซึ่งบวมอักเสบยังมีบางอย่างที่ให้ความรู้สึกหนึบนิดๆ ทาเอาไว้

หรือว่า...

พริบตานั้นฐานทัพก็คิดขึ้นมาได้จึงรีบใส่เสื้อผ้าแล้วแทบจะวิ่งออกมาจนเกรียงไกรที่รออยู่นอกห้องน้ำตื่นตระหนกถามว่ามีอะไร ฐานทัพจึงรู้สึกตัวและระงับอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นมา

“ผมอยากไปคุยกับพี่ภันหน่อย”

ครั้นตั้งสติได้ฐานทัพถึงรู้สึกว่าความอ่อนแรงเริ่มโจมตีเข้ามาอีกครั้ง

บริเวณที่ถูกล่วงล้ำอย่างหนักหน่วงไร้ความปรานียังคงบวมแดงจนรู้สึกได้ อีกทั้งยังเจ็บไปทั่วบริเวณที่โดนกัด และความรู้สึกมึนหัวก็พุ่งพรวดขึ้นมาราวกับขึ้นจรวด

เกรียงไกรคงเห็นท่าทางเขาไม่ค่อยดีจึงเข้ามาช่วยประคองอีกรอบพลางบอก

“เดี๋ยวพี่พาไป”

จากนั้นก็ค่อยๆ พยุงเขาเดินออกมาจากห้อง ตรงไปยังห้องครัวขนาดใหญ่ที่เกรียงไกรเล่าว่าภันวัฒน์ต่อเติมเพิ่มเองหลังจากซื้อห้องมาแล้ว เพราะต้องการพื้นที่สำหรับทำขนม

สมกับเป็นคนที่ใส่ใจและทุ่มเทกับสิ่งที่ตนเองสนใจจริงๆ

หลังมาถึงฐานทัพก็ถูกพาไปนั่งที่เก้าอี้ของโต๊ะอาหารซึ่งอยู่ไม่ห่างนัก ภันวัฒน์คงรู้ได้จากเสียงจึงหันมาถาม

“ตื่นแล้วเหรอฐาน หิวไหม พี่ทำเกือบเสร็จแล้วล่ะ”

“หิวนิดๆ เหมือนกัน แต่ผมมีเรื่องอยากถาม”

พอฐานทัพพูดไปเช่นนั้น ภันวัฒน์ก็หันหน้ากลับมาหา มองตาเขาอยู่ชั่วครู่คล้ายกับว่ากำลังอ่านความคิด จากนั้นก็พูดเรื่องหนึ่งขึ้นมาก่อน

“พี่เล่าเรื่องฐานให้ไอ้จอมฟังคร่าวๆ ไปแล้วนะ”

ฐานทัพตอบเพียง “อืม” อย่างเข้าใจ เพราะหากไม่อธิบายให้ฟังเลยก็ออกจะแปลกไปสักหน่อย ในเมื่ออีกฝ่ายรู้เห็นอะไรไปถึงขนาดนั้นแล้ว

เขาไม่คิดจะต่อว่าอะไรภันวัฒน์ที่นำเรื่องของตนไปเล่าให้บุคคลที่สามฟัง กลับกันอาจเป็นเพราะเกรียงไกรรู้ความเป็นมาแล้วก็ได้ถึงช่วยดูแลเขาแบบนี้

“พี่ล้างตัวให้ผมเหรอ ทายาให้ด้วย”

“อืม ทำตอนฐานหลับไปแล้วน่ะ ฐานจะได้ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจด้วย เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนั้นมีแต่จะทำให้อาการแย่ลงทีหลังไม่ใช่เหรอ”

ภันวัฒน์พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาพลางหันกลับไปทำอาหารที่หน้าเตาต่อ แต่คนฟังอย่างฐานทัพกลับรู้สึกทั้งอึ้งและทึ่ง เพราะการทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ

ต่อให้เป็นเกย์เหมือนกันก็เถอะ แต่ใช่ว่าอยู่ๆ จะเอามือไปล้วงตูดใครก็ได้สักหน่อย

“พี่ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย เรียกผมลุกขึ้นมาทำเองก็ได้”

ฐานทัพรู้สึกละอายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ พร้อมๆ กับคิดว่าภันวัฒน์จะเป็นคนดีเกินไปแล้ว

เขารู้ว่าภันวัฒน์เป็นคนดี แต่นี่มันดีเกินกว่าที่คิดไว้มาก

หากย้อนระลึกดูแล้ว ตลอดชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมา ผู้คนที่เขาได้พบเจอนั้นมีมากมาย แต่ภันวัฒน์เป็นคนดีที่สุดที่ใครก็เทียบเคียงไม่ได้เลย และชีวิตต่อจากนี้ไปจนตาย เขาอาจจะไม่พบคนแบบนี้ที่ไหนอีกแล้วก็ได้

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย ไม่ต้องคิดมากไปหรอก แค่ฐานหายดีเร็วๆ ก็เท่ากับตอบแทนความช่วยเหลือของพี่แล้ว”

อีกฝ่ายพูดเหมือนรู้ว่าทำอย่างไรคนฟังถึงจะสบายใจและปล่อยผ่านหัวข้อที่กำลังคุยอยู่นี้ไป

ฐานทัพได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยรู้ว่าตนเองไม่สามารถสู้รบตบมือกับภันวัฒน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นแง่ไหนๆ หากเจ้าตัวไม่ยอมลงให้เขาเอง

 

 

อาการป่วยของฐานทัพค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ เริ่มจากอาการไข้ อาการอักเสบของแผลตรงบั้นท้ายที่ถูกทำร้าย และร่องรอยถูกกัดก็ตกสะเก็ดหมดแล้ว

เวลาก็ผ่านไปร่วมสัปดาห์แล้วเช่นกันที่ฐานทัพอาศัยอยู่ที่คอนโดฯ ของภันวัฒน์

ส่วนเกรียงไกร หลังจากฐานทัพฟื้นขึ้นมาในวันนั้นก็กลับไปและยังไม่ได้เจอกันอีก เห็นภันวัฒน์บอกว่าเดือนหนึ่งจะติดต่อกับอีกฝ่ายไม่กี่ครั้ง ส่วนมากจะนัดดื่มกันโดยเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ คล้ายกับที่ชวนเขาไปกินอาหารในห้องอาหารของโรงแรมต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับงานของตนเอง

“หยุดมาหลายวันอย่างนี้ น่าจะถึงเวลาไปเรียนได้แล้วละมั้ง”

หลังจากภันวัฒน์กลับมาจากทำงานในช่วงเย็น พอเห็นเขานั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นก็เกริ่นขึ้นมา

ฐานทัพทำหน้าเบ้เล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นมาได้

เขาลืมเรื่องเรียนไปเสียสนิท แต่ถ้าไปเรียน...

“หนังสือของผมอยู่ที่นั่นหมดเลย”

ไม่ต้องระบุว่า ‘ที่นั่น’ หมายถึงที่ไหนภันวัฒน์ก็รู้ได้ อีกฝ่ายถามกลับมาว่าแล้วจะเอายังไงต่อจากนี้ แทนที่จะถามว่า ‘จะเลิกไหม’ เหมือนที่เคยถาม

คงเพราะคิดว่านั่นเป็นการชักนำจากคนนอกซึ่งดูไม่ค่อยสมควรนัก และอยากให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเองจริงๆ หลังจากเจอเหตุการณ์แบบนั้น

ฐานทัพเงียบไปและครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะตอบ

“ผมยังไม่ค่อยอยากลับไปเลย”

ถึงแม้จะรู้สึกว่าไม่อยากตัดขาดกับสิบทิศไปจริงๆ แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่อยากพบหน้า เพราะในใจยังหวาดกลัว

ไม่ใช่กลัวความโหดร้ายที่อีกฝ่ายกระทำต่อเขาไว้

แต่กลัวว่าจะถูกถ้อยคำร้ายกาจที่ไร้ซึ่งความเชื่อใจและเชื่อในความรักของเขาประณามอีก

“ถ้าแบบนั้นก็คงต้องเข้าไปเอาหนังสือตอนช่วงที่สิบทิศไปทำงานละมั้ง”

หนทางเดียวที่น่าจะใช้ได้ถูกเปรยออกมา

ฐานทัพเห็นด้วยกับความคิดนั้น พลางรู้สึกขอบคุณภันวัฒน์ในใจอีกครั้งที่ไม่ขับไล่ไสส่งเขา และไม่แม้แต่เอ่ยปากอ้อมๆ ว่าอยากให้ออกไป

ครั้นตัดสินใจได้ดังนั้น อีกสองวันให้หลังเมื่อฐานทัพรู้สึกว่าสภาพร่างกายพร้อมดีแล้วจึงกลับไปที่คอนโดฯ ของสิบทิศช่วงกลางวัน

ภันวัฒน์ไม่ได้มาส่งเหมือนทุกครั้งเพราะว่าต้องเข้างานในช่วงเวลานั้นพอดี

ฐานทัพตรงไปยังห้องพักที่เคยอยู่มาตลอดสองปีกว่า แม้จะรู้ว่าสิบทิศคงไม่มีทางอยู่ในห้องแน่ๆ เขาก็อดหัวใจเต้นแรงขึ้นมาไม่ได้

เขาจากไปที่นี่เกือบสิบวันแล้ว มิหนำซ้ำยังจากไปด้วยสถานการณ์ที่ย่ำแย่อย่างสุดๆ ด้วย

เมื่อเข้าไปในห้อง ฐานทัพก็เริ่มหยิบหนังสือและเครื่องเขียนที่จำเป็นต้องใช้ รวมถึงเสื้อผ้าสำหรับใส่เพิ่มเติมด้วย เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะพร้อมกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้งเมื่อไร

หรือบางที...

สุดท้ายแล้วเขาอาจไม่พร้อมตลอดไปเลยก็ได้

หลังจากความคิดเช่นนั้นผุดขึ้น ความปวดร้าวก็แล่นเข้ามาในอก

หากพูดตามตรง เขายังไม่สามารถตัดใจจากสิบทิศได้ แม้จะถูกทำร้ายถึงขนาดนั้นเขาก็ยังอยากอยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้นอยู่ดี

เขาอาจจะเป็นคนโง่อย่างสุดๆ เลยก็ได้ ถึงเจ็บแล้วไม่รู้จักจำสักที

ความรักทำให้คนเราโง่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ?

ทั้งที่เคยได้แต่หัวเราะเวลาเห็นตัวละครในโทรทัศน์พูดอะไรแบบนี้ออกมา แต่เมื่อเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไรก็ได้จนดูน่าขำ

ฐานทัพหลุดเสียงหัวเราะอย่างสมเพชตนเองเบาๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินทางที่จับของจำเป็นยัดเข้าไปเรียบร้อยแล้วขึ้นมาสะพายบ่า หมุนตัวเตรียมกลับออกจากห้องไป ทว่าเมื่อหันหลังกลับไปแล้วก็ต้องชะงัก เพราะร่างที่ไม่สมควรอยู่ตรงนี้ในเวลานี้กลับยืนอยู่ตรงหน้า ขวางทางเข้าออกเอาไว้จนเขาไม่มีทางที่จะหลีกหนีไปได้

ความกระอักกระอ่วนตีตื้นขึ้นมาจุกในอก

เขาไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากัน เพราะไม่ได้คิดเอาไว้ว่าจะบังเอิญมาเจอสิบทิศเช่นนี้

สายตาของสิบทิศกวาดมองไปทั่วร่าง ฐานทัพรู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูกมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าควรจะขยับเท้าขยับมือไปทางไหน แต่สุดท้ายก็ทนต่อสถานการณ์นี้ไม่ไหวจึงฝืนก้าวเท้าออกมาข้างหน้า เบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อหลบเลี่ยง แต่ฉับพลันนั้นสิบทิศก็ก้าวเข้ามาคว้าข้อมือซ้ายของเขาเอาไว้

“ฐาน”

แม้จะเป็นแค่การเรียกชื่อ แต่ในเวลานี้ฐานทัพรู้สึกเบลอไปหมดจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเป็นแบบไหน โหยหาหรือว่าไม่พอใจ แต่หากให้คาดเดาคงเป็นอย่างหลัง

“ผมจะออกไปแล้ว พี่ไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะอยู่ที่นี่ให้พี่รู้สึกว่าเป็นเสนียด”

ก่อนที่จะได้ฟังถ้อยคำเลวร้ายจากอีกฝ่าย ฐานทัพขอพูดมันออกมาแทนเอง ถึงจะเจ็บเหมือนโดนเศษแก้วสากๆ แหลมคมกรีดหัวใจก็ตาม

ฐานทัพสะบัดมือของอีกฝ่ายออก มือนั้นหลุดอย่างง่ายดาย

ชั่ววินาทีนั้นหัวใจของเขาก็ร้องไห้ ในอกกลั่นน้ำตาออกมาและไหลบ่าขึ้นสู่ขอบตาอย่างรวดเร็ว

ตาของเขาชื้นด้วยน้ำเมื่อคิดว่าสุดท้ายมันจบลงแล้ว สิบทิศสามารถปล่อยเขาไปได้โดยไม่รู้สึกอะไรเสียด้วยซ้ำ เสมือนเป็นการบอกว่าตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมามันว่างเปล่า ไม่มีค่าอะไรเลย

ความรู้สึกเหล่านั้นโจมตีให้กระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ไหลหลากอยู่ในใจยิ่งซัดขึ้นมาอย่างรุนแรงมากขึ้น และก่อนที่มันจะเป็นเช่นนั้น ก่อนที่เขาจะเผยท่าทางน่าสมเพชแบบนั้นออกมา ฐานทัพก็ก้าวขาไปข้างหน้าอีก

ทว่า...

อยู่ๆ สิบทิศก็ทรุดตัวลง นั่งคุกเข่าสองข้างอยู่ต่อหน้า

“พี่ขอโทษ”

เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแผ่วเบาอ่อนแรง มือที่เคยหลุดออกไปแล้วจับที่ข้อมือของเขาอีกครั้งด้วยน้ำหนักที่นุ่มนวล คำพูดเดิมดังออกมาจากปากของสิบทิศซ้ำ

“พี่ขอโทษนะฐาน พี่มันโง่เอง”

ฐานทัพไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขามึนงงไปหมด

ทำไมสิบทิศต้องขอโทษ โง่เองเรื่องอะไร

ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ถาม เพราะรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างที่ไร้ที่มาที่ไปมันจุกอยู่ในลำคอ จุกแน่นจนเป็นก้อนแข็งๆ

“พี่ทำร้ายฐาน ทำให้ฐานต้องเจ็บปวด พี่มันเลว ไม่รู้เลยสักนิดว่าวันนั้นฐานไม่สบาย แต่กลับคิดว่าฐานนอกใจ กล้าหยามพี่ถึงขั้นพาผู้ชายมาถึงที่นี่”

“.....”

“พี่เพิ่งมารู้เพราะเห็นซองยาที่อยู่ข้างเตียงหลังจากฐานออกไปแล้ว พออีกวันก็เจอผู้ชายคนนั้นมาที่นี่ ถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นเพื่อนฐาน บังเอิญเจอฐานที่โรงพยาบาลเลยมาส่ง ฐานตีพี่เลยนะ จะตบ ตี หรือต่อยก็ได้ทั้งนั้น พี่ขอโทษนะที่ด่าว่าฐานไปแบบนั้น”

สิบทิศดึงมือของเขาไปตบหน้าตัวเอง ตบซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยน้ำหนักที่แม้ไม่แรงแต่ก็ไม่เบา น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ ดวงตาแวววาวด้วยอะไรสักอย่างที่เขาไม่อยากคิดว่าเป็นน้ำหรือเปล่า

“ฐานอย่าทิ้งพี่ไปเลยนะ พี่รักฐานนะ อยู่กับพี่เถอะ พี่ขอร้อง พี่รักฐาน พี่รักฐานจริงๆ พี่จะไม่ทำร้ายฐานอีกแล้ว พี่จะไม่ใจร้อน ไม่วู่วาม ไม่ไร้เหตุผลอีกแล้ว ฐานยกโทษให้พี่นะ ได้โปรดยกโทษให้พี่เถอะนะ”

เสียงขอร้องอ้อนวอนมาพร้อมกับแรงที่โถมเข้ามากอดขาของเขาเอาไว้

สิบทิศรวบกอดขาทั้งสองข้างของฐานทัพเหมือนอยากให้รู้ว่าไม่ต้องการให้จากไป

ขากางเกงสัมผัสได้ถึงรอยชื้นๆ เล็กน้อยบริเวณตำแหน่งที่ตรงกับดวงตาของอีกฝ่าย

ฐานทัพตะลึง ก้มลงมองขาของตนเองที่ถูกกอดเอาไว้แน่น ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในวันหนึ่ง

แม้ที่ผ่านมาสิบทิศจะทำผิดต่อเขามามาก และขอร้องอ้อนวอนอยู่หลายครั้งเพื่อให้เขาใจอ่อน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่อีกฝ่ายทุ่มเททำถึงขนาดนี้ ถึงมันจะไม่แปลกเพราะความผิดที่ทำลงไปมากกว่ากันหลายเท่า

ไม่เพียงทำร้ายจิตใจ แต่รวมถึงทำร้ายร่างกายของเขาด้วย

ไม่ใช่เพียงแค่การกระทำ แต่รวมถึงวาจา

ทว่าเขาก็ไม่คิดว่าสิบทิศจะอยากเหนี่ยวรั้งเขาไว้จนถึงขั้นทำขนาดนี้

ใจที่เคยพยายามปั้นให้แข็งขึ้นแม้สักนิดก็ยังดีอ่อนยวบลงอย่างง่ายดายเมื่อต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้

ฐานทัพรู้สึกสงสารสิบทิศขึ้นมาทั้งที่คนที่ควรสงสารมากที่สุดคือตัวเองต่างหาก

แต่แม้จะรู้สึกเช่นนั้นฐานทัพก็ไม่ได้พยักหน้า ยอมรับคำขอโทษวิงวอนนั้นอย่างหน้ามืดตามัว เขาฝืนใจแข็งอีกครั้ง

“ทำร้ายผมจนพอใจแล้วพี่ถึงมารู้เหรอ ต้องให้ผมเจ็บปวดเจียนตายแล้วพี่ถึงจะสนใจว่าผมยับเยินขนาดไหนกับการกระทำของตัวเอง แบบนี้มันไม่เลวไปหน่อยเหรอ”

เขาพยายามข่มเสียงของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้มันสั่นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเองก็เข้มแข็งและไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ

“พี่ขอโทษ พี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษนะฐาน จะให้พี่ชดใช้ยังไงก็ได้นะ”

สิบทิศแหงนหน้าพร่ำคำขอโทษ ดวงตาแวววาวด้วยความชื้น ก่อนจะดึงมืออีกข้างของเขาไปพรมจูบซ้ำหลายๆ ครั้งทั้งหลังมือและฝ่ามือ ก่อนจะเอามือของเขาไปลูบหัว

“พี่รักฐานมากนะครับ”

ฐานทัพเกือบหายใจสะดุด แต่ก็หักห้ามตัวเองไว้ทัน

“พี่รู้บ้างหรือเปล่าว่าทำร้ายผมมามากแค่ไหนแล้ว”

“รู้ครับ พี่สำนึกผิดแล้ว จะไม่ทำอีกแล้ว”

“พี่ก็ดีแต่พูด พูดแต่ปากแล้วก็ลืม”

พอโดนเขาสวนกลับไปแบบนี้ สิบทิศก็พูดไม่ออก

ฐานทัพถอนหายใจออกมาเสียงดังคล้ายกับอยากแสดงให้รู้ว่าตนเองรู้สึกเอือมระอากับพฤติกรรมเลวร้ายของเจ้าตัวมากแค่ไหน

“พี่รู้หรือเปล่า ระหว่างที่พี่ทำร้ายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับมีใครคนหนึ่งดีกับผมมากๆ พี่ทำให้ผมเจ็บ เขากลับดูแล พี่ทำให้เสียน้ำตา เขากลับเช็ดน้ำตาให้ผม พี่ทำร้ายร่างกายผม เขากลับทายา ถ้าเทียบกันระหว่างพี่กับเขาแล้ว เขาเป็นอาหารชั้นเลิศ แต่พี่เป็นได้แต่เศษขยะ”

สิบทิศตัวสั่นสะท้าน คงเพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาถึงขนาดนี้

...หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่น

“ทั้งที่เขาดีขนาดนั้น ทั้งที่เขาดีกับผมมากที่สุด ไม่เคยฉวยโอกาสกับผมเลยแม้แต่ครั้ง แต่ผมกลับเลือกรักเขาไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหม”

สิบทิศกลืนน้ำลายเอื๊อก ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่แววตากลับมองมาเหมือนเข้าใจ

“เพราะผมรักพี่ไปแล้วไง ผมเลยรักเขาไม่ได้ แต่พี่กลับไม่เคยเชื่อใจผมเลย แล้วยังด่าผมว่าร่าน เอาผู้ชายไปทั่ว พี่คิดว่าผมควรรู้สึกแบบไหนเหรอ”

“พี่ขอโทษ”

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง สิบทิศก็ได้แต่พูดเสียงอ่อยออกมาเป็นคำเดิม ทว่าฐานทัพรู้สึกว่าคำนั้นไม่มีคุณค่ามากพอที่เขาจะรับฟังอีกแล้ว เพราะสุดท้ายมันก็เป็นได้แค่คำพูดลอยๆ

ถึงกระนั้นอย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าสิบทิศยังไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ให้เขาสามารถใช้มันเป็นข้ออ้างที่จะอยู่กับอีกฝ่ายต่อได้อีกระยะหนึ่ง

ตัวเขาช่างน่าสมเพชจริงๆ

“ผมจะอยู่กับพี่ต่อไปก็ได้ แต่ผมไม่รับประกันหรอกนะว่าทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม เพราะใจของผมมันเริ่มด้านชาไปเรื่อยๆ แล้ว ผมอาจจะไม่ตอบสนองอะไรพี่อีกต่อไปแล้วก็ได้”

“ไม่เป็นไร ขอแค่ฐานอยู่กับพี่ก็พอนะ พี่จะค่อยๆ ทำให้ฐานเปิดใจให้พี่อีกครั้ง รักพี่ขึ้นมาอีกครั้ง”

สิบทิศลุกพรวดขึ้นมากอดตัวเขาเอาไว้แน่น กดจูบลงบนกระหม่อมซ้ำหลายๆ ครั้ง ขณะที่ฐานทัพได้แต่ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายกระทำอย่างนั้นได้ตามใจ

รักพี่ขึ้นมาอีกครั้งเหรอ ทั้งที่ผมไม่เคยหยุดรักพี่เลยเนี่ยนะ

อย่าพูดเหมือนผมเป็นพี่ที่หมดรักกันไปแล้วได้ไหม

 



v





v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 13th Lie [4/4/63]
«ตอบ #36 เมื่อ04-04-2020 15:39:35 »








v






v






จากนั้นมาแม้ทุกอย่างจะดำเนินต่อไป แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิม

ฐานทัพพยายามไม่รู้สึกอะไรกับการมีอยู่ของสิบทิศให้มากที่สุด พูดน้อยจนแทบเรียกได้ว่าถามคำตอบคำ ไม่เคยเริ่มต้นบทสนทนาก่อน ไม่เคยทักทายเวลาแยกกันไปเรียนและทำงาน ราวกับเป็นตุ๊กตาที่เดินได้แต่ไร้ชีวิต เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ไม่มีวี่แววว่าทุกอย่างจะดีขึ้น

ฐานทัพไม่ได้ใจอ่อนง่ายๆ เหมือนครั้งนั้น

สิบทิศพยายามเอาใจใส่และชวนทำกิจกรรมสนุกๆ หลายอย่าง รวมทั้งชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดอย่างที่ไม่มีโอกาสได้ทำและเป็นผลทำให้ต้องทะเลาะกันจนฐานทัพหนีออกจากบ้าน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฐานทัพกลับมาตอบสนอง

“ทำไมฐานไม่ตอบรับพี่บ้าง ไม่เห็นใจพี่บ้างเลยเหรอ”

เวลาที่สิบทิศรู้สึกท้อแท้ก็จะมาตัดพ้อเช่นนี้ แต่ก็ถูกฐานทัพตอบกลับไปอย่างเย็นชา

“ผมไม่ได้มีความรู้สึกอะไรนี่ครับ ก็เลยตอบกลับไปไม่ถูก”

แท้จริงแล้วใช่ว่าฐานทัพจะไม่รู้สึกอะไร

เขาหวั่นไหวทุกครั้งที่สิบทิศทำดีด้วย อยากใจอ่อนและกลับไปร่าเริง แสดงความรักอย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับเมื่อก่อน อยากบอกให้สิบทิศรู้ว่าเขารักมากแค่ไหน

แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นมันก็เหมือนตัวเองเป็นเพียงของตายที่รอการถูกทิ้งไม่ใช่หรือ

ทว่าแม้จะพยายามแข็งขืนต่อใจตนเองสักเท่าไร สุดท้ายในเดือนที่สามฐานทัพก็แพ้พ่ายต่อความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี

เขาค่อยๆ กลับมายิ้มแย้มมากขึ้น แสดงความรู้สึกต่อสิบทิศมากขึ้นทีละนิดจนมันเกือบจะปกติ

ชีวิตเหมือนจะกลับมาสู่รูปแบบเดิมจนฐานทัพอดจะดีใจไม่ได้ เพราะเขาได้กลับมามีความสุขทุกวันคืนอีกครั้งอย่างที่ไม่ได้รับมานาน

“ฐานรู้ไหม พี่อดทนอดอยากมาตลอดเลยนะ”

ครั้งแรกที่สิบทิศกลับมากอดเขาอีกครั้งในรอบสามเดือน เจ้าตัวบอกไว้แบบนั้นพร้อมกับสีหน้าอ่อนโยน แสดงออกถึงความรู้สึกรักใคร่เขาเหลือเกิน

ฐานทัพไม่อยากทำลายบรรยากาศว่าแล้วทำไมไม่ออกไปหาเศษหาเลยข้างนอกเหมือนอย่างที่ผ่านมา จึงเพียงแค่กอดร่างของอีกฝ่ายที่คร่อมตนอยู่เอาไว้ ซุกซบสิบทิศแน่นก่อนจะได้รับอ้อมกอดอบอุ่นกลับมา

“ตอนนี้ก็ไม่ต้องอดทนแล้วนี่”

“แต่พี่ไม่อยากทำให้ฐานเจ็บนี่นา ไม่เอาอีกแล้ว พี่จะทะนุถนอมฐานให้ดีอย่างสุดๆ เลย ฐานจะได้รู้ว่าพี่รักฐานมากแค่ไหน”

คืนนั้นสิบทิศกอดเขาด้วยความนุ่มนวล สัมผัสแผ่วเบาราวกับเป็นขนนก ให้เขาได้อิ่มเอมและซึมซาบถึงความรักที่มีให้อย่างเต็มที่

แต่ทั้งที่ให้คำสัญญาอย่างนั้นและเหมือนชีวิตจะกลับมาราบรื่นเป็นสุขอย่างแท้จริงแล้ว มันกลับไม่จีรัง

พอผ่านไปไม่กี่เดือนสิบทิศก็เริ่มออกเที่ยวอีกครั้ง กลับดึกดื่นบ้าง ไปค้างข้างนอกบ้าง จนบางครั้งฐานทัพต้องเข้านอนตามลำพังและตื่นขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า หรือบางครั้งก็สะลึมสะลือตื่นมาเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นที่โอบกอดร่างเอาไว้ พร้อมกับมีกลิ่นสบู่ที่ไม่คุ้นเคยจากที่อื่นโชยมาให้น้ำตารินอยู่เงียบๆ

ในตอนแรกฐานทัพคิดว่าตนเองทนได้ เขาชินแล้วกับเหตุการณ์แบบนี้ที่เกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าเมื่อต้องพบเจอกับสถานการณ์เดิมๆ มีเพียงตัวเองคนเดียวในห้องที่ว่างเปล่า น้ำตาก็หลั่งออกมาทั้งที่ไม่อยาก และเพื่อให้ตัวเองลืมความรู้สึกแบบนั้น เขาจึงเริ่มออกไปดื่มเช่นเดียวกัน

ทุกครั้งที่สิบทิศไม่กลับมา ฐานทัพจะออกไปดื่มจนหัวราน้ำพร้อมกับร้องไห้เงียบๆ ไปด้วย

เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าใครจะว่าเขาน่าสมเพชเวทนา ไม่สนใจอีกแล้วว่าจะถูกใครทำร้ายหรือว่าเอาตัวไปปู้ยี้ปู้ยำที่ไหน ในเมื่อตัวเขาไม่มีค่าอะไร ไม่มีใครรัก แล้วเขาจะรักษาตัวเองไว้เพื่ออะไรอีก

เขาผ่านผู้ชายมาตั้งมากมายแล้ว ย่อมไม่มีอะไรจะเสีย

แต่ทุกครั้งก่อนมันจะสายเกินไป เขาจะได้สติและยั้งตัวเองไว้

ไม่อยากให้ใครซ้ำทับรอยเดิมที่สิบทิศเคยประทับไว้

และเมื่อถึงตอนนั้นฐานทัพมักจะคิดถึงเสียงหนึ่งขึ้นมาเสมอ

‘ถ้าจะทำอะไรที่เป็นผลเสียกับตัวเองก็ให้นึกถึงหน้าพี่ไว้แล้วกัน’

เขาแค่นหัวเราะกับตัวเองพลางนึกถึงคำพูดที่ว่า ‘ถ้าจะทำอะไรไม่ดีก็ให้นึกถึงหน้าพ่อแม่ไว้’ ขึ้นมา

มันคงคล้ายๆ กัน แต่สำหรับเขาที่พ่อแม่ไม่ต้องการ ไม่อยากให้เกิดมาด้วยซ้ำ คงมีเพียงแค่คนคนเดียวที่เขาจะนึกถึงได้

บางทีบุญทั้งชีวิตของเขาอาจจะถูกใช้ไปหมดแล้วเพื่อพบคนคนนี้

คนที่เขารักไม่ได้

ฐานทัพโทรไปหาภันวัฒน์และอีกฝ่ายจะมาหาเขาทุกครั้ง ไม่ว่าดึกดื่นแค่ไหนก็จะมาหาเขาเสมอโดยไม่เคยต่อว่า คอยดูแลเอาใจใส่เขาอย่างที่คนรักควรจะเป็นฝ่ายทำ

คงเพราะแบบนี้เขาจึงนึกถึงภันวัฒน์เสมอเวลาที่ตนเองอ่อนแอ เพราะเขาไม่ได้รับสิ่งนั้นจากสิบทิศ ความอบอุ่นอ่อนโยนของภันวัฒน์ช่วยปลอบประโลมเขาให้สามารถลุกขึ้นมาเผชิญกับเรื่องเจ็บปวดซ้ำๆ และทำเหมือนมันไม่มีอะไรต่อหน้าสิบทิศได้

เรื่องราววนเวียนซ้ำเดิมเหมือนวงจรอุบาทว์ที่หนีไม่พ้นจนล่วงเลยมาถึงวันที่เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นวันพิเศษจึงยอมเอ่ยปากชวน เพราะไม่แน่ใจว่าหากตนไม่พูดอะไรเลย สิบทิศจะปล่อยให้มันผ่านเลยไปเหมือนทุกวันหรือเปล่า

เขากลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นจึงต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

“วันนี้เราไปกินข้าวข้างนอกกันนะ หลังเลิกงานพี่มารับผมที่คอนโดฯ แล้วเราไปกินข้าวกัน”

“อ้าว ฐาน ทำไมทำแบบนี้ล่ะ”

ฐานทัพหน้าเสียไปทันทีที่ได้ยิน แต่สิบทิศกลับฉีกยิ้มกว้างแล้วกอดเขาเอาไว้ กระซิบบอกข้างหูว่า

“อย่าตัดหน้าพี่สิ พี่ว่าจะชวนฐานก่อนนะ”

คำพูดเหล่านั้นเป็นดั่งสายน้ำหลั่งรดในใจฐานทัพในฉับพลัน

เขายิ้มกว้างออกมาด้วยเช่นกัน เพราะมันผิดไปจากที่คาดไว้

สิบทิศไม่ลืม...

“งั้นเอาเป็นว่าพี่มารับผมที่คอนโดฯ หลังเลิกงานนะ เกี่ยวก้อยสัญญาด้วย”

พอเขาบอกประโยคท้าย สิบทิศก็หัวเราะเสียงดังอย่างเอ็นดู

“ไม่เอาหรอกเกี่ยวก้อยสัญญามันของเด็กๆ ต้องจูบสัญญาสิ”

หลังจากบอกเช่นนั้นสิบทิศก็ประกบปากลงมาทันที ขบดูดริมฝีปากของเขาและกวาดลิ้นไล่ต้อนจนแทบหายใจหายคอไม่ทันเพราะไม่ทันตั้งตัว

ฐานทัพยิ้มอย่างมีความสุขรอคอยเวลานั้นที่สิบทิศจะมารับพร้อมกับนึกถึงรสจูบก่อนจากกันเมื่อเช้า แต่แม้จะเลยเวลาเลิกงานของสิบทิศมาแล้วหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง เจ้าตัวก็ยังไม่กลับมาจนรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำ

เขากำโทรศัพท์แน่น จดจ้องมันอยู่นานพลางคิดว่าควรจะโทรไปหาอีกฝ่ายดีหรือไม่

เขาไม่เคยโทรถามสิบทิศเลยสักครั้งว่าจะกลับเมื่อไร จะกลับมาไหม นับตั้งแต่สิบทิศเริ่มนอกใจ

แต่ครั้งนี้...

ขณะที่นิ้วกำลังจะกดโทรออกหลังจากสูดลมหายใจและตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้อความหนึ่งก็ถูกส่งมา

ฐานทัพรีบเปิดอ่านโดยไม่อ่านข้อความในกรอบแจ้งเตือนก่อนเพียงเพราะเห็นว่าสิบทิศเป็นคนส่งมา

ทว่าเมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดแล้ว ตัวก็ชาวาบทันที เรี่ยวแรงราวกับถูกอะไรสักอย่างสูบหายไปจนหมดในเวลาเพียงพริบตาเดียว

‘ฐานกินข้าวไปก่อนเลยนะ คืนนี้พี่ติดงานต้องกลับช้า’

หัวใจของฐานทัพเหมือนถูกทลายลงในช่วงเวลานั้น

มันเจ็บ มันปวด มันรวดร้าวในอกไปหมด น้ำตาทำท่าจะล้นทะลักออกมาเหมือนเขื่อนที่มีรอยปริไปทั่วถูกคลื่นขนาดยักษ์ซัดจนมันพังพินาศในอึดใจเดียว

เขาร้องไห้โฮเสียงดังราวกับเด็กๆ ทั้งที่ตลอดครึ่งปีมานี้เขากลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ได้มาตลอด มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา แต่ว่าในเวลานี้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว มันเจ็บยิ่งกว่าเอามีดมาจ้วงแทงเสียอีก

เขารับรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าตัวเองไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยกับสิบทิศ

ไม่มีเลย...

ฐานทัพลุกขึ้นหยิบของจำเป็นแล้วออกจากห้องไป

ตอนนี้เขาอยากดื่ม ดื่มให้เมาหัวราน้ำไปเลย จะถูกใครหอบหิ้วไปที่ไหนก็ได้แล้ว เขาจะไม่รั้งตัวเองอีก จะไม่มีสติมานึกถึงคนที่ไม่เคยเห็นความสำคัญกันอีกต่อไปแล้ว

ไม่รู้ว่าแอลกอฮอล์กี่แก้วที่ฐานทัพดื่มเข้าไป เขามาถึงร้านอาหารร้านนี้ได้อย่างไรก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ยามได้ยินเสียงเพลงเล่นสดในร้านกลับทำให้เขาเหมือนคนบ้า

ตอนเพลงรักเขาก็ยิ้ม หวนนึกถึงเรื่องมีความสุขในอดีต พอเพลงอกหักเขาก็เจ็บในอกจนจุกแทบหายใจไม่ออกและน้ำตาก็ไหลรินอยู่ในใจไม่หลั่งออกมา

หรือมันอาจจะเหือดแห้งไปแล้วจริงๆ ก็ได้

เวลาผ่านไปนานเท่าไรและดึกมากแค่ไหนเขาไม่รู้ รู้สึกเพียงแค่ว่าเหมือนจะโดนใครสักคนพยุงให้ลุกขึ้นเดิน

เขาเดินตามคนคนนั้นไปด้วยขาอ่อนเปลี้ย แต่ครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็หยุดเดิน จากนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนคนสองคนพูดคุยกันก่อนจะมีเสียงถามมา

“คนนี้เพื่อนคุณหรือเปล่าครับ”

ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมองตามต้นกำเนิดเสียง มองบุคคลสองคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนไหนเป็นคนถาม คนไหนเป็นคนที่ถูกพูดถึง แต่เพราะไม่รู้จักทั้งสองคนจึงส่ายหน้า

“คนนี้...ไม่รู้จัก”

“เอ่อ... มันคงเมามากเลยจำไม่ได้น่ะ มึงจะบ้าหรือไง ทำเป็นจำเพื่อนไม่ได้ เดี๋ยวกูก็ถูกเข้าใจผิดหรอก”

“ไม่รู้จักแน่ใช่ไหมครับ”

เขาได้ยินเสียงหึ่งๆ เหมือนยุงกำลังบินวนไปวนมาอยู่รอบหัว ไม่เข้าใจนักว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไร แต่พอจับความได้แค่ประโยคท้ายจึงพยักหน้าไปอีกครั้ง

“เขาบอกไม่รู้จักครับ จะปล่อยเขาได้หรือยัง”

หลังจากได้ยินเสียงนั้นร่างของเขาก็ถูกผลักอย่างแรงจนไปปะทะกับอะไรสักอย่าง จากนั้นก็ถูกแขนของใครสักคนรับเอาไว้ก่อนจะมีเสียงกระซิบถามข้างหู คล้ายกับว่าจะเป็นเสียงของคนที่ตั้งคำถามเขาอยู่หลายครั้ง

“มีเพื่อนมาด้วยหรือเปล่าครับ”

“มาคนเดียว...ละมั้ง”

ตอบคำถามนั้นแล้วฐานทัพก็อดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะออกมา เพราะว่าเขามาคนเดียวจริงๆ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ควรที่จะมาคนเดียวเลย

วันนี้เขาสมควรจะได้ไปกินอาหารกับสิบทิศ ใช้เวลาร่วมกันให้สมกับเป็น...วันเกิด แต่เขากลับถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง ช่างน่าสมเพชจริงๆ

“งั้นไปนั่งที่โต๊ะของผมก่อนแล้วกัน รอให้สร่างกว่านี้อีกหน่อยค่อยกลับ ไม่ก็เรียกให้คนมารับนะครับ”

หลังได้ยินเสียงนั้นฐานทัพก็รู้สึกถึงแรงประคองให้เดินไป ทว่าเขาไม่มีอารมณ์จะเงยขึ้นไปมองอีกฝ่ายนัก เพราะแม้แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้ายังเห็นแบบเลือนรางไปหมด ตาก็ทั้งปรือทั้งหนัก ดังนั้นถึงเงยขึ้นไปมองคนที่ประคองอยู่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวมีหน้าตาอย่างไรอยู่ดี

“โดนมอมเหรอ”

“น่าจะดื่มจนเมาเลยโดนหิ้วละมั้ง”

พอถูกจับให้นั่งแล้วเสียงที่ได้ยินอย่างเลือนรางก็เหมือนจะมีเสียงผู้หญิงเพิ่มเข้ามา ตอนนั้นสติของเขาเริ่มดิ่งลงสู่ความมิดมืดมากขึ้นทุกที จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงแรงสะกิดพร้อมเรียก

“คุณ คุณครับ”

เขาถึงปรือตาขึ้นมาคราง “หือ” อย่างไร้เรี่ยวแรง เพราะรู้สึกง่วงจนแทบโงหัวไม่ขึ้น

“ผมว่าโทรให้คนมารับดีกว่านะครับ เพราะว่าดึกแล้ว จะได้รีบพักผ่อนด้วย”

“โทร... โทร นั่นสิครับ โทร โทรศัพท์”

เขาตอบเหมือนคนปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ก่อนจะควานมือสะเปะสะปะไปทั่วร่าง

ครั้นหยิบโทรศัพท์ออกมาได้ก็กดโทรออกไปยังเบอร์ภันวัฒน์ที่ตนเองพยายามเพ่งสายตาสุดชีวิตจนสามารถอ่านชื่อออก

“มารับหน่อย มารับผมหน่อย อื้อ... อยู่ที่...”

แต่พอต้องบอกสถานที่ที่กำลังอยู่ฐานทัพก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้ใส่ใจมาตั้งแต่แรก ขอแค่มีร้านให้นั่งดื่มได้อย่างหนำใจก็พอแล้ว

อีกฝ่ายอาจเห็นว่าคงเปล่าประโยชน์ที่จะรอให้เขาบอกชื่อร้านจึงบอกด้วยเสียงเบาๆ

ฐานทัพเอาคำตอบไปพูดใส่โทรศัพท์อีกทอดหนึ่งก่อนจะย้ำว่าเร็วๆ แล้วตัดสายไป จากนั้นก็เหมือนว่าสติจะดับวูบไปพร้อมการตัดสายด้วย เพราะทุกอย่างมิดสนิทโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวอีกเลย

ตื่นมาอีกทีฐานทัพก็อยู่ในห้องนอนของภันวัฒน์แล้ว

ไม่ต้องหวนคิดให้มากก็รู้ได้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เหตุการณ์เมื่อวานยังรางๆ อยู่ในความทรงจำ เหมือนว่าเขาจะถูกใครสักคนหิ้วไปจริงๆ แต่ก็ถูกใครคนหนึ่งช่วยเอาไว้ และทำให้สามารถติดต่อภันวัฒน์ได้

อาหารเช้าถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ในตู้เย็น มีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวบอกให้เขานำมาอุ่นกินเองได้เลย

จะว่าไปที่นี่ก็คล้ายกับเป็นหลุมหลบภัยประจำของเขาไปแล้ว ฐานทัพจึงอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ต้องกังวลหรือตะขิดตะขวงใจ

เขาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอยู่ภายในห้อง นั่งๆ นอนๆ เหมือนคนไม่มีอะไรทำเพราะไม่มีจริงๆ แม้วันนี้จะมีเรียน แต่เขายังไม่รู้สึกว่าอยากไป และไม่รู้สึกว่าอยากกลับไปที่คอนโดฯ ของสิบทิศเช่นกัน

ยังไม่อยากเจอหน้า เพราะกลัวว่าความเสียใจจะถาโถมขึ้นมาอีกครั้ง

ใจเขายังไม่พร้อมจะรับความเจ็บปวดซ้ำอีกระลอก

ความเจ็บปวดที่ว่าแม้แต่วันเกิดเขา สิบทิศก็ยังออกไปกกกับคนอื่น

ขออยู่อย่างนี้ไปสักพักแล้วกัน

“ไม่กลับเหรอ”

ระหว่างนั่งดูโทรทัศน์แต่ถ้าให้พูดตามตรงคือเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้แล้วนั่งเหม่อลอยไปเรื่อยๆ ร่างสูงกำยำก็นั่งลงข้างๆ

ฐานทัพรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงไปจึงหันไปมองก่อนจะตอบอย่างเนือยๆ

“ยังไม่อยากกลับ”

“แล้ววันนี้ได้ไปเรียนหรือเปล่า”

“เปล่า ผมไม่ค่อยอยากไปเท่าไร”

“ไม่ค่อยอยากไปหรือกลัวอยู่กันแน่”

ฐานทัพตอบกลับไปตรงๆ อย่างไม่คิดอะไร แต่เมื่อโดนสวนคำถามกลับมาอีกครั้งก็ต้องชะงัก เพราะที่จริงแล้วมันเป็นอีกเหตุผลที่เขาพยายามจะไม่คิด

ใช่แล้ว เขากลัว

กลัวว่าถ้าไปจะพบความจริงที่ว่า สิบทิศไม่ได้ไปตามหาเขา ไม่ได้ไปรอรับเขาที่มหาวิทยาลัยทั้งที่รู้ตารางเรียน

“ตอบตัวเองให้ได้ล่ะว่ากลัวเพราะอะไรกันแน่”

ราวกับจะตอกย้ำให้ตระหนักถึงความคิดและความหวาดกลัวของตนเอง

ฐานทัพขบฟัน หักห้ามความรู้สึกก่อนจะตวัดเสียงใส่อีกฝ่ายที่หวังดีต่อเขามาโดยตลอดเป็นครั้งแรก

“ผมรู้น่า พี่ไม่ต้องย้ำหรอก”

จากนั้นก็หันกลับไปทางหน้าจอโทรทัศน์อีกครั้ง

“แล้วทำไมเมื่อวานถึงได้เมาเละเทะ ทะเลาะกันเหรอ”

น้ำเสียงของภันวัฒน์เปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายปลงตกกับความดื้อด้านของเขา และไม่ได้พูดไล่ต้อนเรื่องเดิมต่อ

“นัดไว้ซะดิบดีแต่ไม่มาต่างหาก”

พอพูดถึงสาเหตุแล้วฐานทัพก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อปนผิดหวัง

“ก็เลยดื่มไม่ยั้งว่างั้น”

“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ”

คราวนี้ทั้งเสียงและสีหน้าหดหู่ไปหมด ความเสียใจทำท่าจะเอ่อท้นออกมาอีกระลอกจนรู้สึกแสบจมูก

“เมื่อไรเราจะเลิกใช้เหล้าหนีปัญหา ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าไปดื่มจนไร้สติแบบนั้นมันอันตราย พี่รู้ว่าฐานไม่กลัวถ้าจะถูกหิ้วไปทำอะไรต่อมิอะไร ฐานไม่ได้แคร์เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าไม่ได้ถูกทำแค่นั้นล่ะ ถ้าเกิดทำร้ายร่างกาย หรือว่าเป็นพวกซาดิสต์ วิตถาร ฐานจะทำยังไง”

ฐานทัพไม่ได้พูดตอบอะไร ได้แต่ก้มหน้ากับคำเตือนที่เขารู้ดีแก่ใจและคิดว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน

“ทำไมถึงไม่รู้จักรักตัวเองสักที”

“จนกว่าจะมีคนรักผมจริงๆ ละมั้ง ถ้าไม่มีคนรักผม ผมก็ไม่รู้จะรักตัวเองไปทำไม”

ในเวลานี้เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ

สิบทิศทำให้เขารู้ว่าคุณค่าในตัวเองมันต่ำเตี้ยขนาดไหน บางทีอาจจะไม่มีเลยก็ได้ด้วยซ้ำ เขาเพิ่งจะเข้าใจมันเดี๋ยวนี้เอง

“แล้วที่พี่ห่วงฐานอยู่ทุกวันนี้ หวังดีกับฐานแบบนี้ ไม่ได้ทำให้ฐานรู้สึกเลยเหรอว่าควรจะห่วงตัวเองบ้าง”

ทว่าทั้งที่คิดเช่นนั้น คำพูดของภันวัฒน์กลับทำให้เขาเจ็บแปลบเหมือนโดนเข็มแหลมทิ่มแทงหัวใจ

เขารู้มาตลอดว่าอีกฝ่ายห่วงใยแค่ไหน แต่ความคิดและหัวใจของเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสิบทิศ ไม่เคยคิดว่าจะเอาภันวัฒน์มาเป็นเหตุผลในการฉุดดึงตัวเองให้รู้สึกว่ามีคุณค่ามากขึ้นหรือมีความหมายกับใครเลย

เพราะความปรารถนาดีของภันวัฒน์ไม่ใช่ความรักของสิบทิศ

มันทดแทนกันไม่ได้

เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้

ขอบตาที่เกือบจะร้อนผ่าวเพราะความผิดหวังเสียใจก่อนหน้านี้ร้อนขึ้นมากกว่าเดิม แต่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไป เพราะครั้งนี้ดูเหมือนภันวัฒน์จะดุเขามากกว่าที่ผ่านมา

บางทีอาจจะเริ่มสุดทนกับเขาแล้วก็ได้

“ผม...ขอโทษ”

เขาอยากขอโทษที่ทำตัวไม่ดี ไม่เชื่อฟังทั้งที่อีกฝ่ายดีกับเขาเหลือเกินและมอบแต่สิ่งดีๆ ให้

ภันวัฒน์ดึงหัวของเขาเข้าไปกอดแนบอกไว้ราวกับต้องการปลอบประโลมเด็กน้อยที่ไร้ซึ่งความคิดและหนทางเยียวยา

“ถ้าฐานรับรู้ว่าพี่หวังดี และเห็นแก่พี่ก็ดูแลตัวเองดีๆ ซะ เข้าใจหรือเปล่า”

“ครับ”

“แล้วก็ถ้ามันเลวร้ายนัก ก็ต้องยอมเจ็บ ตัดเนื้อร้ายก่อนเราจะตาย เข้าใจไหม”

“ครับ”

ฐานทัพตอบเสียงอ่อยและแนบใบหน้าเข้ากับอกหนา พลางคิดว่าต่อไปนี้จะพยายามทำตัวให้ดีขึ้น

อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนสิ่งดีๆ ที่ภันวัฒน์มอบให้เสมอมา เพื่อให้รู้ว่าเขาเองก็สำนึกในความเมตตาของอีกฝ่ายเช่นกัน











-----------------
ไทม์ไลน์เดียวกับบล็อกเก้อแล้วค่ะ




ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 13th Lie [4/4/63]
«ตอบ #37 เมื่อ05-04-2020 02:31:08 »

เฮ้อออ  เลิกไปเถอะ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 12th Lie [31/3/63]
«ตอบ #38 เมื่อ08-04-2020 00:10:27 »

สนุกมากครับ,,,

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 14th Lie [10/4/63]
«ตอบ #39 เมื่อ10-04-2020 16:44:52 »
















14th Lie

ผมทำเพื่อพี่ได้เท่านี้แหละ


 

ฐานทัพไม่ได้นับว่าอยู่ที่คอนโดฯ ของภันวัฒน์มากี่วันแล้ว เพราะอย่างน้อยที่นี่ก็ทำให้เขาสบายใจแม้จะปวดใจเมื่อเผลอนึกถึงสิบทิศขึ้นมาทุกครั้งที่สมองว่างเปล่า

มือที่กำโทรศัพท์เอาไว้สั่นเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาจ้องมองกรอบสี่เหลี่ยมสีดำซึ่งไร้สัญญาณใดๆ

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดเครื่องด้วยหัวใจที่เร่งจังหวะขึ้นมา เมื่อภาพที่คุ้นตาปรากฏ หัวใจของฐานทัพก็เต้นถี่รัวมากขึ้น

ตัวหนังสือแจ้งสายโทรเข้าที่เตือนขึ้นมาเป็นดั่งน้ำเย็นสดชื่นชโลมหัวใจ

ทุกๆ เช้าฐานทัพจะเปิดโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไว้ทั้งวันขึ้นมาดู และปิดมันไปอีกครั้ง

แม้เห็นชื่อผู้โทรเข้ามาว่า ‘สิบทิศ’ เขาก็ยังไม่คิดจะโทรกลับ

เขายังต้องการเวลามากกว่านี้ ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า เพราะไม่รู้ว่าเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายแล้ว ความปวดร้าวเสียใจจะรุมเร้าเข้าใส่เขารุนแรงแค่ไหน เขาจะยังทนยืนด้วยขาทั้งสองข้างของตัวเองไหวหรือเปล่า

ถ้าได้รู้คำตอบที่แท้จริงจากปากของสิบทิศ เขาจะหัวใจสลายแค่ไหน

หรือแม้จะเป็นคำโกหก เขาจะทนฟังได้หรือเปล่า

ทั้งที่ก็รู้ดีแก่ใจว่าความจริงที่สิบทิศทิ้งเขาไปในวันนั้นคืออะไร แต่เขาก็กลัวที่จะได้ฟัง

...ทุกอย่างจากปากของผู้ชายคนนั้น

ทว่าวันนี้ในข้อความแจ้งเตือนกลับมีสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์นอกเหนือจากสิบทิศแล้วยังมีใครอีกคนที่เขาไม่คิดว่าจะโทรมาหา ฐานทัพจึงกดโทรกลับไป

[ฐานเหรอ]

“ครับ พี่จอม”

คนที่โทรมาก็คือเกรียงไกร

นับจากวันแรกที่ได้เจอกัน พวกเขาก็ได้เจอกันบ้างและแลกเบอร์ติดต่อกัน แต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากอย่างภันวัฒน์ การที่อีกฝ่ายโทรมาจึงเป็นเรื่องน่าสงสัย

[โทษทีนะที่พี่ต้องโทรหาฐาน พอดีว่าพี่มีเรื่องจะคุยกับฐานนิดหน่อยน่ะ]

คิ้วของฐานทัพขมวดเข้าหากัน แต่ไม่ทันตอบอะไรกลับไปเกรียงไกรก็พูดขึ้นมาก่อน

[เย็นนี้ฐานว่างหรือเปล่า]

“...ก็ว่างครับ”

ถึงจะว่างขนาดที่ว่าไม่มีอะไรทำ ฐานทัพก็ยังเผลอนึกชั่วครู่ไปตามสัญชาตญาณอยู่ดี

[งั้นสักทุ่มหนึ่งออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม]

หลังจากเกรียงไกรแจ้งชื่อร้านที่นัดหมายมา ฐานทัพพยักหน้ากับโทรศัพท์และตอบรับไปก่อนจะปิดโทรศัพท์ลงเมื่อหมดธุระ

รอจนกระทั่งถึงเวลาแล้วจึงไปยังสถานที่นัดหมาย ทว่าก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้ง เพราะคนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะไม่ได้มีเพียงเกรียงไกรคนเดียว แต่มีหญิงสาวอายุน่าจะมากกว่าเขาปีสองปีที่แน่ใจว่าไม่รู้จักนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย

ฐานทัพไปหยุดยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับเกรียงไกร มองชายหญิงทั้งคู่ด้วยสายตางุนงงเล็กน้อย

เกรียงไกรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปาก

“แฟนพี่เอง ชื่อขวัญ”

“สวัสดีครับ พี่ขวัญ”

“สวัสดีจ้า ฐาน”

ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับการบอกเล่าถึงตัวเขามาบ้างแล้วจึงยิ้มให้อย่างเป็นมิตรและใจดี จากนั้นก็เชื้อเชิญให้นั่งลงยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่

“ว่าแต่พี่นัดผมมามีอะไรเหรอครับ”

พอนั่งลงแล้วฐานทัพก็ถามอย่างไม่รอช้า

“คือว่า...”

เกรียงไกรหยุดเสียงไปครู่หนึ่งเหมือนลำบากใจนิดหน่อยแล้วค่อยพูดออกมาอีกครั้ง

“พี่มีเรื่องจะบอกฐานน่ะ แล้วก็อยากขอความช่วยเหลือด้วย”

คิ้วของฐานทัพขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เพราะค่อนข้างแปลกใจว่าตนเองมีอะไรที่จะช่วยเกรียงไกรได้

เท่าที่เขารู้มา อีกฝ่ายเป็นคนมีฐานะ ทำธุรกิจของตัวเอง เรียกได้ว่ามีกินมีใช้ ชีวิตสุขสบายดี แถมมีแฟนหน้าตาสะสวยดูนิสัยดีตัวเป็นๆ ให้เห็นอยู่ทนโท่แบบนี้ด้วย ไม่เห็นมีอะไรน่าเดือดร้อนให้เขาช่วยเลยสักนิด

“ประมาณสองอาทิตย์ก่อน ฐานเมาแล้วให้ไอ้ภันพากลับคอนโดฯ ใช่ไหม”

ฐานทัพตอบว่าใช่พลางทำสีหน้าไม่เข้าใจ ยิ่งงุนงงกว่าเดิมด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับภันวัฒน์ด้วย

“ฐานจำได้ไหมว่าก่อนที่ไอ้ภันจะไปรับฐาน มีคนอยู่กับฐานด้วย”

เมื่อถูกถามอย่างนั้น ฐานทัพก็ย้อนคิดเล็กน้อย

เขาจำได้รางๆ ว่าวันนั้นเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยและมีคนมาช่วยเขาเอาไว้ ทำให้ไม่ถูกหิ้วไปไหนต่อไหนหรือถูกทำอะไรต่อมิอะไรที่เขาก็ไม่รู้ขอบเขตมันเหมือนกัน

พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็พานทำให้ฐานทัพไพล่นึกไปถึงเรื่องที่ภันวัฒน์สั่งสอนและอดละอายใจไม่ได้

“ก็พอจำได้อยู่ครับ”

“คือว่าคนคนนั้นชื่อฟรี เป็นเพื่อนของพี่เอง”

คำตอบที่ได้รับทำให้ฐานทัพหันไปมองหนึ่งฤทัยซึ่งนั่งอยู่เยื้องกัน

เธอพยักหน้าให้ยิ้มๆ เหมือนเป็นการยืนยัน ฐานทัพจึงอดคิดไม่ได้ว่าโลกกลมจริงๆ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องหันหน้าขวับจนคอแทบหักเพราะประโยคต่อไปที่เกรียงไกรพูดขึ้นมา

“เป็นคนที่ไอ้ภันตามจีบอยู่”

“พี่ว่าอะไรนะ?!”

แม้กระทั่งฐานทัพยังรู้สึกว่าตัวเองร้องเสียงหลงออกไป มิหนำซ้ำยังรู้สึกได้ด้วยว่าตาที่โตเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึงจริงๆ

“อย่างที่ฐานได้ยินนั่นแหละ เขาชื่อฟรี เป็นคนที่ไอ้ภันตามจีบมาหลายเดือนแล้วแต่ยังไม่ติดสักที แล้วทีนี้พอเขาเห็นว่าฐานกับไอ้ภันเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน เลยดูเหมือนว่าฟรีจะเข้าใจผิดและพยายามตัดขาดจากไอ้ภัน”

“จริงเหรอ?”

ทั้งที่เรื่องที่เกรียงไกรเล่าไม่น่าใช่การโกหก ทั้งที่รู้ดีแก่ใจอย่างแน่นอน แต่ฐานทัพก็หลุดปากออกไปอยู่ดี

“คือเพื่อนพี่คนนี้เคยมีปมในใจมาก่อนก็เลยปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมมีความรักอีก แต่คุณภันก็ทำให้มันเริ่มหวั่นไหวได้แล้ว พี่เลยคิดว่ามันคงมีใจให้คุณภันเหมือนกัน เพียงแต่ฝืนตัวเองเอาไว้ พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นสภาพของมันก็ดูไม่ดีเอาซะเลย พี่รู้ว่ามันเจ็บปวดเสียใจ แต่มันก็ยังทำใจแข็งปากแข็ง พอพี่มาปรึกษาพี่จอมแล้วรู้ว่าพี่จอมก็รู้จักฐานด้วยเลยขอพี่จอมว่าอยากมาคุยกับฐานเรื่องนี้”

หนึ่งฤทัยค่อยๆ แจกแจงให้เข้าใจเรื่องราว ถึงกระนั้นฐานทัพก็ตะลึงไม่หาย เพราะเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าตอนนี้ภันวัฒน์มีคนที่สนใจอยู่

เขาเอาแต่พึ่งพา เอาแต่ใจกับภันวัฒน์ และอีกฝ่ายก็คอยช่วยเหลือกับหวังดีต่อเขามาโดยตลอด แต่เขากลับทำให้ต้องผิดใจกับคนที่ชอบ

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

ฐานทัพพูดออกมาอย่างรู้สึกผิดจากใจจริง

“แล้วแบบนี้ผมจะทำยังไงดี พวกเขายังไม่คืนดีกันเลยใช่ไหม”

“อืม ไอ้ภันก็พยายามจะอธิบายให้ฟังแล้วล่ะ แต่ฟรีไม่ฟังเลย”

เกรียงไกรตอบกลับโดยไม่ได้ใส่อารมณ์ไม่พอใจแต่อย่างใด ออกจะเหมือนเห็นใจเพื่อนสนิทมากกว่า

“เป็นเพราะผมเองที่ทำให้พวกเขาต้องผิดใจกัน ให้ผมไปพูดกับเขาไหม เผื่อว่าเขาจะเข้าใจว่าพี่ภันกับผมไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างที่เขาคิด พวกเราเป็นเหมือนพี่น้องกันเท่านั้น จริงๆ จะเรียกว่าผมเป็นภาระก็ได้ด้วยซ้ำ”

ความรู้สึกว้าวุ่นก่อร่างในใจของฐานทัพเสมือนเป็นพายุลูกหนึ่ง มันทำให้เขาปั่นป่วนไปหมดจนรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย

“พี่ก็เคยเสนอไอ้ภันแล้วนะ แต่มันไม่ยอม มันบอกว่าอยากแก้ความเข้าใจผิดด้วยตัวเอง ถ้ามันทำให้ฟรีเชื่อในตัวมันไม่ได้แล้วมีเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้อีก ก็จะเกิดเรื่องขึ้นอีก ฐานก็รู้นี่นะว่าไอ้ภันเป็นพวกเทคแคร์คนดี อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดเชิงๆ นี้เกิดขึ้นได้อีกจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่า...”

“ถ้าผมออกปากช่วยพูดอีกแรง อย่างน้อยก็อาจจะทำให้เขายอมฟังพี่ภันบ้างใช่ไหม”

“อืม เพราะฉะนั้นถึงไอ้ภันจะไม่ยอม แต่พี่ก็อยากให้ฐานช่วยหน่อย”

“พี่จอมไม่ต้องลำบากใจขนาดนั้นก็ได้ ถ้าช่วยพี่ภันได้ละก็ไม่ว่าอะไรผมก็ยินดีอยู่แล้ว พี่ก็รู้ว่าพี่ภันดีกับผมมากแค่ไหน เรียกว่าเป็นผู้มีพระคุณเป็นสิบๆ ครั้งเลยยังได้ด้วยซ้ำ”

“ขอบใจฐานมากนะ”

จากที่เคยทำหน้าเหมือนคนมีทุกข์ลำบากใจ รอยยิ้มของเกรียงไกรผลิบานสว่างไสวขึ้นตรงหน้า บ่งบอกให้รู้ว่าห่วงใยภันวัฒน์มากแค่ไหน ซึ่งฐานทัพก็เข้าใจดี

คนดีๆ แบบภันวัฒน์ ไม่ว่าใครก็อยากช่วยเหลือด้วยความเต็มใจทั้งนั้น

“แล้วจะให้ผมคุยกับคุณฟรียังไงดี”

“เรื่องนี้พี่คิดว่าอยากให้ฐานคุยกับฟรีต่อหน้าน่ะ ถ้าแสดงความจริงใจให้เห็น ฟรีน่าจะยอมรับฟัง อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าฟรีได้ฟังคำพูดของฐานจริงๆ แล้วก็จะได้ดูปฏิกิริยาของฟรีด้วย”

“แบบนั้นผมก็ว่าดีนะ ถ้าเขาไม่เชื่อผมจะได้อธิบายเพิ่มเติมได้”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่นัดเรื่องเวลากับสถานที่ให้นะ”

สีหน้าของหนึ่งฤทัยดูเบาใจลงเช่นกัน

เธอก็คงเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความรักอย่างบริสุทธิ์ใจให้กับเพื่อน ทำให้ฐานทัพอดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้

 

 

ก่อนเวลานัดหมายประมาณห้านาทีฐานทัพก็มาถึงสถานที่ซึ่งหนึ่งฤทัยบอก เขาโทรเข้าไปหาเธอก่อนเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมาถึงแล้วหรือยัง กระทั่งฝ่ายนั้นรับสายและบอกว่ารออยู่ข้างในร้านเขาจึงเดินเข้าไปหาตามตำแหน่งที่ได้รับคำบอก

เมื่อไปถึงก็เห็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เธอ

เป็นคนเดียวกับที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเจอเมื่อสองอาทิตย์ก่อนจริงๆ

“งั้นกูกลับก่อนนะ พี่ไปก่อนนะ”

ไม่ทันที่จะแนะนำหรืออธิบายใดๆ หนึ่งฤทัยก็รีบจากไปก่อน ราวกับจะบอกว่าอยากให้คุยกันเอง ส่วนเธอเป็นคนนอกไม่สมควรจะพูดอะไรทั้งนั้น ฐานทัพจึงเอ่ยแนะนำตัวเองก่อน เพราะเห็นว่าอาทิตย์อัสดงเหมือนจะตะลึงอยู่หน่อยๆ ที่เห็นหน้าเขา

แสดงว่าหนึ่งฤทัยคงยังไม่ได้อธิบายอะไรเลยสักอย่าง

“ผมชื่อฐานทัพครับ ขอโทษด้วยนะครับที่อยู่ๆ ก็มาพบคุณแบบนี้”

“ครับ”

“เรื่องเมื่อคราวก่อน ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมไว้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน”

“คือ... ไม่”

อาทิตย์อัสดงชะงักไปคล้ายกับลังเลในคำตอบ แต่ฐานทัพก็เข้าใจ

จะให้ปฏิเสธมันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว

คนคนนี้จริงๆ แล้วคงเป็นคนที่ซื่อตรงต่อความรู้สึก

เมื่อรับรู้ได้เช่นนั้นฐานทัพก็ผุดยิ้มขึ้นในใจ เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าคนที่ภันวัฒน์มีใจให้น่าจะไม่ใช่คนที่หวังมาฉกฉวยอะไร หรือเห็นแก่ความใจดีช่างเอาใจใส่เท่านั้น

“ผมกับพี่ภัน”

ฐานทัพหยุดคำพูดไว้เท่านั้นพลางลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย พอเห็นว่าอาทิตย์อัสดงเผลอกลืนน้ำลายลงคอ จ้องมองเขาไม่วางตาก็ยิ่งแน่ใจในความคิดเมื่อครู่ของตนเอง และเชื่อด้วยว่าอีกฝ่ายมีความรู้สึกให้กับภันวัฒน์

มันทำให้เขาอยากช่วยเหลือให้สองคนนี้ได้สมหวังจากใจจริง

“คุณกำลังเข้าใจเรื่องของเราผิดน่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมเพิ่งรู้มาว่าคุณกับพี่ภันทะเลาะกันเพราะผม”

“คือว่า มันไม่ใช่แบบนั้น”

ดูเหมือนอาทิตย์อัสดงพยายามหาข้อแก้ต่าง แต่ฐานทัพก็พูดขึ้นต่อ

“ผมรู้ว่ามันออกจะเชื่อยาก เพราะผมกับพี่ภันก็สนิทกันจริงๆ พี่ภันเป็นคนดีมาก เขาคอยช่วยเหลือผมตลอด แล้วก็หวังดีกับผมเสมอ แต่ว่านั่นไม่ใช่ความรักหรอกครับ ผมกับพี่ภันไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเชิงนั้น”

“เรื่องนั้น...ผมรู้แล้วครับ เขาเล่าให้ผมฟังแล้ว”

“แล้วคุณไม่เชื่อเหรอครับ”

“ผม...”

อาทิตย์อัสดงมีท่าทีอึกอักเหมือนลำบากใจที่จะพูดออกมา

ด้วยเพราะเห็นใจ ฐานทัพจึงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดเข้าไปในอัลบั้มภาพแล้วกวาดตามองหาภาพที่จะเฉลยเรื่องราวแล้วยื่นมันให้

“นั่นสินะครับ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาลอยๆ แล้วจะเชื่อได้”

อาทิตย์อัสดงรับไว้ด้วยสีหน้าฉงนสงสัย แต่เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่บนจอแล้วก็เหมือนว่าจะเข้าใจ

ภาพเขากับสิบทิศนั่งเคียงกันด้วยใบหน้าที่แนบชิด

ไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะถ่ายรูปร่วมกัน ฐานทัพจึงหาภาพที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนที่สุดมาให้ดู แม้อย่างนั้นก็ยังพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงขมขื่น

“แต่อะไรๆ มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไรหรอกครับ ผมเลยกลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาของพี่ภันอยู่ทุกวันนี้ เพราะความเอาใจใส่ของเขา”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ฐานทัพก็อดรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจไม่ได้จริงๆ

ขอเพียงเป็นเรื่องสิบทิศ ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักแค่ไหนหรือเพียงแค่นึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้น เขาก็รู้สึกร้าวรานไปทั้งหัวใจแล้ว

ถึงกระนั้นฐานทัพก็สูดหายใจลึก ตั้งสติขึ้นมาใหม่เพราะรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาตรอมตรมเพราะเรื่องของตัวเอง

“คุณคิดอยู่หรือเปล่าครับ ว่าพี่ภันเป็นคนขอให้ผมมา”

เขาจ้องตรงไปเพื่อแสดงถึงความจริงใจ อยากให้เข้าใจโดยไม่ต้องใช้คำพูดว่าคำตอบของคำถามนั้น สำหรับฐานทัพแล้วคือคำว่า ‘ไม่’

ทว่าอาทิตย์อัสดงก็ดูพิพักพิพ่วนมองเขาสลับกับหลบตาซึ่งตีความหมายได้ทั้งใช่และไม่ใช่

“แต่ผมเชื่อนะว่าอย่างน้อยคุณต้องคิดอยู่บ้างล่ะว่าไม่ใช่”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ฐานทัพรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะคิดเช่นนั้น อาจจะเป็นความคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ มองในแง่ดีว่าผู้ชายคนนี้จะรู้จักและเข้าใจภันวัฒน์สักหน่อย

และเมื่อดูจากสายตาที่สบกันแล้ว ฐานทัพก็แน่ใจจนยิ้มบางๆ ออกมา

“พี่ภันไม่รู้เรื่องจริงๆ นั่นแหละครับ ผมรู้เรื่องมาจากพี่จอม คุณน่าจะรู้จักพี่จอมใช่ไหมครับ เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ภันแล้วก็เป็นแฟนของพี่ขวัญด้วย ผมก็เลยขอให้พี่ขวัญนัดคุณให้มาเจอกับผม เพราะผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไรที่ทำให้คุณต้องผิดใจกับพี่ภัน”

ฐานทัพหลบสายตาเป็นครั้งแรกด้วยความละอายใจที่ตนก่อเรื่องไว้มากมายทำให้ภันวัฒน์ต้องลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิหนำซ้ำเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ยังร้ายแรงที่สุด

เขาไม่เคยตระหนักถึงมันมาก่อนจนกระทั่งเกิดเรื่อง

เอาแต่ตัวเองสะดวกเพียงฝ่ายเดียว

“ถ้าให้พูดตรงๆ ผมเป็นหนี้บุญคุณพี่ภันอยู่เยอะ เวลาผมมีปัญหาอะไร เขาก็จะคอยช่วยเหลือเสมอ เพราะฉะนั้นการที่คุณกับพี่ภันต้องหมางใจกันเพราะผมเลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมถึงอยากมาหาคุณให้ได้ อยากพูดให้คุณเข้าใจว่าพี่ภันไม่ได้เป็นพวกหลายใจหรือหลอกลวง”

ดูเหมือนว่าอาทิตย์อัสดงจะฟังคำพูดของตนเองอยู่บ้าง ฐานทัพจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

“ตอนนี้พี่ภันไม่ได้มีใครนอกจากคุณจริงๆ ถึงผมจะไม่รู้เรื่องของคุณเลยก็เถอะ แต่ผมกล้าที่จะยืนยัน ช่วยเชื่อใจพี่ภันหน่อยได้ไหมครับ ช่วยเปิดใจรับฟังพี่ภันอีกสักครั้งได้ไหมครับ ช่วยพิจารณาดูให้ดีถึงความรู้สึกที่เขามีต่อคุณ ตรึกตรองให้แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่คุณจะเชื่อไม่ได้เลยเหรอ”

“ผม...”

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ทว่าในดวงตาที่มองมานั้นมีความรู้สึกหลากหลายและสับสนหมุนวนอยู่อย่างเด่นชัด ดังนั้นฐานทัพจึงไม่ผลีผลามเรียกร้องเอาคำตอบ

เขาอยากให้อาทิตย์อัสดงได้มีเวลาคิดทบทวน ตรึกตรองให้ดีอย่างที่เขาพูด

“คุณ...รู้ชื่อเล่นของเขาไหมครับ”

หลังเงียบไปสักพัก อยู่ๆ อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยคำถามที่ทำให้งุนงงออกมา

ฐานทัพเอียงคอถาม

“ชื่อเล่น? ก็ชื่อภันไม่ใช่เหรอครับ”

“เขาบอกคุณอย่างนั้นเหรอครับ”

“พี่ภันแนะนำตัวว่าแบบนั้นนี่ครับ พี่จอมก็เรียกแบบนั้น หรือว่าเขามีชื่ออื่นด้วยเหรอครับ”

ฐานทัพอดประหลาดใจไม่ได้ เพราะเขาก็รู้จักภันวัฒน์มาหลายปี หรือถ้าจะให้นับช่วงเวลาที่คบค้าสมาคมกันจริงๆ ก็ประมาณสองปีแล้ว แต่เขากลับไม่เคยรู้ว่าภันวัฒน์มีชื่ออื่นด้วย

“อ้อ เปล่าหรอกครับ”

“ถ้าคุณกลัวว่าพี่ภันจะเป็นพวกที่ชอบจับปลาหลายมือ สับรางเก่งแล้วเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ ละก็ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ”

สิ่งเดียวที่คิดได้คือเรื่องนี้ ฐานทัพจึงรีบออกตัวในทันทีเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายระแวงสงสัยหรือไขว้เขวจนทุกอย่างพังลง

อย่างน้อยเวลานี้ก็ดูเหมือนว่าอาทิตย์อัสดงจะยอมกลับไปคิดเรื่องภันวัฒน์แล้ว

อย่างน้อยถึงเขาจะไม่ได้อยู่กับภันวัฒน์ตลอดเวลา แต่เขาก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่ใช่คนเช่นนั้น

“ยังไงก็ช่วยให้โอกาสพี่ภันด้วยนะครับ ถือว่าเป็นคำขอร้องจากผมก็ได้”

ฐานทัพตอกย้ำ สีหน้าไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้แสดงความอ้อนวอน แต่แววตาแสดงความแน่วแน่ว่าคำพูดของตนเองเชื่อถือได้และพูดทุกอย่างด้วยความสัตย์จริง

“ผมจะลองคิดดูอีกครั้งครับ”

 

 

หลังจากไปพบอาทิตย์อัสดงและกลับมาที่คอนโดฯ ของภันวัฒน์แล้ว ฐานทัพก็เก็บตัวอยู่ในห้องนอนแขกซึ่งกลายเป็นห้องนอนประจำชั่วคราวของตนเองไปแล้ว พลางคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ทว่าไม่ใช่เรื่องของสิบทิศอย่างทุกที

เวลานี้สิ่งที่อยู่ในหัวของเขามีแต่เรื่องภันวัฒน์...

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ภันวัฒน์ทำเพื่อเขา

ไม่ว่ากี่ครั้งเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ชายคนนี้เสมอ

มันทำให้เขาทั้งซาบซึ้งทั้งละอายใจ

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนเป็นคนทำให้ภันวัฒน์กับอาทิตย์อัสดงผิดใจกันจนอาจทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถลงเอยกันได้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกปวดใจ

เหมือนกับว่าเขาเป็นคนเนรคุณ

ได้รับอะไรมาตั้งมากมายแต่กลับทำลายชีวิตของคนอื่น

“รู้แบบนี้แล้วยังจะสร้างภาระให้พี่ภันต่อไปอีกเหรอ”

เป็นครั้งแรกที่ฐานทัพตระหนักว่าตนเองเป็น ‘ภาระ’ สำหรับภันวัฒน์แค่ไหน เป็นภาระหนักอึ้งจนเขาอับอายที่ไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนเลยว่าควรเลิกทำตัวแบบนี้จนกระทั่งวันนี้

เขาเห็นแก่ตัวจริงๆ

“ถ้ายังทำตัวแบบนี้ต่อไปยังจะมีหน้าเจอพี่ภันอีกเหรอ”

ฐานทัพได้แต่ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าเขายังปล่อยให้เรื่องของตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้ววันไหนภันวัฒน์จะได้มีคนรักเป็นของตัวเองและพบกับความสุขจริงๆ โดยไม่มีใครมาขัดขวาง

คิดเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจว่าตนจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่ได้

เขาจะต้องไม่เป็นตัวถ่วงของภันวัฒน์อีกต่อไป

เลิกทำตัวไร้ยางอายสักแต่ขอความช่วยเหลือได้แล้ว

ยืนหยัดด้วยตัวเองและปล่อยภันวัฒน์ให้เป็นอิสระเสียที

หลังจากตัดสินใจเช่นนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาราวกับรู้จังหวะ ฐานทัพเดินออกไปพบหน้าภันวัฒน์ที่ยืนอยู่ อีกฝ่ายยิ้มให้เขา

“ไปกินข้าวกันเถอะ พี่เตรียมไว้เสร็จแล้ว”

สีหน้าของภันวัฒน์ไม่ได้มีความกังวลใจปรากฏอยู่ ดูเหมือนปกติทุกอย่างจนฐานทัพต้องลอบสังเกต แต่ก็ไม่เห็นความแตกต่างจากทุกที

ปกปิดได้มิดชิดขนาดนี้ ก็แน่ล่ะที่เขาจะไม่รู้

ทว่าเมื่อเริ่มรับประทานอาหารแล้วฐานทัพก็อดไม่ได้ที่จะลองพูดเกริ่นๆ ดู เพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

“ช่วงนี้พี่ภันไม่มีแฟนบ้างเหรอ”

คำพูดที่อยู่ๆ ก็โพล่งออกมาทำให้ภันวัฒน์เงยขึ้นมองหน้าฐานทัพด้วยแววตาตกใจอยู่ชั่วขณะ แต่ก็นับได้ว่าแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมจนฐานทัพแน่ใจว่าหากตนไม่ได้เฝ้าจับตาอยู่อาจจะไม่รู้สึกก็เป็นได้

ภันวัฒน์ยิ้มบางๆ แล้วตอบ

“ยังไม่มีหรอก”

“แล้วพี่ไม่อยากมีแฟนบ้างเหรอ”

“ตอนนี้พี่อยากเป็นแฟนกับคนที่พี่ชอบเท่านั้นแหละ ไม่อยากคบไปก่อนเพียงเพราะถูกใจอีกแล้ว”

“พูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีคนที่ทำให้พี่รู้สึกแบบนั้นแล้วใช่ไหม”

ฐานทัพยังไม่ยอมแพ้ และดูเหมือนภันวัฒน์จะไม่คิดปิดบังอีก

“อืม”

“เจอคนที่อยากคบด้วยจริงๆ แล้วสินะ”

“อืม”

ภันวัฒน์ตอบเพียงแค่คำเดียวโดยไม่ได้อธิบายต่อ ถึงกระนั้นฐานทัพก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี

ถ้าไม่ได้กำลังอยู่ในสถานการณ์ร่อแร่ว่าจะไม่รอด ภันวัฒน์คงพูดถึงอาทิตย์อัสดงมากกว่านี้แน่ๆ

“พี่รักเขาแล้วใช่ไหม”

ภันวัฒน์ทำหน้าตะลึงเล็กน้อยกับคำถามนี้ คงเพราะไม่คิดว่าเขาจะถามอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็ยิ้มอ่อนๆ คล้ายอ่อนโยนแต่ก็เหมือนอ่อนใจและตอบมาคำเดียวอีกครั้ง

“ครับ”

ฐานทัพคลี่ยิ้มออกมาจางๆ เพราะคำตอบนี้ยิ่งตอกย้ำให้เขาแน่ใจถึงการตัดสินใจของตัวเอง

เลิกดันทุรังแล้วปล่อยให้ภันวัฒน์มีความสุขเถอะ

นี่คือคำตอบของเขา

“งั้นผมก็ขออวยพรให้พี่มีความสุขนะ พี่จะต้องสมหวังแน่ๆ ก็พี่ภันของผมเป็นคนดี ใจดี แล้วก็ช่างเอาใจใส่ขนาดนี้นี่นา”

ภันวัฒน์หัวเราะเบาๆ พึมพำว่า

“ขอบคุณครับ”

ฐานทัพลอบสูดหายใจลึก ย้ำอย่างแน่วแน่ว่า ‘ถ้าทำให้พี่ภันมีความสุขได้ เขาก็จะมีความสุขไปด้วย และเป็นความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การฝืนทนหลอกตัวเองไปวันๆ’ แล้วยิ้มกับตัวเอง

 

 



v





v

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 14th Lie [10/4/63]
« ตอบ #39 เมื่อ: 10-04-2020 16:44:52 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 14th Lie [10/4/63]
«ตอบ #40 เมื่อ10-04-2020 16:45:48 »











v




v



ในเมื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรแล้ว คืนนั้นฐานทัพก็เริ่มเรียบเรียงข้อมูลว่าตนจะต้องทำอะไรบ้าง ดังนั้นเมื่อรุ่งเช้ามาถึงเขาจึงไปมหาวิทยาลัยและทำเรื่องโอนหน่วยกิตไปยังสถานศึกษาอื่นที่คิดเอาไว้ แน่นอนว่าเป็นจังหวัดอื่น

เขาเลือกจังหวัดที่เคยอยู่มาก่อน เพราะอย่างน้อยก็มีความคุ้นเคยในพื้นที่และไม่ยุ่งยากนักหากจะย้ายไป จากนั้นก็ไปโรงพยาบาลเพื่อทำตามแผนการที่วางเอาไว้ รออยู่ชั่วโมงกว่าก็ได้รับสิ่งที่ต้องการ

ฐานทัพไปหาอดิศักดิ์เพราะต้องการขอความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายยังเข้าเวรอยู่จึงต้องนั่งรอหน้าห้องตรวจพักใหญ่ๆ จนกระทั่งถึงเวลาออกเวรแล้วอดิศักดิ์ก็เดินออกมา

“มีอะไรหรือเปล่า อยู่ๆ ก็มาหากู”

“เข้าไปคุยในห้องได้ไหม”

เพราะเป็นเรื่องที่คุยในที่สาธารณะลำบาก ฐานทัพจึงพยักพเยิดหน้าไปทางห้องตรวจที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่

อดิศักดิ์มุ่นคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้า “อืม” แล้วเดินนำเข้าไป

ฐานทัพเดินตามแล้วปิดประตูลงทันที นั่นคงทำให้อดิศักดิ์ยิ่งข้องใจหนักขึ้นว่ามีเรื่องสำคัญอะไรกันแน่ หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจึงไม่คลายลง มิหนำซ้ำยังย่นเข้าหากันมากขึ้นด้วยซ้ำ

คำตอบที่อีกฝ่ายได้รับคือกระดาษสีขาวที่ฐานทัพยื่นไปให้

“อะไร”

ถึงจะถามเช่นนั้นแต่อดิศักดิ์ก็รับไป หัวคิ้วไม่คลายลงเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อดูแล้วก็พึมพำออกมา

“ผลตรวจเลือด...เชื้อเอชไอวี เป็นลบ แล้วมันยังไง”

แน่นอนอยู่แล้วว่าผลเป็นลบย่อมเป็นเรื่องดี

ฐานทัพเข้าใจถึงเหตุผลที่อดิศักดิ์ไม่เข้าใจการกระทำของเขาเป็นอย่างดี

“ช่วยทำให้เป็นบวก...”

“เฮ้ย!”

ยังไม่ทันที่ฐานทัพจะพูดคำว่า ‘หน่อย’ ปิดท้าย อดิศักดิ์ก็อุทานออกมาเสียงดังแล้ว

เจ้าตัวหันหน้าไปมองข้างๆ อย่างเลิ่กลั่กราวกับกลัวว่าจะมีใครมาเห็นมาได้ยินเข้า แต่ฐานทัพก็ยังยืนยันคำเดิม

“ช่วยเปลี่ยนผลให้หน่อย”

“มึงนั่งลงก่อน”

อดิศักดิ์รีบดึงเก้าอี้สำหรับให้ผู้ป่วยนั่งมาใกล้ตัวมากขึ้นพร้อมบอก ฐานทัพจึงนั่งลงอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ เพราะดูท่าแล้วอาจจะต้องคุยกันยาว

“ทำไมมึงต้องอยากให้ผลเป็นบวกด้วย”

“กูต้องการใช้ผลบวก มึงเป็นหมอนี่น่าจะช่วยกูได้”

“แต่นี่เป็นแบบฟอร์มของห้องแล็บ กูออกให้ไม่ได้หรอก”

ถึงจะดูเหมือนอีกฝ่ายบ่ายเบี่ยง แต่คำพูดก็สมเหตุสมผล ทว่าฐานทัพยังมีวิธีการอยู่

“เรื่องแบบฟอร์มไม่ใช่ปัญหา มีคอมพิวเตอร์ก็ทำเลียนแบบได้ แต่ว่าทำออกมาแล้วต้องมีคนเซ็นต้องมีตราปั๊มของโรงพยาบาล เรื่องนี้มีแค่มึงที่ช่วยได้”

“ไอ้ห่า หาเรื่องมาให้กูสิไม่ว่า ปลอมแปลงผลการตรวจมันผิดจรรยาบรรณนะเว้ย ผิดกฎหมายด้วย”

อดิศักดิ์พูดด้วยท่าทางอารมณ์เสียเล็กน้อย เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ฐานทัพก็ยังคงร้องขอ

“ช่วยกูหน่อยเถอะนะ กูไม่ได้เอาไปใช้ในทางไม่ดีหรอก กูแค่...”

เขาก้มหน้าลง หยุดเสียงพูดไป รู้สึกถึงรสขมปร่าบางอย่างแทรกซึมออกมาตามผนังลำคอที่ค่อยๆ ตีบตันมากขึ้น ในขณะที่อดิศักดิ์ก็ไม่ได้ซักไซ้ให้รีบตอบ

“กูอยากใช้เรื่องนี้ไปขอเลิกกับแฟน”

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยวะ”

ฐานทัพเงยหน้าขึ้น พูดอย่างช้าๆ ดวงตาที่ฉ่ำน้ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งแวววาวด้วยความชื้นกว่าปกติ

“กูว่าจะปล่อยเขาไปสักที ถ้าไม่มีกูอยู่เขาอาจจะใช้ชีวิตได้อิสระกว่านี้ แถมกูยังทำตัวเป็นภาระของคนอื่นทำให้เขาต้องผิดใจกับคนที่ตามจีบ แล้วที่สำคัญ...”

เสียงขาดหายลงไปพักสั้นๆ ก่อนฐานทัพจะกลืนน้ำลายลงไปและพูดต่อ

“ถ้าไม่ทำแบบนี้กูจะตัดขาดจากเขาจริงๆ ไม่ได้”

“.....”

“ได้ประโยชน์กันทุกฝ่ายเลย มึงว่าไหม ฮ่าๆ”

เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นในตอนท้ายเหือดแห้งลงไปกลายเป็นเสียงแค่นหัวเราะที่แม้แต่ฐานทัพเองยังรู้สึกว่ามันน่าสมเพชสิ้นดี ดังนั้นสีหน้าของเพื่อนที่คบมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นจึงมีแววเวทนาเจืออยู่

“กูขอร้องนะ แค่เอาไปให้เขาดูเฉยๆ เพื่อจะได้ไม่มีเหตุผลให้ต้องเหนี่ยวรั้งกูไว้ทั้งที่ไม่ได้รักกันอีก”

“เขาอาจจะเกลียดมึงไปเลยก็ได้”

“ไม่เป็นไร เกลียดกูไปก็ดี เผื่อเป็นเหตุผลให้กูตัดใจจากเขาได้เร็วขึ้น”

น้ำเสียงเศร้าๆ ฟังแปร่งหูดังออกมาราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเองด้วยซ้ำ รอยยิ้มคลี่ออกมาจากมุมปากโดยไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ยิ้ม

มันคงดูน่าขบขันจนน่าสังเวช

“ฐาน”

อดิศักดิ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้ ตอนนั้นเขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตาหยดลงมาแล้ว และน้ำเสียงที่พูดประโยคเมื่อครู่ก็แหบพร่าสั่นเครือแค่ไหน

เขารับมาแล้วเอ่ยคำพูดเดิมซ้ำอีกครั้งโดยไม่ได้ใช้มันซับน้ำตาแต่อย่างใด

“กูขอร้องล่ะ กูไม่เอาไปใช้ทำอะไรนอกเหนือจากนี้หรอก จะไม่ทำให้มึงเดือดร้อนแน่ๆ ช่วยกูหน่อยเถอะนะ”

เสียงสูดลมหายใจของอดิศักดิ์ดังออกมาอย่างชัดเจน ทำให้รับรู้ถึงความหนักใจ ถึงกระนั้นก็ยังตอบออกมาหลังจากถอนหายใจหนักๆ หนึ่งทีไปแล้ว

“ก็ได้ กูเห็นแก่มึงนะ”

“ขอบใจมาก เดี๋ยวกูไปทำแบบฟอร์มแล้วเอามาให้มึงเซ็นนะ”

“ไม่ต้องหรอก ทำที่นี่ให้เสร็จไปเลย ไม่นานหรอก”

ว่าเช่นนั้นแล้วอดิศักดิ์ก็เปิดคอมพิวเตอร์บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มทำแบบฟอร์มผลแล็บแล้วพิมพ์ลงกระดาษ หลังเซ็นชื่อก็ประทับตราโรงพยาบาลให้

ฐานทัพรับมาเก็บไว้แล้วกล่าวคำขอบคุณซ้ำอยู่หลายครั้ง ทว่าอีกฝ่ายตอบเพียงแค่ “เออๆ” เหมือนตอบส่งๆ เพราะความเหนื่อยระอา แล้วตามด้วย “มึงนะมึง”

คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงอ่อนใจกับเขาเหลือจะกล่าว แต่เขาไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ

 

 

หลังจากนั้นอีกหลายวัน เมื่อเรื่องโอนหน่วยกิตเรียบร้อยฐานทัพก็ไปทำเรื่องยกเลิกเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งที่จริงเขาเลิกเปิดมันขึ้นมาดูนับตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะตัดขาดกับสิบทิศอย่างจริงจังแล้ว แต่เพราะยังไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ความเคลื่อนไหวของตนเองจึงเพิ่งมาจัดการในวันนี้ พอเสร็จเรียบร้อยก็กลับไปที่คอนโดฯ ของสิบทิศ

ก่อนเข้าห้องในครั้งนี้ฐานทัพยังคงสูดหายใจเข้าลึกๆ เช่นเดิม ราวกับว่ามันกลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งแล้ว

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องว่างเปล่า เพราะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ซึ่งยังคงเป็นเวลางานของพนักงานบริษัททั่วไปอยู่ ภายในห้องนั้นต่างจากเดิมอยู่เล็กน้อยคือไม่ได้สะอาดเรียบร้อย นั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้กลับมาสามสัปดาห์แล้ว

ไม่รู้เหมือนกันว่าสิบทิศรู้สึกอย่างไรตลอดช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่

คิดเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็ส่ายศีรษะแรงๆ เหมือนจะขับไล่ความคิดเหลวไหลออกไป จากนั้นเดินเข้าไปในห้องนอน หยิบกระเป๋าเดินทางเก็บเสื้อผ้าที่เป็นของตนเองจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่สิบทิศซื้อให้ลงกระเป๋า เมื่อเก็บเสร็จก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง มองรอบห้องนอนอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่ครู่หนึ่ง เพราะอย่างไรเขาก็เคยอยู่ที่นี่มาสามปี

หลังเดินออกจากห้องนอนก็มาเหม่อมองที่ด้านนอก ห้องครัว ห้องนั่งเล่น

ทุกที่ในที่แห่งนี้มีความทรงจำของเขาร่วมกับสิบทิศปะปนอยู่ทั่ว

ทั้งความทรงจำแสนสุข และความเจ็บปวดแสนทรมาน

ฐานทัพรู้สึกปวดร้าวใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่จนต้องกัดริมฝีปากน้ำตาคลอ

ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้น ฐานทัพหันขวับไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นร่างของผู้เป็นเจ้าของห้องเขาก็ตื่นตะลึงขึ้นมาทันทีเพราะไม่คิดว่าสิบทิศจะกลับมาเร็วแบบนี้

“ฐาน!”

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ตกใจเช่นกันที่เห็นเขา

ฐานทัพรู้สึกในใจแตกตื่นลนลานไปหมด สมองว่างเปล่าไปเสียดื้อๆ อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

สิบทิศถลันเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับภาพที่ถูกเร่งความเร็วขึ้น มือสองข้างมาคว้าแขนของเขาไว้ ในขณะที่ฐานทัพได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก เหมือนตนเองเป็นอัมพาตไปในบัดดล

“ฐานไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับมา รู้ไหมพี่เป็นห่วงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”

สีหน้าของสิบทิศมีความร้อนรนที่เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเล่นละคร แต่นั่นก็ทำให้ฐานทัพเริ่มได้สติขึ้นมา

เขาค่อยๆ ดึงมือของตนเองออกจากการถูกกุมเอาไว้

สิบทิศเหมือนมีท่าทีไม่เข้าใจการกระทำของเขา เรียกเขาเสียงอ่อยคล้ายหมดเรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหันพลางยื่นมือออกมาจะจับมือเขาไว้อีกครั้ง แต่ฐานทัพก็ดึงมือหนีแล้วไปคว้ากระเป๋าเดินทาง

“ฐาน นี่มันอะไร”

“ผมมาเก็บของเฉยๆ”

“หมายความว่าไง”

คราวนี้สีหน้าของสิบทิศชัดเจนว่าสับสนงุนงงไปหมด พอเหลือบเห็นกระเป๋าในมือของเขาก็มีสีหน้าเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที มือใหญ่ยื่นออกมาคว้ากระเป๋าใบนั้นไปขว้างทิ้งอย่างไม่สนใจไยดีว่าของข้างในจะมีสภาพเช่นไร

ทว่าน่าแปลกที่เห็นภาพเช่นนั้นและถูกกระทำอย่างนั้นแล้วฐานทัพกลับรู้สึกว่าใจสงบนิ่ง

อาจเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วก็ได้ว่าสิบทิศจะมีปฏิกิริยาแบบนี้

ใช่ เขารู้อยู่แล้ว เขารู้ดี

ฐานทัพบอกกับตัวเองในใจพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้

สิบทิศมองฐานทัพกับกระดาษแผ่นนั้นสลับกันอยู่สองสามครั้ง สีหน้าเปลี่ยนกลับมาเป็นไม่เข้าใจอีก ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“อะไร”

ฐานทัพไม่ตอบและไม่ละมือไป ยื่นมือนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับจะบอกว่าให้เปิดดูเอาเอง กระดาษแผ่นนั้นจึงถูกดึงออกไปกางออกต่อหน้าสิบทิศ

ฉับพลันที่สายตาของสิบทิศกวาดอ่านสิ่งนั้น อารมณ์บนใบหน้าที่รุนแรงก็แปรปรวนไปมา ทั้งตื่นตระหนกและโกรธจัด

“ผมไปได้แล้วใช่ไหม”

ฐานทัพพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้นิ่งมากที่สุด แล้วก้มลงหยิบกระเป๋าที่ถูกขว้างทิ้งขึ้นมา ทว่าขณะเตรียมจะออกเดินไปกลับถูกเรี่ยวแรงมหาศาลคว้าเอาไว้ ไม่สิ ควรเรียกว่ากระชากมากกว่าเพราะตัวของเขาเซจนเกือบถลาล้มลงไปบนพื้น

“นี่มันหมายความว่าอะไร! ฐานเป็นเอดส์? เป็นได้ยังไง!”

เสียงเกรี้ยวกราดอย่างที่สุดโพล่งออกมาจนลั่นห้อง ผิดจากเสียงของฐานทัพที่ตอบกลับไป

เงียบสงบดุจสายน้ำเย็น

“นั่นสิครับ”

“เพราะฐานมั่วมาใช่ไหม ให้ใครต่อใครเอาไปทั่วใช่ไหม!!”

น้ำเสียงของสิบทิศเดือดดาลไม่ลดอุณหภูมิลงแม้แต่น้อย มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาอาจตอบว่า ‘ใช่’ แต่ตอนนี้ถ้าเขาจะติดโรคจริง มันก็ไม่ใช่เพราะเขาหรอก ไม่ใช่เลย...

ฐานทัพกระหยิ่มยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่คิดว่าเป็นการดูถูกตัวเอง ทว่าในสายตาของสิบทิศคงเหมือนการยิ้มเย้ยมากกว่า

“ผมว่าพี่ไปตรวจบ้างก็ดีนะ เผื่อว่าจะติดมาจากผม”

หลังจากพูดเหมือนเตือนเป็นการทิ้งทาย ฐานทัพก็สะบัดแขนที่ถูกรั้งไว้ออกอย่างรุนแรง แล้วเดินตรงออกจากห้องไปในทันที

สิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างสุดท้ายคือสีหน้าตะลึงงันด้วยความนึกไม่ถึงและเหลือเชื่อของสิบทิศ

สิ่งที่ได้ยินก็คือเสียงที่แผดก้องออกมาจากในห้องทั้งที่ประตูปิดไปแล้ว

“ไอ้ฐาน ไอ้สารเลว! กูไม่น่าคบมึงเลย!! กูขอแช่งมึงให้ตายๆ ห่าไปซะ”

เขาคิดว่าสิบทิศคงอัดอั้นและมีคำด่ามากมายกว่านี้ แต่คงเกรงกลัวว่าหากโพล่งเรื่อง ‘โรคที่อาจจะติดเขาไป’ ออกมา จะเป็นการประจานตัวเองเสียมากกว่าจึงไม่ได้ตะโกนเรื่องนั้น

“จบแล้ว จบแล้วล่ะ ฮ่าๆ”

ฐานทัพหัวเราะเสียงแห้งเบาๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเองหัวเราะทำไม หยาดน้ำตาที่พยายามเก็บกักเอาไว้ตลอดเวลาตั้งแต่เห็นหน้าสิบทิศเป็นครั้งสุดท้ายไหลพรั่งพรู

“ตอนนี้พี่ก็เป็นอิสระสักที ขอให้ได้พบกับคนดีๆ และมีความสุขแล้วกันนะ ผมทำเพื่อพี่ได้เท่านี้แหละ”

เขายิ้มให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง








-------------------
สาบานว่าพี่ทิศเป็นพระเอก?

นี่คือที่มาของชื่อเรื่องค่ะ




ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 14th Lie [10/4/63]
«ตอบ #41 เมื่อ10-04-2020 18:24:52 »

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:  ทำไมต้องทำแบบนี้นะฐานทัพ

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
«ตอบ #42 เมื่อ12-04-2020 20:16:49 »

















15th Lie

เรื่องนั้น...คงเป็นไปไม่ได้หรอก


 

เครื่องบินลดระดับลงเรื่อยๆ ในขณะที่ความกดอากาศเล่นงานห้องหูให้อื้อขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะวิ่งไปตามรันเวย์ในที่สุด เมื่อเครื่องหยุดนิ่งแล้วฐานทัพจึงค่อยหยิบสัมภาระจากช่องเก็บของเหนือศีรษะออกมา เดินไปตามทางคับแคบที่มีผู้โดยสารแออัดจนมาถึงอาคารผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ

เขาไม่ได้กลับมากรุงเทพฯ ประมาณสองปีได้แล้ว ดังนั้นบรรยากาศไม่คุ้นเคยจึงทำให้รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย

ฐานทัพมองออกไปภายนอกอาคาร ท้องฟ้าสดใสที่มีแสงแดดแรงกล้า ไม่ว่าอยู่ภูมิภาคไหนของประเทศก็ยังคงเป็นเหมือนกันหมด

นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าประเทศไทย

กระทั่งเดินออกมาจนถึงบริเวณรอบนอกก็กวาดตามองหาคนที่ตนติดต่อเอาไว้ อีกฝ่ายบอกว่าจะมารับทั้งที่เขาบอกแล้วว่าไม่ต้องก็ได้ แถมยังเสนอว่าจะให้เขาพักอาศัยด้วยอีกต่างหาก

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ความใจดีและมีน้ำใจของภันวัฒน์ก็ยังไม่ลดน้อยลงไปเลย

แม้เขาจะย้ายไปอยู่เชียงรายเมื่อสองปีก่อนก็ยังติดต่อภันวัฒน์อยู่เรื่อยๆ

ได้ติดตามความคืบหน้าเรื่องความรักของคนที่เปรียบเสมือนพี่ชาย ได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสุขดีและคบหากับอาทิตย์อัสดงได้อย่างราบรื่นก็ทำให้เขารู้สึกยินดีด้วยเหลือเกิน

เพราะมันเหมือนกับการตอกย้ำว่า เขาเลือกถูกแล้ว

เลือกที่จะมอบความสุขให้กับคนอื่น ซึ่งจะทำให้ตนเองมีความสุขไปด้วย

ไม่ใช่การฝืนเพื่อทรมานตัวเองและทำให้คนอื่นต้องทุกข์ตรม

กวาดตามองหาอยู่สักพักก็เห็นร่างสูงใหญ่โบกมือไหวๆ อยู่ไม่ไกลนัก เขายิ้มออกมาโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อเห็นว่าข้างกายของภันวัฒน์มีใครมาด้วย ฐานทัพก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วเดินเข้าไปหา

“หวัดดีครับ พี่ภัน พี่ฟรี”

เพราะอีกฝ่ายเป็นแฟนของพี่ชายไปแล้ว เขาจะเรียกว่าคุณอย่างห่างเหินก็แปลกพิลึก ดังนั้นฐานทัพจึงเรียกอาทิตย์อัสดงว่าพี่เช่นกันนับตั้งแต่วันที่รู้ว่าทั้งสองคนตกลงปลงใจกันแล้วและแจ้งข่าวดีแก่เขา

ทั้งสองคนต่างกล่าวทักทายเช่นกัน รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ ความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานทำให้ฐานทัพรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก

“ว่าแต่พี่จะให้ผมไปค้างที่คอนโดฯ พี่จริงๆ เหรอ จะไม่ขัดคอเป็นก้างพวกพี่หรือไง”

ฐานทัพถามด้วยความห่วงใยแต่ก็เจือด้วยน้ำเสียงกระเซ้าแหย่

ที่เขากลับมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ไม่ใช่การกลับมาอย่างถาวร เพียงแค่มาร่วมงานสัมมนาธุรกิจที่ตนเองสนใจวันเดียวเท่านั้น ภันวัฒน์จึงออกปากว่าไหนๆ ก็มาแล้วทั้งที อยู่สักอาทิตย์ไปเลย และชวนเขาไปพักด้วยเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม

“ฐานไม่ต้องห่วง ถ้าพี่อยากจู๋จี๋นะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านฟรีก็ได้ เนอะคุณ”

ท้ายประโยคฐานทัพเห็นนัยน์ตาวาววับของภันวัฒน์เหลือบมองไปทางอาทิตย์อัสดง

ในสายตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความรักอย่างชัดเจน

เป็นความรักอย่างแท้จริงแบบที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต จึงทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่าอาทิตย์อัสดงช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้รับความรักแบบนี้

“แค่เห็นพวกพี่รักกันแบบนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขไปด้วยแล้วนะเนี่ย”

“เขาเรียกว่าเผื่อแผ่ความสุขให้คนรอบข้างไง”

ภันวัฒน์ขยิบตา หัวเราะออกมาเบาๆ ในขณะที่อาทิตย์อัสดงส่ายศีรษะก่อนจะบอกกับเขา

“ฐานไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร อีกอย่างพี่ก็นอนที่บ้านอยู่แล้ว แค่ไปค้างคอนโดฯ คุณฮักอาทิตย์เว้นอาทิตย์เอง”

ชื่อ ‘ฮัก’ ที่อาทิตย์อัสดงเรียกมานั้นเป็นชื่อเล่นที่แท้จริงของภันวัฒน์

ฐานทัพเพิ่งรู้หลังจากย้ายไปอยู่เชียงรายแล้ว เพราะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอาทิตย์อัสดงเคยถามเกี่ยวกับชื่อเล่น เขาจึงถามด้วยความสงสัย แต่ถึงจะรู้ว่าภันวัฒน์มีชื่อเล่นว่าอะไร เขาก็ชินกับการเรียก ‘พี่ภัน’ ไปเสียแล้ว อีกอย่างหนึ่งเขารู้สึกว่าชื่อนี้พิเศษ เพราะฉะนั้นปล่อยให้อาทิตย์อัสดงเรียกไปคนเดียวน่าจะดีกว่า

“แต่ผมว่าแบบนี้ไม่ดีนะ จะให้แฟนอยู่กับผู้ชายคนอื่นสองต่อสองได้ยังไง ไม่ได้ๆ”

ฐานทัพส่ายศีรษะเหมือนเด็กๆ ที่ไม่ยอมรับเหตุผลโดยเด็ดขาด ทั้งที่จริงๆ แล้วอายุน้อยกว่าอาทิตย์อัสดงเพียงปีเดียว แต่เพราะอีกฝ่ายดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเขามาก รวมทั้งภันวัฒน์ก็เอ็นดูเขาเหมือนน้องชาย พอนานๆ ทีได้เจอกันจึงอดทำตัวเป็นเด็กบ้างไม่ได้ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายจากความตึงเครียดในการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว

ตอนนี้ฐานทัพกำลังจะเรียนจบปริญญาโทแล้ว แม้เสียเวลาไปอยู่บ้างนิดหน่อยในช่วงการย้ายมหาวิทยาลัย เพราะต้องรอมหาวิทยาลัยที่ย้ายไปเปิดเทอมใหม่ และต้องลงวิชาที่เรียนค้างไว้ในมหาวิทยาลัยเดิมซ้ำก็ตาม ส่วนเรื่องการทำธุรกิจที่เคยฝันไว้ เขาคิดและวางแผนจนเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

“เอาอย่างนั้นก็ได้ งั้นก็อยู่กันสามคนนี่แหละ”

“ดีๆ เยี่ยมมาก”

ฐานทัพยกนิ้วโป้งให้พลางยิ้มกว้าง พลอยทำให้อาทิตย์อัสดงต้องส่ายหัวอีกรอบ เหมือนเหนื่อยหน่ายใจเด็กโข่งสองคน แต่ด้วยความหมายคนละอย่าง

พวกเขาสามคนเดินเคียงกันไปยังลานจอดรถ รอยยิ้มบางๆ ยังปรากฏบนใบหน้าของฐานทัพไม่จางหาย

ความสบายใจที่ได้พบภันวัฒน์และอาทิตย์อัสดงทำให้ฐานทัพรู้สึกเบาสบายทั้งตัวและใจ จนอดคิดไม่ได้ว่าช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมานับว่าคุ้มค่าทีเดียว เพราะเขาในวันนี้ยิ้มด้วยความปลอดโปร่งจากใจมากกว่าปีสุดท้ายที่อยู่ที่นี่เสียอีก

เวลาช่วยเยียวยาได้จริงๆ

 

 

คืนแรกของการกลับมาราวกับเป็นงานเลี้ยงฉลอง เพราะนอกจากภันวัฒน์กับอาทิตย์อัสดงแล้ว เกรียงไกรกับหนึ่งฤทัยก็มาร่วมกินข้าวเย็นด้วยกัน

ตอนแรกที่เขาไปเปิดประตูเพราะภันวัฒน์และอาทิตย์อัสดงต่างก็ติดพันกับการทำอาหาร เขาตกใจแทบเสียขวัญ เนื่องจากทันทีที่ประตูเปิดออก เสียงปุ้งปั้งก็ดังสนั่น สายรุ้งมากมายพุ่งโค้งออกมาหล่นใส่หัวก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะขนานใหญ่ของเกรียงไกรที่เป็นหนึ่งในตัวการ ส่วนหนึ่งฤทัยที่ท้องโย้เพราะอีกไม่กี่เดือนจะถึงกำหนดคลอดลูกแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้รู้ว่าพอใจ

เขาทำหน้าบึ้งใส่นิดหน่อย ถามว่าถ้าเกิดคนเปิดประตูไม่ใช่ผมล่ะ ก็ได้รับคำตอบกลับมาจากเกรียงไกรอย่างง่ายๆ ด้วยสีหน้าล้อเลียน

“ไม่มีทางหรอก”

เพียงแค่นั้นก็รู้ได้เลยว่าทุกคนคงตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว เขาเลยแกล้งทำหน้าบูดหนักขึ้น ทว่ากลับเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าทั้งในแง่ความดังและจำนวนคน

ระหว่างมื้ออาหารพวกเขาพูดคุยสัพเพเหระกันอย่างสนุกสนาน เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้สมกับที่ไม่ได้พบกันมานาน เขาเลยถือโอกาสนี้ขอโทษเกรียงไกรกับหนึ่งฤทัยอีกครั้งที่ไม่ได้มาร่วมงานแต่งงานเมื่อปีที่แล้วเพราะว่าติดสอบจริงๆ ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่บอกว่าตอนคลอดต้องมารับขวัญหลานด้วยเท่านั้น ส่วนภันวัฒน์ก็นำขนมของร้านตัวเองมาฉลองเป็นการปิดท้าย

ช่วงเวลาแห่งความสุขที่ดำเนินไปทำให้ฐานทัพอดนึกถึงพวกรุ่นพี่ที่ทำงานไม่ได้ จึงตัดสินใจจะไปเยี่ยมทุกคนที่โชว์รูมในวันรุ่งขึ้น แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าไม่มีของฝากจะดูน่าเกลียดเกินไปหรือไม่

ตอนที่เขาหลุดปากพึมพำว่าพรุ่งนี้ไปเยี่ยมพี่ๆ ที่โชว์รูมบ้างดีกว่า ก็เหมือนภันวัฒน์จะรู้ถึงความกลุ้มใจของเขา

“ก่อนไปฐานแวะเอาขนมที่ร้านพี่ไปด้วยสิ เดี๋ยวพี่บอกเด็กที่ร้านไว้”

“เฮ้ย ไม่ได้หรอก นั่นมันของของพี่นะ”

“ถือว่าพี่ฝากก็ได้ ของฝากของพี่ก็เหมือนของน้อง ของน้องก็เหมือนของพี่นั่นแหละ”

พอภันวัฒน์เอ่ยปากเช่นนั้นฐานทัพจึงอดหันไปมองอาทิตย์อัสดงไม่ได้ ซึ่งเขาก็ได้รับรอยยิ้มกับพยักหน้ากลับมา

“เอาอย่างนั้นแหละดีแล้ว”

ด้วยเหตุนี้ฐานทัพจึงไปโชว์รูมที่ตนเองเคยทำงานโดยมีถุงเบเกอรีติดมือไปด้วยจนพะรุงพะรัง โชคดีว่าเป็นวันทำงานกลางสัปดาห์ที่โชว์รูมจึงไม่มีลูกค้าเข้ามาในเวลานี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจต้องรอจนกว่าลูกค้าจะออกไปก่อนก็ได้

เมื่อฐานทัพเดินผ่านประตูกระจกกว้างใหญ่เข้าไป พนักงานที่เห็นก็เบิกตากว้างรีบเดินตรงเข้ามาหาด้วยความไม่คาดคิด แม้ว่าคนที่เคยทำงานด้วยกันจะอยู่ไม่ครบทุกคนเพราะลาออกไปบ้างแล้ว แต่คนที่ยังอยู่ก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี

ถึงกระนั้นก็มีส่วนหนึ่งที่แปลก จักรวาลกับระรินมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนมีเรื่องคับข้องใจ อยากพูดอะไร แต่เมื่อถาม ทั้งสองคนกลับบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ถึงมันจะดูน่าสงสัยแต่เขาก็ตัดสินใจว่าไม่ถามต่อดีกว่าในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากพูดก็ไม่ควรจะซักไซ้

พวกเขาคุยกันพอหอมปากหอมคอ เอาขนมให้แล้วก็เป็นอันเสร็จธุระ แม้ฐานทัพอยากอยู่นานกว่านี้แต่จะกลายเป็นการรบกวน เพราะลูกค้าสามารถเข้ามาได้ทุกเมื่อจึงต้องขอตัวกลับก่อน ทว่าถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ฐานทัพก็ได้สัมผัสถึงความอิ่มเอมใจ

“ต่อไปคงเป็นไอ้หมอเอิร์ทสินะ”

หลังออกมานอกประตูฐานทัพก็ยิ้มกับตัวเอง เงยหน้ามองฟ้าแล้วพึมพำ

การกลับมาครั้งนี้ของเขาถือเป็นการเดินสายเลยก็ได้ ดังนั้นมื้อเย็นในวันนี้ฐานทัพจึงได้กินฟรีอีกครั้ง เพราะอดิศักดิ์ออกปากว่าจะเลี้ยงเอง

“ก็ถูกแล้ว คนรวยต้องเลี้ยงคนจน”

ฐานทัพยิ้มเย้า

“ไม่ต้องมาอ้างตรรกะที่มึงสร้างเองเลย”

“หรือกูควรเกาะมึงกินดีวะ น่าจะสบาย”

“ขอบคุณ แต่ไม่ต้อง”

ฐานทัพหัวเราะลั่นก่อนจะโดนอดิศักดิ์ตบหัวเข้าให้ ทั้งสองคนเดินเข้าร้านอาหารที่มีดนตรีสด กินอาหารไปจิบเบียร์เย็นๆ ไป รับสายลมที่โชยมาระเรื่อย

“ดูมึงจะสบายดีนะ”

“กูก็สบายดีอยู่แล้ว”

“ไม่อะ ก่อนมึงจะไปมึงทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบ หดหู่จนน่ากลัว”

“น่ากลัวอะไร”

ฐานทัพถามเหมือนไม่เข้าใจแล้วกระดกเบียร์เข้าปากอย่างไม่คิดอะไรมาก

“เหมือนคนจะฆ่าตัวตาย แต่กูรู้ว่ามึงไม่คิดสั้นหรอก มึงเข้มแข็ง”

“สมแล้วที่เป็นเพื่อนกูมานาน”

“แต่กูก็ช็อกเหมือนกันนะที่ผู้ชายคนนั้นทำให้มึงเป็นได้ถึงขนาดนั้น”

“เขาเรียกสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”

ฐานทัพยักคิ้วหลิ่วตาใส่ ทำเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของเพื่อน

ทว่า...

“มึงหายดีแล้วเหรอ”

คำถามนั้นทำให้ฐานทัพที่กำลังทำท่าสบายๆ ชะงักไปเล็กน้อย ทำสีหน้าปั้นยากออกมาอย่างไม่ปิดบัง

เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะตนเองไม่อยากปิดบังหรือปิดบังไว้ไม่ได้กันแน่

“ก็ดีขึ้นแล้ว”

“พูดอย่างนี้แสดงว่ายังไม่มีรักใหม่สินะ”

“กูไม่คิดว่ากูจะรักใครได้ง่ายๆ อีก”

เขาตอบไปตามความรู้สึกจริงๆ

จะบอกว่าเข็ดแล้วก็ว่าได้ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าบนโลกนี้คงไม่มีใครรักเขาจนทำให้เขาอยากตอบรับความรักหรอก

“กูว่าเห็นคนอื่นมีความรักอย่างมีความสุข ทำให้กูมีความสุขกว่ามีความรักซะเองว่ะ”

“มึงพูดซะดวงตากูเห็นธรรมเลยไง”

อดิศักดิ์หัวเราะเสียงดังออกมา ฟังดูก็รู้ว่าไม่ได้แสร้งทำ ฐานทัพจึงยื่นแก้วเบียร์ไปชนกับอีกฝ่าย

“ว่าแต่เรื่องครอบครัวมึงล่ะ เป็นไงมั่งแล้ว”

หลังต่างคนต่างดื่มไปหมดแก้วแล้วรินแก้วใหม่ ฐานทัพก็เกริ่นถามความเป็นไปของอีกฝ่ายบ้าง

“ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิมแหละ แค่ลูกสาวกูโตขึ้นแล้ว มึงดูรูปไหมล่ะ ยิ่งโตก็ยิ่งสวย กูกลัวว่าจะมีหนุ่มมาจีบอยู่เนี่ย”

อดิศักดิ์รีบควานหาโทรศัพท์มือถือทั้งในกระเป๋าเสื้อและกางเกง แต่ก็ต้องชะงักเพราะคำพูดสกัด

“ถ้ากูบวกเลขไม่ผิด ลูกมึงตอนนี้น่าจะสามขวบไม่ใช่เหรอวะ”

“สามขวบแล้วไง สามขวบแล้วสวยไม่ได้เหรอวะ ไอ้นี่”

โทรศัพท์ถูกยื่นมาให้ ภาพบนหน้าจอเป็นภาพเด็กผู้หญิงตัวน้อยกำลังยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ อดิศักดิ์ ใบหน้าของสองพ่อลูกเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ทำให้คนเห็นพลอยรับรู้ถึงความรักไปด้วย

ฐานทัพมองภาพนั้นอยู่นาน แล้วอยู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่คิดไม่ฝันมาก่อน...

หรือว่าเขาควรจะมีลูกอย่างไอ้หมอนี่ดี?

 

 

แล้วก็ถึงวันสัมมนาซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของการเดินทางมายังกรุงเทพฯ

งานสัมมนาเรื่องการทำธุรกิจขนาดย่อมให้เจริญก้าวหน้าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้าร่วม แต่เมื่อมีงานสัมมนาหัวข้อประเภทนี้และหากไม่ติดอะไรเป็นพิเศษฐานทัพมักจะเข้าร่วมเท่าที่เป็นไปได้ แม้บางครั้งจะต้องไปตามจังหวัดอื่นๆ บ้าง แต่ก็ถือว่าได้ไปเปิดหูเปิดตาท่องเที่ยวเช่นกัน

งานเริ่มตั้งแต่เก้าโมงเช้าและจบที่สี่โมงเย็น

เมื่อเสร็จสิ้นฐานทัพเดินออกมาจากห้องสัมมนาซึ่งเป็นห้องจัดเลี้ยงห้องหนึ่งในโรงแรม ทว่าเมื่อพ้นจากบานประตูที่เปิดค้างเอาไว้เขากลับชนใครคนหนึ่งเข้าด้วยความไม่ทันระวังว่าจะมีคนเดินมาจากอีกฟากของประตูซึ่งเป็นมุมอับ

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวัง”

ฐานทัพที่ชนอีกฝ่ายจนตัวกระเด็นไปเองสาวเท้าเร็วๆ เข้ามาเพื่อเผชิญหน้า แต่เมื่อชายที่ร่างใหญ่กว่าเงยหน้าขึ้นมาให้เห็นแล้วทั้งคู่กลับต้องชะงักอึ้งไป

ณ ตอนนั้นฐานทัพรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง รอบข้างไร้สรรพเสียงทั้งที่เมื่อครู่ยังจอแจ รับรู้ได้ว่าดวงตาของตนเองเบิกกว้าง เมื่อรู้ตัวเขาก็กะพริบตาสองสามทีก่อนจะขยับเท้าถอยหลังไปเล็กน้อย ในขณะที่ภายในหัวพยายามครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี

เขาไม่นึกว่า...อยู่ๆ จะได้พบสิบทิศแบบนี้

ควรจะทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ หรือว่าหนีไปจากตรงนี้โดยเร็ว?

เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองควรเลือกทางไหน

แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะตอบสนองไวกว่าความคิด เพราะหลังจากเห็นอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวเพียงเล็กน้อย ฐานทัพก็หันหลังในทันที ทว่าออกวิ่งได้เพียงแค่สองก้าวแขนก็ถูกคว้าไว้จนตัวแทบลอยไปปะทะ

ฐานทัพหันกลับไปมองหน้าสิบทิศอย่างตกใจ ระยะห่างที่ย่นเข้ามาในรวดเดียวจนเหลือเพียงไม่ถึงสองคืบทำให้มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน นั่นทำให้เขาตกใจเล็กน้อย

เขานึกว่าน่าจะมีแววเกลียดชังเปิดเผยออกมา ทว่าบนนั้นกลับไม่มีความรู้สึกที่ว่านี้เลยแม้แต่น้อย กลับมีความรู้สึกมากมายสลับซับซ้อนที่เขาคาดเดาไม่ถูกว่าคืออะไรบ้างปรากฏอยู่ และมันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกกลัว

แสดงออกว่าเกลียด ว่าโกรธแค้นกันไปเลยตรงๆ เขายังจะรับมือได้ง่ายกว่า

คลื่นลมที่เคยสงบมาโดยตลอดเพราะการไม่ได้พบหน้าและทำใจเรื่อยมาตลอดสองปีกลับโหมกระหน่ำซัดสาดราวกับเกิดพายุขึ้นกลางใจ น้ำทะเลจากที่ไหนไม่รู้ก่อเกิดเป็นคลื่นมหึมาโถมซัดอยู่ภายในร่างของเขา ทำให้ปั่นป่วนและหวาดกลัวในคราวเดียวกัน

ฐานทัพรู้สึกปากคอสั่นอย่างห้ามไม่ได้ ในอกเหมือนมีอะไรมาทุบหนักๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คล้ายกับพยายามตอกย้ำว่า...แม้เวลาจะผ่านไป แต่สิบทิศยังคงมีอิทธิพลต่อเขาอยู่

เขาไม่สามารถเป็นอิสระจากผู้ชายคนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ที่ผ่านมาเขาเพียงแค่หลอกตัวเอง

“ปล่อยผม”

ฐานทัพพยายามบิดแขนของตนเองออกจากอุ้งมือของสิบทิศ แต่กลับไม่ได้รับผลลัพธ์อย่างที่หวัง เพราะมันยิ่งบีบแน่นขึ้นมากกว่าเดิม

ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมาจับตัวเขาไว้

มีอะไรที่จะต้องพูดกันอีกเหรอ

“พี่ไม่ได้เป็นเอดส์”

ราวกับจะตอบคำถามที่เขาสงสัย อยู่ๆ สิบทิศก็พูดขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นฐานทัพก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม

หรืออยากเยาะเย้ยเขาว่า ‘นายเป็นแต่ฉันไม่เป็น’

“งั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ”

ฐานทัพบิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเสียดสี ออกแรงสะบัดแขนของตัวเองออก แต่ไม่รู้ว่าเพราะสิบทิศหมดธุระจะคุยด้วยแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ยอมปล่อยมือสักที

“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็ขอตัว”

เขาก้าวถอยหลังอีกสองสามก้าว พอเห็นว่าสิบทิศไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ไล่ตามมา เพียงแค่มองหน้านิ่งๆ ฐานทัพก็กลับหลังหันแล้วออกเดิน แต่หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวเขากลับได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าไล่หลังมา เมื่อลองหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

สิบทิศไล่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ...

เห็นเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็ไม่คิดจะใช้การเดินเพื่อออกไปจากที่นี่อีกต่อไป

ขาที่ไม่ได้ยาวนักเมื่อเทียบกับผู้ชายออกวิ่งไปเท่าที่จะเร็วได้ วิ่งตั้งแต่ภายในโรงแรมจนออกไปนอกโรงแรม พร้อมกับได้ยินเสียงไล่หลังแว่วๆ

“ฐานหยุดก่อน! หยุดก่อน พี่มีเรื่องจะพูดด้วย!”

ไม่รู้ทำไม แต่ประโยคนั้นกลับทำให้เขากลัว

มีอะไรจะพูดอีก เขาไม่อยากพบหน้าและพูดคุยกันอีกแล้ว แม้แต่ประโยคเดียววินาทีเดียวก็ไม่ต้องการ

เพียงแค่ความรู้สึกนั้นแล่นขึ้นมาก็เหมือนมีก้อนหนืดบางอย่างมาอุดแน่นอยู่ในลำคอ ทำท่าจะทะลักล้นออกมา ทำนบน้ำตาที่ก่อร่างสร้างขึ้นมาด้วยเวลาสองปีทำท่าจะพังทลายเอาง่ายๆ ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด

“ฐานหยุดก่อน ฟังพี่ก่อน พี่...”

ภายในหูมีแต่เสียงวิ้งๆ เหมือนมีแมลงอะไรสักอย่างมาบินว่อนอยู่ข้างใน ภาพที่มองเห็นพร่าลงไปเรื่อยๆ คล้ายกับมีม่านน้ำมากั้นขวางไว้ชั้นหนึ่งทำให้ทุกอย่างในสายตาเลือนไปหมด

ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ

อย่ามายุ่งกับเขาอีกเลย

เขาไม่อยากใจอ่อนและเจ็บปวดกับความรักข้างเดียวอีกแล้ว

ถ้าไม่รักก็เลิกทำร้ายสักที ถ้าเกลียดก็เลิกไล่ตาม ถ้าโกรธก็ต่างคนต่างอยู่ไป

มีชีวิตที่มีความสุขไปสิ อย่าให้เขาเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิต

อย่ามีอะไรที่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย...ตลอดกาล

คิดว่าเขาตายไปแล้วมันน่าจะสบายใจกว่าไม่ใช่เหรอ

“ฐาน รถ!!”

เสียงของสิบทิศที่เหมือนจะเลือนรางไปชัดเจนขึ้นอีกครั้งจนเขาตกใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาวิ่งออกมาพ้นจากบาทวิถีแล้ว

สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเบื้องหน้าคือท้องถนน

กว่าฐานทัพจะรู้ตัวว่าด้านข้างกำลังมีรถแล่นมามันก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว

ขาขยับไม่ได้...

สิ่งสุดท้ายที่เขาสัมผัสได้คือแรงปะทะหนักๆ ก่อนที่ทั้งร่างจะลอยกระเด็นลงกระแทกกับพื้น แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป

 

 



v




v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
«ตอบ #43 เมื่อ12-04-2020 20:18:13 »








v






v





ลืมตาขึ้นอีกทีฐานทัพรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่หัว เขากะพริบตาปริบๆ เพราะรู้สึกว่าแสงสว่างจ้าจนแสบตา เพดานสีขาวที่ไม่คุ้นตาทำให้เขางุนงงอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเรียบเรียงความคิดได้ว่าตนเองน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะถูกรถชน

ฐานทัพพยายามดันตัวลุกขึ้นแต่เรี่ยวแรงก็น้อยเหลือเกิน ครั้นจะใช้มือดันเตียงพยุงร่างขึ้นมาก็ต้องตื่นตกใจเพราะมือที่คิดว่าจะใช้กลับไม่มี

เสี้ยววินาทีนั้นความคิดเดียวที่ผุดวาบขึ้นมาในสมองคือหรือว่าเขาจะแขนด้วนไปแล้ว แต่พอทำใจสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้มลงมองหาก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะพบว่าแขนข้างซ้ายอยู่ในเฝือกและซ่อนอยู่ในผ้าคล้องคอเพื่อป้องกันการขยับเขยื้อน ส่วนแขนข้างขวามีสายน้ำถูกเสียบเอาไว้

จะลุกอย่างไรดี

อย่างน้อยฐานทัพก็อยากเห็นสภาพของตนเองให้ชัดมากกว่านี้ อยากรับรู้ว่าอาการบาดเจ็บหนักหนาแค่ไหน ที่สำคัญเขามานอนอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว

ในเมื่อรู้ว่าไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ฐานทัพจึงทำได้แค่ใช้มือที่มีสายยางโยงไว้ควานหาปุ่มเรียกพยาบาลอย่างทุลักทุเล

เพียงครู่เดียวพยาบาลสาวคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา เมื่อเห็นเขาหันไปมองทันทีที่เข้ามาก็ยิ้มให้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหวานๆ

“ตื่นแล้วเหรอคะ”

“ผม...”

ฐานทัพเกือบตกใจเสียงของตัวเอง เพราะมันแหบแห้งไปหมดจนแทบไม่มีเสียง มิหนำซ้ำยังแสบคอจนเหมือนข้างในเป็นทะเลทรายแห้งผาก พยาบาลจึงมาปรับเตียงให้เขาลุกขึ้นนั่งได้และรินน้ำใส่แก้วแล้วเสียบหลอดดูดยกมาให้

พอได้น้ำมาหล่อเลี้ยงคอ ฐานทัพก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว

“ผมอยู่ที่นี่มากี่วันแล้ว”

“หนึ่งสัปดาห์แล้วค่ะ”

คำตอบที่ได้รับทำให้ตกใจด้วยความคาดไม่ถึงว่าจะนานขนาดนี้ ถึงกระนั้นฐานทัพก็ตั้งสติสอบถามเรื่องที่อยากรู้ที่สุดก่อน เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถประเมินอาการของตนเองได้เลย

“แล้วอาการผมเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ คุณศีรษะแตกเพราะแรงกระแทก แต่ทำซีทีสแกนแล้วไม่พบความผิดปกติ อัวยวะภายในที่บอบช้ำก็ได้นอนพักนิ่งๆ อย่างเต็มที่จนอาการดีขึ้นมากแล้ว แขนซ้ายกับขาซ้ายที่หักอาจต้องใช้เวลารักษาหน่อย ส่วนบาดแผลภายนอก อีกไม่นานก็หายค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา

อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส ถึงแขนขาหักจะใช้เวลารักษานานแต่ก็ไม่อันตรายปางตาย ส่วนหัวถ้าไม่กระทบกระเทือนอะไรก็คงไม่มีปัญหา

หลังจากคิดเช่นนั้นแล้วอีกคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

เท่าที่ดูภายในห้องผู้ป่วยแล้ว เขาอยู่ห้องเดี่ยวทั้งที่น่าจะอยู่ห้องรวมแท้ๆ

หรือว่าภันวัฒน์จะจัดการให้?

“ได้ติดต่อ...เอ่อ ญาติผมแล้วใช่ไหมครับ”

ไม่รู้จะเรียกอย่างไรเหมือนกัน เพราะจริงๆ แล้วคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดเขาไม่รู้จักเลยสักคน เรียกว่าเป็นพวกไร้ญาติด้วยซ้ำ ดังนั้นคนที่เขารู้สึกว่าสามารถนับญาติได้ก็มีเพียงแค่ภันวัฒน์ แต่พวกพยาบาลจะคิดเช่นนั้นหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“อ๋อ เรื่องนี้ แฟนของคุณมากับคุณด้วยตอนรถมูลนิธิพาตัวมาค่ะ”

“แฟน?”

ความแปลกประหลาดใจและฉงนสงสัยพุ่งพรวดขึ้นมาในความคิด ราวกับว่าไม่เข้าใจความหมายของคำนั้น คิ้วจึงขมวดมุ่นเข้าหากัน

“แฟนของคุณ คุณสิบทิศค่ะ เขาบอกว่าคุณไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เพราะฉะนั้นเรื่องรักษาพยาบาลคุณทั้งหมดเขาจะจัดการเอง”

ยิ่งได้ฟังฐานทัพก็ยิ่งไม่เข้าใจ

ทำไมสิบทิศจะต้องบอกว่าเป็นแฟนของเขา

ทำไมต้องบอกว่าจะดูแลเรื่องรักษาพยาบาลทั้งหมด

หรือเพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้เขาถูกรถชน

เหตุผลที่พอจะเรียกว่าสมเหตุสมผลได้ ฐานทัพคิดออกเพียงเท่านี้

“เขาดูรักคุณมากเลยนะคะ เห็นพวกมูลนิธิคุยกันว่าตอนพวกเขาไปรับคุณ เขาร้องไห้เสียใจจะเป็นจะตายแล้วก็โวยวายว่าเขาจะอุ้มคุณเอง เพราะคุณ เอ่อ... เป็นเอดส์ เพราะฉะนั้นเขาจะอุ้มเอง ถ้าคนอื่นไม่ระวังจะติดเชื้อได้ ตอนนั้นเลยวุ่นวายกัน พวกมูลนิธิต้องสวมชุดสวมถุงมือป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม ส่วนคนที่มามุงดูก็แตกฮือเลยค่ะ มีแต่เขาคนเดียวที่กอดคุณเอาไว้อย่างไม่กลัวว่าจะติดเชื้อ”

เมื่อได้ฟังแล้วฐานทัพก็อึ้งจนพูดไม่ออก เหมือนว่าสติจะปลิวหายไปชั่วคราว เพราะไม่คิดว่าสิบทิศจะทำเช่นนั้น

คนที่สาปส่งเขาในครั้งสุดท้ายที่เจอกันน่ะหรือ

คนที่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ มอบให้กับเขาแล้วแม้แต่เศษเสี้ยวนั่นน่ะหรือ จะร้อนอกร้อนใจถึงขนาดนั้น

ไม่ใช่ว่าควรยินดีปรีดาหรอกหรือ

“แต่พอมาถึงโรงพยาบาล หลังจากทีมผ่าตัดเอาเลือดไปตรวจดูก็พบว่าผลเลือดเป็นลบ คุณไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี ตอนนั้นพวกมูลนิธิเลยพากันโล่งอกไปหมด แต่ดูเหมือนคนที่ตกใจมากที่สุดจะเป็นแฟนของคุณนะคะที่ทราบว่าคุณปกติดี”

ฐานทัพตื่นตะลึงมากกว่าเดิม

เทียบกันแล้ว เรื่องที่สิบทิศรู้ความจริงว่าเขาไม่ได้ติดเชื้อแต่อย่างใดทำให้เขาตกใจมากกว่าเรื่องที่อีกฝ่ายมาโรงพยาบาลพร้อมเขาเสียอีก

เพราะนั่นหมายความว่า คำโกหกของเขาถูกเปิดเผยแล้ว...

แล้วต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เขาควรจะทำอย่างไรดี

และอีกฝ่ายกำลังคิดแบบไหนอยู่

มีแต่ความสับสนงุนงงแล่นปราดไปมาอยู่ในใจ คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

เขาคงแสดงออกมาทางสีหน้า พยาบาลสาวจึงเอ่ยถาม

“เอ่อ... เปล่าครับ”

ฐานทัพตอบกลับไปทั้งที่สมองยังเหม่อลอย แล้วในฉับพลันนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้

“คุณพยาบาล เอ่อ แสดงว่ายังไม่ได้ติดต่อใครไปใช่ไหมครับ”

พยาบาลสาวพยักหน้าเอ่ย “ค่ะ” อย่างประหลาดใจ เขาเลยถามหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เธอจึงเปิดลิ้นชักจากตู้ข้างเตียงแล้วหยิบมาให้

ฐานทัพเปิดเครื่องโทรออกหาภันวัฒน์ในทันที เพราะคิดว่าเขาหายไปหลายวันอีกฝ่ายจะต้องเป็นห่วงและร้อนใจอย่างแน่นอน ทว่าฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดโทรศัพท์ถึงปิดเครื่องเสียเฉยๆ หรือเป็นเพราะได้รับแรงกระแทก แต่ยังไม่ทันค้นหาคำตอบ เสียงร้อนรนจากปลายสายก็ดังมา

[ฐาน หายไปไหนมา พี่ติดต่อไปก็ติดต่อไม่ได้!]

“พี่ภัน ขอโทษที พอดีว่าเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้ผมอยู่โรงพยาบาล”

[อยู่โรงพยาบาล? แล้วฐานเป็นอะไรหรือเปล่า เป็นอะไรมากไหม]

เสียงของภันวัฒน์เร่งร้อนกว่าเดิมจนฐานทัพต้องปลอบว่าใจเย็นๆ ไม่เป็นอะไรแล้วด้วยน้ำเสียงสงบ ก่อนจะเล่าอาการให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ และระบุสถานที่ซึ่งสอบถามจากพยาบาลมาอีกที

ไม่นานหลังจากนั้นภันวัฒน์ก็มาถึง สิ่งแรกที่เขาได้ยินคือเสียงถอนหายใจและคำว่า ‘เด็กโง่เอ๊ย’ หลังจากอีกฝ่ายกวาดตามองสภาพเขาทั้งตัวแล้ว

ภันวัฒน์นั่งลงเก้าอี้ข้างเตียง เอ่ยกระชับด้วยน้ำเสียงตึงเครียด

“เล่ามา”

ฐานทัพจึงเริ่มเล่าตั้งแต่ต้นที่พบหน้าสิบทิศจนมาถึงตอนที่ถูกรถชน และได้รับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่มาอีกระลอก

“แล้วทำไมไม่ฟังเขาพูดดูก่อนล่ะ”

“ผมไม่รู้อะ พอเห็นหน้าเขาแล้วอยู่ๆ ผมก็สับสนไปหมด มันทั้งงงทั้งกลัว ไม่เข้าใจว่าเขาจะมายุ่งอะไรกับผมอีก”

“เฮ้อ เรานี่นะ”

ภันวัฒน์ถอนหายใจเป็นรอบที่สามในระยะเวลาไม่ถึงสิบนาที ทำให้ฐานทัพอดทำปากยื่นออกมาไม่ได้ ถึงกระนั้นก็รู้สึกสำนึกผิดอยู่ในใจ

“พี่จะบอกอะไรให้นะ”

ฐานทัพก้มมองภันวัฒน์ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าด้วยสีหน้าฉงน

“พี่เคยบังเอิญเจอเขาครั้งหนึ่ง”

“เจอ?”

“อืม เหมือนเขาจะรู้จักพี่ด้วย”

คงไม่แปลก เพราะฐานทัพเคยเล่าเรื่องภันวัฒน์ให้สิบทิศฟังหลายๆ อย่างและเคยเอารูปให้ดูด้วย ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เคยเจอกันเลยก็ตาม

“จะว่าแปลกมันก็แปลกดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีโอกาสที่จะเจอกันผ่านฐานได้แต่กลับไม่เคยเจอเลย พอฐานย้ายไปเชียงราย อยู่ๆ ก็มาเจอกันเสียเฉยๆ เจอกันผ่านทางลูกค้านี่แหละ”

เหมือนภันวัฒน์เลือกที่จะเลี่ยงคำว่า ‘เลิกกัน’ ซึ่งอาจสะเทือนใจเขาได้ ฐานทัพจึงอดรู้สึกขอบคุณอยู่หน่อยๆ ไม่ได้

“แล้วก็เหมือนต่างคนต่างจำกันได้ พอลับหลังลูกค้าเขาก็ตีหน้าหงิกใส่พี่ เหมือนไม่พอใจ พี่เลยถามไปตรงๆ แล้วเขาก็ต่อว่าว่าพี่เป็นคนทำฐานติดเอดส์”

คำพูดประโยคนี้ทำเอาฐานทัพพูดไม่ออก ได้แต่อ้าปากค้าง ภันวัฒน์จึงย้ำ

“เขาพูดแบบนั้นจริงๆ พี่ก็เลยบอกไปว่าตั้งแต่ที่เคยมีอะไรกันเมื่อสิบปีก่อนก็ไม่เคยอีกเลย ไม่มีทางที่จะมาติดโรคจากพี่แน่นอน เขาก็ดูอึ้งๆ ไปนะ เหมือนไม่เชื่อพี่ แล้วก็พยายามพูดนั่นพูดนี่ให้พี่ยอมรับ บอกตรงๆ นะว่าตอนนั้นพี่รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มันงี่เง่าจริงๆ เห็นแก่ตัวด้วย”

ฐานทัพพยักหน้าอืมๆ อย่างเข้าใจ คาดคิดในใจว่าภันวัฒน์คงอยากด่าว่า ‘หน้าตัวเมีย’ ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความเป็นสุภาพชนจึงสงวนคำนั้นไว้

“พอเป็นงั้นพี่ก็เลยถือโอกาสเทศน์ยาวเลย เล่าว่าฐานต้องเจ็บปวดเสียใจเพราะเขาแค่ไหน เขาเลยเหมือนสำนึกได้แล้วดูซึมๆ ลง”

คำพูดของภันวัฒน์ทำให้ฐานทัพก้มหน้าลง ความรู้สึกหนักอึ้งบางอย่างเอ่อล้นออกมา คล้ายกับช่วงเวลาเหล่านั้นหวนคืนมาในชั่วอึดใจ

เรื่องนี้ภันวัฒน์ไม่เคยเล่าให้เขาฟังเลย ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นคงไม่เล่าด้วยซ้ำ

“แต่ดูท่าว่าคำพูดของพี่คงจะเข้าหูเขาบ้าง เขาถึงได้เก็บไปคิดใคร่ครวญแล้วอยากคุยกับฐานอีกครั้ง”

“ผม... ไม่รู้สิ มันพูดไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกยังไงกันแน่ ผมเหมือนคนจมอยู่ในน้ำ ไม่ว่าอะไรก็พร่ามัว ภาพก็เห็นไม่ชัด เสียงก็ได้ยินไม่ถนัด ความคิดก็ตื้อไปหมด”

“งั้นพี่ถาม ถ้าเกิดเขาอยากมาขอคืนดี ฐานจะทำยังไง”

ราวกับอยู่ๆ ก็ถูกครอบด้วยอะไรบางอย่างที่ปิดกั้นเสียงทั้งหมดเอาไว้ บรรยากาศเงียบสงบลงทันควัน

เรื่องนี้เขาไม่เคยคิดมาก่อน แม้สักเสี้ยววินาทีเดียวก็ไม่เคย เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีโอกาสเป็นเช่นนั้นได้แน่นอน แต่ดูเหมือนภันวัฒน์จะไม่คิดแบบนั้น

“ผม...”

เหมือนมีอะไรหนืดๆ มาพันรั้งอยู่ในลำคอ ฐานทัพพูดไม่ออกพอๆ กับที่สมองตื้อตันไปหมด ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีคำตอบอยู่ในใจ

“ถ้าให้ผมตอบตอนนี้ เรื่องนั้น...คงเป็นไปไม่ได้หรอก”

 

 


v





v


ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
«ตอบ #44 เมื่อ12-04-2020 20:18:32 »








v





v





เนื่องจากฐานทัพฟื้นขึ้นมาแล้ว และอาการบาดเจ็บไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ติดอยู่ที่เข้าเฝือกทั้งแขนและขา ภันวัฒน์จึงเดินเรื่องย้ายโรงพยาบาลให้และเป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โดยฐานทัพเป็นคนเอ่ยปากขอร้องเพราะไม่อยากพัวพันกับสิบทิศ ทว่าก็ถูกคนที่นับถือเป็นพี่ชายบอกว่าถ้าไม่ได้เจ็บที่หัวอยู่จะเขกหัวให้ ถึงไม่ขอพี่ก็จัดการให้อยู่แล้ว จึงได้แต่ทำหน้าแหยๆ

ฐานทัพจะได้ย้ายโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้หลังจากตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้งแล้วว่าไม่มีปัญหาจริงๆ แต่ว่าในเย็นวันนี้เขากลับต้องเผชิญกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

นั่นเพราะสิบทิศอาจจะมาเยี่ยม

คำบอกเล่าจากพยาบาลบอกว่าสิบทิศจะมาเยี่ยมเขาทุกเย็นหลังเลิกงาน

มากุมมือเขาเอาไว้...

มาจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างเงียบๆ...

เพียงแค่ได้ฟังเรื่องนั้นฐานทัพก็รู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกสั่นไหวอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นจึงอันตรายเกินไปหากว่าเขาจะต้องพบหน้าสิบทิศโดยตรง

เขายังไม่พร้อมเผชิญหน้า ยังไม่พร้อมจริงๆ

ถึงจะตอบภันวัฒน์อย่างเต็มปากเต็มคำไปอย่างนั้น แต่การกระทำให้ได้อย่างปากพูดเป็นเรื่องยากและหนักหนาเกินไปในเวลานี้

ดังนั้นในตอนนี้ภายในห้องพักผู้ป่วยจึงมีประชากรเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน เพราะฐานทัพบอกให้ภันวัฒน์เรียกอาทิตย์อัสดง เกรียงไกร และหนึ่งฤทัยมาเยี่ยมอย่างพร้อมเพรียง พอทั้งหมดมาถึงฐานทัพก็มองอีกสามคนตาพริบๆ พลางเอ่ยเสียงขอร้อง

“ช่วยเยี่ยมไข้ผมจนหมดเวลาเยี่ยมด้วยนะ”

คนมาใหม่ต่างงงงวย ไม่เข้าใจ

ถึงจะเพราะว่าเป็นห่วงที่เขาประสบอุบัติเหตุ แต่คงไม่มีใครอยู่จนถูกพยาบาลไล่อย่างแน่นอน ฐานทัพจึงต้องออกปากเอง ส่วนรายละเอียดภันวัฒน์เป็นฝ่ายพูดแทน

“ฐานกลัวแฟนเก่ามาเยี่ยม”

อาทิตย์อัสดงเป็นคนแรกที่ทำหน้าเหมือนเข้าใจ คนที่เหลือก็เหมือนจะเข้าใจตาม มีแต่เกรียงไกรที่พลั้งปากพูดออกมา

“หมอนั่นยังติดต่อฐานอยู่เหรอ”

“เปล่าหรอก บังเอิญเจอกัน ผมก็เลยวิ่งหนีจนถูกรถชนนี่ไงล่ะ”

ได้ยินแล้วเกรียงไกรก็ดูจะตะลึงไม่น้อย คำว่า ‘ซะงั้น’ หลุดออกมาจากปากเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้

“ผมยังไม่พร้อมจะคุยกับเขา ถึงได้เรียกพวกพี่ๆ มานี่...”

ยังพูดไม่ทันจบประโยค ประตูห้องพักก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนที่ถูกพูดถึงก้าวเข้ามา

ฉับพลันที่ฝ่ายนั้นเห็นว่ามีคนอยู่เต็มห้องก็ตะลึงไป ทว่าเพียงเห็นว่าฐานทัพนั่งอยู่บนเตียง ไม่ได้นอนหลับตาอย่างหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาร่างนั้นก็ปรี่ถลาเข้ามาอย่างเร็วไว ลืมมารยาทที่ควรมี แหวกคนทั้งหมดเข้ามาประชิดเตียงในทันที

ฐานทัพตกใจจนกระถดตัวถอยหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว และรีบดึงมือหนีจากมือของสิบทิศที่ยื่นเข้ามาคว้าเอาไว้อย่างเร็วพลัน แต่ดูเหมือนจะช้าเกิน

“ฐานฟื้นแล้วเหรอ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

ใบหน้าของฐานทัพเต็มไปด้วยความเลิ่กลั่ก กวาดตามองคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องด้วยกันพลางพยายามดึงมือที่ถูกยึดเอาไว้ไปด้วย

“ปล่อยฐานก่อนดีไหม”

เป็นภันวัฒน์ที่ช่วยออกหน้าให้ มิหนำซ้ำยังต่อท้ายด้วยว่าฐานยังเจ็บอยู่ เหมือนเป็นการต่อว่ากลายๆ

นั่นคงทำให้สิบทิศรู้สึกตัวจึงค่อยๆ ปล่อยมืออย่างแผ่วเบา จนฐานทัพต้องขอบคุณภันวัฒน์ในใจอีกครั้ง

“ฐานฟื้นตั้งแต่เมื่อไร”

ความเงียบปกคลุมลงมาทันควันเมื่อคำถามต่อไปถูกส่งมา เพราะเหมือนระบุชื่อคนที่ต้องตอบไว้แล้วจึงไม่มีใครกล้าพูดแทรกขึ้นมาอีกรอบ ในขณะที่ฐานทัพก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มอึดอัดกระอักกระอ่วนขึ้นมา

“ตอนบ่ายๆ”

“เหรอ แล้วยังเจ็บมากอยู่ไหม พี่เป็นห่วงฐานมากเลยนะ”

สีหน้าท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมานั้น เหมือนกับว่าจะห่วงเขาจริงๆ ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็น ‘ความห่วงใยเพียงผิวเผินเหมือนที่ผ่านมา’ หรือไม่ จึงไม่กล้าที่จะเชื่อ

“ไม่ค่อยเจ็บแล้ว”

“งั้นเหรอ ก็ดีแล้ว พี่ค่อยโล่งอกหน่อย ฐานรู้ไหม ไม่ได้เจอฐานตั้งสองปี พี่คิดถึงฐานทุกวันเลยนะ”

หากไม่ควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ฐานทัพคงเผลอส่งเสียงอะไรสักอย่างออกมาเป็นแน่ ทว่าแม้ภายนอกจะแสดงปฏิกิริยาเงียบกริบ ถ้อยคำนั้นก็ทำให้ภายในปั่นป่วนไปหมด เขาทำได้แต่เงียบ ไม่ตอบอะไรกลับไป

“ผมอยากพักแล้ว”

เพราะความเงียบโรยตัวลงมาอยู่นาน ไม่ว่าใครต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา เหมือนเฝ้าดูสถานการณ์ว่าเขาจะทำอย่างไร สุดท้ายฐานทัพจึงต้องออกปาก เกรียงไกรเลยรีบเสนอ

“ถ้างั้นเรากลับกันดีไหม ฐานจะได้พักผ่อน เพิ่งฟื้นมาใหม่ๆ แล้วมาเจอคนเยอะๆ ต้องเพลียอยู่แล้วล่ะ”

“นั่นสินะ”

หนึ่งฤทัยรับคำอย่างเห็นด้วย อาทิตย์อัสดงก็คล้อยตาม

“อืม ให้ฐานพักแหละดีแล้ว”

และสุดท้ายภันวัฒน์เหมือนจะตอกย้ำ พูดกับสิบทิศอย่างจงใจ

“ผมว่าคุณก็กลับไปพร้อมกันเถอะ”

“แต่ว่าผมยังมีเรื่องอยากคุยกับฐาน”

“เอาไว้ให้ฐานอาการดีขึ้นกว่านี้ก่อนค่อยคุยก็ได้ คุณห่วงฐานไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็สมควรจะให้ฐานพักเยอะๆ สิ”

ฐานทัพเห็นด้วยกับคำพูดของภันวัฒน์อยู่ในใจ แม้รู้ว่า ‘เอาไว้ให้ฐานอาการดีขึ้นกว่านี้ก่อนค่อยคุย’ เป็นสิ่งที่จะไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะพรุ่งนี้เขาจะย้ายโรงพยาบาลแล้ว แน่นอนว่าสิบทิศไม่มีทางรู้

“เอาอย่างนั้นก็ได้”

สิบทิศยอมรับได้ง่าย มิหนำซ้ำยังหันมาบอกเหมือนเป็นการล่ำลา

“ฐานพักเยอะๆ นะ จะได้หายเร็วๆ แล้วมาคุยกัน”

จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องไป สิบทิศไม่มีท่าทีอ้อยอิ่งเลยแม้แต่น้อย

ภายในห้องกลับมาเงียบสงบเช่นยามบ่ายที่มีตนอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวขึ้นมาอย่างฉับพลันโดยไร้สาเหตุ แต่แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวและวังเวงภายในห้องเงียบๆ แห่งนี้ ฐานทัพก็ยังโล่งใจอยู่บ้างที่สิบทิศไม่ได้ดันทุรัง

ทว่า...มันกลับเป็นความคิดที่ผิด

เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาทีประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างของสิบทิศที่มาเยือน

ฐานทัพตื่นตะลึงพรึงเพริด เพราะไม่คิดว่าสิบทิศจะปรากฏตัวอีกครั้ง

อีกฝ่ายเดินยิ้มเข้ามาเหมือนดีใจที่เขาตะลึง จากนั้นก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง พูดพึมพำว่าในที่สุดก็ได้อยู่กันสองคนสักที ยิ่งทำให้ฐานทัพรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา พยายามกระถดตัวถอยหนี ทว่าสิบทิศก็ย้ายตัวขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างรวดเร็วแล้วยึดแขนเขาเอาไว้ ไม่ให้สามารถถอยหนีไปได้อีก

“คุณกลับมาทำไมอีก”

แม้ไม่ต้องส่องกระจกฐานทัพก็รู้สึกว่าสีหน้าของตนในยามนี้คงมีแต่แววหวาดกลัวจนขาวซีด แต่สิบทิศก็ไม่ได้คลายมือออก กลับยิ้มแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบานุ่มนวล

“ทำไมถึงกลับมาเรียกคุณอีกแล้วล่ะ”

ฐานทัพไม่ตอบแล้วเม้มริมฝีปากแน่นอยู่นานจนสิบทิศเหมือนจะถอดใจ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“อย่างน้อยก็ฟังพี่พูดโดยไม่หนีหน่อยได้ไหม”

เงียบไปอยู่อึดใจหนึ่งฐานทัพก็เหลือบมองแขนของตนเองที่ถูกคีมมนุษย์คีบไว้ สิบทิศจึงเปลี่ยนจากยึดเอาไว้เป็นกุมมือข้างที่ไม่ได้เข้าเฝือกหลวมๆ แทน

“พี่อยากขอโทษฐานมาตลอด พี่ขอโทษนะที่เคยทำไม่ดีกับฐาน พี่เสียใจ”

ทั้งที่คำพูดเหล่านั้นชัดเจนว่าสื่อความหมายว่าอะไร ทว่าเมื่อเข้าหูฐานทัพแล้วกลับฟังไม่เข้าใจสักอย่าง

เขาไม่รู้ว่าสิบทิศกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ พูดด้วยเหตุผลอะไร

“พี่รู้ตัวเองดีว่าผิดแล้ว พี่ทำให้ฐานเสียใจมากจนฐานต้องโกหกพี่ใช่ไหม”

ครั้งนี้เขาฟังเข้าใจว่าหมายถึงอะไร เพราะเพิ่งรู้ว่าความแตกแล้วเมื่อบ่ายนี้เอง

“ฐานไม่ได้เป็นเอดส์ ไม่ได้ติดเชื้ออะไรทั้งนั้น ทำไมต้องโกหกพี่ด้วย อยากเลิกกับพี่ถึงขนาดโกหกพี่ สร้างหลักฐานปลอมหลอกพี่แบบนั้นเลยเหรอ”

เขาพูดอะไรไม่ออก

มันเป็นความจริง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นทางเดียวที่เขาเลือกได้

“พี่ขอสารภาพตามตรงนะ ตอนแรกที่พี่โดนหลอกว่าฐานเป็นเอดส์ พี่โมโหมาก โกรธเกลียดฐานมาก”

พูดมาถึงตรงนี้มือที่กุมมือของเขาไว้ก็ลูบบนหลังมือเบาๆ อย่างอ่อนโยน ราวกับจะทะนุถนอมตรงกันข้ามกับคำพูดอย่างสิ้นเชิง

“ตอนที่พี่ไปตรวจแล้วรู้ผลว่าพี่ไม่ได้เป็น พี่ก็โล่งอก แล้วก็รู้สึกว่าโชคดีจริงๆ ที่พี่ไม่ได้ติดโรคมาด้วย เลวใช่ไหมล่ะ”

ทั้งที่เขาไม่ได้พูดอะไรตอบ แต่สิบทิศก็พยักหน้า

“อืม พี่รู้แล้วล่ะว่าพี่เลวจริงๆ”

แล้วก็พูดต่อ

“พี่คิดว่าฐานจากไปซะได้ก็ดี ดีกว่าเอาโรคร้ายๆ มาติดพี่ โชคดีที่ฐานออกไปจากชีวิตพี่ก่อนที่พี่จะล่มจมแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ หลังจากนั้นพี่ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เหมือนคนเพิ่งได้พบอิสระเป็นครั้งแรก พอว่างก็สำมะเลเทเมาสังสรรค์กับเพื่อน แต่ว่า...”

ถ้อยคำของสิบทิศเงียบไปชั่วครู่ มือที่ลูบอยู่บนหลังมือของฐานทัพหยุดลง ทำให้ฐานทัพที่ได้แต่ก้มหน้ามาตลอดเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ฉับพลันนั้นก็เห็นแววตาที่ดูเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย

“พี่มีอะไรกับใครไม่ได้อีกเลย”

ความเงียบแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้องในบัดดล จากนั้นถ้อยคำเลวร้ายก็ตามมา

“เวลาพี่จะมีอะไรกับใครก็มีหน้าฐานโผล่ออกมา บอกว่าฐานเป็นเอดส์ พี่อาจจะติดโรคก็ได้ ให้ไปตรวจซะ มีแต่หน้าฐานตอนนั้นลอยออกมา”

ทั้งที่พูดแบบนั้นแท้ๆ แต่สีหน้าของสิบทิศกลับไม่มีแววโกรธขึ้งแม้แต่น้อย ยังคงเศร้าสร้อยเหมือนเดิม

“พี่โกรธมาก โมโหสุดชีวิต พังข้าวของ อาละวาดเหมือนคนบ้า คิดแต่ว่าฐานพังชีวิตของพี่จนป่นปี้หมดแล้ว พี่มีเซ็กซ์ไม่ได้อีกก็เพราะฐาน ตอนนั้นพี่เกลียดฐาน เกลียด เกลียดมาก เกลียดจับใจ”

คำว่า ‘เกลียด’ ที่ได้ยินซ้ำๆ เหมือนมีดกรีดเฉือนหัวใจตรงที่เดิม กรีดจนมันเหวอะหวะ เน่าเฟะ

ทั้งที่พยายามจะลบมันออกไป ทั้งที่พยายามลืมความรู้สึกที่เคยมีให้สิบทิศ แต่มันกลับไม่ได้หายไปไหนเลย ยังคงท่วมขังอยู่ในใจ เจิ่งนองโดยไร้ที่ไป

สุดท้ายมันก็ล้นทะลักออกมา...

หยดน้ำร่วงเผาะลงมาโดยไม่รู้ตัว และไม่อาจห้ามได้

ตอนนี้ฐานทัพเข้าใจได้แล้วว่าอีกฝ่ายเกลียดตนขนาดไหน เกลียดมากจนอยากทำร้ายให้เขาเจ็บปวดหัวใจตายๆ ไปซะ

ภายนอกทำเหมือนอ่อนโยน แต่คำพูดกลับเชือดเฉือนอย่างโหดร้ายทารุณ

เขาพยายามดึงมือออก แต่กลับถูกสิบทิศฉุดดึงเอาไว้ มือใหญ่อีกข้างยื่นมาปาดขอบตาที่เปียกชื้นให้ น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยออกมา

“พี่ขอโทษนะ พี่ทำให้ฐานเจ็บปวดเสียใจอีกแล้วใช่ไหม พี่ก็เจ็บเหมือนกัน ปวดในอกเหมือนมีมีดมาฟัน มีค้อนมาทุบเวลาที่คิดถึงฐาน เวลาที่นึกถึงหรือเห็นน้ำตาของฐาน”

ทั้งที่บอกว่ารู้สึกอย่างนั้น แต่คำพูดกลับซ้ำเติมความเจ็บปวดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

“พี่เองก็เกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองไม่น้อยไปกว่าที่คิดว่าพี่เกลียดฐาน พี่ยอมรับว่าตอนนั้นพี่รู้สึกเกลียดฐานจริงๆ แต่พอนานวันเข้าความเกลียดนั้นก็เปลี่ยนเป็นเอาแต่คิดถึง คิดถึงฐานอยู่ตลอด คิดถึงตอนเราอยู่ด้วยกัน คิดถึงเวลาฐานยิ้มให้พี่ อ้อนพี่ เอาใจพี่ คิดถึงจนทรมาน ตอนนั้นพี่ถึงเพิ่งคิดได้และทบทวนตัวเอง ทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำกับฐานเอาไว้ คิดได้ว่าตัวเองเลวแค่ไหน สารเลวแค่ไหน”

น้ำตายังคงรินไหลออกมาจากดวงตาของฐานทัพไม่หยุด

ดวงตาของสิบทิศก็เหมือนมีอะไรชื้นๆ รื้นอยู่เช่นกัน

“พี่คิดถึงฐานอยู่ทุกวัน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าจริงๆ แล้วพี่รักฐานมากแค่ไหน และยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอยู่ตลอดว่าทำไมพี่ถึงทำแบบนั้นลงไปได้ ทำร้ายฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่แบบนั้น ทั้งที่รู้ว่าทำให้ฐานเสียใจ แต่ก็ยังทำพลาดซ้ำๆ ขอโอกาสเพื่อแก้ตัว แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ทั้งหมดเป็นเพราะพี่ชั่วเอง พี่เลวเอง ฐานไม่ได้ผิดเลยสักนิด แต่พี่ก็โยนทุกอย่างให้ฐานต้องแบกรับ ต้องทรมานกับความเห็นแก่ตัวความเลวทรามของพี่”

หยดน้ำร่วงหล่นลงมา หากแต่ไม่ใช่จากดวงตาของฐานทัพ ทว่าเป็นสิบทิศ

ในขณะที่ดวงตาของฐานทัพเอ่อคลอไปด้วยหยาดใสๆ ไปหมดจนภาพพร่าเลือนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงยังเห็นว่ามีหยดน้ำไหลออกมาจากตาของคนตรงหน้า

“พี่อยากขอโทษฐานมาตลอด อยากขอโทษมาก พี่ผิดเอง ผิดทุกอย่างเลย แล้วยิ่งพี่ได้มารู้ว่าพี่ภันอะไรนั่นไม่ได้เป็นชู้กับฐาน แต่กลับเป็นคนที่คอยปลอบโยนใส่ใจฐาน พี่ก็ยิ่งเจ็บ หัวใจมันปวดไปหมด”

สิบทิศทุบหน้าอกตัวเองซ้ำๆ เหมือนแสดงให้รู้ว่าความเจ็บปวดที่ตนเองรู้สึก ไม่อาจเทียบเท่าได้กับกำปั้นนั้น

“ตอนแรกพี่ไม่เข้าใจว่าถ้าฐานไม่ได้มีอะไรกับเขาแล้วทำไมฐานถึงติดโรคมา ถึงไม่ใช่เขา ฐานก็มีคนอื่นอีกใช่ไหม เพื่อนฐานคนที่พี่เคยเจอจังๆ นั่นไง แล้วพี่ก็โกรธขึ้นมาอีก แต่พี่ก็คิดขึ้นได้ว่าเพราะพี่ผลักไสฐานไปเองไม่ใช่เหรอ แถมตอนนั้นพอเข้าใจว่าฐานทำตัวแบบนั้น พี่ยังทำร้ายฐานอีก ทำให้ฐานเจ็บช้ำ ฝืนใจฐานทั้งที่ฐานขอร้องอ้อนวอน พี่มันเลว พี่มันชั่ว ต่ำช้าจริงๆ”

น้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของสิบทิศ ทว่ามันกลับหยุดไปแล้วสำหรับฐานทัพ

เขาจ้องมองความทุกข์ทรมานของอีกฝ่ายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคล้ายเป็นภาพมายา เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกปวดหนึบรวดร้าวในอก เหมือนถูกหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้จนแน่นไปหมด แม้แต่หายใจก็ยังลำบาก

“แต่ตอนนี้พี่รู้หมดแล้ว พี่เข้าใจหมดแล้ว ฐานไม่เคยนอกใจพี่เลยใช่ไหม ทั้งหมดที่ฐานเคยพูด ฐานโกหกพี่หมดเลยใช่ไหม”

ริมฝีปากของฐานทัพยังคงเม้มเข้าหากัน ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา

“พี่มันบ้าไปเอง โง่ไปเองที่หน้ามืดตามัวหลงเชื่อคำโกหกพวกนั้น ไม่เชื่อใจฐานเลย ไม่เข้าใจฐานเลยสักนิดว่ารู้สึกยังไงถึงต้องโกหกแบบนั้นออกมา”

มือของฐานทัพถูกดึงไปแนบแก้มที่เปียกชื้นของสิบทิศ แนบไว้อย่างสนิทเหมือนกับว่าไม่อยากปล่อยเขาไป

“พี่รู้ว่าพี่มันเลวทรามต่ำช้า แต่ตอนที่ฐานถูกรถชนไปต่อหน้า พี่รู้สึกเหมือนหัวใจแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ ทุรนทุรายเหมือนตัวเองถูกทรมานแสนสาหัส มีแต่ความรู้สึกเดียวว่าไม่อยากให้ฐานตาย ไม่อยากเสียฐานไป ความรู้สึกพวกนี้มันทะลักออกมาไม่หยุดจนพี่แทบเป็นบ้า พี่ไม่รู้เลยว่าถ้าฐานตายพี่จะทำยังไง จะอยู่ยังไงต่อไป ทั้งที่พี่ไม่ได้เจอฐานมาสองปีแล้วก็ยังอยู่มาได้ ถึงจะอยู่โดยไม่มีความสุขเลยสักวัน แต่พี่ก็ยังอยู่ได้ แต่พอเห็นฐานหลับตา เลือดอาบไปทั้งตัวพี่กลับคิดแบบนั้นขึ้นมาได้อย่างเดียว”

มือที่ถูกดึงไปแนบกับแก้มค่อยๆ เลื่อนไปในตำแหน่งริมฝีปาก มันถูกกดให้แนบติดเอาไว้ทั้งอย่างนั้น

ฐานทัพไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะดึงมันออกอีกแล้ว

ในเวลานี้สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากทุกอณูของสิบทิศคือ...ความจริงใจ

ความจริงใจที่เขาไม่คิดว่าจะได้สัมผัส ความจริงที่ใจเขาไม่คิดว่ามันมีอยู่จริง

ความรู้สึกของสิบทิศที่เขาไม่คิดว่าจะได้สัมผัสอีกครั้ง

“ฐาน พี่ขอโอกาสได้ไหม ขอโอกาสให้พี่อีกครั้งนะ พี่จะไม่ทำตัวเลวทรามต่ำช้าแบบนั้นอีกแล้ว จะไม่ทำให้ฐานเสียใจอีก ขอแค่ฐานกลับมาอยู่กับพี่อีกครั้ง พี่ทนไม่ได้แล้วที่จะต้องเสียฐานไปอีก”

ใบหน้าของสิบทิศแหงนมองขึ้นมา ดวงตาที่วาววับด้วยความเปียกชื้นสั่นไหวจับจ้องมา ทำให้หัวใจของฐานทัพสั่นสะท้านไปหมด

เขารู้ตัวเองดี รู้ดีอยู่แก่ใจ รู้ดีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่หลอกตัวเองเรื่อยมาเท่านั้น

สิบทิศยังคงอยู่ตรงนั้น อยู่ในซอกหลืบส่วนลึกในหัวใจ ส่วนลึกที่สุดที่เขาพยายามเอาความเมินเฉยทับถมเอาไว้

ทว่าในตอนนี้เยื่อหนาๆ หลายร้อยชั้นเท่าจำนวนวันที่เขาปูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลับฉีกขาดไปอย่างง่ายดาย เหมือนถูกเจาะทะลวงลงมาด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลอย่างไม่ปรานีปราศรัย

แต่...เขาก็ยังหวาดกลัวเกินไป

กลัวที่จะรัก กลัวที่จะกลับไปยอมรับสิ่งนั้นอีกครั้ง

เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลลงไป แล้วเอ่ยขึ้นมาหลังจากปล่อยเวลาให้ผ่านไปเนิ่นนานโดยไม่ปริปาก

“ผม...เหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน ช่วยกลับไปก่อนได้ไหม”

อีกฝ่ายเหมือนจะอึ้งในคำตอบ แต่ก็ไม่ได้ดื้อดึงที่จะซักไซ้เอาคำตอบในเวลานี้ อาจจะเข้าใจว่าเขาต้องการเวลาก็เป็นได้

“ก็ได้ งั้นวันนี้พี่กลับก่อนนะ ฐานพักให้มากๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมาเยี่ยมใหม่”

มือที่ถูกจับเอาไว้ถูกคลายออกอย่างแผ่วเบานุ่มนวล คล้ายกลัวว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บ จากนั้นร่างของสิบทิศก็ลุกขึ้นแล้วขยับเข้ามาใกล้

ฐานทัพเงยหน้ามองด้วยปฏิกิริยาตามธรรมชาติโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉับพลันนั้นริมฝีปากของสิบทิศก็ประทับลงมา

ที่ริมฝีปากของเขา...

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน อาจจะแค่เสี้ยววินาที หรืออาจจะหนึ่งนาทีก็ได้

ฐานทัพรู้สึกว่าทุกอย่างหยุดนิ่งไปในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งมันผละห่างออกไป และเห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสิบทิศทั้งที่ยังมีคราบน้ำ

“ฝันดีนะ พี่รักฐานนะครับ”

สุดท้ายการมีอยู่ของสิบทิศก็มลายหายไป เหลือไว้แต่เสียงหัวใจที่ก้องดังกระหน่ำรัวอยู่ในอกของฐานทัพ

เขานั่งบื้อใบ้อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ พอรู้ตัวว่าเหลือเพียงตัวเองที่อยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าถึงได้ล้มตัวลง ข่มตาหลับ พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ทว่าทุกอย่างกลับแจ่มชัดเหมือนจะทารุณกัน

เขาหลับไม่ลง แม้จะปิดตาอยู่นาน...

 






------------------
ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายแล้วค่ะ



ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
«ตอบ #45 เมื่อ12-04-2020 21:00:17 »

เฮ้อออ อีสิบทิศสำนึกได้ซะที

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
«ตอบ #46 เมื่อ12-04-2020 23:41:52 »

อะไรกัน สำนึกง่ายๆแบบนี้เลยหรอ??

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
















E p i l o g u e

 

ฐานทัพข่มตาหลับอยู่ตลอดคืนแต่ก็ไม่สำเร็จ ในใจได้แต่คิดวนเวียนถึงคำพูดของสิบทิศซ้ำแล้วซ้ำเล่า สลับกับเขาบอกตัวเองว่าให้เลิกคิดซะ เป็นเช่นนั้นไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยครั้งจนกระทั่งได้ยินเสียงของภันวัฒน์ดังขึ้น ถามว่าตื่นแล้วหรือยัง เขาถึงได้ขยับตัวลุกขึ้นและรู้สึกตัวว่าเช้าแล้ว

“เดี๋ยวฐานต้องไปตรวจร่างกายแล้วนะ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรวันนี้ก็ย้ายโรงพยาบาลได้”

คำบอกนั้นทำให้ฐานทัพเพิ่งตระหนักได้ถึงเรื่องที่ตนเองลืมไป

เขาไปตรวจร่างกายตามที่อีกฝ่ายบอก และผลก็ออกมาว่าร่างกายไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น นับเป็นเรื่องดี

ภันวัฒน์ยิ้ม ช่วยเขาเก็บของทั้งที่ไม่ค่อยจะมีอะไรให้เก็บด้วยซ้ำ ระหว่างช่วยเก็บเสียงทุ้มก็เอ่ยถาม

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ”

หน้าตาอิดโรยของเขาคงบอกทุกสิ่ง

ฐานทัพไม่อยากปิดบังจึงผงกศีรษะตอบไปตามตรง เล่าว่าสิบทิศกลับมาและพูดอะไรบ้าง

“แล้วฐานจะเอายังไง”

“ผม...ไม่รู้”

“ฐานยังรักเขาอยู่ใช่ไหม”

เขาพยักหน้า

“แต่ก็กลัวว่าจะต้องเจ็บปวดซ้ำอีกใช่หรือเปล่า”

เขาพยักหน้าซ้ำ

ภันวัฒน์พูดเหมือนอ่อนใจ

“ถ้าอย่างนั้นไม่กลับไปจะดีกว่าไหม ถึงกลับไปเพราะกลัวก็อยู่อย่างไม่มีความสุขหรอก”

เขาก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจเต็มประดาแต่ก็ไม่อาจตัดใจได้

“เรื่องนี้พี่ช่วยฐานตัดสินใจไม่ได้ซะด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ฐานต้องเลือกเอง”

ฐานทัพนิ่งเงียบ

เขาเข้าใจดี เข้าใจเป็นอย่างดี

“เรื่องคดีกับคู่กรณี”

อยู่ๆ ภันวัฒน์ก็พูดเรื่องอื่นขึ้นมาเสียเฉยๆ ถึงกระนั้นฐานทัพก็ยังคงรอฟังประโยคต่อไปด้วยอยากรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“พี่ตามเรื่องให้แล้ว ทางนั้นบอกว่าสิบทิศจัดการแล้ว จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ”

หลังจากนั้นภันวัฒน์ก็เงียบไปไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงมองหน้าเขานิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง คล้ายจะให้เขาใช้สิ่งนี้ในการตัดสินใจ

ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อกลับไป

หรือใช้เหตุนี้เพื่อตัดขาดกันสิ้นเชิง...

ไม่ว่าเลือกทางไหนเขาก็ตัดสินใจไม่ได้และตัดใจไม่ได้เช่นกัน

ไม่มีทางที่อยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสองอย่างนี้บ้างเหรอ?

ฐานทัพถามตัวเองซ้ำๆ เช่นนั้น นานนับนาที นานนับสิบนาที

“เมื่อกี้พยาบาลเข้ามาบอกว่าได้เวลาย้ายแล้ว ให้พี่ไปบอกไหมว่าขอเลื่อนเป็นตอนบ่าย เดี๋ยวพี่พาไปส่งเอง ระหว่างนี้ฐานจะได้คิดไปเรื่อยๆ ว่าทางไหนถึงจะดีกับตัวเองที่สุด”

ภันวัฒน์ไม่ได้บีบบังคับให้ตัดสินใจในทันที แต่เผื่อทางไว้ให้เขาเลือก ถึงกระนั้นฐานทัพก็ตอบออกไปหลังจากหลับตาคิดทบทวนเป็นครั้งสุดท้าย

สุดท้ายเขาก็คิดออกเพียงทางเดียว...

“ผมอยากได้กระดาษกับปากกา”

“จะทิ้งข้อความไว้?”

เหมือนอีกฝ่ายจะคาดเดาการกระทำของเขาได้ เขาพยักหน้าเพียงสองครั้ง ภันวัฒน์ก็ออกจากห้องไปขอของที่เขาต้องการจากพยาบาลมาให้

ฐานทัพรับมาแล้วค่อยๆ จรดปากกาลง เขียนข้อความที่เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วลงไปทีละตัวอักษร และวางมันทิ้งไว้บนตู้ข้างเตียง จากนั้นก็บอกกับภันวัฒน์

“ถ้าห้องนี้ยังไม่มีคนมาใช้ อยากให้วางทิ้งเอาไว้ที่นี่ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ อยากให้พยาบาลช่วยส่งต่อให้เขาได้หรือเปล่า”

“เดี๋ยวพี่ช่วยบอกพยาบาลให้”

หลังจากได้ยินคำตอบนั้นแล้วฐานทัพก็คลี่ยิ้มบางๆ หนึ่งครั้งก่อนจะออกจากห้องที่มีเตียงผู้ป่วยนั้นด้วยรถเข็นที่มีภันวัฒน์เป็นผู้พาไป โดยทิ้งกระดาษสีขาวซึ่งมีลายมือสีน้ำเงินของตนเองเอาไว้อย่างนั้นด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์

...เสมือนทิ้งหัวใจเอาไว้ด้วย

 

 

ถ้าคุณคิดว่าความรู้สึกของคุณมันเป็นของจริง ต้องการผมจริงๆ และจะไม่ทำให้ผมเสียใจอีก

วันนี้ในอีกสิบปีข้างหน้าช่วยมาพบผมที่ตู้ปลาตู้นั้นด้วย

ถ้าผมยังรู้สึกเหมือนเดิม ผมจะไปพบคุณที่นั่น

แต่ผมไม่สามารถรับปากได้ว่าถึงเวลานั้นแล้วผมจะไปที่นั่นหรือเปล่า

 

ฐานทัพ

 



----------------------
จบแล้วค่ะ ขอบคุณคนที่ติดตามอ่านนะคะ
อาจจะมีคนทั้งพอใจและไม่พอใจที่จบแบบปลายเปิด แล้วให้จินตนาการต่อ
แต่คิดว่าเรื่องแบบนี้ควรให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ

เรื่องนี้มีอีบุ๊กนะคะ มีตอนพิเศษ 2 ตอน
ตอนแรกเป็นความรู้สึกของสิบทิศตั้งแต่เจอฐานทัพกระทั่งถึงตอนได้โน้ตแผ่นนี้
ตอนที่สองเป็นเรื่องในอีกสิบปีข้างหน้าค่ะ

แล้วก็ขอฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ เป็นแนวมหา'ลัย อ่านสบายๆ
ถ้าชอบแนวนี้ลองเข้าไปอ่านกันดูนะคะ
ชื่อเรื่อง น้องครับ พี่อยากได้เป็นแฟน

ลิงก์ทั้งสองอย่าง เข้าไปดูในเพจนะคะ



ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
10 ปี สุดยอด,,,

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
10ปี ไม่น่าไว้ใจทั้งคู่ 55555 โอ้วววหลากหลายอารมณ์มากเจ็บปวดใจกันไปมา แบบว่าอีหยังว่ะ 55555 สนุกกกกกกกกกกกกก ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาต่อจนจบ เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดียว  o13 o13 :pig4:

ออฟไลน์ Elle-sama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แต่งดีมากๆเลยค่ะ ประทับใจมากๆ อ่านแล้วอินจนน้ำตาไหลพรากเลย แอบรู้สึกว่าจบแบบนี้ก็ดีนะ

ออฟไลน์ SMiLD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
          เป็นความสัมพันธ์ที่โคตร toxic ไม่เข้าใจมากๆว่าอะไรทำให้ปักใจรักขนาดที่ยอมเจ็บซ้ำๆขนาดนั้น ถ้าจะบอกว่าแค่แต่ก่อนไม่เคยได้รับความรัก แล้วพอได้รับจากคนเดียว "ในช่วงเวลาสั้นๆ" แล้วเลยยึดติดขนาดที่ยอมให้เค้าทำร้ายจิตใจขนาดนั้นดูไม่ make sense เลยซักนิด นักเขียนเขียนได้ดีมาก อินจนหงุดหงิดตัวเอกมากว่าโง่ยอมขนาดนี้ได้ยังไง ไม่รักตัวเองเลยซักนิด
          เริ่มจากช่วงแรกๆที่สิบทิศตามจีบก็ดูน่ากลัวมาก ตื๊อจนน่ากลัว ตื๊อจนกลายเป็นการคุกคาม บังคับไปรับ-ส่ง ปฏิเสธก็ไม่ฟัง ดูน่ากลัวมากกว่าจะน่าประทับใจจนทำให้เปลี่ยนใจไปรักได้ ครั้กแรกที่มีอะไรด้วยก็ไปมอมยาเค้า อ่านแล้วไม่เข้าใจว่ามีจุดไหนที่ทำให้ตัวเอกไปรักสิบทิศได้เลย พอคบกันก็ขี้หึงเกินเรื่องมาก ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ซื่อสัตย์กับคู่ของตัวเอง เป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ในเรื่องของตัวละคร ดูไม่มีมิติ ตัวเลวก็เลวเกิน ดูไม่มีความคิดผิดชอบชั่วดีอะไรเลย เอาแต่ใจ เหมือนไม่มีด้านดี ส่วนตัวเอกก็โง่ เน้นแสดงด้านความรักอย่างเดียว
          ขอบคุณนักเขียนที่เขียนเรื่องนี้ออกมา แนะนำให้ปรับปรุงในเรื่องของตัวละคร พัฒนาตัวละครให้มีมิติมากกว่านี้ แล้วก็อาจจะต้องคิดถึงหลักความเป็นจริงบ้าง ถึงจะเป็นแค่นิยาย เช่นตอนสิบทิศไปตามตื๊อตัวเอกบังคับไปส่งบ้าน อ่านแล้วดูยังไงก็น่ากลัวในความเป็นจริง ไม่ได้รู้จักกันมากขนาดนั้น แบคกราวยังไงก็ไม่รู้ ให้ไปส่งแล้วรู้ที่อยู่บ้านขึ้นมาอาจจะเป็นอันตรายได้ ... ในแง่การเขียนค่อนข้างดี ใช้สำนวนอ่านง่ายดี มีคำผิดเล็กน้อยที่ไม่ขัดการอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนพัฒนาผลงานต่อไป

  :L2: :L2: :pig4: :L2: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด