พิมพ์หน้านี้ - 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: undersky ที่ 26-01-2019 18:58:54

หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 26-01-2019 18:58:54
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

***************************************************************************************















-------------------------------
เรื่องอื่นๆ
It's U, It's Me : กวนนัก แต่รักนะครับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29969.0)
It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.0)
「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.0)

หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || P r o l o g u e [26/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 26-01-2019 19:00:59



P r o l o g u e

 

บรรยากาศสลัวที่มีแสงไฟสาดส่องลงมา จะว่ามืดก็ไม่มืดสว่างก็ไม่สว่างนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงเพลงจังหวะเร็วๆ ดังอย่างต่อเนื่องให้ผู้คนได้โยกตัวไปตามท่วงทำนอง รู้สึกสนุกสนานไปกับความบันเทิงของสถานที่รื่นรมย์สำหรับผู้มีรสนิยมเฉพาะแห่งนี้

ชายหนุ่มร่างเล็กนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ขนาดยาวเพราะไม่มีเพื่อนคู่กายมาแบบคนกลุ่มอื่นๆ ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาสามารถหาได้จากแถวๆ นี้ดั่งเช่นทุกครั้งที่มาเยี่ยมเยือน

นัยน์ตาสีดำกวาดไปทั่วบริเวณที่สายตาสามารถไปถึงได้ มองดูว่ามีใครบ้างที่พอจะถูกใจให้เป็นเพื่อนร่วมเล่นกีฬาบนเตียงสำหรับคืนนี้ได้ และดูเหมือนเขาจะเจอเป้าหมายแล้ว

ฐานทัพเลียริมฝีปากนิดๆ ผลิยิ้มมุมปากหน่อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน สองขาก้าวออกเก้าอี้สูงที่นั่งแช่อยู่เมื่อครู่เพื่อตรงไปหาบุคคลที่ตนเล็งเอาไว้แล้ว ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวตรงหน้าก็ถูกร่างหนึ่งขวางเอาไว้

ครั้นเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่สูงกว่าตนเองหนึ่งศอก จากใบหน้าที่แต้มยิ้มอยู่เล็กน้อยก็ต้องเปลี่ยนเป็นชักสีหน้าไม่สบอารมณ์แทน

มารผจญ...อีกแล้ว

สมชื่อสิบทิศจริงๆ ให้ตายสิ

เขาหันไปทางไหนเป็นต้องเจอ

“คืนนี้...”

“โน”

ไม่ทันให้อีกฝ่ายอ้าปากพูดจบประโยค ฐานทัพก็ตอบเสียงห้วนกลับไปทันที

หากพิจารณาจากผู้ชายตรงหน้าก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีทีเดียว รูปร่างสูงโปร่ง ถึงจะไม่ได้ถึงขนาดมีกล้ามเป็นมัดๆ แต่ก็ไม่ได้ผอมแห้ง หน้าตาก็จัดอยู่ในประเภทที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ อาจจะเรียกเรียกได้ว่าระดับดีเลยล่ะ ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย บุคลิกก็น่าเข้าหา สรุปคือรวมๆ แล้วเป็นผู้ชายที่น่าเล่นด้วยเป็นที่สุด

ถ้าเป็นคนอื่นละก็เขาไม่ปฏิเสธจะร่วมเตียงด้วยอย่างแน่นอน

แต่...เขากลับรู้สึกว่าไม่อยากจะวันไนต์สแตนด์กับหมอนี่เลยจริงๆ

“เมื่อไรจะใจอ่อนสักทีล่ะ ทีกับคนอื่นยังไปได้เลย ไม่คิดบ้างหรือไงว่าพี่จะรู้สึกยังไง”

นั่นแหละ เพราะหมอนี่ดูท่าจะจริงจังกับเขาน่ะสิ เขาถึงไม่อยากเล่นด้วย

สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือการได้สนุกไปเรื่อยๆ ไม่ผูกมัดกับใคร

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตัวเข้าไปพัวพันกับคนที่คิดจริงจัง

“ผมบอกคุณแล้วว่าผมไม่”

พูดอย่างนั้นจบฐานทัพก็บิดตัวเดินผ่านร่างนั้นไป ทว่าก็ถูกดึงแขนเอาไว้จากทางด้านหลังจนต้องเอี้ยวตัวกลับไปชักสีหน้าใส่อีกรอบให้รู้กันไปว่าอย่ามายุ่ง

“เหตุผลล่ะ”

“เคยบอกไปแล้ว จำไม่ได้หรือไง”

“เพราะว่าพี่ชอบฐานจริงๆ เนี่ยนะ”

ฐานทัพไหวไหล่เหมือนไม่แคร์คำว่า ‘ชอบ’ ที่หลุดจากปากอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำยังพูดเสียงต่ำคล้ายข่มขู่

“ปล่อย”

สิบทิศมีสีหน้าผิดหวังผสมน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้ทำให้ฐานทัพรู้สึกอะไรเลยสักนิด เขาทำหน้าเฉยชามองมือที่จับแขนตนเองสลับกับหน้าของอีกฝ่าย

“ผมบอกให้ปล่อยไง”

“พี่จะยอมปล่อยก็ได้ ถ้าฐานดื่มนี่”

แก้วทรงสูงมีเครื่องดื่มสีอำพันอยู่ข้างในถูกยื่นมาให้ ฐานทัพเหลือบลงมองมันเล็กน้อยแล้วย้อนสายตาไปยังใบหน้าของคนยื่นข้อเสนอ มองอยู่ครู่สั้นๆ เสียงของสิบทิศก็ดังขึ้นอีก

“คิดว่าพี่ใส่ยาอะไรไว้เหรอ”

เหมือนจงใจจะพูดดักทางกันไว้ แต่ฐานทัพไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย เขายักไหล่หนึ่งครั้งก่อนจะตอบ

“เปล่า”

“งั้นถ้าพี่บอกว่าใส่ยาปลุกเซ็กซ์เอาไว้ล่ะ”

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มที่เปิดเผยถึงความเจ้าเล่ห์ของฐานทัพได้เป็นอย่างดี อีกทั้งคำพูดที่เอ่ยตอบยังเหมือนกับยิ่งตอกตะปูที่ปักคาอยู่บนอกของสิบทิศให้ยิ่งจมลึกลงไปอีกว่าผู้ชายคนนี้ร้ายกาจ

“จะใส่หรือไม่ใส่ผมไม่มายด์หรอก แค่ดื่มก็พอใช่หรือเปล่า”

หลังจากคำพูดนั้นก็ไม่ได้ทิ้งเวลาไว้ให้อีกฝ่ายได้สวนคำตอบ มือเรียวเล็กคว้าแก้วที่ถูกยื่นค้างไว้มากระดกดื่มรวดเดียวจนหมด ปิดท้ายด้วยคำพูดถากถางพร้อมกับแก้วที่ยัดกลับลงมือผู้เป็นเจ้าของ

“ผมไม่ได้จนตรอกถึงขนาดว่ากินยาปลุกเซ็กซ์เข้าไปแล้วก็ต้องมีอะไรกับคุณคนเดียวสักหน่อย บาย”

หลังจากล่ำลาฝ่ายเดียวแล้วฐานทัพก็เดินจากมา ไม่เหลียวหันกลับไปมองอีกคนแม้แต่เสี้ยวเซนติเมตร

 

 

ดวงตากะพริบๆ อยู่หลายครั้งก่อนจะเปิดขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานห้องที่ดูเหมือนจะคุ้นตา เพราะว่าเขามาใช้บริการมันบ่อยจนคล้ายกับเป็นบ้านหลังที่สองไปแล้ว

ฐานทัพค่อยๆ ขยับร่างที่อ่อนล้าปวดเมื่อยกว่าปกติอยู่สักหน่อย นึกในใจว่าสงสัยเมื่อคืนตนคงเล่นสนุกหนักไปนิด แต่พอคิดอย่างนั้นแล้วก็ต้องยกมือขึ้นมาทุบขมับตัวเองเบาๆ เพราะเหมือนว่าจะจำกิจกรรมเริงรักที่สนุกสุดเหวี่ยงเมื่อคืนไม่ได้เอาเสียเลย

ทำไมมึนขนาดนี้วะเนี่ย

ศีรษะเล็กที่มีผมเตียนๆ จนเกือบลู่ไปกับหนังศีรษะด้วยเพราะผมหยักศกจึงไม่อยากไว้ยาวสะบัดไปมาสองสามครั้ง ก่อนฐานทัพจะรู้สึกว่าตาสว่างขึ้นมาหน่อย จากนั้นจึงหันไปดูหน้า ‘คู่นอน’ ที่เขาเลือกมาได้มาเมื่อวาน ทว่าเมื่อหันไปมองข้างๆ แล้วก็ต้องชะงักค้างอยู่หลายวินาทีและหลับตาแน่น เพราะบนเตียงข้างร่างของเขากลับเป็นคนที่ไม่อยากเห็นว่าอยู่บนเตียงเดียวกันมากที่สุด

เมื่อคืนที่ออกมาจากผับด้วยกันไม่ใช่คนนี้ไม่ใช่เหรอวะ

เกิดเรื่องอีท่าไหนถึงกลายเป็นหมอนี่ไปได้

แม้จะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่ฐานทัพก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใส่ใจ พลาดไปแล้วจะแก้อะไรได้

ฐานทัพฉุดร่างลงจากเตียงอย่างเร็วไว เสียหลักเซไปนิดหน่อยก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนเขากับคนบนเตียงเมามันกันขนาดไหน

เขาเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งเรี่ยราดมาตลอดทางตั้งแต่หน้าประตูขึ้นมาสวมอย่างลวกๆ ล้วงกระเป๋าตรวจสอบดูว่าของติดตัวครบถ้วนทุกอย่าง ไม่มีหล่นหายไปตอนไร้สติ แล้วจึงย้อนกลับไปที่เตียงอีกครั้ง

มือเรียวคว้ากระดาษกับปากกาที่อยู่ตรงโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาเขียนข้อความทิ้งเอาไว้

ไม่ใช่เพราะอาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด แต่เพื่อ...

 

ในเมื่อสมใจแล้ว หวังว่าจะไม่มาตื๊อขอกันอีกนะ คุณสิบทิศ ลาขาด

 

จากนั้นประตูห้องก็ปิดลงพร้อมๆ กับร่างเล็กที่ลับไปหลังประตูโดยไม่สนใจคนบนเตียงอีกครั้ง





------------------------------
สวัสดีค่ะ
ไม่ได้เข้ามาอัปนิยายในนี้นานมาก ก็ขอเข้ามาอัปอีกสักเรื่องนะคะ
เป็นแนวดราม่าสั้นๆ สิบกว่าตอน เรื่องจะเดินเร็วหน่อยนะคะ เพราะว่าช่วงเวลาในเรื่องกินเวลานาน






หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 1st Lie กรุณาอย่ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผม
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 29-01-2019 21:09:48














1st Lie
กรุณาอย่ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผม


 

คิ้วเล็กเรียวขมวดเข้าหากันหน่อยๆ เมื่อเดินออกมาจากออฟฟิศด้านหลังโชว์รูมแล้วพบว่ารุ่นพี่ผู้หญิงสามคนกำลังจับกลุ่มคุยอะไรกันอยู่

ถึงจะดูไม่แปลกอะไรที่ผู้หญิงจะเมาท์กัน แต่เพราะเสียงดังเป็นพิเศษและท่าทางดูกระดี๊กระด๊ากันอย่างไรชอบกลฐานทัพจึงอดสงสัยไม่ได้

“คุยอะไรกันอยู่ครับ ดูตื่นเต้นกันจัง ดีนะว่าไม่มีลูกค้าเข้ามา”

พอเสียงห้าวทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นที่ด้านหลัง พวกเธอก็หันมามองเป็นตาเดียว ก่อนจะแหวกวงแล้วตีวงขึ้นมาใหม่โดยมีฐานทัพเข้าร่วมด้วยโดยอัตโนมัติ

“กำลังเมาท์เรื่องหนุ่มหล่อที่มานั่งอยู่หน้าโชว์รูมไงล่ะ”

นาตยา รุ่นพี่ฝ่ายธุรการที่ลุกจากเก้าอี้ประจำตัวมาร่วมวงสนทนาเอ่ยเป็นคนแรก พร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางประตูกระจกใสบานกว้างใหญ่ที่ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้แบบร้อยแปดสิบองศา

ฐานทัพมองตามอย่างไม่เข้าใจ คิ้วมุ่นเข้าหากันอีกนิด

“ไม่เห็นเหรอ นั่นไงๆ นั่งหันหลังอยู่น่ะ”

วีรดา รุ่นพี่หญิงอีกคนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ย้ำ คราวนี้ยกนิ้วขึ้นระบุพิกัดด้วย

ฐานทัพมองตามปลายนิ้วของเธอไป จึงเห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งหันหลังอย่างที่อีกฝ่ายบอก แต่ก็ยังไม่คลายความสงสัย

“แล้วทำไมเหรอครับ”

“โธ่ ฐานนี่ก็”

ระริน รุ่นพี่พนักงานขายเหมือนกันเอ่ยเสียงกึ่งตัดพ้อกึ่งปลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นซ้ำ

“ก็ผู้ชายคนนั้นเขามานั่งอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมงแล้วน่ะสิ”

“เขาคงเอารถมาเช็กละมั้ง นั่งรอข้างในอาจจะอุดอู้ ตรงนั้นก็ร่มดีด้วย”

ถึงจะเป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้วก็ตาม แต่ท้องฟ้าเมืองไทยก็ยังสว่างจ้าให้ผู้คนได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างเต็มที่อยู่ดี

“โอ๊ย ไม่องไม่อ้อมมันแล้ว”

นาตยาร้องขึ้นมาเสียงดังคล้ายกับว่ารำคาญเต็มแก่ แต่อีกสองคนที่เหลือก็ผงกศีรษะหงึกๆ อย่างเห็นด้วยว่าพูดๆ ไปเถอะ ขณะที่ฐานทัพได้แต่เอียงคออย่างสงสัย

“ผู้ชายคนนั้นน่ะ เขามานั่งมองฐานไงเล่า”

คราวนี้จากที่เอียงศีรษะเล็กกลม ดวงตากลมโตหวานเชื่อมเหมือนมีน้ำมาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดจนผู้หญิงยังอิจฉาเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ลงพร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้นด้วยความงุนงงกว่าเดิม

“มองผม?”

“ก็ใช่น่ะสิ พวกพี่สังเกตเห็นกันมาตลอด ฐานไม่รู้สึกตัวเลยหรือไง”

ฐานทัพได้แต่ส่ายหัว ทอดสายตาออกไปยังบุคคลที่ถูกกล่าวถึง และอาจเพราะอีกฝ่ายรู้ตัวกระมังว่าถูกสายตาสี่คู่มองอยู่ถึงได้หันมา

ทันทีที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย ฐานทัพกลอกตาขึ้นอย่างฉับพลัน เขาสูดหายใจแรงๆ แล้วผ่อนออกมาอย่างรุนแรงในระดับเดียวกัน

“หันมาแล้ว นั่นไงๆ ยิ้มด้วย”

“รู้จักกันใช่ไหม”

“เขามาจีบฐานเหรอ”

เสียงถามดังไม่หยุด ฐานทัพจึงถอนหายใจอย่างเอือมระอาออกมาอีกรอบ จากนั้นเดินออกไปประจันหน้ากับอีกคน

“มาทำไม รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่”

ฐานทัพเชื่อว่าไม่มีคนรู้ว่าเขาทำงานเป็นเซลส์ขายรถอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะกับพวกที่เขามีอะไรด้วย เพราะไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังไม่ว่าจะเป็นใคร และก็ใช่ว่าพวกคู่นอนคืนเดียวของเขาจะสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย

“พี่ตามสืบมาน่ะ เป็นเดือนเชียวนะกว่าจะหาเจอว่าฐานทำงานที่นี่”

สิบทิศเป็นลูกค้าคนหนึ่งที่มาใช้บริการผับเดียวกันอยู่บ่อยๆ เขาเคยเห็นหน้าอยู่หลายครั้งแต่ไม่ได้สนใจอะไร ส่วนอีกฝ่ายก็คงรู้จักเขาเพราะชื่อเสียงกระมัง

ฐานทัพผู้ชื่นชอบวันไนต์สแตนด์และไม่เคยนอนกับใครซ้ำเป็นครั้งที่สอง

เมื่อประมาณสามเดือนก่อนสิบทิศเข้ามาแนะนำตัวกับเขา เขาดูจากหน้าตาท่าทางก็รู้สึกสนใจไม่เบา แต่พออีกฝ่ายเปิดปากพูดออกมากลับทำให้ความคิดนั้นสูญสลายไป

ถ้าเพียงสิบทิศไม่พูดว่า ‘ชอบ’ มันก็คงจบไปแล้ว

“ละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่นแบบนี้ มันไม่ดีไม่ใช่หรือไงครับ”

“ก็ถ้าพี่ไม่ทำแบบนี้ พี่จะสร้างโอกาสให้ตัวเองได้มากขึ้นเหรอ ฐานก็คงมองพี่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่นอนด้วยครั้งเดียวแล้วจบ”

“ผมบอกแล้วนะว่าผมไม่คิดจะคบกับคุณ คุณกลับไปเถอะ ผมต้องทำงานต่อ แล้วก็อย่ามาที่นี่อีก มันเป็นการรบกวน”

คำพูดยาวเหยียดของสิบทิศไม่อยู่ในความสนใจของฐานทัพแม้แต่น้อย

เขากล่าวเช่นนั้นแล้วหันหลังกลับ ไม่แยแสอีกฝ่ายที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง รวมทั้งรุ่นพี่ในโชว์รูมที่จับตามองพวกเขามาจากด้านในอยู่ตลอด ไม่ว่าคนทั้งหลายจะซักถามอะไร เขาก็ตอบกลับไปเพียงว่าไม่รู้

ทว่านับจากวันนั้นเป็นต้นมาก็มีของบางสิ่งถูกส่งมาให้ทุกวัน

วันแรกเป็นช่อกุหลาบสีแดงสดจนรุ่นพี่ในโชว์รูมส่งเสียงแซวร้องด้วยความอิจฉา แม้กระทั่งผู้จัดการก็ยังออกปากเช่นกัน พนักงานรวมทั้งแม่บ้านในโชว์รูมต่างรู้กันหมดว่าเขากำลังถูกจีบ

“อยากมีหนุ่มๆ ส่งดอกไม้มาให้บ้างจังนะ”

เมื่อถูกสัพยอกแบบนั้นฐานทัพจึงยื่นกุหลาบสีแดงช่อนั้นให้อย่างไม่เสียดาย

พวกตุ๊ดเกย์คนอื่นๆ อาจจะชอบดอกไม้ก็ได้ แต่สำหรับเขามันไม่ได้มีค่าอะไรเลย

“ผมให้ เอาไปชื่นชมให้เต็มที่เลย”

“อ้าว หนุ่มคนนั้นเขาให้ฐานนะ ฐานจะเอามาให้พี่ได้ยังไง”

“ถ้าพี่ไม่เอา ผมจะเอาไปทิ้งถังขยะนะ”

พอฐานทัพตอบกลับไปห้วนๆ แต่เด็ดขาดเช่นนั้น ฝ่ายหญิงสาวก็รีบคว้าช่อดอกไม้เข้าไปกอดแนบอกในทันที พึมพำว่าเสียดายของจนคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วยหัวเราะขบขัน

วันที่สองเป็นช็อกโกแลตยี่ห้อดัง เขาก็เอาไปแจกจ่ายให้กับทุกคนในโชว์รูมโดยไม่ได้แตะต้องมันเลยสักชิ้น จนถูกถามว่าไม่กินจริงๆ เหรอ อร่อยนะ ซึ่งเขาก็ตอบเพียงแค่ส่ายศีรษะ

อีกหลายวันต่อจากนั้นยังมีของอย่างอื่นส่งมาให้ทุกวัน เขาให้พวกพี่ๆ ในโชว์รูมเหมือนเดิม ของขวัญสารพัดอย่างถูกส่งมามากมายอย่างไม่เสียดายเงิน แม้เขาจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายน่าจะมีฐานะอยู่ในระดับที่ไม่ถึงขนาดเป็นเศรษฐีแต่ก็ถือได้ว่าใช้จ่ายได้ครั้งละมากๆ อย่างไม่เดือดร้อน

ฐานทัพถึงขั้นยกเลิกการเที่ยวกลางคืนประจำวันศุกร์เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไปดักรออยู่ เพราะเพียงเท่านี้ก็ดูเหมือนสิบทิศจะตื๊อไม่เลิกแล้ว

จนกระทั่งวันศุกร์ของสัปดาห์ที่สามนับตั้งแต่สิบทิศส่งของมา ของที่ส่งมาคราวนี้ทำให้เขาหนักใจ แม้แต่คนอื่นๆ ในโชว์รูมก็ยังยิ้มกรุ้มกริ่ม ตาแววระยับ

“หึๆ คราวนี้ไม่อยากแบ่งอะดิ”

เสียงจักรวาล รุ่นพี่ผู้ชายฝ่ายขายเหมือนกันแซวมา ไม่มีใครในโชว์รูมรถแบรนด์ดังแห่งนี้ไม่รู้ว่าเขามีรสนิยมแบบไหน ทั้งเรื่องของที่ชื่นชอบและไลฟ์สไตล์

“ทำใจยากอะพี่”

ของที่อยู่ในมือฐานทัพตอนนี้คือเครื่องดื่มดีกรีแรงจากต่างประเทศที่เขายังไม่เคยได้ลิ้มลองสักหยด และไม่แน่ใจด้วยว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสซื้อมาดื่มเองสักแก้วหรือเปล่า

“แบบนี้เรียกว่ามาถูกทางแล้วสินะ”

“ว่าแต่เขาส่งของมาให้ทุกวันอย่างนี้ ได้คุยกันบ้างหรือยังล่ะ”

ระรินผู้เป็นเจ้าของตำแหน่งขาเมาท์ถามบ้าง ฐานทัพส่ายศีรษะอีก จนนาตยาซึ่งเป็นพี่ใหญ่สุดรองจากผู้จัดการต้องออกปาก

“มันก็ดีที่พวกพี่ได้ลาภลอยเพราะเขา แต่ฐานอย่าลืมนะว่าฐานจะเอายังไงก็ต้องพูดกับเขาตรงๆ ไม่รับของจากเขาก็บอกไป เขาจะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ไม่อยากคบกับเขาก็ปฏิเสธให้ชัด ปล่อยไปเรื่อยๆ แบบนี้มันก็เหมือนให้ความหวังกลายๆ”

นานๆ ครั้งจะมีคำพูดสั่งสอนแบบนี้มา เพราะถึงเขาจะทำงานที่นี่มาสองปี เป็นน้องเล็กของโชว์รูม ทว่าพวกพี่ๆ ก็ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายการใช้ชีวิตส่วนตัวหรือการตัดสินใจ ฐานทัพจึงต้องชะงักคิดตามไป

จากนั้นจักรวาลก็ยื่นถุงกระดาษใบหนึ่งมาให้

“พวกของเล็กๆ น้อยๆ อย่างของกินหรือเสื้อผ้าเข็มกลัดติดเนกไทน่ะ พวกพี่ก็รับแทนได้อยู่หรอก แต่ของแบรนด์เนมชิ้นละหลายพันพวกพี่คงรับแทนไม่ไหว”

เมื่อยื่นมือออกไปรับและก้มลงดูของในถุงนั้นก็พบว่าเป็นเข็มขัด นาฬิกา และน้ำหอมราคาแพงอย่างที่อีกฝ่ายว่า คำพูดจี้ใจดำนั้นทำให้ฐานทัพรู้สึกว่าตัวเองทำผิดไปเล็กน้อยเป็นครั้งแรก

“แต่จะว่าไปวันนี้ยังไม่เห็นผู้ชายคนนั้นเลยนะ”

เพราะทุกๆ วันนอกจากให้แมสเซนเจอร์มาส่งของช่วงสายๆ แล้ว ในตอนเย็นสิบทิศจะโผล่มาอยู่หน้าโชว์รูม มองเข้ามาจากด้านนอก พอเห็นเขาแล้วยิ้มกว้างๆ ให้เสร็จก็จากไปโดยไม่ได้มานั่งรอหรือพูดคุยกันสักคำ

ดังนั้นการที่ถึงเวลาแล้วเจ้าตัวไม่โผล่มาจึงเป็นเรื่องแปลกสำหรับทุกคนในโชว์รูม แม้กระทั่งฐานทัพเอง ถึงกระนั้นก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกอะไรให้เป็นพิเศษ ฐานทัพเพียงยักไหล่บอก

“อาจจะเบื่อแล้วก็ได้มั้ง”

“พี่ว่าน่าจะติดธุระอะไรมากกว่า เพราะถ้าเบื่อเมื่อเช้าคงไม่ส่งเหล้ามาหรอก ไม่ใช่เหรอ”

มีเสียงเห็นด้วย “นั่นสิ” ดังมาเนืองๆ จากหลายคน ฐานทัพจึงคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เกิดประกายวิบวับจากมุมหนึ่งในสมอง เขาตัดสินใจว่าวันนี้จะไปผับประจำ

ถ้าเจอสิบทิศ เขาจะคืนของให้

แต่ถ้าไม่... เขาก็ขอใช้ชีวิตรักสนุกที่ต้องงดไปครึ่งเดือนเต็มๆ อย่างเต็มที่แล้วกัน

แล้วเมื่อถึงเวลา ฐานทัพก็หิ้วถุงกระดาษใบเดิมที่ได้รับมาแต่มีขวดแอลกอฮอล์ดีกรีแรงเพิ่มเติมเข้ามาไปยังสถานที่อโคจรแห่งนั้น

เขาถูกคนที่เคยเห็นหน้าค่าตากันบ่อยๆ ทักทายว่าหายไปนานเลยนะ นึกว่าจะเลิกเที่ยวแล้วซะอีกอยู่หลายคน เพราะปกติแล้วไม่เคยมีสัปดาห์ไหนเลยที่เขาจะเว้นว่างไป ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีใครๆ หลายคนรู้จักเขา และใครๆ หลายคนที่ว่านั้นก็เคยเป็น ‘คู่นอนชั่วข้ามคืน’ ของเขามาแล้วเกือบทั้งนั้น

ฐานทัพนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่เงียบๆ พร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ สถานที่ซึ่งยากต่อการมองเห็น บางมุมมีชายหนุ่มสองคนยืนแนบร่างซุกไซ้ซอกคอกันให้เห็นอย่างไม่กริ่งเกรงหรือเอียงอาย ซึ่งมันก็เป็นภาพที่เห็นจนชินตาไปแล้ว

หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาเคยทำแบบนั้นเหมือนกันเวลาเจอชายหนุ่มที่ถูกใจมากๆ แถมอีกฝ่ายร้อนแรงจนเขาแทบรอให้ถึงโรงแรมไม่ไหว สองลิ้นตวัดเกี่ยว ริมฝีปากดูดดึงกันจนเหมือนจะกลืนกินเข้าไปเสียให้ได้ สองกายสนิทแนบกอดรัดกันจนแทบจะผสานรวมเป็นเนื้อเดียว

ช่วงเวลาที่เร่าร้อนแบบนั้น... โหยหาเหลือเกิน

ฐานทัพเลียริมฝีปากเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก เริ่มรับรู้ถึงความกำหนัดที่แผ่ซ่านขึ้นมาจากกลางกายไล่มายังอก และพุ่งทะยานมาสู่ปากเพราะความอดยากหิวโหยที่สะสมไว้

เขาล้มเลิกความคิดที่จะมองหาเป้าหมายซึ่งตนเพิ่งเคยคิดมองหาเป็นครั้งแรกนั้นเสีย แล้วหา ‘ความสนุก’ ที่จะมาสนองความปรารถนาอันล้นปรี่ของตนในค่ำคืนนี้แทน

ช่วยไม่ได้ ในเมื่อคุณไม่มาเองก็ถึงเวลาหาของกินให้อิ่มท้องของผมแล้ว

ใบหน้ากลมเล็กยังคงเบนมองไปเรื่อยๆ ด้วยเจตนารมณ์ที่เปลี่ยนไป ก่อนสายตาจะสะดุดลงยังกลุ่มชายสามคนที่สองในสามนั้นดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ฐานทัพจึงเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับสัมภาระและแก้วเครื่องดื่มในมือ

“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”

แม้ไม่ต้องเอ่ยปากคนทั้งโต๊ะก็หันมามองฐานทัพเป็นตาเดียวกันแล้ว

สองคนที่ฐานทัพเคยเห็นหน้า หรือพูดง่ายๆ ว่า ‘เคยร่วมเตียง’ หันมายิ้มให้ พร้อมกับตอบกลับ “นั่งสิๆ” กันคนละเสียงสองเสียง

“เหมือนจะไม่เห็นหน้านานเลยนะ”

“พอดีว่ามีธุระนิดหน่อยน่ะครับ”

ฐานทัพตอบด้วยรอยยิ้มละไม ดวงตาวาววับเป็นประกายอยู่เป็นนิจเมื่อต้องแสงไฟสลัวก็ยิ่งดูพริบพราวมากกว่าเดิม

นี่คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งกระมังที่ทำให้หนุ่มร่างเล็กดูมีเสน่ห์มากยามมอง โดยเฉพาะแก้มแดงระเรื่อจางๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และรูปร่างเล็กเพรียวดูอรชรยิ่งกว่าหญิงสาวนั้นดูเย้ายวนในสายตาคนมองจนทำให้ลุ่มหลงเอาได้ง่ายๆ

แม้ใบหน้าของฐานทัพจะไม่มีวี่แววใดที่สะท้อนความงดงามอย่างผู้หญิงออกมาเลย กอปรกับเคราแพะบางๆ ที่คางนั้นด้วยยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ชายโดยไม่อาจคิดเป็นอื่นได้ ทว่าทั้งที่เป็นเช่นนั้น เกย์ฝ่ายรุกหลายๆ คนกลับหลงใหลและใฝ่ปองจะกอดไล้เรือนร่างนี้สักครั้ง โดยที่ฐานทัพก็ไม่รู้ว่าทำไม เพียงแต่ว่า...

เพราะแบบนั้นมันถึงเข้าทางไลฟ์สไตล์ของเขาอย่างที่สุด

“ว่าแต่คืนนี้เล็งใครไว้แล้วหรือยังล่ะ”

“คืนนี้เหรอ”

ฐานทัพครางเสียงห้าวทุ้มเบาๆ กระดกมุมปากยิ้มเล็กน้อยที่ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้คนเห็นละสายตาไม่ได้มากขึ้น

“ยังไม่มีหรอกครับ แต่เห็นว่าโต๊ะนี้มีคนคุ้นหน้ากับไม่คุ้นหน้าอยู่ก็เลยแวะมาดู”

คำตอบนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มทั้งสองคนได้ มีเพียงคนเดียวที่ ‘ไม่คุ้นหน้า’ ซึ่งจับจ้องมาทางเขาโดยไม่ละสายตาและไม่ขยับริมฝีปากแต่อย่างใด ฐานทัพจึงกวาดสายตาไป ส่งยิ้มให้อีกครั้ง ทำให้ดวงตาที่ล้อแสงไฟอยู่สุกสกาวยิ่งขึ้น

รอยยิ้มครั้งนี้เหมือนจะปักเข้าตรงกลางอกของคนได้รับไปเต็มๆ เพราะเจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยจนฐานทัพหัวเราะออกมานิดๆ กับท่าทางน่าขันแกมน่าเอ็นดูนั้น

“คนนี้หน้าไม่คุ้นเลย เพิ่งมาใหม่เหรอครับ”

เพราะดูท่าว่าอีกฝ่ายคงไม่เอ่ยปากตอบง่ายๆ ฐานทัพเลยหันไปมองอีกสองคนที่เหลือแทน

“อ๋อ หมอนี่เป็นพนักงานที่เข้ามาใหม่น่ะ พอดีเห็นแววเลยพาออกมาเปิดประสบการณ์สักหน่อย”

เพื่อนสองคนที่นั่งข้างกันอยู่ต่างยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน ก่อนอีกคนที่ไม่ได้ตอบเมื่อครู่จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมา

“ถ้ายังไงคืนนี้เรามาสนุกกันทั้งสี่คนไหมล่ะ”

สายตาส่งเป็นนัยว่ากำลังพูดถึงความสนุกแบบไหนอยู่ทั้งที่แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นฐานทัพก็เข้าใจได้

“น่าสนใจดีนะครับ ผมก็ไม่ได้เล่นอะไรแบบนั้นนานแล้ว”

สิ้นเสียงนั้นริมฝีปากสีแดงจัดจ้านเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วยส่วนหนึ่งก็จรดที่ปากแก้วในมือ กระดกเครื่องดื่มสีอำพันลงคอไปอึกใหญ่ก่อนจะใช้ลิ้นเล็กๆ เลียขอบปากที่เปียกชื้นอยู่หน่อยๆ เรียกสายตาของคนทั้งสามในโต๊ะ โดยเฉพาะคนสุดท้ายที่นั่งอยู่ข้างกัน

กลืนน้ำลายลงคอตามเขาอึกใหญ่เลยทีเดียว

ฐานทัพกระหยิ่มยิ้มเหลือบตามอง ‘พนักงานใหม่’ ที่ยังจ้องมองกันไม่เลิก

“แต่ผมมีกฎว่าจะไม่นอนกับคนเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สอง เพราะอย่างนั้นคืนนี้คงต้องขอสนุกกับคุณพนักงานใหม่คนเดียวแล้วล่ะครับ”

“โธ่ น่าเสียดายชะมัดเลย ไม่คิดจะเปลี่ยนกฎบ้างหรือไง”

“นั่นสิ นี่กะเก็บแต้มอย่างเดียวเลยงั้นสิ ไม่มีคนที่โดนใจ เข้ากันได้ดีจนรู้สึกเสียดายแล้วอยากลองอีกสักครั้งบ้างหรือไงกันนะฐาน”

“ก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ แต่ผมไม่แหกกฎของตัวเองหรอก”

“เฮ้อ ถ้ารู้แบบนี้นะ ตอนนั้นคงเอาให้เต็มที่กว่านี้ ให้ฐานลงจากเตียงไม่ได้ไปเลย”

“แบบนั้นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอครับ”

ฐานทัพหัวเราะปิดท้ายประโยคราวกับคำพูดหยอกล้อนั้นเป็นเรื่องชวนหัวธรรมดา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไร

แต่ก็เป็นอย่างนี้แหละ ฐานทัพในสายตาของทุกๆ คน

...คนรักสนุก ฟรีเซ็กซ์ ขอแค่สบตาแล้วถูกใจจะขึ้นเตียงเมื่อไรก็ย่อมได้

และเขาก็ไม่เคยสนใจด้วยว่าในความคิดของคนอื่นตนเองจะเป็นอย่างไร เพราะเขาแค่สนุกกับชีวิตก็พอ และมันก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียน ม.ต้น เองด้วยซ้ำ

“แบบนี้ก็สรุปแล้วสิว่าคืนนี้ฐานเลือกใคร”

“โอเคหรือเปล่า”

แทนที่จะยืนยันคำตอบกับคนที่เอ่ยสรุปความนั้น ฐานทัพกลับหันไปทางคนข้างๆ แทน ซึ่งอีกฝ่ายก็ผงกศีรษะหงึกๆ หลายครั้งราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ พลอยให้ฐานทัพยิ้มอีกรอบ

“เคยทำหรือเปล่าครับ”

“ก็เคยมาบ้าง”

“แต่ดูตื่นๆ นะ”

ประโยคแซวนั้นทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังครืนขึ้นมาจากคนทั้งโต๊ะ เมื่อมันหยุดลงฐานทัพก็ส่งคำถามออกไปอีก

“จะไปเลยหรือเปล่า”

คนถูกถามไม่มีคำตอบเป็นคำพูด แต่ลุกพรวดขึ้นมาในทันที ดูจะเร่งรีบจนเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ได้อีกครั้ง ฐานทัพจึงลุกขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากโต๊ะก็ถูกคนที่เหลือเรียกไว้เสียก่อน

“จะไปแล้วไม่คิดล่ำลากันหน่อยเลยเหรอ”

“ไม่ได้ไปด้วยกันแต่จูบลาสักนิดก็ยังดี”

ข้อเรียกร้องนั้นฐานทัพไม่คิดจะโต้แย้ง เขาโน้มกายไปฝั่งตรงข้ามก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนกลีบปากที่ยื่นรออยู่ แล้วดูดดึงริมฝีปากนั้นที่ขบรับกันอยู่หลายวินาที จากนั้นก็หันมายังอีกคนและทำเช่นเดียวกัน แต่คราวนี้ถูกลิ้นอุ่นๆ สอดเข้ามาควงควานภายในอย่างตะกละตะกลามจนมุมปากเปียกชื้น ทำเอาคนแรกร้องโวยออกมา

“เฮ้ย โกงนี่หว่า”

“ช่วยไม่ได้ ก็ฐานเซอร์วิสแล้วมึงไม่ฉกฉวยเอาเอง”

ทว่าฐานทัพที่เป็นตัวต้นเหตุไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย กลับบอกเพียงว่าเคลียร์กันเองนะ แล้วหันกลับมาหาอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันซึ่งทำหน้าเหมือนกำลังเสียดาย

ฐานทัพไม่รอช้า เขย่งตัวบดริมฝีปากกับคนตรงหน้าทันควัน เบียดคลึงแทรกลิ้นเข้าไปตวัดพันกันภายในโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างดูดดื่มกว่าสองคนที่ผ่านมาเสียอีก ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องเสียดายไป เรายังมีเวลาคืนนี้อีกทั้งคืน

แต่ยังไม่ทันได้ละปากออกจากร่างสูงโปร่งที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อตรงหน้า แขนข้างหนึ่งก็ถูกกระชากไปทางด้านหลังอย่างรุนแรง ฐานทัพตัวเซจนไปกระแทกกับเจ้าของแรงนั้น

ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วก็เบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงหรี่ลงในเสี้ยววินาทีด้วยความไม่พอใจ เสียงห้วนตวัดใส่

“ทำอะไรของคุณ”

“พี่ควรจะเป็นฝ่ายถามมากกว่า”

สิบทิศเปล่งเสียงห้วนๆ แสดงถึงความไม่สบอารมณ์อย่างสูงสุด ก่อนเหลือบตามองคนที่ยืนอยู่ข้างฐานทัพแล้วย้ายสายตาไปยังอีกสองคนที่เหลือ

“ไปกับพี่”

“เฮ้ย ได้ไง เกี่ยวอะไรกันด้วย”

ฐานทัพสะบัดแขนอย่างแรงเพื่อให้คีมมนุษย์ที่คีบแขนตนเองอยู่หลุดออกไป แต่สะบัดอยู่หลายครั้งมันก็ยังไม่หลุดจนคนที่อยู่ด้านหลังต้องเอ่ยเสียงออกมา

“ปล่อยเขาสิ ไม่เห็นเหรอว่าเขาไม่ชอบ”

“เรื่องผมกับฐาน ไม่เกี่ยวกับคุณ”

ดูเหมือนสิบทิศจะไม่อยากเปิดโอกาสให้ใครมาขัดขวางไปมากกว่านั้น เพราะอยู่ๆ ก็รวบตัวฐานทัพขึ้นพาดบนบ่าไม่ต่างจากกระสอบข้าวสารแล้วแบกออกไปจากที่ตรงนั้น

ฐานทัพตื่นตะลึงเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำถึงขนาดนี้ เขาดิ้นขลุกๆ อยู่บนบ่าของสิบทิศที่แข็งแรงเกินคาดโดยที่ในมือยังถือถุงซึ่งหิ้วมาด้วยเอาไว้แน่น

“ปล่อยผมสิคุณ”

“ยิ่งดิ้นมากก็ยิ่งเป็นจุดรวมสายตานะ”

สิบทิศบอกเพียงเท่านั้นราวกับไม่แยแสว่าคนบนบ่าจะอาละวาดสักเพียงใด

แม้ฐานทัพจะไม่สนใจสายตาผู้คนที่มองตัวเองอยู่แต่เดิม ทว่าในกรณีนี้มันต่างกัน เขาเหลือบตามองไปเท่าที่ขอบเขตสายตาของตนจะมองเห็น แล้วก็พบว่าคนที่อยู่รอบๆ มองมาทางพวกเขาจริงๆ

ไม่ต้องคิดให้มากความก็อ่านสายตาของคนเหล่านั้นได้ว่าสงสัยใคร่รู้มากเพียงใดที่ฐานทัพคนนี้ถูกใครบางคนแบกออกไปอย่างอาจหาญ

กระทั่งมาถึงลานจอดรถและต่อหน้ารถคันหนึ่ง ฐานทัพก็ได้กลับคืนสู่พื้นดินอีกครั้ง เขาจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามที่ยืนอยู่ต่อหน้าตนตาเขม็ง

“คุณทำแบบนี้ทำไม”

“พี่ไม่ชอบ”

“ไม่ชอบอะไรก็เรื่องของคุณสิ ทำไมต้องมาจุ้นจ้านในชีวิตผม”

“พี่หึง พี่หวง”

“คุณอยากหึงอยากหวงก็ทำในขอบเขตของคุณสิ อย่ามาก้าวก่ายชีวิตผม”

ฐานทัพสวนคำตอบกลับไปอย่างไม่อ่อนข้อ ทว่าคู่สนทนาก็ไม่ยอมรับคำพูดนั้นอย่างง่ายๆ เช่นกัน

“ฐานก็รู้ว่าพี่จริงจังกับฐาน พี่ชอบฐานจริง จะมีใครที่ไหนบ้างอยากเห็นคนที่ตัวเองชอบไปจูบกับผู้ชายคนอื่น”

“ผมว่าผมบอกไปหลายรอบแล้วนะว่าผมไม่สนใจคุณ”

“ทำไมต้องปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยขนาดนั้นด้วยล่ะ ไม่คิดจะลองคบกันดูหน่อยเลยเหรอ หรือว่าฐานเกลียดกลัวความรักกันแน่เลยไม่อยากจะผูกมัดกับใคร”

ประโยคแรกๆ เหมือนจะถูกซัดให้ลอยกระเด็นหายไปในฉับพลันเมื่อได้ยินประโยคหลัง ฐานทัพแค่นเสียง “หึ” ออกมาเบาๆ

เกลียดกลัวความรักอย่างนั้นเหรอ เขาไม่เคยมีอดีตฝังใจที่จะทำให้รู้สึกอะไรแบบนั้นหรอก

ตลอดชีวิตมานี้...เขาไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้ง

ทั้งเป็นฝ่ายรักและฝ่ายถูกรัก ไม่มีทั้งนั้น






v



v

หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 1st Lie กรุณาอย่ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผม
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 29-01-2019 21:12:04


v


v


“ผมไม่สนใจเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นหรอก”

“ทั้งที่ไม่เปิดโอกาสให้มัน แต่กลับตัดสินไปว่าไร้สาระ ไม่ด่วนสรุปไปหน่อยเหรอ”

สิบทิศถามกลับมาอย่างไล่เบี้ยพร้อมๆ กับก้าวเท้าเข้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าว สองก้าว จนฐานทัพต้องถอยหลังไปเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรบ้าๆ แบบที่คาดไม่ถึงขึ้นมาอีกหรือเปล่า

“พี่ขอโอกาสได้ไหม ลองคบกันดู”

“โน”

ฐานทัพตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่หวั่นไหวแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำยังยื่นถุงที่อยู่ในมือไปให้คนตรงหน้าจนมือที่กำอยู่เกือบจะกระแทกเข้ากับหน้าอกที่สัมผัสมาแล้วว่าหนั่นแน่นจากการะทำบ้าบิ่นแบกเขามาเมื่อครู่

“เอาของคืนไปด้วยครับ แล้วก็ไม่ต้องส่งมาอีก อย่าคิดว่าจะใช้เงินซื้อผมได้”

“พี่ไม่ได้จะใช้เงินซื้อฐาน แต่พี่ซื้อให้เพราะอยากให้ ความรู้สึกว่าอยากเห็นคนที่ตัวเองชอบใช้ของที่ตัวเองซื้อให้มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ”

เรื่องแบบนั้นเขาไม่รู้หรอก

“ถ้าคุณไม่เอาคืนไป ผมก็จะวางมันไว้ตรงนี้แหละ”

แม้จะมีคำพูดสวนกลับอยู่ในใจแต่ฐานทัพก็ไม่ได้พูดมันออกมา กลับก้มตัวลงเตรียมจะวางถุงกระดาษลงบนพื้น

ถึงจะน่าเสียดายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หากได้ชิมสักอึกคงเป็นลาภปาก แต่ก็ตัดใจว่าส่งคืนเจ้าของดีกว่าจะได้ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก

ทว่าก้นถุงยังไม่แตะถึงพื้นทั้งร่างของฐานทัพก็ต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของสิบทิศอย่างแนบแน่นจนอึดอัด

“พี่จะรับของคืนก็ได้ ถ้าฐานยอมรับข้อตกลงสองอย่าง”

“ผมไม่เห็นความจำเป็น”

เพราะตั้งใจว่าจะวางถุงทิ้งไว้ที่พื้นแล้วแยกตัวออกมา ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องยอมรับข้อตกลงของอีกฝ่ายก็ได้ ฐานทัพจึงพยายามค้อมตัววางถุงลงไปให้ได้ แต่ก็ถูกเรี่ยวแรงที่มากกว่ายันตัวเอาไว้ไม่ให้ทำได้อย่างใจ สุดท้ายเลยต้องพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพื่อแสดงความไม่พอใจให้อีกฝ่ายรับรู้

“จะเอายังไงก็ว่ามา”

“หนึ่ง ให้พี่จูบฐาน”

แค่ข้อแรกก็ทำให้ฐานทัพหัวเราะพ่นลมออกจมูกอีกรอบ แต่สิบทิศก็ไม่ได้สนใจยังคงพูดข้อเสนอของตนเองต่อ

“สอง ให้พี่ไปส่งฐาน”

“ผมว่ามันเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว”

“จะยอมรับหรือเปล่า”

“ถ้าผมตอบว่าไม่”

“พี่ก็จะกอดฐานไว้แบบนี้”

ดูท่าว่าเจ้าตัวจะเอาจริงอย่างที่พูดเสียด้วย เพราะแม้ฐานทัพจะไม่กระดิกกระเดี้ยตัวเพื่อรอให้สิบทิศเมื่อยล้าจนละมือไปก่อน มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น

แม้กระทั่งมีลูกค้าคนอื่นๆ มาที่ลานจอดรถและมองมาอย่างสนใจ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ยี่หระสักนิด จนเป็นฐานทัพเสียเองที่รู้สึกเมื่อยจากการถูกกอด เพราะถ้าให้กะเวลาคร่าวๆ มันน่าจะผ่านมาเกินห้านาทีแล้วที่เขาถูกกอดไว้แบบนี้

“คุณรู้ไหมว่าทำตัวได้น่ารำคาญเป็นบ้า”

“สู้กับคนใจแข็งก็ต้องแบบนี้แหละ”

ฐานทัพอยากจะสวนกลับไปเหลือเกินว่าตนเองไม่ได้ใจแข็ง แต่เพราะไม่สนใจไยดีอีกฝ่ายเลยสักนิดต่างหาก แต่ก็ปลงตกเพราะพูดไปมีแต่เสียพลังงานเปล่าๆ เลยกลับมาพูดต่อหัวข้อเดิมที่ทิ้งไปเมื่อครู่

“ผมยอมรับข้อตกลงก็ได้”

“แน่ใจว่าไม่ได้พูดไปส่งๆ นะ”

“ผมเป็นคนพูดจริงทำจริง”

น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายดังมา สิบทิศจึงค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก

พอได้ประจันหน้ากันอีกครั้ง ฐานทัพก็แสดงสีหน้าเอือมระอาอย่างที่สุดโดยไม่ปิดบัง อีกทั้งยังเอ่ยเร่ง

“จะทำก็รีบทำ จะได้จบๆ”

แต่สิบทิศก็ยังมีข้อแม้

“ให้พี่ไปส่งก่อนแล้วค่อยจูบได้ไหม”

“เรื่องมากจริงเว้ย”

ฐานทัพสบถเสียงพึมพำต่อมาอีกหน่อยก่อนจะถาม

“รถคันนี้ใช่ไหม”

พอได้รับคำยืนยันก็ก้าวตรงไปยังประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับในทันที ทำเอาสิบทิศยิ้มกริ่มกับตัวเอง เดินผิวปากมาเปิดประตูรถฝั่งคนขับ

หลังจากขึ้นรถแล้วห้องโดยสารเคลื่อนที่ก็แล่นออกไป สิบทิศสอบถามเส้นทางเป็นระยะขณะที่ฐานทัพทำหน้าเหนื่อยหน่ายอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งดูเหมือนจะถึงที่หมาย

“จอดตรงนี้แหละครับ ถึงแล้ว”

รถยนต์จอดลง เส้นทางที่เข้ามานั้นเป็นซอยขนาดเล็กที่รถวิ่งสวนกันได้ฝั่งละคันเท่านั้น มีอาคารสูงห้าชั้นและบ้านเรือนเรียงรายขนาบอยู่สองฝั่งถนน

“ฐานอยู่บ้านหลังไหน หรืออยู่อะพาร์ตเมนต์ไหน”

ทว่าก่อนที่ถุงบนตักของฐานทัพจะถูกยื่นใส่สารถีหนุ่ม เสียงแฝงความแคลงใจของสิบทิศก็ดังขึ้นก่อน

ฐานทัพจึ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อยที่ถูกถามไถ่ดักทางเอาไว้เช่นนี้ เพราะหากให้พูดจริงๆ แล้วห้องพักของเขาอยู่ในตึกที่ห่างออกไปอีกห้าสิบเมตร ไม่ใช่บริเวณนี้ที่ออกปากไปว่า ‘ถึงแล้ว’

“ตึกนี้แหละครับ”

ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะเฉลยความจริงให้คนที่ไม่รู้จักมักจี่และไม่ได้อยากรู้จักเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อยล่วงรู้ เขาบอกไปแบบมั่วๆ จากนั้นไพล่เปลี่ยนเรื่องเสียดื้อๆ

“เอาของคืนไปด้วยครับ”

ทว่าอีกฝ่ายยังดื้อแพ่ง

“จะไม่ชวนพี่ขึ้นไปดื่มชากาแฟสักหน่อยเหรอ”

ฐานทัพถึงขั้นถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างไม่กักเก็บอารมณ์ แสดงให้เห็นถึงความเอือมระอาต่ออีกฝ่ายอย่างเปิดเผยเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้

“คุณครับ นี่มันสี่ทุ่มแล้วจะไปกินชากาแฟอีกทำไม อยากตาค้างนอนไม่หลับเหรอ”

“พี่เป็นคนที่ของพวกนั้นไม่มีผลต่อการนอนเท่าไรน่ะ”

“งั้นเอาเหล้าในถุงไปกินแก้ปากว่างแล้วกัน”

เขาล้มเลิกความคิดจะต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้วยัดถุงลงบนตักของสิบทิศในทันที จากนั้นปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย เอี้ยวตัวกลับไปทางฝั่งประตู ทำท่าจะลงจากรถแล้วแต่ก็ถูกเรี่ยวแรงจากทางด้านหลังดึงแขนเอาไว้ก่อน

“ยังไม่ได้ทำตามข้อตกลงอีกข้อเลยนะ”

“อยากจูบผมมากขนาดนั้นเลยหรือไง”

ฐานทัพพูดอย่างใส่อารมณ์เล็กน้อย หัวคิ้วชนกัน ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ใบหน้ารูปไข่ดูสุขภาพดีด้วยแววรำคาญ

“ก็ทีไอ้พวกที่โต๊ะนั้นฐานยังจูบได้ แล้วทำไมพี่จะจูบฐานไม่ได้ บอกให้รู้ไว้เลยนะ เห็นแล้วพี่อารมณ์เสียมากๆ”

“นั่นก็เรื่องของคุณ ผมจำเป็นต้องรับผิดชอบความรู้สึกนึกคิดอะไรๆ ของคุณด้วยหรือไง”

“ฐานทำให้พี่รู้สึกแบบนี้ ฐานก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว”

“ประสาทเปล่าเนี่ย คุณรู้สึกของคุณไปเอง ผมไม่ได้เป็นคนออกคำสั่งหรือบงการให้คุณรู้สึกแบบนั้นสักหน่อย”

ยิ่งพูดคุยโต้ตอบกันก็ยิ่งทำให้ฐานทัพอารมณ์เสียและอยากออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็วแม้เพียงวินาทีเดียวก็ยังดี

เขาถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ราวกับจะเค้นความรู้สึกร้อนๆ ซึ่งตีรวนขึ้นมาจนถึงหน้าออกมาในคราวเดียว

“แค่จูบก็พอใช่ไหม”

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดอะไร มือเรียวเล็กก็คว้าเข้าที่คอเสื้อของชายร่างใหญ่กว่ามาก แล้วกระชากมันให้ใบหน้าของสิบทิศเข้ามาใกล้ จากนั้นกระแทกปากลงไปอย่างไม่เกรงกลัวว่าตนหรืออีกฝ่ายจะปากแตกแต่อย่างใด

ริมฝีปากเรียวบางที่เคยบดคลึงกลีบปากมานักต่อนักบดเบียดเข้ากับปากของอีกคนโดยเพิกเฉยต่อความเจ็บจากกำลังที่ใช้ไปเมื่อสักครู่ เช่นเดียวกับสิบทิศที่ดูดไซ้เนื้อนุ่มนิ่มนั้นกลับมา

แม้ริมฝีปากของตนจะเล็กบางจนอีกฝ่ายไม่น่าจะอิ่มหนำ แต่เขารู้ดีว่ามันมอบความเย้ายวนให้ยิ่งอยากครอบครองสวาปามมันมากขึ้นเพียงใด ดังนั้นลิ้นร้อนชื้นของสิบทิศจึงชำแรกเข้ามาในปากของฐานทัพก่อนเขาจะเป็นฝ่ายเข้าไปเยี่ยมเยือนเสียอีก

สองลิ้นรุกไล่ตวัดควานหากันและกันภายในโพรงปากแคบๆ จนฉ่ำชุ่มไปหมด ฐานทัพรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่มุมปากได้อย่างรวดเร็วจนตื่นตระหนกไปเล็กน้อย เพราะต่อมน้ำลายในปากไม่เคยทำงานฉับไวเช่นนี้มาก่อน

กระทั่งเมื่ออีกฝ่ายดูจะอิ่มเอมอยู่พอสมควรแล้ว ปากทั้งสองถึงได้ผละออกจากกันพร้อมลมหายใจที่ผ่อนทางจมูกด้วยจังหวะที่ถี่รัวกว่าปกติ

เขายกมือขึ้นเตรียมจะเช็ดมุมปากของตัวเองแต่ก็ถูกปลายลิ้นของคนตรงหน้าเลียคราบใสออกไปจนหมดโดยไม่ทันตั้งตัว กว่าจะสะดุ้งและผงะถอยหลังไปเล็กน้อยมุมปากก็เหลือเพียงคราบหมาดๆ ไปเสียแล้ว

“ไม่มีเรื่องติดค้างกันแล้วนะครับ แล้วก็กรุณาอย่ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผมอีก”

พอตั้งสติได้ ปากที่ดูเหมือนจะชื้นเล็กน้อยก็ขยับเอ่ยคำพูด

ฐานทัพหันหลังกลับ เปิดประตูและลงจากรถไปโดยไม่คิดรอฟังถ้อยคำจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยอีก

เขายืนอยู่ข้างตัวรถเพื่อรอให้สิบทิศเคลื่อนรถออกไปเสียที แต่ดูเหมือนว่าสิบทิศเองก็รอเพื่อให้เขาเข้าไปในตัวอาคารก่อน

เมื่อเป็นเช่นนั้นฐานทัพก็หมุนตัวกลับหลังอีกครั้ง ขบริมฝีปากตัวเองอย่างครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไรดี เพราะตึกที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่ที่อยู่ของเขาสักหน่อย แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ และจะให้เดินตรงไปยังสถานที่พักอาศัยของตนเองต่อหน้าสิบทิศ เขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

เพราะมันมีโอกาสว่าสิบทิศอาจจะคุกคามและรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเขามากขึ้น

หลังจากครุ่นคิดเพื่อหาทางออกอยู่สักพัก ในที่สุดฐานทัพก็หันหลังกลับ เคาะกระจกหน้าต่างรถอย่างไม่มีทางเลือก ส่งผลให้สิบทิศเลื่อนกระจกลงด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

“คุณไม่กลับไปสักทีล่ะ”

“พี่อยากเห็นฐานเข้าไปข้างในก่อนนี่”

“แต่ว่าถนนมันแคบ รถคุณจอดเกะกะขวางทางรถคันอื่นอยู่นะครับ”

พอฐานทัพบอกไปเช่นนั้น สิบทิศก็หันไปมองทางกระจกด้านหลังของรถก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงขรึม

“ไม่เห็นมีรถสักคัน พี่จะขวางได้ยังไงกันล่ะ”

มันต้องเป็นตามนั้นอยู่แล้ว เพราะถนนสายนี้ไม่ใช่ถนนสายหลัก ถึงจะไม่ใช่ซอยตันเพราะสามารถใช้เป็นเส้นทางลัดทะลุไปยังถนนอีกเส้นได้ แต่ก็มีลักษณะกึ่งๆ ชุมชน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้รถย่อมต้องผ่านน้อยอยู่แล้ว

“ตอนนี้ยังไม่มี แต่อีกเดี๋ยวอาจจะมีก็ได้”

“ฐานโกหกพี่มากกว่าละมั้ง สรุปว่าตึกนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของฐานใช่ไหม”

โดนตัดบทด้วยการเจาะจงเข้าตรงประเด็นแบบนี้ ฐานทัพจึงล้มเลิกความคิดที่จะอ้อมค้อมเกลี่ยกล่อมอีกฝ่าย จากนั้นออกเดินตรงไปยังจุดหมายซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยที่แท้จริงของตนเองแทน

ในเมื่อปิดบังไม่ได้แล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย

เขาตัดสินใจอย่างนั้นแล้วเดินไปด้วยความเร็วตามปกติ แต่สิ่งที่เคลื่อนไหวอย่างผิดปกติก็คือรถยนต์ที่ค่อยๆ ขับตามหลังมาราวกับกำลังสะกดรอยตามกันอย่างโจ่งแจ้ง

ถึงจะอยากหันไปโต้ตอบกับคนในรถว่าจะไปไหนก็ไปเสียเถอะ แต่ฐานทัพก็หุบปากเงียบ ไม่คิดจะไปสานต่อบทสนทนาที่ตนเลือกจะตัดทิ้งไปแล้วให้เกิดความยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีก

กระทั่งเดินมาถึงอาคารเจ็ดชั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในอาณาบริเวณนั้นโดยไม่คิดหันหลังกลับ รับฟังแต่เพียงเสียงเครื่องยนต์ที่รักษาจังหวะเอาไว้ให้พอคาดเดาได้ว่ามันคงกำลังหยุดนิ่งอยู่ ขณะเดียวกันไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแผ่นหลังของเขาถูกจับจ้องมาด้วยสายตาของคนคนนั้น










-----------




หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 1st Lie กรุณาอย่ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผม [29/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-02-2019 08:27:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 2nd Lie ถึงผมจะไปนอนกับใครมันก็เรื่องของผม 1/2/62
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 01-02-2019 21:32:46













2nd Lie
ถึงผมจะไปนอนกับใครมันก็เรื่องของผม


 

ตลอดทั้งวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันทำงาน ฐานทัพนึกดีใจอยู่ว่าคนที่เขาออกปากไปว่าให้เลิกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตทำในสิ่งที่ตนปรารถนาแล้ว เพราะไม่มีสิ่งของส่งมาให้ ทว่าความหวังของเขากลับต้องสลายไปเมื่อเวลาเย็นย่ำมาถึง

สิบทิศโผล่หน้ามาที่โชว์รูม มิหนำซ้ำยังไม่เพียงแค่มายิ้มโชว์ให้เห็นหน้าเหมือนตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะคราวนี้นั่งรอจนกระทั่งฐานทัพเลิกงานช่วงทุ่มครึ่ง

พอฐานทัพเดินออกมาจากโชว์รูม หนุ่มร่างสูงรูปร่างดีก็สาวเท้าเร็วๆ เข้ามาหาอย่างว่องไวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ามายุ่งกับผมอีก”

“พี่ก็บอกไปแล้วใช่ไหมว่าพี่ชอบฐาน”

คำพูดเหมือนสวนทางกันและไม่สามารถปะติดปะต่อกันได้ดังตามมา ทำให้ฐานทัพต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“ผมอยากกลับไปพักผ่อน เห็นหน้าคุณแล้วผมเหนื่อยกว่าทำงานทั้งวันอีก”

“พี่ไปส่ง”

“ผมมีค่า มีเงินค่ารถ ไม่จำเป็นต้องอาศัยคุณ”

ไม่รู้ว่านับตั้งแต่ถูกสิบทิศตามมาตอแยเขาพูดคำว่า ‘ไม่จำเป็น’ ไปกี่ครั้งแล้ว เสียงถอนหายใจดังมาอีกระลอกเมื่อได้รับคำตอบ

“แต่พี่เต็มใจให้อาศัย พึ่งพา พึ่งพิงอย่างเต็มที่เลย ฐานอยากรีบกลับ พี่ไปส่งจะได้ถึงเร็วๆ ไง มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ยิ่งผมให้คุณไปส่ง ผมมีแต่จะเหนื่อยกว่าเดิมน่ะสิ ไม่ได้ยินที่ผมบอกเหรอว่าเห็นหน้าคุณแล้วผมเหนื่อย”

ท้ายคำพูดแฝงไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจอยู่อย่างชัดเจน สะบัดห้วนจนคนฟังน่าจะรู้ได้ถึงความรำคาญด้วยซ้ำ ทว่าสิบทิศก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้าและเจตนารมณ์

“ฐานก็ทนเหนื่อยแป๊บเดียวจะได้พักแล้วไง”

“นี่คุณ คุณรู้ไหมว่าทำตัวได้น่ารำคาญมาก ผมรำคาญ รำคาญ รำคาญ ออกไปจากชีวิตผมสักทีสิ”

ทั้งที่ฐานทัพไม่ใจเย็นอีกแล้ว ตะเบ็งเสียงออกมาขับไล่กันอย่างเต็มที แต่สิบทิศกลับทำหูทวนลมเหมือนได้ยินเสียงนกเสียงการ้องเพลงไพเราะให้ฟังและย้อนกลับมา

“ซอยหอของฐานมันเปลี่ยวนะ เดินเข้าไปเองมันอันตราย เกิดมีโจรมาดักปล้นจะว่ายังไง”

ฐานทัพถอนหายใจออกมาแรงๆ ราวกับจะให้จมูกหลุดออกมาพร้อมลมหายใจด้วยอย่างไรอย่างนั้น เขาปวดหัวกับคนตรงหน้าจนไม่รู้จะเอ่ยปากไล่ออกไปอย่างไรแล้ว

เขายอมรับอยู่หรอกว่าซอยของที่พักเขาค่อนข้างเปลี่ยว แต่มันก็แค่ช่วงดึกเท่านั้น ตอนหัวค่ำรถรายังสัญจรกันอยู่เนืองๆ และเขาก็ไม่เคยกลับดึกจนถึงช่วงเวลาที่ปลอดผู้คนด้วย เพราะหากไม่ได้กลับตามเวลาปกติ เขาก็จะกลับตอนเช้าไปเลย แน่นอนว่ากรณีนั้นเขาไม่ได้นอนคนเดียว

เรื่องความปลอดภัยว่าจะมีใครมาจี้ปล้นหรือเปล่า เขาไม่เคยจะนึกถึงด้วยซ้ำ เพราะดูลักษณะของตนเองแล้วก็ไม่ได้ดูมีอันจะกินจนน่าจะเป็นเหยื่อได้

จริงอยู่ว่าเขาแต่งตัวดีเพื่อให้สมกับหน้าที่การงานที่ต้องพบปะผู้คน โดยเฉพาะแบรนด์รถที่เขาขายเป็นรถราคาค่อนข้างแพงจึงยิ่งต้องใส่ใจในรูปลักษณ์เพื่อความเชื่อถือของลูกค้า

ทว่าเสื้อเชิ้ตที่เขาใส่ก็เป็นเพียงเสื้อเชิ้ตที่ซื้อพร้อมกันหลายๆ ตัวในราคาส่ง นานๆ ครั้งถึงจะซื้อเสื้อเชิ้ตแบรนด์ดังที่ลดราคาแบบกระหน่ำล้างสต็อกแล้วล้างสต็อกอีก กางเกงสแล็กก็มีอยู่แค่สี่ตัวใส่วนกันไป มีแค่เข็มขัดที่ลงทุนซื้อในราคาแพงหน่อย เพราะเป็นเครื่องแต่งตัวที่ค่อนข้างเปราะบาง ส่วนรองเท้าหนังที่สวมอยู่นี้ก็ดูแลอย่างดีตั้งแต่ซื้อมาใส่ทำงานเมื่อสองปีก่อน เพื่อคงสภาพให้สามารถใช้งานได้นานที่สุด

โดยรวมๆ แล้วทั้งเนื้อทั้งตัวเขาไม่ถึงสองพันด้วยซ้ำ ส่วนเงินในกระเป๋าก็ไม่ได้มากน้อยกว่านั้นสักเท่าไร

สิ่งฟุ่มเฟือยที่สุดในชีวิตของเขาคงมีเพียงการกินดื่มทุกวันศุกร์เพื่อมอบความสุขให้กับตัวเองกระมัง

“สรุปว่าทำยังไงคุณก็คงไม่เลิกยุ่งกับผมใช่ไหมเนี่ย”

“พี่ว่าพี่เป็นคนหนักแน่นนะ”

เหมือนว่าตอบคนละอย่างกับคำถามเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นกลับเข้าใจความหมายมันได้

ฐานทัพรู้สึกปลงตกขึ้นมาในทันทีก่อนจะหายใจทิ้งขว้างอย่างไม่เสียดายอีกรอบ จากนั้นก็ยอมขึ้นรถไปกับ ‘คนหนักแน่นที่น่ารำคาญ’ เพราะพูดต่อไปก็คงเปลืองน้ำลายเปล่าจริงๆ

 

 

ไม่เพียงแค่วันนั้นวันเดียวที่ฐานทัพถูกตามติด เพราะนับจากวันนั้นเป็นต้นมาสิบทิศก็ใช้ตัวเองเป็น ‘ของฝาก’ อยู่ทุกวัน

อีกฝ่ายมาดักรอเขาที่หน้าโชว์รูมในช่วงเวลาเดิมๆ พร้อมกับขับรถไปส่งเป็นกิจวัตรจนฐานทัพถูกพี่ๆ ในโชว์รูมแซวกันเป็นเสียงเดียวว่าคบกันแล้วเหรอ พร้อมหน้าตาชื่นมื่นยิ้มกริ่มดูมีความสุขกันเสียเหลือเกิน ทั้งที่เขารู้สึกว่ามันน่ากลุ้มใจเสียมากกว่า

อารมณ์อยากเที่ยวเพื่อเสพสุขเหือดหายไปหมดเกลี้ยง เพราะเพียงแค่เห็นหน้าสิบทิศ ฐานทัพก็ไม่อยากจะทำอะไรแล้วนอกจากกลับหอพักของตนเองเพื่อพักผ่อน

จนกระทั่งผ่านมาสองสัปดาห์กว่าแล้วเขาก็ยังไม่ได้รับอิสระมิหนำซ้ำยังถูกผูกมัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เพราะอาหารมื้อเย็นกลายเป็นไม่อร่อยขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนที่ชักเหม็นขี้หน้าเพราะต้องเจอกันทุกเย็นมาร่วมโต๊ะด้วยโดยไม่ได้รับเชิญ

“ทำไมไม่กลับไปกินที่บ้านของคุณล่ะ”

“พี่อยากกินกับฐานมากกว่า เขาว่ากันว่ามีคนกินด้วยอาหารจะอร่อยขึ้นนะ”

สิบทิศตอบพลางยิ้มปั้นจิ้มปั้นเจ๋อจนฐานทัพต้องทำหน้าเหนื่อยออกมา

“ผมว่าคำพูดนั้นก็ไม่จริงเสมอไปหรอก เพราะตอนนี้ข้าวที่ผมกินมันไม่อร่อยอย่างผิดปกติ”

“ฐานอาจจะคิดไปเองก็ได้ ลองปล่อยใจให้ว่างแล้วกินอีกทีสิ”

“ผมกินข้าว ไม่ได้จะนั่งสมาธิ”

เขาตอบห้วนๆ แล้วตักข้าวเข้าปากไปคำใหญ่ เพราะอยากรีบกินให้เสร็จๆ ไป จะได้ขึ้นห้องแล้วไม่ต้องเห็นหน้าของคนตรงหน้าสักที

แต่การทำอย่างนั้นกลับยิ่งทำให้รอยยิ้มถูกยกขึ้นมาประดับบนหน้าของสิบทิศมากยิ่งขึ้น และมันก็ทำให้ฐานทัพรู้สึกว่าชักเกะกะสายตาเสียเหลือเกิน

เป็นมลพิษทางสายตาจริงๆ

ไม่ใช่เพียงแค่วันเดียวที่สิบทิศจองที่นั่งกินอาหารเย็นร่วมกับฐานทัพโดยการเชิญตัวเองมาแบบไม่แยแสว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ถึงขนาดเขาย้ายโต๊ะหนีแล้วก็ยังตามมาอยู่ดีจนเขาจนปัญญา

“นี่ผมถามจริงๆ เถอะ”

ผ่านไปอีกสัปดาห์กว่า ฐานทัพก็เริ่มจะหมดความอดทนแล้วจริงๆ จึงยอมเปิดปากนิ่งๆ ที่เอาแต่กินข้าวแล้วไม่พูดคุยกับอีกฝ่ายเลยมานับตั้งแต่ครั้งแรกที่ร่วมโต๊ะอาหารกันในที่สุด

“ถามอะไรเหรอ”

สิบทิศท่าทางระรื่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเปิดดวงไฟบนหน้าจนมันสว่างวาบขึ้นมาผ่องใส เห็นท่าทีนั้นแล้วก็ทำให้ฐานทัพต้องข่มใจเอาไว้ไม่ให้รู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายทั้งที่ต่อให้ข่มเท่าไรมันก็คงไม่สำเร็จ

“คุณชอบผมตรงไหน”

คนถูกถามครางเสียง “ชอบตรงไหนเหรอ” ก่อนทำท่าคิดอยู่ครู่สั้นๆ แล้วจึงค่อยตอบออกมา

“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นหน้าแล้วก็รู้สึกว่าหลงใหลขึ้นมาเลย แบบว่า...ฐานดูมีเสน่ห์ดึงดูด อยากเข้าไปใกล้ อยากมองอยู่ตลอดเวลา อยากใกล้ชิดมากกว่านี้”

“แบบนี้ก็ไม่เห็นจะต่างอะไรกับการอยากเป็นแค่คู่นอนของผมไม่ใช่เหรอ”

“ต่างสิ ถ้าแค่นั้นพี่คงไม่มาตามตื๊อฐานอยู่แบบนี้หรอก อีกอย่างนะ ถ้าพอใจแค่การมีเซ็กซ์กับฐานอย่างเดียว ป่านนี้พี่ก็คงไปหาคนใหม่แล้วล่ะ”

สิบทิศว่าเช่นนั้นแล้วตักข้าวเข้าปากอีกคำ ดูไม่ยินดียินร้ายกับคำพูดที่ตนพูดสักเท่าไร ประหนึ่งว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ความคิด เพราะมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในใจแล้ว

“แต่พี่กลับอยากให้ฐานมองพี่ อยู่ใกล้ๆ พี่ ให้ความสำคัญกับพี่ เป็นของพี่คนเดียว”

“นั่นก็เหมือนมองผมเป็นของเล่นไม่ใช่หรือไง”

“ถ้าเห็นเป็นแค่ของเล่น พี่คงอยากแค่ใช้ชั่วคราวใช่ไหมล่ะ แต่พี่รู้สึกว่าอยากอยู่กับฐานตลอดไปเลย แบบนี้ไม่เรียกว่ารักหรอกเหรอ”

“น้ำหนักอ่อนชะมัด”

ฐานทัพเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

คำพูดของสิบทิศไม่ทำให้เขาเชื่อเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายคิดจริงจังกับเขา

เท่าที่ฟังมามันก็แค่การอยากเอาชนะ ถ้าทำให้เขายอมลงให้ได้สิบทิศก็คงจะยืดน่าดู เหมือนกับการปรับพยศสัตว์ร้ายให้เชื่อฟังได้นั่นแหละ

แล้วเขาจะไปเชื่อความรู้สึกประเภทนั้นได้อย่างไรว่าเป็นของจริง

ขนาดพ่อแม้แท้ๆ ยังทิ้งเขาได้เลย แล้ว ‘คนอื่น’ จะมารักเขาได้อย่างไร

“ไม่กลัวหรือไงว่าถ้าเกิดคุณคบกับผมขึ้นมาจริงๆ แล้วจะถูกคนอื่นนินทาตราหน้าว่ามีแฟนเป็นส้วมสาธารณะ คุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ได้เคยมีอะไรกับผู้ชายมาแค่คนสองคน ไม่ได้ผุดผ่องน่าทะนุถนอมแต่คาวด้วยโลกีย์”

“พี่รู้ เพราะอย่างนั้นนั่นแหละ พี่ถึงอยากให้ฐานมีแค่พี่คนเดียว อยากให้ฐานรักตัวเองแล้วก็รับความรักจากพี่”

“ถึงคุณจะพูดมาอีกมากมายแค่ไหน แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะใจอ่อนง่ายๆ หรอก คุณอย่าเสียเวลาเปล่าเลย ผมไม่อยากให้คุณมาต่อว่าทีหลังได้หรอกนะว่าทำให้คุณต้องมาเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์กับคนไร้ค่าแบบผม”

“ทำไมถึงคิดว่าตัวเองไร้ค่าล่ะ ถ้าฐานไร้ค่าก็คงไม่ทำให้พี่รู้สึกแบบนี้กับฐานได้หรอก”

คำพูดสุดท้ายของสิบทิศ ฐานทัพไม่รู้สึกอยากฟังสักนิด เขาลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปจากค่าอาหารเสร็จแล้วก็เดินขึ้นห้องทันที ไม่มีการล่ำลาคนที่ร่วมโต๊ะด้วยเมื่อครู่แต่อย่างใด

ทว่าแม้จะไม่อยากสนใจอีกฝ่ายสักเท่าไร ในหูก็ยังคงก้องคำถามประโยคสุดท้ายนั้น พร้อมๆ กับคำตอบที่เขาไม่ได้พูดออกมาแต่กลับดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ

ก็เพราะว่าผมเป็นคนไร้ค่า ไร้ค่าจริงๆ

 

 

ดูเหมือนว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ดี เพราะแม้จะถึงเวลาเลิกงานแล้วสิบทิศก็ไม่ได้มานั่งรออยู่ด้านหน้าโชว์รูมเหมือนกับตลอดเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ฐานทัพรู้สึกหายใจสะดวกขึ้น ทั้งที่ชายหนุ่มคนที่ว่านั้นไม่ได้มีบทบาทอะไรเลยเกี่ยวกับสภาพอากาศ

ถึงกระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังกลับไปมองที่หน้าโชว์รูมอีกครั้งยามเดินจากมา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอีกคนหลบซ่อนอยู่ตรงไหนสักแห่งแถวนั้นจริงๆ กระทั่งแน่ใจแล้ว ฐานทัพก็กระหยิ่มยิ้มกับตัวเอง หมายมาดว่าในที่สุดก็จะได้ไปปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกกักเก็บไว้มานานเสียที

ตั้งแต่เริ่มมีอะไรกับผู้ชาย ก็เพิ่งเคยมีช่วงนี้แหละที่เขาต้องอดทนอดอยากปากแห้งนานขนาดนี้

แม้กระทั่งตอนสมัยเรียนมัธยม เขายังไม่เคยต้องห้ามพฤติกรรมทางเพศขนาดนี้มาก่อน เพราะมีเพื่อนที่เป็นคู่ขาอยู่ด้วยตลอด และผู้ชายคนนั้นก็คงเป็นคนเดียวกระมังที่เขาเคยมีเซ็กซ์ด้วยนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องแยกจากกันตอนเข้ามหาวิทยาลัย หมอนั่นอยู่ภาคกลาง ส่วนเขาไปเรียนต่อที่ภาคเหนือ และหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

ไม่รู้ว่าตอนนี้หมอนั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง

นึกแล้วก็หวนคิดถึงอีกฝ่ายขึ้นมา แต่โอกาสที่จะกลับมาเจอกันอีกครั้งคงยาก ถึงกระนั้นก็ต้องขอบคุณเพื่อนคนนั้นที่ทำให้เขาได้รู้จักการมีเซ็กซ์

เซ็กซ์ที่เร่าร้อน หอมหวาน มอมเมาจนรู้สึกเหมือนว่าทำให้ชีวิตสนุกมากขึ้น นอกจากนั้นยังพาเขาไปเปิดประสบการณ์หลากหลาย

การมีเซ็กซ์ทีละสามคนที่แสนเหนื่อยแต่ก็สนุกจนหยุดไม่อยู่

การสลับคู่และมีเซ็กซ์ไปพร้อมกับคู่ข้างๆ ที่เร้าใจเหมือนกับการแข่งขัน

การมีเซ็กซ์ต่อเนื่องเป็นกลุ่มจนทำให้แทบขาดใจ แต่ก็ได้เปรียบเทียบถึงลีลาของแต่ละคน

ทุกอย่างล้วนทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกจนถึงทุกวันนี้

เมื่อคิดถึงเรื่องแบบนี้ฐานทัพก็รู้สึกว่า ‘อยากมีเซ็กซ์’ เร็วๆ ขึ้นมาจนจวนเจียนจะทนไม่ไหว ทว่าระหว่างกำลังจะออกจากโชว์รูมก็ถูกจักรวาลเรียกไว้เสียก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ฐานทัพถามด้วยสีหน้าแปลกใจ เพราะปกติพอเลิกกงานแล้วทุกคนจะต่างคนต่างไปเหมือนว่าเสียดายเวลาส่วนตัวอันน้อยนิดในแต่ละวัน

“นี่น่ะ”

จักรวาลยื่นพวงกุญแจที่มีลูกกุญแจอยู่สองดอกมาให้

ในตอนแรกฐานทัพงงงวยนิดหน่อยว่าอีกฝ่ายให้เขาทำไม แต่เมื่อรับมาแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง เพราะมันคือลูกกุญแจอะพาร์ตเมนต์กับห้องของเขาเอง เลขห้องที่ระบุอยู่บนลูกกุญแจนั้นเป็นเครื่องยืนยันอย่างแน่ชัด

“ทำไมมันไปอยู่กับพี่ล่ะ”

ถึงจะรู้ว่าเป็นของตัวเองแน่ๆ แต่ฐานทัพก็ล้วงกระเป๋ากางเกงสำรวจดูว่ามันยังอยู่ที่เดิมหรือไม่ และแน่นอนว่านอกจากระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มือถือแล้วในกระเป๋ากางเกงไร้สิ่งอื่น

“ฐานทำตกไว้ในรถตอนพาลูกค้าไปเทสต์รถน่ะสิ พี่เอารถไปเทสต์ต่อจากฐานใช่ไหมล่ะ ก็เลยคิดว่าต้องเป็นของฐานแน่ๆ แต่เพิ่งมีโอกาสคืนให้”

“อ๋อ อย่างนี้เอง”

ฐานทัพพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะกล่าว

“ขอบคุณนะพี่แซม ถ้าพี่ไม่เก็บไว้ให้สงสัยคืนนี้ผมเข้าห้องไม่ได้แน่ๆ เลย”

เขาบอกอย่างยิ้มแย้ม ถึงแม้ในใจจะคิดว่าถึงไม่คืนวันนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะตั้งใจว่า ‘จะค้างข้างนอก’ อยู่แล้ว แต่การได้รับคืนโดยเร็วที่สุดก็เป็นเรื่องดี หากเขารู้ทีหลังว่ามันหายไปคงแตกตื่นแย่

“ไม่เป็นไร งั้นก็กลับดีๆ ล่ะ”

จักรวาลล่ำลาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน

ในเมื่อไม่มีเหตุอะไรแล้วคราวนี้ฐานทัพจึงเร่งรีบไปร้านประจำเพื่อหาคนที่จะมาสนองความปรารถนาซึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ในกายจนแทบจะแผดเผาออกมาท่วมร่างตามความตั้งใจดั้งเดิม

แต่ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นแท้ๆ พอไปถึงแล้วไม่ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่คนคุ้นหน้าไปหมด จนอดบ่นกับตนเองไม่ได้ว่าไม่มีพวกหน้าใหม่มาบ้างเลยหรือไง

“ฐาน”

เสียงหนึ่งเรียกเขาจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปและเห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนั้น ฐานทัพก็คลี่ยิ้มมุมปากออกมา เพราะดูเหมือนว่าโชคจะเริ่มเข้าข้างเขาบ้างแล้ว

“ว่าไงครับ คุณพนักงานใหม่”

พอเขาทักไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็ทำสีหน้าเหมือนห่อเหี่ยวลงไปหน่อย ก่อนจะบอกกลับมา

“ผมชื่อกวี”

“อ๋อ ครับ คุณกวี วันนี้ก็มาด้วยเหรอครับ มาคนเดียว?”

ฐานทัพถามต่อท้ายพร้อมกับชะเง้อคอเล็กน้อยมองไปทางด้านหลังของหนุ่มตัวสูงตรงหน้า แต่ก็ไม่เห็นคนที่เหมือนจะเป็นเพื่อนของผู้ชายคนนี้

“ผมมาคนเดียวน่ะ อยากมาเจอฐาน”

ประโยคท้ายเรียกเสียงหัวเราะหึจากคนฟังได้ ฐานทัพเริ่มสองจิตสองใจขึ้นมาเล็กน้อยกับคำพูดที่คิดอย่างไรก็ดูเหมือนจะสร้างความยุ่งยากให้ทีหลังจนรู้สึกเสียดายขึ้นมาหน่อยๆ

“ทำไมต้องอยากเจอด้วยล่ะครับ”

“ก็คราวก่อนต้องจากกันไปทั้งแบบนั้นทั้งที่เรากำลังจะได้ไปด้วยกันแล้ว... ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอครับ”

หลังจากกวีพูดจุดประสงค์แฝงเจตนาของตนเองมาแล้ว ฐานทัพก็เริ่มคิดเปลี่ยนใจอีกรอบ เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะอยากเล่นสนุกกับเขาพอควร มิหนำซ้ำยังมีความกล้ามากกว่าครั้งก่อนที่ดูตื่นๆ อยู่ ทว่าพอเจอคำถามสุดท้าย เขาก็ต้องคิ้วกระตุกขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

ถ้าไม่ถามก็กำลังจะไปได้ดีแล้วเชียวนะ

“ก็แค่คนคนหนึ่งที่อยากผูกมัดผมน่ะ แต่ผมไม่ชอบอะไรแบบนั้น ถ้าคุณคิดจะทำแบบนั้นผมก็ต้องบอกไว้เลยว่าแยกกันตรงนี้ดีกว่า ผมไม่สนใจคนที่คิดจริงจัง”

พูดเสร็จฐานทัพก็เตรียมจะหันหลับกลับทันที ไม่อยากให้ชีวิตต้องยุ่งวุ่นวายไปมากกว่านี้ เพราะแค่มีสิบทิศตามติดเป็นสตอล์กเกอร์คนเดียวเขาก็รำคาญจะแย่อยู่แล้ว ขืนเพิ่มมาอีกคน เขาคงเป็นบ้าตายก่อน

“เดี๋ยว”

ทว่าบิดตัวไปได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็ถูกมือใหญ่คว้าแขนเอาไว้เสียก่อน

ฐานทัพเพียงผินหน้ากลับไปด้านหลังแสดงให้รู้ว่าจะยอมรับฟังคำพูดที่เข้าหูอย่างเดียวเท่านั้น และคงเพราะเหมือนถูกบีบคั้นกระมัง กวีจึงยอมเอ่ยปากออกมา

“ผมไม่คิดจะผูกมัดฐานหรอก แค่รู้สึกเสียดายที่เสียโอกาสไป”

“แน่ใจเหรอ”

“ครับ เชื่อได้เลย”

ฐานทัพจดจ้องเข้าไปในดวงตาเรียวคมที่จ้องตอบกลับมา

ไม่มีวี่แววของความลังเลอยู่ในนั้น มันดูมั่นคงเสียจนฐานทัพมุ่นคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย แม้ว่าพฤติกรรมของกวีจะน่าเชื่อถืออยู่พอสมควร แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากมีปัญหาตามมาทีหลัง

“ผมขอคิดดูอีกทีก่อน”

เขาคิดจะทิ้งคำพูดไว้เท่านั้นและเดินจากไป แต่มือที่กำท่อนแขนของเขาเอาไว้ได้เกินหนึ่งรอบก็ยังคงจับแน่น เสียงทุ้มต่ำส่งออกมาคัดค้าน

“ถ้าต้องรอให้ฐานคิดดูอีกรอบ แล้วแบบนี้จะได้เมื่อไรล่ะ ตั้งแต่วันนั้นมาฐานก็ไม่มาที่นี่เลยเป็นเดือน”

“รู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้มาเป็นเดือน”

สัญญาณชักร้องเตือนถึงความอันตรายบางอย่างเสียแล้ว ฐานทัพอยากจะถอยห่างแต่ติดที่ว่าถูกจับแขนเอาไว้แน่น

ก่อนหน้าใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอสถานการณ์ที่ว่าอีกฝ่ายเป็นประเภทดื้อด้าน จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ ทว่าแบบนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็มั่นใจได้ว่าฝ่ายนั้นแค่อยากสนุกชั่วครั้งชั่วคราว ไม่อยากสานสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น พวกเขาต่างได้ประโยชน์ทั้งคู่จึงจบลงด้วยดี แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ และแตกต่างออกไปจากสิบทิศ

“ผมบอกไปแล้วไงครับว่าเพราะคราวก่อนจากกันไปทั้งอย่างนั้น มันเหมือนเรื่องยังค้างคาอยู่ ผมก็เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ทำให้จบๆ ไปจะรู้สึกคาใจไปตลอด”

แบบนั้นเองหรอกเหรอ

เมื่อได้ฟังคำอธิบายที่พอจะยอมรับได้ฐานทัพก็ครางเสียงแผ่วเบาในใจอย่างอดไม่ได้ จากนั้นเอ่ย

“เข้าใจแล้ว เพราะมันไม่จบสินะ”

ตามด้วยก้มลงมองมือที่จับแขนตนอยู่แล้วเชยหน้าขึ้นประจันคนที่สูงกว่า

“งั้นก็ปล่อยได้แล้วล่ะครับ ผมตกลงไปกับคุณแล้ว”

“จริงเหรอ”

สีหน้าของกวีแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างฉับพลัน ดูสดใสร่าเริงขึ้นมาราวกับเด็กๆ จนฐานทัพถึงขั้นฉุกคิดในใจว่าอะไรจะดีใจขนาดนั้นเชียวจึงเผลอถามออกมา

“ถามจริงเถอะ คุณขาดแคลนคู่นอนเหรอ ถึงได้ดูดีใจเสียเหลือเกิน”

“เอาจริงๆ ก็...ประมาณนั้นแหละ”

อีกฝ่ายว่าพลางปล่อยมือออกจากการพันธนาการที่ยาวนาน

“คือผมเป็นประเภทที่ไม่เคยมีอะไรกับคนที่ตัวเองตัวเองไม่ถูกใจน่ะ”

คำตอบนั้นเหมือนจะขูดขีดผิวเนื้อของฐานทัพพอสมควร เพราะนั่นเหมือนกับกำลังบอกว่า ‘เจ้าตัวไม่ใช่ประเภทที่จะนอนกับใครไปทั่วอย่างเขา’ ถึงแท้จริงแล้วใช่ว่าเขาจะไม่เลือกเลย แต่ส่วนมากถ้าไม่ถึงขนาดรับไม่ไหว เขาก็โอเคทั้งหมด

แม้จะรู้สึกเช่นนั้นแต่ฐานทัพก็กลืนความรู้สึกข่มๆ ที่แทรกขึ้นมาในลำคอลงไป แล้วเอ่ยคำพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“เผอิญผมเป็นคนเข้าตาคุณพอดี ก็เลยไม่อยากเสียโอกาสที่หาได้ยากว่างั้น”

“ก็ตามนั้นแหละครับ”

กวีหัวเราะแห้งๆ ฐานทัพจึงไม่คิดมากกว่าความแล้วเอ่ยชักชวนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

ทั้งคู่ออกไปจากร้านและไปยังจุดหมายที่มีเรื่องสนุกรออยู่

เมื่อประตูห้องปิดลงแทนที่ฐานทัพจะเป็นฝ่ายจู่โจมเข้าหา เขากลับถูกกวีผลักจนติดกำแพงใกล้กับประตูก่อนจะถูกริมฝีปากของคนตรงหน้าบดคลึงบนปากอย่างร้อนแรง

ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งที่ริมฝีปากถูกประกบติดอยู่เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรีบร้อนถึงขนาดนั้น ผิดจากภาพที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง แต่เขาเองก็อยู่ในช่วงอดอยากปากแห้งเช่นกัน ดังนั้นไฟร้อนๆ จึงลุกพึ่บโดยที่ไม่ต้องอาศัยอะไรเป็นเชื้อเพลิงเลยสักนิด

สองร่างถกถอดเสื้อผ้าของกันและกันออกอย่างรีบเร่งราวกับกำลังทำเวลาเพื่อทำลายสถิติเดิมอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่ขาของทั้งสองก้าวเดินไปยังเตียงไปด้วยและแทบไม่ยอมผละปากที่กำลังเคล้าคลึงกันอย่างดูดดื่มแม้แต่น้อย

เสียงลมหายใจเข้าออกทางจมูกดังถี่กระชั้นขึ้น สวนแทรกด้วยเสียงเฉอะแฉะที่เกิดขึ้นด้วยปากของคนทั้งคู่ ปลายลิ้นสอดรับจังหวะกัน ผลัดกันรุกไล่ไม่หยุดหย่อน กระทั่งเมื่อสะดุดเข้ากับขอบเตียง ร่างของทั้งคู่ก็ร่วงหล่นลงไป แรงดีดตัวของเครื่องนอนไม่สามารถทำอะไรคนที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งอื่นได้ สองร่างผลัดกันลูบไล้เล้าโลมกันไปมา

“ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย”

ฐานทัพผละปากออกมาเล็กน้อยเพื่อบอกเรื่องสำคัญ แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาเป็นเสียงทุ้มพร่ากระเส่าที่บ่งบอกอารมณ์ว่า ‘ไม่ไหวแล้ว ไม่รอแล้ว’

“ไม่เป็นไร”

กวียื่นมือออกไปยังหัวเตียง คว้าเจลหล่อลื่นและถุงยางมาอย่างเร็วไวจนแทบเรียกได้ว่าตะครุบ จากนั้นก็บีบของเหลวที่มีลักษณะหนืดเล็กน้อยออกมาจากขวด ละเลงลงยังตำแหน่งที่ตัวเองต้องการรุกล้ำเข้าไปเหลือเกิน

ฐานทัพไม่คิดจะโต้แย้งใดๆ อีก เพราะนิ้วมือที่กำลังควงควานอยู่ในร่างของเขาทำให้รู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว ขัดตอนนี้ไปก็มีแต่เสียอารมณ์เปล่าๆ ไม่ใช่แค่กับอารมณ์ของกวีแต่ของตนเองด้วยเช่นกัน

ในเมื่อไฟกำลังลาม ก็ปล่อยให้มันวอดวายไปเลย จะเหนื่อยดับไปทำไมกัน

เมื่อดูเหมือนร่างกายพร้อมจะรับการมาเยือนอย่างเต็มที่แล้ว เสียงยางตึงเปรียะก็ดังขึ้น จากนั้นไม่นานทั้งร่างของฐานทัพก็สั่นสะท้านเพราะถูกอะไรบางอย่างอัดเข้ามาจนเต็มแน่น

เขาครางเสียงออกมาอย่างอดไม่อยู่ แต่เพียงครู่เดียวก็ออกแรงผลักร่างที่อยู่เหนือตนให้พลิกกลับมาด้านล่างแทน

เปลี่ยนบทบาทจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำเสีย

เอาให้เมามันจนแทบขาดใจไปเลย ให้สมกับที่รอคอยมันมาตลอดทั้งเดือน







v


v


หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 2nd Lie ถึงผมจะไปนอนกับใครมันก็เรื่องของผม 1/2/62
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 01-02-2019 21:33:18


v



v





ใบหน้าผ่องใสของฐานทัพปรากฏให้เห็นในวันทำงานวันแรกของสัปดาห์จนถูกคนในโชว์รูมหลายๆ คนถามว่าไปทำอะไรมา มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นเหรอด้วยความสนใจใคร่รู้ บางคนก็เอ่ยแซวพลางทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ราวกับจะล่วงรู้เหตุผลเบื้องหลัง แต่ที่ทำให้เขาต้องหน้าหงิกขึ้นมาทันควันมีอยู่หนึ่งคำถาม

“ตกลงปลงใจกับหนุ่มสายเปย์คนนั้นแล้วเหรอ”

ทั้งที่สิบทิศเลิกซื้อของส่งมาให้เขาเป็นเดือนแล้ว แต่เพราะผลงานในเดือนแรกประจักษ์ชัด ใครๆ ถึงพากันเรียกเจ้าตัวว่า ‘หนุ่มสายเปย์’ กันไปหมด แม้เขาค้านและบอกชื่อไปแล้ว รุ่นพี่ทั้งหลายก็ยังคงเรียกด้วยคำเดิมจนฐานทัพเบื่อจะแก้

“ผมว่าเรื่องนั้นคงยากจนเรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย”

“แทบเป็นไปไม่ได้ก็แสดงว่าเป็นไปได้สินะ”

“คงศูนย์จุดศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์หนึ่งเปอร์เซ็นต์ละมั้งครับ”

พอถูกจับบิดคำพูดไปให้มีความหมายในอีกแง่ ฐานทัพก็รีบแย้งแล้วพูดคำว่า ‘ศูนย์’ จนลิ้นรัว

คนอื่นๆ พากันหัวเราะทำให้หน้าของเขายิ่งหงิกไปมากกว่าเดิมจนต้องแยกตัวออกจากวงสนทนาด้วยคำพูดว่าลูกค้ามาแล้ว เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังจะเปิดประตูเข้ามา

ทว่าไม่ใช่เพียงฐานทัพที่ต้องหน้าหงิกกับการหยอกล้อกับเพื่อนร่วมงาน เพราะพอตกเย็นสิบทิศที่หายหน้าไปในวันก่อนก็มาปรากฏตัวด้วยสีหน้ายักษ์ดูไม่สบอารมณ์ในทันทีที่เจอหน้ากัน

พอฐานทัพเข้ามานั่งในรถยนต์ราวกับเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว เสียงทุ้มห้วนก็แผดดังออกมา

“เมื่อวันศุกร์ฐานออกไปกับคนอื่นใช่ไหม”

“ทำตัวสมกับเป็นสตอล์กเกอร์จริงๆ ด้วยนะครับ”

คำพูดที่ออกจากปากของฐานทัพนั้นจงใจยียวนกวนประสาทอย่างเต็มที่ เขาเห็นเหมือนกับว่ามีควันกำลังออกมาจากหูของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างๆ เลยด้วยซ้ำ ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าสิบทิศรู้ได้อย่างไรว่าเขาออกไปกับคนอื่น

“ตอบให้ตรงคำถาม”

เสียงของสิบทิศเข้มขึ้นอีกและยังดังขึ้นอีกด้วย แต่ฐานทัพก็ยังไม่มีท่าทียินดียินร้าย ตอบด้วยเสียงเรียบเรื่อยเฉือยชา

“ผมมีหน้าที่อะไรที่ต้องตอบคุณด้วยล่ะครับ”

“ฐานแน่ใจนะว่าจะไม่ตอบพี่”

คำตอบที่ฐานทัพมอบให้ไม่ใช่การเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด แต่เพียงยักไหล่อย่างไม่ยี่หระเท่านั้น และดูเหมือนว่านั่นจะยิ่งกระพือความโกรธของสิบทิศขึ้นมาจนมันโหมท่วมเป็นเพลิงร้อน

“ก็ได้ ฐานไม่ตอบ พี่หาคำตอบเอง”

เมื่อพูดเช่นนั้นจบ มือที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถเพื่อเตรียมจะออกรถก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งตรงมายังฐานทัพอย่างรวดเร็ว แล้วกระชากเนกไทบนคอของเขาออก พร้อมกับดึงคอเสื้ออย่างรุนแรงจนกระดุมสองเม็ดแรกกระเด็นหลุดออกมาอย่างไร้ทิศทาง

ฐานทัพตกใจจนตาเหลือกโปนเป็นครั้งแรก เพราะไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาแบบนี้ในกรณีที่เขาไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนและไม่ใช่เพราะอารมณ์พลุ่งพล่านที่เรียกว่า ‘กามารมณ์’

เขายกมือขึ้นเตรียมจะดึงมือของสิบทิศออกพลางร้องโวย

“ทำอะไรของคุณ!”

แต่ก็ช้าไปแล้ว เพราะเสื้อถูกกระชากแรงยิ่งกว่าเดิมจนกระดุมเสื้อหลุดออกมาทั้งแผง เปิดเปลือยแผ่นอกขาวเนียนที่มีรอยกระด่างแดงเข้มปรากฏอยู่ประปรายไปทั่ว โดยเฉพาะบริเวณจุดที่ใกล้ติ่งเนื้อสีน้ำตาลอ่อนและสะดือยิ่งเห็นรอยอย่างเด่นชัด

“พี่บอกฐานแล้วใช่ไหมว่าพี่ไม่ชอบ!”

น้ำเสียงกรรโชกดังกระหึ่มในห้องโดยสาร สายตาของคนตรงหน้าเข้มขึ้นราวกับสัตว์ร้ายที่หลับใหลอยู่ตื่นขึ้นจากนิทราด้วยความเกรี้ยวกราด มันดูน่ากลัวจนฐานทัพต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงกระนั้นก็ทำใจกล้าโพล่งเสียงตอบกลับไปด้วยระดับที่ใกล้เคียงกัน

“แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาไม่ชอบการกระทำของผม คุณกับผมไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้นจำไม่ได้หรือไง”

“พี่ก็บอกไปแล้วว่าอยากให้ฐานเป็นของพี่คนเดียว”

“ผมไม่ได้ยินยอมรับคำอะไรของคุณทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถึงผมจะไปนอนกับใครอีกกี่สิบกี่ร้อยคนมันก็เรื่องของผม ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตคุณ!”

เขาตะคอกออกมาอย่างเหลืออดที่โดนผูกมัดราวกับเจ้าชีวิตทั้งที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยสักนิด อย่างมากก็แค่คู่นอนคืนเดียวโดยที่เขาไม่มีสติเลยแม้แต่น้อย กระทั่งจะนับว่าเคยร่วมเตียงกันยังนับไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

ทว่าดูเหมือนว่าประโยคยืนยันเช่นนั้นจะยิ่งทำให้ความเดือดดาลของสิบทิศปะทุ ฐานทัพถูกกระชากเข้าหาแล้วริมฝีปากของสิบทิศก็ประกบบนปากอย่างรุนแรงจนได้กลิ่นคาวเลือด ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระ กลับยิ่งบดขยี้จนเจ็บไปหมด

ฐานทัพพยายามออกแรงผลักร่างที่กำลังคุกคามตัวเองออกไป แต่เพียงมองขนาดตัวก็รู้แล้วว่าไม่สามารถสู้แรงได้

ริมฝีปากถูกดูดดึงจนปวดชา เจ็บไปหมดราวกับมันร้าวระบม

พออีกฝ่ายพยายามดันปลายลิ้นแทรกเข้ามาในปากที่พยายามเม้มแน่นได้สำเร็จ เขาจึงถือโอกาสกัดลิ้นนั้นไปอย่างแรง ทำให้ภายในปากอวลไปด้วยกลิ่นคล้ายสนิมเหล็กมากขึ้น

“ผมไม่กัดให้ขาดก็บุญเท่าไรแล้ว!”

ฐานทัพกระแทกเสียงออกมา จ้องมองใบหน้าและดวงตาของสิบทิศอย่างอาฆาตมาดร้าย บ่งบอกให้รู้ว่าถ้าทำร้ายเขาอีก เขาก็จะทำร้ายกลับให้สาสมพอกัน สิบทิศจึงดูเหมือนจะสงบลงได้หน่อย

เสียงทุ้มแผ่วที่ฟังดูแปร่งๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากปากที่แตกจนมีเลือดซึม

“พี่ขอโทษ พี่โมโหจนขาดสติไปหน่อย”

เขานิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินเสียงใดๆ เพราะความโกรธกรุ่นอวลอยู่จนไม่มีอารมณ์จะเสวนาใดๆ ด้วยแล้ว

ที่เขายอมขึ้นรถมาด้วยก็เพราะเคยเมินเฉยต่อคำขอ ‘ไปส่ง’ ของสิบทิศแล้ว อีกฝ่ายก็เอาแต่เดินตามเขากลับไปจนถึงอะพารต์เมนต์ซึ่งเป็นหอพัก สร้างความน่าหงุดหงิดและน่ารำคาญ ดังนั้นเขาจึงตัดปัญหารวมทั้งตัดความรำคาญโดยยอมขึ้นรถมาด้วยจะได้ขจัดสิบทิศไปจากขอบเขตการมองเห็นได้เร็วขึ้น

แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาเจอความเจ้าอารมณ์แบบนี้ มันคุ้มกันตรงไหน

“ฐาน เอ่อ... พี่ว่าเปลี่ยนก่อนดีกว่านะ พี่มีเสื้อเก็บไว้อยู่”

หลังจากสิ้นเสียงนั้น สิบทิศก็โน้มตัวแทรกไประหว่างเบาะแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งมายื่นให้

ฐานทัพมองสิ่งนั้นอย่างไม่แยแสเท่าไร ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง

สีหน้าของชายหนุ่มร่างสมส่วนในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แววตาส่องประกายขอโทษอย่างที่ปากเอ่ยอีกหน

“พี่ขอโทษนะ อย่าโกรธเลยนะ”

“ทั้งที่คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับผมแบบนี้ แต่ยังมีหน้ามาขอโทษอีกนะ”

ถ้อยคำจิกกัดดังออกมาพร้อมกับฐานทัพยื่นมือออกไปดึงเสื้อเชิ้ตในมือใหญ่มาสวมใส่ ทอดทิ้งเสื้อของตนที่ไม่เหลือกระดุมสักเม็ดไป จากนั้นก็หันหลังใส่สิบทิศในทันที มือเกี่ยวเข้ากับมือจับประตูแล้วเปิดออก

“ฐาน...”

“ถ้าสำนึกผิดจริงๆ ก็อย่าตามมา ถ้าคุณตามมาอีกอย่าหวังว่าผมจะมองเห็นหัวคุณอีก”

ไม่ทันให้สิบทิศกล่าวคำขอร้องอะไรมากไปกว่านั้นเขาก็พูดขึ้นโดยไม่หันหน้ากลับไปสักนิด เพียงชำเลืองตามองราวกับมองสิ่งปฏิกูลชั้นต่ำที่ไร้ค่าเกินจะมองให้เสียสายตาและลงจากรถไป

 

 


ฐานทัพเดินกลับหอพักของตนเองโดยใช้เวลาประมาณสิบห้านาที เขาตั้งใจเลือกที่อยู่นี้เพราะห่างจากสถานที่ทำงานไม่มากนักจึงไม่ต้องลำบากเรื่องการเดินทาง มิหนำซ้ำยังถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย แม้วันนี้เสื้อที่สวมอยู่จะทำให้รู้สึกรุ่มร่ามไปสักหน่อย

เมื่อถึงที่หมายเขาก็ตรงไปยังร้านอาหารใต้อะพาร์ตเมนต์เจ้าประจำทันที สั่งอาหารมื้อเย็นของตัวเองเสร็จแล้วแค่รอสักพักก็มีข้าวร้อนๆ พร้อมกับข้าวมาเสิร์ฟให้ถึงที่ ทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาได้เล็กน้อย

ทว่าไม่ทันจะตักข้าวเข้าปากคำแรก เสียงของแม่ครัวฝีมือดีก็ดังขึ้นมาให้ได้หงุดหงิดอีกระลอก

“วันนี้พ่อหนุ่มคนนั้นไม่มากินด้วยกันเหรอ”

เขาไม่รู้หรอกว่าคุณป้าวัยสี่สิบปลายๆ จะคิดหรือมองภาพเขากับสิบทิศในแง่ไหนหรือได้ยินบทสนทนาอะไรไปบ้างตลอดช่วงระยะเวลาที่ผู้ชายคนนั้นมาถือวิสาสะร่วมโต๊ะกับเขา ถึงกระนั้นก็ตอบไปอย่างไม่แยแส

“ไม่มาก็ดีแล้วครับ”

แต่ก็ถูกอีกฝ่ายพูดอย่างเสียดาย

“โธ่ แบบนี้ป้าก็ขาดทุนน่ะสิ”

“แค่ข้าวจานเดียวคงไม่ขาดทุนขนาดนั้นมั้งครับป้า”

ฐานทัพพูดแขวะไปแค่นั้นก่อนจะตักข้าวเข้าปากโดยเร็ว ตั้งใจปิดกั้นบทสนทนาบทต่อไป ทว่าก็ยังได้ยินเสียงพึมพำจากคนสูงวัย “ทะเลาะกันล่ะสิท่า” แว่วมา

เขาทำเป็นไม่สนใจและกินข้าวต่อไปเรื่อยๆ จนหมดจาน จ่ายเงินแล้วก็เดินขึ้นห้อง

อะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ค่อนข้างเก่าอยู่พอสมควร ดังนั้นระบบรักษาความปลอดภัยจึงถือได้ว่าเก่าตามไปด้วย คงยากจะเชื่อว่าตอนนี้ยังมีที่อยู่อาศัยแบบส่วนรวมที่ใช้กุญแจปิดประตูชั้นล่าง ไม่ใช่คีย์การ์ดตามสมัยนิยม

แต่นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกที่แห่งนี้ เพราะค่าเช่าถูก

แม้พนักงานขายรถอย่างเขาจะเงินเดือนน้อยนิด แต่ค่าคอมมิสชันก็สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งขายได้มากเท่าไรเงินก็ไหลมาเทมาให้อยู่ได้อย่างไม่ลำบาก เพราะฉะนั้นขอเพียงขยันเท่านั้นก็ใช้ชีวิตได้สบาย แต่ที่เขาใช้ชีวิตเหมือนคนชักหน้าไม่ถึงหลังแบบนี้ก็เพราะเขามีเป้าหมายมากกว่านั้น

นั่นคือ...เรียนต่อปริญญาโท

เขาตั้งใจว่าเก็บเงินได้สักก้อนหนึ่งก็จะลาออกไปเรียนต่อแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ส่วนไหนที่ไม่จำเป็นย่อมต้องตัดออก

ในเมื่อเขาไม่มีต้นทุนชีวิตเหมือนอย่างคนอื่นก็ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น เหมือนอย่างตอนเรียนปริญญาตรี

เขาพยายามอย่างเต็มที่ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐเพื่อค่าเทอมที่แสนถูกจนเขาสามารถทำงานพิเศษมาเป็นค่าใช้จ่ายได้ เพราะไม่มีใครไยดีออกค่าเรียนค่ากินอยู่ให้เขาหรอก

พ่อทิ้งเขากับแม่ไปด้วยคำว่า ‘เด็กมันน่ารำคาญ’ ตั้งแต่เขาจำความได้ช่วงสองขวบกว่าๆ

ส่วนแม่ก็ไม่กลับมาบ้านอีก ทิ้งไว้แต่บัตรเอทีเอ็มพร้อมกับประโยคว่า ‘ฉันจะส่งเงินให้ทุกเดือน แต่จบ ม.6 แล้วก็หาทางเอาตัวรอดเองแล้วกัน’ หลังจากพาเขาไปสมัครเรียนมัธยมต้นเรียบร้อยแล้ว

และมันก็เป็นอย่างที่แม่ซึ่งเขาไม่เคยเจอหน้าอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้นพูดไว้ ทันทีที่เขาเรียนจบมัธยมปลายห้องเช่าเล็กๆ ที่เขาอาศัยอยู่คนเดียวมาตลอดหกปีก็ถูกเจ้าของตึกยึดคืนจากการยกเลิกสัญญาเช่าของแม่

ในตอนนั้นเพราะได้ความใจดีของเพื่อนคู่ขา เขาถึงมีที่ซุกหัวนอนตลอดช่วงปิดเทอมก่อนหอพักมหาวิทยาลัยจะเปิดให้เด็กปีหนึ่งเข้าพัก ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะไปซุกหัวที่ไหนเหมือนกัน

ความรู้สึกเจ็บช้ำเพราะความไร้ค่าของตัวเองทำให้เขาอดนึกไม่ได้ว่าถ้าเขาน่ารำคาญเป็นตัวเกะกะขนาดนั้น จะปล่อยให้เขาเกิดมาทำไม

แต่ในเวลานี้...เขาลบลืมมันไปหมดแล้ว และจะก้าวเดินออกไปด้วยความพยายามของตัวเอง

ในเมื่อตัวเองไร้ค่า ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครมาเห็นค่าไม่ใช่เหรอ

ฐานทัพไขกุญแจประตูห้องเมื่อเดินมาถึงชั้นสี่แล้ว แม้อาคารแห่งนี้จะมีลิฟต์ให้ใช้ แต่เขาก็ถือคติว่าเดินเพื่อย่อยเช่นเดียวกับการเดินไปกลับโชว์รูมออกกำลังกาย

หลังจากเข้าไปในห้องก็นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่สักพักหนึ่งจนครบครึ่งชั่วโมงก็ดึงผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่บนราวที่ระเบียงหลังห้องออกมา แล้วเดินเข้าห้องน้ำตามกิจวัตรประจำวันที่เป็นมาตลอดนับตั้งแต่เริ่มทำงาน

กระทั่งแต่งตัวออกมาเรียบร้อยและตรงออกไปที่ระเบียงเพื่อเอาผ้าเช็ดตัวไปตากอีกครั้ง ก็เริ่มเก็บเสื้อผ้าที่ซักและตากทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

เขาเก็บรวบๆ มากอดเอาไว้แนบอกก่อนจะเอาไปวางกองบนเตียง เหลือแต่เพียงกางเกงชั้นในที่แขวนแยกเอาไว้ที่ต้องเดินไปเก็บอีกรอบ

ทว่าเมื่อเก็บไปแล้วก็ต้องประหลาดใจ เพราะดูเหมือนว่าที่เขาซักตากเอาไว้จะมีมากกว่านี้หนึ่งตัว

เขาจำได้...มันต้องมีห้าตัว แต่ในตอนนี้กางเกงในที่อยู่ในมือเขาเหลือแค่สี่

มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เขาคิดว่ามันอาจจะหล่นก็ได้จึงลองก้มหาดูที่พื้น แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่มีลักษณะคล้ายกันเลย พอจะชะโงกหน้าไปดูที่นอกระเบียงเพราะคิดว่ามันอาจจะปลิวตกไปก็ได้ ก็ต้องชะงักไปทันทีเมื่อเห็นว่าเหนือขอบกั้นระเบียงนั้นมีตาข่ายกั้นเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่มีทางที่ของใหญ่กว่านิ้วมือจะหล่นลงไปได้

“แล้วมันหายไปไหน”

คำถามเกิดขึ้นพร้อมกับที่ในอกรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันควันยามหันหลังกลับแล้วมองย้อนเข้าไปในห้อง

รู้สึกเหมือนเกิดภาพลวงตาขึ้นมาครู่หนึ่งว่ามันไม่ใช่ห้องพักที่ตนอาศัยอยู่มาตลอดสองปี

บรรยากาศวังเวงแผ่ขยายอย่างฉับพลันจนรู้สึกประหม่า หูอื้อไปกระทั่งไม่ได้ยินเสียงอะไร พร้อมๆ กับข้อเท็จจริงที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดผุดขึ้นมาในสมอง


มีคนเข้ามาในห้องนี้...ใช่ไหม?







-----------

เริ่มเข้าสู่ปริศนาของเรื่องแล้วค่ะ





หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 3rd Lie ลูกตาของผม ผมจะมองใครก็ได้ทั้งนั้น 7/2/62
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 07-02-2019 20:57:16















3rd Lie
ลูกตาของผม ผมจะมองใครก็ได้ทั้งนั้น


 

หลังจากหยุดการกระทำทั้งหมดของตนเองไปชั่วครู่หนึ่ง ฐานทัพก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จากนั้นรีบเปิดตู้เสื้อผ้านับจำนวนกางเกงชั้นในที่เหลือและไม่ลืมนับตัวที่กำลังใส่อยู่ด้วย

เมื่อพบว่าจำนวนถูกต้องเขาก็คว้าพวงกุญแจห้องเดินลงไปชั้นหนึ่งอย่างเร็วรี่ที่สุด กระทั่งเหยียบพื้นซีเมนต์ด้านล่างแล้วก็แทบกระโจนตรงไปยังด้านหน้าอาคารซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอยู่

“ลุง ผมรู้สึกว่ามีคนเข้าไปในห้องผม”

เขาบอกทันทีเมื่อประจันหน้ากัน ลุงยามวัยย่างห้าสิบจึงเงยหน้าขึ้นตอบ

“จะไปมีได้ยังไงกันเล่า ถ้าขึ้นตึกได้ก็แสดงว่ามีลูกกุญแจไขเท่านั้นไม่ใช่รึ”

“มันก็ใช่ แต่ว่ากางเกงในผมหายไปหนึ่งตัวจริงๆ นะ”

“ก็แค่กางเกงในเอง เอ็งนับจำนวนที่ซักผิดหรือเปล่า ใครจะอยากมาขโมยกางเกงในผู้ชาย ถ้าเป็นยกทรงผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง”

ลุงยามตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจเสมือนว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับฐานทัพแล้ว เขารู้สึกว่ามันน่ากลัว

เขาจำไม่ผิดแน่ๆ ว่าซักกางเกงในไว้ห้าตัว และนับจำนวนที่มีอยู่ทั้งหมดแล้วด้วย อย่างไรก็ไม่ครบ

พอคิดเช่นนั้น ความจริงที่ว่าหากใครสักคนสามารถเข้ามาในห้องของเขาได้ ย่อมเข้าออกได้ตามสะดวกก็ยิ่งน่ากังวล

ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่เท่ากับว่าเขาเปิดประตูต้อนรับเจ้าโจรนั้นตลอดเวลาหรอกเหรอ

“ลุงไม่เห็นคนแปลกหน้าเข้าออกที่นี่จริงๆ เหรอ”

“โอ๊ย เอ็งนี่ คนอยู่ที่นี่กันตั้งเท่าไร ลุงจะไปจำทั้งหมดได้ยังไงวะ หน้าเอ็งลุงยังเพิ่งเคยเห็นเลย”

คำตอบที่ได้รับทำให้ฐานทัพถอดใจและอ่อนใจจะสอบถามข้อมูลเพิ่มไปมากกว่านั้นจึงชะเง้อคอเข้าไปในส่วนที่เป็นสำนักงานของอะพาร์ตเมนต์แทน เผื่อว่าทางนั้นจะสามารถช่วยอะไรเขาได้ แต่ว่าภายในห้องนั้นก็ปิดไฟเงียบไปแล้ว มิหนำซ้ำยังมีกระดาษขนาดเอสี่แปะประกาศเอาไว้ด้วย

 

เจ๊ไปต่างจังหวัดอาทิตย์หนึ่ง จะกลับมาวันเสาร์หน้า มีปัญหาอะไรให้ติดต่อลุงยามไปก่อน

 

ในเวลานั้นฐานทัพรู้สึกหมดสิ้นแล้วซึ่งความหวัง เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองหน้าลุงยามที่มองหน้าเขางงๆ จากนั้นก็หันหลังกลับ คิดว่าคงต้องเริ่มตรวจสอบภายในห้องตนแล้วว่ามีอะไรหายเพิ่มอีกไหม และเมื่อคิดได้ดังนั้นก็อดต่อว่าตนเองไม่ได้ที่เพิ่งมานึกได้เอาป่านนี้ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดแท้ๆ

หลังกลับมาถึงห้องฐานทัพก็ตรงไปยังลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งขนาดเล็กซึ่งเป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นที่ทางอะพาร์ตเมนต์มีให้ทุกห้อง ไขกุญแจด้วยลูกกุญแจที่ซ่อนเอาไว้ในซอกตู้เสื้อผ้าเพื่อเปิดดูภายใน

แม้ว่าเขาจะไม่มีสมบัติอะไรมาก เนื่องจากไม่ได้ซื้อข้าวของเครื่องใช้ฟุ่มเฟือย แต่อย่างน้อยก็น่าเป็นห่วงสมุดบัญชีที่เก็บเอาไว้ หากมันหายไปคงเดือดร้อนต้องเดินเรื่องเพื่อออกสมุดบัญชีเล่มใหม่ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เขาเก็บหอมรอบริบมาตั้งแต่เรียนมัธยมต้นรวมอยู่ในบัญชีนั้นทั้งหมด

แต่เมื่อเจอสมุดบัญชีและพอหยิบมาเปิดดูมันไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาจึงถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือกใหญ่ๆ

ฐานทัพกวาดตามองไปทั่วห้องอีกครั้งเพื่อสำรวจดูว่ายังมีสิ่งของมีค่าอื่นๆ อีกหรือเปล่าที่พอจะถูกขโมยไปขายได้ แต่ก็ไม่พบสิ่งอื่นแล้ว แม้แต่แล็ปท็อปที่น่าจะมีค่ามากที่สุดในห้องก็ยังวางอยู่ดีในตำแหน่งเดิม

ดังนั้นจึงระบุได้ว่าสิ่งของที่หายไปเพียงอย่างเดียวก็คือกางเกงในของเขา

โจรขโมยกางเกงในผู้ชาย?

โจรเกย์เหรอ

ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเปล่าที่ของที่หายไปมีเพียงเท่านั้น ทว่านั่นก็ทำให้ฐานทัพรู้สึกว่าคืนนี้คงนอนในห้องอย่างไม่เป็นสุขแล้ว เขาจึงคว้าสายชาร์จโทรศัพท์ กระเป๋าเงิน และพวงกุญแจห้องลงไปชั้นล่างอีกครั้ง

เมื่อยืนประจันหน้ากับลุงยามแล้วเขาก็บอก

“คืนนี้ผมขอนอนอยู่ตรงนี้กับลุงด้วยนะ”

ทำเอาคนฟังมุ่นคิ้วค้างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะแค่นหัวแล้วตอบ

“เออ อยากอยู่ให้ยุงหามก็เอา”

ดังนั้นในเช้าวันถัดไปใบหน้าของฐานทัพจึงไม่ค่อยสดชื่นนักต่างกับเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด เพราะแทบถูกยุงหามอย่างลุงยามว่า จนคนในโชว์รูมต่างก็ถามด้วยความสงสัย เขาเลยเล่าไปตามความจริงก่อนจะหันไปหาจักรวาลซึ่งสนิทกันพอสมควร

“คืนนี้ให้ผมไปนอนที่ห้องกับพี่ได้ไหม”

แม้ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าฐานทัพเป็นเกย์แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และจักรวาลแสดงสีหน้าลังเลออกมาให้เห็น แต่คำถามที่ส่งออกมานี้ไม่ได้ทำให้คนที่ถูกถามลำบากใจในแง่นั้นแต่อย่างใด

“โทษทีว่ะฐาน พอดีว่าแฟนพี่เพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยกันเมื่อเดือนที่แล้ว”

ฐานทัพเข้าใจสถานการณ์ดีจึงหันไปมองคนอื่นๆ บ้าง

“พี่ก็อยากชวนไปอยู่ด้วยกันอยู่หรอกนะ แต่หอพี่เป็นหอหญิง”

ระรินตอบมา ถัดจากนั้นนาตยาก็เอ่ย

“พี่ก็อยู่กับครอบครัวแล้วเหมือนกัน”

“พี่อยู่กับพ่อแม่น่ะ”

วีรดาตอบเป็นคนสุดท้าย

คนที่สนิทกันในระดับที่พอขอพึ่งพาอาศัยได้กลับไม่สะดวกจะให้ความช่วยเหลือเลย ฐานทัพจึงจนปัญญา ได้แต่คิดว่าคืนนี้ถ้าไม่ลองทำเป็นลืมๆ มันไปแล้วใช้ชีวิตแบบเดิมคงต้องถูกยุงหามและปวดเมื่อยตัวไปอีกแน่ แล้วก็ไม่ใช่แค่เมื่อคืนหรือคืนนี้เท่านั้น แต่ต้องทนไปทั้งอย่างนั้นจนกว่าเจ้าของตึกจะกลับมาต่างจังหวัด

ถ้าเป็นแบบนั้นสภาพเขาคงไม่รอดแน่ ไหนจะต้องทำงานพบปะลูกค้าตลอดทั้งวันอีก

“แต่จะว่าไปฐานไม่คุยกับหนุ่มสายเปย์ดูล่ะ”

วีรดาเกริ่นขึ้นมา

“คุยเรื่องอะไรครับ”

ฐานทัพสงสัยในความหมายนั้น แต่เสี้ยววินาทีถัดมาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรถเมื่อวานนี้ได้ ทำให้หน้าตึงขึ้นมาทันควัน

“ก็เรื่องนี้แหละ ลองขอความช่วยเหลือเขาดูไหม พี่ว่าเขาคงอ้าแขนพร้อมให้ฐานถลาตัวใส่เลยล่ะ”

คำอธิบายมาพร้อมกับน้ำเสียงหยอกล้อ พานทำให้ฐานทัพรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทว่าเพียงชั่วครู่เสียงจักรวาลก็แทรกขึ้นมาเหมือนนึกได้

“เอ้อ พี่ว่าจริงๆ เขาก็น่าสงสัยเหมือนกันนะ”

“สงสัยเรื่อง?”

ไม่ใช่ฐานทัพที่ถาม แต่เป็นระริน

“ก็เขาชอบฐาน คอยตามติดฐานอยู่ใช่ไหมล่ะ เขาอาจจะเป็นคนที่แอบเข้าไปในห้องฐานก็ได้ เขาไปส่งทุกวัน รู้จักหอฐานดีใช่ไหมล่ะ”

จะว่าไปที่จักรวาลพูดก็มีเหตุผล

ฐานทัพพยักหน้าเบาๆ พลางคิดตาม

มานึกดูแล้วคนที่รู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหนก็มีเพียงสิบทิศ ขนาดรุ่นพี่ทำงานด้วยกันยังไม่รู้เลยว่าอะพาร์ตเมนต์เขาอยู่ที่ไหน รู้เพียงแค่ว่าอยู่ใกล้ๆ โชว์รูมขนาดที่เดินไปกลับได้โดยไม่ลำบาก

และเพราะคำพูดประโยคนั้นทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มสนทนาเริ่มเออออคล้อยตามไปด้วย ไม่ใช่เพียงฐานทัพคนเดียว

ด้วยเหตุนั้นเมื่อถึงเวลาเลิกงานและชายคนเดิมมารออยู่ด้านหน้าโชว์รูมเหมือนทุกวัน ทุกคนจึงมองด้วยสายตาและสีหน้าแตกต่างไปจากทุกที

“ทำไมคนอื่นๆ มองพี่แปลกๆ”

พอฐานทัพก้าวออกมาจากภายในห้องกระจกขนาดใหญ่เพื่อเตรียมกลับบ้าน เสียงของสิบทิศก็ดังขึ้นถาม ทว่าฐานทัพไม่สนใจ ทำเมินราวกับไม่ได้ยินเสียงอย่างไรอย่างนั้นจึงถูกดึงแขนเอาไว้

“หรือว่าเขารู้เรื่องที่พี่ใช้กำลังกับฐานเมื่อวานเหรอ พี่ขอโทษเรื่องเมื่อวานจริงๆ นะ”

แม้ว่าสิบทิศจะเดินตามมาพลางพยายามขอโทษเพื่อให้เขาใจอ่อน แต่ฐานทัพก็ทำเป็นไม่ได้ยินท่าเดียวแล้วเดินกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์ โดยที่สิบทิศเดินตามมาด้วยตลอดทาง

กระทั่งสั่งอาหารเย็นมารับประทานและแม่ครัวแซวว่า

“อ้าว พ่อหนุ่มมาด้วยแล้วเหรอ”

ฐานทัพก็ยังคงทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นธาตุอากาศที่มองไม่เห็น เมื่อกินข้าวมือเย็นเสร็จก็ขึ้นห้องโดยไม่ยี่หระต่อการมีอยู่ของสิบทิศแม้แต่น้อย

ไม่ใช่เพราะลงความเห็นสรุปแล้วว่าโจรขโมยกางเกงในคือสิบทิศ เขาจึงไม่ยอมพูดด้วย

เพราะไม่ว่าอย่างไรหากยังหาข้อเท็จจริงที่แน่นอนไม่ได้ก็ยังไม่ควรปรักปรำใคร ถึงจะเป็นบุคคลที่น่าสงสัยที่สุดก็ตาม

ทว่าเหตุที่เขาทำเช่นนั้นเป็นเพราะยังครุ่นเคืองเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไม่หายต่างหาก

ถ้าเขายอมเปิดปากคุยกับสิบทิศง่ายๆ ก็เท่ากับว่าหมอนั่นจะทำอะไรกับเขาก็ได้ไม่ใช่เหรอ

เขาต้องทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมาเล่นด้วยได้

อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีความมุ่งมั่นสักเท่าไรเชียว

ไม่รู้จะเสียเวลาทำไมทั้งที่มองอย่างไรการจีบเขาก็เป็นการสูญเปล่าทั้งเรื่องเวลาและความรู้สึก เอาเวลาไปเสียกับคนที่ดีๆ มีค่ากว่านี้จะไม่ดีกว่าเหรอ

หลังจากอาน้ำเสร็จฐานทัพก็ได้แต่ชั่งน้ำหนักกับตนเองว่าควรจะแก้ปัญหาในคืนนี้อย่างไรดี ตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ๆ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ตัดสินใจว่า

“เอาก็เอาวะ ยอมลองนอนห้องตัวเองดูสักคืน”

หวังว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะเขาลองตรวจสอบดูแล้วพบว่าวันนี้ไม่มีของชิ้นใดหายไปจากห้อง

แต่แม้จะนอนหลับบนเตียงของห้องตัวเองที่อาศัยมาตลอดสองปี ฐานทัพก็ไม่ได้หลับอย่างเต็มตานัก เพราะใจพะวักพะวนอยู่แต่กับความคิดที่ว่า ‘โจรนั่นจะบุกเข้ามาตอนนอนหรือเปล่า’ เลยได้แต่นอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน

หน้าตาของฐานทัพจึงง่วงงุนไม่สดชื่นสักเท่าไรตอนเดินลงมาชั้นล่าง ทว่าเขาก็ต้องผงะไปเมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่ลุงยามนั่งอยู่แล้วพบว่ามีใครบางคนอยู่ตรงเก้าอี้ตัวที่เขาใช้เป็นที่นอนในคืนก่อนด้วย

สิบทิศยังคงอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อวาน นั่งอยู่ตรงนั้น

จดจ้องมาทางประตูทางขึ้นตึก

พอเห็นเขาแล้วเจ้าของร่างสูงได้ส่วนสัดนั้นก็ลุกพรวดแทบถลาเข้ามาหาด้วยหน้าตาตื่นเต้นเล็กน้อยจนน่าแปลกประหลาดใจว่าอีกฝ่ายมาทำอะไรที่นี่และทำไมต้องทำสีหน้าเช่นนั้น

“ทำไมฐานไม่บอกพี่”

ยิ่งได้ยินประโยคแรกที่หลุดจากปากของสิบทิศ ฐานทัพก็ยิ่งงุนงงขึ้นอีกจนต้องหลุดปากถาม

“บอกอะไร”

“ก็เรื่องที่ถูกขโมยขึ้นห้องไง แถมยังโดนขโมยกางเกงในอีก นี่มันโจรโรคจิตแล้วนะ”

ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกว่าเจ้าของคำพูดไม่ได้คิดเผื่อไว้เลยว่านั่นเป็นการพูดถึงตัวเอง

ฐานทัพชำเลืองตามองเล็กน้อยเพื่อพินิจพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนถึงท่าทีของสิบทิศ แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นการเล่นละครก็ถือว่าตีบทแตกทีเดียว

“คุณรู้ได้ยังไง”

เมื่อได้รับคำตอบว่าลุงยามเป็นคนบอกพี่ ฐานทัพถึงกับตวัดสายตาไปมองทางลุงยามที่ทำหน้าง่วงเหงาหาวนอน และคงเพราะฝ่ายนั้นเข้าใจสายตาของเขากระมังถึงได้เอ่ยปาก

“ก็พ่อหนุ่มคนนี้มาถามลุงว่าเอ็งอยู่ห้องไหนน่ะสิ ลุงเลยลองซักดูเผื่อว่าเขาจะเป็นโจรคนนั้นก็ได้ แต่ดูท่าทางจะไม่ใช่ แถมเมื่อวานเขาก็กลับมากับเอ็งด้วยไม่ใช่เหรอ แต่ลุงไม่รู้เลขห้องเอ็งเลยบอกเขาไม่ได้ เขาเลยขออยู่ที่นี่ทั้งคืนเผื่อว่าเอ็งจะลงมานอนด้วยกันเหมือนคืนก่อน”

คำอธิบายนั้นตอบคำถามได้หมดทุกอย่าง แต่ฐานทัพไม่รู้สึกขอบคุณสักนิด เพราะคำพูดปากมากของลุงยามทำให้เขาถูกสิบทิศรบกวนตั้งแต่เช้าทั้งที่แค่เจอตอนเย็นก็น่ารำคาญจะแย่อยู่แล้ว

“แล้วคุณทำไมไม่กลับไปสักที”

“ก็เพราะพี่เป็นห่วงฐานน่ะสิ”

ฐานทัพเหลือบตามองดูร่างตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า โดยเฉพาะท่อนแขนที่โผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อซึ่งถูกพับขึ้น เห็นจุดแดงๆ อยู่หลายจุดก็รู้ว่ามีที่มาอย่างไร เพราะเมื่อวานเขาก็มีรอยแบบนั้นเหมือนกันจึงอดแค่นเสียงในใจไม่ได้

ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าไหม ถูกยุงแทะจนอร่อยเลยไม่ใช่เหรอ

แต่ดูเหมือนสิบทิศจะไม่ได้ใส่ใจสายตานั้น กลับถามออกมาอีก

“ฐานปลอดภัยใช่ไหม ไม่มีอะไรอย่างอื่นถูกขโมยไปอีกนะ”

พอเขาเดินมาสั่งข้าวเช้า สิบทิศก็ติดตามมาสั่งด้วย จนฐานทัพค่อนแคะในใจว่าจุ้นจ้านวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้น ก่อนจะลองโพล่งประโยคที่เป็นข้อสันนิษฐานของเพื่อนร่วมงาน

“คุณไม่ใช่หรือไงที่เป็นโจรน่ะ”

“เฮ้ย เปล่านะ พี่ไม่ใช่”

ใบหน้าของคนถูกกล่าหาเคลือบด้วยแววตื่นตระหนกทันที สิบทิศยกมือขึ้นโบกปฏิเสธจนเสียงหลง แต่ฐานทัพก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แยแส

“คนที่รู้ว่าผมอยู่ที่นี่ก็มีแต่คุณ ก็ต้องน่าสงสัยที่สุดอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่พี่แน่นอน สาบานเลย”

หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วสีหน้าตื่นตกใจก็เปลี่ยนเป็นห่อเหี่ยวในทันที เหมือนกับคนน้อยใจกำลังตัดพ้อว่าให้เชื่อกันหน่อยสิ เห็นอย่างนั้นแล้วฐานทัพก็รู้สึกว่ามันน่าขำ แต่เพียงครู่เดียวสิบทิศก็พูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่แตกต่างไปอีก

“แต่พี่ว่าปล่อยไว้แบบนี้มันไม่ปลอดภัยนะ ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็ดูไว้ใจไม่ค่อยได้ด้วย”

เปลี่ยนอารมณ์ไวชิบเป๋ง

“ฐานมาอยู่กับพี่ไหม”

ข้าวที่เพิ่งเอาเข้าปากคำแรกหลังป้าแม่ครัวมาเสิร์ฟให้แทบพ่นออกมาจากปากของฐานทัพในทันทีที่ได้ยินประโยคไม่มีปี่มีขลุ่ยนั่น แต่สีหน้าของคนพูดกลับจริงจังจนเขาต้องกลืนข้าวลงคอไปโดยแทบไม่ได้เคี้ยว

“ทำไมผมต้องไปอยู่กับคุณด้วย”

“ก็เจ้าของตึกไม่อยู่ใช่ไหมล่ะ จะขอให้เปลี่ยนกุญแจห้องให้ก็ไม่ได้ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดก็ไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ๆ โจรนั่นจะย้อนกลับมาตอนกลางคืนหรือเปล่า มันอันตรายออกไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าผมจะออกไปอยู่ที่อื่นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปอยู่กับคุณเลยนี่”

“ถ้าฐานขอไปค้างกับเพื่อนๆ หรือพี่ๆ ที่ทำงานได้ ก็คงไม่อยู่ตรงนี้หรอกใช่ไหม”

เหมือนคำพูดดักคอกันอย่างไรอย่างนั้น

ฐานทัพทำเป็นไม่ได้ยินแล้วตักข้าวเข้าปากอีก เงียบอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งกินอาหารเช้าเสร็จและลุกขึ้นเดินออกจากอะพาร์ตเมนต์ แต่ถึงจะทำเช่นนั้นก็ยังมีชายหนุ่มร่างสมส่วนเดินตามออกไปอยู่ดี

กระทั่งไปถึงโชว์รูม สิบทิศก็ทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ก่อนจะเดินแยกไปขึ้นรถของเจ้าตัวซึ่งจอดไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

“พี่ตัดสินใจแล้ว ยังไงตั้งแต่คืนนี้ไปฐานต้องไปอยู่กับพี่”

 







ทั้งที่ไม่ได้อยากมาอยู่ร่วมกันหรือรับความช่วยเหลือจากสิบทิศเลยสักนิด แต่สุดท้ายฐานทัพก็ต้องมายืนอยู่ในห้องของสิบทิศจนได้ เพราะพอเขาปฏิเสธและกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง ก็ถูกอีกฝ่ายทุบประตูห้องร้องเรียกให้เปิดประตูจนคนของห้องที่อยู่ใกล้เคียงต้องเปิดประตูออกมาด่า

“ระหว่างให้พี่อยู่ที่นี่ด้วยกับฐานไปอยู่หอพี่ เลือกแบบไหน”

หลังจากเปิดประตูห้องออกไปเพื่อจะไล่ก็เจอสีหน้ายิ้มแย้มของสิบทิศพร้อมกับประโยคนั้น เขาไม่เลือกและปิดประตูใส่ สิบทิศก็ทุบประตูและร้องเรียกชื่อเขาขึ้นมาอีกจนโดนห้องอื่นๆ เปิดประตูออกมาด่าอีกรอบ

“ถ้าทะเลาะกันก็ไปทะเลาะที่อื่น เกรงใจชาวบ้านบ้างสิวะ”

เพราะแบบนั้นแหละเขาถึงได้ยอมมาที่นี่ แต่ก็แน่นอนอีกเหมือนกันว่าสิบทิศจะต้องถือโอกาสรบกวนเขาแน่ๆ ฐานทัพจึงออกปากทันทีที่มาถึงว่าจะนอนที่โซฟาเพราะไม่อยากร่วมห้องด้วย และถึงอย่างไรห้องในคอนโดมิเนียมแห่งนี้ก็ค่อนข้างใหญ่อยู่แล้ว แม้จะเป็นแบบหนึ่งห้องนอน แต่ก็มีห้องอื่นๆ ที่ถูกจัดแบ่งสัดส่วนอย่างลงตัว

ในตอนที่เอ่ยปากว่าอย่างนั้นเจ้าของห้องประท้วงในทันที บอกว่าไม่ยอมอย่างเด็ดขาด แต่เขาก็พูดอย่างหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่อย่างนั้นจะกลับอะพาร์ตเมนต์ ด้วยไม่อยากจะเหยียบย่างเข้าไปในชีวิตของอีกฝ่ายมากกว่านี้ สิบทิศจึงเงียบปากไม่ขัดข้องแต่อย่างใด เพียงแต่หายเข้าไปในห้องนอนของตนเองแล้วกลับออกมาอีกครั้งและยื่นของอะไรบางอย่างมาให้

ฐานทัพรับมันมาคลี่ออกแล้วถึงเห็นว่าเป็นเสื้อเชิ้ตของเขาที่ถูกกระชากเมื่อวันก่อนจนกระดุมหลุดออกไปหมด แต่ตอนนี้กระดุมกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ควรอยู่หมดครบทุกเม็ด แต่ด้วยสภาพที่ไม่สมบูรณ์เท่าไร

ถึงจะใช้ด้ายสีเดียวกัน แต่ตำแหน่งก็เบี้ยวไม่ตรงกัน กระดุมเหลื่อมขึ้นสูงบ้างต่ำบ้างจากจุดเดิม

ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของมืออาชีพ

“พี่ลองเย็บเองดูน่ะ”

พอเขาเงยหน้าขึ้นมอง สิบทิศก็หย่อนกายลงนั่งข้างๆ บนโซฟา แล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มแหยเล็กน้อย

“หาตั้งนานกว่าจะเจอกระดุมครบทุกเม็ด พี่คิดว่าถ้าเย็บกลับเอง ฐานน่าจะยอมให้อภัยกันก็ได้”

ถึงจะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลแต่ก็พอยอมรับได้อยู่บ้าง อย่างน้อยอีกฝ่ายก็พยายามจะทำอะไรเพื่อเป็นการแก้ตัว

ฐานทัพไม่ได้ยอกย้อนกลับไปด้วยความอึดอัดรำคาญใจอย่างทุกที เพียงแค่พิจารณากระดุมแต่ละเม็ดที่ถูกเย็บลงไปด้วยความตั้งใจ

เพิ่งเคยมีคนที่ทำอะไรเพื่อเขาอย่างจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก

ถึงจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนไม่จำเป็นต้องใส่ใจด้วยซ้ำ แต่เขาก็อดรู้สึกดีไม่ได้

“แต่กระดุมเบี้ยวๆ แบบนี้ เสื้อตัวนี้ผมคงใส่ไม่ได้แล้วมั้ง”

“โธ่ ฐาน”

สิบทิศร้องโอดครวญทำสีหน้าเว้าวอนน่าสงสาร ถึงกระนั้นก็ยื่นมือออกมาพลางบอก

“งั้นเดี๋ยวพี่เย็บให้ใหม่”

“เย็บอีกก็เบี้ยวอีกอยู่ดีแหละ”

“ดูถูกฝีมือกันเกินไปนะ ยังไงครั้งที่สองก็ต้องดีกว่าครั้งแรกอยู่แล้วแน่นอน”

สีหน้าที่มุ่งมั่นนั้นทำให้ฐานทัพยอมปล่อยเสื้อในมือตัวเองออก แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งมองสิบทิศที่ค่อยๆ สอยกระดุมออกมาใหม่ทีละเม็ด และก้มหน้าก้มตาเย็บมันกลับเข้าไปใหม่

เมื่อเลื่อนสายตาไปยังชุดอุปกรณ์เย็บผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง ก็ดูออกได้ทันทีว่าเจ้าตัวคงไปซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ

เห็นเช่นนั้นแล้วริมฝีปากก็ค่อยๆ เหยียดออกนิดๆ ผุดเป็นรอยยิ้มที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว

รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่สิบทิศเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบอกว่าเสร็จแล้ว และยื่นเสื้อมาให้ด้วยดวงตาเป็นประกายคล้ายกับจะบอกว่าชื่นชมหน่อยสิจนฐานทัพต้องกลั้นขำเอาไว้ไม่ให้หลุดออกมา

“เป็นยังไงบ้าง”

พอเขาหยิบเสื้อไปดูก็ถูกถามในทันที

“ก็พอใช้ได้ล่ะนะ แต่ยังเบี้ยวอยู่ดี”

“งั้นเดี๋ยวทำใหม่ก็ได้”

ไม่เพียงแต่เอ่ยเป็นคำพูด มือใหญ่ยังยื่นมาตรงหน้าอีก ทว่าฐานทัพก็ค้าน

“ขืนแกะกระดุมมาเย็บอีก เสื้อผมได้เป็นรูพรุนพอดี”

“แต่ฐานบอกว่าแบบนี้มันใส่ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ไม่ต้องใส่ ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน”

“งั้นพี่ซื้อตัวใหม่ให้นะ ถือว่าชดเชย”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาก็นึกถึงชื่อเล่นของสิบทิศที่ถูกคนในโชว์รูมตั้งให้ทันที จากนั้นก็ส่ายศีรษะเบาๆ ที่อีกฝ่ายเอะอะอะไรก็ใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียว

“คุณไม่รู้เลยสินะว่าของที่คุณซื้อให้ผม นอกจากของที่คืนๆ ไปนั่นผมให้คนอื่นไปทั้งหมดน่ะ ไม่เสียดายเงินเลยหรือไง”

“พี่กะเอาไว้อยู่แล้วว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ก็ฐานใจแข็งออก แต่เรื่องเสียดายเงินน่ะ ไม่เสียดายหรอกนะ เพราะยังไงก็หาใหม่ได้”

“ครับเสี่ย”

เขาพูดประชดแท้ๆ แต่สิบทิศกลับหัวเราะอย่างชอบใจ ทำหน้าตาระรื่นบอกให้เขาเรียก ‘เสี่ย’ อีก จนเขาต้องสวนกลับไป

“โรคจิตหรือไง”

“เวลาฐานเรียกแล้วมันจักจี้ดี”

“ประสาท กลับห้องคุณไปได้แล้วไป ผมจะนอน”

“เรียกอีกทีก่อนสิ นะๆ”

ถึงจะถูกเขาต่อว่าไปแล้ว ผู้ชายตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยังไม่ยอมแพ้ มีการกระเถิบตัวเข้ามากระแซะไหล่เขาอีกฐานทัพจึงต้องพูดไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกให้รู้อย่างชัดเจนเลยว่าพูดเพื่อตัดรำคาญเท่านั้น

“ไปนอนได้แล้วไป เสี่ยบ้ากาม!”

ทว่าหลังจากได้ฟังแบบนั้น สิบทิศกลับหัวเราะร่วนมากกว่าเดิมแล้วชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มเขาแรงๆ จนหัวโยก มิหนำซ้ำยังทิ้งท้ายด้วยประโยคกลั้วเสียงหัวเราะอีก

“เสี่ยไปนอนก่อนนะครับ คนดีของเสี่ย”

ฐานทัพอดตะคอกโวยวายอยู่ในใจไม่ได้

คนบ้าอะไรวะ น่าเชือดทิ้งชิบเป๋งเลย!

 

 



v



v
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 3rd Lie ลูกตาของผม ผมจะมองใครก็ได้ทั้งนั้น 7/2/62
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 07-02-2019 20:58:00




v



v



คืนแรกผ่านไปอย่างราบรื่น ฐานทัพหลับสนิทในรอบสามวันสีหน้าจึงสดชื่นสดใส แต่พอมาถึงคืนที่สองกลับถูกสิบทิศบอกว่า

“พี่ว่านอนบนโซฟามันอึดอัดออกนะ คืนนี้ไปนอนที่ห้องพี่เถอะ”

เขาเลยต้องรีบค้านเพราะพอคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไรหาเขายอมทำตาม

“ผมว่านอนโซฟาก็ดีอยู่แล้ว”

“ถึงฐานจะตัวเล็กก็เถอะ แต่จะพลิกตัวขดตัวมันก็ลำบากใช่ไหมล่ะ”

“แค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับ ขอบคุณในความหวังดี”

ทั้งที่เขาพูดอย่างตัดเยื่อใยและดูเหมือนสิบทิศจะยอมตัดใจแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมพอลืมตาตื่นขึ้นมาเขากลับนอนอยู่บนเตียงภายในวงแขนของอีกฝ่ายก็ไม่รู้

“ก็พี่เห็นฐานนอนเหมือนจะตกจากโซฟานี่นา”

ถ้อยคำแสดงความปรารถนาดีอย่างเต็มที่ดังขึ้นมาในตอนเช้าที่ประจันหน้ากันก่อนออกจากห้องพัก ฐานทัพเลยได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจที่ตัวเองถูกเล่นงานทีเผลอเสียได้

มื้อเช้าในวันนี้สิบทิศก็ยังพาแวะร้านอาหารเหมือนเมื่อวาน มิหนำซ้ำยังแสดงความเป็นเสี่ยเป็นเจ้ามือเลี้ยงเขาอีกครั้ง ฐานทัพจึงวางแผนการในใจตั้งแต่ช่วงเช้า เฝ้ารอเวลาเย็นมาถึงด้วยใจจดจ่อ

ในเมื่ออยากโชว์ความใจใหญ่มือเติบขนาดนั้น ในวันนี้ซึ่งเป็นวันศุกร์เขาก็ขอใช้มันให้เต็มที่ดู

หลังจากเลิกงานสิบทิศมารับฐานทัพที่โชว์รูมอย่างวันที่ผ่านมาด้วยความกระตือรือร้นและกระปรี้กระเปร่ายิ่งกว่าเดิม คงเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยกระมัง

ฐานทัพแอบกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องเจออะไรในวันนี้

“ผมอยากไปดื่ม”

พอเขาบอกเช่นนั้น สิบทิศก็ทำสีหน้าปั้นยาก เหมือนยินดีที่จะพาไปแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยาก ฐานทัพจึงโพล่งออกมาว่าร้านประจำ คราวนี้สิบทิศถึงกับทำหน้ายู่ตอบ

“ร้านอื่นได้ไหม”

“ก็ผมชอบร้านนี้ อยากไปร้านนี้ มันสะดวกแล้วก็สบายใจ ถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป เท่านั้นแหละ ผมไปเอง”

ไม่เพียงพูดด้วยปาก แต่ฐานทัพยังทำท่าจะเดินเลี่ยงไม่ขึ้นรถของสิบทิศด้วย พลอยให้เจ้าตัวรีบก้าวขาตามแล้วดึงแขนของเขาไว้

“ร้านนั้นก็ได้ๆ ห้ามไปคนเดียวเด็ดขาดเลยนะ”

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งผมเนี่ย”

“ก็สิทธิ์ของแฟ...”

ยังไม่ทันให้สิบทิศหลุดปากพูดคำที่ไม่มีความเป็นไปได้ ฐานทัพก็รีบตัดบท

“ถ้าจะไปก็เลี้ยงด้วย แล้วก็อย่าพูดอะไรเมากาวหน่อยเลย”

จากนั้นหันหลังย้อนกลับมาที่รถของสิบทิศอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายคลี่ยิ้มจากทางหางตาอยู่แวบหนึ่ง เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่าน่าหมั่นไส้แล้ว แต่คำพูดต่อมาของเจ้าตัวกลับยิ่งน่าหมั่นไส้กว่า

“จะเลี้ยงไปตลอดชีวิตเลยครับ”

ไม่รู้ว่าเจอแบบนี้ควรจะตอกกลับไปอย่างไรดี ฐานทัพได้แต่ถอนหายใจเฮ้อออกมาอย่างหน่ายใจแล้วขึ้นรถไป สิบทิศจึงรีบตามมาอย่างเร็วไวและออกรถไป แต่ก่อนจะถึงจุดหมายก็แวะกินอาหารรองเท้าเสียก่อน

กระทั่งไปถึงร้านก็เข้าสู่ช่วงเวลาคึกคักของพวกนักเที่ยวพอดี เมื่อทั้งคู่ได้ที่นั่งแล้วก็สั่งเครื่องดื่ม โดยฐานทัพเป็นฝ่ายออกปากขอเลือกเอง ซึ่งเขาก็อาศัยโอกาสนี้เลือกเครื่องดื่มราคาแพงชนิดที่หากเป็นปกติตนคงไม่เลือกมันอย่างแน่นอน ระหว่างดื่มก็สอดส่ายสายตาไปเรื่อยเปื่อย มองดูว่ามีคนน่าสนใจมาเที่ยวในคืนนี้บ้างหรือเปล่า

ด้วยเหตุว่าเป็นคืนสุดสัปดาห์ ผู้คนในร้านจึงค่อนข้างมาก แม้จะดูลายตาไปบ้างเมื่อปนกับแสงสีแต่ก็ทำให้ฐานทัพรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เพราะมีโอกาสที่เขาจะได้เจอคนถูกตามากขึ้นตามไปด้วย

ทว่าพอเขาสะดุดตาใครสักคนเข้าและจ้องมองคนคนนั้น ก็เหมือนสิบทิศจะไล่ตามสายตาของเขาทัน เพราะรีบยื่นศีรษะมาบ้างแนวสายตาเอาไว้ทันที

“อย่ามองคนอื่นสิ”

“ลูกตาของผม ผมจะมองใครก็ได้ทั้งนั้น”

ฐานทัพตอบอย่างเซ็งๆ เล็กน้อยก่อนเบี่ยงสายตาไปทางอื่นพลางกระดกเครื่องดื่มที่พาให้รุ่มร้อนไปอึกใหญ่ติดกันสองอึก

คนนั้นก็ไม่เลวแฮะ หุ่นกำลังดี หน้าตาก็ไม่ขี้เหร่ น่าจะสนุกอยู่

เมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับร่างของอีกคนที่ไม่รู้สึกว่าคุ้นตา ดังนั้นน่าจะไม่เคยลองมาก่อนฐานทัพก็คลี่ยิ้มบางๆ นัยน์ตาจับจ้องสำรวจไปทางชายคนนั้นที่เหมือนจะมากับกลุ่มเพื่อน ดูท่าว่าไม่ได้ควงใครมาด้วยก็รู้สึกพึงพอใจ แต่ขณะกำลังอิ่มเอมกับการเล็มออเดิร์ฟ อยู่ๆ หน้าของเขาก็ถูกจับให้หมุนกลับไป

“อย่าทำหน้ายั่วแบบนั้นได้ไหม”

“ใครทำหน้ายั่ว”

“ก็ฐานน่ะสิจะมีใคร ปกติตาก็ฉ่ำจนเห็นแล้วแทบจะละลายอยู่แล้ว นี่ยิ่งทำตาเยิ้มขึ้นไปอีก แก้มก็แดงซะ พี่อยากจะลากกลับบ้านอยู่แล้วเนี่ย”

“ประสาท”

ฐานทัพตอกกลับแล้วกระดกเครื่องดื่มที่เหลืออยู่ในแก้วให้หมด ประจวบกับเห็นทางหางตาว่าชายคนที่หมายตาเอาไว้ทำท่าจะไปเข้าห้องน้ำ เขาก็ยังไม่รีบผลีผลามกระโตกกระตากให้สิบทิศรู้ตัว ทำเป็นนั่งอ้อยอิ่งมองไปรอบๆ แสร้งทำเหมือนจะหาเป้าหมายใหม่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้น

“จะไปไหน”

เป็นอย่างที่คิด ข้อมือของเขาถูกคว้าไว้ทันควัน

“ไปฉี่ไม่ได้หรือไง”

“พี่ไปด้วย”

“จู๋ไม่ได้ถูกมัดติดกัน ทำไมต้องไปด้วย”

เขาตอกหน้าอีกฝ่ายกลับไปเท่านั้นก่อนจะสะบัดมือออกแล้วเดินดุ่มตรงไปยังห้องน้ำทันที ถึงกระนั้นก็พยายามรักษาจังหวะก้าวเดินเอาไว้ไม่ให้ดูรีบร้อนจนมีพิรุธ ในใจก็ภาวนาว่าผู้ชายคนนั้นอย่าเพิ่งออกมาจากห้องน้ำนะ

ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างมากพอดู เพราะหลังจากผ่านประตูห้องน้ำเข้าไปแล้วก็เห็นอีกฝ่ายกำลังล้างมืออยู่พอดี มิหนำซ้ำสถานการณ์ยังเอื้ออำนวยเพราะภายในไร้บุคคลอื่น ราวกับจะเป็นห้องลับสำหรับพวกเขา

ฐานทัพรีบสาวเท้าเข้าไปยืนเคียง คลี่ยิ้มบางๆ ใส่กระจกที่กำลังสะท้อนภาพคนทั้งสองซึ่งชายหนุ่มก็มองมันอยู่

และคงด้วยอำนาจของรูปลักษณ์ที่สิบทิศเคยบรรยายไว้ก่อนหน้านี้กระมังที่ทำให้ชายหนุ่มซึ่งฐานทัพหมายตามองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา

“เจอคนถูกใจหรือยังครับ”

ฐานทัพถามออกไปตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมพลางหันข้างมาหาตัวจริง ซึ่งทางฝ่ายนั้นก็ล้างมือเสร็จพอดีและหันมาหาเขาเช่นกัน

“ยังไม่ได้เล็งใครไว้ แต่ตอนนี้เหมือนจะเจอแล้ว”

คำตอบที่ได้รับตรงไปตรงมาจนฐานทัพอดยิ้มอย่างถูกใจแล้วพูดเบาๆ ว่า “ตรงดี” ไม่ได้

เขายกมือขึ้นวางบนบ่าของอีกฝ่าย แม้เพียงแค่แตะ ยังไม่ลงน้ำหนักใดๆ ก็เหมือนจะเป็นการกระตุ้นเจ้าของร่างนั้นแล้ว

เจ้าตัวขยับตัวเข้ามาใกล้ชิดกับเขา เบียดจนกายส่วนล่างประชิดกัน ใบหน้าได้รูปก้มลงมาหา ฐานทัพจึงไม่รอช้าที่จะเขย่งตัวขึ้นเล็กน้อย

เพียงเท่านั้นริมฝีปากของฝ่ายนั้นก็ประทับลงมายังส่วนเดียวกันอย่างรวดเร็วแล้ว

ฐานทัพตอบโต้กลับไปโดยไม่ให้เสียเวลา ขบเนื้อแดงนิ่มอย่างเร่าร้อน เผยอปากอ้าแล้วค่อยๆ กอดรัดลิ้นร้อนที่จู่โจมเข้ามาราวกับหิวกระหาย

เมื่อทำเช่นนั้นร่างกายที่แนบชิดกันก็ยิ่งโหยหาความแนบแน่นมากขึ้น มันบดเบียดเข้าหากันดังจะขยี้ร่างของกันและกันให้แหลกสลาย มือของอีกฝ่ายโอบเข้ามาที่เอวเขาแน่น ขณะที่ฐานทัพก็กอดรัดลำคอของฝ่ายนั้นด้วยแรงไม่น้อยเช่นเดียวกัน

ริมฝีปากทั้งสองเหมือนกำลังทำสงคราม ทั้งขบดูด กดเบียด พร้อมกับลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันไปมาอย่างไม่ลดละ ปลายลิ้นชอนไชไปตามแนวฟันเพดานปาก ยิ่งสร้างความเสียวสยิวให้แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์ ประสานกับเสียงครางและเสียงหอบหายใจด้วยความพึงพอใจซึ่งดังลอดออกมาเป็นระยะ

ส่วนกลางร่างกายที่แนบชิดโดยมีเพียงผ้ากั้นของแต่ละฝ่ายร้อนระอุและแข็งขึงขึ้นมาจนรู้สึกได้

ฐานทัพผละปากออกมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ กระซิบบอกว่า

“สงสัยไปที่อื่นจะไม่ทันใจแล้ว”

ฝ่ายนั้นเองก็เหมือนจะมัวเมาในรสจูบ ไม่มีอารมณ์มาหัวเราะรับคำพูดของฐานทัพ ลมหายใจพ่นแรงออกจากจมูกขณะที่ปากก็เอาแต่จะไล่งับตามริมฝีปากของฐานทัพที่เริ่มเจ่อขึ้นน้อยๆ ฐานทัพจึงเป็นฝ่ายออกแรงผลักเจ้าตัวเข้าไปในห้องน้ำส่วนตัวแล้วปิดประตูตามมา

ชายคนนั้นล้มลงไปนั่งบนชักโครก แต่ฐานทัพไม่รู้สึกว่ามันเป็นอุปสรรค เขาขึ้นไปนั่งคร่อมทับบนตักในทันทีแล้วปลดเข็มขัดรูดซิปกางเกงของตนลง

พอเห็นเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ทำอย่างเดียวกันแล้วรีบคว้าส่วนที่กำลังผงาดแข็งของทั้งคู่รวบเข้ามาอยู่ในกำมือด้วยกัน

ฐานทัพยิ้มอย่างถูกใจแล้วบดสะโพกใส่อีกฝ่ายที่เริ่มขยับมือพร้อมกับเอาหน้าซุกไซ้เข้ามาที่ลำคอของเขา พยายามจูบเม้มต่ำลงมา ขณะที่มืออีกข้างก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของฐานทัพออกเพื่อเผยให้เห็นผิวเนื้อเนียนขาวที่อยู่ภายใน ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วยื่นปลายลิ้นเข้าแตะ...

ตึง!

เสียงเคาะประตูดังสนั่นพร้อมกับบานประตูที่สะเทือนอย่างรุนแรงดังกึกๆ จนเหมือนว่าสิ่งที่เคาะนั้นไม่ใช่มือแต่เป็นเท้า

ทั้งสองคนที่อยู่ภายในห้องน้ำแคบๆ ต่างละความสนใจในสิ่งที่ตนเองกำลังหมกมุ่นกันอยู่ แล้วหันไปมองทางประตูห้องน้ำอย่างฉับพลัน

ทันใดนั้นเสียงทุบประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมแรงสะเทือนที่ไม่ต่างไปจากเดิม ตามด้วยเสียงตะโกนที่แผดก้องอย่างฉุนเฉียว

“ฐาน ออกมา!”

 





------------------------

พี่ทิศเขาเป็นคนขี้หึงค่ะ




หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 3rd Lie ลูกตาของผม ผมจะมองใครก็ได้ทั้งนั้น 7/2/62
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 08-02-2019 18:41:18
พี่าิบทิศหึงเก่งมาก หึงตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย

พี่สิบทิศคงเหนื่อยน่าดูกว่าฐานจะรับรัก สู้ๆนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 3rd Lie ลูกตาของผม ผมจะมองใครก็ได้ทั้งนั้น 7/2/62
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 08-02-2019 19:43:51
ทำไมฐานปิดกั้นตัวเองจังอะ
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 4th Lie ถือว่าเป็นการเกี่ยวก้อยก็ได้ 17/2
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 17-02-2019 15:24:04

4th Lie
ถือว่าเป็นการเกี่ยวก้อยก็ได้


 

เพียงได้ยินเสียงนั้นฐานทัพก็รู้ว่าคนที่อยู่อีกฟากของประตูคือสิบทิศไม่ผิดแน่ พอเขาไม่ตอบรับอะไรกลับไป เสียงกระแทกประตูก็ดังอีกครั้งและสั่นอย่างแรงจนน่าหวาดเสียดว่ามันจะหลุดออกมา

“จะออกมาเองหรือให้พี่พังเข้าไป”

น้ำเสียงที่ทะลุผ่านเข้ามานั้นยังเต็มไปด้วยอารมณ์อย่างคงเส้นคงวาและแสดงถึงความโมโหโกรธาอย่างชัดเจน จนคนที่เขานั่งอยู่บนตักถามเสียงเบาราวกับกลัวว่ามันจะดังไปถึงด้านนอก

“แฟนเหรอ”

ฐานทัพส่ายหน้า บอกไปแค่ว่าเปล่า เลยถูกถามกลับมาอีก

“ถ้าไม่ใช่แฟนแล้วเขาจะโมโหขนาดนี้เหรอ ไม่เอาแล้ว”

ดูท่าว่าเจ้าตัวจะกลัวความเกรี้ยวกราดของสิบทิศจริงๆ เพราะใบหน้าเหยเกซีดเผือด ทำหน้าเหมือนกำลังจะเผชิญกับอสุรกายอย่างไรอย่างนั้น พร้อมทั้งยังดันตัวเขาให้ลุกขึ้นด้วย

หากไม่ยอมลุกออกไปแต่โดยดีคงโดนอีกฝ่ายเทลงพื้นอย่างแน่นอน ฐานทัพจึงจำต้องลงมายืนบนพื้นอย่างช่วยไม่ได้

ทันทีที่เขาพ้นไปจากตัว ฝ่ายนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นแล้วกระโจนไปที่ประตู ปลดล็อกก่อนจะพุ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็วที่สุดจนแม้กระทั่งสิบทิศก็ยังคว้าตัวเอาไว้ไม่ได้

สถานการณ์ในตอนนี้จึงเหลือเพียงสิบทิศและฐานทัพในสภาพที่หากใช้คำตรงหน่อยก็คงต้องบอกว่า ‘อุจาด’ เพราะเสื้อผ้าหลุดลุ่ย กระดุมเสื้อถูกปลดออกไปจนถึงหน้าท้องและแหวกจนเผยให้เห็นผิวที่อยู่ภายใน กางเกงก็ถูกถกลงจนกองอยู่ตรงสะโพกโดยที่อวัยวะสำคัญโผล่พ้นจากขอบกางเกงชั้นในที่ถดตัวลงไปอยู่ข้างใต้แทน

แต่ถึงแม้จะอยู่ในสภาพที่น่าอายเช่นนี้ สีหน้าของฐานทัพกลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

เขามองสบตาสิบทิศที่เสมือนมีพายุโหมกระหน่ำอยู่ข้างในอย่างเฉยเมยก่อนจะกระชับเสื้อผ้ากลับคืนที่ ทว่ายังไม่ทันจะสำเร็จ คราวนี้กลับเป็นฝ่ายเขาที่ถูกผลักเข้าไปในห้องน้ำที่เพิ่งเปิดออกมาแทน

แรงผลักทำให้ฐานทัพไม่สบอารมณ์ ตีสีหน้าขมึงใส่สิบทิศที่ไล่ตามเข้ามาประชิด มิหนำซ้ำยังล็อกประตูอย่างว่องไวเพื่อปิดทางออกของเขาอีก

“จะทำอะไร”

“ทำไมฐานถึงกล้าทำแบบนี้!”

เสียงกระโชกดังก้องทำให้ด้านนอกที่เหมือนว่าจะมีคนเข้ามาในจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องน้ำถูกปิดเงียบสงัดลงในพริบตา

เสียงพูดคุยดังแว่วคล้ายกำลังคุยกันว่าใครทำอะไรกันอยู่ในห้องน้ำ ฐานทัพจึงเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง รอให้ได้ยินเสียงคนเดินออกไปก่อนจะตอบ

“แล้วทำไมผมต้องไม่กล้า ผมจะทำอะไรกับใครก็เรื่องของผม แล้วคุณล่ะมายุ่งอะไรด้วย”

“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าพี่ไม่ชอบให้ฐานไปยุ่งกับคนอื่น”

“ผมก็บอกคุณไปแล้วเหมือนกันว่าคุณไม่มีสิทธิ์บงการอะไรผมทั้งนั้น!”

ฐานทัพขึ้นเสียงบ้าง ซึ่งดูเหมือนคราวนี้จะยิ่งเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ

สิบทิศจ้องเขาเขม็งเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“ฐานบังคับให้พี่ต้องทำแบบนี้เองนะ”

หลังจากพูดโพล่งออกมา สิบทิศก็ผลักเขาเข้าหากำแพงแล้วประจบจูบโดยพลัน

ฐานทัพใช้สันแขนทั้งสองข้างดันตัวอีกฝ่ายออก เพราะรู้ว่าลำพังแค่มือคงไม่มีแรงขนาดนั้น แต่ถึงใช้หนทางที่คิดว่าพอจะสำเร็จได้ ก็กลับกลายเป็นว่าแขนทั้งสองข้างถูกสิบทิศจับตรึงไว้กับกำแพงแทน

“อื้อ”

เสียงอู้อี้ดังมาจากปากที่โดนบดขยี้อย่างจาบจ้วง มันเอาแต่ขบเม้มเล่นงานเฉพาะภายนอก ผลจากการพยายามอ้าปากกัดของฐานทัพจึงไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งตัวของเขาก็ถูกดันเข้าหากำแพงแรงขึ้นจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ขณะที่ส่วนกลางร่างกายถูกเบียดเข้ามาอย่างแนบแน่น

“ปล่อย”

พอปากหลุดออกมาฐานทัพก็เขม้นตาเขียวจ้องมองหน้าคนใช้กำลัง ทว่าสิบทิศไม่ตอบ กลับเปลี่ยนมาใช้มือเดียวล็อกข้อมือทั้งสองข้างของเขาแล้วกดเอาไว้เหนือศีรษะ ส่วนมือที่กลายเป็นอิสระก็ถกกางเกงทั้งชั้นนอกและชั้นในของเขาลงจนไปกองอยู่เหนือเข่า คว้าความเป็นชายที่ฉ่ำเยิ้มจากความสนุกก่อนมารจะมาผจญออกมา

มันยังมีอาการขึงแน่นอยู่กึ่งหนึ่ง

สิบทิศรูดขึ้นลงเร็วๆ สลับกับเกลี่ยส่วนปลายวนเวียนอยู่ตรงร่องเล็กๆ

ความวาบหวามที่เกิดขึ้นทำให้ฐานทัพผวาเฮือก ร่างสะดุ้งโหยงโดยไม่ทันได้ห้ามปรามและคิดว่าคงห้ามไม่ได้

“ปล่อย อึก บอกให้ปล่อยไงเล่า”

ฐานทัพได้แต่บอกเช่นนั้นซ้ำๆ แต่มือของสิบทิศยังคงไม่ลดจังหวะลง

เจ้าตัวเริ่มซุกไซ้ใบหน้าลงตรงซอกคอของเขา ขบเม้มดูดแรงจนคาดว่าคงเกิดรอยแดงขึ้นอย่างแน่นอน จากนั้นก็ค่อยๆ ไล่ต่ำลงมา เลียที่ยอดอกของเขาก่อนจะใช้ปากครอบลงไป ดูดเลียมันอย่างรุนแรงสลับกันไปมาทั้งสองข้าง บ้างก็งับแล้วยื้อดึง ยิ่งทำให้ความกระสันพุ่งทะยานขึ้นมาจากเบื้องลึกในกายของฐานทัพ

“อะ อื้อ”

เขาตัวสั่นเทิ้ม แข็งขาเริ่มอ่อนแรง

มือสองข้างที่ถูกพันธนาการไว้พยายามจะกระชากออกจากการจับกุม แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สะโพกบิดเร่าเพราะไม่อาจอยู่นิ่งพลางเบียดกระแซะเข้าหามือหนาที่พยายามไล่ตีอารมณ์ปรารถนาของเขาให้แตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง

“ปล่อย อ๊ะ ปล่อย ไม่ไหว...จะออก”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลังจากสิ้นประโยคนี้สิบทิศจึงปล่อยมือของเขาออกตามคำร้องขอ

ทว่าเมื่อมือกลับมาเป็นอิสระแล้วกลับเป็นเขาเองที่ผวาเข้ากอดสิบทิศเต็มแรง กายสั่นสะท้านเป็นระลอกๆ ขับไล่ความอัดอั้นที่ก่อกวนอยู่นานออกมา

“อ๊า”

กระแสน้ำเชี่ยวฉีดพ่นไปทั่วหน้าท้องของพวกเขาทั้งคู่ที่แนบชิดกันและมือของสิบทิศ

ฐานทัพหอบหายใจถี่รัว เงยคางพาดกับบ่าของคนตรงหน้าอย่างหมดเรี่ยวแรง สองมือที่โอบไปด้านหลังของอีกฝ่ายกอดบ่าหนาเอาไว้แน่น เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นมีหวังเขาได้ลงไปกองกับพื้นแน่

ฉับพลันนั้นอยู่ๆ เขาก็ถูกดึงตัวออก ตามด้วยริมฝีปากของสิบทิศประกบลงมา

คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่ผิวเผินอีกแล้ว

สิบทิศขบเม้มและสอดลิ้นเข้ามารุกเร้าภายใน แต่ฐานทัพไม่มีสติพอจะคิดอะไรไปมากกว่าปล่อยให้ร่างกายตอบสนองไปกับสิ่งเร้าที่เข้ามากระตุ้น

เขาเกี่ยวกระหวัดเข้าหาลิ้นของสิบทิศ พออีกฝ่ายผละออกก็ไล่ตามไปราวกับอาลัยอาวรณ์ กระทั่งได้กอดรัดกันสมใจก็ดูดขบริมฝีปากของอีกฝ่ายเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ต้องการขนม

“เอาไว้เราไปต่อกันที่ห้องนะ”

หลังจากปล่อยให้เขาเก็บเกี่ยวความอร่อยนั้นแล้ว สิบทิศก็ดันร่างเขาออกเล็กน้อย นัยน์ตาที่มองมาหวานเชื่อมไปด้วยประกายบางอย่างที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม

ฐานทัพเบลออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เรียกสติของตนเองกลับมาได้ จากนั้นความรู้สึกอับอายก็เริ่มมาเยือน

บ้าเอ๊ย เขาเผลอคล้อยตามไปกับสัมผัสจนได้

“ใครบอกว่าจะทำ”

เขาผลักร่างของสิบทิศออก เอื้อมมือไปดึงกระดาษชำระมาเพื่อเช็ดทำความสะอาดร่างกาย แต่ก็ถูกมือที่ใหญ่กว่าชิงตัดหน้าเสียก่อน

สิบทิศค่อยๆ ใช้กระดาษชำระเช็ดแกนร่างของเขาอย่างเบามือ ซับคราบที่เลอะไปทั่วอย่างระมัดระวังจนฐานทัพคาดไม่ถึง เผลอมองอย่างตะลึงและงงงวย กระทั่งเช็ดเสร็จแล้วยังดึงกางเกงขึ้นสวมให้ด้วยอย่างเรียบร้อย แม้แต่กระดุมเสื้อก็ติดให้

พอได้สติอีกทีฐานทัพก็มองใบหน้าของสิบทิศแล้ว

“คิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะใจอ่อนหรือไง”

“หรือว่าฐานไม่อยากทำต่อล่ะ”

เสียงกระซิบกระเส่าดังมาข้างหูเพราะเจ้าตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างจงใจ

ฐานทัพผลักอีกฝ่ายออกไปอีกครั้งพร้อมบอกว่า

“ผมทำกับใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณสักหน่อย”

แต่ก็ถูกสิบทิศดึงมือเอาไว้ มิหนำซ้ำยังดึงมือของเขาให้ยื่นไปแตะที่เป้ากางเกงเจ้าตัวอีกต่างหาก

“แต่ฐานทำให้พี่เป็นแบบนี้ ต้องรับผิดชอบหน่อยสิ”

ฐานทัพตกใจเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ อีกฝ่ายจะดึงมือเขาไปทำแบบนั้น ยิ่งพอรู้สึกได้ถึงสภาวะปัจจุบันของอวัยวะส่วนนั้นก็ยิ่งรีบหดมือราวกับตนเป็นเด็กหนุ่มไร้เดียงสาทั้งที่ประการณ์ที่ผ่านมานับว่าโชกโชน

“คุณหื่นของคุณเอง ก็รับผิดชอบตัวเองสิ”

“แต่พี่อยากทำกับฐาน”

“แต่ผมไม่อยากทำกับคุณ”

คำปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาอาจจะช่วยได้ ฐานทัพคิดเช่นนั้น แต่ว่ามันกลับไม่เป็นอย่างนั้นสำหรับสิบทิศผู้หน้าด้านหน้าทนและช่างตื๊อ

“ไม่รู้ล่ะ เรารีบกลับกันดีกว่า พี่ไม่อยากกอดฐานในห้องน้ำแบบนี้หรอกนะ”

สิบทิศดึงมือของเขาแล้วพาเดินออกจากห้องน้ำไปด้านนอก แหวกผ่านสายตาผู้คนที่บ้างก็ล้างมืออยู่ที่อ่าง หรือยืนทำธุระอยู่ที่โถซึ่งมองมากันเป็นตาเดียว เพราะเสียงสนทนาหรือแม้กระทั่งเสียงอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นภายในห้องแคบๆ เมื่อครู่คงเข้าหูกันอย่างถ้วนหน้า

“อะไรของคุณเล่า บอกว่าไม่ทำไง”

ฐานทัพพยายามสะบัดมือออก แต่ด้วยขนาดตัวและแรงที่น้อยกว่าย่อมไม่มีทางชนะจึงได้แต่โอดครวญ

“จะทำ”

“ทำไมต้องอยากทำกับผมขนาดนี้ด้วย”

พอมาขึ้นรถ ฐานทัพก็หน้าบึ้งไปแล้ว แต่ความคิดที่ว่าจะหนีก็ล้มเลิกไปแล้วเช่นกัน

เขาได้แต่ต่อว่าอยู่ในใจว่า ‘ดื้อด้าน ช่างตื๊อ น่ารำคาญ’ โดยไม่ได้พูดออกมา เพราะรู้ว่าถึงพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้านเหมือนคนหูหนวกอยู่ดี

“เพราะรักไง”

ใบหน้าได้รูปซึ่งหันมาหาพร้อมรอยยิ้มนิดๆ ที่ฐานทัพไม่ค่อยอยากยอมรับว่าดูอ่อนโยนนั้นทำให้เขาลมหายใจสะดุดไปชั่วครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเวลาในตัวหยุดลงไปชั่วคราวอย่างบอกไม่ถูก แต่กลับได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังกว่าปกติขึ้นมาเสียเฉยๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

เขาพูดไม่ออก เลยหันหน้าไปมองนอกกระจกรถแทน แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “หึ” เหมือนคนกลั้นขำมาจากข้างๆ แม้จะอยากหันหน้าไปดู แต่ก็เกรงว่าจะถูกสวนอะไรกลับมาอีกแล้วตนสู้ฝีปากไม่ได้จึงตัดสินใจว่าไม่หันไปแส่หาความเดือดร้อนดีกว่า

กระทั่งถึงคอนโดมิเนียมของสิบทิศ รถก็หยุดลง ฐานทัพไม่ขยับเขยื้อนจนสิบทิศต้องเอ่ยปากถาม

“ไม่ลง หรืออยากลองบนรถเหรอ”

“ถามจริงๆ เถอะ ผมมีอะไรน่าสนใจให้คุณต้องอยากมีเซ็กซ์ด้วย”

ฐานทัพถามเหมือนหน่ายใจกับการต้องตั้งแง่ เพราะแม้จะเคยปฏิเสธมาหลายครั้ง อีกฝ่ายก็ยืนยันว่าจะทำให้ได้

“พี่ก็ตอบจริงๆ ว่ารัก”

“ผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณรักได้เลยด้วยซ้ำ คุณก็รู้ว่าผมมั่ว นอนกับคนไม่ซ้ำหน้า แล้วจะพิศวาสอะไรผู้ชายสกปรกแบบนี้นักหนา”

“เหตุผลที่ทำให้รักมันอธิบายไม่ได้หรอก รู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้วนี่นา”

คำตอบที่ได้รับมาทำให้ฐานทัพรู้สึกว่าในอกเหมือนมีอะไรสั่นไหวอยู่น้อยๆ แต่มันก็เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น

คงเพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจอคนตื๊อขนาดนี้กระมัง

ตกลงกันครั้งเดียวแล้วจบกัน ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นอิสระ นั่นเป็นสิ่งที่เขายึดถือเสมอมา

หากว่าเขายอมปล่อยผ่านไปสักครั้ง มันอาจจะจบลงก็ได้

คราวก่อนอีกฝ่ายอาจจะแค่รู้สึกเหมือนทำกับตุ๊กตายางอะไรเทือกนั้น เพราะเขาไม่มีสติรับรู้เลยไม่รู้สึกว่าเต็มอิ่มก็ได้

สันดานผู้ชาย ถ้าไม่เติมเต็มความกระหายสักครั้งก็ไม่รู้สึกพอหรอก

เขารู้ดี เพราะเขาเองก็เป็น

“งั้นผมยอมคุณสักครั้งก็ได้”

ไหนๆ เขาก็อดอยากมานานแล้วเช่นกัน ถือเสียว่าเป็นการสนองตัณหาตัวเองสักครั้งแล้วจบกันก็พอ

“จริงเหรอ”

“แต่ถ้าคุณทำตัวน่ารำคาญอีก ก็บายได้เลย”

คราวนี้เหมือนว่าสิบทิศจะเข้าใจจึงไม่ได้ก้อร่อก้อติกอีก เพียงแค่ลุกจากรถแล้วหันมาพยักหน้าให้เขาก่อนจะเดินนำขึ้นห้องไป

เห็นเช่นนั้นฐานทัพก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘พูดรู้เรื่องดีเหมือนกันนี่หว่า’ ทว่าทันทีที่ก้าวเข้าห้องมา ตัวเขาก็ถูกคว้าไปกอดอย่างรวดเร็วจนตื่นตะลึงเบิกตากว้าง ร้อง “เฮ้ย อะไร” แล้วโดนกดจูบหนักๆ ลงมาโดยไม่ทันให้ตั้งตัวสักนิด

“เดี๋ยวพี่ไปที่ห้องนอนนะ”

หลังสิ้นเสียงนั้นตัวเขาก็ลอยหวืดขึ้นมาเพราะถูกสิบทิศช้อนอุ้มขึ้นมาด้วยท่าเจ้าหญิงอีกต่างหาก

พอถึงห้องนอนก็ถูกวางลงบนเตียงตามด้วยร่างที่ใหญ่กว่าลงมาคร่อมทับ ว่องไวปราดเปรียวเสียจนเขาตื่นตะลึงไปอีกรอบ

ฐานทัพเอามือยันอกสิบทิศไว้ก่อนเจ้าตัวจะบุ่มบ่ามทำอะไร

“เดี๋ยวๆ ผมขออาบน้ำก่อน”

“ไม่ต้องหรอก ทั้งอย่างนี้เลยก็ได้”

“ผมไม่ชอบเวลาตัวเหนอะๆ เหนียวๆ”

“แต่เดี๋ยวทำกันก็เหงื่อออกอยู่ดี”

สิบทิศปฏิเสธลูกเดียวราวกับว่ารอไม่ไหวแล้ว ขณะเดียวกันก็อาจจะตีความหมายได้ว่ากลัวเขาจะเปลี่ยนใจหลังจากอาบน้ำแล้ว สุดท้ายฐานทัพจึงต้องยืนคำขาด

“ถ้าไม่ให้ผมอาบก็ไม่ต้องทำมันแล้ว จบ”

ไม่เพียงแค่คำพูดแต่น้ำเสียงและสีหน้าก็สื่อว่า ‘จบอย่างแน่นอน และจะไม่มีการเปลี่ยนความคิดอีกแล้ว’ สิบทิศจึงต้องยอมปล่อยเขาไปแต่โดยดี

หลังออกมาจากห้องน้ำฐานทัพก็มาอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เผยครึ่งกายท่อนบนต่อหน้าสิบทิศที่จับจ้องมาและทำท่าจะกระโจนเข้าหาจนต้องออกปากไล่

“คุณก็ต้องอาบด้วย”

สิบทิศทำหน้าจ๋อย บอกว่าครับๆ ก่อนจะเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป แต่ประมาณห้านาทีก็ออกมาเหมือนกลัวว่าเขาจะหายตัวไป จากนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่มสาวเท้าเข้าหาเขาที่นั่งอยู่บนเตียง รอยยิ้มค่อยๆ คลี่กว้างมากขึ้น

“เลิกยิ้มน่าขนลุกแบบนั้นเหอะ ผมหมดอารมณ์”

แทนที่จะทำให้สิบทิศหุบยิ้มฉับ กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวระบายยิ้มกว้างขึ้นเหมือนถูกใจเสียอีกจนฐานทัพต้องถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายใจ

มือใหญ่ช้อนคางของฐานทัพขึ้นก่อนริมฝีปากอวบๆ จะประกบทับลงมา ค่อยๆ เลาะเล็มด้วยน้ำหนักแผ่วเบาแล้วเพิ่มระดับเป็นหนักหน่วงขึ้น

ร่างของฐานทัพคล้อยไปตามแรงกดที่ทับลงมาจนแผ่นหลังแนบกับที่นอนนุ่ม ผ้าเช็ดตัวที่ห่อหุ้มตัวเพียงผืนเดียวถูกสะกิดเพียงนิดก็หลุดออกไป

สิบทิศยกตัวขึ้นมองสำรวจเรือนร่างของฐานทัพราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ไล่สายตาตั้งแต่ใบหน้าลงมายังลำคอ แผ่นอก ทิ้งสายตาอยู่ตรงนั้นชั่วครู่แล้วพิจารณาติ่งเล็กๆ ที่ประดับอยู่ทีละข้างก่อนจะเลียริมฝีปากเบาๆ

ฐานทัพมองภาพนั้นแล้วพลันรู้สึกว่าร่างกายถูกกระตุ้น

ความกระหายอยากที่รุมๆ อยู่ภายในเริ่มแตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นวงกว้าง แล่นกระจายไปทั่วปลายประสาท ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหากตนเองนอนนิ่งเฉยอยู่แบบนี้ คงดูเหมือนเหยื่อไร้ทางสู้ที่รอให้สัตว์ร้ายปู้ยี้ปู้ยำ

ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานปี เรื่องแบบนี้เขาย่อมรับไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อสายตาของสิบทิศเริ่มไล่ต่ำลงจนถึงกึ่งกลางร่าง ฐานทัพก็ผุดลุกขึ้นแล้วเป็นฝ่ายพลิกตัวสิบทิศลงนอนแทน

“เริ่มอดใจไม่ไหวแล้วล่ะสิ”

คำพูดหยอกเย้าถูกส่งมา คงหวังให้ได้อาย แต่ฐานทัพไม่สะทกสะท้านกับคำกระเซ้านั้นสักนิด

เขากระชากปมผ้าขนหนูของสิบทิศออกก่อนจะคว้าแก่นกายของคนที่บัดนี้กลับมาอยู่ใต้ร่างตนเองขึ้นมา ชักรูดท่อนเนื้อที่ค่อยๆ แข็งขึ้นสลับกับเกลี่ยที่ปลายมนให้อีกฝ่ายวาบหวาม

สะโพกของสิบทิศกระถดขึ้นลงตามแรงชักจูง เสียงหอบหายใจเริ่มคลอไปตามเสียงเปียกแฉะจากสารคัดหลั่งที่เอ่อขึ้นมา ความลื่นคงช่วยสร้างความเสียวซ่าน สิบทิศถึงเอื้อมมือมาขยำบั้นท้ายเขาอย่างสนุกมือ จากนั้นจึงค่อยๆ หย่อนนิ้วเข้ามา

แม้การไม่มีสารหล่อลื่นจะทำให้ฝืดฝืนอยู่บ้าง แต่เพราะเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วตั้งแต่ตอนไปอาบน้ำ นิ้วของสิบทิศจึงย่างกรายเข้าไปไม่ลำบากนัก

สิบทิศหมุนนิ้วกวาดวนอยู่ภายในพร้อมกับใช้มือนั้นกดร่างของฐานทัพลงไปให้แนบชิด ลำกายที่ผงาดขึ้นของทั้งสองคนพลอยเสียดสีกันไปมา ส่วนอีกมือก็โอบศีรษะของเขาลงไปจูบปลุกเร้า กระตุ้นความหวามไหวให้แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์

“อ้า”

เสียงครางของความพึงพอใจเปล่งออกมาเป็นระลอก ทำให้ภายในห้องที่มีเสียงเฉอะแฉะแห่งราคะเพิ่มความเย้ายวนขึ้นมาอีกระดับ

ภายในกายของฐานทัพเริ่มรู้สึกถึงการรุกเร้ามากขึ้นเมื่อจำนวนนิ้วของสิบทิศถูกเพิ่มเข้ามา เขาเกรงกว่าหากปล่อยไว้แบบนี้คงไม่สะดวกพอ จึงต้องผละริมฝีปากที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันยิ่งกว่าร่างกายออกมาเอ่ยถาม

“เจลอยู่ไหน”

ไม่มีคำตอบกลับมาจากคนที่ถูกถาม

สิบทิศพยายามกระถดกายเข้าหาหัวเตียงโดยที่ไม่ยอมผละร่างของฐานทัพออก แต่กลับกอดรัดให้เคลื่อนไปด้วยกัน พร้อมทั้งแนบจูบเข้ากับปากแล้วเริ่มโรมรันอีกรอบราวกับเสียดายที่จะปล่อยเวลาให้เสียเปล่า

กระทั่งไปถึงตำแหน่งที่น่าจะพอดี สิบทิศก็เอื้อมมือเปิดลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วคว้าหาทั้งที่ปากยังคงขยับจูบไม่หยุด มือที่สร้างความคุ้นเคยอยู่ภายในก็ไม่ลดละการเคลื่อนไหว มิหนำซ้ำยังกดย้ำลงมาในจุดที่ทำให้ร่างของฐานทัพสะเทือนเฮือก เปล่งเสียงครางครวญออกมาอย่างรื่นรมย์

ไม่นานสารหล่อลื่นก็ถูกเทลงบนร่องบั้นท้ายอย่างเหลือเฟือ ความชื้นแฉะช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับนิ้วมือที่กำลังเคลื่อนเข้าออกและเพิ่มจำนวนขึ้นอีกครั้ง

ฐานทัพผวาร่างขึ้นหนึ่งครั้ง ก่อนจะรูดมือที่เปลี่ยนมากุมท่อนเนื้อหนั่นของทั้งสองคนเข้าด้วยกันด้วยจังหวะที่เร่งเร้าขึ้น ริมฝีปากก็ดูดดุนไม่หยุดหย่อน ขณะที่ลิ้นเลี้ยวลดกระหวัดรัดกับอีกฝ่ายอย่างหิวโหยเหมือนคนอดอยาก

“อ้า อ๊ะ อ๊า”

น้ำหนักที่เคลื่อนเข้ามากระทุ้งภายในพาให้กายของฐานทัพสั่นเทิ้มไปหมด สะโพกขยับตามจังหวะที่ถูกชักนำไปเรื่อยๆ ขนลุกชันไปทั่วทั้งร่างอย่างเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว

“อ๊า พอ...พอแล้ว”

เขาผลักตัวออกจากสิบทิศ กระชากมือที่กำลังง่วนอยู่กับการปรนเปรอเขาออก

สิบทิศหน้าเหวอไปเล็กน้อยแต่ฐานทัพไม่สนใจ ลุกขึ้นจากเอวซึ่งคร่อมอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นจับแกนแกร่งของอีกฝ่ายที่ฉ่ำเยิ้มและอวบอ้วนได้ที่ขึ้นตั้ง ก่อนจะร่นร่างของตนเองลงครอบทับมันไป

แรงเสียดสีทำให้ฐานทัพต้องเชิดหน้าขึ้น ย่นหัวคิ้ว กัดริมฝีปากเอาไว้ ดวงตาหรี่ปรือลงไปตามธรรมชาติ เปล่งเสียงครางออกมาเมื่อความร้อนสอดแทรกเข้ามาแนบชิดถึงภายใน

สัญญาณชีพที่เต้นตุบๆ ซึ่งสัมผัสได้ทำให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ฐานทัพยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยเพื่อสัมผัสถึงแกนเนื้อร้อนแล้วทิ้งสะโพกลงมาอีกครั้ง

“อ้า เซ็กซี่จริงๆ ให้ตายเหอะ”

สิบทิศคำรามเสียงต่ำในลำคอ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกมาขยำบั้นท้ายของเขาอีกรอบ

พอฐานทัพยกตัวขึ้นอีกแล้วกระแทกกลับลงมาด้วยน้ำหนักและจังหวะที่หนักหน่วงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สะโพกที่แนบอยู่บนที่นอนก็เริ่มสวนกลับมาด้วยความรุนแรงเช่นกัน

“อ๊ะ อ๊า อ้า”

“ดี อ้า ดีมาก ยอดเลยฐาน”

ร่างของทั้งสองตอบรับกันเป็นอย่างดีราวกับกำลังส่งเสริมกันก่อไฟให้ยิ่งลุกลามมากขึ้นไปทุกที

เสียงหอบหายใจ เสียงคราง เสียงผิวเนื้อกระทบกระแทกดังประสานสลับกันไปทั่วทั้งห้อง ก้องกังวานอยู่ในหูทำให้อารมณ์โหมกระพืออย่างไร้ที่สิ้นสุด

ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายปลายทางเท่าไร ทั้งคู่ต่างก็ทวีกำลังเข้าโรมรันกันมากขึ้น

ทว่าสิบทิศคงยังรู้สึกไม่สะใจพอจึงพลิกร่างกลับให้ฐานทัพเป็นฝ่ายลงไปนอนอ้าขากว้าง รองรับการตอกย้ำหนักหน่วงจ้วงแทงลึกเข้ามายิ่งกว่าเดิมราวกับจะขุดรากถอนโคนเหง้าอารมณ์ที่ฝังอยู่ก้นบึ้งออกมาให้ได้

ฐานทัพร้องเสียงกระเส่าดังขึ้นไปอีก เหนื่อยหอบจนแทบหายใจไม่ทันอยู่แล้ว แต่ความรุนแรงที่ซัดกระหน่ำเข้ามากลับทำให้เขาอิ่มเอมและพอใจจนอธิบายไม่ถูก

ร่างทั้งร่างสั่นไหว บิดเร่า สองแขนกอดรัดสิบทิศไว้แน่นดังต้องการรัดให้ปริแตก สองขาพยายามอ้าให้กว้างมากที่สุดพร้อมกับเด้งสะโพกตามแรงกระแทกกระทั้นไปด้วย

“ไม่... ไม่ไหว อ๊า ออกแล้ว... ออก อื้อ”

“พี่ก็เหมือนกัน อ้า ฐาน ฐาน เสร็จแล้ว”

ของเหลวร้อนพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรงเสมือนน้ำพุทะลักขึ้นมาจากบ่อ ขณะที่ภายในก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่โจนทะยานเข้ามาอย่างไม่บันยะบันยัง

ฐานทัพตัวกระตุกอยู่สองสามครั้งเมื่อได้รับแรงกระแทกจากภายใน ตัวสั่นเทิ้มจนความปรารถนาที่คลายออกมาก่อนหน้าสิบทิศเพียงเสี้ยววินาทีสำลักน้ำขึ้นมาอีกรอบ

ภายในบีบรัดสิบทิศอย่างหักห้ามไม่ได้จนกระทั่งรับรู้ได้ถึงรูปร่างของมันซ้ำอีกครั้ง และก็รับรู้ได้เช่นกันว่ามันกำลังเริ่มพองตัวด้วยแรงบีบเค้นของเขาเอง ฐานทัพจึงเริ่มได้สติขึ้นมา

กามารมณ์ที่โถมซัดเข้าใส่เขาราวกับพายุลูกใหญ่จนพลุ่งพล่านนั้นทำให้หลงลืมไปถึงการมีอยู่ของถุงยางอนามัยที่ใช้ไม่เคยขาด มิหนำซ้ำยังเพลิดเพลินไปกับมันจนปล่อยให้อีกฝ่ายปล่อยเข้ามาในตัวอีก

“จบแล้ว”

ฐานทัพขืนตัวแล้วผลักร่างของสิบทิศให้ถอยห่างออกไป เพราะดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระง่ายๆ แต่แรงผลักนั้นกลับทำอะไรไม่ได้เมื่อสิบทิศใช้สองมือคว้าเขาเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัว ทำให้ส่วนที่ยังประสานกันยิ่งเขยิบชิดอย่างแนบแน่น

ผิวชื้นอ่อนนุ่มเสียดสีไปกับเอ็นเนื้ออันแข็งจึงพาให้สะท้านไปทั้งตัว

“อีกรอบ”

“ผมบอกว่ารอบ... อ้า”

ไม่รอเขาพูดจบสิบทิศก็พลิกตัวฐานทัพกลับให้อยู่ในท่าคลานทั้งที่ร่างยังเชื่อมกันอยู่

ทิศทางที่หมุนเปลี่ยนไปทำให้ความเสียวซ่านสะบัดเกลียวแพร่สะพัดไปไกลเกินหยุดยั้ง อีกทั้งสิบทิศยังกระทั้นร่างเข้าใส่อย่างไม่ปรานี

แรงปลุกเร้าที่โถมทวีนั้นพาให้ไฟตัณหาลุกลามแผดเผาความรู้สึกอื่นใดจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีสิ้น เหลือแต่เพียงเสียงครางของฐานทัพที่ดังกังวานเสนาะหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“อ๊า...”

 

 


v


v
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 4th Lie ถือว่าเป็นการเกี่ยวก้อยก็ได้ 17/2
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 17-02-2019 15:24:42
v



v



เช้าวันรุ่งขึ้นฐานทัพรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว เพราะกว่าความปรารถนาของสิบทิศจะดับมอดก็ตอนที่เขารับลาวาร้อนที่ซัดสาดเข้ามารอบที่สี่ ขณะที่เขาปลดปล่อยออกมารวมเจ็ดรอบได้หากนับตอนที่อยู่ในผับด้วย

ตั้งแต่ใช้ชีวิตโดยมีเซ็กซ์เป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีพมาก็เพิ่งมีครั้งนี้แหละที่เขาถึงสวรรค์รวดเดียวหกครั้งโดยไม่พัก

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา แต่สิบทิศก็มีกำลังวังชามากพอที่จะกำราบความโหยหาเรื่องทางเพศของเขาได้ชะงัด อีกทั้งยังมีแรงเหลือมาดอมดมร่างของเขาหลังเสร็จกิจครั้งสุดท้ายอีกสักพัก ทั้งที่เขาขยับร่างไม่ได้ ลืมตาแทบไม่ขึ้น เหนื่อยหอบจนปางตายแท้ๆ

ฐานทัพลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเซๆ ไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ทว่าเมื่อไรที่ก้าวเท้า สัญลักษณ์ที่สิบทิศทิ้งไว้ในร่างจะไหลลงมาเป็นทางตามขา

ความรู้สึกแปลกๆ แพร่กระจายไปทั่วร่างเนื่องจากประสบการณ์ที่ไม่เคยพบเจอ ทำให้เขาขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก

หลังจากจัดการกับร่างกายของตนเองเรียบร้อย ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าสิบทิศยังคงนอนอยู่บนเตียง ทั้งที่เป็นเวลาสายจนเกือบเที่ยงแล้ว

ฐานทัพรู้สึกว่าโชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดของเขาเช่นกัน ดังนั้นจึงตั้งใจว่าจะกลับอะพาร์ตเมนต์ เพราะจะต้องไปซักเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน

เขามีเสื้อผ้าอย่างจำกัด เนื่องจากไม่ค่อยอยากใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

เป็นเรื่องดีที่ทางบริษัทเป็นฝ่ายจัดหาเนกไทให้เพราะมีสัญลักษณ์ของบริษัท ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองในส่วนนั้น แค่มีเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กที่เนื้อผ้าดีหน่อย กับเข็มขัดที่ไม่ราคาถูกเกินไปก็พอ ส่วนเสื้อสูทมีสองตัวไว้ใส่สลับกันก็ใช้ได้แล้ว เและการหมั่นซักเสื้อผ้าก็ไม่ใช่เรื่องเกินกำลังหรือทำให้เดือดร้อนด้วย เขาจึงใช้ชีวิตอย่างนั้นเรื่อยมา

ฐานทัพเดินเข้าห้องพักของตนเอง มองสำรวจโดยรอบเพราะใจยังคงระแวงอยู่เล็กน้อย แต่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงใดๆ จึงเช็กเสื้อผ้าที่จำเป็นต้องซักก่อนจะหอบตะกร้าผ้าลงไปยังเครื่องซักผ้าชั้นล่าง ระหว่างรอเครื่องซักผ้าทำงาน เขาก็กลับขึ้นห้องมาทำความสะอาดเก็บกวาดให้เรียบร้อย

พอเอาเสื้อผ้าไปตากเสร็จก็เอาแล็ปท็อปออกมาคีย์ข้อมูลลูกค้าในช่วงหลายวันที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ เขาทำรายชื่อลูกค้าเอาไว้ เพราะบางรายสั่งจองล่วงหน้าระยะยาวกว่าจะรับรถ บางคนก็ขอกลับไปคิดดูก่อน การมีรายชื่อไว้เป็นการส่วนตัวจึงทำให้ติดตามลูกค้าได้สะดวก

ฐานทัพไล่ดูความคืบหน้าของการติดตามลูกค้า คนไหนที่เขาคิดว่าถึงเวลาสมควรก็โทรไปติดต่อสอบถาม จนกระทั่งเรียบร้อยเขาก็เปิดหน้าเว็บไปเรื่อยเปื่อย ติดตามข่าวสารบ้าง พอไม่มีอะไรทำแล้วถึงปิดคอมพิวเตอร์ ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นทั้งอย่างนั้นเพราะขี้เกียจจะปีนขึ้นเตียง

สะโพกของเขายังอ่อนล้าอยู่จากการใช้งานอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนนี้ ภายในก็ยังรู้สึกถึงการมีอยู่ของแกนใหญ่โตที่สวนเข้าออกไม่หยุดยั้ง

ฐานทัพยอมรับว่าเขามีความสุขและสนุกกับเซ็กซ์เมื่อคืนไม่น้อย เรียกว่ายิ่งกว่าอิ่มเสียด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นพอนึกถึงสัมผัสที่เคลื่อนไหวเสียดสีคลึงเคล้นเมื่อคืนก็ทำให้เขารู้สึกวูบวาบ

ตำแหน่งที่ถูกกระหน่ำซัดแม้จะบวมอยู่เล็กน้อยแต่มันกลับเต้นตุบๆ ขมิบเป็นจังหวะถี่ๆ ราวกับเรียกร้องหาอะไรบางอย่างมาเติมเต็ม จุดรวมแห่งความปรารถนาด้านหน้าก็ทำท่าจะตื่นจากการหลับใหลขึ้นมาทั้งที่น่าจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปแล้ว

พอรู้สึกตัวเช่นนั้นก็เหมือนความกระสันจะแล่นริ้วไปทั่วร่างขึ้นมาเสียดื้อๆ และดูท่าจะไม่ยอมสงบลงโดยง่ายหากไม่ตอบสนองต่อความต้องการที่โจนทะยานขึ้นมา

ฐานทัพถกกางเกงลง กอบกุมแกนร่างที่ขยายขนาดแล้วปรนเปรอมันด้วยมือ ทว่าเพียงเท่านั้นใช่ว่าจะพอ เพราะว่าด้านหลังของเขามันแสดงออกถึงความต้องการยิ่งกว่า จึงใช้นิ้วจากมืออีกข้างค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปอย่างง่ายดาย ขยับเข้าออกหมุนกวาดภายใน พอโดนจุดที่สร้างความเสียวซ่านและกายผวาก็กดย้ำที่จุดนั้นจนร้องครางเสียงหลง

“อ๊า อ๊ะ อ้า”

เขามอบความสุขให้ตัวเองจนกระทั่งความร้อนที่กักเก็บไว้ถูกระบายออกมา แม้ว่าจะไม่ถึงใจเหมือนเมื่อคืนแต่ก็นับว่าช่วยให้รู้สึกโล่งสบายขึ้น

เมื่อร่างกายปลอดโปร่งสมองเบาสบายเหมือนล่องลอย สติก็ค่อยๆ เลือนรางลงเรื่อยๆ

ฐานทัพหลับไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อนที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืน กว่าจะลืมตาขึ้นอีกครั้งท้องนภาก็เป็นสีเทาแล้ว

เขากะพริบตาปริบๆ กะว่าจะลงไปหาข้าวกินสักจานเป็นมื้อเย็น แต่เมื่อลงไปถึงชั้นล่างกลับเจอใครบางคนเข้า

สิบทิศ...

มาตั้งแต่เมื่อไร

“ลงมาสักทีนะ”

หลังจากเขายืนมองอย่างตะลึงอยู่ชั่วครู่สิบทิศก็สืบเท้าเข้ามาหา ฐานทัพได้สติกลับมาจึงย้อนถามไป

“คุณมาทำไมล่ะเนี่ย”

สิบทิศยิ้มก่อนตอบ

“มารับฐานไง”

“คืนนี้ผมนอนที่นี่ มันอาจจะไม่มีอะไรแล้วก็ได้”

“ไม่ได้หรอก ยังไงก็อันตรายเกินไป คนร้ายเป็นใครไม่รู้ อย่างน้อยก็อยู่จนกว่าเจ้าของอะพาร์ตเมนต์จะกลับมาเถอะ”

พอเขาอ้าปากกำลังจะพูดค้าน สิบทิศก็แทรกขึ้นมาอีก

“ฐานไปนอนที่คอนโดฯ พี่ตั้งหลายวันแล้วก็สะดวกสบายดี ไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไง กินอิ่มนอนหลับมีคนรับส่ง สบายจะตายนี่นา”

“คุณกะจะเอาความสบายพวกนั้นมาซื้อผมหรือไง”

“ถ้าซื้อได้พี่ก็ยินดี”

สิบทิศยิ้มกว้างแล้วคว้ามือของเขาเอาไว้

“ไป ไปหาอะไรกินกันเหอะ พี่หิวแล้ว ฐานก็น่าจะยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหมล่ะ”

ฐานทัพชะงักอยู่ที่เดิม มองหน้าสิบทิศค้าง

สิบทิศก็ไม่ได้ลากฐานทัพให้เดินตามไป เพียงแค่ยิ้มให้เหมือนรอเขายินยอมเดินตามไปแต่โดยดี นั่นทำให้ฐานทัพกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะหากว่าเขายอมก้าวขาก็เท่ากับว่ายอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ

ทว่ายังไม่ทันตัดสินใจว่าควรจะเลือกทางไหนดี เสียงบุคคลที่สามก็ดังขึ้นก่อน

“เอ็งก็ยอมไปง่ายๆ เถอะ เขามารอตั้งแต่บ่ายสามนู่นแล้ว เขารู้ว่าเอ็งอยู่ห้องไหนแต่ไม่มีลูกกุญแจไข ลุงบอกเดี๋ยวลุงเปิดประตูให้ก็ได้ เขาก็บอกว่าอยากรอให้เอ็งลงมา เลยนั่งเสียเวลาเปล่าตั้งหลายชั่วโมง เอ็งก็อย่าทำให้เสียเวลาไปกว่านี้เลย”

ลุงยามทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจเหมือนระอาที่เขาเอาแต่เล่นตัวอยู่ได้ ทำให้ฐานทัพถึงกับตะลึงไปในทันที

ไม่รู้ว่าสี่ห้าชั่วโมงที่ผ่านมานี้ทั้งสองคนผูกมิตรกันอย่างไร พูดคุยอะไรกัน ถึงได้กลายเป็นพวกเดียวกันเสียได้ ทั้งลุงยามยังไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือต่อต้านที่พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ มิหนำซ้ำยังดูเหมือนไม่ชอบใจที่เขาไม่ยอมไปกับสิบทิศแต่โดยดีอีก

“ทำอย่างที่ลุงยามบอกก็ดีนะ”

สิบทิศยังมีหน้ามายิ้มแป้นพูดสนับสนุน พลอยทำให้ฐานทัพรู้สึกเหมือนตนเองหัวเน่า ไม่มีใครเข้าข้างสักคนอย่างช่วยไม่ได้

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อแสดงให้รู้ว่าตนเองไม่ได้เต็มใจสักนิดก่อนจะยอมก้าวขาช้าๆ ส่งผลให้สิบทิศยิ้มกว้างมากกว่าเดิม นอกจากนั้นยังเห็นด้วยว่าอีกฝ่ายขยิบตาให้กับลุงยาม

อย่างกับรวมหัวกันไม่มีผิด

เขานั่งบ่นกับตัวเองในรถระหว่างสิบทิศพาไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ

ในตอนแรกคิดว่าคงจะเป็นร้านอาหารธรรมดาๆ แต่ปรากฏว่าจุดหมายกลับเป็นโรงแรมจึงอดจ้องอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเอาจริงๆ ตลอดชีวิตนี้ของเขาไม่เคยเข้าห้องอาหารโรงแรมเลยสักครั้ง เคยแต่เข้าโรงแรมไปทำอย่างอื่นและเป็นโรงแรมคนละประเภทกันด้วย

ฐานทัพลงจากรถมาด้วยสภาพลอยๆ อยู่สักหน่อย เพราะมันเหนือคาด แต่สิบทิศยังคงยิ้มร่าเหมือนมีเรื่องอะไรสนุกนักหนาก่อนจะเดินตรงมาหาเขาแล้วดึงมือให้เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน

“ดินเนอร์หรูๆ บรรยากาศดีๆ กับพี่สักมื้อนะ”

ครั้นเดินเข้าไปข้างในแล้วฐานทัพก็รู้สึกประดักประเดิด เขาเหลือบมองซ้ายขวาด้วยความรู้สึกแปลกที่จนกระทั่งถูกพาไปยังห้องอาหาร

แสงไฟสลัวน้อยๆ และเสียงดนตรีแจซที่คลอเบาๆ ช่วยสร้างบรรยากาศให้โรแมนติกอย่างปฏิเสธไม่ได้

ฐานทัพถูกนำเข้าไปที่โต๊ะอาหารซึ่งว่างอยู่ มิหนำซ้ำสิบทิศยังดึงเก้าอี้ให้เขานั่งเสียอีก ยิ่งทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนมากกว่าเดิมจนร้อนรนขึ้นมา

เขาเหลือบหันไปมองรอบข้างว่ามีใครกำลังมองมาหรือไม่ ทว่าลูกค้าโต๊ะอื่นต่างก็สนใจแต่คู่ของตัวเองกันทั้งสิ้น ทำให้เขารู้สึกโล่งใจได้นิดหน่อย

ระหว่างที่รู้สึกแปลกที่อยู่นั้นพนักงานก็เข้ามารับออเดอร์แล้ว สิบทิศเป็นฝ่ายจัดการสั่งอาหารให้เขาเรียบร้อย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะหากให้สั่งเอง ฐานทัพก็ไม่แน่ใจว่าตนควรสั่งอะไรดี

หลังจากพนักงานเดินจากไปก็เห็นสิบทิศกลับมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกครั้ง

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”

คำพูดที่อยู่ๆ ก็โพล่งออกมาของอีกฝ่ายสร้างความงุนงงให้เล็กน้อย และเขาคงเผลอแสดงออกทางสีหน้ากระมัง เสียงของสิบทิศจึงดังอีกครั้ง

“ก็เห็นฐานในแบบที่แปลกตาดี คงไม่ชินกับที่แบบนี้สินะ ดูไม่มั่นเหมือนทุกที”

ตาของฐานทัพขึงขึ้นมาทันที ใบหน้าตึงอย่างเห็นได้ชัดจนสิบทิศหัวเราะออกมาเบาๆ จนทำให้รู้สึกหมั่นไส้

“ไม่คุ้นกับที่แบบนี้แล้วมันยังไงเล่า ไม่ใช่เรื่องน่าตลกสักหน่อย”

“พี่ก็ไม่ได้หัวเราะเพราะว่ามันตลกนี่นา แค่รู้สึกว่าน่าเอ็นดู น่ารักดีเท่านั้นเอง”

คำพูดไม่เข้าหู ฐานทัพจึงเมินไป

เขายอมรับอยู่หรอกว่าปกติตนเองเป็นคนมั่นใจ ตัดสินใจอะไรเด็ดขาด และถึงจะตัวเล็ก หน้าเล็ก ตาโตฉ่ำน้ำ แต่ก็ไว้เคราแพะบางๆ แล้วรูปร่างก็ไม่ได้ถึงขนาดอรชรอ่อนแอ้น แค่สมส่วนตามสภาพผู้ชายตัวเล็กเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีตรงไหนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาน่ารักได้

ครั้นอาหารมาเสิร์ฟเขาก็เหลือบมองไปทางสิบทิศเล็กน้อย เจ้าตัวยังคงยิ้มอยู่

เหมือนคนบ้าซะไม่มี

“กินกันเถอะ อ๊ะ หมายถึงกินอาหารนะ แต่ถ้าหมายถึงในอีกความหมายได้ด้วยละก็ เยี่ยมเลย”

“ฝันเถอะครับ ผมไม่นอนกับคุณอีกหรอก”

“มันก็ไม่แน่นะ”

สิบทิศยักไหล่แล้วเริ่มตักอาหารเข้าปาก เขาจึงต้องทำตามบ้าง

ถึงตอนแรกจะรู้สึกเหมือนว่าตนทำหน้าบูดอยู่หน่อยๆ กับคำพูดประโยคสุดท้ายของอีกฝ่าย แต่เมื่ออาหารเข้าปากเขาก็ต้องคลายสีหน้านั้นออก เพราะรสชาติที่ได้ลองลิ้มทำให้รู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก

ดังนั้นผ่านไปไม่นานอาหารที่ดูท่าว่าจะเป็นอาหารฝรั่งเศสจึงค่อยๆ หมดไปทีละจาน จนกระทั่งถึงของหวานปิดท้ายฐานทัพก็รู้สึกอิ่มทั้งท้องและใจจนเผลอผลิยิ้มออกมาเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามผุดยิ้มขึ้นมาด้วย

“อารมณ์ดีแบบนี้แสดงว่าพี่เลือกถูกแล้วสินะ”

“ก็คงอย่างนั้นมั้งครับ”

ฐานทัพตอบแบบส่งๆ ไม่ได้ยืนยันชัดเจนว่าถูกต้อง แต่ในใจก็รู้สึกดีนิดหน่อยกับอาหารมื้อนี้

...เฉพาะกับอาหารล่ะนะ

แต่สิบทิศอาจจะมีข้อดีนิดหน่อยตรงที่เป็นคนเลี้ยงก็ได้

เขายิ้มกับความคิดของตนเองพลางขึ้นรถของอีกฝ่ายที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทางคือคอนโดมิเนียมของสิบทิศ

เมื่อไปถึงห้อง ประตูถูกปิดลงแล้วไฟข้างในเปิดขึ้น เขาก็ถูกกอดจากด้านหลังในทันที

“อะไรของคุณเนี่ย”

ฐานทัพพยายามดิ้นหนีออกจากวงแขนแกร่งที่รัดร่างของเขาไว้ราวกับเป็นงูยักษ์ เสมือนต้องการให้จมมิดลงไปในอกเสียให้ได้ แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จอีกเช่นเคยจึงได้แต่ส่งเสียงหงุดหงิดบอกให้รู้ว่าไม่พอใจ

“สัญญาก่อน”

“สัญญาอะไร”

เพราะออกจากอ้อมกอดที่แน่นหนาไปไม่ได้ ฐานทัพเลยพลิกตัวหันไปประจันหน้ากับอีกฝ่ายแทน

“ว่าฐานจะนอนบนเตียงเป็นหมอนข้างของพี่ไปจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าของอะพาร์ตเมนต์กลับมา”

หากนับจำนวนวันที่เหลือก็อีกหลายวันทีเดียว แต่ถึงกระนั้น...ถ้าแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ดีต่อตัวเองได้ก็น่าคิดดู

“ถ้านอนเฉยๆ โดยที่คุณไม่ทำอะไรประหลาดๆ ไม่ล้วงคลำอะไรไม่เข้าท่า แล้วก็ไม่ใช้กำลังล่วงเกินผมละก็จะยอมรับปากก็ได้”

“จริงนะ”

ใบหน้าของสิบทิศเบิกบานขึ้นมาทันควัน จนเหมือนเกิดภาพหลอนว่ามันเปล่งประกายขึ้นมาได้

“ผมต้องถามคุณต่างหากว่าทำได้หรือเปล่า”

“ทำได้สิ ทำได้”

สิบทิศรีบตอบรัวเร็วเหมือนกลัวใครจะแย่งพูดก่อนชะโงกลงมาจูบแก้มของเขา แถมด้วยสูดดมแรงๆ ดัง ‘ฟอด’ ไปอีกหนึ่งที

“ได้แค่นี้ก็ถือว่าพัฒนาแล้ว”

“ผมบอกแล้วไงว่าห้ามทำอะไรล่วงเกิน”

“ถือว่านี่เป็นเกี่ยวก้อยสัญญาแล้วกัน”

ทั้งที่คิดว่าคำว่า ‘เกี่ยวก้อย’ นั่นหมายถึงเรื่องที่หอมแก้มเมื่อครู่ แต่เปล่าเลย เพราะสิบทิศก้มลงมาอีกครั้งแล้วทาบปากลงมาดูดริมฝีปากเขาแรงๆ อย่างรวดเร็วจนฐานทัพที่ตั้งตัวไม่ทันถลึงตาโตใส่ ทว่าสิบทิศกลับยิ้มแป้นแล้นใส่เหมือนคนบ้า เขาจึงเขย่งตัวแล้วพูดกระซิบ

“ถือว่าเป็นการเกี่ยวก้อยก็ได้”

จากนั้นก็ประกบปากเข้ากับริมฝีปากของสิบทิศ แต่ว่า...กัดแรงๆ ไปหนึ่งทีจนเจ้าตัวร้องโอดโอยปล่อยเขาออกจากวงแขน

สมน้ำหน้า!

 


---------------
เห็นมีคนถามว่าทำไมฐานปิดกั้นตัวเองจัง
ฐานมีปมเรื่องพ่อแม่ตั้งแต่เด็กค่ะ ก็เลยไม่เชื่อในความรัก และไม่คิดว่าจะมีใครรักตัวเอง เพราะพ่อแม่แท้ๆ ยังไม่รัก




หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 5th Lie มาหา...ผมหน่อย 24/2/62
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 24-02-2019 19:48:07





















5th Lie

มาหา...ผมหน่อย

 

เมื่อถึงวันที่เจ้าของตึกกลับมาจากต่างจังหวัด ฐานทัพก็รีบมาดำเนินการตามที่คิดไว้ในทันที

เขาขอดูกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจสอบดูว่าใครกันแน่ที่เข้ามาในห้อง แต่ไม่รู้ว่าควรถือเป็นโชคร้ายหรือระบบรักษาความปลอดภัยของอะพาร์ตเมนต์ต่ำกันแน่ ภาพที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดถึงไม่ได้ช่วยให้ข้อมูลอะไรเลย

ที่ทางเดินในแต่ละชั้นมีกล้องวงจรปิดติดอยู่สองตัวเท่านั้น คือสุดปลายทางเดินในแต่ละฝั่ง ทำให้แทบมองไม่ออกเลยว่าคนที่กำลังเข้าออกอยู่นั้นอยู่ที่หน้าห้องไหนกันแน่ นอกเสียจากว่าเป็นห้องที่อยู่ใกล้กล้องวงจรปิดจริงๆ แต่ห้องของฐานทัพอยู่ถัดจากบันไดกลางเพียงสามห้อง หลักฐานที่ใช้มัดตัวคนร้ายได้จึงตกไปโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นเขาจึงแจ้งความจำนงว่าอยากให้เปลี่ยนลูกบิดประตูห้องใหม่ เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคนร้ายที่อยู่ในเงามืดจะไม่สามารถเข้าไปในห้องของเขาได้ ซึ่งก็ถือว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่เจ้าของอะพาร์ตเมนต์บอกว่าจะให้ช่างเข้ามาเปลี่ยนในวันพรุ่งนี้

ฐานทัพรู้สึกสบายใจขึ้น หายใจได้ทั่วท้อง เขาเฝ้ารอเวลาที่จะได้เปลี่ยนกุญแจห้องใหม่เพราะจะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติเสียที ไม่ต้องคอยไปเป็นหมอนข้างให้สิบทิศจนรู้สึกว่าในอกมีอะไรวูบๆ อยู่ทุกคืนเช่นนี้

เมื่อขึ้นไปถึงห้อง เขาไม่ลืมมองสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติหรือผู้บุกรุกหลบซ่อนอยู่ แต่หลังจากก้าวเข้าไปไม่นาน ยังไม่ทันจะได้ทำกิจธุระใดๆ ตามสมควรนับตั้งแต่มาเอาเสื้อผ้าเมื่อสองวันก่อน โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน

ฐานทัพสะดุ้งเล็กน้อยที่เสียงสัญญาณดังขึ้น หัวใจเต้นระรัวขณะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เพราะบรรยากาศมันพาให้เกิดอาการวิตกจริตว่าอาจจะเป็นคนคนนั้นก็ได้ที่โทรเข้ามา

แต่เมื่อเหลือบตามองตัวหนังสือบนหน้าจอแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะเป็นคนที่แม้ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าคุ้นเคยกันระดับหนึ่งแล้ว

“มีอะไรครับ”

[พี่จะโทรมาถามว่าได้คุยกับเจ้าของตึกหรือยัง]

วันนี้สิบทิศติดธุระต้องไปรับรองลูกค้าจากต่างประเทศจึงไม่สามารถไปรับเขาที่โชว์รูมและมาส่งได้ ฐานทัพจึงเดินกลับมาที่อะพาร์ตเมนต์เอง

แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติที่เคยทำมาตลอดสองปี ทว่าในเวลานี้เขากลับรู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องไม่คุ้นเคยไปเสียแล้ว

“คุยแล้ว ภาพในกล้องมันไกลเกิน มองไม่เห็นเลยว่าใครเป็นใคร แต่ผมบอกให้เขาเปลี่ยนกุญแจประตูใหม่แล้ว ช่างจะมาเปลี่ยนให้พรุ่งนี้”

[ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวอีกสักสองชั่วโมงพี่ไปรับนะ]

“ไม่ต้องหรอก คุณทำงานของคุณไปเถอะ คืนนี้ผมจะนอนที่นี่”

[แต่ว่า...]

“เท่านี้นะครับ ถ้าโทรมาอีกผมไม่รับนะ”

เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายหาข้ออ้างอะไรมาพูดอีก ฐานทัพจึงรีบตัดสายโดยไว เมื่อหน้าจอโทรศัพท์กลับเข้าสู่หน้าจอหลักอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

แม้ว่าสถานการณ์ระหว่างตนกับสิบทิศจะดีขึ้นแล้ว ทว่าเวลาคุยกับอีกฝ่ายฐานทัพก็ยังรู้สึกว่าต้องใช้พลังงานมากอยู่ดี แต่ในแง่ที่ตรงข้ามกับเมื่อก่อน

ไม่รู้ว่าเป็นผลพวงจากการเป็นหมอนข้างหรือเปล่า

ทุกคืนสิบทิศจะนอนกอดเขาเอาไว้ ลมหายใจเป่ารดริมหู บางทีก็จูบที่หลังหัวเบาๆ เอามือมากุมมือเขาแล้วสอดนิ้วประสานกันไว้ ทำให้เขาจมเข้าไปในอ้อมกอดที่คาดไม่ถึงมาก่อนว่าจะอ่อนละมุน

เหมือนถูกปกป้อง เหมือนถูกทะนุถนอม

จนเขารู้สึกสบายและปลอดภัยขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ

หลังจากนั้นไม่เกินหนึ่งชั่วโมง เสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ฐานทัพที่เข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำเสร็จแล้วออกมาด้วยความคิดที่ว่าสิบทิศคงส่งข้อความอะไรสักอย่างมากระมัง ทว่าหลังจากเปิดแอปพลิเคชันสนทนาขึ้นมันกลับกลายเป็นภาพวิดีโอจากคนที่ไม่รู้จัก

เพราะไม่ได้เป็นเพื่อนกับคนคนนี้ ฐานทัพจึงลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าควรเปิดคลิปวิดีโอที่ถูกส่งมาดีหรือไม่ ด้วยเกรงว่ามันอาจจะนำหายนะมาสู่โทรศัพท์ของตนก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ลองเปิดดูด้วยใจที่เต้นคร่อมจังหวะไปเล็กน้อย

แต่หลังจากคลิปวิดีโอถูกเปิดไปได้เพียงวินาทีเดียว หัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้น

ภาพที่ปรากฏบนจอโทรศัพท์ไม่ใช่ใครอื่น เป็นตัวของเขาเอง

ตัวของเขา...ตอนกำลังช่วยตัวเองเมื่อไม่กี่วันก่อน

แม้ภาพจะไม่ถึงขนาดชัดมากนัก แต่ก็ดูรู้ว่าเป็นเขาอย่างแน่นอน

ฐานทัพตัวชาเย็นเยียบจนมือเท้าแข็งไปหมด โทรศัพท์ที่เคยถือเอาไว้หล่นลงบนตักอย่างง่ายดาย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรกันแน่กว่าสติจะกลับคืนสู่ร่างอีกครั้ง ฐานทัพหยิบต้นตอบนตักวางลงบนที่นอนอย่างเร็วไวแล้วตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ไม่ห่างกัน

มุมกล้องมาจากทางนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาลองรื้อของที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดดูจึงเห็นว่ามีกล้องขนาดจิ๋วถูกติดซ่อนเอาไว้

อารมณ์เดือดดาลก่อตัวขึ้นมาโดยพลันจนอยากกระถืบเจ้ากล้องจิ๋วนั้นให้พังๆ ไปเสีย แต่ก่อนจะทำอะไรไปตามอารมณ์เขาก็นึกขึ้นได้ว่าสมควรเก็บเอาไว้เป็นหลักฐานจึงจับมันใส่ถุงผ้าขนาดเล็กที่แถมมาตอนซื้อสินค้า จากนั้นก็เดินสำรวจไปทั่วทุกมุมห้องเพื่อค้นหาว่ายังมีกล้องตัวอื่นติดอยู่อีกหรือไม่

และมันก็ยังมีสามตัวติดเอาไว้จริงๆ

ไม่รู้ว่ามันถูกติดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร และเขาถูกสังเกตการณ์ไปถึงขนาดไหนบ้าง

ฐานทัพพยายามนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่านอกจากเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอนั้นก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่สมควรเก็บเป็นความลับหรือน่าอับอายก็รู้สึกเบาใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกขอบคุณสิบทิศขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะฝ่ายนั้นพยายามลากเขาไปอยู่ที่คอนโดฯ ด้วยเสียให้ได้ ช่วงนี้เขาจึงไม่ค่อยได้อยู่ที่ห้องนัก

ถ้าเขามีเวลาอยู่ที่ห้องตัวเองมากกว่านี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีภาพอะไรอย่างอื่นถูกบันทึกไว้อีกหรือเปล่า

เมื่อกล้องตัวเล็กถูกยัดใส่ถุงผ้าไปทั้งหมดแล้วฐานทัพก็รู้สึกโล่งใจได้เปลาะหนึ่ง เขาทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรงราวกับออกกำลังกายอย่างหนักมา ทั้งที่ห้องของตนไม่ได้ใหญ่โตพอที่จะทำให้เหนื่อยได้ขนาดนั้น คงเป็นเพราะเหนื่อยใจเสียมากกว่าถึงรู้สึกว่าพละกำลังถูกสูบหายไปจนเกลี้ยง

อนุมานได้เลยว่าคนที่ส่งคลิปนี้มาเป็นไอ้โรคจิตที่ขโมยกางเกงใน

ความหวาดกลัวที่เคยมีมาเหือดหายไปแล้วเมื่อตนถูกคุกคามด้วยวิธีนี้ ถึงกระนั้นอีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าคนที่อยู่ในเงามืดนั่นจะเอาภาพของเขาไปทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่ แล้วพอคิดเช่นนั้นความหวาดกลัวก็ย้อนถอยกลับมาอีกครั้ง

ฐานทัพรู้สึกห่อเหี่ยวจิตตกขึ้นมาครามครัน เขานั่งคู้เข่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอที่เปิดค้างไว้ สองจิตสองใจว่าควรทำการเจรจากับอีกฝ่ายดีหรือไม่ อย่างน้อยก็ให้เขาได้ข้อมูลมาบ้างว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ แต่ก็เกรงว่าหากทำเช่นนั้นแล้วฝ่ายนั้นจะไหวตัวทันหนีไปตั้งหลักเพื่อโจมตีเขาใหม่เสียก่อน

เมื่อตัดสินใจไม่ได้สุดท้ายฐานทัพก็ทิ้งตัวลงนอน ปล่อยโทรศัพท์ไว้ข้างตัวแล้วปิดเปลือกตาลง ก่อนที่เปลือกตาจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเปิดไม่ขึ้นเพราะความเหนื่อยอ่อนทางใจและเวลาเริ่มดึกแล้วเขาก็ลุกขึ้นไปปิดไฟและกลับมาทิ้งตัวลงอีกครั้ง

เพียงไม่นานฐานทัพก็จมดิ่งลงไปในนิทรา ทว่าเขาก็ต้องรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะมีอะไรอุ่นๆ หยดรดลงบนหน้า

วินาทีแรกที่รู้สึกตัวแต่ยังไม่ลืมตาเขาเผลอคิดไปว่าหลังคารั่วหรือ แต่มันย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพราะที่นี่เป็นอะพาร์ตเมนต์ อีกทั้งเขาก็ไม่ได้อาศัยอยู่ชั้นบนสุดด้วย

ครั้นลืมตาขึ้นมองสิ่งที่ฐานทัพเห็นก็มีเพียงสีดำแห่งความมืด แต่บรรยากาศที่สัมผัสได้กลับไม่ใช่ความเงียบยามค่ำคืนตามปกติ เขารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างเหนือร่างของตน และมันก็ทำให้รู้สึกพรั่นพรึงสั่นสะท้านไปทั้งกาย

“ตื่นแล้วเหรอ พอดีเลย”

คำตอบที่ชัดเจนดังขึ้นมาจากโครงร่างที่ค่อยๆ แยกออกจากความมืดเมื่อสายตาคุ้นชิน

ฐานทัพเบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก พยายามจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับไม่สามารถทำได้อย่างใจ มือและเท้าทั้งสองข้างถูกอะไรบางอย่างมัดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

สภาพของเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากหนอนที่ทำได้เพียงกระเด้งร่างไปมา ไม่สามารถขัดขืนได้

“อย่าพยายามเลยคนดี”

เงามืดนั้นพูดกลั้วหัวเราะ ลูบนิ้วมือไปตามใบหน้าของเขาทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“มาต่อกันเถอะ”

เมื่อสิ้นคำพูดนั้นสิ่งที่สัมผัสหน้าของเขาก็ไม่ใช่นิ้วมืออีกต่อไป มันเป็นท่อนร้อนๆ หนืดเหนียวที่จินตนาการได้ไม่ยากว่าคืออะไร

เจ้าท่อนนั้นถูกร่างด้านบนบังคับให้ลูบไล้ไปทั่วผืนหน้าของเขาจนเหนอะหนะ กลิ่นคาวของกามารมณ์ฟุ้งจนฉุนจมูก

ฐานทัพรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แต่เมื่ออ้าปากทำท่าจะอาเจียนออกมาโพรงปากก็ถูกเจ้าสิ่งนั้นยัดเข้ามาแทนที่จนแน่นคับปาก เขาอยากคายมันออกแต่ก็ทำไม่ได้ อยากจะกัดเพื่อให้ผู้เป็นเจ้าของชักมันกลับไปก็ถูกรู้ทันและบีบคางเอาไว้

ปากที่ถูกบังคับให้อ้าออกอยู่อย่างนั้นดูเหมือนจะเข้าทางของอีกฝ่ายและเป็นที่ถูกใจ เงาดำนั้นหัวเราะอย่างพึงพอใจด้วยเสียงน่ารังเกียจและขยับโยกร่างเพื่อเคลื่อนแท่งเหนอะนั้นเข้าออกในปากของเขาอย่างรุนแรง กระแทกเข้ามาจนมันทิ่มตำคอ

ความเจ็บปวดจากการถูกกระแทกทำให้ฐานทัพน้ำตาคลอ ไอโขลกจนตัวงอแต่ก็ถูกอีกฝ่ายตรึงร่างเอาไว้ แม้จะสำลักไอด้วยความสะอิดสะเอียนสักกี่ครั้งก็ยังไม่ได้รับความเห็นใจ แขนที่ถูกมัดไพล่หลังทั้งสองข้างเจ็บไปหมด ขาที่ถูกมัดรวบกับต้นขาตึงปวด

เสียงครางหอบดังขึ้นท่ามกลางความมืด แท่งนั้นยังคงแทงลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและค่อยๆ มันปลาบอาบเยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมันเคลื่อนไหวเร็วมากขึ้นเท่าไร ด้านในลำคอของฐานทัพก็ยิ่งถูกกระทุ้งแรงมากขึ้น

น้ำตารินไหลออกมาจากดวงตากลมโตจนอาบไปทั้งแก้ม

ความทรมานที่เพิ่งเคยพ้องพานทำให้ฐานทัพพยายามตะเกียกตะกายดิ้นรนเพื่อหลีกหนี แต่ร่างและปากก็ยังถูกบีบบังคับให้ต้องยอมรับความป่าเถื่อนโหดร้าย แท่งแห่งกามารมณ์ยังคงทะลวงเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ปรานีแม้แต่กระผีก กระทั่งอีกฝ่ายดูเหมือนจะสุขสมจนถึงที่สุดแล้วคราบคาวระลอกใหญ่ถึงได้พวยพุ่งออกมา

มวลน้ำคาวพุ่งเข้าลำคอของฐานทัพไปก้อนใหญ่ อีกส่วนหนึ่งทะลักล้นออกมาภายนอกปาก ทว่าเท่านั้นคงยังไม่สาแก่ใจคนในเงามืด เพราะยังชักลำแท่งที่ฝืนบังคับให้ล่องเข้าออกในปากของเขาออกมา สะเด็ดน้ำหนืดนั้นลงบนใบหน้าของเขาจนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะไปทั่ว

ครั้นจะเบี่ยงหน้าหนีก็ถูกบีบกรามบังคับเอาไว้ จะคายสิ่งที่เอ่อท่วมอยู่ในปากออกไปก็ไม่สามารถทำได้

“วิเศษ วิเศษมาก!”

ถ้อยคำที่ใช้คล้ายกับว่ากำลังชื่นชม แต่สำหรับคนฟังอย่างฐานทัพกลับรู้สึกว่ามันน่ารังเกียจอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะเมื่อกอปรกับเสียงที่เปล่งออกมาด้วยความลำพองก็ทำให้รู้สึกเดียดฉันท์มากขึ้นไปอีก

เขาพยายามเพ่งจ้องมองใบหน้าของคนร้ายที่ถูกซ่อนอยู่ แต่ถึงพยายามสักเท่าไรก็มองไม่เห็นสักนิด แม้แต่โครงหน้าก็มองไม่ออกว่าเป็นลักษณะแบบไหนกันแน่ กลมหรือรี

ทว่าฉับพลันนั้นร่างของฐานทัพก็ต้องสะดุ้งขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว น้ำร้อนโสโครกที่ยังเอ่ออยู่ในปากไหลลงลำคอไปอึกหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจเมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกระทบบั้นท้าย

เขากำลังถูกคุกคาม...

จะข่มขืนหรือ

ถึงจะเป็นคำน่าหัวเราะสำหรับคนที่มีเซ็กซ์แบบที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่เลือกหน้า แต่สถานการณ์ในตอนนี้ฐานทัพรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

เขาพยายามดีดดิ้นเท่าที่จะพยายามได้ ส่งเสียง “อือๆ” เพื่อปฏิเสธจนเกือบสำลักน้ำในปาก

คราวนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นใจเขาอยู่หน่อยๆ กระมังถึงได้ส่งเสียงตอบกลับมาเป็นคำที่อย่างน้อยก็น่าฟังที่สุดในเวลานี้ แม้มือสกปรกจะกำลังลูบคลำและแหย่นิ้วเข้าไปทางประตูหลังของเขาผ่านเนื้อผ้ายืดขณะพูดไปด้วยก็ตาม

“ไม่ต้องดีใจขนาดนั้น ตรงนี้น่ะ เอาไว้คราวหน้าเราค่อยมาเล่นกันนะ”

ปิดท้ายด้วยลมหายใจร้อนมากระทบหน้า ลิ้นชื้นๆ ตวัดแหย่เข้ามาเลียในรูหูทำให้ยิ่งรู้สึกขนลุกซู่ด้วยความรังเกียจสุดประมาณ

จากนั้นมือของเขาก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ทำให้ร่างท่อนบนสามารถเคลื่อนไหวอย่างใจได้สักที ฐานทัพจึงรีบบ้วนน้ำคาวทิ้งในทันที เสียงทุ้มห้าวโพล่งก้องด้วยความเกรี้ยวกราดแม้จะมีรสปะแล่มแทรกมาจนทำให้รู้สึกอยากอาเจียนจริงๆ

“แกเป็นใคร”

“ไว้เจอกันอีกนะเด็กดี”

หลังสิ้นประโยคนั้นเสียงประตูห้องก็ดังขึ้น แสงสว่างจากทางเดินภายนอกส่องเข้ามา ฐานทัพคิดจะฉวยโอกาสนั้นมองใบหน้าของคนที่ทำการอุกอาจเช่นนี้ ทว่าสิ่งที่เขาเห็นมีเพียงร่างด้านหลังในเสี้ยววินาทีเท่านั้น

ประตูห้องปิดลงไปแล้ว ครั้นจะติดตามไปก็ไม่สามารถทำได้เพราะขาของเขายังถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้จะพยายามเอื้อมมือไปเพื่อคลายปมเชือกออก แต่มันก็ยากเกินที่จะทำสำเร็จ มือเขาแตะมันไม่ถึงจึงต้องคิดหาวิธีใหม่ เปลี่ยนเป็นพยายามขดตัวให้ชิดอกมากที่สุดถึงสามารถแตะปมเชือกได้

ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีได้กระมัง ความพยายามของฐานทัพก็สิ้นสุดลง นิ้วมือเขาสั่นอย่างอ่อนแรงเหมือนกับไม่ใช่มือตนเองไม่รู้ด้วยสาเหตุใด ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีแรงจิกดึงเชือกให้หลุดออกได้

เสียงหายใจหอบดังสะท้อนในห้องมืดมิดหลังความพยายามอันยาวนานไร้ผล เขาไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยตัวไปไหนได้

ความสิ้นหวังมาเยือนมากขึ้นเรื่อยๆ ความขมขื่นค่อยๆ เอ่อขึ้นมาในลำคอจนขมปร่า กลบกลิ่นคลื่นเหียนที่ถูกบังคับให้ต้องรองรับและเผลอดื่มเข้าไปจนหมดสิ้น แล้วไม่รู้เพราะเหตุใดในเวลานั้นเขาถึงนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา

...สิบทิศ

ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะช่วยเขาในเวลานี้ได้คือคนคนนี้

และนอกจากความหวัง มันยังมีความโหยหาซึมออกมาทีละน้อยด้วย

แม้ว่าจะพยายามตัดความรู้สึกที่เอ่อขึ้นมาเรื่อยๆ ออกไป มันก็ยังไม่หยุดผุดเสียที ราวกับว่าพออุดตรงนั้นก็เกิดรอยรั่วขึ้นอีกที่

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายามนี้เขาคิดถึงสิบทิศขึ้นมาจับหัวใจ

ในเมื่อความพยายามอีกครั้งหนึ่งของตนไม่สำเร็จ ฐานทัพก็ต้องตัดใจอีกครั้ง เขาใช้สองแขนยันที่นอนออกแรงดันเพื่อคืบคลานไปยังจุดหมายที่คาดเอาไว้ ก่อนจะล้มพังพาบบนที่นอนอย่างอ่อนแรง จากนั้นคลำมือลงไปควานหาโทรศัพท์ กดโทรออกหาคนเพียงคนเดียวที่ปรากฏอยู่ในห้วงความคิด

[เกิดอะไรขึ้นเหรอฐาน]

เสียงของปลายสายดังมาอย่างงุนงงระคนตระหนกเล็กน้อย คงเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาโทรไป มิหนำซ้ำยังเป็นยามวิกาล ทว่าได้ยินเพียงเท่านั้นฐานทัพกลับรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ตรงคอจนเขาพูดไม่ออก ขอบตาร้อนขึ้นมาชอบกล

เขาพยายามดันก้อนอะไรสักอย่างที่อุดอยู่ตรงลำคอลงไป แล้วเค้นเสียงออกมาแหบพร่า

“มาหา...ผมหน่อย”

[ฐานเป็นอะไรหรือเปล่า]

เมื่อได้ยินเสียงของเขา สิบทิศก็ออกอาการตื่นตระหนกมากกว่าเดิม พลอยทำให้ฐานทัพยิ่งพูดไม่ออกมากขึ้น

เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายสถานการณ์นี้ว่าอย่างไร

“มา...หน่อย”

ฐานทัพตอบได้เพียงเท่านั้นก็วางสายไป เพราะก้อนก้อนนั้นมันทำท่าจะหลุดออกมา

เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าสุดท้ายแล้วมันหลุดออกมาเป็นเสียงแบบไหน แต่ว่าเขาได้คำตอบแล้ว

มันคือ...ก้อนสะอื้นและน้ำตา

เสียงสะอึกสะเอื้อนดังออกมาทดแทนเสียงน่ารังเกียจและความเงียบก่อนหน้านี้

น้ำอุ่นๆ ปริ่มขึ้นบนขอบตาก่อนจะไหลลงมาช้าๆ

เขาไม่รู้ว่าสิบทิศจะมาหาเขาจริงหรือเปล่าหลังจากเขาพูดไปเพียงเท่านั้น แต่ก็ขอเดิมพัน

หากสิบทิศมา เขาจะยอมเชื่อคำว่า ‘รัก’ ที่อีกฝ่ายพูดมาสักหน่อยก็ได้

คล้ายกับว่าคนที่ตนรอคอยจะรู้ถึงการเดิมพันในใจ หลังจากนั้นไม่นานเสียงเรียกชื่อฐานทัพก็ดังขึ้นพร้อมด้วยประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง

ไฟในห้องสว่างวาบอย่างฉับพลันภายในเสี้ยววินาทีนั้น และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปทางต้นเสียงก็เห็นสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีดของสิบทิศ

ร่างสูงโปร่งนั้นถลาเข้ามาหาเขาอย่างเร็วรี่ ปากสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างร้อนรน ดูสีหน้าก็รู้ว่าเต็มไปด้วยความห่วงกังวลและร้อนอกร้อนใจ

สิบทิศมองเชือกที่มัดขาเขาเอาไว้สลับกับห้องน้ำที่อยู่ห่างออกไปหลายก้าวเหมือนชั่งใจว่าควรจะทำอะไรก่อนเป็นอย่างแรก แต่สุดท้ายก็แกะเชือกที่ขาของเขาก่อน

ไม่รู้ทำไมแต่เห็นเท่านั้นแล้วใจที่เหมือนถูกคลุมด้วยเมฆสีทะมึนมาตลอดช่วงเวลาแห่งการรอคอยก็มลายหายไป ความขมขื่นที่เอ่อปริ่มเลือนสลายไปหมดจนดูเหมือนเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นภาพลวงตา ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

สิบทิศเอาผ้าขนหนูชุบน้ำที่เปียกเกินคำว่าหมาดมาเช็ดหน้าให้เขา ระหว่างทำความสะอาดก็มองด้วยสีหน้าเจ็บปวดไปด้วย เสียงทุ้มข่มอารมณ์ปั่นป่วนไปด้วยโทสะและห่วงหา

“ใครทำแบบนี้”

ฐานทัพส่ายศีรษะเบาๆ เป็นคำตอบ รับรู้ได้ถึงสัมผัสเย็นๆ ที่ลูบบนใบหน้าที่แรงเป็นพิเศษ คาดเดาได้เลยว่าคราบสกปรกที่เลอะเทอะอยู่เต็มผืนหน้าทำให้สิบทิศอยากขจัดมันออกไปให้หมดจดที่สุด

“มันบุกเข้ามา...ตอนหลับ”

ได้ยินเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ชะงักไปเล็กน้อย

เดาได้ว่าเจ้าตัวคงอยากตะคอกต่อว่าเขาที่ประมาท ชวนให้ไปนอนค้างที่คอนโดฯ ด้วยแล้วแท้ๆ เขาก็ไม่ยอมเชื่อฟัง แต่ก็พยายามระงับคำตำหนิด่าทอเอาไว้เพราะไม่อยากซ้ำเติม เขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง

“อยากบ้วนปาก”

เมื่อประโยคนี้รวมเข้ากับสภาพของเขาก็เหมือนจะเป็นการบอกกลายๆ ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง

สิบทิศชะงักไปอีกครั้ง มองใบหน้าของเขาอย่างนิ่งงันเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะพูดด้วยเสียงข่มอารมณ์อย่างชัดเจน มือที่ถือผ้าขนหนูค้างอยู่กำแน่น

“ไม่ได้ พี่จะพาฐานไปตรวจร่างกายก่อน”

หลังจากสิ้นคำนั้นสิบทิศก็ลุกขึ้นจากเตียง ดึงมือเขาเพื่อให้ออกไปจากห้องด้วยกัน

ฐานทัพรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน แล้วชี้ไปโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งมีถุงผ้าวางอยู่

“มันติดกล้องเอาไว้ในห้อง”

เหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจในทันทีว่าภายในถุงนั้นมีหลักฐานชิ้นสำคัญจึงรีบคว้ามันไว้อย่างรวดเร็ว และคว้าเชือกที่ใช้พันธนาการเขาไปด้วย

จากนั้นประคองเขาขึ้นรถไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจร่างกายทั้งในลำคอที่ถูกกระทุ้งรุนแรงจนอักเสบ แผลถูกมัดที่แขนและขา รวมทั้งเก็บตัวอย่างของเหลวในปาก ใบหู และบนเสื้อผ้าเขาไว้ด้วยเพื่อเป็นหลักฐานส่งให้ตำรวจอีกครั้ง เมื่อเขาบอกว่ารู้สึกเหมือนมือขาอ่อนแรงก็ถูกเจาะเลือดไปตรวจเพิ่ม

หลังเสร็จจากโรงพยาบาลก็เข้าสู่ขั้นตอนแจ้งความ เขาถูกสอบปากคำนับชั่วโมง และพาตำรวจไปตรวจสอบกับเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุเพิ่มเติม กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดก็เกือบจะเข้าสู่ตีสี่แล้ว

สิบทิศพาเขาไปยังคอนโดมิเนียมเพื่อที่จะได้พักผ่อนสักทีหลังจากตรากตรำมาตลอดทั้งคืน แต่ถึงแม้เขาจะล้างปากบ้วนปากซ้ำอยู่หลายครั้งตอนอยู่โรงพยาบาล เมื่อมาถึงคอนโดฯ ก็ยังรู้สึกพะอืดพะอมอยู่จึงเข้าไปอาบน้ำและแปรงฟันเพิ่มอีกครึ่งชั่วโมง

ทั้งที่ใช่ว่าไม่เคยทำออรัลมาก่อนในชีวิต แต่เพิ่งมีครั้งนี้ที่เขารู้สึกรังเกียจจากใจ และเข้าใจได้ว่าการถูกฝืนบังคับมันแตกต่างจากการยินยอมมากแค่ไหน ดังนั้นสภาพในตอนนี้จึงดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร อ่อนระโหยโรยแรงทั้งกายและใจ

หลังออกจากห้องน้ำก็มีรอยยิ้มของสิบทิศรอคอยอยู่ เหมือนกับว่าเจ้าตัวอยากจะให้กำลังใจเขาที่กำลังอยู่ในช่วงหดหู่ เมื่อเห็นเขาเดินออกมาเหมือนคนไร้แรงก็ตรงเข้ามากอดเอาไว้ ลูบแผ่นหลังเบาๆ คล้ายกำลังปลอบประโลม น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างหู

“เดี๋ยวนอนพักซะนะ ตื่นมาจะได้สดชื่น”

ฐานทัพไม่ได้ดันทุรังใช้พลังงานที่เหลือน้อยในการผลักไสอีกฝ่ายออก ขณะเดียวกันกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกจึงพยักหน้าเบาๆ ตอบรับข้อเสนอนั้นแต่โดยดี

สิบทิศค่อยๆ จูงมือพาเขายังไปเตียงอย่างไม่รีบร้อน พอเขาหย่อนร่างลงเตียงได้ก็ไปปิดไฟแล้วขึ้นมานอนกอดอีกครั้ง

เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับอ้อมกอดนั้นแต่กลับรู้สึกสบายใจขึ้นมา ดวงตาค่อยๆ ปรือลงทีละน้อย หูได้ยินถ้อยคำสุดท้ายจากเสียงที่ราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล

“ฝันดีนะครับ พี่นอนกอดอยู่อย่างนี้ฐานสบายใจได้”

 

 

กว่าจะลืมตาอีกครั้งภายในห้องก็สว่างโร่โดยไม่ใช่แสงจากหลอดไฟแล้ว เมื่อกะพริบตาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับสภาพการณ์ปัจจุบันแล้วเอี้ยวตัวไปเล็กน้อยก็เห็นว่าใกล้ๆ ตัวนั้นมีใครคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ

ฐานทัพดันตัวขึ้น มองหานาฬิกาเป็นสิ่งต่อมา ทว่าแรงขยับบนเตียงคงทำให้ใครอีกคนรู้สึกตัวจึงหันมายิ้มให้และทักทายด้วยประโยคแรกของวัน

“ตื่นแล้วเหรอ หลับสบายดีไหม”

เขาไม่มีคำตอบอื่นนอกเหนือจากคำว่า ‘สบาย’ จึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้แทน

“กี่โมงแล้ว”

“บ่ายโมงแล้วล่ะ”

พอได้ยินคำตอบฐานทัพก็เบิกตาโพลงทันควัน รู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันทีเพราะเขาขาดงานโดยไม่ได้แจ้ง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทัน สิบทิศยิ้มน้อยๆ แล้วบอกออกมา

“พี่ไปบอกคนที่โชว์รูมแล้วล่ะว่าฐานไม่สบาย จะลาสักสองวัน”

“ขอบคุณ”

ไม่มีสิ่งอื่นที่ฐานทัพจะตอบได้นอกจากคำนี้เช่นกัน ซึ่งก็ได้รับคำตอบมาเป็นรอยยิ้มของสิบทิศเหมือนเคย แต่แล้วภาพนั้นก็ทำให้ฐานทัพนึกอะไรขึ้นได้อีกอย่าง

“แล้วคุณ...”

ไม่ต้องถามจบประโยคสิบทิศก็ยื่นคำตอบให้อย่างรวดเร็ว

“พี่ห่วงฐานน่ะ ไปทำงานก็ไม่สบายใจแล้วจะทำงานเสียเปล่าๆ”

ถึงเขาจะไม่เคยถามเลยสักครั้งว่าอีกฝ่ายทำงานอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่างานไหนๆ หากใจไม่พร้อมก็ส่งผลเสียได้ทั้งนั้น

แม้เข้าใจเหตุและผลนั้นเป็นอย่างดี และรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นต้นเหตุทำให้อีกฝ่ายต้องเสียงาน แต่เขาก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ที่ได้รับความห่วงใยถึงขนาดนี้

“แล้วก็เจ้าของอะพาร์ตเมนต์ของฐานโทรมาด้วย บอกว่าจะมาเปลี่ยนลูกบิดประตู แต่พี่บอกเขาไปว่าฐานจะย้ายออกจากที่นั่นเพราะถูกทำร้ายเมื่อคืน แล้วพี่ก็ไปขนของจากห้องฐานมาหมดแล้วล่ะ ตำรวจก็ไปขอบันทึกจากกล้องวงจรปิดแล้วด้วย”

ฐานทัพตกใจจนเบิกตาโพลงโตที่อีกฝ่ายตัดสินใจเอาเองโดยไม่บอกสักคำ ถึงเรื่องเมื่อคืนจะเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต แต่เขาก็ยังไม่ทันได้คิดว่าจะย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์แต่อย่างใด

“ยังไงพี่ก็จะให้ฐานย้ายออกจากที่นั่น ถึงเปลี่ยนลูกบิดประตูแล้วจะปลอดภัยกว่าเดิม แต่ระบบรักษาความปลอดภัยก็ต่ำเกินไปอยู่ดี พี่ไม่ไว้ใจ”

สิบทิศยื่นคำขาดด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง สายตาแน่วแน่ส่อเจตนาว่าเขาห้ามคัดค้านเด็ดขาด ฐานทัพจึงได้แต่ก้มหน้าครุ่นคิดว่าจะเอาอย่างไรดี แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมรับความหวังดีจากอีกฝ่าย

“ว่าแต่เจ๊เจ้าของตึกติดต่อคุณได้ยังไง ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มาด้วยนี่”

ฐานทัพทิ้งโทรศัพท์ไว้ในห้องของตนเองตั้งแต่เมื่อคืนโดยไม่ได้เอามาเป็นหลักฐานส่งให้ตำรวจ เพราะจำเป็นต้องใช้มันติดต่อเรื่องงาน และก็คิดอยู่ว่าการให้ตำรวจดูคลิปหลักฐานว่าเขาถูกแอบถ่ายในห้องของตัวเองมันน่าอับอายเกินไป หากไม่จำเป็นก็ไม่อยากจะใช้หลักฐานชิ้นนี้ แม้มันอาจจะตามรอยจากไอดีผู้ส่งได้ก็ตาม

“โทรเข้าโทรศัพท์พี่น่ะ พี่ทิ้งเบอร์ไว้ให้ลุงยามติดต่อเผื่อกรณีฉุกเฉินไง จำไม่ได้เหรอ”

เมื่อถูกถามอย่างนั้นฐานทัพก็ร้องอ๋อในใจ พลางคิดว่าข้าวของในห้องที่ไม่ได้มากมายของตนคงกองอยู่ในห้องนั่งเล่นของสิบทิศกระมัง

“ถ้าอย่างนั้นไว้ผมหาที่พักใหม่ได้แล้วจะรีบขนของย้ายออกไปนะครับ ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน”

“ไม่เลยๆ ฐานไม่ต้องหาที่พักใหม่หรอก อยู่กับพี่ที่นี่แหละ”

ชายร่างสูงเขยิบตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้ประจันหน้ากันได้ยิ่งขึ้น ราวกับต้องการแสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของตนเองให้เขาเห็น ฐานทัพจึงรีบบอก

“ผมไม่อยากรบกวน”

“ไม่ได้รบกวนเลยสักนิด มีแต่จะทำให้พี่ดีใจซะมากกว่า พี่อยากให้ฐานมาอยู่ด้วยกันนะ ได้ไหม”

ท้ายประโยคน้ำเสียงเต็มไปด้วยความออดอ้อนเหมือนให้เขาเห็นใจและยอมรับปากแต่โดยดี

ฐานทัพก้มหน้าตรึกตรองกับตนเองอีกครั้ง

ดีแล้วแน่หรือที่เขาจะอยู่ที่นี่กับสิบทิศ

แต่เขาก็เดิมพันไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าจะยอมเชื่อคำคำนั้นดู

เป็นตัวเลือกที่เลือกได้ยากเหลือเกิน และคงเกิดความเงียบเนิ่นนานเกินไปกระมัง มือของเขาจึงถูกสิบทิศดึงไปกุมเอาไว้เบาๆ ทำให้จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย สบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก

“นะ อยู่กับพี่นะครับ พี่อยากแน่ใจว่าฐานจะปลอดภัย อย่าให้พี่ต้องกังวลใจเพราะคอยแต่เป็นห่วงฐานเลยนะ”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่คำพูดเชิงนี้ของสิบทิศมีอิทธิพลต่อเขา

ถึงจะคิดว่าไม่ควร อย่าดีกว่า แต่หลังจากได้ยินถ้อยคำนั้นความคิดที่ว่าเหล่านั้นก็มีแต่เหลวลงเรื่อยๆ เหมือนขี้ผึ้งถูกไฟลน

สุดท้ายเขาเลยได้แต่พยักหน้าไปเบาๆ เท่านั้น

 

 


v



v


หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 5th Lie มาหา...ผมหน่อย 24/2/62
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 24-02-2019 19:48:42
v



v

หลังจากนั้นตลอดช่วงสองสัปดาห์มีการติดต่อมาจากตำรวจบ้าง

บนหลักฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องขนาดจิ๋ว เชือก หรือลูกบิดประตู ล้วนแล้วแต่ไม่พบรอยนิ้วมือของคนร้ายทั้งสิ้น อย่างมากก็มีเพียงรอยนิ้วมือของเขากับสิบทิศเท่านั้น แม้แต่ของเหลวที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ ก็ทำให้รู้ได้เพียงดีเอ็นเอของคนร้ายเท่านั้น แต่ไม่มีผู้ต้องสงสัยที่จะสามารถนำดีเอ็นเอมาตรวจเทียบได้

แม้สอบปากคำคนในหอพักก็ไม่มีใครพบเห็นสิ่งปกติในคืนนั้น มิหนำซ้ำลุงยามที่น่าจะเป็นคนเห็นตัวคนร้ายก็ดันหลับยามเสียอีก กว่าจะตื่นก็ตอนที่สิบทิศมาเขย่าตัวเร่งเร้าให้เปิดประตู ไม่มีผลอะไรคืบหน้า ดังนั้นคดีนี้จึงยังค้างคาอยู่

“คุณ ผมยืมกรรไกรหน่อย”

หลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ฐานทัพก็ออกมาที่ห้องนั่งเล่น บอกสิบทิศที่กำลังดูข่าวในโทรทัศน์อยู่

ตอนนี้เขาเริ่มเคยชินกับการอยู่อาศัยร่วมกับสิบทิศขึ้นมาก เพราะหากจะให้นับจริงๆ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ‘กางเกงในหาย’ เขาก็มานอนที่นี่เกือบหนึ่งเดือนแล้ว

เขากลายเป็นหมอนข้างของอีกฝ่ายโดยถาวรไปแล้ว แต่สิบทิศก็คอยเอาใจใส่รับส่งเขาไปทำงานตลอด ช่วงวันหยุดก็ชวนออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง ไปหาของกินอร่อยๆ ดูหนัง ประหนึ่งทำกับคนรัก แม้เขาพยายามไม่คิดในแง่นั้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่สิ่งเหล่านั้นทำให้รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ

ความอึดอัดคลางแคลงใจต่อสิบทิศลดน้อยถอยลงทุกวัน

จากที่เคยพยายามตั้งป้อมปราการป้องกันอีกฝ่ายไว้ มันก็เริ่มทรุดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้แทบจะไม่เหลือรูปทรงอยู่แล้ว

“อยู่ตรงชั้นวางโทรทัศน์นี่แหละ ฐานหยิบได้เลย”

หลังได้รับคำตอบฐานทัพก็ตรงไปหยิบของที่ตนต้องการ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน

เขายืนหน้ากระจกบานสูงที่ติดอยู่บนผนัง เชยคางขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ เล็มเคราแพะที่เริ่มยาวขึ้นมากแล้วทีละนิดอย่างระมัดระวัง แต่เพียงครู่เดียวคนที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ก็เดินเข้ามาให้เห็นผ่านทางเงาสะท้อนทางกระจก ฐานทัพจึงชะงักมือ

“เล็มเคราเหรอ”

เพียงชั่วครู่เดียวสิบทิศก็มาประชิดอยู่ข้างตัวแล้ว

“อืม”

“ไม่โกนเอาล่ะ”

“หนวดผมขึ้นช้า ถ้าโกนออกหมดกว่าจะขึ้นให้เห็นชัดๆ ก็เกือบครึ่งเดือน ผมไม่ชอบหน้าเกลี้ยงๆ”

“ทำไมล่ะ”

คงเพราะประโยคท้ายของเขาดูเหมือนแฝงไว้ด้วยความไม่สบอารมณ์กระมัง สิบทิศถึงสงสัยขึ้นมา

ฐานทัพมองเห็นทางกระจกว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมาที่ตนเองไม่ละสายตามากแค่ไหนจึงหลบสายตานั้นไป เพราะลำบากใจนิดหน่อยที่จะพูดออกมา เนื่องจากมันนับเป็นจุดอ่อนของเขาก็ว่าได้

“ผมไม่อยากโดนล้อ”

“โดนล้อเรื่อง?”

ดูเหมือนคำตอบนั้นจะทำให้สิบทิศติดใจสงสัยมากกว่าเดิมเลยชะโงกหน้ามาใกล้มากขึ้น

ฐานทัพต้องยกมือขึ้นมายันเอาไว้เสียเองเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากกว่านี้ แต่คงเพราะออกแรงมากเกินไปกระมัง เสียงร้อง “โอ๊ยๆ” ครวญครางจึงดังมาให้ได้ยิน

“เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แต่แรงเยอะจริงๆ นะ”

สิบทิศขยับตัวออกห่าง เอามือจับคางของตนเองบิดไปมา ทำราวกับว่ามันบิดเบี้ยวผิดรูปทรงไปจึงต้องจัดให้เข้ารูปเหมือนเดิมจนฐานทัพพ่นลมหายใจออกมาอย่างระอา

“แล้วสรุปว่าเพราะอะไร”

แต่พอถูกรุกถามด้วยคำถามเดิม ฐานทัพก็เบี่ยงหน้าหนีอีก ก่อนจะแสร้งทำเป็นโวยกลับ

“เรื่องของผมไม่เห็นต้องตอบคุณเลย”

“แน่ใจนะว่าจะไม่ตอบ”

“.....”

ฐานทัพยังคงเมินเฉย ไม่ไยดีต่อคำถามกึ่งท้าทายนั้น แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะทั้งตัวถูกรวบเอาไว้ในอ้อมกอดของสิบทิศโดยไม่ทันตั้งตัว

“เฮ้ย คุณ ปล่อย เดี๋ยวก็โดนกรรไกรแทงเอาหรอก”

เขาร้องเนื่องจากยังถือกรรไกรอยู่ในมือ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจแม้แต่น้อย กลับกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก มิหนำซ้ำยังวางคางบนหัวเขา ราวกับจะเน้นย้ำว่าเขาตัวเล็กกว่าแค่ไหน

“บอกสิครับ”

ไม่เพียงแค่พูดตอแยให้เขาต้องง้างปากออกมา แต่ฐานทัพถูกสิบทิศรุกจูบแก้มแรงๆ สลับกับประโยคว่า ‘บอกสิ’ ซ้ำกันเกินกว่าห้าครั้ง

แม้ฐานทัพจะพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนนั้นพลางยื่นมือที่ถือกรรไกรให้ออกห่าง ด้วยกลัวว่าจะพลั้งแทงร่างอีกฝ่ายจนกลายเป็นฆาตกรโดยไม่เจตนาไป แต่สุดท้ายก็ยังไม่พ้นจากกรงขังที่ชื่อว่าสิบทิศอยู่ดี

ครั้นจะเล่นท่าไม้ตายด้วยการกระทืบเท้าอีกฝ่ายให้เจ็บจนต้องปล่อยแขน ก็ดูเหมือนสิบทิศจะรู้ทันจึงยกตัวเขาลอยขึ้นเหนือพื้น

“ก็ได้ๆ พอแล้ว ปล่อยก่อน”

เมื่อดูท่าว่าหากไม่ยินยอมแต่โดยดีคงโดนงูยักษ์รัดไว้แบบนี้อีกนานแน่ๆ ฐานทัพจึงอ่อนใจยอมเปิดปากพูด

“คือ...เวลาโกนเคราออกแล้วหน้าผมดูเด็ก ก็เลยถูกแซวบ่อยๆ ผมถึงไม่ชอบโกน”

“โธ่ เรื่องแค่นี้เอง ไม่ดีเหรอคนชมว่าหน้าเด็กน่ะ”

สิบทิศคลายวงแขนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงประคองร่างของฐานทัพไว้อยู่ดี แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าถูกรัดเอาไว้แน่น ฐานทัพจึงไม่ได้หยิบหัวข้อนั้นมาค้าน

“มันทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือ แถมผมต้องทำงานขายด้วย ถ้าลูกค้าเห็นหน้าแล้วอยากเปลี่ยนเซลส์คนอื่นมาแทนผมก็แย่สิ”

เสียงครางอย่างเข้าใจดังเบาๆ มาจากสิบทิศก่อนเจ้าตัวจะคลี่ยิ้มตาหยีให้ และเอ่ยออกมาโดยที่รอยยิ้มนั้นไม่จางไป

“งั้นพี่ช่วยเล็มให้นะ”

“แค่นี้ผมทำเองได้น่า จะช่วยทำไม”

“ก็พี่อยากช่วยน่ะ”

ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากกว่านั้น สิบทิศใช้มือข้างหนึ่งมาดึงกรรไกรจากมือเขาออก จากนั้นก็อาศัยแรงที่มากกว่าพาเขาไปยังเตียงโดยที่เจ้าตัวนั่งลงก่อน ตามด้วยดึงเขาให้นั่งคร่อมลงบนตัก

“ทำไมต้องนั่งท่านี้ด้วย”

ฐานทัพทำหน้าหน่าย หรี่ตามองใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้มจางๆ ของอีกฝ่าย ไม่ได้ลุกออกไปจากตำแหน่งนั้นในทันที

“ก็แบบนี้มองเห็นชัดกว่าไง อยู่นิ่งๆ ล่ะ”

หลังจากบอกเช่นนั้นสิบทิศก็แหงนหน้าขึ้นแล้วค่อยๆ ใช้กรรไกรเล็มเคราบางๆ ของฐานทัพให้อย่างระมัดระวัง

ฐานทัพมองใบหน้าที่กำลังจดจ่ออยู่กับการกระทำนั้นโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเลยสักนิด จับจ้องดวงตาที่เพ่งอยู่แต่ที่ปลายคางของเขา และรับรู้ถึงสัมผัสของปลายคมที่เลาะเล็มเส้นขนเล็กๆ ของเขาอย่างตั้งใจอกตั้งใจ

ทั้งที่มือของสิบทิศออกจะใหญ่โต แต่กลับขยับอย่างแผ่วเบาตรงข้ามกัน

สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตนทำให้ฐานทัพรู้สึกเหมือนภายในอกมีบ่อน้ำผุดขึ้นมา และน้ำในบ่อก็กำลังเอ่อขึ้นเรื่อยๆ

มุมปากของเขาเพียรแต่จะกระตุกขึ้นจนต้องพยายามยับยั้งอยู่หลายครั้ง เพราะหากเขาไม่ฝืนบังคับมัน สิบทิศต้องเห็นอย่างแน่นอน

“เรียบร้อยแล้วล่ะ หล่อแล้วครับ”

สิบทิศยิ้มตาหยีให้พลางเอื้อมตัวไปวางกรรไกรที่โต๊ะหัวเตียง ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยฐานทัพให้เป็นอิสระจากตักของตน เพราะแขนอีกข้างหนึ่งยังโอบรอบเอวเอาไว้ ฐานทัพจึงต้องประท้วง

“เสร็จแล้วก็ปล่อยสิครับ”

“.....”

ไร้คำตอบเป็นเสียงจากคนถูกสั่ง

สิบทิศเพียงยิ้มก่อนจะชะโงกหน้าขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็แตะริมฝีปากลงบนปากเขาเบาๆ จนฐานทัพเบิกตาโพลง เนื่องจากตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยทำรุ่มร่ามอย่างอื่นกับเขานอกเสียจากนอนกอดและจูบเบาๆ ที่หลังศีรษะหรือต้นคอเป็นบางครั้ง

และคงเพราะเขาพูดอะไรต่อจากนั้นไม่ออก จึงเป็นสิบทิศที่พูดประโยคที่คาดไม่ถึงออกมา

“พี่ขอกอดได้ไหม”

ไม่ต้องขยายความเพิ่มว่า ‘กอด’ ในที่นี้หมายถึงอะไร เพราะมันชัดเจนด้วยแววตาที่กำลังจ้องมองมา เปิดเผยอย่างหมดเปลือกว่าเจ้าของคำพูดกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์แบบใด

ฐานทัพชะงักค้างไปครู่ใหญ่ๆ ทว่าไม่ได้ครุ่นคิดถึงคำตอบใดๆ แต่กลับเป็นความรู้สึกมึนงงจนหูอื้ออึงที่เข้ามาจู่โจม

ภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้นกว่าปกติทั้งที่เขาก็มองเห็นชัดอยู่แล้ว ราวกับจะเน้นให้เห็นว่าสิบทิศกำลังรอคอยคำตอบเขาด้วยความรู้สึกแบบไหน ซึ่งนั่นก็ทำให้อะไรบางอย่างในใจของเขาหวิวไหว

รวมทั้งร่างกายรู้สึกวูบวาบ...

อาจเพราะว่าเขาไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์มาพักใหญ่แล้วก็ได้

ฐานทัพให้ข้ออ้างกับตนเองแบบนั้น แต่ฉับพลันเดียวกันก็ไพล่คิดไปถึงสัมผัสสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนร่าง

คนสุดท้ายที่เขามีอะไรด้วยก็คือสิบทิศ

เมื่อคิดเช่นนั้น ร่างกายและแม้กระทั่งความรู้สึกก็โหยหาไออุ่นเหล่านั้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

อยากถูกโอบกอด

อยากถูกสัมผัส

ความรู้สึกเหล่านั้นต่างโหมโจมตีเข้าใส่ราวกับพายุจนแทบจะตัวสั่น ประหนึ่งคนติดยาเสพติดที่ใกล้จะลงแดงอยู่รอมร่อ ลำคอและริมฝีปากแห้งผากเหมือนกับจะป่นเป็นผง

มันกำลังผลักดันให้ฐานทัพตอบออกมาตามที่ใจและกายปรารถนาอย่างที่สุดในเวลานี้ ลืมสติยั้งคิดทั้งหมดมวลไปเสีย ครอบงำให้เขาไม่สามารถตอบประโยคอื่นได้

“อืม”

ฐานทัพครางในลำคอแต่ก็ดังพอให้สิบทิศได้ยินเต็มสองหู โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้รับสัมผัสจากคนคนนี้อีกหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น

 








หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 5th Lie มาหา...ผมหน่อย 24/2/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-03-2019 19:18:04
 :pig4:
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 6th Lie [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 17-03-2019 20:08:11


6th Lie
ปกติคุณก็น่าจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไม่ใช่หรือไง

 

วันแห่งการทำงานยังดำเนินไปตามปกติ จะมีที่ผิดไปจากทุกวันก็คือวันนี้ลูกค้าของเขาเป็นคนคุ้นหน้าอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมเตียงของเขา

ฐานทัพระงับสีหน้าประหลาดใจเอาไว้ไม่ทัน เพราะทันทีที่จะปรับเปลี่ยนโฉมหน้าเป็นพนักงานขายก็ถูกทักขึ้นด้วยเสียงเริงร่าและสีหน้ายิ้มแย้มเสียก่อน

“สวัสดีครับฐาน”

“สวัสดีครับกวี”

“ไม่ยักรู้ว่าฐานทำงานอยู่ที่นี่”

ไม่ทันที่เขาจะสร้างคำถามให้ตนเองในใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงมาปรากฏตัวในสถานที่ทำงานของเขา กวีก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน

ใบหน้าของชายหนุ่มไม่ปรากฏการเสแสร้งใดๆ แม้แต่นิด ทั้งยังดูประหลาดใจอยู่สักหน่อยด้วยซ้ำที่ได้พบกันอย่างไม่คาดฝัน

“นั่นสิครับ”

ฐานทัพตอบได้เพียงกลางๆ เพราะคิดว่าคงเป็นเหตุบังเอิญจริงๆ

อีกฝ่ายอาจจะทำงานหรือไม่ก็บ้านอยู่แถวนี้ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่ก็ใช่ว่าเขาจะชอบที่มีคนรู้จักที่ทำงานของเขา

“ว่าแต่กวีมาดูรถเหรอครับ สนใจรุ่นไหนครับ เดี๋ยวผมจะได้แนะนำให้”

“ดีเลยครับ มีคนรู้จักคอยแนะนำแบบนี้ค่อยสบายขึ้นหน่อย”

กวีแย้มรอยยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะเขยิบตัวเข้ามาหาอีกนิดและกระซิบลงข้างหูฐานทัพ

“จริงๆ ผมเป็นประเภทที่ไม่ค่อยถูกกับการพูดคุยกับคนแปลกหน้าน่ะ”

คำชี้แจงนั้นทำให้ฐานทัพพอจะเข้าใจได้ และเริ่มเห็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่พบกับกวีครั้งแรกกับครั้งที่สองเจ้าตัวถึงได้ดูแตกต่างกันนัก มันสนับสนุนสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากพอทีเดียว

ดังนั้นฐานทัพจึงพากวีดูรถรุ่นที่อีกฝ่ายสนใจพร้อมกับแนะนำรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถได้อย่างเป็นกันเองผิดจากลูกค้าคนอื่นๆ ที่ค่อนข้างจะเป็นทางการมากกว่านี้

กระทั่งกวีรับโบรชัวร์ไปพร้อมกับบอกว่าไว้เดี๋ยวจะลองคิดดูอีกที เจ้าตัวก็เอ่ยขึ้นอีกประโยค

“ฐานเลิกงานกี่โมงครับ ไหนๆ ก็บังเอิญได้เจอกันทั้งทีแล้ว กินข้าวมื้อเย็นด้วยกันสักหน่อยดีไหมครับ”

ฐานทัพชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าจะตอบรับอีกฝ่ายดีหรือไม่

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากสานสัมพันธ์กับคนที่เคยร่วมเตียงให้ยุ่งยาก แต่ดูจากสีหน้า ท่าทาง และคำพูดของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่ได้แสดงถึงความต้องการจะเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตเขามากเกินไปกว่านี้ ออกจะเหมือนการหยิบยื่นมิตรภาพให้โดยไม่มีอะไรแอบแฝง เป็นมารยาททางสังคมอย่างหนึ่งเท่านั้น

ที่สำคัญ...หากตัดรอนไปเขาอาจจะเสียลูกค้าก็ได้

“อีกชั่วโมงครับ”

เมื่อไตร่ตรองมาดีแล้วฐานทัพก็ยินยอมตอบไปตามตรง กวีจึงเอ่ยว่าจะรออยู่ด้านนอก แล้วหาร้านอาหารใกล้ๆ นี้ร่วมมื้อเย็นกัน จากนั้นก็ลับร่างไปด้านนอกโชว์รูม

จนเมื่อถึงเวลาเลิกงาน ชายร่างสูงที่ไม่ใช่คนเดียวกับทุกวันก็มายืนรอเขาอยู่ด้านหน้าประตูกระจกบานใหญ่

ฐานทัพรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เพราะเสียงเตือนโทรศัพท์ดังขึ้นและพอหยิบมันขึ้นมาดูข้อความที่ถูกส่งมาก็เข้าใจได้

สิบทิศบอกว่าจะมาช้าสักหน่อย ให้เขารออยู่ที่นี่ก่อน

แต่ไม่ได้บอกว่าจะมาช้าแค่ไหน คงไม่เป็นไรกระมังหากเขาจะไปรับน้ำใจตามมารยาทจากกวีก่อน

“ผมเห็นร้านตรงนู้นน่าสนใจดี เราไปร้านนั้นกันดีไหม”

หลังจากเดินมาประจันหน้ากัน กวีก็เสนอพร้อมชี้นิ้วไปยังจุดหมาย เป็นร้านอาหารที่อยู่ถัดจากโชว์รูมไปแค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น

“ได้ครับ”

ฐานทัพไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาแต่อย่างใดจึงตอบรับไปอย่างยินดี จากนั้นทั้งคู่ก็ออกเดินไปยังร้านนั้น

กวียังไม่มีรถยนต์ส่วนตัวจึงคิดได้ว่าที่มาดูรถคงเพราะต้องการซื้อจริงๆ ไม่ใช่ต้องการทราบข้อมูลใหม่ๆ หรือเบื่อคันเก่าแล้ว

ในเมื่อลักษณะของลูกค้าเข้าทางเช่นนี้ ฐานทัพจึงยิ่งอยากจะใช้ทักษะการขายของตนเองมากขึ้นไปอีก

ดังนั้นการแสดงไมตรีจิตต่ออีกฝ่าย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องดี

ด้วยเหตุใดนั้นฐานทัพจึงมีสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา ทั้งตอนพูดคุยเรื่อยเปื่อยระหว่างมาที่ร้าน และคุยกันต่อเนื่องหลังจากเข้ามาในร้านและสั่งอาหารแล้ว

“ว่าแต่ดูเหมือนฐานจะไม่ได้ไปที่ผับเลยนะ หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นเจอฐานอีกเลย”

มือที่กำลังตักอาหารเข้าปากของฐานทัพหยุดชะงักไป เขาเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างระแวงสงสัยเล็กน้อย แต่กวีก็ยักไหล่พูดต่อ

“อย่าทำท่าแบบนั้นสิ ผมถูกใจฐานก็จริง แต่ฐานไม่โอเคกับเรื่องคบหากันอย่างจริงจังผมก็ไม่คิดตอแยอยู่แล้ว ก็แค่ถามดูเฉยๆ เพราะเห็นพี่ๆ เคยพูดไว้ว่าฐานเป็นลูกค้าประจำ”

หลังจากได้รับคำอธิบาย ฐานทัพก็คลายท่าทีลง เอาช้อนเข้าปากเคี้ยวอยู่สักพักถึงตอบกลับไป

“พอดีว่ามีเรื่องอะไรหลายอย่างน่ะ ผมเลยไม่ค่อยสะดวกไปเท่าไร”

“อ๋อ มิน่าล่ะ”

“แต่พูดแบบนี้แสดงว่ากวีไปบ่อยใช่ไหม แล้วได้เจอคนที่เข้าตาบ้างหรือยัง”

เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายตั้งคำถามลงลึกถึงเรื่องที่ทำให้เขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมาเท่าไรนัก ฐานทัพจึงเบนทิศไปหาเรื่องอื่นอย่างแยบยล ซึ่งอีกฝ่ายก็ครางเสียงออกมาแล้วพูดพลางยิ้ม

“ก็มีบ้าง”

“ท่าทางอย่างนี้ผมว่าน่าจะเจอแบบตรงใจแล้วนะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

กวีหัวเราะเล็กน้อยเมื่อโดนพูดเหมือนถูกแซว พลอยให้ฐานทัพระบายยิ้มออกมานิดๆ ไปด้วย

“แต่ไว้ฐานไปที่ผับบ้างก็ดีนะ เผื่อจะได้ดื่มด้วยกัน”

“คงไม่ได้หรอก”

ไม่ทันที่ฐานทัพจะได้พูดตอบอะไรไป เสียงเข้มห้วนก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง แม้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร ทว่าฐานทัพไม่ฝืนสัญชาตญาณในการหันกลับไป

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

สิบทิศยืนอยู่ตรงหน้า...หน้าขมึงทึงเหมือนกับจะกินหัวใครสักคนแถวๆ นี้

“ขอโทษด้วยที่ต้องเสียมารยาท”

ทั้งที่พูดคำว่า ‘ขอโทษที่ต้องเสียมารยาท’ ออกมาเต็มปากเต็มคำแท้ๆ แต่น้ำเสียงและบรรยากาศกลับไม่มีความสำนึกผิดแม้แต่เศษเสี้ยว กลับจ้องเขม็งไปยังกวีเหมือนเอาเรื่องเสียด้วยซ้ำจนฐานทัพต้องมุ่นคิ้วใส่เพื่อเตือน แต่คล้ายกับว่าสิบทิศจะมองไม่เห็น

“ตอนแรกผมก็คิดว่าฐานคุยกับลูกค้าอยู่หรือเปล่า แต่บังเอิญได้ยินเรื่องที่คุยเลยคิดว่าคงไม่ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นคงไม่ผิดอะไรที่ผมจะเข้ามาแทรก ใช่ไหมครับ”

ประโยคคำถามเหมือนต้องการให้คนฟังตอบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยคำข่มขู่ประมาณหนึ่งว่า ‘ห้ามปฏิเสธ’ ทว่ากวีก็ไม่ได้สะท้านหวั่นไหวต่อการกดดันจากสิบทิศ เขาสวนคำถามกลับไปบ้าง

“แล้วไม่ทราบว่าคุณมีสิทธิ์อะไรถึงได้มากำหนดว่าฐานจะไปไหนได้หรือไม่ได้ล่ะ”

“สิทธิ์ของแฟนไง”

สิบทิศตอบกลับไปง่ายๆ แต่ทำให้สองคนที่เหลือตาถลน

ฐานทัพและกวีต่างมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนมีคำถามส่งออกมาจากสายตาของกวีว่า ‘จริงหรือ’ แต่ฐานทัพไม่ตอบ กลับจับจ้องใบหน้าด้านข้างของสิบทิศดั่งกำลังเรียกให้อีกฝ่ายหันมา แต่เพราะเจ้าตัวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงต้องใช้มือดึงแขนให้รู้สึกตัว

ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแทนที่สิบทิศจะเปลี่ยนคำพูดหรือหันกลับมามองบ้างว่าเขากำลังส่งสายตาแบบไหนไปให้ กลับดึงแขนตัวเองออกแล้วยื่นมือมาดึงแขนของเขาให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แทน

แรงดึงนั้นมากพอจะทำให้ร่างของฐานทัพลอยขึ้นจากเก้าอี้ตามที่หวัง

“ขอตัวก่อน”

ไม่อธิบายอะไรมากความไปมากกว่านั้นสิบทิศก็ออกแรงมากขึ้นแล้วดึงฐานทัพเดินออกไปจากร้าน

“ทำอะไรของคุณน่ะ ทำไมพูดแบบนั้น”

ใบหน้าบึ้งตึงของสิบทิศทำให้ฐานทัพไม่คิดจะพูดอะไร จนกลับถึงคอนโดฯ ถึงพูดออกมาประโยคแรก

“ฐานก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับฐาน ดูก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าหมอนั่นสนใจฐานน่ะ”

สิบทิศทิ้งกุญแจรถลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์

“เขาไม่ได้สนใจผมสักหน่อย ก็แค่พูดคุยกันตามประสาคนรู้จัก แล้วเขาก็จะมาเป็นลูกค้าของผมด้วย เกิดเขาไม่พอใจแล้วเปลี่ยนไปเข้าโชว์รูมอื่น ผมก็เสียลูกค้ากันพอดีสิ”

ฐานทัพพูดด้วยเหตุผล แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าหูของคนฟังเท่าไร

สิบทิศยังไม่คลายหัวคิ้วลง ทว่ากลับดึงมือเขาไปจูบเสียดื้อๆ ถึงกระนั้นก็ทอดคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย

“พี่ขี้หวงแล้วก็ขี้หึงมาก”

“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยนะคุณน่ะ โตแต่ตัวเปล่าๆ”

ไม่รู้ว่าเพราะการแสดงออกเช่นนั้นของคนตรงหน้าหรือเปล่าถึงทำให้ฐานทัพรู้สึกใจสั่นหวิว

เขาเค้นเสียงออกมาพลางเบือนหน้าหนี พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งที่สุด แต่แม้กระทั่งตัวเองยังจับแววสั่นไหวได้จึงต้องดึงมือออกแล้วแสร้งหักเลี้ยวเปลี่ยนหัวเรื่อง

“ผมจะไปอาบน้ำแล้ว”

จากนั้นก็ก้าวฉับๆ ตรงไปห้องนอนที่เขามาพักอาศัยอยู่สองเดือนครึ่งแล้วนับจากวันนั้นที่เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวถึงห้องอย่างใจก็ถูกรวบกอดเอาไว้จากด้านหลัง

“พี่ก็อยากอาบเหมือนกัน”

ได้ยินถ้อยคำกระซิบเสียงพร่าชวนสยิวริมหู เหมือนอารมณ์ไม่พอใจก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก

ตัวของฐานทัพแข็งค้างไปชั่วครู่ เขาขบปากอยู่สักพักเพื่อขับเค้นความแข็งกระด้างออกมาให้ได้มากที่สุด

“งั้นผมให้คุณอาบก่อนก็ได้”

“แต่พี่อยากอาบน้ำกับฐานนี่นา”

เสียงทุ้มแผ่วๆ ยังคลอเคลียอยู่ข้างหูให้ขนลุกเกรียวไปหมด

ฐานทัพฝืนหันหน้าไปทางด้านหลัง อ้าปากกำลังจะพูดออกมา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันถึงหยีตายิ้มพูดตัดหน้า

“คงไม่ต้องอายอะไรหรอกเนอะ ก็เห็นกันหมดทั้งตัวไม่รู้กี่รอบแล้วนี่นา”

เป็นจริงอย่างที่สิบทิศว่า

ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เขายินยอมอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ ตลอดช่วงสองเดือนมานี้ก็เกิดเหตุการณ์นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายครั้ง

และทุกครั้งหัวใจของเขาก็ยิ่งอ่อนยวบลงเรื่อยๆ

เปิดรับผู้ชายชื่อสิบทิศมากขึ้นอย่างห้ามไม่ไหว

สุดท้ายเพราะไม่มีอะไรจะอ้างเพื่อปฏิเสธอีกฝ่าย และเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายหน้าบางที่จะเขินอายกับเรื่องพวกนี้ แม้แท้จริงแล้วจะรู้สึกใจสั่นอยู่บ้างเพราะความหวั่นไหวอันไม่คุ้นเคยจากการถูกสิบทิศซัดเซาะเข้ามา ฐานทัพจึงถูกลากตัวเข้าไปในห้องน้ำและถูกลอกคราบจนล่อนจ้อน กระทั่งลงไปอยู่ในอ่างอาบน้ำด้วยกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ

กว่าจะได้สติแจ่มชัดอีกครั้งก็ตอนโดนสิบทิศสวมกอดจากด้านหลังด้วยเนื้อตัวเปลือยเปล่า

“ไหนว่าอาบน้ำไงครับ”

“ก็อาบอยู่นี่ไง”

สิบทิศอ้างหน้าด้านๆ แม้ไม่ต้องหันไปมองทางด้านหลังก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มเพราะมันแฝงมากับน้ำเสียง

“อาบกับกอดมันคนละเรื่องกันนะ”

“ไม่รู้สิๆ”

น้ำเสียงสนุกสนานกลั้วหัวเราะดังมาจนสะท้อนในห้องที่ปิดมิดชิด

ฐานทัพรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาทันที เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่าง

“เรื่องก่อนหน้านี้”

พอเกริ่นออกไปแบบนั้น คนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังโดยไม่ยอมคลายวงกอดเสียทีก็ครางเสียง “หืม” อยู่ข้างหู ฐานทัพจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิมอีกเล็กน้อย

“ที่คุณอ้างสิทธิ์ว่าเป็นแฟนผมนั่นมันอะไรกัน”

“อ๋อ นั่นเหรอ อ้างไม่ได้เหรอ”

อีกฝ่ายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน เสมือนว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดไปสักนิดเดียว เขาไม่ควรจะพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิเสียด้วยซ้ำ

“คุณไม่ใช่แฟนผมสักหน่อย เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดกันหมดหรอก”

“ไม่เห็นยากอะไรเลย”

หลังจากพูดเช่นนั้นแขนที่เคยโอบอยู่บริเวณเอวของฐานทัพก็คลายออก ก่อนจะจับร่างของเขาให้พลิกหันกลับมาเผชิญหน้ากันอย่างง่ายดายราวกับเป็นตุ๊กตาอย่างไรอย่างนั้น

“เราก็เป็นแฟนกันสิ นะ?”

ลงท้ายด้วยน้ำเสียงอ้อนนิดๆ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

หากเป็นเมื่อก่อนฐานทัพคงปฏิเสธกลับไปทันควัน แต่เวลานี้เขากลับตอบอะไรไม่ถูก

ไม่ใช่เพราะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นจึงยากจะหักหาญน้ำใจ แต่เป็นเพราะกระดากที่จะตอบตกลงไปอย่างง่ายดายทั้งที่เคยปฏิเสธเสียขนาดนั้น และอีกอย่างเขาก็เพิ่งได้รู้กระจ่างชัดแก่ใจตัวเองว่าเขาก็อยากมีใครสักคนเช่นกัน ซึ่งคนคนนั้นมีเพียงผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าตอนนี้

“สองเดือนมานี้ฐานไม่ใจอ่อน รู้สึกชอบพี่ขึ้นมาบ้างเลยเหรอ”

ดูเหมือนความเงียบที่อาจมองได้ว่าเป็นการยอมรับส่งผลในอีกแง่หนึ่งกับสิบทิศ

ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเจ้าตัวไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป หรือเพราะกำลังหยอกล้อให้เขายอมพูดออกมาจากปากกันแน่

ฐานทัพอ่านเจตนานั้นไม่ออกเพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายโอนเอนไปทางข้อสันนิษฐานแรกเสียมากกว่า

“ก็...”

ความเงียบในห้องที่สะท้อนเสียงได้ก้องยิ่งก่อให้เกิดความอึดอัดมากกว่าปกติหลายเท่า

ฐานทัพครางเสียงออกมาให้คนฟังที่มีท่าทีลุกลี้ลุกลนขึ้นมาจดจ่อรอฟัง แต่ก็ไร้เสียงพูดต่อไป

“ก็อะไรล่ะฐาน ชอบพี่หรือเปล่า”

เพราะโดนเร่งเร้า ฐานทัพจึงเบี่ยงหน้าหนีไปให้ด้านข้างของสิบทิศเป็นเป้าสายตาแทน จากนั้นงึมงำออกมา

“ปกติคุณก็น่าจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไม่ใช่หรือไง”

“พูดแบบนี้แปลว่า...จริงเหรอ”

สิบทิศชะงักค้างอยู่กลางประโยคก่อนจะส่งเสียงตื่นเต้นมาในคำพูดท้าย

ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังทำหน้าระรื่นปลื้มปริ่มอยู่แน่ๆ ฐานทัพจึงรู้สึกว่าช่วงเวลาแบบนี้มันน่าเขินอยู่นิดหน่อยเลยยังไม่ยอมหันหน้ากลับไป ทว่าทั้งตัวกลับโดนรวบเข้าไปกอดเสียแน่น

“ฐานพูดออกมาชัดๆ หน่อยสิ”

“.....”

“น่า นะๆ ฐานนะ บอกรักให้พี่ได้ยินหน่อยสิครับ”

คงเพราะเห็นว่าเขายังไม่ยอมหันไปหาสักที สิบทิศจึงส่งเสียงออดอ้อนอย่างเต็มที่

มันดังก้องอยู่ข้างหูจนฐานทัพรู้สึกจักจี้จึงดันอกที่เปลือยอยู่ของอีกฝ่ายออก ทำหน้าเข้มขึงตามองเหมือนกับจะตำหนิกันกลายๆ จนสีหน้าสิบทิศเปลี่ยนเป็นสลดลงเล็กน้อยเหมือนคนสำนึกผิด ถึงกระนั้นแววตาก็ยังมีประกายแห่งความหวังอยู่

ฐานทัพถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งกับท่าทีของอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้หู เอ่ยเสียงกระซิบแผ่วแฝงแววแหบพร่าราวกับจะยั่วเย้าให้สิบทิศได้ยินชัดๆ

“ผมชอบพี่”

แต่ต่อท้ายด้วยประโยคที่พูดเสียงดังลั่นเสมือนว่าอีกฝ่ายเป็นคนแก่หูตึง

“ได้ยินหรือยังครับ!!”

สิบทิศร้อง “อูย” ออกมายาวๆ แล้วยกมือขึ้นนวดหูตัวเอง

ส่วนฐานทัพหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจ ทำเหมือนเป็นเรื่องตลกจนโดนอีกฝ่ายตวัดตาขวางใส่ แต่เพียงครู่เดียวสิบทิศก็คว้าตัวฐานทัพมากอดแน่นอีกครั้ง พร่ำคำเดิมซ้ำๆ

“พี่รักฐานนะ รักมาก รักที่สุดเลย”

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว”

ฐานทัพตอบกลับด้วยน้ำเสียงดูเบื่อๆ ทั้งที่ในใจรู้สึกเต็มตื้นไปกับคำบอกรัก ก่อนจะถูกปล่อยออกจากอ้อมแขนใหญ่

เมื่อประจันหน้ากันสิบทิศก็ระบายยิ้มออกมาเหมือนคนบ้าจนฐานทัพต้องแขวะ

“เพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย”

แต่เจ้าตัวก็ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนบนหน้าอยู่ดี

“อยากทำแล้วล่ะ”

ไม่ขยายความมากกว่านั้น สิบทิศก็ระบุความหมายของคำพูดนั้นด้วยการกระทำอย่างรวดเร็ว

มือขวาขยับเข้าลูบไล้บั้นท้ายของฐานทัพ ขณะที่มือซ้ายคว้าจับที่กลางหว่างขา พร้อมกับริมฝีปากประกบจูบปากลงมา

ฐานทัพถูกโจมตีทั้งสามทางจนตั้งตัวไม่ทันจึงสะดุ้งขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง กำปั้นเล็กๆ ทุบแขนของสิบทิศอยู่หลายครั้งกว่าร่างที่ใหญ่กว่าจะยอมปล่อยปากเขาออกมาให้ได้ประท้วงบ้าง

“รุกเร็วไปแล้ว”

“ก็คนมันดีใจจนอดไม่อยู่”

คล้ายกับประโยคโทษลมโทษฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

ฐานทัพทำหน้าเซ็งเล็กน้อยก่อนจะหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ เมื่อมือที่ขยำบั้นท้ายเริ่มจะเล่นซุกซนกว่าเดิม ค่อยๆ ซอกซอนเข้าหารอยแยกลึกลงเรื่อยๆ

“ไม่เอาในอ่างนะ”

“ทำไมล่ะ”

“เดี๋ยวน้ำเข้า”

“อาจจะสนุกก็ได้”

คำตอบนั้นฟังเพียงครั้งเดียวโดยไม่ต้องคิดผ่านสมองก็รู้ว่ามาจากความนึกสนุกของสิบทิศล้วนๆ แต่ดูท่าว่าแค่นั้นยังไม่พอ เพราะเสียงทุ้มยังดังต่อ

“พี่อยากฟังเสียงครางเซ็กซี่ๆ ของฐานในห้องน้ำ มันก้องดี แถมเสียงน้ำกระฉอกก็ฟังดูลามกดีออก”

เป็นคำพูดที่ระคายหูและน่าหมั่นไส้ที่สุดเลยก็ว่าได้ มิหนำซ้ำยังฟังดูลามกเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ

ฐานทัพถลึงตาใส่แต่สิบทิศกลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด เพราะเจ้าตัวเอาแต่มองเขาด้วยสายตาหวานฉ่ำจนมดแทบไต่ พอเห็นเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็เริ่มรู้สึกไม่อยากยอมแพ้ขึ้นมาในบัดดล

“แน่ใจนะว่าอยากทำ อยากฟัง”

คนถูกถามพยักหน้าผงกหัวหงึกๆ อย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ

ฐานทัพจึงเหยียดยิ้มออกมา โน้มหน้าเข้าใกล้หูของสิบทิศอีกครั้งแล้วกระซิบเสียงพร่าอย่างที่เคยทำ

“งั้นจะเอาให้เต็มอิ่มสุดๆ ไปเลย อย่าหมดแรงกลางคันซะล่ะ”

สิ้นเสียง ลิ้นเล็กๆ ก็ตวัดเลียที่ใบหูของสิบทิศเบาๆ และขบฟันลงไปอย่างยั่วเย้าอารมณ์จนเป็นสิบทิศที่ขนลุกเกรียว กึ่งกลางร่างถูกปลุกขึ้นมาจนผงาดเต็มที่ในคราวเดียว

 

 

ร่างเล็กนอนพังพาบอย่างสิ้นแรงอยู่บนเตียง กว่าจะลืมตาขึ้นได้อีกครั้งตะวันก็ลอยขึ้นฟ้าจนสูงโด่ง

ฐานทัพกะพริบเปลือกตาเบาๆ ค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งทั้งที่ยังง่วงงุน เมื่อกวาดตาไปทั่วเตียงก็เห็นว่ามีเพียงตัวเองที่อยู่บนนั้นจึงลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเพราะเมื่อคืนเขาเล่นสนุกอย่างเกินตัวมากไปหน่อย

ไม่รู้ว่าไฟรักโหมขึ้นมากี่ครา แต่สิบทิศก็ไม่สิ้นเรี่ยวแรงง่ายๆ

กว่าจะพึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย พวกเขาต่างก็หายใจหอบตัวอ่อนจนล้มลงไปทั้งที่ร่างกายยังแนบชิดจนไร้ช่องว่าง

 

‘พี่ไม่ไหวของจริงแล้วล่ะ ฐานอึดจริงๆ นะ’

‘ผมก็ปวดสะโพกไปหมดแล้วเนี่ย’

หลังสิ้นบทสนทนานั้นเสียงหัวเราะของเขาและสิบทิศต่างดังคลอกันออกมา จากนั้นก็แนบจูบที่ริมฝีปากของกันและกันเบาๆ ตามด้วยสิบทิศจรดจูบที่หน้าผากของเขาอีกครั้ง เหมือนอยากแสดงให้รู้ว่ารักเขามากแค่ไหนจนมันอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ

จนเขารู้สึกคันยุบยิบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า...มีความสุขมาก มีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

มันอิ่มหนำเสียยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมา

ความสนุกในเซ็กซ์ที่เคยรู้จักถูกกลบมิดจนเลือนหายไปไม่ต่างจากรอยเท้าบนผืนทรายที่ถูกคลื่นซัดในคราวเดียว

สิบทิศถอนตัวออกจากเขาเบาๆ แต่ก็เรียกความเสียวซ่านให้สะท้านไปทั้งสรรพางค์ขึ้นมาได้เช่นกันจนเขาต้องเกาะแขนไว้แน่น เสียงทุ้มกระซิบแผ่วมา

‘นี่ถ้าไม่ติดว่าหมดแรงแล้วจะจัดไปอีกสักดอกนะ ทำตัวน่ารักขนาดนี้’

ฐานทัพจึงถือโอกาสแกล้งหยอกด้วยการขยับตัวไปเบียดชิดให้มากขึ้น ใช้กลางร่างของตนถูไถเสียดสีไปกับส่วนเดียวกันที่ยังแสดงถึงความองอาจอยู่ สุดท้ายจึงถูกอีกฝ่ายทำตาดุใส่ มิหนำซ้ำยังถูกต่อว่า

‘ซนจริงๆ’

ถึงกระนั้นมือของสิบทิศก็ไม่วายบีบบั้นท้ายของเขาเบาๆ เป็นการเอาคืนจนฐานทัพต้องสูดปากร้องออกมา จากนั้นยื่นแขนไปกระชับคนตัวใหญ่กว่ากอดไว้แน่น ซบหน้ากับบ่าที่เปียกชื้นเพราะการกระทำร่วมกันก่อนหน้านี้

 

ครั้นนึกถึงช่วงเวลานั้นแล้วฐานทัพก็ขบเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหาเสื้อผ้ามาใส่อย่างลวกๆ ก่อนจะเดินลากเท้าออกไปจากห้อง แม้จะยังรู้สึกปวดสะโพกอยู่จนไม่อยากลุกจากเตียง แต่ก็อยากรู้ว่าอีกคนหนึ่งกำลังทำอะไรอยู่

พอออกไปถึงด้านนอกก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเบาๆ จากทิศทางที่เหมือนจะเป็นครัวจึงมุ่งตรงไปยังที่นั่น แล้วก็เห็นว่าสิบทิศกำลังยืนทำอาหารอยู่หน้าเตาอย่างที่คิดจริงๆ

“ตื่นแล้วเหรอ รออีกแป๊บนะ”

คงเพราะได้ยินเสียงสลิปเปอร์ที่ลากมาตามทางกระมังสิบทิศจึงหันมาบอก

ใบหน้าได้รูปนั้นปรากฏรอยยิ้มจางๆ ทำให้ฐานทัพรู้สึกอุ่นใจขึ้นอีก และรู้สึกได้ว่าตนเป็นที่รักอย่างแท้จริง ไม่ใช่ความฝันหรือความเพ้อพกไปของตนเอง ความสุขใจจึงยิ่งล้นปรี่จนเขาห้ามปากเอาไว้ไม่อยู่ ผุดยิ้มกว้างออกมา ขณะที่ดวงตาก็ทอดมองแผ่นหลังกว้างไม่ละ แม้ว่าจะขยับตัวไปนั่งที่เก้าอี้ของโต๊ะอาหารแล้วก็ตาม

“เรียบร้อยแล้วครับ มื้อเช้า”

หลังจากนั้นไม่นานสิบทิศก็เดินถือจานมาวางเรียงตรงหน้า แต่พอเห็นเมนูที่ถูกจัดมาให้ฐานทัพก็ตาโตสำลักเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะสวนคำพูดออกไป

“ไข่จะเยอะไปไหน ทั้งไข่ดาว ไข่ลวก”

“โด๊ปเยอะๆ ไง จะได้มีแรง”

เจ้าตัวพูดเช่นนั้นแล้วก็นั่งลงเก้าอี้ข้างๆ จัดการปรุงไข่ลวกให้น่าอร่อยแล้วก็ยื่นมาให้เขา

“เดี๋ยวก็คอเลสเตอรอลขึ้นตายก่อนพอดี”

ถึงปากจะพูดเหมือนต่อว่า แต่ฐานทัพก็รับมันมาดื่มเข้าไปจนหมด เพราะแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขามีความสัมพันธ์ทางกายกัน ทว่าดูเหมือนครั้งนี้เขาจะได้รับการเอาใส่ใจเป็นพิเศษ

อาจเพราะสถานะที่เปลี่ยนไปแล้วก็เป็นได้

ครั้นนึกถึงเรื่องนี้หัวใจก็เต้นระรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่าดวงตาคมคายนั้นจ้องมองกันไม่หยุด

“อะไรของคุณ จ้องอยู่ได้”

“เรียกพี่อีกสิ เรียกพี่ทิศเหมือนเมื่อคืน”

ชื่อนั้นเมื่อคืนเขาครางเรียกไปไม่รู้กี่รอบ พอถูกเรียกร้องแบบนั้นทำให้ฐานทัพรู้สึกว่ามันน่าอายอย่างไรชอบกล

“ทำไมล่ะ”

“ก็ฟังแล้วดูสนิทกัน เหมือนแฟนกันดี ฟังแล้วรู้สึกเหมือนฐานกำลังอ้อนเลย”

หน้าตาของคนพูดดูมีความสุขปริ่มล้นซะยิ่งกว่าเขาเสียอีก และคำว่า ‘แฟนกัน’ ก็ทำให้รู้สึกดี จึงช่วยไม่ได้ที่ฐานทัพจะใจอ่อนยอมเรียกตามใจอีกฝ่าย

“ถ้าเรียกพี่ทิศบ่อยๆ ก็อย่าเบื่อแล้วกัน”

“พี่จะเบื่อฐานได้ไง ออกจะรักขนาดนี้”

คำบอกรักที่หลุดออกมาจากปากง่ายๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไรกลับทำให้ฐานทัพรู้สึกร้อนแก้มอย่างบอกไม่ถูก

เขาขบริมฝีปากเล็กน้อยแล้วตักไข่ดาวเข้าปากเหมือนจะแก้เขิน

พอเหลือบตาไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันก็เห็นว่าสิบทิศกำลังอมยิ้ม จึงจิ้มไข่ดาวยื่นไปตรงหน้าจนแทบทิ่มหน้าอีกฝ่าย พลอยให้สิบทิศต้องผงะไป

“มองอยู่ได้ กินได้แล้วน่า”

“ตอนเขินก็น่ารักจังนะ แฟนพี่เนี่ย”

“พอแล้วน่า พูดเลี่ยนๆ แบบนี้ไม่อายปากบ้างหรือไง”

“พี่พูดความจริงนี่นา จะอายไปทำไม”

“โอ๊ย ไม่คุยกับพี่แล้ว หน้าไม่อายจริงๆ”

ในเมื่อไม่มีโอกาสจะโต้ตอบกลับไปให้อีกฝ่ายหน้าชาได้ ฐานทัพจึงละทิ้งความคิดของตนเองแล้วตั้งใจนั่งกินไข่ดาวกับไส้กรอกที่อยู่บนจานให้หมดไป

หลังจากล้างจานชามของมื้ออาหารที่จบไปจนเสร็จ ระหว่างเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ตามการใช้ชีวิตในวันหยุดประจำสัปดาห์ของทั้งคู่ อยู่ๆ สิบทิศก็สาวเท้ายาวๆ แทบจะวิ่งฉิวไปทิ้งตัวลงบนโซฟาจนน่างุนงง พอฐานทัพเดินตามไปถึงทีหลังก็เห็นคนที่วิ่งแซงหน้าไปตบตักตัวเองเบาๆ

“อะไรของพี่เนี่ย”

สีหน้าของฐานทัพย่นยู่ด้วยความสงสัยกับพฤติกรรมแปลกๆ อย่างอดไม่ได้

ส่วนสิบทิศก็ฉีกยิ้มกว้างให้ ตบตักซ้ำอีกเพื่อระบุความต้องการของตนเอง

เมื่อฐานทัพเดินเข้าไปใกล้โดยยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็ถูกมือใหญ่ดึงแขนให้ทั้งร่างร่วงลงไปบนตักของสิบทิศแล้ว

“โอ๊ย”

ฐานทัพร้องออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้จากหน้ายิ้มแฉ่งของสิบทิศเปลี่ยนสีไปเป็นตื่นตระหนกเล็กน้อย ถามอย่างห่วงใยออกมาทันที

“เจ็บเหรอ”

“ผมยิ่งปวดสะโพกอยู่ กระแทกลงไปแบบนั้นมันก็ต้องสะเทือนอยู่แล้วสิ”

“จะว่าไปพี่ก็ยังเมื่อยๆ เอวอยู่เหมือนกันนะ”

หลังจากตอบแบบนั้นสิบทิศก็ยื่นแขนยาวๆ มาโอบรอบเอวของเขาไว้ พร้อมกับเกยคางบนบ่า

“วันนี้ทำตัวแปลกๆ นะเนี่ย”

“ก็มันเป็นวันพิเศษนี่นา”

“พิเศษ?”

แม้ฐานทัพจะเข้าใจว่ามันเป็นวันแรกหลังจากที่พวกเขาตกลงเป็นคนรักกัน แต่ดูท่าทางของสิบทิศเหมือนว่ามันจะไม่ได้มีแค่นั้นอย่างไรบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ต้องสงสัยนานเพราะสิบทิศเหมือนอยากตอบจะแย่อยู่แล้ว

“วันนี้เป็นวันเกิดพี่น่ะ”

“จริงเหรอ”

เพราะไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเสียงร้องของฐานทัพจึงสูงและดังกว่าปกติ

สิบทิศพยักหน้าหงึกหงักๆ เป็นการยืนยัน ก่อนจะกระชับอ้อมแขนที่กอดร่างของเขาให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย ถึงกระนั้นก็กะน้ำหนักไว้ได้อย่างพอดิบพอดี ไม่ทำให้อึดอัด

ฐานทัพจึงเอนตัวมาพิงหลังกับอกของสิบทิศอย่างสบายๆ พลางหันไปพูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับน้อยๆ

“สุขสันต์วันเกิดครับ”

“อื้อ เป็นวันเกิดที่พี่มีความสุขมากๆ เลยล่ะ ทั้งได้แฟนแล้วก็ได้ของขวัญเมื่อคืนอย่างเต็มอิ่ม”

พูดเช่นนั้นแล้วแก้มของฐานทัพก็ถูกปากของคนด้านหลังฉกลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคลอเคลียให้จักจี้เล็กน้อยจนเขาหลุดเสียงหัวเราะออกมาและหันไปจูบตอบริมฝีปากที่ฉกลงมาอีก

 

 

v


v
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 6th Lie [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 17-03-2019 20:08:41
v



v


แม้วันเกิดของสิบทิศจะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่ายังคงมีผลต่อฐานทัพอยู่ เพราะไหนๆ ก็เป็นวันเกิดของแฟนคนแรกทั้งทีเขาก็อยากจะหาของขวัญเป็นชิ้นเป็นอันให้สักอย่าง แต่เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ซื้อของขวัญให้ใครมาก่อนจึงเริ่มจะมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจ

“เป็นอะไร ทำไมทำคิ้วย่นแบบนั้น”

ผู้ช่วยปรากฏตัวแล้ว!

เมื่อเห็นหน้าของจักรวาลที่เข้ามาทัก ฐานทัพก็รู้สึกเช่นนั้นทันทีจึงรีบเอ่ยปากออกไป

อีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาเป็นคำถามแทนที่จะเป็นคำตอบ

“สรุปว่าฐานเป็นแฟนกับหนุ่มสายเปย์คนนั้นแล้วเหรอ”

ถึงจะเห็นว่าตลอดหลายเดือนมานี้เขาไปกลับโชว์รูมโดยมีสารถีเป็นผู้ชายร่างสูงคนนั้น แต่เพราะคำยืนยันว่าไม่ได้สนใจจะคบหาด้วยจึงทำให้อีกฝ่ายไม่แน่ใจกระมัง

“ก็... มันมีเหตุผลหลายๆ น่ะพี่แซม”

“หลายๆ อย่างที่ว่าคือใจอ่อนใช่ไหมล่ะ”

เหมือนโดนจี้จุดอย่างไรอย่างนั้น ฐานทัพอ้าปากเหมือนจะพูดออกมาแต่ก็ไม่รู้จะพูดคำไหนจึงได้แต่บอก

“น่าๆ ช่างมันเถอะ พี่ช่วยผมคิดก่อน ผมอยากรีบไปซื้อวันนี้เลย”

จักรวาลทำท่านึกแล้วเสนอ

“พี่ว่าถึงเสนอไปยังไงก็ต้องไปเลือกหาแบบที่เขาน่าจะชอบอยู่ดี เอาเป็นว่าเลิกงานแล้วลองเดินดูที่ห้างไหม เดี๋ยวพี่ไปช่วย”

คำแนะนำนั้นฟังดูน่าสนใจทีเดียว เพราะพอนึกภาพว่าตนต้องไปเดินเลือกหาของที่น่าจะถูกใจสิบทิศ ฐานทัพก็ไม่แน่ใจขึ้นมาว่าตัวเองจะเลือกได้ดี

“จะไม่รบกวนพี่เกินไปเหรอ”

“ไม่หรอกน่า แค่เรื่องเล็กน้อยเอง”

หลังจากได้รับคำพูดที่ช่วยให้สบายใจและถูกตบบ่าเบาๆ ฐานทัพก็คลี่ยิ้มนิดๆ ก่อนจะขอตัวไปโทรศัพท์บอกสิบทิศว่าไม่ต้องมารับวันนี้เพราะมีธุระต้องทำ แต่เพราะอย่างนั้นจึงถูกถามกลับมาด้วยน้ำเสียงโหดไม่น้อย

[ธุระอะไร ไปกับพี่ก็ได้ เดี๋ยวพี่พาไป]

“ไม่ได้ๆ อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวแบบสุดๆ เอาไว้กลับไปแล้วผมจะบอกนะ”

[เป็นเรื่องส่วนตัวถึงขนาดบอกไม่ได้เลยเหรอ]

“ก็บอกแล้วนี่ว่ากลับไปแล้วจะบอก ไม่ต้องห่วงหรอก เสร็จธุระแล้วผมจะรีบกลับทันทีเลย”

เสียงถอนหายใจยาวยืดออกมาจากปลายสายจนฐานทัพรู้สึกไม่ดีอยู่เล็กน้อยที่ไม่สามารถพูดความจริงออกไปได้และทำให้อีกฝ่ายต้องกังวล

แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่ออย่างไรก็ต้องปิดเป็นความลับไปก่อน

“เท่านี้ก่อนนะ กลับไปแล้วจะทำให้พี่ยิ้มจนหน้าบานเลย ถ้าอยากทำโทษก็จะยอมให้ทำได้เต็มที่ โอเคนะ”

เสียงถอนหายใจยาวดังมาอีกระลอก แต่คราวนี้ฟังดูก็รู้ว่าสิบทิศปล่อยวางอารมณ์ไปบ้างแล้ว

[ถ้างั้นก็ระวังตัวด้วย แล้วรีบกลับมาเร็วๆ ล่ะ]

“ได้ครับ คิดถึงนะ”

ฐานทัพหย่อนลูกระเบิดที่คิดว่ามีประสิทธิภาพสูงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายคลายอารมณ์ขุ่นมัวได้หมดสิ้นเป็นการปิดท้ายประโยคก่อนจะตัดสายไป โดยที่มีรอยยิ้มติดอยู่บนหน้าไปด้วย เพราะเป็นครั้งแรกที่เคยพูดอะไรแบบนี้

แต่...เขาก็ไม่ได้โกหกอะไรเลย

เพราะพอรู้ตัวเข้าแล้วว่าชอบสิบทิศ เขาก็เอาแต่คิดถึงสิบทิศอยู่ตลอดจริงๆ

 





หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 6th Lie [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 18-03-2019 08:05:38
+1  o13 ขอบคุณครับ :pig4: :katai5:
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 6th Lie [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-03-2019 13:44:53
 :pig4:
 o13
 :mew1:
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 7th Lie [31/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 31-03-2019 20:57:45













7th Lie
ผมไม่อยากให้พี่ปรักปรำเขา

 

เพราะได้รับความช่วยเหลือจากจักรวาลทำให้ฐานทัพได้ของขวัญที่คาดว่าน่าจะทำให้คนรักคนแรกของตนพึงพอใจได้ มิหนำซ้ำจักรวาลยังใจดีพาเขาไปซื้อเค้กและพามาส่งถึงคอนโดมิเนียมอีก เขาจึงยื่นข้อเสนอตอบแทนไปว่าจะเลี้ยงข้าวกลางวันสักมื้อ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ตอบรับอย่างเต็มใจด้วยรอยยิ้ม

ดังนั้นในเวลานี้ฐานทัพจึงมายืนอยู่หน้าห้องของสิบทิศโดยซ่อนกล่องเค้กไว้ด้านหลังและเปิดประตูเข้าไป แต่เมื่อเห็นคนที่นั่งรออยู่ที่โซฟาของห้องนั่งเล่นแล้วก็ต้องทำหน้าประหลับประเหลือกขึ้นมาทันที เพราะอีกฝ่ายกำลังตีหน้ายักษ์ขมึงทึงอยู่

“กลับช้า”

ฐานทัพเดินเข้าไปหาสิบทิศทั้งที่ยังซ่อนกล่องเค้กไว้ด้านหลัง ก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายพลางยิ้มอ้อนเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าตัวใจอ่อน

“ก็ผมบอกแล้วไงล่ะครับว่ามีธุระ ว่าแต่พี่กินข้าวหรือยัง”

“ใครจะไปมีอารมณ์กิน แฟนหายตัวไปทั้งคน”

“ไม่ได้หายไปสักหน่อย”

ฐานทัพเดินอ้อมโซฟาเข้าไปประจันหน้ากับสิบทิศโดยพยายามหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อซ่อนของที่อยู่ด้านหลังไว้ ทำให้ท่าเดินดูแปลกๆ ยิ่งทำให้สิบทิศย่นคิ้วด้วยความสงสัยเข้าไปใหญ่

“ซ่อนอะไรเอาไว้”

เพราะถึงเวลาที่จะเฉลยแล้ว และเขาก็ไม่อยากให้แฟนต้องอารมณ์เสียไปมากกว่านั้น ฐานทัพจึงเขยิบกายเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น ก่อนจะยกตัวขึ้นนั่งคร่อมตักของสิบทิศ หันหน้าเผชิญกันโดยตรงและเอาของที่ซ่อนไว้ออกมา

“กินอันนี้แทนกันนะ”

สิบทิศเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนหน้าของฐานทัพก็เอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนลง

“อะไร”

ฐานทัพยังคงรอยยิ้มไว้ ยื่นกล่องเข้าหาอีกหน่อยจนสิบทิศต้องรับมันไปเปิดออก

“เค้ก?”

คงเพราะตัวกล่องดูออกยากว่าเป็นอะไรเนื่องจากแตกต่างจากกล่องเค้กที่เคยเห็นๆ มา สิบทิศจึงออกเสียงอย่างแปลกใจเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ก็ดังต่อ

“จะเอามาเล่นเหรอ”

แม้ไม่ได้ระบุว่า ‘เอามาเล่น’ ในที่นี้หมายความถึงอะไร แต่เพราะสายตาที่เหลือบมองมายังเรือนร่างของฐานทัพนั้นบ่งบอกชัดเจน เขาถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้จึงแกล้งตีไปที่ปากของสิบทิศเบาๆ

สิบทิศคว้ามือเอาไว้ได้หลังจากถูกทำร้ายไปหนึ่งที จากนั้นก็กัดนิ้วของฐานทัพเบาๆ

“เอาของกินมาเล่นมันไม่ดีนะ”

“ก็ไม่ได้เล่นอย่างเดียวสักหน่อย ยังไงพี่ก็กินอยู่แล้ว จะกินอย่างหมดจดเลย”

“สายตาหื่นมาก”

ฐานทัพหรี่ตามองพลางพูดเหมือนตำหนิ แต่มุมปากกลับยกยิ้มนิดๆ จนดูน่ามันเขี้ยวในสายตาของอีกฝ่ายกระมัง จากที่นั่งคร่อมอยู่บนตักเฉยๆ ถึงได้โดนอ้อมแขนใหญ่รัดร่างเอาไว้ แล้วถูกซุกไซ้ที่ซอกคออย่างไม่สนใจไยดีกล่องเค้กในมือ

“เดี๋ยวเค้กก็หกหรอก”

“ก็ฐานอยากทำตัวน่ารัก พี่ก็อดใจไม่ไหวสิ”

เขายิ้มแก้มแทบปริกับคำบอกนั้น ก่อนจะต้องปรับอารมณ์ตัวเองเล็กน้อยแล้วล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ผมซื้อของขวัญวันเกิดมาให้พี่ด้วย”

สิบทิศยอมผละหน้าออกมาจากต้นคอที่ถูกซุกไซ้จนเป็นรอยแดงจากตอหนวดครูดเบาๆ แล้วเบิกตาโต ถามเหมือนเด็กที่ตื่นเต้นดีใจว่าอะไรๆ ซ้ำอยู่หลายครั้ง กระทั่งรับของจากมือของฐานทัพไปเปิดออกถึงได้ออกเสียงเบาๆ

“น้ำหอม?”

“ลองดมดูสิว่าชอบไหม”

ตอนแรกเขาไม่คิดว่าจะซื้อน้ำหอมเป็นของขวัญวันเกิดเหมือนกัน แต่เพราะจักรวาลแนะนำว่าถ้าเลือกกลิ่นที่เราชอบและคิดว่าเขาน่าจะชอบแล้วใช้คู่กันก็น่าจะดี เพราะเหมือนกับมีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา มิหนำซ้ำยังเป็นเรื่องที่คู่รักชายหญิงไม่สามารถทำได้ด้วย เขาจึงตัดสินใจเลือกมาโดยมีรุ่นพี่เป็นคนช่วย เพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่เพียงตัวเองที่รู้สึกว่าชอบกลิ่นนี้

หวังว่าสิบทิศจะชอบกลิ่นนี้เหมือนกัน

“อืม กลิ่นสดชื่นแล้วก็เย็นสบายดีนะ”

“ผมคิดว่าใช้แล้วน่าจะช่วยให้สดชื่นและกระปรี้กระเปร่าขึ้นน่ะ ผมก็จะใช้เหมือนกัน ใช้คู่กัน พี่โอเคไหม”

“กลิ่นเหมือนกันเหรอ”

สิบทิศทำท่าคิดเล็กน้อย

“แต่พี่อยากให้ฐานมีกลิ่นหวานๆ น่ากินมากกว่า”

จากนั้นก็มากระซิบข้างหูด้วยเสียงพร่า

“เพราะฐานน่ากินอยู่ตลอดไง”

พอได้ยินเช่นนั้นฐานทัพก็รีบแย้งทันที

“ถ้าให้ผมใช้น้ำหอมกลิ่นน่ากินแล้วคนอื่นอยากกินขึ้นมาล่ะ”

หลังจากได้ยินเขาพูดแล้วหน้าที่ดูเบิกบานอยู่เมื่อครู่ก็ขึงขังขึ้นมาทันควัน คิ้วของสิบทิศขมวดเข้าหากันบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างที่สุด

“ก็ลองมากินของของพี่ดูสิ พี่ไม่ปล่อยไว้แน่ รวมถึงฐานด้วย ถ้าให้ใครมายุ่ง พี่จะลงโทษให้ลงจากเตียงไม่ได้เลย”

มือหนาบีบเข้าที่จมูกเล็กๆ อย่างแรงจนฐานทัพต้องส่ายหน้าเพื่อให้มือนั้นหลุดไป

“พี่อยากให้ผมใช้น้ำหอมกลิ่นหวานๆ เองนี่นา นี่อย่าบอกนะว่าน้ำหอมที่เคยให้มาก็กลิ่นประมาณนั้น”

“ฐานไม่รู้เหรอ”

“ผมให้คนอื่นไปหมดแล้ว ทุกอย่างที่พี่เคยให้ช่วงแรกๆ นั่นแหละ เคยบอกไปแล้วนี่นา”

“ใจร้ายจังนะ”

สิบทิศทำเสียงอ่อนคล้ายกับว่ากำลังงอนอยู่

ฐานทัพหลุดยิ้มออกมากับการตัดพ้อแสนน่ารักของคนรัก ก่อนจะแนบหน้าผากเข้าด้วยกันและดันปลายจมูกจนชิด ใช้มันขยี้กับอีกฝ่ายเบาๆ

“แต่ตอนนี้ถ้าให้อะไรมาก็ยินดีรับหมดทุกอย่างนะ”

“รวมทั้งลูกหลานของพี่ด้วยหรือเปล่า”

“โอ๊ย ทำไมเป็นผู้ชายหื่นกามขนาดนี้เนี่ย”

จากที่สร้างช่วงเวลาหวานๆ กลับกลายเป็นว่าฐานทัพเอาหน้าผากโหม่งอีกฝ่ายไปเสียเลย

แม้สิบทิศจะร้องโอดครวญเกินกว่าเหตุพลางจับหน้าผากไปด้วยเพื่อให้ดูน่าสงสาร แต่สุดท้ายก็มีเสียงหัวเราะเล็ดลอดมา และปิดท้ายด้วยประโยคที่ว่า

“พี่ว่าเรามากินเค้กกันเถอะนะ”

พร้อมกับแววตาที่สื่อความหมายว่า ‘ไม่ใช่การกินตามปกติธรรมดาอย่างแน่นอน’

 

 

ในวันนี้ฐานทัพได้ต้อนรับอรุณด้วยกลิ่นใหม่ที่คุ้นเคย หลังจากเมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยเพราะต้องตอบรับความเอาแต่ใจของสิบทิศอยู่หลายครั้งจนต้องออกปากว่า “พรุ่งนี้ผมต้องทำงานนะ!” ถึงจะเป็นอิสระจากภายใต้วงแขนของอีกฝ่ายได้

ถึงกระนั้นในตอนเช้าเขาก็ตกอยู่ในวงแขนของคนรักที่โอบกอดมาจากด้านหลังอีกรอบ และถูกสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าที่ซอกคอพร้อมกับรู้สึกถึงไอร้อนที่ส่งผ่านปลายจมูกออกมา ตามด้วยคำพูดตัดพ้อว่า

“พี่ว่าถ้าใช้กลิ่นนี้ด้วยกันเพราะอยากให้มีกลิ่นเหมือนกัน สักวันพี่อาจจะกลายเป็นโรคคลั่งน้ำหอมที่เอาแต่ดมกลิ่นตัวเองแล้วเพ้อพกก็ได้นะ”

จนเขาต้องเอนหลังเอาหัวโขกกับหน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ พลางบอก

“พี่ก็เว่อร์ไป”

บรรยากาศแห่งความสุขอบอวลไปทั่วทั้งห้องและหัวใจ แม้มาถึงโชว์รูมแล้วฐานทัพก็ยังรู้สึกถึงความปริ่มสุข และต้องออกปากขอบคุณจักรวาลอีกรอบที่ให้การช่วยเหลือ

ทว่าทั้งที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีจนเรียกได้ว่าดีเยี่ยมด้วยซ้ำ สถานการณ์กลับพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อฐานทัพกลับมาถึงคอนโดฯ พร้อมกับสิบทิศในตอนหัวค่ำเหมือนอย่างเคย

“มีคนฝากไว้ให้ครับ”

ขณะเดินออกจากลานจอดรถไปยังพื้นที่ส่วนพักอาศัย พวกเขาก็ถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยเรียกไว้ และมีกล่องพัสดุใบหนึ่งถูกส่งมาให้

คิ้วของทั้งคู่ขมวดเข้าหากันในตอนที่รับมา เพราะค่อนข้างแปลกประหลาดตรงที่ของสิ่งนั้นถูกส่งมาให้ฐานทัพไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของห้องอย่างสิบทิศ แม้ถาม รปภ. เพื่อความแน่ใจแล้ว อีกฝ่ายก็บอกอย่างชัดเจนว่าคนที่ฝากของมานั้นระบุผู้รับว่าคือฐานทัพจริงๆ เพราะฝ่ายนั้นเอารูปถ่ายให้ดู

กระทั่งขึ้นมาถึงห้องด้วยบรรยากาศคลุมเครือ ฐานทัพก็เปิดกล่องออกด้วยความใคร่รู้โดยมีสิบทิศเฝ้ามองอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย แต่แล้วบรรยากาศก่อนหน้านี้ก็ราวกับแตกออกเป็นเสี่ยงเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ภายใน

สิ่งของที่ฐานทัพเคยตามหา

สิ่งที่เคยหายไป

สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ฐานทัพมาอาศัยอยู่ที่นี่

กางเกงในของเขา...

แต่มันไม่ใช่แค่ผ้าชิ้นหนึ่งเหมือนกับตอนที่อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย บนนั้นยังมีคราบสีขุ่นเปรอะเปื้อนอยู่มากมาย เหมือนกับใครบางคนจงใจเทของเหลวกลิ่นคาวนั่นลงมาระหว่างที่ของอยู่ในกล่อง

ทั้งสองคนตื่นตะลึงมองหน้ากัน แม้ไม่ต้องส่องกระจกดูฐานทัพก็รู้ว่าหน้าตนเองกำลังซีดเผือดเพียงใด

เขารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เสียงสั่นเครือพูดออกมาได้เพียงคำว่าทำไม ก่อนจะมีมืออุ่นๆ เอื้อมมาบีบมือของเขาไว้เหมือนกับจะปลอบและให้กำลังใจ

“มันรู้ได้ยังไงว่าฐานอยู่ที่นี่”

ฐานทัพได้แต่ส่ายศีรษะเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่อยู่ในเงามืดคือใครกันแน่

ทั้งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาตลอดสองเดือนกว่าแท้ๆ เขานึกว่าเรื่องจะจบไปแล้วเสียอีก ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ณ ที่นี่

ที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัย

“บอกพี่มาหน่อยว่าใครรู้บ้างว่าฐานอยู่ที่นี่”

คล้ายว่าสิบทิศจะพยายามปรับอารมณ์ให้สงบนิ่งที่สุด เพราะเจ้าตัวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยคำถาม

ถึงพี่ๆ ในโชว์รูมจะรู้ว่าเขาย้ายมาอยู่กับสิบทิศแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของสิบทิศเพราะเขาไม่เคยบอก สิ่งเดียวที่คิดได้คือคนคนนั้นต้องติดตามเขามาอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางรู้ได้

ฐานทัพอ้าปากกำลังจะตอบว่าไม่มีใครรู้ แต่เหมือนมีแสงหนึ่งวาบขึ้นมา...ทำให้เขานึกได้

เมื่อวานจักรวาลมาส่งเขาที่นี่

เป็นเรื่องบังเอิญหรือ?

แม้จะไม่แน่ใจในคำตอบ แต่เพราะถูกสายตาคาดเค้นมาจากคนรัก ฐานทัพจึงทำได้เพียงเอ่ยออกไปอย่างไม่เต็มเสียง

“มีพี่คนหนึ่งรู้”

“มันรู้ได้ยังไง!”

เสียงของสิบทิศเข้มขึ้นอีก ความโกรธแสดงออกมาในรูปแบบเสียงอย่างชัดเจน แม้แต่ดวงตาก็วาวโรจน์ขึ้นด้วย

“คือ...เมื่อวานเขามาส่งผม”

หลังจากบอกไปเพียงเท่านั้นก็ราวกับมีฟ้าผ่าลงมา เสียงกัมปนาทกึกก้องเพียงหนึ่งพยางค์ด้วยชื่อของเขา ขณะเดียวกันต้นแขนก็ถูกมือที่โอบได้เกินหนึ่งรอบคว้ากำเอาไว้แน่น ร่างของเขาถูกกระชากเข้าหาสิบทิศอย่างแรง

“ทำไมฐานถึงต้องให้มันมาส่ง!”

แววตาที่จ้องมองมาดุร้ายไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ มันกำลังหิวโซจนหน้ามืดตามัว

ฐานทัพตอบไปด้วยเสียงที่ไม่มั่นคงนักอีกทั้งยังแหบพร่า

“เขา...ช่วยพาผม...ไปเลือกของ”

“ของอะไร”

“ของขวัญ...น้ำหอมครับ”

“ฐาน!!”

เสียงตวาดดังลั่นจนฐานทัพสะดุ้งโดยไม่ทันตั้งตัว

สีหน้าของสิบทิศแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากไปเอาน้ำหอมขวดนั้นมาขว้างทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ เขาจึงต้องรีบคว้าเสื้อไว้เสียก่อน แล้วพูดเสียงอ่อนเผื่อว่าอีกฝ่ายจะใจเย็นลงบ้าง

“เขาแค่ช่วยดมดูว่ามันโอเคหรือเปล่า แต่ผมเป็นคนเลือกเอง อย่าทิ้งมันนะ”

“แล้วทำไมฐานต้องให้คนอื่นไปเลือกของให้พี่ด้วย”

“ก็ผมกลัวพี่ไม่ชอบกลิ่นที่ผมเลือก อย่าโกรธได้ไหมเล่า”

ดูเหมือนวิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบจะพอใช้ได้ เพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายอ่อนลงเล็กน้อยแล้ว

ยิ่งพอเขาเลื่อนมือที่ดึงเสื้อเอาไว้ไปจับมือแทน สิบทิศก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงกระนั้นน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังกรุ่นด้วยโทสะอยู่

“โทรหามันเดี๋ยวนี้ พี่จะคุยกับมันเอง”

พอเขาครางเสียง “เอ๊ะ” อย่างสงสัย สิบทิศก็ย้ำมาอีก

“มีเบอร์ใช่ไหมล่ะ ไอ้หมอนั่นน่ะ”

ฐานทัพจึงพยักหน้านิดๆ อย่างเสียไม่ได้ ขณะที่ในใจรู้สึกระทึกไม่น้อย

เขาไม่รู้หรอกว่าจักรวาลเป็นคนร้ายหรือเปล่า และถึงมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกันแต่ก็นึกเหตุผลไม่ออกว่าทำไมอีกฝ่ายจะต้องทำอย่างนี้

แล้วสิบทิศต้องการจะคุยอะไรกับรุ่นพี่ของเขา?

หลังจากฟังเสียงรอสายอยู่สักพัก สิบทิศก็กรอกเสียงโหดห้วนลงไปอย่างไม่ไว้หน้า เจาะจงถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองต้องการหลังจากแนะนำตัวว่าเป็นแฟนของฐานทัพแล้ว

“อีกหนึ่งชั่วโมงไปพบผมที่สถานีตำรวจด้วย”

สิบทิศระบุสถานีตำรวจท้องที่เอาไว้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนฝั่งปลายสายจะประหลาดใจไม่น้อยที่อยู่ๆ ก็ถูกเรียกไปพบกันที่สถานีตำรวจอย่างไร้เหตุผล สิบทิศจึงอธิบายต่อว่าจักรวาลเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนร้ายในคดีทำร้ายร่างกายและคุกคามฐานทัพ

“ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ไปเจอกันที่นั่น”

สิ้นคำบอกนี้แล้วสิบทิศก็กดตัดสายในทันที

แม้จะมองอยู่ห่างๆ เพราะไม่สามารถเข้าไปห้ามได้ แต่ฐานทัพก็รู้สึกผิดต่อจักรวาลไม่น้อยเมื่อคิดว่าฝ่ายนั้นอาจจะไม่รู้เรื่องจริงๆ ทว่าหลังจากคิดเช่นนั้นแล้วชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งก็มีภาพเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นมา

จักรวาลเคยเอากุญแจห้องพักของเขามาคืนให้ เพราะเขาทำตกเอาไว้ในรถที่ให้ลูกค้าทดลองขับ

พอนึกเรื่องนั้นออกฐานทัพก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาครามครัน

ความเป็นไปได้ว่าจักรวาลจะเป็นคนร้ายจริงๆ อย่างที่สิบทิศคาดการณ์ไว้ค่อนข้างสูงมากทีเดียว ยิ่งคิดว่าช่วงนั้นคือช่วงเดียวกับที่มีคนเข้าไปขโมยของในห้องเขาก็ราวกับยิ่งเป็นหลักฐานยืนยันมัดตัวจักรวาลเอาไว้

แม้จะรู้ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นฐานทัพก็ยังไม่ได้พูดมันออกไป กลับเป็นสิบทิศเสียเองที่บอกให้เขาเตรียมออกไปสถานีตำรวจด้วยกัน โดยที่สิบทิศไม่ลืมคว้ากล่องพัสดุใบนั้นติดมือไปเป็นหลักฐานด้วย

เมื่อไปถึงสถานที่นัดหมาย สิบทิศแจ้งความจำนงต่อตำรวจว่านำหลักฐานในคดีมาส่งเพิ่มเติมพร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวจะมีผู้ต้องสงสัยมาตามที่เขานัดไว้ อยากให้ช่วยดำเนินการในขั้นตอนต่อไปด้วย

ครั้นจักรวาลมาถึงฐานทัพก็รู้สึกพูดไม่ออก เข้าหน้าไม่ติด ขณะที่สิบทิศจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตามาดร้ายหลังจากเขายืนยันว่าบุคคลที่ก้าวเข้ามาในพื้นที่คือรุ่นพี่ฝ่ายขาย เพื่อนร่วมงานของเขา

สีหน้าของจักรวาลมีหลากหลายอารมณ์ ทั้งสับสน ไม่เข้าใจ และไม่พอใจคละเคล้ากัน พอเจ้าตัวอ้าปากเรียกเขาว่า ‘ฐาน’ สิบทิศก็ก้าวขึ้นมาเอาตัวบังไว้ จากนั้นพูดจาด้วยน้ำเสียงข่มใส่

“ผมคุยกับตำรวจไว้แล้ว คุณหนีไม่พ้นแน่”

“อยู่ๆ มากล่าวหาว่าผมเป็นคนร้ายที่ทำร้ายฐานมันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอครับ”

“ก็เพราะว่าคุณมาส่งฐานเมื่อวาน คุณถึงได้รู้ที่อยู่ของฐานไง แล้วก็ส่งของนั่นมา”

“ของอะไรกัน”

จักรวาลแสดงสีหน้างงงันอย่างชัดเจน

สิบทิศพยักพเยิดหน้าไปทางกล่องพัสดุที่อยู่บนโต๊ะทำงานของตำรวจ พอเห็นเช่นนั้นจักรวาลก็ครางออกมา

“ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้เป็นคนส่งกล่องนั่นไปให้ฐานด้วย”

หลังจากฟังคำพูดนั้นฐานทัพก็เริ่มรู้สึกว่าคงยืนเฉยต่อไปไม่ได้ แม้จะรู้สึกไม่ดีที่ต้องพูดเรื่องนี้ แต่หากจักรวาลเป็นคนร้ายจริงมันก็น่ากลัวเกินกว่าจะทำเหมือนตนจับสังเกตเรื่องนั้นไม่ได้

“แต่พี่แซม”

พอเอ่ยเรียก ดวงตาของเจ้าของชื่อที่ตวัดกลับมามองก็ทำให้ฐานทัพรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย

มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เคยได้รับ

สายตาของจักรวาลที่มองเขามักมีความเป็นมิตรอยู่เสมอ แต่ในเวลานี้กลับมีแววหวาดระแวงปรากฏชัด

“พี่เคยเก็บพวงกุญแจห้องของผมได้ใช่ไหมครับ”

“ก็ฐานเป็นคนทำตกไว้ในรถ พี่เลยเอามาคืน มันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือไง”

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาค่อนข้างห้วนจนฐานทัพรู้สึกกดดันที่ต้องพูดประโยคต่อไป เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะเค้นคำพูดออกมาได้

“แต่ว่า...วันถัดจากวันที่พี่เก็บมันได้และเอามาคืน คือวันที่มีคนแอบเข้าไปในห้องผม”

“ว่าไงนะฐาน!”

ไม่ใช่จักรวาลที่โต้ตอบกลับมา แต่เป็นสิบทิศ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความขุ่นเคืองว่าทำไมถึงไม่เคยบอกเขาเรื่องนี้

ฐานทัพก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกผิดอยู่จางๆ ที่ไม่ได้เล่าให้อีกฝ่ายฟัง

“เอาจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากเชื่อหรอกว่าพี่แซมจะเป็นคนทำ”

“ฐานจะเห็นใจคนร้ายหรือไง”

“ยังยืนยันไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ พี่ก็อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปสิ”

ดูเหมือนว่าคำพูดนี้ของเขาจะทำให้สิบทิศมีน้ำโหพอประมาณ

เจ้าตัวยกมือขึ้นไปชี้หน้าจักรวาลและพูดเต็มเสียงอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร หลักฐานก็ทนโท่ ของที่ถูกส่งมานั่นก็ส่งมาหลังจากมันมาส่งฐานที่คอนโดฯ พี่ มีคนบุกรุกห้องเก่าของฐานก็หลังจากที่มันได้พวงกุญแจห้องไป แล้วมีอะไรที่บอกว่ามันไม่ใช่คนร้ายอีก”

“คุณกล่าวหาผมอย่างนี้ ผมฟ้องหมิ่นประมาทได้นะ”

“ทุกอย่างมันชี้ไปที่คุณ ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณไม่ใช่คนร้าย งั้นก็แสดงหลักฐานมาสิ”

เหมือนกับว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งคู่จะย่ำแย่ลงไปอีกจนฐานทัพรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น

เขามองทั้งคนรักและรุ่นพี่สลับกันไปมา ทั้งสองคนต่างก็ใช้สายตาห้ำหั่นกัน สุดท้ายแล้วก็เป็นตำรวจที่พูดแทรกช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลาย

“ผมว่าเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปอย่างที่น้องเขาบอกจะดีกว่านะครับ ยังไงทางตำรวจก็ต้องตรวจสอบหลักฐานอยู่แล้ว เอ่อ คุณ...จะเป็นไรไหมครับถ้าผมจะขอเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอเพื่อไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของคนร้าย”

คนกลางพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยอมประนีประนอม ซึ่งจักรวาลก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถึงกระนั้นก็ยังจิกสายตามองสิบทิศด้วยความไม่พอใจ

“ได้ครับ จะได้ยืนยันกันไปเลยว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่ฝ่ายนั้นกล่าวหา”

เมื่อจักรวาลเอ่ยปากเช่นนั้นแล้วก็ให้ตำรวจเก็บตัวอย่างเส้นผมไปจำนวนหนึ่งและลงประวัติส่วนตัวพร้อมวิธีการติดต่อ จากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปหลังตำรวจบอกว่าเมื่อผลการตรวจสอบออกมาแล้วจะแจ้งให้ทราบ แต่ปัญหาคือหลังจากนั้น

สิบทิศดูไม่พอใจเท่าไรที่เขายังไม่ปักใจเชื่อว่าจักรวาลเป็นคนร้าย สีหน้าจึงบึ้งตึงแม้ว่าจะกลับไปถึงคอนโดมิเนียมแล้วจนเขาต้องเอ่ยปาก

“ถ้าพี่ไปกล่าวหาอย่างนั้นแล้วเกิดเขาไม่ใช่คนร้ายจริงๆ ขึ้นมาล่ะ”

“จะไม่ใช่ได้ยังไง ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะมีใครอีก”

“ถ้าเขาเป็นคนร้ายจริง เขาจะไปโรงพักโดยไม่สะทกสะท้านเหรอครับ แล้วยังให้ตรวจดีเอ็นเออย่างเต็มใจด้วย ถ้ายอมตรวจแล้วผลออกมา ยังไงก็แย้งไม่ได้แล้วนะ หากเขาเป็นคนร้าย ทำอย่างนี้ไม่เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองเหรอ”

คงเพราะคำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผลมาก สิบทิศจึงยอมเงียบ ถึงกระนั้นสีหน้าก็ยังแสดงออกชัดว่ายอมรับไม่ได้

“พี่ทิศ ถ้าเกิดว่าพี่แซมไม่ใช่คนร้ายจริงๆ แล้วเขาฟ้องกลับพี่จะกลายเป็นคนที่ลำบากแทนนะ ผมไม่อยากให้พี่ปรักปรำเขา แล้วก็ถ้าผลออกมาไม่ใช่อย่างที่พี่คิด พี่ก็ต้องไปขอโทษเขาด้วย แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะยอมให้อภัยพี่หรือเปล่าด้วยสิ”

“ฐานพูดเหมือนพี่ผิดเลยนะ”

จากที่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์และมีความกรุ่นโกรธ เวลานี้กลับเป็นสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความตัดพ้อ

ฐานทัพส่ายศีรษะที่คนรักเริ่มทำตัวเป็นเด็กเพราะอยากให้เขาเอาใจ แสดงความห่วงใยใส่ใจ

“คนที่บุ่มบ่ามทำเรื่องใจร้อนคือพี่เองไม่ใช่เหรอ”

พอเขาพูดแบบนั้นออกไปยิ่งทำให้สิบทิศหน้าบูดบึ้งกว่าเก่าเสียอีก

ฐานทัพนั่งมองสีหน้านั้นอยู่สักพักก็ถอนหายใจออกมาอย่างยอมจำนน เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมเปลี่ยนสีหน้าสักที

เขายื่นมือไปจับมือสิบทิศเอาไว้เป็นเชิงปลอบใจนิดๆ เพื่อให้คลายอารมณ์กรุ่นลง

ดูเหมือนมันจะช่วยได้นิดหน่อย ฐานทัพจึงเอ่ยปากอีกครั้ง พร้อมกับเอียงคอน้อยๆ ทำตาที่กลมอยู่แล้วให้แป๋วกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะทำ

“ผมหิวแล้ว หาอะไรกินเถอะ”

คราวนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี เพราะเป็นสิบทิศที่ถอนหายใจออกมาบ้าง

คงต้านทานลูกอ้อนของเขาไม่ไหวกระมัง ถึงเขาจะรู้สึกว่ามันน่าขนลุกอยู่เหมือนกันที่ทำอะไรแบบนี้

แต่ก็เอาเถอะ ถ้าทำให้อีกฝ่ายหายอารมณ์บูดได้เขาก็ถือว่ารอดตัว

 

 

v



v
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 7th Lie [31/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 31-03-2019 20:58:36




v



v

หลายวันหลังจากนั้นก็ได้รับการติดต่อมาจากทางตำรวจ แจ้งว่าผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังเลิกงานฐานทัพและสิบทิศ รวมถึงคู่กรณีอย่างจักรวาลจึงไปพบกันที่สถานีตำรวจ ทว่าเมื่อเอกสารแสดงผลการตรวจถูกยื่นมาให้พร้อมคำสรุปของตำรวจผู้ดูแลคดี อารมณ์ของคนทั้งสามก็กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง

สิบทิศหน้าบึ้งฉายแววทะมึนยิ่งกว่าเดิม ราวกับกำลังถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้มก่อนมรสุมจะถล่ม

จักรวาลหน้านิ่ง เหลือบตามองทางสิบทิศด้วยแววดูถูกดูแคลน

ฐานทัพหน้ากระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เม็ดเหงื่อบางๆ ผุดซึมข้างขมับ

นั่นเพราะดีเอ็นเอของจักรวาลไม่ตรงกับที่ผู้ร้ายทิ้งเอาไว้ ไม่เหมือนเลยแม้แต่นิดเดียว สรุปได้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง

ฐานทัพมองหน้าคนทั้งสองสลับกันอยู่สองสามครั้ง หันไปมองหน้าตำรวจอีกหนึ่งที อีกฝ่ายยิ้มแหยให้เพราะเข้าใจสถานการณ์ดีจึงกล่าวสรุปอีกรอบ

“ในเมื่อคุณจักรวาลไม่ใช่ผู้ร้าย เพราะฉะนั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้เสียเวลา และต้องขอบคุณด้วยเช่นกันที่ยอมสละเวลาอันมีค่ามาเพื่อพิสูจน์ความจริง ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของคอนโดฯ และสอบปากคำ รปภ. ก็ออกมาว่าไม่ได้สามารถระบุตัวคนร้ายได้เนื่องจากสวมหมวกและแว่นตาปิดบังใบหน้า ลายนิ้วมือบนกล่องพัสดุและกางเกงในก็มีแต่ลายนิ้วมือของคุณฐานทัพและคุณสิบทิศครับ”

พูดเช่นนั้นจบบุคคลที่สี่ก็เอ่ยขอตัวก่อนจะชิงหนีออกไปจากวงโคจรดำทะมึนนี้ทันที

ฐานทัพมองสภาพการณ์นี้อยู่หลายวินาที เมื่อเห็นว่าบรรยากาศคงไม่คลี่คลายลงแน่หากตนไม่เริ่มพูดอะไรบ้างจึงยอมเกริ่นขึ้น

“พี่แซม ผมขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้พี่เดือดร้อนและเสียเวลา ขอโทษจริงๆ นะครับ”

“ไม่ใช่ความผิดฐานหรอก ถึงจะรู้สึกสงสัย แต่ฐานก็ไม่ได้พูดจาหรือทำตัวไม่ดีกับพี่”

คำตอบของจักรวาลดูเหมือนการกระทบกระเทียบคนที่ทำตัวเช่นนั้นจนฐานทัพต้องกลืนน้ำลายเอื๊อก รีบดึงแขนสิบทิศเพื่อให้เจ้าตัวรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรต่อไป

สิบทิศหันมามองเล็กน้อย พอเห็นสีหน้าของเขาที่แฝงด้วยแววอ้อนวอนว่าช่วยขอโทษอีกฝ่ายดีๆ หน่อยเถอะก็คล้ายจะยอมจำนนต่อความผิดของตัวเองในที่สุด

“ผมขอโทษด้วยครับที่กล่าวหาคุณ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเสียมารยาทกับคุณหรอกนะ แต่ผมแค่เป็นห่วงฐานเลยอยากจับคนร้ายให้ได้เร็วๆ เท่านั้นเอง หวังว่าคุณจะเข้าใจนะครับว่าเวลาที่แฟนตัวเองโดนใครก็ไม่รู้คุกคามมันน่าโมโหแค่ไหน”

แม้จะพูดขอโทษและอธิบายเหตุผลให้ฟัง แต่น้ำเสียงก็ยังกระด้างอยู่ดีจนฐานทัพต้องดึงแขนอีกรอบ สิบทิศถึงยอมเอ่ยออกมาสั้นๆ

“ขอโทษครับ”

ได้ฟังเท่านั้นก็รู้แล้วว่าสิบทิศคงไม่พูดอะไรมากเกินไปกว่านี้แน่นอน จึงเป็นฐานทัพเสียเองที่พูดขึ้นมา

“ผมขอโทษจริงๆ นะพี่แซม แล้วผมก็ขอโทษแทนพี่ทิศอีกที ช่วยอภัยให้ด้วยนะครับ”

“โอเคๆ พี่เห็นแก่ฐานหรอกนะ”

ดูเหมือนว่าจักรวาลจะใจอ่อนเมื่อได้ยินน้ำเสียงกึ่งอ้อนอยู่หน่อยๆ ของเขา รอยยิ้มจึงผลิที่แก้มเบาๆ พร้อมกับเจ้าตัวยื่นมือออกมาลูบศีรษะเตียน แต่ยังไม่ทันที่มือจะแตะโดนก็ถูกมือของอีกคนหนึ่งคว้าเอาไว้เสียก่อน

“โทษที แต่ผมหวง อย่าแตะง่ายๆ จะได้ไหมครับ”

คำพูดของสิบทิศทำเอาฐานทัพถลึงตาใส่ในทันควันก่อนจะหันไปยิ้มแหยให้จักรวาลที่ถูกคว้ามือเอาไว้

ทว่าจักรวาลยิ้มออกมาเหมือนเข้าใจว่าเหตุใดสิบทิศถึงไม่ยอมพูดจาด้วยดีๆ และโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูฐานทัพ

“มีแฟนขี้หวงแบบนี้ก็ต้องลำบากหน่อยนะ”

ทั้งที่คิดว่าตนเองเป็นคนหน้าทนพอประมาณ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าเท่าไรนัก แต่ประโยคนั้นกลับทำให้ฐานทัพรู้สึกว่ามีไอร้อนกรุ่นๆ อยู่บนแก้มได้

เขาหันไปจ้องจักรวาลคล้ายจะต่อว่ากลายๆ แต่ไม่ถึงวินาทีมือที่คว้าแขนจักรวาลไว้ก็เปลี่ยนเป็นมาดึงร่างเขาให้ออกห่างจากรุ่นพี่ร่วมงานให้มากที่สุด พร้อมทั้งเอาอีกมือหนึ่งมาปิดตาไว้อีกต่างหาก

เสียงทุ้มเข้มดังมาเหมือนคนไม่สบอารมณ์

“กลับกันได้แล้ว”

ก่อนจะต่อด้วยอีกประโยคที่เหมือนจะพูดกับอีกคนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น

“ขอบคุณที่ช่วยเลือกน้ำหอมให้ แต่ทีหลังไม่ต้องนะครับ ผมเกรงใจ”

จากนั้นร่างของฐานทัพก็แทบปลิวไปตามแรงดึงมหาศาล ตรงไปยังทางออกของสถานีตำรวจ

ฐานทัพหันกลับไปมองจักรวาลที่อยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังอมยิ้มราวกับล้อเลียน

“ทำอะไรของพี่เนี่ย”

เมื่อมาถึงรถยนต์ฐานทัพถึงสามารถสะบัดแขนของตัวเองให้หลุดออกจากการจับกุมเอาไว้ได้

สิบทิศตอบออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่าไม่ชอบให้เขาสนิทสนมกับคนอื่นด้วยหน้าตาบูดบึ้งจนเขาต้องสวนกลับไป

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ นั่นพี่ที่ทำงานนะ จะสนิทกันก็ไม่แปลกสักหน่อย”

“ก็พี่ไม่ชอบนี่นา”

คำตอบที่ย้อนกลับมาทำให้ฐานทัพต้องส่ายศีรษะอย่างอิดหนาระอาใจในความขี้หึงขี้หวงของคนรัก

“ถึงจะไม่ชอบก็ทำมารยาทดีกับเขาหน่อยเถอะ ดีว่าพี่แซมไม่เอาเรื่องที่ไปปรักปรำเขานะ”

คงรู้สึกว่าโดนต้อนจนมุมกระมัง สิบทิศจึงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถึงอีกเรื่องเพื่อเบี่ยงประเด็น

“ว่าแต่ถ้าไม่ใช่หมอนั่นแล้วใครกันที่เป็นคนร้าย คนที่รู้ว่าฐานอยู่กับพี่ก็มีแค่เพื่อนที่ทำงานไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่อยู่หรอก แต่ถึงจะรู้ว่าผมอยู่กับพี่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้จักคอนโดฯ พี่เสียเมื่อไร”

“งั้นทำไมไอ้เลวนั่นถึงรู้ได้”

นั่นเป็นคำถามประเภทเดียวกับคำถามโลกแตกเพราะไม่รู้จะหาคำตอบได้อย่างไรและคำตอบไหนถึงจะถูกต้อง

ทั้งสองคนต่างเงียบไปคู่หนึ่งก่อนเสียงร้อง “หรือว่า” ของสิบทิศจะดังขึ้นอีกครั้งราวกับเพิ่งนึกอะไรออก

“ฐาน ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”

ถึงแม้จะงงงวยแต่ฐานทัพก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้อีกฝ่ายทั้งๆ อย่างนั้น

สิบทิศรับมันไป แต่เมื่อหน้าจอสว่างก็พบว่ามันล็อกอยู่ เป็นวิธีการล็อกแบบต้องใช้ลายนิ้วมือปลดล็อก โทรศัพท์จึงถูกส่งกลับมา

“ปลดล็อกหน่อย”

หลังจากมันเข้าสู่หน้าจอการทำงานเต็มประสิทธิภาพแล้วสิบทิศก็จ้องเขม็งไปยังหน้าจอดุจดั่งจะไม่ให้มีอะไรคาดสายตาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมาถามอีกครั้ง

“แอปนี้ฐานเป็นคนลงเอาไว้หรือเปล่า”

พอถูกถาม ฐานทัพก็ก้มลงไปมองไอคอนที่ถูกเจาะจง

มันเป็นรูปแผนที่แผ่นพับและมีรูปตัวคนอยู่ ดูไม่คุ้นตาแม้แต่น้อยฐานทัพจึงได้แต่ปฏิเสธไป ขณะที่ความสงสัยก่อกำเนิดขึ้นเป็นรูปร่าง

“เปล่านี่ ผมโหลดมาตั้งแต่เมื่อไร?”

ครั้นเสียงของเขาจบลง สิบทิศก็เปิดแอปพลิเคชันขึ้นมาทันที

บนนั้นปรากฏภาพกราฟิกคล้ายเวลาเปิดกูเกิลแม็ปชอบกล เค้ารางอะไรบางอย่างค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความคิดทำให้ฐานทัพพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ขณะเดียวกันเสียงร้องของสิบทิศก็ดังขึ้น

“หรือว่ามันจะใช้แอปนี่ตามผม?”

“เจอตัวแล้ว ไอ้เลว”

ไม่ต้องพูดอธิบายอะไรต่อก็กระจ่างแจ้งถึงคำตอบของคำถามที่คิดว่าโลกแตกกันทั้งคู่

ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันคล้ายตั้งคำถามว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ก่อนสิบทิศจะเป็นคนสรุป

“ไปลากคอมันกัน”

 

 

จุดหมายของพวกเขาถูกระบุเอาไว้แน่ชัดอยู่แล้ว เป็นบริษัทแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากละแวกนี้นัก บ่งบอกให้รู้ว่า ‘ผู้ร้ายคดีทำร้ายร่างกายและอนาจาร’ เป็นพนักงานบริษัทแห่งนั้นอย่างแน่นอน แต่ฐานทัพไม่มีฐานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่น่าจะสังกัดอยู่ที่นั่นแม้แต่น้อย

แต่จะว่าไปก็คงไม่แปลก เพราะใช่ว่าเขาจะรู้จักคนมากหน้าหลายตาอย่างลึกซึ้ง ที่ผ่านมาอย่างมากเพียงโฉบเฉี่ยวแค่คืนเดียวก็จากลาแทบทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น

เมื่อถึงที่หมาย เหลือเพียงแค่รอให้อีกฝ่ายออกมาจากตึกบริษัทเท่านั้นก็สามารถคว้าตัวคนร้ายได้โดยไม่ยากเย็น

เขาและสิบทิศนั่งรอการเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตูทางออกของอาคาร ขณะเดียวกันก็หวนคิดว่าที่ผ่านมาลำบากหาตัวคนร้ายอย่างเสียเปล่าแท้ๆ ทั้งที่วิธีจับตัวอยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงเพียงนี้แต่กลับไม่นึกถึง ไม่เอะใจสักนิด

ครั้นนึกถึงแต่ละสิ่งอย่างก็เข้าใจถึงที่มาที่ไปได้ทันที

โทรศัพท์ของเขาปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ หากเขาไม่มีสติอยู่ ใครก็สามารถจับมือของเขาไปปลดล็อกมันได้ง่ายๆ

ตำแหน่งของอะพาร์ตเมนต์ก็รู้ได้ด้วยการแอบลงแอปพลิเคชันตรวจจับจีพีเอสของเพื่อนอย่างที่เห็นอยู่

ส่วนลูกกุญแจห้องก็มีการปั๊มหมายเลขห้องเอาไว้ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าคือลูกกุญแจที่ได้รับจากทางหอพักจริงๆ เนื่องจากหลังยกเลิกสัญญาเช่าต้องนำลูกกุญแจจริงมาคืน ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับเงิน

สุดท้ายปัจจัยหลายๆ อย่างก็ทำให้มันลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ...และนำภัยมาสู่ตัวเขา

เฝ้าคอยไม่นานเกินรอก็เห็นโครงร่างของใครคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูทางออก

สิบทิศแทบจะพุ่งพรวดเข้าไปหาเจ้าของร่างนั้นแบบทันทีทันใด

“รอดูก่อนสิ อาจจะไม่ใช่เขาก็ได้”

พอโดนเลิกคิ้วสงสัยใส่ว่ารออะไรอีกเล่า ฐานทัพที่กระชากสิบทิศเอาไว้ทันเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายผลีผลามเหมือนคราวจักรวาลอีกก็ตอบข้อสงสัย แม้ว่าคนที่ตนเห็นว่าเดินออกมาจะเป็นคนคุ้นหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่นานนี้

“ใช่ว่าคนในบริษัทนี้จะมีคนเดียวเสียเมื่อไร แถมถ้ายังอยู่ในเขตบริษัทก็ยังระบุตัวจริงๆ ไม่ได้ไม่ใช่หรือไงครับ”

ครั้นถูกเขาชี้แจงรายละเอียด สิบทิศก็เหมือนจะอารมณ์เย็นลงแล้วจ้องเขม็งไปยังร่างสูงโปร่งนั้นที่ดูคุ้นตาเสียเหลือเกินสลับกับหน้าจอโทรศัพท์ของฐานทัพที่ยังคงเปิดแอปพลิเคชันสะกดรอยเอาไว้

“ถ้าสรุปว่าเป็นมันจริงๆ พี่ไม่ปล่อยไว้แน่”

เสียงทุ้มลอดออกมาจากการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บอกให้รู้ว่ามีความโกรธแค้นเสียยิ่งกว่าตัวคนที่ถูกทำร้ายอย่างรุนแรงเสียอีก

ฐานทัพกุมมืออีกฝ่ายให้ใจเย็นลงเพราะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดจะช่วยชโลมใจที่ร้อนรุ่มเพราะเขาได้ดีกว่านี้อีกแล้ว

สายตาสองคู่ต่างจับจ้องไปตามการเคลื่อนที่ของเป้าหมาย จดจ่ออยู่แต่กับสองสิ่ง มองสลับขึ้นลงเรื่อยๆ จนกระทั่งใครคนนั้นขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์และขี่ออกไปจากอาณาเขตของบริษัท

ฉับพลันนั้น...

“ขยับแล้ว!”

สิบทิศโพล่งเสียงออกมาพร้อมกับร่างที่ทะลึ่งพรวดขึ้นราวกับโดนกระตุกเส้นด้ายบนศีรษะ จนฐานทัพที่กุมมือเอาไว้ถูกดึงติดขึ้นมาด้วยโดยไม่ทันตั้งตัว

“ใช่มันจริงๆ”

เมื่อสิ้นเสียงนั้น สิบทิศก็ถลาตัวออกไปที่รถยนต์อย่างรวดเร็ว

ฐานทัพจำต้องปล่อยมือออกเพราะไม่เช่นนั้นคงถูกลากวิ่งไปด้วยกันเป็นแน่ กระทั่งเขาขึ้นรถได้สำเร็จ สิบทิศก็รีบเร่งเครื่องยนต์ตามเป้าหมายออกไปทันที

พวกเขาไล่ตามไปโดยเร็วที่สุด แต่ด้วยความคล่องตัวของพาหนะก็ทำให้ชายคนนั้นห่างออกไปมากขึ้น และสุดท้ายก็คลาดกันเพราะรถติดสัญญาณไฟแดง

สิบทิศทุบพวงมาลัยรถอย่างแรงและสบถออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดจนฐานทัพต้องปลอบด้วยน้ำเสียงสงบ

“เดี๋ยวผมเช็กดูก่อนว่ามันไปถึงไหนแล้ว”

เขาเปิดแอปพลิเคชันตรวจจับจีพีเอสอีกครั้ง แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายหยุดอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่ง

พอเอาที่หมายให้สิบทิศดู เจ้าตัวก็รีบเร่งเครื่องยนต์เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนสี มิหนำซ้ำยังหันมาถามเป็นระยะว่าผู้ต้องสงสัยนั่นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่

“ที่เดิมๆ”

ฐานทัพเอ่ยตอบพร้อมกับดูทางที่ด้านหน้าและหน้าจอโทรศัพท์สลับกัน

เมื่อรถยนต์เข้ามาในย่านร้านขายอาหารที่ตั้งเรียงกันอยู่เกือบสิบร้านซึ่งเป็นที่หมาย สิบทิศก็รีบพุ่งตัวออกไปจากรถทันที ปล่อยให้ฐานทัพได้แต่เหลอหลาเพราะว่าประตูรถฝั่งคนขับยังเปิดค้างไว้อยู่เลย

เขาคว้ากุญแจรถซึ่งนอนอยู่ในช่องวางแก้วใกล้กับเกียร์แล้วลงจากรถไปปิดประตูฝั่งคนขับด้วย ก่อนจะวิ่งตามหลังไวๆ ของสิบทิศไป

ครั้นตามไปทันก็เห็นว่าผู้ต้องสงสัยรายนั้นถูกสิบทิศจับล็อกคอเอามือไพล่หลังเพื่อไม่ให้หนีไปได้ไกลกว่านั้นเรียบร้อยแล้ว

“นี่มันอะไรกันฐาน”

สีหน้าตื่นตกใจหันมาทางเขาทันควัน ไม่ว่าเจ้าตัวพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการจับกุมสักเท่าไรก็ไม่สำเร็จ

“ขอโทษนะกวี แต่ผมมีเรื่องอยากถาม”

“ไม่ต้องถามหรอกฐาน เอามันไปส่งตำรวจนั่นแหละ”

สิบทิศออกแรงรั้งตัวกวีเอาไว้มากขึ้นตามแรงสะบัด

“ทำไมต้องเอากูไปส่งตำรวจด้วย”

“แล้วมึงทำชั่วๆ อะไรเอาไว้ล่ะ”

“กูไม่ได้ทำ!”

เสียงร้องปฏิเสธดังลั่นจนผู้คนที่แวะเวียนมาซื้ออาหารต่างมองมาเป็นตาเดียวยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“เดี๋ยวตรวจดีเอ็นเอก็รู้ว่าทำหรือไม่ทำ”

หลังจากพูดเพียงเท่านั้นสิบทิศก็เริ่มลากตัวกวีให้ตามไปด้วยกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนขัดขืนสักเท่าไรก็ไม่เป็นผล ในขณะที่ฐานทัพไม่ได้เอ่ยค้านใดๆ ได้แต่เดินตามหลังคนที่ถูกลากถูลู่ถูกังไป เพราะคราวนี้เขาก็มั่นใจแล้วเช่นกัน

คนที่ทำร้ายเขาก็คือผู้ชายคนนี้จริงๆ

 






------------------------------

ตอนสุดท้ายของพาร์ตนี้แล้ว

ตอนหน้าเป็นพาร์ทใหม่ ที่มาของ White Lie จริงๆ

หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 7th Lie [31/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-11-2019 22:17:38
 :pig4:
 :3123: :L1: :L2:
รออ่านต่อนะค่ะ
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 8th Lie [18/3/6]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 18-03-2020 21:06:28















8th Lie

ผมเป็นผู้ชายคนแรกของเขา


 

ผลออกมาเป็นอย่างที่คาด แม้ตำรวจเจ้าของคดีจะค่อนข้างหวั่นกลัวเนื่องด้วยขยาดในความผิดพลาดครั้งก่อน แต่ก็ยอมเดินเรื่องต่อแต่โดยดีเพราะได้รับแรงกดดันมหาศาลจากสิบทิศ

กวีเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่ก่อคดีในคราวนี้จึงถูกตัดสินโทษทางอาญาให้ต้องจำคุกตามความผิด ทั้งกักขังหน่วงเหนี่ยว ใช้กำลังประทุษร้าย ข่มขืนใจ พยายามกระทำชำเรา เพราะหลักฐานมัดตัวแน่นหนา

ฐานทัพรู้สึกได้รับอิสระอีกครั้งหลังต้องหวาดระแวงว่าจะถูกคุกคามเมื่อไรมาหลายเดือน แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เพราะนั่นทำให้รู้ว่าสิบทิศมีความรักให้เขามากแค่ไหน และมันก็ยิ่งทำให้ฐานทัพถลำตัวถลำใจไปกับความรักครั้งนี้มากยิ่งขึ้นอีก

แม้ว่าความสัมพันธ์ฉันคนรักจะผ่านมาร่วมปี แต่สิบทิศก็ยังแสดงความรักอย่างล้นเหลือ

ความรู้สึกว่าเป็นที่รักทำให้ฐานทัพรู้สึกหัวใจพองโตทุกเมื่อ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องเล็กน้อยสักแค่ไหนให้ ก็ทำให้เขามีความสุขและอมยิ้มได้

สิ่งที่เรียกว่าความรักและความสุขล้นอกอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้พบและได้รับมันจากใครสักคน

“เอ๊ะ ฐานทัพ?”

เสียงเรียกจากลูกค้าหนุ่มที่เดินเข้ามาในจังหวะที่ตนเป็นคนต้อนรับพอดีทำให้ฐานทัพแปลกใจเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายทำท่าเหมือนรู้จักเขา

เมื่อพิจารณาใบหน้าคมเข้มของร่างสูงใหญ่นั้นแล้ว ฐานทัพก็รู้สึกว่าคุ้นหน้าเช่นเดียวกัน

หรือว่าจะเป็นสักคนหนึ่งที่เขาเคยร่วมเตียงด้วย?

“ทำหน้าเหมือนจะนึกออกแต่ก็นึกไม่ออกนะ”

รอยยิ้มอบอุ่นโปรยมาให้อย่างเป็นกันเอง ไม่เพียงแต่ริมฝีปากเท่านั้นที่ยิ้ม แต่ดวงตาก็มีความวาววับส่องประกายอยู่ ให้บรรยากาศเป็นมิตรจนเขาเริ่มสนใจใคร่รู้

“ขอโทษครับ มันเหมือนจะนึกออกจริงๆ นั่นแหละ”

“ก็ไม่ได้เจอมาตั้งห้าหกปีนี่นา ไม่แปลกหรอก”

รอยยิ้มยังคงติดอยู่บนใบหน้าสีน้ำผึ้งและดูเป็นผู้ใหญ่กว่าตนเองมาก ไม่ใช่เพียงแค่ขนาดตัว ทำให้รู้สึกวางใจและสบายใจที่จะคุยด้วยอย่างน่าประหลาด ทั้งที่เพิ่งพบหน้าเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น

“พี่เคยไปกับฐานครั้งหนึ่ง ฐานเป็นผู้ชายคนแรกของพี่ไง”

อีกฝ่ายตอบคำถามในใจของเขา ทำให้เขาหวนรำลึกถึงความหลังพลางมองหน้าคมสันนั้นไปด้วย

ภาพในอดีตเหมือนจะย้อนกลับมาเล็กน้อย ก่อนจะสว่างวาบจนพลอยให้เขาหลุดเสียงร้อง “อ๋อ” ออกมา

“นึกออกแล้วใช่ไหม”

“พี่คือคนที่เดินเข้ามาถามผมว่าผมเป็นเกย์ใช่ไหม ใช่หรือเปล่า”

คำถามของเขาทำให้ฝ่ายนั้นยิ้มกว้างกว่าเดิม บอกว่าตัวเองชื่อภันก่อนจะแซวว่า

“ไม่นึกว่าจะจำได้ถึงขนาดว่าพี่เคยพูดอะไรเอาไว้ตอนนั้น”

“ก็พี่เล่นถามในผับเกย์ มันก็ต้องประหลาดจนจำได้น่ะสิ”

ฐานทัพหลุดเสียงหัวเราะออกมาด้วย จากนั้นจึงค่อยเข้าประเด็นของการมา

ภันวัฒน์บอกว่าเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศและจะเริ่มงานตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจึงอยากได้รถไว้ใช้ เลยแจ้งความประสงค์ว่าสนใจรถรุ่นใด และอยากให้ฐานทัพแนะนำเพิ่มเติม เมื่อได้ข้อมูลตามที่ต้องการแล้วก็เอ่ยปาก

“พี่ขอลองเทสต์รถหน่อยได้ไหม”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมขอดูให้แป๊บนะ”

ฐานทัพไปเช็กตารางคิวรถสำหรับให้ลูกค้าทดลองขับ แต่ก็พบว่ารถรุ่นที่อีกฝ่ายต้องการมีลูกค้าอีกคนเพิ่งเอาออกไปทดลองขับ

“คงต้องรอสักครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมงนะครับ”

“งั้นเหรอ แย่จังแฮะ เดี๋ยวพี่ต้องไปรายงานตัวที่ทำงานต่อด้วยสิ”

ภันวัฒน์ทำหน้าเสียดายอย่างจริงใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ

“เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน พี่ขอเบอร์ฐานหน่อยได้ไหม จะได้โทรมาเช็กก่อน”

“เอ่อ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดผมครับ”

อีกฝ่ายคราง “อ้าวเหรอ” อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยเสนอวันถัดไปเพราะไม่ได้รีบร้อนมาก ทั้งคู่จึงแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กันเพื่อติดต่อวันที่สะดวกในภายหลัง

 

 

คืนนั้นมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เพราะแม้จะล่วงเข้าเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลานอนตามปกติแล้วสิบทิศก็ยังไม่กลับมาที่ห้อง

ฐานทัพรู้สึกพะวักพะวนอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่คบกันในฐานะคนรัก สิบทิศไม่เคยไม่กลับห้องเลยสักครั้ง หรือหากมีงานสังสรรค์อะไรที่ทำให้กลับดึกเกินว่าปกติก็มักจะโทรบอกเขาเสมอ แต่วันนี้หลังจากโทรมาบอกว่ามารับไม่ได้เพราะต้องเลี้ยงรับรองลูกค้าก็ยังไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย

จะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า?

โดยปกติแล้วฐานทัพไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องงานของสิบทิศ หากอีกฝ่ายบอกว่าต้องไปรับรองลูกค้าเขาก็ไม่เคยโทรไปรบกวนสักครั้ง เพราะสิบทิศมักจะคะเนเวลาที่สามารถกลับได้และโทรมาบอกเสมอเพื่อเขาจะได้ไม่เป็นห่วง

ในตอนนี้จิตใจของฐานทัพจึงไม่สามารถสงบลงได้เพราะทุกอย่างแปลกไป

ครั้นโทรเข้าเบอร์ของสิบทิศก็มีสัญญาณแต่ไม่มีคนรับสาย

เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีเพราะไม่รู้จักเพื่อนร่วมงานหรือมักจี่กับเพื่อนสนิทคนอื่นๆ ที่พอจะขอให้ช่วยติดตามข่าวสารได้

ฐานทัพจึงต้องผ่านเวลาตลอดค่ำคืนนั้นด้วยความกังวล จะข่มตานอนก็หลับไม่ลง จะถ่างตาก็สะลึมสะลือเป็นพักๆ ทำให้อ่อนล้าไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ

กระทั่งได้ยินเสียงประตูเปิดออกเขาพลันลุกขึ้นจากโซฟา วิ่งพรวดไปที่ประตูหน้าตาตื่น

“พี่ทิศ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“อ้าวฐาน”

สิบทิศทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้ตามปกติ

“ขอโทษทีนะ พี่ทำให้ฐานไม่ได้นอนใช่ไหม”

อีกฝ่ายดึงตัวเขาไปกอดหลังจากมองหน้าอยู่พักหนึ่ง คงเห็นแววกังวลที่เปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่จึงอยากปลอบประโลมให้ใจสงบลง

“พอดีว่าพี่เผลอหลับไปน่ะ เพื่อนที่ไปด้วยกันเลยพาพี่กลับไปนอนห้องมันด้วย ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ”

สิบทิศปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มให้คลายความรู้สึกที่รุมเร้ามาตลอดทั้งคืน จากนั้นก็จูบที่ริมฝีปากเขาเบาๆ

“ไปนอนต่อไหม วันหยุดนี่นาใช่ไหม”

เขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะออกแรงกอดรัดอีกฝ่ายตอบ

สิบทิศหัวเราะเบาๆ แล้วกระเตงเขาที่เกาะแน่นตรงไปยังห้องนอน ล้มตัวนอนด้วยกันแล้วสิบทิศก็กอดเขาไว้พลางลูบศีรษะ ทำให้รู้สึกสบายใจจริงๆ

ฐานทัพซบหน้าลงกับแผ่นอกหนาหนั่น งึมงำบอกด้วยเสียงแผ่วเบา

“อย่าทำให้เป็นห่วงนักสิ”

สิบทิศไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทว่าเขารู้สึกว่าเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของอีกฝ่ายโดยที่ไม่ต้องเงยขึ้นไปมองแม้แต่น้อย

กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็เข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว สิบทิศยังคงอยู่ที่ห้อง ไม่ได้ออกไปทำงานเพราะได้รับวันหยุดพิเศษเนื่องจากไปเลี้ยงรับรองลูกค้าเมื่อคืน เป็นกฎของบริษัทที่ให้สิทธิพิเศษสำหรับพนักงานฝ่ายขายโดยเฉพาะ ตอนนี้เจ้าตัวจึงกำลังยืนทำอาหารกลางวันรอเขาตื่นอยู่

ฐานทัพเดินงัวเงียออกมาแม้ว่าจะล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว

พอได้ยินเสียงฝีเท้าสิบทิศก็หันมายิ้มหวานๆ ให้พร้อมกับตักเส้นสปาเกตตีใส่จานเตรียมพร้อมเสิร์ฟ

“พี่ว่าถ้าทำเสร็จจะไปปลุกฐานอยู่เลย”

“ผมได้กลิ่นไงเลยตื่นมาก่อน”

ฐานทัพยิ้มกระเซ้าก่อนจะไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร รออาหารแสนอร่อยมาเสิร์ฟ พลางเท้าคางมองสิบทิศอย่างเคลิบเคลิ้ม

เขาไม่เคยคิดมาก่อนและไม่เคยรู้สึกด้วย แต่พอได้คบกับสิบทิศแล้วถึงรู้สึกว่าผู้ชายที่ทำอาหารเป็นมีเสน่ห์

เขาชอบมองเวลาสิบทิศเคลื่อนไหวอยู่หน้าเตาแบบนี้ โดยเฉพาะตอนที่กำลังตั้งใจทำอาหารให้เขากิน

เขา...คนเดียว

รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนแก้มอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉับพลันนั้นเสียงโทรศัพท์ก็แทรกขึ้นมาให้สติที่ล่องลอยไปกลับคืนมาสู่ความเป็นจริง

ฐานทัพเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งเอาไว้บนโซฟาห้องนั่งเล่น ขมวดคิ้วมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจออยู่ครู่หนึ่งก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้และกดรับสาย

“สวัสดีครับ พี่ภัน”

[สวัสดีครับ ฐาน สะดวกคุยหรือเปล่า]

“สะดวกครับ พี่มีอะไรเหรอ”

[ก็เรื่องนัดเทสต์รถน่ะ พรุ่งนี้ได้ไหม พี่ว่างช่วงสิบโมงเช้า]

“ได้ครับ พี่เขามาตอนนั้นได้เลย เดี๋ยวผมเตรียมรถไว้ให้นะ”

[ขอบคุณครับ งั้นพี่ไม่รบกวนวันหยุดของฐานแล้วนะ บายครับ]

หลังจากกล่าว “บายครับ” เป็นการส่งท้ายเช่นเดียวกัน ฐานทัพก็กดวางสายไป

มุมปากเผลอยกขึ้นเล็กน้อย พลางคิดในใจว่าอีกฝ่ายพูดจาไพเราะจริงๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง ถึงจะคุยเรื่องงานแต่ก็ทำให้จิตใจผ่อนคลาย เป็นคนที่ประหลาดดี

อาจจะเรียกว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ทางคำพูดก็ได้

พอคิดอย่างนั้นแล้วเขาก็รู้สึกว่าถ้าได้คบหากันมากกว่าพนักงานขายกับลูกค้าคงจะดีไม่น้อย

ทัศนคตินี้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกอยากทำความรู้จักหรือสานสัมพันธ์กับคนที่ตนเคยขึ้นเตียงด้วยมาก่อน

อาจเพราะสิบทิศก็เป็นได้ที่ทำให้มุมมองในการใช้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป

เพราะไม่จำเป็นต้องรักษาระยะห่างกับใคร และไม่ต้องการคู่นอนชั่วคราวอีกแล้ว การคบหากับคนอื่นในฐานะที่แตกต่างจึงเริ่มมีความสำคัญ

อยากจะเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วๆ ไปที่มีเพื่อน มีคนที่รู้สึกสบายใจและไว้วางใจได้ให้คอยพูดคุยเรื่องต่างๆ กัน ไม่ได้อยู่แต่ในโลกที่มีเพียงตัวเองอีกต่อไป

“อะแฮ่ม”

อยู่ๆ เสียงกระแอมก็ดังมา ฐานทัพหันไปมองทางต้นเสียงก็เห็นว่าสิบทิศทำหน้าบูดมองมาจนต้องเอียงคอมองอย่างสงสัย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เมื่อกี้คุยกับใคร”

น้ำเสียงที่ถามมาเข้มแฝงแววกดดันบางอย่างที่ฐานทัพไม่ค่อยเข้าใจนัก

เขาตอบกลับไปอย่างสบายๆ แกมยิ้มหน่อยๆ ว่าลูกค้า ทว่าสิบทิศกลับหน้าตึงกว่าเดิม

“แล้วทำไมคุยเสร็จต้องยิ้มเหมือนมีความสุขด้วย”

ไม่เพียงแค่ทำหน้าตึงเท่านั้น มือที่วางจานสปาเกตตีเขียวหวานยังยื่นมาบีบแก้มเขาอย่างแรงอีกด้วย

ฐานทัพรีบเอามือประกบเพื่อจะดึงคีมยักษ์นั้นออก แต่ก็ไม่สำเร็จจนได้แต่พูดเสียงอู้อี้

“ก็รู้จักกันนิดหน่อย แล้วผมก็รู้สึกว่าเขาน่าคบหาดีเท่านั้นเอง”

“พูดอย่างนี้อยากหาเรื่องพี่ใช่ไหม”

คราวนี้เปลี่ยนจากเอามือบีบแก้มมาเป็นใช้มือสองข้างดึงแก้มให้ยืดเสียแล้ว แต่นั่นก็ทำให้ฐานทัพพอจะเข้าใจอะไรได้ในที่สุด

เขาอดยิ้มกว้างทั้งหน้ายืดๆ ไม่ได้

“หึงเหรอ”

“หึงสิ หึงมากด้วย พี่บอกแล้วไงว่าพี่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับฐาน”

ฐานทัพเอื้อมมือขึ้นไปคล้องคอของสิบทิศเอาไว้ด้วยความรู้สึกว่าช่วยไม่ได้จริงๆ

เขาหุบยิ้มไม่ได้เลย

เพิ่งเคยรู้สึกว่าการถูกหึงหวงมันทำให้มีความสุขแบบนี้เอง เพราะมันแสดงว่าเขาเป็นที่รัก

เขากำลังถูกรัก...อย่างมากมาย

“ขอบคุณที่หึง ผมดีใจนะ”

พอได้ยินคำพูดของเขาแล้วเหมือนสิบทิศจะอึ้งไป น้ำหนักมือที่ดึงแก้มอยู่ก็หยุดลงไปด้วย

ฐานทัพอาศัยโอกาสนี้ยกศีรษะขึ้นไปประกบจูบที่ปากของอีกฝ่ายแล้วยิ้มให้ รู้สึกได้เลยว่าตาของตนเองเป็นประกายมากแค่ไหน

“ผมรักพี่”

คำพูดนี้เหมือนจะทำให้สิบทิศใจอ่อนง่ายๆ เพราะยอมผ่อนมือออกมาประคองที่ใต้ใบหูทั้งสองข้างของเขาแทน ก่อนจะจรดริมฝีปากลงมาให้แนบแน่นกว่าเดิมและส่งปลายลิ้นเข้ามารุกเร้าภายใน

ลิ้นทั้งสองคลุกเคล้าเข้าด้วยกันจนเสียงขบดูดและเสียงน้ำเฉอะแฉะดังสะท้อนในหู ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด

“ผมว่ากินสปาเกตตีกันได้แล้วนะ เดี๋ยวปากเจ่อจนกินไม่ไหวกันพอดี”

หลังจากผละปากออกมาได้ฐานทัพก็พูดแซว ส่งรอยยิ้มกะล่อนเล็กน้อยไปให้เป็นการปิดท้าย สิบทิศจึงยอมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แล้วเริ่มรับประทานอาหารมื้อนี้

“จริงๆ แล้วนะ”

ระหว่างนั้นฐานทัพก็เริ่มเกริ่นขึ้นมา

“ผมเคยเจอกับเขาเมื่อประมาณห้าปีก่อน คือ...ผมเป็นผู้ชายคนแรกของเขาน่ะ”

ตอนแรกสิบทิศเหมือนจะเพียงแค่หันมาแสดงท่าทีว่ากำลังฟังอยู่ แต่หลังจากได้ยินเช่นนี้ก็หันขวับจนหัวแทบสะบัด

“พี่เขาสงสัยว่าตัวเองสนใจผู้ชายหรือเปล่า ก็เลยให้ผมช่วย แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย อย่างที่พี่รู้นั่นแหละว่าผมไม่เคยนอนกับคนเดิม แต่พี่เขาก็ไม่เคยมาที่ผับนั้นอีกเลยเหมือนกัน คราวนี้มาเจอกันเพราะว่าเขามาซื้อรถ แล้วก็เลยรู้ว่าเขาเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ตอนนี้เริ่มทำงานที่ไทยเลยจะซื้อรถไว้ขับ แล้วบังเอิญมาเข้าโชว์รูมผมพอดี”

“อย่าไปเจอหมอนั่นอีกนะ”

ฐานทัพพูดจบปุ๊บ เสียงของสิบทิศก็ดังปั๊บ ทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ไม่มีอะไรหรอกน่า พี่ภันเขาไม่ได้แสดงท่าทางว่าสนใจผมสักหน่อย”

“จำครั้งก่อนไม่ได้หรือไง”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นครั้งไหน ถึงกระนั้นฐานทัพก็ยังแย้งต่อ

“ใช่ว่าจะเป็นแบบผู้ชายคนนั้นทุกคนเสมอไปนี่นา ไม่ใช่โรคจิตกันทั้งประเทศสักหน่อย”

“ไม่รู้ล่ะ แต่พี่ไม่ชอบให้ฐานไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่เคย...ด้วยกันมาก่อน”

คำสำคัญหล่นหายไปกลางทางเหมือนว่าไม่อยากกล่าวถึง ทว่าโดยความหมายก็ชัดเจนว่าคืออะไร แต่ใช่ว่าฐานทัพจะยอมรับง่ายๆ ขณะเดียวกันก็ใช่ว่าจะปฏิเสธเสียทีเดียว

เขาใช้ความเงียบตัดบท เพราะมีความคิดอยู่ในใจ

เอาไว้เจออีกครั้งแล้วเป็นอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นล่ะ

 

 

แต่ผลจากการเจอกันอีกครั้งกับภันวัฒน์ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางที่ดีเกินคาด

ภันวัฒน์ขับรถไปตามเส้นทางทดลองขับตามกำหนดของทางโชว์รูมโดยมีฐานทัพนั่งไปด้วย ระหว่างทางการสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นจนเหมือนกับว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า และมันก็เป็นความจริงอย่างที่ฐานทัพค้นพบ

ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ทางวาจาจริงๆ

คุยด้วยแล้วสบายใจ ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

“ฐานเห็นถุงที่พี่เอามาใช่ไหม พี่ทำขนมมาให้ด้วยน่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าฐานชอบพวกเบเกอรีหรือเปล่า ยังไงฐานเอาไว้กินกับพวกเพื่อนๆ ที่โชว์รูมนะ”

หลังจากพูดคุยเรื่องสัพเพเหระเหมือนการทักทายตามประสาคนรู้จักไต่ถามสารทุกข์สุกดิบแล้วภันวัฒน์ก็เอ่ยนอกเรื่องขึ้นมา มิหนำซ้ำยังบอกว่าคุยกันแบบเป็นกันเองก็ได้ ฐานทัพจึงพูดด้วยอย่างสบายๆ ตามที่อีกฝ่ายร้องขอ

“เบเกอรีเหรอ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชอบหรือเปล่า เพราะปกติผมไม่ได้กินอะไรพวกนี้เลย”

“ลองกินดูแล้วกัน บางทีอาจจะรู้สึกชอบขึ้นมาก็ได้ ของหวานน่ะทำให้จิตใจผ่อนคลายนะ ช่วยคลายเครียดด้วย”

ใบหน้าของคนพูดมีรอยยิ้มแต้มอยู่จางๆ บ่งบอกให้รู้ว่าชอบสิ่งที่กำลังเอ่ยถึงแค่ไหน ทำให้ฐานทัพรู้สึกติดใจ

“แสดงว่าพี่คงชอบของหวานมากน่ะสิ แถมทำเป็นด้วย”

“อืม พี่เปิดร้านเบเกอรีอยู่น่ะ เป็นอาชีพเสริม”

“เปิดร้านเบเกอรีเป็นอาชีพเสริม?”

ทั้งที่การเปิดร้านขนมน่าจะเป็นงานที่เหนื่อย แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าเป็นอาชีพเสริม ฐานทัพจึงอดแปลกใจไม่ได้

“เป็นการเอาแต่ใจตัวเองของพี่แหละ”

ภันวัฒน์พูดพลางหัวเราะ

“อาชีพหลักเป็นพนักงานโรงแรม แต่ก็เกี่ยวข้องกับพวกอาหารเครื่องดื่มเหมือนกัน”

“ดูขยันทำงานจังเลยแฮะ ผมน่ะขายรถอย่างเดียวยังรู้สึกไม่อยากทำอะไรต่อเลย”

“ของแบบนี้มันอยู่ที่ใจนั่นแหละ ถ้าใจมันอยาก อะไรก็ห้ามไม่ได้หรอก”

รอยยิ้มบนแก้มที่ยังแต้มอยู่นั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าภันวัฒน์พูดออกมาจากใจจริง จนฐานทัพรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่น่าชื่นชมและน่านับถือ

“มันก็จริง จริงๆ ผมเองก็มาทำงานนี้เพราะเก็บเงินเรียนต่อแหละ”

“เหรอ ฐานก็ขยันเหมือนกันนี่นา สนใจจะเรียนต่อด้วย แล้วจะเรียนทางด้านไหนล่ะ”

“ก็บริหารธุรกิจ ผมอยากจะเปิดร้านเล็กๆ ของตัวเอง จะได้อยู่โดยไม่ต้องมีคนมาคอยเป็นเจ้านาย”

เขาพูดแล้วส่งเสียงหัวเราะหึๆ ออกมา

“ประมาณว่าถ้าวันไหนขี้เกียจก็หยุดได้”

“หัวเราะเจ้าเล่ห์เชียวนะเรา”

“เอาจริงๆ ก็คือ ผมเป็นพวกตัวคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็เลยอยากจะลงหลักปักฐานที่มั่นคงให้กับตัวเอง เพราะยังไงก็เป็นเกย์ คงต้องเดียวดายไปทั้งชีวิต ถ้าไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีเงินรักษาตัวเองคงลำบาก”

“แต่ตอนนี้ก็มีแฟนอยู่ไม่ใช่เหรอ”

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มให้มาประทับบนแก้มของฐานทัพได้ เพราะเมื่อหวนนึกถึงเจ้าของตำแหน่งนั้นแล้วก็ทำให้เขารู้สึกว่าความคิดที่เคยมีมามันเปลี่ยนไปแล้ว

“ใช่ครับ เมื่อก่อนผมเคยคิดอย่างนั้นนะ แต่เพราะพี่ทิศทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว ถึงไม่รู้ว่าเราจะคบกันได้ยืนยาวจนกระทั่งแก่เฒ่าหรือเปล่า แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าเราคงไม่เลิกกันในเร็ววันนี้หรอก”

“จะบอกว่ารักกันหวานชื่นว่างั้นเถอะ”

น้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงไว้ด้วยแววหยอกกระเซ้าที่ เต็มไปด้วยความปรารถนาดีอย่างไม่ปิดบัง

ฐานทัพรู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกระลอก เพราะจากคำเตือนของสิบทิศเมื่อวานก็ทำให้เขาเผื่อใจระแวงภันวัฒน์ไว้นิดหน่อยเหมือนกัน แต่ดูท่าว่าจะไม่จำเป็นแล้ว

เขาไม่รู้สึกถึงแววเสแสร้งหรือลับลมคมในอะไรจากผู้ชายคนนี้ทั้งนั้น

“มีคนเคยบอกพี่หรือเปล่าว่าพี่เป็นคนที่พูดจาน่าฟัง ทำให้คนคุยด้วยสบายใจดี”

แม้ว่าจะกลับมายังโชว์รูมแล้วทั้งคู่ก็ยังต่อบทสนทนากัน เสมือนรู้จักกันมายาวนานมากกว่าเพิ่งเคยพบหน้าไม่กี่ครั้ง

ภันวัฒน์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะมุ่นคิ้วเข้าหากันเหมือนพยายามนึก แต่แล้วก็ส่ายศีรษะบอก

“ไม่รู้เหมือนกันสิ น่าจะไม่เคยละมั้ง”

จากนั้นก็ย้อนถามกลับ

“ฐานรู้สึกแบบนั้นเหรอ”

“อืม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ปกติผมไม่เคยเจอคนแบบพี่ด้วยมั้ง พี่คงให้ความรู้สึกเหมือนพี่ชายอะไรแบบนี้?”

ภันวัฒน์หัวเราะเสียงดังหลังจากได้ยินเช่นนั้น และพูดตอบกลับมาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า

“พี่ก็ไม่เคยมีน้องชายด้วยสิ แต่มีน้องสาวสองคนนะ ฐานจะมาเป็นน้องชายของพี่หรือเปล่าล่ะ”

“เอ๊ะ จริงอะ ง่ายๆ แบบนี้เลย?”

“พี่ก็รู้สึกว่าเราถูกชะตากันอยู่นะ”

ความเงียบเกิดอยู่ชั่วครู่

ฐานทัพมองสบนัยน์ตาของอีกฝ่าย ฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้ามาในโชว์รูมหยุดชะงักชั่วคราว

“ผมก็ว่างั้นแหละ”

เสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของฐานทัพ ตามด้วยเสียงหัวเราะนิดๆ ของคนทั้งคู่ รับรู้ได้ถึงความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาสั้นๆ

ประตูกระจกถูกผลักเข้ามา คนทั้งสองก้าวเข้ามาข้างใน ตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่อยู่ด้านหน้า ฐานทัพเอ่ยเข้าเรื่องเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้คุยเรื่องที่เป็นส่วนตัวแม้แต่น้อย

“เรื่องรถ สรุปว่าพี่ภันเอาไง”

“ก็เอาเป็นรุ่นนี้แหละ ตัวท็อป สีเทาดำ”

“พี่จะรับรถช่วงไหนดี ผมจะได้ถามคิวโรงงานให้”

“ภายในเดือนนี้แล้วกัน ฐานลองเช็กวันแล้วบอกพี่อีกทีนะ”

“ได้ๆ”

ฐานทัพรับคำอย่างง่ายๆ ก่อนจะบอกภันวัฒน์ให้ไปนั่งรอระหว่างเขาเตรียมเอกสาร เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จึงค่อยเดินไปหา ดำเนินการเรื่องต่างๆ ทั้งการกรอกเอกสาร อธิบายรายละเอียดต่างๆ และชำระค่ามัดจำ

กระทั่งเสร็จเรียบร้อย ภันวัฒน์ก็ขอตัวกลับ แต่ยังไม่วายเอ่ยถึงของที่นำมาซึ่งถูกวางอยู่บนโต๊ะตรงกลางระหว่างทั้งสองคน

“อย่าลืมกินขนมของพี่ล่ะ ถ้าถูกปากก็ไลน์มาบอกแล้วกัน เดี๋ยวพี่เอามาให้อีก”

“ป๋ามากครับ”

ฐานทัพแซวหน้ายิ้ม ดวงตาเป็นประกายวาววับ

ภันวัฒน์ส่ายศีรษะเล็กน้อยคล้ายอิดหนาระอาใจแต่ก็เคลือบไว้ด้วยแววอ่อนโยน

“พี่ชอบให้คนกินขนมนี่ ชอบอันไหนก็บอกได้ เดี๋ยววันมารับรถพี่เอามาฝาก”

“โอเค ขอบคุณนะพี่”

หลังจากล่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย ภันวัฒน์ก็ออกจากโชว์รูมไป ทว่าสถานการณ์ของฐานทัพกลับตรงกันข้าม เพราะเมื่อลูกค้าจากไปแล้ว พนักงานในโชว์รูมหลายคนก็กรูเข้ามาหาฐานทัพอย่างรวดเร็วจนเกือบตั้งตัวไม่ทัน

“ใครอะ”

“แฟนเก่าเหรอ”

“หรือว่ากิ๊กใหม่”

คำถามถูกรัวยิงเข้ามาไม่ยั้งจนฐานทัพอ้าปากตอบไม่ทัน ต้องรอจนทุกคนรอบตัวพูดจนจบแล้วถึงได้ตอบคำถามแบบรวดเดียวได้

“เป็นแค่คนที่เคยมีอดีตร่วมกันนิดหน่อยเอง พอดีว่าเพิ่งได้เจอกันอีกครั้ง”

“แหม ฐานนี่มีผู้ชายในสต็อกเยอะนะ เหลือๆ ก็แบ่งให้พวกพี่บ้างสิ”

วีรดาเอ่ยแซวหน้ายิ้มๆ พลอยให้คนอื่นยิ้มตามไปด้วย แม้กระทั่งจักรวาลที่ยืนอยู่ห่างๆ ไม่ได้พุ่งเข้ามาประชิดเหมือนสาวๆ ขาเมาท์

“ถึงผมจะเหลือจริงก็คงแนะนำให้พวกพี่ไม่ได้หรอกมั้ง ก็เป็นเกย์กันทั้งนั้นนี่นา”

หลังจากตอบกลับไปเหมือนจะหยอกเย้า เสียงร้องด้วยความเสียดายก็ดังมาตามๆ กัน ว้าบ้าง เสียดายจังบ้าง ก่อนจะวกกลับมาเข้าเรื่องเดิม

“ว่าแต่มีหนุ่มดูดีขนาดนี้มาติดพัน พี่ทิศของฐานจะไม่หึงเอาเหรอ”

ระรินเอาไหล่เข้ามากระแซะพร้อมกับทำสีหน้าแพรวพราววิบวับด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฐานทัพจึงตอบไปเบาๆ ว่าก็หึงไปแล้ว ทำเอาสาวๆ แอบกรี๊ดคิกคักอย่างชอบใจกันเบาๆ

“แหม แต่มันก็น่าหนักใจอยู่นะ คนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์ ดูอบอุ่นแต่ก็ขี้เล่นด้วย แถมบึกบึนรูปร่างดีกว่าพี่ทิศของฐานอีกน้า”

“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย ผมไม่ใช่คนใจง่ายสักหน่อย”

“ก็นั่นสินะ กว่าจะยอมตกลงคบกับพ่อหนุ่มสายเปย์คนนั้นก็โดนตามตื๊อตั้งหลายเดือนเลยนี่นา”

ทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์กันทั้งนั้นจึงพากันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกันใหญ่ ฐานทัพเลยได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ให้กับคำตอบที่อีกฝ่ายแนะนำไว้

“แต่ก็ระวังจะหวั่นไหวล่ะ”

 

 


v



v
หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 8th Lie [18/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 18-03-2020 21:07:12
v






v




เรื่องหวั่นไหวต่อผู้ชายคนอื่นนั้นเห็นทีจะยากสำหรับฐานทัพ เพราะเขาไม่เคยคิดเปิดใจให้ใครสักคน แม้แต่สิบทิศก็ยังต้องผ่านเรื่องต่างๆ มาถึงจะทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองความคิดได้

ถึงกระนั้นเขาก็ชะล่าใจกับคำพูดเตือนนั่นจึงไม่ทันระวังว่าแม้ตนเองจะไม่หวั่นไหว แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าสิบทิศจะเป็นอย่างเดียวกัน

เพราะได้สัมผัสกับความสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาตลอดนับตั้งแต่คบกันมาจนหลงมัวเมาไม่ลืมหูลืมตา

ความสุขเหล่านั้นถักทอขึ้นเป็นความเชื่อใจ เขาเลยไม่เคยสะกิดใจสักนิดว่านับตั้งแต่ที่สิบทิศไม่กลับบ้านครั้งนั้น ตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมาสิบทิศมักจะออกไปค้างข้างนอกบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ

‘พี่ต้องไปเลี้ยงรับรองแขกน่ะ อาจจะไม่ได้กลับนะ’

เขาได้รับฟังเพียงเหตุผลเดียวที่มาพร้อมกับจุมพิตซึ่งเป็นดั่งกาวปิดผนึกริมฝีปากของเขาเอาไว้ โดยไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งวันนี้

“พี่ต้องไปเลี้ยงรับรองแขกอีกแล้วล่ะ คงไม่ได้กลับเหมือนเดิม ขอโทษนะฐาน ช่วงนี้ลูกค้ารายใหญ่เยอะจริงๆ จะไม่ไปก็ไม่ได้”

“อืม ผมเข้าใจน่า พี่ก็อย่าดื่มเยอะนักล่ะ แล้วก็อย่าขับรถด้วย”

ฐานทัพยิ้มให้ด้วยความหวังดีจากใจ สิบทิศเองก็ระบายยิ้มตอบก่อนจะแนบหน้าผากเข้ามาชิดกัน จรดริมฝีปากจูบลงมาที่ปากของเขาจนได้ยินเสียงน่ารักๆ ก่อนจะผละตัวห่างออกไป

“งั้นพี่ไปแล้วนะ ฐานล็อกประตูปิดไฟอะไรให้เรียบร้อยล่ะ”

“รู้แล้วน่า ไม่ต้องห่วงหรอก”

เขาย่นจมูกให้เลยโดยอีกฝ่ายบีบจมูกเบาๆ จากนั้นสิบทิศก็เดินออกจากห้องไป ก่อนออกจากห้องยังไม่ลืมทำปากจู๋ส่งจูบเสียงดังจ๊วบให้อีกรอบให้เขาได้หัวเราะแล้วปิดประตูลง

ทว่าหลังจากสิบทิศออกไปได้ไม่ถึงสองนาที ฐานทัพเพิ่งเห็นว่าสิบทิศวางกระเป๋าเงินทิ้งเอาไว้ ด้วยความหวังดีจึงรีบคว้ามันวิ่งออกจากห้องเพื่อตามเอาไปให้ อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นมาอีกรอบ

เขาวิ่งสุดชีวิตเพราะกลัวว่าจะไม่ทัน ดังนั้นพอเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยจึงเผลอยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ เขาอ้าปากออกจะเรียกเพื่อให้สิบทิศหยุดก่อน แต่เสียงที่ดังให้ได้ยินกลับทำให้เขาต้องเป็นคนหยุดเสียเอง

“เออ กูกำลังไป ไม่เป็นไรน่า ฐานเชื่อง่ายจะตาย”

ทั้งที่ประโยคที่ได้ยินมีแค่นั้น แต่ไม่รู้ทำไมฐานทัพจึงรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา มือค่อยๆ เย็นมากขึ้นและหูเหมือนจะทำงานได้ดีขึ้นด้วย

“เกิดมาเป็นผู้ชายทั้งทีก็ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มสิวะ จะหยุดอยู่ที่คนคนเดียวได้ไง”

ตัวเริ่มสั่นขึ้นมา

“ฐานน่ะกูรักอยู่แล้ว แต่เรื่องบนเตียงมันก็ต้องมีการเปลี่ยนรสชาติ”

ขอบตาร้อนผ่าว

“กูมันโลภมาก ตะกละไง กินยังไงก็ไม่พอ ฮ่าๆๆๆ”

ฐานทัพไม่คิดจะหยุดอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เขาหันหลัง ก้าวเท้าเดินกลับไปยังทางที่ตนเดินจากมา ล้มเลิกเจตนาที่จะตรงเข้าไปหาสิบทิศอย่างสิ้นเชิง

แม้ขาจะอ่อนล้าสักเพียงใด ฐานทัพก็ยังหอบร่างที่เกือบไร้สิ้นเรี่ยวแรงกลับไปถึงห้องได้

หยดน้ำใสๆ ที่กลั่นออกมาจากดวงตาอย่างแทบไม่เคยมีเลยในชีวิตนี้ร่วงเผาะลงมาทีละหยดตามก้าวเดิน หล่นร่วงตามรายทาง ราวกับคนกลัวหลงทางที่ต้องทำสัญลักษณ์ไว้ว่าทางไหนกันแน่คือทางที่ตนควรต้องเดินย้อนกลับมา ทว่าสำหรับฐานทัพแล้ว การเดินย้อนกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่พูดได้อย่างเต็มปากว่า ‘รัก’ เป็นคนแรกในชีวิต เป็นสิ่งที่ยากจะทำได้

เขาวางกระเป๋าเงินในมือลงยังตำแหน่งเดิมแล้วเดินเข้าห้องนอน ทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนกำลัง ได้แต่พิงผนังและกอดเข่าซบหน้าลงไป ให้น้ำตารินไหลออกมาเงียบๆ

ไม่มีเสียงร้องไห้ แต่มันคงเจ็บเสียยิ่งกว่าการกรีดร้องดังๆ

ในอกมันเจ็บไปหมด เหมือนโดนก้อนหินมหึมาทุบ

หัวตื้อไปหมด ได้ยินแต่เสียงคำพูดเดิมวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา

‘ฐานเชื่อง่ายจะตาย’

‘ฐานน่ะกูรักอยู่แล้ว แต่เรื่องบนเตียงมันก็ต้องมีการเปลี่ยนรสชาติ’

‘กูมันโลภมาก ตะกละไง’

ไม่อยากเชื่อเลยสักนิดว่านั่นจะเป็นคำพูดของคนที่เคยบอกว่ารักเขานักหนา พยายามเพื่อให้เขาตอบรับรัก และเคยช่วยเหลือดูแลเขาอย่างดีมาตลอด

เวลาทำให้คนเปลี่ยนไป

หรือว่าเวลาทำให้คนกลับกลายเป็นเหมือนเดิมกันแน่?

ความรักทำให้คนเราเจ็บได้ขนาดนี้เลยเหรอ...

มันเป็นสิ่งที่ควรแล้ว ถูกต้องแล้วที่เขาเคยเลือกที่จะรักใคร หรือเขาตัดสินใจผิดต่างหากที่ยอมเดินเข้ามาในโลกที่ไม่เคยรู้จักใบนี้?

เสียงสะอื้นดังขึ้นมาเหมือนจะขับกล่อมให้ใจที่แหลกสลายคลายความปวดร้าว ทว่ามันมีแต่จะเพิ่มความรวดร้าวให้มากขึ้นเสียมากกว่า

แกร๊ก

เสียงประตูจากด้านนอกดังลอดเข้ามา ฐานทัพตัวเกร็ง กอดร่างตนเองแน่นกว่าเดิม สองหูเงี่ยฟังเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง ไม่มีเสียงเรียก ไม่มีเสียงใดๆ นอกเหนือไปจากนั้น

ไม่มีเสียงทักทายกันเมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง หรือบอกกล่าวเหตุผลของการกลับมา

มีแต่ความเงียบงัน...

เสมือนว่าเขาไม่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้

เสมือนว่าเขาเป็นสิ่งไม่จำเป็น ไม่มีตัวตน

ความวังเวง โดดเดี่ยว และเปลี่ยวเหงาในใจโถมกระหน่ำเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า

ฐานทัพได้แต่กัดริมฝีปากเอาไว้ไม่ให้เสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาแม้รู้ว่าคนที่อยู่อีกฟากของประตูคงไม่มีทางได้ยิน

จวบจนกระทั่งเสียงปิดประตูหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง เสียงสะอื้นที่กักเก็บเอาไว้และน้ำตาก็ถาโถมออกมาเหมือนอะไรบางอย่างในร่างกายพังทลายลงจนไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกใดๆ ได้อีกต่อไป

เจ็บ...

 



หัวข้อ: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 9th Lie [20/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 20-03-2020 21:48:42















9th Lie

เมื่อไรจะพอสักที


 

ลืมตาขึ้นอีกครั้งฐานทัพก็รู้สึกว่าปวดกระบอกตาและเจ็บร้าวไปหมด เขาไม่รู้และจำไม่ได้ว่าตนเองร้องไห้อยู่นานแค่ไหนและหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ที่รู้ในเวลานี้มีเพียงอย่างเดียว

เช้าแล้วแต่สิบทิศก็ยังไม่กลับมา

เพียงแค่เห็นเตียงนอนที่ว่างเปล่าไร้เงาของคนที่เคยนอนกอดอยู่ข้างกายมาตลอดก็ดูเหมือนจะทำให้ทำนบน้ำตาพังทลายอีกครั้ง

เขากัดริมฝีปาก รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อยันร่างขึ้นมา

ไม่ว่าจะปวดร้าวสักเพียงใด เขาก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไปอยู่ดี

น่าตลกสิ้นดี

ด้วยสภาพเช่นนั้นย่อมแน่นอนอยู่แล้วว่าจะเป็นที่ตื่นตกใจของคนในโชว์รูม

ฐานทัพได้แต่ยิ้มแหยๆ บอกว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับ และอาจเพราะเขาเสแสร้งยิ้มเก่งเกินไปก็เป็นได้ถึงทำให้มีคำแซวดังออกมาจากหลายคนพร้อมรอยยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ย ใจความเดียวกันคือ

“เมื่อคืนโดนรังแกหนักล่ะสิ”

หลังได้ยินอย่างนั้นเขาก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนยิ้มทั้งที่ในใจปวดร้าวเหลือคณาและกำลังมีน้ำตาหลั่งริน

“เอานี่ไปประคบหน่อยแล้วกัน”

จักรวาลที่แสนใจดียื่นผ้าขนหนูที่มีลักษณะเหมือนลูกประคบมาให้ พอจับดูก็รู้ว่ามีก้อนน้ำแข็งอยู่ข้างใน

เขายิ้มขอบคุณที่อีกฝ่ายยังคงดีต่อเขาเสมอมา ทั้งที่เคยเกิดเรื่องผิดใจกันแต่ก็ให้อภัยอย่างง่ายดายสมกับเป็นผู้ใหญ่

“ไปนอนพักตรงนู้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวถึงคิวฐานแล้วพี่จะเรียก”

พนักงานขายจะถูกจัดคิวเพื่อรอต้อนรับลูกค้าไม่ให้ด้านหน้าดูวุ่นวายจนเกินไป ดังนั้นจึงพอมีเวลาให้เขาได้ทำให้ตาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น

ถ้าไปพบลูกค้าด้วยสภาพย่ำแย่แบบนี้คงเสียภาพลักษณ์แบรนด์รถน่าดู

“ขอบคุณทุกคนครับ งั้นผมขอไปพักหน่อยนะ”

ทุกคนโบกมือพลางยิ้มให้ด้วยความเต็มใจ

เมื่อเห็นภาพนั้นแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าในโชว์รูมแห่งนี้มีแต่คนดีๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ถึงขนาดสนิทสนมพอจะพูดคุยเรื่องส่วนตัวอะไรได้มากมาย เพราะไม่อยากเอาตัวเองไปผูกกับใครมากจนเกินไป แต่ก็รู้สึกดีที่ได้รับความปรารถนาดีเหล่านี้

ถ้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ก็คงดี

เขาคงสนิทกับพวกพี่ๆ มากกว่านี้

 

 

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ตลอดสองเดือนจนในที่สุดก็ความแตกกับพี่ๆ ในโชว์รูม ถึงกระนั้นสิบทิศกลับไม่เคยรู้เลยว่าแม้ฐานทัพจะรู้อยู่เต็มอกว่าเบื้องหลังที่แท้จริงของการออกไปค้างข้างนอกคืออะไร เขาก็ทำเหมือนไม่รู้

เขาอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่สิบทิศไม่เคยเปิดปากพูดออกมาสักครั้ง

น้ำตาไหลเอ่อออกมาทุกคราวที่ได้ฟังข้ออ้างเดิมโดยที่สิบทิศไม่รู้เลยว่าเขาปวดร้าวและเสียน้ำตามากแค่ไหน

ไม่ยอมชินเสียที ไม่ด้านชาสักที

เมื่อคืนก็เช่นเดียวกันที่สิบทิศออกไปค้างข้างนอกและกลับมาเมื่อไรไม่รู้

ฐานทัพรู้แต่เพียงว่า...ยิ่งนานวัน จากการค้างข้างนอกเพียงคืนเดียวก็เปลี่ยนเป็นสองคืนสามคืนติดต่อกัน และทุกครั้งที่กลับมาสิบทิศจะเข้ามากอดเขา ขอโทษเขาที่สักแต่ทำงาน มีเวลาอยู่ด้วยน้อยลง

‘พี่รักฐานนะ ขอโทษนะครับที่งานยุ่งตลอดเลย ช่วงนี้ต้องเปิดดีลใหม่น่ะ’

ทำเหมือนว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมทั้งที่มันไม่เหมือนเดิม

ยิ่งทำให้เขาทรมานจนเหมือนจะขาดใจ หายใจไม่ออก

[เลิกงานวันนี้ฐานว่างหรือเปล่า]

ตอนพักเที่ยงมีโทรศัพท์เข้ามาจากภันวัฒน์

หลังจากมารับรถตามกำหนดเมื่อประมาณสี่เดือนที่แล้วก็มีการติดต่อพูดคุยกันบ้างเป็นพักๆ และเขาก็ยิ่งพบว่าการคุยกับผู้ชายคนนี้ทำให้รู้สึกดีมากจริงๆ

ความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชายเพิ่มพูนขึ้นมากอย่างคาดไม่ถึง

ทั้งที่เขาไม่ใช่คนที่จะเปิดรับใครหรือพูดคุยเรื่องส่วนตัวกับใครได้ง่ายๆ ถึงแม้ตัดสินใจแล้วว่าจะลองคุยกับภันวัฒน์ให้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ด้วยดีมากขนาดนี้

“ก็...น่าจะว่างนะ”

ฐานทัพลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป เพราะไม่แน่ใจว่าหลังเลิกงานในวันนี้จะเป็นอย่างไร

สิบทิศจะมารับเขาเหมือนเดิม หรือว่า...

หลังจากคิดได้อย่างนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าอย่ารอคอยคำตอบจะดีกว่า

[ถ้างั้นไปกับพี่ไหม]

“ไปไหน”

[ฮ่าๆ คำถามดูข้องใจจังนะ]

เพียงแค่เสียงหัวเราะที่ดังลอดมาจากปลายสายก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้แล้ว

[พอดีว่าพี่จะไปดินเนอร์โรงแรมหรูๆ เลยหาเพื่อนไปสักหน่อย จะไปด้วยกันได้ไหมครับ]

“พูดเพราะเชียว กลัวผมปฏิเสธเหรอ”

บรรยากาศที่ถูกสร้างขึ้นมาในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนั้นทำให้ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

รอยยิ้มติดแก้มอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเบาใจอย่างบอกไม่ถูก

[นั่นน่ะสินะ พอดีว่าฐานเป็นหนุ่มฮอตซะด้วย]

“ใช่ที่ไหนเล่า”

เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“แล้วทำไมมาชวนผมล่ะ”

[ก็ไปกินคนเดียวมันดูน่าสงสารเกินไปนี่นา เรื่องงานน่ะ]

เขาคราง “อ๋อ” ออกมาทันทีหลังจากได้ยินเหตุผล เพราะภันวัฒน์เคยบอกไว้แล้วว่าอาชีพหลักคือผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมชื่อดัง

“จะไปเป็นสปายว่างั้น”

[อยากเป็นด้วยกันไหมล่ะ]

“เอาสิ”

ฐานทัพหัวเราะอีกครั้งก่อนจะรับฟังช่วงเวลาที่อีกฝ่ายจะมารับและตัดสายด้วยคำว่า “แล้วเจอกัน” แบบง่ายๆ พลางรู้สึกว่าดีที่ภันวัฒน์ชวนเขา เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องรอลุ้นว่าเย็นนี้จะต้องผิดหวังเสียใจหรือเปล่า

 

 

เมื่อถึงเวลาเลิกงานภันวัฒน์ก็มารับตามที่บอกไว้ ซึ่งทันทีที่ขึ้นรถอีกฝ่ายก็หันหน้ามามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาให้ต้องชะงัก

“ร้องไห้มาเหรอ”

“เอ๊ะ เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”

ฐานทัพประหลาดใจ เพราะพวกพี่ๆ ในโชว์รูมต่างบอกกันว่าโอเคแล้ว อย่างมากก็ดูเหมือนเมื่อคืนนอนน้อยทำให้ตาดูบวมแดงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คิดไปว่าเหมือนคนร้องไห้หนักมา

“แค่สงสัยเฉยๆ น่ะ”

ภันวัฒน์ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรสลักสำคัญแล้วออกรถไปยังจุดหมาย ระหว่างทางก็ไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มเติมทั้งที่รู้แน่ชัดแล้วว่าเขาร้องไห้มาจริงๆ

กระทั่งมาถึงโรงแรมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งก็เอ่ยปากชวนว่าไปกัน แล้วเดินนำ ขณะเดียวกันก็เหมือนกับเดินรอเขาอยู่ในที ระยะห่างแทบไม่ต่างกันเลยสักนิดจนเหมือนเดินเคียงกันไปด้วยซ้ำ ทำให้ฐานทัพรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก พอไปถึงโต๊ะในห้องอาหาร ฐานทัพจึงถามขึ้นมาทันที

“พี่ดูเชี่ยวชาญสุดๆ ไปเลยนะ ทั้งที่เดินนำแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกว่าเหมือนโดนนำหน้าอยู่เลย”

ภันวัฒน์หัวเราะเบาๆ เหมือนกำลังเอ็นดูเขา ก่อนจะตอบออกมา

“ก็เป็นมืออาชีพนี่นา”

ถึงกระนั้นเขาก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มไม่ใช่เหรอ ผู้จัดการฝ่ายนี้ต้องมาเดินนำทางลูกค้าด้วยหรือ

หลังจากถูกถามว่าสั่งอะไรดีเมื่อพนักงานนำเมนูมาให้ เขาก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะราคาแต่ละอย่างทำให้กระเป๋าเงินของพนักงานกินเงินเดือนที่ต้องพยายามเก็บเงินเพื่ออนาคตเบาเอาได้ง่ายๆ

“พี่จ่ายเองไม่ต้องห่วง เลือกอันที่อยากกินได้เลย”

ภันวัฒน์หัวเราะเบาๆ อีกครั้งช่วยให้สบายใจขึ้น

ฐานทัพถามซ้ำว่าแน่นะ เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่เป็นภาระหรือปัญหา

ภันวัฒน์ก็พยักหน้าตอบกลับมาอย่างเต็มปากเต็มคำ “แน่สิ” ก่อนจะหันไปสั่งอาหารสำหรับตัวเองแล้วหันมาถามเขาว่าเอาไวน์ด้วยไหม

ในเมื่อถูกถามแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะตอบว่าเอา เพราะโอกาสได้ดื่มไวน์ที่มีฉลากหรูหราไม่ใช่ว่าจะมาง่ายๆ ถึงจะเคยดื่มมาบ้างหลังจากคบหากับสิบทิศ แต่ก็แค่ไม่กี่ครั้ง

“เดี๋ยวตอนกลับพี่ขอให้ฐานช่วยคอมเมนต์ด้วยได้หรือเปล่า เรื่องบรรยากาศ บริการ รสชาติ”

“เป็นค่าอาหารเหรอ”

เมื่อฐานทัพถามหยอกเล่นหูเล่นตายียวน ภันวัฒน์ก็ยักไหล่ด้วยรอยยิ้มอีกจนเขาอดถามไม่ได้จริงๆ

“ทำไมพี่ยิ้มเก่งจัง แถมมีบรรยากาศสบายๆ ตลอดเลย อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจดีเนอะ”

“เพราะเลี้ยงน้องสาวมาตั้งแต่เด็กๆ มั้ง เด็กผู้หญิงไม่ชอบให้ทำหน้ายักษ์ใส่ใช่ไหมล่ะ แถมยังทำงานด้านบริการด้วย ถึงจะไม่ได้อยู่เบื้องหน้าแบบเต็มตัว แต่อยู่เบื้องหลังก็ต้องเจอพนักงานเยอะแยะ ถ้าหน้าตาไม่ยิ้มแย้มดูเป็นมิตร คนที่ทำงานด้วยก็กระอักกระอ่วนหรืออึดอัดใจแล้วก็ทำงานอย่างไม่มีความสุขใช่ไหมล่ะ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นก็จะทำให้พวกพนักงานทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพด้วย อีกอย่างนะพี่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรีที่ต้องเจอลูกค้าเยอะๆ นี่นา”

คำตอบที่สมเป็นผู้ใหญ่เหลือเกินนั้นทำให้ฐานทัพรู้สึกทึ่งจริงๆ

คนอะไรทำให้รู้สึกว่าเป็นที่พึ่งได้ขนาดนี้...

ด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้านั้นก็ส่งผลให้ฐานทัพเปิดปากเล่าเรื่องราวของตนเองหลังจากขึ้นรถของภันวัฒน์ในขากลับ

บอกเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เขาต้องเสียน้ำตามาตลอดหลายเดือน

“พี่ว่าฐานน่าจะพูดออกไปนะ อย่าเก็บเอาไว้เลย ให้เขารู้บ้างว่าฐานรู้สึกแบบไหน ทนอยู่แบบนี้ฐานได้ประโยชน์อะไรเหรอ”

“ผมก็เคยคิดนะว่าอยากจะพูดออกไป แต่ว่ามันพูดไม่ออก”

“คิดถึงความรู้สึกของตัวเองสิครับ พี่เชื่อว่าฐานทำได้”

มือที่จับพวงมาลัยรถอยู่เอื้อมมาโยกศีรษะของฐานทัพเบาๆ อย่างให้กำลังใจ รอยยิ้มบางๆ ส่งมาให้เพียงชั่วครู่ก่อนภันวัฒน์จะหันกลับสนใจถนนด้านหน้าต่อ

‘ทนอยู่แบบนี้ฐานได้ประโยชน์อะไรเหรอ’

‘พี่เชื่อว่าฐานทำได้’

สองประโยคนี้ทำให้ฐานทัพรู้สึกฮึกเหิมขึ้นในใจ ดังนั้นเมื่อกลับไปที่ห้องและพบว่าสิบทิศอยู่ที่นั่นเขาจึงรวบรวมความกล้าที่จะพูดออกไป ทว่าพอสิบทิศเห็นเขาก็เอ่ยปากออกมาก่อน

“พี่ขอโทษนะฐานที่ไม่ได้ไปรับ พอดีว่าพี่ต้องรีบกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ เดี๋ยวก็ต้องออกไปอีกแล้ว”

ทั้งที่เมื่อคืนไม่ได้กลับมาแท้ๆ แต่ตอนนี้กำลังจะออกไปอีกแล้ว

ความรู้สึกหลากหลายปะทุขึ้นมาในใจจนเขาแยกแยะไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามันเป็นความรู้สึกอะไรบ้าง ปากจึงพลั้งพูดออกมาตามความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ

“เมื่อไรจะพอสักที!”

สิบทิศชะงักไปทันทีพลางมองหน้าเขาอย่างตกใจและประหลาดใจ

ฐานทัพรู้สึกปากของตนเองสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ สองมือกำแน่น

“พี่คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าพี่ทำอะไรลับหลังผม”

สีหน้าของสิบทิศที่ดูตกใจในตอนแรกดูตกใจยิ่งขึ้นไปอีก คงเพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะรู้ทัน ถึงได้ถามออกมาเสียงแผ่วเบาอย่างไม่เข้าใจ

คล้ายกับจะหยั่งเชิงว่าเขารู้จริงหรือ

“พี่...ทำอะไร”

“ยังต้องให้ผมพูดอีกเหรอ พี่น่าจะรู้แก่ใจดีนะ”

เขาเห็นเหมือนสิบทิศกลืนน้ำลายลงคอ นั่นทำให้เขารู้สึกว่ามีก้อนขมปร่าเกือบจะล้นออกมาจากปากเช่นกัน แต่ทันใดนั้นทั้งร่างก็ถูกสิบทิศรวบเข้าไปกอด

“ฐาน พี่ขอโทษครับ พี่ขอโทษจริงๆ นะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น”

หลังจากได้ฟังคำพูดนี้แล้ว คำพูดที่เคยได้ยินกับหูตัวเองในคราวนั้น คำพูดร้ายกาจที่เหมือนไม่เห็นคุณค่าเขาเลยสักนิดนั่นย้อนกลับมาทำให้เจ็บปวดอีกครั้ง

ปากเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบากเพราะเอาแต่สั่นไม่หยุด

“ไม่ตั้งใจ? พี่พูดคำนี้ได้ด้วยเหรอ กล้าพูดคำนี้ได้ยังไง!”

“ฐาน พี่ขอโทษนะครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ มันเป็นอุบัติเหตุ”

สิบทิศลนลานรีบแก้ตัว ยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกราวกับว่าหากปล่อยมือออก คำพูดของตนจะไร้น้ำหนักตามไปด้วย แต่มันกลับทำให้ฐานทัพยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีก

“อุบัติเหตุนับครั้งไม่ถ้วนเหรอ พี่คิดว่าผมโง่หรือไงกัน”

“ครั้งแรกมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ หลังจากนั้นมาพี่ก็เลยเผลอตัว พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ดีเอง ฐานยกโทษให้พี่นะ พี่จะไม่ทำอีกแล้ว นะครับคนดี เชื่อใจพี่นะ พี่สัญญาจริงๆ พี่รักฐานคนเดียวนะ”

ฐานทัพกัดริมฝีปากแน่น พยายามควบคุมความรู้สึก ตรึกตรองอยู่ในใจว่าตนควรจะทำอย่างไรดี แต่คำพูดสุดท้ายของสิบทิศกลับทำให้ความคิดต่างๆ ที่เคยรวมกลุ่มถูกพัดกระจัดกระจายหายไปในฉับพลันจนเขานึกอะไรไม่ออก

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เห็นใบหน้าของสิบทิศอยู่ตรงหน้าแล้ว ดวงตาคู่นั้นจ้องมองลงมา แสดงถึงความรู้สึกว่ากำลังรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

รักเขาจริงๆ และรู้สึกผิดจากใจจริงๆ

เมื่อเห็นเช่นนี้ฐานทัพก็ยากจะปฏิเสธออกมา ได้แต่ถามเสียงอ่อนแรง

“แน่ใจนะว่าพี่จะไม่ทำอีกแล้ว”

“แน่ใจครับ สัญญาเลยครับ พี่รักฐานที่สุดเลยนะ ขอบคุณนะครับที่ยอมยกโทษให้พี่”

หลังสิ้นเสียงริมฝีปากของสิบทิศก็ประกบลงมาอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ เล็มชิมริมฝีปากของฐานทัพที่หยุดสั่นลงแล้วแต่คงยังเม้มแน่นอยู่ เซาะไซ้อย่างฉอเลาะอยู่สักพักในที่สุดฐานทัพก็หมดแรงต้านทาน ยอมเผยอปากออกให้ลิ้นร้อนๆ เข้ามาเกี่ยวกระหวัดข้างใน

มืออุ่นๆ ที่กอดรัดอยู่ด้านหลังลูบไล้ไปบนแผ่นหลังก่อนจะสอดเข้าไปใต้เนื้อผ้าของเสื้อเชิ้ตบางๆ คงเพราะผ่านสนามรักร่วมกันมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง สิบทิศจึงจับจุดอ่อนของฐานทัพได้ในเวลาอันรวดเร็ว ลูบวนอยู่บนหลังไม่กี่ครั้ง ประกบจูบดูดเม้มที่ริมฝีปากและใช้ลิ้นโอบกอดกันและกันไม่กี่ทีฐานทัพก็อ่อนโอน

ไม่ต้องใช้วัจนภาษาใดๆ สิบทิศก็ช้อนตัวฐานทัพอุ้มขึ้นและตรงไปยังห้องนอน

ร่างของฐานทัพถูกวางลงบนที่นอนเบาๆ ราวกับทะนุถนอมของล้ำค่าเหลือเกิน

ริมฝีปากของสิบทิศไล่พรมจูบลงมา ทั้งหน้าผาก แก้ม จมูก คาง แล้วจรดที่ริมฝีปาก ถ่ายทอดความเร่าร้อนที่ก่อกำเนิดขึ้นภายในร่างสู่กันและกันก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาขบเม้มที่ต้นคอ ขณะที่มือก็เริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์คลุมกายออกอย่างไม่รั้งรอ

“พี่รักฐานนะ”

เสียงกระซิบพร่ำบอกซ้ำๆ ที่ข้างหูสลับกับการลิ้มชิมรสชาติบนอกทำให้ทั้งร่างของฐานทัพซ่านกระสัน

เขาโอบรอบคอของสิบทิศเอาไว้แล้วกระซิบตอบกลับไป

“ผมก็รักพี่ แต่พี่อย่าทำแบบนั้นอีกนะ ผมเสียใจจริงๆ”

“ครับคนดี พี่ขอโทษนะ จะไม่ทำให้ฐานเสียใจอีกแล้ว”

 

 

นับจากวันนั้นเป็นต้นมาสิบทิศก็ปฏิบัติตัวกับเขาดีเหลือเกิน คอยไปรับไปส่งที่โชว์รูมอยู่เสมอจนถูกรุ่นพี่ร่วมงานแซวกันขรมว่าเปิดโปรใหม่หรือยะ เพราะก่อนหน้านี้สิบทิศมักไปค้างข้างนอกบ่อยๆ จึงแทบไม่ได้ไปรับไปส่งเขาเลย

คำแซวเหล่านั้นทำให้ฐานทัพรู้สึกหัวใจกระชุ่มกระชวยราวกับได้ย้อนกลับไปตอนที่เริ่มคบหากันใหม่ๆ อีกครั้ง

‘เป็นยังไงบ้าง’

วันหนึ่งมีข้อความส่งเข้ามาจากภันวัฒน์ เพราะมัวแต่อยู่กับสิบทิศจนฐานทัพลืมไปแล้วว่าภันวัฒน์อาจจะรอความคืบหน้าจากเขาอยู่ก็เป็นได้ เมื่อได้รับข้อความนั้นมาจึงรู้สึกผิดอยู่ในใจเล็กน้อย

‘ขอโทษนะพี่ที่ไม่ได้ติดต่อไปเลย’

‘แบบนี้แสดงว่าราบรื่นดีอยู่ใช่ไหม’

‘อืม ก็แบบนั้น เพราะพี่เลยแหละที่บอกให้ผมพูดออกมา’

‘งั้นก็ดีแล้ว’

สติกเกอร์ยิ้มแฉ่งถูกส่งมาให้ ก่อนจะมีข้อความส่งต่อมาอีก

‘ยินดีด้วยนะ’

‘ผมขอบคุณพี่มากเลยล่ะ เอาไว้เดี๋ยวหาสักวันผมเลี้ยงข้าวพี่เป็นการตอบแทนดีกว่า’

‘ไม่ต้องก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย แค่รู้ว่าฐานกลับมามีความสุขดีก็ดีแล้ว’

อ่านประโยคนั้นแล้วฐานทัพก็อดหลุดยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ

ประโยคหนึ่งทะลุทะลวงจากหัวใจขึ้นมาสู่สมองจนทำให้มือพิมพ์มันออกมาโดยไม่รู้ตัว

‘พ่อพระมาก’

‘แปลว่าพี่เป็นโยมพ่อใช่ปะ’

ฐานทัพหลุดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างควบคุมไม่อยู่

สิบทิศที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นถึงกับตะโกนถามเข้ามาในห้องนอนว่ามีอะไร ฐานทัพจึงได้แต่ตอบ “เปล่าๆ” แล้วส่งข้อความหาภันวัฒน์ต่อ

‘เล่นมุกซะคาดไม่ถึงเลย ผมหัวเราะลั่นห้องเลยเมื่อกี้’

‘พอดีนึกขึ้นมาได้น่ะ แสดงว่าพี่ก็เอาดีทางตลกได้อยู่เหมือนกันนะ’

อ่านประโยคนี้แล้วฐานทัพก็อดไม่ไหว ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองทำปากยื่นตาปรือส่งไปให้

พอตัวอักษรขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ สักพักก็มีไฟล์เสียงส่งมา

[ดีจริงๆ ที่เห็นฐานทำหน้าแบบนี้ได้ ถ้ามีปัญหาอะไรอีกก็บอกพี่ได้เลยนะ พี่ยินดีรับฟัง]

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลราวกับกำลังประประโลมกันที่ได้ยินนั้นอบอุ่นมากจนจับขั้วหัวใจเลยทีเดียว ฐานทัพยิ้มออกมาก่อนจะกดส่งไฟล์เสียงกลับไปด้วย

“ขอบคุณพี่มากเลยนะ พอรู้ว่ามีพี่คอยอยู่ด้านหลังแล้วอุ่นใจยังไงไม่รู้”

เขาไม่คิดจริงๆ ว่าในชีวิตนี้จะได้รับความรู้สึกแบบนี้จากใครสักคน ทั้งที่เคยถูกทอดทิ้งมาตลอดและยังเคยถูกคนรักทำร้ายมาครั้งหนึ่งแต่กลับได้รับความอ่อนโยนแบบนี้

‘อย่ามาตกหลุมรักเชียวนะ เดี๋ยวพี่จะโดนฆาตกรรมเอา’

ข้อความถูกส่งกลับมาเป็นตัวหนังสืออีกครั้ง ฐานทัพกดส่งตัวเลขห้ากลับไปยาวเหยียด เพราะเคยเล่าเรื่องสิบทิศให้ฟังมาก่อน ภันวัฒน์จึงรู้ดีว่าสิบทิศเป็นคนขี้หึงมากแค่ไหน

‘เออพี่ เดี๋ยวผมจะออกจากงานแล้วนะ’

‘เรียนต่อเหรอ’

‘อือ บอกเผื่อไว้ก่อน เดี๋ยวพี่เอาขนมไปให้แล้วไม่เจอ’

บางครั้งภันวัฒน์ก็นึกครึ้มเอาขนมไปแจกที่โชว์รูมจนถูกพวกพนักงานเรียกว่า ‘หนุ่มสายเปย์เบอร์สอง’ ฐานทัพจึงต้องบอกความคืบหน้าของตัวเองไว้ก่อน

‘โอเคครับ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะพี่จะได้ชวนฐานเข้าโรงแรมตอนกลางวันได้บ่อยๆ’

‘พูดจาส่อมากอะ’

“ฐาน ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ออกมาสักที”

หลังกดส่งข้อความนั้นแล้วเสียงของสิบทิศก็ดังมาพร้อมกับร่างที่ปรากฏขึ้นตรงประตูห้องนอน พอเห็นว่าผมของฐานทัพยังมีน้ำหยดลงมาอยู่ก็ส่ายศีรษะแล้วเดินเข้ามาใกล้ คว้าผ้าขนหนูที่ถูกวางทิ้งไว้บนตักของฐานทัพขึ้นมาแล้วนั่งลงข้างกันเพื่อเช็ดผมให้

“คุยกับพี่ภันอยู่”

“พี่ภัน? ...อีกแล้วเหรอ”

สิบทิศทวนชื่อนั้นเหมือนพยายามนึกว่าอีกฝ่ายเป็นใครก่อนทำหน้ายู่ไม่พอใจ ฐานทัพจึงทิ้งโทรศัพท์ลงบนที่นอนแล้วหันมาประกบมือทั้งสองข้างที่แก้มของสิบทิศ

“แค่บอกเขาว่าผมจะออกจากงานแล้ว”

“เขาจะได้ไม่มาวอแวกับฐานอีกสินะ”

น้ำเสียงของสิบทิศติดอารมณ์ไม่พอใจอยู่กรุ่นๆ สีหน้าก็ยับย่นแสดงอารมณ์อย่างที่สุด

ฐานทัพเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา รู้สึกยินดีที่ได้เห็นว่าสิบทิศแสดงอาการไม่พอใจอย่างนี้

เพราะนั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าเขายังคงเป็นที่รักอยู่ และเขาก็ชอบมากๆ

“พรุ่งนี้ผมจะไปลงทะเบียนเรียน ป.โท แล้วนะ”

“เฉไฉเฉยเลยนะ แบบนี้ต้องโดนลงโทษ”

สิบทิศเปลี่ยนมาทำเสียงโหดก่อนจะผลักฐานทัพลงบนเตียงอย่างเร็วพลัน ทำให้เสียงหัวเราะเปล่งดังออกมาจากปากฐานทัพได้ในวินาทีนั้น

มีความสุขจัง มีความสุขจริงๆ

 





v



v
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 9th Lie [20/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 20-03-2020 21:49:35
เนื่องจากวันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้าย ทุกคนในโชว์รูมเลยลงความเห็นว่าจะเลี้ยงส่งน้องเล็ก ช่วงพักเที่ยงฐานทัพจึงโทรศัพท์ไปบอกสิบทิศว่าวันนี้ไม่ต้องมารับ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ทำให้ฐานทัพต้องชะงักไป

[พอดีเลย พี่ก็กำลังจะบอกฐานว่าคืนนี้พี่ต้องไปงานเลี้ยงฉลองปิดดีลเหมือนกัน]

ทั้งที่ผ่านมาเดือนกว่าสถานการณ์เงียบสงบมาโดยตลอดทำให้เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องเก่าๆ แต่เมื่อได้ฟังฐานทัพก็อดนึกถึงมันไม่ได้

เขาเม้มปากแน่น รู้สึกมือเย็นขึ้นมาฉับพลัน

“งานเลี้ยงฉลองปิดดีลจริงๆ ใช่ไหม”

แม้ไม่อยากถามออกไปแบบนี้ แต่เขาก็ทำใจให้สงบแล้วปล่อยผ่านไปไม่ได้

เขาอาจจะกลายเป็นคนขี้ระแวงไปแล้วก็ได้

[พี่บอกฐานแล้วไงว่าไม่มีอีกแล้ว เป็นงานเลี้ยงที่แผนกจัดขึ้นจริงๆ สัญญาเลยว่าเดี๋ยวจะกลับไปกอดฐานแน่นๆ]

สัญญาที่ถูกยกขึ้นมาย้ำอีกครั้งทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งในใจเหมือนกับโดนก้อนตะกั่วถ่วงเอาไว้เริ่มเบาลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่สามารถตอบอย่างอื่นได้

“เข้าใจแล้ว”

เขาจะเชื่อคำพูดของสิบทิศ

เชื่อใจสิบทิศ

สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงเท่านั้น

“อย่าคิดมากงี่เง่าไปเลย”

หลังจากวางสายไปฐานทัพก็ตำหนิตัวเองเช่นนั้น และตอกย้ำคำพูดนั้นเอาไว้ในใจตลอดจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน

พวกรุ่นพี่ทั้งหลายต่างครึกครื้นเฮละโลไปร้านอาหารกึ่งผับ สั่งอาหารและเครื่องดื่มกันอย่างไม่เกรงกลัวว่าขากลับจะกลับอย่างไรทั้งที่ขับรถมา เดี๋ยวก็ชนแก้วๆ กอดคอเขาพร้อมอวยพรให้

“โชคดีนะไอ้น้อง อย่าลืมกลับมาเยี่ยมกันบ้าง”

“ตั้งใจเรียนล่ะ ขอให้แฮปปี้กับแฟนไปน้านนาน”

ฐานทัพยิ้มรับคำอวยพร แต่ประโยคท้ายนั้นทำให้เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็คาดหวังให้เป็นอย่างคำอวยพรของรุ่นพี่

“พี่ซื้อของมาฝากด้วย”

จักรวาลยื่นถุงกระดาษมาให้

ฐานทัพเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้รับของขวัญเนื่องในวันลาออกจากงานด้วย

“อะไรอะ”

ทั้งที่เอ่ยปากถาม แต่มือก็เปิดถุงออกดูข้างใน เมื่อเห็นสิ่งของแล้วก็เกือบจะหัวเราะออกมาพลางหยิบมันขึ้นมาดูด้วย

“นี่พี่เห็นผมเป็นเด็กมัธยมเหรอถึงซื้อเครื่องเขียนให้เนี่ย”

“เอ้า ก็ฐานจะไปเรียนต่อนี่นา เลยต้องซื้อของที่ได้ใช้ จะได้ไม่เสียของ”

คำอธิบายหรืออาจจะเป็นคำแก้ตัวทำให้ทั้งโต๊ะฮาก๊ากส่งเสียงโห่กันใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นฐานทัพก็เอ่ยขอบคุณสำหรับดินสอและปากกาไฮไลต์ เพราะอย่างน้อยจักรวาลก็มีเจตนาดีและมอบให้ด้วยความจริงใจ

สุดท้ายขากลับเกือบทุกคนก็ต้องเรียกแท็กซี่กลับบ้านกันแล้วทิ้งรถไว้ที่ร้าน เพราะสภาพไม่ค่อยน่าดูเท่าไร มีรุ่นพี่ที่ถึงกับอาเจียนออกมาเพราะดื่มมากเกินไป จนฐานทัพอดถามไม่ได้ว่าพรุ่งนี้จะทำงานไหวเหรอ

ฐานทัพเองก็นั่งแท็กซี่กลับมาที่คอนโดฯ ของสิบทิศเช่นกัน ความบันเทิงที่พวกพี่ๆ ในโชว์รูมช่วยสร้างทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ไม่ค่อยกังวลเรื่องสิบทิศมากเท่าไรแล้ว ทว่าเมื่อเดินเข้าใกล้ห้องมากขึ้นเท่าไร อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรง ความคิดที่ว่าสิบทิศกำลังรอเขาอยู่ข้างในหรือเปล่าผุดขึ้นมา

เขาสูดลมหายใจลึก หลับตา รูดคีย์การ์ดแล้วเปิดประตูเข้าไป

ภายในห้องมืดสนิท ไร้แสงสว่างใดๆ

เห็นภาพนั้นแล้วฐานทัพรู้สึกเข่าอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดลงในตอนนั้น ความรู้สึกและความคิดมากมายถาโถมเข้ามาราวกับจะถล่มจิตใจของเขาให้พังทลายลงอย่างราบคราบในคราวเดียว

ริมฝีปากถูกกัดไว้แน่นในขณะที่สองขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปภายใน

เขาเปิดไฟ มองนาฬิกาเพื่อให้แน่ใจและพบว่ามันเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว

นี่น่ะเหรอที่บอกว่าจะรีบกลับมากอดแน่นๆ

น้ำตาหยดลงมาพร้อมกับริมฝีปากที่สั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ แม้จะกัดมันไว้แน่นเพียงใดก็ไม่สามารถระงับอาการนั้นได้เลย

คืนนั้นทั้งคืนฐานทัพได้แต่นั่งกอดเข่าอย่างว่างเปล่า รอคอยให้เวลาเช้ามาถึง แม้ท้องฟ้าจะสว่างแล้วแต่คนที่เคยบอกว่าจะกลับมาก็ยังไม่กลับ

เพราะเป็นวันแรกหลังลาออกจากงาน มีเวลาอย่างเหลือเฟือจึงยิ่งทำให้บรรยากาศรอบข้างเปล่าเปลี่ยววังเวง แม้มีกำหนดการว่าวันนี้จะไปเดินเรื่องสมัครเรียนต่อปริญญาโท แต่ความรู้สึกกระตือรือร้นที่ควรมีกลับมลายหายไปสิ้น

ฐานทัพอาบน้ำ กินอาหารอย่างลวกๆ และออกไปมหาวิทยาลัยด้วยสภาพล่องลอยไร้เรี่ยวแรง ไม่มีความรู้สึกใดเลยนอกจากเหนื่อยล้า กระทั่งน้ำตาก็หยุดไหลไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

หลังจากจัดการธุระที่มีเรียบร้อย ฐานทัพก็กลับมาที่ห้อง นอนลืมตาอยู่บนเตียงเพราะไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดทั้งที่เมื่อคืนไม่ได้นอน

เขาปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ... เรื่อยๆ... ต่อไป จนกระทั่งสุดท้ายเวลาก็ผ่านไปอีกวัน

สิบทิศยังไม่กลับ...

ความคิดเป็นห่วงไม่มีย้อนเข้ามาในหัวสมองของเขาสักนิด ไม่ได้นึกถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสิบทิศหรือเปล่า อาจจะประสบอุบัติเหตุก็ได้

เรื่องเดียวที่ติดอยู่ในสมองของฐานทัพมีเพียง...

สิบทิศทรยศเขาอีกครั้ง

ในที่สุดคืนที่สามสิบทิศก็กลับมา ทว่าเมื่อเห็นว่าฐานทัพนอนตะแคงข้างเหมือนคนป่วยก็ชะงักไปในทันที เสียงทุ้มๆ เอ่ยเรียก

“ฐาน พี่...”

ฐานทัพผุดลุกขึ้นมาเสมือนชีวิตกลับคืนสู่ร่าง

เขามองหน้าสิบทิศ จดจ้องราวกับจะสื่อความหมายหลายอย่างให้อีกฝ่ายรับรู้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่รู้สึกใดๆ ผิดจากแววตาที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อต่อว่าและเจ็บปวดร้าวราน

“ถ้าผมทำบ้างพี่จะรู้สึกยังไง”

ไม่มีการไต่ถามสาระสำคัญทั้งสิ้น ในเมื่อต่างคนต่างเข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร ดังนั้นมันจึงไม่มีความหมายใดนอกจากเสียเวลาเพียงอย่างเดียว

“ไม่ได้นะ!”

สิบทิศโพล่งเสียงดังออกมาทันควัน แววตาถลึงขึ้นมาแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน

เห็นเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็รู้สึกสมเพชตนเอง สีหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบเปลี่ยนไป

“ทำไมผมจะทำไม่ได้ในเมื่อพี่ทำกับผมแบบนี้ก่อน”

“พี่ขอโทษครับ มันเป็นความผิดพลาด พี่เมาก็เลยพลาดไป ฐานอย่าโกรธพี่เลยนะ พี่ขอโทษ”

จากเสียงที่เกรี้ยวกราดเมื่อครู่ก็อ่อนลงในพริบตา สิบทิศเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างเตียง สองมือจับมือของฐานทัพเอาไว้พลางอ้อนวอน

“ขนาดผมแค่บอกว่าจะทำบ้างพี่ยังโมโหเลย แล้วผมที่โดนพี่หักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าล่ะ พี่คิดว่าผมควรรู้สึกยังไง”

ความนิ่งสงบแตกสลายไปในที่สุด ฐานทัพพูดด้วยเสียงสั่นเครือ นัยน์ตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความเจ็บปวดในหัวใจก็แผ่ลามขึ้นมาเช่นกันหลังจากที่มันหยุดชะงักตลอดสองวันที่ผ่านมา

“พี่ขอโทษจริงๆ ครับฐาน พี่รักฐานนะ มันเป็นความผิดพลาด พี่ไม่รู้ตัว พี่จะไม่ทำอีกแล้วจริงๆ รักฐานนะ รักที่สุด”

สิบทิศกดศีรษะลงบนตักของฐานทัพ กุมมือเอาไว้อย่างแน่นหนา เว้าวอนเหมือนคนสำนึกผิดอย่างแท้จริง

“ฐานช่วยยกโทษให้พี่อีกสักครั้งนะ พี่ขอร้อง พี่ผิดไปแล้ว”

เมื่อถูกคนรักมากที่สุดและมีเพียงหนึ่งเดียวขอร้องอ้อนวอนเช่นนี้ฐานทัพก็ได้แต่ระงับความใจอ่อนของตัวเองเอาไว้

เขาไม่อยากเห็นสิบทิศเป็นอย่างนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายทำผิดต่อตัวเองแล้วเช่นกัน

“ถ้ามีอีกครั้งก็เลิกกันไปเลย ถ้าพี่มีความสุขกับคนอื่นมากแล้วจะทนคบกับผมอยู่ทำไม”

เขาไม่รู้ว่าหากเป็นคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับเขาที่เพิ่งเคยรู้จักความรักครั้งนี้เพียงครั้งเดียวในชีวิต มันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่แม้จะเจ็บปวดจนร้าวไปทั้งอกก็ไม่อยากสูญเสียไออุ่นจากคนคนนี้

“ไม่เอานะฐาน พี่ไม่เลิก ไม่ยอมเลิกเด็ดขาดเลย พี่รักฐานนะ รักฐานที่สุด ถ้าไม่มีฐานอยู่ด้วยพี่ทนไม่ได้หรอก พี่สัญญา จะไม่มีอีกแน่ๆ ขอร้องนะครับ”

สิบทิศอ้อนวอนเสียงเครืออย่างน่าสงสาร ราวกับว่าหากขาดเขาไปจะขาดใจตายเช่นกัน

เห็นแบบนี้แล้วมีหรือที่เขาจะยังทำใจแข็งต่อได้

ฐานทัพกัดฟัน กล้ำกลืนความปวดร้าวทั้งหมดลงไป ก่อนจะเค้นเสียงตอบออกมาอย่างยากลำบาก

“ก็ได้ ครั้งสุดท้ายนะ”

“สัญญาเลย ขอบคุณนะ พี่รักฐานนะ รักมากกกก รักที่สุดในชีวิตเลย”

สิบทิศเข้ามากอดเขาไว้ พรมจูบลงบนหน้าผาก แก้ม และสุดท้ายประทับคำสัญญามั่นเหมาะเอาไว้ที่ปาก

เป็นหลักฐานว่าจะไม่มีอีกอย่างแน่นอน














หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 10th Lie [23/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 23-03-2020 21:14:50
















10th Lie

ผมอยากลองดู อยากรู้ว่าใจจริงเขาเป็นยังไง


 

ทั้งๆ ที่สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะเช่นนั้น แต่หลังจากนั้นเพียงสองเดือนคำสัญญาก็เลือนหายไปอย่างง่ายดาย ฐานทัพต้องเผชิญกับห้องที่ว่างเปล่า ไร้เงาของคนรักที่บอกว่ารักตนเองมากที่สุด รักที่สุดในชีวิตอีกครั้ง

ยิ่งจำนวนครั้งของการถูกทรยศมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มความเจ็บช้ำให้มากขึ้นเท่านั้น แทนที่จะชินชา

เมื่อพบหน้าสิบทิศอีกครั้งหลังผ่านค่ำคืนที่เปล่าเปลี่ยวนั้นไป น้ำตาของฐานทัพก็ไหลเป็นสายออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คำพูดประโยคแรกมีเพียง...

“เราเลิกกันเถอะ ผมทนไม่ไหวแล้ว”

น้ำเสียงของฐานทัพสั่นเครือสะอึกสะอื้นกว่าครั้งไหน เขาขยุ้มเสื้อตรงอกจนยับยู่บ่งบอกให้รู้ว่าความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นเหลือคณา

สิบทิศถลาเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า กล่าวคำขอโทษเหมือนครั้งก่อนๆ อย่างลนลาน รีบคว้ามือของฐานทัพไว้แล้วอ้อนวอน

“ไม่เลิกนะ พี่ไม่เลิก ไม่เลิกเด็ดขาด”

“พี่จะเก็บผมไว้ทำไมอีก ในเมื่อผมมันไม่ได้มีค่าอะไรกับพี่เลย”

น้ำตาของฐานทัพหล่นร่วงลงมากระทบลงบนใบหน้าของสิบทิศที่เงยหน้าขึ้นเว้าวอน

“พี่เลิกกับฐานไม่ได้ กว่าฐานจะยอมคบกับพี่มันยากแค่ไหน พี่พยายามเท่าไรถึงจะได้เป็นแฟนฐาน กว่าฐานจะยอมรักพี่”

หลังจากได้ยิน น้ำตาของฐานทัพยิ่งไหลบ่าลงมามากกว่าเดิม เสียงคร่ำครวญเปล่งดังคล้ายตะโกน

“พี่ก็แค่ไม่อยากเสียผม! เพราะได้มายากก็เลยเสียดาย ไม่ได้รักผมเลยสักนิด หมดรักผมไปตั้งนานแล้วแท้ๆ!”

“พี่ไม่ได้เลิกรักฐานเลยนะ พี่รักฐานจริงๆ ไม่ได้อยากเลิกเพราะว่าได้มายากด้วย แต่พี่รักฐานถึงไม่อยากเลิก พี่รักฐานคนเดียวนะ ขอร้องล่ะ พี่ไม่เคยรักใครขนาดฐานเลยนะ”

สิบทิศดึงมือฐานทัพที่จับเอาไว้มาแนบหน้าผากของตนเอง ราวกับอยากบอกให้รู้ว่าฐานทัพคือที่สุดในชีวิตนี้ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้น้ำตาที่ร่วงลงมาสู่พื้นเพิ่มความถี่มากขึ้น

“ถ้าพี่รักผมแล้วพี่ทำแบบนี้ทำไม พี่ทำให้ผมเสียใจทำไม ทำให้ผมเจ็บปวดทำไม คนที่รักกันเขาต้องทำร้ายกันเหรอ!”

“พี่ไม่อยากทำให้ฐานเจ็บปวดนะ”

สิบทิศค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้นมาเผชิญหน้า สองมือประคองใบหน้าของฐานทัพเอาไว้แล้วเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ประหนึ่งเกรงกลัวว่าจะทำให้เจ็บช้ำ ราวกับเป็นของสำคัญ ทว่าสิ่งอื่นๆ ที่เคยกระทำกลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

“พี่ขอโทษ พี่มันเลวเอง ไม่รู้จักพอ ทำให้ฐานเสียใจ พี่มันแย่ สันดานไม่ดี”

“.....”

“ฐานช่วยยกโทษให้พี่ได้ไหม ช่วยรักคนอย่างพี่ได้ไหม พี่จะปรับปรุงตัวนะ พี่จะพยายาม ฐานอย่าเลิกกับพี่นะ”

เสียงในตอนท้ายของสิบทิศสั่นเครือเหมือนกับยอมรับไม่ได้เช่นกันหากต้องเลิกรา หวาดกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดมากที่สุด

ฐานทัพได้แต่หลับตา เงยหน้าขึ้นเพื่อให้หยดน้ำที่พรั่งพรูเลิกหยดลงสู่เบื้องล่างเสียที เพื่อระงับความเจ็บปวดที่เอ่อล้นออกมาเอาไว้ ฟังเสียงของอีกฝ่ายขอร้องยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

เขาจะทนใจแข็งได้อีกสักแค่ไหนกัน

แต่ถึงอย่างนั้น...

“ถ้ามีอีกครั้งผมจะทำบ้าง”

เขาก็ยังไม่เลิกหวังอยู่ดี

หวังว่าเราจะกลับมามีความสุขอีกครั้ง

หวังว่าจะไม่ถูกทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ไม่ได้นะ พี่ไม่ยอม ฐานก็รู้ว่าพี่รักฐานหวงฐานมากแค่ไหน”

สิบทิศรั้งร่างของฐานทัพเข้าไปกอดเต็มกำลัง กอดอย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าจะมีคนฉกชิงไป เสมือนสมบัติล้ำค่าที่จะไม่ยอมสูญเสียไปโดยเด็ดขาด

“พี่ขอโทษนะฐาน จะไม่ทำอีกแล้ว ฐานก็ห้ามไปยุ่งกับคนอื่นเด็ดขาดเลยนะ ไม่อย่างนั้นพี่คลั่งตายแน่ๆ พี่รักฐานนะ”

ฐานทัพนิ่งไม่ตอบ ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ตอบรับและปฏิเสธ จนกระทั่งสิบทิศปล่อยมือไปเองถึงได้หยิบหมอนบนเตียงขึ้นมา ทำท่าจะเดินออกจากห้องไปจึงโดนสิบทิศดึงแขนรั้งเอาไว้

“ฐานจะไปไหน”

“ผมจะไปนอนที่โซฟา”

เขาดึงมือสิบทิศออกแล้วก้าวตรงไปยังห้องนั่งเล่น สิบทิศก็ก้าวยาวๆ ตามมาด้วย

“ฐานจะนอนที่โซฟาทำไม นอนห้องของเราสิ”

“คืนนี้ผมไม่อยากนอนกับพี่”

ฐานทัพทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ

เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน แค่เพียงร้องไห้ก็ทำให้เขาอ่อนล้าไร้กำลังขนาดนี้ ตลอดครึ่งปีกว่านี้คงเป็นช่วงเวลาที่เขาร้องไห้มากที่สุดในชีวิตแล้ว ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้

ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเสียน้ำตาเพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’

เพราะได้รู้จักมันแล้วถึงต้องเรียนรู้ทุกๆ อย่างที่สมควรจะได้รับจากความรักอย่างนั้นหรือ?

“พี่ขอร้องล่ะ นอนในห้องเถอะนะ ให้พี่ได้กอดฐาน ให้พี่ได้ชดเชยเรื่องที่ทำไม่ดีกับฐานนะ นะครับ”

“ผมเหนื่อยแล้ว ผมอยากนอนคนเดียว พี่ช่วยอย่ารบกวนผมได้ไหม”

ฐานทัพตัดบทโดยสิ้นเชิงแล้วล้มตัวลงนอนบนนั้น ปิดเปลือกตาลง ไม่สนใจความเป็นไปของสิบทิศที่เอาแต่ส่งเสียงอ้อนเรียกชื่อเขาซ้ำๆ

และดูเหมือนว่าสิบทิศจะถอดใจไปเองในที่สุด เพราะหลังจากนั้นไม่นานเสียงที่ร้องเรียกก็เงียบไป

ฐานทัพลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นเงาร่างของใครอีกคนที่เมื่อครู่ทำเหมือนวิงวอนเขานักหนา จนอดหัวเราะเย้ยหยันตนเองไม่ได้

สุดท้ายความพยายามของพี่ก็มีแค่นี้เหรอ

ทั้งที่คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อลืมตาตื่นในเช้าวันรุ่งขึ้นสภาพแวดล้อมที่เคยเห็นก่อนนอนกลับเปลี่ยนไป

เบื้องหน้าเป็นภาพห้องที่คุ้นเคยซึ่งเขาอาศัยนอนมาเกือบสองปี สัมผัสบนเตียงก็คุ้นชิน รวมทั้งรอบกายยังรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดลงมาอย่างเป็นปกติ

เมื่อหันไปดูที่ด้านหลังก็พบใบหน้าของสิบทิศกำลังเกยอยู่บนไหล่ของเขา

เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ แค่รู้ว่าสิบทิศอุ้มเขากลับมานอนบนเตียงและกอดไว้ทั้งคืนก็ทำให้หัวใจลิงโลดและริมฝีปากจุดรอยยิ้มขึ้นอย่างง่ายดาย

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

แค่ขยับตัวเพียงเล็กน้อยสิบทิศก็ลืมตาขึ้นแล้วชะโงกหน้ามาจูบริมฝีปากเขาอย่างรวดเร็วเบาๆ มิหนำซ้ำยังเอ่ยชวนโดยที่ยังไม่ละแขนซึ่งกอดไว้

“วันนี้ไปเที่ยวกันไหม”

“พี่ไม่ต้องทำงานเหรอ นี่ก็สายแล้วด้วย”

“ลาก็ได้ พี่อยากอยู่กับฐาน”

ใจหนึ่งฐานทัพก็อยากยอกย้อนกลับไปว่าจะชดเชยความผิดหรือไง แต่อีกใจหนึ่งก็ชะงักคำพูดชั่วแล่นนั้นไว้ก่อน

เขายังไม่อยากทำให้ทุกอย่างมันแย่เพียงเพราะทิฐิของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่สมควรมากที่สุดก็ตาม

ผิดไหมที่เขาอยากจะตักตวงความสุขเอาไว้...ตักตวงให้มากที่สุดเท่าที่มากได้

อยากยึดครองช่วงเวลาที่สิบทิศทำดีต่อเขาไว้ตราบนานเท่านาน

คงเป็นความเห็นแก่ตัวของคนที่ไม่อยากถูกความรักทอดทิ้งกระมัง

“แล้วจะไปไหนล่ะ”

สิบทิศไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่ยิ้มมีเลศนัยพร้อมบอกเพียงว่าไปเถอะ แล้วลุกจากเตียงนอนพลางดึงมือเขาให้ลุกขึ้นไปด้วยกัน

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วพวกเขาทั้งคู่ก็ออกเดินทาง วันนี้ไม่ได้กินอาหารที่คอนโดฯ เพราะสิบทิศชวนว่าให้ไปกินด้วยกันดีกว่า ซึ่งจุดหมายก็คือห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านกลางเมือง

พอเขาถามว่าเที่ยวที่ว่าคือมาห้างเหรอ เพราะส่วนใหญ่หากมีเวลาเขากับสิบทิศมักจะมาห้างสรรพสินค้าด้วยกันบ่อยๆ ไม่ค่อยได้ใช้เวลาที่อื่นร่วมกันสักเท่าไรเนื่องจากแต่ละคนมีวันหยุดไม่ตรงกัน สิบทิศก็ชี้นิ้วลงไปที่พื้นเหมือนจะบอกว่าอยู่ข้างใต้นี้

“มาห้างก็จริง แต่ที่จะเที่ยวไม่ใช่ห้างหรอก”

เขาถึงเพิ่งนึกออกว่าหมายถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่อยู่ข้างใต้ซึ่งเขาไม่เคยคิดมาเลยสักครั้ง

ได้เห็นได้เจออะไรใหม่ๆ บ้างอาจจะดีก็ได้มั้ง

เพราะคิดเช่นนั้นฐานทัพจึงไม่ได้ตอบอะไรมากกว่าเดิม จนกระทั่งกินอาหารเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็ลงไปชั้นล่าง บรรยากาศมืดทะมึนมีแสงเรืองๆ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปอีกแบบ

หมู่ปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายผ่านไปโดยมีกระจกบานใหญ่กั้นทำให้รู้สึกว่าสวยงามแปลกตา แต่โดยรวมแล้วก็ให้ความรู้สึกดีเพราะที่มือข้างซ้ายของเขารู้สึกได้ถึงไออุ่นที่เลื่อนมากุมกันเอาไว้

“ไม่ยักรู้ว่าพี่ชอบพวกปลา”

“เปล่าหรอก”

ฐานทัพแหงนหน้ามองตู้กระจกสูงลิ่วซึ่งมีปลาที่ไม่เคยเห็นว่ายเวียนอยู่ แต่เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นก็หันกลับมามองดูคนที่อยู่ข้างๆ

“อ้าว ก็เห็นมาที่นี่ คิดว่าชอบอะไรแบบนี้ซะอีก”

“แค่ไม่เคยมาเลยอยากลองมาดูสักทีน่ะ เป็นความทรงจำครั้งแรกร่วมกับฐานนะ ถ้านึกถึงที่นี่ พี่จะได้คิดถึงฐาน แล้วฐานก็ต้องคิดถึงพี่ด้วยไง”

สิบทิศยิ้มทะเล้นราวกับว่าจะหยอกกระเซ้า แต่ว่ามันก็สำเร็จ เพราะว่าฐานทัพผุดรอยยิ้มขึ้นมาได้จริงๆ

“พี่รู้ได้ไงว่าผมจะคิดถึงพี่ ผมอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้”

“ฮืมๆ ไม่หรอก ฐานต้องคิดแน่นอน”

สิบทิศส่ายหัว ร้องเสียงน่ารักเหมือนเด็กอย่างที่ไม่เคยได้ยิน มิหนำซ้ำใบหน้ายังปรากฏรอยยิ้มไม่จาง แถมยังดูเจ้าเล่ห์มากกว่าเดิม ทำให้ฐานทัพรู้สึกหมั่นไส้อยู่หน่อยๆ

“มั่นใจอะไรขนาดนั้น”

“มั่นใจก็เพราะแบบนี้ไง”

สิ้นเสียงพูดนั้นแล้วอยู่ๆ ร่างของสิบทิศก็ประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ฐานทัพเผลอก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณป้องกันตัว แต่เพียงแค่สองก้าวแผ่นหลังของเขาก็แนบเข้ากับตู้กระจกเย็นๆ เสียแล้ว

ทันทีที่หมดหนทางหนี ริมฝีปากอุ่นๆ ก็ทาบลงมาบนริมฝีปากของเขาอย่างเร็วพลัน ขบนิดๆ อยู่อย่างนั้นสองสามวินาทีก่อนจะถอยห่างออกไป

ฐานทัพเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ หันมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก เพราะไม่คิดว่าอยู่ดีๆ สิบทิศจะทำบ้าๆ กลางที่สาธารณะ แต่รอบข้างก็เงียบสงบไม่ค่อยมีผู้คน ถึงมีก็อยู่ในมุมที่ห่างออกไปมาก

“ทำบ้าอะไรเนี่ย”

“สร้างความทรงจำไงครับ”

พอเขาต่อว่า สิบทิศก็ยังกระหยิ่มยิ้มอย่างเหนือกว่า แถมท้ายด้วยการฉกจูบอีกครั้งเล่นเอาหัวใจฐานทัพแทบวายลงเดี๋ยวนั้น

ถึงเขาจะเป็นประเภทที่เคยจูบใครต่อใครได้อย่างไม่อายมาก่อน แต่ก็ไม่เคยทำในที่โล่งซึ่งไม่ใช่สถานที่เฉพาะแบบนี้

“ไม่กลัวคนเห็นหรือไง”

“เห็นก็เห็นไปสิ เขาจะได้รู้ไงว่าพี่รักฐานมาก”

เพราะโดนรุกทั้งการกระทำและคำพูด ฐานทัพจึงรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นมา

นานแล้วที่เขาไม่ได้เจอสถานการณ์ถูกไล่ต้อนขนาดนี้เลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าใจเต้นและหวิวๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก

“หน้าด้านจริงๆ นะ”

“ถ้าเป็นเรื่องของฐาน พี่หน้าด้านเสมอแหละ ขอเพียงให้ได้มีฐานอยู่ข้างๆ พี่ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”

สิบทิศยังคงรุกอย่างหนักหน่วงจนฐานทัพรับมือไม่ถูก

เขาเบนหน้าหนีเพราะไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร แต่มือที่ถูกกุมไว้ก็โดนกระตุกหลายครั้ง เหมือนจะเรียกร้องว่า ‘สนใจกันหน่อยสิ’ จนสุดท้ายก็ต้องยอมหันหน้าไปเผชิญกันอย่างไม่มีทางเลือก

เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสที่แฝงแววกรุ้มกริ่มของสิบทิศแล้วก็ทำให้ใจสั่นแปลกๆ

“ถ่ายรูปกันดีกว่านะ ไหนๆ ก็มาเดตกันทั้งที”

สิบทิศว่าอย่างนั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาตั้งท่าจะถ่ายรูปโดยมีตู้กระจกขนาดยักษ์เป็นพื้นหลัง

ฐานทัพปั้นหน้าไม่ค่อยถูกสักเท่าไรจนโดนบอกว่ายิ้มสิๆ ถึงจะรวบรวมรอยยิ้มขึ้นมาได้

ช่างเป็นวันที่แสนสุขและพิเศษจนฐานทัพรู้สึกอิ่มเอมไปทั้งใจ

 

 

ทว่านั่นอาจจะเป็นความสุขที่หลอกล่อให้ตายใจก่อนที่พายุลูกใหญ่จะโหมกระหน่ำก็เป็นได้ เพราะหลังจากนั้นไม่นานฐานทัพก็ต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นเดิมและต้องรู้สึกเจ็บปวดเหมือนเดิม

ครั้งนี้เขาทนไม่ไหวแล้วกับการต้องรอคอยการกลับมาของสิบทิศ ฐานทัพออกจากห้อง ไปสถานบันเทิงที่ไหนก็ได้ที่สติในเวลานั้นจะพาไปถึง ดื่มเหล้าไม่รู้กี่แก้วต่อกี่แก้วเพื่อชดเชยน้ำตาที่สูญเสียไปเผื่อว่ามันจะทดแทนกันได้ แม้ไม่ต้องให้ใครบอกเขาก็รู้ว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้ย่ำแย่แค่ไหน

แต่ถึงอย่างนั้น...แม้จะเมามายสักเท่าไร ความเจ็บปวดในอกก็ไม่มีวี่แววว่าทุเลาลงเลย

ฐานทัพรู้สึกสมเพชตัวเองจากใจ แต่ก็หยุดมือที่กรอกน้ำขมปร่านั่นลงคอไม่ได้

“คุณเมามากแล้วนะครับ หยุดดื่มแล้วกลับบ้านดีไหม”

คงเพราะเห็นแล้วสังเวช บาร์เทนเดอร์จึงเอ่ยเตือนเช่นนั้น ทว่าฐานทัพก็ยังสั่ง

“เอาเหล้ามาอีก เอาเหล้ามา”

“พอเถอะครับ กินเหล้าเมาขนาดนี้มันอันตรายนะครับ ให้คนที่บ้านมารับไหม เดี๋ยวผมช่วยโทรตามให้”

“ไม่ต้องมายุ่ง เอาเหล้ามาก็พอแล้ว”

“แต่ถ้าดื่มมากกว่านี้ได้สลบคาร้านแน่ๆ นะครับ”

“จะดื่มอีก!”

ฐานทัพโวยวายด้วยความไม่อยากรับรู้สิ่งใดแล้ว ตอนนี้เขาอยากเมาอย่างเดียวเท่านั้น เพราะถึงจะมีสติรับรู้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ใดขึ้นมา

ฐานทัพยกแก้วที่ถูกเติมเครื่องดื่มอีกครั้งหลังจากบาร์เทนเดอร์ยอมคืนขวดสุรากลับมาให้อย่างจนใจ

แก้วแล้วแก้วเล่าจรดลงที่ปากก่อนจะถูกกระดกดื่มเข้าไปรวดเดียวจนหมด สติของฐานทัพเลือนรางเต็มที

เขาแทบจะมองคนหนึ่งคนออกเป็นหลายร่างแล้ว ภาพที่เห็นก็พร่าเลื่อนขมุกขมัวไปหมด มิหนำซ้ำเครื่องดื่มยังหมดขวดไปแล้วด้วย

พอรับรู้ว่าสุราหมดไปแล้ว สติก็กลับคืนมาอีกครั้ง

ฐานทัพร้องไห้ขึ้นมาอีกหน น้ำตาไหลเป็นสายเอ่อนองใบหน้า ดวงตากลมโตที่เคยเป็นประกายแวววาวอย่างมีชีวิตชีวาและบางคราก็เจ้าเล่ห์ถูกน้ำตาท่วมจนจมมิด

คิดถึง...

คำคำนี้เอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจพอๆ กับน้ำตาที่หลั่งริน

ฐานทัพใช้มือที่ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรงแล้วคว้าสะเปะสะปะไปบนตัวกว่าจะควานหาโทรศัพท์เจอ เตรียมจะกดโทรออกหาคนที่ตนกำลังคิดถึงสุดหัวใจอยู่ในเวลานี้ ทว่ายังไม่ทันจะสำเร็จมือก็ต้องชะงักไปเมื่ออยู่ๆ ความเจ็บปวดจากการถูกทรยศพรั่งพรูขึ้นมาในอก

เขาเปลี่ยนเป้าหมาย เลื่อนไปหาเบอร์ของใครอีกคนหนึ่งแทน

คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าจิตใจผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้ๆ เมื่อได้พูดคุยกันเสมอ

สัญญาณรอสายดังอยู่ไม่กี่ครั้งก็มีน้ำเสียงทุ้มลึกตอบกลับมา

[ว่าไง ฐาน]

ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น น้ำตาที่ว่าหลั่งไหลออกมามากแล้วกลับยิ่งท่วมทะลักจากขอบตา ราวกับน้ำหลากถล่มพนังกั้นน้ำก่อนจะซัดสาดอย่างไม่บันยะบันยัง

“พี่ภัน...”

[ฐานเป็นอะไร ร้องไห้เหรอ อยู่ที่ไหน]

เพียงแค่เสียงอ่อนระโหยของเขาดังไปตามสาย ปลายสายก็สอบถามกลับมาอย่างลนลาน ดูเป็นห่วงเป็นใยเสียมากมายจนฐานทัพอดหวนนึกไปถึงอีกคนไม่ได้

หากเป็นสิบทิศจะรู้สึกแบบนี้ไหม จะห่วงใยเขาแบบนี้หรือเปล่า




v




v
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 10th Lie [23/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 23-03-2020 21:15:46
หลังจากฐานทัพบอกสถานที่ที่ตนอยู่ไป ไม่กี่สิบนาทีต่อมาภันวัฒน์ก็ปรากฏตัวเบื้องหน้า ควักเงินจ่ายค่าเครื่องดื่มและขอโทษขอโพยบาร์เทนเดอร์ที่เขาสร้างความเดือดร้อนให้อย่างมีไมตรีต่อทุกฝ่ายจนน่าชื่นชม

แม้ว่ากำลังเมามายจนไม่มีแรงจะลุกจากเก้าอี้ ฐานทัพก็ยังรู้สึกเช่นนั้นเลย

“ผมขออยู่ด้วยสักอาทิตย์นะ”

พอภันวัฒน์พยุงให้ขึ้นรถได้ ฐานทัพก็รวบรวมสติทั้งหมดพูดคำนั้นออกมา

“จะไม่เป็นไรเหรอ แล้วแฟนเราล่ะ”

“อย่าพูดถึงได้ไหม ผมไม่อยากรับรู้แล้ว”

ฐานทัพปัดบทสนทนาไปอย่างง่ายๆ แล้วพลิกหน้าไปด้านประตูรถ ขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจะหามุมเหมาะๆ เพื่อนอนพัก

เขาปิดตาลงด้วยความรู้สึกไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว ถึงกระนั้นก็ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจแผ่วๆ มาจากที่นั่งด้านข้าง

ภันวัฒน์คงจะหนักใจที่เขามาขอความช่วยเหลือแบบนี้

ไม่รู้จักละอายซะมั่งเลย

ทั้งที่คิดเช่นนั้น อยู่ๆ ฐานทัพก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามือใหญ่ที่กดลงบนศีรษะอย่างเบามือ

“อย่างน้อยก็ยังดีที่ฐานยังนึกถึงพี่อยู่ พี่ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าอยากให้ช่วย หรือเป็นที่ปรึกษาหากว่าไม่สบายใจ ขอแค่ไม่ทำตัวเหลวไหลไปกว่านี้ก็พอ”

อีกฝ่ายพูดเหมือนรู้ว่าเขาฟังอยู่ แต่ฐานทัพไม่ขยับปากพูดตอบ อยู่นิ่งๆ เช่นเดิมจนมือใหญ่ละออกไป จากนั้นสติก็ค่อยๆ ดับวูบไปจนกระทั่งลืมตาอีกครั้งเขาอยู่บนเตียงนอนแล้ว

ชายคนหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ...

คราแรกฐานทัพตกใจจนเบิกตาโพลง กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นว่าทั้งตนเองและอีกฝ่ายยังคงใส่เสื้อผ้าครบชุดก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะชะโงกหน้าไปมองคนที่นอนหันหลังให้เขาอยู่

“พี่ภันนี่เอง”

“ตื่นแล้วเหรอ”

คงเพราะรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนที่นอนภันวัฒน์จึงตื่นขึ้นด้วยเช่นกัน

“ขอโทษนะที่ทำให้วุ่นวาย”

หลังจากรู้ว่าคนที่นอนร่วมเตียงกันเป็นใคร ฐานทัพพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนได้แล้วก็ต้องรู้สึกผิดทันควันที่ตนเองสร้างความเดือดร้อนให้อีกฝ่าย

“ไม่หรอก พี่พร้อมช่วยเสมอ ว่าแต่มีเรื่องกลุ้มใจอะไรถึงได้ไปเมาหัวราน้ำแบบนั้น”

“คือ...”

ฐานทัพอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ภันวัฒน์ฟัง

ไม่นึกเลยว่าการได้มาเจออีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอมาหลายเดือนจะออกมาในรูปแบบนี้

นอกจากครั้งแรกแล้วเขาก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ภันวัฒน์ฟังเลย แม้ว่าจะพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์หรือแอปพลิเคชันสนทนากันบ่อยพอสมควร

“พี่ว่าแบบนี้ไม่ไหวนะ ผิดครั้งแรกก็ยังพอยอมรับได้อยู่หรอก แต่นี่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว แล้วก็มาขอโทษอ้อนวอนแบบนี้น่ะเหรอ”

ภันวัฒน์ดูมีอารมณ์ร่วมพอสมควร ถึงขนาดแสดงอารมณ์ออกมาว่าไม่พอใจ

ฐานทัพได้แต่เม้มปากพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่

“ผมใจอ่อนเองแหละ ทั้งที่ควรจะทำใจแข็ง แต่พอเห็นเขาขอร้องแบบนั้น แล้วพอนึกภาพว่าถ้าเลิกกันจะเป็นยังไง ผมก็ทนไม่ได้ ผมไม่อยากเลิก ผมทนมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเขาไม่ได้ อะไรๆ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมทิ้งชีวิตแบบเดิมไปแล้ว”

“.....”

“ถึงตอนเขานอกใจจะทรมาน แต่ตอนที่ได้อยู่กับเขาผมก็มีความสุข”

เพราะเห็นภันวัฒน์เงียบมองหน้าเขาเหมือนคนอ่อนอกอ่อนใจ ฐานทัพจึงสารภาพความรู้สึกลึกๆ ในใจออกมา

นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่เขาไม่สามารถเลิกกับสิบทิศได้

ทำอย่างไรก็ตัดใจทำให้สำเร็จไม่ลง ถึงต้องทนเจ็บช้ำซ้ำซากอยู่อย่างนี้

ภันวัฒน์ถอนหายใจยาวๆ ออกมาดังเฮ้อ เหมือนคนทุกข์หนักที่อยากระบายความทุกข์ออกมาเป็นเสียง

“ในเมื่อฐานตัดสินใจแล้ว พี่คงทำอะไรไม่ได้ล่ะนะ แต่พี่อยากเตือนว่าถ้าเขายังเป็นแบบนี้มันก็จะวนเวียนต่อไปเหมือนเดิมไม่จบไม่สิ้น แล้วฐานก็ต้องเจ็บซ้ำๆ ต่อไปอีกเรื่อยๆ ฐานเตรียมใจพร้อมสำหรับเรื่องนั้นแล้วเหรอ”

คำถามนั้นทำให้ฐานทัพต้องสะอึกและหยุดชะงักไปโดยพลันเพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อน

เขาไม่เคยนึกถึงอนาคตว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปไม่สิ้นสุดจะเป็นอย่างไร

“ผมขอ...ไม่คิดถึงเรื่องนั้นก่อนได้ไหม”

“ก็ตามใจเรานะ”

ภันวัฒน์พูดเหมือนปลงตกอีกครั้ง

“แต่ถ้าจะไปเมาอะไรแบบนั้นอีก ฐานก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่างน้อยก็โทรบอกให้พี่ไปรับล่ะ พี่ยินดีช่วย”

“ขอบคุณนะพี่ อุตส่าห์ใจดีกับผมทั้งที่ผมเป็นภาระ”

“ก็บอกแล้วไงล่ะว่าพี่เห็นเราเป็นน้องคนหนึ่ง จำไว้ด้วยล่ะว่าพี่เป็นห่วง ถ้าจะทำอะไรที่เป็นผลเสียกับตัวเองก็ให้นึกถึงหน้าพี่ไว้แล้วกัน”

คงเพราะเขาเคยเผลอเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังแล้วก็เป็นได้ ถึงได้ถูกบอกมาเช่นนั้น

ฐานทัพผงกศีรษะรับฟัง ถึงกระนั้นก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถึงเวลาจริง เขาจะมีสตินึกถึงอีกฝ่ายขึ้นมาหรือเปล่า แต่อย่างน้อยเขาก็ยังรู้สึกดีที่มีคนแสดงความเป็นห่วงเขาจากใจอย่างแท้จริงโดยที่เขาไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้เลยแท้ๆ

ถ้าหากสิบทิศดีได้อย่างภันวัฒน์ก็คงดี

หรือไม่ก็...หากเขาเปลี่ยนใจมารักภันวัฒน์แทนได้ก็คงไม่ต้องทุกข์ทนแบบนี้

แต่มันกลับไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะทั้งหัวใจของเขามีแต่สิบทิศเต็มไปหมด ไม่สามารถจะเผื่อที่ไปให้ใครได้เลย ราวกับเป็นคำสาปที่ไม่มีทางแก้ไข

“ว่าแต่เราจะค้างอยู่ที่นี่อาทิตย์หนึ่งจริงเหรอ”

“อืม จริง”

ฐานทัพพยักหน้าอีกครั้ง แต่เสี้ยววินาทีนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“ผมอยากรู้ว่าถ้าผมไม่กลับไป เขาจะทำยังไง จะเป็นห่วงผมบ้างหรือเปล่า”

“อยากลองใจดูว่างั้น”

ภันวัฒน์ถอนหายใจเหมือนกับการตัดสินใจของเขาเป็นความผิดพลาด

“ถ้าฐานจะทำอย่างนั้น ฐานก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยว่าคำตอบมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ต้องการก็ได้...พี่ไม่ได้ขู่นะ”

เห็นสีหน้าของเขาไม่ดีหลังจากได้ยินเช่นนั้นกระมังถึงได้ต่อประโยคท้ายมาด้วย

ฐานทัพรู้สึกหัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะจริงๆ หลังจากได้ฟังภันวัฒน์บอก แต่สุดท้ายเขาก็ผงกศีรษะ

“ผมอยากลองดู อยากรู้ว่าใจจริงเขาเป็นยังไง”

“เอาเถอะๆ ถ้าฐานจะอยู่พี่ก็ไม่มีปัญหา”

“ช่วงนี้พี่ไม่ได้มีแฟนใช่ไหม”

อยู่ๆ ฐานทัพก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

แม้เขาคาดเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะยังไม่ได้คบหากับใคร เพราะไม่เคยพูดถึงมาก่อน แต่ถามเพื่อความแน่ใจไว้ก่อนคงดีกว่า เกิดภันวัฒน์มีแฟนขึ้นมา การมาอยู่ที่นี่ของเขาอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้ก็เป็นได้

“ไม่มีหรอก พี่จะหาแฟนจากไหนได้กันล่ะ วันๆ ทำแต่งานนี่นา ไม่ได้เจอกับใครที่ไหน”

“อย่างนั้นเหรอ แต่น่าเสียดายนะ พี่ทั้งเป็นผู้ใหญ่ ใจดี อ่อนโยน เข้าอกเข้าใจคนอื่น คนที่ได้เป็นแฟนพี่คงโชคดีสุดๆ”

“จะว่าไปก็นั่นสินะ แต่พี่คบใครแล้วสุดท้ายก็ต้องเลิกด้วยเหตุผลเดิมๆ ทุกที”

ภันวัฒน์ไม่มีท่าทีถ่อมตัวเลยสักนิด แต่ทำสีหน้าว่าช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่สุดท้ายแล้วคนโชคดีพวกนั้นกลับเลิกกับเขาไป ทำเอาฐานทัพหัวเราะคิกคักออกมาอย่างเห็นด้วย ไร้ความรู้สึกว่าน่าหมั่นไส้โดยสิ้นเชิง เพราะภันวัฒน์ไม่ได้ให้บรรยากาศแบบนั้น และเขาก็รู้เจตนาของอีกฝ่ายว่าไม่ได้พูดโอ้อวดตัวเอง

“ในเมื่อพี่ไม่มีแฟนให้ผมต้องกังวล ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขอไม่เกรงใจคนโสดล่ะนะ”

ฐานทัพยักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างทะเล้น จนโดนภันวัฒน์ยื่นมือมาขยี้ผมเบาๆ เหมือนมันเขี้ยว

 

 

ความตั้งใจของฐานทัพคืออาศัยอยู่ที่คอนโดฯ ของภันวัฒน์หนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นจึงแน่นอนว่าแบตเตอรี่ของโทรศัพท์ต้องหมด ภันวัฒน์ถามอยู่เหมือนกันว่าจะให้หาสายชาร์จมาให้เหมือนอย่างเสื้อผ้าไหม แต่ฐานทัพก็หักใจปฏิเสธไป ในเมื่อเขาตัดสินใจว่าจะลองใจสิบทิศแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด

ทว่านับแต่นั้นเป็นต้นมา แม้บางครั้งภันวัฒน์จะพูดคุยหรือชวนทำกิจกรรมฆ่าเวลาด้วยกัน ทั้งทำอาหาร ออกกำลังกาย หรือไปเที่ยวข้างนอก แต่พออยู่เพียงลำพังฐานทัพก็มักจะเหม่อมองโทรศัพท์เสมอ

“ถ้าใจลอยขนาดนั้น ทำไมไม่กลับไปล่ะ”

ดูเหมือนว่าภันวัฒน์จะทนไม่ไหวถึงได้เอ่ยออกมา

ฐานทัพหันไปมองอีกฝ่าย ตอบเสียงเบาว่า

“เพิ่งจะห้าวันเอง ยังไม่ครบอาทิตย์เลยนี่นา”

จึงโดนสวนกลับมา

“ไม่ครบอาทิตย์ก็เป็นแบบนี้แล้ว จะทนทรมานตัวเองไปทำไมล่ะ อย่าดื้อนักเลย”

ภันวัฒน์ใช้น้ำเสียงเหมือนดุเด็ก ทำให้ฐานทัพต้องทำหน้างอใส่เล็กน้อยเสมือนตนเองเป็นเด็กเสียเลย จากนั้นก็พึมพำออกมาราวเสียงกระซิบ

“มันบอกไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากรีบกลับไปเจอ แต่อีกใจก็หวั่นๆ ยังไงไม่รู้”

“ยังไงก็ต้องเผชิญความจริงอยู่แล้ว จะช้าหรือเร็วผลก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

คำพูดของผู้ใหญ่ทำให้ฐานทัพต้องครุ่นคิดตามไปอีกครั้ง และก็พบว่ามันจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าจึงตัดสินใจลุกขึ้นอย่างฮึกเหิม

“งั้นผมกลับนะ”

รอยยิ้มมาจากภันวัฒน์พร้อมคำบอก

“เดี๋ยวพี่ไปส่งแล้วกัน”

หลังจากกล่าวคำอำลา “โชคดีนะ” เมื่อมาส่งฐานทัพแล้ว ภันวัฒน์ก็วนรถออกไปจากหน้าคอนโดมิเนียมของสิบทิศ

ฐานทัพแหงนมองขึ้นไปบนชั้นที่อยู่ของตน แล้วก็ต้องรู้สึกหวาดหวั่นอย่างห้ามไม่ได้ แต่ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

เขาก้าวเท้าเข้าไปในตัวอาคารพร้อมกับสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเอง บอกตัวเองอยู่ในใจว่าให้ใจเย็นๆ เพราะเวลานี้หัวใจของเขาเต้นแรงเหลือเกิน

ในใจพร่ำนึกถึงคำพูดของภันวัฒน์ ดั่งมันเป็นคาถายึดเหนี่ยวจิตใจ จนกระทั่งสุดท้ายก็มายืนอยู่หน้าห้องได้

ฐานทัพสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนผ่อนลมออกมายาวๆ แล้วถึงค่อยเปิดประตูเข้าไป

เมื่อบานประตูเปิดออกใจของเขาก็ต้องเต้นระรัวอีกคราวเพราะไฟในห้องสว่างอยู่

สิบทิศอยู่ในห้อง

ฉับพลันที่แทรกตัวเข้ามาในห้องและคนที่อยู่ด้านในหันมาเห็นว่าเป็นเขา ก็เบิกตาโพลงรีบรุดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

มือของสิบทิศคว้าแขนของเขายกขึ้นมาสำรวจดูราวกับเกรงกลัวว่าเขาจะถูกทำร้ายได้รับบาดแผลอะไรสักอย่าง

หัวใจของฐานทัพพองโตขึ้นมาทันควัน

มุมปากค่อยๆ กระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ไม่อาจบรรยายได้เลยว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนที่เห็นท่าทีร้อนรนใจด้วยความเป็นห่วงเขาจากผู้ชายตรงหน้า

เขาอ้าปากกำลังจะพูดอะไรออกมาแต่สิบทิศก็โพล่งพูดเสียก่อน

“ฐานไปไหนมา พี่เป็นห่วงมากเลยรู้ไหม โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม พี่ร้อนรนมากเลยนะตอนรู้ว่าฐานไม่อยู่บ้าน หายไปไหนก็ไม่รู้ พยายามโทรหาเท่าไรก็ติดต่อไม่ได้อย่างเดียว จะไปตามหาที่ไหนพี่ก็ไม่รู้เลย เพื่อนที่มหา’ลัยฐานก็ไม่มี พี่เกือบจะไปหาที่โชว์รูมแล้วนะ”

น้ำเสียงร้อนรนใจนั้นดั่งน้ำทิพย์หยดลงบนหัวใจให้ชุ่มชื้น

หากบอกว่าเป็นความดีใจที่สุดในรอบเกือบหนึ่งปีมานี้คงไม่ผิด

บางทีการที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วก็ได้

เขาได้รู้ถึงความเป็นห่วงและความรักที่สิบทิศมีให้

ฐานทัพคิดเช่นนั้น หลงเพ้อดีใจไปกับคำพูดเหล่านั้นจนกระทั่งคำพูดต่อมา

“หายไปสองวันนี้แบบนี้ทำไมถึงไม่บอกพี่ล่ะ”

ประโยคคำถามนี้ดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวของเขา ขณะที่ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าชาวูบขึ้นมาอย่างฉับพลันจนเย็นเฉียบ

 



-----------------
ไม่มีคนอ่าน เราก็ยังคงอัปต่อไป


หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 10th Lie [23/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 23-03-2020 21:45:23
เฮ้ยยย... คุณณณณ... เราอ่าน
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 11th Lie [28/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 28-03-2020 19:14:58
















11th Lie

เลว เลว เลว


 

 

“ผมไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นมา”

ไม่รู้ว่าด้วยความช็อก ความผิดหวังอย่างที่สุด หรือความเสียใจอย่างสุดแสนที่ทำให้ฐานทัพพูดอย่างนั้นออกไป

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับคนไร้ความรู้สึกไปแล้วทั้งที่ยังรับรู้ถึงความสั่นสะท้านของตนเอง แต่ก็พยายามระงับเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

กลับเป็นสิบทิศเสียอีกที่กำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัวให้เห็นอย่างเด่นชัด สีหน้าแสดงความโมโหเหลือคณา น้ำเสียงกระโชกตะคอกมา

“ฐานทำแบบนี้ได้ยังไง!”

“ผมก็ทำเหมือนพี่ไง”

ในขณะที่สิบทิศอารมณ์ขึ้นจนควบคุมไม่ได้ ฐานทัพกลับนิ่งสงบอย่างน่าเหลือเชื่อ

อาการสั่นที่เมื่อครู่พยายามควบคุมไว้ค่อยๆ สงบลงได้ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย คงเพราะเห็นอาการของคนตรงหน้าก็เป็นได้

เขาคง...สะใจอยู่เหมือนกันกระมัง

ฐานทัพอยากจะยิ้มเยาะ แต่ก็รู้สึกว่าหัวเราะไม่ออกเช่นกัน เพราะมันช่างเป็นเรื่องตลกร้ายจริงๆ

“ทำไมฐานไม่นึกถึงจิตใจพี่บ้าง ฐานกล้าหักหลังกล้านอกใจพี่ได้ยังไง! ทั้งที่พี่รักฐานขนาดนี้ ทำไมไม่คิดบ้างว่าพี่จะเจ็บปวดเสียใจขนาดไหน พี่บอกแล้วไงว่าพี่รักฐานหวงฐาน ไม่ชอบให้ใครมาแตะต้อง ฐานเป็นของพี่นะ!”

“ผมว่าพี่ถามตัวเองแทนดีไหมครับ”

สิบทิศชะงักไปแวบหนึ่ง เสมือนกับถูกตีแสกหน้าจนพูดอะไรไม่ออก แต่ถัดมาอีกครู่อารมณ์โกรธกรุ่นกลับยิ่งโหมกระพือราวกับสาดน้ำมันลงบนกองไฟ

“อย่ามาอ้างนะฐาน มันไม่เกี่ยวกัน!”

“ก็แล้วแต่พี่จะคิด”

ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ ฐานทัพก็รู้สึกว่าปลงตกขึ้นมาในทันที

ไม่อยากเชื่อว่าคนรักของตนจะเป็นเช่นนี้

ตัวเองทำผิดซ้ำซากแต่กลับไม่เคยสำนึกและปรับปรุง แต่พอคิดว่าเขาทำผิดบ้างกลับทุรนทุรายเป็นเดือดเป็นร้อน

มันคงเกินเยียวยาแล้วจริงๆ

ฐานทัพผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แต่ในเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาแสดงต่างถูกสิบทิศจับสังเกตไว้ได้ทั้งหมด

“ฐาน!”

เสียงตวาดแว้ดแหวดังอีกครั้ง ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเสียงดังกว่าเดิม ไม่ได้ปิดบังความหน่ายระอาอีกต่อไป

“พี่จะเอายังไงก็ว่ามาเถอะ ผมเคารพการตัดสินใจของพี่”

หลังจากถามไปเช่นนั้น ความเงียบก็ปกคลุมโดยรอบ คล้ายว่าอีกฝ่ายไม่คาดคิดเช่นกันว่าเขาจะถามออกไปเหมือนไม่ใส่ใจแบบนี้ ทั้งที่เคยแสดงอารมณ์เจ็บปวดรวดร้าวออกมาให้เห็นเสียขนาดนั้น

ที่จริงเขายังรู้สึกเช่นเดิม แต่บางทีความรู้สึกมันอาจด้านชาขึ้นทีละนิดแล้วก็เป็นได้

เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าถึงจะเผยความเศร้าโศกเสียใจให้เห็น มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากความเปล่าประโยชน์ มีแต่จะยิ่งทวีความเสียใจและความเจ็บปวดให้ตัวเอง

ทั้งคู่ต่างเงียบอยู่อย่างนั้น ฐานทัพไม่ปริปาก เพียงมองหน้าสิบทิศราวกับรอคอยคำตอบ

นั่นคงเป็นการเร่งเร้าให้อีกฝ่ายหาคำตอบให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว สิบทิศจึงเม้มปากแน่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา

“อย่าให้มีอีกครั้งนะ ไม่งั้นพี่ไม่ยอมจริงๆ ด้วย!”

สิบทิศพูดอย่างฉุนเฉียว จ้องมองเขาเขม็งอย่างคาดโทษ มิหนำซ้ำยังเอ่ยต่อด้วยความเกรี้ยวกราด

“ฐานรู้ไหมว่าพี่เกลียดแค่ไหนที่คนอื่นมาแตะต้องฐาน พี่เกลียดๆๆๆ โกรธๆๆๆ ไม่ชอบมากๆ ฐานต้องเป็นของพี่คนเดียว ไม่ว่าใครก็มายุ่งด้วยไม่ได้!”

ฐานทัพไม่ตอบอะไรกับท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงเช่นนั้น

เขามองใบหน้าของสิบทิศที่แดงก่ำจากโทสะ เส้นเลือดปูดบนขมับ เหงื่อซึมตามไรผม นัยน์ตาจ้องขมึงมาทางเขาอย่างไม่ลดละก่อนจะกระชากเขาไปกอด

“พี่จะกลบทับรอยให้หมดเลย ให้ทั้งตัวของฐานเป็นของพี่เท่านั้น ไม่ให้มีรอยน่ารังเกียจจากไอ้พวกเลวคนอื่น!”

หลังจากว่าอย่างนั้นสิบทิศก็ซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอของเขา ซุกไซ้พรมจูบไปทั่วลำคอก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกโดยที่ฐานทัพไม่ได้ตอบรับและปฏิเสธ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามที่ใจต้องการ

 

 

หลังจากนั้นมาทุกอย่างก็ดำเนินไปตามรูปแบบเดิม

สิบทิศคอยเอาอกเอาใจ ใส่ใจในทุกๆ เรื่อง ทำในสิ่งที่คิดว่าเขาน่าจะชอบและพอใจ ทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือฐานทัพไม่ได้ตอบรับด้วยความยินดีเหมือนอย่างเคย เพียงแค่พยักหน้ายอมรับไปอย่างเฉยเมยเท่านั้น

เขาไม่ดีใจกับสิ่งที่สิบทิศทำ

ทั้งการกลับบ้านเร็ว วันไหนเขาเลิกเรียนช้าก็ไปรับที่มหาวิทยาลัย

“พี่รีบออกจากบริษัทมารับฐานเลยนะ นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว ดีจังที่มาทัน ขอบคุณฐานนะครับที่ไม่หนีกลับไปก่อนให้พี่มาเก้อ”

ไม่จำเป็นแท้ๆ เพราะเขากลับเองได้ แต่ก็ยังถ่อมาจากบริษัท

บางวันก็พาไปดินเนอร์ร้านหรูร้านดัง เดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าหรือไนต์มาร์เกตต่างๆ ชิมอาหาร ซื้อของตามร้านรวง

“คนเยอะนี่ พี่กลัวว่าเราจะหลงกัน จับมือกันไว้แบบนี้แหละดีแล้วเนอะ”

ยิ้มแป้นรีบบอกเหมือนหาข้ออ้าง เพียงแค่เขามองมือที่ถูกจับเอาไว้ท่ามกลางผู้คนอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะถูกมอง

นอกจากนั้นก็ชวนไปฟิตเนสที่เจ้าตัวมักไปออกกำลังกายเสมอ ช่วยเป็นเทรนเนอร์ออกกำลังกายให้เขา หรือชวนว่ายน้ำด้วยกัน

“มาเล่นน้ำด้วยกันอย่างนี้ก็สนุกดีเนอะ เอาไว้เดี๋ยวพี่ลองหาช่วงว่างๆ หยุดพักร้อนแล้วเราไปเที่ยวทะเลกันบ้างดีไหม”

ทั้งที่เขาไม่ได้พูดอะไรก็วางแผนชักชวนขึ้นมาโดยไม่ถามความเห็นสักคำ

พอมีคนมองเขาด้วยท่าทางสนใจก็เขม่นใส่อีกฝ่าย ทำตัวหวงก้างอย่างออกนอกหน้า แสดงความเป็นเจ้าของชนิดที่ว่าคนรอบข้างรู้หมดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหน

“ก็พี่ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามหรือมองฐานนี่นา แค่มองพี่ก็หึงแล้วนะ ก็ฐานเป็นของพี่นี่”

แค่ถูกเขามองทั้งที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร ก็รีบร้อนแก้ตัวเหมือนกลัวว่าจะโดนโกรธ

แต่ก็เพราะอย่างนั้นบรรยากาศที่ดูมึนตึง เหมือนมีเพียงฝ่ายเดียวที่พยายามจะปรับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นจึงเปลี่ยนไปทีละน้อย

ฐานทัพค่อยๆ คลายอารมณ์เฉยชาลง มีส่วนร่วมและตอบรับความพยายามของสิบทิศมากขึ้น

ดังเช่นน้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน แล้วหัวใจคนที่ถูกคนรักพยายามตะล่อมทุกวันมีหรือจะทนแข็งอยู่ได้ตลอดไป

วันหนึ่งพอฐานทัพกลับมาที่ห้องก็พบว่าไฟในห้องปิดมืดสนิททั้งที่ท้องฟ้าด้านนอกมืดทั้งหมดแล้ว

เขารู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในอกโดยฉับพลัน ราวกับถูกเข็มขนาดใหญ่ทิ่มตำ ไม่ต้องคิดจินตนาการอะไรก็รู้ได้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร

ทั้งๆ ที่ความรู้สึกของเขาเริ่มกลับคืนมาเป็นปกติมากขึ้นแล้ว

ทั้งๆ ที่คิดว่าสิบทิศคงจะไม่ทำร้ายกันอีกแล้ว

ดวงตารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

ฐานทัพขยี้ตาพลางเดินเข้ามาในห้องที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างด้วยความรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเดินเข้าสู่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด

ทว่าทันทีที่ปิดประตูห้องลง แสงสว่างก็ลุกพึ่บขึ้นมาในห้อง

แสงสีส้มนวลวิ่งบนพื้นเป็นเส้นอยู่ตรงกลางห้อง เมื่อหยุดวิ่งมันก็ไหวเบาๆ และคงรูปไว้เช่นนั้น

...เป็นรูปหัวใจ

ฐานทัพตะลึง พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจ

ทำไมถึงมีไฟเป็นรูปหัวใจอยู่บนพื้น?

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจได้ แต่ในหัวก็เกิดคำถามอย่างนั้นนำขึ้นมาก่อน

หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวเปลวไฟก็ค่อยๆ ถูกจุดขึ้นทีละดวงรอบๆ ห้อง

กลิ่นหอมอ่อนๆ คลุ้งขึ้นทีละน้อย ราวกับจะบ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งใดถูกจุดขึ้นมา

พอในห้องสว่างก็มองเห็นอะไรมากขึ้น ท่ามกลางแสงสีส้มเหล่านั้นมีเงาคนเดินตรงมาหาเขา กระทั่งเผชิญหน้ากันแล้วก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือสิบทิศจริงๆ ในมือของอีกฝ่ายถือช่อดอกไม้เอาไว้

“เซอร์ไพรส์ครับ”

สิบทิศยิ้มให้พลางยื่นดอกกุหลาบช่อประมาณบูเก้ของเจ้าสาวมาให้ เขาไม่เข้าใจ

“ให้ผมทำไม”

“อ้าว”

น้ำเสียงเหวอๆ เหมือนเจอคำถามที่ไม่คาดคิดหลุดออกมาจากปากของสิบทิศอย่างโจ่งแจ้ง จากนั้นเจ้าตัวถึงค่อยอธิบาย

“ไม่ได้เป็นวันพิเศษอะไรหรอกครับ พี่แค่อยากให้น่ะ อยากทำอะไรโรแมนติกๆ ดูบ้าง ฐานชอบหรือเปล่า”

เขาไม่แน่ใจว่าควรตอบคำถามนี้แบบไหน

โดยปกติแล้วก็ไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องโรแมนติกเป็นพิเศษและไม่ได้สนใจด้วย แต่เมื่อคนรักทำให้ก็รู้สึกว่ามันน่ายินดี ถ้าไม่เคยเกิดเรื่องกินแหนงแคลงใจกันมาก่อนเขาคงยิ้มหน้าบานและพูดหยอกล้อกับสิบทิศไปแล้ว แต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่รู้จริงๆ

จะยิ้มก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่ จะปฏิเสธว่าไม่ชอบก็รู้สึกว่าไม่ใช่เหมือนกัน

“ไม่รู้เหมือนกัน”

เพราะหาคำตอบอื่นไม่ได้ฐานทัพจึงได้แต่พูดออกไปตามตรง และก็ได้เห็นสีหน้าผิดหวังของสิบทิศเต็มสองตา

“ไม่ดีใจสักนิดเลยเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว ทำไมฐานตอบแบบเดิมล่ะ”

สิบทิศทำสีหน้างงงวยมากกว่าจะประท้วงที่เขาไม่ตอบรับความพยายามของเจ้าตัวเลย

“เพราะผมไม่รู้จริงๆ ผมก็เลยตอบตามนั้น”

สิบทิศคอตก จากที่ยืนอยู่ก็ลงไปนั่งยองๆ กับพื้นห้อง มือที่ยื่นออกมายังคงยื่นค้างอยู่อย่างนั้นจึงทำให้ช่อดอกกุหลาบเกือบจะลงไปแตะพื้น

เห็นเช่นนั้นฐานทัพก็รู้สึกว่าตนเองทำไม่ดีเกินไปหน่อยจึงยอมเอ่ยออกมา

“จะให้ดอกไม้ผมไม่ใช่เหรอ เอามาสิ”

เพียงพูดไปเท่านั้น สิบทิศที่เหมือนเหี่ยวเฉาลงราวกับดอกไม้โรยราก็กระเด้งตัวขึ้นมายืนอย่างฉับพลัน ใบหน้าผลิยิ้มแย้มบานเสียกว้าง แสดงออกให้เห็นว่าดีใจมากแค่ไหนที่เขายอมรับดอกไม้ไป

“แล้วจุดไฟไปทั่วแบบนี้ ไม่กลัวไฟไหม้หรือไง”

หลังรับดอกไม้ไปแล้วเขาก็กวาดตามองรอบห้อง

เทียนหอมถูกจุดไปทั่วห้อง โซฟาของห้องนั่งเล่นถูกย้ายไปอยู่ริมผนังเพื่อให้ตรงกลางสามารถจุดไฟเป็นรูปหัวใจได้

เห็นอย่างนั้นแล้วเขาก็รู้สึกถึงความพยายามของสิบทิศ

“โธ่ ฐาน พูดซะหมดความโรแมนติกเลย”

“หรือพี่ไม่ห่วงว่าไฟจะไหม้ล่ะ”

“ก็ห่วงเหมือนกันแหละ เลยเอาถ้วยน้ำมารองไว้ใต้เทียนไง แต่ก็อยากให้ฐานชื่นชมความโรแมนติกสักนิดนะ”

ประโยคท้ายอีกฝ่ายพูดเหมือนกระเง้ากระงอดตัดพ้อกัน

สุดท้ายฐานทัพก็หลุดเสียงหัวเราะ “หึ” ออกมา ทว่าเพียงเท่านั้นกลับทำให้สิบทิศกระดี๊กระด๊าราวกับปลาได้น้ำ

“หัวเราะแล้ว ชอบใช่ไหมล่ะ ชอบใช่ไหมครับ”

นั่นทำให้ฐานทัพเผลอหัวเราะออกมาอีกรอบ

“แค่นี้ยังไม่หมดนะ”

สิบทิศจูงมือเขาให้เดินไปด้านหนึ่งของห้อง หยิบช่อดอกไม้ในมือไปวางไว้บนโทรทัศน์ จากนั้นกดรีโมตเปิดเครื่องเสียงให้ท่วงทำนองบรรเลงออกมา ก่อนจะโค้งตัวเล็กน้อยแล้ววาดมือลงมาตรงหน้าอย่างนอบน้อมปานสุภาพบุรุษ

“ได้โปรดให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ”

คราวนี้ฐานทัพโพล่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างหยุดไม่อยู่ เพราะไม่นึกว่าจะต้องมาเผชิญสถานการณ์ที่คิดว่าน่าขำขนาดนี้

“ดูซีรีส์ย้อนยุคของฝรั่งจนเพี้ยนไปแล้วเหรอ”

“โธ่ ฐานอะ”

สิบทิศทำท่าเหมือนงอแงที่เขาไม่ยอมตามน้ำเล่นด้วย

“ผมไม่ใช่คุณหนูหรือเจ้าหญิงอะไรสักหน่อย มาขอให้เกียรติเต้นรำอะไร”

“เป็นเหตุการณ์สมมติไง เหตุการณ์สมมติ”

“แค่ผู้ชายมาขอผู้ชายเต้นรำนี่ก็ไม่เข้าท่าแล้วนะ”

“ก็พี่อยากลองสักครั้งนี่นา มาเต้นรำกันเถอะ พี่อยากรู้ว่าเป็นไง”

“แล้วพี่เต้นเป็นหรือไง”

คงนับได้ว่านี่เป็นบทสนทนาที่ยาวนานที่สุดในรอบเดือนเลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้นฐานทัพไม่เคยเริ่มต้นหรือสานต่อบทสนทนาเลยสักครั้ง

“เต้นไม่เป็นก็เต้นมั่วๆ ได้นี่นา เอาบรรยากาศน่ะ นะ”

สิบทิศทำตาเป็นประกายเสียจนแม้อยู่ท่ามกลางแสงเทียนสลัวๆ ก็ยังมองเห็นได้ พลางดึงมือฐานทัพไปกุมเอาไว้ใต้คางและเอียงคอเล็กน้อยเหมือนจะเพิ่มความน่ารักให้ตนเอง

เมื่อเจออย่างนี้ฐานทัพก็ปฏิเสธไม่ออก ได้แต่บอก

“ตามใจ”

หลังจากนั้นหลังเอวก็ถูกมือใหญ่ทาบลงมาแล้วดันให้ร่างของพวกเขาชิดเข้ามาจนหน้าท้องแทบชนกัน

สิบทิศจับมือฐานทัพขึ้นมาประคองไว้แล้วยื่นออกไปด้านข้าง ขณะที่อีกมือยังคงแตะอยู่ตรงเอวเหมือนเดิม

ฐานทัพจึงต้องวางมือที่ว่างอีกข้างลงบนไหล่ของสิบทิศตามที่เคยเห็นในละคร จากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวตามที่คนตัวใหญ่กว่านำไป แต่ก็ไม่ค่อยถูกจังหวะเท่าไรนัก บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเต้นรำไม่เป็น

“โอ๊ย”

มิหนำซ้ำยังเหยียบเท้าของเขาอีกต่างหาก

“พี่ขอโทษ เจ็บหรือเปล่า”

“ไม่น่าถาม เจ็บสิ พี่ตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง”

ถ้าเทียบกันแล้ว ฐานทัพที่มีความสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรนั้นดูบอบบางยิ่งกว่าผู้หญิงที่มีส่วนสูงเท่ากันเสียอีก ดังนั้นสิบทิศผู้มีกล้ามเนื้อสมส่วนแม้ไม่ได้บึกบึนกล้ามโตจึงถือว่าตัวใหญ่กว่ามากอยู่ดี

“ขอโทษครับ เอางี้นะ”

สิบทิศขอโทษอีกครั้งก่อนจะออกแรงที่มือซึ่งโอบหลังเอวของฐานทัพไว้ เพื่อให้ร่างของเขาเข้าไปแนบชิดมากขึ้น

“ฐานเหยียบบนเท้าพี่สิ”

ฐานทัพชะงักไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยออกมาเช่นนั้น

เขาเงยหน้าขึ้นมองสิบทิศที่ก้มลงมามองเช่นกัน แม้เห็นแววตาที่มุ่งมั่นตั้งใจอย่างนั้นแล้วแต่ก็ยังถามออกไปอยู่ดี

“แน่ใจนะว่าจะเอางั้น ถึงผมจะตัวเล็กแต่ก็หนักนะ”

“ครับ เชิญฐานเหยียบย่ำพี่ได้เลย”

คำอนุญาตที่แสดงถึงความตั้งใจนั้นออกจะสื่อความหมายในทิศทางแปลกๆ พอสมควร

“เป็นมาโซหรือไง”

ฐานทัพหัวเราะออกมาอีกครั้ง สิบทิศเข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนเองพูดเช่นกันจึงหัวเราะออกมาด้วย

“ถ้าเพื่อฐานนะ พี่เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”

เพราะไม่อยากฟังคำพูดหวานเลี่ยนและสบกับดวงตาแพรวพราวตรงหน้าอีก ฐานทัพเลยขึ้นไปยืนบนหลังเท้าของสิบทิศตามคำบอก

เมื่อขึ้นไปแล้วก็ทำให้ระยะห่างระหว่างกันลดทอนลง

สิบทิศแนบหน้าผากลงมาบนหน้าผากของฐานทัพที่อยู่สูงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย ขณะที่มือซึ่งประคองอยู่ด้านหลังเอวก็อ้อมเลยมาเป็นท่อนแขนแทน ฐานทัพจึงราวกับถูกโอบกอด

“ฐานรู้ไหม พี่รักฐานที่สุดเลยนะ”

เสียงกระซิบแหบพร่าเหมือนต้องการจะเขย่าหัวใจคนฟัง

ฐานทัพรู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเองเร่งจังหวะขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

จังหวะรัวเร็วดังตึกๆ จนหนวกหูทั้งที่เสียงเพลงบรรเลงจังหวะช้าๆ ยังดังคลออยู่

“จับหัวใจของพี่สิ”

อาจเพราะสิบทิศได้ยินเช่นกันกระมังถึงได้บอกเช่นนั้น

ฐานทัพเลื่อนมือที่แตะเบาๆ บนไหล่ของสิบทิศมาบนหน้าอกแทน แล้วเขาก็รับรู้ได้ถึงแรงสะเทือนจากบางสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น

จังหวะของมันก็ระรัวเหมือนกัน

“พี่มีความสุขที่สุดเลยนะที่ได้อยู่กับฐานแบบนี้”

เขาก็มีความสุขเหมือนกัน

ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่ได้พูดออกไป

หลังจากค้างอยู่ในท่านั้นสักพัก สิบทิศก็เริ่มย่างเท้าออกไปทีละก้าว

ฐานทัพสะดุ้งเล็กน้อยในก้าวแรก เพราะเมื่อสิบทิศยกเท้าขึ้นตัวก็ต้องลอยตามไปด้วย

เป็นประสบการณ์ประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

แต่หลังผ่านไปได้สามสี่ก้าว ฐานทัพก็เริ่มชินมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาอมยิ้มนิดๆ กับการถูกพาเดินไปยังมุมต่างๆ ในห้องในขณะที่ถูกอีกฝ่ายโอบกอดไว้แน่น โดยที่สิบทิศไม่สามารถมองเห็นรอยยิ้มของเขาได้

การทำแบบนี้บางทีก็ดีเหมือนกัน

เขารู้สึกอบอุ่น...

 

 

นับจากวันนั้นมาฐานทัพยิ้มรับการกระทำของสิบทิศมากขึ้น ส่วนสิบทิศก็กล้าที่จะโอบกอดเขาด้วยอารมณ์ปรารถนายิ่งกว่าเดิม

อาจเพราะกลัวว่าหากทำอะไรเกินพอดีทั้งที่เขาไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยจะทำให้สถานการณ์ระหองระแหงยิ่งเลวร้ายลงก็เป็นได้ ก่อนหน้านี้สิบทิศจึงไม่กล้าแตะต้องเขานัก ในตอนนี้อ้อมกอดที่มาจากด้านหลังเลยกระชับแน่น

สิบทิศกอดเขาที่ดึงให้มานั่งอยู่บนตักแล้วโน้มหน้าลงมาจูบหอมบนแก้ม ก่อนจะโยกตัวไปมาราวกับกล่อมเด็ก

“มีอะไร”

ฐานทัพแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้

“คือ...เราก็ไม่ได้ทำกันนานแล้วเนอะ”

พอได้ยินคำตอบเขาก็ส่ายศีรษะก่อนจะหัวเราะออกมา

หากลองนับดูแล้วก็ถือว่านานจริงๆ

เกือบสองเดือนได้แล้วที่เขากับสิบทิศไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายกัน

จะว่าไปเขาก็คิดถึงสัมผัสของสิบทิศเช่นเดียวกัน

ร่างกายขาดไออุ่นมาเติมเต็ม

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”

ด้วยเหตุนั้นฐานทัพจึงไม่ปฏิเสธแต่กลับยิ้มรับความปรารถนาของสิบทิศ ตอบรับฝ่ามือและรอยจูบที่ค่อยๆ พร่างพรมลงมาบนร่างกาย

อุณหภูมิที่ทาบทับลงมาทำให้ความรุ่มร้อนก่อเกิด เปลวไฟสว่างโชติช่วงขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะมีอะไรมาดับได้

ยิ่งรับรู้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมาบนร่างกาย กระทั่งลึกลงจนถึงภายในที่ไม่มีสิ่งใดเอื้อมถึง ฐานทัพก็ยิ่งบิดเร่าครวญครางอย่างสุขสม

เขาขยับสะโพกรับจังหวะที่สิบทิศเคลื่อนไหวราวกับไม่อยากพรากจากแม้แต่นิดเดียว วงแขนโอบกอดร่างของคนที่รักเอาไว้เหมือนอยากให้ทั้งสองคนผสานแนบเป็นเนื้อเดียวกัน

ความเร่าร้อนทำให้เหงื่อผุดซึมชโลมไปทั่วร่างจนเปียกลื่น

เสียงแห่งความหฤหรรษ์ที่กระทบกันครั้งแล้วครั้งเล่าพาให้พวกเขาเร่งจังหวะรุนแรงหนักหน่วงยิ่งขึ้น เสมือนอยากได้ยินเสียงที่หยาบโลนกว่านี้ สร้างความเสียวซ่านให้มากกว่านี้

“พี่ทิศ จะไปแล้ว อ๊า...จะถึงแล้ว”

“พี่ก็...เหมือนกัน จะ...อ้า”

เพียงไม่นานความรุ่มร้อนที่สุกงอมก็เอ่อทะลักออกมาจากทั้งคู่

เสียงหอบหายใจดังสอดประสานกันราวกับกำลังบรรเลงดนตรี ทว่าพอลมหายใจสงบลงเล็กน้อยร่างของฐานทัพก็ถูกสิบทิศช้อนขึ้นมาบนตักและเจ้าตัวลงไปนอนบนที่นอนเสียเอง

“คราวนี้ตาฐานมั่งนะ”

ฐานทัพไม่ปฏิเสธคำร้องขอ บทรักจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยท่วงท่าวาบหวามและจังหวะที่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ อีกครั้ง

กว่าไฟรักจะดับมอดลงก็หลังจากนั้นอีกพักใหญ่

ทั้งสองร่างนอนแผ่เหนื่อยหอบอยู่บนเตียงนอน

สิบทิศหันมากอดและจรดริมฝีปากลงจูบแก้มของฐานทัพเป็นการส่งท้าย กระซิบคำรักเบาๆ

“รักฐานจัง”

หัวใจของฐานทัพเต้นด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข ในอกเต็มอิ่มไปด้วยความอบอุ่น







v




v
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 11th Lie [28/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 28-03-2020 19:17:51















v







v






“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วค่อยดินเนอร์กัน พี่เตรียมของอร่อยไว้ให้ฐานด้วย”

หลังฐานทัพออกมาจากห้องน้ำและแต่งตัวแล้ว สิบทิศก็ยันตัวขึ้นนั่งบนเตียง จากนั้นขยิบตาลุกขึ้นเดินไป สวนกับฐานทัพที่กลับลงมาทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียงเหมือนเดิม

สายตาของฐานทัพมองตามร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไป ริมฝีปากคลี่ยิ้มด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นจนเก็บไม่อยู่

เขายิ้มจนปวดเมื่อยแก้ม

นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้

ฐานทัพนอนหลับตาอยู่ครู่ใหญ่ระหว่างรอสิบทิศอาบน้ำ ทว่าก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

เป็นสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้า

ฟังจากเสียงก็รู้ว่าไม่ใช่โทรศัพท์ของตน ฐานทัพจึงไม่ได้ใส่ใจ เพราะระหว่างพวกเขาแม้ไม่ได้ตั้งกฎว่าจะไม่ก้าวก่ายโทรศัพท์ของกันและกัน แต่ก็ไม่เคยหยิบจับโทรศัพท์ของอีกฝ่ายโดยไม่มีเหตุผลพิเศษ

เนื่องจากพวกเขาต่างทำงานที่ต้องติดต่อกับคนจำนวนมาก หากมัวใส่ใจเรื่องในโทรศัพท์ของอีกฝ่ายจะสร้างความระหองระแหงโดยใช่เหตุเสียเปล่าๆ มิหนำซ้ำอาจเป็นชนวนให้เกิดความไม่ไว้ใจกันอีกด้วย

ทว่าครั้งนี้เป็นเพราะโทรศัพท์ของสิบทิศหล่นออกมาจากเสื้อผ้าตอนถอดทิ้งตามอารมณ์เสียงเลยดังอยู่ใกล้หูจนน่ารำคาญ ฐานทัพจึงตามหาดูว่าอยู่ที่ไหนเพื่อนำไปวางที่หัวเตียงแทน

แต่เมื่อพบมันแล้ว ข้อความจากแอปพลิเคชันสนทนาก็ดังขึ้นพร้อมกรอบข้อความที่แสดงบนหน้าจอ ทำให้เขาเผลออ่านโดยไม่ได้ตั้งใจ

‘พี่ทิศคิดถึงจังเลย’

‘เมื่อไรเราจะได้เจอกันอีกสักที

‘ผมรอนานแล้วนะ’

‘เลิกติดแฟนได้แล้ว คนแถวนี้เหงานะ’

‘รีบมาหาเร็วๆ เข้า รูผมเปลี่ยวจะแย่แล้ว’

ข้อความเด้งขึ้นมาบนหน้าจอติดต่อกัน

ฐานทัพอ่านได้ครบทุกประโยคเพราะส่งมาแบบสั้นๆ ทั้งนั้น ราวกับว่าผู้ส่งอยากให้เสียงเตือนดังต่อเนื่องไปเพื่อเจ้าของโทรศัพท์จะได้รู้ตัวสักทีว่ามีคนส่งข้อความมาหา

เขารู้สึกมือชาและค่อยๆ แผ่ลามมาตามแขนและร่างกายส่วนอื่นๆ ต่อไปไม่หยุด มากขึ้นตามจำนวนข้อความที่ถูกส่งมา

‘คิดถึงตอนนั้นเนอะ’

‘ที่เราไปเที่ยวภูเก็ตด้วยกันอะ’

‘สองเดือนได้แล้วมั้ง’

กระบอกตาของฐานทัพร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่เห็นประโยคนี้ หูอื้อไปหมดจนได้ยินแต่เสียงตื้อๆ ดังก้องในสมอง เม็ดน้ำก่อตัวขึ้นมาบนขอบตาล่างก่อนจะร่วงเผาะลงมา

ฐานทัพเม้มริมฝีปากแน่น ภายในอกรู้สึกจุกไปหมด เหมือนโดนอะไรแข็งๆ ขนาดใหญ่ทุบลงมาอย่างรุนแรง

‘เที่ยวก็สนุก เอากันก็สนุก’

‘สุดยอดไปเลยยย โคตรถึงใจอะ’

‘อยากได้ของพี่มาแหย่อีก เอาอีกๆๆๆ’

‘ไปเที่ยวด้วย คราวนี้ไปเหนือมะ’

‘ไปมันให้ครบหกภาคไปเลยไง’

‘xมันทุกที่ 5555555’

ข้อความสนุกสนานแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ

ฐานทัพรู้สึกเรี่ยวแรงหดหายจนกระทั่งมือที่ถือโทรศัพท์ก็แทบไม่มีแรงจะจับมันเอาไว้แล้ว

ภาพที่มองเห็นพร่าเลือนเพราะหยดน้ำเกาะอยู่บนดวงตา ริมฝีปากสั่นยิ่งกว่าคนเป็นไข้ที่หนาวสั่น เสมือนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นเกาะน้ำแข็งอันเวิ้งว้าง ไม่มีสิ่งใดรอบตัว

เขารู้...

รู้ว่าสิบทิศมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไร

แต่มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น

เรื่องเดียวที่ทำให้เขาสะเทือนใจราวกับจะหายใจไม่ออก เหมือนจะขาดใจตายลงตรงนี้

“ทำอะไรน่ะฐาน!”

เสียงที่โพล่งดังมาจากทางห้องน้ำทำให้ฐานทัพสะดุ้งเฮือก พอหันไปมองก็เห็นสิบทิศทำหน้าขึ้งจ้องเขาเขม็ง

สีหน้านี้ฐานทัพไม่เคยเห็นมาก่อน

ใบหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงโทสะที่พลุ่งขึ้นมา

“ทำไมมาแอบดูโทรศัพท์พี่!”

สิบทิศก้าวพรวดเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าทำให้เห็นสีหน้านั้นชัดเจนกว่าเดิม จนความรู้สึกในใจของฐานทัพที่อัดอั้นตั้งแต่รู้ความจริงเมื่อครู่ทะลักล้นออกมาอย่างกักกั้นไม่อยู่

“ทั้งที่ไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดกับผมเลยสักครั้งแต่ไปกับคนอื่น”

ฐานทัพตัวสั่นไปหมด

ไม่รู้ว่าสั่นเพราะเสียใจ ผิดหวัง หรือว่าโกรธ

ตั้งแต่เขาคบกับสิบทิศมาสองปี สิบทิศไม่เคยพาเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับพาใครไม่รู้ไป

มิหนำซ้ำยังดูสนุกกันมาก มีความสุขกันมาก

“เลว”

คำเดียวที่ฐานทัพพูดออกมีเพียงแค่คำนี้

น้ำตาร่วงเผาะลงมาพร้อมกับเสียงที่เปล่งออกไป

“เลว เลว เลว เลว เลว!”

น้ำตาเอ่อนองใบหน้าฐานทัพมากยิ่งขึ้น

เสียงพูดที่สั่นเครือและแหบพร่าดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงตะโกน แต่ฐานทัพก็พร่ำพูดได้เพียงคำเดียว

“เลว เลว เลว เลว เลว เลว เลว!!”

ยิ่งพูดคำว่าเลวเท่าไร เขาก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจเท่านั้น เหมือนมันเป็นแท่งหินแหลมๆ ปักเข้ามาในหัวใจ

น้ำซึ่งไหลจากตาราวกับรั่วออกมาจากหัวใจที่โดนแทงนับครั้งไม่ถ้วนนั่นน่าจะเป็นเลือดมากกว่าน้ำตา

“พี่ขอโทษ”

สิบทิศหน้าเสีย เอ่ยขอโทษและฉุดแขนเขาไว้พยายามจะกอด แต่ฐานทัพก็ขืนตัวออกแล้วปาโทรศัพท์ในมือใส่หน้าสิบทิศเต็มแรงแล้ววิ่งหนีออกมา

เขาวิ่งมาตัวเปล่า วิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนเหนื่อยจึงเปลี่ยนเป็นเดินไปหยุดพักที่ป้ายรถประจำทางซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด

ไม่รู้ว่าวิ่งมาระยะทางเท่าไรแต่ในตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว

ถนนเริ่มร้างไร้ผู้คน รถวิ่งสวนไปมายิ่งมีน้อย

ฐานทัพปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา ปล่อยให้มันเอ่อนองสองแก้มอยู่อย่างนั้น คิดว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีคนแล้วก็ดี จะได้ไม่ต้องมีใครมาเห็นเขาในสภาพน่าสมเพชแบบนี้ให้เสียลูกตา

เขาร้องไห้อยู่อย่างนั้นทั้งคืน เสียงสะอึกสะอื้นดังท่ามกลางความเวิ้งว้าง เปล่าเปลี่ยว เสมือนมีตนเองอยู่เพียงคนเดียวในโลกสีดำมืดนี้

เขาเคยเจ็บปวดมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเจ็บอย่างที่สุด

มันเหมือนหัวใจโดนเฉือนบนแผลที่เน่าเปื่อยจนแหลกเละเหวอะหวะ

ยิ่งคิดว่าความทรงจำระหว่างเขากับสิบทิศมีอะไรบ้างก็ยิ่งทำให้รวดร้าวไปทั้งร่างกาย เพราะถึงมันจะมากมาย แต่ก็เป็นเรื่องราวเดิมๆ ของชีวิตประจำวันและเรื่องบนเตียง

ไม่เคยมีความทรงจำกับสถานที่พิเศษเหมือนใครคนนั้นที่เขาไม่รู้จัก

เขาไม่เคยคิดละโมบโลภมากว่าจะต้องไปที่ไกลๆ ด้วยกัน จะต้องมีความทรงจำที่แสนวิเศษร่วมกัน เพียงใช้ชีวิตด้วยกันอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา

ทั้งๆ อย่างนั้นกลับมีใครอีกคนที่ได้รับสิ่งที่เหนือกว่าแทนที่จะเป็นเขา

เขาซึ่งเป็นคนรักที่คบหากันมาสองปี

เขา...คนที่สิบทิศบอกว่ารักมากที่สุด

เขาไม่ได้อิจฉาริษยาที่ใครคนนั้นได้รับในสิ่งที่เขาไม่เคยได้

แต่น้อยเนื้อต่ำใจและเริ่มสำเหนียกว่าตัวเองเป็นอะไรสำหรับสิบทิศกันแน่

หากเขาเป็นที่รัก เป็นคนที่ถูกรักจริงๆ สิบทิศจะทำอย่างนี้กับเขาหรือ

เขา...เป็นที่รักจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?

ตอนนี้เขาไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่สิบทิศบอกว่ารัก คือตัวตนของเขาหรือว่าร่างกายของเขา

ไม่รู้ว่าท้องฟ้าสว่างตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้สึกตัวอีกครั้งฐานทัพก็เห็นว่าภาพเบื้องหน้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เริ่มมีรถสัญจรมากขึ้น ได้ยินเสียงผู้คนดังมาเนืองๆ

เขาเช็ดน้ำตา สูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกปวดกระบอกตาอย่างมาก โพรงจมูกแสบไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็เรียกสติกลับมาและเริ่มคิดว่าตนเองจะไปที่ไหนดี

ตอนนี้เขามีเพียงตัวเปล่าๆ ไม่มีทั้งโทรศัพท์และกระเป๋าเงิน แต่ก็ไม่อยากจะนั่งอยู่ที่เดิมอย่างนี้ เพราะอีกไม่นานคงมีผู้คนที่ออกไปทำงานมารอรถกัน หากเขายังอยู่อย่างนี้คงทำให้คนอื่นเดือดร้อน

ฐานทัพตัดสินใจลุกขึ้นเดิน ถึงแม้จะไม่มีจุดหมาย ถึงแม้ในสมองจะกลวงเปล่าเพราะหาคำตอบไม่ได้

เขาเดินต่อไปด้วยความรู้สึกเพียงอย่างเดียวคืออยากไปจากที่นี่ ทว่าเดินไปสักพักกลับมีเสียงแตรรถดังให้ใบหน้าที่ก้มงุดมองแต่พื้นมาตลอดเงยขึ้น

มีรถคันหนึ่งมาจอดเทียบข้าง แต่เขาไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรเกี่ยวกับตนเองจึงก้าวเดินต่อไป จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นทางด้านหลัง

“ฐาน!”

เขาหันกลับไปดูอีกครั้ง แล้วก็เห็นใบหน้าของคนคุ้นเคย

คนที่เคยทำให้หัวใจของเขาผ่อนคลายลงมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“ทำไมมาเดินอยู่แถวนี้”

อีกฝ่ายลงจากรถ เดินตรงเข้ามาหาและถามด้วยความห่วงใย

พอมาย้อนนึกดูแล้วก็ไม่แน่ใจว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรัก ไม่ได้แสดงน้ำเสียงห่วงใยเขาแบบคนคนนี้มานานเท่าไรแล้ว

เขาจำไม่ได้...

สิบทิศเคยห่วงใยเขาจริงเหรอ?

มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือเปล่า

ฐานทัพหาคำตอบไม่ได้

ทว่าพอเห็นหน้าของคนคนนี้แล้วน้ำตาของเขาก็ไหลลงมา เมื่ออีกฝ่ายมาอยู่ใกล้มากจนสามารถเอื้อมมือถึง เขาก็โผเข้ากอดร่างนั้นแน่น กระซิบเสียงเครือแนบอก

“พี่ภัน ผมเจ็บ เจ็บมาก”




--------------------
ขอบคุณคนที่อ่านอยู่นะคะ อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วค่ะ
เรารู้ว่ามันไม่สนุก แต่แค่อยากแชร์ชีวิตฐานทัพ เผื่อคนที่เคยอ่านเรื่องบล็อกเก้ออยากรู้ค่ะ


หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 11th Lie [28/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 28-03-2020 22:51:02
ฟิชชิ่งหรือเปล่าไม่รู้
แต่เรารู้สึกว่าสนุกดี
โกหกสีขาวนี่หมายถึงสิบทิศเหรอ
โกหกว่ารักมากและจะปรับตัวนี่
เราว่าไม่ใช่ละนะ​
มันคือการแก้ตัวแบบแถๆ​ ​อ่ะ
หรือจะหมายถึง​ฐาน​
ที่โกหกตัวเอง
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 12th Lie [31/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 31-03-2020 21:00:11















12th Lie

พี่ทำได้ทำไมผมจะทำไม่ได้


 

“พี่เพิ่งเลิกงานจะกลับคอนโดฯ พอดี ไปคุยกันที่นั่นแล้วกัน”

หลังจากถูกลูบหลังปลอบใจอยู่ครู่หนึ่ง ภันวัฒน์ก็เอ่ยชวน

ฐานทัพเล่าเรื่องทั้งหมดให้ภันวัฒน์ฟังเมื่อมาถึงคอนโดมิเนียมแล้ว น้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาอีกครั้งขณะเล่าเรื่องจนอีกฝ่ายต้องจับศีรษะของเขาไปซบไหล่เอาไว้แล้วลูบเบาๆ ปลอบประโลม

“ถ้าเป็นแบบนี้เลิกดีไหม”

น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนเช่นเดียวกับทุกครั้งเสนอ

ฐานทัพหลับตาลงเหมือนคนจนตรอก ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี

“ผมก็อยากเลิก แต่มันเลิกไม่ได้ พอพี่ทิศขอโทษอ้อนวอนผมก็ใจอ่อน เป็นแบบนี้ไม่รู้กี่ครั้ง ทั้งที่รู้ว่าความรักของเขามันหมดไปแล้ว หรือบางทีอาจจะไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก ไม่รู้จะเหนี่ยวรั้งผมไว้ทำไมอีก”

“แต่ได้แต่เจ็บอยู่แบบนี้มันไม่คุ้มเลยนะ มีแต่ฐานที่เจ็บอยู่ฝ่ายเดียว เขาไม่เห็นจะมาเดือดร้อนด้วยเลย”

“ผมรู้ ผมรู้อยู่เต็มอก แต่ผมก็ตัดใจไม่ได้ ผมรักเขา ผมรักเขาจริงๆ รักมาก ในชีวิตนี้ผมรักเขาอยู่คนเดียว ผมทำอะไรไม่ได้เลย”

น้ำตาหล่นร่วงลงมาอีกหยด น้ำเสียงสั่นเครือไปหมด

สภาพของเขาในตอนนี้นอกจากจะน่าสมเพชแล้วยังน่าสังเวชอีกด้วย

ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีสภาพเช่นนี้

ทั้งที่ความจริงน่าจะรู้อยู่แล้ว คนที่ไม่เคยเป็นที่รัก คนที่ไม่เคยเป็นที่ต้องการของใคร แม้กระทั่งพ่อแม่ของตัวเอง คนอย่างเขาจะได้รับความรัก จะถูกใครรักจริงๆ ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นฐานก็ต้องฝืนใจแข็ง ยืนยันจุดยืนของตัวเองให้เขารู้ อย่าปล่อยให้เขาคิดว่าสามารถทำร้ายฐานได้ง่ายๆ ตัวฐานเองก็มีค่า ไม่ใช่จะให้เขามาทิ้งๆ ขวางๆ หรือหยิบมาเล่นเมื่อไรก็ได้”

“.....”

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่พี่ก็ไม่ค่อยอยากสนับสนุนหรอกนะ พี่ไม่อยากให้ฐานจมปลักอยู่กับคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวฐาน ไม่เคยเห็นใจและสำนึกผิด แต่ในเมื่อฐานเลือกแล้วว่าอยากจะอยู่กับเขา มันก็ช่วยไม่ได้”

“ขอโทษนะพี่ ผมมันอ่อนแอ แต่ผมจะพยายามเข้มแข็งขึ้นนะ”

ภันวัฒน์ถอนหายใจยาวออกมาอย่างไม่ปิดบัง คล้ายกับว่าตัดสินใจจะปลงตกกับปัญหานี้ด้วยเสียงนั้น

“พี่ไปส่งผมหน่อยสิ”

“จะไม่อยู่นี่อีกสักวันสองวันเหรอ”

ฐานทัพส่ายศีรษะ คงเพราะได้รับกำลังใจเมื่อครู่ถึงทำให้รู้สึกมีพลังขึ้นมาอีกหน่อย

“ผมจะไปดูว่าพี่ทิศรอผมอยู่หรือเปล่า”

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ราวกับไม่แน่ใจว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ยอมเปล่งเสียง

“เตรียมใจไว้แล้วหรือยัง”

ฐานทัพเกือบสะอึกออกมาเพราะไม่ทันฉุกคิดถึงเรื่องนี้

ครั้งที่แล้วภันวัฒน์ก็เตือนเช่นนี้ และคำตอบของคำเตือนนั้นก็ออกมาในแง่ลบทำให้เขาเกรงว่าครั้งนี้อาจจะเป็นเหมือนเดิมขึ้นมา

แต่ถึงอย่างนั้น...

“จะว่าเตรียมก็ยังไม่เตรียมหรอก แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าผลออกมาเป็นยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

ถึงแม้จะพูดประโยคนี้เหมือนอาจหาญ ทว่าหัวใจกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง บอกให้รู้ว่าไม่พร้อมเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างที่ใครๆ เขาว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

“งั้นพี่ก็เอาใจช่วยแล้วกัน”

ดูเหมือนภันวัฒน์จะมองความรู้สึกของเขาออก แต่ก็เคารพการตัดสินจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกและยอมไปส่งที่คอนโดฯ ของสิบทิศแต่โดยดี

เขาเฝ้าอธิษฐานอยู่ในใจว่า ถึงจะเป็นช่วงสายแล้ว หากสิบทิศมีความเป็นห่วงเป็นใยเขาสักนิด ก็อาจจะรอคอยอยู่ว่าเขาจะกลับมาหรือไม่ แต่เมื่อกลับไปถึงแล้วผลกลับออกมาอย่างที่หวาดกลัว

ฐานทัพพบเจอแต่ห้องที่ว่างเปล่า

หัวใจที่ทำเป็นเข้มแข็งตอนมาจากคอนโดฯ ของภันวัฒน์แตกสลายลงไปในทันที

ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีเจตนาเลยแท้ๆ แต่เห็นเพียงเท่านั้นหยดน้ำก็ปริ่มขึ้นมาเอ่อขอบตาอีกระลอก

ฐานทัพกลับเข้าห้องนอนซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้เขาต้องวิ่งหนีไป ทิ้งตัวลงบนเตียงนั้นด้วยร่างกายที่อ่อนล้าเหลือเกิน ราวกับว่าเรี่ยวแรงหดหายไปจากร่างกายดื้อๆ โดยไม่บอกกล่าว

เขาปิดเปลือกตาลงทั้งที่บนดวงตายังคลอไปด้วยน้ำใสๆ จนมันร่วงลงกระทบแก้ม

 

 

ฐานทัพลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแบบสะลึมสะลืม รู้สึกว่าตัวร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนมีไอระอุอยู่ทั่วทั้งร่าง สงสัยคงเพราะปัจจัยหลายๆ อย่างทำให้ไข้ขึ้น

เขาพลิกตัวซ้ายขวามองหานาฬิกาดูเวลา

เป็นเวลาเลิกงานของสิบทิศแล้ว เจ้าตัวอาจจะกลับมาเร็วๆ นี้ก็ได้

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง อีกครึ่งชั่วโมงสิบทิศก็กลับมา

สิบทิศเข้ามาในห้องในขณะที่ฐานทัพยังนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับไปจากเดิมเพราะรู้สึกเหนื่อยล้า พออีกฝ่ายเปิดไฟเพดานเขาก็มองเห็นว่าที่หน้าผากสิบทิศมีผ้าก๊อชแปะเอาไว้ ดูก็รู้ว่าหัวแตกเพราะโทรศัพท์ที่เขาปาใส่

ฐานทัพรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้สิบทิศเจ็บ แต่ก็พูดไม่ออกว่าขอโทษ

“เมื่อคืนไปไหนมา วิ่งหายไปอย่างนั้นพี่เป็นห่วงนะ”

“ก็เรื่อยเปื่อย”

ฐานทัพตอบห้วนและไร้อารมณ์ ทว่าแตกต่างจากที่เคยเป็นมาช่วงที่ระหองระแหงกันก่อนหน้านี้ เพราะแฝงไว้ด้วยแววของความไม่พอใจอยู่จางๆ

เขาดันตัวลุกขึ้นนั่ง มองหน้าสิบทิศค้างไว้ ไม่รู้อะไรดลใจหรืออาจเพราะรู้สึกเหนื่อยเกินไปก็เป็นได้ถึงได้เอ่ยคำนี้ขึ้นมาซ้ำ

“เลิกไหม”

ดวงตาของสิบทิศเบิกโพลงคล้ายคนตกใจอย่างหนัก ทั้งที่ในความคิดของเขา สิบทิศไม่น่าจะตกใจอย่างนั้น เพราะเป็นฝ่ายทำให้เขาพูดคำนี้ออกมาแท้ๆ

“ไม่เลิก ยังไงพี่ก็ไม่ยอมเลิกกับฐานหรอก”

น้ำเสียงที่อีกฝ่ายเปล่งออกมาหนักแน่นจนเหมือนบีบคั้น ก่อนร่างนั้นจะย่างสามขุมมาอยู่ตรงหน้า

“พี่จะทนอยู่อย่างนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อใจของพี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ พี่ไม่ได้มีความสุขที่ได้อยู่กับผม พี่จะทรมานตัวเองไปทำไม ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระไม่ดีกว่าเหรอ ผมขอร้องเถอะ ผมอยากให้เราจบกันด้วยดี ให้ผมเดินออกไปจากชีวิตพี่ดีๆ อย่าให้ผมต้องหนีเลย”

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันยากจะทำอย่างปากพูดได้ แต่ฐานทัพก็อยากพูดออกมา

ในเมื่อเขาไม่สามารถเป็นฝ่ายเดินออกไปเองได้ ก็มีแต่ต้องขอให้อีกฝ่ายขับไล่ไปไม่ใช่เหรอ

ถึงกระนั้นสิบทิศก็ยังคงดื้อด้าน

“ไม่ พี่ไม่เลิกกับฐาน พี่รักฐานที่สุด ในชีวิตนี้พี่ไม่เคยรักใครแบบนี้ พี่ปล่อยฐานไปไม่ได้หรอก”

สิบทิศลงมานั่งบนเตียง จับมือของเขาเอาไว้ เปล่งน้ำเสียงเด็ดขาดแต่เว้าวอน นัยน์ตาส่งความรู้สึกมาเช่นเดียวกับคำพูด

ฐานทัพไม่กล้าสบตา เพราะรู้ว่าหากมองเข้าไปจะต้องใจอ่อนอีกเป็นแน่ แต่ถึงจะไม่ยอมสบตาตรงๆ มือที่กุมมือเขาไว้มันก็อบอุ่นจนทำให้ภายในอกปั่นป่วนไปหมดอยู่ดี

“พี่เป็นห่วงฐานมากเลยนะ ฐานอย่าหายตัวไปแบบนี้อีกได้ไหม พี่จะเป็นบ้า ฐานรู้ไหมว่าพี่ตามหาฐานทั้งคืนเลย ตามหาฐานทั้งที่เลือดยังไหลออกมา แผลก็ไม่ได้ทำ เพราะใจร้อนรนไปหมด กลัวว่าฐานจะหายไปแล้วไม่กลับมาอีก”

คำพูดเหล่านั้นเสมือนสารอะไรสักอย่างที่ละลายความเข้มแข็งของเขาให้ลดลงไปเรื่อยๆ จนมันอ่อนบางเหมือนจะสลายลงไปได้อย่างง่ายดาย

ความห่วงใยที่สิบทิศแสดงออกมาแม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือคำลวง แต่ ณ เวลานี้มันทำให้เขาเปราะบาง ราวกับว่าหากไม่มีอีกฝ่ายอยู่ด้วย เขาก็ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

ฐานทัพรู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าหากขาดสิบทิศไป เขาคงทุกข์ทรมานมากๆ อย่างแน่นอน

“แล้วพี่เจ็บมากหรือเปล่า”

สุดท้ายใจที่เคยพยายามบังคับให้แข็งก็ต้องอ่อนลงอยู่ดีต่อหน้าคนที่รักหมดทั้งหัวใจ

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอแค่ฐานกลับมาอยู่กับพี่ก็พอแล้ว”

สิบทิศดึงฐานทัพเข้าไปกอด โอบเอาไว้เหมือนจะให้ไออุ่นและการวิงวอนซึบซาบเข้ามาในตัวเขา ให้ลึกเข้ามาถึงใจของเขา และยอมรับเหตุผลกับความผิดพลาดนานัปการที่เจ้าตัวเคยก่อเอาไว้

ถึงจะรู้สึกได้เช่นนั้น ฐานทัพก็ยังโอบกอดกลับไปอยู่ดี

ขอเพียงแค่ได้อยู่ด้วยกัน ได้รับรู้ว่าตัวเองมีตัวตนต่อสิบทิศ มันก็เพียงพอแล้ว

“ว่าแต่...ฐานหายไปที่ไหนมา ไม่ได้ไปอยู่กับผู้ชายอื่นใช่ไหม”

บรรยากาศที่เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีกลับทะมึนลงอย่างฉับพลัน คล้ายกับว่าฟ้าครึ้มจนเป็นสีเทาเข้มก่อนฝนจะตก

ฐานทัพขืนตัวออกมาจากอ้อมกอดนั้นอย่างรวดเร็ว เพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวที่แสดงออกถึงการไร้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจและการไม่เข้าใจความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย

ไม่ได้รับรู้เลยว่าความรักที่เขามีให้สิบทิศมันมากมายแค่ไหน

“ก็ไม่แน่หรอก!”

เสียงห้วนสะบัดออกมาจากฐานทัพที่ผุดลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนโดยไม่เหลียวกลับมามองคนด้านหลัง

“หมายว่าความยังไง!”

เขาได้ยินเสียงมาจากไกลๆ แสดงว่าสิบทิศไม่ได้ลุกตามมา

น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ตะคอกห้วนไม่แพ้กันยิ่งทำให้ฐานทัพรู้สึกฉุนมากขึ้นไปอีก

“พี่ทำได้ทำไมผมจะทำไม่ได้!”

จากนั้นก็เหมือนกับว่าคนทั้งสองอยู่คนละโลกกัน

สิบทิศไม่ได้ออกมาหาฐานทัพที่ห้องนั่งเล่น ขณะที่ฐานทัพก็ไม่ได้เข้าไปหาสิบทิศที่ห้องนอนเช่นกัน

 

 

วันรุ่งขึ้น ฐานทัพรู้สึกปวดเมื่อยตัวมาก

ตัวของเขาร้อนผ่าวไปหมดจนเหมือนกับโดนไฟสุมเสียยิ่งกว่าเมื่อวาน หัวก็ตื้อและวิงเวียนมากจนแม้แต่ลุกขึ้นนั่งยังเหมือนโลกหมุนไปหมด

เขาคงจะไข้ขึ้นจริงๆ แล้ว และไข้ก็สูงมากด้วย

ฐานทัพหันไปมองรอบห้องอย่างยากลำบากเพราะรู้สึกตาลาย แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะตรวจสอบดูว่าสิบทิศยังอยู่ในห้องหรือไม่ แต่มันเงียบสนิทเหมือนมีเพียงเขาอยู่คนเดียวในที่แห่งนี้ พอเหลือบสายตามองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นช่วงสายแล้ว

สิบทิศคงไปทำงานแล้ว

คิดได้เช่นนั้นฐานทัพก็ล้มตัวลงนอนอีกรอบ แม้จะมีความรู้สึกหิวอยู่นิดๆ แต่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจนไม่อยากลุกไปไหน

นอนพักอีกสักหน่อยอาการอาจจะดีขึ้นก็ได้

แต่ถึงแม้สภาพร่างกายอาจจะดีขึ้นได้ด้วยการพักผ่อน สภาพจิตใจกลับยากจะเป็นเช่นนั้น

ในเวลาป่วยแบบนี้ความเปลี่ยวเหงาอ้างว้างค่อยๆ ซึมขึ้นมาเหมือนน้ำผุด และไม่อาจหาสิ่งใดมาอุดมันลงได้ ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่ฐานทัพจะนึกถึงสิบทิศขึ้นมา

นึกถึงช่วงเวลายามที่เขาป่วยและเคยมีสิบทิศคอยดูแลจนหายดี

เมื่อก่อนเขาก็เคยนอนป่วยอย่างเดียวดายไม่ใช่เหรอ ก็แค่กลับไปเป็นแบบนั้นอีกครั้งเท่านั้นเอง

ฐานทัพบอกตนเองแล้วฝืนปิดเปลือกตาลง ทำใจให้สงบเพื่อให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด

ทั้งที่อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อลืมตาอีกครั้งในช่วงบ่ายแก่ๆ อาการกลับไม่ดีขึ้นเลยสักนิด ท้องก็ร้องประท้วงขออาหาร

ฐานทัพจำต้องยันร่างขึ้นมา ทว่าเพียงแค่ลุกร่างก็เซจนแทบล้ม แต่เขาก็ยังกัดฟันอดทน เปลี่ยนเสื้อผ้า แปรงฟัน แล้วหยิบกระเป๋าเงิน พาร่างพังๆ ไปโรงพยาบาล

ระหว่างทางเขาเกือบล้มอยู่หลายครั้ง แต่ก็ฝืนสังขารกระทั่งมาถึงจนได้

ด้านหน้าโรงพยาบาลมีร้านสะดวกซื้อ เขาแวะซื้อนมสักกล่องมาดื่มเพื่อไม่ให้น้ำย่อยกัดกระเพาะ

หลังจากพยาบาลตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้วก็ให้ยามากินเพื่อให้ไข้ลดลงสักหน่อย

เขานั่งรอคิวหมอเรียกอยู่นานจนหลับคาเก้าอี้นอกห้องตรวจ เพราะต้องรอผลเลือดเนื่องจากไข้สูงมากจนสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นไข้หวัดใหญ่ก็ได้

เมื่อถูกขานชื่อฐานทัพถึงค่อยได้สติอีกครั้ง

เขารู้สึกว่าอุณหภูมิที่พุ่งสูงจนเกือบสี่สิบองศาลดลงมาเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นจึงประคองร่างเข้าไปพบหมอได้อย่างไม่มีปัญหาสักเท่าไร

ทั้งที่คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นหน้าหมอเขากลับต้องกะพริบตาอยู่หลายครั้งเพื่อความแน่ใจ

“เอิร์ท?”

“ฐานจริงๆ ด้วยเว้ย”

ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะประหลาดใจเหมือนกันจึงหยุดชะงักแล้วมองหน้าเขาชั่วครู่ จนกระทั่งเขาหลุดเสียงออกมา

“ก็ว่าชื่อคุ้นๆ รูปก็คล้ายๆ อยู่ แต่ไม่คิดว่าจะใช่จริงๆ”

อดิศักดิ์ยิ้มเผล่ด้วยความยินดี เขาเองก็รู้สึกยินดีเช่นกัน เพราะตั้งแต่เจอกันครั้งสุดท้ายก่อนเขาขึ้นเหนือไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เจออีกฝ่ายอีกเลย

สมัยมัธยมเขาสนิทกับอดิศักดิ์ที่สุด

...และมีเซ็กซ์กับอดิศักดิ์เยอะที่สุดด้วย

อดิศักดิ์ก็คือคนคนนั้น

คนที่ทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงความสุขและความสนุกของสิ่งที่เรียกว่าเซ็กซ์

“เป็นไงวะ สบายดีหรือเปล่า”

“มึงก็กล้าถามนะ ถ้าสบายดีกูจะมาหาหมอจนเจอมึงไหม”

“เออใช่ ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินมานานทำให้รู้สึกหัวใจชุ่มชื้น นึกถึงวันเก่าๆ ที่พวกเขาทั้งคู่เคยใช้เวลาร่วมกัน ทำเรื่องบ้าบอ ทำเรื่องบ้าบิ่นอย่างไม่คิดถึงอนาคต อยากรู้อยากลองไปเสียทุกอย่าง

“โทษทีนะ กูไม่ได้ติดต่อมึงเลย กูเรียนยุ่งมาก”

“เออๆ กูเข้าใจ”

เพราะอดิศักดิ์เรียนแพทย์ การติดต่อระหว่างพวกเขาจึงขาดหายไปด้วย

เขาคิดว่าไม่เป็นไร ก็เหมือนกับรางรถไฟสองราง ตัดผ่านกันในช่วงหนึ่ง เมื่อผ่านช่วงเวลานั้นไปก็กลับมาขนานกันเหมือนเดิม

“แล้วนี่มึงทำอะไรอยู่ล่ะ”

“กูว่ามึงตรวจกูก่อนดีไหม คิวคนไข้รอยาวเหยียดไม่ใช่หรือไง”

แม้ว่าจะสี่โมงเย็นแล้ว คนไข้ซาลงไปกว่าช่วงเช้ามาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย

“เออ นั่นสิ ว่าแต่มึงเป็นไข้? สูงเกือบสี่สิบองศาเลยนี่หว่า”

อดิศักดิ์ดูผลการตรวจเบื้องต้นจากใบนำส่งคนไข้ ก่อนจะเปิดดูข้อมูลรายละเอียดจากคอมพิวเตอร์อีกที

“ผลเลือดออกมาแล้ว ไม่ได้เป็นไข้หวัดใหญ่นะ แค่ไข้สูงธรรมดาเฉยๆ เดี๋ยวกูสั่งยาลดไข้ให้แล้วกัน มึงก็พักผ่อนมากๆ มีอาการเจ็บคอ ไอ หรือมีน้ำมูกบ้างไหม”

“ไม่มีอะ กูตัวร้อนแล้วก็ปวดหัวมากเฉยๆ รู้สึกปวดเมื่อยตัวไปหมด เหมือนไม่มีแรง”

“ก็อาการทั่วไปล่ะนะ มึงพักผ่อนสักสองสามวันเดี๋ยวก็หาย ว่าแต่อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

“ไข้ลดลงนิดหน่อย แต่อื่นๆ ก็เหมือนเดิม”

อดิศักดิ์ซักถามเพิ่มเติมหลังจากนั้นอีกเล็กน้อย แล้วก็บอกว่า

“อีกชั่วโมงกูจะออกเวรแล้ว เดี๋ยวกูไปส่งมึงแล้วกัน มึงจะได้ไม่ต้องลากสังขารกลับ”

เขาพยักหน้ารับเพราะคิดว่าก็ดีเหมือนกัน กว่าจะมาถึงที่นี่ เขารู้สึกทรมานเหลือเกิน

จากนั้นอดิศักดิ์กดปุ่มเรียกพยาบาลเข้ามาในห้อง

“มีห้องไหนที่หมอออกเวรไปแล้วบ้างไหม ช่วยพาคนไข้ไปนอนห้องนั้นก่อน พอดีเขาเป็นเพื่อนผม ผมจะพาเขากลับตอนออกเวร”

พยาบาลตอบรับก่อนจะนำทางฐานทัพออกไปจากห้อง ให้ไปนอนที่ห้องตรวจซึ่งอยู่ถัดออกไปอีกสองห้อง

ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้กว้างมากนักให้ความรู้สึกว่าน่าอึดอัด แต่เพราะมีเตียงนอนและค่อนข้างเงียบสงบเมื่อปิดประตูลงแล้ว ฐานทัพจึงนอนลงอย่างสบายใจและหลับไปด้วยพิษไข้

รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่อดิศักดิ์มายืนเรียกอยู่ข้างๆ ปลุกเขาให้ตื่นแล้ว

ฐานทัพตื่นมาด้วยสภาพมึนงงเล็กน้อย แต่ก็เหมือนว่าอาการจะดีขึ้นอีกหน่อย ถึงจะรู้สึกตัวยังรุมๆ อยู่บ้าง

“โอเคหรือเปล่า”

“ก็พอไหว”

“งั้นไปที่รถกัน”

ฐานทัพดันตัวลงจากเตียง เดินตามอดิศักดิ์ไปที่รถ พอบอกที่อยู่ของตนเองเสร็จก็รู้สึกว่าอ่อนเพลียลงมาอีก

“ตอนนี้มึงทำอะไรอยู่ ทำงานที่ไหน”

บทสนทนาที่ถูกคุยค้างไว้ตั้งแต่ในห้องตรวจถูกนำมาสานต่ออีกครั้ง

“กูเรียนโทอยู่ แล้วมึงอะ เป็นไง”

“กูก็...”

อดิศักดิ์ยกมือข้างซ้ายขึ้นมา

“นี่แหละ แต่งงานแล้ว”

ฐานทัพมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง มองแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นเหมือนไม่เชื่อสายตา

เขาทวนซ้ำเหมือนเมื่อครู่ได้ยินไม่ชัด ลืมเรื่องอาการอ่อนเพลียไปชั่วคราว

“แต่งงาน? มึงเนี่ยนะแต่งงาน”

“เออ ก็แม่กูอยากได้หลาน อ้อนวอนให้กูเอาหลานมาให้ให้ได้ กูก็เลยต้องทำ”

“แล้วมึงทำกับผู้หญิงได้เหรอวะ”

อดิศักดิ์หันมายิ้มแหยให้ก่อนจะเล่า

“เขาเป็นลูกของเพื่อนแม่กู ถูกจับแต่งงานแบบไม่เต็มใจเหมือนกัน กูเลยบอกเขาไปตรงๆ ว่าเป็นเกย์นะ ผู้หญิงบิลด์กูไม่ขึ้น แต่ว่าแม่กูอยากได้หลานมาก กูไม่รู้จะทำยังไงดี”

“แล้วเขาเข้าใจเหรอวะ”

“ก็ถือว่ากูเจอผู้หญิงดีละมั้ง เขาบอกว่าเข้าใจ งั้นทำกิฟต์ไหม เขายอมท้องก็ได้เพราะพ่อแม่เขาก็อยากได้หลานเหมือนกันถึงเซ้าซี้บังคับให้แต่งงานอยู่ได้ ไว้พอลูกคลอดแล้วค่อยหย่ากัน”

“ไม่น่าเชื่อ”

ฐานทัพรู้สึกประหลาดใจมากจริงๆ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีผู้หญิงที่มีความคิดแบบนี้อยู่ด้วย

ทั้งยอมรับความเป็นเกย์ของสามีได้และยอมที่จะมีลูกด้วย

“กูก็ไม่อยากเชื่อหรอก แต่เขายอมทำจริงๆ ตอนนี้กูมีลูกสาวแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้หย่า เพราะพอมีลูกแล้วก็รู้สึกว่าอยากอยู่เป็นครอบครัว อยากให้ลูกมีความสุข มีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตา เขาก็โอเค อยู่กันแบบเพื่อนน่ะมึง”

ฐานทัพร้อง “โห” เบาๆ เชื่อว่าหากร่างกายของตนปกติดีคงร้องเสียงลั่นรถกว่านี้แน่

เขารู้สึกอัศจรรย์ใจจริงๆ ที่เพื่อนซึ่งเคยชักชวนเขาออกนอกลู่นอกทางมาตลอดได้มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น

ใบหน้าของอดิศักดิ์เวลาพูดถึงลูกสาวมีรอยยิ้มจนอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า...นั่นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของชีวิตที่ดีมากสำหรับเกย์คนหนึ่งเลยทีเดียว และมันก็ไม่ใช่ว่าจะพบเจอเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ

มันยากเสียจนเขาไม่เคยนึกถึงด้วยซ้ำว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“แล้วมึงล่ะ”

คำถามที่ย้อนกลับมาทำให้ฐานทัพอึ้งงันไป

เขาเม้มริมฝีปาก เบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างคล้ายคนไม่อยากพูดก่อนจะตอบเสียงเบา

“กูคบกับคนคนหนึ่งอยู่ แต่มันไม่ค่อยโอเคเท่าไร”

“มึงมีแฟนเนี่ยนะ?”

หลังจากโพล่งเสียงออกมาแล้ว อดิศักดิ์ก็เหมือนจะรู้สึกตัวจึงพูดด้วยเสียงที่เบาลงพร้อมด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดเล็กน้อย

“โทษที กูไม่คิดว่ามึงจะมีแฟน”

ไม่แปลกที่อดิศักดิ์จะคิดเช่นนั้น เพราะสถานะทางบ้านของเขาใช่ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้

“อืม ไม่ใช่แค่มึงหรอก กูไม่เคยคิดเหมือนกันว่ากูจะมีแฟน”

“แล้วเป็นไงมาไงล่ะ”

“ก็มีเรื่องอะไรหลายอย่าง”

ฐานทัพพูดแบบข้ามๆ ไม่ได้เล่ารายละเอียด ซึ่งดูเหมือนอดิศักดิ์จะเข้าใจว่าเขาไม่อยากพูดถึงจึงไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ

อาจเป็นเหตุผลนี้ด้วยกระมัง สมัยมัธยมเขาถึงได้สนิทกับอดิศักดิ์มากที่สุด นอกเหนือจากเหตุผลว่าเป็นเกย์เหมือนกัน

“แล้วที่มึงบอกว่าไม่โอเค มึงจะเลิกหรือเปล่า”

ความเงียบโรยตัวลงมาในฉับพลัน ฐานทัพรู้สึกได้ถึงความเงียบสงัดของบรรยากาศ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังออกมาแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเขาตกอยู่ท่ามกลางความวังเวง

ฐานทัพเม้มริมฝีปากอีกครั้งแล้วพูดออกมาเสียงเบาหวิว

คำตอบเดียวที่เขานึกออกและคิดได้

“กูรักเขาว่ะ”

อีกเช่นเคยที่เหมือนอดิศักดิ์จะเข้าใจ ถึงไม่ได้ถามต่ออีก

ฐานทัพนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น ทว่าเมื่อมองทิวทัศน์นอกกระจกรถที่วิ่งไปได้ระยะหนึ่งก็รู้สึกวิงเวียน

เขาหลับตาลง แต่ไม่ได้หลับจึงยิ่งทำให้รู้สึกทรมาน

กระทั่งถึงคอนโดฯ ของสิบทิศแล้วฐานทัพก็ถูกเรียกอีกครั้ง

เขาลืมตาด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก และถูกถามด้วยคำถามคล้ายๆ เดิม

“ไหวไหมเนี่ยมึง”

ฐานทัพพยักหน้าบอก

“ไหวๆ แต่รู้สึกเหมือนอยากอ้วกนิดหน่อย สงสัยเมารถ”

พอลงจากรถมาก็เดินโซเซเหมือนคนเมาจริงๆ จนอดิศักดิ์ต้องรีบถลาเข้ามาประคอง

เมื่อมาถึงห้องแล้วก็เหมือนว่าเรี่ยวแรงที่เคยประคับประคองร่างเอาไว้จะหดหายไปด้วย

ฐานทัพบอกอดิศักดิ์ว่าให้พาไปส่งที่ห้องนอนหน่อยเพราะรู้สึกไม่ไหวจริงๆ เหมือนตัวมันหนักๆ อดิศักดิ์จึงช่วยพาไปส่งให้ถึงที่ มิหนำซ้ำยังคิดจะช่วยเช็ดตัวให้อีกด้วย

“มีผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่ในตู้ใช่ไหม”

พอถูกถาม ฐานทัพก็พยักหน้าให้ก่อนจะหลับตาลง

เขารู้สึกว่าอยากจะพักผ่อนเหลือเกิน แต่ถ้าได้รับการเช็ดตัวสักหน่อยคงดีกว่า เพราะเขาไม่ได้อาบน้ำมาเกือบสองวันแล้ว

“มึงเป็นใคร!”

หลังพักสายตาอยู่สักพัก เสียงตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้น

ฐานทัพลืมตาขึ้นดูก็เห็นว่าอดิศักดิ์และสิบทิศกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่แถวหน้าห้องน้ำ

ในมือของอดิศักดิ์ยังมีผ้าขนหนูชุบน้ำอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่เขาจะปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะสัมผัสได้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากกายของสิบทิศ

ฐานทัพพยายามลุกขึ้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดแล้วเดินไปหาคนทั้งคู่ กำลังจะอ้าปากบอกว่า ‘เพื่อนผมเอง’ ก็ถูกเสียงคำรามของสิบทิศแผดแทรกขึ้นมา

“ออกไปจากห้องกูกับเมียเดี๋ยวนี้!!”






v





v
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 12th Lie [31/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 31-03-2020 21:02:19










v






v





เสียงนั้นดังก้องจนสะท้อนไปทั้งห้อง ฐานทัพแทบสะดุ้ง

เขาไม่เคยได้ยินสิบทิศแสดงอารมณ์ร้ายกาจแบบนี้มาก่อนตั้งแต่คบกันมา ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายไม่เคยเรียกเขาว่า ‘เมีย’ แม้จะเป็นการเย้าหยอก แต่ครั้งนี้กลับแสดงสถานะชัดเจนว่าเขาเป็นสมบัติของสิบทิศซึ่งไม่คิดจะให้ผู้ใดมาแย่งชิงไป

ฐานทัพหันไปหาอดิศักดิ์ พยักหน้าเบาๆ เหมือนเป็นการสื่อความนัย

“มึงกลับไปก่อนนะ ไว้กูค่อยติดต่อหามึงอีกที”

เขาพูดแบบนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ขอเบอร์ติดต่ออีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าอดิศักดิ์ทำงานอยู่ที่ไหน ไม่ใช่เรื่องยากที่จะติดต่อกันภายหลัง

อดิศักดิ์มองหน้าฐานทัพแล้วพยักหน้ากลับมาเช่นกัน เหมือนเข้าใจความหมายในแววตาที่แฝงการขอโทษเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าแววตานั้นจะถูกตีความหมายผิดไปเมื่ออยู่ในสายตาของสิบทิศ

“ไอ้สัตว์! จะออกไม่ออก”

เจ้าตัวตะโกนอีกครั้งพร้อมกับปรี่เข้าไปจะปล่อยกำปั้นใส่ จนฐานทัพต้องรีบถลาตัวเข้ามาแทรกกลาง

“มึงกลับไปก่อนๆ”

ด้วยเกรงว่าเพื่อนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรจะต้องมาเจ็บตัว ฐานทัพจึงบอกซ้ำๆ ขณะที่ใช้สองมือยันบ่าของสิบทิศเอาไว้

อดิศักดิ์ตะลีตะลานออกไปตามคำบอก แต่สิบทิศก็ยังจะตามไปเอาเรื่องอีก ฐานทัพจึงต้องดึงแขนเอาไว้อย่างเต็มกำลัง ใช้เท้าจิกพื้นเต็มที่ ทว่าเรี่ยวแรงของคนที่ตัวเล็กว่าอีกทั้งยังป่วยใช่ว่าจะสู้แรงช้างสารของคนสุขภาพดีได้

ฐานทัพถูกถูลู่ถูกังไปตามแรงลากจนกระทั่งประตูห้องปิดลงพร้อมกับอดิศักดิ์ที่ลับร่างไป เขาตะโกนบอกสิบทิศที่เหมือนกับเสียสติไปแล้ว

“พอได้แล้ว!!”

สิบทิศหันมาจ้องเขม็งเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จากนั้นเปลี่ยนเป็นฝ่ายมาดึงแขนฐานทัพแล้วลากกลับไปที่ห้องนอน ก่อนจะเหวี่ยงลงไปบนที่นอนอย่างแรงจนร่างกระเด้งกระดอนอยู่บนนั้น

ฐานทัพรู้สึกเรี่ยวแรงหดหายและหน้ามืดขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เขาหลับตาแน่นๆ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง แต่ทันทีที่ลืมตาก็เห็นว่าสิบทิศขึ้นมาคร่อมอยู่บนเตียงแล้ว

“ไอ้เหี้ยนั่นเป็นใคร! เดี๋ยวนี้กล้าพาผู้ชายอื่นมาที่บ้านเลยเหรอ”

ถ้อยคำที่โพล่งออกมาจากปากของสิบทิศทำให้ฐานทัพเบิกตาโพลง ชะงักลมหายใจไปชั่วครู่เพราะมันมาพร้อมอารมณ์ที่รุนแรง

“ไม่ใช่แบบนั้น”

เขาตอบเสียงค่อยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบเพราะอยากให้สิบทิศอารมณ์เย็นลงและพูดคุยกันดีๆ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือสภาพร่างกายไม่พร้อม

ทว่าแทนที่จะช่วยให้เป็นอย่างที่หวังมันกลับกลายเป็นการกระตุ้นอารมณ์และคำพูดของสิบทิศให้รุนแรงขึ้น

“วันก่อนก็ไปอยู่กับมันใช่ไหม ทำไมถึงร่านแบบนี้!”

ฐานทัพแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง

เขาเบิกตากว้างกว่าเดิม หัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะเต็มๆ ก่อนจะรู้สึกปวดร้าวในอกเหมือนถูกฉีกกระชากเนื้อออกไป

เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากสิบทิศ หากเป็นเมื่อก่อนใครจะต่อว่าเขาอย่างไรก็ได้ เพราะนั่นคือความจริง แต่ปัจจุบันนี้...ตั้งแต่คบหากับสิบทิศเป็นต้นมา เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนไหนไม่ว่าทางกายหรือใจ

เขาซื่อสัตย์กับสิบทิศมาโดยตลอด แต่เป็นสิบทิศต่างหากที่ยุ่งกับคนอื่นมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

ฐานทัพพูดไม่ออก มีแต่น้ำตาที่ไหลรินออกมาทั้งที่ไม่ต้องการ

เขารู้สึกว่ายิ่งรักสิบทิศมากเท่าไร มีแต่จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ

ไม่มีฐานทัพคนเก่าหลงเหลืออยู่อีกเลย ช่างน่าสมเพชจริงๆ

“ไม่ต้องมาบีบน้ำตา!”

ถ้อยคำที่ทำให้อึ้งเพราะไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของคนรักยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

ฐานทัพหลับตาลง เบือนหน้าหนี ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน ลำพังแค่ร่างกายอ่อนแอก็รู้สึกแย่อยู่แล้ว ทว่าคำพูดจากสิบทิศที่ทำร้ายกันกลับยิ่งทำให้เขาอ่อนเปลี้ยไปหมด ไร้เรี่ยวแรงและกำลัง

“ไปกับมันสุขสมมากใช่ไหม ถึงขั้นไม่อยากมองหน้ากันเลยเหรอ!”

ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะแสดงพฤติกรรมอย่างไรก็ถูกตีความในทางตรงข้ามไปเสียหมด

สิบทิศบีบคางของฐานทัพ กระชากกลับมาให้มองหน้ากัน

ฐานทัพจำต้องมองคนที่คร่อมอยู่บนร่างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นที่เขาเห็นหน้าซึ่งเต็มไปด้วยโทสะของสิบทิศ เพราะพริบตาต่อมาริมฝีปากของอีกฝ่ายก็บดขยี้ลงมา

กำลังที่มากล้นบดเบียดขบกัดลงบนริมฝีปากของเขา เหมือนต้องการให้เขาเจ็บ ก่อนจะซุกไซ้ไล่ต่ำลงมาที่ซอกคอ ขณะที่มือก็ฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขาอย่างไม่ไยดี

ฐานทัพใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดผลักไสสิบทิศออกไป เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายทำเช่นนี้ โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ แต่ก็ถูกตีความไปอีกอย่างอยู่ดี

“ทำเป็นรังเกียจผัวตัวเอง! ทีคนอื่นล่ะนอนอ้าขาให้มันเอา เอากับมันไปกี่รอบแล้วล่ะ!”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดมา

น้ำตารื้นขึ้นมาในเบ้าตาของฐานทัพอย่างไม่อาจห้าม

เขาพยายามผลักไสสิบทิศออกไปอีกเพราะไม่อยากยอมรับการกระทำของคนที่อารมณ์โกรธโหมกระพือจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่ยิ่งดิ้นรนทุรนทุรายเท่าไร มีแต่จะทำให้สิบทิศใช้กำลังมากขึ้นเท่านั้น

ฐานทัพร้องไห้ น้ำตาไหลพรั่งพรู เสียงสะอึกสะอื้นทะลักล้นออกมา ร่างกายร้อนผ่าวไปหมด หัวปวดจนแทบระเบิด แต่สิบทิศก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย กลับจับร่างเขาพลิกกลับหลัง กระชากกางเกงลงแล้วดึงสะโพกไปหา แหวกทางเข้าที่เคยมอบความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ ให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะใช้ร่างกายอันแข็งแกร่งจ้วงแทงลงมาอย่างไม่ปรานีปราศัย

เขารู้สึกเจ็บปวดร้าวระบมราวกับถูกกระชากร่างให้ขาดเป็นริ้วๆ จุกจนพูดอะไรไม่ออกเมื่อถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรง ได้แต่ร้องอ้อนวอนขอให้ปล่อย

“ปล่อยผมนะ อย่าทำแบบนี้ ผมเจ็บ พี่เข้าใจผิด”

เสียงร้องไห้พร่ำบอกไม่รู้กี่ครั้ง แต่สิบทิศก็ยังกระหน่ำเข้าใส่ร่างของเขาไม่หยุด

“ที่ร้องไห้นี่เพราะชอบใช่ไหมล่ะ! ชอบเซ็กซ์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เอากับคนไปทั่วไม่ใช่เหรอ! หรือแค่นี้ยังถึงใจไม่พอ!!”

สิบทิศกระแทกกระทั้นเข้ามาเต็มแรงอย่างต่อเนื่องจนร่างของฐานทัพแทบจะพับลงไปกองกับที่นอน

ไอร้อนยิ่งถาโถมให้เขาวิงเวียนจนเกือบจะไร้สติ ขณะที่มือหนึ่งของสิบทิศเคล้นคลึงขยี้ขยำอกของเขาเหมือนอยากให้มันแหลกลาญไป ไหล่และแผ่นหลังถูกกัดไปทั่ว

น้ำตาของฐานทัพไหลริน ได้แต่คิดว่าสิบทิศไม่รู้เลยสักนิดหรือว่าเขาป่วยอยู่ ผิวของเขาร้อนจนแทบไหม้ แต่กลับไม่ฉุกคิดแม้แต่น้อยหรือถามสักคำว่าเขาเป็นอะไร

น้ำหนักที่หนักหน่วงถูกทิ้งลงมาจนร่างของฐานทัพสะท้อนไปตามแรงนั้นเท่ากับจำนวนครั้งที่มากมายเกินกว่าจะนับได้ ลาวาร้อนระอุพวยพุ่งปะทะกับภายในที่บอบช้ำจนเหมือนกับโดนไฟลวก

ฐานทัพงอตัวอย่างสุดกำลังด้วยความทรมาน แก่นร่างที่อยู่ด้านหน้าไร้ปฏิกิริยาโดยสิ้นเชิง

เขาไม่รู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อยนิดกับการกระทำที่เขาเคยคิดว่าสนุกเมื่อครั้งยังไม่พบกับสิบทิศ และคิดว่ามันสุขเหลือเกินหลังได้พบกับสิบทิศ

เวลานี้เขาเหมือนกำลังตกนรกทั้งเป็น นรกที่สร้างขึ้นโดยคนที่เขาคิดว่ารักมาตลอดสองปี

“อึ้ก”

ฐานทัพกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึม สองมือขยุ้มผ้าปูที่นอนไว้สุดแรงจนมือชาขาวและสั่นไปหมด

เมื่อแกนเนื้อที่สอดแทรกอยู่ภายในร่างขืนตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันเหมือนกับดาบแหลมคมที่แทงทะลุเข้ามาอย่างรุนแรงซ้ำๆ

ทั้งห้องก้องไปด้วยเสียงอนาจารเฉอะแฉะและเสียงกระทบกระแทกของผิวเนื้อ

ฐานทัพรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างราวกับกระดูกกำลังถูกกัดกร่อนลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับกล้ามเนื้อที่อ่อนเหลวเพราะถูกกรดเข้มข้นกรอกเข้ามา

ดวงตาแดงก่ำขณะที่น้ำใสๆ ยังคงเอ่อออกมา เพราะความปวดร้าวและทุกข์ทรมานไปทั้งกายใจ

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพละกำลังของสิบทิศก็ยังคงโถมเข้าใส่ดั่งพายุคลั่ง เสมือนว่าหากไม่ทำลายล้างแผ้วถางให้ทุกอย่างถูกทลายหมดสิ้นก็จะไม่มีวันสงบลง

ในที่สุดกำลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจนแทบไม่มีของฐานทัพก็หมดลง ร่างของเขาทรุดลงไปแม้ถูกมือที่ขยี้ขยำอกเอาไว้ประคองอยู่

สติสุดท้ายที่ฐานทัพรับรู้ก็คือ...

ร่างของเขาถูกพลิกกลับไปให้เผชิญหน้ากับสิบทิศ แววตาของอีกฝ่ายยังคงมีเพลิงแห่งความพิโรธขุ่นแค้นคุกรุ่นอยู่โดยไม่มีท่าทีจะมอดดับ พร้อมกับสองขาของเขาถูกยกสูงแล้วแยกกว้าง ขณะที่แรงกระแทกจากสะโพกของคนตรงหน้าถาโถมเข้ามาอย่างไม่บันยะบันยัง

 

 
เพียงแค่ได้สติคืนมา ฐานทัพก็รู้สึกร้าวระบมไปทั้งร่าง

เขาขยับใบหน้าหันมองอย่างช้าๆ ก็พบว่าบนเตียงว่างเปล่า มีตนเองเท่านั้นที่อยู่ตามลำพัง แม้จะเงี่ยหูฟังเสียงก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน ราวกับว่าไม่เพียงแต่ในห้องนอน ในห้องนั่งเล่นหรือห้องอื่นๆ ก็ไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น

หลังจากทำร้ายเขาจนสาแก่ใจแล้ว สิบทิศก็หายตัวไป

ทิ้งเขาเอาไว้...

ไอระอุยังกรุ่นอยู่ในร่าง อาการวิงเวียนไม่ได้หายไป ร่างกายยังคงอ่อนแรง ถึงกระนั้นกลับต้องปวดระบมไปทั้งตัวเพิ่มขึ้น

ความรู้สึกในตอนนี้ของฐานทัพไม่มีสิ่งอื่นใดเลยนอกจาก...อยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ตอนนี้เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากแม้กระทั่งเห็นห้องห้องนี้

ไม่อยากเห็นหน้าสิบทิศเมื่อกลับมา

ฐานทัพพยายามพยุงร่างที่อ่อนกำลังอย่างที่สุดลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าอย่างลวกๆ เมื่อหยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ได้ก็ค่อยๆ เกาะกำแพงเดินออกจากห้องไปอย่างระมัดระวัง

ถึงจะรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่เขาก็ไม่อยากโผล่ออกไปแล้วประจันหน้ากับสิบทิศโดยไม่ตั้งตัว

ทว่าที่ด้านนอกไม่มีร่างของสิบทิศอยู่จริงๆ ฐานทัพจึงค่อยๆ พยุงร่างไล่ตามกำแพงจนในที่สุดก็ลงลิฟต์ได้สำเร็จ

แม้ว่าตอนอยู่ในลิฟต์เขาแทบจะทรุดลงไปนั่งกองเพราะความเจ็บปวด แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกเขาก็พยายามฝืนสุดชีวิตจนประคองตัวให้เดินออกมาได้ในสภาพที่ไม่เป็นที่สะดุดตานัก

กระทั่งออกมานอกตัวอาคาร ฐานทัพหาตำแหน่งที่พอจะนั่งได้และลับตาคนแล้วโทรศัพท์หาคนที่เขานึกถึงขึ้นมาได้เพียงคนเดียว

บุคคลที่ให้เขาพึ่งพาได้ และพร้อมจะให้เขาพึ่งพา

พออีกฝ่ายรับสายเขาก็รีบบอก

“พี่ภัน ช่วยมารับผมที่คอนโดฯ หน่อย”

หลังจากบอกตำแหน่งที่ตนหลบอยู่ ฐานทัพก็นั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

ถัดจากนั้นอีกสี่สิบนาที ภันวัฒน์ก็มาจอดรถเทียบข้างอยู่ตรงหน้า

ครั้นเห็นร่างสูงใหญ่ลงจากรถมา ฐานทัพรีบผุดลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินไปหา ทว่าก็ต้องทรุดลงนั่งยองๆ กับพื้นเพราะว่าปวดร้าวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะจุดที่ถูกทำร้ายอย่างหนักหน่วง มันปวดแสบปวดร้อนไปหมด เหงื่อที่ผุดซึมบนหน้าผากก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากอย่างฉับพลัน

คงเพราะท่าทีผิดปกติเช่นนั้นภันวัฒน์จึงถลาเข้ามาหาแล้วไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

แต่พอปลายนิ้วสัมผัสร่างของเขาหวังช่วยพยุง เสียงร้องด้วยความตกใจก็ดังมาอีก

“ฐานไม่สบายเหรอ! ตัวร้อนมากเลย”

ภันวัฒน์ช่วยโอบเอวประคองเขาอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น

ฐานทัพรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายแสดงออกมาอย่างชัดเจน

เพียงแค่เห็นเขาก็เป็นห่วงแล้ว เพียงแค่แตะตัวเขานิดเดียวก็รู้แล้วว่าสภาพร่างกายของเขาผิดปกติ แต่คนที่สัมผัสเขาไปทั่วทั้งร่างกลับไม่รู้สักนิดว่าเขาไม่สบาย

ฐานทัพอดเปรียบเทียบไม่ได้ และอดรู้สึกน้อยใจไปพร้อมๆ กับปวดร้าวในใจไม่ได้เช่นกัน

เมื่อถูกประคองมาถึงรถ ฐานทัพถึงเพิ่งเห็นว่ามีใครอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย ภันวัฒน์รีบบอกทันควัน

“เพื่อนพี่น่ะ ชื่อจอม พวกพี่นัดกันไปดื่มพอดี”

หากเป็นเวลาปกติเขาคงทักทายอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ในเวลานี้เขาทำได้เพียงแค่พยายามคลี่ยิ้มให้ได้มากที่สุดเท่านั้น

“ผมขอโทษนะ ที่เรียกพี่มา...กะทันหัน ทั้งที่พี่มีนัด”

เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง แต่ภันวัฒน์ก็ส่ายหัวอย่างแรง ทำเสียง “อื้อๆ” ประกอบ

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย พวกพี่ยังไม่ทันดื่มเลยด้วยซ้ำ ถ้าฐานไม่เรียกพี่แล้วพี่มารู้ทีหลัง พี่จะต้องรู้สึกผิดแน่ๆ ที่ปล่อยฐานที่ไม่สบายไว้แบบนี้”

“อืม ใช่ๆ ท่าทางอาการไม่ดีเลยนะ กูว่ารีบพาน้องเขาไปนอนพักดีกว่า”

ประโยคแรกดูเหมือนเกรียงไกรจะพูดกับฐานทัพ ส่วนประโยคท้ายพูดกับภันวัฒน์

ฐานทัพรู้สึกคลายใจไปได้บ้างที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกว่าเขาสร้างความเดือดร้อน หรือถึงแม้จะคิดก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า ท่าทาง หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงเลยสักนิดเดียว ทำให้อดรู้สึกขอบคุณไม่ได้

ภันวัฒน์ประคองฐานทัพขึ้นรถทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับโดยที่เกรียงไกรย้ายไปที่นั่งด้านหลังแทน จากนั้นรถก็เคลื่อนไปสู่คอนโดฯ ของภันวัฒน์

ตอนลงจากรถ ภันวัฒน์และเกรียงไกรประสานงานกันอย่างดีราวกับรู้ใจโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรสักคำ

ภันวัฒน์แบกฐานทัพขึ้นหลัง ขณะที่เกรียงไกรล็อกประตูรถให้ เดินไปกดลิฟต์ และเปิดประตูเปิดไฟภายในห้องอย่างคุ้นเคย

กระทั่งวางร่างของฐานทัพให้นั่งลงบนเตียงแล้ว ทั้งคู่ก็ก้มลงมองฐานทัพ ต่างคนต่างเงียบไปเหมือนเจอเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้สะดุดลมหายใจ จากนั้นก็มองหน้ากันเหมือนคุยกันทางสายตา

ฐานทัพก้มลงมองร่างของตนตามสายตาของคนทั้งคู่ เมื่อพบว่าที่ต้นขามีของเหลวอะไรบางอย่างไหลเลอะออกมาก็เข้าใจเหตุผล

หลักฐานของการทำร้ายจากสิบทิศยังคงอยู่

มันเอ่อล้นออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เพราะอยากออกมาจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด

ไม่นึกเลยว่าจะทำให้คนนอกต้องมาเห็นตัวเองในสภาพน่าสังเวชแบบนี้ โดยเฉพาะกับเกรียงไกรที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก

ฐานทัพพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ควรขอโทษ หาอะไรเช็ด หรือลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไม่ให้ที่นอนของภันวัฒน์สกปรก ทว่าเสียงเข้มๆ แฝงด้วยอารมณ์กรุ่นก็ดังขึ้น

“ใครทำ”

“...พี่ทิศ”

เขาตอบเสียงเบาหวิวเหมือนกล้าๆ กลัวๆ ราวกับกำลังโดนข่มขู่

ภันวัฒน์เงียบไปอย่างฉับพลันจนบรรยากาศในห้องหนักอึ้งไปหมด แต่ครู่ต่อมาคำถามก็ดังขึ้นอีก

“ฐานกินอะไรมาหรือยัง เจ็บคอไหม พอกินข้าวต้มไหวหรือเปล่า”

“อืม ไม่เจ็บ”

เพราะไม่คาดคิดว่าจะถูกถามเช่นนั้น ฐานทัพจึงได้แต่เงยหน้าขึ้นแล้วตอบไปตามตรง ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา

“ไอ้จอม มึงน่าจะทำข้าวต้มได้ใช่ไหม เดี๋ยวทำข้าวต้มกับเอายาแก้ไข้แล้วก็แผ่นเจลลดไข้มาให้ที กูจะเช็ดตัวให้ฐาน”

“ถ้าแค่พอกินได้ ไม่ได้รสอร่อยอย่างที่มึงทำก็ได้แหละ เดี๋ยวกูไปทำมาให้”

เกรียงไกรตอบรับเป็นอย่างดีเหมือนเข้าใจหน้าที่และสถานการณ์ จากนั้นก็หันมายิ้มให้ฐานทัพเหมือนจะปลอบให้เบาใจก่อนเดินออกไป

เมื่อในห้องเหลืออยู่เพียงสองคนตามลำพังแล้ว ภันวัฒน์ก็เอาผ้าขนหนูชุบน้ำพร้อมอ่างเล็กๆ ใส่น้ำมาวางไว้ข้างเตียง เตรียมตัวจะถอดกางเกงของฐานทัพออกจนฐานทัพต้องใช้มืออ่อนแรงดึงไว้อย่างตกใจ

“พี่ไม่ต้อง”

“ถ้าไม่เช็ดตัวก็ไม่สบายตัว แล้วจะนอนจะพักผ่อนให้หายไข้อย่างเต็มที่ได้ยังไง”

“ผมเช็ดเองได้”

ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องน่าอับอายที่ให้อีกฝ่ายเช็ดตัวให้ แต่เขาเกรงใจที่จะให้ภันวัฒน์มาทำอะไรแบบนี้

“อย่าดื้อ ปวดหัวมากไม่ใช่หรือไง”

ดูเหมือนคำพูดของเขาจะฟังไม่เข้าท่าสำหรับภันวัฒน์ มิหนำซ้ำมือใหญ่ยังผลักที่หน้าผากของเขาให้ล้มตึงลงไปบนที่นอนอีกต่างหาก

ฐานทัพทั้งจนปัญญาและเรี่ยวแรงจะปฏิเสธจึงได้แต่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเปลื้องเสื้อผ้าตนเองออกทีละชิ้น

ทว่าพอร่างของเขาเหลือเพียงกายเปลือยเปล่าแล้ว เสียงถอนหายใจก็ดังมาราวกับเวทนา เพราะนอกจากกายส่วนล่างของเขาจะเหลือคราบสกปรกแล้ว บนแผ่นหลังและหน้าอกก็เต็มไปด้วยร่องรอยกระจายเกลื่อน

“เดี๋ยวพี่หายามาทาให้นะ”





---------------------
พี่ทิศกำลังสะสมแต้มความเลวค่ะ


ที่มาของชื่อเรื่องจริงๆ อยู่ในตอนที่ 14 ค่ะ
อ่านถึงตอนนั้นจะชัดเจนเลย ขอบคุณนะคะที่ตามอ่านอยู่และรู้สึกว่าสนุก



หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 13th Lie [4/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 04-04-2020 15:38:49


















13th Lie

เพราะผมรักพี่ไปแล้วไง ผมเลยรักเขาไม่ได้

 

หลังจากได้รับการเช็ดตัวอย่างเบามือที่สุดยิ่งกว่าคำว่า ‘ทะนุถนอม’ ฐานทัพก็กินข้าวต้มฝีมือเกรียงไกร กินยา และหลับไปอีกครั้ง กว่าเขาจะลืมตาได้สติขึ้นมา สิ่งแรกที่พบก็คือคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ เขา

ฐานทัพรู้สึกตกใจจนเบิกตากว้างขึ้นมาทันที ทว่าเพียงชั่วครู่ก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าของใบหน้านี้เป็นใคร

เขาได้พบกับเกรียงไกรในช่วงที่สติเลือนรางจึงไม่แปลกที่จะจำไม่ได้ในแวบแรก

“ไอ้ภันไปโรงแรมช่วงบ่ายเพิ่งกลับมา ตอนนี้กำลังทำข้าวต้มอยู่เพราะเห็นว่าน่าจะปลุกฐานให้ตื่นขึ้นมากินข้าวกินยาอีกครั้งได้แล้ว วันนี้มันเลยให้พี่มาเฝ้าฐานน่ะ”

ฐานทัพพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะค่อยๆ ดันตัวขึ้นนั่งช้าๆ ระหว่างนั้นก็ได้รับคำถามว่าไหวไหมพร้อมกับอีกฝ่ายทำท่าจะเข้ามาประคอง พอฐานทัพตอบ “ไหวครับ” เกรียงไกรจึงถอยออกไปแล้วยิ้มให้เล็กน้อย

“กี่โมงแล้วครับ ผมหลับไปนานแค่ไหนแล้ว”

เพราะรู้สึกมึนเบลออยู่หน่อยๆ แต่อาการปวดหัวตัวร้อนทุเลาลงแล้ว จึงคิดว่าตนเองน่าจะนอนไปนานพอสมควร ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่คิดว่าจะนานอย่างที่เกรียงไกรตอบหลังจากดูนาฬิกาข้อมือ

“ห้าทุ่มแล้ว ถ้านับก็...หนึ่งวันเต็มๆ”

“หนึ่งวัน?”

“อื้ม แต่ดูเหมือนว่าจะช่วยให้ไข้ลดลงไปมากเลย ตอนนี้น่าจะหิวแล้วละมั้ง เพราะไม่ได้กินอะไรเลย พวกพี่ได้แค่ช่วยป้อนน้ำให้เท่านั้น เพราะว่าเหงื่อออกมาก กลัวว่าถ้าไม่ให้น้ำเลยร่างกายจะขาดน้ำน่ะ”

“เอ่อ ขอบคุณมากครับ”

ฐานทัพถึงกับพูดไม่ออกเมื่อรู้ว่าได้รับความช่วยเหลือถึงขนาดนี้ เลยได้แต่พูดขอบคุณก่อนจะก้มลงมองร่างกายตนเอง

เท่าที่จำได้ ก่อนจะหลับไปภันวัฒน์ช่วยเช็ดตัวให้ แต่คงเพราะเหงื่อออกค่อนข้างมากเลยรู้สึกเหนียวตัวอยู่บ้าง ถึงอีกฝ่ายจะช่วยเช็ดตัวให้อีกระหว่างที่หลับ ก็คงสู้การอาบน้ำไม่ได้

ที่สำคัญภายในร่างกายของเขา...ยังไม่ได้ทำความสะอาด

“ผมรู้สึกเหนียวๆ ตัว อยากอาบน้ำ”

“อาบน้ำเหรอ น่าจะยังไม่ได้นะ เดี๋ยวจากที่ไข้ลดไข้จะตีกลับ แต่ถ้าเช็ดตัวละก็ไม่มีปัญหา เดินไหวหรือเปล่าล่ะ ให้พี่พยุงไหม”

ฐานทัพเอ่ยขอบคุณไปอีกรอบ ก่อนจะรับน้ำใจจากเกรียงไกรที่ช่วยประคองให้ลุกจากเตียงไปห้องน้ำ มิหนำซ้ำยังช่วยเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมาให้ด้วย

โชคดีที่มีเสื้อผ้าที่ภันวัฒน์ช่วยซื้อให้ตอนมาค้างที่นี่หลายวันเมื่อครั้งก่อน

หลังจากเช็ดเนื้อตัวภายนอกทั้งหมดแล้ว ฐานทัพก็ตั้งใจว่าจะทำความสะอาดภายใน แต่ยังไม่ได้สัมผัสกับร่างกายส่วนนั้นก็ต้องรู้สึกแปลกใจขึ้นมา เพราะจะว่าไปแล้วเขาไม่ได้มีอาการปวดท้องหรือไม่สบายตัวอะไร แม้กระทั่งการรู้สึกถึงของเหลวใดๆ ที่ควรจะต้องไหลออกมาตามธรรมชาติก็ไม่มี

พอลองยื่นมือไปแตะดูก็ต้องแปลกใจอีกระลอก เพราะนอกจากจะไม่มีสิ่งใดตกค้างในร่างกายแล้ว ที่ด้านนอกซึ่งบวมอักเสบยังมีบางอย่างที่ให้ความรู้สึกหนึบนิดๆ ทาเอาไว้

หรือว่า...

พริบตานั้นฐานทัพก็คิดขึ้นมาได้จึงรีบใส่เสื้อผ้าแล้วแทบจะวิ่งออกมาจนเกรียงไกรที่รออยู่นอกห้องน้ำตื่นตระหนกถามว่ามีอะไร ฐานทัพจึงรู้สึกตัวและระงับอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นมา

“ผมอยากไปคุยกับพี่ภันหน่อย”

ครั้นตั้งสติได้ฐานทัพถึงรู้สึกว่าความอ่อนแรงเริ่มโจมตีเข้ามาอีกครั้ง

บริเวณที่ถูกล่วงล้ำอย่างหนักหน่วงไร้ความปรานียังคงบวมแดงจนรู้สึกได้ อีกทั้งยังเจ็บไปทั่วบริเวณที่โดนกัด และความรู้สึกมึนหัวก็พุ่งพรวดขึ้นมาราวกับขึ้นจรวด

เกรียงไกรคงเห็นท่าทางเขาไม่ค่อยดีจึงเข้ามาช่วยประคองอีกรอบพลางบอก

“เดี๋ยวพี่พาไป”

จากนั้นก็ค่อยๆ พยุงเขาเดินออกมาจากห้อง ตรงไปยังห้องครัวขนาดใหญ่ที่เกรียงไกรเล่าว่าภันวัฒน์ต่อเติมเพิ่มเองหลังจากซื้อห้องมาแล้ว เพราะต้องการพื้นที่สำหรับทำขนม

สมกับเป็นคนที่ใส่ใจและทุ่มเทกับสิ่งที่ตนเองสนใจจริงๆ

หลังมาถึงฐานทัพก็ถูกพาไปนั่งที่เก้าอี้ของโต๊ะอาหารซึ่งอยู่ไม่ห่างนัก ภันวัฒน์คงรู้ได้จากเสียงจึงหันมาถาม

“ตื่นแล้วเหรอฐาน หิวไหม พี่ทำเกือบเสร็จแล้วล่ะ”

“หิวนิดๆ เหมือนกัน แต่ผมมีเรื่องอยากถาม”

พอฐานทัพพูดไปเช่นนั้น ภันวัฒน์ก็หันหน้ากลับมาหา มองตาเขาอยู่ชั่วครู่คล้ายกับว่ากำลังอ่านความคิด จากนั้นก็พูดเรื่องหนึ่งขึ้นมาก่อน

“พี่เล่าเรื่องฐานให้ไอ้จอมฟังคร่าวๆ ไปแล้วนะ”

ฐานทัพตอบเพียง “อืม” อย่างเข้าใจ เพราะหากไม่อธิบายให้ฟังเลยก็ออกจะแปลกไปสักหน่อย ในเมื่ออีกฝ่ายรู้เห็นอะไรไปถึงขนาดนั้นแล้ว

เขาไม่คิดจะต่อว่าอะไรภันวัฒน์ที่นำเรื่องของตนไปเล่าให้บุคคลที่สามฟัง กลับกันอาจเป็นเพราะเกรียงไกรรู้ความเป็นมาแล้วก็ได้ถึงช่วยดูแลเขาแบบนี้

“พี่ล้างตัวให้ผมเหรอ ทายาให้ด้วย”

“อืม ทำตอนฐานหลับไปแล้วน่ะ ฐานจะได้ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจด้วย เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนั้นมีแต่จะทำให้อาการแย่ลงทีหลังไม่ใช่เหรอ”

ภันวัฒน์พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาพลางหันกลับไปทำอาหารที่หน้าเตาต่อ แต่คนฟังอย่างฐานทัพกลับรู้สึกทั้งอึ้งและทึ่ง เพราะการทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ

ต่อให้เป็นเกย์เหมือนกันก็เถอะ แต่ใช่ว่าอยู่ๆ จะเอามือไปล้วงตูดใครก็ได้สักหน่อย

“พี่ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย เรียกผมลุกขึ้นมาทำเองก็ได้”

ฐานทัพรู้สึกละอายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ พร้อมๆ กับคิดว่าภันวัฒน์จะเป็นคนดีเกินไปแล้ว

เขารู้ว่าภันวัฒน์เป็นคนดี แต่นี่มันดีเกินกว่าที่คิดไว้มาก

หากย้อนระลึกดูแล้ว ตลอดชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมา ผู้คนที่เขาได้พบเจอนั้นมีมากมาย แต่ภันวัฒน์เป็นคนดีที่สุดที่ใครก็เทียบเคียงไม่ได้เลย และชีวิตต่อจากนี้ไปจนตาย เขาอาจจะไม่พบคนแบบนี้ที่ไหนอีกแล้วก็ได้

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย ไม่ต้องคิดมากไปหรอก แค่ฐานหายดีเร็วๆ ก็เท่ากับตอบแทนความช่วยเหลือของพี่แล้ว”

อีกฝ่ายพูดเหมือนรู้ว่าทำอย่างไรคนฟังถึงจะสบายใจและปล่อยผ่านหัวข้อที่กำลังคุยอยู่นี้ไป

ฐานทัพได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยรู้ว่าตนเองไม่สามารถสู้รบตบมือกับภันวัฒน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นแง่ไหนๆ หากเจ้าตัวไม่ยอมลงให้เขาเอง

 

 

อาการป่วยของฐานทัพค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ เริ่มจากอาการไข้ อาการอักเสบของแผลตรงบั้นท้ายที่ถูกทำร้าย และร่องรอยถูกกัดก็ตกสะเก็ดหมดแล้ว

เวลาก็ผ่านไปร่วมสัปดาห์แล้วเช่นกันที่ฐานทัพอาศัยอยู่ที่คอนโดฯ ของภันวัฒน์

ส่วนเกรียงไกร หลังจากฐานทัพฟื้นขึ้นมาในวันนั้นก็กลับไปและยังไม่ได้เจอกันอีก เห็นภันวัฒน์บอกว่าเดือนหนึ่งจะติดต่อกับอีกฝ่ายไม่กี่ครั้ง ส่วนมากจะนัดดื่มกันโดยเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ คล้ายกับที่ชวนเขาไปกินอาหารในห้องอาหารของโรงแรมต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับงานของตนเอง

“หยุดมาหลายวันอย่างนี้ น่าจะถึงเวลาไปเรียนได้แล้วละมั้ง”

หลังจากภันวัฒน์กลับมาจากทำงานในช่วงเย็น พอเห็นเขานั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นก็เกริ่นขึ้นมา

ฐานทัพทำหน้าเบ้เล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นมาได้

เขาลืมเรื่องเรียนไปเสียสนิท แต่ถ้าไปเรียน...

“หนังสือของผมอยู่ที่นั่นหมดเลย”

ไม่ต้องระบุว่า ‘ที่นั่น’ หมายถึงที่ไหนภันวัฒน์ก็รู้ได้ อีกฝ่ายถามกลับมาว่าแล้วจะเอายังไงต่อจากนี้ แทนที่จะถามว่า ‘จะเลิกไหม’ เหมือนที่เคยถาม

คงเพราะคิดว่านั่นเป็นการชักนำจากคนนอกซึ่งดูไม่ค่อยสมควรนัก และอยากให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเองจริงๆ หลังจากเจอเหตุการณ์แบบนั้น

ฐานทัพเงียบไปและครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะตอบ

“ผมยังไม่ค่อยอยากลับไปเลย”

ถึงแม้จะรู้สึกว่าไม่อยากตัดขาดกับสิบทิศไปจริงๆ แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่อยากพบหน้า เพราะในใจยังหวาดกลัว

ไม่ใช่กลัวความโหดร้ายที่อีกฝ่ายกระทำต่อเขาไว้

แต่กลัวว่าจะถูกถ้อยคำร้ายกาจที่ไร้ซึ่งความเชื่อใจและเชื่อในความรักของเขาประณามอีก

“ถ้าแบบนั้นก็คงต้องเข้าไปเอาหนังสือตอนช่วงที่สิบทิศไปทำงานละมั้ง”

หนทางเดียวที่น่าจะใช้ได้ถูกเปรยออกมา

ฐานทัพเห็นด้วยกับความคิดนั้น พลางรู้สึกขอบคุณภันวัฒน์ในใจอีกครั้งที่ไม่ขับไล่ไสส่งเขา และไม่แม้แต่เอ่ยปากอ้อมๆ ว่าอยากให้ออกไป

ครั้นตัดสินใจได้ดังนั้น อีกสองวันให้หลังเมื่อฐานทัพรู้สึกว่าสภาพร่างกายพร้อมดีแล้วจึงกลับไปที่คอนโดฯ ของสิบทิศช่วงกลางวัน

ภันวัฒน์ไม่ได้มาส่งเหมือนทุกครั้งเพราะว่าต้องเข้างานในช่วงเวลานั้นพอดี

ฐานทัพตรงไปยังห้องพักที่เคยอยู่มาตลอดสองปีกว่า แม้จะรู้ว่าสิบทิศคงไม่มีทางอยู่ในห้องแน่ๆ เขาก็อดหัวใจเต้นแรงขึ้นมาไม่ได้

เขาจากไปที่นี่เกือบสิบวันแล้ว มิหนำซ้ำยังจากไปด้วยสถานการณ์ที่ย่ำแย่อย่างสุดๆ ด้วย

เมื่อเข้าไปในห้อง ฐานทัพก็เริ่มหยิบหนังสือและเครื่องเขียนที่จำเป็นต้องใช้ รวมถึงเสื้อผ้าสำหรับใส่เพิ่มเติมด้วย เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะพร้อมกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้งเมื่อไร

หรือบางที...

สุดท้ายแล้วเขาอาจไม่พร้อมตลอดไปเลยก็ได้

หลังจากความคิดเช่นนั้นผุดขึ้น ความปวดร้าวก็แล่นเข้ามาในอก

หากพูดตามตรง เขายังไม่สามารถตัดใจจากสิบทิศได้ แม้จะถูกทำร้ายถึงขนาดนั้นเขาก็ยังอยากอยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้นอยู่ดี

เขาอาจจะเป็นคนโง่อย่างสุดๆ เลยก็ได้ ถึงเจ็บแล้วไม่รู้จักจำสักที

ความรักทำให้คนเราโง่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ?

ทั้งที่เคยได้แต่หัวเราะเวลาเห็นตัวละครในโทรทัศน์พูดอะไรแบบนี้ออกมา แต่เมื่อเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไรก็ได้จนดูน่าขำ

ฐานทัพหลุดเสียงหัวเราะอย่างสมเพชตนเองเบาๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินทางที่จับของจำเป็นยัดเข้าไปเรียบร้อยแล้วขึ้นมาสะพายบ่า หมุนตัวเตรียมกลับออกจากห้องไป ทว่าเมื่อหันหลังกลับไปแล้วก็ต้องชะงัก เพราะร่างที่ไม่สมควรอยู่ตรงนี้ในเวลานี้กลับยืนอยู่ตรงหน้า ขวางทางเข้าออกเอาไว้จนเขาไม่มีทางที่จะหลีกหนีไปได้

ความกระอักกระอ่วนตีตื้นขึ้นมาจุกในอก

เขาไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากัน เพราะไม่ได้คิดเอาไว้ว่าจะบังเอิญมาเจอสิบทิศเช่นนี้

สายตาของสิบทิศกวาดมองไปทั่วร่าง ฐานทัพรู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูกมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าควรจะขยับเท้าขยับมือไปทางไหน แต่สุดท้ายก็ทนต่อสถานการณ์นี้ไม่ไหวจึงฝืนก้าวเท้าออกมาข้างหน้า เบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อหลบเลี่ยง แต่ฉับพลันนั้นสิบทิศก็ก้าวเข้ามาคว้าข้อมือซ้ายของเขาเอาไว้

“ฐาน”

แม้จะเป็นแค่การเรียกชื่อ แต่ในเวลานี้ฐานทัพรู้สึกเบลอไปหมดจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเป็นแบบไหน โหยหาหรือว่าไม่พอใจ แต่หากให้คาดเดาคงเป็นอย่างหลัง

“ผมจะออกไปแล้ว พี่ไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะอยู่ที่นี่ให้พี่รู้สึกว่าเป็นเสนียด”

ก่อนที่จะได้ฟังถ้อยคำเลวร้ายจากอีกฝ่าย ฐานทัพขอพูดมันออกมาแทนเอง ถึงจะเจ็บเหมือนโดนเศษแก้วสากๆ แหลมคมกรีดหัวใจก็ตาม

ฐานทัพสะบัดมือของอีกฝ่ายออก มือนั้นหลุดอย่างง่ายดาย

ชั่ววินาทีนั้นหัวใจของเขาก็ร้องไห้ ในอกกลั่นน้ำตาออกมาและไหลบ่าขึ้นสู่ขอบตาอย่างรวดเร็ว

ตาของเขาชื้นด้วยน้ำเมื่อคิดว่าสุดท้ายมันจบลงแล้ว สิบทิศสามารถปล่อยเขาไปได้โดยไม่รู้สึกอะไรเสียด้วยซ้ำ เสมือนเป็นการบอกว่าตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมามันว่างเปล่า ไม่มีค่าอะไรเลย

ความรู้สึกเหล่านั้นโจมตีให้กระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ไหลหลากอยู่ในใจยิ่งซัดขึ้นมาอย่างรุนแรงมากขึ้น และก่อนที่มันจะเป็นเช่นนั้น ก่อนที่เขาจะเผยท่าทางน่าสมเพชแบบนั้นออกมา ฐานทัพก็ก้าวขาไปข้างหน้าอีก

ทว่า...

อยู่ๆ สิบทิศก็ทรุดตัวลง นั่งคุกเข่าสองข้างอยู่ต่อหน้า

“พี่ขอโทษ”

เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแผ่วเบาอ่อนแรง มือที่เคยหลุดออกไปแล้วจับที่ข้อมือของเขาอีกครั้งด้วยน้ำหนักที่นุ่มนวล คำพูดเดิมดังออกมาจากปากของสิบทิศซ้ำ

“พี่ขอโทษนะฐาน พี่มันโง่เอง”

ฐานทัพไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขามึนงงไปหมด

ทำไมสิบทิศต้องขอโทษ โง่เองเรื่องอะไร

ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ถาม เพราะรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างที่ไร้ที่มาที่ไปมันจุกอยู่ในลำคอ จุกแน่นจนเป็นก้อนแข็งๆ

“พี่ทำร้ายฐาน ทำให้ฐานต้องเจ็บปวด พี่มันเลว ไม่รู้เลยสักนิดว่าวันนั้นฐานไม่สบาย แต่กลับคิดว่าฐานนอกใจ กล้าหยามพี่ถึงขั้นพาผู้ชายมาถึงที่นี่”

“.....”

“พี่เพิ่งมารู้เพราะเห็นซองยาที่อยู่ข้างเตียงหลังจากฐานออกไปแล้ว พออีกวันก็เจอผู้ชายคนนั้นมาที่นี่ ถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นเพื่อนฐาน บังเอิญเจอฐานที่โรงพยาบาลเลยมาส่ง ฐานตีพี่เลยนะ จะตบ ตี หรือต่อยก็ได้ทั้งนั้น พี่ขอโทษนะที่ด่าว่าฐานไปแบบนั้น”

สิบทิศดึงมือของเขาไปตบหน้าตัวเอง ตบซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยน้ำหนักที่แม้ไม่แรงแต่ก็ไม่เบา น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ ดวงตาแวววาวด้วยอะไรสักอย่างที่เขาไม่อยากคิดว่าเป็นน้ำหรือเปล่า

“ฐานอย่าทิ้งพี่ไปเลยนะ พี่รักฐานนะ อยู่กับพี่เถอะ พี่ขอร้อง พี่รักฐาน พี่รักฐานจริงๆ พี่จะไม่ทำร้ายฐานอีกแล้ว พี่จะไม่ใจร้อน ไม่วู่วาม ไม่ไร้เหตุผลอีกแล้ว ฐานยกโทษให้พี่นะ ได้โปรดยกโทษให้พี่เถอะนะ”

เสียงขอร้องอ้อนวอนมาพร้อมกับแรงที่โถมเข้ามากอดขาของเขาเอาไว้

สิบทิศรวบกอดขาทั้งสองข้างของฐานทัพเหมือนอยากให้รู้ว่าไม่ต้องการให้จากไป

ขากางเกงสัมผัสได้ถึงรอยชื้นๆ เล็กน้อยบริเวณตำแหน่งที่ตรงกับดวงตาของอีกฝ่าย

ฐานทัพตะลึง ก้มลงมองขาของตนเองที่ถูกกอดเอาไว้แน่น ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในวันหนึ่ง

แม้ที่ผ่านมาสิบทิศจะทำผิดต่อเขามามาก และขอร้องอ้อนวอนอยู่หลายครั้งเพื่อให้เขาใจอ่อน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่อีกฝ่ายทุ่มเททำถึงขนาดนี้ ถึงมันจะไม่แปลกเพราะความผิดที่ทำลงไปมากกว่ากันหลายเท่า

ไม่เพียงทำร้ายจิตใจ แต่รวมถึงทำร้ายร่างกายของเขาด้วย

ไม่ใช่เพียงแค่การกระทำ แต่รวมถึงวาจา

ทว่าเขาก็ไม่คิดว่าสิบทิศจะอยากเหนี่ยวรั้งเขาไว้จนถึงขั้นทำขนาดนี้

ใจที่เคยพยายามปั้นให้แข็งขึ้นแม้สักนิดก็ยังดีอ่อนยวบลงอย่างง่ายดายเมื่อต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้

ฐานทัพรู้สึกสงสารสิบทิศขึ้นมาทั้งที่คนที่ควรสงสารมากที่สุดคือตัวเองต่างหาก

แต่แม้จะรู้สึกเช่นนั้นฐานทัพก็ไม่ได้พยักหน้า ยอมรับคำขอโทษวิงวอนนั้นอย่างหน้ามืดตามัว เขาฝืนใจแข็งอีกครั้ง

“ทำร้ายผมจนพอใจแล้วพี่ถึงมารู้เหรอ ต้องให้ผมเจ็บปวดเจียนตายแล้วพี่ถึงจะสนใจว่าผมยับเยินขนาดไหนกับการกระทำของตัวเอง แบบนี้มันไม่เลวไปหน่อยเหรอ”

เขาพยายามข่มเสียงของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้มันสั่นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเองก็เข้มแข็งและไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ

“พี่ขอโทษ พี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษนะฐาน จะให้พี่ชดใช้ยังไงก็ได้นะ”

สิบทิศแหงนหน้าพร่ำคำขอโทษ ดวงตาแวววาวด้วยความชื้น ก่อนจะดึงมืออีกข้างของเขาไปพรมจูบซ้ำหลายๆ ครั้งทั้งหลังมือและฝ่ามือ ก่อนจะเอามือของเขาไปลูบหัว

“พี่รักฐานมากนะครับ”

ฐานทัพเกือบหายใจสะดุด แต่ก็หักห้ามตัวเองไว้ทัน

“พี่รู้บ้างหรือเปล่าว่าทำร้ายผมมามากแค่ไหนแล้ว”

“รู้ครับ พี่สำนึกผิดแล้ว จะไม่ทำอีกแล้ว”

“พี่ก็ดีแต่พูด พูดแต่ปากแล้วก็ลืม”

พอโดนเขาสวนกลับไปแบบนี้ สิบทิศก็พูดไม่ออก

ฐานทัพถอนหายใจออกมาเสียงดังคล้ายกับอยากแสดงให้รู้ว่าตนเองรู้สึกเอือมระอากับพฤติกรรมเลวร้ายของเจ้าตัวมากแค่ไหน

“พี่รู้หรือเปล่า ระหว่างที่พี่ทำร้ายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับมีใครคนหนึ่งดีกับผมมากๆ พี่ทำให้ผมเจ็บ เขากลับดูแล พี่ทำให้เสียน้ำตา เขากลับเช็ดน้ำตาให้ผม พี่ทำร้ายร่างกายผม เขากลับทายา ถ้าเทียบกันระหว่างพี่กับเขาแล้ว เขาเป็นอาหารชั้นเลิศ แต่พี่เป็นได้แต่เศษขยะ”

สิบทิศตัวสั่นสะท้าน คงเพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาถึงขนาดนี้

...หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่น

“ทั้งที่เขาดีขนาดนั้น ทั้งที่เขาดีกับผมมากที่สุด ไม่เคยฉวยโอกาสกับผมเลยแม้แต่ครั้ง แต่ผมกลับเลือกรักเขาไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหม”

สิบทิศกลืนน้ำลายเอื๊อก ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่แววตากลับมองมาเหมือนเข้าใจ

“เพราะผมรักพี่ไปแล้วไง ผมเลยรักเขาไม่ได้ แต่พี่กลับไม่เคยเชื่อใจผมเลย แล้วยังด่าผมว่าร่าน เอาผู้ชายไปทั่ว พี่คิดว่าผมควรรู้สึกแบบไหนเหรอ”

“พี่ขอโทษ”

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง สิบทิศก็ได้แต่พูดเสียงอ่อยออกมาเป็นคำเดิม ทว่าฐานทัพรู้สึกว่าคำนั้นไม่มีคุณค่ามากพอที่เขาจะรับฟังอีกแล้ว เพราะสุดท้ายมันก็เป็นได้แค่คำพูดลอยๆ

ถึงกระนั้นอย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าสิบทิศยังไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ให้เขาสามารถใช้มันเป็นข้ออ้างที่จะอยู่กับอีกฝ่ายต่อได้อีกระยะหนึ่ง

ตัวเขาช่างน่าสมเพชจริงๆ

“ผมจะอยู่กับพี่ต่อไปก็ได้ แต่ผมไม่รับประกันหรอกนะว่าทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม เพราะใจของผมมันเริ่มด้านชาไปเรื่อยๆ แล้ว ผมอาจจะไม่ตอบสนองอะไรพี่อีกต่อไปแล้วก็ได้”

“ไม่เป็นไร ขอแค่ฐานอยู่กับพี่ก็พอนะ พี่จะค่อยๆ ทำให้ฐานเปิดใจให้พี่อีกครั้ง รักพี่ขึ้นมาอีกครั้ง”

สิบทิศลุกพรวดขึ้นมากอดตัวเขาเอาไว้แน่น กดจูบลงบนกระหม่อมซ้ำหลายๆ ครั้ง ขณะที่ฐานทัพได้แต่ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายกระทำอย่างนั้นได้ตามใจ

รักพี่ขึ้นมาอีกครั้งเหรอ ทั้งที่ผมไม่เคยหยุดรักพี่เลยเนี่ยนะ

อย่าพูดเหมือนผมเป็นพี่ที่หมดรักกันไปแล้วได้ไหม

 



v





v
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 13th Lie [4/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 04-04-2020 15:39:35







v






v






จากนั้นมาแม้ทุกอย่างจะดำเนินต่อไป แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิม

ฐานทัพพยายามไม่รู้สึกอะไรกับการมีอยู่ของสิบทิศให้มากที่สุด พูดน้อยจนแทบเรียกได้ว่าถามคำตอบคำ ไม่เคยเริ่มต้นบทสนทนาก่อน ไม่เคยทักทายเวลาแยกกันไปเรียนและทำงาน ราวกับเป็นตุ๊กตาที่เดินได้แต่ไร้ชีวิต เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ไม่มีวี่แววว่าทุกอย่างจะดีขึ้น

ฐานทัพไม่ได้ใจอ่อนง่ายๆ เหมือนครั้งนั้น

สิบทิศพยายามเอาใจใส่และชวนทำกิจกรรมสนุกๆ หลายอย่าง รวมทั้งชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดอย่างที่ไม่มีโอกาสได้ทำและเป็นผลทำให้ต้องทะเลาะกันจนฐานทัพหนีออกจากบ้าน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฐานทัพกลับมาตอบสนอง

“ทำไมฐานไม่ตอบรับพี่บ้าง ไม่เห็นใจพี่บ้างเลยเหรอ”

เวลาที่สิบทิศรู้สึกท้อแท้ก็จะมาตัดพ้อเช่นนี้ แต่ก็ถูกฐานทัพตอบกลับไปอย่างเย็นชา

“ผมไม่ได้มีความรู้สึกอะไรนี่ครับ ก็เลยตอบกลับไปไม่ถูก”

แท้จริงแล้วใช่ว่าฐานทัพจะไม่รู้สึกอะไร

เขาหวั่นไหวทุกครั้งที่สิบทิศทำดีด้วย อยากใจอ่อนและกลับไปร่าเริง แสดงความรักอย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับเมื่อก่อน อยากบอกให้สิบทิศรู้ว่าเขารักมากแค่ไหน

แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นมันก็เหมือนตัวเองเป็นเพียงของตายที่รอการถูกทิ้งไม่ใช่หรือ

ทว่าแม้จะพยายามแข็งขืนต่อใจตนเองสักเท่าไร สุดท้ายในเดือนที่สามฐานทัพก็แพ้พ่ายต่อความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี

เขาค่อยๆ กลับมายิ้มแย้มมากขึ้น แสดงความรู้สึกต่อสิบทิศมากขึ้นทีละนิดจนมันเกือบจะปกติ

ชีวิตเหมือนจะกลับมาสู่รูปแบบเดิมจนฐานทัพอดจะดีใจไม่ได้ เพราะเขาได้กลับมามีความสุขทุกวันคืนอีกครั้งอย่างที่ไม่ได้รับมานาน

“ฐานรู้ไหม พี่อดทนอดอยากมาตลอดเลยนะ”

ครั้งแรกที่สิบทิศกลับมากอดเขาอีกครั้งในรอบสามเดือน เจ้าตัวบอกไว้แบบนั้นพร้อมกับสีหน้าอ่อนโยน แสดงออกถึงความรู้สึกรักใคร่เขาเหลือเกิน

ฐานทัพไม่อยากทำลายบรรยากาศว่าแล้วทำไมไม่ออกไปหาเศษหาเลยข้างนอกเหมือนอย่างที่ผ่านมา จึงเพียงแค่กอดร่างของอีกฝ่ายที่คร่อมตนอยู่เอาไว้ ซุกซบสิบทิศแน่นก่อนจะได้รับอ้อมกอดอบอุ่นกลับมา

“ตอนนี้ก็ไม่ต้องอดทนแล้วนี่”

“แต่พี่ไม่อยากทำให้ฐานเจ็บนี่นา ไม่เอาอีกแล้ว พี่จะทะนุถนอมฐานให้ดีอย่างสุดๆ เลย ฐานจะได้รู้ว่าพี่รักฐานมากแค่ไหน”

คืนนั้นสิบทิศกอดเขาด้วยความนุ่มนวล สัมผัสแผ่วเบาราวกับเป็นขนนก ให้เขาได้อิ่มเอมและซึมซาบถึงความรักที่มีให้อย่างเต็มที่

แต่ทั้งที่ให้คำสัญญาอย่างนั้นและเหมือนชีวิตจะกลับมาราบรื่นเป็นสุขอย่างแท้จริงแล้ว มันกลับไม่จีรัง

พอผ่านไปไม่กี่เดือนสิบทิศก็เริ่มออกเที่ยวอีกครั้ง กลับดึกดื่นบ้าง ไปค้างข้างนอกบ้าง จนบางครั้งฐานทัพต้องเข้านอนตามลำพังและตื่นขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า หรือบางครั้งก็สะลึมสะลือตื่นมาเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นที่โอบกอดร่างเอาไว้ พร้อมกับมีกลิ่นสบู่ที่ไม่คุ้นเคยจากที่อื่นโชยมาให้น้ำตารินอยู่เงียบๆ

ในตอนแรกฐานทัพคิดว่าตนเองทนได้ เขาชินแล้วกับเหตุการณ์แบบนี้ที่เกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าเมื่อต้องพบเจอกับสถานการณ์เดิมๆ มีเพียงตัวเองคนเดียวในห้องที่ว่างเปล่า น้ำตาก็หลั่งออกมาทั้งที่ไม่อยาก และเพื่อให้ตัวเองลืมความรู้สึกแบบนั้น เขาจึงเริ่มออกไปดื่มเช่นเดียวกัน

ทุกครั้งที่สิบทิศไม่กลับมา ฐานทัพจะออกไปดื่มจนหัวราน้ำพร้อมกับร้องไห้เงียบๆ ไปด้วย

เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าใครจะว่าเขาน่าสมเพชเวทนา ไม่สนใจอีกแล้วว่าจะถูกใครทำร้ายหรือว่าเอาตัวไปปู้ยี้ปู้ยำที่ไหน ในเมื่อตัวเขาไม่มีค่าอะไร ไม่มีใครรัก แล้วเขาจะรักษาตัวเองไว้เพื่ออะไรอีก

เขาผ่านผู้ชายมาตั้งมากมายแล้ว ย่อมไม่มีอะไรจะเสีย

แต่ทุกครั้งก่อนมันจะสายเกินไป เขาจะได้สติและยั้งตัวเองไว้

ไม่อยากให้ใครซ้ำทับรอยเดิมที่สิบทิศเคยประทับไว้

และเมื่อถึงตอนนั้นฐานทัพมักจะคิดถึงเสียงหนึ่งขึ้นมาเสมอ

‘ถ้าจะทำอะไรที่เป็นผลเสียกับตัวเองก็ให้นึกถึงหน้าพี่ไว้แล้วกัน’

เขาแค่นหัวเราะกับตัวเองพลางนึกถึงคำพูดที่ว่า ‘ถ้าจะทำอะไรไม่ดีก็ให้นึกถึงหน้าพ่อแม่ไว้’ ขึ้นมา

มันคงคล้ายๆ กัน แต่สำหรับเขาที่พ่อแม่ไม่ต้องการ ไม่อยากให้เกิดมาด้วยซ้ำ คงมีเพียงแค่คนคนเดียวที่เขาจะนึกถึงได้

บางทีบุญทั้งชีวิตของเขาอาจจะถูกใช้ไปหมดแล้วเพื่อพบคนคนนี้

คนที่เขารักไม่ได้

ฐานทัพโทรไปหาภันวัฒน์และอีกฝ่ายจะมาหาเขาทุกครั้ง ไม่ว่าดึกดื่นแค่ไหนก็จะมาหาเขาเสมอโดยไม่เคยต่อว่า คอยดูแลเอาใจใส่เขาอย่างที่คนรักควรจะเป็นฝ่ายทำ

คงเพราะแบบนี้เขาจึงนึกถึงภันวัฒน์เสมอเวลาที่ตนเองอ่อนแอ เพราะเขาไม่ได้รับสิ่งนั้นจากสิบทิศ ความอบอุ่นอ่อนโยนของภันวัฒน์ช่วยปลอบประโลมเขาให้สามารถลุกขึ้นมาเผชิญกับเรื่องเจ็บปวดซ้ำๆ และทำเหมือนมันไม่มีอะไรต่อหน้าสิบทิศได้

เรื่องราววนเวียนซ้ำเดิมเหมือนวงจรอุบาทว์ที่หนีไม่พ้นจนล่วงเลยมาถึงวันที่เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นวันพิเศษจึงยอมเอ่ยปากชวน เพราะไม่แน่ใจว่าหากตนไม่พูดอะไรเลย สิบทิศจะปล่อยให้มันผ่านเลยไปเหมือนทุกวันหรือเปล่า

เขากลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นจึงต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

“วันนี้เราไปกินข้าวข้างนอกกันนะ หลังเลิกงานพี่มารับผมที่คอนโดฯ แล้วเราไปกินข้าวกัน”

“อ้าว ฐาน ทำไมทำแบบนี้ล่ะ”

ฐานทัพหน้าเสียไปทันทีที่ได้ยิน แต่สิบทิศกลับฉีกยิ้มกว้างแล้วกอดเขาเอาไว้ กระซิบบอกข้างหูว่า

“อย่าตัดหน้าพี่สิ พี่ว่าจะชวนฐานก่อนนะ”

คำพูดเหล่านั้นเป็นดั่งสายน้ำหลั่งรดในใจฐานทัพในฉับพลัน

เขายิ้มกว้างออกมาด้วยเช่นกัน เพราะมันผิดไปจากที่คาดไว้

สิบทิศไม่ลืม...

“งั้นเอาเป็นว่าพี่มารับผมที่คอนโดฯ หลังเลิกงานนะ เกี่ยวก้อยสัญญาด้วย”

พอเขาบอกประโยคท้าย สิบทิศก็หัวเราะเสียงดังอย่างเอ็นดู

“ไม่เอาหรอกเกี่ยวก้อยสัญญามันของเด็กๆ ต้องจูบสัญญาสิ”

หลังจากบอกเช่นนั้นสิบทิศก็ประกบปากลงมาทันที ขบดูดริมฝีปากของเขาและกวาดลิ้นไล่ต้อนจนแทบหายใจหายคอไม่ทันเพราะไม่ทันตั้งตัว

ฐานทัพยิ้มอย่างมีความสุขรอคอยเวลานั้นที่สิบทิศจะมารับพร้อมกับนึกถึงรสจูบก่อนจากกันเมื่อเช้า แต่แม้จะเลยเวลาเลิกงานของสิบทิศมาแล้วหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง เจ้าตัวก็ยังไม่กลับมาจนรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำ

เขากำโทรศัพท์แน่น จดจ้องมันอยู่นานพลางคิดว่าควรจะโทรไปหาอีกฝ่ายดีหรือไม่

เขาไม่เคยโทรถามสิบทิศเลยสักครั้งว่าจะกลับเมื่อไร จะกลับมาไหม นับตั้งแต่สิบทิศเริ่มนอกใจ

แต่ครั้งนี้...

ขณะที่นิ้วกำลังจะกดโทรออกหลังจากสูดลมหายใจและตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้อความหนึ่งก็ถูกส่งมา

ฐานทัพรีบเปิดอ่านโดยไม่อ่านข้อความในกรอบแจ้งเตือนก่อนเพียงเพราะเห็นว่าสิบทิศเป็นคนส่งมา

ทว่าเมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดแล้ว ตัวก็ชาวาบทันที เรี่ยวแรงราวกับถูกอะไรสักอย่างสูบหายไปจนหมดในเวลาเพียงพริบตาเดียว

‘ฐานกินข้าวไปก่อนเลยนะ คืนนี้พี่ติดงานต้องกลับช้า’

หัวใจของฐานทัพเหมือนถูกทลายลงในช่วงเวลานั้น

มันเจ็บ มันปวด มันรวดร้าวในอกไปหมด น้ำตาทำท่าจะล้นทะลักออกมาเหมือนเขื่อนที่มีรอยปริไปทั่วถูกคลื่นขนาดยักษ์ซัดจนมันพังพินาศในอึดใจเดียว

เขาร้องไห้โฮเสียงดังราวกับเด็กๆ ทั้งที่ตลอดครึ่งปีมานี้เขากลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ได้มาตลอด มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา แต่ว่าในเวลานี้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว มันเจ็บยิ่งกว่าเอามีดมาจ้วงแทงเสียอีก

เขารับรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าตัวเองไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยกับสิบทิศ

ไม่มีเลย...

ฐานทัพลุกขึ้นหยิบของจำเป็นแล้วออกจากห้องไป

ตอนนี้เขาอยากดื่ม ดื่มให้เมาหัวราน้ำไปเลย จะถูกใครหอบหิ้วไปที่ไหนก็ได้แล้ว เขาจะไม่รั้งตัวเองอีก จะไม่มีสติมานึกถึงคนที่ไม่เคยเห็นความสำคัญกันอีกต่อไปแล้ว

ไม่รู้ว่าแอลกอฮอล์กี่แก้วที่ฐานทัพดื่มเข้าไป เขามาถึงร้านอาหารร้านนี้ได้อย่างไรก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ยามได้ยินเสียงเพลงเล่นสดในร้านกลับทำให้เขาเหมือนคนบ้า

ตอนเพลงรักเขาก็ยิ้ม หวนนึกถึงเรื่องมีความสุขในอดีต พอเพลงอกหักเขาก็เจ็บในอกจนจุกแทบหายใจไม่ออกและน้ำตาก็ไหลรินอยู่ในใจไม่หลั่งออกมา

หรือมันอาจจะเหือดแห้งไปแล้วจริงๆ ก็ได้

เวลาผ่านไปนานเท่าไรและดึกมากแค่ไหนเขาไม่รู้ รู้สึกเพียงแค่ว่าเหมือนจะโดนใครสักคนพยุงให้ลุกขึ้นเดิน

เขาเดินตามคนคนนั้นไปด้วยขาอ่อนเปลี้ย แต่ครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็หยุดเดิน จากนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนคนสองคนพูดคุยกันก่อนจะมีเสียงถามมา

“คนนี้เพื่อนคุณหรือเปล่าครับ”

ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมองตามต้นกำเนิดเสียง มองบุคคลสองคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนไหนเป็นคนถาม คนไหนเป็นคนที่ถูกพูดถึง แต่เพราะไม่รู้จักทั้งสองคนจึงส่ายหน้า

“คนนี้...ไม่รู้จัก”

“เอ่อ... มันคงเมามากเลยจำไม่ได้น่ะ มึงจะบ้าหรือไง ทำเป็นจำเพื่อนไม่ได้ เดี๋ยวกูก็ถูกเข้าใจผิดหรอก”

“ไม่รู้จักแน่ใช่ไหมครับ”

เขาได้ยินเสียงหึ่งๆ เหมือนยุงกำลังบินวนไปวนมาอยู่รอบหัว ไม่เข้าใจนักว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไร แต่พอจับความได้แค่ประโยคท้ายจึงพยักหน้าไปอีกครั้ง

“เขาบอกไม่รู้จักครับ จะปล่อยเขาได้หรือยัง”

หลังจากได้ยินเสียงนั้นร่างของเขาก็ถูกผลักอย่างแรงจนไปปะทะกับอะไรสักอย่าง จากนั้นก็ถูกแขนของใครสักคนรับเอาไว้ก่อนจะมีเสียงกระซิบถามข้างหู คล้ายกับว่าจะเป็นเสียงของคนที่ตั้งคำถามเขาอยู่หลายครั้ง

“มีเพื่อนมาด้วยหรือเปล่าครับ”

“มาคนเดียว...ละมั้ง”

ตอบคำถามนั้นแล้วฐานทัพก็อดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะออกมา เพราะว่าเขามาคนเดียวจริงๆ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ควรที่จะมาคนเดียวเลย

วันนี้เขาสมควรจะได้ไปกินอาหารกับสิบทิศ ใช้เวลาร่วมกันให้สมกับเป็น...วันเกิด แต่เขากลับถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง ช่างน่าสมเพชจริงๆ

“งั้นไปนั่งที่โต๊ะของผมก่อนแล้วกัน รอให้สร่างกว่านี้อีกหน่อยค่อยกลับ ไม่ก็เรียกให้คนมารับนะครับ”

หลังได้ยินเสียงนั้นฐานทัพก็รู้สึกถึงแรงประคองให้เดินไป ทว่าเขาไม่มีอารมณ์จะเงยขึ้นไปมองอีกฝ่ายนัก เพราะแม้แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้ายังเห็นแบบเลือนรางไปหมด ตาก็ทั้งปรือทั้งหนัก ดังนั้นถึงเงยขึ้นไปมองคนที่ประคองอยู่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวมีหน้าตาอย่างไรอยู่ดี

“โดนมอมเหรอ”

“น่าจะดื่มจนเมาเลยโดนหิ้วละมั้ง”

พอถูกจับให้นั่งแล้วเสียงที่ได้ยินอย่างเลือนรางก็เหมือนจะมีเสียงผู้หญิงเพิ่มเข้ามา ตอนนั้นสติของเขาเริ่มดิ่งลงสู่ความมิดมืดมากขึ้นทุกที จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงแรงสะกิดพร้อมเรียก

“คุณ คุณครับ”

เขาถึงปรือตาขึ้นมาคราง “หือ” อย่างไร้เรี่ยวแรง เพราะรู้สึกง่วงจนแทบโงหัวไม่ขึ้น

“ผมว่าโทรให้คนมารับดีกว่านะครับ เพราะว่าดึกแล้ว จะได้รีบพักผ่อนด้วย”

“โทร... โทร นั่นสิครับ โทร โทรศัพท์”

เขาตอบเหมือนคนปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ก่อนจะควานมือสะเปะสะปะไปทั่วร่าง

ครั้นหยิบโทรศัพท์ออกมาได้ก็กดโทรออกไปยังเบอร์ภันวัฒน์ที่ตนเองพยายามเพ่งสายตาสุดชีวิตจนสามารถอ่านชื่อออก

“มารับหน่อย มารับผมหน่อย อื้อ... อยู่ที่...”

แต่พอต้องบอกสถานที่ที่กำลังอยู่ฐานทัพก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้ใส่ใจมาตั้งแต่แรก ขอแค่มีร้านให้นั่งดื่มได้อย่างหนำใจก็พอแล้ว

อีกฝ่ายอาจเห็นว่าคงเปล่าประโยชน์ที่จะรอให้เขาบอกชื่อร้านจึงบอกด้วยเสียงเบาๆ

ฐานทัพเอาคำตอบไปพูดใส่โทรศัพท์อีกทอดหนึ่งก่อนจะย้ำว่าเร็วๆ แล้วตัดสายไป จากนั้นก็เหมือนว่าสติจะดับวูบไปพร้อมการตัดสายด้วย เพราะทุกอย่างมิดสนิทโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวอีกเลย

ตื่นมาอีกทีฐานทัพก็อยู่ในห้องนอนของภันวัฒน์แล้ว

ไม่ต้องหวนคิดให้มากก็รู้ได้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เหตุการณ์เมื่อวานยังรางๆ อยู่ในความทรงจำ เหมือนว่าเขาจะถูกใครสักคนหิ้วไปจริงๆ แต่ก็ถูกใครคนหนึ่งช่วยเอาไว้ และทำให้สามารถติดต่อภันวัฒน์ได้

อาหารเช้าถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ในตู้เย็น มีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวบอกให้เขานำมาอุ่นกินเองได้เลย

จะว่าไปที่นี่ก็คล้ายกับเป็นหลุมหลบภัยประจำของเขาไปแล้ว ฐานทัพจึงอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ต้องกังวลหรือตะขิดตะขวงใจ

เขาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอยู่ภายในห้อง นั่งๆ นอนๆ เหมือนคนไม่มีอะไรทำเพราะไม่มีจริงๆ แม้วันนี้จะมีเรียน แต่เขายังไม่รู้สึกว่าอยากไป และไม่รู้สึกว่าอยากกลับไปที่คอนโดฯ ของสิบทิศเช่นกัน

ยังไม่อยากเจอหน้า เพราะกลัวว่าความเสียใจจะถาโถมขึ้นมาอีกครั้ง

ใจเขายังไม่พร้อมจะรับความเจ็บปวดซ้ำอีกระลอก

ความเจ็บปวดที่ว่าแม้แต่วันเกิดเขา สิบทิศก็ยังออกไปกกกับคนอื่น

ขออยู่อย่างนี้ไปสักพักแล้วกัน

“ไม่กลับเหรอ”

ระหว่างนั่งดูโทรทัศน์แต่ถ้าให้พูดตามตรงคือเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้แล้วนั่งเหม่อลอยไปเรื่อยๆ ร่างสูงกำยำก็นั่งลงข้างๆ

ฐานทัพรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงไปจึงหันไปมองก่อนจะตอบอย่างเนือยๆ

“ยังไม่อยากกลับ”

“แล้ววันนี้ได้ไปเรียนหรือเปล่า”

“เปล่า ผมไม่ค่อยอยากไปเท่าไร”

“ไม่ค่อยอยากไปหรือกลัวอยู่กันแน่”

ฐานทัพตอบกลับไปตรงๆ อย่างไม่คิดอะไร แต่เมื่อโดนสวนคำถามกลับมาอีกครั้งก็ต้องชะงัก เพราะที่จริงแล้วมันเป็นอีกเหตุผลที่เขาพยายามจะไม่คิด

ใช่แล้ว เขากลัว

กลัวว่าถ้าไปจะพบความจริงที่ว่า สิบทิศไม่ได้ไปตามหาเขา ไม่ได้ไปรอรับเขาที่มหาวิทยาลัยทั้งที่รู้ตารางเรียน

“ตอบตัวเองให้ได้ล่ะว่ากลัวเพราะอะไรกันแน่”

ราวกับจะตอกย้ำให้ตระหนักถึงความคิดและความหวาดกลัวของตนเอง

ฐานทัพขบฟัน หักห้ามความรู้สึกก่อนจะตวัดเสียงใส่อีกฝ่ายที่หวังดีต่อเขามาโดยตลอดเป็นครั้งแรก

“ผมรู้น่า พี่ไม่ต้องย้ำหรอก”

จากนั้นก็หันกลับไปทางหน้าจอโทรทัศน์อีกครั้ง

“แล้วทำไมเมื่อวานถึงได้เมาเละเทะ ทะเลาะกันเหรอ”

น้ำเสียงของภันวัฒน์เปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายปลงตกกับความดื้อด้านของเขา และไม่ได้พูดไล่ต้อนเรื่องเดิมต่อ

“นัดไว้ซะดิบดีแต่ไม่มาต่างหาก”

พอพูดถึงสาเหตุแล้วฐานทัพก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อปนผิดหวัง

“ก็เลยดื่มไม่ยั้งว่างั้น”

“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ”

คราวนี้ทั้งเสียงและสีหน้าหดหู่ไปหมด ความเสียใจทำท่าจะเอ่อท้นออกมาอีกระลอกจนรู้สึกแสบจมูก

“เมื่อไรเราจะเลิกใช้เหล้าหนีปัญหา ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าไปดื่มจนไร้สติแบบนั้นมันอันตราย พี่รู้ว่าฐานไม่กลัวถ้าจะถูกหิ้วไปทำอะไรต่อมิอะไร ฐานไม่ได้แคร์เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าไม่ได้ถูกทำแค่นั้นล่ะ ถ้าเกิดทำร้ายร่างกาย หรือว่าเป็นพวกซาดิสต์ วิตถาร ฐานจะทำยังไง”

ฐานทัพไม่ได้พูดตอบอะไร ได้แต่ก้มหน้ากับคำเตือนที่เขารู้ดีแก่ใจและคิดว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน

“ทำไมถึงไม่รู้จักรักตัวเองสักที”

“จนกว่าจะมีคนรักผมจริงๆ ละมั้ง ถ้าไม่มีคนรักผม ผมก็ไม่รู้จะรักตัวเองไปทำไม”

ในเวลานี้เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ

สิบทิศทำให้เขารู้ว่าคุณค่าในตัวเองมันต่ำเตี้ยขนาดไหน บางทีอาจจะไม่มีเลยก็ได้ด้วยซ้ำ เขาเพิ่งจะเข้าใจมันเดี๋ยวนี้เอง

“แล้วที่พี่ห่วงฐานอยู่ทุกวันนี้ หวังดีกับฐานแบบนี้ ไม่ได้ทำให้ฐานรู้สึกเลยเหรอว่าควรจะห่วงตัวเองบ้าง”

ทว่าทั้งที่คิดเช่นนั้น คำพูดของภันวัฒน์กลับทำให้เขาเจ็บแปลบเหมือนโดนเข็มแหลมทิ่มแทงหัวใจ

เขารู้มาตลอดว่าอีกฝ่ายห่วงใยแค่ไหน แต่ความคิดและหัวใจของเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสิบทิศ ไม่เคยคิดว่าจะเอาภันวัฒน์มาเป็นเหตุผลในการฉุดดึงตัวเองให้รู้สึกว่ามีคุณค่ามากขึ้นหรือมีความหมายกับใครเลย

เพราะความปรารถนาดีของภันวัฒน์ไม่ใช่ความรักของสิบทิศ

มันทดแทนกันไม่ได้

เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้

ขอบตาที่เกือบจะร้อนผ่าวเพราะความผิดหวังเสียใจก่อนหน้านี้ร้อนขึ้นมากกว่าเดิม แต่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไป เพราะครั้งนี้ดูเหมือนภันวัฒน์จะดุเขามากกว่าที่ผ่านมา

บางทีอาจจะเริ่มสุดทนกับเขาแล้วก็ได้

“ผม...ขอโทษ”

เขาอยากขอโทษที่ทำตัวไม่ดี ไม่เชื่อฟังทั้งที่อีกฝ่ายดีกับเขาเหลือเกินและมอบแต่สิ่งดีๆ ให้

ภันวัฒน์ดึงหัวของเขาเข้าไปกอดแนบอกไว้ราวกับต้องการปลอบประโลมเด็กน้อยที่ไร้ซึ่งความคิดและหนทางเยียวยา

“ถ้าฐานรับรู้ว่าพี่หวังดี และเห็นแก่พี่ก็ดูแลตัวเองดีๆ ซะ เข้าใจหรือเปล่า”

“ครับ”

“แล้วก็ถ้ามันเลวร้ายนัก ก็ต้องยอมเจ็บ ตัดเนื้อร้ายก่อนเราจะตาย เข้าใจไหม”

“ครับ”

ฐานทัพตอบเสียงอ่อยและแนบใบหน้าเข้ากับอกหนา พลางคิดว่าต่อไปนี้จะพยายามทำตัวให้ดีขึ้น

อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนสิ่งดีๆ ที่ภันวัฒน์มอบให้เสมอมา เพื่อให้รู้ว่าเขาเองก็สำนึกในความเมตตาของอีกฝ่ายเช่นกัน











-----------------
ไทม์ไลน์เดียวกับบล็อกเก้อแล้วค่ะ


หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 13th Lie [4/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-04-2020 02:31:08
เฮ้อออ  เลิกไปเถอะ
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 12th Lie [31/3/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 08-04-2020 00:10:27
สนุกมากครับ,,,
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 14th Lie [10/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 10-04-2020 16:44:52















14th Lie

ผมทำเพื่อพี่ได้เท่านี้แหละ


 

ฐานทัพไม่ได้นับว่าอยู่ที่คอนโดฯ ของภันวัฒน์มากี่วันแล้ว เพราะอย่างน้อยที่นี่ก็ทำให้เขาสบายใจแม้จะปวดใจเมื่อเผลอนึกถึงสิบทิศขึ้นมาทุกครั้งที่สมองว่างเปล่า

มือที่กำโทรศัพท์เอาไว้สั่นเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาจ้องมองกรอบสี่เหลี่ยมสีดำซึ่งไร้สัญญาณใดๆ

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดเครื่องด้วยหัวใจที่เร่งจังหวะขึ้นมา เมื่อภาพที่คุ้นตาปรากฏ หัวใจของฐานทัพก็เต้นถี่รัวมากขึ้น

ตัวหนังสือแจ้งสายโทรเข้าที่เตือนขึ้นมาเป็นดั่งน้ำเย็นสดชื่นชโลมหัวใจ

ทุกๆ เช้าฐานทัพจะเปิดโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไว้ทั้งวันขึ้นมาดู และปิดมันไปอีกครั้ง

แม้เห็นชื่อผู้โทรเข้ามาว่า ‘สิบทิศ’ เขาก็ยังไม่คิดจะโทรกลับ

เขายังต้องการเวลามากกว่านี้ ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า เพราะไม่รู้ว่าเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายแล้ว ความปวดร้าวเสียใจจะรุมเร้าเข้าใส่เขารุนแรงแค่ไหน เขาจะยังทนยืนด้วยขาทั้งสองข้างของตัวเองไหวหรือเปล่า

ถ้าได้รู้คำตอบที่แท้จริงจากปากของสิบทิศ เขาจะหัวใจสลายแค่ไหน

หรือแม้จะเป็นคำโกหก เขาจะทนฟังได้หรือเปล่า

ทั้งที่ก็รู้ดีแก่ใจว่าความจริงที่สิบทิศทิ้งเขาไปในวันนั้นคืออะไร แต่เขาก็กลัวที่จะได้ฟัง

...ทุกอย่างจากปากของผู้ชายคนนั้น

ทว่าวันนี้ในข้อความแจ้งเตือนกลับมีสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์นอกเหนือจากสิบทิศแล้วยังมีใครอีกคนที่เขาไม่คิดว่าจะโทรมาหา ฐานทัพจึงกดโทรกลับไป

[ฐานเหรอ]

“ครับ พี่จอม”

คนที่โทรมาก็คือเกรียงไกร

นับจากวันแรกที่ได้เจอกัน พวกเขาก็ได้เจอกันบ้างและแลกเบอร์ติดต่อกัน แต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากอย่างภันวัฒน์ การที่อีกฝ่ายโทรมาจึงเป็นเรื่องน่าสงสัย

[โทษทีนะที่พี่ต้องโทรหาฐาน พอดีว่าพี่มีเรื่องจะคุยกับฐานนิดหน่อยน่ะ]

คิ้วของฐานทัพขมวดเข้าหากัน แต่ไม่ทันตอบอะไรกลับไปเกรียงไกรก็พูดขึ้นมาก่อน

[เย็นนี้ฐานว่างหรือเปล่า]

“...ก็ว่างครับ”

ถึงจะว่างขนาดที่ว่าไม่มีอะไรทำ ฐานทัพก็ยังเผลอนึกชั่วครู่ไปตามสัญชาตญาณอยู่ดี

[งั้นสักทุ่มหนึ่งออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม]

หลังจากเกรียงไกรแจ้งชื่อร้านที่นัดหมายมา ฐานทัพพยักหน้ากับโทรศัพท์และตอบรับไปก่อนจะปิดโทรศัพท์ลงเมื่อหมดธุระ

รอจนกระทั่งถึงเวลาแล้วจึงไปยังสถานที่นัดหมาย ทว่าก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้ง เพราะคนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะไม่ได้มีเพียงเกรียงไกรคนเดียว แต่มีหญิงสาวอายุน่าจะมากกว่าเขาปีสองปีที่แน่ใจว่าไม่รู้จักนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย

ฐานทัพไปหยุดยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับเกรียงไกร มองชายหญิงทั้งคู่ด้วยสายตางุนงงเล็กน้อย

เกรียงไกรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปาก

“แฟนพี่เอง ชื่อขวัญ”

“สวัสดีครับ พี่ขวัญ”

“สวัสดีจ้า ฐาน”

ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับการบอกเล่าถึงตัวเขามาบ้างแล้วจึงยิ้มให้อย่างเป็นมิตรและใจดี จากนั้นก็เชื้อเชิญให้นั่งลงยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่

“ว่าแต่พี่นัดผมมามีอะไรเหรอครับ”

พอนั่งลงแล้วฐานทัพก็ถามอย่างไม่รอช้า

“คือว่า...”

เกรียงไกรหยุดเสียงไปครู่หนึ่งเหมือนลำบากใจนิดหน่อยแล้วค่อยพูดออกมาอีกครั้ง

“พี่มีเรื่องจะบอกฐานน่ะ แล้วก็อยากขอความช่วยเหลือด้วย”

คิ้วของฐานทัพขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เพราะค่อนข้างแปลกใจว่าตนเองมีอะไรที่จะช่วยเกรียงไกรได้

เท่าที่เขารู้มา อีกฝ่ายเป็นคนมีฐานะ ทำธุรกิจของตัวเอง เรียกได้ว่ามีกินมีใช้ ชีวิตสุขสบายดี แถมมีแฟนหน้าตาสะสวยดูนิสัยดีตัวเป็นๆ ให้เห็นอยู่ทนโท่แบบนี้ด้วย ไม่เห็นมีอะไรน่าเดือดร้อนให้เขาช่วยเลยสักนิด

“ประมาณสองอาทิตย์ก่อน ฐานเมาแล้วให้ไอ้ภันพากลับคอนโดฯ ใช่ไหม”

ฐานทัพตอบว่าใช่พลางทำสีหน้าไม่เข้าใจ ยิ่งงุนงงกว่าเดิมด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับภันวัฒน์ด้วย

“ฐานจำได้ไหมว่าก่อนที่ไอ้ภันจะไปรับฐาน มีคนอยู่กับฐานด้วย”

เมื่อถูกถามอย่างนั้น ฐานทัพก็ย้อนคิดเล็กน้อย

เขาจำได้รางๆ ว่าวันนั้นเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยและมีคนมาช่วยเขาเอาไว้ ทำให้ไม่ถูกหิ้วไปไหนต่อไหนหรือถูกทำอะไรต่อมิอะไรที่เขาก็ไม่รู้ขอบเขตมันเหมือนกัน

พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็พานทำให้ฐานทัพไพล่นึกไปถึงเรื่องที่ภันวัฒน์สั่งสอนและอดละอายใจไม่ได้

“ก็พอจำได้อยู่ครับ”

“คือว่าคนคนนั้นชื่อฟรี เป็นเพื่อนของพี่เอง”

คำตอบที่ได้รับทำให้ฐานทัพหันไปมองหนึ่งฤทัยซึ่งนั่งอยู่เยื้องกัน

เธอพยักหน้าให้ยิ้มๆ เหมือนเป็นการยืนยัน ฐานทัพจึงอดคิดไม่ได้ว่าโลกกลมจริงๆ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องหันหน้าขวับจนคอแทบหักเพราะประโยคต่อไปที่เกรียงไกรพูดขึ้นมา

“เป็นคนที่ไอ้ภันตามจีบอยู่”

“พี่ว่าอะไรนะ?!”

แม้กระทั่งฐานทัพยังรู้สึกว่าตัวเองร้องเสียงหลงออกไป มิหนำซ้ำยังรู้สึกได้ด้วยว่าตาที่โตเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึงจริงๆ

“อย่างที่ฐานได้ยินนั่นแหละ เขาชื่อฟรี เป็นคนที่ไอ้ภันตามจีบมาหลายเดือนแล้วแต่ยังไม่ติดสักที แล้วทีนี้พอเขาเห็นว่าฐานกับไอ้ภันเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน เลยดูเหมือนว่าฟรีจะเข้าใจผิดและพยายามตัดขาดจากไอ้ภัน”

“จริงเหรอ?”

ทั้งที่เรื่องที่เกรียงไกรเล่าไม่น่าใช่การโกหก ทั้งที่รู้ดีแก่ใจอย่างแน่นอน แต่ฐานทัพก็หลุดปากออกไปอยู่ดี

“คือเพื่อนพี่คนนี้เคยมีปมในใจมาก่อนก็เลยปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมมีความรักอีก แต่คุณภันก็ทำให้มันเริ่มหวั่นไหวได้แล้ว พี่เลยคิดว่ามันคงมีใจให้คุณภันเหมือนกัน เพียงแต่ฝืนตัวเองเอาไว้ พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นสภาพของมันก็ดูไม่ดีเอาซะเลย พี่รู้ว่ามันเจ็บปวดเสียใจ แต่มันก็ยังทำใจแข็งปากแข็ง พอพี่มาปรึกษาพี่จอมแล้วรู้ว่าพี่จอมก็รู้จักฐานด้วยเลยขอพี่จอมว่าอยากมาคุยกับฐานเรื่องนี้”

หนึ่งฤทัยค่อยๆ แจกแจงให้เข้าใจเรื่องราว ถึงกระนั้นฐานทัพก็ตะลึงไม่หาย เพราะเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าตอนนี้ภันวัฒน์มีคนที่สนใจอยู่

เขาเอาแต่พึ่งพา เอาแต่ใจกับภันวัฒน์ และอีกฝ่ายก็คอยช่วยเหลือกับหวังดีต่อเขามาโดยตลอด แต่เขากลับทำให้ต้องผิดใจกับคนที่ชอบ

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

ฐานทัพพูดออกมาอย่างรู้สึกผิดจากใจจริง

“แล้วแบบนี้ผมจะทำยังไงดี พวกเขายังไม่คืนดีกันเลยใช่ไหม”

“อืม ไอ้ภันก็พยายามจะอธิบายให้ฟังแล้วล่ะ แต่ฟรีไม่ฟังเลย”

เกรียงไกรตอบกลับโดยไม่ได้ใส่อารมณ์ไม่พอใจแต่อย่างใด ออกจะเหมือนเห็นใจเพื่อนสนิทมากกว่า

“เป็นเพราะผมเองที่ทำให้พวกเขาต้องผิดใจกัน ให้ผมไปพูดกับเขาไหม เผื่อว่าเขาจะเข้าใจว่าพี่ภันกับผมไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างที่เขาคิด พวกเราเป็นเหมือนพี่น้องกันเท่านั้น จริงๆ จะเรียกว่าผมเป็นภาระก็ได้ด้วยซ้ำ”

ความรู้สึกว้าวุ่นก่อร่างในใจของฐานทัพเสมือนเป็นพายุลูกหนึ่ง มันทำให้เขาปั่นป่วนไปหมดจนรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย

“พี่ก็เคยเสนอไอ้ภันแล้วนะ แต่มันไม่ยอม มันบอกว่าอยากแก้ความเข้าใจผิดด้วยตัวเอง ถ้ามันทำให้ฟรีเชื่อในตัวมันไม่ได้แล้วมีเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้อีก ก็จะเกิดเรื่องขึ้นอีก ฐานก็รู้นี่นะว่าไอ้ภันเป็นพวกเทคแคร์คนดี อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดเชิงๆ นี้เกิดขึ้นได้อีกจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่า...”

“ถ้าผมออกปากช่วยพูดอีกแรง อย่างน้อยก็อาจจะทำให้เขายอมฟังพี่ภันบ้างใช่ไหม”

“อืม เพราะฉะนั้นถึงไอ้ภันจะไม่ยอม แต่พี่ก็อยากให้ฐานช่วยหน่อย”

“พี่จอมไม่ต้องลำบากใจขนาดนั้นก็ได้ ถ้าช่วยพี่ภันได้ละก็ไม่ว่าอะไรผมก็ยินดีอยู่แล้ว พี่ก็รู้ว่าพี่ภันดีกับผมมากแค่ไหน เรียกว่าเป็นผู้มีพระคุณเป็นสิบๆ ครั้งเลยยังได้ด้วยซ้ำ”

“ขอบใจฐานมากนะ”

จากที่เคยทำหน้าเหมือนคนมีทุกข์ลำบากใจ รอยยิ้มของเกรียงไกรผลิบานสว่างไสวขึ้นตรงหน้า บ่งบอกให้รู้ว่าห่วงใยภันวัฒน์มากแค่ไหน ซึ่งฐานทัพก็เข้าใจดี

คนดีๆ แบบภันวัฒน์ ไม่ว่าใครก็อยากช่วยเหลือด้วยความเต็มใจทั้งนั้น

“แล้วจะให้ผมคุยกับคุณฟรียังไงดี”

“เรื่องนี้พี่คิดว่าอยากให้ฐานคุยกับฟรีต่อหน้าน่ะ ถ้าแสดงความจริงใจให้เห็น ฟรีน่าจะยอมรับฟัง อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าฟรีได้ฟังคำพูดของฐานจริงๆ แล้วก็จะได้ดูปฏิกิริยาของฟรีด้วย”

“แบบนั้นผมก็ว่าดีนะ ถ้าเขาไม่เชื่อผมจะได้อธิบายเพิ่มเติมได้”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่นัดเรื่องเวลากับสถานที่ให้นะ”

สีหน้าของหนึ่งฤทัยดูเบาใจลงเช่นกัน

เธอก็คงเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความรักอย่างบริสุทธิ์ใจให้กับเพื่อน ทำให้ฐานทัพอดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้

 

 

ก่อนเวลานัดหมายประมาณห้านาทีฐานทัพก็มาถึงสถานที่ซึ่งหนึ่งฤทัยบอก เขาโทรเข้าไปหาเธอก่อนเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมาถึงแล้วหรือยัง กระทั่งฝ่ายนั้นรับสายและบอกว่ารออยู่ข้างในร้านเขาจึงเดินเข้าไปหาตามตำแหน่งที่ได้รับคำบอก

เมื่อไปถึงก็เห็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เธอ

เป็นคนเดียวกับที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเจอเมื่อสองอาทิตย์ก่อนจริงๆ

“งั้นกูกลับก่อนนะ พี่ไปก่อนนะ”

ไม่ทันที่จะแนะนำหรืออธิบายใดๆ หนึ่งฤทัยก็รีบจากไปก่อน ราวกับจะบอกว่าอยากให้คุยกันเอง ส่วนเธอเป็นคนนอกไม่สมควรจะพูดอะไรทั้งนั้น ฐานทัพจึงเอ่ยแนะนำตัวเองก่อน เพราะเห็นว่าอาทิตย์อัสดงเหมือนจะตะลึงอยู่หน่อยๆ ที่เห็นหน้าเขา

แสดงว่าหนึ่งฤทัยคงยังไม่ได้อธิบายอะไรเลยสักอย่าง

“ผมชื่อฐานทัพครับ ขอโทษด้วยนะครับที่อยู่ๆ ก็มาพบคุณแบบนี้”

“ครับ”

“เรื่องเมื่อคราวก่อน ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมไว้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน”

“คือ... ไม่”

อาทิตย์อัสดงชะงักไปคล้ายกับลังเลในคำตอบ แต่ฐานทัพก็เข้าใจ

จะให้ปฏิเสธมันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว

คนคนนี้จริงๆ แล้วคงเป็นคนที่ซื่อตรงต่อความรู้สึก

เมื่อรับรู้ได้เช่นนั้นฐานทัพก็ผุดยิ้มขึ้นในใจ เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าคนที่ภันวัฒน์มีใจให้น่าจะไม่ใช่คนที่หวังมาฉกฉวยอะไร หรือเห็นแก่ความใจดีช่างเอาใจใส่เท่านั้น

“ผมกับพี่ภัน”

ฐานทัพหยุดคำพูดไว้เท่านั้นพลางลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย พอเห็นว่าอาทิตย์อัสดงเผลอกลืนน้ำลายลงคอ จ้องมองเขาไม่วางตาก็ยิ่งแน่ใจในความคิดเมื่อครู่ของตนเอง และเชื่อด้วยว่าอีกฝ่ายมีความรู้สึกให้กับภันวัฒน์

มันทำให้เขาอยากช่วยเหลือให้สองคนนี้ได้สมหวังจากใจจริง

“คุณกำลังเข้าใจเรื่องของเราผิดน่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมเพิ่งรู้มาว่าคุณกับพี่ภันทะเลาะกันเพราะผม”

“คือว่า มันไม่ใช่แบบนั้น”

ดูเหมือนอาทิตย์อัสดงพยายามหาข้อแก้ต่าง แต่ฐานทัพก็พูดขึ้นต่อ

“ผมรู้ว่ามันออกจะเชื่อยาก เพราะผมกับพี่ภันก็สนิทกันจริงๆ พี่ภันเป็นคนดีมาก เขาคอยช่วยเหลือผมตลอด แล้วก็หวังดีกับผมเสมอ แต่ว่านั่นไม่ใช่ความรักหรอกครับ ผมกับพี่ภันไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเชิงนั้น”

“เรื่องนั้น...ผมรู้แล้วครับ เขาเล่าให้ผมฟังแล้ว”

“แล้วคุณไม่เชื่อเหรอครับ”

“ผม...”

อาทิตย์อัสดงมีท่าทีอึกอักเหมือนลำบากใจที่จะพูดออกมา

ด้วยเพราะเห็นใจ ฐานทัพจึงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดเข้าไปในอัลบั้มภาพแล้วกวาดตามองหาภาพที่จะเฉลยเรื่องราวแล้วยื่นมันให้

“นั่นสินะครับ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาลอยๆ แล้วจะเชื่อได้”

อาทิตย์อัสดงรับไว้ด้วยสีหน้าฉงนสงสัย แต่เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่บนจอแล้วก็เหมือนว่าจะเข้าใจ

ภาพเขากับสิบทิศนั่งเคียงกันด้วยใบหน้าที่แนบชิด

ไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะถ่ายรูปร่วมกัน ฐานทัพจึงหาภาพที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนที่สุดมาให้ดู แม้อย่างนั้นก็ยังพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงขมขื่น

“แต่อะไรๆ มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไรหรอกครับ ผมเลยกลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาของพี่ภันอยู่ทุกวันนี้ เพราะความเอาใจใส่ของเขา”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ฐานทัพก็อดรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจไม่ได้จริงๆ

ขอเพียงเป็นเรื่องสิบทิศ ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักแค่ไหนหรือเพียงแค่นึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้น เขาก็รู้สึกร้าวรานไปทั้งหัวใจแล้ว

ถึงกระนั้นฐานทัพก็สูดหายใจลึก ตั้งสติขึ้นมาใหม่เพราะรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาตรอมตรมเพราะเรื่องของตัวเอง

“คุณคิดอยู่หรือเปล่าครับ ว่าพี่ภันเป็นคนขอให้ผมมา”

เขาจ้องตรงไปเพื่อแสดงถึงความจริงใจ อยากให้เข้าใจโดยไม่ต้องใช้คำพูดว่าคำตอบของคำถามนั้น สำหรับฐานทัพแล้วคือคำว่า ‘ไม่’

ทว่าอาทิตย์อัสดงก็ดูพิพักพิพ่วนมองเขาสลับกับหลบตาซึ่งตีความหมายได้ทั้งใช่และไม่ใช่

“แต่ผมเชื่อนะว่าอย่างน้อยคุณต้องคิดอยู่บ้างล่ะว่าไม่ใช่”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ฐานทัพรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะคิดเช่นนั้น อาจจะเป็นความคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ มองในแง่ดีว่าผู้ชายคนนี้จะรู้จักและเข้าใจภันวัฒน์สักหน่อย

และเมื่อดูจากสายตาที่สบกันแล้ว ฐานทัพก็แน่ใจจนยิ้มบางๆ ออกมา

“พี่ภันไม่รู้เรื่องจริงๆ นั่นแหละครับ ผมรู้เรื่องมาจากพี่จอม คุณน่าจะรู้จักพี่จอมใช่ไหมครับ เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ภันแล้วก็เป็นแฟนของพี่ขวัญด้วย ผมก็เลยขอให้พี่ขวัญนัดคุณให้มาเจอกับผม เพราะผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไรที่ทำให้คุณต้องผิดใจกับพี่ภัน”

ฐานทัพหลบสายตาเป็นครั้งแรกด้วยความละอายใจที่ตนก่อเรื่องไว้มากมายทำให้ภันวัฒน์ต้องลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิหนำซ้ำเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ยังร้ายแรงที่สุด

เขาไม่เคยตระหนักถึงมันมาก่อนจนกระทั่งเกิดเรื่อง

เอาแต่ตัวเองสะดวกเพียงฝ่ายเดียว

“ถ้าให้พูดตรงๆ ผมเป็นหนี้บุญคุณพี่ภันอยู่เยอะ เวลาผมมีปัญหาอะไร เขาก็จะคอยช่วยเหลือเสมอ เพราะฉะนั้นการที่คุณกับพี่ภันต้องหมางใจกันเพราะผมเลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมถึงอยากมาหาคุณให้ได้ อยากพูดให้คุณเข้าใจว่าพี่ภันไม่ได้เป็นพวกหลายใจหรือหลอกลวง”

ดูเหมือนว่าอาทิตย์อัสดงจะฟังคำพูดของตนเองอยู่บ้าง ฐานทัพจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

“ตอนนี้พี่ภันไม่ได้มีใครนอกจากคุณจริงๆ ถึงผมจะไม่รู้เรื่องของคุณเลยก็เถอะ แต่ผมกล้าที่จะยืนยัน ช่วยเชื่อใจพี่ภันหน่อยได้ไหมครับ ช่วยเปิดใจรับฟังพี่ภันอีกสักครั้งได้ไหมครับ ช่วยพิจารณาดูให้ดีถึงความรู้สึกที่เขามีต่อคุณ ตรึกตรองให้แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่คุณจะเชื่อไม่ได้เลยเหรอ”

“ผม...”

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ทว่าในดวงตาที่มองมานั้นมีความรู้สึกหลากหลายและสับสนหมุนวนอยู่อย่างเด่นชัด ดังนั้นฐานทัพจึงไม่ผลีผลามเรียกร้องเอาคำตอบ

เขาอยากให้อาทิตย์อัสดงได้มีเวลาคิดทบทวน ตรึกตรองให้ดีอย่างที่เขาพูด

“คุณ...รู้ชื่อเล่นของเขาไหมครับ”

หลังเงียบไปสักพัก อยู่ๆ อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยคำถามที่ทำให้งุนงงออกมา

ฐานทัพเอียงคอถาม

“ชื่อเล่น? ก็ชื่อภันไม่ใช่เหรอครับ”

“เขาบอกคุณอย่างนั้นเหรอครับ”

“พี่ภันแนะนำตัวว่าแบบนั้นนี่ครับ พี่จอมก็เรียกแบบนั้น หรือว่าเขามีชื่ออื่นด้วยเหรอครับ”

ฐานทัพอดประหลาดใจไม่ได้ เพราะเขาก็รู้จักภันวัฒน์มาหลายปี หรือถ้าจะให้นับช่วงเวลาที่คบค้าสมาคมกันจริงๆ ก็ประมาณสองปีแล้ว แต่เขากลับไม่เคยรู้ว่าภันวัฒน์มีชื่ออื่นด้วย

“อ้อ เปล่าหรอกครับ”

“ถ้าคุณกลัวว่าพี่ภันจะเป็นพวกที่ชอบจับปลาหลายมือ สับรางเก่งแล้วเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ ละก็ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ”

สิ่งเดียวที่คิดได้คือเรื่องนี้ ฐานทัพจึงรีบออกตัวในทันทีเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายระแวงสงสัยหรือไขว้เขวจนทุกอย่างพังลง

อย่างน้อยเวลานี้ก็ดูเหมือนว่าอาทิตย์อัสดงจะยอมกลับไปคิดเรื่องภันวัฒน์แล้ว

อย่างน้อยถึงเขาจะไม่ได้อยู่กับภันวัฒน์ตลอดเวลา แต่เขาก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่ใช่คนเช่นนั้น

“ยังไงก็ช่วยให้โอกาสพี่ภันด้วยนะครับ ถือว่าเป็นคำขอร้องจากผมก็ได้”

ฐานทัพตอกย้ำ สีหน้าไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้แสดงความอ้อนวอน แต่แววตาแสดงความแน่วแน่ว่าคำพูดของตนเองเชื่อถือได้และพูดทุกอย่างด้วยความสัตย์จริง

“ผมจะลองคิดดูอีกครั้งครับ”

 

 

หลังจากไปพบอาทิตย์อัสดงและกลับมาที่คอนโดฯ ของภันวัฒน์แล้ว ฐานทัพก็เก็บตัวอยู่ในห้องนอนแขกซึ่งกลายเป็นห้องนอนประจำชั่วคราวของตนเองไปแล้ว พลางคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ทว่าไม่ใช่เรื่องของสิบทิศอย่างทุกที

เวลานี้สิ่งที่อยู่ในหัวของเขามีแต่เรื่องภันวัฒน์...

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ภันวัฒน์ทำเพื่อเขา

ไม่ว่ากี่ครั้งเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ชายคนนี้เสมอ

มันทำให้เขาทั้งซาบซึ้งทั้งละอายใจ

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนเป็นคนทำให้ภันวัฒน์กับอาทิตย์อัสดงผิดใจกันจนอาจทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถลงเอยกันได้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกปวดใจ

เหมือนกับว่าเขาเป็นคนเนรคุณ

ได้รับอะไรมาตั้งมากมายแต่กลับทำลายชีวิตของคนอื่น

“รู้แบบนี้แล้วยังจะสร้างภาระให้พี่ภันต่อไปอีกเหรอ”

เป็นครั้งแรกที่ฐานทัพตระหนักว่าตนเองเป็น ‘ภาระ’ สำหรับภันวัฒน์แค่ไหน เป็นภาระหนักอึ้งจนเขาอับอายที่ไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนเลยว่าควรเลิกทำตัวแบบนี้จนกระทั่งวันนี้

เขาเห็นแก่ตัวจริงๆ

“ถ้ายังทำตัวแบบนี้ต่อไปยังจะมีหน้าเจอพี่ภันอีกเหรอ”

ฐานทัพได้แต่ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าเขายังปล่อยให้เรื่องของตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้ววันไหนภันวัฒน์จะได้มีคนรักเป็นของตัวเองและพบกับความสุขจริงๆ โดยไม่มีใครมาขัดขวาง

คิดเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจว่าตนจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่ได้

เขาจะต้องไม่เป็นตัวถ่วงของภันวัฒน์อีกต่อไป

เลิกทำตัวไร้ยางอายสักแต่ขอความช่วยเหลือได้แล้ว

ยืนหยัดด้วยตัวเองและปล่อยภันวัฒน์ให้เป็นอิสระเสียที

หลังจากตัดสินใจเช่นนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาราวกับรู้จังหวะ ฐานทัพเดินออกไปพบหน้าภันวัฒน์ที่ยืนอยู่ อีกฝ่ายยิ้มให้เขา

“ไปกินข้าวกันเถอะ พี่เตรียมไว้เสร็จแล้ว”

สีหน้าของภันวัฒน์ไม่ได้มีความกังวลใจปรากฏอยู่ ดูเหมือนปกติทุกอย่างจนฐานทัพต้องลอบสังเกต แต่ก็ไม่เห็นความแตกต่างจากทุกที

ปกปิดได้มิดชิดขนาดนี้ ก็แน่ล่ะที่เขาจะไม่รู้

ทว่าเมื่อเริ่มรับประทานอาหารแล้วฐานทัพก็อดไม่ได้ที่จะลองพูดเกริ่นๆ ดู เพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

“ช่วงนี้พี่ภันไม่มีแฟนบ้างเหรอ”

คำพูดที่อยู่ๆ ก็โพล่งออกมาทำให้ภันวัฒน์เงยขึ้นมองหน้าฐานทัพด้วยแววตาตกใจอยู่ชั่วขณะ แต่ก็นับได้ว่าแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมจนฐานทัพแน่ใจว่าหากตนไม่ได้เฝ้าจับตาอยู่อาจจะไม่รู้สึกก็เป็นได้

ภันวัฒน์ยิ้มบางๆ แล้วตอบ

“ยังไม่มีหรอก”

“แล้วพี่ไม่อยากมีแฟนบ้างเหรอ”

“ตอนนี้พี่อยากเป็นแฟนกับคนที่พี่ชอบเท่านั้นแหละ ไม่อยากคบไปก่อนเพียงเพราะถูกใจอีกแล้ว”

“พูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีคนที่ทำให้พี่รู้สึกแบบนั้นแล้วใช่ไหม”

ฐานทัพยังไม่ยอมแพ้ และดูเหมือนภันวัฒน์จะไม่คิดปิดบังอีก

“อืม”

“เจอคนที่อยากคบด้วยจริงๆ แล้วสินะ”

“อืม”

ภันวัฒน์ตอบเพียงแค่คำเดียวโดยไม่ได้อธิบายต่อ ถึงกระนั้นฐานทัพก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี

ถ้าไม่ได้กำลังอยู่ในสถานการณ์ร่อแร่ว่าจะไม่รอด ภันวัฒน์คงพูดถึงอาทิตย์อัสดงมากกว่านี้แน่ๆ

“พี่รักเขาแล้วใช่ไหม”

ภันวัฒน์ทำหน้าตะลึงเล็กน้อยกับคำถามนี้ คงเพราะไม่คิดว่าเขาจะถามอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็ยิ้มอ่อนๆ คล้ายอ่อนโยนแต่ก็เหมือนอ่อนใจและตอบมาคำเดียวอีกครั้ง

“ครับ”

ฐานทัพคลี่ยิ้มออกมาจางๆ เพราะคำตอบนี้ยิ่งตอกย้ำให้เขาแน่ใจถึงการตัดสินใจของตัวเอง

เลิกดันทุรังแล้วปล่อยให้ภันวัฒน์มีความสุขเถอะ

นี่คือคำตอบของเขา

“งั้นผมก็ขออวยพรให้พี่มีความสุขนะ พี่จะต้องสมหวังแน่ๆ ก็พี่ภันของผมเป็นคนดี ใจดี แล้วก็ช่างเอาใจใส่ขนาดนี้นี่นา”

ภันวัฒน์หัวเราะเบาๆ พึมพำว่า

“ขอบคุณครับ”

ฐานทัพลอบสูดหายใจลึก ย้ำอย่างแน่วแน่ว่า ‘ถ้าทำให้พี่ภันมีความสุขได้ เขาก็จะมีความสุขไปด้วย และเป็นความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การฝืนทนหลอกตัวเองไปวันๆ’ แล้วยิ้มกับตัวเอง

 

 



v





v
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 14th Lie [10/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 10-04-2020 16:45:48










v




v



ในเมื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรแล้ว คืนนั้นฐานทัพก็เริ่มเรียบเรียงข้อมูลว่าตนจะต้องทำอะไรบ้าง ดังนั้นเมื่อรุ่งเช้ามาถึงเขาจึงไปมหาวิทยาลัยและทำเรื่องโอนหน่วยกิตไปยังสถานศึกษาอื่นที่คิดเอาไว้ แน่นอนว่าเป็นจังหวัดอื่น

เขาเลือกจังหวัดที่เคยอยู่มาก่อน เพราะอย่างน้อยก็มีความคุ้นเคยในพื้นที่และไม่ยุ่งยากนักหากจะย้ายไป จากนั้นก็ไปโรงพยาบาลเพื่อทำตามแผนการที่วางเอาไว้ รออยู่ชั่วโมงกว่าก็ได้รับสิ่งที่ต้องการ

ฐานทัพไปหาอดิศักดิ์เพราะต้องการขอความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายยังเข้าเวรอยู่จึงต้องนั่งรอหน้าห้องตรวจพักใหญ่ๆ จนกระทั่งถึงเวลาออกเวรแล้วอดิศักดิ์ก็เดินออกมา

“มีอะไรหรือเปล่า อยู่ๆ ก็มาหากู”

“เข้าไปคุยในห้องได้ไหม”

เพราะเป็นเรื่องที่คุยในที่สาธารณะลำบาก ฐานทัพจึงพยักพเยิดหน้าไปทางห้องตรวจที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่

อดิศักดิ์มุ่นคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้า “อืม” แล้วเดินนำเข้าไป

ฐานทัพเดินตามแล้วปิดประตูลงทันที นั่นคงทำให้อดิศักดิ์ยิ่งข้องใจหนักขึ้นว่ามีเรื่องสำคัญอะไรกันแน่ หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจึงไม่คลายลง มิหนำซ้ำยังย่นเข้าหากันมากขึ้นด้วยซ้ำ

คำตอบที่อีกฝ่ายได้รับคือกระดาษสีขาวที่ฐานทัพยื่นไปให้

“อะไร”

ถึงจะถามเช่นนั้นแต่อดิศักดิ์ก็รับไป หัวคิ้วไม่คลายลงเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อดูแล้วก็พึมพำออกมา

“ผลตรวจเลือด...เชื้อเอชไอวี เป็นลบ แล้วมันยังไง”

แน่นอนอยู่แล้วว่าผลเป็นลบย่อมเป็นเรื่องดี

ฐานทัพเข้าใจถึงเหตุผลที่อดิศักดิ์ไม่เข้าใจการกระทำของเขาเป็นอย่างดี

“ช่วยทำให้เป็นบวก...”

“เฮ้ย!”

ยังไม่ทันที่ฐานทัพจะพูดคำว่า ‘หน่อย’ ปิดท้าย อดิศักดิ์ก็อุทานออกมาเสียงดังแล้ว

เจ้าตัวหันหน้าไปมองข้างๆ อย่างเลิ่กลั่กราวกับกลัวว่าจะมีใครมาเห็นมาได้ยินเข้า แต่ฐานทัพก็ยังยืนยันคำเดิม

“ช่วยเปลี่ยนผลให้หน่อย”

“มึงนั่งลงก่อน”

อดิศักดิ์รีบดึงเก้าอี้สำหรับให้ผู้ป่วยนั่งมาใกล้ตัวมากขึ้นพร้อมบอก ฐานทัพจึงนั่งลงอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ เพราะดูท่าแล้วอาจจะต้องคุยกันยาว

“ทำไมมึงต้องอยากให้ผลเป็นบวกด้วย”

“กูต้องการใช้ผลบวก มึงเป็นหมอนี่น่าจะช่วยกูได้”

“แต่นี่เป็นแบบฟอร์มของห้องแล็บ กูออกให้ไม่ได้หรอก”

ถึงจะดูเหมือนอีกฝ่ายบ่ายเบี่ยง แต่คำพูดก็สมเหตุสมผล ทว่าฐานทัพยังมีวิธีการอยู่

“เรื่องแบบฟอร์มไม่ใช่ปัญหา มีคอมพิวเตอร์ก็ทำเลียนแบบได้ แต่ว่าทำออกมาแล้วต้องมีคนเซ็นต้องมีตราปั๊มของโรงพยาบาล เรื่องนี้มีแค่มึงที่ช่วยได้”

“ไอ้ห่า หาเรื่องมาให้กูสิไม่ว่า ปลอมแปลงผลการตรวจมันผิดจรรยาบรรณนะเว้ย ผิดกฎหมายด้วย”

อดิศักดิ์พูดด้วยท่าทางอารมณ์เสียเล็กน้อย เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ฐานทัพก็ยังคงร้องขอ

“ช่วยกูหน่อยเถอะนะ กูไม่ได้เอาไปใช้ในทางไม่ดีหรอก กูแค่...”

เขาก้มหน้าลง หยุดเสียงพูดไป รู้สึกถึงรสขมปร่าบางอย่างแทรกซึมออกมาตามผนังลำคอที่ค่อยๆ ตีบตันมากขึ้น ในขณะที่อดิศักดิ์ก็ไม่ได้ซักไซ้ให้รีบตอบ

“กูอยากใช้เรื่องนี้ไปขอเลิกกับแฟน”

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยวะ”

ฐานทัพเงยหน้าขึ้น พูดอย่างช้าๆ ดวงตาที่ฉ่ำน้ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งแวววาวด้วยความชื้นกว่าปกติ

“กูว่าจะปล่อยเขาไปสักที ถ้าไม่มีกูอยู่เขาอาจจะใช้ชีวิตได้อิสระกว่านี้ แถมกูยังทำตัวเป็นภาระของคนอื่นทำให้เขาต้องผิดใจกับคนที่ตามจีบ แล้วที่สำคัญ...”

เสียงขาดหายลงไปพักสั้นๆ ก่อนฐานทัพจะกลืนน้ำลายลงไปและพูดต่อ

“ถ้าไม่ทำแบบนี้กูจะตัดขาดจากเขาจริงๆ ไม่ได้”

“.....”

“ได้ประโยชน์กันทุกฝ่ายเลย มึงว่าไหม ฮ่าๆ”

เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นในตอนท้ายเหือดแห้งลงไปกลายเป็นเสียงแค่นหัวเราะที่แม้แต่ฐานทัพเองยังรู้สึกว่ามันน่าสมเพชสิ้นดี ดังนั้นสีหน้าของเพื่อนที่คบมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นจึงมีแววเวทนาเจืออยู่

“กูขอร้องนะ แค่เอาไปให้เขาดูเฉยๆ เพื่อจะได้ไม่มีเหตุผลให้ต้องเหนี่ยวรั้งกูไว้ทั้งที่ไม่ได้รักกันอีก”

“เขาอาจจะเกลียดมึงไปเลยก็ได้”

“ไม่เป็นไร เกลียดกูไปก็ดี เผื่อเป็นเหตุผลให้กูตัดใจจากเขาได้เร็วขึ้น”

น้ำเสียงเศร้าๆ ฟังแปร่งหูดังออกมาราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเองด้วยซ้ำ รอยยิ้มคลี่ออกมาจากมุมปากโดยไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ยิ้ม

มันคงดูน่าขบขันจนน่าสังเวช

“ฐาน”

อดิศักดิ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้ ตอนนั้นเขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตาหยดลงมาแล้ว และน้ำเสียงที่พูดประโยคเมื่อครู่ก็แหบพร่าสั่นเครือแค่ไหน

เขารับมาแล้วเอ่ยคำพูดเดิมซ้ำอีกครั้งโดยไม่ได้ใช้มันซับน้ำตาแต่อย่างใด

“กูขอร้องล่ะ กูไม่เอาไปใช้ทำอะไรนอกเหนือจากนี้หรอก จะไม่ทำให้มึงเดือดร้อนแน่ๆ ช่วยกูหน่อยเถอะนะ”

เสียงสูดลมหายใจของอดิศักดิ์ดังออกมาอย่างชัดเจน ทำให้รับรู้ถึงความหนักใจ ถึงกระนั้นก็ยังตอบออกมาหลังจากถอนหายใจหนักๆ หนึ่งทีไปแล้ว

“ก็ได้ กูเห็นแก่มึงนะ”

“ขอบใจมาก เดี๋ยวกูไปทำแบบฟอร์มแล้วเอามาให้มึงเซ็นนะ”

“ไม่ต้องหรอก ทำที่นี่ให้เสร็จไปเลย ไม่นานหรอก”

ว่าเช่นนั้นแล้วอดิศักดิ์ก็เปิดคอมพิวเตอร์บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มทำแบบฟอร์มผลแล็บแล้วพิมพ์ลงกระดาษ หลังเซ็นชื่อก็ประทับตราโรงพยาบาลให้

ฐานทัพรับมาเก็บไว้แล้วกล่าวคำขอบคุณซ้ำอยู่หลายครั้ง ทว่าอีกฝ่ายตอบเพียงแค่ “เออๆ” เหมือนตอบส่งๆ เพราะความเหนื่อยระอา แล้วตามด้วย “มึงนะมึง”

คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงอ่อนใจกับเขาเหลือจะกล่าว แต่เขาไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ

 

 

หลังจากนั้นอีกหลายวัน เมื่อเรื่องโอนหน่วยกิตเรียบร้อยฐานทัพก็ไปทำเรื่องยกเลิกเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งที่จริงเขาเลิกเปิดมันขึ้นมาดูนับตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะตัดขาดกับสิบทิศอย่างจริงจังแล้ว แต่เพราะยังไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ความเคลื่อนไหวของตนเองจึงเพิ่งมาจัดการในวันนี้ พอเสร็จเรียบร้อยก็กลับไปที่คอนโดฯ ของสิบทิศ

ก่อนเข้าห้องในครั้งนี้ฐานทัพยังคงสูดหายใจเข้าลึกๆ เช่นเดิม ราวกับว่ามันกลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งแล้ว

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องว่างเปล่า เพราะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ซึ่งยังคงเป็นเวลางานของพนักงานบริษัททั่วไปอยู่ ภายในห้องนั้นต่างจากเดิมอยู่เล็กน้อยคือไม่ได้สะอาดเรียบร้อย นั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้กลับมาสามสัปดาห์แล้ว

ไม่รู้เหมือนกันว่าสิบทิศรู้สึกอย่างไรตลอดช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่

คิดเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็ส่ายศีรษะแรงๆ เหมือนจะขับไล่ความคิดเหลวไหลออกไป จากนั้นเดินเข้าไปในห้องนอน หยิบกระเป๋าเดินทางเก็บเสื้อผ้าที่เป็นของตนเองจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่สิบทิศซื้อให้ลงกระเป๋า เมื่อเก็บเสร็จก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง มองรอบห้องนอนอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่ครู่หนึ่ง เพราะอย่างไรเขาก็เคยอยู่ที่นี่มาสามปี

หลังเดินออกจากห้องนอนก็มาเหม่อมองที่ด้านนอก ห้องครัว ห้องนั่งเล่น

ทุกที่ในที่แห่งนี้มีความทรงจำของเขาร่วมกับสิบทิศปะปนอยู่ทั่ว

ทั้งความทรงจำแสนสุข และความเจ็บปวดแสนทรมาน

ฐานทัพรู้สึกปวดร้าวใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่จนต้องกัดริมฝีปากน้ำตาคลอ

ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้น ฐานทัพหันขวับไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นร่างของผู้เป็นเจ้าของห้องเขาก็ตื่นตะลึงขึ้นมาทันทีเพราะไม่คิดว่าสิบทิศจะกลับมาเร็วแบบนี้

“ฐาน!”

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ตกใจเช่นกันที่เห็นเขา

ฐานทัพรู้สึกในใจแตกตื่นลนลานไปหมด สมองว่างเปล่าไปเสียดื้อๆ อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

สิบทิศถลันเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับภาพที่ถูกเร่งความเร็วขึ้น มือสองข้างมาคว้าแขนของเขาไว้ ในขณะที่ฐานทัพได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก เหมือนตนเองเป็นอัมพาตไปในบัดดล

“ฐานไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับมา รู้ไหมพี่เป็นห่วงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”

สีหน้าของสิบทิศมีความร้อนรนที่เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเล่นละคร แต่นั่นก็ทำให้ฐานทัพเริ่มได้สติขึ้นมา

เขาค่อยๆ ดึงมือของตนเองออกจากการถูกกุมเอาไว้

สิบทิศเหมือนมีท่าทีไม่เข้าใจการกระทำของเขา เรียกเขาเสียงอ่อยคล้ายหมดเรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหันพลางยื่นมือออกมาจะจับมือเขาไว้อีกครั้ง แต่ฐานทัพก็ดึงมือหนีแล้วไปคว้ากระเป๋าเดินทาง

“ฐาน นี่มันอะไร”

“ผมมาเก็บของเฉยๆ”

“หมายความว่าไง”

คราวนี้สีหน้าของสิบทิศชัดเจนว่าสับสนงุนงงไปหมด พอเหลือบเห็นกระเป๋าในมือของเขาก็มีสีหน้าเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที มือใหญ่ยื่นออกมาคว้ากระเป๋าใบนั้นไปขว้างทิ้งอย่างไม่สนใจไยดีว่าของข้างในจะมีสภาพเช่นไร

ทว่าน่าแปลกที่เห็นภาพเช่นนั้นและถูกกระทำอย่างนั้นแล้วฐานทัพกลับรู้สึกว่าใจสงบนิ่ง

อาจเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วก็ได้ว่าสิบทิศจะมีปฏิกิริยาแบบนี้

ใช่ เขารู้อยู่แล้ว เขารู้ดี

ฐานทัพบอกกับตัวเองในใจพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้

สิบทิศมองฐานทัพกับกระดาษแผ่นนั้นสลับกันอยู่สองสามครั้ง สีหน้าเปลี่ยนกลับมาเป็นไม่เข้าใจอีก ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“อะไร”

ฐานทัพไม่ตอบและไม่ละมือไป ยื่นมือนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับจะบอกว่าให้เปิดดูเอาเอง กระดาษแผ่นนั้นจึงถูกดึงออกไปกางออกต่อหน้าสิบทิศ

ฉับพลันที่สายตาของสิบทิศกวาดอ่านสิ่งนั้น อารมณ์บนใบหน้าที่รุนแรงก็แปรปรวนไปมา ทั้งตื่นตระหนกและโกรธจัด

“ผมไปได้แล้วใช่ไหม”

ฐานทัพพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้นิ่งมากที่สุด แล้วก้มลงหยิบกระเป๋าที่ถูกขว้างทิ้งขึ้นมา ทว่าขณะเตรียมจะออกเดินไปกลับถูกเรี่ยวแรงมหาศาลคว้าเอาไว้ ไม่สิ ควรเรียกว่ากระชากมากกว่าเพราะตัวของเขาเซจนเกือบถลาล้มลงไปบนพื้น

“นี่มันหมายความว่าอะไร! ฐานเป็นเอดส์? เป็นได้ยังไง!”

เสียงเกรี้ยวกราดอย่างที่สุดโพล่งออกมาจนลั่นห้อง ผิดจากเสียงของฐานทัพที่ตอบกลับไป

เงียบสงบดุจสายน้ำเย็น

“นั่นสิครับ”

“เพราะฐานมั่วมาใช่ไหม ให้ใครต่อใครเอาไปทั่วใช่ไหม!!”

น้ำเสียงของสิบทิศเดือดดาลไม่ลดอุณหภูมิลงแม้แต่น้อย มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาอาจตอบว่า ‘ใช่’ แต่ตอนนี้ถ้าเขาจะติดโรคจริง มันก็ไม่ใช่เพราะเขาหรอก ไม่ใช่เลย...

ฐานทัพกระหยิ่มยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่คิดว่าเป็นการดูถูกตัวเอง ทว่าในสายตาของสิบทิศคงเหมือนการยิ้มเย้ยมากกว่า

“ผมว่าพี่ไปตรวจบ้างก็ดีนะ เผื่อว่าจะติดมาจากผม”

หลังจากพูดเหมือนเตือนเป็นการทิ้งทาย ฐานทัพก็สะบัดแขนที่ถูกรั้งไว้ออกอย่างรุนแรง แล้วเดินตรงออกจากห้องไปในทันที

สิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างสุดท้ายคือสีหน้าตะลึงงันด้วยความนึกไม่ถึงและเหลือเชื่อของสิบทิศ

สิ่งที่ได้ยินก็คือเสียงที่แผดก้องออกมาจากในห้องทั้งที่ประตูปิดไปแล้ว

“ไอ้ฐาน ไอ้สารเลว! กูไม่น่าคบมึงเลย!! กูขอแช่งมึงให้ตายๆ ห่าไปซะ”

เขาคิดว่าสิบทิศคงอัดอั้นและมีคำด่ามากมายกว่านี้ แต่คงเกรงกลัวว่าหากโพล่งเรื่อง ‘โรคที่อาจจะติดเขาไป’ ออกมา จะเป็นการประจานตัวเองเสียมากกว่าจึงไม่ได้ตะโกนเรื่องนั้น

“จบแล้ว จบแล้วล่ะ ฮ่าๆ”

ฐานทัพหัวเราะเสียงแห้งเบาๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเองหัวเราะทำไม หยาดน้ำตาที่พยายามเก็บกักเอาไว้ตลอดเวลาตั้งแต่เห็นหน้าสิบทิศเป็นครั้งสุดท้ายไหลพรั่งพรู

“ตอนนี้พี่ก็เป็นอิสระสักที ขอให้ได้พบกับคนดีๆ และมีความสุขแล้วกันนะ ผมทำเพื่อพี่ได้เท่านี้แหละ”

เขายิ้มให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง








-------------------
สาบานว่าพี่ทิศเป็นพระเอก?

นี่คือที่มาของชื่อเรื่องค่ะ



หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 14th Lie [10/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-04-2020 18:24:52
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:  ทำไมต้องทำแบบนี้นะฐานทัพ
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 12-04-2020 20:16:49
















15th Lie

เรื่องนั้น...คงเป็นไปไม่ได้หรอก


 

เครื่องบินลดระดับลงเรื่อยๆ ในขณะที่ความกดอากาศเล่นงานห้องหูให้อื้อขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะวิ่งไปตามรันเวย์ในที่สุด เมื่อเครื่องหยุดนิ่งแล้วฐานทัพจึงค่อยหยิบสัมภาระจากช่องเก็บของเหนือศีรษะออกมา เดินไปตามทางคับแคบที่มีผู้โดยสารแออัดจนมาถึงอาคารผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ

เขาไม่ได้กลับมากรุงเทพฯ ประมาณสองปีได้แล้ว ดังนั้นบรรยากาศไม่คุ้นเคยจึงทำให้รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย

ฐานทัพมองออกไปภายนอกอาคาร ท้องฟ้าสดใสที่มีแสงแดดแรงกล้า ไม่ว่าอยู่ภูมิภาคไหนของประเทศก็ยังคงเป็นเหมือนกันหมด

นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าประเทศไทย

กระทั่งเดินออกมาจนถึงบริเวณรอบนอกก็กวาดตามองหาคนที่ตนติดต่อเอาไว้ อีกฝ่ายบอกว่าจะมารับทั้งที่เขาบอกแล้วว่าไม่ต้องก็ได้ แถมยังเสนอว่าจะให้เขาพักอาศัยด้วยอีกต่างหาก

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ความใจดีและมีน้ำใจของภันวัฒน์ก็ยังไม่ลดน้อยลงไปเลย

แม้เขาจะย้ายไปอยู่เชียงรายเมื่อสองปีก่อนก็ยังติดต่อภันวัฒน์อยู่เรื่อยๆ

ได้ติดตามความคืบหน้าเรื่องความรักของคนที่เปรียบเสมือนพี่ชาย ได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสุขดีและคบหากับอาทิตย์อัสดงได้อย่างราบรื่นก็ทำให้เขารู้สึกยินดีด้วยเหลือเกิน

เพราะมันเหมือนกับการตอกย้ำว่า เขาเลือกถูกแล้ว

เลือกที่จะมอบความสุขให้กับคนอื่น ซึ่งจะทำให้ตนเองมีความสุขไปด้วย

ไม่ใช่การฝืนเพื่อทรมานตัวเองและทำให้คนอื่นต้องทุกข์ตรม

กวาดตามองหาอยู่สักพักก็เห็นร่างสูงใหญ่โบกมือไหวๆ อยู่ไม่ไกลนัก เขายิ้มออกมาโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อเห็นว่าข้างกายของภันวัฒน์มีใครมาด้วย ฐานทัพก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วเดินเข้าไปหา

“หวัดดีครับ พี่ภัน พี่ฟรี”

เพราะอีกฝ่ายเป็นแฟนของพี่ชายไปแล้ว เขาจะเรียกว่าคุณอย่างห่างเหินก็แปลกพิลึก ดังนั้นฐานทัพจึงเรียกอาทิตย์อัสดงว่าพี่เช่นกันนับตั้งแต่วันที่รู้ว่าทั้งสองคนตกลงปลงใจกันแล้วและแจ้งข่าวดีแก่เขา

ทั้งสองคนต่างกล่าวทักทายเช่นกัน รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ ความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานทำให้ฐานทัพรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก

“ว่าแต่พี่จะให้ผมไปค้างที่คอนโดฯ พี่จริงๆ เหรอ จะไม่ขัดคอเป็นก้างพวกพี่หรือไง”

ฐานทัพถามด้วยความห่วงใยแต่ก็เจือด้วยน้ำเสียงกระเซ้าแหย่

ที่เขากลับมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ไม่ใช่การกลับมาอย่างถาวร เพียงแค่มาร่วมงานสัมมนาธุรกิจที่ตนเองสนใจวันเดียวเท่านั้น ภันวัฒน์จึงออกปากว่าไหนๆ ก็มาแล้วทั้งที อยู่สักอาทิตย์ไปเลย และชวนเขาไปพักด้วยเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม

“ฐานไม่ต้องห่วง ถ้าพี่อยากจู๋จี๋นะ เดี๋ยวไปค้างที่บ้านฟรีก็ได้ เนอะคุณ”

ท้ายประโยคฐานทัพเห็นนัยน์ตาวาววับของภันวัฒน์เหลือบมองไปทางอาทิตย์อัสดง

ในสายตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความรักอย่างชัดเจน

เป็นความรักอย่างแท้จริงแบบที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต จึงทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่าอาทิตย์อัสดงช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้รับความรักแบบนี้

“แค่เห็นพวกพี่รักกันแบบนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขไปด้วยแล้วนะเนี่ย”

“เขาเรียกว่าเผื่อแผ่ความสุขให้คนรอบข้างไง”

ภันวัฒน์ขยิบตา หัวเราะออกมาเบาๆ ในขณะที่อาทิตย์อัสดงส่ายศีรษะก่อนจะบอกกับเขา

“ฐานไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร อีกอย่างพี่ก็นอนที่บ้านอยู่แล้ว แค่ไปค้างคอนโดฯ คุณฮักอาทิตย์เว้นอาทิตย์เอง”

ชื่อ ‘ฮัก’ ที่อาทิตย์อัสดงเรียกมานั้นเป็นชื่อเล่นที่แท้จริงของภันวัฒน์

ฐานทัพเพิ่งรู้หลังจากย้ายไปอยู่เชียงรายแล้ว เพราะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอาทิตย์อัสดงเคยถามเกี่ยวกับชื่อเล่น เขาจึงถามด้วยความสงสัย แต่ถึงจะรู้ว่าภันวัฒน์มีชื่อเล่นว่าอะไร เขาก็ชินกับการเรียก ‘พี่ภัน’ ไปเสียแล้ว อีกอย่างหนึ่งเขารู้สึกว่าชื่อนี้พิเศษ เพราะฉะนั้นปล่อยให้อาทิตย์อัสดงเรียกไปคนเดียวน่าจะดีกว่า

“แต่ผมว่าแบบนี้ไม่ดีนะ จะให้แฟนอยู่กับผู้ชายคนอื่นสองต่อสองได้ยังไง ไม่ได้ๆ”

ฐานทัพส่ายศีรษะเหมือนเด็กๆ ที่ไม่ยอมรับเหตุผลโดยเด็ดขาด ทั้งที่จริงๆ แล้วอายุน้อยกว่าอาทิตย์อัสดงเพียงปีเดียว แต่เพราะอีกฝ่ายดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเขามาก รวมทั้งภันวัฒน์ก็เอ็นดูเขาเหมือนน้องชาย พอนานๆ ทีได้เจอกันจึงอดทำตัวเป็นเด็กบ้างไม่ได้ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายจากความตึงเครียดในการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว

ตอนนี้ฐานทัพกำลังจะเรียนจบปริญญาโทแล้ว แม้เสียเวลาไปอยู่บ้างนิดหน่อยในช่วงการย้ายมหาวิทยาลัย เพราะต้องรอมหาวิทยาลัยที่ย้ายไปเปิดเทอมใหม่ และต้องลงวิชาที่เรียนค้างไว้ในมหาวิทยาลัยเดิมซ้ำก็ตาม ส่วนเรื่องการทำธุรกิจที่เคยฝันไว้ เขาคิดและวางแผนจนเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

“เอาอย่างนั้นก็ได้ งั้นก็อยู่กันสามคนนี่แหละ”

“ดีๆ เยี่ยมมาก”

ฐานทัพยกนิ้วโป้งให้พลางยิ้มกว้าง พลอยทำให้อาทิตย์อัสดงต้องส่ายหัวอีกรอบ เหมือนเหนื่อยหน่ายใจเด็กโข่งสองคน แต่ด้วยความหมายคนละอย่าง

พวกเขาสามคนเดินเคียงกันไปยังลานจอดรถ รอยยิ้มบางๆ ยังปรากฏบนใบหน้าของฐานทัพไม่จางหาย

ความสบายใจที่ได้พบภันวัฒน์และอาทิตย์อัสดงทำให้ฐานทัพรู้สึกเบาสบายทั้งตัวและใจ จนอดคิดไม่ได้ว่าช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมานับว่าคุ้มค่าทีเดียว เพราะเขาในวันนี้ยิ้มด้วยความปลอดโปร่งจากใจมากกว่าปีสุดท้ายที่อยู่ที่นี่เสียอีก

เวลาช่วยเยียวยาได้จริงๆ

 

 

คืนแรกของการกลับมาราวกับเป็นงานเลี้ยงฉลอง เพราะนอกจากภันวัฒน์กับอาทิตย์อัสดงแล้ว เกรียงไกรกับหนึ่งฤทัยก็มาร่วมกินข้าวเย็นด้วยกัน

ตอนแรกที่เขาไปเปิดประตูเพราะภันวัฒน์และอาทิตย์อัสดงต่างก็ติดพันกับการทำอาหาร เขาตกใจแทบเสียขวัญ เนื่องจากทันทีที่ประตูเปิดออก เสียงปุ้งปั้งก็ดังสนั่น สายรุ้งมากมายพุ่งโค้งออกมาหล่นใส่หัวก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะขนานใหญ่ของเกรียงไกรที่เป็นหนึ่งในตัวการ ส่วนหนึ่งฤทัยที่ท้องโย้เพราะอีกไม่กี่เดือนจะถึงกำหนดคลอดลูกแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้รู้ว่าพอใจ

เขาทำหน้าบึ้งใส่นิดหน่อย ถามว่าถ้าเกิดคนเปิดประตูไม่ใช่ผมล่ะ ก็ได้รับคำตอบกลับมาจากเกรียงไกรอย่างง่ายๆ ด้วยสีหน้าล้อเลียน

“ไม่มีทางหรอก”

เพียงแค่นั้นก็รู้ได้เลยว่าทุกคนคงตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว เขาเลยแกล้งทำหน้าบูดหนักขึ้น ทว่ากลับเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าทั้งในแง่ความดังและจำนวนคน

ระหว่างมื้ออาหารพวกเขาพูดคุยสัพเพเหระกันอย่างสนุกสนาน เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้สมกับที่ไม่ได้พบกันมานาน เขาเลยถือโอกาสนี้ขอโทษเกรียงไกรกับหนึ่งฤทัยอีกครั้งที่ไม่ได้มาร่วมงานแต่งงานเมื่อปีที่แล้วเพราะว่าติดสอบจริงๆ ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่บอกว่าตอนคลอดต้องมารับขวัญหลานด้วยเท่านั้น ส่วนภันวัฒน์ก็นำขนมของร้านตัวเองมาฉลองเป็นการปิดท้าย

ช่วงเวลาแห่งความสุขที่ดำเนินไปทำให้ฐานทัพอดนึกถึงพวกรุ่นพี่ที่ทำงานไม่ได้ จึงตัดสินใจจะไปเยี่ยมทุกคนที่โชว์รูมในวันรุ่งขึ้น แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าไม่มีของฝากจะดูน่าเกลียดเกินไปหรือไม่

ตอนที่เขาหลุดปากพึมพำว่าพรุ่งนี้ไปเยี่ยมพี่ๆ ที่โชว์รูมบ้างดีกว่า ก็เหมือนภันวัฒน์จะรู้ถึงความกลุ้มใจของเขา

“ก่อนไปฐานแวะเอาขนมที่ร้านพี่ไปด้วยสิ เดี๋ยวพี่บอกเด็กที่ร้านไว้”

“เฮ้ย ไม่ได้หรอก นั่นมันของของพี่นะ”

“ถือว่าพี่ฝากก็ได้ ของฝากของพี่ก็เหมือนของน้อง ของน้องก็เหมือนของพี่นั่นแหละ”

พอภันวัฒน์เอ่ยปากเช่นนั้นฐานทัพจึงอดหันไปมองอาทิตย์อัสดงไม่ได้ ซึ่งเขาก็ได้รับรอยยิ้มกับพยักหน้ากลับมา

“เอาอย่างนั้นแหละดีแล้ว”

ด้วยเหตุนี้ฐานทัพจึงไปโชว์รูมที่ตนเองเคยทำงานโดยมีถุงเบเกอรีติดมือไปด้วยจนพะรุงพะรัง โชคดีว่าเป็นวันทำงานกลางสัปดาห์ที่โชว์รูมจึงไม่มีลูกค้าเข้ามาในเวลานี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจต้องรอจนกว่าลูกค้าจะออกไปก่อนก็ได้

เมื่อฐานทัพเดินผ่านประตูกระจกกว้างใหญ่เข้าไป พนักงานที่เห็นก็เบิกตากว้างรีบเดินตรงเข้ามาหาด้วยความไม่คาดคิด แม้ว่าคนที่เคยทำงานด้วยกันจะอยู่ไม่ครบทุกคนเพราะลาออกไปบ้างแล้ว แต่คนที่ยังอยู่ก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี

ถึงกระนั้นก็มีส่วนหนึ่งที่แปลก จักรวาลกับระรินมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนมีเรื่องคับข้องใจ อยากพูดอะไร แต่เมื่อถาม ทั้งสองคนกลับบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ถึงมันจะดูน่าสงสัยแต่เขาก็ตัดสินใจว่าไม่ถามต่อดีกว่าในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากพูดก็ไม่ควรจะซักไซ้

พวกเขาคุยกันพอหอมปากหอมคอ เอาขนมให้แล้วก็เป็นอันเสร็จธุระ แม้ฐานทัพอยากอยู่นานกว่านี้แต่จะกลายเป็นการรบกวน เพราะลูกค้าสามารถเข้ามาได้ทุกเมื่อจึงต้องขอตัวกลับก่อน ทว่าถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ฐานทัพก็ได้สัมผัสถึงความอิ่มเอมใจ

“ต่อไปคงเป็นไอ้หมอเอิร์ทสินะ”

หลังออกมานอกประตูฐานทัพก็ยิ้มกับตัวเอง เงยหน้ามองฟ้าแล้วพึมพำ

การกลับมาครั้งนี้ของเขาถือเป็นการเดินสายเลยก็ได้ ดังนั้นมื้อเย็นในวันนี้ฐานทัพจึงได้กินฟรีอีกครั้ง เพราะอดิศักดิ์ออกปากว่าจะเลี้ยงเอง

“ก็ถูกแล้ว คนรวยต้องเลี้ยงคนจน”

ฐานทัพยิ้มเย้า

“ไม่ต้องมาอ้างตรรกะที่มึงสร้างเองเลย”

“หรือกูควรเกาะมึงกินดีวะ น่าจะสบาย”

“ขอบคุณ แต่ไม่ต้อง”

ฐานทัพหัวเราะลั่นก่อนจะโดนอดิศักดิ์ตบหัวเข้าให้ ทั้งสองคนเดินเข้าร้านอาหารที่มีดนตรีสด กินอาหารไปจิบเบียร์เย็นๆ ไป รับสายลมที่โชยมาระเรื่อย

“ดูมึงจะสบายดีนะ”

“กูก็สบายดีอยู่แล้ว”

“ไม่อะ ก่อนมึงจะไปมึงทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบ หดหู่จนน่ากลัว”

“น่ากลัวอะไร”

ฐานทัพถามเหมือนไม่เข้าใจแล้วกระดกเบียร์เข้าปากอย่างไม่คิดอะไรมาก

“เหมือนคนจะฆ่าตัวตาย แต่กูรู้ว่ามึงไม่คิดสั้นหรอก มึงเข้มแข็ง”

“สมแล้วที่เป็นเพื่อนกูมานาน”

“แต่กูก็ช็อกเหมือนกันนะที่ผู้ชายคนนั้นทำให้มึงเป็นได้ถึงขนาดนั้น”

“เขาเรียกสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”

ฐานทัพยักคิ้วหลิ่วตาใส่ ทำเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของเพื่อน

ทว่า...

“มึงหายดีแล้วเหรอ”

คำถามนั้นทำให้ฐานทัพที่กำลังทำท่าสบายๆ ชะงักไปเล็กน้อย ทำสีหน้าปั้นยากออกมาอย่างไม่ปิดบัง

เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะตนเองไม่อยากปิดบังหรือปิดบังไว้ไม่ได้กันแน่

“ก็ดีขึ้นแล้ว”

“พูดอย่างนี้แสดงว่ายังไม่มีรักใหม่สินะ”

“กูไม่คิดว่ากูจะรักใครได้ง่ายๆ อีก”

เขาตอบไปตามความรู้สึกจริงๆ

จะบอกว่าเข็ดแล้วก็ว่าได้ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าบนโลกนี้คงไม่มีใครรักเขาจนทำให้เขาอยากตอบรับความรักหรอก

“กูว่าเห็นคนอื่นมีความรักอย่างมีความสุข ทำให้กูมีความสุขกว่ามีความรักซะเองว่ะ”

“มึงพูดซะดวงตากูเห็นธรรมเลยไง”

อดิศักดิ์หัวเราะเสียงดังออกมา ฟังดูก็รู้ว่าไม่ได้แสร้งทำ ฐานทัพจึงยื่นแก้วเบียร์ไปชนกับอีกฝ่าย

“ว่าแต่เรื่องครอบครัวมึงล่ะ เป็นไงมั่งแล้ว”

หลังต่างคนต่างดื่มไปหมดแก้วแล้วรินแก้วใหม่ ฐานทัพก็เกริ่นถามความเป็นไปของอีกฝ่ายบ้าง

“ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิมแหละ แค่ลูกสาวกูโตขึ้นแล้ว มึงดูรูปไหมล่ะ ยิ่งโตก็ยิ่งสวย กูกลัวว่าจะมีหนุ่มมาจีบอยู่เนี่ย”

อดิศักดิ์รีบควานหาโทรศัพท์มือถือทั้งในกระเป๋าเสื้อและกางเกง แต่ก็ต้องชะงักเพราะคำพูดสกัด

“ถ้ากูบวกเลขไม่ผิด ลูกมึงตอนนี้น่าจะสามขวบไม่ใช่เหรอวะ”

“สามขวบแล้วไง สามขวบแล้วสวยไม่ได้เหรอวะ ไอ้นี่”

โทรศัพท์ถูกยื่นมาให้ ภาพบนหน้าจอเป็นภาพเด็กผู้หญิงตัวน้อยกำลังยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ อดิศักดิ์ ใบหน้าของสองพ่อลูกเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ทำให้คนเห็นพลอยรับรู้ถึงความรักไปด้วย

ฐานทัพมองภาพนั้นอยู่นาน แล้วอยู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่คิดไม่ฝันมาก่อน...

หรือว่าเขาควรจะมีลูกอย่างไอ้หมอนี่ดี?

 

 

แล้วก็ถึงวันสัมมนาซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของการเดินทางมายังกรุงเทพฯ

งานสัมมนาเรื่องการทำธุรกิจขนาดย่อมให้เจริญก้าวหน้าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้าร่วม แต่เมื่อมีงานสัมมนาหัวข้อประเภทนี้และหากไม่ติดอะไรเป็นพิเศษฐานทัพมักจะเข้าร่วมเท่าที่เป็นไปได้ แม้บางครั้งจะต้องไปตามจังหวัดอื่นๆ บ้าง แต่ก็ถือว่าได้ไปเปิดหูเปิดตาท่องเที่ยวเช่นกัน

งานเริ่มตั้งแต่เก้าโมงเช้าและจบที่สี่โมงเย็น

เมื่อเสร็จสิ้นฐานทัพเดินออกมาจากห้องสัมมนาซึ่งเป็นห้องจัดเลี้ยงห้องหนึ่งในโรงแรม ทว่าเมื่อพ้นจากบานประตูที่เปิดค้างเอาไว้เขากลับชนใครคนหนึ่งเข้าด้วยความไม่ทันระวังว่าจะมีคนเดินมาจากอีกฟากของประตูซึ่งเป็นมุมอับ

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวัง”

ฐานทัพที่ชนอีกฝ่ายจนตัวกระเด็นไปเองสาวเท้าเร็วๆ เข้ามาเพื่อเผชิญหน้า แต่เมื่อชายที่ร่างใหญ่กว่าเงยหน้าขึ้นมาให้เห็นแล้วทั้งคู่กลับต้องชะงักอึ้งไป

ณ ตอนนั้นฐานทัพรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง รอบข้างไร้สรรพเสียงทั้งที่เมื่อครู่ยังจอแจ รับรู้ได้ว่าดวงตาของตนเองเบิกกว้าง เมื่อรู้ตัวเขาก็กะพริบตาสองสามทีก่อนจะขยับเท้าถอยหลังไปเล็กน้อย ในขณะที่ภายในหัวพยายามครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี

เขาไม่นึกว่า...อยู่ๆ จะได้พบสิบทิศแบบนี้

ควรจะทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ หรือว่าหนีไปจากตรงนี้โดยเร็ว?

เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองควรเลือกทางไหน

แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะตอบสนองไวกว่าความคิด เพราะหลังจากเห็นอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวเพียงเล็กน้อย ฐานทัพก็หันหลังในทันที ทว่าออกวิ่งได้เพียงแค่สองก้าวแขนก็ถูกคว้าไว้จนตัวแทบลอยไปปะทะ

ฐานทัพหันกลับไปมองหน้าสิบทิศอย่างตกใจ ระยะห่างที่ย่นเข้ามาในรวดเดียวจนเหลือเพียงไม่ถึงสองคืบทำให้มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน นั่นทำให้เขาตกใจเล็กน้อย

เขานึกว่าน่าจะมีแววเกลียดชังเปิดเผยออกมา ทว่าบนนั้นกลับไม่มีความรู้สึกที่ว่านี้เลยแม้แต่น้อย กลับมีความรู้สึกมากมายสลับซับซ้อนที่เขาคาดเดาไม่ถูกว่าคืออะไรบ้างปรากฏอยู่ และมันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกกลัว

แสดงออกว่าเกลียด ว่าโกรธแค้นกันไปเลยตรงๆ เขายังจะรับมือได้ง่ายกว่า

คลื่นลมที่เคยสงบมาโดยตลอดเพราะการไม่ได้พบหน้าและทำใจเรื่อยมาตลอดสองปีกลับโหมกระหน่ำซัดสาดราวกับเกิดพายุขึ้นกลางใจ น้ำทะเลจากที่ไหนไม่รู้ก่อเกิดเป็นคลื่นมหึมาโถมซัดอยู่ภายในร่างของเขา ทำให้ปั่นป่วนและหวาดกลัวในคราวเดียวกัน

ฐานทัพรู้สึกปากคอสั่นอย่างห้ามไม่ได้ ในอกเหมือนมีอะไรมาทุบหนักๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คล้ายกับพยายามตอกย้ำว่า...แม้เวลาจะผ่านไป แต่สิบทิศยังคงมีอิทธิพลต่อเขาอยู่

เขาไม่สามารถเป็นอิสระจากผู้ชายคนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ที่ผ่านมาเขาเพียงแค่หลอกตัวเอง

“ปล่อยผม”

ฐานทัพพยายามบิดแขนของตนเองออกจากอุ้งมือของสิบทิศ แต่กลับไม่ได้รับผลลัพธ์อย่างที่หวัง เพราะมันยิ่งบีบแน่นขึ้นมากกว่าเดิม

ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมาจับตัวเขาไว้

มีอะไรที่จะต้องพูดกันอีกเหรอ

“พี่ไม่ได้เป็นเอดส์”

ราวกับจะตอบคำถามที่เขาสงสัย อยู่ๆ สิบทิศก็พูดขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นฐานทัพก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม

หรืออยากเยาะเย้ยเขาว่า ‘นายเป็นแต่ฉันไม่เป็น’

“งั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ”

ฐานทัพบิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเสียดสี ออกแรงสะบัดแขนของตัวเองออก แต่ไม่รู้ว่าเพราะสิบทิศหมดธุระจะคุยด้วยแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ยอมปล่อยมือสักที

“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็ขอตัว”

เขาก้าวถอยหลังอีกสองสามก้าว พอเห็นว่าสิบทิศไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ไล่ตามมา เพียงแค่มองหน้านิ่งๆ ฐานทัพก็กลับหลังหันแล้วออกเดิน แต่หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวเขากลับได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าไล่หลังมา เมื่อลองหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

สิบทิศไล่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ...

เห็นเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็ไม่คิดจะใช้การเดินเพื่อออกไปจากที่นี่อีกต่อไป

ขาที่ไม่ได้ยาวนักเมื่อเทียบกับผู้ชายออกวิ่งไปเท่าที่จะเร็วได้ วิ่งตั้งแต่ภายในโรงแรมจนออกไปนอกโรงแรม พร้อมกับได้ยินเสียงไล่หลังแว่วๆ

“ฐานหยุดก่อน! หยุดก่อน พี่มีเรื่องจะพูดด้วย!”

ไม่รู้ทำไม แต่ประโยคนั้นกลับทำให้เขากลัว

มีอะไรจะพูดอีก เขาไม่อยากพบหน้าและพูดคุยกันอีกแล้ว แม้แต่ประโยคเดียววินาทีเดียวก็ไม่ต้องการ

เพียงแค่ความรู้สึกนั้นแล่นขึ้นมาก็เหมือนมีก้อนหนืดบางอย่างมาอุดแน่นอยู่ในลำคอ ทำท่าจะทะลักล้นออกมา ทำนบน้ำตาที่ก่อร่างสร้างขึ้นมาด้วยเวลาสองปีทำท่าจะพังทลายเอาง่ายๆ ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด

“ฐานหยุดก่อน ฟังพี่ก่อน พี่...”

ภายในหูมีแต่เสียงวิ้งๆ เหมือนมีแมลงอะไรสักอย่างมาบินว่อนอยู่ข้างใน ภาพที่มองเห็นพร่าลงไปเรื่อยๆ คล้ายกับมีม่านน้ำมากั้นขวางไว้ชั้นหนึ่งทำให้ทุกอย่างในสายตาเลือนไปหมด

ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ

อย่ามายุ่งกับเขาอีกเลย

เขาไม่อยากใจอ่อนและเจ็บปวดกับความรักข้างเดียวอีกแล้ว

ถ้าไม่รักก็เลิกทำร้ายสักที ถ้าเกลียดก็เลิกไล่ตาม ถ้าโกรธก็ต่างคนต่างอยู่ไป

มีชีวิตที่มีความสุขไปสิ อย่าให้เขาเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิต

อย่ามีอะไรที่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย...ตลอดกาล

คิดว่าเขาตายไปแล้วมันน่าจะสบายใจกว่าไม่ใช่เหรอ

“ฐาน รถ!!”

เสียงของสิบทิศที่เหมือนจะเลือนรางไปชัดเจนขึ้นอีกครั้งจนเขาตกใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาวิ่งออกมาพ้นจากบาทวิถีแล้ว

สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเบื้องหน้าคือท้องถนน

กว่าฐานทัพจะรู้ตัวว่าด้านข้างกำลังมีรถแล่นมามันก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว

ขาขยับไม่ได้...

สิ่งสุดท้ายที่เขาสัมผัสได้คือแรงปะทะหนักๆ ก่อนที่ทั้งร่างจะลอยกระเด็นลงกระแทกกับพื้น แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป

 

 



v




v
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 12-04-2020 20:18:13







v






v





ลืมตาขึ้นอีกทีฐานทัพรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่หัว เขากะพริบตาปริบๆ เพราะรู้สึกว่าแสงสว่างจ้าจนแสบตา เพดานสีขาวที่ไม่คุ้นตาทำให้เขางุนงงอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเรียบเรียงความคิดได้ว่าตนเองน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะถูกรถชน

ฐานทัพพยายามดันตัวลุกขึ้นแต่เรี่ยวแรงก็น้อยเหลือเกิน ครั้นจะใช้มือดันเตียงพยุงร่างขึ้นมาก็ต้องตื่นตกใจเพราะมือที่คิดว่าจะใช้กลับไม่มี

เสี้ยววินาทีนั้นความคิดเดียวที่ผุดวาบขึ้นมาในสมองคือหรือว่าเขาจะแขนด้วนไปแล้ว แต่พอทำใจสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้มลงมองหาก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะพบว่าแขนข้างซ้ายอยู่ในเฝือกและซ่อนอยู่ในผ้าคล้องคอเพื่อป้องกันการขยับเขยื้อน ส่วนแขนข้างขวามีสายน้ำถูกเสียบเอาไว้

จะลุกอย่างไรดี

อย่างน้อยฐานทัพก็อยากเห็นสภาพของตนเองให้ชัดมากกว่านี้ อยากรับรู้ว่าอาการบาดเจ็บหนักหนาแค่ไหน ที่สำคัญเขามานอนอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว

ในเมื่อรู้ว่าไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ฐานทัพจึงทำได้แค่ใช้มือที่มีสายยางโยงไว้ควานหาปุ่มเรียกพยาบาลอย่างทุลักทุเล

เพียงครู่เดียวพยาบาลสาวคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา เมื่อเห็นเขาหันไปมองทันทีที่เข้ามาก็ยิ้มให้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหวานๆ

“ตื่นแล้วเหรอคะ”

“ผม...”

ฐานทัพเกือบตกใจเสียงของตัวเอง เพราะมันแหบแห้งไปหมดจนแทบไม่มีเสียง มิหนำซ้ำยังแสบคอจนเหมือนข้างในเป็นทะเลทรายแห้งผาก พยาบาลจึงมาปรับเตียงให้เขาลุกขึ้นนั่งได้และรินน้ำใส่แก้วแล้วเสียบหลอดดูดยกมาให้

พอได้น้ำมาหล่อเลี้ยงคอ ฐานทัพก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว

“ผมอยู่ที่นี่มากี่วันแล้ว”

“หนึ่งสัปดาห์แล้วค่ะ”

คำตอบที่ได้รับทำให้ตกใจด้วยความคาดไม่ถึงว่าจะนานขนาดนี้ ถึงกระนั้นฐานทัพก็ตั้งสติสอบถามเรื่องที่อยากรู้ที่สุดก่อน เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถประเมินอาการของตนเองได้เลย

“แล้วอาการผมเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ คุณศีรษะแตกเพราะแรงกระแทก แต่ทำซีทีสแกนแล้วไม่พบความผิดปกติ อัวยวะภายในที่บอบช้ำก็ได้นอนพักนิ่งๆ อย่างเต็มที่จนอาการดีขึ้นมากแล้ว แขนซ้ายกับขาซ้ายที่หักอาจต้องใช้เวลารักษาหน่อย ส่วนบาดแผลภายนอก อีกไม่นานก็หายค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วฐานทัพก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา

อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส ถึงแขนขาหักจะใช้เวลารักษานานแต่ก็ไม่อันตรายปางตาย ส่วนหัวถ้าไม่กระทบกระเทือนอะไรก็คงไม่มีปัญหา

หลังจากคิดเช่นนั้นแล้วอีกคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

เท่าที่ดูภายในห้องผู้ป่วยแล้ว เขาอยู่ห้องเดี่ยวทั้งที่น่าจะอยู่ห้องรวมแท้ๆ

หรือว่าภันวัฒน์จะจัดการให้?

“ได้ติดต่อ...เอ่อ ญาติผมแล้วใช่ไหมครับ”

ไม่รู้จะเรียกอย่างไรเหมือนกัน เพราะจริงๆ แล้วคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดเขาไม่รู้จักเลยสักคน เรียกว่าเป็นพวกไร้ญาติด้วยซ้ำ ดังนั้นคนที่เขารู้สึกว่าสามารถนับญาติได้ก็มีเพียงแค่ภันวัฒน์ แต่พวกพยาบาลจะคิดเช่นนั้นหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“อ๋อ เรื่องนี้ แฟนของคุณมากับคุณด้วยตอนรถมูลนิธิพาตัวมาค่ะ”

“แฟน?”

ความแปลกประหลาดใจและฉงนสงสัยพุ่งพรวดขึ้นมาในความคิด ราวกับว่าไม่เข้าใจความหมายของคำนั้น คิ้วจึงขมวดมุ่นเข้าหากัน

“แฟนของคุณ คุณสิบทิศค่ะ เขาบอกว่าคุณไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เพราะฉะนั้นเรื่องรักษาพยาบาลคุณทั้งหมดเขาจะจัดการเอง”

ยิ่งได้ฟังฐานทัพก็ยิ่งไม่เข้าใจ

ทำไมสิบทิศจะต้องบอกว่าเป็นแฟนของเขา

ทำไมต้องบอกว่าจะดูแลเรื่องรักษาพยาบาลทั้งหมด

หรือเพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้เขาถูกรถชน

เหตุผลที่พอจะเรียกว่าสมเหตุสมผลได้ ฐานทัพคิดออกเพียงเท่านี้

“เขาดูรักคุณมากเลยนะคะ เห็นพวกมูลนิธิคุยกันว่าตอนพวกเขาไปรับคุณ เขาร้องไห้เสียใจจะเป็นจะตายแล้วก็โวยวายว่าเขาจะอุ้มคุณเอง เพราะคุณ เอ่อ... เป็นเอดส์ เพราะฉะนั้นเขาจะอุ้มเอง ถ้าคนอื่นไม่ระวังจะติดเชื้อได้ ตอนนั้นเลยวุ่นวายกัน พวกมูลนิธิต้องสวมชุดสวมถุงมือป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม ส่วนคนที่มามุงดูก็แตกฮือเลยค่ะ มีแต่เขาคนเดียวที่กอดคุณเอาไว้อย่างไม่กลัวว่าจะติดเชื้อ”

เมื่อได้ฟังแล้วฐานทัพก็อึ้งจนพูดไม่ออก เหมือนว่าสติจะปลิวหายไปชั่วคราว เพราะไม่คิดว่าสิบทิศจะทำเช่นนั้น

คนที่สาปส่งเขาในครั้งสุดท้ายที่เจอกันน่ะหรือ

คนที่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ มอบให้กับเขาแล้วแม้แต่เศษเสี้ยวนั่นน่ะหรือ จะร้อนอกร้อนใจถึงขนาดนั้น

ไม่ใช่ว่าควรยินดีปรีดาหรอกหรือ

“แต่พอมาถึงโรงพยาบาล หลังจากทีมผ่าตัดเอาเลือดไปตรวจดูก็พบว่าผลเลือดเป็นลบ คุณไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี ตอนนั้นพวกมูลนิธิเลยพากันโล่งอกไปหมด แต่ดูเหมือนคนที่ตกใจมากที่สุดจะเป็นแฟนของคุณนะคะที่ทราบว่าคุณปกติดี”

ฐานทัพตื่นตะลึงมากกว่าเดิม

เทียบกันแล้ว เรื่องที่สิบทิศรู้ความจริงว่าเขาไม่ได้ติดเชื้อแต่อย่างใดทำให้เขาตกใจมากกว่าเรื่องที่อีกฝ่ายมาโรงพยาบาลพร้อมเขาเสียอีก

เพราะนั่นหมายความว่า คำโกหกของเขาถูกเปิดเผยแล้ว...

แล้วต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เขาควรจะทำอย่างไรดี

และอีกฝ่ายกำลังคิดแบบไหนอยู่

มีแต่ความสับสนงุนงงแล่นปราดไปมาอยู่ในใจ คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

เขาคงแสดงออกมาทางสีหน้า พยาบาลสาวจึงเอ่ยถาม

“เอ่อ... เปล่าครับ”

ฐานทัพตอบกลับไปทั้งที่สมองยังเหม่อลอย แล้วในฉับพลันนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้

“คุณพยาบาล เอ่อ แสดงว่ายังไม่ได้ติดต่อใครไปใช่ไหมครับ”

พยาบาลสาวพยักหน้าเอ่ย “ค่ะ” อย่างประหลาดใจ เขาเลยถามหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เธอจึงเปิดลิ้นชักจากตู้ข้างเตียงแล้วหยิบมาให้

ฐานทัพเปิดเครื่องโทรออกหาภันวัฒน์ในทันที เพราะคิดว่าเขาหายไปหลายวันอีกฝ่ายจะต้องเป็นห่วงและร้อนใจอย่างแน่นอน ทว่าฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดโทรศัพท์ถึงปิดเครื่องเสียเฉยๆ หรือเป็นเพราะได้รับแรงกระแทก แต่ยังไม่ทันค้นหาคำตอบ เสียงร้อนรนจากปลายสายก็ดังมา

[ฐาน หายไปไหนมา พี่ติดต่อไปก็ติดต่อไม่ได้!]

“พี่ภัน ขอโทษที พอดีว่าเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้ผมอยู่โรงพยาบาล”

[อยู่โรงพยาบาล? แล้วฐานเป็นอะไรหรือเปล่า เป็นอะไรมากไหม]

เสียงของภันวัฒน์เร่งร้อนกว่าเดิมจนฐานทัพต้องปลอบว่าใจเย็นๆ ไม่เป็นอะไรแล้วด้วยน้ำเสียงสงบ ก่อนจะเล่าอาการให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ และระบุสถานที่ซึ่งสอบถามจากพยาบาลมาอีกที

ไม่นานหลังจากนั้นภันวัฒน์ก็มาถึง สิ่งแรกที่เขาได้ยินคือเสียงถอนหายใจและคำว่า ‘เด็กโง่เอ๊ย’ หลังจากอีกฝ่ายกวาดตามองสภาพเขาทั้งตัวแล้ว

ภันวัฒน์นั่งลงเก้าอี้ข้างเตียง เอ่ยกระชับด้วยน้ำเสียงตึงเครียด

“เล่ามา”

ฐานทัพจึงเริ่มเล่าตั้งแต่ต้นที่พบหน้าสิบทิศจนมาถึงตอนที่ถูกรถชน และได้รับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่มาอีกระลอก

“แล้วทำไมไม่ฟังเขาพูดดูก่อนล่ะ”

“ผมไม่รู้อะ พอเห็นหน้าเขาแล้วอยู่ๆ ผมก็สับสนไปหมด มันทั้งงงทั้งกลัว ไม่เข้าใจว่าเขาจะมายุ่งอะไรกับผมอีก”

“เฮ้อ เรานี่นะ”

ภันวัฒน์ถอนหายใจเป็นรอบที่สามในระยะเวลาไม่ถึงสิบนาที ทำให้ฐานทัพอดทำปากยื่นออกมาไม่ได้ ถึงกระนั้นก็รู้สึกสำนึกผิดอยู่ในใจ

“พี่จะบอกอะไรให้นะ”

ฐานทัพก้มมองภันวัฒน์ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าด้วยสีหน้าฉงน

“พี่เคยบังเอิญเจอเขาครั้งหนึ่ง”

“เจอ?”

“อืม เหมือนเขาจะรู้จักพี่ด้วย”

คงไม่แปลก เพราะฐานทัพเคยเล่าเรื่องภันวัฒน์ให้สิบทิศฟังหลายๆ อย่างและเคยเอารูปให้ดูด้วย ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เคยเจอกันเลยก็ตาม

“จะว่าแปลกมันก็แปลกดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีโอกาสที่จะเจอกันผ่านฐานได้แต่กลับไม่เคยเจอเลย พอฐานย้ายไปเชียงราย อยู่ๆ ก็มาเจอกันเสียเฉยๆ เจอกันผ่านทางลูกค้านี่แหละ”

เหมือนภันวัฒน์เลือกที่จะเลี่ยงคำว่า ‘เลิกกัน’ ซึ่งอาจสะเทือนใจเขาได้ ฐานทัพจึงอดรู้สึกขอบคุณอยู่หน่อยๆ ไม่ได้

“แล้วก็เหมือนต่างคนต่างจำกันได้ พอลับหลังลูกค้าเขาก็ตีหน้าหงิกใส่พี่ เหมือนไม่พอใจ พี่เลยถามไปตรงๆ แล้วเขาก็ต่อว่าว่าพี่เป็นคนทำฐานติดเอดส์”

คำพูดประโยคนี้ทำเอาฐานทัพพูดไม่ออก ได้แต่อ้าปากค้าง ภันวัฒน์จึงย้ำ

“เขาพูดแบบนั้นจริงๆ พี่ก็เลยบอกไปว่าตั้งแต่ที่เคยมีอะไรกันเมื่อสิบปีก่อนก็ไม่เคยอีกเลย ไม่มีทางที่จะมาติดโรคจากพี่แน่นอน เขาก็ดูอึ้งๆ ไปนะ เหมือนไม่เชื่อพี่ แล้วก็พยายามพูดนั่นพูดนี่ให้พี่ยอมรับ บอกตรงๆ นะว่าตอนนั้นพี่รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มันงี่เง่าจริงๆ เห็นแก่ตัวด้วย”

ฐานทัพพยักหน้าอืมๆ อย่างเข้าใจ คาดคิดในใจว่าภันวัฒน์คงอยากด่าว่า ‘หน้าตัวเมีย’ ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความเป็นสุภาพชนจึงสงวนคำนั้นไว้

“พอเป็นงั้นพี่ก็เลยถือโอกาสเทศน์ยาวเลย เล่าว่าฐานต้องเจ็บปวดเสียใจเพราะเขาแค่ไหน เขาเลยเหมือนสำนึกได้แล้วดูซึมๆ ลง”

คำพูดของภันวัฒน์ทำให้ฐานทัพก้มหน้าลง ความรู้สึกหนักอึ้งบางอย่างเอ่อล้นออกมา คล้ายกับช่วงเวลาเหล่านั้นหวนคืนมาในชั่วอึดใจ

เรื่องนี้ภันวัฒน์ไม่เคยเล่าให้เขาฟังเลย ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นคงไม่เล่าด้วยซ้ำ

“แต่ดูท่าว่าคำพูดของพี่คงจะเข้าหูเขาบ้าง เขาถึงได้เก็บไปคิดใคร่ครวญแล้วอยากคุยกับฐานอีกครั้ง”

“ผม... ไม่รู้สิ มันพูดไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกยังไงกันแน่ ผมเหมือนคนจมอยู่ในน้ำ ไม่ว่าอะไรก็พร่ามัว ภาพก็เห็นไม่ชัด เสียงก็ได้ยินไม่ถนัด ความคิดก็ตื้อไปหมด”

“งั้นพี่ถาม ถ้าเกิดเขาอยากมาขอคืนดี ฐานจะทำยังไง”

ราวกับอยู่ๆ ก็ถูกครอบด้วยอะไรบางอย่างที่ปิดกั้นเสียงทั้งหมดเอาไว้ บรรยากาศเงียบสงบลงทันควัน

เรื่องนี้เขาไม่เคยคิดมาก่อน แม้สักเสี้ยววินาทีเดียวก็ไม่เคย เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีโอกาสเป็นเช่นนั้นได้แน่นอน แต่ดูเหมือนภันวัฒน์จะไม่คิดแบบนั้น

“ผม...”

เหมือนมีอะไรหนืดๆ มาพันรั้งอยู่ในลำคอ ฐานทัพพูดไม่ออกพอๆ กับที่สมองตื้อตันไปหมด ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีคำตอบอยู่ในใจ

“ถ้าให้ผมตอบตอนนี้ เรื่องนั้น...คงเป็นไปไม่ได้หรอก”

 

 


v





v

หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 12-04-2020 20:18:32







v





v





เนื่องจากฐานทัพฟื้นขึ้นมาแล้ว และอาการบาดเจ็บไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ติดอยู่ที่เข้าเฝือกทั้งแขนและขา ภันวัฒน์จึงเดินเรื่องย้ายโรงพยาบาลให้และเป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โดยฐานทัพเป็นคนเอ่ยปากขอร้องเพราะไม่อยากพัวพันกับสิบทิศ ทว่าก็ถูกคนที่นับถือเป็นพี่ชายบอกว่าถ้าไม่ได้เจ็บที่หัวอยู่จะเขกหัวให้ ถึงไม่ขอพี่ก็จัดการให้อยู่แล้ว จึงได้แต่ทำหน้าแหยๆ

ฐานทัพจะได้ย้ายโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้หลังจากตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้งแล้วว่าไม่มีปัญหาจริงๆ แต่ว่าในเย็นวันนี้เขากลับต้องเผชิญกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

นั่นเพราะสิบทิศอาจจะมาเยี่ยม

คำบอกเล่าจากพยาบาลบอกว่าสิบทิศจะมาเยี่ยมเขาทุกเย็นหลังเลิกงาน

มากุมมือเขาเอาไว้...

มาจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างเงียบๆ...

เพียงแค่ได้ฟังเรื่องนั้นฐานทัพก็รู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกสั่นไหวอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นจึงอันตรายเกินไปหากว่าเขาจะต้องพบหน้าสิบทิศโดยตรง

เขายังไม่พร้อมเผชิญหน้า ยังไม่พร้อมจริงๆ

ถึงจะตอบภันวัฒน์อย่างเต็มปากเต็มคำไปอย่างนั้น แต่การกระทำให้ได้อย่างปากพูดเป็นเรื่องยากและหนักหนาเกินไปในเวลานี้

ดังนั้นในตอนนี้ภายในห้องพักผู้ป่วยจึงมีประชากรเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน เพราะฐานทัพบอกให้ภันวัฒน์เรียกอาทิตย์อัสดง เกรียงไกร และหนึ่งฤทัยมาเยี่ยมอย่างพร้อมเพรียง พอทั้งหมดมาถึงฐานทัพก็มองอีกสามคนตาพริบๆ พลางเอ่ยเสียงขอร้อง

“ช่วยเยี่ยมไข้ผมจนหมดเวลาเยี่ยมด้วยนะ”

คนมาใหม่ต่างงงงวย ไม่เข้าใจ

ถึงจะเพราะว่าเป็นห่วงที่เขาประสบอุบัติเหตุ แต่คงไม่มีใครอยู่จนถูกพยาบาลไล่อย่างแน่นอน ฐานทัพจึงต้องออกปากเอง ส่วนรายละเอียดภันวัฒน์เป็นฝ่ายพูดแทน

“ฐานกลัวแฟนเก่ามาเยี่ยม”

อาทิตย์อัสดงเป็นคนแรกที่ทำหน้าเหมือนเข้าใจ คนที่เหลือก็เหมือนจะเข้าใจตาม มีแต่เกรียงไกรที่พลั้งปากพูดออกมา

“หมอนั่นยังติดต่อฐานอยู่เหรอ”

“เปล่าหรอก บังเอิญเจอกัน ผมก็เลยวิ่งหนีจนถูกรถชนนี่ไงล่ะ”

ได้ยินแล้วเกรียงไกรก็ดูจะตะลึงไม่น้อย คำว่า ‘ซะงั้น’ หลุดออกมาจากปากเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้

“ผมยังไม่พร้อมจะคุยกับเขา ถึงได้เรียกพวกพี่ๆ มานี่...”

ยังพูดไม่ทันจบประโยค ประตูห้องพักก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนที่ถูกพูดถึงก้าวเข้ามา

ฉับพลันที่ฝ่ายนั้นเห็นว่ามีคนอยู่เต็มห้องก็ตะลึงไป ทว่าเพียงเห็นว่าฐานทัพนั่งอยู่บนเตียง ไม่ได้นอนหลับตาอย่างหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาร่างนั้นก็ปรี่ถลาเข้ามาอย่างเร็วไว ลืมมารยาทที่ควรมี แหวกคนทั้งหมดเข้ามาประชิดเตียงในทันที

ฐานทัพตกใจจนกระถดตัวถอยหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว และรีบดึงมือหนีจากมือของสิบทิศที่ยื่นเข้ามาคว้าเอาไว้อย่างเร็วพลัน แต่ดูเหมือนจะช้าเกิน

“ฐานฟื้นแล้วเหรอ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

ใบหน้าของฐานทัพเต็มไปด้วยความเลิ่กลั่ก กวาดตามองคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องด้วยกันพลางพยายามดึงมือที่ถูกยึดเอาไว้ไปด้วย

“ปล่อยฐานก่อนดีไหม”

เป็นภันวัฒน์ที่ช่วยออกหน้าให้ มิหนำซ้ำยังต่อท้ายด้วยว่าฐานยังเจ็บอยู่ เหมือนเป็นการต่อว่ากลายๆ

นั่นคงทำให้สิบทิศรู้สึกตัวจึงค่อยๆ ปล่อยมืออย่างแผ่วเบา จนฐานทัพต้องขอบคุณภันวัฒน์ในใจอีกครั้ง

“ฐานฟื้นตั้งแต่เมื่อไร”

ความเงียบปกคลุมลงมาทันควันเมื่อคำถามต่อไปถูกส่งมา เพราะเหมือนระบุชื่อคนที่ต้องตอบไว้แล้วจึงไม่มีใครกล้าพูดแทรกขึ้นมาอีกรอบ ในขณะที่ฐานทัพก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มอึดอัดกระอักกระอ่วนขึ้นมา

“ตอนบ่ายๆ”

“เหรอ แล้วยังเจ็บมากอยู่ไหม พี่เป็นห่วงฐานมากเลยนะ”

สีหน้าท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมานั้น เหมือนกับว่าจะห่วงเขาจริงๆ ถึงกระนั้นฐานทัพก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็น ‘ความห่วงใยเพียงผิวเผินเหมือนที่ผ่านมา’ หรือไม่ จึงไม่กล้าที่จะเชื่อ

“ไม่ค่อยเจ็บแล้ว”

“งั้นเหรอ ก็ดีแล้ว พี่ค่อยโล่งอกหน่อย ฐานรู้ไหม ไม่ได้เจอฐานตั้งสองปี พี่คิดถึงฐานทุกวันเลยนะ”

หากไม่ควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ฐานทัพคงเผลอส่งเสียงอะไรสักอย่างออกมาเป็นแน่ ทว่าแม้ภายนอกจะแสดงปฏิกิริยาเงียบกริบ ถ้อยคำนั้นก็ทำให้ภายในปั่นป่วนไปหมด เขาทำได้แต่เงียบ ไม่ตอบอะไรกลับไป

“ผมอยากพักแล้ว”

เพราะความเงียบโรยตัวลงมาอยู่นาน ไม่ว่าใครต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา เหมือนเฝ้าดูสถานการณ์ว่าเขาจะทำอย่างไร สุดท้ายฐานทัพจึงต้องออกปาก เกรียงไกรเลยรีบเสนอ

“ถ้างั้นเรากลับกันดีไหม ฐานจะได้พักผ่อน เพิ่งฟื้นมาใหม่ๆ แล้วมาเจอคนเยอะๆ ต้องเพลียอยู่แล้วล่ะ”

“นั่นสินะ”

หนึ่งฤทัยรับคำอย่างเห็นด้วย อาทิตย์อัสดงก็คล้อยตาม

“อืม ให้ฐานพักแหละดีแล้ว”

และสุดท้ายภันวัฒน์เหมือนจะตอกย้ำ พูดกับสิบทิศอย่างจงใจ

“ผมว่าคุณก็กลับไปพร้อมกันเถอะ”

“แต่ว่าผมยังมีเรื่องอยากคุยกับฐาน”

“เอาไว้ให้ฐานอาการดีขึ้นกว่านี้ก่อนค่อยคุยก็ได้ คุณห่วงฐานไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็สมควรจะให้ฐานพักเยอะๆ สิ”

ฐานทัพเห็นด้วยกับคำพูดของภันวัฒน์อยู่ในใจ แม้รู้ว่า ‘เอาไว้ให้ฐานอาการดีขึ้นกว่านี้ก่อนค่อยคุย’ เป็นสิ่งที่จะไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะพรุ่งนี้เขาจะย้ายโรงพยาบาลแล้ว แน่นอนว่าสิบทิศไม่มีทางรู้

“เอาอย่างนั้นก็ได้”

สิบทิศยอมรับได้ง่าย มิหนำซ้ำยังหันมาบอกเหมือนเป็นการล่ำลา

“ฐานพักเยอะๆ นะ จะได้หายเร็วๆ แล้วมาคุยกัน”

จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องไป สิบทิศไม่มีท่าทีอ้อยอิ่งเลยแม้แต่น้อย

ภายในห้องกลับมาเงียบสงบเช่นยามบ่ายที่มีตนอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวขึ้นมาอย่างฉับพลันโดยไร้สาเหตุ แต่แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวและวังเวงภายในห้องเงียบๆ แห่งนี้ ฐานทัพก็ยังโล่งใจอยู่บ้างที่สิบทิศไม่ได้ดันทุรัง

ทว่า...มันกลับเป็นความคิดที่ผิด

เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาทีประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างของสิบทิศที่มาเยือน

ฐานทัพตื่นตะลึงพรึงเพริด เพราะไม่คิดว่าสิบทิศจะปรากฏตัวอีกครั้ง

อีกฝ่ายเดินยิ้มเข้ามาเหมือนดีใจที่เขาตะลึง จากนั้นก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง พูดพึมพำว่าในที่สุดก็ได้อยู่กันสองคนสักที ยิ่งทำให้ฐานทัพรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา พยายามกระถดตัวถอยหนี ทว่าสิบทิศก็ย้ายตัวขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างรวดเร็วแล้วยึดแขนเขาเอาไว้ ไม่ให้สามารถถอยหนีไปได้อีก

“คุณกลับมาทำไมอีก”

แม้ไม่ต้องส่องกระจกฐานทัพก็รู้สึกว่าสีหน้าของตนในยามนี้คงมีแต่แววหวาดกลัวจนขาวซีด แต่สิบทิศก็ไม่ได้คลายมือออก กลับยิ้มแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบานุ่มนวล

“ทำไมถึงกลับมาเรียกคุณอีกแล้วล่ะ”

ฐานทัพไม่ตอบแล้วเม้มริมฝีปากแน่นอยู่นานจนสิบทิศเหมือนจะถอดใจ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“อย่างน้อยก็ฟังพี่พูดโดยไม่หนีหน่อยได้ไหม”

เงียบไปอยู่อึดใจหนึ่งฐานทัพก็เหลือบมองแขนของตนเองที่ถูกคีมมนุษย์คีบไว้ สิบทิศจึงเปลี่ยนจากยึดเอาไว้เป็นกุมมือข้างที่ไม่ได้เข้าเฝือกหลวมๆ แทน

“พี่อยากขอโทษฐานมาตลอด พี่ขอโทษนะที่เคยทำไม่ดีกับฐาน พี่เสียใจ”

ทั้งที่คำพูดเหล่านั้นชัดเจนว่าสื่อความหมายว่าอะไร ทว่าเมื่อเข้าหูฐานทัพแล้วกลับฟังไม่เข้าใจสักอย่าง

เขาไม่รู้ว่าสิบทิศกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ พูดด้วยเหตุผลอะไร

“พี่รู้ตัวเองดีว่าผิดแล้ว พี่ทำให้ฐานเสียใจมากจนฐานต้องโกหกพี่ใช่ไหม”

ครั้งนี้เขาฟังเข้าใจว่าหมายถึงอะไร เพราะเพิ่งรู้ว่าความแตกแล้วเมื่อบ่ายนี้เอง

“ฐานไม่ได้เป็นเอดส์ ไม่ได้ติดเชื้ออะไรทั้งนั้น ทำไมต้องโกหกพี่ด้วย อยากเลิกกับพี่ถึงขนาดโกหกพี่ สร้างหลักฐานปลอมหลอกพี่แบบนั้นเลยเหรอ”

เขาพูดอะไรไม่ออก

มันเป็นความจริง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นทางเดียวที่เขาเลือกได้

“พี่ขอสารภาพตามตรงนะ ตอนแรกที่พี่โดนหลอกว่าฐานเป็นเอดส์ พี่โมโหมาก โกรธเกลียดฐานมาก”

พูดมาถึงตรงนี้มือที่กุมมือของเขาไว้ก็ลูบบนหลังมือเบาๆ อย่างอ่อนโยน ราวกับจะทะนุถนอมตรงกันข้ามกับคำพูดอย่างสิ้นเชิง

“ตอนที่พี่ไปตรวจแล้วรู้ผลว่าพี่ไม่ได้เป็น พี่ก็โล่งอก แล้วก็รู้สึกว่าโชคดีจริงๆ ที่พี่ไม่ได้ติดโรคมาด้วย เลวใช่ไหมล่ะ”

ทั้งที่เขาไม่ได้พูดอะไรตอบ แต่สิบทิศก็พยักหน้า

“อืม พี่รู้แล้วล่ะว่าพี่เลวจริงๆ”

แล้วก็พูดต่อ

“พี่คิดว่าฐานจากไปซะได้ก็ดี ดีกว่าเอาโรคร้ายๆ มาติดพี่ โชคดีที่ฐานออกไปจากชีวิตพี่ก่อนที่พี่จะล่มจมแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ หลังจากนั้นพี่ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เหมือนคนเพิ่งได้พบอิสระเป็นครั้งแรก พอว่างก็สำมะเลเทเมาสังสรรค์กับเพื่อน แต่ว่า...”

ถ้อยคำของสิบทิศเงียบไปชั่วครู่ มือที่ลูบอยู่บนหลังมือของฐานทัพหยุดลง ทำให้ฐานทัพที่ได้แต่ก้มหน้ามาตลอดเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ฉับพลันนั้นก็เห็นแววตาที่ดูเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย

“พี่มีอะไรกับใครไม่ได้อีกเลย”

ความเงียบแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้องในบัดดล จากนั้นถ้อยคำเลวร้ายก็ตามมา

“เวลาพี่จะมีอะไรกับใครก็มีหน้าฐานโผล่ออกมา บอกว่าฐานเป็นเอดส์ พี่อาจจะติดโรคก็ได้ ให้ไปตรวจซะ มีแต่หน้าฐานตอนนั้นลอยออกมา”

ทั้งที่พูดแบบนั้นแท้ๆ แต่สีหน้าของสิบทิศกลับไม่มีแววโกรธขึ้งแม้แต่น้อย ยังคงเศร้าสร้อยเหมือนเดิม

“พี่โกรธมาก โมโหสุดชีวิต พังข้าวของ อาละวาดเหมือนคนบ้า คิดแต่ว่าฐานพังชีวิตของพี่จนป่นปี้หมดแล้ว พี่มีเซ็กซ์ไม่ได้อีกก็เพราะฐาน ตอนนั้นพี่เกลียดฐาน เกลียด เกลียดมาก เกลียดจับใจ”

คำว่า ‘เกลียด’ ที่ได้ยินซ้ำๆ เหมือนมีดกรีดเฉือนหัวใจตรงที่เดิม กรีดจนมันเหวอะหวะ เน่าเฟะ

ทั้งที่พยายามจะลบมันออกไป ทั้งที่พยายามลืมความรู้สึกที่เคยมีให้สิบทิศ แต่มันกลับไม่ได้หายไปไหนเลย ยังคงท่วมขังอยู่ในใจ เจิ่งนองโดยไร้ที่ไป

สุดท้ายมันก็ล้นทะลักออกมา...

หยดน้ำร่วงเผาะลงมาโดยไม่รู้ตัว และไม่อาจห้ามได้

ตอนนี้ฐานทัพเข้าใจได้แล้วว่าอีกฝ่ายเกลียดตนขนาดไหน เกลียดมากจนอยากทำร้ายให้เขาเจ็บปวดหัวใจตายๆ ไปซะ

ภายนอกทำเหมือนอ่อนโยน แต่คำพูดกลับเชือดเฉือนอย่างโหดร้ายทารุณ

เขาพยายามดึงมือออก แต่กลับถูกสิบทิศฉุดดึงเอาไว้ มือใหญ่อีกข้างยื่นมาปาดขอบตาที่เปียกชื้นให้ น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยออกมา

“พี่ขอโทษนะ พี่ทำให้ฐานเจ็บปวดเสียใจอีกแล้วใช่ไหม พี่ก็เจ็บเหมือนกัน ปวดในอกเหมือนมีมีดมาฟัน มีค้อนมาทุบเวลาที่คิดถึงฐาน เวลาที่นึกถึงหรือเห็นน้ำตาของฐาน”

ทั้งที่บอกว่ารู้สึกอย่างนั้น แต่คำพูดกลับซ้ำเติมความเจ็บปวดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

“พี่เองก็เกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองไม่น้อยไปกว่าที่คิดว่าพี่เกลียดฐาน พี่ยอมรับว่าตอนนั้นพี่รู้สึกเกลียดฐานจริงๆ แต่พอนานวันเข้าความเกลียดนั้นก็เปลี่ยนเป็นเอาแต่คิดถึง คิดถึงฐานอยู่ตลอด คิดถึงตอนเราอยู่ด้วยกัน คิดถึงเวลาฐานยิ้มให้พี่ อ้อนพี่ เอาใจพี่ คิดถึงจนทรมาน ตอนนั้นพี่ถึงเพิ่งคิดได้และทบทวนตัวเอง ทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำกับฐานเอาไว้ คิดได้ว่าตัวเองเลวแค่ไหน สารเลวแค่ไหน”

น้ำตายังคงรินไหลออกมาจากดวงตาของฐานทัพไม่หยุด

ดวงตาของสิบทิศก็เหมือนมีอะไรชื้นๆ รื้นอยู่เช่นกัน

“พี่คิดถึงฐานอยู่ทุกวัน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าจริงๆ แล้วพี่รักฐานมากแค่ไหน และยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอยู่ตลอดว่าทำไมพี่ถึงทำแบบนั้นลงไปได้ ทำร้ายฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่แบบนั้น ทั้งที่รู้ว่าทำให้ฐานเสียใจ แต่ก็ยังทำพลาดซ้ำๆ ขอโอกาสเพื่อแก้ตัว แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ทั้งหมดเป็นเพราะพี่ชั่วเอง พี่เลวเอง ฐานไม่ได้ผิดเลยสักนิด แต่พี่ก็โยนทุกอย่างให้ฐานต้องแบกรับ ต้องทรมานกับความเห็นแก่ตัวความเลวทรามของพี่”

หยดน้ำร่วงหล่นลงมา หากแต่ไม่ใช่จากดวงตาของฐานทัพ ทว่าเป็นสิบทิศ

ในขณะที่ดวงตาของฐานทัพเอ่อคลอไปด้วยหยาดใสๆ ไปหมดจนภาพพร่าเลือนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงยังเห็นว่ามีหยดน้ำไหลออกมาจากตาของคนตรงหน้า

“พี่อยากขอโทษฐานมาตลอด อยากขอโทษมาก พี่ผิดเอง ผิดทุกอย่างเลย แล้วยิ่งพี่ได้มารู้ว่าพี่ภันอะไรนั่นไม่ได้เป็นชู้กับฐาน แต่กลับเป็นคนที่คอยปลอบโยนใส่ใจฐาน พี่ก็ยิ่งเจ็บ หัวใจมันปวดไปหมด”

สิบทิศทุบหน้าอกตัวเองซ้ำๆ เหมือนแสดงให้รู้ว่าความเจ็บปวดที่ตนเองรู้สึก ไม่อาจเทียบเท่าได้กับกำปั้นนั้น

“ตอนแรกพี่ไม่เข้าใจว่าถ้าฐานไม่ได้มีอะไรกับเขาแล้วทำไมฐานถึงติดโรคมา ถึงไม่ใช่เขา ฐานก็มีคนอื่นอีกใช่ไหม เพื่อนฐานคนที่พี่เคยเจอจังๆ นั่นไง แล้วพี่ก็โกรธขึ้นมาอีก แต่พี่ก็คิดขึ้นได้ว่าเพราะพี่ผลักไสฐานไปเองไม่ใช่เหรอ แถมตอนนั้นพอเข้าใจว่าฐานทำตัวแบบนั้น พี่ยังทำร้ายฐานอีก ทำให้ฐานเจ็บช้ำ ฝืนใจฐานทั้งที่ฐานขอร้องอ้อนวอน พี่มันเลว พี่มันชั่ว ต่ำช้าจริงๆ”

น้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของสิบทิศ ทว่ามันกลับหยุดไปแล้วสำหรับฐานทัพ

เขาจ้องมองความทุกข์ทรมานของอีกฝ่ายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคล้ายเป็นภาพมายา เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกปวดหนึบรวดร้าวในอก เหมือนถูกหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้จนแน่นไปหมด แม้แต่หายใจก็ยังลำบาก

“แต่ตอนนี้พี่รู้หมดแล้ว พี่เข้าใจหมดแล้ว ฐานไม่เคยนอกใจพี่เลยใช่ไหม ทั้งหมดที่ฐานเคยพูด ฐานโกหกพี่หมดเลยใช่ไหม”

ริมฝีปากของฐานทัพยังคงเม้มเข้าหากัน ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา

“พี่มันบ้าไปเอง โง่ไปเองที่หน้ามืดตามัวหลงเชื่อคำโกหกพวกนั้น ไม่เชื่อใจฐานเลย ไม่เข้าใจฐานเลยสักนิดว่ารู้สึกยังไงถึงต้องโกหกแบบนั้นออกมา”

มือของฐานทัพถูกดึงไปแนบแก้มที่เปียกชื้นของสิบทิศ แนบไว้อย่างสนิทเหมือนกับว่าไม่อยากปล่อยเขาไป

“พี่รู้ว่าพี่มันเลวทรามต่ำช้า แต่ตอนที่ฐานถูกรถชนไปต่อหน้า พี่รู้สึกเหมือนหัวใจแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ ทุรนทุรายเหมือนตัวเองถูกทรมานแสนสาหัส มีแต่ความรู้สึกเดียวว่าไม่อยากให้ฐานตาย ไม่อยากเสียฐานไป ความรู้สึกพวกนี้มันทะลักออกมาไม่หยุดจนพี่แทบเป็นบ้า พี่ไม่รู้เลยว่าถ้าฐานตายพี่จะทำยังไง จะอยู่ยังไงต่อไป ทั้งที่พี่ไม่ได้เจอฐานมาสองปีแล้วก็ยังอยู่มาได้ ถึงจะอยู่โดยไม่มีความสุขเลยสักวัน แต่พี่ก็ยังอยู่ได้ แต่พอเห็นฐานหลับตา เลือดอาบไปทั้งตัวพี่กลับคิดแบบนั้นขึ้นมาได้อย่างเดียว”

มือที่ถูกดึงไปแนบกับแก้มค่อยๆ เลื่อนไปในตำแหน่งริมฝีปาก มันถูกกดให้แนบติดเอาไว้ทั้งอย่างนั้น

ฐานทัพไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะดึงมันออกอีกแล้ว

ในเวลานี้สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากทุกอณูของสิบทิศคือ...ความจริงใจ

ความจริงใจที่เขาไม่คิดว่าจะได้สัมผัส ความจริงที่ใจเขาไม่คิดว่ามันมีอยู่จริง

ความรู้สึกของสิบทิศที่เขาไม่คิดว่าจะได้สัมผัสอีกครั้ง

“ฐาน พี่ขอโอกาสได้ไหม ขอโอกาสให้พี่อีกครั้งนะ พี่จะไม่ทำตัวเลวทรามต่ำช้าแบบนั้นอีกแล้ว จะไม่ทำให้ฐานเสียใจอีก ขอแค่ฐานกลับมาอยู่กับพี่อีกครั้ง พี่ทนไม่ได้แล้วที่จะต้องเสียฐานไปอีก”

ใบหน้าของสิบทิศแหงนมองขึ้นมา ดวงตาที่วาววับด้วยความเปียกชื้นสั่นไหวจับจ้องมา ทำให้หัวใจของฐานทัพสั่นสะท้านไปหมด

เขารู้ตัวเองดี รู้ดีอยู่แก่ใจ รู้ดีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่หลอกตัวเองเรื่อยมาเท่านั้น

สิบทิศยังคงอยู่ตรงนั้น อยู่ในซอกหลืบส่วนลึกในหัวใจ ส่วนลึกที่สุดที่เขาพยายามเอาความเมินเฉยทับถมเอาไว้

ทว่าในตอนนี้เยื่อหนาๆ หลายร้อยชั้นเท่าจำนวนวันที่เขาปูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลับฉีกขาดไปอย่างง่ายดาย เหมือนถูกเจาะทะลวงลงมาด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลอย่างไม่ปรานีปราศรัย

แต่...เขาก็ยังหวาดกลัวเกินไป

กลัวที่จะรัก กลัวที่จะกลับไปยอมรับสิ่งนั้นอีกครั้ง

เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลลงไป แล้วเอ่ยขึ้นมาหลังจากปล่อยเวลาให้ผ่านไปเนิ่นนานโดยไม่ปริปาก

“ผม...เหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน ช่วยกลับไปก่อนได้ไหม”

อีกฝ่ายเหมือนจะอึ้งในคำตอบ แต่ก็ไม่ได้ดื้อดึงที่จะซักไซ้เอาคำตอบในเวลานี้ อาจจะเข้าใจว่าเขาต้องการเวลาก็เป็นได้

“ก็ได้ งั้นวันนี้พี่กลับก่อนนะ ฐานพักให้มากๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมาเยี่ยมใหม่”

มือที่ถูกจับเอาไว้ถูกคลายออกอย่างแผ่วเบานุ่มนวล คล้ายกลัวว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บ จากนั้นร่างของสิบทิศก็ลุกขึ้นแล้วขยับเข้ามาใกล้

ฐานทัพเงยหน้ามองด้วยปฏิกิริยาตามธรรมชาติโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉับพลันนั้นริมฝีปากของสิบทิศก็ประทับลงมา

ที่ริมฝีปากของเขา...

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน อาจจะแค่เสี้ยววินาที หรืออาจจะหนึ่งนาทีก็ได้

ฐานทัพรู้สึกว่าทุกอย่างหยุดนิ่งไปในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งมันผละห่างออกไป และเห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสิบทิศทั้งที่ยังมีคราบน้ำ

“ฝันดีนะ พี่รักฐานนะครับ”

สุดท้ายการมีอยู่ของสิบทิศก็มลายหายไป เหลือไว้แต่เสียงหัวใจที่ก้องดังกระหน่ำรัวอยู่ในอกของฐานทัพ

เขานั่งบื้อใบ้อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ พอรู้ตัวว่าเหลือเพียงตัวเองที่อยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าถึงได้ล้มตัวลง ข่มตาหลับ พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ทว่าทุกอย่างกลับแจ่มชัดเหมือนจะทารุณกัน

เขาหลับไม่ลง แม้จะปิดตาอยู่นาน...

 






------------------
ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายแล้วค่ะ


หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-04-2020 21:00:17
เฮ้อออ อีสิบทิศสำนึกได้ซะที
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || 15th Lie [12/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 12-04-2020 23:41:52
อะไรกัน สำนึกง่ายๆแบบนี้เลยหรอ??
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 16-04-2020 20:59:34
















E p i l o g u e

 

ฐานทัพข่มตาหลับอยู่ตลอดคืนแต่ก็ไม่สำเร็จ ในใจได้แต่คิดวนเวียนถึงคำพูดของสิบทิศซ้ำแล้วซ้ำเล่า สลับกับเขาบอกตัวเองว่าให้เลิกคิดซะ เป็นเช่นนั้นไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยครั้งจนกระทั่งได้ยินเสียงของภันวัฒน์ดังขึ้น ถามว่าตื่นแล้วหรือยัง เขาถึงได้ขยับตัวลุกขึ้นและรู้สึกตัวว่าเช้าแล้ว

“เดี๋ยวฐานต้องไปตรวจร่างกายแล้วนะ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรวันนี้ก็ย้ายโรงพยาบาลได้”

คำบอกนั้นทำให้ฐานทัพเพิ่งตระหนักได้ถึงเรื่องที่ตนเองลืมไป

เขาไปตรวจร่างกายตามที่อีกฝ่ายบอก และผลก็ออกมาว่าร่างกายไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น นับเป็นเรื่องดี

ภันวัฒน์ยิ้ม ช่วยเขาเก็บของทั้งที่ไม่ค่อยจะมีอะไรให้เก็บด้วยซ้ำ ระหว่างช่วยเก็บเสียงทุ้มก็เอ่ยถาม

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ”

หน้าตาอิดโรยของเขาคงบอกทุกสิ่ง

ฐานทัพไม่อยากปิดบังจึงผงกศีรษะตอบไปตามตรง เล่าว่าสิบทิศกลับมาและพูดอะไรบ้าง

“แล้วฐานจะเอายังไง”

“ผม...ไม่รู้”

“ฐานยังรักเขาอยู่ใช่ไหม”

เขาพยักหน้า

“แต่ก็กลัวว่าจะต้องเจ็บปวดซ้ำอีกใช่หรือเปล่า”

เขาพยักหน้าซ้ำ

ภันวัฒน์พูดเหมือนอ่อนใจ

“ถ้าอย่างนั้นไม่กลับไปจะดีกว่าไหม ถึงกลับไปเพราะกลัวก็อยู่อย่างไม่มีความสุขหรอก”

เขาก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจเต็มประดาแต่ก็ไม่อาจตัดใจได้

“เรื่องนี้พี่ช่วยฐานตัดสินใจไม่ได้ซะด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ฐานต้องเลือกเอง”

ฐานทัพนิ่งเงียบ

เขาเข้าใจดี เข้าใจเป็นอย่างดี

“เรื่องคดีกับคู่กรณี”

อยู่ๆ ภันวัฒน์ก็พูดเรื่องอื่นขึ้นมาเสียเฉยๆ ถึงกระนั้นฐานทัพก็ยังคงรอฟังประโยคต่อไปด้วยอยากรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“พี่ตามเรื่องให้แล้ว ทางนั้นบอกว่าสิบทิศจัดการแล้ว จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ”

หลังจากนั้นภันวัฒน์ก็เงียบไปไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงมองหน้าเขานิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง คล้ายจะให้เขาใช้สิ่งนี้ในการตัดสินใจ

ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อกลับไป

หรือใช้เหตุนี้เพื่อตัดขาดกันสิ้นเชิง...

ไม่ว่าเลือกทางไหนเขาก็ตัดสินใจไม่ได้และตัดใจไม่ได้เช่นกัน

ไม่มีทางที่อยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสองอย่างนี้บ้างเหรอ?

ฐานทัพถามตัวเองซ้ำๆ เช่นนั้น นานนับนาที นานนับสิบนาที

“เมื่อกี้พยาบาลเข้ามาบอกว่าได้เวลาย้ายแล้ว ให้พี่ไปบอกไหมว่าขอเลื่อนเป็นตอนบ่าย เดี๋ยวพี่พาไปส่งเอง ระหว่างนี้ฐานจะได้คิดไปเรื่อยๆ ว่าทางไหนถึงจะดีกับตัวเองที่สุด”

ภันวัฒน์ไม่ได้บีบบังคับให้ตัดสินใจในทันที แต่เผื่อทางไว้ให้เขาเลือก ถึงกระนั้นฐานทัพก็ตอบออกไปหลังจากหลับตาคิดทบทวนเป็นครั้งสุดท้าย

สุดท้ายเขาก็คิดออกเพียงทางเดียว...

“ผมอยากได้กระดาษกับปากกา”

“จะทิ้งข้อความไว้?”

เหมือนอีกฝ่ายจะคาดเดาการกระทำของเขาได้ เขาพยักหน้าเพียงสองครั้ง ภันวัฒน์ก็ออกจากห้องไปขอของที่เขาต้องการจากพยาบาลมาให้

ฐานทัพรับมาแล้วค่อยๆ จรดปากกาลง เขียนข้อความที่เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วลงไปทีละตัวอักษร และวางมันทิ้งไว้บนตู้ข้างเตียง จากนั้นก็บอกกับภันวัฒน์

“ถ้าห้องนี้ยังไม่มีคนมาใช้ อยากให้วางทิ้งเอาไว้ที่นี่ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ อยากให้พยาบาลช่วยส่งต่อให้เขาได้หรือเปล่า”

“เดี๋ยวพี่ช่วยบอกพยาบาลให้”

หลังจากได้ยินคำตอบนั้นแล้วฐานทัพก็คลี่ยิ้มบางๆ หนึ่งครั้งก่อนจะออกจากห้องที่มีเตียงผู้ป่วยนั้นด้วยรถเข็นที่มีภันวัฒน์เป็นผู้พาไป โดยทิ้งกระดาษสีขาวซึ่งมีลายมือสีน้ำเงินของตนเองเอาไว้อย่างนั้นด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์

...เสมือนทิ้งหัวใจเอาไว้ด้วย

 

 

ถ้าคุณคิดว่าความรู้สึกของคุณมันเป็นของจริง ต้องการผมจริงๆ และจะไม่ทำให้ผมเสียใจอีก

วันนี้ในอีกสิบปีข้างหน้าช่วยมาพบผมที่ตู้ปลาตู้นั้นด้วย

ถ้าผมยังรู้สึกเหมือนเดิม ผมจะไปพบคุณที่นั่น

แต่ผมไม่สามารถรับปากได้ว่าถึงเวลานั้นแล้วผมจะไปที่นั่นหรือเปล่า

 

ฐานทัพ

 



----------------------
จบแล้วค่ะ ขอบคุณคนที่ติดตามอ่านนะคะ
อาจจะมีคนทั้งพอใจและไม่พอใจที่จบแบบปลายเปิด แล้วให้จินตนาการต่อ
แต่คิดว่าเรื่องแบบนี้ควรให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ

เรื่องนี้มีอีบุ๊กนะคะ มีตอนพิเศษ 2 ตอน
ตอนแรกเป็นความรู้สึกของสิบทิศตั้งแต่เจอฐานทัพกระทั่งถึงตอนได้โน้ตแผ่นนี้
ตอนที่สองเป็นเรื่องในอีกสิบปีข้างหน้าค่ะ

แล้วก็ขอฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ เป็นแนวมหา'ลัย อ่านสบายๆ
ถ้าชอบแนวนี้ลองเข้าไปอ่านกันดูนะคะ
ชื่อเรื่อง น้องครับ พี่อยากได้เป็นแฟน

ลิงก์ทั้งสองอย่าง เข้าไปดูในเพจนะคะ

หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-04-2020 21:34:51
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 17-04-2020 00:33:30
10 ปี สุดยอด,,,
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-04-2020 21:34:09
10ปี ไม่น่าไว้ใจทั้งคู่ 55555 โอ้วววหลากหลายอารมณ์มากเจ็บปวดใจกันไปมา แบบว่าอีหยังว่ะ 55555 สนุกกกกกกกกกกกกก ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาต่อจนจบ เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดียว  o13 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Elle-sama ที่ 23-04-2020 10:10:00
แต่งดีมากๆเลยค่ะ ประทับใจมากๆ อ่านแล้วอินจนน้ำตาไหลพรากเลย แอบรู้สึกว่าจบแบบนี้ก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: 「 White Lie คำโกหกสีขาว 」▶▷ || E p i l o g u e [16/4/63] (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: SMiLD ที่ 06-05-2020 00:09:38
          เป็นความสัมพันธ์ที่โคตร toxic ไม่เข้าใจมากๆว่าอะไรทำให้ปักใจรักขนาดที่ยอมเจ็บซ้ำๆขนาดนั้น ถ้าจะบอกว่าแค่แต่ก่อนไม่เคยได้รับความรัก แล้วพอได้รับจากคนเดียว "ในช่วงเวลาสั้นๆ" แล้วเลยยึดติดขนาดที่ยอมให้เค้าทำร้ายจิตใจขนาดนั้นดูไม่ make sense เลยซักนิด นักเขียนเขียนได้ดีมาก อินจนหงุดหงิดตัวเอกมากว่าโง่ยอมขนาดนี้ได้ยังไง ไม่รักตัวเองเลยซักนิด
          เริ่มจากช่วงแรกๆที่สิบทิศตามจีบก็ดูน่ากลัวมาก ตื๊อจนน่ากลัว ตื๊อจนกลายเป็นการคุกคาม บังคับไปรับ-ส่ง ปฏิเสธก็ไม่ฟัง ดูน่ากลัวมากกว่าจะน่าประทับใจจนทำให้เปลี่ยนใจไปรักได้ ครั้กแรกที่มีอะไรด้วยก็ไปมอมยาเค้า อ่านแล้วไม่เข้าใจว่ามีจุดไหนที่ทำให้ตัวเอกไปรักสิบทิศได้เลย พอคบกันก็ขี้หึงเกินเรื่องมาก ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ซื่อสัตย์กับคู่ของตัวเอง เป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ในเรื่องของตัวละคร ดูไม่มีมิติ ตัวเลวก็เลวเกิน ดูไม่มีความคิดผิดชอบชั่วดีอะไรเลย เอาแต่ใจ เหมือนไม่มีด้านดี ส่วนตัวเอกก็โง่ เน้นแสดงด้านความรักอย่างเดียว
          ขอบคุณนักเขียนที่เขียนเรื่องนี้ออกมา แนะนำให้ปรับปรุงในเรื่องของตัวละคร พัฒนาตัวละครให้มีมิติมากกว่านี้ แล้วก็อาจจะต้องคิดถึงหลักความเป็นจริงบ้าง ถึงจะเป็นแค่นิยาย เช่นตอนสิบทิศไปตามตื๊อตัวเอกบังคับไปส่งบ้าน อ่านแล้วดูยังไงก็น่ากลัวในความเป็นจริง ไม่ได้รู้จักกันมากขนาดนั้น แบคกราวยังไงก็ไม่รู้ ให้ไปส่งแล้วรู้ที่อยู่บ้านขึ้นมาอาจจะเป็นอันตรายได้ ... ในแง่การเขียนค่อนข้างดี ใช้สำนวนอ่านง่ายดี มีคำผิดเล็กน้อยที่ไม่ขัดการอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนพัฒนาผลงานต่อไป

  :L2: :L2: :pig4: :L2: :L2: