Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]  (อ่าน 17117 ครั้ง)

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

************************************************




Detective liu

นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม


ขบวนรถไฟพาเที่ยวกรุงเทพ-เชียงใหม่ ที่มุ่งหน้าไปทางตอนเหนือ
แต่กลับมีคนถูกฆาตกรรมหลังจากนั้นรถไฟเกิดเสียหลักหลุดรางไถลเข้าไปในดงป่า
แล้วเกิดระเบิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ไม่มีใครมีชีวิตรอดยกเว้น...


พลทัพ

อดีตตำรวจที่ถูกปลดเพราะความใจร้อนจนเสียงานหลายครั้ง

กันต์กวิน

นักข่าวมือใหม่ที่สอดรู้สอดเห็นตามสัญชาตญาณ

วรภพ

หมอจบใหม่ที่มีจิตใจอยากจะช่วยเหลือคน

ต้นหลิว

นักสืบมือใหม่ที่ยังไม่เคยได้สืบเลยซักครั้ง





รอดมาพร้อมกับผู้รอดชีวิตคนอื่น

ทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ตรงป่านั้นเพื่อรอทีมช่วยเหลือ
แต่ทว่าระหว่างที่กำลังรอให้ทีมช่วยเหลือ มาช่วยนั้นปรากฎว่ามีคนถูกฆาตกรรมเกิดขึ้น
จึงเป็นหน้าที่ของต้นหลิวนักสืบมือใหม่ร่วมมือกับวรภพหมอที่พึ่งจบใหม่เพื่อหาตัวฆาตกรให้พบ
แต่ยิ่งสืบอันตรายยิ่งมีมากขึ้นเพื่อตามหาตัวฆาตกรที่อันตรายและโหดเหี้ยมมากที่สุด

 


****************************************************************




สารบัญ

สืบครั้งที่ 1
สืบครั้งที่ 2
สืบครั้งที่ 3
สืบครั้งที่ 4
สืบครั้งที่ 5
สืบครั้งที่ 6
สืบครั้งที่ 7
สืบครั้งที่ 8
สืบครั้งที่ 9
สืบครั้งที่ 10
สืบครั้งที่ 11
สืบครั้งที่ 12
สืบครั้งที่ 13
สืบครั้งที่ 14
สืบครั้งที่ 15
สืบครั้งที่ 16
สืบครั้งที่ 17
สืบครั้งที่ 18
สืบครั้งที่ 19
สืบครั้งที่ 20
สืบครั้งที่ 21
สืบครั้งที่ 22
สืบครั้งที่ 23
สืบครั้งที่ 24
สืบครั้งที่ 25
สืบครั้งที่ 26
สืบครั้งที่ 27
สืบครั้งที่ 28
สืบครั้งที่ 29
สืบครั้งที่ 30
สืบครั้งที่ 31
สืบครั้งที่ 32
สืบครั้งที่ 33
สืบครั้งที่ 34
สืบครั้งสุดท้าย



****************************************************************


ผลงาน

เรือนจอมขวัญ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-06-2019 14:30:31 โดย tonako2yuri »

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 1




   ชานชาลาสถานีกรุงเทพในช่วงเย็นนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ด้วยรูปทรงแบบอาคารทรงโค้งครึ่งวงกลมแบบศิลปะอิตาเลียนผสมเรเนสซองส์ทำให้ดูเก่าแก่และเป็นจุดน่าสนใจ ด้านในนั้นมีพ่อค้าแม่ขายเดินขายของตรงแถวนั้นมากมาย มีทั้งคนรวยและจนปะปนกันไป บ้างเดินลากกระเป๋าใหญ่โตมีคนเดินตามมากมาย บ้างมาเป็นแบบกระเป๋าเป้เดินทางอย่างเดียวไม่มีอะไรมากมาย แต่บางคนก็มีเพียงกระสอบธรรมดา ร้านขายของมีมากมายทั้งของกินของใช้มีให้บริการมากมายอย่างดีเยี่ยมแต่ราคาค่อนข้างแพง และวันนี้มีผู้คนมากกว่าปกติเพราะมีงานเปิดตัวรถไฟรุ่นใหม่ที่จะไปเริ่มต้นเดินทางไปแถบสายเหนือ และแน่นอนรถไฟเที่ยวปฐมฤกษ์ก็ต้องจัดขึ้นสำหรับคนรวยและนักธุรกิจมากมาย


   ขบวนรถไฟพาเที่ยวเชียงใหม่ทางตอนเหนือ วิ่งด้วยหัวรถจักรไอน้ำ ด้านนอกตัวรถไฟมีสีขาวล้วนส่วนด้านในรถไฟตกแต่งอย่างหรูหราแล้วแต่ระดับฐานะของผู้ใช้บริการซึ่งรถไฟสายนี้มีตู้โบกี้รถไฟถึงห้าขบวน

   ตู้แรกเป็นชั้นของวีไอพีเฟิร์สคลาส ตกแต่งอย่างหรูหราฟู่ฟ่า เก้าอี้หนังสัตว์อย่างดีมีห้องประชุม ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องจัดงานเลี้ยงซึ่งแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนและลงตัว แถมยังมีคนคอยบริการทั้งอาหารและเครื่องดื่มตลอดเวลา

   ตู้ที่สองคือชั้นวีไอพี ตกแต่งอย่างหรูหรามีระดับไม่ฟู่ฟ่าจนเกินไป เก้าอี้หนังที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นสามารถร้องคาราโอเกะได้อย่างสบาย และพนักงานคอยบริการอย่างเอาใจ

   ตู้ที่สามชั้นเฟิร์สคลาส เก้าอี้เบาะผ้าแพรเนื้อดีนุ่มนิ่มอย่างดีนำเข้าจากต่างประเทศ มีห้องนั่งเล่นที่สามารถทานอาหารได้เลย ห้องนอนและห้องน้ำ พร้อมพนักงานที่คอยบริการอย่างรวดเร็ว

   ตู้ที่สี่และตู้ที่ห้าเป็นตู้รถไฟธรรมดา เก้าอี้ไม้ไม่ยาวมากแบ่งเป็นสองฝั่งแต่มีเบาะรองนั่งเตรียมไว้ให้ พื้นที่น้อย ต้องซื้ออาหารขึ้นมาทานเอง ไม่มีห้องนอนแต่สามารถปรับเก้าอี้ให้กว้างออกมาเพื่อที่สามารถจะนอนได้ มีห้องน้ำขนาดเล็กและไม่มีพนักงานให้บริการ 


   เมื่อใกล้ถึงเวลาออกเดินทางไอน้ำนั้นก็พุ่งขึ้นท้องฟ้าท่ามกลางเสียงหวูดรถไฟที่ดังแหลมขึ้นมาตามด้วยเสียงพนักงานประจำสถานีประกาศเรียกผู้โดยสาร

   "ประกาศครั้งสุดท้าย ผู้โดยสารที่เดินทางไปกับรถไฟขบวน กรุงเทพ-เชียงใหม่ พร้อมแล้วที่จะให้บริการและขอบคุณท่านผู้โดยสารทุกท่านที่มาใช้บริการในขบวนรถไฟเที่ยวปฐมฤกษ์ในวันนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับขบวนรถไฟครั้งนี้ ขอบคุณค่ะ"

   สิ้นสุดเสียงประกาศประตูทุกบานก็ปิดลงพร้อมกับเสียงไอน้ำและเสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้งและเคลื่อนตัวไปด้านหน้าตามรางตรงกับกำหนดที่รถไฟที่จะออกเดินทางตอนห้าโมงเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดิน





    ระหว่างที่รถไปกำลังเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางนั้นในตู้รถไฟตู้ที่สามของชั้นเฟิร์สคลาส มีพนักงานสาวสวยกำลังพาผู้โดยสารทั้งสองเดินไปนั่งยังที่นั่งด้านในสุดซึ่งใหญ่โตและหรูหรามากที่สุดในชั้นเฟิร์สคลาส

    "ที่นั่งของคุณต้นหลิวและคุณวิรชานะคะ อาหารเย็นที่สั่งไว้จะมาเสริฟในอีกสามสิบนาที หากผู้โดยสารอยากได้อะไรเพิ่มเติมกรุณากดปุ่มสีเขียวด้านข้างของโต๊ะนะคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวก่อนค่ะ"

   "ขอบคุณครับ"

   ต้นหลิวยิ้มรับก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งของตนเองซึ่งทำมาจากผ้าแพรเนื้อดีนุ่มนิ่มอย่างดีนำเข้าจากต่างประเทศ พรางจ้องมองไปยังคนรักที่กำลังนั่งยิ้มหวานออกมาตลอดเวลาหันซ้ายหันขวาอย่างถูกใจทำให้อดที่จะถามอีกฝ่ายอย่างเอาใจ

   "ชอบไหมครับเวย์"

   "ชอบมากที่สุดเลยค่ะที่รัก แต่น่าเสียดายที่คุณไม่ยอมจองชั้นวีไอพีอ่ะ"

    วิรชาหรือที่คนรักมักจะเรียกว่าเวย์นั้นทำหน้ามุ่ยลงมาเล็กน้อยอย่างน่ารักน่าชังจนต้นหลิวที่กำลังมองอยู่นั้นอดที่จะอมยิ้มกับความน่ารักนั้นออกมาไม่ได้

   "แค่นี้ก็หรูหรามากพอสำหรับเราอยู่แล้วครับ"

    "แหม~ ทำเป็นถ่อมตัวไปได้นะคะ คนเขาก็รู้ไปทั่วนั่นแหละว่าคุณเป็นทายาทของใคร" วิรชามองคนรักอย่างหมั่นไส้ "ส่วนงานที่คุณทำอยู่น่ะไม่เคยออกไปสืบซักเรื่องเลยรึไงไม่ใช่หรือคะ"

    "อืมม ก็ผมชอบที่จะเป็นแบบพ่อแม่ผมนี่ครับ"

   ต้นหลิวตอบกลับอย่างถ่อมตัวทั้งที่ตนเองเป็นถึงทายาทของนักสืบชื่อดังอย่างสนไร้นามหรือพ่อต้นสน ที่เสียชีวิตไปแล้วแต่กลับมีมรดกให้ลูกชายคนเดียวถึงหมื่นล้านไหนจะแม่กอหญ้าที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมนักสืบแทนผู้เป็นพ่อ  ทำให้ต้นหลิวมีความฝันที่จะทำงานเป็นนักสืบตั้งแต่เด็ก  ทว่าแม้จะมีสมบัติมากมายแต่กลับที่ชอบทำตัวติดดินไม่ค่อยอวดรวยและตอนนี้พึ่งได้เข้าทำงานกับแม่เป็นนักสืบมือใหม่ที่ยังไม่เคยได้ออกสืบเลยซักครั้งเพราะผู้เป็นแม่ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีมไม่อนุญาตให้ออกทำงานและคอยบงการออกคำสั่งอยู่เบื้องหลังทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เรื่องคู่ครอง

   "แต่ยังดีนะคะที่คุณพาเวย์มาเที่ยวได้ตามที่สัญญากันไว้ได้น่ะ"

    "ก็ผมสัญญากับคู่หมั้นคนสวยไว้แล้วนี่ครับ ถ้าไม่พามาล่ะก็โดนโกรธแน่เลย"

   "รู้ตัวนี่คะ อิอิ"

    วิรชาหัวเราะเสียงใสออกมาอย่างอารมณ์ดีซึ่งปกตินั้นจะแสนแง่งอนและเอาแต่ใจตัวเองมากจนต้องตามง้ออยู่หลายครั้ง คราวนี้ถือว่าโชคดีที่ต้นหลิวมีโอกาสหยุดงานพาวิรชาคู่หมั้นมาเที่ยวรถไฟก่อนที่จะแต่งงานเดือนหน้าตามที่สัญญากันเอาไว้ซึ่งผู้เป็นแม่ก็อนุมัติคำสั่งให้ลูกชายคนเดียวลาหยุดเพื่อจะไปเที่ยวกับคู่หมั้นทันที ตันหลิวลอบมองวิรชายิ้มหวานก่อนจะหันไปชมบรรยากาศสวยงามด้านนอกอย่างพึงพอใจด้วยรอยยิ้ม

   ซึ่งทั้งสองนั้นนั่งรออาหารอยู่นานจนกระทั่งต้นหลิวเกิดอาการอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาอย่างเริ่มทนไม่ไหว

   "เวย์ครับ"

    "คะ?"

   วิรชาละสายตาจากด้านนอกหันมามองคนรักด้วยรอยยิ้ม

   "ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับถ้าอาหารมาแล้วคุณทานได้เลย"

   "ค่ะ...รีบมานะคะเวย์ไม่อยากนั่งคนเดียว"

   "ครับผม"

   ต้นหลิวพยักหน้าก่อนจะลุกเดินตรงไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหน้าตู้รถไปที่เชื่อมต่อกับอีกตู้หนึ่งมือเรียวผลักไปเต็มแรงแต่กลับเปิดไม่ออก

   กึกกึก!

   "ห้องน้ำไม่ว่างหรอเนี่ย"

   ต้นหลิวถอนหายใจก่อนจะยืนรอหน้าห้องน้ำพักใหญ่แต่ยังไม่มีใครเปิดประตูออกมาจนกระทั่งพนักงานที่อยู่แถวนั้นเดินมาสอบถามด้วยความสงสัย

   "ผู้โดยสารมีอะไรรึเปล่าคะ"

   "ห้องน้ำไม่ว่างครับ" เสียงพนักงานดังมากจากด้านหลังทำให้ต้นหลิวหันไปยิ้มให้ "แต่ไม่เป็นไรผมยืนรอได้ คุณไปดูแลผู้โดยสารคนอื่นเถอะครับ"

   "ค่ะ"

   ต้นหลิวยืนรออีกเกือบสิบนาทีแต่ประตูห้องน้ำก็ยังไม่เปิดจึงตัดสินใจเดินไปยังตู้รถไฟที่สี่เพื่อจะเข้าห้องน้ำ ซึ่งภายในตู้รถไฟนึ้ที่นั่งเป็นเก้าอี้ไม้ไม่ยาวมากแบ่งเป็นสองฝั่ง ข้าวของวางด้านบนกันเต็มไปหมดและมีคนนั่งอยู่อย่างหนาแน่นต่างเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างสนใจทำให้ต้นหลิวส่งยิ้มให้แล้วรีบเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่สุดด้านในสุดของตู้รถไฟ

   กึกกึก!

   "เฮ้อ...งั้นกลับที่นั่งแล้วกัน"

   ต้นหลิวถอนหายใจเพราะตัวเขาเองก็ไม่กล้ากวนคนที่กำลังเข้าห้องน้ำจึงตัดสินใจหันหลังเพื่อจะกลับไปนั่งที่เดิมแต่ประตูห้องน้ำดันเปิดออกมาทำให้ต้นหลิวหันหลังกลับไปมองซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่รถไฟเลี้ยวพอดี

   ครืดด~ แอ๊ดด~

   "เหวอ~"

   หมับ!

    ต้นหลิวเสียหลักหงายหลังล้มลงไปในอ้อมกอดของวรภพที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำยื่นมือมารับไว้พอดี ทำให้ทั้งสองเผลอจ้องตากันในระยะกระชั้นชิดจนไม่สามารถละสายตาออกจากกันได้ ก่อนที่วรภพจะได้สติเลยรีบผละออกแล้วกล่าวขอโทษทันที

   "ขอโทษครับ เป็นอะไรมากรึเปล่า"

   "เอ่อ...ไม่..." ต้นหลิวส่ายหน้าพร้อมยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเก้อเขินเล็กน้อย "ไม่เป็นไรครับ"

   "จะเข้าห้องน้ำใช่ไหม"

   วรภพอมยิ้มกับอาการประหม่าของคนตรงหน้า

   "ค...ครับ"

   "งั้นเชิญเลยครับ" วรภพหลีกทางให้ต้นหลิวก่อนจะหันมาขอโทษอีกรอบ "อ๋อ! ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ"

   "ขอโทษเช่นกันครับ"

   ต้นหลิวโค้งตัวให้อีกฝ่ายอีกครั้งก่อนที่วรภพจะเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเองปล่อยให้ต้นหลิวรีบปิดประตูเข้าห้องน้ำด้วยใบหน้าแดงก่ำ หลังจากเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเองซึ่งมีอาหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับวิรชาที่กอดอกจ้องมองมาที่ตนเองอย่างขัดใจ

   "ห้องน้ำอยู่แค่ตรงนี้เองไปนานจังเลยนะคะ"

   "พอดีห้องน้ำตู้นี้เต็มครับเลยเดินไปเข้าอีกตู้หนึ่ง" ต้นหลิวตอบด้วยรอยยิ้มหวานให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ "เรามาทานอาหารกันเถอะ"

    "อะไรกันคะ! ทำไมไม่ได้เรื่องแบบนี้ล่ะ นี่ชั้นเฟิร์สคลาสเลยนะคะ"

    วิรชาขัดใจกำลังจะเอื้อมมือไปกำลังจะกดปุ่มสีเขียวข้างโต๊ะแต่ต้นหลิวเอื้อมมือไปจับรั้งข้อมือเอาไว้ได้ทัน

   "อย่าเรียกพนักงานมาเลยครับเวย์ มันเป็นเหตุสุดวิสัยน่า"

   "เวย์บอกให้จองช้้นวีไอพีคุณก็ไม่ยอมเชื่อ"

    วิรชาต่อว่าแฟนหนุ่มด้วยความแง่งอนทำให้ต้นหลิวอมยิ้มแล้วยื่นมือไปหยิกแก้มอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว

   "โธ่~ ไม่งอแงน่าเวย์ เรามากินอาหารกันดีกว่านะครับ นี่กุ้งตัวใหญ่ที่เวย์ชอบทานไง ผมสั่งพิเศษเลยนะ"

    ต้นหลิวเปลี่ยนเรื่องก่อนจะตักกุ้งตัวใหญ่ที่สุดในจานให้กับวิรชาซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมหายงอนทันที

   "ต้นหลิวนี่รู้ใจเวย์จังเลยนะคะ" วิรชายื่นมือไปหยิกแก้มแฟนหนุ่มคืนอย่างหมั่นเขี้ยวไม่แพ้กัน "น่ารักที่สุด~"

   "งั้นเรามาทานข้าวกันเถอะ"

   ต้นหลิวยิ้มกว้างหลังจากเกลี้ยกล่อมจนวิรชายอมทานข้าวแต่โดยดี ทั้งสองจึงทานอาหารพร้อมกันเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน



   ซึ่งขณะที่กำลังทานอาหารอยู่นั้นก็มีเสียงเปิดประตูตู้รถไฟซึ่งมีผู้ชายสองคนกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับกล้องและไมค์เหมือนกำลังจะถ่ายทำรายการอะไรซักอย่าง โดยมีเสียงหวานของคนที่ตัวเล็กกว่ากำลังบ่นไม่หยุด

   "เช็คกล้องเรียบร้อยแล้วแน่นะกร ไม่ใช่ฉันรายงานข่าวไปแล้วลืมเปิดกล้องอีกนะ"

   "โธ่ แน่นอนน่ากันต์" รณกรตอบกลับด้วยน้ำเสียงเอ็นดูพร้อมกับชูกล้องขึ้นมาพร้อมถ่ายคนตัวเล็กที่ยิ้มแป้นอยู่ด้านหน้า "เอาล่ะพร้อมละรายงานข่าวได้เลย"

   "เยี่ยม!"

   กันต์กวินยิ้มกว้างพร้อมยกไมค์กำลังขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับรายงานข่าวท่ามกลางบรรยากาศภายในรถไฟโดยมีรณกรเป็นตากล้องคอยอัดวีดีโอเอาไว้

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่คุณผู้ชมได้รับชมอยู่ในขณะนี้นะครับ คือบรรยากาศตู้สามของขบวนรถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรถไฟเที่ยวปฐมฤกษ์ที่ได้ออกเดินทางจากสถานีกรุงเทพแล้วเมื่อห้าโมงเย็นที่ผ่านมา"

   "ขอประทานโทษนะคะผู้..."

   พนักงานรถไฟประจำตู้สามได้เดินเข้ามากำลังห้ามแต่ถูกกันต์กวินหันมายกนิ้วทาบตรงริมฝีปาก

   'ชู่~'

   พนักงานชะงักแล้วมองคนตัวเล็กที่หันกลับไปรายงานข่าวต่อหน้าตาเฉย

   "ภายในตู้นี้ทุกท่านจะได้เห็นความงามของเก้าอี้ที่เบาะนั้นทำมาจากผ้าแพรเนื้ออย่างดีซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ ด้านซ้ายคือห้องนั่งเล่นและด้านขวาคือห้องนอน แถมยังมีอาหารและพนักงานมาบริการอีก"

   "ขอประทานโทษนะคะ..."

   พนักงานเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งทำให้กันต์กวินหันมายกนิ้วขึ้นมาแนบปากใส่อีกรอบ

   'ชู่!!!'

   "แตกต่างจากตู้ที่สี่และที่ห้า ซึ่งไม่มีบริการอะไรเลยแถมไม่มีของกิน ถ้าอยากทานอาหารต้องซื้ออาหารขึ้นมาทานเองนะครับ แถมยังไม่มีห้องนอนที่แสนสบายอย่างนี้ด้วย"

   "ผู้โดยสารคะ ห้องนี้ห้ามถ่ายทำรายการค่ะ"

   พนักงานรถไฟเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามือมาบังกล้องที่รณกรกำลังถ่ายอยู่ทำให้กันต์กวินเอื้อมมาตะครุบมือแล้วปัดออกอย่างรวดเร็วพร้อมโวยวายเสียงดังลั่นอย่างลืมตัว

   "กล้องตัวนี้ราคาหลายแสนนะ เอามือมาปิดแบบนี้ได้ไง"

   "โซนนี้ห้ามถ่ายทำรายการค่ะคุณผู้โดยสาร"

   พนักงานรถไฟชี้แจงกฏของที่นี่ด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นด้วยความไม่พอใจแต่กันต์กวินไม่สนใจหันมายิ้มให้กล้องและรายงานข่าวต่อหน้าตาเฉย

   "ถ้าคุณผู้ชมสนใจบอกเลยนะครับว่าต้องจองคิวล่วงหน้านานมากจนกว่าจะได้ขึ้นรถไฟคันนี้นะครับ~ ผม กันต์กวิน นักข่าวฝึกหัดรายงาน"

   "โอเค คัท!!!"

   รณกรยิ้มกว้างออกมาอย่างพึงพอใจทำให้กันต์กวินยื่นหน้าเข้าไปเพื่อตรวจเช็คภาพในกล้องด้วยความตื่นเต้น

   "เยี่ยมมาก เดี๋ยวกรรีบไปตัดต่อให้ดีเลยนะ"

   "ได้!" รณกรตอบรับเสียงดังอย่างกระตือรือร้น "แล้วนี่จะถ่ายอะไรตรงส่วนต่ออีกไหม"

   "อืมม~"

   กันต์กวินทำท่าทางคิดก่อนจะเหลือบมองไปเห็นประตูที่เชื่อมกับตู้ที่สองจึงยิ้มหวานออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ 

   "เราไปถ่ายตู้ที่สองกันเถอะ รับรองหัวหน้าต้องชอบแน่"

   "ครับผม!"

   รณกรตอบรับพร้อมทั้งตั้งท่าจะเดินไปตู้ที่สองกันแต่กลับโดนพนักงานรถไฟมายืนขวางเอาไว้

   "รบกวนผู้โดยสารกลับไปนั่ง..."

   "ขอทางด้วยครับ"

   กันต์กวินไม่ฟังแถมดันอีกฝ่ายให้ถอยไปก่อนจะเดินตรงไปเกือบจะถึงโต๊ะที่ต้นหลิวที่กำลังนั่งทานอาหารกับแฟนสาว แต่พนักงานรถไฟตามมายืนดักอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางสุภาพแต่ไม่สามารถปิดบังความไม่พอใจได้เลยซักนิดเดียว

   "ผู้โดยสารคะ ขอความร่วมมือให้ยุติการถ่ายทำที่จะไปถ่ายห้องวีไอพีและกลับไปนั่งที่เดิมด้วยนะคะ"

   "ไม่กลับ!" กันต์กวินขมวดคิ้วแน่นและเริ่มเสียงดังใส่ด้วยความไม่พอใจ "ทำไมต้อง..."

   หมับ!

   "อื้อ!"

   กันต์กวินดิ้นไปดิ้นมาอย่างดื้อดึงเพื่อสะบัดตัวให้หลุดออกจากมือหน้าของรณกรที่เอื้อมมือมาปิดปากแน่นพร้อมก้มหัวขอโทษพนักงานรถไฟยกใหญ่

   "ขอโทษที่มาสร้างความวุ่นวายนะครับ พวกเราจะกลับไปนั่งที่แล้วแต่เทปที่อัดไปขอให้พวกเราตัดต่อไปให้หัวหน้านะครับ"

   "นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณค่ะ ขอโทษที่ขัดขวางการทำงานของพวกคุณนะคะ" พนักงานรถไฟค้อมตัวขอโทษเช่นเดียวกัน "แต่พวกเราต้องปฏิบัติตามกฏน่ะค่ะ"

   "ไม่!...อื้อ!"  กันต์กวินจะไม่ยอมแต่ถูกปิดปากอีกรอบแถมแน่นมากกว่าเดิม "อ่อยยยย!~°

   "ไม่เป็นไรครับ พวกผมขอตัวก่อนครับ"

   รณกรรีบลากเพื่อตัวเล็กให้เดินออกไปจากตรงนั้นอย่างเร่งรีบท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมาอย่างสงสัย



   เสียงโวยวายของกันต์กวินดังเข้าไปถึงแถบตู้รถไฟที่สองซึ่งเป็นชั้นวีไอพี ซึ่งถูกเหมาทั้งหมดโดยผู้จัดการนายแบบชื่อดังอย่างพีรัช ซึ่งตนเองนั้นมีนายแบบในสังกัดที่ต้องดูแลถึงสองคนที่นั่งแยกกันอยู่คนละมุมห้อง คนแรกคือรุจรวีนายแบบหน้าเด็กขนาดตัวเล็กกระทัดรัดกำลังร้องเพลงคาราโอเกะอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยมีผู้จัดการส่วนตัวกำลังนั่งดื่มชาและอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้หนังที่นำเข้าจากต่างประเทศซึ่งแอบโยกตัวบ้างตามจังหวะเสียงเพลง แต่พอมีเสียงโวยวายจากด้านนอกจึงหันไปสอบถามพนักงานที่อยู่ด้านหลังอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนการร้องเพลงของอีกคน

  "ข้างนอกเสียงดังโวยวายอะไรกัน"

   "มีคนพยายามจะเข้ามาถ่ายทำรายการในนี้ค่ะ" พนักงานรถไฟตอบพร้อมรินน้ำชาให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ "แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะคะพนักงานของเรากำลังจัดการอยู่ค่ะ"

   "อืม อย่าให้ใครเข้ามาวุ่นวายในนี้ก็แล้วกัน"

   พีรัชพยักหน้ารับก่อนที่จะหันไปสนใจเกี่ยวกับข่าวในหนังสือพิมพ์ต่อ ผิดกับนายแบบในสังกัดอีกคนอย่างเวทิตที่นอนหลับอยู่ในห้องนอนแต่เสียงร้องคาราโอเกะที่แสนน่ารำคาญนั้นดังไม่หยุดจนนอนไม่หลับทำให้ตะโกนเสียงดังขึ้นมาอย่างรำคาญ

   "รุจหยุดร้องเพลงซักทีได้ไหม! เสียงนายหลงอย่างกับเป็ด"

   "ทำอย่างกับเสียงตัวเองดีมากเลยอย่างนั้นแหละไอ้พี่ทิต!"

   รุจรวีตะโกนใส่ไมล์ให้หนวกหูมากกว่าเดิมพร้อมเชิดคอมองไปยังประตูห้องนอนอย่างยั่วโมโหก่อนที่ประตูห้องนั้นจะถูกเปิดออกอย่างแรง

   ครืดด~ปี้ง!

   "นายกล้าพูดกับรุ่นพี่อย่างนี้เลยหรอหะรุจ"

   เวทิตเดินบึงปังออกจากห้องนอนแล้วตรงเข้ามาหารุจรวีที่ไม่กลัวแถมตอบอย่างลอยหน้าลอยตากวนโมโหอีกฝ่ายเล่น

   "ตอนนี้ไม่ใช่เวลางานและไม่ได้อยู่ในบริษัทด้วยเพราะฉะนั้นฉันก็ไม่ผิดที่จะไม่เคารพนาย เหมือนที่เคยตกลงกันไว้ไม่ใช่หรอ ลืมไปแล้วรึไง"

   "รุจ!!!"

   เวทิตกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายให้เคลื่อนตัวเข้ามาหาตนเองอย่างรุนแรงจนอีกฝ่ายต้องหันไปฟ้องผู้จัดการ

   "พี่รัช! พี่ทิตมาหาเรื่องผมอ่ะครับ"

   "อย่าทะเลาะกันเลยน่ะ ทิตปล่อยมือออกจากคอเสื้อรุจเดี๋ยวนี้"

   พีรัชพยายามไกล่เกลี่ยแต่เวทิตไม่ยอมปล่อย

   "พี่เข้าข้างหมอนี่ตลอดเลยอ่ะ ลืมแล้วหรอว่าพี่เป็นผู้จัดการผมมาก่อนนะ"

   "ปล่อยเดี๋ยวนี้"

   พีรัชเน้นทีละคำทำให้เวทิตยอมปล่อยก่อนจะโดนรุจรวีแตะเข้าที่หน้าแข้งอย่างแรงแล้ววิ่งไปหลบอยู่หลังของพีรัชซึ่งไม่วายแอบแลบลิ้นใส่อย่างน่าหมั่นไส้

   "แบร่~"

   "พี่ดูหมอนั่นซิ!"

   เวทิตฟ้องเสียงดังอย่างเอาแต่ใจแต่พีรัชไม่สนกลับหลังหันไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่ออย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนรุจรวีเหยียดยิ้มใส่อย่างเยาะเย้ยก่อนจะยกไมล์ขึ้นมาร้องเพลงต่อเสียงดังลั่น ทำให้เวทิตเดินฮึดฮัดเข้าห้องนอนไปพร้อมกับความไม่พอใจเพราะคนอย่างพีรัชเป็นคน 'สองมาตรฐาน' ตั้งแต่ที่มีรุจรวีเข้ามานั่นแหละ



   ทางด้านของรณกรลากกันต์กวินมาจนถึงที่นั่งหลังจากขัดขืนกันอยู่นาน ทำให้กันต์กวินที่ดิ้นอยู่นั้นสะบัดมือของอีกฝ่ายที่ปิดปากอยู่ทิ้งแล้วผลักคนตรงหน้าอย่างแรงด้วยความโมโห

   พลัก!

   "รณกร!!!"

   "จ๋า~"

   รณกรตอบเสียงใสพร้อมทำลอยหน้าลอยตาจนกันต์กวินมองตาขวาง

   "เฮอะ!"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีพร้อมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างแรงและทำหน้ามุ่ยตลอดเวลาด้วยความหงุดหงิดโดยที่ทำเป็นไม่สนใจรณกรที่ยื่นหน้ามาใกล้อย่างหยอกล้อ

   "กันต์~"

   "เชอะ!"

   กันต์กวินพลักหน้าอีกฝ่ายให้ออกห่างจากตนเองแถมไม่ยอมมองหน้าอีกต่างหากเลยซักนิด ทำให้รณกรหน้าเจือนลงก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออกจึงแอบหยิบกล้องขึ้นมาแล้วถ่ายรูปโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว

   'แชะ!'

   "โห~ รูปน่าเกลียดจังเลย"

   รณกรแกล้งทำเป็นถ่ายรูปน่าเกียจทำให้กันต์กวินมองค้อนด้วยความขัดใจ

   "กร!"

   "ฮะฮะ"

   ท่าทางขัดใจแบบนั้นทำให้รณกรหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูซึ่งกันต์กวินทำท่าทางแง่งอน


   "ถ่ายใหม่"

   "เอ..." รณกรแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน "อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย"

   "ถ่ายรูปใหม่เลยนะ" กันต์กวินทำแก้มพองลม "รูปนั้นมันน่าเกลียดไม่ใช่หรอ"

   "แล้วกันต์หายโกรธแล้วหรอ"

   "ไม่ได้โกรธแค่งอนเท่านั้นเอง"

   กันต์กวินยังรู้สึกเคืองจึงสะบัดหน้าหนีไปมองวิวด้านนอกทำให้รณกรแอบถ่ายอีกรอบ

   แชะ!

   "ยังน่าเกลียดเหมือนเดิม"

   "กรอ่ะ"

   กันต์กวินทำเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะอมยิ้มออกมาซึ่งรณกรที่รออยู่แล้วรีบกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว

   แชะ! แชะ!

   "รูปนี้ซิถึงจะสวย"

   "ไหนดูซิ" กันต์กวินชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูรูปก่อนจะยิ้มกว้างออกมาอย่างพึงพอใจ "สวยจริงด้วย...ขอแบบนี้อีกนะ"

   "ไหนยิ้มกว้างกว่านี้ซิ"

  แชะ! แชะ!

  "เอียงข้างหน่อยซิ"

   แชะ! แชะ!

   พอกันต์กวินหายโกรธทั้งสองคนจึงเปลี่ยนมาเป็นถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางสายตาของพลทัพที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านหลังกำลังทำหน้าตาไม่พอใจเพราะทั้งสองเสียงดังมากแต่พอเห็นรอยยิ้มของกันต์กวินจึงเลือกที่จะเมินเฉยไม่อยากมีเรื่อง แล้วหันไปชมพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินทอแสงตัดกับอ่างเก็บน้ำที่กำลังแล่นผ่านพอดีช่างสวยงามเหมือนกับ...

   "ว๊าว! กรดูนั่นซิพระอาทิตย์กำลังตกดินแล้ว"

   กันต์กวินยิ้มกว้างพรางชะโงกหน้าออกไปรับลมด้านนอก เส้นผมสีน้ำตาลอมดำที่ปลิวไปตามแรงลม แววตาพราวระยับเหมือนผิวน้ำทำให้พลทัพลอบมองอย่างไม่ละสายตา

   ...สวยงามเหมือนกับนายนั่นล่ะมั้ง...

   ทุกคนในขบวนรถไฟต่างชมพระอาทิตย์กันอย่างมความสุขสมกับเป็นจุดเด่นสำคัญในการนั่งรถไฟครั้งนี้นั่นเอง แต่ทว่าใครจะรู้ว่าตอนกลางคืนท่ามกลางความงดงามและหรูหรากลับมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นโดยที่ทุกชีวิตไม่ทันตั้งตัว



*******************

สวัสดีจ้า~
ฤกษ์งามยามดีอย่างนี้
เหมาะแก่การแอบย่องมาเปิดเรื่องใหม่
ยังไงฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ~ :กอด1:

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 2


   คืนนั้นเองระหว่างที่รถไฟกำลังแล่นอยู่นั้นภายในห้องประชุมของตู้รถไฟตู้แรกซึ่งเป็นชั้นวีไอพีเฟิร์สคลาส กำลังมีการเจรจาธุรกิจระหว่างวรนพ นักธุรกิจที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศครอบคลุมธุรกิจทางด้านการค้าการส่งออก กำลังนั่งร่วมโต๊ะกับรติกรนักธุรกิจที่ร่ำรวยและมีเกียรติยศมาก มีธุรกิจใหญ่โตใจดีมีเมตตาชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ทั้งสองคนต่างเจรจาเรื่องธุรกิจกันอย่างไม่เคร่งเครียดนัก

   "สินค้าที่เราส่งออกต่างประเทศรอบนั้นลูกค้าคนสำคัญได้รับของแล้วนะครับ ทางนั้นพึงพอใจกับสินค้าที่ส่งไปมากเลยล่ะ"

   "จริงหรือครับ" รติกรยิ้มกว้างออกมาอย่างถูกอกถูกใจ "ดีจังเลยนะครับ เด็กที่นั่นจะได้มีความสุขไม่ต้องลำบากอะไรแบบนั้นอีก"

   "สินค้าอะไรหรอคะคุณพ่อ"

    รวิสราลูกสาวคนเดียวของรติกรถามขึ้นมาอย่างสนใจขณะกำลังนั่งถักไหมพรมอยู่ตรงโซฟาหนังสัตว์อย่างดี รติกรจึงหันไปตอบคำถามลูกสาวด้วยรอยยิ้ม

   "สิ้นค้าพวกเครื่องกันหนาว รองเท้าหนัง หมวกไหมพรม ถุงมือ แล้วก็อาหารแห้งอีกนิดหน่อยน่ะลูก เด็กที่นั่นลำบากมากเลยนะ พ่อเห็นแล้วก็สงสารเลยให้คุณวรนพช่วยจัดการเรื่องส่งสินค้าไปให้น่ะ"

   "ดีจังเลยค่ะคุณพ่อ ส่งสินค้าอีกเมื่อไหร่บอกหนูด้วยนะคะจะได้ฝากพวกเสื้อไหมพรมที่หนูถักไว้ไปด้วยเลย"

   คำถามของรวิสราเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญทั้งสองคนออกมาอย่างเอ็นดู

   "ฮึฮึ ไม่ทันแล้วลูกสิ้นค้ารอบใหม่พึ่งออกจาก ท่าเรือไปเมื่อเย็นวันนี้เอง"

   "อ้าว"

   รวิสราทำท่าทางเสียดายทำให้รุ้งพรายที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของโซฟาพูดขึ้นมาด้วยท่าทางหมั่นไส้

   "เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องทำท่าทางเสียดายขนาดนั้นเลย"

    "ยัยรุ้ง!" วรนพเอ็ดลูกสาวคนเดียวของตนเองอย่างเหนื่อยใจ "พูดแบบนั้นได้ยังไงเนี่ย เสียมารยาท"

   "คุณพ่ออ่ะ!"

   รุ้งพรายสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างขัดใจทำให้วรนพรีบขอโทษแทนลูกสาวทันทีที่เห็นรติกรเริ่มหน้าตาบึ้งตึง

   "ขอโทษด้วยนะครับคุณรติกร ลูกสาวผมเป็นแบบนี้แหละอย่าไปใส่ใจเลย"

   "ไม่เป็นไรน่า" รติกรส่ายหน้าพร้อมยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ "นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมขอตัวกลับห้องไปพักผ่อนที่ห้องก่อนนะครับ"

   "ผมก็ขอตัวเช่นกันแต่อย่าลืมมาให้ทันงานเลี้ยงคืนนี้นะครับ"

   วรนพลุกขึ้นเดินไปส่งรติกรถึงตรงประตูห้องประชุมด้วยรอยยิ้ม

   "ยินดีที่ได้ทำธุรกิจร่วมกันครับ"

   "ยินดีเช่นกันครับ"

    ทั้งสองจับมือกันด้วยรอยยิ้มเป็นการปิดท้ายก่อนจะเดินแยกกันเพื่อกลับห้องของตนเอง ตามมาด้วยรุ้งพรายที่เดินสะบัดออกไปโดยไม่ได้ลาแต่รวิสราไม่สนใจพร้อมนั่งถักไหมพรมต่อไปโดยไม่รับรู้ถึงแววตาหนึ่งที่แอบมองอยู่ในความมืด




    หลังจากประชุมเสร็จรติกรก็เดินกลับมายังห้องนอนของตนเองซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในรถไฟทั้งขบวนซึ่งมีการตกแต่งอย่างหรูหราฟู่ฟ่า เตียงนอนขนาดใหญ่ที่แสนนุ่มตั้งอยู่กลางห้องรายรอบไปด้วยของตกแต่งที่มีค่ามากมาย รติกรเปิดประตูห้องและกำลังเดินเข้าไปด้านในอย่างอารมณ์ดีโดยไม่ได้ระวังว่ามีใครบางคนกำลังจู่โจมเข้ามาประชิดตัวจากทางด้านหลัง!

   "อะ!...อึกกกก!"

   เสียงฮัมเพลงขาดหายไปเมื่อโดนเชือกเส้นหนารัดคอจากด้านหลังจนแน่นซึ่งรติกรเองก็พยามยามร้องขอความช่วยเหลือแต่กลับถูกผลักดันเข้าไปในห้องพร้อมกับประตูที่ปิดลงอย่างแรง

   ปึ้ง!!!

   ประตูบานใหญ่ปิดสนิทท่ามกลางความมืดมิดและเงียบสงบทำให้ได้ยินเสียงลมหายใจที่ติดขัด

   "แคก! อึก!!!"

   "ในที่สุดฉันก็หาตัวแกเจอจนได้"

   เสียงอู้อี้ที่ดังอยู่ข้างหูทำให้รติกรดิ้นไปมาด้วยความหวาดกลัว

   "แก...แฮก!...คือใคร"

   "ใครหรอ...ฮะฮะฮะ"

    คนด้านหลังหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งก่อนจะเพิ่มแรงรัดให้แน่นเข้าไปมากกว่าเดิมจนหายใจไม่ออก

   "ตัวแทนคนที่แกไปฆ่าครอบครัวพวกเขาไง"

   "แคก! อึก!!!"

    รติกรหายใจไม่ออกแต่พยายามอย่างหนักที่จะให้หลุดจากเชือกที่กำลังรัดคอซึ่งอีกฝ่ายเหมือนจะรู้จึงเพิ่มแรงมากขึ้นกว่าเดิม

    "จำไม่ได้ซินะ"

    คนด้านหลังแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับมีดเล่มหนึ่งที่ถูกหยิบออกมาสะท้อนกับแสงไฟในห้องทำให้รติกรเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว

   "ไม่เป็นไร ฉันจะเตือนความจำให้แกเอง"

    ฉึก!

   "อ๊ากกก"

   เสียงมีดแหลมคมที่แทงลงไปแถวหน้าท้องทำให้รติกรร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

   "อ๊ากกก"

   "จำได้ไหม"

  เสียงกระซิบข้างหูพร้อมกับมีดที่ทิ่มลงมาอีกครั้ง

   ฉึก!

   "อ๊ากกก"

   "จำได้รึยัง"

   สิ้นเสียงแค่นั้นร่างของรติกรก็ถูกเหวี่ยงลงไปตรงพื้นไม้ข้างเตียงพร้อมไฟทั้งห้องที่ดับลงทำให้มองไม่เห็นว่าคนบุกรุกนั้นคือใคร ซึ่งรติกรนั้นรีบถดตัวหนีคนที่กำลังถือมีดเข้ามาหาด้วยท่าทางคุกคาม จนสุดท้ายต้องยกมือขึ้นมาไหว้อย่างหวาดกลัว

   "ฮึกฮือ อย่าฆ่าฉันเลย แกอยากได้อะไรแกเอาไปให้หมดเลย"

   "ทุกอย่างหรอ"

   แสยะยิ้มพร้อมเดินเข้ามาใกล้อีกนิดทำให้รติกรตัวสั่นมากกว่าเดิม

   "ใช่~ ในกระเป๋านั้นมีเงินมากมายแต่ถ้าแกยังไม่พอก็ปล่อยฉันไปแล้วฉันจะโอนเข้าบัญชีแกให้"

   "หึ!"

    เสียงหัวเราะในลำคอพร้อมมีดที่ปักลงมาเฉียดหน้าไปนิดเดียวทำให้รติกรชะงักพร้อมเนื้อตัวที่สั่นจนห้ามไม่ไหวก่อนจะถูกตวาดเสียงดังลั่น

   "แกนึกว่าฉันโง่รึไง!!!"

    ปึก!

   "โอ๊ย! อย่าฆ่าฉันเลย"

   รติกรร้องไห้พร้อมยกมือขึ้นมาไหว้อย่าหมดหนทางทำให้คนที่มองอยู่นั้นหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

   "หึหึ! สิ่งที่ฉันอยากได้ที่สุดตอนนี้อยู่กับนายแล้ว"

   "อะ...อะไรที่แกอยากได้"

    รติกรถามออกมาอย่างมีความหวังก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย

    "ชีวิตของแกไง!!!"

   ฉึก! ฉึก! ปั้ก!

   "อ๊ากกกกกกกก!"

   เสียงหวีดร้องโหยหวนราวกับเหยื่อกำลังดิ้นรนหนีอย่างทรมาณ การฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมได้เปิดฉากขึ้นท่ามกลางรถไฟที่หรูหราแห่งนี้   ซึ่งตอนนั้นเองคนขับรถไฟที่ตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเสร็จแล้วจึงเดินออกมาตรวจสอบความเรียบร้อยของชั้นวีไอพีเฟิร์สคลาส

   ปั้ก!

   ขณะที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องที่ใหญ่ที่สุดก็ได้ยินเสียงผิดปกติตรงห้องของคุณรติกรจึงลองเคาะประตูห้องอย่างแผ่วเบา

   ก๊อก! ก๊อก!~

   "คุณรติกรเป็นอะไรรึเปล่าครับ"

   แต่ทว่าเคาะประตูไปเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาทำให้คนขับรถไฟขมวดคิ้วด้วยความเป็นกังวล

   ก๊อก! ก๊อก!~

   "คุณรติกรครับ"

    เมื่อเห็นว่าเงียบผิดปกติจนเกินไปจึงเปิดประตูห้องเข้าไปพบกับความมืดมิดมองอะไรแทบไม่เห็นจึงร้องเรียกอีกครั้ง

   "คุณรติกรอยู่ในนี้รึเปล่าครับ"

   สิ่งที่ได้กลับมาคือความมืดและความเงียบพร้อมกับกลิ่นที่เหม็นคาว

   "เหม็น!?...งั้นผมขออนุญาตเปิดไฟนะครับ"

   คนขับรถไฟจึงตัดสินใจเปิดไฟ พอไฟในห้องสว่างขึ้นมาให้เห็นผนังห้องสีครีมเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ข้าวของถูกรื้อค้นกระจัดกระจายและบนพื้นห้องเลอะเทอะไปด้วยเลือดที่ลากเป็นรอยทางยาวจึงเดินตามรอยเลือดนั้นจนไปถึงเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องพบศพของรติกรนอนตายอยู่บนเตียง ทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยมีดที่แทงลงไปนับครั้งไม่ถ้วนไม่นับรอยบนศีรษะที่แตกเป็นทางยาวจนแทบยุบลงไปครึ่งกระโหลก คนขับรถไฟยืนนิ่งอยู่กับที่ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนที่จะได้ขยับตัวเพื่อที่ออกไปเรียกคนข้างนอนนั้น

   ปึ้ง! ฟึบ!

   "เฮ้ย!"

   ประตูห้องที่ถูกปิดพร้อมไฟที่ดับลงสู่ความมืดอีกครั้ง คนขับรถไฟมองซ้ายขวาด้วยความตื่นตระหนกและรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ในห้องนี้ด้วยนอกเหนือจากตนเอง

   "ใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ"

   ตะโกนออกไปราวกับข่มขู่ให้อีกฝ่ายกลัวท่ามกลางความมืดและเสียงรถไฟที่แล่นไปตามราง โดยไม่ทันได้ระวังตัวใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดกระโจนเข้ามาจัดการคนขับรถไฟอย่างแม่นยำพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้นอีกครั้งอย่างทรมาน

   ฟึบ! ฉึก!

   "อ๊ากกกก"




   ตอนกลางคืนที่มืดสนิททุกชีวิตบนรถไฟต่างหลับใหล จึงได้ยินเพียงเสียงรถไฟที่เคลื่อนที่ไปตามราง ท่ามกลางความมืดนั้นไม่มีใครสังเกตเห็นใครบางคนที่แต่งตัวเป็นคนขับรถไฟลอบเข้าไปในห้องควบคุมรถไฟจัดการอะไรบางอย่างกับระบบที่กำลังขับเคลื่อนรถไฟนั้นอย่างใจเย็นและไม่รีบร้อน

   กริ๊ก!

   'ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติหยุดการทำงาน'

   กริ๊ก!

   'ระบบเส้นทางหยุดทำงาน...กรุณากรอกเส้นทางที่ต้องการ'

   'กรุณากรอกเส้นทางที่ต้องการ"

   'กรุณากรอกเส้นทางที่ต้องการ'

   กริ๊ก!

   'ระบบรถไฟทั้งหมดหยุดทำงาน'

   "หึ!"

   เสียงหัวเราะในลำคอหลังจากได้ยินข้อความนั้นดังขึ้นพร้อมสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้น

   'สัญญาณฉุกเฉินทำงานอัตโนมัติ'

   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งงงงง!!!

   ทุกอย่างถูกระงับทำให้รถไฟทั้งคันเสียหลักไถลไปตามรางรถไฟอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงสัญญาณฉุกเฉินที่ดังขึ้นท่ามกลางเสียงวุ่นวายของคนบนรถไฟ ใครบางคนนั้นเหยียดยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางความมืด




   ในระหว่างที่กำลังไถลไปตามรางอยู่นั้นความวุ่นวายได้เกิดขึ้นโดยเฉพาะตู้รถไฟตู้ที่สามชั้นเฟิร์สคลาส

   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งงงงง!!!

   "ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับ" ต้นหลิวเดินฝ่าผู้คนที่กำลังวิ่งวุ่นวายไปยังหน้าห้องน้ำที่ถูกปิดสนิทก่อนจะเคาะประตูเรียกอย่างร้อนใจ

  ก๊อก! ก๊อก!

   "เวย์! เวย์ครับ!"

   ผลัก!

   แต่เคาะหลายครั้งไม่มีเสียงตอบกลับมาทำให้ต้นหลิวผลักประตูห้องน้ำอย่างแรงแต่ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า

   "เวย์หายไปไหนหรือว่าจะไปเข้าห้องน้ำตู้นู้น"

   ต้นหลิวพยายามมองหาตัวของวิรชาไปโดยรอบแต่กลับไม่เจอจึงตัดสินใจผลักประตูตู้ที่สี่ให้เปิดออกจึงพบกับภาพของผู้คนที่กำลังวิ่งชนกันไปมาอย่างตื่นกลัวและค่อนข้างวุ่นวายมาก

   'วี๊ด! นั่นของฉัน'

   'ของฉันต่างหากล่ะ'

   'โอ๊ย! กล้าผลักฉันหรอ!!!'

   "ขอทางหน่อยนะครับ...เหวอ!!!"

   ปึก!

   ต้นหลิวพยายามฝ่าผู้คนที่กำลังทะเลาะแย่งขาวของกันแล้วเผลอชนจนตนเองเสียหลักถลาเอาหน้าไปชนหลังของคนที่ยืนด้านหน้าทำให้ต้องยกมือขึ้นมากุมจมูกด้วยความเจ็บปวด

   "โอ๊ย! เจ็บจัง"

   "เจ็บมากไหมครับ"

   วรภพหันมาถามคนที่เดินมาชนหลังตนเองด้วยความเป็นห่วงก่อนจะตกตะลึงเพราะคือคนเดียวกันกับคนที่เจอเมื่อตอนเย็น

   "คุณนั้นเอง! จำผมได้ไหม"

   "เอ่อ..." ต้นหลิวชะงักไปนิดก่อนจะยิ้มกว้างออกมาอย่างเป็นมิตร "อ๋อ! คุณเองหรอ"

   "คุณกำลังจะไปไหน"

   วรภพถามด้วยความสงสัยพร้อมกับคว้ากระเป๋าของตนเองมาสะพายก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบจากอีกฝ่ายที่พยายามแทรกตัวเบียดเข้ามา

   "ผมกำลังจะไปหาคู่หมั้นที่ห้องน้ำน่ะครับ งั้นหลบทางให้ผมหน่อยนะครับ"

   "เดี๋ยวซิ! จะไปตามหาตอนนี้ไม่ทันแล้วนะ พวกเราต้องรีบหนีออกจากที่นี่ก่อนที่รถไฟจะเสียหลักไปมากกว่านี้"

   วรภพจับแขนเล็กเอาไว้แต่ต้นหลิวกลับดึงแขนออกอย่างสุภาพ

   "คุณหนีไปก่อนเถอะครับเพราะผมจะรีบไปหาคู่หมั้นน่ะ ถ้าเจอตัวแล้วจะได้รีบหนีไปพร้อมกัน"

   "ไม่ทันหรอกครับ รีบไปกับผมก่อนเถอะ"

   วรภพจับแขนเล็กอีกครั้งแน่นกว่าเดิมจนต้นหลิวเบิกนากว้างด้วยความตกใจ

   "ไม่ไปครับ ปล่อยผมเถอะ"

   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งงงงง!!!

   แต่ยังไม่ทันที่จะได้เถียงอะไรกันมากไปกว่านั้นระบบไฟทั้งหมดในขบวนก็กระตุกพร้อมกับสัญญาณเตือนที่ดังอย่างต่อเนื่องและล้อรถข้างหนึ่งเกิดเสียหลักหลุดรางทำให้รถไปทั้งขบวนไถลเข้าไปในดงป่า

   ตึก! ครืดดดดด!!!

   "เหวอ!"

   ต้นหลิวเสียหลักล้มลงไปกระแทกกับพื้นรถไฟทั้งตัวทำให้วรภพรีบประคองอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยการกอดเอวจากด้านหลังและหาพนักพิงเก้าอี้แถวนั้นจับเอาไว้แน่นเพื่อต้านทางแรงสั่นสะเทือนของตัวรถไฟ

   "ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องรีบไปตรงประตูให้เร็วที่สุด"

   "ไม่ไป! ผมจะไปหาเวย์"

   ต้นหลิวพยายามดิ้นหนีอย่างดื้อดึงแต่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้จึงโดนลากตัวไปตามทางเดินในรถไฟที่แสนแคบแถมต้องพยายามฝ่าผู้คนที่รนรานหาที่ยึดเพื่อไม่ให้กลิ้งไปตามแรงรถไฟ วรภพลากคนตัวเล็กที่พึ่งรู้จักกันในวันนี้ไปตรงประตูฉุกเฉินที่พึ่งถูกเปิดออกและมีคนกระโดดลงไปก่อนหน้านั้นแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งวรภพตั้งท่ากำลังจะโดดตามแต่ต้นหลิวกลับขืนตัวไว้ไม่ยอมโดด

   "ไม่! ผมไม่โดด"

   "ต้นหลิวคะ...ที่รักรอเวย์ด้วยค่ะ!"

   เสียงเรียกจากด้านหลังซึ่งพอหันไปดันเห็นวิรชาที่เปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี

   "เวย์!"

   ต้นหลิวตะโกนเรียกชื่อคู่หมั้นและพยายามยื้อเอาไว้ไม่ยอมโดดแถมตั้งท่าจะเดินกลับไปหาวิรชาที่ยืนตัวสั่นร้องเรียกอยู่ตรงแถวหน้าห้องน้ำด้วยความหวาดกลัว

   ครึก! ครูดดดดด!!!

   "ว๊ายยยย"

   แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้นตัวรถไฟทั้งขบวนดันเอียงไปทางด้านหลังเรียกเสียงกรีดร้องดังก้องขบวนอย่างหวาดกลัว ทว่าต้นหลิวยังดึงดันพยายามจะฝืนตัวเองออกจากการเกาะกุมของวรภพเพื่อจะไปหาวิรชาที่ล้มลงไปกองกับพื้นซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งทั้งด้วยความเป็นห่วง

   "ปล่อยเถอะ ผมจะต้องไปหาคู่หมั้น"

   "ผมคงจะปล่อยคุณให้กลับไปไม่ได้หรอก"

   วรภพกอดเอวอีกฝ่ายแน่นไม่ยอมปล่อยพร้อมดันให้ไปยืนตรงหน้าประตูอีกครั้ง

   "โดดซิ"

   "ไม่"

   คำตอบนั้นทำให้วรภพตัดสินใจออกแรงพลักต้นหลิวกระเด็นออกไปด้านนอกแล้วรีบกระโดดตามไปทันทีก่อนที่จะเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น

   บึ้มมมมมม!

   แสงสีส้มเพลิงพุ่งกระจายขึ้นไปตัดกับท้องฟ้าที่เป็นสีดำสนิท เสียงหวีดร้องดังระงมเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ท่ามกลางเพลิงที่ลุกไหม้รถไฟทั้งห้าตู้อย่างรวดเร็วและรุนแรงจนแทบจะไม่มีใครมีชีวิตรอดออกมาเลยซักคน


***************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 3



   แสงสีส้มเพลิงอาบย้อมรถไปทั้งขบวนให้กลายเป็นเปลวเพลิงโหมไหม้อย่างรุนแรงปนไปกับเสียงร้องโหยหวนของผู้คนยังคงดังขึ้นมาอย่างทรมาณ ตามแนวชายป่าที่ถัดมาจากตัวซากรถไฟนั้นปรากฏร่างของพลทัพนอนนิ่งอยู่บนพื้นหินก่อนที่ดวงตาคมจะลืมตาโพลงขึ้นมาพร้อมลมหายใจที่หอบอย่างตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นจนพอมีสติกลับมาครบถ้วนจึงพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง

   "โอ๊ย~"

   ร้องออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บตรงข้อศอกก่อนจะหันไปมองความเสียหายรอบตัวแล้วหันมาสะดุดตากับกันต์กวินที่นอนสลบอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักจึงลุกขึ้นเดินไปใกล้มองสภาพของอีกฝ่ายที่ตามเนื้อตัวนั้นมีแผลถลอกแต่ไม่น่าจะเป็นอะไรร้ายแรง พลทัพเอื้อมมือเข้าไปเขย่าตัวพยายามจะปลุกอีกฝ่าย

   "นี่...ตื่นซักที!"

   ไม่มีเสียงตอบรับแถมยังนอนนิ่งไม่ไหวติงทำให้พลทัพขมวดคิ้วแน่นอย่างเป็นกังวล ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อหวังจะฟังเสียงลมหายใจแต่ดวงตากลมโตดันลืมขึ้นมาพอดีจ้องมองมาอย่างตกใจ

   "นาย!!! จะทำอะไรน่ะ!"

   "ตกใจทำไมล่ะ"

   พลทัพตอบกลับอย่างหงุดหงิดเพราะพออีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาก็ดันโวยวายใส่ตนเองยกใหญ่แถมทำหน้าตาอย่างกับเขาเป็นโรคจิต

   "แค่จะฟังเสียงลมหายใจ นึกว่าตายไปแล้ว"

   "ข้ออ้าง!"

   กันต์กวินสวนกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดตัวเองด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ

   "คนโรคจิต ชอบรุ่มร่าม"

   "ผู้ชายเหมือนกันจะอะไรมากมายห๊ะ"

   พลทัพเริ่มโมโหลุกขึ้นยืนพร้อมเอื้อมมือไปเพื่อหวังจะช่วยพยุงแต่อีกฝ่ายกลับถอยหลังแล้วร้องโวยวาย

   "อย่าเข้ามานะ! ช่วยด้วย!~"

   "อะไรของนายเนี่ย"

   พลทัพเริ่มหมดความอดทนเอื้อมมือไปจับต้นแขนทั้งสองข้างแล้วกำลังจะกระชากอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน แต่กลับโดนใครบางคนแทรกกลางแล้วผลักตัวเองออกอย่างแรง

   "กันต์! เป็นอะไรบาดเจ็บตรงไหนไหม"

   "กร!!!"

   กันต์กวินโผกอดร่างสูงของเพื่อนสนิทแน่นพรางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขี้นบนรถไฟ




   ท่ามกลางตอนกลางคืนที่กำลังนอนหลับสนิทบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ปูออกมาเป็นที่นอนอยู่นั้นเองก็เกิดมีเสียงสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้นมาจนพากันตื่นตกใจกันเป็นแถบ

   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งงงงง!!!

   "โอ๊ะ!"

   กันต์กวินเองสะดุ้งตื่นขึ้นมาเช่นกันเห็นระบบไฟฟ้าติดดับตลอดเวลาแถมรถเสียหลักไถลไปตามรางรถไฟอย่างรวดเร็ว

   "เกิดอะไรขึ้น!"

   "ไม่รู้เหมือนกันแต่เรามาเก็บของกันก่อนเถอะ"

   รณกรคว้ากระเป๋าสัมภาระทั้งของตนเองและของกันต์กวินมาถือเอาไว้  แต่กันต์กวินกลับแย่งไมค์มาถือทำให้เพื่อนสนิทมองอย่างไม่เข้าใจ

   "จะทำอะไรน่ะกันต์"

   "รายงานข่าว" กันต์กวินตอบหน้าตาเฉยพร้อมมองมาด้วยความขัดใจ "ยืนนิ่งทำไมล่ะยกกล้องขึ้นมาซิ"

   "ห๊ะ!"

   รณกรตกใจในคำตอบของเพื่อนแต่ก็หยิบกล้องขึ้นมาตามคำสั่งของกันต์กวินที่ยิ้มให้กล้องแล้วรายงานข่าวทั้นที

   "คุณผู้ชมครับ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือบรรยากาศความวุ่นวายของผู้โดยสารทั้งหมดที่อยู่บนรถไฟ ซึ่งตอนนี้เกิดระบบความขัดข้อง เกิดเสียงสัญญาณฉุกเฉินร้องเตือนและหลังจากนั้นไม่นานรถไฟทั้งคันรถเสียหลักไถลไปตามรางรถไฟอย่างรวดเร็วประมาณเกือบห้านาทีกว่าแล้วยังไม่ได้รับการแก้ไขครับ แล้วในขณะนี้..."

   ตึก! ครืดดดดด!!

   "เหวอ~"

   กันต์กวินร้องเสียงหลงและหงายหลังไปในจังหวะที่รถไฟทั้งคันรถเสียหลักหลุดจากรางไถลเข้าไปในดงป่าแต่โชดดีที่ก้นไม่ได้กระแทกพื้นแต่ดันไปนั่งทับบนตักของพลทัพทำให้ไมค์ดันไปฟาดกับพนักพิงเก้าอี้อย่างแรงจนแตกกระจาย

   "ไมค์ฉัน!!!"

   กันต์กวินเอามือขยุ้มผมตัวเองก่อนจะหันมาโวยวายใส่คนที่ตนนั่งตักเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพื่อนของตนเอง

   "ทำไมนายไม่รับไมค์ฉันเลยห๊ะกร!!!"

   "ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ใช่กรของนาย"

   พลทัพตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ทำให้กันต์กวินรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนจะหล่นลงมาทับบนตักของพลทัพอีกครั้งเพราะล้อรถไฟดันไปสะดุดกับก้อนหินใหญ่อย่างแรง

   ตุ๊บ!

   "โอ๊ยหนัก! นายกินอะไรบ้างเนี่ย"

   "ไม่ได้หนักนะ!"

   กันต์กวินสวนกลับทันทีก่อนที่จะเอนตามแรงของรถไฟที่โยกเยกสั่นสะเทือนทำให้พลทัพต้องกอดเอวอีกฝ่ายไว้แน่นแต่ดูเหมือนเอวจะบางกว่าที่คิดเอาไว้พรางจ้องไปยังรณกรที่กำลังเก็บกล้องและอุปกรณ์ใส่กระเป๋าพอดีกับที่กันต์กวินตะโกนเรียกพอดี

   "กร! ช้าจังทำอะไรอยู่น่ะฉันจะถ่ายต่อ"

   "รถไฟจะคว่ำตายอยู่แล้วยังจะถ่ายต่ออีกหรอ"

   ไม่ใช่รณกรที่บ่นแต่เป็นพลทัพที่ค้านขึ้นมาพร้อมรถไฟที่สั่นสะเทือนยิ่งกว่าเดิมแต่ยังไม่ทันที่กันต์กวินจะเถียงอะไรก็ถูกพลทัพอุ้มขึ้นมากอดแนบอกจนตัวลอยแล้วเดินไปตรงประตูรถไฟที่เปิดกว้างทำให้กันต์กวินเอื้อมมือไปกอดคอแน่นแต่พยายามขืนตัวให้ออกห่างอีกฝ่ายไว้สุดฤทธิ์

   "จะทำอะไรน่ะ!"

   "โดด"

   คำสั่งเด็ดขาดทำให้กันต์กวินที่พอเห็นความเร็วของรถไฟก็รีบส่ายหน้าทันทีพร้อมดิ้นสุดแรง

   "ไม่โดดอ่ะ...ไม่เอา!"

   "ไม่ได้บอกให้นายโดด นายต่างหากที่ต้องโดดไปก่อน"

   คำตอบของพลทัพทำให้กันต์กวินหน้าเหวอรวมถึงรณกรที่ตอบรับด้วยความมึนงง

   "เอ่อ...ได้"

   ครึก! ครูดดดดด!!!

   "ว๊ากกกก!"

   กันต์กวินแหกปากร้องดังลั่นเมื่อรถไฟเอียงไปด้านหลังและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รณกรกระโดดออกไปตามด้วยพลทัพกระโดดตามลงมาโดยที่ยังอุ้มตนเองไม่ยอมปล่อยก่อนที่รถไฟทั้งขบวนจะเกิดระเบิดขึ้น

   บึ้มมมมมม!




    กลับมาปัจจุบันกันต์กวินยังคงนั่งมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่ไว้วางใจทำให้ซึ่งพลทัพก็ทำหน้ามุ่ยลง

   "นั่งมองแบบนั้นคงได้ตายไปก่อนที่หน่วยช่วยเหลือจะมาถึง"

   "แล้วจะมาสนใจทำไมล่ะ"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีแล้วเชิดหน้าใส่อย่างแง่งอนทำให้รณกรต้องคอยไกล่เกลี่ย

   "เอาน่ากันต์ ไปด้วยกันเถอะอย่างน้อยจะได้มีเพื่อนร่วมทางนะ"

   "แต่..."

   "กันต์ อย่าดื้อซิ"

   รณกรทำเสียงดุพร้อมกับประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืนทำให้กันต์กวินทำปากยื่นใส่เพื่อนอย่างแง่งอนก่อนจะยอมเดินตามแต่โดยดี

   "ก็ได้"

   "รีบเดินได้ละ"

   พลทัพที่เดินนำหน้าไปนั้นหันมาตามทำให้กันต์กวินดื้อดึงเล็กน้อยตั้งท่าจะไม่ยอมเดินตามแต่มีรณกรดันอยู่ด้านหลังจึงจำยอมเดินตามทั้งที่กำลังขัดใจ ทั้งสามเดินมาไม่ไกลนักเดินมาเจอวรภพกำลังฉุดรั้งไม่ให้ต้นหลิวเข้าไปค้นหาคู่หมั้นของตนเองในกองเพลิง

   "ฮือ~ เวย์ครับ...เวย์"

   "คุณต้องตั้งสตินั่นกองไฟนะอย่าเข้าไป!"

   วรภพรั้งตัวอีกฝ่ายไว้แน่นทำให้ต้นหลิวชะงักและร้องไห้เสียงดังมากกว่าเดิมพร้อมหันมากอดวรภพไว้แน่นราวกับจะหาที่พึ่งพรางมองเพลิงไฟด้วยสายตาที่โศกเศร้า

   ตอนนั้นเองพีรัชประคองรุจรวีที่สลบไม่ได้สติโดยมีเวทิตคอยประคองอีกข้างหนึ่งด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจพร้อมบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด

   "กระโดดรถไฟลงมาแค่นี้ทำเป็นตกใจไปได้...ช็อกตายไปแล้วมั้ง"

   "ปากเสียน่ะทิต"

   พีรัชหันมาดุเสียงดังทำให้เวทิตทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะคิดถึงเหตุการณ์บนรถไฟ




   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งง!!!

   ระหว่างที่เวทิตกำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียงนอนก็มีเสียงสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวีดร้องดังมาจากรถไฟตู้อื่นทำให้เวทิตตกใจรีบเปิดประตูออกไปนอกห้องพบพีรัชกำลังกอดปลอบรุจรวีที่กำลังขวัญเสีย

   "มีอะไรเกิดขึ้นครับ"

   "พนักงานบอกว่ารถไฟมีปัญหา...เราต้องรีบเก็บของหนีกันแล้ว"

   คำตอบของพีรัชทำให้นายแบบทั้งสองคนตกใจแต่รุจรวีกลับจับหน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยครีมพอกหน้า

   "เดี๋ยวก่อน! ผมยังพอกหน้าอยู่เลย"

   "นี่นายยังห่วงพอกหน้าอยู่อีกหรอ"

   เวทิตต่อว่าด้วยความหงุดหงิดและโมโหเพราะขนาดนี้แล้วยังไม่มีท่าทีจะรีบหนีดันห่วงแต่จะพอกหน้า...ไม่ยอมห่วงชีวิตตัวเอง

   "อย่าทะเลาะกันน่า รุจไปล้างหน้าล้างตาซะเดี๋ยวพี่เก็บของให้"

   "ครับพี่รัช"

   รุจรวีตอบรับก่อนจะรีบหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการล้างหน้าล้างตาก่อนที่พีรัชจะหันมาสั่งเด็กในสังกัดอีกคน

   "ส่วนทิตไปเก็บของเท่าที่จำเป็นมาให้เร็วที่สุดเข้าใจไหม"

   "ครับผม!"

   เวทิตรับคำก่อนที่จะรีบเดินเข้าห้องของตัวเองปล่อยให้พีรัชเก็บทั้งของตนเองและของรุจรวีอย่างรีบร้อน

   ตึก! ครืดดดดด!!!

   แรงสั่นสะเทือนของรถไฟทั้งคันรถเสียหลักหลุดรางไถลเข้าไปในดงป่า เวทิตรีบเดินออกมาจากห้องพร้อมกระเป๋าเดินทางสะพายหลังหนึ่งใบต่างจากรุจรวีที่ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มากมาหนึ่งใบ ทำให้เวทิตอดที่จะแขวะอีกฝ่ายไม่ได้

   "เอากระเป๋าใบใหญ่ไปทำไมเนี่ย! ซื่อบื้อเอ้ย!"

   "อะไรล่ะ!"

   "รุจ! ทิ้งกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่นี่พี่เก็บของให้แล้ว"

   พีรัชชูกระเป๋าสะพายใบเล็กให้ดูพร้อมกับจับมือบางลากมาตรงประตูทางออกแต่รุจรวีกลับยื้อเอาไว้

  "ผมลืมของไว้ในกระเป๋าใหญ่"

   ครึก! ครูดดดดด!!!

   "ไม่ทันแล้ว! พวกนายสองคนโดดไปก่อน"

   เมื่อเห็นเมื่อรถไฟเริ่มเอียงไปด้านหลังพีรัชจึงฉุดลากรุจรวีไปตรงประตูรถไฟแล้วผลักให้กระโดดลงไปก่อนตามด้วยเวทิต พอเห็นว่าทั้งสองกระโดดไปแล้วพีรัชจึงกระโดดตามลงไปทันเวลากับรถไฟที่ระเบิดเพียงเสี้ยววินาที

   บึ้มมมมมม!

   พอคิดได้ดังนั้นจึงแอบลอบมองรุจรวีที่เอนหัวมาซบตรงไหล่ของตนเองพอดีอย่างรำคาญใจ

   ...อย่าพึ่งมาตายในที่แบบนี้ก็แล้วกัน...




   ขณะเดียวกันนั้นตรงด้านหลังถัดไปไม่ไกลนักรวิสราที่รอดมาจากการระเบิดของรถไฟกำลังนั่งพับเพียบบนพื้นอย่างหมดแรงพร้อมทั้งร้องไห้อยู่ข้างซากรถไฟที่กำลังลุกไหม้อย่างหนัก

   "ฮึกฮืออ~ คุณพ่อ...คุณพ่ออยู่ไหน ฮึกฮืออ"

   "..."

   กิตติธัชคือคนที่ช่วยอีกฝ่ายจากการระเบิดของรถไฟนั้นยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังพร้อมจองมองภาพเพลิงไหม้ตรงหน้าด้วยสายตาที่หงุดหงิด

   "กิตคะ ช่วยคุณพ่อด้วย...ฮึก! ฮือออ~"

   รวิสราหันมาอ้อนวอนกิตติธัชที่ไม่ยอมมองมาที่ตนเองเลยซักนิดเดียวทำให้ต้องเอาหน้าไปซบกับพื้นด้วยความหมดหวัง

   "ฮึก! คุณพ่อ~ ฮือออ"

   รวิสราร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจแต่กิตติธัชกลับยืนกอดอกทำหน้านิ่งไม่คิดจะปลอบคนที่นั่งร้องไห้เลยแม้แต่นิดเดียว
ก่อนที่สายตาคมจะสบตากับพลทัพที่มองมาพอดีทำให้สายตาทั้งสองคนแปรเปลี่ยนไป...เต็มไปด้วยความเคียดแค้น



   "หมดเวลาเศร้าแล้ว พวกเราต้องรวมตัวกันไว้แล้วรอหน่วยช่วยเหลือมาตามหาอีกที"

   กิตติธัชพูดขึ้นมาหลังจากที่นั่งรอมาซักพักแต่ไม่มีผู้รอดชีวิตที่เหลือเดินมาอีก พีรัชที่นั่งอยู่บนพื้นถามขึ้นก่อนจะคอยปัดยุงให้รุจรวีที่ยังไม่ฟื้น

   "แล้วพวกเราจะพักกันตรงนี้หรอ"

   "ไม่! ตรงนี้อันตรายเกินไป"

   กิตติธัชตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้พลทัพพูดแทรกขึ้นมาอย่างเยอะเย้ย

   "พวกอวดรู้"

   "นาย!"

   กิตติธัชตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อพลทัพให้ลุกขึ้นมายืนจ้องหน้ากันอย่างหาเรื่องแต่รวิสรากลับเกาะแขนห้ามเอาไว้

   "อย่านะคะ"

   "ไม่ต้องมาจับ"

   กิตติธัชสะบัดมือของรวิสราทิ้งแล้วกระแทกไหล่พลทัพอย่างแรง ก่อนที่กำลังตั้งท่าจะเดินออกไปจากตรงนั้นแต่ต้นหลิวขัดขึ้นมาซะก่อน

   "แล้วไม่รอผู้รอดชีวิตคนอื่นแล้วหรอ"

   "ไม่"

   กิตติธัชตอบคำเดียวแล้วเดินนำทุกคนเข้าไปในป่าอย่างไม่สนใจว่าใครจะเดินตามทันรึเปล่า ซึ่งทุกคนนั้นคว้าข้าวของส่วนตัวแล้วรีบเดินตามไปทำให้ต้นหลิวยกมือขึ้นกอดอกอย่างไม่ค่อยชอบใจ

   "จะรีบร้อนเดินไปไหนเนี่ย รออีกซักพักหนึ่งก็ไม่ได้"

   "พรุ่งนี้เช้าค่อยออกมาตามหาเถอะนะ"

   วรภพพูดขึ้นมาพร้อมเอื้อมมือมาจับตรงหัวไหล่อย่างให้กำลังใจทว่าต้นหลิวยังลังเลไม่หาย

   "แต่..."

   "เชื่อผมซิ"

   วรภพจ้องตาอีกฝ่ายอย่างมุ่งมั่นทำให้คนมองนั้นถอนหายใจอย่างจำยอม

   "ก็ได้"

   วรภพยิ้มกว้างที่เกลี้ยกล่อมจนต้นหลิวยอมตอบตกลงและเดินตามหลังคนอื่นไปอย่างหมดแรง ยกเว้นพีรัชที่นั่งนิ่งไม่ขยับทำให้เวทิตมองผู้จัดการตัวเองอย่างสงสัย

   "จะนอนที่นี่หรอพี่รัช"

   "ขยับไม่ได้"

   พีรัชทำหน้าตาเหยเกก่อนจะยกมือป้องปากกระซิบอย่างแผ่วเบา

   "ขาชา"

   "ฮึกฮะฮะฮะ"

   เวทิตหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะเข้ามาช่วยแบกร่างของรุจรวีขึ้นหลังแล้วให้ผู้จัดการเดินไปก่อนส่วนตนเองเดินตามหลังเป็นคนสุดท้าย




******************

ออฟไลน์ Aphrodite

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-1
ว้าวนานๆทีจะมีแนวสืบสวนสอบสวนมาใหอ่าน  ขอบคุณมากๆนะคะที่แต่งให้เราได้อ่านกัน :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 4



   ทั้งหมดเดินเข้ามาหลบอยู่ในป่าซึ่งระยะทางไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก เมื่อเจอพื้นที่ที่เหมาะสม กิตติธัชจึงหยุดเดินพร้อมทั้งหากิ่งไม้มาหนึ่งกองแล้วจุดไฟเพื่อป้องกันสัตว์ป่าเสร็จก็หันมาออกคำสั่งกับคนที่เหลือ

   "คืนนี้พวกเราจะนอนกันที่นี่ตรงนี้ ซึ่งพวกนายจะหาที่นอนกันตรงไหนก็นอน ยกเว้นรวิสราที่ต้องไปนอนตรงนู้น"

   "ทำไมล่ะตรงนั้นน่ากลัวจะตาย"

   กันต์กวินขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจทำไมต้องให้ผู้หญิงไปนอนตรงที่มืดตรงนู้นคนเดียวด้วยแต่รวิสรากลับส่ายหน้าห้ามปรามแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน

   "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่กลัวความมืดหรอกค่ะ"

   "แน่นะครับ"

   กันต์กวินถามกลับเพื่อความแน่ใจซึ่งรวิสราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิมทำให้ทุกคนต่างถอนหายใจแล้วแยกย้ายกันหาที่นอนพักผ่อน ซึ่งตอนนั้นเองเวทิตเดินแบกรุจรวีมาถึงพอดีจึงวางลงข้างผู้จัดการตนเองอย่างแรง

   ตุ๊บ!

  "เบาหน่อยซิทิต!"

   พีรัชดุเสียงดังอย่างไม่ชอบใจแต่เวทิตไม่สนแถมหันไปมองรอบตัวด้วยสีหน้าและแววตาที่รังเกียจปนไปด้วยความขัดใจ

  "พี่จะให้ผมนอนตรงนี้เนี่ยนะ"

   "อือ"

   พีรัชตอบรับพร้อมกับเอากระเป๋าตนเองมารองศีรษะของรุจรวีเอาไว้เพื่อหวังจะให้อีกฝ่ายได้นอนสบายขึ้น

   "ไม่มีเตียงก็ไม่เป็นไร แต่มีผ้าห่มซักผืนก็ยังดี"

   "แล้วนายเห็นพวกเรามีของแบบนั้นในเวลานี้ไหม"

   กิตติธัชขัดขึ้นมาพร้อมกับจ้องเวทิตอย่างข่มขู่จนอีกฝ่ายเริ่มกลัวแต่ยังพยายามจะคัดค้านอยู่ดี

   "แต่..."

   "เลือกเอาจะนอนหรือจะเฝ้าเวรยาม"

   กิตติธัชถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังทำให้คนที่กำลังจะเถียงนั้นชะงักไปเล็กน้อย

   "นอน!"

   เวทิตตอบอย่างรวดเร็วก่อนจะนั่งลงตรงอีกด้านของรุจรวีที่ยังว่างอยู่อย่างหงุดหงิด ซึ่งบรรยากาศแสนอึมครึมนั้นทำให้กันต์กวินที่ไม่ชอบอยู่นิ่งอดที่จะพูดออกมาทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดแบบนี้

   "อะแฮ่ม! เราไม่คิดจะแนะนำตัวกันหรอครับ น่าจะอยู่ด้วยกันซักพักน่าจะรู้ชื่อกันนะ"

   "นั่นซิครับ"

   รณกรเห็นด้วยซึ่งดูเหมือนทุกคนก็หันมามองด้วยความสนใจทำให้กันต์กวินฉีกยิ้มกว้างพร้อมเอื้อมมือไปหยิบกิ่งไม้มาถือไว้แทนไมค์ที่พังไปแล้ว

   "ผมชื่อ กันต์กวิน อายุ 25 ปี ปัจจุบันพึ่งได้บรรจุเป็นนักข่าวมือใหม่ของสำนักข่าวชื่อดังแห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในช่วงทดลองงานครับและครั้งนี้เป็นงานแรกของผมคือการลงพื้นที่ทำข่าวกับขบวนรถไฟเที่ยวนี้ครับ นั่งอยู่ตู้ห้าครับ"

   "ผมชื่อ รณกร อายุ 25 ปีครับ ผมชอบการถ่ายภาพจึงสมัครเป็นตากล้องพึ่งออกงานภาคสนามด้วยกันครั้งแรกและเป็นผู้ช่วยของกันต์ครับ นั่งตู้ห้าครับ"

   รณกรยิ้มแป้นออกมาอย่างภาคภูมิใจที่ได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ก่อนจะส่งกิ่งไม้ให้พีรัชที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือซึ่งอีกฝ่ายรับมาถือไว้ด้วยรอยยิ้ม

   "ผมชื่อ พีรัช อายุ 32 ปี ปัจจุบันเป็นผู้จัดการนายแบบทั้งสองคนนี้ครับ พวกเรานั่งตู้สองครับ"

   พีรัชหยุดพูดเอื้อมมือไปปัดยุงให้รุจรวีอยางอ่อนโยนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแนะนำต่อด้วยรอยยิ้ม

   "ส่วนคนนี้นายแบบในการดูแลของผมเองครับชื่อ รุจรวี อายุ 26 ปี นายแบบหนุ่มน้อยหน้าหวานที่มีมีฐานแฟนคลับเยอะมากแต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอครับ เจออะไรที่ตื่นเต้นมากก็จะช็อกแบบนี้ล่ะแต่ไม่เป็นอะไรมากไม่ต้องเป็นห่วง"

   "ไม่แนะนำผมด้วยล่ะ"

   เวทิตเชิดหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจทำให้พีรัชเหยียดยิ้มออกมาอย่างหมั่นไส้

   "ได้ครับคุนชาย~ คนนี้คือ เวทิต อายุ 27 ปี นายแบบหนุ่มหน้าหล่อที่มีแฟนคลับตามขอรายเซ็นตลอดเวลาแต่อยู่ในช่วงขาลงไม่ค่อยมีงานเท่าไหร่"

   "พี่รัช!"

   เวทิตขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายอย่างขัดใจก่อนที่จะส่งกิ่งไม้ให้วรภพที่รับไปถืออย่างสุภาพ

   "ผมชื่อ วรภพ ครับ อายุ 26 ปี พึ่งเรียนจบหมอมาครับเลยอยากไปประจำที่โรงบาลทางภาคเหนือ เพื่อช่วยเหลือคนที่เจ็บไข้บนภูเขาครับ นั่งอยู่ตู้สี่ครับ"

   "ผมชื่อ ต้นหลิว อายุ 24 ปีครับ ปัจจุบันทำงานเป็นนักสืบแต่ยังมือใหม่อยู่จึงยังไม่เคยได้สืบเลยซักครั้ง ชอบอ่านนิยายแนวอาชญากรรม พึ่งหยุดงานพาคู่หมั้นมาเที่ยวรถไฟก่อนที่จะแต่งงานกันเดือนหน้าแต่คู่หมั้นดันหายตัวไป นั่งอยู่ตู้สามครับ"

   ต้นหลิวสะอื้นเล็กน้อยและเช็ดน้ำตาตนเองก่อนจะยื่นกิ่งไม้ให้กับรวิสราซึ่งอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาลูบหลังเป็นการปลอบใจ

   "ไม่เป็นอะไรนะคะ"

   "เธอพูดคนสุดท้าย"

   กิตติธัชออกคำสั่งด้วยสีหน้าบึ้งตึงทำให้รวิสราพยักหน้ารับพร้อมส่งกิ่งไม้ให้แต่อีกฝ่ายกลับเมิยเฉยไม่สนใจ

   "ฉัน กิตติธัช อายุ 28 ปัจจุบันเป็นตำรวจอาชญากรรมของสถานีตำรวจหลวงนั่งตู้สี่"

   "ตานายแล้ว...อ่ะ!"

   กันต์กวินหยิบกิ่งไม้กิ่งใหม่ให้กับพลทัพซึ่งทำท่าทางไม่สนใจจึงจัดการยัดไม้ใส่มือทันทีทำให้อีกฝ่ายหันมาถลึงตาใส่

   "พลทัพ อายุ 28 ว่างงานไม่ได้ทำอะไร นั่งตู้ห้า"

   "ไม่บอกไปด้วยล่ะว่าเมื่อก่อนเคยทำงานอะไร"

   กิตติธัชจงใจขัดขึ้นเสียงดังด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยทำให้พลทัพหันไปมองตาขวาง

   "ไม่จำเป็น"

   "งั้นฉันบอกให้ฟังก็ได้..."

   กิตติธัชทำเมินเฉยพร้อมทั้งกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยมากกว่าเดิม 

   "หมอนี่เมื่อก่อนเคยอดีตตำรวจหน่วยอาชญากรรมแต่ถูกปลดเพราะความใจร้อนจนเสียงานหลายครั้ง"

   "นายเองก็ดีแต่เอาหน้าเอาผลงานคนอื่น"

   พลทัพกระแทกเสียงใส่อย่างอารมณ์เสียทำให้กิตติธัชตั้งท่าจะกระโจนใส่แต่รวิสรากลับห้ามเอาไว้

   "อย่าทะเลาะกันซิคะ"

   "แล้วคุณล่ะชื่ออะไรดูสนิทกับกิตจัง"

   กันต์กวินถามอย่างอยากรู้อยากเห็นตามสัญชาตญาณนักข่าวจนรณกรต้องสะกิดเตือนแต่รวิสรากลับยิ้มหวานมาให้เหมือนเดิม

   "ฉันชื่อ วริสรา ค่ะ อายุ 26 ปี ตอนนี้เปิดร้านขายเสื้อไหมพรมอยู่ค่ะ นั่งอยู่ตู้หนึ่งค่ะ เป็นลูกสาวของรติกรนักธุรกิจพวกคุณคงได้ยินชื่อกันนะคะ"

   "เคยครับ! เป็นนักธุรกิจที่ใจบุญมากที่สุดและเป็นที่จับตามองในวงการนักข่าวเลยครับ"

   กันต์กวินแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มซึ่งรวิสราเองก็ยิ้มกลับเช่นกัน

   "แล้วเป็นอะไรกับคุณกิตติธัชครับ"

   "เอ่อ..."

   รวิสราทำหน้าตาลำบากใจก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

   "เป็น...คู่หมั้นคู่หมายกันค่ะ"

   "โอ้โห~"

   กันต์กวินร้องออกมาอย่างตื่นเต้นแต่ทว่าระหว่าที่จะถามอะไรเพิ่มเติมก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมา

   "เลิกคุยแล้วไปนอนกันได้แล้วคืนนี้ฉันจะอยู่เฝ้าเวรยามเอง"

   กิตติธัชขัดขึ้นมาก่อนที่กันต์กวินจะทำเสียงล้อเลียนไปมากกว่านี้ทุกคนต่างแยกย้ายไปนอนที่ของตนเอง ซึ่งแม้จะไม่ได้สบายมากแต่ความเหนื่อยล้าที่เจอมาในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นทำให้ทุกคนต่างนอนหลับกันอย่างรวดเร็ว




   วันต่อมาต้นหลิวและวรภพนั้นออกมาเดินตามหาคู่หมั้นตั้งแต่เช้ามืด ทว่าพบเพียงซากรถไฟที่ไหม้เกรียมมองไปทางไหนก็เห็นแต่ตะกอนสีดำเต็มไปหมด ซึ่งพอเห็นแบบนั้นทำให้หลิวจื้อหงท้อใจนิดหน่อยแต่ยังไม่ยอมแพ้

   "เวย์..."

   "อย่าขึ้นไปปีนขึ้นไปบนนั้นซิครับ"

   วรภพเตือนเพราะเห็นต้นหลิวกำลังจะปีนตู้รถไฟที่พลิกคว้ำซึ่งอีกฝ่ายหันหน้ามาทำท่าทางจะแย้ง

   "แต่..."

   "ไปหาตรงนู้นไหม"

   วรภพชี้ไปอีกด้านหนึ่งซึ่งต้นหลิวพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินไปตามซากรถไฟที่บางช่วงยังมีไฟติดอยู่ซึ่งไหม้ยังไม่หมดแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของคู่หมั้นตนเอง

   "เวย์...ได้ยินแล้วตอบผมหน่อยเวย์"

   "ช่วย...ช่วยด้วย"

   มีเสียงแผ่วเบาร้องมาจากด้านหลังตู้รถไฟนั้นทำให้ต้นหลิวและวรภพรีบวิ่งไปดูพบกับร่างของใครคนหนึ่งนอนหอบคว้ำหน้าอยู่กับพื้น

   "ช่วย...ด้วย"

   "เวย์!"

   ต้นหลิวเข้าไปประคองตัวคนบาดเจ็บให้หงายขึนมานอนบนตักของตนเองแต่ต้องทำหน้าเจือนลงเมื่อคนที่รอดชีวิตนี้ไม่ใช่คู่หมั้นของตนเองทว่ากลับเป็นเจ้าของใบหน้าสวยจัดจ้านก็คุ้นตาไม่เคยลืม

   "ไวซ์"

   "ต...ต้นหลิวหรอ"

   วณิชชาลืมตาขึ้นมามองก่อนจะร้องไห้แล้วโผเข้ากอดอีกฝ่ายไว้แน่น

   "ฮึก!...ต้นหลิว~"

   "บาดเจ็บไม่มากยังพอขยับตัวได้" วรภพพูดขึ้นหลังจากมองดูบาดแผลตามเนื้อตัวของอีกฝ่าย "พาไปที่พักก่อนเถอะ"

   "อื้ม"

   ต้นหลิวตอบรับก่อนจะประคองวณิชชาที่บาดเจ็บเดินกลับไปยังที่พักอย่างระมัดระวังเพื่อวรภพจะได้ทำแผลได้สะดวก




   ส่วนกันต์กวินนั้นรึบตื่นแต่เช้าเดินมาตรงแถวซากรถไฟซึ่งยังมีไฟลุกโชนยังไม่ยอมดับก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กล้องโดยที่ในมือกำลังเอากิ่งไม้มาถือแทนไมล์และให้รณกรที่เป็นตากล้องคอยอัดวีดีโอเอาไว้

   "เปิดกล้องแน่แล้วนะกร"

   "แน่นอน...แต่กันต์จะถ่ายไปทำไมล่ะ"

   รณกรเช็คกล้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจก่อนจะโดนกันต์กวินผลักหน้าผากอย่างหมั่นไส้

   "ถามอะไรของนายเนี่ย! ถ่ายไว้เผื่อเอาไปให้ หัวหน้าตอนกลับไปได้ไง"

   "อ๋อ"

   รณกรพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะยกกล้องขี้นมาถ่ายวีดีโอให้คนน่ารักอย่างตั้งอกตั้งใจ

   "เริ่มถ่ายได้แล้ว"

   กันต์กวินยิ้มหวานให้กล้องซึ่งด้านหลังเป็นบรรยากาศของซากรถไฟที่พลิกคว้ำ

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่คุณผู้ชมได้รับชมอยู่นี้คือซากรถไฟพาเที่ยวรุ่นใหม่ที่เริ่มเส้นทางการเดินรถไฟที่กรุงเทพ-เชีบงใหม่ ซึ่งเริ่มออกเดินทางเมื่อวานนี้เวลาห้าโมงเย็น แต่ทว่ากลับเกิดเหตุขัดข้องทางระบบทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นรถไฟทั้งขบวนพลิกคว่ำก่อนจะระเบิดอย่างรุนแรงและถูกเพลิงเผาไหม้จนเหลือแต่ซากซึ่งบางส่วนในขณะนี้ยังมีไฟติดอยู่เลยครับ หากมีอะไรคืบหน้าจะรีบรายงานให้ทราบต่อไป ผม กันต์กวิน นักข่าวฝึกหัดรายงาน"

   "คัท!" รณกรร้องขึ้นก่อนจะตรวจสอบดูผลงานที่พึ่งถ่ายไป  "ยอดเยี่ยมมากเลยกันต์!"

   "แน่นอนอยู่แล้ว"

   กันต์กวินยิ้มรับก่อนจะกอดคอโน้มให้ใบหน้าของรณกรลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน

   "นายต้องถ่ายบรรยากาศซากรถไฟพวกนี้ให้หมดเลยนะเข้าใจไหม รับรองกลับไปพวกเราจะต้องดังระเบิดแน่นอน"

   "อื้ม!"

   รณกรตอบรับพร้อมแอบลอบมองใบหน้าหวานของกันต์กวินก่อนที่จะหลบสายตาเมื่ออีกฝ่ายหันมามองพอดี ทั้งสองถ่ายทำกันถึงเกือบเที่ยงจึงคิดจะกลับไปทานข้าว

   "ถ่ายได้เยอะแล้วใช่ไหมงั้นเรากลับที่พักกันเถอะ"

   "อื้ม!"

   "ช...ด้วย"

   แต่ระหว่างนั้นเองกลับมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาจากตรงพุ่มไม้แถวชายป่าทำให้ทั้งสองคนหยุดเดินทั้นที

   "กันต์...ได้ยินเสียงอะไรไหม"

   "ช่วย...ย"

   "ได้ยิน! กรนายรีบถ่ายเอาไว้นะเข้าใจไหม"

   กันต์กวินหันมาสั่งอย่างตื่นเต้นก่อนจะเดินเข้าไปดูตรงพุ่มไม้โดยมีรณกรตามถ่าย ทั้งสองก็ได้พบกับผู้รอดชีวิตกำลังนอนหอบหายใจอย่างหมดแรงตรงศีรษะเลือดออกเยอะ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยดินเต็มไปหมด กันต์กวินลองจับตัวแล้วเรียกอย่างเป็นห่วง

   "คุณครับ...คุณได้ยินผมไหม"

   "ก...กันต์กวิน"

    เสียงแหบที่เรียกชื่อตนเองได้ถูกต้องทำให้กันต์กวินจ้องหน้ามอมแมมนั่นอีกครั้งก่อนจะตาโตด้วยความตกใจเพราะคนตรงหน้าคือกวิตาเพื่อนสมัยเด็กของตนเอง

   "วิตา! เธอคือวิตาใช่ไหม"

   "ช...ใช่"

   "ใช่จริงด้วยมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย...กรมาช่วยอุ้มเพื่อนฉันหน่อยเร็ว"

    กันต์กวินหันไปเรียกรณกรที่กำลังทำหน้างุนงงไม่เข้าใจพรางมองหน้าอย่างสงสัย

   "เพื่อนนายงั้นหรอ"

   "ใช่!...นั่งนิ่งอยู่ได้รีบมาช่วยเร็วซิ"

   กันต์กวินออกคำสั่งทำให้รณกรฝากกล้องไว้และรีบลงไปอุ้มกวิตาอย่างระมัดระวังก่อนจะพากันเดินกลับไปยังที่พัก





   ทางด้านของรวิสราตื่นแต่เช้าเพราะตั้งใจจะออกไปตามหาพ่อแต่กลับเจอกิตติธัชยืนกอดอกหน้าบึ้งตึงทำท่าทางไม่พอใจ

   "จะไปไหน"

   "ไปตามหาพ่อน่ะ ธัช...เอ่อ...กิตจะไปด้วยกันไหม"

   รวิสราสะดุดคำพูดเล็กน้อยเพราะเกือบหลุดอีกชื่อหนึ่งออกมาซะยิ่งสายตาดุดันที่มองมาของอีกฝ่ายซึ่งเดี๋ยวนี้ชอบทำตัวห่างเหิน

   "ไม่!"

   "เอ่อ..."

   ก่อนที่จะได้พูดอะไรกิตติธัชนั้นกลับเดินหนีไปล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้สนใจตนเองอีกต่อไปทำให้รวิสราทำหน้าเจื่อนลงก่อนจะตกใจเมื่อได้ยินเสียงทักมาจากด้านหลัง

   "เธอคงจะคือรวิสราลูกสาวของคุณรติกรที่พี่พีรัชบอกฉันเมื่อเช้าซินะ"

   "อ้าว! ฟื้นแล้วหรอรุจ"

   รวิสรายิ้มหวานให้ซึ่งรุจรวีพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบกลับมาอย่างน่ารักสมกับนายแบบหนุ่มน้อยหน้าหวานจนใครเห็นก็ต้องเอ็นดูแม้ตอนนี้ผมจะฟูไปหน่อยก็ตาม

   "จะออกไปข้างนอกใช่ไหม ฉันไปด้วยซิพี่พีรัชก็ออกไปทำอะไรไม่รู้ตั้งแต่เช้ามืดเหลือแต่ไอ้พี่ทิตคนแก่กวนประสาทนี่คนเดียว"

   "อ่า...ได้คะ"

   ทั้งสองจึงออกเดินทางกันโดยที่ไม่มีกิตติธัชตามมาด้วย พอมาถึงซากรถไฟรวิสราก็พยายามตามหาพ่อทว่าไม่พบร่องรอยเลยซักนิดเดียว จนกระทั่งแดดยามบ่ายเริ่มร้อนขึ้นมากทำให้รุจรวีบ่นไม่หยุด

   "ร้อนจังเลยอ่ะกลับที่พักกันเถอะ"

   "แต่...ก็ได้ค่ะ"

   รวิสราทำหน้าเสียดายและเริ่มหมดหวัง แต่ทว่าในตอนที่กำลังจะกลับนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากอีกด้านหนึ่งของรถไฟ

   "รวิ! รวิจริงด้วย...รวิสรา!~"

   "อ๊ะ! เสียงนี้มัน"

   รวิสราหันกลับไปมองพบใครบางคนที่คุ้นตาแม้เนื้อตัวจะดูมอมแมมไปหน่อยแต่จำได้ไม่เคยลืม

   "เกล! เวธกา!!!"

   รวิสราตะโกนเรียกเวธกาที่ยืนอยู่อีกฝากหนึ่งของรถไฟก่อนที่ทั้งสองคนวิ่งเข้ามากอดกันด้วยความคิดถึง

   "ดีใจจังเลยที่เธอไม่เป็นอะไรน่ะเกล"

   "ฉันเองก็ดีใจเหมือนกัน"

   "แล้วเธอเห็นพ่อฉันบ้างไหม"

   รวิสราถามพร้อมมองไปรอบกายอย่างมีความหวังโดยไม่ทันสังเกตุใบหน้าที่เศร้าลงของเพื่อนสนิท ก่อนที่จะได้ยินเสียงตะโกนของรุจรวีแทรกขึ้นมา

   "กลับกันเถอะ! แดดร้อนมากแล้ว"

   "ค่ะ...ไปกันเถอะเกล"

   รวิสราลากเวธกาให้เดินตามรุจรวีโดยไม่ได้สังเกตุเห็นสายตาจากด้านหลังที่มองมาด้วยความสงสารตลอดเวลา





   ส่วนพีรัชนั้นตื่นแต่เช้ามืดก็พบรุจรวีกำลังนั่งกินช็อกโกแลตในกระเป๋าใบเล็กของตนเองด้วยความหิวทำให้อดที่ลูบผมด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   "ฟื้นซักทีนะตัวแสบ กินแบบนี้ไม่กลัวอ้วนรึไงหือ~"

   "อยู่กลางป่าแบบนี้ผมไม่จำเป็นต้องลดหุ่นหรอก"

   รุจรวีตอบอย่างไม่สนใจพร้อมกับเคี้ยวช็อกโกแลตต่ออย่างอร่อยแต่กินเลอะตรงมุมปากทำให้พีรัชอดที่จะเอื้อมมือเช็ดปากให้อีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว

   "ปากเลอะเหมือนเด็กเลย~ แล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้าง"

   "หิว"

   "ฮะฮะ"

   คำตอบนั้นทำให้พีรัชหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะเอ่นปากชวนคนที่นั่งกินช็อกโกแลตอย่างเอ็นดู

   "ไปเดินสำรวจแถวนี้ด้วยกันไหม"

   "ไม่เอา" รุจรวีส่ายหน้าไปมาอย่างน่ารัก "ผมกินเสร็จแล้วจะนอนต่อ พี่รัชไปเถอะครับ เอ้อ! ถ้าเกิดเจอกระเป๋าสีเขียวของผมแล้วยังไม่ถูกเผาเก็บมาให้หน่อยได้ไหมครับในนั้นมีของสำคัญอยู่แต่ผมคว้าไม่ทันน่ะครับ"

   "ได้...งั้นพี่ไปก่อนนะ ถ้าเกิดเหงาก็ไปนั่งเล่นกับรวิสราได้ ห้ามดื้อล่ะ"

   พีรัชลูบผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่ลืมตามองทั้งสองคนมาตั้งแต่ต้น



   ทางด้านของพีรัชก็เดินออกมาสำรวจความเสียหายแถวซากรถไฟตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยง มองไปไม่ไกลนักเห็นกันต์กวินและรณกรกำลังรายงานข่าวกันอยู่ทำให้ไม่กล้าไปกวน ก่อนจะเดินไปแถวขบวนรถไฟที่น่าจะเป็นตู้ที่ตนเองเคยนั่งพร้อมกับมองแถวพื้นพบกับกระเป๋าสีเขียวเปื้อนคราบเขม่าควันจึงเก็บขึ้นมาเห็นชื่อที่ปักอยู่จึงยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

   "รุจต้องดีใจแน่"

   "นาย! นายน่ะไม่ได้ยินรึไง"

   เสียงตะโกนดังมากแถวรถไฟตู้แรกทำให้พีรัชลองเดินไปตามเสียงพบกับรุ้งพรายที่นั่งเจ็บขาลุกขึ้นยืนไม่ได้

   "ช่วยฉันหน่อยซิ! ฉันลุกไม่ขึ้น!"

   "คุณเจ็บตรงไหนครับ"

   พีรัชย่อตัวลงไปนั่งระดับเดียวกันก่อนจะลองจับไปตรงข้อเท้าที่บวมจนเขียวของอีกฝ่าย

   "ข้อเท้าหรอครับ"

   "โอ๊ย! เจ็บ!"

   รุ้งพรายปัดมือหนาออกอย่างแรงทำให้พีรัชขมวดคิ้วก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายจนตัวลอยซึ่งรุ้งพรายรีบเอามือคล้องคอพร้อมโวยวายเสียงดัง

   "จะทำอะไรน่ะ! ปล่อยนะ!"

   "พาไปทำแผล ที่นั่นมีผู้รอดชีวิตและหมอที่รักษาคุณได้"

   พีรัชตอบอีกฝ่ายอย่างรำคาญนิดหน่อยพอเห็นว่าไม่โวยวายแล้วพากลับไปที่พัก พอกลับไปพบกับคนอื่นที่พาผู้รอดชีวิตกลับมาโดยมีวรภพนั่งทำแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับผู้ที่บาดเจ็บแต่รวิสรายังไม่กลับมารวมถึงรุจรวีก็ไม่อยู่ที่นี่ด้วยไหนจะพลทัพ กิตติธัช และเวทิตก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยจึงหันไปถามต้นหลิวที่นั่งอยู่แถวนั้นด้วยควาเป็นห่วง

   "คุณต้นหลิวครับ เห็นรุจบ้างไหมเขาหายไปไหน"

   "ออกไปกับรวิสราน่ะครับ ส่วนสามคนนั้นออกไปหาอาหารกับหาฟืนครับ"

   ต้นหลิวตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมถือกล่องยาเดินตามวรภพมาหยุดอยู่ตรงหน้ารุ้งพรายที่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ ต้นหลิวหยิบผ้าพันแผลขึ้นมาถือคอยช่วยเป็นลูกมือให้กับวรภพที่กำลังทำแผลตรงข้อเท้าให้รุ้งพรายอย่างระมัดระวัง

   "ข้อเท้าบวมมากเลยนะครับ ถ้ามาช้ากว่านี้อาจต้องดามเท้าเลยนะครับ" วรภพพันแผลให้อีกฝ่ายอย่าเบามือ "ข้อเท้าบวมมากไปกระแทกเก้าอี้มาหรอครับ"

   วรภพถามอย่างสงสัยซึ่งรุ้งพรายกลับเชิดหน้าขึ้นอย่างถือตัว

   "จะรู้ไปทำไม เป็นหมอหรอถึงมาถามคนอื่นเขาน่ะ"

   "ครับผมเป็นหมอ"

   วรภพตอบหน้านิ่งก่อนจะปิดพลาสเตอร์ตรงผ้าพันแผลอย่างเรียบร้อย

   "เรียบร้อยแล้ว ห้ามเดินมากนะครับเดี๋ยวข้อเท้าจะบวมไปมากกว่านี้"

   "ทำไมฉันต้องเชื่อฟังด้วยล่ะ"

   รุ้งพรายลอยหน้าลอยตาไม่คิดจะขอบคุณซักคำแต่วรภพไม่สนกำลังจะเดินไปดูอาการของกวิตาอีกรอบแต่ต้องหยุดเดินเมื่อรุ้งพรายยืนขามากั้นเอาไว้ไม่ให้เดิน

   "เดี๋ยว! นายเป็นหมอไม่ใช่หรอแล้วทำไม่มียาให้ฉันกินล่ะ แต่ฉันไม่เอาพารานะระดับฉันต้องยานอกเท่านั้น"

   "ที่นี่คือป่า ผมไม่มียาพร้อมอะไรขนาดนั้นมีแต่พาราที่คุณไม่ทานน่ะครับ ผมขอตัวไปดูคนอื่นก่อน"

   คำตอบของวรภพทำให้รุ้งพรายหงุดหงิดโวนวายออกมาเสียงดังลั่นด้วยความขัดใจ

   "อะไรกันน่ะ กลับมานี่นะ!!!!!"

   "คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ"

   วรภพเดินไปดูอาการของกวิตาที่ดูจะหนักมากที่สุดแต่ยังดีที่มีกันต์กวินและรณกรดูแลอยู่ไม่ห่าง

   "ปวดหัวค่ะ"

   "ผมมีแต่ยาพาราที่พอจะลดอาการปวด แต่คุณทานได้ใช่ไหมครับ"

   วรภพถามกึ่งประชดคนที่นั่งมองตาเขียวมาให้ทำให้ต้นหลิว กันต์กวิน และรณกรแอบหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ส่วนกวิตาพยักหน้าอย่างอ่อนแรง

   "ทานได้ค่ะ"

   "คุณต้นหลิวช่วยหยิบยาพาราในกระเป๋าให้คนไข้ทานทีครับ"

   "ครับ~"

   ต้นหลิวหยิบยาพารามายื่นให้กวิตาที่รับมาทานทันที วรภพยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูเหมือนที่หมอทุกคนยิ้มให้คนไข้

   "ถ้างั้นพักผ่อนก่อนนะครับ จะได้หายป่วย"

   "ขอบคุณค่ะ"

   กวิตาพยักหน้ารับแล้วล้มตัวลงนอนเพื่อจะพักผ่อน ซึ่งต้นหลิวกำลังเก็บยาลงในกระเป๋าก็ได้ยินเสียงหวานที่คุ้นเคยเรียกมาจากอีกด้านหนึ่ง

   "ต้นหลิวคะ~"

   ต้นหลิวแอบถอนหายใจแต่ยอมเดินกลับไปหาวณิชชาที่กำลังส่งยิ้มมาให้อย่างยั่วยวนและเอาใจ 

   "ต้นหลิวคะ~ ไวซ์คิด..."

   "หายเจ็บรึยัง"

   ต้นหลิวขัดขึ้นมาทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบทำให้วณิชชาชะงักไปเล็กน้อย

   "ต้นหลิวคะ..."

   "ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อนนะ"

   ต้นหลิวทำเป็นเมินเฉยพร้อมเดินหนีไปนั่งข้างวรภพทำให้วณิชชากำมือแน่นด้วยความแค้นใจ




******************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
ตอนที่ 5





   "กลับมาแล้วหรอรุจ"

   พีรัชที่กำลังนั่งดื่มน้ำอยู่นั้นยิ้มออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นรุจรวีเดินทำหน้าบูดบึ้งเข้ามาเป็นคนแรกโดยมีรวิสราเดินมาพร้อมกับเวธกาซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตอีกคน ทำให้วรภพและต้นหลิวรีบเดินเข้าไปดูอาการทันที ส่วนรุจรวีรีบไปนั่งข้างผู้จัดการส่วนตัวแล้วแย่งน้ำมาดื่มด้วยความกระหายจนพีรัชต้องคอยปราม

   "ดื่มระวังหน่อยซิ เดี๋ยวก็สำลักน้ำหรอก"

   "ผมร้อนนี่หน่า"

   รุจรวีเริ่มงอแงเมื่ออยู่กับผู้จัดการตัวเองเพียงสองคน

   "แถมเหนื่อยมากด้วย!"

   "แล้วทำไมถึงไม่รอที่นี่ล่ะ"

   พีรัชถามรุจรวีที่เริ่มงอแงด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะประคองหัวอีกฝ่ายซบบนไหล่หนาของตนซึ่งรุจรวีไม่ได้ขัดขืนอะไรแถมทำท่าทางออดอ้อนอีกต่างหากจนอดที่จะลูบผมอย่างเอ็นดูไม่ได้

   "ผมเบื่อนี่หน่า...พี่ก็รู้ว่าผมไม่อยากอยู่กับนายนั่นน่ะ"

   "ทำอย่างกับฉันอยากอยู่กับนายมากอย่างนั้นแหละ"

    เสียงหาเรื่องดังขึ้นมาจากด้านหลังพอหันไปก็พบกับกิตติธัชและเวทิตที่ออกไปหาฟืนนั้นกลับมาพอดีรวมถึงพลทัพที่ออกไปหาอาหารด้วย ซึ่งสภาพมอมแมมของเวทิตนั้นทำให้หลูถิงซิงอดที่จะหัวเราะเยาะไม่ได้

   "เหอะ! อยากจะให้แฟนคลับมาเห็นสภาพนายตอนแบกฟืนจังเลยนะ"

   "นายลองมาทำบ้างไหม"

   เวทิตหันมามองอย่างหาเรื่องขณะที่กำลังดื่มน้ำด้วยความกระหายแต่รุจรวีกลับเหยียดยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาอวดเล็บที่ยังเงางามของตนเอง

   "ไม่ทำหรอก เดี๋ยวเล็บฉันจะเสียหมด"

   "ถ้าไม่ทำก็นั่งเงียบไปซะซิ จะกินไหมข้าวน่ะ"

   เวทิตหันกลับมาโยนกองฟืนเข้าไปรวมกันอีกกองเพื่อให้กิตติธัชก่อไฟจะได้ปิ้งปลาที่พลทัพหามาได้ทันพอที่จะทำอาหารมื้อบ่ายกับเย็นพอดี ซึ่งตอนแรกเวทิตจะทำเป็นไม่สนใจแล้วแต่รุจรวีกลับกวนประสาทไม่เลิก

   "ถ้าฉันไม่เงียบแล้วจะทำไมนายแบบตกอับ"

   "รุจรวี!!!"

   เวทิตเดินเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างแล้วบีบอย่างแรงทำให้รุจรวีโวยวายรีบหันไปฟ้องผู้จัดการส่วนตัวที่นั่งอยู่ข้างตนเอง

   "โอ๊ยเจ็บนะ! พี่รัชช่วยผมด้วยซิ ไอ้พี่ทิตอาละวาดใหญ่แล้วจะเป็นบ้ารึเปล่าก็ไม่รู้อ่ะ!"

   "ทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันเลยน่ะ"

   พีรัชห้ามปรามพร้อมจับทั้งสองคนแยกออกจากกันเมื่อเห็นแววที่จะเริ่มทะเลาะรุนแรงมากขึ้น รุจรวีพอหลุดมาได้ก็หันมากอดแขนพีรัชและฟ้องเหมือนเด็กทันที

   "ก็พี่รัชดูซิ พี่ทิตนั่นแหละกวนประสาทผมก่อนน่ะ"

   "นายนั่นแหละมาว่าฉันทำไม"

   เวทิตเถียงกลับทำให้พีรัขถอนหายใจออกมาเสียงดังลั่นแล้วเริ่มดุคนที่เด็กกว่าอย่างเหนื่อยใจ

   "แล้วนายเองไปกวนประสาทเขาก่อนทำไมล่ะรุจ"

   "ไม่ได้กวนประสาทอะไรซะหน่อย~ อยากรับเองทำไมล่ะ"

   รุจรวีตอบลอยหน้าลอยตายิ่งทำให้เวทิตที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้านั้นเริ่มโมโห

   "รุจ!!!"

   "ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกันเลยนะ!"

   พีรัชกุมขมับอย่างลำบากใจเมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ยอมเชื่อฟังตนเองทำให้รุจรวีและเวทิตสะบัดหน้าหนีกันไปทางอื่นอย่างขัดใจ   ส่วนกิตติธัชยืนกอดอกจ้องมองผู้รอดชีวิตทีวรภพกำลังนั่งทำแผลให้แต่ละคนด้วยสายตาที่จับผิด

   "พวกนี้คือใครกัน"

   "คนที่รอดชีวิตจากรถไฟระเบิดเมื่อคืนครับ"

   ต้นหลิวตอบคำถามของคนหน้าบึ้งก่อนจะยื่นกรรไกรให้คุณหมอตัดผ้าพันแผลให้เวธกาเสร็จพอดีซึ่งพอได้รับคำตอบแบบนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรมาอีกเลย ทำให้กันต์กวินอึดอัดพอเห็นว่าทำแผลกันเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มหวานพร้อมกับแนะนำตัวด้วยท่าทางร่าเริงเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึม

   "เอาล่ะครับเรามาแนะนำตัวกันดีกว่า ผมชื่อ กันต์กวิน เป็นนักข่าวและนี่เพื่อนของรณกรเป็นช่างภาพ กลุ่มนั้นคือคุณพีรัชผู้จัดการของเวทิตและรุจรวีที่เป็นนายแบบครับ ส่วนคุณคนนั้นคือรวิสราคู่หมั้นของคุณกิตติธัชซึ่งเป็นตำรวจหน่วยอาชญากรรม ส่วนสองคนที่ทำแผลให้พวกคุณคือวรภพคุณหมอจบใหม่และต้นหลิวเป็นนักสืบครับ และคนที่กำลังเอาปลาเสียบไม้อยู่นั้นคือพลทัพ...ว่างงานไม่ได้ทำอะไรครับ~ งั้นมาทำความรู้จักกันเถอะเริ่มจากเธอเลยวิตา"

   กันต์กวินยื่นไม้ไปให้กวิตาที่ตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความประหม่า

   "เอ่อเออ...ฉันชื่อ กวิตา อายุ 25 ปี มาทำงานในเมืองกำลังจะกลับบ้านที่เชียงใหม่ค่ะเป็นเพื่อนกับกันต์กวินตอนเด็กค่ะ นั่งรถไฟตู้สี่ค่ะ"

   พูดเสร็จก็ส่งกิ่งไม้ให้เวธกาที่เอื้อมมือมารับพร้อมยิ้มกว้างให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร

   "ฉันชื่อ เวธกา อายุ 26 ปี เพื่อนสนิทของเฟยหรงและเป็นหุ้นส่วนร้านไหมพรม นั่งรถไฟตู้แรกค่ะ"

   "ฉัน รุ้งพราย อายุ 27 เจ้าของร้านเพชรและเป็นทายาทวรนพนักธุรกิจที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศครอบคลุมธุรกิจทางด้านการค้าการส่งออกทั้งหมด ระดับฉันนั่งรถไฟชั้นวีไอพีเฟิร์สคลาสเท่านั้น"

   รุ้งพรายเชิดหน้าแนะนำตัวเองอย่างถือดีซึ่งวณิชชาเองเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีไม่แพ้กัน

   "ฉันชื่อ วณิชชา อายุ 25 ปี พึ่งเรียนจบและกำลังทำงานเป็นนางแบบนิตยาสารชื่อดังจากต่างประเทศ"

   "อ๋อ! คนที่จะถ่ายแบบคู่กับนายเดือนหน้าไง"

   พีรัชเพิ่งนึกออกส่วนรุจรวีกลับเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับปรายตาไปมองแล้วตอบกลับอย่างปากร้าย

   "ฉันไม่สนใจถ่ายแบบกับมือสมัครเล่นที่มาจากต่างประเทศหรอกนะ อีกอย่างเธอก็ไม่เห็นจะสวยสมความร่ำรือที่บริษัทเป่าหูทั้งเช้าทั้งเย็น พอมาเห็นตัวจริงแล้วแก่มากเลยถามจริงเถอะพึ่งอายุยี่สิบห้าแน่หรอ"

   "นาย!"

   วณิชชาร้องขึ้นมาอย่างขัดใจซึ่งคำถามนั้นทำให้กันต์กวินและต้นหลิวหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

   "ต้นหลิวหัวเราะไวซ์หรอคะ!"

   "ทั้งสองคนรู้จักกันหรอครับ"

   สัญชาตญาณนักข่าวเริ่มเข้าสิงอีกครั้งก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีปลากระโดดมาบนตักของตัวเองทำให้ร้องโวยวายออกมาอย่างลืมตัว

   "ว๊ากก! ทำอะไรของนายเนี่ย"

   "มันคงอยากอยู่กับนายล่ะมั้ง"

   พลทัพอมยิ้มกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมาทำให้กันต์กวินฟึดฟัดก่อนจะสะบัดหน้าหันไปสนใจคำตอบของวณิชชาอีกครั้ง

   "แล้วตกลงทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนหรอครับ"

   "ฉันเป็นแฟนต้นหลิวค่ะ...ใช่ไหมคะหลิว"

   วณิชชาตอบพร้อมกอดแขนต้นหลิวอย่างออดอ้อนเหมือนกับจะอวดทุกคนก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำตอบของคนที่ตัวเองบอกว่าเป็นแฟน

   "แฟนเก่า"

   "ต้นหลิวอ่ะ!"

   "ปล่อยผมได้ละ"

   ต้นหลิวสะบัดมือทิ้งก่อนจะขยับหนีไปนั่งทีว่างด้านข้างวรภพแทนทำให้วณิชชาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจและตั้งท่าจะโวยวายแต่มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมาซะก่อน

   "เอาล่ะทำความรู้จักกันมามากพอแล้ว" กิตติธัชทำลายบรรยากาศอึมครึมก่อนจะจัดแจงหน้าที่อย่างเสร็จสรรพ  "พวกผู้หญิงทั้งหมดนอนตรงนู้น"

   "พื้นดินธรรมดานี่นะ! ฉันไม่นอนหรอก"

   รุ้งพรายโวยวายพรางมองไปรอบกายอย่างรังเกียจยิ่งได้คำตอบจากกิตติธัชแล้วแทบจะกรี๊ดลั่นกลางป่า

   "งั้นเธอคงต้องไปนอนบนต้นไม้แล้วล่ะ"

   "คิกคิก! ฮะฮะ"

   ต้นหลิว กันต์กวินรวมถึงรุจรวีพากันหัวเราะเสียงดังก่อนที่รุ้งพรายโมโหใส่ด้วยความหงุดหงิด

   "นี่พวกนายหัวเราะอะไรกันน่ะไม่มีมารยาทรึไง"

   "ในป่าอย่างนี้ไม่จำเป็นที่ต้องมีมารยาทตลอดเวลาหรอก"

   รุจรวีเหยียดยิ้มก่อนที่กันต์กวินจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาที่ทำให้รุ้งพรายมองด้วยความสนใจ

   "ถ้าคุณรุ้งพรายนอนที่นี่ไม่ได้งั้นเรามีที่นอนแบบนวีไอพีเฟิร์สคลาสด้วยนะครับ"

   "จริงหรอ!" รุ้งพรายต้องถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น "ที่ไหนล่ะ"

   "ซากรถไฟไงครับ"

   "นี่นาย!"

   คำตอบของกันต์กวินทำให้รุ้งพรายแทบจะกระโจนเข้าใส่ก่อนที่จะสะดุ้งเมื่อกิตติธัขขัดจังหวะขึ้นมาอย่ารำคาญ

   "พอเลิกเถียงกันได้แล้ว...ส่วนพวกผู้ชายแบ่งเป็นพีรัช รุจรวี ไปหาอาหาร ฉันและเวทิตจะไปสำรวจแถวนี้ พลทัพ กันต์กวิน ไปหาฟืน วรภพและต้นหลิวคอยตามหาผู้บาดเจ็บรวมถึงปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ด้วย ส่วนรณกรอยู่เฝ้าผู้หญิงพวกนี้ที่นี่เข้าใจไหม"

   "ผมขอเปลี่ยนไปหาฟืนกับกันต์ได้ไหมครับ"

   รณกรยกมือขึ้นถามก่อนจะทำหน้าจ๋อยเมื่อได้ยินคำตอบ

   "ไม่อนุญาต"

   "อ่า..."

   "แต่ฉันไม่อยากอยู่กับหมอนี่"

   กันต์กวินแย้งขึ้นมาบ้างด้วยใบหน้าบึ้งตึงเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ

   "ทำตามที่ฉันสั่ง ห้ามเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น"

   "แต่..."

   กันต์กวินกำลังจะแย้งแต่พลทัพกลับพูดแทรกขนมา

   "อาหารเสร้จแล้ว"

   "ตามนั้นก็ได้...งั้นเราทานอาหารกันดีกว่า"

   กันต์กวินกลับยอมลงง่ายพร้อมทั้งรับปลาย่างมาแจกจ่ายให้แต่ละคนโดยมีพีรัชคอยช่วยแจกด้วยจนมาถึงรุ้งพรายที่รับมาพร้อมแบะปากใส่

   "มีแต่ปลาหรอ ไม่เอาอ่ะก้างมันเยอะ"

   "ก็แกะก้างออกซิครับ"

   พีรัชแนะนำก่อนที่ชะงักเมื่อรุ้งพรายจะยื่นไม้คืนมาพร้อมทำเสียงออดอ้อน

   "งั้นนายแกะให้หน่อยซิ"

   "พี่รัชครับ แกะก้างให้ผมหน่อย"

   รุจรวีตะโกนดังมาอีกฝากหนึ่งด้วยท่าทางออดอ้อนเลียนแบบรุ้งพรายจนพีรัชแอบเหยียดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

   "งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ"

   "เดี๋ยวซิ..."

   รุ้งพรายพยายามรั้งไว้แต่ไม่ทันจึงหันไปหารวิสราที่นั่งอยู่ด้านข้าง

   "รวิแกะก้างให้ฉันหน่อยซิ"

   "ได้ซิ"

   รวิสรายิ้มหวานและกำลังจะเอื้อมมือมาหยิบปลาไปแกะให้แต่ถูกเวธกาขัดซะก่อน

   "รวิ~ ช่วยดูหน่อยซินี่มันสุกรึยัง"

   "ไหนดูซิ"

   รวิสราหันไปสนใจกับปลาย่างในมือเวธกาจนรุ้งพรายเริ่มไม่พอใจ

   "นี่แล้วก้างฉันล่ะ"

   "เธอก็แกะเองซิรุ้ง"

   "อ๊าย!"

   รุ้งพรายกรี๊ดออกมาอย่างสุดแรงเมื่อได้ยินคำตอบของเวธกาทำให้รุจรวี กันต์กวิน ต้นหลิว รณกร พากันหัวเราะคิกคักกันเสียงดังลั่นพร้อมก่อกวนตลอดมื้ออาหารทำให้บรรยากาศเริ่มคึกครื้น




   ทั้งหมดตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ใบป่าตรงแถวนั้นเพื่อรอทีมช่วยเหลือ  ซึ่งเช้าวันต่อมาทุกคนต่างแยกย้ายไปทำงานตามที่กิตติธัชได้กำหนดไว้เมื่อวานแต่รวิสรากลับต้องการไปกับต้นหลิวเพื่อตามหาพ่อ

   "คุณต้นหลิว...ฉันขอตามไปด้วยได้ไหมคะ ฉันเองก็อยากจะไปตามหาคุณพ่อเหมือนกันน่ะค่ะ"

   "ได้ซิครับ"

   คำตอบนั้นทำให้รวิสรายิ้มหวานก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ทักมาจากด้านหลัง

   "จะไปไหนหรอรวิ"

   "อ๋อ~ จะไปตามหาคุณพ่อน่ะไปด้วยกันไหมเกล"

   รวิสราหันไปชวนโดยไม่ได้สังเกตุเห็นสีหน้าที่เจื่อนลงของเพื่อนสนิท

   "คุณลุงน่ะหรอ..."

   "โธ่~ รวิผู้น่าสงสาร"

   เสียงที่แกล้งทำเป็นสงสารดังขึ้นก่อนที่รุ้งพรายจะยืนกอดอกจ้องมองด้วยแววตาแพรวพราว

   "หาไปเท่าไหร่ก็หาไม่เจอหรอก"

   "ทำไมพูดแบบนี้ล่ะยัยรุ้ง"

   เวธกาพูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจซึ่งอีกฝ่ายแกล้งเมินเฉยแถมเหยียดยิ้มออกมาอย่ายิ้มเยอะเย้ย

   "ไม่เชื่อก็ลองหาดูเองซิ...หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอหรอก"

   "หมายความว่ายังไง"

   รวิสรามองเพื่อนอีกคนของตนอย่างสงสัยแต่เวธกากลับจับมือแล้วพาเดินหนี

   "ไปกันเถอะ...อย่าไปฟังอะไรไร้สาระเลย"

   "เหอะ! อยากเหนื่อยกันก็ตามใจ"

   รุ้งพรายเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีก่อนจะหันไปมองเสียงหวานที่ดังมาจากด้านหลัง

   "เธอดูสนิทกับสองคนนั้นจังเลยนะ"

   "แน่นอน คนระดับเดียวกันก็ควรคบกันไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจต่อไปนั่นแหละ ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากคบเท่าไหร่หรอกแต่ก็จำเป็นน่ะนะ"

   รุ้งพรายตอบพร้อมกับเดินมาปัดเศษใบไม้เพื่อนั่งข้างวณิชชาที่เหลือเพียงคนเดียวในตอนนี้เพราะรณกรเดินไปส่งกันต์กวินที่ต้องออกไปหาฟืนที่ชายป่ายังไม่กลับมา ซึ่งคำตอบนั้นทำให้วณิชชาเหยียดยิ้มออกมาอย่างถูกใจ

   "ตอบดูจริงใจดีจังเลยนะ"

   "คงเหมือนกันกับเธอล่ะมั้ง..." รุ้งพรายเหยียดยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์  "ใช่ไหมล่ะ"

   "นั่นซินะ"

   ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอย่างรู้ทันความคิดของอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
   




********************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 6





   ส่วนรณกรเดินไปส่งกันต์กวินที่ชายป่าด้วยความเป็นห่วงเพราะอีกฝ่ายยิ่งซุ่มซ่ามขนาดก้อนหินยังสะดุดได้

   ...รณกรน่ะนับถือเลยล่ะ~...


   "กันต์แน่ใจนะว่าจะไปหาฟืนน่ะ"

   "แล้วฉันเลือกที่จะไม่ไปได้ไหมล่ะ"

    กันต์กวินตอบกวนประสาทแต่หน้าตากลับมุ่ยลงอย่างขัดใจทำให้รณกรอดที่จะขยี้ผมคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   "ดูแลตัวเองด้วยนะ"

   "แน่นอนน่าเดี๋ยวก็ได้เจอกัน"

   กันต์กวินยิ้มหวานให้ก่อนจะหุบแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงทุ้มตะโกนมาจากด้านหน้า

   "นี่คุณนักข่าว! จะไปหาฟืนกันได้รึยังนี่มันสายมากแล้วนะ"

   "รู้แล้วน่า!"

   กันต์กวินตะโกนกลับไปทั้งที่หน้าตานั้นเริ่มบูดบึ้งด้วยความขัดใจก่อนจะหันมาโบกมือลาเพื่อนสนิท

   "ไปก่อนนะ~"

   "ระวังตัวด้วยนะ~"

   ทั้งสองเดินหายเข้าไปในป่าทิ้งให้รณกรมองตามหลังด้วยความเป็นห่วง




   กันต์กวินรับเดินตามหลังพลทัพเข้าไปในป่าไม่นานนักก็เจอต้นไม้ที่เหมาะสมสำหรับทำเป็นฟืนพอสำหรับทุกคนได้อีกหลายวัน  พลทัพลงมือตัดต้นไม้เหล่านั้นมาทำเป็นฟืนแต่แทนที่อีกฝ่ายจะมาช่วยตนเองเก็บฟืนที่ตัดแล้วกลับนั่งใต้ต้นไม้แล้วบ่นงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว

   "ร้อน! แดดร้อนจังเลย"

   "ถ้าร้อนก็หยุดบ่นซักทีซิ" พลทัพได้ฟังแบบนั้นก็เริ่มบ่นขึ้นมา "มาช่วยเก็บฟืนไปกองรวมกันเร็ว"

   "แดดแรงแบบนี้ผิวเสียหมด..."

   แต่ดูอีกฝ่ายจะทำเมินเฉยเสียงของตนเอง กันต์กวินทำหูทวนลมพร้อมกับเปิดกระเป๋าเป้ด้านหลังแล้วหยิบครีมกันแดดออกมาทาตามผิวขาวนั้น

   "ทาครีมหน่อยดีกว่า"

   "ทาครีมกลางป่านี่นะ"

   พลทัพเห็นแล้วก็อดที่จะถามไม่ได้ซึ่งกันต์กวินกลับเชิดหน้าขึ้นมองด้วยหางตา

   "ทำไมล่ะ"

   "ประสาท"

   "นี่นาย"

   กันต์กวินลุกขึ้นยืนจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจจนหาก้อนหินแถวนั้นมาปาใส่ จนพลทัพเดินเข้ามาคว้าข้อมือบางไว้ก่อนจะพูดอย่างหมดความอดทน

   "คุณนักข่าว เลิกพูดมากซักทีได้ไหมแล้วรีบมาเก็บฟืน จะได้เอาไปก่อกองไฟซะที"

   "ไม่เลิก! ไม่เก็บ! ไม่ทำ! แล้วนายจะทำไม"

   กันต์กวินส่ายหน้าไปมาอย่างกวนประสาทและสะบัดข้อมือออกแล้วยืนกอดอกอย่างเอาแต่ใจทำให้พลทัพขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ

   "ก็ไม่ทำไมแค่เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าว"

   "นี่!" กันต์กวินร้องโวยวายเสียงดังลั่น "ขู่ฉันหรอ"

   "จะทำหรือไม่ทำ"

   ทั้งสองคนจ้องหน้ากันไม่กระพริบก่อนที่กันต์กวินจะเป็นฝ่ายเชิดหน้าขึ้นแล้วตอบเสียงดังฟังชัด

   "ทำ!"

   "ก็แค่นี้"

   พลทัพเหยียดยิ้มมองกันต์กวินที่กำลังเก็บฟืนเหล่านั้นมากองรวมกันด้วยแววตาที่พราวระยับ ทั้งสองคนช่วยกันเก็บฟืนอย่างนั้นยิ่งเก็บแดดยิ่งร้อนโดยเฉพาะในช่วงบ่ายทำให้กันต์กวินยิ่งบ่นมากขึ้นไปอีก

   "โอ๊ย! แดดจะร้อนอะไรนักหนาเนี่ย"

   พอบ่นเสร็จแล้วเผลอเงยหน้าขึ้นไปมองแสงเจิดจ้า ความร้อนและความเหนื่อยล้าทำให้ดวงตาพร่ามัว ลมหายใจติดขัดก่อนจะหน้ามืดล้มลงไปกับพื้น

   ตุบ!

   "เห้ย!"

   พลทัพหันมามองเห็นกันต์กวินทิ้งตัวลงกับนอนกับพื้นด้วยความตกใจจึงรีบเข้าไปตีที่หน้าสองครั้งเพื่อเรียกสติ

   "กันต์กวิน! กันต์กวิน!"

   "งื้อ..."

   กันต์กวินส่งเสียงในลำคอกลับมาแต่ลืมตาไม่ขึ้น ใบหน้าซีดเซียวโดยเฉพาะริมฝีปากที่ปกติเป็นสีชมพูกลับซีดลงและแห้งผาก ไอออกมาเป็นระยะโดยเฉพาะร่างกายหมดแรงขยับตัวไม่ไหว ทำให้พลทัพตัดสินใจอุ้มอีกฝ่ายไปนอนใต้ต้นไม้ใหญ่

   "ลำบากฉันอีกแล้ว...กินอะไรไปมั่งเนี่ยตัวจะหนักไปไหนหะ"

   ถึงแม้จะบ่นแต่แอบมีรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะวางร่างบางนั้นลงกับพื้นโดนเอาศีรษะของอีกฝ่ายนอนหนุนตักตนเองพร้อมกับเอามือตนเองคอยพัดคอยปัดให้อย่างรำคาญ

   ...จริงหรือ?...





   ทั้งสองนั่งอยู่ตรงนั้นนานจนพลทัพเผลอหลับไปจนเวลาผ่านลวงเลยไปถึงยามเย็นกันต์กวินเริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมามองด้วยความมึนงง แรงขยับตัวเล็กน้อยทำให้พลทัพที่เผลอหลับลืมตาขึ้นมามองก่อนเสียงทุ้มแหบเพราะพึ่งตื่นเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

   "รู้สึกดีขึ้นรึยัง"

   "นาย..."

   กันต์กวินมึนงงเพราะจำได้ว่ากำลังเก็บฟืนอยู่เลยไม่ใช่หรอแล้วทำไม...

   "นายเป็นลม"

   "อ่า..."

   สติเริ่มกลับมาครบถ้วนก่อนจะรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังนอนตักอีกฝ่ายอยู่จึงรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วแต่ยังไม่หายเวียนหัวเลยโคลงเคลงเอนหัวลงไปซบลงไปบนไหล่ของพลทัพที่อยู่ด้านหลังทำให้อีกฝ่ายต้องดุพร้อมกับเอามือพัดให้ตลอดเวลา

   "ทำไมถึงต้องลุกเร็ว...แล้วเป็นลมล้มไปแบบนี้ถามจริงเหอะนายป็นโรคอะไรรึเปล่าเนี่ย"

   "โรคบ้าอะไรล่ะ!" 

   กันต์กวินเหวี่ยงใส่ก่อนจะบ่นไม่หยุด

   "แดดร้อนขนาดนี้ไม่มีพัดลมไม่มีแอร์ไม่มีที่ร่มแถมต้องทำงานกลางแดดตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายเนี่ย! นายไม่เคยเป็นลมหรอ"

   "ไม่เคย"

   พลทัพตอบก่อนจะย้ายตัวอีกฝ่ายไปพิงต้นไม้เสร็จแล้วจึงเดินไปหยิบท่อนไม้แต่ละท่อนขึ้นมารวมเป็นกองแบกขึ้นหลังและเดินกลับมาหากันต์กวินที่นั่งหอบหายใจอยู่ตรงต้นไม้

   "กลับกันได้แล้ว...นายไหวใช่ไหม"

   "ไหวน่า"

   กันต์กวินตอบกลับด้วยน้ำเสียงรำคาญแต่ต้องชะงักเมื่อมือใหญ่เอื้อมจับประคองตรงที่เอวของตนเอง

   "จับทำไม"

   "เดินไปเถอะน่ะ"

   พลทัพไม่ตอบพรางประคองอีกฝ่ายให้เดินไปตามทางซึ่งกันต์กวินเองก็ยอมเดินไปโดยไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอีกต่อไป และเอาแต่ก้มมองดูทางหลบซ่อนใบหน้าหวานที่เริ่มแดงขึ้นโดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเห็นตั้งแต่จับเอวครั้งแรกแล้ว พลทัพแอบลอบมองอีกฝ่ายที่กำลังเขินอายก็เหยียดยิ้มออกมาที่มุมปาก

   ...แบบนี้ก็น่ารักดีกว่าตอนดื้อตั้งเยอะ...





    พอทั้งสองเดินกลับไปถึงที่พักแล้วนั้นรณกรก็กระโจนมากอดกันต์กวินแน่นพร้อมโยกไปมาด้วยความเป็นห่วง

   "กันต์! หายไปไหนมาทำไมถึงนานขนาดนี้ ถ้านายยังไม่กลับมาพวกเราจะออกไปตามหายนายอยู่แล้วนะ"

   "ตื่นตูมน่ะกร"

   กันต์กวินส่ายหน้าพร้อมดันเพื่อนออกไปด้วยความอึดอัดก่อนที่กิตติธัชจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วจ้องมองทั้งสองคนอย่างจับผิด

   "พวกนายสองคนหายไปไหนมา รู้ไหมว่าเลยเวลาอาหารมานานแล้ว"

   "อยากรู้ไปทำไม"

   พลทัพตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแต่โดนกันต์กวินสะกิดที่หลังทำให้ยอมตอบไปแบบขอไปที

   "นายนี่เป็นลม"

   "กันต์เป็นลมหรอ!!!"

   รณกรทำตาโตพร้อมกับโวยวายวิ่งไปตะครุบวรภพที่ยอมเดินตามมาด้วยความมึนงงเล็กน้อยก่อนจะมาหยุดยืนตรงหน้ากันต์กวินที่มองมาด้วยความงุนงงไม่ต่างกัน

   "หมอภพช่วยดูอาการกันต์หน่อยได้ไหม"

   "ไม่เป็นอะไรซักหน่อย"

   กันต์กวินส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมตรวจแต่วรภพกลับอมยิ้มและเกลี้ยกล่อมเหมือนเด็ก

   "แต่ตรวจเอาไว้ก่อนดีกว่านะครับ"

   "แต่..."

   กันต์กวินลังเลแต่ยังไม่ทันที่จะปฏิเสธเสียงพลทัพก็ดังขัดขึ้นมา

   "นายเป็นลมล้มไปอย่างนั้นให้หมอเขาตรวจเถอะ"

   "ล้มด้วยหรอ! หมอรีบตรวจเลยครับ"

   รณกรแตกตื่นพากันต์กวินไปนั่งก่อนจะหลีกทางให้คุณหมอคนเดียวในที่นี้เข้ามาดูอาการ

   "ก่อนเป็นลมคุณกันต์รู้สึกอย่างไรบ้างครับ"

   "ร้อนครับ"

   กันต์กวินปากยื่นพร้อมทำแก้มพองลมออกมาอย่างหงุดหงิด

   "ตอนนั้นช่วงบ่ายแดดร้อนมาก พอเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนหน้าก็มืดแล้วก็ล้มลงไปเลยแต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ต้องตรวจหรอกครับ"

   "งั้นผมขอตรวจหน่อยนะครับ"

   วรภพตรวจอาการอย่างเป็นระบบทั้งอัตราความเต้นของหัวใจ อุณหภูมิร่างกาย และระบบการหายใจซึ่งกันต์กวินก็ให้ความร่วมมืออย่างดี

   "อาการเป็นโรคลมแดดครับ หรือภาษาทางการแพทย์เรียกว่า ฮีตสโตรก ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดและควรดื่มน้ำให้มากด้วยนะเข้าใจไหมครับ"

   "เข้าใจครับ ขอบคุณหมอภพมากเลยนะครับ"

   กันต์กวินยิ้มหวานทำให้พลทัพมองด้วยความไม่พอใจแล้วเดินหนีทำเป็นเอาฟืนไปก่อกองไฟเพื่อทำอาหารทั้งที่ยังหงุดหงิดไม่หาย




    ส่วนกันต์กวินพอดื่มน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็หันไปเห็นรวิสราและต้นหลิวที่เดินกลับเข้ามายังที่พักด้วยแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมองจึงอดที่จะถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ตามประสาสัญชาตญาณนักข่าว

   "วันนี้ออกไปตามหาพบร่องรอยอะไรไหมครับ"

   "ไม่เลยครับ"

   ต้นหลิวก้มหน้าลงด้วยความเศร้าเช่นเดียวกันกับรวิสราที่แม้จะยิ้มแต่ก็ดูไม่สดใสซักนิด

   "ไม่พบคุณพ่อเหมือนกันค่ะ"

   "จะตามหาไปทำไมล่ะ"

   รุ้งพรายพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับเหยียดยิ้มตรงมุมปากอย่างอย่างสะใจ

   "ในเมื่อคุณลุงตายไปแล้ว"

   "พูดอะไรของเธอน่ะ!"

   เวธกาโวยวายขึ้นมาด้วยความโกรธผิดกับรวิสราที่ดวงตานั้นเบิกกว้างออกมาอย่างตกใจ

   "ท...ทำไมเธอถึงพูดว่าคุณพ่อตายแล้วล่ะ"

   "ฉันเห็นน่ะซิ"

   รุ้งพรายลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมายังรวิสราด้วยท่าทางคุกคามพร้อมกับคำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายหัวใจหยุดเต้น

   "คุณลุงน่ะโดนฆ่าตายก่อนหน้าที่รถไฟจะเกิดอุบัติเหตุซะอีก"

   "ห๊ะ"

   ทุกคนอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจและเรื่องนี้เองที่ทำให้กันต์กวินรีบสะกิดรณกรที่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายโดยไม่ต้องสั่งอะไรเยอะ

   "ที่คุณรุ้งพูดนี่หมายความว่ายังไงครับ แล้วเป็นเรื่องจริงรึเปล่า"

   "จริงซิ! คุณลุงถูกฆ่าตายในห้องนอน เสียงมีดที่แทงลงไปนั้นดัง..."

   รุ้งพรายเดินเข้าไปใกล้รวิสราที่นั่งนิ่งทำตาโตอยู่ด้านหน้า

   "ฉึก! ฉึก! ฉึก!"

   "ค...คุณพ่อ"

   รวิสราพูดจาติดขัดเริ่มมีลมตีตื้นขึ้นมาตลอดเวลาพร้อมกับน้ำตาที่คลออยู่บนดวงตาสวยหวานคู่นั้นยิ่งทำให้รุ้งพรายเหยียดยิ้มมุมปากออกมาอย่างสะใจ

   "พ่อของเธอตายแล้ว...เลิกตามหาซักทีเถอะรวิ"

   "ฮึก! ฮึก! ม...ไม่จริง ฮึกฮือออ~"

   รวิสราสะอื้นจนตัวสั่นไปหมดด้วยความเกร็งยิ่งทำให้รุ้งพรายที่มองอยู่นั้นหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง

   "ฮ่าฮะฮะ~ จริงซิ! มันคือความจริง!"

   "ไม่จริง!!! ฮือออ...ฮึกก!!!"

   รวิสราหวีดร้องออกมาก่อนจะหงายหลังลงไปนอนชักดิ้นชักงอตัวเกร็งกับพื้นดินอย่างทรมาณ จนวรภพต้องรีบมาปฐมพยาบาลโดยมีต้นหลิวเป็นผู้ช่วยเอาผ้ามายัดปากให้รวิสรากัดแทนที่จะขบกัดลิ้นตัวเอง พอเห็นสภาพของเพื่อนทำให้เวธกาเดินมาเงื้อมือจะทำร้ายรุ้งพรายแต่รณกรกลับห้ามเอาไว้ได้ทัน

   "อย่าลงไม้ลงมือกันเลยน่ะ!"

   "แต่ยัยนี่มัน!...หื้ย!"

   เวธกาสะบัดหน้าแล้วเดินหนีไปดูอาการของเพื่อนสนิทที่เริ่มชักน้อยลงแต่ยังกระตุกและกัดผ้าที่อยู่ในปากแน่นทั้งที่ดวงตานั้นมีน้ำไหลออกมาไม่หยุดอย่างน่าสงสาร แต่ถึงแม้กันต์กวินนั้นมองรวิสราด้วยความเห็นใจทว่าหน้าที่ของนักข่าวทำให้กันต์กวินนั้นต้องการทราบความจริงให้มากที่สุด

   "ถ้าสิ่งที่คุณรุ้งพรายพูดเป็นความจริง แล้วคุณรุ้งทราบไหมครับว่าฆาตกรคือใคร"

   "ใช่!" รุ้งพรายพยักหน้าพร้อมกับเชิดคอขึ้นอย่างอวดดี "ฉันรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าคุณลุง"

   "ใครครับ?"

   ทุกคนต่างหันมามองอย่างสนใจทำให้รุ้งพรายเหยียดยิ้มร้ายตรงมุมปากจนน่าหมั่นไส้

   "เรื่องอะไรที่ฉันจะบอกพวกนาย"

   "คุณรุ้ง! อย่ามาล้อเล่นแบบนี้นะ"

   กันต์กวินเริ่มโมโหแต่รุ้งพรายกลับเหยียดยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจมากกว่าเดิม

   "ถ้าฉันบอกไปใครจะรับรองชีวิตของฉันล่ะจริงไหม บางทีฆาตกรอาจเป็นใครซักคนที่คอยจับตาเราอยู่ก็ได้จริงไหมล่ะ"

   "นี่คือวิธีการเอาตัวรอดของคุณงั้นหรอ"

   กันต์กวินมองด้วยความผิดหวังพร้อมทำปากยื่นด้วยความขัดใจแต่รุ้งพรายกลับไม่รู้สึกอะไรมากนัก

   "นายจะว่าอย่างนั้นก็ได้ไม่ผิด"

   "บางทีคุณอาจจะสร้างเรื่องโกหกหลอกพวกเราเพื่อเรียกร้องความสนใจก็ได้"

   รุจรวีที่นั่งฟังอยู่นานพูดแทรกขึ้นมาอย่างหมดความอดทนซึ่งกันต์กวินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

   "นั่นน่ะซิ คุณน่ะมันเชื่อถือไม่ได้"

   "ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ พวกนายอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน"

   รุ้งพรายทำสีหน้าโมโหก่อนจะเดินออกไปจากกลุ่มผู้รอดชีวิตอย่างกระฟัดกระเฟียดโดยไม่มีใครคิดจะห้ามซักคน




**************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 7




   หลังจากทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยแล้วยกเว้นรวิสราที่หายชักแล้วก็นอนนิ่งหลับแบบนั้นยังไม่ได้สติ

   ซึ่งกิตติธัชไม่ได้สนใจไปดูอาการของคู่หมั้นเลยซักนิดเดียวกลับเดินไปหยิบปืนมาวางไว้สามกระบอกซึ่งทั้งสามกระบอกนั้นเป็นคนละรุ่นกันทำให้ทุกคนมองมาอย่างสนใจ

   "ปืนสามกระบอกนี้เอาเก็บไว้เพื่อป้องกันตัว ฉันจะมอบปืนนี้ไว้ให้กับวรภพ พีรัช และพลทัพ เผื่อมีเหตุการณ์อะไรจะได้ช่วยกันต่อสู้ได้"

   "นายเชื่อคำพูดของยัยนั่นหรอ"

   เวธกาแทรกขึ้นมาพร้อมกอดอกด้วยท่าทางอาการไม่พอใจ ซึ่งกิตติธัชตอบคำถามนั้นโดยไม่ลืมกัดใครบางคนที่หยิบปืนมาสำรวจอย่างคล่องแคล่ว

   "ตำรวจอย่างฉันไม่ควรประมาท ถึงจะไม่เชื่อก็ป้องกันไว้ก่อน...จะได้ไม่ต้องซ้ำรอยใครบางคน"

   เกร็ก!

   "ไอ้กิต!"

   พลทัพเหนี่ยวไกปืนแล้วเอามาจ่อทิศทางตรงกับหน้าผากของกิตติธัชพอดีก่อนจะแกว่งไปแกว่งมาอย่างกวนประสาท

   "ปืนนายมันถนัดมือดีนะ น่าจะยิงได้สะดวกโดยเฉพาะคนอวดฉลาด"

   "เอ่อ...ผมยิงปืนไม่เป็นหรอกนะครับ"

   วรภพหยิบปืนขึ้นมาดูเช่นเดียวกันกับพีรัชที่มือสั่นเล็กน้อยด้วยความกลัว

   "ผมก็ยิงไม่เป็น"

   "เอาไว้ป้องกันตัวไม่ได้ให้ยิงพร่ำเพรื่อ" กิตติธัชตอบก่อนจะเดินไปนั่งตรงกองไฟ "นอนพักผ่อนกันได้แล้วคืนนี้ฉันจะเฝ้ายามเอง"

  "แล้วคุณรุ้งพรายล่ะคะ"

   กวิตาหันมองซ้ายมองขวาแต่ไม่มีใครสนใจที่จะไปตามหาเลยซักคนทำให้อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

   "ไปตั้งนานแล้วนะคะไม่ออกตามหากันหรอ"

   "ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวก็กลับมาเองแหละ"

   วณิชชาตอบอย่างรำคาญก่อนจะจ้องมองไปที่ต้นหลิวที่กำลังจะล้มตัวลงนอนข้างวรภพพร้อมกับพูดไปด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน

   "ราตรีสวัสดิ์นะคะต้นหลิว"

   "อืม"

   ต้นหลิวตอบกลับแค่นั้นก่อนจะหันหลังหนีทำให้วณิชชากัดปากตัวเองอย่างขัดใจ

   หลังจากนั้นทุกคนต่างนอนหลับไม่นึกที่จะออกไปตามหารุ้งพรายโดยไม่คาดคิดเลยว่าจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น

   ปัง!!! ปัง!!!

   แต่ทว่าระหว่างที่ต่างคนต่างกำลังหลับไหลอยู่นั้นเกิดมีเสียงปืนดังขึ้นทำให้สะดุ้งตื่นกันทั้งหมดอย่างตกใจ กิตติธัชที่มีสติที่สุดในตอนนี้รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

   "เสียงปืน! พวกผู้หญิงอยู่ที่นี่ส่วนผู้ชายตามฉันมา"

   "ระวังตัวด้วยนะ"

   เวธกากล่าวอย่างเป็นห่วงทั้งที่กำลังจ้องมองไปที่แผ่นหลังของกิตติธัชจนลับสายตาหายไปกับความมืด 





   ทั้งหมดรีบวิ่งมาตามเสียงปืนจนกระทั่งมาถึงตรงชายป่าแถวซากรถไฟก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้า

   "รุ้งพราย!!!"

   "กร! ถ่ายเอาไว้เลยเร็ว!"

   กันต์กวินหันไปสั่งรณกรที่พยักหน้าพร้อมกดชัตเตอร์สาดแสงไปด้านหน้าเผยให้เห็นภาพของรุ้งพรายที่นอนหงายอยู่ข้างซากรถไฟ สภาพศพถูกยิงตรงกลางบริเวณหน้าอกขณะที่ดวงตานั้นกำลังลืมโผลงอย่างหวาดกลัว

   ต้นหลิวและวรภพรีบเข้าไปนั่งด้านข้างศพทั้งสองฝั่ง วรภพเอามือไปเช็คลมหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนแล้วส่ายหน้า

   "เสียชีวิตแล้ว สภาพศพถูกยิงกลางหน้าอกตัดขั้วหัวใจ เวลาเสียชีวิตคาดว่าน่าจะเวลา 23:50"

   "สถานที่พบศพชายป่าแถวซากรถไฟ เวลาพบศพ 00:00"

   กิตติธัชพูดขึ้นขณะที่ยืนกอดอกมองสภาพศพอย่างสงบไม่ตื่นตกใจอะไร

   "ดวงตาของศพลืมตาเบิกโผลงขึ้นเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง มือจิกเกร็ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ" ส่วนต้นหลิวพูดขึ้นขณะมองสภาพศพแล้วหันไปมองร่องรอยรอบตัว "สถานที่รอบตัวเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ แต่ท้องฟ้ามืดขนาดนี้คงต้องรอพิสูจน์หลักฐานกันพรุ่งนี้"

   "พรุ่งนี้ค่อยมาดูหลักฐานที่เกิดเหตุกันอีกรอบ สั่งห้ามใครห้ามเข้าใกล้พื้นที่ตรงนี้ยกเว้นหมอวรภพและนักสืบต้นหลิวเท่านั้น"

   กิตติธัชออกคำสั่งก่อนจะหันหลังเดินกลับที่พักปล่อยให้พวกที่เหลือยืนดูเหตุการณ์กันตรงนั้นไม่ยอมขยับตัวไปไหน ซึ่งคำสั่งนั้นทำให้กันต์กวินหน้ามุ่ยลงอย่างขัดใจ

   "งั้นเราก็คงต้องมาทำข่าวพรุ่งนี้แล้วล่ะ เตรียมกล้องให้พร้อมเลยนะกรรับรองได้ข่าวใหญ่แน่"

   "แน่นอน!"

   รณกรตอบรับอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับเสียงของพลทัพที่แทรกขึ้นมาอย่างหมั่นไส้

   "เหอะ! สงสัยกลับไปได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้านักข่าวเลยล่ะมั้งมีผลงานตั้งแต่รถไฟยังไม่ระเบิดจนกระทั่งมีคนตายเนี่ย"

   "ได้แบบนั้นก็ดีน่ะซิ"

   กันต์กวินตอบกลับอย่างกวนประสาทก่อนจะหันไปสนใจกับภาพตรงหน้าและคอยกำกับให้ซุนซีคุนเก็บภาพให้มากที่สุด   ส่วนรุจรวีนั้นยืนหลบอยู่ด้านหลังของพีรัชพร้อมกอดแขนแน่นด้วยความหวาดกลัว

   "ร...รุ้งพรายตายแล้วจริงหรอครับพี่รัช"

   "ใช่แล้ว คนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือคุณรุ้งพราย"

   พีรัชตอบโดยสนใจเหตุการณ์ด้านหน้าไม่ได้สังเกตุเห็นอาการผิดปกติของคนด้านหลังยกเว้นเวทิตที่เห็นอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นอย่างผิดสังเกต

   "นายเป็นอะไรน่ะรุจ"

   "อึก!..."

   รุจรวีเกร็งตัวมากขึ้นพร้อมล้มลงไปนอนกับพื้นหอบหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงสร้างความแตกตื่นให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นโชคดีที่หัวไม่ฟาดพื้นเพราะเวทิตเอามือมารองไว้ทัน ซึ่งวรภพรีบวิ่งเข้ามาดูอาการทันทีด้วยความเป็นห่วง

   "โรคหอบหืด? คุณพีรัชรู้ไหมครับว่าเขามีพวกยาพ่นติดตัวไหม"

   "เอ่อ...อ๋อ!"

   คำถามนั้นทำให้พีรัชพึ่งนึกออกรีบหยิบกระเป๋าสีเขียวที่เก็บมาจากซากรถไฟเมื่อวานออกมาเปิดหาของที่อยู่ด้านในไม่นานก็หยิบยาพ่นออกมา

   "นี่ครับหมอ"

   "คุณทิตช่วยพยุงรุจขึ้นนั่งหน่อยครับ"

   "ครับ!"

   วรภพหันไปสั่งซึ่งเวทิตก็รีบทำตามโดยประคองหัวอีกฝ่ายขึ้นมาพิงซบตรงหัวไหล่ตนเองเพื่อให้วรภพพ่นยาใส่ปากอีกฝ่ายได้สะดวก ผ่านไปไม่นานอาการหอบน้อยลงจนลมหายใจเริ่มกลับมาปกติ พออาการดีขึ้นรุจรวีจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

   "ข...ขอบคุณครับ"

   "คุณควรกลับไปที่พักนะครับ" วรภพพูดกับคนไข้ตัวเล็กด้วยสีหน้าจริงจัง "แล้วก็ทำใจให้สบายไม่ต้องเครียดเรื่องนี้ตกลงไหมครับ"

   "ครับ"

   รุจรวีพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนที่พีรัชและเวทิตคอยประคองแขนคนละข้างแล้วพาเดินกลับไปยังที่พักพร้อมกันกับทุกคน   พอมาถึงก็เห็นพวกผู้หญิงทำหน้าตาไม่สบายใจแต่ไม่มีใครกล้าถามออกมาจนพีรัชเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน

   "รู้เรื่องของคุณรุ้งพรายกันแล้วใช่ไหมครับ"

   "ค...คุณรุ้งตายแล้วจริงหรอคะ"

   กวิตาถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือซึ่งพีรัชพยักหน้าตอบรับอย่างแผ่วเบา

   "ใช่"

   "โธ่...ไม่น่าเลย"

   กวิตาก้มหน้าลงอย่างเศร้าหมองผิดกับเวธกาที่เหยียดยิ้มออกมาอย่างสะใจ

   "สมควรแล้วล่ะ...ดันอยากเดินสะบัดสะบิ้งออกไปคนเดียวแบบนั้นนี่หน่า"

   "พูดอย่างนั้นได้ยังไงน่ะ! นั่นคนตายนะ"

   วณิชชาสวนกลับมาก่อนจะลุกขึ้นเดินไปกอดแขนต้นหลิวแน่นด้วยท่าทางออดอ้อน

   "ต้นหลิวคะ~ ไวซ์กลัวจังเลยค่ะ"

   "งั้นคุณก็ควรอยู่กับกลุ่มผู้หญิง อย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียว"

   ต้นหลิวทำท่าทางเฉยชาใส่ก่อนจะดึงแขนออกจากอีกฝ่ายแล้วเดินไปนั่งข้างวรภพที่กำลังตรวจสอบกระเป๋ายาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้

   "มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ"

   "ไม่มีครับ พักผ่อนกันก่อนเถอะพรุ่งนี้เราต้องไปพิสูจน์หลักฐานกันตั้งแต่เช้า"

   วรภพยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนที่ทั้งหมดทุกคนที่อยู่แถวตรงนั้นจะล้มตัวลงนอนและหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนล้ายกเว้นกิตติธัชที่อยู่เฝ้ายามนั่งมองกองไฟทั้งคืน




*********************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 8



   เหตุการณ์เมื่อคืนนั้นทำให้ต้นหลิวนอนไม่หลับจึงชวนวรภพออกไปยังที่เกิดเหตุตั้งแต่เช้ามืดตรวจพิสูจน์ศพและหาร่องรอยหลักฐานในที่เกิดเหตุ ทั้งสองแบ่งงานกันโดยวรภพชันสูตรพลิกศพ วิถีกระสุนและเขม่าดินปืน ส่วนต้นหลิวตรวจสอบลายนิ้วมือ ลายนิ้วมือแฝงและรอยเท้า   



    ซึ่งวรภพได้ดูจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของศพภายหลังตายเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง คาดว่าน่าจะเสียชีวิตเวลาประมาณ 23:50 นาฬิกา ดูลักษณะบาดแผลที่ปรากฏพบว่าตายเพราะอาวุธปืนที่ยิงกลางหน้าอกตัดขั้วหัวใจเสียชีวิตทันที มีคราบเขม่าดินปืนอยู่บริเวณปากแผลเป็นการยิงระยะเผาขนและพบปลอกกระสุนปืนตกห่างจากตัวผู้เสียชีวิตไปไม่กี่เมตร

   วรภพลงมือตรวจสอบคราบเขม่าปืนโดยการหยดกรดไนตริกเข้มข้นลงบนสำลี แล้วเช็ดที่หลังมือขวาตั้งแต่บริเวณข้อมือไปจนถึงปลายนิ้ว หมุนสำลีไปในทางเดียวกันและเช็ดที่ฝ่ามือขวา หลังมือซ้าย ฝ่ามือซ้าย ก่อนจะเก็บใส่ซองถืงห้าซองแล้วผ่าลูกกระสุนปืนออกมาให้ต้นหลิวตรวจสอบ




   ทางด้านต้นหลิวเองนั้นใช้ผงแป้งพรมลงไปบนลูกกระสุนปืนที่วรภพผ่าออกมาซึ่งรอไม่นานนักรอยนิ้วมือก็ปรากฏขึ้นมา ใช้สติ๊กเกอร์ที่ใช้เก็บลายนิ้วมือปิดตรงลายนิ้วมือแล้วค่อยดึงออกเอาไปเก็บไว้ตรวจสอบอีกที ก่อนจะเดินสำรวจรอบบริเวณพบรอยเท้าของคุณรุ้งพรายและรอยเท้าอีกรอยหนึ่งแถวชายป่าใกล้สถานที่ที่เกิดเหตุฆาตกรรม สังเกตรูปแบบของรอยเท้าและการสึกรอยเท้าแล้วพบว่าเป็นรอยเท้าที่เล็กและสึกน้อย ส่วนสูงและน้ำหนักใกล้เคียงกับขนาดตัวของรุ้งพรายมากแต่เพศยังไม่สามารถระบุแน่ชัด



   ทั้งสองเริ่มตรวจสอบกันซักพักใหญ่จนกิตติธัชมาถึง  ตามมาด้วยพลทัพและกันต์กวิน ปิดท้ายด้วยรณกรที่ถือกล้องมาพร้อมถ่ายทำ

   "กรนายแน่ใจนะว่าเปิดกล้องเรียบร้อยน่ะ"

   "แน่ใจซิ! พร้อมถ่ายแล้วเนี่ย"

   รณกรตอบกลับเสียงดังอย่างกระตือรือร้นที่จะถ่ายภาพที่สุดทำให้กันต์กวินยิ้มกว้างก่อนที่จะเริ่มรายงานข่าวด้วยสีหน้าที่จริงจังทันที

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่คุณผู้ชมได้รับชมอยู่ในขณะนี้คือภาพเหตุการณ์ฆาตกรรม ซึ่งผู้ตายคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการรถไฟระเบิด ผู้เสียชีวิตคือ คุณรุ้งพราย เพศหญิง อายุ 27 เจ้าของร้านเพชร โดยเธอนั้นเป็นทายาทของคุณวรนพนักธุรกิจที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศครอบคลุมธุรกิจทางด้านการค้าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งสาเหตุการฆ่าตกรรมนั้นเราจะสอบถามกับคุณหมอวรภพกันนะครับ"

   กันต์กวินเดินไปหาวรภพที่กำลังล้างมืออยู่เงยหน้าขึ้นมามองพอดีทำให้ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนที่กันต์กวินจะหันไปยิ้มให้กล้องเล็กน้อย

   "ครับ! ตอนนี้เราก็อยู่กับคุณหมอวรภพนะครับ สวัสดีครับคุณหมอวรภพ"

   "สวัสดีครับ"

   วรภพรับไหว้ก่อนที่กันต์กวินจะเริ่มต้นยิงคำถามด้วยความสงสัยทันที

   "คุณหมอครับพบหลักฐานอะไรเพิ่มเติมจากศพของผู้เสียชีวิตบ้างไหมครับ"

   "สภาพศพของผู้เสียชีวิตคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเมือคืนประมาณห้าทุ่มห้าสิบ ผู้ตายเสียชีวิตจากอาวุธปืนที่ยิงเข้าตรงกลางหน้าอกตัดขั้วหัวใจทำให้เสียชีวิตทันทีซึ่งเป็นการยิงระยะเผาขนเพราะมีคราบเขม่าดินปืนอยู่บริเวณปากแผล พบปลอกกระสุน ปืนตกห่างจากตัวผู้เสียชีวิตไปไม่กี่เมตรสรวจสอบพบว่าเป็นปืนรุ่น ซิก ซาวเออร์ พี 320 ขนาดหัวกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตอนนี้กำลังรอผลตรวจสอบลายนิ้วมืออยู่ครับ"

   "ปืนรุ่น ซิก ซาวเออร์ พี 320 หรอ?"

   กิตติธัชพึมพัมอย่างแผ่วเบาก่อนจะหันไปจ้องหน้าพลทัพที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างมุ่งร้าย

   "นายเอาปืนของฉันไปฆ่ารุ้งพรายทำไม"

   "อย่ามาใส่ร้ายฉัน"

   พลทัพสวนกลับอย่างหงุดหงิดแต่กิตติธัชเมินเฉยไม่ฟังคำแก้ตัวแถมยังคอยหาเรื่องตลอดเวลา

   "ไม่ได้ใส่ร้ายแต่รอยกระสุนปืนที่ศพของรุ้งพรายคือกระสุนชนิดเดียวกันกับปืนกระบอกที่ฉันให้นายป้องกันตัว"

   "จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อมันอยู่..."

   พลทัพเริ่มโมโหเอื้อมมือไปหยิบปืนที่เอวด้านหลังแต่ทว่ากลับว่างเปล่า

   ฟุบฟุบ

   "ไม่มี"

   พลทัพมีหน้าซีดลงท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

   "ห๊ะ!"

   "ไม่มีปืน...ปืนฉันหายไป"

   พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนมองหน้าพลทัพอย่างไม่ไว้ใจตามมาด้วยกันต์กวินที่เอาไม้ชี้หน้าแล้วตะโกนโวยวายเสียงดัง

   "นายคือคนร้ายหรอ!"

   "จะบ้ารึไงล่ะ"

   พลทัพโวยวายกลับอย่างหงุดหงิดก่อนที่ต้นหลิวจะเดินเข้ามาพร้อมถุงใส่กระบอกปืน ซึ่งด้านในมีกระสุนปืนและแผ่นตรวจลายนิ้วมือพร้อมทั้งรายงานหลักฐานที่ตนเองได้พิสูจน์มา

   "จากที่ได้พิสูจรอยนิ้วมือที่กระสุนปืนและพบปืนที่ถูกโยนทิ้งตรงพุ่มไม้ซึ่งเป็นกระสุนชนิดเดียวกันกับปืนกระบอกที่คุณกิตให้คุณทัพไว้ป้องกันตัว พบลายนิ้วมือของทั้งคุณกิตและคุณทัพอยู่ที่กระบอกปืนและตรงลูกกระสุนปืนซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีเพราะคุณกิตเป็นเจ้าของปืน ส่วนคุณทัพคือคนที่ตรวจสอบอาวุธปืนเมื่อคืนซึ่งต้องจับทั้งปืนและลูกกระสุนปืนแน่นอน ทำให้คุณทั้งสองตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ทว่าผมกลับไปเจอรอยเท้าแถวชายป่าใกล้สถานที่ที่เกิดเหตุฆาตกรรมด้วยซึ่งเป็นรอยเท้าที่เล็กและสึกน้อยมีขนาดส่วนสูงและน้ำหนักใกล้เคียงกับขนาดตัวของคุณรุ้งมากแต่เพศยังไม่สามารถระบุแน่ชัด เพราะฉะนั้นคาดว่าคนร้ายไม่ใช่คุณภพและคุณกิตแน่นอน แต่ถ้าเกิดไม่แน่ใจคุณหมอภพตรวจสอบว่ามีหรือไม่มีเขม่าปืนที่มือของคุณทั้งสองคนได้ครับ"

   "งั้นขอตรวจคราบเขม่าดินปืนที่มือหน่อยนะครับ"

   วรภพหยิบสำลีขึ้นมาเช็ดที่หลังมือขวาตั้งแต่บริเวณข้อมือไปจนถึงปลายนิ้ว หมุนสำลีไปในทางเดียวกันและเช็ดที่ฝ่ามือขวา หลังมือซ้าย ฝ่ามือซ้ายของทั้งสองคนซึ่งพอผลตรวจออกมาแล้วทั้งหมดจึงโล่งใจ

  "ผลการตรวจสอบไม่มีเขม่าปืนติดอยู่ที่มือของทั้งกิตติธัชและพลทัพ"

   "แล้วไม่พบลายนิ้วมือคนอื่นเลยหรอครับ"

   กันต์กวินถามขึ้นมาอย่างสงสัยโดยคนที่อยู่ตรงนั้นก็สงสัยเช่นกันซึ่งต้นหลิวนั้นเป็นคนตอบคำถามในเรื่องนี้

   "ไม่ครับ คาดว่าคุณพลทัพน่าจะโดนขโมยปืนและผู้ต้องหาใส่ถุงมือด้วย"

   "อ่า~"

   กันต์กวินร้องออกมาพร้อมพยักหน้าอย่างเข้าใจ

   "เข้าใจแล้วครับ"

   "เราคงต้องขอหาหลักฐานเพิ่มอีกนิดหน่อย"

   ต้นหลิวพูดขึ้นด้วยท่าทางยิ้มแย้มพร้อมเตรียมอุปกรณ์ที่จะทำงานต่อ

    "พวกคุณกลับไปก่อนก็ได้นะครับ"

   "ถ้าอย่างงั้นระวังตัวกันด้วย"

   กิตติกรพยักหน้าพร้อมกับยอมเดินกลับไปที่พักเพื่อไม่ให้แกะกะขวางทาง  ซึ่งตอนแรกกันต์กวินจะไม่ยอมกลับแต่โดนพลทัพลากคอเดินกลับไปด้วยกันโดยมีรณกรรีบวิ่งตามหลังด้วยความงุนงง




    หลังจากที่ทุกคนต่างเดินกลับที่พักกันแล้วนั้นวรภพและต้นหลิวก็ตรวจสอบหาหลักฐานเพิ่มเติมกันต่อ ซึ่งระหว่างที่กำลังหาหลักฐานตรงพุ่มไม้แถวทางรถไฟนั้นต้นหลิวก็พบกับอะไรบางอย่างสีเงินดูคุ้นตาจึงเอื้อมมือไปหยิบมาดูก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

   "นี่มัน!...ฮึก!"

   ซึ่งสิ่งที่ต้นหลิวหยิบมาได้นั้นคือสร้อยคอที่ตนเองเคยให้วิรชาตอนที่ขอแต่งงาน



.........


    'ต้นหลิวคะ ต้นหลิว~'

   วิรชาเปิดประตูบ้านเข้ามาแต่พบกับความมืดมองไม่เห็นอะไรจึงตะโกนเรียกคนรักของตนเองที่ต้องแอบอยู่แถวนี้แน่นอน

   พรึบ!

   ก่อนที่ไฟทั้งบ้านจะสว่างขึ้นมาเผยให้เห็นลูกโป่งถูกตกแต่งเต็มห้องและบนโต๊ะเป็นอาหารหรูหราอย่างที่ตนเองชอบ ไม่นานนักต้นหลิวก็เดินออกมาพร้อมกับช่อดอกไม้ช่อใหญ่และกำลังเดินมาหยุดยืนตรงหน้าตนเอง ซึ่งวิรชายิ้มหวานพร้อมเอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้มาถือไว้อย่างตื่นเต้น

   "อะไรกันคะเนี่ย"

   "ชอบไหมครับ"

   ต้นหลิวยิ้มกว้างพร้อมกับจ้องตากันไม่กระพริบก่อนจะหยิบกล่องใส่สร้อยคอขึ้นมาพอเปิดออกเผยให้เห็นจี้รูบหัวใจที่มีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลางทำให้วิรชายิ่งยิ้มหวานให้มากยิ่งขึ้น

   "ต้นหลิวคะ~"

   "แต่งงานกับผมนะเวย์"

   "ค่ะ" วิรชาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มหวานให้อีกฝ่ายด้วยควาเขินอาย  "เวย์จะแต่งงานกับต้นหลิว"

   ต้นหลิวยิ้มกว้างพร้อมกับสวมสร้อยลงบนลำคอยาวระหงนั้นอย่างทะนุถนอมก่อนที่ทั้งสองจะยิ้มให้กันอย่างมีความสุข



.........



   "ฮึกฮือออ~"

   พอนึกไปถึงอดีตแล้วทำให้ต้นหลิวนั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าพุ่มไม้นั้นอยู่นานจนวรภพเดินเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง

   "เป็นอะไรรึเปล่า"

   "ฮึก! คุณภพ ฮึกฮืออออ"

   ต้นหลิวหันมาซบในอ้อมกอดนั้นพร้อมกับร้องไห้ออกมาไม่หยุดโดยมีวรภพคอยนั่งปลอบตรงนั้นไม่ขยับตัวไปไหน   หลังจากร้องไห้จนพอใจแล้วต้นหลิวก็ไม่ยอมกลับที่พักดึงดันจะออกตามหาคู่หมั้นตนเองทั้งที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

   "ผมจะออกตามหาเวย์"

   "แต่..."

   "ถ้าคุณหมอไม่ไปด้วยกันก็กลับที่พักไปเถอะครับ"

   ต้นหลิวพูดขัดขึ้นมาทำให้วรภพทำหน้าตาไม่คอยพอใจ

   "ผมยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะไม่ไปเป็นเพื่อนน่ะ"

   "อ่า..."

   ต้นหลิวทำหน้าเหวอทำให้คนที่มองอยู่นั้นส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจนิดหน่อย

   "ตามมาซิครับ"

   วรภพเดินนำไปโดยมีต้นหลิวเดินตามไปด้วยท่าทางเก้อเขินเพราะวางตัวไม่ถูกกับท่าทางของอีกคนหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะไปช่วยหาด้วย



   'งื้อ~ใครจะรู้ล่ะว่าจะไปด้วยกันน่ะ!'



****************************************

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
มาสะดุดตรงกรดไนตริกเข้มข้นอ่ะ กลางป่ากลางเขาหามาได้ยังไงหนอ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 9



   ทั้งสองออกเดินตามหากันตามแนวชายป่าและบริเวณแถวซากรถไฟอีกหลายรอบจนมืดค่ำแต่ทว่ากลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยเลยซักนิดเดียว จึงพากันกลับมาที่พักพบวณิชชารีบลุกขึ้นแล้วเดินมากอดแขนอดีตคนรักอย่างออดอ้อน

   "ต้นหลิวคะ~ หายไปไหนมาน่ะไวซ์เป็นห่วงต้นหลิวมากเลยค่ะ"

   "ผมไปตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมและออกไปตามหาเวย์น่ะ"

   คำตอบของต้นหลิวทำให้วณิชชาไม่พอใจก่อนจะพูดออกมาอย่างจิกกัดและสะใจ

   "เวย์น่ะหรอคะป่านนี้คงตายไปกับซากรถไฟแล้วมั้ง"

   "ไวซ์!!!"

   ต้นหลิวหันไปตวาดเสียงดังลั่นแต่วณิชชากลับเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว

   "ทำไม? หรือไม่จริงล่ะ"

   "หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะไวซ์!!!"

   ต้นหลิวโมโหพยายามจะสลัดแขนทิ้งแต่วณิชชากลับกอดแขนคนตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม

   "ทำไมถึงทำกับไวซ์แบบนี้ล่ะ! เมื่อก่อนตอนที่เคยคบกันต้นหลิวไม่เคยตะคอกใส่ไวซ์เลยนะ!"

   "แต่นั่นคู่หมั้นฉัน"

   "แต่ไวซ์ก็เป็นแฟนเก่าต้นหลิวนะ! ถ้าเกิดยัยนั่นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ป่านนี้คงหาพบไปตั้งนานแล้ว"

   "แฟนเก่าที่ทิ้งไปเรียนต่อต่างประเทศโดยไม่คิดจะติดต่อมาเลยน่ะหรอ เหอะ!"

   ต้นหลิวตวาดเสียงดังด้วยความโมโหก่อนจะสลัดแขนทิ้งอย่างแรงทำให้วณิชชากรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความขัดใจ

   "ต้นหลิว!!!"

   "ฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว"

   ต้นหลิวเริ่มโมโหและตั้งใจจะเดินหนีแต่วณิชชากลับคว้าแขนมากอดเอาไว้แน่นอีกครั้ง

   "ต้นหลิวจะหนีไวซ์ไปไหนคะ!"

   "ไม่ต้องมายุ่ง"

   ต้นหลิวสะบัดแขนอีกฝ่ายทิ้งอีกครั้งแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำขู่ของวณิชชาที่ตะโกนเสียงดังลั่น

   "ถ้าต้นหลิวไปไวซ์จะฆ่าตัวตาย"

   "อยากทำอะไรก็เชิญ แล้วแต่เลย"

   ต้นหลิวตอบอย่างไม่สนใจก่อนจะเดินหนีไปนั่งตรงอื่นทิ้งให้วณิชชายืนกระทืบเท้าตรงนั้นอย่างขัดใจ

   "ต้นหลิวอ่ะ! อย่าเพิ่งเดินหนีซิคะไวซ์มีเรื่องจะคุยกับคุณ!"

   "แต่ผมไม่เรื่องจะคุย"

   ต้นหลิวตอบแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นทำให้วณิชชาเดินไปดึงแขนให้อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งด้วยความเอาแต่ใจ

  "ลุกขึ้นมาก่อนซิคะ! ทำไมต้นหลิวเอาแต่คิดถึงยัยนั่นล่ะทั้งที่มันก็หายไปแล้วจะไปตามหาทำไม แถมยังทำเมินไวซ์อีก! ซักวันต้นหลิวจะต้องเสียใจที่ทำเมินกับไวซ์แบบนี้น่ะ!!!"

  "ไวซ์"

   ต้นหลิวลุกขึ้นมามองด้วยสายตาหงุดหงิดและบูดบึ้งมากก่อนจะชูสร้อยคอที่ตนเองหาพบขึ้นมาให้อีกฝ่ายดูอย่างชัดเจน

   "นี่คือสร้อยที่ผมขอเวย์แต่งงาน ผมพบสร้อยนี้ตรงพุ่มไม้แถวทางรถไฟเพราะฉะนั้นผมยังเชื่อมั่นว่าเวย์ยังไม่ตายและผมต้องเจอเวย์แน่นอน"

   "แล้วไวซ์ล่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาต้นหลิวเอาไวซ์ไปไว้ที่ไหน ต้นหลิวลืมไวซ์ไปแล้วจริงน่ะหรอ!"

   วณิชชาน้ำตาไหลออกมาอย่างเจ็บใจก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้นหลิวโมโห

   "ต้นหลิวไม่รู้หรอกว่าคู่หมั้นที่แสนดีของคุณน่ะร้ายกาจขนาดไหน ต้นหลิวแค่โดนหลอกใช้เท่านั้นเอง ไวซ์เองก็เคยเตือนมาหลายรอบแล้วแต่ต้นหลิวก็ไม่ยอมฟัง เหอะ! ไวซ์ไม่ยอมให้ต้นหลิวแต่งงานกับยัยนั่นหรอก!"

   "ไวซ์!!!"

   "ทำไมล่ะ! ไวซ์พูดจริงและถ้าต้นหลิวยังไม่ฟังไวซ์อยู่อย่างนี้นะ ไวซ์จะฆ่าตัวตาย!"

   วณิชชาขู่แต่ต้นหลิวกลับโมโหหลุดปากพูดบางอย่างออกไปทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ

   "อยากตายนักก็เชิญ! ผมเชื่อใจในตัวของเวย์มากกว่าผู้หญิงเห็นแก่ตัวอย่างคุณ!"

   "ต้นหลิว!!!"

   วณิชชาเอื้อมมือไปเกาะแขนทั้งสองข้างแน่นไม่ยอมปล่อยก่อนจะโดนต้นหลิวพยายามยื้อแขนออกมาอย่างไม่ใยดี

   "ปล่อย!"

   "ทำไมต้นหลิวถึงรักยัยนั่นมากขนาดนั้นน่ะหะ! ยัยนั่นไม่ใช่คนดีอะไรเลยนะทำไมต้นหลิวไม่ฟังไวซ์บ้างล่ะ"

   วณิชชาระเบิดอารมณ์กรีดร้องออกมาอย่างขาดสติและสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

   "ต้นหลิวเปลี่ยนไปเพราะยัยนั่น ไวซ์เกลียดมัน!"

   "ไวซ์!"

   "ได้ยินไหมไวซ์เกลียดยัยเวย์ เกลียด!!!"

   เพี้ย!!!

   วณิชชาชะงักเมื่อฝ่ามือของคนตรงหน้ากระทบแก้มอย่างแรงก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองด้วยความน้อยใจ

   "ต้นหลิว...ต้นหลิวตบหน้าแบบนี้อยากให้ไวซ์ตายจริงใช่ไหม?"

   "เฮอะ! คนอย่างไวซ์น่ะถ้าอยากตายจริงคงจะตายไปตั้งนานแล้วล่ะ"

   ต้นหลิวทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ในใจเองก็รู้สึกผิดไม่ต่างกันก่อนจะสะบัดแขนออกจากการกอบกุมของอีกฝ่ายได้สำเร็จและกำลังจะเดินหนีแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำถามจากวณิชชาที่พยายามยื้อเอาไว้

   "ทำไมไม่ฟังไวซ์บ้าง ทำไมถึงรักยัยคนนั้นมากขนาดยอมทำร้ายคนที่เคยรักกันมากอย่างไวซ์ล่ะ รักมันมากขนาดนั้นเลยหรอ"

   "ผมรักเวย์มากเพราะไม่เคยทำร้ายผม..."

   ต้นหลิวมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ็บปวด

   "เหมือนคุณ"

   "ต้นหลิว!!!"

   วณิชชายืนกระทืบเท้าตรงนั้นอย่างขัดใจแต่ต้นหลิวกลับทำเป็นไม่สนใจแถมนอนหันหลังให้   ท่ามกลางสายตาของคนทุกคนในที่นั้นที่มองมาอย่างสงสัยแต่ไม่มีใครกล้าถามยกเว้นกันต์กวินที่กำลังจะถามแต่พลทัพเอื้อมมือมาปิดปากเอาไว้เสียก่อน

   หมับ!

   "ชู่ว์~"

   พลทัพยกนิ้วขึ้นมาทาบริมฝีปากของตนเองก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน

   "นั่นมันเรื่องของเขาน่ะ เรานอนกันได้แล้ว"

  "อืมม ก็ได้"

   กันต์กวินพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนจะนอนลงแกล้งทำเป็นไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งที่อยากรู้ใจแทบขาด




   จนกระทั่งเวลาผ่านไปทุกคนต่างหลับไหลโดยไมรู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนกำลังเดินย่องเข้ามาข้างต้นหลิวแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบของบางอย่างออกมา เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วริมฝีปากบางก็เหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างร้ายกาจ

   'ถ้าไม่มีของสิ่งนี้ต้นหลิวจะต้องกลับมารักฉัน!'

   หลังจากได้ของที่ต้องการแล้วจึงแอบเดินออกไปจากที่พักหายไปกับความมืดโดยจะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งการกระทำครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายทีทำให้ใครบางคนเสียใจรู้สึกผิดไม่มีวันลืมตลอดทั้งชีวิต




   ผ่านไปไม่นานนักก็เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักแต่ทุกคนยังนอนหลับอย่างสบายโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนนั้นหายตัวไปและไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังมาตามสายฝน



************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 10



   วันต่อมาท้องฟ้ากลับมืดมนไม่มีแสงแดดหลังจากเมื่อคืนฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาและตั้งท่าทีว่าจะตกหนักอีกรอบ แต่นั่นไม่ได้เรียกความสนใจจากต้นหลิวที่รื้อค้นอะไรบางอย่างทั้งกระเป๋าจนกระจัดกระจายทำให้วรภพที่มองอีกฝ่ายอยู่นานถามขึ้นมาอย่างสงสัย

   "หาอะไรอยู่หรอ"

   "สร้อยน่ะ!...สร้อยที่เจอเมื่อวานมันหายไป"

   ต้นหลิวขมวดคิ้วด้วยความกังวล

   "จำได้ว่าเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อนะแต่กลับไม่มีแม้กระทั่งในกระเป๋าเสื่อผ้าก็ไม่มี"

   "ผมช่วยหา"

   วรภพช่วยอีกฝ่ายรื้อค้นหาสร้อยคอแต่ในระหว่างที่กำลังค้นหาของกันอยู่นั้นกวิตาก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเซียวและน้ำเสียงที่เป็นกังวล

   "มีใครเห็นคุณวณิชชารึเปล่าคะ"

   "ไม่นะครับ มีอะไรรึเปล่าครับ"

   วรภพหันมาถามแทนต้นหลิวที่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ส่วนกวิตายิ่งหน้าตาซีดเซียวมากยิ่งขึ้น

   "คุณวณิชชาหายตัวไปไม่มีใครเห็นตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรรึเปล่า"

   "อย่าตกใจมากนักเลย บางทียัยนั่นอาจจะออกไปเดินเล่นข้างนอก"

   เวธกากอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างรำคาญใจ

   "หรือบางทีอาจฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะจริงไหม?"

   "ปากเสียน่าเกล"

   รวิสราที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้นปรามขึ้นมาทำให้เวธกาทำหน้าตาขัดใจ

   "หรือไม่จริง? ดูอย่างรุ้งพรายซิโดนใครก็ไม่รู้ยิงตายน่ะ"

   "รุ้งน่ะตายไปแล้ว อย่าไปพูดถึงอย่างนั้นเลย"

   รวิสราพูดพร้อมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะพอตอนที่ตนเองฟื้นขึ้นมาก็ได้รับข่าวร้ายว่ารุ้งพรายนั้นเสียชีวิตแล้วทำให้รู้สึกเศร้าแม้อีกฝ่ายจะไม่ค่อยชอบตนเองก็ตาม

   ส่วนวรภพพอเห็นว่ากำลังจะทะเลาะกันจึงหันไปชวนต้นหลิวที่ถึงแม้จะเป็นห่วงแต่กลับแกล้งไม่สนใจ

   "ถ้าอย่างนั้นเราออกไปหาวณิชชากันไหม"

   "คนน่ารำคาญคนนั้น...สร้างปัญหาให้ผมทุกที"

   ต้นหลิวฝืนยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเบื่อหน่าย

   "ไปตามหากันเถอะครับ"

   "ยังไงฝากตามหาคุณวณิขชาด้วยนะคะ"

   กวิตาก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าแห่งความหวาดกลัวเอาไว้พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างออกมา

   "ฉันไม่อยากเห็นใครตายอีกแล้ว"

   "อะไรนะครับ"

   ต้นหลิวถามเพราะได้ยินไม่ค่อยชัดซึ่งกวิตากลับส่ายหน้าพร้อมยิ้มหวานมาให้ด้วยความเป็นห่วง

   "ไม่มีอะไรค่ะ ยังไงก็ระวังตัวกันด้วยนะคะ"

   "ครับ"

   แต่ระหว่างที่ทั้งสองคนจะเดินออกไปนั้นกันต์กวินที่วันนี้ไม่ได้ไปหาฟืนที่ตอนแรกนั่งข้างรณกรและพลทัพลุกขึ้นมากระโดดดักหน้าเอาไว้พร้อมรอยยิ้มกว้าง

   "ทั้งสองคนจะไปไหนกันหรอครับ"

   "ไปตามหาไวซ์น่ะครับ"

   ต้นหลิวตอบทำให้กันต์กวินทำตาโตพร้อมกอดแขนแล้วยิ้มกว้างอย่างออดอ้อน

   "ไปกันสองคนเองหรอ~ ผมไปด้วยนะ!"

   "ได้ซิ"

   "ถ้ากันต์ไปผมก็จะไปด้วย"

   รณกรสะพายกล้องพร้อมเดินมากอดคอเพื่อนตัวเล็กแน่น กันต์กวินยิ้มกว้างก่อนจะหันไปชวนพลทัพที่มองสบตามาพอดี

   "นายน่ะ...ไปด้วยกันไหมหรือจะอยู่ที่นี่เฝ้าพวกผู้หญิง"

   "ต้องไปแน่นอนอยู่แล้วก็พวกนายยิงปืนไม่เป็นซักคนไม่ใช่รึไง"

   พลทัพทำท่าทางควงปืนทำให้กันต์กวินเผลอหลุดยิ้มออกมาตรงมุมปากอย่างหมั่นไส้


   'แหวะ! เท่ตายล่ะ!'




   ทั้งห้าคนเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อตามหาวณิชชาที่หายตัวไปอยู่นานหลายชั่วโมงก็ไม่พบเจอจึงเริ่มเดินเข้าไปในป่าที่ลึกกว่าเดิม


   แต่ทว่าเมื่อเดินมาไกลจากที่ป่าตรงนั้นมามากพอสมควรกันต์กวินสังเกตุเห็นตรงใต้ต้นไม้ใหญ่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ลอยห่างจากพื้นและเคลื่อนไหวไปตามแรงลมทิศทางเดียวกับใบไม้


   ซึ่งภาพตรงหน้านั้นทำให้สัญชาตญาณนักข่าวเข้าสิงลองเดินเข้าไปใกล้อย่างสงสัยแม้จะเริ่มตัวสั่นด้วยหวาดกลัวก็ตามแต่ทำได้เพียงแค่ยกมือลูบหน้าอกตัวเองอย่่างแผ่วเบา


  'ไม่ต้องกลัวหรอกน่ะ บางทีอาจจะเป็นใบไม้ก็ได้เนอะ เดินไปซิเจ้าขานี่สั้นแล้วยังจะสั่นอีก!!'



   กันต์กวินฝืนตัวเองให้เดินเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนจะเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นด้านหน้าจนกรีดร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่น


   "ว๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!"


   "มีอะไรหรอกันต์?!!"

   รณกรรีบวิ่งเข้ามาดูคนตัวเล็กที่ยืนตัวสั่นไปหมดแถมดวงตายังเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจรวมถึงคนอื่นก็เดินเข้ามาหาด้วยความสงสัย กันต์กวินตัวสั่นขยับปากที่เริ่มซีดลงพร้อมชี้ไปยังด้านหน้าเต็มไปด้วยอาการสั่นเทาและหวาดกลัว

   "ต...ตรงนั้น! ใช่คุณวณิชชารึเปล่า"
 


*************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 11



   "ต...ตรงนั้น! ใช่คุณวณิชชารึเปล่า"


   "ไหน...เห้ย!"

   ทุกคนต่างมองตามนิ้วของกันต์กวินที่ชี้ขึ้นไปด้านบนก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่แพ้กันโดยเฉพาะต้นหลิวที่พึมพัมอะไรบางอย่างออกมาอย่างแผ่วเบา


   "ว...ไวซ์"

 
   ภาพตรงหน้าที่ทุกคนมองเห็นนั้นคือร่างของวณิชชากำลังห้อยตัวลงมาจากต้นไม้ใหญ่โดยมีเชือกผูกรัดอยู่ตรงบริเวณคอ จากใบหน้าที่สวยเฉี่ยวเหมือนนางแบบจากต่างประเทศกลับกลายเป็นใบหน้าที่ขาวซีด  ปากที่แดงสดตลอดเวลากลับคล้ำลงจนน่าตกใจ ดวงตากลมสวยลืมตาค้างราวกับจ้องมองลงมาด้านล่างด้วยสายตาที่เคียดแค้น มีเสื้อผ้าอยู่ครบทุกชิ้นยกเว้นเท้าอันเปลือยเปล่าเพราะรองเท้าได้ตกลงมาบนพื้น ร่างกายอันแสนบอบบางพริ้วไหวไปตามแรงสายลมแกว่งไปแกว่งมาราวกับใบไม้ก่อนที่เสียงบางอย่างที่คุ้นเคยจะดังขึ้นมาตามสายลมเหมือนจะตอกย้ำในสิ่งที่ตนเคยพูดไป


   "ถ้าต้นหลิวไปไวซ์จะฆ่าตัวตาย"


   "อยากทำอะไรก็เชิญ แล้วแต่เลย"


   "ทำไมล่ะ! ไวซ์พูดจริงและถ้าต้นหลิวยังไม่ฟังไวซ์อยู่อย่างนี้นะ ไวซ์จะฆ่าตัวตาย!"


   "อยากตายนักก็เชิญ!


   'จะฆ่าตัวตาย!'


   'ฆ่าตัวตาย!'



   เสียงที่ดังสะท้อนอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายครั้งทำให้ต้นหลิวยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างแล้วทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

   "ฮึกฮือออ~ ไวซ์!"

   "ใจเย็นก่อนนะต้นหลิว"

   วรภพย่อตัวลงมาลูบหลังอีกฝ่ายให้ใจเย็นด้วยความสงสาร ส่วนกันต์กวินสะกิดให้รณกรถ่ายภาพทั้งที่ตนเองยังแอบอยู่ด้านหลังพลทัพพร้อมดึงเสื้อด้านหลังไว้แน่นทำให้คนโดนดึงหายใจไม่ค่อยออก

   "นี่คุณนักข่าว ปล่อยคอเสื้อผมได้ไหมเดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี"

   "ก...ก็ฉันกลัวนี่!"

   กันต์กวินหน้ามุ่ยพร้อมทำปากยื่นออกมาอย่างน่าหมั่นเขี้ยวทำให้พลทัพเหยียดยิ้มแล้วดึงมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายมากุมมือตัวเองไว้แน่น ส่วนอีกข้างเอามาเกาะตรงแขนตัวเอง

   "แบบนี้เป็นไง"

   "เอ่อ...กลัวเหมือนเดิมนั่นแหละ!"

   กันต์กวินตอบพร้อมสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นทั้งที่แก้มนั้นแดงขึ้นมาด้วยความอายทำให้พลทัพแอบลอบเหยียดยิ้มออกมาขบขันกับคนปากแข็ง



   ส่วนต้นหลิวกำมือแน่นพร้อมกับทุบไปบนพื้นอย่างแรงหลายต่อหลายครั้งพร้อมทั้งเหม่อมองไปยังร่างของวณิชชาที่ห้อยอยู่ด้านบนทำให้น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสายพร้อมกับความสำนึกผิดที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด

   "ฮึก...ไวซ์"

   'ไวซ์จะฆ่าตัวตาย!'

   "ฮึก! ขอโทษ"

   'จะฆ่าตัวตาย!'

   "ผมขอโทษ ฮึกฮือออ~"

   ต้นหลิวก้มหน้าลงไปแนบกับพื้นดินพร้อมกับน้ำตาที่หยดลงมาจนดินด้านล่างนั้นเปียกไปหมด

   "มันเป็นความผิดของผมเอง ผมขอโทษ ฮึก! ไวซ์ ผมขอโทษ ฮึกฮือออ"

   "สงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ ถ้าสติแตกแบบนี้จะช่วยกันชันสูตรพลิกศพและหาหลักฐานในที่เกิดเหตุได้ยังไง ผมยังต้องการผู้ช่วยนะ"

   วรภพลูบหลังอย่างแผ่วเบาด้วยความสงสารอีกฝายจับใจซึ่งต้นหลิวพยักหน้าก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือของคนตรงหน้าไว้แน่น

   "ผม..ฮึก!...อยากจะช่วยคุณหมออีกแรงครับ"

   "งั้นหยุดร้องได้แล้วนะครับ"

   วรภพยิ้มแบบหลอกล่อเด็กพร้อมเอื้อมมือไปเชดน้ำตาอย่างอ่อนโยนทำให้ต้นหลิวเม้มปากแน่นพร้อมกัยพยักหน้ารับคำแล้วเอนหัวซบลงบนไหล่กว้างอย่างหมดแรงทำให้วรภพหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู



    หลังจากที่ต้นหลิวหยุดร้องไห้แล้วทั้งสองก็ปีนขึ้นไปเอาร่างของวณิชชาออกมาจากเชือกและพาลงมาด้านล่างอย่างระมัดระวัง เมื่อนำศพวางไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ววรภพจึงชันสูตรพลิกศพพบว่าผู้เสียชีวิตนั้นเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจโดยที่สมองขาดออกซิเจนเนื่องจากเส้นเลือดบริเวณลำคอถูกรัด ผู้เสียชีวิตมีใบหน้าซีด ริมฝีปากนั้นดำคลั้าโดยลิ้นนั้นจุกปากคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเมื่อคืนตอน 00:00 นาฬิกา  มีแผลถลอกรอบลำคอซึ่งแผลถลอกนั้นเกิดจากเชือกที่แขวนสูงกว่าลูกกระเดือกเฉียงขึ้นไปทางท้ายทอยมีร่องเกลียวแบบเกลียวเชือกชัดมาก



   โดยที่ต้นหลิวนั้นคอยตรวจหาหลักฐานจากสถานที่รอบตัวผู้ตายแต่กลับไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืนมีเพียงรอยเชือกจากการผูกคอตายเท่านั้น  ทำให้ยิ่งทำสีหน้าเสียใจมากยิ่งขึ้นก่อนจะเหลือบไปเห็นตรงมือบางนั้นกำอะไรบางอย่างไว้แน่น   จึงพยายามดึงมือนั้นให้แบออกมาพบสร้อยคอของวิรชาที่ถูกขโมยไปจากตนเองด้วย โดยสภาพศพนั้นกำสร้อยคอไว้แน่นทำให้ต้นหลิวมีสีหน้าที่ซีดเซียวมากกว่าเดิมและมีเสียงของวณิชชาดังก้องขึ้นมาในความคิด


   'ต้นหลิวไม่รู้หรอกว่าคู่หมั้นที่แสนดีของคุณน่ะร้ายกาจขนาดไหน ต้นหลิวแค่โดนหลอกใช้เท่านั้นเอง'


   "ต้นหลิว เป็นอะไรรึเปล่า"

   วรภพถามพร้อมกับจับลงไปตรงหัวไหล่บางทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับชูสร้อยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

   "ผมเจอสร้อยของเวย์อยู่ที่มือของไวซ์น่ะครับ"

   "ถ้าอย่างงั้น..."  วรภพขมวดคิ้วแน่นและสีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด "คนที่ขโมยสร้อยของนายไปคือวณิชชาซินะ"

   "คงจะอย่างนั้นครับ"

   ต้นหลิวพยักหน้าก่อนจะหันไปจ้องดวงตาสวยคู่นั้นที่ไม่สะท้อนภาพอะไรออกมาอีกทำให้อดที่จะใจหายไม่ได้   จึงเอื้อมมือไปปิดตาคู่นั้นอย่างอ่อนโยนพร้อมก้มลงจูบหน้าผากบางเป็นครั้งสุดท้าย

   "หลับให้สบายนะไวซ์"




*******************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0

สืบครั้งที่ 12



   "เอ่อ...คือ...ขอโทษนะครับคุณหมอ"

   กันต์กวินพอเห็นทั้งสองคนน่าจะชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้วจึงแทรกขึ้นมาทำให้วรภพเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ

   "ผมขอทำข่าวเลยได้ไหมครับคุณหมอ"

   "ได้ซิครับ"

   พอได้รับอนุญาติอย่างนั้นทำให้กันต์กวินยิ้มกว้างก่อนจะหันมาพูดกับกล้องด้านหน้าที่รณกรรีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายอย่างรู้งาน

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่ปรากฎอยู่ด้านหลังนี้คือภาพผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการรถไฟระเบิด ผู้เสียชีวิตคือ คุณวณิชชา เพศหญิง อายุ 25 ปี พึ่งเรียนจบและกำลังทำงานเป็นนางแบบนิตยาสารชื่อดังจากต่างประเทศ ซึ่งรายละเอียดและสาเหตุการเสียชีวิตเรามาฟังจากคุณหมอวรภพกันนะครับ"

   "สาเหตุการเสียชีวิตคาดว่าน่าจะมาจากการฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอครับ น่าจะเสียชีวิตตอนเวลา 00:00 นาฬิกา สถานที่พบศพใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ เวลาพบศพ 11:00 นาฬิกา เสียชีวตมาแล้ว 11 ชั่วโมง สาเหตุการเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจเนื่องจากสมองขาดออกซิเจน ริมฝีปากดำคลั้าและลิ้นจุกปาก มีแผลถลอกรอบลำคอซึ่งเกิดจากเชือก มีรอยตั้งแต่ลูกกระเดือกเฉียงขึ้นไปทางท้ายทอยและรอยเชือกที่ชัดเจนมาก"

   พอได้ฟังคำตอบนั้นยิ่งทำให้กันต์กวินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

   "แล้วมีร่องรอยการต่อสู้ไหมครับ"

   "ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ครับ"

   ต้นหลิวตอบยิ่งทำให้กันต์กวินขมวดคิ้วด้วยความสงสัยมากกว่าเดิมตามสัญชาตญาณที่มีในตัวเอง

   "ถ้าฆ่าตัวตายจริงทำไมต้องเลือกต้นไม้ที่สูงขนาดนั้นด้วยล่ะครับ"

   "จะให้เขาไปผูกคอใต้ต้นหญ้ารึไง"

   เสียงกวนประสาทดังมาจากพลทัพที่ยืนกอดอกอยใต้ต้นไม้ทำให้กันต์กวินหันไปแยกเขี้ยวใส่

   "ไปผูกเองเถอะใต้ต้นหญ้าน่ะ"

   "อย่าทะเลาะกันเลยน่า นายออกกล้องอยู่นะกันต์"

   รณกรเตือนทำให้กันต์กวินเลิกทะเลาะแล้วหันมายิ้มให้กล้องแทน

   "หากได้รายละเอียดมากกว่าจะมารายงานให้ท่านผู้ชมได้รับทราบเพิ่มเติมต่อไป ผม กันต์กวิน นักข่าวฝึกหัดรายงาน"

   "เปลี่ยนสีได้รวดเร็วเนอะ"

   พลทัพแหย่อีกฝ่ายเล่นซึ่งมันก็ได้ผลเมื่ออกฝ่ายหันมาแยกเขี้ยวใส่ด้วยความโมโห

   "อย่ามาหาเรื่องนะ!"

   "ใจเย็นน่ะกันต์"

   รณกรกอดคอคนตัวเล็กขี้โมโหแน่นด้วยความหมันเขี้ยวกับแก้มที่พองลมนั้นทำให้พลทัพชักสีหน้าอย่างหงุดหงิดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนวรภพและต้นหลิวกำลังช่วยกันคลุมผ้าห่อศพแล้วแบกกันคนละด้านเพื่อพากลับไปด้วย




   พอกลับไปถึงที่พักทั้งสองช่วยกันประคองวางห่อผ้าลงด้วยความระมัดระวัง ท่ามกลางสายตาของคนที่เหลือซึ่งมองมายังห่อผ้านั้นด้วยความสงสัย
กวิตาหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัดพร้อมกับเดินมาเกาะแขนของกันต์กวินด้วยหัวใจที่เต้นแรงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่ไม่กล้าถามทำให้รวิสราป็นฝ่ายถามแทนด้วยความกลัวที่ไม่ต่างกัน

  "น...ในห่อผ้านั่นคืออะไรหรอคะ"

   "ไวซ์ครับ"

   ต้นหลิวตอบด้วยนำเสียงแผ่วเบาแต่ได้ยินกันชัดทุกคน รวิสราทรุดตัวลงนั่งตรงพื้นอย่างหมดแรง โดยมีกวิตาคอยประครองก่อนที่จะเอามือมาปิดปากตัวเองแน่นเพื่อลดอาการความกลัวพรางแอบลอบมองเวธกาที่เหยียดยิ้มออกมาอย่างสะใจพร้อมแววตาที่พราวระยับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมากมายก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าปกติอย่างรวดเร็วเมื่อกิตติธัชเดินกลับมาพร้อมกับเวทิต พีรัชและรุจรวีที่เดินมาเจอกันระหว่างทางพอดี กิตติธัชมองทุกคนที่ทำหน้าเศร้าหมองรวมไปถึงห่อผ้าสีขาวต้องสงสัยนั่นอย่างจับผิด

   "นั่นอะไร? พวกนายไปเอาอะไรมา"

   "ศพของวณิชชา"

   เวธกาตอบพร้อมกับนวดไหล่ของรวิสราเพื่อนสนิทที่จะเป็นลมแต่สายตากลับแอบลอบมองคนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา

   "วณิชชาแอบหนีไปฆ่าตัวตายตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแล้ว"

   "เธอรู้ได้ยังไงว่าไวซ์ฆ่าตัวตาย"

   ต้นหลิวขมวดคิ้วจ้องมองด้วยสายตาจับผิดตามสัญชาตญาณนักสืบ แต่เวธกากลับเชิดหน้าขึ้นทำท่าทางหยิ่งยโสไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

   "แค่เดาเท่านั้นแหละก็ยัยนั่นขู่ฆ่าตัวตายไม่ใช่รึไง" เชิดหน้ามากกว่าเดิมและปลายตามองต้นหลิวอยางจิกกัด "จะว่าไปนายเองก็เป็นคนที่ไล่ยัยนั่นไปเองไม่ใช่หรอคุณนักสืบ"

   "นี่คุณ!"

   "หยุด!"

   กิตติธัชขัดขึ้นพร้อมกับกอดอกมองศพตรงหน้าอย่างหงุดหงิด

   "ผลการซันสูตรเป็นยังไง"

   "สาเหตุการเสียชีวิตคาดว่าเกิดจากการฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอ สถานที่พบศพใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลจากที่พักพอสมควร  เวลาพบศพ 11:00 นาฬิกา คาดว่าน่าจะเสียชีวิตตอนเวลา 00:00 นาฬิกา เสียชีวตมาแล้ว 11 ชั่วโมง"

   เอื้อมมือไปเปิดผ้าขาวออกมาเผยให้เห็นใบหนาที่ซีดเซียว

   "ผู้เสียชีวิตมีใบหน้าซีด ริมฝีปากนั้นดำคลั้าและลิ้นจุกปาก แผลถลอกรอบลำคอจากเชือก มีรอยเชือกชัดเจนตั้งแต่ลูกกระเดือกเฉียงขึ้นไปทางท้ายทอยและไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน หลักฐานทุกอย่างบ่งบอกชัดเจนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย"

   "ฆ่าตัวตายเพราะความหึงหวงเนี่ยนะ เหอะ!" กิตติธัชขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดมากกว่าเดิม "ถ้าจะตายแบบนี้ก็ไม่น่าจะช่วยชีวิตตั้งแต่แรกเลย"

   "ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะคะกิต คุณเป็นตำรวจนะ"

   รวิสราขัดขึ้นมาอย่าไม่ชอบใจที่เห็นคู่หมั้นไปดูถูกคนที่ตายไปแล้วทำให้อีกฝ่ายนั้นหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

   "ฮะฮะ ผมรู้ตัวดีว่าผมคือใครไม่เหมือนคุณที่ไม่รู้เลยว่าพ่อคนดีของคุณทำอะไรไว้บ้าง!"

   "ธัช..."

   "อย่ามาเรียกแบบนั้น! แล้วผมเองก็ไม่เคยคิดอยากจะหมั้นกับคุณตั้งแต่ที่รู้ว่าคุณเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น! ผู้ชายที่ทำลายครอบครัวคนอื่นเขาน่ะ"

   กิตติธัชตะคอกเสียงดังลั่นทำให้รวิสราน้ำตาคลอเบ้าพร้อมกับเดินมาหยุดตรงหน้าผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของตนเอง

   "ถ้าคุณไม่คิดอยากจะหมั้นตั้งแต่แรก ถ้าอย่างงั้น..."

   ก้มหน้าลงไปมองแหวนที่อยู่ตรงนิ้วนางของตนเองแล้วถอดออกมาก่อนจะยื่นไปให้คนด้านหน้าที่ยังมีสีหน้านิ่งเฉยไม่ยอมเอื้อมมือมารับ

   "คุณเอาแหวนหมั้นของเราคืนไปเถอะค่ะ มันคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว"

   "หึ!"

   กิตติธัชหัวเราะในลำคอแต่ไม่ยอมเอื้อมมือออกไปรับซักที

   "ทำไมต้องคืน มันไม่จำเป็นเพราะผมให้คุณไปแล้ว"

   "นั่นซินะ..."

   เกร็ง!

   "มันเองก็ไม่จำเป็นกับฉันอีกต่อไปแล้วเหมือนกัน"

  รวิสราปาแหวนทิ้งลงพื้นกระเด็นหายเข้าไปในพุ่มหญ้าทำให้ทุกคนเบิกตากว้างไม่เว้นแม้แต่กิตติธัชที่นิ่งค้างซักพักก่อนจะคว้าข้อมือบางมาจับไว้แน่นด้วยความโมโห

   "รวิ! กล้ามากนะที่ทิ้งแหวนหมั้นของฉัน!"

   "คุณเองก็ไม่อยากได้ไม่ใช่หรอคะ"

   รวิสราจ้องหน้ากลับด้วยความโกรธเคืองทั้งทน้ำตายังคลอเบ้า

   "ในเมื่อทั้งสองคนไม่มีใครอยากได้ก็แค่โยนทิ้งไปเท่านั้นเอง"

   "เหอะ! ร้ายกาจเหมือนพ่อไม่มีผิด"

   กิตติธัชทิ้งข้อมือบางอย่างแรงทำให้รวิสราล้มลงไปกระแทกบนพื้น

   "ดีเหมือนกันฉันเองก็ขี้เกียจปั้นหน้าทำเป็นรักเธออีกต่อไปแล้ว...มันจะอ๊วก!"

   "กิต! มากเกินไปแล้วนะ!!!"

   เวธกาขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจพร้อมนั่งลงจับไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนที่เริ่มสั่นเทาแต่กิตติธัชกลับไม่สนใจแถมเดินหนีไปจัดการกับกองไฟอย่างอารมณ์เสียทิ้งให้รวิสรานั่งร้องไห้คนเดียวด้วยความเสียใจ



************************

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0


สืบครั้งที่ 13




   ส่วนทุกคนที่เหลือไม่กล้าที่จะพูดอะไรยกเว้นกวิตาที่เดินเข้ามาลูบหลังคนที่กำลังร้องไห้พร้อมปลอบโยนด้วยความสงสาร

   "อย่าร้องไห้เลยนะคะคุณรวิ แค่ผู้ชายคนเดียวเข้มแข็งเข้าไว้นะคะ"

   "ฮึกฮือออ"

   "มาปลอบคนอื่นแบบนี้เคยมีคนรักรึไง"

   เวธกาพูดขึ้นด้วยความหมั่นไส้ทำให้กวิตาก้มหน้าลงพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย

   "เคยมีซิคะ คนรักของฉันเป็นคนขับรถไฟขบวนนี้เลยล่ะค่ะ"

   "โอ้! ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย"

   กันต์กวินร้องออกมาอย่างประหลาดใจพร้อมแววตาระยิบระยับล้อเลียนเต็มที่

   "แล้วคนรักของวิตาเป็นยังไงบ้าง"

   "เขาเป็นคนดีมากเลยล่ะทั้งสุภาพอ่อนโยนและขยันทำงาน ชอบเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองแถมยังซื่อบื้ออีกต่างหาก ฮะฮะ"

   เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นก่อนที่ใบหน้าจะเปลยนเป็นเศร้าหมอง

   "แต่น่าเสียดายที่เขาตายแล้ว"

   "ไม่หรอก! เดียวก็หาเจอ"

   กันต์กวินยิ้มกว้างอย่างให้กำลังใจแต่กวิตากลับหน้าตาเศร้าหมองมากกว่าเดิม

   "หาไม่เจอหรอกเพราะเขาตายก่อนที่รถไฟจะระเบิดซะอีก"

   ก้มหน้าลงพร้อมหยิบแหวนเงินวงเล็กที่เรียบไม่หรูหราแต่มีค่าต่อจิตใจ

   "น่าเสียดายทั้งที่เรากำลังจะแต่งงานกันแต่เขากลับตายเพราะความใจดีของเขา"

   "หมายความว่ายังไง"

   ก้นต์กวินถามด้วยความสงสัยตามสัญชาตญาณนักข่าวแต่กวิตากลับเงยหน้าขึ้นมาสบตาทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าฉายแววเจ็บปวดมากที่สุด

   "เขาถูกแทงตายในห้องเดียวกันกับคุณรติกร...คุณพ่อของคุณรวิ"

   "คุณพ่อ~ ฮึก!"

   รวิสราสูดลมหายใจเข้าไปอย่างแรงก่อนจะคว้าตัวกวิตามากอดไว้แน่นด้วยความรู้สึกผิด

   "ขอโทษ~ ขอโทษนะวิตาที่พ่อฉันเป็นสาเหตุทำให้คนรักของเธอต้องตาย"

   "ไม่เป็นไรค่ะ อย่าร้องไห้เลยนะคะคุณรวิ"

   กวิตาลูบคอยปลอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนก่อนจะเหลือบไปเห็นเวธกาที่มองมาอย่างร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ทำให้ตนเองนั้นตัวสั่นไปทั้งตัวแต่ทว่ามีเสียงของกันต์กวินขัดขึ้นมาด้วยความสงสัย

   "แล้วรวิรู้ได้ยังไงว่าคู่หมั้นโดนฆ่าตาย"

   "คือฉัน..."

   เผลอไปสบตาเวธกาที่จ้องเขม่นทำให้รีบก้มหน้าหลบสายตาด้วยความหวาดกลัว

   "บอกไม่ได้หรอกค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ"

   "เอาเถอะน่าไม่เป็นไรหรอก เรามาสนใจนี่กันดีกว่า"

   รุจรวีโบกไม้โบกมือพร้อมชวนเปลี่ยนเรื่องโดยการชูเห็ดขึ้นมาอวด

   "วันนี้เราจะได้กินเห็ดย่างกันด้วยล่ะ!"

   "ไปหามาจากไหนเนี่ย"

   กันต์กวินเดินเข้ามาดูอย่างสนใจทำให้รุจรวียิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นราวกับเด็กที่กำลังอวดของ

   "ริมลำธารน่ะไม่มีพิษแน่นอน...งั้นมาช่วยกันทำอาหารเถอะ"

   รุจรวีลากกันต์กวินให้เอาเห็ดเสียบไม้จะได้เอาไปปิ้งโดยมีต้นหลิวคอยช่วยอีกแรง ทำให้เย็นวันนี้ทุกคนได้กินปลาย่างกับเห็ดปิ้งอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่จะเริ่มเอนตัวนอนบนพื้นไปอย่างัวเงียมึนงงคล้ายคนเมาไปทีละคนเหลือแต่กวิตาที่ทานเข้าไปเล็กน้อยกำลังนั่งห่มผ้าให้รวิสราอยู่นั้นก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงดังมาจากด้านหลัง

   "กวิตา"

   "อ๊ะ! คุณเกล"

   กวิตาหันไปพบเวธกาที่มีสีหน้าซีดเซียวทำให้เลิกคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจ

   "คุณเกลเป็นอะไรรึเปล่าคะ"

   "ฉันปวดท้องมากเลย ไปเป็นเพื่อนหน่อยซิ"

   เวธกากุมท้องหน้าซีดอย่างน่าจะหนักทำให้กวิตาใจอ่อน

   "ได้ซิค่ะ"

   "งั้นไปกันเถอะ"

   ทั้งสองคนเดินหายออกไปจากที่พักเข้าไปในป่าที่มืดมิด   ผ่านไปไม่นานนักเวธกาดันเดินกลับมาเพียงคนเดียวซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่กิตติธัชลืมตาขึ้นมามองพอดี

   "ดึกดื่น...ขนาดนี้ออกไปไหนมา~"

   "กิต? ยังไม่นอนอีกหรอ"

   เวธกาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนซึ่งกิตติธัชที่กำลังไม่ค่อยมีสตินั้นขมวดคิ้วแน่นด้วยความหงุดหงิด

   "จะนอน~ ได้ยังไงล่ะฉันต้องเฝ้ายามนี่~"

   "ไปนอนเถอะน่ะ"

   เวธกาจับแขนพยายามดันอีกฝ่ายให้ล้มตัวลงนอนแต่อีกฝ่ายกลับขืนตัวเอาไว้อย่างดื้อดึง

   "ไม่นอน! จะนอนได้ยังไงกันล่ะ~"

   "ดื้อจัง! หรือจะให้จุ๊บก่อนนอนเหมือนเด็กดีไหมคะ"

   เวธกายื่นหน้าเข้าไปใกล้ซึ่งอีกฝ่ายก่อนจะประกบจูบซึ่งอีกฝ่ายดันตอบรับจูบนั้นกลับมาด้วยความมึนเมาทำให้ทั้งสองคนจูบกันนานหลายต่อหลายครั้งจนกิตติธัชจะล้มตัวลงนอนหมดสติด้วยความมึนเมาแต่ยังละเมอขึ้นมาไม่หยุด

   "เฝ้ายาม~"

   "เหมือนเด็กน้อยเลยนะธัช~ น่ารักแบบนี้จะไม่ให้เกลหลงรักคุณได้ยังไงล่ะ"

   เวธกาก้มลงไปแนบจูบอีกฝ่ายหลายครั้งจนพอใจก่อนจะปรายสายตาลอบมองไปยังใครบางคนที่นอนตัวสั่นพยามกลั้นเสียงเอาไว้ไม่ให้หลุดออกไปทั้งที่น้ำตานั้นไหลอาบแก้มทั้งสองข้างพร้อมทั้งพยายามข่มตาตัวเองให้หลับลงอย่างยากลำบาก



    ขณะเดียวกันนั้นมีใครบางคนกำลังวิ่งหนีในป่าสุดกำลังทั้งที่ตอนนี้มึนงงและวิงเวียนไปหมด

   ตึก ตึก!

   "ช่วยด้วย! ช่วยด้วย"

   เสียงที่ร้องเรียกขอความช่วยเหลืออย่างหวาดกลัวเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่างที่ไล่ตามหลังมาก่อนจะสะดุดขอนไม้ล้มหน้าคว่ำลงไปกับพื้นดินอย่างแรง

   ตุ๊บ!

   "โอ๊ย! ฮึกฮืออ~"

   ร้องไห้โฮออกมาอย่างหมดหวังพร้อมกับจ้องมองคนที่เดินแหวกพุ่มไม้มาจากด้านหลังซึ่งมาพร้อมกับมีดที่ปลายแหลมด้ามคมสะท้อนเข้ากับแสงจันทร์ทำให้เหยื่อนั้นต้องยกมือขึ้นมาขอร้องอย่างน่าสงสาร

   "ฮึกฮืออ...ขอร้องล่ะ อย่าฆ่าฉันเลย"

   "โธ่~ กวิตาผู้น่าสงสาร"

   เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเหยียดยิ้มออกมาตรงมุมปากอย่างโหดเหี้ยม

   "เธอรู้มากเกินไป"

   "ฉันจะไม่บอกใคร"

   กวิตาตัวสั่นพร้อมกระเถิบถอยหลังด้วยความหวาดกลัวทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาดังลั่น

   "ฮะฮะเฮอะ~"

   คนตรงหน้าทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับจับไหล่บางแน่นก่อนจะเงื้อมีดขึ้นมาปลายด้านคมสะท้อนอีกครั้งนั่นเป็นภาพสุดท้ายที่กวิตาได้มองเห็น

   "สายเกินไปแล้ว"

   ฉึก!

   "อึก!"

   ปลายมีดกดทะลุเข้ามาตรงหน้าอกทะลุไปด้านหลังปักลงดินเป็นรอยแผลกว้าง เลือดไหลลงไปตามมีดซึมลงพื้นดิน แต่กวิตายังไม่ได้ตายทันทีกลับร้องไห้และพยายามเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือแม้ว่าจะแผ่วเบาเจือปนไปด้วยความเจ็บปวด

   "ฮึกฮืออ~ ช่วยด้วย...ช่วย...ด้วย"

   "หลับตาซะ จะได้ไม่ต้องเจ็บมาก"

   เหยียดยิ้มอย่างเวทนาเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไปปล่อยให้กวิตานอนร้องไห้อยู่ตรงนั้นท่ามกลางบรรยากาศแสงจันทร์ในป่าอันกว้างใหญ่

   "ฮึก! ฮือออ~"

   กวิตาทำได้เพียงกระพริบตาไปมาก่อนหลับตาลงอย่างหมดแรงและทำใจยอมรับชะตากรรม รับรู้ถึงบาดแผลที่เริ่มเจ็บปวดขึ้นมาพร้อมกับลมหายใจที่หมดสิ้นสุดลงราวกับร่างที่ถูกทิ้งให้นอนอยู่ตรงนั้นอย่างน่าสงสาร




************************

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เวธกาต้องมีส่วนรู้เห็นแน่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 14



   วันต่อมาทุกคนต่างทะยอยตื่นจากการหลับไหล ซึ่งสิ่งแรกที่รับรู้ได้คือความมึนงงและปวดหัวอย่างรุนแรงโดยเฉพาะรุจรวีที่ทานเห็ดเข้าไปเยอะมากที่สุด

   "งื้อ~ ทำไมปวดหัวจัง"

   "นายดันเก็บเห็ดเมามาน่ะซิ!"

   เวทิตนั้นโวยวายขึ้นมาแต่มือยังยื่นกระบอกน้ำไปให้ซึ่งอีกฝ่ายกลับเชิดหน้าไม่ยอมรับกระบอกน้ำนั้นจนคนถือเริ่มโมโห

   "รุจ! กินน้ำเข้าไปให้เยอะจะได้ล้างสารพิษ"

   "เชอะ!"

   รุจรวีสะบัดหน้าหนีแต่ยอมรับกระบอกน้ำมาถือพรางมองไปรอบตัวไม่เห็นผู้ชายคนอื่นนอกจากคนตรงหน้าซักคนจึงถามอย่างสงสัย

   "คนอื่นล่ะหายไปไหนหมด รวมถึงพี่รัชด้วย"

   "ไปตามหากวิตา"

   พอได้ยินคำตอบนั้นยิ่งทำให้รุจรวีขมวดคิ้วอย่างสงสัยมากกว่าเดิมพร้อมความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก

   "วิตาหายตัวไปหรอ"

   "อืม"

   เวทิตตอบคำถามในลำคอนั่นทำให้รุจรวีนั้นเริ่มกังวลหนักกว่าเดิม

   "ขออย่าให้เป็นอะไรไปอีกคนเลย"

   "หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน"

   ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างเป็นกังวลและลางสงหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้




   ทางด้านของกลุ่มที่ออกมาตามหากวิตาที่หายตัวไปจากที่พักตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ซึ่งกันต์กวินเป็นห่วงมากเพราะเป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก แต่ทว่ากลับหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบและในระหว่างที่กำลังหมดหวังอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงกิตติธัชดังขึ้นมาจากหลังพุ่มไม้

   "เจอตัวแล้ว"

   "จริงเหรอ!"

   กันต์กวินรีบแหวกพุ่มไม้เข้าไปอย่างรวดเร็วตามด้วยคนอื่นก่อนจะชะงักเบิกตาโพลงพร้อมรอยยิ้มกว้างนั้นหายไปเหลือแต่แววตาที่จ้องมองไปภาพด้านหน้าอย่างหวาดกลัว

   "ว...วิตา"

   กันต์กวินพยายามเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับควบคุมจังหวะหัวใจไม่ให้เต้นแรงไปมากกว่าเดิมก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างศพของกวิตาที่เริ่มซีดเซียวไปทั้งตัวทำให้หวีดร้องตะโกนเรียกชื่อออกมาพร้อมเขยาตัวอีกฝ่ายด้วยความเสียใจ

   "กวิตา!!!"

   "ไม่เอาน่ะกันต์"

   รณกรเดินเข้าไปจับไหล่พร้อมพยายามพากันต์กวินให้ออกห่างจากศพเพื่อให้วรภพและต้นหลิวเข้าไปชันสูตรพลิกศพ


   จุดที่พบศพห่างจากที่พักไม่ไกลนัก สภาพศพพบบาดแผลถูกแทงเกิดจากวัตถุมีคมแทงลงไปกลางอกเข้าหัวใจทะลุปักลงดินด้านหลังจนมิดด้าม ทำให้เสียเลือดมากและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ใบหน้าผู้เสียชีวิตซีดเซียว ดวงตาดำคล้ำเช่นเดียวกับริมฝีปากที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ เนื้อตัวเย็นเฉียบไม่มีความอุ่นกล้ามเนื้อเกิดการแข็งตัวเต็มไปทั้งตัว เริ่มมีรอยคล้ำตามร่างกายและมีการบวมอืด แต่ยังมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งรอบกายทำให้เวียนหัวจนอยากอาเจียน คาดว่าน่าจะเสียชีวิตเวลา 23:30 นาฬิกา เวลาพบศพตอน 10:30 นาฬิกา รวมเวลาเสียชีวิตทั้งหมด 12 ชั่วโมง

   ต้นหลิวครวจสอบพบว่าบริเวนโดยรอบมีร่องลอยการวิ่งหนี และหลักฐานชิ้นสำคัญคือมีดที่ปักอยู่ตรงหน้าอกนั้น ลักษะและความยาวเหมือนมีดของ...

   "วรภพ...นี่ใช่มีดของนายรึเปล่า"

   "ใช่"

   วรภพตอบรับทำให้ทุกคนในที่ตรงนั้นมองอย่างไม่ไว้วางใจแต่วรภพกลับไม่ได้ร้อนตัวอะไรทั้งนั้น

   "เมื่อไม่กี่วันมานี้มีดผ่าตัดฉันหายไปเล่มหนึ่งแต่ไม่คิดว่าคนร้ายจะเอามาปักอยู่ตรงนี้"

   "พวกเราจะแน่ใจได้ยังไงว่านายไม่ใช่คนร้ายที่ฆ่ากวิตา" กิตติธัชกอดอกมองหน้าอย่างจับผิด "หรืออาจจะเป็นคนฆ่าศพที่ผ่านมาด้วยก็ได้"

   "ไม่หรอก"

   ต้นหลิวขัดขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของตำรวจคนเดียวในที่นี่

   "ไม่มีใครในที่นี่จะเชี่ยวชาญในการชันสูตรศพเท่าหมอวรภพอีกแล้ว คุณเองเป็นตำรวจซะเปล่าก็ไม่ควรจะด่วนสรุปอะไรรวดเร็วขนาดนี้นะ"

   "งั้นนายหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้รึเปล่าว่าหมอวรภพไม่ได้เป็นฆาตกร"

   กิตติธัชมองตากับต้นหลิวที่อีกฝ่ายจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน

   "แน่นอน! ข้อแรก รอยมีดที่ปักลงไปแม้จะทะลุไปด้านหลังแต่ทว่าบาดแผลกลับไม่ฉีกขาดมากแสดงว่ามีแรงและรูปร่างใกล้เคียงกับผู้เสียชีวิต ข้อสองร่องรอยบริเวนโดยรอบศพนั้นมีร่องลอยการวิ่งหนีเพียงอย่างเดียวและพบรอยเท้ามีขนาดเท่ากับคดีของคุณรุ้งพรายด้วย และข้อสุดท้ายเมื่อคืนวรภพนอนอยู่ด้านข้างให้ฉันหนุนแขนทั้งคืน!!!"

   "เอ่อ..."

   คำตอบนั้นทำให้ทุกคนนิ่งลงไม่ได้มองด้วยสายตาหวาดระแวงอีกต่อไปแต่กลับมีสายตาล้อเลียนปรากฏขึ้นมาแทนทำให้ต้นหลิวกระทืบเท้าย่ำอยู่กับที่อย่างขัดใจ

   "ไม่ต้องมาทำสายตาล้อเลียนกันอย่างนั้นเลยนะ! คนเมาน่ะเข้าใจไหม"

   "หึ! งั้นจัดการชันสูตรศพให้เสร็จเรียบร้อยก็แล้วกัน"

   กิตติธัชส่งเสียงในลำคอแล้วเดินกลับไปยังที่พักโดยมีพีรัชที่ยังไม่ได้พูดอะไรเดินตามไปด้านหลังด้วยสีหน้าและท่าทางที่เป็นกังวล ส่วนกันต์กวินหลังจากหยุดร้องไห้แล้วก็เช็ดน้ำตาพร้อมกับจ้องไปที่วรกรด้วยความหวัง

   "คุณหมอไม่ใช่ฆาตกรแน่ใช่ไหม"

   "แน่นอน"

   "งั้นช่วยร่วมมือในการทำข่าวของผมด้วยนะครับ"

   กันต์กวินสูดลมหายใจเข้าปอดเสียงดังแล้วหันมายังกล้องที่รณกรยกขึ้นมาเตรียมถ่ายไว้เรียบร้อย

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่คุณผู้ชมได้รับชมด้านหลังอยู่ในขณะนี้คือภาพเหตุการณ์ฆาตกรรม ซึ่งผู้ตายคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการรถไฟระเบิด ผู้เสียชีวิตคือ คุณกวิตา เพศหญิง อายุ 25 ปี มาทำงานในเมืองกำลังจะกลับบ้านที่เชียงใหม่และเป็นคนรักของคนขับรถไฟที่เจ้าตัวให้ปากคำว่าถูกฆาตกรรมก่อนที่รถไฟจะตกรางและเกิดเหตุระเบิดขึ้น สาเหตุการเสียชีวิตเราจะไปสอบถามกับคุณหมอวรภพคนเดิมครับ สวัสดีครับคุณหมอ"

   "สวัสดีครับ สาเหตุการเสียชีวิตครั้งนี้มาจากการถูกมีดแทงตรงกลางหน้าอกตรงกับหัวใจทะลุปักลงดินด้านหลังจนมิดด้าม ทำให้เสียเลือดมากและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ใบหน้าผู้เสียชีวิตซีดเซียว ดวงตาและริมฝีปากดำคล้ำ เนื้อตัวเย็นเฉียบกล้ามเนื้อเริ่มแข็งตัว เริ่มมีรอยคล้ำและการบวมอืดตามร่างกาย บริเวนโดยรอบมีร่องลอยการวิ่งหนี และหลักฐานชิ้นสำคัญคือมีดทีมีลักษณะเป็นมีดผ่าตัดของผมที่หายไปเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา จุดที่พบศพห่างจากที่พักไม่ไกลนัก คาดว่าน่าจะเสียชีวิตเวลา 23:30 นาฬิกา พบศพตอน 10:30 นาฬิกา รวมเวลาเสียชีวิตทั้งหมด 12 ชั่วโมง ทางเราจะยายามเก็บหลักฐานและหาตัวคนร้ายต่อไป"

   พอได้รับคำตอบอย่างนั้นกันต์กวินจึงฉีกยิ้มกว้างให้กล้องอย่างพึงพอใจ

   "ขอให้ดวงวิญญาณของวิตาและดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตทุกดวงไปสู่สุขติ ไม่มีวันที่ฉันจะลืมเพื่อนที่ดีอย่างเธอเลย หลับให้สบายนะวิตาเพื่อนรัก ผม กันต์กวิน นักข่าวฝึกหัดรายงาน"

   แปะ! แปะ!~

   เสียงตบมือดังขึ้นจากพลทัพที่ยืนดูอยู่ตั้งแต่แรกโดยที่ครั้งนี้ไม่ได้มีท่าทางกวนประสาทแต่อย่างใดทั้งนั้นแถมริมฝีปากยังเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจอีกต่างหาก

   "พึ่งเคยเห็นแววนักข่าวในตัวนายก็วันนี้เนี่ยเหละ เยี่ยมยอดมากคุณนักข่าว"

   "แน่นอน!"

   กันต์กวินยิ้มตอบไม่ยอมเถียงเหมือนเคยซึ่งดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเริ่มดีขึ้นมา...

   "จะดูเป็นมืออาชีพกว่านี้ถ้าไม่ร้องไห้ขึ้มูกโป่ง"

   "พลทัพ!!!"

   ...มาเพียงนิดเดียว

   "พวกนายจะทะเลาะกันไปถึงไหนเนี่ย"

   รณกรลูบผมของตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายพอหันมาอีกทีเห็นวรภพและต้นหลิวกำลังเก็บหลักฐานกันและช่วยห่อผ้าคลุมศพเอาไว้เพื่อพากลับไปที่พักด้วย


**************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 15



   หลังจากนั้นทั้งหมดจึงพากันเดินกลับมายังที่พักซึ่งพอวางร่างของกวิตาลงกับพื้นเรียบร้อยแล้วรวิสรารีบวิ่งเข้ามากอดร่างไร้วิญญาณนั้นทั้งน้ำตา

   "ฮึก! คุณวิตา ฮือออ~"

   "คนตายไปแล้วจะร้องไห้อะไรกันนักกันหนาหะรวิ"

   เวธกาเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งพรางมองร่างของกวิตาด้วยแววตาสมเพชเวทนา

   "คนรู้มากก็พบจุดจบแบบนี้แหละ"

   "ดูคุณไม่รู้สึกเสียใจเหมือนคนอื่นเลยนะครับ"

   ต้นหลิวจ้องมองอย่างไม่ชอบใจพร้อมลอบจับผิดพฤติกรรมซึ่งอีกฝ่ายกลับแกล้งไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

   "เสียใจแล้วได้อะไรขึ้นมาก็คนตายไปแล้วน่ะหะจะหาเรื่องฉันรึไงคุณนักสืบ"

   "แล้วคุณมีเรื่องให้ผมหาไหมล่ะ"

   ต้นหลิวถามกลับอย่างกวนประสาททำให้เวธกากำมือแน่นด้วยสายตาที่ร้ายกาจ

   ระหว่างที่ฝั่งนู้นกำลังทะเลาะกันอยู่นั้นรุจรวีก็นั่งจ้องพีรัชซึ่งนิ่งเงียบกว่าปกติแถมเหมือนกังวลอะไรบางอย่าง

   "พี่เป็นอะไรรึเปล่า"

   "พี่ไม่เป็นอะไรหรอก ถามทำไมหรอรุจ"

   พีรัชหันมาถามอย่างสงสัยพยายามไม่ทำหน้าหวาดกลัวออกมาซึ่งรุจรวีเองก็ยักไหล่ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยรอยยิ้ม

   "รุจเห็นพี่รัชดูเครียดก็เลยถามดูน่ะครับ"

   "พี่ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องเป็นห่วงนะ"

   พีรัชลูบผมคนตัวเล็กอย่างเอ็นดูโดยมีเวทิตนั่งดูอยู่อย่างหมั่นไส้   ทางด้านรณกรก็เดินมาจะเตรียมอาหารเย็นแต่ทว่าปลานั้นมีจำนวนไม่เพียงพอทำให้ต้องบอกให้ทุกคนรู้อย่างลำบากใจ

   "โอ๊ะโอ ปลามีแค่นี้เองคงไม่พอสำหรับอาหารเย็นนี้แน่ครับ"

   "จะไม่พอได้อย่างไร! ฉันไม่กินไม่ได้หรอกนะและนี่ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้วด้วย!!!"

   เวธกากอดอกพร้อมเชิดหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจตนเองทำให้กันต์กวินแอบเบะปากใส่

   "ถ้าไม่พองั้นผมไม่ทานก็ได้นะ"

   "ไม่ได้นายต้องทานข้าว"

   พลทัพดุทันทีทำให้กันต์กวินหน้ามุ่ยลงตั้งท่าจะเถียงแต่ถูกพีรัชขัดจังหวะเสียก่อน

   "งั้นเดี๋ยวผมออกไปหาอาหารมาเพิ่มเองครับ"

   "จะดีหรอครับ"

   รณกรถามด้วยความเกรงใจทำให้อีกฝ่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

   "ดีซิครับ"

   "งั้นขอบคุณนะครับ"

   ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนที่พีรัชจะหันไปชวนรุจรวีที่นั่งอยู่ด้านข้าง

   "เดี๋ยวรุจไปกับพี่นะ"

   "อ๋อ...ได้ครับ"

   รุจรวีพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ก่อนที่เวธกาจะนั่งกอดอกพูดขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจตัวเอง

   "รีบไปรีบมานะ! ฉันหิว"

   "อืม"

   พีรัชตอบรับแต่ไม่ค่อยสบสายตาอีกฝ่ายเท่าไหร่ ก่อนจะหันไปสนใจวรภพที่พูดแทรกขึ้นมา

   "เดี๋ยวผมจะเตรียมเนื้อปลาไว้ก่อนครับ"

   "ได้ครับ"

   พีรัชตอบรับก่อนจะเตรียมข้าวของให้รุจรวีเพื่อจะออกเดินทางโดยมีรวิสรายืนส่งอย่างเป็นห่วง

   "ระวังตัวกันด้วยนะคะ"

   "ครับ"

   พีรัชยิ้มรับก่อนจะหันไปเร่งคนตัวเล็กที่เตรียมของไม่เสร็จซักที

   "ไปกันเถอะรุจ"

   "คร๊าบบ"

   ทั้งสองเดินหายเข้าไปในป่าแต่ทว่ารุจรวีกลับลืมถุงยาพ่นหืดหอบเอาไว้ทำให้ต้นหลิวแอบเดินตามไปด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย


   'ที่ตามไปก็แค่ไม่อยากให้มาตายที่นี่เท่านั้นเอง...ไม่ได้เป็นห่วงหรอก!'





   ส่วนวรภพต้องมาเป็นคนนั่งเร่เนื้อปลาที่เหลือเพียงคนเดียวโดยมีต้นหลิวนั่งเท้าคางจ้องหน้าจ้องตาอีกฝ่ายไม่ละสายตาไปไหนจนคนถูกมองเริ่มรำคาญ

   "รู้สึกไม่สบายหรอครับคุณต้นหลิว"

   "ผมสบายดีนะ ทำไมหรอครับ"

   ต้นหลิวนั่งเท้าคางจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังนั่งหี่นเนื้อปลาอย่างเชี่ยวชาญ

   "เห็นนั่งจ้องหน้าผมตั้งนานแล้วนึกว่าจะไม่สบายซะอีก"

   "ฉันดูนายหั่นเนื้อนั่นต่างหาก"

   คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้วรภพแปลกใจอะไรเท่าไหร่นัก

   "อืม"

   "นายดูถนัดใช้มีดดีนะ"

   ต้นหลิวสังเกตุการจับมีดและการผ่าเฉือนเนื้อของอีกฝ่ายอย่างจับผิดมากขึ้น คมมีดที่ผ่านเข้าไปในตัวเนื้อปลามันดูง่ายดายยิ่งกว่าพ่อครัวที่ทำอาหารเป็นเสียอีก

   "ก็ผมเป็นหมอนี่ครับ"

   "แล้วคุณเคยเอามีดแทงคนไหม"

   คำถามนั้นทำให้คนที่เร่เนื้อปลาอยู่ชะงักมือพร้อมกับเหลือบตามามองคนช่างจับผิดอย่างเจ้าเล่ห์

   "อยากลองไหมล่ะครับ"

   ฟึบ!

   "เห้ย!!!"

   ต้นหลิวหลบคมมีดที่สวนเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นด้วยความตกใจก่อนที่จะจ้องมองวรภพที่หัวเราะอย่างขบขัน

   "ฮะฮะฮะ ผมล้อเล่นครับ"

   "ล้อเล่นอะไรล่ะ!"

   ต้นหลิวโวยวายใส่วรภพที่ยังหัวเราะไม่เลิกก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำถามรู้ทันจากอีกฝ่าย

   "คุณกำลังสงสัยว่าผมเป็นคนร้ายซินะ"

   "เปล่า..."

   ต้นหลิวส่ายหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายพูดจริงจังที่สุดเท่าที่รู้จักกันมา

   "ผมเป็นหมอนะครับไม่มีสิทธิ์ที่จะฆ่าคนแบบนั้นหรอก"

   "เอ่อ..."

   ต้นหลิวชะงักก่อนจะจ้องมองวรภพพูดต่อด้วยท่าทางที่จริงจังมากกว่าเดิม

   "ผมเรียนหมอเพื่อช่วยชีวิตคน...ไม่ใช่ฆ่าคน"

   "ผมขอโทษ"

   ต้นหลิวก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่ายที่มองมาอย่างไม่ได้โกรธอะไรมากมาย

   "ทำไมถึงคิดว่าผมเป็นคนร้าย"

   "ทุกคนในที่นี้มีสิทธิ์เป็นคนร้าย"

   คำตอบนั้นทำให้วรภพเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ

   "หืม?"

   "คนทุกคนในนี้มีสิทธิ์จะเป็นคนร้ายมากที่สุดไม่เว้นแม้กระทั่งตัวฉันเอง"

   ต้นหลิวเหลือบไปมองศพของวณิชชาที่นอนอยู่ด้านขวาของศพรุ้งพรายและกวิตาด้วยสายตาของความเสียใจปนไปด้วยความสำนึกผิด

   "เพราะฉะนั้นเราไม่ควรไว้ใจกัน"

   "แต่เราควรจะเชื่อใจกันไม่ใช่หรอ"

   คำถามของวรภพทำให้ต้นหลิวชะงักก่อนส่ายหน้าไปมาอย่างลำบากใจ

   "ฉันเชื่อใจใครไม่ได้หรอก นายเองก็เหมือนกัน"

   "แต่ผมเชื่อใจ...ถ้าเราร่วมมือกันจะต้องหาตัวคนร้าย หาคู่หมั้นของคุณและออกไปจากที่นี่ได้แน่"

   วรภพเอื้อมมือไปจับมือบางไว้อย่างแผ่วเบาทำให้ต้นหลิวเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองแบบไม่ละสายตา

   "หมอ..."

   "เราต้องออกไปจากที่นี่พร้อมกัน"

   วรภพพูดแทรกขึ้นมาด้วยแววตาและสีหน้าที่จริงจัง

   "ตกลงไหม"

   "อืมม"

   ต้นหลิวพยักหน้าพร้อมทั้งยิ้มให้อย่างน่ารักทำให้วรภพลูบผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู




   ทางด้านของพีรัชก็พารุจรวีเดินตามเส้นทางที่คุ้นเคยอย่างรีบร้อนจนคนตัวเล็กโวยวายเสียงดังเพราะเดินตามไม่ทัน

   "โอ๊ย! เหนื่อยอ่ะ"

   "อย่าเสียงดังซิรุจ"

   พีรัชหันมาดุเล็กน้อยพร้อมยกมือป้องปากทำให้รุจรวีหน้างอลงแต่ยังอดสงสัยไม่ได้

   "พี่พีรัชเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูรีบร้อนจังเลย"

   "ไม่มีอะไรหรอกรีบเดินเถอะ"

   พีรัชจูงมือคนตัวเล็กกว่าให้เดินตามตนเองที่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเหมือนหนีอะไรบางอย่างจนเวทิตที่ตามมานั้นต้องรีบเดินตามอย่างสงสัย

   'ทำไมพี่รัชรีบร้อนจัง'

   ตุ๊บ!

   "โอ๊ย!"

   เสียงร้องดังลั่นมาจากรุจรวีเพราะสะดุดตรงกิ่งไม้จนล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างแรงทำให้พีรัชตกใจ

   "เป็นอะไรรึเปล่า"

   "เจ็บ!~"

   พีรัชรีบพยุงให้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินต่อจนรุจรวีอดที่จะโวยวายต่อไม่ได้

   "พี่รัชจะรีบไปทำไมยังไงพวกนั้นก็ต้องรอปลาจากพวกเราแล้วไม่ใช่หรอ ช้าหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะ"

   "เอาเถอะน่า ถ้าเรารีบเดินไปเร็วเท่าไหร่จะยิ่งดีต่อเรามากขึ้นเท่านั้น"

   แม้จะไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่รุจรวีก็ยอมเดินตามอีกฝ่ายไปด้วยความงุนงงโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใบหน้าของพีรัชที่ขมวดคิ้วหน้าตานิ่งด้วยความกังวลและหวาดกลัว

   'ไม่มีใครรู้หรอกว่าเมื่อคืนพี่ไปเจออะไรมาบ้าง ที่พี่ทำทุกอย่างก็เพื่อให้เรารอดชีวิตนะ'




**************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0

สืบครั้งที่ 16


   เมื่อคืนพีรัชออกไปเข้าห้องน้ำแถวพงหญ้าเสร็จเรียบร้อยระหว่างทางที่กำลังจะกลับที่พักนั้นดันได้ยินเสียงของกวิตาร้องขอความช่วยเหลือ

   ตึก ตึก!

   "ช่วยด้วย! ช่วยด้วย"

   "หืม? เสียงวิตานี่"

   พีรัชจึงรีบวิ่งไปตามเสียงที่ดังมาจากอีกฝากหนึ่งซึ่งไม่ไกลเท่าไหร่นัก แต่ปรากฏว่าพอไปถึงเขากลับเห็นการฆาตกรรมกวิตาจากด้านหลัง

   ฉึก!

   "อึก!"

   ดวงตาคมเบิกโผลงขึ้นอย่างหวาดกลัวเมื่อมีดผ่าตัดปักลงกลางหน้าอกทะลุปักตรงพื้นดินอย่างแรง กวิตายังไม่ได้ตายทันทีกลับหันหน้ามามองทางตนที่แอบอยู่หลังพุ่มไม้ก่อนจะร้องไห้และพยายามเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือแม้ว่าจะแผ่วเบาเจือปนไปด้วยความเจ็บปวด

   "ฮึกฮืออ~ ช่วยด้วย...ช่วย...ด้วย"

   "ว...วิตา"

   อยากเข้าไปช่วยแต่เพราะความกลัวจึงไม่กล้าช่วยเหลือ พอฆาตกรเดินจากไปแล้วตนเองจึงก้าวเข้าไปจับตัวและตั้งท่าจะช่วยดึงมีดออกให้

   "อดทนหน่อยนะวิตา"

   "ไม่...ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ"

   กวิตาเอื้อมมือมาจับมือหนาที่จะเอื้อมมือไปจับมีดพร้อมกับร้อยยิ้มที่ยังอ่อนโยนอยู่เสมอ

   "ทิ้งฉันไว้ที่นี่เถอะค่ะ"

   "จะให้ผมทิ้งคุณไว้แบบนี้ได้ยังไง"

   พีรัชเอื้อมมือไปลูบผมของคนตรงหน้าราวกับปลอบใจ

   "เราต้องรอดไปด้วยกันซิ"

   "ต้องทำได้ซิคะ คุณรัชฟังที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ให้ดีนะคะ คอยอยู่ห่างจาก...คุณเกลเอาไว้และคอยระวังให้ดี..."

    แต่กวิตาจับมือของตนเองไว้แน่นขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยความเจ็บบาดแผลแล้วโน้มคอของคนตัวสูงตรงหน้าลงมากระซิบบอกความจริงบางอย่างที่ทำให้พีรัชเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

    "เพราะฆาตกรคือ..."





    "พี่รัช!"

   รุจรวีตะโกนเสียงดังข้างหูทำให้พีรัชสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจก่อนจะหันมาดุคนตัวเล็กที่ทำหน้าตาบูดบึ้งอย่างอารมณ์เสีย

   "ห๊ะ! โธ่...เสียงดังทำไมรุจ พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ตะโกนน่ะ"

   "รุจเรียกพี่รัชตั้งหลายครั้งแล้วนะ อีกอย่างทางนั้นไม่ใช่ทางไปลำธารที่เดิมนี่ครับ"

   รุจรวีกอดอกมองคนตรงหน้าอย่างจับผิดซึ่งพีรัชก็เอื้อมมือไปจับมือนุ่มนิ่มนั้นแน่นแล้วพาเดินขึ้นไปทางต้นน้ำด้านบน

   "ตรงนั้นไม่ค่อยมีปลาน่ะ เราขึ้นไปตรงนั้นอีกหน่อยดีกว่าปลาน่าจะเยอะ"

   "ครับ~"

   รุจรวียอมพยักหน้าและเดินตามอย่างเชื่อฟังทำให้เวทิตที่ตามมาด้านหลังยิ่งขมวดคิ้วแน่นด้วยความแปลกใจ



   'นั่นไม่ใช่ทางไปหาอาหารหนิ...จะไปไหนกันนะ'





   หลังจากเดินกันมาพักใหญ่รุจรวีก็เริ่มงองแงขึ้นมาอีกครั้งพร้อมสะบัดออกจากมือหนาแล้วเดินไปนั่งพักตรงโขดหินใหญ่ใต้ต้นไม้ใกล้ลำธารที่ดูสะอาดแต่ไหลแรงกว่าด้านล่าฃที่เคยพบมา

   "เหนื่อย! ผมเดินต่อไม่ไหวแล้วนะพี่รัช แถมตอนนี้ก็หิวมากเลยด้วย!"

   "งั้นรุจนั่งพักตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาให้ทาน"

   พีรัชบอกพร้อมกับมองซ้ายมองขวาสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่าหวาดระแวงแต่รุจรวีก็ไม่ได้สนใจอะไร

   "ครับ รีบไปรีบมานะผมไม่อยากนั่งอยู่คนเดียว"

   "รอพี่แป็บนึงนะ"

   พีรัชมองด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อหาอะไรมาให้คนขี้โวยวายทานแต่ทว่าระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นกลับมีมือที่ไหนไม่รู้มาจากด้านหลังปิดปากตนเองไว้แน่น

   หมับ!

   "อี้อ!"

   พีรัชดิ้นพล่านพยายามต่อสู้และร้องเรียกขอความช่วยเหลือแต่เพราะถูกปิดปากทำให้ไม่มีใครได้ยินก่อนจะตาเปิกกว้างเมื่อมีเชือกเส้นหนามารัดตรงคอจนแน่นทำให้ยิ่งดิ้นหนีด้วยความหวาดกลัวเรียกเสียงหัวเราะเยาะที่ดังมาจากด้านหลัง

   "คนรู้มากก็ต้องตายกันทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กนั่นที่นายรักด้วย"

   "อื้ออ!...อึก!!!"

   พีรัชดิ้นไปดิ้นมาเพราะหายใจไม่ออกแต่ยิ่งดิ้นยิ่งหายใจไม่ออกจนหมดเรี่ยวแรงเข่าทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมกับลมหายใจที่หมดลงก่อนจะถูกผลักจนหล่นลงไปในสายน้ำที่ไหลเกรี้ยวกราดก่อนจะจมหายท่ามกลางสายน้ำนั้นอย่างรวดเร็วเรียกเสียงหัวเราะสะใจจากคนที่ลงมือสำเร็จ

   "ฮะฮะเฮอะ!"

   หัวเราะก่อนจะหันไปยังทิศทางที่มีใครอีกคนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่ร้ายกาจ





   "เมื่อไหร่พี่รัชจะมาซักทีเนี่ย รอนานแล้วนะ"

   ส่วนรุจรวีนั้นก็นั่งรออยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนมาตั้งนานจนเริ่มหน้าหงิกพรางชะเง้อมองคนที่บอกว่าจะไปหาอาหารแต่ไม่มาซักที

   "งื้อ~หิวน้ำจังเลย"

   รุจรวีมองซ้ายมองขวายังไม่เห็นคนที่รอจึงตัดสินใจเดินไปนั่งตรงริมฝั่งด้านล่างแล้วใช้มือรองน้ำขึ้นมาดื่มอย่างชื่นใจ

   "อ่า~ ค่อยยังสดชื่นหน่อย"

   ผลัก!

   "ว๊ากกก!!!"

   ระหว่างที่กำลังรอลงน้ำกินนั้นรุจรวีโดนผลักจากด้านหลังจนตกลงไปในน้ำทำให้รีบตะเกียกตะกายขึ้นมาบนพื้นผิวน้ำอย่างหวาดกลัวโดยไม่ทันได้ระวังตัว

   ปัง! ปั้ง!

   "โอ๊ย!"

   เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโอดโอยของรุจรวีที่โดนยิงซ้ำถึงสองครั้ง ทำให้เวทิตที่พึ่งเดินมาถึงเห็นตอนที่ยิงปืนพอดีจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลือ

   "แกจะทำอะไรน่ะหยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!"

   "ชิ!"

   ฆาตกรทำเสียงไม่พอใจพร้อมตวัดสายตามามองอย่างมุ่งร้าย

   "พวกรู้มากมันเยอะขนาดนี้เลยหรอ"

   "ปล่อยปืนเดี๋ยวนี้!!!"

   ทั้งสองแย่งปืนกันจนฆาตกรที่ตัวเล็กกว่าสู้ไม่ไหวยอมปล่อยปืนแล้ววิ่งหนีไป

   "รุจ!!!"

   เวทิตพุ่งตรงไปยังโขดหินแล้วพยายามเอื้อมมือฉุดรั้งแขนของรุจรวีที่สลบให้ขึ้นมาด้านบนแต่ทว่ากลับโดนถีบจากด้านหลังอย่างแรงโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

   ผลัก!!!

   "เหวออออ!"

    ตู้ม!!!

   เวทิตและรุจรวีตกลงไปยังสายน้ำที่เกรี้ยวกราดทำให้พัดร่างทั้งสองคนจมหายไปกับลำธารนั้นอย่างไร้ร่องรอย



********************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 17


   ทางด้านของคนที่รออยู่ตรงที่พักพอเห็นทั้งสามคนหายไปเป็นเวลานาน รณกรชะเง้อมองด้วยความเป็นห่วงโดยที่พวกผู้หญิงเริ่มกินปลาย่างกันแล้วหลังจากเลยเวลาอาหารเย็นไปมากพอสมควร

   "พวกคุณพีรัชไปนานแล้วนะครับยังไม่กลับมาเลยจะเป็นอะไรรึเปล่า"

   "นั่นน่ะซิ"

   กันต์กวินขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้กันก่อนจะชะงักมองหัวปลาย่างที่ยื่นมาตรงหน้าตนเองด้วยหางตา

   "อะไร"

   "กินซิ"

   พลทัพกลั้นยิ้มขำคนตัวเล็กที่ทำหน้าบูดบึ้งแล้วสะบัดหน้าหนีตนเอง

   "ไม่กิน...ไม่ชอบกินหัวปลา"

   "เรื่องมากจัง"

   พลทัพบ่นอุบอิบทำให้กันต์กวินมองตาขวางก่อนจะมองเนื้อปลาที่ยื่นใส่มาให้แทน

   "แล้วแบบนี้กินได้ไหม"

   "ได้~ แต่ฉันอยากออกไปตามหาพวกนั้นมากกว่า"

   กันต์กวินขมวดคิ้วแน่นเพราะเป็นห่วงคนที่ยังไม่กลับมาแต่ก็เหลือบมองปลาด้วยความเสียดาย

   "เดี๋ยวค่อยกลับมากินแล้วกัน"

   "ตามใจ"

   พลทัพหันไปวางปลาตรงที่ปิ้งเหมือนเดิมก่อนจะหันไปมองกิตติธัชที่พูดหาเรื่องตนเอง

   "ฉันจะออกไปหาพวกนั้นกับกันต์กวินเอง ส่วนนายจะไปด้วยหรืออยู่เฝ้าผู้หญิงล่ะ"

   "นายเคยเห็นฉันอยู่เฝ้าผู้หญิงซักครั้งไหมล่ะ"

   พลทัพตอบกลับไปอย่างกวนประสาทก่อนจะโยนหน้าที่นั้นให้คนที่กำลังปิ้งปลา

   "หน้าที่นั้นให้รณกรดูแลแล้วกัน"

   "ห๊ะ!...ได้"

   รณกรตั้งท่าจะแย้งแต่พอเห็นสายตาบังคับของพลทัพก็ยอมตอบตกลงแถมบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว

   "คนอะไรน่ากลัวชะมัด"

   "จะให้พวกผมไปด้วยไหมครับ"

   ต้นหลิวถามขึ้นมาในขณะที่กำลังเช็คของในกล่องพยาบาลซึ่งกิตติธัชรีบส่ายหน้าทันที

   "พวกนายสองคนอยู่ที่นี่แหละ"

   "ได้ครับ"

   ต้นหลิวพยักหน้ารับก่อนจะหันไปยิ้มให้กับกันต์กวินแล้วจัดอุปกรณ์ในกล่องยาต่อ

   "รีบไปรีบมานะครับ ระวังตัวด้วยนะ"

   "งั้นรีบไปกันเถอะ"

   กิตติธัชลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมอุปกรณ์เพื่อออกเดินทางก่อนจะหันมามองเวธกาที่ยื่นน้ำมาให้

   "ทานน้ำก่อนซิ"

   "ขอบใจ...แต่ฉันไม่หิว"

   กิตติธัชตอบก่อนจะเหลือบไปมองรวิสราที่ก้มหน้าลงไปทานปลาต่อทำเป็นไม่สนใจตนเองความเฉยชาทำให้กิตติธัชหงุดหงิดเดินนำไปด้วยความโมโห

   "รีบไปกันได้ละ"

   "อื้อ~"

   กันต์กวินตอบรับก่อนจะเดินตามหลังกิตติธัชไปปิดท้ายด้านหลังสุดด้วยพลทัพที่ถอนหายใจกับความร่าเริงเกินไปของคนที่อยู่ด้านหน้า





   ทั้งสามคนออกมาตามหากลุ่มที่ออกไปหาอาหารโดยเดินไปตรงลำธารที่เคยจับปลากันเป็นประจำแต่ทว่ากลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยทำให้กิตติธัชเตะก้อนหินแถวนั้นด้วยความหงุดหงิด

   "หายไปไหนกันหมดนะ!"

   "ถ้าไม่อยู่แถวนี้แล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ"

   กันต์กวินมองซ้ายมองขวาด้วยความสงสัยก่อนที่พลทัพจะเจอรอยเท้าสามรอยตรงแถวนั้นมุ่งหน้าไปทางต้นน้ำ

   "พวกนั้นน่าจะไปหาปลาตรงต้นน้ำ"

   ปึก!

   "ประสาท!"

   ฮวังอวี้หางหยิบก้อนหินแถวนั้นมาปาอย่างหัวเสีย

   "โง่กันรึไงก็รู้อยู่ว่าด้านบนน้ำแรงขนาดไหน"

   ท่าทางแบบนั้นทำให้กันต์กวินเขยิบเข้าไปหาพลทัพด้วยความกลัว

   "เพื่อนนายฉีดยากันหมาบ้ารึเปล่าเนี่ย"

   "หึ! นั่นไม่ใช่เพื่อนฉัน"

   คำตอบนั้นทำให้กันต์กวินขมวดคิ้วแล้วมองหน่าอย่างไม่เข้าใจ

   "นายเคยเป็นตำรวจไม่ใช่รึไง"

   "เคยเป็นตำรวจแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกัน"

   พลทัพจ้องไปยังคนตรงหน้าที่มองมาอย่างเคียดแค้นและชิงชังเช่นเดียวกัน

   "คนบางคนไม่สมควรเป็นเพื่อนตั้งแต่แรก"

   "ไอ้ทัพ!"

   กิตติธัชโมโหเดินตรงมาคว้าคอเสื้อไว้แน่นสวนมืออีกข้างง้างขึ้นกำลังจะต่อยซึ่งอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ตั้งท่าที่จะต่อยกลับเหมือนกันทำให้กันต์กวินโวยวายรีบเอามือมาจับให้ทั้งสองคนแยกจากกัน

   "หยุดเลย! เหลือกันอยู่เท่านี้อย่าทะเลาะกันได้ไหม"

   "มันเริ่มก่อน"

   สองเสียงดังขึ้นพร้อมกันทำให้กันต์กวินกอดอกตวัดสายตาจ้องมองทั้งสองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ

   "ตกลงจะไปตามหากันไหมหรืออยากจะยืนกัดกันตรงนี้ก็ตามใจ!"

   "เดี๋ยวดิ!"

   "รอด้วย!!"

   กันต์กวินสะบัดหน้าแล้วเดินตามรอยเท้าทั้งสามรอยไปโดยไม่สนใจสองหนุ่มที่เดินตามมาด้านหลังด้วยความขัดใจ




   ทั้งสามเดินมาไกลจากจุดเดิมซักพักใหญ่เล่นเอาเหนื่อยหอบก็มาถึงตรงจุดที่มีก้อนหินใหญ่ซึ่งข้างล่างเป็นลำธารที่ไหลแรงนั้นพบเพียงรองเท้าข้างเดียวของรุจรวีตรงโขดหินทำให้กันต์กวินพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง

   "นั่นรองเท้ารุจแล้วตัวของเขาล่ะอยู่ที่ไหน อย่าบอกนะว่า..."

   "ตกน้ำไปแล้ว"

   พลทัพพูดคำเดียวกับคำที่อีกฝ่ายไม่กล้าพูดออกมาทำให้กันต์กวินน้ำตาซึม ส่วนกิตติธัชก็ปาก้อนหินลงน้ำอย่างหงุดหงิด

   "ตกน้ำไปแบบนั้นมีแต่ตายกับตายเท่านั้นแหละ!"

   "ทำไมถึงต้องพูดแบบนั้นด้วยล่ะ! ถ้าไม่อยากช่วยหาก็ไม่ต้องมาปากเสียได้ไหม!"

   กันต์กวินโวยวายอย่างเหลืออดก่อนจะตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อถูกอีกฝ่ายกระชากเข้าไปหาแล้วลากคอมาตรงโหดหินก่อนจะบังคับให้ชะโงกหน้าไปดูน้ำที่ไหลแรงด้านล่าง

   "งื้อ! ปล่อยนะ!"

   "ดูซะให้เต็มตาน้ำไหลแรงแบบนี้ถ้ามีคนตกลงไปก็ไม่รอดซักคน"

   "งื้อออ! ปล่อย!!!"

   กิตติธัชกดอีกคนให้ชะโงกหน้าไปอีกครึ่งตัวทำให้คนตัวเล็กกว่ายิ่งดิ้นขัดขืน

   "หรือนายอยากจะลงไปพิสูจเองล่ะ เอาไหมหะ!"

   "ปล่อยนะ!!!~"

   กันต์กวินร้องเสียงหลงก่อนจะออกแรงดิ้นขัดขืน

   "เจ็บแล้วนะ ปล่อยซักทีซิ"

   "พอเหอะ...ปล่อยกันต์กวินเดี๋ยวนี้เลย"

   พลทัพเดินเข้าไปดึงคนตัวเล็กกว่าให้หลุดจากการเกาะกุมแล้วเอามาหลบอยู่ด้านหลังตนเองซึ่งกันต์กวินก็เกาะเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่นพร้อมเนื้อตัวที่สั่นด้วยความหวาดกลัวยิ่งทำให้กิตติธัชมองอย่างหาเรื่อง

   "แค่สั่งสอนตามแบบของฉันเท่านั้น ถ้าจะโยนจริงก็ผลักลงไปนานแล้วเหอะ!"

   "คนอย่างนายมันบ้าอำนาจไม่เคยเปลี่ยนเลย"

   พลทัพเริ่มหาเรื่องอีกครั้งทำให้ทั้งสองจ้องมองกันอย่างเคียดแค้น แต่ก่อนที่จะทะเลาะกันมากไปกว่านี้กลับมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังออดมาแถวพุ่มไม้ข้างลำธาร

   "ช...ช่วยด้วย"

   "เสียงขอความช่วยเหลือใช่ไหม"

   กันต์กวินถามแต่เผลอจับเสื้อของพลทัพไว้แน่นซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้สะบัดออกแต่กลับพาเดินมาดูตรงพุ่มไม้ด้วยกันโดยให้กิตติธัขเป็นคนแหวกหญ้าออกพบกับผู้ชายรูปร่างผอมแห้ง หน้าตาหม่นหมองขอบตาคล้ำมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิงไว้หนวดไว้เครา เนื้อตัวสกปรกมอมแมมแถมเสื้อผ้ายังขาดหลุดลุ่ยเต็มไปหมด ทำให้กันต์กวินเปลี่ยนจากเกาะเสื้อมากอดแขนแกร่งแทนพร้อมทำท่าทางหวาดกลัว

   "คนหรืออะไรเนี่ย น่ากลัวจังเลย"

   "จะอะไรก็เหอะรีบพากลับที่พักไปให้หมอวรภพรักษา"

   กิตติธัชและพลทัพพยายามดึงผู้บาดเจ็บขึ้นมาแบกแล้วช่วยกันพากลับไปยังที่พักอย่างทุลักทุเลโดยมีกันต์กวินเดินให้กำลังใจอยู่ด้านหลัง



*******************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 18




   สายน้ำที่รุนแรงและเกรี้ยวกราดซึ่งถ้าหากตกลงไปแล้วคงไม่น่าจะรอดแต่โชคดีของทั้งสองคนที่สายน้ำนั้นพัดไปเจอกับทีมช่วยเหลือที่กำลังตักน้ำตรงลำธารพอดี

   "หัวหน้า! นั่นคนนี่ครับ"

   "โอ๊ะ"

   หัวหน้าทีมช่วยเหลือชะงักก่อนจะรีบออกคำสังทันที

   "ไปช่วยพวกเขาเร็ว!"

   "ครับ!"

   ทีมช่วยเหลือรีบว่ายฝ่ากระแสน้ำที่แรงเข้าช่วยพาทั้งสองคนขึ้นมาบนฝั่ง ก่อนที่จะส่งต่อให้หน่วยพยาบาลนั้นช่วยกันปฐมพยาบาลโดยการปั้มหัวใจของทั้งสองคน ไม่นานหลังจากนั้นเวทิตก็สำลักน้ำออกมาพร้อมสติที่เริ่มกลับมาเหมือนเดิม

   "แคก!"

   "รู้สึกตัวแล้วครับหัวหน้า!"

   เวทิตลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงงเพราะยังประติดประต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นฝั่งตรงข้ามเขาที่มีหน่วยพยาบาลกำลังช่วยกันปั้มหายใจคนตัวเล็กอย่างวุ่นวายแต่ทว่ากลับมีคนร้องขึ้นมาอย่างตื่นตกใจเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติของคนที่นอนอยู่บนพื้น

   "หัวหน้า! คนนี้ไม่หายใจแล้วครับ"

   "รุจ!!!"

   พอได้ฟังแบบนั้นเวทิตก็รีบลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งมาดูอาการของรุจรวีในสภาพที่ไม่ดีนัก เพราะตัวเย็นเฉียบและผิวนั้นเริ่มขาวซีดตัดกับเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลหัวไหล่และตรงลำคอ ทำให้เวทิตต้องแทรกเบียดตัวเองไปนั่งแทนที่หน่วยพยาบาลแล้วกดปั้มตรงหน้าอกพร้อมกับก้มลงไปประกบริมฝีปากเพื่อให้ออกซิเจนกับอีกฝ่ายโดยทำแบบนั้นหลายครั้งแต่ทว่าอีกฝ่ายยังคงนอนนิ่งจนคนช่วยเริ่มใจหายเผลอตะคอกออกมาอย่างลืมตัว

   "อย่ามาเล่นแบบนี้มันไม่ตลกนะรุจ! ตื่นขึ้นมาซิ!!!"

   "แคก!"

   ราวกับปาฏิหาริย์เมื่ออีกฝ่ายสำลักน้ำออกมาทำให้เวทิตดึงรุจรวีเข้ามากอดอย่างแนบแน่นท่ามกลางความงุนงงของคนที่พึ่งฟื้น
 
   "ทิต? ก...เกิดอะไรขึ้น"

   "นายไม่เป็นอะไรแล้วนะรุจ พวกเราปลอดภัยแล้ว"

   เวทิตดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดอย่างแนบแน่นด้วยความโล่งใจจนรุจรวีที่รู้สึกถึงความห่วงใยนั้นเอื้อมมือมาลูบหลังอย่างแผ่วเบาแล้วพยายามปลอบประโลม

   "นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...แล้วพี่รัชล่ะ"

   "นายลืมถุงยาเอาไว้ฉันเลยเดินตามมาแต่พี่รัชกับนายดันเดินออกนอกเส้นทางไปบนต้นน้ำซะอย่างนั้น ส่วนพี่รัชนั้นฉันเองก็ไม่รู้..."  เวทิตหลบสายตาแล้วมองไปทางอื่น "ตอนที่นายโดนยิงฉันก็ไม่เห็นพี่รัชแล้ว"

   "นายช่วยฉันไว้นี่เอง"

   รุจรวีเม้มปากแน่นก่อนที่แก้มทั้งสองข้างจะเริ่มแดงขึ้นอย่างเขินอายทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนพร้อมกับคำพูดบางคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

   "ขอบคุณนะ"

   "ทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ"

   เวทิตยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทำให้อีกฝ่ายอย่างกลั่นแล้วทำให้รุจรวีสะบัดหน้าไปทางอื่น

   "ไม่ได้แดงซักหน่อย!"

   "หรอออ"

   เวทิตอมยิ้มพร้อมยกมือขึ้นมาจับแก้มนั้นอยางหมั่นเขี้ยว

   "ไม่แดงเลยเนอะ"

   "อะแฮ่ม!"

   เสียงที่ดังขัดขึ้นมานั้นทำให้ทั้งสองคนรีบแยกออกจากกันแล้วหันไปยิ้มแห้งให้หัวหน้าทีมช่วยเหลือที่ยืนกอดอกมองทั้งสองคนอย่างเอ็นดู

   "อย่าพึ่งมากอดกันตอนนี้เลย พวกคุณไปรักษาแผลกันก่อนดีไหม"

   "อ่า...ครับ"

   เวทิตและรุจรวีตามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งไปทำแผลในเต็นท์พยาบาลจนหายดี หัวหน้าทีมช่วยเหลือพอเห็นทั้งสองคนเริ่มหายดีแล้วจึงแนะนำตัว

   "ผมชื่อ กิตติชัช หัวหน้าหน่วยอาชญากรรมและเป็นหัวหน้าทีมหน่วยช่วยเหลือ มีภารกิจมาตามหาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์รถไฟตกรางแต่เส้นทางถูกปิดขาดทำให้ต้องเดินเลาะทางน้ำจนมาเจอพวกคุณนี่แหละ แล้วพวกคุนคือใคร"

   "พวกผมคือผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์รถไฟครั้งนั้นครับ"

   คำตอบของเวทิตทำให้ทุกคนในที่นั้นชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจโดยเฉพาะกิตติชัชที่ดูคล้ายใครบางคนจนรุจรวีอดที่จะถามไม่ได้

   "คุณกิตติชัชรู้จักกับคนที่ชื่อว่ากิตติธัชรึเปล่าครับ พอดีผมรู้สึกว่าพวกคุณดูคล้ายกันมากเลย"

   "ผมเป็นพ่อของธัชครับ"

   กิตติชัชตอบพร้อมรอยยิ้มที่แตกต่างกันกับลูกชายราวฟ้ากับเหวทำให้อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้

   "ทำไมบรรยากาศไม่เห็นเหมือนกันเลย หมอนั่นดุจะตาย"

   "พูดมากน่ะรุจ"

   เวทิตหันมาห้ามปรามแต่กิตติชัชกลับไม่ถือสาแถมหัวเราะอย่างชอบใจ

   "ฮะฮะฮะ ไม่เป็นไรหรอกลุงไม่ถือ"

   "งั้นดีเลยครับ คุณลุงรู้ไหมครับว่าลูกชายของคุณลุงน่ะทั้งเจ้าระเบียบ จอมหาเรื่อง จ้องจับผิดคนอื่นตลอดเวลา แถมยังดูเฉยชากับคู่หมั้นอีกต่างหาก"

   "หนูรวิอยู่ที่นั่นด้วยหรอ"

   กิตติชัชถามด้วยความสงสัยเพราะปกติคู่หมั่นของลูกชายไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหน

   "อยู่ซิครับ! แถมตอนนี้ทั้งสองคนถอนหมั้นกันแล้วด้วย"

   "ขนาดนั้นเลยหรอ!"

   กิตติชัชเบิกตากว้างด้วยความตกใจยิ่งทำให้รุจรวีเผลอหลุดคำพูดบางอย่างออกไป

   "จริงซิครับ! กิตติธัชน่ะหลายใจแอบไปจูบกับเวธกาด้วยนะครับวันนั้นผมลืมตาขึ้นมาเห็นพอดี แถมยังเจ้าอารมณ์อีกต่างหาก ผมล่ะสงสารรวิที่สุดเลย"

   "รุจรวี..."

   เวทิตปรามอีกรอบทำให้รุจรวีชะงักไปแต่กิตติชัชกลับส่ายหน้าแล้วยิ้มให้อย่างเอ็นดู

   "ไม่เป็นไรหรอกลุงอยากฟัง แล้วนี่มีคนรอดชีวิตเยอะไหม"

   "ตอนแรกมีสิบสี่ แต่ตอนนี้ถ้าตัดผมสองคนกับพี่รัชออกไปก็เหลือแค่แปดคนครับ"

   คำตอบนั้นทำให้กิตติชัชเลิกคิ้วขึ้นมามองดวยความสงสัย

   "ทำไมถึงเหลือแค่นั้นล่ะ"

   "ระหว่างที่รอทีมช่วยเหลือมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นครับ แต่โชคดีที่เรามีคุณหมอวรภพกับนักสืบต้นหลิวอยู่ที่นั่น"

   รุจรวียิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแม้จะติดอยู่ในป่าแต่ทั้งสองก็มักจะช่วยทุกคนเอาไว้อยู่เสมอซึ่งทำให้กิตติชัชขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิม

   "ต้นหลิว...ลูกชายคุณต้นสน"

   "คุณรู้จักพ่อของต้นหลิวหรอครับ"

   รุจรวีออกอาการตื่นเต้นมากเกินไปทำให้เวทิตต้องเอื้อมมือมาแตะเอวเป็นการปรามซึ่งอีกฝ่ายก็หันมาแยกเขี้ยวใส่อย่างไม่พอใจ ส่วนกิตติชัชพอเห็นอย่างนั้นก็อมยิ้มอย่างขบขัน

   "สนิทกันเลยล่ะ เมื่อก่อนเราเคยทำคดีด้วยกันน่ะ"

   "ขออนุญาตครับหัวหน้า!"

   การพูดคุยหยุดชะงักลงเมื่อเจ้าหน้าที่ทีมช่วยเหลือคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความแตกตื่น

   "หัวหน้าครับ! เราพบศพคนหนึ่งลอยตามน้ำมาครับ!"

   "เอาเข้ามาในนี้เลย"

   เมื่อได้รับคำสั่งพวกด้านนอกก็นำศพที่ถูกห่อผ้าอย่างดีเข้ามาวางไว้ภายในห้อง ซึ่งพอกิตติชัชเปิดผ้าออกมาทั้งรุจรวีและเวทิตต้องตกใจเมื่อศพในห่อผ้านั้นคือคนที่คุ้นเคยกันมาหลายปี

   "พี่รัช!!!"

   "ฮึก! พ...พี่รัช"

   รุจรวีตกใจกับภาพตรงหน้าถึงขั้นอ่อนแรงทรุดตวลงตรงด้านข้างของร่างไร้วิญญาณนั้นแล้วก้มลงไปกอดอย่างไม่นึกรังเกียจพน้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น เมื่อมองหน้าตาที่ปกติแสนหล่อเหลากลับกลายเป็นซีดเซียวไร้สีเลือด ริมฝีปากเริ่มม่วงคล้ำ ตามผิวหนังฝ่ามือฝ่าเท้าย่น มีร่องรอยต่อสู้ขัดขืนและเชือกที่รัดผูกติดตรงคอบ่งบอกถึงการฆาตกรรม

   "พี่...รัช...ฮึก!"

   รุจรวีร้องห่มร้องไห้เสียใจมากขึ้นจนเริ่มมีอาการเกร็งตัวพร้อมกับลมหายใจเริ่มหอบเข้าออกอย่างรุนแรงจนหงายหลังไปนอนชักกระตุกกับพื้นทำให้เวทิตที่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้แล้วรีบประคองอีกฝ่ายมาพิงตรงไหล่ตนเองแล้วหยิบยาจากกระเป๋าสีเขียวมาพ่นจนกระทั่งลมหายใจอีกฝ่ายเริ่มกลับมาเป็นปกติแต่ยังร้องไห้ไม่หยุดพิงไหล่คนตัวสูงกว่าอย่างหมดแรง

   "ฮึก...พี่ทิต...พี่รัชเขา...ฮึก"

   "ใจเย็นไม่ร้องไห้แล้วนะ"

   เวทิตกอดปลอบพร้อมกับลูบหลังอย่างแผ่วเบาแต่อดที่จะอิจฉาพีรัชไม่ได้เพราะถึงแม้จะตายไปแล้วแต่ดูรุจรวีนั้นร้องไห้จนแทยจะขาดใจแบบนี้คงเป็นคนที่สำคัญมาก

   "นายคงจะรักพี่รัชมากเลยนะ คบกันอยู่ใช่ไหมล่ะ"

   "ห๊ะ! คบอะไรของนาย"

   รุจรวีฟาดตรงอกอีกฝ่ายอย่างแรงก่อนจะทำปากยื่นหันหน้าไปมองร่างของพีรัชนอนนิ่งอยู่ข้างกาย

   "พี่รัชเป็นพี่ชายพ่อเดียวกันกับฉันแต่คนละแม่ต่างหากล่ะ"

   "ห๊ะ! พี่น้อง?"

   เวทิตอ้าปากเหวอพร้อมทำหน้าตาตื่นตะลึงนั่นยิ่งทำให้อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

   "คิกคิก ทำหน้าตาน่าเกลียดมาก"

   "อ...อะไรล่ะ! เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ"

   เวทิตจ้องมองมาอย่างคาดคั้นทำให้คนตัวเล็กอมยิ้มแก้มพองลมจนน่าหมั่นไส้

   "อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ฉันกับพี่พีรัชเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน พี่รัชถูกแม่ตัวเองทิ้งตั้งแต่เด็กคุณพ่อสงสารเลยรับมาอยู่ด้วย พี่รัชมีความรับผิดชอบเยอะมากเลยมาเป็นผู้จัดการนายแบบก่อนที่จะพาฉันเข้าวงการและทำให้ฉันได้ดังและเป็นที่รู้จักในปัจจุบันนี้เนี่ยแหละ แต่โชคร้ายหน่อยที่ฉันดังจนทำให้นายตกต่ำน่ะ"

   "ยังกัดฉันได้อีกนะ"

   เวทิตฟึดฟัดก่อนจะจ้องใบหน้าหวานของอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ

   "ทำไมไม่บอกความจริงฉัน"

   "นายไม่ได้ถาม"

   รุจรวีตอบลอยหน้าลอยตาทำให้เวทิตเอื้อมมือไปขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ ทั้งสองคนยิ้มให้กันเป็นครั้งแรกโดยความรู้สึกดีต่อกันเริ่มก่อตัวขึ้นก่อนที่จะหันไปสนใจกิตติชัชที่ขัดจังหวะของทั้งสองคนเป็นครั้งที่สาม

   "อะแฮ่ม! ถ้าอย่างนั้นจำได้ไหมว่าตอนนี้กลุ่มผู้รอดชีวิตอยู่ที่ไหน"

   "แน่นอนครับ เดี๋ยวผมจะพาไปก่อนที่จะมีใครตายอีก"

   รุจรวีตอบด้วยสายตามุ่งมั่นทำให้กิตติชัชลบผมอย่างเอ็นดู ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินทางไปพร้อมกับทีมช่วยเหลือมุ่งตรงไปยังทิศทางที่ตำแหน่งกลุ่มรอดชีวิตรออยู่ในป่าลึก



*****************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 19




   ทางด้านของทั้งสามคนกว่าจะกลับมาถึงที่พักก็เล่นเอาเหนื่อยเพราะต้องแบกคนเจ็บที่ไหนไม่รู้กลับมาด้วย

   เมื่อวรภพเห็นคนบาดเจ็บจึงรีบเดินเข้ามาดูอาการของคนแปลกหน้าที่พึ่งถูกวางลงตรงพื้นสภาพมอมแมมมีบาดแผลเต็มไปหมดตามมาด้วยต้นหลิวที่เดินถือกล่องพยาบาลมานั่งตรงหน้าพร้อมกับจ้องด้วยความสงสัย

   "เกิดอะไรขึ้นครับ แล้วนี่คือใครล่ะเนี่ย"

   "ไม่รู้อ่ะ แต่เห็นเขาบาดเจ็บเลยช่วยไว้น่ะ"

   กันต์กวินตอบแทนทั้งสองคนที่เขม่นใส่กันตลอดเวลาแล้วแยกย้ายไปนั่งกันคนละฟากทำให้ต้นหลิวยิ้มแห้งพร้อมชะเง้อมองด้านหลังแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของทั้งสามคน

   "แล้วสามคนนั้นล่ะครับ"

   "คาดว่าน่าจะตกน้ำเพราะเหลือแต่รองเท้าของรุจตรงโขดหินข้างเดียวเองครับ"

   พอได้ฟังแบบนั้นต้นหลิวก็ทำหน้าสลดลงด้วยความสงสารคนที่หายไปทั้งสามคน

   "โธ่...ไม่น่าเลย"

   "กันต์เป็นอะไรไหม...หิวรึยังเนี่ย"

   รณกรเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงซึ่งกันต์กวินก็พยักหน้าขึ้นลงแล้วอ้อนอย่างน่าเอ็นดู

   "หิวมากเลย เหนื่อยด้วย!"

   "ถ้าอย่างงั้นพวกเรามากินอาหารเย็นกันก่อนเถอะ"

   รณกรกอดไหล่ก่อนจะพาเดินไปนั่งตรงที่มีอาหารซึ่งเตรียมเอาไว้แล้ว แต่กันต์กวินไม่ยอมเดินพร้อมมองหน้าต้นหลิวอย่างลังเลซึ่งอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานให้พร้อมโบกมือไปมา

   "ไม่เป็นไรครับ พวกคุณทานอาหารกันได้เลยนะครับเพราะผมพึ่งทานไปเมื่อกี๊นี้เอง เดี๋ยวตรงนี้ผมดูแลเองครับ"

   ต้นหลิวหันไปยิ้มให้หมอวรภพเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพันแผลเสร็จแล้ว

   "คุณหมอภพก็ไปปิ้งปลาเถอะครับเดี๋ยวผมเช็ดตัวให้นายคนนี้เอง"

   "งั้นก็ได้ครับ"

   วรภพตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะพาทั้งสามคนไปนั่งทานข้าวโดยมีวรภพซึ่งทำบาดแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปปิ้งปลาต่อกำลังปิ้งปลาให้ทุนคนได้ทาน ซึ่งต้นหลิวเองก็คอยเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้จนคนที่นอนนิ่งอยู่นั้นเริ่มรู้สึกตัว

   "อืมม~"

   "ฟื้นแล้วหรอครับ"

   ต้นหลิวถามพร้อมทั้งหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดใบหน้าของอีกฝ่ายที่ปรือตาขึ้นมาจ้องใบหน้าตนเองอย่าง...หลงใหล?!

   "สวย"

   "ห๊ะ!"

   ต้นหลิวร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมืออีกฝ่ายที่สากมากนั้นยื่นมือมาลูบแก้มย้วยของตนเอง

   "คนสวย...นางฟ้า"

   "เห้ย! ปล่อยนะ! เป็นบ้ารึไง"

   ต้นหลิวร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่นที่พักพร้อมลุกถอยหนีจนมาชนกับกันต์กวินที่รีบวิ่งมาหาคนแรกด้วยความเป็นห่วง

   "มีอะไรหรอต้นหลิว"

   "คนนั้นน่ะสิโรคจิต! เอามือมาลูบแก้มฉันด้วย"

   ต้นหลิวยกมือลูบแก้มตนเองไปมาด้วยความขยะแขยงก่อนที่ทั้งสองจะสะดุ้งตกใจเมื่อมีมือมาจับที่หัวไหล่คนละด้านแล้วใบหน้ายื่นเอาคางมาวางไว้ตรงบ่าทั้งสองคนพร้อมกับเหยียดยิ้มอย่างหื่นกระหาย

   "สวย~ สวยทั้งสองคนเลย"

   "ว๊ากกก"

   ทั้งสองคนสะบัดไหล่ออกพร้อมกันแล้วรีบวิ่งไปหลบหลังวรภพและพลทัพที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด วรภพยกมือขึ้นมาลูบผมของคนที่เกาะอยู่ด้านหลังอย่างอ่อนโยน

   "ปลอดภัยใช่ไหม"

   "ครับ! แต่คนตรงหน้าน่ากลัวจัง"

   ต้นหลิวกำชายเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่นเช่นเดียวกันกับกันต์กวินที่รั้งคอเสื้อพลทัพไว้แน่นจนอีกฝ่ายหายใจไม่ออก

   "ถามจริงเถอะ ทำไมถึงชอบดึงคอเสื้อของฉันจังเลยห๊ะ!"

   "ก็ฉันกลัวนี่"

   กันต์กวินไม่ยอมผ่อนแรงแต่กลับดึงรั้งมากกว่าเดิมทำให้รณกรต้องเดินมาจับมือบางนั้นมาเกาะที่แขนตัวเองไว้แทน

   "มาเกาะแขนฉันดีกว่า ดึงคอเสื้อแบบนั้นพลทัพหายใจไม่ออกพอดี"

   "เอาแบบนั้นก็ได้!"

   กันต์กวินพยักหน้าอย่างง่ายดายทำให้พลทัพตวัดสายตามามองตาขวางด้วยความหงุดหงิด   ส่วนกิตติธัชยืนจ้องหน้าคนตรงหน้าไม่นานนักก็กำมือแน่นแล้วชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยความโมโห

   "อย่าบอกนะว่าแกคืออิฐผู้ต้องหาคดีลักพาตัวผู้ชายหน้าหวาน"

   "ห๊ะ!"

   ทุกคนต่างตกใจในคำพูดของกิตติธัชแล้วเหลือบไปมองหน้าของอิฐที่แสยะยิ้มพร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างร้ายกาจ

   "ฮะฮะเฮอะ! แกคือตำรวจที่ตามจับตัวฉันนี่เอง"

   "ฉันจะจับแก!"

   กิตติธัชยกปืนขึ้นมาข่มขู่พร้อมกับพลทัพและวรภพที่ยกปืนขึ้นมาเพื่อใช้ในการป้องกันตัวแต่อิฐกลับประสาทหลอนคิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตนเองจึงหยิบปืนที่แอบไว้ตรงข้างเอวขึ้นมายิงขึ้นฟ้าไปหนึ่งนัด

   ปัง!

   "อย่าเข้ามานะ!"

   อิฐมองซ้ายมองขาวถือปืนส่ายไปส่ายมาด้วยความหวาดกลัวก่อนจะยิงอีกครั้งไปทางพวกผู้หญิงซึ่งกิตติธัชพาหลบได้ทันท่วงที

   ปัง!

   "ว๊ายย!"

   เวธกากรีดร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมทั้งคว้าแขนของฮวังอวี้หางมากอดไว้แน่น

   "กิตคะ! อย่าพึ่งไปไหนนะเกลกลัวมากเลย"

   "ไม่เป็นไรแล้ว"

   กิตติธัชลูบหลังอย่างปลอบโยนแล้วหันไปสบสายตากับรวิสราที่ล้มอยู่อีกด้านหนึ่งนั่งตัวสั่นมองภาพทั้งสองคนที่ยืนกอดแขนกันตรงหน้าด้วยน้ำตาที่คลอไปหมดก่อนที่จะยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด

   ปัง!

   "เหวอ!"

   กันต์กวินร้องเสียงหลงเมื่อโดนคนบ้าที่อาระวาดพุ่งตัวเข้ามากระชากตัวเองไปล๊อกคอไว้แน่นพร้อมเอาปืนส่ายไปส่ายมาเพื่อเป็นการข่มขู่วรภพและพลทัพที่ลอบเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง

   "ฮะฮะเฮอะ! อย่าเข้ามานะไม่งั้นฉันจะยิง! ยิง! ยิงให้หมดเลย!!!"

   "กันต์!"

   เสียงร้องโวยวายดังมาจากรณกรที่ไม่ยอมฟังคำขู่พยายามจะเข้าไปช่วยทำให้กิตติธัชร้องเตือนเสียงดังลั่นแต่เข้าไปช่วยไม่ได้เพราะโดนเวธกากอดแขนไว้แน่น

   "อย่าเข้าไปใกล้มัน!"

   ปัง!

   "โอ๊ย!"

   กันต์กวินเบิกตาค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นเลือดกระเด็นมาจากตรงแก้มของรณกรที่หงายหลังลงไปนอนกับพื้นอย่างแรงทำให้ต้นหลิวรีบวิ่งไปดูด้วยความตกใจโดยมีวรภพคอยคุมเชิงเอาไว้ให้

   "ยังไม่ตายครับ น่าจะตกใจจนสลบ"

   "ปล่อยเด็กนั่นเดี๋ยวนี้!"

   พลทัพเดินเข้าไปใกล้อย่างไม่เกรงกลัวจนอิฐต้องเอาปืนขึ้นมาจ่อหัวคนในอ้อมแขนแล้วลากให้อีกฝ่ายเดินถอยหลังมาหลายก้าว

   "อย่าเข้ามา! ถ้าไม่อยากให้คนสวยนี่ตาย"

   "ทัพ..."

   กันต์กวินเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือพร้อมกับยื่นมือออกไปด้านหน้าทั้งน้ำตาซึ่งพลทัพพยายามคว้ามือไว้แต่โดนอิฐยิงสวนมาอีกครั้ง

   ปัง

   "อึก!"

   พลทัพกุมบาดแผลตรงหัวไหล่พร้อมสบสายตากับกันต์กวินที่ดวงตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวก่อนจะสลบไปจากการโดนปืนทุบท้ายทอยจากด้านหลังอย่างแรง และก่อนที่ทุกคนจะทันได้ตั้งตัวอิฐก็ยิงปืนขู่ออกไปหลายนัดโดยที่ไม่สนทิศทางพร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

   ปัง! ปัง! ปั้ง!

   "ฮะฮะเฮอะ!"

   อิฐทำร้ายทุกคนจนบาดเจ็บกันแล้วก็อุ้มตัวกันต์กวินที่สลบนั้นหนีหายเข้าไปในป่าโดยมีพลทัพที่บาดเจ็บรีบวิ่งตามไปคนแรกด้วยความร้อนใจ โดยมีต้นหลิวและวรภพรีบวิ่งตามหลังไปด้วยทำให้กิตติธัชยิ่งหงุดหงิด

   "หมอนั่นใจร้อนไม่เคยเปลี่ยนเลย!"

   "กิตอยู่ที่นี่กับเกลนะคะ เผื่อมันย้อนกลับมาอีกแล้วเกลจะทำอย่างไรล่ะ"

   เวธกากอดแขนอีกฝ่ายไว้แน่นผิดกับรวิสราที่เดินไปดูอาการของรณกรอย่างถึงเนื้อถึงตัวด้วยความเป็นห่วงทำให้กิตติธัชมองตาขวางแล้วดึงมือของเวธกาออกจากแขนตนเองอย่างแรงแล้วออกคำสั่งกับผู้หญิงทั้งสองคน

   "ไม่ได้! พวกเธอสองคนอยู่ที่นี่แล้วดูแลรณกรด้วย"

   "แต่..."

   "ทำตามที่ฉันสั่ง!"

   กิตติธัชออกคำสั่งอีกครั้งพร้อมกับรีบวิ่งตามหลังคนอื่นเพื่อไปช่วยเหลือกันต์กวินไม่สนใจใบหน้าขัดใจของเวธกาเลยซักนิดเดียวและไม่รับรู้ถึงสายตาความเป็นห่วงของรวิสราที่แอบลอบมองจนกระทั่งแผ่นหลังของอดีตคู่หมั้นนั้นกลืนหายไปท่ามกลางความมืดมิด



**************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 20


 
   ทางด้านของอิฐก็อุ้มกันต์กวินที่สลบนั้นพาดบ่าแล้วมุ่งหน้าเดินตรงเข้ามาในถ้ำที่เปียกชื้นซึ่งเคยพักพักที่นี่มาแล้ว ก่อนจะวางร่างของคนตัวเล็กลงตรงโขดหินอย่างแผ่วเบา พร้อมกับจ้องมองใบหน้าที่ขาวนวลนั้นด้วยความหลงใหลจนอดที่จะเอื้อมมือที่หยาบกร้านของตนเองไปลูบไล้แก้มนุ่มนิ่มของคนที่สลบอยู่ด้วยสายตาและน้ำเสียงที่เริ่มหื่นกระหาย

   "ฮา~ ขาว อวบ นุ่มนิ่มขนาดนี้มันน่า..."

   ปึก!

   "โอ๊ย!"

   เสียงปริศนาที่ดังขึ้นหลังจากที่โดนไม้ฟาดลงกลางหัวจากด้านหลังจึงรีบกุมหัวแล้วหันไปมองด้านหลังอย่างเกรี้ยวกราด

   "ใครตีหัว!"

   ปึก! ปึก! ปึก!

   "โอ๊ย!"

   ยังไม่ทันได้ทำอะไรนั้นคนที่อยู่ด้านหลังก็กระหน่ำตีลงมาหลายต่อหลายครั้งอย่างไม่ยั้งมือจนอิฐหัวแตกเลือดไหลเต็มหน้าไปหมดจนถูกถีบให้ล้มตัวลงนอนกับพื้นถ้ำที่เต็มไปด้วยหินที่เปียกชื้น ก่อนเหลือบตาขึ้นมาพยายามเพ่งมองคนตรงหน้าแต่เพราะเลือดที่ไหลลงตาทำให้มองเห็นไม่ชัด

   "แก...แกคือใคร"

   "หึหึ"

   เสียงหัวเราะขึ้นมาด้วยความโหดเหี้ยมก่อนที่จะเหยียบเท้าลงกลางหน้าอกพร้อมกับหยิบไม้และก้อนหินขึ้นมาอย่างละข้างทำให้อิฐร้องโวยวายขึ้นมาด้วยความกลัว

   "แกจะทำอะไร อย่าาา!"

   ปัก!

   เสียงปักไม้ดังขึ้นเกิดจากการที่เอาหินตอกลงบนไม้ที่ปักลงตรงขาขวาทะลุลงไปกับพื้นถ้ำที่เป็นหินทำให้อิฐดิ้นไปดินมาด้วยความโหยหวนเจ็บปวดพร้อมกับเลือดตรงบาดแผลที่ไหลออกมาไม่หยุด

   "โอ้ย! เจ็บ"

   ปัก!

   "อ๊าก!!!"

   ปักไม้อีกครั้งลงไปบนขาข้างซ้ายแล้วใช้หินตอกอย่างรุนแรงมากกว่าเดิมทำให้อิฐเริ่มเกิดความกลัวขึ้นมาในจิตใจรีบดิ้นรนพยายามหนีแต่ทว่ากลับหนีไม่พ้นเมื่อถูกไม้ปักลงมาที่ข้อมือซ้ายขวาทั้งสองข้างแล้วตอกลงบนพื้นถ้ำอย่างรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

   ปัก! ปัก!

   "ฮึกฮือ! ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉัน...ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก"

   อิฐดิ้นรนพยายามขอร้องพรางมองไปรอบกายด้วยความหวาดกลัวเรียกรอยยิ้มอย่างพึงพอใจจากคนตรงหน้า

   "แน่นะ"

   "แน่นอน! แน่นอน! ปล่อยฉันไปเถอะนะ"

   อิฐรีบรับปากทันทีซึ่งทำให้คนตรงหน้าคิดหนักด้วยท่าทางลังเลแต่ทว่าริมฝีปากกลับเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

   "อืมม จะปล่อยไปดีไหมนะ หึหึ"

   ปัก!

   "อ๊ากกกก!"

   ปักไม้ลงตรงหน้าท้องแล้วใช้หินตอกไม้ลงอย่างแรงจนมิดด้าม ซึ่งตอนนี้อิฐถูกตรึงไว้อย่างสมบูรณ์ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายเอาน้ำอะไรไม่รู้ราดใส่ทั้งตัวตามด้วยไฟแช็กขึ้นมาจุดไฟเล่นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแสนเวทนากับเหยื่อตรงหน้า

   "เสียใจด้วยแต่มันหมดเวลาของนายแล้ว"

   ฟึบ! ฟู่!~

   "ฮึกฮือ~ ขอร้อง"

   อิฐร้องขอด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับดิ้นแต่ทว่ายิ่งดิ้นบาดแผลยิ่งเปิดกว้างและฉีกขาดมากยิ่งขึ้น

   "ขอร้อง...หรอ"

   "อื้อใช่! ขอร้อง ขอร้อง"

   อิฐพยักหน้ารับทั้นทีทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

   "ฮะฮะฮ่า! งั้นร้องให้ดังก็แล้วกัน!"

   ฟึบบบบบ!!!

   "อ๊ากกกกกกก"

   อิฐร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมานกับไฟที่ลุกโชนท่วมทั้งตัวซึ่งสายตาเหลือบมองไปยังคนตรงหน้าก่อนจะเบิกกว้างเต็มสองตาเมื่อเห็นหน้าคนร้ายอย่างชัดเจนแต่แล้วดวงตาก็ปิดลงอย่างห้ามไม่ได้พร้อมกับลมหายใจที่หยุดลงท่ามกลางกองไฟนั้นอย่างน่าสงสาร 

   คนตรงหน้าเหยียดยิ้มพร้อมกับเดินตรงมายังร่างกันต์กวินที่ยังนอนสลบอยู่บนโขดหินด้วยท่าทางที่คุกคามทว่าแต่ก่อนที่จะทำอะไรก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกมาจากหน้าถ้ำ

   "กันต์กวิน!!!"

   "หึ!"

   ทำเสียงขัดใจพร้อมกับแอบลอบออกไปทางด้านหลังถ้ำ   ซึ่งจังหวะเดียวกันกับพลทัพที่วิ่งเข้ามาคนแรกตามด้วยกิตติธัข ต้นหลิว และวรภพที่หยุดชะงักและกำลังตะลึงกับกองไฟตรงหน้า แต่พลทัพไม่สนใจกลับเขย่าตัวเรียกคนที่นอนสลบอยู่อย่างบ้าคลั่งด้วยความเป็นห่วง



   "กันต์กวิน! ตื่นซิกันต์!"




**************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 21



   "กันต์กวิน! ตื่นซิกันต์!"



    เฮือก!



    "อ๊ายยย!!"

   กันต์กวินกรีดร้องโวยวายพร้อมสะบัดตัวให้หลุดจากคนที่เกาะกุมด้วยความหวาดกลัวทั้งที่ยังหลับตาแน่นไม่ยอมมองคนตรงหน้า ทำให้พลทัพเหยียดยิ้มแล้วดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดแน่นพร้อมลูบผมลูบหลังอย่างปลอบโยน

   "ฉันเองพลทัพไง ไม่เป็นไรแล้วนะนายปลอดภัยแล้ว"

   "ทัพ!!! ฮึกฮืออออ"

   กันต์กวินกอดคนตรงหน้าแน่นพร้อมกับซุกหน้าลงตรงแผ่นอกเพื่อหาไออุ่นที่ปลอดภัยทำให้พลทัพยิ้มกว้างแล้วยกมือลูบหลังขึ้นลงอย่างปลอบโยน

   "ขี้แงไปได้นะนายน่ะ"

   "ฮึก ฉันกลัวอ่ะ"

   กันต์กวินร้องไห้เสียงดังกว่าเดิมเหมือเด็กเรียกร้องความสนใจทำให้พลทัพกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นกว่าเดิมแล้วโยกตัวเอนไปมา

   "มีฉันอยู่แล้วไงไม่ต้องกลัวอะไรนะ"

   "ฮึกฮือออ~"

   "คุณกันต์กวินไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะครับเพราะอิฐน่ะเสียชีวิตแล้ว งั้นผมขอดูอาการของคุณกันต์กวินหน่อยนะครับ"

   วรภพเดินเข้ามานั่งอีกข้างพร้อมเอื้อมมือมาจับหน้าผากและเลื่อนลงมาจับชีพจรตรงข้อมือขาวเพื่อดูอาการ

   "ตัวไม่ร้อนแต่ชีพจรเต้นเร็วน่าจะตื่นเต้นกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ใบหน้ามีรอยบวมช้ำจากโดนปืนตบหน้าเดี๋ยวต้องเอาน้ำแข็งนี่ประคบนะครับจะได้ไม่บวมไปกว่านี้"

   "ขอบคุณครับหมอภพ"

   กันต์กวินรับน้ำแข็งที่มีสำรองไว้ในกระเป๋าพยาบาลมาประคบด้วยท่าทางเก้กังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่แถมมือไม้สั่นไปหมดทำให้พลทัพต้องแย่งน้ำเข็งมาถือไว้เอง

   "มาเดี๋ยวฉันทำให้"

   "อ่า..."

   กันต์กวินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนความเย็นจากน้ำแข็งแต่อีกฝ่ายประคบให้อย่างเบามือและระมัดระวังทำให้อดที่จะแอบมองไม่ได้ซึ่งพลทัพเองก็เงยหน้าขึ้นมามองสบตากันพอดีพร้อมคำถามที่ทำให้กันต์กวินควันออกหู

   "ฉันหล่อใช่ไหมล่ะ"

   "แหวะ!"

   กันต์กวินแลบลิ้นก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่ออีกฝ่ายแกล้งกดน้ำแข็งลงมาอย่างแรง

   "อ๊ะ! เจ็บนะ!"

   "หมั่นไส้"

   พลทัพอมยิ้มก่อนจะประคบน้ำแข็งให้อย่างเบามือเหมือนเดิมทว่ามีเสียงรำคาญของกิตติธัชขัดขึ้นมาอย่างหาเรื่อง

   "เลิกหวานกันได้ละ มาช่วยดูกันก่อนไหมว่านี่ใช่ศพของนายอิฐจริงรึเปล่า"

   "ขอผมตรวจพิสูจน์ศพก่อนนะครับ"

   วรภพลุกขึ้นก่อนจะเดินไปช่วยต้นหลิวเอาน้ำดับไฟจนมอดดับไปทั้งหมด ก่อนที่ทั้งสองจะช่วยกันชันสูตรพลิกศพซึ่งสภาพศพนั้นถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมและน่าสยดสยองมากคือ ถูกไม้ตอก ขา ข้อมือ ตรงหน้าท้อง พร้อมเผาทั้งเป็นแถมมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง จนทำให้ทุกคนเอามือขึ้นมาปิดจมูกจนแทบจะอาเจียนออกมา

   "หื้ม!! เหม็น!"

   "เฮ้อ~"

   วรภพถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงกับสภาพศพที่ถูกพบ

   "ผู้เสียชีวิตนั้นเสียชีวิตจากการถูกไฟครอกตาย น่าจะตายทันทีในช่วงที่ไฟติดร่างกาย สภาพศพผิวหนังไหม้เกรียมจนไม่เหลือล่องรอยใบหน้าเดิม สภาพศพนั้นนอนหงาย ผิวหนังบางส่วนหายจนเห็นกล้ามเนื้อแต่ทว่ากล้ามเนื้อกลับถูกไหม้จนขาดออกจากกันและความแรงของเปลวไฟนั้นทำให้กระดูกถูกไหม้จนกลายเป็นสีเทาขาว ตรวจหาลายพิมพ์นิ้วมือไม่ได้เพราะลายนิ้วมือถูกทำลายจนหมด ผิวหนังด้านหลังก็ถูกเผาไหม้แต่เหลือรอยสักตรงกลางหลังบางส่วน ซึ่งสามารถบ่งบอกชี้ชัดได้ว่าผู้เสียชีวิตคือคุณอิฐจริง ซึ่งดูจากสภาพศพแล้วน่าจะเสียชีวิตเวลาประมาณ 23:00 นาฬิกา"

   "สถานที่เกิดเหตุคือภายในถ้ำ ในสถานที่แห่งนี้เราตรวจพบร่องรอยของการต่อสู้ ท่อนไม้ที่มีเลือดติด ไม้ที่ถูกตอกอยู่ตรงขาทั้งสองข้าง ข้อมือทั้งสองข้าง ตรงหน้าท้อง ก่อนที่ร่างกายจะถูกติดไฟจนเผาไหม้ทั้งตัว ก้อนหินก้อนใหญ่ที่ใช้ในการตอก แถมเรายังเจอหลักฐานชิ้นสำคัญในคดีนี้คือ"

   ต้นหลิวหยุดพูดพร้อมชูหลักฐานสำคัญให้กิตติธัชและทุกคนได้เห็นพร้อมกัน

   "ไฟแช็กของกิตติธัช"

   "ห๊ะ! อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ"

   กิตติธัชโวยวายก่อนจะชะงักในคำถามของต้นหลิวที่มองมาอย่างจับผิด

   "นายเคยทำคดีของอิฐผู้ต้องหาคดีลักพาตัวผู้ชายหน้าหวานไม่ใช่รึไง"

   "ใช่! แล้วมันเกี่ยวกันยังไง"

   กิตติธัชกอดอกพร้อมกับมองอย่างหาเรื่องจ้องมองต้นหลิวที่เชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจกับข้อมูลแอบสืบมา

   "เกี่ยวกันเลยล่ะ! เหตุผลเพราะอิฐเคยเป็นผู้ต้องหาคดีลักพาตัวผู้ชายหน้าหวานในคดีที่นายรับผิดชอบ แต่ทว่าผู้ต้องหากลับถูกปล่อยตัวไปเพราะหลักฐานนั้นไม่เพียงพอ อาจจะทำให้เกิดความคับแค้นใจจนคิดจะกำจัดเพราะจะได้ปิดคดี"

   "นายจะบอกว่าฉันคือคนร้ายรึไง"

   กิตติธัชชักสีหน้าอย่างไม่ชอบใจก่อนจะคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย

   "ไม่ใช่"

   "แล้วจะพูดทำไมหะ"

   กิตติธัชเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อเตรียมหาเรื่องเต็มที่แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะอย่างขบขันไม่มีท่าทางจะเกรงกลัว

   "คิกคิก! ใจเย็นซิ ฉันแค่ลองใจนายเท่านั้นเอง"

   "ต้นหลิว!"

   "เอาน่ะ"

   วรภพเข้ามากันคนตัวเล็กให้มาหลบอยู่ด้านหลังของตนจนกิตติธัชฟึดฟัดอย่างขัดใจ พอทั้งสองคนหยุดหาเรื่องกันแล้วกันต์กวินจึงถามขึ้นมาอย่างสงสัย

   "อ้าว! ถ้าอย่างนั้นคนร้ายคือใครหรือว่าจะเป็นรายเดียวกันกับที่ฆ่าวิตาครับ!"

   "ไม่ใช่ครับ คราวนี้รอยเท้าดูใหญ่แล้วก้าวอย่างหนักแน่นมากกว่า คาดว่าเป็นเพศชายเพราะว่าต้องตอกไม้ลงไปบนร่างกายของผู้เสียชีวิต แต่ไม่ใช่กิตติธัชแน่นอนครับ"

   ต้นหลิวอธิบายอย่างนั้นทำให้ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยเฉพาะกันต์กวินที่เผลอซบลงไหล่พลทัพอย่างลืมตัว

   "เฮ้อ~ น่ากลัวจัง"

   "ไม่เป็นไรแล้วล่ะ"

   พลทัพปลอบพร้อมลูบผมอีกฝ่ายขึ้นลงอย่างหมั่นเขี้ยวจนอีกฝ่ายทำท่าทางฮึดฮัดแล้วหันมาโวยวายอย่างไม่ชอบใจ

   "อย่ามาลูบผมได้ไหม"

   "หรืออยากให้หอมแก้มล่ะ"

   พลทัพแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทำให้กันต์กวินใช้มือทั้งสองข้างยันเอาไว้ทั้งที่แก้มทั้งสองข้างแดงไปหมด

   "ประสาท!"

   "หึหึ"

   พลทัพหัวเราะในลำคอเลยโดนฟาดแขนไปหนึ่งทีกอนที่อีกฝ่ายจะสะบัดเชิดหน้าไปทางอื่นอย่างแง่งอน ส่วนต้นหลิวก็เริ่มพะอืดพะอมอีกครั้งหลังจากพยายามกลั้นหายใจแต่ทนไม่ไหวจนหันหลังให้ทุกคนแล้วอ๊วกลงตรงพื้นถ้ำเสียงดังลั่น

   "อึก อ๊วก!"

   "ต้นหลิว...เป็นยังไงบ้าง"

   วรภพเดินเข้าไปลูบหลังไม่นานอีกฝ่ายอาการเริ่มดีขึ้น

   "ขอโทษครับเหม็นมากไปหน่อยเลยอาเจียนน่ะครับ"

   "งั้นกลับกันได้แล้ว"

   กิตติธัชขัดขึ้นมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดจมูกทำให้วรภพมองไปทางศพของอิฐอย่างลังเล

   "แล้วศพอิฐล่ะ"

   "ปล่อยไว้ตรงนี้นั่นล่ะ เดี๋ยวทีมช่วยเหลือมาแล้วค่อยเก็บศพกลับไป"

   พอได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

   "ตามนั้นก็ได้ครับ"

   "ดึกมากแล้วรีบกลับที่พักกันเถอะ"

   กิตติธัชเดินนำไปคนแรกตามด้วยต้นหลิวและวรภพก่อนจะปิดท้ายด้วยพลทัพที่หันไปมองกันต์กวินที่เดินขาสั่นไปหมด

   "เดินไหวไหมเนี่ย"

   "ไหวน่ะ..."

   กันต์กวินพยายามบังคับขาไม่ให้สั่นก่อนจะเบิกตากว้างและร้องเสียงดังลั่นเมื่ออีกฝ่ายอุ้มตนเองจนตัวลอยขึ้นจากพื้น

   "เหวอ! อุ้มทำไม!?"

   "เงียบไปเถอะน่ะ"

   พลทัพทำเสียงดุพร้อมรีบเดินตามไปจนทันกับคนอื่นแต่กันต์กวินนั้นยังสงสัยไม่หยุด

   "พลทัพ...นายอุ้มฉันทำไมหรอ"

   "อยากอุ้ม"

   ตอบเสียงเรียบแต่ทำให้หัวใจอีกฝ่ายเต้นแรงแต่พยายามไม่ให้เขินอายไปมากกว่าเดิม

   "แค่นั้น?"

   "อยากให้คิดแค่ไหนล่ะ"

   พลทัพก้มลงมาจ้องตากับคนในอ้อมแขนที่ตัวเบาลงกว่าเดิมสงสัยไม่ค่อยได้กินอะไรซึ่งตอนนี้เผลอทำหน้ามุ้ยลงอย่างขัดใจ

   "คิดว่าเป็นห่วง"

   "หึหึ!"

   พลทัพหัวเราะในลำคอพร้อมกระซิบตรงข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

   "ที่ฉันอุ้มนายน่ะเพราะห่วงนั่นแหละ"

   "ห๊ะ!"

   กันต์กวินอ้าปากค้างเบิกตากว้างด้วยความตกใจพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นแต่ก่อนที่จะได้โวยวายอะไรออกมาอีกฝ่ายก็ชู่ว์ปากใส่แล้วหันมากระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา

   "ชู่ว์~ เงียบได้แล้วน่ะ จะซบหลังก็ได้นะไม่ได้ว่าอะไร"

   "งื้อ!"

   กันต์กวินทำเสียงงอแงแล้วซบลงบนหลังกว้างที่ให้ได้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของอีกฝ่ายส่งผลให้หัวใจเต้นแรงไม่หยุดแถมแก้มยังแดงจัดจนต้องมุดหน้ามากขึ้นกว่าเดิม

   'นายนี่นะ! อันตรายที่สุด'

   กันต์กวินมองไปตามทางเดินบวกกับสายลมตอนกลางคืนที่พัดอย่างเชื่องช้าทำให้เผลอหลับจนคนอุ้มเผลอยิ้มกว้างออกมาแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น



******************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 22


   'กันต์'

   "งืมมม"

   เสียงเรียกพร้อมแรงเขย่าตัวนั้นรบกวนการนอนจนกันต์กวินต้องปรือตาขึ้นมามองอย่างหงุดหงิด

   "ปลุกทำไม่อ่ะกรนี่ยังเช้าอยู่เลย!"

   "กันต์~"

   รณกรดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดซึ่งกันต์กวินนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวจึงอยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนสนิททั้งตัวก่อนจะถูกโยกไปเยกมาเหมือนเด็ก

   "เมื่อคืนฉันตกใจมากรู้ไหม! ดีแล้วล่ะที่นายไม่เป็นอะไร"

   "เมื่อคืน..."

   กันต์กวินนิ่งไปซักพักก่อนที่เหตุการณ์เมือคืนจะย้อนกลับมาอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนถึงตอนที่หลับอยู่บนหลังของพลทัพ ทำให้แก้มทั้งสองข้างแดงจัดด้วยความเขินอายซึ่งนั่นทำให้รณกรมองมาอย่างสงสัย

   "มีไข้ด้วยหรอ!!!"

   "ไม่ได้มีไข้ซักหน่อย~"

   กันต์กวินขืนตัวออกจากอีกฝ่ายพร้อมหันไปมองตรงกองไฟเห็นพลทัพกำลังนั่งปิ้งปลาอยู่คนเดียว ซึ่งอีกฝ่ายเหมือนรู้ตัวว่าถูกมองอยู่จึงเหยียดยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาพร้อมปลาหนึ่งตัวแถมยื่นด้านที่เป็นหัวปลามาให้อีกต่างหาก

   "กินไหม"

   "บอกแล้วไงว่าไม่ชอบกินหัวปลา"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีพร้อมตวัดสายตามามองแล้วยื่นปากด้วยความแง่งอน

   "ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้กินอันนี้ซักหน่อย"

   "อ้าว!"

   กันต์กวินทำท่าทางและน้ำเสียงที่ขัดใจก่อนจะชะงักไปเมื่อพลทัพยื่นเนื้อปลาที่ปิ้งสุกกำลังดีมาให้ตนเอง

   "อันนี้ต่างหาก"

   พลทัพถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพร้อมรอยยิ้มที่แสนกวนประสา   

   "พอกินได้ไหม"

   "แกล้งฉันสนุกมากเลยหรอ"

   กันต์กวินรับมาถือพร้อมปากยื่นด้วยความขัดใจเรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย

   "ไม่สนุกหรอก"

   พลทัพก้มหน้าลงมากระซิบตรงข้างหูด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

   "แต่น่ารักดี"

   "หือออออ ล้อเล่นใช่ไหม"

   กันต์กวินมองอย่างไม่ไว้ใจในท่าทีของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยสายตาที่แสนแพรวพราว

   "หน้าตาฉันเหมือนล้อเล่นหรอ"

   "ใช่!"

   ตอบทันทีอย่างไม่ต้องคิดทำให้อีกฝ่ายเหยียดยิ้มแล้วก้มลงมากระซิบข้างหูคนตัวเล็กที่นั่งทำหน้าบึ้งตึง

   "ฉันพูดจริงนะ"

   พลทัพเหยียดยิ้มเมื่อเห็นแก้มของคนตัวเล็กเริ่มแดงขึ้นด้วยความอาย

   "นายน่ารักมากเลย"

   "งื้อออ!"

   กันต์กวินผลักคนตรงหน้าออกอย่างแรงพร้อมแกะปลากินแก้อาการเขินอายที่เริ่มเก็บไม่มิด

   "ไม่คุยกับนายแล้ว!!!"

   "อร่อยไหม"

   พลทัพทำหูทวนลมถามกันต์กวินที่แก้มทั้งสองข้างกำลังเคี้ยวปลาอยู่ในปากซึ่งเจ้าตัวเหลือบตามองตนเองนิดหนึ่ง

   "อื้อ"

   "หึหึ"

   พลทัพหัวเราะในลำคอกับท่าทางดื้อดึงของอีกฝ่ายท่ามกลางสายตาของรณกรที่นั่งมองอย่างสงสัย

   'สองคนนี้ไปสนิทกันตอนไหน'



   "กันต์ดูดีขึ้นกว่าเมื่อคืนนะครับ"

   ต้นหลิวยิ้มพร้อมกับส่งกระบอกน้ำให้ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบแล้วยกขึ้นดื่มด้วยความกระหาย

   "ขอบคุณที่ทุกคนตามไปช่วยผมนะครับ"

   "คนที่รับบทหนักสุดน่าจะเป็นพลทัพนะครับ ฮะฮะ"

   ต้นหลิวเหลือบไปมองคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างกันต์กวินที่ปากยื่นทันทีเมื่อเห็นยาในมือของวรภพที่นั่งอยู่ด้านข้างตนเอง

   "นี่ยาแก้ปวดนะครับ อาจจะง่วงหน่อยแต่กินไว้กันไข้ขึ้นดีกว่านะครับ"

   "ขอบคุณครับ"

   กันต์กวินรับยามากินก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าจริงจัง

   "ขอบคุณนายเหมือนกันนะที่ไปช่วยและแบกฉันกลับมาที่นี่"

   "คิดว่าจะไม่ขอบคุณซะแล้ว"

   พลทัพจ้องหน้าอีกฝ่ายตาไม่กระพริบแล้วเหยียดยิ้มออกมาอย่างกวนประสาท

   "นายยังตัวหนักเหมือนเดิมเลยนะ"

   "นี่นาย!!"

   กันต์กวินทำหน้างอใส่พร้อมกับแก้มยุ้ยที่พองลมขึ้นอย่างไม่พอใจ

   "ฉันไม่ได้ตัวหนักซักหน่อย!"



*************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 23




   "ฉันมีเรื่องที่จะพูดกับทุกคน...พวกนายเลิกทะเลาะกันได้แล้ว"

   กิตติธัชขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและท่าทางการกอดอกที่ดูจริงจังทำให้ทุกคนหันมาฟังอย่างสนใจ

   "จากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่กันต์กวินโดนอิฐจับตัวไปนั่นแสดงว่าในป่านี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป อาจจะเป็นคนร้ายหนีคดีและตอนนี้ยิ่งมีฆาตกรที่ยังหาตัวไม่พบอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปห้ามไปไหนมาไหนน้อยกว่าสี่คนเข้าใจไหม เพื่อความปลอดภัยของตัวพวกนายเอง"

   "เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะคะกิต"

   เวธกาลุกขึ้นแล้วเดินมากอดแขนคนตรงหน้าอย่างแนบแน่น

   "งั้นกิตอยู่กับเกลตลอดเวลาเลยนะคะ เมื่อคืนน่ะเกลกลัวมากเลยค่ะ"

   "ไม่ได้หรอกเพราะวันนี้ฉันจะออกไปเก็บหลักฐานกับหมอวรภพและนักสืบต้นหลิว รวมถึงรณกรด้วย"

   กิตติธัชตอบพร้อมแอบลอบมองรวิสราที่นั่งหลบมุมกินปลาย่างอยู่คนเดียวทำให้เวธกาที่แอบดูอยู่ชักสีหน้าไม่พอใจ

   "งั้นกิตให้เกลไปด้วยนะคะ เกลไม่อยากอยู่ตรงนี้คนเดียวอ่ะ!"

   "ใครว่าคุณจะอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ"

   กิตติธัชเริ่มหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายนั้นพูดไม่รู้เรื่อง

   "พลทัพ กันต์กวิน และรวิสรา จะอยู่กับคุณที่นี่ด้วยต่างหาก"

   "ผมอยู่ที่นี่แทนไม่ได้หรอครับ"

   รณกรยกมือขึ้นถามด้วยความสงสัยแต่กิตติธัชกลับส่ายหน้าและยืนยันคำตอบเดิม

   "นายไปนั่นแหละดีแล้ว ขืนมีพลทัพไปด้วยมีหวังตีกันตายพอดี"

   "แต่..."

   "นายไปเถอะกรไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก"

   กันต์กวินพูดขัดขึ้นมาทำให้รณกรใบหน้าเจือนลงอย่างรวดเร็ว

   "ฉันไปก็ได้ นายดูแลตัวเองด้วยนะกันต์"

   "แน่นอน!~"

   กันต์กวินยิ้มกว้างเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายที่ยิ้มแห้งตอบกลับมา กิตติธัชจึงสะบัดมือเวธกาออกจากแขนของตนเองก่อนจะเดินไปหยิบอุปกรณ์และหันมาเร่งคนที่จะต้องไปด้วย

   "รีบไปกันเถอะจะได้กลับมาก่อนเที่ยง"

   "อื้อ!"

   ต้นหลิวตอบรับก่อนจะถือกล่องพยาบาลและเครื่องมือเดินไปพร้อมกันกับวรภพโดยปิดท้ายด้วยรณกรที่มองกันต์กวินอย่างอาลัยอาวรณ์




   พอทั้งสามคนเดินหายไปจากสายตาแล้วกันต์กวินก็อ้าปากหาวออกมาด้วยความง่วงนอนเพราะยาแก้ปวดเริ่มออกฤทธิ์

   "หาววว~ ง่วงจังเลย"

   "อย่าพึ่งนอน"

   พลทัพรั้งอีกฝ่ายไว้แล้วบังคับให้กินอาหารในมือตนเองที่ยังกินไม่หมด

   "กินปลาให้หมดก่อนเดี๋ยวยากัดกระเพาะ"

   "งื้อ~"

   กันต์กวินเริ่มทำเสียงงอแงก่อนจะก้มลงกินเนื้อปลาต่อจนหมดไม้ท่ามกลางรอยยิ้มของพลทัพที่มองมาอย่างพึงพอใจ

   "เก่งมาก"

   "นอนได้รึยังอ่ะ~"

   กันต์กวินถามทั้งที่ตาเริ่มปรือลงด้วยความง่วงทำให้พลทัพเหยียดยิ้มแล้วตบลงมาที่ตักของตนเอง

   "มานอนนี่มา"

   "ตักนายนี่นะ"

   กันต์กวินแบะปากใส่ก่อนจะยอมล้มตัวลงมาหนุนตักพลทัพแล้วนอนหลับอย่างสบายอารมณ์

   "ที่ฉันยอมนอนตักนายนี่เพราะง่วงนอนหรอกนะไม่ได้พิศวาสอะไรนายนักหรอก"

   "รู้แล้วน่ะ"

   พลทัพลากเสียงอย่างล้อเลียนแล้วลูบผมจนกันต์กวินเคลิ้มหลับไปท่ามกลางสายตาของเวธกาที่เบะปากออกอย่างน่าหมั่นไส้

   "สองคนนี้ไม่รู้ว่าไปสนิทสนมกันตอนไหน ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นมากกว่าเพื่อนแล้วล่ะมั้งเนอะรวื"

   "เหมือนเธอที่คิดกับธัชเกินกว่าเพื่อนใช่ไหม"

   คำถามนั้นทำให้เวธกาตกใจก่อนที่จะพยายามเก็บซ่อนไว้แต่ไม่มิดแถมยังยิ้มออกมาอย่างแสนซื่อ

   "พูดเรื่องอะไรหรอ ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย"

   "ไม่รู้เรื่อง..."

   รวิสราหันมามองหน้าอีกฝ่ายซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองด้วยสายตาที่ตัดพ้อ 

   "จริงหรอ?"

   "รวิ..."

   "ถ้ายังยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง...ฉันก็จะเชื่อ"

   รวิสราหันหน้าหนีพร้อมทั้งดื่มน้ำจนหมดกระบอกทำให้เวธกามองความสำนึกผิดที่ฉายออกมาเล็กน้อยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แสนร้ายกาจ

   "อย่าเชื่อฉันมากนักเลย"

   "ทำไม"

   รวิสราหันมามองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะผงะออกไปเมื่อพบแววตามุ่งร้ายของอีกฝ่ายที่มีมากขึ้นจนน่าหวาดกลัว

   "เพราะฉันสามารถทำทุกวิถีทางที่จะทำให้เธอหายไปจากชีวิตของคนที่ฉันรัก"

   "เกล?...อึก!"

   รวิสราเอามือจับตรงหัวก่อนจะเอนตัวลงไปพิงต้นไม้ด้านหลังอย่างอ่อนแรง ดวงตาปรือลงด้วยความง่วงพร้อมกับภาพที่เริ่มเลือนลางลง

   "เธอใส่อะไรลงไปในน้ำน่ะ"

   "แค่ยานอนหลับ"

   เวธกาลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบท่อนไม้ท่อนหนึ่งมาตบกับมืออย่างแผ่วเบาก่อนจะเงื้อมมือขึ้นแล้วฟาดลงมาตรงหลังหัวอย่างแรง

   "เธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บมาก"

   ปึก!

   "เกล"

   รวิสราฟุบลงกับพื้นแล้วพยายามลืมตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาตัดพ้อ

   "ทำไม?"

   "เพราะฉันรักและต้องการให้ธัชรักไม่น้อยไปกว่าเธอไงล่ะ"

   เวธกาเงื้อมมือมือขึ้นอีกครั้งแต่กลับโดนจับไม้จากด้านหลังด้วยฝีมือพลทัพที่หันมาเห็นตั้งแต่ฟาดไม้ลงมาในตอนแรกโดยมีกันต์กวินยืนเกาะแขนอยู่ด้านหลัง

   "จะทำอะไรน่ะเวธกา"

   "หืม?"

   เวธกาชะงักก่อนจะหันมายิ้มอย่างอ่อนหวานและเต็มไปด้วยความใสซื่อ

   "ฉันทำอะไรหรอ?"

   "ทำไมต้องเอาไม้ฟาดรวิสราด้วย"

   พลทัพจ้องมองด้วยแววตาจับผิดโดยมีกันต์กวินคอยเสริมอยู่ด้านหลัง

   "นั่นซิครับ ไม่น่าจะมีเรื่องที่ให้ทำร้ายกันไม่ใช่หรอ"

   "เปล่านี่คะ คุณสองคนเข้าใจผิดแล้วล่ะมั้ง"

   เวธกาตอบคำถามด้วยรอยยิ้มและแววตาที่แสนร้ายกาจเมื่อมองไปเห็นใครบางคนกำลังลากไม้มาตรงด้านหลังทั้งสองคนก่อนจะเงื้อมมือขึ้นจนสุดแขน

   "อุ๊ย! ระวังนะคะ"

   ปึก!

   "อ๊ะ!"



*************************

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด