Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]  (อ่าน 17083 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig2:
 :3123:
ชอบดีค่ะ แนวนี้
 :mew1:

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เวธกามีตัวฆาตกรคอยช่วย

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 24




   ปึก!

   "อ๊ะ!"

   กันต์กวินหันไปมองจังหวะเดียวกันกับที่ผู้บุกรุกฟาดท่อนไม้ลงตรงต้นคอของตนเองจากด้านหลังอย่างแรงจนกระเด็นล้มลงไปนอนกองกับพื้น

   "กันต์!"

   พลทัพร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกใจก่อนจะหันไปยื้อยุดฉุดกระชากพยายามต่อสู้กับคนร้ายที่พยายามจะทำร้ายตนแต่ก็ยังหันไปมองคนตัวเล็กที่กองอยู่บนพื้นด้วยสายตาเป็นห่วงซึ่งกันต์กวินพยายามปรือตามองพร้อมทั้งเรียกชื่อตนเองอย่างแผ่วเบา

   "ทัพ..."

   "อดทนไว้นะกันต์"

   พลทัพยกมือขึ้นมาป้องกันคนร้ายที่กระหน่ำฟาดไม้ลงมาอย่างรุนแรงซึ่งกันต์กวินนอนนิ่งมองภาพพลทัพกำลังต่อสู้กับคนร้ายนั้นทั้งน้ำตา ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพลทัพถูกท่อนไม้ใหญ่กว่าเดิมฟาดมาด้านหลังจากโดยเวธกาที่เหยียดยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ

   ปึก!

   พลทัพทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรงห่างจากกันต์กวินไม่ถึงเมตรก่อนจะยื่นมือมาเพื่อจะจับมือคนตัวเล็กที่สลบฟุบหน้าลงกับพื้นเนื่องจากฤทธิ์ยาแก้หวัดที่พึ่งกินไป

   "กันต์!!!"

   ปึก

   ถูกไม้ฟาดลงมาอีกครั้งทำให้พลทัพฟุบหน้าลงกับพื้นอย่างหมดแรงท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นอย่างสะใจ

   "ฮะฮะเฮอะ"

   โยนท่อนไม้ทิ้งใกล้พงหญ้าก่อนจะเดินเข้ามายืนข้างเวธกาที่ถามด้วยความเป็นกังวล

   "จะทำยังไงกับสองคนนี้ พวกมันรู้เรื่องของเราหมดแล้ว"

   "จะไปกลัวอะไรในเมื่อเรามีตัวประกันชั้นดีอยู่ทั้งคน"

   ก้าวเดินเข้ามาใกล้แล้วจับใบหน้ากันต์กวินหันไปมาแล้วเหยียดยิ้มอย่างสะใจทำให้เวธกาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

   "แล้วรวิล่ะ ที่ฉันร่วมมือด้วยเพราะต้องการกำจัดรวินะ!"

   "แค่เพิ่มตัวประกัน"

   ประคองร่างไร้สติของทั้งสองคนขึ้นบนบ่าก่อนจะหันมาเหยียดยิ้มให้กันอย่างร้ายกาจ

   "ทำตามแผนเดิมอย่าให้พลาดก็แล้วกัน"

   "ตกลง"

   เวธกายิ้มร้ายพร้อมจ้องมองร่างที่สลบไสลของรวิสราด้วยแววตาสำนึกผิดเล็กน้อยก่อนจะสะบัดหน้าหนีเพื่อกำจัดความรู้สึกนั้นให้หายไปทันที

   "ต้องโทษตัวเธอแล้วล่ะรวิที่แย่งธัชไปจากฉัน"

   "..กันต์"

   พลทัพปรือตาขึ้นมามองเห็นกันต์กวินถูกลักพาตัวไปพร้อมกับรวิสราก่อนที่ดวงตาคมจะปิดลงอย่างหมดแรงท่ามกลางเสียงข้าวของที่กระจัดกระจายลงมากองกับพื้นเต็มไปหมดด้วยฝีมือของเวธกาที่หยิบท่อนไม้ขึ้นมาฟาดตรงหัวตนเองจนเลือดออกก่อนจะกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งทั้งที่ริมฝีปากยังเหยียดยิ้มอย่างสะใจแล้วแกล้งล้มลงไปนอนกับพื้น



   ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทั้งสี่คนย้อนกลับมาเพราะลืมของพอดิบพอดีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นที่พักถูกรื้อข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมดโดยมีร่างของพลทัพและเวธกานอนสลบอยู่บนพื้นโดยไม่ห่างกันมากนัก   ทำให้ต้นหลิวรีบเข้าไปดูอาการของพลทัพที่เลือดออกตรงศีรษะด้านหลังแถมตรงมือมีรอยถลอกเต็มไปหมดและตามเนื้อตัวนี้นมีแต่ร่องรอยที่เกิดจากการต่อสู้ ส่วยรณกรมองรอบตัวด้วยความตื่นตกใจ

   "เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไมข้าวของกระจัดกระจายแบบนี้"

   "คุณกรมาช่วยผมทางนี้ก่อนเถอะครับ"

   "ได้ครับ!"

   รณกรร้องตอบรับอย่างตื่นตกใจก่อนจะเดินตามต้นหลิวไปดูอาการของพลทัพที่หนักพอสมควร ส่วนกิตติธัชรีบเข้าไปดูอาการของเวธกาอย่างเป็นห่วงพร้อมเขย่าตัวไปมาอย่างแรงจนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว

   "เกล! เวธกา! ฟื้นขึ้นมาซิ!"

   "อืมม"

   เวธกาปรือตาขึ้นมามองกิตติธัชที่ประคองตนเองอยู่ก่อนจะโผเข้ากอดแน่นทั้งน้ำตา

   "ไม่เป็นไรใช่ไหม?"

   "กิตคะ ฮึกฮือออ"

   เวธกากอดกิตติธัชแล้วร้องไห้เสียงดังลั่นอย่างคนขวัญเสีย

   "ฮึกฮึก กิตอย่าทิ้งเกลไปเลยนะ เกลกลัวอ่ะ ฮือออ"

   "มันเกิดอะไรขึ้นน่ะเกล"

   พลทัพถามพร้อมหันไปมองข้าวของรอบตัวที่ถูกรื้อกระจัดกระจายเต็มไปหมดโดยที่มือนั้นคอยปลอบเวธกาที่สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นไปหมด

   "ฮึก เกลไม่รู้ค่ะแถมเจ็บหัวมากด้วย ฮือออ"

   "แผลไม่ลึกมากมาทำแผลก่อนเถอะครับ"

   วรภพเกลี่ยกล่อมคนที่ร้องไห้อีกแรงแต่ดูเหมือนเวธกาไม่ยอมให้ความร่วมมือแถมยังกอดกิตติธัชแน่นยิ่งขึ้นไปอีก

   "ไม่เอาค่ะ เกลจะอยู่กับกิต"

   เวธกาเงยหน้าขึ้นไปอ้อนคนตัวสูงที่นั่งหน้านิ่งยอมให้ตัวเองกอด

   "เกลกลัวจังเลยค่ะกิต"

   "หมอวรภพไปดูอาการของนายนั่นเถอะเดี๋ยวผมดูแลเกลเอง"

   กิตติธัชหันมาออกคำสั่งทำให้วรภพรีบวิ่งไปดูอาการของพลทัพที่ต้นหลิวพยายามเรียกให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

   "คุณพลทัพครับ! คุณพลทัพฟื้นซิครับ"

   "อือออ"

   แรงเหย่าตัวและเสียงเรียกทำให้พลทัพปรือตาขึ้นมามองด้วยความมึนงงก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น

   "กันต์!"

   "จะไปไหนครับ!?"

   ต้นหลิวคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะลุกขึ้นวิ่งไปไหน

   "คุณกำลังบาดเจ็บอยู่นะ"

   "ฉันจะไปตามหากันต์"

   พลทัพสะบัดมือของต้นหลิวออกจากแขนของตนพร้อมกับหันซ้ายมองขวาด้วยความเป็นกังวลซึ่งคำพูดและท่าทางนั้นทำให้รณกรถามอย่างร้อนใจ

   "เกิดอะไรขึ้นกับกันต์ครับและรวิหายไปไหน"

   "ทั้งสองคนถูกคนร้ายลักพาตัวไป"

   พลทัพตอบด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดซึ่งคำตอบนั้นทำให้กิตติธัชกดเสียงต่ำลงอย่างไม่พอใจ

   "คนร้ายคือใคร"

   "ไม่เห็นหน้าแต่ถ้าอยากรู้หันไปถามเวธกาคนดีของนายดูซิ!"

   พลทัพหันไปจ้องมองด้วยความโมโหทำให้เวธกาส่ายหน้าไปมาพร้อมกับกอดกิตติธัชแน่นกว่าเดิม

   "อะไรกันคะ เกลไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ กิตต้องเชื่อเกลนะคะ"

   เวธกาออดอ้อนพร้อมส่งสายตาร้ายกาจมาทางพลทัพที่จ้องมองมาอย่างโมโห

   "นายน่ะมากล่าวหาคนอื่นแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนหะ"

   "ถ้าอยากจะเชื่อยัยนั่นนักก็ตามใจ"

   พลทัพนั่งนิ่งให้ต้นหลิวและวรภพทำแผลแต่จ้องมองไปทางกิตติธัชอย่างสมเพช

   "แต่บอกได้เลยถ้านายยังโง่อยู่แบบนี้รวิสราคนรักของนายไม่มีวันรอดกลับมาแน่"

   "เขาไม่ใช่คนรักของฉัน"

   กิตติธัชหน้าตาบึ้งตึงก่อนจะชะงักในคำพูดตอมาของพลทัพที่เหยียดยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

   "หลอกหัวใจตัวเองแบบนี้ระวังเถอะจะสายเกินไป"

   "กล้าสอนฉันทั้งนี่นายไม่เคยรักใครงั้นหรอ"

   กิตติธัชตวาดใส่อย่างอารมณ์เสียทำให้พลทัพกระตุกมุมปากขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใครบางคนที่หายตัวไป

   "ใครบอกว่าฉันไม่มีความรัก"





*************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 25




   "นายรักใคร"

   รณกรจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจทำให้พลทัพเลิกคิ้วขึ้นมาก่อนจะแสยะยิ้มอย่างกวนประสาท

   "จะรักใครมันก็เรื่องของฉัน จำเป็นที่จะต้องป่าวประกาศให้ใครต่อใครรู้ตอนนี้ไหมล่ะ"

   "คุณรักใครก็ได้แค่ไม่ใช่กันต์เพื่อนรักของผมก็พอ"

   รณกรกอดอกอย่างไม่พอใจทำให้พลทัพหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

   "ฮะฮะ ถ้าใช่แล้วจะทำไมล่ะ"

   พลทัพจ้องมองมาด้วยสายตาจับผิดและกวนประสาทมากกว่าเดิม

   "ดูท่าทางแล้วนายจะหวงและห่วงมากเกินกว่าเพื่อนรึเปล่า"

   "พลทัพ!"

   รณกรกำหมัดแน่นด้วยความโมโหทำให้พลทัพแสยะยิ้มมากกว่าเดิม

   "โมโหขนาดนี้แสดงว่าสิ่งที่ฉันคิดเอาไว้เป็นเรื่องจริงซินะ"

   "นี่!!!"

   "หยุดทะเลาะซักทีเหอะ!!!"

   กิตติธัชตวาดขึ้นมาเสียงดังลั่นด้วยความโมโหแถมเริ่มเก็บอาการหงุดหงิดไม่อยู่

   "ทั้งสองคนหายไปแบบนี้พวกนายยังจะทะเลาะกันได้อีกหรอ!"

   "ใจเย็นก่อนซิคะกิต"

   เวธกาลูบหลังอย่างปลอบโยนหวังจะให้อีกฝ่ายใจเย็นลงแต่กิตติธัชกลับสะบัดมือตนเองทิ้งอย่างหงุดหงิด

   "รวิหายไปทั้งคนจะให้ผมใจเย็นได้ยังไง"

   "ดูคุณเป็นห่วงรวิจังเลยนะคะ"

   เวธกาหลี่ตาลงอย่างจับผิดทั้งที่พยายามเก็บซ่อนความอิจฉาไว้ในใจ

   "ไหนบอกว่าเกลียดไม่อยากหมั้นกับรวิยังไงล่ะ"

   "ผมจะคิดยังไงมันไม่เกี่ยวกับคุณ"

   กิตติธัชชักสีหน้าอย่างขัดใจและท่าทางนั้นทำให้เวธกาเริ่มโมโหกอดแขนอีกฝ่ายแน่น

   "ไม่เกี่ยวหรอ?" เวธกาน้ำตาไหลพร้อมพูดทั้งน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความน้อยใจ "แล้ววันนั้นคุณจูบเกลทำไม!"

   "ผมจูบคุณตอนไหน?"

   กิตติธัชขมวดคิ้วอย่างงุนงงยิ่งทำให้เวธกาน้ำตาไหลมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งเผลอตวาดไปเสียงดังลั่น

   "ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะกิต!!! หรือแกล้งที่จะจำไม่ได้เพราะยังรักรวิอยู่ใช่ไหม"

   "อย่ามาขึ้นเสียงนะ! จะรักหรือไม่รักใครมันก็เรื่องของผมไม่เกี่ยวกับเธอเลยซักนิด"

    กิตติธัชตวาดเสียงดังลั่นพร้อมทั้งสะบัดแขนออกเป็นรอบที่สามทำให้เวธกาโวยวายเสียงดังกว่าเดิม

   "แต่รวิถอนหมั้นคุณไปแล้วไม่ใช่รึไง อย่าลืมซิ!!!"

   "ถึงรวิจะถอนหมั้นไปแล้วแต่ยังมีแหวนหมั้นอีกวงอยู่ที่นี่"

   กิตติธัชชูแหวนเงินตรงนิ้วนางขึ้นมาอยู่ในระยะสายตาของอีกฝ่ายพร้อมพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

   "รวิไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผม!"

   "เกลจะถามอีกครั้ง กิตยังรักรวิอยู่ใช่ไหม"

   คำถามนั้นทำให้กิตติธัชชะงักนิ่งไปเล็กน้อยราวกับทบทวนหัวใจตัวเองก่อนจะพยักหน้ารับ

   "ใช่"

   "แล้วกิตจะเอายังไง กิตรู้หรอว่ารวิถูกพาตัวไปที่ไหนน่ะ"

   เวธกาพยายามควบคุมอารมณ์และเก็บซ่อนความอิจฉาเอาไว้เต็มที่แต่ทว่าแทบจะระเบิดเมื่อได้ยินคำตอบจากคนตรงหน้า

   "ฉันจะไปตามหารวิให้เจอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม"

   "ถ้ากิตรักแล้วมาทำร้ายเพื่อนเกลอย่างนั้นทำไม"

   เวธกากำหมัดแน่นพยายามจิกมือจนเลือดออก ส่วนกิตติธัชกลับกอดอกแล้วสะบัดหน้าหนีอย่างหงุดหงิด

   "นั่นมันเรื่องของฉัน"

   "แล้วทำไมต้องแกล้งทำเป็นไม่รักด้วย"

   เวธกาไม่ยอมแพ้ไล่ถามจนกระทั่งกิตติธัชตวาดเสียงดังลั่น

   "เกล! นั่นมันเรื่องของฉันกับรวิ ไม่เกี่ยวกับเธอ"

   "ถ้าเกิดว่ารวิตายไปแล้วล่ะ"

   เวธกาถามทั้งน้ำตายิ่งได้ยินคำตอบจากอีกฝ่ายแล้วยิ่งทำให้หัวใจแตกสลาย

   "ฉันเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะรักคนอื่น โดยเฉพาะเธอ"

   "ธัช"

   "เพราะหัวใจของฉันมีแต่รวิคนเดียว"

   กิตติธัชหันหลังแล้วเดินไปทางอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งทำแผลกันอยู่ไม่ไกลนักก่อนจะกอดอกถามอย่างหงุดหงิด

   "ทำแผลกันเสร็จรึยังล่ะ"

   "ทำเสร็จพอดีเลยครับ"

   วรภพตอบในจังหวะเดียวกันกับที่เอากรรไกรมาตัดผ้าพันแผลให้กับพลทัพที่นั่งหน้านิ่งจ้องมองหน้ากันกับกิตติธัชอย่างหาเรื่อง

   "นึกว่าจะตายไปซะแล้ว นายนี่ยังหนังหนาไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ"

   "แต่คงไม่เท่านายหรอก"

   พลทัพตอบกลับอย่างกวนประสาทไม่แพ้กันทำให้กิตติธัชหน้าตึงตั้งท่าจะทะเลาะด้วยแต่ต้นหลิวกลับเป็นฝ่ายห้ามเอาไว้

   "อย่าพึ่งหาเรื่องกันซิครับ ผมว่าพวกเรารีบออกตามหากันต์และรวิกันดีกว่าไม่รู้ว่าป่านนี้คนร้ายได้ลงมือทำร้ายร่างกายอะไรทั้งสองคนไปรึเปล่า"

   "ผมก็เห็นด้วยครับ"

   รณกรเองก็เห็นด้วยทำให้ทั้งสองคนเลิกทะเลาะแล้วสะบัดหน้าหนีกันไปคนละทางซึ่งวรภพหันไปมองเวธกาอย่างลำบากใจ

   "แล้วใครจะอยู่ดูแลเกลล่ะครับ"

   "พวกคุณไปเถอะ เกลอยู่คนเดียวได้ค่ะ"

   เวธกากอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีและแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

   "ขอให้หาเจอก็แล้วกัน"

   "ถ้าอย่างงั้นดูแลตัวเองด้วย"

   กิตติธัชสรุปก่อนที่ทั้งหมดจะออกไปตามหาทังสองคนที่หายไปโดยทิ้งเวธกาไว้ที่พักเพียงคนเดียว

   "คนใจร้าย"

   เวธกาทรุดตัวนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น

   "ฮึก! ใจร้ายที่สุดเลย ฮืออออ"

   เสียงร้องไห้ดังลั่นที่พักพร้อมกับจิกเอาใบไม้ใบหญ้าแถวนั้นมาปาทิ้งอย่างคับแค้นใจ

   "เกลทำทุกอย่างเพื่อธัชแล้วทำไมธัชไม่ยอมหันมามองคนแบบเกลบ้างอ่ะ ฮืออออ"

   ปาดน้ำตาแถวแก้มพร้อมกับมีรอยยิ้มหวานของใครคนหนึ่งปรากฎขึ้นมาในความทรงจำทำให้แววตานั้นหมองลงด้วยความสำนึกผิด

   "เกลขอโทษนะรวิ ฮึก! เกลขอโทษ"




*************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 26


   หลังจากนั่งร้องไห้มาซักพักใหญ่เวธกาก็ลุกขึ้นมาเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นให้เข้าที่เข้าทางโดยแอบใส่อะไรบางอย่างไว้ในกระเป๋าสะพายของใครบางคนเสร็จแล้วเดินมาหยิบกระเป๋าของรวิสรามากอดไว้แน่นด้วยความหวงแหนและแววตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด

   "ขอโทษนะรวิ เกลเดินมาลึกเกินกว่าที่จะถอยหลังกลับได้แล้ว"

   "ใช่แล้ว~"

   เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้เวธกาสะดุ้งตกใจแล้วหันไปมองด้านหลังเห็นใครบางคนที่ควรจะไปตั้งนานแล้วย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง

   "กลับมาที่นี่อีกทำไม"

   "ถ้าไม่กลับมาจะได้รู้หรอว่าเธอคิดที่จะทรยศฉัน"  ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน "เวธกา"

   "เปล่านะ!"

   เวธการีบตอบกลับอย่างร้อนตัวก่อนจะจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เริ่มหวาดหวั่นเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายดังลั่น

   "ฮะฮะเฮอะ! ไม่เห็นจะต้องร้อนตัวเลยนี่"

   "ต้องการอะไร"

   เวธการทำหน้าตาบึ้งตึงจ้องคนตรงหน้าอย่างจับผิดก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

   "เปล่า~ แค่คิดว่าเธอเริ่มสำนึกผิดอยากกลับตัวเป็นคนดีขึ้นมาเพื่อช่วยเพื่อนแล้วกำลังจะหักหลังหุ้นส่วนอย่างฉัน"

   "พูดอะไรน่ะ ไม่เห็นเข้าใจเลย"

   เวธกาตื่นกลัวพร้อมถอยหลังหนึ่งก้าวด้วยความหวาดกลัวกับท่าทีคุกคามของอีกฝ่าย

   "คิดจะหักหลังฉันมันไม่ง่ายนักหรอกนะเวธกา!!!"

   "เปล่านะ"

   เวธกาถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อหนีอีกฝ่ายที่เดินตามมาไม่หยุดจนต้องหันหลังเตรียมจะวิ่งหนีแต่ทว่ากลับได้ยินเสียงหัวเราะเยาะพร้อมกับไม้ที่ฟาดลงมาตรงต้นคอด้านหลังอย่างแรง

   ปัก!

   "โอ๊ย!"

   เวธกาหน้าคว่ำลงไปกับพื้นก่อนที่จะถูกจับให้นอนหงายแล้วโดนตะบปมือเข้าที่คออย่างรุนแรงทำให้ต้องรีบจับข้อมือเพื่อยั้งแรงเอาไว้แน่นพร้อมจ้องมองอย่างไม่ละสายตา

   "ทำไมถึงทำแบบนี้"

   "เธอเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ!"

   ตะคอกเสียงดังลั่นพร้อมกับออกแรงบีบมากขึ้นทำให้เวธกาดิ้นไปมาด้วยความหวาดกลัว

   "ฮึก! ไม่รู้~"

   "อย่ามาโกหก!!!"

   ออกแรงบีบกว่าเดิมจนเวธกายกมือขึ้นมาพนมเอาไว้แล้วขอร้องพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาเต็มหน้าด้วยความรู้หึกของเหยื่อที่หมดหนทาง

   "ฮึก! อย่าฆ่าฉันเลยนะ"

   "เสียใจด้วย" รอยยิ้มที่เหยียดขึ้นตรงมุมปากอย่างสมเพช "เพราะตั้งแต่เมื่อเธอเลือกที่จะร่วมมือกับฉันน่าจะรู้ตัวนี่ว่าไม่สามารถกลับหลังได้น่ะ"

   "แต่ฉันก็ไม่ได้ธัช ฮึก หัวใจของธัชมีให้แค่รวิคนเดียว"

   เวธกาตอบกลับทั้งน้ำตายิ่งทำให้คนที่อยู่ด้านบนหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

   "ฮะฮะเฮอะ นั่นมันไม่ใช่คำแก้ตัวที่จะมาหักหลังฉันได้นะ!"

   "ฮือ~ ขอโทษนะ ฮึก! ฉันขอโทษ"

   เวธกายกมือขึ้นมาขอร้องอีกครั้งแต่ยิ่งทำให้ถูกบีบคอหนักอย่างบ้าคลั่ง

   "ไม่ต้องมาขอโทษ! คนทรยศอย่าเธอสมควรตาย!!!"

   "ฮึก ฮืออออ!!!"

   แรงบืบที่คอเพิ่มมากขึ้นทำให้เวธกาดิ้นทุรนทุรายตะเกียกตะกายพยายามเอาตัวรอด มือจิกกับพื้นหญ้าและพื้นดินแน่นจนเลือดออกก่อนจะกระตุกเกร็งไปทั้งตัว สายตาจ้องมองไปยังกระเป๋าที่วางไว้ฝั่งตรงข้ามไม่กระพริบพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายที่หมดลงท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจจากคนที่ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบมีดขึ้นมาแตะริมฝีปากด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

   "ฮะฮะเฮอะ น่าเสียดายที่เธอต้องมาตายอย่างนี้ถ้าอย่างนั้นช่วยฉันอีกครั้งหนึ่งได้ไหมเกล..."

   ประคองข้อมือขึ้นมาแล้วใช้นิ้วลูบตรงเส้นเลือดอย่างแผ่วเบาพร้อมมีดที่ทาบลงบนข้อมือที่เย็นเชียบ

   "ช่วยเป็นสารให้ฉันทีนะ เพื่อนรัก~"

   ฉึก!!!

   "ฮะฮะเฮอะ!~"

   เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วทำให้พวกที่ออกไปตามหานั้นหยุดชะงักรณกรยกมือขึ้นลูบแขนที่ขนลุกไปหมดทั้งตัว

   "ทุกคนได้ยินเสียงไหมครับ"

   "น่ากลัวจัง"

   ต้นหลิวยื่นมือไปเกาะชายเสื้อของวรภพด้วยความหวาดกลัวก่อนจะตาโตขึ้นเมื่อจับทิศทางของเสียงหัวเราะนั้นได้

   "แต่เสียงนั้นมันมาจากตรงที่พักเราไม่ใช่หรอครับ"

   "เกล!"

   กิตติธัชตะโกนเสียงดังลั่นแล้วเริ่มออกตัววิ่งคนแรกด้วยความร้อนใจทำให้คนที่เหลือรีบวิ่งตามหลังไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานนักทุกคนก็มาถึงที่พักแต่ต้องตะลึงกับภาพตรงหน้าที่ทำให้กิตติธัชคนที่ไม่เคยเป็นห่วงใครนอกจากคู่หมั้นนั้นหน้าซีดเซียวลงทันที

   "เกล"

   "คุณเวธกา..."

   ต้นหลิวจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ก่อนจะเดินเข้าไปตรวจชันสูตรพลิกศพพบว่าสภาพศพของเวธกานอนหงายอยู่บนพื้นดิน รอบกายเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้ขัดขืนทั้งการดิ้นและมือที่จิกเกร็งดึงใบหญ้ากระจัดกระจายรอบกายเต็มไปหมด ตรงต้นคอด้านหลังถูกฟาดด้วยไม้ที่ตกอยู่ไม่ไกลนัก ส่วนคอด้านหน้าเป็นรอยแดงจากการโดนบีบอย่างแรงจนขาดอากาศหายใจ รวมไปถึงข้อมือที่ถูกกรีดเป็นทางยาว แต่นั่นยังไม่น่ากลัวกับเลือดที่ถูกเขียนบนพื้นข้างศพด้วยลายมือที่เป็นระเบียบและแสนคุ้นเคย



   'ถ้าไม่อยากให้อีกสองคนเป็นอะไรไปมาพบกันที่ตรงซากรถไฟภายในครึ่งชั่วโมง'
 


  "มันคือใครกันแน่นะ!!!"

   กิตติธัชโมโหเตะก้อนหินแถวนั้นด้วยความหงุดหงิดไม่ต่างกับรณกรที่จิกหัวตัวเองด้วยความร้อนใจกับสถานการที่เกิดขึ้น

   "ทำยังไงดีแล้วอย่างนี้กันต์จะเป็นอะไรไหม"

   "หมอนั่นต้องไม่เป็นอะไร"

   พลทัพเองก็ร้อนใจไม่ต่างกันทำให้ต้นหลิวหันมามองวรภพอย่างหนักใจ

   "หมอภพคิดว่ายังไงครับ"

   "ถึงแม้จะเป็นแค่คำขู่แต่พวกเราต้องรีบไปก่อนที่สองคนนั้นจะเป็นอะไร ดีกว่านะครับ"

   คำตอบของวรภพทำให้ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่กิตติธัชจะหยิบอาวุธขึ้นมาแจกจ่ายกันเรียบร้อยหมดทุกคนแล้วจึงตัดสินใจทิ้งศพของเวธกาไว้ที่นี่แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางของซากรถไฟทันที



**************************

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 27





   "...รวิ"


   "อืออ"


   "รวิสรา"


   ขณะเดียวกันนั้นเองรวิสราก็เหมือนได้ยินใครเรียกชื่ออยู่ด้านข้างจึงลืมตาขึ้นมาพบกับใบหน้าขาวใสของกันต์กวินที่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความกังวลใจ

   "ฟื้นซักที ผมนึกว่าคุณจะเป็นอะไรไปซะแล้ว"

   "ที่นี่ที่ไหนคะ"

   รวิสรามองไปรอบกายอย่างตื่นตระหนกก่อนจะนึกออกเมื่อเห็นซากรถไฟคว้ำอยู่ตรงด้านข้าง

   "ซากรถไฟน่ะซิ แล้วพวกเราก็ถูกใครไม่รู้จับตัวมาด้วย" กันต์กวินหน้ามุ่ยลงอย่างเจ็บใจ "แถมคนที่ทำให้พวกเราเป็นแบบนี้คือเวธกาเพื่อนของคุณนั่นแหละ"

   "เกล"

   รวิสราก้มหน้าลงด้วยความเศร้าใจซึ่งท่าทางอย่างนั้นยิ่งทำให้กันต์กวินหงุดหงิด

   "เกลร้ายขนาดนั้นคุณยังเศร้าใจไปทำไมล่ะ"

   "แต่เกลคือเพื่อนคนเดียวของฉัน"

   รวิสราพูดขึ้นมาด้วยความอาลัยอาวรณ์ซึ่งคำตอบนั้นทำให้กันต์กวินกระทืบเท้าอย่างขัดใจ

   "เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เรามาหาทางหนีก่อนที่คนร้ายจะกลับมาเถอะ"

   "คิดจะหนีมันไม่ง่ายไปหน่อยหรอคุณนักข่าวกันต์กวิน"

   เสียงที่ดังมาจากด้านหน้าเผยให้เห็นร่างบอบบางของใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มทั้งที่เสื้อผ้าชุดสีดำเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ทำให้รวิสราและกันต์กวินที่กำลังวางแผนหนีอยู่นั้นผงะออกจากกันก่อนที่กันต์กวินจะกล้าถามออกไปตามประสาสัญชาตญาณนักข่าว

   "เธอรู้จักฉันได้ยังไง"

   "ใครจะไม่รู้จักนักข่าวฝึกหัดที่เฝ้าตามทำข่าวบนรถไฟได้ยังไงล่ะ"

   เหยียดยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาจับใบหน้าขาวนั้นด้วยสายตาที่คุกคาม

   "นักข่าวอย่างนายอนาคตยังอีกไกลน่าเสียดายนะที่ต้องมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่"

   "เรื่องอะไรที่ฉันจะมาตายที่นี่กันล่ะ"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีอย่างถือตัวทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังลั่น

   "ฮะฮะเฮอะ!"

   "คุณจับพวกเรามาทำไม"

   รวิสราถามทั้งที่สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวทำให้อีกฝ่ายหันมาจ้องหน้าแล้วแสยะยิ้มอย่างเวทนา

   "หมอนั่นน่ะของแถม แต่เธอน่ะคือข้อแลกเปลี่ยนที่ฉันต้องกำจัด"

   "แลก...แลกเปลี่ยนอะไร"

   รวิสราตัวสั่นอยากจะขยับแต่ขยับไม่ได้เพราะถูกมัดทั้งแขนและขาแน่นก่อนจะหน้าซีดลงเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย

   "แลกเปลี่ยนกับการที่ได้กิตติธัชเป็นคนรักไง หึ! เธอพอจะรู้แล้วใช่ไหมว่าเป็นใคร"

   "เกล"

   รวิสราน้ำตาคลอด้วยความผิดหวังก่อนจะหน้าซีดลงเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาจับหน้าอย่างแผ่วเบา

   "โธ่~ ไม่ต้องเศร้าไปหรอกนะเพราะฉันจัดการให้เธอแล้วไงดูนี่ซิ~"

   เลิกชายเสื้อขึ้นเผยให้เห็นเลือดที่เปรอะอยู่บนเสื้อผ้าอย่างชัดเจน

   "เลือดของคนที่ทรยศฉันกับเธอไง"

   "ไม่จริง!"

   รวิสราน้ำตาไหลออกมาอย่างห่ามไม่อยู่ท่ามกลางรอยยิ้มสะใจของคนตรงหน้าจนกระทั่งกันต์กวินทนไม่ไหว

   "หยุดปั่นหัวคนอื่นซักทีได้ไหมยัยโรคจิต!!!"

   "โอ๊ะโอ~ ทำไมปากร้ายจังเลยล่ะ"

   เปลี่ยนเป้าหมายมาลูบใบหน้าของกันต์กวินด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์

   "คนปากร้ายต้องโดนอะไรดีนะ อืมม~"

   "จะทำอะไร!"

   กันต์กวินผงะเมื่ออีกฝ่ายชูขวดสีน้ำตาลขนาดเล็กที่เปิดฝาพร้อมกับเชยคางสวยขึ้นก่อนจะเผยรอยยิ้มที่แสนร้ายกาจ

   "ไม่ต้องกลัวหรอกนี่น่ะแค่ยานอนหลับเอง~ มันจะทำให้นายหยุดพูดไปซักพักใหญ่เลยล่ะ ฮะฮะเฮอะ!"

   "อึกอื้อ!!!"

   กันต์กวินดิ้นหนีสุดแรงแต่ก็ถูกกรอกยาเข้าปากจนหมดขวดหลังจากนั้นดวงตาสวยก็ปรือหลับไปอย่างหมดแรงท่ามกลางเสียงร้องไห้ของรวิสราที่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

   "กันต์กวิน!!!"

   "ชู่ว์~ อย่าไปกวนคนนอนหลับซิ"

   ลูบผมกันต์กวินสองสามครั้งแล้วเดินมาทางรวิสราด้วยสายตาที่ร้ายกาจ

   "แล้วฉันจะเล่นอะไรกับเธอดีนะ"

   ปัง!

   "หยุดนะ! ปล่อยตัวประกันเดี๋ยวนี้!!!"

   เสียงปืนที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านหลังทำให้คนที่กำลังจะเล่นสนุกนั้นหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกับหันไปเผชิญหน้าด้วยรอยยิ้มหวานแสนคุ้นเคย

   "หืม? เล่นปืนกับผู้หญิงแบบนี้มันไม่น่ารักเลยนะคุณตำรวจ"

   "เวย์"

   ต้นหลิวหน้าตาเริ่มซีดลงเพราะตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับหยุดนิ่งเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือวิรชาคู่หมั้นคู่หมายแสนหวานและแสนดีของตนกลับกลายมาเป็นคนร้ายที่ฆ่าใครต่อใครมากมาย

   "เธอคือคนร้ายอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ซินะ"

   "ต้นหลิวของเวย์นี่เก่งที่สุดไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะ"

   วิรชายิ้มหวานแค่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความร้ายกาจ

   "ในเมื่อรู้ตัวตั้งนานแล้วทำไมถึงไม่ตามจับเวย์ล่ะคะ"

   "เพราะผมหวังว่าคนร้ายจะไม่ใช่คุณน่ะซิ"

   ต้นหลิวตอบทั้งที่สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวังแต่กลับถูกวรภพกุมมือไว้แน่นอย่างปลอบใจ ท่ามกลางความใจร้อนของกิตติธัชที่ยกปืนขึ้นขู่ตลอดเวลา

   "ปล่อยตัวประกันเดี๋ยวนี้!!!"

   "บอกแล้วไงคะว่าอย่ายกปืนขู่ผู้หญิงน่ะ"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังรวิสราที่ส่งสายตาหวาดกลัวมาให้อดีตคู่หมั้นแต่ทว่าต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อลำคอขาวสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของคมมีด

   "ถ้าฉันตกใจขึ้นมามือกระตุกไปปาดคออดีตคู่หมั้นของคุณเอาจะเป็นเรื่องใหญ่นะคะ"

   "ฮึ่ม!"

   กิตติธัชกัดปากแน่นด้วยความร้อนใจแต่คำขู่นั้นไม่ได้ทำให้พลทัพเกรงกลัวแต่อย่างไรทว่าคนที่เป็นห่วงคือคนที่นั่งสลบอยู่ตรงนั้นต่างหาก!

   "ทำไมกันต์ถึงยังไม่ฟื้น"

   "หมอนั่นพูดมากไปหน่อย" วิรชายิ้มหวานมากขึ้นกว่าเดิม "เลยทำให้นอนหลับไปเท่านั้นเอง"

   "กล้าดียังไงมาทำร้ายเพื่อนฉัน!"

   รณกรโมโหกระชากปืนจากวรภพที่ไม่ทันได้ระวังตัวหันไปทางวิรชาที่หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นไม่มีท่าทางจะกลัวแต่อย่างใด

   "ฮะฮะเฮอะ"

   ปัง!!!

   "อึก"

   ปืนร่วงลงไปกระแทกกับพื้นพร้อมกับร่างกายของรณกรที่ทรุดตัวลงไปนั่งกุมท้องที่เลือดไหลออกมาเป็นสายท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจของวิรชาที่เป่าควันที่กระบอกปืนอย่างแผ่วเบาโดยที่ริมฝีปากยังยิ้มหวานเหมือนเดิม

   "บอกแล้วว่าอย่ามาทำให้เวย์ตกใจ"

   "คุณกรกดบาดแผลเอาไว้นะครับ"

    วรภพรีบหาผ้ามาให้อีกฝ่ายกดบาดแผลอย่างระมัดระวังโดยมีต้นหลิวยืนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวังปนไปกับความเสียใจ

   "ทำไมถึงร้ายกาจแบบนี้นะเวย์"




********************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 28





   "ร้ายกาจหรอ? ฮะฮะเฮอะ!"

   วิรชาหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยความขบขันพร้อมแสยะยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ

   "เวย์ก็ร้ายแบบนี้มานานแล้วต้นหลิวพึ่งรู้หรอคะ เวย์ต้องคอยกำจัดผู้หญิงทุกคนที่มาข้องเกี่ยวกับคู่หมั้นของเวย์เลยนะคะ รวมถึงไวซ์คนรักเก่าของคุณด้วย"

   "เพราะแบบนั้นไวซ์ถึงกำสร้อยคอของคุณไว้ในมือซินะ ไวซ์คงจะออกไปทำอะไรซักอย่างกับสร้อยนั่นที่แอบขโมยมาจากผมแล้วบังเอิญไปเจอกับคุณเข้าจึงเกิดการต่อสู้กันจนคุณเอาเชือกมารัดคอไวซ์จากด้านหลังจนขาดอากาศหายใจแล้วลากมาตรงต้นไม้ใหญ่แต่ไม่พบรอยลากเพราะฝนตกหนัก เหมาะแก่การสร้างสถานการที่ว่าอีกฝ่ายผูกคอฆ่าตัวตายบนต้นไม้ใหญ่แต่ที่แท้จริงแล้วเป็นการฆาตกรรม"

   "ว๊าว! ต้นหลิวของเวย์เก่งที่สุดเลย~" 

   วิรชายิ้มหวานแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์

   "แล้วต้นหลิวรู้ไหมคะว่าทำไมเวย์ถึงจะต้องฆ่ายัยนั่นด้วย"

   "เรื่องที่ไวซ์ยังรักผมอยู่ซินะ และต้องการบอกความจริงกับผมเรื่องของคุณ"

   พอได้ยินคำตอบจากต้นหลิวยิ่งทำให้วิรชาหัวเราะเสียงดังขึ้นกว่าเดิม

   "ฮะฮะเฮอะ! ต้นหลิวของเวย์เนี่ยเก่งมากค่ะ งั้นลองทายดูซิคะว่าเวย์ฆ่ารุ้งพรายทำไม"

   "เพราะรุ้งพรายเห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมบนรถไฟทั้งหมดแต่ไม่เห็นหน้าคนร้าย และด้วยการที่เอาแต่ใจและชอบข่มขู่คนอื่นอยู่แล้วทำให้เผลอหลุดปากบอกเหตุการณ์สำคัญออกมาแต่ไม่มีคนเชื่อ คุณจึงอาศัยจังหวะเวลาที่อีกฝ่ายกำลังโกรธคนอื่นและเดินหนีไปสงบสติอารมณ์อยู่แถวซากรถไฟนั้นลอบยิงตรงกลางทะลุหน้าอกโดยจงใจวางสร้อยคอทิ้งไว้เพื่อให้ฉันออกตามหาเธอใช่ไหมล่ะ"

   ต้นหลิวกอดอกจ้องตามองคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อยิ่งทำให้วิรชาแสยะยิ้มหวานกว่าเดิม

   "ต้นหลิวของเวย์เก่งมากอีกแล้ว!~"

   "รวมถึงศพของกวิตาเพื่อนของกันต์กวินที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างบนรถไฟรวมถึงเห็นศพของรติกรและศพของคนรักกับตาตนเอง จึงถูกหลอกล่อโดยเกลที่ร่วมมือกับคุณให้ออกจากที่พักก่อนจะโดนแทงจนเสียชีวิตหลังจากวิ่งจนหมดแรง ซึ่งลักษณะเป็นมีดผ่าตัดซึ่งเป็นมีดของหมอวรภพ ทำให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะเชี่ยวชาญในการใช้มีดมากที่สุด"

   ต้นหลิวไปสบตากับวรภพเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

   "และหลังจากที่เกลกำลังจะกลับตัวคุณก็ลงมือจัดการฆ่าปิดปากในระหว่างที่ทุกคนออกตามหากันต์และรวิเพราะกลัวโดนหักหลัง"

   "ต้นหลิวนี่รู้มากจังเลยนะคะ" เวธกาแสยะยิ้ม "ไหนลองบอกให้เวย์ชื่นใจหน่อยซิว่าทำไมเวธกาถึงร่วมมือกับเวย์ในการกำจัดทุกคน"

   "เหตุผลที่เกลร่วมมือกับคุณเพราะต้องการเพียงแค่กำจัดรวิเพียงคนเดียว ดูได้จากการกระทำคาดการณ์ได้ว่าเกลแอบชอบคู่หมั้นของเพื่อนตัวเอง"

   ต้นหลิวพูดพร้อมเหลือบไปมองกิตติธัศที่ชะงักเล็กน้อยด้วยความตกใจ

   "พอยุยงให้รวิถอนหมั้นกิตเรียบร้อยแล้วนั้นเกลจึงร่วมมือกับเธอเต็มตัวโดยเป็นฝ่ายหลอกล่อให้วิตาตามออกไปข้างนอกด้วยนั่นเอง"

   "แล้วพีรัชล่ะ" วิรชาแสยะยิ้มากกว่าเดิมด้วยความสนุกสนาน "ทำไมเวย์ต้องกำจัดพีรัชด้วย"

   "และเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พีรัชโดนฆ่าปิดปากโดยจัดการตอนที่อีกฝ่ายออกไปหาน้ำเพราะพีรัชเห็นตอนที่เธอกำลังแทงกวิตา"

   "ว้าว~"

   วิรชายิ้มหวานพร้อมทำสายตาเจ้าเล่ห์จนน่าหมั่นไส้

   "แล้วอยากรู้ไหมว่าเวย์จัดการคนสอดรู้สอดเห็นยังไง"

   "จะทำอะไรน่ะ"

   กิตติธัชเล็งปืนทันทีที่อีกฝ่ายขยับมีดสะกิดผิวหนังบอบบางของรวิสราจนเลือดซึมออกมาทำให้อีกฝ่ายร้องไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว

   "ฮึก! ธัช"

   "รวิ"

   กิตติธัชร้อนใจแต่ไม่กล้าบู่มบ่ามกลัวอีกฝ่ายจะเป็นอันตรายทำให้วิรชายิ่งได้ใจจึงเริ่มขยับมีดอีกครั้ง

   "เชือกที่รัดตรงคออย่างแรง"

   กดมีดเลึกกว่าเดิมทำให้รวิสราเกร็งตัวด้วยความหวาดกลัว

   "แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายดิ้นจนหมดแรง"

   "ฮึก! ฮือออ"

   รวิสราสะอื้นหนักขึ้นกว่าเดิมพร้อมจ้องตากับอดีตคู่หมั้นที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างอาลัยอาวรณ์ยิ่งทำให้วิรชาสนุกสนานมากกว่าเดิม

   "แล้วผลักจนตกน้ำ"

   ฉึบ! ปึก!

   เสียงมีดดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระบอกปืนที่กระทบกับข้อมือจนมีดปัดกระเด็นไปทางอื่น ก่อนที่กิตติธัชวิ่งตรงไปยังร่างของรวิสราแล้วคว้าตัวอุ้มกลับไปตรงที่เดิมเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พลทัพพาตัวกันต์กวินที่สลบกลับมารวมกลุ่มกันได้อย่างปลอดภัย

   "ฮือออ"

   รวิสราร้องไห้อย่างเสียขวัญอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้าที่รัดแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   "ปลอดภัยแล้วนะรวิ"

   "ฮึก...ธัช"

   รวิสราสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของกิตติธัชที่ลูบผมอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังปลอบโยน

   "ขอบคุณ...ขอบคุณที่มาช่วยนะ"

   "ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่เจ็บมากไหม"

   กิตติธัชเชยคางขึ้นพร้อมกับดูบาดแผลที่ไม่ลืกมากเท่าไหร่เพราะตนเองไปช่วยไว้ทันซึ่งท่าทางอ่อนโยนนั้นทำให้รวิสราส่ายหน้าไปมาทั้งที่แก้มทั้งสองข้างแดงขึ้นด้วยความเขินอาย

   "รู้ตัวไหมว่าทำให้ฉันเป็นห่วงมากแค่ไหน"

   ฟอด

   "ธ...ธัช"

   รวิสราตาโตด้วยความตกใจเพราะถูกอีกฝ่ายหอมแก้มอย่างรวดเร็วก่อนจะกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาให้ได้ยินกันสองคน

   "อย่าหายไปแบบนี้อีกเข้าใจไหม ส่วนเรื่องหมั้นเดี๋ยวฉันค่อยสวมแหวนให้ใหม่ดีไหม"

   "ธ..."

   ปั้ง!!!

   "ธัช!!!"

   รวิสราร้องอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับร่างของกิตติธัชที่กระตุกเกร็งเพราะโดนลอบยิงมาจากด้านหลังซึ่งระหว่างที่รวิสรากำลังร้องไห้คนที่โดนยิงกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

   "ฮะฮะ ฉันไม่ยอมมาตายเพราะลูกกระสุนปืนแบบนี้หรอกนะ"

   "ฮึก! ธัช" รวิสราเช็ดน้ำตาก่อนจะลูบหลังของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา "เจ็บมากไหม ฮึก"

   "แผลใหญ่กว่านี้ก็เคยโดนมาแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่ะ"

   กิตติธัชลูบผมแล้วปลอบอย่างอ่อนโยนทำให้ทั้งสองคนกอดกันแน่นท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจของวิรชาที่แกว่งกระบอกปืนไปมาท่ามกลางรอยยิ้มหวาน

   "บอกแล้วไงว่าอย่าทำให้เวย์มือกระตุกน่ะ ทำไมเตือนแล้วไม่เชื่อฟังกันเลยล่ะคะ"

   "เธอมันบ้าไปแล้ว"

   รณกรพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดขัดทั้งที่มือยังกำผ้าปิดแผลไว้แน่นก่อนจะหันไปมองกันต์กวินที่หลับสนิทบทตักของพลทัพซึ่งพยายามปลุกเต็มที่แต่ทว่าไม่รู้สึกตัว

   "กันต์เป็นยังไงบ้าง"

   "ไม่รู้สึกตัว"

   พลทัพขมวดคิ้วพร้อมเงยหน้าขึ้นมองไปยังวิรชาที่ยืนอยู่ด้วยสายตาคาดคั้น

   "เธอเอายาอะไรให้เขากิน"

   "ยานอนหลับไงคะ เวย์ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ถึงตายน่ะ"

   วิรชาเหยียดยิ้มก่อนจะเล็งปืนมายังทั้งสองคน

   "แต่คุณน่ะไม่แน่"

   ปัง!!!

   "คุณพลทัพ!!"

   รวิสราร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นพลทัพคว้าตัวกันต์กวินเข้ามากอดแล้วใช้ร่างกายตนเองบังกระสุนให้จนโดนยิงเข้าตรงหัวไหล่ด้านซ้ายเลือดออกเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเต็มไปหมดแต่พอตรวจดูร่างกายของกันต์กวินที่ไม่เป็นอะไรแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

   "เฮ้อ~ ดีนะที่นายไม่เป็นอะไร"

   "นายมันบ้าใจร้อนไม่เคยเปลี่ยน"

   กิตติธัชพูดออกมาอย่างหมั่นไส้ทั้งที่โล่งอกที่ทั้งสองคนไม่เป็นอะไรแต่พลทัพกลับเหยียดยิ้มที่มุมปากแล้วตอบกลับอย่างกวนประสาท

   "เพราะอย่างนี้เราถึงทำงานด้วยกันไม่ได้ยังไงล่ะ นายมันระเบียบเยอะเกินไป"

   "แต่เมื่อก่อนเราก็ทำงานเข้ากันได้ไม่ใช่รึไง"

   กิตติธัชเหยียดยิ้มตอบกลับอย่างรู้ทันอีกฝ่ายก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นอีกครั้งหลังจากถูกยิงไปบนฟ้าเพื่อเป็นการข่มขู่


   ปัง!


   "อย่าพึ่งมารำลึกความหลังกันตอนนี้ซิคะ!"

   วิรชาหน้ามุ่ยลงด้วยความขัดใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่ดูไม่ได้บาดเจ็บอะไรเหมือนที่ตนต้องการ

   "เวย์ไม่มีเวลาอะไรมาฟังเรื่องแบบนี้นะ"

   "แล้วคุณต้องการอะไร"

   ต้นหลิวถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังแต่วิรชากลับหัวเราะเสียงดังลั่นเมื่อเห็นสายตาแบบนั้น

   "ฮะฮะเฮอะ เวย์ชอบจังเลยค่ะที่ต้นหลิวมองด้วยสายตาแบบนั้นน่ะ แต่อยากรู้ใช่ไหมคะว่าเวย์ต้องการอะไร ถ้าอย่างงั้นต้นหลิวก็เดินออกมาหาเวย์ตรงนี้ซิคะแล้วเวย์จะบอกคุณทุกเรื่องเลยค่ะ"

   "ตกลง"

   ต้นหลิวเริ่มไม่พอใจพร้อมกับเดินออกไปด้านหน้าแต่ต้องหยุดชะงักกับมือใหญ่ของวรภพที่รั้งเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

   "อย่าออกไป"

   "แต่..."

   ต้นหลิวหันมามองคนที่จับมือตนเองไว้อย่างลังเลก่อนที่จะตกใจเมื่อมีเสียงปืนดังขึ้นอีกอีกครั้ง

   ปัง!

   "โอ๊ย!"

   วรภพกุมฝ่ามือตนเองเอาไว้แน่นพยายามห้ามเลือดให้หยุดไหลท่ามกลางความตกใจของต้นหลิวที่รีบนั่งลงมาดูบาดแผลของอีกฝ่ายทันที

   "เจ็บมากไหม"

   "ไม่มากหรอกแต่อย่าออกไปเลยนะ"

   วรภพเหลือบไปมองวิรชาที่ยืนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งมากกว่าเดิม

   "ฮะฮะเฮอะ ออกมาหาเวย์ซักทีซิคะต้นหลิวที่รัก~"

   "ขอโทษนะภพแต่ ผมต้องคุยกับคู่หมั้นให้รู้เรื่อง"

   ต้นหลิวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาวิรชาโดยไม่ฟังเสียงตะโกนร้องห้ามจากด้านหลัง ยิ่งเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นยิ่งทำให้ต้นหลิวผิดหวังมากกว่าเดิมเพราะถึงแม้วิรชาจะยังสวยเหมือนเดิมแต่รอยเลือดที่เปรอะเปื้อนตามเนื้อตัวทำให้เป็นหลักฐานอย่างดีว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เพียงแค่ความฝันอย่างที่เคยหลอกตัวเองมาตลอด

   "ผมมาแล้ว"

   "มาแล้วหรอคะต้นหลิว"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะเดินเข้ามาโอบกอดคนตรงหน้าอย่างแนบแน่นพร้อมซบลงตรงไหล่อย่างออดอ้อน

   "เวย์คิดถึงคุณที่สุดเลยค่ะ"

   "หยุดเล่นละครได้แล้ว"

   ต้นหลิวดึงวิรชาให้ออกมาจากตัวเองแล้วถอยหลังออกมาเล็กน้อย

   "คุณทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่"

   "ปิดปากพวกรู้มากไงคะ"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะเดินเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น

   "พวกนั้นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างบนรถไฟเพราะแบบนี้ไงเวย์ถึงปล่อยไปไม่ได้น่ะ ลองทายดูซิคะว่าคนที่เวย์ฆ่าคือใคร"

   "รติกรและคนขับรถไฟ"

   "เก่งจังเลย~"

   วิรชาเอื้อมมือมาจะจับแก้มแต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

   "อย่าพึ่งโกรธซิคะถ้าต้นหลิวอยากรู้เวย์ก็จะบอกเหตุผลที่เวย์ฆ่ารติกรเพราะเวย์ทนไม่ได้ที่จะต้องคอยใช้หนี้สินแทนครอบครัวอีกต่อไปแล้ว ส่วนคนขับรถไฟดันโชคร้ายอยากรู้อยากเห็นจนเวย์ต้องจัดการกับรถไฟขบวนนี้ทั้งขบวน ฮะฮะเฮอะ!"

   วิรชาหัวเราะออกมาอย่างสะใจท่ามกลางสายตาผิดหวังของคนตรงหน้าที่ถอยหลังห่างอีกหนึ่งก้าว

   "ต้นหลิวรู้ไหมคะว่าเวย์ชอบมากเลยนะเวลาที่เห็นคุณสืบคดีน่ะ หน้าคุณเวลาขมวดคิ้วประติดประต่อเรื่องราวอย่างลำบากใจน่ะมันทำให้เวย์ตื่นเต้นมากแค่ไหน"

   วิรชาเหยียดยิ้มหวานออกมามากจนถึงขั้นโรคจิตแต่นั่นไม่ได้ทำให้ต้นหลิวเกรงกลัวแต่แถมยังจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่จับผิด

   "คุณกำจัดทุกคน รวมถึงเรื่องอิฐด้วยงั้นหรอ"

   "ใช่ค่ะ ฉันจัดการเองทุกคนเลย~"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำถามของต้นหลิวที่มองอย่างจับผิดมากกว่าเดิม

   "แต่มันไม่ใช่รอยเท้าของคุณ"

   "ใช่ซิคะ เวย์เอารองเท้าของพีรัชมาใส่แทนเพื่อตบตาคุณไงแถมยังได้ผลซะด้วย"

   วิรชาตอบด้วยสายตาที่กระหายเลือดพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ต้นหลิวที่ก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว

   "ต้นหลิว~ ทำไมไม่เข้ามาหาเวย์ล่ะคะ"

   "ทำไมถึงร้ายกาจขนาดนี้" ต้นหลิวจ้องมองคู่หมั้นตนเองด้วยสายตาผิดหวังมากกว่าเดิม "คุณคงตั้งใจที่จะฆ่าปิดปากทุกคนรวมถึงผมด้วยซินะ"

   "นี่คุณรู้แล้วหรอคะ!"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปซึ่งมันดูร้ายกาจและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

   "ฉันอยากให้ทุกคนตายโดยเฉพาะคุณยังไงล่ะคะต้นหลิวที่รัก รู้ไหมที่ผ่านมาที่ฉันแกล้งทำเป็นรักคุณเพราะพ่อแม่ฉันบังคับให้ฉันเลิกคบกับแฟนเก่าแล้วมาคบกับคนรวยอย่างคุณแทนไงคะ แต่ดูต้นหลิวซิชอบทำตัวแบบนี้ไม่เห็นจะตามใจเวย์ซักนิด แถมไม่มีเวลาให้เพราะมัวไปบ้าแต่งานน่ะ"

   "แต่ที่เรากำลังจะแต่งงานกันนะคุณก็แกล้งทำเป็นรักผมด้วยงั้นหรอ"

   ต้นหลิวมองอย่างไม่ละสายตาแถมเต็มไปด้วยความตัดพ้อยิ่งทำให้วิรชาเหยียดยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวานแต่เต็มไปด้วยความสะใจ

   "ค่ะที่รัก..."

   กริ๊ก!

   เสียงไกปืนที่เริ่มเหนี่ยวอีกครั้งจนสุดพร้อมกับปืนที่แนบสนิทตรงหัวใจของอีกฝ่ายนั่นไม่ทำให้เจ็บปวดเท่ากับคำพูดของคนที่ยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า

   "งั้นต้นหลิวก็ไปแต่งในนรกคนเดียวเถอะนะคะ"

   "ยังไงเวย์ก็ไม่ใช่คนร้ายที่ฆ่าอิฐ"

   ต้นหลิวจับมือแสนนุ่มนิ่มที่ถือปืนเอาไว้ทำให้อีกฝ่ายสะบัดออกอย่างแรงพร้อมตวาดเสียงดังลั่นด้วยความโมโห

   "เลิกโง่ซักที! ฉันเป็นคนฆ่าทุกคนเองนั่นแหละ เตรียมตัวตายได้แล้ว"

   "ฉันรักเธอนะเวย์"

   ต้นหลิวหลับตาลงแถมยังยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนและไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกจากวรภพที่วิ่งเข้ามาหา ท่ามกลางน้ำตาของวิรชาที่ไหลลงมาหนึ่งหยดก่อนจะเหยียดยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความโหดเหี้ยมและร้ายกาจ

   "ลาก่อนค่ะต้นหลิวที่รัก"

   ปัง!!!



**************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 29




   ปัง!!!

  เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับร่างของต้นหลิวที่หงายหลังลงไปสู่อ้อมกอดของคนที่วิ่งเข้ามาดึงจากด้านหลังได้ทันเวลาพอดี เสียงหอบหายใจด้านบนและความอบอุ่นของอ้อมกอดนั้นทำให้ต้องลืมตาขึ้นมามองอย่างแปลกใจ

   "หมอภพ?"

   "ไม่เป็นไรนะ"

   วรภพกดหัวของคนตัวเล็กมาแนบไหล่ของตัวเองทำให้ต้นหลิวเหลือบมองไปด้านหลังเห็นร่างของวิรชายืนกุมหน้าท้องของตนเองซึ่งมีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมดนั้นกำลังปล่อยร่างตนเองล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างหมดแรงพร้อมกับหน่วยช่วยเหลือที่ถือปืนมาล้อมเต็มไปหมดทำให้ต้นหลิวมองร่างคู่หมั้นที่นอนอยู่บนพื้นทั้งน้ำตา

  "เวย์"

   "ปลอดภัยกันรึเปล่าครับ"

   เสียงที่ดังมาจากด้านบนพอเงยหน้าขึ้นไปมองพบรุจรวีที่ย่อตัวลงมาถามด้วยความเป็นห่วงและไม่ไกลจากนั้นก็เห็นเวทิตกำลังดูบาดแผลของพลทัพและกันต์กวินอยู่อีกด้านหนึ่ง ทำให้ต้นหลิวยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้

   "รุจกับทิต พวกนายยังไม่ตายหรอ"

   "ฉันยังไม่ตายแล้วนายมาร้องไห้ทำไมเนี่ย"

   รุจรวีทำหน้าเหวอก่อนจะลูบผมของต้นหลิวด้วยความเอ็นดูทำให้วรภพช่วยปลอบอีกคน

   "อย่าร้องไห้เลยนะต้นหลิว"

   "ฮึกฮือออ ผมไม่คิดเลยว่าเวย์จะทำแบบนี้ ฮือออ"

   ต้นหลิวหันมากอดพลทัพแน่นพร้อมร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจทำให้อีกฝ่ายอดที่จะลูบผมด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   "ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง"

   "ฮึกฮือออ"

   ยิ่งอีกฝ่ายปลอบยิ่งทำให้ต้นหลิวร้องไห้เสียงดังมากกว่าเดิม จังหวะนั้นเองเวทิตที่ดูอาการของคนที่บาดเจ็บเสร็จและเดินเข้ามาสมทบพอดี

   "ด้านนั้นไม่เป็นอะไรมาก หน่วยพยาบาลกำลังทำแผลให้พลทัพ กิตติธัช รวิสรา รณกรเรียบร้อยแล้ว ส่วนกันต์กวินต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลทันทีที่เฮลิคอปเตอร์มาถึง  แล้วตรงนี้บาดเจ็บตรงไหนไหม"

   "มีแค่หมอวรภพที่โดนยิงแค่มือ" รุจรวีมองไปยังคนที่ร้องไห้อย่างหนักใจ "แต่คนที่เจ็บที่สุดดูเหมือนจะเป็นต้นหลิวนะ ไม่มีแผลแต่เจ็บที่ใจแทน"

   "ฮึกฮือออ"

   เสียงร้องไห้ที่ดังออกมาอย่างเสียใจนั้นทำให้รุจรวีและเวทิตยืนมองด้วยความสงสาร ส่วนกิตติธัชก็ถูกหน่วยพยาบาลทำแผลให้เรียบร้อยแล้วนั้นมีมือหนามาวางแล้วลูบผมอย่างแผ่วเบาพอเงยหน้าขึ้นไปพบคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน

   "รอดแล้วนะไอ้ลูกชาย"

   "พ่อ"

   พูดแค่นั้นก่อนที่สองพ่อลูกจะกอดกันแน่นโดยไม่มีคำปลอบโยนอะไรอีก ก่อนที่กิตติชัชจะหันไปมองรวิสราที่นั่งน้ำตาซึมอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเอ็นดูเสมอมา

   "ปลอดภัยแล้วนะหนูรวิ"

   "ค่ะคุณลุง"

   รวิสรายิ้มหวานก่อนจะสะดุ้งเมื่อโดนกิตติธัชแอบหอมแก้มอย่างไม่ทันตั้งตัว

   ฟอด!

   "ธัช!!"

   รวิสราปิดแก้มข้างที่โดนหอมด้วยความเขินอายเรียกเสียงหัวเราะน่าเอ็นดูจากพ่อลูกทั้งสองคนได้ไม่ยาก แต่ก่อนที่จะได้หยอกล้อกันมากไปกว่านี้สมาชิกหน่วยช่วยชีวิตคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาขัดจังหวะพอดี

   "หัวหน้าครับ เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำมาถึงแล้วครับ"

   "จัดการให้เรียบร้อย"

   กิตติชัชออกคำสั่งก่อนจะหันมายิ้มให้ผู้รอดชีวิตทุกคนอย่างอบอุ่น

   "เอาล่ะถึงเวลากลับบ้านกันได้ละ"

   "เย้!~"

   คนที่ดีใจเกินหน้าเกินตาคงหนีไม่พ้นรุจรวีที่กระโดดโลดเต้นจนเวทิตต้องคอยปราม หลังจากนั้นไม่นานนักเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ทั้งสองลำก็มาจอดตรงลานกว้างของป่าได้พอดี พลทัพที่ทำแผลเสร็จแล้วอุ้มกันต์กวินที่สลบอยู่นั้นขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลำแรกที่มีต้นหลิวและวรภพ ส่วนคนอื่นเดินทางไปลำที่สองที่มีขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเท่าตัว

   หลังจากที่เตรียมพร้อมเรียบร้อยทุกอย่างแล้วนั้นเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำจึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลในกรุงเทพซึ่งเป็นจังหวะที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดินพอดีทำให้พลทัพจูบลงตรงหน้าผากของกันต์กวินที่นอนหลับไม่รู้สึกตัวอยู่ในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา

   "กลับบ้านกันแล้วนะกันต์"

   เสียงกระซิบอย่างแผ่วเบาดังก้องเข้าไปยังโสตประสาททำให้ริมฝีปากนุ่มนิ่มนั้นยิ้มจางออกมาแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามทำให้พลทัพยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้นท่ามกลางรอยยิ้มของต้นหลิวและวรภพที่มองมาอย่างล้อเลียน






   หลังจากพาส่งตัวผู้รอดชีวิตเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าทีมสอบสวนและตำรวจจึงทำการปิดคดีกันโดยกันผู้รอดชีวิตไว้เป็นพยานในคดีฆาตกรรมครั้งนี้ แม้ทว่าเรื่องราวการฆาตกรรมและเรื่องราวในป่าที่สิ้นสุดลงแต่สายสัมพันธ์ใหม่ที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจของใครหลายคนอาจนำพาไปสู่ความจริงบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ในรถไฟขบวนนั้น





   หลังจากที่สามารถรอดชีวิตออกมาจากป่าได้นั้นช่วงเวลาก็ผ่านล่วงเลยไปหนึ่งเดือนเต็มแต่ยังทำให้ต้นหลิวนั้นยังซึมเศร้า โดยที่จะนำช่อดอกไม้ขนาดใหญ่มาวางไว้ตรงหน้าป้ายหลุมศพของอดีตคู่หมั้นที่อยู่ในสุสานตรงแถบชานเมืองที่ห่างไกลและเงียบสงบ

   "ผมมาเยี่ยมแล้วนะเวย์ วันนี้อากาสดีมากไม่ค่อยร้อนเกินไปใช่ไหมแล้วผมมีของขวัญมาฝากด้วย ผมยังจำได้เลยนะว่าเวย์ชอบดอกไม้สีชมพูขาวพวกนี้มากเลยใช่ไหม"

   ต้นหลิวฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับความรู้สึกเสียใจที่ตีตื้นขึ้นมาจนน้ำตาเริ่มคลอในจังหวะเดียวกันกับที่สร้อยคอคุ้นตาที่สวมอยู่ถูกถอดออกมาวางไว้ตรงหน้าหลุมศพอย่างอาวร

  "สร้อยเส้นนี้ฉันขอคืนให้นะเวย์ ไม่ว่าที่ผ่านมาเวย์จะร้ายกาจขนาดไหนแต่ยังไงซะฉันจะจดจำแค่ช่วงเวลาที่ดีกับเธอนะ"

   ต้นหลิวหลับตาลงพร้อมกับความทรงจำที่มีเกี่ยวกับวิรชาหลั่งไหลกลับมาอีกครั้ง


.

..

...

   'ต้นหลิว แม่มีคนมาแนะนำให้รู้จักนี่คือ วิรชา หรือหนูเวย์ ลูกสาวเพื่อนสนิทของแม่เองรู้จักกันเอาไว้นะ'

   'สวัสดีค่ะต้นหลิว'

   'สวัสดีครับเวย์'


   'ต้นหลิวจะว่าอะไรไหมถ้าเกิดเราลองมาคบกัน'

   'ไม่มีปัญหาครับ'

   'รู้สึกอายจังที่ขอคบต้นหลิวก่อน'

   'ไม่ต้องอายเลยผมว่าน่ารักดีออก'

   'ต้นหลิวอ่ะ'


   'อะไรกันคะเนี่ย'

   'แต่งงานกับผมนะเวย์'

   'ค่ะ...เวย์จะแต่งงานกับต้นหลิว'



   'ชอบไหมครับเวย์'

   'ชอบมากที่สุดเลยค่ะที่รัก'


   'ต้นหลิวนี่รู้ใจเวย์จังเลยนะคะ..น่ารักที่สุด~'

   'งั้นเรามาทานข้าวกันเถอะ'

...

..

.


   "ฮึก! ผมรักคุณนะเวย์"

   "ต้นหลิว"

   เสียงเรียกที่ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับอ้อมกอดอันอบอุ่นที่ทาบลงมาอย่างแนบสนิทบวกกับคำปลอบโยนที่ดังอยู่ข้างหูที่ทำให้หัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้งอย่างไม่เป็นจังหวะ

   "มีฉันอยู่ตรงนี้ถ้านายอยากร้องไห้อะไรก็ร้องออกมาเถอะ"

   "ภพ~ ฮึกฮืออออ"

   น้ำเสียงที่ปลอบโยนทำให้ต้นหลิวสะอื้นมากยิ่งขึ้นก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นพร้อมทั้งยังกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย



   ทางด้านของกิตติธัชก็ได้รับการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งหลังจากทางทีมสืบสวนทำการปิดคดีครั้งนี้โดยสมบูรณ์โดยมีกิตติชัชผู้เป็นพ่อมาร่วมแสดงความยินดีหลังจากเสร็จพิธีรับตำแหน่งเรียบร้อยแล้วด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มและภูมิใจ

   "ยินดีด้วยกับตำแหน่งสารวัตรนะ คราวนี้ก็ทำหน้าที่ให้รอบคอบและใจเย็นด้วยล่ะเพราะลูกน่ะไม่ใช่แค่ยศผู้กองแล้วเข้าใจไหม ต้องทำตัวเป็นแบบอย่าที่ดีให้กับพวกลูกน้องนะจำเอาไว้"

   "ครับผม!!!"

   กิตติธัชตอบด้วยท่าทางขึงขังและจริงจังทำให้ผู้เป็นพ่อเหยียดยิ้มออกมาอย่างถูกใจก่อนจะเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงหยอกล้อเมื่อเห็นใครบางคนในชุดสีชมพูกำลังเดินถือช่อดอกไม้เข้ามาหาด้วยรอยยิ้มหวาน

   "เมื่อไหร่จะจัดการเรื่องสำคัญซักทีล่ะ พ่ออยากมีหลานแล้วนะ"

   "พ่อ!!!"

   กิตติธัชทำหน้าตาหงุดหงิดทั้งที่หูเริ่มแดงก่อนจะเดินเลี่ยงเดินตรงไปทางรวิสราที่ถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวานตลอดเวลา

   "ยินดีกับตำแหน่งสารวัตรด้วยนะคะธัช รวิเอาดอกไม้มาให้ด้วยไม่รู้ว่าธัชจะชอบรึเปล่า"

   "ขอบคุณนะรวิ"

   กิตติธัชรับดอกไม้มาถือไว้ก่อนที่ทั้งสองคนจะเงียบมีเพียงรอยยิ้มให้กันเท่านั้น จนรวิสราเริ่มอึดอัดกับสายตาคนแถวนั้นต่างลอบมองมาตาไม่กระพริบ

   "เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วรวิขอตัวก่อนนะคะ ธัชจะได้เดินไปทักทายคนอื่นต่อ"

   "เดี๋ยวซิ"

   กิตติธัชรั้งข้อมือขาวแสนบอบบางเอาไว้ก่อนที่จะนั่งคุกเข่าลงไปทั้งชุดเต็มยศแบบนั้นทำให้รวิสราหน้าตาเห่อร้อนมองไปมองมาเริ่มทำตัวไม่ถูก

   "ทำอะไรน่ะคะธัช ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะรวิอายคนอื่นเขา"

   "ผมไม่สนใจคนอื่นหรอก ตอนนี้สนใจแค่คุณคนเดียวรู้ตัวบ้างไหมรวิสรา"

   กิตติธัชพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นพร้อมกับล้วงมือไปหยิบกล่องแหวนทรงรูปหัวใจสีแดงออกมาแล้วเปิดออกเผยให้เห็นแหวนเพชรเม็ดใหญ่ที่สวยและมีราคากว่าวงเดิมแต่นั่นเทียบไม่ได้กับคำพูดที่เต็มไปด้วยความรัก

   "ผมเคยบอกแล้วไงว่าจะหาวงใหม่มาสวมให้ ผมทำตามสัญญาแล้วนะเห็นไหม เพราะฉะนั้นแต่งงานกับผมนะรวิ"

   "ธัช"

   แก้มทั้งสองข้างของรวิสราแดงขึ้นสีอย่างน่ารักก่อนจะเงียบไปทำให้กิตติธัชต้องทำน้ำเสียงออดอ้อนเป็นครั้งแรกท่ามกลางตำรวจทุกคนที่ลอบมองอยู่ด้วย

   "รวิสราแต่งงานกับผมนะครับ"

   "ยังอยากจะแต่งงานกับรวิอยู่หรอคะ"

   รวิสราทำหน้างอใส่ด้วยความแง่งอน

   "ไม่รังเกียจกันแล้วหรอ"

   "ที่ผ่านมาผมไม่ได้รังเกียจนะ"

   กิตติธัชส่ายหน้าก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

   "แต่ผมแค่งี่เง่าเกินไป"

   "รู้ตัวด้วยหรอคะ"

   รวิสราอมยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับทั้งที่แก้มทั้งสองแดงก่ำไปหมด

   "ถ้าธัชไม่รังเกียจ รวิก็ตกลงค่ะ"

   "จริงนะ"

   กิตติธัชพูดด้วยน้ำเสียงดีใจและแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความสุข

   "รวิรับปากจะแต่งงานกับธัชนะ"

   "แต่หลังงานจากที่รวืจัดงานศพให้คุณพ่อเสร็จก่อนได้ไหมคะ"

   คำถามจากคนที่แก้มแดงไปหมดนั้นทำให้กิตติธัชชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด

   "ตกลงจะแต่งงานกับผมแล้วใช่ไหม"

   "ตกลงค่ะ"

   "รวิสรา~"

   กิตติธัชร้องด้วยความดีใจก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่นพร้อมตะโกนเรียกผู้เป็นพ่อที่ยืนมองอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง

   "รวิสราตอบตกลงที่แต่งงานกับผมแล้วพ่อ"

   "เหวอ!!!"

   รวิสรายิ้มหวานก่อนที่จะร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายอุ้มตัวเองขึ้นมาพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาอย่างไม่อายใคร

   ปุ้ง!~

   "เฮ้!!! ยินดีด้วยครับสารวัตร"

   ท่ามกลางเสียงเฮฮาและพลุสายรุ้งที่ถูกจุดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่คนที่จะดีใจที่สุดคงจะเป็นกิตติชัชที่เดินมาอวยพรอะไรบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองคนต้องหน้าแดงด้วยความเขินอาย

   "แต่งงานกันแล้วรีบมีลูกเลยนะพ่ออยากอยากอุ้มหลานจะแย่อยู่แล้ว"

   "คุณพ่อ!!!"

   กิตติธัชเสียงดังด้วยความขัดเขินแต่มือโอบรวิสราคู่หมั้นของตนเองที่ยืนแก้มแดงอย่างแนบแน่นไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปเป็นครั้งที่สอง



   ทางด้านของเวทิตและรุจรวีหลังจากรอดชีวิตออกมาจากในป่านั้นก็รับงานถ่ายแบบคู่กันมากขึ้นรวมถึงการถ่ายแบบในสระว่ายน้ำครั้งนี้ด้วย

   "น้องรุจเขยิบเข้าไปใกล้กว่านี้อีกครับ"

   เสียงผู้กำกับดังขึ้นทำให้รุจรวีทำหน้าตาขัดใจก่อนจะเอามือขาวแนบลงไปตรงหน้าอกของอีกคนที่ถูกทาสีจนเข้มกว่าเดิมพร้อมกับหน้าที่ซบลงไปอย่างเบื่อหน่ายทั้งที่ปากยังยิ้มให้กล้องอย่างน่ารัก

   "ใกล้ชิดจนจะสิงร่างกันอยู่แล้วยังไม่พออีกรึไง แถมน้ำยังเย็นจนตัวเริ่มเปื่อยแล้วเนี่ยทำไมท่านประธานถึงรับงานไม่ดูบรรยากาศบ้าง ดีนะที่ถ่ายในร่มไม่ได้ถ่ายกลางแดดน่ะไม่งั้นนะผิวฉันเสียหมดแน่เลย"

   "หึหึ อย่าบ่นหน่าเด็กน้อย"

   เวทิตกระซิบข้างหูพร้อมกับกอดเอวบางในชุดเสื้อกล้ามสีขาวที่เปียกน้ำจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนให้เข้ามาแนบชิดกับตนเองมากยิ่งขึ้นจนรุจรวีอดที่จะตีไหล่อย่างหมั่นไส้ไม่ได้

   "ฉวยโอกาสหรอพี่ทิตคนแก่"

   "คนแก่?"

   เวทิตชักสีหน้าอย่างไม่พอใจพร้อมมองคนตรงหน้าที่ยิ้มกวนประสาทมาให้อย่างคาดโทษ

   "พูดแบบนี้อยากโดนทำโทษใช่ไหม"

   "เอาเลยซิ"

   รุจรวีเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทายทำให้อีกฝ่ายอดใจไม่ไหวประกบปากลงมาอย่างแนบสนิดก่อนที่ทั้งสองจะจูบกันอย่างดูดดื่มในสระว่ายน้ำจนช่างภาพกดชัตเตอร์รัวและคนในกองถ่ายกลับเอามือถือขึ้นมาถ่ายภาพนิ่งรวมถึงถ่ายคลิปเต็มไปหมดแต่ทั้งสองคนไม่สนใจจูบสลับกันอย่างไม่ยอมแพ้จนรุจรวีเป็นฝ่ายผละออกมาซบไหล่อีกฝ่ายแล้วหอบหายใจอย่างหมดแรงแต่ทุบไหล่ของคนที่ยิ้มอยู่อย่างหมั่นไส้

   "หัวเราะเยาะหรอ! คราวหน้าฉันไม่แพ้นายหรอก"

   "หึหึ ตั้งตารอเลยล่ะ"

   เวทิตตอบพร้อมกับลูบไล้ผิวบอบบางที่เริ่มซีดเพราะอยู่ในน้ำนานเกินไปจึงอุ้มคนตัวเล็กขึ้นพร้อมกับหันไปหาช่างภาพที่ชอบยืนมองคนตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาตาไม่กระพริบ

   "ไม่ถ่ายภาพต่อแล้วหรอครับ?"

   "อ๋อครับ!"

   ช่างภาพรีบกดชัตเตอร์รัวจนภาพนั้นออกมาเป็นที่พอใจ ผู้กำกับจึงให้ขึ้นมาจากสระว่ายน้ำด้วยรอยยิ้มที่ถูกใจในผลงานที่ออกมาปนไปด้วยเอ็นดูนายแบบทั้งสองคน

   "ถ่ายทำเสร็จแล้วครับ ขอบคุณน้องทั้งสองคนมากเลยนะที่ยอมมาถ่ายแบบให้พี่ ภาพที่ออกมานี่ต้องถึงใจคนดูแน่นอนเลย"

  "ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะซิครับ"

   รุจรวีตอบพร้อมรับเสื้อคลุมสีขาวมาคลุมไว้ก่อนที่ผ้าเช็ดผมที่โปะลงมาตามมาด้วยมือใหญ่ที่เซ็ดผมให้อย่างอ่อนโยน ทำให้แฟนคลับและคนในกองถ่ายกรี๊ดกร๊าดยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพกันอีกครั้งจนคนตัวเล็กกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย

   "จะถ่ายอะไรกันนักหนาครับ แอบถ่ายคนรักกันนี่มันฟินตรงไหน"

   "ไม่เอา ไม่เหวี่ยงน่า"

   เวทิตเลื่อนลงมือมากอดเอวเล็กยิ่งทำให้แฟนคลับกรี๊ดกันกว่าเดิมรวมถึงรุจรวีที่กัดปากอย่างขัดใจ

   "ก็มันอึดอัดนี่หน่า เลิกแอบถ่ายกันได้แล้วครับ"

   "แต่เราอยากถ่ายพี่ทั้งสองคนนะคะ"

   เหล่าแฟนคลับทำหน้าตาเสียดายทำให้รุจรวีแสยะยิ้มอย่างเจ้าเหล่ห์แล้วกอดแขนคนตัวสูงแน่น

   "ถ้าอยากถ่ายจริงมาถ่ายกันตรงนี้เลยเถอะ พวกพี่จะยอมให้ถ่ายจนพอใจเลยล่ะ"

   "อ๊ายย จริงหรอคะพี่รุจ"

   แฟนคลับคนหนึ่งทำหน้าตาดีอกดีใจพร้อมคำถามที่ดังขึ้นมาจากแฟนคลับที่อยู่ด้านหลังสุด

   "แล้วพี่ทั้งสองคนเป็นอะไรกันคะ"

   "บอกแล้วไงครับว่าเราสองคนเป็นคนรักกัน"

   รุจรวีตอบกลับพร้อมหอมแก้มคนตัวสูงกว่าดังฟอดใหญ่ท่ามกลางเสียงกรี๊ดและเสียงถ่ายภาพที่ดังไม่หยุดแต่ไม่ทำให้รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าที่มีความสุขของทั้งสองคนเลยซักนิดเดียว




*********************************

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 30





   ซึ่งหลังจากนั้นข่าวเรื่องราวของทั้งสองคนก็ดังไปทั่วทั้งอินเตอร์เน็ตและออกข่าวทางโทรทัศน์ซึ่งทำให้แฟนคลับดีใจกันทั้งประเทศ

   'ข่าวบันเทิงเด็ดวันนี้คือการประกาศคบกันของนายแบบชื่อดังทั้งสองคน เวทิตและรุจรวี ที่หลังจากรอดชีวิตกลับมาจากเหตุการณ์ระทึกขวัญรถไฟตกรางก็มีงานถ่ายแบบคู่กันติดต่อมามากมายจนแฟนคลับติดตามกันนับพันคนและลุ้นว่าจะเป็นคนรักกันจริงหรือไม่ จนกระทั่งงานถ่ายแบบชุดว่ายน้ำของนิตยสารชื่อดังแห่งหนึ่งทั้งคู่จึงประกาศต่อหน้าแฟนคลับ เราไปชมคลิปนี้จากแฟนคลับเลยค่ะ

   ...'จะถ่ายอะไรกันนักหนา แอบถ่ายคนรักกันนี่มันฟินตรงไหน ถ้าอยากถ่ายจริงมาถ่ายกันตรงนี้เลย  พวกพี่จะยอมให้ถ่ายจนพอใจเลยล่ะ'...

   ...'แล้วพี่ทั้งสองคนเป็นอะไรกันคะ'...

   ...'บอกแล้วไงว่าเราสองคนเป็นคนรักกัน'...

   แล้วหลังจากที่ทั้งสองคนออกมาประกาศว่าเป็นคนรักกันนิตยสารชื่อดังนั้นก็ขายหมดตั้งแต่ห้าชั่วโมงแรกที่วางขายทั่วประเทศ ขอแสดงความยินดีและแฟนคลับจะสนับสนุนผลงานของทั้งสองคนต่อไปนะคะ เอาล่ะค่ะข่าวต่อมา...ติ๊ด!'

   "ตัดต่อคลิปแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ตัวจริงฉันพูดเพราะกว่านี้อีกนะ"

   รุจรวีนั่งกอดอกทำหน้าตาบึ้งตึงหลังจากโยนรีโมทโทรทัศน์ลงบนโต๊ะที่มีน้ำชาวางไว้สองถ้วยอย่างแรงทำให้เวทิตที่นั่งอยู่ด้านข้างยกมือขึ้นมาลูบหลังอย่างแผ่วเบา

   "เอาน่ะ อย่าโมโหเลยรุจ"

   "ประกาศเป็นคนรักกันแค่นี้ทำไมต้องออกข่าวให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทั้งประเทศด้วย"

   รุจรวียิ่งทำหน้าหงิกพร้อมเหลือบตาไปมองกิตติธัชที่กำลังดื่มกาแฟอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างอาฆาต

   "ทีกิตกับรวิตกลงจะแต่งงานกันไม่เห็นจะเป็นข่าวอะไรใหญ่โตเลยซักนิดเดียว"

   "แล้วมันเหมือนกันไหมล่ะ"

   กิตติธัชวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะพร้อมกับทำหน้าตากวนประสาท

   "ฉันแค่ตำรวจส่วนพวกนายสองคนมันนายแบบชื่อดังเลยนะ"

   "มันไม่เห็นเกี่ยวกันตรงไหนเลย นายแบบแล้วมีความรักไม่ได้รึไง"

   รุจรวีกอดอกอย่างขัดใจทำให้กิตติธัชหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดออกมาอย่างกวนประสาทมากกว่าเดิม

   "ได้น่ะมันได้แต่พวกนายเป็นคนดังไง"

   "พูดวนไปวนมาอยู่นั่นแหละตั้งใจจะกวนประสาทรึไงหะ"

   ยิ่งฟังยิ่งอารมณ์เสียจนรุจรวีมองหน้าอย่างหาเรื่องทำให้กิตติธัชหัวเราะพร้อมยื่นหน้ามาหยอกล้อจนน่าหมั่นไส้

   "ก็นายน่ากวนประสาทนี่หน่า"

   "นี่นาย!"

   "สองหนุ่มเงียบกันก่อนได้ไหมคะ"

   รวิสราขัดจังหวะขึ้นมาก่อนจะกอดอกมองทั้งสองคนด้วยใบหน้าที่ขัดใจ

   "คุณกันต์กวินต้องการพักผ่อนนะคะ"

   "โอ๊ะ!"

   รุจรวีอุทานอย่างความลืมตัวก่อนที่ทุกคนจะพร้อมใจกันเงียบเสียงลงแล้วหันไปมองกันต์กวินที่กำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงใหญ่ท่ามกลางสายน้ำเกลือและเครื่องพ่นไอน้ำติดไว้ตรงหัวเตียงเพื่อช่วยทำให้อากาศชื้นไม่แห้งจนเกินไป โดยมีพลทัพและรณกรคอยนั่งดูแลอย่างใกล้ชิดโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันซักคำ ซึ่งกิตติธัชตัดสินใจถามขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศแสนอึดอัด

   "แล้วอาการเป็นไงบ้าง"

   "เหมือนคนนอนหลับไปธรรมดานี่แหละ"

   พลทัพตอบก่อนจะเลื่อนผ้าห่มขึ้นมาปิดตรงหน้าอกของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงเพราะอุณภูมิเครื่องปรับอากาศเริ่มเย็น

   "คุณหมอได้บอกรึเปล่าว่าจะรู้สึกตัวเมื่อไหร่"

   "คุณหมอบอกว่ายานอนหลับที่ถูกกรอกเข้าไปนั้นมีฤทธิ์แรงเกินไปแต่โชคดีที่หน่วยช่วยเหลือปฐมพยาบาลและพาตัวมาโรงพยาบาลทันเวลา"

   รณกรเป็นฝ่ายตอบโดยที่มือนั้นกำลังบิดผ้าชบน้ำจนหมาดก่อนจะเช็ดแขนให้คนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนโยน   

   "ซึ่งถ้าจะรู้สึกตัวคงต้องรอจนกว่ายาจะหมดฤทธิ์น่ะครับ"

   "โชคดีนะที่วันนั้นไปหาพวกนายทันเวลาพอดีน่ะ ไม่อย่างนั้นไม่อยากจะคิดเลย"

   เวทิตถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทำให้รุจรวีรีบพูดเสริมโดยไม่ทันจะคิดว่าสายตาของใครบางคนจะหมองลงอย่างน่าสงสาร

   "นั่นน่ะซิไม่อย่างนั้นไม่อยากจะคิดเลยว่ายัยโรคจิตนั่นจะฆ่าใครอีก"

   "รุจ"

   เวทิตปรามคนรักของตนเองที่เริ่มพูดมากเกินไปทำให้รุจรวีทำหน้าตาตกใจก่อนจะหันไปขอโทษต้นหลิวที่กำลังดื่มกาแฟตรงโต๊ะทานอาหารอีกฝากหนึ่งของห้อง

   "โอ๊ะ! ขอโทษนะต้นหลิว"

   "ไม่เป็นไรหรอก" ต้นหลิวส่ายหน้าไปมาพร้อมยิ้มให้อีกฝ่ายอย่าไม่ถือสา "ผมไม่โกรธหรอกก็มันเป็นเรื่องจริงแถมผมยังคิดเหมือนรุจว่าเวย์นั้นไม่น่าลงมือทำเรื่องราวแบบนี้เลย"

   "แต่ฉันคิดว่ามันเป็นความผิดของฉันเหมือนกันนะคะ" รวิสราพูดแทรกขึ้นมาพร้อมมองไปยังคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยสายตาสำนึกผิด  "ตอนนั้นฉันน่าจะช่วยกันต์ให้มากกว่านี้"

   "ไม่ใช่ความผิดของรวิเลยนะ"

   กิตติธัชลูบหลังอย่างแผ่วเบากก่อนจะเนียนเลื่อนลงมากอดเอวบางอย่างแนบแน่นโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเพราะกำลังทำหน้าเป็นกังวลอยู่นั่นเอง

   "แต่..."

   "แต่ถ้าเวธกาไม่หักหลังพวกเราจนวิรชาจับตัวพวกคุณไปคงจะไม่ต้องเกิดเรื่องแบบนี้หรอก"

   กิตติธัชกำหมัดแน่นด้วยความโมโหทำให้รวิสราหันมาปิดปากแน่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายพูดมาก

   "อย่าไปโทษเลยค่ะ เกลเองก็ตายไปแล้วนะคะ"

   "คนทรยศสมควรได้รับบทลงโทษแล้ว"

   รณกรพูดแทรกขึ้นมาขณะที่มือกำลังเช็ดแขนขาวของคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนโยน

   "รวิไม่ต้องคิดมากหรอกนะครับ"

   "แต่คนที่คิดมากที่สุดน่าจะเป็นพลทัพนะคะ"

   รวิสรามองไปยังพลทัพที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึงของเตียงกำลังเลื่อนผ้าห่มขึ้นมาปิดคอร่างบางที่นอนหลับอยู่บนเตียงอีกครั้งอย่างอ่อนโยนทำให้กิตติธัชเหยียดยิ้มออกมาอย่างถูกใจกับท่าทางของอีกฝ่าย

   "บางทีคนที่หมอนั่นรักอาจจะอยู่แถวนี้ก็ได้"

   กิตติธัชเดินไปกอดคอแล้วทำท่าทางและน้ำเสียงกวนประสาท

   "ใช่ไหมล่ะ"

   "หึ! แสนรู้"

   พลทัพหัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปจับผ้าห่มเลื่อนขึ้นมาพอดีกับคางเพราะกลัวคนที่นอนอยู่จะหนาวเกินไปก่อนจะหันไปมองกิตติธัชที่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

   "แล้วนายไม่คิดจะกลับไปเป็นตำรวจจริงหรอ ถ้าเกิดนายยอมกลับไปทำงานนะ ฉันจะบอกให้พ่อจัดการเรื่องทุกอย่างเอง"

   "ไม่เอาหรอกฉันเบื่อกับการทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนั้นแล้ว"

   พลทัพปฏิเสธก่อนจะจ้องมองใบหน้าหวานของคนทนอนหลับอยู่อย่างอ่อนโยน

   "แถมตอนนี้ยังเจออะไรที่น่าสนใจกว่างานนั่นตั้งเยอะ"

   "ถ้านายตัดสินใจแบบนั้นก็ตามใจ"

   กิตติธัชยักไหล่ก่อนจะก้มลงไปกระซิบให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน

   "แต่ยังไงก็อย่าปล่อยให้หลุดมือไปแล้วกันรู้ใช่ไหมว่ามีใครบางคนคอยหวงก้างอยู่น่ะ"

   "ปล่อยให้หวงไปแบบนั้นแหละ"

   พลทัพเหลือบไปมองรณกรที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งของเตียงที่กำลังเช็ดมือและแขนขาวนั้นอย่างทะนุถนอม

   "ยังไงก็ชนะฉันไม่ได้อยู่แล้ว"

   "มั่นใจเหลือเกินนะ"

   กิตติธัชเหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างกวนประสาท

   "รอให้ฟื้นมาก่อนแล้วค่อยถามจะดีกว่าไหม ไม่แน่นายอาจจะคิดไปคนเดียวก็ได้"

   ปึก!

   "ปากมาก"

   พลทัพฟาดฝ่ามือเข้าไปตรงหัวไหล่ที่พันแผลของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแรงจนกิตติธัชร้องเสียงดังลั่นห้อง

   "โอ๊ย! ทุบตรงแผลทำไมเนี่ย" 

   ก่อนจะถลาไปหารวิสราที่กำลังนั่งปอกเปลือกส้มใส่จานอยู่บนโซฟาอย่างออดอ้อน

   "รวิจ๋า~"

   "คิกคิก สมน้ำหน้า"

   รวิสราหัวเราะคิกคักก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายทำสีหน้าเจ็บปวดจนอดเป็นห่วงไม่ได้

   "เจ็บมากเลยหรอคะ"

   "เจ็บซิเจ็บมากด้วย รวิลองดูแผลตรงนี้ให้หน่อยซิ"

   ทำหน้าตาและน้ำเสียงออดอ้อนจนอีกฝ่ายหลงกลเลื่อนใบหน้าเข้ามาดูแผลทำให้กิตติธัชได้จังหวะพุ่งหน้าเขิาไปหอมแก้มนุ่มนิ่มนั่นทันที

   ฟอด!

   "ธัช!"

   รวิสราเอามือจับแก้มตัวเองที่เริ่มแดงจัดแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างแง่งอนโดยมีกิตติธัชยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดเวลา ระหว่างนั้นเองโทรศัพท์มือถือของต้นหลิวก็ดังขึ้น พอมองเบอร์แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มแห้งให้ทุกคนที่หันมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน

   "ผมลืมปิดเสียงโทรศัพท์น่ะครัย งั้นขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ"

   "เชิญตามสบายครับ"

   พอได้ยินแบบนั้นต้นหลิวจึงเดินออกไปรับโทรศัพท์ตรงระเบียงห้องด้วยรอยยิ้มหวาน

   "สวัสดีครับคุณแม่ โทรมาหาผมมีธุระอะไรรึเปล่าครับ"

   'ถ้าไม่มีธุระนี่แม่โทรมาหาลูกไม่ได้เลยหรอคะ'

   เสียงปลายสายพูดออกมาอย่างน้อยใจทำให้คนฟังยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

   "ไม่ใช่แบบนะครับคุณแม่"

   'เอาเถอะแม่ไม่แกล้งเราแล้วล่ะ ที่แม่โทรมาเพราะจะบอกว่าทางทีมแพทย์นั้นส่งผลการชันสูตรพลิกศพของอดีตคู่หมั้นตัวร้ายของลูกมาแล้วแม่เลยให้คนเอาไว้แฟ้มที่ห้องทำงานลูกเรียบร้อยแล้ว'

   "ขอบคุณครับ"

   ต้นหลิวใบหน้าเจือนลงก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอยางแปลกใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เป็นกังวลของปลายสาย

   'ลูกต้องรีบกลับไปดูเลยนะแล้วจะได้รู้ว่ายัยนั่นร้ายกว่าที่ลูกคิด น่าเสียดายที่แม่หลงไปรักและเอ็นดูยัยตัวร้ายนั่นจนเกือบทำให้ลูกโดนยิงน่ะ'

   "เรื่องมันผ่านไปแล้วนะครับคุณแม่"

   พอได้ยินแบบนั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างขัดใจจากปลายสายที่ถ้าเห็นภาพต้องกำลังเหลือบตามองบนอยู่แน่นอน

   'แสนดีเกินไปแล้วนะลูกแม่น่ะ งั้นแค่นี้นะลูกแม่ต้องไปประชุมต่อแล้ว'

   "ครับผม รักคุณแม่นะครับ~"

   ต้นหลิวยิ้มหวานก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยที่มีอาหารวางเต็มโต๊ะมากมายและกำลังจะทานข้าวเย็นกันพอดีซึ่งรวิสราหันมามองทั้งที่ในมือกำลังถือจานอาหารเดินมาเสิร์ฟพอดีจึงชวนด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนหวาน

   "ต้นหลิวมาทานอาหารเย็นกันเถอะค่ะ มีอาหารเยอะแยะเลย"

   "น่ากินจังเลยครับ" ต้นหลิวยิ้มกว้างเมื่อเห็นของน่ากินบนโต๊ะก่อนจะทำหน้าเสียดาย "แต่ผมคงจะอยู่ทานไม่ได้"

   "ทำไมล่ะคะ"

   รวิสราทำสีหน้าเสียดายไม่แพ้กันทำให้ต้นหลิวยิ้มแห้งให้ด้วยท่าทางเกรงใจ

   "พอดีมีงานสำคัญเข้ามาน่ะครับ"

   "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ไว้ค่อยมาทานข้าวพร้อมกันตอนที่กันต์ฟื้นแล้วก็ได้ค่ะ"

   รวิสราพูดด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่อ่อนหวานซึ่งต้นหลิวพยักหน้าและกล่าวลาทุกคน

   "งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ"

   "เดี๋ยวผมไปส่งนะ"

   ก่อนที่จะเดินออกจากห้องวรภพก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกุญแจรถที่กำอยู่ในมือซึ่งต้นหลิวหันมายิ้มหวานให้ทันที

   "ขอบคุณนะครับ"

   ทั้งสองคนออกจากโรงพยาบาลในตอนเย็นซึ่งระหว่างทางนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันมากมายเพราะต้นหลิวนั่งกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างคิดถึงเรื่องผลที่ชันสูตรออกมาด้วยท่าทางที่เป็นกังวล


**************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 31




   จนกระทั่งมาถึงหน้าคอนโดแห่งหนึ่งซึ่งภายนอกดูไม่ค่อยใหม่เท่าไหร่เพราะมีแต่รอยปูนแตกเต็มไปหมด  แต่รู้สึกจะเหม่อเกินไปจนวรภพที่ขับรถมาส่งนั้นต้องสะกิดอย่างแผ่วเบาเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

   "ถึงบ้านแล้วครับ"

   "โอ๊ะ! ขอบคุณที่มาส่งนะครับ"

   ต้นหลิวรีบขอบคุณก่อนจะชะงักมือที่จับประตูไว้แล้วหันมามองอย่างชั่งใจจนวรภพต้องเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างแปลกใจ

   "ลืมอะไรรึเปล่าครับ"

   "หมอภพครับ"

   ต้นหลิวกำชายเสื้อตัวเองแน่นพร้อมเหลือบตาขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความประหม่าปนเขินอายไปหมด

   "ไปดื่มกาแฟที่ห้องทำงานของผมก่อนไหมครับ"

   "ดื่มกาแฟ?"

   วรภพเลิกคิ้วสูงมองท่าทางเขินอายของอีกฝ่ายจนอดที่จะยิ้มตรงมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ 

   "ดื่มตอนเย็นนี่น่ะหรอครับ แปลว่าชวนผมไปบนห้องคุณ?"

   "ครับ!" ต้นหลิวพยักหน้าแล้วตอบด้วยน้ำอ้อมแอ้ม  "ผมมีเรื่องงานสำคัญที่จะคุยด้วยน่ะครับ"

  "ได้ซิ"

   วรภพยิ้มกว้างก่อนจะลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในคอนโดพร้อมกันซึ่งด้านในนั้นดูเก่าและอับชื้นแถมตอนขึ้นลิฟท์ยังได้ยินเสียงดังของกลไกลอีกด้วย

   "อยู่คอนโดนี้คนเดียวไม่กลัวหรอครับ"

   "ไม่นะครับ ห้องผมไม่ได้ได้แย่ขนาดนั้น"

   ต้นหลิวตอบด้วยน้ำเสียงปกติแต่พยายามกลั้นหัวเราะคนตรงหน้า จนกระทั่งทั้งสองคนมาถึงชั้นบนสุดซึ่งมีประตูอยู่เพียงบานเดียว ต้นหลิวก็หยิบกุญแจขึ้นมาไขพร้อมกับหันมายิ้มหวานให้คนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง

   กริ๊ก!

   "เชิญครับ"

   พอเปิดประตูเข้ามาก็พบกับห้องสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งตรงกลางห้องเต็มไปด้วยหนังสือและแฟ้มเอกสารมากมายบนโต๊ะทำงานโดยที่ด้านหลังมีห้องกระจกขนาดใหญ่สำหรับเก็บหลักฐานที่แอบสืบไว้หลากหลายคดี ด้านซ้ายมือเป็นห้องนอนส่วนทางด้านขวามือคือห้องครัวและห้องน้ำ แถมสภาพห้องดูสะอาดเรียบร้อยและน่านอนมาก

   "นี่คือห้องทำงานผมครับ ตามสบายเลยนะ"

   "ห้องใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย"

   วรภพมองรอบห้องอย่างพึงพอใจเพราะอย่างน้อยห้องอีกฝ่ายก็ยังสภาพดีไม่เก่าและผุพังเหมือนภายนอก

   "ผมนึกว่าจะเก่าเหมือนข้างนอกซะอีก"

   "กว่าจะปรับปรุงใหม่ขนาดนี้ได้ก็หมดไปหลายตังนะครับ แต่ไม่ค่อยได้มาบ่อยเพราะพบจะไว้ใช้เก็บหลักฐานเรื่องสืบคดีน่ะครับแต่ยังไม่เคยเป็นเรื่องเป็นราวอะไรมากมาย ฮะฮะ"

   ต้นหลิวยกมือขึ้นลูบผมด้านหลังตัวเองด้วยความขัดเขิน

   "ตกลงรับกาแฟไหมครับ"

   "ผมขอชาดีกว่า"

   "แต่ผมชงชาไม่อร่อยนะ"

    ต้นหลิวทำหน้าตาลำบากใจทำให้วรภพเหยียดยิ้มตรงมุมปากด้วยความเอ็นดู

   "แต่ผมชงชาอร่อยนะแล้วห้องครัวอยู่ตรงไหนล่ะ"

   "ตรงประตูนั้นครับส่วนอีกห้องที่ติดกันนั้นเป็นห้องน้ำ"

   มือเรียวผายไปทางด้านซ้ายมือของห้องทำให้ร่างสูงพยักหน้าทันที

   "งั้นผมขออนุญาตนะ"

   "ตามสบายเลยครับ"

   ระหว่างที่วรภพไปชงชาในครัวต้นหลิวจึงหยิบแฟ้มรายงานการชันสูตรพลิกศพมาอ่านแต่แล้วต้องขมวดคิ้วแน่น ไล่สายตาเลื่อนลงมาด้านล่างและเปิดแผ่นกระดาษไปเรื่อยจนถึงหน้าสุดท้ายก่อนจะปล่อยแฟ้มงานให้ตกลงพื้นพร้อมเอนตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง

   ตุ๊บ!

   "ต้นหลิวเป็นอะไร"

   ซึ่งเสียงดังนั้นทำให้วรภพถือน้ำชาออกมาจากห้องครัวด้วยความเป็นห่วงไปหาคนตัวเล็กที่นั่งถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ

   "ผลการชันสูตรศพของเวย์ออกมาแล้ว"

   "มีอะไรน่าเครียดหรอ"

   วรภพขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้แล้วยกชาขึ้นมาดื่ม

   "ผลออกมาน่าเครียดตรงไหนครับ"

   "มันจะไม่น่าเครียดเลยถ้า..."

   ต้นหลิวสูดลมหายใจพร้อมยื่นแฟ้มเอกสารให้คนที่นั่งดื่มชาฝั่งตรงข้าม

    "ผลการชันสูตรไม่ออกมาว่าเวย์กำลังตั้งท้อง"

   "ตั้งท้อง!"

    มือหนารีบคว้าเอกสารไปอ่านแล้วเหลือบมองใบหน้าหวานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

    "ท้องกับนายหรอ"

    "ไม่ใช่นะ!"

    ต้นหลิวรีบปฏิเสธเสียงสูงทั้งที่ใบหน้ากำลงร้อนด้วยความเขินอาย

   "แถมผมยังไม่เคยมีอะไรกับเวย์ซักครั้ง"

    "แล้วเด็กในท้องวิรชา..."

    วรภพเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากับต้นหลิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน

   "คือลูกใคร?"

   "แถมที่น่าสงสัยไปกว่านั้นผลชันสูตรศพของคุณรติกรนั้นพบว่ารัดคอจากด้านหลังอย่างรุนแรงและไม่มีทางที่ผู้หญิงคนเดียวทำได้แน่"

    ต้นหลิววางภาพหลักฐานศพของรติกรที่ถ่ายเอาไว้พร้อมกับรูปศพของอีกคนหนึ่งที่ไหม้เกรียม

    "แถมน้ำหนักมือใกล้เคียงกันกับที่พบบนศพของอิฐ"

   "ถ้าอย่างนั้นนอกจากวิรชาแล้วก็ยังมีฆาตกรอีกคนหนึ่งน่ะซิ"

   "ผมเองก็คิดแบบนั้น"

   พอคิดถึงเรื่องนี้ทำให้วรภพอดที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างหนักหน่วง

    "แต่จะเป็นใครไปได้ในเมื่อกลุ่มพวกเราไม่มีใครที่น่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยซักคน"

   "ยังไงก็ต้องสืบดูให้รู้เรื่อง"

   ต้นหลิวพูดออกมาอย่างมุ่งมั่นทำให้วรภพอมยิ้มตรงมุมปากด้วยความเอ็นดู

   "ฉันจะช่วยนายเอง"

   "อื้ม ขอบใจนะ"

   ต้นหลิวยิ้มหวานให้อย่างน่ารักทำให้คนมองชะงักก่อนจะคว้าแฟ้มที่วางบนโต๊ะกระจกมากอดไว้แน่น

   "งั้นฉันขออ่านเอกสารการเสียชีวิตของวิรชาหน่อยแล้วกันนะ"

   "ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะลองสืบประวัติของเหยื่อแต่ละคนอย่างละเอียดอีกทีนะครับ"

    ต้นหลิวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังห้องกระจกด้านหลังแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคของคนตัวสูงที่ยังสนใจกับแฟ้มในมือเหมือนเดิม

   "ต้นหลิว...ระหว่างที่เรากำลังสืบเรื่องนี้เนี่ย คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าหากผม..."

    "ครับ?"

   ต้นหลิวหันมาในจังหวะที่เอียงคออย่างน่ารักทำให้วรภพหลบสายตาทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    "ผมอาจจะต้องขอนอนค้างที่นี่"

    "ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ"

    ต้นหลิวตอบพร้อมรอยยิ้มหวานที่ทำให้หัวใจคนมองเต้นไม่เป็นจังหวะ

    "จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ตามสบายเลยนะ"




   คืนนั้นวรภพนั่งอ่านผลชันสูตรศพจากนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดพบข้อสงสัยหลายอย่าง   โดยที่อีกด้านหนึ่งของห้องมีต้นหลิวกำลังสบประวัติของผู้เสียชีวิตแต่ละคนอย่างเคร่งเครียดจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนกว่าจะรู้สึกตัวก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาในตอนเช้ามืดท่ามกลางบรรยากาศห้องที่เงียบสนิททำให้ต้นหลิวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันไปมองวรภพที่กำลังจิบกาแฟอยู่นั้นส่งยิ้มมาให้อย่างไม่ถือสาซึ่งต้นหลิวรีบกดรับโทรศัพท์ทันทีโดยไม่ทันได้ดูชื่อ

   "สวัสดีครับ ผมต้นหลิวพูดสายครับ"

   "คุณต้นหลิว ผมรณกรเองครับ!"

   น้ำเสียงที่คุ้นหูทำให้คิ้วสวยยกสูงขึ้นมาอย่างสงสัย

    "กรโทรมามีอะไรรึเปล่าครับ"

   "ผมจะโทรมาบอกข่าวดี กันต์ฟื้นแล้วนะครับ!"

   "จริงหรอครับ!"

   ต้นหลิวยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนจะเหลือบไปสบตากับคนที่มองมาพอดี

    "แล้วอาการเป็นยังไงบ้างครับ?"

   "ตอนนี้คุณหมอกำลังพาไปตรวจร่างกายอยู่น่ะครับ"

   "ดีจังเลยครับงั้นเดี๋ยวผมจะรีบไปเยี่ยมตอนนี้เลย ขอบคุณนะครับที่โทรมาบอก"

   ต้นหลิวเก็บแฟ้มเอกสารบนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเดินตรงไปหาคนที่นั่งอยู่อีกทางด้านหนึ่งของห้อง

   "ไม่เป็นอะไรครับ แค่นี้นะผมต้องโทรไปบอกคนอื่นต่อ"

   "ครับ!"

   ต้นหลิววางสายพร้อมกับเรียกคนที่กำลังนั่งดูเอกสารเสียงหวาน

   "หมอภพ"

   "ใครโทรมาหรอครับ"

    วรภพเงยหน้าขึ้นมาถามตรงประเด็นจนต้นหลิวยิ้มกว้างออกมาอย่าอารมณ์ดี

   "กรโทรมาบอกว่ากันต์ฟื้นแล้ว"

   "จริงหรองั้นเรารีบเก็บของแล้วไปเยี่ยมกันเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทำงานกันต่อ"

   วรภพรีบเก็บข้าวของอย่างรีบร้อนทำให้ต้นหลิวรีบช่วยเก็บเอกสารอีกแรง

    "ครับ!"




   ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาลกันต์กวินในชุดคนไข้กำลังนั่งนิ่งอยู่บนเตียงยอมให้คุณหมอตรวจอาการทั้งวัดไข้และเอาไฟฉายมาตรวจดวงตาซักพักหนึ่งโดยมีพลทัพนั่งนิ่งอยู่ตรงโซฟาแต่คอยมองตลอดเวลา   จนกระทั่งคุณหมอตรวจอาการเสร็จแล้วหันมาพูดกับคนไข้ตัวน้อยที่นั่งมองตาแป๊วเพราะยังมึนงงกับฤทธิ์ยาเล็กน้อย

   "คนไข้พึ่งฟื้นอาจจะมีอาการมึนงงกับฤทธิ์ยานอนหลับที่ตกค้างอยู่เล็กน้อยไม่ต้องกังวลนะครับ"

   "แต่ผม...ไม่มีแรงเลยนะครับ"

   เสียงแหบแห้งพร้อมปากที่ยื่นออกมาอย่างขัดใจจนน่าเอ็นดู

   "กินน้ำและพักผ่อนตามที่หมอบอกแล้วอาการจะดีขึ้นเองครับ อย่าดื้อนะตกลงไหม"

   "ผมไม่ใช่เด็กนะ"

   กันต์กวินตอบอย่างขัดใจก่อนจะตวัดสายตาหันไปมองพลทัพที่นั่งทำหน้ากวนประสาทอยู่ตรงโซฟา

   "นายนั่นแหละเหมือนเด็กที่สุดแล้ว"

   "งื้อ!"

   "หึหึ"

   พลทัพหัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปฟังหมอประจำไข้ของคนตัวเล็ก

   "ยังไงก็ฝากดูแลเรื่องอาหารและยาให้คนไข้ อย่าได้ขาดนะครับ แล้วหมอจะมาดูอาการอีกรอบคืนนี้นะครับ เดี๋ยวจะให้พยาบาลมาแจ้งอีกที"

   "ครับ"

   พอหมอและพยาบาลเดินออกไปทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ ทั้งสองจ้องตากันนิ่งก่อนที่พลทัพจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกวนประสาทเหมือนเดิม

   "ฟื้นซักทีนะเด็กดื้อ"

   "บอกว่าไม่ใช่เด็กไง"

    กันต์กวินยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างเอาแต่ใจพร้อมกับจ้องมองคนตรงหน้าอย่างแง่งอน

    "ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ"

   "เฝ้าดูอาการเด็กดื้อที่ไม่ยอมตื่นนั่นแหละ"

  พลทัพอมยิ้มเพราะรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งพอหอมปากหอมคอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    "รู้ตัวไหมว่าทำให้ใครเขาเป็นห่วงมากแค่ไหน"

   "นายห่วงฉันด้วยหรอ"

   กันต์กวินเชิดหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจทำให้พลทัพเหยียดยิ้มที่มุมปากพร้อมสายตาที่เป็นห่วงจนคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงทำตัวไม่ถูก

   "ถ้าไม่ให้ฉันเป็นห่วงนายแล้วจะให้เป็นห่วงใคร"

    "นาย..."

    กันต์กวินหัวใจเต้นแรงแทบไม่เป็นจังหวะ

    "ทำไมต้องห่วงฉันมากขนาดนั้นด้วยล่ะ"

    "อาจจะเร็วไปหน่อยแต่...ก"

   เสียงตอนท้ายที่แผ่วเบาจนไม่ได้ยินทำให้กันต์กวินต้องเอียงหน้าเข้าไปฟัง

    "ห๊ะ! อะไรน่ะ"



    "รัก!   ฉันรักนายได้ยินยัง!"



******************

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ฆาตกรอีกคนคืออดีตคนรักของเวย์ไหม

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 32


   "รัก! ฉันรักนายได้ยินยัง!"

   คราวนี้ตะโกนมาเสียงดังฟังชัดจนกันต์กวินต้องผงะออกห่างไปตั้งหลักอย่างตกใจพร้อมโวยวายใส่เสียงดังลั่นห้อง

   "ห๊ะ! อะ...อะไรแกล้งฉันหรอ"

    "เรื่องแบบนี้มันแกล้งกันได้ที่ไหน"

   พลทัพหน้าบึ้งตึงพร้อมมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังทำให้แก้มทั้งสองข้างของคนป่วยเริ่มแดงจนเห็นได้ชัดและทำตัวไม่ถูก

   "อ่า~ คือฉัน..."

   "ยังไม่ต้องตอบก็ได้ว่านายรู้สึกอย่างไรน่ะ"

   พลทัพยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดเสียงนุ่มทุ้มละมุนข้างใบหูคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา

   "แค่รู้ว่าฉันรักนายก็พอ"

   "อืมม"

   กันต์กวินรับคำในลำคอพร้อมกับหลบสายตาอบอุ่นนั้นด้วยใบหน้าที่เขินอายและใบหูที่เริ่มแดงก่ำมากยิ่งขึ้น ก่อนจะแสร้งเปลี่ยนเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว

   "หิวน้ำจัง"

   "น้ำหรอ รอแป๊บนึงนะ"

   พลทัพรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นมาให้ซึ่งกันต์กวินรีบรับมาดื่มทั้งที่ยังไม่มองหน้าพร้อมตอบกลัยด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

   "ขอบใจ"

   ก็อก! ก็อก!

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกันเล็กน้อยและไม่กี่วินาทีต่อมาประตูก็เปิดออกพร้อมกับผู้คนที่เดินเข้ามามากมาย

   แอ๊ด~

   "กันต์~"

   รณกรเดิมยิ้มกว้างเข้ามาคนแรกตามมาด้วยรุจรวี เวทิต รวิสรา และปิดท้ายด้วยกิตติธัชที่เดินถือกระเช้าผลไม้ใบใหญ่มาด้วย ก่อนที่รณกรจะกระโจนเข้าไปกอดกอดคนที่นั่งอยู่บนเตียงแน่นพร้อมร้องไห้โฺฮเสียงดังลั่น

   "ฮึก! ฟื้นขึ้นมาซักทีรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายขนาดไหน ฮือออ~"

   "ไม่งอแงน่ะกร"

   กันต์กวินลูบผมของคนตรงหน้าที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายอย่างอ่อนใจ

   "ฮึก! ก็กันต์ดันหลับไปนานขนาดนั้นจะไม่ให้ฉันเป็นห่วงได้ยังไงล่ะ"

   รณกรไม่ยอมปล่อยแถมยังกอดแน่นมากขึ้นกว่าเดิมทำให้กันต์กวินเริ่มขมวดคิ้วอย่างรำคาญ

   "เฮ่อ~ กรนี่นายกลายเป็นคนขี้แงไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย"

   "ฮึกฮือออ"

   ยิ่งปลอบเหมือนยิ่งยุเพราะเพื่อนสนิทยิ่งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิมจนคนโดนกอดเริ่มหงุดหงิด

   "เลิกร้องไห้ได้แล้วไม่อายคนอื่นเขารึไง"

   "ใช่! ปล่อยให้คนอื่นเยี่ยมบ้างเถอะ เดี๋ยวฉันต้องมีถ่ายแบบตอนบ่ายต่อนะ!"

   เสียงโวยวายที่คุ้นหูขัดจังหวะมาจากด้านหลังพร้อมใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังหงิกงอยกมือขึ้นมากอดอกอย่างขัดใจ

   "ไม่เอาน่ารุจ"

   "ก็ฉันอยากเยี่ยมบ้างนี่ทิต"

   เวทิตยกมือลูบผมคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดูทำให้กันต์กวินขมวดคิ้วมองทั้งสองคนด้วยความสงสัย

   "พวกนายยังไม่ตายหรอ หรือว่าฉันตาฝาด"

   "เปล่า!" รุจรวีแกล้งทำหน้านิ่งและเบิกตาให้ดูหน้ากลัวที่สุด "ที่นายเห็นอยู่นี่คือวิญญาณต่างหาก~"

   "ห๊ะ!"

   กันต์กวินทำหน้าตาตกตะลึงพร้อมผงะออกจนติดหัวเตียงด้านหลังสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนในห้องทำให้คนโดนแกล้งหน้ามุ่ยลงพร้อมโวยวายออกมาเสียงดังลั่นห้อง

    "พวกนายหลอกฉันนี่หน่า!"

   "คิกคิก หน้านายตอนตกใจนี่ตลกจังเลย~"

   รุจรวีหัวเราะเสียงดังกว่าใครทำให้คนป่วยยิ่งโวยวายมากยิ่งขึ้น

   "ไม่ต้องหัวเราะเลยนะ!"

   "คิกคิก"

   รุจรวีหัวเราะอย่างหนักจนเวทิตต้องคอยห้ามปราม

   "กันต์กำลังป่วยอยู่นะ ไม่แกล้งเพื่อนซิรุจ"

   "ไม่แกล้งแล้วก็ได้" รุจรวีอมยิ้มพร้อมยื่นถุงสีน้ำเงินขนาดเล็กไปให้คนป่วยที่มองมาอย่างงุนงง "อ่ะนี่ของเยี่ยม"

    "อะไรน่ะ"

    "ลองเปิดดูซิ "

    รุจรวียิ้มตาหยีคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายเปิดซึ่งพอเปิดออกมากันต์กวินต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึงพร้อมรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความดีใจจนแทบอยากกรีดร้อง

   "นี่มัน...รุจ~"

   "ชอบไหมล่ะ" รุจรวียิ้มกว้างก่อนจะอวดสรรพคุณของครีมที่ตนเองซื้อมา "รับรองว่าถ้านายทาแล้วไม่แพ้ง่ายแน่นอนแถมยังเป็นรุ่นคอลเลคชั่นใหม่เลยนะ"

   "อื้ม! ชอบมากเลยขอบคุณนะรุจ~"

   กันต์กวินโผเข้ากอดคนตัวเล็กด้านหน้าพร้อมกอดแน่นเพราะอีกฝ่ายดันซื้อครีมรุ่นใหม่ที่ตนเองอยากได้แต่สั่งจองไม่ทันมาให้พอดีอีกด้วย แต่รู้สึกจะกอดนานเกินไปจนได้ยินเสียงทุ้มกระแอมกระไอมาจากเวทิตที่ยืนอยู่ด้านหลัง

   "อะแฮ่ม!"

   "ไม่หึงซิพี่เวทิต~"

    รณกรหันไปหยิกแก้มหนาพร้อมทำหน้าตาน่าเอ็นดูใส่คนตัวสูงอย่างออดอ้อน

   "หืมมม"

   ระหว่างที่กำลังง้องอนอยู่นั้นกันต์กวินกำลังขมวดคิ้วนั่งมองทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ด้วยความสงสัยและประหลาดใจ

   "พวกนายคืนดีกันแล้วหรอ"

   "ตั้งแต่ที่ฟื้นมานี่พลทัพไม่ได้บอกอะไรนายเลยหรอ"

   รุจรวีมองอย่างงุนงงก่อนที่จะมีเสียงทุ้มของกิตติธัชขัดขึ้นมาซะก่อน

   "หึ! ปากหนักแบบนี้คงจะบอกหรอก"

    "เฮ้อ~ หลับไปเป็นเดือนนี่นายตกข่าวไปเยอะเลยนะ"

   รุจรวีส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแต่สายตาเต็มไปด้วยความแพรวพราวจนกันต์กวินต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยมากกว่าเดิม

   "หือ?"

   "ฉันกับทิตเป็นคนรักกัน"

   "ห๊ะ!"

   กันต์กวินตกใจผงะหงายหลังจนเกือบหัวโขดผนังยังดีที่มีมือหนาของพลทัพรองเอาไว้ได้ทันท่วงที

   "พวกนายสองคนเนี่ยนะเป็นคนรักกัน"

   "ใช่ซิ"  รุจรวีพยักหน้าพร้อมทั้งคล้องแขนเกร่งของเวทิตไว้แน่น "แล้วทำไมนายต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ"

   "พวกนายสองคนกัดกันจะตาย"

   "มันไม่เห็นจะแปลกเลยเราสองคนผ่านอันตรายมาด้วยกันเยอะเลยเนอะ"

   รุจรวีหันไปยิ้มให้อย่างน่ารักทำให้เวทิตลูบผมกลับอย่างเอ็นดู

   "ถูกต้อง"

   "แล้วใครสารภาพรักก่อนหรอ~"

   กันต์กวินแกล้งถามออกมาด้วยใบหน้าเย้าแหย่ ซึ่งเวทิตก็ตอบกลับทันทีแถมชี้ไปยังคนตัวเล็กข้างกาย

   "รุจน่ะซิ"

   "ไอ้พี่ทิต!!!"

    รุจรวีหันไปโวยวายทั้งที่หน้ายังแดงก่ำด้วยความเขินอาย

    "นายต่างหากที่สารภาพรักก่อนน่ะอย่ามาโยนแบบนี้นะ!"

     "แค่ล้อเล่นเองอย่าเสียงดังซิ"

     เวทิตโอบบ่าคนตัวเล็กพร้อมบังคับให้เอนมาซบไหล่ตนเองซึ่งรุจรวีก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างแง่งอน

   "เชอะ"

   "คิกคิก"

    กิตติธัชหัวเราะเสียงเบาก่อนจะเงยหน้ามองไปทางรวิสราที่แทรกเข้ามาหาตนเองที่เตียงพร้อมรอยยิ้มหวานที่ไม่ได้เห็นมานาน

   "กันต์"

   "รวิ"

   กันต์กวินยิ้มหวานกลับพร้อมทั้งกวาดสายตามองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

   "ปลอดภัยใช่ไหมครับ ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ"

   "ใช่ค่ะ ที่รอดชีวิตมาได้นี่ต้องขอบคุณกันต์มากและขอโทษด้วยนะคะที่ตอนนั้นรวิช่วยอะไรไม่ได้เลย"

   "ไม่เป็นอะไรครับ แค่รวิปลอดภัยก็ดีแล้ว"

   ทั้งสองฝ่ายยิ้มหวานให้กันก่อนกันต์กวินจะชะงักเมื่อมีกระเช้าผลไม้ยิ่นมาเกือบทิ่มหน้าด้วยฝีมือของกิตติธัชที่ใบหน้าบึ้งตึงมากกว่าเดิม

   "ของเยี่ยมน่ะเอาไปซักทีแล้วเลิกยิ้มหวานให้ว่าที่เจ้าสาวของฉันได้แล้ว"

   "ธัช!"

   รวิสราหันไปฟาดคนขี้หึงที่ตอนนี้กำลังกอดเอวบางของตนเองแน่นต่อหน้าต่อตาทุกคนในห้อง

   "เจ้าสาว!?"

   กันต์กวินเบิกตากว้างด้วยความตกใจอีกรอบก่อนจะยิ้มหวานมองทั้งสองคนที่หน้าแดงด้วสายตาล้อเลียน

   "แหม~ ปากตรงกับใจกันซักทีนะ"

   "ฉันไม่ได้ปากแข็งและขี้กลัวเหมือนใครบางคน"

   กิตติธัชเหลือบไปมองพลทัพที่นั่งกอดอกทำหน้าตาบึ้งตึงและรณกรที่รีบหลบสายตาทันที ท่ามกลางใบหน้างุนงงของคนป่วยที่นั่งอยู่ตรงกลาง

   "พูดถึงเรื่องอะไรกันหรอ"

   "ไม่มีอะไรหรอก"

   กิตติธัชตอบกลับอย่างไม่สนใจทำให้กันต์กวินเลิกสงสัยแล้วเปลี่ยนมายิ้มกว้างให้อย่างน่ารัก

   "แสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วยนะที่กำลังจะได้แต่งงานกันซักที"

   "ขอบคุณค่ะ"

   รวิสรายิ้มหวานก่อนที่ทั้งห้องจะพากันชะงักไปเมื่อคนป่วยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นด้วยน้ำเสียงและแววตาที่สงสัย

   "แล้วใครช่วยเล่าให้ผมฟังได้รึเปล่า พวกเราออกจากที่นั่นได้ยังไงแล้วผู้หญิงคนนั้นที่จับตัวผมกับรวิไปคือใครกันแน่"

   กันต์กวินกวาดสายตามองรอบห้องหาอีกสองคนที่หายไปอย่างเป็นห่วง

   "รวมถึงต้นหลิวกับหมอภพล่ะหายไปไหนหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนั้น!!!"

   "กันต์" พลทัพวางมือบนผมของคนตัวเล็กที่จ้องตาแป๋วพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา "ต้นหลิวกับวรภพพวกเขาน่ะ..."

   'แอ๊ด~'

   "มาแล้วจ้า ขอโทษที่สายนะครับพอดีรถติดไปหน่อย"

   ต้นหลิวเดินยิ้มหวานเข้ามาในห้องคนแรกตามหลังด้วยวรภพที่ถือกาแฟมาหลายถุงก่อนจะยื่นให้รณกรที่เดินมารับไปใส่ถ้วยในครัวซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องท่ามกลางสายตาของคนป่วยที่มองมาด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด

   "ดีใจจังเลยพวกนายปลอดภัย"

   "พวกผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ" ต้นหลิวยิ้มหวานก่อนจะหน้าหมองลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใครบางคน "ผมน่ะเป็นห่วงกันต์มากกว่าที่โดนเวย์กรอกยาไปขนาดนั้นทำให้หลับไปเป็นเดือนเลย"

   "เวย์?" กันต์กวินทำท่าทางนึกซักพักก่อนจะทำตาโตใส่ "วิรชาคู่หมั้นของนายน่ะหรอ"

   "ครับ" ต้นหลิวพยักหน้าก่อนจะพูดต่อด้วยความลำบากใจ "เวย์เป็นคนที่จับตัวพวกคุณไปรวมถึงฆ่าทุกคนที่เสียชีวิตในป่าด้วยครับ"

   "อ่า...ฉันจำได้ละ" กันต์กวินกำมือแน่นพร้อมตบเตียงเสียงดังลั่น "ผู้หญิงคนที่นั่งทานข้าวกับนายบนรถไฟนี่เอง ไม่น่าล่ะถึงรู้จักฉันน่ะ"

   "ขอโทษแทนอดีตคู่หมั้นของผมที่สร้างปัญหาด้วยนะครับ"

    ต้นหลิวยกมือไหว้แถมโค้งหัวแทบติดเตียงทำให้คนป่วยรีบโบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่

   "ไม่เป็นอะไรหรอกน่า แค่พวกเรารอดชีวิตออกมาจากป่าพร้อมกันแค่นี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วล่ะเนอะ"

   โครก!~

   เสียงอะไรบางอย่างดังขัดจังหวะทำให้กันต์กวินรีบจับท้องแล้วทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอาย

   "แต่ตอนนี้ฉันหิวข้าวจังเลยอ่ะ"

    "ฮะฮะฮะ"

    ทั้งห้องหัวเราะออกมาด้วยความขบขันก่อนจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะทุกคน

   ก๊อกก๊อก!

   "เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้เอง"

   รณกรรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูก่อนจะพบกับใครบางคนที่คุ้นเคยอย่างดีและไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน

   แอ๊ด~

   "อ้าว! กร~"

   "สวัสดีครับคุณน้า คุณอา อ้าว! น้องวินก็มาด้วยหรอ"

   รณกรยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมก่อนจะหันไปทักคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังกับผู้จัดการส่วนตัวซึ่งถือของพะรุงพะรังเต็มไปหมด ซึ่งกานต์รวียิ้มกว้างผิดกับกฤตภัทรซึ่งใบหน้าบึ้งตึงและเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น  ส่วนกันต์กวีไม่ยอมตอบพร้อมทำเมินหันไปคุยกับวาสิตาด้วยน้ำเสียงที่สดใส

   "พี่ผึ้งถือของไหวไหม มาเดี๋ยววินช่วยถือ"

   "พี่ถือไหวจ๊ะ"

   วาสิตาตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวานก่อนที่กานต์รวีจะหันมาหยิกลูกชายคนเล็กที่ชอบเสียมารยาท

   "นี่แหนะ! ทำไมถึงไม่ยอมทักทายพี่กรเขาล่ะลูก"

   "อ้าว! พี่กรอยู่ด้วยหรอครับ"

    กันต์กวีทำหน้าตาท่าทางตกใจก่อนจะยกมือไหว้

   "สวัสดีครับพี่กร"

   "สวัสดี วินกลับมาจากต่างประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไม่ไม่เห็นบอกพี่เลย"

    รณกรยิ้มกว้างทักทายน้องชายของเพื่อนสนิทที่เริ่มทำสีหน้าขัดใจ

   "วินจะกลับเมื่อไหร่ต้องรายงานพี่กรตลอดเวลาด้วยหรอครับ พี่ชายก็ไม่ใช่เป็นแค่เพื่อนพี่กันต์เองจะมายุ่งอะไรด้วย"

   "ทำไมพูดแบบนี้ล่ะเจ้าวิน"

   กานต์รวีหันมาเอ็ดลูกชายตัวดีที่ชอบหาเรื่องรณกรทุกครั้งที่เจอหน้า

   "ถ้าวินยังพูดจาแบบนี้อีกไม่ต้องกลับไปทำงานที่ต่างประเทศแล้ว"

   "ไม่ได้นะคะคุณแม่ขา" วาสิตารีบพูดแทรกขึ้นมาอย่างร้อนใจ "ตารางงานของน้องวินยาวถึงอีกสองเดือนเลยนะคะ"

   "แค่ขู่เท่านั้นล่ะค่ะคุณผึ้ง"

   กานต์รวีถอนหายใจก่อนจะยิ้มหวานมาให้รณกรอย่างเอ็นดู

   "น้องกันต์ฟื้นรึยังจ๊ะ"

   "พึ่งฟื้นเมื่อเช้านี้เองครับคุณน้า งั้นเชิญเข้ามาในห้องก่อนดีกว่าครับ"

   "จ๊ะ"

   รณกรหลีกทางให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องพร้อมสบสายตากับกันต์กวีที่เชิดหน้าขึ้นรีบเดินผ่านตนเองอย่างไม่ชอบใจก่อนจะช่วยวาสิตาถือของเข้าไปจัดในห้องครัว กานต์รวีเดินยิ้มหวานเข้าไปหาคนป่วยตัวน้อยที่นั่งอยู่บนเตียง

   "น้องกันต์~"

   "คุณแม่ คุณพ่อ"

   กันต์กวินโผเข้าไปกอดทั้งสองแน่นก่อนที่จะโดนกานต์รวีผู้เป็นแม่หอมแก้มซ้ายขวาด้วยความคิดถึง

   ฟอด ฟอด

   "พี่กันต์~"

   กันต์กวีแทรกตัวเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ก่อนจะกอดพี่ชายตัวเองแน่น

   "วินคิดถึงพี่กันต์ที่สุดเลย"

   "วิน~"

   กันต์กวินยิ้มกว้างพร้อมหอมแก้มน้องชายตัวเองอย่างหมั่นเขี้ยว

    "กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจะกลับไปต่างประเทศอีกไหม"

   "วินพึ่งกลับมาเมื่อวานนี้เองเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องบินกลับไปแล้วเพราะมีงานต่อ" กันต์กวีทำท่าทางเสียดาย "แถมมารอบนี้ยังไม่ได้ไปทักทายพี่ธีร์เลย"

   "เจ้านั่นคงจะติดดูแลไวน์อยู่นั่นแหละ"

    กันต์กวินถอนหายใจก่อนจะลูบผมน้องชายอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตาหงิกงออย่างน้อยใจ

   "คราวหน้าค่อยไปเยี่ยมก็ได้น่ะวิน"

   "วินอยากเจอพี่ธีร์"

   กันต์กวีตวัดสายตาไปมองทางรณกรด้วยความแง่งอน

   "เพราะใครบางคนไม่ยอมไปดูแลน้องชายตัวเอง พี่ธีร์ถึงต้องงานยุ่งอยู่คนเดียว"

   "ปากเสียจังเลยลูกคนนี้เนี่ย"

   กานต์รวีฟาดลงไปทีแขนลูกตัวเองอย่างห้ามปรามก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ลูกชายคนโตแล้วหอมแก้มอีกครั้งด้วยความเอ็นดู

   "ฟื้นซักทีนะลูกรู้ไหมพ่อกับแม่น่ะใจหายแทบแย่เลย พอมาเห็นหนูปลอดภัยแบบนี้จะได้หายห่วงเพราะต้องกลับไปดูกิจการที่บ้านต่อแล้วน่ะ น้องกันต์นอนโรงพยาบาลคนเดียวได้ใช่ไหมคะ"

   "ไปเถอะครับไม่ต้องเป็นห่วงกันต์หรอก" กันต์กวินยิ้มหวานก่อนจะกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่เต็มห้องพยาบาล "ตอนนี้กันต์มีเพื่อนเยอะแยะเลยนะครับ"

   "นั่นซินะ" กานต์รวีหันไปยิ้มหวานให้กับทุกคนในห้อง "วันนี้เพื่อนมาเยี่ยมเยอะแยะเต็มห้องไปหมดเลยนะจ๊ะ"

   "สวัสดีครับคุณน้า" รุจรวียกมือไหว้คนแรกก่อนจะยิ้มหวานอย่างประจบ "ผมรู้แล้วว่ากันต์ได้ความสวยมาจากใครก็จากคุณน้านี่เอง"

   "ปากหวานนะจ๊ะเนี่ย อุ๊ย!"

   กานต์รวียกมือขึ้นมาปิดปากพร้อมแววตาที่เป็นประกาย

   "ใช่นายแบบทั้งสองคนที่กำลังเป็นข่าวอยู่รึเปล่าจ๊ะ"

   "ใช่แล้วครับ"

   รุจรวีตอบรับด้วยรอยยิ้มหวานยิ่งทำให้กานต์รวีแทบกรีดร้องก่อนจะเดินเข้าไปกอดแขนบางของคนตัวเล็กแน่น

   "ดีจังเลย~ น้าขอถ่ายรูปคู่ด้วยนะ"

   "เอ่อ...ครับ"

  รุจรวียิ้มกว้างพร้อมจัดท่าทางถ่ายรูปเต็มที่ผิดกับเวทิตที่ยิ้มแห้งทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงก่อนที่จะถูกกันต์กวีกอดแขนอีกข้างของตนเองแน่นด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

   "พี่เวทิตนี่ตัวจริงหล่อกว่าในนิตยสารตั้งเยอะเลยแหนะ ผมน่ะเป็นแฟนคลับของพี่เวทิตกับพี่รุจเลยนะครับ"

   "อ่า..."

   เวทิตประหม่าเมื่อมีคนตัวเล็กน่ารักมากอดแขนก่อนจะมองอีกฝ่ายเหมือนเคยเห็นที่ไหน

   "ทำไมถึงดูคุ้นหน้าจังเหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ"

   "ในนิตยสารนายแบบที่ต่างประเทศไงทิต"

   รุจรวีแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและแววตาเปล่งประกายก่อนจะโผเข้ากอดคนตรงหน้าแน่น

   "วินเซนต์ นายแบบตัวเล็กที่ดังที่สุดในต่างแดนไงล่ะ"

   "ดีใจจังที่พี่รุจรู้จักผม"

   กันต์กวีกอดตอบอีกฝ่ายแน่นด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่ตื่นเต้นซึ่งท่าทางแบบนั้นทำให้กฤตภัทรหัวเราะในลำคอกับทางของสองแม่ลูกด้วยความเอ็นดูก่อนจะหันไปฟ้องลูกชายที่มองมาอย่างงุนงง

   "หึหึ ไม่ต้องงงหรอกกันต์เพราะแม่กับน้องน่ะชื่นชอบนายแบบสองคนนี้มาก พอได้เจอนายแบบที่ถูกใจทั้งทีจะไม่ให้ถ่ายรูปด้วยได้ยังไงล่ะ โดยเฉพาะแม่เราน่ะรู้ไหมว่าถึงอายุปูนนี้แล้วยังมีโปสเตอร์นายแบบทั้งสองคนเต็มห้องนอนเลยนะ แทบจะแปะทับหน้าพ่ออยู่แล้ว"

   เพี้ย!

   พูดยังไม่ทันจบประโยคฝ่ามือเรียวก็ฟาดเข้ามาตรงหัวไหล่อย่างแรงพร้อมน้ำเสียงแง่งอน

   "คุณนี่ก็พูดเกินไปไม่อายเด็กบ้างเลยนะคะ"

   "อูย~ คุณนี่มือหนักไม่เปลี่ยนเลยนะ"

   กฤตภัทรจับไหล่ตนเองพร้อมแกล้งร้องออกมาด้วยความเจ็บแต่ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมานานทำให้กานต์รวีไม่หลงเชื่อเหมือนเมื่อสมัยก่อนนู้น

   "เงีบยไปเลยค่ะ"

   "งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับพอดีมีนัดถ่ายแบบเอาไว้น่ะครับ"

   รุจรวีขัดจังหวะขึ้นมาด้วยรอยยิ้มหวานยิ่งทำให้กานต์รวีหลงมากกว่าเดิม

   "หรอจ๊ะ งั้นน้าจะรอติดตามผลงานนะ"

   "ครับ! ถ้าคุณน้ากับน้องวินอุดหนุนล่ะก็พวกผมจะแถมลายเซ็นให้เลยครับ"

   พอได้ยินว่ารุจรวีแถมลายเซ็นยิ่งทำให้กานต์รวีอดใจไม่ไหวหยิกแก้มยุ้ยนั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว

   "น่ารักจังเลย~"

   "งั้นหนูขอตัวกลับด้วยเหมือนกันนะคะ"

   รวิสรายกมือไหว้อย่างเรียบร้อยยิ่งทำให้กานต์รวีมองทั้งสองคนที่ยืนคู่กันด้วยสายตาเอ็นดูปนไปด้วยความสงสัย

   "อ้าว! จะไปไหนกันหรอจ๊ะ"

   "ผมจะพาคู่หมั้นไปตัดชุดแต่งงานน่ะครับ"

   กิตติธัชชิงพูดขึ้นมาก่อนพร้อมเอื้อมมือไปกอดเอวบางแน่นทำให้รวิสราหน้าแดงด้วยความเขินอายและยิ่งเขินมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของกานต์รวีที่ดีอกดีใจมาก

   "จริงหรอ~ น้าดีใจด้วยนะจ๊ะอย่าลืมส่งการ์ดแต่งงานมาให้น้าด้วยนะจ๊ะ"

   "แน่นอนครับ"

   กิตติธัชยกมือไหว้ก่อนจะประคองเอวคู่หมั้นออกไปพร้อมกับนายแบบสองคน เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปจากห้องแล้วต้นหลิวจึงหันมายกมือไหว้บ้าง

   "ถ้าอย่างนั้นพวกผมสองคนก็ขอตัวกลับด้วยนะครับ"

   "จะแต่งงานกันอีกคู่หนึ่งด้วยหรอจ๊ะ"

    คำถามของกานต์รวีทำให้ต้นหลิวชะงักแล้วรีบโบกมือไปมาต่างจากวรภพที่ยิ้มมุมปากไม่ยอมแก้ตัวอะไรทั้งนั้น

   "ไม่ใช่นะครับ! พอดีพวกผมติดงานสำคัญน่ะครับ"

   "จ้า! แต่หน้าแดงเลยนะ"

   กานต์กวีหัวเราะคิกคักทำให้กฤตภัทรต้องแตะแขนอย่างห้ามปราม

   "อย่าไปแซวเด็กน่ะคุณ"

   "งั้นพวกผมลาแล้วนะครับ"

   ต้นหลิวรีบยกมือไหว้แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมวรภพด้วยความเขินอาย

   "ไปดีมาดีนะจ๊ะ~"

   กานต์รวีโบกมือลาก่อนจะหันไปหาลูกชายที่ตอนนี้ยื่นมือกอดเอวตนเองแน่นอย่างออดอ้อน

   "คุณแม่~"

   "น้องกันต์ลูกแม่ไหนมาให้แม่กอดให้หายคิดถึงหน่อยซิ"

   กานต์รวีหันหน้าไปกอดลูกชายโดยมีกฤตภัทรกอดทับสองแม่ลูกอีกทีหนึ่ง

   "พ่อด้วย"

   "วินด้วยซิ"

    กันต์กวีแทรกตัวเข้าไปตรงกลางเบียดกับผู้เป็นแม่เพื่อกอดพี่ชายพร้อมทำเสียงออดอ้อน

   "วินคิดถึงพี่กันต์มากเลยนะ"

   "งื้อ"

    กันต์กวินกอดทั้งสามคนแน่นพร้อมขยับหัวถูไถไปมาด้วยความเอ็นดูทำให้กานต์รวีอดที่จะลูบผมไม่ได้

   "ปลอดภัยแล้วนะลูก ต่อไปนี้น้องกันต์ของแม่ไม่ต้องเจอเรื่องอันตรายแบบนั้นแล้วนะ"

   "กันต์รักแม่นะครับ"

   กันต์กวินหอมแก้มนุ่มนิ่มของผู้เป็นแม่ฟอดใหญ่แล้วกอดต่ออย่างออดอ้อน

   "ทำไมถึงอ้อนผิดปกติ"

   "สงสัยไข้ขึ้นล่ะมั้ง"

   กฤตภัทรลูบผมลูกชายด้วยความเอ็นดู แต่ประโยคนั้นทำให้พลทัพเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

   "ไข้ขึ้น?"

   "ใช่แล้ว" กฤตภัทรตอบทั้งที่มือลูบผมลูกคนโตเผื่อแผ่ไปถึงลูกชายคนเล็กอย่างไม่หยุดมือ "ถ้าน้องกันต์ไม่สบายเมื่อไหร่จะอ้อนเหมือนเด็กทุกทีเลยลูกคนนี้เนี่ย~"

   "งื้อ~"

   กันต์กวินทำเสียงงอแงพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ซึ่งกานต์รวีก็หันไปฝากฝังกับพลทัพด้วยสายตาที่เอ็นดู

   "ฝากพ่อทัพดูแลลูกของแม่ด้วยนะ"

   "ครับ"

   พลทัพตอบรับก่อนจะหันไปมองกันต์กวีที่ยิ้มกว้างมาให้ด้วยสายเป็นมิตร

   "พี่ทัพที่คุณแม่พูดถึงนี่เอง เหมาะสมกับพี่กันต์มากเลย"

   "หึหึ"

   พลทัพหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดูกับกันต์กวีที่เหมือนกับจะสนับสนุนเขามากกว่ารณกรที่ดูไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไหร่ ก่อนที่กันต์กวินจะถามแม่ตนเองด้วยความสงสัย

   "ทุกคนรู้จักทัพด้วยหรอครับ"

   "แม่เคยเจอตอนมาเยี่ยมลูกวันแรกน่ะจ๊ะ"

   กานต์รวีตอบคำถามลูกชายก่อนที่รณกรจะขัดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

   "แต่คุณน้าครับผมก็ดูแลกันต์ได้นะครับ"

   "กรต้องทำงานไม่ใช่หรอจ๊ะ" กานต์รวีหันไปมองก่อนจะยิ้มมุมปากซึ่งเป็นรอยยิ้มที่รณกรนั้นมองออกเพียงคนเดียว "ได้ข่าวว่ากำลังจะได้เป็นช่างภาพประจำสถานีนี่นะ ไหนจะต้องดูแลส่งเงินไปเป็นค่ารักษาพยาบาลให้ไวน์อีก เพราะฉะนั้นคงต้องให้พลทัพดูแลถึงจะสะดวกกว่านะจ๊ะ"

    "อ่า...ครับ"

   รณกรยิ้มแห้งพร้อมกับหลบสายตาผู้ใหญ่ทั้งสองคนรวมถึงสายตาเยาะเย้ยของกันต์กวีที่ชอบทำเป็นประจำเวลาที่ตนเองโดนคุณน้าดุ ก่อนที่กานต์รวีจะหันไปยิ้มให้ลูกชายคนโต

   "งั้นแม่กับพ่อกลับแล้วนะลูก"

   "ดูแลตัวเองให้ดีนะเข้าใจไหม"

   กฤตภัทรลูบผมนุ่มนั่นอีกครั้งอย่างเบามือทำให้กันต์กวินพยักหน้าอย่างง่ายดาย

   "ครับ"

   "วินกลับแล้วนะพี่กันต์" กันต์กวีกอดพี่ชายอีกครั้งก่อนจะหันมาฝากฝังกับพลทัพอีกคน "ฝากพี่กันต์ด้วยนะพี่ทัพ"

   "ได้ซิน้องวิน"

   พลทัพตอบด้วยรอยยิ้มทำให้รณกรชักสีหน้าไม่พอใจรีบอาสาขึ้นมาทันที

  "เดี๋ยวผมเดินไปส่งด้านล่างนะครับ"

   "ขอบใจจ้ะ"

   รณกรพยักหน้าพร้อมเดินไปเปิดประตูห้องให้ทั้งสี่คน เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องแล้วพลทัพจึงหันมามองกันต์กวินด้วยสายตาเป็นประกาย

   "ดูเหมือนครอบครัวนายจะชอบฉันนะ"

   "พ่อแม่ฉันก็ใจดีกับทุกคนนั่นแหละ"

   กันต์กวินเชิดหน้าขึ้นด้วยความแง่งอนก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของคนหลงตัวเอง

   "ไม่ใช่เพราะฉันหล่อกว่าเพื่อนนายหรอ?"

   "แหวะ! หลงตัวเอง"

   กันต์กวินหันไปแลบลิ้นใส่ทำให้พลทัพมองด้วยความหมั่นไส้

   "กล้าพูดไหมล่ะว่านายไม่หลงฉันน่ะ"

   "เอ่อ...ปวดหัวจัง~"

   กันต์กวินเปลี่ยนเรื่องพร้อมยกมือขึ้นมาจับหน้าผากตนเองอย่างแนบเนียนทำให้พลทัพหัวเราะในลำคอ

   "หึ!...งั้นนอนพักผ่อนไปเลยไม่อยากหายป่วยรึไง"

   "อื้อ!"

   กันต์กวินล้มตัวลงนอนโดยที่พลทัพคอยห่มผ้าให้และนั่งตรงนั้นไม่ยอมลุกไปไหนทำให้คนป่วยแอบยิ้มตรงมุมปากก่อนจะหลับตาลงฟังเสียงหัวใจตนเองที่เต้นแรงจนแทบทะลุออกมา



********************

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 33




   หลังจากสืบประวัติผู้เสียชีวิตอย่างเข้มข้นและไม่ได้นอนมาเกือบเดือนกว่าทุกอย่างก็ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นโดยที่มีรูปภาพของผู้เสียชีวิตทั้งก่อนและหลังเสียชีวิตแปะบนกระดานมากมายพร้อมประวิติอย่างครบถ้วน



   ด้านบนสุดคือคุณ รติกร นักธุรกิจที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงแต่ถูกฆาตกรรมเสียชีวิตบนรถไฟก่อนที่รถไฟจะขัดข้องจนเกิดระเบิด



   ส่วนตรงกลางลงมาคือผู้เสียชีวิตในป่าทั้งหกคน



   ศพแรก รุ้งหราย พยานที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมบนรถไฟ ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม พบศพที่นอนอยู่ข้างซากรถไฟตรง ถูกยิงตรงกลางหน้าอกและมีรอยกระสุนปืนที่บ่งบอกว่าเป็นกระสุนปืนของพลทัพที่ทำปืนหายไปนั่นเอง วันเวลาที่เกิดเหตุ 23:50 นาทีและพบสร้อยคอที่ต้นหลิวให้วิรชาไว้ตอนที่ขอแต่งงาน


   ศพสอง วณิชชา อดีตแฟนเก่าของต้นหลิว โดนผูกคอฆ่าตัวตายบนต้นไม้ใหญ่ ไม่หลงเหลือหลักฐานไว้ในที่เกิดเหตุ เพราะฝนตกหนัก ทำให้ต้นหลิวที่ทะเลาะและไล่อีกฝ่ายไปนั้นสำนึกผิด ซึ่งตรวจหาหลักฐานจากศพแล้วพบสร้อยคอของวิรชาที่วณิชชาขโมยไปจากต้นหลิวโดยที่มือของศพนั้นกำสร้อยคอไว้แน่น


   ศพสาม กวิตา เพื่อนของกันต์กวินเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างบนรถไฟ ถูกแทงตาย ซึ่งเป็นมีดผ่าตัดของวรภพที่ถูกขโมยไป บริเวณที่พบศพมีร่องลอยการวิ่งหนี


   ศพสี่ พีรัช ถูกฆ่าปิดปากโดยการเอาเชือกที่รัดตรงคอคนขาดอากาศหายใจแล้วถูกโยนลงน้ำจนลอยไปติดตรงทีมช่วยเหลือ เนื่องจากเห็นการฆ่ากรรมของกวิตา ซึ่งพีรัชกำลังจะหนีแต่ไม่รอด


   ศพห้า อิฐ ผู้ต้องหาคดีลักพาตัวผู้ชายหน้าหวานที่กิตติธัชตามหาตัว ได้บาดเจ็บสาหัสในพงหญ้า ได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มที่รอดชีวิต ประสาทหลอน คิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตนเอง ยกปืนขึ้นมาทำร้ายทุกคนจนบาดเจ็บ แล้วจับตัวกันต์กวินไปแต่ทว่ากลับถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม หลักฐานสำคัญคือเจอไฟแช็กของกิตติธัชอยู่ในที่เกิดเหตุ


   ศพหก เวธกา โดนฆ่าปิดปากโดยการตีหัวจากด้านหลังและบีบคอแน่นจนขาดอากาศหายใจ ในเวลาตอนเที่ยงที่ทุกคนออกไปตามหารวิชาและกันต์กวินที่ถูกจับตัวไป จุดเกิดเหตุมีร่องรอยการต่อสู้ การดิ้น ไม้ที่ใช้ในการตี และเล็บที่หลุด


   และล่างสุดคือรูปของผู้ที่รอดชีวิตทั้งเก้าคน



   "แต่หลักฐานทั้งหมดดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดว่าวิรชาลงมือเองทั้งหมดคนเดียว"

   วรภพมองรูปภาพและเอกสารผลการชันสูตรของแต่ละคนในมือตนเองด้วยความเคร่งเครียดแตกต่างจากต้นหลิวที่ยกกาแฟขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ

    "แค่หลักฐานพวกนั้นไม่เพียงพอหรอกครับ แต่โชคดีที่ผมพึ่งพบหลักฐานชิ้นสำคัญ"

   "นี่คือ..???"

   วรภพมองตุ้มหูไข่มุกที่คนตัวเล็กหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้วยความสงสัยทำให้ต้นหลิวแอบขำกับท่าทางของอีกฝ่าย

    "ตุ้มหูของเวธกาน่ะครับ ผมพบในกระเป๋าสะพายที่นำเข้าไปในป่าด้วย ซึ่งตุ้มหูไข่มุกธรรมดาที่ด้านในนั้น..."

    แกร็ก!

   เสียงเปิดอะไรบางอย่างก่อนที่ตุ้มหูจะแยกออกมาสองส่วนเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน

   "แอบซ่อนกล้องตัวเล็กเอาไว้ด้วย"

   "ในกล้องนั้นมีอะไร คุณได้ตรวจสอบดูรึยัง"

   วรภพถามด้วยความตื่นเต้นซึ่งต้นหลิวนั้นส่ายหน้าทันทึ

   "ผมไม่รู้เหมือนกันเพราะยังไม่ได้เปิดเลยแต่ด้านในกล้องต้องมีหลักฐานสำคัญแน่"

   "งั้นเราเปิดดูกันเถอะ"

   ทั้งสองมุ่งตรงไปหน้าคอมพิวเตอร์ก่อนจะต่อตัวเชื่อมเข้าไปด้านในเผยให้เห็นภาพเหตุการณ์และเสียงทั้งหมดตั้งแต่บนรถไฟเรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์ที่โดนฆ่าตายก็ถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมดและภาพนั้นก็เผยให้เห็นบุคคลคุ้นตาที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ต้นหลิวขมวดคิ้วพร้อมหันไปมองหน้าคนข้างกายอย่างชั่งใจ

   "เสียงแบบนี้ รูปร่างอย่างนี้มัน..."

   "ใช่เลย"

    วรภพพยักหน้าเห็นด้วยแต่ก่อนที่จะได้ออกความเห็นกันมากกว่านี้เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะทั้งสองคน

   ก๊อก! ก๊อก!

   "ใครน่ะ มาทำไมตอนนี้เนี่ย"

   ต้นหลิวมองนาฬิกาก่อนที่วรภพจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินไปเปิดประตู

   "เดี๋ยวผมไปเปิดประตูเอง"

   "เดี๋ยวก่อน"

   ต้นหลิวจับแขนเกร่งไว้ทำให้วรภพหันมามองอย่างสงสัย

   "หืม?"

   "ระวังตัวด้วย"

   ต้นหลิวเตือนด้วยความเป็นห่วงซึ่งวรภพพยักหน้าแล้วหันหลังเดินไปตรงประตูเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้นหลิวดึงข้อมูลสำคัญออกมาแล้วหย่อนหลักฐานสำคัญลงในกระเป๋าเสื้อของตนเองพร้อมเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกรอบ

   ก๊อก! ก๊อก!

   "มาแล้วครับ"

   แอ๊ดด~

   พลัก! ปึก!

   "โอ๊ย!!!"

   วรภพล้มกระเด็นลงไปกองกับพื้นตามแรงท่อนเหล็กที่ฟาดลงมาหลังจากที่เปิดประตูแล้วโดนโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ต้นหลิวรีบวิ่งมาประคองด้วยความเป็นห่วง

   "หมอภพ!!"

   ปึก!

   "โอ๊ยยย"

   ต้นหลิวร้องออกมาเมื่อโดนท่อนเหล็กฟาดมาตรงหน้าผากพอเงยหน้าขึ้นไปมองเห็นใครบางคนที่คลุมหน้ากากทั้งหน้าแต่ดวงตานั้นช่างคุ้นเคยรวมถึงน้ำเสียงนั่นด้วย

   "รู้มากนักนะคุณนักสืบ"

   "นาย..."

   ปึก! ปัก!

   "อึกกก!"

   ต้นหลิวฟุบหน้าลงไปกับพื้นพร้อมเลือดที่ไหลออกมาเยอะจนวรภพต้องฝืนร่างกายของตัวเองมาบังท่อนเหล็กที่จะฟาดลงมาอีกครั้ง

    "ต้นหลิว!"

   ปึก!

   "หึหึ! มารับแทนทำไมในเมื่อแกก็ไม่รอดออกไปอยู่ดีนั่นแหละ"

    เสียงหัวเราะพร้อมกับท่อนเหล็กที่ฟาดลงมาไม่ยั้งแต่วรภพก็อยู่ตรงนั้นไม่ยอมขยับไปไหนจนต้นหลิวลืมตาขึ้นมามองด้วยสายตาที่อ่อนแรง

   ปึก! ปึก!

   "อึก! ภพ"

   ฟุบ!

   "เหอะ!"

   เสียงหัวเราะสะใจพร้อมกับร่างของวรภพและต้นหลิวที่ฟุบลงไปอย่างหมดแรงพร้อมกันยิ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับใครบางคน ก่อนจะเดินไปยังรูปและกองหลักฐานทั้งหมด

   "หึ! หลักฐานแค่นี้..."

   ฟึบ!

   "ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก"

   แสงจากไฟแช๊กถูกจุดขึ้นมาก่อนจะเลือนไปใกล้ภาพพวกนั้นมากจนเริ่มติดไฟ

   พรึบบ!

   เปลวไฟเริ่มลุกไหม้รูปภาพที่ติดอยู่บนกระดานจากด้านล่างขึ้นด้านบนก่อนจะพุ่งขึ้นไปติดเพดานด้านบนรามถึงคอมพิวเตอร์และข้าวของที่อยู่แถวนั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะโรคจิตที่ดึงหน้ากากออกมาแล้วปาลงกับพื้นข้างร่างทั้งสองที่นอนนิ่งพร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

   "ฮะฮะฮะ น่าเสียดายทั้งที่หนีออกมาจากป่าได้แล้วกลับต้องมาตายในที่แบบนี้ ลาก่อนนะหมอภพและนักสืบต้นหลิวคนเก่ง ฮะฮะฮะ!!!"

   เสียงฝีเท้าที่เดินออกจากห้องและเลือนหายไปตามทางเดิน จนแน่ใจแล้วว่าจะไม่ย้อนกลับมาอีกวรภพที่แกล้งสลบจึงพยุงตัวเองขึ้นมาพร้อมกับเรียกคนที่นอนสลบไม่รู้สึกตัวอยู่ในอ้อมกอดของตน

   "ต้นหลิว! อย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะต้นหลิว!"

   ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

   เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากกองไฟทำให้วรภพรีบอุ้มต้นหลิวออกจากห้องแล้ววิ่งไปแอบตรงบันไดหนีไฟได้ทันอย่างหวุดหวิดก่อนที่ทั้งห้องจะระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งตึก วรภพหมอบและกอดต้นหลิวไว้แน่นก่อนที่ทั้งสองจะลอบหนีออกจากตึกไปท่ามกลางเสียงหัวเราะในลำคอและรอยยิ้มโรคจิตรของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของตึกก่อนจะเดินหายไปในความมืดสวนทางกับรถตำรวจและรถดับเพลิงที่กำลังมาตรงตึกนั้นพอดิบพอดี






    'รายงานสด เกิดเหตุระเบิดที่คอนโดร้างแห่งหนึ่ง ขณะนี้รถดับเพลิงกำลังดับไฟอยู่และตำรวจสืบสวนคนแถวนั้นทราบว่าเจ้าของห้องด้านบนสุดคือคุณต้นหลิว...'

   เคร้ง!

   "ทิต!"

   เสียงตะโกนเรียกมาจากห้องนั่งเล่นยังไม่ทำให้แตกตื่นเท่ากับเสียงแก้วกาแฟที่ตกลงบนพื้นทำให้เวทิตที่อยู่ในห้องครัวรีบวิ่งออกมาหาด้วยความเป็นห่วง

   "ห๊ะ! มีอะไรรึเปล่ารุจ แล้วนี้จานตกใส่เท้ารึเปล่าเจ็บมากไหม"

   "ไม่ได้เป็นอะไร แค่จะเรียกมาดูข่าวนี้เอง"

   รุจรวีขมวดคิ้วก่อนจะจับหน้าของเวทิตให้หันไปดูจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพเปลวไฟและความวุ่นวายทั้งหมด

   '...แต่ทว่าตอนนี้ไม่มีใครพบตัวคุณต้นหลิวซึ่งคาดว่าน่าจะติดอยู่ด้านในห้อง'

   "ทิต นายว่าจะใช่ต้นหลิวคนเดียวกันไหม"

   รุจรวีถามด้วยความกังวลใจทำให้เวทิตด้องคอยลูบหลังเพื่อปลอบใจ

   "อาจจะไม่ใช่คนเดียวกันก็ได้ อย่าคิดมากเลยนะรุจ"

   ก๊อก! ก๊อก!

   เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนมองหน้ากันซักพัก ก่อนที่เวทิตจะลุกขึ้นเพื่อไปเปิดประตูแต่ข้อมือด้านซ้ายถูกรั้งเอาไว้แน่น

   "ฉันไปด้วย"

   "อืม"

   ทั้งสองเดินกอดแขนไปตรงประตูพร้อมกันก่อนที่เวทิตจะเปิดกลอนและแง้มประตูออกมาเล็กน้อยทำให้เห็นใครบางคนที่กำลังยืนหอบหายใจอยู่หน้าห้องแต่ไม่น่าตกใจเท่าคนในอ้อมแขนที่มีเลือดไหลเต็มไปหมด

   "หมอภพ! เกิดอะไรขึ้นแล้วทำไมต้นหลิวถึงสลบอย่างนั้นน่ะ!"

   "ใจเย็นนะรุจ ขอเข้าไปหลบในห้องก่อนได้ไหม"

   วรภพมองซ้ายมองขวาอย่างระแวงทำให้เวทิตรีบดึงทั้งสองคนเข้ามาในห้องแล้วล็อกกลอนอย่างหนาแน่น ก่อนที่จะเดินตามวรภพไปที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งอีกฝ่ายประคองต้นหลิวให้นอนลงบนโซฟาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะหันไปสั่งรุจรวีที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังคนรักอย่างทำตัวไม่ถูก

   "รุจขอผ้าชุบน้ำกับกล่องยาให้ผมหน่อย ผมจะทำแผลให้ต้นหลิว"

   "ได้ซิ รอแป๊บนึงนะ"

   รุจรวีรีบเดินไปหาของที่อีกฝ่ายต้องการทำให้ตอนนี้เหลือแต่เวทิตที่มองมาอย่างสงสัย

   "เกิดอะไรขึ้นกับพวกนาย และข่าวที่ออกมานี่ใช่ต้นหลิวตัวจริงใช่ไหม"

   "นายโทรตามกิตกับทัพมาที่นี่ได้ไหม ฉันจะได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังพร้อมกันหมดเลย"

   พอเห็นอีกฝ่ายสีหน้าและทำท่าทางลำบากใจเวทิตจึงยอมพยักหน้าแล้วเดินหายออกไปจากห้องนั่งเล่นปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง วรภพลูบไล้ใบหน้าของคนที่นอนหลับอยู่บนโซฟาพร้อมกับโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาอย่างลืมตัว

   "ปลอดภัยแล้วนะต้นหลิว"

   "ผ้าชุบน้ำกับกล่องยามาแล้ว! อุ๊บส์!!!" รุจรวีทำท่าทางตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้าทั้งที่ในมือนั้นแบกทั้งผ้าชุบน้ำและกล่องยาเต็มไปหมด "ฉันเข้ามาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า"

   "ไม่หรอก ขอบคุณมากที่หาของมาให้"

   วรภพรีบผละออกทันทีพร้อมกับรับผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าตาของคนที่หลับอยู่อย่างระมัดระวังซึ่งทำให้รุจรวรที่ยืนมองอยู่นั้นอมยิ้มและบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย






    ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาลพลทัพกำลังบังคับป้อนข้าวคนป่วยที่นั่งกอดอกทำหน้าตาบูดบึ้งอยู่บนเตียงและหันหน้าหนีเศษใบผักที่อยู่ในช้อนอย่างเอาแต่ใจ

   "ไม่กิน!"

   "กันต์! อย่าดื้อนะ"

   พลทัพทำหน้าดุแต่ดูเหมือนคนที่อยู่บนเตียงจะไม่เกรงกลัวซักนิดเดียวแถมโดนเบ้หน้าใส่อีกต่างหาก

   "กินข้าวเดี๋ยวนี้จะได้กินยา"

   "ไม่เอาไม่กิน"

   กันต์กวินกอดอกแน่นสะบัดหน้าหนีช้อนที่ยื่นมานั้นอย่างดื้อดึงทำให้พลทัพเริ่มหงุดหงิด

   "ทำไมไม่กิน"

   "เบื่อ!"  คนตัวเล็กเริ่มดื้อพร้อมแบะปากใส่ช้อนตรงหน้า "ไม่อยากกินอาหารโรงพยาบาลแล้วมันมีแต่ผักอ่ะ"

   "ไม่กินแล้วจะหายป่วยไหม"

   พลทัพยื่นมือมาจับคางไว้แน่นพร้อมบังคับให้อีกฝ่ายอ้าปาก

   "กินเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย"

   "งื้ออ! ไม่เอาาา"

   กันต์กวินดิ้นหนีอย่างเอาเป็นเอาตายทำให้พลทัพหลุดหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานที่ได้แกล้งอีกฝ่าย

   กริ๊งงง~

   "ปล่อยนะ"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีจนหลุดออกจากมืออีกฝ่ายก่อนจะยกมือขึ้นมากุมคางตัวเองพร้อมไล่อีกฝ่ายอย่างแง่งอน

   "มองอะไร รับโทรศัพท์ซักทีซิ เชอะ!"

   "กินข้าวให้หมดนะ ถ้าฉันเข้ามาแล้วยังกินข้าวไม่หมด" พลทัพยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูอีกฝ่ายอย่างกลั่นแกล้ง  "นายโดนทำโทษแน่ หีหึ"

   "เชอะ!"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีอย่างแง่งอนทำให้พลทัพหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินออกมารับโทรศัพท์หน้าห้องพักคนป่วย

   "ฮัลโหล นายโทรมามีอะไรเวทิต"

   'นายมาที่ห้องพักฉันตอนนี้ได้ไหม ดูเหมือนหมอภพกับต้นหลิวจะมีปัญหาใหญ่'

   "ปัญหา?"

  พลทัพขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่ปลายสายนั้นจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล

   'ใช่ แถมโดนทำร้ายมาด้วยนะ น่าจะเกี่ยวกับเรื่องคดีที่ต้นหลิวตามสืบอยู่แน่'

   "ตกลง เดี๋ยวฉันไปหา"

   พลทัพวางสายอีกฝ่ายก่อนจะหันมาพบกับรณกรที่ยิ้มทักทายกลับมาจากกินข้าวพอดีแถมถือของเต็มไม้เต็มมืออีกต่างหาก

   "จะไปไหนหรอพลทัพ"

   "นายมาพอดีเลย ฝากป้อนข้าวป้อนยากันต์หน่อยนะ ฉันมีธุระที่จะต้องไปจัดการ"

   พลทัพมองเข้าไปในห้องพักคนป่วยอย่างเป็นห่วงทำให้รณกรยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

   "แน่นอนนายไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องป้อนข้าวกันต์ฉันถนัดอยู่แล้ว"

   "อืม ฝากกันต์ด้วย"

   พลทัพพยักหน้าพร้อมเดินออกไปจากตรงนั้นทำให้รณกรยิ้มกว้างพร้อมเปิดประตูไปชูถุงบางอย่างที่ทำให้คนป่วยแทบกระโดดโลดเต้น

   "มาแล้ววว กันต์ดูนี่ซิฉันซื้อเค้กเจ้าประจำมาฝากนายด้วยนะ"

   "เค้กกก!"

   กันต์กวินยิ้มหวานพร้อมเอื้อมมือไปรับถุงพร้อมเปิดกล่องออกมาพบเค้กสุดโปรดของตนเองก็กอดแขนคนตรงหน้าแน่น

   "ขอบใจนะกรนายเนี่ยรู้ใจฉันมากที่สุดเลยไม่เหมือนหมอนั่นที่บังคับให้กินแต่ผักทั้งวัน"

   "ใช่ ฉันรู้ใจนายมากที่สุด"

   รณกรยิ้มกว้างพร้อมยื่นกระป๋องน้ำผลไม้ให้คนตัวเล็กที่ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

   "ฉันเลยซื้ออันนี้มาฝากนายด้วยไง"

   "กร~" กันต์กวินกอดอีกฝ่ายแน่นก่อนจะผละออกมาสนใจของหวานตรงหน้า  "งั้นฉันกินเลยนะ"

   "อืม...ทานให้หมดเลยนะ"

   รณกรมองอีกฝ่ายทานอาหารด้วยสายตาที่เปล่งประกายพร้อมรอยยิ้มตรงมุมปากเมื่อกันต์กวินกินเค้กและน้ำผลไม้ไปครึ่งหนึ่งก็เกิดอาการง่วงนอนจนเอนไปด้านหลังแล้วทำท่าทางงอแง

   "งื้ออ ทำไมง่วงนอนจังเลย ขอนอนก่อนแล้วค่อยตื่นมากินยาได้ไหม"

   "ถ้าง่วงก็นอนไปเถอะ" รณกรเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มนั่นอย่างแผ่วเบา "หลับตาซะนะเด็กดี"

   "งื้อออ~"

   กันต์กวินส่งเสียงในลำคอพร้อมหลับตาลงไม่นานก็หลับสนิท ทำให้รณกรเหยียดยิ้มก่อนจะลากปลายนิ้วเลื่อนลงมาลูบแก้มหน้านุ่มนิ่มของคนที่นอนหลับนิ่งอยู่บนเตียงด้วยความหวงแหน

   "นายอยากออกไปจากที่นี่ใช่ไหมล่ะกันต์"

   น้ำเสียงที่เลื่อนลอยและแววตาที่เปล่งประกายมากกว่าเดิม พร้อมมือหนาที่เอื้อมไปปลดสายน้ำเกลือและอุ้มร่างกันต์กวินที่กำลังหลับสนิทนั้นมาไว้ในอ้อมกอดแน่น รวมถึงริมฝีปากที่แสยะยิ้มออกมาท่ามกลางความมืด

   "ฉันเป็นคนเดียวที่รู้ใจกันต์ที่สุดอย่าลืมซิ ฮะฮะฮะ"

   เสียงประตูห้องที่ปิดลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินหายไปในความเงียบและความมืดของโรงพยาบาลเหลือไว้เพียงเค้กครึ่งก้อน น้ำผลไม้ครึ่งกระป๋อง สายน้ำเกลือที่ถูกดึงจนเลือดออกและเตียงเปล่าที่ไร้ร่างของคนที่เคยนอน






ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0

   ก๊อก! ก๊อก!

   "มาแล้วหรอพลทัพ"

   เวทิตเดินมาเปิดประตูห้องก่อนจะพาคนมาใหม่เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งแต่ละคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียดโดยเฉพาะวรภพที่ตอนนี้โดนรุจรวีจับมาพันแผลเสร็จพอดี

   "มากันครบทุกคนแล้วซินะครับ"

   "มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำไมพวกนายสองคนถึงโดนทำร้าย"

   กิตติธัชเปิดการสอบสวนทันทีโดยที่ในมือมีสมุดและปากกาพร้อมสำหรับจดคำให้การ ซึ่งวรภพถอนหายใจก่อนจะยอมเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟัง

    "เมื่อต้นเดือนก่อนวันที่กันต์กวินจะฟื้น ผมขับรถไปส่งต้นหลิวที่คอนโด ต้นหลิวจึงชวนขึ้นไปดูเอกสารซึ่งเป็นผลการชันสูตรศพของวิรชาบนห้อง ซึ่งผลที่ออกมาพบว่าวิรชานั้นกำลังตั้งท้อง..."

   "ห๊ะ!!! ตั้งท้อง!"

   รุจรวีตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมมองไปยังต้นหลิวที่กำลังหลับอยู่อย่างแตกตื่น

   "ท้องกับต้นหลิวหรอ!"

   "ไม่ใช่ครับ" วรภพส่ายหน้าก่อนจะอธิบายอีกครั้ง "ต้นหลิวยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น รวมถึงผลชันสูตรศพของรติกรดันไปตรงกับศพของอิฐซึ่งน้ำหนักจากการฟาดนั้นรุนแรงมากกว่าแรงผู้หญิง พวกเราจึงสงสัยว่ามีฆาตกรอีกคนหนึ่งจึงเริ่มตามสืบอีกครั้งจนได้ข้อมูลมามากกว่าเดิม"

   "ตามสืบกันเองโดยไม่ได้แจ้งพวกฉันน่ะนะ"

   กิตติธัชขมวดคิ้วด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทำให้คนถูกสอบสวนถอนหายใจอีกครั้ง

   "พวกเราสองคนสงสัยว่าคนร้ายจะเป็นหนึ่งในกลุ่มของพวกเรา และหลักฐานสำคัญคือเครื่องบันทึกภาพจากตุ้มหูของเวธกก็เป็นจริงซะด้วย พวกเรารู้ตัวคนร้ายแต่ไม่ทันกับที่คนร้ายลงมือทำลายหลักฐานทั้งหมดเสียก่อน"

   "แล้วคนร้ายคือใคร"

   กิตติธัชจ้องมองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับคนอื่นในห้องที่นิ่งฟังจนแทบไม่หายใจ

   "คนร้ายตัวจริงคือ รณกร"

   คำตอบจากวรภพทำให้พลทัพเบิกตากว้างก่อนที่หัวใจจะหล่นวูบแทบหยุดเต้น

  "รณกรคือคนร้ายตัวจริงงั้นหรอ"

   "อย่าบอกนะว่านายปล่อยกันต์ไว้กับกรน่ะ!"  หลูถิงซิงที่เริ่มจับอาการของคนตรงหน้า "แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อวันนี้กรไปเป็นช่างภาพในกองข่าว"

   "หมอนั่นมาตอนเย็นก่อนจะออกไปกินข้าวแล้วกลับมาอีกครั้งตอนที่ฉันจะมาหาพวกนายพอดี"  พลทัพกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ "แสดงว่าหมอนั่นมาจัดการพวกนายสองคนจนคิดว่าตายแล้วเลยย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งซินะ"

   "โธ่เอ๊ย!" รุจรวีก็ฟาดมือลงบนไหล่ของคนตรงหน้าอย่างแรงด้วยความโมโห "พวกนายจะนั่งอึ้งกันอีกอีกนานไหม รีบไปโรงพยาบาลซิ!"

   "กันต์!"

   พลทัพรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากห้องพักโดยมีกิตติธัชและเวทิคตามออกไปด้วย ซึ่งพลทัพเป็นคนขับรถเองจึงใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงโรงพยาบาลสวนกับรถตู้สีดำที่ขับสวนออกไปพอดีและหลังจากที่จอดรถเสร็จก็รีบขึ้นไปบนห้องพักคนป่วยที่อยู่ชั้นบนสุดอย่างรีบร้อน

   ปัง!

   "กันต์!"

   พลทัพเปิดประตูพร้อมตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อหาร่างของคนป่วยแต่ไม่มีเลยซักนิดเดียว พบเพียงเตียงที่ว่างเปล่าและสายน้ำเกลือที่ถูกดึงห้อยลงไปกองกับพื้น รวมถึงเค้กก้อนหนึ่งและน้ำผลไม้ครึ่งกระป๋องที่วางแทนที่จานข้าวทำให้มือหนาหยิบขึ้นมากำไว้แน่น

   "กันต์...โธ่เอ๊ย!!!"

   เพล้ง!!! โครม!!!!!

   จานเค้กถูกขว้างลงบนพื้นพร้อมกับจานข้าวและถ้วยยาตามมาด้วยโต๊ะที่ถูกทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง ซึ่งอาการและท่าทางที่บ้าคลั่งทำให้เวทิตต้องมาล็อกแขนด้านหลังเพื่อห้ามปราม

   "หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้ทัพ"

   "ปล่อย! ปล่อยยย!!"

   พลทัพดิ้นขัดขืนอย่างรุนแรงพยายามจะทำลายข้าวของจนกิตติธัชทนไม่ไหวปล่อยหมัดเข้าตรงแก้มอีกฝ่ายอย่างแรงจนเลือดออก

   พลัก!

   "เลิกบ้าคลั่งซักที! ถึงแกจะทำลายข้าวของไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เรื่องตามหากันต์กวินให้ลูกน้องฉันเป็นคนจัดการ ส่วนแกไปนั่งสงบสติอารมณ์เดี๋ยวนี้เลย"

    กิตติธัชชี้ไปทางโซฟาตัวเดียวในห้องซึ่งเวทิตก็พาพลทัพไปนั่งสงบสติอารมณ์ตามที่ตนนั้นสั่งก่อนจะโทรสั่งการลูกน้องให้ช่วยกันออกตามหาจนวุ่นวายกันไปหมด






    หลังจากจัดการเรื่องที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วทั้งสามคนจึงพากันกลับมายังห้องพักของรุจรวีที่ตอนนี้ต้นหลิวฟื้นขึ้นมาเรียบร้อยแล้วกำลังถูกวรภพดูอาการอยู่ตรงโซฟา พอเห็นพวกที่กลับมายืนเงียบกันทำให้รุจรวีถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ

   "ทำไมกลับมากันสามคนแล้วกันต์ล่ะ"

   "พวกเราไปไม่ทัน กันต์กวินถูกรณกรเอาตัวไปแล้ว"

   พอได้ฟังคำตอบจากกิตติธัชแล้วทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ

   "กิต"

   จนกระทั่งต้นหลิวเรียกกิตติธัชพร้อมกับหยิบหลักฐานชิ้นสำคัญออกมาสองชิ้นคือที่บันทึกข้อมมูลขนาดเล็กและตุ้มหูมุกขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อตนเอง

   "อันนี้คือหลักฐานทั้งหมดรวมถึงข้อมูลผลการชันสูตรแต่ละศพที่ผมรวบรวมเอาไว้ และนี่คือตุ้มหูที่ด้านในบันทึกภาพเอาไว้ทั้งหมดตั้งแต่บนรถไฟจนถึงตอนที่เกลจะถูกฆ่าตายซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่เกลทิ้งไว้ให้ผมได้สืบ ฝากจัดการคนร้ายต่อด้วยนะกิต"

   "ขอบคุณที่ช่วยสืบมาตลอด ต่อจากนี้ผมจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเองไม่ต้องเป็นห่วงนะ"

   กิตติธัชรวบรวมหลักฐานทั้งหมดใส่กระเป๋าก่อนจะหันหลังจะเดินออกจากห้องแต่หยุดตรงพลทัพที่นั่งกุมหน้าผากอยู่อย่างแผ่วเบา

  "ไม่ต้องกลัว ฉันจะพาคนของแกกลับมาเอง"

   "อืม...แต่ฉันให้เวลาถึงคืนนี้ถ้าลูกน้องของแกหาไม่เจอฉันจะออกไปตามหาเอง"

   พลทัพตอบเสียงในลำคอก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปตรงระเบียงนอกห้องทำให้กิตติธัชถอนหายใจในความดื้อดึงของอีกฝ่าย

   "เฮ้อ~ ยังไงฝากพวกนายดูแลมันหน่อยแล้วกัน"

   "ได้เลยไม่ต้องเป็นห่วง นายรีบไปเถอะ"

   รุจรวีรับปากทำให้กิตติธัชพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เวทิตจึงพารุจรวีไปจัดโต๊ะอาหารกันในครัว ส่วยวรภพกำลังพันแผลที่ศีรษะให้รต้นหลิวที่นั่งตรงหน้าอย่างเบามือพร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   "รู้สึกเจ็บตรงไหนอีกไหม"

   "ไม่ครับ"

   ต้นหลิวส่ายหน้าพร้อมกับหลบสายตาที่จ้องมองมาด้วยความขัดเขิน

  "ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้นะ"

   "ไม่เป็นไร"

   วรภพยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบอะไรบางอย่างให้ได้ยินเพียงสองคน

   "เพราะนายคือคนสำคัญของฉัน"

   "คนสำคัญ?" ต้นหลิวเหลือบตามองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้กันแค่คืบ "เพื่อนร่วมงานซินะ"

   "คนสำคัญก็คือคนสำคัญ ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานซักหน่อย" วรภพจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง "นายสำคัญกับฉันมากนะรู้ตัวไหมต้นหลิว"

   "อืมม"

    ต้นหลิวพยักหน้าทำให้อีกฝ่ายอมยิ้มพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากของทั้งสองแนบชิดกันอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล ก่อนจะผละออกมาเมื่ิอได้ยินเสียงจากรุจรวีที่อยู่ในห้องครัวดังแทรกขึ้นมาเสียงดังลั่น

   "จัดโต๊ะเสร็จแล้วนะ มากินข้าวกันเถอะ"

   "อื้อ"

   ต้นหลิวเบี่ยงตัวหนีแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยใบหน้าเขินอายปล่อยให้วรภพนั่งจับปากแล้วอมยิ้มก่อนจะเดินตามไปอีกคน หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จแล้วทุกคนจึงมานั่งรวมตัวกันในห้องนั่งเล่นเพื่อรอฟังข่าวความคืบหน้าจนเวลาล่วงเลยมาเกือบตีสองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

   ก๊อก! ก๊อก!

   "กิตมาแล้วแน่เลย"

    รุจรวีรีบวิ่งไปที่ประตูโดยมีเวทิตตามไปไม่ห่างพอเปิดประตูออกมาก็พบกับกิตติธัชที่ยืนหน้าตึงโดยด้านหลังมีรวิสราที่ยิ้มทักทายเจ้าของห้อง

   "ขอโทษที่มาดึกไปหน่อยนะคะรุจ"

   "ไม่เป็นไรหรอก เข้ามาในห้องก่อนซิ"

   รุจรวีลากแขนรวิสราเข้ามาในห้องตามด้วยกิตติธัชและเวทิตที่ปิดประตูลงกลอนอย่างหนาแน่น พอพลทัพเห็นหน้ากิตติธัชก็รีบถามทันทีด้วยความร้อนใจ

   "ลูกน้องนายสืบได้อะไรมาบ้าง"

   "ลูกน้องฉันได้ข้อมูลสำคัญมา"

   กิตติธัชนั่งพร้อมกับวางรูปภาพรถสีดำประมาณสองสามรูปไว้บนโต๊ะ

   "รูปนี้คือรถที่รณกรเป็นคนขับคาดว่าน่าจะลงไปทางตอนใต้"

   "แล้วรู้ไหมว่ามันจะไปที่ไหน"

   พลทัพถามด้วยความร้อนใจแต่กิตติธัชก็ไม่ได้ถือสาอะไรมากมาย

   "คาดว่าน่าจะหนึไปกบดานที่บ้านเกิดแถบริมทะเล"

   "เยี่ยม!"

   พลทัพลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไปจากห้องแต่ชะงักเล็กน้อยเมื่อกิตติธัชหันไปห้ามคู้หมั้นของตนเองที่ดึงดันจะไปด้วย

   "คุณอยู่ที่นี่แหละรวิ ไม่ต้องไปหรอกมันอันตราย"

   "ที่จะไปด้วยเพราะรวิเป็นห่วงคุณค่ะ" รวิสรายิ้มหวานมากขึ้นกว่าเดิม "ธัชให้รวิไปด้วยเถอะนะคะ"

   "เฮ้อ~ ห้ามไม่ได้ซินะ" กิตติธัชยกมือขึ้นลูบเส้นผมหนานุ่มนั้นอย่างทะนุถนอม "ระวังตัวเองด้วยล่ะ"

   "แน่นอนค่ะ"

   รวิสรายิ้มหวานก่อนจะหน้าแดงเมื่อรุจรวีอดไม่ไหวที่จะล้อเลียนทั้งสองคน

  "หวานกันจังเลยนะคู่ที่กำลังจะแต่งงานกันเนี่ย น่าอิจฉาจัง"

   "จะไปอิจฉาคนอื่นทำไมล่ะ มีผมอยู่ทั้งคนก็พอแล้วไหมหะ"

   เวทิตล็อกคอคนตัวเล็กที่ดิ้นหนีเล็กน้อยด้วยความหมั่นไส้ ส่วนวรภพก็คอยประคองต้นหลิวที่ยังมีอาการปวดหัวไม่หาย

   "เดินระวังนะ แน่ใจนะว่าไปไหวน่ะ"

   "ไหวซิครับ"

   ต้นหลิวพยักหน้าดึงดันที่จะไปทั้งที่ไข้ขึ้นสูงจนวรภพใจอ่อนยอมให้อีกคนไปด้วย เมื่อเห็นทุกคนตกลงกันได้แล้วพลทัพจึงพูดเสียงดังขึ้นมาอย่างหงุดหงิด

   "ตกลงกันเรียบร้อยก็รีบไปกันได้แล้ว"

   "ไปซื"

   กิตติธัชแอบกวนประสาทเล็กน้อยก่อนที่ทั้งหมดจะออกเดินทางไปยังทางตอนใต้ด้วยความมุ่งมั่นที่หวังจะให้คนที่กำลังตามหากันนั้นปลอดภัย






   ขณะเดียวกันนั้นเองตรงบ้านพักตากอากาศแถบริมทะเลนั้นรณกรเดินออกมายืนรับลมตรงระเบียงยืนฟังเสียงนกเริ่มร้องและแสงแรกของพระอาทิตย์ที่กำลังจะเผยโฉมขึ้นมาตรงริมขอบฟ้าซึ่งเป็นบรรยากาศที่งดงามเข้ากันกับร่างของใครบางคนที่นอนหลับไหลอยู่ในห้องนอนตั้งแต่ตอนที่มาถึงเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ ก่อนที่จะหันมาสนใจกับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาไม่หยุดแถมเป็นเบอร์ที่คุ้นเคยซะด้วย

   "ฮัลโหล หึ! พวกมันรู้กันแล้วซินะ เอาเลยให้พวกมันมากันเลยจะได้จัดการทีเดียว เหอะ! ไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน"

   รณกรกดวางสายด้วยความหงุดหงิดและขัดใจแต่พอรู้เรื่องที่ว่าทุกคนรู้ที่อยู่ตนเองแล้วกำลังรีบเดินทางมานั้นก็กลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมตบมือด้วยความตื่นเต้นราวกับเด็กที่ดีใจมาก ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องนอนที่เปิดโล่งเอาไว้ให้ลมโกรกเข้ามา รณกรเดินไปนั่งที่ริมขอบเตียงพร้อมกับเอามือลูบกลุ่มผมแสนนุ่มนิ่มนั้นอย่างอ่อนโยน

   "กันต์~ นายชอบที่นี่ไหมที่นี่น่ะเป็นบ้านเกิดของกรเลยนะ กรอยากให้กันต์มาอยู่ที่นี่ตั้งนานล่ะ"

   รณกรเหยียดยิ้มหวานก่อนจะโน้มตัวเอาแก้มไปแนบหน้าผากของคนที่กำลังนอนหลับอยู่

   "กรไม่ต้องการอะไรนอกจากกันต์เพียงคนเดียว เราอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมเหมือนตอนเด็กเถอะนะ"

  รณกรหลับตาพร้อมกอดกันต์กวินที่นอนอยู่แน่นราวกับกำลังกอดตุ๊กตาของรักของหวงที่ถูกคนอื่นแย่งไปนานมากเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กเล็กนั่นเอง

   "กรไม่ยอมปล่อยกันต์ไปหรอกนะ ถ้ากรตายกันต์ต้องตายไปพร้อมกรนะตกลงไหม ฮะฮะฮะ"

  รณกรหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งคนที่จะมาแย่งไปนั้นจะต้องโดนกำจัดทุกคนโดยเฉพาะศตรูหัวใจอย่างพลทัพเขาไม่ปล่อยมันไว้แน่



*************************

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งที่ 34


   ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงรถที่กิตติธัชขับมานั้นใกล้จะมาถึงจุดหมายปลายทางแต่ทว่าด้วยความที่รีบร้อนและท้องฟ้าที่ยังไม่สว่างดีนักทำให้มองไม่เห็นตะปูเรือใบที่ถูกโปรยเอาไว้บนพื้นถนนและนั่นทำให้เสียงยางระเบิดและรถไม่สามารถควบคุมได้

   บึ้ม!

   "อ๊าย! ธัชระวัง"

    รวิสราที่นั่งอยู่ด้านหน้าร้องออกมาด้วยความตกใจไม่แตกต่างจากพวกที่นั่งอยู่ด้านหลังทยอยตื่นมาด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

   กึกกึก!

   "เกิดอะไรขึ้น!"

   เสียงโวยวายจากด้านหลังรถหลังจากเสียงเครื่องยนต์ที่เริ่มกระตุกทำให้กิตติธัชเคร่งเครียดแต่ยังบังคับรถให้จอดสนิทตรงข้างทางได้อย่างปลอดภัย

   "ยางระเบิด กรมันน่าจะวางกับดักไว้"

   "แล้วจะทำยังไงกันล่ะ"

   รุจรวีมองซ้ายมองขวาพร้อมกับกอดแขนเวทิตแน่นด้วยความหวาดกลัวกับบรรยากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยป่ามากมาย ซึ่งวรภพเสนอความคิดเห็นขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

   "ไม่อย่างนั้นเรารอรถตำรวจที่ตามมาด้านหลังดีไหมครับ อีกไม่กี่นาทีก็น่าจะมาถึง"

   "ไม่รออะไรทั้งนั้นนั่นแหละ ฉันจะเป็นคนไปหากันต์เอง"

   แต่คนใจร้อนอย่างพลทัพไม่ฟังเสียงห้ามปรามอะไรทั้งนั้นรีบวิ่งออกไปตามถนนที่ทอดยาวไปตรงบ้านพักตากอากาศทันทีทำให้ต้นหลิวมองตามหลังด้วยความร้อนใจ

   "เดี๋ยวซิคุณพลทัพ! จะเอายังไงกันดีครับ"

   "วิ่งตามกันเถอะ หมอนั่นยิ่งใจร้อนอยู่ถ้าทำอะไรขึ้นมามันจะเป็นเรื่องใหญ่"

   กิตติธัชออกความเห็นซึ่งทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้ววิ่งตามอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่นานนักพลทัพมาถึงบ้านพักตากอากาศเป็นคนแรกก็เปิดประตูเข้าไปสุดแรง

   ปัง!

   "กันต์!"

   พอเปิดประตูเข้ามาไม่เจอใครอยู่ในบ้านด้านล่างจึงเดินขึ้นไปค้นหาชั้นบนเห็นมีอยู่ห้องเดียวเลยเปิดประตูเข้าไปอย่างรีบร้อนหวังจะพบคนที่ตามหาแต่ทว่าพบเพียงความว่างเปล่าและพบข้อความที่เขียนด้วยเลือดอยู่บนผนังไม้สีน้ำตาลเต็มห้องและในเวลานั้นก็มีพวกตามมาสมทบพอดี

   "เฮ้อ~ เจอกันต์ไหม...เห้ย! นั่นมัน..."

   "อึก!"

   รวิสราเกาะแขนคู่หมั้นตนเองแน่นด้วยความหวาดกลัวไม่ต่างจากคนที่ได้เห็นข้อความที่เขียนด้วยเลือดตรงนั้น

   'ถ้าพวกแกอยากได้กันต์คืน รีบมาเจอที่หน้าผาภายในเวลาห้านาที'

   "มันมากเกินไปแล้วนะ กรมันโรคจิตใช่ไหม"

   รุจรวีลูบแขนตัวเองอย่างเบามือเพราะรู้สึกขนลุกกับภาพตรงหน้า แต่ก่อนที่พลทัพจะเดินออกไปจากตรงนั้นกิตติธัชกลับห้ามไว้ซะก่อน

   "แกจะไปไหน"

   "ไปหากันต์ไง"

   พลทัพตอบอย่างหงุดหงิดและไม่ฟังคำห้ามปรามจากคนตรงหน้า

   "แกควรจะรอกองหนุนที่กำลังมา ไม่ใช่ขาดสติตามเกมมันอย่างนี้"

   "ฉันต้องไป" พลทัพทำหน้านิ่งพร้อมทอดสายตามองไปยังคู่หมั้นของเพื่อนสนิท "ถ้าคู่หมั้นแกถูกจับตัวไป แกคงจะไม่รออะไรทั้งนั้นได้บ้ากว่าฉันแน่"

   "เฮ้อ~"

   กิตติธัชถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของเพื่อนสนิทก่อนจะตบบ่าลงไปหนึ่งทีแล้วปล่อยมือจากบ่าของอีกฝ่าย

   "ระวังตัวด้วย ฉันจะตามไปพร้อมกับกองหนุน"

   "อืม"

   พลทัพพยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกจากตรงนั้นเพื่อไปยังหน้าผาที่อีกฝ่ายนัดเอาไว้ด้วยความรีบร้อนและในหัวคิดถึงความปลอดภัยของกันต์กวินตลอดเวลา

   ...'อย่าพึ่งเป็นอะไรเลยนะกันต์'...





   หลังจากนั้นผ่านไปไม่ถึงห้านาทีพลทัพก็มายืนหอบอยู่ตรงหน้าผาที่ยื่นออกไปและด้านล่างมีแต่น้ำทะเลซึ่งพอขึ้นไปถึงก็พบกันต์กวินที่นั่งบนเก้าอี้ไม้พอดีตัวและเอนหัวพิงแอนซบกับแผ่นอกรณกรที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังแต่ที่แปลกไปจากเดิมคือตรงแขนขาวของกันต์กวินกลับมีผ้าพันแผลพันเอาไว้อย่างเรียบร้อย

   ภาพตรงหน้าทำให้พลทัพขาดสติยกปืนขึ้นมาจ่อคนตรงหน้าซึ่งรณกรไม่เกรงกลัวกลับเหยียดยิ้มแล้วยกปืนขึ้นมาจ่อตรงท้ายทอยของร่างบางตรงหน้าพร้อมน้ำเสียงข่มขู่

   "เอาซิถ้าแกยิง...ฉันก็ยิง"

   "ไอ้กร!!!"

   พลทัพขบกรามแน่นก่อนจะยอมลดปืนลงแล้วโยนทิ้งไปด้านข้างซึ่งห่างออกไปพอสมควรทำให้คนที่ออกคำสั่งหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

   "ฮะฮะฮะ~"

   รณกรผละออกจากคนตัวเล็กก่อนจะเดินมาตรงพลทัพแล้วเอาปืนมาจ่อขมับคนตรงหน้าแทน

   "แกไม่มีวันชนะฉันได้ ไม่มีวันแย่งกันต์ของฉันด้วย"

   "กันต์ไม่ใช่ของแก"

   พลทัพมองตาขวางทำให้รณกรโมโหกำลังยกมือจะทำร้ายคนตรงหน้าแต่มีเสียงห้ามดังขึ้นพร้อมปืนหลายกระบอกที่จ่อมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

   "หยุดเดี๋ยวนี้นะรณกร ถ้าแกลงมือทำร้ายใครก็ตามฉันสั่งลูกน้องยิงแกแน่"

   "ว๊าว!~ น่ากลัวจัง"

   รณกรแสยะยิ้มออกมาพร้อมพูดอย่างท้าทาย

   "คุณตำรวจมากันเยอะขนาดนี้จะจับผมข้อหาอะไรไม่ทราบครับ"

   "นี่คือหมายจับข้อหาฆ่าคนตาย"

   กิตติธัชชูหมายจับขึ้นมาพร้อมกับบอกข้อกล่าวหากับคนตรงหน้าทำให้รณกรหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งก่อนจะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่เริ่มบิดเบี้ยวจนถึงขั้นแสยะยิ้ม

   "ฮะฮะฮะ ใช่! ฉันคือฆาตกรตัวจริง"

   ดวงตาคมจ้องมองไปยังต้นหลิวที่ยืนอยู่ด้านหลังวรภพด้วยแววตาที่วาววับ

    "สืบกันเก่งจริงนะไม่น่าเชื่อว่าพวกนายจะยังไม่ตายกันนะคุณนักสืบกับคุณหมอ"

   "ยอมมอบตัวซะ"

  กิตติธัชยกปืนขึ้นมาขู่อีกครั้งยิ่งทำให้คนตรงหน้าไม่เกรงกลัวแถมกดปืนให้แนบชิดกับขมับของคนที่ยืนนิ่งตรงหน้าแน่น

   "ผมก็ไม่ได้ขัดขืนนี่ครับ อยากรู้ความจริงอะไรก็สอบปากคำตรงนี้เลยซิ"

   "แก!"

   กิตติธัชอารมณ์เสียก่อนจะระงับสติอารมณ์ตนเอง

   "ทำไมแกต้องลงมือจัดการฆ่าทุกคนด้วย"

   "หึ!"

   รณกรเหยียดยิ้มจนถึงขั้นแสยะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด

   "เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มขึ้นมาจากคนหน้าเลือดขี้โกงคนนั้น"

   "ใคร?"

   "รติกร"

   รณกรเหลือบไปมองรวิสราที่ยืนทำหน้าตกใจอยู่ด้านหลังคู่หมั้น

   "พ่อของรวิไงครับ"

   "คุณพ่อทำอะไรกับคุณหรอคะ"

   รวิสราพูดด้วยความยากลำบากพร้อมกอดแขนกิตติธัชคนรักของตนเองไว้แน่น ทำให้รณกรหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งผิดกับแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้น

   "ฮะฮะฮะ คนสกปรกคนนั้นทำลายชีวิตครอบครัวผมทุกคนน่ะซิ!!!"







...'ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว



   รณกรวัยห้าขวบเดินเล่นอยู่ริมทะเลกับวิรากรซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดอย่างสนุกสนานโดยไม่รับรู้ถึงความตึงเครียดภายในบ้าน รณพงษ์ยกน้ำดื่มมาต้อนรับรติกรที่ห้องรับแขกซึ่งสมัยก่อนเคยทำธุรกิจร่วมกันมาหลายครั้ง รณพงษ์ยิ้มทักทายเพื่อสนิทที่ไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกันมานาน

   "ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานสบายดีไหมรติกร"

   "แน่นอน ตอนนี้ธุรกิจฉันกำลังไปได้สวย"

   รติกรหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มพร้อมมองไปรอบบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง

   "บ้านหลังนี้ของนายสวยดีนะ ได้ข่าวว่าที่ดินที่เคยยืมฉันไปตอนนี้มีมูลค่ามากกว่าเดิมตั้งหลายเท่าใช่ไหม"

   "อืม แต่ฉันเอาไว้ทำพวกแปลงผักและให้ชาวบ้านเช่าที่ดินเพื่อทำมาหากินกันแล้ว"

   รณพงษ์มีสีหน้าท่าทางที่ลำบากใจเมื่อเริ่มจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

   "ถ้านายต้องการเอาที่ดินคืน เอาเป็นตรงอื่นได้ไหมฉันสงสารคนพวกนั้น"

   "ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ" รติกรเหยียดยิ้มพร้อมยกน้ำขึ้นมาดื่ม "แต่ถ้านายเสนอมาแบบนี้งั้น...เอาเป็นที่ดินของบ้านหลังนี้ยาวเรื่อยไปจนถึงหน้าผาและทะเลแถบนั้นดีไหมล่ะ"

   "รติกร"

   รณพงษ์มองคนตรงหน้าด้วยความผิดหวังแต่ต้องนึกถึงบุญคุณที่คนตรงหน้ามีไว้เมื่อสมัยที่เคยทำธุรกิจร่วมกันครั้งแรก

   "ถ้านายต้องการฉันจะยอมขายที่ดินบ้านหลังนี้ให้กับนายและหลังจากนี้ถือว่าบุญคุณที่นายเคยช่วยเหลือธุรกิจของฉันจบกันแค่นี้ ตกลงไหม"

   "แน่นอน"

   รติกรเหยียดยิ้มก่อนจะยื่นสัญญาขายที่ดินให้อีกฝ่ายซี่งรณพงษ์ยอมเซ็นสัญญาแต่โดยดี รติกรเหยียดยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยความพึงพอใจ

   "ฮะฮะฮะ เยี่ยมมากเลยรณพงษ์เพื่อนรัก"



   แกร๊ก...ปั้ง!!!



    "อึก! ร...รติกร"

    รณพงษ์เอามือจับหน้าอกของตนเองที่มีเลือดไหลทะลักออกมาพร้อมมองคนตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวัง

   "ทำไม..."

   "เพื่อธุรกิจไงเพื่อนรัก ฮะฮะฮะ"

   รติกรหัวเราะเสียงดังลั่นก่อนจะเหนี่ยวไกปืนอีกครั้งพร้อมกับลูกกระสุนที่ถูกยิงออกไปถูกรณพงษ์จนหงายหลังหมดสติไปพร้อมลมหายใจ



   ปั้งงง!!!




   "อ๊ะ! เสียงอะไรน่ะครับคุณแม่"

   รณกรเงยหน้าขึ้นไปถามผู้เป็นแม่ส่วนวิรากรก็รีบกอดขาแม่ด้วยความหวาดกลัว

   "ผมกลัวจังเลยครับคุณแม่"

   "ไม่ต้องกลัวไม่มีอะไรหรอกนะกร...ไวน์..."

    วิรกานต์ลูบผมลูกชายทั้งสองอย่าแผ่วเบาแม้จะพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เต็มที่

    "หิวน้ำไหมเดี๋ยวแม่กลับไปเอาน้ำมาให้นะ"

   "ครับ"

   สองแฝดตอบอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนที่วิรกานต์จะเดินย้อนกลับไปที่บ้าน พอเข้ามาในบ้านก็เห็นร่างของสามีที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นพร้อมเลือดที่ไหลนองออกมาเต็มไปหมด

   วิรกานต์เอามือปิดปากกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นและทรุดตัวลงนั่งข้างศพสามีอย่างหมดแรง

    "ฮึก! รณพงษ์ ฮือ...รณพงษ์"



    หลังจากที่ร้องไห้จนพอใจวิรกานต์ก็เดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำสองแก้วแต่ทว่าพอไปถึงกลับพบเพียงวิรากรนั่งเล่นทรายเพียงคนเดียว

   "น้ำมาแล้วจ๊ะไวน์ แล้วนี่พี่กรไปไหนลูก"

   "ขอบคุณครับคุณแม่...พี่กรไปวิ่งเล่นตรงนู้นครับ"

   วิรากรรับน้ำมาดื่มจนหมดแก้วแล้วหันมาสนใจกองทรายตรงหน้าต่อแต่ทว่าวิรกานต์กลับอุ้มขึ้นมากอดไว้แน่น

   "เราไปชมวิวตรงหน้าผากันดีไหม ไวน์ชอบบรรยากาศตรงนั้นไม่ใช่หรอลูกรัก"

    "ครับบบ"

   วิรากรยกมือขึ้นมาขยี้ตาพร้อมซบลงตรงไหลผู้เป็นแม่อย่างออดอ้อนไม่นานก็เผลอหลับไปทำให้วิรกานต์รีบเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่ได้สังเกตุเห็นรณกรที่วิ่งกลับมาพอดี

   "คุณแม่! คุณแม่! คุณแม่กับไวน์จะไปไหนกันน่ะรอผมด้วยซิครับ"

   รณกรตะโกนตามหลังพร้อมวิ่งตามไปทำให้ช่างภาพที่ยืนอยู่แถวนั้นหันมามองก่อนจะแอบเดินตามไปด้วยความสงสัย  ผ่านไปไม่นานนักวิรกานต์ก็เดินมาหยุดยืนตรงหน้าผาที่สูงชันโดยมีวิวทะเลอยู่ด้านล่าง สายลมที่พัดผ่านร่างกายทำให้วิรกานต์ยิ้มหวานออกมาพร้อมเหลือบมองลูกชายคนเล็กที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ

   "วิวสวยจังเลยเนอะไวน์ อยากเล่นน้ำกับแม่ไหมครับ"

   วิรกานต์ก้าวออกไปชิดกับขอบหน้าผาพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อนึกถึงใครบางคนที่พึ่งจากไป

   "ไวน์เห็นคุณพ่อไหมครับ คุณพ่อรอเราอยู่ด้านล่างนะ"

   "งื้มม"

   วิรากรขยับหัวไปมาไม่นานก็นิ่งลงไปอีกครั้งทำให้ผู้เป็นแม่ลูบผมอย่างแผ่วเบา

   "เราไปหาคุณพ่อกันเนอะ"

   "งื้มม"

   เสียงตอบรับที่ละเมอออกมาเรียกรอยยิ้มจากวิรกานต์ที่หลับตาลงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับก้าวไปด้านหน้าในจังหวะเดียวกับเสียงของรณกรที่วิ่งตามและตะโกนมาจากด้านหลัง

   "คุณแม่!!!"

   "อย่าวิ่งไปนะ!"

   เสียงทุ้มจากด้านหลังพร้อมอ้อมแขนที่คว้าตัวรณกรไว้ทันอย่างหวุดหวิดก่อนที่เด็กตัวเล็กนี่จะล่วงตกตามสองคนนั้น ซึ่งรณกรไม่ได้กลัวอะไรแถมหันมามองคนที่จับตนเองไว้ด้วยแววตาที่ใสซื่อ

   "คุณลุงเห็นแม่กับน้องผมไหมครับ เมื่อกี้นี้ยังมองเห็นอยู่เลย"

   "ตาฝาดแล้วมั้ง เมื่อกี้นี้ลุงไม่เห็นใครเลยนะ"

   ธีร์ธรณ์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสงสาร

    "ลุงชื่อ ธีร์ธรณ์ เป็นช่างภาพนะแล้วเราชื่ออะไรล่ะ"

   "ผมชื่อ รณกร ครับ มีคุณพ่อชื่อ รณพงษ์ คุณแม่ชื่อ วิรกานต์ แล้วก็น้องชายฝาแฝดชื่อ วิรากร ครับ"

   รณกรตอบด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วทำให้ธีร์ธรณ์ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

   "กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวลุงไปส่งเอง"

   "ครับผม"

   รณกรพยักหน้าพร้อมจูงมือหนาให้เดินออกไปจากตรงนั้นซึ่งใช้เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงบ้านพักริมทะเลของตนเองที่ตอนนี้กลับเงียบผิดปกติ

   "ถึงบ้านแล้วครับ ผมเข้าบ้านก่อนนะครับขอบคุณลุงธรณ์ที่มาส่งนะครับ"

   "เดี๋ยวซิกร"

   ธีร์ธรณ์เรียกเด็กตัวเล็กที่วิ่งเข้าบ้านไม่หันมาสนใจตนเองอีกด้วยความเอ็นดูแต่ก่อนที่จะเดินออกไปจากบริเวณนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องไห้ดังมาจากในบ้านหลังนั้น

   "คุณพ่อ!!! ฮึก! คุณพ่อครับบบบ!!!"

   "กร!"

   ธีร์ธรณ์วิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความเป็นห่วงแต่ต้องชะงักกับภาพที่เห็นตรงหน้า พอรณกรเห็นว่าคุณลุงใจดีเดินเข้ามาก็รีบวิ่งเข้ามากอดพร้อมร้องไห้อย่างขวัญเสีย

   "ฮึกฮืออ~ คุณพ่อไม่ขยับตัวเลยครับคุณลุง คุณพ่อเป็นอะไรไหมครับ ฮือออ"

   "คุณพ่อของกรไปสบายแล้วนะ รวมถึงแม่กับน้องชายของกรด้วย"

   ธีร์ธรณ์ลูบผมเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความสงสารที่ต้องเสียคนในครอบครัวไปพร้อมกัน

   "กรไปอยู่กับลุงก่อนนะ ตกลงไหม"

   "ฮึก! ครับคุณลุง ฮึกฮือออ~"

   รณกรร้องไห้งอแงสะอึกสะอื้นจนธีร์ธรณ์ต้อมอุ้มขึ้นมาแล้วเดินออกจากบ้านหลังนั้นไปพร้อมกับเด็กตัวน้อยโดยทำใจแข็งไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย




    หลังจากวันนั้นธีร์ธรณ์ก็พารณกรมาที่บ้านโดยรักและเลี้ยงดูราวกับลูกอีกคนหนึ่งของตนเอง

    ซึ่งรณกรนั้นอายุน้อยกว่า ธีร์ธวัช ลูกชายตนเองประมาณปีกว่าที่มาอยู่กับตนหลังจากที่หย่ากับภรรยาแล้วนั่นเอง  แถมยังตั้งใจส่งเข้าโรงเรียนให้เรียนหนังสือที่เดียวกับธีร์ธวัชอีกต่างหาก ซึ่งรณกรหัวไวและฉลาดมากแถมยังสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดีเยี่ยมไม่เหมือนลูกชายตนเองที่ชอบงอแงและดื้อรั้นมาก




    โดยช่วงเวลาที่ผ่านมาธีร์ธรณ์ได้แอบจ้างนักสืบให้ตามหาวิรากรน้องชายฝาแฝดที่หายตัวไปซึ่งไม่นานนักก็ได้ข่าวว่ามีเด็กถูกทะเลพัดติดตรงชายฝั่งตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาลเล็กหลังเกาะห่างจากบ้านเดิมของรณกรไปไกลพอสมควร

    เมื่อสืบจนแน่ใจแล้วธีรธรณ์จึงพารณกรไปโรงพยาบาลในวันหยุด พอถึงที่หมายแล้วรณกรก็มองไปรอบกายด้วยความสงสัย

   "คุณลุงพาผมมาที่นี่ทำไมหรอครับ"

   "พามาหาใครบางคนที่กรคิดถึงไง"

   ธีร์ธรณ์ลูบผมเด็กน้อยตรงหน้าก่อนจะจูงมือพาเข้าไปในโรงพยาบาลตรงเข้าไปห้องด้านในสุดที่ดูดีที่สุดในโรงพยาบาล

   ก๊อก ก๊อก

   เสียงเคาะประตูอย่างแผ่วเบาเพื่อเป็นมารยาทก่อนจะเปิดเข้าไปเผยให้เห็นเด็กตัวเล็กที่หน้าตาเหมือนรณกรทุกอย่างกำลังนอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง พอเห็นคนคุ้นตารณกรก็รีบถลาเข้าไปหาทันที

   "ไวน์~ ดีใจจังที่ได้พบไวน์อีกครั้ง"

   "เจอน้องชายแล้วนะตัวแสบ"

   ธีร์ธรณ์ลูบผมรณกรด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะทำเรื่องย้ายตัววิรากรไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใหญ่ในเมือง




   ซึ่งตลอดเกือบสามเดือนรณกรก็ยังมาวนเวียนรอบเตียงของน้องชายเกือบทุกวันโดยมีธีร์ธรณ์คอยรับส่งทุกครั้งและพ่วงมาด้วยธีร์ธวัชที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่

   "ทำไมคุณพ่อต้องพามาที่นี่ทุกวันด้วย ธีร์อยากนอนนน"

   "ไม่งอแงนะธีร์ ถ้าง่วงก็นอนไปซิลูกไม่ต้องรบกวนน้องไวน์"

   ธีร์ธรณ์หันมาปรามลูกตนเองทำให้ธีร์ธวัชขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

   "ตะโกนดังเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นขึ้นมาหรอก"

   "ไม่น่ารักเลยนะธีร์"

   ธีร์ธรณ์ทำเสียงดุใส่ลูกตนเองเป็นจังหวะที่รณกรเผลอตกลงมาจากเก้าอี้พอดี

   โครม! ตุบ!

   "ฮึกฮืออออ"

   รณกรร้องไห้ดังลั่นทำให้ธีร์ธรณ์รีบเข้าไปกอดและอุ้มปลอบทันที

   "โอ๋~ ไม่ร้องนะกร"

   "ฮึก เจ็บอ่ะ ฮือออ"

   รณกรร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกอดคนตรงหน้าแน่นแต่ดวงตาหันไปมองไปยังพี่ชายบุญธรรมที่นั่งบนโซฟาราวกับเยาะเย้ยจนธีร์ธวัชตัวสั่นไปหมดด้วยความโกรธ

   "คุณพ่อ..."

   "ธีร์ฝากดูแลไวน์ด้วยนะลูก เดี๋ยวพ่อมา"

   ธีร์ธรณ์อุ้มรณกรเดินออกไปจากห้องทิ้งคนตัวเล็กไว้บนโซฟาเพียงคนเดียว 

   ธีร์ธวัชกำมือแน่นพร้อมเดินไปใกล้เตียงที่มีใครบางคนที่หน้าเหมือนกับคนที่พึ่งออกไปนอนนิ่งอยู่บนเตียงก่อนจะเอื้อมมือจับคอคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา

   "นายจะมาแย่งความรักจากพ่อฉันอีกคนใช่ไหม ถ้านายตายไปตอนนี้พี่ชายนายคงร้องไห้งอแงน่าดูเลยซินะ"

   ธีร์ธวัชเหยียดยิ้มพร้อมกับออกแรงบีบตรงลำคอนั้นอย่างแรงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้นและชิงชัง



    ขณะเดียวกันทางด้านของรณกรก็นั่งสะอึกสะอื้นอยู่บนม้านั่งแม้ว่าธีร์ธรณ์จะปลอบเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหยุด ก่อนที่จะมีเสียงทักมาจากคนที่กำลังเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มที่สวยหวานเหมือนเดิม

   "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะธีร์ธรณ์"

   "กานต์รวี กฤตภัทร สบายดีไหม"

   ธีร์ธรณ์ยิ้มทักทายก่อนจะย่อตัวไปหาเด็กสองคนที่กฤตภัทรจูงมือคนละข้างอย่างเอ็นดู

   "สวัสดีครับ น้องกันต์ น้องวิน ไม่ได้เจอมานานโตขึ้นแล้วน่ารักมากเลยนะ"

   "ขอบคุณครับคุณลุง"

   กันต์กวินและกันต์กวียิ้มออกมาพร้อมกันอย่างน่ารักแม้จะห่างกันสองปีแต่ทว่าหน้าตาสวยเหมือนแม่กันทั้งสองคน   กานต์รวียิ้มหวานพร้อมมองไปยังรณกรที่มองลูกตนเองตาไม่กระพริบ

   "รณกร ลูกชายบุญธรรมของนายซินะ"

   "ใช่แล้ว กรมาสวัสดีคุณน้าคุณอาซิลูก"

   ธีร์ธรณ์ดันหลังคนตัวเล็กให้ออกมาด้านหน้าจนเกือบติดกันต์กวิสทำให้รณกรหน้าแดงและประหม่ามาก

   "สวัสดีครับคุณน้า คุณอา"

   รณกรยกมือไหว้พร้อมหันมามองกันต์กวินที่ส่งยิ้มหวานมาให้ตลอดเวลา

   "สวัสดีเราชื่อรณกรนะ"

   "สวัสดีเราชื่อกันต์กวิน คนนี้น้องชายเราชื่อกันต์กวีนะ"

   กันต์กวินยิ้มหวานให้อย่างน่ารักทำให้รณกรส่งยิ้มกลับไปก่อนที่มือทั้งสองข้างจะถูกคนน่ารักจับไว้แน่น

   "ไปเล่นตรงสวนด้านนอกกันเถอะกร"

   "เอ่อ...อื๊ม!"

   รณกรถูกกันต์กวินลากออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว พอเห็นลูกออกไปแล้วกานต์รวีก็หันมาถามกันต์กวีที่ยืนนิ่งไม่ยอมเดินตามพี่ชายไปซักที

   "น้องวินไม่ไปเล่นกับพวกพี่เขาหรอคะลูก"

   "ไม่เอาครับ น้องวินจะเล่นกับพี่ธีร์"

   กันต์กวีตอบผู้เป็นแม่แล้วหันไปทำหน้าตาน่ารักใส่ผู้เป็นลุง

   "พี่ธีร์อยู่ไหนครับคุณลุง"

   "อยู่ตรงห้องนั้นน่ะ เข้าไปหาซิครับ"

   ธีร์ธรณ์ลูบผมด้วยความเอ็นดูก่อนจะปล่อยให้กันต์กวีวิ่งเข้าไปหาธีร์ธวัชในห้องพักคนป่วย แล้วหันมามองหน้ากฤตภัทรที่จ้องมาอย่างเคร่งเครียด

   "ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย"

   "อืม"

   "งั้นเราไปคุยกันในร้านกาแฟด้านล่างกันเถอะค่ะ"

   กานต์รวีพูดขึ้นมาก่อนจะเกาะแขนสามีและพี่เขยให้เดินไปพร้อมกัน 




   ทางด้านของกันต์กวีพอผลักประตูเข้ามาก็พบกับธีร์ธวัชยืนหันหลังอยู่ตรงเตียงคนป่วย

   "สวัสดีครับพี่ธีร์~"

   "สวัสดีน้องวิน"

    ธีร์ธวัชหันมายิ้มให้ก่อนจะหันไปมองคนป่วยบนเตียงอีกครั้งทำให้กันต์กวีมองตามด้วยความสงสัย

   "มีอะไรหรอพี่ธีร์"

   "ไม่มีอะไร"

   ธีร์ธวัชส่ายหน้าก่อนจะมองหาใครอีกคนที่ตัวติดกันราวกับฝาแฝด

   "แล้วกันต์ล่ะไม่มาด้วยหรอ"

   "พี่กันต์ไปเล่นกับพี่กรที่สวนครับ"

   กันต์กวีตอบด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะสะดุ้งเมื่อถูกธีร์ธวัชขึ้นเสียงใส่อย่างดุดัน

   "อย่าไปเรียกกรว่าพี่นะ! หมอนั่นไม่ใช่ญาตินายซักหน่อย!"

   "ทำไมต้องดุน้องวินด้วยล่ะ น้องวินแค่เรียกตามที่คุณแม่สอนมาเท่านั้นเอง"

   กันต์กวีกอดอกอย่างเอาแต่ใจทำให้ธีร์ธวัชเริ่มถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

   "ทำตามที่พี่สอนแล้วกัน ตกลงไหม"

   "น้องวินจะทำตามที่พี่ธีร์สอนก็ได้"

   กันต์กวีพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนที่ทั้งสองคนจะเล่นด้วยกันทั้งวันซี่งระหว่างที่เล่นอยู่นั้นธีร์ธวัชแอบเหลือบมองวิรากรที่ปลายนิ้วมือเริ่มขยับและเป็นไปตามที่คาดไว้คืนนั้นวิรากรรู้สึกตัวทำให้พวกหมอรีบมาดูอาการปรากฏว่าวิรากรจำเหตุการอะไรไม่ได้เลยยิ่งทำให้ธีร์ธรณ์สงสารพี่น้องทั้งสองคนมากขึ้นไปอีกจึงจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลเต็มที่แต่เรื่องที่น่ากังวลคือวิรากรจะสั่นกลัวทุกครั้งเมื่อเข้าใกล้ธีร์ธวัชลูกชายตนเอง



    หลังจากวันนั้นที่รณกรรู้จักกับกันต์กวินหลานชายของลุงธีร์ธรณ์ ทั้งสองคนก็เล่นและติดต่อกันตลอดเวลาถึงขั้นย้ายไปเรียนโรงเรียนเดียวกันซึ่งอีกฝ่ายนั้นมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักข่าว ซึ่งรณกรนั้นไม่ขัดเพราะเผลอหลงรักในรอยยิ้มหวานของเพื่อนตัวเล็กคนนี้ตลอดมา


********************************

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
สืบครั้งสุดท้าย




    ผ่านไปหลายปีธีร์ธรณ์ยังไม่หยุดที่จะสืบหาตัวฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าครอบครัวของลูกบุญธรรมตนเอง 

    โดยพยายามตามสืบเรื่องราวเกี่ยวกับฆาตกรคนนั้นจนได้ความว่าคือ รติกร นักธุรกิจที่กำลังทำธุรกิจใหญ่โตซึ่งภายนอกดูใจบุญมีเมตตาแต่ทว่ากลับโหดร้ายโกงกินบ้านเมืองและยึดที่ดินพ่อของแฝดทั้งสองคนอีกต่างหาก...

    ...และเรื่องที่สำคัญกว่านั้นพวกมันกำลังวางแผนจะกำจัดครอบครัวของกฤตภัทรที่ไปขวางเส้นทางธุรกิจนั่นเอง

   ระหว่างที่กำลังอ่านเอกสารเคร่งเครียดอยู่นั้นก็มีเสียงทะเลาะกันดังมาจากด้านล่าง

   "นายกำลังจะทำอะไรไวน์น่ะ"

   "ฉันแค่เดินเข้ามานั่งกินขนมเองนะ ยังไม่ได้ทำอะไรน้องชายนายซักหน่อย"

   ธีร์ธวัชทำหน้าตาไม่รู้ไม้ชี้พร้อมกับตวัดสายตาไปมองคนด้านหลังที่รีบหลบสายตาซุกหน้าซ่อนด้านหลังพี่ชายทันทีทำให้รณกรขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

   "ถ้านายไม่ทำอะไรแล้วไวน์จะกลัวจนตัวสั่นขนาดนี้ไหม"

   "ก็บอกอยู่ว่าไม่ได้ทำอะไรไงล่ะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามน้องชายนายดูซิ"

   ธีร์ธวัชทำหน้าตาเบื่อหน่ายก่อนจะเหลือบมองวิรากรที่ดึงเสื้อพี่ชายตนเองแน่น

   "พี่กร...ไวน์กลัว..."

   "ไม่ต้องกลัวนะไวน์ บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่านายแกล้งอะไรไวน์"

   รณกรกางปีกปกป้องน้องชายเต็มที่ทำให้ธีร์ธวัชที่อยู่ในชุดแพทย์สีขาวเริ่มอารมณ์เสียกว่าเดิม

   "ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ น้องชายนายมันขี้กลัวตลอดเวลาไม่ใช่รึไงล่ะ!"

   "หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!!!"

   เสียงดุที่ดังมาจากด้านบนพร้อมร่างของธีร์ธรณ์ที่เดินลงบันไดมายืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคนก่อนจะกวักมือเรียกวิรากรที่ยืนสั่นอยู่ด้านหลังพี่ชายฝาแฝด

   "ไวน์มาหาพ่อซิลูก"

   "คุณพ่อ~"

   วิรากรรีบวิ่งไปหาผู้เป็นพ่อทันทีแถมกอดแน่นไม่ยอมปล่อยพยายามหลบสายตาที่ธีร์ธวัชมองมาไม่ละสายตา

   "ไม่ต้องกลัวนะลูก ไหนบอกมาซิครับว่าพี่ธีร์ทำอะไรให้ลูกพ่อกลัว"

   "กลัว...กลัวพี่ธีร์"

   วิรากรตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมหลบสายตาธีร์ธวัชที่มองมาอย่างหงุดหงิด

   "วัน...วันนี้พี่ธีร์ใส่ชุดน่ากลัว"

   "เอ๋อ!~"

   ธีร์ธรณ์มองชุดที่ลูกชายตนเองกำลังใส่อยู่ก่อนจะออกคำสั่งกับธีร์ธวัชทั้งที่มือยังลูบผมของลูกชายคนเล็กของบ้านอย่างอ่อนโยน

   "ตาธีร์ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเถอะลูกจะได้ลงมาดูแลน้องเขา"

   "พ่อจะไปไหนแล้วทำไมไม่ให้พี่มันดูแลล่ะ"

   ธีร์ธวัชทำหน้าตาหงุดหงิดพร้อมมองคนตรงหน้าอย่างขัดใจตลอดเวลา ซึ่งผู้เป็นพ่อถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจกับความดื้อรั้นของลูกตนเอง

   "วันนี้พ่อมีธุระสำคัญที่ต้องไปทำ"

   "ส่วนฉันนัดถ่ายงานกับกันต์"

   รณกรยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาก่อนจะหันมากล่าวลาพ่อบุญธรรมของตนเอง

  "ผมขอตัวก่อนนะครับคุณลุง"

   "โชคดีนะลูก"

   ธีร์ธรณ์พยักหน้าก่อนจะจ้องลูกชายตนเองที่ยังทำหน้าหงิกหน้างอไม่เลิก

   "ไม่ดื้อกับพ่อซักครั้งได้ไหมธีร์"

   "รอแป๊ปนึงแล้วกัน"

   ธีร์ธวัชหงุดหงิดแล้วเดินกระทืบเท้าขึ้นบ้านไปอย่างขัดใจ   พอเห็นว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วธีร์ธรณ์จึงพาวิรากรมานั่งตรงโซฟาตัวยาวพร้อมปลอบอย่างอ่อนโยน

   "ทำไมถึงไม่เลิกกลัวพี่ธีร์ซักทีล่ะครับลูก รู้ไหมว่าพี่ธีร์ก็แอบเป็นห่วงเรามากนะ ไม่อย่างนั้นจะไปเรียนหมอให้เสียเวลาทำไมล่ะจริงไหม"

   "กลัว...พี่ธีร์น่ากลัว"

   วิรากรยกมือขึ้นมาจับคอตัวเองอย่างลืมตัวก่อนจะหันไปสนใจคำถามของผู้เป็นพ่อ

   "แล้วไวน์อยากอยากให้ใครมาดูแลล่ะลูก"

   "ผม...ผมคิดถึงน้องวิน ผมอยากเจอน้องวิน"

   วิรากรกอดหมอนแน่นพร้อมยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงใครบางคนที่อยู่ไกลถึงต่างประเทศทำให้ธีร์ธรณ์ลูบผมลูกชายด้วยความเอ็นดู

   "น้องวินไปเรียนนะครับแต่อีกไม่นานก็กลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นไวน์ลูกรักของพ่อคงหายป่วยพอดีเนอะ"

   "อะแฮ่ม!"

  เสียงขัดจังหวะมาจากธีร์ธวัชที่เปลี่ยนเสี้อเป็นสีดำเรียบร้อยกำลังยืนกอดอกทำท่าทางเบื่อหน่าย

   "อ้อนกันพอรึยัง พ่อมีธุระไม่ใช่รึไง"

   "พ่อไปแล้วนะไวน์"

   ธีร์ธรณ์สวมกอดวิรากรแน่นด้วยความรักและเอ็นดูก่อนจะเดินไปกอดลูกชายคนเก่งของตนเองแน่น

   "ระหว่างที่พ่อยังไม่กลับมา ฝากธีร์ดูแลน้องไวน์แทนพ่อด้วยนะ"

   "ที่ผมโดนบังคับให้เรียนหมอเพราะอยากให้ดูแลมันอยู่แล้วไม่ใช่รึไง" ธีร์ธวัชทำสีหน้าขัดใจตลอดเวลา "แต่จะดูแลมันจนกว่าพ่อจะกลับมาแล้วกัน"

   "ขอบคุณมากลูกรัก"

   ธีร์ธรณ์กอดลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากบ้านไปทิ้งให้เหลือกันอยู่เพียงสองคน 

   ธีร์ธวัชหันไปทำตาขวางใส่ใครบางคนที่กลัวจนตัวสั่นไปหมดแถมยังจะลุกหนีอีกต่างหาก

   "จะไปไหน"

   "เปล่า...ครับ...พี่ธีร์"

    วิรากรส่ายหน้าแต่ตั้วท่าจะเดินหนีอย่างเดียวแต่ถูกอีกฝ่ายรั้งต้นแขนเล็กเอาไว้แน่น

   "ฮึก! ไวน์เจ็บ"

   "ถ้าเจ็บก็ไปนั่งที่เดิมซิ"

   พอพูดจบธีร์ธวัชปล่อยแขนอีกฝ่ายทิ้งอย่างไม่ใยดีก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือบนชั้นทั้งที่ปากนั้นบ่นไม่หยุด

   "น่าเบื่อชะมัด พ่อนะพ่อรับเลี้ยงแต่ตัวปัญหา"

   "ไวน์กับพี่กร...ไม่ใช่...ตัวปัญหานะ"

    ถึงจะพยายามเถียงแต่พอเจอแววตาที่ดุดันของอีกฝ่ายตวัดมองมาทำให้วิรากรก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความกลัวพร้อมก้าวถอยหลังคนที่เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีที่คุกคาม

   "กล้าเถียงหรอ นั่งลงไปเลยฉันจะอ่านหนังสือ"

   "ฮื่ม!"

   วิรากรนั่งลงที่เดิมพร้อมทั้งกัดปากตัวเองด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเกรงตัวทันทีเมื่อคนใจร้ายมานั่งตรงที่ว่างด้านข้างแถมทำหน้าดุใส่อีกต่างหาก



    หลังจากวันนั้นธีร์ธวัชก็ไม่ได้พบผู้เป็นพ่ออีกเลยจนกระทั่งตอนที่ทราบข่าวว่าพ่อของตนเองโดนฆ่าตายอย่างลึกลับ

    พอทุกคนรู้เรื่องก็เสียใจและทำใจไม่ได้แต่ทว่าคนที่เสียใจที่สุดไม่พ้นวิรากรที่ร้องไห้หนักจนช็อคถูกหามส่งเข้าโรงพยาบาลโดยมีธีร์ธวัชเป็นผู้ช่วยของอาจารย์หมอคอยดูแลอีกฝ่ายตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับพ่อตนเอง  ปรากฏว่าหลังจากวันนั้นวิรากรก็ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกและนอนอยู่ในโรงพบาลนั้นตลอดนอนเป็นเจ้าชายนิทราไม่รับรู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น




   ทางด้านของรณกรหลังจากไปเยี่ยมน้องชายฝาแฝดที่โรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยจึงกลับมาบ้านและแวะเข้าไปในห้องทำงานของพ่อบุญธรรมที่สังเกตุเห็นกองเอกสารที่รวบรวมเรื่องราวทั้งหมด ทำให้รับรู้ว่ามันไม่ได้เป็นเหมือนตอนเด็กที่ตนเองคิดเลยซักนิดเดียว

   ตั้งแต่เรื่องที่วันนั้นมีคนมาหาพ่อนั้นไม่ใช่เพื่อนแต่ที่จริงคือ รติกร นายทุนหน้าเลือดที่หลอกให้พ่อเขาขายที่ดินแล้วฆ่าพ่อเขาตายอย่างโหดเหี้ยม

   เหตุการณ์นั้นทำให้แม่เขาฆ่าตัวตายโดยการกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ทำให้ตนเองเป็นเด็กกำพร้าและยังทำให้น้องชายฝาแฝดกลายเป็นคนป่วยที่ไม่ยอมหายซักที

   รวมมาถึงเรื่องที่คุณลุงถูกฆ่าแถมหมอนั่นยังคิดจะกำจัดครอบครัวของกันต์กวินที่ไปขวางเส้นทางธุรกิจอีกต่างหาก

   พอคิดถึงรอยยิ้มหวานของคนน่ารักทำให้รณกรตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะ

   "ฉันจะปกป้องครอบครัวของนายเองนะกันต์"

   ติ๊ด!

   รณกรวางแผนอะไรบางอย่างก่อนจะกดโทรออกไปหาใครบางคนที่รับอย่างรวดเร็วราวกับรอให้ตนเองเป็นฝ่ายโทรไปหานั่นเอง

   'ฮัลโหลกร~ โทรมาหาเวย์มีธุระอะไรรึเปล่าคะหรือว่าคิดถึงเวย์คะ~'

   "เปล่า แต่กรมีงานให้เวย์ทำ"

   รณกรตัดบทด้วยความรำคาญทำให้วิรชาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

   "งานอะไรหรอคะ"

   "กำจัดรติกร"

   รณกรกระตุกยิ้มอย่างตื่นเต้นเมื่อนึงถึงสิ่งที่กำลังจะทำ

   "ได้ข่าวมาตอนนี้เวย์ไปใช้หนี้แทนพ่ออยู่ไม่ใช่หรอ"

   "รู้ถึงขนาดนี้แสดงว่ายังคิดถึงเวย์อยู่ใช่ไหมคะ ดีใจจังเลย~"

   เสียงร่าเริงจากปลายสายทำให้รณกรทำหน้าตาเบื่อหน่าย

   "ตกลงจะร่วมมือกับผมไหม"

   "สำหรับกรแล้วเวย์ยอมร่วมมือทุกอย่างเลยค่ะ"

   คำตอบของวิรชาทำให้รณกรเหยียดยิ้มออกอย่างร้ายกาจกับแผนการแก้แค้นที่กำลังจะเริ่มต้นอีกไม่นานนัก



   โดยรอเวลาที่เหมาะสมถึงสามปีจนได้โอกาสวางแผนฆ่ารติกรบนรถไฟซึ่งแผนการทุกอย่างสำเร็จแต่ทว่ากลับมีคนเห็นเหตุการณ์จึงฆ่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยวิธีการทำให้รถไฟเสียการควบคุมจนตกรางและระเบิดเสียงดังลั่น


   ทว่ากลับมีคนรอดชีวิตหลายคนที่น่ากำจัด โดยเฉพาะตำรวจกับอตีตตำรวจพวกนั้น ไหนจะนักสืบหน้าหวานที่ดูฉลาดนั่นอีก หมอที่ดูจะมีไหวพริบรอบรู้ไปทุกอย่าง นายแบบสองคนที่จ้องจะกัดกันและผู้จัดการที่คอยไกล่เกลี่ย รวิสราลูกสาวของตาแก่นั่นก็ยังไม่ตาย ยกเว้นกันต์กวินที่แสนดีของตนเอง แต่นั่นยังไม่เท่ากับการเจอผู้รอดชีวิตที่เหลือ รุ้งพราย กวิตา วณิชชา เวธการ ที่บางคนรู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจึงลงมือจัดการ


   รุ้งพราย เป็นคนแรกซึ่งเห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมทั้งหมด จึงให้วิรชาจัดการฆ่าปิดปาก


   แต่วณิชชากลับรู้ความลับมาจากรุ้งพรายก่อนที่อีกฝ่ายจะตาย และกำลังจะบอกความจริงกับต้นหลิวแต่ถูกวิรชารัดคอจากด้านหลังจนขาดอากาศหายใจแล้วลากมาแขวนตรงต้นไม้ใหญ่แต่ไม่พบรอยลากเพราะฝนตกหนัก


   นอกจากนี้ยังมี กวิตา ที่เห็นเหตุการณ์ที่รติกรโดนฆ่าตายจนหวาดกลัวและไม่ยอมบอกใคร แต่กลับถูกจับได้และวิรชาจัดการฆาตกรรมปิดปากอย่างน่าสงสาร

   ซึ่งในคืนวันนั้นพีรัชกลับเห็นการฆาตกรรมของกวิตาโดยบังเอิญจึงหวาดกลัวตลอดเวลา เขาจึงให้วิรชาลงมือระหว่างที่พีรัชพารุจรวีหนีแต่หยุดพักโดยที่พีรัชจะเดินไปหาอะไรมาให้ทานแต่ถูกปิดปากพร้อมกับโดนรัดคอจากด้านหลังอย่างแรงจนหมดแรงดิ้นและตกน้ำไป


   ส่วนรุจรวีนั่งรอตั้งนานไม่มาซักทีจึงเดินไปดื่มน้ำตรงลำธารวิรชาจึงพลักตกน้ำไปโดยยิงซ้ำอีกทีก่อนจะแย่งปืนกับเวทิตที่มาแย่งปืนกันจนวิรชาสู้ไม่ไหวหนีไป เวทิตพยายามฉุดรั้งรุจรวีขึ้นมาแต่ตัวเองดันตกลงน้ำไปด้วยการถีบด้านหลังด้วยฝีมือของรณกรจนสายน้ำที่เกรี้ยวกราดพัดร่างทั้งสองคนหายไปกับลำธารนั้นแต่โชคดีที่คนที่สายน้ำพัดไปเจอหน่วยตามหาจึงช่วยกันพาทั้งสองขึ้นมาจากลำธารมารักษาจนหายดี


   โดยแผนทุกอย่างใกล้จะสำเร็จแต่ดันมีอิฐมาสร้างความวุ่นวายและจะทำร้ายกันต์กวินของเขาจนบาดเจ็บ รณกรจึงลงมือฆ่าด้วยตัวเองอีกครั้งซึ่งวันนั้นพลทัพเป็นคนมาช่วยกันต์กวินนั่นเองและหลังจากวันนั้นทั้งสองคนนั้นยิ้มให้กันมากขึ้น

   จนรณกรอิจฉาถึงขั้นวางแผนกำจัดทุกคนโดยให้วิรชาลักพาตัวรวิสราแต่ยัยนั่นดันทำเกินหน้าที่เพราะจับกันต์กวินไปด้วย ซึ่งหลังจากที่รวิสราหายไปนั้นเวธกาสำนึกผิดจะกลับตัวกลับใจแต่ไม่รอดโดนบีบคอตายอย่างโหดเหี้ยม

   หลังจากทุกคนเห็นศพและข้อความที่ทิ้งไว้จึงรีบตามจุดที่นัดเอาไว้ วิรชาจึงเปิดเผยตัวตนว่าเป็นฆาตกรและลงมือยิงทุกคนและกำลังจะยิงต้นหลิวแต่ทว่ากลับโดนตำรวจที่ตามมาทันนั้นยิงตายเสียก่อน แผนการทั้งหมดจึงไม่เป็นเหมือนที่วางแผนเอาไว้'...





   "แต่ถึงยังไงก็ฆ่าหมอนั่นสำเร็จ...ฮะฮะฮะ!...หมอนั่นสมควรได้รับกรรมที่ก่อไว้แล้ว"



   "...ใช่!!!..."



   "...หมอนั่นสมควรได้รับกรรมที่ก่อไว้แล้ว ฮะฮะฮะ"


   รณกรกำมือแน่นด้วยความแค้นเมื่อเล่าถึงเรื่องราวที่ผ่านมาก่อนจะเงยหน้ามองรวิสราที่มีท่าทางสำนึกผิด

   "ขอโท..."

   "ไม่ต้องมาขอโทษเพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าจะผิดก็โทษที่ตัวเองเกิดมาเป็นลูกหมอนั่นก็แล้วกัน"

   รณกรส่ายหน้าแต่น้ำเสียงเจือปนไปด้วยความแค้นที่มีให้กับคนที่ฆ่าครอบครัวตนเอง พอต้นหลิวได้ฟังทั้งหมดก็มีบางอย่างที่ค้างคาและน่าสงสัย

   "นายกับเวย์เคยรู้จักกันมาก่อนหรอ"

   "มากกว่าคนรู้จัก พวกเราเคยคบกันสมัยมัธยมจนจบมหาลัยแต่เวย์ดันต้องไปหมั้นกับนายและฉันก็ยังรักแค่กันต์กวินคนเดียว พวกเราจึงเลิกกันแค่นั้น"

   รณกรเหลือบมองไปยังต้นหลิวที่มองสบตาเช่นเดียวกัน

   "ถ้าอย่างนั้นลูกในท้องของเวย์คือลูกของนายซินะกร"

   "เสียใจด้วยนะแต่ฉันไม่ใช่พ่อของเด็กในท้องเวย์หรอก"

    รณกรส่ายหน้าก่อนจะกระตุกยิ้มมุ่มปากอย่างเจ้าเล่ห์

   "แต่ฉันรู้ว่าใครคือพ่อของเด็ก"

   "ใคร?"

   ต้นหลิวขมวดคิ้วด้วยความสงสัยถ้าพ่อของเด็กไม่ใช่ตนเองและคนตรงหน้าจะเป็นใครได้อีก พอได้ยินคำถามอย่างนี้แล้วรณกรกลับเหยียดยิ้มออกมาอย่างสะใจ

   "รติกร"

   "ห๊ะ!"

   ทุกคนในที่นั้นต่างตกใจไม่แพ้กันโดยเฉพาะต้นหลิวและรวิสราที่นิ้งค้าง ทำให้รณกรหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง


   "ฮะฮะฮะ ตกใจกันมากซินะแต่มันคือเรื่องจริง ซึ่งพ่อที่แท้จริงของเด็กในท้องยัยนั่นคือรติกรที่ได้กันตอนที่พ่อเจ้าตัวพาไปขัดดอกนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะยอมร่วมมือง่ายดายได้ยังไง"

   รณกรกระตุกยิ้มแล้วมองไปยังต้นหลิวอย่างสมเพชที่อีกฝ่ายถูกหลอกใช้

   "แต่ยัยนั่นดันรักฉันที่เคยเป็นอดีตคนรักเก่าที่ไม่อยากจะเลิกกันตอนนั้นด้วยนั่นแหละถึงยอมร่วมมือกันฆ่าทุกคนเพื่อที่หวังว่าจะได้ไปใช้ชีวิตด้วยกันถึงขนาดยอมฆ่าแม้แต่คู่หมั้นของตนเอง"

   "โธ่...เวย์"

   พอได้ยินความจริงทุกอย่างแล้วต้นหลิวก็ทำสีหน้าสงสารและเห็นใจจนวรภพต้องลูบหลังอย่างปลอบโยนไม่ต่างจากรวิสราที่ปิดปากร้องไห้อย่างน่าสงสารโคยมีรุจรวีและเวทิตคอยดูแล ส่วนกิตติธัชก็ถือปืนคุมสถานนะการเพื่อให้คนร้ายตรงหน้ายอมมอบตัว

   "ยอมมอบตัวซะเถอะรณกร"

   "ฮะฮะฮะ ได้ซิฉันจะยอมมอบตัว"

   รณกรหัวเราะอย่างบ้าคลั้งพร้อมกับสายตาที่บิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความแค้นและความอิจฉาที่มองเป็นศตรูหัวใจตลอดเวลา

   "แต่หลังจากที่ฉันฆ่าหมอนี่ก่อนก็แล้วกัน!!!"

   รณกรกดปืนให้แน่พร้อมเหนี่ยวไกปืนจะยิงพลทัพแต่ทว่าได้ยินเสียงแหบแห้งดังห้ามมาจากด้านหลัง

   "อ...อย่านะกร"

   "กันต์~"

   รณกรหันมามองด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเอาปืนตบหน้าพลทัพก่อนจะเดินไปโอบกอดกันต์กวินจากด้านหลังพร้อมกับหอมแก้มอย่างแผ่วเบา

   "ตื่นแล้วหรอเด็กดี ตื่นมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ยหืม~"

   "ตั้งแต่ตอนที่นายเริ่มสารภาพความจริงทั้งหมด"

    กันต์กวินจับมือรณกรอย่างอ่อนโยน

   "อย่าทำอะไรทัพเลยนะ"

   "ถ้าไม่อยากให้ทำอะไร"

   รณกรเหยียดยิ้มพร้อมกุมมือนุ่มนิ่มไว้แน่น

   "งั้นกันต์ยอมที่จะหนีไปกับกรได้ไหม"

   รณกรดวงตาเป็นประกายและคาดหวังกับคำตอบของกันต์กวินที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

   "จะหนีไปที่ไหนหรอ"

   "ไปไหนก็ได้ที่มีแต่เราสองคนเหมือนตอนเด็กที่เราเล่นด้วยกันไง"


   รณกรยิ้มกว้างทำให้กันต์กวินนั้นมองคนตรงหน้าด้วยความสงสาร

   "นายคงจะเหงาเหมือนตอนเด็กที่เราเจอกันใช่ไหม"

   "เหงาซิ เหงามากเลย ไปด้วยกันนะ"

   รณกรเผลอจับมือแน่นมากกว่าเดิมแต่กันต์กวินไม่ได้ว่าอะไรแถมพยักหน้าตอบตกลง

   "ตกลง...ฉันจะไปกับนาย"

   "กันต์!!!"

   พลทัพตกใจเมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงอย่างง่ายดายซึ่งกันต์กวินเองก็หันไปมองอย่างอาลัยอาวรผิดกับรณกรที่ดวงตาเปล่งประกายวาววับอย่างกับผู้ชนะ

   "ทำไมกันต์ถึงยอมตกลงไปกับกรล่ะ ไหนลองบอกมาซิว่าที่ยอมหนีไปด้วยเพราะกันต์รักกรน่ะ"

   "ฉันรัก..."

   กันต์กวินเหลือบมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นซึ่งคำตอบนี้ทำให้รณกรหัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น

   "ฮึฮึ รักใครรีบบอกไปซิกัน"

   "ฉันรักนายนะ...พลทัพ"

   กันต์กวินออกแรงผลักในช่วงที่รณกรกำลังตกตะลึงในคำตอบก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดพลทัพแน่น

   พอรณกรได้สติก็มองเห็นภาพตรงหน้าของทั้งสองที่ยืนกอดกันแน่น เสียใจจนปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับคนบ้าพร้อมกับปืนที่ยกขึ้นมาจ่อตรงขมับตัวเอง

   "กันต์...กลับมาหากรซิ  กรอยู่ไม่ได้นะถ้าไม่มีกันต์"

   "อย่าคิดจะทำอะไรแบบนั้นนะกร นายไม่คิดถึงไวน์น้องชายฝาแฝดของนายบ้างหรอ"

   กันต์กวินเกลี่ยกล่อมแต่ยังกอดพลทัพแน่นไม่ยอมปล่อยยิ่งทำให้รณกรอิจฉามากยิ่งขึ้น

   "ถึงไม่มีฉันไวน์ก็ยังมีไอ้พี่ธีร์นั่นคอยดูแล แต่ถ้าไม่มีกันต์แล้ว..."

   รณกรตัดพ้อพร้อมเหนี่ยวไกปืน

   "กรจะอยู่ไปเพื่ออะไร"

   "ไม่นะกร"

   กันต์กวินพยายามห้ามปรามและตั้งท่าจะเข้าไปหาแต่พลทัพกอดเอวไว้จากด้านหลังไว้แน่น ก่อนจะปล่อยให้ตำรวจและกิตติธัชเดินเข้าไปห้ามคนที่เริ่มจะบ้าคลั่ง

   "วางอาวุธปืนและยอมมอบตัวซะรณกร"

   "ไม่!!!"

   รณกรตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราดไม่ยอมฟังคำห้ามของใครพร้อมกับหันมามองกันต์กวินทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจ

   "กันต์~"

   "ไม่นะกร"

   กันต์กวินพยายามห้ามซึ่งท่าทางดิ้นรนดูเป็นห่วงนั้นทำให้รณกรยิ้มกว้างแต่แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ

   "ลาก่อนนะกันต์"

   "กร!!!"

    กันต์กวินเริ่มดิ้นจะเข้าไปหาเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวถอยหลังไปชิดกับริมหน้าผาแต่สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรักปนกับความผิดหวังและเสียใจจนขาดสติ



   "ฉันรักนาย"



   ปั้ง!!!



   เสียงปืนดังขึ้นทั้งที่ริมฝีปากยังเหยียดยิ้มก่อนที่ร่างของรณกรจะหงายหลังแล้วพลัดตกลงไปตรงหน้าผาเหมือนกันกับที่แม่ตนเองเคยทำเอาไว้ ซึ่งตำรวจเข้ามาตรวจสอบหลักฐานและเคลียร์พื้นที่ทั้งหมด โดยที่มีกันต์กวินทรุดตัวลงไปกับพื้นดินแล้วร้องไห้โฮเสียดังลั่นด้วยความเสียใจ

   "ฮึกฮือออ นายไม่น่าทำแบบนี้เลยกร ฮืออ"

   "ไม่ร้องไห้นะกันต์"

   พลทัพพยายามปลอบคนในอ้อมกอดทำให้กันต์กวินยิ่งเอาหน้ามุดเข้ากับอกของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นและพลทัพไม่ยอมลุกไปไหนจนกว่าคนตัวเล็กจะหยุดร้องไห้นั่นเอง





   หลังจากการตายของรณกรที่แม้จะไม่พบศพแต่ถูกตัดสินให้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้วนั้น กิตติธัชจึงส่งหลักฐานที่ได้รับมาจากต้นหลิวและวรภพนั้นมีมากพอทำให้กิตติธัชปิดคดีนี้ได้อย่างสมบูรณ์และได้รับความดีความชอบมากกว่าเดิมพร้อมเตรียมงานแต่งงานกับวริสราตามที่ได้เคยคิดวางแผนกันเอาไว้นั่นเอง



   ส่วนเวทิตและรุจรวีนั้นกำลังโด่งดังจนได้ไปถ่ายแบบที่ต่างประเทศซึ่งได้ร่วมงานกับกันต์กวีหลายต่อหลายงานจนมีแฟนคลับมากขึ้นกว่าเดิมถึงขั้นแต่งตั้งให้กันต์กวีเป็นลูกของทั้งสองคน  ซึ่งการไปต่างประเทศครั้งนี้ทั้งสองแอบไปจดทะเบียนแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายซะด้วย กว่าจะได้กลับไทยก็ปาเข้าไปสองเดือนกว่า



   ทางด้านต้นหลิวนั้นได้เลื่อนขั้นให้เป็นนักสืบตัวจริงที่มีแต่คนอยากจ้างมากมายแต่ตนเองไม่ยอมและผันตัวมาเป็นผู้ช่วยของวรภพที่ถูกกอหญ้าผู้เป็นแม่ดึงตัวมาอยู่แผนกชันสูตรศพ แถมเห่อว่าที่ลูกเขยมากซะด้วย



   ส่วนกันต์กวินนั้นพอแข็งแรงมากขึ้นแล้วจึงกลับมาเป็นนักข่าวอีกครั้งแต่ครั้งนี้มาทางสายบันเทิงจนโด่งดังโดยมีพลทัพผันตัวมาเป็นตากล้องส่วนตัวคอยไปไหนมาไหนด้วยเสมอ



   ซึ่งหลังจากที่ทั้งสองทำงานร่วมกันมาเดือนกว่านั้นระหว่างที่กันต์กวินกำลังสัมภาษณ์ดาราคนหนึ่งอยู่นั่นเองก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อแทรกเข้ามาในระหว่างการถ่ายทำ

   "กันต์!~"

   "ทัพ! ฉันกำลังสัมภาษณ์อยู่นะนายจะตะโกนทำไม"

   กันต์กวินหันหน้ามาหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายก่อนจะทำตาโตเมื่อพลทัพผละออกจากกล้องแล้วเดินเข้ามาพร้อมดอกกุหลาบช่อใหญ่ซึ่งอีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้นแล้วยิ้มออกมาซึ่งมันเต็มไปด้วยความรัก

   "ทัพรักกันต์นะ กันต์จะยอมมาเป็นคนรักของทัพได้ไหม"

   "พลทัพ!"

  กันต์กวินทำหน้าตาบึ้งตึงพร้อมทั้งขมวดคิ้วแน่นทำให้พลทัพหน้าเสียก่อนจะโล่งอกเมื่อเห็นรอยยิ้มหวานที่แสนคุ้นเคยออกมาจนเผลอมองอย่างน่าหลงใหล

   "ห้ามมาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน"

   "ไม่มีวันนั้นหรอก"

   พลทัพรับร่างของกันต์กวินที่โถมตัวเข้ามากอดกันอย่างเต็มแรงด้วยรอยยิ้มที่อบอวลไปด้วยความรัก



   ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์งานแต่งงานของกิตติธัชและรวิสราถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมืองโดยมีพลทัพ กันต์กวิน วรภพ ต้นหลิว รวมถึงรุจรวีและเวทิตที่พึ่งบินกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวเจ้าสาวโดยเฉพาะ ซึ่งพิธีการแต่งงานนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นและเรียบง่าย


   หลังจากเสร็จสิ้นการแต่งงานทั้งพลทัพ กันต์กวิน รณกร ต้นหลิว เวทิต รุจรวี  กิตติธัชและรวิสรา นั้นตัดสินใจนังรถไฟในขบวนเดิมที่ปรับปรุงเปลี่ยนคันใหม่เรียบร้อยแล้วมุ่งหน้าไปเชียงใหม่ซึ่งเปิดให้บริการอีกครั้งแล้วนั่นเอง

   พอรถไฟเคลื่อนตัวออกไปแล้วนั้นรุจรวีก็ชะโงกหัวออกจากหน้าต่างของห้องวีไอพีเฟิร์สคลาสไปรับลมเย็นอย่างสนุกสนานแต่ปากยังเสียเหมือนเดิม
   
    "เฮ้ออ~ หวังว่านั่งรถไฟครั้งนี้แล้วจะไม่เกิดเรื่องอะไรอีกนะ"

   "ไม่พูดแบบนี้น่ะรุจ แล้วเลิกเอาหัวออกไปได้แล้วไม่งั้นทิตจะปิดหน้าต่างแล้วนะ"

   เวทิตข่มขู่ทำให้รุจรวีปากยื่นแต่ก็เลิกชะโงกหัวและยอมกลับมานั่งโดยดี

   "ทิตคนใจร้าย"

   "รุจเด็กดื้อ"

   เวทิตขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะอดใจไม่ไหวยื่นหน้าเข้าไปจูบปากบางนั้นอย่างรวดเร็ว

   จุ๊บ!

   "ทิตอ่ะ"

   รุจรวีปิดปากก่อนจะทำหน้างอใส่

   "จูบทั้งทีให้มันนานกว่านี้หน่อยซิ จูบแค่นี้จะไปรู้สึกอะไร"

   "เอาแค่นี้แหละคนเยอะ"

   เวทิตอมยิ้มก่อนจะกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันเพียงสองคน

  "รอให้ถึงเชียงใหม่ก่อนเถอะจะไม่ยอมให้ออกจากห้องเลย"

   "เวทิตคนหื่น"

   รุจรวีหน้าแดงจัดด้วยความเขินอายก่อนจะเหลือบไปมองคู่เจ้าบ่าวเจ้าสาวมือใหม่ที่กำลังนั่งป้อนผลไม้กันอย่างน่าอิจฉา

   "ธัชลองชิมอันนี้ซิคะ รวิชอบอันนี้มากเลย"

   "อร่อยนะ ถ้ารวิชอบเดี๋ยวธัชซื้อให้อีก"

   กิตติธัชเอออออย่างตามใจแม้จะไม่ค่อยชอบผลไม้ตรงหน้าเท่าไหร่แต่ไม่อยากขัดใจภรรยาซึ่งภาพนั่นเองทำให้ต้นหลิวที่มองอยู่อีกด้านนั้นอดจะขำไม่ได้

   "ฮะฮะ ดูกิตซิแต่งงานแค่แป๊ปเดียวเกรงใจรวิจนน่าสงสาร"

   "ไม่หัวเราะคนอื่นน่ะต้นหลิว...หันมาคุยเรื่องของเรากันดีกว่า"

   วรภพเหยียดยิ้มพร้อมจับคนตัวเล็กให้หันมาสบตาตนเองด้วยสายตาจริงจัง

  "เมื่อไหร่จะยอมรับรักผมซักทีล่ะ"

   "ถ้าปฏิเสธคงไม่ยอมมาเป็นผู้ช่วยอยู่ทุกวันนี้หรอกนะ"

   ต้นหลิวหน้าแดงทั้งที่ปากนั้นยิ้มหวานออกมาพร้อมกับโผเข้ากอดอีกคนแน่นด้วยท่าทางออดอ้อน

   "ต้นหลิวรักภพนะ"

   "ภพรักต้นหลิวมากกว่านะ รู้ตัวไหม"

   วรภพกอดคนตรงหน้าแน่นด้วยรอยยิ้มที่อีกฝ่ายยอมตกลงรับความรักของตน ซึ่งนั้นทำให้กันต์กวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มที่จะอิจฉานิดหน่อย

   "บอกรักกันบนรถไฟต่อหน้าคนอื่นแบบนี้โรแมนติกชะมัดเลย"

   "แต่ตอนที่ทัพบอกรักกันต์โรแมนติกกว่าอีกนะ"

   พลทัพค้านขึ้นมาทำให้กันต์กวินหน้าแดงด้วยความเขินอายเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น

   "โรแมนติกบ้าบออะไรล่ะน่าอายที่สุดเพราะทัพดันมาบอกรักกันต์ตอนกำลังถ่ายทอดสดกันอยู่น่ะซิ โดนจับตามองทั้งประเทศเลยนะน่ะ แถมวินยังโทรมาแซวทั้งเช้าทั้งเย็นแหนะ"

   "ไม่ดีรึไงจะได้รู้ว่ากันต์เป็นของทัพไง"

   พลทัพทำหน้าตาเจ้าเล่ห์แล้วหอมแก้มคนตัวเล็กอย่างรวดเร็วซึ่งอีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว

   ฟอด!

   "อื้อ! ทัพ!!!"

    กันต์กวินหันมาโวยวายทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอายก่อนจะหอมแก้มอีกฝ่ายกลับอย่างรวดเร็ว

   ฟอด!

   "หายกันตกลงไหม"

   กันกวินหันหน้าหนีด้วยความเขินอายทำให้พลทัพยิ้มกว้างแล้วคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นพร้อมกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา

   "ทัพรักกันต์"

   "กันต์รักทัพ"

   กันต์กวินอมยิ้มก่อนที่ทั้งสองคนจะประกบริมฝีปากเข้าหากันอย่างแนบสนิทแล้วจูบกันอย่างดูดดื่มอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งพละออกจากกันด้วยความเขินอายแล้วหันไปมองคนอื่นที่มองมาอยู่แล้วทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างมีความสุข




THE END


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด