พิมพ์หน้านี้ - Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: tonako2yuri ที่ 17-01-2019 23:22:30

หัวข้อ: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 17-01-2019 23:22:30
************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

************************************************




Detective liu

นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม


ขบวนรถไฟพาเที่ยวกรุงเทพ-เชียงใหม่ ที่มุ่งหน้าไปทางตอนเหนือ
แต่กลับมีคนถูกฆาตกรรมหลังจากนั้นรถไฟเกิดเสียหลักหลุดรางไถลเข้าไปในดงป่า
แล้วเกิดระเบิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ไม่มีใครมีชีวิตรอดยกเว้น...


พลทัพ

อดีตตำรวจที่ถูกปลดเพราะความใจร้อนจนเสียงานหลายครั้ง

กันต์กวิน

นักข่าวมือใหม่ที่สอดรู้สอดเห็นตามสัญชาตญาณ

วรภพ

หมอจบใหม่ที่มีจิตใจอยากจะช่วยเหลือคน

ต้นหลิว

นักสืบมือใหม่ที่ยังไม่เคยได้สืบเลยซักครั้ง





รอดมาพร้อมกับผู้รอดชีวิตคนอื่น

ทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ตรงป่านั้นเพื่อรอทีมช่วยเหลือ
แต่ทว่าระหว่างที่กำลังรอให้ทีมช่วยเหลือ มาช่วยนั้นปรากฎว่ามีคนถูกฆาตกรรมเกิดขึ้น
จึงเป็นหน้าที่ของต้นหลิวนักสืบมือใหม่ร่วมมือกับวรภพหมอที่พึ่งจบใหม่เพื่อหาตัวฆาตกรให้พบ
แต่ยิ่งสืบอันตรายยิ่งมีมากขึ้นเพื่อตามหาตัวฆาตกรที่อันตรายและโหดเหี้ยมมากที่สุด

 


****************************************************************




สารบัญ

สืบครั้งที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3935206#msg3935206)
สืบครั้งที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3935450#msg3935450)
สืบครั้งที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3935694#msg3935694)
สืบครั้งที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3936369#msg3936369)
สืบครั้งที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3936744#msg3936744)
สืบครั้งที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3937173#msg3937173)
สืบครั้งที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3938215#msg3938215)
สืบครั้งที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3947492#msg3947492)
สืบครั้งที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3948961#msg3948961)
สืบครั้งที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3948971#msg3948971)
สืบครั้งที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3949220#msg3949220)
สืบครั้งที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3949632#msg3949632)
สืบครั้งที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3952353#msg3952353)
สืบครั้งที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3953149#msg3953149)
สืบครั้งที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3953152#msg3953152)
สืบครั้งที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3953155#msg3953155)
สืบครั้งที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3953161#msg3953161)
สืบครั้งที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3954617#msg3954617)
สืบครั้งที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3954622#msg3954622)
สืบครั้งที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3954626#msg3954626)
สืบครั้งที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3956250#msg3956250)
สืบครั้งที่ 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3956252#msg3956252)
สืบครั้งที่ 23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3956254#msg3956254)
สืบครั้งที่ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3958238#msg3958238)
สืบครั้งที่ 25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3958241#msg3958241)
สืบครั้งที่ 26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3958245#msg3958245)
สืบครั้งที่ 27 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3960655#msg3960655)
สืบครั้งที่ 28 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3960660#msg3960660)
สืบครั้งที่ 29 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3960668#msg3960668)
สืบครั้งที่ 30 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3966379#msg3966379)
สืบครั้งที่ 31 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3969950#msg3969950)
สืบครั้งที่ 32 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3977770#msg3977770)
สืบครั้งที่ 33 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3983894#msg3983894)
สืบครั้งที่ 34 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3985463#msg3985463)
สืบครั้งสุดท้าย
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69427.msg3985468#msg3985468)


****************************************************************


ผลงาน

เรือนจอมขวัญ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70583.msg3985487#msg3985487)
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 17-01-2019 23:48:52
สืบครั้งที่ 1




   ชานชาลาสถานีกรุงเทพในช่วงเย็นนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ด้วยรูปทรงแบบอาคารทรงโค้งครึ่งวงกลมแบบศิลปะอิตาเลียนผสมเรเนสซองส์ทำให้ดูเก่าแก่และเป็นจุดน่าสนใจ ด้านในนั้นมีพ่อค้าแม่ขายเดินขายของตรงแถวนั้นมากมาย มีทั้งคนรวยและจนปะปนกันไป บ้างเดินลากกระเป๋าใหญ่โตมีคนเดินตามมากมาย บ้างมาเป็นแบบกระเป๋าเป้เดินทางอย่างเดียวไม่มีอะไรมากมาย แต่บางคนก็มีเพียงกระสอบธรรมดา ร้านขายของมีมากมายทั้งของกินของใช้มีให้บริการมากมายอย่างดีเยี่ยมแต่ราคาค่อนข้างแพง และวันนี้มีผู้คนมากกว่าปกติเพราะมีงานเปิดตัวรถไฟรุ่นใหม่ที่จะไปเริ่มต้นเดินทางไปแถบสายเหนือ และแน่นอนรถไฟเที่ยวปฐมฤกษ์ก็ต้องจัดขึ้นสำหรับคนรวยและนักธุรกิจมากมาย


   ขบวนรถไฟพาเที่ยวเชียงใหม่ทางตอนเหนือ วิ่งด้วยหัวรถจักรไอน้ำ ด้านนอกตัวรถไฟมีสีขาวล้วนส่วนด้านในรถไฟตกแต่งอย่างหรูหราแล้วแต่ระดับฐานะของผู้ใช้บริการซึ่งรถไฟสายนี้มีตู้โบกี้รถไฟถึงห้าขบวน

   ตู้แรกเป็นชั้นของวีไอพีเฟิร์สคลาส ตกแต่งอย่างหรูหราฟู่ฟ่า เก้าอี้หนังสัตว์อย่างดีมีห้องประชุม ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องจัดงานเลี้ยงซึ่งแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนและลงตัว แถมยังมีคนคอยบริการทั้งอาหารและเครื่องดื่มตลอดเวลา

   ตู้ที่สองคือชั้นวีไอพี ตกแต่งอย่างหรูหรามีระดับไม่ฟู่ฟ่าจนเกินไป เก้าอี้หนังที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นสามารถร้องคาราโอเกะได้อย่างสบาย และพนักงานคอยบริการอย่างเอาใจ

   ตู้ที่สามชั้นเฟิร์สคลาส เก้าอี้เบาะผ้าแพรเนื้อดีนุ่มนิ่มอย่างดีนำเข้าจากต่างประเทศ มีห้องนั่งเล่นที่สามารถทานอาหารได้เลย ห้องนอนและห้องน้ำ พร้อมพนักงานที่คอยบริการอย่างรวดเร็ว

   ตู้ที่สี่และตู้ที่ห้าเป็นตู้รถไฟธรรมดา เก้าอี้ไม้ไม่ยาวมากแบ่งเป็นสองฝั่งแต่มีเบาะรองนั่งเตรียมไว้ให้ พื้นที่น้อย ต้องซื้ออาหารขึ้นมาทานเอง ไม่มีห้องนอนแต่สามารถปรับเก้าอี้ให้กว้างออกมาเพื่อที่สามารถจะนอนได้ มีห้องน้ำขนาดเล็กและไม่มีพนักงานให้บริการ 


   เมื่อใกล้ถึงเวลาออกเดินทางไอน้ำนั้นก็พุ่งขึ้นท้องฟ้าท่ามกลางเสียงหวูดรถไฟที่ดังแหลมขึ้นมาตามด้วยเสียงพนักงานประจำสถานีประกาศเรียกผู้โดยสาร

   "ประกาศครั้งสุดท้าย ผู้โดยสารที่เดินทางไปกับรถไฟขบวน กรุงเทพ-เชียงใหม่ พร้อมแล้วที่จะให้บริการและขอบคุณท่านผู้โดยสารทุกท่านที่มาใช้บริการในขบวนรถไฟเที่ยวปฐมฤกษ์ในวันนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับขบวนรถไฟครั้งนี้ ขอบคุณค่ะ"

   สิ้นสุดเสียงประกาศประตูทุกบานก็ปิดลงพร้อมกับเสียงไอน้ำและเสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้งและเคลื่อนตัวไปด้านหน้าตามรางตรงกับกำหนดที่รถไฟที่จะออกเดินทางตอนห้าโมงเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดิน





    ระหว่างที่รถไปกำลังเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางนั้นในตู้รถไฟตู้ที่สามของชั้นเฟิร์สคลาส มีพนักงานสาวสวยกำลังพาผู้โดยสารทั้งสองเดินไปนั่งยังที่นั่งด้านในสุดซึ่งใหญ่โตและหรูหรามากที่สุดในชั้นเฟิร์สคลาส

    "ที่นั่งของคุณต้นหลิวและคุณวิรชานะคะ อาหารเย็นที่สั่งไว้จะมาเสริฟในอีกสามสิบนาที หากผู้โดยสารอยากได้อะไรเพิ่มเติมกรุณากดปุ่มสีเขียวด้านข้างของโต๊ะนะคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวก่อนค่ะ"

   "ขอบคุณครับ"

   ต้นหลิวยิ้มรับก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งของตนเองซึ่งทำมาจากผ้าแพรเนื้อดีนุ่มนิ่มอย่างดีนำเข้าจากต่างประเทศ พรางจ้องมองไปยังคนรักที่กำลังนั่งยิ้มหวานออกมาตลอดเวลาหันซ้ายหันขวาอย่างถูกใจทำให้อดที่จะถามอีกฝ่ายอย่างเอาใจ

   "ชอบไหมครับเวย์"

   "ชอบมากที่สุดเลยค่ะที่รัก แต่น่าเสียดายที่คุณไม่ยอมจองชั้นวีไอพีอ่ะ"

    วิรชาหรือที่คนรักมักจะเรียกว่าเวย์นั้นทำหน้ามุ่ยลงมาเล็กน้อยอย่างน่ารักน่าชังจนต้นหลิวที่กำลังมองอยู่นั้นอดที่จะอมยิ้มกับความน่ารักนั้นออกมาไม่ได้

   "แค่นี้ก็หรูหรามากพอสำหรับเราอยู่แล้วครับ"

    "แหม~ ทำเป็นถ่อมตัวไปได้นะคะ คนเขาก็รู้ไปทั่วนั่นแหละว่าคุณเป็นทายาทของใคร" วิรชามองคนรักอย่างหมั่นไส้ "ส่วนงานที่คุณทำอยู่น่ะไม่เคยออกไปสืบซักเรื่องเลยรึไงไม่ใช่หรือคะ"

    "อืมม ก็ผมชอบที่จะเป็นแบบพ่อแม่ผมนี่ครับ"

   ต้นหลิวตอบกลับอย่างถ่อมตัวทั้งที่ตนเองเป็นถึงทายาทของนักสืบชื่อดังอย่างสนไร้นามหรือพ่อต้นสน ที่เสียชีวิตไปแล้วแต่กลับมีมรดกให้ลูกชายคนเดียวถึงหมื่นล้านไหนจะแม่กอหญ้าที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมนักสืบแทนผู้เป็นพ่อ  ทำให้ต้นหลิวมีความฝันที่จะทำงานเป็นนักสืบตั้งแต่เด็ก  ทว่าแม้จะมีสมบัติมากมายแต่กลับที่ชอบทำตัวติดดินไม่ค่อยอวดรวยและตอนนี้พึ่งได้เข้าทำงานกับแม่เป็นนักสืบมือใหม่ที่ยังไม่เคยได้ออกสืบเลยซักครั้งเพราะผู้เป็นแม่ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีมไม่อนุญาตให้ออกทำงานและคอยบงการออกคำสั่งอยู่เบื้องหลังทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เรื่องคู่ครอง

   "แต่ยังดีนะคะที่คุณพาเวย์มาเที่ยวได้ตามที่สัญญากันไว้ได้น่ะ"

    "ก็ผมสัญญากับคู่หมั้นคนสวยไว้แล้วนี่ครับ ถ้าไม่พามาล่ะก็โดนโกรธแน่เลย"

   "รู้ตัวนี่คะ อิอิ"

    วิรชาหัวเราะเสียงใสออกมาอย่างอารมณ์ดีซึ่งปกตินั้นจะแสนแง่งอนและเอาแต่ใจตัวเองมากจนต้องตามง้ออยู่หลายครั้ง คราวนี้ถือว่าโชคดีที่ต้นหลิวมีโอกาสหยุดงานพาวิรชาคู่หมั้นมาเที่ยวรถไฟก่อนที่จะแต่งงานเดือนหน้าตามที่สัญญากันเอาไว้ซึ่งผู้เป็นแม่ก็อนุมัติคำสั่งให้ลูกชายคนเดียวลาหยุดเพื่อจะไปเที่ยวกับคู่หมั้นทันที ตันหลิวลอบมองวิรชายิ้มหวานก่อนจะหันไปชมบรรยากาศสวยงามด้านนอกอย่างพึงพอใจด้วยรอยยิ้ม

   ซึ่งทั้งสองนั้นนั่งรออาหารอยู่นานจนกระทั่งต้นหลิวเกิดอาการอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาอย่างเริ่มทนไม่ไหว

   "เวย์ครับ"

    "คะ?"

   วิรชาละสายตาจากด้านนอกหันมามองคนรักด้วยรอยยิ้ม

   "ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับถ้าอาหารมาแล้วคุณทานได้เลย"

   "ค่ะ...รีบมานะคะเวย์ไม่อยากนั่งคนเดียว"

   "ครับผม"

   ต้นหลิวพยักหน้าก่อนจะลุกเดินตรงไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหน้าตู้รถไปที่เชื่อมต่อกับอีกตู้หนึ่งมือเรียวผลักไปเต็มแรงแต่กลับเปิดไม่ออก

   กึกกึก!

   "ห้องน้ำไม่ว่างหรอเนี่ย"

   ต้นหลิวถอนหายใจก่อนจะยืนรอหน้าห้องน้ำพักใหญ่แต่ยังไม่มีใครเปิดประตูออกมาจนกระทั่งพนักงานที่อยู่แถวนั้นเดินมาสอบถามด้วยความสงสัย

   "ผู้โดยสารมีอะไรรึเปล่าคะ"

   "ห้องน้ำไม่ว่างครับ" เสียงพนักงานดังมากจากด้านหลังทำให้ต้นหลิวหันไปยิ้มให้ "แต่ไม่เป็นไรผมยืนรอได้ คุณไปดูแลผู้โดยสารคนอื่นเถอะครับ"

   "ค่ะ"

   ต้นหลิวยืนรออีกเกือบสิบนาทีแต่ประตูห้องน้ำก็ยังไม่เปิดจึงตัดสินใจเดินไปยังตู้รถไฟที่สี่เพื่อจะเข้าห้องน้ำ ซึ่งภายในตู้รถไฟนึ้ที่นั่งเป็นเก้าอี้ไม้ไม่ยาวมากแบ่งเป็นสองฝั่ง ข้าวของวางด้านบนกันเต็มไปหมดและมีคนนั่งอยู่อย่างหนาแน่นต่างเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างสนใจทำให้ต้นหลิวส่งยิ้มให้แล้วรีบเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่สุดด้านในสุดของตู้รถไฟ

   กึกกึก!

   "เฮ้อ...งั้นกลับที่นั่งแล้วกัน"

   ต้นหลิวถอนหายใจเพราะตัวเขาเองก็ไม่กล้ากวนคนที่กำลังเข้าห้องน้ำจึงตัดสินใจหันหลังเพื่อจะกลับไปนั่งที่เดิมแต่ประตูห้องน้ำดันเปิดออกมาทำให้ต้นหลิวหันหลังกลับไปมองซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่รถไฟเลี้ยวพอดี

   ครืดด~ แอ๊ดด~

   "เหวอ~"

   หมับ!

    ต้นหลิวเสียหลักหงายหลังล้มลงไปในอ้อมกอดของวรภพที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำยื่นมือมารับไว้พอดี ทำให้ทั้งสองเผลอจ้องตากันในระยะกระชั้นชิดจนไม่สามารถละสายตาออกจากกันได้ ก่อนที่วรภพจะได้สติเลยรีบผละออกแล้วกล่าวขอโทษทันที

   "ขอโทษครับ เป็นอะไรมากรึเปล่า"

   "เอ่อ...ไม่..." ต้นหลิวส่ายหน้าพร้อมยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเก้อเขินเล็กน้อย "ไม่เป็นไรครับ"

   "จะเข้าห้องน้ำใช่ไหม"

   วรภพอมยิ้มกับอาการประหม่าของคนตรงหน้า

   "ค...ครับ"

   "งั้นเชิญเลยครับ" วรภพหลีกทางให้ต้นหลิวก่อนจะหันมาขอโทษอีกรอบ "อ๋อ! ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ"

   "ขอโทษเช่นกันครับ"

   ต้นหลิวโค้งตัวให้อีกฝ่ายอีกครั้งก่อนที่วรภพจะเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเองปล่อยให้ต้นหลิวรีบปิดประตูเข้าห้องน้ำด้วยใบหน้าแดงก่ำ หลังจากเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเองซึ่งมีอาหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับวิรชาที่กอดอกจ้องมองมาที่ตนเองอย่างขัดใจ

   "ห้องน้ำอยู่แค่ตรงนี้เองไปนานจังเลยนะคะ"

   "พอดีห้องน้ำตู้นี้เต็มครับเลยเดินไปเข้าอีกตู้หนึ่ง" ต้นหลิวตอบด้วยรอยยิ้มหวานให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ "เรามาทานอาหารกันเถอะ"

    "อะไรกันคะ! ทำไมไม่ได้เรื่องแบบนี้ล่ะ นี่ชั้นเฟิร์สคลาสเลยนะคะ"

    วิรชาขัดใจกำลังจะเอื้อมมือไปกำลังจะกดปุ่มสีเขียวข้างโต๊ะแต่ต้นหลิวเอื้อมมือไปจับรั้งข้อมือเอาไว้ได้ทัน

   "อย่าเรียกพนักงานมาเลยครับเวย์ มันเป็นเหตุสุดวิสัยน่า"

   "เวย์บอกให้จองช้้นวีไอพีคุณก็ไม่ยอมเชื่อ"

    วิรชาต่อว่าแฟนหนุ่มด้วยความแง่งอนทำให้ต้นหลิวอมยิ้มแล้วยื่นมือไปหยิกแก้มอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว

   "โธ่~ ไม่งอแงน่าเวย์ เรามากินอาหารกันดีกว่านะครับ นี่กุ้งตัวใหญ่ที่เวย์ชอบทานไง ผมสั่งพิเศษเลยนะ"

    ต้นหลิวเปลี่ยนเรื่องก่อนจะตักกุ้งตัวใหญ่ที่สุดในจานให้กับวิรชาซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมหายงอนทันที

   "ต้นหลิวนี่รู้ใจเวย์จังเลยนะคะ" วิรชายื่นมือไปหยิกแก้มแฟนหนุ่มคืนอย่างหมั่นเขี้ยวไม่แพ้กัน "น่ารักที่สุด~"

   "งั้นเรามาทานข้าวกันเถอะ"

   ต้นหลิวยิ้มกว้างหลังจากเกลี้ยกล่อมจนวิรชายอมทานข้าวแต่โดยดี ทั้งสองจึงทานอาหารพร้อมกันเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน



   ซึ่งขณะที่กำลังทานอาหารอยู่นั้นก็มีเสียงเปิดประตูตู้รถไฟซึ่งมีผู้ชายสองคนกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับกล้องและไมค์เหมือนกำลังจะถ่ายทำรายการอะไรซักอย่าง โดยมีเสียงหวานของคนที่ตัวเล็กกว่ากำลังบ่นไม่หยุด

   "เช็คกล้องเรียบร้อยแล้วแน่นะกร ไม่ใช่ฉันรายงานข่าวไปแล้วลืมเปิดกล้องอีกนะ"

   "โธ่ แน่นอนน่ากันต์" รณกรตอบกลับด้วยน้ำเสียงเอ็นดูพร้อมกับชูกล้องขึ้นมาพร้อมถ่ายคนตัวเล็กที่ยิ้มแป้นอยู่ด้านหน้า "เอาล่ะพร้อมละรายงานข่าวได้เลย"

   "เยี่ยม!"

   กันต์กวินยิ้มกว้างพร้อมยกไมค์กำลังขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับรายงานข่าวท่ามกลางบรรยากาศภายในรถไฟโดยมีรณกรเป็นตากล้องคอยอัดวีดีโอเอาไว้

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่คุณผู้ชมได้รับชมอยู่ในขณะนี้นะครับ คือบรรยากาศตู้สามของขบวนรถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรถไฟเที่ยวปฐมฤกษ์ที่ได้ออกเดินทางจากสถานีกรุงเทพแล้วเมื่อห้าโมงเย็นที่ผ่านมา"

   "ขอประทานโทษนะคะผู้..."

   พนักงานรถไฟประจำตู้สามได้เดินเข้ามากำลังห้ามแต่ถูกกันต์กวินหันมายกนิ้วทาบตรงริมฝีปาก

   'ชู่~'

   พนักงานชะงักแล้วมองคนตัวเล็กที่หันกลับไปรายงานข่าวต่อหน้าตาเฉย

   "ภายในตู้นี้ทุกท่านจะได้เห็นความงามของเก้าอี้ที่เบาะนั้นทำมาจากผ้าแพรเนื้ออย่างดีซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ ด้านซ้ายคือห้องนั่งเล่นและด้านขวาคือห้องนอน แถมยังมีอาหารและพนักงานมาบริการอีก"

   "ขอประทานโทษนะคะ..."

   พนักงานเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งทำให้กันต์กวินหันมายกนิ้วขึ้นมาแนบปากใส่อีกรอบ

   'ชู่!!!'

   "แตกต่างจากตู้ที่สี่และที่ห้า ซึ่งไม่มีบริการอะไรเลยแถมไม่มีของกิน ถ้าอยากทานอาหารต้องซื้ออาหารขึ้นมาทานเองนะครับ แถมยังไม่มีห้องนอนที่แสนสบายอย่างนี้ด้วย"

   "ผู้โดยสารคะ ห้องนี้ห้ามถ่ายทำรายการค่ะ"

   พนักงานรถไฟเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามือมาบังกล้องที่รณกรกำลังถ่ายอยู่ทำให้กันต์กวินเอื้อมมาตะครุบมือแล้วปัดออกอย่างรวดเร็วพร้อมโวยวายเสียงดังลั่นอย่างลืมตัว

   "กล้องตัวนี้ราคาหลายแสนนะ เอามือมาปิดแบบนี้ได้ไง"

   "โซนนี้ห้ามถ่ายทำรายการค่ะคุณผู้โดยสาร"

   พนักงานรถไฟชี้แจงกฏของที่นี่ด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นด้วยความไม่พอใจแต่กันต์กวินไม่สนใจหันมายิ้มให้กล้องและรายงานข่าวต่อหน้าตาเฉย

   "ถ้าคุณผู้ชมสนใจบอกเลยนะครับว่าต้องจองคิวล่วงหน้านานมากจนกว่าจะได้ขึ้นรถไฟคันนี้นะครับ~ ผม กันต์กวิน นักข่าวฝึกหัดรายงาน"

   "โอเค คัท!!!"

   รณกรยิ้มกว้างออกมาอย่างพึงพอใจทำให้กันต์กวินยื่นหน้าเข้าไปเพื่อตรวจเช็คภาพในกล้องด้วยความตื่นเต้น

   "เยี่ยมมาก เดี๋ยวกรรีบไปตัดต่อให้ดีเลยนะ"

   "ได้!" รณกรตอบรับเสียงดังอย่างกระตือรือร้น "แล้วนี่จะถ่ายอะไรตรงส่วนต่ออีกไหม"

   "อืมม~"

   กันต์กวินทำท่าทางคิดก่อนจะเหลือบมองไปเห็นประตูที่เชื่อมกับตู้ที่สองจึงยิ้มหวานออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ 

   "เราไปถ่ายตู้ที่สองกันเถอะ รับรองหัวหน้าต้องชอบแน่"

   "ครับผม!"

   รณกรตอบรับพร้อมทั้งตั้งท่าจะเดินไปตู้ที่สองกันแต่กลับโดนพนักงานรถไฟมายืนขวางเอาไว้

   "รบกวนผู้โดยสารกลับไปนั่ง..."

   "ขอทางด้วยครับ"

   กันต์กวินไม่ฟังแถมดันอีกฝ่ายให้ถอยไปก่อนจะเดินตรงไปเกือบจะถึงโต๊ะที่ต้นหลิวที่กำลังนั่งทานอาหารกับแฟนสาว แต่พนักงานรถไฟตามมายืนดักอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางสุภาพแต่ไม่สามารถปิดบังความไม่พอใจได้เลยซักนิดเดียว

   "ผู้โดยสารคะ ขอความร่วมมือให้ยุติการถ่ายทำที่จะไปถ่ายห้องวีไอพีและกลับไปนั่งที่เดิมด้วยนะคะ"

   "ไม่กลับ!" กันต์กวินขมวดคิ้วแน่นและเริ่มเสียงดังใส่ด้วยความไม่พอใจ "ทำไมต้อง..."

   หมับ!

   "อื้อ!"

   กันต์กวินดิ้นไปดิ้นมาอย่างดื้อดึงเพื่อสะบัดตัวให้หลุดออกจากมือหน้าของรณกรที่เอื้อมมือมาปิดปากแน่นพร้อมก้มหัวขอโทษพนักงานรถไฟยกใหญ่

   "ขอโทษที่มาสร้างความวุ่นวายนะครับ พวกเราจะกลับไปนั่งที่แล้วแต่เทปที่อัดไปขอให้พวกเราตัดต่อไปให้หัวหน้านะครับ"

   "นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณค่ะ ขอโทษที่ขัดขวางการทำงานของพวกคุณนะคะ" พนักงานรถไฟค้อมตัวขอโทษเช่นเดียวกัน "แต่พวกเราต้องปฏิบัติตามกฏน่ะค่ะ"

   "ไม่!...อื้อ!"  กันต์กวินจะไม่ยอมแต่ถูกปิดปากอีกรอบแถมแน่นมากกว่าเดิม "อ่อยยยย!~°

   "ไม่เป็นไรครับ พวกผมขอตัวก่อนครับ"

   รณกรรีบลากเพื่อตัวเล็กให้เดินออกไปจากตรงนั้นอย่างเร่งรีบท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมาอย่างสงสัย



   เสียงโวยวายของกันต์กวินดังเข้าไปถึงแถบตู้รถไฟที่สองซึ่งเป็นชั้นวีไอพี ซึ่งถูกเหมาทั้งหมดโดยผู้จัดการนายแบบชื่อดังอย่างพีรัช ซึ่งตนเองนั้นมีนายแบบในสังกัดที่ต้องดูแลถึงสองคนที่นั่งแยกกันอยู่คนละมุมห้อง คนแรกคือรุจรวีนายแบบหน้าเด็กขนาดตัวเล็กกระทัดรัดกำลังร้องเพลงคาราโอเกะอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยมีผู้จัดการส่วนตัวกำลังนั่งดื่มชาและอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้หนังที่นำเข้าจากต่างประเทศซึ่งแอบโยกตัวบ้างตามจังหวะเสียงเพลง แต่พอมีเสียงโวยวายจากด้านนอกจึงหันไปสอบถามพนักงานที่อยู่ด้านหลังอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนการร้องเพลงของอีกคน

  "ข้างนอกเสียงดังโวยวายอะไรกัน"

   "มีคนพยายามจะเข้ามาถ่ายทำรายการในนี้ค่ะ" พนักงานรถไฟตอบพร้อมรินน้ำชาให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ "แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะคะพนักงานของเรากำลังจัดการอยู่ค่ะ"

   "อืม อย่าให้ใครเข้ามาวุ่นวายในนี้ก็แล้วกัน"

   พีรัชพยักหน้ารับก่อนที่จะหันไปสนใจเกี่ยวกับข่าวในหนังสือพิมพ์ต่อ ผิดกับนายแบบในสังกัดอีกคนอย่างเวทิตที่นอนหลับอยู่ในห้องนอนแต่เสียงร้องคาราโอเกะที่แสนน่ารำคาญนั้นดังไม่หยุดจนนอนไม่หลับทำให้ตะโกนเสียงดังขึ้นมาอย่างรำคาญ

   "รุจหยุดร้องเพลงซักทีได้ไหม! เสียงนายหลงอย่างกับเป็ด"

   "ทำอย่างกับเสียงตัวเองดีมากเลยอย่างนั้นแหละไอ้พี่ทิต!"

   รุจรวีตะโกนใส่ไมล์ให้หนวกหูมากกว่าเดิมพร้อมเชิดคอมองไปยังประตูห้องนอนอย่างยั่วโมโหก่อนที่ประตูห้องนั้นจะถูกเปิดออกอย่างแรง

   ครืดด~ปี้ง!

   "นายกล้าพูดกับรุ่นพี่อย่างนี้เลยหรอหะรุจ"

   เวทิตเดินบึงปังออกจากห้องนอนแล้วตรงเข้ามาหารุจรวีที่ไม่กลัวแถมตอบอย่างลอยหน้าลอยตากวนโมโหอีกฝ่ายเล่น

   "ตอนนี้ไม่ใช่เวลางานและไม่ได้อยู่ในบริษัทด้วยเพราะฉะนั้นฉันก็ไม่ผิดที่จะไม่เคารพนาย เหมือนที่เคยตกลงกันไว้ไม่ใช่หรอ ลืมไปแล้วรึไง"

   "รุจ!!!"

   เวทิตกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายให้เคลื่อนตัวเข้ามาหาตนเองอย่างรุนแรงจนอีกฝ่ายต้องหันไปฟ้องผู้จัดการ

   "พี่รัช! พี่ทิตมาหาเรื่องผมอ่ะครับ"

   "อย่าทะเลาะกันเลยน่ะ ทิตปล่อยมือออกจากคอเสื้อรุจเดี๋ยวนี้"

   พีรัชพยายามไกล่เกลี่ยแต่เวทิตไม่ยอมปล่อย

   "พี่เข้าข้างหมอนี่ตลอดเลยอ่ะ ลืมแล้วหรอว่าพี่เป็นผู้จัดการผมมาก่อนนะ"

   "ปล่อยเดี๋ยวนี้"

   พีรัชเน้นทีละคำทำให้เวทิตยอมปล่อยก่อนจะโดนรุจรวีแตะเข้าที่หน้าแข้งอย่างแรงแล้ววิ่งไปหลบอยู่หลังของพีรัชซึ่งไม่วายแอบแลบลิ้นใส่อย่างน่าหมั่นไส้

   "แบร่~"

   "พี่ดูหมอนั่นซิ!"

   เวทิตฟ้องเสียงดังอย่างเอาแต่ใจแต่พีรัชไม่สนกลับหลังหันไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่ออย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนรุจรวีเหยียดยิ้มใส่อย่างเยาะเย้ยก่อนจะยกไมล์ขึ้นมาร้องเพลงต่อเสียงดังลั่น ทำให้เวทิตเดินฮึดฮัดเข้าห้องนอนไปพร้อมกับความไม่พอใจเพราะคนอย่างพีรัชเป็นคน 'สองมาตรฐาน' ตั้งแต่ที่มีรุจรวีเข้ามานั่นแหละ



   ทางด้านของรณกรลากกันต์กวินมาจนถึงที่นั่งหลังจากขัดขืนกันอยู่นาน ทำให้กันต์กวินที่ดิ้นอยู่นั้นสะบัดมือของอีกฝ่ายที่ปิดปากอยู่ทิ้งแล้วผลักคนตรงหน้าอย่างแรงด้วยความโมโห

   พลัก!

   "รณกร!!!"

   "จ๋า~"

   รณกรตอบเสียงใสพร้อมทำลอยหน้าลอยตาจนกันต์กวินมองตาขวาง

   "เฮอะ!"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีพร้อมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างแรงและทำหน้ามุ่ยตลอดเวลาด้วยความหงุดหงิดโดยที่ทำเป็นไม่สนใจรณกรที่ยื่นหน้ามาใกล้อย่างหยอกล้อ

   "กันต์~"

   "เชอะ!"

   กันต์กวินพลักหน้าอีกฝ่ายให้ออกห่างจากตนเองแถมไม่ยอมมองหน้าอีกต่างหากเลยซักนิด ทำให้รณกรหน้าเจือนลงก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออกจึงแอบหยิบกล้องขึ้นมาแล้วถ่ายรูปโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว

   'แชะ!'

   "โห~ รูปน่าเกลียดจังเลย"

   รณกรแกล้งทำเป็นถ่ายรูปน่าเกียจทำให้กันต์กวินมองค้อนด้วยความขัดใจ

   "กร!"

   "ฮะฮะ"

   ท่าทางขัดใจแบบนั้นทำให้รณกรหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูซึ่งกันต์กวินทำท่าทางแง่งอน


   "ถ่ายใหม่"

   "เอ..." รณกรแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน "อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย"

   "ถ่ายรูปใหม่เลยนะ" กันต์กวินทำแก้มพองลม "รูปนั้นมันน่าเกลียดไม่ใช่หรอ"

   "แล้วกันต์หายโกรธแล้วหรอ"

   "ไม่ได้โกรธแค่งอนเท่านั้นเอง"

   กันต์กวินยังรู้สึกเคืองจึงสะบัดหน้าหนีไปมองวิวด้านนอกทำให้รณกรแอบถ่ายอีกรอบ

   แชะ!

   "ยังน่าเกลียดเหมือนเดิม"

   "กรอ่ะ"

   กันต์กวินทำเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะอมยิ้มออกมาซึ่งรณกรที่รออยู่แล้วรีบกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว

   แชะ! แชะ!

   "รูปนี้ซิถึงจะสวย"

   "ไหนดูซิ" กันต์กวินชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูรูปก่อนจะยิ้มกว้างออกมาอย่างพึงพอใจ "สวยจริงด้วย...ขอแบบนี้อีกนะ"

   "ไหนยิ้มกว้างกว่านี้ซิ"

  แชะ! แชะ!

  "เอียงข้างหน่อยซิ"

   แชะ! แชะ!

   พอกันต์กวินหายโกรธทั้งสองคนจึงเปลี่ยนมาเป็นถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางสายตาของพลทัพที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านหลังกำลังทำหน้าตาไม่พอใจเพราะทั้งสองเสียงดังมากแต่พอเห็นรอยยิ้มของกันต์กวินจึงเลือกที่จะเมินเฉยไม่อยากมีเรื่อง แล้วหันไปชมพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินทอแสงตัดกับอ่างเก็บน้ำที่กำลังแล่นผ่านพอดีช่างสวยงามเหมือนกับ...

   "ว๊าว! กรดูนั่นซิพระอาทิตย์กำลังตกดินแล้ว"

   กันต์กวินยิ้มกว้างพรางชะโงกหน้าออกไปรับลมด้านนอก เส้นผมสีน้ำตาลอมดำที่ปลิวไปตามแรงลม แววตาพราวระยับเหมือนผิวน้ำทำให้พลทัพลอบมองอย่างไม่ละสายตา

   ...สวยงามเหมือนกับนายนั่นล่ะมั้ง...

   ทุกคนในขบวนรถไฟต่างชมพระอาทิตย์กันอย่างมความสุขสมกับเป็นจุดเด่นสำคัญในการนั่งรถไฟครั้งนี้นั่นเอง แต่ทว่าใครจะรู้ว่าตอนกลางคืนท่ามกลางความงดงามและหรูหรากลับมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นโดยที่ทุกชีวิตไม่ทันตั้งตัว



*******************

สวัสดีจ้า~
ฤกษ์งามยามดีอย่างนี้
เหมาะแก่การแอบย่องมาเปิดเรื่องใหม่
ยังไงฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ~ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 2 [UP 18/01/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 18-01-2019 20:17:25
สืบครั้งที่ 2


   คืนนั้นเองระหว่างที่รถไฟกำลังแล่นอยู่นั้นภายในห้องประชุมของตู้รถไฟตู้แรกซึ่งเป็นชั้นวีไอพีเฟิร์สคลาส กำลังมีการเจรจาธุรกิจระหว่างวรนพ นักธุรกิจที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศครอบคลุมธุรกิจทางด้านการค้าการส่งออก กำลังนั่งร่วมโต๊ะกับรติกรนักธุรกิจที่ร่ำรวยและมีเกียรติยศมาก มีธุรกิจใหญ่โตใจดีมีเมตตาชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ทั้งสองคนต่างเจรจาเรื่องธุรกิจกันอย่างไม่เคร่งเครียดนัก

   "สินค้าที่เราส่งออกต่างประเทศรอบนั้นลูกค้าคนสำคัญได้รับของแล้วนะครับ ทางนั้นพึงพอใจกับสินค้าที่ส่งไปมากเลยล่ะ"

   "จริงหรือครับ" รติกรยิ้มกว้างออกมาอย่างถูกอกถูกใจ "ดีจังเลยนะครับ เด็กที่นั่นจะได้มีความสุขไม่ต้องลำบากอะไรแบบนั้นอีก"

   "สินค้าอะไรหรอคะคุณพ่อ"

    รวิสราลูกสาวคนเดียวของรติกรถามขึ้นมาอย่างสนใจขณะกำลังนั่งถักไหมพรมอยู่ตรงโซฟาหนังสัตว์อย่างดี รติกรจึงหันไปตอบคำถามลูกสาวด้วยรอยยิ้ม

   "สิ้นค้าพวกเครื่องกันหนาว รองเท้าหนัง หมวกไหมพรม ถุงมือ แล้วก็อาหารแห้งอีกนิดหน่อยน่ะลูก เด็กที่นั่นลำบากมากเลยนะ พ่อเห็นแล้วก็สงสารเลยให้คุณวรนพช่วยจัดการเรื่องส่งสินค้าไปให้น่ะ"

   "ดีจังเลยค่ะคุณพ่อ ส่งสินค้าอีกเมื่อไหร่บอกหนูด้วยนะคะจะได้ฝากพวกเสื้อไหมพรมที่หนูถักไว้ไปด้วยเลย"

   คำถามของรวิสราเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญทั้งสองคนออกมาอย่างเอ็นดู

   "ฮึฮึ ไม่ทันแล้วลูกสิ้นค้ารอบใหม่พึ่งออกจาก ท่าเรือไปเมื่อเย็นวันนี้เอง"

   "อ้าว"

   รวิสราทำท่าทางเสียดายทำให้รุ้งพรายที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของโซฟาพูดขึ้นมาด้วยท่าทางหมั่นไส้

   "เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องทำท่าทางเสียดายขนาดนั้นเลย"

    "ยัยรุ้ง!" วรนพเอ็ดลูกสาวคนเดียวของตนเองอย่างเหนื่อยใจ "พูดแบบนั้นได้ยังไงเนี่ย เสียมารยาท"

   "คุณพ่ออ่ะ!"

   รุ้งพรายสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างขัดใจทำให้วรนพรีบขอโทษแทนลูกสาวทันทีที่เห็นรติกรเริ่มหน้าตาบึ้งตึง

   "ขอโทษด้วยนะครับคุณรติกร ลูกสาวผมเป็นแบบนี้แหละอย่าไปใส่ใจเลย"

   "ไม่เป็นไรน่า" รติกรส่ายหน้าพร้อมยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ "นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมขอตัวกลับห้องไปพักผ่อนที่ห้องก่อนนะครับ"

   "ผมก็ขอตัวเช่นกันแต่อย่าลืมมาให้ทันงานเลี้ยงคืนนี้นะครับ"

   วรนพลุกขึ้นเดินไปส่งรติกรถึงตรงประตูห้องประชุมด้วยรอยยิ้ม

   "ยินดีที่ได้ทำธุรกิจร่วมกันครับ"

   "ยินดีเช่นกันครับ"

    ทั้งสองจับมือกันด้วยรอยยิ้มเป็นการปิดท้ายก่อนจะเดินแยกกันเพื่อกลับห้องของตนเอง ตามมาด้วยรุ้งพรายที่เดินสะบัดออกไปโดยไม่ได้ลาแต่รวิสราไม่สนใจพร้อมนั่งถักไหมพรมต่อไปโดยไม่รับรู้ถึงแววตาหนึ่งที่แอบมองอยู่ในความมืด




    หลังจากประชุมเสร็จรติกรก็เดินกลับมายังห้องนอนของตนเองซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในรถไฟทั้งขบวนซึ่งมีการตกแต่งอย่างหรูหราฟู่ฟ่า เตียงนอนขนาดใหญ่ที่แสนนุ่มตั้งอยู่กลางห้องรายรอบไปด้วยของตกแต่งที่มีค่ามากมาย รติกรเปิดประตูห้องและกำลังเดินเข้าไปด้านในอย่างอารมณ์ดีโดยไม่ได้ระวังว่ามีใครบางคนกำลังจู่โจมเข้ามาประชิดตัวจากทางด้านหลัง!

   "อะ!...อึกกกก!"

   เสียงฮัมเพลงขาดหายไปเมื่อโดนเชือกเส้นหนารัดคอจากด้านหลังจนแน่นซึ่งรติกรเองก็พยามยามร้องขอความช่วยเหลือแต่กลับถูกผลักดันเข้าไปในห้องพร้อมกับประตูที่ปิดลงอย่างแรง

   ปึ้ง!!!

   ประตูบานใหญ่ปิดสนิทท่ามกลางความมืดมิดและเงียบสงบทำให้ได้ยินเสียงลมหายใจที่ติดขัด

   "แคก! อึก!!!"

   "ในที่สุดฉันก็หาตัวแกเจอจนได้"

   เสียงอู้อี้ที่ดังอยู่ข้างหูทำให้รติกรดิ้นไปมาด้วยความหวาดกลัว

   "แก...แฮก!...คือใคร"

   "ใครหรอ...ฮะฮะฮะ"

    คนด้านหลังหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งก่อนจะเพิ่มแรงรัดให้แน่นเข้าไปมากกว่าเดิมจนหายใจไม่ออก

   "ตัวแทนคนที่แกไปฆ่าครอบครัวพวกเขาไง"

   "แคก! อึก!!!"

    รติกรหายใจไม่ออกแต่พยายามอย่างหนักที่จะให้หลุดจากเชือกที่กำลังรัดคอซึ่งอีกฝ่ายเหมือนจะรู้จึงเพิ่มแรงมากขึ้นกว่าเดิม

    "จำไม่ได้ซินะ"

    คนด้านหลังแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับมีดเล่มหนึ่งที่ถูกหยิบออกมาสะท้อนกับแสงไฟในห้องทำให้รติกรเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว

   "ไม่เป็นไร ฉันจะเตือนความจำให้แกเอง"

    ฉึก!

   "อ๊ากกก"

   เสียงมีดแหลมคมที่แทงลงไปแถวหน้าท้องทำให้รติกรร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

   "อ๊ากกก"

   "จำได้ไหม"

  เสียงกระซิบข้างหูพร้อมกับมีดที่ทิ่มลงมาอีกครั้ง

   ฉึก!

   "อ๊ากกก"

   "จำได้รึยัง"

   สิ้นเสียงแค่นั้นร่างของรติกรก็ถูกเหวี่ยงลงไปตรงพื้นไม้ข้างเตียงพร้อมไฟทั้งห้องที่ดับลงทำให้มองไม่เห็นว่าคนบุกรุกนั้นคือใคร ซึ่งรติกรนั้นรีบถดตัวหนีคนที่กำลังถือมีดเข้ามาหาด้วยท่าทางคุกคาม จนสุดท้ายต้องยกมือขึ้นมาไหว้อย่างหวาดกลัว

   "ฮึกฮือ อย่าฆ่าฉันเลย แกอยากได้อะไรแกเอาไปให้หมดเลย"

   "ทุกอย่างหรอ"

   แสยะยิ้มพร้อมเดินเข้ามาใกล้อีกนิดทำให้รติกรตัวสั่นมากกว่าเดิม

   "ใช่~ ในกระเป๋านั้นมีเงินมากมายแต่ถ้าแกยังไม่พอก็ปล่อยฉันไปแล้วฉันจะโอนเข้าบัญชีแกให้"

   "หึ!"

    เสียงหัวเราะในลำคอพร้อมมีดที่ปักลงมาเฉียดหน้าไปนิดเดียวทำให้รติกรชะงักพร้อมเนื้อตัวที่สั่นจนห้ามไม่ไหวก่อนจะถูกตวาดเสียงดังลั่น

   "แกนึกว่าฉันโง่รึไง!!!"

    ปึก!

   "โอ๊ย! อย่าฆ่าฉันเลย"

   รติกรร้องไห้พร้อมยกมือขึ้นมาไหว้อย่าหมดหนทางทำให้คนที่มองอยู่นั้นหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

   "หึหึ! สิ่งที่ฉันอยากได้ที่สุดตอนนี้อยู่กับนายแล้ว"

   "อะ...อะไรที่แกอยากได้"

    รติกรถามออกมาอย่างมีความหวังก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย

    "ชีวิตของแกไง!!!"

   ฉึก! ฉึก! ปั้ก!

   "อ๊ากกกกกกกก!"

   เสียงหวีดร้องโหยหวนราวกับเหยื่อกำลังดิ้นรนหนีอย่างทรมาณ การฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมได้เปิดฉากขึ้นท่ามกลางรถไฟที่หรูหราแห่งนี้   ซึ่งตอนนั้นเองคนขับรถไฟที่ตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเสร็จแล้วจึงเดินออกมาตรวจสอบความเรียบร้อยของชั้นวีไอพีเฟิร์สคลาส

   ปั้ก!

   ขณะที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องที่ใหญ่ที่สุดก็ได้ยินเสียงผิดปกติตรงห้องของคุณรติกรจึงลองเคาะประตูห้องอย่างแผ่วเบา

   ก๊อก! ก๊อก!~

   "คุณรติกรเป็นอะไรรึเปล่าครับ"

   แต่ทว่าเคาะประตูไปเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาทำให้คนขับรถไฟขมวดคิ้วด้วยความเป็นกังวล

   ก๊อก! ก๊อก!~

   "คุณรติกรครับ"

    เมื่อเห็นว่าเงียบผิดปกติจนเกินไปจึงเปิดประตูห้องเข้าไปพบกับความมืดมิดมองอะไรแทบไม่เห็นจึงร้องเรียกอีกครั้ง

   "คุณรติกรอยู่ในนี้รึเปล่าครับ"

   สิ่งที่ได้กลับมาคือความมืดและความเงียบพร้อมกับกลิ่นที่เหม็นคาว

   "เหม็น!?...งั้นผมขออนุญาตเปิดไฟนะครับ"

   คนขับรถไฟจึงตัดสินใจเปิดไฟ พอไฟในห้องสว่างขึ้นมาให้เห็นผนังห้องสีครีมเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ข้าวของถูกรื้อค้นกระจัดกระจายและบนพื้นห้องเลอะเทอะไปด้วยเลือดที่ลากเป็นรอยทางยาวจึงเดินตามรอยเลือดนั้นจนไปถึงเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องพบศพของรติกรนอนตายอยู่บนเตียง ทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยมีดที่แทงลงไปนับครั้งไม่ถ้วนไม่นับรอยบนศีรษะที่แตกเป็นทางยาวจนแทบยุบลงไปครึ่งกระโหลก คนขับรถไฟยืนนิ่งอยู่กับที่ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนที่จะได้ขยับตัวเพื่อที่ออกไปเรียกคนข้างนอนนั้น

   ปึ้ง! ฟึบ!

   "เฮ้ย!"

   ประตูห้องที่ถูกปิดพร้อมไฟที่ดับลงสู่ความมืดอีกครั้ง คนขับรถไฟมองซ้ายขวาด้วยความตื่นตระหนกและรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ในห้องนี้ด้วยนอกเหนือจากตนเอง

   "ใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ"

   ตะโกนออกไปราวกับข่มขู่ให้อีกฝ่ายกลัวท่ามกลางความมืดและเสียงรถไฟที่แล่นไปตามราง โดยไม่ทันได้ระวังตัวใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดกระโจนเข้ามาจัดการคนขับรถไฟอย่างแม่นยำพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้นอีกครั้งอย่างทรมาน

   ฟึบ! ฉึก!

   "อ๊ากกกก"




   ตอนกลางคืนที่มืดสนิททุกชีวิตบนรถไฟต่างหลับใหล จึงได้ยินเพียงเสียงรถไฟที่เคลื่อนที่ไปตามราง ท่ามกลางความมืดนั้นไม่มีใครสังเกตเห็นใครบางคนที่แต่งตัวเป็นคนขับรถไฟลอบเข้าไปในห้องควบคุมรถไฟจัดการอะไรบางอย่างกับระบบที่กำลังขับเคลื่อนรถไฟนั้นอย่างใจเย็นและไม่รีบร้อน

   กริ๊ก!

   'ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติหยุดการทำงาน'

   กริ๊ก!

   'ระบบเส้นทางหยุดทำงาน...กรุณากรอกเส้นทางที่ต้องการ'

   'กรุณากรอกเส้นทางที่ต้องการ"

   'กรุณากรอกเส้นทางที่ต้องการ'

   กริ๊ก!

   'ระบบรถไฟทั้งหมดหยุดทำงาน'

   "หึ!"

   เสียงหัวเราะในลำคอหลังจากได้ยินข้อความนั้นดังขึ้นพร้อมสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้น

   'สัญญาณฉุกเฉินทำงานอัตโนมัติ'

   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งงงงง!!!

   ทุกอย่างถูกระงับทำให้รถไฟทั้งคันเสียหลักไถลไปตามรางรถไฟอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงสัญญาณฉุกเฉินที่ดังขึ้นท่ามกลางเสียงวุ่นวายของคนบนรถไฟ ใครบางคนนั้นเหยียดยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางความมืด




   ในระหว่างที่กำลังไถลไปตามรางอยู่นั้นความวุ่นวายได้เกิดขึ้นโดยเฉพาะตู้รถไฟตู้ที่สามชั้นเฟิร์สคลาส

   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งงงงง!!!

   "ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับ" ต้นหลิวเดินฝ่าผู้คนที่กำลังวิ่งวุ่นวายไปยังหน้าห้องน้ำที่ถูกปิดสนิทก่อนจะเคาะประตูเรียกอย่างร้อนใจ

  ก๊อก! ก๊อก!

   "เวย์! เวย์ครับ!"

   ผลัก!

   แต่เคาะหลายครั้งไม่มีเสียงตอบกลับมาทำให้ต้นหลิวผลักประตูห้องน้ำอย่างแรงแต่ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า

   "เวย์หายไปไหนหรือว่าจะไปเข้าห้องน้ำตู้นู้น"

   ต้นหลิวพยายามมองหาตัวของวิรชาไปโดยรอบแต่กลับไม่เจอจึงตัดสินใจผลักประตูตู้ที่สี่ให้เปิดออกจึงพบกับภาพของผู้คนที่กำลังวิ่งชนกันไปมาอย่างตื่นกลัวและค่อนข้างวุ่นวายมาก

   'วี๊ด! นั่นของฉัน'

   'ของฉันต่างหากล่ะ'

   'โอ๊ย! กล้าผลักฉันหรอ!!!'

   "ขอทางหน่อยนะครับ...เหวอ!!!"

   ปึก!

   ต้นหลิวพยายามฝ่าผู้คนที่กำลังทะเลาะแย่งขาวของกันแล้วเผลอชนจนตนเองเสียหลักถลาเอาหน้าไปชนหลังของคนที่ยืนด้านหน้าทำให้ต้องยกมือขึ้นมากุมจมูกด้วยความเจ็บปวด

   "โอ๊ย! เจ็บจัง"

   "เจ็บมากไหมครับ"

   วรภพหันมาถามคนที่เดินมาชนหลังตนเองด้วยความเป็นห่วงก่อนจะตกตะลึงเพราะคือคนเดียวกันกับคนที่เจอเมื่อตอนเย็น

   "คุณนั้นเอง! จำผมได้ไหม"

   "เอ่อ..." ต้นหลิวชะงักไปนิดก่อนจะยิ้มกว้างออกมาอย่างเป็นมิตร "อ๋อ! คุณเองหรอ"

   "คุณกำลังจะไปไหน"

   วรภพถามด้วยความสงสัยพร้อมกับคว้ากระเป๋าของตนเองมาสะพายก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบจากอีกฝ่ายที่พยายามแทรกตัวเบียดเข้ามา

   "ผมกำลังจะไปหาคู่หมั้นที่ห้องน้ำน่ะครับ งั้นหลบทางให้ผมหน่อยนะครับ"

   "เดี๋ยวซิ! จะไปตามหาตอนนี้ไม่ทันแล้วนะ พวกเราต้องรีบหนีออกจากที่นี่ก่อนที่รถไฟจะเสียหลักไปมากกว่านี้"

   วรภพจับแขนเล็กเอาไว้แต่ต้นหลิวกลับดึงแขนออกอย่างสุภาพ

   "คุณหนีไปก่อนเถอะครับเพราะผมจะรีบไปหาคู่หมั้นน่ะ ถ้าเจอตัวแล้วจะได้รีบหนีไปพร้อมกัน"

   "ไม่ทันหรอกครับ รีบไปกับผมก่อนเถอะ"

   วรภพจับแขนเล็กอีกครั้งแน่นกว่าเดิมจนต้นหลิวเบิกนากว้างด้วยความตกใจ

   "ไม่ไปครับ ปล่อยผมเถอะ"

   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งงงงง!!!

   แต่ยังไม่ทันที่จะได้เถียงอะไรกันมากไปกว่านั้นระบบไฟทั้งหมดในขบวนก็กระตุกพร้อมกับสัญญาณเตือนที่ดังอย่างต่อเนื่องและล้อรถข้างหนึ่งเกิดเสียหลักหลุดรางทำให้รถไปทั้งขบวนไถลเข้าไปในดงป่า

   ตึก! ครืดดดดด!!!

   "เหวอ!"

   ต้นหลิวเสียหลักล้มลงไปกระแทกกับพื้นรถไฟทั้งตัวทำให้วรภพรีบประคองอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยการกอดเอวจากด้านหลังและหาพนักพิงเก้าอี้แถวนั้นจับเอาไว้แน่นเพื่อต้านทางแรงสั่นสะเทือนของตัวรถไฟ

   "ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องรีบไปตรงประตูให้เร็วที่สุด"

   "ไม่ไป! ผมจะไปหาเวย์"

   ต้นหลิวพยายามดิ้นหนีอย่างดื้อดึงแต่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้จึงโดนลากตัวไปตามทางเดินในรถไฟที่แสนแคบแถมต้องพยายามฝ่าผู้คนที่รนรานหาที่ยึดเพื่อไม่ให้กลิ้งไปตามแรงรถไฟ วรภพลากคนตัวเล็กที่พึ่งรู้จักกันในวันนี้ไปตรงประตูฉุกเฉินที่พึ่งถูกเปิดออกและมีคนกระโดดลงไปก่อนหน้านั้นแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งวรภพตั้งท่ากำลังจะโดดตามแต่ต้นหลิวกลับขืนตัวไว้ไม่ยอมโดด

   "ไม่! ผมไม่โดด"

   "ต้นหลิวคะ...ที่รักรอเวย์ด้วยค่ะ!"

   เสียงเรียกจากด้านหลังซึ่งพอหันไปดันเห็นวิรชาที่เปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี

   "เวย์!"

   ต้นหลิวตะโกนเรียกชื่อคู่หมั้นและพยายามยื้อเอาไว้ไม่ยอมโดดแถมตั้งท่าจะเดินกลับไปหาวิรชาที่ยืนตัวสั่นร้องเรียกอยู่ตรงแถวหน้าห้องน้ำด้วยความหวาดกลัว

   ครึก! ครูดดดดด!!!

   "ว๊ายยยย"

   แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้นตัวรถไฟทั้งขบวนดันเอียงไปทางด้านหลังเรียกเสียงกรีดร้องดังก้องขบวนอย่างหวาดกลัว ทว่าต้นหลิวยังดึงดันพยายามจะฝืนตัวเองออกจากการเกาะกุมของวรภพเพื่อจะไปหาวิรชาที่ล้มลงไปกองกับพื้นซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งทั้งด้วยความเป็นห่วง

   "ปล่อยเถอะ ผมจะต้องไปหาคู่หมั้น"

   "ผมคงจะปล่อยคุณให้กลับไปไม่ได้หรอก"

   วรภพกอดเอวอีกฝ่ายแน่นไม่ยอมปล่อยพร้อมดันให้ไปยืนตรงหน้าประตูอีกครั้ง

   "โดดซิ"

   "ไม่"

   คำตอบนั้นทำให้วรภพตัดสินใจออกแรงพลักต้นหลิวกระเด็นออกไปด้านนอกแล้วรีบกระโดดตามไปทันทีก่อนที่จะเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น

   บึ้มมมมมม!

   แสงสีส้มเพลิงพุ่งกระจายขึ้นไปตัดกับท้องฟ้าที่เป็นสีดำสนิท เสียงหวีดร้องดังระงมเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ท่ามกลางเพลิงที่ลุกไหม้รถไฟทั้งห้าตู้อย่างรวดเร็วและรุนแรงจนแทบจะไม่มีใครมีชีวิตรอดออกมาเลยซักคน


***************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 2 [UP 18/01/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 19-01-2019 14:32:20
สืบครั้งที่ 3



   แสงสีส้มเพลิงอาบย้อมรถไปทั้งขบวนให้กลายเป็นเปลวเพลิงโหมไหม้อย่างรุนแรงปนไปกับเสียงร้องโหยหวนของผู้คนยังคงดังขึ้นมาอย่างทรมาณ ตามแนวชายป่าที่ถัดมาจากตัวซากรถไฟนั้นปรากฏร่างของพลทัพนอนนิ่งอยู่บนพื้นหินก่อนที่ดวงตาคมจะลืมตาโพลงขึ้นมาพร้อมลมหายใจที่หอบอย่างตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นจนพอมีสติกลับมาครบถ้วนจึงพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง

   "โอ๊ย~"

   ร้องออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บตรงข้อศอกก่อนจะหันไปมองความเสียหายรอบตัวแล้วหันมาสะดุดตากับกันต์กวินที่นอนสลบอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักจึงลุกขึ้นเดินไปใกล้มองสภาพของอีกฝ่ายที่ตามเนื้อตัวนั้นมีแผลถลอกแต่ไม่น่าจะเป็นอะไรร้ายแรง พลทัพเอื้อมมือเข้าไปเขย่าตัวพยายามจะปลุกอีกฝ่าย

   "นี่...ตื่นซักที!"

   ไม่มีเสียงตอบรับแถมยังนอนนิ่งไม่ไหวติงทำให้พลทัพขมวดคิ้วแน่นอย่างเป็นกังวล ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อหวังจะฟังเสียงลมหายใจแต่ดวงตากลมโตดันลืมขึ้นมาพอดีจ้องมองมาอย่างตกใจ

   "นาย!!! จะทำอะไรน่ะ!"

   "ตกใจทำไมล่ะ"

   พลทัพตอบกลับอย่างหงุดหงิดเพราะพออีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาก็ดันโวยวายใส่ตนเองยกใหญ่แถมทำหน้าตาอย่างกับเขาเป็นโรคจิต

   "แค่จะฟังเสียงลมหายใจ นึกว่าตายไปแล้ว"

   "ข้ออ้าง!"

   กันต์กวินสวนกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดตัวเองด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ

   "คนโรคจิต ชอบรุ่มร่าม"

   "ผู้ชายเหมือนกันจะอะไรมากมายห๊ะ"

   พลทัพเริ่มโมโหลุกขึ้นยืนพร้อมเอื้อมมือไปเพื่อหวังจะช่วยพยุงแต่อีกฝ่ายกลับถอยหลังแล้วร้องโวยวาย

   "อย่าเข้ามานะ! ช่วยด้วย!~"

   "อะไรของนายเนี่ย"

   พลทัพเริ่มหมดความอดทนเอื้อมมือไปจับต้นแขนทั้งสองข้างแล้วกำลังจะกระชากอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน แต่กลับโดนใครบางคนแทรกกลางแล้วผลักตัวเองออกอย่างแรง

   "กันต์! เป็นอะไรบาดเจ็บตรงไหนไหม"

   "กร!!!"

   กันต์กวินโผกอดร่างสูงของเพื่อนสนิทแน่นพรางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขี้นบนรถไฟ




   ท่ามกลางตอนกลางคืนที่กำลังนอนหลับสนิทบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ปูออกมาเป็นที่นอนอยู่นั้นเองก็เกิดมีเสียงสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้นมาจนพากันตื่นตกใจกันเป็นแถบ

   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งงงงง!!!

   "โอ๊ะ!"

   กันต์กวินเองสะดุ้งตื่นขึ้นมาเช่นกันเห็นระบบไฟฟ้าติดดับตลอดเวลาแถมรถเสียหลักไถลไปตามรางรถไฟอย่างรวดเร็ว

   "เกิดอะไรขึ้น!"

   "ไม่รู้เหมือนกันแต่เรามาเก็บของกันก่อนเถอะ"

   รณกรคว้ากระเป๋าสัมภาระทั้งของตนเองและของกันต์กวินมาถือเอาไว้  แต่กันต์กวินกลับแย่งไมค์มาถือทำให้เพื่อนสนิทมองอย่างไม่เข้าใจ

   "จะทำอะไรน่ะกันต์"

   "รายงานข่าว" กันต์กวินตอบหน้าตาเฉยพร้อมมองมาด้วยความขัดใจ "ยืนนิ่งทำไมล่ะยกกล้องขึ้นมาซิ"

   "ห๊ะ!"

   รณกรตกใจในคำตอบของเพื่อนแต่ก็หยิบกล้องขึ้นมาตามคำสั่งของกันต์กวินที่ยิ้มให้กล้องแล้วรายงานข่าวทั้นที

   "คุณผู้ชมครับ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือบรรยากาศความวุ่นวายของผู้โดยสารทั้งหมดที่อยู่บนรถไฟ ซึ่งตอนนี้เกิดระบบความขัดข้อง เกิดเสียงสัญญาณฉุกเฉินร้องเตือนและหลังจากนั้นไม่นานรถไฟทั้งคันรถเสียหลักไถลไปตามรางรถไฟอย่างรวดเร็วประมาณเกือบห้านาทีกว่าแล้วยังไม่ได้รับการแก้ไขครับ แล้วในขณะนี้..."

   ตึก! ครืดดดดด!!

   "เหวอ~"

   กันต์กวินร้องเสียงหลงและหงายหลังไปในจังหวะที่รถไฟทั้งคันรถเสียหลักหลุดจากรางไถลเข้าไปในดงป่าแต่โชดดีที่ก้นไม่ได้กระแทกพื้นแต่ดันไปนั่งทับบนตักของพลทัพทำให้ไมค์ดันไปฟาดกับพนักพิงเก้าอี้อย่างแรงจนแตกกระจาย

   "ไมค์ฉัน!!!"

   กันต์กวินเอามือขยุ้มผมตัวเองก่อนจะหันมาโวยวายใส่คนที่ตนนั่งตักเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพื่อนของตนเอง

   "ทำไมนายไม่รับไมค์ฉันเลยห๊ะกร!!!"

   "ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ใช่กรของนาย"

   พลทัพตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ทำให้กันต์กวินรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนจะหล่นลงมาทับบนตักของพลทัพอีกครั้งเพราะล้อรถไฟดันไปสะดุดกับก้อนหินใหญ่อย่างแรง

   ตุ๊บ!

   "โอ๊ยหนัก! นายกินอะไรบ้างเนี่ย"

   "ไม่ได้หนักนะ!"

   กันต์กวินสวนกลับทันทีก่อนที่จะเอนตามแรงของรถไฟที่โยกเยกสั่นสะเทือนทำให้พลทัพต้องกอดเอวอีกฝ่ายไว้แน่นแต่ดูเหมือนเอวจะบางกว่าที่คิดเอาไว้พรางจ้องไปยังรณกรที่กำลังเก็บกล้องและอุปกรณ์ใส่กระเป๋าพอดีกับที่กันต์กวินตะโกนเรียกพอดี

   "กร! ช้าจังทำอะไรอยู่น่ะฉันจะถ่ายต่อ"

   "รถไฟจะคว่ำตายอยู่แล้วยังจะถ่ายต่ออีกหรอ"

   ไม่ใช่รณกรที่บ่นแต่เป็นพลทัพที่ค้านขึ้นมาพร้อมรถไฟที่สั่นสะเทือนยิ่งกว่าเดิมแต่ยังไม่ทันที่กันต์กวินจะเถียงอะไรก็ถูกพลทัพอุ้มขึ้นมากอดแนบอกจนตัวลอยแล้วเดินไปตรงประตูรถไฟที่เปิดกว้างทำให้กันต์กวินเอื้อมมือไปกอดคอแน่นแต่พยายามขืนตัวให้ออกห่างอีกฝ่ายไว้สุดฤทธิ์

   "จะทำอะไรน่ะ!"

   "โดด"

   คำสั่งเด็ดขาดทำให้กันต์กวินที่พอเห็นความเร็วของรถไฟก็รีบส่ายหน้าทันทีพร้อมดิ้นสุดแรง

   "ไม่โดดอ่ะ...ไม่เอา!"

   "ไม่ได้บอกให้นายโดด นายต่างหากที่ต้องโดดไปก่อน"

   คำตอบของพลทัพทำให้กันต์กวินหน้าเหวอรวมถึงรณกรที่ตอบรับด้วยความมึนงง

   "เอ่อ...ได้"

   ครึก! ครูดดดดด!!!

   "ว๊ากกกก!"

   กันต์กวินแหกปากร้องดังลั่นเมื่อรถไฟเอียงไปด้านหลังและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รณกรกระโดดออกไปตามด้วยพลทัพกระโดดตามลงมาโดยที่ยังอุ้มตนเองไม่ยอมปล่อยก่อนที่รถไฟทั้งขบวนจะเกิดระเบิดขึ้น

   บึ้มมมมมม!




    กลับมาปัจจุบันกันต์กวินยังคงนั่งมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่ไว้วางใจทำให้ซึ่งพลทัพก็ทำหน้ามุ่ยลง

   "นั่งมองแบบนั้นคงได้ตายไปก่อนที่หน่วยช่วยเหลือจะมาถึง"

   "แล้วจะมาสนใจทำไมล่ะ"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีแล้วเชิดหน้าใส่อย่างแง่งอนทำให้รณกรต้องคอยไกล่เกลี่ย

   "เอาน่ากันต์ ไปด้วยกันเถอะอย่างน้อยจะได้มีเพื่อนร่วมทางนะ"

   "แต่..."

   "กันต์ อย่าดื้อซิ"

   รณกรทำเสียงดุพร้อมกับประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืนทำให้กันต์กวินทำปากยื่นใส่เพื่อนอย่างแง่งอนก่อนจะยอมเดินตามแต่โดยดี

   "ก็ได้"

   "รีบเดินได้ละ"

   พลทัพที่เดินนำหน้าไปนั้นหันมาตามทำให้กันต์กวินดื้อดึงเล็กน้อยตั้งท่าจะไม่ยอมเดินตามแต่มีรณกรดันอยู่ด้านหลังจึงจำยอมเดินตามทั้งที่กำลังขัดใจ ทั้งสามเดินมาไม่ไกลนักเดินมาเจอวรภพกำลังฉุดรั้งไม่ให้ต้นหลิวเข้าไปค้นหาคู่หมั้นของตนเองในกองเพลิง

   "ฮือ~ เวย์ครับ...เวย์"

   "คุณต้องตั้งสตินั่นกองไฟนะอย่าเข้าไป!"

   วรภพรั้งตัวอีกฝ่ายไว้แน่นทำให้ต้นหลิวชะงักและร้องไห้เสียงดังมากกว่าเดิมพร้อมหันมากอดวรภพไว้แน่นราวกับจะหาที่พึ่งพรางมองเพลิงไฟด้วยสายตาที่โศกเศร้า

   ตอนนั้นเองพีรัชประคองรุจรวีที่สลบไม่ได้สติโดยมีเวทิตคอยประคองอีกข้างหนึ่งด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจพร้อมบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด

   "กระโดดรถไฟลงมาแค่นี้ทำเป็นตกใจไปได้...ช็อกตายไปแล้วมั้ง"

   "ปากเสียน่ะทิต"

   พีรัชหันมาดุเสียงดังทำให้เวทิตทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะคิดถึงเหตุการณ์บนรถไฟ




   ตื้ง! ตื้ง! ตื้งง!!!

   ระหว่างที่เวทิตกำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียงนอนก็มีเสียงสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวีดร้องดังมาจากรถไฟตู้อื่นทำให้เวทิตตกใจรีบเปิดประตูออกไปนอกห้องพบพีรัชกำลังกอดปลอบรุจรวีที่กำลังขวัญเสีย

   "มีอะไรเกิดขึ้นครับ"

   "พนักงานบอกว่ารถไฟมีปัญหา...เราต้องรีบเก็บของหนีกันแล้ว"

   คำตอบของพีรัชทำให้นายแบบทั้งสองคนตกใจแต่รุจรวีกลับจับหน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยครีมพอกหน้า

   "เดี๋ยวก่อน! ผมยังพอกหน้าอยู่เลย"

   "นี่นายยังห่วงพอกหน้าอยู่อีกหรอ"

   เวทิตต่อว่าด้วยความหงุดหงิดและโมโหเพราะขนาดนี้แล้วยังไม่มีท่าทีจะรีบหนีดันห่วงแต่จะพอกหน้า...ไม่ยอมห่วงชีวิตตัวเอง

   "อย่าทะเลาะกันน่า รุจไปล้างหน้าล้างตาซะเดี๋ยวพี่เก็บของให้"

   "ครับพี่รัช"

   รุจรวีตอบรับก่อนจะรีบหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการล้างหน้าล้างตาก่อนที่พีรัชจะหันมาสั่งเด็กในสังกัดอีกคน

   "ส่วนทิตไปเก็บของเท่าที่จำเป็นมาให้เร็วที่สุดเข้าใจไหม"

   "ครับผม!"

   เวทิตรับคำก่อนที่จะรีบเดินเข้าห้องของตัวเองปล่อยให้พีรัชเก็บทั้งของตนเองและของรุจรวีอย่างรีบร้อน

   ตึก! ครืดดดดด!!!

   แรงสั่นสะเทือนของรถไฟทั้งคันรถเสียหลักหลุดรางไถลเข้าไปในดงป่า เวทิตรีบเดินออกมาจากห้องพร้อมกระเป๋าเดินทางสะพายหลังหนึ่งใบต่างจากรุจรวีที่ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มากมาหนึ่งใบ ทำให้เวทิตอดที่จะแขวะอีกฝ่ายไม่ได้

   "เอากระเป๋าใบใหญ่ไปทำไมเนี่ย! ซื่อบื้อเอ้ย!"

   "อะไรล่ะ!"

   "รุจ! ทิ้งกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่นี่พี่เก็บของให้แล้ว"

   พีรัชชูกระเป๋าสะพายใบเล็กให้ดูพร้อมกับจับมือบางลากมาตรงประตูทางออกแต่รุจรวีกลับยื้อเอาไว้

  "ผมลืมของไว้ในกระเป๋าใหญ่"

   ครึก! ครูดดดดด!!!

   "ไม่ทันแล้ว! พวกนายสองคนโดดไปก่อน"

   เมื่อเห็นเมื่อรถไฟเริ่มเอียงไปด้านหลังพีรัชจึงฉุดลากรุจรวีไปตรงประตูรถไฟแล้วผลักให้กระโดดลงไปก่อนตามด้วยเวทิต พอเห็นว่าทั้งสองกระโดดไปแล้วพีรัชจึงกระโดดตามลงไปทันเวลากับรถไฟที่ระเบิดเพียงเสี้ยววินาที

   บึ้มมมมมม!

   พอคิดได้ดังนั้นจึงแอบลอบมองรุจรวีที่เอนหัวมาซบตรงไหล่ของตนเองพอดีอย่างรำคาญใจ

   ...อย่าพึ่งมาตายในที่แบบนี้ก็แล้วกัน...




   ขณะเดียวกันนั้นตรงด้านหลังถัดไปไม่ไกลนักรวิสราที่รอดมาจากการระเบิดของรถไฟกำลังนั่งพับเพียบบนพื้นอย่างหมดแรงพร้อมทั้งร้องไห้อยู่ข้างซากรถไฟที่กำลังลุกไหม้อย่างหนัก

   "ฮึกฮืออ~ คุณพ่อ...คุณพ่ออยู่ไหน ฮึกฮืออ"

   "..."

   กิตติธัชคือคนที่ช่วยอีกฝ่ายจากการระเบิดของรถไฟนั้นยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังพร้อมจองมองภาพเพลิงไหม้ตรงหน้าด้วยสายตาที่หงุดหงิด

   "กิตคะ ช่วยคุณพ่อด้วย...ฮึก! ฮือออ~"

   รวิสราหันมาอ้อนวอนกิตติธัชที่ไม่ยอมมองมาที่ตนเองเลยซักนิดเดียวทำให้ต้องเอาหน้าไปซบกับพื้นด้วยความหมดหวัง

   "ฮึก! คุณพ่อ~ ฮือออ"

   รวิสราร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจแต่กิตติธัชกลับยืนกอดอกทำหน้านิ่งไม่คิดจะปลอบคนที่นั่งร้องไห้เลยแม้แต่นิดเดียว
ก่อนที่สายตาคมจะสบตากับพลทัพที่มองมาพอดีทำให้สายตาทั้งสองคนแปรเปลี่ยนไป...เต็มไปด้วยความเคียดแค้น



   "หมดเวลาเศร้าแล้ว พวกเราต้องรวมตัวกันไว้แล้วรอหน่วยช่วยเหลือมาตามหาอีกที"

   กิตติธัชพูดขึ้นมาหลังจากที่นั่งรอมาซักพักแต่ไม่มีผู้รอดชีวิตที่เหลือเดินมาอีก พีรัชที่นั่งอยู่บนพื้นถามขึ้นก่อนจะคอยปัดยุงให้รุจรวีที่ยังไม่ฟื้น

   "แล้วพวกเราจะพักกันตรงนี้หรอ"

   "ไม่! ตรงนี้อันตรายเกินไป"

   กิตติธัชตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้พลทัพพูดแทรกขึ้นมาอย่างเยอะเย้ย

   "พวกอวดรู้"

   "นาย!"

   กิตติธัชตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อพลทัพให้ลุกขึ้นมายืนจ้องหน้ากันอย่างหาเรื่องแต่รวิสรากลับเกาะแขนห้ามเอาไว้

   "อย่านะคะ"

   "ไม่ต้องมาจับ"

   กิตติธัชสะบัดมือของรวิสราทิ้งแล้วกระแทกไหล่พลทัพอย่างแรง ก่อนที่กำลังตั้งท่าจะเดินออกไปจากตรงนั้นแต่ต้นหลิวขัดขึ้นมาซะก่อน

   "แล้วไม่รอผู้รอดชีวิตคนอื่นแล้วหรอ"

   "ไม่"

   กิตติธัชตอบคำเดียวแล้วเดินนำทุกคนเข้าไปในป่าอย่างไม่สนใจว่าใครจะเดินตามทันรึเปล่า ซึ่งทุกคนนั้นคว้าข้าวของส่วนตัวแล้วรีบเดินตามไปทำให้ต้นหลิวยกมือขึ้นกอดอกอย่างไม่ค่อยชอบใจ

   "จะรีบร้อนเดินไปไหนเนี่ย รออีกซักพักหนึ่งก็ไม่ได้"

   "พรุ่งนี้เช้าค่อยออกมาตามหาเถอะนะ"

   วรภพพูดขึ้นมาพร้อมเอื้อมมือมาจับตรงหัวไหล่อย่างให้กำลังใจทว่าต้นหลิวยังลังเลไม่หาย

   "แต่..."

   "เชื่อผมซิ"

   วรภพจ้องตาอีกฝ่ายอย่างมุ่งมั่นทำให้คนมองนั้นถอนหายใจอย่างจำยอม

   "ก็ได้"

   วรภพยิ้มกว้างที่เกลี้ยกล่อมจนต้นหลิวยอมตอบตกลงและเดินตามหลังคนอื่นไปอย่างหมดแรง ยกเว้นพีรัชที่นั่งนิ่งไม่ขยับทำให้เวทิตมองผู้จัดการตัวเองอย่างสงสัย

   "จะนอนที่นี่หรอพี่รัช"

   "ขยับไม่ได้"

   พีรัชทำหน้าตาเหยเกก่อนจะยกมือป้องปากกระซิบอย่างแผ่วเบา

   "ขาชา"

   "ฮึกฮะฮะฮะ"

   เวทิตหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะเข้ามาช่วยแบกร่างของรุจรวีขึ้นหลังแล้วให้ผู้จัดการเดินไปก่อนส่วนตนเองเดินตามหลังเป็นคนสุดท้าย




******************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 3 [UP 19/01/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: Aphrodite ที่ 19-01-2019 19:51:01
ว้าวนานๆทีจะมีแนวสืบสวนสอบสวนมาใหอ่าน  ขอบคุณมากๆนะคะที่แต่งให้เราได้อ่านกัน :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 4 [UP 20/01/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 20-01-2019 23:26:17
สืบครั้งที่ 4



   ทั้งหมดเดินเข้ามาหลบอยู่ในป่าซึ่งระยะทางไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก เมื่อเจอพื้นที่ที่เหมาะสม กิตติธัชจึงหยุดเดินพร้อมทั้งหากิ่งไม้มาหนึ่งกองแล้วจุดไฟเพื่อป้องกันสัตว์ป่าเสร็จก็หันมาออกคำสั่งกับคนที่เหลือ

   "คืนนี้พวกเราจะนอนกันที่นี่ตรงนี้ ซึ่งพวกนายจะหาที่นอนกันตรงไหนก็นอน ยกเว้นรวิสราที่ต้องไปนอนตรงนู้น"

   "ทำไมล่ะตรงนั้นน่ากลัวจะตาย"

   กันต์กวินขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจทำไมต้องให้ผู้หญิงไปนอนตรงที่มืดตรงนู้นคนเดียวด้วยแต่รวิสรากลับส่ายหน้าห้ามปรามแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน

   "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่กลัวความมืดหรอกค่ะ"

   "แน่นะครับ"

   กันต์กวินถามกลับเพื่อความแน่ใจซึ่งรวิสราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิมทำให้ทุกคนต่างถอนหายใจแล้วแยกย้ายกันหาที่นอนพักผ่อน ซึ่งตอนนั้นเองเวทิตเดินแบกรุจรวีมาถึงพอดีจึงวางลงข้างผู้จัดการตนเองอย่างแรง

   ตุ๊บ!

  "เบาหน่อยซิทิต!"

   พีรัชดุเสียงดังอย่างไม่ชอบใจแต่เวทิตไม่สนแถมหันไปมองรอบตัวด้วยสีหน้าและแววตาที่รังเกียจปนไปด้วยความขัดใจ

  "พี่จะให้ผมนอนตรงนี้เนี่ยนะ"

   "อือ"

   พีรัชตอบรับพร้อมกับเอากระเป๋าตนเองมารองศีรษะของรุจรวีเอาไว้เพื่อหวังจะให้อีกฝ่ายได้นอนสบายขึ้น

   "ไม่มีเตียงก็ไม่เป็นไร แต่มีผ้าห่มซักผืนก็ยังดี"

   "แล้วนายเห็นพวกเรามีของแบบนั้นในเวลานี้ไหม"

   กิตติธัชขัดขึ้นมาพร้อมกับจ้องเวทิตอย่างข่มขู่จนอีกฝ่ายเริ่มกลัวแต่ยังพยายามจะคัดค้านอยู่ดี

   "แต่..."

   "เลือกเอาจะนอนหรือจะเฝ้าเวรยาม"

   กิตติธัชถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังทำให้คนที่กำลังจะเถียงนั้นชะงักไปเล็กน้อย

   "นอน!"

   เวทิตตอบอย่างรวดเร็วก่อนจะนั่งลงตรงอีกด้านของรุจรวีที่ยังว่างอยู่อย่างหงุดหงิด ซึ่งบรรยากาศแสนอึมครึมนั้นทำให้กันต์กวินที่ไม่ชอบอยู่นิ่งอดที่จะพูดออกมาทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดแบบนี้

   "อะแฮ่ม! เราไม่คิดจะแนะนำตัวกันหรอครับ น่าจะอยู่ด้วยกันซักพักน่าจะรู้ชื่อกันนะ"

   "นั่นซิครับ"

   รณกรเห็นด้วยซึ่งดูเหมือนทุกคนก็หันมามองด้วยความสนใจทำให้กันต์กวินฉีกยิ้มกว้างพร้อมเอื้อมมือไปหยิบกิ่งไม้มาถือไว้แทนไมค์ที่พังไปแล้ว

   "ผมชื่อ กันต์กวิน อายุ 25 ปี ปัจจุบันพึ่งได้บรรจุเป็นนักข่าวมือใหม่ของสำนักข่าวชื่อดังแห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในช่วงทดลองงานครับและครั้งนี้เป็นงานแรกของผมคือการลงพื้นที่ทำข่าวกับขบวนรถไฟเที่ยวนี้ครับ นั่งอยู่ตู้ห้าครับ"

   "ผมชื่อ รณกร อายุ 25 ปีครับ ผมชอบการถ่ายภาพจึงสมัครเป็นตากล้องพึ่งออกงานภาคสนามด้วยกันครั้งแรกและเป็นผู้ช่วยของกันต์ครับ นั่งตู้ห้าครับ"

   รณกรยิ้มแป้นออกมาอย่างภาคภูมิใจที่ได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ก่อนจะส่งกิ่งไม้ให้พีรัชที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือซึ่งอีกฝ่ายรับมาถือไว้ด้วยรอยยิ้ม

   "ผมชื่อ พีรัช อายุ 32 ปี ปัจจุบันเป็นผู้จัดการนายแบบทั้งสองคนนี้ครับ พวกเรานั่งตู้สองครับ"

   พีรัชหยุดพูดเอื้อมมือไปปัดยุงให้รุจรวีอยางอ่อนโยนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแนะนำต่อด้วยรอยยิ้ม

   "ส่วนคนนี้นายแบบในการดูแลของผมเองครับชื่อ รุจรวี อายุ 26 ปี นายแบบหนุ่มน้อยหน้าหวานที่มีมีฐานแฟนคลับเยอะมากแต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอครับ เจออะไรที่ตื่นเต้นมากก็จะช็อกแบบนี้ล่ะแต่ไม่เป็นอะไรมากไม่ต้องเป็นห่วง"

   "ไม่แนะนำผมด้วยล่ะ"

   เวทิตเชิดหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจทำให้พีรัชเหยียดยิ้มออกมาอย่างหมั่นไส้

   "ได้ครับคุนชาย~ คนนี้คือ เวทิต อายุ 27 ปี นายแบบหนุ่มหน้าหล่อที่มีแฟนคลับตามขอรายเซ็นตลอดเวลาแต่อยู่ในช่วงขาลงไม่ค่อยมีงานเท่าไหร่"

   "พี่รัช!"

   เวทิตขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายอย่างขัดใจก่อนที่จะส่งกิ่งไม้ให้วรภพที่รับไปถืออย่างสุภาพ

   "ผมชื่อ วรภพ ครับ อายุ 26 ปี พึ่งเรียนจบหมอมาครับเลยอยากไปประจำที่โรงบาลทางภาคเหนือ เพื่อช่วยเหลือคนที่เจ็บไข้บนภูเขาครับ นั่งอยู่ตู้สี่ครับ"

   "ผมชื่อ ต้นหลิว อายุ 24 ปีครับ ปัจจุบันทำงานเป็นนักสืบแต่ยังมือใหม่อยู่จึงยังไม่เคยได้สืบเลยซักครั้ง ชอบอ่านนิยายแนวอาชญากรรม พึ่งหยุดงานพาคู่หมั้นมาเที่ยวรถไฟก่อนที่จะแต่งงานกันเดือนหน้าแต่คู่หมั้นดันหายตัวไป นั่งอยู่ตู้สามครับ"

   ต้นหลิวสะอื้นเล็กน้อยและเช็ดน้ำตาตนเองก่อนจะยื่นกิ่งไม้ให้กับรวิสราซึ่งอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาลูบหลังเป็นการปลอบใจ

   "ไม่เป็นอะไรนะคะ"

   "เธอพูดคนสุดท้าย"

   กิตติธัชออกคำสั่งด้วยสีหน้าบึ้งตึงทำให้รวิสราพยักหน้ารับพร้อมส่งกิ่งไม้ให้แต่อีกฝ่ายกลับเมิยเฉยไม่สนใจ

   "ฉัน กิตติธัช อายุ 28 ปัจจุบันเป็นตำรวจอาชญากรรมของสถานีตำรวจหลวงนั่งตู้สี่"

   "ตานายแล้ว...อ่ะ!"

   กันต์กวินหยิบกิ่งไม้กิ่งใหม่ให้กับพลทัพซึ่งทำท่าทางไม่สนใจจึงจัดการยัดไม้ใส่มือทันทีทำให้อีกฝ่ายหันมาถลึงตาใส่

   "พลทัพ อายุ 28 ว่างงานไม่ได้ทำอะไร นั่งตู้ห้า"

   "ไม่บอกไปด้วยล่ะว่าเมื่อก่อนเคยทำงานอะไร"

   กิตติธัชจงใจขัดขึ้นเสียงดังด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยทำให้พลทัพหันไปมองตาขวาง

   "ไม่จำเป็น"

   "งั้นฉันบอกให้ฟังก็ได้..."

   กิตติธัชทำเมินเฉยพร้อมทั้งกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยมากกว่าเดิม 

   "หมอนี่เมื่อก่อนเคยอดีตตำรวจหน่วยอาชญากรรมแต่ถูกปลดเพราะความใจร้อนจนเสียงานหลายครั้ง"

   "นายเองก็ดีแต่เอาหน้าเอาผลงานคนอื่น"

   พลทัพกระแทกเสียงใส่อย่างอารมณ์เสียทำให้กิตติธัชตั้งท่าจะกระโจนใส่แต่รวิสรากลับห้ามเอาไว้

   "อย่าทะเลาะกันซิคะ"

   "แล้วคุณล่ะชื่ออะไรดูสนิทกับกิตจัง"

   กันต์กวินถามอย่างอยากรู้อยากเห็นตามสัญชาตญาณนักข่าวจนรณกรต้องสะกิดเตือนแต่รวิสรากลับยิ้มหวานมาให้เหมือนเดิม

   "ฉันชื่อ วริสรา ค่ะ อายุ 26 ปี ตอนนี้เปิดร้านขายเสื้อไหมพรมอยู่ค่ะ นั่งอยู่ตู้หนึ่งค่ะ เป็นลูกสาวของรติกรนักธุรกิจพวกคุณคงได้ยินชื่อกันนะคะ"

   "เคยครับ! เป็นนักธุรกิจที่ใจบุญมากที่สุดและเป็นที่จับตามองในวงการนักข่าวเลยครับ"

   กันต์กวินแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มซึ่งรวิสราเองก็ยิ้มกลับเช่นกัน

   "แล้วเป็นอะไรกับคุณกิตติธัชครับ"

   "เอ่อ..."

   รวิสราทำหน้าตาลำบากใจก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

   "เป็น...คู่หมั้นคู่หมายกันค่ะ"

   "โอ้โห~"

   กันต์กวินร้องออกมาอย่างตื่นเต้นแต่ทว่าระหว่าที่จะถามอะไรเพิ่มเติมก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมา

   "เลิกคุยแล้วไปนอนกันได้แล้วคืนนี้ฉันจะอยู่เฝ้าเวรยามเอง"

   กิตติธัชขัดขึ้นมาก่อนที่กันต์กวินจะทำเสียงล้อเลียนไปมากกว่านี้ทุกคนต่างแยกย้ายไปนอนที่ของตนเอง ซึ่งแม้จะไม่ได้สบายมากแต่ความเหนื่อยล้าที่เจอมาในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นทำให้ทุกคนต่างนอนหลับกันอย่างรวดเร็ว




   วันต่อมาต้นหลิวและวรภพนั้นออกมาเดินตามหาคู่หมั้นตั้งแต่เช้ามืด ทว่าพบเพียงซากรถไฟที่ไหม้เกรียมมองไปทางไหนก็เห็นแต่ตะกอนสีดำเต็มไปหมด ซึ่งพอเห็นแบบนั้นทำให้หลิวจื้อหงท้อใจนิดหน่อยแต่ยังไม่ยอมแพ้

   "เวย์..."

   "อย่าขึ้นไปปีนขึ้นไปบนนั้นซิครับ"

   วรภพเตือนเพราะเห็นต้นหลิวกำลังจะปีนตู้รถไฟที่พลิกคว้ำซึ่งอีกฝ่ายหันหน้ามาทำท่าทางจะแย้ง

   "แต่..."

   "ไปหาตรงนู้นไหม"

   วรภพชี้ไปอีกด้านหนึ่งซึ่งต้นหลิวพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินไปตามซากรถไฟที่บางช่วงยังมีไฟติดอยู่ซึ่งไหม้ยังไม่หมดแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของคู่หมั้นตนเอง

   "เวย์...ได้ยินแล้วตอบผมหน่อยเวย์"

   "ช่วย...ช่วยด้วย"

   มีเสียงแผ่วเบาร้องมาจากด้านหลังตู้รถไฟนั้นทำให้ต้นหลิวและวรภพรีบวิ่งไปดูพบกับร่างของใครคนหนึ่งนอนหอบคว้ำหน้าอยู่กับพื้น

   "ช่วย...ด้วย"

   "เวย์!"

   ต้นหลิวเข้าไปประคองตัวคนบาดเจ็บให้หงายขึนมานอนบนตักของตนเองแต่ต้องทำหน้าเจือนลงเมื่อคนที่รอดชีวิตนี้ไม่ใช่คู่หมั้นของตนเองทว่ากลับเป็นเจ้าของใบหน้าสวยจัดจ้านก็คุ้นตาไม่เคยลืม

   "ไวซ์"

   "ต...ต้นหลิวหรอ"

   วณิชชาลืมตาขึ้นมามองก่อนจะร้องไห้แล้วโผเข้ากอดอีกฝ่ายไว้แน่น

   "ฮึก!...ต้นหลิว~"

   "บาดเจ็บไม่มากยังพอขยับตัวได้" วรภพพูดขึ้นหลังจากมองดูบาดแผลตามเนื้อตัวของอีกฝ่าย "พาไปที่พักก่อนเถอะ"

   "อื้ม"

   ต้นหลิวตอบรับก่อนจะประคองวณิชชาที่บาดเจ็บเดินกลับไปยังที่พักอย่างระมัดระวังเพื่อวรภพจะได้ทำแผลได้สะดวก




   ส่วนกันต์กวินนั้นรึบตื่นแต่เช้าเดินมาตรงแถวซากรถไฟซึ่งยังมีไฟลุกโชนยังไม่ยอมดับก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กล้องโดยที่ในมือกำลังเอากิ่งไม้มาถือแทนไมล์และให้รณกรที่เป็นตากล้องคอยอัดวีดีโอเอาไว้

   "เปิดกล้องแน่แล้วนะกร"

   "แน่นอน...แต่กันต์จะถ่ายไปทำไมล่ะ"

   รณกรเช็คกล้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจก่อนจะโดนกันต์กวินผลักหน้าผากอย่างหมั่นไส้

   "ถามอะไรของนายเนี่ย! ถ่ายไว้เผื่อเอาไปให้ หัวหน้าตอนกลับไปได้ไง"

   "อ๋อ"

   รณกรพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะยกกล้องขี้นมาถ่ายวีดีโอให้คนน่ารักอย่างตั้งอกตั้งใจ

   "เริ่มถ่ายได้แล้ว"

   กันต์กวินยิ้มหวานให้กล้องซึ่งด้านหลังเป็นบรรยากาศของซากรถไฟที่พลิกคว้ำ

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่คุณผู้ชมได้รับชมอยู่นี้คือซากรถไฟพาเที่ยวรุ่นใหม่ที่เริ่มเส้นทางการเดินรถไฟที่กรุงเทพ-เชีบงใหม่ ซึ่งเริ่มออกเดินทางเมื่อวานนี้เวลาห้าโมงเย็น แต่ทว่ากลับเกิดเหตุขัดข้องทางระบบทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นรถไฟทั้งขบวนพลิกคว่ำก่อนจะระเบิดอย่างรุนแรงและถูกเพลิงเผาไหม้จนเหลือแต่ซากซึ่งบางส่วนในขณะนี้ยังมีไฟติดอยู่เลยครับ หากมีอะไรคืบหน้าจะรีบรายงานให้ทราบต่อไป ผม กันต์กวิน นักข่าวฝึกหัดรายงาน"

   "คัท!" รณกรร้องขึ้นก่อนจะตรวจสอบดูผลงานที่พึ่งถ่ายไป  "ยอดเยี่ยมมากเลยกันต์!"

   "แน่นอนอยู่แล้ว"

   กันต์กวินยิ้มรับก่อนจะกอดคอโน้มให้ใบหน้าของรณกรลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน

   "นายต้องถ่ายบรรยากาศซากรถไฟพวกนี้ให้หมดเลยนะเข้าใจไหม รับรองกลับไปพวกเราจะต้องดังระเบิดแน่นอน"

   "อื้ม!"

   รณกรตอบรับพร้อมแอบลอบมองใบหน้าหวานของกันต์กวินก่อนที่จะหลบสายตาเมื่ออีกฝ่ายหันมามองพอดี ทั้งสองถ่ายทำกันถึงเกือบเที่ยงจึงคิดจะกลับไปทานข้าว

   "ถ่ายได้เยอะแล้วใช่ไหมงั้นเรากลับที่พักกันเถอะ"

   "อื้ม!"

   "ช...ด้วย"

   แต่ระหว่างนั้นเองกลับมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาจากตรงพุ่มไม้แถวชายป่าทำให้ทั้งสองคนหยุดเดินทั้นที

   "กันต์...ได้ยินเสียงอะไรไหม"

   "ช่วย...ย"

   "ได้ยิน! กรนายรีบถ่ายเอาไว้นะเข้าใจไหม"

   กันต์กวินหันมาสั่งอย่างตื่นเต้นก่อนจะเดินเข้าไปดูตรงพุ่มไม้โดยมีรณกรตามถ่าย ทั้งสองก็ได้พบกับผู้รอดชีวิตกำลังนอนหอบหายใจอย่างหมดแรงตรงศีรษะเลือดออกเยอะ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยดินเต็มไปหมด กันต์กวินลองจับตัวแล้วเรียกอย่างเป็นห่วง

   "คุณครับ...คุณได้ยินผมไหม"

   "ก...กันต์กวิน"

    เสียงแหบที่เรียกชื่อตนเองได้ถูกต้องทำให้กันต์กวินจ้องหน้ามอมแมมนั่นอีกครั้งก่อนจะตาโตด้วยความตกใจเพราะคนตรงหน้าคือกวิตาเพื่อนสมัยเด็กของตนเอง

   "วิตา! เธอคือวิตาใช่ไหม"

   "ช...ใช่"

   "ใช่จริงด้วยมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย...กรมาช่วยอุ้มเพื่อนฉันหน่อยเร็ว"

    กันต์กวินหันไปเรียกรณกรที่กำลังทำหน้างุนงงไม่เข้าใจพรางมองหน้าอย่างสงสัย

   "เพื่อนนายงั้นหรอ"

   "ใช่!...นั่งนิ่งอยู่ได้รีบมาช่วยเร็วซิ"

   กันต์กวินออกคำสั่งทำให้รณกรฝากกล้องไว้และรีบลงไปอุ้มกวิตาอย่างระมัดระวังก่อนจะพากันเดินกลับไปยังที่พัก





   ทางด้านของรวิสราตื่นแต่เช้าเพราะตั้งใจจะออกไปตามหาพ่อแต่กลับเจอกิตติธัชยืนกอดอกหน้าบึ้งตึงทำท่าทางไม่พอใจ

   "จะไปไหน"

   "ไปตามหาพ่อน่ะ ธัช...เอ่อ...กิตจะไปด้วยกันไหม"

   รวิสราสะดุดคำพูดเล็กน้อยเพราะเกือบหลุดอีกชื่อหนึ่งออกมาซะยิ่งสายตาดุดันที่มองมาของอีกฝ่ายซึ่งเดี๋ยวนี้ชอบทำตัวห่างเหิน

   "ไม่!"

   "เอ่อ..."

   ก่อนที่จะได้พูดอะไรกิตติธัชนั้นกลับเดินหนีไปล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้สนใจตนเองอีกต่อไปทำให้รวิสราทำหน้าเจื่อนลงก่อนจะตกใจเมื่อได้ยินเสียงทักมาจากด้านหลัง

   "เธอคงจะคือรวิสราลูกสาวของคุณรติกรที่พี่พีรัชบอกฉันเมื่อเช้าซินะ"

   "อ้าว! ฟื้นแล้วหรอรุจ"

   รวิสรายิ้มหวานให้ซึ่งรุจรวีพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบกลับมาอย่างน่ารักสมกับนายแบบหนุ่มน้อยหน้าหวานจนใครเห็นก็ต้องเอ็นดูแม้ตอนนี้ผมจะฟูไปหน่อยก็ตาม

   "จะออกไปข้างนอกใช่ไหม ฉันไปด้วยซิพี่พีรัชก็ออกไปทำอะไรไม่รู้ตั้งแต่เช้ามืดเหลือแต่ไอ้พี่ทิตคนแก่กวนประสาทนี่คนเดียว"

   "อ่า...ได้คะ"

   ทั้งสองจึงออกเดินทางกันโดยที่ไม่มีกิตติธัชตามมาด้วย พอมาถึงซากรถไฟรวิสราก็พยายามตามหาพ่อทว่าไม่พบร่องรอยเลยซักนิดเดียว จนกระทั่งแดดยามบ่ายเริ่มร้อนขึ้นมากทำให้รุจรวีบ่นไม่หยุด

   "ร้อนจังเลยอ่ะกลับที่พักกันเถอะ"

   "แต่...ก็ได้ค่ะ"

   รวิสราทำหน้าเสียดายและเริ่มหมดหวัง แต่ทว่าในตอนที่กำลังจะกลับนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากอีกด้านหนึ่งของรถไฟ

   "รวิ! รวิจริงด้วย...รวิสรา!~"

   "อ๊ะ! เสียงนี้มัน"

   รวิสราหันกลับไปมองพบใครบางคนที่คุ้นตาแม้เนื้อตัวจะดูมอมแมมไปหน่อยแต่จำได้ไม่เคยลืม

   "เกล! เวธกา!!!"

   รวิสราตะโกนเรียกเวธกาที่ยืนอยู่อีกฝากหนึ่งของรถไฟก่อนที่ทั้งสองคนวิ่งเข้ามากอดกันด้วยความคิดถึง

   "ดีใจจังเลยที่เธอไม่เป็นอะไรน่ะเกล"

   "ฉันเองก็ดีใจเหมือนกัน"

   "แล้วเธอเห็นพ่อฉันบ้างไหม"

   รวิสราถามพร้อมมองไปรอบกายอย่างมีความหวังโดยไม่ทันสังเกตุใบหน้าที่เศร้าลงของเพื่อนสนิท ก่อนที่จะได้ยินเสียงตะโกนของรุจรวีแทรกขึ้นมา

   "กลับกันเถอะ! แดดร้อนมากแล้ว"

   "ค่ะ...ไปกันเถอะเกล"

   รวิสราลากเวธกาให้เดินตามรุจรวีโดยไม่ได้สังเกตุเห็นสายตาจากด้านหลังที่มองมาด้วยความสงสารตลอดเวลา





   ส่วนพีรัชนั้นตื่นแต่เช้ามืดก็พบรุจรวีกำลังนั่งกินช็อกโกแลตในกระเป๋าใบเล็กของตนเองด้วยความหิวทำให้อดที่ลูบผมด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   "ฟื้นซักทีนะตัวแสบ กินแบบนี้ไม่กลัวอ้วนรึไงหือ~"

   "อยู่กลางป่าแบบนี้ผมไม่จำเป็นต้องลดหุ่นหรอก"

   รุจรวีตอบอย่างไม่สนใจพร้อมกับเคี้ยวช็อกโกแลตต่ออย่างอร่อยแต่กินเลอะตรงมุมปากทำให้พีรัชอดที่จะเอื้อมมือเช็ดปากให้อีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว

   "ปากเลอะเหมือนเด็กเลย~ แล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้าง"

   "หิว"

   "ฮะฮะ"

   คำตอบนั้นทำให้พีรัชหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะเอ่นปากชวนคนที่นั่งกินช็อกโกแลตอย่างเอ็นดู

   "ไปเดินสำรวจแถวนี้ด้วยกันไหม"

   "ไม่เอา" รุจรวีส่ายหน้าไปมาอย่างน่ารัก "ผมกินเสร็จแล้วจะนอนต่อ พี่รัชไปเถอะครับ เอ้อ! ถ้าเกิดเจอกระเป๋าสีเขียวของผมแล้วยังไม่ถูกเผาเก็บมาให้หน่อยได้ไหมครับในนั้นมีของสำคัญอยู่แต่ผมคว้าไม่ทันน่ะครับ"

   "ได้...งั้นพี่ไปก่อนนะ ถ้าเกิดเหงาก็ไปนั่งเล่นกับรวิสราได้ ห้ามดื้อล่ะ"

   พีรัชลูบผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่ลืมตามองทั้งสองคนมาตั้งแต่ต้น



   ทางด้านของพีรัชก็เดินออกมาสำรวจความเสียหายแถวซากรถไฟตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยง มองไปไม่ไกลนักเห็นกันต์กวินและรณกรกำลังรายงานข่าวกันอยู่ทำให้ไม่กล้าไปกวน ก่อนจะเดินไปแถวขบวนรถไฟที่น่าจะเป็นตู้ที่ตนเองเคยนั่งพร้อมกับมองแถวพื้นพบกับกระเป๋าสีเขียวเปื้อนคราบเขม่าควันจึงเก็บขึ้นมาเห็นชื่อที่ปักอยู่จึงยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

   "รุจต้องดีใจแน่"

   "นาย! นายน่ะไม่ได้ยินรึไง"

   เสียงตะโกนดังมากแถวรถไฟตู้แรกทำให้พีรัชลองเดินไปตามเสียงพบกับรุ้งพรายที่นั่งเจ็บขาลุกขึ้นยืนไม่ได้

   "ช่วยฉันหน่อยซิ! ฉันลุกไม่ขึ้น!"

   "คุณเจ็บตรงไหนครับ"

   พีรัชย่อตัวลงไปนั่งระดับเดียวกันก่อนจะลองจับไปตรงข้อเท้าที่บวมจนเขียวของอีกฝ่าย

   "ข้อเท้าหรอครับ"

   "โอ๊ย! เจ็บ!"

   รุ้งพรายปัดมือหนาออกอย่างแรงทำให้พีรัชขมวดคิ้วก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายจนตัวลอยซึ่งรุ้งพรายรีบเอามือคล้องคอพร้อมโวยวายเสียงดัง

   "จะทำอะไรน่ะ! ปล่อยนะ!"

   "พาไปทำแผล ที่นั่นมีผู้รอดชีวิตและหมอที่รักษาคุณได้"

   พีรัชตอบอีกฝ่ายอย่างรำคาญนิดหน่อยพอเห็นว่าไม่โวยวายแล้วพากลับไปที่พัก พอกลับไปพบกับคนอื่นที่พาผู้รอดชีวิตกลับมาโดยมีวรภพนั่งทำแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับผู้ที่บาดเจ็บแต่รวิสรายังไม่กลับมารวมถึงรุจรวีก็ไม่อยู่ที่นี่ด้วยไหนจะพลทัพ กิตติธัช และเวทิตก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยจึงหันไปถามต้นหลิวที่นั่งอยู่แถวนั้นด้วยควาเป็นห่วง

   "คุณต้นหลิวครับ เห็นรุจบ้างไหมเขาหายไปไหน"

   "ออกไปกับรวิสราน่ะครับ ส่วนสามคนนั้นออกไปหาอาหารกับหาฟืนครับ"

   ต้นหลิวตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมถือกล่องยาเดินตามวรภพมาหยุดอยู่ตรงหน้ารุ้งพรายที่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ ต้นหลิวหยิบผ้าพันแผลขึ้นมาถือคอยช่วยเป็นลูกมือให้กับวรภพที่กำลังทำแผลตรงข้อเท้าให้รุ้งพรายอย่างระมัดระวัง

   "ข้อเท้าบวมมากเลยนะครับ ถ้ามาช้ากว่านี้อาจต้องดามเท้าเลยนะครับ" วรภพพันแผลให้อีกฝ่ายอย่าเบามือ "ข้อเท้าบวมมากไปกระแทกเก้าอี้มาหรอครับ"

   วรภพถามอย่างสงสัยซึ่งรุ้งพรายกลับเชิดหน้าขึ้นอย่างถือตัว

   "จะรู้ไปทำไม เป็นหมอหรอถึงมาถามคนอื่นเขาน่ะ"

   "ครับผมเป็นหมอ"

   วรภพตอบหน้านิ่งก่อนจะปิดพลาสเตอร์ตรงผ้าพันแผลอย่างเรียบร้อย

   "เรียบร้อยแล้ว ห้ามเดินมากนะครับเดี๋ยวข้อเท้าจะบวมไปมากกว่านี้"

   "ทำไมฉันต้องเชื่อฟังด้วยล่ะ"

   รุ้งพรายลอยหน้าลอยตาไม่คิดจะขอบคุณซักคำแต่วรภพไม่สนกำลังจะเดินไปดูอาการของกวิตาอีกรอบแต่ต้องหยุดเดินเมื่อรุ้งพรายยืนขามากั้นเอาไว้ไม่ให้เดิน

   "เดี๋ยว! นายเป็นหมอไม่ใช่หรอแล้วทำไม่มียาให้ฉันกินล่ะ แต่ฉันไม่เอาพารานะระดับฉันต้องยานอกเท่านั้น"

   "ที่นี่คือป่า ผมไม่มียาพร้อมอะไรขนาดนั้นมีแต่พาราที่คุณไม่ทานน่ะครับ ผมขอตัวไปดูคนอื่นก่อน"

   คำตอบของวรภพทำให้รุ้งพรายหงุดหงิดโวนวายออกมาเสียงดังลั่นด้วยความขัดใจ

   "อะไรกันน่ะ กลับมานี่นะ!!!!!"

   "คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ"

   วรภพเดินไปดูอาการของกวิตาที่ดูจะหนักมากที่สุดแต่ยังดีที่มีกันต์กวินและรณกรดูแลอยู่ไม่ห่าง

   "ปวดหัวค่ะ"

   "ผมมีแต่ยาพาราที่พอจะลดอาการปวด แต่คุณทานได้ใช่ไหมครับ"

   วรภพถามกึ่งประชดคนที่นั่งมองตาเขียวมาให้ทำให้ต้นหลิว กันต์กวิน และรณกรแอบหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ส่วนกวิตาพยักหน้าอย่างอ่อนแรง

   "ทานได้ค่ะ"

   "คุณต้นหลิวช่วยหยิบยาพาราในกระเป๋าให้คนไข้ทานทีครับ"

   "ครับ~"

   ต้นหลิวหยิบยาพารามายื่นให้กวิตาที่รับมาทานทันที วรภพยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูเหมือนที่หมอทุกคนยิ้มให้คนไข้

   "ถ้างั้นพักผ่อนก่อนนะครับ จะได้หายป่วย"

   "ขอบคุณค่ะ"

   กวิตาพยักหน้ารับแล้วล้มตัวลงนอนเพื่อจะพักผ่อน ซึ่งต้นหลิวกำลังเก็บยาลงในกระเป๋าก็ได้ยินเสียงหวานที่คุ้นเคยเรียกมาจากอีกด้านหนึ่ง

   "ต้นหลิวคะ~"

   ต้นหลิวแอบถอนหายใจแต่ยอมเดินกลับไปหาวณิชชาที่กำลังส่งยิ้มมาให้อย่างยั่วยวนและเอาใจ 

   "ต้นหลิวคะ~ ไวซ์คิด..."

   "หายเจ็บรึยัง"

   ต้นหลิวขัดขึ้นมาทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบทำให้วณิชชาชะงักไปเล็กน้อย

   "ต้นหลิวคะ..."

   "ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อนนะ"

   ต้นหลิวทำเป็นเมินเฉยพร้อมเดินหนีไปนั่งข้างวรภพทำให้วณิชชากำมือแน่นด้วยความแค้นใจ




******************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 5 [UP 21/01/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 21-01-2019 23:36:16
ตอนที่ 5





   "กลับมาแล้วหรอรุจ"

   พีรัชที่กำลังนั่งดื่มน้ำอยู่นั้นยิ้มออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นรุจรวีเดินทำหน้าบูดบึ้งเข้ามาเป็นคนแรกโดยมีรวิสราเดินมาพร้อมกับเวธกาซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตอีกคน ทำให้วรภพและต้นหลิวรีบเดินเข้าไปดูอาการทันที ส่วนรุจรวีรีบไปนั่งข้างผู้จัดการส่วนตัวแล้วแย่งน้ำมาดื่มด้วยความกระหายจนพีรัชต้องคอยปราม

   "ดื่มระวังหน่อยซิ เดี๋ยวก็สำลักน้ำหรอก"

   "ผมร้อนนี่หน่า"

   รุจรวีเริ่มงอแงเมื่ออยู่กับผู้จัดการตัวเองเพียงสองคน

   "แถมเหนื่อยมากด้วย!"

   "แล้วทำไมถึงไม่รอที่นี่ล่ะ"

   พีรัชถามรุจรวีที่เริ่มงอแงด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะประคองหัวอีกฝ่ายซบบนไหล่หนาของตนซึ่งรุจรวีไม่ได้ขัดขืนอะไรแถมทำท่าทางออดอ้อนอีกต่างหากจนอดที่จะลูบผมอย่างเอ็นดูไม่ได้

   "ผมเบื่อนี่หน่า...พี่ก็รู้ว่าผมไม่อยากอยู่กับนายนั่นน่ะ"

   "ทำอย่างกับฉันอยากอยู่กับนายมากอย่างนั้นแหละ"

    เสียงหาเรื่องดังขึ้นมาจากด้านหลังพอหันไปก็พบกับกิตติธัชและเวทิตที่ออกไปหาฟืนนั้นกลับมาพอดีรวมถึงพลทัพที่ออกไปหาอาหารด้วย ซึ่งสภาพมอมแมมของเวทิตนั้นทำให้หลูถิงซิงอดที่จะหัวเราะเยาะไม่ได้

   "เหอะ! อยากจะให้แฟนคลับมาเห็นสภาพนายตอนแบกฟืนจังเลยนะ"

   "นายลองมาทำบ้างไหม"

   เวทิตหันมามองอย่างหาเรื่องขณะที่กำลังดื่มน้ำด้วยความกระหายแต่รุจรวีกลับเหยียดยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาอวดเล็บที่ยังเงางามของตนเอง

   "ไม่ทำหรอก เดี๋ยวเล็บฉันจะเสียหมด"

   "ถ้าไม่ทำก็นั่งเงียบไปซะซิ จะกินไหมข้าวน่ะ"

   เวทิตหันกลับมาโยนกองฟืนเข้าไปรวมกันอีกกองเพื่อให้กิตติธัชก่อไฟจะได้ปิ้งปลาที่พลทัพหามาได้ทันพอที่จะทำอาหารมื้อบ่ายกับเย็นพอดี ซึ่งตอนแรกเวทิตจะทำเป็นไม่สนใจแล้วแต่รุจรวีกลับกวนประสาทไม่เลิก

   "ถ้าฉันไม่เงียบแล้วจะทำไมนายแบบตกอับ"

   "รุจรวี!!!"

   เวทิตเดินเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างแล้วบีบอย่างแรงทำให้รุจรวีโวยวายรีบหันไปฟ้องผู้จัดการส่วนตัวที่นั่งอยู่ข้างตนเอง

   "โอ๊ยเจ็บนะ! พี่รัชช่วยผมด้วยซิ ไอ้พี่ทิตอาละวาดใหญ่แล้วจะเป็นบ้ารึเปล่าก็ไม่รู้อ่ะ!"

   "ทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันเลยน่ะ"

   พีรัชห้ามปรามพร้อมจับทั้งสองคนแยกออกจากกันเมื่อเห็นแววที่จะเริ่มทะเลาะรุนแรงมากขึ้น รุจรวีพอหลุดมาได้ก็หันมากอดแขนพีรัชและฟ้องเหมือนเด็กทันที

   "ก็พี่รัชดูซิ พี่ทิตนั่นแหละกวนประสาทผมก่อนน่ะ"

   "นายนั่นแหละมาว่าฉันทำไม"

   เวทิตเถียงกลับทำให้พีรัขถอนหายใจออกมาเสียงดังลั่นแล้วเริ่มดุคนที่เด็กกว่าอย่างเหนื่อยใจ

   "แล้วนายเองไปกวนประสาทเขาก่อนทำไมล่ะรุจ"

   "ไม่ได้กวนประสาทอะไรซะหน่อย~ อยากรับเองทำไมล่ะ"

   รุจรวีตอบลอยหน้าลอยตายิ่งทำให้เวทิตที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้านั้นเริ่มโมโห

   "รุจ!!!"

   "ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกันเลยนะ!"

   พีรัชกุมขมับอย่างลำบากใจเมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ยอมเชื่อฟังตนเองทำให้รุจรวีและเวทิตสะบัดหน้าหนีกันไปทางอื่นอย่างขัดใจ   ส่วนกิตติธัชยืนกอดอกจ้องมองผู้รอดชีวิตทีวรภพกำลังนั่งทำแผลให้แต่ละคนด้วยสายตาที่จับผิด

   "พวกนี้คือใครกัน"

   "คนที่รอดชีวิตจากรถไฟระเบิดเมื่อคืนครับ"

   ต้นหลิวตอบคำถามของคนหน้าบึ้งก่อนจะยื่นกรรไกรให้คุณหมอตัดผ้าพันแผลให้เวธกาเสร็จพอดีซึ่งพอได้รับคำตอบแบบนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรมาอีกเลย ทำให้กันต์กวินอึดอัดพอเห็นว่าทำแผลกันเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มหวานพร้อมกับแนะนำตัวด้วยท่าทางร่าเริงเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึม

   "เอาล่ะครับเรามาแนะนำตัวกันดีกว่า ผมชื่อ กันต์กวิน เป็นนักข่าวและนี่เพื่อนของรณกรเป็นช่างภาพ กลุ่มนั้นคือคุณพีรัชผู้จัดการของเวทิตและรุจรวีที่เป็นนายแบบครับ ส่วนคุณคนนั้นคือรวิสราคู่หมั้นของคุณกิตติธัชซึ่งเป็นตำรวจหน่วยอาชญากรรม ส่วนสองคนที่ทำแผลให้พวกคุณคือวรภพคุณหมอจบใหม่และต้นหลิวเป็นนักสืบครับ และคนที่กำลังเอาปลาเสียบไม้อยู่นั้นคือพลทัพ...ว่างงานไม่ได้ทำอะไรครับ~ งั้นมาทำความรู้จักกันเถอะเริ่มจากเธอเลยวิตา"

   กันต์กวินยื่นไม้ไปให้กวิตาที่ตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความประหม่า

   "เอ่อเออ...ฉันชื่อ กวิตา อายุ 25 ปี มาทำงานในเมืองกำลังจะกลับบ้านที่เชียงใหม่ค่ะเป็นเพื่อนกับกันต์กวินตอนเด็กค่ะ นั่งรถไฟตู้สี่ค่ะ"

   พูดเสร็จก็ส่งกิ่งไม้ให้เวธกาที่เอื้อมมือมารับพร้อมยิ้มกว้างให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร

   "ฉันชื่อ เวธกา อายุ 26 ปี เพื่อนสนิทของเฟยหรงและเป็นหุ้นส่วนร้านไหมพรม นั่งรถไฟตู้แรกค่ะ"

   "ฉัน รุ้งพราย อายุ 27 เจ้าของร้านเพชรและเป็นทายาทวรนพนักธุรกิจที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศครอบคลุมธุรกิจทางด้านการค้าการส่งออกทั้งหมด ระดับฉันนั่งรถไฟชั้นวีไอพีเฟิร์สคลาสเท่านั้น"

   รุ้งพรายเชิดหน้าแนะนำตัวเองอย่างถือดีซึ่งวณิชชาเองเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีไม่แพ้กัน

   "ฉันชื่อ วณิชชา อายุ 25 ปี พึ่งเรียนจบและกำลังทำงานเป็นนางแบบนิตยาสารชื่อดังจากต่างประเทศ"

   "อ๋อ! คนที่จะถ่ายแบบคู่กับนายเดือนหน้าไง"

   พีรัชเพิ่งนึกออกส่วนรุจรวีกลับเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับปรายตาไปมองแล้วตอบกลับอย่างปากร้าย

   "ฉันไม่สนใจถ่ายแบบกับมือสมัครเล่นที่มาจากต่างประเทศหรอกนะ อีกอย่างเธอก็ไม่เห็นจะสวยสมความร่ำรือที่บริษัทเป่าหูทั้งเช้าทั้งเย็น พอมาเห็นตัวจริงแล้วแก่มากเลยถามจริงเถอะพึ่งอายุยี่สิบห้าแน่หรอ"

   "นาย!"

   วณิชชาร้องขึ้นมาอย่างขัดใจซึ่งคำถามนั้นทำให้กันต์กวินและต้นหลิวหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

   "ต้นหลิวหัวเราะไวซ์หรอคะ!"

   "ทั้งสองคนรู้จักกันหรอครับ"

   สัญชาตญาณนักข่าวเริ่มเข้าสิงอีกครั้งก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีปลากระโดดมาบนตักของตัวเองทำให้ร้องโวยวายออกมาอย่างลืมตัว

   "ว๊ากก! ทำอะไรของนายเนี่ย"

   "มันคงอยากอยู่กับนายล่ะมั้ง"

   พลทัพอมยิ้มกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมาทำให้กันต์กวินฟึดฟัดก่อนจะสะบัดหน้าหันไปสนใจคำตอบของวณิชชาอีกครั้ง

   "แล้วตกลงทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนหรอครับ"

   "ฉันเป็นแฟนต้นหลิวค่ะ...ใช่ไหมคะหลิว"

   วณิชชาตอบพร้อมกอดแขนต้นหลิวอย่างออดอ้อนเหมือนกับจะอวดทุกคนก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำตอบของคนที่ตัวเองบอกว่าเป็นแฟน

   "แฟนเก่า"

   "ต้นหลิวอ่ะ!"

   "ปล่อยผมได้ละ"

   ต้นหลิวสะบัดมือทิ้งก่อนจะขยับหนีไปนั่งทีว่างด้านข้างวรภพแทนทำให้วณิชชาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจและตั้งท่าจะโวยวายแต่มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมาซะก่อน

   "เอาล่ะทำความรู้จักกันมามากพอแล้ว" กิตติธัชทำลายบรรยากาศอึมครึมก่อนจะจัดแจงหน้าที่อย่างเสร็จสรรพ  "พวกผู้หญิงทั้งหมดนอนตรงนู้น"

   "พื้นดินธรรมดานี่นะ! ฉันไม่นอนหรอก"

   รุ้งพรายโวยวายพรางมองไปรอบกายอย่างรังเกียจยิ่งได้คำตอบจากกิตติธัชแล้วแทบจะกรี๊ดลั่นกลางป่า

   "งั้นเธอคงต้องไปนอนบนต้นไม้แล้วล่ะ"

   "คิกคิก! ฮะฮะ"

   ต้นหลิว กันต์กวินรวมถึงรุจรวีพากันหัวเราะเสียงดังก่อนที่รุ้งพรายโมโหใส่ด้วยความหงุดหงิด

   "นี่พวกนายหัวเราะอะไรกันน่ะไม่มีมารยาทรึไง"

   "ในป่าอย่างนี้ไม่จำเป็นที่ต้องมีมารยาทตลอดเวลาหรอก"

   รุจรวีเหยียดยิ้มก่อนที่กันต์กวินจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาที่ทำให้รุ้งพรายมองด้วยความสนใจ

   "ถ้าคุณรุ้งพรายนอนที่นี่ไม่ได้งั้นเรามีที่นอนแบบนวีไอพีเฟิร์สคลาสด้วยนะครับ"

   "จริงหรอ!" รุ้งพรายต้องถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น "ที่ไหนล่ะ"

   "ซากรถไฟไงครับ"

   "นี่นาย!"

   คำตอบของกันต์กวินทำให้รุ้งพรายแทบจะกระโจนเข้าใส่ก่อนที่จะสะดุ้งเมื่อกิตติธัขขัดจังหวะขึ้นมาอย่ารำคาญ

   "พอเลิกเถียงกันได้แล้ว...ส่วนพวกผู้ชายแบ่งเป็นพีรัช รุจรวี ไปหาอาหาร ฉันและเวทิตจะไปสำรวจแถวนี้ พลทัพ กันต์กวิน ไปหาฟืน วรภพและต้นหลิวคอยตามหาผู้บาดเจ็บรวมถึงปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ด้วย ส่วนรณกรอยู่เฝ้าผู้หญิงพวกนี้ที่นี่เข้าใจไหม"

   "ผมขอเปลี่ยนไปหาฟืนกับกันต์ได้ไหมครับ"

   รณกรยกมือขึ้นถามก่อนจะทำหน้าจ๋อยเมื่อได้ยินคำตอบ

   "ไม่อนุญาต"

   "อ่า..."

   "แต่ฉันไม่อยากอยู่กับหมอนี่"

   กันต์กวินแย้งขึ้นมาบ้างด้วยใบหน้าบึ้งตึงเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ

   "ทำตามที่ฉันสั่ง ห้ามเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น"

   "แต่..."

   กันต์กวินกำลังจะแย้งแต่พลทัพกลับพูดแทรกขนมา

   "อาหารเสร้จแล้ว"

   "ตามนั้นก็ได้...งั้นเราทานอาหารกันดีกว่า"

   กันต์กวินกลับยอมลงง่ายพร้อมทั้งรับปลาย่างมาแจกจ่ายให้แต่ละคนโดยมีพีรัชคอยช่วยแจกด้วยจนมาถึงรุ้งพรายที่รับมาพร้อมแบะปากใส่

   "มีแต่ปลาหรอ ไม่เอาอ่ะก้างมันเยอะ"

   "ก็แกะก้างออกซิครับ"

   พีรัชแนะนำก่อนที่ชะงักเมื่อรุ้งพรายจะยื่นไม้คืนมาพร้อมทำเสียงออดอ้อน

   "งั้นนายแกะให้หน่อยซิ"

   "พี่รัชครับ แกะก้างให้ผมหน่อย"

   รุจรวีตะโกนดังมาอีกฝากหนึ่งด้วยท่าทางออดอ้อนเลียนแบบรุ้งพรายจนพีรัชแอบเหยียดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

   "งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ"

   "เดี๋ยวซิ..."

   รุ้งพรายพยายามรั้งไว้แต่ไม่ทันจึงหันไปหารวิสราที่นั่งอยู่ด้านข้าง

   "รวิแกะก้างให้ฉันหน่อยซิ"

   "ได้ซิ"

   รวิสรายิ้มหวานและกำลังจะเอื้อมมือมาหยิบปลาไปแกะให้แต่ถูกเวธกาขัดซะก่อน

   "รวิ~ ช่วยดูหน่อยซินี่มันสุกรึยัง"

   "ไหนดูซิ"

   รวิสราหันไปสนใจกับปลาย่างในมือเวธกาจนรุ้งพรายเริ่มไม่พอใจ

   "นี่แล้วก้างฉันล่ะ"

   "เธอก็แกะเองซิรุ้ง"

   "อ๊าย!"

   รุ้งพรายกรี๊ดออกมาอย่างสุดแรงเมื่อได้ยินคำตอบของเวธกาทำให้รุจรวี กันต์กวิน ต้นหลิว รณกร พากันหัวเราะคิกคักกันเสียงดังลั่นพร้อมก่อกวนตลอดมื้ออาหารทำให้บรรยากาศเริ่มคึกครื้น




   ทั้งหมดตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ใบป่าตรงแถวนั้นเพื่อรอทีมช่วยเหลือ  ซึ่งเช้าวันต่อมาทุกคนต่างแยกย้ายไปทำงานตามที่กิตติธัชได้กำหนดไว้เมื่อวานแต่รวิสรากลับต้องการไปกับต้นหลิวเพื่อตามหาพ่อ

   "คุณต้นหลิว...ฉันขอตามไปด้วยได้ไหมคะ ฉันเองก็อยากจะไปตามหาคุณพ่อเหมือนกันน่ะค่ะ"

   "ได้ซิครับ"

   คำตอบนั้นทำให้รวิสรายิ้มหวานก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ทักมาจากด้านหลัง

   "จะไปไหนหรอรวิ"

   "อ๋อ~ จะไปตามหาคุณพ่อน่ะไปด้วยกันไหมเกล"

   รวิสราหันไปชวนโดยไม่ได้สังเกตุเห็นสีหน้าที่เจื่อนลงของเพื่อนสนิท

   "คุณลุงน่ะหรอ..."

   "โธ่~ รวิผู้น่าสงสาร"

   เสียงที่แกล้งทำเป็นสงสารดังขึ้นก่อนที่รุ้งพรายจะยืนกอดอกจ้องมองด้วยแววตาแพรวพราว

   "หาไปเท่าไหร่ก็หาไม่เจอหรอก"

   "ทำไมพูดแบบนี้ล่ะยัยรุ้ง"

   เวธกาพูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจซึ่งอีกฝ่ายแกล้งเมินเฉยแถมเหยียดยิ้มออกมาอย่ายิ้มเยอะเย้ย

   "ไม่เชื่อก็ลองหาดูเองซิ...หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอหรอก"

   "หมายความว่ายังไง"

   รวิสรามองเพื่อนอีกคนของตนอย่างสงสัยแต่เวธกากลับจับมือแล้วพาเดินหนี

   "ไปกันเถอะ...อย่าไปฟังอะไรไร้สาระเลย"

   "เหอะ! อยากเหนื่อยกันก็ตามใจ"

   รุ้งพรายเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีก่อนจะหันไปมองเสียงหวานที่ดังมาจากด้านหลัง

   "เธอดูสนิทกับสองคนนั้นจังเลยนะ"

   "แน่นอน คนระดับเดียวกันก็ควรคบกันไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจต่อไปนั่นแหละ ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากคบเท่าไหร่หรอกแต่ก็จำเป็นน่ะนะ"

   รุ้งพรายตอบพร้อมกับเดินมาปัดเศษใบไม้เพื่อนั่งข้างวณิชชาที่เหลือเพียงคนเดียวในตอนนี้เพราะรณกรเดินไปส่งกันต์กวินที่ต้องออกไปหาฟืนที่ชายป่ายังไม่กลับมา ซึ่งคำตอบนั้นทำให้วณิชชาเหยียดยิ้มออกมาอย่างถูกใจ

   "ตอบดูจริงใจดีจังเลยนะ"

   "คงเหมือนกันกับเธอล่ะมั้ง..." รุ้งพรายเหยียดยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์  "ใช่ไหมล่ะ"

   "นั่นซินะ"

   ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอย่างรู้ทันความคิดของอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
   




********************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 6 [UP 22/01/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 22-01-2019 23:30:51
สืบครั้งที่ 6





   ส่วนรณกรเดินไปส่งกันต์กวินที่ชายป่าด้วยความเป็นห่วงเพราะอีกฝ่ายยิ่งซุ่มซ่ามขนาดก้อนหินยังสะดุดได้

   ...รณกรน่ะนับถือเลยล่ะ~...


   "กันต์แน่ใจนะว่าจะไปหาฟืนน่ะ"

   "แล้วฉันเลือกที่จะไม่ไปได้ไหมล่ะ"

    กันต์กวินตอบกวนประสาทแต่หน้าตากลับมุ่ยลงอย่างขัดใจทำให้รณกรอดที่จะขยี้ผมคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   "ดูแลตัวเองด้วยนะ"

   "แน่นอนน่าเดี๋ยวก็ได้เจอกัน"

   กันต์กวินยิ้มหวานให้ก่อนจะหุบแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงทุ้มตะโกนมาจากด้านหน้า

   "นี่คุณนักข่าว! จะไปหาฟืนกันได้รึยังนี่มันสายมากแล้วนะ"

   "รู้แล้วน่า!"

   กันต์กวินตะโกนกลับไปทั้งที่หน้าตานั้นเริ่มบูดบึ้งด้วยความขัดใจก่อนจะหันมาโบกมือลาเพื่อนสนิท

   "ไปก่อนนะ~"

   "ระวังตัวด้วยนะ~"

   ทั้งสองเดินหายเข้าไปในป่าทิ้งให้รณกรมองตามหลังด้วยความเป็นห่วง




   กันต์กวินรับเดินตามหลังพลทัพเข้าไปในป่าไม่นานนักก็เจอต้นไม้ที่เหมาะสมสำหรับทำเป็นฟืนพอสำหรับทุกคนได้อีกหลายวัน  พลทัพลงมือตัดต้นไม้เหล่านั้นมาทำเป็นฟืนแต่แทนที่อีกฝ่ายจะมาช่วยตนเองเก็บฟืนที่ตัดแล้วกลับนั่งใต้ต้นไม้แล้วบ่นงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว

   "ร้อน! แดดร้อนจังเลย"

   "ถ้าร้อนก็หยุดบ่นซักทีซิ" พลทัพได้ฟังแบบนั้นก็เริ่มบ่นขึ้นมา "มาช่วยเก็บฟืนไปกองรวมกันเร็ว"

   "แดดแรงแบบนี้ผิวเสียหมด..."

   แต่ดูอีกฝ่ายจะทำเมินเฉยเสียงของตนเอง กันต์กวินทำหูทวนลมพร้อมกับเปิดกระเป๋าเป้ด้านหลังแล้วหยิบครีมกันแดดออกมาทาตามผิวขาวนั้น

   "ทาครีมหน่อยดีกว่า"

   "ทาครีมกลางป่านี่นะ"

   พลทัพเห็นแล้วก็อดที่จะถามไม่ได้ซึ่งกันต์กวินกลับเชิดหน้าขึ้นมองด้วยหางตา

   "ทำไมล่ะ"

   "ประสาท"

   "นี่นาย"

   กันต์กวินลุกขึ้นยืนจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจจนหาก้อนหินแถวนั้นมาปาใส่ จนพลทัพเดินเข้ามาคว้าข้อมือบางไว้ก่อนจะพูดอย่างหมดความอดทน

   "คุณนักข่าว เลิกพูดมากซักทีได้ไหมแล้วรีบมาเก็บฟืน จะได้เอาไปก่อกองไฟซะที"

   "ไม่เลิก! ไม่เก็บ! ไม่ทำ! แล้วนายจะทำไม"

   กันต์กวินส่ายหน้าไปมาอย่างกวนประสาทและสะบัดข้อมือออกแล้วยืนกอดอกอย่างเอาแต่ใจทำให้พลทัพขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ

   "ก็ไม่ทำไมแค่เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าว"

   "นี่!" กันต์กวินร้องโวยวายเสียงดังลั่น "ขู่ฉันหรอ"

   "จะทำหรือไม่ทำ"

   ทั้งสองคนจ้องหน้ากันไม่กระพริบก่อนที่กันต์กวินจะเป็นฝ่ายเชิดหน้าขึ้นแล้วตอบเสียงดังฟังชัด

   "ทำ!"

   "ก็แค่นี้"

   พลทัพเหยียดยิ้มมองกันต์กวินที่กำลังเก็บฟืนเหล่านั้นมากองรวมกันด้วยแววตาที่พราวระยับ ทั้งสองคนช่วยกันเก็บฟืนอย่างนั้นยิ่งเก็บแดดยิ่งร้อนโดยเฉพาะในช่วงบ่ายทำให้กันต์กวินยิ่งบ่นมากขึ้นไปอีก

   "โอ๊ย! แดดจะร้อนอะไรนักหนาเนี่ย"

   พอบ่นเสร็จแล้วเผลอเงยหน้าขึ้นไปมองแสงเจิดจ้า ความร้อนและความเหนื่อยล้าทำให้ดวงตาพร่ามัว ลมหายใจติดขัดก่อนจะหน้ามืดล้มลงไปกับพื้น

   ตุบ!

   "เห้ย!"

   พลทัพหันมามองเห็นกันต์กวินทิ้งตัวลงกับนอนกับพื้นด้วยความตกใจจึงรีบเข้าไปตีที่หน้าสองครั้งเพื่อเรียกสติ

   "กันต์กวิน! กันต์กวิน!"

   "งื้อ..."

   กันต์กวินส่งเสียงในลำคอกลับมาแต่ลืมตาไม่ขึ้น ใบหน้าซีดเซียวโดยเฉพาะริมฝีปากที่ปกติเป็นสีชมพูกลับซีดลงและแห้งผาก ไอออกมาเป็นระยะโดยเฉพาะร่างกายหมดแรงขยับตัวไม่ไหว ทำให้พลทัพตัดสินใจอุ้มอีกฝ่ายไปนอนใต้ต้นไม้ใหญ่

   "ลำบากฉันอีกแล้ว...กินอะไรไปมั่งเนี่ยตัวจะหนักไปไหนหะ"

   ถึงแม้จะบ่นแต่แอบมีรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะวางร่างบางนั้นลงกับพื้นโดนเอาศีรษะของอีกฝ่ายนอนหนุนตักตนเองพร้อมกับเอามือตนเองคอยพัดคอยปัดให้อย่างรำคาญ

   ...จริงหรือ?...





   ทั้งสองนั่งอยู่ตรงนั้นนานจนพลทัพเผลอหลับไปจนเวลาผ่านลวงเลยไปถึงยามเย็นกันต์กวินเริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมามองด้วยความมึนงง แรงขยับตัวเล็กน้อยทำให้พลทัพที่เผลอหลับลืมตาขึ้นมามองก่อนเสียงทุ้มแหบเพราะพึ่งตื่นเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

   "รู้สึกดีขึ้นรึยัง"

   "นาย..."

   กันต์กวินมึนงงเพราะจำได้ว่ากำลังเก็บฟืนอยู่เลยไม่ใช่หรอแล้วทำไม...

   "นายเป็นลม"

   "อ่า..."

   สติเริ่มกลับมาครบถ้วนก่อนจะรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังนอนตักอีกฝ่ายอยู่จึงรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วแต่ยังไม่หายเวียนหัวเลยโคลงเคลงเอนหัวลงไปซบลงไปบนไหล่ของพลทัพที่อยู่ด้านหลังทำให้อีกฝ่ายต้องดุพร้อมกับเอามือพัดให้ตลอดเวลา

   "ทำไมถึงต้องลุกเร็ว...แล้วเป็นลมล้มไปแบบนี้ถามจริงเหอะนายป็นโรคอะไรรึเปล่าเนี่ย"

   "โรคบ้าอะไรล่ะ!" 

   กันต์กวินเหวี่ยงใส่ก่อนจะบ่นไม่หยุด

   "แดดร้อนขนาดนี้ไม่มีพัดลมไม่มีแอร์ไม่มีที่ร่มแถมต้องทำงานกลางแดดตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายเนี่ย! นายไม่เคยเป็นลมหรอ"

   "ไม่เคย"

   พลทัพตอบก่อนจะย้ายตัวอีกฝ่ายไปพิงต้นไม้เสร็จแล้วจึงเดินไปหยิบท่อนไม้แต่ละท่อนขึ้นมารวมเป็นกองแบกขึ้นหลังและเดินกลับมาหากันต์กวินที่นั่งหอบหายใจอยู่ตรงต้นไม้

   "กลับกันได้แล้ว...นายไหวใช่ไหม"

   "ไหวน่า"

   กันต์กวินตอบกลับด้วยน้ำเสียงรำคาญแต่ต้องชะงักเมื่อมือใหญ่เอื้อมจับประคองตรงที่เอวของตนเอง

   "จับทำไม"

   "เดินไปเถอะน่ะ"

   พลทัพไม่ตอบพรางประคองอีกฝ่ายให้เดินไปตามทางซึ่งกันต์กวินเองก็ยอมเดินไปโดยไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอีกต่อไป และเอาแต่ก้มมองดูทางหลบซ่อนใบหน้าหวานที่เริ่มแดงขึ้นโดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเห็นตั้งแต่จับเอวครั้งแรกแล้ว พลทัพแอบลอบมองอีกฝ่ายที่กำลังเขินอายก็เหยียดยิ้มออกมาที่มุมปาก

   ...แบบนี้ก็น่ารักดีกว่าตอนดื้อตั้งเยอะ...





    พอทั้งสองเดินกลับไปถึงที่พักแล้วนั้นรณกรก็กระโจนมากอดกันต์กวินแน่นพร้อมโยกไปมาด้วยความเป็นห่วง

   "กันต์! หายไปไหนมาทำไมถึงนานขนาดนี้ ถ้านายยังไม่กลับมาพวกเราจะออกไปตามหายนายอยู่แล้วนะ"

   "ตื่นตูมน่ะกร"

   กันต์กวินส่ายหน้าพร้อมดันเพื่อนออกไปด้วยความอึดอัดก่อนที่กิตติธัชจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วจ้องมองทั้งสองคนอย่างจับผิด

   "พวกนายสองคนหายไปไหนมา รู้ไหมว่าเลยเวลาอาหารมานานแล้ว"

   "อยากรู้ไปทำไม"

   พลทัพตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแต่โดนกันต์กวินสะกิดที่หลังทำให้ยอมตอบไปแบบขอไปที

   "นายนี่เป็นลม"

   "กันต์เป็นลมหรอ!!!"

   รณกรทำตาโตพร้อมกับโวยวายวิ่งไปตะครุบวรภพที่ยอมเดินตามมาด้วยความมึนงงเล็กน้อยก่อนจะมาหยุดยืนตรงหน้ากันต์กวินที่มองมาด้วยความงุนงงไม่ต่างกัน

   "หมอภพช่วยดูอาการกันต์หน่อยได้ไหม"

   "ไม่เป็นอะไรซักหน่อย"

   กันต์กวินส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมตรวจแต่วรภพกลับอมยิ้มและเกลี้ยกล่อมเหมือนเด็ก

   "แต่ตรวจเอาไว้ก่อนดีกว่านะครับ"

   "แต่..."

   กันต์กวินลังเลแต่ยังไม่ทันที่จะปฏิเสธเสียงพลทัพก็ดังขัดขึ้นมา

   "นายเป็นลมล้มไปอย่างนั้นให้หมอเขาตรวจเถอะ"

   "ล้มด้วยหรอ! หมอรีบตรวจเลยครับ"

   รณกรแตกตื่นพากันต์กวินไปนั่งก่อนจะหลีกทางให้คุณหมอคนเดียวในที่นี้เข้ามาดูอาการ

   "ก่อนเป็นลมคุณกันต์รู้สึกอย่างไรบ้างครับ"

   "ร้อนครับ"

   กันต์กวินปากยื่นพร้อมทำแก้มพองลมออกมาอย่างหงุดหงิด

   "ตอนนั้นช่วงบ่ายแดดร้อนมาก พอเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนหน้าก็มืดแล้วก็ล้มลงไปเลยแต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ต้องตรวจหรอกครับ"

   "งั้นผมขอตรวจหน่อยนะครับ"

   วรภพตรวจอาการอย่างเป็นระบบทั้งอัตราความเต้นของหัวใจ อุณหภูมิร่างกาย และระบบการหายใจซึ่งกันต์กวินก็ให้ความร่วมมืออย่างดี

   "อาการเป็นโรคลมแดดครับ หรือภาษาทางการแพทย์เรียกว่า ฮีตสโตรก ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดและควรดื่มน้ำให้มากด้วยนะเข้าใจไหมครับ"

   "เข้าใจครับ ขอบคุณหมอภพมากเลยนะครับ"

   กันต์กวินยิ้มหวานทำให้พลทัพมองด้วยความไม่พอใจแล้วเดินหนีทำเป็นเอาฟืนไปก่อกองไฟเพื่อทำอาหารทั้งที่ยังหงุดหงิดไม่หาย




    ส่วนกันต์กวินพอดื่มน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็หันไปเห็นรวิสราและต้นหลิวที่เดินกลับเข้ามายังที่พักด้วยแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมองจึงอดที่จะถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ตามประสาสัญชาตญาณนักข่าว

   "วันนี้ออกไปตามหาพบร่องรอยอะไรไหมครับ"

   "ไม่เลยครับ"

   ต้นหลิวก้มหน้าลงด้วยความเศร้าเช่นเดียวกันกับรวิสราที่แม้จะยิ้มแต่ก็ดูไม่สดใสซักนิด

   "ไม่พบคุณพ่อเหมือนกันค่ะ"

   "จะตามหาไปทำไมล่ะ"

   รุ้งพรายพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับเหยียดยิ้มตรงมุมปากอย่างอย่างสะใจ

   "ในเมื่อคุณลุงตายไปแล้ว"

   "พูดอะไรของเธอน่ะ!"

   เวธกาโวยวายขึ้นมาด้วยความโกรธผิดกับรวิสราที่ดวงตานั้นเบิกกว้างออกมาอย่างตกใจ

   "ท...ทำไมเธอถึงพูดว่าคุณพ่อตายแล้วล่ะ"

   "ฉันเห็นน่ะซิ"

   รุ้งพรายลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมายังรวิสราด้วยท่าทางคุกคามพร้อมกับคำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายหัวใจหยุดเต้น

   "คุณลุงน่ะโดนฆ่าตายก่อนหน้าที่รถไฟจะเกิดอุบัติเหตุซะอีก"

   "ห๊ะ"

   ทุกคนอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจและเรื่องนี้เองที่ทำให้กันต์กวินรีบสะกิดรณกรที่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายโดยไม่ต้องสั่งอะไรเยอะ

   "ที่คุณรุ้งพูดนี่หมายความว่ายังไงครับ แล้วเป็นเรื่องจริงรึเปล่า"

   "จริงซิ! คุณลุงถูกฆ่าตายในห้องนอน เสียงมีดที่แทงลงไปนั้นดัง..."

   รุ้งพรายเดินเข้าไปใกล้รวิสราที่นั่งนิ่งทำตาโตอยู่ด้านหน้า

   "ฉึก! ฉึก! ฉึก!"

   "ค...คุณพ่อ"

   รวิสราพูดจาติดขัดเริ่มมีลมตีตื้นขึ้นมาตลอดเวลาพร้อมกับน้ำตาที่คลออยู่บนดวงตาสวยหวานคู่นั้นยิ่งทำให้รุ้งพรายเหยียดยิ้มมุมปากออกมาอย่างสะใจ

   "พ่อของเธอตายแล้ว...เลิกตามหาซักทีเถอะรวิ"

   "ฮึก! ฮึก! ม...ไม่จริง ฮึกฮือออ~"

   รวิสราสะอื้นจนตัวสั่นไปหมดด้วยความเกร็งยิ่งทำให้รุ้งพรายที่มองอยู่นั้นหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง

   "ฮ่าฮะฮะ~ จริงซิ! มันคือความจริง!"

   "ไม่จริง!!! ฮือออ...ฮึกก!!!"

   รวิสราหวีดร้องออกมาก่อนจะหงายหลังลงไปนอนชักดิ้นชักงอตัวเกร็งกับพื้นดินอย่างทรมาณ จนวรภพต้องรีบมาปฐมพยาบาลโดยมีต้นหลิวเป็นผู้ช่วยเอาผ้ามายัดปากให้รวิสรากัดแทนที่จะขบกัดลิ้นตัวเอง พอเห็นสภาพของเพื่อนทำให้เวธกาเดินมาเงื้อมือจะทำร้ายรุ้งพรายแต่รณกรกลับห้ามเอาไว้ได้ทัน

   "อย่าลงไม้ลงมือกันเลยน่ะ!"

   "แต่ยัยนี่มัน!...หื้ย!"

   เวธกาสะบัดหน้าแล้วเดินหนีไปดูอาการของเพื่อนสนิทที่เริ่มชักน้อยลงแต่ยังกระตุกและกัดผ้าที่อยู่ในปากแน่นทั้งที่ดวงตานั้นมีน้ำไหลออกมาไม่หยุดอย่างน่าสงสาร แต่ถึงแม้กันต์กวินนั้นมองรวิสราด้วยความเห็นใจทว่าหน้าที่ของนักข่าวทำให้กันต์กวินนั้นต้องการทราบความจริงให้มากที่สุด

   "ถ้าสิ่งที่คุณรุ้งพรายพูดเป็นความจริง แล้วคุณรุ้งทราบไหมครับว่าฆาตกรคือใคร"

   "ใช่!" รุ้งพรายพยักหน้าพร้อมกับเชิดคอขึ้นอย่างอวดดี "ฉันรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าคุณลุง"

   "ใครครับ?"

   ทุกคนต่างหันมามองอย่างสนใจทำให้รุ้งพรายเหยียดยิ้มร้ายตรงมุมปากจนน่าหมั่นไส้

   "เรื่องอะไรที่ฉันจะบอกพวกนาย"

   "คุณรุ้ง! อย่ามาล้อเล่นแบบนี้นะ"

   กันต์กวินเริ่มโมโหแต่รุ้งพรายกลับเหยียดยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจมากกว่าเดิม

   "ถ้าฉันบอกไปใครจะรับรองชีวิตของฉันล่ะจริงไหม บางทีฆาตกรอาจเป็นใครซักคนที่คอยจับตาเราอยู่ก็ได้จริงไหมล่ะ"

   "นี่คือวิธีการเอาตัวรอดของคุณงั้นหรอ"

   กันต์กวินมองด้วยความผิดหวังพร้อมทำปากยื่นด้วยความขัดใจแต่รุ้งพรายกลับไม่รู้สึกอะไรมากนัก

   "นายจะว่าอย่างนั้นก็ได้ไม่ผิด"

   "บางทีคุณอาจจะสร้างเรื่องโกหกหลอกพวกเราเพื่อเรียกร้องความสนใจก็ได้"

   รุจรวีที่นั่งฟังอยู่นานพูดแทรกขึ้นมาอย่างหมดความอดทนซึ่งกันต์กวินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

   "นั่นน่ะซิ คุณน่ะมันเชื่อถือไม่ได้"

   "ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ พวกนายอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน"

   รุ้งพรายทำสีหน้าโมโหก่อนจะเดินออกไปจากกลุ่มผู้รอดชีวิตอย่างกระฟัดกระเฟียดโดยไม่มีใครคิดจะห้ามซักคน




**************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 7 [UP 25/01/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 25-01-2019 23:16:47
สืบครั้งที่ 7




   หลังจากทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยแล้วยกเว้นรวิสราที่หายชักแล้วก็นอนนิ่งหลับแบบนั้นยังไม่ได้สติ

   ซึ่งกิตติธัชไม่ได้สนใจไปดูอาการของคู่หมั้นเลยซักนิดเดียวกลับเดินไปหยิบปืนมาวางไว้สามกระบอกซึ่งทั้งสามกระบอกนั้นเป็นคนละรุ่นกันทำให้ทุกคนมองมาอย่างสนใจ

   "ปืนสามกระบอกนี้เอาเก็บไว้เพื่อป้องกันตัว ฉันจะมอบปืนนี้ไว้ให้กับวรภพ พีรัช และพลทัพ เผื่อมีเหตุการณ์อะไรจะได้ช่วยกันต่อสู้ได้"

   "นายเชื่อคำพูดของยัยนั่นหรอ"

   เวธกาแทรกขึ้นมาพร้อมกอดอกด้วยท่าทางอาการไม่พอใจ ซึ่งกิตติธัชตอบคำถามนั้นโดยไม่ลืมกัดใครบางคนที่หยิบปืนมาสำรวจอย่างคล่องแคล่ว

   "ตำรวจอย่างฉันไม่ควรประมาท ถึงจะไม่เชื่อก็ป้องกันไว้ก่อน...จะได้ไม่ต้องซ้ำรอยใครบางคน"

   เกร็ก!

   "ไอ้กิต!"

   พลทัพเหนี่ยวไกปืนแล้วเอามาจ่อทิศทางตรงกับหน้าผากของกิตติธัชพอดีก่อนจะแกว่งไปแกว่งมาอย่างกวนประสาท

   "ปืนนายมันถนัดมือดีนะ น่าจะยิงได้สะดวกโดยเฉพาะคนอวดฉลาด"

   "เอ่อ...ผมยิงปืนไม่เป็นหรอกนะครับ"

   วรภพหยิบปืนขึ้นมาดูเช่นเดียวกันกับพีรัชที่มือสั่นเล็กน้อยด้วยความกลัว

   "ผมก็ยิงไม่เป็น"

   "เอาไว้ป้องกันตัวไม่ได้ให้ยิงพร่ำเพรื่อ" กิตติธัชตอบก่อนจะเดินไปนั่งตรงกองไฟ "นอนพักผ่อนกันได้แล้วคืนนี้ฉันจะเฝ้ายามเอง"

  "แล้วคุณรุ้งพรายล่ะคะ"

   กวิตาหันมองซ้ายมองขวาแต่ไม่มีใครสนใจที่จะไปตามหาเลยซักคนทำให้อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

   "ไปตั้งนานแล้วนะคะไม่ออกตามหากันหรอ"

   "ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวก็กลับมาเองแหละ"

   วณิชชาตอบอย่างรำคาญก่อนจะจ้องมองไปที่ต้นหลิวที่กำลังจะล้มตัวลงนอนข้างวรภพพร้อมกับพูดไปด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน

   "ราตรีสวัสดิ์นะคะต้นหลิว"

   "อืม"

   ต้นหลิวตอบกลับแค่นั้นก่อนจะหันหลังหนีทำให้วณิชชากัดปากตัวเองอย่างขัดใจ

   หลังจากนั้นทุกคนต่างนอนหลับไม่นึกที่จะออกไปตามหารุ้งพรายโดยไม่คาดคิดเลยว่าจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น

   ปัง!!! ปัง!!!

   แต่ทว่าระหว่างที่ต่างคนต่างกำลังหลับไหลอยู่นั้นเกิดมีเสียงปืนดังขึ้นทำให้สะดุ้งตื่นกันทั้งหมดอย่างตกใจ กิตติธัชที่มีสติที่สุดในตอนนี้รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

   "เสียงปืน! พวกผู้หญิงอยู่ที่นี่ส่วนผู้ชายตามฉันมา"

   "ระวังตัวด้วยนะ"

   เวธกากล่าวอย่างเป็นห่วงทั้งที่กำลังจ้องมองไปที่แผ่นหลังของกิตติธัชจนลับสายตาหายไปกับความมืด 





   ทั้งหมดรีบวิ่งมาตามเสียงปืนจนกระทั่งมาถึงตรงชายป่าแถวซากรถไฟก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้า

   "รุ้งพราย!!!"

   "กร! ถ่ายเอาไว้เลยเร็ว!"

   กันต์กวินหันไปสั่งรณกรที่พยักหน้าพร้อมกดชัตเตอร์สาดแสงไปด้านหน้าเผยให้เห็นภาพของรุ้งพรายที่นอนหงายอยู่ข้างซากรถไฟ สภาพศพถูกยิงตรงกลางบริเวณหน้าอกขณะที่ดวงตานั้นกำลังลืมโผลงอย่างหวาดกลัว

   ต้นหลิวและวรภพรีบเข้าไปนั่งด้านข้างศพทั้งสองฝั่ง วรภพเอามือไปเช็คลมหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนแล้วส่ายหน้า

   "เสียชีวิตแล้ว สภาพศพถูกยิงกลางหน้าอกตัดขั้วหัวใจ เวลาเสียชีวิตคาดว่าน่าจะเวลา 23:50"

   "สถานที่พบศพชายป่าแถวซากรถไฟ เวลาพบศพ 00:00"

   กิตติธัชพูดขึ้นขณะที่ยืนกอดอกมองสภาพศพอย่างสงบไม่ตื่นตกใจอะไร

   "ดวงตาของศพลืมตาเบิกโผลงขึ้นเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง มือจิกเกร็ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ" ส่วนต้นหลิวพูดขึ้นขณะมองสภาพศพแล้วหันไปมองร่องรอยรอบตัว "สถานที่รอบตัวเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ แต่ท้องฟ้ามืดขนาดนี้คงต้องรอพิสูจน์หลักฐานกันพรุ่งนี้"

   "พรุ่งนี้ค่อยมาดูหลักฐานที่เกิดเหตุกันอีกรอบ สั่งห้ามใครห้ามเข้าใกล้พื้นที่ตรงนี้ยกเว้นหมอวรภพและนักสืบต้นหลิวเท่านั้น"

   กิตติธัชออกคำสั่งก่อนจะหันหลังเดินกลับที่พักปล่อยให้พวกที่เหลือยืนดูเหตุการณ์กันตรงนั้นไม่ยอมขยับตัวไปไหน ซึ่งคำสั่งนั้นทำให้กันต์กวินหน้ามุ่ยลงอย่างขัดใจ

   "งั้นเราก็คงต้องมาทำข่าวพรุ่งนี้แล้วล่ะ เตรียมกล้องให้พร้อมเลยนะกรรับรองได้ข่าวใหญ่แน่"

   "แน่นอน!"

   รณกรตอบรับอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับเสียงของพลทัพที่แทรกขึ้นมาอย่างหมั่นไส้

   "เหอะ! สงสัยกลับไปได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้านักข่าวเลยล่ะมั้งมีผลงานตั้งแต่รถไฟยังไม่ระเบิดจนกระทั่งมีคนตายเนี่ย"

   "ได้แบบนั้นก็ดีน่ะซิ"

   กันต์กวินตอบกลับอย่างกวนประสาทก่อนจะหันไปสนใจกับภาพตรงหน้าและคอยกำกับให้ซุนซีคุนเก็บภาพให้มากที่สุด   ส่วนรุจรวีนั้นยืนหลบอยู่ด้านหลังของพีรัชพร้อมกอดแขนแน่นด้วยความหวาดกลัว

   "ร...รุ้งพรายตายแล้วจริงหรอครับพี่รัช"

   "ใช่แล้ว คนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือคุณรุ้งพราย"

   พีรัชตอบโดยสนใจเหตุการณ์ด้านหน้าไม่ได้สังเกตุเห็นอาการผิดปกติของคนด้านหลังยกเว้นเวทิตที่เห็นอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นอย่างผิดสังเกต

   "นายเป็นอะไรน่ะรุจ"

   "อึก!..."

   รุจรวีเกร็งตัวมากขึ้นพร้อมล้มลงไปนอนกับพื้นหอบหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงสร้างความแตกตื่นให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นโชคดีที่หัวไม่ฟาดพื้นเพราะเวทิตเอามือมารองไว้ทัน ซึ่งวรภพรีบวิ่งเข้ามาดูอาการทันทีด้วยความเป็นห่วง

   "โรคหอบหืด? คุณพีรัชรู้ไหมครับว่าเขามีพวกยาพ่นติดตัวไหม"

   "เอ่อ...อ๋อ!"

   คำถามนั้นทำให้พีรัชพึ่งนึกออกรีบหยิบกระเป๋าสีเขียวที่เก็บมาจากซากรถไฟเมื่อวานออกมาเปิดหาของที่อยู่ด้านในไม่นานก็หยิบยาพ่นออกมา

   "นี่ครับหมอ"

   "คุณทิตช่วยพยุงรุจขึ้นนั่งหน่อยครับ"

   "ครับ!"

   วรภพหันไปสั่งซึ่งเวทิตก็รีบทำตามโดยประคองหัวอีกฝ่ายขึ้นมาพิงซบตรงหัวไหล่ตนเองเพื่อให้วรภพพ่นยาใส่ปากอีกฝ่ายได้สะดวก ผ่านไปไม่นานอาการหอบน้อยลงจนลมหายใจเริ่มกลับมาปกติ พออาการดีขึ้นรุจรวีจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

   "ข...ขอบคุณครับ"

   "คุณควรกลับไปที่พักนะครับ" วรภพพูดกับคนไข้ตัวเล็กด้วยสีหน้าจริงจัง "แล้วก็ทำใจให้สบายไม่ต้องเครียดเรื่องนี้ตกลงไหมครับ"

   "ครับ"

   รุจรวีพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนที่พีรัชและเวทิตคอยประคองแขนคนละข้างแล้วพาเดินกลับไปยังที่พักพร้อมกันกับทุกคน   พอมาถึงก็เห็นพวกผู้หญิงทำหน้าตาไม่สบายใจแต่ไม่มีใครกล้าถามออกมาจนพีรัชเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน

   "รู้เรื่องของคุณรุ้งพรายกันแล้วใช่ไหมครับ"

   "ค...คุณรุ้งตายแล้วจริงหรอคะ"

   กวิตาถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือซึ่งพีรัชพยักหน้าตอบรับอย่างแผ่วเบา

   "ใช่"

   "โธ่...ไม่น่าเลย"

   กวิตาก้มหน้าลงอย่างเศร้าหมองผิดกับเวธกาที่เหยียดยิ้มออกมาอย่างสะใจ

   "สมควรแล้วล่ะ...ดันอยากเดินสะบัดสะบิ้งออกไปคนเดียวแบบนั้นนี่หน่า"

   "พูดอย่างนั้นได้ยังไงน่ะ! นั่นคนตายนะ"

   วณิชชาสวนกลับมาก่อนจะลุกขึ้นเดินไปกอดแขนต้นหลิวแน่นด้วยท่าทางออดอ้อน

   "ต้นหลิวคะ~ ไวซ์กลัวจังเลยค่ะ"

   "งั้นคุณก็ควรอยู่กับกลุ่มผู้หญิง อย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียว"

   ต้นหลิวทำท่าทางเฉยชาใส่ก่อนจะดึงแขนออกจากอีกฝ่ายแล้วเดินไปนั่งข้างวรภพที่กำลังตรวจสอบกระเป๋ายาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้

   "มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ"

   "ไม่มีครับ พักผ่อนกันก่อนเถอะพรุ่งนี้เราต้องไปพิสูจน์หลักฐานกันตั้งแต่เช้า"

   วรภพยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนที่ทั้งหมดทุกคนที่อยู่แถวตรงนั้นจะล้มตัวลงนอนและหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนล้ายกเว้นกิตติธัชที่อยู่เฝ้ายามนั่งมองกองไฟทั้งคืน




*********************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 8 [UP 21/02/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 21-02-2019 23:27:03
สืบครั้งที่ 8



   เหตุการณ์เมื่อคืนนั้นทำให้ต้นหลิวนอนไม่หลับจึงชวนวรภพออกไปยังที่เกิดเหตุตั้งแต่เช้ามืดตรวจพิสูจน์ศพและหาร่องรอยหลักฐานในที่เกิดเหตุ ทั้งสองแบ่งงานกันโดยวรภพชันสูตรพลิกศพ วิถีกระสุนและเขม่าดินปืน ส่วนต้นหลิวตรวจสอบลายนิ้วมือ ลายนิ้วมือแฝงและรอยเท้า   



    ซึ่งวรภพได้ดูจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของศพภายหลังตายเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง คาดว่าน่าจะเสียชีวิตเวลาประมาณ 23:50 นาฬิกา ดูลักษณะบาดแผลที่ปรากฏพบว่าตายเพราะอาวุธปืนที่ยิงกลางหน้าอกตัดขั้วหัวใจเสียชีวิตทันที มีคราบเขม่าดินปืนอยู่บริเวณปากแผลเป็นการยิงระยะเผาขนและพบปลอกกระสุนปืนตกห่างจากตัวผู้เสียชีวิตไปไม่กี่เมตร

   วรภพลงมือตรวจสอบคราบเขม่าปืนโดยการหยดกรดไนตริกเข้มข้นลงบนสำลี แล้วเช็ดที่หลังมือขวาตั้งแต่บริเวณข้อมือไปจนถึงปลายนิ้ว หมุนสำลีไปในทางเดียวกันและเช็ดที่ฝ่ามือขวา หลังมือซ้าย ฝ่ามือซ้าย ก่อนจะเก็บใส่ซองถืงห้าซองแล้วผ่าลูกกระสุนปืนออกมาให้ต้นหลิวตรวจสอบ




   ทางด้านต้นหลิวเองนั้นใช้ผงแป้งพรมลงไปบนลูกกระสุนปืนที่วรภพผ่าออกมาซึ่งรอไม่นานนักรอยนิ้วมือก็ปรากฏขึ้นมา ใช้สติ๊กเกอร์ที่ใช้เก็บลายนิ้วมือปิดตรงลายนิ้วมือแล้วค่อยดึงออกเอาไปเก็บไว้ตรวจสอบอีกที ก่อนจะเดินสำรวจรอบบริเวณพบรอยเท้าของคุณรุ้งพรายและรอยเท้าอีกรอยหนึ่งแถวชายป่าใกล้สถานที่ที่เกิดเหตุฆาตกรรม สังเกตรูปแบบของรอยเท้าและการสึกรอยเท้าแล้วพบว่าเป็นรอยเท้าที่เล็กและสึกน้อย ส่วนสูงและน้ำหนักใกล้เคียงกับขนาดตัวของรุ้งพรายมากแต่เพศยังไม่สามารถระบุแน่ชัด



   ทั้งสองเริ่มตรวจสอบกันซักพักใหญ่จนกิตติธัชมาถึง  ตามมาด้วยพลทัพและกันต์กวิน ปิดท้ายด้วยรณกรที่ถือกล้องมาพร้อมถ่ายทำ

   "กรนายแน่ใจนะว่าเปิดกล้องเรียบร้อยน่ะ"

   "แน่ใจซิ! พร้อมถ่ายแล้วเนี่ย"

   รณกรตอบกลับเสียงดังอย่างกระตือรือร้นที่จะถ่ายภาพที่สุดทำให้กันต์กวินยิ้มกว้างก่อนที่จะเริ่มรายงานข่าวด้วยสีหน้าที่จริงจังทันที

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่คุณผู้ชมได้รับชมอยู่ในขณะนี้คือภาพเหตุการณ์ฆาตกรรม ซึ่งผู้ตายคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการรถไฟระเบิด ผู้เสียชีวิตคือ คุณรุ้งพราย เพศหญิง อายุ 27 เจ้าของร้านเพชร โดยเธอนั้นเป็นทายาทของคุณวรนพนักธุรกิจที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศครอบคลุมธุรกิจทางด้านการค้าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งสาเหตุการฆ่าตกรรมนั้นเราจะสอบถามกับคุณหมอวรภพกันนะครับ"

   กันต์กวินเดินไปหาวรภพที่กำลังล้างมืออยู่เงยหน้าขึ้นมามองพอดีทำให้ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนที่กันต์กวินจะหันไปยิ้มให้กล้องเล็กน้อย

   "ครับ! ตอนนี้เราก็อยู่กับคุณหมอวรภพนะครับ สวัสดีครับคุณหมอวรภพ"

   "สวัสดีครับ"

   วรภพรับไหว้ก่อนที่กันต์กวินจะเริ่มต้นยิงคำถามด้วยความสงสัยทันที

   "คุณหมอครับพบหลักฐานอะไรเพิ่มเติมจากศพของผู้เสียชีวิตบ้างไหมครับ"

   "สภาพศพของผู้เสียชีวิตคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเมือคืนประมาณห้าทุ่มห้าสิบ ผู้ตายเสียชีวิตจากอาวุธปืนที่ยิงเข้าตรงกลางหน้าอกตัดขั้วหัวใจทำให้เสียชีวิตทันทีซึ่งเป็นการยิงระยะเผาขนเพราะมีคราบเขม่าดินปืนอยู่บริเวณปากแผล พบปลอกกระสุน ปืนตกห่างจากตัวผู้เสียชีวิตไปไม่กี่เมตรสรวจสอบพบว่าเป็นปืนรุ่น ซิก ซาวเออร์ พี 320 ขนาดหัวกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตอนนี้กำลังรอผลตรวจสอบลายนิ้วมืออยู่ครับ"

   "ปืนรุ่น ซิก ซาวเออร์ พี 320 หรอ?"

   กิตติธัชพึมพัมอย่างแผ่วเบาก่อนจะหันไปจ้องหน้าพลทัพที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างมุ่งร้าย

   "นายเอาปืนของฉันไปฆ่ารุ้งพรายทำไม"

   "อย่ามาใส่ร้ายฉัน"

   พลทัพสวนกลับอย่างหงุดหงิดแต่กิตติธัชเมินเฉยไม่ฟังคำแก้ตัวแถมยังคอยหาเรื่องตลอดเวลา

   "ไม่ได้ใส่ร้ายแต่รอยกระสุนปืนที่ศพของรุ้งพรายคือกระสุนชนิดเดียวกันกับปืนกระบอกที่ฉันให้นายป้องกันตัว"

   "จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อมันอยู่..."

   พลทัพเริ่มโมโหเอื้อมมือไปหยิบปืนที่เอวด้านหลังแต่ทว่ากลับว่างเปล่า

   ฟุบฟุบ

   "ไม่มี"

   พลทัพมีหน้าซีดลงท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

   "ห๊ะ!"

   "ไม่มีปืน...ปืนฉันหายไป"

   พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนมองหน้าพลทัพอย่างไม่ไว้ใจตามมาด้วยกันต์กวินที่เอาไม้ชี้หน้าแล้วตะโกนโวยวายเสียงดัง

   "นายคือคนร้ายหรอ!"

   "จะบ้ารึไงล่ะ"

   พลทัพโวยวายกลับอย่างหงุดหงิดก่อนที่ต้นหลิวจะเดินเข้ามาพร้อมถุงใส่กระบอกปืน ซึ่งด้านในมีกระสุนปืนและแผ่นตรวจลายนิ้วมือพร้อมทั้งรายงานหลักฐานที่ตนเองได้พิสูจน์มา

   "จากที่ได้พิสูจรอยนิ้วมือที่กระสุนปืนและพบปืนที่ถูกโยนทิ้งตรงพุ่มไม้ซึ่งเป็นกระสุนชนิดเดียวกันกับปืนกระบอกที่คุณกิตให้คุณทัพไว้ป้องกันตัว พบลายนิ้วมือของทั้งคุณกิตและคุณทัพอยู่ที่กระบอกปืนและตรงลูกกระสุนปืนซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีเพราะคุณกิตเป็นเจ้าของปืน ส่วนคุณทัพคือคนที่ตรวจสอบอาวุธปืนเมื่อคืนซึ่งต้องจับทั้งปืนและลูกกระสุนปืนแน่นอน ทำให้คุณทั้งสองตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ทว่าผมกลับไปเจอรอยเท้าแถวชายป่าใกล้สถานที่ที่เกิดเหตุฆาตกรรมด้วยซึ่งเป็นรอยเท้าที่เล็กและสึกน้อยมีขนาดส่วนสูงและน้ำหนักใกล้เคียงกับขนาดตัวของคุณรุ้งมากแต่เพศยังไม่สามารถระบุแน่ชัด เพราะฉะนั้นคาดว่าคนร้ายไม่ใช่คุณภพและคุณกิตแน่นอน แต่ถ้าเกิดไม่แน่ใจคุณหมอภพตรวจสอบว่ามีหรือไม่มีเขม่าปืนที่มือของคุณทั้งสองคนได้ครับ"

   "งั้นขอตรวจคราบเขม่าดินปืนที่มือหน่อยนะครับ"

   วรภพหยิบสำลีขึ้นมาเช็ดที่หลังมือขวาตั้งแต่บริเวณข้อมือไปจนถึงปลายนิ้ว หมุนสำลีไปในทางเดียวกันและเช็ดที่ฝ่ามือขวา หลังมือซ้าย ฝ่ามือซ้ายของทั้งสองคนซึ่งพอผลตรวจออกมาแล้วทั้งหมดจึงโล่งใจ

  "ผลการตรวจสอบไม่มีเขม่าปืนติดอยู่ที่มือของทั้งกิตติธัชและพลทัพ"

   "แล้วไม่พบลายนิ้วมือคนอื่นเลยหรอครับ"

   กันต์กวินถามขึ้นมาอย่างสงสัยโดยคนที่อยู่ตรงนั้นก็สงสัยเช่นกันซึ่งต้นหลิวนั้นเป็นคนตอบคำถามในเรื่องนี้

   "ไม่ครับ คาดว่าคุณพลทัพน่าจะโดนขโมยปืนและผู้ต้องหาใส่ถุงมือด้วย"

   "อ่า~"

   กันต์กวินร้องออกมาพร้อมพยักหน้าอย่างเข้าใจ

   "เข้าใจแล้วครับ"

   "เราคงต้องขอหาหลักฐานเพิ่มอีกนิดหน่อย"

   ต้นหลิวพูดขึ้นด้วยท่าทางยิ้มแย้มพร้อมเตรียมอุปกรณ์ที่จะทำงานต่อ

    "พวกคุณกลับไปก่อนก็ได้นะครับ"

   "ถ้าอย่างงั้นระวังตัวกันด้วย"

   กิตติกรพยักหน้าพร้อมกับยอมเดินกลับไปที่พักเพื่อไม่ให้แกะกะขวางทาง  ซึ่งตอนแรกกันต์กวินจะไม่ยอมกลับแต่โดนพลทัพลากคอเดินกลับไปด้วยกันโดยมีรณกรรีบวิ่งตามหลังด้วยความงุนงง




    หลังจากที่ทุกคนต่างเดินกลับที่พักกันแล้วนั้นวรภพและต้นหลิวก็ตรวจสอบหาหลักฐานเพิ่มเติมกันต่อ ซึ่งระหว่างที่กำลังหาหลักฐานตรงพุ่มไม้แถวทางรถไฟนั้นต้นหลิวก็พบกับอะไรบางอย่างสีเงินดูคุ้นตาจึงเอื้อมมือไปหยิบมาดูก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

   "นี่มัน!...ฮึก!"

   ซึ่งสิ่งที่ต้นหลิวหยิบมาได้นั้นคือสร้อยคอที่ตนเองเคยให้วิรชาตอนที่ขอแต่งงาน



.........


    'ต้นหลิวคะ ต้นหลิว~'

   วิรชาเปิดประตูบ้านเข้ามาแต่พบกับความมืดมองไม่เห็นอะไรจึงตะโกนเรียกคนรักของตนเองที่ต้องแอบอยู่แถวนี้แน่นอน

   พรึบ!

   ก่อนที่ไฟทั้งบ้านจะสว่างขึ้นมาเผยให้เห็นลูกโป่งถูกตกแต่งเต็มห้องและบนโต๊ะเป็นอาหารหรูหราอย่างที่ตนเองชอบ ไม่นานนักต้นหลิวก็เดินออกมาพร้อมกับช่อดอกไม้ช่อใหญ่และกำลังเดินมาหยุดยืนตรงหน้าตนเอง ซึ่งวิรชายิ้มหวานพร้อมเอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้มาถือไว้อย่างตื่นเต้น

   "อะไรกันคะเนี่ย"

   "ชอบไหมครับ"

   ต้นหลิวยิ้มกว้างพร้อมกับจ้องตากันไม่กระพริบก่อนจะหยิบกล่องใส่สร้อยคอขึ้นมาพอเปิดออกเผยให้เห็นจี้รูบหัวใจที่มีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลางทำให้วิรชายิ่งยิ้มหวานให้มากยิ่งขึ้น

   "ต้นหลิวคะ~"

   "แต่งงานกับผมนะเวย์"

   "ค่ะ" วิรชาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มหวานให้อีกฝ่ายด้วยควาเขินอาย  "เวย์จะแต่งงานกับต้นหลิว"

   ต้นหลิวยิ้มกว้างพร้อมกับสวมสร้อยลงบนลำคอยาวระหงนั้นอย่างทะนุถนอมก่อนที่ทั้งสองจะยิ้มให้กันอย่างมีความสุข



.........



   "ฮึกฮือออ~"

   พอนึกไปถึงอดีตแล้วทำให้ต้นหลิวนั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าพุ่มไม้นั้นอยู่นานจนวรภพเดินเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง

   "เป็นอะไรรึเปล่า"

   "ฮึก! คุณภพ ฮึกฮืออออ"

   ต้นหลิวหันมาซบในอ้อมกอดนั้นพร้อมกับร้องไห้ออกมาไม่หยุดโดยมีวรภพคอยนั่งปลอบตรงนั้นไม่ขยับตัวไปไหน   หลังจากร้องไห้จนพอใจแล้วต้นหลิวก็ไม่ยอมกลับที่พักดึงดันจะออกตามหาคู่หมั้นตนเองทั้งที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

   "ผมจะออกตามหาเวย์"

   "แต่..."

   "ถ้าคุณหมอไม่ไปด้วยกันก็กลับที่พักไปเถอะครับ"

   ต้นหลิวพูดขัดขึ้นมาทำให้วรภพทำหน้าตาไม่คอยพอใจ

   "ผมยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะไม่ไปเป็นเพื่อนน่ะ"

   "อ่า..."

   ต้นหลิวทำหน้าเหวอทำให้คนที่มองอยู่นั้นส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจนิดหน่อย

   "ตามมาซิครับ"

   วรภพเดินนำไปโดยมีต้นหลิวเดินตามไปด้วยท่าทางเก้อเขินเพราะวางตัวไม่ถูกกับท่าทางของอีกคนหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะไปช่วยหาด้วย



   'งื้อ~ใครจะรู้ล่ะว่าจะไปด้วยกันน่ะ!'



****************************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 8 [UP 21/02/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 22-02-2019 08:58:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 8 [UP 21/02/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-02-2019 13:15:27
มาสะดุดตรงกรดไนตริกเข้มข้นอ่ะ กลางป่ากลางเขาหามาได้ยังไงหนอ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 9 - 10 [UP 26/02/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 26-02-2019 00:07:23
สืบครั้งที่ 9



   ทั้งสองออกเดินตามหากันตามแนวชายป่าและบริเวณแถวซากรถไฟอีกหลายรอบจนมืดค่ำแต่ทว่ากลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยเลยซักนิดเดียว จึงพากันกลับมาที่พักพบวณิชชารีบลุกขึ้นแล้วเดินมากอดแขนอดีตคนรักอย่างออดอ้อน

   "ต้นหลิวคะ~ หายไปไหนมาน่ะไวซ์เป็นห่วงต้นหลิวมากเลยค่ะ"

   "ผมไปตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมและออกไปตามหาเวย์น่ะ"

   คำตอบของต้นหลิวทำให้วณิชชาไม่พอใจก่อนจะพูดออกมาอย่างจิกกัดและสะใจ

   "เวย์น่ะหรอคะป่านนี้คงตายไปกับซากรถไฟแล้วมั้ง"

   "ไวซ์!!!"

   ต้นหลิวหันไปตวาดเสียงดังลั่นแต่วณิชชากลับเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว

   "ทำไม? หรือไม่จริงล่ะ"

   "หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะไวซ์!!!"

   ต้นหลิวโมโหพยายามจะสลัดแขนทิ้งแต่วณิชชากลับกอดแขนคนตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม

   "ทำไมถึงทำกับไวซ์แบบนี้ล่ะ! เมื่อก่อนตอนที่เคยคบกันต้นหลิวไม่เคยตะคอกใส่ไวซ์เลยนะ!"

   "แต่นั่นคู่หมั้นฉัน"

   "แต่ไวซ์ก็เป็นแฟนเก่าต้นหลิวนะ! ถ้าเกิดยัยนั่นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ป่านนี้คงหาพบไปตั้งนานแล้ว"

   "แฟนเก่าที่ทิ้งไปเรียนต่อต่างประเทศโดยไม่คิดจะติดต่อมาเลยน่ะหรอ เหอะ!"

   ต้นหลิวตวาดเสียงดังด้วยความโมโหก่อนจะสลัดแขนทิ้งอย่างแรงทำให้วณิชชากรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความขัดใจ

   "ต้นหลิว!!!"

   "ฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว"

   ต้นหลิวเริ่มโมโหและตั้งใจจะเดินหนีแต่วณิชชากลับคว้าแขนมากอดเอาไว้แน่นอีกครั้ง

   "ต้นหลิวจะหนีไวซ์ไปไหนคะ!"

   "ไม่ต้องมายุ่ง"

   ต้นหลิวสะบัดแขนอีกฝ่ายทิ้งอีกครั้งแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำขู่ของวณิชชาที่ตะโกนเสียงดังลั่น

   "ถ้าต้นหลิวไปไวซ์จะฆ่าตัวตาย"

   "อยากทำอะไรก็เชิญ แล้วแต่เลย"

   ต้นหลิวตอบอย่างไม่สนใจก่อนจะเดินหนีไปนั่งตรงอื่นทิ้งให้วณิชชายืนกระทืบเท้าตรงนั้นอย่างขัดใจ

   "ต้นหลิวอ่ะ! อย่าเพิ่งเดินหนีซิคะไวซ์มีเรื่องจะคุยกับคุณ!"

   "แต่ผมไม่เรื่องจะคุย"

   ต้นหลิวตอบแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นทำให้วณิชชาเดินไปดึงแขนให้อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งด้วยความเอาแต่ใจ

  "ลุกขึ้นมาก่อนซิคะ! ทำไมต้นหลิวเอาแต่คิดถึงยัยนั่นล่ะทั้งที่มันก็หายไปแล้วจะไปตามหาทำไม แถมยังทำเมินไวซ์อีก! ซักวันต้นหลิวจะต้องเสียใจที่ทำเมินกับไวซ์แบบนี้น่ะ!!!"

  "ไวซ์"

   ต้นหลิวลุกขึ้นมามองด้วยสายตาหงุดหงิดและบูดบึ้งมากก่อนจะชูสร้อยคอที่ตนเองหาพบขึ้นมาให้อีกฝ่ายดูอย่างชัดเจน

   "นี่คือสร้อยที่ผมขอเวย์แต่งงาน ผมพบสร้อยนี้ตรงพุ่มไม้แถวทางรถไฟเพราะฉะนั้นผมยังเชื่อมั่นว่าเวย์ยังไม่ตายและผมต้องเจอเวย์แน่นอน"

   "แล้วไวซ์ล่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาต้นหลิวเอาไวซ์ไปไว้ที่ไหน ต้นหลิวลืมไวซ์ไปแล้วจริงน่ะหรอ!"

   วณิชชาน้ำตาไหลออกมาอย่างเจ็บใจก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้นหลิวโมโห

   "ต้นหลิวไม่รู้หรอกว่าคู่หมั้นที่แสนดีของคุณน่ะร้ายกาจขนาดไหน ต้นหลิวแค่โดนหลอกใช้เท่านั้นเอง ไวซ์เองก็เคยเตือนมาหลายรอบแล้วแต่ต้นหลิวก็ไม่ยอมฟัง เหอะ! ไวซ์ไม่ยอมให้ต้นหลิวแต่งงานกับยัยนั่นหรอก!"

   "ไวซ์!!!"

   "ทำไมล่ะ! ไวซ์พูดจริงและถ้าต้นหลิวยังไม่ฟังไวซ์อยู่อย่างนี้นะ ไวซ์จะฆ่าตัวตาย!"

   วณิชชาขู่แต่ต้นหลิวกลับโมโหหลุดปากพูดบางอย่างออกไปทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ

   "อยากตายนักก็เชิญ! ผมเชื่อใจในตัวของเวย์มากกว่าผู้หญิงเห็นแก่ตัวอย่างคุณ!"

   "ต้นหลิว!!!"

   วณิชชาเอื้อมมือไปเกาะแขนทั้งสองข้างแน่นไม่ยอมปล่อยก่อนจะโดนต้นหลิวพยายามยื้อแขนออกมาอย่างไม่ใยดี

   "ปล่อย!"

   "ทำไมต้นหลิวถึงรักยัยนั่นมากขนาดนั้นน่ะหะ! ยัยนั่นไม่ใช่คนดีอะไรเลยนะทำไมต้นหลิวไม่ฟังไวซ์บ้างล่ะ"

   วณิชชาระเบิดอารมณ์กรีดร้องออกมาอย่างขาดสติและสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

   "ต้นหลิวเปลี่ยนไปเพราะยัยนั่น ไวซ์เกลียดมัน!"

   "ไวซ์!"

   "ได้ยินไหมไวซ์เกลียดยัยเวย์ เกลียด!!!"

   เพี้ย!!!

   วณิชชาชะงักเมื่อฝ่ามือของคนตรงหน้ากระทบแก้มอย่างแรงก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองด้วยความน้อยใจ

   "ต้นหลิว...ต้นหลิวตบหน้าแบบนี้อยากให้ไวซ์ตายจริงใช่ไหม?"

   "เฮอะ! คนอย่างไวซ์น่ะถ้าอยากตายจริงคงจะตายไปตั้งนานแล้วล่ะ"

   ต้นหลิวทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ในใจเองก็รู้สึกผิดไม่ต่างกันก่อนจะสะบัดแขนออกจากการกอบกุมของอีกฝ่ายได้สำเร็จและกำลังจะเดินหนีแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำถามจากวณิชชาที่พยายามยื้อเอาไว้

   "ทำไมไม่ฟังไวซ์บ้าง ทำไมถึงรักยัยคนนั้นมากขนาดยอมทำร้ายคนที่เคยรักกันมากอย่างไวซ์ล่ะ รักมันมากขนาดนั้นเลยหรอ"

   "ผมรักเวย์มากเพราะไม่เคยทำร้ายผม..."

   ต้นหลิวมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ็บปวด

   "เหมือนคุณ"

   "ต้นหลิว!!!"

   วณิชชายืนกระทืบเท้าตรงนั้นอย่างขัดใจแต่ต้นหลิวกลับทำเป็นไม่สนใจแถมนอนหันหลังให้   ท่ามกลางสายตาของคนทุกคนในที่นั้นที่มองมาอย่างสงสัยแต่ไม่มีใครกล้าถามยกเว้นกันต์กวินที่กำลังจะถามแต่พลทัพเอื้อมมือมาปิดปากเอาไว้เสียก่อน

   หมับ!

   "ชู่ว์~"

   พลทัพยกนิ้วขึ้นมาทาบริมฝีปากของตนเองก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน

   "นั่นมันเรื่องของเขาน่ะ เรานอนกันได้แล้ว"

  "อืมม ก็ได้"

   กันต์กวินพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนจะนอนลงแกล้งทำเป็นไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งที่อยากรู้ใจแทบขาด




   จนกระทั่งเวลาผ่านไปทุกคนต่างหลับไหลโดยไมรู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนกำลังเดินย่องเข้ามาข้างต้นหลิวแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบของบางอย่างออกมา เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วริมฝีปากบางก็เหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างร้ายกาจ

   'ถ้าไม่มีของสิ่งนี้ต้นหลิวจะต้องกลับมารักฉัน!'

   หลังจากได้ของที่ต้องการแล้วจึงแอบเดินออกไปจากที่พักหายไปกับความมืดโดยจะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งการกระทำครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายทีทำให้ใครบางคนเสียใจรู้สึกผิดไม่มีวันลืมตลอดทั้งชีวิต




   ผ่านไปไม่นานนักก็เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักแต่ทุกคนยังนอนหลับอย่างสบายโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนนั้นหายตัวไปและไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังมาตามสายฝน



************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 9 - 10 [UP 26/02/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 26-02-2019 00:13:58
สืบครั้งที่ 10



   วันต่อมาท้องฟ้ากลับมืดมนไม่มีแสงแดดหลังจากเมื่อคืนฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาและตั้งท่าทีว่าจะตกหนักอีกรอบ แต่นั่นไม่ได้เรียกความสนใจจากต้นหลิวที่รื้อค้นอะไรบางอย่างทั้งกระเป๋าจนกระจัดกระจายทำให้วรภพที่มองอีกฝ่ายอยู่นานถามขึ้นมาอย่างสงสัย

   "หาอะไรอยู่หรอ"

   "สร้อยน่ะ!...สร้อยที่เจอเมื่อวานมันหายไป"

   ต้นหลิวขมวดคิ้วด้วยความกังวล

   "จำได้ว่าเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อนะแต่กลับไม่มีแม้กระทั่งในกระเป๋าเสื่อผ้าก็ไม่มี"

   "ผมช่วยหา"

   วรภพช่วยอีกฝ่ายรื้อค้นหาสร้อยคอแต่ในระหว่างที่กำลังค้นหาของกันอยู่นั้นกวิตาก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเซียวและน้ำเสียงที่เป็นกังวล

   "มีใครเห็นคุณวณิชชารึเปล่าคะ"

   "ไม่นะครับ มีอะไรรึเปล่าครับ"

   วรภพหันมาถามแทนต้นหลิวที่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ส่วนกวิตายิ่งหน้าตาซีดเซียวมากยิ่งขึ้น

   "คุณวณิชชาหายตัวไปไม่มีใครเห็นตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรรึเปล่า"

   "อย่าตกใจมากนักเลย บางทียัยนั่นอาจจะออกไปเดินเล่นข้างนอก"

   เวธกากอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างรำคาญใจ

   "หรือบางทีอาจฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะจริงไหม?"

   "ปากเสียน่าเกล"

   รวิสราที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้นปรามขึ้นมาทำให้เวธกาทำหน้าตาขัดใจ

   "หรือไม่จริง? ดูอย่างรุ้งพรายซิโดนใครก็ไม่รู้ยิงตายน่ะ"

   "รุ้งน่ะตายไปแล้ว อย่าไปพูดถึงอย่างนั้นเลย"

   รวิสราพูดพร้อมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะพอตอนที่ตนเองฟื้นขึ้นมาก็ได้รับข่าวร้ายว่ารุ้งพรายนั้นเสียชีวิตแล้วทำให้รู้สึกเศร้าแม้อีกฝ่ายจะไม่ค่อยชอบตนเองก็ตาม

   ส่วนวรภพพอเห็นว่ากำลังจะทะเลาะกันจึงหันไปชวนต้นหลิวที่ถึงแม้จะเป็นห่วงแต่กลับแกล้งไม่สนใจ

   "ถ้าอย่างนั้นเราออกไปหาวณิชชากันไหม"

   "คนน่ารำคาญคนนั้น...สร้างปัญหาให้ผมทุกที"

   ต้นหลิวฝืนยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเบื่อหน่าย

   "ไปตามหากันเถอะครับ"

   "ยังไงฝากตามหาคุณวณิขชาด้วยนะคะ"

   กวิตาก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าแห่งความหวาดกลัวเอาไว้พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างออกมา

   "ฉันไม่อยากเห็นใครตายอีกแล้ว"

   "อะไรนะครับ"

   ต้นหลิวถามเพราะได้ยินไม่ค่อยชัดซึ่งกวิตากลับส่ายหน้าพร้อมยิ้มหวานมาให้ด้วยความเป็นห่วง

   "ไม่มีอะไรค่ะ ยังไงก็ระวังตัวกันด้วยนะคะ"

   "ครับ"

   แต่ระหว่างที่ทั้งสองคนจะเดินออกไปนั้นกันต์กวินที่วันนี้ไม่ได้ไปหาฟืนที่ตอนแรกนั่งข้างรณกรและพลทัพลุกขึ้นมากระโดดดักหน้าเอาไว้พร้อมรอยยิ้มกว้าง

   "ทั้งสองคนจะไปไหนกันหรอครับ"

   "ไปตามหาไวซ์น่ะครับ"

   ต้นหลิวตอบทำให้กันต์กวินทำตาโตพร้อมกอดแขนแล้วยิ้มกว้างอย่างออดอ้อน

   "ไปกันสองคนเองหรอ~ ผมไปด้วยนะ!"

   "ได้ซิ"

   "ถ้ากันต์ไปผมก็จะไปด้วย"

   รณกรสะพายกล้องพร้อมเดินมากอดคอเพื่อนตัวเล็กแน่น กันต์กวินยิ้มกว้างก่อนจะหันไปชวนพลทัพที่มองสบตามาพอดี

   "นายน่ะ...ไปด้วยกันไหมหรือจะอยู่ที่นี่เฝ้าพวกผู้หญิง"

   "ต้องไปแน่นอนอยู่แล้วก็พวกนายยิงปืนไม่เป็นซักคนไม่ใช่รึไง"

   พลทัพทำท่าทางควงปืนทำให้กันต์กวินเผลอหลุดยิ้มออกมาตรงมุมปากอย่างหมั่นไส้


   'แหวะ! เท่ตายล่ะ!'




   ทั้งห้าคนเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อตามหาวณิชชาที่หายตัวไปอยู่นานหลายชั่วโมงก็ไม่พบเจอจึงเริ่มเดินเข้าไปในป่าที่ลึกกว่าเดิม


   แต่ทว่าเมื่อเดินมาไกลจากที่ป่าตรงนั้นมามากพอสมควรกันต์กวินสังเกตุเห็นตรงใต้ต้นไม้ใหญ่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ลอยห่างจากพื้นและเคลื่อนไหวไปตามแรงลมทิศทางเดียวกับใบไม้


   ซึ่งภาพตรงหน้านั้นทำให้สัญชาตญาณนักข่าวเข้าสิงลองเดินเข้าไปใกล้อย่างสงสัยแม้จะเริ่มตัวสั่นด้วยหวาดกลัวก็ตามแต่ทำได้เพียงแค่ยกมือลูบหน้าอกตัวเองอย่่างแผ่วเบา


  'ไม่ต้องกลัวหรอกน่ะ บางทีอาจจะเป็นใบไม้ก็ได้เนอะ เดินไปซิเจ้าขานี่สั้นแล้วยังจะสั่นอีก!!'



   กันต์กวินฝืนตัวเองให้เดินเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนจะเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นด้านหน้าจนกรีดร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่น


   "ว๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!"


   "มีอะไรหรอกันต์?!!"

   รณกรรีบวิ่งเข้ามาดูคนตัวเล็กที่ยืนตัวสั่นไปหมดแถมดวงตายังเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจรวมถึงคนอื่นก็เดินเข้ามาหาด้วยความสงสัย กันต์กวินตัวสั่นขยับปากที่เริ่มซีดลงพร้อมชี้ไปยังด้านหน้าเต็มไปด้วยอาการสั่นเทาและหวาดกลัว

   "ต...ตรงนั้น! ใช่คุณวณิชชารึเปล่า"
 


*************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 11 [UP 26/02/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 26-02-2019 20:12:40
สืบครั้งที่ 11



   "ต...ตรงนั้น! ใช่คุณวณิชชารึเปล่า"


   "ไหน...เห้ย!"

   ทุกคนต่างมองตามนิ้วของกันต์กวินที่ชี้ขึ้นไปด้านบนก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่แพ้กันโดยเฉพาะต้นหลิวที่พึมพัมอะไรบางอย่างออกมาอย่างแผ่วเบา


   "ว...ไวซ์"

 
   ภาพตรงหน้าที่ทุกคนมองเห็นนั้นคือร่างของวณิชชากำลังห้อยตัวลงมาจากต้นไม้ใหญ่โดยมีเชือกผูกรัดอยู่ตรงบริเวณคอ จากใบหน้าที่สวยเฉี่ยวเหมือนนางแบบจากต่างประเทศกลับกลายเป็นใบหน้าที่ขาวซีด  ปากที่แดงสดตลอดเวลากลับคล้ำลงจนน่าตกใจ ดวงตากลมสวยลืมตาค้างราวกับจ้องมองลงมาด้านล่างด้วยสายตาที่เคียดแค้น มีเสื้อผ้าอยู่ครบทุกชิ้นยกเว้นเท้าอันเปลือยเปล่าเพราะรองเท้าได้ตกลงมาบนพื้น ร่างกายอันแสนบอบบางพริ้วไหวไปตามแรงสายลมแกว่งไปแกว่งมาราวกับใบไม้ก่อนที่เสียงบางอย่างที่คุ้นเคยจะดังขึ้นมาตามสายลมเหมือนจะตอกย้ำในสิ่งที่ตนเคยพูดไป


   "ถ้าต้นหลิวไปไวซ์จะฆ่าตัวตาย"


   "อยากทำอะไรก็เชิญ แล้วแต่เลย"


   "ทำไมล่ะ! ไวซ์พูดจริงและถ้าต้นหลิวยังไม่ฟังไวซ์อยู่อย่างนี้นะ ไวซ์จะฆ่าตัวตาย!"


   "อยากตายนักก็เชิญ!


   'จะฆ่าตัวตาย!'


   'ฆ่าตัวตาย!'



   เสียงที่ดังสะท้อนอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายครั้งทำให้ต้นหลิวยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างแล้วทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

   "ฮึกฮือออ~ ไวซ์!"

   "ใจเย็นก่อนนะต้นหลิว"

   วรภพย่อตัวลงมาลูบหลังอีกฝ่ายให้ใจเย็นด้วยความสงสาร ส่วนกันต์กวินสะกิดให้รณกรถ่ายภาพทั้งที่ตนเองยังแอบอยู่ด้านหลังพลทัพพร้อมดึงเสื้อด้านหลังไว้แน่นทำให้คนโดนดึงหายใจไม่ค่อยออก

   "นี่คุณนักข่าว ปล่อยคอเสื้อผมได้ไหมเดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี"

   "ก...ก็ฉันกลัวนี่!"

   กันต์กวินหน้ามุ่ยพร้อมทำปากยื่นออกมาอย่างน่าหมั่นเขี้ยวทำให้พลทัพเหยียดยิ้มแล้วดึงมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายมากุมมือตัวเองไว้แน่น ส่วนอีกข้างเอามาเกาะตรงแขนตัวเอง

   "แบบนี้เป็นไง"

   "เอ่อ...กลัวเหมือนเดิมนั่นแหละ!"

   กันต์กวินตอบพร้อมสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นทั้งที่แก้มนั้นแดงขึ้นมาด้วยความอายทำให้พลทัพแอบลอบเหยียดยิ้มออกมาขบขันกับคนปากแข็ง



   ส่วนต้นหลิวกำมือแน่นพร้อมกับทุบไปบนพื้นอย่างแรงหลายต่อหลายครั้งพร้อมทั้งเหม่อมองไปยังร่างของวณิชชาที่ห้อยอยู่ด้านบนทำให้น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสายพร้อมกับความสำนึกผิดที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด

   "ฮึก...ไวซ์"

   'ไวซ์จะฆ่าตัวตาย!'

   "ฮึก! ขอโทษ"

   'จะฆ่าตัวตาย!'

   "ผมขอโทษ ฮึกฮือออ~"

   ต้นหลิวก้มหน้าลงไปแนบกับพื้นดินพร้อมกับน้ำตาที่หยดลงมาจนดินด้านล่างนั้นเปียกไปหมด

   "มันเป็นความผิดของผมเอง ผมขอโทษ ฮึก! ไวซ์ ผมขอโทษ ฮึกฮือออ"

   "สงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ ถ้าสติแตกแบบนี้จะช่วยกันชันสูตรพลิกศพและหาหลักฐานในที่เกิดเหตุได้ยังไง ผมยังต้องการผู้ช่วยนะ"

   วรภพลูบหลังอย่างแผ่วเบาด้วยความสงสารอีกฝายจับใจซึ่งต้นหลิวพยักหน้าก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือของคนตรงหน้าไว้แน่น

   "ผม..ฮึก!...อยากจะช่วยคุณหมออีกแรงครับ"

   "งั้นหยุดร้องได้แล้วนะครับ"

   วรภพยิ้มแบบหลอกล่อเด็กพร้อมเอื้อมมือไปเชดน้ำตาอย่างอ่อนโยนทำให้ต้นหลิวเม้มปากแน่นพร้อมกัยพยักหน้ารับคำแล้วเอนหัวซบลงบนไหล่กว้างอย่างหมดแรงทำให้วรภพหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู



    หลังจากที่ต้นหลิวหยุดร้องไห้แล้วทั้งสองก็ปีนขึ้นไปเอาร่างของวณิชชาออกมาจากเชือกและพาลงมาด้านล่างอย่างระมัดระวัง เมื่อนำศพวางไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ววรภพจึงชันสูตรพลิกศพพบว่าผู้เสียชีวิตนั้นเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจโดยที่สมองขาดออกซิเจนเนื่องจากเส้นเลือดบริเวณลำคอถูกรัด ผู้เสียชีวิตมีใบหน้าซีด ริมฝีปากนั้นดำคลั้าโดยลิ้นนั้นจุกปากคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเมื่อคืนตอน 00:00 นาฬิกา  มีแผลถลอกรอบลำคอซึ่งแผลถลอกนั้นเกิดจากเชือกที่แขวนสูงกว่าลูกกระเดือกเฉียงขึ้นไปทางท้ายทอยมีร่องเกลียวแบบเกลียวเชือกชัดมาก



   โดยที่ต้นหลิวนั้นคอยตรวจหาหลักฐานจากสถานที่รอบตัวผู้ตายแต่กลับไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืนมีเพียงรอยเชือกจากการผูกคอตายเท่านั้น  ทำให้ยิ่งทำสีหน้าเสียใจมากยิ่งขึ้นก่อนจะเหลือบไปเห็นตรงมือบางนั้นกำอะไรบางอย่างไว้แน่น   จึงพยายามดึงมือนั้นให้แบออกมาพบสร้อยคอของวิรชาที่ถูกขโมยไปจากตนเองด้วย โดยสภาพศพนั้นกำสร้อยคอไว้แน่นทำให้ต้นหลิวมีสีหน้าที่ซีดเซียวมากกว่าเดิมและมีเสียงของวณิชชาดังก้องขึ้นมาในความคิด


   'ต้นหลิวไม่รู้หรอกว่าคู่หมั้นที่แสนดีของคุณน่ะร้ายกาจขนาดไหน ต้นหลิวแค่โดนหลอกใช้เท่านั้นเอง'


   "ต้นหลิว เป็นอะไรรึเปล่า"

   วรภพถามพร้อมกับจับลงไปตรงหัวไหล่บางทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับชูสร้อยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

   "ผมเจอสร้อยของเวย์อยู่ที่มือของไวซ์น่ะครับ"

   "ถ้าอย่างงั้น..."  วรภพขมวดคิ้วแน่นและสีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด "คนที่ขโมยสร้อยของนายไปคือวณิชชาซินะ"

   "คงจะอย่างนั้นครับ"

   ต้นหลิวพยักหน้าก่อนจะหันไปจ้องดวงตาสวยคู่นั้นที่ไม่สะท้อนภาพอะไรออกมาอีกทำให้อดที่จะใจหายไม่ได้   จึงเอื้อมมือไปปิดตาคู่นั้นอย่างอ่อนโยนพร้อมก้มลงจูบหน้าผากบางเป็นครั้งสุดท้าย

   "หลับให้สบายนะไวซ์"




*******************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 12 [UP 27/02/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 27-02-2019 21:55:39

สืบครั้งที่ 12



   "เอ่อ...คือ...ขอโทษนะครับคุณหมอ"

   กันต์กวินพอเห็นทั้งสองคนน่าจะชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้วจึงแทรกขึ้นมาทำให้วรภพเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ

   "ผมขอทำข่าวเลยได้ไหมครับคุณหมอ"

   "ได้ซิครับ"

   พอได้รับอนุญาติอย่างนั้นทำให้กันต์กวินยิ้มกว้างก่อนจะหันมาพูดกับกล้องด้านหน้าที่รณกรรีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายอย่างรู้งาน

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่ปรากฎอยู่ด้านหลังนี้คือภาพผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการรถไฟระเบิด ผู้เสียชีวิตคือ คุณวณิชชา เพศหญิง อายุ 25 ปี พึ่งเรียนจบและกำลังทำงานเป็นนางแบบนิตยาสารชื่อดังจากต่างประเทศ ซึ่งรายละเอียดและสาเหตุการเสียชีวิตเรามาฟังจากคุณหมอวรภพกันนะครับ"

   "สาเหตุการเสียชีวิตคาดว่าน่าจะมาจากการฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอครับ น่าจะเสียชีวิตตอนเวลา 00:00 นาฬิกา สถานที่พบศพใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ เวลาพบศพ 11:00 นาฬิกา เสียชีวตมาแล้ว 11 ชั่วโมง สาเหตุการเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจเนื่องจากสมองขาดออกซิเจน ริมฝีปากดำคลั้าและลิ้นจุกปาก มีแผลถลอกรอบลำคอซึ่งเกิดจากเชือก มีรอยตั้งแต่ลูกกระเดือกเฉียงขึ้นไปทางท้ายทอยและรอยเชือกที่ชัดเจนมาก"

   พอได้ฟังคำตอบนั้นยิ่งทำให้กันต์กวินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

   "แล้วมีร่องรอยการต่อสู้ไหมครับ"

   "ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ครับ"

   ต้นหลิวตอบยิ่งทำให้กันต์กวินขมวดคิ้วด้วยความสงสัยมากกว่าเดิมตามสัญชาตญาณที่มีในตัวเอง

   "ถ้าฆ่าตัวตายจริงทำไมต้องเลือกต้นไม้ที่สูงขนาดนั้นด้วยล่ะครับ"

   "จะให้เขาไปผูกคอใต้ต้นหญ้ารึไง"

   เสียงกวนประสาทดังมาจากพลทัพที่ยืนกอดอกอยใต้ต้นไม้ทำให้กันต์กวินหันไปแยกเขี้ยวใส่

   "ไปผูกเองเถอะใต้ต้นหญ้าน่ะ"

   "อย่าทะเลาะกันเลยน่า นายออกกล้องอยู่นะกันต์"

   รณกรเตือนทำให้กันต์กวินเลิกทะเลาะแล้วหันมายิ้มให้กล้องแทน

   "หากได้รายละเอียดมากกว่าจะมารายงานให้ท่านผู้ชมได้รับทราบเพิ่มเติมต่อไป ผม กันต์กวิน นักข่าวฝึกหัดรายงาน"

   "เปลี่ยนสีได้รวดเร็วเนอะ"

   พลทัพแหย่อีกฝ่ายเล่นซึ่งมันก็ได้ผลเมื่ออกฝ่ายหันมาแยกเขี้ยวใส่ด้วยความโมโห

   "อย่ามาหาเรื่องนะ!"

   "ใจเย็นน่ะกันต์"

   รณกรกอดคอคนตัวเล็กขี้โมโหแน่นด้วยความหมันเขี้ยวกับแก้มที่พองลมนั้นทำให้พลทัพชักสีหน้าอย่างหงุดหงิดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนวรภพและต้นหลิวกำลังช่วยกันคลุมผ้าห่อศพแล้วแบกกันคนละด้านเพื่อพากลับไปด้วย




   พอกลับไปถึงที่พักทั้งสองช่วยกันประคองวางห่อผ้าลงด้วยความระมัดระวัง ท่ามกลางสายตาของคนที่เหลือซึ่งมองมายังห่อผ้านั้นด้วยความสงสัย
กวิตาหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัดพร้อมกับเดินมาเกาะแขนของกันต์กวินด้วยหัวใจที่เต้นแรงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่ไม่กล้าถามทำให้รวิสราป็นฝ่ายถามแทนด้วยความกลัวที่ไม่ต่างกัน

  "น...ในห่อผ้านั่นคืออะไรหรอคะ"

   "ไวซ์ครับ"

   ต้นหลิวตอบด้วยนำเสียงแผ่วเบาแต่ได้ยินกันชัดทุกคน รวิสราทรุดตัวลงนั่งตรงพื้นอย่างหมดแรง โดยมีกวิตาคอยประครองก่อนที่จะเอามือมาปิดปากตัวเองแน่นเพื่อลดอาการความกลัวพรางแอบลอบมองเวธกาที่เหยียดยิ้มออกมาอย่างสะใจพร้อมแววตาที่พราวระยับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมากมายก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าปกติอย่างรวดเร็วเมื่อกิตติธัชเดินกลับมาพร้อมกับเวทิต พีรัชและรุจรวีที่เดินมาเจอกันระหว่างทางพอดี กิตติธัชมองทุกคนที่ทำหน้าเศร้าหมองรวมไปถึงห่อผ้าสีขาวต้องสงสัยนั่นอย่างจับผิด

   "นั่นอะไร? พวกนายไปเอาอะไรมา"

   "ศพของวณิชชา"

   เวธกาตอบพร้อมกับนวดไหล่ของรวิสราเพื่อนสนิทที่จะเป็นลมแต่สายตากลับแอบลอบมองคนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา

   "วณิชชาแอบหนีไปฆ่าตัวตายตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแล้ว"

   "เธอรู้ได้ยังไงว่าไวซ์ฆ่าตัวตาย"

   ต้นหลิวขมวดคิ้วจ้องมองด้วยสายตาจับผิดตามสัญชาตญาณนักสืบ แต่เวธกากลับเชิดหน้าขึ้นทำท่าทางหยิ่งยโสไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

   "แค่เดาเท่านั้นแหละก็ยัยนั่นขู่ฆ่าตัวตายไม่ใช่รึไง" เชิดหน้ามากกว่าเดิมและปลายตามองต้นหลิวอยางจิกกัด "จะว่าไปนายเองก็เป็นคนที่ไล่ยัยนั่นไปเองไม่ใช่หรอคุณนักสืบ"

   "นี่คุณ!"

   "หยุด!"

   กิตติธัชขัดขึ้นพร้อมกับกอดอกมองศพตรงหน้าอย่างหงุดหงิด

   "ผลการซันสูตรเป็นยังไง"

   "สาเหตุการเสียชีวิตคาดว่าเกิดจากการฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอ สถานที่พบศพใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลจากที่พักพอสมควร  เวลาพบศพ 11:00 นาฬิกา คาดว่าน่าจะเสียชีวิตตอนเวลา 00:00 นาฬิกา เสียชีวตมาแล้ว 11 ชั่วโมง"

   เอื้อมมือไปเปิดผ้าขาวออกมาเผยให้เห็นใบหนาที่ซีดเซียว

   "ผู้เสียชีวิตมีใบหน้าซีด ริมฝีปากนั้นดำคลั้าและลิ้นจุกปาก แผลถลอกรอบลำคอจากเชือก มีรอยเชือกชัดเจนตั้งแต่ลูกกระเดือกเฉียงขึ้นไปทางท้ายทอยและไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน หลักฐานทุกอย่างบ่งบอกชัดเจนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย"

   "ฆ่าตัวตายเพราะความหึงหวงเนี่ยนะ เหอะ!" กิตติธัชขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดมากกว่าเดิม "ถ้าจะตายแบบนี้ก็ไม่น่าจะช่วยชีวิตตั้งแต่แรกเลย"

   "ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะคะกิต คุณเป็นตำรวจนะ"

   รวิสราขัดขึ้นมาอย่าไม่ชอบใจที่เห็นคู่หมั้นไปดูถูกคนที่ตายไปแล้วทำให้อีกฝ่ายนั้นหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

   "ฮะฮะ ผมรู้ตัวดีว่าผมคือใครไม่เหมือนคุณที่ไม่รู้เลยว่าพ่อคนดีของคุณทำอะไรไว้บ้าง!"

   "ธัช..."

   "อย่ามาเรียกแบบนั้น! แล้วผมเองก็ไม่เคยคิดอยากจะหมั้นกับคุณตั้งแต่ที่รู้ว่าคุณเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น! ผู้ชายที่ทำลายครอบครัวคนอื่นเขาน่ะ"

   กิตติธัชตะคอกเสียงดังลั่นทำให้รวิสราน้ำตาคลอเบ้าพร้อมกับเดินมาหยุดตรงหน้าผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของตนเอง

   "ถ้าคุณไม่คิดอยากจะหมั้นตั้งแต่แรก ถ้าอย่างงั้น..."

   ก้มหน้าลงไปมองแหวนที่อยู่ตรงนิ้วนางของตนเองแล้วถอดออกมาก่อนจะยื่นไปให้คนด้านหน้าที่ยังมีสีหน้านิ่งเฉยไม่ยอมเอื้อมมือมารับ

   "คุณเอาแหวนหมั้นของเราคืนไปเถอะค่ะ มันคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว"

   "หึ!"

   กิตติธัชหัวเราะในลำคอแต่ไม่ยอมเอื้อมมือออกไปรับซักที

   "ทำไมต้องคืน มันไม่จำเป็นเพราะผมให้คุณไปแล้ว"

   "นั่นซินะ..."

   เกร็ง!

   "มันเองก็ไม่จำเป็นกับฉันอีกต่อไปแล้วเหมือนกัน"

  รวิสราปาแหวนทิ้งลงพื้นกระเด็นหายเข้าไปในพุ่มหญ้าทำให้ทุกคนเบิกตากว้างไม่เว้นแม้แต่กิตติธัชที่นิ่งค้างซักพักก่อนจะคว้าข้อมือบางมาจับไว้แน่นด้วยความโมโห

   "รวิ! กล้ามากนะที่ทิ้งแหวนหมั้นของฉัน!"

   "คุณเองก็ไม่อยากได้ไม่ใช่หรอคะ"

   รวิสราจ้องหน้ากลับด้วยความโกรธเคืองทั้งทน้ำตายังคลอเบ้า

   "ในเมื่อทั้งสองคนไม่มีใครอยากได้ก็แค่โยนทิ้งไปเท่านั้นเอง"

   "เหอะ! ร้ายกาจเหมือนพ่อไม่มีผิด"

   กิตติธัชทิ้งข้อมือบางอย่างแรงทำให้รวิสราล้มลงไปกระแทกบนพื้น

   "ดีเหมือนกันฉันเองก็ขี้เกียจปั้นหน้าทำเป็นรักเธออีกต่อไปแล้ว...มันจะอ๊วก!"

   "กิต! มากเกินไปแล้วนะ!!!"

   เวธกาขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจพร้อมนั่งลงจับไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนที่เริ่มสั่นเทาแต่กิตติธัชกลับไม่สนใจแถมเดินหนีไปจัดการกับกองไฟอย่างอารมณ์เสียทิ้งให้รวิสรานั่งร้องไห้คนเดียวด้วยความเสียใจ



************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 12 [UP 27/02/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 28-02-2019 06:48:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 13 [UP 07/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 07-03-2019 22:08:41


สืบครั้งที่ 13




   ส่วนทุกคนที่เหลือไม่กล้าที่จะพูดอะไรยกเว้นกวิตาที่เดินเข้ามาลูบหลังคนที่กำลังร้องไห้พร้อมปลอบโยนด้วยความสงสาร

   "อย่าร้องไห้เลยนะคะคุณรวิ แค่ผู้ชายคนเดียวเข้มแข็งเข้าไว้นะคะ"

   "ฮึกฮือออ"

   "มาปลอบคนอื่นแบบนี้เคยมีคนรักรึไง"

   เวธกาพูดขึ้นด้วยความหมั่นไส้ทำให้กวิตาก้มหน้าลงพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย

   "เคยมีซิคะ คนรักของฉันเป็นคนขับรถไฟขบวนนี้เลยล่ะค่ะ"

   "โอ้! ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย"

   กันต์กวินร้องออกมาอย่างประหลาดใจพร้อมแววตาระยิบระยับล้อเลียนเต็มที่

   "แล้วคนรักของวิตาเป็นยังไงบ้าง"

   "เขาเป็นคนดีมากเลยล่ะทั้งสุภาพอ่อนโยนและขยันทำงาน ชอบเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองแถมยังซื่อบื้ออีกต่างหาก ฮะฮะ"

   เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นก่อนที่ใบหน้าจะเปลยนเป็นเศร้าหมอง

   "แต่น่าเสียดายที่เขาตายแล้ว"

   "ไม่หรอก! เดียวก็หาเจอ"

   กันต์กวินยิ้มกว้างอย่างให้กำลังใจแต่กวิตากลับหน้าตาเศร้าหมองมากกว่าเดิม

   "หาไม่เจอหรอกเพราะเขาตายก่อนที่รถไฟจะระเบิดซะอีก"

   ก้มหน้าลงพร้อมหยิบแหวนเงินวงเล็กที่เรียบไม่หรูหราแต่มีค่าต่อจิตใจ

   "น่าเสียดายทั้งที่เรากำลังจะแต่งงานกันแต่เขากลับตายเพราะความใจดีของเขา"

   "หมายความว่ายังไง"

   ก้นต์กวินถามด้วยความสงสัยตามสัญชาตญาณนักข่าวแต่กวิตากลับเงยหน้าขึ้นมาสบตาทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าฉายแววเจ็บปวดมากที่สุด

   "เขาถูกแทงตายในห้องเดียวกันกับคุณรติกร...คุณพ่อของคุณรวิ"

   "คุณพ่อ~ ฮึก!"

   รวิสราสูดลมหายใจเข้าไปอย่างแรงก่อนจะคว้าตัวกวิตามากอดไว้แน่นด้วยความรู้สึกผิด

   "ขอโทษ~ ขอโทษนะวิตาที่พ่อฉันเป็นสาเหตุทำให้คนรักของเธอต้องตาย"

   "ไม่เป็นไรค่ะ อย่าร้องไห้เลยนะคะคุณรวิ"

   กวิตาลูบคอยปลอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนก่อนจะเหลือบไปเห็นเวธกาที่มองมาอย่างร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ทำให้ตนเองนั้นตัวสั่นไปทั้งตัวแต่ทว่ามีเสียงของกันต์กวินขัดขึ้นมาด้วยความสงสัย

   "แล้วรวิรู้ได้ยังไงว่าคู่หมั้นโดนฆ่าตาย"

   "คือฉัน..."

   เผลอไปสบตาเวธกาที่จ้องเขม่นทำให้รีบก้มหน้าหลบสายตาด้วยความหวาดกลัว

   "บอกไม่ได้หรอกค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ"

   "เอาเถอะน่าไม่เป็นไรหรอก เรามาสนใจนี่กันดีกว่า"

   รุจรวีโบกไม้โบกมือพร้อมชวนเปลี่ยนเรื่องโดยการชูเห็ดขึ้นมาอวด

   "วันนี้เราจะได้กินเห็ดย่างกันด้วยล่ะ!"

   "ไปหามาจากไหนเนี่ย"

   กันต์กวินเดินเข้ามาดูอย่างสนใจทำให้รุจรวียิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นราวกับเด็กที่กำลังอวดของ

   "ริมลำธารน่ะไม่มีพิษแน่นอน...งั้นมาช่วยกันทำอาหารเถอะ"

   รุจรวีลากกันต์กวินให้เอาเห็ดเสียบไม้จะได้เอาไปปิ้งโดยมีต้นหลิวคอยช่วยอีกแรง ทำให้เย็นวันนี้ทุกคนได้กินปลาย่างกับเห็ดปิ้งอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่จะเริ่มเอนตัวนอนบนพื้นไปอย่างัวเงียมึนงงคล้ายคนเมาไปทีละคนเหลือแต่กวิตาที่ทานเข้าไปเล็กน้อยกำลังนั่งห่มผ้าให้รวิสราอยู่นั้นก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงดังมาจากด้านหลัง

   "กวิตา"

   "อ๊ะ! คุณเกล"

   กวิตาหันไปพบเวธกาที่มีสีหน้าซีดเซียวทำให้เลิกคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจ

   "คุณเกลเป็นอะไรรึเปล่าคะ"

   "ฉันปวดท้องมากเลย ไปเป็นเพื่อนหน่อยซิ"

   เวธกากุมท้องหน้าซีดอย่างน่าจะหนักทำให้กวิตาใจอ่อน

   "ได้ซิค่ะ"

   "งั้นไปกันเถอะ"

   ทั้งสองคนเดินหายออกไปจากที่พักเข้าไปในป่าที่มืดมิด   ผ่านไปไม่นานนักเวธกาดันเดินกลับมาเพียงคนเดียวซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่กิตติธัชลืมตาขึ้นมามองพอดี

   "ดึกดื่น...ขนาดนี้ออกไปไหนมา~"

   "กิต? ยังไม่นอนอีกหรอ"

   เวธกาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนซึ่งกิตติธัชที่กำลังไม่ค่อยมีสตินั้นขมวดคิ้วแน่นด้วยความหงุดหงิด

   "จะนอน~ ได้ยังไงล่ะฉันต้องเฝ้ายามนี่~"

   "ไปนอนเถอะน่ะ"

   เวธกาจับแขนพยายามดันอีกฝ่ายให้ล้มตัวลงนอนแต่อีกฝ่ายกลับขืนตัวเอาไว้อย่างดื้อดึง

   "ไม่นอน! จะนอนได้ยังไงกันล่ะ~"

   "ดื้อจัง! หรือจะให้จุ๊บก่อนนอนเหมือนเด็กดีไหมคะ"

   เวธกายื่นหน้าเข้าไปใกล้ซึ่งอีกฝ่ายก่อนจะประกบจูบซึ่งอีกฝ่ายดันตอบรับจูบนั้นกลับมาด้วยความมึนเมาทำให้ทั้งสองคนจูบกันนานหลายต่อหลายครั้งจนกิตติธัชจะล้มตัวลงนอนหมดสติด้วยความมึนเมาแต่ยังละเมอขึ้นมาไม่หยุด

   "เฝ้ายาม~"

   "เหมือนเด็กน้อยเลยนะธัช~ น่ารักแบบนี้จะไม่ให้เกลหลงรักคุณได้ยังไงล่ะ"

   เวธกาก้มลงไปแนบจูบอีกฝ่ายหลายครั้งจนพอใจก่อนจะปรายสายตาลอบมองไปยังใครบางคนที่นอนตัวสั่นพยามกลั้นเสียงเอาไว้ไม่ให้หลุดออกไปทั้งที่น้ำตานั้นไหลอาบแก้มทั้งสองข้างพร้อมทั้งพยายามข่มตาตัวเองให้หลับลงอย่างยากลำบาก



    ขณะเดียวกันนั้นมีใครบางคนกำลังวิ่งหนีในป่าสุดกำลังทั้งที่ตอนนี้มึนงงและวิงเวียนไปหมด

   ตึก ตึก!

   "ช่วยด้วย! ช่วยด้วย"

   เสียงที่ร้องเรียกขอความช่วยเหลืออย่างหวาดกลัวเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่างที่ไล่ตามหลังมาก่อนจะสะดุดขอนไม้ล้มหน้าคว่ำลงไปกับพื้นดินอย่างแรง

   ตุ๊บ!

   "โอ๊ย! ฮึกฮืออ~"

   ร้องไห้โฮออกมาอย่างหมดหวังพร้อมกับจ้องมองคนที่เดินแหวกพุ่มไม้มาจากด้านหลังซึ่งมาพร้อมกับมีดที่ปลายแหลมด้ามคมสะท้อนเข้ากับแสงจันทร์ทำให้เหยื่อนั้นต้องยกมือขึ้นมาขอร้องอย่างน่าสงสาร

   "ฮึกฮืออ...ขอร้องล่ะ อย่าฆ่าฉันเลย"

   "โธ่~ กวิตาผู้น่าสงสาร"

   เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเหยียดยิ้มออกมาตรงมุมปากอย่างโหดเหี้ยม

   "เธอรู้มากเกินไป"

   "ฉันจะไม่บอกใคร"

   กวิตาตัวสั่นพร้อมกระเถิบถอยหลังด้วยความหวาดกลัวทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาดังลั่น

   "ฮะฮะเฮอะ~"

   คนตรงหน้าทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับจับไหล่บางแน่นก่อนจะเงื้อมีดขึ้นมาปลายด้านคมสะท้อนอีกครั้งนั่นเป็นภาพสุดท้ายที่กวิตาได้มองเห็น

   "สายเกินไปแล้ว"

   ฉึก!

   "อึก!"

   ปลายมีดกดทะลุเข้ามาตรงหน้าอกทะลุไปด้านหลังปักลงดินเป็นรอยแผลกว้าง เลือดไหลลงไปตามมีดซึมลงพื้นดิน แต่กวิตายังไม่ได้ตายทันทีกลับร้องไห้และพยายามเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือแม้ว่าจะแผ่วเบาเจือปนไปด้วยความเจ็บปวด

   "ฮึกฮืออ~ ช่วยด้วย...ช่วย...ด้วย"

   "หลับตาซะ จะได้ไม่ต้องเจ็บมาก"

   เหยียดยิ้มอย่างเวทนาเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไปปล่อยให้กวิตานอนร้องไห้อยู่ตรงนั้นท่ามกลางบรรยากาศแสงจันทร์ในป่าอันกว้างใหญ่

   "ฮึก! ฮือออ~"

   กวิตาทำได้เพียงกระพริบตาไปมาก่อนหลับตาลงอย่างหมดแรงและทำใจยอมรับชะตากรรม รับรู้ถึงบาดแผลที่เริ่มเจ็บปวดขึ้นมาพร้อมกับลมหายใจที่หมดสิ้นสุดลงราวกับร่างที่ถูกทิ้งให้นอนอยู่ตรงนั้นอย่างน่าสงสาร




************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 13 [UP 07/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 08-03-2019 15:53:20
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 13 [UP 07/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-03-2019 17:07:12
เวธกาต้องมีส่วนรู้เห็นแน่
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 14-17 [UP 10/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 09-03-2019 23:56:51
สืบครั้งที่ 14



   วันต่อมาทุกคนต่างทะยอยตื่นจากการหลับไหล ซึ่งสิ่งแรกที่รับรู้ได้คือความมึนงงและปวดหัวอย่างรุนแรงโดยเฉพาะรุจรวีที่ทานเห็ดเข้าไปเยอะมากที่สุด

   "งื้อ~ ทำไมปวดหัวจัง"

   "นายดันเก็บเห็ดเมามาน่ะซิ!"

   เวทิตนั้นโวยวายขึ้นมาแต่มือยังยื่นกระบอกน้ำไปให้ซึ่งอีกฝ่ายกลับเชิดหน้าไม่ยอมรับกระบอกน้ำนั้นจนคนถือเริ่มโมโห

   "รุจ! กินน้ำเข้าไปให้เยอะจะได้ล้างสารพิษ"

   "เชอะ!"

   รุจรวีสะบัดหน้าหนีแต่ยอมรับกระบอกน้ำมาถือพรางมองไปรอบตัวไม่เห็นผู้ชายคนอื่นนอกจากคนตรงหน้าซักคนจึงถามอย่างสงสัย

   "คนอื่นล่ะหายไปไหนหมด รวมถึงพี่รัชด้วย"

   "ไปตามหากวิตา"

   พอได้ยินคำตอบนั้นยิ่งทำให้รุจรวีขมวดคิ้วอย่างสงสัยมากกว่าเดิมพร้อมความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก

   "วิตาหายตัวไปหรอ"

   "อืม"

   เวทิตตอบคำถามในลำคอนั่นทำให้รุจรวีนั้นเริ่มกังวลหนักกว่าเดิม

   "ขออย่าให้เป็นอะไรไปอีกคนเลย"

   "หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน"

   ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างเป็นกังวลและลางสงหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้




   ทางด้านของกลุ่มที่ออกมาตามหากวิตาที่หายตัวไปจากที่พักตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ซึ่งกันต์กวินเป็นห่วงมากเพราะเป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก แต่ทว่ากลับหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบและในระหว่างที่กำลังหมดหวังอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงกิตติธัชดังขึ้นมาจากหลังพุ่มไม้

   "เจอตัวแล้ว"

   "จริงเหรอ!"

   กันต์กวินรีบแหวกพุ่มไม้เข้าไปอย่างรวดเร็วตามด้วยคนอื่นก่อนจะชะงักเบิกตาโพลงพร้อมรอยยิ้มกว้างนั้นหายไปเหลือแต่แววตาที่จ้องมองไปภาพด้านหน้าอย่างหวาดกลัว

   "ว...วิตา"

   กันต์กวินพยายามเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับควบคุมจังหวะหัวใจไม่ให้เต้นแรงไปมากกว่าเดิมก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างศพของกวิตาที่เริ่มซีดเซียวไปทั้งตัวทำให้หวีดร้องตะโกนเรียกชื่อออกมาพร้อมเขยาตัวอีกฝ่ายด้วยความเสียใจ

   "กวิตา!!!"

   "ไม่เอาน่ะกันต์"

   รณกรเดินเข้าไปจับไหล่พร้อมพยายามพากันต์กวินให้ออกห่างจากศพเพื่อให้วรภพและต้นหลิวเข้าไปชันสูตรพลิกศพ


   จุดที่พบศพห่างจากที่พักไม่ไกลนัก สภาพศพพบบาดแผลถูกแทงเกิดจากวัตถุมีคมแทงลงไปกลางอกเข้าหัวใจทะลุปักลงดินด้านหลังจนมิดด้าม ทำให้เสียเลือดมากและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ใบหน้าผู้เสียชีวิตซีดเซียว ดวงตาดำคล้ำเช่นเดียวกับริมฝีปากที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ เนื้อตัวเย็นเฉียบไม่มีความอุ่นกล้ามเนื้อเกิดการแข็งตัวเต็มไปทั้งตัว เริ่มมีรอยคล้ำตามร่างกายและมีการบวมอืด แต่ยังมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งรอบกายทำให้เวียนหัวจนอยากอาเจียน คาดว่าน่าจะเสียชีวิตเวลา 23:30 นาฬิกา เวลาพบศพตอน 10:30 นาฬิกา รวมเวลาเสียชีวิตทั้งหมด 12 ชั่วโมง

   ต้นหลิวครวจสอบพบว่าบริเวนโดยรอบมีร่องลอยการวิ่งหนี และหลักฐานชิ้นสำคัญคือมีดที่ปักอยู่ตรงหน้าอกนั้น ลักษะและความยาวเหมือนมีดของ...

   "วรภพ...นี่ใช่มีดของนายรึเปล่า"

   "ใช่"

   วรภพตอบรับทำให้ทุกคนในที่ตรงนั้นมองอย่างไม่ไว้วางใจแต่วรภพกลับไม่ได้ร้อนตัวอะไรทั้งนั้น

   "เมื่อไม่กี่วันมานี้มีดผ่าตัดฉันหายไปเล่มหนึ่งแต่ไม่คิดว่าคนร้ายจะเอามาปักอยู่ตรงนี้"

   "พวกเราจะแน่ใจได้ยังไงว่านายไม่ใช่คนร้ายที่ฆ่ากวิตา" กิตติธัชกอดอกมองหน้าอย่างจับผิด "หรืออาจจะเป็นคนฆ่าศพที่ผ่านมาด้วยก็ได้"

   "ไม่หรอก"

   ต้นหลิวขัดขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของตำรวจคนเดียวในที่นี่

   "ไม่มีใครในที่นี่จะเชี่ยวชาญในการชันสูตรศพเท่าหมอวรภพอีกแล้ว คุณเองเป็นตำรวจซะเปล่าก็ไม่ควรจะด่วนสรุปอะไรรวดเร็วขนาดนี้นะ"

   "งั้นนายหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้รึเปล่าว่าหมอวรภพไม่ได้เป็นฆาตกร"

   กิตติธัชมองตากับต้นหลิวที่อีกฝ่ายจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน

   "แน่นอน! ข้อแรก รอยมีดที่ปักลงไปแม้จะทะลุไปด้านหลังแต่ทว่าบาดแผลกลับไม่ฉีกขาดมากแสดงว่ามีแรงและรูปร่างใกล้เคียงกับผู้เสียชีวิต ข้อสองร่องรอยบริเวนโดยรอบศพนั้นมีร่องลอยการวิ่งหนีเพียงอย่างเดียวและพบรอยเท้ามีขนาดเท่ากับคดีของคุณรุ้งพรายด้วย และข้อสุดท้ายเมื่อคืนวรภพนอนอยู่ด้านข้างให้ฉันหนุนแขนทั้งคืน!!!"

   "เอ่อ..."

   คำตอบนั้นทำให้ทุกคนนิ่งลงไม่ได้มองด้วยสายตาหวาดระแวงอีกต่อไปแต่กลับมีสายตาล้อเลียนปรากฏขึ้นมาแทนทำให้ต้นหลิวกระทืบเท้าย่ำอยู่กับที่อย่างขัดใจ

   "ไม่ต้องมาทำสายตาล้อเลียนกันอย่างนั้นเลยนะ! คนเมาน่ะเข้าใจไหม"

   "หึ! งั้นจัดการชันสูตรศพให้เสร็จเรียบร้อยก็แล้วกัน"

   กิตติธัชส่งเสียงในลำคอแล้วเดินกลับไปยังที่พักโดยมีพีรัชที่ยังไม่ได้พูดอะไรเดินตามไปด้านหลังด้วยสีหน้าและท่าทางที่เป็นกังวล ส่วนกันต์กวินหลังจากหยุดร้องไห้แล้วก็เช็ดน้ำตาพร้อมกับจ้องไปที่วรกรด้วยความหวัง

   "คุณหมอไม่ใช่ฆาตกรแน่ใช่ไหม"

   "แน่นอน"

   "งั้นช่วยร่วมมือในการทำข่าวของผมด้วยนะครับ"

   กันต์กวินสูดลมหายใจเข้าปอดเสียงดังแล้วหันมายังกล้องที่รณกรยกขึ้นมาเตรียมถ่ายไว้เรียบร้อย

   "คุณผู้ชมครับ ภาพที่คุณผู้ชมได้รับชมด้านหลังอยู่ในขณะนี้คือภาพเหตุการณ์ฆาตกรรม ซึ่งผู้ตายคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการรถไฟระเบิด ผู้เสียชีวิตคือ คุณกวิตา เพศหญิง อายุ 25 ปี มาทำงานในเมืองกำลังจะกลับบ้านที่เชียงใหม่และเป็นคนรักของคนขับรถไฟที่เจ้าตัวให้ปากคำว่าถูกฆาตกรรมก่อนที่รถไฟจะตกรางและเกิดเหตุระเบิดขึ้น สาเหตุการเสียชีวิตเราจะไปสอบถามกับคุณหมอวรภพคนเดิมครับ สวัสดีครับคุณหมอ"

   "สวัสดีครับ สาเหตุการเสียชีวิตครั้งนี้มาจากการถูกมีดแทงตรงกลางหน้าอกตรงกับหัวใจทะลุปักลงดินด้านหลังจนมิดด้าม ทำให้เสียเลือดมากและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ใบหน้าผู้เสียชีวิตซีดเซียว ดวงตาและริมฝีปากดำคล้ำ เนื้อตัวเย็นเฉียบกล้ามเนื้อเริ่มแข็งตัว เริ่มมีรอยคล้ำและการบวมอืดตามร่างกาย บริเวนโดยรอบมีร่องลอยการวิ่งหนี และหลักฐานชิ้นสำคัญคือมีดทีมีลักษณะเป็นมีดผ่าตัดของผมที่หายไปเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา จุดที่พบศพห่างจากที่พักไม่ไกลนัก คาดว่าน่าจะเสียชีวิตเวลา 23:30 นาฬิกา พบศพตอน 10:30 นาฬิกา รวมเวลาเสียชีวิตทั้งหมด 12 ชั่วโมง ทางเราจะยายามเก็บหลักฐานและหาตัวคนร้ายต่อไป"

   พอได้รับคำตอบอย่างนั้นกันต์กวินจึงฉีกยิ้มกว้างให้กล้องอย่างพึงพอใจ

   "ขอให้ดวงวิญญาณของวิตาและดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตทุกดวงไปสู่สุขติ ไม่มีวันที่ฉันจะลืมเพื่อนที่ดีอย่างเธอเลย หลับให้สบายนะวิตาเพื่อนรัก ผม กันต์กวิน นักข่าวฝึกหัดรายงาน"

   แปะ! แปะ!~

   เสียงตบมือดังขึ้นจากพลทัพที่ยืนดูอยู่ตั้งแต่แรกโดยที่ครั้งนี้ไม่ได้มีท่าทางกวนประสาทแต่อย่างใดทั้งนั้นแถมริมฝีปากยังเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจอีกต่างหาก

   "พึ่งเคยเห็นแววนักข่าวในตัวนายก็วันนี้เนี่ยเหละ เยี่ยมยอดมากคุณนักข่าว"

   "แน่นอน!"

   กันต์กวินยิ้มตอบไม่ยอมเถียงเหมือนเคยซึ่งดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเริ่มดีขึ้นมา...

   "จะดูเป็นมืออาชีพกว่านี้ถ้าไม่ร้องไห้ขึ้มูกโป่ง"

   "พลทัพ!!!"

   ...มาเพียงนิดเดียว

   "พวกนายจะทะเลาะกันไปถึงไหนเนี่ย"

   รณกรลูบผมของตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายพอหันมาอีกทีเห็นวรภพและต้นหลิวกำลังเก็บหลักฐานกันและช่วยห่อผ้าคลุมศพเอาไว้เพื่อพากลับไปที่พักด้วย


**************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 14-17 [UP 10/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 10-03-2019 00:06:43
สืบครั้งที่ 15



   หลังจากนั้นทั้งหมดจึงพากันเดินกลับมายังที่พักซึ่งพอวางร่างของกวิตาลงกับพื้นเรียบร้อยแล้วรวิสรารีบวิ่งเข้ามากอดร่างไร้วิญญาณนั้นทั้งน้ำตา

   "ฮึก! คุณวิตา ฮือออ~"

   "คนตายไปแล้วจะร้องไห้อะไรกันนักกันหนาหะรวิ"

   เวธกาเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งพรางมองร่างของกวิตาด้วยแววตาสมเพชเวทนา

   "คนรู้มากก็พบจุดจบแบบนี้แหละ"

   "ดูคุณไม่รู้สึกเสียใจเหมือนคนอื่นเลยนะครับ"

   ต้นหลิวจ้องมองอย่างไม่ชอบใจพร้อมลอบจับผิดพฤติกรรมซึ่งอีกฝ่ายกลับแกล้งไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

   "เสียใจแล้วได้อะไรขึ้นมาก็คนตายไปแล้วน่ะหะจะหาเรื่องฉันรึไงคุณนักสืบ"

   "แล้วคุณมีเรื่องให้ผมหาไหมล่ะ"

   ต้นหลิวถามกลับอย่างกวนประสาททำให้เวธกากำมือแน่นด้วยสายตาที่ร้ายกาจ

   ระหว่างที่ฝั่งนู้นกำลังทะเลาะกันอยู่นั้นรุจรวีก็นั่งจ้องพีรัชซึ่งนิ่งเงียบกว่าปกติแถมเหมือนกังวลอะไรบางอย่าง

   "พี่เป็นอะไรรึเปล่า"

   "พี่ไม่เป็นอะไรหรอก ถามทำไมหรอรุจ"

   พีรัชหันมาถามอย่างสงสัยพยายามไม่ทำหน้าหวาดกลัวออกมาซึ่งรุจรวีเองก็ยักไหล่ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยรอยยิ้ม

   "รุจเห็นพี่รัชดูเครียดก็เลยถามดูน่ะครับ"

   "พี่ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องเป็นห่วงนะ"

   พีรัชลูบผมคนตัวเล็กอย่างเอ็นดูโดยมีเวทิตนั่งดูอยู่อย่างหมั่นไส้   ทางด้านรณกรก็เดินมาจะเตรียมอาหารเย็นแต่ทว่าปลานั้นมีจำนวนไม่เพียงพอทำให้ต้องบอกให้ทุกคนรู้อย่างลำบากใจ

   "โอ๊ะโอ ปลามีแค่นี้เองคงไม่พอสำหรับอาหารเย็นนี้แน่ครับ"

   "จะไม่พอได้อย่างไร! ฉันไม่กินไม่ได้หรอกนะและนี่ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้วด้วย!!!"

   เวธกากอดอกพร้อมเชิดหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจตนเองทำให้กันต์กวินแอบเบะปากใส่

   "ถ้าไม่พองั้นผมไม่ทานก็ได้นะ"

   "ไม่ได้นายต้องทานข้าว"

   พลทัพดุทันทีทำให้กันต์กวินหน้ามุ่ยลงตั้งท่าจะเถียงแต่ถูกพีรัชขัดจังหวะเสียก่อน

   "งั้นเดี๋ยวผมออกไปหาอาหารมาเพิ่มเองครับ"

   "จะดีหรอครับ"

   รณกรถามด้วยความเกรงใจทำให้อีกฝ่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

   "ดีซิครับ"

   "งั้นขอบคุณนะครับ"

   ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนที่พีรัชจะหันไปชวนรุจรวีที่นั่งอยู่ด้านข้าง

   "เดี๋ยวรุจไปกับพี่นะ"

   "อ๋อ...ได้ครับ"

   รุจรวีพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ก่อนที่เวธกาจะนั่งกอดอกพูดขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจตัวเอง

   "รีบไปรีบมานะ! ฉันหิว"

   "อืม"

   พีรัชตอบรับแต่ไม่ค่อยสบสายตาอีกฝ่ายเท่าไหร่ ก่อนจะหันไปสนใจวรภพที่พูดแทรกขึ้นมา

   "เดี๋ยวผมจะเตรียมเนื้อปลาไว้ก่อนครับ"

   "ได้ครับ"

   พีรัชตอบรับก่อนจะเตรียมข้าวของให้รุจรวีเพื่อจะออกเดินทางโดยมีรวิสรายืนส่งอย่างเป็นห่วง

   "ระวังตัวกันด้วยนะคะ"

   "ครับ"

   พีรัชยิ้มรับก่อนจะหันไปเร่งคนตัวเล็กที่เตรียมของไม่เสร็จซักที

   "ไปกันเถอะรุจ"

   "คร๊าบบ"

   ทั้งสองเดินหายเข้าไปในป่าแต่ทว่ารุจรวีกลับลืมถุงยาพ่นหืดหอบเอาไว้ทำให้ต้นหลิวแอบเดินตามไปด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย


   'ที่ตามไปก็แค่ไม่อยากให้มาตายที่นี่เท่านั้นเอง...ไม่ได้เป็นห่วงหรอก!'





   ส่วนวรภพต้องมาเป็นคนนั่งเร่เนื้อปลาที่เหลือเพียงคนเดียวโดยมีต้นหลิวนั่งเท้าคางจ้องหน้าจ้องตาอีกฝ่ายไม่ละสายตาไปไหนจนคนถูกมองเริ่มรำคาญ

   "รู้สึกไม่สบายหรอครับคุณต้นหลิว"

   "ผมสบายดีนะ ทำไมหรอครับ"

   ต้นหลิวนั่งเท้าคางจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังนั่งหี่นเนื้อปลาอย่างเชี่ยวชาญ

   "เห็นนั่งจ้องหน้าผมตั้งนานแล้วนึกว่าจะไม่สบายซะอีก"

   "ฉันดูนายหั่นเนื้อนั่นต่างหาก"

   คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้วรภพแปลกใจอะไรเท่าไหร่นัก

   "อืม"

   "นายดูถนัดใช้มีดดีนะ"

   ต้นหลิวสังเกตุการจับมีดและการผ่าเฉือนเนื้อของอีกฝ่ายอย่างจับผิดมากขึ้น คมมีดที่ผ่านเข้าไปในตัวเนื้อปลามันดูง่ายดายยิ่งกว่าพ่อครัวที่ทำอาหารเป็นเสียอีก

   "ก็ผมเป็นหมอนี่ครับ"

   "แล้วคุณเคยเอามีดแทงคนไหม"

   คำถามนั้นทำให้คนที่เร่เนื้อปลาอยู่ชะงักมือพร้อมกับเหลือบตามามองคนช่างจับผิดอย่างเจ้าเล่ห์

   "อยากลองไหมล่ะครับ"

   ฟึบ!

   "เห้ย!!!"

   ต้นหลิวหลบคมมีดที่สวนเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นด้วยความตกใจก่อนที่จะจ้องมองวรภพที่หัวเราะอย่างขบขัน

   "ฮะฮะฮะ ผมล้อเล่นครับ"

   "ล้อเล่นอะไรล่ะ!"

   ต้นหลิวโวยวายใส่วรภพที่ยังหัวเราะไม่เลิกก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำถามรู้ทันจากอีกฝ่าย

   "คุณกำลังสงสัยว่าผมเป็นคนร้ายซินะ"

   "เปล่า..."

   ต้นหลิวส่ายหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายพูดจริงจังที่สุดเท่าที่รู้จักกันมา

   "ผมเป็นหมอนะครับไม่มีสิทธิ์ที่จะฆ่าคนแบบนั้นหรอก"

   "เอ่อ..."

   ต้นหลิวชะงักก่อนจะจ้องมองวรภพพูดต่อด้วยท่าทางที่จริงจังมากกว่าเดิม

   "ผมเรียนหมอเพื่อช่วยชีวิตคน...ไม่ใช่ฆ่าคน"

   "ผมขอโทษ"

   ต้นหลิวก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่ายที่มองมาอย่างไม่ได้โกรธอะไรมากมาย

   "ทำไมถึงคิดว่าผมเป็นคนร้าย"

   "ทุกคนในที่นี้มีสิทธิ์เป็นคนร้าย"

   คำตอบนั้นทำให้วรภพเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ

   "หืม?"

   "คนทุกคนในนี้มีสิทธิ์จะเป็นคนร้ายมากที่สุดไม่เว้นแม้กระทั่งตัวฉันเอง"

   ต้นหลิวเหลือบไปมองศพของวณิชชาที่นอนอยู่ด้านขวาของศพรุ้งพรายและกวิตาด้วยสายตาของความเสียใจปนไปด้วยความสำนึกผิด

   "เพราะฉะนั้นเราไม่ควรไว้ใจกัน"

   "แต่เราควรจะเชื่อใจกันไม่ใช่หรอ"

   คำถามของวรภพทำให้ต้นหลิวชะงักก่อนส่ายหน้าไปมาอย่างลำบากใจ

   "ฉันเชื่อใจใครไม่ได้หรอก นายเองก็เหมือนกัน"

   "แต่ผมเชื่อใจ...ถ้าเราร่วมมือกันจะต้องหาตัวคนร้าย หาคู่หมั้นของคุณและออกไปจากที่นี่ได้แน่"

   วรภพเอื้อมมือไปจับมือบางไว้อย่างแผ่วเบาทำให้ต้นหลิวเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองแบบไม่ละสายตา

   "หมอ..."

   "เราต้องออกไปจากที่นี่พร้อมกัน"

   วรภพพูดแทรกขึ้นมาด้วยแววตาและสีหน้าที่จริงจัง

   "ตกลงไหม"

   "อืมม"

   ต้นหลิวพยักหน้าพร้อมทั้งยิ้มให้อย่างน่ารักทำให้วรภพลูบผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู




   ทางด้านของพีรัชก็พารุจรวีเดินตามเส้นทางที่คุ้นเคยอย่างรีบร้อนจนคนตัวเล็กโวยวายเสียงดังเพราะเดินตามไม่ทัน

   "โอ๊ย! เหนื่อยอ่ะ"

   "อย่าเสียงดังซิรุจ"

   พีรัชหันมาดุเล็กน้อยพร้อมยกมือป้องปากทำให้รุจรวีหน้างอลงแต่ยังอดสงสัยไม่ได้

   "พี่พีรัชเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูรีบร้อนจังเลย"

   "ไม่มีอะไรหรอกรีบเดินเถอะ"

   พีรัชจูงมือคนตัวเล็กกว่าให้เดินตามตนเองที่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเหมือนหนีอะไรบางอย่างจนเวทิตที่ตามมานั้นต้องรีบเดินตามอย่างสงสัย

   'ทำไมพี่รัชรีบร้อนจัง'

   ตุ๊บ!

   "โอ๊ย!"

   เสียงร้องดังลั่นมาจากรุจรวีเพราะสะดุดตรงกิ่งไม้จนล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างแรงทำให้พีรัชตกใจ

   "เป็นอะไรรึเปล่า"

   "เจ็บ!~"

   พีรัชรีบพยุงให้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินต่อจนรุจรวีอดที่จะโวยวายต่อไม่ได้

   "พี่รัชจะรีบไปทำไมยังไงพวกนั้นก็ต้องรอปลาจากพวกเราแล้วไม่ใช่หรอ ช้าหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะ"

   "เอาเถอะน่า ถ้าเรารีบเดินไปเร็วเท่าไหร่จะยิ่งดีต่อเรามากขึ้นเท่านั้น"

   แม้จะไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่รุจรวีก็ยอมเดินตามอีกฝ่ายไปด้วยความงุนงงโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใบหน้าของพีรัชที่ขมวดคิ้วหน้าตานิ่งด้วยความกังวลและหวาดกลัว

   'ไม่มีใครรู้หรอกว่าเมื่อคืนพี่ไปเจออะไรมาบ้าง ที่พี่ทำทุกอย่างก็เพื่อให้เรารอดชีวิตนะ'




**************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 14-17 [UP 10/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 10-03-2019 00:13:23

สืบครั้งที่ 16


   เมื่อคืนพีรัชออกไปเข้าห้องน้ำแถวพงหญ้าเสร็จเรียบร้อยระหว่างทางที่กำลังจะกลับที่พักนั้นดันได้ยินเสียงของกวิตาร้องขอความช่วยเหลือ

   ตึก ตึก!

   "ช่วยด้วย! ช่วยด้วย"

   "หืม? เสียงวิตานี่"

   พีรัชจึงรีบวิ่งไปตามเสียงที่ดังมาจากอีกฝากหนึ่งซึ่งไม่ไกลเท่าไหร่นัก แต่ปรากฏว่าพอไปถึงเขากลับเห็นการฆาตกรรมกวิตาจากด้านหลัง

   ฉึก!

   "อึก!"

   ดวงตาคมเบิกโผลงขึ้นอย่างหวาดกลัวเมื่อมีดผ่าตัดปักลงกลางหน้าอกทะลุปักตรงพื้นดินอย่างแรง กวิตายังไม่ได้ตายทันทีกลับหันหน้ามามองทางตนที่แอบอยู่หลังพุ่มไม้ก่อนจะร้องไห้และพยายามเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือแม้ว่าจะแผ่วเบาเจือปนไปด้วยความเจ็บปวด

   "ฮึกฮืออ~ ช่วยด้วย...ช่วย...ด้วย"

   "ว...วิตา"

   อยากเข้าไปช่วยแต่เพราะความกลัวจึงไม่กล้าช่วยเหลือ พอฆาตกรเดินจากไปแล้วตนเองจึงก้าวเข้าไปจับตัวและตั้งท่าจะช่วยดึงมีดออกให้

   "อดทนหน่อยนะวิตา"

   "ไม่...ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ"

   กวิตาเอื้อมมือมาจับมือหนาที่จะเอื้อมมือไปจับมีดพร้อมกับร้อยยิ้มที่ยังอ่อนโยนอยู่เสมอ

   "ทิ้งฉันไว้ที่นี่เถอะค่ะ"

   "จะให้ผมทิ้งคุณไว้แบบนี้ได้ยังไง"

   พีรัชเอื้อมมือไปลูบผมของคนตรงหน้าราวกับปลอบใจ

   "เราต้องรอดไปด้วยกันซิ"

   "ต้องทำได้ซิคะ คุณรัชฟังที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ให้ดีนะคะ คอยอยู่ห่างจาก...คุณเกลเอาไว้และคอยระวังให้ดี..."

    แต่กวิตาจับมือของตนเองไว้แน่นขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยความเจ็บบาดแผลแล้วโน้มคอของคนตัวสูงตรงหน้าลงมากระซิบบอกความจริงบางอย่างที่ทำให้พีรัชเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

    "เพราะฆาตกรคือ..."





    "พี่รัช!"

   รุจรวีตะโกนเสียงดังข้างหูทำให้พีรัชสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจก่อนจะหันมาดุคนตัวเล็กที่ทำหน้าตาบูดบึ้งอย่างอารมณ์เสีย

   "ห๊ะ! โธ่...เสียงดังทำไมรุจ พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ตะโกนน่ะ"

   "รุจเรียกพี่รัชตั้งหลายครั้งแล้วนะ อีกอย่างทางนั้นไม่ใช่ทางไปลำธารที่เดิมนี่ครับ"

   รุจรวีกอดอกมองคนตรงหน้าอย่างจับผิดซึ่งพีรัชก็เอื้อมมือไปจับมือนุ่มนิ่มนั้นแน่นแล้วพาเดินขึ้นไปทางต้นน้ำด้านบน

   "ตรงนั้นไม่ค่อยมีปลาน่ะ เราขึ้นไปตรงนั้นอีกหน่อยดีกว่าปลาน่าจะเยอะ"

   "ครับ~"

   รุจรวียอมพยักหน้าและเดินตามอย่างเชื่อฟังทำให้เวทิตที่ตามมาด้านหลังยิ่งขมวดคิ้วแน่นด้วยความแปลกใจ



   'นั่นไม่ใช่ทางไปหาอาหารหนิ...จะไปไหนกันนะ'





   หลังจากเดินกันมาพักใหญ่รุจรวีก็เริ่มงองแงขึ้นมาอีกครั้งพร้อมสะบัดออกจากมือหนาแล้วเดินไปนั่งพักตรงโขดหินใหญ่ใต้ต้นไม้ใกล้ลำธารที่ดูสะอาดแต่ไหลแรงกว่าด้านล่าฃที่เคยพบมา

   "เหนื่อย! ผมเดินต่อไม่ไหวแล้วนะพี่รัช แถมตอนนี้ก็หิวมากเลยด้วย!"

   "งั้นรุจนั่งพักตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาให้ทาน"

   พีรัชบอกพร้อมกับมองซ้ายมองขวาสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่าหวาดระแวงแต่รุจรวีก็ไม่ได้สนใจอะไร

   "ครับ รีบไปรีบมานะผมไม่อยากนั่งอยู่คนเดียว"

   "รอพี่แป็บนึงนะ"

   พีรัชมองด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อหาอะไรมาให้คนขี้โวยวายทานแต่ทว่าระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นกลับมีมือที่ไหนไม่รู้มาจากด้านหลังปิดปากตนเองไว้แน่น

   หมับ!

   "อี้อ!"

   พีรัชดิ้นพล่านพยายามต่อสู้และร้องเรียกขอความช่วยเหลือแต่เพราะถูกปิดปากทำให้ไม่มีใครได้ยินก่อนจะตาเปิกกว้างเมื่อมีเชือกเส้นหนามารัดตรงคอจนแน่นทำให้ยิ่งดิ้นหนีด้วยความหวาดกลัวเรียกเสียงหัวเราะเยาะที่ดังมาจากด้านหลัง

   "คนรู้มากก็ต้องตายกันทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กนั่นที่นายรักด้วย"

   "อื้ออ!...อึก!!!"

   พีรัชดิ้นไปดิ้นมาเพราะหายใจไม่ออกแต่ยิ่งดิ้นยิ่งหายใจไม่ออกจนหมดเรี่ยวแรงเข่าทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมกับลมหายใจที่หมดลงก่อนจะถูกผลักจนหล่นลงไปในสายน้ำที่ไหลเกรี้ยวกราดก่อนจะจมหายท่ามกลางสายน้ำนั้นอย่างรวดเร็วเรียกเสียงหัวเราะสะใจจากคนที่ลงมือสำเร็จ

   "ฮะฮะเฮอะ!"

   หัวเราะก่อนจะหันไปยังทิศทางที่มีใครอีกคนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่ร้ายกาจ





   "เมื่อไหร่พี่รัชจะมาซักทีเนี่ย รอนานแล้วนะ"

   ส่วนรุจรวีนั้นก็นั่งรออยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนมาตั้งนานจนเริ่มหน้าหงิกพรางชะเง้อมองคนที่บอกว่าจะไปหาอาหารแต่ไม่มาซักที

   "งื้อ~หิวน้ำจังเลย"

   รุจรวีมองซ้ายมองขวายังไม่เห็นคนที่รอจึงตัดสินใจเดินไปนั่งตรงริมฝั่งด้านล่างแล้วใช้มือรองน้ำขึ้นมาดื่มอย่างชื่นใจ

   "อ่า~ ค่อยยังสดชื่นหน่อย"

   ผลัก!

   "ว๊ากกก!!!"

   ระหว่างที่กำลังรอลงน้ำกินนั้นรุจรวีโดนผลักจากด้านหลังจนตกลงไปในน้ำทำให้รีบตะเกียกตะกายขึ้นมาบนพื้นผิวน้ำอย่างหวาดกลัวโดยไม่ทันได้ระวังตัว

   ปัง! ปั้ง!

   "โอ๊ย!"

   เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโอดโอยของรุจรวีที่โดนยิงซ้ำถึงสองครั้ง ทำให้เวทิตที่พึ่งเดินมาถึงเห็นตอนที่ยิงปืนพอดีจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลือ

   "แกจะทำอะไรน่ะหยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!"

   "ชิ!"

   ฆาตกรทำเสียงไม่พอใจพร้อมตวัดสายตามามองอย่างมุ่งร้าย

   "พวกรู้มากมันเยอะขนาดนี้เลยหรอ"

   "ปล่อยปืนเดี๋ยวนี้!!!"

   ทั้งสองแย่งปืนกันจนฆาตกรที่ตัวเล็กกว่าสู้ไม่ไหวยอมปล่อยปืนแล้ววิ่งหนีไป

   "รุจ!!!"

   เวทิตพุ่งตรงไปยังโขดหินแล้วพยายามเอื้อมมือฉุดรั้งแขนของรุจรวีที่สลบให้ขึ้นมาด้านบนแต่ทว่ากลับโดนถีบจากด้านหลังอย่างแรงโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

   ผลัก!!!

   "เหวออออ!"

    ตู้ม!!!

   เวทิตและรุจรวีตกลงไปยังสายน้ำที่เกรี้ยวกราดทำให้พัดร่างทั้งสองคนจมหายไปกับลำธารนั้นอย่างไร้ร่องรอย



********************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 14-17 [UP 10/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 10-03-2019 00:18:25
สืบครั้งที่ 17


   ทางด้านของคนที่รออยู่ตรงที่พักพอเห็นทั้งสามคนหายไปเป็นเวลานาน รณกรชะเง้อมองด้วยความเป็นห่วงโดยที่พวกผู้หญิงเริ่มกินปลาย่างกันแล้วหลังจากเลยเวลาอาหารเย็นไปมากพอสมควร

   "พวกคุณพีรัชไปนานแล้วนะครับยังไม่กลับมาเลยจะเป็นอะไรรึเปล่า"

   "นั่นน่ะซิ"

   กันต์กวินขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้กันก่อนจะชะงักมองหัวปลาย่างที่ยื่นมาตรงหน้าตนเองด้วยหางตา

   "อะไร"

   "กินซิ"

   พลทัพกลั้นยิ้มขำคนตัวเล็กที่ทำหน้าบูดบึ้งแล้วสะบัดหน้าหนีตนเอง

   "ไม่กิน...ไม่ชอบกินหัวปลา"

   "เรื่องมากจัง"

   พลทัพบ่นอุบอิบทำให้กันต์กวินมองตาขวางก่อนจะมองเนื้อปลาที่ยื่นใส่มาให้แทน

   "แล้วแบบนี้กินได้ไหม"

   "ได้~ แต่ฉันอยากออกไปตามหาพวกนั้นมากกว่า"

   กันต์กวินขมวดคิ้วแน่นเพราะเป็นห่วงคนที่ยังไม่กลับมาแต่ก็เหลือบมองปลาด้วยความเสียดาย

   "เดี๋ยวค่อยกลับมากินแล้วกัน"

   "ตามใจ"

   พลทัพหันไปวางปลาตรงที่ปิ้งเหมือนเดิมก่อนจะหันไปมองกิตติธัชที่พูดหาเรื่องตนเอง

   "ฉันจะออกไปหาพวกนั้นกับกันต์กวินเอง ส่วนนายจะไปด้วยหรืออยู่เฝ้าผู้หญิงล่ะ"

   "นายเคยเห็นฉันอยู่เฝ้าผู้หญิงซักครั้งไหมล่ะ"

   พลทัพตอบกลับไปอย่างกวนประสาทก่อนจะโยนหน้าที่นั้นให้คนที่กำลังปิ้งปลา

   "หน้าที่นั้นให้รณกรดูแลแล้วกัน"

   "ห๊ะ!...ได้"

   รณกรตั้งท่าจะแย้งแต่พอเห็นสายตาบังคับของพลทัพก็ยอมตอบตกลงแถมบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว

   "คนอะไรน่ากลัวชะมัด"

   "จะให้พวกผมไปด้วยไหมครับ"

   ต้นหลิวถามขึ้นมาในขณะที่กำลังเช็คของในกล่องพยาบาลซึ่งกิตติธัชรีบส่ายหน้าทันที

   "พวกนายสองคนอยู่ที่นี่แหละ"

   "ได้ครับ"

   ต้นหลิวพยักหน้ารับก่อนจะหันไปยิ้มให้กับกันต์กวินแล้วจัดอุปกรณ์ในกล่องยาต่อ

   "รีบไปรีบมานะครับ ระวังตัวด้วยนะ"

   "งั้นรีบไปกันเถอะ"

   กิตติธัชลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมอุปกรณ์เพื่อออกเดินทางก่อนจะหันมามองเวธกาที่ยื่นน้ำมาให้

   "ทานน้ำก่อนซิ"

   "ขอบใจ...แต่ฉันไม่หิว"

   กิตติธัชตอบก่อนจะเหลือบไปมองรวิสราที่ก้มหน้าลงไปทานปลาต่อทำเป็นไม่สนใจตนเองความเฉยชาทำให้กิตติธัชหงุดหงิดเดินนำไปด้วยความโมโห

   "รีบไปกันได้ละ"

   "อื้อ~"

   กันต์กวินตอบรับก่อนจะเดินตามหลังกิตติธัชไปปิดท้ายด้านหลังสุดด้วยพลทัพที่ถอนหายใจกับความร่าเริงเกินไปของคนที่อยู่ด้านหน้า





   ทั้งสามคนออกมาตามหากลุ่มที่ออกไปหาอาหารโดยเดินไปตรงลำธารที่เคยจับปลากันเป็นประจำแต่ทว่ากลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยทำให้กิตติธัชเตะก้อนหินแถวนั้นด้วยความหงุดหงิด

   "หายไปไหนกันหมดนะ!"

   "ถ้าไม่อยู่แถวนี้แล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ"

   กันต์กวินมองซ้ายมองขวาด้วยความสงสัยก่อนที่พลทัพจะเจอรอยเท้าสามรอยตรงแถวนั้นมุ่งหน้าไปทางต้นน้ำ

   "พวกนั้นน่าจะไปหาปลาตรงต้นน้ำ"

   ปึก!

   "ประสาท!"

   ฮวังอวี้หางหยิบก้อนหินแถวนั้นมาปาอย่างหัวเสีย

   "โง่กันรึไงก็รู้อยู่ว่าด้านบนน้ำแรงขนาดไหน"

   ท่าทางแบบนั้นทำให้กันต์กวินเขยิบเข้าไปหาพลทัพด้วยความกลัว

   "เพื่อนนายฉีดยากันหมาบ้ารึเปล่าเนี่ย"

   "หึ! นั่นไม่ใช่เพื่อนฉัน"

   คำตอบนั้นทำให้กันต์กวินขมวดคิ้วแล้วมองหน่าอย่างไม่เข้าใจ

   "นายเคยเป็นตำรวจไม่ใช่รึไง"

   "เคยเป็นตำรวจแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกัน"

   พลทัพจ้องไปยังคนตรงหน้าที่มองมาอย่างเคียดแค้นและชิงชังเช่นเดียวกัน

   "คนบางคนไม่สมควรเป็นเพื่อนตั้งแต่แรก"

   "ไอ้ทัพ!"

   กิตติธัชโมโหเดินตรงมาคว้าคอเสื้อไว้แน่นสวนมืออีกข้างง้างขึ้นกำลังจะต่อยซึ่งอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ตั้งท่าที่จะต่อยกลับเหมือนกันทำให้กันต์กวินโวยวายรีบเอามือมาจับให้ทั้งสองคนแยกจากกัน

   "หยุดเลย! เหลือกันอยู่เท่านี้อย่าทะเลาะกันได้ไหม"

   "มันเริ่มก่อน"

   สองเสียงดังขึ้นพร้อมกันทำให้กันต์กวินกอดอกตวัดสายตาจ้องมองทั้งสองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ

   "ตกลงจะไปตามหากันไหมหรืออยากจะยืนกัดกันตรงนี้ก็ตามใจ!"

   "เดี๋ยวดิ!"

   "รอด้วย!!"

   กันต์กวินสะบัดหน้าแล้วเดินตามรอยเท้าทั้งสามรอยไปโดยไม่สนใจสองหนุ่มที่เดินตามมาด้านหลังด้วยความขัดใจ




   ทั้งสามเดินมาไกลจากจุดเดิมซักพักใหญ่เล่นเอาเหนื่อยหอบก็มาถึงตรงจุดที่มีก้อนหินใหญ่ซึ่งข้างล่างเป็นลำธารที่ไหลแรงนั้นพบเพียงรองเท้าข้างเดียวของรุจรวีตรงโขดหินทำให้กันต์กวินพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง

   "นั่นรองเท้ารุจแล้วตัวของเขาล่ะอยู่ที่ไหน อย่าบอกนะว่า..."

   "ตกน้ำไปแล้ว"

   พลทัพพูดคำเดียวกับคำที่อีกฝ่ายไม่กล้าพูดออกมาทำให้กันต์กวินน้ำตาซึม ส่วนกิตติธัชก็ปาก้อนหินลงน้ำอย่างหงุดหงิด

   "ตกน้ำไปแบบนั้นมีแต่ตายกับตายเท่านั้นแหละ!"

   "ทำไมถึงต้องพูดแบบนั้นด้วยล่ะ! ถ้าไม่อยากช่วยหาก็ไม่ต้องมาปากเสียได้ไหม!"

   กันต์กวินโวยวายอย่างเหลืออดก่อนจะตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อถูกอีกฝ่ายกระชากเข้าไปหาแล้วลากคอมาตรงโหดหินก่อนจะบังคับให้ชะโงกหน้าไปดูน้ำที่ไหลแรงด้านล่าง

   "งื้อ! ปล่อยนะ!"

   "ดูซะให้เต็มตาน้ำไหลแรงแบบนี้ถ้ามีคนตกลงไปก็ไม่รอดซักคน"

   "งื้อออ! ปล่อย!!!"

   กิตติธัชกดอีกคนให้ชะโงกหน้าไปอีกครึ่งตัวทำให้คนตัวเล็กกว่ายิ่งดิ้นขัดขืน

   "หรือนายอยากจะลงไปพิสูจเองล่ะ เอาไหมหะ!"

   "ปล่อยนะ!!!~"

   กันต์กวินร้องเสียงหลงก่อนจะออกแรงดิ้นขัดขืน

   "เจ็บแล้วนะ ปล่อยซักทีซิ"

   "พอเหอะ...ปล่อยกันต์กวินเดี๋ยวนี้เลย"

   พลทัพเดินเข้าไปดึงคนตัวเล็กกว่าให้หลุดจากการเกาะกุมแล้วเอามาหลบอยู่ด้านหลังตนเองซึ่งกันต์กวินก็เกาะเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่นพร้อมเนื้อตัวที่สั่นด้วยความหวาดกลัวยิ่งทำให้กิตติธัชมองอย่างหาเรื่อง

   "แค่สั่งสอนตามแบบของฉันเท่านั้น ถ้าจะโยนจริงก็ผลักลงไปนานแล้วเหอะ!"

   "คนอย่างนายมันบ้าอำนาจไม่เคยเปลี่ยนเลย"

   พลทัพเริ่มหาเรื่องอีกครั้งทำให้ทั้งสองจ้องมองกันอย่างเคียดแค้น แต่ก่อนที่จะทะเลาะกันมากไปกว่านี้กลับมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังออดมาแถวพุ่มไม้ข้างลำธาร

   "ช...ช่วยด้วย"

   "เสียงขอความช่วยเหลือใช่ไหม"

   กันต์กวินถามแต่เผลอจับเสื้อของพลทัพไว้แน่นซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้สะบัดออกแต่กลับพาเดินมาดูตรงพุ่มไม้ด้วยกันโดยให้กิตติธัขเป็นคนแหวกหญ้าออกพบกับผู้ชายรูปร่างผอมแห้ง หน้าตาหม่นหมองขอบตาคล้ำมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิงไว้หนวดไว้เครา เนื้อตัวสกปรกมอมแมมแถมเสื้อผ้ายังขาดหลุดลุ่ยเต็มไปหมด ทำให้กันต์กวินเปลี่ยนจากเกาะเสื้อมากอดแขนแกร่งแทนพร้อมทำท่าทางหวาดกลัว

   "คนหรืออะไรเนี่ย น่ากลัวจังเลย"

   "จะอะไรก็เหอะรีบพากลับที่พักไปให้หมอวรภพรักษา"

   กิตติธัชและพลทัพพยายามดึงผู้บาดเจ็บขึ้นมาแบกแล้วช่วยกันพากลับไปยังที่พักอย่างทุลักทุเลโดยมีกันต์กวินเดินให้กำลังใจอยู่ด้านหลัง



*******************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 18-20 [UP 13/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 13-03-2019 21:49:48
สืบครั้งที่ 18




   สายน้ำที่รุนแรงและเกรี้ยวกราดซึ่งถ้าหากตกลงไปแล้วคงไม่น่าจะรอดแต่โชคดีของทั้งสองคนที่สายน้ำนั้นพัดไปเจอกับทีมช่วยเหลือที่กำลังตักน้ำตรงลำธารพอดี

   "หัวหน้า! นั่นคนนี่ครับ"

   "โอ๊ะ"

   หัวหน้าทีมช่วยเหลือชะงักก่อนจะรีบออกคำสังทันที

   "ไปช่วยพวกเขาเร็ว!"

   "ครับ!"

   ทีมช่วยเหลือรีบว่ายฝ่ากระแสน้ำที่แรงเข้าช่วยพาทั้งสองคนขึ้นมาบนฝั่ง ก่อนที่จะส่งต่อให้หน่วยพยาบาลนั้นช่วยกันปฐมพยาบาลโดยการปั้มหัวใจของทั้งสองคน ไม่นานหลังจากนั้นเวทิตก็สำลักน้ำออกมาพร้อมสติที่เริ่มกลับมาเหมือนเดิม

   "แคก!"

   "รู้สึกตัวแล้วครับหัวหน้า!"

   เวทิตลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงงเพราะยังประติดประต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นฝั่งตรงข้ามเขาที่มีหน่วยพยาบาลกำลังช่วยกันปั้มหายใจคนตัวเล็กอย่างวุ่นวายแต่ทว่ากลับมีคนร้องขึ้นมาอย่างตื่นตกใจเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติของคนที่นอนอยู่บนพื้น

   "หัวหน้า! คนนี้ไม่หายใจแล้วครับ"

   "รุจ!!!"

   พอได้ฟังแบบนั้นเวทิตก็รีบลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งมาดูอาการของรุจรวีในสภาพที่ไม่ดีนัก เพราะตัวเย็นเฉียบและผิวนั้นเริ่มขาวซีดตัดกับเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลหัวไหล่และตรงลำคอ ทำให้เวทิตต้องแทรกเบียดตัวเองไปนั่งแทนที่หน่วยพยาบาลแล้วกดปั้มตรงหน้าอกพร้อมกับก้มลงไปประกบริมฝีปากเพื่อให้ออกซิเจนกับอีกฝ่ายโดยทำแบบนั้นหลายครั้งแต่ทว่าอีกฝ่ายยังคงนอนนิ่งจนคนช่วยเริ่มใจหายเผลอตะคอกออกมาอย่างลืมตัว

   "อย่ามาเล่นแบบนี้มันไม่ตลกนะรุจ! ตื่นขึ้นมาซิ!!!"

   "แคก!"

   ราวกับปาฏิหาริย์เมื่ออีกฝ่ายสำลักน้ำออกมาทำให้เวทิตดึงรุจรวีเข้ามากอดอย่างแนบแน่นท่ามกลางความงุนงงของคนที่พึ่งฟื้น
 
   "ทิต? ก...เกิดอะไรขึ้น"

   "นายไม่เป็นอะไรแล้วนะรุจ พวกเราปลอดภัยแล้ว"

   เวทิตดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดอย่างแนบแน่นด้วยความโล่งใจจนรุจรวีที่รู้สึกถึงความห่วงใยนั้นเอื้อมมือมาลูบหลังอย่างแผ่วเบาแล้วพยายามปลอบประโลม

   "นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...แล้วพี่รัชล่ะ"

   "นายลืมถุงยาเอาไว้ฉันเลยเดินตามมาแต่พี่รัชกับนายดันเดินออกนอกเส้นทางไปบนต้นน้ำซะอย่างนั้น ส่วนพี่รัชนั้นฉันเองก็ไม่รู้..."  เวทิตหลบสายตาแล้วมองไปทางอื่น "ตอนที่นายโดนยิงฉันก็ไม่เห็นพี่รัชแล้ว"

   "นายช่วยฉันไว้นี่เอง"

   รุจรวีเม้มปากแน่นก่อนที่แก้มทั้งสองข้างจะเริ่มแดงขึ้นอย่างเขินอายทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนพร้อมกับคำพูดบางคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

   "ขอบคุณนะ"

   "ทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ"

   เวทิตยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทำให้อีกฝ่ายอย่างกลั่นแล้วทำให้รุจรวีสะบัดหน้าไปทางอื่น

   "ไม่ได้แดงซักหน่อย!"

   "หรอออ"

   เวทิตอมยิ้มพร้อมยกมือขึ้นมาจับแก้มนั้นอยางหมั่นเขี้ยว

   "ไม่แดงเลยเนอะ"

   "อะแฮ่ม!"

   เสียงที่ดังขัดขึ้นมานั้นทำให้ทั้งสองคนรีบแยกออกจากกันแล้วหันไปยิ้มแห้งให้หัวหน้าทีมช่วยเหลือที่ยืนกอดอกมองทั้งสองคนอย่างเอ็นดู

   "อย่าพึ่งมากอดกันตอนนี้เลย พวกคุณไปรักษาแผลกันก่อนดีไหม"

   "อ่า...ครับ"

   เวทิตและรุจรวีตามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งไปทำแผลในเต็นท์พยาบาลจนหายดี หัวหน้าทีมช่วยเหลือพอเห็นทั้งสองคนเริ่มหายดีแล้วจึงแนะนำตัว

   "ผมชื่อ กิตติชัช หัวหน้าหน่วยอาชญากรรมและเป็นหัวหน้าทีมหน่วยช่วยเหลือ มีภารกิจมาตามหาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์รถไฟตกรางแต่เส้นทางถูกปิดขาดทำให้ต้องเดินเลาะทางน้ำจนมาเจอพวกคุณนี่แหละ แล้วพวกคุนคือใคร"

   "พวกผมคือผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์รถไฟครั้งนั้นครับ"

   คำตอบของเวทิตทำให้ทุกคนในที่นั้นชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจโดยเฉพาะกิตติชัชที่ดูคล้ายใครบางคนจนรุจรวีอดที่จะถามไม่ได้

   "คุณกิตติชัชรู้จักกับคนที่ชื่อว่ากิตติธัชรึเปล่าครับ พอดีผมรู้สึกว่าพวกคุณดูคล้ายกันมากเลย"

   "ผมเป็นพ่อของธัชครับ"

   กิตติชัชตอบพร้อมรอยยิ้มที่แตกต่างกันกับลูกชายราวฟ้ากับเหวทำให้อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้

   "ทำไมบรรยากาศไม่เห็นเหมือนกันเลย หมอนั่นดุจะตาย"

   "พูดมากน่ะรุจ"

   เวทิตหันมาห้ามปรามแต่กิตติชัชกลับไม่ถือสาแถมหัวเราะอย่างชอบใจ

   "ฮะฮะฮะ ไม่เป็นไรหรอกลุงไม่ถือ"

   "งั้นดีเลยครับ คุณลุงรู้ไหมครับว่าลูกชายของคุณลุงน่ะทั้งเจ้าระเบียบ จอมหาเรื่อง จ้องจับผิดคนอื่นตลอดเวลา แถมยังดูเฉยชากับคู่หมั้นอีกต่างหาก"

   "หนูรวิอยู่ที่นั่นด้วยหรอ"

   กิตติชัชถามด้วยความสงสัยเพราะปกติคู่หมั่นของลูกชายไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหน

   "อยู่ซิครับ! แถมตอนนี้ทั้งสองคนถอนหมั้นกันแล้วด้วย"

   "ขนาดนั้นเลยหรอ!"

   กิตติชัชเบิกตากว้างด้วยความตกใจยิ่งทำให้รุจรวีเผลอหลุดคำพูดบางอย่างออกไป

   "จริงซิครับ! กิตติธัชน่ะหลายใจแอบไปจูบกับเวธกาด้วยนะครับวันนั้นผมลืมตาขึ้นมาเห็นพอดี แถมยังเจ้าอารมณ์อีกต่างหาก ผมล่ะสงสารรวิที่สุดเลย"

   "รุจรวี..."

   เวทิตปรามอีกรอบทำให้รุจรวีชะงักไปแต่กิตติชัชกลับส่ายหน้าแล้วยิ้มให้อย่างเอ็นดู

   "ไม่เป็นไรหรอกลุงอยากฟัง แล้วนี่มีคนรอดชีวิตเยอะไหม"

   "ตอนแรกมีสิบสี่ แต่ตอนนี้ถ้าตัดผมสองคนกับพี่รัชออกไปก็เหลือแค่แปดคนครับ"

   คำตอบนั้นทำให้กิตติชัชเลิกคิ้วขึ้นมามองดวยความสงสัย

   "ทำไมถึงเหลือแค่นั้นล่ะ"

   "ระหว่างที่รอทีมช่วยเหลือมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นครับ แต่โชคดีที่เรามีคุณหมอวรภพกับนักสืบต้นหลิวอยู่ที่นั่น"

   รุจรวียิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแม้จะติดอยู่ในป่าแต่ทั้งสองก็มักจะช่วยทุกคนเอาไว้อยู่เสมอซึ่งทำให้กิตติชัชขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิม

   "ต้นหลิว...ลูกชายคุณต้นสน"

   "คุณรู้จักพ่อของต้นหลิวหรอครับ"

   รุจรวีออกอาการตื่นเต้นมากเกินไปทำให้เวทิตต้องเอื้อมมือมาแตะเอวเป็นการปรามซึ่งอีกฝ่ายก็หันมาแยกเขี้ยวใส่อย่างไม่พอใจ ส่วนกิตติชัชพอเห็นอย่างนั้นก็อมยิ้มอย่างขบขัน

   "สนิทกันเลยล่ะ เมื่อก่อนเราเคยทำคดีด้วยกันน่ะ"

   "ขออนุญาตครับหัวหน้า!"

   การพูดคุยหยุดชะงักลงเมื่อเจ้าหน้าที่ทีมช่วยเหลือคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความแตกตื่น

   "หัวหน้าครับ! เราพบศพคนหนึ่งลอยตามน้ำมาครับ!"

   "เอาเข้ามาในนี้เลย"

   เมื่อได้รับคำสั่งพวกด้านนอกก็นำศพที่ถูกห่อผ้าอย่างดีเข้ามาวางไว้ภายในห้อง ซึ่งพอกิตติชัชเปิดผ้าออกมาทั้งรุจรวีและเวทิตต้องตกใจเมื่อศพในห่อผ้านั้นคือคนที่คุ้นเคยกันมาหลายปี

   "พี่รัช!!!"

   "ฮึก! พ...พี่รัช"

   รุจรวีตกใจกับภาพตรงหน้าถึงขั้นอ่อนแรงทรุดตวลงตรงด้านข้างของร่างไร้วิญญาณนั้นแล้วก้มลงไปกอดอย่างไม่นึกรังเกียจพน้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น เมื่อมองหน้าตาที่ปกติแสนหล่อเหลากลับกลายเป็นซีดเซียวไร้สีเลือด ริมฝีปากเริ่มม่วงคล้ำ ตามผิวหนังฝ่ามือฝ่าเท้าย่น มีร่องรอยต่อสู้ขัดขืนและเชือกที่รัดผูกติดตรงคอบ่งบอกถึงการฆาตกรรม

   "พี่...รัช...ฮึก!"

   รุจรวีร้องห่มร้องไห้เสียใจมากขึ้นจนเริ่มมีอาการเกร็งตัวพร้อมกับลมหายใจเริ่มหอบเข้าออกอย่างรุนแรงจนหงายหลังไปนอนชักกระตุกกับพื้นทำให้เวทิตที่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้แล้วรีบประคองอีกฝ่ายมาพิงตรงไหล่ตนเองแล้วหยิบยาจากกระเป๋าสีเขียวมาพ่นจนกระทั่งลมหายใจอีกฝ่ายเริ่มกลับมาเป็นปกติแต่ยังร้องไห้ไม่หยุดพิงไหล่คนตัวสูงกว่าอย่างหมดแรง

   "ฮึก...พี่ทิต...พี่รัชเขา...ฮึก"

   "ใจเย็นไม่ร้องไห้แล้วนะ"

   เวทิตกอดปลอบพร้อมกับลูบหลังอย่างแผ่วเบาแต่อดที่จะอิจฉาพีรัชไม่ได้เพราะถึงแม้จะตายไปแล้วแต่ดูรุจรวีนั้นร้องไห้จนแทยจะขาดใจแบบนี้คงเป็นคนที่สำคัญมาก

   "นายคงจะรักพี่รัชมากเลยนะ คบกันอยู่ใช่ไหมล่ะ"

   "ห๊ะ! คบอะไรของนาย"

   รุจรวีฟาดตรงอกอีกฝ่ายอย่างแรงก่อนจะทำปากยื่นหันหน้าไปมองร่างของพีรัชนอนนิ่งอยู่ข้างกาย

   "พี่รัชเป็นพี่ชายพ่อเดียวกันกับฉันแต่คนละแม่ต่างหากล่ะ"

   "ห๊ะ! พี่น้อง?"

   เวทิตอ้าปากเหวอพร้อมทำหน้าตาตื่นตะลึงนั่นยิ่งทำให้อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

   "คิกคิก ทำหน้าตาน่าเกลียดมาก"

   "อ...อะไรล่ะ! เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ"

   เวทิตจ้องมองมาอย่างคาดคั้นทำให้คนตัวเล็กอมยิ้มแก้มพองลมจนน่าหมั่นไส้

   "อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ฉันกับพี่พีรัชเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน พี่รัชถูกแม่ตัวเองทิ้งตั้งแต่เด็กคุณพ่อสงสารเลยรับมาอยู่ด้วย พี่รัชมีความรับผิดชอบเยอะมากเลยมาเป็นผู้จัดการนายแบบก่อนที่จะพาฉันเข้าวงการและทำให้ฉันได้ดังและเป็นที่รู้จักในปัจจุบันนี้เนี่ยแหละ แต่โชคร้ายหน่อยที่ฉันดังจนทำให้นายตกต่ำน่ะ"

   "ยังกัดฉันได้อีกนะ"

   เวทิตฟึดฟัดก่อนจะจ้องใบหน้าหวานของอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ

   "ทำไมไม่บอกความจริงฉัน"

   "นายไม่ได้ถาม"

   รุจรวีตอบลอยหน้าลอยตาทำให้เวทิตเอื้อมมือไปขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ ทั้งสองคนยิ้มให้กันเป็นครั้งแรกโดยความรู้สึกดีต่อกันเริ่มก่อตัวขึ้นก่อนที่จะหันไปสนใจกิตติชัชที่ขัดจังหวะของทั้งสองคนเป็นครั้งที่สาม

   "อะแฮ่ม! ถ้าอย่างนั้นจำได้ไหมว่าตอนนี้กลุ่มผู้รอดชีวิตอยู่ที่ไหน"

   "แน่นอนครับ เดี๋ยวผมจะพาไปก่อนที่จะมีใครตายอีก"

   รุจรวีตอบด้วยสายตามุ่งมั่นทำให้กิตติชัชลบผมอย่างเอ็นดู ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินทางไปพร้อมกับทีมช่วยเหลือมุ่งตรงไปยังทิศทางที่ตำแหน่งกลุ่มรอดชีวิตรออยู่ในป่าลึก



*****************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 18-20 [UP 13/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 13-03-2019 21:58:34
สืบครั้งที่ 19




   ทางด้านของทั้งสามคนกว่าจะกลับมาถึงที่พักก็เล่นเอาเหนื่อยเพราะต้องแบกคนเจ็บที่ไหนไม่รู้กลับมาด้วย

   เมื่อวรภพเห็นคนบาดเจ็บจึงรีบเดินเข้ามาดูอาการของคนแปลกหน้าที่พึ่งถูกวางลงตรงพื้นสภาพมอมแมมมีบาดแผลเต็มไปหมดตามมาด้วยต้นหลิวที่เดินถือกล่องพยาบาลมานั่งตรงหน้าพร้อมกับจ้องด้วยความสงสัย

   "เกิดอะไรขึ้นครับ แล้วนี่คือใครล่ะเนี่ย"

   "ไม่รู้อ่ะ แต่เห็นเขาบาดเจ็บเลยช่วยไว้น่ะ"

   กันต์กวินตอบแทนทั้งสองคนที่เขม่นใส่กันตลอดเวลาแล้วแยกย้ายไปนั่งกันคนละฟากทำให้ต้นหลิวยิ้มแห้งพร้อมชะเง้อมองด้านหลังแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของทั้งสามคน

   "แล้วสามคนนั้นล่ะครับ"

   "คาดว่าน่าจะตกน้ำเพราะเหลือแต่รองเท้าของรุจตรงโขดหินข้างเดียวเองครับ"

   พอได้ฟังแบบนั้นต้นหลิวก็ทำหน้าสลดลงด้วยความสงสารคนที่หายไปทั้งสามคน

   "โธ่...ไม่น่าเลย"

   "กันต์เป็นอะไรไหม...หิวรึยังเนี่ย"

   รณกรเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงซึ่งกันต์กวินก็พยักหน้าขึ้นลงแล้วอ้อนอย่างน่าเอ็นดู

   "หิวมากเลย เหนื่อยด้วย!"

   "ถ้าอย่างงั้นพวกเรามากินอาหารเย็นกันก่อนเถอะ"

   รณกรกอดไหล่ก่อนจะพาเดินไปนั่งตรงที่มีอาหารซึ่งเตรียมเอาไว้แล้ว แต่กันต์กวินไม่ยอมเดินพร้อมมองหน้าต้นหลิวอย่างลังเลซึ่งอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานให้พร้อมโบกมือไปมา

   "ไม่เป็นไรครับ พวกคุณทานอาหารกันได้เลยนะครับเพราะผมพึ่งทานไปเมื่อกี๊นี้เอง เดี๋ยวตรงนี้ผมดูแลเองครับ"

   ต้นหลิวหันไปยิ้มให้หมอวรภพเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพันแผลเสร็จแล้ว

   "คุณหมอภพก็ไปปิ้งปลาเถอะครับเดี๋ยวผมเช็ดตัวให้นายคนนี้เอง"

   "งั้นก็ได้ครับ"

   วรภพตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะพาทั้งสามคนไปนั่งทานข้าวโดยมีวรภพซึ่งทำบาดแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปปิ้งปลาต่อกำลังปิ้งปลาให้ทุนคนได้ทาน ซึ่งต้นหลิวเองก็คอยเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้จนคนที่นอนนิ่งอยู่นั้นเริ่มรู้สึกตัว

   "อืมม~"

   "ฟื้นแล้วหรอครับ"

   ต้นหลิวถามพร้อมทั้งหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดใบหน้าของอีกฝ่ายที่ปรือตาขึ้นมาจ้องใบหน้าตนเองอย่าง...หลงใหล?!

   "สวย"

   "ห๊ะ!"

   ต้นหลิวร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมืออีกฝ่ายที่สากมากนั้นยื่นมือมาลูบแก้มย้วยของตนเอง

   "คนสวย...นางฟ้า"

   "เห้ย! ปล่อยนะ! เป็นบ้ารึไง"

   ต้นหลิวร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่นที่พักพร้อมลุกถอยหนีจนมาชนกับกันต์กวินที่รีบวิ่งมาหาคนแรกด้วยความเป็นห่วง

   "มีอะไรหรอต้นหลิว"

   "คนนั้นน่ะสิโรคจิต! เอามือมาลูบแก้มฉันด้วย"

   ต้นหลิวยกมือลูบแก้มตนเองไปมาด้วยความขยะแขยงก่อนที่ทั้งสองจะสะดุ้งตกใจเมื่อมีมือมาจับที่หัวไหล่คนละด้านแล้วใบหน้ายื่นเอาคางมาวางไว้ตรงบ่าทั้งสองคนพร้อมกับเหยียดยิ้มอย่างหื่นกระหาย

   "สวย~ สวยทั้งสองคนเลย"

   "ว๊ากกก"

   ทั้งสองคนสะบัดไหล่ออกพร้อมกันแล้วรีบวิ่งไปหลบหลังวรภพและพลทัพที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด วรภพยกมือขึ้นมาลูบผมของคนที่เกาะอยู่ด้านหลังอย่างอ่อนโยน

   "ปลอดภัยใช่ไหม"

   "ครับ! แต่คนตรงหน้าน่ากลัวจัง"

   ต้นหลิวกำชายเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่นเช่นเดียวกันกับกันต์กวินที่รั้งคอเสื้อพลทัพไว้แน่นจนอีกฝ่ายหายใจไม่ออก

   "ถามจริงเถอะ ทำไมถึงชอบดึงคอเสื้อของฉันจังเลยห๊ะ!"

   "ก็ฉันกลัวนี่"

   กันต์กวินไม่ยอมผ่อนแรงแต่กลับดึงรั้งมากกว่าเดิมทำให้รณกรต้องเดินมาจับมือบางนั้นมาเกาะที่แขนตัวเองไว้แทน

   "มาเกาะแขนฉันดีกว่า ดึงคอเสื้อแบบนั้นพลทัพหายใจไม่ออกพอดี"

   "เอาแบบนั้นก็ได้!"

   กันต์กวินพยักหน้าอย่างง่ายดายทำให้พลทัพตวัดสายตามามองตาขวางด้วยความหงุดหงิด   ส่วนกิตติธัชยืนจ้องหน้าคนตรงหน้าไม่นานนักก็กำมือแน่นแล้วชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยความโมโห

   "อย่าบอกนะว่าแกคืออิฐผู้ต้องหาคดีลักพาตัวผู้ชายหน้าหวาน"

   "ห๊ะ!"

   ทุกคนต่างตกใจในคำพูดของกิตติธัชแล้วเหลือบไปมองหน้าของอิฐที่แสยะยิ้มพร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างร้ายกาจ

   "ฮะฮะเฮอะ! แกคือตำรวจที่ตามจับตัวฉันนี่เอง"

   "ฉันจะจับแก!"

   กิตติธัชยกปืนขึ้นมาข่มขู่พร้อมกับพลทัพและวรภพที่ยกปืนขึ้นมาเพื่อใช้ในการป้องกันตัวแต่อิฐกลับประสาทหลอนคิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตนเองจึงหยิบปืนที่แอบไว้ตรงข้างเอวขึ้นมายิงขึ้นฟ้าไปหนึ่งนัด

   ปัง!

   "อย่าเข้ามานะ!"

   อิฐมองซ้ายมองขาวถือปืนส่ายไปส่ายมาด้วยความหวาดกลัวก่อนจะยิงอีกครั้งไปทางพวกผู้หญิงซึ่งกิตติธัชพาหลบได้ทันท่วงที

   ปัง!

   "ว๊ายย!"

   เวธกากรีดร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมทั้งคว้าแขนของฮวังอวี้หางมากอดไว้แน่น

   "กิตคะ! อย่าพึ่งไปไหนนะเกลกลัวมากเลย"

   "ไม่เป็นไรแล้ว"

   กิตติธัชลูบหลังอย่างปลอบโยนแล้วหันไปสบสายตากับรวิสราที่ล้มอยู่อีกด้านหนึ่งนั่งตัวสั่นมองภาพทั้งสองคนที่ยืนกอดแขนกันตรงหน้าด้วยน้ำตาที่คลอไปหมดก่อนที่จะยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด

   ปัง!

   "เหวอ!"

   กันต์กวินร้องเสียงหลงเมื่อโดนคนบ้าที่อาระวาดพุ่งตัวเข้ามากระชากตัวเองไปล๊อกคอไว้แน่นพร้อมเอาปืนส่ายไปส่ายมาเพื่อเป็นการข่มขู่วรภพและพลทัพที่ลอบเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง

   "ฮะฮะเฮอะ! อย่าเข้ามานะไม่งั้นฉันจะยิง! ยิง! ยิงให้หมดเลย!!!"

   "กันต์!"

   เสียงร้องโวยวายดังมาจากรณกรที่ไม่ยอมฟังคำขู่พยายามจะเข้าไปช่วยทำให้กิตติธัชร้องเตือนเสียงดังลั่นแต่เข้าไปช่วยไม่ได้เพราะโดนเวธกากอดแขนไว้แน่น

   "อย่าเข้าไปใกล้มัน!"

   ปัง!

   "โอ๊ย!"

   กันต์กวินเบิกตาค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นเลือดกระเด็นมาจากตรงแก้มของรณกรที่หงายหลังลงไปนอนกับพื้นอย่างแรงทำให้ต้นหลิวรีบวิ่งไปดูด้วยความตกใจโดยมีวรภพคอยคุมเชิงเอาไว้ให้

   "ยังไม่ตายครับ น่าจะตกใจจนสลบ"

   "ปล่อยเด็กนั่นเดี๋ยวนี้!"

   พลทัพเดินเข้าไปใกล้อย่างไม่เกรงกลัวจนอิฐต้องเอาปืนขึ้นมาจ่อหัวคนในอ้อมแขนแล้วลากให้อีกฝ่ายเดินถอยหลังมาหลายก้าว

   "อย่าเข้ามา! ถ้าไม่อยากให้คนสวยนี่ตาย"

   "ทัพ..."

   กันต์กวินเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือพร้อมกับยื่นมือออกไปด้านหน้าทั้งน้ำตาซึ่งพลทัพพยายามคว้ามือไว้แต่โดนอิฐยิงสวนมาอีกครั้ง

   ปัง

   "อึก!"

   พลทัพกุมบาดแผลตรงหัวไหล่พร้อมสบสายตากับกันต์กวินที่ดวงตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวก่อนจะสลบไปจากการโดนปืนทุบท้ายทอยจากด้านหลังอย่างแรง และก่อนที่ทุกคนจะทันได้ตั้งตัวอิฐก็ยิงปืนขู่ออกไปหลายนัดโดยที่ไม่สนทิศทางพร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

   ปัง! ปัง! ปั้ง!

   "ฮะฮะเฮอะ!"

   อิฐทำร้ายทุกคนจนบาดเจ็บกันแล้วก็อุ้มตัวกันต์กวินที่สลบนั้นหนีหายเข้าไปในป่าโดยมีพลทัพที่บาดเจ็บรีบวิ่งตามไปคนแรกด้วยความร้อนใจ โดยมีต้นหลิวและวรภพรีบวิ่งตามหลังไปด้วยทำให้กิตติธัชยิ่งหงุดหงิด

   "หมอนั่นใจร้อนไม่เคยเปลี่ยนเลย!"

   "กิตอยู่ที่นี่กับเกลนะคะ เผื่อมันย้อนกลับมาอีกแล้วเกลจะทำอย่างไรล่ะ"

   เวธกากอดแขนอีกฝ่ายไว้แน่นผิดกับรวิสราที่เดินไปดูอาการของรณกรอย่างถึงเนื้อถึงตัวด้วยความเป็นห่วงทำให้กิตติธัชมองตาขวางแล้วดึงมือของเวธกาออกจากแขนตนเองอย่างแรงแล้วออกคำสั่งกับผู้หญิงทั้งสองคน

   "ไม่ได้! พวกเธอสองคนอยู่ที่นี่แล้วดูแลรณกรด้วย"

   "แต่..."

   "ทำตามที่ฉันสั่ง!"

   กิตติธัชออกคำสั่งอีกครั้งพร้อมกับรีบวิ่งตามหลังคนอื่นเพื่อไปช่วยเหลือกันต์กวินไม่สนใจใบหน้าขัดใจของเวธกาเลยซักนิดเดียวและไม่รับรู้ถึงสายตาความเป็นห่วงของรวิสราที่แอบลอบมองจนกระทั่งแผ่นหลังของอดีตคู่หมั้นนั้นกลืนหายไปท่ามกลางความมืดมิด



**************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 18-20 [UP 13/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 13-03-2019 22:04:04
สืบครั้งที่ 20


 
   ทางด้านของอิฐก็อุ้มกันต์กวินที่สลบนั้นพาดบ่าแล้วมุ่งหน้าเดินตรงเข้ามาในถ้ำที่เปียกชื้นซึ่งเคยพักพักที่นี่มาแล้ว ก่อนจะวางร่างของคนตัวเล็กลงตรงโขดหินอย่างแผ่วเบา พร้อมกับจ้องมองใบหน้าที่ขาวนวลนั้นด้วยความหลงใหลจนอดที่จะเอื้อมมือที่หยาบกร้านของตนเองไปลูบไล้แก้มนุ่มนิ่มของคนที่สลบอยู่ด้วยสายตาและน้ำเสียงที่เริ่มหื่นกระหาย

   "ฮา~ ขาว อวบ นุ่มนิ่มขนาดนี้มันน่า..."

   ปึก!

   "โอ๊ย!"

   เสียงปริศนาที่ดังขึ้นหลังจากที่โดนไม้ฟาดลงกลางหัวจากด้านหลังจึงรีบกุมหัวแล้วหันไปมองด้านหลังอย่างเกรี้ยวกราด

   "ใครตีหัว!"

   ปึก! ปึก! ปึก!

   "โอ๊ย!"

   ยังไม่ทันได้ทำอะไรนั้นคนที่อยู่ด้านหลังก็กระหน่ำตีลงมาหลายต่อหลายครั้งอย่างไม่ยั้งมือจนอิฐหัวแตกเลือดไหลเต็มหน้าไปหมดจนถูกถีบให้ล้มตัวลงนอนกับพื้นถ้ำที่เต็มไปด้วยหินที่เปียกชื้น ก่อนเหลือบตาขึ้นมาพยายามเพ่งมองคนตรงหน้าแต่เพราะเลือดที่ไหลลงตาทำให้มองเห็นไม่ชัด

   "แก...แกคือใคร"

   "หึหึ"

   เสียงหัวเราะขึ้นมาด้วยความโหดเหี้ยมก่อนที่จะเหยียบเท้าลงกลางหน้าอกพร้อมกับหยิบไม้และก้อนหินขึ้นมาอย่างละข้างทำให้อิฐร้องโวยวายขึ้นมาด้วยความกลัว

   "แกจะทำอะไร อย่าาา!"

   ปัก!

   เสียงปักไม้ดังขึ้นเกิดจากการที่เอาหินตอกลงบนไม้ที่ปักลงตรงขาขวาทะลุลงไปกับพื้นถ้ำที่เป็นหินทำให้อิฐดิ้นไปดินมาด้วยความโหยหวนเจ็บปวดพร้อมกับเลือดตรงบาดแผลที่ไหลออกมาไม่หยุด

   "โอ้ย! เจ็บ"

   ปัก!

   "อ๊าก!!!"

   ปักไม้อีกครั้งลงไปบนขาข้างซ้ายแล้วใช้หินตอกอย่างรุนแรงมากกว่าเดิมทำให้อิฐเริ่มเกิดความกลัวขึ้นมาในจิตใจรีบดิ้นรนพยายามหนีแต่ทว่ากลับหนีไม่พ้นเมื่อถูกไม้ปักลงมาที่ข้อมือซ้ายขวาทั้งสองข้างแล้วตอกลงบนพื้นถ้ำอย่างรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

   ปัก! ปัก!

   "ฮึกฮือ! ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉัน...ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก"

   อิฐดิ้นรนพยายามขอร้องพรางมองไปรอบกายด้วยความหวาดกลัวเรียกรอยยิ้มอย่างพึงพอใจจากคนตรงหน้า

   "แน่นะ"

   "แน่นอน! แน่นอน! ปล่อยฉันไปเถอะนะ"

   อิฐรีบรับปากทันทีซึ่งทำให้คนตรงหน้าคิดหนักด้วยท่าทางลังเลแต่ทว่าริมฝีปากกลับเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

   "อืมม จะปล่อยไปดีไหมนะ หึหึ"

   ปัก!

   "อ๊ากกกก!"

   ปักไม้ลงตรงหน้าท้องแล้วใช้หินตอกไม้ลงอย่างแรงจนมิดด้าม ซึ่งตอนนี้อิฐถูกตรึงไว้อย่างสมบูรณ์ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายเอาน้ำอะไรไม่รู้ราดใส่ทั้งตัวตามด้วยไฟแช็กขึ้นมาจุดไฟเล่นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแสนเวทนากับเหยื่อตรงหน้า

   "เสียใจด้วยแต่มันหมดเวลาของนายแล้ว"

   ฟึบ! ฟู่!~

   "ฮึกฮือ~ ขอร้อง"

   อิฐร้องขอด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับดิ้นแต่ทว่ายิ่งดิ้นบาดแผลยิ่งเปิดกว้างและฉีกขาดมากยิ่งขึ้น

   "ขอร้อง...หรอ"

   "อื้อใช่! ขอร้อง ขอร้อง"

   อิฐพยักหน้ารับทั้นทีทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

   "ฮะฮะฮ่า! งั้นร้องให้ดังก็แล้วกัน!"

   ฟึบบบบบ!!!

   "อ๊ากกกกกกก"

   อิฐร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมานกับไฟที่ลุกโชนท่วมทั้งตัวซึ่งสายตาเหลือบมองไปยังคนตรงหน้าก่อนจะเบิกกว้างเต็มสองตาเมื่อเห็นหน้าคนร้ายอย่างชัดเจนแต่แล้วดวงตาก็ปิดลงอย่างห้ามไม่ได้พร้อมกับลมหายใจที่หยุดลงท่ามกลางกองไฟนั้นอย่างน่าสงสาร 

   คนตรงหน้าเหยียดยิ้มพร้อมกับเดินตรงมายังร่างกันต์กวินที่ยังนอนสลบอยู่บนโขดหินด้วยท่าทางที่คุกคามทว่าแต่ก่อนที่จะทำอะไรก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกมาจากหน้าถ้ำ

   "กันต์กวิน!!!"

   "หึ!"

   ทำเสียงขัดใจพร้อมกับแอบลอบออกไปทางด้านหลังถ้ำ   ซึ่งจังหวะเดียวกันกับพลทัพที่วิ่งเข้ามาคนแรกตามด้วยกิตติธัข ต้นหลิว และวรภพที่หยุดชะงักและกำลังตะลึงกับกองไฟตรงหน้า แต่พลทัพไม่สนใจกลับเขย่าตัวเรียกคนที่นอนสลบอยู่อย่างบ้าคลั่งด้วยความเป็นห่วง



   "กันต์กวิน! ตื่นซิกันต์!"




**************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 21-23 [UP 18/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 18-03-2019 01:30:42
สืบครั้งที่ 21



   "กันต์กวิน! ตื่นซิกันต์!"



    เฮือก!



    "อ๊ายยย!!"

   กันต์กวินกรีดร้องโวยวายพร้อมสะบัดตัวให้หลุดจากคนที่เกาะกุมด้วยความหวาดกลัวทั้งที่ยังหลับตาแน่นไม่ยอมมองคนตรงหน้า ทำให้พลทัพเหยียดยิ้มแล้วดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดแน่นพร้อมลูบผมลูบหลังอย่างปลอบโยน

   "ฉันเองพลทัพไง ไม่เป็นไรแล้วนะนายปลอดภัยแล้ว"

   "ทัพ!!! ฮึกฮืออออ"

   กันต์กวินกอดคนตรงหน้าแน่นพร้อมกับซุกหน้าลงตรงแผ่นอกเพื่อหาไออุ่นที่ปลอดภัยทำให้พลทัพยิ้มกว้างแล้วยกมือลูบหลังขึ้นลงอย่างปลอบโยน

   "ขี้แงไปได้นะนายน่ะ"

   "ฮึก ฉันกลัวอ่ะ"

   กันต์กวินร้องไห้เสียงดังกว่าเดิมเหมือเด็กเรียกร้องความสนใจทำให้พลทัพกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นกว่าเดิมแล้วโยกตัวเอนไปมา

   "มีฉันอยู่แล้วไงไม่ต้องกลัวอะไรนะ"

   "ฮึกฮือออ~"

   "คุณกันต์กวินไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะครับเพราะอิฐน่ะเสียชีวิตแล้ว งั้นผมขอดูอาการของคุณกันต์กวินหน่อยนะครับ"

   วรภพเดินเข้ามานั่งอีกข้างพร้อมเอื้อมมือมาจับหน้าผากและเลื่อนลงมาจับชีพจรตรงข้อมือขาวเพื่อดูอาการ

   "ตัวไม่ร้อนแต่ชีพจรเต้นเร็วน่าจะตื่นเต้นกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ใบหน้ามีรอยบวมช้ำจากโดนปืนตบหน้าเดี๋ยวต้องเอาน้ำแข็งนี่ประคบนะครับจะได้ไม่บวมไปกว่านี้"

   "ขอบคุณครับหมอภพ"

   กันต์กวินรับน้ำแข็งที่มีสำรองไว้ในกระเป๋าพยาบาลมาประคบด้วยท่าทางเก้กังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่แถมมือไม้สั่นไปหมดทำให้พลทัพต้องแย่งน้ำเข็งมาถือไว้เอง

   "มาเดี๋ยวฉันทำให้"

   "อ่า..."

   กันต์กวินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนความเย็นจากน้ำแข็งแต่อีกฝ่ายประคบให้อย่างเบามือและระมัดระวังทำให้อดที่จะแอบมองไม่ได้ซึ่งพลทัพเองก็เงยหน้าขึ้นมามองสบตากันพอดีพร้อมคำถามที่ทำให้กันต์กวินควันออกหู

   "ฉันหล่อใช่ไหมล่ะ"

   "แหวะ!"

   กันต์กวินแลบลิ้นก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่ออีกฝ่ายแกล้งกดน้ำแข็งลงมาอย่างแรง

   "อ๊ะ! เจ็บนะ!"

   "หมั่นไส้"

   พลทัพอมยิ้มก่อนจะประคบน้ำแข็งให้อย่างเบามือเหมือนเดิมทว่ามีเสียงรำคาญของกิตติธัชขัดขึ้นมาอย่างหาเรื่อง

   "เลิกหวานกันได้ละ มาช่วยดูกันก่อนไหมว่านี่ใช่ศพของนายอิฐจริงรึเปล่า"

   "ขอผมตรวจพิสูจน์ศพก่อนนะครับ"

   วรภพลุกขึ้นก่อนจะเดินไปช่วยต้นหลิวเอาน้ำดับไฟจนมอดดับไปทั้งหมด ก่อนที่ทั้งสองจะช่วยกันชันสูตรพลิกศพซึ่งสภาพศพนั้นถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมและน่าสยดสยองมากคือ ถูกไม้ตอก ขา ข้อมือ ตรงหน้าท้อง พร้อมเผาทั้งเป็นแถมมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง จนทำให้ทุกคนเอามือขึ้นมาปิดจมูกจนแทบจะอาเจียนออกมา

   "หื้ม!! เหม็น!"

   "เฮ้อ~"

   วรภพถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงกับสภาพศพที่ถูกพบ

   "ผู้เสียชีวิตนั้นเสียชีวิตจากการถูกไฟครอกตาย น่าจะตายทันทีในช่วงที่ไฟติดร่างกาย สภาพศพผิวหนังไหม้เกรียมจนไม่เหลือล่องรอยใบหน้าเดิม สภาพศพนั้นนอนหงาย ผิวหนังบางส่วนหายจนเห็นกล้ามเนื้อแต่ทว่ากล้ามเนื้อกลับถูกไหม้จนขาดออกจากกันและความแรงของเปลวไฟนั้นทำให้กระดูกถูกไหม้จนกลายเป็นสีเทาขาว ตรวจหาลายพิมพ์นิ้วมือไม่ได้เพราะลายนิ้วมือถูกทำลายจนหมด ผิวหนังด้านหลังก็ถูกเผาไหม้แต่เหลือรอยสักตรงกลางหลังบางส่วน ซึ่งสามารถบ่งบอกชี้ชัดได้ว่าผู้เสียชีวิตคือคุณอิฐจริง ซึ่งดูจากสภาพศพแล้วน่าจะเสียชีวิตเวลาประมาณ 23:00 นาฬิกา"

   "สถานที่เกิดเหตุคือภายในถ้ำ ในสถานที่แห่งนี้เราตรวจพบร่องรอยของการต่อสู้ ท่อนไม้ที่มีเลือดติด ไม้ที่ถูกตอกอยู่ตรงขาทั้งสองข้าง ข้อมือทั้งสองข้าง ตรงหน้าท้อง ก่อนที่ร่างกายจะถูกติดไฟจนเผาไหม้ทั้งตัว ก้อนหินก้อนใหญ่ที่ใช้ในการตอก แถมเรายังเจอหลักฐานชิ้นสำคัญในคดีนี้คือ"

   ต้นหลิวหยุดพูดพร้อมชูหลักฐานสำคัญให้กิตติธัชและทุกคนได้เห็นพร้อมกัน

   "ไฟแช็กของกิตติธัช"

   "ห๊ะ! อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ"

   กิตติธัชโวยวายก่อนจะชะงักในคำถามของต้นหลิวที่มองมาอย่างจับผิด

   "นายเคยทำคดีของอิฐผู้ต้องหาคดีลักพาตัวผู้ชายหน้าหวานไม่ใช่รึไง"

   "ใช่! แล้วมันเกี่ยวกันยังไง"

   กิตติธัชกอดอกพร้อมกับมองอย่างหาเรื่องจ้องมองต้นหลิวที่เชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจกับข้อมูลแอบสืบมา

   "เกี่ยวกันเลยล่ะ! เหตุผลเพราะอิฐเคยเป็นผู้ต้องหาคดีลักพาตัวผู้ชายหน้าหวานในคดีที่นายรับผิดชอบ แต่ทว่าผู้ต้องหากลับถูกปล่อยตัวไปเพราะหลักฐานนั้นไม่เพียงพอ อาจจะทำให้เกิดความคับแค้นใจจนคิดจะกำจัดเพราะจะได้ปิดคดี"

   "นายจะบอกว่าฉันคือคนร้ายรึไง"

   กิตติธัชชักสีหน้าอย่างไม่ชอบใจก่อนจะคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย

   "ไม่ใช่"

   "แล้วจะพูดทำไมหะ"

   กิตติธัชเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อเตรียมหาเรื่องเต็มที่แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะอย่างขบขันไม่มีท่าทางจะเกรงกลัว

   "คิกคิก! ใจเย็นซิ ฉันแค่ลองใจนายเท่านั้นเอง"

   "ต้นหลิว!"

   "เอาน่ะ"

   วรภพเข้ามากันคนตัวเล็กให้มาหลบอยู่ด้านหลังของตนจนกิตติธัชฟึดฟัดอย่างขัดใจ พอทั้งสองคนหยุดหาเรื่องกันแล้วกันต์กวินจึงถามขึ้นมาอย่างสงสัย

   "อ้าว! ถ้าอย่างนั้นคนร้ายคือใครหรือว่าจะเป็นรายเดียวกันกับที่ฆ่าวิตาครับ!"

   "ไม่ใช่ครับ คราวนี้รอยเท้าดูใหญ่แล้วก้าวอย่างหนักแน่นมากกว่า คาดว่าเป็นเพศชายเพราะว่าต้องตอกไม้ลงไปบนร่างกายของผู้เสียชีวิต แต่ไม่ใช่กิตติธัชแน่นอนครับ"

   ต้นหลิวอธิบายอย่างนั้นทำให้ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยเฉพาะกันต์กวินที่เผลอซบลงไหล่พลทัพอย่างลืมตัว

   "เฮ้อ~ น่ากลัวจัง"

   "ไม่เป็นไรแล้วล่ะ"

   พลทัพปลอบพร้อมลูบผมอีกฝ่ายขึ้นลงอย่างหมั่นเขี้ยวจนอีกฝ่ายทำท่าทางฮึดฮัดแล้วหันมาโวยวายอย่างไม่ชอบใจ

   "อย่ามาลูบผมได้ไหม"

   "หรืออยากให้หอมแก้มล่ะ"

   พลทัพแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทำให้กันต์กวินใช้มือทั้งสองข้างยันเอาไว้ทั้งที่แก้มทั้งสองข้างแดงไปหมด

   "ประสาท!"

   "หึหึ"

   พลทัพหัวเราะในลำคอเลยโดนฟาดแขนไปหนึ่งทีกอนที่อีกฝ่ายจะสะบัดเชิดหน้าไปทางอื่นอย่างแง่งอน ส่วนต้นหลิวก็เริ่มพะอืดพะอมอีกครั้งหลังจากพยายามกลั้นหายใจแต่ทนไม่ไหวจนหันหลังให้ทุกคนแล้วอ๊วกลงตรงพื้นถ้ำเสียงดังลั่น

   "อึก อ๊วก!"

   "ต้นหลิว...เป็นยังไงบ้าง"

   วรภพเดินเข้าไปลูบหลังไม่นานอีกฝ่ายอาการเริ่มดีขึ้น

   "ขอโทษครับเหม็นมากไปหน่อยเลยอาเจียนน่ะครับ"

   "งั้นกลับกันได้แล้ว"

   กิตติธัชขัดขึ้นมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดจมูกทำให้วรภพมองไปทางศพของอิฐอย่างลังเล

   "แล้วศพอิฐล่ะ"

   "ปล่อยไว้ตรงนี้นั่นล่ะ เดี๋ยวทีมช่วยเหลือมาแล้วค่อยเก็บศพกลับไป"

   พอได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

   "ตามนั้นก็ได้ครับ"

   "ดึกมากแล้วรีบกลับที่พักกันเถอะ"

   กิตติธัชเดินนำไปคนแรกตามด้วยต้นหลิวและวรภพก่อนจะปิดท้ายด้วยพลทัพที่หันไปมองกันต์กวินที่เดินขาสั่นไปหมด

   "เดินไหวไหมเนี่ย"

   "ไหวน่ะ..."

   กันต์กวินพยายามบังคับขาไม่ให้สั่นก่อนจะเบิกตากว้างและร้องเสียงดังลั่นเมื่ออีกฝ่ายอุ้มตนเองจนตัวลอยขึ้นจากพื้น

   "เหวอ! อุ้มทำไม!?"

   "เงียบไปเถอะน่ะ"

   พลทัพทำเสียงดุพร้อมรีบเดินตามไปจนทันกับคนอื่นแต่กันต์กวินนั้นยังสงสัยไม่หยุด

   "พลทัพ...นายอุ้มฉันทำไมหรอ"

   "อยากอุ้ม"

   ตอบเสียงเรียบแต่ทำให้หัวใจอีกฝ่ายเต้นแรงแต่พยายามไม่ให้เขินอายไปมากกว่าเดิม

   "แค่นั้น?"

   "อยากให้คิดแค่ไหนล่ะ"

   พลทัพก้มลงมาจ้องตากับคนในอ้อมแขนที่ตัวเบาลงกว่าเดิมสงสัยไม่ค่อยได้กินอะไรซึ่งตอนนี้เผลอทำหน้ามุ้ยลงอย่างขัดใจ

   "คิดว่าเป็นห่วง"

   "หึหึ!"

   พลทัพหัวเราะในลำคอพร้อมกระซิบตรงข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

   "ที่ฉันอุ้มนายน่ะเพราะห่วงนั่นแหละ"

   "ห๊ะ!"

   กันต์กวินอ้าปากค้างเบิกตากว้างด้วยความตกใจพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นแต่ก่อนที่จะได้โวยวายอะไรออกมาอีกฝ่ายก็ชู่ว์ปากใส่แล้วหันมากระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา

   "ชู่ว์~ เงียบได้แล้วน่ะ จะซบหลังก็ได้นะไม่ได้ว่าอะไร"

   "งื้อ!"

   กันต์กวินทำเสียงงอแงแล้วซบลงบนหลังกว้างที่ให้ได้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของอีกฝ่ายส่งผลให้หัวใจเต้นแรงไม่หยุดแถมแก้มยังแดงจัดจนต้องมุดหน้ามากขึ้นกว่าเดิม

   'นายนี่นะ! อันตรายที่สุด'

   กันต์กวินมองไปตามทางเดินบวกกับสายลมตอนกลางคืนที่พัดอย่างเชื่องช้าทำให้เผลอหลับจนคนอุ้มเผลอยิ้มกว้างออกมาแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น



******************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 21-23 [UP 18/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 18-03-2019 01:37:45
สืบครั้งที่ 22


   'กันต์'

   "งืมมม"

   เสียงเรียกพร้อมแรงเขย่าตัวนั้นรบกวนการนอนจนกันต์กวินต้องปรือตาขึ้นมามองอย่างหงุดหงิด

   "ปลุกทำไม่อ่ะกรนี่ยังเช้าอยู่เลย!"

   "กันต์~"

   รณกรดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดซึ่งกันต์กวินนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวจึงอยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนสนิททั้งตัวก่อนจะถูกโยกไปเยกมาเหมือนเด็ก

   "เมื่อคืนฉันตกใจมากรู้ไหม! ดีแล้วล่ะที่นายไม่เป็นอะไร"

   "เมื่อคืน..."

   กันต์กวินนิ่งไปซักพักก่อนที่เหตุการณ์เมือคืนจะย้อนกลับมาอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนถึงตอนที่หลับอยู่บนหลังของพลทัพ ทำให้แก้มทั้งสองข้างแดงจัดด้วยความเขินอายซึ่งนั่นทำให้รณกรมองมาอย่างสงสัย

   "มีไข้ด้วยหรอ!!!"

   "ไม่ได้มีไข้ซักหน่อย~"

   กันต์กวินขืนตัวออกจากอีกฝ่ายพร้อมหันไปมองตรงกองไฟเห็นพลทัพกำลังนั่งปิ้งปลาอยู่คนเดียว ซึ่งอีกฝ่ายเหมือนรู้ตัวว่าถูกมองอยู่จึงเหยียดยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาพร้อมปลาหนึ่งตัวแถมยื่นด้านที่เป็นหัวปลามาให้อีกต่างหาก

   "กินไหม"

   "บอกแล้วไงว่าไม่ชอบกินหัวปลา"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีพร้อมตวัดสายตามามองแล้วยื่นปากด้วยความแง่งอน

   "ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้กินอันนี้ซักหน่อย"

   "อ้าว!"

   กันต์กวินทำท่าทางและน้ำเสียงที่ขัดใจก่อนจะชะงักไปเมื่อพลทัพยื่นเนื้อปลาที่ปิ้งสุกกำลังดีมาให้ตนเอง

   "อันนี้ต่างหาก"

   พลทัพถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพร้อมรอยยิ้มที่แสนกวนประสา   

   "พอกินได้ไหม"

   "แกล้งฉันสนุกมากเลยหรอ"

   กันต์กวินรับมาถือพร้อมปากยื่นด้วยความขัดใจเรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย

   "ไม่สนุกหรอก"

   พลทัพก้มหน้าลงมากระซิบตรงข้างหูด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

   "แต่น่ารักดี"

   "หือออออ ล้อเล่นใช่ไหม"

   กันต์กวินมองอย่างไม่ไว้ใจในท่าทีของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยสายตาที่แสนแพรวพราว

   "หน้าตาฉันเหมือนล้อเล่นหรอ"

   "ใช่!"

   ตอบทันทีอย่างไม่ต้องคิดทำให้อีกฝ่ายเหยียดยิ้มแล้วก้มลงมากระซิบข้างหูคนตัวเล็กที่นั่งทำหน้าบึ้งตึง

   "ฉันพูดจริงนะ"

   พลทัพเหยียดยิ้มเมื่อเห็นแก้มของคนตัวเล็กเริ่มแดงขึ้นด้วยความอาย

   "นายน่ารักมากเลย"

   "งื้อออ!"

   กันต์กวินผลักคนตรงหน้าออกอย่างแรงพร้อมแกะปลากินแก้อาการเขินอายที่เริ่มเก็บไม่มิด

   "ไม่คุยกับนายแล้ว!!!"

   "อร่อยไหม"

   พลทัพทำหูทวนลมถามกันต์กวินที่แก้มทั้งสองข้างกำลังเคี้ยวปลาอยู่ในปากซึ่งเจ้าตัวเหลือบตามองตนเองนิดหนึ่ง

   "อื้อ"

   "หึหึ"

   พลทัพหัวเราะในลำคอกับท่าทางดื้อดึงของอีกฝ่ายท่ามกลางสายตาของรณกรที่นั่งมองอย่างสงสัย

   'สองคนนี้ไปสนิทกันตอนไหน'



   "กันต์ดูดีขึ้นกว่าเมื่อคืนนะครับ"

   ต้นหลิวยิ้มพร้อมกับส่งกระบอกน้ำให้ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบแล้วยกขึ้นดื่มด้วยความกระหาย

   "ขอบคุณที่ทุกคนตามไปช่วยผมนะครับ"

   "คนที่รับบทหนักสุดน่าจะเป็นพลทัพนะครับ ฮะฮะ"

   ต้นหลิวเหลือบไปมองคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างกันต์กวินที่ปากยื่นทันทีเมื่อเห็นยาในมือของวรภพที่นั่งอยู่ด้านข้างตนเอง

   "นี่ยาแก้ปวดนะครับ อาจจะง่วงหน่อยแต่กินไว้กันไข้ขึ้นดีกว่านะครับ"

   "ขอบคุณครับ"

   กันต์กวินรับยามากินก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าจริงจัง

   "ขอบคุณนายเหมือนกันนะที่ไปช่วยและแบกฉันกลับมาที่นี่"

   "คิดว่าจะไม่ขอบคุณซะแล้ว"

   พลทัพจ้องหน้าอีกฝ่ายตาไม่กระพริบแล้วเหยียดยิ้มออกมาอย่างกวนประสาท

   "นายยังตัวหนักเหมือนเดิมเลยนะ"

   "นี่นาย!!"

   กันต์กวินทำหน้างอใส่พร้อมกับแก้มยุ้ยที่พองลมขึ้นอย่างไม่พอใจ

   "ฉันไม่ได้ตัวหนักซักหน่อย!"



*************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 21-23 [UP 18/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 18-03-2019 01:45:33
สืบครั้งที่ 23




   "ฉันมีเรื่องที่จะพูดกับทุกคน...พวกนายเลิกทะเลาะกันได้แล้ว"

   กิตติธัชขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและท่าทางการกอดอกที่ดูจริงจังทำให้ทุกคนหันมาฟังอย่างสนใจ

   "จากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่กันต์กวินโดนอิฐจับตัวไปนั่นแสดงว่าในป่านี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป อาจจะเป็นคนร้ายหนีคดีและตอนนี้ยิ่งมีฆาตกรที่ยังหาตัวไม่พบอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปห้ามไปไหนมาไหนน้อยกว่าสี่คนเข้าใจไหม เพื่อความปลอดภัยของตัวพวกนายเอง"

   "เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะคะกิต"

   เวธกาลุกขึ้นแล้วเดินมากอดแขนคนตรงหน้าอย่างแนบแน่น

   "งั้นกิตอยู่กับเกลตลอดเวลาเลยนะคะ เมื่อคืนน่ะเกลกลัวมากเลยค่ะ"

   "ไม่ได้หรอกเพราะวันนี้ฉันจะออกไปเก็บหลักฐานกับหมอวรภพและนักสืบต้นหลิว รวมถึงรณกรด้วย"

   กิตติธัชตอบพร้อมแอบลอบมองรวิสราที่นั่งหลบมุมกินปลาย่างอยู่คนเดียวทำให้เวธกาที่แอบดูอยู่ชักสีหน้าไม่พอใจ

   "งั้นกิตให้เกลไปด้วยนะคะ เกลไม่อยากอยู่ตรงนี้คนเดียวอ่ะ!"

   "ใครว่าคุณจะอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ"

   กิตติธัชเริ่มหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายนั้นพูดไม่รู้เรื่อง

   "พลทัพ กันต์กวิน และรวิสรา จะอยู่กับคุณที่นี่ด้วยต่างหาก"

   "ผมอยู่ที่นี่แทนไม่ได้หรอครับ"

   รณกรยกมือขึ้นถามด้วยความสงสัยแต่กิตติธัชกลับส่ายหน้าและยืนยันคำตอบเดิม

   "นายไปนั่นแหละดีแล้ว ขืนมีพลทัพไปด้วยมีหวังตีกันตายพอดี"

   "แต่..."

   "นายไปเถอะกรไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก"

   กันต์กวินพูดขัดขึ้นมาทำให้รณกรใบหน้าเจือนลงอย่างรวดเร็ว

   "ฉันไปก็ได้ นายดูแลตัวเองด้วยนะกันต์"

   "แน่นอน!~"

   กันต์กวินยิ้มกว้างเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายที่ยิ้มแห้งตอบกลับมา กิตติธัชจึงสะบัดมือเวธกาออกจากแขนของตนเองก่อนจะเดินไปหยิบอุปกรณ์และหันมาเร่งคนที่จะต้องไปด้วย

   "รีบไปกันเถอะจะได้กลับมาก่อนเที่ยง"

   "อื้อ!"

   ต้นหลิวตอบรับก่อนจะถือกล่องพยาบาลและเครื่องมือเดินไปพร้อมกันกับวรภพโดยปิดท้ายด้วยรณกรที่มองกันต์กวินอย่างอาลัยอาวรณ์




   พอทั้งสามคนเดินหายไปจากสายตาแล้วกันต์กวินก็อ้าปากหาวออกมาด้วยความง่วงนอนเพราะยาแก้ปวดเริ่มออกฤทธิ์

   "หาววว~ ง่วงจังเลย"

   "อย่าพึ่งนอน"

   พลทัพรั้งอีกฝ่ายไว้แล้วบังคับให้กินอาหารในมือตนเองที่ยังกินไม่หมด

   "กินปลาให้หมดก่อนเดี๋ยวยากัดกระเพาะ"

   "งื้อ~"

   กันต์กวินเริ่มทำเสียงงอแงก่อนจะก้มลงกินเนื้อปลาต่อจนหมดไม้ท่ามกลางรอยยิ้มของพลทัพที่มองมาอย่างพึงพอใจ

   "เก่งมาก"

   "นอนได้รึยังอ่ะ~"

   กันต์กวินถามทั้งที่ตาเริ่มปรือลงด้วยความง่วงทำให้พลทัพเหยียดยิ้มแล้วตบลงมาที่ตักของตนเอง

   "มานอนนี่มา"

   "ตักนายนี่นะ"

   กันต์กวินแบะปากใส่ก่อนจะยอมล้มตัวลงมาหนุนตักพลทัพแล้วนอนหลับอย่างสบายอารมณ์

   "ที่ฉันยอมนอนตักนายนี่เพราะง่วงนอนหรอกนะไม่ได้พิศวาสอะไรนายนักหรอก"

   "รู้แล้วน่ะ"

   พลทัพลากเสียงอย่างล้อเลียนแล้วลูบผมจนกันต์กวินเคลิ้มหลับไปท่ามกลางสายตาของเวธกาที่เบะปากออกอย่างน่าหมั่นไส้

   "สองคนนี้ไม่รู้ว่าไปสนิทสนมกันตอนไหน ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นมากกว่าเพื่อนแล้วล่ะมั้งเนอะรวื"

   "เหมือนเธอที่คิดกับธัชเกินกว่าเพื่อนใช่ไหม"

   คำถามนั้นทำให้เวธกาตกใจก่อนที่จะพยายามเก็บซ่อนไว้แต่ไม่มิดแถมยังยิ้มออกมาอย่างแสนซื่อ

   "พูดเรื่องอะไรหรอ ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย"

   "ไม่รู้เรื่อง..."

   รวิสราหันมามองหน้าอีกฝ่ายซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองด้วยสายตาที่ตัดพ้อ 

   "จริงหรอ?"

   "รวิ..."

   "ถ้ายังยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง...ฉันก็จะเชื่อ"

   รวิสราหันหน้าหนีพร้อมทั้งดื่มน้ำจนหมดกระบอกทำให้เวธกามองความสำนึกผิดที่ฉายออกมาเล็กน้อยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แสนร้ายกาจ

   "อย่าเชื่อฉันมากนักเลย"

   "ทำไม"

   รวิสราหันมามองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะผงะออกไปเมื่อพบแววตามุ่งร้ายของอีกฝ่ายที่มีมากขึ้นจนน่าหวาดกลัว

   "เพราะฉันสามารถทำทุกวิถีทางที่จะทำให้เธอหายไปจากชีวิตของคนที่ฉันรัก"

   "เกล?...อึก!"

   รวิสราเอามือจับตรงหัวก่อนจะเอนตัวลงไปพิงต้นไม้ด้านหลังอย่างอ่อนแรง ดวงตาปรือลงด้วยความง่วงพร้อมกับภาพที่เริ่มเลือนลางลง

   "เธอใส่อะไรลงไปในน้ำน่ะ"

   "แค่ยานอนหลับ"

   เวธกาลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบท่อนไม้ท่อนหนึ่งมาตบกับมืออย่างแผ่วเบาก่อนจะเงื้อมมือขึ้นแล้วฟาดลงมาตรงหลังหัวอย่างแรง

   "เธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บมาก"

   ปึก!

   "เกล"

   รวิสราฟุบลงกับพื้นแล้วพยายามลืมตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาตัดพ้อ

   "ทำไม?"

   "เพราะฉันรักและต้องการให้ธัชรักไม่น้อยไปกว่าเธอไงล่ะ"

   เวธกาเงื้อมมือมือขึ้นอีกครั้งแต่กลับโดนจับไม้จากด้านหลังด้วยฝีมือพลทัพที่หันมาเห็นตั้งแต่ฟาดไม้ลงมาในตอนแรกโดยมีกันต์กวินยืนเกาะแขนอยู่ด้านหลัง

   "จะทำอะไรน่ะเวธกา"

   "หืม?"

   เวธกาชะงักก่อนจะหันมายิ้มอย่างอ่อนหวานและเต็มไปด้วยความใสซื่อ

   "ฉันทำอะไรหรอ?"

   "ทำไมต้องเอาไม้ฟาดรวิสราด้วย"

   พลทัพจ้องมองด้วยแววตาจับผิดโดยมีกันต์กวินคอยเสริมอยู่ด้านหลัง

   "นั่นซิครับ ไม่น่าจะมีเรื่องที่ให้ทำร้ายกันไม่ใช่หรอ"

   "เปล่านี่คะ คุณสองคนเข้าใจผิดแล้วล่ะมั้ง"

   เวธกาตอบคำถามด้วยรอยยิ้มและแววตาที่แสนร้ายกาจเมื่อมองไปเห็นใครบางคนกำลังลากไม้มาตรงด้านหลังทั้งสองคนก่อนจะเงื้อมมือขึ้นจนสุดแขน

   "อุ๊ย! ระวังนะคะ"

   ปึก!

   "อ๊ะ!"



*************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 21-23 [UP 18/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-03-2019 13:33:22
 :pig2:
 :3123:
ชอบดีค่ะ แนวนี้
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 21-23 [UP 18/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 19-03-2019 15:36:16
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 21-23 [UP 18/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 20-03-2019 01:57:49
เวธกามีตัวฆาตกรคอยช่วย
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 24-26 [UP 23/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 23-03-2019 22:32:19
สืบครั้งที่ 24




   ปึก!

   "อ๊ะ!"

   กันต์กวินหันไปมองจังหวะเดียวกันกับที่ผู้บุกรุกฟาดท่อนไม้ลงตรงต้นคอของตนเองจากด้านหลังอย่างแรงจนกระเด็นล้มลงไปนอนกองกับพื้น

   "กันต์!"

   พลทัพร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกใจก่อนจะหันไปยื้อยุดฉุดกระชากพยายามต่อสู้กับคนร้ายที่พยายามจะทำร้ายตนแต่ก็ยังหันไปมองคนตัวเล็กที่กองอยู่บนพื้นด้วยสายตาเป็นห่วงซึ่งกันต์กวินพยายามปรือตามองพร้อมทั้งเรียกชื่อตนเองอย่างแผ่วเบา

   "ทัพ..."

   "อดทนไว้นะกันต์"

   พลทัพยกมือขึ้นมาป้องกันคนร้ายที่กระหน่ำฟาดไม้ลงมาอย่างรุนแรงซึ่งกันต์กวินนอนนิ่งมองภาพพลทัพกำลังต่อสู้กับคนร้ายนั้นทั้งน้ำตา ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพลทัพถูกท่อนไม้ใหญ่กว่าเดิมฟาดมาด้านหลังจากโดยเวธกาที่เหยียดยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ

   ปึก!

   พลทัพทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรงห่างจากกันต์กวินไม่ถึงเมตรก่อนจะยื่นมือมาเพื่อจะจับมือคนตัวเล็กที่สลบฟุบหน้าลงกับพื้นเนื่องจากฤทธิ์ยาแก้หวัดที่พึ่งกินไป

   "กันต์!!!"

   ปึก

   ถูกไม้ฟาดลงมาอีกครั้งทำให้พลทัพฟุบหน้าลงกับพื้นอย่างหมดแรงท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นอย่างสะใจ

   "ฮะฮะเฮอะ"

   โยนท่อนไม้ทิ้งใกล้พงหญ้าก่อนจะเดินเข้ามายืนข้างเวธกาที่ถามด้วยความเป็นกังวล

   "จะทำยังไงกับสองคนนี้ พวกมันรู้เรื่องของเราหมดแล้ว"

   "จะไปกลัวอะไรในเมื่อเรามีตัวประกันชั้นดีอยู่ทั้งคน"

   ก้าวเดินเข้ามาใกล้แล้วจับใบหน้ากันต์กวินหันไปมาแล้วเหยียดยิ้มอย่างสะใจทำให้เวธกาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

   "แล้วรวิล่ะ ที่ฉันร่วมมือด้วยเพราะต้องการกำจัดรวินะ!"

   "แค่เพิ่มตัวประกัน"

   ประคองร่างไร้สติของทั้งสองคนขึ้นบนบ่าก่อนจะหันมาเหยียดยิ้มให้กันอย่างร้ายกาจ

   "ทำตามแผนเดิมอย่าให้พลาดก็แล้วกัน"

   "ตกลง"

   เวธกายิ้มร้ายพร้อมจ้องมองร่างที่สลบไสลของรวิสราด้วยแววตาสำนึกผิดเล็กน้อยก่อนจะสะบัดหน้าหนีเพื่อกำจัดความรู้สึกนั้นให้หายไปทันที

   "ต้องโทษตัวเธอแล้วล่ะรวิที่แย่งธัชไปจากฉัน"

   "..กันต์"

   พลทัพปรือตาขึ้นมามองเห็นกันต์กวินถูกลักพาตัวไปพร้อมกับรวิสราก่อนที่ดวงตาคมจะปิดลงอย่างหมดแรงท่ามกลางเสียงข้าวของที่กระจัดกระจายลงมากองกับพื้นเต็มไปหมดด้วยฝีมือของเวธกาที่หยิบท่อนไม้ขึ้นมาฟาดตรงหัวตนเองจนเลือดออกก่อนจะกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งทั้งที่ริมฝีปากยังเหยียดยิ้มอย่างสะใจแล้วแกล้งล้มลงไปนอนกับพื้น



   ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทั้งสี่คนย้อนกลับมาเพราะลืมของพอดิบพอดีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นที่พักถูกรื้อข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมดโดยมีร่างของพลทัพและเวธกานอนสลบอยู่บนพื้นโดยไม่ห่างกันมากนัก   ทำให้ต้นหลิวรีบเข้าไปดูอาการของพลทัพที่เลือดออกตรงศีรษะด้านหลังแถมตรงมือมีรอยถลอกเต็มไปหมดและตามเนื้อตัวนี้นมีแต่ร่องรอยที่เกิดจากการต่อสู้ ส่วยรณกรมองรอบตัวด้วยความตื่นตกใจ

   "เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไมข้าวของกระจัดกระจายแบบนี้"

   "คุณกรมาช่วยผมทางนี้ก่อนเถอะครับ"

   "ได้ครับ!"

   รณกรร้องตอบรับอย่างตื่นตกใจก่อนจะเดินตามต้นหลิวไปดูอาการของพลทัพที่หนักพอสมควร ส่วนกิตติธัชรีบเข้าไปดูอาการของเวธกาอย่างเป็นห่วงพร้อมเขย่าตัวไปมาอย่างแรงจนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว

   "เกล! เวธกา! ฟื้นขึ้นมาซิ!"

   "อืมม"

   เวธกาปรือตาขึ้นมามองกิตติธัชที่ประคองตนเองอยู่ก่อนจะโผเข้ากอดแน่นทั้งน้ำตา

   "ไม่เป็นไรใช่ไหม?"

   "กิตคะ ฮึกฮือออ"

   เวธกากอดกิตติธัชแล้วร้องไห้เสียงดังลั่นอย่างคนขวัญเสีย

   "ฮึกฮึก กิตอย่าทิ้งเกลไปเลยนะ เกลกลัวอ่ะ ฮือออ"

   "มันเกิดอะไรขึ้นน่ะเกล"

   พลทัพถามพร้อมหันไปมองข้าวของรอบตัวที่ถูกรื้อกระจัดกระจายเต็มไปหมดโดยที่มือนั้นคอยปลอบเวธกาที่สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นไปหมด

   "ฮึก เกลไม่รู้ค่ะแถมเจ็บหัวมากด้วย ฮือออ"

   "แผลไม่ลึกมากมาทำแผลก่อนเถอะครับ"

   วรภพเกลี่ยกล่อมคนที่ร้องไห้อีกแรงแต่ดูเหมือนเวธกาไม่ยอมให้ความร่วมมือแถมยังกอดกิตติธัชแน่นยิ่งขึ้นไปอีก

   "ไม่เอาค่ะ เกลจะอยู่กับกิต"

   เวธกาเงยหน้าขึ้นไปอ้อนคนตัวสูงที่นั่งหน้านิ่งยอมให้ตัวเองกอด

   "เกลกลัวจังเลยค่ะกิต"

   "หมอวรภพไปดูอาการของนายนั่นเถอะเดี๋ยวผมดูแลเกลเอง"

   กิตติธัชหันมาออกคำสั่งทำให้วรภพรีบวิ่งไปดูอาการของพลทัพที่ต้นหลิวพยายามเรียกให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

   "คุณพลทัพครับ! คุณพลทัพฟื้นซิครับ"

   "อือออ"

   แรงเหย่าตัวและเสียงเรียกทำให้พลทัพปรือตาขึ้นมามองด้วยความมึนงงก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น

   "กันต์!"

   "จะไปไหนครับ!?"

   ต้นหลิวคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะลุกขึ้นวิ่งไปไหน

   "คุณกำลังบาดเจ็บอยู่นะ"

   "ฉันจะไปตามหากันต์"

   พลทัพสะบัดมือของต้นหลิวออกจากแขนของตนพร้อมกับหันซ้ายมองขวาด้วยความเป็นกังวลซึ่งคำพูดและท่าทางนั้นทำให้รณกรถามอย่างร้อนใจ

   "เกิดอะไรขึ้นกับกันต์ครับและรวิหายไปไหน"

   "ทั้งสองคนถูกคนร้ายลักพาตัวไป"

   พลทัพตอบด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดซึ่งคำตอบนั้นทำให้กิตติธัชกดเสียงต่ำลงอย่างไม่พอใจ

   "คนร้ายคือใคร"

   "ไม่เห็นหน้าแต่ถ้าอยากรู้หันไปถามเวธกาคนดีของนายดูซิ!"

   พลทัพหันไปจ้องมองด้วยความโมโหทำให้เวธกาส่ายหน้าไปมาพร้อมกับกอดกิตติธัชแน่นกว่าเดิม

   "อะไรกันคะ เกลไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ กิตต้องเชื่อเกลนะคะ"

   เวธกาออดอ้อนพร้อมส่งสายตาร้ายกาจมาทางพลทัพที่จ้องมองมาอย่างโมโห

   "นายน่ะมากล่าวหาคนอื่นแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนหะ"

   "ถ้าอยากจะเชื่อยัยนั่นนักก็ตามใจ"

   พลทัพนั่งนิ่งให้ต้นหลิวและวรภพทำแผลแต่จ้องมองไปทางกิตติธัชอย่างสมเพช

   "แต่บอกได้เลยถ้านายยังโง่อยู่แบบนี้รวิสราคนรักของนายไม่มีวันรอดกลับมาแน่"

   "เขาไม่ใช่คนรักของฉัน"

   กิตติธัชหน้าตาบึ้งตึงก่อนจะชะงักในคำพูดตอมาของพลทัพที่เหยียดยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

   "หลอกหัวใจตัวเองแบบนี้ระวังเถอะจะสายเกินไป"

   "กล้าสอนฉันทั้งนี่นายไม่เคยรักใครงั้นหรอ"

   กิตติธัชตวาดใส่อย่างอารมณ์เสียทำให้พลทัพกระตุกมุมปากขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใครบางคนที่หายตัวไป

   "ใครบอกว่าฉันไม่มีความรัก"





*************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 24-26 [UP 23/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 23-03-2019 22:39:03
สืบครั้งที่ 25




   "นายรักใคร"

   รณกรจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจทำให้พลทัพเลิกคิ้วขึ้นมาก่อนจะแสยะยิ้มอย่างกวนประสาท

   "จะรักใครมันก็เรื่องของฉัน จำเป็นที่จะต้องป่าวประกาศให้ใครต่อใครรู้ตอนนี้ไหมล่ะ"

   "คุณรักใครก็ได้แค่ไม่ใช่กันต์เพื่อนรักของผมก็พอ"

   รณกรกอดอกอย่างไม่พอใจทำให้พลทัพหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

   "ฮะฮะ ถ้าใช่แล้วจะทำไมล่ะ"

   พลทัพจ้องมองมาด้วยสายตาจับผิดและกวนประสาทมากกว่าเดิม

   "ดูท่าทางแล้วนายจะหวงและห่วงมากเกินกว่าเพื่อนรึเปล่า"

   "พลทัพ!"

   รณกรกำหมัดแน่นด้วยความโมโหทำให้พลทัพแสยะยิ้มมากกว่าเดิม

   "โมโหขนาดนี้แสดงว่าสิ่งที่ฉันคิดเอาไว้เป็นเรื่องจริงซินะ"

   "นี่!!!"

   "หยุดทะเลาะซักทีเหอะ!!!"

   กิตติธัชตวาดขึ้นมาเสียงดังลั่นด้วยความโมโหแถมเริ่มเก็บอาการหงุดหงิดไม่อยู่

   "ทั้งสองคนหายไปแบบนี้พวกนายยังจะทะเลาะกันได้อีกหรอ!"

   "ใจเย็นก่อนซิคะกิต"

   เวธกาลูบหลังอย่างปลอบโยนหวังจะให้อีกฝ่ายใจเย็นลงแต่กิตติธัชกลับสะบัดมือตนเองทิ้งอย่างหงุดหงิด

   "รวิหายไปทั้งคนจะให้ผมใจเย็นได้ยังไง"

   "ดูคุณเป็นห่วงรวิจังเลยนะคะ"

   เวธกาหลี่ตาลงอย่างจับผิดทั้งที่พยายามเก็บซ่อนความอิจฉาไว้ในใจ

   "ไหนบอกว่าเกลียดไม่อยากหมั้นกับรวิยังไงล่ะ"

   "ผมจะคิดยังไงมันไม่เกี่ยวกับคุณ"

   กิตติธัชชักสีหน้าอย่างขัดใจและท่าทางนั้นทำให้เวธกาเริ่มโมโหกอดแขนอีกฝ่ายแน่น

   "ไม่เกี่ยวหรอ?" เวธกาน้ำตาไหลพร้อมพูดทั้งน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความน้อยใจ "แล้ววันนั้นคุณจูบเกลทำไม!"

   "ผมจูบคุณตอนไหน?"

   กิตติธัชขมวดคิ้วอย่างงุนงงยิ่งทำให้เวธกาน้ำตาไหลมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งเผลอตวาดไปเสียงดังลั่น

   "ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะกิต!!! หรือแกล้งที่จะจำไม่ได้เพราะยังรักรวิอยู่ใช่ไหม"

   "อย่ามาขึ้นเสียงนะ! จะรักหรือไม่รักใครมันก็เรื่องของผมไม่เกี่ยวกับเธอเลยซักนิด"

    กิตติธัชตวาดเสียงดังลั่นพร้อมทั้งสะบัดแขนออกเป็นรอบที่สามทำให้เวธกาโวยวายเสียงดังกว่าเดิม

   "แต่รวิถอนหมั้นคุณไปแล้วไม่ใช่รึไง อย่าลืมซิ!!!"

   "ถึงรวิจะถอนหมั้นไปแล้วแต่ยังมีแหวนหมั้นอีกวงอยู่ที่นี่"

   กิตติธัชชูแหวนเงินตรงนิ้วนางขึ้นมาอยู่ในระยะสายตาของอีกฝ่ายพร้อมพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

   "รวิไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผม!"

   "เกลจะถามอีกครั้ง กิตยังรักรวิอยู่ใช่ไหม"

   คำถามนั้นทำให้กิตติธัชชะงักนิ่งไปเล็กน้อยราวกับทบทวนหัวใจตัวเองก่อนจะพยักหน้ารับ

   "ใช่"

   "แล้วกิตจะเอายังไง กิตรู้หรอว่ารวิถูกพาตัวไปที่ไหนน่ะ"

   เวธกาพยายามควบคุมอารมณ์และเก็บซ่อนความอิจฉาเอาไว้เต็มที่แต่ทว่าแทบจะระเบิดเมื่อได้ยินคำตอบจากคนตรงหน้า

   "ฉันจะไปตามหารวิให้เจอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม"

   "ถ้ากิตรักแล้วมาทำร้ายเพื่อนเกลอย่างนั้นทำไม"

   เวธกากำหมัดแน่นพยายามจิกมือจนเลือดออก ส่วนกิตติธัชกลับกอดอกแล้วสะบัดหน้าหนีอย่างหงุดหงิด

   "นั่นมันเรื่องของฉัน"

   "แล้วทำไมต้องแกล้งทำเป็นไม่รักด้วย"

   เวธกาไม่ยอมแพ้ไล่ถามจนกระทั่งกิตติธัชตวาดเสียงดังลั่น

   "เกล! นั่นมันเรื่องของฉันกับรวิ ไม่เกี่ยวกับเธอ"

   "ถ้าเกิดว่ารวิตายไปแล้วล่ะ"

   เวธกาถามทั้งน้ำตายิ่งได้ยินคำตอบจากอีกฝ่ายแล้วยิ่งทำให้หัวใจแตกสลาย

   "ฉันเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะรักคนอื่น โดยเฉพาะเธอ"

   "ธัช"

   "เพราะหัวใจของฉันมีแต่รวิคนเดียว"

   กิตติธัชหันหลังแล้วเดินไปทางอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งทำแผลกันอยู่ไม่ไกลนักก่อนจะกอดอกถามอย่างหงุดหงิด

   "ทำแผลกันเสร็จรึยังล่ะ"

   "ทำเสร็จพอดีเลยครับ"

   วรภพตอบในจังหวะเดียวกันกับที่เอากรรไกรมาตัดผ้าพันแผลให้กับพลทัพที่นั่งหน้านิ่งจ้องมองหน้ากันกับกิตติธัชอย่างหาเรื่อง

   "นึกว่าจะตายไปซะแล้ว นายนี่ยังหนังหนาไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ"

   "แต่คงไม่เท่านายหรอก"

   พลทัพตอบกลับอย่างกวนประสาทไม่แพ้กันทำให้กิตติธัชหน้าตึงตั้งท่าจะทะเลาะด้วยแต่ต้นหลิวกลับเป็นฝ่ายห้ามเอาไว้

   "อย่าพึ่งหาเรื่องกันซิครับ ผมว่าพวกเรารีบออกตามหากันต์และรวิกันดีกว่าไม่รู้ว่าป่านนี้คนร้ายได้ลงมือทำร้ายร่างกายอะไรทั้งสองคนไปรึเปล่า"

   "ผมก็เห็นด้วยครับ"

   รณกรเองก็เห็นด้วยทำให้ทั้งสองคนเลิกทะเลาะแล้วสะบัดหน้าหนีกันไปคนละทางซึ่งวรภพหันไปมองเวธกาอย่างลำบากใจ

   "แล้วใครจะอยู่ดูแลเกลล่ะครับ"

   "พวกคุณไปเถอะ เกลอยู่คนเดียวได้ค่ะ"

   เวธกากอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีและแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

   "ขอให้หาเจอก็แล้วกัน"

   "ถ้าอย่างงั้นดูแลตัวเองด้วย"

   กิตติธัชสรุปก่อนที่ทั้งหมดจะออกไปตามหาทังสองคนที่หายไปโดยทิ้งเวธกาไว้ที่พักเพียงคนเดียว

   "คนใจร้าย"

   เวธกาทรุดตัวนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น

   "ฮึก! ใจร้ายที่สุดเลย ฮืออออ"

   เสียงร้องไห้ดังลั่นที่พักพร้อมกับจิกเอาใบไม้ใบหญ้าแถวนั้นมาปาทิ้งอย่างคับแค้นใจ

   "เกลทำทุกอย่างเพื่อธัชแล้วทำไมธัชไม่ยอมหันมามองคนแบบเกลบ้างอ่ะ ฮืออออ"

   ปาดน้ำตาแถวแก้มพร้อมกับมีรอยยิ้มหวานของใครคนหนึ่งปรากฎขึ้นมาในความทรงจำทำให้แววตานั้นหมองลงด้วยความสำนึกผิด

   "เกลขอโทษนะรวิ ฮึก! เกลขอโทษ"




*************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 24-26 [UP 23/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 23-03-2019 22:45:39
สืบครั้งที่ 26


   หลังจากนั่งร้องไห้มาซักพักใหญ่เวธกาก็ลุกขึ้นมาเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นให้เข้าที่เข้าทางโดยแอบใส่อะไรบางอย่างไว้ในกระเป๋าสะพายของใครบางคนเสร็จแล้วเดินมาหยิบกระเป๋าของรวิสรามากอดไว้แน่นด้วยความหวงแหนและแววตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด

   "ขอโทษนะรวิ เกลเดินมาลึกเกินกว่าที่จะถอยหลังกลับได้แล้ว"

   "ใช่แล้ว~"

   เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้เวธกาสะดุ้งตกใจแล้วหันไปมองด้านหลังเห็นใครบางคนที่ควรจะไปตั้งนานแล้วย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง

   "กลับมาที่นี่อีกทำไม"

   "ถ้าไม่กลับมาจะได้รู้หรอว่าเธอคิดที่จะทรยศฉัน"  ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน "เวธกา"

   "เปล่านะ!"

   เวธการีบตอบกลับอย่างร้อนตัวก่อนจะจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เริ่มหวาดหวั่นเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายดังลั่น

   "ฮะฮะเฮอะ! ไม่เห็นจะต้องร้อนตัวเลยนี่"

   "ต้องการอะไร"

   เวธการทำหน้าตาบึ้งตึงจ้องคนตรงหน้าอย่างจับผิดก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

   "เปล่า~ แค่คิดว่าเธอเริ่มสำนึกผิดอยากกลับตัวเป็นคนดีขึ้นมาเพื่อช่วยเพื่อนแล้วกำลังจะหักหลังหุ้นส่วนอย่างฉัน"

   "พูดอะไรน่ะ ไม่เห็นเข้าใจเลย"

   เวธกาตื่นกลัวพร้อมถอยหลังหนึ่งก้าวด้วยความหวาดกลัวกับท่าทีคุกคามของอีกฝ่าย

   "คิดจะหักหลังฉันมันไม่ง่ายนักหรอกนะเวธกา!!!"

   "เปล่านะ"

   เวธกาถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อหนีอีกฝ่ายที่เดินตามมาไม่หยุดจนต้องหันหลังเตรียมจะวิ่งหนีแต่ทว่ากลับได้ยินเสียงหัวเราะเยาะพร้อมกับไม้ที่ฟาดลงมาตรงต้นคอด้านหลังอย่างแรง

   ปัก!

   "โอ๊ย!"

   เวธกาหน้าคว่ำลงไปกับพื้นก่อนที่จะถูกจับให้นอนหงายแล้วโดนตะบปมือเข้าที่คออย่างรุนแรงทำให้ต้องรีบจับข้อมือเพื่อยั้งแรงเอาไว้แน่นพร้อมจ้องมองอย่างไม่ละสายตา

   "ทำไมถึงทำแบบนี้"

   "เธอเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ!"

   ตะคอกเสียงดังลั่นพร้อมกับออกแรงบีบมากขึ้นทำให้เวธกาดิ้นไปมาด้วยความหวาดกลัว

   "ฮึก! ไม่รู้~"

   "อย่ามาโกหก!!!"

   ออกแรงบีบกว่าเดิมจนเวธกายกมือขึ้นมาพนมเอาไว้แล้วขอร้องพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาเต็มหน้าด้วยความรู้หึกของเหยื่อที่หมดหนทาง

   "ฮึก! อย่าฆ่าฉันเลยนะ"

   "เสียใจด้วย" รอยยิ้มที่เหยียดขึ้นตรงมุมปากอย่างสมเพช "เพราะตั้งแต่เมื่อเธอเลือกที่จะร่วมมือกับฉันน่าจะรู้ตัวนี่ว่าไม่สามารถกลับหลังได้น่ะ"

   "แต่ฉันก็ไม่ได้ธัช ฮึก หัวใจของธัชมีให้แค่รวิคนเดียว"

   เวธกาตอบกลับทั้งน้ำตายิ่งทำให้คนที่อยู่ด้านบนหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

   "ฮะฮะเฮอะ นั่นมันไม่ใช่คำแก้ตัวที่จะมาหักหลังฉันได้นะ!"

   "ฮือ~ ขอโทษนะ ฮึก! ฉันขอโทษ"

   เวธกายกมือขึ้นมาขอร้องอีกครั้งแต่ยิ่งทำให้ถูกบีบคอหนักอย่างบ้าคลั่ง

   "ไม่ต้องมาขอโทษ! คนทรยศอย่าเธอสมควรตาย!!!"

   "ฮึก ฮืออออ!!!"

   แรงบืบที่คอเพิ่มมากขึ้นทำให้เวธกาดิ้นทุรนทุรายตะเกียกตะกายพยายามเอาตัวรอด มือจิกกับพื้นหญ้าและพื้นดินแน่นจนเลือดออกก่อนจะกระตุกเกร็งไปทั้งตัว สายตาจ้องมองไปยังกระเป๋าที่วางไว้ฝั่งตรงข้ามไม่กระพริบพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายที่หมดลงท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจจากคนที่ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบมีดขึ้นมาแตะริมฝีปากด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

   "ฮะฮะเฮอะ น่าเสียดายที่เธอต้องมาตายอย่างนี้ถ้าอย่างนั้นช่วยฉันอีกครั้งหนึ่งได้ไหมเกล..."

   ประคองข้อมือขึ้นมาแล้วใช้นิ้วลูบตรงเส้นเลือดอย่างแผ่วเบาพร้อมมีดที่ทาบลงบนข้อมือที่เย็นเชียบ

   "ช่วยเป็นสารให้ฉันทีนะ เพื่อนรัก~"

   ฉึก!!!

   "ฮะฮะเฮอะ!~"

   เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วทำให้พวกที่ออกไปตามหานั้นหยุดชะงักรณกรยกมือขึ้นลูบแขนที่ขนลุกไปหมดทั้งตัว

   "ทุกคนได้ยินเสียงไหมครับ"

   "น่ากลัวจัง"

   ต้นหลิวยื่นมือไปเกาะชายเสื้อของวรภพด้วยความหวาดกลัวก่อนจะตาโตขึ้นเมื่อจับทิศทางของเสียงหัวเราะนั้นได้

   "แต่เสียงนั้นมันมาจากตรงที่พักเราไม่ใช่หรอครับ"

   "เกล!"

   กิตติธัชตะโกนเสียงดังลั่นแล้วเริ่มออกตัววิ่งคนแรกด้วยความร้อนใจทำให้คนที่เหลือรีบวิ่งตามหลังไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานนักทุกคนก็มาถึงที่พักแต่ต้องตะลึงกับภาพตรงหน้าที่ทำให้กิตติธัชคนที่ไม่เคยเป็นห่วงใครนอกจากคู่หมั้นนั้นหน้าซีดเซียวลงทันที

   "เกล"

   "คุณเวธกา..."

   ต้นหลิวจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ก่อนจะเดินเข้าไปตรวจชันสูตรพลิกศพพบว่าสภาพศพของเวธกานอนหงายอยู่บนพื้นดิน รอบกายเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้ขัดขืนทั้งการดิ้นและมือที่จิกเกร็งดึงใบหญ้ากระจัดกระจายรอบกายเต็มไปหมด ตรงต้นคอด้านหลังถูกฟาดด้วยไม้ที่ตกอยู่ไม่ไกลนัก ส่วนคอด้านหน้าเป็นรอยแดงจากการโดนบีบอย่างแรงจนขาดอากาศหายใจ รวมไปถึงข้อมือที่ถูกกรีดเป็นทางยาว แต่นั่นยังไม่น่ากลัวกับเลือดที่ถูกเขียนบนพื้นข้างศพด้วยลายมือที่เป็นระเบียบและแสนคุ้นเคย



   'ถ้าไม่อยากให้อีกสองคนเป็นอะไรไปมาพบกันที่ตรงซากรถไฟภายในครึ่งชั่วโมง'
 


  "มันคือใครกันแน่นะ!!!"

   กิตติธัชโมโหเตะก้อนหินแถวนั้นด้วยความหงุดหงิดไม่ต่างกับรณกรที่จิกหัวตัวเองด้วยความร้อนใจกับสถานการที่เกิดขึ้น

   "ทำยังไงดีแล้วอย่างนี้กันต์จะเป็นอะไรไหม"

   "หมอนั่นต้องไม่เป็นอะไร"

   พลทัพเองก็ร้อนใจไม่ต่างกันทำให้ต้นหลิวหันมามองวรภพอย่างหนักใจ

   "หมอภพคิดว่ายังไงครับ"

   "ถึงแม้จะเป็นแค่คำขู่แต่พวกเราต้องรีบไปก่อนที่สองคนนั้นจะเป็นอะไร ดีกว่านะครับ"

   คำตอบของวรภพทำให้ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่กิตติธัชจะหยิบอาวุธขึ้นมาแจกจ่ายกันเรียบร้อยหมดทุกคนแล้วจึงตัดสินใจทิ้งศพของเวธกาไว้ที่นี่แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางของซากรถไฟทันที



**************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 24-26 [UP 23/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-03-2019 22:33:59
 o13
 :L1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 27-29 [UP 31/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 31-03-2019 23:19:18
สืบครั้งที่ 27





   "...รวิ"


   "อืออ"


   "รวิสรา"


   ขณะเดียวกันนั้นเองรวิสราก็เหมือนได้ยินใครเรียกชื่ออยู่ด้านข้างจึงลืมตาขึ้นมาพบกับใบหน้าขาวใสของกันต์กวินที่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความกังวลใจ

   "ฟื้นซักที ผมนึกว่าคุณจะเป็นอะไรไปซะแล้ว"

   "ที่นี่ที่ไหนคะ"

   รวิสรามองไปรอบกายอย่างตื่นตระหนกก่อนจะนึกออกเมื่อเห็นซากรถไฟคว้ำอยู่ตรงด้านข้าง

   "ซากรถไฟน่ะซิ แล้วพวกเราก็ถูกใครไม่รู้จับตัวมาด้วย" กันต์กวินหน้ามุ่ยลงอย่างเจ็บใจ "แถมคนที่ทำให้พวกเราเป็นแบบนี้คือเวธกาเพื่อนของคุณนั่นแหละ"

   "เกล"

   รวิสราก้มหน้าลงด้วยความเศร้าใจซึ่งท่าทางอย่างนั้นยิ่งทำให้กันต์กวินหงุดหงิด

   "เกลร้ายขนาดนั้นคุณยังเศร้าใจไปทำไมล่ะ"

   "แต่เกลคือเพื่อนคนเดียวของฉัน"

   รวิสราพูดขึ้นมาด้วยความอาลัยอาวรณ์ซึ่งคำตอบนั้นทำให้กันต์กวินกระทืบเท้าอย่างขัดใจ

   "เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เรามาหาทางหนีก่อนที่คนร้ายจะกลับมาเถอะ"

   "คิดจะหนีมันไม่ง่ายไปหน่อยหรอคุณนักข่าวกันต์กวิน"

   เสียงที่ดังมาจากด้านหน้าเผยให้เห็นร่างบอบบางของใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มทั้งที่เสื้อผ้าชุดสีดำเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ทำให้รวิสราและกันต์กวินที่กำลังวางแผนหนีอยู่นั้นผงะออกจากกันก่อนที่กันต์กวินจะกล้าถามออกไปตามประสาสัญชาตญาณนักข่าว

   "เธอรู้จักฉันได้ยังไง"

   "ใครจะไม่รู้จักนักข่าวฝึกหัดที่เฝ้าตามทำข่าวบนรถไฟได้ยังไงล่ะ"

   เหยียดยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาจับใบหน้าขาวนั้นด้วยสายตาที่คุกคาม

   "นักข่าวอย่างนายอนาคตยังอีกไกลน่าเสียดายนะที่ต้องมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่"

   "เรื่องอะไรที่ฉันจะมาตายที่นี่กันล่ะ"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีอย่างถือตัวทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังลั่น

   "ฮะฮะเฮอะ!"

   "คุณจับพวกเรามาทำไม"

   รวิสราถามทั้งที่สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวทำให้อีกฝ่ายหันมาจ้องหน้าแล้วแสยะยิ้มอย่างเวทนา

   "หมอนั่นน่ะของแถม แต่เธอน่ะคือข้อแลกเปลี่ยนที่ฉันต้องกำจัด"

   "แลก...แลกเปลี่ยนอะไร"

   รวิสราตัวสั่นอยากจะขยับแต่ขยับไม่ได้เพราะถูกมัดทั้งแขนและขาแน่นก่อนจะหน้าซีดลงเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย

   "แลกเปลี่ยนกับการที่ได้กิตติธัชเป็นคนรักไง หึ! เธอพอจะรู้แล้วใช่ไหมว่าเป็นใคร"

   "เกล"

   รวิสราน้ำตาคลอด้วยความผิดหวังก่อนจะหน้าซีดลงเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาจับหน้าอย่างแผ่วเบา

   "โธ่~ ไม่ต้องเศร้าไปหรอกนะเพราะฉันจัดการให้เธอแล้วไงดูนี่ซิ~"

   เลิกชายเสื้อขึ้นเผยให้เห็นเลือดที่เปรอะอยู่บนเสื้อผ้าอย่างชัดเจน

   "เลือดของคนที่ทรยศฉันกับเธอไง"

   "ไม่จริง!"

   รวิสราน้ำตาไหลออกมาอย่างห่ามไม่อยู่ท่ามกลางรอยยิ้มสะใจของคนตรงหน้าจนกระทั่งกันต์กวินทนไม่ไหว

   "หยุดปั่นหัวคนอื่นซักทีได้ไหมยัยโรคจิต!!!"

   "โอ๊ะโอ~ ทำไมปากร้ายจังเลยล่ะ"

   เปลี่ยนเป้าหมายมาลูบใบหน้าของกันต์กวินด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์

   "คนปากร้ายต้องโดนอะไรดีนะ อืมม~"

   "จะทำอะไร!"

   กันต์กวินผงะเมื่ออีกฝ่ายชูขวดสีน้ำตาลขนาดเล็กที่เปิดฝาพร้อมกับเชยคางสวยขึ้นก่อนจะเผยรอยยิ้มที่แสนร้ายกาจ

   "ไม่ต้องกลัวหรอกนี่น่ะแค่ยานอนหลับเอง~ มันจะทำให้นายหยุดพูดไปซักพักใหญ่เลยล่ะ ฮะฮะเฮอะ!"

   "อึกอื้อ!!!"

   กันต์กวินดิ้นหนีสุดแรงแต่ก็ถูกกรอกยาเข้าปากจนหมดขวดหลังจากนั้นดวงตาสวยก็ปรือหลับไปอย่างหมดแรงท่ามกลางเสียงร้องไห้ของรวิสราที่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

   "กันต์กวิน!!!"

   "ชู่ว์~ อย่าไปกวนคนนอนหลับซิ"

   ลูบผมกันต์กวินสองสามครั้งแล้วเดินมาทางรวิสราด้วยสายตาที่ร้ายกาจ

   "แล้วฉันจะเล่นอะไรกับเธอดีนะ"

   ปัง!

   "หยุดนะ! ปล่อยตัวประกันเดี๋ยวนี้!!!"

   เสียงปืนที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านหลังทำให้คนที่กำลังจะเล่นสนุกนั้นหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกับหันไปเผชิญหน้าด้วยรอยยิ้มหวานแสนคุ้นเคย

   "หืม? เล่นปืนกับผู้หญิงแบบนี้มันไม่น่ารักเลยนะคุณตำรวจ"

   "เวย์"

   ต้นหลิวหน้าตาเริ่มซีดลงเพราะตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับหยุดนิ่งเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือวิรชาคู่หมั้นคู่หมายแสนหวานและแสนดีของตนกลับกลายมาเป็นคนร้ายที่ฆ่าใครต่อใครมากมาย

   "เธอคือคนร้ายอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ซินะ"

   "ต้นหลิวของเวย์นี่เก่งที่สุดไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะ"

   วิรชายิ้มหวานแค่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความร้ายกาจ

   "ในเมื่อรู้ตัวตั้งนานแล้วทำไมถึงไม่ตามจับเวย์ล่ะคะ"

   "เพราะผมหวังว่าคนร้ายจะไม่ใช่คุณน่ะซิ"

   ต้นหลิวตอบทั้งที่สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวังแต่กลับถูกวรภพกุมมือไว้แน่นอย่างปลอบใจ ท่ามกลางความใจร้อนของกิตติธัชที่ยกปืนขึ้นขู่ตลอดเวลา

   "ปล่อยตัวประกันเดี๋ยวนี้!!!"

   "บอกแล้วไงคะว่าอย่ายกปืนขู่ผู้หญิงน่ะ"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังรวิสราที่ส่งสายตาหวาดกลัวมาให้อดีตคู่หมั้นแต่ทว่าต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อลำคอขาวสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของคมมีด

   "ถ้าฉันตกใจขึ้นมามือกระตุกไปปาดคออดีตคู่หมั้นของคุณเอาจะเป็นเรื่องใหญ่นะคะ"

   "ฮึ่ม!"

   กิตติธัชกัดปากแน่นด้วยความร้อนใจแต่คำขู่นั้นไม่ได้ทำให้พลทัพเกรงกลัวแต่อย่างไรทว่าคนที่เป็นห่วงคือคนที่นั่งสลบอยู่ตรงนั้นต่างหาก!

   "ทำไมกันต์ถึงยังไม่ฟื้น"

   "หมอนั่นพูดมากไปหน่อย" วิรชายิ้มหวานมากขึ้นกว่าเดิม "เลยทำให้นอนหลับไปเท่านั้นเอง"

   "กล้าดียังไงมาทำร้ายเพื่อนฉัน!"

   รณกรโมโหกระชากปืนจากวรภพที่ไม่ทันได้ระวังตัวหันไปทางวิรชาที่หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นไม่มีท่าทางจะกลัวแต่อย่างใด

   "ฮะฮะเฮอะ"

   ปัง!!!

   "อึก"

   ปืนร่วงลงไปกระแทกกับพื้นพร้อมกับร่างกายของรณกรที่ทรุดตัวลงไปนั่งกุมท้องที่เลือดไหลออกมาเป็นสายท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจของวิรชาที่เป่าควันที่กระบอกปืนอย่างแผ่วเบาโดยที่ริมฝีปากยังยิ้มหวานเหมือนเดิม

   "บอกแล้วว่าอย่ามาทำให้เวย์ตกใจ"

   "คุณกรกดบาดแผลเอาไว้นะครับ"

    วรภพรีบหาผ้ามาให้อีกฝ่ายกดบาดแผลอย่างระมัดระวังโดยมีต้นหลิวยืนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวังปนไปกับความเสียใจ

   "ทำไมถึงร้ายกาจแบบนี้นะเวย์"




********************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 27-29 [UP 31/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 31-03-2019 23:31:22
สืบครั้งที่ 28





   "ร้ายกาจหรอ? ฮะฮะเฮอะ!"

   วิรชาหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยความขบขันพร้อมแสยะยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ

   "เวย์ก็ร้ายแบบนี้มานานแล้วต้นหลิวพึ่งรู้หรอคะ เวย์ต้องคอยกำจัดผู้หญิงทุกคนที่มาข้องเกี่ยวกับคู่หมั้นของเวย์เลยนะคะ รวมถึงไวซ์คนรักเก่าของคุณด้วย"

   "เพราะแบบนั้นไวซ์ถึงกำสร้อยคอของคุณไว้ในมือซินะ ไวซ์คงจะออกไปทำอะไรซักอย่างกับสร้อยนั่นที่แอบขโมยมาจากผมแล้วบังเอิญไปเจอกับคุณเข้าจึงเกิดการต่อสู้กันจนคุณเอาเชือกมารัดคอไวซ์จากด้านหลังจนขาดอากาศหายใจแล้วลากมาตรงต้นไม้ใหญ่แต่ไม่พบรอยลากเพราะฝนตกหนัก เหมาะแก่การสร้างสถานการที่ว่าอีกฝ่ายผูกคอฆ่าตัวตายบนต้นไม้ใหญ่แต่ที่แท้จริงแล้วเป็นการฆาตกรรม"

   "ว๊าว! ต้นหลิวของเวย์เก่งที่สุดเลย~" 

   วิรชายิ้มหวานแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์

   "แล้วต้นหลิวรู้ไหมคะว่าทำไมเวย์ถึงจะต้องฆ่ายัยนั่นด้วย"

   "เรื่องที่ไวซ์ยังรักผมอยู่ซินะ และต้องการบอกความจริงกับผมเรื่องของคุณ"

   พอได้ยินคำตอบจากต้นหลิวยิ่งทำให้วิรชาหัวเราะเสียงดังขึ้นกว่าเดิม

   "ฮะฮะเฮอะ! ต้นหลิวของเวย์เนี่ยเก่งมากค่ะ งั้นลองทายดูซิคะว่าเวย์ฆ่ารุ้งพรายทำไม"

   "เพราะรุ้งพรายเห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมบนรถไฟทั้งหมดแต่ไม่เห็นหน้าคนร้าย และด้วยการที่เอาแต่ใจและชอบข่มขู่คนอื่นอยู่แล้วทำให้เผลอหลุดปากบอกเหตุการณ์สำคัญออกมาแต่ไม่มีคนเชื่อ คุณจึงอาศัยจังหวะเวลาที่อีกฝ่ายกำลังโกรธคนอื่นและเดินหนีไปสงบสติอารมณ์อยู่แถวซากรถไฟนั้นลอบยิงตรงกลางทะลุหน้าอกโดยจงใจวางสร้อยคอทิ้งไว้เพื่อให้ฉันออกตามหาเธอใช่ไหมล่ะ"

   ต้นหลิวกอดอกจ้องตามองคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อยิ่งทำให้วิรชาแสยะยิ้มหวานกว่าเดิม

   "ต้นหลิวของเวย์เก่งมากอีกแล้ว!~"

   "รวมถึงศพของกวิตาเพื่อนของกันต์กวินที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างบนรถไฟรวมถึงเห็นศพของรติกรและศพของคนรักกับตาตนเอง จึงถูกหลอกล่อโดยเกลที่ร่วมมือกับคุณให้ออกจากที่พักก่อนจะโดนแทงจนเสียชีวิตหลังจากวิ่งจนหมดแรง ซึ่งลักษณะเป็นมีดผ่าตัดซึ่งเป็นมีดของหมอวรภพ ทำให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะเชี่ยวชาญในการใช้มีดมากที่สุด"

   ต้นหลิวไปสบตากับวรภพเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

   "และหลังจากที่เกลกำลังจะกลับตัวคุณก็ลงมือจัดการฆ่าปิดปากในระหว่างที่ทุกคนออกตามหากันต์และรวิเพราะกลัวโดนหักหลัง"

   "ต้นหลิวนี่รู้มากจังเลยนะคะ" เวธกาแสยะยิ้ม "ไหนลองบอกให้เวย์ชื่นใจหน่อยซิว่าทำไมเวธกาถึงร่วมมือกับเวย์ในการกำจัดทุกคน"

   "เหตุผลที่เกลร่วมมือกับคุณเพราะต้องการเพียงแค่กำจัดรวิเพียงคนเดียว ดูได้จากการกระทำคาดการณ์ได้ว่าเกลแอบชอบคู่หมั้นของเพื่อนตัวเอง"

   ต้นหลิวพูดพร้อมเหลือบไปมองกิตติธัศที่ชะงักเล็กน้อยด้วยความตกใจ

   "พอยุยงให้รวิถอนหมั้นกิตเรียบร้อยแล้วนั้นเกลจึงร่วมมือกับเธอเต็มตัวโดยเป็นฝ่ายหลอกล่อให้วิตาตามออกไปข้างนอกด้วยนั่นเอง"

   "แล้วพีรัชล่ะ" วิรชาแสยะยิ้มากกว่าเดิมด้วยความสนุกสนาน "ทำไมเวย์ต้องกำจัดพีรัชด้วย"

   "และเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พีรัชโดนฆ่าปิดปากโดยจัดการตอนที่อีกฝ่ายออกไปหาน้ำเพราะพีรัชเห็นตอนที่เธอกำลังแทงกวิตา"

   "ว้าว~"

   วิรชายิ้มหวานพร้อมทำสายตาเจ้าเล่ห์จนน่าหมั่นไส้

   "แล้วอยากรู้ไหมว่าเวย์จัดการคนสอดรู้สอดเห็นยังไง"

   "จะทำอะไรน่ะ"

   กิตติธัชเล็งปืนทันทีที่อีกฝ่ายขยับมีดสะกิดผิวหนังบอบบางของรวิสราจนเลือดซึมออกมาทำให้อีกฝ่ายร้องไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว

   "ฮึก! ธัช"

   "รวิ"

   กิตติธัชร้อนใจแต่ไม่กล้าบู่มบ่ามกลัวอีกฝ่ายจะเป็นอันตรายทำให้วิรชายิ่งได้ใจจึงเริ่มขยับมีดอีกครั้ง

   "เชือกที่รัดตรงคออย่างแรง"

   กดมีดเลึกกว่าเดิมทำให้รวิสราเกร็งตัวด้วยความหวาดกลัว

   "แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายดิ้นจนหมดแรง"

   "ฮึก! ฮือออ"

   รวิสราสะอื้นหนักขึ้นกว่าเดิมพร้อมจ้องตากับอดีตคู่หมั้นที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างอาลัยอาวรณ์ยิ่งทำให้วิรชาสนุกสนานมากกว่าเดิม

   "แล้วผลักจนตกน้ำ"

   ฉึบ! ปึก!

   เสียงมีดดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระบอกปืนที่กระทบกับข้อมือจนมีดปัดกระเด็นไปทางอื่น ก่อนที่กิตติธัชวิ่งตรงไปยังร่างของรวิสราแล้วคว้าตัวอุ้มกลับไปตรงที่เดิมเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พลทัพพาตัวกันต์กวินที่สลบกลับมารวมกลุ่มกันได้อย่างปลอดภัย

   "ฮือออ"

   รวิสราร้องไห้อย่างเสียขวัญอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้าที่รัดแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   "ปลอดภัยแล้วนะรวิ"

   "ฮึก...ธัช"

   รวิสราสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของกิตติธัชที่ลูบผมอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังปลอบโยน

   "ขอบคุณ...ขอบคุณที่มาช่วยนะ"

   "ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่เจ็บมากไหม"

   กิตติธัชเชยคางขึ้นพร้อมกับดูบาดแผลที่ไม่ลืกมากเท่าไหร่เพราะตนเองไปช่วยไว้ทันซึ่งท่าทางอ่อนโยนนั้นทำให้รวิสราส่ายหน้าไปมาทั้งที่แก้มทั้งสองข้างแดงขึ้นด้วยความเขินอาย

   "รู้ตัวไหมว่าทำให้ฉันเป็นห่วงมากแค่ไหน"

   ฟอด

   "ธ...ธัช"

   รวิสราตาโตด้วยความตกใจเพราะถูกอีกฝ่ายหอมแก้มอย่างรวดเร็วก่อนจะกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาให้ได้ยินกันสองคน

   "อย่าหายไปแบบนี้อีกเข้าใจไหม ส่วนเรื่องหมั้นเดี๋ยวฉันค่อยสวมแหวนให้ใหม่ดีไหม"

   "ธ..."

   ปั้ง!!!

   "ธัช!!!"

   รวิสราร้องอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับร่างของกิตติธัชที่กระตุกเกร็งเพราะโดนลอบยิงมาจากด้านหลังซึ่งระหว่างที่รวิสรากำลังร้องไห้คนที่โดนยิงกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

   "ฮะฮะ ฉันไม่ยอมมาตายเพราะลูกกระสุนปืนแบบนี้หรอกนะ"

   "ฮึก! ธัช" รวิสราเช็ดน้ำตาก่อนจะลูบหลังของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา "เจ็บมากไหม ฮึก"

   "แผลใหญ่กว่านี้ก็เคยโดนมาแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่ะ"

   กิตติธัชลูบผมแล้วปลอบอย่างอ่อนโยนทำให้ทั้งสองคนกอดกันแน่นท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจของวิรชาที่แกว่งกระบอกปืนไปมาท่ามกลางรอยยิ้มหวาน

   "บอกแล้วไงว่าอย่าทำให้เวย์มือกระตุกน่ะ ทำไมเตือนแล้วไม่เชื่อฟังกันเลยล่ะคะ"

   "เธอมันบ้าไปแล้ว"

   รณกรพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดขัดทั้งที่มือยังกำผ้าปิดแผลไว้แน่นก่อนจะหันไปมองกันต์กวินที่หลับสนิทบทตักของพลทัพซึ่งพยายามปลุกเต็มที่แต่ทว่าไม่รู้สึกตัว

   "กันต์เป็นยังไงบ้าง"

   "ไม่รู้สึกตัว"

   พลทัพขมวดคิ้วพร้อมเงยหน้าขึ้นมองไปยังวิรชาที่ยืนอยู่ด้วยสายตาคาดคั้น

   "เธอเอายาอะไรให้เขากิน"

   "ยานอนหลับไงคะ เวย์ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ถึงตายน่ะ"

   วิรชาเหยียดยิ้มก่อนจะเล็งปืนมายังทั้งสองคน

   "แต่คุณน่ะไม่แน่"

   ปัง!!!

   "คุณพลทัพ!!"

   รวิสราร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นพลทัพคว้าตัวกันต์กวินเข้ามากอดแล้วใช้ร่างกายตนเองบังกระสุนให้จนโดนยิงเข้าตรงหัวไหล่ด้านซ้ายเลือดออกเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเต็มไปหมดแต่พอตรวจดูร่างกายของกันต์กวินที่ไม่เป็นอะไรแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

   "เฮ้อ~ ดีนะที่นายไม่เป็นอะไร"

   "นายมันบ้าใจร้อนไม่เคยเปลี่ยน"

   กิตติธัชพูดออกมาอย่างหมั่นไส้ทั้งที่โล่งอกที่ทั้งสองคนไม่เป็นอะไรแต่พลทัพกลับเหยียดยิ้มที่มุมปากแล้วตอบกลับอย่างกวนประสาท

   "เพราะอย่างนี้เราถึงทำงานด้วยกันไม่ได้ยังไงล่ะ นายมันระเบียบเยอะเกินไป"

   "แต่เมื่อก่อนเราก็ทำงานเข้ากันได้ไม่ใช่รึไง"

   กิตติธัชเหยียดยิ้มตอบกลับอย่างรู้ทันอีกฝ่ายก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นอีกครั้งหลังจากถูกยิงไปบนฟ้าเพื่อเป็นการข่มขู่


   ปัง!


   "อย่าพึ่งมารำลึกความหลังกันตอนนี้ซิคะ!"

   วิรชาหน้ามุ่ยลงด้วยความขัดใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่ดูไม่ได้บาดเจ็บอะไรเหมือนที่ตนต้องการ

   "เวย์ไม่มีเวลาอะไรมาฟังเรื่องแบบนี้นะ"

   "แล้วคุณต้องการอะไร"

   ต้นหลิวถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังแต่วิรชากลับหัวเราะเสียงดังลั่นเมื่อเห็นสายตาแบบนั้น

   "ฮะฮะเฮอะ เวย์ชอบจังเลยค่ะที่ต้นหลิวมองด้วยสายตาแบบนั้นน่ะ แต่อยากรู้ใช่ไหมคะว่าเวย์ต้องการอะไร ถ้าอย่างงั้นต้นหลิวก็เดินออกมาหาเวย์ตรงนี้ซิคะแล้วเวย์จะบอกคุณทุกเรื่องเลยค่ะ"

   "ตกลง"

   ต้นหลิวเริ่มไม่พอใจพร้อมกับเดินออกไปด้านหน้าแต่ต้องหยุดชะงักกับมือใหญ่ของวรภพที่รั้งเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

   "อย่าออกไป"

   "แต่..."

   ต้นหลิวหันมามองคนที่จับมือตนเองไว้อย่างลังเลก่อนที่จะตกใจเมื่อมีเสียงปืนดังขึ้นอีกอีกครั้ง

   ปัง!

   "โอ๊ย!"

   วรภพกุมฝ่ามือตนเองเอาไว้แน่นพยายามห้ามเลือดให้หยุดไหลท่ามกลางความตกใจของต้นหลิวที่รีบนั่งลงมาดูบาดแผลของอีกฝ่ายทันที

   "เจ็บมากไหม"

   "ไม่มากหรอกแต่อย่าออกไปเลยนะ"

   วรภพเหลือบไปมองวิรชาที่ยืนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งมากกว่าเดิม

   "ฮะฮะเฮอะ ออกมาหาเวย์ซักทีซิคะต้นหลิวที่รัก~"

   "ขอโทษนะภพแต่ ผมต้องคุยกับคู่หมั้นให้รู้เรื่อง"

   ต้นหลิวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาวิรชาโดยไม่ฟังเสียงตะโกนร้องห้ามจากด้านหลัง ยิ่งเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นยิ่งทำให้ต้นหลิวผิดหวังมากกว่าเดิมเพราะถึงแม้วิรชาจะยังสวยเหมือนเดิมแต่รอยเลือดที่เปรอะเปื้อนตามเนื้อตัวทำให้เป็นหลักฐานอย่างดีว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เพียงแค่ความฝันอย่างที่เคยหลอกตัวเองมาตลอด

   "ผมมาแล้ว"

   "มาแล้วหรอคะต้นหลิว"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะเดินเข้ามาโอบกอดคนตรงหน้าอย่างแนบแน่นพร้อมซบลงตรงไหล่อย่างออดอ้อน

   "เวย์คิดถึงคุณที่สุดเลยค่ะ"

   "หยุดเล่นละครได้แล้ว"

   ต้นหลิวดึงวิรชาให้ออกมาจากตัวเองแล้วถอยหลังออกมาเล็กน้อย

   "คุณทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่"

   "ปิดปากพวกรู้มากไงคะ"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะเดินเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น

   "พวกนั้นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างบนรถไฟเพราะแบบนี้ไงเวย์ถึงปล่อยไปไม่ได้น่ะ ลองทายดูซิคะว่าคนที่เวย์ฆ่าคือใคร"

   "รติกรและคนขับรถไฟ"

   "เก่งจังเลย~"

   วิรชาเอื้อมมือมาจะจับแก้มแต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

   "อย่าพึ่งโกรธซิคะถ้าต้นหลิวอยากรู้เวย์ก็จะบอกเหตุผลที่เวย์ฆ่ารติกรเพราะเวย์ทนไม่ได้ที่จะต้องคอยใช้หนี้สินแทนครอบครัวอีกต่อไปแล้ว ส่วนคนขับรถไฟดันโชคร้ายอยากรู้อยากเห็นจนเวย์ต้องจัดการกับรถไฟขบวนนี้ทั้งขบวน ฮะฮะเฮอะ!"

   วิรชาหัวเราะออกมาอย่างสะใจท่ามกลางสายตาผิดหวังของคนตรงหน้าที่ถอยหลังห่างอีกหนึ่งก้าว

   "ต้นหลิวรู้ไหมคะว่าเวย์ชอบมากเลยนะเวลาที่เห็นคุณสืบคดีน่ะ หน้าคุณเวลาขมวดคิ้วประติดประต่อเรื่องราวอย่างลำบากใจน่ะมันทำให้เวย์ตื่นเต้นมากแค่ไหน"

   วิรชาเหยียดยิ้มหวานออกมามากจนถึงขั้นโรคจิตแต่นั่นไม่ได้ทำให้ต้นหลิวเกรงกลัวแต่แถมยังจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่จับผิด

   "คุณกำจัดทุกคน รวมถึงเรื่องอิฐด้วยงั้นหรอ"

   "ใช่ค่ะ ฉันจัดการเองทุกคนเลย~"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำถามของต้นหลิวที่มองอย่างจับผิดมากกว่าเดิม

   "แต่มันไม่ใช่รอยเท้าของคุณ"

   "ใช่ซิคะ เวย์เอารองเท้าของพีรัชมาใส่แทนเพื่อตบตาคุณไงแถมยังได้ผลซะด้วย"

   วิรชาตอบด้วยสายตาที่กระหายเลือดพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ต้นหลิวที่ก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว

   "ต้นหลิว~ ทำไมไม่เข้ามาหาเวย์ล่ะคะ"

   "ทำไมถึงร้ายกาจขนาดนี้" ต้นหลิวจ้องมองคู่หมั้นตนเองด้วยสายตาผิดหวังมากกว่าเดิม "คุณคงตั้งใจที่จะฆ่าปิดปากทุกคนรวมถึงผมด้วยซินะ"

   "นี่คุณรู้แล้วหรอคะ!"

   วิรชายิ้มหวานก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปซึ่งมันดูร้ายกาจและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

   "ฉันอยากให้ทุกคนตายโดยเฉพาะคุณยังไงล่ะคะต้นหลิวที่รัก รู้ไหมที่ผ่านมาที่ฉันแกล้งทำเป็นรักคุณเพราะพ่อแม่ฉันบังคับให้ฉันเลิกคบกับแฟนเก่าแล้วมาคบกับคนรวยอย่างคุณแทนไงคะ แต่ดูต้นหลิวซิชอบทำตัวแบบนี้ไม่เห็นจะตามใจเวย์ซักนิด แถมไม่มีเวลาให้เพราะมัวไปบ้าแต่งานน่ะ"

   "แต่ที่เรากำลังจะแต่งงานกันนะคุณก็แกล้งทำเป็นรักผมด้วยงั้นหรอ"

   ต้นหลิวมองอย่างไม่ละสายตาแถมเต็มไปด้วยความตัดพ้อยิ่งทำให้วิรชาเหยียดยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวานแต่เต็มไปด้วยความสะใจ

   "ค่ะที่รัก..."

   กริ๊ก!

   เสียงไกปืนที่เริ่มเหนี่ยวอีกครั้งจนสุดพร้อมกับปืนที่แนบสนิทตรงหัวใจของอีกฝ่ายนั่นไม่ทำให้เจ็บปวดเท่ากับคำพูดของคนที่ยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า

   "งั้นต้นหลิวก็ไปแต่งในนรกคนเดียวเถอะนะคะ"

   "ยังไงเวย์ก็ไม่ใช่คนร้ายที่ฆ่าอิฐ"

   ต้นหลิวจับมือแสนนุ่มนิ่มที่ถือปืนเอาไว้ทำให้อีกฝ่ายสะบัดออกอย่างแรงพร้อมตวาดเสียงดังลั่นด้วยความโมโห

   "เลิกโง่ซักที! ฉันเป็นคนฆ่าทุกคนเองนั่นแหละ เตรียมตัวตายได้แล้ว"

   "ฉันรักเธอนะเวย์"

   ต้นหลิวหลับตาลงแถมยังยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนและไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกจากวรภพที่วิ่งเข้ามาหา ท่ามกลางน้ำตาของวิรชาที่ไหลลงมาหนึ่งหยดก่อนจะเหยียดยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความโหดเหี้ยมและร้ายกาจ

   "ลาก่อนค่ะต้นหลิวที่รัก"

   ปัง!!!



**************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 27-29 [UP 31/03/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 31-03-2019 23:45:58
สืบครั้งที่ 29




   ปัง!!!

  เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับร่างของต้นหลิวที่หงายหลังลงไปสู่อ้อมกอดของคนที่วิ่งเข้ามาดึงจากด้านหลังได้ทันเวลาพอดี เสียงหอบหายใจด้านบนและความอบอุ่นของอ้อมกอดนั้นทำให้ต้องลืมตาขึ้นมามองอย่างแปลกใจ

   "หมอภพ?"

   "ไม่เป็นไรนะ"

   วรภพกดหัวของคนตัวเล็กมาแนบไหล่ของตัวเองทำให้ต้นหลิวเหลือบมองไปด้านหลังเห็นร่างของวิรชายืนกุมหน้าท้องของตนเองซึ่งมีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมดนั้นกำลังปล่อยร่างตนเองล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างหมดแรงพร้อมกับหน่วยช่วยเหลือที่ถือปืนมาล้อมเต็มไปหมดทำให้ต้นหลิวมองร่างคู่หมั้นที่นอนอยู่บนพื้นทั้งน้ำตา

  "เวย์"

   "ปลอดภัยกันรึเปล่าครับ"

   เสียงที่ดังมาจากด้านบนพอเงยหน้าขึ้นไปมองพบรุจรวีที่ย่อตัวลงมาถามด้วยความเป็นห่วงและไม่ไกลจากนั้นก็เห็นเวทิตกำลังดูบาดแผลของพลทัพและกันต์กวินอยู่อีกด้านหนึ่ง ทำให้ต้นหลิวยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้

   "รุจกับทิต พวกนายยังไม่ตายหรอ"

   "ฉันยังไม่ตายแล้วนายมาร้องไห้ทำไมเนี่ย"

   รุจรวีทำหน้าเหวอก่อนจะลูบผมของต้นหลิวด้วยความเอ็นดูทำให้วรภพช่วยปลอบอีกคน

   "อย่าร้องไห้เลยนะต้นหลิว"

   "ฮึกฮือออ ผมไม่คิดเลยว่าเวย์จะทำแบบนี้ ฮือออ"

   ต้นหลิวหันมากอดพลทัพแน่นพร้อมร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจทำให้อีกฝ่ายอดที่จะลูบผมด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   "ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง"

   "ฮึกฮือออ"

   ยิ่งอีกฝ่ายปลอบยิ่งทำให้ต้นหลิวร้องไห้เสียงดังมากกว่าเดิม จังหวะนั้นเองเวทิตที่ดูอาการของคนที่บาดเจ็บเสร็จและเดินเข้ามาสมทบพอดี

   "ด้านนั้นไม่เป็นอะไรมาก หน่วยพยาบาลกำลังทำแผลให้พลทัพ กิตติธัช รวิสรา รณกรเรียบร้อยแล้ว ส่วนกันต์กวินต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลทันทีที่เฮลิคอปเตอร์มาถึง  แล้วตรงนี้บาดเจ็บตรงไหนไหม"

   "มีแค่หมอวรภพที่โดนยิงแค่มือ" รุจรวีมองไปยังคนที่ร้องไห้อย่างหนักใจ "แต่คนที่เจ็บที่สุดดูเหมือนจะเป็นต้นหลิวนะ ไม่มีแผลแต่เจ็บที่ใจแทน"

   "ฮึกฮือออ"

   เสียงร้องไห้ที่ดังออกมาอย่างเสียใจนั้นทำให้รุจรวีและเวทิตยืนมองด้วยความสงสาร ส่วนกิตติธัชก็ถูกหน่วยพยาบาลทำแผลให้เรียบร้อยแล้วนั้นมีมือหนามาวางแล้วลูบผมอย่างแผ่วเบาพอเงยหน้าขึ้นไปพบคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน

   "รอดแล้วนะไอ้ลูกชาย"

   "พ่อ"

   พูดแค่นั้นก่อนที่สองพ่อลูกจะกอดกันแน่นโดยไม่มีคำปลอบโยนอะไรอีก ก่อนที่กิตติชัชจะหันไปมองรวิสราที่นั่งน้ำตาซึมอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเอ็นดูเสมอมา

   "ปลอดภัยแล้วนะหนูรวิ"

   "ค่ะคุณลุง"

   รวิสรายิ้มหวานก่อนจะสะดุ้งเมื่อโดนกิตติธัชแอบหอมแก้มอย่างไม่ทันตั้งตัว

   ฟอด!

   "ธัช!!"

   รวิสราปิดแก้มข้างที่โดนหอมด้วยความเขินอายเรียกเสียงหัวเราะน่าเอ็นดูจากพ่อลูกทั้งสองคนได้ไม่ยาก แต่ก่อนที่จะได้หยอกล้อกันมากไปกว่านี้สมาชิกหน่วยช่วยชีวิตคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาขัดจังหวะพอดี

   "หัวหน้าครับ เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำมาถึงแล้วครับ"

   "จัดการให้เรียบร้อย"

   กิตติชัชออกคำสั่งก่อนจะหันมายิ้มให้ผู้รอดชีวิตทุกคนอย่างอบอุ่น

   "เอาล่ะถึงเวลากลับบ้านกันได้ละ"

   "เย้!~"

   คนที่ดีใจเกินหน้าเกินตาคงหนีไม่พ้นรุจรวีที่กระโดดโลดเต้นจนเวทิตต้องคอยปราม หลังจากนั้นไม่นานนักเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ทั้งสองลำก็มาจอดตรงลานกว้างของป่าได้พอดี พลทัพที่ทำแผลเสร็จแล้วอุ้มกันต์กวินที่สลบอยู่นั้นขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลำแรกที่มีต้นหลิวและวรภพ ส่วนคนอื่นเดินทางไปลำที่สองที่มีขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเท่าตัว

   หลังจากที่เตรียมพร้อมเรียบร้อยทุกอย่างแล้วนั้นเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำจึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลในกรุงเทพซึ่งเป็นจังหวะที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดินพอดีทำให้พลทัพจูบลงตรงหน้าผากของกันต์กวินที่นอนหลับไม่รู้สึกตัวอยู่ในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา

   "กลับบ้านกันแล้วนะกันต์"

   เสียงกระซิบอย่างแผ่วเบาดังก้องเข้าไปยังโสตประสาททำให้ริมฝีปากนุ่มนิ่มนั้นยิ้มจางออกมาแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามทำให้พลทัพยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้นท่ามกลางรอยยิ้มของต้นหลิวและวรภพที่มองมาอย่างล้อเลียน






   หลังจากพาส่งตัวผู้รอดชีวิตเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าทีมสอบสวนและตำรวจจึงทำการปิดคดีกันโดยกันผู้รอดชีวิตไว้เป็นพยานในคดีฆาตกรรมครั้งนี้ แม้ทว่าเรื่องราวการฆาตกรรมและเรื่องราวในป่าที่สิ้นสุดลงแต่สายสัมพันธ์ใหม่ที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจของใครหลายคนอาจนำพาไปสู่ความจริงบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ในรถไฟขบวนนั้น





   หลังจากที่สามารถรอดชีวิตออกมาจากป่าได้นั้นช่วงเวลาก็ผ่านล่วงเลยไปหนึ่งเดือนเต็มแต่ยังทำให้ต้นหลิวนั้นยังซึมเศร้า โดยที่จะนำช่อดอกไม้ขนาดใหญ่มาวางไว้ตรงหน้าป้ายหลุมศพของอดีตคู่หมั้นที่อยู่ในสุสานตรงแถบชานเมืองที่ห่างไกลและเงียบสงบ

   "ผมมาเยี่ยมแล้วนะเวย์ วันนี้อากาสดีมากไม่ค่อยร้อนเกินไปใช่ไหมแล้วผมมีของขวัญมาฝากด้วย ผมยังจำได้เลยนะว่าเวย์ชอบดอกไม้สีชมพูขาวพวกนี้มากเลยใช่ไหม"

   ต้นหลิวฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับความรู้สึกเสียใจที่ตีตื้นขึ้นมาจนน้ำตาเริ่มคลอในจังหวะเดียวกันกับที่สร้อยคอคุ้นตาที่สวมอยู่ถูกถอดออกมาวางไว้ตรงหน้าหลุมศพอย่างอาวร

  "สร้อยเส้นนี้ฉันขอคืนให้นะเวย์ ไม่ว่าที่ผ่านมาเวย์จะร้ายกาจขนาดไหนแต่ยังไงซะฉันจะจดจำแค่ช่วงเวลาที่ดีกับเธอนะ"

   ต้นหลิวหลับตาลงพร้อมกับความทรงจำที่มีเกี่ยวกับวิรชาหลั่งไหลกลับมาอีกครั้ง


.

..

...

   'ต้นหลิว แม่มีคนมาแนะนำให้รู้จักนี่คือ วิรชา หรือหนูเวย์ ลูกสาวเพื่อนสนิทของแม่เองรู้จักกันเอาไว้นะ'

   'สวัสดีค่ะต้นหลิว'

   'สวัสดีครับเวย์'


   'ต้นหลิวจะว่าอะไรไหมถ้าเกิดเราลองมาคบกัน'

   'ไม่มีปัญหาครับ'

   'รู้สึกอายจังที่ขอคบต้นหลิวก่อน'

   'ไม่ต้องอายเลยผมว่าน่ารักดีออก'

   'ต้นหลิวอ่ะ'


   'อะไรกันคะเนี่ย'

   'แต่งงานกับผมนะเวย์'

   'ค่ะ...เวย์จะแต่งงานกับต้นหลิว'



   'ชอบไหมครับเวย์'

   'ชอบมากที่สุดเลยค่ะที่รัก'


   'ต้นหลิวนี่รู้ใจเวย์จังเลยนะคะ..น่ารักที่สุด~'

   'งั้นเรามาทานข้าวกันเถอะ'

...

..

.


   "ฮึก! ผมรักคุณนะเวย์"

   "ต้นหลิว"

   เสียงเรียกที่ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับอ้อมกอดอันอบอุ่นที่ทาบลงมาอย่างแนบสนิทบวกกับคำปลอบโยนที่ดังอยู่ข้างหูที่ทำให้หัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้งอย่างไม่เป็นจังหวะ

   "มีฉันอยู่ตรงนี้ถ้านายอยากร้องไห้อะไรก็ร้องออกมาเถอะ"

   "ภพ~ ฮึกฮืออออ"

   น้ำเสียงที่ปลอบโยนทำให้ต้นหลิวสะอื้นมากยิ่งขึ้นก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นพร้อมทั้งยังกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย



   ทางด้านของกิตติธัชก็ได้รับการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งหลังจากทางทีมสืบสวนทำการปิดคดีครั้งนี้โดยสมบูรณ์โดยมีกิตติชัชผู้เป็นพ่อมาร่วมแสดงความยินดีหลังจากเสร็จพิธีรับตำแหน่งเรียบร้อยแล้วด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มและภูมิใจ

   "ยินดีด้วยกับตำแหน่งสารวัตรนะ คราวนี้ก็ทำหน้าที่ให้รอบคอบและใจเย็นด้วยล่ะเพราะลูกน่ะไม่ใช่แค่ยศผู้กองแล้วเข้าใจไหม ต้องทำตัวเป็นแบบอย่าที่ดีให้กับพวกลูกน้องนะจำเอาไว้"

   "ครับผม!!!"

   กิตติธัชตอบด้วยท่าทางขึงขังและจริงจังทำให้ผู้เป็นพ่อเหยียดยิ้มออกมาอย่างถูกใจก่อนจะเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงหยอกล้อเมื่อเห็นใครบางคนในชุดสีชมพูกำลังเดินถือช่อดอกไม้เข้ามาหาด้วยรอยยิ้มหวาน

   "เมื่อไหร่จะจัดการเรื่องสำคัญซักทีล่ะ พ่ออยากมีหลานแล้วนะ"

   "พ่อ!!!"

   กิตติธัชทำหน้าตาหงุดหงิดทั้งที่หูเริ่มแดงก่อนจะเดินเลี่ยงเดินตรงไปทางรวิสราที่ถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวานตลอดเวลา

   "ยินดีกับตำแหน่งสารวัตรด้วยนะคะธัช รวิเอาดอกไม้มาให้ด้วยไม่รู้ว่าธัชจะชอบรึเปล่า"

   "ขอบคุณนะรวิ"

   กิตติธัชรับดอกไม้มาถือไว้ก่อนที่ทั้งสองคนจะเงียบมีเพียงรอยยิ้มให้กันเท่านั้น จนรวิสราเริ่มอึดอัดกับสายตาคนแถวนั้นต่างลอบมองมาตาไม่กระพริบ

   "เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วรวิขอตัวก่อนนะคะ ธัชจะได้เดินไปทักทายคนอื่นต่อ"

   "เดี๋ยวซิ"

   กิตติธัชรั้งข้อมือขาวแสนบอบบางเอาไว้ก่อนที่จะนั่งคุกเข่าลงไปทั้งชุดเต็มยศแบบนั้นทำให้รวิสราหน้าตาเห่อร้อนมองไปมองมาเริ่มทำตัวไม่ถูก

   "ทำอะไรน่ะคะธัช ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะรวิอายคนอื่นเขา"

   "ผมไม่สนใจคนอื่นหรอก ตอนนี้สนใจแค่คุณคนเดียวรู้ตัวบ้างไหมรวิสรา"

   กิตติธัชพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นพร้อมกับล้วงมือไปหยิบกล่องแหวนทรงรูปหัวใจสีแดงออกมาแล้วเปิดออกเผยให้เห็นแหวนเพชรเม็ดใหญ่ที่สวยและมีราคากว่าวงเดิมแต่นั่นเทียบไม่ได้กับคำพูดที่เต็มไปด้วยความรัก

   "ผมเคยบอกแล้วไงว่าจะหาวงใหม่มาสวมให้ ผมทำตามสัญญาแล้วนะเห็นไหม เพราะฉะนั้นแต่งงานกับผมนะรวิ"

   "ธัช"

   แก้มทั้งสองข้างของรวิสราแดงขึ้นสีอย่างน่ารักก่อนจะเงียบไปทำให้กิตติธัชต้องทำน้ำเสียงออดอ้อนเป็นครั้งแรกท่ามกลางตำรวจทุกคนที่ลอบมองอยู่ด้วย

   "รวิสราแต่งงานกับผมนะครับ"

   "ยังอยากจะแต่งงานกับรวิอยู่หรอคะ"

   รวิสราทำหน้างอใส่ด้วยความแง่งอน

   "ไม่รังเกียจกันแล้วหรอ"

   "ที่ผ่านมาผมไม่ได้รังเกียจนะ"

   กิตติธัชส่ายหน้าก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

   "แต่ผมแค่งี่เง่าเกินไป"

   "รู้ตัวด้วยหรอคะ"

   รวิสราอมยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับทั้งที่แก้มทั้งสองแดงก่ำไปหมด

   "ถ้าธัชไม่รังเกียจ รวิก็ตกลงค่ะ"

   "จริงนะ"

   กิตติธัชพูดด้วยน้ำเสียงดีใจและแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความสุข

   "รวิรับปากจะแต่งงานกับธัชนะ"

   "แต่หลังงานจากที่รวืจัดงานศพให้คุณพ่อเสร็จก่อนได้ไหมคะ"

   คำถามจากคนที่แก้มแดงไปหมดนั้นทำให้กิตติธัชชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด

   "ตกลงจะแต่งงานกับผมแล้วใช่ไหม"

   "ตกลงค่ะ"

   "รวิสรา~"

   กิตติธัชร้องด้วยความดีใจก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่นพร้อมตะโกนเรียกผู้เป็นพ่อที่ยืนมองอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง

   "รวิสราตอบตกลงที่แต่งงานกับผมแล้วพ่อ"

   "เหวอ!!!"

   รวิสรายิ้มหวานก่อนที่จะร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายอุ้มตัวเองขึ้นมาพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาอย่างไม่อายใคร

   ปุ้ง!~

   "เฮ้!!! ยินดีด้วยครับสารวัตร"

   ท่ามกลางเสียงเฮฮาและพลุสายรุ้งที่ถูกจุดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่คนที่จะดีใจที่สุดคงจะเป็นกิตติชัชที่เดินมาอวยพรอะไรบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองคนต้องหน้าแดงด้วยความเขินอาย

   "แต่งงานกันแล้วรีบมีลูกเลยนะพ่ออยากอยากอุ้มหลานจะแย่อยู่แล้ว"

   "คุณพ่อ!!!"

   กิตติธัชเสียงดังด้วยความขัดเขินแต่มือโอบรวิสราคู่หมั้นของตนเองที่ยืนแก้มแดงอย่างแนบแน่นไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปเป็นครั้งที่สอง



   ทางด้านของเวทิตและรุจรวีหลังจากรอดชีวิตออกมาจากในป่านั้นก็รับงานถ่ายแบบคู่กันมากขึ้นรวมถึงการถ่ายแบบในสระว่ายน้ำครั้งนี้ด้วย

   "น้องรุจเขยิบเข้าไปใกล้กว่านี้อีกครับ"

   เสียงผู้กำกับดังขึ้นทำให้รุจรวีทำหน้าตาขัดใจก่อนจะเอามือขาวแนบลงไปตรงหน้าอกของอีกคนที่ถูกทาสีจนเข้มกว่าเดิมพร้อมกับหน้าที่ซบลงไปอย่างเบื่อหน่ายทั้งที่ปากยังยิ้มให้กล้องอย่างน่ารัก

   "ใกล้ชิดจนจะสิงร่างกันอยู่แล้วยังไม่พออีกรึไง แถมน้ำยังเย็นจนตัวเริ่มเปื่อยแล้วเนี่ยทำไมท่านประธานถึงรับงานไม่ดูบรรยากาศบ้าง ดีนะที่ถ่ายในร่มไม่ได้ถ่ายกลางแดดน่ะไม่งั้นนะผิวฉันเสียหมดแน่เลย"

   "หึหึ อย่าบ่นหน่าเด็กน้อย"

   เวทิตกระซิบข้างหูพร้อมกับกอดเอวบางในชุดเสื้อกล้ามสีขาวที่เปียกน้ำจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนให้เข้ามาแนบชิดกับตนเองมากยิ่งขึ้นจนรุจรวีอดที่จะตีไหล่อย่างหมั่นไส้ไม่ได้

   "ฉวยโอกาสหรอพี่ทิตคนแก่"

   "คนแก่?"

   เวทิตชักสีหน้าอย่างไม่พอใจพร้อมมองคนตรงหน้าที่ยิ้มกวนประสาทมาให้อย่างคาดโทษ

   "พูดแบบนี้อยากโดนทำโทษใช่ไหม"

   "เอาเลยซิ"

   รุจรวีเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทายทำให้อีกฝ่ายอดใจไม่ไหวประกบปากลงมาอย่างแนบสนิดก่อนที่ทั้งสองจะจูบกันอย่างดูดดื่มในสระว่ายน้ำจนช่างภาพกดชัตเตอร์รัวและคนในกองถ่ายกลับเอามือถือขึ้นมาถ่ายภาพนิ่งรวมถึงถ่ายคลิปเต็มไปหมดแต่ทั้งสองคนไม่สนใจจูบสลับกันอย่างไม่ยอมแพ้จนรุจรวีเป็นฝ่ายผละออกมาซบไหล่อีกฝ่ายแล้วหอบหายใจอย่างหมดแรงแต่ทุบไหล่ของคนที่ยิ้มอยู่อย่างหมั่นไส้

   "หัวเราะเยาะหรอ! คราวหน้าฉันไม่แพ้นายหรอก"

   "หึหึ ตั้งตารอเลยล่ะ"

   เวทิตตอบพร้อมกับลูบไล้ผิวบอบบางที่เริ่มซีดเพราะอยู่ในน้ำนานเกินไปจึงอุ้มคนตัวเล็กขึ้นพร้อมกับหันไปหาช่างภาพที่ชอบยืนมองคนตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาตาไม่กระพริบ

   "ไม่ถ่ายภาพต่อแล้วหรอครับ?"

   "อ๋อครับ!"

   ช่างภาพรีบกดชัตเตอร์รัวจนภาพนั้นออกมาเป็นที่พอใจ ผู้กำกับจึงให้ขึ้นมาจากสระว่ายน้ำด้วยรอยยิ้มที่ถูกใจในผลงานที่ออกมาปนไปด้วยเอ็นดูนายแบบทั้งสองคน

   "ถ่ายทำเสร็จแล้วครับ ขอบคุณน้องทั้งสองคนมากเลยนะที่ยอมมาถ่ายแบบให้พี่ ภาพที่ออกมานี่ต้องถึงใจคนดูแน่นอนเลย"

  "ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะซิครับ"

   รุจรวีตอบพร้อมรับเสื้อคลุมสีขาวมาคลุมไว้ก่อนที่ผ้าเช็ดผมที่โปะลงมาตามมาด้วยมือใหญ่ที่เซ็ดผมให้อย่างอ่อนโยน ทำให้แฟนคลับและคนในกองถ่ายกรี๊ดกร๊าดยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพกันอีกครั้งจนคนตัวเล็กกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย

   "จะถ่ายอะไรกันนักหนาครับ แอบถ่ายคนรักกันนี่มันฟินตรงไหน"

   "ไม่เอา ไม่เหวี่ยงน่า"

   เวทิตเลื่อนลงมือมากอดเอวเล็กยิ่งทำให้แฟนคลับกรี๊ดกันกว่าเดิมรวมถึงรุจรวีที่กัดปากอย่างขัดใจ

   "ก็มันอึดอัดนี่หน่า เลิกแอบถ่ายกันได้แล้วครับ"

   "แต่เราอยากถ่ายพี่ทั้งสองคนนะคะ"

   เหล่าแฟนคลับทำหน้าตาเสียดายทำให้รุจรวีแสยะยิ้มอย่างเจ้าเหล่ห์แล้วกอดแขนคนตัวสูงแน่น

   "ถ้าอยากถ่ายจริงมาถ่ายกันตรงนี้เลยเถอะ พวกพี่จะยอมให้ถ่ายจนพอใจเลยล่ะ"

   "อ๊ายย จริงหรอคะพี่รุจ"

   แฟนคลับคนหนึ่งทำหน้าตาดีอกดีใจพร้อมคำถามที่ดังขึ้นมาจากแฟนคลับที่อยู่ด้านหลังสุด

   "แล้วพี่ทั้งสองคนเป็นอะไรกันคะ"

   "บอกแล้วไงครับว่าเราสองคนเป็นคนรักกัน"

   รุจรวีตอบกลับพร้อมหอมแก้มคนตัวสูงกว่าดังฟอดใหญ่ท่ามกลางเสียงกรี๊ดและเสียงถ่ายภาพที่ดังไม่หยุดแต่ไม่ทำให้รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าที่มีความสุขของทั้งสองคนเลยซักนิดเดียว




*********************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 30 [UP 19/04/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 19-04-2019 22:35:28
สืบครั้งที่ 30





   ซึ่งหลังจากนั้นข่าวเรื่องราวของทั้งสองคนก็ดังไปทั่วทั้งอินเตอร์เน็ตและออกข่าวทางโทรทัศน์ซึ่งทำให้แฟนคลับดีใจกันทั้งประเทศ

   'ข่าวบันเทิงเด็ดวันนี้คือการประกาศคบกันของนายแบบชื่อดังทั้งสองคน เวทิตและรุจรวี ที่หลังจากรอดชีวิตกลับมาจากเหตุการณ์ระทึกขวัญรถไฟตกรางก็มีงานถ่ายแบบคู่กันติดต่อมามากมายจนแฟนคลับติดตามกันนับพันคนและลุ้นว่าจะเป็นคนรักกันจริงหรือไม่ จนกระทั่งงานถ่ายแบบชุดว่ายน้ำของนิตยสารชื่อดังแห่งหนึ่งทั้งคู่จึงประกาศต่อหน้าแฟนคลับ เราไปชมคลิปนี้จากแฟนคลับเลยค่ะ

   ...'จะถ่ายอะไรกันนักหนา แอบถ่ายคนรักกันนี่มันฟินตรงไหน ถ้าอยากถ่ายจริงมาถ่ายกันตรงนี้เลย  พวกพี่จะยอมให้ถ่ายจนพอใจเลยล่ะ'...

   ...'แล้วพี่ทั้งสองคนเป็นอะไรกันคะ'...

   ...'บอกแล้วไงว่าเราสองคนเป็นคนรักกัน'...

   แล้วหลังจากที่ทั้งสองคนออกมาประกาศว่าเป็นคนรักกันนิตยสารชื่อดังนั้นก็ขายหมดตั้งแต่ห้าชั่วโมงแรกที่วางขายทั่วประเทศ ขอแสดงความยินดีและแฟนคลับจะสนับสนุนผลงานของทั้งสองคนต่อไปนะคะ เอาล่ะค่ะข่าวต่อมา...ติ๊ด!'

   "ตัดต่อคลิปแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ตัวจริงฉันพูดเพราะกว่านี้อีกนะ"

   รุจรวีนั่งกอดอกทำหน้าตาบึ้งตึงหลังจากโยนรีโมทโทรทัศน์ลงบนโต๊ะที่มีน้ำชาวางไว้สองถ้วยอย่างแรงทำให้เวทิตที่นั่งอยู่ด้านข้างยกมือขึ้นมาลูบหลังอย่างแผ่วเบา

   "เอาน่ะ อย่าโมโหเลยรุจ"

   "ประกาศเป็นคนรักกันแค่นี้ทำไมต้องออกข่าวให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทั้งประเทศด้วย"

   รุจรวียิ่งทำหน้าหงิกพร้อมเหลือบตาไปมองกิตติธัชที่กำลังดื่มกาแฟอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างอาฆาต

   "ทีกิตกับรวิตกลงจะแต่งงานกันไม่เห็นจะเป็นข่าวอะไรใหญ่โตเลยซักนิดเดียว"

   "แล้วมันเหมือนกันไหมล่ะ"

   กิตติธัชวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะพร้อมกับทำหน้าตากวนประสาท

   "ฉันแค่ตำรวจส่วนพวกนายสองคนมันนายแบบชื่อดังเลยนะ"

   "มันไม่เห็นเกี่ยวกันตรงไหนเลย นายแบบแล้วมีความรักไม่ได้รึไง"

   รุจรวีกอดอกอย่างขัดใจทำให้กิตติธัชหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดออกมาอย่างกวนประสาทมากกว่าเดิม

   "ได้น่ะมันได้แต่พวกนายเป็นคนดังไง"

   "พูดวนไปวนมาอยู่นั่นแหละตั้งใจจะกวนประสาทรึไงหะ"

   ยิ่งฟังยิ่งอารมณ์เสียจนรุจรวีมองหน้าอย่างหาเรื่องทำให้กิตติธัชหัวเราะพร้อมยื่นหน้ามาหยอกล้อจนน่าหมั่นไส้

   "ก็นายน่ากวนประสาทนี่หน่า"

   "นี่นาย!"

   "สองหนุ่มเงียบกันก่อนได้ไหมคะ"

   รวิสราขัดจังหวะขึ้นมาก่อนจะกอดอกมองทั้งสองคนด้วยใบหน้าที่ขัดใจ

   "คุณกันต์กวินต้องการพักผ่อนนะคะ"

   "โอ๊ะ!"

   รุจรวีอุทานอย่างความลืมตัวก่อนที่ทุกคนจะพร้อมใจกันเงียบเสียงลงแล้วหันไปมองกันต์กวินที่กำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงใหญ่ท่ามกลางสายน้ำเกลือและเครื่องพ่นไอน้ำติดไว้ตรงหัวเตียงเพื่อช่วยทำให้อากาศชื้นไม่แห้งจนเกินไป โดยมีพลทัพและรณกรคอยนั่งดูแลอย่างใกล้ชิดโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันซักคำ ซึ่งกิตติธัชตัดสินใจถามขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศแสนอึดอัด

   "แล้วอาการเป็นไงบ้าง"

   "เหมือนคนนอนหลับไปธรรมดานี่แหละ"

   พลทัพตอบก่อนจะเลื่อนผ้าห่มขึ้นมาปิดตรงหน้าอกของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงเพราะอุณภูมิเครื่องปรับอากาศเริ่มเย็น

   "คุณหมอได้บอกรึเปล่าว่าจะรู้สึกตัวเมื่อไหร่"

   "คุณหมอบอกว่ายานอนหลับที่ถูกกรอกเข้าไปนั้นมีฤทธิ์แรงเกินไปแต่โชคดีที่หน่วยช่วยเหลือปฐมพยาบาลและพาตัวมาโรงพยาบาลทันเวลา"

   รณกรเป็นฝ่ายตอบโดยที่มือนั้นกำลังบิดผ้าชบน้ำจนหมาดก่อนจะเช็ดแขนให้คนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนโยน   

   "ซึ่งถ้าจะรู้สึกตัวคงต้องรอจนกว่ายาจะหมดฤทธิ์น่ะครับ"

   "โชคดีนะที่วันนั้นไปหาพวกนายทันเวลาพอดีน่ะ ไม่อย่างนั้นไม่อยากจะคิดเลย"

   เวทิตถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทำให้รุจรวีรีบพูดเสริมโดยไม่ทันจะคิดว่าสายตาของใครบางคนจะหมองลงอย่างน่าสงสาร

   "นั่นน่ะซิไม่อย่างนั้นไม่อยากจะคิดเลยว่ายัยโรคจิตนั่นจะฆ่าใครอีก"

   "รุจ"

   เวทิตปรามคนรักของตนเองที่เริ่มพูดมากเกินไปทำให้รุจรวีทำหน้าตาตกใจก่อนจะหันไปขอโทษต้นหลิวที่กำลังดื่มกาแฟตรงโต๊ะทานอาหารอีกฝากหนึ่งของห้อง

   "โอ๊ะ! ขอโทษนะต้นหลิว"

   "ไม่เป็นไรหรอก" ต้นหลิวส่ายหน้าไปมาพร้อมยิ้มให้อีกฝ่ายอย่าไม่ถือสา "ผมไม่โกรธหรอกก็มันเป็นเรื่องจริงแถมผมยังคิดเหมือนรุจว่าเวย์นั้นไม่น่าลงมือทำเรื่องราวแบบนี้เลย"

   "แต่ฉันคิดว่ามันเป็นความผิดของฉันเหมือนกันนะคะ" รวิสราพูดแทรกขึ้นมาพร้อมมองไปยังคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยสายตาสำนึกผิด  "ตอนนั้นฉันน่าจะช่วยกันต์ให้มากกว่านี้"

   "ไม่ใช่ความผิดของรวิเลยนะ"

   กิตติธัชลูบหลังอย่างแผ่วเบากก่อนจะเนียนเลื่อนลงมากอดเอวบางอย่างแนบแน่นโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเพราะกำลังทำหน้าเป็นกังวลอยู่นั่นเอง

   "แต่..."

   "แต่ถ้าเวธกาไม่หักหลังพวกเราจนวิรชาจับตัวพวกคุณไปคงจะไม่ต้องเกิดเรื่องแบบนี้หรอก"

   กิตติธัชกำหมัดแน่นด้วยความโมโหทำให้รวิสราหันมาปิดปากแน่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายพูดมาก

   "อย่าไปโทษเลยค่ะ เกลเองก็ตายไปแล้วนะคะ"

   "คนทรยศสมควรได้รับบทลงโทษแล้ว"

   รณกรพูดแทรกขึ้นมาขณะที่มือกำลังเช็ดแขนขาวของคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนโยน

   "รวิไม่ต้องคิดมากหรอกนะครับ"

   "แต่คนที่คิดมากที่สุดน่าจะเป็นพลทัพนะคะ"

   รวิสรามองไปยังพลทัพที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึงของเตียงกำลังเลื่อนผ้าห่มขึ้นมาปิดคอร่างบางที่นอนหลับอยู่บนเตียงอีกครั้งอย่างอ่อนโยนทำให้กิตติธัชเหยียดยิ้มออกมาอย่างถูกใจกับท่าทางของอีกฝ่าย

   "บางทีคนที่หมอนั่นรักอาจจะอยู่แถวนี้ก็ได้"

   กิตติธัชเดินไปกอดคอแล้วทำท่าทางและน้ำเสียงกวนประสาท

   "ใช่ไหมล่ะ"

   "หึ! แสนรู้"

   พลทัพหัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปจับผ้าห่มเลื่อนขึ้นมาพอดีกับคางเพราะกลัวคนที่นอนอยู่จะหนาวเกินไปก่อนจะหันไปมองกิตติธัชที่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

   "แล้วนายไม่คิดจะกลับไปเป็นตำรวจจริงหรอ ถ้าเกิดนายยอมกลับไปทำงานนะ ฉันจะบอกให้พ่อจัดการเรื่องทุกอย่างเอง"

   "ไม่เอาหรอกฉันเบื่อกับการทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนั้นแล้ว"

   พลทัพปฏิเสธก่อนจะจ้องมองใบหน้าหวานของคนทนอนหลับอยู่อย่างอ่อนโยน

   "แถมตอนนี้ยังเจออะไรที่น่าสนใจกว่างานนั่นตั้งเยอะ"

   "ถ้านายตัดสินใจแบบนั้นก็ตามใจ"

   กิตติธัชยักไหล่ก่อนจะก้มลงไปกระซิบให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน

   "แต่ยังไงก็อย่าปล่อยให้หลุดมือไปแล้วกันรู้ใช่ไหมว่ามีใครบางคนคอยหวงก้างอยู่น่ะ"

   "ปล่อยให้หวงไปแบบนั้นแหละ"

   พลทัพเหลือบไปมองรณกรที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งของเตียงที่กำลังเช็ดมือและแขนขาวนั้นอย่างทะนุถนอม

   "ยังไงก็ชนะฉันไม่ได้อยู่แล้ว"

   "มั่นใจเหลือเกินนะ"

   กิตติธัชเหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างกวนประสาท

   "รอให้ฟื้นมาก่อนแล้วค่อยถามจะดีกว่าไหม ไม่แน่นายอาจจะคิดไปคนเดียวก็ได้"

   ปึก!

   "ปากมาก"

   พลทัพฟาดฝ่ามือเข้าไปตรงหัวไหล่ที่พันแผลของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแรงจนกิตติธัชร้องเสียงดังลั่นห้อง

   "โอ๊ย! ทุบตรงแผลทำไมเนี่ย" 

   ก่อนจะถลาไปหารวิสราที่กำลังนั่งปอกเปลือกส้มใส่จานอยู่บนโซฟาอย่างออดอ้อน

   "รวิจ๋า~"

   "คิกคิก สมน้ำหน้า"

   รวิสราหัวเราะคิกคักก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายทำสีหน้าเจ็บปวดจนอดเป็นห่วงไม่ได้

   "เจ็บมากเลยหรอคะ"

   "เจ็บซิเจ็บมากด้วย รวิลองดูแผลตรงนี้ให้หน่อยซิ"

   ทำหน้าตาและน้ำเสียงออดอ้อนจนอีกฝ่ายหลงกลเลื่อนใบหน้าเข้ามาดูแผลทำให้กิตติธัชได้จังหวะพุ่งหน้าเขิาไปหอมแก้มนุ่มนิ่มนั่นทันที

   ฟอด!

   "ธัช!"

   รวิสราเอามือจับแก้มตัวเองที่เริ่มแดงจัดแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างแง่งอนโดยมีกิตติธัชยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดเวลา ระหว่างนั้นเองโทรศัพท์มือถือของต้นหลิวก็ดังขึ้น พอมองเบอร์แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มแห้งให้ทุกคนที่หันมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน

   "ผมลืมปิดเสียงโทรศัพท์น่ะครัย งั้นขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ"

   "เชิญตามสบายครับ"

   พอได้ยินแบบนั้นต้นหลิวจึงเดินออกไปรับโทรศัพท์ตรงระเบียงห้องด้วยรอยยิ้มหวาน

   "สวัสดีครับคุณแม่ โทรมาหาผมมีธุระอะไรรึเปล่าครับ"

   'ถ้าไม่มีธุระนี่แม่โทรมาหาลูกไม่ได้เลยหรอคะ'

   เสียงปลายสายพูดออกมาอย่างน้อยใจทำให้คนฟังยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

   "ไม่ใช่แบบนะครับคุณแม่"

   'เอาเถอะแม่ไม่แกล้งเราแล้วล่ะ ที่แม่โทรมาเพราะจะบอกว่าทางทีมแพทย์นั้นส่งผลการชันสูตรพลิกศพของอดีตคู่หมั้นตัวร้ายของลูกมาแล้วแม่เลยให้คนเอาไว้แฟ้มที่ห้องทำงานลูกเรียบร้อยแล้ว'

   "ขอบคุณครับ"

   ต้นหลิวใบหน้าเจือนลงก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอยางแปลกใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เป็นกังวลของปลายสาย

   'ลูกต้องรีบกลับไปดูเลยนะแล้วจะได้รู้ว่ายัยนั่นร้ายกว่าที่ลูกคิด น่าเสียดายที่แม่หลงไปรักและเอ็นดูยัยตัวร้ายนั่นจนเกือบทำให้ลูกโดนยิงน่ะ'

   "เรื่องมันผ่านไปแล้วนะครับคุณแม่"

   พอได้ยินแบบนั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างขัดใจจากปลายสายที่ถ้าเห็นภาพต้องกำลังเหลือบตามองบนอยู่แน่นอน

   'แสนดีเกินไปแล้วนะลูกแม่น่ะ งั้นแค่นี้นะลูกแม่ต้องไปประชุมต่อแล้ว'

   "ครับผม รักคุณแม่นะครับ~"

   ต้นหลิวยิ้มหวานก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยที่มีอาหารวางเต็มโต๊ะมากมายและกำลังจะทานข้าวเย็นกันพอดีซึ่งรวิสราหันมามองทั้งที่ในมือกำลังถือจานอาหารเดินมาเสิร์ฟพอดีจึงชวนด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนหวาน

   "ต้นหลิวมาทานอาหารเย็นกันเถอะค่ะ มีอาหารเยอะแยะเลย"

   "น่ากินจังเลยครับ" ต้นหลิวยิ้มกว้างเมื่อเห็นของน่ากินบนโต๊ะก่อนจะทำหน้าเสียดาย "แต่ผมคงจะอยู่ทานไม่ได้"

   "ทำไมล่ะคะ"

   รวิสราทำสีหน้าเสียดายไม่แพ้กันทำให้ต้นหลิวยิ้มแห้งให้ด้วยท่าทางเกรงใจ

   "พอดีมีงานสำคัญเข้ามาน่ะครับ"

   "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ไว้ค่อยมาทานข้าวพร้อมกันตอนที่กันต์ฟื้นแล้วก็ได้ค่ะ"

   รวิสราพูดด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่อ่อนหวานซึ่งต้นหลิวพยักหน้าและกล่าวลาทุกคน

   "งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ"

   "เดี๋ยวผมไปส่งนะ"

   ก่อนที่จะเดินออกจากห้องวรภพก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกุญแจรถที่กำอยู่ในมือซึ่งต้นหลิวหันมายิ้มหวานให้ทันที

   "ขอบคุณนะครับ"

   ทั้งสองคนออกจากโรงพยาบาลในตอนเย็นซึ่งระหว่างทางนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันมากมายเพราะต้นหลิวนั่งกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างคิดถึงเรื่องผลที่ชันสูตรออกมาด้วยท่าทางที่เป็นกังวล


**************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 31 [UP 01/05/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 01-05-2019 21:22:47
สืบครั้งที่ 31




   จนกระทั่งมาถึงหน้าคอนโดแห่งหนึ่งซึ่งภายนอกดูไม่ค่อยใหม่เท่าไหร่เพราะมีแต่รอยปูนแตกเต็มไปหมด  แต่รู้สึกจะเหม่อเกินไปจนวรภพที่ขับรถมาส่งนั้นต้องสะกิดอย่างแผ่วเบาเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

   "ถึงบ้านแล้วครับ"

   "โอ๊ะ! ขอบคุณที่มาส่งนะครับ"

   ต้นหลิวรีบขอบคุณก่อนจะชะงักมือที่จับประตูไว้แล้วหันมามองอย่างชั่งใจจนวรภพต้องเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างแปลกใจ

   "ลืมอะไรรึเปล่าครับ"

   "หมอภพครับ"

   ต้นหลิวกำชายเสื้อตัวเองแน่นพร้อมเหลือบตาขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความประหม่าปนเขินอายไปหมด

   "ไปดื่มกาแฟที่ห้องทำงานของผมก่อนไหมครับ"

   "ดื่มกาแฟ?"

   วรภพเลิกคิ้วสูงมองท่าทางเขินอายของอีกฝ่ายจนอดที่จะยิ้มตรงมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ 

   "ดื่มตอนเย็นนี่น่ะหรอครับ แปลว่าชวนผมไปบนห้องคุณ?"

   "ครับ!" ต้นหลิวพยักหน้าแล้วตอบด้วยน้ำอ้อมแอ้ม  "ผมมีเรื่องงานสำคัญที่จะคุยด้วยน่ะครับ"

  "ได้ซิ"

   วรภพยิ้มกว้างก่อนจะลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในคอนโดพร้อมกันซึ่งด้านในนั้นดูเก่าและอับชื้นแถมตอนขึ้นลิฟท์ยังได้ยินเสียงดังของกลไกลอีกด้วย

   "อยู่คอนโดนี้คนเดียวไม่กลัวหรอครับ"

   "ไม่นะครับ ห้องผมไม่ได้ได้แย่ขนาดนั้น"

   ต้นหลิวตอบด้วยน้ำเสียงปกติแต่พยายามกลั้นหัวเราะคนตรงหน้า จนกระทั่งทั้งสองคนมาถึงชั้นบนสุดซึ่งมีประตูอยู่เพียงบานเดียว ต้นหลิวก็หยิบกุญแจขึ้นมาไขพร้อมกับหันมายิ้มหวานให้คนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง

   กริ๊ก!

   "เชิญครับ"

   พอเปิดประตูเข้ามาก็พบกับห้องสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งตรงกลางห้องเต็มไปด้วยหนังสือและแฟ้มเอกสารมากมายบนโต๊ะทำงานโดยที่ด้านหลังมีห้องกระจกขนาดใหญ่สำหรับเก็บหลักฐานที่แอบสืบไว้หลากหลายคดี ด้านซ้ายมือเป็นห้องนอนส่วนทางด้านขวามือคือห้องครัวและห้องน้ำ แถมสภาพห้องดูสะอาดเรียบร้อยและน่านอนมาก

   "นี่คือห้องทำงานผมครับ ตามสบายเลยนะ"

   "ห้องใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย"

   วรภพมองรอบห้องอย่างพึงพอใจเพราะอย่างน้อยห้องอีกฝ่ายก็ยังสภาพดีไม่เก่าและผุพังเหมือนภายนอก

   "ผมนึกว่าจะเก่าเหมือนข้างนอกซะอีก"

   "กว่าจะปรับปรุงใหม่ขนาดนี้ได้ก็หมดไปหลายตังนะครับ แต่ไม่ค่อยได้มาบ่อยเพราะพบจะไว้ใช้เก็บหลักฐานเรื่องสืบคดีน่ะครับแต่ยังไม่เคยเป็นเรื่องเป็นราวอะไรมากมาย ฮะฮะ"

   ต้นหลิวยกมือขึ้นลูบผมด้านหลังตัวเองด้วยความขัดเขิน

   "ตกลงรับกาแฟไหมครับ"

   "ผมขอชาดีกว่า"

   "แต่ผมชงชาไม่อร่อยนะ"

    ต้นหลิวทำหน้าตาลำบากใจทำให้วรภพเหยียดยิ้มตรงมุมปากด้วยความเอ็นดู

   "แต่ผมชงชาอร่อยนะแล้วห้องครัวอยู่ตรงไหนล่ะ"

   "ตรงประตูนั้นครับส่วนอีกห้องที่ติดกันนั้นเป็นห้องน้ำ"

   มือเรียวผายไปทางด้านซ้ายมือของห้องทำให้ร่างสูงพยักหน้าทันที

   "งั้นผมขออนุญาตนะ"

   "ตามสบายเลยครับ"

   ระหว่างที่วรภพไปชงชาในครัวต้นหลิวจึงหยิบแฟ้มรายงานการชันสูตรพลิกศพมาอ่านแต่แล้วต้องขมวดคิ้วแน่น ไล่สายตาเลื่อนลงมาด้านล่างและเปิดแผ่นกระดาษไปเรื่อยจนถึงหน้าสุดท้ายก่อนจะปล่อยแฟ้มงานให้ตกลงพื้นพร้อมเอนตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง

   ตุ๊บ!

   "ต้นหลิวเป็นอะไร"

   ซึ่งเสียงดังนั้นทำให้วรภพถือน้ำชาออกมาจากห้องครัวด้วยความเป็นห่วงไปหาคนตัวเล็กที่นั่งถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ

   "ผลการชันสูตรศพของเวย์ออกมาแล้ว"

   "มีอะไรน่าเครียดหรอ"

   วรภพขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้แล้วยกชาขึ้นมาดื่ม

   "ผลออกมาน่าเครียดตรงไหนครับ"

   "มันจะไม่น่าเครียดเลยถ้า..."

   ต้นหลิวสูดลมหายใจพร้อมยื่นแฟ้มเอกสารให้คนที่นั่งดื่มชาฝั่งตรงข้าม

    "ผลการชันสูตรไม่ออกมาว่าเวย์กำลังตั้งท้อง"

   "ตั้งท้อง!"

    มือหนารีบคว้าเอกสารไปอ่านแล้วเหลือบมองใบหน้าหวานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

    "ท้องกับนายหรอ"

    "ไม่ใช่นะ!"

    ต้นหลิวรีบปฏิเสธเสียงสูงทั้งที่ใบหน้ากำลงร้อนด้วยความเขินอาย

   "แถมผมยังไม่เคยมีอะไรกับเวย์ซักครั้ง"

    "แล้วเด็กในท้องวิรชา..."

    วรภพเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากับต้นหลิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน

   "คือลูกใคร?"

   "แถมที่น่าสงสัยไปกว่านั้นผลชันสูตรศพของคุณรติกรนั้นพบว่ารัดคอจากด้านหลังอย่างรุนแรงและไม่มีทางที่ผู้หญิงคนเดียวทำได้แน่"

    ต้นหลิววางภาพหลักฐานศพของรติกรที่ถ่ายเอาไว้พร้อมกับรูปศพของอีกคนหนึ่งที่ไหม้เกรียม

    "แถมน้ำหนักมือใกล้เคียงกันกับที่พบบนศพของอิฐ"

   "ถ้าอย่างนั้นนอกจากวิรชาแล้วก็ยังมีฆาตกรอีกคนหนึ่งน่ะซิ"

   "ผมเองก็คิดแบบนั้น"

   พอคิดถึงเรื่องนี้ทำให้วรภพอดที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างหนักหน่วง

    "แต่จะเป็นใครไปได้ในเมื่อกลุ่มพวกเราไม่มีใครที่น่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยซักคน"

   "ยังไงก็ต้องสืบดูให้รู้เรื่อง"

   ต้นหลิวพูดออกมาอย่างมุ่งมั่นทำให้วรภพอมยิ้มตรงมุมปากด้วยความเอ็นดู

   "ฉันจะช่วยนายเอง"

   "อื้ม ขอบใจนะ"

   ต้นหลิวยิ้มหวานให้อย่างน่ารักทำให้คนมองชะงักก่อนจะคว้าแฟ้มที่วางบนโต๊ะกระจกมากอดไว้แน่น

   "งั้นฉันขออ่านเอกสารการเสียชีวิตของวิรชาหน่อยแล้วกันนะ"

   "ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะลองสืบประวัติของเหยื่อแต่ละคนอย่างละเอียดอีกทีนะครับ"

    ต้นหลิวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังห้องกระจกด้านหลังแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคของคนตัวสูงที่ยังสนใจกับแฟ้มในมือเหมือนเดิม

   "ต้นหลิว...ระหว่างที่เรากำลังสืบเรื่องนี้เนี่ย คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าหากผม..."

    "ครับ?"

   ต้นหลิวหันมาในจังหวะที่เอียงคออย่างน่ารักทำให้วรภพหลบสายตาทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    "ผมอาจจะต้องขอนอนค้างที่นี่"

    "ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ"

    ต้นหลิวตอบพร้อมรอยยิ้มหวานที่ทำให้หัวใจคนมองเต้นไม่เป็นจังหวะ

    "จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ตามสบายเลยนะ"




   คืนนั้นวรภพนั่งอ่านผลชันสูตรศพจากนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดพบข้อสงสัยหลายอย่าง   โดยที่อีกด้านหนึ่งของห้องมีต้นหลิวกำลังสบประวัติของผู้เสียชีวิตแต่ละคนอย่างเคร่งเครียดจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนกว่าจะรู้สึกตัวก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาในตอนเช้ามืดท่ามกลางบรรยากาศห้องที่เงียบสนิททำให้ต้นหลิวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันไปมองวรภพที่กำลังจิบกาแฟอยู่นั้นส่งยิ้มมาให้อย่างไม่ถือสาซึ่งต้นหลิวรีบกดรับโทรศัพท์ทันทีโดยไม่ทันได้ดูชื่อ

   "สวัสดีครับ ผมต้นหลิวพูดสายครับ"

   "คุณต้นหลิว ผมรณกรเองครับ!"

   น้ำเสียงที่คุ้นหูทำให้คิ้วสวยยกสูงขึ้นมาอย่างสงสัย

    "กรโทรมามีอะไรรึเปล่าครับ"

   "ผมจะโทรมาบอกข่าวดี กันต์ฟื้นแล้วนะครับ!"

   "จริงหรอครับ!"

   ต้นหลิวยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนจะเหลือบไปสบตากับคนที่มองมาพอดี

    "แล้วอาการเป็นยังไงบ้างครับ?"

   "ตอนนี้คุณหมอกำลังพาไปตรวจร่างกายอยู่น่ะครับ"

   "ดีจังเลยครับงั้นเดี๋ยวผมจะรีบไปเยี่ยมตอนนี้เลย ขอบคุณนะครับที่โทรมาบอก"

   ต้นหลิวเก็บแฟ้มเอกสารบนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเดินตรงไปหาคนที่นั่งอยู่อีกทางด้านหนึ่งของห้อง

   "ไม่เป็นอะไรครับ แค่นี้นะผมต้องโทรไปบอกคนอื่นต่อ"

   "ครับ!"

   ต้นหลิววางสายพร้อมกับเรียกคนที่กำลังนั่งดูเอกสารเสียงหวาน

   "หมอภพ"

   "ใครโทรมาหรอครับ"

    วรภพเงยหน้าขึ้นมาถามตรงประเด็นจนต้นหลิวยิ้มกว้างออกมาอย่าอารมณ์ดี

   "กรโทรมาบอกว่ากันต์ฟื้นแล้ว"

   "จริงหรองั้นเรารีบเก็บของแล้วไปเยี่ยมกันเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทำงานกันต่อ"

   วรภพรีบเก็บข้าวของอย่างรีบร้อนทำให้ต้นหลิวรีบช่วยเก็บเอกสารอีกแรง

    "ครับ!"




   ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาลกันต์กวินในชุดคนไข้กำลังนั่งนิ่งอยู่บนเตียงยอมให้คุณหมอตรวจอาการทั้งวัดไข้และเอาไฟฉายมาตรวจดวงตาซักพักหนึ่งโดยมีพลทัพนั่งนิ่งอยู่ตรงโซฟาแต่คอยมองตลอดเวลา   จนกระทั่งคุณหมอตรวจอาการเสร็จแล้วหันมาพูดกับคนไข้ตัวน้อยที่นั่งมองตาแป๊วเพราะยังมึนงงกับฤทธิ์ยาเล็กน้อย

   "คนไข้พึ่งฟื้นอาจจะมีอาการมึนงงกับฤทธิ์ยานอนหลับที่ตกค้างอยู่เล็กน้อยไม่ต้องกังวลนะครับ"

   "แต่ผม...ไม่มีแรงเลยนะครับ"

   เสียงแหบแห้งพร้อมปากที่ยื่นออกมาอย่างขัดใจจนน่าเอ็นดู

   "กินน้ำและพักผ่อนตามที่หมอบอกแล้วอาการจะดีขึ้นเองครับ อย่าดื้อนะตกลงไหม"

   "ผมไม่ใช่เด็กนะ"

   กันต์กวินตอบอย่างขัดใจก่อนจะตวัดสายตาหันไปมองพลทัพที่นั่งทำหน้ากวนประสาทอยู่ตรงโซฟา

   "นายนั่นแหละเหมือนเด็กที่สุดแล้ว"

   "งื้อ!"

   "หึหึ"

   พลทัพหัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปฟังหมอประจำไข้ของคนตัวเล็ก

   "ยังไงก็ฝากดูแลเรื่องอาหารและยาให้คนไข้ อย่าได้ขาดนะครับ แล้วหมอจะมาดูอาการอีกรอบคืนนี้นะครับ เดี๋ยวจะให้พยาบาลมาแจ้งอีกที"

   "ครับ"

   พอหมอและพยาบาลเดินออกไปทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ ทั้งสองจ้องตากันนิ่งก่อนที่พลทัพจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกวนประสาทเหมือนเดิม

   "ฟื้นซักทีนะเด็กดื้อ"

   "บอกว่าไม่ใช่เด็กไง"

    กันต์กวินยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างเอาแต่ใจพร้อมกับจ้องมองคนตรงหน้าอย่างแง่งอน

    "ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ"

   "เฝ้าดูอาการเด็กดื้อที่ไม่ยอมตื่นนั่นแหละ"

  พลทัพอมยิ้มเพราะรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งพอหอมปากหอมคอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    "รู้ตัวไหมว่าทำให้ใครเขาเป็นห่วงมากแค่ไหน"

   "นายห่วงฉันด้วยหรอ"

   กันต์กวินเชิดหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจทำให้พลทัพเหยียดยิ้มที่มุมปากพร้อมสายตาที่เป็นห่วงจนคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงทำตัวไม่ถูก

   "ถ้าไม่ให้ฉันเป็นห่วงนายแล้วจะให้เป็นห่วงใคร"

    "นาย..."

    กันต์กวินหัวใจเต้นแรงแทบไม่เป็นจังหวะ

    "ทำไมต้องห่วงฉันมากขนาดนั้นด้วยล่ะ"

    "อาจจะเร็วไปหน่อยแต่...ก"

   เสียงตอนท้ายที่แผ่วเบาจนไม่ได้ยินทำให้กันต์กวินต้องเอียงหน้าเข้าไปฟัง

    "ห๊ะ! อะไรน่ะ"



    "รัก!   ฉันรักนายได้ยินยัง!"



******************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบมือใหม่ ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 31 [UP 01/05/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 02-05-2019 00:42:02
ฆาตกรอีกคนคืออดีตคนรักของเวย์ไหม
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 32 [UP 28/05/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 28-05-2019 21:37:40
สืบครั้งที่ 32


   "รัก! ฉันรักนายได้ยินยัง!"

   คราวนี้ตะโกนมาเสียงดังฟังชัดจนกันต์กวินต้องผงะออกห่างไปตั้งหลักอย่างตกใจพร้อมโวยวายใส่เสียงดังลั่นห้อง

   "ห๊ะ! อะ...อะไรแกล้งฉันหรอ"

    "เรื่องแบบนี้มันแกล้งกันได้ที่ไหน"

   พลทัพหน้าบึ้งตึงพร้อมมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังทำให้แก้มทั้งสองข้างของคนป่วยเริ่มแดงจนเห็นได้ชัดและทำตัวไม่ถูก

   "อ่า~ คือฉัน..."

   "ยังไม่ต้องตอบก็ได้ว่านายรู้สึกอย่างไรน่ะ"

   พลทัพยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดเสียงนุ่มทุ้มละมุนข้างใบหูคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา

   "แค่รู้ว่าฉันรักนายก็พอ"

   "อืมม"

   กันต์กวินรับคำในลำคอพร้อมกับหลบสายตาอบอุ่นนั้นด้วยใบหน้าที่เขินอายและใบหูที่เริ่มแดงก่ำมากยิ่งขึ้น ก่อนจะแสร้งเปลี่ยนเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว

   "หิวน้ำจัง"

   "น้ำหรอ รอแป๊บนึงนะ"

   พลทัพรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นมาให้ซึ่งกันต์กวินรีบรับมาดื่มทั้งที่ยังไม่มองหน้าพร้อมตอบกลัยด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

   "ขอบใจ"

   ก็อก! ก็อก!

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกันเล็กน้อยและไม่กี่วินาทีต่อมาประตูก็เปิดออกพร้อมกับผู้คนที่เดินเข้ามามากมาย

   แอ๊ด~

   "กันต์~"

   รณกรเดิมยิ้มกว้างเข้ามาคนแรกตามมาด้วยรุจรวี เวทิต รวิสรา และปิดท้ายด้วยกิตติธัชที่เดินถือกระเช้าผลไม้ใบใหญ่มาด้วย ก่อนที่รณกรจะกระโจนเข้าไปกอดกอดคนที่นั่งอยู่บนเตียงแน่นพร้อมร้องไห้โฺฮเสียงดังลั่น

   "ฮึก! ฟื้นขึ้นมาซักทีรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายขนาดไหน ฮือออ~"

   "ไม่งอแงน่ะกร"

   กันต์กวินลูบผมของคนตรงหน้าที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายอย่างอ่อนใจ

   "ฮึก! ก็กันต์ดันหลับไปนานขนาดนั้นจะไม่ให้ฉันเป็นห่วงได้ยังไงล่ะ"

   รณกรไม่ยอมปล่อยแถมยังกอดแน่นมากขึ้นกว่าเดิมทำให้กันต์กวินเริ่มขมวดคิ้วอย่างรำคาญ

   "เฮ่อ~ กรนี่นายกลายเป็นคนขี้แงไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย"

   "ฮึกฮือออ"

   ยิ่งปลอบเหมือนยิ่งยุเพราะเพื่อนสนิทยิ่งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิมจนคนโดนกอดเริ่มหงุดหงิด

   "เลิกร้องไห้ได้แล้วไม่อายคนอื่นเขารึไง"

   "ใช่! ปล่อยให้คนอื่นเยี่ยมบ้างเถอะ เดี๋ยวฉันต้องมีถ่ายแบบตอนบ่ายต่อนะ!"

   เสียงโวยวายที่คุ้นหูขัดจังหวะมาจากด้านหลังพร้อมใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังหงิกงอยกมือขึ้นมากอดอกอย่างขัดใจ

   "ไม่เอาน่ารุจ"

   "ก็ฉันอยากเยี่ยมบ้างนี่ทิต"

   เวทิตยกมือลูบผมคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดูทำให้กันต์กวินขมวดคิ้วมองทั้งสองคนด้วยความสงสัย

   "พวกนายยังไม่ตายหรอ หรือว่าฉันตาฝาด"

   "เปล่า!" รุจรวีแกล้งทำหน้านิ่งและเบิกตาให้ดูหน้ากลัวที่สุด "ที่นายเห็นอยู่นี่คือวิญญาณต่างหาก~"

   "ห๊ะ!"

   กันต์กวินทำหน้าตาตกตะลึงพร้อมผงะออกจนติดหัวเตียงด้านหลังสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนในห้องทำให้คนโดนแกล้งหน้ามุ่ยลงพร้อมโวยวายออกมาเสียงดังลั่นห้อง

    "พวกนายหลอกฉันนี่หน่า!"

   "คิกคิก หน้านายตอนตกใจนี่ตลกจังเลย~"

   รุจรวีหัวเราะเสียงดังกว่าใครทำให้คนป่วยยิ่งโวยวายมากยิ่งขึ้น

   "ไม่ต้องหัวเราะเลยนะ!"

   "คิกคิก"

   รุจรวีหัวเราะอย่างหนักจนเวทิตต้องคอยห้ามปราม

   "กันต์กำลังป่วยอยู่นะ ไม่แกล้งเพื่อนซิรุจ"

   "ไม่แกล้งแล้วก็ได้" รุจรวีอมยิ้มพร้อมยื่นถุงสีน้ำเงินขนาดเล็กไปให้คนป่วยที่มองมาอย่างงุนงง "อ่ะนี่ของเยี่ยม"

    "อะไรน่ะ"

    "ลองเปิดดูซิ "

    รุจรวียิ้มตาหยีคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายเปิดซึ่งพอเปิดออกมากันต์กวินต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึงพร้อมรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความดีใจจนแทบอยากกรีดร้อง

   "นี่มัน...รุจ~"

   "ชอบไหมล่ะ" รุจรวียิ้มกว้างก่อนจะอวดสรรพคุณของครีมที่ตนเองซื้อมา "รับรองว่าถ้านายทาแล้วไม่แพ้ง่ายแน่นอนแถมยังเป็นรุ่นคอลเลคชั่นใหม่เลยนะ"

   "อื้ม! ชอบมากเลยขอบคุณนะรุจ~"

   กันต์กวินโผเข้ากอดคนตัวเล็กด้านหน้าพร้อมกอดแน่นเพราะอีกฝ่ายดันซื้อครีมรุ่นใหม่ที่ตนเองอยากได้แต่สั่งจองไม่ทันมาให้พอดีอีกด้วย แต่รู้สึกจะกอดนานเกินไปจนได้ยินเสียงทุ้มกระแอมกระไอมาจากเวทิตที่ยืนอยู่ด้านหลัง

   "อะแฮ่ม!"

   "ไม่หึงซิพี่เวทิต~"

    รณกรหันไปหยิกแก้มหนาพร้อมทำหน้าตาน่าเอ็นดูใส่คนตัวสูงอย่างออดอ้อน

   "หืมมม"

   ระหว่างที่กำลังง้องอนอยู่นั้นกันต์กวินกำลังขมวดคิ้วนั่งมองทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ด้วยความสงสัยและประหลาดใจ

   "พวกนายคืนดีกันแล้วหรอ"

   "ตั้งแต่ที่ฟื้นมานี่พลทัพไม่ได้บอกอะไรนายเลยหรอ"

   รุจรวีมองอย่างงุนงงก่อนที่จะมีเสียงทุ้มของกิตติธัชขัดขึ้นมาซะก่อน

   "หึ! ปากหนักแบบนี้คงจะบอกหรอก"

    "เฮ้อ~ หลับไปเป็นเดือนนี่นายตกข่าวไปเยอะเลยนะ"

   รุจรวีส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแต่สายตาเต็มไปด้วยความแพรวพราวจนกันต์กวินต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยมากกว่าเดิม

   "หือ?"

   "ฉันกับทิตเป็นคนรักกัน"

   "ห๊ะ!"

   กันต์กวินตกใจผงะหงายหลังจนเกือบหัวโขดผนังยังดีที่มีมือหนาของพลทัพรองเอาไว้ได้ทันท่วงที

   "พวกนายสองคนเนี่ยนะเป็นคนรักกัน"

   "ใช่ซิ"  รุจรวีพยักหน้าพร้อมทั้งคล้องแขนเกร่งของเวทิตไว้แน่น "แล้วทำไมนายต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ"

   "พวกนายสองคนกัดกันจะตาย"

   "มันไม่เห็นจะแปลกเลยเราสองคนผ่านอันตรายมาด้วยกันเยอะเลยเนอะ"

   รุจรวีหันไปยิ้มให้อย่างน่ารักทำให้เวทิตลูบผมกลับอย่างเอ็นดู

   "ถูกต้อง"

   "แล้วใครสารภาพรักก่อนหรอ~"

   กันต์กวินแกล้งถามออกมาด้วยใบหน้าเย้าแหย่ ซึ่งเวทิตก็ตอบกลับทันทีแถมชี้ไปยังคนตัวเล็กข้างกาย

   "รุจน่ะซิ"

   "ไอ้พี่ทิต!!!"

    รุจรวีหันไปโวยวายทั้งที่หน้ายังแดงก่ำด้วยความเขินอาย

    "นายต่างหากที่สารภาพรักก่อนน่ะอย่ามาโยนแบบนี้นะ!"

     "แค่ล้อเล่นเองอย่าเสียงดังซิ"

     เวทิตโอบบ่าคนตัวเล็กพร้อมบังคับให้เอนมาซบไหล่ตนเองซึ่งรุจรวีก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างแง่งอน

   "เชอะ"

   "คิกคิก"

    กิตติธัชหัวเราะเสียงเบาก่อนจะเงยหน้ามองไปทางรวิสราที่แทรกเข้ามาหาตนเองที่เตียงพร้อมรอยยิ้มหวานที่ไม่ได้เห็นมานาน

   "กันต์"

   "รวิ"

   กันต์กวินยิ้มหวานกลับพร้อมทั้งกวาดสายตามองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

   "ปลอดภัยใช่ไหมครับ ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ"

   "ใช่ค่ะ ที่รอดชีวิตมาได้นี่ต้องขอบคุณกันต์มากและขอโทษด้วยนะคะที่ตอนนั้นรวิช่วยอะไรไม่ได้เลย"

   "ไม่เป็นอะไรครับ แค่รวิปลอดภัยก็ดีแล้ว"

   ทั้งสองฝ่ายยิ้มหวานให้กันก่อนกันต์กวินจะชะงักเมื่อมีกระเช้าผลไม้ยิ่นมาเกือบทิ่มหน้าด้วยฝีมือของกิตติธัชที่ใบหน้าบึ้งตึงมากกว่าเดิม

   "ของเยี่ยมน่ะเอาไปซักทีแล้วเลิกยิ้มหวานให้ว่าที่เจ้าสาวของฉันได้แล้ว"

   "ธัช!"

   รวิสราหันไปฟาดคนขี้หึงที่ตอนนี้กำลังกอดเอวบางของตนเองแน่นต่อหน้าต่อตาทุกคนในห้อง

   "เจ้าสาว!?"

   กันต์กวินเบิกตากว้างด้วยความตกใจอีกรอบก่อนจะยิ้มหวานมองทั้งสองคนที่หน้าแดงด้วสายตาล้อเลียน

   "แหม~ ปากตรงกับใจกันซักทีนะ"

   "ฉันไม่ได้ปากแข็งและขี้กลัวเหมือนใครบางคน"

   กิตติธัชเหลือบไปมองพลทัพที่นั่งกอดอกทำหน้าตาบึ้งตึงและรณกรที่รีบหลบสายตาทันที ท่ามกลางใบหน้างุนงงของคนป่วยที่นั่งอยู่ตรงกลาง

   "พูดถึงเรื่องอะไรกันหรอ"

   "ไม่มีอะไรหรอก"

   กิตติธัชตอบกลับอย่างไม่สนใจทำให้กันต์กวินเลิกสงสัยแล้วเปลี่ยนมายิ้มกว้างให้อย่างน่ารัก

   "แสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วยนะที่กำลังจะได้แต่งงานกันซักที"

   "ขอบคุณค่ะ"

   รวิสรายิ้มหวานก่อนที่ทั้งห้องจะพากันชะงักไปเมื่อคนป่วยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นด้วยน้ำเสียงและแววตาที่สงสัย

   "แล้วใครช่วยเล่าให้ผมฟังได้รึเปล่า พวกเราออกจากที่นั่นได้ยังไงแล้วผู้หญิงคนนั้นที่จับตัวผมกับรวิไปคือใครกันแน่"

   กันต์กวินกวาดสายตามองรอบห้องหาอีกสองคนที่หายไปอย่างเป็นห่วง

   "รวมถึงต้นหลิวกับหมอภพล่ะหายไปไหนหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนั้น!!!"

   "กันต์" พลทัพวางมือบนผมของคนตัวเล็กที่จ้องตาแป๋วพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา "ต้นหลิวกับวรภพพวกเขาน่ะ..."

   'แอ๊ด~'

   "มาแล้วจ้า ขอโทษที่สายนะครับพอดีรถติดไปหน่อย"

   ต้นหลิวเดินยิ้มหวานเข้ามาในห้องคนแรกตามหลังด้วยวรภพที่ถือกาแฟมาหลายถุงก่อนจะยื่นให้รณกรที่เดินมารับไปใส่ถ้วยในครัวซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องท่ามกลางสายตาของคนป่วยที่มองมาด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด

   "ดีใจจังเลยพวกนายปลอดภัย"

   "พวกผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ" ต้นหลิวยิ้มหวานก่อนจะหน้าหมองลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใครบางคน "ผมน่ะเป็นห่วงกันต์มากกว่าที่โดนเวย์กรอกยาไปขนาดนั้นทำให้หลับไปเป็นเดือนเลย"

   "เวย์?" กันต์กวินทำท่าทางนึกซักพักก่อนจะทำตาโตใส่ "วิรชาคู่หมั้นของนายน่ะหรอ"

   "ครับ" ต้นหลิวพยักหน้าก่อนจะพูดต่อด้วยความลำบากใจ "เวย์เป็นคนที่จับตัวพวกคุณไปรวมถึงฆ่าทุกคนที่เสียชีวิตในป่าด้วยครับ"

   "อ่า...ฉันจำได้ละ" กันต์กวินกำมือแน่นพร้อมตบเตียงเสียงดังลั่น "ผู้หญิงคนที่นั่งทานข้าวกับนายบนรถไฟนี่เอง ไม่น่าล่ะถึงรู้จักฉันน่ะ"

   "ขอโทษแทนอดีตคู่หมั้นของผมที่สร้างปัญหาด้วยนะครับ"

    ต้นหลิวยกมือไหว้แถมโค้งหัวแทบติดเตียงทำให้คนป่วยรีบโบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่

   "ไม่เป็นอะไรหรอกน่า แค่พวกเรารอดชีวิตออกมาจากป่าพร้อมกันแค่นี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วล่ะเนอะ"

   โครก!~

   เสียงอะไรบางอย่างดังขัดจังหวะทำให้กันต์กวินรีบจับท้องแล้วทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอาย

   "แต่ตอนนี้ฉันหิวข้าวจังเลยอ่ะ"

    "ฮะฮะฮะ"

    ทั้งห้องหัวเราะออกมาด้วยความขบขันก่อนจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะทุกคน

   ก๊อกก๊อก!

   "เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้เอง"

   รณกรรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูก่อนจะพบกับใครบางคนที่คุ้นเคยอย่างดีและไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน

   แอ๊ด~

   "อ้าว! กร~"

   "สวัสดีครับคุณน้า คุณอา อ้าว! น้องวินก็มาด้วยหรอ"

   รณกรยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมก่อนจะหันไปทักคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังกับผู้จัดการส่วนตัวซึ่งถือของพะรุงพะรังเต็มไปหมด ซึ่งกานต์รวียิ้มกว้างผิดกับกฤตภัทรซึ่งใบหน้าบึ้งตึงและเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น  ส่วนกันต์กวีไม่ยอมตอบพร้อมทำเมินหันไปคุยกับวาสิตาด้วยน้ำเสียงที่สดใส

   "พี่ผึ้งถือของไหวไหม มาเดี๋ยววินช่วยถือ"

   "พี่ถือไหวจ๊ะ"

   วาสิตาตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวานก่อนที่กานต์รวีจะหันมาหยิกลูกชายคนเล็กที่ชอบเสียมารยาท

   "นี่แหนะ! ทำไมถึงไม่ยอมทักทายพี่กรเขาล่ะลูก"

   "อ้าว! พี่กรอยู่ด้วยหรอครับ"

    กันต์กวีทำหน้าตาท่าทางตกใจก่อนจะยกมือไหว้

   "สวัสดีครับพี่กร"

   "สวัสดี วินกลับมาจากต่างประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไม่ไม่เห็นบอกพี่เลย"

    รณกรยิ้มกว้างทักทายน้องชายของเพื่อนสนิทที่เริ่มทำสีหน้าขัดใจ

   "วินจะกลับเมื่อไหร่ต้องรายงานพี่กรตลอดเวลาด้วยหรอครับ พี่ชายก็ไม่ใช่เป็นแค่เพื่อนพี่กันต์เองจะมายุ่งอะไรด้วย"

   "ทำไมพูดแบบนี้ล่ะเจ้าวิน"

   กานต์รวีหันมาเอ็ดลูกชายตัวดีที่ชอบหาเรื่องรณกรทุกครั้งที่เจอหน้า

   "ถ้าวินยังพูดจาแบบนี้อีกไม่ต้องกลับไปทำงานที่ต่างประเทศแล้ว"

   "ไม่ได้นะคะคุณแม่ขา" วาสิตารีบพูดแทรกขึ้นมาอย่างร้อนใจ "ตารางงานของน้องวินยาวถึงอีกสองเดือนเลยนะคะ"

   "แค่ขู่เท่านั้นล่ะค่ะคุณผึ้ง"

   กานต์รวีถอนหายใจก่อนจะยิ้มหวานมาให้รณกรอย่างเอ็นดู

   "น้องกันต์ฟื้นรึยังจ๊ะ"

   "พึ่งฟื้นเมื่อเช้านี้เองครับคุณน้า งั้นเชิญเข้ามาในห้องก่อนดีกว่าครับ"

   "จ๊ะ"

   รณกรหลีกทางให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องพร้อมสบสายตากับกันต์กวีที่เชิดหน้าขึ้นรีบเดินผ่านตนเองอย่างไม่ชอบใจก่อนจะช่วยวาสิตาถือของเข้าไปจัดในห้องครัว กานต์รวีเดินยิ้มหวานเข้าไปหาคนป่วยตัวน้อยที่นั่งอยู่บนเตียง

   "น้องกันต์~"

   "คุณแม่ คุณพ่อ"

   กันต์กวินโผเข้าไปกอดทั้งสองแน่นก่อนที่จะโดนกานต์รวีผู้เป็นแม่หอมแก้มซ้ายขวาด้วยความคิดถึง

   ฟอด ฟอด

   "พี่กันต์~"

   กันต์กวีแทรกตัวเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ก่อนจะกอดพี่ชายตัวเองแน่น

   "วินคิดถึงพี่กันต์ที่สุดเลย"

   "วิน~"

   กันต์กวินยิ้มกว้างพร้อมหอมแก้มน้องชายตัวเองอย่างหมั่นเขี้ยว

    "กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจะกลับไปต่างประเทศอีกไหม"

   "วินพึ่งกลับมาเมื่อวานนี้เองเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องบินกลับไปแล้วเพราะมีงานต่อ" กันต์กวีทำท่าทางเสียดาย "แถมมารอบนี้ยังไม่ได้ไปทักทายพี่ธีร์เลย"

   "เจ้านั่นคงจะติดดูแลไวน์อยู่นั่นแหละ"

    กันต์กวินถอนหายใจก่อนจะลูบผมน้องชายอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตาหงิกงออย่างน้อยใจ

   "คราวหน้าค่อยไปเยี่ยมก็ได้น่ะวิน"

   "วินอยากเจอพี่ธีร์"

   กันต์กวีตวัดสายตาไปมองทางรณกรด้วยความแง่งอน

   "เพราะใครบางคนไม่ยอมไปดูแลน้องชายตัวเอง พี่ธีร์ถึงต้องงานยุ่งอยู่คนเดียว"

   "ปากเสียจังเลยลูกคนนี้เนี่ย"

   กานต์รวีฟาดลงไปทีแขนลูกตัวเองอย่างห้ามปรามก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ลูกชายคนโตแล้วหอมแก้มอีกครั้งด้วยความเอ็นดู

   "ฟื้นซักทีนะลูกรู้ไหมพ่อกับแม่น่ะใจหายแทบแย่เลย พอมาเห็นหนูปลอดภัยแบบนี้จะได้หายห่วงเพราะต้องกลับไปดูกิจการที่บ้านต่อแล้วน่ะ น้องกันต์นอนโรงพยาบาลคนเดียวได้ใช่ไหมคะ"

   "ไปเถอะครับไม่ต้องเป็นห่วงกันต์หรอก" กันต์กวินยิ้มหวานก่อนจะกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่เต็มห้องพยาบาล "ตอนนี้กันต์มีเพื่อนเยอะแยะเลยนะครับ"

   "นั่นซินะ" กานต์รวีหันไปยิ้มหวานให้กับทุกคนในห้อง "วันนี้เพื่อนมาเยี่ยมเยอะแยะเต็มห้องไปหมดเลยนะจ๊ะ"

   "สวัสดีครับคุณน้า" รุจรวียกมือไหว้คนแรกก่อนจะยิ้มหวานอย่างประจบ "ผมรู้แล้วว่ากันต์ได้ความสวยมาจากใครก็จากคุณน้านี่เอง"

   "ปากหวานนะจ๊ะเนี่ย อุ๊ย!"

   กานต์รวียกมือขึ้นมาปิดปากพร้อมแววตาที่เป็นประกาย

   "ใช่นายแบบทั้งสองคนที่กำลังเป็นข่าวอยู่รึเปล่าจ๊ะ"

   "ใช่แล้วครับ"

   รุจรวีตอบรับด้วยรอยยิ้มหวานยิ่งทำให้กานต์รวีแทบกรีดร้องก่อนจะเดินเข้าไปกอดแขนบางของคนตัวเล็กแน่น

   "ดีจังเลย~ น้าขอถ่ายรูปคู่ด้วยนะ"

   "เอ่อ...ครับ"

  รุจรวียิ้มกว้างพร้อมจัดท่าทางถ่ายรูปเต็มที่ผิดกับเวทิตที่ยิ้มแห้งทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงก่อนที่จะถูกกันต์กวีกอดแขนอีกข้างของตนเองแน่นด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

   "พี่เวทิตนี่ตัวจริงหล่อกว่าในนิตยสารตั้งเยอะเลยแหนะ ผมน่ะเป็นแฟนคลับของพี่เวทิตกับพี่รุจเลยนะครับ"

   "อ่า..."

   เวทิตประหม่าเมื่อมีคนตัวเล็กน่ารักมากอดแขนก่อนจะมองอีกฝ่ายเหมือนเคยเห็นที่ไหน

   "ทำไมถึงดูคุ้นหน้าจังเหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ"

   "ในนิตยสารนายแบบที่ต่างประเทศไงทิต"

   รุจรวีแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและแววตาเปล่งประกายก่อนจะโผเข้ากอดคนตรงหน้าแน่น

   "วินเซนต์ นายแบบตัวเล็กที่ดังที่สุดในต่างแดนไงล่ะ"

   "ดีใจจังที่พี่รุจรู้จักผม"

   กันต์กวีกอดตอบอีกฝ่ายแน่นด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่ตื่นเต้นซึ่งท่าทางแบบนั้นทำให้กฤตภัทรหัวเราะในลำคอกับทางของสองแม่ลูกด้วยความเอ็นดูก่อนจะหันไปฟ้องลูกชายที่มองมาอย่างงุนงง

   "หึหึ ไม่ต้องงงหรอกกันต์เพราะแม่กับน้องน่ะชื่นชอบนายแบบสองคนนี้มาก พอได้เจอนายแบบที่ถูกใจทั้งทีจะไม่ให้ถ่ายรูปด้วยได้ยังไงล่ะ โดยเฉพาะแม่เราน่ะรู้ไหมว่าถึงอายุปูนนี้แล้วยังมีโปสเตอร์นายแบบทั้งสองคนเต็มห้องนอนเลยนะ แทบจะแปะทับหน้าพ่ออยู่แล้ว"

   เพี้ย!

   พูดยังไม่ทันจบประโยคฝ่ามือเรียวก็ฟาดเข้ามาตรงหัวไหล่อย่างแรงพร้อมน้ำเสียงแง่งอน

   "คุณนี่ก็พูดเกินไปไม่อายเด็กบ้างเลยนะคะ"

   "อูย~ คุณนี่มือหนักไม่เปลี่ยนเลยนะ"

   กฤตภัทรจับไหล่ตนเองพร้อมแกล้งร้องออกมาด้วยความเจ็บแต่ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมานานทำให้กานต์รวีไม่หลงเชื่อเหมือนเมื่อสมัยก่อนนู้น

   "เงีบยไปเลยค่ะ"

   "งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับพอดีมีนัดถ่ายแบบเอาไว้น่ะครับ"

   รุจรวีขัดจังหวะขึ้นมาด้วยรอยยิ้มหวานยิ่งทำให้กานต์รวีหลงมากกว่าเดิม

   "หรอจ๊ะ งั้นน้าจะรอติดตามผลงานนะ"

   "ครับ! ถ้าคุณน้ากับน้องวินอุดหนุนล่ะก็พวกผมจะแถมลายเซ็นให้เลยครับ"

   พอได้ยินว่ารุจรวีแถมลายเซ็นยิ่งทำให้กานต์รวีอดใจไม่ไหวหยิกแก้มยุ้ยนั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว

   "น่ารักจังเลย~"

   "งั้นหนูขอตัวกลับด้วยเหมือนกันนะคะ"

   รวิสรายกมือไหว้อย่างเรียบร้อยยิ่งทำให้กานต์รวีมองทั้งสองคนที่ยืนคู่กันด้วยสายตาเอ็นดูปนไปด้วยความสงสัย

   "อ้าว! จะไปไหนกันหรอจ๊ะ"

   "ผมจะพาคู่หมั้นไปตัดชุดแต่งงานน่ะครับ"

   กิตติธัชชิงพูดขึ้นมาก่อนพร้อมเอื้อมมือไปกอดเอวบางแน่นทำให้รวิสราหน้าแดงด้วยความเขินอายและยิ่งเขินมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของกานต์รวีที่ดีอกดีใจมาก

   "จริงหรอ~ น้าดีใจด้วยนะจ๊ะอย่าลืมส่งการ์ดแต่งงานมาให้น้าด้วยนะจ๊ะ"

   "แน่นอนครับ"

   กิตติธัชยกมือไหว้ก่อนจะประคองเอวคู่หมั้นออกไปพร้อมกับนายแบบสองคน เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปจากห้องแล้วต้นหลิวจึงหันมายกมือไหว้บ้าง

   "ถ้าอย่างนั้นพวกผมสองคนก็ขอตัวกลับด้วยนะครับ"

   "จะแต่งงานกันอีกคู่หนึ่งด้วยหรอจ๊ะ"

    คำถามของกานต์รวีทำให้ต้นหลิวชะงักแล้วรีบโบกมือไปมาต่างจากวรภพที่ยิ้มมุมปากไม่ยอมแก้ตัวอะไรทั้งนั้น

   "ไม่ใช่นะครับ! พอดีพวกผมติดงานสำคัญน่ะครับ"

   "จ้า! แต่หน้าแดงเลยนะ"

   กานต์กวีหัวเราะคิกคักทำให้กฤตภัทรต้องแตะแขนอย่างห้ามปราม

   "อย่าไปแซวเด็กน่ะคุณ"

   "งั้นพวกผมลาแล้วนะครับ"

   ต้นหลิวรีบยกมือไหว้แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมวรภพด้วยความเขินอาย

   "ไปดีมาดีนะจ๊ะ~"

   กานต์รวีโบกมือลาก่อนจะหันไปหาลูกชายที่ตอนนี้ยื่นมือกอดเอวตนเองแน่นอย่างออดอ้อน

   "คุณแม่~"

   "น้องกันต์ลูกแม่ไหนมาให้แม่กอดให้หายคิดถึงหน่อยซิ"

   กานต์รวีหันหน้าไปกอดลูกชายโดยมีกฤตภัทรกอดทับสองแม่ลูกอีกทีหนึ่ง

   "พ่อด้วย"

   "วินด้วยซิ"

    กันต์กวีแทรกตัวเข้าไปตรงกลางเบียดกับผู้เป็นแม่เพื่อกอดพี่ชายพร้อมทำเสียงออดอ้อน

   "วินคิดถึงพี่กันต์มากเลยนะ"

   "งื้อ"

    กันต์กวินกอดทั้งสามคนแน่นพร้อมขยับหัวถูไถไปมาด้วยความเอ็นดูทำให้กานต์รวีอดที่จะลูบผมไม่ได้

   "ปลอดภัยแล้วนะลูก ต่อไปนี้น้องกันต์ของแม่ไม่ต้องเจอเรื่องอันตรายแบบนั้นแล้วนะ"

   "กันต์รักแม่นะครับ"

   กันต์กวินหอมแก้มนุ่มนิ่มของผู้เป็นแม่ฟอดใหญ่แล้วกอดต่ออย่างออดอ้อน

   "ทำไมถึงอ้อนผิดปกติ"

   "สงสัยไข้ขึ้นล่ะมั้ง"

   กฤตภัทรลูบผมลูกชายด้วยความเอ็นดู แต่ประโยคนั้นทำให้พลทัพเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

   "ไข้ขึ้น?"

   "ใช่แล้ว" กฤตภัทรตอบทั้งที่มือลูบผมลูกคนโตเผื่อแผ่ไปถึงลูกชายคนเล็กอย่างไม่หยุดมือ "ถ้าน้องกันต์ไม่สบายเมื่อไหร่จะอ้อนเหมือนเด็กทุกทีเลยลูกคนนี้เนี่ย~"

   "งื้อ~"

   กันต์กวินทำเสียงงอแงพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ซึ่งกานต์รวีก็หันไปฝากฝังกับพลทัพด้วยสายตาที่เอ็นดู

   "ฝากพ่อทัพดูแลลูกของแม่ด้วยนะ"

   "ครับ"

   พลทัพตอบรับก่อนจะหันไปมองกันต์กวีที่ยิ้มกว้างมาให้ด้วยสายเป็นมิตร

   "พี่ทัพที่คุณแม่พูดถึงนี่เอง เหมาะสมกับพี่กันต์มากเลย"

   "หึหึ"

   พลทัพหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดูกับกันต์กวีที่เหมือนกับจะสนับสนุนเขามากกว่ารณกรที่ดูไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไหร่ ก่อนที่กันต์กวินจะถามแม่ตนเองด้วยความสงสัย

   "ทุกคนรู้จักทัพด้วยหรอครับ"

   "แม่เคยเจอตอนมาเยี่ยมลูกวันแรกน่ะจ๊ะ"

   กานต์รวีตอบคำถามลูกชายก่อนที่รณกรจะขัดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

   "แต่คุณน้าครับผมก็ดูแลกันต์ได้นะครับ"

   "กรต้องทำงานไม่ใช่หรอจ๊ะ" กานต์รวีหันไปมองก่อนจะยิ้มมุมปากซึ่งเป็นรอยยิ้มที่รณกรนั้นมองออกเพียงคนเดียว "ได้ข่าวว่ากำลังจะได้เป็นช่างภาพประจำสถานีนี่นะ ไหนจะต้องดูแลส่งเงินไปเป็นค่ารักษาพยาบาลให้ไวน์อีก เพราะฉะนั้นคงต้องให้พลทัพดูแลถึงจะสะดวกกว่านะจ๊ะ"

    "อ่า...ครับ"

   รณกรยิ้มแห้งพร้อมกับหลบสายตาผู้ใหญ่ทั้งสองคนรวมถึงสายตาเยาะเย้ยของกันต์กวีที่ชอบทำเป็นประจำเวลาที่ตนเองโดนคุณน้าดุ ก่อนที่กานต์รวีจะหันไปยิ้มให้ลูกชายคนโต

   "งั้นแม่กับพ่อกลับแล้วนะลูก"

   "ดูแลตัวเองให้ดีนะเข้าใจไหม"

   กฤตภัทรลูบผมนุ่มนั่นอีกครั้งอย่างเบามือทำให้กันต์กวินพยักหน้าอย่างง่ายดาย

   "ครับ"

   "วินกลับแล้วนะพี่กันต์" กันต์กวีกอดพี่ชายอีกครั้งก่อนจะหันมาฝากฝังกับพลทัพอีกคน "ฝากพี่กันต์ด้วยนะพี่ทัพ"

   "ได้ซิน้องวิน"

   พลทัพตอบด้วยรอยยิ้มทำให้รณกรชักสีหน้าไม่พอใจรีบอาสาขึ้นมาทันที

  "เดี๋ยวผมเดินไปส่งด้านล่างนะครับ"

   "ขอบใจจ้ะ"

   รณกรพยักหน้าพร้อมเดินไปเปิดประตูห้องให้ทั้งสี่คน เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องแล้วพลทัพจึงหันมามองกันต์กวินด้วยสายตาเป็นประกาย

   "ดูเหมือนครอบครัวนายจะชอบฉันนะ"

   "พ่อแม่ฉันก็ใจดีกับทุกคนนั่นแหละ"

   กันต์กวินเชิดหน้าขึ้นด้วยความแง่งอนก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของคนหลงตัวเอง

   "ไม่ใช่เพราะฉันหล่อกว่าเพื่อนนายหรอ?"

   "แหวะ! หลงตัวเอง"

   กันต์กวินหันไปแลบลิ้นใส่ทำให้พลทัพมองด้วยความหมั่นไส้

   "กล้าพูดไหมล่ะว่านายไม่หลงฉันน่ะ"

   "เอ่อ...ปวดหัวจัง~"

   กันต์กวินเปลี่ยนเรื่องพร้อมยกมือขึ้นมาจับหน้าผากตนเองอย่างแนบเนียนทำให้พลทัพหัวเราะในลำคอ

   "หึ!...งั้นนอนพักผ่อนไปเลยไม่อยากหายป่วยรึไง"

   "อื้อ!"

   กันต์กวินล้มตัวลงนอนโดยที่พลทัพคอยห่มผ้าให้และนั่งตรงนั้นไม่ยอมลุกไปไหนทำให้คนป่วยแอบยิ้มตรงมุมปากก่อนจะหลับตาลงฟังเสียงหัวใจตนเองที่เต้นแรงจนแทบทะลุออกมา



********************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 32 [UP 28/05/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-06-2019 11:54:30
 :pig4:
 :3123:
 o13
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 33 [UP 19/06/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 19-06-2019 18:56:57
สืบครั้งที่ 33




   หลังจากสืบประวัติผู้เสียชีวิตอย่างเข้มข้นและไม่ได้นอนมาเกือบเดือนกว่าทุกอย่างก็ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นโดยที่มีรูปภาพของผู้เสียชีวิตทั้งก่อนและหลังเสียชีวิตแปะบนกระดานมากมายพร้อมประวิติอย่างครบถ้วน



   ด้านบนสุดคือคุณ รติกร นักธุรกิจที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงแต่ถูกฆาตกรรมเสียชีวิตบนรถไฟก่อนที่รถไฟจะขัดข้องจนเกิดระเบิด



   ส่วนตรงกลางลงมาคือผู้เสียชีวิตในป่าทั้งหกคน



   ศพแรก รุ้งหราย พยานที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมบนรถไฟ ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม พบศพที่นอนอยู่ข้างซากรถไฟตรง ถูกยิงตรงกลางหน้าอกและมีรอยกระสุนปืนที่บ่งบอกว่าเป็นกระสุนปืนของพลทัพที่ทำปืนหายไปนั่นเอง วันเวลาที่เกิดเหตุ 23:50 นาทีและพบสร้อยคอที่ต้นหลิวให้วิรชาไว้ตอนที่ขอแต่งงาน


   ศพสอง วณิชชา อดีตแฟนเก่าของต้นหลิว โดนผูกคอฆ่าตัวตายบนต้นไม้ใหญ่ ไม่หลงเหลือหลักฐานไว้ในที่เกิดเหตุ เพราะฝนตกหนัก ทำให้ต้นหลิวที่ทะเลาะและไล่อีกฝ่ายไปนั้นสำนึกผิด ซึ่งตรวจหาหลักฐานจากศพแล้วพบสร้อยคอของวิรชาที่วณิชชาขโมยไปจากต้นหลิวโดยที่มือของศพนั้นกำสร้อยคอไว้แน่น


   ศพสาม กวิตา เพื่อนของกันต์กวินเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างบนรถไฟ ถูกแทงตาย ซึ่งเป็นมีดผ่าตัดของวรภพที่ถูกขโมยไป บริเวณที่พบศพมีร่องลอยการวิ่งหนี


   ศพสี่ พีรัช ถูกฆ่าปิดปากโดยการเอาเชือกที่รัดตรงคอคนขาดอากาศหายใจแล้วถูกโยนลงน้ำจนลอยไปติดตรงทีมช่วยเหลือ เนื่องจากเห็นการฆ่ากรรมของกวิตา ซึ่งพีรัชกำลังจะหนีแต่ไม่รอด


   ศพห้า อิฐ ผู้ต้องหาคดีลักพาตัวผู้ชายหน้าหวานที่กิตติธัชตามหาตัว ได้บาดเจ็บสาหัสในพงหญ้า ได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มที่รอดชีวิต ประสาทหลอน คิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตนเอง ยกปืนขึ้นมาทำร้ายทุกคนจนบาดเจ็บ แล้วจับตัวกันต์กวินไปแต่ทว่ากลับถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม หลักฐานสำคัญคือเจอไฟแช็กของกิตติธัชอยู่ในที่เกิดเหตุ


   ศพหก เวธกา โดนฆ่าปิดปากโดยการตีหัวจากด้านหลังและบีบคอแน่นจนขาดอากาศหายใจ ในเวลาตอนเที่ยงที่ทุกคนออกไปตามหารวิชาและกันต์กวินที่ถูกจับตัวไป จุดเกิดเหตุมีร่องรอยการต่อสู้ การดิ้น ไม้ที่ใช้ในการตี และเล็บที่หลุด


   และล่างสุดคือรูปของผู้ที่รอดชีวิตทั้งเก้าคน



   "แต่หลักฐานทั้งหมดดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดว่าวิรชาลงมือเองทั้งหมดคนเดียว"

   วรภพมองรูปภาพและเอกสารผลการชันสูตรของแต่ละคนในมือตนเองด้วยความเคร่งเครียดแตกต่างจากต้นหลิวที่ยกกาแฟขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ

    "แค่หลักฐานพวกนั้นไม่เพียงพอหรอกครับ แต่โชคดีที่ผมพึ่งพบหลักฐานชิ้นสำคัญ"

   "นี่คือ..???"

   วรภพมองตุ้มหูไข่มุกที่คนตัวเล็กหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้วยความสงสัยทำให้ต้นหลิวแอบขำกับท่าทางของอีกฝ่าย

    "ตุ้มหูของเวธกาน่ะครับ ผมพบในกระเป๋าสะพายที่นำเข้าไปในป่าด้วย ซึ่งตุ้มหูไข่มุกธรรมดาที่ด้านในนั้น..."

    แกร็ก!

   เสียงเปิดอะไรบางอย่างก่อนที่ตุ้มหูจะแยกออกมาสองส่วนเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน

   "แอบซ่อนกล้องตัวเล็กเอาไว้ด้วย"

   "ในกล้องนั้นมีอะไร คุณได้ตรวจสอบดูรึยัง"

   วรภพถามด้วยความตื่นเต้นซึ่งต้นหลิวนั้นส่ายหน้าทันทึ

   "ผมไม่รู้เหมือนกันเพราะยังไม่ได้เปิดเลยแต่ด้านในกล้องต้องมีหลักฐานสำคัญแน่"

   "งั้นเราเปิดดูกันเถอะ"

   ทั้งสองมุ่งตรงไปหน้าคอมพิวเตอร์ก่อนจะต่อตัวเชื่อมเข้าไปด้านในเผยให้เห็นภาพเหตุการณ์และเสียงทั้งหมดตั้งแต่บนรถไฟเรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์ที่โดนฆ่าตายก็ถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมดและภาพนั้นก็เผยให้เห็นบุคคลคุ้นตาที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ต้นหลิวขมวดคิ้วพร้อมหันไปมองหน้าคนข้างกายอย่างชั่งใจ

   "เสียงแบบนี้ รูปร่างอย่างนี้มัน..."

   "ใช่เลย"

    วรภพพยักหน้าเห็นด้วยแต่ก่อนที่จะได้ออกความเห็นกันมากกว่านี้เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะทั้งสองคน

   ก๊อก! ก๊อก!

   "ใครน่ะ มาทำไมตอนนี้เนี่ย"

   ต้นหลิวมองนาฬิกาก่อนที่วรภพจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินไปเปิดประตู

   "เดี๋ยวผมไปเปิดประตูเอง"

   "เดี๋ยวก่อน"

   ต้นหลิวจับแขนเกร่งไว้ทำให้วรภพหันมามองอย่างสงสัย

   "หืม?"

   "ระวังตัวด้วย"

   ต้นหลิวเตือนด้วยความเป็นห่วงซึ่งวรภพพยักหน้าแล้วหันหลังเดินไปตรงประตูเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้นหลิวดึงข้อมูลสำคัญออกมาแล้วหย่อนหลักฐานสำคัญลงในกระเป๋าเสื้อของตนเองพร้อมเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกรอบ

   ก๊อก! ก๊อก!

   "มาแล้วครับ"

   แอ๊ดด~

   พลัก! ปึก!

   "โอ๊ย!!!"

   วรภพล้มกระเด็นลงไปกองกับพื้นตามแรงท่อนเหล็กที่ฟาดลงมาหลังจากที่เปิดประตูแล้วโดนโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ต้นหลิวรีบวิ่งมาประคองด้วยความเป็นห่วง

   "หมอภพ!!"

   ปึก!

   "โอ๊ยยย"

   ต้นหลิวร้องออกมาเมื่อโดนท่อนเหล็กฟาดมาตรงหน้าผากพอเงยหน้าขึ้นไปมองเห็นใครบางคนที่คลุมหน้ากากทั้งหน้าแต่ดวงตานั้นช่างคุ้นเคยรวมถึงน้ำเสียงนั่นด้วย

   "รู้มากนักนะคุณนักสืบ"

   "นาย..."

   ปึก! ปัก!

   "อึกกก!"

   ต้นหลิวฟุบหน้าลงไปกับพื้นพร้อมเลือดที่ไหลออกมาเยอะจนวรภพต้องฝืนร่างกายของตัวเองมาบังท่อนเหล็กที่จะฟาดลงมาอีกครั้ง

    "ต้นหลิว!"

   ปึก!

   "หึหึ! มารับแทนทำไมในเมื่อแกก็ไม่รอดออกไปอยู่ดีนั่นแหละ"

    เสียงหัวเราะพร้อมกับท่อนเหล็กที่ฟาดลงมาไม่ยั้งแต่วรภพก็อยู่ตรงนั้นไม่ยอมขยับไปไหนจนต้นหลิวลืมตาขึ้นมามองด้วยสายตาที่อ่อนแรง

   ปึก! ปึก!

   "อึก! ภพ"

   ฟุบ!

   "เหอะ!"

   เสียงหัวเราะสะใจพร้อมกับร่างของวรภพและต้นหลิวที่ฟุบลงไปอย่างหมดแรงพร้อมกันยิ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับใครบางคน ก่อนจะเดินไปยังรูปและกองหลักฐานทั้งหมด

   "หึ! หลักฐานแค่นี้..."

   ฟึบ!

   "ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก"

   แสงจากไฟแช๊กถูกจุดขึ้นมาก่อนจะเลือนไปใกล้ภาพพวกนั้นมากจนเริ่มติดไฟ

   พรึบบ!

   เปลวไฟเริ่มลุกไหม้รูปภาพที่ติดอยู่บนกระดานจากด้านล่างขึ้นด้านบนก่อนจะพุ่งขึ้นไปติดเพดานด้านบนรามถึงคอมพิวเตอร์และข้าวของที่อยู่แถวนั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะโรคจิตที่ดึงหน้ากากออกมาแล้วปาลงกับพื้นข้างร่างทั้งสองที่นอนนิ่งพร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

   "ฮะฮะฮะ น่าเสียดายทั้งที่หนีออกมาจากป่าได้แล้วกลับต้องมาตายในที่แบบนี้ ลาก่อนนะหมอภพและนักสืบต้นหลิวคนเก่ง ฮะฮะฮะ!!!"

   เสียงฝีเท้าที่เดินออกจากห้องและเลือนหายไปตามทางเดิน จนแน่ใจแล้วว่าจะไม่ย้อนกลับมาอีกวรภพที่แกล้งสลบจึงพยุงตัวเองขึ้นมาพร้อมกับเรียกคนที่นอนสลบไม่รู้สึกตัวอยู่ในอ้อมกอดของตน

   "ต้นหลิว! อย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะต้นหลิว!"

   ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

   เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากกองไฟทำให้วรภพรีบอุ้มต้นหลิวออกจากห้องแล้ววิ่งไปแอบตรงบันไดหนีไฟได้ทันอย่างหวุดหวิดก่อนที่ทั้งห้องจะระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งตึก วรภพหมอบและกอดต้นหลิวไว้แน่นก่อนที่ทั้งสองจะลอบหนีออกจากตึกไปท่ามกลางเสียงหัวเราะในลำคอและรอยยิ้มโรคจิตรของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของตึกก่อนจะเดินหายไปในความมืดสวนทางกับรถตำรวจและรถดับเพลิงที่กำลังมาตรงตึกนั้นพอดิบพอดี






    'รายงานสด เกิดเหตุระเบิดที่คอนโดร้างแห่งหนึ่ง ขณะนี้รถดับเพลิงกำลังดับไฟอยู่และตำรวจสืบสวนคนแถวนั้นทราบว่าเจ้าของห้องด้านบนสุดคือคุณต้นหลิว...'

   เคร้ง!

   "ทิต!"

   เสียงตะโกนเรียกมาจากห้องนั่งเล่นยังไม่ทำให้แตกตื่นเท่ากับเสียงแก้วกาแฟที่ตกลงบนพื้นทำให้เวทิตที่อยู่ในห้องครัวรีบวิ่งออกมาหาด้วยความเป็นห่วง

   "ห๊ะ! มีอะไรรึเปล่ารุจ แล้วนี้จานตกใส่เท้ารึเปล่าเจ็บมากไหม"

   "ไม่ได้เป็นอะไร แค่จะเรียกมาดูข่าวนี้เอง"

   รุจรวีขมวดคิ้วก่อนจะจับหน้าของเวทิตให้หันไปดูจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพเปลวไฟและความวุ่นวายทั้งหมด

   '...แต่ทว่าตอนนี้ไม่มีใครพบตัวคุณต้นหลิวซึ่งคาดว่าน่าจะติดอยู่ด้านในห้อง'

   "ทิต นายว่าจะใช่ต้นหลิวคนเดียวกันไหม"

   รุจรวีถามด้วยความกังวลใจทำให้เวทิตด้องคอยลูบหลังเพื่อปลอบใจ

   "อาจจะไม่ใช่คนเดียวกันก็ได้ อย่าคิดมากเลยนะรุจ"

   ก๊อก! ก๊อก!

   เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนมองหน้ากันซักพัก ก่อนที่เวทิตจะลุกขึ้นเพื่อไปเปิดประตูแต่ข้อมือด้านซ้ายถูกรั้งเอาไว้แน่น

   "ฉันไปด้วย"

   "อืม"

   ทั้งสองเดินกอดแขนไปตรงประตูพร้อมกันก่อนที่เวทิตจะเปิดกลอนและแง้มประตูออกมาเล็กน้อยทำให้เห็นใครบางคนที่กำลังยืนหอบหายใจอยู่หน้าห้องแต่ไม่น่าตกใจเท่าคนในอ้อมแขนที่มีเลือดไหลเต็มไปหมด

   "หมอภพ! เกิดอะไรขึ้นแล้วทำไมต้นหลิวถึงสลบอย่างนั้นน่ะ!"

   "ใจเย็นนะรุจ ขอเข้าไปหลบในห้องก่อนได้ไหม"

   วรภพมองซ้ายมองขวาอย่างระแวงทำให้เวทิตรีบดึงทั้งสองคนเข้ามาในห้องแล้วล็อกกลอนอย่างหนาแน่น ก่อนที่จะเดินตามวรภพไปที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งอีกฝ่ายประคองต้นหลิวให้นอนลงบนโซฟาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะหันไปสั่งรุจรวีที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังคนรักอย่างทำตัวไม่ถูก

   "รุจขอผ้าชุบน้ำกับกล่องยาให้ผมหน่อย ผมจะทำแผลให้ต้นหลิว"

   "ได้ซิ รอแป๊บนึงนะ"

   รุจรวีรีบเดินไปหาของที่อีกฝ่ายต้องการทำให้ตอนนี้เหลือแต่เวทิตที่มองมาอย่างสงสัย

   "เกิดอะไรขึ้นกับพวกนาย และข่าวที่ออกมานี่ใช่ต้นหลิวตัวจริงใช่ไหม"

   "นายโทรตามกิตกับทัพมาที่นี่ได้ไหม ฉันจะได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังพร้อมกันหมดเลย"

   พอเห็นอีกฝ่ายสีหน้าและทำท่าทางลำบากใจเวทิตจึงยอมพยักหน้าแล้วเดินหายออกไปจากห้องนั่งเล่นปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง วรภพลูบไล้ใบหน้าของคนที่นอนหลับอยู่บนโซฟาพร้อมกับโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาอย่างลืมตัว

   "ปลอดภัยแล้วนะต้นหลิว"

   "ผ้าชุบน้ำกับกล่องยามาแล้ว! อุ๊บส์!!!" รุจรวีทำท่าทางตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้าทั้งที่ในมือนั้นแบกทั้งผ้าชุบน้ำและกล่องยาเต็มไปหมด "ฉันเข้ามาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า"

   "ไม่หรอก ขอบคุณมากที่หาของมาให้"

   วรภพรีบผละออกทันทีพร้อมกับรับผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าตาของคนที่หลับอยู่อย่างระมัดระวังซึ่งทำให้รุจรวรที่ยืนมองอยู่นั้นอมยิ้มและบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย






    ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาลพลทัพกำลังบังคับป้อนข้าวคนป่วยที่นั่งกอดอกทำหน้าตาบูดบึ้งอยู่บนเตียงและหันหน้าหนีเศษใบผักที่อยู่ในช้อนอย่างเอาแต่ใจ

   "ไม่กิน!"

   "กันต์! อย่าดื้อนะ"

   พลทัพทำหน้าดุแต่ดูเหมือนคนที่อยู่บนเตียงจะไม่เกรงกลัวซักนิดเดียวแถมโดนเบ้หน้าใส่อีกต่างหาก

   "กินข้าวเดี๋ยวนี้จะได้กินยา"

   "ไม่เอาไม่กิน"

   กันต์กวินกอดอกแน่นสะบัดหน้าหนีช้อนที่ยื่นมานั้นอย่างดื้อดึงทำให้พลทัพเริ่มหงุดหงิด

   "ทำไมไม่กิน"

   "เบื่อ!"  คนตัวเล็กเริ่มดื้อพร้อมแบะปากใส่ช้อนตรงหน้า "ไม่อยากกินอาหารโรงพยาบาลแล้วมันมีแต่ผักอ่ะ"

   "ไม่กินแล้วจะหายป่วยไหม"

   พลทัพยื่นมือมาจับคางไว้แน่นพร้อมบังคับให้อีกฝ่ายอ้าปาก

   "กินเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย"

   "งื้ออ! ไม่เอาาา"

   กันต์กวินดิ้นหนีอย่างเอาเป็นเอาตายทำให้พลทัพหลุดหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานที่ได้แกล้งอีกฝ่าย

   กริ๊งงง~

   "ปล่อยนะ"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีจนหลุดออกจากมืออีกฝ่ายก่อนจะยกมือขึ้นมากุมคางตัวเองพร้อมไล่อีกฝ่ายอย่างแง่งอน

   "มองอะไร รับโทรศัพท์ซักทีซิ เชอะ!"

   "กินข้าวให้หมดนะ ถ้าฉันเข้ามาแล้วยังกินข้าวไม่หมด" พลทัพยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูอีกฝ่ายอย่างกลั่นแกล้ง  "นายโดนทำโทษแน่ หีหึ"

   "เชอะ!"

   กันต์กวินสะบัดหน้าหนีอย่างแง่งอนทำให้พลทัพหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินออกมารับโทรศัพท์หน้าห้องพักคนป่วย

   "ฮัลโหล นายโทรมามีอะไรเวทิต"

   'นายมาที่ห้องพักฉันตอนนี้ได้ไหม ดูเหมือนหมอภพกับต้นหลิวจะมีปัญหาใหญ่'

   "ปัญหา?"

  พลทัพขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่ปลายสายนั้นจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล

   'ใช่ แถมโดนทำร้ายมาด้วยนะ น่าจะเกี่ยวกับเรื่องคดีที่ต้นหลิวตามสืบอยู่แน่'

   "ตกลง เดี๋ยวฉันไปหา"

   พลทัพวางสายอีกฝ่ายก่อนจะหันมาพบกับรณกรที่ยิ้มทักทายกลับมาจากกินข้าวพอดีแถมถือของเต็มไม้เต็มมืออีกต่างหาก

   "จะไปไหนหรอพลทัพ"

   "นายมาพอดีเลย ฝากป้อนข้าวป้อนยากันต์หน่อยนะ ฉันมีธุระที่จะต้องไปจัดการ"

   พลทัพมองเข้าไปในห้องพักคนป่วยอย่างเป็นห่วงทำให้รณกรยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

   "แน่นอนนายไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องป้อนข้าวกันต์ฉันถนัดอยู่แล้ว"

   "อืม ฝากกันต์ด้วย"

   พลทัพพยักหน้าพร้อมเดินออกไปจากตรงนั้นทำให้รณกรยิ้มกว้างพร้อมเปิดประตูไปชูถุงบางอย่างที่ทำให้คนป่วยแทบกระโดดโลดเต้น

   "มาแล้ววว กันต์ดูนี่ซิฉันซื้อเค้กเจ้าประจำมาฝากนายด้วยนะ"

   "เค้กกก!"

   กันต์กวินยิ้มหวานพร้อมเอื้อมมือไปรับถุงพร้อมเปิดกล่องออกมาพบเค้กสุดโปรดของตนเองก็กอดแขนคนตรงหน้าแน่น

   "ขอบใจนะกรนายเนี่ยรู้ใจฉันมากที่สุดเลยไม่เหมือนหมอนั่นที่บังคับให้กินแต่ผักทั้งวัน"

   "ใช่ ฉันรู้ใจนายมากที่สุด"

   รณกรยิ้มกว้างพร้อมยื่นกระป๋องน้ำผลไม้ให้คนตัวเล็กที่ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

   "ฉันเลยซื้ออันนี้มาฝากนายด้วยไง"

   "กร~" กันต์กวินกอดอีกฝ่ายแน่นก่อนจะผละออกมาสนใจของหวานตรงหน้า  "งั้นฉันกินเลยนะ"

   "อืม...ทานให้หมดเลยนะ"

   รณกรมองอีกฝ่ายทานอาหารด้วยสายตาที่เปล่งประกายพร้อมรอยยิ้มตรงมุมปากเมื่อกันต์กวินกินเค้กและน้ำผลไม้ไปครึ่งหนึ่งก็เกิดอาการง่วงนอนจนเอนไปด้านหลังแล้วทำท่าทางงอแง

   "งื้ออ ทำไมง่วงนอนจังเลย ขอนอนก่อนแล้วค่อยตื่นมากินยาได้ไหม"

   "ถ้าง่วงก็นอนไปเถอะ" รณกรเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มนั่นอย่างแผ่วเบา "หลับตาซะนะเด็กดี"

   "งื้อออ~"

   กันต์กวินส่งเสียงในลำคอพร้อมหลับตาลงไม่นานก็หลับสนิท ทำให้รณกรเหยียดยิ้มก่อนจะลากปลายนิ้วเลื่อนลงมาลูบแก้มหน้านุ่มนิ่มของคนที่นอนหลับนิ่งอยู่บนเตียงด้วยความหวงแหน

   "นายอยากออกไปจากที่นี่ใช่ไหมล่ะกันต์"

   น้ำเสียงที่เลื่อนลอยและแววตาที่เปล่งประกายมากกว่าเดิม พร้อมมือหนาที่เอื้อมไปปลดสายน้ำเกลือและอุ้มร่างกันต์กวินที่กำลังหลับสนิทนั้นมาไว้ในอ้อมกอดแน่น รวมถึงริมฝีปากที่แสยะยิ้มออกมาท่ามกลางความมืด

   "ฉันเป็นคนเดียวที่รู้ใจกันต์ที่สุดอย่าลืมซิ ฮะฮะฮะ"

   เสียงประตูห้องที่ปิดลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินหายไปในความเงียบและความมืดของโรงพยาบาลเหลือไว้เพียงเค้กครึ่งก้อน น้ำผลไม้ครึ่งกระป๋อง สายน้ำเกลือที่ถูกดึงจนเลือดออกและเตียงเปล่าที่ไร้ร่างของคนที่เคยนอน





หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 33 [UP 19/06/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 19-06-2019 18:58:35

   ก๊อก! ก๊อก!

   "มาแล้วหรอพลทัพ"

   เวทิตเดินมาเปิดประตูห้องก่อนจะพาคนมาใหม่เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งแต่ละคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียดโดยเฉพาะวรภพที่ตอนนี้โดนรุจรวีจับมาพันแผลเสร็จพอดี

   "มากันครบทุกคนแล้วซินะครับ"

   "มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำไมพวกนายสองคนถึงโดนทำร้าย"

   กิตติธัชเปิดการสอบสวนทันทีโดยที่ในมือมีสมุดและปากกาพร้อมสำหรับจดคำให้การ ซึ่งวรภพถอนหายใจก่อนจะยอมเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟัง

    "เมื่อต้นเดือนก่อนวันที่กันต์กวินจะฟื้น ผมขับรถไปส่งต้นหลิวที่คอนโด ต้นหลิวจึงชวนขึ้นไปดูเอกสารซึ่งเป็นผลการชันสูตรศพของวิรชาบนห้อง ซึ่งผลที่ออกมาพบว่าวิรชานั้นกำลังตั้งท้อง..."

   "ห๊ะ!!! ตั้งท้อง!"

   รุจรวีตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมมองไปยังต้นหลิวที่กำลังหลับอยู่อย่างแตกตื่น

   "ท้องกับต้นหลิวหรอ!"

   "ไม่ใช่ครับ" วรภพส่ายหน้าก่อนจะอธิบายอีกครั้ง "ต้นหลิวยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น รวมถึงผลชันสูตรศพของรติกรดันไปตรงกับศพของอิฐซึ่งน้ำหนักจากการฟาดนั้นรุนแรงมากกว่าแรงผู้หญิง พวกเราจึงสงสัยว่ามีฆาตกรอีกคนหนึ่งจึงเริ่มตามสืบอีกครั้งจนได้ข้อมูลมามากกว่าเดิม"

   "ตามสืบกันเองโดยไม่ได้แจ้งพวกฉันน่ะนะ"

   กิตติธัชขมวดคิ้วด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทำให้คนถูกสอบสวนถอนหายใจอีกครั้ง

   "พวกเราสองคนสงสัยว่าคนร้ายจะเป็นหนึ่งในกลุ่มของพวกเรา และหลักฐานสำคัญคือเครื่องบันทึกภาพจากตุ้มหูของเวธกก็เป็นจริงซะด้วย พวกเรารู้ตัวคนร้ายแต่ไม่ทันกับที่คนร้ายลงมือทำลายหลักฐานทั้งหมดเสียก่อน"

   "แล้วคนร้ายคือใคร"

   กิตติธัชจ้องมองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับคนอื่นในห้องที่นิ่งฟังจนแทบไม่หายใจ

   "คนร้ายตัวจริงคือ รณกร"

   คำตอบจากวรภพทำให้พลทัพเบิกตากว้างก่อนที่หัวใจจะหล่นวูบแทบหยุดเต้น

  "รณกรคือคนร้ายตัวจริงงั้นหรอ"

   "อย่าบอกนะว่านายปล่อยกันต์ไว้กับกรน่ะ!"  หลูถิงซิงที่เริ่มจับอาการของคนตรงหน้า "แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อวันนี้กรไปเป็นช่างภาพในกองข่าว"

   "หมอนั่นมาตอนเย็นก่อนจะออกไปกินข้าวแล้วกลับมาอีกครั้งตอนที่ฉันจะมาหาพวกนายพอดี"  พลทัพกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ "แสดงว่าหมอนั่นมาจัดการพวกนายสองคนจนคิดว่าตายแล้วเลยย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งซินะ"

   "โธ่เอ๊ย!" รุจรวีก็ฟาดมือลงบนไหล่ของคนตรงหน้าอย่างแรงด้วยความโมโห "พวกนายจะนั่งอึ้งกันอีกอีกนานไหม รีบไปโรงพยาบาลซิ!"

   "กันต์!"

   พลทัพรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากห้องพักโดยมีกิตติธัชและเวทิคตามออกไปด้วย ซึ่งพลทัพเป็นคนขับรถเองจึงใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงโรงพยาบาลสวนกับรถตู้สีดำที่ขับสวนออกไปพอดีและหลังจากที่จอดรถเสร็จก็รีบขึ้นไปบนห้องพักคนป่วยที่อยู่ชั้นบนสุดอย่างรีบร้อน

   ปัง!

   "กันต์!"

   พลทัพเปิดประตูพร้อมตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อหาร่างของคนป่วยแต่ไม่มีเลยซักนิดเดียว พบเพียงเตียงที่ว่างเปล่าและสายน้ำเกลือที่ถูกดึงห้อยลงไปกองกับพื้น รวมถึงเค้กก้อนหนึ่งและน้ำผลไม้ครึ่งกระป๋องที่วางแทนที่จานข้าวทำให้มือหนาหยิบขึ้นมากำไว้แน่น

   "กันต์...โธ่เอ๊ย!!!"

   เพล้ง!!! โครม!!!!!

   จานเค้กถูกขว้างลงบนพื้นพร้อมกับจานข้าวและถ้วยยาตามมาด้วยโต๊ะที่ถูกทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง ซึ่งอาการและท่าทางที่บ้าคลั่งทำให้เวทิตต้องมาล็อกแขนด้านหลังเพื่อห้ามปราม

   "หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้ทัพ"

   "ปล่อย! ปล่อยยย!!"

   พลทัพดิ้นขัดขืนอย่างรุนแรงพยายามจะทำลายข้าวของจนกิตติธัชทนไม่ไหวปล่อยหมัดเข้าตรงแก้มอีกฝ่ายอย่างแรงจนเลือดออก

   พลัก!

   "เลิกบ้าคลั่งซักที! ถึงแกจะทำลายข้าวของไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เรื่องตามหากันต์กวินให้ลูกน้องฉันเป็นคนจัดการ ส่วนแกไปนั่งสงบสติอารมณ์เดี๋ยวนี้เลย"

    กิตติธัชชี้ไปทางโซฟาตัวเดียวในห้องซึ่งเวทิตก็พาพลทัพไปนั่งสงบสติอารมณ์ตามที่ตนนั้นสั่งก่อนจะโทรสั่งการลูกน้องให้ช่วยกันออกตามหาจนวุ่นวายกันไปหมด






    หลังจากจัดการเรื่องที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วทั้งสามคนจึงพากันกลับมายังห้องพักของรุจรวีที่ตอนนี้ต้นหลิวฟื้นขึ้นมาเรียบร้อยแล้วกำลังถูกวรภพดูอาการอยู่ตรงโซฟา พอเห็นพวกที่กลับมายืนเงียบกันทำให้รุจรวีถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ

   "ทำไมกลับมากันสามคนแล้วกันต์ล่ะ"

   "พวกเราไปไม่ทัน กันต์กวินถูกรณกรเอาตัวไปแล้ว"

   พอได้ฟังคำตอบจากกิตติธัชแล้วทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ

   "กิต"

   จนกระทั่งต้นหลิวเรียกกิตติธัชพร้อมกับหยิบหลักฐานชิ้นสำคัญออกมาสองชิ้นคือที่บันทึกข้อมมูลขนาดเล็กและตุ้มหูมุกขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อตนเอง

   "อันนี้คือหลักฐานทั้งหมดรวมถึงข้อมูลผลการชันสูตรแต่ละศพที่ผมรวบรวมเอาไว้ และนี่คือตุ้มหูที่ด้านในบันทึกภาพเอาไว้ทั้งหมดตั้งแต่บนรถไฟจนถึงตอนที่เกลจะถูกฆ่าตายซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่เกลทิ้งไว้ให้ผมได้สืบ ฝากจัดการคนร้ายต่อด้วยนะกิต"

   "ขอบคุณที่ช่วยสืบมาตลอด ต่อจากนี้ผมจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเองไม่ต้องเป็นห่วงนะ"

   กิตติธัชรวบรวมหลักฐานทั้งหมดใส่กระเป๋าก่อนจะหันหลังจะเดินออกจากห้องแต่หยุดตรงพลทัพที่นั่งกุมหน้าผากอยู่อย่างแผ่วเบา

  "ไม่ต้องกลัว ฉันจะพาคนของแกกลับมาเอง"

   "อืม...แต่ฉันให้เวลาถึงคืนนี้ถ้าลูกน้องของแกหาไม่เจอฉันจะออกไปตามหาเอง"

   พลทัพตอบเสียงในลำคอก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปตรงระเบียงนอกห้องทำให้กิตติธัชถอนหายใจในความดื้อดึงของอีกฝ่าย

   "เฮ้อ~ ยังไงฝากพวกนายดูแลมันหน่อยแล้วกัน"

   "ได้เลยไม่ต้องเป็นห่วง นายรีบไปเถอะ"

   รุจรวีรับปากทำให้กิตติธัชพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เวทิตจึงพารุจรวีไปจัดโต๊ะอาหารกันในครัว ส่วยวรภพกำลังพันแผลที่ศีรษะให้รต้นหลิวที่นั่งตรงหน้าอย่างเบามือพร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   "รู้สึกเจ็บตรงไหนอีกไหม"

   "ไม่ครับ"

   ต้นหลิวส่ายหน้าพร้อมกับหลบสายตาที่จ้องมองมาด้วยความขัดเขิน

  "ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้นะ"

   "ไม่เป็นไร"

   วรภพยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบอะไรบางอย่างให้ได้ยินเพียงสองคน

   "เพราะนายคือคนสำคัญของฉัน"

   "คนสำคัญ?" ต้นหลิวเหลือบตามองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้กันแค่คืบ "เพื่อนร่วมงานซินะ"

   "คนสำคัญก็คือคนสำคัญ ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานซักหน่อย" วรภพจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง "นายสำคัญกับฉันมากนะรู้ตัวไหมต้นหลิว"

   "อืมม"

    ต้นหลิวพยักหน้าทำให้อีกฝ่ายอมยิ้มพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากของทั้งสองแนบชิดกันอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล ก่อนจะผละออกมาเมื่ิอได้ยินเสียงจากรุจรวีที่อยู่ในห้องครัวดังแทรกขึ้นมาเสียงดังลั่น

   "จัดโต๊ะเสร็จแล้วนะ มากินข้าวกันเถอะ"

   "อื้อ"

   ต้นหลิวเบี่ยงตัวหนีแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยใบหน้าเขินอายปล่อยให้วรภพนั่งจับปากแล้วอมยิ้มก่อนจะเดินตามไปอีกคน หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จแล้วทุกคนจึงมานั่งรวมตัวกันในห้องนั่งเล่นเพื่อรอฟังข่าวความคืบหน้าจนเวลาล่วงเลยมาเกือบตีสองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

   ก๊อก! ก๊อก!

   "กิตมาแล้วแน่เลย"

    รุจรวีรีบวิ่งไปที่ประตูโดยมีเวทิตตามไปไม่ห่างพอเปิดประตูออกมาก็พบกับกิตติธัชที่ยืนหน้าตึงโดยด้านหลังมีรวิสราที่ยิ้มทักทายเจ้าของห้อง

   "ขอโทษที่มาดึกไปหน่อยนะคะรุจ"

   "ไม่เป็นไรหรอก เข้ามาในห้องก่อนซิ"

   รุจรวีลากแขนรวิสราเข้ามาในห้องตามด้วยกิตติธัชและเวทิตที่ปิดประตูลงกลอนอย่างหนาแน่น พอพลทัพเห็นหน้ากิตติธัชก็รีบถามทันทีด้วยความร้อนใจ

   "ลูกน้องนายสืบได้อะไรมาบ้าง"

   "ลูกน้องฉันได้ข้อมูลสำคัญมา"

   กิตติธัชนั่งพร้อมกับวางรูปภาพรถสีดำประมาณสองสามรูปไว้บนโต๊ะ

   "รูปนี้คือรถที่รณกรเป็นคนขับคาดว่าน่าจะลงไปทางตอนใต้"

   "แล้วรู้ไหมว่ามันจะไปที่ไหน"

   พลทัพถามด้วยความร้อนใจแต่กิตติธัชก็ไม่ได้ถือสาอะไรมากมาย

   "คาดว่าน่าจะหนึไปกบดานที่บ้านเกิดแถบริมทะเล"

   "เยี่ยม!"

   พลทัพลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไปจากห้องแต่ชะงักเล็กน้อยเมื่อกิตติธัชหันไปห้ามคู้หมั้นของตนเองที่ดึงดันจะไปด้วย

   "คุณอยู่ที่นี่แหละรวิ ไม่ต้องไปหรอกมันอันตราย"

   "ที่จะไปด้วยเพราะรวิเป็นห่วงคุณค่ะ" รวิสรายิ้มหวานมากขึ้นกว่าเดิม "ธัชให้รวิไปด้วยเถอะนะคะ"

   "เฮ้อ~ ห้ามไม่ได้ซินะ" กิตติธัชยกมือขึ้นลูบเส้นผมหนานุ่มนั้นอย่างทะนุถนอม "ระวังตัวเองด้วยล่ะ"

   "แน่นอนค่ะ"

   รวิสรายิ้มหวานก่อนจะหน้าแดงเมื่อรุจรวีอดไม่ไหวที่จะล้อเลียนทั้งสองคน

  "หวานกันจังเลยนะคู่ที่กำลังจะแต่งงานกันเนี่ย น่าอิจฉาจัง"

   "จะไปอิจฉาคนอื่นทำไมล่ะ มีผมอยู่ทั้งคนก็พอแล้วไหมหะ"

   เวทิตล็อกคอคนตัวเล็กที่ดิ้นหนีเล็กน้อยด้วยความหมั่นไส้ ส่วนวรภพก็คอยประคองต้นหลิวที่ยังมีอาการปวดหัวไม่หาย

   "เดินระวังนะ แน่ใจนะว่าไปไหวน่ะ"

   "ไหวซิครับ"

   ต้นหลิวพยักหน้าดึงดันที่จะไปทั้งที่ไข้ขึ้นสูงจนวรภพใจอ่อนยอมให้อีกคนไปด้วย เมื่อเห็นทุกคนตกลงกันได้แล้วพลทัพจึงพูดเสียงดังขึ้นมาอย่างหงุดหงิด

   "ตกลงกันเรียบร้อยก็รีบไปกันได้แล้ว"

   "ไปซื"

   กิตติธัชแอบกวนประสาทเล็กน้อยก่อนที่ทั้งหมดจะออกเดินทางไปยังทางตอนใต้ด้วยความมุ่งมั่นที่หวังจะให้คนที่กำลังตามหากันนั้นปลอดภัย






   ขณะเดียวกันนั้นเองตรงบ้านพักตากอากาศแถบริมทะเลนั้นรณกรเดินออกมายืนรับลมตรงระเบียงยืนฟังเสียงนกเริ่มร้องและแสงแรกของพระอาทิตย์ที่กำลังจะเผยโฉมขึ้นมาตรงริมขอบฟ้าซึ่งเป็นบรรยากาศที่งดงามเข้ากันกับร่างของใครบางคนที่นอนหลับไหลอยู่ในห้องนอนตั้งแต่ตอนที่มาถึงเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ ก่อนที่จะหันมาสนใจกับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาไม่หยุดแถมเป็นเบอร์ที่คุ้นเคยซะด้วย

   "ฮัลโหล หึ! พวกมันรู้กันแล้วซินะ เอาเลยให้พวกมันมากันเลยจะได้จัดการทีเดียว เหอะ! ไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน"

   รณกรกดวางสายด้วยความหงุดหงิดและขัดใจแต่พอรู้เรื่องที่ว่าทุกคนรู้ที่อยู่ตนเองแล้วกำลังรีบเดินทางมานั้นก็กลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมตบมือด้วยความตื่นเต้นราวกับเด็กที่ดีใจมาก ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องนอนที่เปิดโล่งเอาไว้ให้ลมโกรกเข้ามา รณกรเดินไปนั่งที่ริมขอบเตียงพร้อมกับเอามือลูบกลุ่มผมแสนนุ่มนิ่มนั้นอย่างอ่อนโยน

   "กันต์~ นายชอบที่นี่ไหมที่นี่น่ะเป็นบ้านเกิดของกรเลยนะ กรอยากให้กันต์มาอยู่ที่นี่ตั้งนานล่ะ"

   รณกรเหยียดยิ้มหวานก่อนจะโน้มตัวเอาแก้มไปแนบหน้าผากของคนที่กำลังนอนหลับอยู่

   "กรไม่ต้องการอะไรนอกจากกันต์เพียงคนเดียว เราอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมเหมือนตอนเด็กเถอะนะ"

  รณกรหลับตาพร้อมกอดกันต์กวินที่นอนอยู่แน่นราวกับกำลังกอดตุ๊กตาของรักของหวงที่ถูกคนอื่นแย่งไปนานมากเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กเล็กนั่นเอง

   "กรไม่ยอมปล่อยกันต์ไปหรอกนะ ถ้ากรตายกันต์ต้องตายไปพร้อมกรนะตกลงไหม ฮะฮะฮะ"

  รณกรหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งคนที่จะมาแย่งไปนั้นจะต้องโดนกำจัดทุกคนโดยเฉพาะศตรูหัวใจอย่างพลทัพเขาไม่ปล่อยมันไว้แน่



*************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม *สืบครั้งที่ 33 [UP 19/06/19]*
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 22-06-2019 12:01:10
ซับซ้อนไปอีก
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 25-06-2019 21:57:09
สืบครั้งที่ 34


   ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงรถที่กิตติธัชขับมานั้นใกล้จะมาถึงจุดหมายปลายทางแต่ทว่าด้วยความที่รีบร้อนและท้องฟ้าที่ยังไม่สว่างดีนักทำให้มองไม่เห็นตะปูเรือใบที่ถูกโปรยเอาไว้บนพื้นถนนและนั่นทำให้เสียงยางระเบิดและรถไม่สามารถควบคุมได้

   บึ้ม!

   "อ๊าย! ธัชระวัง"

    รวิสราที่นั่งอยู่ด้านหน้าร้องออกมาด้วยความตกใจไม่แตกต่างจากพวกที่นั่งอยู่ด้านหลังทยอยตื่นมาด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

   กึกกึก!

   "เกิดอะไรขึ้น!"

   เสียงโวยวายจากด้านหลังรถหลังจากเสียงเครื่องยนต์ที่เริ่มกระตุกทำให้กิตติธัชเคร่งเครียดแต่ยังบังคับรถให้จอดสนิทตรงข้างทางได้อย่างปลอดภัย

   "ยางระเบิด กรมันน่าจะวางกับดักไว้"

   "แล้วจะทำยังไงกันล่ะ"

   รุจรวีมองซ้ายมองขวาพร้อมกับกอดแขนเวทิตแน่นด้วยความหวาดกลัวกับบรรยากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยป่ามากมาย ซึ่งวรภพเสนอความคิดเห็นขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

   "ไม่อย่างนั้นเรารอรถตำรวจที่ตามมาด้านหลังดีไหมครับ อีกไม่กี่นาทีก็น่าจะมาถึง"

   "ไม่รออะไรทั้งนั้นนั่นแหละ ฉันจะเป็นคนไปหากันต์เอง"

   แต่คนใจร้อนอย่างพลทัพไม่ฟังเสียงห้ามปรามอะไรทั้งนั้นรีบวิ่งออกไปตามถนนที่ทอดยาวไปตรงบ้านพักตากอากาศทันทีทำให้ต้นหลิวมองตามหลังด้วยความร้อนใจ

   "เดี๋ยวซิคุณพลทัพ! จะเอายังไงกันดีครับ"

   "วิ่งตามกันเถอะ หมอนั่นยิ่งใจร้อนอยู่ถ้าทำอะไรขึ้นมามันจะเป็นเรื่องใหญ่"

   กิตติธัชออกความเห็นซึ่งทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้ววิ่งตามอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่นานนักพลทัพมาถึงบ้านพักตากอากาศเป็นคนแรกก็เปิดประตูเข้าไปสุดแรง

   ปัง!

   "กันต์!"

   พอเปิดประตูเข้ามาไม่เจอใครอยู่ในบ้านด้านล่างจึงเดินขึ้นไปค้นหาชั้นบนเห็นมีอยู่ห้องเดียวเลยเปิดประตูเข้าไปอย่างรีบร้อนหวังจะพบคนที่ตามหาแต่ทว่าพบเพียงความว่างเปล่าและพบข้อความที่เขียนด้วยเลือดอยู่บนผนังไม้สีน้ำตาลเต็มห้องและในเวลานั้นก็มีพวกตามมาสมทบพอดี

   "เฮ้อ~ เจอกันต์ไหม...เห้ย! นั่นมัน..."

   "อึก!"

   รวิสราเกาะแขนคู่หมั้นตนเองแน่นด้วยความหวาดกลัวไม่ต่างจากคนที่ได้เห็นข้อความที่เขียนด้วยเลือดตรงนั้น

   'ถ้าพวกแกอยากได้กันต์คืน รีบมาเจอที่หน้าผาภายในเวลาห้านาที'

   "มันมากเกินไปแล้วนะ กรมันโรคจิตใช่ไหม"

   รุจรวีลูบแขนตัวเองอย่างเบามือเพราะรู้สึกขนลุกกับภาพตรงหน้า แต่ก่อนที่พลทัพจะเดินออกไปจากตรงนั้นกิตติธัชกลับห้ามไว้ซะก่อน

   "แกจะไปไหน"

   "ไปหากันต์ไง"

   พลทัพตอบอย่างหงุดหงิดและไม่ฟังคำห้ามปรามจากคนตรงหน้า

   "แกควรจะรอกองหนุนที่กำลังมา ไม่ใช่ขาดสติตามเกมมันอย่างนี้"

   "ฉันต้องไป" พลทัพทำหน้านิ่งพร้อมทอดสายตามองไปยังคู่หมั้นของเพื่อนสนิท "ถ้าคู่หมั้นแกถูกจับตัวไป แกคงจะไม่รออะไรทั้งนั้นได้บ้ากว่าฉันแน่"

   "เฮ้อ~"

   กิตติธัชถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของเพื่อนสนิทก่อนจะตบบ่าลงไปหนึ่งทีแล้วปล่อยมือจากบ่าของอีกฝ่าย

   "ระวังตัวด้วย ฉันจะตามไปพร้อมกับกองหนุน"

   "อืม"

   พลทัพพยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกจากตรงนั้นเพื่อไปยังหน้าผาที่อีกฝ่ายนัดเอาไว้ด้วยความรีบร้อนและในหัวคิดถึงความปลอดภัยของกันต์กวินตลอดเวลา

   ...'อย่าพึ่งเป็นอะไรเลยนะกันต์'...





   หลังจากนั้นผ่านไปไม่ถึงห้านาทีพลทัพก็มายืนหอบอยู่ตรงหน้าผาที่ยื่นออกไปและด้านล่างมีแต่น้ำทะเลซึ่งพอขึ้นไปถึงก็พบกันต์กวินที่นั่งบนเก้าอี้ไม้พอดีตัวและเอนหัวพิงแอนซบกับแผ่นอกรณกรที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังแต่ที่แปลกไปจากเดิมคือตรงแขนขาวของกันต์กวินกลับมีผ้าพันแผลพันเอาไว้อย่างเรียบร้อย

   ภาพตรงหน้าทำให้พลทัพขาดสติยกปืนขึ้นมาจ่อคนตรงหน้าซึ่งรณกรไม่เกรงกลัวกลับเหยียดยิ้มแล้วยกปืนขึ้นมาจ่อตรงท้ายทอยของร่างบางตรงหน้าพร้อมน้ำเสียงข่มขู่

   "เอาซิถ้าแกยิง...ฉันก็ยิง"

   "ไอ้กร!!!"

   พลทัพขบกรามแน่นก่อนจะยอมลดปืนลงแล้วโยนทิ้งไปด้านข้างซึ่งห่างออกไปพอสมควรทำให้คนที่ออกคำสั่งหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

   "ฮะฮะฮะ~"

   รณกรผละออกจากคนตัวเล็กก่อนจะเดินมาตรงพลทัพแล้วเอาปืนมาจ่อขมับคนตรงหน้าแทน

   "แกไม่มีวันชนะฉันได้ ไม่มีวันแย่งกันต์ของฉันด้วย"

   "กันต์ไม่ใช่ของแก"

   พลทัพมองตาขวางทำให้รณกรโมโหกำลังยกมือจะทำร้ายคนตรงหน้าแต่มีเสียงห้ามดังขึ้นพร้อมปืนหลายกระบอกที่จ่อมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

   "หยุดเดี๋ยวนี้นะรณกร ถ้าแกลงมือทำร้ายใครก็ตามฉันสั่งลูกน้องยิงแกแน่"

   "ว๊าว!~ น่ากลัวจัง"

   รณกรแสยะยิ้มออกมาพร้อมพูดอย่างท้าทาย

   "คุณตำรวจมากันเยอะขนาดนี้จะจับผมข้อหาอะไรไม่ทราบครับ"

   "นี่คือหมายจับข้อหาฆ่าคนตาย"

   กิตติธัชชูหมายจับขึ้นมาพร้อมกับบอกข้อกล่าวหากับคนตรงหน้าทำให้รณกรหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งก่อนจะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่เริ่มบิดเบี้ยวจนถึงขั้นแสยะยิ้ม

   "ฮะฮะฮะ ใช่! ฉันคือฆาตกรตัวจริง"

   ดวงตาคมจ้องมองไปยังต้นหลิวที่ยืนอยู่ด้านหลังวรภพด้วยแววตาที่วาววับ

    "สืบกันเก่งจริงนะไม่น่าเชื่อว่าพวกนายจะยังไม่ตายกันนะคุณนักสืบกับคุณหมอ"

   "ยอมมอบตัวซะ"

  กิตติธัชยกปืนขึ้นมาขู่อีกครั้งยิ่งทำให้คนตรงหน้าไม่เกรงกลัวแถมกดปืนให้แนบชิดกับขมับของคนที่ยืนนิ่งตรงหน้าแน่น

   "ผมก็ไม่ได้ขัดขืนนี่ครับ อยากรู้ความจริงอะไรก็สอบปากคำตรงนี้เลยซิ"

   "แก!"

   กิตติธัชอารมณ์เสียก่อนจะระงับสติอารมณ์ตนเอง

   "ทำไมแกต้องลงมือจัดการฆ่าทุกคนด้วย"

   "หึ!"

   รณกรเหยียดยิ้มจนถึงขั้นแสยะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด

   "เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มขึ้นมาจากคนหน้าเลือดขี้โกงคนนั้น"

   "ใคร?"

   "รติกร"

   รณกรเหลือบไปมองรวิสราที่ยืนทำหน้าตกใจอยู่ด้านหลังคู่หมั้น

   "พ่อของรวิไงครับ"

   "คุณพ่อทำอะไรกับคุณหรอคะ"

   รวิสราพูดด้วยความยากลำบากพร้อมกอดแขนกิตติธัชคนรักของตนเองไว้แน่น ทำให้รณกรหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งผิดกับแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้น

   "ฮะฮะฮะ คนสกปรกคนนั้นทำลายชีวิตครอบครัวผมทุกคนน่ะซิ!!!"







...'ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว



   รณกรวัยห้าขวบเดินเล่นอยู่ริมทะเลกับวิรากรซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดอย่างสนุกสนานโดยไม่รับรู้ถึงความตึงเครียดภายในบ้าน รณพงษ์ยกน้ำดื่มมาต้อนรับรติกรที่ห้องรับแขกซึ่งสมัยก่อนเคยทำธุรกิจร่วมกันมาหลายครั้ง รณพงษ์ยิ้มทักทายเพื่อสนิทที่ไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกันมานาน

   "ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานสบายดีไหมรติกร"

   "แน่นอน ตอนนี้ธุรกิจฉันกำลังไปได้สวย"

   รติกรหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มพร้อมมองไปรอบบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง

   "บ้านหลังนี้ของนายสวยดีนะ ได้ข่าวว่าที่ดินที่เคยยืมฉันไปตอนนี้มีมูลค่ามากกว่าเดิมตั้งหลายเท่าใช่ไหม"

   "อืม แต่ฉันเอาไว้ทำพวกแปลงผักและให้ชาวบ้านเช่าที่ดินเพื่อทำมาหากินกันแล้ว"

   รณพงษ์มีสีหน้าท่าทางที่ลำบากใจเมื่อเริ่มจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

   "ถ้านายต้องการเอาที่ดินคืน เอาเป็นตรงอื่นได้ไหมฉันสงสารคนพวกนั้น"

   "ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ" รติกรเหยียดยิ้มพร้อมยกน้ำขึ้นมาดื่ม "แต่ถ้านายเสนอมาแบบนี้งั้น...เอาเป็นที่ดินของบ้านหลังนี้ยาวเรื่อยไปจนถึงหน้าผาและทะเลแถบนั้นดีไหมล่ะ"

   "รติกร"

   รณพงษ์มองคนตรงหน้าด้วยความผิดหวังแต่ต้องนึกถึงบุญคุณที่คนตรงหน้ามีไว้เมื่อสมัยที่เคยทำธุรกิจร่วมกันครั้งแรก

   "ถ้านายต้องการฉันจะยอมขายที่ดินบ้านหลังนี้ให้กับนายและหลังจากนี้ถือว่าบุญคุณที่นายเคยช่วยเหลือธุรกิจของฉันจบกันแค่นี้ ตกลงไหม"

   "แน่นอน"

   รติกรเหยียดยิ้มก่อนจะยื่นสัญญาขายที่ดินให้อีกฝ่ายซี่งรณพงษ์ยอมเซ็นสัญญาแต่โดยดี รติกรเหยียดยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยความพึงพอใจ

   "ฮะฮะฮะ เยี่ยมมากเลยรณพงษ์เพื่อนรัก"



   แกร๊ก...ปั้ง!!!



    "อึก! ร...รติกร"

    รณพงษ์เอามือจับหน้าอกของตนเองที่มีเลือดไหลทะลักออกมาพร้อมมองคนตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวัง

   "ทำไม..."

   "เพื่อธุรกิจไงเพื่อนรัก ฮะฮะฮะ"

   รติกรหัวเราะเสียงดังลั่นก่อนจะเหนี่ยวไกปืนอีกครั้งพร้อมกับลูกกระสุนที่ถูกยิงออกไปถูกรณพงษ์จนหงายหลังหมดสติไปพร้อมลมหายใจ



   ปั้งงง!!!




   "อ๊ะ! เสียงอะไรน่ะครับคุณแม่"

   รณกรเงยหน้าขึ้นไปถามผู้เป็นแม่ส่วนวิรากรก็รีบกอดขาแม่ด้วยความหวาดกลัว

   "ผมกลัวจังเลยครับคุณแม่"

   "ไม่ต้องกลัวไม่มีอะไรหรอกนะกร...ไวน์..."

    วิรกานต์ลูบผมลูกชายทั้งสองอย่าแผ่วเบาแม้จะพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เต็มที่

    "หิวน้ำไหมเดี๋ยวแม่กลับไปเอาน้ำมาให้นะ"

   "ครับ"

   สองแฝดตอบอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนที่วิรกานต์จะเดินย้อนกลับไปที่บ้าน พอเข้ามาในบ้านก็เห็นร่างของสามีที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นพร้อมเลือดที่ไหลนองออกมาเต็มไปหมด

   วิรกานต์เอามือปิดปากกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นและทรุดตัวลงนั่งข้างศพสามีอย่างหมดแรง

    "ฮึก! รณพงษ์ ฮือ...รณพงษ์"



    หลังจากที่ร้องไห้จนพอใจวิรกานต์ก็เดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำสองแก้วแต่ทว่าพอไปถึงกลับพบเพียงวิรากรนั่งเล่นทรายเพียงคนเดียว

   "น้ำมาแล้วจ๊ะไวน์ แล้วนี่พี่กรไปไหนลูก"

   "ขอบคุณครับคุณแม่...พี่กรไปวิ่งเล่นตรงนู้นครับ"

   วิรากรรับน้ำมาดื่มจนหมดแก้วแล้วหันมาสนใจกองทรายตรงหน้าต่อแต่ทว่าวิรกานต์กลับอุ้มขึ้นมากอดไว้แน่น

   "เราไปชมวิวตรงหน้าผากันดีไหม ไวน์ชอบบรรยากาศตรงนั้นไม่ใช่หรอลูกรัก"

    "ครับบบ"

   วิรากรยกมือขึ้นมาขยี้ตาพร้อมซบลงตรงไหลผู้เป็นแม่อย่างออดอ้อนไม่นานก็เผลอหลับไปทำให้วิรกานต์รีบเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่ได้สังเกตุเห็นรณกรที่วิ่งกลับมาพอดี

   "คุณแม่! คุณแม่! คุณแม่กับไวน์จะไปไหนกันน่ะรอผมด้วยซิครับ"

   รณกรตะโกนตามหลังพร้อมวิ่งตามไปทำให้ช่างภาพที่ยืนอยู่แถวนั้นหันมามองก่อนจะแอบเดินตามไปด้วยความสงสัย  ผ่านไปไม่นานนักวิรกานต์ก็เดินมาหยุดยืนตรงหน้าผาที่สูงชันโดยมีวิวทะเลอยู่ด้านล่าง สายลมที่พัดผ่านร่างกายทำให้วิรกานต์ยิ้มหวานออกมาพร้อมเหลือบมองลูกชายคนเล็กที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ

   "วิวสวยจังเลยเนอะไวน์ อยากเล่นน้ำกับแม่ไหมครับ"

   วิรกานต์ก้าวออกไปชิดกับขอบหน้าผาพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อนึกถึงใครบางคนที่พึ่งจากไป

   "ไวน์เห็นคุณพ่อไหมครับ คุณพ่อรอเราอยู่ด้านล่างนะ"

   "งื้มม"

   วิรากรขยับหัวไปมาไม่นานก็นิ่งลงไปอีกครั้งทำให้ผู้เป็นแม่ลูบผมอย่างแผ่วเบา

   "เราไปหาคุณพ่อกันเนอะ"

   "งื้มม"

   เสียงตอบรับที่ละเมอออกมาเรียกรอยยิ้มจากวิรกานต์ที่หลับตาลงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับก้าวไปด้านหน้าในจังหวะเดียวกับเสียงของรณกรที่วิ่งตามและตะโกนมาจากด้านหลัง

   "คุณแม่!!!"

   "อย่าวิ่งไปนะ!"

   เสียงทุ้มจากด้านหลังพร้อมอ้อมแขนที่คว้าตัวรณกรไว้ทันอย่างหวุดหวิดก่อนที่เด็กตัวเล็กนี่จะล่วงตกตามสองคนนั้น ซึ่งรณกรไม่ได้กลัวอะไรแถมหันมามองคนที่จับตนเองไว้ด้วยแววตาที่ใสซื่อ

   "คุณลุงเห็นแม่กับน้องผมไหมครับ เมื่อกี้นี้ยังมองเห็นอยู่เลย"

   "ตาฝาดแล้วมั้ง เมื่อกี้นี้ลุงไม่เห็นใครเลยนะ"

   ธีร์ธรณ์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสงสาร

    "ลุงชื่อ ธีร์ธรณ์ เป็นช่างภาพนะแล้วเราชื่ออะไรล่ะ"

   "ผมชื่อ รณกร ครับ มีคุณพ่อชื่อ รณพงษ์ คุณแม่ชื่อ วิรกานต์ แล้วก็น้องชายฝาแฝดชื่อ วิรากร ครับ"

   รณกรตอบด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วทำให้ธีร์ธรณ์ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

   "กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวลุงไปส่งเอง"

   "ครับผม"

   รณกรพยักหน้าพร้อมจูงมือหนาให้เดินออกไปจากตรงนั้นซึ่งใช้เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงบ้านพักริมทะเลของตนเองที่ตอนนี้กลับเงียบผิดปกติ

   "ถึงบ้านแล้วครับ ผมเข้าบ้านก่อนนะครับขอบคุณลุงธรณ์ที่มาส่งนะครับ"

   "เดี๋ยวซิกร"

   ธีร์ธรณ์เรียกเด็กตัวเล็กที่วิ่งเข้าบ้านไม่หันมาสนใจตนเองอีกด้วยความเอ็นดูแต่ก่อนที่จะเดินออกไปจากบริเวณนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องไห้ดังมาจากในบ้านหลังนั้น

   "คุณพ่อ!!! ฮึก! คุณพ่อครับบบบ!!!"

   "กร!"

   ธีร์ธรณ์วิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความเป็นห่วงแต่ต้องชะงักกับภาพที่เห็นตรงหน้า พอรณกรเห็นว่าคุณลุงใจดีเดินเข้ามาก็รีบวิ่งเข้ามากอดพร้อมร้องไห้อย่างขวัญเสีย

   "ฮึกฮืออ~ คุณพ่อไม่ขยับตัวเลยครับคุณลุง คุณพ่อเป็นอะไรไหมครับ ฮือออ"

   "คุณพ่อของกรไปสบายแล้วนะ รวมถึงแม่กับน้องชายของกรด้วย"

   ธีร์ธรณ์ลูบผมเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความสงสารที่ต้องเสียคนในครอบครัวไปพร้อมกัน

   "กรไปอยู่กับลุงก่อนนะ ตกลงไหม"

   "ฮึก! ครับคุณลุง ฮึกฮือออ~"

   รณกรร้องไห้งอแงสะอึกสะอื้นจนธีร์ธรณ์ต้อมอุ้มขึ้นมาแล้วเดินออกจากบ้านหลังนั้นไปพร้อมกับเด็กตัวน้อยโดยทำใจแข็งไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย




    หลังจากวันนั้นธีร์ธรณ์ก็พารณกรมาที่บ้านโดยรักและเลี้ยงดูราวกับลูกอีกคนหนึ่งของตนเอง

    ซึ่งรณกรนั้นอายุน้อยกว่า ธีร์ธวัช ลูกชายตนเองประมาณปีกว่าที่มาอยู่กับตนหลังจากที่หย่ากับภรรยาแล้วนั่นเอง  แถมยังตั้งใจส่งเข้าโรงเรียนให้เรียนหนังสือที่เดียวกับธีร์ธวัชอีกต่างหาก ซึ่งรณกรหัวไวและฉลาดมากแถมยังสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดีเยี่ยมไม่เหมือนลูกชายตนเองที่ชอบงอแงและดื้อรั้นมาก




    โดยช่วงเวลาที่ผ่านมาธีร์ธรณ์ได้แอบจ้างนักสืบให้ตามหาวิรากรน้องชายฝาแฝดที่หายตัวไปซึ่งไม่นานนักก็ได้ข่าวว่ามีเด็กถูกทะเลพัดติดตรงชายฝั่งตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาลเล็กหลังเกาะห่างจากบ้านเดิมของรณกรไปไกลพอสมควร

    เมื่อสืบจนแน่ใจแล้วธีรธรณ์จึงพารณกรไปโรงพยาบาลในวันหยุด พอถึงที่หมายแล้วรณกรก็มองไปรอบกายด้วยความสงสัย

   "คุณลุงพาผมมาที่นี่ทำไมหรอครับ"

   "พามาหาใครบางคนที่กรคิดถึงไง"

   ธีร์ธรณ์ลูบผมเด็กน้อยตรงหน้าก่อนจะจูงมือพาเข้าไปในโรงพยาบาลตรงเข้าไปห้องด้านในสุดที่ดูดีที่สุดในโรงพยาบาล

   ก๊อก ก๊อก

   เสียงเคาะประตูอย่างแผ่วเบาเพื่อเป็นมารยาทก่อนจะเปิดเข้าไปเผยให้เห็นเด็กตัวเล็กที่หน้าตาเหมือนรณกรทุกอย่างกำลังนอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง พอเห็นคนคุ้นตารณกรก็รีบถลาเข้าไปหาทันที

   "ไวน์~ ดีใจจังที่ได้พบไวน์อีกครั้ง"

   "เจอน้องชายแล้วนะตัวแสบ"

   ธีร์ธรณ์ลูบผมรณกรด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะทำเรื่องย้ายตัววิรากรไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใหญ่ในเมือง




   ซึ่งตลอดเกือบสามเดือนรณกรก็ยังมาวนเวียนรอบเตียงของน้องชายเกือบทุกวันโดยมีธีร์ธรณ์คอยรับส่งทุกครั้งและพ่วงมาด้วยธีร์ธวัชที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่

   "ทำไมคุณพ่อต้องพามาที่นี่ทุกวันด้วย ธีร์อยากนอนนน"

   "ไม่งอแงนะธีร์ ถ้าง่วงก็นอนไปซิลูกไม่ต้องรบกวนน้องไวน์"

   ธีร์ธรณ์หันมาปรามลูกตนเองทำให้ธีร์ธวัชขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

   "ตะโกนดังเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นขึ้นมาหรอก"

   "ไม่น่ารักเลยนะธีร์"

   ธีร์ธรณ์ทำเสียงดุใส่ลูกตนเองเป็นจังหวะที่รณกรเผลอตกลงมาจากเก้าอี้พอดี

   โครม! ตุบ!

   "ฮึกฮืออออ"

   รณกรร้องไห้ดังลั่นทำให้ธีร์ธรณ์รีบเข้าไปกอดและอุ้มปลอบทันที

   "โอ๋~ ไม่ร้องนะกร"

   "ฮึก เจ็บอ่ะ ฮือออ"

   รณกรร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกอดคนตรงหน้าแน่นแต่ดวงตาหันไปมองไปยังพี่ชายบุญธรรมที่นั่งบนโซฟาราวกับเยาะเย้ยจนธีร์ธวัชตัวสั่นไปหมดด้วยความโกรธ

   "คุณพ่อ..."

   "ธีร์ฝากดูแลไวน์ด้วยนะลูก เดี๋ยวพ่อมา"

   ธีร์ธรณ์อุ้มรณกรเดินออกไปจากห้องทิ้งคนตัวเล็กไว้บนโซฟาเพียงคนเดียว 

   ธีร์ธวัชกำมือแน่นพร้อมเดินไปใกล้เตียงที่มีใครบางคนที่หน้าเหมือนกับคนที่พึ่งออกไปนอนนิ่งอยู่บนเตียงก่อนจะเอื้อมมือจับคอคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา

   "นายจะมาแย่งความรักจากพ่อฉันอีกคนใช่ไหม ถ้านายตายไปตอนนี้พี่ชายนายคงร้องไห้งอแงน่าดูเลยซินะ"

   ธีร์ธวัชเหยียดยิ้มพร้อมกับออกแรงบีบตรงลำคอนั้นอย่างแรงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้นและชิงชัง



    ขณะเดียวกันทางด้านของรณกรก็นั่งสะอึกสะอื้นอยู่บนม้านั่งแม้ว่าธีร์ธรณ์จะปลอบเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหยุด ก่อนที่จะมีเสียงทักมาจากคนที่กำลังเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มที่สวยหวานเหมือนเดิม

   "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะธีร์ธรณ์"

   "กานต์รวี กฤตภัทร สบายดีไหม"

   ธีร์ธรณ์ยิ้มทักทายก่อนจะย่อตัวไปหาเด็กสองคนที่กฤตภัทรจูงมือคนละข้างอย่างเอ็นดู

   "สวัสดีครับ น้องกันต์ น้องวิน ไม่ได้เจอมานานโตขึ้นแล้วน่ารักมากเลยนะ"

   "ขอบคุณครับคุณลุง"

   กันต์กวินและกันต์กวียิ้มออกมาพร้อมกันอย่างน่ารักแม้จะห่างกันสองปีแต่ทว่าหน้าตาสวยเหมือนแม่กันทั้งสองคน   กานต์รวียิ้มหวานพร้อมมองไปยังรณกรที่มองลูกตนเองตาไม่กระพริบ

   "รณกร ลูกชายบุญธรรมของนายซินะ"

   "ใช่แล้ว กรมาสวัสดีคุณน้าคุณอาซิลูก"

   ธีร์ธรณ์ดันหลังคนตัวเล็กให้ออกมาด้านหน้าจนเกือบติดกันต์กวิสทำให้รณกรหน้าแดงและประหม่ามาก

   "สวัสดีครับคุณน้า คุณอา"

   รณกรยกมือไหว้พร้อมหันมามองกันต์กวินที่ส่งยิ้มหวานมาให้ตลอดเวลา

   "สวัสดีเราชื่อรณกรนะ"

   "สวัสดีเราชื่อกันต์กวิน คนนี้น้องชายเราชื่อกันต์กวีนะ"

   กันต์กวินยิ้มหวานให้อย่างน่ารักทำให้รณกรส่งยิ้มกลับไปก่อนที่มือทั้งสองข้างจะถูกคนน่ารักจับไว้แน่น

   "ไปเล่นตรงสวนด้านนอกกันเถอะกร"

   "เอ่อ...อื๊ม!"

   รณกรถูกกันต์กวินลากออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว พอเห็นลูกออกไปแล้วกานต์รวีก็หันมาถามกันต์กวีที่ยืนนิ่งไม่ยอมเดินตามพี่ชายไปซักที

   "น้องวินไม่ไปเล่นกับพวกพี่เขาหรอคะลูก"

   "ไม่เอาครับ น้องวินจะเล่นกับพี่ธีร์"

   กันต์กวีตอบผู้เป็นแม่แล้วหันไปทำหน้าตาน่ารักใส่ผู้เป็นลุง

   "พี่ธีร์อยู่ไหนครับคุณลุง"

   "อยู่ตรงห้องนั้นน่ะ เข้าไปหาซิครับ"

   ธีร์ธรณ์ลูบผมด้วยความเอ็นดูก่อนจะปล่อยให้กันต์กวีวิ่งเข้าไปหาธีร์ธวัชในห้องพักคนป่วย แล้วหันมามองหน้ากฤตภัทรที่จ้องมาอย่างเคร่งเครียด

   "ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย"

   "อืม"

   "งั้นเราไปคุยกันในร้านกาแฟด้านล่างกันเถอะค่ะ"

   กานต์รวีพูดขึ้นมาก่อนจะเกาะแขนสามีและพี่เขยให้เดินไปพร้อมกัน 




   ทางด้านของกันต์กวีพอผลักประตูเข้ามาก็พบกับธีร์ธวัชยืนหันหลังอยู่ตรงเตียงคนป่วย

   "สวัสดีครับพี่ธีร์~"

   "สวัสดีน้องวิน"

    ธีร์ธวัชหันมายิ้มให้ก่อนจะหันไปมองคนป่วยบนเตียงอีกครั้งทำให้กันต์กวีมองตามด้วยความสงสัย

   "มีอะไรหรอพี่ธีร์"

   "ไม่มีอะไร"

   ธีร์ธวัชส่ายหน้าก่อนจะมองหาใครอีกคนที่ตัวติดกันราวกับฝาแฝด

   "แล้วกันต์ล่ะไม่มาด้วยหรอ"

   "พี่กันต์ไปเล่นกับพี่กรที่สวนครับ"

   กันต์กวีตอบด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะสะดุ้งเมื่อถูกธีร์ธวัชขึ้นเสียงใส่อย่างดุดัน

   "อย่าไปเรียกกรว่าพี่นะ! หมอนั่นไม่ใช่ญาตินายซักหน่อย!"

   "ทำไมต้องดุน้องวินด้วยล่ะ น้องวินแค่เรียกตามที่คุณแม่สอนมาเท่านั้นเอง"

   กันต์กวีกอดอกอย่างเอาแต่ใจทำให้ธีร์ธวัชเริ่มถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

   "ทำตามที่พี่สอนแล้วกัน ตกลงไหม"

   "น้องวินจะทำตามที่พี่ธีร์สอนก็ได้"

   กันต์กวีพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนที่ทั้งสองคนจะเล่นด้วยกันทั้งวันซี่งระหว่างที่เล่นอยู่นั้นธีร์ธวัชแอบเหลือบมองวิรากรที่ปลายนิ้วมือเริ่มขยับและเป็นไปตามที่คาดไว้คืนนั้นวิรากรรู้สึกตัวทำให้พวกหมอรีบมาดูอาการปรากฏว่าวิรากรจำเหตุการอะไรไม่ได้เลยยิ่งทำให้ธีร์ธรณ์สงสารพี่น้องทั้งสองคนมากขึ้นไปอีกจึงจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลเต็มที่แต่เรื่องที่น่ากังวลคือวิรากรจะสั่นกลัวทุกครั้งเมื่อเข้าใกล้ธีร์ธวัชลูกชายตนเอง



    หลังจากวันนั้นที่รณกรรู้จักกับกันต์กวินหลานชายของลุงธีร์ธรณ์ ทั้งสองคนก็เล่นและติดต่อกันตลอดเวลาถึงขั้นย้ายไปเรียนโรงเรียนเดียวกันซึ่งอีกฝ่ายนั้นมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักข่าว ซึ่งรณกรนั้นไม่ขัดเพราะเผลอหลงรักในรอยยิ้มหวานของเพื่อนตัวเล็กคนนี้ตลอดมา


********************************
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 25-06-2019 22:09:58
สืบครั้งสุดท้าย




    ผ่านไปหลายปีธีร์ธรณ์ยังไม่หยุดที่จะสืบหาตัวฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าครอบครัวของลูกบุญธรรมตนเอง 

    โดยพยายามตามสืบเรื่องราวเกี่ยวกับฆาตกรคนนั้นจนได้ความว่าคือ รติกร นักธุรกิจที่กำลังทำธุรกิจใหญ่โตซึ่งภายนอกดูใจบุญมีเมตตาแต่ทว่ากลับโหดร้ายโกงกินบ้านเมืองและยึดที่ดินพ่อของแฝดทั้งสองคนอีกต่างหาก...

    ...และเรื่องที่สำคัญกว่านั้นพวกมันกำลังวางแผนจะกำจัดครอบครัวของกฤตภัทรที่ไปขวางเส้นทางธุรกิจนั่นเอง

   ระหว่างที่กำลังอ่านเอกสารเคร่งเครียดอยู่นั้นก็มีเสียงทะเลาะกันดังมาจากด้านล่าง

   "นายกำลังจะทำอะไรไวน์น่ะ"

   "ฉันแค่เดินเข้ามานั่งกินขนมเองนะ ยังไม่ได้ทำอะไรน้องชายนายซักหน่อย"

   ธีร์ธวัชทำหน้าตาไม่รู้ไม้ชี้พร้อมกับตวัดสายตาไปมองคนด้านหลังที่รีบหลบสายตาซุกหน้าซ่อนด้านหลังพี่ชายทันทีทำให้รณกรขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

   "ถ้านายไม่ทำอะไรแล้วไวน์จะกลัวจนตัวสั่นขนาดนี้ไหม"

   "ก็บอกอยู่ว่าไม่ได้ทำอะไรไงล่ะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามน้องชายนายดูซิ"

   ธีร์ธวัชทำหน้าตาเบื่อหน่ายก่อนจะเหลือบมองวิรากรที่ดึงเสื้อพี่ชายตนเองแน่น

   "พี่กร...ไวน์กลัว..."

   "ไม่ต้องกลัวนะไวน์ บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่านายแกล้งอะไรไวน์"

   รณกรกางปีกปกป้องน้องชายเต็มที่ทำให้ธีร์ธวัชที่อยู่ในชุดแพทย์สีขาวเริ่มอารมณ์เสียกว่าเดิม

   "ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ น้องชายนายมันขี้กลัวตลอดเวลาไม่ใช่รึไงล่ะ!"

   "หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!!!"

   เสียงดุที่ดังมาจากด้านบนพร้อมร่างของธีร์ธรณ์ที่เดินลงบันไดมายืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคนก่อนจะกวักมือเรียกวิรากรที่ยืนสั่นอยู่ด้านหลังพี่ชายฝาแฝด

   "ไวน์มาหาพ่อซิลูก"

   "คุณพ่อ~"

   วิรากรรีบวิ่งไปหาผู้เป็นพ่อทันทีแถมกอดแน่นไม่ยอมปล่อยพยายามหลบสายตาที่ธีร์ธวัชมองมาไม่ละสายตา

   "ไม่ต้องกลัวนะลูก ไหนบอกมาซิครับว่าพี่ธีร์ทำอะไรให้ลูกพ่อกลัว"

   "กลัว...กลัวพี่ธีร์"

   วิรากรตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมหลบสายตาธีร์ธวัชที่มองมาอย่างหงุดหงิด

   "วัน...วันนี้พี่ธีร์ใส่ชุดน่ากลัว"

   "เอ๋อ!~"

   ธีร์ธรณ์มองชุดที่ลูกชายตนเองกำลังใส่อยู่ก่อนจะออกคำสั่งกับธีร์ธวัชทั้งที่มือยังลูบผมของลูกชายคนเล็กของบ้านอย่างอ่อนโยน

   "ตาธีร์ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเถอะลูกจะได้ลงมาดูแลน้องเขา"

   "พ่อจะไปไหนแล้วทำไมไม่ให้พี่มันดูแลล่ะ"

   ธีร์ธวัชทำหน้าตาหงุดหงิดพร้อมมองคนตรงหน้าอย่างขัดใจตลอดเวลา ซึ่งผู้เป็นพ่อถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจกับความดื้อรั้นของลูกตนเอง

   "วันนี้พ่อมีธุระสำคัญที่ต้องไปทำ"

   "ส่วนฉันนัดถ่ายงานกับกันต์"

   รณกรยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาก่อนจะหันมากล่าวลาพ่อบุญธรรมของตนเอง

  "ผมขอตัวก่อนนะครับคุณลุง"

   "โชคดีนะลูก"

   ธีร์ธรณ์พยักหน้าก่อนจะจ้องลูกชายตนเองที่ยังทำหน้าหงิกหน้างอไม่เลิก

   "ไม่ดื้อกับพ่อซักครั้งได้ไหมธีร์"

   "รอแป๊ปนึงแล้วกัน"

   ธีร์ธวัชหงุดหงิดแล้วเดินกระทืบเท้าขึ้นบ้านไปอย่างขัดใจ   พอเห็นว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วธีร์ธรณ์จึงพาวิรากรมานั่งตรงโซฟาตัวยาวพร้อมปลอบอย่างอ่อนโยน

   "ทำไมถึงไม่เลิกกลัวพี่ธีร์ซักทีล่ะครับลูก รู้ไหมว่าพี่ธีร์ก็แอบเป็นห่วงเรามากนะ ไม่อย่างนั้นจะไปเรียนหมอให้เสียเวลาทำไมล่ะจริงไหม"

   "กลัว...พี่ธีร์น่ากลัว"

   วิรากรยกมือขึ้นมาจับคอตัวเองอย่างลืมตัวก่อนจะหันไปสนใจคำถามของผู้เป็นพ่อ

   "แล้วไวน์อยากอยากให้ใครมาดูแลล่ะลูก"

   "ผม...ผมคิดถึงน้องวิน ผมอยากเจอน้องวิน"

   วิรากรกอดหมอนแน่นพร้อมยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงใครบางคนที่อยู่ไกลถึงต่างประเทศทำให้ธีร์ธรณ์ลูบผมลูกชายด้วยความเอ็นดู

   "น้องวินไปเรียนนะครับแต่อีกไม่นานก็กลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นไวน์ลูกรักของพ่อคงหายป่วยพอดีเนอะ"

   "อะแฮ่ม!"

  เสียงขัดจังหวะมาจากธีร์ธวัชที่เปลี่ยนเสี้อเป็นสีดำเรียบร้อยกำลังยืนกอดอกทำท่าทางเบื่อหน่าย

   "อ้อนกันพอรึยัง พ่อมีธุระไม่ใช่รึไง"

   "พ่อไปแล้วนะไวน์"

   ธีร์ธรณ์สวมกอดวิรากรแน่นด้วยความรักและเอ็นดูก่อนจะเดินไปกอดลูกชายคนเก่งของตนเองแน่น

   "ระหว่างที่พ่อยังไม่กลับมา ฝากธีร์ดูแลน้องไวน์แทนพ่อด้วยนะ"

   "ที่ผมโดนบังคับให้เรียนหมอเพราะอยากให้ดูแลมันอยู่แล้วไม่ใช่รึไง" ธีร์ธวัชทำสีหน้าขัดใจตลอดเวลา "แต่จะดูแลมันจนกว่าพ่อจะกลับมาแล้วกัน"

   "ขอบคุณมากลูกรัก"

   ธีร์ธรณ์กอดลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากบ้านไปทิ้งให้เหลือกันอยู่เพียงสองคน 

   ธีร์ธวัชหันไปทำตาขวางใส่ใครบางคนที่กลัวจนตัวสั่นไปหมดแถมยังจะลุกหนีอีกต่างหาก

   "จะไปไหน"

   "เปล่า...ครับ...พี่ธีร์"

    วิรากรส่ายหน้าแต่ตั้วท่าจะเดินหนีอย่างเดียวแต่ถูกอีกฝ่ายรั้งต้นแขนเล็กเอาไว้แน่น

   "ฮึก! ไวน์เจ็บ"

   "ถ้าเจ็บก็ไปนั่งที่เดิมซิ"

   พอพูดจบธีร์ธวัชปล่อยแขนอีกฝ่ายทิ้งอย่างไม่ใยดีก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือบนชั้นทั้งที่ปากนั้นบ่นไม่หยุด

   "น่าเบื่อชะมัด พ่อนะพ่อรับเลี้ยงแต่ตัวปัญหา"

   "ไวน์กับพี่กร...ไม่ใช่...ตัวปัญหานะ"

    ถึงจะพยายามเถียงแต่พอเจอแววตาที่ดุดันของอีกฝ่ายตวัดมองมาทำให้วิรากรก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความกลัวพร้อมก้าวถอยหลังคนที่เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีที่คุกคาม

   "กล้าเถียงหรอ นั่งลงไปเลยฉันจะอ่านหนังสือ"

   "ฮื่ม!"

   วิรากรนั่งลงที่เดิมพร้อมทั้งกัดปากตัวเองด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเกรงตัวทันทีเมื่อคนใจร้ายมานั่งตรงที่ว่างด้านข้างแถมทำหน้าดุใส่อีกต่างหาก



    หลังจากวันนั้นธีร์ธวัชก็ไม่ได้พบผู้เป็นพ่ออีกเลยจนกระทั่งตอนที่ทราบข่าวว่าพ่อของตนเองโดนฆ่าตายอย่างลึกลับ

    พอทุกคนรู้เรื่องก็เสียใจและทำใจไม่ได้แต่ทว่าคนที่เสียใจที่สุดไม่พ้นวิรากรที่ร้องไห้หนักจนช็อคถูกหามส่งเข้าโรงพยาบาลโดยมีธีร์ธวัชเป็นผู้ช่วยของอาจารย์หมอคอยดูแลอีกฝ่ายตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับพ่อตนเอง  ปรากฏว่าหลังจากวันนั้นวิรากรก็ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกและนอนอยู่ในโรงพบาลนั้นตลอดนอนเป็นเจ้าชายนิทราไม่รับรู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น




   ทางด้านของรณกรหลังจากไปเยี่ยมน้องชายฝาแฝดที่โรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยจึงกลับมาบ้านและแวะเข้าไปในห้องทำงานของพ่อบุญธรรมที่สังเกตุเห็นกองเอกสารที่รวบรวมเรื่องราวทั้งหมด ทำให้รับรู้ว่ามันไม่ได้เป็นเหมือนตอนเด็กที่ตนเองคิดเลยซักนิดเดียว

   ตั้งแต่เรื่องที่วันนั้นมีคนมาหาพ่อนั้นไม่ใช่เพื่อนแต่ที่จริงคือ รติกร นายทุนหน้าเลือดที่หลอกให้พ่อเขาขายที่ดินแล้วฆ่าพ่อเขาตายอย่างโหดเหี้ยม

   เหตุการณ์นั้นทำให้แม่เขาฆ่าตัวตายโดยการกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ทำให้ตนเองเป็นเด็กกำพร้าและยังทำให้น้องชายฝาแฝดกลายเป็นคนป่วยที่ไม่ยอมหายซักที

   รวมมาถึงเรื่องที่คุณลุงถูกฆ่าแถมหมอนั่นยังคิดจะกำจัดครอบครัวของกันต์กวินที่ไปขวางเส้นทางธุรกิจอีกต่างหาก

   พอคิดถึงรอยยิ้มหวานของคนน่ารักทำให้รณกรตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะ

   "ฉันจะปกป้องครอบครัวของนายเองนะกันต์"

   ติ๊ด!

   รณกรวางแผนอะไรบางอย่างก่อนจะกดโทรออกไปหาใครบางคนที่รับอย่างรวดเร็วราวกับรอให้ตนเองเป็นฝ่ายโทรไปหานั่นเอง

   'ฮัลโหลกร~ โทรมาหาเวย์มีธุระอะไรรึเปล่าคะหรือว่าคิดถึงเวย์คะ~'

   "เปล่า แต่กรมีงานให้เวย์ทำ"

   รณกรตัดบทด้วยความรำคาญทำให้วิรชาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

   "งานอะไรหรอคะ"

   "กำจัดรติกร"

   รณกรกระตุกยิ้มอย่างตื่นเต้นเมื่อนึงถึงสิ่งที่กำลังจะทำ

   "ได้ข่าวมาตอนนี้เวย์ไปใช้หนี้แทนพ่ออยู่ไม่ใช่หรอ"

   "รู้ถึงขนาดนี้แสดงว่ายังคิดถึงเวย์อยู่ใช่ไหมคะ ดีใจจังเลย~"

   เสียงร่าเริงจากปลายสายทำให้รณกรทำหน้าตาเบื่อหน่าย

   "ตกลงจะร่วมมือกับผมไหม"

   "สำหรับกรแล้วเวย์ยอมร่วมมือทุกอย่างเลยค่ะ"

   คำตอบของวิรชาทำให้รณกรเหยียดยิ้มออกอย่างร้ายกาจกับแผนการแก้แค้นที่กำลังจะเริ่มต้นอีกไม่นานนัก



   โดยรอเวลาที่เหมาะสมถึงสามปีจนได้โอกาสวางแผนฆ่ารติกรบนรถไฟซึ่งแผนการทุกอย่างสำเร็จแต่ทว่ากลับมีคนเห็นเหตุการณ์จึงฆ่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยวิธีการทำให้รถไฟเสียการควบคุมจนตกรางและระเบิดเสียงดังลั่น


   ทว่ากลับมีคนรอดชีวิตหลายคนที่น่ากำจัด โดยเฉพาะตำรวจกับอตีตตำรวจพวกนั้น ไหนจะนักสืบหน้าหวานที่ดูฉลาดนั่นอีก หมอที่ดูจะมีไหวพริบรอบรู้ไปทุกอย่าง นายแบบสองคนที่จ้องจะกัดกันและผู้จัดการที่คอยไกล่เกลี่ย รวิสราลูกสาวของตาแก่นั่นก็ยังไม่ตาย ยกเว้นกันต์กวินที่แสนดีของตนเอง แต่นั่นยังไม่เท่ากับการเจอผู้รอดชีวิตที่เหลือ รุ้งพราย กวิตา วณิชชา เวธการ ที่บางคนรู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจึงลงมือจัดการ


   รุ้งพราย เป็นคนแรกซึ่งเห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมทั้งหมด จึงให้วิรชาจัดการฆ่าปิดปาก


   แต่วณิชชากลับรู้ความลับมาจากรุ้งพรายก่อนที่อีกฝ่ายจะตาย และกำลังจะบอกความจริงกับต้นหลิวแต่ถูกวิรชารัดคอจากด้านหลังจนขาดอากาศหายใจแล้วลากมาแขวนตรงต้นไม้ใหญ่แต่ไม่พบรอยลากเพราะฝนตกหนัก


   นอกจากนี้ยังมี กวิตา ที่เห็นเหตุการณ์ที่รติกรโดนฆ่าตายจนหวาดกลัวและไม่ยอมบอกใคร แต่กลับถูกจับได้และวิรชาจัดการฆาตกรรมปิดปากอย่างน่าสงสาร

   ซึ่งในคืนวันนั้นพีรัชกลับเห็นการฆาตกรรมของกวิตาโดยบังเอิญจึงหวาดกลัวตลอดเวลา เขาจึงให้วิรชาลงมือระหว่างที่พีรัชพารุจรวีหนีแต่หยุดพักโดยที่พีรัชจะเดินไปหาอะไรมาให้ทานแต่ถูกปิดปากพร้อมกับโดนรัดคอจากด้านหลังอย่างแรงจนหมดแรงดิ้นและตกน้ำไป


   ส่วนรุจรวีนั่งรอตั้งนานไม่มาซักทีจึงเดินไปดื่มน้ำตรงลำธารวิรชาจึงพลักตกน้ำไปโดยยิงซ้ำอีกทีก่อนจะแย่งปืนกับเวทิตที่มาแย่งปืนกันจนวิรชาสู้ไม่ไหวหนีไป เวทิตพยายามฉุดรั้งรุจรวีขึ้นมาแต่ตัวเองดันตกลงน้ำไปด้วยการถีบด้านหลังด้วยฝีมือของรณกรจนสายน้ำที่เกรี้ยวกราดพัดร่างทั้งสองคนหายไปกับลำธารนั้นแต่โชคดีที่คนที่สายน้ำพัดไปเจอหน่วยตามหาจึงช่วยกันพาทั้งสองขึ้นมาจากลำธารมารักษาจนหายดี


   โดยแผนทุกอย่างใกล้จะสำเร็จแต่ดันมีอิฐมาสร้างความวุ่นวายและจะทำร้ายกันต์กวินของเขาจนบาดเจ็บ รณกรจึงลงมือฆ่าด้วยตัวเองอีกครั้งซึ่งวันนั้นพลทัพเป็นคนมาช่วยกันต์กวินนั่นเองและหลังจากวันนั้นทั้งสองคนนั้นยิ้มให้กันมากขึ้น

   จนรณกรอิจฉาถึงขั้นวางแผนกำจัดทุกคนโดยให้วิรชาลักพาตัวรวิสราแต่ยัยนั่นดันทำเกินหน้าที่เพราะจับกันต์กวินไปด้วย ซึ่งหลังจากที่รวิสราหายไปนั้นเวธกาสำนึกผิดจะกลับตัวกลับใจแต่ไม่รอดโดนบีบคอตายอย่างโหดเหี้ยม

   หลังจากทุกคนเห็นศพและข้อความที่ทิ้งไว้จึงรีบตามจุดที่นัดเอาไว้ วิรชาจึงเปิดเผยตัวตนว่าเป็นฆาตกรและลงมือยิงทุกคนและกำลังจะยิงต้นหลิวแต่ทว่ากลับโดนตำรวจที่ตามมาทันนั้นยิงตายเสียก่อน แผนการทั้งหมดจึงไม่เป็นเหมือนที่วางแผนเอาไว้'...





   "แต่ถึงยังไงก็ฆ่าหมอนั่นสำเร็จ...ฮะฮะฮะ!...หมอนั่นสมควรได้รับกรรมที่ก่อไว้แล้ว"



   "...ใช่!!!..."



   "...หมอนั่นสมควรได้รับกรรมที่ก่อไว้แล้ว ฮะฮะฮะ"


   รณกรกำมือแน่นด้วยความแค้นเมื่อเล่าถึงเรื่องราวที่ผ่านมาก่อนจะเงยหน้ามองรวิสราที่มีท่าทางสำนึกผิด

   "ขอโท..."

   "ไม่ต้องมาขอโทษเพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าจะผิดก็โทษที่ตัวเองเกิดมาเป็นลูกหมอนั่นก็แล้วกัน"

   รณกรส่ายหน้าแต่น้ำเสียงเจือปนไปด้วยความแค้นที่มีให้กับคนที่ฆ่าครอบครัวตนเอง พอต้นหลิวได้ฟังทั้งหมดก็มีบางอย่างที่ค้างคาและน่าสงสัย

   "นายกับเวย์เคยรู้จักกันมาก่อนหรอ"

   "มากกว่าคนรู้จัก พวกเราเคยคบกันสมัยมัธยมจนจบมหาลัยแต่เวย์ดันต้องไปหมั้นกับนายและฉันก็ยังรักแค่กันต์กวินคนเดียว พวกเราจึงเลิกกันแค่นั้น"

   รณกรเหลือบมองไปยังต้นหลิวที่มองสบตาเช่นเดียวกัน

   "ถ้าอย่างนั้นลูกในท้องของเวย์คือลูกของนายซินะกร"

   "เสียใจด้วยนะแต่ฉันไม่ใช่พ่อของเด็กในท้องเวย์หรอก"

    รณกรส่ายหน้าก่อนจะกระตุกยิ้มมุ่มปากอย่างเจ้าเล่ห์

   "แต่ฉันรู้ว่าใครคือพ่อของเด็ก"

   "ใคร?"

   ต้นหลิวขมวดคิ้วด้วยความสงสัยถ้าพ่อของเด็กไม่ใช่ตนเองและคนตรงหน้าจะเป็นใครได้อีก พอได้ยินคำถามอย่างนี้แล้วรณกรกลับเหยียดยิ้มออกมาอย่างสะใจ

   "รติกร"

   "ห๊ะ!"

   ทุกคนในที่นั้นต่างตกใจไม่แพ้กันโดยเฉพาะต้นหลิวและรวิสราที่นิ้งค้าง ทำให้รณกรหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง


   "ฮะฮะฮะ ตกใจกันมากซินะแต่มันคือเรื่องจริง ซึ่งพ่อที่แท้จริงของเด็กในท้องยัยนั่นคือรติกรที่ได้กันตอนที่พ่อเจ้าตัวพาไปขัดดอกนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะยอมร่วมมือง่ายดายได้ยังไง"

   รณกรกระตุกยิ้มแล้วมองไปยังต้นหลิวอย่างสมเพชที่อีกฝ่ายถูกหลอกใช้

   "แต่ยัยนั่นดันรักฉันที่เคยเป็นอดีตคนรักเก่าที่ไม่อยากจะเลิกกันตอนนั้นด้วยนั่นแหละถึงยอมร่วมมือกันฆ่าทุกคนเพื่อที่หวังว่าจะได้ไปใช้ชีวิตด้วยกันถึงขนาดยอมฆ่าแม้แต่คู่หมั้นของตนเอง"

   "โธ่...เวย์"

   พอได้ยินความจริงทุกอย่างแล้วต้นหลิวก็ทำสีหน้าสงสารและเห็นใจจนวรภพต้องลูบหลังอย่างปลอบโยนไม่ต่างจากรวิสราที่ปิดปากร้องไห้อย่างน่าสงสารโคยมีรุจรวีและเวทิตคอยดูแล ส่วนกิตติธัชก็ถือปืนคุมสถานนะการเพื่อให้คนร้ายตรงหน้ายอมมอบตัว

   "ยอมมอบตัวซะเถอะรณกร"

   "ฮะฮะฮะ ได้ซิฉันจะยอมมอบตัว"

   รณกรหัวเราะอย่างบ้าคลั้งพร้อมกับสายตาที่บิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความแค้นและความอิจฉาที่มองเป็นศตรูหัวใจตลอดเวลา

   "แต่หลังจากที่ฉันฆ่าหมอนี่ก่อนก็แล้วกัน!!!"

   รณกรกดปืนให้แน่พร้อมเหนี่ยวไกปืนจะยิงพลทัพแต่ทว่าได้ยินเสียงแหบแห้งดังห้ามมาจากด้านหลัง

   "อ...อย่านะกร"

   "กันต์~"

   รณกรหันมามองด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเอาปืนตบหน้าพลทัพก่อนจะเดินไปโอบกอดกันต์กวินจากด้านหลังพร้อมกับหอมแก้มอย่างแผ่วเบา

   "ตื่นแล้วหรอเด็กดี ตื่นมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ยหืม~"

   "ตั้งแต่ตอนที่นายเริ่มสารภาพความจริงทั้งหมด"

    กันต์กวินจับมือรณกรอย่างอ่อนโยน

   "อย่าทำอะไรทัพเลยนะ"

   "ถ้าไม่อยากให้ทำอะไร"

   รณกรเหยียดยิ้มพร้อมกุมมือนุ่มนิ่มไว้แน่น

   "งั้นกันต์ยอมที่จะหนีไปกับกรได้ไหม"

   รณกรดวงตาเป็นประกายและคาดหวังกับคำตอบของกันต์กวินที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

   "จะหนีไปที่ไหนหรอ"

   "ไปไหนก็ได้ที่มีแต่เราสองคนเหมือนตอนเด็กที่เราเล่นด้วยกันไง"


   รณกรยิ้มกว้างทำให้กันต์กวินนั้นมองคนตรงหน้าด้วยความสงสาร

   "นายคงจะเหงาเหมือนตอนเด็กที่เราเจอกันใช่ไหม"

   "เหงาซิ เหงามากเลย ไปด้วยกันนะ"

   รณกรเผลอจับมือแน่นมากกว่าเดิมแต่กันต์กวินไม่ได้ว่าอะไรแถมพยักหน้าตอบตกลง

   "ตกลง...ฉันจะไปกับนาย"

   "กันต์!!!"

   พลทัพตกใจเมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงอย่างง่ายดายซึ่งกันต์กวินเองก็หันไปมองอย่างอาลัยอาวรผิดกับรณกรที่ดวงตาเปล่งประกายวาววับอย่างกับผู้ชนะ

   "ทำไมกันต์ถึงยอมตกลงไปกับกรล่ะ ไหนลองบอกมาซิว่าที่ยอมหนีไปด้วยเพราะกันต์รักกรน่ะ"

   "ฉันรัก..."

   กันต์กวินเหลือบมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นซึ่งคำตอบนี้ทำให้รณกรหัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น

   "ฮึฮึ รักใครรีบบอกไปซิกัน"

   "ฉันรักนายนะ...พลทัพ"

   กันต์กวินออกแรงผลักในช่วงที่รณกรกำลังตกตะลึงในคำตอบก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดพลทัพแน่น

   พอรณกรได้สติก็มองเห็นภาพตรงหน้าของทั้งสองที่ยืนกอดกันแน่น เสียใจจนปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับคนบ้าพร้อมกับปืนที่ยกขึ้นมาจ่อตรงขมับตัวเอง

   "กันต์...กลับมาหากรซิ  กรอยู่ไม่ได้นะถ้าไม่มีกันต์"

   "อย่าคิดจะทำอะไรแบบนั้นนะกร นายไม่คิดถึงไวน์น้องชายฝาแฝดของนายบ้างหรอ"

   กันต์กวินเกลี่ยกล่อมแต่ยังกอดพลทัพแน่นไม่ยอมปล่อยยิ่งทำให้รณกรอิจฉามากยิ่งขึ้น

   "ถึงไม่มีฉันไวน์ก็ยังมีไอ้พี่ธีร์นั่นคอยดูแล แต่ถ้าไม่มีกันต์แล้ว..."

   รณกรตัดพ้อพร้อมเหนี่ยวไกปืน

   "กรจะอยู่ไปเพื่ออะไร"

   "ไม่นะกร"

   กันต์กวินพยายามห้ามปรามและตั้งท่าจะเข้าไปหาแต่พลทัพกอดเอวไว้จากด้านหลังไว้แน่น ก่อนจะปล่อยให้ตำรวจและกิตติธัชเดินเข้าไปห้ามคนที่เริ่มจะบ้าคลั่ง

   "วางอาวุธปืนและยอมมอบตัวซะรณกร"

   "ไม่!!!"

   รณกรตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราดไม่ยอมฟังคำห้ามของใครพร้อมกับหันมามองกันต์กวินทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจ

   "กันต์~"

   "ไม่นะกร"

   กันต์กวินพยายามห้ามซึ่งท่าทางดิ้นรนดูเป็นห่วงนั้นทำให้รณกรยิ้มกว้างแต่แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ

   "ลาก่อนนะกันต์"

   "กร!!!"

    กันต์กวินเริ่มดิ้นจะเข้าไปหาเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวถอยหลังไปชิดกับริมหน้าผาแต่สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรักปนกับความผิดหวังและเสียใจจนขาดสติ



   "ฉันรักนาย"



   ปั้ง!!!



   เสียงปืนดังขึ้นทั้งที่ริมฝีปากยังเหยียดยิ้มก่อนที่ร่างของรณกรจะหงายหลังแล้วพลัดตกลงไปตรงหน้าผาเหมือนกันกับที่แม่ตนเองเคยทำเอาไว้ ซึ่งตำรวจเข้ามาตรวจสอบหลักฐานและเคลียร์พื้นที่ทั้งหมด โดยที่มีกันต์กวินทรุดตัวลงไปกับพื้นดินแล้วร้องไห้โฮเสียดังลั่นด้วยความเสียใจ

   "ฮึกฮือออ นายไม่น่าทำแบบนี้เลยกร ฮืออ"

   "ไม่ร้องไห้นะกันต์"

   พลทัพพยายามปลอบคนในอ้อมกอดทำให้กันต์กวินยิ่งเอาหน้ามุดเข้ากับอกของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นและพลทัพไม่ยอมลุกไปไหนจนกว่าคนตัวเล็กจะหยุดร้องไห้นั่นเอง





   หลังจากการตายของรณกรที่แม้จะไม่พบศพแต่ถูกตัดสินให้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้วนั้น กิตติธัชจึงส่งหลักฐานที่ได้รับมาจากต้นหลิวและวรภพนั้นมีมากพอทำให้กิตติธัชปิดคดีนี้ได้อย่างสมบูรณ์และได้รับความดีความชอบมากกว่าเดิมพร้อมเตรียมงานแต่งงานกับวริสราตามที่ได้เคยคิดวางแผนกันเอาไว้นั่นเอง



   ส่วนเวทิตและรุจรวีนั้นกำลังโด่งดังจนได้ไปถ่ายแบบที่ต่างประเทศซึ่งได้ร่วมงานกับกันต์กวีหลายต่อหลายงานจนมีแฟนคลับมากขึ้นกว่าเดิมถึงขั้นแต่งตั้งให้กันต์กวีเป็นลูกของทั้งสองคน  ซึ่งการไปต่างประเทศครั้งนี้ทั้งสองแอบไปจดทะเบียนแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายซะด้วย กว่าจะได้กลับไทยก็ปาเข้าไปสองเดือนกว่า



   ทางด้านต้นหลิวนั้นได้เลื่อนขั้นให้เป็นนักสืบตัวจริงที่มีแต่คนอยากจ้างมากมายแต่ตนเองไม่ยอมและผันตัวมาเป็นผู้ช่วยของวรภพที่ถูกกอหญ้าผู้เป็นแม่ดึงตัวมาอยู่แผนกชันสูตรศพ แถมเห่อว่าที่ลูกเขยมากซะด้วย



   ส่วนกันต์กวินนั้นพอแข็งแรงมากขึ้นแล้วจึงกลับมาเป็นนักข่าวอีกครั้งแต่ครั้งนี้มาทางสายบันเทิงจนโด่งดังโดยมีพลทัพผันตัวมาเป็นตากล้องส่วนตัวคอยไปไหนมาไหนด้วยเสมอ



   ซึ่งหลังจากที่ทั้งสองทำงานร่วมกันมาเดือนกว่านั้นระหว่างที่กันต์กวินกำลังสัมภาษณ์ดาราคนหนึ่งอยู่นั่นเองก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อแทรกเข้ามาในระหว่างการถ่ายทำ

   "กันต์!~"

   "ทัพ! ฉันกำลังสัมภาษณ์อยู่นะนายจะตะโกนทำไม"

   กันต์กวินหันหน้ามาหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายก่อนจะทำตาโตเมื่อพลทัพผละออกจากกล้องแล้วเดินเข้ามาพร้อมดอกกุหลาบช่อใหญ่ซึ่งอีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้นแล้วยิ้มออกมาซึ่งมันเต็มไปด้วยความรัก

   "ทัพรักกันต์นะ กันต์จะยอมมาเป็นคนรักของทัพได้ไหม"

   "พลทัพ!"

  กันต์กวินทำหน้าตาบึ้งตึงพร้อมทั้งขมวดคิ้วแน่นทำให้พลทัพหน้าเสียก่อนจะโล่งอกเมื่อเห็นรอยยิ้มหวานที่แสนคุ้นเคยออกมาจนเผลอมองอย่างน่าหลงใหล

   "ห้ามมาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน"

   "ไม่มีวันนั้นหรอก"

   พลทัพรับร่างของกันต์กวินที่โถมตัวเข้ามากอดกันอย่างเต็มแรงด้วยรอยยิ้มที่อบอวลไปด้วยความรัก



   ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์งานแต่งงานของกิตติธัชและรวิสราถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมืองโดยมีพลทัพ กันต์กวิน วรภพ ต้นหลิว รวมถึงรุจรวีและเวทิตที่พึ่งบินกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวเจ้าสาวโดยเฉพาะ ซึ่งพิธีการแต่งงานนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นและเรียบง่าย


   หลังจากเสร็จสิ้นการแต่งงานทั้งพลทัพ กันต์กวิน รณกร ต้นหลิว เวทิต รุจรวี  กิตติธัชและรวิสรา นั้นตัดสินใจนังรถไฟในขบวนเดิมที่ปรับปรุงเปลี่ยนคันใหม่เรียบร้อยแล้วมุ่งหน้าไปเชียงใหม่ซึ่งเปิดให้บริการอีกครั้งแล้วนั่นเอง

   พอรถไฟเคลื่อนตัวออกไปแล้วนั้นรุจรวีก็ชะโงกหัวออกจากหน้าต่างของห้องวีไอพีเฟิร์สคลาสไปรับลมเย็นอย่างสนุกสนานแต่ปากยังเสียเหมือนเดิม
   
    "เฮ้ออ~ หวังว่านั่งรถไฟครั้งนี้แล้วจะไม่เกิดเรื่องอะไรอีกนะ"

   "ไม่พูดแบบนี้น่ะรุจ แล้วเลิกเอาหัวออกไปได้แล้วไม่งั้นทิตจะปิดหน้าต่างแล้วนะ"

   เวทิตข่มขู่ทำให้รุจรวีปากยื่นแต่ก็เลิกชะโงกหัวและยอมกลับมานั่งโดยดี

   "ทิตคนใจร้าย"

   "รุจเด็กดื้อ"

   เวทิตขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะอดใจไม่ไหวยื่นหน้าเข้าไปจูบปากบางนั้นอย่างรวดเร็ว

   จุ๊บ!

   "ทิตอ่ะ"

   รุจรวีปิดปากก่อนจะทำหน้างอใส่

   "จูบทั้งทีให้มันนานกว่านี้หน่อยซิ จูบแค่นี้จะไปรู้สึกอะไร"

   "เอาแค่นี้แหละคนเยอะ"

   เวทิตอมยิ้มก่อนจะกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันเพียงสองคน

  "รอให้ถึงเชียงใหม่ก่อนเถอะจะไม่ยอมให้ออกจากห้องเลย"

   "เวทิตคนหื่น"

   รุจรวีหน้าแดงจัดด้วยความเขินอายก่อนจะเหลือบไปมองคู่เจ้าบ่าวเจ้าสาวมือใหม่ที่กำลังนั่งป้อนผลไม้กันอย่างน่าอิจฉา

   "ธัชลองชิมอันนี้ซิคะ รวิชอบอันนี้มากเลย"

   "อร่อยนะ ถ้ารวิชอบเดี๋ยวธัชซื้อให้อีก"

   กิตติธัชเอออออย่างตามใจแม้จะไม่ค่อยชอบผลไม้ตรงหน้าเท่าไหร่แต่ไม่อยากขัดใจภรรยาซึ่งภาพนั่นเองทำให้ต้นหลิวที่มองอยู่อีกด้านนั้นอดจะขำไม่ได้

   "ฮะฮะ ดูกิตซิแต่งงานแค่แป๊ปเดียวเกรงใจรวิจนน่าสงสาร"

   "ไม่หัวเราะคนอื่นน่ะต้นหลิว...หันมาคุยเรื่องของเรากันดีกว่า"

   วรภพเหยียดยิ้มพร้อมจับคนตัวเล็กให้หันมาสบตาตนเองด้วยสายตาจริงจัง

  "เมื่อไหร่จะยอมรับรักผมซักทีล่ะ"

   "ถ้าปฏิเสธคงไม่ยอมมาเป็นผู้ช่วยอยู่ทุกวันนี้หรอกนะ"

   ต้นหลิวหน้าแดงทั้งที่ปากนั้นยิ้มหวานออกมาพร้อมกับโผเข้ากอดอีกคนแน่นด้วยท่าทางออดอ้อน

   "ต้นหลิวรักภพนะ"

   "ภพรักต้นหลิวมากกว่านะ รู้ตัวไหม"

   วรภพกอดคนตรงหน้าแน่นด้วยรอยยิ้มที่อีกฝ่ายยอมตกลงรับความรักของตน ซึ่งนั้นทำให้กันต์กวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มที่จะอิจฉานิดหน่อย

   "บอกรักกันบนรถไฟต่อหน้าคนอื่นแบบนี้โรแมนติกชะมัดเลย"

   "แต่ตอนที่ทัพบอกรักกันต์โรแมนติกกว่าอีกนะ"

   พลทัพค้านขึ้นมาทำให้กันต์กวินหน้าแดงด้วยความเขินอายเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น

   "โรแมนติกบ้าบออะไรล่ะน่าอายที่สุดเพราะทัพดันมาบอกรักกันต์ตอนกำลังถ่ายทอดสดกันอยู่น่ะซิ โดนจับตามองทั้งประเทศเลยนะน่ะ แถมวินยังโทรมาแซวทั้งเช้าทั้งเย็นแหนะ"

   "ไม่ดีรึไงจะได้รู้ว่ากันต์เป็นของทัพไง"

   พลทัพทำหน้าตาเจ้าเล่ห์แล้วหอมแก้มคนตัวเล็กอย่างรวดเร็วซึ่งอีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว

   ฟอด!

   "อื้อ! ทัพ!!!"

    กันต์กวินหันมาโวยวายทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอายก่อนจะหอมแก้มอีกฝ่ายกลับอย่างรวดเร็ว

   ฟอด!

   "หายกันตกลงไหม"

   กันกวินหันหน้าหนีด้วยความเขินอายทำให้พลทัพยิ้มกว้างแล้วคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นพร้อมกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา

   "ทัพรักกันต์"

   "กันต์รักทัพ"

   กันต์กวินอมยิ้มก่อนที่ทั้งสองคนจะประกบริมฝีปากเข้าหากันอย่างแนบสนิทแล้วจูบกันอย่างดูดดื่มอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งพละออกจากกันด้วยความเขินอายแล้วหันไปมองคนอื่นที่มองมาอยู่แล้วทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างมีความสุข




THE END

หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-10-2019 09:31:01
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Detective liu : นักสืบหลิว ภาค รถไฟฆาตกรรม [END] ตอนที่ 34+35 [UP 25/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:31:34
 :pig4: