ตอนที่ 21
อยู่เป็นเพื่อน
-ฝน-“ฝน! ไอ้ฝน!” ลูกจันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา
“มีอะไร”
“เดี๋ยวค่อยเล่า ไปเร็ว” ลูกจันดึงแขนผมให้ลุกขึ้น ก่อนพาออกวิ่ง มีขลุ่ยกับเก้าอี้ตามมาด้านหลัง
“โน่นมึง ไปเร็ว”
ด้านหลังคณะ บริเวณลานจอดรถ มีกลุ่มคนในชุดนักศึกษายืนอยู่สามสี่คน หนึ่งในนั้นคือเรน ใบหน้าของอีกฝ่ายมีเลือดไหลบริเวณมุมปาก
“ฉิบ!” ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นำหน้าคนอื่นไป
“ทำอะไรกันวะ!”
เรนหันมามอง ใบหน้าของอีกฝ่าย แม้มีเลือดเปื้อนแต่ก็ยังยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่เหมือนขำคนทั้งโลกที่ผมชินตา
“ไง”
ไงพ่องมึงสิ! ผมด่าอยู่ในใจ สถานการณ์อย่างนี้ยังมีอารมณ์มาทักทาย
“มึงไม่เกี่ยวหลบไป” หนึ่งในคนที่รุมล้อมเรน ก้าวออกมาหยุดยืนตรงหน้าผม
ผมมองอีกฝ่าย คุ้นหน้าว่ามาจากคณะข้างๆ
“หมาหมู่เหรอวะ”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“ไอ้นี่มันลูกคุณหนู” ผมชี้ไปทางเรน “แต่กูไม่ใช่ แล้วดูจากสภาพตอนนี้ สามต่อหนึ่งพวกมึงยังเอาไม่ลง แน่ใจนะว่าอยากรวมกูเข้าไปด้วย”
อีกฝ่ายมีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ต้อง ผมไหว” ผมหันไปมองคนพูด ปากแตกขนาดนี้ มึงยังคิดจะหยิ่งอีกเหรอวะ
ผมไม่สนใจเรน หันกลับมามองคู่กรณีของอีกฝ่าย “ยังไง หรือมึงอยากลองกูก็ไม่เกี่ยง ไม่ได้ออกกำลังกายมานาน สักหน่อยก็ดี”
“หรือมึงจะเอาสี่ต่อสามก็ได้นะ” เป็นเสียงของเก้าอี้ ที่เดินเข้ามาร่วมวงพร้อมขลุ่ย
“ตัวเท่าลูกหมา คิดเหรอว่ากูจะกลัว” สายตาปรามาสมองขลุ่ยกับเก้าอี้
ขลุ่ยขยับแว่นตา ปลดเป้บนบ่าลงมา หน้าสิ่วหน้าขวานมันยังเอาเป้มาด้วยเหรอวะ สมกับเป็นไอ้คุณขลุ่ยจริงๆ
“ใช่ กูผอม กูโดนคนอย่างพวกมึงอัดประจำ” ขลุ่ยพูดเสียงเรียบ “กูไม่เคยสู้ได้ กูเลยต้องใช้อย่างอื่น ชีวิตมันจะได้ง่ายขึ้นหน่อย” ขลุ่ยรูดซิปกระเป๋า เสียงดังสะท้านเข้าไปในทรวง
“แล้วมึงไม่ต้องห่วงนะ มึงหาเรื่องก่อน กูรู้ว่ายิงตรงไหนจะไม่ติดคุก”
สายตาที่ขลุ่ยเหลือบขึ้นมอง แม้แต่ผมยังเย็นไปถึงไขสันหลัง
“อย่าคิดว่ามึงจะรอด” ไอ้ตัวโตสุดชี้หน้าเรน ก่อนพาเพื่อนเดินหนี ไม่รู้ว่ากลัวผม กลัวโดนรุมสี่ต่อสาม หรือกลัวคำขู่ประหลาดๆ ของไอ้คุณขลุ่ยกันแน่
“มึงมีปืนมาจริงเหรอวะ” ผมหันไปมองโคนันขลุ่ย
“มีสิ”
“หะ!”
ขลุ่ยล้วงมือเข้าไป หยิบหนังสือโคนันออกมา “ในนี้ไง มึงจะเอากี่กระบอก”
“ไอ้เหี้ยยยย” พวกผมหัวเราะกันเสียงดัง บรรยากาศเปลี่ยนทันที
“แล้วมึงเคยโดนตื๊บจริงเหรอวะ” ผมยังอดสงสัยไม่ได้
“ไม่เคย”
“กูแม่งยอมมึงจริงๆ” ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหน มาบรรยายท่านขลุ่ย นอกจากยกย่องให้เป็นท่านต่อไป
“แต่กูว่า ตอนนี้มึงดูเรนก่อนดีกว่า”
ผมเพิ่งนึกได้ รีบหันกลับไปมอง อีกฝ่ายยืนฟังนิ่ง เหมือนไม่เจ็บปวดอะไร
“เป็นไงบ้างวะ”
“สบายดี”
“สบายดีพ่องมึงสิ” คราวนี้ผมพูดออกมาจริงๆ แล้ว เพราะเหลืออด
“เลือดกลบปากขนาดนั้น ไปทำแผลก่อนเถอะ”
“ไม่เป็นไร ผมกำลังจะกลับ เดี๋ยวค่อยทำ” เรนชี้นิ้วไปยังรถหรูที่จอดอยู่ โดนตื๊บก่อนขึ้นรถนี่เอง
“กูว่ามึงขับไปส่งเรนที่บ้านดีกว่า ไม่น่ามีแผลแค่ที่ปากมั้ง น่าจะสะบักสะบอมใช้ได้เลย” เก้าอี้มองเรนด้วยสายตาพิจารณา ดูจากรอยเปื้อนที่เสื้อผ้า ก็น่าจะจริงอย่างที่เก้าอี้พูด
“เออ กูไปส่งเอง ฝากพวกมึงเก็บหนังสือกลับบ้านให้ด้วย พรุ่งนี้เอามาให้กูที”
“ได้ เดี๋ยวกูเอาไปไว้ที่หอ” เก้าอี้รับฝากหนังสือของผม
“กุญแจ” ผมแบมือไปข้างหน้าเรน อีกฝ่ายสบตากับผม ก่อนล้วงกุญแจในกระเป๋าออกมาให้
“กูบอกไว้ก่อนนะ ชนไม่จ่าย กูไม่รับผิดชอบ ไม่มีตังค์ รถธรรมดาไม่มีขับหรือไงวะ” ผมบ่นไปตามเรื่องตามราว ได้ยินเสียงไอ้คุณเรนหัวเราะเบาๆ
ผมเหลือบตามองคนนั่งข้าง เริ่มเห็นจริงอย่างที่เก้าอี้พูด
“มึงเจ็บมากหรือเปล่า..อย่าโกหกกู” ผมดักคอ เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธ
“ก็..นิดหน่อย”
“ไม่ไหวก็บอก จะได้แวะหาหมอ แล้วที่บ้านมีหยูกยาหรือเปล่า”
“มี ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่หนักขนาดนั้น”
“งั้นมึงก็นอนไป ถึงบ้านแล้วกูปลุก”
“ไม่ได้ป่วย” คนพูดหัวเราะ แล้วก็ต้องยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก
“เป็นไงมึงไม่เจียม” ผมบ่นอีกฝ่าย ที่ทำตัวเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร
รถเลี้ยวผ่านรั้วเข้าไปด้านใน ก่อนจอดลงที่หน้าบ้าน ผมเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป บ้านใหญ่โตโออ่าหลังเดิม และยังเงียบวังเวงเหมือนเดิม
“ไม่มีใครอยู่เหรอวะ” ผมอดถามไม่ได้
“มี แม่บ้านสาม คนสวนหนึ่ง คนขับรถหนึ่ง อยากเจอใคร”
“อ้าวไอ้เหี้ยวนี่ พูดกับคนที่ช่วยมึงอย่างนี้เหรอวะ”
“หึๆ” เรนหัวเราะในคอ “ไปเถอะ”
ผมเดินตามเรนขึ้นชั้นบน ต้องพยายามรักษาอาการอย่างหนัก เมื่อเดินเข้าไปในห้องนอนของอีกฝ่าย แม่งง นี่มันห้องนอนหรือห้องสวีทในโรงแรมวะ
“นั่งสิ” เรนชี้มือไปที่โซฟาชุดใหญ่ ห้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนชัดเจน แม้ไม่มีกำแพงกั้น ผมนั่งลงตามที่อีกฝ่ายบอก
นิ้วยาวของเรนกดลงบนอินเตอร์คอม “ป้าสายครับ ผมขอชุดปฐมพยาบาลกับพาราสองเม็ด”
“คุณเรนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ให้ป้าตามคุณอาหมอให้ไหมคะ”
“ไม่ต้องครับ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าให้คนเอาขึ้นไปให้นะคะ”
นิ้วยาวปล่อยออกจากอินเตอร์คอม ที่อยู่บนโต๊ะข้างโซฟา หันมามองหน้าผม
“นั่งไปก่อน ขอไปอาบน้ำล้างตัวหน่อย เครื่องดื่มหยิบในตู้เย็น ตรงบาร์เครื่องดื่มได้เลย มีขนมขบเคี้ยว หรือถ้าหิว ตอนคนเอาของขึ้นมาส่ง ก็สั่งได้เลย”
“อืม” ผมพยักหน้า เรนลุกขึ้นยืน เห็นชัดว่าอีกฝ่ายมีอาการเจ็บบริเวณสีข้าง ผมจึงอดมองตามไปไม่ได้ เรนหายเข้าไปในห้องส่วนที่เป็นประตูทึบ ผมเดาว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ หรือไม่ก็ห้องแต่งตัว
ผมมองไปรอบๆ ห้องที่ผมพัก น่าจะมีพื้นที่ประมาณหนึ่งในห้า หรืออาจจะหนึ่งในสิบของห้องนี้ แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกอิจฉาสักเท่าไหร่ มันดูวังเวง เงียบเหงาชอบกล
ร่างสูงของเรนเดินออกมา ด้วยกางเกงผ้าลินินสีเทาเข้มเพียงตัวเดียว ผมส่ายหัวไปมา เมื่อเห็นรอยช้ำที่ชายโครง
เรนทิ้งตัวลงนั่งด้านข้าง บนโซฟายาวตัวเดียวกัน หยิบแก้วใส่ยาใบเล็กขึ้น เทยาใส่คอก่อนตามด้วยน้ำ ผมเปิดกล่องปฐมพยาบาลที่แม่บ้านเอาขึ้นมาให้เมื่อครู่
“หันมา”
ผมทำความสะอาดและทำแผลที่มุมปาก เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงเก็บอุปกรณ์ โชคดีที่แผลแตกตรงมุมปากด้านนอกนิดเดียว แต่เพราะเลือดออกเยอะตามแรงสูบฉีดของหัวใจ ทำให้เข้าใจว่าเป็นแผลใหญ่
“ไปไหน” เรนจับแขนผมไว้ เมื่อผมลุกขึ้นยืน
“เอาน้ำแข็ง มึงต้องประคบรอยช้ำ จะได้ดีขึ้น”
ผมใช้ผ้าขนหนูสะอาดที่ขอจากแม่บ้าน กดน้ำแข็งหน้าตู้เย็นใส่ผ้า หมุนเป็นลูกกลมๆ แล้วนำมาประคบให้อีกฝ่าย
“กูถามจริงๆ เถอะ มึงมีเรื่องอะไรกับไอ้พวกนั้นวะ”
“ถามจริงๆ ก็ตอบจริงๆ ว่าไม่รู้”
“ไม่รู้?” ผมหยุดมือ เงยหน้าขึ้นสบตา
“ไม่คุ้นหน้า ไม่เคยเห็น”
“ไปแย่งแฟนมันมาหรือเปล่า” ผมคาดเดาจากเรื่องที่มักทำให้คนมีปัญหากัน
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้แน่ใจว่าไม่มี” เรนจ้องเข้ามาในตาของผม ให้ความรู้สึกพิลึกชอบกล
“งั้นไปขัดขาหมาท่าไหนวะ ถึงโดนรุมเข้าให้”
“ถ้าบอกว่าไอ้ที่โดนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำอะไร จะเชื่อไหม” เรนยิ้มมุมปาก “แค่เป็นอย่างที่เห็น บางคนก็เกลียดแล้ว”
ผมมองใบหน้าของเรน เริ่มเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น
“แบบนั้นเขาเรียกพวกขี้อิจฉา แต่หน้ามึงก็เรียกตีนด้วย” เรื่องที่ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด
เรนหัวเราะในลำคอ มองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เลิกมองกูแบบนั้นได้แล้ว ขนลุกฉิบ” ผมทำท่าขนลุกโชว์อีกฝ่าย
“คุณก็ไม่ชอบหน้าผมเหมือกกัน”
ผมสบตากับเรนแว่บหนึ่ง “มันก็ใช่” ผมรับตรงๆ “เอาเถอะถ้าทำให้มึงสบายใจขึ้นบ้าง กูจะยอมบอกเหตุผลไร้สาระของกูให้ฟัง” ผมเคลื่อนมือไปยังรอยช้ำที่อยู่ค่อนไปทางด้านหลัง
“วันงานกีฬาเฟรชชี่ที่มึงลงแข่งวิ่ง กูพนันก้บไอ้ขลุ่ยไว้ว่ามึงจะแพ้ แต่มึงเสือกชนะ กูเลยเสียไปห้าร้อย ไม่กล้าโกรธไอ้ขลุ่ย เลยโกรธมึงแทน”
“หึๆ”
“แล้วที่กูเอาดอกไม้ไปคืนมึง ก็เสือกมีคนถ่ายรูปไปลงเพจ แล้วลงแคปชั่นกวนส้นตีน บอกมึงกับกูเป็นคู่จริง ให้กูเป็นรับอีก อย่าให้กูรู้นะว่าคนทำเพจเป็นใคร กระทืบแม่ง” ผมยังโมโหกับเรื่องนี้ไม่หาย
“ก็แค่นั้นแหละ กูเลยไม่ค่อยชอบหน้ามึง มองอะไร?”
ผมหยุดมือ เมื่อเห็นเรนมองหน้าผมด้วยสายตาแปลกๆ
“คุณเป็นรับก็ถูกแล้ว เพราะเรื่องนั้นผมน่าจะเก่งกว่าคุณ โอ๊ย!” เรนสะดุ้งโหยง เมื่อผมกดน้ำแข็งลงกับรอยช้ำแรงๆ
“ระวังกูจะกระทืบมึงแทนคนทำเพจ”
“หึๆ”
“มึงคอยประคบเย็นไว้ด้วยล่ะ ครั้งละยี่สิบถึงสามสิบนาทีก็พอ นานกว่านั้นจะทำให้ช้ำมากขึ้น อีกสักสองรอบ พรุ่งนี้ถ้ามันดูดีขึ้นก็ประคบร้อนแทน แต่ถ้ายังก็ประคบเย็นไปอีกสักวัน” ผมพูดระหว่างเดินเอาน้ำแข็งไปเททิ้ง ซักผ้าขนหนูที่อ้างล้างจาน พาดตากเอาไว้ เดินกลับมายืนค้ำหัวคนป่วย
“ถ้ามีไข้ อีกสี่ชั่วโมงอย่าลืมกินยาเพิ่ม กูกลับล่ะ”
“อย่าเพิ่งกลับ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน”
เรนจับข้อมือผมไว้ ผมคิดจะปฏิเสธ แต่เพราะบางอย่างในสายตาที่มองมา รวมถึงความรู้สึกวังเวงเมื่อก้าวเข้าในบ้านหลังนี้ ทำให้ผมเปลี่ยนใจ
“ก็ได้ เดือนนี้กูจนพอดี เดี๋ยวต้องเสียค่าแท็กซี่กลับอีก” ข้อเสียของบ้านคนรวยคือ ไม่สามารถเดินออกจากหมู่บ้านไปได้เอง ไกลฉิบกว่าจะถึงถนนใหญ่
“ผมไปส่งคุณเอง”
ผมผลักหัวของเรนเบาๆ
“เอาตัวมึงให้รอดก่อน กูกลับของกูเองได้”
“ผมหมายถึงให้คนขับรถไปส่ง”
“อ้าวไอ้เหี้ย แล้วก็ไม่รีบบอก ตามนั้น” ผมรีบตกปากรับคำทันที ไม่ต้องเสียเงินใครจะไม่สน
เรนหัวเราะขำผม ไอ้หมอนี่มันเส้นตื้นมากหรือไงวะ ปกติในกลุ่ม ผมเป็นคนที่ตลกน้อยที่สุดแล้ว
“โคตรอิ่ม” ผมเอนหลังพิงพนักโซฟา เพิ่งกินข้าวเย็นเสร็จหมาดๆ และย้ายมานั่งดื่มที่ห้องนั่งเล่น
“ดีนะมึงปากแตกข้างนอก ไม่งั้นอดแดก” ผมมองเรนยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม
“ค้างที่นี่ไหม”
“ค้างทำไม ห้องกูก็มี”
“ก็ลองถามดู”
ผมเห็นความเหงาวูบผ่านในดวงตาของเรน ก่อนดวงตาคู่นั้นจะกลับมาเป็นประกายเหมือนเดิม
“ฝน”
“หือ”
ผมหันไปมอง เรนเอนหัวพิงพนัก มองมายังผม ริมฝีปากติดรอยยิ้มบาง
“ผมชอบคุณ”
“เออ กูก็ไม่ได้เกลียดมึงหรอก” ผมพยักหน้าให้
“ฮ่าๆ” จู่ๆ เรนก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะสุดเสียง
“สมน้ำหน้า” ผมมองด้วยหางตา เมื่ออีกฝ่ายแตะที่แผลของตัวเอง
“ผมชอบคุณจริงๆ” เรนดูสงบ สบายใจ ดวงตาที่มองมามีรอยยิ้มอ่อน จากที่คิดจะด่าอีกฝ่าย ผมจึงเฉยเสีย
“ไม่เพลียเหรอวะ จะพักเลยไหม กูจะได้กลับ”
“ยัง” หัวที่ปกคลุมด้วยผมสีน้ำตาลเข้มส่ายไปมา “แต่พักหน่อยก็ดี”
“อะไรของมันวะ” ผมปวดหัวกับคำพูดกลับไปกลับมาของอีกฝ่าย กว่าจะเข้าใจ ก็ตอนที่ร่างสูงของเรนเลื่อนลงมานอน หนุนหัวกับตักของผม
“หมอนมีเยอะแยะ”
“แบบนี้ดีแล้ว”
ดวงตาของเรนปิดสนิท มือวางทาบทับบนช่วงท้อง รอยยิ้มยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ทำใหผมไม่กล้าใจร้ายผลักอีกฝ่ายออก
ช่างแม่งเถอะ แดกเบียร์ฟรีไปแล้วกันกู ผมชะโงกไปหยิบรีโมทที่วางอยู่บนโต๊ะ กดเปิดโทรทัศน์ โว้ะ! หนังเรื่องนี้ที่อยากดูแล้วไม่ได้ไปนี่หว่า
ผมเอนตัวพิงพนักโซฟา ปล่อยให้อีกฝ่ายพัก ส่วนผมก็พักผ่อนเหมือนกัน ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าเพื่อนรวยนั้นน่าคบ เพียงแต่เรามีความจริงใจให้อีกฝ่ายแค่ไหนเท่านั้นเอง
ผมก้มลงมองคนที่นอนอยู่บนตัก เคาะนิ้วชี้ลงบนหน้าผากอีกฝ่าย “อย่าเรียกตีนบ่อยนักนะมึง จะได้ไม่ต้องกลับมานอนเป็นหมาหงอยแบบนี้”
ริมฝีปากของคนที่นอนอยู่ยกยิ้มมากขึ้น ผมอดยิ้มตามไม่ได้ พอมีเวลาได้พูดคุย ได้ทำความรู้จักกับแบบนี้ หมอนี่ก็ไม่เลวนักหรอก
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin