ตอนที่ 12
คู่จริง คู่จิ้น คู่กัน
พี่คีรินทร์เดิน
ผมเดิน
พี่คีรินทร์หยุด
ผมหยุด
พี่คีรินทร์เดิน ผมเดิน
“ถ้าจะตามขนาดนี้ก็มาเดินด้วยกัน”
ผมยิ้มร่าเมื่อร่างสูงหยุดเดิน นึกว่าจะไม่เรียกซะแล้ว
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
พี่คีรินทร์มองผมด้วยสายตาประมาณว่า ยังจะอรุณสวัสดิ์อีกเหรอ ตามมาขนาดนี้แล้ว ผมเลยถอยหลังไปสองก้าวเพื่อความปลอดภัย ห่างมือไว้นิดน่าจะดีกว่า
“เป็นสตอล์คเกอร์หรือไง”
“มันอยู่ในดีเอ็นเอ” ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“อะไรนะ”
“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้า เรื่องนี้บอกไม่ได้จริงๆ
“รู้ได้ยังไงว่าพี่จะออกตอนไหน”
“ผมจ่ายใต้โต๊ะให้พี่ยามโทรบอก” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
“ผมล้อเล่น พี่คีรินทร์ออกเป็นเวลาเสมอ ผมเลยจำเอาไว้ วันจันทร์เวลานี้ อังคารเวลานี้ พอใกล้เวลาก็ออกมายืนดูที่ระเบียง พอเห็นพี่คีรินทร์ออก ผมก็วิ่งตามลงมา”
พี่คีรินทร์มองผมด้วยสายตาจะยิ้มก็ไม่ใช่ จะบึ้งก็ไม่เชิง ได้แต่ส่ายหัวไปมา
“ปกติสตอล์คเกอร์จะแอบตามไม่ใช่เหรอ ไม่คิดจะหลบพี่เลยหรือไง”
“พี่คีรินทร์ชอบให้แอบตามเหรอครับ” ผมมองร่างสูงตาโต “ได้ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจัดให้”
“เจ้าเด็กนี่!”
“ฮ่าๆ ผมรู้น่า ก็พูดให้ตลกไปอย่างนั้นเอง” ผมหัวเราะขำน้ำเสียงเหลืออดเหลือทนของพี่คีรินทร์
“แต่ว่า...”
ร่างสูงหันมามองหน้าผม
“ถ้ารำคาญก็บอกผมได้นะ ผมพูดจริงๆ” สีหน้าของผมเปลี่ยนเป็นจริงจัง พี่คีรินทร์หยุดเดิน สบตากับผมนิ่ง
“คิดว่าพี่จะเชื่อไหม”
“หมดกัน ฉลาดเกินไปแล้ว” ผมคอตก ชักเกลียดคนฉลาดขึ้นมาติดหมัด
“เฮ้ย! ไม่ใช่สิ ผมจะไม่ตามจริงๆ” ผมรีบเงยหน้าขึ้น พี่คีรินทร์ยกยิ้ม ขำความสั่นคลอนทางความคิดของผม
“เดิน” มือใหญ่แตะหลังดันให้ออกเดิน ความร้อนที่แทรกผ่านเสื้อ ทำให้หัวใจเต้นแรง
“ทำไมเราถึงคิดว่าตัวเองชอบพี่”
ผมแปลกใจนิดหน่อยที่พี่คีรินทร์ถาม เพราะปกติอีกฝ่ายมักทำเป็นไม่รับรู้
“ไม่รู้ครับ เพราะไม่ได้คิด” ผมหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
“ผมไม่ได้กวนนะ แต่ความรู้สึกต่างหากเป็นตัวบอก” ผมสบตากับพี่คีรินทร์ “ถ้าไม่ชอบก็คงไม่รู้สึก ผมเลยไม่จำเป็นต้องคิด”
“...”
“เท่ห์ใช่ไหมครับ” ผมยิ้มกว้าง “ที่จริงก็พูดให้ดูดีไปงั้น กว่าจะมั่นใจนอนคิดจนหัวเกือบแตก”
“หึๆ”
พี่คีรินทร์ส่ายหัวคล้ายระอาใจ แต่ดวงตากลับเป็นประกายขำ ผมลอบยิ้ม มาถูกทางแล้วโว้ยเก้าอี้ พี่เหนือก็ตกหลุมพี่โต๊ะเพราะความตลกนี่แหละ ผมบอกแล้วว่ามันอยู่ในดีเอ็นเอ
• • • • • • • •
“มึงงง มาเร็ว” ลูกจันกวักมือเรียกผม เร่งให้รีบเดินเข้าไปหาที่โต๊ะ
“อะไรวะ” ผมก้าวเท้ายาวขึ้น เมื่อเห็นความตื่นเต้นของเพื่อน ผมยังไม่เห็นฝน คาดว่าวันนี้จะมาถึงมหาลัยเป็นคนสุดท้าย
“ดูนี่” ลูกจันส่งโทรศัพท์มาให้ด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์
“อะไรของมึง” ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ พร้อมกับนั่งลง
“เชี่ย!!”
“ฮ่าๆ” ลูกจันหัวเราะเสียงดังลั่น “มึงยังขนาดนี้ กูอยากเห็นปฏิกิริยาไอ้คุณฝนจริงๆ”
รูปฝนยื่นดอกไม้หอบใหญ่ให้เรน โชว์หราอยู่หน้าเพจดังเพจหนึ่ง คนคอมเม้นต์หลายร้อย กดถูกใจอีกนับพัน รูปว่าขนลุกแล้ว แคปชั่นยิ่งชวนขนลุกกว่า มันเขียนว่า Crazy Little Thing Called Love #คู่จริงไม่จิ้นแล้ว #เรนฝน #คนเดียวกัน
“กูฮาไม่ไหวแล้ว” ลูกจันกุมท้องให้รู้ว่าขำมากแค่ไหน
“แต่ถ่ายจังหวะดีนะ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังจะฆ่ากัน” ผมเห็นด้วยกับขลุ่ย ภาพจังหวะได้ดีมาก
“หัวเราะอะไรกันวะ”
ผมรู้ตัวตอนฝนเดินเข้ามาใกล้แล้ว สีหน้าลูกจันเหมือนหมาป่าเจอหนูน้อยหมวกแดง แล้วต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้
“วันนี้แม่งแปลกๆ ว่ะ หรือว่ากูหล่อขึ้นวะ” ฝนโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะ นั่งลงข้างผม
“ทำไมวะ” ผมขยับที่ให้เพื่อนอีกนิด
“ตั้งแต่กูเดินเข้าคณะมา มีแต่คนมอง สาวๆ ยิ้มกันใหญ่”
“หึ” ลูกจันหยุดเสียงหัวเราะออกมาจนได้ เพราะกลั้นไม่ไหว
“มีอะไรวะ” ฝนเริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ ลูกจันค่อยๆ เลื่อนโทรศัพท์ไปตรงหน้า
“อะไรของมึง”
“มึงดูเอาเอง”
ฝนย่นคิ้วเข้าหากัน ใช้นิ้วเลื่อนเปิดหน้าจอ พวกผมสามคนจ้องตาไม่กะพริบ รอจังหวะนี้อย่างใจจดใจจ่อ
“เหี้ย!!” ฝนลุกพรวดขึ้นยืน ตะโกนเสียงดังจนโต๊ะข้างๆ หันมามอง ผมหัวเราะก๊าก ไม่ผิดจากที่คิดเลย
“มึงอ่าน..ฮ่าๆ..แคปชั่นดีๆ หรือยัง ฮ่าๆ” ลูกจันพูดไปหัวเราะไป ที่ดวงตาที่หยดน้ำคลอ
“กูอ่านแล้ว เขียนเหี้ยอะไรวะ” ฝนนั่งลง พยายามรักษาน้ำเสียงและอาการ โกรธก็โกรธ แต่อายโต๊ะข้างๆ มากกว่า
“มึงแน่ใจนะว่ามึงอ่านดีแล้ว ฮ่าๆ” ลูกจันยังหัวเราะไม่หยุด
ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน ผมรู้ว่าแคปชั่นตลก แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรสำคัญมากพอ ที่จะเป็นประเด็นได้
“นี่” ลูกจันจิ้มนิ้วลงไปบนจอ “มึงเห็นตรงนี้ไหม #เรนฝน”
“กูเห็นแล้ว มึงจะย้ำอะไรนักหนา กูไม่ขำ” ฝนหัวเสีย พร้อมจะพาลเพื่อนทุกคนที่นั่งอยู่
“มึงไม่รู้จริงๆ ด้วย ฮ่าๆ” หน้าตาลูกจันทร์เจ้าเล่ห์มาก ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจนัก จึงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
“เวลาเขียนชื่อติดกันแบบนี้ ชื่อที่อยู่ข้างหน้าคือเมะ ชื่อที่อยู่ข้างหลังคือเคะเว้ย”
“เมะ เคะ อะไรของมึง” ฝนหัวเสียมากขึ้นเมื่อฟังลูกจันไม่เข้าใจ
“เมะคือรุก เคะคือรับ เวลาเขียนคู่กัน ชื่อเมะจะอยู่ข้างหน้า ชื่อเคะจะอยู่ข้างหลัง ถ้าเขียนเรนฝน ก็แปลว่ามึงเป็นรับ” ขลุ่ยแปลละเอียดยิบ สมกับเป็นผู้ทรงความรู้ของกลุ่ม ลูกจันหัวเราะจนสะอึก
“ไอ้!!!”
ฝนยืนขึ้นแล้วรีบนั่งลงอีกครั้ง
“อย่าให้กูรู้นะว่าใครเขียน มึงโดนแน่ เคะห่าอะไร”
“เขาคงดูที่รูปร่างมั้ง มึงตัวเล็กกว่า อาจคิดว่าไปสารภาพรัก” ผมช่วยวิเคราะห์ ไม่กล้าหัวเราะได้แต่กลั้นไว้ เพราะกลัวฝนโมโหจนหันมาเตะเพื่อนแทน
“หรือไงวะโคนันขลุ่ย” ผมโยนให้ผู้รู้เป็นคนตอบ เพราะตอนนี้ปากสั่นไปหมดแล้ว
“ถ้าให้วิเคราะห์ กูคิดว่าเป็นเพราะผู้หญิงอยากได้เรนเป็นแฟนมากกว่ามึง”
“เออ อันนี้ถูก เหตุผลดี กูว่าใช่” ผมเห็นด้วยกับขลุ่ย
“ไอ้หน้าขาวนั่นนะ กูไม่เห็นหล่อตรงไหน อย่าให้กูเจอนะมึง”
พวกผมปิดปากสนิท ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ว่าถ้าเทียบกันแล้ว เรนก็กินฝนขาดกระจุย
“มึงจะโกรธมันทำไมวะ คนเอาดอกไม้ไปให้ก็คือมึง ไม่งั้นมันจะมีภาพออกมาเหรอ”
“อันนี้ก็ถูกอีก” ผมเป็นกองสนับสนุนขลุ่ย
“ กูเอาของไปคืนโว้ย กุหลาบของมัน ของกูที่ไหน”
“กุหลาบของกู” ลูกจันขัด “มึงขอกูไป ก็แปลว่าเป็นของมึงแล้ว”
“เอาน่ามึง ยังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว” ขลุ่ยตบมือลงบนไหล่ฝนด้วยสีหน้าเห็นใจ
“เออช่างแม่ง เดี๋ยวคนก็ลืม” ผมไม่รู้ว่าฝนปลอบใจตัวเองอยู่หรือเปล่า แต่พวกผมเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ได้นัดหมาย ว่าควรหุบปากเสีย เดี๋ยวคู่จริง เอ๊ย เดี๋ยวคู่กัดจะมีเรื่องทะเลาะกันเปล่าๆ
• • • • • • • •
เป็นกิจวัตรประจำวันที่ผมทำจนเคยชิน นั่นคือการนั่งรอพี่คีรินทร์หลังเลิกเรียน บางวันก็แห้ว บางวันเจอแต่อีกฝ่ายไม่กลับหอพัก และมีบางวันที่เป็นวันของผม เช่นวันนี้
“พี่คีรินทร์ กลับเลยหรือเปล่าครับ” ผมเดินไปหา เมื่อร่างสูงเดินมาทางโต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่
“ใช่”
“ไปเป็นเพื่อนผมซื้อของหน่อยได้ไหมครับ เผื่อจะได้ปรึกษาว่าควรเอาอะไรไปเข้าค่ายบ้าง”
“เพื่อนไม่ว่างเหรอ”
ผมหันขวับไปมองขลุ่ย ฝนและลูกจันที่นั่งอยู่โต๊ะใต้ตึกคณะ
“กูนัดกับพ่อไว้ ไปไม่ได้” ขลุ่ยผู้มีไหวพริบและสติปัญญาดีเลิศพูดขึ้นก่อน
“กู..กูจะไปสระน้ำ เอ๊ยสระผม หัวเหนียวไปหมดแล้วเนี่ย” ลูกจันตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะคิดเกือบไม่ทัน
“กูจะไปเตะเจ้าของเพจ” ส่วนฝนพูดด้วยอารมณ์ล้วนๆ
“ไม่มีใครว่างเลยครับ” ผมทำหน้าเสียดาย เศร้า ผิดหวังเล็กน้อย แต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยเพื่อนไป
“ไปเป็นเพื่อนน้องหน่อยเถอะวะ น่าสงสาร” พี่มิ่งพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ออกแนวขำผมมากกว่าสงสารจริงๆ
“นั่นสิวะ ไปช่วยน้องมันหน่อย” พี่ทวีปหันมายิ้มให้ผม
“ขอบคุณครับ ผมเก็บของแป๊บ” ผมเดินกลับไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะของพี่มิ่งลอยเข้าหู ได้ยินเสียงพี่คีรินทร์บ่นว่าไปรับปากผมตอนไหน ขืนรอคุณมาสเตอร์พีซตอบ ผมก็ไม่ได้
ไปสิ ถึงไม่ฉลาดเท่าโคนันขลุ่ย แต่ผมก็ไม่โง่นะครับ
“จะซื้ออะไรบ้าง คิดเอาไว้หรือยัง” พี่คีรินทร์ถาม เมื่อมาถึงซุปเปอร์มาเก็ตขนาดกลาง แถวหน้ามหา’ลัย
“ผมกะจะซื้อพวกของใช้ กับขนมเผื่อหิว แล้วต้องซื้อยาไปไหมพี่”
“ไม่ต้อง รุ่นพี่เตรียมไปให้แล้ว เว้นเฉพาะยาโรคประจำตัวถ้าเรามี”
“ดีจังที่พี่คีรินทร์ไปด้วย” ผมยิ้มตาหยีใส่คนตัวสูง “ไม่งั้นผมแย่เลย ไม่มียารักษาโรคหัวใจ”
พี่คีรินทร์สบตาหยาดเยิ้มของผม ถอนใจยาวแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดไม่จา
ผมยิ้มกว้าง รีบเดินตาม มุกนี้ไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร มุกห้าบาทสิบบาทผมมีเยอะ เดี๋ยวก็ต้องโดนสักมุก
พี่คีรินทร์หยิบแปรงสีฟันจากราวแขวนโยนลงตะกร้า หันมาถามผมว่าเอาไหม ผมพยักหน้ารับ พี่คีรินนทร์จึงหยิบเพิ่มอีกอัน
ผมเหล่ตามองของในตะกร้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ้มจนร่างสูงผิดสังเกต
“โดนตัวไหนมา ถึงดีดขนาดนี้”
ผมยิ้มกว้าง ชี้นิ้วไปในตะกร้าที่พี่คีรินทร์ถือ ยิ้มเอียงอาย
“อะไร” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
“แปรงสีฟันคู่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงขวยเขิน
“เฮ้ยพี่!”
พี่คีรินทร์หันกลับไปที่ชั้น หยิบแปรงสีฟันออกหนึ่งอัน แล้วหยิบอันใหม่เป็นยี่ห้ออื่น และสีอื่นมาแทน ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้างเพราะห้ามไม่ทัน ไม่เป็นไร คนเราต้องไม่ละความพยายาม
คราวนี้ผมไม่หยิบต่อหน้าพี่คีรินทร์ พออีกฝ่ายหยิบแล้วผมค่อยย้อนกลับมามาหยิบ แต่ก็โดนจับได้ทุกครั้ง
สบู่เอย ยาสีฟันเอย แม้แต่ไหมขัดฟันยังเปลี่ยนของตัวเองให้ไม่เหมือนผม ไม่น่าพูดออกไปเลย ผมยกมือขึ้นตบปากตัวเอง
“หึๆ”
ผมหันไปมองพี่คีรินทร์ แต่อีกฝ่ายกำลังเลือกของอย่างตั้งใจ คงไม่ใช่หรอกมั้ง ผมเลิกคิดว่าเป็นเสียงหัวเราะของพี่คีรินทร์ ผมคงหูฝาดไปเอง
ผมเดินหงอย เมื่อไม่ประสบความสำเร็จสักชิ้น ไม่มีของคู่กันเลยแม้แต่ถุงขยะ
“ครบหรือยัง จะซื้ออะไรอีกไหม”
“ไม่ซื้อแล้วครับ”
“งั้นไปคิดเงิน”
ผมมองตามร่างสูง ยกนิ้วชี้ใส่แผ่นหลังกว้าง ใจร้าย ขี้แกล้ง นิดหน่อยก็ไม่ได้ ทำบุญกับลูกนกลูกกาบ้างเป็นไหม จะให้นกไปตลอดชีวิตเลยหรือไง
“ไม่กลับเหรอ”
ผมชี้นิ้วค้าง ยิ้มแหย มีตาหลังด้วยเหรอวะ รู้อีกว่าถูกนินทา
“กลับครับ” ผมเร่งฝีเท้าตาม วันนี้ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ซื้อของด้วยกันไปก่อน แล้วค่อยซื้อของคู่กันวันหลังก็ได้
“ขอบคุณครับที่ไปเป็นเพื่อน” ผมขอบคุณพี่คีรินทร์ เมื่อเราเดินขึ้นบันไดหอพักจนถึงชั้นสาม
“ไม่เป็นไร พี่ก็ต้องซื้อเหมือนกัน”
“งั้นผมขึ้นห้องเลย พี่คีรินทร์จะได้พัก” ผมชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน
“เดี๋ยว เราซื้อครีมกันแดดมาหรือยัง”
“โอ๊ะ! ผมลืม” ผมทำหน้าเซ็ง อะไรก็ซื้อมาหมด ของจำเป็นเวลาไปทะเลดันลืมซื้อ
“ทำไมพี่ไม่แปลกใจ” พี่คีรินทร์ล้วงมือลงไปในถุงที่ถืออยู่ ก่อนส่งครีมกันแดดให้ผม
“พี่ซื้อมาสองอัน เอาไปสิ”
“ขอบคุณคร้าบ” ผมโล่งอกที่ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อใหม่
“ขึ้นไปเถอะ พี่จะเข้าห้องเหมือนกัน”
“ครับ”
ผมเดินขึ้นบันไดต่อไปยังชั้นบน มองครีมกันแดดในมือ ก็เพราะเป็นคนใจดีแบบนี้ผมถึงตกหลุมรัก รู้ว่าผมไม่ได้ซื้อมาก็ยังแบ่งให้
แบ่งให้!
ซื้อมาสองอัน!
ดวงตาของผมลุกโพลง
นี่มัน..นี่มัน...ครีมกันแดดคู่นี่หว่า ยี่ห้อเดียวกัน กลิ่นเดียวกัน ขนาดเท่านั้น สำเร็จแล้วโว้ยยย
ผมมัวแต่ดีใจ เลยไม่ทันสังเกตว่าใครบางคนยืนส่ายหัวด้วยความขำอยู่ตรงบันได “ไอ้เด็กบ๊อง”
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
.
Darin ♥ FANPAGE