ของเหลวสีขาวขุ่นไหลเปรอะเปื้อนต้นขาด้านในของอาคิราห์ พิชช์ฌานใช้ฝักบัวล้างให้เหมือนทุกครั้ง เจ้าตัวปรือตาขึ้นมองเขาแล้วก็ซบหน้าลงกับอกตามเดิม ปล่อยให้เขาจัดการให้อย่างเชื่อใจเต็มที่ พิชช์ฌานรับหน้าที่นี้มาหลายปีแล้ว ใกล้จะย่างเข้าปีที่เจ็ดอยู่ร่อมร่อ คล่องแคล่วคุ้นเคยดีว่าต้องทำอย่างไรบ้างอีกฝ่ายถึงจะสบายตัว
คราบแดง ๆ ไหลปนออกมาจากข้างหลัง พิชช์ฌานขมวดคิ้ว ลูบดูร่องรอยแล้วก็ไม่เจอรอยฉีกขาดอะไร ทว่าของเหลวสีแดงสดนั้นยังไหลออกมาปนกับสายน้ำจนชายหนุ่มใจเสีย เป็นเลือดไม่ผิดแน่ หรือว่าเขาจะรุนแรงกับคู่เกินไปโดยไม่รู้ตัว พิชช์ฌานเขย่าตัวปลุกคนที่หลับอยู่
“อัยย์...ปวดหรือเปล่า เจ็บตรงนั้นมากมั้ย”
“หือ ไม่นะ” อาคิราห์ใช้มือแตะ ๆ คลำ ๆ ดูแล้วก็ส่ายหน้าไปมา “ทำไมเหรอ ...เลือดนี่ เลือดออก” ดวงตากลมโตเบิกกว้างตอนที่เห็นเลือดติดมือตัวเองมา “ผมเลือดออกเหรอ”
“ใช่ เธอไม่เคยเลือดออกมาก่อนเลย” พิชช์ฌานเริ่มเครียดแล้ว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ก้มลงสำรวจร่างกายของเจ้าโอเมก้าอย่างละเอียดอีกครั้ง “เลือดยังซึม ๆ ออกมาตลอด น่าจะไหลออกมาจากข้างใน... ฉันมองไม่เห็นมากกว่านี้แล้ว”
อาคิราห์หน้าซีด จับสะโพกของตัวเองเอาไว้อย่างกังวล
“แต่ผมไม่ปวดเลยนะ ไม่เจ็บเลยด้วย”
“ไปโรงพยาบาลกัน” พิชช์ฌานตัดสินใจได้ทันที เขาอุ้มภรรยาออกมาจากห้องน้ำแล้วจัดการสวมชุดให้เรียบร้อย อีกมือก็โทรตามมือขวาคนสนิทให้ช่วยติดต่อคุณหมอประจำตัวของอาคิราห์ให้ ไม่นานเจนภพก็ขับรถมารับทั้งคู่ตรงไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด
“อัยย์ไหวไหม จะเป็นลมหรือเปล่า”
“เวียนหัวมากเลย” อาคิราห์พึมพำ หน้าซีดเผือดจนสามีใจเสียกว่าเดิม เลือดซึมออกมาจนเปื้อนกางเกงเป็นดวง ๆ “ผมยังไม่ตายเสียหน่อย ทำไมคุณทำหน้าแบบนั้น”
พิชช์ฌานชะงัก ยกมือขึ้นจิ้มหน้าผากของเจ้าโอเมก้าไปที
“ยังจะมาพูดเรื่องตายอีก ใช่เวลาเล่นไหม”
“คุณกอดผมแน่น ๆ หน่อยสิ แล้วผ้าพันคอของคุณล่ะ...เอามาด้วยหรือเปล่า” พิชช์ฌานส่งผ้าพันคอของตัวเองให้อย่างงง ๆ เห็นอีกฝ่ายรับไปพันรอบคอตวัดขึ้นมาจนถึงศีรษะเห็นแต่นัยน์ตากลมโตกะพริบปริบ ๆ ในความมืดของรถ
“หนาวเหรอ ทำไมพันผ้าขนาดนั้น”
“กอดผมแน่น ๆ” อาคิราห์พึมพำ
คุณหมอประจำตัวมารออยู่ก่อนแล้วที่โรงพยาบาล อาคิราห์นอนนิ่งให้แพทย์ตรวจร่างกายอย่างว่าง่ายโดยมีร่างสูงใหญ่ยืนบีบมือกระวนกระวายอยู่ข้างหลังม่าน คุณหมอให้เขาเจาะเลือดเก็บปัสสาวะแล้วก็หายเงียบไปเลยพร้อมกับพิชช์ฌาน
“คุณเจนภพ อยู่ข้างนอกหรือเปล่า” อาคิราห์เรียก มือขวาคนสนิทโผล่เข้ามาในห้องพักอย่างรวดเร็ว
“ครับคุณอัยย์ มีอะไรหรือ”
“คุณหมอยังไม่มาอีกเหรอ แล้วคุณฌานล่ะครับ”
“คุณหมอให้คุณอัยย์นอนพักก่อนครับ ส่วนคุณฌานกำลังคุยกับคุณหมออยู่”
“สรุปผมเป็นอะไรน่ะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” เจนภพส่ายหน้า
“ผมรู้ว่าคุณเจนภพรู้ ถ้าคุณบอกผม รับรองว่าผมจะช่วยให้คุณสมหวังเรื่อง...นั้นน่ะ อย่างแน่นอน” อาคิราห์พูด มองหน้าน้องชายสามีอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมมีไฟล์ทและตารางงานของ ‘เขา’ นะครับ”
“ผมก็มีครับคุณอัยย์” เจนภพตอบอย่างสงบแล้วยิ้มมุมปาก “คุณอัยย์รอคุณฌานดีกว่าครับ เดี๋ยวก็คงเข้ามา”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ เจนภพรีบถอยกลับออกไปจากห้องทันทีที่ร่างสูงใหญ่ปรากฎตัว พิชช์ฌานมองร่างโปร่งบางที่นั่งจ๋องอยู่บนเตียงครู่หนึ่งแล้วก็เดินเข้ามาสวมกอดเอาไว้ทั้งตัว
อาคิราห์แทบจะจมหายเข้าไปในแผ่นอกกว้างนั้น เขาได้ยินเสียงหัวใจของพิชช์ฌานเต้นรัวแรงอยู่ข้างหูนี่เอง เสียงอีกฝ่ายสูดลมหายใจลึกยาวเข้าปอดทำให้เขารู้สึกใจเสียชอบกล เจ้าโอเมก้ายกมือขึ้นแตะที่หลังอย่างไม่แน่ใจเมื่อได้ยินเสียงคล้ายสะอื้นดังมาจากคนที่กอดเขาอยู่
“...หมอบอกว่าผมจะอยู่ได้อีกกี่เดือนเหรอ” อาคิราห์รวบรวมความกล้าถามขึ้น มั่นใจเกินครึ่งแล้วว่าคงไม่ใช่ข่าวดีแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นพิชช์ฌานก็คงไม่เข้ามากอดเขาร้องไห้อย่างนี้ “คุณฌาน...บอกผมมาเถอะ ผมรับได้ ไม่เป็นไร” ผ่านความเป็นความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ได้ใช้ชีวิตตามอย่างที่ใฝ่ฝันเอาไว้ อาคิราห์รู้สึกว่าเขาไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว เว้นอย่างเดียว...เจ้าของอ้อมแขนนี้เท่านั้น
“แปดเดือน...อีกแปดเดือน” พิชช์ฌานตอบกลับมาเสียงสั่น
ขอบตาของอาคิราห์ร้อนผ่าวตามด้วยน้ำตาร้อน ๆ ไหลอาบแก้มทันที ถึงจะรู้ว่าร่างกายของตนเองไม่สมบูรณ์พร้อมเหมือนเมื่อก่อนที่จะถูกยิง แต่ก็ไม่นึกว่าจะอายุสั้นถึงเพียงนี้ เป็นเพราะเขาเอาแต่กินขนมไม่ยอมออกกำลังกายแน่ ๆ กรรมถึงได้ตามสนองอย่างรวดเร็ว
“ฮือ” อาคิราห์เบะปาก ปล่อยโฮออกมาเต็มเสียงจนคนที่กอดอยู่ตกใจ พิชช์ฌานเงยหน้าขึ้นมองภรรยาอย่างตระหนก
“เธอตกใจใช่มั้ย ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้อง ฉันก็ตกใจเหมือนกัน ไม่นึกเลย..”
“ผะ...ผม ฮึก เสียใจ แค่ แปดเดือน ...แปดเดือนเอง”
“ใช่ อีกแค่แปดเดือน”
“ผมไม่ทัน ฮึก เตรียมตัวเลย จะเตรียมอะไรทัน ฮึก ผมยังไม่ได้เป็นผู้พิพากษาเลยนะ ฮือ”
พิชช์ฌานรวบตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดอีกครั้ง โยกตัวไปมาปลอบประโลม เข้าใจอยู่ว่าเจ้าโอเมก้าของเขาคงจะไม่ทันตั้งตัวแน่ ๆ
“ใจเย็น ๆ นะอัยย์ ยังมีเวลา เราค่อย ๆ เตรียมไปทีละอย่างก็ได้ แต่ว่าตอนนี้เธอต้องนอนลงก่อน คุณหมอบอกว่าเธอต้องนอนนิ่ง ๆ รอดูอาการ ให้เลือดหยุดไหล” ชายหนุ่มดันตัวอีกฝ่ายนอนลงตามเดิม อาคิราห์น้ำตาไหลพราก จับมือสามีเอาไว้แน่น
“คุณอย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่กับผมก่อน” อาคิราห์พูดเสียงเครือ “คุณหมอบอกว่าผมอยู่ขั้นไหนแล้ว” ต้องเป็นมะเร็งแน่ ๆ ไม่ต้องถามกูเกิ้ลก็รู้ว่ามะเร็งแหง ๆ หัวใจของอาคิราห์ฝ่อเหลือนิดเดียว
“ขั้นเหรอ?” คนฟังงงไปเล็กน้อย “เอ่อ...ไม่น่าจะเป็นเยอะนะ หมอบอกให้นอนพักดูอาการไปก่อน ส่วนใหญ่เลือดก็จะหยุดเอง เธอไม่ปวดท้องไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ปวด” อาคิราห์ส่ายหน้า “มันแพร่กระจายหรือยัง”
“แพร่กระจายอะไร” คราวนี้พิชช์ฌานขมวดคิ้ว คราบน้ำตายังค้างอยู่บนใบหน้าคมเข้ม
“คุณบอกผมมาตามตรงเถอะ ผมรับได้” อาคิราห์พูดทั้งน้ำตา “ไม่ต้องปิดผมหรอก มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมต้องผ่าตัดใช่มั้ย”
“หมอก็บอกว่าต้องผ่าตัดคลอดแน่ ๆ แต่ก็รอดูก่อนให้พ้นช่วงแท้งคุกคามนี่ไป” พิชช์ฌานพูดจริงจัง “มดลูกของเธอเคยเย็บซ่อมมาก่อนอาจจะทำให้ตัวอ่อนฝังตัวไม่สมบูรณ์ ต้องรอลุ้นเอาว่าจะเป็นยังไง”
“ผ่าคลอด...ตัวอ่อน.. คุณพูดถึงอะไร” อาคิราห์มองหน้าสามี “ผมเป็นมะเร็งมดลูกเหรอ”
“มะเร็งมาจากไหน” ถึงคราวพิชช์ฌานงงบ้าง จ้องหน้าเรียวเล็กที่เต็มไปด้วยน้ำหูน้ำตาครู่หนึ่งแล้วก็ตามเรื่องทัน “อย่าบอกนะว่าเธอเข้าใจว่าตัวเองเป็นมะเร็ง”
“ไม่ใช่เหรอ” อาคิราห์อ้าปากค้างเมื่อคิดออก เขายกมือขึ้นทุบไหล่กว้างเต็มแรง “ใครให้คุณร้องไห้ล่ะคุณพิชช์ฌาน ผมเข้าใจผิดหมดเลย ร้องไห้ทำไมเนี่ย”
“อ้าว ก็ฉันดีใจนี่” พิชช์ฌานยิ้มกว้างจนเห็นรอยพับที่หางตา พอเห็นเจ้าบู้บี้ของเขาหน้าหงิกก็ยิ่งขำ “นี่เข้าใจว่าตัวเองเป็นมะเร็งจริง ๆ เหรอ อ๋อ...ที่บอกว่าอยู่ได้แปดเดือนน่ะนะ”
คนฟังตวัดค้อน ยกมือขึ้นปิดหน้า
“ก็คุณนั่นแหละ เดินมาปล่อยโฮก็ต้องเข้าใจว่าเรื่องร้ายสิ โธ่ หยุดยิ้มเลยนะผมซีเรียส”
“ฉันก็ซีเรียสเหมือนกันนะเธอ” พิชช์ฌานยิ้มกริ่ม ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองออกจากหางตาง่าย ๆ “ตอนที่หมอบอกว่าเธอท้อง ฉันดีใจจนพูดไม่ถูกเลย”
“ท้องจริง ๆ เหรอเนี่ย” อาคิราห์ทวนคำ ยกมือขึ้นลูบหน้าท้องนิ่ม ๆของตัวเองเบา ๆ “ผมนึกว่าพุงออกเสียอีก”
“พุงนั่นแหละ เธอท้องอ่อนมากแต่ที่นูนออกมาน่ะไขมันล้วน ๆ” สามีพูดหน้าตาเฉย
อาคิราห์ย่นจมูกใส่แล้วก็อ้าแขนออกกว้าง โอบกอดร่างสูงใหญ่เอาไว้แน่น ซบหน้าลงกับแผ่นอกพ่อของลูก
“ลูกกลับมาแล้ว” อาคิราห์พึมพำ
พิชช์ฌานเชยคางเขาขึ้นแล้วก้มลงมาจูบหนักหน่วง ความยินดีแกมตื้นตันท่วมท้นโดยไม่ต้องบรรยายออกมาเป็นคำพูด อาคิราห์รู้ดีพอ ๆ กับอีกฝ่ายว่าพวกเขาเฝ้ารอลูกคนนี้มานานแค่ไหน
เจ็ดปีที่สูญเสียลูกคนแรกไปจากเหตุการณ์ครั้งนั้นยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำให้สะดุ้งตื่นกลางดึกบ่อย ๆ ไม่นึกเลยว่าวันนี้การรอคอยจะสิ้นสุดลงแล้ว
“อีกแปดเดือนแน่ะ” อาคิราห์พูด
“รอมานานกว่านั้นยังรอได้ แค่แปดเดือน ..” คนพูดยักไหล่ ก้มลงมาจูบอีกครั้ง “คราวนี้ไม่ตั้งชื่อรอแล้วนะ แก้เคล็ด ไม่อยากรู้เพศด้วย ไปลุ้นวันคลอดเลย”
อาคิราห์หัวเราะ
“กำลังคิดเรื่องจะกลับบ้านเสียหน่อย”
“รอให้คลอดก่อนค่อยว่ากัน” พิชช์ฌานตอบ
“ก็คงจะต้องอย่างนั้น” อาคิราห์ยิ้ม
..............................................................................
อาคารสีขาวสองชั้นตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะที่จัดเอาไว้สวยงามเป็นระเบียบนั้นคือห้องสมุดเพื่อประชาชนที่เพิ่งถูกบูรณะขึ้นใหม่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน นัยว่ามีผู้ใหญ่บริจาคเงินมาให้เพื่อปรับปรุงอาคารโดยเฉพาะ ผู้อุปการะคุณคนนั้นยังย้ำอีกด้วยว่าอยากให้มีสนามเด็กเล่นอยู่ทางด้านหลัง เลยเป็นที่มาของเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานดังมาแว่ว ๆ
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” บรรณารักษ์สาวเดินเข้าไปถามชายหนุ่มร่างโปร่งบางที่ก้าวเข้ามาหยุดยืนมองรอบ ๆ อย่างสนใจ เขาหันมาส่งยิ้มให้
“ผมแวะมาหาหนังสืออ่านเล่นน่ะครับ”
“ชอบอ่านแนวไหนคะ”
“เกี่ยวกับ...กฎหมายก็ได้ครับ” ชายผู้นั้นตอบกลับมาอย่างสุภาพ ใบหน้าเรียวหวานแต้มรอยยิ้มมีเสน่ห์นั้นดูคุ้นตาเธออย่างประหลาด แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“หมวดกฎหมายอยู่ชั้นสองค่ะ เชิญตามสบายนะคะ” เธอตอบ
ชายหนุ่มผู้นั้นก้มศีรษะให้เธอเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน บรรณารักษ์สาวหันไปซ่อมแซมหนังสือต่ออย่างขะมักเขม้น เธอเกือบลืมผู้ชายคนนั้นจนกระทั่งประตูห้องสมุดเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาพร้อมกับจูงมือเด็กผู้ชายวัยไม่เกินห้าขวบคนหนึ่ง กับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาจิ้มลิ้มอีกคนหนึ่งเข้ามาด้วย
“สวัสดีค่ะ ให้ช่วยอะไรไหมคะ”
“ผมมารับคนน่ะครับ เอ่อ...สูงประมาณนี้ ใส่เสื้อสีครีม..” เขาพยายามอธิบาย ขยับไม้ขยับมือ ดูจากผิวพรรณที่ขาวนวลอมชมพูแล้ว เธอเดาว่าเขาเพิ่งกลับจากเมืองนอกแน่ ๆ เด็ก ๆ ทั้งสองคนก็เช่นกัน
“คุณฌาน” เสียงเรียกดังมาจากบันได คนที่อธิบายให้เธอฟังอยู่ชะงัก เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้คนที่เดินลงบันไดมาหา
ยังไม่ทันถึงตัว เด็กน้อยสองคนก็วิ่งเข้าไปหาเสียก่อน จับมือชายคนนั้นเอาไว้คนละข้าง
“มัมมี๊ อีฟอยากขึ้นไปข้างบนบ้าง” เด็กหญิงชี้
“แอลด้วย” เด็กชายบอกอย่างกระตือรือร้น ใบหน้าข้างใต้หมวกใบใหญ่นั้นดูจริงจังจนน่าขัน “แอลอยากอ่านหนังสือ”
“ไม่ต้องมาขยันตอนนี้เลยแอล มัมมี๊รู้ทันหรอกน่ะ” คนพูดย่อตัวลงจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเด็กทั้งสองที่น่าจะเป็นลูกของเขา “กลับบ้านกันได้แล้วลูก คุณย่ากับคุณยายรออยู่นะครับ มีขนมอร่อย ๆ รออยู่เพียบเลย”
“อู้ว อีฟอยากกินขนม พี่แอลขึ้นไปดูหนังสือสิ อีฟจะไปกับมัมเอง” เด็กหญิงพูดจ้อย ๆ กระตุกมือมารดาให้ออกเดิน
“เห็นแก่กินเหมือนใครเนี่ย” ชายร่างสูงใหญ่หัวเราะ เดินเข้ามาอุ้มเด็กชายขึ้น “ไปกับแด๊ดดีกว่าแอล ถ้าแอลชอบไว้เราค่อยแวะมาใหม่ดีไหม”
“ดีครับ” เด็กคนนั้นพูดด้วยสีหน้าดีขึ้น ดูไปดูมาบรรณารักษ์สาวก็เริ่มรู้สึกว่าเด็กทั้งสองคนมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันไม่น้อย บางทีอาจจะเป็นฝาแฝด
“ไปกันเถอะ” คนที่น่าจะเป็นหัวหน้าครอบครัวหันมาโอบไหล่คนที่ตัวเล็กกว่าให้ออกเดินกลับออกไปจากห้องสมุดแห่งนั้น
ใบหน้าของผู้ชายทั้งสองคนยังติดอยู่ในความทรงจำของหญิงสาว แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นหน้าตาแบบนี้ที่ไหน จนกระทั่งได้เวลาเลิกงาน เธอเดินกลับบ้านผ่านแผงหนังสือที่มีหนังสือพิมพ์วางเรียงรายเต็มชั้น ใบหน้าของผู้ชายสองคนนั้นเด่นหราอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
กลับมาแล้ว...คุณพิชช์ฌานและคุณอาคิราห์ อัศวลักษณ์ เดินทางถึงสนามบินเมื่อเช้ามืดของวันนี้พร้อมกับคณะผู้ติดตามและกลุ่มผู้สนับสนุนที่ไปรอรับกันคับคั่ง โดยอดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าเขาเพียงแต่เดินทางกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเกิดและพักผ่อนกับครอบครัวเท่านั้น ไม่ได้มีนัยทางการเมืองแต่อย่างใด และไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมประท้วงของกลุ่มปฏิวัติโอเมก้าในขณะนี้ด้วย ย้ำว่าดอกกุหลาบแดงที่ทุกคนนำมาให้เป็นเพราะภรรยาของตนชอบดอกกุหลาบสีแดง ไม่ใช่สัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างที่ลือกัน
...............................จบบริบูรณ์....................................
โอ้มายก้อดดดอ จบแล้วค่า ในที่สุด น้ำตาจะไหล เป็นการเขียนที่ยาวนานก้าเดือนกว่าเกือบสิบเดือน ดีใจมาก ๆ นะคะที่มาถึงบทสรุปของเรื่องแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้าง การเดินทางของอาคิราห์กับพิชช์ฌานก็มาถึงตอนจบแล้วนะคะ แต่เรื่องราวของพวกเขาก็จะต้องดำเนินต่อไปเนอะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันมายาวนานมากกกก ประทับใจมากค่ะ โดยเฉพาะคอมเม้นท์ที่ดุเดือดเมามัน วิเคราะห์แกทเชื่อมโยงกันเต็มไปเลยค่ะ อิอิ เขียนเรื่องนี้สนุกมาก ๆ นะคะ ขอบคุณฟีดแบ็คจากทุกช่องทางด้วย โดยเฉพาะทางทวิตที่สนุกกันมาก ฮ่าๆ
อย่าลืมฝากความทรงจำกันเอาไว้ด้วยนะคะ นักอ่านเงาแสดงตัวได้แล้วเด้อ ตอนจบแล้วค่ะ อิอิ ใครชอบเรื่องนี้อย่าลืมบอกต่อนะคะ เย่ๆ
แจ้งข่าวด้วยว่าเรื่อง ขอรักแค่คุณ มีร่วมเล่มนะคะ ตอนหลักห้าสิบตอนและตอนพิเศษห้าตอน รีเควสตอนพิเศษกันมาได้นะคะ น่าจะเป็นช่วงปลายปีค่ะ ยาวๆปายยย
เจอกันในเล่มแล้วกันนะคุณ
ปล. ตอนนี้เปิดเรื่องใหม่เอาไว้แล้วสองเรื่องสองรส
เรื่องแรก Nevertheless, I still love you. #เวฬาหยุดรัก Mpreg แนวโรแมนติกดราม่าแฟนเก่าค่ะ
เรื่องที่สอง BeluKailoveyou #หวาฬรัก แนวรักเบา ๆ ไฮบริดวิทยาศาสตร์สายลับค่ะ
สนใจเรื่องไหน ไปเจอกันต่อได้นะคะ
ขอบคุณอีกรอบ
#ขอรักแค่คุณ (ไม่ใช่ ขอแค่รักคุณ นะคะ อิอิ)