chapter 13
Nothing but I miss you
ภายใน/สนามบินสิงคโปร์/กลางวัน
ผม
V.O.
นี่มันฝันไปชัดๆ
กล้องแพนไปรอบตัว หมุนติ้ว ผู้คนเดินขวักไขว่ ซ้าย ขวา ซ้าย ซ้าย ขวา ซ้าย ผมเดินต่อคิว ยื่นพาสปอร์ตผ่านอิมมิกูเรเตอร์หรือ ต.ม. ด้วยสมุดบันทึกการเดินทางที่มีประวัติไม่ถี่นักให้เจ้าหน้าที่ มาด้วยเป้หนึ่งใบถ้วน รองเท้าผ้าใบ กางเกงขาสั้น เสื้อยืดลายเท่ๆ ถ่อยๆ ฉีกยิ้มกว้างให้แสงไฟและความทันสมัยของประเทศหมู่เกาะเล็กๆเล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ทันสมัยและเป็นผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของภูมิภาค ก่อนหน้านี้ผมเคยมาสิงคโปร์สอง-สามครั้ง จำได้ว่าครั้งแรกสุดแม่พามาเที่ยวยูนิเวอร์ซัล รอบเดียว เที่ยวรอบเกาะ ใช้เวลาตามหาร้านกาแฟทั่วเจียงใหม่ยังมากกว่า สิงคโปร์ก็มีไม่กี่อย่าง เมอร์ไลอ้อน มาริน่า เบย์ ข้าวมันไก่ที่อร่อยพอๆ กับข้าวมันไก่ประตูน้ำ ร้านเหล้าในย่านคลาร์กคีย์ที่ไม่เคยอ่าน Quay ว่าคีย์ สักครั้งเดียวอากาศก็ร้อนสัดๆ ร้อนแบบที่ร้อนอยู่ดีๆ ฝนตกเฉย ที่ประทับใจที่สุดที่ผ่านมาคือโรงภาพยนตร์ไต้ฝุ่นที่เป็นโรงภาพยนตร์ 4 มิติที่แรกของโลก เป็นประเทศที่ดูไม่มีห่าอะไรน่าสนใจ แต่ฆ่าไม่ตาย แถมยังเจริญนำเราไปพรวดพราดแบบไม่เกรงอกเกรงใจบ้านใกล้เรือนเคียงกันเสียเลย
เทศกาลหนังปีนี้จัดสามคืน สี่วัน สิบเรื่อง แต่ผมได้โอกาสกิตติมศักดิ์ตรงได้ไปในรอบสื่อ ซึ่งเป็นวันที่จัดแสดงหนังน้อยรอบที่สุดของทุกวัน แต่เป็นหนังของพี่ป้อม นั่นเป็นสาเหตุที่ผมต้องมาให้ได้ ต่อให้ต้องทิ้งเข็มทิศให้ปวดหัวกับความกวนตีนของแม็ก หรืออาจเป็นแม็กที่ต้องปวดหัวกับความกวนตีนของเข็มทิศเองก็ตาม
ผมชอบประเทศสิงคโปร์อย่าง ตรงที่การเดินทางสะดวกมาก ลงจากเครื่องบิน ต่อรถไฟฟ้า ลงจากรถไฟฟ้า ถึงโรงแรม ผมเช็กอินที่โรงแรมล่วงหน้า โชคดีที่อ้อนขอเข้าห้องก่อนเวลาได้เพราะห้องที่จองไว้ว่างอยู่แล้ว ไม่ต้องรอทำความสะอาด
ข้อดีของคนเที่ยวในวันทำงาน หรือทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วยคือจะไม่เจอผู้คนจำนวนมหาศาล ได้ที่พักราคาถูก ทำเลดี พนักงานไม่จู้จี้ เป็นกันเองสุดๆ จากนั้นก็เข้าไวไฟฟรี ส่งข้อความบอกที่บ้าน พี่รูญ และเข็มทิศว่าถึงที่พักแล้ว แต่งานเริ่มราวๆ ห้าโมงเย็น ซึ่งหน้าที่ของผมระหว่างนี้คืออ่านงานวิจารหนังที่จะเอามาฉายในเทศกาลก่อนไปดู กับหาที่นั่งชิล จิบเบียร์ ฟังคนจีนคุยภาษาฝรั่งกันริมน้ำ เผื่อว่าเจอพี่ป้อมในงานจะเสนอหน้าไปแนะนำตัวสักหน่อย
KT: ไปทำอะไรตั้งแต่เช้า
หลังจากบอกเข็มทิศว่าผมถึงที่พักแล้ว ชายหนุ่มก็ข้อความมาถามคำถามที่ควรจะถามตั้งแต่ตอนผมจองตั๋ว ผมไม่ได้บอกว่าตารางงานเริ่มเย็น หนึ่งเพราะตื่นเต้น อยากมาไวๆ อีกหนึ่งคือค่าตั๋วรอบเช้าวันพุธถูกกว่ารอบเย็น ต้องเซฟงบบริษัทไว้เผื่อว่าพี่รูญจะส่งผมมาดูงานต่างประเทศบ่อยๆ
BABE: ค่าตั๋วถูก ทำไม
KT: ถูกกว่ากันสักเท่าไหร่
KT: แทนที่จะอยู่ที่นี่ก่อน
ผมพิมพ์คำว่า คิดถึงเหรอ ลงไป แต่ไม่กดส่ง รู้สึกจั๊กกะเดียมหัวใจยังไงชอบกล สุดท้ายก็ลบแล้วพิมพ์ข้อความใหม่ส่งไป
BABE: ก็ต้องหาข้อมูลหนังด้วยไง อยู่ออฟฟิศก็ไม่ค่อยได้งาน
KT: ห้องเย็นก็มี
ห้องเย็นที่เขาพูดถึงหมายถึงห้องทำงานส่วนตัวของพี่รูญที่ถูกปล่อยให้ร้าง เป็นแหล่งพำนักของคนในทีมที่ต้องการใช้พลังขั้นสูงในการคิดงานเงียบๆ คนเดียว และเป็นห้องที่พี่รูญใช้เรียกไปเชือด หรือด่าเมื่องานที่พลาดแบบโง่ๆ หลุดไปถึงมือลูกค้า รวมทั้งเป็นห้องที่เวลาคนขอลาออกจะเชิญพี่รูญไปพูดคุยถึงความจำเป็นต่างๆ นานา ตั้งแต่ที่ทำงานที่นี่มา โต๊ะทำงานและไผ่กวนอิมรวมถึงรูปปั้นหยกที่ถูกวางอย่างถูกหลักฮวงซุ้ยนั้นเป็นพื้นที่ที่แม่บ้านเป็นผู้ใช้บริการมากที่สุด นั่นก็คือเข้าไปปัดฝุ่น เราแทบลืมกันไปเลยว่ามีห้องนี้ เพราะถ้าต้องการใช้พื้นที่และสมาธิ ทางทีมก็ไม่ได้บังคับให้มาแสกนชื่อเข้างานเสียเมื่อไหร่
BABE: ก็ไม่เห็นต่างกันเลย วันนี้ก็ออกกองกันไม่ใช่เหรอ
KT: ต่างดิ อย่างน้อยมาออกกองก็รู้ว่านายอยู่ไหน
BABE: ตอนนี้ก็รู้ว่าอยู่ไหน
KT: แต่มันไกล
โถ่เอ๊ย เข็มทิศคนจริงของผมกลายเป็นเด็กติดแฟนไปเสียได้ ผมอมยิ้ม ส่งสติ๊กเกอร์ลูบหัวไปปลอบใจ ก่อนถามถึงเรื่องอื่นๆ ภายในเฮาส์
BABE: วันนี้ถ่ายกี่ฉาก
KT: น่าจะสาม ค่อยไปตัดเอา วันนี้แสงดี
BABE: ที่นี่เหมือนฝนจะตก แต่ถ่ายได้เยอะก็ดี ผมกลับไปจะได้ไม่ต้องไปออกกองเก็บงาน ฮ่า
ผมแกล้งหยอก ทิ้งตัวลงบนเตียงสีขาว มองหน้าจอโทรศัพท์แล้วกดดูภาพถ่ายของเข็มทิศที่ตั้งเป็นภาพโปรไฟล์ นึกถึงตอนที่ได้สัมผัสแก้มหยาบกร้านกรำแดด ผมเส้นหนา ขอบปากหยักได้รูปนั่น พานนึกถึงว่าถ้าเข็มทิศอยู่ด้วยกันที่นี่ หรือบนเตียงนี้เป็นกลิ่นของเขาบ้างก็คงดี
KT: คงเหลือไม่มากแล้ว ป่านนั้น แล้วนี่จะนอนก่อนหรือเปล่า ลูกค้าส่งคอมเมนต์กลับมาหรือยัง
ลูกค้าผีบ้าที่เข็มทิศบอกหมายถึงแจ้เก๋ พี่เก๋ คุณเก๋ อาจุมม่า หรืออะไรก็ตามที่สามารถนึกได้ตอนตีสี่ที่ผมยังปั่นสตอรี่บอร์ดมือหงิก ตีห้าส่งไฟล์งานให้พี่รูญดู หกโมงเช้าหลังส่งลูกสาวพี่รูญก็ตอบเมลอนุญาตให้ผมส่งหาลูกค้า หลังจากนั้นเข็มทิศก็ตื่น เห็นผมนั่งทำงาน ตาลึกโหลก็ให้รางวัลคนขยันไปหนึ่งยก คลายเครียดด้วยการบังคับให้ผมหลั่งในท่ายืน ซึ่งได้ผลเพราะจากนั้นผมก็ใช้คำพูดที่เคารพนอบน้อมเขียนใส่เมลเกริ่นก่อนแนบไฟล์ส่งไป ไม่ได้ฉุนเฉียวเท่าตอนทำงานคอมมาดี้ที่ไม่รู้สึกขำไปด้วยสักแอะ
ร่างกายของมนุษย์เป็นเรื่องประหลาดเกินกว่าใครจะอธิบายถึงเหตุผลได้ ยิ่งเครียดมากเท่าไหร่ ผมยิ่งต้องการการตอบสนองทางเพศเท่านั้น ตอนที่พระเจ้าสร้างคนคงกลัวมนุษย์สูญพันธุ์เลยผูกเรื่องเพศไว้กับสารเอนโดรฟินที่บังคับให้บทรักเป็นเครื่องบำบัดทุกข์ของมนุษยชาติ แน่นอนว่าหลังจากรับบรีฟพี่เก๋วันนั้น จวบกับท่าทางและคำพูดแปลกๆ ของเข็มทิศยิ่งทำให้ผมคิดถึงเขาตลอดเวลาราวกับเป็นอวัยวะหนึ่งในชีวิต
พอรู้สึกตัวว่าต้องไม่เจอหน้ากันตั้งสองวันกับอีกหนึ่งคืน หัวใจที่กระโดดโลดเต้นดี๊ด๊าตอนเครื่องบินลงก็แห้งเหี่ยวเหมือนดอกเยอบิร่าขาดน้ำ คิดแต่ว่าถ้าเข็มทิศมาอยู่ด้วยกัน ไปดูหนัง ออกจากโรงด้วยกัน ไปนั่งชิลล์จิบเบียร์ กอดจูบกันแล้วมีสัมพันธ์ลึกซึ้งในสถานที่แปลกใหม่คงเติมเต็มช่องโหว่เว้าได้พอดี
บทสนทนาเราขาดหายไปเท่านั้น เข้าใจเองว่าเข็มทิศต้องไปทำงานต่อ ผมก็รื้อกระเป๋าออกมา มีบุหรี่ของเข็มทิศที่ซุกไว้ในกล่องสแตนเลส ผมออกไปสูบที่ระเบียง กลิ่นควันในปากที่อวลขึ้นถึงโพรงจมูกให้ความรู้สึกถึงรสที่ปลายลิ้นของชายหนุ่มเพียงนิด กระนั้นร่างกายก็ตื่นตัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ลมหายใจร้อน กลิ่นเมนทอลที่แทรกตัวอยู่บนเสื้อ เส้นผม คมเขี้ยวและฟันขาวที่ไล่เลาะไปบนผิวเนื้อของกันและกัน กลิ่นที่กำจายระหว่างบทสนทนาของเราทั้งในที่ทำงาน ระเบียงคอนโด ติดอยู่ในผ้าม่าน แม้พิษบุหรี่มือสามจะร้ายแรงยิ่งกว่าบุหรี่มือหนึ่งหรือสองเราก็ต่างถูกมันแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันอย่างขาดไม่ได้ หลงมัวเมาในภาพฝันสีขมุกขมัว กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็เมื่อมวนบุหรี่ร้อนร่นมาถึงช่องว่างระหว่างนิ้วชี้และกลางด้านขวา ส่วนมือซ้ายรูดอวัยวะที่โผล่พ้นจากซิปกางเกงถี่รัว ผมหอบหายใจ โก้งโค้งเอาหน้าผากเกยกับขอบระเบียง ทิ้งซากบุหรี่ลงพื้น เรียกชื่อเข็มทิศออกมาก่อนปลดปล่อยหลักฐานของความปรารถนาออกมาคามือ
บ้าฉิบ...
ผมกลายเป็นไอ้โรคจิตที่สูบบุหรี่พลางช่วยตัวเองที่ระเบียงของโรงแรมโดยไม่มีข้อแก้ตัวโดยสิ้นเชิง
การดูหนังเป็นเรื่องโดดเดี่ยวในห้วงเวลาหนึ่งเสมอ หมายถึงเมื่อเราเข้าไปในโรงแล้วมักโยงใยความสนใจไปที่จุดอื่นนอกจากตัวเอง เป็นมิติพิศวงที่พาไปดินแดนต่างๆ ในโลกที่ไม่เคยเห็น ในเมืองที่ไม่มีจริง ผู้คนที่พูดสลับร้องเพลงสื่อความหมาย ผมจำไม่ได้ว่าชอบดูหนังตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สุนทรียะของมันทำให้อยากค้นหาขั้นตอนลึกซึ้งที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถผลิตหนังออกมาได้ ไม่ใช่แค่ผลิตออกมาได้เท่านั้น การทำให้ภาพยนตร์เป็นมากกว่าสื่อสำหรับความบันเทิงคือการบ่มเพาะภาพในหัว เรียงร้อยและฟูมฟักผ่านสงครามของภาพ เสียง การต่อรอง การตลาด ยาวไปถึงทายทุน แต่ยังสามารถสร้างมันได้อย่างทรงคุณค่าและประจักษ์ชัดในสายตาของผู้ชมเป็นสิ่งที่ผมวาดเอาไว้ว่าจะสามารถเป็นได้ในสักวัน
ผมเติบโตมากับแพสชั่นที่ชัดเจน ไม่ใช่โชคดีที่ทุกคนจะหามันเจอและรับผิดชอบกับมันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นหรือสถานการณ์ไม่อำนวยที่ทำให้บางคนพบแต่จำต้องทิ้งไว้แค่ในฝัน ผมมีไอดอลตั้งแต่คนระดับตัวเล็ก อย่างพวกนักศึกษาที่ตั้งใจสอบเข้าเรียนสาขาวิชาอย่างเข้มข้น ระดับประเทศอย่างพี่ป้อม หรือระดับโลกผู้ล่วงลับและยังมีชีวิตอยู่ ผมใช้เวลาในโรงหนังมากกว่าบนเตียงนอน และใช้เวลาเรียนรู้กับมันมากกว่าในร้านเหล้าคืนวันศุกร์ กระนั้น เมื่อพบพี่ป้อมเข้าจริงๆ กลับกลัวจะเข้าไปทัก พี่ป้อมที่อยู่ท่ามกลางผู้กำกับชั้นนำที่ผมชื่นชมนับครั้งไม่ถ้วน ได้แต่หลบมุมเข้าโรงหนังไปรอก่อนพิธีเปิดจะเริ่ม และกลับออกมาเงียบเชียบเท่าที่จะเงียบได้
“ถ้าคุณมาด้วยผมคงไม่จ๋อยเท่านี้อะ พูดจริง”
ผมสั่งเบียร์มาดื่มที่ร้านริมน้ำ แนบหูกับโทรศัพท์ขณะที่ชื่นชมแสงสีของเมืองสิงคโปร์ เฮงซวยฉิบ เมอร์ไลอ้อนปิ ดปรับปรุงช่วงนี้พอดี ที่กะว่าจะเดินริมน้ำ ถ่ายภาพคู่เมอไลอ้อนไปอวดเข็มทิศเป็นอันพับแผนนนทกเป็นชื่อตัวละครในรามเกียรติ์ ผมก็เป็นคนนกในชีวิตจริงได้ประมาณนั้น
“ให้ตีตั๋วตามไปเลยปะล่ะ”
เสียงปลายสายตอบ ผมยืดขา ฝั่งทางไทยยังไม่เลิกงานแม้จะเลยเวลางานมานานแล้ว ที่รู้เพราะเสียงล้งเล้งยังดังแทรกเข้ามา เข็มทิศอ้างว่าตัวเองได้พักกินข้าวถึงมีเวลาคุยกับผมได้
“ก็มาดิค้าบ”
“ถึงแล้ว นั่นนั่งอยู่กับใคร”
“กะผีอะดิ” แม่งกวนตีน ก็รู้อยู่ว่ากำลังเหงา “แล้วยังไง ดูแลเด็กผมดีป่าว”
“ใครเด็กนาย”
“พี่แบงค์มั้ง ไอ้แม็กดิถามได้”
“ตลก พูดให้มันดีๆ”
“เอ้าอะไรวะ แกล้งมันปะเนี่ยถามจริง”
“ไม่ได้แกล้ง ไร้สาระว่ะ” แหม ที่ผ่านมามีสาระมากครับท่าน ผมจิ้มเฟรนช์ฟรายเหี่ยวๆ เข้าปาก มองแสงที่สะท้อนกับผืนน้ำระยับวับวาว เสียงดนตรีสดเล่นผ่านหูเข้ามาและจางหายไป เสียงที่รบกวนปลายสายเงียบไป น่าจะกำลังถ่ายเพราะเสียงถัดมาก็หรี่ลงตามลำดับ “พรุ่งนี้ไปดูอะไรบ้าง”
“ลัลลาบาย เจอร์นี่อินซันไรส์ เปโดรคาโลซ่า”
“เป็นบ้าพอดี ดูหนังเพลงสลับหนังเงียบ”
“เรื่องหลังน่าสนใจ สร้างเลียนแบบสารคดีชาติพันธุ์”
“แล้วของวันนี้ล่ะ”
“พี่ป้อมอะเหรอ ก็ดีแบบของเขาที่ผมไม่เข้าใจอะว่าคิดอะไรตอนทำ หนังตัดสลับ นำเสนอแบบเซลฟี่นิดๆออกเดินทางตามหาความทรงจำเกี่ยวกับวีรบุรุษที่ถูกลืม แต่พอเจอใหม่กลายเป็นฝันสลายรายวัน ไม่ได้สง่างามอย่างที่คิดไว้ ผมแม่ง...โอ๊ย เจ็บอะ คุณเข้าใจปะ แม่งเป็นฝันของติ่งคนหนึ่งที่พบว่าไอดอลของตัวเองไม่ได้สวยงามอย่างที่ใจเราทะนุถนอม หนังพี่ป้อมแม่งไม่อ่อนโยนเลย ซีนจบผมแม่งน้ำตาไหลเลย นี่ขนาดหนังสั้นนะ ตัดจบแบบมีเสียงหวึ่งๆ อยู่ในหู โคตรเหงา ออกมาแล้วยังเหงาไม่เลิก”
“ขี้สปอยล์ ระวังเพื่อนเลิกคบ”
“ก็เป็นคนถามเอง”
“แหย่เล่น”
ผมแนบแก้มกับโทรศัพท์ แม้รู้ว่ามันไม่อาจทำให้ใกล้เข็มทิศมากกว่านี้สักนิด แต่ไออุ่นที่สะท้อนกลับมายังผิวอย่างน้อยก็ชวนหลอกตัวเองได้บ้างว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว
คิดดูอีกที ผมก็ไม่ใช่คนใช้ชีวิตคนเดียวเก่งสักเท่าไหร่
“พี่รูญเรียกแล้ว”
“เข้าฉากใช่ไหม”
“อืม โคตรหดหู่”
“เวอร์ ไอ้แม็กก็ออกจะน่ารัก”
“แล้วรักมันเหรอ” เขาถามเหมือนเด็กๆ ผมหัวเราะ ทำให้อีกฝ่ายส่งเสียงฮึ่มฮ่ำในลำคอ
“ไม่ได้รัก อย่าบอกนะว่าหึง”
“ไม่ได้หึง รีบกลับโรงแรมได้แล้ว ดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยโทรมาใหม่” เชาพูดรวบรัดแล้วตัดสาย เข็มทิศตอนเขินนี่น่ารักเป็นบ้า เหมือนเด็กผู้ชายที่ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไงเมื่อเจอคนที่ชอบ เชื่อแล้วว่าจีบสาวไม่เป็น
พูดถึงเรื่องเก่าผมก็นึกถึงขบวนการขุดภาพเข็มทิศขึ้นมาอีกครั้ง ลองเสิร์ชหาแฮชแท็กแม็กเข็มในเว็บเอ็นจิ้น ส่วนมากเป็นภาพเก่า จะมีเพิ่มบ้างก็น้อยจนเชื่อว่าเป็นพวกไม่ค่อยมีส่วนร่วมในกิจกรรมมหา’ลัย
มีภาพหนึ่งถูกถ่ายตั้งแต่ตอนอยู่ปีสอง คล้ายเป็นภาพจากกิจกรรมรับน้องที่เข็มทิศยิ้มเต็มหน้าเปื้อนสี หญิงสาวที่กำลังขี่คอก็หัวเราะเต็มอิ่มเหมือนกัน ก็เพราะเป็นเช่นนั้น คงเพราะเธอเป็นคนที่ทำให้เขามีความสุข ชายหนุ่มถึงตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
น่าเสียดายแทนเข็มทิศที่เจอกันช้าไปหน่อย แต่อีกใจก็รู้สึกว่าเป็นเหตุผลเหมาะสมดีที่ทำให้เขารู้สึกกับผมขนาดนี้ จะว่าหลงตัวเองก็ได้ เวลานี้คนที่ทำให้เข็มทิศหัวเราะก็มีแค่ผมไม่ใช่หรือไง
ดนตรีสดวงสุดท้ายเล่นจบแล้ว มีเสียงปรบมือจากนักท่องราตรีก่อนเสียงเพลงจะเปลี่ยนเป็นป๊อบ ผมสั่งเก็บเงิน ดื่มเบียร์ที่เหลือรวดเดียวก่อนจ่ายเงินแล้วส่งข้อความบอกเข็มทิศว่ากำลังกลับโรงแรม กลับไปคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวอาหมวยที่ไหนไปด้วย เขากดอ่าน แต่ไม่ตอบ นั่นเป็นเครื่องหมายแสดงความรับรู้ในแบบของเข็มทิศ สักพักก็ส่งข้อความกลับมาว่าคืนนี้คงอีกยาว ตามด้วยข้อความห้วนๆ ว่านอนดีๆ ซึ่งน่าจะหมายถึงฝันดีในแบบของเขาเช่นกัน
“ไอ้เหี้ยจ่านะ ทำหน้าซังกะตาย ถ่ายกันตั้งหลายเทคกว่าจะได้ คืนนั้นล่อไปตีสี่ เอ็กซ์ตร้าแม่งคงประทับใจไปอีกนาน เจองานนี้เข้าไป”
ทันทีที่ผมลงเครื่องที่สนามบิน เข็มทิศก็ไปรับมาออฟฟิศเพราะยังทำงานค้างไว้กับคนในทีม พี่โหน่งบ่นให้ผมฟังอุบถึงวีรกรรมของจ่าเฉยซึ่งเสือกเฉาในวันถ่ายโฆษณาเบียร์บุษยา ผมทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่รถ แบกโน้ตบุ๊กตัวเองมาทำงานต่อพร้อมเข็มทิศ ในที่นี้คนเดียวที่ไม่อยู่เห็นจะเป็นเด็กฝึกงาน เพราะพี่รูญก็นั่งคร่ำเครียดในห้องเย็นของตัวเอง ปิดประตูแน่นหนากันเสียงโวยวายของลูกทีมเข้าไปรบกวน
“ก็มันไม่ค่อยถูกกัน พี่ก็รู้”
“กูรู้ แต่ลูกค้าจะเอา ให้ทำไง”
“บวกลูกค้าแม่งเลยดิ” ผมปากบอน แหย่พี่โหน่ง เขาใช้อาวุธประจำออฟฟิศซึ่งก็คือก้อนกระดาษม้วนปาใส่ เฉียดหัวไปหน่อย “แล้วพี่แบงค์ไปไหนอะ”
“ลงไปซื้อกระทิงแดงมาตุน บ่นฉิบหายว่าเจอผีตู้เย็น”
“ผมรอดตัว เพิ่งกลับมาจากสิงคโปร์”
“เออ แล้วทำไมไม่กลับไปนอน” พี่มะลิแทรกขึ้นมา ตาลึกโหล หน้าสด รู้กันว่าช่วงนี้งานเยอะไม่ค่อยได้นอน “ไปเจอซุปเปอร์ไอดอลมา อดใจรอเม้าไม่ทันเหรอคะลูกสาว”
“โหย พี่ ไม่ได้เข้าไปสวัสดีเลย หน้าบางจัด อยากพักเหมือนกัน โคตรเหนื่อยอะ แต่ต้องส่งงานลูกค้า นัดคุยพรุ่งนี้เช้า”
“อ้อ งานเครื่องเสียงวัดอะนะ”
“หูฟังโว้ย” ผมเถียงคอเป็นเอ็น พูดเสียราคาหมด “พี่รูญเล่าให้ฟังเหรอ”
“เออ งานผี อีแจ้เนี่ยย้ายมาจากธนาคารเอซี ทำแล้วเซฟไฟล์แรกแยกไว้เลย นังจะติให้แกแก้แปดรอบแล้วกลับมาเอาไฟล์แรก วางเงินได้”
“โอเค ผมแทงฝั่งพี่”
“พวกผีพนัน” คนแทรกเสียงครั้งนี้เป็นคนมาใหม่ พี่แบงค์ถือถุงใส่กระทิงแดงประมาณเกือบโหลไว้ในมือ “แต่ผีอะไรไม่โกรธเท่าผีตู้เย็นว่ะ แม่งหายไปสามรอบแล้ว ก็รู้ป่าววะว่าไม่ใช่ของตัวเอง เอาไปแดกแล้วไม่ซื้อมาคืน”
“ผมไม่เกี่ยว ผมไปสิงคโปร์มา”
“มึงน่ะอีกคดี ไอ้เบ๊บ” ชายหนุ่มตวัดตาขวาง สงสัยของขาดจริง ไม่ก็ผีสักตัวเข้าสิง “วันก่อนมึงมาตั้งสเตตัสอะไรในเฟสกูแล้วหนี”
สเตตัสอะไรวะ
“อย่ามาทำไขสือ โถ่ ตีหน้าซื่อ คนอย่างมึงอะนะซื่อ”
“ผมไม่ได้เข้าเฟซเลย ช่วงนี้ข่าวการเมืองแรง เดี๋ยวเสียสุนทรียะด้านการชมภาพยนตร์ของผม สาบานได้”
“ไม่ใช่มึงแล้วจะใคร ไอ้ห่า กูเกือบทะเลาะกับแฟน แทบเอาดอกไม้ธูปเทียนไปถวายไม่ทัน”
พี่แบงค์นักง้อเมียแห่งชาติ น่าจะงอนๆ ง้อๆ มาตั้งแต่ชาติปางก่อน ตั้งแต่รู้จักผมก็รู้ว่าแฟนพี่แบงค์ก็ขี้งอนระดับปาล์มทองคำ ส่วนหนึ่งก็ทำตัวเอง เวลาไม่ค่อยจะมีเสือกขี้หลี มีเล็กมีน้อยไปเรื่อย
“ฉันแคปทันน” พี่ก้อยเสนอตัวไขคดี เปิดโทรศัพท์ยืดมือสุดแขน อ่านออกเสียงดังฟังชัด “ปรึกษาครับ แอบชอบน้องฝึกงานแต่มีแฟนเป็นผู้หญิง ลำบากใจมากครับ”
“โอ้ อันนี้เหี้ยจริง” ถึงอย่างนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่ไม่ใช่ผมแน่ นึกทบทวนย้อนกลับไปถ้าเป็นวันที่ผมอยู่ออฟฟิศล่ะก็คนใกล้ตัวไอ้พี่แบงค์ก็อยู่ น้องรักของมันนั่นแหละ “ไม่ใช่ผมแน่ๆ”
“ใครจะพิสดารเท่ามึง ทำไม หวงไอ้จ่าเหรอถึงปั่นกระแสให้กูกับไอ้แม็ก”
“ไม่ใช่ผมจริงๆ สาบานได้ แล้วใครใช้ให้ไม่ล็อกเอาท์เฟสก่อนลุกออกจากโต๊ะวะ”
“นั่นไง จับโจรได้แล้ว มึงนี่เลวจริงๆ เดี๋ยวกูจะยุให้ไอ้แม็กจับปล้ำแม่ง”
“เซ็กชั่วฮาราสเม้นสัด” ผมด่า เหลือบตามองคนทำที่ใส่หูฟังครอบไม่รับรู้โลกภายนอก กะปัดรังควานกระแสแม็กเข็มในสำนักงานด้วยการเอาพี่แบงค์มาเป็นตัวละครใหม่ จะต้องบอกใครถึงจะเชื่อว่าจ่าเฉยไม่ได้เฉยจริงๆ มันเป็นจ่าชั่วครับทุกคน “เข็มทิศเงียบเลยน้า”
ผมแซว แต่เจ้าตัวยังนิ่ง เก่งนักเรื่องตีหน้าตาย ผมถีบเก้าอี้ล้อเลื่อนไปชนโต๊ะเขาถึงเงยหน้าขึ้นมารับรู้โลกบ้าง “อะไร”
“เขาหาตัวคนเข้าเฟสพี่ตั้งสเตตัสให้พี่แบงค์กันอยู่”
“หากันตั้งนานแล้วนี่”
“คุณนั่งอยู่ตรงนั้นไม่เห็นหรือไงว่าใครไปใช้คอมพี่แบงค์อะ”
เขาเงียบไปชั่วขณะ สบตาพี่แบงค์แล้วมองมาทางผมราวกับผมเป็นจำเลย “ก็เห็นอยู่คนเดียว”
“นั่นไง ยังปฏิเสธอีกไหมไอ้ฆาตรกรปากแข็ง กูจะแจ้งความจับมึงข้อหาพยายามฆ่า” ชายหนุ่มคู่กรณีตรงรี่มาคว้าคอผม ล็อกให้เงยหน้า ทรมานด้วยการเอาขวดกระทิงแดงเย็นๆ ทาบปาก ทำไมกูต้องกลับจากสิงคโปร์มาเจออะไรแบบนี้วะเนี่ย “มึงต้องตายตกไปตามกู ไอ้หมู”
“โว้ย ไอ้จ่าเป็นคนทำเหอะ เชี่ย เย็นสัด”
“ยังมีหน้ามาใส่ความคนอื่นอีก จำเลยไม่รับสารภาพต้องทรมานเพิ่ม”
ผมถูกไอ้พี่แบงค์แช่แข็งปากด้วยขวดกระทิงแดงอีกรอบ แต่คนดี พระคุ้มครอง พี่รูญออกจากมาห้ามทัพเสียก่อนด้วยงานที่เจ้าตัวส่งไป “มัวแต่เล่น ไอ้แบงค์ มึงทำต่างหูน้องหนูหริ่งแหว่ง เอาไปแก้ แล้วไอ้เบ๊บไปกลับห้องก่อน พรุ่งนี้ต้องไปพรีเซนท์โซเนชั่นแต่เช้านะมึง ไม่ได้หยุด”
“เข็มทิศมันหอบผมมาอะ”
“อ๋อ มาเฝ้าหลัว ทำเป็นบอกมาทำงานนน” พี่ก้อยลากเสียงยาว ไม่มีปราณีในทิปส์ซี่เฮาส์ ผู้คนมัวเมาด้วยความเลือดเย็น ผมเหลือบตามองพี่รูญคนรู้ความลับอย่างหวาดระแวง แต่ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมาเป็นอันผ่าน มองฝั่งคู่กรณี เข็มทิศลุกขึ้นทำท่าสูบบุหรี่ แล้วหนีเอาตัวรอดก่อนใครเพื่อน
“ไอ้เข็มโดนลูกค้าสั่งแก้งาน ส่งพรุ่งนี้เช้าเหมือนกัน งั้นมึงก็เข้าไปนอนในห้องเย็นก่อน หรือจะให้ไปส่งที่คอนโด”
“ผมขอดูงานของตัวเองดีกว่าพี่ อีกแป๊บค่อยให้ไอ้จ่าไปส่ง”
พี่รูญพยักหน้ารับรู้แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง พี่แบงค์จ๋อยไปนั่งที่โต๊ะ สงครามขนาดย่อมเงียบเสียงลงกลายเป็นเสียงหัวเราะคิกคักของสาวๆ ผมเดินตามเข็มทิศไปที่บันไดหนีไฟนอกอาคาร ซึ่งมีระเบียงยื่นออกจากตัวตึก บ่อยครั้งที่เราพบกันในความมืดซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นของนิโคติน จุดบุหรี่สูบเงียบๆ ข้างกัน
“โดนแก้งานเหรอ”
“อืม ขอฟอนต์สีเขียวที่มันเยอะๆ เขียวปีกแมลงทับทิมผสมกับเขียวขี้ม้า”
“บรีฟเหี้ย” ผมหัวเราะ คาบบุหรี่ไว้ที่ปาก นิโคตินแม่งแย่ รู้ว่าแย่แต่ก็สูบอยู่ได้ เป็นสารที่อันตรายมากกว่ากัญชาด้วยซ้ำ ดีกว่าอย่างเดียวคือถูกกฎหมาย
“เบ๊บ จูบหน่อยดิ”
ผมมองควันที่ลอยอ้อยอิ่งค่อยๆ สลายไปในอากาศ เคาะขี้เถ้าลงในกระป๋องเบียร์ วางข้อมือที่ถือบุหรี่ไว้บนขอบระเบียง เอียงคอเอี้ยวตัวเล็กน้อยเข็มทิศก็ก้มลงมาจูบ ทั้งที่เป็นสิ่งแรกที่ปรารถนาจะทำเมื่อพบหน้ากันแต่กลับทำได้หลังประตูที่ปิดมิดชิดจากอาคาร เราไม่เคยจูบกันที่อื่นนอกจากในห้องนอน แต่กลับทำมันในที่สาธารณะซึ่งไม่รู้จะมีใครเปิดประตูเข้ามาในเวลานี้หรือไม่
เสียงรถวิ่งจากถนนดังขึ้นมาถึงบนตึก แสงไฟระยับพราวราวก้นของหิ่งห้อยในคืนเดือนดับเป็นดวงดาวประดับดินอยู่เบื้องล่าง ผมอ้าปากและจูบเข็มทิศคล้ายดูดกินกลิ่นของความคิดถึง มือใหญ่อ้อมประคองท้ายทอย ใช้นิ้วหัวแม่มือดันคางให้ผมเงยหน้ารับจุมพิตที่รุนแรงมากกว่าเก่า ผมคงเกร็งกล้ามเนื้อจนบีบบุหรี่ในหว่างนิ้วแบนราบ แต่จูบของผมกับเขาไม่เคยทำให้สงบได้เลยสักครั้ง มันมักนำพามาซึ่งความรู้สึกอื่นๆ การครอบครอง ปรารถนา ความรักใคร่ นานนับนาทีกว่าเขาจะยอมถอดใจและรับรู้ว่าเราไม่อาจทำเกินเลยมากกว่านี้ ณ เวลานี้ได้
“ขอโทษที น่าจะไปส่งนายก่อน เหนื่อยใช่ไหม เราแค่คิดว่าอยากให้อยู่ด้วยกัน”
“ไม่เป็นไร อยากทำงานเหมือนกัน เหนื่อยแค่นี้ทนได้ กลับห้องมากกว่าที่จะทนไม่ได้”
แม่งโคตรไม่โรแมนติกเลย แต่ผมกลับรู้สึกถึงความโรแมนติกฉิบหายกับการจูบกันริมตึก การต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยริมฝีปากเติมเต็มความคิดถึงได้อิ่มเอม เข็มทิศใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงริมฝีปากล่างของผม จับจ้องมันเนิ่นนาน
“ปากหายเย็นแล้ว”
“ใจหมาว่ะ ไปแกล้งพี่แบงค์แล้วโยนความผิดให้คนอื่น”
“ไม่ได้โยน ก็บอกว่าเห็นคนไปเล่นคอมพี่แบงค์คนเดียว ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าใคร”
แบบนี้เรียกศรีธนญชัยหรือเปล่า แต่ช่างมันเถอะ ผมไม่ได้โกรธ
“งานอีกเยอะไหม” เขาถาม ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ทำงานคุณไปเถอะ จะได้กลับไปนอน ช่วงที่ผมไม่อยู่งานหนักเลยดิ เห็นตาพี่ก้อยก็รู้”
“อืม แต่จะกลับไปนอนก่อนก็ได้นะ ถ้าเสร็จงานก่อน”
โว้ย ไล่กันอยู่นั่น จะคาดคั้นให้พูดออกมาจริงๆ หรือยังไง เข็มทิศลูบหัวผม ทอดสายตาลงมา ใต้ตาดำคล้ำและเหี่ยวย่นอย่างหมีแพนด้าวัยชราภาพ ไม่ไหวบอกไหว เห็นเหนื่อยขนาดนี้กลั่นออกมาได้ประโยคสั้นๆ ที่ไม่จั๊กเดียมหัวใจเกินไป
“ไม่เป็นไร อยากอยู่ด้วยเหมือนกัน”
#westonwednesday
ลำไยความหวานนี้ เขียนเองลำไยเอง ช่วยด้วย อุแงงงง
ต้องรับวันสงกรานต์นี้ด้วยตอนสบายๆ ติดเรทนิดๆ อิอิ วันหยุดยาวเดินทางกันปลอดภัยนะก๊ะ ใครอยู่กรุงเทพตุนเสบียงเร็ว! ร้านข้าวจะปิดหนีแล้ว
ขอบคุณทุกกำลังใจมากเลยฮะ ดีใจ